Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ 416-422

 หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.416 – พุ่งเข้าปะทะ


 


กู่ฉิงซานยืนอยู่ในนรก


 


เขายังคงถือไม้เท้าแห่งการจองจำ ปากเอ่ยกล่าวอย่างแผ่วเบา “คุกล่มสลาย”


 


“เทคนิคลับแห่งไม้เท้า : คุกล่มสลาย , ราชาภูติที่กำลังถือครองไม้เท้านี้จะสามารถเข้าใจถึงเทคนิคลับนี้ได้โดยอัตโนมัติ  โดยเขาจะสามารถเปิดนรกทั้ง 18 ขุม และปลดปล่อยคนตายทั้งหมดออกมาในเวลาใดก็ได้”


 


พื้นดินเริ่มเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง


 


โดยไม่รีรอให้มันทันได้สงบลง ดินแดนของนรกทั้ง 18 ขุมก็หายวับไป


 


เวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆ


 


ชั่วขณะหนึ่ง ณ บริเวณตีนเขาของภูเขาล้อมเหล็ก ก็พลันปรากฏร่างยักษ์ใหญ่ย่ำเท้าลงบนชายฝั่งของสายธารแห่งการหลงเลือน


 


ไม่มีผู้คุมวิญญาณ และไม่มีเทพวิญญาณคอยขัดขวาง เขาจึงสามารถเดินออกจากสายธารแห่งการหลงเลือนได้โดยไร้ซึ่งอุปสรรค สามารถก้าวขึ้นมาบนอาณาเขตเบื้องบนของภูเขาล้อมเหล็กได้ทีละก้าว ทีละก้าว


 


เขาโผล่ออกมาจากนรกถลกหนัง


 


โดยมีกระแสน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือนอันอบอุ่นคอยโอบกอดเขา


 


ตามด้วยยักษ์ตนที่สองผุดขึ้นมาเหนือน้ำ


 


ต่อด้วยยักษ์ตนที่สาม


 


จากนั้นก็เป็นมนุษย์


 


อาชูร่าที่กำลังควงอาวุธในมือ


 


จ้าวอสูรคำรามก้อง


 


มนุษย์ปีศาจทะยานตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า


 


และสุดท้าย เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างอันแปลกประหลาดจากยุคแห่งความโกลาหล


 


หลายสิบคนตายปรากฏกายยืนอยู่ในสายธาร


 


ขณะที่เบื้องหลังหลายสิบคนตาย ตลอดทั้งสายธารแห่งการหลงเลือน บัดนี้ได้ถูกปกคลุมไปด้วยกองทัพคนตายทั้งหมดที่ผุดขึ้นมาจากในน้ำ!


 


คนตายนับล้านๆจากตลอดทั้ง 18 ขุมนรก ต่างทยอยกันปรากฏขึ้นด้วยพลังอำนาจของ ‘คุกล่มสลาย’!


 


ในนรกทะเลเลือด กู่ฉิงซานเปล่งวาจาสั้นๆออกมาอย่างแผ่วเบา


 


“บุกได้”


 


สิ้นเสียง เหล่าคนตายก็เริ่มเคลื่อนไหว


 


พวกเขาย่ำฝีเท้าไปยังเบื้องหน้า พุ่งตรงไปยังวิหารแห่งวัฏจักร!


 


แต่วิ่งไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เฉดเงาหลากสีก็ซัดสาดลงมาจากฟากฟ้า ตัดผ่านฝูงคนตายที่พึ่งขึ้นฝั่ง เป่าทั้งหมดหายวับไปหลงเหลือทิ้งไว้เพียงเถ้าถ่านที่ลอยฟุ้ง


 


หอกหลากสีเริ่มลงมือแล้ว!


 


อย่างไรก็ตาม สำหรับทั้งสองฝ่าย นี่น่ะมันก็แค่การเริ่มต้น!


 


เหล่ากองทัพคนตายอันไร้ที่สิ้นสุดย่ำเท้าลงบนชายฝั่ง และสับฝีเท้ามุ่งตรงไปยังวิหารแห่งวัฏจักรที่ตั้งอยู่ไกลออกไป


 


วูบบบบ!


 


หอกหลากสีเปล่งประกายเฉดเงาอีกครา


 


พร้อมกับคนตายนับพันหมื่นที่ถูกสังหารเป็นเถ้าในคราเดียว!


 


แต่นั่นมันก็หาได้สำคัญไม่!!


 


เพราะทันทีที่พวกเขาถูกเป่าเป็นผงกระจายออกไป ฝูงคนตายกลุ่มใหม่ก็จะเข้ามาแทนที่ในตำแหน่งเดิมพริบตา


 


คนตายทั้งหมดสับตีนวิ่งอย่างบ้าคลั่งตรงไปยังวิหารแห่งวัฏจักร


 


พวกเขาหาญกล้า ไร้ซึ่งความหวาดกลัว!


 


ความเจ็บปวดจากการที่เงาหอกตัดผ่าน มิได้มีอะไรมากไปกว่าการถูกลงโทษทั่วๆไปในนรกเลย


 


สำหรับคนตายแล้ว การถูกสังหารมิได้เป็นอะไรมากไปกว่าการต้องกลับไปจมลงสู่ความหลับไหลเท่านั้น


 


ยักษ์ใหญ่ก้าวตรงไปข้างหน้า ขณะที่เฉดเงาหอกหลากสีวาบบบบ! ผ่านร่างของเขารวมไปถึงยักษ์ใหญ่นับไม่ถ้วนเบื้องหลังไป


 


ทว่าก่อนหน้านั้น ยักษ์ใหญ่ก็ได้คว้าจับเอาร่างของคนตายตัวเล็กมาไว้ในกำมือ และเหวี่ยงพวกมัน ขว้างตรงไปยังทิศทางของวิหารแห่งวัฏจักร!


 


ยักษ์หัวเราะลั่น ปากอ้าเอ่ยตะโกนว่า “ขยะเอ๊ย! นอกเหนือไปจากการสังหารข้าแล้ว ตัวเจ้ามันก็มิอาจกระทำสิ่งใดได้อีก!”


 


ราวกับเข้าใจถึงประโยคเหล่านั้นของอีกฝ่าย ประกายแสงจรัสพลันพรั่งพรูออกมาจากหอกหลากสีทันที


 


บังเกิดเส้นแสงหลากสีอันคมชัดไร้ที่สิ้นสุด สาดประกายปกคลุมไปตลอดทั้งโลกปรภพ!


 


ตลอดทั้งภูเขาศักดิ์สิทธิ์ หลายร้อย หลายพันล้านคนตายถูกสังหารลงในพริบตา! พื้นดินที่อัดแน่นไปด้วยกองทัพคนตายเหลือคณา บัดนี้หลงเหลือเพียงพื้นที่รกร้างว่างเปล่า!


 


กู่ฉิงซานวางมือลงบนหัวกะโหลกแหลมของไม้เท้าแห่งการจองจำ ปากเอ่ยกระซิบอย่างแผ่วเบา “จงหวนคืนมาอีกครั้ง”


 


เขาใช้ออกด้วยเทคนิคลับแห่งไม้เท้า : ต้นกำเนิดแห่งความตาย!


 


และเหล่าคนตายทั้งหมดที่พึ่งจมลงสู่การหลับไหล ก็ฟื้นตื่น คืนสติขึ้นมาทันที


 


คนตายจากนรกทั้ง 18 ขุมผุดลุกขึ้นจากนรกของตน และเริ่มมุ่งหน้าขึ้นสู่สายธารแห่งการหลงเลือนอีกครั้ง


 


รอบๆภูเขาล้อมเหล็ก ตลอดทั้งสายธารแห่งการหลงเลือนบัดนี้ถูกแทนที่ด้วยทะเลกองทัพคนตายอีกครา


 


หอกหลากสีก้มลงมอง และเมื่อเห็นฉากนี้ มันก็เร่งความเร็วในการโจมตีให้ถี่ขึ้นอย่างกระทันหัน


 


เงาหอกปรากฏขึ้น จ้วงแล้ว จ้วงเล่า


 


ขณะที่คนตายก็ถูกสังหารลงเรื่อยๆ แล้วก็มีคนตายใหม่เข้ามาแทนที่ เหยียบย่ำพวกที่พึ่งถูกสังหารลง เคลื่อนที่มุ่งตรงไปข้างหน้า


 


มองจากบนท้องฟ้าในมุมสูง จะเห็นว่าฉากนี้มันราวกับฝูงมดที่ไม่ยินยอมพ่ายแพ้ ค่อยๆขยับกลุุ่มเคลื่อนเข้าไปใกล้เป้าหมายอย่างช้าๆ


 


มองมายังฉากนี้ ฉานนู่อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา “ข้าคาดไม่ถึงเลยว่าพวกคนบาปทั้งหลาย จะทุ่มเททำงานอย่างหนักถึงเพียงนี้”


 


กู่ฉิงซานกล่าว “ไม่ว่าจะในสงครามใด กำลังรบของทหารที่ยินดีจะต่อสู้น่ะ ย่อมร้ายกาจและแตกต่างไปจากทหารที่ถูกบังคับให้ต่อสู้อยู่แล้ว”


 


“และนี่สินะ คือจุดประสงค์ที่เจ้าพยายามแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรมกับพวกเขา?”


 


กู่ฉิงซานยิ้มและพึมพำว่า “หากบังคับให้ทำงานอย่างหนักโดยไม่ได้ตอบแทนผลประโยชน์อะไรให้กับพวกเขา แล้วคนที่ได้รับงานไปจะยินดีพยายามอย่างเต็มที่ได้อย่างไร? นับประสาอะไรกับที่แห่งนี้คือนรก ที่ทุกคนน่ะ ล้วนแล้วแต่เป็นคนบาป ทั้งหมดย่อมไม่มีจิตวิญญาณอันสูงส่งที่จะยินดีเสียสละสู้พยายามอย่างหนักหรอก”


 


—-


 


ณ บริเวณตีนเขาของภูเขาล้อมเหล็ก


 


เหล่าคนตายยังคงมุ่งมั่นทำงานอย่างหนัก วิ่งขึ้นฝั่งราวกับคนบ้า


 


ขณะที่คนตายบางส่วนเริ่มที่จะเค้นสมอง เพื่อหาวิธีการใหม่ๆที่จะสามารถเข้าไปใกล้วิหารแห่งวัฏจักรได้มากขึ้น


 


พวกเขาไม่ได้วิ่งอย่างเร่งรีบอีกต่อไป แต่กลับเปลี่ยนทิศทางในระหว่างก้าวเดิน สลับไปมามุ่งตรงไปยังวิหารอย่างไม่รู้จบ


 


พวกเขาบ้างวิ่ง บ้างกระโดด บ้างกลิ้งหมุนไปกับพื้น บ้างย่องเดินอย่างแผ่วเบาไปข้างหน้า หมุนตัวไปมาราวกับงู หรือถลาไปข้างหน้าแบบซิกแซก


 


พวกเขาแยกย้ายไม่เกาะกลุ่มกัน บ้างบินขึ้นไปบนอากาศ และพยายามที่จะเข้าไปใกล้วิหารจากทุกทิศทาง


 


เวลานี้ ความถี่ของหอกหลากสีมิอาจตามทันเหล่าคนตายที่ดาหน้ากันมาอย่างต่อเนื่องได้อีกต่อไปแล้ว


 


แม้ว่ามันจะครอบครองพลังอำนาจที่เหนือล้ำยิ่งกว่า แต่มันก็ไม่สามารถที่จะปลดปล่อยเฉดเงาหอกออกมาได้ตลอดเวลา


 


มันเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้เงาหอกเติมเต็มไปทั่วทั้งอากาศที่ว่างเปล่าตลอดเวลา


 


ใช่ จริงอยู่ที่พลังอำนาจของมันสามารถสังหารได้กระทั่งทวยเทพและอสูรกาย


 


แต่ด้วยอำนาจอันหาที่ใดเปรียบนี้ เมื่อนำมาใช้กับคนตายที่ไม่สามารถตายได้อีกแล้ว มันก็ราวกับเป็นอำนาจที่เสียของ และเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์!


 


ไม่แตกต่างไปจากการใช้ปืนใหญ่มายิงถล่มยุงที่ลอยเป็นจุดดำๆอยู่ทั่วท้องฟ้า


 


เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างช้าๆ


 


คนตายยินยอมมอบชีวิตของพวกเขา เพียงเพื่อที่ตนจะได้เอื้อมสัมผัสถูกวิหารแห่งวัฏจักร!


 


ขณะที่หอกหลากสีก็โจมตีใส่พวกเขาอย่างไม่ยอมพ่ายแพ้!


 


ในนรก


 


“ข้าล่ะสงสัยนักเชียว ว่าการที่หอกหลากสีมันปลดปล่อยอำนาจออกมาสังหารคนตายมากมายถึงเพียงนี้ มันจะไม่เหนื่อยบ้างหรอ?” กู่ฉิงซายเอ่ยถาม


 


ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าวว่า “แหล่งกำเนิดพลังของสิ่งประดิษฐ์เทวะคือแต้มพลังวิญญาณ ไม่สำคัญว่ามันจะทรงพลานุภาพเพียงใด แต่การใช้เงาหอกย่อมต้องจ่ายออกด้วยแต้มพลังวิญญารอย่างแน่นอน”


 


ดาบพิภพเอ่ยต่อด้วยว่า “ และต่อให้มันจะจ่ายออกด้วยแต้มพลังวิญญาณเพียงน้อยนิด แต่การกระทำเช่นนั้นอย่างต่อเนื่อง ยังไงก็สิ้นเปลืองอยู่ดี”


 


กู่ฉิงซานที่ถือไม้เท้าแห่งการจองจำหลับตาลง เพื่อรับรู้ถึงนรก


 


หลายชั่วยามผ่านพ้นไป เวลานี้เหลือเพียงน้อยกว่า 1 ใน 1000 ของคนตายได้ถูกส่งลงมาหลับไหลอยู่ในนรก


 


ดูเหมือนว่าเขาจะไม่จำเป็นต้องใช้ ‘ต้นกำเนิดแห่งความตาย’ อีกต่อไปแล้ว


 


“พอได้เห็นแบบนี้ ข้าล่ะรู้สึกโล่งใจจริงๆ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา


 


เหล่าคนตายก็ยังคงพุ่งทะยานไปยังวิหารอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย


 


พวกเขาเริ่มโห่ร้อง และเริ่มที่จะแย่งกันกระโจนไปเบื้องหน้าเพื่อที่จะเผชิญกับความตายก่อนเป็นตนแรก


 


นอกจากนี้ เหล่าคนตายยังเริ่มแข่งขันกัน เพื่อดูว่าใครจะเป็นผู้ที่สามารถวิ่งไปได้ไกลที่สุด


 


นรกทั้งหมดเริ่มเปิดเดิมพัน และวางอัตราต่อรอง


 


เหล่าคนบาปเริ่มใช้ความตายของตนเองมาเล่นพนันเพื่อหาประโยชน์จากกันและกัน


 


พวกเขาสนุกไปกับมัน


 


และในบางครั้ง พวกเขาก็มักจะเงยหน้าขึ้นมองบุญส่วนบุคคลของตน


 


และพบว่าบุญของแต่ละคนตาย กำลังค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ


 


ขณะเดียวกัน เหล่าคนตายที่ทุ่มพยายามมากที่สุด บุญของพวกเขาก็จะทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน


 


ท้ายที่สุดนี้ ทั้งหมดคือการช่วยเหลือหกโลก ดังนั้นตราบใดที่พวกเขาทำงานอย่างหนัก พวกเขาก็จะได้รับบุญจำนวนมากกลับคืน


 


แถมเครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคลยังเป็นคนบอกกับพวกเขาด้วยตนเองว่า หากประสบความสำเร็จ ก็มีโอกาสสูงที่จะได้บุญเป็นจำนวนมหาศาล


 


และยิ่งครอบครองบุญเยอะมากเท่าใด ยามไปเกิดใหม่ตนก็จะยิ่งได้รับผลประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น!


 


ทุกอย่างจะปรากฏขึ้นในลักษณะของ โชคชะตา , สถานะ , ความมั่งคั่ง ฯลฯ ขึ้นอยู่กับจำนวนบุญ


 


คนตายนับล้านล้านคนต่างส่งเสียงเฮลั่น และรีบร้อนไปตายอย่างต่อเนื่อง


 


หอกหลากสีได้ทำการสังหารคนตายมาเป็นเวลากว่าหลายชั่วยามติดต่อกันแล้ว แต่จำนวนคนตายกลับไม่มีลดลงเลย ตรงกันข้าม มันกลับเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ


 


มองลงมาจากมุมสูงบนท้องฟ้า จะเห็นแค่เพียงคนตายกำลังขยับกินพื้นที่เข้าไปใกล้กับบริเวณตีนเขาของภูเขาล้อมเหล็กมากขึ้นเรื่อยๆ


 


ชั่วเวลาหนึ่ง กู่ฉิงซานก็ยืนขึ้น และเอ่ยกับไม้เท้าออกไปอย่างแผ่วเบา “ทั้งหมด .. เริ่มปะทะได้!”


 


ทันใดนั้นเสียงคำรามของคนตายนับล้านล้านก็ระเบิดดังขึ้น!


 


พวกเขาเริ่มวิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่งอย่างหนัก มุ่งตรงไปยังวิหารแห่งวัฏจักร


 


—แท้จริงแล้วกลับกลายเป็นว่ามีคนตายจำนวนมากคอยซ่อนตัว ซ่องสุมกำลังพลเอาไว้อย่างเงียบๆ เฝ้ารอคอยจังหวะที่เหมาะสม ขณะที่ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ใช้คนตายจำนวนหนึ่งเพื่อหลอกตาหอกหลากสีเท่านั้น


 


วงล้อมที่ค่อยๆเขยิบตีกรอบย่นระยะมานาน จู่ๆก็แคบลงอย่างฉับพลัน


 


คนตายสับฝีเท้าราวกับม้าป่า โดยไม่สนว่าเบื้องหน้าของพวกเขาจะเป็นเงาหอกหรือว่าพวกเดียวกัน!


ฮู้มมม!


 


หอกหลากสีเปล่งเสียงร้องฉวัดเฉวียนด้วยความโกรธ


 


แต่แล้วมันก็หยุดการโจมตี


 


แน่นอน ว่านี่มิใช่ว่ามันจะแสดงความเมตตาออกมา แต่เป็นเพราะผลกระทบจากคนตายที่รุกล้ำเข้ามานั้นเริ่มเร็วขึ้น และรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็สามารถแหกด่าน ฝ่าทะลุเข้าไปในวิหารแห่งวัฏจักรได้ในที่สุด


 


บนท้องฟ้า เฉดเงาหลากสีได้หายลับไปอย่างสมบูรณ์


 


หอกไม่ยินยอมที่จะลงมือทำสิ่งที่มันทำไปก็ไร้ประโยชน์อีกต่อไป


 


มันยอมแพ้แล้ว


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.417 – สายใยแห่งกฏเกณฑ์


 


วิหารแห่งวัฏจักรเป็นสถานที่ๆเทพปรภพคอยรับผิดชอบจัดการเหล่าสิ่งมีชีวิตที่ได้ชดใช้กรรมในนรกจนหมดสิ้นลง โดยการส่งพวกเขาไปเกิดใหม่


 


นอกจากนี้ ที่นี่ยังถูกใช้เป็นสถานที่จัดการเรื่องราวสำคัญๆต่างๆเกี่ยวกับโลกปรภพอีกด้วย


 


กล่าวได้ว่าสถานที่แห่งนี้คือสถาบันสูงสุดของปรภพ!


 


และยังมีแหล่งกำเนิดธาตุดินถูกเก็บเอาไว้อีกด้วย


 


เหล่าคนตายได้วิ่งเข้ามาในวิหารแห่งวัฏจักร


 


“หยุดก่อน!”


 


ชูร่าหญิงชักมือขึ้น ปากเอ่ยสั่ง


 


“จงอย่าทำลายสิ่งใด! เพราะเรายังไม่ทราบถึงตำแหน่งที่แน่นอนของสิ่งที่ราชาภูติต้องการ หากใครเผลอทำลายมัน ก็เฝ้ารอเวลาที่จิตวิญญาณของตนถูกทำลายได้เลย!” เธอตะโกนเสียงดังออกมา


 


คนตายตนอื่นๆชะงักงันไปทันที นิ่งค้างอยู่ในสถานที่เดียวกันราวกับถูกแช่แข็ง


 


ชูร่าหญิงเป็นผู้นำการบุกจู่โจมในรอบนี้


 


ขณะที่รอบก่อนหน้าถูกนำโดยราชันย์หมาป่า เขาเป็นระลอกแรกที่ทำการบุกเข้าใส่หอกหลากสีอย่างเต็มรูปแบบ


 


อย่างไรก็ตาม สุดท้ายราชันย์หมาป่าก็ถูกสังหารลงโดยเงาหอก


 


ชูร่าหญิงจึงฉวยโอกาสนั้นพุ่งทะยานออกไป ใช้แรงระเบิดถลาตัวม้วนกลิ้งเข้ามาในวิหารได้ในที่สุด


 


แล้วหอกหลากสีก็หยุดการโจมตีไป


 


ไม่นานนัก หกผู้คุมนรกก็ได้มารวมตัวกันในวิหารแห่งวัฏจักร


 


พวกเขาเริ่มที่จะค้นหาแหล่งกำเนิดของธาตดิน


 


ในความเป็นจริงแล้ว แหล่งกำเนิดเหล่านี้เป็นเรื่องง่ายดายยิ่งที่จะค้นหา เพราะตัวแหล่งกำเนิดน่ะจะปลดปล่อยกลิ่นอายและพลังแบบเฉพาะเจาะจงออกมา เลยสามารถสัมผัสถึงได้ง่าย


 


ตัวอย่างเช่น แหล่งกำเนิดธาตุน้ำ ที่ตัวมันจะปล่อยกลิ่นอายเย็นเยียบออกมา และแหล่งกำเนิดธาตุน้ำก็มีพลังที่จะสามารถฟื้นฟูบาดแผลต่างๆได้อย่างช้าๆอีกด้วย


 


ดังนั้น ครั้งแรกที่กู่ฉิงซานพบกับฉานนู่ เธอจึงอยู่ในสายธารแห่งการหลงเลือน และกำลังใช้แหล่งกำเนิดธาตุน้ำหล่อเลี้ยงร่างจิตเพื่อที่จะทำการฟื้นฟูตนเองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้อยู่


 


หกผู้คุมนรกหลับตาลง และเริ่มทำการสัมผัสถึงมัน


 


สักพักหนึ่ง พวกเขาก็ทยอยกันลืมตาขึ้นอีกครั้ง พร้อมด้วยร่องรอยของความประหลาดใจที่เขียนอยู่บนใบหน้าของพวกเขา


 


“นี่มันชักจะไม่ง่ายซะแล้วสิ เหตุใดข้าจึงไม่อาจสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นพลังเลยล่ะ?” ชายชราเผ่ามนุษย์กล่าว


 


“ข้า-ก็-เหมือนกัน” ผู้คุมนรกที่เป็นยักษ์ตอบ


 


“มันคงจะเป็นการที่ดีสุด หากถามเอาจากราชันย์หมาป่า จมูกของมันดีมากๆ มันจะต้องรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นแน่” มนุษย์ปีศาจเอ่ยปากออกมา


 


“ดูนั่นสิ พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มาเลย” ชูร่าชายกล่าว


 


เห็นแค่เพียงราชันย์หมาป่าที่ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง กำลังเดินตรงมาจากทางเข้าวิหาร


 


มันขยับจมูกฟุดฟิด ในสมองขบคิดอย่างจริงจังอยู่สักพักหนึ่งจึงกล่าวว่า “พวกเจ้าทุกคนช่วยกันมองหาดูหน่อยว่าภายในวิหารนี้มีสิ่งผิดปกติใดๆหรือไม่ และจงระวังอย่าให้สิ่งเหล่านั้นเกิดความเสียหายล่ะ”


 


แล้วผู้คุมนรกทั้งเจ็ดก็แยกย้ายกันไป แต่ละตนเริ่มที่จะทำการสำรวจวิหาร


 


แต่หลังจากที่ทำการสำรวจแล้ว พวกเขากลับไม่พบว่ามีอะไรที่ผิดสังเกตเลย


 


ราชันย์หมาป่าจึงอดไม่ได้ที่จะใช้กระแสจิตส่งออกไปเพื่อรายงานปัญหาแก่กู่ฉิงซาน


 


“มันไม่สมควรจะเป็นเช่นนี้”


 


กู่ฉิงซานขมวดคิ้วมุ่น


 


“เราได้ลองออกค้นหามันดูแล้ว แต่กลับไม่พบถึงแหล่งกำเนิดของธาตุดิน หรืออะไรแปลกๆที่ดูผิดสังเกตเลย” ราชันย์หมาป่ากล่าว


 


แต่แล้วจู่ๆมันก็กวาดสายตาไปในฝูงชนอย่างฉับพลัน


 


“ประเดี๋ยวก่อน ข้าว่าข้าไม่เห็นชูร่าหญิงนะ บางทีนางอาจจะเจอบางสิ่งเข้าแล้วก็ได้”


 


ในช่วงเวลาเดียวกัน


 


ชูร่าหญิงก็กำลังยืนอยู่ในมุมๆหนึ่งที่ห่างไกลของตัววิหาร


 


มีกองเครื่องจักรโลหะอยู่ที่นี่


 


มันเกือบที่จะพังทลายลงโดยสิ้นเชิง แต่ก็ยังสามารถคงสภาพเอาไว้ได้อยู่เล็กน้อยด้วยพลังอำนาจบางอย่าง และยังไม่ได้ถูกทำลายลงโดยสมบูรณ์


 


แต่ที่เด่นสะดุดตาก็คงจะไม่พ้นหมายเลข ‘33’ ที่ถูกสลักไว้บนผิวเครื่องจักร


 


ควันดำจางๆลอยออกมาจากมันอยู่เป็นระยะๆ


 


เห็นได้ชัดว่าแม้จะมีการสนับสนุนด้วยพลังบางอย่าง แต่เครื่องจักรก็ยังได้รับความเสียหายเป็นอย่างมากอยู่ดี


 


แต่ยังไงก็เถอะ ดูเหมือนว่ามันจะยังพอทำงานได้อยู่นะ


 


ชูร่าหญิงเอื้อมมือออกไปและพยายามที่จะกดลงบนเครื่องจักรโลหะเย็น


 


แต่แล้วเสียงของเครื่องจักรก็ดังสะท้าน จนทำให้เธอต้องกระโดดโหยงด้วยความตกใจ


 


“ท่านเทพ!!!”


 


เครื่องจักรพ่นคำนี้ออกมาอย่างลุกลี้ลุกลน


 


แต่เพียงแค่เอ่ยคำนั้นออกมา ตัวเครื่องจักรก็เกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง


 


ส่วนประกอบบางชิ้นหลุดลอก กลิ้งตกลงมาจากเครื่องจักร


 


เครื่องจักรดูเหมือนจะถึงขีดจำกัดแล้ว เป็นแบบนี้อยู่สักพักมันก็หยุดทำงานลงในที่สุด


 


แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆก็บังเกิดเปลวไฟลุกโชนขึ้นจากมัน


 


เครื่องจักรดิ้นรนเฮือกสุดท้ายให้ตนสามารถกลับมาทำงานได้อีกครั้ง มันสั่นไหวอย่างไร้เสถียรภาพ แต่ก็ยังคงพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะพูดประโยคหลังออกมา


 


“หนีไป-”


 


ตูม!


 


เครื่องจักรเกิดการระเบิดขึ้น


 


ชิ้นส่วนเครื่องจักรนับไม่ถ้วนแตกกระจายและร่วงตกลงกับพื้น


 


ชูร่าหญิงแข็งค้างไปชั่วขณะหนึ่ง


 


อ่า… สถานการณ์นี่มันบ้าอะไรกันล่ะเนี่ย?


 


ดูเหมือนว่าเครื่องจักรจะมีสิ่งที่อยากจะพูดอยู่มาก อย่างไรก็ตามสุดท้ายมันก็ไม่สามารถเอ่ยออกมาได้


 


ว่าแต่มันพยายามที่จะบอกอะไรกันแน่นะ?


 


บังเกิดความคิดขึ้นในจิตใจของชูร่าหญิง


 


แต่แล้วในจุดที่เครื่องจักระเบิด จู่ๆก็พลันสาดแสงสีเหลืองเรืองรองออกมา


 


-แหล่งกำเนิดธาตุดิน


 


กลับกลายเป็นว่าแท้จริงแล้วมันอยู่ที่นี่!


 


ด้วยการสนับสนุนจากพลังของมัน จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเครื่องจักรจึงสามารถทนมาได้ถึงขนาดนี้ และเกิดปฏิกริยาตอบสนองขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อมีคนมาถึง


 


มันเป็นเพราะเครื่องจักรตระหนักดีว่าตนเองกำลังจะพังลง มันเลยตามหาแหล่งกำเนิดธาตุดิน หรือไม่ก็เพราะว่ามันมีแหล่งกำเนิดธาตุดินอยู่กับตัวอยู่แล้วกันแน่นะ? แต่จะยังไงก็ช่าง เพราะมันได้พังไปแล้ว และเรื่องนี้ก็คงจะเป็นปริศนาไปตลอดกาล


 


“เกิดอะไรขึ้น?” เสียงของราชันย์หมาป่าดังขึ้น


 


หกผู้คุมนรกปรากฏกายขึ้นเบื้องหลังชูร่าหญิง


 


“โอ้! ไม่มีอะไรหรอก มันอยู่ที่นี่ไง!” ชูร่าชายร้องโห่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น


 


“ดีล่ะ ตอนนี้ก็ส่งมันไปให้ราชาภูติกันเถอะ”


 


มนุษย์ปีศาจที่ลอยอยู่กลางอากาศรับเอาแหล่งกำเนิดธาตุดินมา และชูมันขึ้นให้ประจักษ์ต่อสายตาของเหล่าคนตายที่อยู่เบื้องหลัง


 


เหล่าคนตายพอได้เห็นก็โห่ร้องด้วยความปิติยินดีออกมา


 


กระทั่งเทพก็ยังต้องตกตายลงด้วยน้ำมือของหอกหลากสี


 


แต่พวกเขา! พวกเขากลับสามารถฝ่าด่านป้องกันของหอกและชิงแหล่งกำเนิดธาตุดินมาไว้ในกำมือได้!


 


สำหรับคนตายแล้ว นี่นับว่าเป็นชัยชนะอย่างแท้จริง!


 


แล้วพวกเขาก็ได้นำแหล่งกำเนิดธาตุดินไปยังนรกทะเลเลือด


 


ณ บนชายฝั่งของนรกทะเลเลือด


 


กู่ฉิงซานกำลังกะน้ำหนักของแหล่งกำเนิดธาตุดินที่อยู่ในมือของเขา


 


คราวนี้ก็ได้แหล่งกำเนิดมาสี่แล้ว!


 


ปัจจุบันนี้ เหลืออีกเพียงแหล่งกำเนิดธาตุไม้ที่อยู่บนภูเขาล้อมเหล็ก


 


แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆชูร่าหญิงก็ปรากฏตัวขึ้นข้างกายเขา


 


“มีอะไรงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“ข้ามีเรื่องเล็กๆน้อยๆที่อยากจะเอ่ยถามฉานนู่หรือไม่ก็ตะขอเกี่ยววิญญาณน่ะ”


 


ชูร่าหญิงดูเหมือนว่าจะกำลังกังวล


 


“เชิญถามมาได้” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว


 


“พอจะมีวีธีที่สามารถซ่อมแซมเครื่องจักรปรภพได้หรือไม่?”


 


“มีเพียงเทพวิญญาณที่จะสามารถซ่อมแซมพวกเขาได้ นอกเหนือไปจากนั้น ก็คงจะเป็นพลังของกฏเกณฑ์แห่งปรภพ ที่จะค่อยๆซ่อมแซมพวกเขาเอง แต่สำหรับอย่างหลังกระบวนการมันจะเป็นไปอย่างช้าๆ”


 


ชูร่าหญิงพยักหน้า  ขณะที่ในหัวกำลังขบคิด


 


“เอาล่ะ เหลือแหล่งกำเนิดธาตุอีกแค่อันเดียวแล้ว ทุกคนบุกได้!” กู่ฉิงซานเอ่ยบัญชา


 


ฮ่าาาา!!!


 


เหล่าคนตายตะโกนก้อง และเริ่มพุ่งทะยานเข้าปะทะอีกครั้ง


 


แต่คราวนี้หอกหลากสีก็ยังคงสงบนิ่ง


 


มันที่อยู่บนยอดได้เปล่งเส้นแสงเฉดเงาหลากสีออกมาทั่วบริเวณรอบครึ่งบนของภูเขาล้อมเหล็ก


 


ดูเหมือนว่านี่จะเป็นคำประกาศของมัน ที่น่าจะใจความว่า


 


‘หากผู้ใดก็ตามข้ามเส้นนี้มา มันทุกคนจักต้องตาย’


 


เหล่าคนตายจึงไม่คิดเข้าไปวุ่นวายกับมัน ก่อนจะเริ่มทำการสำรวจครึ่งล่างของภูเขาล้อมเหล็ก และในที่สุดก็พบกับแหล่งกำเนิดธาตุไม้อย่างรวดเร็ว


 


ไม่นานนัก แหล่งกำเนิดธาตุไม้ก็มาถึงมือของกู่ฉิงซาน


 


กู่ฉิงซานรับเอาแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้ามา และเริ่มที่จะย้อนระลึกความทรงจำอย่างเงียบๆ


 


เมื่อครั้งที่เขาอยู่ในโลกเทวะ ร่างใหญ่ได้เคยบอกเขาถึงวิธีการผสานรวมระหว่างสองโลกเข้าด้วยกัน


 


“ต่อไป ก็ถึงเวลาที่จะหลอมกลั่นพวกมันสินะ”


 


ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังกล่าว เขาก็ปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมา ให้มันประสานเข้ากับจิตสัมผัสเทวะ และเริ่มทำการหลอมกลั่นแหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้า


 


แหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้าเหล่านี้ไม่มีเจ้าของ และมันเข้ากันได้ดีเป็นอย่างมากกับพลังวิญญาณ ช่างเป็นวัสดุสำหรับการหลอมกลั่นที่ยอดเยี่ยมเหลือเกิน


 


และการดำรงอยู่ของพวกมันจะยังคงอยู่ต่อไป ตราบใดที่ในโลกทั้งหกไม่มีการหลอมกลั่นเกิดขึ้น


 


ไม่นานนัก แหล่งกำเนิดธาตุทั้งห้าก็ถูกประทับตราโดยกู่ฉิงซานด้วยจิตสัมผัสเทวะของเขา


 


เขาใช้พลังวิญญาณเพื่อจัดการกับกระบวนการหลอมกลั่น และค่อยๆยืดกลุ่มแสงให้กลายเป็นเส้นใย และเชื่อมต่อพวกมันเข้าด้วยกัน


 


ทันใดนั้นเส้นแสงยาวเหยีดดที่ทอประกายห้าสีก็ถือกำเนิดขึ้น


 


บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กเด้งเตือนขึ้นมาทันใด


 


“คุณได้รับสายใยแห่งกฏเกณฑ์”


 


“นี่คือสายใยกฏเกณฑ์แห่งโลกปรภพของหกวิถีแห่งสังสารวัฏ”


 


“หากคุณนำมันเข้าสู่โลกอื่น โลกปรภพก็จะถูกดึงดูดโดยสายใยแห่งกฏเกณฑ์นี้ และค่อยๆถูกหลอมรวมเข้ากับอีกโลกหนึ่งที่คุณได้นำพามันเข้าไป”


 


กู่ฉิงซานกำไม้เท้าแห่งการจองจำในมือ หลับตาลงครุ่นคิด


 


“ฉานนู่”


 


“ข้าอยู่นี่นายน้อย”


 


“เรื่องราวของที่นี่ ข้ายกให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน ส่วนข้าขอตัวกลับไปที่โลกมนุษย์ก่อน”


 


“แล้วนายน้อยต้องการให้ข้าทำสิ่งใด?”


 


“เดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เองในไม่ช้า”


 


กู่ฉิงซานกระทุ้งปลายไม้เท้าแห่งการจองจำให้มันตั้งตรงบนพื้น


 


ขณะเดียวกันเขาก็บีบสายใยแห่งกฏเกณฑ์ห้าสีในมือข้างหนึ่ง ขณะที่อีกข้างจีบออกด้วยวิชาลับ


 


“วิญญาณหวนคืน”


 


“วิญญาณหวนคืน :  แม้ตนจะตกตาย หรือกระทั่งจิตแห่งตนล่องลอยสู่ปรภพ ก็ยังสามารถที่จะเรียกมันกลับคืนมาได้”


 


ในความว่างเปล่า ราวกับว่ามีแรงฉุดที่มองไม่เห็นบังเกิดขึ้น มันคอยบ่งบอกให้กู่ฉิงซานรับรู้ได้ถึงทิศทางของกายมนุษย์ของตนเอง


 


เขาผลุบเข้าไปในความว่างเปล่าพร้อมกับแรงฉุด ออกจากนรกทะเลเลือดอย่างฉับพลัน


 


และในวินาทีต่อมา เขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่บริเวณปากทางเข้าถ้ำมืด


 


เขาเดินผ่านถ้ำมืดที่ว่างเปล่าเข้าไปในกระแสมิติอันเชี่ยวกราด จากนั้นก็มุ่งหน้าไปตามทิศทางของแรงฉุด


 


ชั่วระยะเวลาหนึ่ง กู่ฉิงซานก็หยุดลง


 


เขาสัมผัสได้รางๆว่ากายมนุษย์ของตนอยู่ภายนอกมิติที่ว่างเปล่าตรงจุดนี้


 


ด้วยวิชาลับที่ใช้ไป ทำให้บังเกิดภาพรางๆของกำแพงโปร่งใสปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า


 


แม้ภาพจะไม่ชัด แต่ก็จะเห็นว่าเบื้องหน้าเขา คือห้องนั่งเล่นในวิลล่าบนภูเขา


 


กู่ฉิงซานทะลุกำแพงโปร่งใสเข้ามา และปรากฏกายขึ้นในโลกมนุษย์


 


เขาลอยอยู่กลางอากาศ และหันไปมองรอบๆห้องอย่างเงียบๆ


 


ซางหยิงฮ่าวกับเย่เฟย์หยูยังคงประกบซ้าย-ขวา ข้างกายเขา คอยปกป้องตนเองอย่างระมัดระวัง


 


เอ๋?


 


แอนนาก็มาด้วยหรอนี่?


 


ปรากฏว่ามีสาวสวยผมยาวสีแดงเพลิงนั่งอยู่บนโซฟา ขณะนี้เจ้าตัวกำลังแสดงท่าทีเบื่อหน่ายออกมา


 


และข้างกายเด็กสาว มีหมาดำกำลังนอนโชว์พุงอยู่


 


ขณะเดียวกัน หมาดำก็กำลังถือขวดไวน์และยกปากขวดกระดกเข้าปากจนคอของมันงอหงายไปข้างหลัง


 


แต่ทันทีที่กู่ฉิงซานปรากฏตัวขึ้น


 


หมาดำก็ดีดตัวนั่งหลังตรงอย่างฉับพลัน มันเงยหน้าขึ้นมองมายังร่างวิญญาณของกู่ฉิงซาน


 


หมาดำจ้องมองใบหน้าของกู่ฉิงซานอย่างรอบคอบ ก่อนจะสลับกลับมาดูกายมนุษย์ของเขา จากนั้นมันก็เริ่มผ่อนคลายลงในไม่ช้า


 


หมาดำหย่อนหลังของมันลง เอนกายนอนดังเดิม


 


-สถานการณ์นี่มันอะไรกันล่ะเนี่ย?


 


เมื่อกี้เจ้าหมาตัวนั้นมันมองเห็นฉันใช่ไหม?


 


ขณะที่กู่ฉิงซานยังคงสงสัย กลับเห็นแค่เพียงหมาดำที่จู่ๆก็ดีดตัวขึ้นอีกรอบ พร้อมด้วยสองตาของมันที่กำลังจับจ้องมายังสายใยกฏเกณฑ์ห้าสีในมือของกู่ฉิงซาน


 


หมาดำอ้าปากค้าง ท่าทีการแสดงออกของมันดูจะประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.418 – ผสานโลก


 


ปฏิกิริยาตอบสนองของหมาดำ ส่งผลให้กู่ฉิงซานลอบประหลาดใจอย่างลับๆ


 


เจ้าหมาตัวนี้มันแปลกจริงๆ …


 


กู่ฉิงซานไม่รีรออีกต่อไป หย่อนร่างจิตลงไปในกายมนุษย์ของตนเองทันที


 


เขาลืมตาขึ้น


 


แล้วเขาก็พบว่าสายใยแห่งกฏเกณฑ์ก็ตามมาด้วยเช่นกัน เวลานี้มันกำลังสาดประกายแสงห้าสีอยู่ในมือของเขา


 


ขณะนี้คนอื่นก็เริ่มรับรู้ถึงการกลับมาของเขากันบ้างแล้ว


 


“เป็นยังไงบ้าง?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถามเสียงหม่น


 


ในจุดที่ไกลออกไป ประธานาธิบดีและสมเด็จพระจักรพรรดินีเวโรน่าก็ยืนขึ้นเช่นกัน


 


“ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“กู่ฉิงซานนนนน!”


 


แอนนากรีดร้อง เธอผุดลุกจากโซฟาและกระโจนโผเข้าสู่อ้อมอกเขา


 


“ว่าไง มีอะไรงั้นหรอ? ไม่ต้องกังวลถึงขนาดนี้ก็ได้นะ ฉันยังสบายดี” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


“เฮอะ! ทีซูเซี่ยเอ๋อยังกอดนายได้ แล้วทำไมฉันถึงกอดไม่ได้!” สองตาอันงดงามของแอนนาเบิกกว้าง ปากเอ่ยกล่าว


 


ขณะที่สีหน้าของเธอค่อยๆเปลี่ยนเป็นแดงก่ำอย่างช้าๆ กระทั่งใบหูเธอก็ยังแดงเรื่อเล็กน้อย


 


—ซูเซี่ยเอ๋อต้องไม่รู้แน่ๆเลยว่า การยั่วยุของตนจะได้ก่อให้เกิดการกระทำรุกกลับเช่นนี้


 


ถ้าเธอรู้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้แล้วล่ะก็ เธอย่อมจะไม่ใช้วิธีดังกล่าวยั่วยุแอนนาเป็นแน่


 


เมื่อเห็นฉากนี้ สีหน้าของประธานาธิบดีก็เผยถึงความสุข เขาหันหลังกลับและจ้องมองทัศนียภาพภายนอกหน้าต่าง มองไกลออกไป


 


ขณะที่สมเด็จพระจักรพรรดินีเวโรน่ายกสองมือขึ้นกอดอก ส่ายหัวเล็กน้อย


 


“เอาล่ะๆ ตอนนี้เราก็มาจัดการเรื่องราวให้มันถูกต้องกันก่อนเถอะ” กู่ฉิงซานตบแผ่นหลังของแอนนาเบาๆ


 


“โอ้” แอนนาผละตัวออกจากเขา


 


กู่ฉิงซานลุกขึ้นยืน และเดินออกไปจากห้องพร้อมกับถือสายใยกฏเกณฑ์ห้าสีในมือ


 


เขายืนอยู่ในพื้นที่โล่งกว้างบนภูเขา และโยนสายใยกฏเกณฑ์ออกไป


 


สายใยกฏเกณฑ์ละลายลงในความว่างเปล่า


 


มันค่อยๆละลายราวกับหิมะที่ต้องกับแสงอาทิตย์ จนกระทั่งหายไปโดยสมบูรณ์


 


“ทำแบบนี้ถูกต้องแล้วใช่ไหมนะ?” กู่ฉิงซานเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน


 


เขาเอ่ยถามออกมา “เทพธิดากงเจิ้ง ในโลกของเราเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นบ้างรึเปล่า?”


 


สมองควอนตัมของเขาสาดแสงขึ้นในทันใด


 


เทพธิดากงเจิ้งตอบกลับมา “ใต้เท้า โลกกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น”


 


“จริงๆหรอ? แล้วอะไรกันที่มันเปลี่ยนแปลงไป” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“เส้นผ่านศูนย์กลางของโลกกำลังเติบโตขึ้น ขณะเดียวกันดาวโลกก็กำลังขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ!”


 


“หรืออีกความหมายนึงก็คือ โลกมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมสินะ? แล้วอย่างอื่นล่ะ ภูมิอากาศมีเปลี่ยนไปหรือไม่ แล้วเกิดภัยพิบัติใดๆขึ้นหรือเปล่า?” กู่ฉิงซานเร่งเอ่ยถาม


 


“ในปัจจุบันนี้ทุกอย่างยังคงปกติดี นี่มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ สิ่งนี้มันเกินกว่าความรู้ความเข้าใจของฉันไปแล้ว” เทพธิดากงเจิ้งอุทานออกมา


 


ทันใดนั้นเอง กู่ฉิงซานก็สัมผัสได้รางๆถึงบางสิ่ง


 


เขาหลับตาลงและพยายามที่จะตระหนักถึงมันอย่างระมัดระวัง


 


เห็นได้ชัดว่าตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ตัวเขาเองก็มิได้ฝึกยุทธอะไรมากมายนัก


 


แต่เวลานี้ พลังวิญญาณที่รายล้อมรอบตัวเขากำลังเติบโตขึ้นอย่างรุนแรง!


 


แต่เดิม ตนก็ยกระดับขึ้นมายังขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลายแล้ว และพลังวิญญาณทั้งร่างยังคงอยู่ในกระบวนการปั่นป่วน


 


แต่ในขณะนี้ พลังวิญญาณทั้งร่างกายของเขากลับรู้สึกราวกับถูกเติมเต็ม มันมั่นคงและมีเสถียรภาพมาก


 


กระบวนการนี้ มันแลคล้ายกับ กระบวนการเดียวกับตอนที่กำลังจะทะลวงขอบเขตประทับเทพเลยไม่ใช่หรอ?


 


ทันใดนั้นกู่ฉิงซานก็จดจำได้ถึงคำพูดของร่างใหญ่อายุกว่า 100000 ปี


 


“เมื่อโลกหนึ่งถูกหลอมรวมเข้ากับอีกโลกหนึ่ง สิ่งมีชีวิตในโลกใบนั้นก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น”


 


กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ


 


“แล้วตอนนี้ดาวโลกได้หยุดการเปลี่ยนแปลงรึยัง?” เขาเอ่ยถาม


 


“ยัง ดาวโลกยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆและค่อยเป็นค่อยไป ทว่าโครงสร้างเดิมของมันกลับยังคงสามารถรักษาเสถียรภาพเอาไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ นอกจากนี้ ยังมีสถานที่ใหม่ๆถือกำเนิดขึ้นมากมายอีกด้วย” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจยาว บรรเทาความตึงเครียด


 


ดูเหมือนว่าการผสานรวมกันระหว่างสองโลกจะยังคงดำเนินต่อไป


 


อย่างไรก็ตาม กระบวนการของมันกลับค่อนข้างราบรื่นกว่าที่คิด


 


แต่แล้วจู่ๆเขาก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่งอย่างกระทันหัน


 


จริงสิ! ตอนนี้เรามีปัญหาที่จะต้องแก้ทันทีอย่างหอกหลากสีอยู่นี่นา!


 


หากยังไม่แก้ปัญหานี้ เมื่อการผสานรวมระหว่างสองโลกเสร็จสมบูรณ์ หอกหลากสีก็จะปรากฏตัวขึ้นในโลกมนุษย์และสังหารหมู่ทุกผู้คนบนโลก!


 


“พวกนายรอฉันก่อนนะ พอดีว่าในปรภพมีปัญหาสุดท้ายที่ยังไม่ได้แก้ไขอยู่น่ะ .. แถมมันยังเป็นเรื่องเร่งด่วนมากซะด้วย!”


 


เขาเอ่ยออกมา ขณะเดียวกันก็เดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่น นั่งลงในท่วงท่าทำสมาธิ และเริ่มต้นจีบออกด้วยนิ้วหัวแม่มืออีกที


 


เทคนิคลับ : ผนึกร่างสู่หยิน


 


เทคนิคลับ : วิญญาณหวนคืน


 


ทุกคนติดตามเขากลับเข้ามาที่ห้อง


 


เย่เฟย์หยูทนไม่ไหวต้องเอ่ยถามออกมา “คราวนี้เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะ?”


 


กู่ฉิงซานที่กำลังจีบออกด้วยสองวิชาลับหันกลับมาตอบเขา “เรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นก็ประมาณว่า … บางทีหลังจากนี้ ถ้านายตายลง ก็คงไม่จำเป็นต้องถูกส่งไปยังโลกอื่นแล้วล่ะมั้ง”


 


ว่าจบ เขาก็กลับไปอยู่ในสถานะตายอีกรอบ


 


เขาไม่หยุดวิ่งเลยขณะที่กำลังข้ามมิติอันเชี่ยวกราด ผ่านถ้ำอันมืดมิด และในที่สุดก็มาถึงโลกปรภพ


 


ภายในนรกทะเลเลือด ฉานนู่กำลังรอเขาด้วยความกระวนกระวาย


 


“โลกปรภพเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แต่ข้าไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร” ฉานนู่กล่าว


 


“มันไม่เป็นไรหรอก นี่แหละคือโอกาสของพวกเราล่ะ”


 


“โอกาสอย่างนั้นหรือ?”


 


“ใช่ ข้าอยากจะให้เจ้าช่วยยืนยันเสียหน่อย ว่าในเวลานี้ตัวเจ้าสามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์นั้นได้หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“พลังศักดิ์สิทธิ์นั้น? พลังศักดิ์สิทธิ์อันใดกัน?” ฉานนู่ไม่รู้เลยว่ากู่ฉิงซานกำลังกล่าวถึงสิ่งใด


 


“ก็ ‘ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ปกปักษ์โลกา’ อย่างไรเล่า!”


 


ฉานนู่หลับตาลง ชั่วขณะหนึ่งเธอก็เอ่ยออกมาอย่างประหลาดใจ “น่าฉงนนัก ตอนนี้ข้าสามารถเปลี่ยนแปลงภูเขาล้อมเหล็กได้แล้วจริงๆ!”


 


“ยอดเยี่ยมยิ่งนัก” กู่ฉิงซานกล่าว


 


นี่แหละคือแสงแห่งรุ่งอรุณที่แท้จริงล่ะ!


 


ได้ยินแค่เพียงเสียงของฉานนู่ที่เอ่ยพึมพำ “ใช่แล้ว ตอนนี้ข้าสามารถเปลี่ยนภูเขาล้อมเหล็กได้จริงๆ แต่ระยะเวลาที่ใช้ควบคุมมันนั้นช่างสั้นนัก แค่ราวๆสิบลมหายใจเท่านั้น”


 


“นั่นท่าไม่ดีแล้ว! เร็วเข้า! ขอให้ข้าได้ควบคุมมันเอง!” กู่ฉิงซานเริ่มร้อนรน


 


ฉานนู่มองตาเขาวูบหนึ่ง กัดฟันกรอด และเปลี่ยนตนเองเป็นดาบยาว


 


ภูเขาล้อมเหล็กน่ะมีหน้าที่ปกป้องหกโลก หากในเวลานี้กู่ฉิงซานทำอะไรผิดพลาดไปล่ะก็ สายลมแห่งทัณฑ์โกลาหลก็จะเล็ดลอดเข้ามาทันที


 


และหากเป็นในกรีณีนั้น โลกทั้งหกก็จะถูกทำลายลง!


 


อย่างไรก็ตาม ในวินาทีสุดท้าย เธอก็ตัดสินใจที่เชื่อมั่นในตัวกู่ฉิงซาน


 


กู่ฉิงซานคว้าจับดาบขุนเขาเทวะหกโลกา ทั้งคนทั้งร่างตั้งหลักอย่างมั่นคง


 


แล้วจู่ๆในความนึกคิดของเขาก็เกิดภาพมายาขึ้นทันใด


 


ตัวเขาขณะนี้คือภูเขา


 


ภูเขาล้อมเหล็กอันกว้างใหญ่


 


ขณะที่โลกปรภพทั้งหมดอยู่ต่อหน้าเขาในปัจจุบัน


 


โลกทั้งหกได้รับการคุ้มครองโดยตัวของเขาเอง


 


ในหัวใจของกู่ฉิงซานเต็มไปด้วยการรู้แจ้งอันกระจ่างชัด


 


ว่าเขาสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างของภูเขาล้อมเหล็กได้โดยอาศัยเพียงแค่ความคิดของตนเอง


 


เสียงของฉานนู่กังวานขึ้น “นายน้อย ข้ายังคงมีเวลาเหลืออีกราวๆ 7 ลมหายใจ โปรดไตร่ตรองให้เร็วที่สุดว่าจะทำอะไรกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์ด้วยเถอะ!”


 


“เข้าใจแล้ว!”


 


กู่ฉิงซานพยายามที่จะปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะ และกวาดมันไปทั่วทุกตารางนิ้วบนพื้นดินของภูเขา


 


เส้นทางราบลื่น ไม่มีอุปสรรคขวางกั้นใดๆ


 


กู่ฉิงซานยังคงจัดการกับจิตสัมผัสเทวะอีกครั้ง และคราวนี้เขาค้นเข้าไปในส่วนลึกของภูเขาล้อมเหล็ก


 


ภูเขาทั้งลูกเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงไป เทือกเขาบ้างชันขึ้น บ้างดิ่งลงเป็นคลื่นดั่งที่ใจเขาปรารถนา


 


หุบเขาเริ่มเกิดการก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ยอดเขาแหลมชันแสนอันตรายแปรเปลี่ยนสภาพเป็นพื้นราบ ขณะที่เนินเขาธรรมดาๆสามารถพุ่งทะยานตัวขึ้นกลายเป็นยอดแหลม – ทุกอย่างช่างง่ายดาย


 


‘ที่จริงแล้ววิธีการควบคุมมันก็เป็นอย่างนี้นี่เอง’ กู่ฉิงซานลอบพูดอย่างลับๆ


 


ยังคงเหลืออีกห้าลมหายใจ


 


ไม่สามารถรีรอได้อีกต่อไปแล้ว!


 


กู่ฉิงซานควบจิตสัมผัสเทวะของเขาไปกองรวมกันที่ยอดภูเขาล้อมเหล็ก


 


ไม่นานนัก เขาก็ค้นพบถึงการดำรงอยู่ของหอกหลากสี


 


หอกยังคงอยู่ท่ามกลางชั้นหินขนาดใหญ่ที่มันใช้เอนอิง


 


เหลืออีกสี่ลมหายใจ!


 


กู่ฉิงซานเริ่มลงมือทันที


 


“ … ดูท่าแล้วเวลาคงจะไม่เพียงพอ แต่ยังไงก็ต้องขอลองสักตั้ง!” เขาคำรนเสียงต่ำ


 


หอกหลากสีที่พิงอยู่กับหินใหญ่ยังคงนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน


 


ณ เวลานี้ กู่ฉิงซานได้เตรียมพร้อมแล้ว


 


ในชั่วขณะนั้นเอง หอกหลากสีที่นิ่งงันรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพื้นดิน แต่ก็แค่พื้นดินเท่านั้น สำหรับการกระทำของกู่ฉิงซาน มันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคิดอะไรอยู่


 


สามลมหายใจ!


 


พริบตานั้นภูผาสูงใหญ่หลายสิบจั้งก็ผุดขึ้นมาบนยอดเขา


 


เหลืออีกสองลมหายใจ!


 


ภูผาสูงเหล่านั้นโค้งงอลงราวกับมือยักษ์ ถลาลงไปคว้าจับหอกหลากสี


 


หอกหลากสีเริ่มตอบสนองทันควัน


 


มันส่งเฉดเงาหอกอันไร้ที่สิ้นสุดออกไป จ้วงแทงโจมตีเข้าใส่คลื่นภูผายักษ์


 


อย่างไรก็ตาม มันไร้ประโยชน์!


 


ไม่มีพลังอำนาจใดสามารถทำลายภูเขาล้อมเหล็กได้


 


ภูเขาศักดิ์สิทธิ์น่ะถือกฏเกณฑ์ของทั้งโลกปรภพ!


 


กระทั่งสายลมแห่งทัณฑ์โกลาหลที่สามารถทำลายล้างทั้งโลกได้ก็ยังถูกขวางกั้นโดยภูเขาลูกนี้ แล้วนับประสาอะไรกับอำนาจของหอกเพียงเล่มเดียว!!


 


ลมหายใจสุดท้าย!


 


“ไปเลยยยยยย!”


 


กู่ฉิงซานอ้าปากตะโกนสุดเสียง


 


ขณะเดียวกันกับเสียงของเขา ภูผายักษ์ก็โถมเข้าใส่ตำแหน่งที่หอกหลากสีอยู่ในทันใด


 


-เอี๊ยดดดด!


 


บังเกิดเสียงอันรุนแรงของแรงเสียดทาน ชั้นอากาศบังเกิดประกายไฟระลอกใหญ่ ตัดผ่านไปทั่วฟ้า


 


หอกหลากสีแปรเปลี่ยนเป็นภาพติดตา พุ่งทะยานหลบหนีออกจากยอดภูเขาล้อมเหล็ก


 


มันบินหลุดพ้นจากโลกปรภพ และทะลุช่องว่างที่เกิดขึ้นในระหว่างการม้วนตัวเป็นเกลียวคลื่นของภูผา ทะลวงอากาศหลุดออกไปยังส่วนหลังของภูเขาล้อมเหล็ก!


 


และบริเวณส่วนหลังของภูเขาล้อมเหล็กคือหน้าผาสูงชันหลายหมื่นจั้ง … มันคือพื้นที่ที่อยู่นอกเขตแดนของโลกทั้งหก!


 


เวลา … หมดลงแล้ว!


 


และพลังในการควบคุมภูเขาก็หยุดลง


 


คลื่นภูผาใหญ่ค่อยๆจมลงกลับไปในหน้าผาสูงชัน ปกปิดช่องว่างที่หอกหลากสีพุ่งออกไป และเปลี่ยนเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ดังเดิมอย่างเงียบๆ


 


ฉานนู่ปรากฏร่างขึ้นจากดาบยาว เอ่ยพึมพำอย่างเหม่อลอย “จริงสิ ภายนอกภูเขาล้อมเหล็กน่ะมีสายลมแห่งทัณฑ์โกลาหลอันไร้ที่สิ้นสุดอยู่ หากกระทั่งโลกยังไม่สามารถหลบหนีจากการทำลายล้างของมันได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับอาวุธเพียงลำพัง”


 


กู่ฉิงซานปาดเหงื่อบนหน้าผาก ผ่อนลมหายใจยาว


 


“เนื่องจากมันทรงพลังมากเกินไป แถมไม่แบ่งแยกการดำรงอยู่ระหว่างมิตรหรือศัตรู ฉะนั้นเราจึงโยนมันทิ้งไว้ภายนอกโลก และปล่อยให้มันต่อสู้กับสายลมแห่งทัณฑ์โกลาหลแทน”


 


“แม้ว่ามันจะสามารถปลอดภัยอยู่ภายในทัณฑ์โกลาหล แต่อย่างไรมันก็ไม่สามารถกลับมายังปรภพได้อีกครั้งอยู่ดี” กู่ฉิงซานกล่าว


 


วิกกฤตทั้งหมด ถูกลบออกไปแล้ว


 


คนตายบางส่วนที่พยายามจะทำลายนรกและยึดครองโลกก็หายไปแล้วเช่นกัน ขณะที่บางส่วนแม้ยังจะถูกเก็บเอาไว้ แต่ก็คงจะได้ไปเกิดใหม่ในไม่ช้า


 


เผ่ามารและอสูรกายทั้งหมดที่กระจายตัวอยู่ตลอดทั้งโลกปรภพก็ได้ตายลงไปแล้ว


 


โลกปรภพได้กลับคืนสู่ความเงียบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


 


ติ๊ง ติ๊ง ติ๊’ ติ๊’!


 


เสียงของเครื่องจักรคำนวณบุญรายบุคคล ดังก้องอยู่ในหูของคนตายทุกตนในแต่ละนรก


 


“เอาล่ะ มาเริ่มนับบุญที่ได้รับกันเถอะ” เครื่องจักรกล่าว


 


…..


 


อีกด้านหนึ่ง


 


หอกหลากสีได้บินออกจากอาณาเขตโลกทั้งหก


 


มันบินเข้าสู่ปฐมบทแห่งความโกลาหล


 


และสายลมสีเทาจางๆก็ปรากฏขึ้นอย่างเงียบๆ


 


สายลมพัดกระพือเข้าใส่หอก


 


เคร้ง!


 


บังเกิดเสียงก้องกังวาลชนิดเขย่าได้ทั้งสวรรค์และโลก


 


หอกที่สังหารได้กระทั่งเทพและอสูรกายถูกสายลมตีกระเด็นไปทันที


 


สายลมกรรโชกนี้ครอบครองอำนาจอันมหาศาล หอกหลากสีถูกเป่าปลิวไปด้วยความเร็วแรงที่เกินสามัญสำนึกของมนุษย์จักรับรู้ได้


 


ใช่แล้ว มันคือสายลมแห่งทัณฑ์โกลาหล!


 


สายลมที่สามารถดับสูญได้ทั้งโลกหล้า!


 


แส้สายลมเริ่มก่อตัวขึ้นอีกเส้นหนึ่ง


 


สายลมค่อยๆพัดแรงขึ้น ดุดันขึ้น แข็งกร้าวยิ่งขึ้นเรื่อยๆ!


 


เสียงสายลมที่เสียดสีกับตัวหอกส่งเสียงหวีดหวิว มันม้วนกลิ้งไปตามอากาศ


 


หอกหลากสีถูกห้อมล้อมด้วยสายลม ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากมัน ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างต่อเนื่อง


 


ตัวหอกโกรธแค้น มันไม่ยินยอมที่จะแสดงความอ่อนแอของตนออกมา จึงสาดเฉดเงาหลากสีกระจายออกไปกระแทกเข้ากับสายลมในทันใด


 


เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!


 


การเผชิญหน้าอันยาวนานยังคงดำเนินต่อไป


 


เฉดเงาหลากสีบนตัวหอกยังคงผุดออกมาอย่างต่อเนื่อง


 


กล่าวได้ว่ามันกับสายลมแห่งทัณฑ์โกลาหลนั้นคล้ายคลึงกัน ทั้งสองดุร้ายและแข็งกร้าว อยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าแทบเทียบเคียงได้กับการอยู่ยงคงกระพันทั้งคู่


 


หอกและลมได้ต่อสู้กัน โบยบิยฉวัดเฉวียนเข้าสู่ทิศทางที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสามารถเข้าถึงได้


 


ท่ามกลางมิติและห้วงเวลาที่มิอาจคาดคะเน ได้บังเกิดสภาวะการทำลายล้างระหว่างทั้งสองขึ้น


 


วิ้งงงงงงง!


 


บังเกิดเสียงอื้ออึง แม้ดูเหมือนว่าเสียงนี้จะกังวานนานนับพันหมื่นปี แต่จริงๆแล้วมันผ่านไปเพียงพริบตาเท่านั้น!


 


พอได้สติกลับคืน ตัวมันเองก็ไม่รู้ว่าแล้วเหมือนกันว่าตนได้มาอยู่ที่ใด


 


แต่หอกกับสายลมก็ยังคงเข้าห้ำหั่นกันต่อ


 


อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นเอง ก็บังเกิดเสียงๆหนึ่งก้องขึ้น


 


“เห? ที่นี่มีหอกอยู่ด้วยแฮะ”


 


ยามเมื่อเสียงพูดนั้นตกลง ก็ปรากฏมือเอื้อมออกมา คว้าจับลงบนหอกหลากสี


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.419 – เสียงของคนตาย


 


ภายในโลกทั้งหก


 


ณ ปรภพ


 


เหล่าคนตายต่างเงยหน้าขึ้น และเห็นแค่เพียงตัวเลขบนหัวพวกเขากำลังพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


ไม่นานนัก เครื่องหมาย – (ลบ)ด้านหน้าของตัวเลขเหล่านั้นก็หายไป


 


บุญได้กลับมาเป็น 0


 


ไม่สิ ไม่เพียงเท่านั้น มันยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นต่อไปและขึ้นมาเป็น + แล้ว!


 


เลขบุญกำลังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง!


 


นั่นเพราะพวกเขาได้ช่วยโลกทั้งหกเอาไว้ได้ แถมยังประสบความสำเร็จอย่างงดงาม จึงได้รับแต้มบุญครั้งใหญ่!


 


แม้ว่าจำนวนคนตายจะมหาศาลกว่าล้านล้านคน และจำนวนบุญที่ได้ก็จะแบ่งๆกันไป แต่มันก็ยังมากมายอยู่ดี!


 


เหนือศีรษะของทุกคนตาย ตัวเลขกำลังเติบโตขึ้นอย่างบ้าคลั่ง


 


เมื่อเลขบุญของคนตายทุกคนกลายเป็น + สิ่งอันน่าอัศจรรย์ใจก็บังเกิดขึ้น!


 


ทุกประเภทของความเจ็บปวดจากการถูกลงทัณฑ์อันโหดร้ายในตลอดทั้ง 18 ขุมนรก ทั้งหมดถูกระงับเอาไว้ชั่วคราว


 


ภายในนรกทะเลเลือด น้ำเลือดได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้มดั่งท้องทะเล ขณะที่เหล่ามอนสเตอร์ที่คอยกัดกินคนตาย บัดนี้ทั้งหมดแปรสภาพเป็นปลาที่กำลังแหวกว่ายอย่างอ่อนโยน


 


ภายในนรกเยือกแข็ง บ้านเรือนเริ่มผุดขึ้นมาจากพื้นดิน พร้อมด้วยภายในที่มีเตาผิงคอยให้ความอบอุ่น และโต๊ะกินข้าวที่ถูกจัดวางไว้ด้วยอาหารร้อนๆ


 


ในนรกแต่ละแห่ง เปลวไฟได้มอดดับลง , น้ำแข็งเย็นเยียบเกิดการละลาย , โซ่ตรวนที่คอยพันธนาการแตกร้าวและสลายไป , คมมีดแหลมคมผุบกลับลงไปใต้ดิน


 


ทุกประเภทของสิ่งที่ทำให้คนตายได้รับความทรมาน บัดนี้ทั้งหมดนั้นได้หายไป


 


ผู้คุมนรกทั้งหลายเงยหน้ามองดูเลขบุญของตนเอง ก่อนจะหันไปมองดูของอีกฝ่าย คนแล้วคนเล่าเริ่มแสดงออกถึงความปิติออกมา


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าไม่ต้องคอยทนทุกข์ทรมานอีกต่อไปแล้ว! ไม่จำเป็นต้องทนอีกแล้ว!” ชายชราโห่ร้องไชโยอย่างบ้าคลั่ง


 


“แบร๊วววู้ววววว-” ราชันย์หมาป่าแหงนหน้าขึ้นหอนไปบนท้องฟ้า


 


ชูร่าชายกระโดดไปมา ปากเอ่ยร้องเพลงเสียงดัง


 


ขณะที่ยักษ์ใหญ่เริ่มเต้นแร้งเต้นกา


 


กู่ฉิงซานที่เฝ้ามองดูฉากนี้อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา


 


ในบรรดาผู้คุมนรกทั้งเจ็ด มีเพียงชูร่าหญิงคนเดียวที่มิได้อยู่ที่นี่


 


แต่มันก็ไม่สำคัญหรอก เพราะไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน ยังไงเลขบุญของเธอจะต้องเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน


 


คนตายทั้งหมดจะได้ไปเกิดใหม่ในอาณาจักรสวรรค์ , อาชูร่า หรือไม่ก็โลกมนุษย์ ตามจำนวนบุญของพวกเขา


 


“แล้วพวกเขาจะสามารถกลับไปเกิดใหม่ได้เมื่อใดกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลังจากที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากในนรกมาเนิ่นนาน คนตายจะมีเวลาสำหรับการพักผ่อนและสำนึกผิดเป็นระยะเวลาครึ่งวัน แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็จะได้กลับไปเกิดใหม่อย่างเป็นทางการ”


 


“แต่สำหรับข้าแล้วสถานที่แห่งนี้มันสะดวกสบายมากจริงๆนะ ข้าไม่ต้องการที่จะไปเกิดใหม่เลยบอกตรงๆ” หนึ่งในผู้คุมนรกกล่าวด้วยสีหน้าข่มขื่น


 


พอได้ฟัง เหล่าคนตายคนอื่นๆก็หัวเราะลั่น


 


แต่เอาจริงๆนะ ก็มีคนตายหลายคนอยู่เหมือนกันที่กำลังรู้สึกเช่นนั้น


 


เพราะการไปเกิดใหม่ นั่นหมายความว่าตนจะต้องลืมความทรงจำในชาตินี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


 


และในชีวิตใหม่ มันเป็นเรื่องยากเย็นนัก หากต้องการที่จะระลึกได้ถึงเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตก่อนหน้าอีกครั้ง เว้นเสียแต่ว่าจะได้รับโอกาสที่ดีบางอย่าง


 


ในขณะที่คนตายส่วนมาก ไม่ลังเลที่จะทิ้งความทรงจำในชาตินี้ของพวกเขาไป


 


ยังไงก็เถอะ ตอนนี้การลงทัณฑ์ทรมานภายในนรกก็ได้หายไปแล้วโดยสิ้นเชิง ดังนั้นการเลือกที่จะหย่อนกายพักผ่อนในที่นี่ ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดีเหมือนกัน


 


แต่แล้วเสียงของเครื่องจักรคำนวณบุญรายบุคคลกังวานขึ้นในทันใด


 


“ไม่อนุญาต! เมื่อถึงเวลาที่จะต้องกลับไปเกิดใหม่ แต่ยังคิดอาศัยอยู่ในนรก เลขบุญส่วนบุคคลก็จะค่อยๆถูกหักลง! และเมื่อมันเป็น -(ลบ) พวกเจ้าก็จะกลับลงสู่ขุมนรกและต้องทนทุกข์ทรมานอีกครั้ง!”


 


น้ำเสียงของมันเย็นชาและมั่นคง


 


ตะขอเกี่ยววิญญาณยังกล่าวอีกว่า “โลกปรภพน่ะไม่คุ้มค่ากับการอยู่อาศัยหรอก พวกเจ้าควรจะไปเกิดใหม่เพื่อเริ่มต้นการเดินทางใหม่ๆในชาติภพหน้าจะดีกว่า”


 


เมื่อเหล่าคนตายได้ยินสิ่งประดิษฐ์เทวะอธิบาย พวกเขาก็ต้องหยุดความคิดนี้เอาไว้ทันที


 


กู่ฉิงซานพลันจดจำได้ถึงบางสิ่ง เขาเอ่ยถามออกไป “แล้วเรื่องการผสานรวมระหว่างทั้งสองโลก ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อโลกปรภพหรือไม่?”


 


“ขอเวลาข้าตรวจสอบสักครู่” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว


 


มันได้สาดรังสีแสงอันยิ่งใหญ่ออกมา และกวาดไปตลอดทั้งโลกปรภพ


 


ชั่วขณะหนึ่ง ตะขอก็กล่าวออกมา “แม้ว่าผลประโยชน์ส่วนใหญ่จะเทไปทางโลกของเจ้า แต่ทางปรภพเองก็ถูกเสริมอำนาจโดยพลังของกฏเกณฑ์เช่นกัน -กล่าวได้ว่าเมื่อสองโลกบรรจบกัน โลกใบใหม่ก็จะถือกำเนิดขึ้น!


 


“แล้วผลกระทบแบบเฉพาะเจาะจงล่ะ คืออะไร?”


 


“ด้วยพลังแห่งกฏเกณฑ์อันทรงประสิทธิภาพที่เกิดจากการผสานรวมตัวกันระหว่างสองโลก มันจะหนุนเสริมให้เครื่องจักรปรภพสามารถฟื้นฟูตนเองได้อย่างรวดเร็ว”


 


“โอ้? หมายความว่าเครื่องจักรปรภพทั้ง 88 จะกลับมาสินะ?” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความสนใจ


 


“ใช่ โลกปรภพในตอนนี้น่ะไม่มีคนคอยดูแลจัดการ เดชะบุญจริงๆที่มีพวกเขา” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าวด้วยความยินดี


 


ฉานนู่ก็เห็นด้วยเช่นกัน “นับว่าโชคดีจริงๆที่มีเหล่าเครื่องจักรพวกนั้น หลังจากที่โลกได้ผสานรวมกันแล้ว  พื้นที่ของปรภพก็คงจะเป็นระบบระเบียบมากขึ้น”


 


“เช่นนั้นก็ดี” กู่ฉิงซานกล่าว


 


เขาถอนหายใจออกมา “นรกว่างเปล่า , ปัญหาของปรภพได้รับการแก้ไขโดยสมบูรณ์ , โลกกลับคืนสู่ความสงบสุข นี่นับว่าเป็นการต่อสู้ที่ยาวนานเสียจริงๆ”


 


ย้อนระลึกไปถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกประทับใจอย่างลึกล้ำ


 


ถ้าหากว่าเขาไม่ได้คารวะนางเซียนไป่ฮั่วเป็นอาจารย์ ก็คงที่จะไม่ได้เรียนรู้ ‘ผนึกร่างสู่หยิน’ และ ‘วิญญาณหวนคืน’ สองเทคนิคลับนี้เป็นแน่


 


และหากไม่มีสองเทคนิคลับนี้ ตนเองก็จะไม่สามารถเข้ามายังปรภพเพื่อค้นหาต้นตอที่แท้จริงของภัยพิบัติได้


 


หากเป็นในกรณีนั้น ทุกอย่างก็จะพังพินาศลง


 


ทั้งหมดนี้นับว่าเป็นเรื่องโชคดีจริงๆ!


 


เมื่อนึกถึงท่านอาจารย์ กู่ฉิงซานก็ค่อนข้างรู้สึกสับสนเล็กน้อย


 


ขอบเขตของท่านอาจารย์ถูกผูกมัดโดยโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ แต่ตอนนี้ มีโลกเทวะแล้ว ดังนั้นความแข็งแกร่งของเธอแน่นอนว่าจักต้องเพิ่มพูนขึ้นอย่างก้าวกระโดด


 


บางทีทางฝั่งท่านอาจารย์ และพวกเขาอาจจะผสานรวมโลกแห่งผู้ฝึกยุทธกับโลกเทวะเข้าด้วยกันแล้วก็เป็นได้


 


หากเป็นในกรณีนั้น ขีดจำกัดความแข็งแกร่งรายบุคคลของผู้ฝึกยุทธก็จะทะยานสูงขึ้นไปอีกระดับ


 


แต่ในอีกด้านหนึ่ง ตัวกู่ฉิงซานเองกำลังอยู่ในกระแสมิติอันเชี่ยวกราด และกำลังจะมุ่งหน้าไปยังโลกที่กำลังจะถึงจุดจบในไม่ช้า


 


—แล้วเช่นนั้นข้าจะได้กลับไปยังโลกแห่งผู้ฝึกยุทธของตนเองได้อย่างไร?


 


ลืมมันเถอะ อดีตอย่างไรเสียก็คือสิ่งที่ผ่านมาแล้ว อันดับแรกที่จะต้องพิจารณาก็คือทำอย่างไรตนเองถึงจะสามารถมีชีวิตรอดไปได้ต่างหาก


 


ขณะที่เขากำลังคิดอย่างเงียบๆ ผู้คุมนรกทั้งหลายก็ก้าวเข้ามา


 


“มีเรื่องอะไรงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“ทุกคนต้องการที่จะได้ยินเจ้าเอ่ยสักสองสามคำ” ชายชราเผ่ามนุษย์กล่าว


 


“พวกเจ้าน่ะหรอ?”


 


“มิใช่แค่พวกเรา แต่เป็น ‘ทุกคน’ ต่างหาก”


 


กู่ฉิงซานตอบรับอย่างมีความสุข “นั่นสินะ อีกไม่นานเราก็จะต้องแยกจากกันแล้ว ถ้าอย่างงั้นข้าคงต้องเอ่ยคำลากับทุกคนเสียหน่อย”


 


ขณะกล่าว เขาก็ชูไม้เท้าแห่งการจองจำขึ้น


 


และคนตายทั้ง 18 ขุมนรกก็รู้สึกถึงมันได้ในทันที


 


“ขอแสดงความยินดีด้วยที่ในวันนี้ ทุกคนได้หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานอันขมขื่นและยาวนาน และกำลังจะได้ไปเกิดใหม่ในไม่ช้า” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


“เฮ!!!!!” เหล่าคนตายส่งเสียงไชโย


 


“ท่านราชาภูติ! ขอบพระคุณมากจริงๆ!” คนตายบางคนร้องตะโกนลั่น


 


ขณะที่เสียงไชโยและเสียงปรบมือเริ่มดังกระหึ่มขึ้น


 


“หยุด! หยุด! หยุดก่อน!” กู่ฉิงซานเอ่ยขัด


 


แล้วเหล่าคนตายทั้งหมดก็ค่อยๆสงบลง


 


“สิ่งสุดท้ายที่ข้าอยากจะกล่าวก็คือ ‘ชาติหน้าก็จงเป็นคนดีเสีย’ อย่าได้กลับมายังนรกนี้อีก เพราะข้าไม่ต้องการที่จะเห็นหน้าพวกเจ้าอีกแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว


 


แล้วเขาก็วางไม้เท้าราชาภูติลง


 


แต่โดยไม่คาดคิด-


 


“ท่านราชาภูติช่างยอดเยี่ยม!”


 


“ผู้น้อยขอคารวะท่านราชาภูติ!”


 


“ขอราชาภูติทรงพระเจริญ!”


 


ในท้ายที่สุด ดูเหมือนว่าคนตายจะรู้สึกว่าคำสรรเสริญของพวกเขามันแตกต่างกัน ดังนั้นทั้งหมดจึงเปลี่ยนคำสรรเสริญเป็นเสียงเดียวกัน


 


“ขอราชาภูติทรงพระเจริญ!”


 


“ขอราชาภูติทรงพระเจริญ!”


 


“ขอราชาภูติทรงพระเจริญ!”


 


พวกเขาตะโกนก้องเป็นจังหวะ


 


เสียงโห่ร้อง ‘ทรงพระเจริญ’ ดั่งคลื่นสึนามิ สั่นสะเทือนไปตลอดทั้งนรก 18 ขุม


 


กู่ฉิงซานยกมือขึ้นปิดหูเขา ขมวดคิ้วกล่าวด้วยความแปลกใจ “น่าประหลาดใจยิ่งนัก ข้าได้ตัดการเชื่อมต่อกับไม้เท้าไปแล้วชัดๆ แล้วเหตุใดจึงได้ยินเสียงของเหล่าคนตายอยู่อีก”


 


เพียงได้ยิน ฉานนู่ก็หัวเราะก๊ากออกมาจนงอคอหงายอย่างมิอาจควบคุมได้


 


เธอมักจะโดดเดี่ยวเย็นชาอยู่เสมอ แต่เวลานี้เธอกลับกำลังยิ้มอย่างมีความสุขอย่างแท้จริง! นี่นับว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง


 


ดูเหมือนว่าเธอจะรู้สึกว่าตนเองกำลังยิ้มโดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์และมารยาท หญิงสาวจึงยกมือขึ้นปิดของปากเธอเบาๆ


 


“เจ้าหัวเราะอะไรกันล่ะนั่น?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“นายน้อย นรกทั้ง 18 ขุมกำลังส่งเสียงโห่ร้อง กล่าวได้ว่าตลอดทั้งภูเขาล้อมเหล็กก็ยังได้ยิน ฉะนั้นแล้วต่อให้ท่านตัดการเชื่อมต่อกับไม้เท้า ท่านก็ยังสามารถได้ยินมันด้วยหูของตนเองอยู่ดี”


 


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” กู่ฉิงซานได้คลายมือออกจากหูของเขา


 


“สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันมานี้มันช่างน่าทึ่งเหลือเกิน ตัวข้าเองไม่เคยคาดคิดเลยว่าเรื่องราวมันจะเป็นเช่นนี้” ฉานนู่กล่าวด้วยอารมณ์


 


เธอลอบมองไปยังกู่ฉิงซาน แต่กลับเห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่กำลังขบคิดตามเกี่ยวกับเรื่องที่เธอพึ่งเอ่ยมา


 


“ที่นี่ก็ปล่อยให้ตะขอเกี่ยววิญญาณกับเหล่าสรรพวุธเป็นคนจัดการก็แล้วกัน อ้อ! ถ้าหากพวกเจ้ามีปัญหาใดๆ ก็ขอให้ทำการติดต่อข้าได้ตลอดเวลาเลยนะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“เข้าใจแล้ว หลังจากที่โลกผสานรวมกันโดยสมบูรณ์ พวกเราจะมาพบกันอีกครั้ง” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว


 


กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าวว่า “ข้าขอฝากไม้เท้าแห่งการจองจำไว้ที่นี่ด้วยนะ”


 


“ทราบแล้ว! ข้าจะช่วยเจ้าดูแลไม้เท้าราชาภูติเอง!” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว


 


กู่ฉิงซานกระทุ้งปลายไม้เท้าลงบนตำแหน่งเขายืนอยู่ จัดวางมันให้เข้าที่


 


นรกกำลังจะว่างเปล่า และกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในไม่ช้า ดังนั้นไม้เท้ามนตรานี้คงจะไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ชั่วคราว มันจึงจะเป็นการดีกว่าหากให้มันได้พักผ่อนอยู่ที่นี่


 


มันมิใช่ดาบ แต่มันคือไม้เท้าควบคุมนรก ฉะนั้นแล้วก็ให้มันคอยเฝ้าสังเกตการณ์ถึงความเป็นไปของนรกเถอะ


 


ปล่อยให้มันได้อยู่ที่นี่สักพัก


 


เพราะยังไงก็ตาม ไม้เท้าก็ได้ประทับตราตนเองเอาไว้อยู่แล้ว คนอื่นๆน่ะไม่สามารถใช้งานมันได้หรอก


 


บางที เมื่อเวลาผ่านไป ตนเองอาจจะได้กลับมายังนรกอีกครั้ง แล้วได้คว้าจับไม้เท้าเล่มนี้มาใช้งานอีกก็ได้


 


และนั่นคงจะเป็นการเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่


 


“ไปกันเถอะฉานนู่” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“เจ้าค่ะ นายน้อย” ฉานนู่ขานรับ


 


ร่างของพวกเขาวูบไหว ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า มุ่งตรงไปยังทิศทางของถ้ำมืด


 


มองตามไปยังแผ่นหลังของทั้งสอง วิหคขาวอดไม่ได้ที่จะสะอื้นไห้


 


“เจ้าเป็นอะไรไปงั้นหรอ?” ตะขอเกี่ยววิญญาณถามด้วยความสงสัย


 


“น่าเสียดาย … น่าเสียดายจริงๆที่เขามิใช่ผู้ใช้กระบี่” วิหคขาวกล่าว


 


“วางใจเถอะ หลังจากที่โลกผสานรวมกัน เจ้าก็จะสามารถไปยังโลกมนุษย์เพื่อหาคู่หู และออกเดินทางไปด้วยกันกับเจ้าได้”


 


ตะขอเกี่ยววิญญาณหันไปมองเหล่าสรรพวุธมากมายและกล่าวด้วยความเคารพลึก “เผ่ามารได้ถูกกวาดล้างออกไปแล้วก็จริง แต่ด้วยการปรากฏตัวของพวกมัน ก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเผ่ามารกำลังจับตาดูโลกทั้งหกของพวกเราอยู่!”


 


“หลังจากที่โลกผสานรวมกัน พวกเจ้าจะไม่สามารถหลับไหลได้อีกแล้วนะ .. แต่จงหาคู่หูใหม่เสีย!”


 


“แต่ในปรภพไม่มีเทพวิญญาณอยู่อีกต่อไปแล้ว เช่นนั้นพวกเราจะตื่นไปทำไมกัน?” หอกยาวเอ่ยถาม


 


“ก็จงไปที่โลกมนุษย์ซี ไปตามหาเจ้านายที่พวกเจ้าชมชอบ แล้วช่วยเหลือให้พวกเขาเติบใหญ่ขึ้น แข็งแกร่งยิ่งขึ้น บางทีในอนาคตอันใกล้ โลกมนุษย์อาจจะได้รับการปกปักษ์โดยพวกเจ้าก็ได้นะ” ตะขอเกี่ยววิญญาณแห่งสายธารแห่งการหลงเลือนกล่าว


 


“ขอรับ!” เหล่าสรรพวุธขานรับเป็นเสียงเดียวกัน


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.420 – แผนการของอาณาจักรสวรรค์


 


“ทำไมกัน? ทำไมจู่ๆข้าถึงไม่สามารถติดต่อกับราชาภูติได้!”


 


ภายในวิหารแห่งวัฏจักร


 


เสียงของชูร่าหญิงกังวานขึ้น


 


เธอรีบวิ่งออกจากวิหาร บินกลับไปยังทิศทางของปากทางเข้าสู่นรก


 


ดูเหมือนว่าเธอกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง สังเกตได้จากความตื่นตระหนกที่แสดงออกมา


 


“เร็วเข้า เร็วเข้า! รีบหน่อยสิตัวข้า ท่านราชาภูติจำเป็นต้องทราบข่าวนี้”


 


ด้วยความหวาดกลัว ชั้นเหงื่อเย็นเริ่มผุดออกมาตามร่างกายเธอ ชั้นแล้ว ชั้นเล่า


 


เธอแทบจะวิ่งด้วยกำลังทั้งหมดที่มี


 


จนกระทั่งมาถึงจุดๆหนึ่ง เธอก็สะดุดขาตัวเองล้มลง ม้วนกลิ้งไถลไปกับพื้นหลายตลบ


 


แต่ชูร่าหญิงดูจะไม่ใส่ใจเกี่ยวกับมัน เธอเร่งลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งต่อไปข้างหน้า


 


เร็วเข้า!


 


ต้องเร็วกว่านี้!


 


ต้องรีบแจ้งข่าวนี้แก่ราชาภูติให้เร็วที่สุด!


 


ทว่าเมื่อเธอวิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่งจนกระทั่งมาถึงนรกทะเลเลือด ก็กลับไม่เห็นแม้กระทั่งร่องรอยของกู่ฉิงซาน


 


เห็นแค่เพียงผู้คุมนรกทั้งหกที่ยังคงสนทนากันอย่างมีความสุขอยู่เท่านั้น


 


เมื่อเห็นเธอ ทุกคนก็หันมาทักทาย


 


“นั่นเจ้าไปอยู่ที่ไหนมา?”


 


“เร็วเข้า มาร่วมวงสนทนากันเถอะ พวกเราเหลือเวลาแค่อีกครึ่งวันเท่านั้นเองนะ เดี๋ยวก็จะได้ไปเกิดใหม่กันแล้ว”


 


“ยังไงก็เถอะ ว่าแต่เจ้าอยากจะไปเกิดที่โลกไหนกัน?”


 


แต่ชูร่าหญิงกลับสูดหายใจลึกแล้วตะโกนลั่น “”หุบปากซะ!


 


อีกหกตนนิ่งงันไป


 


แล้วพวกเขาก็พบว่าในเวลานี้ ร่างกายของชูร่าหญิงกำลังสั่นสะท้าน การแสดงออกทางใบหน้าเอ่อล้นไปด้วยความน่าเกลียดน่ากลัว


 


“เกิด-อะไร-ขึ้น?” ยักษ์เอ่ยถาม


 


“ราชาภูติเล่า? เขาไปอยู่ที่ไหนแล้ว?” ชูร่าหญิงเร่งเอ่ยถาม


 


“เรื่องราวทุกอย่างได้จบลง ดังนั้นเขาจึงได้จากไปแล้ว” ชายชราเผ่ามนุษย์พูด


 


“แล้วที่ว่าจากไปน่ะ เขาจากไปที่ไหน?” ชูร่าหญิงเร่งเอ่ยถาม


 


“โลกมนุษย์”


 


เสร็จกัน!


 


มันจบสิ้นแล้ว!


 


ชูร่าหญิงแข้งขาอ่อนแรง เข่าทรุดลงกับพื้น


 


“มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆสินะ ไหนเจ้าลองบอกมา เผื่อว่าพวกเราจะสามารถช่วยเจ้าได้” ราชันย์หมาป่าเอ่ยเสียงทุ้มลึก


 


“ไม่มีประโยชน์หรอก!”


 


ชูร่าหญิงถอนหายใจด้วยความสิ้นหวัง


 


แต่แล้วเธอก็พลันจดจำได้ถึงบางสิ่ง ปากเร่งเอ่ยต่อว่า “ถึงพวกเจ้าจะช่วยไม่ได้ แต่ยังมีคนที่ช่วยได้อยู่! สิ่งประดิษฐ์เทวะ! สิ่งประดิษฐ์เทวะไง ตะขอเกี่ยววิญญาณอยู่ที่ไหน! ข้ามีเรื่องที่จะต้องพูดกับท่าน!”


 


“ข้าอยู่นี่”


 


แล้วร่างของตะขอเกี่ยววิญญาณก็ปรากฏขึ้น


 


“วิหารแห่งวัฏจักร! ภายในวิหาร! ท่านรีบไปดูเร็วเข้า!!” ชูร่าหญิงตะโกนน้ำเสียงแหบแห้ง


 


ตะขอเกี่ยววิญญาณยิ้มออกมา “เอาล่ะๆ ไหนข้าขอดูซิว่ามันคืออะไ-”


 


แต่แล้วเสียงของมันก็ขาดห้วงไป


 


“จบสิ้นแล้ว มันจบสิ้นแล้ว!”


 


เสียงของตะขอเกี่ยววิญญาณช่างมืดหม่น ทว่ามันกลับแฝงไว้ด้วยความโกรธอันไม่อาจอธิบายได้


 


ชูร่าหญิงกล่าวอย่างร้อนรน “ท่านรีบไปยังโลกมนุษย์เถอะ และบอกความจริงนี้แก่ราชาภูติเสีย”


 


ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว “มันไม่มีประโยชน์หรอกที่จะบอกเขา ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เป็นคนๆหนึ่ง ย่อมไม่สามารถต้านทานแผนการของเทพสวรรค์ได้ แถมเรื่องนี้ก็ดูจะเริ่มดำเนินการมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้สถานการณ์มันได้มาถึงจุดที่ไม่อาจแก้ไขได้อีกแล้วล่ะ”


 


“แล้วตกลงว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าก็บอกรายละเอียดแก่พวกเรามาซักทีเถอะ เผื่อว่าพวกเราจะร่วมมือกันช่วยได้” ราชันย์หมาป่าเดินเข้ามา ปากเอ่ยถามอย่างเป็นเรื่องเป็นราว


 


ผู้คุมนรกคนอื่นๆหันมามองหน้ากัน ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย


 


สีหน้าของพวกเขายามนี้ไร้ซึ่งความปิติยินดีอีกต่อไป


 


จากท่าทีของชูร่าหญิง เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้มาก่อน และพึ่งจะได้รับรู้เช่นกัน


 


ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าวออกมา “พวกเจ้าจงวางมือลงบนข้า แล้วข้าจะแสดงบทสนทนาดังกล่าวให้พวกเจ้าได้รู้”


 


เหล่าผู้คุมนรกต่างวางมือลงบนตะขอเกี่ยววิญญาณ และทันใดนั้นภาพเคลื่อนไหวภาพหนึ่งก็ปรากฏขึ้น


 


ภายในวิหารแห่งวัฏจักร


 


เครื่องจักรปรภพหมายเลข 33 มีควันหนาฟุ้งออกจากตัวเครื่องของมัน


 


มันถูกจับยัดส่วนประกอบที่ร่วงหลุดออกมากลับคืนอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การซ่อมแบบลวกๆเช่นนี้ย่อมแทบจะไม่อาจสามารถเรียกคืนฟังก์ชั่นการทำงานของมันกลับมาได้เลย


 


แต่หากมองไปยังลักษณะของมันตรงหน้า อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังพอที่จะทำให้มันสามารถพูดได้ในระยะเวลาสั้นๆ


 


แน่นอนว่าการที่มันสามารถกลับมาทำงานได้เล็กน้อยมิใช่เพียงเพราะถูกยัดชิ้นส่วนกลับคืน แต่ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่สองโลกเกิดการผสานรวม แส่งผลให้ตัวเครื่องจักรได้เกิดการฟื้นฟูด้วยตัวเองอย่างช้าๆอีกด้วย


 


“เป็นเจ้าสินะตะขอเกี่ยววิญญาณ ดีมาก! เจ้ามาได้จังหวะพอดี!” เครื่องจักรกล่าว


 


“เครื่องจักรบันทึกเหตุฉุกเฉินเอ๋ย ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีบางสิ่งที่อยากจะเอ่ยกับข้าสินะ” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว


 


“เจ้ารีบดูข้าเร็ว! ข้าจะต้องบอกความจริงแก่เจ้า!” เครื่องบันทึกเอ่ยออกมา


 


แล้วฉากหนึ่งก็โผล่ออกมาจากเครื่องจักรบันทึกเหตุฉุกเฉิน ปรากฏจอม่านแสงขึ้นในความว่างเปล่า


 


ภายในภาพเคลื่อนไหว ปรากฏร่างของเทพวิญญาณทั้งแปดองค์ที่มีเค้าโครงหน้าแตกต่างกัน ทั้งหมดกำลังยืนอยู่ในวิหารแห่งวัฏจักร


 


พวกเขาคือยมราชทั้งแปดแห่งปรภพ เป็นเทพที่มีอำนาจสูงสุดในนรก!


 


ทั้งหมดกำลังสนทนากันอย่างแผ่วเบา


 


“ถึงเวลาแล้วอย่างงั้นหรือ?”


 


“ถึงเวลาแล้ว”


 


“งั้นก็ไปกันเถอะ ประตูสวรรค์ได้ถูกเปิดออกแล้ว และพวกเขากำลังรอเราอยู่”


 


“มันน่าเสียดายจริงๆที่เราจะต้องทิ้งโลกปรภพไป”


 


แปดเทพยมราชนิ่งเงียบไป


 


หนึ่งในยมราชกล่าวออกมาว่า “นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น เดิมทีก็เป็นความผิดของโลกปรภพเองนั่นแหละที่ดันไปดึงดูดความสนใจของเผ่ามารเข้า พวกเราก็เร่งถอนตัวกันเถอะ ส่วนที่เหลืออาณาจักรสวรรค์จะเป็นคนสานต่อเอง”


 


อีกยมราชถอนหายใจออกมา “ทำใจเถิด หากกระทั่งอาณาจักรสวรรค์ก็ยังมิอาจต้านทานพลังอำนาจชนิดนี้ได้ ลำพังเพียงพวกเราก็คงไม่มีวิธีช่วยโลกปรภพได้หรอก”


 


“ถูกต้องแล้วล่ะ หอกหลากสีมันน่าสะพรึงเกินไป ไม่มีใครสามารถกำจัดมันได้”


 


“นี่ไม่ใช่ว่าเรากำลังหลบหนี แต่มันเป็นเพราะพวกเราจนปัญญาแล้วจริงๆต่างหาก”


 


แปดยมราชสนทนากัน และพยักหน้าให้กันและกันในท้ายที่สุด


 


พวกเขาสรุปแล้วว่าจะลงมือตามที่ได้สนทนากันไว้


 


เทพยมราชถอนหายใจออกมา “ช่างน่าสงสารยิ่งนัก หากเรามิสามารถช่วยเหลือโลกปรภพได้ เช่นนั้นพอถึงคราวของโลกมนุษย์ทำไมพวกเราไม่ …”


 


อีกหนึ่งยมราชกล่าวว่า “ นั่นก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน เพื่อที่จะทำให้แน่ใจว่าพวกเราจะไม่ถูกเผ่ามารลอบโจมตีในช่วงเวลาที่กำลังอพยพ อาณาจักรสวรรค์จึงได้คิดค้นวิธีการทำลายกำแพงอุปสรรคที่คอยป้องกันโลกมนุษย์ลง”


 


“ใช่แล้วล่ะ ดึงดูดความสนใจของเผ่ามารโดยใช้ปรภพและโลกมนุษย์เป็นเหยื่อล่อ แล้วทีนี้เหล่าทวยเทพก็จะสามารถถอนตัวไปได้อย่างปลอดภัย”


 


“พวกเราไปกันเถอะ”


 


“รอประเดี๋ยวก่อน ข้าขอตัวไปทำลายเครื่องจักรบันทึกเหตุฉุกเฉินสักครู่”


 


“ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาก็จักต้องถูกทำลายเช่นกัน มันทรงพลังมากเกินไป แถมยังมีความเกี่ยวพันธ์ใกล้ชิดกับภูเขาล้อมเหล็ก มันเป็นตัวแปรที่ไม่แน่ไม่นอนและอาจจะเป็นอันตรายต่อเราได้”


 


“แต่สิ่งประดิษฐ์เทวะชิ้นนี้เป็นกฏเกณฑ์ของภูเขาล้อมเหล็กอย่างชัดเจน พวกเราไม่สามารถทำลายมันได้”


 


“ก็ไม่จำเป็นต้องทำลายมันหรอก ตราบใดที่สังหารจิตอาร์ติแฟคภายในดาบได้ ตัวดาบก็จะไม่สามารถใช้งานไปได้สักพักแล้ว”


 


“สังหารจิตอาร์ติแฟค? โอ้วหากเป็นสิ่งนี้ล่ะก็ข้าสามารถทำมันได้ เจ้านี่มันนับว่าเป็นคนฉลาดอย่างแท้จริง”


 


…..


 


แล้วภาพทั้งหมดก็ตัดไป


 


เจ็ดผู้คุมนรกตกลงสู่ความเงียบ


 


รังสีแสงจากมนุษย์ป๊ศาจที่สว่างไสวอยู่เสมอ บัดนี้วูบไหวแลดูไม่เสถียร


 


มันเอ่ยด้วยความโกรธว่า “แท้จริงแล้วทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเทพวิญญาณได้หลบหนีไปจากปรภพ -พวกเขาทรยศทั้งสองโลก!”


 


ราชันย์หมาป่าคร่ำครวญออกมา “เทพปรภพน่ะมาจากอาณาจักรสวรรค์ ดังนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นทางอาณาจักรสวรรค์เลยต่างหากที่ได้ทรยศทั้งสองโลก … ทรยศหกวิถีอย่างแท้จริง”


 


“นั่นก็หมายความว่าจากนี้ไป โลกมนุษย์ก็กำลังจะต้องรับการบุกโจมตีจากเผ่ามารจำนวนมากน่ะสิ!”


 


ราชันย์หมาป่าหันหัวไปมองหน้าชายชราเผ่ามนุษย์และเอ่ยถาม “บนโลกของเจ้า มีตัวตนที่แข็งกร้าวเหมือนดั่งเช่นราชาภูติอยู่เท่าใดกัน?”


 


ชายชราเผ่ามนุษย์ยิ้มอย่างขมขื่น ปากเอ่ยกล่าว “มีคนแบบเขาอยู่มากมันก็ดีน่ะสิ แต่ช่างน่าเสียหาย คนที่แข็งแกร่งในระดับเดียวกันกับเขาน่ะ กระทั่งตัวข้าเองก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”


 


ราชนัย์หมาป่ารำพึงออกมา “แล้วถ้าเปลี่ยนพวกเขาเป็นคนตายล่ะ? เหมือนกับพวกเราที่มีนับล้านล้านไง หากเป็นในกรณีนั้นก็น่าจะเพียงพอที่จะสามารถต่อกรกับเผ่ามารได้นะ”


 


ชายชราเผ่ามนุษย์กล่าว “เมื่อเทียบกับปรภพแล้ว กำลังรบในโลกมนุษย์นับว่าน้อยกว่ามาก แถมยังอ่อนแอยิ่ง ข้าเกรงว่าต่อให้พวกเขาเป็นคนตาย แต่ก็คงจะสังหารลงทันทีที่ถูกเผ่ามารสัมผัสโดนอยู่ดี”


 


“ดูเหมือนว่าโลกมนุษย์จะจบสิ้นลงแล้ว”


 


ขณะที่พูด แผ่นดินในปรภพก็เริ่มเกิดการสั่นไหว


 


เครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคลเด้งขึ้นมา ลอยอยู่เหนือศีรษะชองคนตายทุกคน


 


“ขอเชิญเหล่าคนตายลงไปอาบน้ำ ชะล้างอดีตทั้งหมดที่ผ่านมา จงสำนึกผิดต่ออาชญากรรมในอดีตที่ตนเคยก่อเสีย หลังจากนั้นการเกิดใหม่ของพวกเจ้าจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า”


 


ปรากฏหยาดน้ำทิพย์เย็นฉ่ำร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า ชำระล้างเลือดเนื้อ และสิ่งปนเปื้อนต่างๆให้กับคนตาย


 


นี่มันเป็นความรู้สึกที่สะดวกสบายเป็นอย่างยิ่ง ราวกับมันเป็นการชำระล้างเข้าไปถึงส่วนลึกของจิตวิญญาณ


 


คนตายยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน อาบน้ำทิพย์ที่ร่วงโรยลงมาด้วยความปิติยินดี


 


นี่คือรางวัลอันยอดเยี่ยมของการกระทำที่ส่งผลให้ได้รับบุญ และตอนนี้มันก็เป็นเวลาสำหรับพวกเขาที่จะได้เพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาแห่งความสุขหลังจากที่ได้ตรากตรำทำงานมาอย่างหนัก


 


เจ็ดผู้คุมนรกเพลิดเพลินไปกับผลไม้อันหอมหวานนี้ และเฝ้ารอการกลับไปเกิดใหม่


 


ตะขอเกี่ยววิญญาณสั่นสะท้าน มันถอนหายใจออกมา “ดูท่าว่าข้าคงต้องเดินทางไปยังโลกมนุษย์ซะแล้ว อย่างน้อยก็ต้องบอกให้เขารู้เกี่ยวกับความจริงเรื่องนี้”


 


สิ้นคำกล่าว ร่างมันก็หายวับไปทันที


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.421 – เตรียมการ


 


ณ โลกมนุษย์


 


รัฐบาลกลาง


 


ภายในวิลล่าบนภูเขา


 


ชั้นอากาศที่ว่างเปล่าพลันเกิดรอยแยกขึ้นอย่างกระทันหัน


 


ตามมาด้วยสาวสวยในชุดคลุมสีฟ้าที่ปรากฏกายขึ้นต่อหน้าฝูงชน


 


เธอหันไปมองรอบๆด้วยความอยากรู้อยากเห็นและเอ่ยถามว่า “นายน้อย ที่นี่คือโลกมนุษย์อย่างงั้นหรือ?”


 


เธอปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลัน ทั้งคนทั้งร่างของเธอกำลังปล่อยไอเย็นจางๆที่ทำให้รู้สึกสบายออกมา ขณะที่อากัปกริยาภายนอกดูเย็นชา ยากที่จะเข้าหา


 


เย่เฟย์หยูกับซางหยิงฮ่าวผุดลุกขึ้น ราวกับว่ากำลังตั้งท่าเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้กับศัตรูที่ยิ่งใหญ่


 


ส่วนแอนนา เธอเคลื่อนกายมายืนขวางเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน


 


“แกเป็นใครกัน” แอนนาเอ่ยถามเสียงหม่น


 


ฉานนู่หันศีรษะไปมองแอนนา ก่อนจะเบนสายตาข้ามไปมองกู่ฉิงซานที่อยู่เบื้องหลัง


 


เธอโน้มตัวลง เอ่ยปากทักทาย “ทุกท่านคงจะเป็นสหายของนายน้อยสินะ พวกท่านไม่ต้องกังวลไป ข้าคือดาบของเขาเอง”


 


นายน้อย?


 


ดาบ?


 


หลายคนนิ่งงันไป ไม่อาจตอบสนองต่อคำกล่าวตรงหน้าได้ในทันที


 


แต่แล้วในเวลานั้นเอง กู่ฉิงก็ลืมตาขึ้น


 


เขาเหยียดแขนบิดขี้เกียจและเอ่ยปากออกมา “เฮ้อ ช่างเป็นการต่อสู้ที่ยาวนานเสียจริงๆ”


 


แอนนาหันมาคว้ามือเขาและเอ่ยถามทันที “เธอบอกว่าเป็นดาบของนาย นี่มันเรื่องอะไรกัน?”


 


“แล้วสถานการณ์ในนรกล่ะ?” ประธานาธิบดีเอ่ยถาม


 


“เทพปรภพหน้าตาเป็นยังไง? แข็งแกร่งมากไหม?” เย่เฟย์หยูถาม


 


“พวกเราตรวจพบว่านรกได้หายไปจนหมดแล้ว ต่อจากนี้ไปพวกมันยังจะปรากฏขึ้นมาอยู่อีกรึเปล่า?” ซางหยิงฮ่าวถาม


 


ขณะที่สมเด็จพระจักรพรรดินีเวโรน่าดูเหมือนจะอยากเอ่ยถามออกมาเหมือนกัน แต่คนอื่นๆดันถามสิ่งที่เธออยากรู้ออกไปจนหมดแล้ว เจ้าตัวจึงยักไหล่ และยกสองมือขึ้นกอดอก เฝ้ามองเขาอย่างเงียบๆ


 


“ก็ … โดยสังเขปแล้วเรื่องราวได้รับการแก้ไขเรียบร้อย โลกไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้วล่ะ” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


ฝูงชนพอได้ยิน ก็ถอนหายใจโล่งอกออกมาพร้อมกัน


 


“เอาล่ะ ไปตามเหลียวฮังกลับมา บอกเขาว่าไม่จำเป็นต้องเตรียมยานอวกาศแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“รับทราบใต้เท้า” เทพธิดากงเจิ้งขานรับ


 


ขณะเดียวกัน แอนนาก็ชี้ไปทางฉานนู่ และต้องการที่จะยืนยันอยู่ดี “ว่ายังไง? ตกลงเธอคนนี้เป็นใคร?”


 


“ขอฉันแนะนำให้เธอได้รู้จักนะ ผู้หญิงตรงหน้านี้คือจิตแห่งดาบ เธอเป็นดาบที่สามารถเบิกภูมิปัญญาทางจิตได้ มีชื่อว่าฉานนู่” กู่ฉิงซานอธิบาย


 


ฉานนู่โค้งตัวลงหันไปคารวะทุกคนอีกครั้ง “ผู้น้อยยินดีที่ได้พบกันทุกท่าน”


 


“อ่า … ยินดีๆ”


 


“ยินดีเช่นกัน”


 


หลายคนตอบรับ


 


“จิตแห่งดาบ? เหอะ หน้าอกโตขนาดนี้ … ”แอนนาเอ่ยพึมพำเบาๆ


 


แต่ในตอนนั้นเอง สภาพอากาศภายนอกพลันมืดมนลง


 


เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเวลาเที่ยงวัน แต่ท้องฟ้าตอนนี้ จู่ๆทั้งหมดก็กลับถูกปกคลุมด้วยความมืด


 


“ข้ารู้สึกได้ถึงปราณแห่งความตายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ปราณแห่งความตายเหล่านี้กำลังหลั่งไหลเข้าสู่โลกอย่างต่อเนื่อง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” เวโรน่าขมวดคิ้ว


 


เธอเองก็เป็นมืออาชีพผู้ใช้ธาตุทั้งห้าเช่นกัน แถมยังเป็นธาตุไม้ ที่มีสัมผัสไวที่สุดต่อปราณแห่งความตายอีกด้วย


 


“บางทีอาจจะเกิดจากทางปรภพน่ะ ก็โลกมนุษย์ของพวกเรากำลังหลอมรว-” กู่ฉิงซานกล่าว แต่แล้วเขาก็ถูกขัดจังหวะอย่างกระทันหัน


 


สมองควอนตัมของเขาส่องสว่างขึ้น


 


และเสียงของเทพธิดากงเจิ้งก็ดังตามมา “ใต้เท้า จู่ๆทั่วทั้งโลกก็มืดลง แถมในท้องฟ้ายังปรากฏมอนสเตอร์ที่น่าสะพรึงกลัวขึ้นอีกด้วย – ร้องขอให้คุณทำการตรวจสอบทันที”


 


แล้วจอม่านแสงก็ฉายออก


 


ทั่วทุกมุมโลก


 


ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด


 


มอนสเตอร์แปลกตามากมายปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้า


 


พวกมันก้มลงมองดูเมืองมนุษย์เบื้องล่าง ปากอ้าโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น


 


มอนสเตอร์เหล่านั้นดูเหมือนจะถูกกักขังอยู่ในอากาศที่ว่างเปล่า ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างขัดขวางอยู่ทำให้พวกมันไม่สามารถกระโจนลงมายังโลกมนุษย์ได้ชั่วคราว


 


กู่ฉิงซานตกตะลึง


 


เจ้าพวกนี้ … ทั้งหมดมันเป็นเผ่ามาร!


 


“เห็นได้ชัดว่าเรากำลังจะหลอมรวมเข้ากับปรภพ โลกก็สมควรที่จะแข็งแกร่งขึ้นสิ แล้วนี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?” เขาบ่นพึมพำ


 


ในทั่วทุกมุมโลก จอม่านแสงได้แสดงให้เห็นถึงการปรากฏตัวของ ‘อสูรกาย’ ที่กำลังก้าวเดินอยู่บนท้องฟ้า


 


ทันใดนั้นเอง หลายเส้นแสงตัวอักษรสีเลือดขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในสายตาของเขา


 


“คำเตือน!”


 


“กำแพงอุปสรรคที่คอยปกป้องโลกกำลังค่อยๆอ่อนแอลงเรื่อยๆ และคาดว่าจะสลายไปหลังจากนี้อีกราวๆหนึ่งชั่วโมง”


 


“หนึ่งชั่วโมงนับจากนี้ เผ่ามารจะสามารถบุกลงมายังโลกมนุษย์ได้”


 


“และอาณาจักรมนุษย์ก็จะถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว”


 


กู่ฉิงซานทั้งคนทั้งร่างสั่นสะท้าน


 


“ไม่นะ มันไม่สมควรจะเป็นแบบนี้สิ” เขางึมงำออกมา


 


ในอากาศที่ว่างเปล่า ทันใดนั้นเอง ตะขอเกี่ยววิญญาณก็ปรากฏกายออกมา


 


“เจ้ามาที่นี่ทำไมกัน?” ฉานนู่ถามด้วยความประหลาดใจ


 


“ข้ามาเพราะมีเรื่องบางอย่างจะแจ้งน่ะสิ” ตะขอเกี่ยววิญญาณหอบหายใจ


 


ไม่นานนัก มันก็เล่าเรื่องแผนการสมคบคิดของเหล่าทวยเทพจนหมดเปลือก


 


“กล่าวได้ว่าอาณาจักรสวรรค์ได้ทอดทิ้งโลกใบนี้แล้ว และอาณาจักรมนุษย์จะต้องถูกทำลายลงโดยเผ่ามารสินะ” ประธานาธิบดีกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง


 


“เทพสวรรค์ .. ไอ้พวกระยำเอ๊ย!” เย่เฟย์หยูสบถออกมาด้วยความโกรธแค้น


 


“แล้วเรื่องทางฝั่งโลกปรภพล่ะ? ยังผสานเข้ากับโลกมนุษย์อยู่อีกไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“มันก็ยังคงผสานอยู่ แต่เอาจริงๆแล้วก็เรียกได้ว่าแทบจะไร้ความหมาย”


 


“เพราะเหตุใดกัน?”


 


“เพราะตลอดมา คนตายที่แข็งแกร่งจากโลกทั้งหกจากหลายยุคหลายสมัย ต่างก็ต้องร่วมมือกันจึงจะสามารถต้านทานเผ่ามารได้ ฉะนั้น ต่อให้มนุษย์ทุกคนได้ตกตายลงและกลายเป็นคนตาย ทั้งจำนวนและกำลังรบของพวกเขาก็ยังไม่เพียงพอที่จะโค่นล้มเผ่ามารลงได้อยู่ดี”


 


“แถมตลอดทั้งโลกปรภพอีกไม่นานก็จะว่างเปล่า ไม่มีผู้ใดหลงเหลือ ตอนนี้จึงกล่าวได้ว่า พวกเราไม่มีกำลังคนใดๆที่จะใช้รับมือกับเผ่ามารอีกแล้ว”


 


“ถ้าเช่นนั้นพวกเราสามารถป้องกันกำแพงอุปสรรคของโลกมนุษย์ ไม่ให้มันเปิดออกได้หรือไม่?” กู่ฉิงซานเร่งถาม


 


“ไม่ได้หรอก เพราะเทพสวรรค์ได้พยายามที่จะกำจัดกำแพงที่คอยป้องกันโลกมนุษย์เอาไว้แล้ว ดังนั้นกำแพงอุปสรรคในโลกมนุษย์จึงกำลังจะหายไปอย่างช้าๆ”


 


“แต่เนื่องเพราะเจ้าทำการผสานรวมสองโลกเข้าด้วยกัน ฉะนั้นโลกใบใหม่ที่กำลังจะถือกำเนิดขึ้นก็จะมีกำแพงอุปสรรคใหม่ไว้คอยใช้ปกป้องมัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะใช้เวลาประมาณ 7 วัน แต่เพราะทางโลกปรภพมิได้มิการต่อต้านใดๆ ฉะนั้นกระบวนการทั้งหมดบางทีอาจจะกินเวลาเพียง 7 ชั่วโมง”


 


7 ชั่วโมง!


 


นี่มันยาวนานเกินไปจนเรียกได้ว่าสิ้นหวัง


 


พริบตาที่กำแพงอุปสรรคที่คอยปกป้องโลกหายไป กองทัพมารทั้งหมดก็จะสามารถลงมาบนโลกมนุษย์ได้ทันที


 


แล้วต่อให้หลังจากผ่านไป 7 ชั่วโมง กำแพงอุปสรรคใหม่ของโลกจะถูกสร้างขึ้นอีกครั้ง แต่เวลานั้นโลกก็คงจะถูกทำลายลงไปแล้ว!


 


ไม่มีทางอื่นเลยหรือ?


 


กู่ฉิงซานมองไปที่จอม่านแสง กำปั้นในมือหุบเกร็งแน่น


 


บนท้องฟ้า เผ่ามารเริ่มทวีจำนวนมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันเสียงคำรามของพวกมันก็ค่อยๆเจาะผ่านกำแพงอุปสรรคที่คอยป้องกันโลก เริ่มทวีความดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน


 


ในที่สุด เสียงคำรามของเผ่ามารก็สั่นสะเทือนไปทั้งโลกหล้า!


 


มนุษย์ทุกคนเฝ้ามองฉากนี้อย่างว่างเปล่า ทั้งคนทั้งร่างตกอยู่ในความสิ้นหวังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


 


เกิดการจลาจลและฆ่าฟันขึ้น การกระทำเลวร้ายต่างๆเริ่มลุกลามออกไปเป็นวงกว้าง


 


ภายในหนึ่งชั่วโมง กำแพงอุปสรรคที่คอยป้องกันโลกจะหายไป


 


มันสายไปแล้ว! ไม่มีเวลามากพอ!


 


กู่ฉิงซานไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า หลังจากที่ตนทุ่มเทพยายามมามากมาย สุดท้ายทุกอย่างกลับพลิกผัน และผลลัพธ์ออกมาเป็นแบบนี้


 


ประธานาธิบดีเดินมาตบลงบนไหล่กู่ฉิงซาน


 


“เธอทำดีที่สุดแล้ว คราวนี้ก็ปล่อยให้พวกเรา-เผ่ามนุษย์ทุกคนได้ทำมันบ้างเถอะ”


 


“แต่ท่านประธานาธิบดี แล้วท่านตั้งใจจะทำอะไร?”


 


“ก็คงจะให้ทุกคนได้ต่อสู้เพื่อสิทธิในการที่จะมีชีวิตอยู่ของตัวเอง ส่วนฉันก็พร้อมที่จะกล่าวสุนทรพจน์ไปทั่วประเทศเพื่อกระตุ้นให้ทุกคนต่อสู้จนถึงวินาทีสุดท้าย”


 


“ถ้าอย่างงั้น ทางฝั่งข้าก็ขอตัวไปเตรียมระดมกำลังคนทั้งหมดก่อนนะ” เวโรน่าที่กำลังยกมือขึ้นม้วนผมของตัวเองเอ่ยปากออกมา


 


กู่ฉิงซานจมลงสู่ความเงียบ


 


มนุษย์น่ะอ่อนแอเกินไป พวกเขาไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้กับเผ่ามารได้


 


เมื่อสงครามขั้นแตกหักนี้ปะทุขึ้น มันจะกลายเป็นการสังหารหมู่เพียงฝ่ายเดียว


 


พอจะมีวิธีอื่นอีกไหมนะ?


 


กู่ฉิงซานกำลังขบคิดเกี่ยวกับมาตรการตอบโต้อย่างรวดเร็ว


 


ทว่าไร้ประโยชน์ …


 


ไม่มีสิ่งใดที่สามารถทำได้เลย!


 


บนท้องฟ้าเหนือวิลล่าบนหุบเขา เริ่มปรากฏร่างเงาของอสูรกายขึ้น


 


หากกู่ฉิงซานไม่ได้เห็นกับตาว่าอสูรกายที่ตกลงไปในสายธารแห่งการหลงเลือนนั้นตายลง หรือถูกสังหารโดยหอกหลากสีในพริบตามาก่อนแล้วล่ะก็ เขาคงจะกล้าเอ่ยปากกล่าวได้อย่างแท้จริงว่าสิ่งที่เรียกวว่าอสูรกายนั้น เป็นการดำรงอยู่อันคงกระพันในสงครามครั้งนี้


 


—กระทั่งอสูรกายก็ยังมา แล้วในโลกมนุษย์จะมีผู้ใดเล่าที่จะสามารถต่อกรกับอสูรกายได้?


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจยาว


 


ณ ขณะนี้ บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏบรรทัดเส้นแสงหิ่งห้อยลอยขึ้นมาอีกครั้ง


 


“ร้องขอให้ผู้เล่นให้ความสนใจ ว่าภายในห้านาทีต่อจากนี้ โลกปรภพจะทำการผสานหลอมรวมเข้ากับโลกมนุษย์ในไม่ช้า”


 


“ร้องขอให้ผู้เล่นให้ความสนใจ กำลังเสริมจากปรภพจะมาถึงในเร็วๆนี้”


 


“เนื่องจากความสำเร็จอันงดงามของคุณทั้งในโลกมนุษย์และในโลกปรภพ ดังนั้นกำลังเสริมจะมาพบกับคุณก่อนเป็นอันดับแรก”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ “กำลังเสริมจากปรภพ … ”


 


เวลานี้ เขาเลื่อนสายตาไปตรง ‘กำลังเสริมจากปรภพ’ อีกครั้ง แล้วไม่รู้ว่าตนเองสมควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี


 


แต่เขาก็คิดว่ามันน่าจะยังมีประกายแห่งความหวังอยู่ จึงหันไปถามตะขอเกี่ยววิญญาณว่า “ก่อนที่กำลังเสริมจากปรภพจะมาถึง ช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่าพวกเขาเป็นใคร?”


 


ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว “ก็คงเป็นพวกอาวุธที่จะมาสมทบน่ะ ข้าได้สนทนากับพวกเขาแล้ว และบางส่วนจะมาถึงเมื่อโลกเกิดการหลอมรวมกันขึ้น”


 


มันเอ่ยเสริม “อ้อจริงสิ เครื่องจักรปรภพก็เริ่มที่จะได้รับการฟื้นฟูแล้ว ฉะนั้นพวกมันก็น่าจะมาด้วย”


 


ดวงตาของกู่ฉิงซานเปล่งประกายสดใส ปากเอ่ยถามว่า “แล้วในบรรดาเครื่องจักร มีเครื่องใดที่ถนัดการต่อสู้เป็นพิเศษและสามารถรับมือของอสูรกายได้บ้างหรือไม่?”


 


“ไม่มีเครื่องจักรแบบนั้นหรอก อสูรกายน่ะทรงพลังเกินไป พลังสามัญน่ะมิอาจต่อกรกับพวกมันได้หรอก”


 


จินตนาการของกู่ฉิงซานแตกสลายลงอีกครั้ง เขาจำต้องจมลงในห้วงความคิดอีกที


 


ถึงแม้ว่าเขาจะเคยผ่านมาแล้วสองช่วงชีวิต , ถึงแม้ว่าในชีวิตก่อนหน้าเขาจะเป็นถึงผู้บัญชาการรบเผ่ามนุษย์ , ถึงแม้ว่าในชีวิตนี้เขาจะเข้าใจความลับระหว่างหลายโลก แต่มันก็ไม่มีหนทางใดเลยที่จะสามารถจัดการกับสถานการณ์ดังกล่าวนี้ได้


 


ไร้หนทางออก


 


นี่คือความสิ้นหวังอย่างแท้จริง


 


ทันใดนั้นเอง –


 


ตึ้ง!


 


บังเกิดเสียงสะท้อนขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า


 


กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ


 


แต่กลับพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นรอบกายเขา


 


น่าแปลกนัก ได้ยินอยู่ชัดๆว่ามันมีเสียง


 


ตึ้ง! ตึ้ง! ตึ้ง!


 


มันเป็นเสียงที่ดังเหมือนกับมีคนกำลังเคาะประตู


 


-นี่มันไม่ถูกต้อง!


 


กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นมองเบื้องบน


 


ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด ตลอดทั้งโลกหล้าพลันเงียบสงบลง


 


ดวงตาของกู่ฉิงซานกวาดชำเลืองมองออกไปอย่างรวดเร็ว


 


เห็นแค่เพียงประธานาธิบดีที่กำลังขมวดคิ้ว และลูบคางของเขา เหมือนกับว่ากำลังขบคิดถึงคำปลุกใจ


 


เวโรน่าที่หยิบกระจกขึ้นมา และกำลังจัดอุปกรณ์เสริมสวยของเธอ


 


เย่เฟย์หยูที่ดูจะโกรธมาก แต่เขาดูเหมือนจะสิ้นหวังมากกว่า


 


ซางหยิงฮ่าวที่ยังคงสงบนิ่ง ขณะเดียวกันก็ก้มหน้าลงเพื่อป้อนข้อมูลบางอย่างลงในสมองควอนตัม


 


ส่วนแอนนาก็ยังเอาแต่จับจ้องฉานนู่ สีหน้าท่าทีของเธอดูตื่นตัวและเต็มไปด้วยความระมัดระวัง


 


ทั้งหมดนิ่งงัน … อยู่ในสถานที่เดิมของพวกเขา


 


การแสดงออกทางสีหน้าของทั้งหมดแข็งค้าง ร่างกายเก็บอากัปกริยาเคลื่อนไหวเดิมเอาไว้และหยุดนิ่ง


 


แต่หมาดำกลับยังคงสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว


 


มันเดินมาถึงหน้าตรงหน้าของแอนนาอย่างเงียบๆ ก่อนจะหันหลังให้เขา และหย่อนก้นนั่งลงกับพื้น


 


หมาดำดูจะวิตกกังวลยิ่ง


 


อย่างไรก็ตาม มองไปที่การกระทำของมัน ดูเหมือนว่าจะกำลังตั้งใจที่จะปกป้องแอนนา


 


“นายน้อย การไหลของกระแสเวลาได้ถูกหยุดลง” ฉานนู่เดินมาข้างกายกู่ฉิงซาน และกล่าวกระซิบอย่างเงียบๆ


 


“ตัดขาดเวลางั้นหรอ?” กู่ฉิงซานจดจำได้ถึงสิ่งหนึ่ง เขาเอ่ยถามทันที


 


“ใช่แล้ว ตัดขาดเวลา”


 


“เช่นนั้นแล้วเหตุใดข้าจึงยังสามารถเคลื่อนไหวได้อยู่ล่ะ?”


 


“บางทีอีกฝ่ายคงจะจงใจ ข้าเกรงว่ากำลังจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น”


 


ในเวลาเดียวกัน ภายในทะเลแห่งห้วงสติของกู่ฉิงซาน ไพ่สองใบก็เริ่มสั่นไหวอย่างแผ่วเบา


 


ไพ่จากสำหรับแห่งการแก้แค้น นายพลภูติ


 


ไพ่จากสำรับแห่งการแก้แค้น กษัตริย์อาชูร่า


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.422 – เทพสวรรค์และ13โครงกระดูก


 


สกิลเทวะ : ตัดขาดเวลา


 


กู่ฉิงซานย้อนระลึกไปถึงการต่อสู้ที่เขาได้เผชิญในดินแดนแห่งความฝัน


 


ร่างของคนสองคนได้ปรากฏขึ้นในจิตใจของเขา


 


ผู้ใช้ไพ่ที่ชื่อชิงหยิน และเทพสวรรค์ในชุดคลุมแดง


 


ในบาร์ภายในโลกแห่งความฝัน ณ ความฝันที่สามของไม้เท้าแห่งการจองจำของราชาภูติ มันได้แสดงให้เห็นถึงฉากที่เทพสวรรค์องค์นี้สังหารหญิงสาวลง


 


ในเวลานั้น เทพสวรรค์ได้บูชายัญเหล่าผู้นำของสี่กองทัพพันธมิตร เพื่อทำการอัญเชิญเทพที่แท้จริงจากโบราณอันไกลโพ้นมาสำแดงสกิลเทวะนี้


 


-ว่าแต่หลานล่ะ?


 


เขาจะได้เห็นถึงฉากที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้หรือไม่?


 


ในหัวใจของกู่ฉิงซานวูบไหวอย่างกระทันหัน


 


เขาปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป และสำรวจทะเลแห่งห้วงสติของตนเอง


 


ไพ่ได้ปรากฏขึ้นที่นั่น


 


ไพ่มนตราจากสำรับแห่งการแก้แค้น : กษัตริย์อาชูร่า


 


“กษัตริย์อาชูร่า ไพ่ศาสตร์มนตราจากสำรับแห่งการแก้แค้น เมื่อไหร่ก็ตามที่ไพ่ใบนี้ถูกเปิดใช้งาน คำมั่นสาบานที่ทั้งสี่อาณาจักรได้ให้ไว้เมื่อ 10000 ปีก่อน จะก่อร่างพันธนาการขึ้นอีกครั้ง”


 


“คำสาบานของทั้งสี่อาณาจักร : เทพสวรรค์ , ผีร้าย , อาชูร่า และจ้าวอสูร จะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่หักหลังกันและกัน ดั่งเช่นที่สี่ผู้นำแต่ละอาณาจักรได้เคยปฏิญาณเอาไว้”


 


“หากละเมิดคำสาบาน จักต้องถูกลงโทษอย่างสาสมโดยผู้นำของทั้งสี่อาณาจักร”


 


กษัตริย์อาชูร่ามองกู่ฉิงซานจากภายในไพ่ด้วยการแสดงออกทางสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นร้ายแรง


 


“เจ้าจดจำสิ่งที่พูดกับหลานได้หรือไม่?” กษัตริย์อาชูร่าเอ่ยถาม


 


“แน่นอน และข้าได้รับรางวัลจากเขามาแล้ว ว่าแต่ตอนนี้ข้าจะต้องทำอย่างไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงกำลังจะมาที่นี่ เจ้าต้องพยายามถ่วงเวลาเขาเอาไว้ ข้าจำเป็นต้องใช้เวลาสักเล็กน้อยในการเปิดใช้คำมั่นสาบานแห่งสี่อาณาจักร”


 


“แล้วท่านต้องใช้เวลานานเท่าไหร่?”


 


“ยิ่งนานก็ยิ่งดี”


 


ณ ขณะนั้นเอง ไพ่อีกใบหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้น


 


นายพลภูติ


 


“นายพลภูติ เป็นไพ่อัญเชิญจากสำรับแห่งการแก้แค้น  มีประสิทธิภาพในการต่อสู้ที่สูงส่งเป็นอันดับต้นๆ”


 


กษัตริย์อาชูร่ามองไปทางนายพลภูติ “เจ้าพร้อมสำหรับการต่อสู้หรือไม่?”


 


นายพลภูติหัวร่ออย่างดุเดือด แต่ขณะเดียวกันน้ำเสียงของเขาฟังดูเหมือนกับว่ากำลังสะอื้นไห้เสียมากกว่า


 


“ข้ากำลังรอคอยที่จะได้ต่อสู้ในวันนี้ ข้าเฝ้าโหยหามันมาตลอดกว่า 10000 ปี!”


 


กษัตริย์อาชูร่าหันกลับมามองกู่ฉิงซานและกล่าว “นี่คือโอกาสเดียวเท่านั้น ได้โปรดช่วยถ่วงเวลาเอาไว้ให้นานที่สุดด้วย!”


 


จากนั้น สองมือของเขาก็ประกบรวมเข้าด้วยกัน และเริ่มท่องคาถาคำสาบานของทั้งสี่อาณาจักรในครั้งอดีต


 


“เอาล่ะ ข้าเองก็จะพยายามถ่วงเวลาเขาให้ดีที่สุด … ” กู่ฉิงซานงึมงำ


 


เขาคว้าจับดาบขุนเขาเทวะหกโลกา เพื่อเรียกคืนความสงบมั่นคงกลับมาในจิตใจ


 


ดาบนี้ไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากกฏเกณฑ์ทั้งหมด และเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำลายสกิลเทวะของฝ่ายตรงข้าม


 


“ฉานนู่  ในกรณีที่ข้าพยายามจะสู้ เจ้าสามารถใช้ทักษะและประสบการณ์ทั้งหมดของข้าเพื่อตอบโต้ศัตรูได้เลยนะ”


 


“เจ้าค่ะนายน้อย” ฉานนู่เริ่มประหม่าเล็กน้อย


 


ตึ้ง! ตึ้ง! ตึ้ง!


 


เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง


 


ขณะนั้นเอง ก็บังเกิดเสียงที่ดูสุภาพดังขึ้นจากในอากาศที่ว่างเปล่า


 


“ไม่ทราบว่าท่านราชาภูติอยู่ที่นี่หรือไม่?”


 


“ข้าอยู่นี่” กู่ฉิงซานตอบรับ


 


“โปรดอภัยให้ข้าสำหรับการเยี่ยมเยือนโดยมิได้นัดหมายด้วย หากเจ้าพอจะมีเวลาว่าง ข้าก็อยากที่จะพบปะเจ้า เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับรายละเอียดเพิ่มเติม  พอจะได้หรือไม่?”


 


“เชิญท่านชี้แนะ”


 


“นับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”


 


ทันใดนั้น จุดไฟสีดำก็ผุดออกมาจากความว่างเปล่า


 


จุดไฟสีดำค่อยๆส่องสว่างและขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แปรเปลี่ยนเป็นเค้าโครงของร่างมนุษย์ที่ดูโปร่งแสง


 


จากเค้าโครงหน้า มันดูเหมือนเขาจะเป็นชายชราที่มีจิตใจดี


 


ผมสีเงิน สวมใส่เสื้อคลุมยาวสีแดงที่ดูงดงาม ขณะที่ในมือข้างหนึ่งถือคทา และกำลังลดระดับลงมาจากความว่างเปล่า


 


กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูฉากนี้ด้วยใบหน้าที่เงียบสงบ


 


ในทะเลแห่งห้วงสติของเขา ปรากฏโครงกระดูกเปื้อนเลือดขึ้นข้างกายกษัตริย์อาชูร่า


 


เมื่ออีกฝ่ายตระหนักถึงจิตสัมผัสเทวะของเขา กษัตริย์อาชูร่าก็กล่าวเตือนกู่ฉิงซานว่า “แค่นี้ยังไม่เพียงพอ เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงถึงขั้นเรียกเทพที่แท้จริงจากโบราณอันไกลโพ้นมา เพียงเพื่อต้องการทรยศคำมั่นสาบานของสี่อาณาจักร ฉะนั้น ข้าจึงจำต้องเสียสละ13 นายพลแห่งกองทัพพันธมิตรเพื่อจัดการกับเขา”


 


“ข้าจะต้องเปิดใช้งานคำมั่นสาบานของ 13 นายพล และปลุกจิตวิญญาณของพวกเขาที่หลับไหลมากว่า 10000 ปี ให้ฟื้นคืนกลับมา”


 


“จะสำเร็จหรือล้มเหลว ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าสามารถถ่วงเวลาให้ข้าได้นานแค่ไหน”


 


เขากล่าวออกมา จากนั้นก็เริ่มสวดท่องคาถาต่อไป


 


กู่ฉิงซานถอนจิตสัมผัสเทวะกลับคืน และมองไปยังเทพสวรรค์ในชุดคลุมแดง


 


ไม่ผิดแล้ว เขานี่แหละคือเทพสวรรค์ที่สังหารชิงหยิน


 


ต้องหาทางที่จะถ่วงเวลาเขาให้ได้ …


 


กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าวทักทายอีกฝ่าย “คาดไม่ถึงเลยว่าจะมีแขกในเวลานี้ แถมคนผู้นั้นยังทรงอำนาจถึงขั้นควบคุมเวลาอีกด้วย”


 


“ที่ข้ามาในครั้งนี้ก็เพื่-”


 


เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงกำลังจะพูดต่อ แต่กู่ฉิงซานก็ผายมือออก ส่งสัญญาณเชื้อเชิญเขาให้นั่งลงเสียก่อน


 


“ได้โปรดเชิญนั่งลงก่อนเถอะ การยืนสนทนากันมันมิใช่มารยาทในการต้อนรับของข้า”


 


เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงดูจะตกใจเล็กน้อย


 


“โอ้ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เอาล่ะ เอาล่ะ ข้าจะนั่งลงก่อนแล้วค่อยสนทนาก็ได้”


 


เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงกล่าว เขานั่งลงบนโซฟาตรงข้ามกับกู่ฉิงซาน ขณะเดียวกันก็หรี่ตามองคนตรงหน้า


 


วินาทีต่อมา เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงก็เตรียมจะเอ่ยปากอีกครั้ง


 


แต่จู่ๆกู่ฉิงซานก็ผุดลุกขึ้นเสียก่อน และเดินปลีกตัวออกไป จากนั้นก็เปิดตู้แช่ไวน์


 


มันคือตู้แช่ไวน์ส่วนตัวของซางหยิงฮ่าว


 


“นั่นเครื่องดื่มอะไร?”


 


“ภายในนี้เต็มไปด้วยไวน์ที่ดีที่สุดที่มีในโลกมนุษย์ ได้โปรดลองเลือกมาสักขวดเถอะ”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม


 


เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงกวาดสายตาเข้าไปในตู้แช่ไวน์ แล้วอดไม่ได้ที่จะถามออกมา “เจ้าทราบหรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”


 


“ข้าเองก็ไม่รู้หรอก ทว่าแค่สังเกตจากทุกสิ่งรอบๆตัวก็พอจะตัดสินได้แล้ว”


 


“ความสามารถเช่นนี้ ตลอดทั้งชีวิตของข้าไม่เคยได้ยิน ได้เห็นมันมาก่อนเลย”


 


“หากได้ลองขบคิดต่อจากนี้ ก็พอจะบอกได้ว่าท่านจะต้องเป็นคนสำคัญมากๆอย่างแน่นอน”


 


กู่ฉิงซานยกแก้วไวน์สองใบขึ้นด้วยรอยยิ้ม “แขกผู้มีเกียรติ มาเถิด ตัวข้าในฐานะมนุษย์ ขอดื่มแก้วนี้ให้แก่ท่าน”


 


เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงกำลังตั้งใจฟังอย่างรอบคอบ ก่อนที่จะผุดยิ้มขึ้นมาบนใบหน้าอย่างช้าๆ


 


“เจ้านี่มันไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเจ้าถึงสามารถขึ้นเป็นราชาภูติได้” เขาเอ่ยชื่นชมออกมา


 


แต่กู่ฉิงซานไม่ได้ตอบกลับไป


 


เขายกไวน์ขึ้นมาสองขวดเพื่อลองเสนอให้อีกฝ่ายดู


 


“ไวน์ยู่หลูอายุกว่าร้อยปี ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์พิเศษที่มีชื่อเสียงของฟูซี ขวดนี้มีอายุถึงร้อยปี และจะมีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่จะสามารถดื่มมันได้”


 


“ส่วนนี่ คือไวน์ซ่งจากรัฐบาลกลาง มีอายุกว่า 700 ปี เป็นของสะสมของเก้าตระกูลใหญ่ ที่มักจะถูกนำสะสมเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งสถานะ ไม่มีใครเลยที่เต็มใจจะดื่มมัน”


 


ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็กวาดจิตสัมผัสเทวะลงไปในทะเลแห่งห้วงสติ


 


โครงกระดูกเปื้อนเลือดที่สองได้ปรากฏขึ้นแล้ว


 


แต่โดยสิ้นเชิงแล้วมันจะต้องประกอบด้วยทั้ง 13 โครงกระดูกจึงจะประสบผลสำเร็จ และเวลานี้ … มันก็ยังเร็วเกินไป


 


เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงถูกดึงดูดด้วยคำพูดของเขา อีกฝ่ายเอ่ยงึมงำออกมา “งั้นเอาเป็นขวดที่สองก็แล้วกัน”


 


กู่ฉิงซานแสดงท่าทีลังเลอยู่เพียงครู่หนึ่ง แล้วก็เปิดไวน์จุกก๊อกด้วยความสุขทันที


 


พร้อมกับกลิ่นหอมหวานของไวน์ที่ฟุ้งออกมา


 


‘ซางหยิงฮ่าวเอ๋ย อย่างน้อยสมบัติของนายก็ได้รับบทบาทสำคัญนะ อย่าเศร้าใจไปเลย’


 


กูฉิงซานลอบพูดขอโทษอย่างเงียบๆ


 


เทพสวรรค์หลับตาลง และสูดดมกลิ่นของมันที่ฟุ้งออกมาเล็กน้อย


 


สีหน้าของเขาเผยถึงความผ่อนคลายและพึงพอใจ ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ใช่ นี่มันเป็นไวน์ที่ดีจริงๆๆ แม้ข้าจะเคยลงมาบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่เคยได้สูดดมกลิ่นสิ่งมึนเมาที่หมหวานเช่นนี้มาก่อนเลย”


 


“ท่านอยากจะใส่น้ำแข็งเพิ่มหรือไม่?”


 


“ไม่ล่ะ ไวน์แบบนี้ดื่มเพียวๆนี่แหละดีที่สุด”


 


กู่ฉิงซานรินมันลงในแก้วและยื่นมันให้แก่เทพสวรรค์ชุดคลุมแดง


 


และเขาก็รินให้ตัวเองด้วย ‘โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย’


 


ทั้งสองนั่งลงบนโซฟาอีกครั้ง


 


กู่ฉิงซานจับจ้องฝ่ายตรงข้าม และยกไวน์ขึ้นดื่มอึกหนึ่ง


 


โครงกระดูกเปื้อนเลือดที่สาม ปรากฏขึ้นในทะเลแห่งห้วงสติอย่างเงียบๆ


 


ยังคงเหลืออีกสิบ


 


เทพสวรรค์วางแก้วไวน์ลงและถอนหายใจออกมา “ข้าขอบอกเลยว่ามนุษย์อย่างพวกเจ้านี่มันช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่เชี่ยวชาญในด้านการหาความสำราญเสียจริงๆ”


 


กู่ฉิงซานยกแก้วขึ้น และจิบไปอีกหนึ่งอึก


 


มันหวาน ขณะเดียวกันก็เย็นและจัดจ้าน


 


หากนี่คือช่วงเวลาสุดท้ายของวันสิ้นโลก ไวน์แก้วนี้ก็นับว่ามีค่าคู่ควรกับเวลาเช่นนี้แล้ว


 


เขายกดื่มอีกครั้งและอีกครั้ง ก่อนจะยกขวดขึ้นมาเติมให้แก่เทพสวรรค์และตนเอง


 


“แก้วนี้เพื่อแสดงความนับถือแด่ท่าน” เขากล่าว


 


“และข้าขอขอบคุณสำหรับการต้อนรับอย่างจริงใจของเจ้า” เทพสวรรค์กล่าว


 


ทั้งสองยกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม


 


กู่ฉิงซานต้องการจะรินไวน์อีกครั้ง แต่คราวนี้เทพสวรรค์กลับโบกมือให้หยุด


 


“ไม่ล่ะ พอแล้ว ตอนนี้ข้าต้องการที่จะสนทนากับเจ้า”


 


กู่ฉิงซานวางขวดไวน์ลงและใส่จุกก๊อกปิดกลับคืน โค้งตัวลงเล็กน้อยแสดงท่าทีว่าจะตั้งใจฟัง


 


โครงกระดูกเปื้อนเลือดที่สี่ได้ปรากฏขึ้นมาแล้ว


 


“ราชาภูติเอ๋ย กลยุทธ์การตอบโต้ของเจ้าค่อนข้างจะน่าตื่นตายิ่งนัก ตอนแรกข้าก็ไม่เชื่อ ถึงขั้นต้องลอบไปสังเกตการณ์ทางฝั่งปรภพด้วยตนเอง เพราะได้ยินมาว่าจู่ๆเผ่ามารทุกตนก็ได้ตกตายลงอย่างกระทันหัน”


 


เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงที่นั่งอยู่บนโซฟากล่าวออกมาอย่างช้าๆ


 


“จากนั้น ข้าก็พบว่าเจ้าก็สามารถทำลายกลยุทธ์ทุกขั้นตอนของเผ่ามารลงได้ ทุกการลงมือของเจ้าช่างเป็นไปอย่างยอดเยี่ยมและทรงประสิทธิภาพ … จนกระทั่งมาสะดุดลงตรงแผนของข้า ที่ทำให้ตอนนี้เจ้าน่ะไร้ซึ่งหนทางที่จะถอยกลับได้”


 


“ข้าต้องขอบอกว่าข้าชื่นชมเจ้าจริงๆ ยังไงก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าทำได้แย่เหลือเกิน”


 


“โอ้? ข้าชักอยากจะฟังรายละเอียดเพิ่มเติมซะแล้วสิ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ในทะเลแห่งห้วงสติของเขา ข้างกายกษัตริย์อาชูร่า โครงกระดูกเปื้อนเลือดที่ห้าได้ปรากฏขึ้นมาแล้ว


 


“เจ้ายังไม่ชัดเจนอีกหรือ? สิ่งนั้นก็คือการที่เจ้าได้แบ่งปันบุญให้แก่พวกมดแมลงในนรกอย่างไรเล่า ทำให้พวกมันทั้งหมดได้รับโอกาสให้ไปเกิดใหม่ จนตอนนี้ นรกเลยกลายเป็นว่างเปล่า”


 


เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงเอนตัวลงบนโซฟา และกล่าวอย่างสบายๆ “ท่านราชาภูติเอ๋ย นั่นนับว่าเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ของเจ้า”


 


“ความล้มเหลว?” กู่ฉิงซานเผยท่าทีแสดงออกถึงความสับสน


 


“ใช่ เพราะทันทีที่นรกว่างเปล่า เจ้าก็ไม่มีเบี้ยในมือที่พร้อมใช้งานอีกต่อไป”


 


“เจ้าได้กลายเป็นราชาภูติที่โดดเดี่ยวไร้ซึ่งกองทัพ เข้าใจหรือไม่?”


 


เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงถอนหายใจ แสร้งแสดงถึงความเสียใจออกมา


 


“ดังนั้น ตอนนี้เจ้าจึงมีเพีย-”


 


“ไม่ใช่! เป็นเพราะกลยุทธ์นั่นของข้าต่างหากจึงสามารถจัดการกับหอกหลากสีได้” กู่ฉิงซานขัดจังหวะอีกฝ่าย


 


เขาอธิบายว่า “เท่าที่ข้ารู้ แม้แต่เทพวิญญาณในปรภพเองก็ยังไม่สามารถหาวิธีรับมือกับหอกนั่นได้ หากข้าไม่ทำเช่นนั้น ก็ย่อมไม่มีวิธีแก้ปัญหาเรื่องหอกได้”


 


โครงกระดูกเปื้อนเลือดที่หกปรากฏขึ้น


 


‘มันคงยังต้องใช้เวลาอีกเยอะสินะ’


 


เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงผายมือออกและกล่าว “เหตุใดต้องไปจัดการกับหอกด้วย? ในฐานะกษัตริย์ เจ้าสมควรที่จะใส่ใจเกี่ยวกับอำนาจในมือตนเองต่างหาก”


 


กู่ฉิงซานกล่าว “แต่พวกเขาได้ทุ่มเทเต็มที่ ดังนั้นบุญจึงเป็นรางวัลที่เปรียบเสมือนดั่งอาหารและเครื่องดื่มที่สมควรจะได้รับหลังจากการตรากตรำทำงานอย่างหนัก”


 


“นั่นประไรเล่า ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าเหตุใดตัวเจ้าถึงได้มาตกอยู่นสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าน่ะยังไม่กระจ่างชัด ว่ากษัตริย์น่ะสมควรที่จะควบคุมทุกสิ่งมีชีวิต เพื่อบรรลุแก่ทุกอำนาจของตนเอง” เทพสวรรค์แสดงความคิดเห็น


 


“แต่ในจุดนี้ ข้ากลับเห็นในมุมมองที่ต่างประเด็นออกไป” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“โฮ่? ลองว่ามาสิ”


 


“ข้าจำเป็นต้องสร้างแรงปรารถนาให้พวกเขาอย่างแท้จริง สร้างแรงดลใจเพื่อกระตุ้นศักยภาพของพวกเขาออกมา และการกระทำนี้ส่งผลให้สามารถบรรลุเป้าหมายที่มุ่งหวังได้สำเร็จ!”


 


โครงกระดูกเปื้อนเลือดที่เจ็ดปรากฏขึ้น


 


เหลืออีกหก


 


เทพสวรรค์จ้องมองเขา และจมลงสู่ความเงียบ


 


เขาราวกับกำลังเฝ้ามองสิ่งมีชีวิตอันแปลกประหลาดอยู่


 


หลังจากผ่านพ้นไปช่วงเวลาสั้นๆ


 


“ลืมมันเถอะ สิ่งที่เจ้าทำน่ะอย่างไรมันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้ว สุดท้ายเจ้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนฉากจบที่ข้าวางเอาไว้สำหรับโลกใบนี้ได้”


 


เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงเอ่ยต่อ “ดังนั้น สิ่งที่ข้าต้องการจะพูดก็คือ–”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยถามทันควัน “ท่านผู้ทรงเกียรติ ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่าอะไร?”


 


ชายชราจ้องมองเขาด้วยความสับสน


 


ดีล่ะ คราวนี้ดูเหมือนว่าจะถ่วงเวลาเพิ่มขึ้นได้อีกหน่อยนะ


 


กู่ฉิงซานอธิบายว่า “ข้ายังไม่ทราบชื่อของท่านเลย จะให้เรียกผู้ทรงเกียรติๆ มันก็ดูจะไม่เป็นทางการมากเกินไป ข้าเกรงว่ามันจะไม่สุภาพหากไม่ได้เอ่ยชื่อท่าน”


 


เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง และดูเหมือนว่าจะจมหายเข้าไปในความคิด


 


โครงกระดูกเปื้อนเลือดที่แปดปรากฏขึ้น


 


“ความจริงแล้วการเอ่ยถึงชื่อของข้าจะทำให้เกิดการสอดรู้สอดเห็นจากการดำรงอยู่จำนวนมาก และอีกอย่าง การเจรจาส่วนตัวนี้ก็จะกลายเป็นการสนทนาสาธารณะไป” เขาเผยท่าทีกังวลเล็กน้อยออกมา


 


“เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่เรียกข้าว่าเทพสวรรค์เล่า?”


 


“โอ้ว เช่นนั้นก็หมายความว่าท่านเป็นนายเหนือแห่งอาณาจักรสวรรค์อย่างนั้นหรือ?”


 


“ถูกต้อง”


 


สีหน้าของกู่ฉิงซานแสดงออกถึงความตื่นเต้น


 


“ในฐานะที่ตัวตนผู้ทรงเกียรติเช่นท่านได้มายังสถานที่แห่งนี้ ในช่วงเวลาที่โลกกำลังจะสูญสิ้น แถมยังมาเป็นการส่วนตัวโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย — นี่แสดงว่าท่านกำลังจะมาเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติใช่หรือไม่!?” เขาเอ่ยถาม


 


“ไม่ ไม่ ดูเหมือนว่าเจ้าจะเข้าใจผิดแล้ว เข้าใจผิดไปโดยสิ้นเชิง” เทพสวรรค์ยกนิ้วขึ้นส่ายไปมา บนใบหน้าของเขากำลังแสดงถึงความรู้สึกเศร้าใจ


 


โครงกระดูกเปื้อนเลือดที่เก้าปรากฏขึ้น


 


เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงกล่าวว่า “ข้าคิดว่าคงจะต้องทำให้มันชัดเจนเสียแล้วล่ะ นี่แหละคือสิ่งที่ข้ากำลังจะบอกแก่เจ้า”


 


“โอ้? เชิญชี้แนะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


บนใบหน้าของเทพสวรรค์ปรากฏรอยยิ้มจางๆออกมา เขากล่าวว่า “ข้ามาที่นี่ ก็เพื่อที่จะชื่นชมการต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่กำลังจะมาถึงของผู้แพ้”


 


“แต่ข้ากลับคิดว่าสถานการณ์ในตอนนี้ยังมิได้สิ้นหวังโดยสมบูรณ์” กูฉิงซานกล่าว


 


ชายชราชุดคลุมแดงกล่าว “นี่แหละคือสิ่งที่ข้าชื่นชมเจ้า และมันคือความสนุกของเรื่องราวทั้งหมด”


 


“กองทัพมารกำลังจะบุกเข้าสู่หกวิถีแห่งสังสารวัฏ และข้าก็จะนำเหล่าทวยเทพหลบหนีออกไป เวลานับว่ามีค่ายิ่งนัก ฉะนั้นเราจะทำให้เรื่องที่สมควรจะยาวจบลงแค่สั้นๆ”


 


“ผู้น้อยพร้อมจะรับฟังแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว


 


เขาใส่จิตสัมผัสเทวะลงไปในทะเลแห่งห้วงสติ


 


เห็นแค่เพียงโครงกระดูกเปื้อนเลือดที่สิบปรากฏขึ้น แต่ยังคงเหลืออีก 3 ตนสุดท้าย


 


กษัตริย์อาชูร่ายังคงเปล่งรังสีแสงระยับ และท่องคาถามนตราอย่างเต็มกำลัง


 


นายพลภูติจ้องมองมายังกู่ฉิงซานแล้วกล่าวว่า “เจ้าทำได้ดีแล้ว จงดึงดูดความสนใจของมันต่อไป ขั้นตอนสุดท้ายกำลังจะเสร็จสมบูรณ์ในเร็วๆนี้!”


 


ภายในห้องนั่งเล่น ในที่สุด เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงก็ได้เอ่ยวัตถุประสงค์ในการมาเยือนของตนเองออกมาเสียที


 


“นรกว่างเปล่า ขณะที่โลกมนุษย์นั้นอ่อนแอ ทั้งสองโลกนี้ไม่อาจช่วยเหลือได้อีกแล้ว แต่ทว่าความสามารถของเจ้าช่างเป็นเลิศนัก ข้าจึงคาดหวังว่าเจ้าจะพิจารณาเรื่องที่มาอยู่ใต้อาณัติข้า”


 


“อยู่ใต้อาณัติท่าน?”


 


“ใช่ เป็นข้าเองที่สังหารราชาภูติ และตอนนี้ข้าก็หวังที่จะได้จับมันเป็นทาสเพิ่มอีกหนึ่ง”


 


“ท่านน่ะหรือสังหารราชาภูติ? นั่นมันเป็นไปไม่ได้!” กู่ฉิงซานส่ายหัวและกล่าว


 


“มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้หรอก” เทพสวรรค์เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา


 


“ก็โลกปรภพน่ะมีไม้เท้าแห่งการจองจำเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น และอีกอย่างก็ข้านี่แหละคือราชาภูติ ไม่มีคนอื่นอีก”


 


“ที่เจ้ากล่าวมามันก็ใช่ แต่อันที่จริงแล้วข้ากำลังกล่าวถึงเรื่องราวเมื่อ 10000 ปีก่อนต่างหาก”


 


บนใบหน้าของเทพสวรรค์ ได้เผยถึงการร่องรอยของการระลึกย้อความทรงจำ


 


10000 ปีที่ผ่านมา ช่างเป็นแผนการที่สุดแสนจะกระตุ้นหัวใจยิ่งนัก จนกระทั่งตอนนี้ตัวเขาเองก็ยังจดจำได้ถึงตื่นเต้นหวาดเสียวในตอนนั้นได้อยู่เลย


 


และมันก็ประสบความสำเร็จเสียด้วย ดังนั้นในทุกครั้งที่เขาย้อนคิดถึงเรื่องนี้ มันจะก่อให้เกิดความรู้สึกอิ่มเอมในชัยชนะเล็กน้อย


 


รอยยิ้มแย้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเทพสวรรค์


 


โครงกระดูกเปื้อนเลือดที่สิบเอ็ดได้ปรากฏขึ้น


 


เหลืออีกแค่สองเท่านั้น!


 


เทพสวรรค์ได้สติกลับคืน


 


ทันใดนั้นจู่ๆเขาก็รู้สึกว่าตนเองไม่จำเป็นต้องกล่าวเรื่องไร้สามาระให้มันมากความไปกว่านี้อีกต่อไป และหันมาเผชิญหน้ากับราชาภูติ


 


ได้ยินแค่เพียงเสียงของกู่ฉิงซานที่เอ่ยถาม “ท่านลงทุนมาเยือนถึงที่นี่เพื่อชักนำข้า ย่อมจะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน”


 


“เจ้าเดาได้ถูกต้อง”


 


“เช่นนั้น แล้วสิ่งที่ท่านต้องการจากข้าคืออะไร?”


 


“ก็เทคนิคมนตราจำเพาะ – ที่เจ้าสามารถแยกร่างจิตวิญญาณออกจากกายมุนษย์แล้วไปยังโลกปรภพ และสามารถใช้มันอีกครั้งเพื่อหวนกลับมาได้”


 


“นอกเหนือจากนั้น ก็คงจะเป็นวิชาที่เจ้าใช้เปลี่ยนตนเองให้กลายเป็นคนตาย จนสามารถขึ้นมาเป็นราชาภูติได้ วิชาลี้ลับที่แสนจะมีมนต์ขลังเช่นนี้ กระทั่งตัวข้าเองก็ยังไม่เคยได้พบได้เจอมาก่อนเลย”


 


ดวงตาของชายชราชุดคลุมแดงสาดประกายวาว


 


เขาโน้มตัวไปข้างหน้า จดจ้องมายังกู่ฉิงซานและกล่าว “จงยอมมอบวิชาลี้ลับของเจ้ามาเสีย แล้วข้าจะให้เจ้าเป็นทาสแห่งอาณาจักรสวรรค์ นำพาเจ้าหลบหนีออกจากโลกทั้งหกที่กำลังจะล่มสลายลงนี้”


 


“นี่เป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถมีชีวิตรอดไปได้” ชายชราชุดคลุมแดงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ลองคิดถึงเผ่ามารนับไม่ถ้วนและอสูรกายที่กำลังจะมาถึงโลกมนุษย์ในไม่ช้า แต่เจ้ากลับเป็นเพียงราชาภูติที่โดดเดี่ยวไม่มีกำลังรบใดๆอยู่ในมือ – เจ้าจะตกตายอยู่ภายใต้ความสิ้นหวัง”


 


“ข้าได้เฝ้าดูเจ้ามาเป็นเวลานานแล้ว และเห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นคนฉลาด ดังนั้นข้าเชื่อว่าเจ้าสมควรจะรู้ดีว่าต้องเลือกทางใด”


 


กู่ฉิงซานก้มหน้าลง แสดงท่าทีขบคิด


 


โครงกระดูกเปื้อนเลือดที่สิบสองปรากฏขึ้นแล้ว พวกเขาทุกคนกำลังคุกเข่าต่อหน้ากษัตริย์อาชูร่าเพื่อทำการเรียกโครงกระดูกตนสุดท้ายด้วยกัน


 


“ท่านสามารถให้เวลาข้าสักหนึ่งส่วนสี่ชั่วยามเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับมันได้หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“ข้าเสียใจจริงๆ แต่เจ้าจะต้องตัดสินใจในตอนนี้ทันที – สำหรับการต้อนรับด้วยไวน์เลอค่าของเจ้า ข้าจึงไม่ได้บีบบังคับเจ้าในทันที หวังว่าเจ้าจะตระหนักเกี่ยวกับจุดนี้เอาไว้ด้วย” เทพสวรรค์กล่าว


 


“เข้าใจแล้ว แต่เมื่อครู่ยังมีสิ่งที่ท่านกล่าวผิดอยู่นะ ตัวข้าน่ะ จะไม่ตกตายอยู่ภายใต้ความสิ้นหวังหรอก”


 


เทพสวรรค์ยิ้มออกมาอย่างไม่คาดคิด


 


“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ? โลกมนุษย์มีตัวตนที่แข็งแกร่งอยู่ไม่มากนัก และนักรบที่แท้จริงก็หาได้ยากยิ่ง ในสถานการณ์อันไร้ซึ่งหนทางเช่นนี้ ข้าไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเจ้าคิดจะกระทำสิ่งใด?” เขาเอ่ยถามด้วยความสนใจ


 


“โลกปรภพน่ะ กำลังจะถูกผสานรวมเข้ากับโลกมนุษย์แล้ว”


 


“นั่นก็ใช่ แต่แล้วมันอย่างไร? ข้ามั่นใจว่ากำแพงอุปสรรคที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่เพราะสิ่งนั้นมันคงจะสายเกินไป  หากต้องเผชิญหน้ากับเผ่ามารอันไร้ที่สิ้นสุดจนกว่าจะถึงช่วงเวลานั้น ตัวเจ้าจะสามารถทำได้หรือ?”


 


“ไม่หรอก แต่ข้าอาจจะเป็นคนแรกที่ตายก่อนในสนามรบ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“เป็นคนแรกที่ตายก่อนในสนามรบ?” ชายชราชุดคลุมแดงไม่เข้าใจ


 


“เป็นคนแรกที่ตายในสนามรบ จากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นคนตาย เท่านี้ก็จะสามารถเผชิญหน้ากับชีวิตและความตายได้อย่างกล้าหาญ ไล่ล่าสังหารเผ่ามารที่อยู่ในโลกนี้ตลอดไป”


 


น้ำเสียงของกู่ฉิงซานลดระดับลงอย่างช้าๆ การแสดงออกของเขาช่างสงบนิ่ง ราวกับสิ่งที่กำลังพูดอยู่นี้ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับตนเอง


 


“จะหนึ่งปี สิบปี ร้อยปี หรือเป็นพันๆปี หมื่นปี ข้าก็จะไล่สังหารเผ่ามาร เพื่อเฝ้าดูว่าเมื่อใดมันจึงจะได้รับรู้ว่าความหวาดกลัวคือสิ่งใด!”


 


เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงฟังกู่ฉิงซานเอ่ยบรรยายอย่างช้าๆ ขณะที่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาค่อยๆหายไป


 


“เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนฉลาด แต่แท้จริงแล้วเจ้านับว่าคู่ควรกับชื่อเสียงของราชาภูติอย่างแท้จริง … ในอีกความหมายนึงน่ะนะ” เทพสวรรค์กล่าว


 


“ข้ากำลังเฝ้ารอคอยที่จะได้ต่อสู้และสังหารทุกวี่วันในอนาคต” กู่ฉิงซานกล่าว


 


น้ำเสียงของเทพสวรรค์เผยถึงความโกรธเล็กน้อย “นี่เจ้าไม่เข้าใจอีกหรือ? คนตายน่ะถูกผูกมัดเอาไว้กับกฏเกณฑ์แห่งหกวิถีของปรภพ เจ้าจะติดอยู่ในดินแดนนี้ตลอดไป นอกจากนี้ เผ่ามารนับไม่ถ้วนคงจะยึดครองโลกไปแล้ว และนั่นหมายความว่าเจ้าจะมิได้เกิดใหม่อีกเลย”


 


“ก็แล้วมันอย่างไรเล่า?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


เทพสวรรค์ตัวแข็งค้างไป


 


กู่ฉิงซานไตร่ตรองอยู่สักพักจึงกล่าว “ในความเป็นจริงแล้ว พอได้มาลองคิดดูอย่างรอบคอบเกี่ยวกับมัน ดูเหมือนว่าข้าจะรู้สึกมีความสุขเล็กน้อย”


 


เขาราวกับกำลังคิดถึงอะไรบางอย่าง และการแสดงออกทางสีหน้าก็ค่อยๆผ่อนคลายลง


 


ใช่ เขาไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว


 


จะต่อสู้จนหยดสุดท้ายอย่างไร้ปราณี


 


นั่นคือความตั้งใจสุดท้ายของเขา


 


เทพสวรรค์ชุดคลุมแดงได้ตระหนักถึงเรื่องนี้


 


เขาหุบปากลง และเงียบงันไปเป็นเวลานาน


 


“เจ้ามันวิปลาส … ” เขาเอ่ยพึมพำ


 


เทพสวรรค์ผุดลุกขึ้นยืนทันใด “แบบนี้ชักจะไม่ดีแล้ว การดำรงอยู่ของตัวตนเช่นเจ้ามันอันตรายเกินไป ข้าสมควรจะสังหารเจ้าซะเดี๋ยวนี้ และกระทั่งจิตวิญญาณของเจ้าก็สมควรที่จะถูกทำลายลง!”


 


เขาวาดคทาในมือออกไป


 


และพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดก็หลั่งไหลออกมาจากกายเขา ควบแน่นหลอมรวมกันบนคทา


 


ในเวลาเดียวกัน กู่ฉิงซานก็เข้าไปในทะเลแห่งห้วงสติ


 


13 โครงกระดูกเปื้อนเลือดปรากฏกายขึ้นทั้งหมดแล้ว ปากพวกมันอ้าขยับ เปล่งเสียงตะโกนออกมาพร้อมกัน “ดำเนินการ … แก้แค้น …”


 


ในเสี้ยววินาที เหล่าโครงกระดูกเปื้อนเลือดก็หายไปจากทะเลแห่งห้วงสติของกู่ฉิงซาน และปรากฏกายขึ้นภายในห้องนั่งเล่น


 


“—นี่มันการลงทัณฑ์ของผู้ที่ปฏิเสธในคำมั่นสาบาน!” ชายชราชุดคลุมแดงสีหน้าแปรเปลี่ยนกลับกลายครั้งใหญ่


 


เขายกคทาในมือขึ้น ปากร่ำร้องตะโกน “นี่มันเป็นไปไม่ได้ พวกเจ้าทุกคนได้ตายไปแล้วชัดๆ!”


 


บนคทามนตรา บังเกิดแสงจรัสสีขาวสดใสปะทุออกมา และห่อหุ้มร่างของชายชราชุดคลุมแดงเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในความว่างเปล่า


 


กษัตริย์อาชูร่าปรากฏกายขึ้น เปล่งเสียงเบาราวกระซิบ “ด้วยตัวข้าเองที่เป็นหลักฐานอันกระจ่างชัด คำมั่นสาบานนับว่าถูกต้อง ผนึกลงทัณฑ์ – จงพันธนาการ!”


 


13 โครงกระดูกอาบเลือดรายล้อมรอบเทพสวรรค์ในชุดคลุมแดงเริ่มสาดแสง


 


พร้อมกับเทพสวรรค์ก็ถูกดึงตัวกลับมา

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม