Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ 423-429

 หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.423 – กำลังเสริมจากปรภพ


 


ในขณะนั้นเองเทพสวรรค์ก็ถูกดึงตัวกลับมา


 


กษัตริย์อาชูร่าคำรามดั่งฟ้าผ่า “ผนึกลงทัณฑ์ จงพันธนาการ!”


 


13 โครงกระดูกวาดมือออก สาดเลือดที่กุมอยู่ในมือจนบังเกิดละอองเลือดฟุ้งไปทั่วชั้นอากาศ


 


ตลอดทั้งห้องบังเกิดแสงสีแดงสาดกระทบ


 


วินาทีต่อมา ชายชราชุดคลุมแดงก็หายวับไปพร้อมกับ 13 โครงกระดูก


 


ขณะเดียวกัน ตำแหน่งที่พวกเขาหายตัวไป บังเกิดแอ่งหลุมที่สาดแสงสีแดงปรากฏขึ้น


 


กษัตริย์อาชูร่ายังคงร่ายคาถาคำมั่นสาบาน ประจำการอยู่หน้าปากทางเข้าหลุม


 


และในตอนนั้นเอง ก็บังเกิดการเคลื่อนไหวขึ้นในความว่างเปล่า


 


ตามด้วยชุดเกราะรบสีดำที่ในมือถือกระบี่ยาวสาดแสงทมิฬปรากฏกายขึ้น


 


“เจ้าจะสามารถกักตัวเขาไว้ได้นานแค่ไหน?” นายพลภูติเอ่ยถาม


 


“ตราบเท่าที่เจ้าไม่ประวิงเวลาปล่อยให้เขาใช้ออกด้วยเทคนิคมนตราได้ ข้าก็จะสามารถสะกดเขาไปได้อีกนานแสนนาน” กษัตริย์อาชูร่ากล่าว


 


นายพลภูติหัวเราะแทบคลั่ง “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง ข้าจะทำให้เขามิอาจมีเวลามาใส่ใจสิ่งใดได้เลย”


 


ว่าจบ มันก็พรวดเข้าไปในแอ่งหลุม


 


“แค่คำพูดของเจ้า ข้าเกรงว่ามันอาจจะไม่เพียงพอน่ะสิ … ”


 


ว่าแล้ว กษัตริย์อาชูร่าก็วิ่งตามเข้าไปในหลุม


 


และทันทีที่เขาก้าวเข้าไป แสงสีแดงที่สาดกระทบไปทั่วห้องก็มอดลง จนสุดท้ายก็หายไป


 


พร้อมกับร่างของชายชุดดำที่ปรากฏตัวขึ้นตามมาอย่างฉับพลัน


 


หลาน


 


ท่าทีการแสดงออกของเขาเวลานี้ช่างดูตื่นเต้นราวกับว่าทั้งคนทั้งร่างได้คลั่งไปแล้ว


 


“เทพสวรรค์ได้ถูกสะกดอยู่ที่นี่ นี่เป็นโอกาสเดียวในรอบหมื่นปี! ข้าจะไปยังอาณาจักรสวรรค์และช่วยเหลือชิงหยิน!” เขาหันมาเอ่ยกับกู่ฉิงซาน


 


วินาทีต่อมา เขาก็เลือนรางลง จนแทบจะหายไปจากความว่างเปล่า


 


“ช้าก่อน!” กู่ฉิงซานเอ่ยตะโกน


 


“มีเรื่องอะไร? ยังต้องการอะไรอีก? ข้าก็ให้รางวัลแก่เจ้าไปแล้วมิใช่หรอกหรือ?”


 


ร่างของหลานเอ่ยถามด้วยความงงงวย


 


“นั่นท่านกำลังจะไปช่วยชีวิตนางอย่างงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“ก็แล้วมันมีปัญหาอะไร ในเมื่อเทพสวรรค์ก็ถูกขังอยู่ที่นี่แล้ว?”


 


“ดูเหมือนว่าท่านจะยังไม่เข้าใจถึงความหมายที่ชิงหายต้องการจะสื่อผ่านไพ่” กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างรวดเร็ว “นายพลภูติและกษัตริย์อาชูร่าเป็นกุญแจสำคัญในการสะกดเทพสวรค์ก็จริง แต่ไพ่ใบที่สามที่เธอส่งมาก่อนจะสิ้นใจลง มันคือปริศนาที่มีความนัยบ่งบอกว่าท่านจะต้องต่อกรกับ ‘ตัดขาดเวลา’ .. ท่านจะต้องหาทางจัดการกับสกิลเทวะนี้ให้ได้เสียก่อน!”


 


“เรื่องนั้นคงไม่ต้องกังวลหรอก เพราะเทพสวรรค์ชุดคลุมแดงเป็นผู้สืบสายโลหิตจากทวยเทพคนเดียวเท่านั้นที่สามารถสำแดงตัดขาดเวลา ได้!”


 


กู่ฉิงซานส่ายหัวและกล่าว “ท่านยังไม่กระจ่างใจอีกหรือ ความหมายที่เธอจะสื่อก็คือ เธอจะต้องถูกขังอยู่ในสถานที่ๆรายล้อมไปด้วยเทพสวรรค์ ในขณะเดียวกันก็มีค่ายกลกับดัก ‘ตัดขาดเวลา’รวมอยู่ด้วย ท่านจะต้องมั่นใจว่าจะสามารถแก้สองเรื่องนี้ให้ได้ก่อน มันจึงจะเป็นไปได้ที่จะช่วยเหลือเธอ!”


 


พอหลานได้ฟัง ทั้งคนทั้งร่างก็พลันตะลึงงัน


 


กู่ฉิงซานเอ่ยปาก “ฉานนู่”


 


“ข้าอยู่นี่” ฉานนู่ปรากฏกายขึ้น


 


“เจ้าจงติดตามไปช่วยเหลือเขา และข้าอนุญาตให้เจ้าใช้ทักษะและประสบการณ์ของข้าเมื่อใดก็ได้ตามที่เจ้าต้องการ”


 


“เจ้าค่ะนายน้อย!”


 


กู่ฉิงซานหันไปกล่าวกับหลานต่อ “ดาบของข้าสามารถทำลายได้ทุกกฏเกณฑ์ และมันจะเป็นตัวแปรสำคัญในการสกัดกั้นสกิลเทวะตัดขาดเวลา เธอสามารถแหกกฏเวลาที่หยุดนิ่งในไพ่ใบที่สามได้ ฉะนั้นข้าขอส่งเธอไปกับท่าน!”


 


หลานมองไปยังฉานนู่ ขณะเดียวกันก็สลับกลับมามองกู่ฉิงซานก่อนจะสูดหายใจลึกเข้าเต็มปอด


 


“ขอบใจเจ้ามาก บุญคุณนี้ข้าจะจดจำไว้ในจิตใจ” หลานกล่าว


 


หลานเดินมาหยุดหน้าฉานนู่และวาดไพ่ออกไป


 


ตัวไพ่เปล่งประกายสีสดใส มันสาดเข้าปกคลุมทั้งหลานทั้งดาบขุนเขาเทวะหกโลกา แล้วดูดทั้งสองหายเข้าไปในความว่างเปล่า


 


หลังจากที่ทั้งสองจากไป


 


เข็มวินาทีในนาฬิกาบนผนังก็กลับมาเริ่มขยับอีกครั้งในที่สุด


 


วินาทีต่อมา


 


ทุกสิ่งก็กลับคืนสู่ปกติ


 


ประธานาธิบดียังคงครุ่นคิด


 


ขณะที่แอนนา ซางหยิงฮ่าว และเย่เฟย์หยูยังคงอยู่ในท่วงท่าเดิม


 


ทุกคนในห้องไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เลย


 


มีเพียงหมาดำเท่านั้นที่กำลังแสดงให้เห็นถึงสีหน้าขบคิดอย่างลึกซึ้ง


 


“เทพสวรรค์ถูกขังอยู่ในอาณาเขตของคำมั่นสาบานอันทรงพลานุภาพ แล้วชายที่พึ่งปรากฏตัวออกมาก็ยังเดินทางไปยังอาณาจักรสวรรค์อีก แล้วเจ้าเล่า? เจ้ากำลังวางแผนจะไปที่ใด?” หมาดำเปล่งเสียงดังเอ่ยถามกู่ฉิงซานในทันใด


 


“ไม่หรอก ข้าไปไม่ได้ และไม่ต้องการจะไปด้วย” กู่ฉิงซานส่ายหัว


 


ก๊าซซซซ!


 


บนท้องฟ้าเหนือวิลล่า เสียงคำรามของเผ่ามารดังสะท้อนอย่างต่อเนื่อง


 


กู่ฉิงซานยืนอยู่เพียงลำพัง รับฟังเสียงจากภายนอก


 


“สิ่งเดียวที่ข้าทำได้คือหวังให้พวกเขาประสบความสำเร็จ ท้ายที่สุดนี้ ด้วยตัวข้าเพียงลำพังน่ะมันไม่อาจช่วยเหลือผู้อื่นได้ หากมีข้าเพียงลำพัง ก็คงทำได้แค่เพียงเฝ้ารอวันสิ้นโลกที่กำลังจะมาถึงเท่านั้น” เขาถอนหายใจยาว


 


“จริงด้วยสิ โลกกำลังใกล้จะมาถึงจุดจบแล้ว” หมาดำเอ่ยงึมงำ


 


ทันใดนั้นกู่ฉิงซานก็พบว่าบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม มีสองบรรทัดเส้นแสงตัวอักษรสาดประกายขึ้น


 


“การผสานรวมกันระหว่างโลกมนุษย์และโลกปรภพกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น”


 


“ยิ่งไปกว่านั้น กำลังเสริมจากโลกปรภพก็ได้มาถึงแล้ว”


 


กู่ฉิงซานส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะถอนหายใจออกมาถึงครั้งหนึ่ง


 


ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักรปรภพหรืออาวุธปรภพ ก็มิอาจเผชิญหน้ากับเผ่ามารและอสูรกายที่มีจำนวนไร้ที่สิ้นสุดนี้ได้หรอก … ลำพังแค่พวกมันและเขา ย่อมมิอาจช่วยเหลือโลกใบนี้ได้


 


ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง!


 


เสียงเคาะดังกึกก้อง


 


อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้ ทุกคนกลับแสดงสีหน้าที่เผยถึงความสนใจออกมา


 


เพราะคราวนี้ เสียงมันดังมาจากประตูทางเข้าวิลล่า มิใช่มาจากความว่างเปล่า


 


ในหัวใจของกู่ฉิงซานตระหนักชัดว่าอาวุธจากปรภพได้มาถึงแล้ว


 


แต่เขาก็ยังไม่คิดจะเคลื่อนไหวใดๆในตอนนี้


 


เขาเหนื่อยล้า .. ทั้งคนทั้งร่างอ่อนแอ ความรู้สึกในแง่ลบต่างๆท่วมเข้ามาทับถมเขาจนหายใจไม่ออกราวกับกำลังจะจมน้ำตาย


 


เขาได้ทุ่มทั้งแรงและเวลาอย่างหนัก แต่สุดท้ายกลับต้องพบเจอกับผลลัพธ์เช่นนี้


 


ฉะนั้นตอนนี้ เขาจึงไม่ต้องการที่จะคิดอะไรเกี่ยวกับมัน ที่ต้องการก็เพียงแค่ปล่อยให้สมองของตัวเองได้ว่างเว้นเสียหน่อย


 


เขาหยิบขวดไวน์บนโต๊ะขึ้นมาและเทใส่แก้วของตัวเอง


 


“หือ?” ซางหยิงฮ่าวมองไปที่มัน


 


แล้วเจ้าตัวก็นิ่งค้างไปชั่วเวลาหนึ่ง


 


“ช่างมันเถอะ ไวน์ขวดนี้นับว่าคู่ควรแล้วที่จะดื่มให้กับวันสิ้นโลก”


 


ซางหยิงฮ่าวเดินเข้ามา เริ่มรินมันใส่แก้ว แล้วส่งให้กับทุกๆคน


 


ประธานาธิบดีรับแก้วไวน์มา “ขอบคุณสำหรับไวน์ ในช่วงเวลาสุดท้ายนี้ ฉันหวังว่าจะได้ตายลงท่ามกลางสนามรบไปพร้อมกันกับพวกเธอทุกๆคนนะ”


 


สมเด็จพระจักรพรรดินีเวโรน่ายกมันขึ้นดื่มจนหมดแก้วในอึกเดียวและกล่าวว่า “ส่วนข้า คาดหวังแค่เพียงขอให้ตนเองตกตายลงอย่างไม่เจ็บปวด”


 


กู่ฉิงซานยกแก้วขึ้นดื่มอีกครั้ง แต่เขามิได้เอ่ยอะไรออกมา


 


ขณะที่แอนนาเดินเข้ามาชนแก้วกับเขาแล้วยกดื่ม


 


“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็จะอยู่กับนายเสมอ” เธอเอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยน


 


ส่วนเย่เฟย์หยูยืนขึ้น และเปิดประตูเดินออกไป


 


แต่ไม่นานนนัก เขาก็รีบวิ่งกลับเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับความตื่นตระหนกที่เด่นชัดอยู่บนใบหน้า


 


“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรอ? นายคงจะแปลกใจสินะ พวกนั้นคืออาวุธและเครื่องจักรปรภพที่พึ่งมาถึงน่ะ วางใจเถอะ” กู่ฉิงซานเห็นถึงท่าทีของอีกฝ่าย จึงกล่าวอธิบายออกไป


 


“ไม่! ไม่ใช่แบบนั้น! ฉัน … ฉันว่านายควรจะออกมาดูเองนะ” เย่เฟย์หยูกล่าว “เป็นผู้หญิงล่ะ! ข้างนอกเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่นำคนจำนวนมาก มาก มาก มาก มาก มากๆๆๆ มาที่นี่และเธอบอกว่ามีสิ่งหนึ่งที่จะต้องมอบมันให้แก่นาย”


 


“ผู้หญิงอีกแล้ว?” แอนนาผุดลุกขึ้นยืนทันที


 


“ต้องการจะมอบสิ่งหนึ่งให้ฉัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยปากด้วยความประหลาดใจ


 


“อ่า เธอบอกว่าเธอมีนัดดวลกับนาย แต่ตอนนี้มันดูเหมือนว่าจะไม่มีโอกาสนั้นแล้ว”


 


นัดดวลงั้นหรอ …


 


วินาทีนั้นเอง สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนกลับกลายอย่างกระทันหัน เขาผุดลุกขึ้นทันใด และเดินตรงไปที่ประตู


 


ขณะที่แอนนาก็เดินติดตามเขาไปอย่างใกล้ชิด


 


พร้อมกับหมาดำที่ประกบติดอยู่ข้างหลังเธอ


 


ซางหยิงฮ่าวสังเกตเห็นว่าสีหน้าของกู่ฉิงซานมันผิดปกติ จึงตามออกไปด้วย


 


ส่วนประธานาธิบดีกับเวโรน่า ทั้งสองหันมามองกันวูบหนึ่งและตัดสินใจตามไปเช่นกัน


 


ทุกคนเดินตามกู่ฉิงซานออกไป เพื่อต้องการดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น


 


กู่ฉิงซานผลักประตูเปิดออก


 


เบื้องหน้าเขา คือหญิงสาวที่หน้าตาหมดจดงดงามที่ในมือข้างหนึ่งกำลังถือกระบี่ยาวอยู่


 


เป็นหญิงงามเผ่าอาชูร่า


 


คนตายทั้งเจ็ดกำลังปลดปล่อยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงออกมาโดยมีเธอเป็นหัวหอก พวกเขาทั้งหมดยืนอยู่ในพื้นที่โล่งกว้างหน้าประตู


 


กู่ฉิงซานกลายเป็นโง่งม


 


“ทำไมถึงมีคนเยอะมากมายขนาดนี้” ประธานาธิบดีเอ่ยเสียงกระซิบ


 


“พวกเขาคือคนตายน่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“ก็แล้วทำไมถึงมีมากแบบ … ”ซางหยิงฮ่าวเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ


 


เบื้องหลังผู้คุมนรกทั้งเจ็ด


 


บนภูเขา ฝูงชนอันไร้ที่สิ้นสุดกระจุกตัวกันอย่างหนาแน่น ลากยาวจากเขตภูเขาไปจนถึงพื้นที่ราบลุ่ม ข้ามผ่านแม่น้ำ ขยายกว้างไกลออกไปถึงเมืองหลวง … และทั้งหมดล้วนคือคนตาย!


 


พวกเขายืนนิ่งอยู่อย่างเงียบๆ


 


และกระจุกตัวกันปกคลุมไปตลอดทั้งโลก!


 


ในขณะนั้นเอง เสียงของเทพธิดากงเจิ้งก็ดังขึ้น “ใต้เท้า ดาวเคราะห์โลกยังคงขยายขนาดใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะในตอนนี้ จู่ๆก็มีคนตายนับล้านๆคนปรากฏตัวขึ้นปกคลุมไปตลอดทั้งโลก!”


 


กู่ฉิงซานนิ่งงันไปช่วงเวลาหนึ่งจึงได้สติกลับคืน


 


“พวกเจ้า — ไม่ใช่ว่าได้ไปเกิดใหม่กันแล้วหรอกหรือ?” เขาเอ่ยถาม


 


ผู้คุมนรกทั้งเจ็ด หันไปสบตากัน ข้ามองเจ้า เจ้ามองข้า


 


“ก็ข้าดันไปบังเอิญได้ยินมาว่าสงครามกำลังจะเริ่มต้นเสียก่อนน่ะซี” ชายชราเผ่ามนุษย์หัวเราะ


 


“มัน – ถึง – เวลา – ที่ -พวกเรา – จะ – แสดง – น้ำใจ”ยักษ์ทั้งสองเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหยาบกร้าน


 


“สู้กับพวกเผ่ามาร ที่กระทั่งคืนชีพก็ไม่สามารถทำได้น่ะ มันไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรหรอก” ชูร่าชายกล่าวดูถูกออกมา


 


“พวกเราจะแสดงให้เผ่ามารได้เห็นเอง ว่าหากคิดร้ายกับโลกมนุษย์ พวกมันจะพบกับจุดจบเช่นไร!” มนุษย์ปีศาจกล่าว


 


“ได้ยินมาว่าเนื้อเผ่ามารก็มีรสชาติไม่เลว ข้าเลยคิดว่าจะลิ้มลองมันดูเสียหน่อยก่อนที่จะออกเดินทางไปไกลแสนไกล” ราชันย์หมาป่ากล่าว


 


อาชูร่าหญิงเอ่ยปากออกมาด้วยรอยยิ้ม “พวกเราไม่คิดที่จะจากไปเฉยๆหรอกนะ”


 


“พอดีว่าพวกเรายังมีเวลาว่างเหลืออยู่อีกหลายชั่วโมงน่ะ”


 


ขณะกล่าว เธอก็ก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมกับคุกเข่าลงข้างหนึ่งลงเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน


 


พร้อมกับหยิบยื่นสิ่งหนึ่ง ชูสูงขึ้นเพื่อมอบให้กับกู่ฉิงซาน


 


ตัวก้านเป็นสีดำสนิท ขณะที่ส่วนหัวมีกะโหลกเขาแหลมติดอยู่ พร้อมกับรังสีหมอกทมิฬที่คดเคี้ยวไปมารอบตัวมัน


 


-ไม้เท้าแห่งการจองจำของราชาภูติ


 


ชูร่าหญิงได้นำไม้เท้าแห่งการจองจำมาให้แก่กู่ฉิงซาน


 


“ทำไมกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


ชูร่าหญิงเงยหน้าขึ้นมองเขา และเผยสีหน้าอ่อนโยนอันหาได้ยากยิ่งออกมา


 


“ท่านราชาภูติ ท่านได้ช่วยพวกเราเอาไว้ ตอนนี้พวกเราจึงไม่จำเป็นต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในนรกอีกต่อไปแล้ว แต่ขณะเดียวกัน พวกเราก็ยังไม่ต้องการที่จะรีบไปเกิดใหม่ทันทีเช่นกัน”


 


“แต่การยืดเวลาไม่ยอมไปเกิดใหม่ ไม่ยินยอมก้าวเข้าสู่สังสารวัฏ เลขบุญของพวกเจ้าจะค่อยๆถูกหักออกนะ” กู่ฉิงซานกล่าวเตือน


 


“เวลานั้นยังไม่มาถึง นอกจากนี้ วันสิ้นโลกก็กำลังกัดกร่อนตลอดทั้งหกโลกอย่างไม่รู้จบ และดูเหมือนว่า ก่อนที่พวกเราจะไปเกิดใหม่ ก็ยังสามารถได้รับบุญเพิ่มขึ้นได้อีกด้วย”


 


“ไม่เพียงแต่จะได้รับบุญเพิ่มขึ้น แถมยังสามารถสร้างหนี้ให้กับราชาภูติที่เราโปรดปราน ขว้างหินก้อนเดียวได้นกถึงสองตัวเช่นนี้ จะมีผู้ใดเล่าที่ปฏิเสธ?” ชูร่าหญิงยิ้ม


 


กู่ฉิงซานรับฟังอย่างเป็นเรื่องเป็นราว สีหน้าของเขาค่อยๆผ่อนคลายลงช้าๆ


 


“ท่านราชาภูติได้โปรดบัญชาพวกเราด้วย” ราชันย์หมาป่ากล่าว


 


“ … แต่เจ้าไม่อาจต่อกรกับอสูรกายได้ แม้กระทั่งข้าเองก็ไม่อาจต่อกรกับมันได้เช่นกัน” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ชูร่าหญิงกล่าว “พวกเราสามารถพิชิตชัยหอกหลากสีได้ – แถมยังไม่มีวันตาย ไม่ว่าอสูรกายจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่มันก็ยังด้อยกว่าหอกหลากสี ฉะนั้นพวกเราย่อมสามารถเอาชนะมันได้อย่างแน่นอน”


 


กู่ฉิงซานเงียบไป


 


เขาค่อยๆเอื้อมมือออกไปและรับไม้เท้าแห่งการจองจำมา


 


ขณะที่ชูร่าหญิงลุกขึ้นยืนและค่อยๆถอยกลับไป


 


กู่ฉิงซานยกไม้เท้าแห่งการจองจำขึ้น และหันไปเผชิญหน้ากับเหล่าคนตายทั้งหมด


 


เขาสูดหายใจเข้าลึกๆและใช้ไม้เท้าแห่งการจองจำเชื่อมต่อกับกองทัพคนตาย


 


“ข้าขอขอบคุณที่พว-”


 


แต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยประโยคหลังจนจบ เสียงของกู่ฉิงซานก็ถูกกลบไปด้วยเสียงคำรามจากทั่วทั้งโลกเสียก่อน


 


“ราชาภูติทรงพระเจริญ!”


 


“ราชาภูติทรงพระเจริญ!”


 


“ราชาภูติทรงพระเจริญ!”


 


เสียงสรรเสริญนี้ดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเสียงคำรนของฟ้าร้องสะเทือนไปทั่วผืนนภา , เสียงคำรามของคลื่นสึนามิซัดสาดสั่นสะเทือนไปตลอดทั้งผืนพิภพ


 


คนตายทั้งหมดโห่ร้อง และเริ่มเปล่งเสียงสรรเสริญให้แก่กู่ฉิงซาน


 


พวกเขานี่แหละ —- คือกำลังเสริมจากปรภพล่ะ!!!


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.424 – อร่อย!


 


บนท้องฟ้า อสูรกายตัวใหญ่ยักษ์เปล่งเสียงคำรามสั่นสะเทือนทั้งสวรรค์และโลก


 


มันเป็นงูดำที่มีสามหัว ตลอดทั้งสามหัวลุกไหม้ไปด้วยเปลวเพลิงสีเขียว ขณะที่ร่างของมันแข็งแกร่งใหญ่โต กินพื้นที่ปกคลุมไปเกือบทั่วน่านฟ้าบริเวณนี้


 


แต่ละหัวของมันมีรูปร่างแตกต่างกัน หนึ่งเป็นแค่หัวกะโหลก หนึ่งเป็นหัวแกะ สุดท้ายเป็นหัวของผู้หญิง


 


เปลวไฟสีเขียวลอยวนอยู่รอบๆตัวมัน ขณะที่เผ่ามารตนอื่นๆหลีกเลี่ยงเว้นระยะไม่ไปอยู่ใกล้ และคอยเฝ้ามองมันอย่างระแวดระวัง


 


อสูรกายตนนี้แทบจะอดรนทนไม่ไหว เฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ


 


ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ในเมื่อมีศัตรูมากมายอยู่เบื้องล่าง –แล้วสิ่งที่มันต้องการจะทำน่ะหรือ?


 


ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการกระโจนลงไปกัดกินเนื้อหนังและจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตที่อยู่เบื้องล่างเป็นอาหารน่ะสิ!


 


อสูรกายเหวี่ยงหัวเขาแกะ ใช้ปลายเขาแหลมทั้งสองกระแทก! และทิ่มแทงอย่างรวดเร็ว ไปยังกำแพงอุปสรรคของโลกที่กำลังอ่อนแอ


 


ดูเหมือนว่ามันจะมีความสามารถพิเศษในด้านระบบมิติ เพราะทันทีที่ปลายเขาคู่ทิ่มแทงลงไป ก็บังเกิดระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นขึ้นบนเขาทั้งสองในพริบตา


 


ช่วงวินาทีต่อมา อสูรกายมารงูดำก็สามารถก้าวข้ามผ่านกำแพงอุปสรรค และปรากฏกายขึ้นภายใต้ท้องฟ้าโลกมนุษย์ได้ในที่สุด


 


ไม่ผิดแล้ว! เขาคู่ของมันมีความสามารถในการเจาะกำแพงอุปสรรคที่ใช้ป้องกันโลก!


 


ความสามารถอันน่าสะพรึงเช่นนี้ แม้กระทั่งในหมู่อสูรกายด้วยกันก็ยังนับว่าโดดเด่นยิ่ง


 


อสูรกายงูดำสามหัวจ้องมองดูเบื้องล่าง และขู่ฟ่อเสียงแสบหูออกมา


 


ผู้คุมนรกทั้งเจ็ดต่างพากันแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


ขณะที่ทุกสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะคนเป็นหรือคนตาย ก็ล้วนแหงนหน้ามองขึ้นไปพร้อมกัน


 


เห็นแค่เพียงอสูรกายสามหัวที่กำลังทิ้งตัวลงมายังเบื้องล่าง


 


มันคืออสูรกายตนแรกที่ตกลงมายังโลกมนุษย์!


 


รอบกายมัน ฟุ้งไปด้วยกลิ่นอายแข็งกร้าวอันแสนน่าหวาดกลัว!


 


หัวหญิงมนุษย์ซึ่งเป็นหนึ่งในสามหัวอสูรกายน้ำลายไหลหยดย้อย เธอเอ่ยอย่างตะกละตะกลามว่า “เนื้อคนเป็นๆสดๆ สมควรที่จะมาเติมเต็มอยู่ในท้องข้า!”


 


นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นการประกาศศักดา


 


มันกำลังจะบอกว่าตลอดทั้งโลก ช่วงเวลาแห่งการล่าสังหารได้มาถึงแล้ว!


 


แต่ชั่วขณะหนึ่ง แม้จะผ่านไปสักพักแล้ว แต่บนพื้นโลกกลับไม่มีใครส่งเสียงดังใดๆออกมา


 


กู่ฉิงซานที่ถือไม้เท้าแห่งการจองจำและกำลังเชื่อมต่อกับคนตายทุกคนได้เอ่ยออกมาว่า


 


“ทุกคนได้ยินไหม? มันบอกว่า … เนื้อคนเป็นสดๆล่ะ … ”


 


คิกๆ


 


ชูร่าหญิงหัวเราะออกมา


 


ขณะที่ผู้คุมนรกคนอื่นๆก็เริ่มหัวเราะตาม


 


เสียงหัวเราะราวกับเชื้อร้าย มันลุกลามราวกับไฟลามทุ่ง คนตายคนแล้วคนเล่าเริ่มที่จะพากันแหกปากหัวเราะออกมา


 


พวกเขาราวกับได้ยินถึงสิ่งที่น่าตลกที่สุด บ้างหัวเราะจนตัวงอไปบ้างหน้า บ้างหัวเราะเอนตัวไปข้างหลังจนหงายท้องตึง ขณะที่บ้างหัวเราะจนยกมือขึ้นตบหน้าอกตนเอง


 


“คนเป็นสินะ ฮ่าฮ่าฮ่า นอกไปจากราชาภูติ ก็ไม่มีใครอีกแล้วที่คือคนเป็น!”


 


“ท่านปู่คนนี้ยังไม่ได้ไปเกิดใหม่ ฉะนั้นท่านปู่คนนี้ก็ยังคือคนตาย!”


 


“เรื่องที่มันพูดช่างทำให้ท่านปู่ผู้นี้ขบขันเสียจริง!”


 


“สงสัยจะหิวจนเป็นบ้าไปแล้ว”


 


ในช่วงเวลานี้ ตลอดทั้งดาวเคราะห์โลกต่างก็กระหึ่มไปด้วยหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง


 


แต่เสียงหัวเราะก็หยุดลงอย่างรวดเร็ว


 


เพราะกู่ฉิงซานได้ส่งคลื่นความคิดของเขาผ่านไม้เท้าแห่งการจองจำที่ถืออยู่ไปยังเหล่าคนตาย


 


ในหัวใจของทุกคนตระหนักทราบถึงแผนการ


 


จากนั้น กู่ฉิงซานก็เริ่มลงมือทันที


 


เขาหายตัวไปในพริบตา และปรากฏขึ้นอีกครั้งบนพื้นที่ราบ


 


คนตายนับไม่ถ้วนที่เบียดเสียดแออัดกัน ต่างแยกตัวออกเป็นสองฟากฝั่ง เพื่อสร้างพื้นที่โล่งขนาดใหญ่ให้แก่ราชาภูติ


 


กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นบนท้องฟ้า สายตาจับจ้องไปยังอสูรกายสามหัวที่กำลังทิ้งตัวลงมาอย่างรวดเร็ว


 


“รีบร้อนนักใช่ไหม ฉันจะทำให้แกได้รู้จักและเพลิดเพลินไปกับสิ่งที่เรียกกันว่า ‘คำทักทายจากนรก’ เอง!”


 


เขาบ่นงึมงำ


 


และทันทีที่เสียงของเขาตกลง ทั้งคนทั้งร่างก็หายวับไปจากจุดนั้นทันที


 


สกิลเทวะ ร่างเงาแทนที่!


 


กู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งบนท้องฟ้าเบื้องบน ขณะที่พริบตานั้น อสูรกายสามหัวก็ได้ปรากฏตัวขึ้นบนพื้นดินอย่างกระทันหัน


 


อสูรกายสามหัวตะลึงงันไปครู่หนึ่ง


 


ชั่วเวลานั้นเอง คนตายนับไม่ถ้วนที่ดักรออยู่ทั้งสองฟากฝั่งก็ได้เผยอปากขึ้น อ้าคำรนส่งเสียงสะท้านไปทั่วฟ้า


 


“ฆ่า-มัน!”


 


พวกเขาโจนทะยานไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง ปีนป่ายไปตามร่างกายของอสูรกาย


 


บัดนี้! มันได้ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมอสูรกายที่กระจุกตัวเบียดเสียดกันอย่างหนาแน่น!


 


ด้วยปริมาณที่มหาศาล ส่งผลให้เพียงลมหายใจเดียว อสูรกายตนนั้นก็ถูกกลบฝังจนมิดด้วยเหล่าคนตายโดยสมบูรณ์


 


ก๊าซซซซ!


 


อสูรกายสามหัวโกรธจนคลั่ง มันระเบิดเสียงคำรามสะเทือนไปทั่วฟ้า


 


เปลวไฟสีเขียวอันน่าสยดสยองวิ่งผ่านไปรอบกายมัน


 


เปรี๊ยะ!


 


เหล่าคนตายทุกคนที่ปีนป่ายขึ้นไปบนร่างของมันถูกแผดเผาโดยสมบูรณ์


 


เพียงชั่วพริบตาเดียว อสูรกายสามหัวก็ได้สังหารคนตายไปแล้วกว่าหลายหมื่นหรืออาจจะถึงแสนคน!


 


“เป็นแค่มดปลวก อย่าริบังอาจมาสัมผัสตัวข้าให้เสียโฉม!”


 


หนึ่งในสามหัวอสูรกายที่เป็นหัวหญิงมนุษย์ได้ตะโกนออกมา


 


มันกลิ้งลงกับพื้นดิน และหมุนร่างขนาดใหญ่ที่ลุกท่วมด้วยเพลิงสีเขียว ม้วนตัวกวาดไปตลอดทั้งพื้นที่ราบ


 


ที่ซึ่งคนตายคนแล้วคนเล่ากระจุกตัวอยู่ที่นั่น


 


คราวนี้ คนตายนับล้านเสียชีวิตลงทันที


 


เมื่อกู่ฉิงซานเห็นถึงฉากนี้ เขาก็วาดไม้เท้าแห่งการจองจำออกไป


 


เขาเปิดใช้งานพลังของไม้เท้า ‘ต้นกำเนิดแห่งความตาย’


 


และต่อมา สิ่งที่คาดไม่ถึงก็บังเกิดขึ้น


 


บนพื้นที่ราบอันกว้างใหญ่ ร่างกายของคนตายนับล้านที่ถูกสังหารลง จู่ๆก็พลันลืมตาขึ้น


 


ก่อนที่คนตายเหล่านั้นผุดลุกขึ้นมาจากพื้นดิน


 


คนตายคนหนึ่งเอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “น่าแปลก เหตุใดข้าถึงไม่ถูกส่งกลับไปหลับไหล?”


 


เหล่าคนตายหันมาสบตากัน ข้ามองเจ้า เจ้ามองข้า และจู่ๆก็พลันตระหนักได้ถึงสิ่งหนึ่ง


 


ตนเองได้ฟื้นคืนชีพอีกครั้งในทันที!


 


นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร!?


 


ตามกฏของนรกแล้ว เดิมทีหลังจากที่คนตายเสียชีวิตลง พวกเขาจะต้องถูกส่งกลับไปยังนรกก่อนเป็นอันดับแรก จมหายไปในห้วงหลับไหล จึงจะสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อีกครั้ง


 


และนั่นก็เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาจะต้องได้รับการลงโทษทรมานจากนรกเสมอไป มิอาจหลีกเลี่ยงหลบหนีได้


 


ทว่าตอนนี้ เหล่าคนตายกลับสามารถฟื้นคืนชีพได้ในสถานทีเดียวกันกับตอนถูกตนสังหาร!


 


และสิ่งนี้มันแตกต่างจากกฏพันธนาการของนรกอย่างสิ้นเชิง!


 


ผู้คุมนรกทั้งเจ็ดก็ประหลาดใจเช่นกัน


 


แต่แล้วราชันย์หมาป่าก็ร้องออกมาในฉับพลัน “ข้าเข้าใจแล้ว!”


 


“ไหนลองว่ามาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น?” ชูร่าหญิงเอ่ยถาม


 


“พวกเราน่ะ ถึงแม้ว่าจะยังเป็นคนตายจากนรก แต่บาปของพวกเรานั้นได้หมดสิ้นลงไปแล้ว และกำลังจะได้ไปเกิดใหม่ในไม่ช้า!”


 


“เออ เรื่องนั้นใครๆก็รู้ แล้วมันยังไงต่อ?”


 


“ก็ในเมื่อบาปของพวกเราหมดสิ้นแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปถูกลงโทษทรมานในนรกอีกต่อไป ฉะนั้น เมื่อพวกเราฟื้นคืนชีพ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกลับไปยังนรกของตนอีกแล้วอย่างไรเล่า”


 


“แบบนี้มันก็หมายความว่า … ”


 


“ใช่แล้ว ตราบใดที่ราชาภูติใช้งาน ‘ต้นกำเนิดแห่งความตาย’ พวกเราที่ถูกสังหารลง ก็จะสามารฟื้นคืนชีพได้ในสถานที่เดียวกันทันที!”


 


เจ็ดผู้คุมนรกหันมามองกู่ฉิงซาน


 


กู่ฉิงซานยกไม้เท้าขึ้น ส่งสัญญาณกลับไป


 


“ทุกคนจงอย่าได้ลังเล ข้าจะเป็นคนปลุกพวกเจ้าให้ตื่นจากการหลับไหลเอง!” เขากล่าว


 


ชูร่าชายหัวเราะลั่น “ฮ่าฮ่าฮ่า นี่มันวิเศษไปเลย! ข้าไม่สนใจพวกเจ้าแล้ว ขอตัวไปเล่นสนุกกับอสูรกายก่อนก็แล้วกัน!”


 


เขาชักอาวุธตนออกมา และทะยานเข้าหาอสูรกายสามหัว


 


เป็นอมตะ


 


แถมทันทีที่ตาย ก็ยังฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้งในตำแหน่งเดิม


 


นี่มันนับว่าเป็นอำนาจอันยิ่งใหญ่ เหนือล้ำยิ่งกว่าทุกสิ่ง!


 


ไม้เท้าแห่งการจองจำ , บุญมหาศาลที่ได้รับ , กฏแห่งปรภพ , โลกทั้งสองเกิดการหลอม ในช่วงเวลาสั้นๆ สิ่งมหัศจรรย์ถือกำเกิดขึ้นมากมาย ทั้งหมดหลอมรวมเข้าด้วยกันกลายมาเป็นช่วงเวลาสุดแสนจะพิเศษนี้!


 


เหล่าคนตายเมื่อรู้ถึงความจริงข้อนี้ ทั้งหมดก็คลั่งไปแล้ว!


 


“ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ ต่อให้อสูรกายจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน แต่มันก็ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด!”


 


“แถมเปลวเพลิงของมันก็ใช่ว่าจะรุนแรงอะไรมากมายนัก เทียบกับความทุกข์ทรมานที่ได้รับจากนรกกระทะทองแดงไม่ได้ด้วยซ้ำ!”


 


“พวกเราเป็นอมตะ!”


 


“มาเถอะ! มาช่วยกันกำจัดเจ้าขยะชิ้นใหญ่นี่ซะ!”


 


พวกเขาตะโกนอย่างบ้าคลั่ง


 


คนตายอีกระลอกหนึ่งโร่พุ่งเข้าหาอสูรกายสามหัว


 


พวกเขากระโจนเข้าหาร่างใหญ่ของอสูรกายที่ยังคงม้วนกลิ้งตัวไปมา ง้างอาวุธประจำตัวของตน สับ ตัด แทง ฉีกกัด -ทุ่มลงมืออย่างเต็มกำลัง


 


อสูรกายสามหัวบัดนี้ถูกรุมล้อมโดยฝูงคนตายที่กระจุกตัวหนาแน่น


 


ในท้ายที่สุด กายมหึมาของเจ้าอสูรกายสามหัวก็ถูกปกคลุมจนมิด มิอาจมองเห็นถึงร่างของมันได้โดยสมบูรณ์


 


มองจากระยะไกล จะเห็นแค่เพียงร่างคนตายที่กองทับๆกันแน่นจนแลคล้ายภูเขา


 


ภูเขาที่กำลังเคลื่อนไหวคืบคลานอยู่ตลอดเวลา


 


ก๊าซซซซซ!


 


อสูรกายคำรามออกมา อ้าปากพ่นเปลวเพลิงสีเขียวแห่งความโกรธพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


มันพยายามสังหารฝูงคนตายด้วยกำลังทั้งหมดที่มี แต่กลับไม่มีคนตายคนใดสิ้นใจลงเลย


 


เปลวเพลิงยังคงแผดเผาอย่างต่อเนื่อง แต่คนตายก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทั้งๆที่ยังอยู่ในช่วงเวลาที่กำลังถูกแผดเผาก็ตามที


 


คนตายจำนวนหนึ่่งถูกสังหารลง ขณะที่อีกส่วนหนึ่งฟื้นคืนชีพ กล่าวได้ว่า ณ จุดๆนี้ ความตายมิอาจควบคุมพวกเขาได้อีกต่อไป!


 


พวกเขายอมเสียสละชีวิต เพื่อที่จะสังหารอสูรกายตนนี้


 


ทันใดนั้นเอง!


 


จ้าวอสูรร่างใหญ่ตนหนึ่งก็เงยหน้าขึ้นและตะโกนออกมาอย่างคลุ้มคลั่งว่า “อร่อย! อร่อยยิ่งนัก! เนื้อของอสูรกายช่างอร่อยเกินจะบรรยายเสียจริงๆ!”


 


เหล่าคนตายทั้งหมดชะงักงันในพริบตา


 


วินาทีต่อมา


 


ก็บังเกิดเสียงสะท้านที่สั่นสะเทือนไปทั้งผืนฟ้า ครอบคลุมไปตลอดทั้งผืนดินดังขึ้นจากพื้นที่ราบ


 


“ข้า-ต้องการ-กินมัน!!”


 


ฝูงคนตายเริ่มจะบ้าคลั่งมากขึ้น


 


ขณะที่อสูรกายสามหัวส่งเสียงร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว


 


หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ


 


เสียงหอนด้วยความหวาดกลัวก็แผ่วลง ๆ ๆ ๆ


 


จนในที่สุด เสียงที่ว่านั่นก็หายไป


 


บนพื้นที่ราบ เหล่าคนตายพากันแยกย้าย กระจายตัวออกไป


 


ขณะที่บริเวณดังกล่าว บัดนี้ทิ้งไว้เพียงร่างโครงกระดูกขนาดใหญ่ของอสูรกายสามหัวที่ยังหลงเหลืออยู่


 


“อร่อย!”


 


“โอชายิ่งนัก!”


 


“มันน่าเสียดายจริงๆที่ข้าจะต้องไปเกิดใหม่ในเร็วๆนี้ แต่กลับพึ่งได้เคยอิ่มเอมกับมื้ออาหารเลิศรส!”


 


คนตายตนแล้วตนเล่าได้สื่อสารกันผ่านกระแสความคิดที่ไม้เท้าแห่งการจองจำเป็นคนสร้างขึ้น


 


แต่– ยังมีคนตายอีกนับหมื่นนับแสนล้านคนที่ยังไม่ได้กินสิ่งใดเลย


 


แล้วต้องทำยังไงล่ะ?


 


ตลอดทั่วทุกมุมโลก ฝูงคนต่ายต่างแหงนต่างขึ้นไปมองเบื้องบนโดยไม่รู้ตัว


 


นั่นไงอาหาร!


 


อาหารอันโอชะ!


 


“ลงมาสิ!”


 


“จงลงมา!”


 


“ลงมา!”


 


เสียงของคนตายที่เต็มไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าโห่ร้องขึ้น


 


ขณะที่บนท้องฟ้า เสียงคำรามของเผ่ามารกลับค่อยๆแผ่วลง


 


นั่นเพราะเผ่ามารบางส่วนก็ได้คอยเฝ้ามองดูการเคลื่อนไหวของสถานการณ์เบื้องล่างอยู่เช่นกัน


 


ในฐานะที่ตนเป็นอาวุธสงครามที่ได้ต่อสู้มาแล้วหลายโลก พวกมันจึงตระหนักชัดว่าสิ่งมีชีวิตอันแสนยุ่งเหยิงเบื้องล่างนี้คือสิ่งใด


 


ตายแล้วฟื้น


 


ตายแล้วฟื้น


 


ตายแล้วฟื้น


 


ตายแล้วฟื้น


 


-ในตลอดทั้งหกโลก โลกปรภพนับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่เลวร้ายที่สุด!


 


และตอนนี้ พวกคนตายก็ไม่จำเป็นต้องหลับไหลอีกต่อไป แต่กลับสามารถฟื้นคืนชีพในสถานที่เดียวกันได้เลยโดยตรง!


 


ความตื่นเต้น กระตือรือร้นที่จะต่อสู้ของพวกมันจึงได้ถดถอยลงไป


 


ขณะที่พวกมันบางตนเริ่มตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจ


 


เดิมที พวกมันแค่ต้องการที่จะเฝ้ารอจนกระทั่งกำแพงแห่งอุปสรรคของโลกพังทลายลง จากนั้นก็ปรี่ลงไปล่าสังหาร กลืนกินอาหารแสนอร่อย


 


แต่ในเวลานี้ … ดูเหมือนว่าจะกลับกลายเป็นพวกมันเสียเองที่กลายเป็นผู้ถูกล่า


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.425 – อสูรกายได้จากไป


 


ตลอดทั่วทุกมุมโลก


 


คนตายนับล้านล้านคนต่างพากันเงยหน้าขึ้นด้วยความคาดหวัง


 


ขณะนั้นเอง หนึ่งในพื้นที่บางส่วนของทะเลทรายในอาณาเขตของสหพันธรัฐ รัฐบาลกลางได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น


 


กำแพงที่เปรียบดั่งเกราะคอยป้องกันโลกได้หายวับไป


 


บนท้องฟ้า เผ่ามารนับหลายสิบหลายร้อยพลันร่วงหล่นลงมาทันที


 


ขณะที่เหล่าคนตายในทะเลทรายต่างก็เฝ้ารอมาเป็นระยะเวลานาน


 


เมื่อพวกเขาตระหนักได้ถึงการกระเพื่อมของอากาศบนท้องฟ้า เหล่าคนตายก็กระโจนขึ้นทับๆๆๆกัน ก่อกำเนิดภูเขาคนตายขนาดมหึหา ทุกตนล้วนแก่งแย่งกันปีนป่ายขึ้นไปบนยอดสุดเพื่อที่จะได้ลิ้มชิมรสชาติเนื้อมารก่อนเป็นตนแรก


 


เผ่ามารหลายสิบหลายร้อยตนที่ร่วงตกลงมา ยังไม่ทันจะได้ตกถึงพื้น เลือดเนื้อของพวกมันก็ถูกกัดกินจนสิ้นเหลือแต่กระดูกซะก่อน


 


ส่วนคนตายที่ลิ้นยังมิได้สัมผัสรสชาติเนื้อของเผ่ามารต่างก็แสดงออกถึงความเสียใจออกมา


 


ทุกตนต่างพากันแหงนหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า


 


และเฝ้ารอ


 


คนตายยังคงรอต่อไป


 


อย่างไรก็ตาม เห็นแค่เพียงเหล่าราชันย์สุนัขแทรกตัวผ่านคนอื่นๆและตรงมาที่กระดูกหลายสิบหลายร้อยของเผ่ามาร


 


“นั่นเจ้ากำลังจะทำอะไรน่ะ?” คนตายคนอื่นๆที่เห็นฉากนี้อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม


 


เหล่าราชันย์สุนัขหัวเราะหยัน “เจ้าพวกบ้าเอ๊ย สิ่งที่อร่อยจริงน่ะ – มันคือกระดูกต่างหาก!”


 


ว่าจบ พวกเขาก็วิ่งขึ้นไปในกองภูเขาคนตาย และกระโจนเข้างับโครงกระดูกของเผ่ามารที่ไม่มีใครสนใจ


 


ตามมาด้วยเสียงกัดแทะและดูดจ๊วบๆของกระดูกดังขึ้นมาบ้างเป็นครั้งคราว


 


ไม่นานนัก


 


กำแพงอุปสรรคอันเปราะบางก็เกิดรูรั่วไหลอีกครั้ง คราวนี้เป็นเผ่ามารนับร้อยนับพันตัว


 


เหล่าคนตายเมื่อได้เห็นฉากนี้ สีหน้าของพวกเขาต่างก็เผยถึงความปิติ


 


ราวกับกระแสลมกรรโชกที่พัดผ่าน เหล่าเผ่ามารนับร้อยพันที่ยังคงทิ้งดิ่งอยู่กลางอากาศถูกกวาดกินจนเกลี้ยง!


 


และคราวนี้ไม่มีหลงเหลือกระทั่งกระดูก


 


ขณะที่หนึ่งในบรรดาคนตาย มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก


 


‘เหตุใดกันนะ เผ่ามารที่ข้าคว้าจับกิน … มันถึงได้ไม่อร่อยเลย!’


 


ณ รัฐบาลกลาง


 


บริเวณชานเมืองหลวง


 


บนภูเขาก่อนจะถึงพื้นที่ราบ


 


ชูร่าชายหายเข้าไปผสมโรงในพื้นที่ราบแล้ว ดังนั้นเวลานี้จึงเหลือแค่เพียง หกผู้คุมนรก


 


พวกเขาหันมามองหน้ากันและกัน ขณะที่เห็นถึงความนัยที่แฝงอยู่ในแววตาของอีกฝ่าย


 


“ท่านราชาภูติ ก่อนที่จะต้องกลับไปเกิดใหม่ พวกเรายังอยากที่จะต่อสู้อีกสักครั้ง”


 


“ไปเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


เมื่อได้รับอนุญาต หกผู้คุมนรกก็กระจายตัวกันไปคนละทิศทางอย่างรวดเร็ว


 


กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น และเฝ้าสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงบนท้องฟ้า


 


—กำแพงอุปสรรคยังไม่ได้หายไปทั้งหมด


 


แม้ในวินาทีสุดท้ายของการพังทลายจะมาถึงในเร็วๆนี้ กำแพงอุปสรรคก็ยังพยายามที่จะขัดขวางการรุกรานของเผ่ามารอย่างถึงที่สุด


 


จริงๆแล้วเจ้าสิ่งนี้ ช่างเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมจริงๆ


 


สถานะของกำแพงอุปสรรค แม้ตอนนี้จะเปรียบดั่งหลอดไฟที่ติดๆดับๆ ดีบ้างไม่ดีบ้าง และบางครั้งก็สูญเสียประสิทธิภาพในบางช่วงเวลา


 


ทว่าภายในระยะเวลาหนึ่งชั่วโมง กำแพงอุปสรรคก็ยังมิได้หายไปโดยสมบูรณ์


 


ในระหว่างหนึ่งชั่วโมง มีเพียงแค่เผ่ามารเป็นกลุ่มก้อนเท่านั้นที่ตกลงเข้าสู่โลกมนุษย์อย่างต่อเนื่อง –มิใช่ลงมาพร้อมกันระลอกเดียวทั้งหมด


 


อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเผ่ามารนับหลายร้อย พัน หรือมากกว่าหมื่นได้ฝ่ากำแพงอุปสรรคเข้าสู่โลกได้ก็ตามที


 


-ทว่าเบื้องล่างของพวกมัน คือคนตายที่มีจำนวนมากกว่าล้านล้าน!


 


เหล่าคนตายเงยหน้าขึ้น และเฝ้ารออาหารของพวกเขาเป็นเวลานาน


 


สำหรับมื้อสุดท้ายในเส้นทางแห่งปรภพ เหล่าคนตายจึงมุ่งมั่นที่จะสร้างความทรงจำโดยการลิ้มลองอาหารอันน่าประทับใจนี้


 


ตลอดทั้งดาวเคราะห์โลก ได้ยินเพียงแค่เสียงของคนตายที่โห่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น


 


และนั่นเป็นอีกครั้งที่เผ่ามารกลุ่มหนึ่งรั่วไหลเข้ามา


 


เหล่าคนตายปรี่เข้าไปแก่งแย่งชิ้นเนื้อดั่งฝูงมดอดอาหารที่กำลังคลุ้มคลั่ง!


 


และการกินอาหารมื้อใหญ่นี้ ก็ดำเนินต่อไปอีกครึ่งราวๆชั่วโมง


 


ในที่สุด เผ่ามารบางตนที่มีภูมิปัญญา และเหล่าอสูรกายก็ทยอยกันจากไป


 


พวกมันได้จากไป ละทิ้งเจตนาฆ่าและความอยากอาหารไปโดยสิ้นเชิง


 


หากต้องเผชิญหน้ากับการดำรงอยู่ที่มิอาจตายลงได้ สงครามก็นับว่าเป็นเพียงสิ่งไร้สาระ!


 


ตราบใดที่เข้าสู่โลกเบื้องล่าง แม้ว่าตนจะทรงอำนาจเพียงใดก็ตาม , แม้ว่าจะสามารถสังหารคนตายได้เป็นจำนวนมาก แต่สุดท้าย อำนาจของพวกมันก็จะถดถอยและกลายเป็นอาหารของพวกคนตายอยู่ดี


 


และต่อให้พวกมันมีความสามารถมากพอที่จะทำให้ตนเองไม่ถูกกิน แต่สิ่งที่ต้องเผชิญก็คงไม่พ้นการต่อสู้อันยาวนาน


 


และการต่อสู้ที่ยาวนานที่ว่า ก็ไม่สามารถสังหารหรือลดปริมาณศัตรูลงได้เลย!


 


ทุกอย่างที่ทำไปก็คงจะไร้ความหมาย


 


เมื่อหนึ่งอสูรกายได้จากไป ตนอื่นๆก็เริ่มปฏิบัติตามอย่างไม่ลังเล


 


ขณะที่ยักษ์เผ่ามารบางตนก็ได้ติดตามกลุ่มก่อนหน้า พากันละทิ้งโลกมนุษย์และจากไป


 


ต่อมาก็เผ่ามารที่ทรงพลังและที่มีมันสมองที่ดี ที่ทยอยกันจากไป


 


บนท้องฟ้า บัดนี้ร่างเงาของเผ่ามารเริ่มจะเบาบางลง


 


ซึ่งเผ่ามารที่ยังหลงเหลืออยู่นี้ ล้วนเป็นพวกที่ไม่มีสติปัญญา มีสถานะต่ำต้อย ไร้อารมณ์ความรู้สึก และมีเพียงความกระหายเลือดเท่านั้น


 


ผ่านพ้นไปอีกราวๆ 20 นาที


 


กำแพงอุปสรรคที่คอยป้องกันโลกก็สลายไปโดยสมบูรณ์


 


เผ่ามารที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วท้องฟ้าร่วงตกลงมา


 


ตามด้วยเสียงโห่ร้องของคนตายที่ดังสะท้านราวกับภูเขาไฟระเบิด!


 


งานฉลองกินดื่มครั้งใหญ่ — ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว!


 


………


 


กู่ฉิงซานมองลงไปจากภูเขา


 


เห็นแค่เพียงงานฉลองของคนตายยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง


 


“เทพธิดากงเจิ้ง ตอนนี้ทั่วทุกมุมโลกเป็นยังไงบ้าง?”


 


“มีเผ่ามารอยู่จำนวนไม่น้อยที่สามารถทำอันตรายต่อคนเป็นได้ แต่ไม่นานนัก พวกมันก็ถูกกำจัดโดยเหล่าคนตายอย่างรวดเร็ว ขณะที่เผ่ามารส่วนใหญ่ได้ถูกฆ่าตายไปแล้วโดยสมบูรณ์”


 


กู่ฉิงซานก้มลงไปมองเวลา


 


กว่ากำแพงอุปสรรคที่คอยปกป้องโลกจะกำเนิดขึ้นอีกครั้ง ก็อีกราวๆห้าชั่วโมง


 


กู่ฉิงซานกุมไม้เท้าแห่งการจองจำและเอ่ยถาม “พวกเจ้ายังมีเวลาเหลือกันอยู่อีกเท่าไหร่?”


 


“ถ้าให้เดาจากความรู้สึก ก็น่าจะประมาณห้าชั่วโมงล่ะมั้ง” ชูร่าหญิงกล่าว


 


ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มประหม่า


 


หากช่วงเวลาแห่งการถือกำเนิดใหม่ของคนตายได้มาถึงก่อนเวลาอันควร และกำแพงอุปสรรคที่ใช้ป้องกันโลกยังไม่เปิดออกแล้วล่ะก็ โลกทั้งใบก็จะตกอยู่ในสถานะไร้ซึ่งการป้องกัน


 


เขาจึงรีบเรียกฝูงชนเข้ามาเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ทันที


 


ประธานาธิบดีกล่าวว่า “กุญแจสำคัญในตอนนี้ก็คือ ต้องวัดใจว่าคนตายจะสามารถให้ความช่วยเหลือโลกใบนี้ได้จนกระทั่งถึงช่วงเวลาที่กำแพงอุปสรรคใหม่จะถือกำเนิดขึ้นโดยสมบูรณ์ได้รึเปล่าสินะ”


 


“ในกรณีที่คนตายได้จากไปก่อน ทั้งๆที่กำแพงอุปสรรคโลกยังไม่ได้ถือกำเนิดขึ้น บางที่พวกอสูรกายเหล่านั้นอาจจะกลับมาทันทีเลยก็ได้” กู่ฉิงซานกล่าว


 


แอนนาประกบสองมือของเธอเข้าด้วยกัน สวดอ้อนวอนอธิษฐาน “ขอท่านเทพสวรรค์จงอวยพรให้กำแพงอุปสรรคที่คอยค้ำจุนโลกบังเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ก่อนที่การถือกำเนิดใหม่ของคนตายจะเกิดขึ้นด้วยเถิด”


 


หมาดำกล่าวกระซิบ “ไม่ใช่ว่าเทพสวรรค์ที่เจ้าเอ่ยถึงพึ่งจะหนีไปยังโลกอื่นแล้วหรอกหรือ”


 


แอนนาเปลี่ยนคำพูดของเธอทันควัน “ฉันกำลังอธิษฐานกับท่านเทพแห่งความตายตะหาก”


 


พอได้ฟัง หมาก็ตอบรับด้วยความพึงพอใจ “งั้นก็แล้วไป”


 


“-ตอนนี้พวกเราคงทำได้แค่เฝ้ารอ” เย่เฟย์หยูเอ่ยด้วยสีหน้าซับซ้อน “มันเป็นความรู้สึกที่ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าจู่ๆ โลกของฉันจะได้รับการช่วยเหลือจากพวกคนบาปแบบนี้”


 


กู่ฉิงซานตบไหล่เขาและกล่าว “งั้นก็พยายามฝึกยุทธต่อไปให้ดีล่ะ เพราะต่อจากนี้ไปในอนาคต หน้าที่ช่วยเหลือโลก ก็จะตกมาเป็นของพวกเราแล้วนะ”


 


เย่เฟย์หยูพยักหน้าตอบรับอย่างหนักแน่น


 


เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างช้าๆ


 


นี่นับว่าเป็นห้าชั่วโมงที่ยาวนานที่สุดในความรู้สึกของกู่ฉิงซาน


 


ประธานาธิบดีแห่งรัฐบาลกลางและสมเด็จพระจักรพรรดินีเวโรน่าได้ทำการเชื่อมต่อกับประเทศต่างๆ และแจ้งปัญหาสำคัญๆให้พวกเขาทราบ ทั้งสองขอให้มนุษย์ทุกคนหลบซ่อนตัว และอย่าเปิดเผยตัวออกมา


 


ขณะที่เทพธิดากงเจิ้งทุ่มเวลาไปกับการสั่งการเครื่องจักรจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อทำการขนส่งคนตาย นำพาพวกเขาไปยังพื้นที่ที่เผ่ามารกำลังก่อความเสียหายร้ายแรงอยู่ตามลำดับ


 


ทุกสิ่งอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และยังคงดำเนินต่อไป


 


แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ก็ยังไม่อาจเปลี่ยนชะตากรรมของโลกได้


 


เพราะสุดท้ายแล้วชะตากรรมของโลกน่ะ มันจะขึ้นอยู่กับเวลาของเหล่าคนตายที่กำลังจะกลับไปเกิดใหม่และกำแพงอุปสรรคแห่งโลกได้เปิดขึ้น


 


ขอเพียงกำแพงอุปสรรคเปิด และคนตายยังไม่จากไป หรือทั้งสองเหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมๆกัน พวกเขา -โลกมนุษย์ก็จะไม่มีปัญหาใดๆ


 


มิฉะนั้นแล้ว หากอสูรกายตระหนักถึงความผิดปกตินี้ พวกมันก็จะกลับมา และโลกก็มีแนวโน้มที่จะพินาศสิ้น


 


นี่นับว่าเป็นการเฝ้ารออย่างกระวนกระวายใจโดยแท้


 


เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างช้าๆ


 


กระทั่งมาถึงชั่วโมงสุดท้าย


 


ช่วงเวลาสำคัญที่สุดได้มาถึง


 


วิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานตกลงไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม


 


หนึ่งเส้นแสงตัวอักษรปรากฏขึ้นที่นั่น


 


“การหลอมรวมระหว่างสองโลกจะช่วยก่อร่างกำแพงอุปสรรคให้ถือกำเนิดขึ้นใหม่อีกครั้ง และกำแพงป้องกันจะเปิดขึ้นโดยอัตโนมัติหลังจาก 00.37.29นาที”


 


อีกสามสิบเจ็ดนาที กำแพงอุปสรรคใหม่ก็จะถูกสร้างขึ้น!


 


กู่ฉิงซานจ้องมองดูเวลา ก่อนจะเบนสายตามองไปมองนอกภูเขา


 


เหล่าคนตายยังคงอยู่ในสายตา


 


แต่ก็ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า


 


ทันใดนั้นเอง-


 


รังสีแสงอันไพศาลก็สาดออกไปทั่วฟ้า


 


แสงนี้เปรียบดั่งน้ำตก มันกวาดไปทั่วผืนฟ้า ขจรขจายไปอย่างต่อเนื่องในทุกทิศทาง


 


เหล่าคนตายที่ตกอยู่ภายใต้รังสีแสงนี้ ตนแล้วตนเหล่าได้เผยถึงสีหน้าตระหนักชัด


 


‘เวลาแห่งการถือกำเนิดใหม่ได้มาถึงแล้ว’


 


ตอนนี้ มันได้เวลาที่พวกเขาจะไปเกิดใหม่เสียที!


 


หากเป็นไปตามที่เครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคลกล่าวไว้ พวกเขาจะไม่สามารถอยู่ได้อีกต่อไป มิฉะนั้นก็จะถูกหักแต้มบุญไปเรื่อย และสุดท้ายก็จะถูกส่งจมกลับลงไปประสบความทุกข์ทรมานในนรกอีกครั้ง!


 


แต่ แต่ว่า!


 


กำแพงอุปสรรคของโลก กว่าจะกำเนิดขึ้นยังต้องใช้เวลาอีกกว่า37นาที 20วินาที!


 


ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ เหล่าคนตายกลับดันต้องถูกส่งกลับไปเกิดใหม่เสียแล้ว!


 


เวลานี้กำแพงอุปสรรคก็ยังไม่มี คนตายก็กำลังจะจากไป โลกทั้งใบจะตกอยู่ในสถานะไร้ซึ่งการปกปักษ์ใดๆ


 


โฮกกกกก!


 


ลึกขึ้นไปบนท้องฟ้า แน่นอนว่านี่ย่อมเป็นเสียงของอสูรกายอันน่าสะพรึงที่ปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง


 


พวกมันคำรามอย่างบ้าคลั่ง และเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อให้คนตายจากไป


 


36นาที 59 วินาที


 


นี่มันมากเกินไป นับว่าเป็นช่วงเวลาที่หมดสิ้นแล้วซึ่งความหวัง!


 


เมื่อคนตายไปเกิดใหม่ อสูรกายก็คงแทบจะไม่อาจเฝ้ารอได้แม้แต่เพียงวินาทีเดียว ทั้งหมดย่อมที่จะต้องกระโจนลงมาจากท้องฟ้าเบื้องบนเป็นแน่


 


และทันใดนั้นเอง เสียงหัวเราะอันคลุ้มคลั่งก็ปะทุขึ้นมาในหมู่คนตาย


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า ราชาภูติ ข้าเฝ้ารอเวลานี้มานานมาก นานมากแล้ว และในที่สุดมันก็มาถึงซะที!”


 


“เจ้าน่ะจบสิ้นแล้ว!”


 


ทุกคนเพ่งมองผ่านทางกระแสจิต และค้นพบว่าแท้จริงแล้วมันเป็นเสียงของมนุษย์ปีศาจหญิงซึ่งเป็นหนึ่งในสิบตัวตนสุดแกร่ง


 


เธอยิ้มออกมาอย่างสะใจ เปล่งกระแสเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิ “ข้าขอกล่าวอำลา ราชาภูติเอ๋ย ขอให้เจ้าและโลกของเจ้าจงถูกทำลายลงอย่างมีความสุข!”


 


ยามเมื่อเสียงนี้ตกลง มนุษย์ปีศาจหญิงก็หายไป


 


เธอได้กลับคืนสู่สังสารวัฏ —ไปเกิดใหม่แล้ว!


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.426 – ชีวิตใหม่


 


ด้วยการจากไปของมนุษย์ปีศาจหญิง ส่งผลให้เกิดความกระสับกระส่ายในหมู่คนตายมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ


 


เหล่าคนตายเริ่มที่จะถกเถียงกัน ในขณะที่ส่วนหนึ่งไม่ลังเลยเลยแม้แต่น้อยที่จะก้าวเข้าไปในม่านแสงอันไพศาลและหายวับไปทันที


 


ในเวลานั้นเอง สิบตัวตนสุดแกร่งก็ผุดลุกขึ้นและตะโกนเสียงดังว่า “พวกเจ้า! เหตุใดจึงยังอยู่ที่นี่กันอีก! เวลาแห่งการกำเนิดใหม่ได้มาถึงแล้ว หากยังดึงดันอยู่ที่นี่ เลขบุญที่มีก็จะถูกหักลงลดน้อยลงไปเรื่อยๆนะ!”


 


เขาตะคอกคำหนึ่ง “เครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคล!”


 


เห็นแค่เพียงตัวเลขบุญปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ และกำลังค่อยๆถดถอยไปด้วยความเร็วคงที่


 


“ทำไมจะต้องทำเพื่อคนเป็นด้วย? ทำไมจะต้องยอมเสียบุญของตัวเองเพื่อแลกเปลี่ยนกับชีวิตและความตายของพวกมัน?”


 


“พวกเจ้าทุกคนขอจงลองไตร่ตรองให้ดีด้วยเถอะ!”


 


ตัวตนสุดแกร่งกล่าวออกมา เขาหันไปมองกู่ฉิงซานด้วยรอยยิ้มจางๆ


 


“ท่านราชาภูติ ข้าคงต้องขออภัยด้วย ข้าคงจำเป็นต้องใส่ใจกับตนเองก่อนเป็นอันดับแรก”


 


ว่าจบ ร่างทั้งร่างของมันก็จมหายเข้าไปในม่านแสง ก้าวเข้าสู่กระบวนการถือกำเนิดใหม่ทันที


 


อีกสิบตัวตนสุดแกร่งที่เหลือก้าวออกมาข้างหน้า ปากอ้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “มีเพียงการทำลายล้างอันไร้ที่สิ้นสุดเท่านั้นจึงจะนำมาซึ่งความปิติแห่งข้า! ราชาภูติเอ๋ย ข้าขอขอบคุณเจ้ามากที่ทำให้ข้าได้ไปเกิดใหม่ เพื่อที่จะได้พบกับความสุขที่ว่านั่นอีกครั้ง!!”


 


“จงตายซะ! โลกมนุษย์จงถูกทำลายเสีย! นี่แหละคือฉากที่ข้ารักและใฝ่ฝันถึง”


 


“ข้าคงต้องขอตัวก่อน ส่วนเจ้าและมนุษย์ทั้งหลายน่ะ ตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรไปจาก ได้-ตาย-ไป-แล้ว!”


 


สิ้นเสียง พวกเขาก็หายเข้าไปในม่านแสงอันกว้างใหญ่ และมิอาจพบเจอได้อีกเลย


 


ตัวตนสุดแกร่งอีกหนึ่งร้องตะโกนขึ้น “พวกเจ้าทุกคนลองคิดดูสิ เมื่อเจ้าเลือกที่จะไปเกิดใหม่ตอนนี้ โลกมนุษย์ก็จะถูกทำลาย ลองคิดดูสิว่านี่มันเป็นจะเรื่องที่สะใจและน่ารื่นรมย์ขนาดไหน มาเถอะ จงมากับข้า!”


 


แล้วเขาก็หายไปในม่านแสง


 


เหล่าสิบตัวตนสุดแกร่งคนอื่นๆหัวเราะเยาะหยันกู่ฉิงซานและทยอยกันจากไป


 


พวกมันทั้งหมดได้จากไปแล้ว


 


หลังจากนั้น เหล่าคนตายมากมายต่างก็เริ่มทำสมาธิ และเปล่งเสียงออกมา “เครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคล”


 


และเมื่อพวกเขาค้นพบว่าเลขบุญของตนเองกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งตนทั้งร่างก็เผยให้เห็นถึงสีหน้าของความหวาดกลัวทันที


 


อย่างรวดเร็ว พวกเขาก็หายวับไปในม่านแสงทันที


 


ขณะที่คนบาปบางส่วนที่มีความคิดเห็นเช่นเดียวกับสิบตัวตนสุดแกร่ง ก็หันมายิ้มเยาะให้กู่ฉิงซาน แล้วก็กลับไปเกิดใหม่ทันที


 


ซึ่งเรื่องนี้ไม่อาจห้ามปรามได้


 


ไม้เท้าแห่งการจองจำไม่สามารถควบคุมคนตายได้อีกต่อไป


 


เพราะว่าเวลานี้ คนตายน่ะสามารถเลือกที่จะไปเกิดใหม่ได้ตลอดเวลา ดังนั้นขณะนี้จึงกล่าวได้ว่าพวกเขาได้ตัดการเชื่อมต่อระหว่างตนเองกับนรกออกจากกันแล้ว


 


กู่ฉิงซานส่ายหัว ในจิตใจรู้ดีว่าตนได้พ่ายแพ้ในเกมนี้เสียแล้ว


 


เขาหันไปเบื้องหลัง มองไปยังเหล่าสหายทีละคน ทีละคน และเตรียมจะเอ่ยปากสารภาพกับพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย


 


“เทพธิดากงเจิ้ง ปล่อยตัวอาวุธสงครามทั้งหมด เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสงครามเฮือกสุดท้าย”


 


“ท่านประธานาธิบดี ท่านกรุณาพิจารณาเรื่องการระดมกำลังระดับประเทศด้วย”


 


สองผู้นำพยักหน้า ถอนหายใจออกมา


 


กู่ฉิงซานเอ่ยต่อด้วยเสียงหม่น “จากนั้น พวกเร-”


 


“ใจเย็นๆก่อนสิ พวกเรายังมิได้จากไปเสียหน่อย!”


 


ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็เอ่ยขัดจังหวะเขา


 


ราชันย์หมาป่า


 


มันคือเสียงของราชันย์หมาป่าล่ะ!


 


กู่ฉิงซานชะงักไป


 


เขาเริ่มทำการสร้างการเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณอีกครั้งเพื่อดูคนตาย


 


แต่กลับพบว่าเจ็ดผู้คุมนรกยังคงอยู่ที่นี่ไม่จากไปไหน


 


ขณะที่เวลาได้ผ่านไปหลายนาทีแล้ว …


 


แน่นอน ว่ามีคนตายมากมายจากไปก่อนแล้วเพื่อที่จะไปเกิดใหม่


 


อย่างไรก็ตาม คนตายส่วนใหญ่ก็ยังคงอยู่ที่นี่


 


ในการเหนี่ยวนำกระแสจิตวิญญาณของไม้เท้าแห่งการจองจำ ค้นพบว่าคนตายกว่า 8 ใน 10 แม้ทั้งตนทั้งร่างของพวกเขาจะอาบอยู่ในม่านแสงอันไพศาลนี้


 


แต่พวกเขาก็ยังมิได้จากไป


 


กู่ฉิงซานกุมไม้เท้าแห่งการจองจำและทำการเชื่อมต่อกับคนตายทั้งหมด


 


“เหตุใดพวกเจ้าจึงยังไม่กลับไปเกิดใหม่อีก?”


 


เขาเอ่ยถามด้วยความสับสน


 


แต่คนตายส่วนใหญ่กลับยังคงปิดปากเงียบ


 


พวกเขาหันไปมองหน้ากันและกัน ดูเหมือนว่าจะไม่รู้ว่าสมควรตอบกลับไปเช่นไรดี


 


ชูร่าหญิงเชื่อมต่อกับทุกคนและกล่าวว่า “ท่านราชาภูติ โปรดมองมาที่ข้าสิ”


 


แล้วทุกคนก็เชื่อมต่อผ่านจิตใจ และมองไปตามคำขอที่ว่านั่น


 


เห็นแค่เพียงชูร่าหญิงกำลังยืนอยู่ในโถงทางเดินของโรงพยาบาล


 


ก่อนหน้านี้เจ็ดผู้คุมนรกแยกย้ายกระจัดกระจายกันไปตามสถานที่ต่างๆเพื่อที่จะต่อสู้สังหารเผ่ามาร ส่วนอาชูร่าหญิงพึ่งจะบินผ่านมายังที่นี่


 


ในช่วงเวลานั้น เผ่ามารจำนวนมหาศาลได้ร่วงตกลงมา ส่งผลให้โรงพยาบาลขนาดเล็กนี้พังทลายลงไปกว่าครึ่ง


 


เมื่อชูร่าหญิงค้นพบถึงสถานการณ์นี้โดยบังเอิญ เธอจึงลดระดับลงเพื่อเข้าต่อสู้กับเผ่ามารทันที


 


เธอกำลังปกป้องสถานที่แห่งนี้อยู่


 


มองไปยังชูร่าหญิงที่ยืนอยู่ในโถงทางเดินเปิดโล่ง ขณะที่ในมือกำลังถือทารกแรกเกิดไว้ในอ้อมแขน


 


สีหน้าของเธอได้แสดงออกถึงความอ่อนโยนออกมา


 


“นี่คือชีวิตใหม่ตัวน้อยๆอีกหนึ่งชีวิต”


 


เธอกล่าว ขณะที่คนตายทั้งหมดจ้องมองไปยังการปรากฏกายของเด็กทารก


 


ทารกเหมือนกับจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เด็กน้อยจึงหันไปมองรอบๆด้วยความสงสัย


 


แต่มันก็ย่อมเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ที่เขาจะไม่สามารถมองเห็นเหล่าวิญญาณนับไม่ถ้วนในความว่างเปล่าได้


 


หลังจากนั้นไม่นาน เด็กทารกก็รู้สึกเหนื่อยล้าและผลอยหลับไปอย่างรวดเร็ว


 


เหล่าคนตายอดไม่ได้ที่จะลดเสียงของพวกเขาลง และเอ่ยสนทนากับอย่างแผ่วเบา


 


“โอ .. แค่เฝ้ามองดูเจ้าสิ่งมีชีวิตนี้งีบหลับ แต่กลับให้ความรู้สึกสบายใจจริงๆ”


 


“สหายตัวน้อยผู้นี้ไม่ได้รับรู้เลยว่าโลกของตนกำลังจะถูกทำลาย”


 


“ไร้สาระหน่า เด็กตัวแค่นี้ จะไปเข้าใจเรื่องพวกนั้นได้ยังไงกัน”


 


“ถ้าโลกนี้จบสิ้น เด็กคนนี้ก็คงจะจบสิ้นลงเหมือนกันสินะ”


 


“ผายลมเถอะ! ท่านปู่คนนี้ยังอยู่ที่นี่แล้วโลกจะจบสิ้นลงได้อย่างไร!”


 


เหล่าคนตายเริ่มทะเลาะกัน


 


ชูร่าหญิงกล่าว “—ข้ามิได้ต้องการที่จะช่วยโลกหรืออะไรหรอกนะ แต่ข้ามาที่นี่เพียงเพื่อแค่ตอบแทนความช่วยเหลือของราชาภูติ เพราะจะได้รับบุญเพิ่มขึ้นกับได้รับความโปรดปรานจากเขาก็เท่านั้นเอง”


 


“แต่เมื่อครู่ ข้าได้บังเอิญค้นพบชีวิตใหม่”


 


“และข้าหวังว่าเด็กจะได้อยู่กับแม่ผู้ให้กำเนิด … ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน สร้างสรรสิ่งดีๆให้เกิดขึ้น”


 


ชูร่าหญิงกำลังกล่าวผ่านกระแสจิต


 


“ยังไงก็เถอะ ตัวข้าน่ะคุ้นเคยกับนรกอยู่แล้ว หากจะต้องกลับไปอีกครั้งมันก็คงจะไม่เป็นอะไรหรอก”


 


จู่ๆเธอก็เดินมายังทิศทางของกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยเสียงกระซิบ “ท่านราชาภูติ หากข้าจะต้องกลับลงสู่ขุมนรก ท่านจะสามารถช่วยข้าอีกครั้งได้หรือไม่?”


 


เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เสียงของคนตายทั้งหมดก็ได้หายไป


 


เงียบงัน


 


เหล่าคนตายกำลังเฝ้ารอคำตอบของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ


 


กู่ฉิงซานกำไม้เท้าแห่งการจองจำในมือแน่น “แม้ว่าจักต้องทำลายนรกทั้งหมด! ข้าก็จะต้องช่วยเจ้าออกมาให้ได้!”


 


ชูร่าหญิงพยักหน้า ท่าทีการแสดงออกของเธอผ่อนคลายลง


 


แล้วเธอก็เอ่ยถามออกมาทันใด “แล้วคนอื่นๆเล่า พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร พวกเจ้าเดิมทีก็เป็นคนบาปในนรก แล้วเหตุใดจึงยังคงอยู่ที่นี่อีก?”‘


 


คนตายทั้งหมดต่างพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ทว่าไม่มีใครเลยที่พูดคุยในรูปแบบการเชื่อมต่อกับทุกคนเลย


 


ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรดี


 


“ในสนามรบ ข้ายอมรับว่าตนเองได้สังหารผู้คนไปนับไม่ถ้วน ผลคือในชีวิตที่ผ่านมา ตนได้กลายเป็นคนบาป และข้าก็ยอมรับในจุดนี้” ชูร่าชายเอ่ยพึมพำ “ทว่า หากข้าจะต้องจากไปตอนนี้ บอกตรงๆว่าข้าคงรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย”


 


ราชันย์หมาป่าเอ่ยออกมา “หากข้าและพวกเจ้าไปจากที่นี่ เช่นนั้นแล้วชีวิตนับร้อยนับพันล้านที่นี่จะต้องพินาศสิ้นลงทันที … นี่มันช่างน่าลังเลเสียจริงๆ”


 


“ถึงแม้ว่าช่วงเวลาที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ครั้งหนึ่งข้าจะได้สังหารศัตรูมานับอนันต์ แต่ตอนนี้ นับเป็นครั้งแรกเลยที่ข้าได้เห็นตรงกับพวกเจ้าทุกคน”


 


เหล่าคนตายเผลอพยักหน้าออกมาโดยไม่รู้ตัว


 


“ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมเจ้าถึงไม่ไปเกิดใหม่ซะล่ะ” ชูร่าหญิงเอ่ยถาม


 


“หากทำเช่นนั้น ข้าคงต้องคิดหนักเกี่ยวกับคำถามที่ว่า ‘แล้วคนเป็นเหล่านี้จะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้อย่างไร’ ปล่อยให้พวกเขาอยู่ท่ามกลามเผ่ามารนับไม่ถ้วนเนี่ยนะ?” ราชันย์หมาป่ากล่าว


 


“เจ้ายังต้องคิดเกี่ยวกับมันอีกหรือ? รู้หรือไม่ว่าแต่ละนาทีที่เจ้ากำลังขบคิด เลขบุญของเจ้าก็กำลังลดลงไปเรื่อยๆนะ”


 


ผู้นำของมนุษย์ปีศาจเอ่ยขัด


 


ในตอนนั้นเอง จู่ๆเสียงร่ำไห้ของทารกก็ดังขึ้น


 


ทุกคนต่างมองมาเป็นสายตาเดียว


 


แต่กลับเห็นแค่เพียงชูร่าหญิงที่รีบนำตัวทารกน้อย ส่งกลับคืนสู่มนุษย์ผู้หญิง


 


มนุษย์ผู้หญิงส่งยิ้มให้เธอ


 


มีชูร่าหญิงคอยปกป้องเธอและทารกน้อยอยู่ ดังนั้นมนุษย์ผู้หญิงจึงไม่หวาดกลัวใดๆเลย


 


เธอไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าอีกฝ่ายน่ะคือคนตาย และเผ่าอาชูร่ามิใช่มนุษย์ รู้เพียงแค่ว่าหญิงงามตรงหน้าเธอแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งก็เท่านั้น


 


ในตอนแรก ผู้หญิงที่ดูเหมือนว่าจะเป็นแม่คนจะเต็มไปด้วยความกังวลและตึงเครียด


 


แต่เธอก็ยังคงอุ้มทารกไว้ในอ้อมแขน และปากเอ่ยกระซิบปลอบประโลมอย่างแผ่วเบา


 


ทารกดูเหมือนว่าจะหิว


 


แม่ก้มลงมองลูกน้อยของเธอ ก่อนจะหันหลังและเริ่มให้นมลูก


 


และแน่นอน ขณะนี้แหละคนตายก็ยังสามารถเห็นถึงสีหน้าการแสดงออกของเธอได้อย่างชัดเจน


 


เธอดูสงบ และพึงพอใจ บนใบหน้าของแม่คนๆนี้กำลังเปล่งประกายระยับ น่าหลงไหล


 


เหล่าคนตายจ้องมองมาที่ฉากนี้


 


เวลายังคงไหลผ่านไป ทว่าคนตายทุกคนที่ยังไม่จากไปกลับยังคงเงียบ


 


ราชันย์หมาป่าถอนหายใจออกมาทันใด “นี่มันน่าปวดหัวเสียจริงๆ ในเมื่อตัดสินใจไม่ได้ซักทีว่าจะอยู่หรือจะไป เช่นนั้นก็ขอให้ท่านผู้นำเป็นคนตัดสินใจแทนก็แล้วกัน”


 


“เจ้าต้องการเวลาอีกนานแค่ไหน?”


 


“ราชาภูติ อีกนานแค่ไหนว่ากำแพงอุปสรรคที่ใช้ป้องกันโลกจะถือกำเนิดขึ้น?”


 


กู่ฉิงซานกล่าว “29นาที 17 วินาที”


 


ราชันย์หมาป่าพยักหน้า “อีก29.17นาทีสินะ งั้นก็ดี”


 


หลังจากพูดจบ เขาก็หุบปากลง


 


ขณะที่กระแสจิตที่เชื่อมต่อกันระหว่างคนตายนับล้านๆจมลงสู่ความเงียบ


 


ไม่มีใครเอ่ยสิ่งใด


 


นอกจากนี้


 


ก็ยังไม่มีใครจากไปอีกด้วย


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.427 – การต่อสู้ครั้งสุดท้าย


 


บนท้องฟ้า


 


แสงอันไพศาลได้กวาดข้ามโลกทั้งใบ ราวกับสายน้ำที่ตกลงสู่พื้นโลก


 


รังสีแสงอันงดงามนี้คือกฏเกณฑ์จากโลกปรภพ


 


มันคือแสงที่จะเป็นตัวนำพาคนตายนับล้านๆคนไปเกิดใหม่


 


ตามแรงกรรมจากในอดีตชาติของคนตาย คนตายทั้งหมดจะถูกส่งไปเกิดใหม่ในหกวิถีแห่งสังสารวัฏอื่นๆอีกห้าโลก


 


สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ได้ไปเกิดใหม่ จะปรากฏขึ้นในโลกที่เกินกว่าขอบเขตของมนุษย์จะจินตนาการได้


 


หากไปเกิดใหม่อีกครั้งในอาณาจักรสวรรค์ ก็อาจจะเป็นการถือกำเนิดขึ้นจากดอกบัว บ้างก็ก่อร่างสร้างกายขึ้นจากสายลมสีทอง ขณะที่บ้างก็ถือกำเนิดขึ้นจากผลที่ร่วงหล่นลงมาจากต้นไม้ดึกดำบรรพ์


 


หากไปเกิดใหม่อีกครั้งในอาณาจักรของอาชูร่าทั้งสี่เผ่าพันธุ์ ก็อาจจะเป็นการถือกำเนิดขึ้นจากพวกน้ำ บ้างก็ไฟ บ้างก็ทอง บ้างก็จากดอกไม้


 


กล่าวได้ว่าโลกสวรรค์กับโลกอาชูร่าน่ะ เป็นโลกชั้นสูงหากนับจากในบรรดาหกวิถี


 


ในขณะที่หากคนตายถูกส่งไปเกิดใหม่อีกครั้งในโลกจ้าวอสูรหรือผีร้าย มันก็จะคล้ายคลึงกับการไปถือกำเนิดใหม่ในโลกมนุษย์ ซึ่งแน่นอนว่าจะมีลักษณะแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็น สรีระ สีผิว ความนึกคิด สถานะ ฯลฯ


 


แถมขณะนี้ โลกปรภพและโลกมนุษย์ก็ยังเกิดการผสานรวมกันอย่างรุนแรง


 


กฏแห่งการถือกำเนิดใหม่จึงปรากฏออกมาในรูปแบบของประกายเจิดจรัส มันแขวนอยู่บนฟากฟ้าราวกับม่านแสง โอบอุ้มทุกคนตายเอาไว้


 


แต่ภายใต้ท้องฟ้าที่กำลังสาดรังสีแสงนี้ คนตายกลับยังมิได้จากไป


 


พวกเขายังคงเฝ้ารอให้กำแพงอุปสรรคที่ใช้ป้องกันโลกถือกำเนิดขึ้น


 


โลกใหม่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า


 


เหนือท้องฟ้าเบื้องบน เผ่ามารนับไม่ถ้วนเปล่งเสียงร้องด้วยความกระวนกระวาย แม้กระทั่งอสูรกายก็ยังเฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ


 


ขณะที่ท้องฟ้าเบื้องล่าง มีเพียงแค่ความเงียบ


 


คนตายนับล้านล้านกำลังจดจ้องแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความระแวดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้เผ่ามารตนใดย่างกรายเข้ามา


 


กู่ฉิงซานเชื่อมต่อกับเทพธิดากงเจิ้ง เขาขอให้เธอเปิดม่านแสงนับสิบๆเรียงติดต่อกันเพื่อบันทึกทุกรูปแบบของเผ่ามารที่ปรากฏขึ้นทั้งหมดโดยเร็วที่สุด


 


นี่นับว่าเป็นครั้งแรกเลยที่มนุษย์ได้เผชิญกับเผ่ามารในระยะประชิด


 


รูปร่าง ลักษณะ ประเภท และแม้กระทั่งนิสัยหรือพฤติกรรมของพวกมาร ก็ล้วนแล้วแต่เป็นข้อมูลอันทรงคุณค่าในอนาคต!


 


กู่ฉิงซานจ้องจอม่านแสงตาไม่กระพริบเป็นเวลามานานกว่าสิบนาที


 


ในที่สุด เขาก็ถอนหายใจบรรเทาความตึงเครียดออกมา


 


-โชคดีจริงๆ ที่ไม่มี ‘อสูรกายที่แท้จริง’ อยู่ที่นี่


 


บางทีมันอาจจะเป็นเพราะโลกมนุษย์น่ะอ่อนแอเกินไป ดังนั้นอสูรกายที่มาเยือน ทั้งหมดจึงเป็นอสูรกายดัดแปลง


 


อสูรกายงูดำสามหัวตัวแรกก็เหมือนกัน ดูจากพลังของมัน ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นอสูรกายดัดแปลง


 


จากบทเรียนที่ได้เรียนรู้มาจากความผิดพลาดของอสูรกายสามหัว ส่งผลให้อสูรกายดัดแปลงตนอื่นๆมิกล้าที่จะย่างกรายเข้ามาในโลกมนุษย์


 


กระทั่งอสูรกายที่อยู่ระดับปฐมบทแห่งความโกลาหลที่มีเพียงสองตนในที่นี้ ก็ยังมิกล้าที่จะลงมา


 


พวกมันกำลังเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่ออยู่บนท้องฟ้า โดยคาดหวังว่าเหล่าคนตายจะจากไปโดยเร็วไว


 


ทว่าบรรดาคนตาย กลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆเลย


 


ทั้งสองจึงต่างจ้องสบตากันโดยปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ


 


จนกระทั่งนาทีสุดท้ายได้ผ่านไป


 


พลันบังเกิดเสียงดังกึกก้องขึ้นบนผืนฟ้า ราวกับมีสายฟ้าที่มองไม่เห็นนับไม่ถ้วนกำลังปะทะเปรี๊ยะๆซึ่งกันและกัน


 


คลื่นความผันหวนที่มองไม่เห็นกระเพื่อมไหว คล้ายดั่งระลอกคลื่นของฝูงม้าที่ย่ำลงควบวิ่ง สั่นสะเทือนไปทั้งโลกหล้า


 


ในเสี้ยววินาทีต่อจากนั้นเอง เผ่ามารที่ยังไม่จากไปต่างก็กรีดร้องโหยหวนออกมา


 


ขณะที่อสูรกายตนแล้วตนเล่าสบถคำรามและค่อยๆถอยกลับไป


 


กำแพงอุปสรรคของโลกใหม่กำลังค่อยๆก่อตัว แพร่กระจายปกคลุมไปตลอดทั้งโลกอย่างช้าๆ


 


เผ่ามารทั้งหมดที่สัมผัสโดนกำแพงอุปสรรคของโลกพลันติดไฟลุกพรึบ! และสลายกลายเป็นขี้เถ้าลอยฟุ้งทันที


 


แม้กระทั่งอสูรกายก็ยังไม่สามารถที่จะต้านทานพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของโลกได้


 


ในเมื่อกำแพงอุปสรรคของโลกค่อยๆขยายตัวขึ้น พวกมันจึงร้องตะโกนออกมาอย่างไม่ยินยอม และจากโลกมนุษย์ไปด้วยจิตใจหดหู่ในที่สุด


 


ดวงตะวันค่อยๆปรากฏขึ้น


 


ทุกสิ่งอย่างล้วนถูกปกคลุมไปด้วยแสงแดดสว่างไสว


 


ท้องฟ้าสีครามสดใส ไร้ซึ่งเมฆหมอกใดๆ และแน่นอน — ว่าไร้ซึ่งเผ่ามารใดๆให้พบเห็นด้วยเช่นกัน


 


“จบแล้วสินะ?”


 


กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ


 


เขาหันไปมองดูหน้าต่างระบบเทพสงคราม


 


เห็นแค่เพียงสองบรรทัดเส้นแสงหิ่งห้อยที่ลอยเด่นอยู่บนนั้น


 


“โลกใหม่ยังคงอยู่ในกระบวนการผสานรวมอย่างต่อเนื่อง”


 


“กำแพงอุปสรรคใหม่ที่คอยคุ้มครองโลกได้ก่อร่างขึ้นแล้วโดยสมบูรณ์”


 


สำเร็จแล้ว!


 


เจ็ดชั่วโมงได้ผ่านพ้นไป และเผ่ามารก็ล้มเหลวในการบุกเข้ามาในโลก!


 


กู่ฉิงซานหันไปมองดูคนตายอีกครั้ง


 


เห็นแค่เพียงเลขบุญของคนตายทั้งหมดกลับกลายเป็น – (ลบ)


 


ถึงแม้ว่าทางเลือกนี้ เหล่าคนตายจะเป็นคนเลือกมันด้วยตนเอง แต่ผลลัพธ์ที่ได้ พวกเขากลับค่อนข้างที่จะมีความสุขมากกว่ารู้สึกหดหู่


 


“ทุกคน ข้าขอโทษ … ”


 


กู่ฉิงซานกำลังจะเอ่ยต่อ แต่ก็ถูกขัดจังหวะเสียก่อน


 


เสียงของเครื่องจักรคำนวณบุญกังวานขึ้นในหูของทุกผู้คน


 


“คนตายทั้งหมดโปรดทราบ”


 


“คนตายทั้งหมดโปรดทราบ”


 


“คนตายทั้งหมดโปรดทราบ”


 


“คนตายทั้งหมดโปรดทราบ”


 


“นับจากนี้ไป เลขบุญของพวกเจ้าจะถูกปรับเปลี่ยน”


 


เหล่าคนตายเงยหน้าขึ้น และแสดงท่าทางตั้งใจฟัง


 


เครื่องจักรคำนวณบุญยังคงกล่าวต่อ “ตลอดทั้งหกอาณาจักรกำลังจะกลับคืนสู่เสถียรภาพอีกครั้ง ดังนั้น มันจึงถึงเวลาอันเหมาสมแล้วที่พวกเจ้าจะได้รับบุญอย่างเต็มที่ .. ตอนนี้ก็มาทำการแจกจ่ายแต้มบุญครั้งสุดท้ายกันเถิด”


 


“ในสงครามปรภพครั้งแรก พวกเจ้าไม่ได้ประสบความสำเร็จในการป้องกันไม่ให้เผ่ามารบุกเข้ามาทำลายโลกมนุษย์ , มิสามารถหยุดการสมคบคิดของอาณาจักรสวรรค์ นั่นจึงหมายความว่าในช่วงเวลานั้น ชีวิตและความตายของตลอดทั้งโลกหกวิถีจึงยังมิได้รับการช่วยเหลือ”


 


“นอกเหนือไปจากนี้ ยังมีเรื่องที่ราชาภูติได้ทำการผสานรวมโลกมนุษย์กับโลกปรภพเข้าด้วยกันอีกด้วย”


 


“ดังนั้นเราจึงสรุปได้ว่า : คราวก่อน คนตายทุกคนไม่ได้ช่วยโลกทั้งหกวิถีเอาไว้ได้ บุญใหญ่ที่ได้รับจึงถูกยกเลิก และจะได้รับเพียงบุญเล็กๆน้อยๆจากการร่วมมือกันไปช่วยเก็บรวบรวมแหล่งกำเนิดธาตุดินและธาตุไม้ ที่จะแบ่งกันอย่างเป็นธรรมเท่านั้น”


 


“หากจะให้อธิบายอย่างเฉพาะเจาะจง ก็จะเป็นดังนี้”


 


“คนตายที่ได้ทำการเลือกกลับไปเกิดใหม่แล้วในช่วงเวลาสุดท้าย พวกเขาได้เผยให้เห็นถึงธาตุแท้ ปลดปล่อยความคิดชั่วร้ายที่มีต่อโลกและมีพฤติกรรมยุยงปลุกปั่นอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งการกระทำดังกล่าวเกือบจะนำไปสู่การล่มสลายของโลกมนุษย์”


 


“ข้อสรุป : พฤติกรรมเช่นนี้เปรียบเสมือนกับการชมชอบมองเห็นผู้อื่นถูกสังหาร มีอำนาจแต่ไม่คิดช่วยเหลือหรือขัดขวางสิ่งเลวร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น ดังนั้นแต้มบุญที่พวกเขาสมควรจะได้รับก็จะลดลง”


 


“การคำนวณขั้นสุดท้าย สรุปได้ดังนี้ : เหล่าคนตายที่เลือกจะไปกำเนิดใหม่ ที่เดิมทีสมควรจะได้รับแต้มบุญมหาศาล สุดท้ายแล้วจะได้รับแค่บุญจากการช่วยช่วงชิงแหล่งกำเนิดธาตุเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้แต้มบุญที่ได้มา ยังจะต้องถูกหักออกจากการกระทำความผิดอันได้แก่ การประพฤติชั่ว ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยก — ความดีชั่วที่กระทำมาหักลบกลบกัน ผลลัพธ์คือ ‘สมดุล’ ”


 


“การพิพากษา : ตัดสินว่าคนตายที่เลือกไปถือกำเนิดใหม่แล้ว ร่างกายใหม่ที่พวกเขาถือกำเนิดจะได้รับแต้มบุญเป็น 0 ”


 


เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เครื่องจักรคำนวณบุญก็หยุดลงชั่วคราว


 


ขณะที่การแสดงออกทางสีหน้าของคนตายที่ยังไม่จากไปดูปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง


 


สิบตัวตนสุดแกร่งเลือกที่จะไปเกิดใหม่ทันที พร้อมด้วยความคิดชั่วร้ายของพวกเขาครั้งสุดท้ายที่มีต่อโลก ดูเหมือนจะตีกลับตารปัตร มันกลับกลายเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง และถูกตอบโต้โดยการมาถึงของเครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคล


 


เมื่อคิดถึงจุดนี้ เครื่องจักรคำนวณบุญก็เริ่มเอ่ยต่อ


 


“ขณะที่คนตายทั้งหมดที่ไม่ได้เลือกไปเกิดใหม่ ได้ทำการช่วยเหลือให้ทั้งสองโลกผสานรวมกันได้จนสำเร็จ”


 


“พวกเขาสามารถปกป้องโลกใบใหม่จนกระทั่งกำแพงอุปสรรคปรากฏขึ้นได้”


 


“และกำแพงอุปสรรคในโลกใหม่นี้ ก็จะนำไปสู่การเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการป้องกันของกำแพงอุปสรรคในโลกอื่นๆทั้งหก”


 


“กล่าวได้ว่าคราวนี้ ‘โลกทั้งหกได้ถูกช่วยเหลือไว้อย่างแท้จริงแล้ว’ ”


 


“สรุป : คนตายที่เลือกว่ายังไม่ได้ไปเกิดใหม่ได้ช่วยเหลือโลกทั้งหกวิถีเอาไว้”


 


“เริ่มทำการคำนวณบุญที่ได้ทำการช่วยเหลือโลกทั้งหก และส่งไปไปยังเหล่าคนตายที่ยังไม่ได้ไปเกิดใหม่”


 


ขณะนั้นเอง แถบตัวเลขเหนือศีรษะของคนตายทั้งหมดก็ปรากฏขึ้น


 


พวกเขาต่างพากันเงยหน้าขึ้นมอง


 


เห็นแค่เพียงตัวเลขที่เปลี่ยนจาก – เป็น 0 และต่อมาก็ขยับขึ้นเป็น +


 


และตัวเลขบวกก็ยังคงขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง


 


บุญกำลังเพิ่มพูนขึ้นอย่างบ้าคลั่ง


 


เหล่าคนตายอดไม่ได้ที่จะโห่ร้องออกมา


 


เห็นได้ชัดว่าการเลือกที่จะอยู่ในโลกใบนี้ส่งผลให้แต้มบุญลดหลั่นลง แต่ในตอนท้ายที่สุด ตนกลับได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาลยิ่งกว่าเดิม!


 


ผ่านไปสักพัก ตัวเลขเหนือศีรษะของคนตายก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกต่อไป แต่พวกเขาทุกคนที่แหงนมองต่างก็ล้วนแสดงสีหน้าพึงพอใจออกมา — เพราะเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว


 


เครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคลประกาศอีกครั้ง


 


“การกลับไปเกิดใหม่ของคนตายทั้งหมด กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า ตามลำดับแต้มบุญที่ได้รับ”


 


“คนตายจะลืมเรื่องราวในอดีตชาติและปัจจุบันทั้งหมด เพื่อต้อนรับกับชีวิตใหม่ของพวกเขา”


 


“โปรดจัดการสิ่งที่ค้างคาอยู่อย่างรอบคอบด้วย”


 


ว่าจบ เครื่องจักรคำนวณบุญก็หายไป และความเงียบก็กลับคืนมา


 


เบื้องบนท้องฟ้า รังสีแสงอันไพศาลสาดกระทบลงมาราวกับธารน้ำตกอีกครั้ง


 


คนตายหลายแสนล้านต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ


 


“ขอบพระคุณท่านราชาภูติ!” คนตายคนหนึ่งตะโกนขึ้น


 


กู่ฉิงซานยิ้มและตะโกนกลับไปว่า “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก! เป็นเจ้าต่างหากที่ช่วยเหลือโลกใบนี้ไว้ เป็นเจ้าต่างหากที่สมควรได้รับความคำขอบคุณจากข้า!”


 


เหล่าคนตายเริ่มโห่ร้องอย่างดุเดือด


 


“พวกเราได้ช่วยโลกมนุษย์เอาไว้!”


 


“ราชาภูติทรงพระเจริญ!”


 


“เจ้าพวกขยะที่รีบไปเกิดใหม่ ฮ่าฮ่าฮ่า ตอนนี้พวกมันคงตกตะลึงกลายเป็นโง่งมกันไปหมดแล้ว!”


 


“ข้าล่ะอยากจะเห็นสีหน้าของพวกมันจริงๆ!”


 


……..


 


ณ โรงพยาบาลของรัฐบาลกลาง


 


“ข้าคงต้องไปแล้วล่ะ” ชูร่าหญิงหันไปมองแม่ที่กำลังโอบอุ้มทารกที่กำลังหลับไหล


 


“ฉันต้องขอบคุณเธอจริงๆ ถ้ายังไงช่วยทิ้งข้อมูลติดต่อเอาไว้จะได้รึเปล่า พอดีว่าฉันอยากจะชวนเธอไปกินอาหารด้วยกันที่บ้านน่ะ” แม่ลูกอ่อนกล่าวด้วยความรู้สึกรู้คุณ


 


“คงไม่จำเป็นหรอก เพราะพวกเราคงไม่ได้พบกันอีกแล้ว” ชูร่าหญิงยิ้มตอบและกล่าวออกมา


 


เธอทะยานตัวสูงขึ้น บินขึ้นไปบนท้องฟ้า และมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของวิลล่าบนภูเขา


 


ณ บริเวณพื้นที่เปิดโล่งเบื้องหน้าของวิลล่า


 


ผู้คุมนรกทั้งเจ็ดต่างทยอยกันเข้ามาโอบกอดกู่ฉิงซานทีละคน ทีละคน


 


พวกเขายังคงยึดติดกับฉากนี้ และไม่เต็มใจที่จะเข้าไปในม่านแสง แต่สุดท้ายก็จำต้องจากโลกนี้ไป


 


จนกระทั่งเหลือเพียงชูร่าหญิงเป็นคนสุดท้าย


 


เฝ้ารอจนกระทั่งหกผู้คุมนรกหายไปในม่านแสง เธอจึงเดินเข้ามาหากู่ฉิงซาน


 


“ข้ายังไม่สามารถจากไปในตอนนี้ได้” เธอกล่าว


 


“ทำไมกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“เพราะเจ้ายังติดค้างสัญญาว่าจะดวลกับข้าอยู่” ชูร่าหญิงกล่าว


 


เธออธิบายว่า “ตัวข้าน่ะคืออาชูร่า และในช่วงชีวิตของข้า หากจากไปดื้อๆโดยยังมิได้ต่อสู้กับตัวตนที่แข็งแกร่งเช่นเจ้า คงมิแคล้วมีสิ่งติดค้างหลงเหลือทิ้งเอาไว้ในจิตใจเป็นแน่”


 


กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ


 


นั่นก็จริง เพราะอาชูร่าน่ะเป็นเผ่าพันธ์แห่งสงคราม และการต่อสู้ก็เป็นความสุขสำหรับพวกเขา


 


ทั้งสองได้ก้าวผ่านประสบการณ์มากมายมาด้วยกัน และท้ายที่สุดนี้ อาชูร่าหญิงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเธอมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะเห็นสหายเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา!


 


กู่ฉิงซานชักดาบเช่าหยินออกมา และกล่าวอย่างจริงจังว่า “เข้าใจแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็เร่งมือเถอะ ข้าไม่ต้องการให้แต้มบุญของเจ้าถูกหักมากจนเกินไปหรอกนะ”


 


ชูร่าหญิงชักกระบี่ยาวออกจากเบื้องหลังเธอ น้ำเสียงยกสูงขึ้น “และในครั้งนี้ ข้าก็จะไม่แสดงความเมตตาออกมาแล้วเช่นกัน!”


 


ว่าจบ ร่างของเธอก็กระพริบไหว ใบกระบี่สาดแสงระยับ ร่ายระบำออกมาเป็นคมมืดนับไม่ถ้วน ทั้งทิ่มทั้งแทงเข้าใส่กู่ฉิงซานโดยตรง


 


และกู่ฉิงซานก็วาดดาบออกไปต้อนรับเธอ


 


ทั้งสองฝ่ายวูบไหวและแปรเปลี่ยนกระบวนท่าสาดใส่กันไปเรื่อยๆ ในพริบตาก็บังเกิดการปะทะกันอยู่หลายตลบ


 


กระบี่ของอาชูร่าหญิงช่างดุร้ายรุนแรง ทุกการจ้วงแทงล้วนเป็นการลงมือที่หมายจะทำให้ทุกอย่างจบลงในกระบวนท่าเดียว


 


ขณะที่กู่ฉิงซานตอบโต้กลับไปอย่างไม่ยี่หร่ะ


 


ไม่นานนัก กู่ฉิงซานก็มองเห็นช่องว่างของอีกฝ่าย ตนจึงจ้วงดาบยาว ทิ่มแทงออกไปเบื้องหน้าทันที


 


ดาบยาวพุ่งเข้าใส่ตำแหน่งหัวใจของชูร่าหญิง และฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนจะไม่ทันวาดคมกระบี่เข้ามาต่อต้าน!


 


ทว่าช่างน่าฉงน แม้จะผ่านไปชั่วขณะแล้ว แต่ชูร่าหญิงยังคงนิ่งงัน ราวกับว่าเธอไม่ทันตระหนักได้ถึงคมดาบของกู่ฉิงซานเลย


 


และทันใดนั้น ปลายดาบยาวก็เจาะเข้าไปทะลุหน้าอกเธอ


 


“นี่เจ้า .. ”


 


กู่ฉิงซานพยายามอย่างเต็มกำลังที่จะเบี่ยงวิถีดาบยาวในวินาทีสุดท้าย


 


แท้จริงแล้ว เป็นชูร่าหญิงเองที่ลวงเขา และยินยอมเสียสละกายเพื่อรับกระบวนท่านี้!


 


อย่างไรก็ตาม คมกระบี่ที่สาดประกายสะท้อนแสงกลับมิได้จ้วงแทงสวนใส่กู่ฉิงซาน มันกลับถูกทิ้งลงบนพื้น


 


และมีเพียงร่างของชูร่าหญิงเท่านั้นที่โผเข้าสู่อ้อมกอดของเขา


 


เธอเอนอิงศีรษะตัวเองเบาๆลงบนไหล่ของกู่ฉิงซาน


 


“เอาจริงๆนะ … ข้าไม่อยากที่จะลืมเจ้าเลย .. ”


 


ปากเอ่ยเสียงกระซิบ


 


และทันใดนั้นเอง ม่านแสงจากท้องฟ้าก็เข้าปกคลุมร่างกายของเธอ


 


น้ำตาที่ไหลอาบหน้าถูกปาดออก ชูร่าหญิงยิ้มให้กู่ฉิงซานอย่างอ่อนโยน


 


ก่อนที่จะบังเกิดกระแสลมพัดผ่าน


 


เธอได้จากไปแล้ว …


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.428 – หลานกับชิงหยิน


 


ไม่ไกลออกไป แอนนากำลังเฝ้ามองดูฉากนี้อย่างเงียบๆ


 


และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหมือนกัน ที่เธอค่อยๆชักฝีเท้ากลับมาอย่างช้าๆ


 


หมาดำเอ่ยถาม “เมื่อครู่เจ้าเตรียมลงมือแล้วชัดๆ แล้วเพราะเหตุใดจึงเลือกที่จะหยุดในตอนท้าย?”


 


แอนนาก้มหน้าลงและกล่าวว่า “ก็นั่นมันเป็นช่วงเวลาสุดท้ายในชาติภพนี้ของเธอ ฉันทำใจเข้าไปหยุดไม่ได้จริงๆ”


 


ขณะกล่าว ดวงตาของแอนนาก็เริ่มแดงเรื่อเล็กน้อย


 


-อาชูร่าหญิงได้จากไปแล้ว


 


ขณะที่บรรดาคนตายต่างทยอยเข้าสู่ม่านแสงมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยและจากกันไปในที่สุด


 


เมื่อคนตายทั้งหมดได้หายไปจากโลกใหม่ ม่านแสงไพศาลที่ปกคลุมตลอดทั้งโลกก็ค่อยๆยกระดับขึ้นสู่ท้องฟ้า และสลายไปในที่สุด


 


นรกว่างเปล่า เหล่าคนตายนับล้านล้านคนได้ไปเกิดใหม่อีกครั้ง


 


“นี่มันบ้ามากๆเลยเนอะ ว่าไหม?” ซางหยิงฮ่าวอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา


 


“ถ้ารู้ว่าคนตายจะมีพลังมากกันขนาดนี้ ฉันคงจะส่งแฟนฉันไปในปรภพแล้ว ไม่ปล่อยให้ต้องมาตกอยู่ในอันตรายในโลกแบบนี้หรอก” เย่เฟย์หยูกล่าวอย่างซื่อตรง


 


“ไม่หรอก อันที่จริงแล้วการกระทำของนายน่ะนับว่าเป็นการช่วยเธอเอาไว้นะ” กู่ฉิงซานตบลงบนไหล่เขา “ในตอนที่ฉันได้ไปยังปรภพน่ะ ช่องทางเข้าทั้งหมดถูกยึดครองโดยเผ่ามาร เธอไม่มีทางจะผ่านพวกมันไปได้อย่างแน่นอน คงไม่แคล้วถูกพวกมารจับกินแน่ๆ”


 


“แล้วมันยังมีอะไรมากกว่านั้นอีกนะรู้ไหม พวกคนตายน่ะ สุดท้ายแล้วก็จะถูกส่งไปเกิดใหม่ในโลกที่แตกต่างกันออกไป ตัวอย่างเช่นฉันเคยพบข้อมูลว่าในโลกอาชูร่าน่ะ มีทั้งสิ้นสี่เผ่า แถมแต่ละเผ่ายังแบ่งเป็นสี่อาณาจักร แต่ละอาณาจักรกว้างใหญ่ชนิดที่ว่าแทบจะไร้ที่สิ้นสุด นอกจากนี้ ก็ยังไม่เคยมีใครได้ไปสำรวจชายแดนของมันมาก่อนเลย”


 


“แต่ยังไงก็ตาม โลกสวรรค์น่ะกว้างใหญ่ยิ่งกว่าซะอีก แถมมันยังสามารถเชื่อมต่อเข้าไปยังโลกอื่นๆได้อีกด้วยนะ‘


 


“ไม่ต้องกล่าวถึงโลกจ้าวอสูรกับผีร้าย ที่กุมความลับในเรื่องอาณาจักรของตนเองเอาไว้ และทั้งสองโลกนี้ก็เต็มไปด้วยการฆ่าฟันไร้ที่สิ้นสุด หากมีชีวิตใหม่จะต้องไปเติบโตที่นั่น ก็คงจะเป็นเรื่องโหดร้ายมากเกินไป”


 


สีหน้าการแสดงออกของกู่ฉิงซานดูจะอ้างว้างลงเล็กน้อย


 


“เพราะฉะนั้น ถ้าแฟนของนายได้ไปเกิดใหม่ในโลกอันกว้างใหญ่หรือเต็มไปด้วยความลึกลับอย่างที่ฉันพูดมาแล้วล่ะก็ นายจะไม่มีทางได้พบกับเธออีกเลยอย่างแน่นอน – ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว นายยังต้องการที่จะให้เธอมายังปรภพแล้วไปเกิดใหม่อีกรึเปล่า?”


 


“ไม่! ไม่มีวันซะล่ะ!”


 


เย่เฟย์หยูสวนกลับทันควัน


 


หลังจากที่ได้ยินคำพูดของกู่ฉิงซาน เขาก็สูดหายใจลึก และถอนหายใจโล่งอก


 


ในตอนนั้นเอง สายตาของกู่ฉิงซานก็วูบไหว


 


เขาจ้องมองไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้าวิลล่า


 


ขณะที่คนอื่นๆที่แข็งแกร่งลดหลั่นกันไปตามลำดับก็เริ่มทยอยกันค้นพบถึงความผิดปกติในอากาศที่ว่างเปล่านี้


 


ทุกคนกลายเป็นตื่นตัว


 


ทันใดนั้นเอง อากาศที่ว่างเปล่าก็ถูกเปิดออก


 


ตามด้วยผู้หญิงในชุดคลุมฟ้าที่ในมือกุมดาบขุนเขาเทวะหกโลกาได้ผุดออกมา และหยั่งเท้าลงเบื้องหน้าทุกคน


 


ฉานนู่


 


“เป็นยังไงบ้าง?” กู่ฉิงซานเร่งเอ่ยถาม


 


“ช่วยกลับมาได้แล้ว” ฉานนู่ตอบ


 


หลังจากที่เธอปรากฏตัว ชายในชุดดำก็ผุดออกตามมา ในท่วงท่าที่กำลังโอบอุ้มไพ่ใบหนึ่งอยู่ในมือ


 


หลาน


 


เขาถือไพ่อย่างระมัดระวัง เฉกเช่นเดียวกับกำลังถือสมบัติล้ำค่า


 


และบนไพ่ คือรูปของหญิงสาวที่สวมกรอบแว่นหนาสีดำ เธอกำลังจ้องมองออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น


 


กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย ที่ในที่สุดก็สามารถช่วยเหลือนางได้”


 


สีหน้าของหลานแลดูตื่นเต้นมาก


 


“สถานที่ๆมีการผนึกจิตวิญญาณของชิงหยินมีกับดัก‘ตัดขาดเวลา’อยู่จริงๆด้วย!”


 


“หากมิใช่เพราะดาบของเจ้าได้ช่วยปัดป้องการจู่โจมร้ายแรงให้แก่ข้า บางทีการช่วยเหลือในครั้งนี้ก็อาจจะไม่ประสบผลสำเร็จ”


 


“แต่ที่เหลือเอาไว้ค่อยคุยกัน เพราะตอนนี้ข้าจำต้องรีบลงมือทันที”


 


พอหลานกล่าวจบ เขาก็วาดไพ่ออกไป


 


มันคือไพ่ระบุตำแหน่งมิติและเวลาเพียงใบเดียวจากสำรับไพ่ที่สร้างขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือชิงหยิน


 


หลานโยนไพ่ใบนั้นออกไป


 


ไพ่ดังกล่าวกระพริบไหว และแปรเปลี่ยนเป็นเส้นแสงสีขาวบางๆ ปลายด้านหนึ่งของมันตกอยู่ในมือของหลาน ขณะที่อีกข้างหายไปในความว่างเปล่า


 


หลานกุมปลายด้านหนึ่งของเส้นแสงสีขาวนี้ และดึงมันอย่างแรง!


 


ไม่นานนัก ก็บังเกิดการฉุดดึงสวนกลับมาจากอีกปลายหนึ่งของเส้นแสง


 


พอเห็นถึงฉากนี้ หลานก็ผ่อนคลายลงทันที


 


เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้า และหัวเราะออกมา


 


“ไม่คาดคิดเลยว่าทุกอย่างจะจบลงแบบนี้ ดูเหมือนว่าประเทศของข้าจักไม่จำเป็นต้องเข้าสู่สภาวะสงครามแล้ว”


 


“กู่ฉิงซาน ข้าคงต้องกล่าวว่า ‘ขอบคุณจริงๆสำหรับความช่วยเหลือของเจ้า’ ”เขาเอ่ยปากอย่างเป็นเรื่องเป็นราว


 


“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก เพราะทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากการที่ข้าได้รับรางวัลอันเหมาะสมมา ดังนั้น นี่จึงถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรมแล้ว”


 


กู่ฉิงซานยกมือขึ้น ชูไม้เท้าแห่งการจองจำให้อีกฝ่ายดู ส่งสัญญาณกลายๆว่าเป็นเพราะท่านไง ข้าจึงได้สามารถใช้ไม้เท้าเล่มนี้ได้โดยสมบูรณ์


 


“ไม่หรอก เพราะในช่วงเวลาสุดท้ายที่อาจจะเกิดวันสิ้นโลกเมื่อครู่ ทั้งๆที่เจ้าจำเป็นต้องใช้ดาบเล่มนี้แท้ๆ แต่เจ้าก็ยังเลือกที่จะส่งมันไปกับข้า ดังนั้นข้าต้องขอขอบคุณเจ้าจากใจจริง” หลานกล่าว


 


“ขอบคุณใครกันหรือ?”


 


จู่ๆก็มีเสียงของผู้ชายดังออกมาจากในอากาศที่ว่างเปล่า


 


ทันใดนั้นเอง เส้นแสงสีขาวที่พึ่งเกิดการฉุดดึงขึ้นจากอีกฝั่งก็จมหายไปในความว่างเปล่า พร้อมกับบังเกิดระลอกคลื่นกระเพื่อมไหวในชั้นอากาศ


 


ต่อมา ในอากาศที่ว่างเปล่าก็บังเกิดรอยแยกออกเป็นสองฟากฝั่ง


 


พร้อมด้วยกระบวนทัพขององครักษ์ในชุดคลุมยาวที่กำลังถือหนังสือสำรับไพ่เอาไว้ในมือ ผุดออกมาจากรอยแยกที่ว่านั่น


 


พวกเขาเคลื่อนกายอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ และไม่นานนัก กระบวนทัพก็เติมเต็ม ยืนเรียงกันเป็นทิวแถวไปตลอดทั้งพื้นที่เปิดโล่งหน้าวิลล่า


 


จากนั้นเหล่าองครักษ์มากมายที่ปรากฏกายขึ้น ก็เริ่มแยกย้ายไปลงไปตามเนินเขา


 


ต่อมา ในความว่างเปล่าก็บังเกิดความผันผวนอันรุนแรงขึ้น


 


ราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังพยายามที่จะเข้ามาสู่โลกใบนี้


 


หลานยิ้มออกมาในทันใด


 


เขาวาดมือออก และโยนไพ่ที่เก็บจิตวิญญาณของชิงหยินไปยังรอยแยกที่ว่านั่นอย่างอ่อนโยน


 


ไพ่ลอยไปตามสายลม และถูกคว้าจับด้วยมือหนึ่งที่ยื่นออกมาจากในความว่างเปล่า


 


และชิงหยินก็เหมือนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอทันใด


 


เห็นแค่เพียงชายคนหนึ่งในชุดคลุมสีดำผุดออกมาจากความว่างเปล่า


 


และคนผู้นี้ดูเหมือนหลานมากจริงๆ


 


ทว่าอีกฝ่ายดูจะมีอายุและเป็นผู้ใหญ่มากกว่า


 


เขามีหนวดเครา และพฤติกรรมที่แสดงออกก็ดูมีภูมิฐาน


 


“ในที่สุดข้าก็สามารถช่วยเจ้าได้เสียที ชิงหยิน” ชายคนนั้นกล่าว


 


ชิงหยินโค้งกายทักทายเขาจากในไพ่ ปากเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอบพระคุณท่านมาก ราชาแห่งข้า”


 


ในอีกด้านหนึ่ง หลานก็หันไปผงกหัวให้กู่ฉิงซานเล็กน้อย และกระโจนเข้าหาชายผู้นั้น


 


ขณะที่อยู่กลางเวหา ร่างของหลานก็เริ่มพร่ามัว และแปรเปลี่ยนไปเป็นเพียงภาพลวงตา


 


เมื่อร่างที่ดูภูมิฐาน เปี่ยมไปด้วยบารมีเห็นหลานกำลังลอยมา ปากก็เอ่ยกล่าวด้วยอารมณ์ “ในที่สุดจิตวิญญาณของข้าก็กลับมารวมตัวกันได้อีกครั้งเสียที ข้าไม่จำเป็นต้องทนเจ็บปวดทุกข์ทรมานตลอดทุกวี่วันอีกแล้ว”


 


ร่างของหลานค่อยๆละลาย จมหายเข้าไปในร่างของชายเปี่ยมบารมีผู้นั้น


 


ฉากอันมหัศจรรย์เต็มไปด้วยมนขลังต์เช่นนี้ ส่งผลให้ซางหยิงฮ่าว เย่เฟย์หยู และคนอื่นๆต่างเฝ้ามองตาไม่กระพริบ


 


ชายเปี่ยมบารมีหลับตาลงครู่หนึ่ง


 


สักพัก คิ้วที่ขมวดมุ่นของเขาก็ค่อยๆแยกออกจากกัน สีหน้าท่าทีค่อยๆผ่อนคลายลง


 


ชายเปี่ยมบารมีดูจะมีชีวิตชีวามากขึ้น ราวกับคนป่วยเรื้อรังที่ได้พละกำลังกลับคืนมาอีกครั้ง


 


เขาเอ่ยรำพึงออกมา “ข้าเข้าใจแล้ว มันเป็นอย่างนี้นี่เอง”


 


ว่าจบ เขาก็หันไปมองทางกู่ฉิงซาน ขณะที่ในแววตาของเขาเผยถึงร่องรอยตระหนักรู้คุณ


 


“แม้ว่าเราจะพบเจอกันมาก่อนแล้ว แต่ข้าขอแนะนำตัวเองอีกครั้ง ข้าคือราชาแห่งจักรวรรดิเทียนหลาน มีชื่อว่าหลานซิ่ว”


 


“เช่นนั้น หลานก็คงจะเป็นจิตวิญญาณของท่านที่แยกตัวออกมาสินะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“ถูกต้อง เขาคือข้า และข้าก็คือเขา”


 


หลานซิ่วกล่าวต่อว่า “ขอบคุณเจ้ามาก ผู้ฝึกดาบแห่งโลกหกวิถีเอ๋ย หากมิได้เจ้า ราชินีแห่งข้าก็คงจะไม่ได้รับการช่วยเหลือ”


 


“ท่านไม่จำเป็นต้องสุภาพเกินไปหรอก ท่านก็ช่วยข้าเอาไว้เยอะเช่นกัน นี่ก็นับว่าเป็นการตอบแทนกลับคืนที่สมน้ำสมเนื้อแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“เช่นนั้น หากข้าต้องการจะนำเทพออกไปจากโลกของเจ้า เจ้าคงจะไม่ถือสาใช่หรือไม่?” หลานซิ่วกลา่ว


 


“ท่านกำลังหมายถึงผู้ใดกัน?”


 


“ก็เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงไง”


 


“อ้อ หากเป็นเขาล่ะก็ เชิญตามที่ท่านต้องการได้เลย”


 


“ขอบคุณเจ้ามาก นายพลภูติคงไม่อาจสังหารเขาได้ เอาไว้ปล่อยเป็นหน้าที่ข้าที่จะแก้แค้นให้แก่ราชินีแห่งข้าเองก็แล้วกัน”


 


ขณะที่กล่าว หลานซิ่วก็นำคทาทองที่ประดับไปด้วยอัญมณีสีสันสดใสออกมา


 


เขาโบกคทาออกไป ปากเอ่ยกระซิบ “มิติพันธนาการ จงบังเกิดภาพ”


 


วินาทีนั้นเอง กลางอากาศเบื้องบน ก็พลันปรากฏร่างเงาสีแดงเข้มทั้ง 13 ตนขึ้น


 


พวกมันคือเงาของโครงกระดูกเปื้อนเลือดทั้ง 13 ตน


 


เวลานี้ พวกมันกำลังร่ายระบำไปในอากาศ เวียนวนรอบมิติขนาดใหญ่อย่างไม่รู้จบ ขณะเดียวกันก็ยังคงสาดแสงสีแดงเรืองรองออกมาอย่างต่อเนื่อง


 


และในมิติที่ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีแดง จะเห็นว่ามีนายพลภูติกับชายชราชุดคลุมแดงกำลังปะทะซึ่งกันและกันอยู่


 


ส่วนกษัตริย์อาชูร่ากำลังยืนอยู่ในแนวหลัง ในมือข้างหนึ่งกำลังแปรผันเพื่อคงรูปค่ายกลมนตรากฏแห่งคำมั่นสาบานนี้เอาไว้ คอยรักษาการเคลื่อนไหวของทั้ง 13 โครงกระดูก


 


ขณะที่มืออีกข้างของเขากำลังกุมกระบี่ยาว และฉวยโอกาสใช้มันลอบเข้าไปจู่โจมบ้างเป็นครั้งคราว


 


ชิงหยินมองไปยังการปรากฏกายของเทพสวรรค์ชุดคลุมแดง ในแววตาเผยถึงความเกลียดชังที่ฝังลึกออกมา


 


“ฝ่าบาท โปรดแก้แค้นให้ข้าด้วย”


 


“วางใจเถอะ”


 


หลานซิ่วกล่าวและวาดมือออกไป


 


ทันใดนั้น 72ผู้ใช้ไพ่ที่กำลังถือหนังสือสำรับไพ่อยู่ก็ทะยานตัวขึ้น บินเข้าไปตีวงล้อมมิติพันธนาการที่ลอยอยู่กลางอากาศ


 


พวกเขาจั่วไพ่ออกจากหนังสือและหันหน้าไพ่ไปทางมิติพันธนาการ


 


เห็นแค่เพียงบนหน้าไพ่แต่ละใบ มีรูปแบบเหมือนกันทุกประการ


 


มันคือยักษ์โลหะที่ยืนอยู่ในพื้นที่โล่งกว้าง


 


ขณะเดียวกันก็มีฝ่ามือใหญ่ตกลงมาจากฟากฟ้า คว้าจับยักษ์ตนนั้นเอาไว้อย่างแน่นหนา


 


ยักษ์พยายามดิ้นรนขัดขืน แต่ไม่ว่ายังไง มันก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลย


 


ผู้ใช้ไพ่วาดมือออกไป


 


พร้อมกับไพ่ทั้ง 72 ใบที่ผละออกจากมือ และทั้งหมดก็หายวับไปโดยสมบูรณ์


 


ทันใดนั้นเอง ตลอดทุกการเคลื่อนไหวของเทพสวรรค์ภายในมิติก็พลันหยุดนิ่ง


 


ฝ่ามือขนาดใหญ่ร่วงหล่นลงจากท้องฟ้า คว้าจับร่างของเทพสวรรค์เอาไว้


 


เทพสวรรค์พยายามดิ้นรนด้วยกำลังทั้งหมดที่มี


 


เขาตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง ใช้ออกทุกวิถีทางจนมิติพันธนาการทั้งหมดสั่นสะเทือนภายใต้พลังอำนาจของเขา


 


ทว่าฝ่ามือนั้นกลับยังคงกุมเขาเอาไว้อย่างมั่นคง


 


นี่คือไพ่ใบที่ 9 จากสำรับมหาสงครามข้ามมิติของจักรวรรดิเทียนหลาน


 


มันสามารถข้ามขอบเขตของมิติและเวลา และสามารถจับกุมการดำรงอยู่แบบเฉพาะเจาะจงได้


 


ยิ่งเป้าหมายทรงพลังมากเพียงใด ก็ยิ่งจำเป็นต้องใช้ไพ่ใบนี้มากขึ้นเท่านั้น


 


อีกด้านหนึ่ง 12ผู้ใช้ไพ่ก็จั่วไพ่ออกมาพร้อมกัน และโยนมันไปในอากาศ


 


ไพ่ทั้ง 12 ใบหายไป


 


และชั้นอากาศก็แยกออกจากกันในฉับพลัน


 


—มันคล้ายกับการเจาะรูบนผนัง ทำให้ทุกคนสามารถมองเห็นได้ว่าโลกที่อยู่เบื้องหลังผนังที่ว่านั่นคืออะไร


 


-พระราชวังอันงดงาม


 


บนแท่นบัลลังก์สูง  ถูกฝังไว้ด้วยไพ่ทองคำนับไม่ถ้วน


 


ผู้ใช้ไพ่หลายสิบคนในชุดคลุมสีต่างๆกำลังยืนอยู่ใต้บัลลังก์และจ้องมองมายังทิศทางนี้


 


“เริ่มได้” หลานซิ่วกล่าวอย่างแผ่วเบา


 


วินาทีนั้น ผู้ใช้ไพ่ทางฝั่งโลกก็รับคำบัญชา ทั้งหมดจั่วไพ่ออกมาอีกครั้งและประกอบมันเข้าด้วยกันเป็นโซ่ตรวน


 


โซ่ตรวนเลื้อยเข้าไปห่อหุ้มรอบๆมิติคำมั่นสาบาน


 


ก่อนที่แสงสีแดงจะกระพริบไหว และมิติพันธนาการก็ค่อยๆถูกดึงเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่งอย่างช้าๆโดยโซ่ตรวนที่เลื้อยวนอยู่ในอากาศอันบางเบา


 


บนภูเขา ในพื้นที่โล่งกว้าง เหล่าผู้ใช้ไพ่ที่ยืนเรียงเป็นทิวแถวในตอนแรก ค่อยๆพากันทยอยกลับไปยังโลกอีกฟากฝั่งหนึ่ง


 


จนที่เหลืออยู่ตอนนี้ มีเพียงหลานซิ่ว และแน่นอน ว่าจิตวิญญาณของชิงหยินในไพ่บนมือเขาก็เช่นกัน


 


“ท่านจะทำอะไรกับเขา?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“ข้ายังไม่ได้คิด” หลานซิ่วกล่าว “แต่เขาได้กักขังชิงหยินมากว่า 10000 ปี และข้าต้องการที่จะคิดหาวิธีที่จะบรรเทาความเจ็บปวดในหัวใจของนางลง”


 


เขาหันมองมาทางกู่ฉิงซาน “แต่ก่อนที่ข้าจะพิจารณาถึงความต้องการที่ว่านั่น ข้าคงต้องตอบแทนเจ้าสำหรับความช่วยเหลือในนาทีสุดท้ายเสียก่อน”


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.429 – ของตอบแทน


 


คิ้วของหลานซิ่วย่นเข้าหากัน ดูเหมือนว่าเขากำลังพิจารณาว่าสมควรจะมอบสิ่งใดให้กับกู่ฉิงซานดี


 


“ประเดี๋ยวก่อน เรื่องนี้ขอให้เป็นหน้าที่ข้าเถอะ”


 


ชิงหยินที่อยู่ในไพ่กล่าวออกมา


 


เธอยกหนังสือเล่มหนาที่ไม่รู้ว่าไปหยิบมาจากที่ไหนขึ้น และจั่วไพ่ออกมา


 


บนไพ่ คือภาพของดวงตาขนาดใหญ่


 


ขณะเดียวกันก็มีระลอกหมอกสีขาวหมุนวนอยู่ในดวงตาขนาดใหญ่ ก่อให้เกิดกระแสหมอกโคจรไปมาอย่างรวดเร็ว


 


นี่คือไพ่พยากรณ์โชคชะตาที่หาได้ยากยิ่ง


 


“ครอบครองไพ่ใบนี้ที่หาได้ยากยิ่ง ทว่าสุดท้ายแล้วดันมามีจุดจบเช่นนี้ แสดงให้เห็นแล้วว่าข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะใช้มัน”


 


ขณะกล่าว ชิงหยินก็โยนไพ่ไปทางกู่ฉิงซาน


 


“ข้าได้ปลดประทับวิญญาณของข้าที่อยู่บนมันออกแล้ว นับจากนี้ไป ข้าขอฝากฝังให้เจ้าช่วยดูแลมันด้วยก็แล้วกันนะ”


 


แม้จะกล่าวแบบนั้น แต่น้ำเสียงของเธอก็ยังแฝงไว้ซึ่งความคะนึงหา มิอยากลาจากมันไป


 


กู่ฉิงซานคว้าจับไพ่


 


บนหน้าต่างระบบเทพสงครามบรรทัดแสงหิ่งห้อยที่ร้อยเรียงด้วยตัวอักษรขนาดเล็กปรากฏขึ้นมาทันที


 


“ไพ่พยากรณ์โชคชะตา , ไพ่แรร์(หายาก)”


 


“เมื่อคุณเกิดความลังเลขึ้น คุณสามารถดูไพ่ใบนี้เพื่อสังเกตถึงความเป็นไปได้บางอย่างในโชคชะตาของคุณ”


 


“คำอธิบาย : มีเฉพาะผู้ใช้ไพ่ระดับสูงสุดเท่านั้นที่รูื้วิธีใช้ไพ่ใบนี้ ขณะที่ผู่อื่นที่ไม่คู่ควรจะถูกทำให้สับสนกลายเป็นคนโง่งมจากการพยายามที่จะสอดแนมโชคชะตานี้”


 


“ระบบได้ระบุว่า : ไพ่ใบนี้เป็นของหายากและล้ำค่ายิ่ง ตลอดทั้งต่างโลกมากมาย คุณสามารถใช้มันเพื่อแลกเปลี่ยนกับสมบัติในฝันเลยก็ยังได้”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยออกมาด้วยความลังเล “แต่ข้าได้ยินมาว่า ไพ่นี่คือเทคนิคเทียนซวนของท่าน แล้วเทคนิคเทียนซวนจะสามารถให้ผู้อื่นใช้งานได้ด้วยหรือ?”


 


หลานซิ่วกับชิงหยินหันมามองหน้ากันวูบหนึ่ง


 


“หากเป็นเจ้าแล้วล่ะก็ ข้าย่อมไม่รังเกียจที่จะตอบคำถามนี้”


 


หลานซิ่วกล่าวด้วยคำที่เปี่ยมไปด้วยความหมายลึกซึ้ง


 


“การใช้ไพ่น่ะ ไม่จำเป็นต้องมีเทคนิคเทียนซวนเป็นของตนเองเพียงอย่างเดียวหรอกนะ แต่มันสามารถให้คนอื่นใช้ได้ด้วยเช่นกัน ตราบใดที่ผู้เป็นเจ้าของไพ่สามารถยกระดับขึ้นไปถึงช่วงหนึ่ง เขาก็จะสามารถลบตราประทับจิตวิญญาณของตนที่อยู่บนไพ่ได้อย่างสมบูรณ์”


 


พอได้ฟัง กู่ฉิงซานก็เข้าใจในทันที


 


เพราะครั้งหนึ่ง ซูเซี่ยเอ๋อก็เคยมอบอะไรเช่นนี้ให้กับเขา


 


มีเพียงผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์(เทียนซวน)ที่ทรงพลังมากๆเท่านั้น จึงจะสามารถมอบความสามารถของตนเองให้คนอื่นใช้งานได้


 


เขาพยักหน้า บ่งบอกว่าตนกระจ่างชัดแล้ว


 


“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ขอขอบคุณพวกท่านมาก”


 


“ไม่จำเป็นต้องสุภาพไป หากมีเวลาว่างเมื่อใด จักรวรรดิหลานเทียนยินดีต้อนรับเจ้าเสมอ” หลานซิ่วกล่าว


 


ว่าจบ เขาก็โยนตราสัญลักษณ์ออกไป


 


กู่ฉิงซานคว้าจับตราสัญลักษณ์ และเห็นแค่เพียงรูปต้นไม้ใหญ่ที่มีไพ่หลายร้อยใบแขวนอยู่ตามกิ่งก้าน ขณะเดียวกัน พวกมันก็สาดแสงระยิบระยับ


 


“เจ้าสิ่งนี้ ภายในของมันมีการระบุตำแหน่งโลกของพวกเราเอาไว้ และหากวันหนึ่งเจ้าคิดมาเยือนอาณาจักรของข้า เจ้าก็สามารถตตามหาข้าได้โดยใช้ตราสัญลักษณ์นี้เลยโดยตรง” หลานซิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


“เข้าใจแล้ว พวกท่านก็สามารถแวะเวียนมาที่นี่ได้ตลอดเวลาเช่นกัน หากมีเวลา ข้าจะเป็นคนพาพวกท่านไปเดินชมสถานที่ต่างๆด้วยตนเอง” กู่ฉิงซานกล่าว


 


หลานซิ่วกับชิงหยินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม


 


และเขาก็โบกมือให้แก่กู่ฉิงซานอีกครั้ง ก่อนจะบินเข้าไปในรอยแยกมิติบนท้องฟ้า


 


จากนั้นรอยแยกมิติก็หุบลงอย่างรวดเร็ว


 


ทุกสิ่งอย่างกลับเป็นปกติดังเดิม ราวกับว่าโลกตรงข้ามไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน


 


โลกมนุษย์กลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง


 


แสงตะวันจากดวงอาทิตย์ตกกระทบลงสู่พื้นดิน


 


ขณะที่บนฟากฟ้าตรงกันข้ามกับดวงอาทิตย์ มีพระจันทร์ถึงสามดวงปรากฏขึ้น


 


โลกปรภพน่ะเป็นดินแดนของหยิน ดังนั้นเพื่อให้สองโลกที่ผสานรวมเกิดความสมดุลระหว่างหยินหยาง ทรัพยากรส่วนหนึ่งของโลกจึงควบรวมกัน ก่อกำเนิดเป็นดวงจันทร์ดวงใหม่ขึ้น


 


ผู้คนต่างแหงนหน้ามองไปยังดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า และต่างตระหนักว่าโลกใบนี้ได้แปรเปลี่ยนไปแล้ว


 


สายลมตามแนวภูเขาพัดผ่านมาจากระยะไกล พร้อมด้วยอากาศหอมสดชื่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน


 


กู่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายในสายลม ปากเอ่ยพึมพำ “พลังงานวิญญาณได้กลายเป็นอุดมสมบูรณ์มากขึ้นแล้ว … ”


 


การผสานรวมระหว่างสองโลกเข้าด้วยกัน ส่งผลให้รากฐานเดิมของโลกแข็งแกร่งขึ้น


 


และนับจากนี้ไป ผู้คนก็จะสามารถยกระดับพื้นฐานวรยุทธได้ง่ายขึ้น ฝึกยุทธได้ง่ายยิ่งขึ้นกว่าเดิม


 


แต่แล้วในตอนนั้นเอง พื้นดินได้เกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย


 


พร้อมกับเส้นแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นในวิสัยทัศน์ของเขาทันที


 


“การเปลี่ยนแปลงภายนอกของโลกมนุษย์ได้สิ้นสุดลงแล้ว”


 


“และกฏเกณฑ์ภายในของทั้งสองโลกกำลังจะเริ่มบรรจบกัน”


 


“การบรรจบกันของกฏเกณฑ์จะส่งผลให้รากฐานของโลกเกิดความผันผวนขึ้นเป็นอย่างมาก”


 


“กรุณาออกจากโลกใบนี้ภายในสิบนาที เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนของรากฐานโลกที่จะเกิดกับกระแสเวลาของคุณ”


 


กู่ฉิงซานตกใจ


 


ครั้งก่อนที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น มันคือช่วงเวลาที่เกมแห่งชีวิตนิรันดร์ปรากฏออกมา


 


ในเวลานั้น กู่ฉิงซานต้องหลีกเลี่ยงมันโดยการไปยังโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ


 


“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมทุกๆครั้งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลก ฉันจะต้องหลีกเลี่ยงมันด้วย?” เขาทนไม่ไหวต้องเอ่ยถาม


 


ระบบอธิบาย “คุณและฉันต่างก็ลอบกลับมาจากช่วงเวลาสุดท้ายของวันสิ้นโลก ดังนั้นการไหลของกระแสเวลาของเราสองจึงแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ”


 


“เมื่อกฏเกณฑ์ของโลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ความผันผวนของมิติและเวลาของคุณก็จะถูกเปิดเผย ราวกับดวงจันทร์ที่ไสวอยู่บนฟากฟ้า มันจะดึงดูดเหล่าเทพมารที่ทรงพลานุภาพสูงสุดให้เบนสายตามาสำรวจ”


 


“เพราะพวกเขามีความสนใจเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้”


 


กู่ฉิงซานไตร่ตรองอย่างรอบคอบและกล่าวว่า “แต่ฉันได้ละทิ้งความทรงจำในอดีตของนักดาบนิรันดร์ไปแล้วนี่ – นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันได้เกิดใหม่แล้วโดยสมบูรณ์หรอกหรือ?”


 


“นั่นมันก็จริง แต่ความผันผวนของมิติและเวลาบนร่างกายของคุณจะค่อยๆสลายไป มิใช่สลายไปทั้งหมดแล้วกลายเป็นถือกำเนิดใหม่ได้เลยในทันที”


 


“แล้วมันจะใช้เวลาอีกนานแค่ไหน กว่าที่ความผันผวนนี้จะสงบลงโดยสิ้นเชิง?”


 


“อย่างรวดเร็วก็หนึ่งเดือน ขณะที่อย่างช้าก็ครึ่งปี”


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจโล่งอก


 


ตราบใดที่มันสงบลงได้ด้วยระยะเวลาที่ไม่นานเกินไป ก็ยังนับว่าโอเค


 


มิฉะนั้นแล้ว หากครั้งต่อไปโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอีก แล้วตนจะต้องถอนตัวหลบหนีไป มันคงจะรู้สึกแย่ไม่น้อย


 


บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เส้นแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กสองบรรทัดปรากฏขึ้นอีกครั้ง


 


“เรากำลังจะมุ่งหน้าสู่ช่องว่างของมิติและเวลาระหว่างโลกเทวะและอีกโลกหนึ่งที่ไม่รู้จัก”


 


“ยังคงเหลือเวลาอีก 9 นาที โปรดเตรียมตัวให้พร้อมด้วย”


 


กู่ฉิงซานพยักหน้า


 


เขาหันไปมองเพื่อนๆ ก่อนจะกลั้วคอและเอ่ยปากออกมา “ฉันมีบางอย่างที่จะต้องบอกกับพวกนาย”


 


…..


 


กู่ฉิงซานใช้เวลาไม่กี่นาทีในการเล่าอธิบายให้ทุกคนสามารถเข้าใจถึงเรื่องราวที่เกิดกับตนเอง ทุกอย่างเลย ยกเว้นเรื่องที่ตนกลับมาจุติใหม่


 


“ถ้างั้น ก็หมายความว่าเธอมีความสามารถในการเดินทางไปยังต่างโลกได้สินะ?” ประธานาธิบดีเอ่ยถาม


 


“ใช่แล้วครับ พวกเทคนิคฝึกยุทธทั้งหมดผมก็เอามันมาจากโลกแห่งผู้ฝึกยุทธนี่แหละ ” กู่ฉิงซานเฉลย


 


“แล้วนายอยู่ระดับสูงแค่ไหนในโลกใบนั้น?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถาม


 


ในจิตใจของกู่ฉิงซาน ร่างของนางเซียนไป่ฮั่วปรากฏขึ้นมา


 


“นอกเหนือไปจากท่านอาจารย์ของฉันแล้ว ก็คงจะเป็นฉันนี่แหละ”


 


ฝูงชนถอนหายใจโล่งอก


 


โชคดีแล้ว โชคดีจริงๆ


 


เจ้าสหายแสนดุดันเบื้องหน้าคนนี้ ที่สั่นสะเทือนได้กระทั่งโลกปรภพ วางกับดักได้กระทั่งเทพสวรรค์


 


หากตัวตนอย่างกู่ฉิงซานในโลกอื่นแล้วยังไม่นับว่าเป็นสิ่งใด ความกดดันในจิตใจของทุกผู้คนก็คงจะหนักหนาเกินไป


 


แต่ละคนค่อยๆผ่อนคลายลงอย่างช้าๆ แต่แล้วพวกเขาก็ได้ยินเสียงของกู่ฉิงซานอีกครั้ง


 


“อ้อฉันลืมบอกไป”


 


“พอดีว่าอีกโลกหนึ่งที่ฉันกำลังจะไป ความแข็งแกร่งของพวกเขาหากเทียบกับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธแล้วทางฝั่งนั้นทรงพลังยิ่งกว่าหลายเท่านัก พื้นฐานวรยุทธระดับก้าวสู่เทพขั้นปลายอย่างฉันจะกลายเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่ได้โดดเด่นอะไร”


 


ยังมีอีกโลกหนึ่งหรอ!


 


ทั้งหมดตกตะลึง


 


ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถามอย่างรอบคอบ “แล้วพวกเขาแข็งแกร่งแค่ไหน?”


 


“ก็คนเพียงคนเดียว … แต่กลับสามารถหลอมกลั่นโลกทั้งใบได้ล่ะมั้ง”


 


ซางหยิงฮ่าวนิ่งงันไป


 


กู่ฉิงซานอธิบาย “เหนือขอบเขตก้าวสู่เทพขึ้นไปคือขอบเขตประทับเทพ , ประทับเทพคือขอบเขตที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ แต่สำหรับในโลกอื่น เหนือยิ่งกว่าประทับเทพคือ ร่างเทวะ , พันวิบัติ ,ขีดสุดความว่างเปล่า และลมปราณจิต สี่ขอบเขตอันยิ่งใหญ่นี้”


 


“ส่วนขอบเขตที่พยายามจะหลอมกลั่นโลกทั้งใบด้วยตัวคนเดียว คือขอบเขตพันวิบัติ แต่ในภายหลังเขาก็ได้ยกระดับขึ้นไปถึงขีดสุดความว่างเปล่าแล้ว”


 


คราวนี้ ไม่มีใครกล้าเอ่ยถามอะไรอีกต่อไป


 


กู่ฉิงซานหันไปมองหน้าต่างระบบเทพสงคราม


 


ยังเหลือเวลาอีกสามนาที


 


เขากำลังสงสัยว่าตัวเองจะอธิบายเกี่ยวกับสาเหตุที่จำเป็นจะต้องออกเดินทางของตนได้อย่างไรดี


 


และในตอนนั้นเอง เขาก็ได้ข้อสรุปที่ฟังดูสมเหตุสมผลที่สุด


 


“เมื่อสองโลกผสานรวมกัน ก็อาจจะมีแนวโน้มว่ามีตัวตนที่ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อเข้ามาสอดแนมโลกของเรา แต่เนื่องเพราะมีกำแพงอุปสรรคของโลกคอยปกป้องอยู่ พวกเขาถึงไม่สามารถเข้ามาได้ แต่พวกเขาสามารถค้นพบได้ว่าฉันมีพลังที่จะใช้ข้ามผ่านระหว่างสองโลก”


 


“แล้วถ้าเป็นแบบนั้นมันจะเกิดอะไรขึ้น? พวกเขาจะมาจับตัวนายหรอ?” แอนนาเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว


 


“ไม่หรอก วางใจเถอะ” กู่ฉิงซานแสดงท่าทีปลอบประโลมเธอ “ตราบใดทียังอยู่ในช่วงเวลาที่โลกผสานรวมเข้าด้วยกัน ฉันก็จะมุ่งหน้าไปยังอีกโลกหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกค้นพบนี้”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม