Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ 430-436

 หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.430 – ออกเดินทาง


 


“หรืออีกความหมายนึงก็คือ นายจะต้องรีบไปเลยตั้งแต่ตอนนี้น่ะสิใช่ไหม?” แอนนาเอ่ยถามอย่างไม่ยินยอม


 


เธอคว้าจับมือของกู่ฉิงซาน บีบมันแน่น


 


กู่ฉิงซานกล่าว “ใช่ อีกราวๆ2-3นาทีฉันก็ต้องไปแล้ว แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญ เพราะยังไงฉันก็จะต้องกลับมาแน่ๆ”


 


มองเข้าไปในดวงตาของแอนนา กู่ฉิงซานเอ่ยต่อ “วางใจเถอะ ฉันไม่เป็นอะไรหรอก”


 


ในจิตใจของแอนนาเต็มไปด้วยความกังวล


 


กู่ฉิงซานกำลังจะไปในโลกอันน่าหวาดกลัว โลกที่ซึ่งความแข็งแกร่งของเขาไม่นับว่าเป็นสิ่งใด


 


แล้วแบบนี้เธอจะวางใจได้ยังไงกัน?


 


แอนนากัดลงบนนิ้วของเธอจนเลือดไหลออกมา แล้วใช้เลือดนั้นแตะลงบนหน้าผากตัวเอง


 


“ท่านเทพสุนัข ได้โปรดให้ฉันได้ยืมพลังบางส่วนของท่านด้วย”


 


เธอหันไปกล่าวกับหมาดำ


 


แต่หมาดำกลับทำแค่เพียงจ้องมองเธออย่างเงียบๆ


 


“ได้โปรดเถิด” แอนนาวิงวอน


 


หมาดำพอได้ยินน้ำเสียงและท่าทีการแสดงออกของเธอ มันก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะปล่อยเปลวเพลิงทมิฬออกจากร่าง และส่งมันลอยไปทางแอนนาอย่างช้าๆ


 


แอนนาคว้าจับเพลงทมิฬเอาไว้ในฝ่ามือและบีบมัน


 


ปัง!


 


เพลิงทมิฬได้หายไป แต่ตลอดทั้งร่างกายของแอนนากลับปรากฏเส้นแสงสีดำขึ้น เส้นสีดำเหล่านั้นส่ายไปมาในอากาศอย่างไร้ทิศทาง


 


แอนนาเอื้อมมือของเธอที่เปื้อนเลือดไปแตะลงบนหว่างคิ้วของกู่ฉิงซาน


 


“นี่คืออะไรงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยความอยากรู้


 


“อยู่นิ่งๆไปสักพักก่อน ตอนนี้ฉันกำลังใช้พลังที่เรียกว่าความตายอันเป็นนิรันดร์เพื่อขอความช่วยเหลือจากท่านเทพแห่งความตายอยู่ หวังว่าพลังของมันจะช่วยให้นายได้รับข้อมูลบางอย่างที่มีประโยชน์ไปบ้างนะ”


 


กู่ฉิงซานจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเฝ้ามองอยู่เฉยๆ


 


ต่อมา แอนนาก็เงยหน้าขึ้นมองกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ


 


สายตาของเธอค่อยๆตกลงจากใบหน้าของกู่ฉิงซาน ลงมายังทั่วร่างกายของเธอและเบื้องหลังของกู่ฉิงซาน ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างอยู่ที่นั่น


 


ทันใดนั้นเสียงกระซิบที่ฟังดูลึกซึ้งก็ดังขึ้นจากเหนือศีรษะของแอนนา


 


“มนุษย์ปุถุชนที่กำลังหลงทางเอ๋ย หนทางเบื้องหน้าของเจ้า ตลอดทั้งโลกมีเพียงความตายอันหาที่ใดเปรียบเฝ้ารออยู่ และความตายที่ว่าก็กำลังจะทำให้โลกใบนั้นถึงจุดจบลง”


 


“และเจ้าไม่มีอำนาจมากพอ ที่จะเผชิญหน้าต่อกรกับความตายนี้”


 


สิ้นเสียง มันก็ดูเหมือนจะพูดอะไรอีกซักอย่างออกมา


 


แต่ประโยคนี้ไม่มีใครได้ยินอย่างชัดเจน


 


บังเกิดสายลมพัดกรรโชก


 


และเทคนิคมนตรานี้ก็ได้หายไป


 


แอนนาโผเข้ากอดกู่ฉิงซาน


 


“ไม่นะ! ได้ยินแล้วใช่ไหม! นายจะไปไม่ได้ ถ้านายไปนายจะต้องตาย!”


 


เธอกอดแขนของกู่ฉิงซาน พูดไม่ออกอยู่เนิ่นนาน


 


กู่ฉิงซานทำได้เพียงลูบหลังเธอ และกล่าวปลอบประโลมอย่างอ่อนโยน “มันไม่เป็นอะไรหรอก ขนาดปรภพฉันก็เคยไปมาแล้ว เธอก็อย่ากังวลไปเลย”


 


เขาหันไปมองเวลา


 


เหลือนาทีสุดท้ายแล้ว


 


กู่ฉิงซานวางมือลงบนหัวของแอนนา ลูบไล้มันอย่างแผ่วเบา ปากเอ่ยกล่าวอย่างช้าๆ “ไม่ต้องกังวลนะ ฉันจะไม่ตาย ฉันขอสัญญากับเธอ”


 


แอนนามองเขาและส่ายหัวของเธอ


 


เมื่อครู่เป็นการยืนยันจากเทพแห่งความตาย แล้วกฏแห่งความตายจะผิดพลาดได้อย่างไร?


 


แอนนาเอื้อมมือออกไป ดึงด้ายสีดำเส้นบางๆจากที่ถูกบดบังลึกอยู่ภายใต้ผมสีแดงเพลิงของเธอออกมาอย่างไม่ลังเล


 


ด้ายที่เชื่อมต่อกับจี้รูปทรงแปลกๆอันเป็นเอกลักษณ์ค่อยๆผลุบออกมาจากคอระหงของเธอ


 


แอนนาสวมใส่จี้นี้รอบคอของกู่ฉิงซาน


 


“คนโง่ ฉันไม่จำเป็นต้องใช-” กู่ฉิงซานกำลังจะกล่าว


 


เขาเร่งร้อนที่จะถอดจี้นี้ออก


 


“จงมีชีวิตอยู่ต่อไป” แอนนาคว้าจับมือของเขาให้หยุด ปากเอ่ยกล่าวเสียงกระซิบ “ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้นายตาย”


 


กู่ฉิงซานชะงักงันไป


 


เมื่อมองย้อนกลับไปในความทรงจำของเขา ตนก็พลันระลึกขึ้นได้ว่าครั้งแรกที่เขาออกเดินทางไปยังโลกเทวะ แอนนาก็ทำแบบนี้เหมือนกัน


 


เธอทำเช่นเดียวกันกับในครั้งก่อน


 


อารมณ์ความรู้สึกของทั้งสองเหตุการณ์ ไม่ว่าจะในครั้งนั้นหรือครั้งนี้ มันก็ไม่เคยแปรเปลี่ยนไปเลย


 


กู่ฉิงซานกำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์ สภาวะจิตใจกำลังไขว้เขวไปช่วงเวลาหนึ่ง และสุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องการจะเอ่ยบางสิ่งออกมา


 


ทว่าเวลาก็ดันหมดลงเสียก่อน


 


ม่านแสงสว่างจ้าโอบเข้าปกคลุมรอบตัวเขา


 


วินาทีต่อมา ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็หายวับไปจากฝูงชน


 


หมาดำเดินเข้ามา ปากอ้าถอนหายใจ “อันที่จริงแล้วประโยคสุดท้าย … เราไม่อยากจะบอกเจ้าเลย แต่ในเมื่อมันเป็นประโยคของเทพ เราจึงจำต้องกล่าวให้จบ”


 


แอนนาเร่งเอ่ยถาม “ท่านเทพ ประโยคสุดท้ายคืออะไรอย่างงั้นหรอ?”


 


“หากตายในโลกใบนั้น แม้กระทั่งจิตวิญญาณก็จะหายไปด้วยเช่นกัน”


 


แอนนากัดริมฝีปากของเธอ และขบคิดเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้


 


แล้วเธอก็หันไปเอ่ยถามเย่เฟย์หยูในทันใด “ซูเซี่ยเอ๋อล่ะ? ทำไมฉันยังไม่ได้เห็นเธอเลย?”


 


เย่เฟย์หยูลอบหันไปมองซางหยิงฮ่าวอย่างลับๆ


 


ซางหยิงฮ่าวคิดก่อนจะเอ่ยปากออกมา “บอกไปเถอะ”


 


เย่เฟย์หยูกล่าวอย่างซื่อตรง “พูดได้จริงๆหรอ?”


 


“เอาล่ะๆ” ซางหยิงฮ่าวหันไปมองแอนนา ถอนหายใจด้วยอารมณ์ “ในเมื่อเธอกล้าที่จะแขวนชีวิตของตัวเองเอาไว้กับกู่ฉิงซาน ถ้าอย่างงั้นฉันคิดว่าเราก็ไม่สมควรที่จะปิดซ่อนความจริงจากเธอไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเขา”


 


เย่เฟย์หยูจึงเฉลยเรื่องเกี่ยวกับซูเซี่ยเอ๋อให้แอนนาฟัง


 


พอถึงช่วงสังหารสมเด็จพระสันตะปาปา เขาก็บอกเรื่องม้วนคัมภีร์ออกไป


 


แอนนารับฟังอย่างตั้งใจพลางครุ่นคิด


 


ซางหยิงฮ่าวเดินกลับไปที่วิลล่า ก่อนจะออกมาอีกครั้งพร้อมกับแผ่นหยกในมือและยื่นมันให้แก่แอนนา


 


“นี่มันอะไรกัน?”


 


“นี่คือเทคนิคฝึกยุทธของเธอที่กู่ฉิงซานเป็นคนเลือกมันด้วยตัวเอง เขากลัวว่าในบางเวลาที่ตัวเองไม่อยู่ จะไม่ได้เอาให้เธอ เลยฝากมันไว้ในวิลล่า แล้วเตือนพวกเราว่าถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ก็มอบมันให้กับเธอด้วย”


 


หมาดำกระโดดขึ้นมา และงับเอาใบหยกไป


 


“วิชานี้มัน … อืม … มันเป็นวิชาจำเพาะที่สามารถเสริมสร้างสมรรถนะของร่างกายเพื่อขยายพลังในการดึงดูดอำนาจของฟ้าดิน”


 


“นี่นับว่ามันเป็นสิ่งที่ดีไม่น้อยเลย เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งสำหรับเทคนิคของเจ้า มันจะช่วยให้พลังแห่งความตายของเจ้าเพิ่มพูนขึ้นเป็นเท่าทวี”


 


หมาดำกล่าวแสดงความคิดเห็น


 


เย่เฟย์หยูอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา “แค่ฝึกฝนเทคนิคฝึกยุทธมันก็ยังไม่เพียงพออีกหรอ? ทำไมเราจะต้องไปศึกษาเทคนิคอื่นๆด้วยล่ะ?”


 


หมาดำกล่าวหยันออกมา “คำพูดเจ้านี่มันดูไม่ต่างไปจากมือสมัครเล่นเลย ราวกับทารกน้อยที่พึ่งได้รู้จักการคลาน เจ้ามิเห็นหรือว่าชายหนุ่มที่พึ่งจากไปเมื่อครู่นี้ ก็ยังเรียนรู้เทคนิคเกี่ยวกับวิถีดาบเพื่อปลดปล่อยพลังอำนาจของตนเองออกมา”


 


เย่เฟย์หยูเริ่มเกิดอาการปวดหัว “ถ้าอย่างงั้นก็หมายความว่า นอกเหนือไปจากการฝึกยุทธแล้ว ฉันยังต้องมองหาเทคนิคโจมตีที่ทรงพลังมาไว้เรียนรู้อีกด้วยสินะ”


 


หมาดำไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก มันยื่นปากที่คาบใบหยกไปให้แอนนา


 


“ท่านเทพสุนัข” แอนนาเอ่ยปาก


 


“หืม?”


 


“ฉัน … ลองคิดเกี่ยวกับมันดูแล้ว .. ”


 


“เจ้าแน่ใจหรือ?”


 


“ตอนนี้แน่ใจแล้ว ฉันต้องการที่จะแข็งแกร่งมากกว่านี้ เพื่อที่จะได้ติดตามเขา และเพื่อที่จะสามารถเผชิญหน้ากับซูเซี่ยเอ๋อได้อย่างเท่าเทียม”


 


หมาดำแสดงสีหน้าราวกับว่ากำลังยิ้มออกมา


 


มันท่องมนตราเสียงกระซิบ


 


เห็นแค่เพียงร่างของหมาดำค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น จนมีขนาดเท่ากับตึกสามชั้น


 


เสียงของมันหนัก กังวาน และเคร่งขรึมขึ้น ราวกับเทพวิญญาณที่กำลังจะไต่สวนมนุษย์


 


“เราขอถามเจ้าอีกครั้ง เมื่อเจ้าไปที่นั่นกับเรา เจ้าจะกลายเป็นอัครสาวกแห่งความตายโดยสมบูรณ์ และเจ้าจะไม่สามารถศรัทธาในเทพวิญญาณตนอื่นๆได้อีกต่อไป เจ้าตัดสินใจที่จะไปจริงๆหรือไม่?”


 


“ฉันจะไป” แอนนากล่าว


 


หมาดำจ้องมองเธออย่างเงียบๆอยู่สักพัก


 


“แม้ว่าเราจะพึ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่คุณสมบัติของเจ้านับว่าดีที่สุดที่เราเคยพบเจอมาในรอบหลายพันปี”


 


“ก็นั่นมันเป็นเพราะท่านเผลองีบหลับไปนานตั้งหลายพั-”


 


“อะแฮ่ม! เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว”


 


“มาเถอะ” หมาดำกล่าว


 


ว่าจบ แอนนาก็กระโดดขึ้นไปบนหลังของหมาดำ


 


แอนนายืนบนหลังของหมาดำ หันมองไปทางซางหยิงฮ่าว เย่เฟย์หยู และคนอื่นๆ “ถ้าเขากลับมา ฝากบอกเขาด้วยว่าฉันออกเดินทางไปฝึกยุทธ”


 


เสี้ยววินาทีนั้นเอง บนร่างของหมาดำก็ลุกพรึบไปด้วยเพลิงทมิฬ


 


มันกระโจนขึ้นไปในอากาศที่ว่างเปล่า มุ่งหน้าสู่ท้องฟ้าเบื้องบน


 


แต่ในตอนนั้นเอง เวโรน่าก็อุทานออกมา “ช้าก่อนแอนนา! จักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ยังรอให้เจ้ารับช่วงต่ออยู่นะ!”


 


หมาดำหยุดนิ่งไปกลางอากาศ


 


“หนูขอโทษนะท่านป้า แต่ตอนนี้หนูไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการแก้แค้นให้ท่านพ่ออีกต่อไปแล้ว เรื่องประเทศก็ขอฝากฝังให้ไว้ท่านป้าเป็นคนจัดการก่อนก็แล้วกัน” แอนนากล่าว


 


“โลกในปัจจุบันนี้น่ะ — มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะสามารถปกป้องความปรารถนาของตนเองเอาไว้ได้”


 


“ดังนั้น ตอนนี้หนูคงต้องขอตัวก่อน”


 


แล้วหมาดำก็เริ่มควบวิ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าต่ออีกครา


 


“แล้วเจ้าจะไปที่ไหนกัน?” เวโรน่าตะโกนถามอย่างรวดเร็ว


 


ในท้องฟ้าที่ว่างเปล่าเบื้องบน บังเกิดปากถ้ำที่ถูกเผาไหม้ไปด้วยเปลวเพลิงสีดำทมิฬปรากฏขึ้น


 


หมาดำกระโดดเข้าไป


 


และทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวจากบนฟากฟ้า


 


“ไปยังโลกแห่งความตาย”


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.431 – จุดเริ่มต้น


 


ปากถ้ำที่ไหม้เกรียมไปด้วยเปลวเพลิงทมิฬค่อยๆหายไปอย่างช้าๆ


 


หลังจากที่กระโจนเข้าไปในนั้น บนท้องฟ้าก็ไร้ซึ่งวี่แววใดๆของแอนนาและหมาดำอีกเลย


 


แต่กลับปรากฏเรือรบประจัญบานขนาดเล็กกำลังลดระดับลงมาแทน


 


เหลียวฮังกลับมาแล้ว


 


“ฉันได้เห็นทุกอย่างจากนอกโลกแล้วนะ! มันช่างเป็นการต่อสู้ที่งดงามและมีมนต์ขลังมากจริงๆ! ” เขาตะโกน


 


“คุณเป็นนักวิทยาศาสตร์นี่ งั้นไหนลองเสนอความคิดมาซิ ว่าพวกเราควรจะทำอะไรกันต่อไปดี?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม


 


“ก็ฝึกยุทธไง! มันต้องเป็นการฝึกยุทธอยู่แล้ว! ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะฝึกยุทธโดยใช้มันอ้างอิงเป็นงานวิจัยหลักทางวิทยาศาสตร์ของฉัน!”


 


“นั่นสินะ ฉันก็ต้องการฝึกยุทธอย่างเต็มกำลังเหมือนกัน” เย่เฟย์หยูถอนหายใจออกมา


 


ประธานาธิบดีขบคิดก่อนจะกล่าว “พวกเราคงต้องให้ทุกคนในโลกเข้าสู่สถานะฝึกยุทธโดยเร็วที่สุด เพราะถ้าหากมีภัยพิบัติใดๆเกิดขึ้นอีก ในอนาคตทุกคนจะได้สามารถช่วยเหลือตนเองได้”


 


“ข้าเห็นด้วย ฉะนั้นแล้ว พวกเราคงต้องเร่งก่อตั้งกฏเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมา” เวโรน่าเอ่ยออกมาในทำนองเดียวกัน


 


ทันใดนั้นเอง ตะขอเกี่ยววิญญาณก็ปรากฏตัวขึ้นจากในความว่างเปล่า


 


ขณะที่เบื้องหลังของสิ่งประดิษฐ์เทวะจากปรภพชิ้นนี้ เต็มไปด้วยหลากหลายสิบอาวุธที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ


 


ตะขอเกี่ยววิญญาณเปล่งเสียงออกมา “ขอจงวางใจ หลังจากโลกผสานรวมกันแล้ว อาวุธจากปรภพอย่างพวกเราก็จะร่วมมือกับพวกเจ้าด้วย”


 


“และพวกเรา จะเป็นผู้รับรองความมั่นคงของโลกใบนี้เอง” เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนากล่าว


 


เบื้องหลังของมัน เต็มไปด้วยเครื่องจักรมากมายที่มีรูปทรงแตกต่างกันออกไป กำลังทยอยกันปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง


 


“ดูเหมือนว่าโลกในอนาคตกำลังจะกลายเป็นอะไรที่สุดยอดมากๆซะแล้วสิ”


 


เหลียวฮังกล่าวออกมาด้วยความกระตือรือร้น


 


ตึ้ง!


 


ณ ขณะนั้นเอง จู่ๆภายในวิลล่าก็ปรากฏเสียงดังขึ้น


 


“ใครอยู่ในนั้นน่ะ?” ซางหยิงฮ่าวตะโกนถามอย่างระแวดระวัง


 


และทันทีที่เสียงของเขาตกลง บานประตูก็ถูกเปิดออกจากด้านใน


 


ผู้คนทั้งหมดต่างหันหน้าไปมอง


 


เห็นแค่เพียงซูเซี่ยเอ๋อในชุดคลุมยาวสีขาว พร้อมกับคทาในมือ ปรากฏตัวขึ้นที่ทางเข้า


 


เธอกวาดสายตามองผ่านฝูงชนด้วยรอยยิ้มที่แขวนอยู่บนใบหน้า


 


แต่กลับไม่เห็นกู่ฉิงซาน


 


“เอ๋? แล้วฉิงซานล่ะ เขาไม่ได้อยู่ที่งั้นหรอ?” ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถามด้วยความสงสัย


 


เธออดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้น และก้มลงมองดูเวลาของเธอ


 


ครั้งนี้ เธอไม่ได้ใช้เวลามากมายนักในการกลับมา


 


เพราะครั้งล่าสุดที่กลับจากเกาะหมอกมายังที่นี่ เธอได้เสียเวลาในการเดินทางอย่างยากลำบากและยาวนานไปมากมาย


 


แต่คราวนี้ เธอสามารถอยู่ที่นี่ได้เป็นชั่วโมง


 


มองไปรอบๆอีกครั้ง ก็ยังไม่พบแม้กระทั่งเงาของกู่ฉิงซาน


 


ซูเซี่ยเอ๋อจึงหยิบสมองควอนตัมส่วนบุคคลขึ้นมา และเริ่มต้นโทรออกหาหมายเลขของกู่ฉิงซาน


 


หลายคนหันมามองหน้ากันและกัน


 


ซางหยิงฮ่าวยกมือขึ้นลูบหน้าอกตนเองและพูดเบาๆออกมาว่า “โชคดีจริงๆที่อีกคนหนึ่งได้ออกไปก่อนแล้ว ไม่อย่างนั้นฉันคิดว่าโลกคงจะถูกทำลายอีกครั้งแน่ๆ”


 


“เห็นด้วย” เย่เฟย์หยูกระซิบ “แถมบางที หากเป็นในกรณีนั้น ต่อให้เป็นกู่ฉิงซานก็คงจะไม่สามารถช่วยโลกใบนี้เอาไว้ได้ … รวมไปถึงตัวของเขาเองด้วยน่ะนะ”


 


“เอ๋? นั่นพวกนายกำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่หรอ” ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถาม


 


เธอวางสมองควอนตัมของตัวเองลง


 


และแน่นอน ว่าสมองควอนตัมของเธอไม่สามารถทำการเชื่อมต่อกับกู่ฉิงซานได้


 


“ว่าแต่พวกนายรู้รึเปล่าว่ากู่ฉิงซานอยู่ที่ไหน?” ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถามอย่างสุภาพ


 


ซางหยิงฮ่าวหันไปมองเย่เฟย์หยู ขณะที่เย่เฟย์หยูหันไปมองเหลียวฮัง


 


เหลียวฮังมองไปยังใบหน้าอันงดงามของซูเซี่ยเอ๋อที่พึ่งปรากฏกายขึ้น ปากเอ่ยพึมพำ “สวยจริงๆ … อ่าฉันไม่ได้จะพูดแบบนั้น เอ่อ ฉันหมายถึงว่า กู่ฉิงซานได้จากไปแล้ว”


 


“อะไรนะ? แล้วเขาไปที่ไหน? มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาใช่รึเปล่า?” ซูเซี่ยเอ๋อเร่งถาม


 


เธอกุมคทาในมือแน่นขึ้้น


 


“เปล่าหรอก ไม่ได้หมายความในแง่ร้ายแบบนั้น เขายังสบายดี ฉันหมายถึงเขาได้ออกเดินทางไปแล้วด้วยดีน่ะ” เหลียวฮังรีบแก้ต่างอย่างรวดเร็ว


 


“งั้นก็แล้วไป ว่าแต่แล้วเขาไปที่ไหนหรอคะท่านลุง? หนูต้องการจะพบเขาทันที”


 


“ … เธอไม่สามารถไปพบเขาได้ในตอนนี้” สายตาของเหลียวฮังยังคงกวาดขึ้นๆลงๆไปตามร่างของซูเซี่ยเอ๋อและกล่าวต่อไป


 


“ทำไมล่ะ?”


 


“เรื่องมันยาวน่ะ คือเรื่องมันยาวมากจริงๆ”


 


“แต่หนูอยากจะรู้ ถ้ากรุณาช่วยบอกเรื่องราวทั้งหมดให้หนูฟังก็จะขอบคุณมาก!”


 


ซูเซี่ยเอ๋อพยายามกล่าวอย่างใจเย็น


 


…..


 


แล้วเหลียวฮังก็เล่าถึงสถานการณ์ล่าสุดของกู่ฉิงซาน


 


ในเวลานั้นเอง เย่เฟย์หยูก็เดินกลับไปที่ห้อง ก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับยื่นใบหยกให้แก่ซูเซี่ยเอ๋อ


 


ซูเซี่ยเอ๋อรับใบหยก นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยท่าทีตกใจออกมา


 


“สามารถข้ามผ่านระหว่างสองโลก? ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมฉันถึงได้เห็นนิมิตแบบนั้น … ”


 


เธอถอนหายใจออกมา ปากเอ่ยกล่าวอย่างเหม่อลอย


 


“ในเมื่อเขาไม่อยู่ที่นี่ ถ้าอย่างงั้นฉันก็ขอตัวกลับไปที่บ้านก่อนนะ”


 


“บ๊ายบายนะทุกคน”


 


“บาย‘


 


ฝูงชนกล่าวอำลาเธอ


 


ซูเซี่ยเอ๋อกำลังจะจากไป แต่แล้วจู่ๆเธอก็นึกได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงหยุดฝีเท้าลงอย่างกระทันหัน


 


“หืม? มีอะไรอีกงั้นหรอสาวสวย?” เหลียวฮังกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


“คือหนูต้องขอโทษจริงๆนะคะ ถึงจะเข้าใจดีว่าคำถามนี้มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากมาย แต่หนูก็อดไม่ได้ที่จะถามจริงๆ”


 


“จะถามอะไรล่ะ?”


 


“แอนนาละ่? เธอไปอยู่ที่ไหน?”


 


ขณะกล่าว แววตาของซูเซี่ยเอ๋อฉายแววลำบากใจออกมา


 


“เอ่อ เรื่องนั้น .. ”


 


เหลียวฮังเผยอปากขึ้นเล็กน้อย แต่แล้วก็ต้องหยุดไป


 


—-อ่าว แล้วแบบนี้จะให้ฉันตอบว่ายังไงดีล่ะ?


 


เขาเริ่มหันไปมองหาความช่วยเหลือรอบตัว


 


แต่กลับเห็นแค่เพียงแผ่นหลังของประธานาธิบดีที่เดินหายเข้าไปในวิลล่า


 


ซางหยิงฮ่าวดูจะเร็วกว่าประธานาธิบดี เพราะเวลานี้เขาหายตัวไปไม่เหลือกระทั่งเงาแล้ว


 


ขณะที่เย่เฟย์หยูทะยานตัวขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยตรง หันซ้ายแลขวามองหาทิศทางแบบสุ่มๆ แล้วสยายปีกบินหนีไปด้วยกำลังทั้งหมดที่มี


 


ส่วนสมเด็จพระจักรพรรดินีเวโรน่าขบคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงส่ายหัว ปากเอ่ยพึมพำเสียงกระซิบ “นี่มันเป็นเรื่องระหว่างพวกรุ่นเยาว์ ไม่เกี่ยวกับข้า … ”


 


แล้วเธอก็เดินหายเข้าไปในวิลล่าเช่นกัน


 


เหลียวฮังที่เห็นปฏิกริยาตอบสนองของทุกคนเป็นแบบนี้ ลิ้นของเขาก็เริ่มรู้สึกเฝื่อนๆ


 


“ขอโทษทีนะ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแอนน-”


 


ในเวลานั้นเอง เห็นแค่เพียงวิหคขาวที่ไม่รู้มาโผล่ออกมาจากไหน ร่อนลงมากลางวงสนทนา


 


มันเกาะลงบนไหล่ของเหลียวฮัง แล้วหันไปกล่าวเสียงแหลมกับซูเซี่ยเอ๋อ “แอนนา? เจ้ากำลังพูดถึงผู้หญิงที่โผเข้าซบอกกู่ฉิงซาน หรือว่าผู้หญิงที่โถมกายเข้าโอบแขนของเขาล่ะ?”


 


บังเกิดความเงียบขึ้นโดยรอบ


 


ทันใดนั้นอากาศทั่วบริเวณก็เต็มไปด้วยความสยองเกล้าอย่างที่ไม่เคยปรากฏออกมาก่อน


 


เจตนาฆ่าอันแรงกล้าพวยพุ่งออกมา จนเหลียวฮังสำลัก แทบจะหายใจไม่ออก


 


“เห? ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างที่ฉันยังไม่ได้รู้อยู่อีกสินะ”


 


ใบหน้าที่แขวนไว้ด้วยรอยยิ้มของซูเซี่ยเอ๋อกำลังเอ่ยออกมาอย่างช้าๆ


 


ฉับพลันนั้น ในหูของเขาพลันได้ยินเสียงหวีดหวิวราวกับพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่กำลังทะลวงสู่ชั้นอากาศ


 


เห็นแค่เพียงคทาในมือของซูเซี่ยเอ๋อสาดแสงสีขาวบริสุทธิ์ออกมา ทะยานเป็นเสาแสงขึ้นสู่ชั้นเมฆ


 


พลังอำนาจนี้ช่างยิ่งใหญ่นัก มันปัดเป่าเมฆทั่วฟ้า และแหวกชั้นบรรยากาศจนก่อให้เกิดหลุมดำขึ้นมา


 


เมื่อต้องเผชิญกับพลังอันยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์และโลก คนธรรมดาทั่วไปย่อมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว


 


“อุ๊ย เผลอหนักมือเกินไปหน่อย … มันเป็นความผิดของหนูเอง ดูเหมือนว่าหนูจะยังควบคุมพลังของคทาได้ไม่ชำนาญเท่าไหร่”


 


ซูเซี่ยเอ๋อเลื่อนสายตาลงและกล่าว


 


เธอสะบัดคทาออกไป และพลังอำนาจทั้งหมดก็สลายหายไปทันที


 


“เอาล่ะ ที่นี้โปรดบอกหนูมาตามตรง ว่าเรื่องของผู้หญิงสองคนที่ว่านั่น มันยังไงกันแน่?”


 


ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจถกเถียงหรือปฏิเสธได้


 


เหลียวฮังขยับริมฝีปากของเขาอย่างยากลำบาก


 


แต่เขาก็ยังไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้ แม้จะผ่านไปครู่หนึ่ง


 


เห็นได้ชัดว่าเด็กเบื้องหน้าเขาเป็นเพียงลูกเจี๊ยบที่มีหน้าตางดงาม แต่ทำไม … ทำไมเธอถึงได้ …


 


วิหคขาวที่เกาะอยู่บนไหล่ของเขากำลังจ้องมองไปยังฉากนี้ และตัดสินใจเลือกหนทางที่ตัวเองมีโอกาสรอดชีวิตมากที่สุดออกมา


 


ทันใดนั้นมันก็หันไปหาเหลียวฮังและตะโกนกล่าว “เอ้า! คุณหนูถามว่าเกิดอะไรขึ้นไงเล่าตาแก่ ไหงต้องเอาแต่สั่นเป็นเจ้าเข้าด้วย เป็นลมชักหรอ?”


 


…….


 


กู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้นในความว่างเปล่า


 


เขาหันไปมองข้างกายตัวเอง


 


เห็นแค่เพียงสีหน้าของฉินรั่วและว่านเอ๋อที่ดูอ่อนล้า ขณะที่ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล


 


ในระยะไกลออกไป เบื้องหน้าพวกเขา สามารถเห็นได้ถึงประตูที่กำลังเรืองแสงรางๆ


 


และยังสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานวิญญาณอันอุดมสมบูรณ์ได้จากระยะไกลอีกด้วย


 


“นั่นคงจะเป็นพลังวิญญาณจากค่ายกล พวกเราคงต้องใช้โอกาสนี้ดูดซับมันเพื่อฟื้นฟูพลังให้เร็วยิ่งขึ้น” ฉินรั่วหันไปกล่าวกับว่านเอ๋อ


 


ว่านเอ๋อรีบพยักหน้ารับ


 


“ดูเหมือนว่าจะใกล้แล้วสินะ – ว่าแต่พอจะสามารถระบุเวลาแบบเฉพาะเจาะจงได้หรือไม่ว่าเวลาดใดที่จะไปถึง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“น่าจะภายในช่วงหนึ่งส่วนสี่ชั่วยาม พวกเราก็จะไปถึงโลกนั่น” ฉินรั่วกล่าว


 


กู่ฉิงซานพยักหน้า


 


นายน้อยชุดคลุมม่วงฉีหยาน ในตอนนี้คิดว่าคงจะตายไปแล้วในโลกของมารสวรรค์


 


แต่ท้ายที่สุดนี้ บิดาของฉีหยานน่ะเป็นถึงผู้ฝึกยุทธในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า


 


เขาเป็นผู้ฝึกยุทธที่ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้ แถมนอกจากนี้ยังกำลังข้ามผ่านโทษทัณฑ์อยู่อีก


 


ยามเมื่อเขาข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้สำเร็จ ยกระดับขึ้นสู่ขอบเขตลมปราณจิต เขาก็จะกลายเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายกวงหยาง


 


แม้กระทั่งอาวุโสที่คอยขัดแข้งขัดขาเขาอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ ก็จะไม่สามารถต่อกรกับเขาได้อีกต่อไป


 


เพราะถึงแม้อาวุโสผู้นี้จะเป็นผู้ฝึกยุทธในขอบเขตลมปราณจิตเช่นกัน แต่เขาได้รับบาดเจ็บจากฝีมือของอสูรกายอันน่าสะพรึง จนไม่อาจฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์อีกเลย


 


ระยะทางระหว่างประตูแสงค่อยๆใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ


 


อีกไม่นาน กู่ฉิงซานก็จะต้องเผชิญหน้ากับบิดาของนายนายชุดคลุมม่วง


 


ในเวลานั้นเอง บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เส้นแสงหิ่งห้อยก็ได้ปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง


 


“ภารกิจแห่งโชคชะตา : ต่อสู้กับการล่มสลายของโลก”


 


“คำอธิบายภารกิจ : เมื่อโลกกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการล่มสลายเกินกว่าจะแก้ไขได้ แต่แล้วคุณกลับสามารถค้นพบวิธีเดินทางไปสู่ปรภพอย่างกระทันหัน เพื่อทำการค้นหาสาเหตุของภัยพิบัติ – ซึ่งนับว่าเป็นเหตุการณ์อันหาได้ยากยิ่ง และหากสำเร็จ มันจะช่วยให้ชะตากรรมของโลกทั้งใบหักเหไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้”


 


“วัตถุประสงค์ภารกิจ : โปรดทำทุกอย่างที่คุณสามารถทำได้เพื่อช่วยเหลือปรภพและโลกมนุษย์”


 


หลังจากที่กู่ฉิงซานอ่านบรรทัดเส้นแสงเหล่านั้น พวกมันก็สลายกลายเป็นขี้เถ้าไป


 


“คุณได้บรรลุภารกิจแล้ว”


 


“คุณได้รับรางวัลสำหรับเนื้อเรื่องพิเศษ : พลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพสงคราม (จากขอบเขตประทับเทพ)”



 


จากนั้น จู่ๆหน้าต่างระบบเทพสงครามก็เปลี่ยนเป็นมืดมิด


 


“เอ๊ะ? นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”


 


กู่ฉิงซานอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ


 


เห็นแค่เพียงเส้นแสงหิ่งห้อยที่ร้อยเรียงด้วยตัวอักษรขนาดเล็กผุดออกมาในความมืดมิดอย่างไม่รู้จบ


 


“โลกที่กำลังจะไปถึงนี้ เคยเป็นโลกที่มีอารยธรรมแห่งการฝึกยุทธอันทรงประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม มันกำลังจะล่มสลายลงแล้วในไม่ช้า”


 


“การปลุกพลังศักดิ์สิทธิ์ทันที ย่อมจะต้องถูกตรวจจับได้โดยกฏเกณฑ์ของโลกปัจจุบันอย่างแน่นอน”


 


“ก่อนหน้านี้ที่คุณปลุกสกิลเทวะร่างเงาแทนที่ขึ้นมา มันก็เป็นการดึงพลังมาจากรากฐานของโลกเทวะเช่นกัน ”


 


“ร้องขอให้ผู้เล่นดำเนินการสำรวจเกี่ยวกับโลกที่กำลังล่มสลายใบนี้ เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับองค์ประกอบของมันเสียก่อน”


 


“และเมื่อคุณตระหนักรู้เพียงพอแล้วเกี่ยวกับโลกซวนคง(ล่องเวหา)ใบนี้ รางวัลภารกิจก็จะกลับคืนมาอีกครั้ง”


 


หลังจากที่กู่ฉิงซานได้อ่านมัน คำอธิบายเหล่านี้ ทั้งหมดก็ได้สลายหายไป


 


ขณะที่บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ยังคงหลงเหลือเพียงความมืดมิดเท่านั้น


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.432 – โลกล่องเวหา


 


กู่ฉิงซานจ้องมองเข้าไปในความมืด และตกลงสู่ห้วงความทรงจำ


 


การต่อสู้ในโลกเทวะเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าตื่นเต้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือเขาจะเดินหมากตัวต่อไปอย่างไรต่างหากล่ะ


 


เพราะในช่วงเวลานั้น เขาได้ทำการค้นวิญญาณของผู้ฝึกยุทธจากโลกอื่น


 


และความลับบางอย่างที่เขาค้นพบ มันก็ได้ปรากฏขึ้นในจิตใจของกู่ฉิงซาน


 


พ่อของฉีหยาน คือผู้นำนิกายกวงหยาง มีนามว่าฉีรั่วหยา และกำลังก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์


 


ขณะที่แม้กระทั่งตัวฉีรั่วหยาเองก็ยังไม่ทราบถึงการกระทำของบุตรชายตนเมื่อเร็วๆนี้


 


แต่สำหรับฉีรั่วหยาแล้ว ไม่ว่าฉีหยานต้องการสิ่งใด ตนก็จะช่วยให้ได้สิ่งนั้นมา นั่นแหละจึงเป็นที่มาของเรื่องราวทั้งหมด


 


—เพราะมันได้ช่วยให้ฉีหยานได้ค้นพบโลกใหม่ทั้งสองใบเข้าโดยบังเอิญ และเจ้าตัวจึงเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา


 


ว่าหากฉีรั่วหยาสามารถก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้อย่างราบรื่นและได้ยกระดับขึ้นเป็นลมปราณจิต ฉีหยานก็จะมอบโลกทั้งสองใบเป็นของขวัญแสดงความยินดีให้แก่เขา


 


ทว่าหากเขาล้มเหลว ฉีหยานก็จะยึดทั้งสองโลกไว้ในครอบครองด้วยตนเอง และออกจากนิกายกวงหยาง ละทิ้งโลกเดิมของเขาทันที


 


เพราะท้ายที่สุดนี้ อาวุโสสูงสุดและคนจากในสำนักจะไม่ยอมปล่อยเขาไปแน่ๆ


 


แผนของฉีหยานจึงกล่าวได้ว่ารอบคอบเป็นอย่างมาก


 


แต่น่าเสียดาย ที่ทุกคนที่เขาพาไปยังโลกเทวะนั้นถูกล้างบางจนสิ้นแล้วโดยจักรพรรรดินีมารสวรรค์


 


แม้กระทั่งตัวฉีหยานเอง ก็ยังถูกส่งไปยังโลกมารสวรรค์ และตอนนี้ก็คงจะตายไปแล้ว


 


เมื่อมาถึงจุดนี้ เดิมทีแล้วทุกอย่างสมควรที่จะจบลงด้วยดี


 


อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานจดจำได้รางๆว่าฉีหยานยังมีผู้ติดตามคนสนิทอยู่อีกคนหนึ่งชื่อว่าหวูซาน


 


และหวูซานยังคงพำนักอยู่ในนิกายกวงหยาง มิได้ไปยังโลกเทวะ!


 


ซึ่งเขาดันเป็นคนสุดท้ายที่ยังคงรู้เรื่องราวทั้งหมด!!


 


กู่ฉิงซานเอ่ยถามระบบทันที “ระบบ ฉันจำได้ว่าในช่วงก่อนหน้านี้ยังมีภารกิจอื่นอยู่อีกนี่ ขอฉันย้อนดูอีกรอบได้ไหม?”


 


บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หลากหลากบรรทัดแสงตัวอักษรขนาดเล็กปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


“ภารกิจพิเศษ : หวูซานจะต้องตาย”


 


“คำอธิบายภารกิจ :  โปรดทราบว่าในโลกใบใหม่ที่คุณไม่คุ้นเคยโดยสิ้นเชิงนี้ ยังมีอีกหนึ่งผู้ฝึกยุทธที่ยังคงรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธและโลกเทวะ”


 


“จงสังหารคนผู้นี้เสีย แล้วจะไม่มีใครทราบถึงการดำรงอยู่ของโลกทั้งสองใบอีกต่อไป”


 


“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชะตากรรมสุดท้ายของทั้งสองโลก ขอให้ผู้เล่นให้ความสำคัญกับมันอย่างจริงจังด้วย”


 


“วัตถุประสงค์ภารกิจ : จงสังหารคนวงในเสีย ก่อนที่ความลับนี้จะล่วงรู้ถึงหูผู้อื่น”


 


“รางวัลภารกิจ : ผู้เล่นสามารถเลือกภารกิจอื่นๆที่ได้รับมอบหมาย ให้เสร็จสมบูรณ์ได้เลยในทันที”


 


กู่ฉิงซานขบคิด


 


ด้วยเหตุนี้ เขาจะต้องสังหารหวูซาน เพื่อให้อาจารย์และคนอื่นๆได้หลุดพ้นจากภยันตรายอย่างแท้จริง


 


ลมในมิติอันเชี่ยวกราดยังคงพัดกระพือ อย่างไรก็ตาม มันเริ่มอ่อนกำลังลงแล้ว บ่งบอกชัดเจนว่าเขาใกล้จะถึงที่หมาย


 


กู่ฉิงซานมองไปข้างหน้า


 


และเห็นว่าพวกเขาอยู่ไม่ไกลจากประตูแสงแล้ว


 


กู่ฉิงซานจึงตบลงไปในถุงสัมภาระ และหยิบเอากระเป๋าเดินทางออกมา


 


เขาเปิดกระเป๋า และก็พบกับขวดยาพันธุกรรมสองขวดที่นอนอยู่ภายในอย่างสงบ


 


เขาหยิบหนึ่งในนั้นมา และฉีดเข้าใส่ตนเอง


 


“นั่นเจ้ากำลังทำอะไรน่ะ?” ว่านเอ๋อเอ่ยด้วยความสงสัย


 


แต่ทันทีที่เธอเอ่ยถามจบ เจ้าตัวก็ต้องยกมือขึ้นกุมปากด้วยความประหลาดใจ


 


เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่ค่อยๆเปลี่ยนรูปร่างหน้าตากลายเป็นฉีหยาน


 


“พี่สาวฉินรั่ว ดูนั่นสิ!”


 


ว่านเอ๋อดึงชายเสื้อฉินรั่วและกล่าว


 


ฉินรั่วเงยหน้าขึ้นและมองกู่ฉิงซาน


 


เหมือนกันเลยทุกประการ!


 


“เจ้าทำแบบนี้ได้อย่างไร?” ฉินรั่วอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ


 


“เป็นพลังของวิทยาศาสตร์น่ะ”


 


“วิทยาศาสตร์ … มันคือสิ่งใด?”


 


“ถ้าบอกว่ามันคล้ายๆกับสมบัติมนตราบางอย่างจะเข้าใจง่ายกว่าหรือไม่”


 


พอได้ฟัง ว่านเอ๋อก็กระจ่างทันใด


 


“ข้าเข้าใจแล้ว ที่แท้เจ้าก็มีสมบัติมนตราไว้ในครอบครองอยู่แล้วนี่เอง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดเจ้าจึงมั่นอกมั่นใจนัก”


 


“แต่ขอบเขตของเจ้าก็ยังต่ำเกินไปอยู่ดี แค่เพีย–อะไรกัน? ก้าวสู่เทพขั้นปลาย?”


 


ฉินรั่วตกใจ


 


เห็นได้ชัดว่าในการต่อสู้ครั้งก่อน พื้นฐานวรยุทธของเขาคือขอบเขตก่อกำเนิดแท้ๆ


 


ทว่าตอนนี้ จู่ๆมันกลับก้าวกระโดดขึ้นมาเป็นก้าวสู่เทพ?


 


เขาใช่ปิดบังความแข็งแกร่งของตนเอาไว้หรือไม่?


 


“ถึงจะเป็นก้าวสู่เทพขั้นปลาย แต่ก็ยังห่างไกลจากขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าอีกมากโขอยู่ดี”


 


กู่ฉิงซานกล่าวด้วยอารมณ์


 


ว่าจบ เขาก็หยิบหมวกไม้ไผ่ออกมา


 


นี่คือของที่เขายึดมาได้จากผู้ฝึกยุทธต่างโลกในช่วงเวลาที่พึ่งได้เข้ามาสู่โลกเทวะในช่วงแรก


 


ในนิกายกวงหยาง ผู้ฝึกยุทธเกือบทุกคนจะมีหมวกไม้ไผ่ เพื่อใช้ปกปิดกลิ่นอายของตนเอง


 


ในเวลานั้น กู่ฉิงซานกับคนในกลุ่มของเขาได้สรุปว่า ที่ผู้ฝึกยุทธจากโลกอื่นสวมใส่เจ้าสิ่งนี้ คงเป็นเพราะพวกเขาต้องระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา


 


เมื่อสองสาวใช้เห็นหมวกไม้ไผ่ ในแววตาก็เกิดประกายขึ้นทันใด


 


“ว้าว นั่นมันหมวกไม้ไผ่หนิ เพียงเท่านี้คนอื่นๆก็ไม่สามารถล่วงรู้ถึงขอบเขตวรยุทธของเจ้าได้แล้ว” ว่านเอ๋อกล่าวออกมาพลางปรบมือด้วยความดีใจ


 


“ไม่หรอก ฉีหยานน่ะให้ความสำคัญกับการปรากฏตัวเป็นอย่างมาก ฉะนั้นจึงมีน้อยครั้งนัก ที่เขาจะสวมใส่หมวกไม้ไผ่” ฉินรั่วกล่าว


 


“ข้าเองก็ได้พิจารณาถึงเรื่องนั้นแล้วเช่นกัน แล้วหากพวกเราทำแบบนี้ล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยปากถาม


 


เขาชักดาบออกมา


 


พร้อมกับรังสีดาบที่วาดผ่านไป


 


ขณะนี้ บนใบหน้าของกู่ฉิงซานปรากฏร่องรอยคราบเลือดที่บาดลึก


 


ฉินรั่วจ้องมาที่เขา


 


เห็นแค่เพียงใบหน้าที่ยังคงเงียบสงบ คิ้วไม่มียับย่น


 


ฉินรั่วถอนหายใจ “ช่างน่ายกย่องเสียจริง รังสีดาบเมื่อครู่ทรงพลังไม่น้อยเลยแท้ๆ แต่เจ้ากลับลงมือโดยตาไม่กระพริบ นอกจากนี้ คมดาบของมันยังก่อให้เกิดบาดแผลฝังลึกที่จะไม่อาจลบเลือนออกไปได้ในทันที จำต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งจังจะฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งหากเป็นในกรณีนั้น สำหรับฉีหยานที่เป็นคนให้ความสนใจกับการปรากฏกายเป็นอย่างมากแล้ว แน่นอนว่าจะต้องหาวิธีมาปกปิดร่องรอยบาดแผลบนใบหน้าพวกนี้อย่างแน่นอน”


 


“ดังนั้น วิธีการที่ง่ายและสะดวกที่สุดในการปกปิด ก็คือใช้หมวกไม้ไผ่ของนิกายนั่นเอง” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ฉินรั่วขบคิดสักพัก ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา และซับเลือดบนใบหน้าของกู่ฉิงซานอย่างระมัดระวัง


 


“เจ้าไม่จำเป็นต้อง-” กู่ฉิงซานกำลังจะเอ่ยปาก


 


“อย่าขยับนะ” ฉินรั่วเอ่ยดุออกมา “อย่าลืมสิ ว่าข้ากับว่านเอ๋อเป็นสาวใช้ของฉีหยาน ดังนั้นนับจากนี้ไป เจ้าจะต้องคุ้นเคยกับการดูแลอย่างใกล้ชิดกับพวกเรา”


 


“พี่สาวพูดถูกแล้ว เจ้าไม่ควรปฏิเสธหรือทำดีกับเราจนเกินควรนะ” ว่านเอ๋อกล่าว


 


เธอหยิบเอาเม็ดฟื้นฟูวิญญาณออกมาด้วยสองนิ้วหยก จากนั้นก็แนบลงบนริมฝีปากของกู่ฉิงซาน


 


“คงต้องรบกวนพวกเจ้าแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวขออภัย


 


แล้วเขาก็กินเม็ดยารักษาของตน


 


ตอนนี้ เขาจะต้องแสดงละครเป็นฉีหยานให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ


 


หลังจากที่เขาเข้าสู่โลกอีกใบ ทุกการกระทำและการเคลื่อนไหวของตนจะเกี่ยวพันธ์โดยตรงกับชีวิตและความตายของทั้งสาม และนั่นหมายความว่าเขาไม่อาจเลินเล่อได้


 


คิดแสดงเป็นม้า แต่หากเผลอพลั้งเผยกีบเท้าของลาออกมา สิ่งที่กำลังรอทั้งสามอยู่คงมิพ้นการสาปส่งชั่วนิรันดร์


 


“เช่นนั้นพวกเจ้าลองสังเกตดูหน่อยจะได้หรือไม่ ว่าความรู้สึกที่แตกต่างกันระหว่างเขาและข้าคืออะไร” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


เขายืนอยู่ที่นั่น และทั้งคนทั้งร่างและการเคลื่อนไหว ล้วนเหมือนกับฉีหยานทุกประการ


 


แม้กระทั่งศักดิ์ศรีและความอหังการ์ที่เล็ดลอดออกมาก็ยังคล้ายคลึงกับฉีหยาน


 


ด้วยศักดิ์และความอหังการ์นี้ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อการที่บุคคลๆนั้นใช้ชีวิตอยู่ในตำแหน่งสูงศักดิ์มาเนิ่นนาน และมันบ่งบอกถึงความมั่นใจในความแข็งแกร่งของตน และสามารถถ่ายทอดมันออกมาได้ผ่านทั้งการกระทำและคำพูด


 


ฉินรั่วกับว่านเอ๋อตั้งใจมองอย่างเป็นเรื่องเป็นราว และต่างก็ลอบยกย่องเขาอย่างลับๆ


 


ไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะสามารถเลียนแบบได้แนบเนียนถึงขนาดนี้


 


“ทุกอย่างแนบเนียนหมด แต่ดูเหมือนว่าห้วงอารมณ์จะยังคงแตกต่างกัน” ฉินรั่วไตร่ตรองก่อนจะกล่าว


 


“ใช่ๆ ข้าก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน” ว่านเอ๋อกล่าวสนับสนุน


 


“เช่นนั้น แล้วความต่างที่ว่าคืออะไร? ”กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“ฉีหยานผู้นี้ เป็นบุคคลที่มีห้วงอารมณ์แปรปรวน โหดร้ายเย็นชา สามารถสังหารคนได้โดยไม่กระพริบตาและไร้ซึ่งความปราณี –ดูเหมือนว่าเจ้าจะขาดกลิ่นอายชั่วร้ายที่ว่านั่นไป” ฉินรั่วเฉลย


 


กู่ฉิงซานหลับตาลง


 


เขาขยับกายแยกตัวออกไปไม่กี่ก้าว สักพักจึงเดินกลับมาพร้อมด้วยกลิ่นอายของตนที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว


 


เจตนาฆ่าอันเบาบางเล็ดลอดออกมาจากตัวเขา ส่งผลให้ผู้คนที่พบเห็นรู้สึกอึดอัดอย่างไม่อาจเอ่ยอธิบายได้


 


ณ ตอนนี้ กู่ฉิงซานให้ความรู้สึกราวกับงูพิษ ที่พร้อมจะฉกกัดและแพร่พิษใส่ผู้คนได้ตลอดเวลา


 


“ร้ายกาจจริงๆ นี่เจ้าทำแบบนั้นได้อย่างไร?” ฉินรั่วเอ่ยสรรเสริญ


 


“ตราบใดที่ข้าจินตนาการว่าจะสังหารเจ้าด้วยคมดาบ ความรู้สึกและกลิ่นอายนี้ก็จักปรากฏขึ้น” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“ไม่น่าเชื่อเลยว่าเจ้าจะสามารถบรรลุได้ถึงระดับนี้” ว่านเอ๋อถอนหายใจ


 


“ก็ .. พอดีว่าข้าได้ไปศึกษาเกี่ยวกับทางด้านการแสดงมานิดหน่อยน่ะ”


 


กู่ฉิงซานกล่าว ขณะเดียวกันก็ชักดาบออกมา


 


ดาบขุนเขาเทวะหกโลกา


 


ตามด้วยหญิงในชุดคลุมฟ้าโผล่ออกมาจากดาบ


 


“เป็นจิตแห่งดาบที่สวยจัง” ว่านเอ๋ออุทานออกมา


 


ขณะที่ฉินรั่วยังคงให้ความสนใจกับความงามของฉานนู่ ปากเอ่ยพึมพำเบาๆออกมา “จิตแห่งดาบร่างมนุษย์ช่างเป็นอะไรที่หาได้ยากยิ่ง กระทั่งข้าเองก็ยังไม่ทราบเลยว่าจิตแห่งดาบเช่นนี้ถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร”


 


ต้องไม่ลืมนะว่า เธอน่ะเป็นถึงผู้ฝึกยุทธระดับสูงในขอบเขตพันวิบัติ และนอกจากนี้ เดิมตนเองยังเคยเป็นภุงบุตรสาวที่น่าภาคภูมิดั่งสวรรค์อวยพร ดังนั้นสายตาของเธอจึงนับว่าเป็นชั้นหนึ่งเช่นกัน


 


นอกจากนี้ เธอยังเห็นด้วยตาตนเองว่าฉานนู่ลอยออกมาจากดาบ ซึ่งนี่มันแตกต่างจากตอนของกู่ฉิงซานที่ในครั้งแรกเขาเห็นแค่ว่าฉานนู่บินออกมาจากเบื้องล่างของสายธารแห่งการหลงเลือนแต่มิได้เห็นดาบ  สถานการณ์มันแตกต่างกัน


 


ดังนั้นการตัดสินถึงสถานะของฉานนู่จึงต่างกันออกไป


 


“นายน้อยกำลังมองหาข้าอยู่ใช่หรือไม่?” ฉานนู่เอ่ยถาม


 


ขณะเดียวกันเธอก็กำลังถือใบหยกในมือ


 


“เจ้าได้อ่านข้อมูลภายในนั้นเสร็จสิ้นแล้วรึยัง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“หลังจากอ่านจบ ข้าก็พอจะเข้าใจถึงสถานการณ์ในปัจจุบันโดยประมาณแล้ว” ฉานนู่กล่าว


 


“เนื่องเพราะสถานการณ์นับจากนี้ไปค่อนข้างที่จะอันตราย ข้าจึงยังไม่อาจมั่นใจได้ว่าหากข้าปลอมตัวแล้ว มันจะเบี่ยงเบนจากการเป็นเป้าสนใจได้หรือไม่”


 


“เบี่ยงเบนความสนใจจากอะไร?”


 


“ก็เบี่ยงเบนความสนใจที่คนอื่นมีต่อข้าไปยังเป้าหมายอื่นอย่างไรเล่า”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยต่อ “บุตรชายของผู้นำจะกลับมายังนิกาย มันย่อมต้องดึงดูดความสนใจจากหลายๆฝ่ายเป็นแน่ –ทว่าข้ายังไม่อาจปรับตัวให้เข้ากับอัตลักษณ์ของฉีหยานได้อย่างเต็มที่ แม้จะมีรูปร่างลักษณะเหมือนกันกับเขา แต่ขณะเดียวกันก็จักต้องไม่เผยกีบเท้าลาออกมาเช่นกัน ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องเบี่ยงเบนความสนใจจากข้าไปยังเจ้า”


 


“มายังข้า?”


 


เมื่อฉานนู่ได้ฟังเธอก็เริ่มสับสน จึงอดไม่ได้ที่จะถามออกไป “เช่นนั้นแล้วข้าสมควรทำอย่างไร?”


 


ว่านเอ๋อเตือน “ฉีหยานเป็นคนที่หมกหมุ่นในตัณหา – หากเจ้าต้องการจะให้นางเป็นสาวใช้ หลายคนจะยอมรับเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว และจะละความสนใจจากเธอไปอย่างง่ายดาย”


 


“เรื่องนั้นข้าเข้าใจ เพราะอย่างงั้นฉานนู่ เจ้าจงสวมหน้ากากเป็นลูกศิษย์ของข้าเสีย” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“คนอย่างฉีหยานจู่ๆก็รับลูกศิษย์แล้วพากลับมาอย่างกระทันหัน เรื่องนี้ผู้คนมากมายจักต้องตกใจเป็นแน่”


 


“พวกเขาจะต้องเพ่งความสนใจมายังเจ้าอย่างแน่นอน และพยายามจะค้นหาว่าต้นกำเนิดของเจ้ามาจากที่ใด และเพราะเหตุใดจึงถูกยอมรับมาเป็นลูกศิษย์ได้”


 


“หากเป็นในกรณีนั้น พวกเขาก็จะเบี่ยงเบนความสนใจไปยังเจ้ามากกว่าข้า”


 


“ถูกอย่างที่นายน้อยกล่าวแล้ว” ฉานนู่ตอบ


 


“ช้าก่อน แต่นางคือจิตแห่งดาบนะ” ฉินรั่วทนไม่ไหวต้องเอ่ยแทรก “หากจิตแห่งดาบปรากฏตัวออกมา ผู้ฝึกยุทธมากมายในขอบเขตพันวิบัติและขีดสุดความว่างเปล่าย่อมสามารถมองทะลุตัวตนที่แท้จริงของนางได้อย่างรวดเร็วเป็นแน่”


 


“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก”


 


รังสีดาบกระพริบไหว


 


เขาตัดเส้นเลือดในข้อมือของตนเองออก แล้วหันไปพูดกับฉานนู่ “มานี่สิ”


 


ฉานนู่เดินไปข้างหน้าและใช้สองมือคว้าจับเลือดในข้อมือของกู่ฉิงซานที่กำลังหยดย้อยลงอย่างช้าๆ


 


หลังจากนั้นหลายลมหายใจ


 


“เพียงพอแล้ว” ฉานนู่กล่าว


 


“แน่ใจใช่ไหม?”


 


“ใช่ เพียงพอแล้ว”


 


กู่ฉิงซานจึงปิดปากแผล และพูดออกมาว่า “ถ้าอย่างงั้น ตอนนี้เจ้าก็จงใช้มันเสีย”


 


“เจ้าค่ะนายน้อย”


 


ฉานนู่หลับตาลง และเริ่มใช้ออกด้วยความลี้ลับของทุกสรรพชีวิตด้วยเลือดของกู่ฉิงซาน


 


ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของดาบขุนเขาเทวะหกโลกา ‘ทรงปัญญา’ ส่งผลให้เธอสามารถใช้ทักษะและประสบการณ์ทั้งหมดของกู่ฉิงซานได้


 


และเนื่องด้วยพลังของเธอนั้นมาจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเจ้าตัวจึงไม่จำเป็นต้องใช้แต้มพลังวิญญาณเลย


 


กู่ฉิงซานแข็งแกร่งแค่ไหน เธอก็จะแข็งแกร่งเท่านั้น


 


“ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต : คุณจะได้เรียนรู้ที่จะแยกแยะความแตกต่างของแต่ละองค์ประกอบขั้นพื้นฐานของการดำรงอยู่ต่างๆ และจะได้รับความสามารถในการปรับตัวเองให้เป็นชนิดเดียวกันกับการดำรงอยู่นั้นได้”


 


“คำอธิบาย : คุณต้องได้รับส่วนประกอบของการดำรงอยู่ชนิดนั้น เพื่อแยกแยะลักษณะ และกฏเกณฑ์ในตัวมันเสียก่อน คุณจึงจะสามารถอำพรางปลอมตัวเป็นการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตนั้นๆได้”


 


และเลือด ก็คือหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของร่างกายมนุษย์!


 


หลังจากนั้นไม่นาน สรีระลักษณะของฉานนู่ก็ค่อยๆกลายมาเป็นกู่ฉิงซาน


 


แต่ในทางกลับกัน ขณะนี้กู่ฉิงซานได้กลายเป็นฉีหยานอยู่


 


นี่เหมือนว่าจะดูยุ่งเหยิงไปสักเล็กน้อย ….


 


เห็นแค่เพียง ‘กู่ฉิงซาน’ โน้มกายถอนสายบัวไปทาง ‘ฉีหยาน’ ปากเอ่ยถาม “นายน้อย ท่านคิดว่าข้าดูเป็นอย่างไรบ้าง”


 


‘ฉีหยาน’ ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าละเอียดอ่อน “ก็ดีนี่ … แต่ช่วยอย่าเคลื่อนกายหรือทำอะไรที่มันดูเหมือนกับผู้หญิงจะได้ไหม”


 


“เจ้าค่ – ขอรับ”


 


ฉานนู่ได้สติทันที เธอกำลังขบคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมตามปกติของกู่ฉิงซาน ก่อนจะยืดอก เชิดหัวขึ้น ยืนหลังตรง


 


‘ฉีหยาน’ เฝ้ามองและขบคิดอยู่สักพักจึงกล่าวว่า “หลังจากนี้ไปเจ้าก็เรียกข้าว่าอาจารย์นะ”


 


‘กู่ฉิงซาน’ สะบัดกำปั้นประสานเข้ากับฝ่ามือ ปากเอ่ยตะโกน “ศิษย์ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบท่านอาจารย์”


 


‘ฉีหยาน’ เอ่ยด้วยความพอใจ “ใช่นั่นแหละ ดีมาก”


 


ฉานนู่เอ่ยออกมาอย่างขาดความมั่นใจ ปากเอ่ยถาม “ทั้งหมดนี้ดีแล้วจริงๆหรือ? แต่ข้าดูไม่เหมือนท่านเลยนะ นายน้อย ท่านต้องการให้ข้าใช้ทักษะการแสดงของท่านด้วยไหม?”


 


“มันไม่เป็นไรหรอก เพราะในโลกใบนั้นไม่มีใครเคยเห็นข้ามาก่อน ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องเลียนแบบพฤติกรรมเดิมของข้าก็ได้ … ขอแค่ไม่ทำท่าทีราวอิสตรี พฤติกรรมอื่นๆก็ไม่สำคัญ”


 


ฉานนู่ผ่อนคลายลงและพยักหน้า “เช่นนั้นข้าว่าข้าย่อมสามารถทำมันได้อย่างแน่นอน”


 


ฉินรั่วกับว่านเอ๋อที่ยืนอยู่ข้างๆจ้องมองฉากนี้อย่างโง่งม


 


……


 


กลางค่ำคืน


 


อุณหภูมิลดต่ำลงชนิดที่ว่าน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง


 


บนผืนดินช่างสงบและเงียบงัน


 


ขณะที่มีเกาะลอยฟ้ามากมายกระจายตัวกันไปดั่งดวงดารา ปกคลุมหนาแน่นทั้งผืนฟ้า


 


ดวงจันทร์ของโลกใบนี้ได้หายไปนานแล้ว ดังนั้นความมืดมิดจึงปกคลุมทุกสิ่ง


 


สักพักหนึ่ง


 


บนเกาะธรรมดาๆที่ลอยอยู่ในอากาศ หินสีเทาหลายร้อยก้อนก็เริ่มที่จะสั่นไหว


 


ท่ามกลางความเงียบ เริ่มบังเกิดร่องรอยของรูปแบบค่ายกลลึกลับ


 


และค่ายกลก็เริ่มก่อตัวขึ้น


 


ฟุบ!


 


ทันใดนั้นเอง รอยแยกมิติก็เปิดออก พร้อมกับบางสิ่งที่ค่อยๆลดระดับลงกับพื้นดิน


 


มันคือดิสก์ค่ายกลขนาดเล็ก


 


เมื่อมันสัมผัสถึงพื้น ตัวดิสก์ก็เกิดการระเบิดออก แตกกระจายเป็นเศษผงทันที


 


ดิสก์ค่ายกลได้เสียหายโดยสมบูรณ์แล้ว


 


หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ


 


สี่ร่างก็ปรากฏกายขึ้นจากความว่างเปล่า ลงตกลงแถวๆค่ายกลนั่น


 


ตามด้วยเสียงของผู้หญิงที่ดังขึ้นพร้อมกัน


 


“เปิดใช้งานค่ายกลตัดขาดโลกภายนอก”


 


ขณะที่เสียงผู้หญิงอีกคนกล่าวออกมาว่า “บริเวณโดยรอบทุกอย่างปกติดี ตอนนี้พวกเราปลอดภัยแล้ว”


 


ด้วยสองประโยคนี้ที่เปล่งออกมา ส่งผลให้บรรยากาศดูเหมือนจะผ่อนคลายลง


 


“ว่านเอ๋อ เจ้าจัดการดูเรื่องเวลาโชคลางซิ” เสียงของกู่ฉิงซานดังขึ้น


 


เขายกมือขึ้นจับขอบหมวกไม้ไผ่ และปรับองศามันให้สายตาสามารถมองสำรวจโลกที่ไม่คุ้นเคยนี้ได้


 


ว่านเอ๋อตบลงในถุงสัมภาระและหยิบยันต์สีดำออกมา


 


แล้วเธอก็กระตุ้นพลังวิญญาณลงไปในยันต์


 


ทันใดนั้นเอง สองตัวอักษรที่ถูกสร้างขึ้นจากเส้นแสงสีขาวเรืองรองก็ปรากฏขึ้น


 


‘ดี’ และ ‘ร้าย’


 


ทั้งสองคำนี้สลับกันไปมาอย่างรวดเร็ว และในที่สุด ‘ดี’ ก็หายไป


 


“นายน้อย ช่วงเวลานี้คือลางร้าย” ว่านเอ๋อกล่าว


 


“หรืออีกความหมายนึงก็คือ พวกเราจะต้องพำนักอยู่ในค่ายกลตัดขาดโลกภายนอก เฝ้ารอให้ลางร้ายผ่านพ้นไปเสียก่อน แล้วจึงจะสามารถกลับไปยังนิกายได้ถูกต้องหรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“เป็นเช่นนั้น มันไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งที่จะเดินทางในเวลานี้ เพราะมีอันตรายรอบด้าน ร่างกายอาจดับสูญ จิตแห่งเต๋าอาจสลายไปได้ทุกที่ทุกเวลา”ฉินรั่วกล่าว


 


ฉานนู่เอ่ยพึมพำเบาๆ “นี่มันเป็นโลกที่อันตรายจริงๆ”


 


แน่นอน ว่าตอนนี้เธอปรากฏกายในรูปลักษณ์ของกู่ฉิงซาน


 


“ใช่แล้ว นี่แหละคือโลกที่กำลังใกล้จะถึงจุดจบล่ะ” ว่านเอ๋อกล่าว


 


“งั้นพวกเรารอกันก่อนก็แล้วกัน” กู่ฉิงซานกล่าว


 


เขาหยิบเอาฟูกออกมาหลายอัน แล้วมอบให้ทุกคนเพื่อที่จะได้นั่งลงอย่างสบายๆ


 


เกาะลอยฟ้าขนาดเล็กแห่งนี้ถูกปกคลุมด้วยค่ายกลอำพรางโดยสมบูรณ์ ดังนั้นนี่นับว่าเป็นช่วงเวลาปลอดภัย


 


“ถึงแม้ว่าข้าจะได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับมันมาบ้าง แต่ก็อยากจะรู้จริงๆนะว่า เจ้าสิ่งที่อยู่ภายนอกในช่วงเวลานี้มันเป็นการดำรงอยู่แบบใดกันแน่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“ข้าจะแสดงให้เจ้าได้เห็นเอง ในอีกไม่กี่ลมหายใจต่อจากนี้” ฉินรั่วกล่าว


 


“เวลานี้ พวกเราจะสามารถมองเห็นถึง ‘ร่างแยกไร้จิตสำนึก’ ได้ – นายน้อยโปรดจับตาดูให้ดีด้วย” ว่านเอ๋อกล่าว


 


เธอหยิบก้อนหินก้อนเล็กๆขึ้นมาจากพื้นดิน ทำการถ่ายเทพลังวิญญาณ แล้วโยนมันออกไป


 


หินเล็กแปรเปลี่ยนเป็นภาพติดตา และทะลุออกจากค่ายกล


 


เนื่องจากมีพลังวิญญาณแนบมาด้วย ดังนั้นแรงส่งของหินเล็กจึงไม่อ่อนโทรมลง มันบินออกจากเกาะลอยที่พวกเขาพำนักอยู่ด้วยความเร็วคงที่


 


ทันใดนั้นเอง ปากสีดำขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิด และงับ! เข้าใส่หินเล็กก้อนนั้นทันที


 


กร๊อบ กร๊อบ


 


ปากใหญ่สีดำกำลังเคี้ยวหิน และครู่หนึ่งมันก็หายไป


 


“กล่าวได้ว่าช่วงเวลาที่มันกำลังตื่น ก็จะเป็นช่วงเวลาลางร้าย และผู้ฝึกยุทธจะไม่สามารถใช้พลังวิญญาณใดๆได้สินะ” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“ถูกต้อง นี่คือร่างแยกไร้จิตสำนึกของมัน และเมื่อมันรู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณใดๆ มันก็จะพุ่งเข้าหา และกลืนกินทันที” ว่านเอ๋อกล่าว


 


“แล้วถ้าหากมีการต่อต้านขัดขืนโดยตัวตนที่ทรงพลังอำนาจ ร่างแยกไร้จิตสำนึกก็จะสลายตัวไป และถูกแทนที่ร่างแยกที่มีจิตสำนึกแทน ทว่าหากมันยังมิอาจกำจัดผู้ขัดขืนได้อีก ร่างหลักของมารโลกาก็จักมาด้วยตนเอง”


 


“แล้วผู้ใดบ้างที่จะสามารถโค่นร่างหลักของมันได้? ตัวตนสุดแกร่งอย่างขอบเขตลมปราณจิตนี่สู้ได้ไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


ฉินรั่วกับว่านเอ๋อหันมามองหน้ากันวูบหนึ่ง ก่อนจะส่ายหัวโดยพร้อมเพรียง


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.433 – ปล่อยให้มันตาย


 


กระทั่งผู้ฝึกยุทธของเขตลมปราณจิตก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้


 


หากเป็นแบบนี้ ก็หมายความว่าพลังอำนาจของมารโลกาก็คงจะไม่ใช่สิ่งที่สามารถต่อกรได้


 


กู่ฉิงซานครุ่นคิด แต่แล้วจู่ๆก็มีบางสิ่งที่ขยับไหว จนกระชากสติเขากลับคืนมา


 


-โซ่ตรวนที่พันธนาการตามร่างกายของฉินรั่วและว่านเอ๋ออยู่ๆก็เริ่มรัดแน่นขึ้นอย่างกระทันหัน


 


เมื่อถูกโซ่ตรวนรัดพัน คิ้วบนใบหน้าอันงดงามก็ขมวดเข้าหากัน ขณะที่สีหน้าของสาวใช้ทั้งสองเริ่มแสดงอาการเจ็บปวดออกมา


 


ผนึกโซ่ตรวนที่คอยพันธนาการพลังยุทธของพวกเธอ จู่ๆก็รุนแรงขึ้น


 


“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามเสียงหม่น


 


“เมื่อใดก็ตามที่ลางร้ายปรากฏ มันจะเป็นช่วงเวลาที่ผู้ฝึกยุทธในโลกใบนี้หวาดกลัวมากที่สุดว่าพวกเราเหล่าทาสรับใช้อาจคิดไม่ซื่อและก่อกบฏได้” ฉินรั่วกล่าว


 


ว่านเอ๋อยังกล่าวเสริมว่า “ตราบใดที่เข้าสู่ช่วงลางร้าย พวกเขาจะไม่ยินดีหรือกล้าใช้พลังวิญญาณออกมาตอบโต้ เพราะเกรงว่านั่นจะเป็นการดึงดูดมารให้เข้ามา”


 


“และหากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น โชคชะตาเดียวที่เหลืออยู่ของพวกเขาคงมิแคล้วคือต้องจบชีวิตลงสินะ” กู่ฉิงซานพยักหน้า แสดงออกว่าเข้าใจ


 


กู่ฉิงซานย้อนระลึกไปถึงข้อมูลที่เคยได้รับมา และมีอยู่เหตุการณ์หนึ่งที่สอดคล้องกัน


 


ทาสที่ถูกเหล่าผู้ฝึกยุทธทรมานจู่ๆก็เกิดสติขาดผึง เขาได้ระเบิดพลังวิญญาณของตนเองออกมาในช่วงเวลาที่เกิดลางร้าย แน่นอนว่านั่นมิใช่เพื่อต่อสู้ขัดขืน แต่เป็นการทำเพือเรียกมารโลกาเข้ามาต่างหาก!


 


และเหตุการณ์ในครั้งนั้นส่งผลให้เหล่าผู้ฝึกยุทธถูกมารโลกากลืนกินไปกว่าหลายสิบคน


 


สิ่งที่กล่าวมานี้ ส่งผลให้เหล่าผู้ฝึกยุทธที่มีทาสเอาไว้ในครอบครองเกิดความหวาดระแวงเป็นอย่างมาก


 


ดังนั้น พวกเขาจึงใส่คำสั่งห้ามเอาไว้ในโซ่ตรวน ว่าเมื่อใดก็ตามที่ช่วงเวลาลางร้ายได้มาถึง โซ่ตรวนจะต้องสำแดงเดช พันธนาการเหล่าทาสให้รุนแรงหนักหนาขึ้น จนพวกเขาไม่อาจดึงพลังออกมาได้


 


และโซ่ตรวนนี้ทรงประสิทธิภาพมากจริงๆ ขนาดนางเซียนไป่ฮั่วที่เคยได้ประเมินมัน ยังเอ่ยปากออกมาด้วยตัวเองว่า หากนางถูกโซ่ตรวนนี้พันธนาการ ตนคงมิอาจต่อต้านได้


 


กู่ฉิงซานที่ขบคิดมาถึงจุดนี้ก็เอ่ยถามออกมาในทันใด


 


“หากช่วงเวลาลางร้ายมาถึง แล้วผู้ฝึกยุทธไม่มีเวลามากพอที่จะก้าวเข้าสู่ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอก หนทางที่เหลือก็จะมีเพียงความตายเท่านั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“หากได้รับการสนับสนุนด้วยเทคนิคยับยั้งลมหายใจ และมิได้ปล่อยให้พลังวิญญาญเล็ดลอดแม้เพียงเล็กน้อยก็แล้วไป มิฉะนั้นแล้วมันจะเป็นการดึงดูดร่างแยกที่ไร้สตินึกคิดเข้ามาหา แล้วจากนั้นก็คงจะไร้ซึ่งหนทางจริงๆ” ฉินรั่วกล่าว


 


ฉานนู่กำลังรับฟังอย่างเงียบๆ ขณะนี้สีหน้าของเธอเริ่มเป็นกังวลแล้ว


 


เธอเอ่ยถามเสียงกระซิบ “นายน้อย โลกนี้ช่างอันตรายยิ่งนัก ท่านได้ตระเตรียมการ ค้นหาวิธีช่วยเหลือโลกใบนี้เอาไว้แล้วใช่หรือไม่?”


 


“ช่วยเหลือโลกใบนี้?” กู่ฉิงซานเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าแปลกๆ “เพราะเหตุใดข้าจึงต้องช่วยมันด้วยเล่า?”


 


ฉานนู่หันไปมองฉินรั่วกับว่านเอ๋อ ปากเอ่ยกล่าวอย่างลังเล “ก็เพราะทุกสิ่งที่เจ้ากระทำมาก่อนหน้านี้ มันล้วนเป็นการช่วยเหลือโลกแทบทั้งสิ้นเลยนี่นา ดังนั้น ข้าก็พาลคิดไปว่าที่เจ้ามาที่นี่ ก็คงเพราะต้องการจะทำแบบเดียวกัน”


 


กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ก็เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม “ก่อนอื่นเลยนะ สำหรับโลกใบนี้แล้วตัวข้าไม่มีความสามารถมากพอที่จะทำแบบนั้นหรอก”


 


“อีกอย่าง ตัวข้าได้รับข้อมูลเกี่ยวกับโลกใบนี้มาแล้ว -ผู้คนของที่นี่น่ะชมชอบในการฆ่าฟัน และบังคับผู้อื่นให้ต้องตกเป็นทาสเท่านั้นแหละ”


 


ว่าแล้วเจ้าตัวก็เชิดหน้าขึ้นเบาๆ เสยคางชี้ไปยังฉินรั่วกับว่านเอ๋อ


 


“คนที่ไร้ค่าจะถูกสังหาร เจ้ามองลองดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกนางซี – มีเพียงหญิงงามอย่างพวกนางเท่านั้นแหละที่จะถูกนำมาเป็นทาสรับใช้ และสามารถยืดชีวิตอยู่ต่อไปได้”


 


“ส่วนตัวข้า ถึงแม้ว่ามักจะล่าสังหารอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็มิได้ชมชอบในการกระทำดังกล่าวนี้”


 


ฉานนู่พยักหน้าด้วยความครุ่นคิด


 


ว่าจบ วิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานก็เลื่อนตกลงบนพื้นดิน ก่อนที่เขาจะยื่นมือออกไปและลูบไล้หินไม่กี่ก้อนที่อยู่บนพื้น


 


“นี่เป็นเกาะส่วนตัวของฉีหยานใช่หรือไม่ และสิ่งที่มีค่ามากที่สุดก็คงจะเป็นค่ายกลตัดขาดพลังวิญญาณจากโลกภายนอกนี้?” เขารำพึงออกมา


 


“เป็นเช่นนั้น อันที่จริงแล้วสิ่งที่เจ้าว่ามาน่ะ มันคือสิ่งล้ำค่ามากที่สุดบนโลกใบนี้เลยต่างหากล่ะ” ฉินรั่วกล่าว


 


พอเอ่ยประโยคนี้ออกมา ฉินรั่วก็มองไปยังกู่ฉิงซานด้วยสีหน้าที่เผยถึงความเอ็นดูเล็กน้อยในความหลักแหลมของเขา


 


ถึงแม้ว่าพื้นฐานวรยุทธของกู่ฉิงซานจะมิได้ร้ายกาจอะไร ทว่าการกระทำของเขาในโลกเทวะมันกลับตรงกันข้ามเลย ทุกกลยุทธ์ของเขาล้วนเป็นสิ่งที่ฉินรั่วไม่เคยได้ยินได้เห็นมาก่อน


 


ขนาดมารสวรรค์ซึ่งเป็นมอนสเตอร์ที่ชมชอบในการดูดกินมนุษย์มากเป็นพิเศษ ก็ยังทุ่มออกด้วยกองกำลังขนาดใหญ่ และเต็มใจที่จะร่วมมือกับเขา


 


ทั้งๆที่ในเวลานั้น เขาเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธในขอบเขตก่อกำเนิดเองแท้ๆ


 


แต่ฝ่ายตรงข้ามคือมารสวรรค์ แถมยังเป็นถึงจักรพรรดินีมารสวรรค์อีกด้วย


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉินรั่วก็มิกล้าที่จะดูถูกชายตรงหน้าอีกต่อไป


 


ว่านเอ๋อกล่าวตอบออกมาด้วยตนเอง “นอกเหนือไปจากได้รับอนุญาตจากฉีหยาน จะไม่มีใครสามารถหยั่งเท้าลงมาบนเกาะนี้ได้โดยเด็ดขาด หากละเมิดกฏนี้ คนๆนั้นก็จะถูกสังหารลงทันทีโดยนิกายกวงหยาง”


 


“ค่ายกลตัดขาดโลกภายนอกที่มีผลช่วยกักพลังวิญญาณเอาไว้ไม่ให้เล็ดลอดออกไป … ข้าเข้าใจแล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมผู้ฝึกยุทธในโลกใบนี้ถึงต้องสวมใส่หมวกไม้ไผ่กัน”


 


กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นและหันไปมองรอบๆ


 


โลกช่างมืดมิด และเงียบงัน


 


ตลอดทุกเกาะที่ลอยล่องอยู่บนท้องฟ้า ไร้ซึ่งร่องรอยใดๆของพลังวิญญาณ


 


นี่คือช่วงเวลาลางร้าย ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่สามารถทำได้


 


กู่ฉิงซานเอ่ยปากออกมา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ขอใช้ช่วงเวลานี้พักผ่อนสักเล็กๆน้อยๆก็แล้วกัน ยามที่ลางร้ายได้จากไป ก็ปลุกข้าด้วยล่ะ”


 


“เจ้าค่ะ” ฉินรั่วกล่าว


 


กู่ฉิงซานนั่งในท่วงท่าสมาธิ หลับตาลง และเริ่มปรับลมหายใจ


 


มองไปยังสีหน้าของเขาที่ค่อยๆผ่อนคลายลง คิ้วที่ยับย่นค่อยๆแยกออกจากกันอย่างช้าๆ


 


เพียงไม่นาน สามสาวก็ได้ยินเสียงลมหายใจของเขากลายเป็นมั่นคงและสม่ำเสมอ


 


เขาผล็อยหลับไปแล้ว


 


ฉินรั่วกับว่านเอ๋อหันมามองหน้ากันและกัน ก่อนที่ทั้งกายใจของพวกเธอที่ตึงเครียดมานานจะค่อยๆผ่อนคลายลง


 


นั่นสินะ ก็ตัวกู่ฉิงซานพึ่งจะผ่านพ้นการต่อสู้ครั้งใหญ่มานี่นา


 


เขาได้ใช้พลังทั้งหมดที่มี ต่อสู้แลกชีวิตกับฉีหยานที่อยู่ในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าโดยการส่งอีกฝ่ายไปยังโลกของมารสวรรค์ … นี่ช่างเป็นการต่อสู้ที่หนักหนาเสียจริงๆ


 


ดังนั้น เวลานี้ก็สมควรแล้วที่เขาจะได้รับการพักผ่อน


 


ทว่าจริงๆแล้ว พวกเธอไม่อาจทราบได้เลย ว่าหลังจากเหตุการณ์นั้น ประสบการณ์ต่อๆมาที่กู่ฉิงซานต้องเผชิญมันคืออะไร


 


หลังจากกลับสู่โลกจริง ช่วงเวลาที่กู่ฉิงซานได้ผ่อนคลายก็คงจะเป็นการดื่มสุราไปหนึ่งแก้วในบาร์เท่านั้น


 


หลังจากที่เขาออกไปจากเมืองหลวงพร้อมกับเย่เฟย์หยู ตนก็ได้ต่อสู้ครั้งใหญ่ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังทะเลทรายรกร้างเพื่อก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ ยกระดับขึ้นสู่ขอบเขตก้าวสู่เทพ , ต่อมาก็มุ่งหน้าไปยังพระราชวังโอเซซิสกลางทะเลทรายของฟูซีเพื่อค้นหาความลับขององค์จักรพรรดิ , ค้นพบเบาะแสของนรกเยือกแข็ง , กลับไปยังเมืองหลวงของรัฐบาลกลางเพื่อขัดขวางแผนการขององค์จักรพรรดิ , ขับไล่โครงกระดูกในชุดคลุมดำ , สนับสนุนจักรพรรดินีเวโรน่าให้ขึ้นครองบัลลังก์ , สังหารพระสันตะปาปา , ต้อนรับเครื่องจักรจากปรภพในช่วงเวลาสุดท้ายที่โลกกำลังจะถูกทำลาย และค้นพบทางเลือกสุดท้าย มุ่งหน้าไปยังโลกปรภพเพียงลำพัง …


 


กล่าวได้ว่าเขาต้องฟันฝ่าอุปสรรคอยู่ตลอดเวลา และแทบไม่ได้พักหายใจเลยในระหว่างทาง


 


ในขณะนี้ ช่วงเวลาที่เขาถูกขังอยู่ในค่ายกลตัดขาดโลกภายนอก และคงจะอีกสักพักจึงจะได้ออกไป


 


มันจึงเป็นโอกาสเดียวของเขาเท่านั้นที่จะได้พักผ่อน


 


ตลอดทั้งสวรรค์และโลกจมลงสู่ความเงียบ


 


เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างช้าๆ


 


ผ่านไปชั่วเวลาหนึ่ง ท่ามกลางความมืดมิดในโลกก็บังเกิดเสียงถอนหายใจยาวเหยียดออกมา


 


เสียงถอนหายใจนี้สั่นสะเทือนไปทั้งผืนฟ้า ข้ามผ่านทุกหนแห่ง ลากยาวออกไปยังจุดสิ้นสุดของโลกที่ไม่อาจเข้าไปสำรวจได้


 


ว่านเอ๋อลดศีรษะลง เพื่อมองยันต์ในมือ


 


ตัวอักษร ‘ร้าย’ ขนาดใหญ่ได้หายไปแล้ว และมันถูกแทนที่ด้วยตัวอักษรคำว่า ‘ดี’


 


“นายน้อย ช่วงเวลาลางร้ายได้ผ่านพ้นไปแล้ว” ว่านเอ๋อกล่าว


 


กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น


 


เขายืดตัวบิดขี้เกียจและเอ่ยปากออกมา “ฉันคงจะหลับไปนานเลยสินะ เฮ้อ ไม่ได้หลับสบายแบบนี้มานานมากแล้ว”


 


“นายน้อย ท่านพักผ่อนไปแค่เพียงครู่เดียวเท่านั้น” ฉานนู่กล่าว


 


กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็ตกใจ “อ้าวหรอ? ข้าก็นึกว่าตัวเองได้หลับไปนานเลยซะอีก?”


 


“เจ้าคงจะเหนื่อยเกินไป” ฉานนู่จ้องมองเขาและกล่าว


 


ทันใดนั้นเหล่าผู้คนก็หุบปากลง


 


เพราะว่าได้มีเกาะยักษ์ใหญ่ลอยข้ามผ่านเกาะเล็กๆที่กู่ฉิงซานและคนอื่นๆพำนักอยู่ไป


 


กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นมองมัน


 


เห็นแค่เพียงส่วนล่างของเกาะที่เป็นหลุมกระจุกตัวอยู่หนาแน่นราวกับรวงผึ้ง


 


ในแต่ละหลุม จะมีแสงสวรรค์สดใสสาดแสงออกมา และมีบ้างเป็นบางครั้งที่จะสามารถมองเห็นถึงเงาของผู้คนอยู่รำไร


 


แสงสวรรค์สาดส่องสะท้อนออกไปรอบเกาะ ราวกับดวงดาราบนฟากฟ้าที่เปล่งประกายสดใส


 


เกาะยักษ์ใหญ่ลอยข้ามผ่านผืนฟ้าไปอย่างเงียบๆ บินไกลออกไป


 


นี่บ่งบอกได้ว่าช่วงเวลาแห่งลางร้ายได้จบลงแล้ว


 


และในท้องฟ้า ก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆขึ้น


 


หมู่เกาะมากมายที่ลอยล่องอยู่บนท้องฟ้า เริ่มที่จะสาดแสงสดใส


 


พวกมันสาดแสงสวรรค์ ตัดแต่งออกไปทั่วฟ้า


 


ทันใดนั้น ตลอดทั้งท้องฟ้ายามค่ำคืนก็สาดแสงราวกับอยู่ในทะเลดวงดาว


 


“ช่างงดงามจริงๆ นี่น่ะหรือคืออารยธรรมของโลกล่องเวหา?” กู่ฉิงซานเอ่ยชมคำหนึ่ง


 


เขาจ้องมองดูฉากนี้อย่างเงียบๆ  แต่สักพักก็ต้องขมวดคิ้วออกมา


 


เพราะแสงสวรรค์สาดไสวออกมาแค่ในช่วงแรกเท่านั้น แต่เพียงไม่นาน ทุกสิ่งก็กลับคืนสู่ความมืดมิดดังเดิม


 


แต่ถ้าคุณลองเพ่งมองอย่างใกล้ชิด คุณจะรู้สึกได้ว่าแสงสวรรค์เหล่านั้นช่างดูน่าสงสารจนแทบมิอาจทนไหว


 


“แสงสวรรค์เป็นสีเหลืองแถมยังบางเบา เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ … ” เขาบ่นพึมพำ


 


“นั่นเป็นเพราะว่าแผ่นดินในโลกใบนี้ได้เหือดหายไปจนสิ้นแล้ว ดังนั้นจึงไม่อาจเก็บเกี่ยวศิลาวิญญาณได้อีกต่อไป” ฉินรั่วตอบเขา


 


“ตอนนี้ศิลาวิญญาณทั้งหมดจึงถูกเก็บรักษาเอาไว้เพื่อใช้งานค่ายกลในช่วงเวลาลางดี ขณะเดียวกันมันก็จะถูกแยกออกจากค่ายกลขนาดยักษ์เมื่ออยู่ในช่วงเวลาลางร้าย”


 


“ดังนั้นแล้ว จึงมีกำหนดตารางเวลาในการใช้งานค่ายกลให้อยู่ในระดับที่เพียงพอ กล่าวโดยทั่วไปแล้ว มันจะถูกใช้งานแค่เพื่อให้เกาะสามารถลอยตัวอยู่ได้พิดิบพอดีเท่านั้น” ว่านเอ๋อกล่าว


 


*(กล่าวได้ว่าศิลาวิญญาณมีจำกัด และจะถูกใช้งานเพื่อให้เกาะลอยฟ้าเพิ่มความสูงเท่านั้น แล้วก็ถูกเก็บไป พอเกาะลดระดับลงก็ใช้อีกเพื่อให้เกาะสูงขึ้นอีกรอบ ทำแบบนี้เพื่อนเป็นการประหยัดศิลาวิญญาณ ไม่เหมือนกับในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธที่ยัดศิลาวิญญาณใส่เรือเหาะตลอดเวลา เปิดใช้งานให้ลอยฟ้าอยู่ตลอดๆ)


 


“เนื่องจากไม่อาจเก็บเกี่ยวศิลาวิญญาณได้ เช่นนั้นแล้วเหล่านิกายเล็กจะไปหาศิลาวิญญาณมาได้จากที่ใดกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


ฉินรั่วกับว่านเอ๋อหันมามองหน้ากับวูบหนึ่ง


 


“มันก็จะมีอยู่บ่อยครั้ง” ฉินรั่วกล่าวเสียงกระซิบ


 


“อย่างเช่นในบางนิกาย ผู้ฝึกยุทธระดับต่ำจะถูกทอดทิ้งไม่ก็สังหาร และมีเพียงปรมาจารย์ค่ายกลและกำลังรบขั้นสูงเท่านั้นที่โชคดีกว่าพวกแรกที่กล่าวมา โดยพวกเขาจะถูกดึงตัวไปยังนิกายอื่นๆ”


 


กู่ฉิงซานพยักหน้า แล้วตนก็นึกได้ถึงปัญหาสำคัญขึ้นมาได้พอดี


 


“โดยทั่วไปแล้วผู้คนในโลกท่องเวหาได้พิชิตโลกมาแล้วหลากหลายใบ แล้วพวกเขาเคยผสานรวมโลกเหล่านั้นเข้ากับโลกล่องเวหารึเปล่า?  เขาเอ่ยถาม


 


“แน่นอน ว่าทุกโลกที่ถูกพิชิตมาได้ผสานรวมเข้าด้วยกันแล้ว ทว่าตอนนี้พวกมันทั้งหมดก็ได้ตกเป็นของมารโลกาไปแล้ว” ฉินรั่วกล่าว


 


ว่านเอ๋อเอ่ยความทุกข์ของผู้อื่นออกมาด้วยความสุข “พวกเขาสามารถพิชิตโลกทั้งหมดที่ตนค้นพบ แต่ในตอนท้ายที่สุดกลับถูกมารโลกายึดครองไปเสียนี่ ยามเมื่อนึกถึงผลลัพธ์อันเลวร้ายนี้ทีไร มันมักจะช่วยให้ข้าหลงเลือนความเจ็บปวดจากการถูกกระทำข่มเหงในฐานะทาสได้ทุกที”


 


“แล้วตอนนี้พวกเขาไม่สามารถค้นหาโลกใบใหม่พบได้เลยหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“นับว่าเป็นช่วงเวลาหมื่นปีแล้ว ที่ได้พบเจอกับโลกใหม่ครั้งล่าสุด และได้ผสานรวมเข้ากับมัน”


 


“แต่ฉีหยานมีวิธีการหลอมกลั่นโลกด้วยตัวเองนะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ฉินรั่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นั่นคือเทคนิคหลอมกลั่นที่ได้รับการศึกษาและคิดค้นขึ้นมาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้  เพื่อใช้ในการหลบออกจากโลกล่องเวหา แต่น่าเสียดายที่ ..”


 


ว่านเอ๋อหัวเราะออกมา “น่าเสียดายที่พวกเขาไม่สามารถค้นหาโลกใบใหม่เจอได้เลย”


 


ขณะที่ทั้งสองสาวใช้กล่าวออกมา สีหน้าท่าทีของพวกเธอเต็มไปด้วยร่องรอยของความสะใจ


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.434 – มารโลกา


 


“ฟังดูเหมือนว่าโลกกำลังตกอยู่ในความสิ้นหวังเลยนะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“นั่นคือสิ่งที่สมควรจะเป็น” ว่านเอ๋อกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


สีหน้าของกู่ฉิงซานแลดูหนักอึ้งขึ้นเล็กน้อย


 


“ความสิ้นหวัง … มักจะทำให้ผู้คนเป็นบ้า”


 


เขาเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาและผุดลุกขึ้นจากฟูก


 


ขณะที่สองสาวพอได้ฟังก็นิ่งงันไป จมหายเข้าสู่ห้วงความคิด แล้วก็ตระหนักได้ว่า สิ่งที่กู่ฉิงซานกล่าวไม่เพียงตรงกับอุปนิสัยของผู้คนบนโลกใบนี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันยังตรงกับตัวของพวกเธอเองอีกด้วย


 


กู่ฉิงซานเอ่ยถามต่อ “ในเมื่อนี่เข้าสู่ช่วงเวลาลางดีแล้ว เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกเราสามารถไปที่นิกายกวงหยางกันได้แล้วใช่ไหม?”


 


“ใช่แล้วนายน้อย ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่พวกเราจะต้องเริ่มออกเดินทางกันเสียที” ฉินรั่วกล่าว


 


“งั้นก็ไปกันเถอะ”


 


สองสาวใช้ผุดลุกขึ้น และเริ่มเก็บข้าวของ


 


ว่านเอ๋อปล่อยเรือเหาะออกมา


 


นี่เป็นเรือเหาะขนาดเล็กที่ดูเพรียวลม มีความคล่องตัวสูง เพียงแค่มองก็สามารถคาดเดาได้เลยว่าความเร็วของมันจะต้องน่าทึ่งมากอย่างแน่นอน


 


อย่างไรก็ตาม พื้นที่ภายในเรือเหาะก็ดูจะแคบเกินไป แคบไปมากทีเดียว …


 


กู่ฉิงซานยืนอยู่ท่ามกลางหญิงงามทั้งสาม แออัดเบียดเสียดกัน ไม่ว่าจะขยับไปซ้ายหรือขวามันก็แลดูไม่งามและเหมาะสมเอาเสียเลย


 


จนในที่สุดเขาก็จำต้องยกมือขึ้นและโอบไหล่สัมผัสเนื้อตัวของคนอื่นๆจึงจะสามารถยืนอย่างสะดวกสบายได้


 


“เรือเหาะนี่ทำไมถึงได้สร้างมันมาให้แคบขนาดนี้กันนะ” เขาบ่น


 


“นายน้อย นี่คือเรือเหาะชั้นสูง และมีเพียงเรือชั้นสูงเท่านั้นที่ครอบครองความเร็วมากพอที่จะสามารถหลบหนีจากร่างแยกไร้จิตสำนึกของมารโลกาได้” ว่านเอ๋ออธิบาย


 


“ปากใหญ่สีดำที่ข้าเห็นเมื่อครู่นี้คือร่างไร้จิตสำนึกสินะ แล้วหากเป็นร่างที่มีจิตสำนึกเล่า?”


 


“ไม่มีใครอยากพบเจอกับร่างที่มีจิตสำนึกหรอก – เพราะมันว่องไวอย่างน่าเหลือเชื่อ และไม่มีเรือเหาะลำใดสามารถหลบหนีได้ เมื่อมันปรากฏตัวขึ้น นั่นย่อมหมายถึงความตาย” ว่านเอ๋อส่ายหัวและกล่าว


 


ในขณะนั้นเอง ท่าทีการแสดงออกของฉินรั่วก็เปลี่ยนเป็นจริงจังมากขึ้น


 


“นายน้อย โปรดจดจำเอาไว้ให้ดี ท่านเป็นชายที่มักมากในกาม ฉะนั้นท่านจะต้องไม่เหนียมอายเมื่ออยู่ต่อหน้าเรา เมื่อปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา ท่านจะต้องล้วงมือมาจาบจ้วงพวกเราทันที” ฉินรั่วกล่าว


 


กู่ฉิงซานกล่าวรับคำด้วยความกลัดกลุ้ม “เข้าใจแล้ว”


 


เพราะกระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังไม่รู้ว่ามือของตนสมควรจะไปอยู่ในตำแหน่งใดดี


 


ฉินรั่วจับมือของเขา ปากเอ่ยเฉียบขาด “ข้าทราบดีว่าเจ้าไม่ใช่ฉีหยาน และยังรู้ดีว่าเจ้าให้เกียรติพวกเราเป็นอย่างมาก แต่นี่คือเรื่องร้ายแรงถึงชีวิต เจ้าจะต้องทำตัวให้เป็นธรรมชาติเข้าไว้”


 


ว่านเอ๋อจับอีกมือหนึ่งของเขา และพยักหน้ากึ่งเตือนกึ่งจริงจัง


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าว “การแสดงออกของข้ามันดูผิดธรรมชาติมากเลยหรือ?”


 


“กล่าวตามตรง เวลานี้เจ้าดูเหมือนกระต่ายตื่นตูมที่พร้อมจะวิ่งหนีได้ตลอดเวลา” ว่านเอ๋อกล่าว


 


“ … เข้าใจแล้ว”


 


“นายน้อย ท่านรีบดูข้างล่างเร็ว” ฉานนู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกใจ


 


กู่ฉิงซานโผล่หัวของเขาออกไป และมองลงไปยังใต้เรือเหาะ


 


เห็นแค่เพียงท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ทว่าเบื้องล่างมัน ไม่มีผืนดินอยู่เลย


 


ผืนดิน ภูเขา แม่น้ำ ที่ราบลุ่ม การดำรงอยู่ของสิ่งพื้นฐานต่างๆ แต่ละอย่างล้วนเป็นสิ่งสำคัญต่อโลกทั้งสิ้น


 


ทว่าในโลกใบนี้ กลับไม่มีสิ่งที่ว่ามาอยู่เลย


 


ตลอดทั้งผืนดินถูกแทนที่ด้วยมัดกล้ามเนื้อสีแดงเข้มที่กำลังเคลื่อนไหวไปมา


 


มันคือเส้นใยกล้ามเนื้อสีแดงที่เรียวบางม้วนรวมกัน


 


กล้ามเนื้อทั้งหมดซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ เคลื่อนไหวขึ้นๆลงราวกับคลื่นที่ซัดสาด และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา


 


กู่ฉิงซานมองไกลออกไปจนสุดสายตา และค้นพบว่ากล้ามเนื้อเหล่านี้แพร่ขยายตัวกินพื้นที่กว้างออกไปไร้ที่สิ้นสุด


 


ซึ่งนี่แหละคือร่างหลักของมารโลกา!


 


ตามข้อมูลที่กู่ฉิงซานได้รับมา ไม่เคยมีใครเลยที่กล้าย่างกรายเข้าไปใกล้มัน เพราะมันคือร่างหลักสุดแสนทรงพลัง!


 


แม้ว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตจะสามารถโค่นร่างไร้จิตสำนึกและร่างมีจิตสำนึกลงได้


 


ทว่าเมื่อร่างหลักของมารโลกาได้ปรากฏกาย ผู้ฝึกยุทธลมปราณจิตก็ทำได้เพียงหลบหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น


 


แต่มันก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะหลบหนีได้


 


แม้จะตระหนักดีว่าอีกฝ่ายมีร่างกายมโหฬาร แต่ครั้งแรกที่กู่ฉิงซานเห็น เขาก็อดไม่ได้ที่จะเผยถึงความประหลาดใจออกมา


 


“ทำไมมันถึงได้ใหญ่โตขนาดนี้ … ” เขาบ่นงึมงำ


 


ตามข้อมูลที่ได้รับมาจากสาวใช้ทั้งสอง ในอดีตที่ผ่านมาหลายพันปี  มารโลกาได้กลืนกินดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวที่อยู่รอบโลกไปจนหมดสิ้นแล้ว


 


และตอนนี้ มันก็กำลังเริ่มที่จะกลืนกินโลก


 


ผืนดินของโลกล่องเวหาคือการผสานหลอมรวมกันของโลกนับไม่ถ้วน ซึ่งผืนดินนี่แหละคือแหล่งพลังงานของรากฐานโลกล่ะ!


 


สรุปง่ายๆว่าเมื่อมารโลกาได้กินผืนดินจนสิ้นแล้ว  โลกก็จะล่มสลายลงโดยสิ้นเชิง


 


และนั่นก็จะเป็นจุดสิ้นสุดของโลกล่องเวหา


 


ราวกับถูกแดกดันอย่างแสบสัน , เหล่าผู้ฝึกยุทธในโลกใบนี้ได้ยึดครองและแย่งชิงสิ่งต่างๆโดยการพิชิตชัยโลกอื่นๆมามากมาย


 


แต่ตอนนี้ กลับกลายเป็นพวกเขาซะเองที่จะไม่มีโลกให้อาศัยอยู่อีกต่อไป


 


ว่านเอ๋อหยิบเอายันต์สีดำออกมาและมองมันอีกครั้ง


 


อักษร ‘ดี’ ยังคงเสถียร และเปล่งรังสีแสงออกมาตลอดเวลา


 


พอได้เห็น เธอก็รู้สึกโล่งใจ


 


เมื่อไหร่ที่มารโลกาตื่นขึ้น มันก็จะกลายเป็น ‘ลางร้าย’


 


ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าว ไม่ว่าใครๆก็มิกล้าที่จะปลดปล่อยพลังวิญญาณ เพราะจะเป็นการดึงดูดร่างแยกไร้จิตสำนึกมา จากนั้นก็จะถูกกลืนกิน


 


—เมื่อไหร่ที่มารโลกาหลับไหล นั่นคือช่วงเวลา ‘ลางดี’ และมนุษย์ก็จะสามารถใช้พลังวิญญาณและกระทำการใดๆได้อย่างอิสระ


 


กู่ฉิงซานจ้องมองไปยังมารโลกา และอดไม่ได้ที่จะลองพิจารณามัน


 


หลังจากการวิเคราะห์และเทียบเปรียบแล้ว กู่ฉิงซานก็ตัดสินได้ว่า มารตนนี้อยู่เหนือยิ่งกว่าขอบเขตของอสูรกายทั่วๆไป


 


มันมิได้เป็นอสูรกายดัดแปลงชนิดเจาะทะลวงแนวข้าศึก แต่ก็ไม่ใช่อสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหลเช่นกัน … นี่มันยากที่จะคาดเดานัก


 


มารโลกาคงจัดได้ว่าเป็นอสูรกายที่พบเจอได้ยากที่สุด


 


มันคือหนึ่งในสามการดำรงอยู่ของอสูรกายที่แข็งแกร่งที่สุด  ซึ่งถูกดัดแปลงมาจากร่างกายของเทพวิญญาณในสมัยโบราณ


 


ด้วยจิตสัมผัสเทวะและระยะสายตาของมนุษย์ ย่อมไม่สามารถมองเห็นร่างกายทั้งหมดของมันได้อย่างสมบูรณ์ ทำได้แค่เพียงเพ่งมองส่วนหนึ่งของร่างกายมันเท่านั้น – นี่มันราวกับกำลังเผชิญหน้ากับผืนดินอันกว้างใหญ่อยู่เลย


 


นี่คือร่างกายที่แท้จริงของเทพโบราณ!


 


เรือเหาะบินสูงขึ้นไปในท้องฟ้า ทิ้งระยะห่างจากมารโลกา


 


เกาะทั้งหมดยังต้องพึ่งพาค่ายกลล่องลอย เพื่อพยายามรักษาตนเองไว้ในอากาศ ออกห่างจากมารโลกาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้


 


มีเพียงเฉพาะเกาะที่ศิลาวิญญาณกำลังจะหมดลงในเร็วๆนี้เท่านั้นที่จะต้องลดระดับความสูงของค่ายกลล่องลอยลง เพื่อรักษาศิลาวิญญาณเอาไว้


 


และพวกเขาก็จะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่อันตรายมากยิ่งขึ้น


 


ท้ายที่สุดนี้ กล่าวได้ว่ายิ่งเข้าใกล้กับโลกมารเท่าใด มันก็จะยิ่งเป็นการง่ายที่จะถูกพบตัวมากขึ้นเท่านั้น


 


บนเรือเหาะ


 


“พวกเรากำลังจะถึงในเร็วๆนี้” ว่านเอ๋อกล่าวเสียงกระซิบ


 


กู่ฉิงซานถอนสายตาออก และมองไปยังเบื้องหน้า


 


ภูเขากำลังลอยล่องอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ


 


ที่นั่นคือนิกายกวงหยาง


 


ในที่สุดก็มาถึงที่นี่เสียที


 


กู่ฉิงซานหลับตาลง ก่อนจะลืมตาขึ้น ทำเช่นนี้อยู่ซ้ำๆหลายครั้ง


 


“นั่นเจ้ากำลังทำอะไรอยู่น่ะ?” ฉินรั่วเอ่ยถาม


 


“กำลังพยายามเข้าสู่สภาวะนักแสดงอย่างเต็มรูปแบบน่ะ” กู่ฉิงซานตอบ


 


ณ ขณะนี้ บนภูเขา ได้ปรากฏสองกระแสแสงบินเข้ามา


 


หนึ่งในสองกระแสแสง ภายในมีผู้คนอยู่หลายคน มันค่อยๆบินผ่านไปอย่างช้าๆ ก่อนจะพุ่งออกสู่ท้องฟ้าอันกว้างไกล


 


เมื่อครูู่คือเรือเหาะขนาดใหญ่ที่บรรทุกวัสดุและสินค้าจำนวนมาก


 


ฉินรั่วอธิบายว่า “นั่นเป็นเรือสินค้าที่ใช้แลกเปลี่ยนเม็ดยารักษาชนิดพิเศษของอาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋าที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาจำเป็นต้องพึ่งเม็ดยาพิเศษเหล่านั้นเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้”


 


สองตาของกู่ฉิงซานหรี่แคบลง ปากเอ่ยถาม “แล้วมีนิกายใดบ้างที่เรือสินค้าลำนี้มุ่งไป?”


 


“ ‘ลั่วชาเฟิง’ เป็นนิกายใหญ่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในโลกใบนี้”


 


“แล้วนิกายใหญ่อื่นๆล่ะ?”


 


“ไม่ตายจากก็หลบหนีไปแล้ว”


 


“หลบหนี?”


 


“มีอยู่วิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้มีชีวิตรอดอยู่ต่อไป นั่นคือการให้เกาะทั้งเกาะทะลุความว่างเปล่าและออกจากอาณาเขตของโลกใบนี้ไป แต่วิธีการดังกล่าวจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรขนาดใหญ่และผู้ฝึกยุทธที่ทรงพลังมากๆ ดังนั้นจึงมีเพียงนิกายใหญ่เท่านั้นที่ทำได้”


 


กู่ฉิงซานเริ่มขบคิด


 


อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋าคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต


 


แต่ผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋าจำเป็นต้องใช้ยารักษาระดับสูง ซึ่งนิกายกวงหยางไม่อาจกลั่นออกมาได้


 


และนิกายก็ทำการจัดส่งเรือสินค้าออกไปยังนิกายลั่วชาเฟิงอยู่เสมอทำการแลกเปลี่ยนเม็ดยารักษา


 


แต่กลับเห็นแค่เพียงกระแสแสงแรกที่บินผ่านไป ขณะที่อีกกระแสแสงหยุดลงตรงหน้ากู่ฉิงซานและคนอื่นๆ


 


พร้อมกับร่างของผู้ฝึกยุทธที่สวมหมวกไม้ไผ่ปรากฏกายขึ้น โค้งคำนับให้แก่เขา


 


“ยินดีที่ได้พบปรมาจารย์ตำหนักฉี” ผู้ฝึกยุทธกล่าวด้วยความเคารพ


 


พวกเขามองไปทางฉีหยานเพียงวูบเดียวเท่านั้น ก่อนที่ดวงตาของทั้งหมดจะถูกดึงดูดโดยฉานนู่ที่กำลังปลอมตัวเป็น ‘กู่ฉิงซาน’ อยู่ในขณะนี้


 


คนแปลกหน้า?


 


ปรมาจารย์ตำหนักฉี จู่ๆก็นำคนแปลกหน้ากลับมายังภูเขาอย่างกระทันหัน


 


ชายแปลกหน้าผู้นี้มีสถานะอันใดกัน?


 


ขณะขบคิด ว่านเอ๋อก็ควบคุมเรือเหาะบินผ่านพวกเขาไป


 


เหล่าผู้ฝึกยุทธได้สติกลับคืน และรีบร้อนใช้ออกด้วยหลายวิชาลับ เพื่อทำการเปิดประตูนิกายที่ถูกปกปักษ์ไปด้วยค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาทันที


 


เรือเหาะกลายเป็นกระแสแสงบินผ่านประตูไป มุ่งตรงสู่ส่วนยอดของภูเขาลอยฟ้า


 


ระหว่างทาง ผู้ฝึกยุทธจำนวนมากที่พบเห็นเรือเหาะนี้ ต่างหยุดยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม โค้งกายคารวะ ปากเอ่ยกล่าวด้วยความเคารพทันที “ยินดีที่ได้พบปรมาจารย์ตำหนักฉี”


 


แต่กู่ฉิงซานกลับมิได้ตอบอะไรกลับไปสักคำ


 


ใบหน้าของเขาถูกซ่อนอยู่ภายใต้หมวกไม้ไผ่ ขณะที่ร่างกายของเขาปลดปล่อยร่องรอยจางๆของเจตนาฆ่าออกมา ท่าทีการแสดงออกแลดูมืดมนและหยิ่งผยอง


 


ทุกคนเห็นแค่เพียง ‘ฉีหยาน’ ที่มองออกไปเบื้องหน้า ขณะที่มือข้างหนึ่งยื่นออกไปคว้าจับมือเล็กๆของฉินรั่วและลูบไล้มันอย่างแผ่วเบา


 


ฉินรั่วที่ยืนอยู่เคียงข้างเขาส่งยิ้มกลับมา ก่อนจะใช้มืออีกข้างยกถ้วยชาวิญญาณขึ้นมาป้อนลงบนริมฝีปากของเขา


 


นี่เป็นฉากธรรมดาที่พบเห็นได้เป็นประจำ


 


ฉีหยานทำเช่นนี้เสมอมา


 


เหล่าผู้ฝึกยุทธต่างก็คุ้นเคยกับมันดี


 


พวกเขาเพียงเหลือบมอง และเบนสายตาออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงการล่วงเกินฉีหยาน


 


จากนั้น เหล่าผู้ฝึกยุทธต่างก็หันมาให้ความสนใจกับ ‘กู่ฉิงซาน’ ซึ่งเป็นคนแปลกหน้า คนแล้วคนเล่าเริ่มกวาดจิตสัมผัสเทวะลงใส่เขา


 


—ชายผู้นี้คือใครกัน? เหตุใดปรมาจารย์ตำหนักฉีจึงถึงขั้นต้องนำพามายังภูเขาด้วย?


 


เหล่าฝูงชนอดไม่ได้ที่จะบังเกิดคำถามนี้ขึ้นในจิตใจ


 


พวกเขาเพ่งมอง ‘กู่ฉิงซาน’ อย่างรอบคอบ เพื่อต้องการที่จะได้ทราบบางสิ่งบางอย่างจากเขา


 


แต่กลับเห็นแค่เพียง ‘กู่ฉิงซาน’ ที่ยืนอยู่บนเรือเหาะด้วยใบหน้าเย็นชาไร้ซึ่งความรู้สึก


 


เรือเหาะบินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งสายตาและจิตสัมผัสเทวะของเหล่าผู้ฝึกยุทธเอาไว้เบื้องหลัง มุ่งหน้าสู่ช่วงบนของเกาะลอยฟ้า


 


แล้วว่านเอ๋อก็ทำการเก็บเรือเหาะกลับคืน


 


ที่นี่คือพื้นที่ศูนย์กลางของนิกายกวงหยาง และไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ขึ้นบิน


 


ทั้งสี่คนลดระดับลง เดินผ่านสิ่งปลูกสร้างหลายหลัง ก่อนจะหยุดอยู่เบื้องหน้าลานกว้าง


 


ฉินรั่วโบกมืออย่างอ่อนโยน ใช้ออกด้วยวิชาลับ


 


เหนือลานกว้างขึ้นไปบังเกิดประกายสาดแสงลงมาทันใด


 


“นายน้อย พวกเรากลับมาถึงบ้านแล้ว” ฉินรั่วกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล


 


กู่ฉิงซานแค่ส่งเสียงรับเบาๆลอดผ่านโพรงจมูก “หึ”


 


เขาก้าวนำไปข้างหน้า ตามด้วยฉานนู่ และสองสาวใช้ที่อยู่หลังสุด


 


เมื่อว่านเอ๋อที่เป็นคนสุดท้ายเข้ามาในประตู เธอเร่งหันหลังกลับไปแล้วจีบเข้าด้วยวิชาลับทันที


 


แสงสวรรค์สาดประกาย ลานกว้างหายไปในความว่างเปล่า


 


ค่ายกลเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง


 


ประตูถูกปิดลง


 


ฉินรั่วกับว่านเอ๋อถอนหายใจยาวโล่งอก


 


“พวกเราได้ผ่านด่านแรกเข้ามาโดยสมบูรณ์แล้ว” ว่านเอ๋อตบหน้าอกตนเองด้วยความยินดี


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.435 – โลกอันแห้งแล้ง


 


“ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ความสนใจของทุกคนถูกเบี่ยงเบนมายังลูกศิษย์เจ้าจริงๆ -กลยุทธ์นี้นับว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก” ฉินรั่วกล่าว


 


“ก็แค่โชคช่วยน่ะ แต่จากนี้ไปต่างหากที่จะเป็นของจริงแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว


 


เขาหันไปมองรอบๆ เพื่อดูโครงสร้างของทั่วทั้งห้อง


 


ฉีหยานเป็นผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่า เป็นถึงบุตรชายของผู้นำนิกาย แต่ช่างน่าฉงนนัก ที่ห้องของเขากลับแลดูสามัญยิ่ง


 


กู่ฉิงซานมิได้เห็นสิ่งใดที่มันมหัศจรรย์ เหนือล้ำยิ่งกว่าจินตนาการเลย


 


สิ่งเดียวที่ดูน่าสนใจก็คือหยกวิญญาณที่เป็นรูปสลัก


 


กู่ฉิงซานเดินไปที่โต๊ะและหยิบเอาหยกที่สลักเป็นรูปคางคกขึ้นมา


 


หยกคางคกนี้นับว่าเป็นหยกวิญญาณที่มีคุณภาพดีทีเดียว ภายในได้ได้แกะสลักไว้ด้วยค่ายกลพลังกักวิญญาณขนาดเล็ก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ตัวมันเองสามารถสะสมพลังวิญญาณได้ตลอดเวลาเพื่อให้ผู้ฝึกยุทธสามารถดูดซับมันได้ทุกครั้งที่ต้องการ


 


กู่ฉิงซานเพียงถือมันไว้ในมือ ตนก็สัมผัสได้ในทันทีถึงพลังงานวิญญาณนับไม่ถ้วนที่เจาะเข้ามาในรูขุมขน


 


“ช่างเป็นสิ่งที่ดี!” เขาเอ่ยยกย่องคำหนึ่ง


 


ตลอดทั้งห้อง หยกชิ้นนี้เป็นสิ่งเดียวที่กู่ฉิงซานรู้สึกว่าเข้าตา


 


“ยังมีเจ้าสิ่งนี้อยู่นี่นา มิใช่ว่าโลกใบนี้ไม่สามารถเก็บเกี่ยวศิลาวิญญาณได้แล้วหรอกหรือ?” เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัย


 


“นั่นนับว่าถูกต้องแล้ว แต่มันก็มิใช่ว่าจะไม่มีของดีๆหลงเหลืออยู่เลย ดั่งเช่นสิ่งที่เจ้าถืออยู่ นั่นน่ะเป็นของสะสมที่ฉีหยานโปรดปรานมากที่สุด และเขาก็ไม่ยินดีที่จะใช้มัน” ฉินรั่วตอบ


 


กู่ฉิงซานวางหยกคางคกลง และหยิบพัดใบหนึ่งขึ้นมา


 


พัดถูกคลี่ออก เผยให้เห็นถึงภาพวิหารเงินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ประดับประดาด้วยหยกสลักอันงดงาม


 


ฉินรั่วกับว่านเอ๋อจ้องมองมาที่เขา เพื่อสังเกตท่าทีและสีหน้าการแสดงออกของเขา


 


เมื่อเพ่งพินิจลวดลายภาพจบ กู่ฉิงซานก็หุบพัดลง ก่อนจะกางออกอีกครั้งแล้วยกมันขึ้นมาพัดอย่างแผ่วเบา


 


“ใช่ นั่นแหละเขาล่ะ” ฉินรั่วกล่าว


 


“แต่นี่มิใช่ตัวข้าเลย” กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างสลด


 


แต่ในขณะนั้นเอง ก็บังเกิดเสียงๆหนึ่งขึ้นจากด้านนอกประตู


 


เสียงนั้นทั้งเล็กและเบามาก ราวกับว่ากำลังหวาดกลัวว่าจะเป็นการรบกวนฉีหยาน


 


กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะผ่านทางหน้าต่างออกไป และเห็นแค่เพียงผู้ฝึกยุทธหลายคนกำลังถือกล่องใบหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าลานประตู


 


พวกเขาโค้งกายคารวะแล้วค่อยๆถอยฉากไป


 


กู่ฉิงซานย้อนระลึกไปถึงข้อมูลที่ได้รับมา ปากเอ่ยถาม “นี่ถึงเวลารับผลประโยชน์รายเดือนของนิกายแล้วหรือ?”


 


“ข้าก็ไม่มั่นใจ แต่มันก็อยู่ในช่วงระหว่างวันสองวันนี้นี่แหละ อ๊ะจริงสิ รู้สึกว่าคราวนี้จะมีเม็ดยารักษารวมอยู่ด้วยล่ะ!” ว่านเอ๋อหันไปมองฉินรั่วที่กำลังเผยสีหน้าคาดหวังอยู่


 


“ข้าไม่คาดคิดเลย ว่าเพียงแค่มาถึงไม่นาน ก็จะได้รับผลประโยชน์ราวกับส้มหล่นเช่นนี้” กู่ฉิงซานหัวเราะออกมา


 


ว่านเอ๋อกล่าว “ข้าจะเป็นคนไปรับมันเอง”


 


เธอผลักประตูห้องออกไป ย่างผ่านลานกว้างอย่างช้าๆ ก่อนจะหยิบกล่องที่วางอยู่หน้าลานประตูเข้ามา


 


ไม่นานนัก กล่องใบหนึ่งก็ถูกเปิดออกต่อหน้าทั้งสี่คน


 


ภายในมีขวดยารักษาอยู่หลายใบ


 


ถุงเก็บศิลาวิญญาณขนาดเล็ก


 


ใบหยก


 


นั่นคือทั้งหมดที่มี


 


ว่านเอ๋อหยิบถุงเก็บศิลาวิญญาณออกมาวางบนมือ แล้วลองขยับขึ้นๆลงๆกะน้ำหนักมันดู


 


“คราวนี้ไม่เลวเลย ดูเหมือนว่าภายในจะบรรจุศิลาวิญญาณคุณภาพต่ำไว้ตั้ง 60 ก้อนแน่ะ” เธอเอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจ


 


หือ? เมื่อกี้กระไรนะ ได้ยินแว่วๆว่า 60 ก้อนศิลาวิญญาณ …


 


กู่ฉิงซานก้มลองมองดูสิ่งที่บรรจุมาภายในกล่อง ทั้งคนทั้งร่างตะลึงงันเป็นเวลานาน


 


ห้ามลืมนะว่าฉีหยานคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตขีดสุุดความว่างเปล่า เป็นถึงหนึ่งในสามปรมาจารย์ตำหนักของนิกายกวงหยาง แล้วเหตุใดศิลาวิญญาณที่ได้รับในทุกๆเดือนถึงได้เล็กจ้อยเช่นนี้?


 


ทั้งๆที่หากเป็นในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ นางเซียนไป่ฮั่วมอบศิลาวิญญาณให้เหล่าบรรดาลูกศิษย์แต่ละครั้ง พวกมันจะถูกยัดลงไปเรื่อยๆจนกว่าจะเต็มถุง


 


และจำนวนศิลาวิญญาณที่เต็มถุงนั่นก็คือ 100000 ก้อน!


 


ส่วนเม็ดยารักษา ดิสก์ค่ายกลทั่วไป ยันต์ อาหารวิญญาณ และแม้กระทั่งอาวุธเครื่องแต่งกาย นางเซียนไป่ฮั่วก็ยังตระเตรียมการไว้โดยพร้อมสำหรับเหล่าลูกศิษย์


 


มันมากมายจนทุกครั้ง ฉินเซี่ยวโหลวต้องบ่นออกมาว่าท่านอาจารย์คงคิดเสแสร้งเอาใจเขาเพื่อที่จะได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาอ้างขู่บังคับเขาเป็นแน่


 


และไอ้ที่ว่าขู่บังคับน่ะ ก็คงจะไม่พ้นการให้ฉินเซี่ยวโหลวจะต้องออกมาฝึกยุทธกับเจ้าห่านขาว ไม่ก็นางเซียนด้วยตนเอง


 


อย่างไรก็ตาม การกระทำเช่นนี้ยังพอจะอธิบายได้อีกด้วยว่าผลประโยชน์รายเดือนของนิกายร้อยบุปผา หรือแม้กระทั่งโลกแห่งผู้ฝึกยุทธนั้นมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์มากมายขนาดไหน


 


ช่างตรงกันข้ามกับโลกของฉีหยาน ที่ดูเหมือนว่าทรัพยากรจะเหือดแห้งจนสิ้นแล้ว


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจ “ทรัพยากรในโลกล่องเวหาขาดแคลนถึงระดับนี้เชียวหรือ”


 


“ถูกต้อง ในเมื่อผืนดินไม่มีอยู่อีกต่อไป ฉะนั้นเรื่องทรัพยากรฝึกยุทธยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง” ฉินรั่วกล่าว


 


“ช่วงเวลานี้ นิกายทั้งหมดล้วนประทังชีวิตรอดด้วยทรัพยากรที่ตนปล้นและเก็บสำรองมาจากในครั้งอดีต”


 


กู่ฉิงซานถึงกับพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง


 


เดิมที เขาคิดว่าโลกใบนี้จะเป็นโลกที่เหมาะกับการฝึกยุทธระดับสูง เห็นได้จากอารยธรรมต่างๆของพวกเขาที่แสนจะร้ายกาจและดูหวือหวา แต่ใครจะไปคิดว่าจริงๆแล้วมันมิใช่เช่นนั้น


 


นี่มันเป็นโลกที่แห้งแล้ง และใกล้จะถึงจุดจบแล้วต่างหาก


 


เหตุผลแท้จริงแล้วก็คงจะไม่พ้นเรื่องของอสูรกาย


 


ก่อนที่มารโลกายังมาไม่ถึงโลกใบนี้ โลกล่องเวหาจะต้องเป็นเป็นอะไรที่ทรงพลังและเจริญรุ่งเรืองมากอย่างแน่นอน มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่สามารถพิชิตโลกต่างๆ หรือให้กำเนิดผู้ฝึกยุทธที่น่าสะพรึงขึ้นมากมายขนาดนี้หรอก


 


ทว่าเมื่อมารโลกาได้มาเยือนโลกใบนี้ ทุกสิ่งอย่างก็ถูกทำลายล้างจนสิ้นทันที


 


แล้วถ้าหากมารโลกาปรากฏตัวขึ้นในโลกของพวกกู่ฉิงซานล่ะ ผลลัพธ์มันจะแตกต่างกันรึเปล่า?


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจและส่ายหัว


 


แต่แล้วในตอนนั้นเอง เขาก็สัมผัสได้ว่าฉินรั่วเอาแต่จ้องมองมายังขวดเม็ดยารักษาขวดหนึ่ง พร้อมด้วยท่าทีการแสดงออกที่ดูกระสับกระส่ายเล็กน้อย


 


กู่ฉิงซานจึงหยิบขวดยาที่ว่านั่นขึ้นมาดู


 


เขาเปิดจุกออก และเทเม็ดยาไม่กี่เม็ดลงมา แล้วยื่นจมูกไปสูดดม แต่ก็พบว่ามันเป็นแค่เม็ดยารักษาธรรมดาๆเท่านั้น


 


“เจ้าต้องการสิ่งนี้กระนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


ฉินรั่วกำลังจะกล่าว แต่ว่านเอ๋อก็ชิงตอบแทนเสียก่อน “พี่สาวน่ะมีจิตใจที่อ่อนโยน ครั้งหนึ่งพี่สาวเคยพยายามที่จะช่วยเหลือพวกทาส แต่ก็ถูกฉีหยานจับได้ เขาจึงลงโทษเธอโดยการให้คุกเข่าอยู่บนเปลวไฟหยินเป็นเวลานาน”


 


“และเนื่องด้วยพลังวิญญาณที่ถูกพันธนาการ แถมยังไม่ได้รับการรักษา ดังนั้นอาการบาดเจ็บของพี่สาวจึงยังไม่หายดีนับตั้งแต่นั้นมา”


 


กู่ฉิงซานพยักหน้า แสดงท่าทีว่าเข้าใจ


 


“เปลวไฟหยิน? นั่นมันเป็นสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดเหลือคณา แต่ว่ายารักษาขวดนี้ … มันไม่เหมาะสมกับเจ้า” กู่ฉิงซานกล่าวพลางครุ่นคิด


 


ว่านเอ๋อนิ่งงันไป


 


ขณะที่สายตาคาดหวังของฉินรั่วหม่นหมองลงอย่างชัดเจน เธอพยักหน้ารับ “เจ้ากล่าวถูกแล้ว นี่คือช่วงเวลาสำคัญ ดังนั้นเม็ดยารักษาเหล่านี้ เจ้าจึงสมควรที่จะเก็บสำรองเอาไว้ใช้งานเอง”


 


“ข้ามิได้หมายความแบบนั้น” กู่ฉิงซานกล่าว


 


เขาโยนขวดยารักษากลับลงไปในกล่องและตบลงบนถุงสัมภาระของตนเอง


 


ควานหาอยู่สักพักจึงหยิบขวดยาเล็กๆสีเขียวขึ้นมา แล้ววางมันลงบนมือของฉินรั่ว


 


“ใช้สิ่งนี้สิ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ฉินรั่วพอสัมผัสได้ถึงมันก็สั่นสะท้าน


 


ว่านเอ๋อเห็นเช่นนั้นจึงเร่งวิ่งไปคว้ามันแล้วเปิดจุกออก


 


ทันใดนั้นกลิ่นยาอันทรงประสิทธิภาพก็ฟุ้งออกมาจากขวด


 


ไม่นานนัก กลิ่นหอมของมันแพร่กระจายไปทั่วทั้งห้อง


 


“ข้ามิได้สัมผัสกับเม็ดยาระดับสูงเช่นนี้มาเป็นเวลานานมากแล้ว – ว่าแต่นี่คือยาอะไรกัน?”


 


ว่านเอ๋อเอ่ยถามออกมา จมูกของเธอขยับฟุดฟิดๆ พยายามดูดซับประสิทธิภาพของยาที่ลอยฟุ้งออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้


 


อย่างไรก็ตาม การกระทำของเธอมิได้แลดูเหมือนกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตพันวิบัติเลย ตรงกันข้าม มันกลับดูค่อนข้างจะน่ารักทีเดียว


 


แต่ด้วยฐานะที่เป็นสาวใช้ พวกเธอจึงแทบไม่ได้รับทรัพยากรไว้ใช้ฝึกยุทธเลย


 


กู่ฉิงซานตอบไปว่า “มันคือ ‘เม็ดยาเจ็ดปฏิวัติ’ มีคุณสมบัติสามารถรักษาพิษไฟทั้งหมด ฟื้นฟูความเสียหายจากธาตุทั้งห้าและเพิ่มพูนพลังธาตุ”


 


สีหน้าของฉินรั่วเผยแววถวิลหา แต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะผลักมันกลับคืนสู่มือของกู่ฉิงซาน


 


“เม็ดยานี้ย่อมต้องมีค่ามากอย่างแน่นอน เจ้าเก็บไว้ใช้เองเถิด ข้ายังพอสามารถฝืนทนได้” เธอกล่าว


 


“เจ้านั่นแหละรับมันไปเถอะ ข้ามีเม็ดยาชนิดนี้มากพอที่ข้าต้องการเลยล่ะ” กู่ฉิงซานไม่รู้ว่าตนสมควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี


 


ในครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้ากับพระสันตะปาปา ตนได้ใช้เจ็ดดารา มังกรแหวกธาราออกมาอย่างไม่เต็มใจ จนตัวเองต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส


 


และหลังจากบุกเข้าสู่โลกเทวะ อาการบาดเจ็บของเขาก็ยังไม่หายดี จนจำต้องไปรักษาตัวเองในถังยา


 


และหลังจากนั้นมา นางเซียนไป่ฮั่วก็จับยัดเม็ดยารักษาลงในถุงสัมภาระของเขาจนกองพะเนิน


 


ต่อมา นางเซียนไป่ฮั่วมีลางสังหรณ์ว่าตนกำลังจะตกตาย จึงใส่ทุกสิ่งอย่างลงในถุงหอมหลากสี แล้วมอบมันให้แก่เขา


 


ต้องรู้นะว่านางเซียนไป่ฮั่วน่ะคือตัวตนระดับสูงสุดในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ทรัพยากรที่เธอครอบครองย่อมไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถจินตนาการได้


 


ดังนั้นขวดเม็ดยาเจ็ดปฏิวัตินี้ สำหรับกู่ฉิงซานแล้วจึงไม่นับว่าเป็นสิ่งใดเลย


 


ฉินรั่วเฝ้ามองเขาด้วยความลังเล และพยายามที่จะจับผิดถึงความคิดที่แท้จริงของเขา


 


กู่ฉิงซานที่รู้สึกราวกับกำลังจะถูกสอบสวนก็ได้วางขวดยาลงในมือเธออีกรอบ แล้วใช้อีกมือของตนค่อยๆหุบนิ้วมือของอีกฝ่ายลงมากุมขวดยา ปากเอ่ยกล่าว “ข้าเพียงหวังว่าพวกเราจะสามารถร่วมมือกันได้อย่างจริงใจ และฟันฝ่าสถานการณ์ยากลำบากนี้ไปด้วยกันก็เท่านั้นเอง”


 


“ตกลง ถ้าเจ้ามีความตั้งใจจริงเช่นนี้ ข้าก็จะขอเก็บขวดยารักษานี้เอาไว้เอง” ฉินรั่วกล่าว


 


ว่านเอ๋อพูดออกมาอย่างมีความสุข “พี่สาว วางใจเถอะ ท่านควรจะทราบนะว่าเขาน่ะเป็นคนดี เขาถึงขั้นยอมแลกชีวิตตนเองเพื่อช่วยอาจารย์ตนเชียวนะ”


 


ฉินรั่วพยักหน้า


 


ส่วนกู่ฉิงซานก็หันไปหยิบใบหยกออกมาจากกล่อง


 


เขาส่งจิตสัมผัสเทวะลงไปในใบหยก แล้วทันใดนั้นก็ได้รับรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ล่าสุดที่พึ่งเกิดขึ้นกับนิกายเมื่อเร็วๆนี้


 


ลั่วชาเฟิง นิกายใหญ่เพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ในโลกใบนี้ กำลังจะมาเยี่ยมเยือน


 


ส่วนอาวุโสสูงสุดยัก็งคงปิดด่านรักษาตนอยู่ และเขาจะไม่ปรากฏตัวออกมา จนกว่านิกายลั่วชาเฟิงจะมาถึง


 


ขณะที่ผู้นำนิกายกวงหยางเอง ก็กำลังอยู่ในช่วงก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์


 


—ขณะที่ไม่มีใครกล้าข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในโลกใบนี้ เพราะมันจะถูกตรวจพบโดยมารโลกาทันที


 


เหตุการณ์เหล่านี้ก็ยังคงเหมือนเดิม และไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากมายนัก


 


แต่กลับเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆภายในนั้นที่ได้ดึงดูดความสนใจของกู่ฉิงซานแทน


 


มันคือเรื่องที่ตำหนักเจียงซีผู้รับผิดชอบในการจัดเก็บทรัพยากรของนิกาย และตำหนักหนิงเยว่ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในการฝึกยุทธของเหล่าสาวกในนิกาย ร่วมกันประกาศสิ่งหนึ่งออกมา


 


นั่นคือผลประโยชน์รายเดือนของเหล่าสาวก ซึ่งก็คือศิลาวิญญาณที่โดยปกติก็ได้รับเพียงเล็กน้อยอยู่แล้ว จะถูกมอบให้ในภายหลัง


 


ส่วนเหตุผลก็เป็นเพราะนิกายลั่วชาเฟิงกำลังจะมาเยี่ยมเยือน ทางนิกายจึงตัดสินใจที่จะจัดงานต้อนรับ


 


ในช่วงเวลาที่เหตุการณ์สำคัญกำลังจะเกิดขึ้นเช่นนี้ ตำหนักเจียงซีจึงต้องทุ่มความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำการรับรองพวกเขา และไม่มีเวลาว่างพอที่จะมาจัดการแจกจ่ายศิลาวิญญาณ


 


ขณะที่เมื่อแขกผู้มีเกียรติมาถึง ตำหนักหนิงเยว่ก็จะเป็นผู้รับหน้าและจัดการแข่งขันประจำนิกายขึ้นอีกด้วย


 


การแข่งขันในครั้งนี้ ได้จัดเตรียมรางวัลที่ดีมากพอที่จะดึงดูดสาวกทั้งหมดให้เข้าต่อร่วมเพื่อชิงตำแหน่ง!


 


แล้วหลังจากที่เรื่องราวที่ว่ามานี้จบลง ทางนิกายก็จะกลับคืนสู่สภาวะปกติ และตำหนักเจียงซีก็จะเริ่มจัดการแจกจ่ายศิลาวิญญาณของเดือนนี้ทันที


 


กู่ฉิงซานอ่านเนื้อหาข้อมูลนี้อย่างจริงจัง แต่สุดท้ายแล้วกลับพบว่ามันแตกต่างจากที่เขาคิด


 


การแข่งขันที่จัดขึ้นนี้ แท้จริงแล้วมันมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการทดสอบหกศิลป์ของผู้ฝึกยูทธในนิกายต่างหาก


 


ทำนายชะตา วางค่ายกล หลอมอาวุธ กลั่นเม็ดยา สร้างยันต์ และปรุงอาหารวิญญาณ นี่คือหกศิลป์


 


ในบรรดาหกศิลป์ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในนิกายก็คงจะไม่พ้น ‘ค่ายกล’


 


แต่สำหรับขอบเขตวรยุทธและการต่อสู้เพื่อคว้าชัยชนะนั้น มันมิได้มีรวมอยู่ในการทดสอบเลย


 


กู่ฉิงซานครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อยู่สักพัก ก่อนจะได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็ว


 


นิกายของโลกใบนี้ … ดูเหมือนว่าจะมิได้ใส่ใจกับพื้นฐานวรยุทธของเหล่าสาวกอีกต่อไปแล้ว


 


มีพื้นฐานวรยุทธสูงแล้วมันจะดียังไง?


 


สำหรับนิกายแล้ว วรยุทธคุณยิ่งสูงก็ยิ่งต้องจ่ายศิลาวิญญาณเพิ่มมากขึ้นเพื่อเลี้ยงดูคุณ แถมยังต้องคอยป้องกันคุณไม่ให้คอยแข่งขันแย่งชิงอำนาจอีก


 


แต่ในทางตรงกันข้าม หกศิลป์กลับเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก มันเป็นสิ่งที่จะช่วยสนับสนุนให้นิกายเจริญยิ่งขึ้น!


 


และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คงไม่พ้น ‘ค่ายกล’


 


เพราะหากโลกนี้ไม่มีค่ายกล สิ่งมีชีวิตในโลกใบนี้ก็คงจะล้มหายตายจากไปกันจนหมดสิ้นแล้ว


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.436 – การหารือของระดับสูง


 


กู่ฉิงซานลูบไล้ใบหยกในมือเบาๆ แล้วจู่ๆก็พลันนึกได้ถึงสิ่งหนึ่งในทันใด


 


“ค่ายกลเคลื่อนมิติไปยังโลกเทวะ เป็นฉีหยานเองที่สร้างมันขึ้นมาใช่หรือไม่?”


 


เมื่อกล่าวถึงหัวข้อนี้ สีหน้าของคนทั้งหลายก็ดูเคร่งขรึมขึ้นทันใด


 


เพราะมันคือกุญแจสำคัญที่จะสามารถช่วยให้พวกเขาและเธอหลบหนีออกไปได้!


 


“เป็นเขา ฉีหยานน่ะนับว่าเป็นผู้แตกฉานในค่ายกลอย่างแท้จริง และอีกอย่างเจ้าก็น่าจะคาดเดาได้อยู่แล้ว ว่าเรื่องราวเกี่ยวกับโลกใบใหม่ เขาไม่สะดวกใจที่จะกระทำการใดๆให้ผู้คนทางนี้ได้รับรู้ถึงตำแหน่งของมัน” ว่านเอ๋อกล่าว


 


แล้วกู่ฉิงซานก็พาลนึกไปถึงการต่อสู้ในช่วงเวลานั้น


 


ในนาทีสุดท้าย ฉีหยานได้ใช้ออกด้วยศาสตร์ต้องห้ามกว่า 300 ค่ายกล ก่อนจะเปิดใช้งานดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลก


 


“แต่ในเวลานั้น ดูเหมือนว่าเขาจะบอกว่าดิสก์ค่ายกลนั่น บิดาของเขาเป็นคนมอบให้มิใช่หรือ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“ต่อให้เป็นนิกายกวงหยางเอง วัสดุที่จะใช้ในการสร้างดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลกก็ยังนับว่าเป็นภาระที่หนักหนาเกินไปอยู่ดี ด้วยเหตุนี้ จึงมีเพียงท่านผู้นำและผู้อาวุโสสูงสุดเท่านั้นแหละที่จะสามารถเบิกใช้สิ่งเหล่านั้นได้ ” ฉินรั่วกล่าว


 


“ดังนั้น กล่าวได้ว่าแท้จริงแล้วดิสก์ค่ายกลน่ะถูกสร้างโดยบิดาของเขา แต่ค่ายกลระบุตำแหน่งที่ถูกติดตั้งไว้ในดิสก์ค่ายกล -เป็นฉีหยานที่จัดวางมันด้วยตัวเอง” ว่านเอ๋อกล่าว


 


“แต่ตอนนี้ฉีหยานดันมาตายไปซะแล้วน่ะสิ” กู่ฉิงซานถอนหายใจ


 


ซึ่งตำแหน่งที่ตั้งของโลกเทวะ … อยู่ในมือของฉีหยานแต่เพียงผู้เดียว


 


ส่วนค่ายกลที่จะใช้ในการเคลื่อนย้ายมิติ ค่าวัสดุที่ใช้สร้างมันก็มีมูลค่ามหาศาล


 


เมื่อครั้งที่มีการบุกโจมตีโลกเทวะ ในตลอดทั้งกองทัพของฉีหยาน ดิสก์ค่ายกลก็ยังมีเพียงแค่สองชิ้นเท่านั้น


 


หนึ่งอยู่ในมือของปรมาจารย์ค่ายกลนิกายกวงหยาง ขณะที่อีกหนึ่งอยู่ในมือของนายน้อยชุดคลุมม่วงฉีหยาน


 


แถมทุกครั้งที่ใช้เดินทางระหว่างสองโลก ตัวดิสก์ค่ายกลเองก็จะเสียหายเพิ่มขึ้นไปส่วนหนึ่งอีกด้วย


 


มันเสียหายไปแล้วในครั้งแรกที่ใช้เคลื่อนมิติมายังโลกเทวะ และอีกครั้งหนึ่งก็ในตอนที่นำพวกเขามาสู่โลกใบนี้


 


หลังจากเสร็จสิ้นการเดินทางไป-กลับระหว่างสองโลก มันก็แตกเป็นเสี่ยงๆทันที


 


อย่างไรก็ตาม! ดิสก์ค่ายกลที่นำพากู่ฉิงซาน ว่ายเอ๋อ และฉินรั่วมายังโลกใบนี้น่ะ มันเป็นดิสก์ที่อยู่ในมือของฉีหยาน! นั่นหมายความว่ายังมีดิสก์ค่ายกลเหลืออยู่อีกหนึ่งชิ้น!


 


ต้องไม่ลืมนะว่า ก่อนหน้าที่จะถูกส่งมาที่นี่ กู่ฉิงซานได้ลอบสังหารปรมาจารย์ค่ายกลนิกายกวงหยางมาก่อนแล้ว และได้ริบเอาดิสก์ค่ายกลในมือของอีกฝ่ายมาเช่นกัน


 


เดิมที ก็เป็นดิสก์ค่ายกลแผ่นที่ยึดมานี้นี่แหละ ที่กู่ฉิงซานใช้มันล่อลวงมารสวรรค์ให้เข้าร่วมต่อสู้


 


ดิสก์ค่ายกลนี้ตกอยู่ในมือของเขาเสมอมา จนกระทั่งในช่วงเวลาสุดท้าย ที่เขาถูกดูดเข้ามาในช่องว่างมิติ ตนก็ยังไม่มีเวลาที่จะมอบมันให้แด่มารสวรรค์


 


กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระและหยิบดิสก์ค่ายกลอันประณีตที่มีขนาดเท่าฝ่ามือออกมา


 


บนดิสก์ค่ายกลนี้ปรากฏซึ่งรอยร้าวลึก ทว่ามันก็ยังคงให้ความรู้สึกที่คมชัด และปลดปล่อยรอยแยกมิติน้อยๆในอากาศที่ว่างเปล่าโดยรอบออกมาตลอดเวลา


 


มันคือดิสก์ค่ายกลที่ใช้เคลื่อนย้ายมิติระหว่างสองโลก! —พวกเขายังมีหนทางที่จะได้กลับไปหลงเหลืออยู่!


 


ดวงตาของฉินรั่วกับว่านเอ๋อเปล่งประกายสดใสวูบหนึ่ง ทว่าต่อมา คิ้วของพวกเธอก็ต้องขมวดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว


 


แม้ดิสก์ค่ายกลนี้ ดูจากสภาพแล้วแน่นอนว่ายังคงสามารถใช้มันได้อีกครั้งหนึ่ง


 


อย่างไรก็ตาม … ครั้งหนึ่งที่ว่านั่นหมายถึงการถูกส่งมายังโลกล่องเวหาเท่านั้น


 


ด้วยดิสก์ค่ายกลแผ่นนี้ มันไม่สามารถช่วยให้กู่ฉิงซานกลับไปยังโลกเทวะได้


 


แต่อย่างน้อย มันก็ช่วยให้พวกเขาและเธอสามารถค้นหาพิกัดของโลกเทวะจากกระแสมิติอันเชี่ยวกราดที่ปริร้าวออกมาจากในดิสก์ค่ายกลได้


 


“ดิสก์ค่ายกลนี้คือความหวังเดียวของเราที่จะได้ออกไปจากที่นี่” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ฉินรั่วครุ่นคิดก่อนจะเอ่ย “แต่บนตัวดิสก์ค่ายกลน่าจะมีคำสั่งต้องห้ามใส่เอาไว้อยู่ ว่าหากมีใครบางคนต้องการค้นหาเกี่ยวกับพิกัดของโลกเทวะ ดิสก์ค่ายกลนี้ก็จะถูกทำลายทันที”


 


“เจ้าใช่ระแวงเกินไปหน่อยไหม? มันไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นนะ หากฉีหยานระวังตัวแจขนาดนั้น แล้วเขาจะมอบมันให้แก่ปรมาจารย์ค่ายกลได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“เพราะเขารู้ดีว่าระดับของปรมาจารย์ค่ายกลน่ะไม่ค่อยดีนัก อีกฝ่ายย่อมไม่สามารถทำลายคำสั่งห้ามที่ตนใส่ไว้ได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ ฉีหยานยังได้ติดตั้งตัวแจ้งเตือนไว้บนดิสก์ค่ายกลอีกด้วย หากปรมาจารย์ค่ายกลกล้าที่จะค้นตำแหน่งของโลกจากตัวดิสก์ ฉีหยานก็จะรู้ได้ทันที”


 


“อ่า เป็นอย่างที่เจ้าพูด เขาระมัดระวังตัวมากจริงๆ … ” กู่ฉิงซานถอนหายใจ


 


ว่านเอ๋อเอ่ยปากออกมา “ใช่แล้วล่ะ ฉะนั้นด้วยเงื่อนไขดังกล่าวนี้เอง เขาจึงได้อนุญาตให้ปรมาจารย์ค่ายกลสามารถใช้ดิสก์แผ่นนี้ได้”


 


ฉินรั่วกล่าว “นี่พอจะบอกได้ว่า ผู้ที่จะสามารถค้นหาตำแหน่งของโลกเทวะจากดิสก์ค่ายกลนี้ได้ จะต้องแตกฉานในด้านค่ายกลมากกว่าฉีหยานเท่านั้น”


 


กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็เอ่ยพึมพำออกมา “แล้วหากพวกเราเลือกที่จะสร้างดิสก์ค่ายกลขึ้นมาใหม่เล่า – นั่นหมายความว่าพวกเราต้องได้รับความช่วยเหลือจากปรมาจารย์ค่ายกลสินะ”


 


“และอย่าลืมว่าพวกเราจะต้องมีวัสดุที่จำเป็นอีกด้วย” ว่านเอ๋อกล่าวเสริม


 


กู่ฉิงซานเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มขบคิดถึงรายละเอียดอื่นๆออกมา


 


“ฉีหยานเป็นบุตรชายของผู้นำนิกายกวงหยาง เป็นถึงหนึ่งในสามปรมาจารย์ตำหนัก แต่กลับรู้สึกไม่วางใจที่จะระบุตำแหน่งของโลกเทวะให้ผู้คนรอบข้างเขารับรู้ … ”


 


เมื่อพิจารณามาถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็เริ่มตื่นตัวมากขึ้น


 


โลกเทวะนั้นเชื่อมต่อกับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ


 


ซึ่งในโลกใบนั้น มีอยู่หลายคนที่กู่ฉิงซานห่วงใย


 


หากตำแหน่งของโลกใบนั้นรั่วไหลออกไป นิกายกวงหยางคงไม่รอช้า ทุ่มออกด้วยกองกำลังขนาดใหญ่บุกเข้ามาเป็นแน่


 


และสำหรับเรื่องนี้แล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือหายนะของทั้งสองโลกอย่างแน่นอน


 


ฉีหยานไม่เพียงไม่ไว้ใจคนในนิกายของตัวเอง แต่เขายังไม่ไว้ใจแม้กระทั่งผู้ใต้บังคับบัญชาของตนอีกด้วย


 


หากเป็นในกรณีนี้ กู่ฉิงซานเองก็ไม่อาจพึ่งใครได้อีกแล้ว


 


กู่ฉิงซานก้มหน้าลง จ้องมองดิสก์ค่ายกลในมือ


 


บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หนึ่งเส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กปรากฏขึ้นทันที


 


“นี่คือดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลก , เป็นไอเท็มพิเศษที่ถูกสร้างโดยวัสดุล้ำค่า , จำนวนการเคลื่อนย้ายที่ยังเหลืออยู่ : 1 , ตำแหน่งเคลื่อนย้าย : โลกล่องเวหา”


 


พร้อมด้วยบรรทัดแสงตัวอักษรนี้ ไฟตรง ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ จากในระบบเทพสงครามก็ส่องสว่างขึ้น


 


“ดิสก์ค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลก มีค่ายกลอยู่สองชนิด ดังนี้”


 


“ค่ายกลเคลื่อนย้าย : โลกล่องเวหา”


 


“ค่ายกลเคลื่อนย้าย : โลกเทวะ”


 


“หากต้องการเรียนรู้ค่ายกลเคลื่อนย้าย จำเป็นต้องจ่ายแต้มพลังวิญญาณ 10000 แต้ม”


 


“หมายเหตุ : นี่คือค่ายกลอันลึกล้ำที่ไม่เคยได้พบได้เห็นมาก่อน มันเกี่ยวข้องโดยตรงกับตำแหน่งที่ตั้งของโลก , เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเปิดเส้นทางมิติอันเชี่ยวกราดระหว่างทั้งสอง , เกี่ยวข้องโดยตรงกับกฏเกณฑ์ในการเคลื่อนย้ายระหว่างสองโลก และองค์ความรู้ค่ายกลในระดับสูง”


 


“หมายเหตุ : คุณสามารถศึกษาเกี่ยวกับค่ายกลก่อนก็ได้ เพื่อที่จะเป็นการช่วยลดแต้มพลังวิญญาณที่จักต้องจ่ายออก ในการเรียนรู้ค่ายกลเคลื่อนย้ายแบบระบุตำแหน่งนี้”


 


กู่ฉิงซานจ้องค้างไปยังตัวเลข 10000 อยู่เป็นเวลานาน


 


10000 แต้มนี้ มันแทบจะเป็นจำนวนที่ไม่อาจเข้าถึงได้เลย


 


เพื่อที่จะเรียนรู้ค่ายกลนี้ สิ่งที่ต้องทุ่มจ่ายออกมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับโลกท่องเวหาทั้งใบแล้วนอกเหนือไปจากมารโลกา ก็ไม่มีมอนสเตอร์อื่นใดอยู่อีกเลย


 


ดังนั้นการรวบรวมแต้มพลังวิญญาณให้ครบจำนวนดังกล่าวนี้ บอกตรงๆว่ามันเป็นภารกิจที่ไม่มีทางบรรลุได้


 


หลังจากที่เงียบไปสักพักหนึ่ง กู่ฉิงซานก็เริ่มสังเกตุเห็นจุดอื่นๆ


 


บริเวณมุมของหน้าต่างระบบเทพสงคราม แต้มพลังวิญญาณของเขากำลังแสดงบนหน้าจอ


 


“แต้มพลังวิญญาณคงเหลือ : 3/300”


 


กู่ฉิงซานถึงขั้นต้องกลั้นหายใจ มิอาจขยับกายได้อยู่เนิ่นนาน


 


ในระหว่างช่วงที่เดินทางไปยังโลกปรภพ เขาได้ใช้แต้มพลังวิญญาณทั้งหมดที่มีออกไปจนหมดสิ้นแล้ว


 


“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ? สีหน้าเจ้าดูไม่สู้ดีเลย” ฉินรั่วเอ่ยถามออกมาด้วยความกังวล


 


กู่ฉิงซานสูดหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ “เปล่าหรอก ข้าแค่รู้สึกว่าตนได้เผชิญกับปัญหาที่ยากเย็นยิ่งซะแล้วสิ ”


 


“มิต้องท้อถึงเพียงนั้นหรอก แม้ในนิกายกวงหยางไม่มีปรมาจารย์ค่ายกลที่เชี่ยวชาญอยู่อีกแล้วก็จริง แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเราก็ยังพอจะมีวิธีอยู่อีกเล็กน้อย” ฉินรั่วกล่าวปลอบประโลม


 


“วิธีอันใด?”


 


“ก่อนหน้านี้ฉีหยานเคยครอบครองสาวใช้อยู่คนหนึ่ง เขาฉุดเธอมาจากโลกที่เชี่ยวชาญทางด้านค่ายกล”ว่านเอ๋อกล่าว


 


ฉินรั่วเอ่ยเสริมว่า “สาวใช้นางนั้นชื่อว่าจื่อหลิว เป็นเด็กสาวที่ฉลาดหลักแหลมและงดงามไม่น้อยเลยทีเดียว”


 


“โฮ่? เช่นนั้นนางก็น่าจะสมควรที่มาจะอยู่ฝ่ายเดียวกับเรา – ว่าแต่นางไปอยู่ที่ไหนซะล่ะตอนนี้?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


หากไม่ใช่คนของนิกายกวงหยาง แต่เป็นคนที่มีสถานะเช่นเดียวกับฉินรั่วและว่านเอ๋อแล้วล่ะก็ เชื่อว่าเด็กสาวที่มีนามว่าจื่อหลิวผู้นี้ย่อมเต็มใจและยินดีที่จะพาตนเองร่วมหลบหนีไปจากโลกนี้อย่างแน่นอน


 


เมื่อไหร่ที่ได้พบกับเธอเป็นการส่วนตัว และดูๆแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เขาก็จะสามารถลองให้เธอสร้างมันได้


 


“ฉีหยานได้มอบนางให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาไปแล้ว”


 


“อ้าว เพราะเหตุใดกัน?”


 


“มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนน่ะ” ว่านเอ๋อยักไหล่


 


กู่ฉิงซานยกคิ้วสูงขึ้น


 


“อันที่จริงแล้วมันเป็นเพราะจื่อหลิวน่ะเก่งกาจในด้านค่ายกล ดังนั้นฉีหยานจึงรู้สึกไม่ปลอดภัยยามเมื่อมีนางอยู่ข้างกาย”


 


ฉินรั่วหันไปมองว่านเอ๋อวูบหนึ่งและกล่าว


 


แล้วกู่ฉิงซานตระหนักได้ในทันใด


 


เก่งกาจในด้านค่ายกล มิน่าเล่า …


 


หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่ฉีหยานจะรู้สึกไม่วางใจ


 


เพราะใครจะรู้ จู่ๆเธออาจจะแอบค่อยๆแอบปลดค่ายกลที่ติดตั้งไว้รอบกายเขาอย่างเงียบๆก็ได้


 


แล้วเมื่อใดก็ตามที่ถึงช่วงเวลาลางร้าย แต่ทว่ารอบกายกลับไม่มีค่ายกลอยู่ โชคชะตาที่จะต้องเผชิญคงมิแคล้วมีเพียงตกตาย!


 


“แบบนี้ก็สิค่อยง่ายหน่อย ข้าจะเร่งไปนำตัวนางกลับมาทันที” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ฉินรั่วกับว่านเอ๋อหันมามองกันและกัน ด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงความสุข


 


“เหตุใดพวกเจ้าถึงได้ดูมีความสุขนัก?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“เรื่องนี้ย่อมเป็นธรรมดา นั่นเพราะนางคือเด็กสาวน่ารัก งดงามทั้งกายและใจ มีอัธยาศัยที่ดีและไม่อาจทานทนต่อเจตนาฆ่าของฉีหยานได้ตรงๆ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเกะกะลูกตา ฉีหยานจึงได้โยนเธอให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาแทน” ว่านเอ๋อกล่าวเสียงหวาน


 


แต่ทันใดนั้นเอง สายตาของฉินรั่วก็เบนออกไป ปากเอ่ยกล่าว “มีใครบางคนกำลังมา”


 


และในวินาทีต่อมา ภายนอกห้องก็พลันได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น “ท่านปรมาจารย์ตำหนักฉี วันนี้คือวันหารืออย่างเป็นทางการ และช่วงเวลาหารือก็ได้มาถึงแล้วนะขอรับ”


 


กู่ฉิงซานกล่าวเสียงเย็น “ทว่าข้าจดจำได้ว่ามันสมควรที่จะเป็นวันพรุ่งนี้มิใช่หรือ?”


 


เสียงนั้นชะงักไปชั่วคราว ก่อนจะเอ่ยปากต่อ “พอดีว่ากำหนดการถูกเร่งให้เร็วขึ้นน่ะขอรับ”


 


พอได้ฟัง สีหน้าของฉินรั่วกับว่านเอ๋อก็ดูจะเผยถึงความกังวลออกมา


 


“ทั้งหมดที่ข้าทราบคือนิกายลั่วชาเฟิงจะมาเยือน บางทีอาจจะเป็นเรื่องนั้นก็ได้” ฉินรั่วเอ่ยเสียงกระซิบ


 


“ชู่วว! เรื่องนี้เป็นความลับนะ ในตอนที่พวกเขากำลังพูดถึงเรื่องนี้ พวกเราคนใช้ทุกคนก็ถูกไล่ออกมาจนหมดเลย ดังนั้น จึงมิได้ทราบถึงรายละเอียดแบบจำเพาะเจาะจงได้” ว่านเอ๋อเอ่ยเสริมอย่างรวดเร็ว


 


กู่ฉิงซานรับฟังอย่างระมัดระวัง


 


“แต่นิกายนั่นยังมาไม่ถึงใช่ไหม” เขาเอ่ยถาม


 


“ก่อนหน้าที่พวกเราจะไปยังโลกเทวะ ก็ได้ยินมาว่าพวกเขาจะมาถึงในเร็วๆนี้” ฉินรั่วกล่าว


 


กู่ฉิงซานจมหายเข้าไปในห้วงความคิด


 


โดยไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ การหารืออย่างเป็นทางการจู่ๆก็เลื่อนกำหนดการอย่างกระทันหัน นี่มันค่อนข้างจะน่าสงสัยเล็กน้อย


 


การหารืออย่างเป็นทางการของนิกาย กล่าวได้ว่ามันคือการประชุมปกติของผู้นำระดับสูงทั้งหมดในนิกาย


 


โดยปกติแล้วผู้ที่จะได้เข้าร่วมการหารืออย่างเป็นทางการนี้ จะมีผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋า , ผู้นำฉีรั่วหยา , ตำหนักหนิงเยว่ – เย่หยิงเหมย , ตำหนักซานเหว่ย – ปรมาจารย์ตำหนักฉีหยาน , สาขาเจียงซี – ปรมาจารย์ตำหนักเซ่าหวูชุ่ย โดยสิ้นเชิงแล้ว 5 คน


 


ตำหนักหนิงเยว่ จะมีหน้าที่รับผิดชอบในการฝึกยุทธของสาวกนิกาย


 


ขณะที่ตำหนักซานเหว่ย จะมีหน้าที่รับผิดชอบในการต่อสู้ภายนอก และการลงทัณฑ์ภายใน


 


ส่วนตำหนักเจียงซี จะมีหน้าที่รับผิดชอบกิจกรรมโดยรวมของนิกาย แต่โดยหลักแล้วจะเป็นในส่วนของการคลังสำรอง


 


เย่หยิงเหมยกับเซ่าหวูชุ่ยทั้งสองคน เป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋า ทั้งยังเป็นผู้ฝึกยุทธชั้นยอดที่อยู่ในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า


 


แต่ดูเหมือนจะมีข่าวเล่าลือว่าเย่หยิงเหมย แม้จะเป็นศิษย์ของอาวุโสสูงสุด แต่ก็ยังเป็นนางบำเรอของเขาอีกด้วย!


 


เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เย่หยิงเหมยเกือบจะได้แต่งงานกับสหายเต๋าที่เป็นผู้ฝึกยุทธชายจากนิกายอื่นอยู่แล้ว ทว่าสุดท้ายกลับถูกหยุดไว้โดยหวังหงษ์เต๋า


 


และเรื่องนี้เอง ที่ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นเป็นอันมาก ทว่าก็ยังไม่มีใครสามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าต้นเหตุที่แท้จริงมันเกิดจากอะไร


 


แต่ในที่สุด เย่หยิงเหมยก็ยังมิได้แต่งงาน


 


ในบรรดาทั้งห้าคน มีเพียงบุตรชายของตนเท่านั้นที่ยืนอยู่ข้างฉีรั่วหยา ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงอยู่ในสภานะ 2 : 3


 


กล่าวได้ว่าตำแหน่งผู้นำนิกาย กำลังอยู่ในสถานะที่สั่นคลอน


 


และในตอนนี้ ผู้นำฉีรั่วหยาก็กำลังมุ่งมั่นก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ ดังนั้นจึงเหลือฉีหยานเพียงคนเดียวเท่านั้น


 


ฉีหยานจักต้องเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสสูงสุดและสองปรมาจารย์ตำหนักโดยลำพัง!


 


ผู้อาวุโสสูงสุดแม้ยังคงปิดด่านรักษาตนอยู่ แต่คราวนี้เขาก็อาจจะออกมาเข้าร่วมหารืออย่างเป็นทางก็ได้ ใครจะรู้


 


-อย่างน้อยในข้อนี้ตัวฉีหยานเองก็ไม่ทราบ


 


นอกจากนี้ การหารืออย่างเป็นทางการอาจจะเกี่ยวข้องกับนิกายที่ทรงพลังที่สุดในโลกอย่างลั่วชาเฟิงก็เป็นได้


 


……


 


ทุกอย่างล้วนตกอยู่ในความยุ่งเหยิง


 


นับประสาอะไรกับกู่ฉิงซานที่ปลอมตัวเป็นฉีหยาน หากฉีหยานไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์อันซับซ้อนดังกล่าวนี้ได้นี้ ตัวเขาคงมิแคล้วถูกเปิดโปงเป็นแน่


 


ว่านเอ๋อกัดฟันกล่าว “หรือว่าเราสมควรจะหนีไปทั้งๆอย่างนี้ดี … ”


 


กู่ฉิงซานขัดเธอ เอ่ยปากกล่าวอย่างแผ่วเบา “มันไม่เป็นอะไรหรอก เจ้าต้องไว้ใจข้าสิ พวกเราไปกันเถอะ”


 


“ช่วงก่อนหน้านี้เจ้าได้อ่านข้อมูลเกี่ยวกับปรมาจารย์ตำหนักทั้งสองคนแล้วใช่หรือไม่?”ฉินรั่วหันไปมองเขา ปากเอ่ยถามอย่างไม่สบายใจ


 


“ข้าจดจำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาในช่วงเวลาหลายร้อยปีนี้ได้หมดแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว


 


เขายกหมวกไม้ไผ่ขึ้น และเดินตรงไปยังประตูทางออก

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม