Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ 402-408

 หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.402 – ข้ามผ่านความโหดร้าย


 


กู่ฉิงเงยหน้าขึ้น มองตามขั้นบันไดที่ทอดยาวออกไป


 


ณ จุดสูงสุดของขั้นบันได


 


ปรากฏให้เห็นถึงชั้นม่านแสงสีดำที่ถูกแต่งแต้มด้วยจุดแสงดวงดารางดงาม มันปกคลุมไปตลอดทั้งสังเวียนประลอง ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น


 


กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไปสัมผัสกับแสงสีดำ แต่มันก็ถูกสะท้อนกลับมาด้วยชั้นแสงนี้


 


ดูเหมือนว่าฉากในสังเวียน จะไม่สามารถตรวจสอบจากภายนอกได้


 


“ดูลึกลับจริงๆ”


 


กู่ฉิงซานกล่าวเสียงกระซิบ


 


หนึ่งมือกุมดาบขุนเขาเทวะหกโลกา สองเท้าเริ่มก้าวเดินไต่ระดับขึ้นไปตามขั้นบันได


 


แล้วเขาก็ข้ามผ่านทั้ง 1800 ขั้นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว


 


ร่างของกู่ฉิงซานเดินชนเข้ากับม่านแสงสีดำ


 


วืดดดด!


 


ในวิสัยทัศน์เกิดการบิดเบือนราวกับโลกพลิกตลบ


 


แล้วจากนั้นจู่ๆเขาก็ร่วงตกลงมายังพื้นที่เปิดโล่ง


 


มันคือพื้นที่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ


 


สายลมเย็นพัดผ่านท้องฟ้า


 


ล้อมรอบไปด้วยผืนป่ากันดารอันกว้างใหญ่


 


กลางค่ำคืน


 


กู่ฉิงซานย่อตัวลง เอื้อมมือไปคว้าจับหิมะมากำในมือ


 


มันช่างเย็นและสดชื่น


 


ความรู้สึกเหล่านี้ … มันเป็นของจริง! นี่ทำให้กู่ฉิงซานค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อย


 


“ทั้งหมดนี่ถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือของไม้เท้าแห่งการจองจำอย่างงั้นหรือ?” เขาเอ่ยถาม


 


“ใช่ อำนาจของมันแข็งแกร่งเกินไป แม้ว่าจะไม่ได้มีพลังศักดิ์สิทธิ์ของจิตอาร์ติแฟคอยู่แล้วก็ตาม แต่ด้วยตัวไม้เท้าเอง ก็ยังคงมีชุดพลังศักดิ์สิทธิ์ที่คาดไม่ถึงอีกอยู่ดี” ฉานนู่กล่าว


 


“ไม่ได้มีจิตอาร์ติแฟคแต่กลับทรงอำนาจถึงเพียงนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดมันจึงสามารถรับมือกับเทพวิญญาณได้” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยอารมณ์


 


ในขณะนั้นเอง กู่ฉิงซานก็ได้ยินเสียงอันคลุมเครือลอยมาตามสายลม


 


กู่ฉิงซานหันไปตามเสียง มองออกไปในระยะไกล


 


เห็นแค่เพียงเมื่อข้ามผ่านผืนป่ากันดารไป ก็จะเป็นมหาสมุทรอันไร้ที่สิ้นสุด


 


และบริเวณชายฝั่ง มีเรือขนาดใหญ่จอดทอดสมออยู่


 


แม้จะอยู่ในช่วงเวลาค่ำคืน ทว่าภายในเรือตลอดทั้งลำกลับสว่างไสว


 


ในความมืดมิด ข้อมูลได้ปรากฏขึ้นในจิตใจของกู่ฉิงซาน


 


นี่คือคำร้องจากไม้เท้าแห่งการจองจำที่ส่งผ่านมาทางอากาศ


 


“จงขึ้นไปบนเรืออย่างงั้นหรอ … ?”กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ


 


ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ๆเขาก็หมุนดาบในมือ แล้วจ้วงแทงมันออกไปยังเบื้องหลัง!


 


ท่ามกลางความมืดมิด สิงโตตนหนึ่งผลุบออกมาอย่างไม่มีปีมีขลุ่ย มันวิ่งกระโจนพร้อมกับปากที่อ้ากว้าง!


 


เดิมทีมันตั้งใจจะลอบโจมตีกู่ฉิงซาน แต่ตนไม่คาดคิดเลยว่า กู่ฉิงซานจะหมุนดาบสวนกลับมาในทันควัน!


 


ดาบยาวพุ่งแทงมาโดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ และสิงโตก็มิอาจลบเลี่ยง


 


‘กลับกลายเป็นข้าที่ถูกโจมตีแทนซะเองหรือนี่?’ เกิดความคิดแปลกๆวาบเข้ามาในจิตใจของสิงโต


 


แล้วดาบยาวก็แทงทะลุเข้าปากที่อ้ากว้างของมัน เสียบ! ลึกเข้าไปถึงภายในร่างอสูรของอีกฝ่าย


 


ฉากนี้ราวกับว่าเป็นตัวสิงโตซะเองที่โยนตนเข้าสู่คมดาบ ถูกเสียบราวกับเนื้อย่างลอยค้างอยู่กลางอากาศ


 


“ฮว๊ากกกก!”


 


เมื่อตกอยู่ในสภาพน่าสมเพช กรงเล็บจากเท้าทั้งสี่กางออก กวัดแกว่งไปมา ดิ้นรนขัดขืนขณะเปล่งเสียงร้องอย่างน่าอนาถ


 


“เดรัจ – โอ้ไม่สิ ที่มันสหายจากอาณาจักรจ้าวอสูรนี่นา มีอะไร? ต้องการที่จะมาทักทายข้าอย่างงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


สิงโตรีบพยักหน้าหงึกๆอย่างรวดเร็ว


 


ฉึบ!


 


แล้วกู่ฉิงซานดึงดาบยาวออกจากปากของมัน


 


สิงโตก็ได้อิสระกลับคืนมาอีกครั้ง


 


มันเปล่งเสียงคำรามอย่างดุร้าย!


 


“โฮก! เจ้ามนุษย์บัดซบ ข้า–”


 


ฉึก!


 


ดาบยาวจ้วงเข้าไปในปาก แทงเข้าแผลเดิมของสิงโตอีกครา


 


อย่างที่เคยได้อธิบายไป สำหรับดาบขุนเขาเทวะหกโลกา หากเทียบกับดาบทั่วๆไปแล้ว มันนับว่ามีความยาวมากกว่าอยู่หลายส่วน ดังนั้นการเสียบทะลุผ่านทั้งร่างของสิงโตน่ะ ไม่นับว่ามีปัญหาเลย


 


กู่ฉิงซานยกดาบขึ้น


 


แล้วฉากที่แลดูราวกับสิงโตเสียบไม้ก็ปรากฏขึ้นอีกครา เท้าทั้งสี่ของมันกวาดไปมาในอากาศที่ว่างเปล่าอย่างหมดหนทาง


 


“สหาย พอดีว่าข้าพึ่งมาใหม่ แต่เจ้ากลับเจตนาที่จะข่มข้าหวาดกลัวอย่างงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ


 


“โอ โอ ข้า .. ข้าผิดไปแล้ว! โอย ..”


 


สิงโตพยายามร้องขอความเมตตาอย่างยากลำบาก


 


คราวนี้มันพูดความจริงแล้ว


 


ดาบของฝ่ายตรงข้ามรวดเร็วเกินไป มันไม่อาจหลบเลี่ยงได้เลย


 


เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงยิ่ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายสามารถเอาชีวิตมันได้ตลอดเวลาหากต้องการ


 


“งั้นเราก็มาพูดคุยกันดีๆนะ ตกลงไหม?” กู่ฉิงซานยื่นข้อเสนอ


 


สิงโตเร่งพยักหน้าอีกครั้งและอีกครั้ง ยินยอมรับข้อเสนอ


 


แล้วดาบยาวก็ถูกดึงกลับคืน


 


“เช่นนั้นสหายจากอาณาจักรจ้าวอสูร เหตุใดเจ้าจึงไม่ขึ้นไปบนเรือ แล้วเตร่อยู่ที่นี่กันล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


สิงโตนั่งลงบนพื้น เอ่ยปากอย่างหดหู่ว่า “ก็การคัดเลือกมันจบลงแล้วน่ะสิ ไปที่นั่นไปมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี”


 


“ไม่นะ เท่าที่ข้ารู้ นรกทะเลเลือดยังมิได้เลือกตัวตนที่แกร่งที่สุดคนสุดท้ายเลยนี่” กู่ฉิงซานพูด


 


สิงโตกล่าว “ผิดแล้ว การคัดเลือกจริงๆน่ะมันจบลงไปแล้วต่างหาก แต่ด้วยห้วงอารมณ์และจิตสำนึกของตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดของนรกทะเลือดน่ะมันวิปลาส จึงยังไม่ยินยอมที่จะขึ้นไปบนเรือซักที”


 


“ไม่ยินยอมขึ้นไปบนเรือ?” กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว


 


“ใช่แล้ว เพราะมันยังกินไม่อิ่มน่ะสิ”


 


สิงโตดูเหมือนจะย้อนระลึกได้ถึงบางสิ่ง ทันใดนั้นตัวมันก็เริ่มสั่นสะท้าน


 


“กินไม่อิ่ม?”


 


“ถ้าเจ้าได้เห็นมัน เจ้าก็จะเข้าใจเอง” สิงโตกล่าวอย่างช้าๆ ดูเหมือนว่ามันกำลังวัดความแข็งแกร่งของกู่ฉิงซานอยู่


 


ในระหว่างการสนทนาของหนึ่งคนหนึ่งสิงโตนั้นเอง คนตายนับไม่ถ้วนก็ค่อยๆตีวงเข้ามาโอบล้อมพวกเขาอย่างเงียบๆ


 


ไม่ว่าจะเป็นยักษ์ มนุษย์ปีศาจ สัตว์อสูร ชูร่า แออัดกันมานับไม่ถ้วน


 


“หน้าไม่คุ้นแฮะ” บางคนกระซิบ


 


“มันไม่ใช่ตัวตนที่แข็งแกร่งจากนรกของเรานี่”


 


“มีใครรู้จักเขาบ้างไหม?”


 


กู่ฉิงซานกำลังมองไปยังฝูงคนตาย ก่อนจะแตะลงบนหัวของสิงโตแล้วแถว่า “ข้าเป็นสหายของเจ้านี่น่ะ พอดีข้าได้ยินมาว่ามันปรารถนาที่จะเป็นราชาภูติ ดังนั้นข้าจึงมาดูมันเข้าร่วมแข่งขัน”


 


พอได้ฟัง เหล่าคนตายก็ผ่อนคลายลง


 


“เฮ้ย! ข้าไม่ใช่เพื่อนมัน! แถมยังไม่เคยเจอมันมาก่อนเลยด้วย! ทุกคนรีบช่วยกันฆ่าอ้ายทารกนี่กันเร็วเข้า!” สิงโตตะโกน


 


แล้วคนตายก็กลับมาเขม็งเกร็งกันอีกครั้ง


 


“นี่มันน่ารำคาญจริงๆ” กู่ฉิงซานบ่น


 


ท่ามกลางความมืดมิด วงดาบแสงจันทร์ที่โค้งมนขนาดใหญ่ผุดออกมาจากชั้นอากาศบางๆ


 


ด้วยคมดาบนี้ ทั้งเลือดและเนื้อพลันกระพือว่อนไปทั่ว!


 


ทว่าก่อนที่ฝนเลือดจะโปรยปรายลงในตำแหน่งนี้ มันก็ถูกพัดเป่า หายไปโดยกระแสลมอันดุร้ายจากคมดาบเสียก่อน


 


แสงจันทร์ค่อยๆจางหายไปอย่างช้าๆ


 


ตามด้วยร่างของกู่ฉิงซานที่ปรากฏขึ้น พร้อมด้วยสีหน้าหนักใจเล็กน้อย


 


นั่นเพราะในช่วงเวลาที่รังสีดาบสว่างขึ้น ในวิสัยทัศน์ของเขา ค้นพบว่าตลอดทั้งบริเวณนี้ มันเต็มไปด้วยคนตายที่จำนวนมากที่แออัดกัน! มากมายจนมิอาจนับไหวเลย!


 


กล่าวได้ว่าตัวตนที่แข็งแกร่งจากนรกทะเลเลือด เข้าไปกระจุกตัว รวมกันอยู่ในผืนป่ากันดารที่เป็นทางผ่านสู่เรือใหญ่ในทะเลทั้งหมดเลย!


 


มันเยอะจนเบียดเสียดกันชนิดที่ว่าไม่มีกระทั่งที่ที่ว่างเว้นไว้สำหรับนั่งข้างๆกัน!


 


ภายในป่ากันดาร พวกมันต่างห้ำหั่นกันและกันอย่างไร้อารยธรรม ราวกับเพียงแค่มองหาความสนุกจากการฆ่าฟันกันเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าพวกมันจะแค่สู้กันเอง แต่ไม่มีตนใดกล้าที่จะเฉียดเข้าไปใกล้กับเรือใหญ่ที่ส่องสว่างเลย


 


ฉะนั้นด้วยรูปการณ์นี้ ก็พอจะบอกได้ว่า ตัวตนที่ได้รับการยอมรับว่าแข็งแกร่งที่สุด … คงมิแคล้วอยู่ใกล้กับเรือใหญ่เป็นแน่


 


อย่างไรก็ตาม ตัวตนแข็งแกร่งที่ว่านั่น ดูเหมือนว่าจะมีความคิดที่ผิดแผกออกไป ดังนั้นมันจึงยังไม่ยินยอมขึ้นไปบนเรือ


 


“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องรีบหน่อยแล้ว ก่อนที่มันจะเปลี่ยนใจ ”


 


กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ


 


อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะกล่าวแบบนั้น แต่เขาก็ยังยืนถือดาบขุนเขาอย่างนิ่งๆ มิได้เคลื่อนกายไปไหน


 


“เหตุใดจึงยังไม่ก้าวเดิน เจ้าไม่ได้ต้องการที่จะต่อสู้เพื่อตำแหน่งราชาภูติหรอกหรือ?” ฉานนู่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม


 


“ไม่หรอก ต้องการอยู่แล้ว แต่นับจากนี้ไป ข้าจะต้องข้ามผืนป่ากันดาร และจะต้องฝ่าดงคนตายนับไม่ถ้วนที่เข้ามาโจมตีเนี่ยสิ”


 


“ดังนั้น เจ้าเลยจะเอาแต่ยืนอยู่แบบนี้อย่างงั้นหรือ?” ฉานนู่บ่น


 


ขณะที่เขากำลังจะกล่าวตอบนั้นเอง จู่ๆก็มีแมมมอธยักษ์ย่ำเฝ้าจนผืนดินสั่นสะเทือน ตรงเข้ามาหาเข้าอย่างบ้าคลั่ง!


 


มันพยศชูสองเท้ามหึมาเบื้องหน้าขึ้น และเหยียบ! ทิ้งน้ำหนักย่ำลงใส่กู่ฉิงซานที่อยู่เบื้องล่างอย่างแรง!


 


“เจ้ามนุษย์ตัวจ้อย จงตายซะ! ข้าจะบี้ร่างเจ้าให้กลายเป็นเนื้อเหลว!”


 


แมมมอธตะโกนอย่างบ้าคลั่ง


 


ทว่าขณะเดียวกัน รังสีดาบระยับก็พร่างพราวออกมาคั่นกลางในอากาศที่ว่างเปล่าระหว่างทั้งสอง


 


ร่างของแมมมอทยักษ์ชะงันงันไปทั้งๆอย่างงั้น มิอาจเคลื่อนกายต่อได้


 


กู่ฉิงซานก็ใช้ออกด้วย ‘ไม่ยอมอ่อนข้อ(เจียงซี)’ ซึ่งเป็นสกิลวิวัฒของขั้นสองของสายฟ้าเล่ยเดี๋ยน ที่สามารถทำให้ศัตรูสูญสิ้นการควบคุมร่างกายเป็นระยะเวลาหนึ่งได้!


 


แล้วสองวินาทีก็ผ่านพ้น พร้อมกับเจ็ดดาบที่ถูกฟาดฟันออกไป


 


ในวินาทีต่อมา เจ็ดจุดดวงดาราก็กระพริบไหวอยู่บนตัวดาบยาว


 


แสงสวรรค์เจิดจรัสและหลอมรวมเข้าด้วยกันราวกับว่าพวกมันกำลังเรียกขานหาบางสิ่ง


 


กู่ฉิงซานทุ่มสุดกำลัง คว้าจับดาบด้วยสองมือ และสับลงไปยังเบื้องหน้าอย่างรุนแรง!


 


ทุกสิ่งอย่างเกิดขึ้นในพริบตาเดียว


 


เส้นแสงของสายฟ้าเล่ยเดี๋ยนทะยานออกมาจากดาบยาวในฉับพลัน


 


ประกายสายฟ้าเล่ยเดี๋ยนสาดแสงระยับ ทอดแสงและเงาออกไป เติมเต็มช่วงค่ำคืนอันมืดมิดนี้ให้กลายเป็นโลกแห่งแสงสว่าง


 


เจ็ดดารา มังกรแหวกธารา!


 


หัวมังกรยักษ์ที่ประกอบไปด้วยเล่ยเดี๋ยนบินออกจากดาบ แล้วงับ! แมมมอธเข้าไปในปากของมัน


 


และแมมมอธก็สิ้นใจไปในพริบตา


 


ทันทีหลังจากที่หัวยักษ์ของมังกรผุดออกมาบดขยี้ศัตรู ส่วนร่างของมันถูกถูกหลอมสร้างขึ้นโดยรังสีดาบและสายฟ้าเล่ยเดี๋ยนก็ผุดตามมาจากตัวดาบ


 


“รอข้าก่อน” กู่ฉิงซานเอ่ยออกมา


 


ราวกับมีจิตนึกคิด มังกรสายฟ้าในอากาศชะงักไปเล็กน้อย


 


แล้วกู่ฉิงซานย่ำฝีเท้าลงจนหิมะบนพื้นแตกกระจาย ทะยานตัวขึ้นไปยืนเหนือหัวของมังกรสายฟ้า


 


โฮกกกก!


 


มังกรสายฟ้าเปล่งคำรามสั่นสะเทือนทั้งสวรรค์และโลก


 


แล้วกู่ฉิงซานก็ชี้ปลายดาบออกไปยังเบื้องหน้า


 


มังกรสายฟ้าว่ายวนในอากาศ ทำการเปลี่ยนทิศทางเล็กน้อย จากนั้นก็พุ่งตัดผ่านผืนป่ากันดารที่คราคร่ำไปด้วยเหล่าคนตายเหลือคณาโดยตรง!


 


ได้ยินเพียงเสียงสายลมที่หวีดผ่านเข้ามาในหู


 


ขณะที่ทิวทัศน์โดยรอบเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว


 


เหล่าคนตายที่กระจุกตัวอยู่ในป่ารกร้าง เมื่อต้องเผชิญกับพลังอำนาจของสายฟ้าสวรรค์ พวกมันก็หวาดกลัว สิ้นซึ่งหนทางต่อต้าน แตกกระเจิงเปิดทางกันออกไป


 


ในพริบตาเดียว เขาก็ได้มาถึงเรือใหญ่แล้ว


 


และเวลานี้ กู่ฉิงซานก็ยังสามารถมองเห็นถึงฉากบนเรือได้อีกด้วย


 


คนตายสิบกว่าคนกำลังยืนอยู่บนเรือ แยกกันเป็นกลุ่มเล็กๆหลายกลุ่ม


 


กู่ฉิงซานมองเห็นเจ็ดผู้คุมนรกที่เขาเคยได้พบกันมาก่อนหน้านี้


 


เนื่องจากมังกรสายฟ้าน่ะมันสะดุดตามาก เจ็ดผู้คุมนรกจึงสามารถเห็นร่างของกู่ฉิงซานที่ยืนอยู่เหนือหัวมังกรได้อย่างชัดเจน


 


สีหน้าของเจ็ดผู้คุมดูจะประหลาดใจเป็นอย่างมาก


 


ทว่ากู่ฉิงซานมิได้สนใจพวกเขา แต่ก้มลงมองไปที่เรือ


 


เห็นแค่เพียงยักษ์ที่ดูสูงใหญ่และแข็งกร้าวกำลังนั่งอยู่หน้าทางเข้าเรือ


 


ยักษ์ตนนั้นก่อกองไฟขึ้นและบางครั้งก็โยนพวกคนตายลงไปย่าง


 


จากนั้นบางคนที่ถูกจับโยนลงไปก็ถูกคว้าจับขึ้นมาและโดนยัดเข้าไปในปากของมัน


 


ยักษ์เคี้ยวๆๆๆและกลืนลงไปโดยไม่คำนึงถึงเสียงร้องอันน่าพรั่นพรึงที่อยู่ในปากของมัน


 


-ดูเหมือนว่านี่สินะ คือเจ้าการดำรงอยู่ที่สิงโตกล่าวถึง


 


ยักษ์ใหญ่เงยหน้าขึ้น เห็นได้ชัดว่ามันก็สนใจมังกรสายฟ้าเช่นกัน


 


มันลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคง แล้วคว้าจับขวานหินในมือ


 


“ย่างคนกินอย่างงั้นหรือ? ผลกรรมที่แกกระทำกำลังจะคืนสนองแล้ว”


 


กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ


 


เขายกมือที่ถือดาบขึ้น และชี้นิ้วออกไป


 


ทันใดนั้นมังกรสายฟ้าก็โฉบลงมาจากท้องฟ้า


 


มังกรสายฟ้าอ้าปากกว้าง เตรียมพร้อมที่จะงับเข้าใส่ตัวยักษ์


 


ยักษ์แกว่งขวานหินเข้าสู้  ทว่าคมขวานของมันราวกับตัดเข้าใส่อากาศ ทะลุผ่านตัวมังกรไปโดยตรง!


 


มังกรสายฟ้าอ้าปากอย่างดุร้าย และงับ! กลืนยักษ์ใหญ่ลงไป!!


 


“อ๊ากกกก!”


 


ยักษ์ใหญ่หวีดร้องออกมาอย่างน่าสมเพช


 


ด้วยนักดาบนิรันดร์ที่เป็นถึงขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลาย สำแดงเดชด้วยเจ็ดดารามังกรแหวกธาราอย่างเต็มกำลัง พลังอำนาจของมันย่อมผิดแผกและร้ายแรงเกินกว่าที่คนทั่วไปจะจินตนาการไหว!


 


ไม่นานนัก กลิ่นไหม้เกรียมก็โชยออกมาจากร่างของยักษ์ใหญ่


 


กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนอง


 


แล้วยักใหญษ์ร่วงล้มลงกับพื้น ทับลงบนกองไฟที่ตนก่อขึ้นเอง


 


ขณะเดียวกัน กู่ฉิงซานก็ร่อนลงบนพื้นดิน


 


แล้วเขาก็ได้รับข้อมูลที่มองไม่เห็น ผ่านเข้ามาในจิตใจทันที


 


“ผู้แข็งแกร่งที่สุดจากนรกทะเลเลือด โปรดจงขึ้นมาบนเรือด้วย”


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.403 – กลิ่นจางๆของกุหลาบป่า


 


โลกมนุษย์


 


ณ เมืองหลวงของรัฐบาลกลาง


 


โลงศพคราคร่ำ เบียดเสียดปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า


 


โลงศพเหล่านี้ลอยอยู่กลางเวหา แกว่งไกวไปมาราวกับกำลังล่องอยู่ในแอ่งน้ำ


 


อย่างไรก็ตาม โลงศพเหล่านี้มิได้ลอยอยู่เฉยๆ พวกมันสามารถเคลื่อนที่ได้


 


และพวกมัน ก็กำลังค่อยๆบินไปยังแถบชานเมืองของเมืองหลวงอย่างช้าๆ


 


ณ วิลล่าบนหุบเขา


 


สมเด็จพระจักรพรรดินีเวโรน่าและประธานาธิบดีอยู่ในห้องนั่งเล่น


 


ก่อนที่กู่ฉิงซานจะเดินทางไปยังโลกปรภพ เทพธิดากงเจิ้งได้ทำตามคำขอของเขา โดยการแจ้งข่าวให้สองผู้นำที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกมนุษย์ก่อนเป็นอันดับแรก


 


สาธารณรัฐฟูซีกับรัฐบาลกลางได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันในระยะเวลาอันสั้น


 


เพื่อต่อกรกับกองทัพนรกที่กำลังใกล้เข้ามา กองทัพจักรกลของทั้งสองประเทศจึงได้ถูกส่งมอบให้เทพธิดากงเจิ้งและม่านเหล็ก คอยทำหน้าที่รับผิดชอบโดยสมบูรณ์


 


เฝ้ามองมายังกู่ฉิงซานที่อยู่ในลักษณะราวกับหลับลึก สมเด็จพระจักรพรรดินีเวโรน่าก็กล่าวออกมาว่า “เขาสามารเดินทางไปยังปรภพได้จริงๆหรือนี่ ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก”


 


ขณะเดียวกัน สีหน้าของประธานาธิดีบค่อนข้างที่จะกังวลเล็กน้อย


 


เขาเอ่ยถามเทพนักสู้ “สถานการณ์ด้านนอกเป็นยังไงบ้าง?”


 


เทพนักสู้ซางซ่งหยางตอบกลับมา “นรกจากทั่วทุกสถานที่จู่ๆก็เคลื่อนกำลัง มุ่งตรงมาทางนี้ ฉันเดาว่ากู่ฉิงซานอาจจะได้ลงมือทำอะไรบางอย่างในปรภพไปแล้วก็ได้‘


 


“มันไม่สำคัญหรอก เทพธิดากงเจิ้งบอกว่าศัตรูน่ะมีจำนวนไม่มากนัก แล้วคนตายก็ดูเหมือนว่าจะถูกขัดขวางโดยบางสิ่งบางอย่างอยู่” เย่เฟย์หยูกล่าว


 


ว่าจบ เสียงของเทพธิดากงเจิ้งก็ดังขึ้น “รายงานทุกท่าน เรือรบประจันบานพบกลุ่มของมนุษย์ปีศาจกำลังบินใกล้เข้ามายังรัฐบาลกลางอย่างรวดเร็ว ขณะนี้กองยานรบที่เข้าไปขวางได้ถูกทำลายลงแล้ว”


 


ซางซ่งหยางผุดลุกขึ้น “งั้นฉันจะไปเอง”


 


ซางหยิงฮ่าวมองไปที่เขาแล้วเอ่ยถามอย่างไม่สบายใจ “แน่ใจหรอ ตอนนี้ปู่มีพื้นฐานวรยุทธอยู่ในขั้นไหนแล้วล่ะ ถึงได้กล้าพูดแบบนี้”


 


“แก่นทองคำ”


 


ภายในห้องพลันเงียบงันลง


 


ซางหยิงฮ่าวกับเย่เฟย์หยูเหลือบมองกันวูบหนึ่ง


 


“นี่มันเป็นไปไม่ได้ กู่ฉิงซานช่วยเขาโดยการมอบให้แค่เทคนิคลับเท่านั้น แต่พวกเม็ดยาหรืออะไรนอกจากนี้ ก็ไม่ได้มอบให้เลยนี่นา แล้วทำไมปู่ถึงยกระดับได้รวดเร็วนักล่ะ?” ซางหยิงฮ่าวงง


 


ในความเป็นจริงแล้ว ไอ้สิ่งที่เรียกกันว่าการฝึกยุทธน่ะมันมิใช่อารยธรรมที่มีในโลกนี้ก็จริง แต่ด้วยตัวตนที่สามารถไต่เต้าขึ้นมาได้ถึงตำแหน่งเทพนักสู้ ก็ย่อมต้องมีพรสวรรค์ที่สูงส่งเป็นธรรมดาอยู่แล้ว นี่จึงพออธิบายได้ว่าพรสวรรค์โดยกำเนิดของชายผู้นี้น่าสะพรึงขนาดไหน


 


ซางซ่งหยางเป็นรุ่นที่โดดเด่นที่สุด อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยสัมผัสกับอำนาจที่ไม่รู้จักอย่างพลังวิญญาณมาก่อนเลย


 


ทว่าตอนนี้ กลับกลายเป็นกู่ฉิงซานที่ดึงเขาเข้ามาสู่เส้นทางใหม่


 


และความแข็งแกร่งของเทพนักสู้ก็ทะยานขึ้นอย่างก้าวกระโดด ขอบเขตวรยุทธของเขาจึงพัฒนาขึ้นได้อย่างรวดเร็ว


 


หลังจากที่ซางซ่งหยางเดินจากไป


 


ไม่นานนักความเงียบก็ถูกทำลายลง โดยเสียงของเทพธิดากงเจิ้งที่ดังขึ้นอีกครั้ง


 


“แจ้งเตือน ได้รับข้อมูลมาว่ามียักษ์ใหญ่หลายพันตนกำลังเคลื่อนพลออกจากทะเลทราย”


 


เย่เฟย์หยูที่นั่งอยู่ผุดลุกขึ้น แต่แล้วเขาก็จำต้องนั่งลงอีกครั้ง


 


“ไม่ได้สิ ฉันจะต้องเฝ้าปกป้องเขาที่นี่” เย่เฟย์หยูบ่นพึมพำ


 


“งั้นฉันจะพาใครซักคนออกไปลุยกับพวกมันเองก็แล้วกัน” ซางหยิงฮ่าวลุกขึ้นยืนและกล่าว


 


สมเด็จจักรพรรดินีมองซางหยิงฮ่าว “เทพธิดากงเจิ้ง ข้าอนุญาตให้ซางหยิงฮ่าวสามารถออกคำสั่งแก่มืออาชีพทั้งหมดในสาธารณรัฐฟูซีได้”


 


“พะยะค่ะฝ่าบาท” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว


 


ซางหยิงฮ่าวตัวแข็งทื่อ เขาเอ่ยออกมาด้วยความลังเลใจ “ฝ่าบาท นี่ท่าน … ”


 


เวโรน่าตบไหล่ของซางหยิงฮ่าว “ไปเถอะ เจ้าเป็นผู้นำที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการสังหาร”


 


ซางหยิงฮ่าวสูดลมหายใจลึกแล้วกล่าวว่า “พะย่ะค่ะ ขอบพระทัยฝ่าบาท”


 


แล้วเขาก็ออกไปอย่างรวดเร็ว


 


ไม่นานนัก เสียงของเทพธิดากงเจิ้งก็ดังขึ้นอีกครั้ง


 


“แจ้งเตือน!”


 


“โลงศพที่อยู่เหนือนน่านฟ้าของเมืองหลวง จู่ๆก็เพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่มากขึ้น!”


 


“หลังจากนี้อีก 17 นาที พวกมันจะมาถึงสถานที่แห่งนี้!”


 


“รายงานสถานการณ์เสร็จสมบูรณ์แล้ว ผู้บัญชาการรบสูงสุดโปรดทำการตัดสินใจด้วย!”


 


ประธานาธิบดีกล่าวทันที “ฉันอนุมัติให้ส่งกำลังทหารทั้งหมดออกไปตอบโต้ศัตรูเต็มกำลัง ส่วนเขตทหารอื่นๆ ก็ขอให้ทำการระดมพล และเตรียมพร้อมเข้ามาเป็นกำลังเสริมตลอดเวลา”


 


เทพธิดากงเจิ้ง “ไม่ขัดข้อง!”


 


“สาม , สอง , หนึ่ง – กองกำลังติดอาวุธเริ่มทำการโจมตีได้!”


 


ทันทีที่เสียงนี้ตกลง ทั้งโต๊ะทั้งเก้าอี้ตลอดทั้งตัววิลล่าบนภูเขาก็เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นพร้อมกัน


 


ตามด้วยเสียงระเบิดของปืนใหญ่ที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง


 


ตูม ตูม ตูมมมมมมม!


 


รังสีแสงทะลุสาดเข้ามาทางหน้าต่าง ส่งผลให้ทั้งห้องสว่างขึ้นราวกับตอนกลางวัน


 


เรือรบประจันบานและเกราะรบขับเคลื่อนขนาดยักษ์ถูกปล่อยตัวออกมาไม่มีกั๊ก


 


ส่วนผู้คนในเมืองหลวง ทั้งหมดได้ถูกอพยพออกไปตั้งนานแล้ว


 


ดังนั้นเมืองนี้จึงเปรียบดั่งเป็นแนวหน้าของสงครามแห่งการเผชิญหน้ากันระหว่างมนุษย์กับนรก


 


“รายงาน! มีมอนสเตอร์จำนวนมากอยู่ในโลงศพ และพวกมันกำลังโจมตีตำแหน่งป้องกันของเรา!”


 


“หลังจากการวิเคราะห์ข้อมูล กลยุทธ์ที่ดีที่สุดก็คือการต่อสู้ทางอากาศ”


 


“ส่งคำสั่งของฉันออกไป ให้ทีมเฉพาะของเกราะรบเชิงกลเร่งโจมตีเต็มกำลัง!”


 


“น้อมรับคำสั่ง!”


 


เสียงคำรามดังขึ้นอย่างต่อเนื่องไปทั่วท้องฟ้า


 


หลังจากนั้นไม่นาน เทพธิดากงเจิ้งก็รายงานอีกครั้ง


 


“สถานการณ์ต่อสู้เข้าสู่สถานะหยุดชะงัก การโจมตีด้วยปืนใหญ่ได้ถูกอีกฝ่ายหยุดลงแล้ว ขณะนี้ทีมเกราะรบขับเคลื่อนที่หนึ่ง สอง และเจ็ดที่อยู่ห่างออกไปจากสนามรบกว่า 15 กิโลเมตรกำลังจะไปเป็นกำลังเสริมในการต่อสู้นี้”


 


“เทพธิดากงเจิ้ง ช่วยส่งรายงานตัวเลขของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เมื่อครู่ให้ฉันหน่อยสิ” ประธานาธิบดีร้องขอ


 


“รับทราบ ใต้เท้า”


 


แล้วแถวตัวเลขก็ปรากฏขึ้นบนสมองควอนตัมของประธานาธิบดี


 


ประธานาธิบดีเฝ้ามองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปิดสองตาลงด้วยความเจ็บปวด


 


“ฉิงซาน เธอจะทำสำเร็จจริงๆใช่ไหม?” เขาเอ่ยงึมงำ


 


ภายในห้องจมลงสู่ความเงียบ


 


“ปัง!”


 


ทันใดนั้นประตูก็ถูกเตะออก


 


สีหน้าของเย่เฟย์หยูแปรเปลี่ยนกลับกลาย เขากระโจนขึ้นอย่างฉับพลัน เคลื่อนกายมาปกป้องกู่ฉิงซานที่อยู่เบื้องหลังเขา


 


ทว่าแท้จริงแล้วกลับได้ยินเสียงหวีดด้วยความโมโหของผู้หญิงดังขึ้นมา


 


“ซูเซี่ยเอ๋อ! เสนอหน้าออกมาหาฉันเดี๋ยวนี้!”


 


เธอราวกับกลุ่มก้อนเปลวเพลิงที่ถูกโยนเข้ามาในห้องนั่งเล่น อุณหภูมิโดยรอบทั้งหมดทะยานสูงขึ้นอย่างกระทันหัน


 


“อ้าว? แอนนา! นั่นเธอเองหรอ!”


 


เย่เฟย์หยูผ่อนคลายลง


 


เลือดสังหารในกายเขาถูกดูดกลับคืน


 


“ใช่แล้ว เป็นเธอนั่นเอง ดังนั้นฉันจึงไม่กล้าที่จะหยุดมิสแอนนา” เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังขึ้น


 


เห็นแค่เพียงแอนนาที่เดินเข้ามา ตามด้วยหมาดำ


 


เธอมองไปที่กู่ฉิงซานก่อนเป็นคนแรกแว่บหนึ่ง ก่อนจะเห็นประธานาธิดีบของรัฐบาลกลางและสมเด็จจักรพรรดินีเวโรน่า


 


สีหน้าของแอนนาเผยถึงความประหลาดใจออกมาทันที


 


“ท่านป้า ทำไมท่านป้าถึงมาอยู่ที่นี่? แล้วซูเซี่ยเอ๋อล่ะ?”


 


เธอเอ่ยถาม และจู่ๆก็รู้สึกว่าบรรยากาศในห้องพักมันแลดูจะมีบางอย่างไม่ถูกต้อง


 


บรรยากาศในที่นี้เต็มไปด้วยความหนักอึ้งและโศกสลด


 


มองไปยังกู่ฉิงซานอีกครั้ง และพบว่าสองตาของเจ้าตัวบัดนี้ปิดลง นั่งนิ่งงันโดยไม่เอ่ยอะไรออกมาสักคำ


 


อย่าบอกนะว่-


 


แอนนาถลาเข้าไปคว้าข้อมือของกู่ฉิงซาน


 


เนื้อตัวเย็นเฉียบ ไร้ซึ่งชีพจร


 


เขาตายไปแล้ว


 


สีหน้าของแอนนาเริ่มซีดขาว


 


น้ำตาที่มิอาจหักห้ามได้ไหลลงมาเป็นสาย


 


เธอปาดน้ำตาออก ขณะที่เปลวเพลิงแห่งความมืดอันไร้ที่สิ้นสุดแล้วเดือดดาลขึ้นตามร่างกายเธอ


 


ผมสีแดงเพลิงลุกชันเป็นฟืนเป็นไฟ เปลี่ยนกลายเป็นสีดำโดยอัตโนมัติ กระแสอากาศถูกเผาไหม้จนเกิดกลุ่มควันดำฟุ้งไปทั่ว


 


อากาศเริ่มสั่นสะเทือน


 


แจกันตรงขอบประตูพลันเด้งขึ้นจากพื้น และค่อยๆถูกยกขึ้นไปลอยในอากาศด้วยพลังที่มองไม่เห็น


 


“ใครฆ่าเขา! ฉันจะหั่นมันให้เป็นชิ้นๆ!!!”


 


แอนนาแผดเสียงด้วยความเกลียดชัง


 


“สงบลงก่อน เขายังไม่ตาย” หมาดำกล่าวออกมา


 


มันวิ่งเหยาะๆไปข้างๆกู่ฉิงซาน และยื่นจมูกไปดมกลิ่นของเขา


 


“อื้ม นี่ไม่ใช่กลิ่นของความตายจริงๆด้วย”


 


หมาดำวนไปๆมาๆหน้ากู่ฉิงซานด้วยความสนใจ “แม้จะดูเหมือนว่าได้ตายไปลงแล้ว แต่ในความเป็นจริงพลังชีวิตทั้งหมดกลับยังคงผูกติดอยู่กับร่าง เพื่อเหนี่ยวนำจิตวิญญาณให้สามารถสัมผัสกับปรภพได้”


 


“หลักแหลมจริงๆ” หมาดำทอดถอนหายใจ ปากเอ่ยสรรเสริญ


 


จู่ๆเย่เฟย์หยูก็ผุดลุกขึ้น


 


คู่เดือยแหลมที่ดูน่าผวาปูดออกมาจากเบื้องหลังเขา


 


“แอนนา เธอมาที่นี่ได้ถูกจังหวะจริงๆ แต่ยังไงก็ช่วยมั่นใจว่าจะต้องปกป้องกู่ฉิงซานให้ได้ล่ะ ส่วนฉันขอไปรับมือกับศัตรูก่อน”


 


เขาเปิดประตู ก่อนจะทะยานบินสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าเบื้องบน มุ่งหน้าสู่น่านฟ้าของเมืองหลวง


 


แอนนาได้สติกลับคืน


 


ดูเหมือนว่ากู่ฉิงซานจะยังไม่ตาย


 


เปลวเพลิงสีดำบนตัวเธอมอดดับลง


 


ผมสีดำไหม้ที่ชูชันขึ้นในอากาศค่อยๆเปลี่ยนกลับมาเป็นสีแดงอีกครั้ง


 


แจกันที่ลอยอยู่หล่นลงกับพื้น ทว่ามันกลับไม่ส่งเสียงตกกระทบใดๆออกมา แต่ก็ช่างเถอะ แค่มันยังอยู่ในสภาพเดิมก็ดีแล้ว


 


แอนนามองไปทางสมเด็จจักรพรรดินีเวโรน่าแล้วรีบเอ่ยถามว่า “ท่านป้า นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”


 


“ท่านป้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”


 


“อ๊ะ! แล้วนังซูเซี่ยเอ๋อมันไปอยู่ที่ไหน!”


 


เวโรน่าถอนหายใจ “แอนนา เจ้าเป็นผู้นำตระกูลเมดิซีนะ แล้วในเร็วๆนี้ก็จะกลายเป็นผู้ปกครองจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ด้วย เหตุใดจึงไม่มีความสงบจิตสงบใจเช่นนี้”


 


แล้วเวโรน่าก็เล่าทุกเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นทั้งหมดออกมาอีกครั้ง


 


ดวงตาของแอนนาเปล่งประกายสดใส เธอกล่าวเสียงกระซิบออกมา “เขาทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับฉัน … ”


 


เธอค่อยๆยกนิ้วขึ้นมาเกี่ยวปลายผมแล้วม้วนมันเบาๆ


 


“สัญญา? สัญญาอะไรกัน?” เวโรน่าเอ่ยถาม


 


“อ๊ะ ไม่มีอะไรหรอกท่านป้า” ใบหน้าของแอนนาเริ่มจะแดงเรื่อขึ้น


 


-ตูม!


 


ตลอดทั้งวิลล่าจู่ๆก็สั่นสะเทือน


 


สีหน้าของแอนาเปลี่ยนไป เธอเอ่ยออกมา “หนูจะไปดูเอง!”


 


เธอเคลื่อนกายกระโดดออกทางหน้าต่าง บินขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


เห็นแค่เพียงเย่เฟย์หยูที่ถูกฟาดตีดังโครม!เข้าใส่ภูเขา แรงปะทะก่อให้เกิดหลุมลึกที่แลดูคล้ายปล่องภูเขาไฟขนาดย่อมขึ้น


 


บนพื้นราบไม่ไกลจากภูเขา ยักษ์ใหญ่นับไม่ถ้วนกำลังเดินทัพมาอย่างช้าๆ


 


“ใกล้ๆนี่แหละ” เสียงยักษ์ใหญ่คำราม


 


ในภูเขา เส้นแสงเลือดสังหารพวยพุ่งขึ้นเหนือท้องฟ้า


 


เย่เฟย์หยูถุยฟองเลือดออกมาจากปากและกล่าวว่า “บ๊ะ! เมื่อกี้ฉันแค่ประมาทไปหน่อยทำนั้นเอง!”


 


เขาคำรามคลั่ง แปรเปลี่ยนร่างตนเป็นภาพติดตา และพุ่งเข้าใส่ฝูงยักษ์อีกที


 


แอนนามองไปยังทิศทางของยักษ์ จากนั้นก็มองไปทางโลงศพมากมายที่ลอยอยู่ไกลออกไป


 


ก่อนจะก้มลงมองวิลล่าเบื้องล่าง ซึ่งเป็นสถานที่ๆกู่ฉิงซานยังคงหลับไหลอยู่


 


ดูเหมือนว่าเป้าหมายของนรกเหล่านี้จะเป็นกู่ฉิงซานจริงๆ


 


ผมยาวสีแดงเพลิงสยายไปตามสายลม คู่ดวงตาอันงดงามของแอนนาค่อยๆหรี่แคบลง


 


ตามด้วยเสียงกระซิบอันไพเราะอันอ่อนโยนที่ลอยตามไปกับกระแสลม


 


“กล้าดียังไงถึงคิดจะมาทำร้ายชายที่ฉันหมายปองเอาไว้ … ”


 


“เทพแห่งความตายอันเป็นนิรันดร์!”


 


เธอกำหมัดขึ้น และ


 


ปัง!


 


ทันใดนั้นจู่ๆเปลวเพลิงทมิฬก็พลันปะทุขึ้นจากเหนือน่านฟ้าบริเวณนอกภูเขา


 


เปลวเพลิงกระจายเป็นจุดดวงดารา ปกคลุมตลอดทั้งอากาศที่ว่างเปล่า


 


พริบตานั้นเมฆหมอกก็ถูกบดบังโดยสมบูรณ์


 


ตลอดทั้งภูเขาที่ล้อมรอบตัวเมืองหลวงของรัฐบาลกลาง บัดนี้ตกอยู่ในความมืดมิด


 


ตามด้วยรูปร่างหนึ่งที่ใหญ่โตปกคลุมไปทั่วฟ้า บดบังทั้งแสงอาทิตย์ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าภูเขา


 


โลงศพที่ลอยอยู่ในอากาศ บัดนี้ตกอยู่ภายใต้เมฆเบื้องหน้า


 


ยามอยู่ต่อหน้าร่างอันใหญ่โตไร้ที่เปรียบ แอนนาก็เปล่งเสียงกระซิบอันนุ่มนวลออกมา “ท่านเทพสุนัข ตรงหน้าท่านคืออาหารกลางวันสำหรับวันนี้”


 


“ไหนขอเราดูซิ โอ้ พวกมันล้วนเป็นจิตวิญญาณชั่วร้ายจากนรก นี่ช่างเข้ากับรสนิยมของเราเสียจริงๆ”


 


ร่างอันใหญ่ไร้ที่เปรียบกล่าวอย่างสบายๆไร้กังวล ทว่าในทุกๆกระแสเสียงของมันกลับถึงขั้นสั่นสะเทือนอากาศโดยรอบได้


 


ร่างนี้ประกอบไปด้วยเปลวเพลิงทมิฬอันมืดมิดโดยสมบูรณ์ มันสูงยิ่งกว่าตึกระฟ้าหลายเท่านัก


 


เทพสุนัขตัวมโหฬารเผยคมเขี้ยวในปากของมันออกมา และก้มลงมองไปยังมื้ออาหารกลางวันเบื้องล่าง


 


“แอนนาน้อย อย่าลืมเตรียมสุราอร่อยๆสำหรับวันนี้เอาไว้ด้วยล่ะ”


 


“เจ้าค่ะ!”


 


“งั้นเราจะเริ่มกินล่ะนะ”


 


เปลวเพลิงทมิฬถูกพ่นออกมาจากร่างที่บดบังไปทั้งผืนฟ้าไม่เว้นกระทั่งแสงจากดวงอาทิตย์ สาดลงไปยังพื้นที่ราบเบื้องล่าง


 


และบริเวณพื้นที่ราบกว้างใหญ่ก็ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงโดยสมบูรณ์


 


เหล่ายักษ์ใหญ่ต่างก็ถูกกลืนกินโดยเพลิงทมิฬนี้


 


ยักษ์ตัวหนึ่งแผดเสียงดังออกมา และพยายามต่อต้านเปลวเพลิงสีดำนี้ด้วยกำลังทั้งหมดที่มันมี


 


ทว่าไร้ประโยชน์! ร่างอันใหญ่โตของมันสุดท้ายก็ค่อยๆถูกกลืนกินลงโดยเพลิงดำ


 


ยักษ์ใหญ่ยอมแพ้ที่จะดิ้นรนขัดขืน มันตะโกนด้วยความโกรธว่า “ฝากไว้ก่อนเถอะ! ฟื้นตื่นคืนจากการหลับไหลเมื่อไหร่ข้-”


 


แต่แล้วเสียงที่ฟังดูเห็นอกเห็นใจก็ดังลงมาจากอากาศที่ว่างเปล่าเบื้องบน


 


“ตื่นงั้นหรอ? เจ้ามดที่น่าสงสาร สิ่งที่กำลังรอเจ้าอยู่ต่อจากนี้คือความว่างเปล่าอันเป็นนิรันดร์ และจิตวิญญาณของพวกเจ้าจะกลายมาเป็นพลังให้แด่เรา”


 


นี่คือเสียงของเทพสุนัข


 


เพลิงทมิฬกลับมารวมตัวอีกครั้ง และช้อนตัวสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อร่างเป็นรูปเทพสุนัข


 


“ถึงแม้จะเป็นเพียงมด แต่รสชาติจิตวิญญาณก็ยังคงยอดเยี่ยม … ”


 


เทพสุนัขครางออกมาอย่างมีความสุข


 


คราวนี้มันจ้องมองไกลออกไปทางโลงศพที่ลอยอยู่ทั่วฟ้า


 


“นี่มันกลิ่นอายของเทพ!”


 


“มันเป็นเทพ!”


 


“หนีเร็วเข้า หากถูกกินโดยมัน พวกเราจะไม่สามารถคืนชีพจากการหลับไหลได้”


 


เสียงตื่นตระหนกและหวาดกลัวนับไม่ถ้วนดังออกมาจากภายในโลงศพ


 


แล้วโลงทั้งหมดที่คราคร่ำไปทั่วน่านฟ้าก็แตกกระเจิงหนีออกไป


 


เทพสุนัขเฝ้ามองดูเหล่าโลงศพที่เผ่นหนีไปอย่างเงียบๆและกล่าวว่า “เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตาย กลับกลายเป็นเพียงพวกขี้ขลาด – แต่การกระทำของพวกเจ้าน่ะมันไร้ประโยชน์!”


 


เทพสุนัขเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก กระแสเสียงของมันก้องกังวานออกไปทั่วฟ้า


 


เมฆเพลิงทมิฬกระจายตัวออกจากร่างของมัน และไล่ล่าเหล่าโลงศพที่พากันหลบหนีออกไป


 


ณ วิลล่าบนภูเขา


 


เวโรน่ากับประธานาธิบดียืนเคียงข้างกันอยู่ตรงหน้าต่าง เฝ้ามองฉากอันน่าตกตะลึงนี้อย่างเงียบๆ


 


“ใต้เท้า พอได้เห็นกับตาแล้วท่านคิดเห็นว่าอย่างไร?” สมเด็จพระจักรพรรดินีเอ่ยถาม


 


“โลกไม่ใช่อย่างที่มันเคยเป็นมาก่อนอีกต่อไปแล้ว” ประธานาธิบดีถอนหายใจ


 


“ดังนั้น แล้วจากนี้ไปสหพันธรัฐ รัฐบาลกลางจะเอายังไงต่อ? ผู้คนทางฝั่งคุณได้เตรียมการที่จะฝึกยุทธแน่นอนแล้วใช่ไหม?” เวโรน่าเอ่ยถามอีกครั้ง


 


ประธานาธิบดียื่นมือของเขาออกไป และสะบัดนิ้วเบาๆ


 


ทันใดนั้นแจกันที่ตกกลิ้งลงบนพื้นก่อนหน้านี้ก็ค่อยๆเคลื่อนกลับมาตั้งตรงดังเดิมอีกครั้งอย่างเงียบๆ


 


ตามด้วยกุหลาบป่าพวงหนึ่งในแจกันลอยออกมา ตกลงในมือของประธานาธิบดี


 


“ปราณปรับแต่งสินะ ขั้นไหนแล้วล่ะ?” เวโรน่าเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม


 


“ปราณปรับแต่งขั้นสาม กำลังจะทะลวงต่อไปขั้นสี่”


 


ประธานาธิบดีสูดกลิ่นจางๆของกุหลาบป่าและกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ฟังจากที่กู่ฉิงซานเล่ามา ว่าขอบเขตวรยุทธยิ่งสูง มนุษย์ก็จะยิ่งได้รับพลังอำนาจ แข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ และจะสามารถต่อกรกับกองกำลังชั่วร้ายของเผ่ามารได้”


 


“ข้าเข้าใจแล้ว” เวโรน่าผงกหัวตอบรับ


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.404 – ต่อสู้เพื่อตำแหน่งราชาภูติ


 


ตามคำแจ้งเตือนจากไม้เท้าแห่งการจองจำ  กู่ฉิงซานก็ได้กระโดดขึ้นไปบนเรือใหญ่


 


ที่ซึ่งเหล่าผู้เข้มแข็งจากทั้ง 18 ขุมนรกได้มารวมตัวกัน


 


“ในที่สุดตัวแทนจากนรกทะเลเลือดก็ออกมาซักที ดูท่าแล้วเจ้าหมอนี่คงจะไม่อ่อนแอเกินไปนัก”


 


บางคนมองมายังเขา และกล่าวด้วยรอยยิ้มกริ่ม


 


“ใช่ ไม่เหมือนเจ้ายักษ์ไร้สมองนั่น มาทำเป็นนั่งกินคนต่อหน้าพวกเรา คิดจริงๆหรือว่าพวกเราจะกลัว?”


 


“มันพยายามเขียนเสือให้วัวกลัวน่ะซี ภายนอกแข็งแกร่ง แต่ภายในอ่อนแอล่ะไม่ว่า”


 


“ตายซะได้ก็ดีแล้ว ข้าเกือบจะทนดูมันไม่ไหวพอดี”


 


ตัวตนแข็งแกร่งพากันกระซิบกล่าวถึงมัน


 


และคนตายทั้ง 17 คนต่างก็หันมามองกู่ฉิงซานเป็นสายตาเดียว


 


เจ็ดผู้คุมนรกน่ะรู้จักกันอยู่แล้ว แต่อีกสิบคนที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งเนี่ยสิ


 


หากอิงตามที่กระบี่ภูติตัดกระดูกกล่าว พวกมันสมควรที่จะเป็นอีกฝ่ายที่สนับสนุนให้มารปกครองนรกและทำลายโลก


 


กู่ฉิงซานเงยหน้ามองไปยังเจ็ดผู้คุมและเอ่ยถามว่า “จะให้ข้าเข้าร่วมกับพวกเจ้าได้ไหม?”


 


“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง” ชูร่าหญิงตอบรับด้วยรอยยิ้ม


 


แล้วในตอนนั้นเอง เสียงของชูร่าชายก็ดังขึ้น “พี่สาว เขาแข็งแกร่งอย่างที่ท่านพูดจริงๆน่ะหรือ?”


 


ชูร่าหญิงไม่ได้หันหน้ากลับไปตอบ เธอเพียงยื่นมือออกไปแล้วหยิกเอวชูร่าชายโดยตรง จนอีกฝ่ายต้องเงียบปากลง


 


ขณะที่อีกด้านหนึ่งมีเสียงที่ฟังดูไม่พอใจดังขึ้น


 


“เจ้าหนู จะทำอะไรก็คิดให้ดีๆก่อน รู้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้รึเปล่า?”


 


กู่ฉิงซานหันไปมอง แล้วก็พบว่ามันเป็นเสียงของยักษ์


 


ยักษ์ที่ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟ


 


ซึ่งในบรรดาผู้คุมนรกทั้งเจ็ด ก็มีมนุษย์ปีศาจที่เรืองแสงสีทองปกคลุมไปทั่วร่างกาย คล้ายๆกับยักษ์ไฟอยู่เหมือนกัน


 


อย่างไรก็ตาม ทั้งสองตนนี้หากเทียบเปรียบกัน ยักษ์ไฟในปัจจุบันดูเหมือนว่าจะทรงพลังมากกว่า


 


“เจ้าดูหน้าไม่คุ้นนะ แต่ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้าสามารถฆ่าเจ้ายักษ์บ้านั่นได้ แม้จะไม่เต็มใจ แต่ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังก็แล้วกัน” ยักษ์ไฟพูด


 


“ข้ายินดีรับฟังรายละเอียดเพิ่มเติม” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“ความจริงก็คือ — เจ้าพวกเจ็ดคนที่อยู่ข้างหลังเจ้ามันเป็นแค่ไก่อ่อนขาดเขลา”


 


“ไก่อ่อน?” กู่ฉิงซานยิ้ม


 


เขาหันมามองเจ็ดผู้คุมนรก และเห็นว่าสีหน้าของทั้งหมดดูมืดหม่น เต็มไปด้วยความไม่พอใจ


 


แต่น่าเสียดาย ที่แม้ความแข็งแกร่งในรายบุคคลของแต่ละฝ่ายจะเท่ากัน ทว่าฝ่ายตรงข้ามมีถึงสิบ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องอดทนไว้ในเวลานี้


 


ยักษ์ไฟกล่าว “เจ้าไก่อ่อนพวกนั้น มันคิดจะสั่งสมบุญให้ตัวเอง เพื่อที่จะขจัดความทุกข์ทรมานจากนรกและกลับไปเกิดใหม่”


 


“แต่สำหรับคนตายแล้ว การอยากไปเกิดใหม่ นี่สมควรเป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ?”


 


“เจ้าโง่! ตอนนี้ปรภพน่ะแตกพ่ายแล้ว และพวกเราจะสามารถขึ้นไปยังโลกที่มีมนุษย์อยู่นับไม่ถ้วนได้ ตราบใดที่ได้กินร่างพวกมัน ความทุกข์ทรมานของพวกเราที่ได้รับจากนรกก็จะบรรเทาลง แล้วยิ่งถ้าได้กินจิตวิญญาณของพวกมันล่ะก็ พวกเราก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น!”


 


“ทีนี้เข้าใจแล้วรึยัง? ในเมื่อสถานการณ์ดีๆแบบนี้มันเกิดขึ้นแล้ว แต่พวกมันก็ยังคิดที่จะไปเกิดใหม่! ช่างโง่บรม!”


 


กู่ฉิงซานหันไปมองตัวตนแข็งแกร่งทั้งสิบและเอ่ยถามออกไปว่า “ฟังจากที่พูดมา หมายความว่าพวกเจ้าทุกคนกำลังคิดจะยึดครองโลกใช่หรือไม่?”


 


“แน่นอน เพราะนั่นมันเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว! มาเถอะ จงมาร่วมกับพวกเรา!” ยักษ์ไฟกล่าว


 


กู่ฉิงซานยังคงมีข้อสงสัย เขาเอ่ยถามต่อว่า “หากเรากินคนเข้าไป บาปจะไม่ยิ่งหนักหนาขึ้นหรอกหรือ แล้วในกรณีที่ถ้าวันหนึ่ง ทางปรภพกลับมาสงบอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าเราจะต้องกลับไปทุกข์ทรมานดังเดิม หรืออาจจะร้ายแรงกว่าเดิม แล้วไม่มีโอกาสที่จะหลุดพ้นออกไปจากทะเลแห่งความทุกข์ระทมนี้อีกเลยหรอกหรือ?”


 


“ก็เพราะอย่างงั้น พวกเราถึงได้ร่วมมือกับเผ่ามารเพื่อทำลายนรกอย่างไรเล่า แล้วจากนั้นก็ยกพลทั้งหมดพากันบุกไปยังโลกนี่ไง” ยักษ์ไฟตะเบ็งเสียงอย่างภาคภูมิใจ


 


“ข้าเข้าใจแล้ว ช่างขลาดเขลาเป็นไก่อ่อนจริงๆด้วย” กู่ฉิงซานพยักหน้า


 


เหล่าตัวตนที่แข็งแกร่งทั้งสิบพอได้ยินเขาพูดแบบนั้น พวกมันก็ต่างพากันยิ้มออกมา


 


อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานกลับถอยหลังไป และมาหยุดยืนอยู่เคียงข้างกับผู้คุมนรกทั้งเจ็ด


 


“นั่นเจ้าคิดจะทำ- ”ยักษ์ไฟกล่าวด้วยความสับสน


 


“กระทั่งบาปของตนเองก็ยังมิกล้าที่จะเผชิญหน้ากับมัน แต่ตรงกันข้าม กลับกลายเป็นว่าพวกเจ้าดันเลือกที่จะกระทำความผิดบาปมากขึ้น เติมเต็มความชั่วร้ายให้แก่ตนเอง ช่างขลาดเขลาเสียจริง” กู่ฉิงซานก่นด่า


 


“บาปน่ะคือความสุขที่แท้จริง อย่าบอกข้านะว่ายามกระทำมัน เจ้ามิเคยรู้สึกเป็นสุขเลย?” ยักษ์ไฟสวนพลางมองมาที่เขา


 


กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น จ้องสวนกลับไปยังฝ่ายตรงข้าม


 


บัดนี้ดวงตาของทั้งสองจ้องสบกัน


 


ภายในดวงตาของยักษ์ไฟ มันเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมและบ้าคลั่ง


 


มันไม่คิดจะปกปิดสิ่งนี้เลย


 


“สังหารผู้คนได้โดยตาไม่กระพริบ , กลิ่นคาวเลือดอันหอมหวานฟุ้งติดตัว , ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับสิ่งใด , ทำทุกวิธี ทุกหนทางแม้มันจะเป็นเรื่องเลวร้ายก็ตามเพียงเพื่อให้ได้ไขว่คว้าเป้าหมายของตนเอง – เจ้ามนุษย์ ข้ารู้ดีว่าเจ้าน่ะเป็นคนประเภทนั้น … เป็นเช่นเดียวกันกับพวกเรา!”


 


“เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้น?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“กลิ่นอย่างไรเล่า! ข้าสามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นที่คล้ายคลึงกัน! เจ้าน่ะเป็นปีศาจที่แสนร้ายกาจ เหมือนกันกับข้า!” ยักษ์ใหญ่คำราม


 


“สังหาร-” กู่ฉิงซานเงียบไปครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ “บางทีในตอนที่ลงมือสังหาร พวกเราอาจจะเป็นเหมือนกันก็ได้”


 


ชูร่าหญิงกำอาวุธในมือของเธอแน่นขึ้น


 


คนอื่นๆทางฝั่งผู้คุมนรกทั้งเจ็ดก็เริ่มประหม่าแล้วเช่นกัน


 


พวกเขาตระหนักดีถึงความแข็งแกร่งของกู่ฉิงซาน


 


ฝั่งตัวตนทั้งสิบที่อยู่ตรงข้ามหันมาสบตากันวูบหนึ่ง ก่อนจะเผยสีหน้ายิ้มแย้มออกมาอย่างชัดเจน


 


“ใช่แล้ว วายร้ายน่ะมันจะเข้าใจวายร้ายด้วยกันมากที่สุดแล้ว!”


 


“มันเป็นประเภทเดียวกันกับพวกเรา!”


 


“มีปีศาจร้ายเพิ่มขึ้นมาอีกตนแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า”


 


พวกมันเริ่มพูดคุยกันอย่างไร้ยางอาย


 


แต่กู่ฉิงซานก็ยังกล่าวต่อว่า “ยังไงก็ตาม พวกเราน่ะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง”


 


“แตกต่างอย่างไร? เจ้าต้องการจะบอกว่าเจ้าน่ะโหดเหี้ยมกว่าข้าอย่างงั้นรึ?” ยักษ์ใหญ่หัวเราะ


 


“ฟังนะเจ้าหนู ข้าน่ะ สังหารคนมาแล้วมากกว่า 10000 คน!”


 


ถัดไปจากยักษ์ใหญ่ หญิงมนุษย์ปีศาจตะโกนข้ามมา


 


น้ำเสียงของเธอฟังดูเหมือนว่ากำลังอวดโอ้


 


คนตายรอบข้างเธอเริ่มส่งเสียงโห่ร้อง


 


ทว่าสีหน้าของกู่ฉิงซานกลับยังคงสงบ


 


เขาเอ่ยกระซิบ “การสังหารน่ะเป็นเพียงส่วนหนึ่งในอาชีพของข้า แต่สำหรับเจ้าน่ะ แท้จริงแล้วเป็นเพียงวิญญาณร้ายที่ถูกครอบงำโดยการฆ่าเท่านั้น ดังนั้นพวกเราจึงแตกต่างกัน”


 


“สังหารมาแล้วมากกว่า 10000 คน … บางทีบุพการีเจ้าคงจะอบรมสั่งสอนมาไม่ดี และนั่นคงจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาถึงได้ผลิตขยะเช่นนี้ออกมา ช่างนับว่าเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับคนในโลกเดิมของเจ้าจริงๆ ”


 


บังเกิดความเงียบขึ้น


 


ชูร่าหญิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก


 


ขณะที่สีหน้าผู้คุมนรกทั้งเจ็ดคลายลง และเผยถึงความปิติออกมา


 


สิบตัวตนสุดแกร่งโกรธแค้น


 


ยักษ์ไฟระเบิดพลังของมันออกมาอย่างกระทันหัน


 


ขณะที่มนุษย์ปีศาจหญิงถลาเข้าหาเขาอย่างดุร้าย


 


“ตายซะ!” เธอหวีดร้องโวยอย่างบ้าคลั่ง


 


“หยุดนะ! เจ้ากล้าหรอ!” ชูร่าหญิงชักกระบี่ออกมา แล้วพุ่งไปข้างหน้าเพื่อขวางเธอ


 


“เรามีกันถึงสิบคน! คิดว่าตนเองเป็นชูร่าแล้วจะทำอะไรก็ได้งั้นหรือ?”มนุษย์ปีศาจหญิงหวีดร้องคลุ้มคลั่ง


 


“ตราบใดที่เจ้ากล้าลงมือล่ะก็ ข้าสัญญาเลยว่าข้านี่แหละจะสังหารเจ้าก่อนเป็นคนแรก!” ชูร่าหญิงสวนกลับอย่างดุเดือด


 


ผู้คุมนรกทั้งเจ็ดก้าวออกมารวมตัวกัน


 


ยักษ์ใหญ่คำราม


 


สิบตัวตนแข็งแกร่งพร้อมจะปะทะแล้ว


 


กู่ฉิงซานค่อยๆชักดาบออกมาอย่างช้าๆ


 


ทว่าในขณะนั้นเอง เห็นแค่เพียงไม้เท้าที่ตกลงมาจากอากาศอันบางเบา


 


ตัวไม้เทาเป็นสีดำ ส่วนหัวเป็นกะโหลกแหลม ขณะที่ทั้งร่างของมันกำลังปลดปล่อยหมอกสีดำออกมา


 


-ไม้เท้าแห่งการจองจำของราชาภูติ


 


จู่ๆมันก็ปรากฏขึ้นมาอย่างกระทันหัน


 


วู้มมม-


 


ไม้เท้าแห่งการจองจำลอยอยู่บนดาดฟ้าเรือ เปล่งเสียงหวิวที่ฟังคมชัด


 


ทุกคนหยุดชะงักไป


 


ข้อความจากไม้เท้าถูกส่งเข้ามาในจิตใจของทุกผู้คน


 


‘ผู้ใดก็ตามที่เริ่มลงมือ จะถูกตัดสิทธิ์ทันที’


 


“โชคดีจริงๆนะเจ้าหนุ่มน้อย!” มนุษย์ปีศาจหญิงกล่าวด้วยนัยน์ตาขุ่นเขียว


 


“เจ้าต่างหากที่โชคดี เพราะเจ้าน่ะมิใช่คู่ต่อสู้ของเขาหรอก” ชูร่าหญิงถากถางอีกฝ่าย


 


แน่นอนว่ามนุษย์ปีศาจหญิงย่อมโกรธที่ได้ยิน ทว่ามันก็พยายามยับยั้งตนเองอย่างเต็มที่


 


“คอยดูเถอะ ไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะทรมานเจ้าให้สาสม นังหญิงตัวเหม็น” เธอกล่าว


 


ชูร่าหญิงกำลังจะสวนกลับ แต่แล้วเธอก็ต้องหุบปากลง


 


ทุกคนหยุดทั้งการสื่อสารและเคลื่อนไหว สายตาเบนขึ้นไปจับจ้องยังไม้เท้าแห่งการจองจำ


 


เพราะเวลานี้ จู่ๆก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นบนไม้เท้า มันเริ่มทำงานอย่างกระทันหัน


 


จุดแสงสว่างปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า เริ่มหมุนวนโคจร ซ้อนทับเข้าด้วยกัน


 


จุดแสงเหล่านี้เวียนวนรอบหัวกะโหลกแหลมบนตัวไม้เท้าอย่างเงียบๆ


 


หนึ่ง , สอง , สาม , สี่ … รวมทั้งสิ้น 54 จุดแสง


 


จุดแสงโคจร หมุนวน และซ้อนทับเข้าด้วยกันเป็นกลุ่มมวลแสงที่พร่างพราว


 


ความสว่างของแสงนี้ สาดส่องผ่านทุกสิ่งอย่าง และทำให้ตลอดทั้งอากาศที่ว่างเปล่าไสวราวกับกลางวัน


 


สิบแปดผู้แข็งแกร่งทนไม่ไหวจำต้องปิดตาของพวกเขาลง ไม่ก็หันหลังไปอีกทาง


 


ทันใดนั้นรังสีแสงก็แยกตัวออกไป


 


พร้อมกับสิ่งหนึ่งที่ปรากฏสู่สายตาเบื้องหน้าของทุกผู้คน


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.405 – ช่วงเวลาที่เงียบสงบ


 


แสงกระจายตัวกันออกไป


 


แล้วสำรับไพ่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน


 


ไพ่อย่างงั้นหรือ?


 


มีคำถามปรากฏขึ้นในจิตใจของทั้งฝูงชน


 


เมื่อมากันครบแล้ว ต่อไปก็สมควรที่จะเป็นการต่อสู้ระหว่างทั้ง 18 นรกอย่างชัดเจน แล้วเหตุใดจึงมีไพ่โผล่ออกมาล่ะ?


 


พวกเขาลองสังเกตไปที่มันดูอีกครั้ง


 


มันคือไพ่จริงๆ


 


เป็นไพ่ที่วางซ้อนๆกันเป็นสำรับ ขณะที่บนไพ่แต่ละใบจะถูกปกคลุมไปด้วยสีเทาของความตาย


 


ไพ่ที่วางอยู่ด้านบนสุดพลิกตลบขึ้น


 


บนหน้าไพ่ คือรูปที่เป็นฉากภูมิทัศน์


 


ผืนป่ากันดาร


 


มหาสมุทร


 


แสงจันทร์ส่องสว่างในยามค่ำคืน


 


เรือใหญ่ทอดสมออยู่ตรงชายฝั่ง


 


และสุดท้าย สิบแปดคนตัวตนสุดแกร่งที่ยืนอยู่บนเรือ ที่กำลังล้อมวงอยู่รอบไม้เท้า


 


นั่นคือองค์ประกอบทั้งหมดที่อยู่ภายในไพ่


 


“สถานการณ์นี่มันอะไรกัน?” มีบางคนยกมือขึ้นเกาหัวพร้อมกับเอ่ยถาม


 


เห็นแค่เพียงไพ่ที่ลอยอยู่กลางเวหา หยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว


 


“ดูเหมือนว่านี่จะเป็นกฏเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเทียนซวนนะ” หนึ่งในตัวตนแข็งแกร่งเอ่ยกระซิบ


 


“เป็นแค่ไพ่ แต่กลับสามารถดึงดูดเราทั้งหมดเข้ามา นี่มันเป็นไปไม่ได้..” อีกคนหนึ่งกล่าวเรียบๆ


 


“เหอะ เจ้ามันจะไปรู้อะไร … ”


 


ตัวตนสุดแกร่งคนเดิมไม่คิดจะกล่าวอะไรเพิ่มเติมอีก


 


แต่ดูจากสีหน้าของเขา บ่งบอกได้ว่ามันกำลังหนักอึ้งอย่างชัดเจน


 


ส่วนกู่ฉิงซาน ขณะนี้เขาก็เริ่มที่จะจริงจังมากขึ้นบ้างแล้วเช่นกัน


 


แค่ไพ่ใบเดียว แต่กลับสามารถสร้างโลกขนาดย่อมขึ้นมาได้ นอกจากนี้ยังรองรับคนตายจำนวนมากให้มาต่อสู้กันจากภายใน ดูแล้วกฏเกณฑ์ของเทียนซวนนี้ จะมีอำนาจเหลือล้นอย่างคาดไม่ถึงจริงๆ


 


ไพ่ใบแรกยังคงลอยนิ่งอยู่ในอากาศ


 


ทันทีหลังจากนั้น ไพ่อีก 18 ใบก็ลอยออกมาจากในกองสำรับ และมาหยุดอยู่กลางอากาศเบื้องหน้าของตัวตนสุดแกร่งทั้ง 18 คน


 


ตัวตนสุดแกร่งมองไพ่ตรงหน้าพวกเขา ก่อนจะหันไปมองดูไพ่ของคนอื่นๆ


 


ไม่นานนัก ทุกคนก็พบว่าหน้าไพ่ของพวกเขา คือภาพที่ตนเองกำลังอยู่ในลักษณะหลับไหล


 


และในไพ่ของคนอื่นๆ แน่นอนว่าก็เป็นคนอื่นที่กำลังปหลับอยู่เช่นกัน


 


เมื่อกระบวนการดำเนินมาถึงขั้นตอนนี้ ไม้เท้าแห่งการจองจำก็ยังคงนิ่งเงียบ


 


มันมิได้ให้คำแนะนำใดๆอีกต่อไป


 


สิ่งที่เกิดขึ้นนี้มันน่าฉงนมากเกินไป


 


18 ตัวตนสุดแกร่งเฝ้าสังเกตไพ่เบื้องหน้าตนอย่างรอบคอบ แต่หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งแล้ว พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรกับมันดี


 


“เดิมทีแล้ว มันกลับกลายเป็นว่านี่คือไพ่โลกแห่งความฝัน” กู่ฉิงซานลอบพูดอย่างลับๆ


 


และตัวตนสุดแกร่งบางคนในที่นี้ก็คิดไปในทำนองเดียวกัน


 


ไม่มีใครทันคาดคิดได้เลยว่าไม้เท้าราชาภูติ จะเกี่ยวข้องกับเทียนซวน


 


กู่ฉิงซานพลันจดจำได้ว่า ในชีวิตก่อนหน้า – ช่วงเวลานั้นก็มีบางคนที่มีความสามารถโดดเด่นในด้านเทียนซวนอยู่เหมือนกัน และพวกเขาเหล่านั้นก็สามารถสร้างไพ่จากเทคนิคเทียนซวนได้


 


แต่ในปัจจุบันนี้ ยังไม่มีผู้ใดสามารถทำเช่นนั้นได้


 


ตอนแรกก็ไพ่ที่มีรูปของพวกเขากำลังจะต่อสู้กัน จากนั้นก็มีไพ่อีกชุดหนึ่งปรากฏขึ้นตามมา และมันเป็นไพ่ที่สามารถช่วยให้เข้าไปยังโลกแห่งความฝันได้


 


มีไพ่ ซ้อนอยู่ในไพ่อีกที


 


แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปอีกล่ะเนี่ย?


 


กู่ฉิงซานครุ่นคิด


 


แต่แล้วจู่ๆทันใดนั้นเขาก็ยิ้มออกมา


 


ด้วยพลังอันน่าเหลือเชื่อที่สามารถสร้างโลกจำลองได้ และซ้อนโลกแห่งความฝันทับเข้าไปอีกที ฉะนั้นแล้ว กล่าวได้ว่าหากมันคิดจะใช้อำนาจตนสังหารทุกคนในที่นี้ก็ย่อมจะเป็นเพียงเรื่องง่ายดายยิ่ง


 


เช่นนั้นแล้วในสถานการณ์แบบนี้ คงไม่จำเป็นมามัวกังวลว่า ไพ่ที่จะพาเข้าสู่โลกความฝันนี้ จะมีอุบายอันใดแอบแฝงอยู่เลย


 


ไม่มีทางให้ถอยกลับแล้ว


 


เขายื่นมือออกไปยังไพ่เบื้องหน้าตนเอง


 


“ไพ่ใบนี้คือโลกแห่งความฝัน และมันจำเป็นที่จะต้องเข้าไปเพื่อที่จะได้รู้ว่าสิ่งที่อยู่ภายในคืออะไร” กู่ฉิงซานหันไปแนะนำผู้คุมนรกทั้งเจ็ด


 


ขณะที่ผู้คุมนรกหลายคนยังคงลังเล กู่ฉิงซานก็ได้หายตัวไปแล้ว


 


เขาถูกดึงดูดเข้าไปในไพ่อย่างรวดเร็ว


 


17 ตัวตนสุดแกร่งที่เหลืออยู่สะดุ้งตกใจ


 


“น่าสนใจดีนี่ งั้นข้าขอลองไปดูด้วย” ชูร่าหญิงกล่าว


 


เธอแตะลงบนไพ่ของตัวเอง และวาบบบ! หายไปในพริบตา


 


ตัวตนสุดแกร่งคนอื่นๆพอเห็นแบบนั้น ทั้งหมดก็เริ่มทยอยกันสัมผัสไพ่ของตนทีละคน ทีละคน


 


แล้วในที่สุด 18 ตัวตนสุดแกร่งก็เหลืออยู่เพียง 2 คนสุดท้าย


 


“ทำไมเจ้าถึงไม่เข้าไปข้างในล่ะ?” คนหนึ่งถาม


 


“นี่จะต้องเป็นกับดักแน่ๆ หากเจ้าเข้าไปข้างในแล้ว เจ้าอาจจะถูกสังหารก็ได้ มิใช่หรือ?” อีกคนกล่าว


 


“มันก็ฟังดูมีเหตุผลดีนะ … ยังไงก็ตาม ไพ่ใบแรกได้แสดงให้เราเห็นแล้วถึงอำนาจของมันที่สามารถสร้างโลกขึ้นมาได้ ดังนั้นถ้าให้พูดถึงตามตรรกะนี้แล้ว … ” คนแรกกล่าวพลางครุ่นคิด


 


แล้วจู่ๆเขาก็ยืนมือไปสัมผัสลงบนไพ่และหายวับไป


 


ตอนนี้หลงเหลืออยู่เพียงคนสุดท้ายแล้วบนดาดฟ้าเรือ


 


ตัวตนสุดแกร่งคนสุดท้ายยืนอยู่คนเดียวบนดาดฟ้าเรือใหญ่อย่างเงียบๆ ครุ่นคิดถึงสิ่งที่พึ่งเกิดขึ้น


 


เจ้าคนพวกนั้นมันจะประมาทเกินไปแล้ว ยอมให้ตัวเองถูกดูดเข้าไปในไพ่อย่างกระทันหันเนี่ยนะ


 


-เอ หรือว่าข้าเองก็ควรที่จะลองเข้าไปในไพ่ของตัวเองดูบ้างจะดีไหม?


 


ทว่าขณะที่เขากำลังลังเลนั้นเอง จู่ๆไพ่ที่มีร่างของตนก็ลอยสูงขึ้นไปในอากาศ ก่อนที่มันจะหายวับไป


 


เขาเฝ้ามองดูฉากนี้ และไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น


 


ทันใดนั้นเอง อำนาจบางอย่างก็โถมลงมาจากฟากฟ้า และกระแทกเขาลอยปลิวออกไปจากเรือใหญ่


 


เขากลายเป็นคนแรกที่ถูกคัดอออก!


 


อีกด้านหนึ่ง


 


กู่ฉิงซานหย่อนเท้าทั้งสองลงบนพื้น


 


แสงไฟสลัวๆ


 


ทำนองเพลงไพเราะและผ่อนคลาย


 


ตามด้วยเสียงพูดคุยกระซิบกระซาบ เสียงหัวเราะคิกคัก และฉากสังสรรค์ที่ดูมีชีวิตชีวา


 


“มิสเตอร์ ไม่ทราบว่าต้องการจะดื่มอะไรงั้นหรือ?” บาร์เทนเดอร์เอ่ยถามอย่างสุภาพ


 


กู่ฉิงซานไม่ได้ตอบกลับทันที แต่เลือกที่จะมองไปรอบๆอย่างรวดเร็ว


 


ที่นี่มันคือบาร์


 


บาร์ที่แสนจะคุ้นเคยและตราตรึงอยู่ในใจ


 


ขณะนี้ตนเองกำลังยืนอยู่หน้าบาร์


 


ทันใดนั้นเขาก็มองไปเห็นเย่เฟย์หยูกับเหลียวฮัง


 


ทั้งสองกำลังนั่งอยู่บนดาดฟ้า กินดื่มและพูดคุยกัน


 


“เอ่อ มิสเตอร์?” บาร์เทนเดอร์เอ่ยถามด้วยความลังเล


 


กู่ฉิงซานยื่นมือออกไป และชี้ไปที่ขวดๆหนึ่ง


 


“ทราบแล้ว โปรดรอสักครู่”


 


บาร์เทนเดอร์เดินไปเปิดขวดสุราด้วยความชำนาญ หยิบแก้วออกมา แล้วเทมันลง


 


กู่ฉิงซานนั่งลงหน้าบาร์


 


ทันใดนั้นเสียงแหบห้าวก็ดังเข้ามาในหูของเขา


 


“มีใครบางคนถูกตัดสิทธิ์ไปแล้ว”


 


กู่ฉิงซานหันขวับออกไป


 


และก็พบกับชายในชุดดำที่มานั่งอยู่ข้างๆเขา โดยไม่อาจทราบได้เลยว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่


 


กู่ฉิงซานนึกพลันย้อนคิดไปถึงฉากที่เพิ่งเกิดขึ้น


 


คนๆนี้ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างลับๆจากอากาศอันบางเบา ไม่พูดไม่จา ไม่เคลื่อนไหวใดๆเลย


 


กู่ฉิงซานลังเล ปากเอ่ยพึมพำ “เจ้าเป็นคนสร้างที่นี่ขึ้นมาใช่ไหม?”


 


“ไม่ แต่เป็นเจ้าและข้าต่างหาก ที่ร่วมกันสร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้นมา” คนชุดดำกล่าว


 


เขารับแก้วสองใบจากบาร์เทนเดอร์ และวางแก้วหนึ่งลงหน้ากู่ฉิงซาน


 


“พอจะอธิบายเพิ่มได้หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“กฏของข้า คือการสร้างสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายที่สุดสำหรับเจ้า”


 


ชายชุดดำดูเหมือนว่าจะทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย “ชีวิตของเจ้าดูจะเคร่งเครียดมาก มันเต็มไปด้วยความกดดันเหลือคณา กฏเกณฑ์แห่งไพ่จึงจำต้องใช้เวลาเลือกเฟ้นอยู่นาน จึงจะหาสถานที่เดียวที่ผ่อนคลายนี้ได้”


 


เขายกแก้วของตัวเองขึ้น และส่งท่าทางมา


 


กู่ฉิงซานก็ยกแก้วขึ้น และชนกับแก้วของอีกฝ่าย


 


พวกเขายกแก้วสุราขึ้นดื่ม


 


“เหล้านี้มัน กี่ทีๆก็ยังเผ็ดร้อนแรงเหมือนเคย นี่ถ้าข้าไม่ทราบมาก่อนล่วงหน้าแล้วล่ะก็ ข้าคงคิดไปแล้วว่านี่มันคือความจริง”


 


ชายในชุดดำยิ้ม “เจ้าเป็นสุขก็ดีแล้ว สภาพแวดล้อมนี่ถือเป็นรางวัลสำหรับผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดจากหนึ่งในนรก”


 


“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าคิดว่าตัวเจ้ายังดูระแวดระวังเกินไปอยู่นะ ลองดูนั่นสิ” พอได้ฟัง กู่ฉิงซานก็หันไปมองตามสายตาของอีกฝ่าย


 


ในมุมบาร์ สายตาของเย่เฟย์หยูกับเหลียวฮังเลื่อนมายังพวกเขา แต่แล้วก็เบนออกไป โดยไม่มีปฏิกริยาตอบสนองใดๆ


 


พวกเขาดูราวกับเป็นคนแปลกหน้าสำหรับทั้งสอง


 


“เห็นหรือไม่ มีเพียงเจ้าและข้าเท่านั้นที่สามารถเข้ามายังที่นี่ได้ มันเป็นห้องลับที่ไม่มีใครสามารถสอดแนมได้”


 


คนในชุดดำกล่าว


 


เขาดูจะเหนื่อยล้าและไม่มั่นคงนัก ร่องรอยของการตรากตรำชีวิตจนใบหน้าเหี่ยวย่นของเขาถูกเผยออกมาภายใต้แสงไฟสลัว


 


กู่ฉิงซานวางแก้วลง “ถ้างั้น เวลานี้พวกเราสมควรจะทำสิ่งใดดี?”


 


“ก็แค่ตอบคำถามเล็กๆน้อยน่ะ มันก็คล้ายๆกันกับเกม ‘กล้าจะพูดความจริงรึเปล่า’ นั่นแหละ”


 


ขณะกล่าว ชายชุดดำก็หยิบหนังสือเล่มหนาขึ้นมา


 


เขาเอื้อมมือไปหยิบไพ่ออกจากหนังสือ


 


จากนั้นก็วางไพ่ลงบนโต๊ะ


 


กู่ฉิงซานจ้องมองไปที่ไพ่


 


บนไพ่ เป็นรูปผู้ชายที่สวมใส่เสื้อผ้าดูเป็นทางการ กำลังคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ขณะที่ในมือถือช่อดอกไม้สด และกำลังพูดบางสิ่งกับหญิงที่ดูหมดจดงดงามเบื้องหน้า


 


สีหน้าของหญิงงามรับฟังด้วยความสุข ราวกับว่าเธอกำลังมึนเมาจากคำหวานปานน้ำผึ้งของอีกฝ่าย ทว่าอย่างไรก็ตาม สองมือของเธอก็เกี่ยวกันอยู่เบื้องหลังกลับกำลังถือหัวกะโหลกอยู่


 


“ผ่อนคลายเถอะ ตราบใดที่เจ้าพูดความจริง ไพ่ของข้าใบนี้จะไม่เปิดทำงานใดๆ” ชายชุดดำกล่าว


 


“แล้วถ้าโกหกล่ะ?”


 


“เจ้าก็ดูไปในหัวกะโหลกนั่นสิ”


 


“ข้าเข้าใจแล้ว”


 


ชายชุดดำอะแฮ่มๆ กลั้วคอของเขา จะได้พูดให้มันชัดๆ “ถ้าอย่างงั้นพวกเราก็มาเริ่มอย่างเป็นทางการกันเลย”


 


“เจ้าโสดหรือไม่?” เขาเอ่ยถาม


 


“อุ๊ … นั่นมัน ”


 


“นั่นมัน?”


 


“ความสัมพันธ์มันยังไม่ได้ถูกยอมรับอย่างเป็นทางการน่ะ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่สบายใจ


 


ชายชุดดำมองไปที่ไพ่บนโต๊ะ


 


ไพ่ไม่ได้มีแจ้งเตือนใดๆ


 


“เจ้ามีสหายหรือไม่?”


 


“มี”


 


“แล้วพวกเขาเชื่อถือได้ไหม?”


 


“เชื่อถือได้”


 


“กีฬาอะไรที่เจ้าชอบ”


 


“กีฬาบอล”


 


“เจ้ามีงานอดิเรกที่ถนัดเป็นพิเศษหรือไม่?”


 


“ข้ามักจะทำอาหารได้ค่อนข้างดี จริงสิ สูตรบาร์บีคิวซี่โครงของข้าถูกใส่ไว้ในคู่มือการทำอาหารประจำชาติด้วยนะ”


 


“นับว่ามีพรสวรรค์ไม่เลว แล้วพ่อแม่ของเจ้าเล่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”


 


“ล่วงลับไปแล้ว”


 


“เสียใจด้วยจริงๆ”


 


ชายชุดดำดูเหมือนจะรู้สึกว่าคำถามของตนเองมันช่างยิบย่อย เขาจึงเอ่ยอธิบายว่า “ข้าแค่อยากจะรู้ว่าเจ้ายึดติดกับโลกอย่างลึกซึ้งเพียงใดก็เท่านั้นเอง”


 


แล้วเขาก็หยิบไพ่อีกใบออกจากหนังสือ


 


นี่คือไพ่ที่ว่างเปล่า และภายในมีเพียงบรรทัดตัวเลขบรรทัดหนึ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่รู้จบเท่านั้น


 


“อาชีพของเจ้า” ชายชุดดำเอ่ยถามต่อไป


 


“นักวิทยาศาสตร์”


 


พอได้ยัง เสียงของชายชุดดำก็แลดูสงสัย “แต่ตอนที่อยู่บนเรือ เจ้าได้กล่าวว่าอาชีพตนเกี่ยวข้องกับการฆ่า และแตกต่างจากวิญญาณชั่วร้ายเหล่านั้น แต่นี่มัน … ”


 


“ขออภัยด้วย อาชีพในการดำรงชีวิตของข้าคือนักวิทยาศาสตร์ แต่อาชีพในการต่อสู้ของข้าคือผู้ฝึกดาบ”


 


“ผู้ฝึกดาบ? โอ้ ไม่ได้ยินชื่อนี้มานานมากแล้ว อดคิดถึงมันไม่ได้จริงๆ”


 


ชายชุดดำกล่าว ขณะเดียวกันก็มองไปยังตัวเลขบนไพ่ของเขา


 


ภายในไพ่ ตัวเลขที่ผันแปรไปมาไม่มีที่สิ้นสุดได้หยุดนิ่งลงแล้ว


 


97


 


“97เลยหรือ ช่างเป็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม เจ้ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับโลกของเจ้าอย่างแท้จริง และไม่เต็มใจที่จะสูญเสียอีกฝ่ายไป”


 


บนใบหน้าของชายชุดดำ แสดงออกถึงรอยยิ้มแย้ม


 


“ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังเป็นผู้ฝึกดาบ เอาล่ะ สามารถกลายเป็นผู้ฝึกดาบในนรกได้ สันนิษฐานว่ากำลังรบของเจ้าจะต้องไม่เลวแน่ๆ”


 


“ดีมาก ขอแสดงความยินดีด้วย เจ้าได้ผ่านรอบแรกแล้ว”


 


กู่ฉิงซานตกอยู่ในความมึนงงเล็กน้อย


 


ที่ทำไปนี่คือผ่านแล้วหรอ? แค่แป๊ปเดียวเท่านั้นเอง?


 


เดิมทีตนกำลังจะต่อสู้ภายในไพ่ แต่แล้วสุดท้ายก็กลับต้องเข้ามาในโลกแห่งความฝันของไพ่ใบนี้อีกที


 


หลังจากที่เข้าสู่ไพ่แห่งความฝัน ใครบางคนก็ได้ถือหนังสือมา และใช้ไพ่ทำการทดสอบตนเองอย่างต่อเนื่อง


 


ขณะที่กำลังคิด เขาก็เห็นว่าชายชุดดำได้ดึงไพ่อีกหกใบออกมาจากหนังสือเล่มหนา


 


ชายชุดดำประกอบไพ่ทั้งหกใบเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วเพื่อก่อร่างไพ่ขนาดใหญ่ขึ้น


 


บนหน้าไพ่ เป็นฉากสงครามขนาดใหญ่


 


วิญญาณร้าย , เทพวิญญาณ , จ้าวอสูร และอาชูร่าได้ก่อตั้งกองทัพที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์


 


พวกเขากำลังเจรจากันในไพ่ และจัดพิธีสาบานตน


 


เทพวิญญาณยืนอยู่บนแท่นสูง และตะโกนอะไรบางอย่างออกไป


 


แล้วนักรบจากทั้งสี่โลกก็เริ่มสวมชุดเกราะ และคว้าจับอาวุธขึ้นในมือของพวกเขา


 


ฉากต่อไป ทั้งหมดได้กรีฑาทัพเข้าสู่โลกปรภพ


 


ภูเขาล้อมเหล็กที่นานนับหมื่นปีก็ยังไม่เคยเคลื่อนไหวใดๆพลันแยกตัวออก


 


พร้อมกับคนตายจากทั้ง 18 ขุมนรกที่กรูกันออกมา


 


กองทัพของทั้งสองปะทะกัน


 


สงครามได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว


 


กู่ฉิงซานเพียงแค่มองดูจากระยะไกล กลับสัมผัสได้ถึงความหมายของความมหึมาของมัน


 


บัดนี้บังเกิดเสียงแว่วของท่วงทำนองเพลงอันเศร้าสร้อย และท่วงทำนองแห่งความหาญกล้าดังขึ้นมาตลอดเวลา


 


ชายชุดดำที่กำลังถือไพ่ใบนี้ แสดงออกถึงความโศกสลดบนใบหน้า


 


“ข้าไม่ทราบว่าเจ้าจะแบกรับความเข้มข้นของสงครามนี้ได้หรือไม่ ทว่าหากคิดหมายจะขึ้นเป็นราชาภูติ เจ้าจะต้องเข้าสู่ความฝันชั้นถัดไป เพื่อเป็นสักขพยานในยุคสมัยนั้น”


 


“นี่ถือเป็นการทดสอบด่านที่สองใช่หรือไม่?”


 


“ใช่”


 


“งั้นก็มาเริ่มกันเลย”


 


กู่ฉิงซานยื่นมือของเขาออกไปและสัมผัสลงบนไพ่


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.406 – โลกแห่งความฝัน : นายพลภูติ


 


กู่ฉิงซานเอื้อมไปหยิบไพ่มาไว้ในมือของเขา


 


ชายชุดดำเคาะลงบนโต๊ะบาร์และกล่าวว่า “สถานที่แห่งนี้คือโลกแห่งความฝันร่วมกันระหว่างเจ้ากับข้า แต่โลกแห่งความฝันในชั้นถัดไป จะเป็นความฝันของผู้อื่น”


 


“แล้วสิ่งที่ข้าจะต้องทำหลังจากเข้าไปเล่า?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“เมื่อเจ้าเข้าไปภายในนั้น เจ้าจะกลายเป็นคนๆหนึ่ง แล้วเจ้าก็จะต้องสวมบทบาทเป็นเขา จากนั้นก็เสาะหาหนทางเข้าโลกแห่งความฝันในชั้นถัดไป”


 


“ยังมีโลกแห่งความฝันอื่นอีกหรือ?‘


 


“แน่นอนว่าย่อมมี และหากเจ้าไม่สามารถค้นพบวิธีเข้าสู่ความฝันถัดไปได้จากในความฝันนี้ เจ้าก็จะถูกตัดสิทธิ์ออก”


 


“พอจะมีคำใบ้หรือไม่?”


 


“นี่คือความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของนรก จงแสดงให้ข้าเห็นหน่อยเถอะ ว่าเจ้าจะรับมือกับมันอย่างไร”


 


ทันทีที่เสียงของชายชุดดำตกลง บนตัวไพ่ก็ระเบิดชั้นแสงออกมาโอบเข้าปกคลุมกู่ฉิงซานโดยสมบูรณ์


 


แล้วกู่ฉิงซานก็รู้สึกเหม่อลอย


 


พร้อมกับฉากโดยรอบที่เกิดการเปลี่ยนแแปลงอย่างกระทันหัน


 


โต๊ะบาร์ได้หายไป


 


ท้องฟ้าและชั้นเมฆปรากฏขึ้น


 


ธงสีดำคละแดงระบำไปตามสายลม


 


กู่ฉิงซานพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่บนยอดเขา


 


มองไกลออกไปเท่าที่สุดสายตาจะมองเห็น จะพบแค่เพียงเนินเขาที่บ้างชันขึ้น บ้างโค้งดิ่งลง ทอดยาวไกลออกไป


 


และในส่วนท้ายสุดของวิสัยทัศน์ที่สามารถมองเห็นได้ คือเมืองที่สาดแสงจรัสสว่างจ้า


 


ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดารารายล้อมรอบมัน


 


กู่ฉิงซานมองไปที่เมือง แล้วในหัวใจของเขาก็ปรากฏข้อมูลเด้งขึ้นมาทันใด


 


อาณาจักรสวรรค์ เมืองเทวะ


 


แล้วเขาก็ก้มลงมองตัวเอง


 


เห็นแค่เพียงชุดเกราะรบสีดำของนรก ที่ถึงแม้ว่ามันจะหนัก แต่ก็แผ่พลังอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา


 


เขาลองโบกแขนออกไป


 


แล้วก็พบว่าพลังที่ส่งออกจากร่างกายเขา ได้เข้าไปผสานกับเกราะแขน ส่งผลให้พลังอำนาจของมันเพิ่มพูนขึ้นยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า


 


เกราะรบอันน่าสะพรึงเช่นนี้ กู่ฉิงซานไม่เคยได้ยินได้เห็นมาก่อนเลย


 


แล้วฉากหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในห้วงทรงจำเขา


 


เนื่องจากเป็นนักรบที่กล้าหาญ และครอบครองทักษะการต่อสู้ที่มีชื่อเสียง ราชาภูติจึงได้มอบชุดเกราะรบสีดำนี้ให้แก่เขา


 


นี่คือสมบัติของราชาภูติ ที่ไม่เคยนำออกมาเผยโฉมมาก่อน


 


ทั่วทั้งนรก มีเกราะรบชิ้นนี้อยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!


 


กู่ฉิงซานก้มลงมองดูอาวุธในมือเขา และพบว่ามันเป็นกระบี่ยาวสีดำ


 


บนด้ามจับของกระบี่ ถูกสลักไว้ด้วยตัวอักษรใจความว่า


 


“นายพลภูติ”


 


กลับกลายเป็นว่าสถานะของตัวเขานั้นเป็นถึงนายพล


 


กู่ฉิงซานลองวาดกระบี่ยาวออกไป


 


แต่อำนาจของกระบี่กลับธรรมดาสามัญยิ่ง


 


อย่างไรก็ตาม ด้วยการวาดกระบี่ออกไป ได้ส่งผลให้ความทรงจำก่อนหน้าจากวิญญาณตนนี้ค่อยๆฟื้นคืนกลับมาในจิตใจของเขา


 


กู่ฉิงซานรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง และเริ่มทำการตรวจสอบข้าวของๆเขาทันที


 


ไม่มี … ทุกอย่างหายไปหมดเลย


 


ทั้งหมดที่เขามีคือสิ่งของจากวิญญาณตนนี้ แต่ดาบพิภพ เช่าหยิน ถุงหอมหลากสี อุปกรณ์ และสิ่งของต่างๆในถุงสัมภาระ และทะเลแห่งห้วงสติได้หายไป


 


แล้วดาบขุนเขาเทวะหกโลกาเล่า?


 


ฉวัดเฉวียน!


 


พร้อมกับจิตนึกคิดของเขา ดาบยาวที่มีใบดาบราวกับหยาดน้ำค้างในฤดูใบไม้ร่วงก็ตกลงมาลอยนิ่งอยู่กลางอากาศเบื้องหน้าเขา


 


กู่ฉิงซานทิ้งกระบี่ไปและคว้าจับดาบขุนเขามาไว้ในมือ


 


พอมีดาบในมือแล้ว ในหัวใจของกู่ฉิงซานก็กลับมามั่นคง รู้สึกสงบลงทันที


 


แต่ว่ามันแปลกๆอยู่นา .. ของทุกอย่างที่ติดตัวเขาได้หายไป แต่ทำไมดาบเล่มนี้ถึงยังคงอยู่ล่ะ?


 


ขณะกำลังครุ่นคิด ก็เห็นแค่เพียงหญิงในชุดคลุมฟ้าปรากฏกายผุดออกมาจากตัวดาบ


 


ฉานนู่


 


“เจ้าทราบหรือไม่ว่าเพราะเหตุใดสิ่งของๆข้าจึงหายไป?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“กฏเกณฑ์แห่งความฝันนี้ทรงพลังยิ่ง มันถึงขั้นช่วยให้ ‘จิตสำนึก’ของเจ้าเข้าสู่ร่างของผู้อื่นได้ ขณะที่ ‘ร่างจิต’ ของเจ้ายังคงนั่งดื่มอยู่ในสถานที่ก่อนหน้า” ฉานนู่กล่าว


 


“เช่นนั้น หากมีเพียงจิตสำนึกของข้าที่เหลืออยู่ แล้วเจ้าเล่าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“กฏเกณฑ์ที่สามารถต่อต้านได้กระทั่งสายลมแห่งทัณฑ์โกลาหลอยู่กับข้า ดังนั้นกฏเกณฑ์อื่นๆทั้งหมดจึงหลีกเลี่ยง มิกล้าที่จะเข้ามารบกวนข้า” ฉานนู่เอ่ยเสียงรำไร


 


และทันทีที่ประโยคนี้จบลง บรรทัดแสงหิ่งห้อยก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงครามทันที


 


“คุณได้เรียนรู้พลังศักดิ์สิทธิ์ที่สองของจิตอาร์ติแฟคดาบขุนเขาเทวะหกโลกา : แหกกฏ”


 


“ ‘แหกกฏ’ : ทุกกฏเกณฑ์จากตลอดทั้งหมื่นโลกาจะไม่อาจส่งผลกระทบต่อดาบเล่มนี้”


 


ในเวลานั้นเอง เสียงแตรที่ลึกและทุ้มก็ดังขึ้น สะท้อนออกไปบนผืนดินอย่างต่อเนื่อง


 


กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ


 


เห็นแค่เพียงกองทัพเกราะดำ ตนแล้วตนเล่ากำลังระเบิดเสียงไชโยออกมา


 


แล้วกระแสความตระหนักรู้ก็ปรากฏขึ้นมาในจิตใจของกู่ฉิงซาน


 


โลกปรภพได้พิชิตอาณาจักรสวรรค์ อาชูร่า วิญญาณร้าย และจ้าวอสูร และตอนนี้ได้กินพื้นที่โจมตีไปถึงดินแดนหลักของอาณาจักรสวรรค์แล้ว


 


ราชาภูติได้ออกจากนรก เพื่อที่จะได้มาดูทวยเทพ


 


– เทพวิญญาณได้ยอมจำนนโดยสิ้นเชิง


 


กู่ฉิงซานมองไปรอบๆ แล้วก็พบกับเหล่าคนที่ใส่ชุดสีเดียวกันกับเขา


 


ทั้งหมดคือคนตาย ที่กำลังเผยสีหน้ายิ้มแย้มออกมา


 


หลังจากที่การต่อสู้ท่ามกลางสงครามเป็นเวลานาน ในที่สุดก็สามารถนำพารุ่งอรุณแห่งชัยชนะมาไว้ในกำมือจนได้


 


ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มรู้สึกแปลกๆมากขึ้นเรื่อยๆ


 


“ฉานนู่ มิใช่ว่าในสมัยก่อนกลับกลายเป็นฝ่ายราชาภูติที่พ่ายแพ้หรอกหรือ?”


 


“เป็นดังเช่นที่เจ้าว่า แต่ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น”


 


“อ้าว เจ้ามิได้เข้าร่วมสงครามหรอกหรือ”


 


“เหล่าวิญญาณร้ายในอดีตมันไม่เหมาะสมกับข้า และข้าก็ไม่ต้องการที่จะไปเป็นอาวุธของพวกเขา ดังนั้นข้าจึงไม่ได้เข้าร่วมสงครามครั้งนี้”


 


“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”


 


กู่ฉิงซานแม้จะยังคงประหลาดใจอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรอีก


 


เพราะสำหรับกู่ฉิงซานหรือฉานนู่แล้ว นี่นับว่าเป็นเรื่องปกติมาก


 


ผู้ฝึกดาบจะเลือกดาบที่เหมาะสมกับตัวเอง


 


ขณะที่ดาบศักดิ์สิทธิ์ก็มีจิตวิญญาณ และยังเลือกเจ้านายเป็นของตัวเองเช่นกัน


 


ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ฝึกดาบและดาบ จะแตกต่างจากอารมณ์ทางโลกทั้งมวล


 


พวกเขาจะต้องมีเจตจำนงเดียวกัน จึงจะติดตามไปด้วยกันได้


 


ในเวลานั้นเอง เสียงช้าๆที่ร่ายยาวก็ดังขึ้น ขัดจังหวะความคิดของกู่ฉิงซาน


 


“รายงาน!”


 


ทหารวิญญาณก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว คุกเข่าลงกับพื้น และกล่าวเสียงดัง “ข้ามาแจ้งให้ท่านทราบว่า พิธียอมจำนนจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า และท่านผู้ทรงเกียรติอีกสองคนได้ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว แต่เขาให้มาถามว่าท่านจะไปด้วยหรือไม่”


 


“รอก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“แต่พวกเขาทั้งหมดมาอยู่ที่นั่นแล้ว”


 


“ปล่อยให้พวกเขารอไป!”


 


กู่ฉิงซานยังคงยืนนิ่งอยู่ในจุดเดิม และเริ่มมองสำรวจกองทัพของตนเอง


 


บนร่างของคนตายแต่ละคน ล้วนถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายสังหาร


 


เมื่อพวกวิญญาณเห็นว่าเขากำลังมองมาที่ตนเอง พวกทหารคนตายก็ยืดตัวเอง จับอาวุธในมือแน่น ราวกับว่าพร้อมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้ยินตลอดเวลา


 


ตลอดทั้งภูเขาเต็มไปด้วยทหารวิญญาณ


 


อย่างไรก็ตามบนภูเขาทั้งหมด นอกจากเสียงของสายลมแล้ว มิได้ยินเสียงใดๆเล็ดลอดออกมาอีกเลย


 


นั่นเพราะเวลานี้ มีคำสั่งห้ามต่อสู้ และสงครามก็หยุดชะงักลงชั่วคราว


 


“ … ไม่เลวเลย” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเงียบๆ


 


แต่ทันใดนั้นเอง เขาก็พลันสังเกตไปเห็นกองทัพผีร้ายและจ้าวอสูรจำนวนมากอยู่บริเวณเนินเขาตรงกันข้าม


 


“เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามทันที


 


หนึ่งในรองนายพลกล่าว “พวกเขายอมจำนน”


 


“ยอมจำนน? ” กู่ฉิงซานเอ่ยทวนซ้ำตามจิตใต้สำนึก


 


แล้วเขาก็เริ่มเคลื่อนไหว บินไปยังเนินเขาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม


 


เมื่อนายพลภูติเคลื่อนไหว ทหารจากนรกจำนวนมากก็ย่อมที่จะติดตามเขา


 


เมื่อเหล่าผีร้ายและจ้าวอสูรเห็นนายพลภูติกำลังตรงมาพร้อมกับทหารจำนวนมาก ทั้งหมดก็ลุกยืนขึ้น


 


กู่ฉิงซานมาถึงเนินเขา


 


วิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานกวาดผ่านร่างของผีร้ายและจ้าวอสูรนับหมื่นแสน แล้วเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง


 


ผีร้ายน่ะมาจากอาณาจักรผีโหย แต่ร่างของพวกมันยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ดี แถมยังจับอาวุธในมือแน่น และเต็มไปด้วยแรงกดดันที่ลุกโชนเป็นฟืนเป็นไฟ


 


ขณะที่จ้าวอสูรยังเปี่ยมไปด้วยพลังงาน การแสดงออกทางสีหน้าของพวกมันเต็มไปด้วยความระแวดระวังและเฝ้าดูทุกฝีก้าวของกู่ฉิงซาน


 


“กองทัพยอมจำนน … แล้วท่าทีของพวกมันที่เห็นอยู่นี่คือสิ่งใดกัน?”


 


กู่ฉิงซานค่อนข้างสับสน ปากเอ่ยเสียงกระซิบ


 


“ใต้เท้า พวกเรายอมทุกคนยอมแพ้แล้ว” นายพลผีร้ายกล่าว


 


ขณะที่นายพลจ้าวอสูรอีกตนกล่าวว่า “พลังของราชาภูติสั่นสะเทือนทั้งสวรรค์และโลก ไม่มีใครหาญต่อกรได้ หากมิให้พวกเรายอมแพ้ แล้วจะให้เฝ้ารอความตายอย่างนั้นหรือ?”


 


กู่ฉิงซานที่กำลังฟัง ทันใดนั้นก็บังเกิดฉากหนึ่งขึ้นในจิตใจของเขา


 


ราชาภูติกำลังถือไม้เท้า ระเบิดอำนาจที่ราวกับสามารถทำลายโลกหล้า ส่งทวยเทพมากมายตนแล้วตนเล่าต้องล่าถอยไป


 


กองทัพทั้งหมดราวกับมด เมื่ออยู่ต่อหน้าราชาภูติ และพื้นที่ขนาดใหญ่ก็ถูกล้างบางจนสิ้น


 


เมื่อทหารของพันธมิตรทั้งสี่อาณาจักรเสียชีวิตลง พวกเขาก็จะกลายเป็นคนตายอย่างรวดเร็ว


 


และคนตายทั้งหมด ก็จะเป็นของคนของปรภพโดยสมบูรณ์ ที่ถูกควบคุมโดยราชาภูติ


 


—สงครามผ่านพ้นไปได้แค่ครึ่งทาง พันธมิตรทั้งสี่ก็มิอาจต่อกรได้อีกต่อไป


 


ราชาภูติโค่นพันธมิตรทั้งสี่ลงด้วยกำลังของเขาเอง!


 


ดังนั้น พวกที่อยู่ตรงหน้านี้จึงยอมจำนน


 


กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ


 


สายตาของเขามองไปยังผีร้ายและจ้าวอสูรที่ออกันอยู่กันเต็มภูเขา ก่อนจะตกลงในอาวุธของแต่ละตน


 


“แล้วราชาภูติเล่า? ฝ่าบาทไปอยู่ที่ไหนแล้ว?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“นี่ท่านลืมไปแล้วหรือ? ฝ่าบาทก็อยู่ในเมืองเทวะ และกำลังเตรียมที่จะรับเครื่องบรรณาการจากทวยเทพอย่างไรเล่า” รองนายพลที่อยู่ข้างกายเขากล่าว


 


กู่ฉิงซานหลับตาลง


 


และย้อนเห็นถึงพลังอำนาจของราชาภูติ ที่สามารถสยบทั้งสี่อาณาจักรได้


 


หากสงครามจบลงด้วยความพ่ายแพ้ เช่นนั้นแล้วปัญหามันเกิดจากอะไรกัน?


 


มีข้อมูลน้อยเกินไป …


 


กู่ฉิงซานลืมตาขึ้นและจู่ๆก็เริ่มออกคำสั่ง


 


“ใครก็ได้มานี่ที”


 


“ขอรับ”


 


“เจ้าเร่งจัดกำลังคน แล้วไปรวบรวมอาวุธของผีร้ายกับพวกจ้าวอสูรมาซะ”


 


“แต่ใต้เท้า … พวกมันกำลังจะถูกส่งกลับไปในเร็วๆนี้ ดังนั้นพวกมันสมควรจะ-”


 


“ทำตามหน้าที่เดี๋ยวนี้”


 


“ขอรับ!”


 


พอได้ฟัง เหล่าผีร้ายและจ้าวอสูรที่อยู่บนเขาก็เริ่มโวยวายทันที


 


“นี่เจ้าต้องการที่จะยึดอาวุธของพวกเรารึ?” นายพลผีร้ายกล่าว


 


เสียงของมันสงบมาก ไม่อาจฟังได้ถึงอารมณ์แม้เพียงเล็กน้อย


 


“ก็ใช่น่ะสิ เจ้ามิได้ยอมจำนนแล้วหรอกหรือ?” กู่ฉิงซานกล่าว


 


นายพลจ้าวอสูรอุทานด้วยความโกรธ “โลกของพวกเรากำลังจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกันในไม่ช้า จากนั้นไปเราทุกคนก็คือสหาย แล้วเหตุใดเจ้าจึงกระทำการที่ดูถูกพวกเราเช่นนี้!”


 


“เจ้ากำลังดูถูกพวกเราเหล่าจ้าวอสูร!”


 


“ใช่ นี่หรือสิ่งที่นายพลภูติทำ จิตใจชั่วช้าและดูถูกเรา–”


 


เหล่าจ้าวอสููรกับผีร้ายเริ่มที่จะกระสับกระส่าย


 


“บังอาจ!!”


 


กู่ฉิงซานระเบิดเสียงคำรามคำหนึ่ง


 


เขาชักดาบออกมาและชี้ไปยังพวกกองทัพพันธมิตรผีร้ายกับจ้าวอสูรที่อยู่เต็มภูเขา


 


“ล้อมพวกมันไว้!”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยบัญชา


 


ตามด้วยเสียงชักอาวุธนับไม่ถ้วนกังวานขึ้น


 


กองทัพนรกทั้งหมดเริ่มเคลื่อนไหว


 


พวกเขายกอาวุธขึ้น ระดมพล และกรีฑาทัพมุ่งหน้ามายังเนินเขานี้อย่างช้าๆ


 


ทันใดนั้นเสียงโวยวายทั้งหมดก็พลันเงียบลง


 


“เจ้าต้องการจะทำอะไร?” นายพลผีร้ายถามเสียงทุ้ม


 


“ในเมื่อเจ้ายอมจำนนแล้ว ก็ต้องทำตัวให้เหมาะสมกับการยอมจำนน หากเจ้ากล้าที่จะต่อต้าน ข้าจะรายงานแก่ท่านราชาภูติทันที ว่าเจ้าแสร้งทำเป็นยอมแพ้ แต่แท้จริงกลับซ่อนเจตร้ายเอาไว้ภายใต้สีหน้าบริสุทธิ์ และกำลังคิดหมายจะตั้งใจทำเรื่องเลวร้าย!”


 


กู่ฉิงซานดาหน้าเข้ามาเผชิญกับนายพลผีร้าย


 


เขาเอ่ยกระซิบ “จู่ๆเจ้าก็ไม่ยินดีที่จะละทิ้งอาวุธ นี่มันอาจจะเป็นการบ่งบอกว่า เรื่องยอมจำนนของพวกเจ้าทั้งหมดแท้จริงแล้วมันคือกลลวงสินะ?”


 


นายพลผีร้ายหัวเราะ “ราชาภูติน่ะครอบครองพลังอำนาจชนิดหาตัวจับได้ยากยิ่ง แล้วพวกเราจะแสร้งยอมจำนนได้อย่างไร?”


 


กู่ฉิงซานยังไม่ทันได้พูด แต่ก็เห็นทหารวิญญาณอีกคนมารายงานเสียก่อน “ใต้เท้า พีธียอมจำนนกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว พวกเขากำลังเฝ้ารอท่านเพียงคนเดียว”


 


“จงไปบอกให้พวกเขารอต่อไป” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“แต่ใต้เท้า-”


 


“ไปเดี๋ยวนี้!”


 


“ขอรับ!”


 


ทหารวิญญาณเร่งจากไปอย่างรวดเร็ว


 


“ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย วางอาวุธลงซะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


นายพลผีร้ายกับนายพลจ้าวอสูรเหลือบมองกันวูบหนึ่ง


 


กู่ฉิงซานก้าวถอยหลังออกมา และเตรียมนำกองทัพคนตายสู้ศึก


 


“ทั้งหมดเตรียมตัว” เขาออกคำสั่ง


 


“ขอรับ!”


 


เหล่าคนตายเข้าสู่สภาวะพร้อมรบ


 


กองทัพนรกได้เผยคมเขี้ยวทั้งหมดออกมาโดยสมบูรณ์ และกำลังเฝ้ารอเพียงคำสั่งเท่านั้น


 


เมื่อมองมายังฉากนี้ รูม่านตาของนายพลผีร้ายก็หดวูบลงทันใด


 


“หยุดมือ! พวกเราจะวางอาวุธลงเดี๋ยวนี้แหละ!” เขาตะโกนออกมา


 


“ใช่ ใช่ พวกเราจะวางอาวุธลงแล้ว!” นายพลจ้าวอสูรรีบเอ่ยอย่างรวดเร็ว


 


กู่ฉิงซานโบกมือ ส่งสัญญาณให้กองทัพหยุดชั่วคราว


 


“ส่งกำลังพลออกไป เก็บรวบรวมอาวุธมาซะ” เขาเอ่ยสั่ง


 


แล้วฝูงวิญญาณกลุ่มหนึ่งก็ปีนขึ้นไปบนภูเขา และทำการเก็บรวบรวมอาวุธของทัพพันธมิตรผีร้ายและจ้าวอสูร


 


“เราได้แสดงความจริงใจออกมาแล้ว ทีนี้เจ้าพอใจหรือยัง?” นายพลผีร้ายเอ่ยถาม


 


“พอใจแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


แล้วทันใดนั้นจู่ๆเขาก็วาดดาบชี้ออกไป


 


“ไปซะ สังหารพวกมันให้หมด!”


 


กองทัพนรกเริ่มเคลื่อนไหวทันที


 


“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!”


 


เหล่าทหารวิญญาณที่เก็บรวบรวมอาวุธศัตรู เริ่มพุ่งหนีทันควัน


 


บนเนินเขา กองทัพพันธมิตรผีร้ายและจ้าวอสูรเกิดความตื่นตระหนก


 


จ้าวอสูรบางตนเริ่มที่จะหลบหนี


 


-คิดหนีหรือ?


 


กู่ฉิงซานมองไปยังฉากนี้และหัวเราะออกมา


 


“ช้าก่อนนายพลภูติ เห็นได้ชัดว่าพวกเรา-  นายพลผีร้ายรีบตะโกนออกมา


 


“ก็ไหนเจ้าว่าพวกเราจะเป็นสหายกันอย่างไรเล่า ที่ข้าทำ ก็แค่จะสังหารและเปลี่ยนพวกเจ้าให้กลายเป็นคนตาย เพื่อที่จะได้กลายมาเป็นพวกของข้าจริงๆก็เท่านั้นเอง”


 


“เจ้ามันมารร้าย!” นายพลจ้าวอสูรคำรามด้วยความโกรธ


 


กู่ฉิงซานส่ายหัว ปากเอ่ยกล่าวอย่างแผ่วเบา “เสียใจด้วยนะ แต่นี่แหละคือสงครามล่ะ”


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.407 – โลกแห่งความฝัน : กษัตริย์อาชูร่า


 


กองทัพนรกนับหลายสิบล้านตราทัพขึ้นไปบนภูเขา


 


เหล่าผีร้ายและจ้าวอสูรที่สูญสิ้นอาวุธไป แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางที่จะตอบโต้


 


เพียงแค่เริ่มบุก กองทัพพันธมิตรก็แตกกระเจิง เริ่มหลบหนีไปคนละทิศละทางทันที


 


“เหล่าผู้เดือดดาลทั้งหลายเอ๋ย จงอย่าให้พวกมันหนีไปได้!” กู่ฉิงซานเอ่ยปากกล่าว


 


ทันใดนั้นวิญญาณเดือดดาลทั้งแปดที่อยู่เบื้องหลังเขา ก็แยกย้ายกันออกไปไล่ล่า


 


ไม่นานนัก


 


นายพลผีร้ายและนายพลจ้าวอสูรก็ถูกจับ


 


พวกเขาถูกมัดไว้เบื้องหน้ากู่ฉิงซาน


 


“นี่เจ้า-” นายพลผีร้ายกำลังจะเริ่มร่ำร้องออก


 


แต่กู่ฉิงซานก็วาดดาบของเขาออกไปเสียก่อน


 


พร้อมกับสองหัวที่ร่วงหล่นลงกระทบกับพื้นดิน


 


“เพียงเท่านี้เราก็จะได้สหายที่แท้จริงเพิ่มขึ้นมาอีกสองตนแล้ว”


 


กู่ฉิงซานหันไปกล่าวต่อหน้าฝูงชน


 


และเหล่าทหารมากมายก็ระเบิดเสียงหัวเราะกันออกมา


 


แต่แล้วทันใดนั้นกองทัพคนตายทั้งหมดก็หายวับไป


 


ฉากโดยรอบทั้งหมดได้หายไป


 


โลกทั้งใบหลงเหลือเพียงความว่างเปล่า


 


ขณะเดียวกับนายพลภูติก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน


 


วิญญาณตนนี้มีรูปร่างหน้าตาเช่นเดียวกันกับตัวกู่ฉิงซานในปัจจุบัน


 


ดูท่าแล้ว มันน่าจะเป็นนายพลภูติตัวจริง


 


ทว่าแม้จะผ่านเลยมาสักพักแล้ว นายพลภูติก็ยังไม่เอ่ยสิ่งใด


 


ดูเหมือนว่าสติอารมณ์ และสภาวะจิตใจของมันค่อนข้างที่จะซับซ้อนในเวลานี้


 


“เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเกมที่พวกเราสามารถชนะอย่างชัดเจน แล้วเพราะเหตุใดกัน เจ้าจึงยังต้องลงมือเกินเลยถึงเพียงนั้นด้วย?” นายพลภูติเอ่ยถาม


 


“สามารถชนะ? สองคำนี้เป็นตัวแทนของความหยิ่งยะโส แต่มันไม่ใช่สำหรับข้า ข้าน่ะระมัดระวังตัวตลอดเวลา”


 


“ระมัดระวัง …” นายพลภูติดูจะกำลังขบคิดอย่างรอบคอบ


 


“ถูกต้อง ชีวิตและความตายทั้งหมดของเหล่าสหายน่ะได้ถูกผูกติดเอาไว้กับข้า ดังนั้นข้าจึงไม่ยินยอมเปิดโอกาสใดๆแก่ศัตรู”


 


“แล้วหลังจากที่เจ้ายึดอาวุธจนสิ้นแล้ว เหตุใดจึงยังสังหารพวกเขาทั้งหมดอีก?”


 


“ในแต่ละโลก ย่อมมีอุบายที่แตกต่างกันออกไป  และหากเราไม่รู้จักมัน เราก็จะตกอยู่ในความหวาดระแวงอันไม่รู้จบ”


 


“เจ้าเกรงว่าพวกเขาจะใช้อุบายที่ไม่รู้จักนั่นกระนั้นหรือ?”


 


“ใช่”


 


นาพลภูตินิ่งงันไปสักพัก ก่อนจะถอนหายใจออกมา “เรื่องนี้มิอาจตำหนิศัตรูได้ แต่เป็นข้าเองที่ประมาทเกินไปอย่างแท้จริง”


 


ว่าจบ ร่างของมันก็ค่อยๆแปรสภาพเป็นไพ่


 


ไพ่ใบนี้ลอยมาอยู่เบื้องหน้ากู่ฉิงซาน


 


เห็นแค่เพียงภายในไพ่ เป็นนายพลภูติที่สวมใส่เกราะรบสีดำ ในมือถือกระบี่ยาว และกำลังเปล่งเสียงคำรามที่ก้องไปถึงสรวงสวรรค์


 


ไม่กี่บรรทัดตัวอักษรเล็กๆปรากฏอยู่ตรงส่วนล่างของไพ่


 


“นายพลภูติ คนตายคนแรกของโลกปรภพ ที่ได้รับเกราะรบเทวะจากราชาภูติ เขาได้ต่อสู้กับกองทัพพันธมิตรของทั้งสี่อาณาจักรและทวยเทพ และไม่เคยพ่ายแพ้”


 


“แต่เนื่องเพราะโดนอุบายของกองทัพพันธมิตร นายพลภูติจึงตกอยู่ภายใต้การปิดล้อมจากทุกด้าน พ่ายแพ้ลงในสงครามครั้งสุดท้าย ล้มเหลวที่จะเร่งตราทัพไปพิทักษ์ราชาภูติ  ฉะนั้นเขาจึงเศร้าเสียใจ และถูกสังหารลงในตอนท้ายของสงคราม”


 


“นายพลภูติ เป็นไพ่อัญเชิญจากสำรับแห่งการแก้แค้น  มีประสิทธิภาพในการต่อสู้ที่สูงส่งเป็นอันดับต้นๆ”


 


เมื่อกู่ฉิงซานอ่านข้อความบนไพ่ใบนี้ นายพลภูติก็ยกศีรษะขึ้น และจ้องมองเขาจากภายในไพ่


 


“เจ้ามีคุณสมบัติที่จะเป็นนายพล ดังนั้นข้าจะเป็นคนนำพาเจ้าไปยังโลกแห่งความฝันถัดไปเอง” นายพลภูติกล่าว


 


กู่ฉิงซานรับไพ่มา


 


แต่กลับไม่มีวี่แววของสัญญ-


 


ทันใดนั้นในอากาศที่ว่างเปล่าก็บังเกิดรอยแยก


 


โลกทั้งใบเริ่มสั่นไหว


 


ความว่างเปล่าทั้งหมดถูกฉีกทำลาย  รอยแยกเริ่มเด่นชัด และฉากจากภายนอกก็ปรากฏสู่สายตาของกู่ฉิงซาน


 


เขาค้นพบว่าตนเองกำลังนั่งอยู่บนหลังของช้างยักษ์


 


และรายล้อมไปด้วยเหล่าหญิงงามอันหาที่เปรียบมิได้ เหล่าสาวงามทั้งหมดกำลังถืออาวุธในมือ และปกป้องตัวเขาอยู่


 


“แค่ก-”


 


กู่ฉิงซานไม่สามารถฝืนหยุดไอได้เลย


 


แล้วจู่ๆเขาก็พ่นฟองเลือดออกมา


 


หญิงงามในชุดเกราะรบบินกลับขึ้นมาบนหลังช้างยักษ์ และคุกเข่าลงต่อหน้าเขา


 


“องค์กษัตริย์ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” หญิงงามเอ่ยถามด้วยความกังวล


 


“ยังไม่ตายหรอก แต่ข้าถึงขั้นได้สู้กับราชาภูติตรงๆเชียวนา บาดเจ็บเพียงเท่านี้นับว่าคุ้มค่าแล้ว”


 


กู่ฉิงซานได้ยินเสียงร่างของเขาพูด


 


หญิงงามพยักหน้า “เกือบจะถึงเมืองเทวะแล้ว องค์กษัตริย์โปรดพักผ่อนต่อไปอีกสักครู่”


 


ว่าจบ เธอก็ก้าวถอยออกไป


 


ในเวลาเดียวกัน กู่ฉิงซานก็ได้รับอำนาจในการควบคุมร่างกายนี้ได้ในที่สุด


 


ร่างนี้อ่อนแอมาก แต่ละการเคลื่อนไหวจึงช่างยากลำบากยิ่ง


 


ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นในหูของเขา


 


“เพื่อเป็นรางวัลสำหรับการผ่านโลกแห่งความฝันครั้งก่อน ข้าจะช่วยให้เจ้าได้รับผลประโยชน์บางอย่างก็แล้วกัน”


 


นี่คือเสียงของนายพลภูติ


 


ทันทีที่เสียงของมันหายไป จู่ๆในสมองของกู่ฉิงซานก็พลันพลุ่งพล่าน กระชากไปด้วยภาพฉากนับไม่ด้วยที่กรูกันเข้ามา


 


ฉากเหล่านั้นไหลผ่านมาและผ่านไป ซึ่งทั้งหมดได้ตกอยู่ในจิตสำนึกของกู่ฉิงซาน


 


ความทรงจำ!


 


มันคือความทรงจำ!


 


กู่ฉิงซานเข้าใจแล้ว


 


ว่าร่างกายที่เขาเข้าควบคุม มันได้ส่งผ่านความทรงจำทั้งหมดในการต่อสู้ของเจ้าของร่างเข้ามา


 


ซึ่งนี่มันแตกต่างไปจากในตอนของนายพลภูติก่อนหน้านี้  ความทรงจำที่ได้รับมามันชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง


 


ใช่ นี่มันคือความทรงจำจากการต่อสู้ของกษัตริย์อาชูร่าในยุคโบราณ


 


-และความทรงจำเหล่านี้ ก็ล้วนเป็นกระบวนการต่อสู้ทั้งสิ้น


 


นี่คือประสบการณ์และการรับรู้ ความเข้าใจของกษัตริย์อาชูร่า


 


อาชูร่าเป็นเผ่าพันธุ์แห่งการต่อสู้ พวกเขาต่อสู้มาตลอดทั้งชีวิต กระทั่งตัวกษัตริย์อาชูร่าก็ไม่มีข้อยกเว้น


 


แม้ว่าทักษะและวิธีการต่อสู้เหล่านี้จะถูกจำกัดให้ใช้ได้เพียงเผ่าชูร่า แต่ประสบการณ์การต่อสู้ทั้งหมดที่ได้รับมานี้ มันแตกต่างไปโดยสิ้นเชิงจากสิ่งที่กู่ฉิงซานเคยได้พบ ได้เห็นมาทั้งชีวิต


 


กู่ฉิงซานราวกับได้เปิดโลกทัศน์อันไกลโพ้น


 


สำหรับกู่ฉิงซานที่ต่อสู้มาโดยตลอดทั้งสองช่วงชีวิต นี่เทียบเท่าได้กับว่าเป็นการเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ให้แก่เขามากยิ่งขึ้น!


 


กู่ฉิงซานหลับตาลงและเริ่มที่จะยอมรับความทรงจำนี้


 


แม้จะดูเหมือนว่าเวลาผ่านพ้นไปนาน แต่อันที่จริงแล้วมันผ่านไปเพียงแค่หนึ่งวินาทีเท่านั้น


 


กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น และเริ่มที่จะพิจารณาไตร่ตรองถึงการต่อสู้ที่ผ่านมาของเขา


 


ในช่วงขณะนี้ เขาสามารถค้นพบข้อบกพร่องในแต่ละท่วงท่าและช่วงเวลาการต่อสู้ก่อนหน้านี้ของเขาได้อย่างง่ายดาย


 


เดิมทีมาตรฐานในการต่อสู้ของกู่ฉิงซานก็สูงมากอยู่แล้ว และหากต้องการหาข้อผิดพลาดในการต่อสู้เหล่านั้น มันจำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน


 


และตัวของกู่ฉิงซานในก่อนหน้านี้ ก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้เลย


 


แต่ในตอนนี้ เขาสามารถค้นพบข้อบกพร่องในการเคลื่อนไหวของเขาได้ดั่งพลิกฝ่ามือ


 


กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างลับๆ


 


เขาไม่เคยคาดคิดเลย ว่าการที่ได้เข้าร่วมแข่งขันท้าทายเพื่อชิงตำแหน่งราชาภูติ ตนจะได้รับผลประโยชน์มากมายเช่นนี้


 


กู่ฉิงซานลืมตาขึ้นและหันไปมองรอบๆ


 


ทหารนับไม่ถ้วนรายล้อมอยู่รอบช้างยักษ์ คอยอารักขาเขา


 


ขณะที่เบื้องหน้า คือเมืองเทวะของอาณาจักรสวรรค์


 


แต่แล้วช้างยักษ์ก็หยุดฝีเท้าลงอย่างกระทันหัน


 


พร้อมกับการปรากฏกายของสี่อาชูร่ามาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าช้างยักษ์


 


พวกเขาขวางทางช้างยักษ์เอาไว้


 


ทันใดนั้นกองทัพอาชูร่าทั้งหมดก็หยุดลง


 


นายพลแห่งกองทัพที่คอยอารักขากษัตริย์ชูร่าได้เดินแหวกฝูงชนออกไป


 


แต่เมื่อเขาและทุกคนพบว่าเป็นสี่อาชูร่าที่กำลังขวางทางอยู่ การแสดงออกของพวกเขาก็ดูผ่อนคลายลง


 


สีหน้าลึกล้ำปรากฏขึ้นเด่นชัดบนใบหน้าของนายพล


 


คนเหล่านี้คือกลุ่มราชาเผ่าทั้งสี่ของอาชูร่า และสถานะของพวกเขาเป็นรองเพียงกษัตริย์อาชูร่าเท่านั้น!


 


“ราชาเผ่าโปซือ ,ราชาเผ่าลั่วเฉียนทั่ว , ราชาเผ่าปิโม่ซือ ,ราชาเผ่าลั่วซุ่ย พวกเจ้ามีเรื่องอะไรอย่างงั้นหรือ?”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“เจ้าได้พ่ายแพ้ต่อราชาภูติจากนรก สร้างความอับอายแก่เผ่าอาชูร่า ดังนั้นเจ้าจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำของเราอีกต่อไป” ราชาเผ่าลั่วซุ่ย กล่าว


 


“เผ่าอาชูร่าถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแปลงกษัตริย์แล้ว!”  ราชาเผ่าลั่วเฉียนทั่วเอ่ยเสริม


 


“ถูกต้อง ดังนั้นพวกเราจึงต้องการที่จะท้าสู้กับเจ้าในตอนนี้!” ราชาเผ่าปิโม่ซือกล่าว


 


กู่ฉิงซานมองไปยังอาชูร่าตนสุดท้ายที่ยังเงียบอยู่ ปากเอ่ยถาม “ ราชาเผ่าโปซือ เล่าเจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร?”


 


ราชาเผ่าโปซือ “เจ้าสมควรตาย”


 


กายของกู่ฉิงซานเกือบจะผุดลุกขึ้นด้วยตนเอง


 


นี่คือสัญชาตญาณการต่อสู้ของอาชูร่า!


 


กู่ฉิงซานย้อนคิดไปถึงกระทั่งเทคนิคลับของอาชูร่า ที่จะต้องอาศัยร่างของกษัตริย์ชูร่าเพื่อแสดงออกมา


 


เทคนิคลับนี้จะช่วยให้เขาสามารถเรียกคืนพละกำลังฟื้นคืนได้ทันที เว้นเพียงแต่ว่าการใช้งานมันจะต้องถูกหักอายุขัยก็เท่านั้นเอง


 


แต่ตราบใดที่พละกำลังกายของเขาฟื้นฟูกลับมา กู่ฉิงซานรู้สึกว่าเขาจะสามารถสังหารสี่ราชาเผ่าเบื้องหน้าที่บังอาจมาท้าทายได้อย่างแน่นอน!


 


กู่ฉิงซานพยายามอย่างเต็มที่ ระงับความโกรธในจิตใจลง


 


ข้างหน้าคือเมืองเทวะ


 


ตามความทรงจำแล้ว ราชาภูติได้ทำข้อตกลงเป็นสหายกับกษัตริย์เผ่าอาชูร่า


 


ทั้งสองฝ่ายเป็นคนแปลกหน้าในยามแรกพบ แต่ทว่าเมื่อได้ต่อสู้กัน ในที่สุดก็กลายเป็นสหายที่ดีต่อกัน


 


ราชาภูติถึงขั้นสอนเทคนิคลับอันน่าสะพรึงให้แก่กษัตริย์ภูติเป็นการส่วนตัวเลยอีกด้วย


 


ฉะนั้นตอนนี้ กษัตริย์อาชูร่าจึงจะเข้าไปในเมืองเทวะ เพื่อเข้าร่วมกับราชาภูติ


 


กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก และรีบจัดการแยกแยะเบาะแสทุกอย่าง อย่างรวดเร็ว


 


“ข้ายอมรับการท้าทายของพวกเจ้า” เขากล่าว


 


สีหน้าของสี่ราชาเผ่าดูจะปิติขึ้นมาทันที


 


อาชูร่าจะบ้าสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าคนทั้งเผ่า แล้วกษัตริย์จะไม่กล้ายอมรับการท้าทายได้อย่างไร?


 


แต่ใครจะรู้ กู่ฉิงซานยังกล่าวต่ออีกว่า “ไปที่เมืองเทวะกันเถิด เมื่ออาการบาดเจ็บของข้าฟื้นคืน เราจะมาสู้กัน”


 


ราชาเผ่าทั้งสี่เหลือบมองกันวูบหนึ่ง แต่ยังไม่คิดจะเปิดทาง


 


“นั่นไม่ได้! เพราะตามกฏของเผ่าอาชูร่า พวกเราทั้งสี่มีสิทธิ์ที่จะท้าทายเจ้าได้ตลอดเวลา!” ราชาเผ่าลั่วเฉียนทั่วกล่าว


 


“ใช่ พวกเราจะโค่นเจ้าลงที่นี่” ราชาเผ่าปิโม่ซือเอ่ยสนับสนุน


 


ณ จุดนี้ กู่ฉิงซานสามารถปรามอารมณ์ตนได้อย่างสมบูรณ์แล้ว


 


บังเกิดร่องรอยแปลกๆขึ้นบนใบหน้าของเขา “พวกเจ้าทราบหรือไม่ว่าข้าได้ไปต่อสู้กับราชาภูติมา?”


 


“อะไร? อย่าบอกเรานะว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถต่อสู้ได้น่ะ” ราชาเผ่าโปซือยิ้มหยัน


 


กู่ฉิงซานยกมือขึ้นเกาหัว ทันใดนั้นในจิตใจของเขาก็บังเกิดอุบายขึ้นโดยพลัน


 


เขายกมือขึ้นและเริ่มเอ่ยสาบาน “สวรรค์และโลกเป็นพยาน ร่างกายของข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสจริงๆ และอาการนี้ส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่งของข้าอย่างยิ่งยวด หากที่เปล่งวาจามานี้มีโป้ปดแม่แต่น้อย ขอสวรรค์และโลกโปรดฟาดผ่าทัณฑ์สายฟ้าลงมาทันที สังหารให้ข้าสิ้นใจด้วยเถิด”


 


บังเกิดสายลมที่มองไม่เห็นว่ายวนรอบตัวเขา


 


สวรรค์และโลกได้รับรู้แล้ว


 


-นี่คือคำปฏิญาณสาบาน


 


มันคือปฏิญาณสาบานของกษัตริย์ชูร่า ที่เปล่งออกมาต่อหน้าบรรดาอาชูร่าทั้งหมด แถมยังอยู่ในสภาพแวดล้อมของอาณาจักรสวรรค์!


 


ตราบใดที่ในคำกล่าวของเขามีโป้ปดเล็กน้อย กษัตริย์ชูร่าจะต้องพบพานกับโชคชะตาอันเลวร้ายทันที!


 


ฝูงชนเงียบ


 


ทั้งหมดเฝ้ารออยู่สักพักแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


สายฟ้าสวรรค์มิได้ฟาดผ่าลงมา


 


กู่ฉิงซานผายสองมือของเขาออก กล่าวไปทางคนทั้งหลาย “พวกเจ้าเห็นหรือไม่ วาจากษัตริย์มิได้มดเท็จ”


 


อาชูร่าทั้งหมดต่างพยักหน้ารับกันอย่างเงียบๆ


 


การท้าสู้ชิงราชบัลลังก์ของอาชูร่าน่ะเป็นอะไรที่จริงจังและศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง


 


กษัตริย์ของพวกเขาเห็นได้ชัดว่าตกอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส และการท้าทายชิงบัลลังก์ในสถานการณ์เช่นนี้ จะไม่อาจพิสูจน์ได้ว่ากษัตริย์องค์ใหม่มีความเข้มแข็งและหาญกล้าจริงๆ


 


–การท้ายทายเช่นนี้จะไม่ได้รับการยอมรับจากเผ่าอาชูร่าทั้งหมด!


 


ใบหน้าของราชันย์ทั้งสี่แปรเปลี่ยนไป


 


อีกฝ่ายมิยินยอมรับการท้าทายในทันที นี่นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์


 


“แต่เจ้าพ่ายแพ้ราชาภูติ! ดังนั้นข้าจะไม่ยอมรับว่าเจ้าคือกษัตริย์ของเราอีกแล้ว!”ราชาเผ่าปิโม่ซือยังไม่ยินยอมง่ายๆ


 


“ใช่!”


 


“เจ้าน่ะเป็นกษัตริย์มิได้อีกต่อไปแล้ว”


 


“จงสละราชบัลลังก์ด้วยตนเองเสีย”


 


ราชาเผ่าอีกสามคนตะโกนขึ้นพร้อมกัน


 


กู่ฉิงซานยิ้ม


 


เขาหยิบคทาแห่งกษัตริย์ชูร่าขึ้นมาในมือแล้วกล่าวว่า “ข้าจะมอบสิ่งนี้ให้แก่พวกเจ้าก็ได้ แต่รู้หรือไม่ ว่ากษัตริย์ชูร่าน่ะมีได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น … ”


 


สี่ราชาเผ่าชูร่าหันมามองหน้ากันด้วยความลังเล


 


กู่ฉิงซานกล่าวต่อไป “มันจะดีกว่าไหม หากเราเลือกกษัตริย์องค์ใหม่ในตอนนี้ – หากเป็นเรื่องนี้ ตัวข้าเองก็เห็นด้วยเช่นกัน”


 


“มาเถอะ ในเมื่อพวกเจ้าทุกคนก็อยู่ที่นี่แล้ว จงสำแดงให้ทุกคนได้เห็นเถอะ ว่าผู้ใดกันที่แข็งแกร่งที่สุด!”


 


ทันทีที่กล่าวจบ เขาก็โยนคทากษัตริย์ชูร่าออกไป


 


คทาชูร่าถูกโยนตั้งตรงลงเบื้องหน้าทั้งสี่อย่างมั่นคง


 


มันคือคทาที่เป็นตัวแทนแสดงถึงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรชูร่า!


 


ราชาเผ่าปิโม่ซือ จ้องมองไปที่คทาและตะโกนออกมาว่า “ข้าต้องการที่จะเป็นกษัตริย์ พวกเจ้าทั้งสามจงถอนตัวออกไปซะ”


 


“เจ้าน่ะหรือ? ด้วยระดับกำลังรบเพียงเท่านั้นของเจ้าเนี่ยนะ? น่าขันนัก!” ราชาเผ่าลั่วเฉียนทั่วถากถาง


 


“มีข้าอยู่ที่นี่ทั้งคนแล้ว พวกเจ้ายังจำเป็นต้องต่อสู้เพื่อชิงราชบัลลังก์กันอยู่อีกหรือ?” ราชาเผ่าโปซือกล่าวรำไร


 


ราชาเผ่าปิโม่ซือตะโกนด้วยความโกรธ “งั้นก็ดี ในเมื่อตัวแทนจากแต่ละชนเผ่าก็อยู่ที่นี่ เช่นนั้นข้าจะแสดงให้ทุกคนได้ให้เห็นเองว่าระหว่างเราทั้งสี่ใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน!”


 


ราชาเผ่าลั่วซุ่ยจู่ๆก็เอ่ยขัดขึ้นมา “หยุดนะ! พวกเจ้าอย่าตกหลุมพรางของเขาสิ”


 


เขาเอ่ยต่อ “กษัตริย์ชูร่ากำลังต้องการให้พวกเราฆ่ากันเองนะ!”


 


ราชาเผ่าทั้งสี่หันศีรษะขวับ! ไปทางกษัตริย์ชูร่า


 


กู่ฉิงซานหัวเราะออกมา


 


“คทาก็อยู่ตรงหน้าแล้ว แต่พวกเจ้ากลับไม่มีความกล้าที่จะรับมัน เช่นนั้นยังจะมีหน้ามาอยากได้ตำแหน่งกษัตริย์อาชูร่าอยู่อีกหรือ?”


 


เขาผุดลุกขึ้น และกล่าวกับฝูงชนทั้งหมดว่า “จดจำได้หรือไม่ ในอดีตที่ผ่านมายามข้าได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ข้าได้มีชัยเหนือผู้ท้าท้ายกว่า 79 คน!”


 


เกิดความสับสนวุ่นวายขึ้นในหมูอาชูร่า


 


นี่เป็นเรื่องจริง และแม้จะผ่านมานานปี แต่เหล่าอาชูร่าก็ยังจดจำวันนั้นได้เสมอมา


 


ครานั้น มันเป็นการต่อสู้เพื่อราชบัลลังก์ที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่ง


 


“ใครก็ได้ ไหนลองบอกข้ามาซิ ว่าอาชูร่าเคยมีกษัตริย์องค์ใดที่มิกล้าต่อสู้บ้างหรือไม่!?” กู่ฉิงซานยังคงตะโกนต่อ


 


“ไม่มี!”


 


“ไม่เลยสักครั้ง!”


 


“ไม่กล้าที่จะต่อสู้ แล้วจะเป็นกษัตริย์ได้อย่างไร!”


 


เหล่าอาชูร่าตนแล้วตนเล่าเริ่มโห่ร้องตะโกน


 


“เป็นเวลาหลายพันปีมาแล้ว ที่จำต้องมีต่อสู้ด้วยเลือดและเนื้ออันเข้มข้นเพื่อราชบัลลังก์ เรื่องนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่?” กู่ฉิงซานเค้นเสียง


 


“ไม่!”


 


เหล่าอาชูร่าทั้งหมดระเบิดเสียงตะโกนออกมา


 


พอปลุกใจจนจบ กู่ฉิงซานก็นั่งลงบนช้างยักษ์อีกครั้ง


 


เขาจ้องมองไปยังราชาเผ่าลั่วซุ่ยที่อยู่เบื้องล่างและกล่าว่วา “หากมิกล้าสู้ ก็จงถอนตัวการจากการท้าทายชิงราชบัลลังก์เสีย”


 


ราชาเผ่าลั่วซุ่ยมิได้เอ่ยสิ่งใด


 


ทุกอย่างที่อีกฝ่ายเปล่งวาจาออกมาล้วนเป็นจริงทั้งสิ้น


 


นี่ช่างเป็นอุบายพลิกกระดานที่เหนือความคาดหมายนัก!


 


ขณะเดียวกันพวกเขาทั้งสี่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะโจมตีอีกฝ่าย เพราะอีกฝ่ายได้ยินยอมสละราชบัลลังก์แล้ว


 


และในเวลานี้ ดันเป็นพวกเขาเองที่มิกล้าต่อสู้เพื่อชิงราชบัลลังก์ เช่นนั้นต่อให้คว้าคทามาได้ สุดท้ายพวกเขาก็จะถูกชูร่าทุกตนปฏิเสธอยู่ดี


 


เมื่อราชาเผ่าลั่วซุ่ยคิดมาถึงจุดนี้ จิตใจของเขาก็ถูกแผดเผาไปด้วยความโกรธ


 


เพราะท้ายที่สุดนี้ ไม่ว่าอย่างไรตัวเขาก็คืออาชูร่า!


 


“เอาล่ะ ในฐานะที่ข้าแข็งแกร่งที่สุด ข้าจะขอรับเอาราชบัลลังก์มาก่อนก็แล้วกัน จากนั้นจึงค่อยมาจัดการกับเจ้าอีกที”


 


ราชาเผ่าลั่วซุ่ยกล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม


 


แต่ทางฝั่งกู่ฉิงซานกลับยิ้ม เขาแบมือออกเพื่อส่งสัญญาณให้แก่ราชาเผ่าลั่วซุ่ย


 


ราชาเผ่าลั่วซุ่ยหันหลังกลับไปตามมือที่แบมา


 


แล้วก็พบว่าราชาเผ่าอีกสามคนกำลังจ้องมองเขาด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยเจตนาสู้!


 


บนช้างยักษ์ เสียงของกู่ฉิงซานได้ลอยตามลงมาในอากาศ


 


“จงเริ่มการต่อสู้ระหว่างพวกเจ้าซะ!”


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.408 – การต่อสู้ของฉานนู่


 


กู่ฉิงซานนั่งอยู่บนช้างยักษ์ เขาเบื่อหน่ายแทบตายแล้วตอนนี้


 


เพราะการต่อสู้ระหว่างราชาเผ่าอาชูร่าทั้งสี่เบื้องล่าง มันมิได้ดึงดูดความสนใจจากเขาเลย


 


ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเขาได้รับความทรงจำจากการต่อสู้ทั้งหมดของกษัตริย์ชูร่ามาแล้วก็ได้


 


ในสายตาของกู่ฉิงซาน หากเทียบกับกษัตริย์อาชูร่าแล้ว สภาพของราชาเผ่าทั้งสี่ในตอนนี้ดูจะแย่กว่าเขาเล็กน้อย


 


บางทีมันอาจจะเป็นเพราะที่ต่อสู้อยู่ตรงหน้าล้วนคืออาชูร่า ผู้ซึ่งกระหายเลือดและความรุนแรง!


 


สี่ราชาเผ่าเผ่าได้ทุ่มเต็มที่แล้ว


 


เกรงว่าอีกไม่นาน ผู้ชนะก็จักปรากฏ


 


“นี่มันเป็นปัญหาที่ช่างน่ารำคาญจริงๆ”


 


กู่ฉิงซานพึมพำเสียงกระซิบ


 


แต่แล้วทันใดนั้นดาบขุนเขาเทวะหกโลกาจู่ๆก็ปรากฏร่างขึ้นข้างกายเขา


 


ตามด้วยเสียงของฉานนู่ที่ดังขึ้น


 


“นายน้อย อีกประเดี๋ยวก็จะถึงทีของท่านสู้แล้วใช่หรือไม่”


 


“ก็อาจจะนะ”


 


“แต่ด้วยสภาพร่างกายเจ้าที่เป็นเช่นนี้ ข้าเกรงว่าคงจะไม่ไหว”


 


“ขอลองพยายามดูก่อนก็แล้วกัน”


 


“มันจะไม่ดีกว่าหรือถ้า … เอาเถอะ เจ้าไม่ต้องหรอก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเองก็แล้วกัน”


 


“เอ๋?”


 


กู่ฉิงซานถูกดึงดูดด้วยคำเหล่านั้นทันที


 


…..


 


เบื้องหน้าช้างยักษ์


 


บทสรุปของการต่อสู้ชิงราชบัลลังก์ได้จบลง


 


สามคู่แข่งนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนพื้น


 


หนึ่งตกตาย หนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะที่อีกหนึ่งสิ้นสติ


 


คนเดียวที่ยังยืนหยัดอยู่ได้คือราชาเผ่าลั่วซุ่ย


 


เหมือนดั่งที่เคยเปล่งวาจามั่นอกมั่นใจ เพราะเขาคือผู้ชนะคนสุดท้ายจริงๆ


 


กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว


 


เห็นแค่เพียงร่างของราชาเผ่าลั่วซุ่ยที่อาบไปด้วยเลือด และกำลังพยายามพยุงกายตนเองโดยใช้ดาบค้ำยันเอาไว้


 


เขาก้าวไปข้างหน้า ตรงไปยังคทาแห่งกษัตริย์อาชูร่าเพื่อหมายจะคว้าจับมัน


 


เหล่าอาชูร่าเผ่าลั่วซุ่ยต่างระเบิดเสียงโห่ร้องออกมา


 


กู่ฉิงซานโบกมือ


 


แล้วคทาแห่งกษัตริย์อาชูร่าก็ลอยกลับคืนมายังช้างยักษ์


 


“เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” ราชาเผ่าลั่วซุยเอ่ยถามเสียงแข็ง


 


กู่ฉิงซานวางคทาแห่งอาชูร่าลงบนหลังช้าง


 


เขาเอียงคอและหักมันไปมา


 


“ตามกฏของเผ่า ข้าจักต้องเป็นผู้ส่งมอบคทาต่อด้วยตนเอง”


 


“เช่นนั้นเจ้าก็จงเอามันลงมาให้ข้าเสีย!” ราชาเผ่าลั่วซุ่ยตะโกน


 


กู่ฉิงซานยิ้ม


 


ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาผุดออกมาจากความว่างเปล่าและถูกคว้าจับโดยเขา


 


เขาลุกขึ้นอย่างช้าๆ


 


“เจ้าก็ขึ้นมารับมันไปซี” เขาเอ่ยลอยๆ


 


“แต่ข้าบาดเจ็บหนัก-” ราชาเผ่าลั่วซุยตะโกนออกมา


 


“นั่นสิ เช่นเดียวกันกับข้าเลย” กู่ฉิงซานกล่าวเห็นด้วย


 


ราชาเผ่าลั่วซุ่ยหุบปากลงทันที


 


เขาสาดสายตามองกู่ฉิงซานชนิดหัวชนฝา


 


ไม่คาดหวังเลยว่า แผนที่พวกตนทั้งสี่ได้วางเอาไว้ เพื่อเตรียมที่จะบังคับให้อีกฝ่ายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสหลีกทางไปให้พ้นๆ


 


ในท้ายที่สุดแล้วสถานการณ์มันจะกลับกลายเป็นเช่นนี้


 


กองทัพอาชูร่าทั้งหมดยังคงเงียบ


 


ใช่ ราชาเผ่าลั่วซุ่ยน่ะบาดเจ็บหนัก


 


ทว่ากษัตริย์อาชูร่าก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน และในจุดนี้คำปฏิญาณสาบานแห่งสวรรค์และโลกก็เป็นพยานได้


 


กล่าวได้ว่าจนกระทั่งถึงตอนนี้ หากจะต่อสู้กันก็นับว่ายุติธรรมแล้ว


 


“ถ้าเจ้าไม่กล้าที่จะขึ้นมารับมัน เช่นนั้นข้าก็จะขอเก็บคทาแห่งกษัตริย์เอาไว้เองก็แล้วกันนะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ราชาเผ่าลั่วซุ่ยกัดฟันกรอด


 


หากอิงตามข่าวที่ได้รับมา อีกฝ่ายบาดเจ็บรุนแรงยิ่งกว่าตนมากนัก


 


ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วล่ะก็  จะปล่อยมันไปไม่ได้!


 


ราชาเผ่าลั่วซุ่ยได้ตัดสินใจแล้ว


 


“คทากษัตริย์จะได้รับนายคนใหม่ของมันในวันนี้!”


 


ว่าแล้วเขาก็กระโจนสูงขึ้นไปบนหลังของช้างยักษ์


 


ดาบโค้งถูกวาดออกไป พร้อมด้วยประกายแสงคมกล้าที่เบ่งบาน


 


กู่ฉิงซานมองไปยังประกายคมแสง ทว่ามิได้เคลื่อนกายหลบเลี่ยง


 


ทันใดนั้นดาบขุนเขาก็พรวดออกจากมือของเขา


 


ดาบยาวลอยออกไปปะทะเข้ากับดาบโค้ง


 


ท่าทีของราชาเผ่าลั่วซุ่ยแปรเปลี่ยนเป็นถมึงทึง ประกายคมแสงแตกตัวออกในทันใด แปรสภาพเป็นคมสะบั้นต่อเนื่องกว่า 36 ครั้ง!


 


แต่ดาบยาวก็ไม่ยอมน้อยหน้า มันแปรเปลี่ยนเป็นภาพติดตา แล้วหวดสวนกลับไป 36 ครั้งเช่นกัน


 


เทคนิคดาบ ตัดสายลม!


 


นี่คือเทคนิคดาบของกู่ฉิงซาน!


 


หากมองในมุมมองสายตาของกู่ฉิงซาน คุณจะสามารถเห็นได้ว่าฉานนู่กำลังถือดาบขุนเขาเทวะหกโลกาฟาดฟันกับราชาเผ่าลั่วซุ่ยอยู่


 


อย่างไรก็ตาม ในมุมมองสายตาของคนอื่นๆ จะสามารถเห็นได้แค่เพียงดาบยาวที่พุ่งตัดไปมาท่ามกลางอากาศที่ว่างเปล่าเท่านั้น มิอาจมองเห็นถึงร่างของฉานนู่ได้


 


“เทคนิคดาบเช่นนี้ มันก็งั้นๆ” ราชาเผ่าลั่วซุ่ยกล่าวหยัน


 


ทันใดนั้นเขาก็เปลี่ยนยุทธวิธีอย่างฉับพลัน


 


เปลวไฟลุกโชนขึ้นจากตัวใบดาบโค้ง


 


ด้วยการเปลี่ยนแปลงนี้ ส่งผลให้จังหวะการเคลื่อนไหวของราชาเผ่าลั่วซุ่ยหยุดชะงักลงเสี้ยวหนึ่ง


 


และมันก็มิอาจเล็ดลอดดวงตาอันเฉียบคมที่กำลังเปล่งประกายของฉานนู่ไปได้!


 


ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาแปรสภาพเป็นรังสีดาบยักษ์สีนวลราวแสงจันทร์ กวาดข้ามออกไปทั่วฟ้า!


 


เทคนิคลับแห่งดาบ ตัดจันทรา!


 


สีหน้าของราชาเผ่าลั่วซุ่ยแปรเปลี่ยนกลับกลาย เขารีบเหวี่ยงกระบวนท่าดาบโค้งที่ยังไม่สมบูรณ์ออกไปปัดป้อง


 


แต่ใครจะรู้ ว่ารังสีดาบกลับถูกตัดจนแยกออกเป็นครึ่งอย่างง่ายดาย จะหวนกลับมาลอบสังหารเขาอย่างกระทันหัน!


 


ทั้งเนื้อทั้งตัวของราชาเผ่าราวกับถูกโยนตกลงในความสับสน ท่าทีแปรเปลี่ยนไปในฉับพลัน


 


ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!


 


‘ข้าสะบั้นกระบวนท่านั้นไปแล้วแท้ๆ’


 


ทั้งๆที่สามารถปัดป้องมันได้ในที่สุด


 


แต่ดาบอีกเล่มหนึ่งกลับปรากฏขึ้น และแทงทะลุเข้าหัวใจจากเบื้องหลังเขา!


 


เทคนิคลับแห่งดาบที่สอง


 


กลืนกินหวนกลับ!


 


นี่คือเทคนิคลอบสังหารแห่งดาบ


 


ฉานนู่ได้ใช้เทคนิคลอบสังหารแห่งดาบของกู่ฉิงซาน!


 


ดวงตาของราชาเผ่าลั่วซุ่ยเบิกกว้าง เขาก้มลงมองดาบที่แทงทะลุหน้าอกตนเองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา


 


“นี่มันคือ … เทคนิคดาบ … อันใดกัน .. ”เขาขยับปาก เปล่งวาจาแต่ละคนออกมาอย่างไม่ยินยอม


 


ในความว่างเปล่า เสียงของผู้หญิงที่ฟังดูเย็นชาก็ดังขึ้น


 


และเสียงนี้ ก็มีเพียงราชาเผ่าลั่วซุ่ยเท่านั้นที่สามารถได้ยินมันได้


 


“ก็เทคนิคดาบที่มีไว้สังหารเจ้าอย่างไรเล่า”


 


พอได้ฟัง รูม่านตาของราชาเผ่าก็หดวูบลงทันที


 


เขาชี้นิ้วไปทางกู่ฉิงซานราวกับต้องการจะเอ่ยอะไรบางอย่าง


 


อย่างไรก็ตาม พลังชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งหมดกลับเหือดหายออกไปจากกายเขาจนสิ้นเสียแล้ว


 


ราชาเผ่าลั่วซุ่ยล้มลงกับพื้น และสิ้นใจลงไปอย่างสมบูรณ์


 


ดาบขุนเขาลอบกลับมา และตกลงในมือของกู่ฉิงซาน


 


กู่ฉิงซานก้มลงมองดูรายละเอียดของดาบ


 


ตามตัวของดาบยาวเปล่งประกายสดใสราวกับหยาดน้ำค้าง


 


ขณะที่มีไอเย็นจางๆที่ทำให้รู้สึกสดชื่นแผ่ออกมาจากใบดาบ


 


นี่คือดาบ ‘อมตะ’ , ดาบที่ ‘แหกสิ้นทุกกฏเกณฑ์’ และเป็นดาบที่ ‘ทรงภูมิปัญญา!’


 


หัวในของกู่ฉิงซานเต้นครึกโครม เขาอดไม่ได้ที่จะย้อนคิดไปถึงฉากเมื่อครู่นี้


 


…..


 


“เจ้าหมายความว่าเจ้าสามารถเผชิญหน้ากับศัตรูได้ด้วยตนเองใช่หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“ใช่ ตัวข้าแตกต่างออกไปจากจิตแห่งดาบตนอื่นๆ ข้าสามารถต่อสู้ด้วยตนเองได้อย่างอิสระ” ฉานนู่กล่าว


 


ในความเป็นจริงแล้ว หากไม่มีผู้ฝึกดาบที่คอยสำแดงเทคนิคดาบ ดาบบินทั่วๆไปจักไม่อาจต่อกรกับศัตรูได้


 


ยกเว้นไว้แต้ว่าหากดาบบินเล่มนั้นมีจิตอาร์ติแฟค จิตแห่งดาบก็จะสามารถใช้ออกด้วยเทคนิคพื้นฐานบางกระบวนท่า ในการกวัดแกว่งต่อกรกับศัตรูได้


 


ก่อนหน้านี้ภายในถ้ำมืด ดาบพิภพเพียงลำพังก็สามารถต่อกรกับเผ่ามารมากมายในถ้ำได้


 


แต่ตอนนี้ ฉานนู่กล่าวว่าตัวเองแตกต่างกับจิตแห่งดาบตนอื่นๆ เธอมีรูปแบบการต่อสู้ที่เป็นอิสระ แตกต่างกันออกไป


 


“แล้วมันแตกต่างกันอย่างไร?” กู่ฉิงซานทนไม่ไหวต้องเอ่ยถาม


 


“ถึงจะกล่าวแบบนั้น แต่ข้าก็ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าด้วย”


 


“ช่วยเหลือที่ว่า ใช่ให้ข้าเป็นผู้ควบคุมดาบหรือไม่? หากเป็นเช่นนั้นมิได้หมายความว่าเป็นข้าหรอกหรือที่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรู?”


 


“ไม่หรอก อันที่จริงแล้วเป็นข้านี่แหละที่จะออกไปเผชิญกับศัตรู ส่วนเจ้าขอเพียงแค่ทำตามที่ข้าต้องการเท่านั้น-แล้วเจ้าเต็มใจหรือไม่?”


 


“แน่นอนว่าต้องเต็มใจอยู่แล้ว ว่าแต่จะให้ข้าทำอย่างไร?”


 


“ปล่อยสำนึกเทวะของเจ้าออกมา แล้วทำการเชื่อมต่อทะเลแห่งห้วงสติเข้ากับข้า”


 


กู่ฉิงซานทำตามที่อีกฝ่ายเอ่ยขอ


 


แล้วดาบขุนเขาเทวะหกโลกาก็บินเข้าไปในทะเลแห่งห้วงสติของเขาทันที


 


นี่คือความแตกต่างระหว่างนักดาบนิรันดร์กับผู้ฝึกดาบ


 


นักดาบนิรันดร์จะสามารถรับดาบเข้าไปในทะเลแห่งห้วงสติได้


 


เพื่อให้บรรลุเข้าสู่นักดาบนิรันดร์อีกครั้ง กู่ฉิงซานยังเคยได้รับภารกิจที่จำเป็นต้องรับเอาดาบเช่าหยินให้เข้ามาสู่ทะเลแห่งห้วงสติอีกด้วย


 


และในเวลานี้ ดาบที่กำลังเข้าสู่ทะเลแห่งห้วงสติของเขา … คือดาบจากปรภพ!


 


เห็นแค่เพียงในทะเลแห่งห้วงสติ ดาบขุนเขาเทวะหกโลกากลับกลายเป็นแสงสวรรค์เรืองรองหายไป และไม่นานนักก็ค่อยๆกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง


 


“เอ๋?” กู่ฉิงซานยกคิ้วขึ้นสูง


 


บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หลายบรรทัดข้อความเด้งแจ้งเตือนขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


“คุณได้อนุญาตให้ดาบขุนเขาเทวะหกโลหาเชื่อมต่อกับทะเลแห่งห้วงสติของคุณ”


 


“ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาได้รับทักษะและประสบการณ์การต่อสู้ของคุณทั้งหมดแล้ว”


 


“แจ้งเตือน : คุณได้ค้นพบพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สามของดาบขุนเขาเทวะหกโลกา : ทรงปัญญา”


 


“ ‘ทรงปัญญา’ : ด้วยการอนุญาตของคุณ ฉานนู่จะสามารถเรียนรู้ทักษะและประสบการณ์ต่อสู้ทั้งหมดของคุณได้ และเธอจะสามารถใช้ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาเพื่อต่อสู้ให้คุณ หรือต่อสู้เคียงข้างกันกับคุณ”


 


“คำอธิบาย : เมื่อฉานนู่เริ่มใช้งานพลังศักดิ์สิทธิ์นี้ เธอจะสามารถเลือกว่าจะซ่อนหรือเปิดเผยร่างของเธอแก่ใครก็ได้”


 


“คำแนะนำจากระบบ : ฉานนู่ครอบครองพลังอำนาจจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งคุณแข็งแกร่งเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งสามารถปลดปล่อยความแข็งแกร่งออกมาได้มากขึ้นเท่านั้น – มดแมลงเช่นคุณไม่คิดว่าควรจะรีบแข็งแกร่งให้มันเร็วๆขึ้นสักหน่อยหรือ?”


 


กู่ฉิงซานจ้องมองดูตัวอักษรเหล่านี้


 


โดยไม่รู้ตัว ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาก็บินออกมาจากทะเลแห่งห้วงสติ และค่อยๆตกลงข้างกายเขาอย่างเงียบๆ


 


“นายน้อย ตอนนี้ข้าพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อท่านแล้วนะ”


 


กู่ฉิงซานได้สติกลับคืน


 


“ …. ฉานนู่ …”


 


“อะไรหรือนายน้อย?”


 


“พลังอำนาจที่เจ้าครอบครองช่างร้ายกาจเหลือเกิน พวกเทพปรภพได้ทราบถึงเรื่องนี้บ้างหรือไม่?”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม