Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ 381-394
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.381 – ต่อสู้กับการล่มสลายของโลก
หลังจากที่กู่ฉิงซานได้จากไป
วิลล่าบนหุบเขาก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
“นายคิดว่ายังไง?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถามขึ้นทันใด
“บอกไม่ถูกเหมือนกัน” เย่เฟย์หยูตอบ
เขาสองแขนยกขึ้นกอดอก สองตาเฝ้าสำรวจกู่ฉิงซานที่กำลังนั่งอยู่ในท่วงท่าสมาธิ
“แต่ที่แน่ๆ หากไม่นับเขา ก็คงเป็นฉันนี่แหละที่แข็งแกร่งที่สุดในโล-”
ซางหยิงฮ่าวขัดจังหวะอีกฝ่าย “ถ้าไม่นับกู่ฉิงซาน ก็คงเป็นฉันนี่แหละที่แกร่งที่สุด”
ซางหยิงฮ่าวกล่าวต่อ “บอกตรงๆฉันรู้สึกอิจฉาเจ้าหมอนี่อยู่นิดหน่อยเหมือนกัน ในฐานะนักฆ่า ฉันยังไม่เคยสัมผัสมาก่อนเลยว่าเวลาตายมันจะรู้สึกยังไง”
เย่เฟย์หยูเงียบไปครู่หนึ่ง และทนไม่ไหวจนต้องพูดออกมา “ถ้าความแข็งแกร่งฉันมากพอ ตัวฉันเองก็คงจะได้ตามเขาเข้าไปสำรวจปรภพแล้ว”
“ใช่ เรื่องนี้นับว่าน่าสนใจมากๆทีเดียว ความจริงแล้วพวกเราทั้งสามคนควรที่จะไปด้วยกัน” ซางหยิงฮ่าวกล่าว
เย่เฟย์หยูมองดูเขาและกล่าว “ถ้านายต้องการที่จะต่อสู้เคียงบ่าเครียงไหล่กับกู่ฉิงซาน นายจะต้องเพิ่มพูนพื้นฐานวรยุทธให้มันเร็วกว่านี้ ใช่ไหมเจ้าปราณปรับแต่งขั้น 7”
“แกก็ด้วยแหละ เจ้าขั้นก่อตั้งเอ๊ย”
“ยังไงซะ ขั้นก่อตั้งก็ยังดีกว่า หากเทียบกับนาย”
“แต่ขั้นก่อตั้ง ก็กระจอกยิ่งกว่ากู่ฉิงซานอยู่ดี”
“ก็ยังดีกว่านาย”
“ได้ ได้เลย ไม่จบใช่ไหมเจ้าผีดิบนักฆ่า?”
……
กู่ฉิงซานออกจากโลก และก้าวเข้าสู่มิติอันเชี่ยวกราดอีกครั้ง
ทว่าการมาคราวนี้ เขาไม่ได้หันไปมองรอบๆด้วยความสับสนอีกต่อไป แต่กลับยืนนิ่งๆ และพยายามสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงรอบตัว
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังงานจางๆค่อยๆปรากฏออกมาจากทุกทิศทาง
ในหัวใจของกู่ฉิงซานเต้นครึกโครมขึ้นทันใด
พลังงานนี้ ค่อยๆห่อหุ้มกายเขาอย่างช้าๆ และฉุดดึงเขาไปตามทิศทางของมิติที่ว่างเปล่า
กู่ฉิงซานยืนนิ่ง ไม่ได้ขยับตัวใดๆ
ในสายตาของเขา จู่ๆก็ปรากฏหลายบรรทัดเส้นแสงหิ่งห้อยขึ้นมาอย่างกระทันหัน
“ค้นพบว่าผู้เล่นได้กระตุ้นเนื้อเรื่องของโลกที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน”
“ค้นพบว่าพื้นฐานวรยุทธของผู้เล่นอยู่ในขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลาย”
“สถานะปัจจุบันสอดคล้องกับเงื่อนไขการเริ่มต้นภารกิจ”
“เริ่มต้นภารกิจ : ต่อสู้กับการล่มสลายของโลก”
หลังจากที่กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่าน เส้นแสงระยับเหล่านั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว
แล้วกระแสแสงใหม่ก็ไหลข้ามเข้าผ่านเข้าในหน้าต่างระบบเทพสงคราม ทว่าคราวนี้ ตัวอักษรใหม่ที่ปรากฏขึ้นกลับมีสีเลือด!
“คุณได้ทำลายห่วงโซ่แห่งโชคชะตาและเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ผู้เล่นกู่ฉิงซานได้เข้าสู่ ภารกิจแห่งโชคชะตา”
“คำอธิบายภารกิจ : เมื่อโลกกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการล่มสลายเกินกว่าจะแก้ไขได้ แต่แล้วคุณกลับสามารถค้นพบวิธีเดินทางไปสู่ปรภพได้ เพื่อทำการค้นหาสาเหตุของภัยพิบัติ – ซึ่งนับว่าเป็นเหตุการณ์อันหาได้ยากยิ่ง และหากสำเร็จ มันจะช่วยให้ชะตากรรมของโลกทั้งใบหักเหไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้”
“วัตถุประสงค์ภารกิจ : โปรดทำทุกอย่างที่คุณสามารถทำได้เพื่อช่วยเหลือปรภพและโลกมนุษย์”
“หลังจากที่ภารกิจลุล่วง คุณจะได้รับรางวัลสำหรับเนื้อเรื่องพิเศษนี้ : พลังเทวะของเทพสงคราม (จากขอบเขตประทับเทพ)”
“หากภารกิจล้มเหลว ผู้เล่นจะถูกส่งตัวออกไปทันที และตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไป จะไม่สามารถกลับมาที่โลกจริงได้อีกเลย”
กู่ฉิงซานที่กำลังยืนอยู่หน้ารอยแยกมิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราด ได้กวาดสายตาอ่านหน้าต่างระบบเทพสงครามอย่างใจเย็น ก่อนจะเอ่ยถามว่า
“ไอ้ที่บอกว่าฉันจะถูกส่งตัวออกไปนี่คือยังไง? ไม่สามารถกลับไปยังโลกจริงได้อีกแล้วเลยอย่างงั้นหรอ?”
ติ๊ง!
ระบบเทพสงครามตอบ
“ใช่ หากภารกิจล้มเหลว ทางเดียวที่คุณจะรอดชีวิตคือ หนีไปยังมิติและห้วงเวลาที่ต่างออกไป ซึ่งเป็นช่องว่างระหว่างโลกเทวะและโลกอื่นๆ”
กู่ฉิงซานเงียบ ไม่ได้กล่าวอะไรกลับไป
ถ้าล้มเหลวฉันจะไม่มีวันได้กลับมาอีก?
งั้นก็หมายความว่าฉันจะไม่ได้พบเจอกับเหล่าคนคุ้นเคยกันอีกแล้วน่ะสิ …
เขาถอนหายใจและเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ฉันจะไม่ยอมล้มเหลวแน่นอน”
ระบบเทพสงครามกล่าวต่อว่า “นอกจากนี้ ร้องขอให้ผู้เล่นโปรดทราบว่า นับจากนี้ไป ผู้เล่นจะสามารถข่าย 100 แต้มพลังวิญญาณ เพื่อทำการเปิด ‘ฟังก์ชั่นตรวจสอบ’ ได้เป็นการชั่วคราว”
“ฟังก์ชั่นตรวจสอบ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ถูกต้อง ในมิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราดแห่งนี้ มีมอนสเตอร์และอสูรกายมากมายที่คุณไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับมัน และการใช้ฟังก์ชั่นตรวจสอบจะช่วยให้คุณรับรู้ถึงสถานการณ์และพลิกแพลงการกระทำของคุณได้” ระบบกล่าว
“แต่ฟังก์ชั่นนี้จะถูกยกเลิกหลังจากที่ผู้เล่นสามารถเข้าสู่ปรภพได้แล้ว”
“นี่มันฟังดูดีนี่นา ตกลง ฉันยอมจ่าย 100 แต้มพลังวิญญาณ” กู่ฉิงซานกล่าว
“จริงสิ แล้วนอกเหนือไปจากฟังก์ชั่นตรวจสอบแล้ว ระบบสามารถกำจัดมอนสเตอร์ให้ฉันได้รึเปล่า?” เขาเอ่ยถามอีกครั้ง
“การเอาชนะศัตรู ผู้เล่นจะต้องพยายามด้วยตัวเอง ระบบไม่สามารถทำแทนได้”
“นอกจากนี้ โปรดให้ความใส่ใจกับเกียรติยศศักดิ์ศรีของตัวคุณเองด้วย อย่าได้คิดเอ่ยถามถึงเรื่องนี้อีก มันดูไม่ดี” ระบบกล่าว
“ก็ได้ๆ เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความเสียดาย
ว่าจบ เขาก็เริ่มเคลื่อนที่ไปตามทิศทางที่มีพลังงานอันแสนคลุมเครือคอยฉุดดึงเขา
และเมื่อเวลายิ่งผ่านไป แรงฉุดดึงก็ค่อยๆทวีน้ำหนักมากขึ้น มันจึงง่ายต่อการแยกแยะทิศทาง
ท่ามกลางความว่างเปล่า กระแสลมเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง บังเกิดเป็นเส้นทางที่นำพาเขาไปยังทิศทางเบื้องล่าง
กู่ฉิงซานบัดนี้อยู่ในสภาพขนานกับพื้น แลคล้ายกำลังเดินย่ำลงมาจากกำแพงตึกสูง มุ่งหน้าลงไปในส่วนลึกของมิติที่ว่างเปล่า
และกระบวนการนี้ก็เป็นไปอย่างยาวนาน
ยิ่งลึกลง กระแสลมในมิติที่ว่างเปล่าก็เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเป็นเงาตามตัว
ดิ่งลงไป
ดิ่งลึกลงไปอย่างต่อเนื่อง
และก็ราวกับรับรู้ถึงการมาถึงของเขา กระแสลมอันรุนแรงได้โถมเข้ามาหนุนเสริม
ส่งผลให้อัตราเร็วในการดิ่งลงของเขาเร็วขึ้น เร็วมากขึ้นเรื่อยๆ
ราวกับกำลังวิ่งมาราธอนเต็มฝีเท้าลงสู่เหวลึก
ตลอดเส้นทาง มีการดำรงอยู่ของมอนสเตอร์แปลกตามากมายผ่านเข้ามา
แต่ความเร็วของกู่ฉิงซานมันไวเกินไป ดังนั้นทุกอย่างที่กล่าวถึงจึงไม่มีเวลามากพอที่จะหยุดเขา
กู่ฉิงซานนึกคิดในจิตใจ
แล้วดาบพิภพกับเช่าหยินก็ปรากฏออกมาจากในความว่างเปล่า เวียนวนรอบกายเขา
เมื่อมอนสเตอร์ปรากฏตัวขึ้น กู่ฉิงซานก็จะเตรียมตั้งท่าป้องกันก่อนเป็นอันดับแรก
เขาจะต้องระมัดระวังตัวให้มาก
เพราะการใช้ร่างจิตเดินทางไปยังปรภพ มันเป็นประสบการณ์ที่เขาไม่เคยกระทำมาก่อน
หลังจากที่ทิ้งดิ่งลงมายาวนานกว่า 2 ชั่วโมง ในที่สุดความเร็วของกู่ฉิงซานก็ค่อยๆชะลอตัวลงอย่างช้าๆ
เส้นทางเบื้องล่าง ปรากฏให้เห็นถึงถ้ำอันมืดมิดที่ทอดยาวกว้างออกไปกว่าหลายกิโลเมตร
กู่ฉิงซานวนอยู่เหนือปากถ้ำอย่างเงียบๆ
ตัวเขาในร่างจิตที่ย่ำขนานอยู่บนเส้นทางมิติ นับว่าเล็กจ้อยนักหากเทียบเปรียบกันกับขนาดถ้ำแห่งนี้
รอบๆถ้ำถูกปกคลุมไปด้วยกระแสน้ำสีเทา แม้คุณจะอยู่ในระยะไกลออกไป แต่ก็ยังสามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน
ขณะบางส่วนของถ้ำเหล่านี้เต็มไปด้วยควันสีดำ และบางทีก็มีเสียงคำรามและเสียงหอนนับไม่ถ้วนดังลอดออกมา
ขณะเดียวกันบางส่วนของถ้ำเหล่านั้น มีบ้างที่จะปรากฏเป็นเมฆแสงหลากสี และมีท่วงทำนองเพลงอันไพเราะขับขานมาตามสายลม
กู่ฉิงซานไม่คิดเคลื่อนกายใดๆ มิได้ความสนใจหรืออยากรู้อยากเห็นที่จะไปสำรวจพวกมัน
เพราะเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว เขาจะต้องระมัดระวังตัวให้มากเข้าไว้
ร่างใหญ่เองก็ได้เตือนเขาเอาไว้เช่นกันว่า ‘หากเข้าไปผิดถ้ำ ตัวเองจะไม่สามารถกลับออกมาได้อีกเลย’
กู่ฉิงซานเค้นสมองอยู่นาน และในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเลือกว่าจะลงไปตามถ้ำที่มีแรงฉุดดึงเขา
ทว่าแม้จะตัดสินใจแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังไม่คิดขยับเคลื่อนไหว
สายตาของเขาก้มลงมองขอบปากถ้ำ
โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อใด อยู่ๆก็มีมือโผล่ออกมา
มือนี้มีขนาดใหญ่โตยิ่ง ใหญ่ชนิดที่ว่ากระทั่งตัวของกู่ฉิงซานยังเล็กกว่าเล็บมือของมันด้วยซ้ำ
หลังจากที่มือนั้นปรากฏขึ้นได้ไม่นาน อีกมือหนึ่งของมันก็ปรากฏขึ้นตามมา
สองมือที่ว่าเอื้อมออกมาจากถ้ำ มันคว้าจับขอบปากถ้ำแต่ละฝั่งเอาไว้ ใช้เป็นที่ยึดจับเพื่อออกแรงดันส่วนอื่นๆของตนเองออกมา
ในเวลานั้นเอง เส้นแสงตัวอักษรบรรทัดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม
“ค้นพบรามสูรไร้พักตร์ มารอสูรปฐมบทแห่งความโกลาหล ความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธก่อกำเนิดขั้นปลาย”
ระหว่างอธิบาย หัวของมันที่ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกก็ผุดออกมาจากถ้ำมืด
รูปลักษณ์นี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นมารอสูร ปฐมบทแห่งความโกลาหลจริงๆ
มันคือรามสูรไร้พักตร์!
กู่ฉิงซานประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
เพราะที่นี่คือปากทางเข้าปรภพ แล้วมันจะไปมีรามสูรไร้พักตร์อยู่ได้อย่างไร!?
แถมดูจากลักษณะของมารตนนี้ บ่งบอกชัดเจนว่ามันมิได้ออกมาในฐานะร่างจิต – นั่นแสดงให้เห็นว่าก่อนหน้านี้มันได้เข้าสู่ตัวปรภพด้วยร่างเนื้อจริงๆ!
ปรภพสามารถเข้าไปได้เฉพาะจิตวิญญาณเท่านั้นมิใช่หรือ .. แล้วตัวมันสามารถทำแบบนี้ได้อย่างไร?
ในขณะนั้นเอง รามสูรก็ดูเหมือนจะสังเกตเห็นถึงตัวตนของเขาแล้วเช่นกัน มันระเบิดเสียงคำรามขึ้นทันใด
แต่กู่ฉิงซานกลับเพียงนึกคิดในจิตใจ
วูบบบ!
ดาบเช่าหยินบินฉวัดเฉวียนออกไปต้อนรับรามสูรไร้พักตร์ พร้อมกับเปล่งประกายรังสีดาบสีนวลขาวดั่งแสงจันทร์
ดาบสีจันทร์วาดผ่าน ม้วนเป็นวงรอบคอของรามสูร
และศีรษะของรามสูรก็หลุดจากบ่า ร่วงหล่นหายกลับลงไปในถ้ำอันมืดมิดทันที
ตามด้วยร่างกายทั้งหมดของมันที่ร่วงตามลง
ทว่าแม้จะสังหารศัตรูลงได้ แต่บนใบหน้าของกู่ฉิงซานกลับไม่แสดงออกถึงความสุขใดๆเลย
ผิดปกติ .. มีบางอย่างไม่ถูกต้อง
เขาจ้องมองเข้าไปในถ้ำอันมืดมิด
ภายในถ้ำ เต็มไปด้วยแสงและเงากระเพื่อมไปมาอย่างช้าๆ กระแสอากาศภายในไม่แน่ไม่นอน รวมไปถึงกลิ่นอายอันสับสนวุ่นวายและเสียงโวยวายที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ดูเหมือนว่าภายในถ้ำอันมืดมิดที่เป็นเส้นทางเข้าสู่ดินแดนของปรภพ จะถูกยืดครองไว้ด้วยบางสิ่งบางอย่าง ..
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.382 – ถ้ำมืด
เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายภายในถ้ำมืด หัวใจของกู่ฉิงซานก็เต้นครึกโครมในทันใด
กลับกลายเป็นว่าเผ่ามารได้ยึดครองเส้นทางระหว่างโลกกับปรภพไปซะแล้ว!
เขากล่าว “ระบบ ช่วยทำการตรวจสอบให้ฉันหน่อยสิ ว่าภายในถ้ำมีมารที่ฉันไม่รู้จักอยู่บ้างไหม”
ระบบเทพสงครามกล่าว “จากการตรวจสอบ พบว่าภายในถ้ำมืด มีเผ่ามารไม่ทราบชนิดอยู่เป็นจำนวนมหาศาล”
“การตรวจสอบทีละตัวค่อนข้างจะยุ่งยากเกินไป และจะส่งผลกระทบอย่างมากระหว่างการต่อสู้ ฉะนั้น ถ้าคุณต้องการตรวจสอบมันได้เลยตลอดเวลาแบบเรียลทาร์มจริงๆ จะต้องทำการจ่าย 10 แต้มพลังวิญญาณ/วินาที”
“10แต้มต่อวินาที? นั่นดูจะสูงไปสักหน่อยนะ”
กู่ฉิงซานกล่าวพลางครุ่นคิด
แต่เบื้องหน้าเขา สิ่งที่กำลังจะต้องเผชิญคือตัวตนที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนทั้งในโลกจริงและโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ หากไม่มีข้อมูลของพวกมัน เขาก็จะเสียเปรียบเป็นอย่างมากในการต่อสู้ครั้งนี้
กู่ฉิงซานเบนสายตาไปมองแต้มพลังวิญญาณ 2100 แต้มของตัวเองและพยักหน้า “ตกลง มาเริ่มกันเลย”
พร้อมกับคำพูดของเขา หน้าต่างระบบเทพสงครามก็ได้ส่งเสียง ‘ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด’ ออกมา
ตามด้วยหลายเส้นแสงหิ่งห้อยที่เลื่อนขึ้นมาบนหน้าต่างระบบ
“ระบบเทพสงครามกำลังเริ่มเข้าสู่ฟังก์ชั่นทำการตรวจสอบ”
“เริ่มต้นทำการซิงโครไนซ์กับจิตใจของผู้เล่น”
“เชื่อมต่อกับจิตสำนึกเทวะของผู้เล่นเรียบร้อยแล้ว”
“เริ่มต้นการสร้างระบบข้อมูล”
“ผู้เล่นสามารถตรวจสอบสายพันธ์ของมอนสเตอร์และความแข็งแกร่งของพวกมันได้แบบเรียลทาร์มแล้ว”
กู่ฉิงซานลองเพ่งความรู้สึกดู แต่เขากลับพบว่าบนตัวเอง ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปเลย
เขาเอ่ยถามแปลกๆ “แล้วฉันจะเริ่มตรวจสอบพวกมันได้ยังไง?”
“ก็ทำเหมือนดั่งเช่นปกติ ใช้งานจิตสัมผัสเทวะกวาดออกไป คุณก็จะสามารถรับรู้ได้ถึงสายพันธ์ของมอนสเตอร์พร้อมกับคำอธิบายที่ตรงกันทันที” ระบบตอบกลับ
“สะดวกขนาดนั้นเชียว?” คิ้วของกู่ฉิงซานยกสูงขึ้นอย่างไม่คาดคิด
แล้วเขาก็ปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา และกวาดมันเข้าไปในถ้ำ
แล้วเขาก็พบกับมอนสเตอร์ตัวแรกที่เกาะอยู่บนผนังถ้ำ มันมีรูปร่างเหมือนงูยาวสีขาว กำลังเกาะอยู่ในสภาพกลับหัวกลับหาง โดยใช้อุ้งเล็บจิกผนังส่วนบนของถ้ำมืด แล้วซุ่มรอจากเบื้องบนอย่างเงียบๆ
มอนสเตอร์ตัวนี้ไม่มีดวงตา ไม่มีเกล็ดบนร่างกาย ราวกับว่ามันกำลังถูกแช่อยู่ในน้ำ ทั้งเนื้อทั้งตัวเปียกเหนอะเฉอะแฉะ
ขณะที่ศีรษะของมันกำลังหันตรงมายังทิศทางของกู่ฉิงซาน พร้อมกันสองจมูกที่กำลังขยับฟุดฟิดๆอยู่
กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะลงไปยังมอนสเตอร์ตัวนี้ และทันใดนั้นข้อมูลก็เด้งเข้ามาในจิตใจของเขาอย่างฉับพลัน
“ ‘มารมังกรเลือดทมิฬ’ นี่คือเผ่ามารที่เก่งกาจในด้านการต่อกรกับจิตวิญญาณในมิติที่ว่างเปล่า ความแข็งแกร่งของมันสามารถเทียบเคียงได้กับผู้ฝึกยุทธขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลาย “
มารมังกรเลือดทมิฬ นี้ แท้จริงแล้วอยู่ในระดับเดียวกันกับกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะข้ามผ่านมอนสเตอร์ตัวนี้ไป เพื่อทำการสำรวจลึกลงไปมากขึ้น
ภายในถ้ำมืด ล้วนคราคร่ำไปด้วยเผ่ามาร
มันกระจุกรวมกันอยู่อย่างหนาแน่น ไม่มีที่สิ้นสุดตลอดทั้งถ้ำ
“มารกบกินกระดูก เป็นเผ่ามารที่มีความเชี่ยวชาญในการต่อสู้กับปรภพและหิวโหยเหล่าจิตวิญญาณมากเป็นพิเศษ สกิลที่โดดเด่นของมันก็คือสามารถพ่นเมือกเหลวที่หนืดเหนียวเป็นอย่างมากออกมาได้ มีระดับความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นกลาง”
“มอนสเตอร์กระดูกประชิด เป็นมารที่เชี่ยวชาญในการต่อสู้ระยะใกล้มากที่สุด สามารถสับสะบั้นเทคนิคมนตราจากธาตทั้งห้าได้ มีระดับความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธขอบเขตก่อกำเนิดขั้นปลาย
“หนอนร้อยกรงเล็บ … ”
…..
รายละเอียดของมอนสเตอร์นับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในจิตใจ แต่มันกลับไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสตินึกคิดของกู่ฉิงซานเลย
ตรงกันข้าม มันกลับทำให้กู่ฉิงซานรู้สึกราวกับว่าเขาคือคนที่ได้ต่อสู้กับมารเหล่านี้มานานนับหลายปี
กล่าวได้ว่าเขารู้ถึงรายละเอียดมอนสเตอร์แต่ละตัว ตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เป็นฟังก์ชั่นที่ดี!” กู่ฉิงซานเอ่ยแสดงความคิดเห็น
“แต้มพลังวิญญาณที่ได้รับมาก็ดีไม่เลวเหมือนกัน” ระบบกล่าว
ในจิตสัมผัสเทวะของกู่ฉิงซาน มารมังกรเลือดทมิฬกำลังค่อยๆเคลื่อนกายมายังทิศทางของเขาอย่างเงียบๆ
หลังจากผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ มารมังกรก็มาถึงเบื้องล่างของเขา
มันเงยหน้าขึ้น และมองมายังเขาที่ลอยอยู่ในความมืดมิด
กู่ฉิงซานโบกมือออกไปคว้าจับดาบพิภพ
ขณะเดียวกันก็ใช้นิ้วเกี่ยวด้ามจับของเช่าหยินมาไว้ตรงหลังมือ
เวลานี้สองดาบถูกเกาะกุมไว้ในหนึ่งมือของเขา
และร่างของกู่ฉิงซานก็หายวับไป
บรัช!
ตามด้วยร่างมังกรเลือดทมิฬถูกหั่นเป็นชิ้นๆโดยดาบของเขา
มันดิ้นเร่าๆด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะกระโดดหนีลึกลงไปตามผนังถ้ำด้วยความหวาดกลัว
แต่ดิ้นรนอยู่สักพัก สุดท้ายมันก็ตายไป
ศพของมังกรเลือดทมิฬร่วงตกลงจากเบื้องบน กระดูกในร่างของมันหล่นกระจัดกระจาย และระเบิดหมอกเลือดสีดำคล้ำกลุ่มหนึ่งออกมา
หมอกเลือดถูกพัดพาไปตามสายลมลึกเข้าไปในถ้ำ
กู่ฉิงซานเก็บดาบกลับคืน
เพียงหนึ่งดาบ กลับสามารถสังหารมารมังกรเลือดทมิฬที่อยู่ในระดับเดียวกันได้
แถมยังช่างง่ายดายยิ่ง กล่าวได้ว่าหากมีคนยืนดูอยู่ข้างๆ คนๆนั้นคงยากที่จะเชื่อสิ่งที่ตาตัวเองกำลังเห็นอยู่นี้เหมือนกัน
แต่ในความเป็นจริงแล้ว กู่ฉิงซานผู้เชี่ยวชาญในการต่อสู้เกี่ยวกับดาบ แถมยังครอบครองธาตุสายฟ้า ดังนั้นจึงย่อมเป็นธรรมดาที่จะเหนือยิ่งกว่าเผ่ามาร
ยิ่งหนุนเสริมด้วยสกิลธาตุสายฟ้า ‘ทัณฑ์ปีศาจ’ ที่เมื่อเผชิญหน้ากับเผ่ามาร อำนาจการทำลายล้างของผู้ฝึกยุทธจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 30 %!
ดังนั้น กล่าวได้ว่าแม้ตัวเขาจะมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับก้าวสู่เทพขั้นปลาย แต่หากพลังอำนาจถูกหนุนเสริมเพิ่มขึ้นอีก 30 % มันก็อาจเพียงพอที่จะระเบิดพลังในระดับประทับเทพขั้นต้นออกมาได้!
จึงพอสรุปโดยสังเขปได้ว่า หากต้องเผชิญหน้ากับเผ่ามาร ความแกร่งของกู่ฉิงซานจะเทียบเท่าได้กับ นักดาบนิรันดร์ในขอบเขตประทับเทพ!
กู่ฉิงซานร่อนลงไปยืนบนผนังของถ้ำ
และยื่นปลายดาบที่ทั้งใบชุ่มไปด้วยเลือดสีดำหยดลงไปภายใน
ฉากนี้ราวกับกำลังกระตุ้นเผ่ามารก็มิปาน
พวกมันสัมผัสได้ถึงกลิ่นเลือด และเริ่มถลาเข้าหากู่ฉิงซานอย่างบ้าคลั่ง
กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะผ่านมอนสเตอร์เหล่านี้ไป และข้อมูลทั้งหมดของพวกมันก็ผุดเข้ามาในจิตใจของเขา
สามมอนสเตอร์ไต่ขึ้นมาบนผนังหิน พวกมันอ้าปากและพยายามจะงับเขา
และสองดาบของกู่ฉิงซานก็วูบไหว
หลากรังสีดาบเจาะเข้าไปในความมืดมิด และระเบิด! ออกไปทุกทิศทาง
เหล่ามอนสเตอร์ที่ห้าวหาญถูกตัดเป็นชิ้นๆ เศษเนื้อของพวกมันกระจายไปทั่วตามสายลมจากแรงระเบิดของการฟาดฟันดาบ
สถานการณ์ภายในถ้ำมืดขณะนี้ คล้ายกับกำลังบังเกิดฝนเลือด
และแน่นอน กลิ่นอายเลือดจากเศษศพที่โปรยลงไป มันย่อมไปกระตุ้นความเดือดดาลของมอนสเตอร์จำนวนมาก พวกมันเริ่มแผดเสียงคำราม!
โฮกกกก!
บังเกิดเสียงคลื่นเสียงคำรามดุร้ายกังวานขึ้น
และเพียงครู่หนึ่ง ก็เริ่มมีเสียงคำรามดังสะท้อนขึ้นตามๆกันมา
ในเวลานี้เผ่ามารมากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ ได้เริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของกู่ฉิงซานแล้ว
อา .. จิตวิญญาณ … จิตวิญญาณที่พวกมันปรารถนาจะกลืนกิน!
ทั้งหมดเริ่มเคลื่อนไหว
เผ่ามารทั้งหมดภายในถ้ำมืด ราวกับน้ำที่ถูกต้มจนเดือด พวกมันกระเสียดกระสนพุ่งขึ้นมายังส่วนบนของปากถ้ำ
แต่กู่ฉิงซานกลับยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนผนังหิน
เขาทำการล็อคสมญาไปเป็น ‘ไพ่ตายนักฆ่า’ พร้อมทั้งปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป กวาดทั้งหมดลงไปยังเหล่ามอนสเตอร์
ณ ขณะนี้ ข้อมูลของหลายสิบมอนสเตอร์ถูกควบรวมมาที่เขา
กู่ฉิงซานจ้องมองเหล่ามอนสเตอร์และกล่าวว่า
“มาออกันที่หน้าปากทางเข้าปรภพกันขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ลองเข้าไปดูกันซะหน่อยล่ะ ว่าปรภพน่ะมันเป็นยังไง?”
มวลมอนสเตอร์โห่ร้อง และเข้าโอบล้อมร่างจิตของเขาอย่างแน่นหนา ชนิดหากมีน้ำขังอยู่ก็คงไม่มีรั่วไหลลงมาสักหยด
และแน่นอน ว่ามันย่อมไม่หมดเพียงเท่านี้ เหล่ามอนสเตอร์จากเบื้องล่างยังคงวิ่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง มากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ว่าจะเป็นจิตวิญญาณใดก็ตามที่พยายามจะเข้าสู่ปรภพ ล้วนถูกกลืนกินโดยพวกมันภายในถ้ำแห่งนี้
ในฐานะนักล่า กล่าวได้ว่าพวกมันเพลิดเพลินใจจริงๆ กับการล่าเหยื่อโดยที่ตนไม่ต้องออกแรงหรือเจ็บปวดเช่นนี้
ท่ามกลางความมืดมิด
กู่ฉิงซานเอ่ยปากออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ “ในเมื่อพวกแกเลือกที่จะดาหน้ากันออกมาต้อนรับซะขนาดนี้ ฉันก็ยินดีน้อมรับและจะสัมนาคุณส่งพวกแกกลับลงไปเอง!”
เสียงยังมิทันจะได้ตกลง ในความมืดมิด ก็พลันปรากฏบางสิ่งที่กำลังเบ่งบานขึ้นบนผนังถ้ำ
ร่างเงาของดาบบานสะพรั่งไปทั่ว – เทคนิคลับแห่งดาบ วาดเงา!
ร่างเงาสะพรั่งแยกย้ายกันออกไปในทันใด แปรเปลี่ยนสภาพตัวเองเป็นเส้นแสงสีดำร่ายรำไปทั่วบริเวณ
เผ่ามารบัดนี้ราวกับถูกจับโยนลงในเครื่องบดเนื้อ ตามร่างกายของพวกเว้นระยะห่างไม่ถึง1ชุ่น(2.5ซม.) ล้วนถูกเฉือนหั่น แล่เป็นชิ้นๆมิแตกต่างไปจากปลาดิบ!
เลือดสาดเทไปทั่ว
“คุณได้รับ 10 แต้มพลังวิญญาณ”
“คุณได้รับ 17 แต้มพลังวิญญาณ”
“คุณได้รับ 8 แต้มพลังวิญญาณ”
“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”
“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”
“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”
…….
กู่ฉิงซานเก็บดาบกลับคืน ก้มลงมองไปภายในถ้ำมืดเบื้องล่าง
ถ้ำกว้างหลายพันเมตร ในระยะสายตา บัดนี้ถูกเติมเต็มไปด้วยเผ่ามาร
และแม้ร่างพวกมันจะเปียกชุ่มไปด้วยเลือดและเนื้อจากซากศพสหายที่ร่วงหล่นลงมาจากเบื้องบน แต่พวกมันก็ยังมิยอมหวาดกลัวศัตรู เลือกที่จะดาหน้าเข้ามาไม่หยุดยั้งเพียงเพราะอดใจไม่ไหวที่จะได้กลืนกินจิตวิญญาณแสนอร่อย
กู่ฉิงซานเพียงนึกคิด แล้วดาบพิภพก็วูบออกไป
พร้อมกับสมญาเทพสงครามของเขาที่ถูกเปลี่ยนไปเป็น ‘นายพลชั้นโหยวจี’
“สมนาคุณพวกมันให้เต็มที่ไปเลย ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกมารจะต้านทานคมดาบของเจ้าได้” กู่ฉิงซานกล่าว
“ด้วยความยินดี!” ดาบพิภพฮึมฮัม
และมันก็แปรสภาพตัวเองเป็นกระแสแสง ทิ้งปลายอันแหลมคมดิ่งลงไปเชือดเฉือนเผ่ามาร
แต่ต้องรู้นะว่า ในความเป็นจริงแล้ว หากผู้ฝึกดาบมิได้ใช้สกิลดาบของพวกเขา และปล่อยให้ดาบบินธรรมดาโจมตีธรรมดาๆออกไป การกระทำเช่นนั้นย่อมมิอาจต่อกรกับศัตรูได้
ยกเว้นไว้แต่เพียงดาบบินที่ว่าจะมีจิตอาร์ติแฟคเท่านั้น เพราะด้วยจิตแห่งดาบที่มันมีในตัวเอง ดาบบินจึงจะสามารถใช้ออกด้วยสกิลขั้นพื้นฐานบางอย่างด้วยตนเองได้
และดาบพิภพก็ทิ้งตัวลงไป ปะทะเข้าไปในดงมาร
สับหัว
สับลำตัวและแขน
ตามด้วยช่วงล่างและขาอย่างรวดเร็ว!
และที่ดาบพิภพทำ ก็เพียงแค่กวัดแกว่งตัดเฉือนไปมา ไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากนั้นเลย
ทว่าตลอดทั้งภายในถ้ำมืด ไม่มีเผ่ามารตนใดเลยที่สามารถป้องกันการสะบั้นของคมดาบที่มีน้ำหนักกว่า 86.37 ล้านจินได้!
กู่ฉิงซานยืนนิ่งอยู่เบื้องบน เฝ้ามองดูดาบไล่สับเหล่ามารอย่างท่าทีสบายๆ
ขณะที่บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏข้อความเด้งแจ้งเตือนขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
“คุณได้รับ 17 แต้มพลังวิญญาณ”
“คุณได้รับ 11 แต้มพลังวิญญาณ”
“คุณได้รับ 21 แต้มพลังวิญญาณ”
…..
แม้ว่าฟังก์ชั่นตรวจสอบมาร มีความต้องการ 10 แต้มพลังวิญญาณในทุกๆวินาที แต่หลังจากที่สังหารพวกมันมายาวนานกว่า 1 ชั่วโมง กู่ฉิงซานกลับได้พลังวิญญาณเพิ่มขึ้นกลับมาถึง 3000 แต้มอีกครั้ง!
สำหรับการเก็บเกี่ยวในครั้งนี้ กู่ฉิงซานรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก
และในช่วงเวลานั้นเอง เขาก็เรียกดาบพิภพกลับคืน
ภายในถ้ำมืด เต็มไปด้วยเศษซากมารที่ถูกล้างบางโดยดาบพิภพ
เวลานี้ ท่ามกลางความว่างเปล่า เริ่มบังเกิดร่องรอยของกลิ่นอายลึกลับโชยออกมา
ห้วงอารมณ์ของกู่ฉิงซานเริ่มที่จะหนักหน่วงขึ้น
โดยไม่มีใครรู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ จู่ๆตลอดทั้งถ้ำมืดพลันจมลงสู่ความเงียบงัน
ณ จุดนี้ กู่ฉิงซานค่อนข้างมั่นใจว่าเขายังมิได้สังหารเผ่ามารทั้งหมดลง
ในจิตสัมผัสเทวะของเขา ยังพบกับเผ่ามารอีกหลายตนที่มีขอบเขตต่ำเกินไปกำลังยึดสองขาสองแขนของพวกมันลงบนผนังหิน ตัวแข็งไม่ไหวติง
มองไปยังอาการหวาดกลัวอลหม่านที่แสดงออกมาของพวกมัน เพียงเขาก้าวลงไปไม่กี่ก้าว พวกมันก็ถูกขู่จนเผ่นหนีไปทันที
กู่ฉิงซานจึงย่ำสองเท้าแตะลงเบาๆบนผนังถ้ำ และทิ้งตัวค่อยๆจมลึกลงไป
เวลานี้ ความมืดมิดที่แท้จริงได้กลืนกินเขาเข้าไปแล้ว
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.383 – พบเจอ
กู่ฉิงซานกึ่งเดินกึ่งบินลงไปตามผนังหิน
ลมหนาวพัดโชยไปตลอดทั้งถ้ำมืด และบ่อยครั้งที่จะมีเสียงลมจากเบื้องล่างกรีดอากาศส่งเสียงหวีดหวิวขึ้นขึ้นมายังเบื้องบน
หัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มรู้สึกกดดันยิ่งขึ้น บังเกิดเงาบางอย่างที่ยากจะลบเลือนออกไปได้
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏบรรทัดแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กแจ้งเตือนสถานการณ์ในปัจจุบันของเขา
“คุณกำลังข้ามผ่านช่องทางสู่ปรภพ”
“เบื้องหน้าถูกปิดกั้นโดยเผ่ามาร โปรดรอให้ระบบทำการตรวจสอบเสียก่อน จึงค่อยผ่านไปอีกครั้ง”
“การตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้ว ระดับสูงสุดของเผ่ามารที่อยู่เบื้องหน้าคุณคือก้าวสู่เทพขั้นปลาย หากคิดสู้กับมัน โปรดทุ่มลงมืออย่างเต็มกำลังด้วย”
กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป และยกดาบขึ้น
ภายใต้ขอบเขตเดียวกัน การฆ่าสังหารอีกฝ่ายนับว่าเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับเขา
แม้กระทั่งตัวตนทรงพลานุภาพอย่างขอบเขตประทับเทพ หากต้องปะทะกำลังรบระดับนักดาบนิรันดร์ของกู่ฉิงซาน ต่อให้พบเจอกับพวกมัน 1-2ตัวเขาก็ยังพอจะจัดการกับมันได้
และไม่นานนัก การต่อสู้ครั้งที่สองก็จบลง
กู่ฉิงซานยังคงมุ่งหน้าเดินต่อไป
เขาถือดาบพิภพและเช่าหยินเอาไว้ในมือ ไม่ได้ใช้จิตนึกคิดควบคุมพวกมันอีกแล้ว
นั่นเพราะมันช่วยไม่ได้นี่นา ยิ่งเข้าไปลึก เขาก็ยิ่งต้องเน้นป้องกันตัวเองมากขึ้นอยู่แล้ว
เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างช้าๆ
ชั่วขณะหนึ่ง กู่ฉิงซานก็หยุดชะงักลงอย่างกระทันหัน
แม้ว่า … ภายในขีดจำกัดในอาณาเขตจิตสัมผัสเทวะของเขาจะไม่มีสิ่งใดก็ตามที
แต่กู่ฉิงซานกลับค่อยๆชักฝีเท้ากลับ ปลีกตัวถอยออกมาอย่างเงียบๆ
และเขาไม่ยอมหยุดฝีเท้าลงเลยจนกว่าตนจะรู้สึกสงบใจลง
เขานั่งยองๆอยู่บนผนังหินอย่างระมัดระวัง และทำการตรวจจับอย่างรอบคอบ ผลปรากฏว่าตนสามารถสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่อ่อนๆของอะไรบางอย่างท่ามกลางความมืดมิด
ความมืดดูราวกับจะกลายเป็นสสารที่มีตัวตน จับต้องได้ แต่กลับเงียบงันและลึกล้ำมิต่างจากความตาย
หลังจากผ่านไปสักพัก ในที่สุดกู่ฉิงซานก็สามารถตรวจจับร่องรอยของกลิ่นอายอันลึกลับได้ในที่สุด
ใช่ เป็นเจ้ากลิ่นอายที่ว่านี่แหละ ที่มันรบกวนจิตใจของเขา
เขาปล่อยจิตสัมผัสเทวะเป็นเกลียว ม้วนเข้าห่อหุ้มกลิ่นอายนั้นอย่างระมัดระวัง และทำการตรวจสอบมันอย่างถี่ถ้วน
โดยไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ ความรู้สึกผวาก็เข้ามาแทนที่ในทันใด
—ความรู้สึกนี้มันราวกับช่วงเวลาที่กิโยตินถูกปล่อยลงมา
ความสยองเกล้าปะทุขึ้นมาอย่างกระทันหัน และมันส่งผลกระทบอย่างรุ่นแรงต่อจิตวิญญาณของเขา
หากคุณไม่เคยได้สัมผัสกับความรู้สึกนี้มาก่อน ร่างของคุณคงไร้สิ้นเรี่ยวแรงเพราะมันไปแล้ว!
ท้ายที่สุดแล้ว ร่องรอยของกลิ่นอายที่ว่านี้มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!
และแน่นอน ที่กู่ฉิงซานยังยืนไหว นั่นเป็นเพราะเขามิได้พบเจอกับมันเป็นครั้งแรก
ทั้งคนทั้งร่างของเขาเริ่มสะท้านเป็นเจ้าเข้า
เพราะนี่มันกระทันหันมากเกินไป!
และเป็นเพราะเขารู้อยู่แล้วว่ามีการดำรงอยู่ของตัวตนชนิดใดที่กำลังรอเข้าอยู่ลึกเข้าไปในถ้ำ!
กู่ฉิงซานก้มหัวลง
เบื้องล่าง
ลึกเข้าไปภายในถ้ำอันมืดมิดที่อยู่ห่างไกลจากตัวเขา
ร่องรอยจางๆของกลิ่นอายอสูรกาย พัดโชยมาตามสายลมอีกครั้ง
กลิ่นอายนี้ยังคงบุกเข้ามาในประสาทสัมผัสของกู่ฉิงซานอย่างต่อเนื่อง มันทำให้เขาย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์ในอดีตอันไกลแสนไกลที่เคยผ่านพ้นมา
“ไม่คาดคิดเลยจริงๆ” กู่ฉิงซานพึมพำเสียงกระซิบ
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ และถอนหายใจออกอย่างหนักหน่วง
ในที่สุด เขาก็สามารถข่มตน กลับคืนสู่ความสงบได้
ช่วงชีวิตก่อนหน้า ในครั้งสุดท้ายที่เขาได้พบกับอสูรกาย มันยังคงฝังอยู่ในใจเขาตลอดมา
และเขาไม่เคยลืมเลือนกลิ่นอายของเจ้าอสูรกายตนนี้เลย เขาไม่เคยลืมเลยว่ามันนำพาความรู้สึกอย่างไรมาสู่ตนเอง
และไม่ใช่แค่ไม่ลืม แต่เขาจะไม่ยอมอนุญาตให้ตนเองลืมทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวของกับอสูรกายตนนี้เด็ดขาด!
เพราะการลืมอดีตของมัน นั่นหมายถึงการทรยศ!
แต่แล้วกู่ฉิงซานก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากในอดีต ท่าทีของเขาเปลี่ยนเป็นเงียบขรึม
เขาเริ่มต้นทำการตรวจสอบและไตร่ตรองว่าจะเปลี่ยนเส้นทางดีหรือไม่
เพราะอสูรกายตนนั้น กำลังเฝ้าปกป้องช่องทางเข้าสู่ปรภพแห่งนี้เอาไว้อยู่
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วกลับสรุปได้ว่าไม่มีทางอื่นเลย
แต่ในตอนนั้นเอง ไม่ใกล้ไม่ไกลออกไปท่ามกลางความมืดมิด ก็บังเกิดเสียงๆหนึ่งลอยมา
“ช่วย .. ข้าด้วย … ”
มันเป็นเสียงที่บางเบาราวกับยุงบิน แถมยังเต็มไปด้วยอารมณ์สิ้นหวัง ราวกับว่าจะตายลงในวินาทีต่อมายังไงยังงั้น
สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนทันใด
พิจารณาจากสถานที่ๆเสียงลอยมา คาดว่าเสียงคนขอความช่วยเหลือนี้ยังอยู่ห่างไกลจากตัวเจ้าอสูรกาย แต่ไม่ห่างจากกู่ฉิงซานมากนัก
คราวนี้กู่ฉิงซานไม่ได้มุ่งตรงไปสำรวจข้างหน้า แต่เลือกที่จะถอยหลังกลับแทน ถอยให้ไวที่สุดเท่าที่ตนจะทำได้
ในขณะเดียวกัน บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ก็ปรากฏสองบรรทัดใหม่ขึ้นมา
“พวกเรากำลังข้ามผ่านส่วนสุดท้ายของช่องทางเข้าสู่ปรภพ”
พร้อมกับตัวอักษณสีเลือดเด้งขึ้นเตือนในทันใด
“เบื้องหน้าถูกปิดกั้นโดยอสูรกาย หากผู้เล่นเข้าไป โชคชะตาของคุณคงมิแคล้วถูกสังหารตกตายลงในกระบวนท่าเดียวเท่านั้น”
กู่ฉิงซานถอยกลับ ถอยกลับอีกครั้ง ถอยไปจนกว่าจะหยุดลงในจุดที่เขารู้สึกว่าปลอดภัย
เขานั่งยองๆลงบนผนังหินในแนวตั้ง และปักดาบเช่าหยินลงบนพื้น
“ไปนำคนๆนั้นมา และระวังอย่าให้ถูกพบตัวล่ะ” กู่ฉิงซานกระซิบเบาๆ
ดาบเช่าหยินส่งเสียงฮึมฮัมคำหนึ่ง และเริ่มบินไต่ไปตามผนังหินเบื้องล่างอย่างเงียบๆ
ไม่รู้เหมือนกันว่านานเท่าไหร่
ในที่สุด ดาบเช่าหยินก็บินกลับมาพร้อมกับคนๆหนึ่ง
และดาบเช่าหยินก็ได้หยุดเคลื่อนที่ลงในระยะห่างจากกู่ฉิงซานราวๆ 20 เมตร
กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะลงไปยังฝ่ายตรงข้าม
คนๆนี้เปรียบดั่งเทียนที่ถูกหลอมละลาย และทำได้เพียงแค่คลานอยู่กับพื้น โดยไม่อาจแสดงพฤติกรรมปกติใดๆของมนุษย์ได้เลย
“ฮู่-โฮ่-โฮ่-โฮ่! ”
อีกฝ่ายเปล่งเสียงออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยสภาพสาหัสของเขา ทำให้อีกฝ่ายต้องหุบปากลง มิอาจเอ่ยออกมาได้อย่างชัดเจน
“เจ้ายังไม่ปลอดภัยหรอกนะ” กู่ฉิงซานกระซิบเบาๆ
พร้อมกับรังสีดาบที่กระพริบไหวตามมาติดๆ
รังสีดาบขนาดเล็กนับไม่ถ้วนเริ่มสั่นสะเทือนไปพร้อมๆกัน ตัดหั่นทั้งคนทั้งร่างตรงหน้าจนกลายเป็นแอ่งเลือด!
และร่างเงาก็ผุดออกมาจากแอ่งเลือดที่ว่านั่น
นี่คือจิตวิญญาณ
ทันทีที่จิตวิญญาณปรากฏกาย มันก็ก้มลงมองร่างของตัวเองก่อนเลยเป็นอันดับแรก
และเมื่อค้นพบว่าตัวเองได้เสียชีวิตลงแล้ว มันก็เผยถึงความปิติยินดีออกมาในทันใด
จิตวิญญาณหันไปกล่าวกับกู่ฉิงซานว่า “เจ้าได้ช่วยข้าไว้ได้มากจริงๆ อ้อข้าขอบอกก่อนนะว่าตัวข้าจะถูกส่งกลับไปด้วยเทคนิคมนตราที่ติดตั้งเอาไว้ล่วงหน้าในเร็วๆนี้ ดังนั้นพวกเราคงจะได้พูดกันแค่สั้นๆเท่านั้น”
“ด้วยความยินดี ว่าแต่ทำไมเจ้าถึงมาปรากฏตัวที่นี่กัน? แล้วร่างกายมนุษย์ของเจ้าเล่า?”
จิตวิญญาณกล่าวว่า “ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ข้าได้เข้ามาที่นี่อยู่หลายครั้งคราว เพื่อทำการศึกษาเผ่ามารต่างๆ”
กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ “สายพันธุ์ของเผ่ามารมันมากมายมิอาจคณานับได้ แล้วเจ้ากล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร? ไม่เกรงว่าอาจจะบังเอิญเผชิญหน้ากับเผ่ามารที่ตนไม่อาจเอาชนะได้เลยหรือ?”
จิตวิญญาณถอนหายใจ “อันที่จริงแล้วมันก็ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่ว่าข้าน่ะเป็นพวกลุ่มหลงที่จะศึกษาในสิ่งที่ตนไม่รู้จักจนกระทั่งวิ่นาทสุดท้าย เลยหลงลืมความอันตรายของสิ่งที่ไม่รู้จักนี้ไป”
“ขอบคุณที่สังหารข้า เป็นเพราะเจ้า ร่างกายข้าเลยไม่จำเป็นต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของอสูรกาย และข้าก็ไม่ต้องการที่ติดหนี้บุญคุณ ดังนั้นจงบอกมาว่าข้าสามารถช่วยเหลืออะไรตอบแทนเจ้าได้บ้าง?”
“่เช่นนั้นไหนลองบอกมาจะได้หรือไม่ ว่าเจ้ามาที่นี่ด้วยร่างมนุษย์ได้อย่างไร?”
“หืม? นั่นมันก็แค่วิธีตื้นๆ” ร่างจิตวิญญาณแสดงออกถึงคสีหน้าฉงน
“นั่นเพราะข้าไม่มีวิธีที่จะสามารถนำดวงจิตออกจากร่างกายมนุษย์ได้ ดังนั้นข้าเลยจำต้องมาที่นี่พร้อมกับกายหยาบ”
“อันที่จริงแล้วการนำกายหยาบมาที่นี่น่ะอันตรายยิ่งกว่ามาก เพราะกายมนุษย์มันง่ายเกินไปที่จะถูกทำลายและสังหาร”
กู่ฉิงซานพยักหน้ารับฟัง
แต่แล้วร่างจิตวิญญาณดูเหมือนจะรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่าง มันเอ่ยออกมาว่า “ข้าคงต้องกลับไปที่โลกของตัวเองแล้ว โลกที่ข้าได้วางภาชนะสำรองสำหรับจิตวิญญาณของข้าเอาไว้”
“ในทางกลับกัน เพื่อเป็นการตอบแทนเจ้า ข้าจะบอกความลับแด่เจ้าก่อนจะจากไป”
“เชิญชี้แนะ”
จิตวิญญาณพยายามเรียบเรียงคำพูดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวออกมาว่า “หลังจากที่ข้าได้ทำการวิจัยมาหลายปี ข้าคิดว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่พิเศษกำลังให้การช่วยเหลือเผ่ามารอยู่”
“บางสิ่งที่พิเศษ?”
“ถูกต้อง มันเป็นการดำรงอยู่อันลึกลับ ที่ช่วยให้เผ่ามารสามารถเติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็ว”
“ซึ่งระดับของมันจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละสายพันธุ์ของเผ่ามาร”
“แล้วสิ่งที่เจ้าพูดถึงมันคืออะไรกัน?”
“ข้าเองก็ไม่ทราบ แต่เจ้าสิ่งนี้จะต้องมีตัวตนอยู่อย่างแน่นอน”
ขณะนี้ ใบหน้าของจิตวิญญาณตรงข้ามก็ได้แสดงออกถึงความหวาดกลัว
“ใช่ เจ้าสิ่งนั้นจะต้องมีอยู่ .. มีอยู่อย่างแน่นอน”
เขาเอ่ยพึมพำยาวเหยียด
ติ๊ง …
บังเกิดเสียงของโลหะกระทบกับพื้นดังขึ้น
กู่ฉิงซานมองออกไปและเห็นแค่เพียงตราประทับโลหะขนาดเล็กกลิ้งตกอยู่กับพื้น
“ข้าคงต้องไปแล้วล่ะ นี่คือสัญลักษณ์แห่ง ‘ผู้พิทักษ์หอสูง’ ของพวกเรา และพวกเราจะไม่ยินยอมบอกเรื่องนี้กับคนนอก ยกเว้นเสียแต่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นผู้มีพระคุณสูงยิ่ง”
“เอามันไปซะ และถ้าหากในอนาคตเจ้าพบกับคนของเรา ขอจงแสดงสิ่งนี้ให้เขาดู แล้วพวกเขาจะช่วยเหลือเจ้าได้อย่างแน่นอน”
“ข้าคงต้องไปจริงๆแล้ว ลาก่อน”
มันเกิดเสียงดังวิ้งงง!ขึ้น แล้วร่างจิตวิญญาณก็หายวับไปจากในจุดที่ลอยอยู่
ขณะที่ตราประทับโลหะค่อยๆลอยเข้าหากู่ฉิงซานอย่างช้าๆ
กู่ฉิงซานคว้าจับมัน
บนตราประทับ ถูกสลักเอาไว้ด้วยหอสูงทมิฬที่ตั้งอยู่บนที่ราบสีแดง
กู่ฉิงซานมองดูหอคอยนี้ และจู่ๆเขาก็รู้สึกคุ้นเคยกับมันเล็กน้อย
นี่ดูเหมือนจะเป็นประภาคารที่เขาเห็นขณะที่กำลังข้ามผ่านมิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราด ระหว่างที่กำลังมุ่งหน้าไปยังโลกของร่างใหญ่นี่นา
ดังนั้น กล่าวได้ว่าพวกเขาเป็นการดำรงอยู่ที่หยั่งรากลึกอยู่ในมิติที่ว่างเปล่าใช่หรือไม่?
กู่ฉิงซานเก็บตราประทับ และเริ่มขบคิดถึงสิ่งที่ชายคนนั้นได้กล่าวเอาไว้ก่อนที่จะจากไป
“บางสิ่งได้ช่วยเหลือเผ่ามารให้พวกมันสามารถวิวัฒนาการได้อย่างรวดเร็ว-” กู่ฉิงซานเอ่ยใคร่ครวญ
และแล้วก็บังเกิดประกายกระพริบไหว เขาพลันจดจำได้ถึงเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นมาเนิ่นนานแล้วในนิกายร้อยบุปผา
ก่อนหน้าการทดสอบประจำปี ครั้งหนึ่งภายในนิกายร้อยบุปผา ทั้งศิษย์และอาจารย์ต่างอยู่กันพร้อมหน้าและกล่าวถึงเผ่ามาร
ฉินเซี่ยวโหลวถอนหายใจ “ขอบเขตประทับประทับเทพของเผ่ามาร แม้จะไม่บ่อยแต่ก็ถือกำเนิดออกมาอยู่หลายครั้ง แต่ทางฝั่งมนุษย์ของพวกเรา วันเวลาล่วงเลยผ่านพ้นไปหลายปี กลับปรากฏขอบเขตประทับเทพขึ้นแค่สามคนเท่านั้น”
“ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ว่าการฝึกยุทธของเผ่ามารเพื่อก้าวขึ้นสู่ประทับเทพมันเป็นเรื่องง่ายดายเพียงนั้นเชียวหรือ?”
ฉินเซี่ยวโหลวกล่าวด้วยความหดหู่
ในเวลานั้นเอง นางเซียนไป่ฮั่วก็กล่าวออกมาว่า “แม้ในด้านปริมาณ ขอบเขตประทับเทพของเผ่ามารจะชนะพวกเราได้อย่างขาดลอย แต่ในด้านความแข็งแกร่งกลับเพียวๆ พวกมันมิอาจสู้ข้าที่ใช้มือเปล่าเพียงข้างเดียวด้วยซ้ำ”
“เป่ยหยวนกับซวนหยวนก็มีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน”
“ในความเป็นจริงแล้ว ในด้านความแข็งแกร่งพวกเราเด่นกว่ามันอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามด้วยจำนวนของฝ่ายตรงข้ามที่มีมากเกินไป และพวกเราก็ไม่สามารถล้างบางพวกมันได้ในครั้งเดียว ยิ่งไม่กว่านั้นเรายังไม่กล้าที่จะทุ่มเต็มกำลังอีก เพราะหากเกิดอุบัติเหตุใดๆขึ้น หากหนึ่งในพวกเราคนใดตกตายลง กำลังของเผ่ามนุษย์จะถดถอยลงชนิดตกอยู่ในระดับอันตรายร้ายแรงทันที”
“และนั่นคือเหตุผลที่พวกเราไม่ยินยอมจะออกหน้าลงมือง่ายๆ”
นี่คือคำกล่าวเดิมของนางเซียนไป่ฮั่ว
ในเวลานั้น กู่ฉิงซานพึ่งจะเข้านิกายมาได้เพียงไม่นาน และหลังจากที่ได้ฟังเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร
ทว่าตอนนี้ เขาอยู่ในถ้ำลึกที่มืดมิด แถมยังได้ยินถึงข้อสงสัยของจิตวิญญาณที่มาจากโลกอื่นอีก
จนกระทั่งมันนำพาเขามาประสบพบเจอกับปัญหานี้อีกครั้งในที่สุด
“เผ่ามาร … มีบางสิ่งบางอย่างกำลังช่วยเหลือพวกมัน … ” เขาเอ่ยพึมพำเสียงต่ำ
เช่นนั้นแล้วสิ่งใดกันที่อยู่เบื้องหลังพวกมัน?
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.384 – อสูรกาย
ภายในถ้ำมืด แม้จะยังคงมีเส้นทางไปต่อ แต่สำหรับกู่ฉิงซาน .. มันได้มาถึงทางตันแล้ว
เขาวางความคิดนี้ทิ้งลงข้างๆชั่วคราว ไม่ใช้สมองตริตรองเกี่ยวกับความลับของเผ่ามารอีกต่อไป
เพราะจากนี้ เขายังต้องเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่ไม่แตกต่างกัน
ในส่วนลึกของถ้ำมืดสู่ปรภพ มีอสูรกายที่น่าสะพรึงอยู่
อสูรกายตนที่ว่า กำลังเฝ้าปกป้องเส้นทางเอาไว้
หากมีมัน ก็กล่าวได้ว่าไม่มีทางที่จิตวิญญาณตนใดจะสามารถเล็ดลอดเข้าสู่ปรภพได้
กู่ฉิงซานขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะลองเสี่ยงดู
หากแม้กระทั่งปรภพตนยังไม่สามารถเข้าไปได้ โลกมนุษย์ก็คงจะเหลืออยู่หนทางเดียวเท่านั้น นั่นคือพินาศสิ้น!
เขาหันไปมองรอบๆผนังถ้ำ ก่อนจะพบกับเศษกระดูกยาวที่เจาะลึกเข้าไปในรอยแตกของหิน
กู่ฉิงซานยื่นมือไปงัดกระดูกยาวออกมา และเริ่มใช้ออกด้วย ‘ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต’
หลายเส้นแสงหิ่งห้อยวาบผ่านเข้ามาในดวงตาของเขาอย่างรวดเร็ว
“ค้นพบซากของมารกระดูกประชิด”
“กำลังทำการวิเคราะห์ความลี้ลับขององค์ประกอบกระดูกของ ‘มารกระดูกประชิด’ ”
“คุณจำเป็นต้องจ่าย 1000 แต้มพลังวิญญาณ เพื่อทำความเข้าใจองค์ประกอบของเผ่ามารตนนี้ แล้วจึงจะสามารถแปลงกายตนให้เป็นเหมือนกับเผ่ามารตนนี้ได้”
1000 แต้มพลังวิญญาณ!
กู่ฉิงซานแทบจะกัดลิ้นตัวเอง
ไอ้เจ้าสกิล ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิตนี้มันจะกินแต้มพลังวิญญาณมากเกินไปแล้ว!
ในเวลานี้ บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ได้ปรากฏบรรทัดเด้งแจ้งเตือนขึ้นมาอีกที
“ในมุมมองที่ว่าภายในถ้ำมืดแห่งนี้ มีเผ่ามารที่อยู่ในขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลายไม่มากนัก ฉะนั้นระบบจึงร้องขอให้ผู้เล่นไตร่ตรองให้ดี ก่อนจะใช้แต้มพลังวิญญาณออกไป”
พอได้ยิน กู่ฉิงซานก็เข้าใจทันที
เนื่องเพราะตนอยู่ในขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลายแล้ว ดังนั้น หากต้องการจะได้แต้มพลังวิญญาณมาเพิ่มเติม ย่อมต้องสังหารมารที่อยู่ในระดับเดียวกันหรือสูงกว่าเท่านั้น คำเตือนนี้บ่งบอกชัดเจน .. ว่าตนเองแทบจะไม่สามารถสะสมแต้มพลังวิญญาณได้อย่างรวดเร็วดั่งเช่นในอดีตอีกต่อไป ส่วนหากคิดหมายจะไปมุ่งสังหารมารประทับเทพน่ะหรือ มันก็ได้อยู่หรอก แต่ก็ไม่ได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น
หากจะกล่าวโดยทั่วไปแล้วเผ่ามารกับผู้ฝึกยุทธเผ่ามนุษย์จะมีเส้นแบ่งขีดกั้นที่มิอาจข้ามผ่านได้อยู่
นั่นคือขอบเขตประทับเทพ
เหนือขอบเขตประทับเทพขึ้นไป หากเป็นผู้ฝึกยุทธมนุษย์ กล่าวได้ว่าพวกเขาได้เข้าใจกฏเกณฑ์มากมายของโลกพร้อมกับได้ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์ในระดับหนึ่งแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถต่อกรกับเผ่ามารในขอบเขตเดียวกันได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตามหากต่ำกว่าขอบเขตประทับเทพลงไป ผู้ฝึกยุทธในขอบเขตเดียวกันกับเผ่ามารจะไม่อาจต่อกรกับอีกฝ่ายได้
สรุปง่ายๆว่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตก้าวสู่เทพทั่วๆไปไม่สามารถที่จะต่อกรกับมารกระดูกประชิดที่อยู่ในขอบเขตเดียวกันได้เลย
เพราะนอกจากมารกระดูกมีความต้านทานต่อเทคนิคมนตราจากธาตุทั้งห้าแล้ว ในปากของมันยังมีพิษร้ายที่ใช้กัดกร่อนพลังวิญญาณ มีพลังทางกายภาพที่แข็งกร้าว และความว่องไวที่ยิ่งกว่านักสู้หวูเต๋าในขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นสุดท้าย
มันเป็นเผ่ามารที่เกือบจะสามารถูกนับรวมไปได้ว่าหากอยู่ในขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลาย ก็จักมีพลังเกือบเทียบเคียงกับขอบเขตประทับเทพได้
แม้กระทั่งสองผู้ฝึกยุทธก้าวสู่เทพขั้นปลายสองคนร่วมมือกันต่อกรกับมัน ก็ทำได้แค่เพียงหลบหนีไปเท่านั้น
ดังนั้น ระบบจึงถือว่ามอนสเตอร์ตัวนี้มีความสามารถสูงกว่าผู้ฝึกยุทธในขอบเขตเดียวกัน หากคิดจะแปลงกายเป็นมัน ก็ย่อมต้องมีค่าใช้แต้มพลังวิญญาณที่สูงมากเป็นพิเศษ
ส่วนเหตุผลที่กู่ฉิงซานสามารถสังหารมันได้อย่างง่ายดาย นั่นเป็นเพราะเขามีประสบการณ์ต่อสู้จากสองช่วงชีวิต และยังมีความแข็งแกร่งระดับดาบนิรันดร์ ครอบครองสองดาบยาวที่เป็นสิ่งประดิษฐ์เทวะ รวมไปถึงสกิลเทวะอย่างย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว
นอกจากนี้เขายังครอบครอง ‘ทัณฑ์ปีศาจ’ ที่ช่วยหนุนเสริมอำนาจการทำลายล้าง 30 % และฟังก์ชั่นตรวจสอบมอนสเตอร์ของระบบ ดังนั้นจึงสามารถรับรู้ได้ถึงมารกระดูกที่ซุ่มซ่อนตัวอยู่ล่วงหน้าได้
บอกเลยว่าต่อให้มันจะเป็นมารที่เหนือกว่าผู้ฝึกยุทธในขอบเขตเดียวกัน แต่ถ้าอีกฝ่ายโกงขนาดนี้มันก็คงต้องยอมแพ้ ตกตายเอาง่ายๆอยู่ดี
—แต่ในตอนนี้ เส้นทางเบื้องหน้าหากยังคิดก้าวเดินต่อไป เขาจักต้องถูกสังหารตกตายลงโดยเผ่ามารที่ดุร้ายและแข็งแกร่ง เฉกเช่นเดียวกันกับที่ตนสังหารมารกระดูกลงไป
กู่ฉิงซานลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะถอนหายใจและกล่าวว่า “ไม่ ไม่หรอก จังหวะนี้แหละที่สมควรจะใช้แต้มพลังวิญญาณที่สุดล่ะ”
“ปิดฟังก์ชั่นตรวจจับเถอะ ฉันค่อนข้างที่จะมั่นใจว่าตัวเองรู้เกี่ยวกับข้อมูลรายละเอียดของอสูรกายตนนั้น”
“เข้าใจแล้ว” ระบบตอบกลับ
ในปัจจุบัน หากต้องการจะผ่านถ้ำมืดเข้าไปสู่ปรภพ เขาจะต้องปลอมตัวเป็นเผ่ามาร นี่คือวิธีการเดียวเท่านั้นที่กู่ฉิงซานคิดออก
กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “ระบบ แล้วการปลอมตัวของฉันจะสามารถอยู่ได้นานแค่ไหน?”
ระบบตอบกลับไปว่า “หากเป็นการอำพรางตัวโดยใช้พลังวิญญาณ ย่อมมีเวลาที่จำกัด”
“แต่ถ้าคุณอำพรางตัวผ่านแต้มพลังวิญญาณ มันจะทำการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบร่างกายของคุณ และตราบใดที่คุณไม่ยกเลิกมันเอง ก็จะปลอมตัวได้แบบไม่มีเวลาจำกัด”
“ขอแสดงความยินดีกับผู้เล่นด้วย ที่ได้เลือกใช้แต้มพลังวิญญาณเป็นแหล่งกำเนิดของสกิลนี้ คุณจึงสามารถบรรลุมาถึงขั้นในการใช้พลังนี้ได้
“และฉันขอน้อมรับคำชมนี้ด้วยความยินดี”
“ผู้เล่นได้เลือกทำการจ่ายแต้มพลังวิญญาณ”
“ร้องขอให้ผู้เล่นเริ่มทำความเข้าใจเกี่ยวกับองค์ประบกอบของร่างกายมาร ส่วนระบบจะปลดปล่อยแต้มพลังวิญญาณที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานของคุณ”
“เข้าใจแล้ว”
กู่ฉิงซานหยุดยืนอยู่กับที่อย่างเงียบๆ
เขากำลังมองลงไปยังกระดูกยาวในมือ และสัมผัสรับรู้ถึงมันด้วยความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต
แล้วเขาก็ค่อยๆค้นพบว่าตนเองสามารถเข้าใจองค์ประกอบของกระดูกยาวนี้ได้อย่างสมบูรณ์
แถมเขายังรู้วิธีแม้กระทั่งต้นกำเนิดพลังและโครงสร้างของกระดูกยาวอีกด้วย
ความรับรู้และเข้าใจดังกล่าวนี้ อาจพูดได้ว่าคงจะมีเพียงแต่พระเจ้าเท่านั้นแหละที่จะสามารถตระหนักถึงได้
‘แต้มพลังวิญญาณ’ กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะคิดถึงมันและกล่าวว่า “ฉันต้องการใช้แต้มพลังวิญญาณในการสร้างกฏเกณฑ์และองค์ประกอบรูปแบบร่างกายของมารกระดูก”
ขณะกล่าว แต้มพลังวิญญาณของเขาก็ถูกหักออกไป 1000 แต้มทันที
อย่างรวดเร็ว กู่ฉิงซานเริ่มสู้สึกคันยิบๆ
คัน? คันอย่างงั้นหรอ?
ทำไมถึงรู้สึกคันกันล่ะ?
ว่ากันโดยทั่วไปแล้ว ตนเองขณะนี้อยู่ในร่างจิตวิญญาณ มันไม่สมควรที่จะมีความรู้สึกจากประสาทสัมผัสใดๆสิ
กู่ฉิงซานก้มลงมองตัวเอง
แล้วเขาก็พบว่าร่างกายทั้งหมดของตนกลายสภาพเป็นกระดูกโดยสมบูรณ์ รวมไปถึงอุ้งเท้าทั้งสี่ที่มีเล็บแหลมคมกริบราวกับใบมีดกำลังส่องประกายเย็นเยียบอยู่
ซึ่งที่มันแตกต่างไปจากมารกระดูกทั่วๆไป ร่างกายของเขาบัดนี้ผอมบาง แต่ก็ยังสามารถขยับกาย อวัยวะต่างๆสามารถประสานงานกันได้อย่างยอดเยี่ยม
กู่ฉิงซานสำรวจมันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขาก็ค้นพบว่านอกเหนือไปจากจิตวิญญาณในร่างกายแล้ว บนร่างกายของเขายังบังเกิดพลังชนิดใหม่ขึ้นมาอีกด้วย
เขาพยายามที่จะเร่งกระตุ้นพลังนั้น และถ่ายเทมันลงบนกรงเล็บที่แหลมคมของเขา
แล้วกรงเล็บที่ว่าก็สามารถเจาะเข้าไปบนผนังหินอย่างง่ายดายราวกับตัดเฉือนเต้าหู้
บังเกิดห้าร่องรอยลึกตราตรึงบนผนังหิน
“สมกับที่เป็นวิชาความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต ตอนนี้ฉันได้กลายร่างเป็นมารกระดูกไปจริงๆแล้ว”
กู่ฉิงซานพูดกับตัวเอง
“ไม่สิ นี่มันไม่ใช่แค่การปลอมตัวธรรมดาๆ แต่ตอนนี้ฉันได้กลายเป็นมารแถมยังครอบครองกรงเล็บอันแหลมคมของมันจริงๆอีกด้วย”
กู่ฉิงซานทดลองขยับร่างกายใหม่ของเขา
การเคลื่อนไหวค่อนข้างสมสดุล ลื่นไหลไม่มีผิดปกติใดๆ
มันราวกับว่าเขารับรู้ได้โดยธรรมชาติว่าเผ่ามารตนนี้สมควรที่จะเคลื่อนไหวอย่างไร
กู่ฉิงซานหยุดฝีเท้าทั้งสี่ก่อนจะเดินไปไกล เขาทดลองซ้อมรูปแบบการต่อสู้โดยกรงเล็บของมารกระดูกโดยเค้นเอาจากข้อมูลความทรงจำที่ได้รับมา และเริ่มฝึกปรือมันด้วยตัวเอง
เวลาล่วงเลยไปเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็หยุดพักผ่อน
– กล่าวได้ว่าบัดนี้สำหรับพื้นฐานการโจมตีทั่วๆไปโดยกรงเล็บ กู่ฉิงซานสามารถเข้าใจมันได้แล้ว
กู่ฉิงซานไม่ลังเลอีกต่อไป เข้าเริ่มจิกกงเล็บไปตามผนังถ้ำ ก้าวลงไปสู่เบื้องลึกของทางเข้าปรภพ
ด้วยวิชาลึกลับนี้ ทำให้การย่ำเดินเคลื่อนไหวของเขาโดยใช้กรงเล็บมอนสเตอร์ช่างดูเป็นธรรมชาติ
กรงเล็บแหลมจิกลึกลงไปในผนังหิน แขนขาที่บัดนี้กลายเป็นอุ้งเท้าทั้งสี่จ้ำลึกเข้าไปในถ้ำ
แบบนี้ …
จะผ่านไปโดยที่ไม่ถูกจับได้จริงๆน่ะหรือ?
กู่ฉิงซานบังเกิดข้อสงสัยขึ้นในจิตใจ
ตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การมองหาเผ่ามารตนอื่นๆ เพื่อดูว่าพวกมันจะมีปฏิกริยาตอบสนองต่อเขาอย่างไร
แต่น่าเสียดาย เพราะมารในบริเวณใกล้เคียงล้วนถูกเขาสังหารจนสิ้น ดังนั้นแม้เขาจะจ้ำลึกลงไปไกล แต่ก็ยังไม่พบเจอกับมารตนใดเลย
เขาจึงไม่มีทางเลือก จำต้องคลานมุ่งหน้าลึกเข้าไปในถ้ำต่อไป
จนเวลานี้ ในที่สุดเขาก็ได้มาถึงในจุดที่ตนได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือในตอนแรกอีกครั้งแล้ว
และมันก็เป็นเวลาเดียวกัน ที่มอนสเตอร์ตนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในที่สุด
มันคือหนอนตัวเขียวที่มีขานับร้อยราวกับตะขาบ
มอนสเตอร์ตนนี้มิได้มีความแข็งแกร่งเท่าใดนัก แต่ความรู้สึกที่ไวต่อกลิ่นของมันละเอียดอ่อนเป็นอย่างยิ่ง และสามารถค้นหาร่างมนุษย์ได้แม้จะอยู่ห่างไกล
เพราะร่างมนุษย์ คือชิ้นเนื้ออุดมไขมันที่มันโปรดปรานมากที่สุด
สันนิษฐานว่าอาจจะเป็นเพราะเมื่อครู่กู่ฉิงซานได้สับร่างที่บาดเจ็บสาหัสของชายปริศนาเพื่อปลดปล่อยจิตวิญญาณของอีกฝ่ายไป เจ้าหนอนร้อยขาจึงได้กลิ่นอายของศพมนุษย์ มันจึงเร่งสับฝีเท้านับร้อยคืบคลานขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ปีนป่ายมุ่งหน้าขึ้นไปยังทิศทางช่วงบนของถ้ำ
กู่ฉิงซานชะงัก กรงเล็บแหลมจากทั้งมือทั้งเท้าจิกแน่นลงบนผนังหิน
เขาจ้องเขม็งไปที่หนอนร้อยขา
และหนอนร้อยขาก็สัมผัสได้ถึงดวงตาคู่หนึ่ง
มันเร่งหันขวับมาจ้องสวนเขาอย่างรวดเร็ว
กู่ฉิงซานเวลานี้ปลอมตัวเป็นมารกระดูก เป็นเผ่ามาร แต่โดยธรรมชาติแล้วเขาก็ยังไม่ใช่พวกมันอยู่ดี ภายในจิตใจของเขาจึงเกิดความหวาดระแวงขึ้นเป็นธรรมดา
แต่อีกฝ่ายก็เพียงแค่จ้องมองสวนกลับมาอย่างไม่แยแส และยังคงสับขาปีนป่ายเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง
ไม่นานนัก หนอนร้อยขาก็เดินผ่านกู่ฉิงซานไป
ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
มันไม่ได้โจมตีกู่ฉิงซาน
ฝีเท้าของกู่ฉิงซานยังคงนิ่งงัน ขณะที่หัวของเขาหันมองไปตามหนอนร้อยขาอย่างไม่ไว้ใจ
เห็นแค่เพียงหนอนร้อยขายังคงเชิดหัวขึ้น ยืดหดคอของมัน และปีนป่ายขึ้นไปบนอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้ง
มองจากทิศทางของมัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากำลังมุ่งตรงไปยังร่างของชายปริศนาที่พึ่งตายไป
กู่ฉิงซานพยายามอย่างเต็มที่ที่จะรักษาความสงบของตน
มันคงจะดีกว่าถ้า …
เขากระโดดหมุนตัวกลับไป พร้อมกับกางกรงเล็บอันแหลมคมของเขา
กรงเล็บคู่ถูกง้างออกและตะปบ! ตัดผ่านร่างของหนอนร้อยขาราวกับตัดเต้าหู้
ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าใดๆ หนอนร้อยขาได้ถูกแยกร่างออกเป็นซีกๆโดยกรงเล็บมาร!
มันได้ตกตายลงโดยที่ไม่ทันจะได้กรีดร้องออกมาด้วยซ้ำ
กู่ฉิงซานยืนอยู่เบื้องหน้าศพของหนอนร้อยขา ก้มหน้าลงมองกรงเล็บของเขา
เขาได้กลายเป็นมาร แถมยังหลอกสายตาได้แม้กระทั่งเผ่ามารด้วยกันเอง
แต้มพลังวิญญาณที่ต้องเสียไปมากกว่าปกติ นับว่าคุ้มค่าจริงๆ
นึกไม่ถึงเลยว่านี่คือพลังของ ‘ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต!’
ความเชื่อมั่นในจิตใจของกู่ฉิงซานเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล
เขาหันกลับไป และจ้วงกรงเล็บ จ้ำลงไปในส่วนลึกของทางเข้าปรภพ
ระหว่างทาง เต็มไปด้วยมอนสเตอร์แปลกตามากมายโผล่ออกมาไม่หยุดหย่อน
แต่กู่ฉิงซานก็แค่เดินผ่านมอนสเตอร์เหล่านั้นไป
โดยที่ไม่มีมอนสเตอร์ตัวใดสนใจเขาเลย
กู่ฉิงซานเบียดเสียดผ่านฝูงมารที่แออัด และไม่มีมอนสเตอร์ตนใดที่แสดงถึงอาการผิดปกติใดๆออกมาเลย
แต่ก็นั่นแหละ เบียดๆกันมันก็ต้องมีเหยียบตีนกันบ้าง มีอยู่ครั้งหนึ่งขณะที่กำลังจ้ำเดิน กู่ฉิงซานเผลอเอากรงเล็บแหลมของตนเองไปปาดเท้ามอนสเตอร์ขนาดใหญ่เข้าโดยบังเอิญ
และมันก็วิ่งไล่ตามเขาอย่างดุเดือด แต่พอไล่ไม่ทัน ในที่สุดมันก็ยอมแพ้ไป
กู่ฉิงซานปีนลงไปในระดับความลึกสุดของถ้ำมืด
แน่นอน ถ้ำมืดนี้มิได้เป็นเส้นตรงทั้งหมด ไม่งั้นกู่ฉิงซานกระโดดทิ้งตัวลงรอบเดียวก็คงถึงทางเข้าปรภพไปแล้ว มันมีบ้างที่คดเคี้ยวบ้างแนวตั้ง บ้างแนวนอน และบัดนี้ในจุดที่เขากำลังก้าวเดินมันค่อยๆลาดชันขึ้น
เดินไปได้อีกสักพักหนึ่ง
ทางลาดชันก็กลายเป็นเป็นทางราบ
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม บรรทัดแสงตัวอักษรขนาดเล็กเด้งเตือนขึ้นมา
“โปรดทราบ มีเผ่ามารระดับอสูรกายประเภทอาวุธอยู่เบื้องหน้า”
หัวใจของกู่ฉิงซานตึงเครียดขึ้น
ในความเป็นจริงแล้ว เขารู้สึกได้ถึงมันก่อนที่ระบบจะทำการแจ้งเตือนเสียอีก นั่นเพราะ ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว เบื้องหน้าเขาน่ะ มันเต็มไปด้วย-
-กลิ่นอายที่ฟุ้งไปด้วยเจตนาฆ่าและการทำลายล้างค่อยๆเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนมันท่วมท้นไปในอากาศที่ว่างเปล่าราวกับสายธารหลาก
แต่นับว่าโชคยังดี เพราะเมื่อกลิ่นอายนี้ตกลงบนตัวเขา มันก็ไหลผ่านไปทันที
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะยอมรับว่าเขาเป็นฝ่ายเดียวกันกับตนเอง
กู่ฉิงซานกลั้นหายใจและเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ
ในที่สุด ท่ามกลางหุบเหวอันมืดมิด ร่างของอสูรกายตนที่ว่าก็ปรากฏขึ้นสู่สายตาของเขา
มันเป็นยักษ์ที่เพียงแค่ครึ่งลำตัว ก็สูงเกือบจะพันเมตรแล้ว
ส่วนล่างของเอวยักษ์ได้หายไป หลงเหลือเพียงส่วนบนของร่างกายที่ยังไม่บุบสลายถูกรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี
ขณะที่มีแขนแปลกๆนับหลายสิบข้างถูกเย็บปักถักร้อย ห้อยเรียงกันมั่วซั่วอยู่ตามแผ่นหลังของมัน
และทุกแขนจะแตกต่างกันออกไป แขนข้างหนึ่งเรียวยาว อีกข้างใหญ่ อีกข้างทั้งหมดทำจากธาตุน้ำโดยสมบูรณ์ – กู่ฉิงซานยังเห็นแม้กระทั่งแขนที่เต็มไปด้วยใบหูนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมาอีกด้วย
และแน่นอน กู่ฉิงซานเชื่ออย่างสนิทใจว่าแขนทุกข้างของมันน่ะ ล้วนแล้วแต่ครอบครองอำนาจอนันต์อันน่าสะพรึง!
ยักษ์ใหญ่ยังคงหลับตา มันอยู่ในอาการหลับลึก
มันนอนอยู่ตรงข้ามกับผนังหิน และร่างกายอันใหญ่โตทั้งหมดของมันเกือบจะบดบังตลอดทั้งเส้นทางเดินของถ้ำอันมืดมิด
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.385 – มารยักษ์
อสูรกายเอนหลังอิงผนังหิน ด้วยร่างกายอันใหญ่โตของมันทำให้เกือบจะปิดกั้นเส้นทางทั้งหมดที่จะนำไปสู่ปรภพ
มันกำลังหลับตา จมอยู่ในห้วงนิทรา
กู่ฉิงซานหุบกรงเล็บมอนสเตอร์ เบียดเสียดเข้าไปในฝูงเผ่ามารที่แออัดโดยรอบ และเคลื่อนกายไปทางอสูรกายอย่างช้าๆ
ข้างกายของอสูรกาย มีเพียงช่องว่างเล็กๆเอาไว้สำหรับไว้เผ่ามารทั่วๆไปใช้ผ่านทางเท่านั้น
กู่ฉิงซานที่แฝงตัวอยู่ในฝูงมาร จ้องมองไปยังอสูรกายอย่างเงียบๆ
ด้วยการจ้องมองของเขา ส่งผลให้หน้าต่างระบบเทพสงครามเด้งแจ้งเตือนขึ้นมา
“นี่เป็นการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตพิเศษ มันคืออสูรกายประเภทอาวุธ หากผู้เล่น หากคุณต้องการทราบข้อมูลแบบเฉพาะของอสูรกายชนิดนี้ จำเป็นต้อง 500 แต้มพลังวิญญาณ”
“ไม่จำเป็นหรอก เพราะฉันรู้อยู่แล้วว่ามันคืออะไร” กู่ฉิงซานลอบพูด
เขาพยายามสงบสติอารมณ์ สภาวะจิตใจค่อนข้างซับซ้อนเล็กน้อย
อสูรกายที่เรียกกันว่าประเภทอาวุธน่ะ มันไม่ใช่มารที่แท้จริง
เดิมทีแล้ว พวกมันคือตัวตนอันทรงพลังที่ร่วงหล่นลงสู่สายธารแห่งกาลเวลา ส่วนร่วงหล่นลงด้วยเหตุใดนั้นก็มิอาจทราบได้
และพวกมารก็ชอบเก็บรวบรวมชิ้นส่วนร่างกายของตัวตนที่ทรงพลังเหล่านั้นมา คอยเฟ้นหาชิ้นส่วนแปลกๆมาจากหลากสวรรค์หมื่นโลกา
และเจ้าของชิ้นส่วนเหล่านั้น บ้างก็เป็นสิ่งมีชีวิตแปลกตา ขณะที่บ้างก็เคยเป็นถึงจ้าวผู้ปกครองโลกใบนั้นทั้งใบ
เมื่อโลกเหล่านั้นถูกครอบครองโดยเผ่ามารอย่างสมบูรณ์ ร่างกายของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะถูกนำมาเย็บเป็นส่วนหนึ่งของอสูรกายที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ชิ่นส่วนร่างกายของสิ่งมีชีวิตในโลกที่พ่ายแพ้จะถูกขุดขึ้นมารักษา และทำการเปลี่ยนแปลงเป็นมาร หลังจากหลากหลายปีที่เฝ้าฟูมฟักมานับไม่ถ้วน ในที่สุดพวกมันก็กลายมาเป็นอาวุธที่ทรงอำนาจสูงสุด
และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับยักษ์เบื้องหน้านี้
เกรงว่าครั้งหนึ่งมันอาจจะเคยเป็นจ้าวผู้ปกครองโลกใบใดสักใบหนึ่ง แต่แล้วก็ได้ตกตายลงในสงครามอันโหดร้าย หลงเหลือทิ้งไว้เพียงร่างกายส่วนบนที่ยังคงเดิม
เมื่อเพ่งมองอย่างใกล้ชิด จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบนตัวมัน เดิมทีแล้วมีแขนจริงๆเพียงสองข้างเท่านั้น
ส่วนแขนอื่นๆ ทั้งหมดถูกเย็บเพิ่มเติมเข้ามาในภายหลัง
และด้วยกระบวนวิธีอันแสนลึกลับ ส่งผลให้สองแขนเดิมที่ติดตัวมัน ยังคงสามารถระเบิดอำนาจดั้งเดิมออกมาได้
เจ้านี่คือสิ่งที่เผ่ามารมักจะใช้ในการโจมตีเมืองหรือหมู่บ้าน
แน่นอน ว่าประเภทของอสูรกายมิได้ถูกจำกัดอยู่แค่นี้
สิ่งที่แกร่งเหนือล้ำยิ่งกว่ามันก็คือ อสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหล
ซึ่งอสูรกายประเภทดังกล่าว มันเกินกว่าขอบเขตสามัญสำนึกความเข้าใจของมนุษย์ไปโดยสมบูรณ์
คุณไม่มีทางทราบได้หรอกว่าในตอนแรกมันคืออะไร
เพราะมันมีทุกชนิดของพลังอำนาจอันแปลกประหลาดจากประเภทต่างๆที่มิอาจคาดเดาได้ มันสามารถลงมือได้โดยที่คุณไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ คุณอาจถูกกินลงไป หรือถูกฆ่าตายไปก่อนจะทันรู้ตัวเลยก็ได้
อย่างไรก็ตาม อสูรกายประเภทปฐมบทแห่งความโกลาหลมิใช่ตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุด
จริงๆแล้วชื่อประเภทของอสูรกายที่ทำให้ทุกคนที่ได้พบเจอล้วนสิ้นหวังก็คือ
‘อสูรกายที่สร้างมาจากชิ้นส่วนร่างกายของเทพวิญญาณ’
อย่างเช่นอสูรกายประเภทอาวุธตนนี้ มันครอบครองพลังงานก่อนตายของเทพวิญญาณแถมยังมีทั้งวิถีทำลายของมารที่ทรงอำนาจ และครอบครองอำนาจของโลกอีกด้วย
และจอมมารที่แท้จริง ก็ได้ใช้เจ้าชิ้นส่วนของเทพวิญญาณตนนี้นี่ล่ะ เป็นอาวุธในการยึดครองโลกของกู่ฉิงซาน
มีรายงานที่ไม่ได้รับการยืนยันจากหน่วยข่าวกรองของมนุษย์ในช่วงชีวิตก่อนหน้าว่า
กองกำลังมนุษย์ชาติชั้นสูงที่เก่งกาจที่สุดได้แตกพ่าย และโดนล้างบางทั้งกองทัพ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะตายลง พวกเขาก็ได้ส่งรายงานข้อมูลอันยากจะเห็นถึงความจริงกลับมาได้
เนื้อหาของข้อมูล โดยสิ้นเชิงแล้วมีเพียงสองประโยคเท่านั้น
ประโยคแรก ‘การล่มสลายของมนุษยชาติคงไม่อาจหยุดยั้งได้อีกแล้ว’
ส่วนในประโยคที่สอง ใจความว่า ‘อสูรกายที่น่าสะพรึงยิ่งกว่าจอมมารน่ะ .. มีอยู่จริง!’
รายงานที่ได้รับมานี้ เป็นในช่วงระหว่างสงครามครั้งสำคัญที่สุดระหว่างมนุษย์กับมาร ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการบ่อนทำลายขวัญกำลังใจทหาร เหล่าผู้บัญชาการเผ่ามนุษย์หลายคนรวมไปถึงกู่ฉิงซานจึงตัดสินใจเป็นเอกฉันท์ ว่าจะเก็บรายงานนี้ไว้เป็นความลับสุดยอด
…….
ในหัวใจของกู่ฉิงซานกำลังระลึกถึงเหตุการณ์จากอดีตที่ผ่านมา เขายืนอยู่ท่ามกลางดงมารและเงียบงันไปครู่หนึ่ง
แท้จริงแล้วเกิดสิ่งใดขึ้นในปรภพกันแน่? เผ่ามารจึงถึงขั้นส่งอสูรกายดัดแปลที่ทรงพลังเช่นนี้มาเพียงเพื่อปิดกั้นเส้นทางเอาไว้?
แต่แล้วเขาก็ส่ายหัว ขณะที่ดวงตาของเขาตกลงบนร่างอสูรกายยักษ์
ทั้งหมดไม่มีอะไรที่จะสามารถคาดเดาหรือล่วงรู้ได้
เพราะความจริง ได้อยู่เบื้องหลังของอสูรกายตนนี้แล้ว
เพียงแค่ก้าวเข้าสู่ปรภพเท่านั้น เราก็จะทราบถึงเรื่องราวทั้งหมด!
กู่ฉิงซานเริ่มขยับฝีเท้าของเขาอีกครั้ง
เขาพร้อมที่จะดู พร้อมที่จะเห็นแล้วว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น
กรงเล็บแหลมเจาะเข้าไปจนเกิดรอยแยกระหว่างหิน ก้าวต่อไปทีละก้าว ทีละก้าว
กู่ฉิงซานค่อยๆเคลื่อนกายอย่างเชื่องช้า
ไม่รวดเร็วจนเกินไป ไม่มีเสียงดังใดๆ ไม่โดดเด่นจนสังเกตเห็นได้
เขายับยั้งจิตสัมผัสเทวะ ก้มหน้าลง และรักษาสภาวะการเคลื่อนไหวของตนอย่างระมัดระวัง ไม่ยินยอมเผยถึงอาการผิดปกติใดๆ
ใกล้เข้าไป
ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ
จนในที่สุดเขาก็เดินมาถึงเบื้องหน้าของอสูรกาย
อสูรกายยังคงจมอยู่ในห้วงหลับลึก
ทว่าเพียงเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายทำลายล้างจางๆที่ออกมาจากอสูรกาย ร่างกายของกู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน
ช่องว่างความแข็งแกร่งระหว่างทั้งสองมันใหญ่เกินไป เพียงแค่กลิ่นอายเท่านั้น เจ้าอสูรกายก็สามารถปราบกู่ฉิงซานได้โดยสมบูรณ์
กู่ฉิงซานได้แต่กัดฟันกรอดชนิดหัวชนฝา หุบกรงเล็บอันแหลมคม ค่อยๆคลานไปเบื้องหน้าทีละก้าว
มุ่งหน้าตรงไปทางข้างกายของอสูรกายอย่างช้าๆ
มันจำเป็นที่จะต้องผ่านเส้นทางแคบๆนั้นไป เพื่อที่จะเข้าไปยังส่วนที่ลึกยิ่งกว่าของถ้ำ
ภายในถ้ำมืดช่างเงียบงัน
เผ่ามารส่วนใหญ่กำลังหลับลึกและพักผ่อน
มีเพียงตัวเขาที่เป็นมารกระดูกเท่านั้นที่กำลังเคลื่อนกายอย่างช้าๆ
เวลาผ่านพ้นไปเล็กน้อย
กู่ฉิงซานก็มาหยุดอยู่ด้านข้างของอสูรกายจนได้
ตราบใดที่เขายังคงรักษาความเร็วระดับนี้เอาไว้ อีกเพียงไม่กี่นาที เขาก็จะสามารถผ่านอสูรกายตนนี้ไปได้ในที่สุด
กู่ฉิงซานอดทนเหยียดกรงเล็บของเขาออกไป ใช้มันเจาะแทรกผ่านผนังหินและก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง
แต่แล้วโดยไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ จู่ๆอสูรกายที่หลับลึกก็ยกแขนของมันขึ้น! และกวาดมือเข้าไปทางฝูงมารข้างกายมัน!!
และตำแหน่งที่มันคว้าจับ … ก็มีกู่ฉิงซานรวมอยู่ด้วย!!!
กู่ฉิงซานไม่รู้เลยว่าเรื่องบัดซบนี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร
แต่เขาสาบานได้ว่า ตนเองไม่ได้ทำอะไรกระตุ้นให้อสูรกายค้นพบตัวอย่างแน่นอน
บางทีอสูรกายตนนี้อาจจะหลับลึก และเผลอละเมอก็ได้
มือของมันเคลื่อนใกล้เข้ามา ขยับท่วงท่าอย่างเป็นธรรมชาติ
และการเคลื่อนไหวนี้ของอสูรกาย เผ่ามารตนอื่นๆมิได้ตอบสนองเลย
มารจำนวนมากได้ถูกคว้าจับขึ้น
แน่นอน ว่ากู่ฉิงซานก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
เขาและเผ่ามารเกือบร้อยถูกกุมอยู่ในมือของอสูรกาย บีบจับเอาไว้อย่างแน่นหนา
มารบางตนดูเหมือนจะรับรู้ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น พวกมันเริ่มดิ้นรนด้วยความสยองเกล้า กรีดร้องออกมาด้วยความสิ้นหวัง
แม้จะได้ยินเสียงโวยวายเหล่านี้ ทว่าอสูรกายก็ยังคงไม่ลืมตา
มันอ้าปากกว้าง และค่อยๆขยับมือส่งมารทั้งหลายลงไปในปากของมัน
กู่ฉิงซานทั้งผลัก ทั้งดัน ทั้งเบียดเผ่ามารตนอื่นๆ จนในที่สุดก็มาถึงช่องว่างของมือใหญ่
เบื้องล่างเขา เผ่ามารตนอื่นๆเริ่มตอบสนองและกำลังทยอยกันวิ่งหนีแล้ว
ทันใดนั้นสายตาของกู่ฉิงซานก็หันไปเห็นมารมังกรตาเดียวตนหนึ่ง
มารมังกรตาเดียวกำลังวิ่งหนีอย่างรวดเร็วด้วยความว่องไวเป็นอย่างมาก
เวลานี้ กล่าวได้ว่ามันอยู่ในตำแหน่งข้างกายของอสูรกาย และในไม่ช้า มันจะข้ามผ่านร่างอสูรกาย เข้าสู่ส่วนลึกของถ้ำมืด
เอาเป็นแกก็แล้วกัน!
กู่ฉิงซานไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาเร่งใช้ออกด้วยร่างเงาแทนที่!
พริบตานั้น มารมังกรตาเดียวก็ปรากฏขึ้นในฝ่ามือของอสูรกาย
ขณะที่กู่ฉิงซานสามารถหลบเร้นออกไป และมาโผล่ตรงข้างร่างอสูรกายแทน
ในช่วงเวลานี้ ความรู้สึกวิกฤตอันแสนจะเข้มข้นก็ยังเวียนวนอยู่ในจิตใจของเขา
เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันน่าขนลุกจากปลายเส้นผม
ร่างเงาแทนที่ไม่สมควรที่จะมีปัญหาใดๆ
แต่ในบรรดาหลายสิบหลายร้อยเผ่ามารที่อยู่ในมือของอสูรกาย มอนสเตอร์มารกระดูก ได้ถูกแทนที่ด้วยมังกรตาเดียว
กู่ฉิงซานก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามือของอสูรกายจะตระหนักได้ถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี่หรือไม่
ณ เวลานี้ เขาจะไม่ยอมใช้โชคในการเดิมพัน หรือเฝ้ารอผลลัพธ์ที่เรียกว่าความบังเอิญอีกต่อไป!
จิตสัมผัสเทวะในขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลายถูกปลดปล่อยออกมา กวาดเข้าไปในส่วนลึกของถ้ำมืด
เส้นทางที่มืดมิดทั้งหมดกระจ่างชัดขึ้นในจิตสัมผัสเทวะของกู่ฉิงซาน-
-เขาจะไม่ยินยอมรับความเสี่ยงอีกต่อไป และหายวับไปจากสถานที่เดิมในฉับพลัน
ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว!
ในชั่วพริบตา เขาก็ข้ามผ่านเส้นทางไปไกลเกินกว่าพันลี้!
แล้วร่างของกู่ฉิงซานก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ตลอดทั้งร่างของมารกระดูก ทั้งหมดล้วนสั่นเทาอย่างมิอาจควบคุมได้
ทว่าบัดนี้ ความรู้สึกของวิกฤตอันเข้มข้นในจิตใจของเขามันยังดันไม่ยอมจางหายไป ตรงกันข้าม มันกลับระเบิดออกมาอย่างรุนแรงราวกับถูกเผาไหม้!
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.386 – แสดงความนับถือแด่ทุกคน
ร่างของกู่ฉิงซานผุดออกมาอยู่ข้างกองโขดหิน
ด้วยสกิลเทวะ ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว ส่งผลให้เขาสามารถก้าวข้ามผ่านมายังจุดที่ห่างไกลออกไปได้ในทันที
ท่ามกลางความมืดมิดที่มองไม่เห็นจากเบื้องหลัง ปรากฏกลิ่นอายร้ายแรงกวาดตามมา
นี่คือกลิ่นอายเฉพาะของอสูรกาย!
การดำรงอยู่ที่ชิงชังซึ่งสิ่งมีชีวิตทั้งมวล
ฆ่าสังหารเพื่อความสุข
เมื่อรู้สึกถึงกลิ่นอายนี้ กู่ฉิงซานก็มิได้วิ่งหนีก่อนในทีแรก
คู่กรงเล็บของเขาจึกจมลึกลงบนผนังหิน คุกเข่าลงข้างหนึ่ง ปากอ้าหอบหายใจหนักหน่วง
นี่คือกลิ่นอายเดียวกันกับในโลกก่อนหน้า
กลิ่นอายที่เป็นความทรงจำอันมิอาจลบเลือนออกไปได้
ภาพในอดีตพลุ่งพล่านเข้ามาในจิตใจดั่งกระแสธาร มันคือความทรงขำที่กู่ฉิงซานไม่ต้องการจะนึกถึง
—-
ใครบางคนตะโกนรายงานทั้งน้ำตาออกมา “นายพลกู่ กองกำลังติดอาวุธแนวหน้าได้ปะทะกับตัวตนที่มีลักษณะตรงตามข้อมูลของอสูรกายที่ถูกระบุไว้ แต่พวกเขาไม่ได้ตอบกลับมาเลย คาดว่าคงถูกสังหารลงโดยอสูรกายตนนั้นไปแล้ว!”
“จำนวนคนที่เสียชีวิตล่ะ?”
“ 300000! 300000คน! นายพลกู่!”
—–
ฟู่ว … ฟู่ว …
กู่ฉิงซานสูดหายใจเข้าลึกๆ ทว่ากลับสัมผัสได้ว่าหน้าอกของตนกำลังรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย
อากาศหนาวเย็นที่อยู่ลึกลงไปใต้ดินถูกสูดดมเข้ามาในร่างกายของเขา มันได้ฝืนบังคับให้ตัวเขาสงบลงอย่างไม่เต็มใจ
หลังจากนั้นจิตสัมผัสเทวะก็ถูกปล่อยออกไปอีกที พร้อมกับร่างของกู่ฉิงซานที่หายวับไป
ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วครั้งที่สอง!
ทันใดนั้นเอง กู่ฉิงซานก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางดงมาร
ที่นี่ยังคงมีเผ่ามารอยู่มากมาย และส่วนใหญ่ก็อยู่ในสภาวะตื่นตัวอยู่ก่อนแล้ว
พวกมันได้สร้างชั้นป้องกันขึ้นที่นี่
เพราะหลังจากทั้งหมดนี้ นี่คือเส้นทางส่วนสุดท้ายก่อนการเข้าสู่ปรภพ
และเผ่ามารจะไม่อนุญาตให้ร่างจิตวิญญาณใดๆเข้าสู่ปรภพได้!
กู่ฉิงซานที่กำลังผวาถูกเบียด กระแทกไปมาโดยเผ่ามารตนอื่นๆจนโซซัดโซเซ
“เกะกะ! ตายซะ!”
เขาโบกกรงเล็บแหลมออกไปอย่างแทบจะไม่อาจควบคุม
เลือดสาดกระจายไปทั่วอากาศ
เผ่ามารระเบิดเสียงโหยหวนสยองขวัญออกมา
แล้วกู่ฉิงซานก็หายตัวไป
และโผล่ออกมาอีกครั้งท่ามกลางฝูงมารอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งห่างจากกลุ่มเดิมไปกว่าหลายร้อยลี้
เขาพยายามทะยานต่อไปข้างหน้าด้วยความสิ้นหวัง
เผ่ามารบางตนเงยหน้าขึ้น จ้องมองไปที่เขาด้วยความประหลาดใจ
อย่างไรก็ตาม มันก็แค่นั้น พวกมันยังมิได้รับข่าวคราวใดๆ จึงยังไม่มีมารตนใดคิดจะกำจัดเขา
กู่ฉิงซานวิ่งเต็มกำลัง แต่แล้วจู่ๆเขาก็สะดุดขาตัวเอง ร่วงตกลงไปกลิ้งกับพื้น
นั่นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของอสูรกายที่ไล่ตามติดเขามาอย่างใกล้ชิด
ราวกับถูกกระตุ้นเตือน ภาพแห่งความทรงจำในส่วนลึกก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
——–
ณ ภูเขาลูกหนึ่ง
บนภูเขา เต็มไปด้วยซากศพของมนุษย์
ขณะนี้ ใบหน้ายักษ์อันแสนดุร้าย โผล่ออกมาจากอีกด้านหนึ่งของภูเขา สายตาของมันจดจ้องมายังค่ายทหารเผ่ามนุษย์
“นายท่านกู่ รีบหนีไปเร็วเข้า หนีไปโดยเร็ว!”
“เจ้าไปเถอะ ข้าน่ะเป็นผู้ฝึกดาบ ดังนั้นคงจะสามารถถ่วงเวลามันได้สักพัก!”
ได้ฟังดังนั้น ฝูงชนทั้งกลุ่มก็ไม่คิดเปล่งวาจาอีกต่อไป ทั้งหมดช่วยกันรุมล็อคตัวเขา และฉุดลากออกไป
ขณะที่เหล่าผู้สวมใส่เกราะรบจำนวนมากและผู้บัญชาการอีกคนก้าวออกมาเบื้องหน้าเขา พร้อมกับทะยานตัวออกไปต้อนรับเจ้าอสูรกายถึงที่
“นายท่านจะตายไม่ได้! พวกเรามาช่วยหยุดมันกันเถิด”
“จงฟังคำสั่งข้า! กลุ่มแรกมุ่งหน้าไปก่อน!”
“ส่วนกลุ่มที่สอง มากับข้า!”
“ทุกคนเตรียมปะทะ!”
“สะกดมันไว้!”
แล้วใบหน้ายักษ์ที่มีขนาดเทียบเคียงกับภูเขาก็ค่อยๆอ้าปากของมันอย่างช้าๆ
ตามด้วยเสียงกรีดร้องระงมของนับไม่ถ้วนของผู้ฝึกยุทธมนุษย์
——-
แต่แล้วกระแสลมเย็นเยียบภายในถ้ำก็ถาโถมเข้ามา ปลุกกู่ฉิงซานให้ตื่นจากภวังค์
ร่างกายที่สั่นสะท้านของเขาหยุดกึกลง
พร้อมกับเจ้าตัวที่เปล่งเสียงตะโกนออกมาในฉับพลัน
“ไม่!”
เผ่ามารโดยรอบตอนแรกได้ยินเพียงเสียงสะอื้นครวญของมารกระดูกที่ล้มลง
จากนั้น จู่ๆมารกระดูกชะงักไป ยืนนิ่งไม่ไหวติง
เผ่ามารโดยรอบกำลังคิดว่ามันแปลกๆนะ แต่ทันใดนั้นเอง ความรู้สึกเจ็บปวดอันรุนแรงก็แทรกเข้ามา
ร่างของพวกมัน ถูกตะปบ! แยกออกจากกัน ตกตายลงไปทั้งๆอย่างนั้น!
และมารกระดูกก็หายวับไปจากสายตาของฝูงมารทั้งหมด
ลึกเข้าไปข้างในห่างจากจุดเดิมหลายร้อยลี้ ร่างๆหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ภายในถ้ำอันมืดมิด ตรงส่วนนี้เป็นทางเดินราบ และฟุ้งไปด้วยอากาศหนาวเย็นที่เกือบจะสามารถแช่ร่างมนุษย์ให้แข็งค้างได้
ทันใดนั้น จู่ๆจากในอากาศที่ว่างเปล่า เสียงของดาบพิภพก็ได้ดังขึ้นอย่างรวดเร็ว “ข้าสัมผัสได้ถึงพลังอันคลุ้มคลั่งของอสูรกายที่ปะทุขึ้น เจ้าต้องเร่งหนีให้ไวขึ้นยิ่งกว่านี้แล้ว!”
ฮู้มมมม!
เบื้องหลังเขา บังเกิดเสียงคำรามกึกก้อง สะท้อนสะท้านดังตามมาตลอดถ้ำมืด
ภายในถ้ำ บังเกิดลมพายุกรรโชกแรง
ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด ปรากฏขึ้นแล้ว!
แม้จะเป็นความผิดปกติแค่เพียงเล็กน้อย แต่มันก็ทำให้อสูรกายถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาจริงๆ!
หัวใจของกู่ฉิงซานวูบดิ่งลง
เวลานี้ มันเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะกลับไปตามเส้นทางเก่า
วิธีเดียวที่จะรอดชีวิตออกจากที่นี่คือปรภพ!
ต้องหนีแล้ว!
หนีเต็มกำลัง!
ในหัวใจของกู่ฉิงซานตะโกนก้อง แต่ร่างของเขากลับยังคงยืนนิ่งงันไม่ไหวติง
ขณะที่กลิ่นอายของอสูรกายค่อยๆแข็งกร้าวขึ้น บ่งบอกว่ามันกำลังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว
ความรู้สึกสิ้นหวังในชีวิตก่อนหน้าได้แผ่เข้ามาห้อมล้อมกายเขา และเปิดประตูเข้าสู่ห้วงแห่งความทรงจำอีกครั้ง
——
บังเกิดเสียงอันเรือนรางจากส่วนลึกของความทรงจำดังขึ้น
“อะไรกันนี่ คนอย่างนายก็สามารถเป็นถึงผู้บัญชาการรบแห่งมนุษยชาติได้ด้วยอย่างงั้นหรอ?”
น้ำเสียงที่ฟังดูน่ารักทว่าห้าวหาญของหญิงสาวได้ดังขึ้น
“โอ๊ะโอ? นายได้ค้นพบไวน์ที่มีฤทธิ์รุนแรงที่สุดแล้ว? เจ้าโง่เอย … ก็ได้ๆ เพื่อตอบแทนความยากลำบากของนาย ราชินีแห่งการทำลายล้างคนนี้จะออกเดทกับนายเอง”
และเปลวไฟจากในจุดที่ห่างไกลก็โผบินเข้ามา สว่างวาบในทันใด
แน่นอน มันคือยันสื่อสาร และเสียงของหญิงสาวก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ฉันจะรออยู่ที่พิกัด 571 ก็แล้วกัน มันค่อนข้างไกลกับที่อยู่ของนาย แต่ถ้านายต้องการ ก็มาหาฉันได้นะ”
“อา ใช่สิ เจ้าเด็กตัวเหม็น อย่าลืมเอาไวน์มาด้วยล่ะ เราจะได้ดื่มด้วยกัน”
แต่แล้วท่ามกลางการสนทนา จู่ๆก็บังเกิดเสียงของผืนดินที่ถูกพลิกตลบ!
บรึ้ม!
วี้ดดดด!
ตามด้วยเสียงของคู่สนทนาที่โวยวายออกมาด้วยความโกรธ “กู่ฉิงซาน นายคงจะมาที่นี่ไม่ได้แล้วล่ะ … เพราะตอนนี้ มันได้ถูกค้นพบโดยเจ้าอสูรกายแล้ว!”
พอได้ฟัง เจ้าตัวก็หันหลังกลับ และเร่งมุ่งหน้าไปที่นั่นทันทีโดยไม่คิดฟังคำเตือนใดๆ
บางคนในค่ายทหารวิ่งไล่ตามเขา ปากเปล่งวาจาลั่น “นายพลกู่! ได้โปรดกลับมาเถิด สถานที่แห่งนั้นน่ะมันจบสิ้นแล้ว”
ทว่าเขากลับทำตรงกันข้าม เจ้าตัวกลับเร่งฝีเท้ายิ่งขึ้น มุ่งตรงออกไปอย่างเต็มกำลัง
ชั่วชีวิตของเขา ไม่เคยวิ่งด้วยความเร่งร้อนอย่างบ้าคลั่งขนาดนี้มาก่อนเลย
ต้องรีบแล้ว!
ในที่สุด เขาก็มาหยุดยืนอยู่บนต้นไม้ เฝ้ามองไปยังสถานที่ห่างไกลในตำแหน่งที่นัดหมาย … เฝ้ามองดูเปลวเพลิงที่พวยพุ่งเชื่อมต่อระหว่างสวรรค์และโลก
เปลวเพลิงได้สาดสว่างขึ้นในแววตาทั้งสองข้างของเขา
และสุดท้าย .. มันก็มอดดับลง
ดับลงจนหมดสิ้น มิมีหลงเหลือ
แต่แล้วเขาก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรง!
“ได้สติซักทีสิกู่ฉิงซาน!”
ดาบพิภพกระโดดออกมาจากความว่างเปล่า ฟาดสันดาบลงบนไหล่เขา
กู่ฉิงซานได้สติกลับคืน
เขาไม่เคยได้ยินเสียงของดาบพิภพที่ดูเร่งร้อนและวิตกกังวลขนาดนี้มาก่อนเลย
“รีบหนีเร็วเข้ากู่ฉิงซาน! อสูรกายกำลังเคลื่อนที่มาทางนี้แล้ว!”
ดาบเช่าหยินเองก็ผุดออกมาลอยอยู่เคียงข้างดาบพิภพเช่นกัน
นอกจากนี้ มันก็กำลังส่งเสียงฉวัดเฉวียนด้วยความกังวลมาทางเขา
—จริงสิ ตอนนี้ฉันกำลังหลบหนีอยู่นี่นา
ต้องวิ่งแล้ว!
กู่ฉิงซานกัดฟันกรอด
เขาลุกพรวดขึ้นทันใด และทะยานออกไปข้างหน้าหลายสิบจั้ง
ไม่ … หากใช้วิธีวิ่งหนีแบบนี้คงไม่พ้นแน่
เขาล้มเลิกที่จะโจนทะยาน และเริ่มต้นใช้ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วอีกครั้ง
เมื่อเทียบกับร่างเงาแทนที่ ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วนับว่ากินพลังวิญญาณน้อยกว่าอยู่หลายส่วน!
และโชคยังดีที่ขณะนี้เขาอยู่ในร่างมาร ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวว่าตนจะไปปรากฏกายตกลงกลางดงมารและถูกโจมตีเลยในทันใด
แล้วเขาก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางดงมารจริงๆ ทว่าพริบตาเดียวก็หายวับไปอีกครั้ง
เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครา เขาก็ข้ามผ่านจุดเดิมมาไกล และได้มาถึงตำแหน่งรักษาการของเผ่ามารอีกจุดหนึ่ง
โดยไม่คำนึงถึงพลังวิญญาณ ใช้ออกด้วยย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว ส่งผลให้เขาสามารถมาถึงตำแหน่งที่ห่างไกลได้ด้วยความเร็วสูง
กู่ฉิงซานดูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง
แล้วเขาก็นิ่งงันไปสักพัก
ช่วงเวลานั้นเอง กลุ่มก้อนความมืดก็พลันคืบคลานเข้ามาจากเบื้องหลัง และโอบเข้าปกคลุมเขาเอาไว้ได้ในที่สุด
มันเป็นมือขนาดยักษ์ที่มีขนสีดำ
และมือที่ว่าก็กระชากคว้าจับไปยังทิศทางของกู่ฉิงซานในทันใด!
แต่กู่ฉิงซานก็หายไปทันที
อย่างไรก็ตาม เบื้องหน้าเขา ก่อนที่เจ้าตัวจะทันได้ปรากฏตัว มือยักษ์สีดำก็กำลังเฝ้าดักรอเขาอยู่ก่อนแล้ว
มือยักษ์สีดำกุมอากาศที่ว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว และคว้าจับร่างของกู่ฉิงซานที่ปรากฏออกมา
“ฝ่ายตรงข้ามคืออสูรกายขั้นสูง ชักช้าไม่ได้แล้ว รีบใช้ข้าต่อกรกับมันเร็ว!!” ดาบพิภพกล่าวด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย
“เข้าใจแล้ว!” กู่ฉิงซานตอบรับ
กู่ฉิงซานคว้าจับดาบพิภพ และฟันออกไปเต็มกำลัง ตัดสะบั้นไปทางมือสีดำ
เทคนิคลับแห่งดาบ กระแสธารอันยิ่งใหญ่!
รังสีดาบอันไพศาลราวกับน้ำหลากโถมออกไปปะทะเข้ากับมือสีดำ ทว่ากลับทำได้เพียงเชือดเฉือนมันจนเกิดช่องโหว่ขนาดเท่าครึ่งตัวคนเท่านั้น
กู่ฉิงซานจำต้องเอี้ยวหันตัวไปด้านข้าง และแทรกร่างผ่านช่องว่างอันเล็กจ้อยทะยานออกไปพร้อมกับรังสีดาบเบื้องหน้า
โฮกกกก!
น้ำเสียงแห่งความโกรธและไม่ยินยอมสะท้อนกังวานมาจากเบื้องหลังถ้ำลึก
ด้วยระยะที่แต่ละฝ่ายอยู่ห่างกันมากเกินไป
ทำให้อสูรกายไม่สามารถสำแดงพลังที่แท้จริงของมันออกมาได้
กู่ฉิงซานหลุดออกจากมือดำ โดยไม่คิดเหลียวหลัง ตัวเขาก็ได้ใช้ออกด้วยย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วอีกครา!
พริบตาเดียว! เขาก็ไปผุดในระยะที่ห่างออกไปกว่าหลายร้อยลี้
ข้างหน้า
แสงสลัวสีเหลืองอ่อนๆท่ามกลางความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด เริ่มปรากฏสู่สายตาแล้ว!
นั่นคือทางออกถ้ำ มันกำลังสะท้อนให้เห็นถึงแสงอันริบหรี่ของโลกปรภพ!
ร่างของกู่ฉิงซานหายวับไป และปรากฏขึ้นอีกคราทันใดที่ทางออก
และเขาไม่ลังเลเลยที่จะพุ่งออกไป
ฟิ้วววว!
ลมกรรโชกกระพรือไหว มันเกือบจะเป่าทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานให้ปลิวออกไป
รอบข้างเขาเวลานี้ คือทะเลเมฆอันไพศาล ไร้ที่สิ้นสุด
กู่ฉิงซานพบว่าตัวเองกำลังอยู่บนท้องฟ้าในมุมสูง และค่อยๆดิ่งลดระดับลงอย่างต่อเนื่อง
มองลงไปข้างล่าง คือสายธารใหญ่ที่กว้างขวางไร้ที่สิ้นสุด
สายธารนี้มีสีเหลืองอ่อน และกระแสน้ำที่รุนแรง
บริเวณผิวน้ำมีหมอกหนาจับตัวกันอยู่ จนแลคล้ายกับก้อนเมฆที่อยู่เบื้องล่าง
กู่ฉิงซานไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ในอากาศ เขาจึงทำได้แต่เร่งความเร็วในการทิ้งตัวตกลงมาให้ไวขึ้น
เขาปลดปล่อยสกิล ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต และกลับคืนสู่ร่างเดิมของตนเอง
เนื่องจากไม่มีเผ่ามารอยู่รอบๆอีกต่อไป ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องอำพรางกายเป็นมารแล้ว
อีกอย่าง ในกรณีที่ถูกค้นพบโดยกองกำลังของปรภพ เขาก็อาจจะได้รับบาดเจ็บโดยไม่ตั้งใจก็ได้
เมื่อกลับคืนสู่รูปร่างมนุษย์ ความเร็วในการบินก็พุ่งพรวดขึ้นอย่างกระทันหัน
เบื้องหลังมีอสูรกายไล่ล่า จะนาทีหรือหนึ่งวินาทีตัวเขาก็มิอาจล่าช้าได้
ดาบเช่าหยินบินออกมา พร้อมกับเปล่งเสียงร้องฉวัดเฉวียนไปทางกู่ฉิงซานครั้งแล้วครั้งเล่า
ดูเหมือนว่ามันกำลังจะอธิบายอะไรบางอย่าง
“ข้าทราบดีว่านี่คือสายธารแห่งการหลงเลือนในตำนาน และมิอาจสัมผัสต้องได้!” กู่ฉิงซานกล่าวตอบ
สายธารแห่งการหลงเลือนในตำนาน คือการดำรงอยู่ของแม่น้ำใหญ่ที่มิอาจเข้าถึงได้
เว้นไว้แต่เพียงการดำรงอยู่ของคนตายในนรก และเมื่อก้าวเข้าสู่สายธารแห่งการหลงเลือน การดำรงอยู่ที่ว่านั้นก็จะลืมเลือนเหตุการณ์ในอดีตทั้งหมดที่ผ่านมา และจิตวิญญาณจะถูกส่งไปยังนรกหรือกลับคืนสู่สังสารวัฏ(เกิดใหม่)
นี่คือแม่น้ำใหญ่สำหรับคนตาย
นี่คือกฏเกณฑ์ที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดในปรภพ
ดาบเช่าหยินส่งเสียงฮึมฮัมอีกครั้ง
และกลิ่นอายของหยดน้ำสีเหลืองอ่อนก็ปรากฏขึ้นบนใบดาบ
นี่คือหยดน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือน
มันเป็นสิ่งที่โครงกระดูกชุดคลุมดำบอกเล่าว่ากว่าจะได้รับมันมา ตนต้องเฝ้าเพียรพยายามอย่างยากลำบากเพียงใด
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม บรรทัดเส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กเด้งเตือนขึ้นทันใด
“ดาบเช่าหยินร้องขอคุณให้ทำการอนุญาตให้มันริเริ่มหลอมกลั่นหยดน้ำแห่งการหลงเลือนอันล้ำค่านี้ เพื่อที่จะได้รับการยอมรับจากสายธารแห่งการหลงเลือน”
“ดาบเช่าหยินร้องขอ 1000 แต้มพลังวิญญาณ เพื่อช่วยมันในการหลมกลั่นหยดน้ำแห่งการหลงเลือน”
กู่ฉิงซานเร่งกล่าวโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ฉันอนุญาต”
ในเสี้ยววินาที หยดน้ำสีเหลืองอ่อนก็กระจายหายไป แปรเปลี่ยนสภาพเป็นหมอกวนอยู่รอบๆบนดาบเช่าหยิน
ติ๊ง!
“การหลอมกลั่นเสร็จสมบูรณ์ ดาบเช่าหยินสามารถใช้ ‘ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทม’ กับสายธารแห่งการหลงเลือนได้แล้ว”
แบบนี้มัน!
กระทั่งอสูรกาย ก็ยังมิกล้าที่จะก้าวล่วงเกินเข้าสู่สายธาร
จึงกล่าวได้ว่าตราบใดที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในสายธาร ตนก็จะสามารถรอดชีวิตจากวิกฤตในครั้งนี้ไปได้!
กู่ฉิงซานนำสองดาบออกมา หันคมดาบออกข้าง กางมันออกเป็นแนวนอนจนบังเกิดเสียงลมปะทะหวีดหวิว ทะลุออกจากชั้นเมฆและเตรียมร่วงปะทะเข้ากับผิวน้ำของสายธารแห่งหลงเลือน
และไม่จำต้องรีรอให้นานเกินไป กลิ่นอายของอสูรกายก็ปรากฏขึ้น
กลิ่นอายนี้เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าและการทำลายล้างอันไร้ที่สิ้นสุด
ระหว่างห้วงภวังค์ ความคิดหนึ่งก็วิ่งเข้ามาในจิตใจของกู่ฉิงซานอย่างมิอาจยับยั้งได้
หนีอย่างงั้นหรือ?
นี่ฉันทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากหนีอย่างงั้นหรือ??
กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ
ชั้นอากาศเบื้องบนที่สูงลิ่ว
ดาบ
แม่น้ำใหญ่
ลมกรรโชก
ฉากนี้ที่แสนจะคุ้นเคย
และภาพที่อยู่ลึกที่สุดในห้วงความทรงจำก็ปรากฏออกมา
——
ณ ค่ายทหาร
เสียงของเกราะเข่าที่กระแทกลงกับพื้นดินก้องกังวานขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หลายพันหมื่นทหารกล้าคุกเข่าข้างหนึ่งลงโดยพร้อมเพรียง
“นายท่านกู่ ข้าก็ยินดีร่วมกระบวนท่ากับท่าน”
“มาร่วมกันทำให้มันเป็นกระบวนท่าที่สุดยอดกันเถิด”
“พวกเราขอยอมเป็นส่วนหนึ่งของทงกุ่ย!”
“ข้ายินดีแลกเลือดทุกหยาดของข้าเพื่อเปิดใช้งานทงกุ่ยกับนายท่าน!”
และเสียงตะโกน ก็ค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ
จากนั้นเหล่าสรรพเสียงนับไม่ถ้วนก็แปรเปลี่ยนเป็นรังสีดาบ สาดแสงสว่างควบรวมเป็นส่วนหนึ่งของค่ายกล
ตามด้วยตัวเขาที่กำลังย่ำลงบนมวลมหารังสีดาบ เหินทะยานขึ้นไปในอากาศเบื้องบน
จากนั้น-
ฮู้มมม!
ดาบเช่าหยินส่งเสียงฉวัดเฉวียนอีกคราทันใด
กู่ฉิงซานได้สติกลับคืน
เขาเงยหน้าขึ้นมอง
7-8 แขนยักษ์ผุดออกมาจากชั้นอากาศเบื้องบน
แขนเหล่านี้ บ้างยาว บ้างสั้น บ้างเย็นเยียบ ขณะที่บางอันปลดปล่อยหมอกสีเขียวน่าขวัญผวาออกมา
และพวกมันทุกแขน ล้วนอ้าฝ่ามือหมายจะคว้าจับไปยังร่างของกู่ฉิงซาน
“เช่าหยิน!” กู่ฉิงซานตะโกนเสียงดัง
แล้วจู่ๆร่างเขาก็กระพริบไหว พุ่งเว้นระยะออกไกลออกไปในทันใด
เมื่อปรากฏขึ้นอีกครั้ง ร่างของกู่ฉิงซานก็อยู่ห่างจากผิวแม่น้ำใหญ่เพียงไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น
ดาบเช่าหยินสั่นสะเทือน
ตามด้วยแสงสลัวสีเหลืองอ่อนลุกโชนแผดเผาออกมาจากใบดาบ
กู่ฉิงซานคว้าจับเช่าหยิน และจี้ปลายของมันออกไปเบื้องล่างของสายธาร
สายธารแยกออกเป็นสองฟากฝั่ง เปิดช่องทางให้เข้าก้าวลงไปยังส่วนลึกของธารน้ำเบื้องล่าง
กล่าวได้ว่าสายธารแห่งการหลงเลือนได้ยอมรับเขาแล้ว!
จากนั้น ตราบใดที่กู่ฉิงซานมุ่งลงสู่เบื้องล่างธารน้ำ เขาก็จักปลอดภัย!
โดยไม่มีการหยุดพัก ร่างของกู่ฉิงซานเร่งดิ่งลงไปด้วยความเร็วสุดขีด ผ่ากลางทางแยกเข้าสู่ส่วนล่างของสายธารแห่งการหลงเลือน
500 เมตร
200 เมตร
30 เมตร
ถึงแล้ว!
กู่ฉิงซานได้มาถึงผิวน้ำเบื้องล่างของสายธาร ทว่าเขากลับหยุดยืนอยู่ตรงนั้น
“เกิดสิ่งใดขึ้น? เร่งหลบซ่อนตัวเร็วเข้า!” ดาบพิภพเร่งเตือน
ทว่ากู่ฉิงซานกลับยังคงยืนเงียบ
กระแสลมของสายธารพัดเป่าผมของเขาจนพริ้วไหว เสื้อผ้าที่สวมใส่กระพรือราวกับกำลังร่ายระบำ
เขายังคงหยุดนิ่ง
ขณะที่แขนข้างหนึ่งของอสูรกายตามมาถึงตัวเขาแล้ว
มันอ้าฝ่ามือออก และรวบ!กำกู่ฉิงซานเข้าไปในฝ่ามือ
ทว่ากู่ฉิงซานกลับหายวับไป และปรากฏตัวขึ้นเหนือฝ่ามือยักษ์และตบดาบพิภพลงบนมันสุดแรง
“ว๊ากกก!!”
เขาคำรามก้อง และกระแทกตบแขนของอสูรกายลงไปในสายธารด้วยเจตนาร้าย
แม้แขนยักษ์ถูกตบสับด้วยดาบพิภพ ทว่ามันก็มิได้รับบาดเจ็บใดๆแม้กระน้อย
อย่างไรก็ตาม เมื่อส่วนมือได้ถูกกระแทกร่วงตกลงไปสัมผัสกับสายธารแห่งการหลงเลือน มันก็สะดุ้งเฮือก และเริ่มดิ้นรนทันที
อย่างไรก็ตาม มันไร้ประโยชน์
เพราะนี่คือสายธารแห่งการหลงเลือน!
กฏเกณฑ์อันทรงพลานุภาพที่สุดของปรภพอยู่ที่นี่!!
หลังจากที่แขนยักษ์กระตุกอยู่สองสามครั้ง มันก็สูญสิ้นพลังทั้งหมดของตนไป
และค่อยๆจมลงสู่ก้นบึ้งเบื้องล่างของสายธาร
กู่ฉิงซานเฝ้ามองฉากนี้และค่อยๆพยักหน้าอย่างแผ่วเบา
สายธารแห่งการหลงมิอาจสัมผัสหรือปนเปื้อนได้ มิฉะนั้นแล้ว ต่อให้เป็นอสูรกายก็ต้องประสบพบเจอกับความสูญสิ้น!
ราวกับว่าจะตระหนักถึงสถานการณ์ที่ว่านี้ แขนบนท้องฟ้าเบื้องบนทั้งหมดได้ถูกชักกลับคืน
เหนือท้องฟ้าไกลในมุมสูง
ใบหน้าของยักษ์ผุดออกมาจากทางออกถ้ำ และมองไปโดยรอบด้วยความเดือดดาล
มันก้มมองลงไปที่สายธารปรภพเบื้องล่าง
สายน้ำของสายธารพุ่งพล่านไปตามกระแส ดั่งเช่นลูกศรที่หลุดรั้งจนตึงแล้วหลุดจากสาย แลคล้ายกับฝูงอาชาที่ควบวิ่งอย่างไม่คิดจะหยุดยั้ง
ขณะเดียวกัน ก็ปรากฏมนุษย์ร่างเล็กจ้อยที่มิแตกต่างไปจากมดแมลงกำลังยืนอยู่บนผิวน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือน สีหน้าของมันผู้นั้นไร้ซึ่งร่องรอยของความหวาดกลัวเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
ยักษ์เปล่งเสียง ก๊าซซซ! คำรามด้วยความโกรธ
นี่มันปล่อยให้ดวงจิตวิญญาณของมดตัวจ้อยผ่านถ้ำมืดไปได้กระนั้นหรือ!
ต่อให้มันหลับอยู่ ก็ไม่น่าจะพลาดพลั้งเช่นนี้!
แถมเจ้ามนุษย์ตัวจ้อยนั่น ถึงขั้นทำให้มันต้องทิ้งแขนข้างหนึ่งของตนเองไป!
“เห็นได้ชัดว่ามันเป็นแค่จิตวิญญาณชั้นต่ำที่อ่อนแอ แล้วมันสามารถผ่านข้าไปได้อย่างไร?”
ยักษ์มิอาจทำความเข้าใจได้
และมันก็ไม่อยากที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป
ยังไงก็ตาม เอาไว้หลังจากคร่ากุมตัวฝ่ายตรงข้ามได้ และทำการเคี้ยวจิตวิญญาณของมัน ตนก็จะสามารถเรียกคืนความทรงจำทั้งหมดของอีกฝ่ายได้เอง
ตราบใดที่ได้รับความทรงจำ ยักษ์ก็จะสามารถเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ในพริบตา
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ยักษ์ใหญ่ก็ทิ้งตัวลงมาทันที!
แขนนับสิบที่ครอบครองพลังอำนาจแตกต่างกันเริ่มบินออกจากร่าง ร่ายระบำอยู่กลางอากาศรอบกายยักษ์
กล่าวได้ว่าความว่องไวของยักษ์เกือบจะเทียบเท่ากับย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วของกู่ฉิงซานเลย มันด้อยกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
มันทิ้งตัวจากเบื้องบน วิ่งเข้าหามนุษย์ผู้นั้นอย่างเต็มกำลัง!
กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นเฝ้ามองอสูรกายที่ค่อยๆใกล้เข้ามา
ทว่าเขาก็ยังมิขยับกายเคลื่อนไหว
เขามิได้โบกสะบัดดาบเช่าหยิน จนกระทั่งอสูรกรกายเข้ามาอยู่พิสัยของจิตสัมผัสเทวะ
แล้วแม่น้ำใหญที่ไหลเชี่ยวจากสองฟากฝั่งก็แยกออกจากกัน
ตามด้วยกู่ฉิงซานที่จมลงไป
เขาจมลงไป
แน่นอน ว่าสายธารแยกเปิดพื้นที่ออก เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีน้ำสักหยดลงใส่ตัวเขา
“หยุดนะ เจ้าเผ่ามนุษย์ต่ำต้อย! ข้าต้องการความทรงจำของเจ้า!”
เสียงยักษ์คำราม
และกู่ฉิงซานก็จมหายลงไปในน้ำ
จมลงไป
ชั่วขณะหนึ่ง
จู่ๆกู่ฉิงซานก็ปรากฏตัวขึ้นกลางเวหาในทันใด
แต่ทั้งยักษ์ทั้งแขนนับสิบของมัน กลับไปปรากฏกายขึ้นในพื้นที่แปลกๆแทน
มันเป็นพื้นที่ที่ไม่มีหยดน้ำสักหยด
กระแสธารทั้งหมดแยกตัวออกไปราวกับกำลังหลีกเลี่ยงสถานที่แห่งนี้
น้ำสีเหลืองอ่อนๆส่องประกายระยิบ สะท้อนรูปร่างของยักษ์
แต่ฉากนี้ก็คงอยู่เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น
สกิลก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทมน่ะ มันไม่ได้มีไว้ใช้กับอสูรกาย!
สายธารแห่งการหลงเลือนที่ครั้งหนึ่งเคยแยกออกเป็นพื้นที่ บัดนี้โถมลงปิดตัวอย่างรวดเร็ว
ด้วยเหตุการณ์นี้ ส่งผลให้บนผิวน้ำของสายธารเกิดกระแสน้ำหมุนวนขนาดใหญ่ขึ้น
และอสูรกายก็กำลังดิ้นรนสุดกำลัง
อย่างไรก็ตาม
มันไร้ประโยชน์
ย้ำอีกครั้ง นี่คือกฏเกณฑ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปรภพ!
มันคือสายธารแห่งการหลงเลือน ที่จะช่วยให้คนที่สัมผัสมัน ลืมเลือนทุกสิ่งอย่าง ตัดห่วงอาทร แล้วหวนคืนสู่สังสารวัฏ!
มันพยายามดิ้นรนได้เพียงสองลมหายใจเท่านั้น อสูรกายคลั่งที่ทรงพลานุภาพและแสนร้ายกาจก็หยุดดิ้นรนอีกต่อไป
กู่ฉิงซานลอยอยู่เหนือผิวน้ำ กำลังเฝ้ามองดูฉากนี้อย่างเงียบๆ
ผ่านไปเพียงครู่หนึ่ง
ศพของอสูรกายก็ลอยขึ้นมา
กู่ฉิงซานมองร่างอสูรกายและนิ่งงันไปครู่หนึ่ง
เมื่อถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม ปากก็เอ่ยเสียงกระซิบ “ความทรงจำน่ะคือสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับฉัน ฉันไม่มีทางยอมยกมันให้แกหรอก”
ว่าแล้วเขาก็หยิบขวดไวน์เก่าๆขวดหนึ่งออกมาจากถุงสัมภาระ
จุกอุดถูกเปิดออก และไวน์องุ่นก็เอ่อล้นออกมา
กู่ฉิงซานผละมือของเขาออกจากมัน
ขวดไวน์เก่าร่วงตกลงไปในสายธาร ลอยล่องอยู่ข้างๆศพของอสูรกาย
“ขวดนี้เพื่อแสดงความนับถือแด่เหล่าสหายแห่งข้าทุกผู้คน”
กู่ฉิงซานเชิดหน้าขึ้น หยุดรออยู่สักครู่ เพื่อให้สายลมพัดเป่าใบหน้าที่เปียกชื้นของเขาจนกลับมาแห้งดังเดิม
“สหายทุกท่าน วางใจเถอะ ในชีวิตนี้นี่แหละ ข้าจะปกป้องพวกเจ้าทุกคนให้จงได้”
“ข้าสาบาน”
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.387 – ท่านเป็นผู้ใด?
กู่ฉิงซานหยุดอยู่บนผิวน้ำอยู่ครู่หนึ่ง
เขายังไม่ได้จากไป แต่เฝ้ารอจนกระทั่งศพของอสูรกายลอยหายไปสุดสายตา
ความสงบเงียบกลับคืนสู่บริเวณโดยรอบ เหลือทิ้งไว้เพียงเสียงสายลมและสายน้ำที่พัดเข้ามาในหูเท่านั้น
กู่ฉิงซานถอนสายตากลับ และเริ่มทำการสำรวจรอบๆ
สายธารแห่งการหลงเลือนนี้เต็มไปด้วยเมฆหมอกหนาที่ลอยล่อง ส่งผลให้ไม่สามารถมองเห็นขอบชายฝั่งแม่น้ำได้
ในวิสัยทัศน์ของเขา บัดนี้จึงมีเพียงเมฆหมอกเท่านั้น
กู่ฉิงซานลอบสงสัยอย่างลับๆ
ตามตำนานแล้ว สายธารแห่งนี้สมควรที่จะเต็มไปด้วยคนตาย
และคนตายทั้งหมดจะต้องข้ามผ่านสายธารนี้ไปสู่นรกภูมิ หรือกลับคืนสู่สังสารวัฏไปเกิดใหม่
และที่สำคัญเลยก็คือ ในสายธาร สมควรที่จะมีเรือข้ามฟาก
—แน่นอน ว่านั่นคือสายธารแห่งการหลงเลือนของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ที่มีโครงกระดูกหญิงเป็นผู้รับหน้าที่พายเรือข้ามฟาก
แต่สำหรับโลกจริง หากอ้างอิงตามการปรากฏกายของเหล่าเครื่องจักรปรภพแล้ว เรือข้ามฟากก็สมควรจะเป็นเครื่องจักรเช่นกัน
กู่ฉิงซานเฝ้ารออยู่สักครู่
แต่เขาก็ยังไม่พบเจอกับสิ่งใด
มันน่าแปลกใจนัก สิ่งมีชีวิตทั้งหมดโดยปกติแล้วจะมาถึงที่นี่หลังจากที่ตายลง แม้ว่าเส้นทางจะถูกปิดกั้นก็ตามที แต่อย่างน้อยก็สมควรที่จะมีการดำรงอยู่ของเทพวิญญาณสิ
แล้วเพราะอะไรกัน? ทำไมปรภพจึงได้ว่างเปล่าเช่นนี้?
กู่ฉิงซานทนไม่ไหวต้องเอ่ยถามออกมา “ระบบ ทำไมฉันถึงไม่เจอกับสิ่งมีชีวิตอื่นเลยล่ะ?”
ติ๊ง!
ระบบตอบกลับ “นั่นเพราะในปรภพมีแต่คนตาย ดังนั้นจึงไม่อาจพบเจอกับสิ่งมีชีวิตได้”
กู่ฉิงซาน “โอ๊ย เรื่องนั้นฉันรู้น่า ไอ้สิ่งมีชีวิตอื่นที่ว่าน่ะ ฉันหมายถึงพวกผู้ดูแลหรือผู้พิทักษ์ปรภพน่ะ”
“ระบบเองก็ไม่ทราบว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับปรภพ ขอให้ผู้เล่นโปรดทำการสำรวจปรภพด้วยตนเอง”
กู่ฉิงซานยอมแพ้ที่จะเอ่ยถามต่อ
ในเมื่อเป็นแบบนี้ ถ้าอย่างงั้นก็ลงมือเลยแล้วกัน
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏเส้นแสงหิ่งห้อยขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
“โปรดทราบ”
“คุณได้ทำการสังหารอสูรกายดัดแปลง ซึ่งนี่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของหกวิถี”
“ดังนั้น ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์นี้ ก็จะถูกรับรู้โดยโลกใบอื่นที่กำลังดิ้นรนต่อสู้กับพวกมันอยู่เช่นกัน ด้วยวิธีการพิเศษอันหลากหลายที่แตกต่างออกไป”
“และเนื่องจากผู้ที่สังหารอสูรกายจริงๆแล้วคือสายธารแห่งการหลงเลือน ดังนั้นคุณจึงไม่สามารถที่จะรับพลังวิญญาณได้”
“คุณได้ทำการปลดล็อคภารกิจที่เกี่ยวข้องกับสมญาเฉพาะของเทพสงคราม”
“ร้องขอให้ผู้เล่นเฝ้าพยายามต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง และสังหารอสูรกายอีกครา เพื่อที่จะทำการปลดล็อคสมญาเทพสงครามที่เกี่ยวข้อง”
กู่ฉิงซานพออ่านจบ ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว
นี่มันเป็นเหมือนกับฉากในตอนที่เขาได้รับฉายา ‘นักฆ่า’
สมญาเทพสงครามเป็นสิ่งดีที่ แต่ที่มันไม่สะดวกก็คือ ทุกครั้งเลย ระบบมันจะไม่ยอมบอกว่าสมญาที่ว่านั่นคือสิ่งใด
กู่ฉิงซานพยายามที่จะเอ่ยถาม แต่ระบบก็ไม่ยอมเอ่ยตอบ
ในเวลานั้นเอง เส้นแสงหิ่งห้อยอีกกลุ่มก็เด้งขึ้นมาบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม
“การกระทำของคุณได้ดึงดูดความสนใจจากบางสิ่งของปรภพ”
“ร้องขอให้ผู้เล่นให้ความสนใจเกี่ยวกับมันอย่างจริงจัง เพราะมันจะเป็นตัวกำหนดว่าคุณจะรอดชีวิตอยู่ต่อไปในปรภพหรือไม่”
ณ จุดนี้ ดูเหมือนว่ากู่ฉิงซานจะถูกกระตุ้นเตือน เขาหันหัวไปตรวจสอบดูรอบๆ
ขณะเดียวกัน แถวตัวเลขเรืองแสงก็ลอยขึ้นเหนือศีรษะของเขา
“0000”
กู่ฉิงซาน “นี่มันอะไรกัน?”
เสียงตอบกลับ “สวัสดี กระผมต้องขอโทษจริงๆที่รบกวนนาย แต่ถ้านายเข้าสู่ปรภพ นายก็จะต้องมารวมอยู่ในสถิติของกระผม”
“แล้วคุณเป็นใครกัน?”
“กระผมคือเครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคล ทุกคนที่เข้ามาในปรภพจะต้องถูกผูกมัดไว้โดยกระผม เพื่ออำนวยความสะดวกให้กระผมได้วิเคราะห์เพื่อทำการตรวจสอบบุญได้ตลอดเวลา”
“และเมื่อผลวิเคราะห์ออกมาว่าบุญเป็นลบ คนตายก็จักต้องทนทุกข์ทรมานต่อไปในนรก”
“ทว่าหากบุญเป็น 0 หรือ + พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องลงนรก แต่สามารถกลับคืนสู่สังสารวัฏไปเกิดใหม่ได้เลย”
กู่ฉิงซานพยักหน้าและชี้ไปที่เหนือหัวของเขาแล้วกล่าวว่า “ถ้าอย่างงั้นทำไมของฉันถึงเป็น 0000 ?”
“เพราะนายคือ ‘คนเป็น’ และนายจะต้องตกตายลงจริงๆเท่านั้น กระผมถึงจะสามารถคำนวนบุญของนายได้ นี่เรียกว่าการตัดสินขั้นสุดท้ายของชีวิตส่วนบุคคล และจะสามารถทำได้เฉพาะหลังจากที่เขาเสียชีวิตและถูกกลบฝังลงแล้วเท่านั้น”
“เอ่อนี่ – ดูเหมือนว่าเลขข้างบนจะเด่นสะดุดตาเกินไปหน่อยนะ คุณช่วยไม่แสดงมันจะได้ไหม?” กู่ฉิงซานร้องขอ
“แน่นอนว่าย่อมได้” เครื่องจักรคำนวณบุณส่วนบุคคลกล่าว
และแทบจะในทันที ตัวเลขด้านบนหัวของกู่ฉิงซานก็หายไป
“แล้วทำไมคุณถึงไม่ไปโลกมนุษย์เหมือนกับเครื่องจักรอื่นๆล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
เครื่องจักรคำนวณบุญกล่าว “กระผมจะบ้าจี้ตามเครื่องจักรอื่นๆไปที่โลกทำไมกัน? ในเมื่อฟังก์ชั่นการแสดงผลของกระผมน่ะ จะมีประโยชน์เฉพาะเมื่ออยู่ในปรภพเท่านั้นนี่นา”
กู่ฉิงซานคิดเกี่ยวกับมันและกล่าวว่า “เอาเถอะ พอดีว่าฉันมีบางอย่างต้องการที่จะถามจากคุณน่ะ”
“โอ๋? งั้นคงต้องขอแสดงความเสียใจล่วงหน้าแล้วล่ะ เพราะกระผมคงไม่สามารถพูดอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องบุญได้”
“แต่มันเป็นแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเองนะ”
ทว่าคราวนี้อีกฝ่ายไม่ตอบสนองกลับ
กู่ฉิงซานเอ่ยถามออกไปอีกสองสามประโยค
แต่เครื่องจักรคำนวณบุญก็ยังคงเงียบ
ดวงตาของกู่ฉิงซานเริ่มขุ่นเขียว เวลานี้เขาราวกับกำลังโดนทิ้งให้โกรธเกรี้ยว เป็นบ้ายืนพูดจาอยู่คนเดียว
เขาหันไปมองรอบๆ
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบ เขาก็คงต้องเริ่มต้นสำรวจก่อนเป็นอันดับแรก มุ่งมั่นพยายามที่จะหาความจริงเกี่ยวกับปรภพในก่อนหน้านี้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ กู่ฉิงซานก็วาดดาบเช่าหยินออกไปอย่างง่ายดาย ทำการแยกสายธารออกจากกัน
บนพื้นผิวของสายธารไม่มีสิ่งใด ดังนั้นเขาจึงจำต้องลงไปเพื่อดูว่าอาจจะมีอะไรอยู่เบื้องล่างหรือไม่
เขายืดหลังตรง และทิ้งตัวดิ่งลงไปยังเบื้องล่างของสายธาร
กระแสน้ำแยกตัวออกเพื่อหลีกเลี่ยงและวนอยู่รอบตัวเขาอย่างเงียบๆ
บางครั้งในระหว่างทาง ก็จะมีบ้างที่พบเห็นสิ่งแปลกๆไหลไปพร้อมกับกระแสน้ำ
กู่ฉิงซานตกลงไปยังก้นสายธาร
ใต้ฝ่าเท้าของเขา เป็นหินสีขาวอมเทาอยู่ทั่วทุกพื้นที่ กู่ฉิงซานเรียกดาบพิภพออกมาและพยายามค่อยๆตัดเฉือนมันเบาๆ
ทว่ากลับบังเกิดประกายไฟสาดกระเซ็นสวนกลับมา
และตรงพื้นก้นสายธารยังคงอยู่ในสภาพเดิม
ดาบพิภพที่หนักกว่า 86.37 ล้านจิน น้ำหนักที่แม้กระทั่งแขนของอสูรกายก็ยังมิอาจแบกรับได้ แท้จริงแล้วกลับไม่สามารถตัดเฉือนพื้นหินเบื้องล่างสายธารอย่างงั้นหรือ???
“ไม่ว่าจะเป็นสายธารแห่งการหลงเลือน หรือพื้นหินนี่ มันก็ล้วนเป็นกฏเกณฑ์ของโลกปรภพทั้งสิ้น ดังนั้น ข้าจึงมิอาจสะบั้นมันได้” ดาบพิภพอธิบาย
“อ่า เข้าใจแล้ว ข้าก็แค่สงสัยเลยลองทดสอบดูก็เท่านั้น” กู่ฉิงซานกล่าว
เขาถอนหายใจบรรเทาความตึงเครียด
ในที่สุด .. ในที่สุดตนก็มาถึงโลกปรภพเสียที
มองไปยังแต้มพลังวิญญาณที่ยังถูกใช้งานโดยสกิลก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทมบนหน้าต่างระบบเทพสงครามที่กำลังลดหลั่นลงอย่างต่อเนื่อง
นับว่าโชคดีจริงๆที่หลังจากเช่าหยินได้ทำการหลอมกลั่นหยดน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือนไป การจ่ายออกด้วยแต้มพลังวิญญาณจึงช้าลง เชื่องช้าลงอย่างมาก
1000 แต้มพลังวิญญาณที่หายไปในทีแรก นับว่าคุ้มค่าจริงๆ
และเขาก็ยังเหลือแต้มพลังวิญญาณอยู่อีกมากกว่า 1000 แต้ม
กู่ฉิงซานเลือกทิศทางที่จะไปแบบสุ่ม และเริ่มต้นที่จะสำรวจ
เขาตัดสินใจที่จะลองพยายามเดินหาเบาะแสยาวๆจากเบื้องล่างของสายธารดูก่อน จนกว่ามันจะไกลพอสมควรจากถ้ำมืด จากนั้นจึงค่อยออกจากสายธารแห่งการหลงเลือนเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ภายนอกดู
ทว่าในตอนนั้นเอง เสียงของผู้หญิงก็ดังขึ้นมาจากเบื้องหลังเขา
“กรุณา … รอก่อนสักครู่”
กู่ฉิงซานชะงักงันไป
เพราะเสียงนี้ .. มันมิใช่เสียงของเครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคล
เขาค่อยๆหันหน้ากลับไปอย่างช้าๆ ทว่าดันไม่พบสิ่งใด
บางทีมันอาจจะเป็นเสียงจากในกระแสน้ำ เพราะบ่อยครั้งที่จะมีสิ่งต่างๆที่มิอาจเข้าใจได้ถูกห่อหุ้มด้วยน้ำจากสายธารและไหลออกไป
ทว่าเวลานี้ กู่ฉิงซานกลับไม่พบอะไรแบบที่ว่านั่นอยู่ใกล้ตัวเขาเลย
อันที่จริงแล้วกล่าวได้ว่า ตั้งแต่ที่เขาตกลงไปในสายธาร ตนก็ได้กวาดจิตสัมผัสเทวะออกไปและสำรวจรอบๆตัวตั้งแต่ตอนนั้น
จนกระทั่งถึงตอนนี้ จิตสัมผัสเทวะของเขาก็ยังถูกปลดปล่อยออกไปและปกคลุมในพิสัยหลายร้อยลี้
แม้ว่าการกระทำนี้ จะส่งผลให้กระทั่งผู้ฝึกยุทธระดับสูงบางคนก็ยังต้องเหนื่อยล้า หรือขี้เกียจเกินไปที่จะต้องมามุ่งสมาธิมาคอยสังเกตสิ่งรอบตัวก็ตาม แต่ตัวกู่ฉิงซานเองจะประมาทไม่ได้ และเขาจะไม่มีทางทำผิดพลาดเช่นนั้น
จิตสัมผัสเทวะกวาดไปมาสองสามรอบ
ทว่าเขาก็ยังไม่ค้นพบสิ่งใด
สิ่งนี้เองทำให้กู่ฉิงซานต้องเริ่มระวังตัวอย่างจริงจัง
กู่ฉิงซานหนึ่งกำปั้นประสานหนึ่งฝ่ามือ โค้งคารวะออกไปและเอ่ยถาม “ท่านผู้ทรงเกียรติ ไม่ทราบว่าท่านจักสามารถแสดงตนให้ข้าเห็นได้หรือไม่?”
“เจ้าสามารถจัดการกับอสูรกายได้ด้วยตัวคนเดียว ย่อมแน่นอนว่าข้าต้องการที่จะพบเจ้า โปรดรอสักครู่”
เสียงของผู้หญิงไม่เพียงฟังดูเหมือนค่อนข้างจะเย็นชา ทว่ายังคงแฝงไว้ซึ้งคำใบ้ของความหวาดระแวงและเจตนาฆ่าอยู่เล็กน้อย
และแน่นอน ว่ากู่ฉิงซานก็รับรู้ได้จึงเจตนาฆ่าที่ว่านั่นเช่นกัน
ทันใดนั้น ในหัวใจของเขาก็บังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นทันใด
“ท่านเป็นเครื่องจักรหมายเลขอะไร?” เขาเอ่ยถาม
“อาเร๊ะ? จริงๆแล้วเจ้าทราบอยู่แล้วหรือว่าข้าเป็นเครื่องจักร?” เสียงผู้หญิงเปล่งออกมาด้วยความประหลาดใจ
“แน่นอน เพราะข้าเคยได้พบกับพวกเครื่องจักรพิพากษาความปรารถนามาก่อนแล้ว”
“เช่นนั้น เจ้าสมควรเป็นลูกค้าของพวกเขาใช่หรือไม่?”
“ไม่หรอก พวกเราเป็นสหายกัน”
“อย่างงั้นหรือ … ยังไงก็เถอะ ข้าไม่ยอมเชื่อเจ้าอย่างง่ายดายหรอก เพราะหลังจากทั้งหมดนี้ เมื่อครู่แม้กระทั่งอสูรกายก็ยังมิอาจจับเจ้าได้ เจ้าจะต้องมีอะไรบางอย่างที่พิเศษออกไปอย่างแน่นอน” เสียงผู้หญิงยังคงหวาดระแวง
ในหัวใจของกู่ฉิงซานสงบลง
คาดว่านี่คงจะเป็น 1 ใน 88 เครื่องจักรจริงๆ
มันสามารถซ่อนตัวอยู่เบื้องล่างของสายธารแห่งการหลงเลือนได้ ฟังก์ชั่นความสามารถของมันกล่าวได้ว่าค่อนข้างแปลกทีเดียว
แต่แล้วจู่ๆก็เกิดประกายแสงวาบผ่านเข้ามาในหัวของกู่ฉิงซาน
จริงสิ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกับทางปรภพก็ตามที แต่หากเขาสามารถนำเครื่องจักรที่ทรงพลังกลับไปยังโลกมนุษย์ได้ล่ะก็ กำลังรบของฝั่งเขาอาจจะเพิ่มพูนมากขึ้นยิ่งกว่าเดิมก็ได้
ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังคิด เขาก็ได้เอ่ยออกมาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวว่า “ข้าเป็นสหายของเจ้าจริงๆนะ ข้ารู้ว่าเจ้าน่ะมีทั้งสิ้น 88 เครื่อง และจำนวนตัวเลขนี้ก็เป็นเพราะท่านเทพวิญญาณผู้สร้างน่ะเป็นผู้ที่เชื่อถือในเรื่องโชคลาง”
เสียงผู้หญิงแลดูครุ่นคิด “กระทั่งเรื่องนี้เจ้าก็รู้? เช่นนั้นเจ้าทราบหรือไม่ถึงโชคชะตาของเทพวิญญาณ?”
กู่ฉิงซานขบคิดคำกล่าวเดิมของเครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาและกล่าวว่า ”เขาจบสิ้นแล้ว”
“โห แล้วเจ้ารู้อะไรอีกไหม?”
“เครื่องพิพากษาความปรารถนาน่ะต้องการเลือดในการกระตุ้น อ้อจริงสิ ส่วนเครื่องจักรที่ชอบกลั่นแกล้งผู้คนน่ะจะถูกเรียกว่าเครื่องจักรขจัดโทสะ แถมยังได้ยินว่าเป็นหวานใจคู่กัดของเครื่องจักรพิพากษาความปรารนาด้วยนะ”
เสียงผู้หญิงดูจะผ่อนคลายลง และเอ่ยพึมพำว่า “กระทั่งความลับในบรรดาเหล่าเครื่องจักรเจ้าก็ยังทราบ จิตวิญญาณมนุษยผู้นี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ศัตรู … ”
เจตนาฆ่าโดยรอบสลายไป
และโครม!
พื้นดินพลันสั่นไหว
กู่ฉิงซานกำลังเฝ้ารออย่างกระวนกระวาย
หินสีเทาที่แข็งแกร่ง – บัดนี้แตกแยกออกจากกัน
หินเหล่านี้ที่ซึ่งดาบพิภพก็ยังมิอาจตัดเฉือนได้ จู่ๆก็ถูกแยกออกจากกันเป็นสองฟากฝั่งอย่างรวดเร็ว!
ตามต่อด้วยมวลน้ำเปล่งแสงสีฟ้าที่แผ่ร่องรอยจางๆของกระแสไอเย็นออกมาโดยรอบค่อยๆยกตัวลอยสูงขึ้น
แล้วมวลแสงก็แตกกระจายออกเล็กน้อย
พร้อมกับการปรากฏกายของหญิงนางหนึ่งที่สวมใส่ชุดคลุมฟ้าที่มีสีสัน ร่างกายบอบบาง ผิวเปล่งปลั่งราวกับหยก ริมฝีปากสีชาด คิ้วราวกับถูกปักร้อยเรียงโดยขนของนกหงสา ทว่าการแสดงออกทางสีหน้าโดยรวมแล้วยังคงดูเย็นชา
หญิงในชุดคลุมฟ้าโค้งกาย และค่อยๆเอ่ยถามออกมาว่า “ใต้เท้า แท้จริงแล้วท่านป็นผู้ใดกันแน่?”
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.388 – สมบัติล้ำค่า
ภายในถ้ำมืด
กระแสลมแรงพัดพาลมหนาวปะทะกับร่างมากมาย ส่งเสียงหวีดหวิวไม่หยุด
ตามด้วยเสียงที่ฟังดูเศร้าใจดังสะท้อนขึ้นมา
“ช่างน่าสมเพชนัก! ข้ามิอาจทนเฝ้ามองพวกเจ้าได้อีกต่อไปแล้ว!”
ในตำแหน่งเดิมของอสูรกาย เผ่ามารทั้งหมดกำลังแนบกายคุกเข่าลงกับพื้น ทั้งตนทั้งร่างสั่นสะท้านเป็นฟืนเป็นไฟ
พวกมันราวกับกำลังได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมิอาจบอกบรรยายได้ แต่อย่างไรก็ตาม พวกมันยังคงปิดปากเงียบ มิได้แก้ตัวหรือเอ่ยสิ่งใดออกไป
เสียงเศร้าใจดังขึ้นอีกครั้ง “แต่นี่ก็มิอาจตำหนิพวกเจ้าได้สักทีเดียว อันที่จริงแล้วมันเป็นเพราะเจ้าสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำนั่นเอาแต่หลับไหล นอนนิ่งอยู่กับพื้นต่างหาก”
มันถอนหายใจออกมา
“เฮ้อ จงตายไปเสียให้หมด”
และด้วยเสียงนี้ พื้นหินโดยรอบที่กระเทือนเพราะอาการสั่นกลัวของเหล่ามารก็พลันตกอยู่ในความเงียบงันทันที
เผ่ามารทั้งหลายหยุดสั่นสะท้าน
ก่อนที่ร่างกายของพวกมันจะค่อยๆละลายสลายไป
เวลาล่วงเลยไปอีกสักเล็กน้อย จึงบังเกิดอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นตามมา
“ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือนำอสูรกายดัดแปลงไร้ศีรษะอีกตนหนึ่งมารับหน้าที่แทนดีไหม?”
เสียงที่เปล่งออกมาในตอนแรกก่อนหน้านี้เอ่ยตอบ “เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ว่าแต่เจ้าสามารถค้นหาร่างจิตวิญญาณตนนั้นได้หรือไม่?”
“มิอาจค้นหาได้ มันเหมือนกับว่าเขากำลังอยู่ในสายธารแห่งการหลงเลือน และสายธารแห่งการหลงเลือนกำลังห่อหุ้มเขาอยู่”
“ไม่เพียงถึงขั้นล่อลวงอสูรกายได้ แต่ยังได้รับการปกป้องคุ้มครองจากสายธารแห่งการหลงเลือนอีก เจ้ามนุษย์ผู้นี้ ไม่ว่าอย่างไรมันก็จักต้องตาย!”
“แต่สายธารแห่งการหลงเลือนน่ะตัดขาดกับโลกภายนอกทั้งหมด ไม่เว้นกระทั่งข้อมูลข่าวสาร แล้วเช่นนั้นพวกเราสมควรจะทำอย่างไรดี?”
“มาเถิด อันดับแรกก็ไปดูจุดที่เชื่อมต่อระหว่างปรภพกับโลกมนุษย์กันก่อน”
ว่าแล้วสองเสียงก็หายไป
หลังจากนั้นไม่นานนัก
ภายในถ้ำมืด ก็บังเกิดรอยแยกมิติอันเชี่ยวกราดขึ้น
และเงาทั้งสองก็ออกมาจากอากาศที่บางเบา
หนึ่งในสองเงามืดได้เหยียดมือออกไป และสัมผัสเข้ากับรอยแยกมิติทีว่านั่น
ปัง!
แต่แล้วจู่ๆมือของเขาก็ถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิงอันร้อนแรงอย่างฉับพลัน!
“ดูเหมือนว่ามันจำต้องใช้เวลามากกว่าที่คาดอีกหน่อย – กำแพงป้องกันของโลกยังไม่พังทลายลง แถมพวกเราก็ยังแกร่งเกินกว่าที่จะเข้าแทรกแซงได้”เสียงเศร้าใจกล่าว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็ให้พวกที่หลุดออกมาจากปรภพรับหน้าที่จัดการในส่วนนี้ก็แล้วกัน”
“จริงด้วยสิ! ยังมีพวกมันอยู่นี่นา งั้นเราก็ให้พวกมันค้นหาร่างกายมนุษย์ของเจ้าจิตวิญญาณนั่นในโลก จากนั้นก็ทำลายมันเสียก็สิ้นเรื่องแล้ว!”
“ตราบใดที่กายมนุษย์ถูกทำลายลง ไม่ว่าจิตวิญญาณของมันจะซุกซ่อนอยู่ที่ใดในสายธารแห่งการหลงเลือน สุดท้ายมันก็ต้องตกตายลงอยู่ดี!”
และด้วยการสนทนาสบายๆระหว่างทั้งสองเสียงนี้เอง ก็พลันบังเกิดสายลมกรรโชกแรงออกจากถ้ำมืด ลอยล่องออกไปยังมิติที่ว่างเปล่า มุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางโลกมนุษย์
ไม่นานนัก นรกทั้งสี่ก็ได้รับแจ้งคำสั่งที่ถูกส่งไปให้
ภายในถ้ำมืด บังเกิดเสียงถอนหายใจดังออกมา “เพียงแค่มดตัวจ้อย แต่กลับต้องสูญเสียไปถึงเพียงนี้ นี่มันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย”
แต่แล้วในตอนนั้นเอง ก็ดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างบังเกิดขึ้น ทั้งสองร่างเงาเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่จู่ๆจะเริ่มแสดงท่าทีตื่นเต้นเล็กน้อยออมกา
“เจ้ารู้สึกถึงมันไหม?”
“รู้สึกสิ หากเป็นเช่นนี้ ในไม่ช้า โลกก็จะกลายเป็นผลไม้อันหอมหวานของพวกเราแล้ว!”
“ไปกันเถิด! พวกเราไปจัดการเรื่องของโลกใบนี้ให้มันจบๆไป แล้วจึงค่อยมาเป็นกังวลว่าเมื่อใดจะพร้อมกับการเก็บเกี่ยวผลไม้สุกงอมจากโลกใบอื่นจึงจะสมควรกว่า”
และร่างเงาทั้งสองก็จากไป
อีกด้านหนึ่ง
ณ ปรภพ
ภายในเบื้องล่างของสายธารแห่งการหลงเลือน
หญิงในชุดคลุมฟ้าเอ่ยถาม “ใต้เท้า แท้จริงแล้วท่านป็นผู้ใดกันแน่?”
คราวนี้ มันเป็นคำถามที่ดูเป็นทางการ
ดาบพิภพเอ่ยกระซิบ “บนตัวนาง มีพลังอำนาจแห่งกฏเกณฑ์ของปรภพอยู่”
กู่ฉิงซานผงกหัวเล็กน้อย
ทว่าหญิงเบื้องหน้า มิใช่มีแค่กฏเกณฑ์ของปรภพเท่านั้น
ตามร่างกายของนาง ยังถูกห่อหุ้มและแทรกซึมไปด้วยแสงสีฟ้าเจิดจรัสของน้ำอีกด้วย
เมื่อกู่ฉิงซานมองไปยังแสงน้ำสีฟ้า บรรทัดเส้นแสงก็เด้งออกมาจากหน้าต่างระบบเทพสงคราม
“ค้นพบแหล่งที่มาของสายธารแห่งการหลงเลือน : น้ำแห่งต้นกำเนิด”
แท้จริงแล้วกลุ่มแสงน้ำสีฟ้านี้ คือน้ำแห่งต้นกำเนิดของปรภพนั่นเอง!
ครอบครองกฏเกณฑ์แห่งปรภพ แถมยังมีน้ำแห่งต้นกำเนิด นี่ทำให้พอจะอธิบายได้ว่าสถานะของหญิงผู้นี้ต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่
ในหัวใจของกู่ฉิงซานกลับกลายเป็นเคร่งขรึมมากขึ้น
เขาประสานหนึ่งกำปั้นหนึ่งฝ่ามือ โค้งคารวะและกล่าวว่า “ผู้น้อยกู่ฉิงซาน ผู้ฝึกยุทธเผ่ามนุษย์ เพราะนรกได้ปรากฏขึ้นในโลก ดังนั้นผู้น้อยจึงใช้เทคนิคลับแยกจิตวิออกจากกาย เพื่อมาตรวจสอบสถานการณ์จากทางฝั่งปรภพนี้”
สีหน้าของหญิงชุดคลุมฟ้าค่อนข้างประหลาดใจ
ปรากฏว่าแท้จริงแล้วเขาคือ คนเป็น?
ตั้งแต่เมื่อใดกันที่โลกมนุษย์มีความสามารถเช่นนี้ ถึงขั้นถอดจิตเดินทางมาถึงปรภพได้?
เธอจ้องมองอีกฝ่าย และจู่ๆก็เปล่งเสียงเรียกออกมา “เครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคล”
เสียงดังขานรับขึ้นทันใด “กระผมเอง! กระผมอยู่นี่! ได้โปรดสั่งมาได้เลย!”
น้ำเสียงของมันค่อนข้างจะประจบสอพลอเล็กน้อย
ขณะที่กู่ฉิงซานเริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที
เนื่องเพราะในยามที่ตนเอ่ยถาม เจ้าเครื่องจักรนี่กลับแลดูไม่ใส่ใจ ทว่าพอหญิงชุดคลุมฟ้าเพียงเรียกขานคำหนึ่ง มันกลับเสนอหน้าทันที
“เขาคือคนเป็นหรือไม่?” หญิงชุดคลุมฟ้าเอ่ยถาม
“มิผิดแล้ว เพราะหากอ้างอิงตามกฏเกณฑ์ ชายผู้นี้นับว่าคือคนเป็นอย่างแท้จริง ดังนั้นเลขบุญของเขาจึงเป็น ‘0000’ ” เครื่องจักรคำนวณบุญกล่าว
หญิงชุดคลุมฟ้าพยักหน้า ขณะนี้เธอเชื่อสนิทใจแล้ว
เนื่องจากเขาเป็นมนุษย์โลก ดังนั้นสิ่งต่างๆก็น่าจะสมเหตุสมผล
หญิงชุดคลุมฟ้าโค้งกายลงเล็กน้อยและกล่าวว่า “ในปรภพ ทุกคนจะเรียกขานข้าว่าฉานนู่ เจ้าสามารถเรียกข้าด้วยชื่อนั่นก็ได้เช่นกัน”
“เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานประสานฝ่ามือไปทางอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท
“มีทั้งสิ้น 4 นรกปรากฏขึ้นในโลกกระนั้นหรือ?” หญิงชุดคลุมฟ้าถอนหายใจ
“ถูกต้อง และเวลาของพวกเราก็ใกล้จะหมดลงแล้ว”
กู่ฉิงซานกล่าวอธิบายถึงสถานการณ์ของโลก บอกแม้กระทั่งความตั้งใจของตัวเขาเอง
หญิงชุดคลุมฟ้าพอได้ฟัง ทัศนคติของเธอก็อ่อนโยนลงไปหลายส่วน
แล้วเธอก็เปลี่ยนคำเรียกขาน “นายน้อย แล้วเหล่าสหายของเครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาเล่า เป็นอย่างไรกันบ้าง?”
กู่ฉิงซานกล่าว “ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีความสามารถในการช่วยโลก แต่ข้าคิดว่าพวกเขาดูจะรู้สึกตื่นเต้นกันมาก ยามที่อยู่บนโลก”
สีหน้าเย็นชาของหญิงชุดคลุมฟ้าจางหายไปอย่างสมบูรณ์ “งั้นก็ดีแล้ว”
เธอรำพึงอยู่สักครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “แต่น่าเสียดายที่ข้ากำลังรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ จึงไม่สามารถช่วยเจ้าได้ในขณะนี้”
กู่ฉิงซานมองออกไป และเห็นแค่เพียงน้ำแห่งต้นกำเนิดบนตัวหญิงชุดคลุมฟ้า กำลังห่อมหุ้นกายและแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของเธอบ้างเป็นครั้งคราว
ร่างกายของเธอดูค่อนข้างจะโปร่งใส เปรียบดั่งภาพฉายที่ไม่เสถียรมั่นคง
หญิงชุดคลุมฟ้าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะผายมือของเธอออกไป
ภายในมือของเธอ มีหมอกสีฟ้าที่จับตัวกันเป็นกลุ่มก้อนอยู่
“จงนำสิ่งนี้ไป อย่างน้อยพลังอำนาจที่เหลืออยู่ของปรภพก็ยังน่าจะพอกู้คืนภาพลักษณ์ให้แด่ข้าได้ รับร้องว่ามันจะไม่ทำให้เจ้าต้องอับอายหรือผิดหวัง”
“โอ๋? ขอบพระคุณท่าน”
กู่ฉิงซานรับมันมาอย่างระมัดระวัง และสัมผัสได้ถึงไอเย็นจากกลิ่นอายของนาง
ทว่าความเย็นจากกลิ่นอายนี้มิได้มีพลังพิเศษใดๆ มันแค่ช่วยให้กลิ่นอายของเขาเปลี่ยนแปลงไปก็เท่านั้น
นอกจากนี้ เขายังสามารถควบคุมกลิ่นอายที่ว่านี้เพื่อทำการปลดปล่อยมันออกมาเมื่อใดก็ได้
ในหัวใจของกู่ฉิงซานรู้สึกคลายลง
หญิงชุดคลุมฟ้าพยักหน้าให้กู่ฉิงซาน และในที่สุดก็กล่าวว่า “นี่คือกลิ่นอายของข้า และด้วยกลิ่นอายนี้ อาวุธที่เหลืออยู่ก็จักช่วยเจ้า”
อาวุธ?
กู่ฉิงซานดูจะไม่มีเวลามากพอที่จะเอ่ยถาม เขายกมือประสานกำปั้นไปทางอีกฝ่ายและกล่าวเพียง “ขอบพระคุณท่าน”
“เจ้าไปเถอะ ส่วนข้า หากสามารถรักษาอาการบาดเจ็บแล้ว จักก้าวเข้าร่วมการต่อสู้อีกครั้งเอง” หญิงสาวกล่าว
กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ หยิบขวดเม็ดยารักษาคุณภาพเยี่ยมที่สุดออกมา และมอบมันให้อีกฝ่าย
“นี่นับว่าเป็นเม็ดยาที่ดี แต่ข้ามิอาจใช้มันได้” หญิงชุดคลุมฟ้าโบกมือและกล่าว
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายต้องการจะให้ความช่วยเหลือ เธอก็ขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็กล่าวว่า “เจ้ามีหยกวิญญาณภูเขาที่ถูกแผดเผา , ดินเยือกแข็ง และศิลาวิญญาณสีชาดอายุหมื่นปีหรือไม่?”
คิ้วของกู่ฉิงซานชมวดเข้าหากัน
หยกวิญญาณภูเขาที่ถูกแผดเผา คือศิลาวิญญาณที่บรรจุธาตุไฟเอาไว้อย่างมหาศาล แถมมันยังต้องอยู่ในภูเขาที่อุดมไปด้วยจิตวิญญาณธาตุดิน โดยที่ไม่มีใครไปยุ่งเกี่ยวหรือขุดค้นมัน หลังจากนั้นนับไปอีกราวๆ 1000 ปี ศิลาวิญญาณธาตุไฟกับจิตวิญญาณธาตุดินก็จะหลอมรวมเป็นหนึ่ง และถือกำเนิดหยกวิญญาณภูเขาที่ถูกแผดเผาขึ้นเป็นครั้งคราว
ดินเยือกแข็ง เกิดจากดินแดนที่มีจิตวิญญาณธาตุน้ำแข็งอันหาได้ยากยิ่ง หลังจากที่เกิดการทับถมในสถานที่ๆมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนด ชั้นดินน้ำแข็งก็จะเติบโต และหลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบเฉพาะแล้ว มันก็จะผลิตดินวิเศษนี้ขึ้น
ส่วนศิลาวิญญาณสีชาดก็หาได้ยากไม่แพ้กัน เพราะมันต้องตกตะกอนซ้ำแล้วซ้ำเล่าในระยะเวลาหลายพันปี และนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่า
กู่ฉิงซานงึมงำแต่ไม่ตอบคำถามกลับไป
หญิงชุดคลุมฟ้าดูจะเร่งร้อนอยู่เล็กน้อยเช่นกัน เธอกล่าวว่า “ปรภพน่ะเกือบจะตายแล้ว ข้าจึงต้องการที่จะรักษาตัวให้เร็วที่สุดและสิ่งเหล่านี้ก็มีความจำเป็น เลยเอ่ยถามเจ้าออกไป หากเจ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร”
กู่ฉิงซานเก็บขวดใส่เม็ดยาคุณภาพเยี่ยมลงในถุงสัมภาระ และหยิบเขาถุงหอมหลากสีออกมา
ไม่นานนัก เขาก็นำเอาหยกวิญญาณภูเขาที่ถูกแผดเผา , ดินเยือกแข็ง และศิลาวิญญาณสีชาดอายุหมื่นปี ออกมา
ศิลาวิญญาณสีชาดอายุหมื่นปี นับว่าหาได้ยากยิ่ง แม้กระทั่งนิกายร้อยบุปผาก็ยังมีไว้ในครอบครองอยู่เพียงหนึ่งเท่านั้น
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของนิกาย
“เชิญรับ” กู่ฉิงซานกล่าว
หญิงชุดคลุมฟ้าเห็นเขาแสดงน้ำใจออกมา ตนก็เดินไปรับมัน
เธอมองลึกเข้าไปในแววตาของกู่ฉิงซานและกล่าว “ขอบพระคุณมาก ตอนนี้ข้าจะเริ่มปิดด่านรักษาตนแล้ว คาดว่าพวกเราคงจะได้พบกันอีกครั้งที่สนามรบนะนายน้อย”
ทั้งสองประสานมือขนานกับอก และโค้งกายคารวะให้กันและกันเล็กน้อย
กู่ฉิงซานกำลังจะเอ่ยปากสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของปรภพ แต่กลับเห็นแค่เพียงหญิงในชุดคลุมฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นกลุ่มก้อนแสงแล้วจมหายลงไปในใต้พื้นหินเสียก่อน
กู่ฉิงซานชะงักงัน
อ่าวไปซะแล้ว? นี่นางใช่รีบร้อนเกินไปหรือไม่?
พื้นหินที่เคยแยกแตกออก ค่อยๆปิดตัวลง
และพื้นหินนี้ เป็นสิ่งที่ดาบพิภพมิอาจทำลายได้
อีกฝ่ายหายเข้าไปในนั้น และจากไปในพริบตา
นี่–
ในขณะที่กู่ฉิงซานยังคงตกใจ สองดาบก็ปรากฏออกมาข้างกายเขาหนึ่งซ้ายหนึ่งขวา
พอได้สติกลับคืน กู่ฉิงซานจึงเริ่มนำทั้งสองดาบหันหลังมุ่งหน้าเดินต่อไป
หลังจากที่เขาเดินสำรวจเบื้องล่างของสายธารมาได้สักพัก
จู่ๆเสียงของดาบพิภพก็ดังขึ้น
มันเอ่ยด้วยความสงสัย “สิ่งที่เจ้าให้ไป มันล้ำค่าเกินไปหรือไม่?”
ดาบเช่าหยินก็ส่งเสียงฉวัดเฉวียนแสดงบอกกล่าวว่าเห็นด้วยกับดาบพิภพเช่นกัน
กู่ฉิงซานกล่าว “ที่ข้าให้ไปนั่นก็เพราะนางมีกลิ่นอายของกฏเกณฑ์แห่งปรภพ แถมยังเป็นคนฝ่ายเดียวกับปรภพ ในยามแรกที่พบเจอ เจตนาฆ่าที่นางเปล่งออกมาสมควรเป็นเพราะว่านางพึ่งกลับมาจากสนามรบเป็นแน่ -ขะ ข้ารู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน นี่ไม่น่าจะผิดพลาด”
แต่แล้วกู่ฉิงซานไม่อาจแถได้อีกต่อไป
เพราะอย่างไรเสีย ทั้งสองก็พึ่งจะพบเจอกันเป็นครั้งแรก
ถึงแม้ว่าอีกฝั่งจะเป็นคนฝ่ายเดียวกัน แต่เขาก็ไม่เห็นจำเป็นต้องดีกับผู้หญิงคนนั้นมากขนาดนี้เลยก็ได้นี่นา?
ยิ่งคำที่กล่าวออกมา มันยิ่งไม่ใช่เหตุผลที่ต้องนำสมับติล้ำค่าไปมอบให้แก่อีกฝั่งเลย
ฝีเท้าของเขาหยุดกึกลงอย่างกระทันหัน
นี่ชักจะเป็นปัญหาจริงๆซะแล้วสิ ทำไมตัวเองถึงได้ทำแบบนั้นลงไปกันแน่นะ?
กู่ฉิงซานยกสองแขนขึ้นกอดอก กล่าวด้วยความสับสนว่า “ข้าคิดว่านี่มันไม่ถูกต้อง”
“ข้ามิใช่พวกหน้าม่อ แล้วเพราะเหตุใดกันข้าจึงไม่เลือกที่จะปฏิเสธนาง?” เขาตริตรองและกล่าว
“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังเทหมดทั้งหน้าตัก – ตกลงว่าเจ้าชมชอบนางใช่หรือไม่?” ดาบพิภพแซว
และดาบเช่าหยินก็ส่งเสียงฮึมฮัมสนับสนุน
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช้าๆ “ข้ามิได้ชอบนาง อ่า .. นอกจากนี้ข้าจะไปชมชอบคนที่พึ่งเคยพบเจอกันเพียงครั้งเดียวได้อย่างไร?”
เขาเอ่ยถาม “แต่ก็ไม่เข้าใจจริงๆนะ ว่าเหตุใดข้าจึงทำเช่นนั้นออกไปกันแน่?”
“ก่อนหน้านี้ต่อให้ได้พบเจอกับหญิงงามที่แสนโดดเด่น ข้าก็มิเคยกระทำเช่นนั้นออกไปเลย”
ดาบพิภพทำเสียงจิ๊จ๊ะ “ข้ามั่นใจว่าเจ้ามิได้โดนวิชาหรือเทคนิคมนตราที่ทำให้ลุ่มหลงแต่อย่างใด ดังนั้น คำที่เผ่ามนุษย์ของพวกเจ้าใช้เรียกขานการกระทำนี้ นั่นก็คือ–”
“รักแรกพบใช่ไหม?”
“ไม่สิ หรือบางทีอาจเรียกว่าพวกที่ในหัวมีแต่เรื่องเรื่องอย่างว่า?”
กู่ฉิงซานปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ไม่ใช่ละ ข้าไม่เคยมีจิตหมกมุ่นระหว่างชายหญิงใดๆในทำนองนั้น”
เขาเอ่ยถามอีกครั้ง “ว่าแต่เจ้าสัมผัสได้ถึงกฏเกณฑ์แห่งปรภพจากนางหรือไม่ พอจะทราบหรือเปล่าว่านางเป็นสิ่งใด?”
“ไม่มั่นใจนัก น้ำของสายธารแห่งการหลงเลือนที่ห่อหุ้มกายนางมันรบกวนข้ามากเกินไป แต่ข้าสามารถตัดสินได้ว่านางมิใช่การดำรงอยู่ประเภทผีหรือวิญญาณ” ดาบพิภพกล่าว
กู่ฉิงซานหลับตาลงและคิดไตร่ตรองเงียบๆอยู่สักพัก
และทันใดนั้นเขาก็เปิดปากเอ่ยออกมาว่า “เข้าใจแล้ว มันมิใช่จิตหมกมุ่น แต่มันเป็นความรู้สึกอีกอย่างที่แตกต่างกันออกไป”
“แล้วมันคืออะไร?” ดาบพิภพเอ่ยถาม
“ข้าเองก็จำไม่ได้ว่ามันคืออะไร แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม มันเป็นความรู้สึกหนึ่งที่ข้าเคยมีมานานแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่ทันคิดตริตรอว และช่วยเหลือนางโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย”
“หากลองคิดจากในมุมมองนี้ ก็จะพบว่าสิ่งที่นางต้องการมันค่อนข้างแปลกเช่นกัน” ดาบพิภพกล่าว
“ถูกต้องแล้วล่ะ สามสมบัติล้ำค่านี้มิได้มีไว้ใช้รักษาตัวตามปกติ ข้าคาดว่าบางทีนางอาจจะนำไปเพื่อใช้ในวัตถุประสงค์อื่น” กู่ฉิงซานกล่าว
เขาเอ่ยอย่างต่อเนื่อง “แต่สามสมบัติล้ำค่าเหล่านี้ มีวิธีการใช้งานที่หลากหลายยิ่ง ดังนั้นข้าเองก็ไม่อาจคาดเดาได้เหมือนกันว่านางจะใช้พวกมันทำอะไร”
หนึ่งคนสองดาบเดินอยู่บนเบื้องล่างของสายธาร ขณะเดียวกันก็คอยวิเคราะห์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ
แต่แล้วทันใดนั้นเอง สามบรรทัดเส้นแสงตัวอักษรก็ปรากฏขึ้นในหน้าต่างระบบเทพสงคราม
“นรกได้เริ่มลงมือในโลกของคุณแล้ว และพวกมันกำลังเริ่มต้นค้นหากายมนุษย์ของคุณ”
“คุณจะต้องค้นหาทางออกสำหรับปัญหาทั้งหมดนี้ ก่อนที่พวกมันจะค้นพบร่างกายของคุณ”
“หากคับขันจริงๆ คุณก็จำเป็นต้องกลับไปที่กายมนุษย์ของตน เพราะหากกายมนุษย์ถูกทำลาย นั่นจะหมายความว่าคุณได้ตายไปแล้วจริงๆ”
ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มหนักอึ้ง
“พวกเราคงต้องเร่งมือกันให้มากกว่าเดิมแล้ว”
เขายืดหลังตรง และพุ่งทะยานดั่งมังกรน้ำ แหวกว่ายสำรวจเบื้องล่างของสายธารอย่างรวดเร็ว
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.389 – ช่วยกระบี่
กู่ฉิงซานที่ซ่อนอยู่ใต้สายธารแห่งการหลงเลือน ได้ทุ่มออกค้นหาร่องรอยของเบาะแสอย่างเต็มกำลัง
ทว่าแม้จะผ่านพ้นไปถึงหนึ่งชั่วยามแล้ว แต่เขาก็ยังไม่พบสิ่งเบาะแสใดจากเบื้องล่างสายธารเลย
พอถึงจุดนี้ เขาก็ไม่สามารถข่มกลั้นใจตัวเองได้อีกต่อไป
กู่ฉิงซานทะยานขึ้นจากใต้สายธาร ผุดออกมาลอยอยู่เหนือผิวน้ำ
เนื่องจากเขาเดินทางสำรวจอยู่นาน ส่งผลให้บริเวณนี้ อยู่ห่างไกลจากถ้ำมืดเป็นอย่างมาก
ผิวน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือนเป็นสีเหลืองชาอ่อนๆ แถมยังสะท้อนให้เห็นถึงท้องฟ้ารางๆจากเบื้องบน
ยืนอยู่บนสายธารอันกว้างใหญ่ หันมองออกไปรอบๆ ทุกสิ่งก็ยังคงเหมือนเดิ– ไม่สิ ดูเหมือนว่าจะต่างออกไป
มองไปยังทิศทางหนึ่งที่แตกต่าง จะเห็นแค่เพียงภูเขาใหญ่สีเขียวทึบ
มันเป็นภูเขาลูกใหญ่ที่เชื่อมต่อกับทั้งสวรรค์และโลก
เมื่อกู่ฉิงซานที่อยู่บนผิวน้ำ หันมองไปยังทิศทางดังกล่าวนี้ ก็พบว่าภูเขาที่ว่าได้บดบังวิสัยทัศน์ทั้งหมดของเขา
มันเป็นภูเขาที่ราวกับกำแพงใหญ่ บดบังขวางกั้นทั้งเมฆหมอกและดวงอาทิตย์
“ดูเหมือนว่าจะเป็นทางนั้น”
กู่ฉิงซานกล่าว
และบินเรียบกับผิวน้ำ มุ่งหน้าไปทางภูเขาใหญ่
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภูเขาลูกนี้กลับมิได้ใกล้อย่างที่คิด กู่ฉิงซานจำต้องใช้เวลาบินกว่าสองชั่วยาม จึงจะมาย่ำฝีเท้าลงใกล้กับเชิงเขาได้
ทันใดนั้นการแสดงออกทางสีหน้าของกู่ฉิงซานก็เปลี่ยนไป
นั่นเพราะบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ได้ปรากฏเส้นแสงหิ่งห้อยสองบรรทัดเด้งเตือนขึ้นมา
“คุณได้มาถึงภูเขาล้อมเหล็กแล้ว”
“ภูเขาล้อมเหล็ก ไม่เพียงแต่ประกอบไปด้วยนรกและกฏเกณฑ์แห่งปรภพ แต่ภูเขานี้ยังกำลังปกป้องหกวิถีแห่งสังสารวัฏของโลกเอาไว้อีกด้วย”
จ้องมองไปยังคำอธิบายสองบรรทัดนี้ สีหน้าการแสดงออกของกู่ฉิงซานก็ค่อยๆหนักอึ้งขึ้น
กลับกลายเป็นว่าที่นี่คือภูเขาล้อมเหล็ก
ภูเขาล้อมเหล็ก คือส่วนรอบนอกสุดของสังสารวัฏ
ตามตำนานโบราณกล่าวเอาไว้ว่า ภายนอกโลกหกวิถี จะมีคลื่นลมแห่งทัณฑ์โกลาหลอยู่
มันเป็นพลังอำนาจที่น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่ามิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราดซะอีก
เมื่อลมแห่งทัณฑ์โกลาหลพัดพาเข้าสู่โลกใด นั่นหมายถึงสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกจะถูกล้างบางจนดับสูญ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสายลมแห่งทัณฑ์โกลาหลนี้ จะไม่มีการดำรงอยู่ใดๆสามารถรอดพ้น และโลกจักต้องดับสูญ
ทว่าภูเขาล้อมเหล็ก คือสิ่งเดียวที่สามารถปิดกั้นสายลมนี้ได้
มันเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยปกป้องตลอดทั้งหกวิถีแห่งสังสารวัฏ
ส่วนล่างของภูเขาล้อมเหล็ก มันจมอยู่ภายในสายธารแห่งการหลงเลือน ซึ่งจะมีอุโมงค์กว้างที่ทอดยาวออกไปทุกทิศทาง ลากยาวไปจนถึงเหวลึกใต้ดิน
และ 18 นรกในตำนานก็อยู่ในเหวลึกเบื้องล่างภูเขาล้อมเหล็กนี้นี่เอง
ภายนอกภูเขาสามารถป้องกันทัณฑ์โกลาหลได้ ขณะที่ภายในคือเมืองนรก นี่มันช่างน่าทึ่งยิ่งนัก!
กู่ฉิงซานมองไปยังภูเขาล้อมเหล็ก ก่อนจะหยุดลงชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็บินไปตามทิศทางของภูเขา
เขาย่อมไม่มีทางพลาดที่จะสำรวจมัน เพราะในสายธารแห่งการหลงเลือน นอกไปจากหญิงชุดคลุมฟ้าแล้ว มันก็ไม่มีสิ่งใดที่พอจะเป็นเบาะแสได้อีกเลย
ดังนั้นเขาจะต้องเข้าไปสำรวจในภูเขาลูกนี้
หลังจากที่บินไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม หูของเขาก็เริ่มได้ยินเสียงของความวุ่นวายขึ้นเบาๆจากเบื้องหน้า
กู่ฉิงซานเอียงศีรษะ เพ่งสมาธิตั้งใจฟัง
ก่อนจะพบว่ามันคือเสียงของสงคราม! มันเป็นเสียงที่ตะโกนไปด้วยความโกรธ
ตลอดทั้งภูเขาบริเวณนั้น หนาแน่นไปด้วยกลิ่นอายสังหารรุนแรง
ในเวลานี้ กู่ฉิงซานอยู่ใกล้กับภูเขาล้อมเหล็กมากๆแล้ว
กู่ฉิงซานเพ่งมองอย่างตั้งใจ และเห็นว่าภายในภูเขา … มันคราคร่ำไปด้วยเผ่ามารและคนตาย!
พวกมันทั้งหมดกำลังห้ำหั่นกันท่ามกลางความมืดมิด
ไม่ว่าจะเป็นทุกประเภทของเผ่ามาร ยักษ์ มนุษย์ มนุษย์ปีศาจ และสิ่งมีชีวิตจากยุคโกลาหล
พวกมันกำลังร่วมมือกันต่อสู้สังหาร และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้งแม้เพียงครู่
กู่ฉิงซานจมลงอยู่กับความเงียบ และเฝ้าสังเกตการณ์อย่างลับๆ
เผ่ามารได้ยึดครองนรกแล้วอย่างงั้นหรือ?
แต่มันดูจะแตกต่างออกไปเล็กน้อยนะ
เห็นได้ชัดว่าบางส่วนของคนตายดูเหมือนจะเข้าร่วมกับเผ่ามาร และกำลังไล่สังหารคนตายอื่นๆอยู่
ขณะเดียวกันคนตายอื่นๆก็กำลังต่อต้านอย่างหนัก และทุ่มพยายามอย่างเต็มกำลังสังหารเผ่ามาร
ทันใดนั้นเสียงหวีดฉีกอากาศอันคมชัดก็ทะลวงฝ่าขึ้นมาบนท้องฟ้า และมันได้ดึงดูดความสนใจของกู่ฉิงซาน
มันเป็นเสียงเหมือนกับคมกระบี่ตัดอากาศ
กู่ฉิงซานที่อยู่ติดกับชายฝั่งของสายธาร มองไปยังกระบี่ตัดอากาศร่วงตกลงในจุดหนึ่งของสนามรบ
และเห็นแค่เพียงบริเวณเชิงเขาที่อยู่ใกล้กับสายธารแห่งการหลงเลือน เผ่ามารนับไม่ถ้วนและคนตายกำลังร่วมมือกัน ทุ่มออกอย่างเต็มกำลังกดดันคนตายอีกกลุ่มหนึ่งที่หลงเหลืออยู่เพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น
และร้อยกว่าคนนี้ก็กำลังทยอยกันถูกสังหารไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็ถูกผลักดันจนต้องถอยร่นมาทางสายธารแห่งการหลงเลือน
“อยากจะหนีงั้นหรือ? เจ้าผีน้อยขลาดเขลา! ควรกลับไปหลับไหลอยู่ในนรกเสีย!” มนุษยืปีศาจเปล่งเสียงคำรามออกมา
ดูเหมือนว่าในนรก ทั้งหมดจะสื่อสารกันทางความคิด เพื่อให้จิตวิญญาณจากแต่ละยุคสมัยเข้าใจความหมายของกันและกันได้
กว่าร้อยคนตายเริ่มทยอยกันถูกสะบั้นศีรษะ คร่าชีวิตต่อไปเรื่อยๆ
จนตอนนี้เหลือคนตายเหลืออยู่อีกเพียงไม่กี่สิบคน ทั้งหมดกำลังปกป้องเผ่ามนุษย์ร่างหนึ่งที่สวมใส่ชุดเกราะ ขณะที่ในมือของคนผู้นั้นกำลังถือกระบี่อยู่
ทั้งหมดยังคงต่อต้านการโจมตีจากเผ่ามารและคนตายที่รายล้อม ยืนหยัดที่จะต่อสู้!
เนินเขานี้เชื่อมต่อกับตีนเขา ส่วนเผ่ามารกับคนตายต่างล้อมหน้าล้อมหลัง และต้องการที่จะสังหารคนตายกลุ่มสุดท้ายนี้กลับคืนสู่นรก!
แต่คนตายที่สวมเกราะน่ะ ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยที่จะสังหารเขา
นั่นเพราะกระบี่ยาวในมือของอีกฝ่ายช่างมีพลานุภาพอันใหญ่ยิ่ง!
ทุกครั้งเลย เมื่อใดก็ตามที่เขากวัดแกว่งกระบี่ยาวออกไป บนคมกระบี่จะเปล่งประกายโค้งมนและปลดปล่อยชั้นอากาศอันเย็นเยียบออกมา
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับแสงโค้งมนนี้ เผ่ามารและคนตายโดยรอบจะกลายเป็นเพียงตัวตนอ่อนแอ มิอาจต่อกรกับอีกฝ่ายได้ และถูกสังหารตกตายทันที
ทว่าเผ่ามารและคนตายที่ร่วมมือกับมันน่ะมีมากมายจนเกินไป หากฆ่าไปหนึ่ง อีกสองก็จะก้าวออกมาแทนที่ตำแหน่งเดิม ไล่กดดันพวกเขาเข้ามาเรื่อยๆ
เผ่ามารได้รายล้อมจากทุกทิศทาง
คนตายเผ่ามนุษย์พยายามอย่างสุดความสามารถของเขา เพื่อที่จะต้านทานศัตรูมิให้ย่างกรายเข้ามาใกล้
คนของเขาถูกสังหารลงอย่างรวดเร็ว และในท้ายที่สุดเขาก็เป็นเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่
“จงตาย! ตายซะ! พวกเจ้าทั้งหมดจงตายเพื่อข้า!”
คนตายเผ่ามนุษย์คำราม เขาหมุนตัวเหวี่ยงกระบี่อยู่ตลอดเวลาเพื่อใช้ระยะโจมตีของกระบี่จนไร้ซึ่งมุมบอด
แต่แล้วในไม่ช้า พละกำลังของเขาก็หมดลง
เขาโซซัดโซเซ และเกือบจะล้มลงอยู่หลายครั้ง
สุดท้าย เมื่อเขาล้มลง เผ่ามารและคนตายที่เข้าร่วมก็ไม่เปิดโอกาสให้เขายืนขึ้นอีกต่อไป
ดาบพิภพที่ลอยอยู่ขนาบข้างเอ่ยถามเสียงกระซิบ “ข้าสมควรทำสิ่งใด?”
“ช่วยเหลือเขาก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง” กู่ฉิงซานตอบ
เพียงนึกคิด ดาบพิภพก็พุ่งฉวัดเฉวียนออกไปทันที
ดาบพิภพที่ครอบครองน้ำหนักกว่าหลายสิบล้านจิน แปรเปลี่ยนสภาพสาดรังสีดาบสีขาวดั่งแสงจันทร์ออกมา
รังสีดาบนี้มีขนาดใหญ่ยิ่ง ยามเมื่อมันกวาดผ่านเผ่ามาร พื้นที่ขนาดใหญ่โดยรอบก็ถูกล้างบางทันที
ไม่ว่าเผ่ามารตนใดที่พยายามจะต่อต้านดาบพิภพ ก็ล้วนถูกตัดสะบั้นกลายเป็นชิ้นๆ
การลงมือนี้ ส่งผลให้คนตายเผ่ามนุษย์ได้มีโอกาสพักหายใจ
อย่างไรก็ตาม ร่างกายของเขาก็ยังถูกปกคลุมไปด้วยบาดแผล แม้จะได้พักหายใจ แต่สุดท้ายเขาก็มิอาจยืนหยัด และทิ้งก้นลงกระแทกกับพื้น
“เจ้าเป็นผู้ใดกัน!” เขาหันไปมองกู่ฉิงซานพร้อมกับตะโกนออกมา
“ก็คนที่จะช่วยให้เจ้ารอดอย่างไรเล่า” กู่ฉิงซานตอบกลับ
แต่จู่ๆกระบี่ยาวก็ชี้ไปทางกู่ฉิงซาน และเปล่งเสียงหวีดคำหนึ่งออกมาทันใด
“ข้าคงไม่สามารถทำมันได้อีกแล้ว” ชายคนนั้นยกกระบี่ขึ้นทันทีและกล่าวต่อว่า “ขอเจ้าจงช่วยมันแทนก็แล้วกัน!”
ช่วยมันแทน? ช่วยกระบี่เนี่ยนะ?
กู่ฉิงซานบินไปข้างหน้า และยกร่างของคนผู้ซึ่งกล่าวถึงเรื่องกระบี่ขึ้น จากนั้นก็บินกลับไปยังสายธารแห่งการหลงเลือน
พอมาถึง สายธารก็ถูกแบ่งแยกออกเป็นสองฟากฝั่ง
กู่ฉิงซานกับคนตายเผ่ามนุษย์ก้าวเข้าสู่สายธารแห่งการหลงเลือน และค่อยๆลดระดับลงไปตลอดทาง
เผ่ามารทั้งหลายที่ไล่ตามแทบจะหยุดฝีเท้าเอาไว้ไม่ทัน พวกมันไม่กล้าที่จะลงตามไป
นั่นเพราะพวกมันทราบดีว่าสายธารนี้น่าขวัญผวาเพียงใด
ขอเพียงแค่มันตกลงไปในสายธารแห่งการหลงเลือน สิ่งที่รอพวกมันอยู่คือการเกิดใหม่ในนรก หรือเกิดใหม่ในโลกอื่นเท่านั้น
กฏของสายธารแห่งการหลงเลือน กระทั่งเผ่ามารก็ไม่มีข้อยกเว้น!
หลากหลายเสียงหอนด้วยความโกรธกังวานไปทั่ว เผ่ามารทำได้เพียงยืนอยู่ริมน้ำและจ้องมองออกไปเท่านั้น
“หลีกทางไปซะ! พวกเราจะตามไปเอง!” มนุษย์ปีศาจเปล่งเสียงตะโกนขึ้น
แล้วคนตายก็ก้าวลงไปสู่สายธารแห่งการหลงเลือนจริงๆ!
พวกมันแหวกฝูงมาร กระโดดพุ่งลงไปในเส้นทางที่แยกออก หมายจะไล่ตามจับกู่ฉิงซานให้ทัน
แต่กู่ฉิงซานเพียงแค่โบกดาบเช่าหยินออกไปทางเบื้องหลังเขาเท่านั้น
แล้วส่วนผิวน้ำเบื้องบนของสายธารแห่งการหลงเลือนก็กระชากออก ก่อบังเกิดคลื่นขนาดมหึมา โถมกลับขึ้นไปทางชายฝั่ง
เมื่อเห็นถึงฉากนี้ เหล่าคนตายก็กระวนกระวาย ดิ้นรนเพื่อหมายจะกลับขึ้นสู่เหนือสายธารอีกครั้ง แต่พวกมันกลับพบว่าเส้นทางที่เปิดออกของสายธารได้ปิดตัวลงแล้ว …
—–
ห่างออกไปหลายสิบลี้ ณ ก้นบึ้งของสายธาร
คนตายเผ่ามนุษย์ล้มตัวลงกับพื้น ไร้ซึ่งการขยับไหวใดๆ
ในช่วงเวลาสั้นๆ เขาก็จมลงไปกับพื้น และหายตัวไป
“อาการบาดเจ็บของเขารุนแรงเกินไป จึงตกตายลง” ดาบพิภพส่งเสียงฮึมฮัม
“ใช่ ทั้งๆที่ข้าอุตส่าห์คาดหวังว่าจะได้รับข้อมูลจากปากเขาแท้ๆ” กู่ฉิงซานกล่าว
คนตาย เมื่อสิ้นลมหายใจลงอีกครั้ง พวกเขาจะกลับไปหลับไหลในนรก และเฝ้ารอการตื่นขึ้นมาอีกในครั้งต่อไป
กู่ฉิงซานค่อนข้างหัวเสียเล็กน้อย
ตนเองต้องการที่จะถามไถ่ถึงเรื่องราวเกี่ยวกับปรภพ แล้วตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรในขั้นต่อไปแท้ๆ
แต่ใครจะรู้ ชายคนนี้ดันมาเร่งตายไปก่อนเสียนี่
ในขณะที่เขากำลังขบคิดว่าจะจับตัวคนตายมาอีกสักหนึ่งคนนั้นเอง จู่ๆกระบี่บนพื้นก็เริ่มขยับไหวด้วยตัวมันเอง
“หืม?” กู่ฉิงซานเลิกคิ้วสูง คว้าจับดาบพิภพเอาไว้
“อย่าวิตกกังวลไป เราเป็นพวกเดียวกัน”
มีเสียงถูกส่งออกมาจากกระบี่ยาว
“โห? เจ้าทราบได้อย่างไรว่าข้ากับเจ้าเป็นพวกเดียวกัน?” กู่ฉิงซานถาม สายตาของเขาจับจ้องอยู่แต่กับตัวกระบี่
พลังอำนาจของกระบี่เล่มนี้นับว่าร้ายกาจไม่เลว และเขาไม่อาจประมาทได้
“กลิ่นอายอย่างไรเล่า บนร่างของเจ้ามีกลิ่นอายของนาง จึงย่อมเป็นธรรมดาว่าเราคือพวกเดียวกัน” กระบี่ยาวผุดลุกขึ้นและกล่าว
บนด้ามจับของกระบี่ ปรากฏกลุ่มก้อนแสงสีขาวที่เริ่มควบแน่นรวมกันเป็นรูปร่าง
กลับกลายเป็นว่าแท้จริงแล้วมันคือวิหค วิหคที่ตลอดทั้งร่างเป็นสีขาว
วิหคขาวโผบิน เวียนวนรอบกายกู่ฉิงซานสองสามรอบ
ก่อนที่มันก็เอ่ยออกมาอย่างเปรมปรีดิ์ “ในที่สุด ข้าก็มีเวลาได้พักหายใจเสียที”
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.390 – กำลังเสริมจากโลกมนุษย์
กู่ฉิงซานมองดูวิหคขาว ก่อนจะตระหนักถึงตัวตนของมันได้อย่างรวดเร็ว
เจ้าสิ่งนี้ คงจะเป็นจิตกระบี่
งั้นสิ่งที่คนตายเผ่ามนุษย์ต้องการจะสื่อเมื่อครู่ก็คือ-
“อย่ามองข้าเช่นนั้นเลย แม้ข้าจะทรงพลานุภาพ ทว่าก็มิอาจโบกสะบัดคมกล้าได้ด้วยตนเอง ดังนั้นข้าจึงจำเป็นต้องให้คนตายเป็นสื่อในการปลดปล่อยพลังออกมา” วิหคขาวถอนหายใจและกล่าว
“หากเป็นเช่นนั้น นี่หมายความว่า จริงๆแล้วเป็นเจ้าสินะที่ต่อสู้?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ใช่ เป็นฝีมือข้า ‘กระบี่ภูติตัดกระดูก’ เอง “
“แล้วที่เจ้าบอกว่าข้ามีกลิ่นอายของนาง แสดงว่าเจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่านางเป็นใคร?”
“อ้าว? นี่เจ้ายังไม่ได้พบกับนางหรือ? นี่มันไม่ถูกต้อง ก็เจ้ามีกลิ่นอายของนาง … ” วิหคขาวประหลาดใจและเผยสีหน้าแปลกๆออกมา
กู่ฉิงซานอธิบาย “นางที่เจ้าว่าใช้หญิงชุดคลุมฟ้าหรือไม่? หากใช่ ข้าได้พบกับนางแล้ว เพียงแต่ยังไม่ทราบสถานะของนางก็เท่านั้นเอง”
“เจ้าไม่รู้หรอกหรอว่านางเป็นใคร … นี่มันน่าสนใจจริงๆ แต่ในเมื่อนางไม่ได้เปิดเผยสถานะของตัวเองออกมา ดังนั้นข้าก็คงจะไม่กล้าพูดอะไรออกไปหากไม่ได้รับอนุญาต”
วิหคขาวมองกู่ฉิงซาน และเผยท่าทีใคร่รู้ออกมา
แต่ตัวกู่ฉิงซานเองก็ดูจะไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากนัก
ในเมื่ออีกฝ่ายไม่บอก ก็ไม่ต้องบอก เพราะตอนนี้สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือเรื่องนี้ ที่ต้องยืนยันทันที
“ผู้น้อยกู่ฉิงซาน มาจากโลกมนุษย์ แล้วตัวเจ้าเล่า เป็นเครื่องจักรชนิดใด?”เขาประสานสองฝ่ามือและเอ่ยถาม
วิหคตัวน้อยกำลังฟังอย่างตั้งใจ แต่พอมันได้ยินถึงประโยคนี้ สองตาที่หุบอยู่ก็ลืมขึ้นในทันใด
ดูเหมือนว่ามันค่อนข้างจะประหลาดใจทีเดียว สำหรับคำถามนี้
วิหคบินไปเกาะตรงด้ามกระบี่ และใช้เล็บของมันชี้ลงไปเบาๆ “ลองดูดีๆสิ ข้าออกมาจากด้ามกระบี่นี่ มิใช่เครื่องจักร”
กู่ฉิงซานนิ่งงันไป
กระบี่นี่ ไม่ใช่เครื่องจักรจริงๆด้วย
“เช่นนั้น นอกเหนือไปจากพวกเครื่องจักรแล้ว ทางปรภพก็ยังมีการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่อีกสินะ” เขาพึมพำ
“โดยปกติแล้วพวกเราจะใช้เครื่องจักรเพื่อจัดการธุระต่างๆ แต่หากมีอะไรเกิดขึ้นกับปรภพ ก็จะเป็นหน้าที่ของพวกเราที่ออกหน้าลงมือ” วิหคขาวกล่าวอย่างภาคภูมิ
กู่ฉิงซานเอ่ยถามในทันใด “ข้ามีเรื่องอยากจะสอบถาม แท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นในปรภพกันแน่?”
“ข้าบอกไม่-” วิหคขาวกำลังจะเอ่ยตอบ
กู่ฉิงซานขัดคำพูดอีกฝ่าย “ข้ารู้ ว่าพวกเจ้าไม่สามารถบอกได้ แต่เจ้ายังสามารถบอกข้าถึงสถานที่สำคัญที่เกี่ยวข้องได้นี่นา แล้วจากนั้นข้าก็จะไปค้นหาคำตอบนี้ด้วยตัวเอง”
ไม่ว่าจะเป็นการดำรงอยู่ใดๆของสิ่งทั้งหลายในปรภพ ทั้งหมดล้วนไม่ยินยอมบอกอะไรกับเขาทั้งนั้น
แล้วกู่ฉิงซานก็ค่อนข้างเบื่อกับคำตอบว่าไม่ได้ๆนี่แล้ว
วิหคขาวลังเลเล็กน้อย
“ข้าดั้นด้นมาที่นี่เพื่อช่วยโลกมนุษย์ ฉะนั้นกรุณาด้วย” กู่ฉิงซานวิงวอน
วิหคขาว “เจ้ามาจากโลก? งั้นเจ้าก็ได้พบกับเหล่าเครื่องจักรแล้วสิ?”
“พบแล้ว อันที่จริงมีเพียงสี่เท่านั้นที่มาถึงโลกได้อย่างปลอดภัย”
กู่ฉิงซานเล่าซ้ำเกี่ยวกับการปรากฏกายของเครื่องจักร
วิหคขาวกล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า “งั้นก็พูดได้ว่าเจ้าเป็นกำลังเสริมจากโลกจริงๆสินะ”
กำลังเสริม …
กำลังเสริมจากโลก …
กู่ฉิงซานพูดไม่ออก
ทำไมคำพูดนี้พอได้ยินแล้วช่างคันหูเสียจริง
ช่วงแรกๆ เป็นตัวเขาที่ตั้งหน้าตั้งตารอกำลังเสริมจากปรภพ
แต่ตอนนี้ ในทางตรงกันข้าม อาวุธของปรภพก็ยังคาดหวังว่าจะได้รับความกำลังเสริมจากโลกมนุษย์เช่นกัน
กู่ฉิงซานถอนหายใจ กล่าวยอมรับอย่างทำอะไรไม่ถูก “ใช่ ข้าเป็นกำลังเสริม”
วิหคขาวเร่งตอบในทันใด “เช่นนั้นข้าควรจะร่วมมือกับเจ้าอย่างไร?”
“ก่อนอื่นเลย ข้าต้องการจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับปรภพ” กู่ฉิงซานกล่าวเพียงสั้นๆ
วิหคขาวนิ่งงันไปนาน ก่อนจะกล่าวว่า “อันที่จริงแล้วมีเรื่องน่ากลัวได้เกิดขึ้น และมันก็เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ซึ่งในเวลานั้นข้า–”
“ในช่วงเวลานั้นเจ้า?”
“ข้ากำลังหลับอยู่พอดี”
“ … ”
มองไปยังสีหน้าที่อันยากจะกล่าวที่แสดงออกมาของกู่ฉิงซาน วิหคขาวก็อธิบาย “ก็มีเครื่องจักร 80 กว่าเครื่องคอยจัดการธุระต่างๆในปรภพอยู่แล้วนี่ ตัวข้าในฐานะอาวุธโบราณจึงว่างงาน มิได้ทำหน้าที่ใดๆมาตั้งนานแล้ว”
มันกางปีกออก และตบลงบนศีรษะตนเอง “ดังนั้นข้าจึงหละหลวมในหน้าที่ และเผลอหลับไป ฮ่า .. ฮ่าฮ่า … ”
ความหมายก็คือ เจ้านกบ้านี่เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“ถ้าอย่างงั้นแล้วทำไมเจ้าถึงไปร่วมมือกับพวกคนตายล่ะ?” กู่ฉิงซานถามต่อ
“โอ้ นั่นเป็นเรื่องเมื่อสองวันที่ผ่านมา หากเป็นเรื่องนั้นล่ะก็ข้าสามารถบอกเจ้าได้”
“เชิญชี้แนะ”
“เมื่อปรภพต้องเผชิญกับภัยพิบัติที่ย่างกรายเข้ามา คนตายในนรกถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเลือกที่จะให้การสนับสนุน ร่วมมือกับเผ่ามาร ทำลายโลกปรภพอย่างเต็มกำลัง เพื่อที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานในนรกเสียที”
“ส่วนอีกฝ่าย ก็ให้การสนับสนุนที่จะต่อต้านเผ่ามาร โดยหวังว่าจะช่วยเหลือปรภพ และไถ่ถอนตนเองจากความผิดบาปนี้ เสริมสร้างบุญให้แก่ตนเอง เพื่อที่จะได้ไปเกิดใหม่เสียที”
วิหคขาวกล่าวเสริม “ดังนั้นในฐานะอาวุธแห่งปรภพเช่นข้า จึงย่อมเป็นธรรมดาที่จะยินดียืนหยัดต่อสู้เคียงข้างกับฝ่ายที่สนับสนุนอย่างหลัง”
กู่ฉิงซานพยักหน้าเข้าใจ
หากเป็นในกรณีนี้ มันจะสามารถไขข้อข้องใจเกี่ยวกับฉากสงครามอันวุ่นวายเมื่อครู่ได้
ในตอนนั้น เขาเองคอยเฝ้าสังเกตการณ์อยู่นาน ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกโอกาสลงมือช่วยเหลือคนตายในที่สุด
ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากความหวาดระแวงโดยสิ้นเชิง
เพราะอย่างไรเสียคนตายก็สามารถฟื้นคืนชีพได้อยู่แล้วโดยการกลับไปหลับไหลในนรกของตน ทว่าสำหรับตัวกู่ฉิงซานเอง เขามิอาจทำได้
แถมในเวลานั้น กู่ฉิงซานเองก็สัมผัสได้อย่างเรือนราง ว่าลึกเข้าไปในภูเขาล้อมเหล็ก มีกลิ่นอายอันคลุมเครือของอสูรกายอยู่อีกด้วย
เกรงว่าภูเขาล้อมเหล็กคงตกอยู่ในมือของเผ่ามารแล้ว
กู่ฉิงซานทนไม่ไหวต้องถามออกไปว่า “ไม่มีใครเป็นคนควบคุมนรกเลยหรือ? แล้วเทพในปรภพเล่า? ตายหมดแล้วไม่มีหลงเหลือเลยหรืออย่างไร?”
วิหคขาว “ข้าเองก็ไม่ทราบ เมื่อข้าตื่นขึ้นมา โลกปรภพก็ไม่มีเทพวิญญาณอยู่อีกต่อไปแล้ว”
“แต่เจ้าไม่รู้เลยหรือว่าเทพวิญญาณจากไปที่ใด”
“ขออภัยจริงๆ ข้าหลับไหลไปเนิ่นนานหลังจากที่เหล่าเครื่องจักรได้ถือกำเนิดขึ้น และพึ่งตื่นกลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เองเนื่องจากสัมผัสได้ถึงภัยพิบัติในปรภพ”
กู่ฉิงซานพอได้ยิน ก็ถอนหายใจออกมา
เขาเองก็พึ่งจะมาถึงปรภพ แต่ในวิสัยทัศน์ของเขามันกลับยังคงมืดบอดโดยสมบูรณ์ มิอาจเห็นเส้นทางที่ถูกต้องได้ แล้วตนจะสมควรทำอย่างไรดี?
สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือ ‘ข้อมูล’
เมื่อคุณรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น คุณก็จะสามารถวางแผนและเริ่มลงมือได้
เขาเอ่ยถาม “เนื่องจากเจ้าไม่ทราบ แต่ก็น่าจะมีผู้อื่นที่ทราบอยู่อย่างแน่นอน เจ้าคิดว่ามีผู้ใดที่รู้ -”
วิหคขาวกล่าวทันที “ข้าเดาว่าสิ่งประดิษฐ์เทวะจักต้องสัมผัสได้ถึงภัยพิบัตินี้ได้รวดเร็วยิ่งกว่าข้าเป็นแน่ มันจักต้องล่วงรู้เรื่องราวทั้งหมดอย่างแน่นอน”
“ที่ว่ามานั่นคือสิ่งใดกัน?”
“มันคือหนึ่งในสามสิ่งประดิษฐ์เทวะ ‘ตะขอเกี่ยววิญญาณแห่งสายธารแห่งการหลงเลือน’ เจ้าสิ่งนี้มิเคยหลับไหล และมันเป็นผู้ที่คอยบันทึกเรื่องราวทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณคนตายทั้งหมด”
“จริงๆหรือ?”
นี่จำเป็นต้องถามย้ำจริงๆ เพราะก็ยังมีบ้างในบางเรื่อง ที่กู่ฉิงซานยังไม่อาจเชื่อนกตัวนี้ได้อย่างสนิทใจ
วิหคขาวยืนยันหนักแน่น “จริงสิ มันนับเป็นคลังข้อมูลที่ดีที่สุด ไม่ว่าเรื่องอะไรในปรภพก็มิอาจปิดซ่อนจากมันได้”
“เช่นนั้นเจ้าช่วยพาข้าไปพบมันได้หรือไม่?”
“เจ้าพึ่งช่วยชีวิตข้าไว้ ยิ่งกว่านั้นยังมีกลิ่นอายของนางอีก ย่อมเป็นธรรมดาที่ข้าจะพาเจ้าไปที่นั่น”
วิหคขาวกระพือปีกของมัน และจี้เข้าไปยังกระบี่ภูติตัดกระดูก
กระบี่ยาวเด้งขึ้นกลางอากาศ หมุนควงสว่านสองตลบในทันที จากนั้นก็ชี้ปลายแหลมไปยังทิศทางหนึ่ง
“ทางนั้นไง!”
“เข้าใจแล้ว พวกเราจะออกไปตามหามันกันทันที”
“ประเดี๋ยวก่อน” จู่ๆกระบี่ภูติตัดกระดูกก็ลอยมาขวางเขา
“มีเรื่องอะไร?”
“ข้าจำเป็นต้องบอกเจ้าล่วงหน้า ว่าตะขอเกี่ยววิญญาณน่ะเป็นอาวุธของเทพวิญญาณ หากมันไม่อนุญาต แน่นอนว่าเจ้าย่อมไม่อาจแตะต้องมันได้ มิฉะนั้นเจ้าจะตายทันที”
“ทราบแล้ว ข้าจะระมัดระวังเรื่องนี้”
“งั้นก็ไปกันเถิด”
กระบี่ภูติตัดกระดูกกับกู่ฉิงซานบินไปตามเบื้องล่างของสายธารแห่งการหลงเลือนไปตลอดทาง
กู่ฉิงซานเบนสายตามองแต้มพลังวิญญาณของเขา
เช่าหยินยังคงใช้แต้มพลังวิญญาณอยู่ตลอดเวลา เพื่อช่วยให้เขาหลีกเลี่ยงกระแสน้ำของสายธารไม่ให้เข้าถึงตัว
มากกว่า 1000 แต้มพลังวิญญาณกำลังลดหลั่นลงอย่างช้าๆ
คงต้องเร่งมือแล้ว
…..
ณ ภูเขาล้อมเหล็ก
บริเวณตีนเขาที่ห่างไกล
กู่ฉิงซานชะโงกหน้าอออกมาจากสายธาร สำรวจรอบๆ ก่อนจะกระโดดขึ้นฝั่งอย่างนุ่มนวล
ที่นี่ไม่มีดวงอาทิตย์ ไม่มีดวงจันทร์หรือแสงดาวบนท้องฟ้า
อย่างไรก็ตาม มันยังคงมีแสงอ่อนๆแผ่กระจายออกไปอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ฉากในดูมีสีสันไม่น้อย
ดูเหมือนว่านี่จะเป็นช่วงเวลาค่ำของโลกปรภพ
ปรากฏวิหารที่แลดูน่าเคารพศรัทธาขึ้นเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน
มองจากระยะไกล ตลอดทั้งวิหารเงียบสงบ และไม่มีร่องรอยของการเคลื่อนไหว
“ที่นั่นแหละ”
วิหคขาวบินออกมาจากกระบี่ยาว และร่อนเกาะลงบนไหล่ของกู่ฉิงซาน
“สถานที่แห่งนี้คือที่ใดกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ที่นี่คือวิหารสักการะตะขอเกี่ยววิญญาณ ที่ซึ่งภายในมีคาถาอัญเชิญจิตอาร์ติแฟคอยู่”
“คาถาอัญเชิญจิตอาร์ติแฟค?”
“ใช่ ตะขอเกี่ยววิญญาณน่ะเป็นกฏเกณฑ์ของสายธารแห่งของหลงเลือน มีเพียงเทพวิญญาณแห่งปรภพเท่านั้นที่จะสามารถควบคุมมันได้ ฉะนั้นจึงไม่บ่อยนักที่มันจะปรากฏตัวออกมา”
“ดังนั้น หากมีสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกเหนือไปจากเทพวิญญาณต้องการจะสื่อสารกับมัน ก็จำเป็นต้องใช้คาถาอัญเชิญจิตอาร์ติแฟค แล้วมันจึงจะออกมาพบ”
“ข้าเข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานพยักหน้า
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.391 – โลกหกวิถี
กู่ฉิงซานกับกระบี่ภูติตัดกระดูกขึ้นมาบนฝั่ง
เขาเดินไปหลบหลังโขดหิน นั่งยองๆ แล้วสอดส่ายสายตาอย่างระมัดระวัง มองไปรอบๆอย่างรวดเร็ว
ที่นี่คือชายฝั่งและมีเนินเขาขนาดใหญ่ขั้นกลางระหว่างวิหาร
แต่แล้วจู่ๆกู่ฉิงซานก็พลันตระหนักได้ถึงสิ่งหนึ่งอย่างกระทันหัน
เขาก้มหน้าลง มองพื้นที่ตนกำลังเหยียบย่ำอยู่
‘ที่นี่คือภูเขาล้อมเหล็กสินะ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน ถ้าอย่างงั้นล่ะก็ …’
กู่ฉิงซานอดใจไม่ไหว เขาคว้าจับดาบพิภพแล้วลองแทงลงไปบนพื้น
บังเกิดประกายไฟสาดออกมาจากพื้นที่เหยียบย่ำ ทว่าบนมันกลับไม่ปรากฏร่องรอยใดๆเลย
วิหคขาวกล่าว “นั่นเจ้ากำลังทำอะไรอยู่? ที่นี่คือภูเขาล้อมเหล็กนะ ไม่มีพลังอำนาจใดสามารถสร้างความเสียหายแก่มันได้หรอก กระทั่งเคลื่อนมันยังไม่ได้เลยแม้แต่น้อย”
กู่ฉิงซานมองลงไปยังพื้นหินสีเทาอมเขียวและทนไม่ไหวที่จะเอ่ยถาม “เหตุใดพื้นหินบนภูเขาลูกนี้กับพื้นหินเบื้องล่างสายธารแห่งการหลงเลือนจึงเหมือนกัน?”
“นั่นเพราะก้นสายธารเบื้องล่างก็เป็นส่วนหนึ่งของภูเขาล้อมเหล็กด้วยเช่นกัน” วิหคขาวไขปัญหาคาใจให้
กู่ฉิงซานชะงักงัน สักพักเลยจึงตอบสนองและเอ่ยถามต่อว่า
“ความหมายของเจ้าก็คือ สายธารแห่งการหลงเลือนที่ไหลผ่านภูเขาล้อมเหล็กนี้ แท้จริงแล้วถูกสร้างขึ้นหรือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภูเขาล้อมเหล็กอย่างนั้นหรือ?”
“นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าไม่มีพลังอำนาจใดจะสั่นคลอนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ได้ กระทั่งสายลมจากทัณฑ์โกลาหลก็ยังไม่มีผลกับมันแม้แต่น้อย!” วิหคขาวกล่าวอย่างภาคภูมิ
พอได้ฟัง หัวใจของกู่ฉิงซานก็เต้นตึกตักระรัวราวกับพวกนักวิ่ง
ใครมันจะไปคิดกันล่ะว่า แท้จริงแล้วตลอดทั้งปรภพน่ะถูกเป็นส่วนหนึ่งของภูเขา!?
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่ในปรภพอย่างเงียบๆ เพื่อปกป้องหกวิถีแห่งสังสารวัฏจากสายลมทัณฑ์โกลาหล!
“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว ว่าแต่อาวุธเช่นพวกเจ้าน่ะจะหลับไหลลงมันก็ไม่แปลกหรอก แต่เหตุใดจึงถึงขั้นหลับลึกเลยเล่า?”
วิหคขาวอธิบาย “ในสหัสวรรษที่ผ่านมา ปรภพได้ก้าวเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม และหลังจากที่มีการถือกำเนิดของ เครื่องจักรปรภพทั้ง 88 เครื่อง ทุกอย่างก็ดูเป็นระบบระเบียบขึ้นอย่างมาก”
“ดังนั้น อาวุธโบรารณมากมายจึงหมดหน้าที่ลง และค่อยๆหายไปอย่างช้าๆ”
กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “แล้วพวกเจ้าทุกคนหายไปไหน?”
“ร่างของพวกเราถูกวางไว้ในวิหารสักการะแห่งนี้ แต่จิตอาร์ติแฟคทั้งหมดได้ปลดเปลื้องภาระ ถอดจิตออกจากพวกมันไปกันหมดแล้ว”
“เฉพาะเมื่อได้ยินเสียงเรียก หรือสัมผัสได้ถึงภัยพิบัติอันใหญ่ยิ่งของโลกปรภพเท่านั้น พวกเราจึงจะปรากฏตัวออกมาอีกครั้งเพื่อตรวจสอบสถานการณ์”
“ดังนั้น กล่าวได้ว่าจึงมีน้อยคนนักที่มายังวิหารสักการะแห่งนี้สินะ?” กู่ฉิงซานจ้องมองไปที่วิหารพลางกล่าว
“ใช่ พวกเราไปกันเถอะ” วิหคขาวกระพือปีกของมัน
“ประเดี๋ยวก่อน”
กู่ฉิงซานยังคงยืนอยู่บนชายฝั่ง
ที่นี่ตั้งอยู่บริเวณขอบชายฝั่งของสายธารแห่งการหลงเลือน และตราบใดที่กู่ฉิงซานต้องการ เขาก็จะสามารถซ่อนตัวได้ตลอดเวลา
“สถานที่สำคัญเช่นนี้ ข้ามิอาจทำใจเชื่อได้ว่าเผ่ามารจะปล่อยมือไปจากมัน” เขาเอ่ยเสียงกระซิบ
กู่ฉิงซานจ้องมองไปที่วิหารสักการะสิ่งประดิษ์เทวะ ขณะที่การแสดงออกทางสีหน้าของเขาค่อยๆหนักอึ้งขึ้น
แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะเงียบสงัด ทว่าก็ยังคงมีความผันผวนของกลิ่นอายอันคลุมเครืออยู่
“ข้าได้ปะทะกับเผ่ามารมามากมายในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้ ในสมองของพวกมันน่ะมีแต่การสังหารและทำลายเท่านั้นแหละ – ที่จะบอกก็คือหากพวกมันอยู่ที่นี่ วิหารคงถูกพวกมันทำลายไปแล้ว” วิหคขาวกล่าว
“มิใช่ พวกที่เจ้าเจอน่าจะเป็นแค่มอนสเตอร์ไม่ใช่มารที่แท้จริง มารจริงๆน่ะมีปัญญาหลักแหลมยิ่งกว่าพวกมอนสเตอร์มากมายนัก”กู่ฉิงซานกล่าว
เพียงนึกคิดในจิตใจ ดาบเช่าหยินก็ลอยขึ้นไปกลางเวหา
จากนั้นคมก็ฉีกอากาศ มุ่งเป้าตรงไปยังวิหารแห่งการสักการะ
“ไปล่อมันออกมา” กู่ฉิงซานตะโกนเสียงต่ำ
ฮู้มมมม!
ดาบเช่าหยินเปลี่ยนเป็นภาพติดตา และข้ามผ่านเนินเขาไป
ดาบบินวนรอบวิหารอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทะยานหายขึ้นไปบนท้องฟ้า
เฝ้ารอแค่เพียงสามลมหายใจ
เบื้องบนวิหารก็เริ่มเกิดการบิดเบือนขึ้น
การบิดเบือนนี้เริ่มขยายตัวออกไปรอบๆ และสักพักหลังจากที่มันค้นพบว่าทุกอย่างยังคงปกติดี มันก็เริ่มแพร่กระจายออกเป็นวงกว้าง ขยายพิสัยการสำรวจออกมา
“นั่นมันคืออะไรกันน่ะ?” วิหคขาวเอ่ยถาม
กู่ฉิงซานขมวดคิ้วและกล่าว “โดยปกติแล้วมารธรรมดาๆจะไม่มีวิชาซ่อนเร้นตัวตนเช่นนี้ ข้าคิดว่าบางทีนั่นอาจเป็นมารระดับสูง”
“พวกเราลองไปฆ่ามันดูไหม?”
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างระมัดระวัง “ไม่ดีกว่า วิชาของมารน่ะช่างผิดแผกและมีมากมายเหลือคณา ถึงเราจะรู้ว่ามีพวกมันอยู่แล้ว แต่เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าภายในวิหารจะมีมารดักรออยู่มากขนาดไหน”
ณ ขณะนี้ ดาบเช่าหยินได้บินอ้อม วนกลับมาหาพวกเขา
ความบิดเบือนที่มองไม่เห็นเบื้องบนวิหารยังคงแพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง และค่อยๆคืบคลานมายังกู่ฉิงซาน
“มาเถอะ ตอนนี้พวกเราควรถอยกันก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว
หลังจากนั้นอีกหนึ่งส่วนสี่ชั่วยามต่อมา
เนินเขาก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
วิหคขาวถอนหายใจ “เผ่ามารคงยึดครองทั้งภูเขาศักดิ์สิทธิ์แล้วจริงๆ นับจากนี้ไป พวกเราคงจะหาที่สงบๆอยู่กันลำบากซะแล้ว ”
กู่ฉิงซานเสนอความคิดเห็น “ข้าคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือ ข้าจะเป็นตัวล่อเผ่ามารออกมา ส่วนเจ้าก็ฉวยโอกาสนั้นลอบเข้าไปปลุกสิ่งประดิษฐ์เทวะซะ”
“แบบนั้นไม่ได้หรอก จิตอาร์ติแฟคเช่นข้าน่ะไม่สามารถร่ายคาถาได้ เจ้าต้องเป็นคนร่ายมันด้วยตัวเอง”
ขณะกล่าว วิหคขาวก็บินกลับเข้าไปในกระบี่ภูติตัดกระดูก
แล้วเปลวไฟสีซีดก็ปะทุออกมาจากใบกระบี่ ก่อนจะถูกดูดซับลงไปในพื้นดิน
“นั่นเจ้ากำลังทำอะไรอยู่น่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“อัญเชิญเหล่าคนตายที่ทรงพลังมาช่วยเหลือ” กระบี่ยาวตอบคำ
ไม่นานนัก
ก็ปรากฏร่างของหมาป่ายักษ์สีเทากำลังแหวกว่ายมาตามสายธาร
หมาป่าสีเทาตนนี้มีขนาดความสูงเทียบเท่ากับมนุษย์ถึง 5 คนยืนเรียงตัวต่อๆกัน และดูเปี่ยมไปด้วยพลัง
หมาป่าเทามองกระบี่ภูติตัดกระดูก และอ้าขยับปากที่สามารถกลืนคนเข้าไปได้ทั้งตัวออกมา “เจ้าตามหาตัวเรา มิเรื่องอะไร?”
“สวัสดีราชันย์หมาป่า นี่คือกำลังเสริมจากโลก และเขาต้องการที่จะเข้าสู่วิหาร ดังนั้นข้าจึงได้เรียกเจ้ามาช่วยในเวลานี้” กระบี่ภูติตัดกระดูกกล่าว
ราชันย์หมาป่าเหลือบมองกู่ฉิงซานวูบหนึ่ง ทว่ามันไม่ได้เอ่ยคำใด
หลังจากนั้นอีกไม่นาน คนตายอีกคนก็แหวกว่ายมาจากสายธารแห่งการหลงเลือน และทยอยกันมาทีละคน ทีละคน
“นั่นพวกเขามากจากที่ใดกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามเสียงกระซิบ
“มาจากแต่ละถ้ำในภูเขาที่อยู่ใต้ธารน้ำ – พวกเขามาจากนรกน่ะ” กระบี่ยาวตอบ
ราชันย์หมาป่ามาก่อนในทีแรก ตามต่อด้วยสองยักษ์ หนึ่งมนุษย์ปีศาจ และอีกสามมนุษย์ยืนอยู่ตรงข้ามกับกู่ฉิงซานและกระบี่ภูติตัดกระดูก
พวกยักษ์จะถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ตรวนที่แตกหัก ใบหน้าของพวกมันปกคลุมไปด้วยความดุร้าย ทว่าภายในแววตากลับแลดูสงบ
ส่วนมนุษย์ปีศาจเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่ม ทั้งเนื้อทั้งตัวของมันเปล่งแสงสีทองออกมาตลอดเวลา ส่งผลให้มิอาจเห็นเรือนร่างของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจนนัก
ส่วนรูปลักษณ์มนุษย์ที่เหลือ เป็นชายสองและหญิงอีกหนึ่ง
คนตายทั้งเจ็ดกำลังจ้องมองมาที่กู่ฉิงซาน และเฝ้าดูอยู่เงียบๆ
ขณะนี้ พวกเขาอยู่ด้วยกัน และกำลังกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างออกมา
“พวกเขาดูจะแข็งแกร่งจริงๆ ข้าสัมผัสได้ถึงแรงกดดันเล็กน้อย น่าประทับใจยิ่ง” กู่ฉิงซานกล่าว
วิหคขาวกระโจนออกมาจากกระบี่และเอ่ยว่า “หลังจากการหายตัวไปของเทพวิญญาณ 18 นรกภูมิก็ได้รับคำสั่งให้ถูกควบคุมโดยผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในแต่ละนรก และพวกเขาทั้งเจ็ดคือบุคคลที่ว่า”
“และทั้งหมดต้องการที่จะสนับสนุนปรภพ ทำการช่วยเหลือ สร้างบุญมาไถ่ถอนบาปที่ติดตัวตนอยู่นี้”
“เข้าใจแล้ว”
“ว่าแต่ 18 นรกภูมิอย่างงั้นหรือ … หากเป็นแบบนี้ นั่นหมายความว่าอีก 11 ตนสุดแกร่งจากแต่ละนรกที่เหลืออยู่ก็เข้าร่วมกับเผ่ามารเพื่อทำลายปรภพน่ะสิ?”
วิหคขาวถอนหายใจ “ถูกต้อง เผ่ามารน่ะแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ควบคู่ไปกับอีก 11 ผู้ควบคุมนรก ส่งผลให้ปรภพกำลังตกอยู่ในอันตราย”
ณ ขณะนี้ 7ผู้คุมนรกที่อยู่ตรงข้ามก็ได้สนทนากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
หนึ่งในมนุษย์ที่ดูชราเดินออกมาทักทายกับกู่ฉิงซาน
“สวัสดีสหายร่วมชาติพันธุ์เพียงหนึ่งเดียวของข้า” ชายชรากล่าว
“สหายร่วมชาติเพียงหนึ่ง?” กู่ฉิงซานเอ่ยทวนซ้ำ
“ฟังไม่ผิดหรอก ก็ในบรรดาผู้คุมนรกทั้ง 7 น่ะ มีข้าเพียงคนเดียวที่เป็นมนุษย์นี่นา ดังนั้นหน้าที่เจรจานี้จึงถูกมอบหมายให้โดยข้า เพื่อที่จะได้ตกลงกันให้มันชัดเจน” ชายชรากล่าว
กู่ฉิงซานเบนสายตามองข้ามชายชราไป ก่อนจะตกลงที่สองชายหญิงซึ่งอยู่ไกลออกไป
ชายชราโบกมือและกล่าว “ไม่ต้องดูหรอก ทั้งสองคืออาชูร่า มิใช่มนุษย์ในโลกของเรา”
กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็ตกตะลึง แต่เขาก็ยังคงเลือกที่จะสังเกตรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายอยู่ดี
ฝ่ายชายมีรูปร่างสูงและกำยำ แต่ด้วยลักษณะและหน้าตาของเขานั้นดุร้ายยิ่ง คนส่วนใหญ่จะรู้สึกหวาดเกรงยามเมื่อมองไปยังเขาในทีแรก
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายหญิงนั้นมีลักษณะหน้าตาที่ดี ดูสง่าและงดงาม
‘ไม่คาดคิดเลยว่า นี่มันจะเป็นเหมือนดั่งที่ว่าไว้ในตำนานทุกประการ’ กู่ฉิงซานลอบพูดอย่างลับๆ
ในตำนานโบรารณของมนุษยชาติกล่าวเอาไว้ว่า เผ่าพันธุ์อาชูร่าน่ะ เพศชายจะดูธรรมดา ในขณะที่เพศหญิงจะงดงามยิ่ง
ฉะนั้นในอาณาจักรแห่งอาชูร่า จึงคราคร่ำไปด้วยหญิงงามอันหาที่ใดเปรียบ นับไม่ถ้วน
และสิ่งนี้เองที่ได้นำไปสู่ความริษยาและโลภของอาณาจักรสวรรค์ และมักจะนำไปสู่ความขัดแย้งและสงครามระหว่างอาณาจักรสวรรค์กับอาณาจักรอาชูร่า
วันนี้ ดูเหมือนว่าตำนานจะไม่ใช่เรื่องเหลวไหล
นอกจากนี้ กู่ฉิงซานยังได้รู้เรื่องราวเพิ่มเติมอีกด้วยว่า หกวิถีแห่งสังสารวัฏน่ะ แต่เดิมมิได้รับแค่เพียงวิญญาณจากโลกมนุษย์ แต่ยังรับวิญญาณจากในโลกอื่นๆมาอีกด้วย
“พอจะเข้าใจแล้ว ปรภพแห่งนี้น่าจะรับเอาคนตายมาจากทั้งสี่โลกอันได้แก่ อาณาจักรผีโหย อาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรอาชูร่า และอาณาจักรเดรัจฉานนี่เอง ” กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ
ทว่าทันทีหลังจากที่เขาพูดจบ หูของราชันย์หมาป่าก็ยกสูงขึ้นทันที
“เฮ้สหายร่วมชาติ เจ้าไม่สามารถเรียกว่าอาณาจักรเดรัจฉานได้นะ นั่นมันหยาบคาย พวกเราน่ะเรียกโลกที่เขาจากมาว่าอาณาจักรจ้าวอสูร” ชายชราที่เป็นมนุษย์เร่งกล่าว
“เอาล่ะๆ อาณาจักรจ้าวอสูร” กู่ฉิงซานรีบเปลี่ยนคำทันที
แล้วชายชราจึงค่อยผ่อนคลายลง
เขาอธิบายกับกู่ฉิงซานต่อ “เทพจากอาณาจักรสวรรค์น่ะไม่ค่อยมีมากนักหรอกในปรภพ ส่วนอาณาจักรผีโหยน่ะ ทุกคนล้วนโปรดปรานในการทำลายล้าง พวกเขาทั้งหมดจึงสนับสนุนในการทำลายปรภพ – จริงๆแล้วพวกเขาเป็นการดำรงอยู่อันมืดมิดและเลวร้ายที่สุดในหกวิถีเลยล่ะ สมควรจะเรียกว่าอาณาจักรปีศาจร้ายด้วยซ้ำ”
“ราชันย์หมาป่า มาจากอาณาจักรจ้าวอสูร , ยักษ์กับมนุษย์ปีศาจและข้ามาจากโลก ส่วนชายหญิงทั้งสองมาจากอาณาจักรอาชูร่า”
“และตอนนี้ พวกเราทั้งเจ็ดก็ได้แนะนำตัวเองแล้ว”
ผู้คุมนรกทั้งเจ็ดมองไปทางกู่ฉิงซานเป็นสายตาเดียว
“ผู้น้อยกู่ฉิงซาน เผ่าพันธุ์มนุษย์ และเป็นผู้ฝึกดาบ” กู่ฉิงซานหนึ่งกำปั้นประสานหนึ่งฝ่ามือหันไปทางอีกฝ่ายและกล่าว
ชายชราพยักหน้าและเอ่ยต่อ “เช่นนั้นกู่ฉิงซาน ข้าจะพูดเพียงสั้นๆนะว่าสถานการณ์ในนรกตอนนี้น่ะมันอยู่ในภาวะวิกฤต และแม้ว่าพวกเราจะถูกเรียกมาโดยกระบี่ภูติตัดกระดูกก็ตามที แต่เราก็ยังอยากจะยืนยันว่าเจ้ามีความแข็งแกร่งมากพอที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในสถานการณ์นี้หรือไม่ และแน่นอนว่าหากไม่ ทุกคนก็ไม่ยินดีเสียเวลาเพื่อเจ้า”
“เชิญกล่าวต่อ”
“เจ้าเป็นมนุษย์ และไม่ได้มีความสามารถในการฟื้นคืนชีพในนรก ดังนั้นเพื่อเห็นแก่หน้าตาของกระบี่ภูติตัดกระดูก เราจะไม่ทำร้ายเจ้า – แต่จะให้เจ้าแสดงความแกร่งของตนออกมา” ชายชรากล่าว
เขาเอ่ยปากอีกครั้งด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ “พวกเพื่อนๆของข้าน่ะหยิงผยองนัก พวกเขาไม่เต็มใจที่จะมาสนทนากับเจ้า ดังนั้นในฐานะที่เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน ข้าขอเตือนให้เจ้าสำแดงพลังดีๆออกมาด้วยล่ะ”
กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็แค่ยิ้ม
“ดาบพิภพ”
“ข้าอยู่นี่”
“ข้าขอมอบหน้าที่นี้ให้เจ้า”
“น้อมรับคำสั่ง”
ดาบพิภพตอบรับและผุดออกมาจากความว่างเปล่า
มันบินไปอยู่เบื้องหน้าเหล่าผู้คุมนรกและลอยอยู่บนพื้น
หลากหลายคนตายที่ทรงพลังหันมามองหน้ากัน และไม่ทราบว่าเจ้าจิตวิญญาณเผ่ามนุษย์ที่ยืนอยู่ตรงข้ามต้องการจะสื่อถึงสิ่งใด
“หากผู้ใดก็ตามที่สามารถเคลื่อนย้ายดาบของข้าได้แม้เพียงน้อย ข้าก็จะจากไปทันทีโดยไม่คิดรบกวนพวกท่านทั้งหลายอีกเลย” กู่ฉิงซานกล่าว
สองอาชูร่าพอได้ฟัง ก็รู้สึกสนอกสนใจเป็นอย่างมาก
เพราะเผ่าพันธุ์อาชูร่าน่ะเข้มแข็ง พวกเขารักในการต่อสู้และเดิมพันเป็นอย่างยิ่ง
อาชูร่าเพศชายก้าวออกมาข้างหน้าเป็นคนแรก ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปคว้าจับด้ามดาบ และพยายามกระชากอย่างแรง!
ทว่าดาบพิภพกลับไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ
ชายอาชูร่าไม่เชื่อสายตา ปากของเขาเริ่มเอ่ยท่องคาถางึมเงา ขณะที่สองมือคว้าจับดาบพิภพและพยายามยื้อยุทธดึงมันสุดกำลัง
แต่ดาบพิภพก็ยังมิอาจเคลื่อนไหว
“ขอข้าเองเจ้าตัวจ้อย” เสียงที่ลึกและแหบห้าวของยักษ์ดังขึ้น
เขาผลักอาชูร่าชายออกไป และคว้าจับดาบพิภพ จากนั้นก็เริ่มออกแรงบ้าง
“ฟู่ววว ฟู่วว …”
เสียงยักษ์ใหญ่ปล่อยลมหายใจยาว
แต่ดาบพิภพก็ยังไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว
เมื่อไม่ได้ผล ยักษ์ใหญ่ก็ไม่รู้ว่าไปคว้าจับเอาก้อนหินขนาดใหญ่มาจากที่ไหน มันยกสูงขึ้นเหนือหัว เกร็งลำแขนเต็มกำลัง และ–
“ฮว๊ากกก!” คำรามออกมา
หินใหญ่ราวกับค้อนขนาดมหึมา ทุบตอกดาบพิภพอย่างรุนแรง บังเกิดเสียงลมพัดกระพือไปทั่ว
ตูมมมม!
เท้าของยักษ์ถูกเป่าจนยกสูงขึ้นจากพื้นดิน ขณะที่หินใหญ่ที่ใช้ทุบแหลกเป็นก้อนเล็กๆกระจายตกลงไปทั่วบริเวณ
ทว่าดาบพิภพก็ยังไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.392 – ถูกบังคับเรียกกลับ
ดาบพิภพน้ำหนัก86.37 ล้านจิน , มีจิตอาร์ติแฟค , ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์ : ควบคุมน้ำหนักของตัวเองได้
และเฉพาะเพียงคนที่ได้รับอนุญาตจากดาบพิภพเท่านั้น ถึงจะสามารถหยิบฉวยมันขึ้นมาใช้สอยได้
ในการเผชิญหน้ากับคนตายเหล่านี้ มันก็มิได้สำแดงพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมา!
ยิ่งไปกว่านั้น กู่ฉิงซานยังได้ใช้ออกด้วยเทคนิคเผยขุนเขา เสริมน้ำหนักกดทับลงไปเพิ่มเติมในดาบพิภพอีกด้วย
ดังนั้นภายใต้น้ำหนักดั้งเดิมของดาบพิภพ และวิชาลับของนักดาบนิรันดร์ สองสกิลซ้อนทับกัน ผลลัพธ์ก็คือ เหล่าคนตายในสถานที่นี้มิอาจเขยื้อนหรือทำให้มันสั่นไหวได้เลยแม้เพียงน้อย
ต่อมา หลังจากที่หลายผู้คุมนรกได้ทดลองดู ก็ยังมิอาจดึงดาบพิภพออกจากตำแหน่งเดิมได้
อาชูร่าชายหันหลังเดินย้อนกลับไปยังเบื้องหน้าของอาชูร่าหญิงแล้วคุกเข่าลงกับพื้น
เขากำลังอธิบายบางสิ่ง
ดวงตาของชูร่าหญิงเปล่งประกาย ใบหน้าทรงเส่นห์ของเธอแสดงออกถึงความตื่นเต้น
“โง่เขลานัก!” เธอดุออกไปเบาๆ
ชูร่าชายก้มหน้าลง และเผยท่าทีดูหดหู่ออกมา
ชูร่าหญิงหันไปทางกู่ฉิงซานและเอ่ยปาก “มนุษย์เอ๋ย เราขอยอมรับว่าอาวุธของเจ้าทรงพลานุภาพจริงๆ ทว่าสิ่งที่พวกเราต้องการจะทราบคือความแข็งแกร่งของเจ้าต่างหาก”
“แล้วเจ้าต้องการจะทราบแบบใดกันล่ะ?” กู่ฉิงซานย้อนถาม
“กระบี่ภูติ โปรดให้เราได้หยิบยืมเจ้าเพื่อสำแดงเพลงกระบี่ออกมาด้วยเถอะ – แล้วจากนั้น หากมนุษย์ผู้นี้สามารถรับการโจมตีจากเราได้ถึงสามกระบวนท่า เราก็จะยอมรับว่ามนุษย์คนนี้สามารถเข้ามามีส่วมร่วมกับเรื่องราวในนรกได้” ชูร่าหญิงกล่าว
วิหคขาวหันไปมองกู่ฉิงซาน
“ไม่มีปัญหา” กู่ฉิงซานตอบรับ
เพียงนึกคิด ดาบเช่าหยินก็ปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า
ขณะเดียวกัน กระบี่ภูติตัดกระดูกก็ลอยเข้าหามือของชูร่าหญิง
ชูร่าหญิงคว้าจับกระบี่ด้วยมือหนึ่ง ขณะที่อีกข้างจีบเข้าด้วยวิชาลับ ปากเปล่งเสียงหวานตะโกนออกมา “จงแยกออก!”
แล้วก็บังเกิดบอลน้ำห้าลูกผุดออกมารอบกายเธอ
บอลน้ำเหล่านั้นแตกตัวออกอย่างรวดเร็ว และขยายตัวเป็นรูปร่างมนุษย์ – ที่มีรูปลักษณ์เหมือนเธอ
เบื้องหน้าฝูงชนทั้งหลาย บัดนี้ปรากฏซึ่งหกร่างของหญิงงามทรงเสน่ห์
เหล่าหญิงงามยกกระบี่ในมือของเธอขึ้น
ทั้งหมดมองไปยังกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยขึ้นพร้อมกัน “หากเจ้าร้องขอความเมตตาเสียแต่บัดนี้ มันยังทันนะ”
เมื่อชูร่าชายมองมายังฉากนี้ สีหน้าของเขาก็แสดงออกถึงความอิจฉาและเคารพสรรเสิรญ
เพราะนี่คือสกิลลับที่ยากจะเรียนรู้ มันจำต้องใช้เทคนิคลับธาตุน้ำและเทคนิคลับของเพลงกระบี่ซ้อนทับสอดประสานกัน
–สกิลลับของอาชูร่า ‘ร่างวารีเชี่ยว’
กู่ฉิงซานตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ช่างเป็นเทคนิคที่พบเจอได้ยากยิ่ง ทว่าเรื่องให้ข้าอ้อนวอนคงต้องขอปฏิเสธ – เชิญชี้แนะ!”
หกหญิงงามพยักรับคำ ร่างของพวกเธอวูบไหว ถลาไปยังกู่ฉิงซาน
พร้อมด้วยกระบี่ยาวที่เปล่งประกายวาบออกไป
ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง ติ๊ง!
กู่ฉิงซานคว้าจับดาบเช่าหยินและควงมันวาดเป็นแนวนอน ตัดปะทะเข้ากับปลายกระบี่ของคู่ต่อสู้
ทุกๆการจู่โจมจากชูร่าหญิงถูกต้านรับไว้โดยกู่ฉิงซานอย่างง่ายดาย
แทบจะในทันที สามกระบวนท่ากระบี่ก็ผ่านพ้นไป
“เป็นทักษะดาบที่ดี!”
ชูร่าหญิงเอ่ยอย่างมึนเมาคำหนึ่ง
เจตนาฆ่าของเธอปะทุขึ้น และแม้จะจบสามกระบวนท่าแล้ว แต่ดูท่าว่าเธอจะไม่มีความตั้งใจที่จะหยุดโจมตีเลย คราวนี้เธอแบ่งร่างแยกออกเป็นหลากหลายภาพติดตา ตีวงเข้าห้อมล้อมรอบตัวกู่ฉิงซาน
วงล้อมค่อยตีกระนาบแคบลง แคบลงเรื่อยๆ สุดท้ายเมื่อถึงระยะโจมตี ประกายคมกระบี่ก็สาดแสงสะท้อนเป็นเงา มันปรากฏขึ้นสับเข้าใส่กู่ฉิงซาน และเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการก็หายไปอย่างลึกลับ ไปมาๆเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง
และมีหลายครั้งอยู่เหมือนกัน ที่มันเกือบจะหั่นลงบนร่างจิตของกู่ฉิงซาน
“อิ่มเอมใจจริงๆ!” ชูร่าหญิงเผยรอยยิ้มงดงาม
สำหรับเวลานี้ หลายสิบชูร่าหญิงงามกำลังปิดล้อมพัวพันอยู่รอบกายกู่ฉิงซาน ขณะที่กระบี่ในมือของพวกเธอเริ่มเพิ่มความเร็ว โบกสะบัดจนเกิดประกายเฉิดฉาย ขณะเดียวกันก็หยดย้อยธาตุน้ำจากคมกระบี่ออกมา
สองเท้าของกู่ฉิงซานยังคงยืนหยัดในตำแหน่งเดิม เขาตวัดดาบใช้คมปะทะคม แต่ขณะเดียวกันก็ใช้ใบดาบปัดป้องมิให้น้ำหยดลงมาต้องตัวไปด้วย
ชูร่าหญิงรัวโจมตีไปกว่าหลายร้อยกระบวนท่า และเมื่อเล่นสนุกจนรู้สึกสุขใจเต็มที่เธอก็หยุดลง
“มีบางสิ่งไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเจ้า” เธอเอ่ย
“สิ่งใดกันที่ไม่ถูกต้อง?” กู่ฉิงซานถามสวนกลับ
“ข้าเคยได้ปะทะกับเผ่ามนุษย์ในนรกมาก่อน และประสิทธิภาพของเผ่ามนุษย์ส่วนใหญ่นั้นล้วนคงเส้นคงวา สอดคล้องไม่ค่อยเหนือล้ำไปกว่ากัน ทว่าพวกเขามิได้แข็งแกร่งดั่งเช่นเจ้า”
“ก็คงจะมีบ้างเป็นบางคน ที่เป็นข้อยกเว้น” กู่ฉิงซานตอบ
เวลานี้ เขาได้ค้นพบถึงความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามแล้ว
หากอ้างอิงตามขอบเขตของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ฝ่ายตรงข้ามสมควรที่จะมีความแข็งแกร่งเทียบเคียงได้กับขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นแรก
ตำนานกล่าวไว้ว่าอาชูร่าน่ะเป็นจ้าวสงคราม และชูร่าหญิงตนนี้บางทีในหมู่คนตาย ก็สมควรที่จะมีความแข็งแกร่งที่โดดเด่นไม่น้อย
ทว่าด้วยความแข็งแกร่งดังกล่าวนี้ ภายใต้การเผชิญหน้าเมื่อครู่ เจ้าตัวกลับมิได้ใช้วิธีการรุนแรงจนเกินงามแต่อย่างใด ทุกการลงมือเป็นการทำเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของเขาเท่านั้น
และกู่ฉิงซานเองก็รู้สึกประทับใจกับการกระทำของเธอเป็นอย่างมาก ดังนั้นตั้งแต่แรกเริ่มเขาจึงยั้งมือให้อีกฝ่าย
นอกจากนั้น หลังจากการทดสอบนี้ เขาก็ยังสามารถตระหนักได้อีกด้วยว่าความแข็งแกร่งของบรรดาผู้คุมนรกเหล่านี้น่ะ อยู่ในระดับใด
ชายชราเผ่ามนุษย์แอบยกนิ้วโป้งให้เขาอย่างลับๆ
ส่วนเหล่าคนตายที่เหลือต่างเหลือบมองกันและกัน และพยักหน้าให้อีกฝ่ายอย่างเงียบๆ
พวกเขาเริ่มสนทนาปรึกษากัน
“ตอนนี้เจ้าสามารถเข้าร่วมกับเรา เพื่อต่อกรกับนรกอื่นๆได้แล้ว”
ราชันย์หมาป่าเปิดปากของมัน สนทนากับกู่ฉิงซานเป็นครั้งแรก
“ขอบพระคุณ ตอนนี้ข้าต้องการที่จะพบกับตะขอเกี่ยววิญญาณ เพื่อค้นหาถึงความจริงที่มันเกิดขึ้น” กู่ฉิงซานกล่าว
“การได้รู้ถึงความจริงมันก็เป็นเรื่องที่ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มันจะดีกว่าหากฆ่า–” ราชันย์หมาป่ากล่าวอย่างร้อนใจ ทว่ายังมิทันจบประโยค
จู่ๆผืนดินก็เกิดการสั่นสะเทือน
ตลอดทั้งภูเขาล้อมเหล็กเริ่มเกิดการสั่นไหว
ภูเขาศักดิสิทธิ์แห่งนี้ ภูเขาที่กระทั่งดาบพิภพก็ฟันแทงไม่เข้า ภูเขาที่สามารถต้านทานลมแห่งทัณฑ์โกลาหลได้ กลับบังเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นอย่างต่อเนื่อง — นี่มันเป็นเรื่องที่มิอาจจะทำใจเชื่อได้เลย!
“อ๋า ความรู้สึกนี่มัน – มันเป็นการเรียกขาน!” สีหน้าของชายชราแปรเปลี่ยนครั้งใหญ่
“มีบางสิ่งกำลังเรียกเราอยู่” ราชันย์หมาป่าแผดเสียงต่ำ
“ข้า – รู้สึก -ได้ว่า – จะต้อง – กลับไป” ยักษ์กล่าวกระซิบตามมา
“ไม่ได้! เราจะต้องช่วยเหลือเขาเสียก่อน!” ชูร่าหญิงกล่าวอย่างเด็ดขาด
และคนอื่นๆก็ดูเหมือนจะฟังคำสั่งเธอ
“ใครก็ตามที่ได้ต่อสู้กับข้า ข้าจักสามารถเห็นถึงความแข็งแกร่งของพวกเขาในระดับที่ลึกซึ้งได้ นี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์ของข้า พวกเจ้าลืมมันไปแล้วหรือ?” ชูร่าหญิงกล่าวอย่างจริงจัง
เห็นได้ชัดว่าชูร่าหญิงมีสิทธิอำนาจในหมู่ฝูงชน เพราะทุกคนรีบทำตามคำสั่งเธอและเริ่มหันมาช่วยเหลือกู่ฉิงซานกันอย่างรวดเร็ว
“เร่งลงมือกันเร็วเข้า!” มนุษย์ปีศาจตะโกนออกมา
เขาแปรเปลี่ยนเป็นกลุ่มก้อนแสง ส่องสว่างทะยานขึ้นไปยังเบื้องบน และลอยตรงไปยังทิศทางวิหารสักการะสิ่งประดิษฐ์เทวะทันที
ยักษ์ก็เริ่มต้นก้าวยาวๆตามติดมนุษย์ปีศาจไป
ก่อนหน้านี้กู่ฉิงซานยังคงอยู่ห่างจากวิหาร ดังนั้นจากที่นี่ไปยังเนินเขาข้างวิหาร จึงยังค่อนข้างห่างไกล
“เร็วเข้า! รีบหน่อย! อย่าชักช้า! พวกเรากำลังจะถูกบังคับเรียกตัวกลับคืนสู่นรกแล้ว” ชายชราเผ่ามนุษย์ตะโกนเตือน
แล้วเขาก็บินไปยังวิหาร
และผู้คุมนรกคนที่เหลือก็บินตามไปด้วยเช่นกัน
กู่ฉิงซานตะโกนถามเสียงหม่น “เมื่อครู่นี้มันเกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่ทราบ ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน!” วิหคขาวกล่าวอย่างร้อนรน
“งั้นตอนนี้พวกเราก็รีบตามพวกเขาไปกันก่อนเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว
หลังจากผ่านพ้นมาครึ่งทาง ทั้งสองก็ได้ยินเสียงคำรามของยักษ์ดังลอดออกมาจากบริเวณวิหาร
หลังจากที่ข้ามผ่านเนินเขามา กู่ฉิงซานก็แข็งค้างไปทั้งๆอย่างงั้น ปากเอ่ยพึมพำ “นั่นมันมารแมงมุมเขมือบวิญญาณ … ”
ก่อนที่จะถึงตัววิหาร มีการต่อสู้กันเกิดขึ้นเบื้องหน้า
ร่างของยักษ์ที่คำรามออกมาในทีแรก จู่ๆแปรสภาพเป็นรูปปั้นสีเทา และทันใดนั้นมันก็ล้มลงกลายเป็นฝุ่นผงทันที
ขณะที่ยักษ์อีกตนถูกทุบตี และกลิ้งไถลตามพื้นดินไปไกล
มนุษย์ปีศาจลอยอยู่กลางเวหา ใช้ออกด้วยธาตุทั้งห้าโจมตีออกไปเต็มกำลัง
อย่า่งไรก็ตาม การโจมตีเหล่านี้กลับไปได้เพียงครึ่งทางก็แตกสลายไปกลางอากาศ มิอาจเข้าถึงตัววิหารได้เลย
ภายในวิหาร ปรากฏร่างของแมงมุมที่มีสีสัน และขนาดใหญ่โตใกล้เคียงกับตลอดทั้งตัววิหารเฝ้าอยู่
ครึ่งบนของแมงมุมคือร่างชายเปลือยเปล่า
นี่คือมารแมงมุมเขมือบวิญญาณ และในระหว่างมารด้วยกันเองมันก็ยังนับว่าทรงพลังยิ่ง!
ในชีวิตก่อนหน้าของเขา ครั้งหนึ่งเขาก็เคยเห็นเจ้ามารดังกล่าวนี้มาก่อนแล้วเหมือนกัน
มันคืออสูรกายที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ค่อนข้างแปลกประหลาด
และมันมักจะออกล่าโดยใช้ ‘จิตสัมผัสเทวะ’
ยามอยู่ในระยะพิสัย เมื่อใดก็ตามที่จิตสัมผัสเทวะของสิ่งมีชีวิตตนอื่นปะปนเข้ากับจิตสัมผัสเทวะของมัน จิตสัมผัสเทวะของสิ่งมีชีวิตตนนั้นจะบังเกิดความสับสน มิอาจตรวจจับสิ่งใดได้อย่างกระทันหัน
ซึ่งความสามารถนี้กล่าวได้ว่าน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยื่ง โดยเฉพาะเมื่อมันถูกใช้ในสงครามขนาดใหญ่
ตามปกติแล้ว ตราบใดที่มีมารแมงมุมเขมือบวิญญาณอยู่ในสนามรบ ตลอดทั้งสงครามจะกลายเป็นการสังหารหมู่ฝ่ายเดียวอย่างง่ายดาย
แถมการที่จะลอบสังหารหรือกุดหัวมัน ก็ยังเป็นการยากเย็นยิ่ง
เพราะด้วยความแข็งแกร่งของมัน เทียบเปรียบได้กับอสูรกายดัดแปลงยังได้เลย
มารแมงมุมเขมือบวิญญาณเบิกคู่ดวงตาแนวตั้งของมัน ปากแสยะรอยยิ้มฉกาจฉกรรจ์ออกมา “เจ้าพวกกลุ่มคนตาย คงจะนอนหลับไม่สนิทดีซีนะ ถึงได้มาสร้างปัญหาให้แก่ข้า ช่างน่าร-”
บรัช!
หลายสิบกระบี่แสงฟาดตีเข้าใส่ใบหน้าของมันจนงอหงาย ขัดจังหวะคำพูดให้หยุดชะงักไป
“อาชูร่างั้นหรือ? บังอาจ!”
มารแมงมุมโกรธมาก มันขยับเท้าทั้งแปดเบาๆ และปีนลงไปจากเขาวิหารอย่างรวดเร็ว
มันกำลังไล่ตามเหล่าผู้คุมนรกทั้งหลายไป
ได้ยินแค่เพียงเสียงราชันย์หมาป่าที่หอนกังวานและยาวเหยียด ทั้งตนทั้งร่างของมันขยายขนาดขึ้นจนใหญ่โตเท่ากับมารแมงมุมเขมือบวิญญาณ
ราชันย์หมาป่ากระแทกหัวเข้าใส่มารแมงมุมดังปัง! จนอีกฝ่ายต้องชักฝีเท้าถอยกลับไปหลายก้าว
“วิ่ง!” ราชันย์หมาป่าร้องตะโกนออกมา
และเหล่าผู้คุมคนตายคนอื่นๆก็สับฝีเท้า ทิ้งระยะหนีไกลออกไปทันที
“ไอ้เจ้าพวกฝูงสวะ!”
มารแมงมุมคำรามด้วยความโกรธ
เท้าทั้งแปดของมันโค้งงอลงเล็กน้อย เกร็งช่วงขาสุดกำลัง แล้วกระโจนไล่ติดตามออกไป
แม้จะมีร่างกายใหญ่โต ทว่ามันกลับว่องไว กระฉับกระเฉงจนน่าทึ่ง
เหล่าผู้คุมคนตายอยู่เบื้องหน้า ขณะที่มารแมงมุมไล่หลัง ทั้งหมดหายลับไปจากฉากนี้อย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นชูร่าชายก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าของวิหาร และกวักมือเรียกกู่ฉิงซาน
“รีบมาข้างในเร็วเข้า!” เขาตะโกน
และร่างของกู่ฉิงซานก็หายวับไป พร้อมกับปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าวิหารอย่างฉับพลัน
ชายชราเผ่ามนุษย์วิ่งออกมาจากวิหารและกล่าวว่า “ข้างในไม่มีเผ่ามารอยู่ เจ้าเข้าไปเร็ว พวกเราจะปกป้องที่นี่เอง!”
“แล้วถ้ามารแมงมุมกลับมาล่ะจะทำยังไง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว
“พวกเราก็จะสู้! เพื่อซื้อเวลาให้เจ้าหลบหนีไป”
กู่ฉิงซานเริ่มขยับกาย “แล้วพวกเจ้ามีแนวโน้มที่จะ – ”
“หากตาย มันก็แค่กลับไปตกลงสู่การหลับไหลในนรกเท่านั้น คนตายน่ะ จะไม่มีทางตายได้อีก” ชายชราโบกมือ
กู่ฉิงซานคิดเพียงครู่ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้ทั้งสอง แล้วหันหลังวิ่งเข้าไปในวิหาร
วิหารแห่งนี้ยังคงเงียบสงบ ราวกับว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้ามาเยี่ยมเยือนในรอบพันปี
ดวงตาของกู่ฉิงซานกวาดผ่านไปตลอดทั้งวิหารอย่างรวดเร็ว
ภายใน มีแท่นบูชาตั้งอยู่มากมาย
และในแต่ละแท่นบูชา ก็มีอาวุธโบราณวางอยู่ ไม่ว่าจะเป็น
กระบี่ หอก ดาบ ง้าว ขวาน ขวานสองคม ตะขอ สามง่าม แส้ กระบอง ค้อน พลอง … เหล่านี้ล้วนเป็นอาวุธเย็นในยุคโบราณ โดยสิ้นเชิงแล้วมีทั้งสิ้น 66 ประเภท
แต่อาวุธเหล่านี้ไม่มีวี่แววว่าจะขยับไหวใดๆ เห็นได้ชัดว่ามันไม่มีจิตอาร์ติแฟค ดูเหมือนว่าอุปกรณ์เหล่านี้จะกำลังหลับลึก
และกู่ฉิงซานก็ค้นพบเป้าหมายที่ตนเองมองหาอย่างรวดเร็ว
นั่นคือตำแหน่งศูนย์กลางของตลอดทั้งวิหาร
บนแท่นสักการะ มีอาวุธรูปทรงพิเศษวางตั้งอยู่
มองไปที่ด้ามจับและใบมีดของมัน ก็เหมือนกับดาบ
อย่างไรก็ตาม ปลายดาบกลับมีรูปร่างม้วนกลับ ราวกับตะขอที่โค้งงอ
มันลอยล่องอยู่บนแท่นสักการะอย่างเงียบๆ และเปล่งรังสีสีเหลืองอ่อนที่เหมือนกับสายธารแห่งการหลงเลือนออกมารำไร
กู่ฉิงซานบินไป หยุดอยู่เบื้องหน้าแท่นสักกการะตะขอ
แต่ไม่ทันรีรอให้เขาทำสิ่งใด กลิ่นอายก็แปรสภาพเป็นกลุ่มก้อนหมอกสีฟ้าผุดออกมาจากตัวเขาและค่อยๆตกลงในแท่นสักกการะ
บนแท่นสักการะราวกับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายนี้ ทันใดนั้นรูนลึกลับก็พลันปรากฏขึ้น
ดูเหมือนว่านี่จะเป็นคาถาอัญเชิญจิตอาร์ติแฟค
กู่ฉิงซานเฝ้ามองฉากนี้ด้วยอย่างคาดไม่ถึง
เดิมทีเขาคิดว่าตนคงจำต้องใช้ความพยายามอย่างมาก แต่ใครจะรู้ จู่ๆกลิ่นอายของหญิงชุดคลุมฟ้าที่ได้รับมา กลับสร้างผลลัพธ์ที่อย่างยอดเยี่ยมเช่นนี้ออกมา
เขามองไปที่คาถาอัญเชิญจิตอาร์ติแฟค แล้วอ่านมันด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ถึงจิตวิญญาณแห่งตะขอเกี่ยววิญญาณ สายธารแห่งการหลงเลือนต้องการตัวเจ้า”
วืดดดด!
บังเกิดเสียงน้อยๆดังขึ้น พร้อมกับแท่นสักการะที่เริ่มสั่นไหว
แล้วจู่ๆตะขอยาวก็แลดูราวกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมา
มันเอ่ยกระซิบอย่างแผ่วเบา
“เอ๊ะ? นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นกลิ่นอายของนาง … ?”
ตะขอยาวลอยออกมาจากแท่นสักการะ มาหยุดอยู่หน้ากู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานยังค่อนข้างที่จะสับสน
สิ่งประดิษฐ์เทวะนี้ดูเหมือนว่าจะหลับลึกอยูี่ที่นี่ แล้วมันจะสามารถรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับทางปรภพได้อย่างไร?
ตะขอเกี่ยววิญญาณแห่งสายธารแห่งการหลงเลือนมิเอ่ยกล่าวอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับว่ามันกำลังพยายามยืนยันอะไรบางอย่าง
เป็นเวลาสักพักเลยทีเดียว สุดท้ายตะขอเกี่ยววิญญาณจึงเอ่ยออกมาว่า “ใช่จริงๆ เจ้ามีกลิ่นอายของนาง ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นคนในที่นางไว้ใจ”
ทัศนคติของตะขอยาวเปลี่ยนเป็นสนิทสนม
ก๊าซซซ!
เสียงคำรามดังลอดเข้ามาจากภายนอก
หัวใจของกู่ฉิงซานหม่นทะมึนลง
มารแมงมุมเขมือบวิญญาณเกือบจะกลับมาแล้ว
ดูเหมือนว่าเหล่าผู้คุมนรกจะไม่อาจต้านทานมันได้นานนัก หรือไม่ก็เป็นตามที่พวกเขากล่าว ว่าตนได้ถูกบังคับให้กลับคืนสู่นรกด้วยเหตุผลบางประการ
ตะขอเกี่ยววิญญาณเร่งกล่าวทันที “สถานที่นี้ไม่เหมาะจะสนทนา พวกเราสมควรรีบหนีกันก่อนเป็นอันดับแรก!”
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.393 – อสูรกายไล่ล่า
ตะขอเกี่ยววิญญาณทิ้งตัวลง และอนุญาตให้กู่ฉิงซานถือมัน
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม บรรทัดแสงตัวอักษรขนาดเล็กเด้งเตือนขึ้นทันที
“ค้นพบ ตะขอเกี่ยววิญญาณแห่งสายธารแห่งการหลงเลือน กล่าวได้ว่านี่เป็นสิ่งประดิษฐ์เทวะจากปรภพ เป็นอุปกรณ์เฉพาะของเทพวิญญาณ”
“คุณไม่อาจทราบถึงคุณสมบัติทั้งหมดของสิ่งประดิษฐ์เทวะได้ และคุณจะไม่ได้รับข้อมูลที่เกี่ยวข้องใดๆกับมัน เว้นเพียงแต่ว่าคุณจะได้รับการยอมรับเป็นนายของมันเท่านั้น”
กู่ฉิงซานไม่สนใจที่จะอ่านมัน เขาหันหลังกลับและเริ่มต้นใช้ออกด้วยย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วทันที
แล้วเขาก็ไปปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งนอกวิหาร
ขณะเดียวกันจิตสัมผัสเทวะแปลกๆก็กวาดเข้ามาปะทะเขาจากเบื้องหน้า
–ในโลกมนุษย์ คนอื่นๆจะไม่ใช้จิตสัมผัสเทวะกัน ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงสามารถใช้มันทั้งจับตำแหน่ง ตรวจสอบ หลบหนี ฯลฯ … หรือเรียกง่ายๆว่าโกงคนอื่นได้อย่างไร้ยางอาย
ทว่ากับที่นี่ ที่ซึ่งมารแมงมุมเขมือบวิญญาณกำลังควบคุมจิตสัมผัสเทวะอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้เขามิอาจทำเช่นนั้นได้อีกต่อไป
กู่ฉิงซานตระหนักได้ถึงจิตสัมผัสนี้ เขาจึงถอนจิตสัมผัสเทวะทั้งหมดของตัวเองกลับคืน
เขาจะไม่ยอมปล่อยให้จิตสัมผัสเทวะของตนออกจากร่างกาย แล้วไปปะปนเข้ากับของมันเด็ดขาด
“ข้าจะหยุดมันเอง!” ชูร่าชายตะโกนขึ้นและทะยานออกไป
“เจ้าก็รีบหนีไปเร็วเข้า!”
ชายชราตะโกน และกระโจนไปยังทิศทางมารแมงมุม
ทว่าไปได้เพียงครึ่งทาง จู่ๆทั้งสองก็หายวับไป!
ดูเหมือนว่าจะถูกบังคับเรียกกลับไปแล้ว!
พอเห็นฉากนี้ มารแมงมุมก็หัวเราะออกมา “เจ้าพวกคนตายที่ชวนปวดหัว ในที่สุดก็หมดไปซะที”
คู่ดวงตาแนวตั้งของมันจดจ้องกู่ฉิงซานอย่างรอบคอบ ก่อนที่สายตาของมันจะตกลงไปยังตะขอเกี่ยววิญญาณที่อยู่ในมือของกู่ฉิงซาน
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นหนอนแมลงจากโลกมนุษย์สินะ จู่ๆก็บุกมาที่วิหารสักการะสิ่งประดิษฐ์เทวะ ข้าสมควรชื่นชมเจ้าว่าช่างหลักแหลม .. หรือว่าไร้เดียงสาดี?”
ร่างใหญ่ของมันงอตัวลงเล็กน้อย และแปรเปลี่ยนเป็นเส้นแสง เหลือทิ้งไว้เพียงภาพติดตาในตำแหน่งเดิมอย่างฉับพลัน
บังเกิดกระแสลมรุนแรงพัดกระพือ ปากมารแมงมุมอ้าคำราม ขณะที่เท้าทั้งแปดย่ำพื้นดินพรวดเข้าหากู่ฉิงซาน
ช่างว่องไวจริงๆ!
กู่ฉิงซานลอบพูด
“ข้าจะขวางมันเอง!” วิหคขาวร้องออกมา
“ไม่จำเป็น!”
กู่ฉิงซานเหยียดมือไปคว้ากระบี่ภูติตัดกระดูก และใช้ออกด้วยย่นระยะทันที
ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะมามัวต่อสู้ ตัวเขาจำเป็นต้องค้นหาความจริงก่อนเป็นอันดับแรก!
มารแมงมุมปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าทางเข้าวิหาร ทว่ากู่ฉิงซานกลับหายไปจากที่นี่ และผุดออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่าตรงชายฝั่งบริเวณตีนเขาแทน
เขาพุ่งเข้าไปในสายธารแห่งการหลงเลือน
และสายธารก็แยกออก ยอมรับเขาให้เข้าไปภายในของมัน
หลังจากเขาเข้าไปแล้ว กระแสธารก็หุบปิดกลับคืนดังเดิมทันที
และแทบจะในวินาทีต่อมา เสียงหอนด้วยความเดือดดาลก็ดั่งลงมาจากทางบริเวณชายฝั่ง
มารแมงมุมเคลื่อนกายอีกครั้ง และปรากฏตัวขึ้นบนชายฝั่งของสายธารแห่งการหลงเลือน
มันโน้มตัวลงมาข้างหน้า เพื่อพยายามจะดูว่ากู่ฉิงซานอยู่ที่ไหน
เห็นได้ชัดว่าเกือบจะจับเจ้ามนุษย์นั่นได้อยู่แล้ว!
น่าแปลกใจนัก อีกฝ่ายมีกลิ่นอายของการฝึกยุทธแท้ๆ แต่เพราะเหตุใดกันมันจึงมิได้ปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา?
มารแมงมุมคืบคลานไปทั่วชายฝั่ง ทว่ามิกล้าที่จะก้าวลงสู่สายธารแห่งการหลงเลือน
เพราะสายธารแห่งการหลงเลือนคือกฏเกณฑ์แห่งปรภพที่น่าหวาดกลัวที่สุด มันเป็นตัวแทนของดินแดนแห่งการเกิดใหม่และความตาย
นี่คือกฏดั้งเดิมของปรภพ
กระทั่งมาร ก็ยังมิอาจต่อกรกับสายธารอันยิ่งใหญ่นี้ได้
กู่ฉิงซานนำตะขอเกี่ยววิญญาณกับกระบี่ภูติทิ้งระยะห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่บินอยู่ใต้น้ำมาเป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็หยุดลง
“ยินดีที่ได้รู้จัก ข้ามีนามว่ากู่ฉิงซาน” เขาหันไปกล่าวกับตะขอเกี่ยววิญญาณ
“เจ้ามิจำเป็นต้องเอ่ยสิ่งใด ข้ารู้เรื่องราวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุหรือผลกระทบที่ตามมา ข้าได้ล่วงรู้ทุกอย่างจนหมดแล้ว แม้กระทั่งเป้าประสงค์ของเจ้าที่มาที่นี่” ตะขอยาวกล่าว
“ข้าคือตะขอเกี่ยววิญญาณ และข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับทุกชีวิตและคนตายในปรภพ ได้อยู่ในจิตใจของข้า”
“นอกจากนี้ข้ายังรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เจ้าประสบพบเจอในปรภพ และสิ่งที่เจ้าต้องการจะถามอีกด้วย”
กู่ฉิงซานพยักหน้า ในที่สุดหัวใจของเขาก็คลายลง
–ท่ามกลางสิ่งที่ถูกรังสรรค์ขึ้นในปรภพ ในที่สุดก็มีอยู่สิ่งหนึ่งที่สามารถสื่อสารกันได้อย่างปกติปรากฏตัวขึ้นเสียที
“เช่นนั้นโปรดสำแดงตัวให้ข้าได้เห็นด้วยเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว
“เจ้ากำลังหมายถึงจิตอาร์ติแฟคของข้าใช่ไหม? ข้าก็อยู่ที่นี่นั่นล่ะ เพียงแต่ตัวข้ามิอาจมองเห็นได้ก็เท่านั้นเอง”
บนตะขอเกี่ยววิญญาณ มีรังสีแสงสีเหลืองอ่อนแผ่กระจายออกมาจางๆ
“ตลอดทั้งโลกปรภพ ที่ใดที่รังสีแสงนี่ ที่นั่นก็จะมีข้า” มันตอบ
‘หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงสามารถรู้เรื่องราวทุกอย่าง ช่างเป็นพลังอำนาจที่ร้ายกาจจริงๆ’ กู่ฉิงซานลอบสรรเสริญอย่างลับๆ
“เจ้าสามารถบอกข้าได้หรือไม่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับปรภพ?” เขาเอ่ยถาม
“แน่นอน ขอเจ้าจงเชื่อมต่อกับข้าด้วยจิตสัมผัสเทวะ แล้วข้าจะแสดงให้เจ้าได้เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้นเมื่อ2-3วันที่ผ่านมา”
“เข้าใจแล้ว”
กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะของเขา จมลงสู่ตะขอเกี่ยววิญญาณ
หลังจากนั้นไม่นาน ชั้นเหงื่อเย็นก็เริ่มเปียกชุ่มบนแผ่นหลังเขา ทั้งคนทั้งร่างยืดตัวตรง
ความโศกเศร้าและเสียงของความเจ็บปวดพรั่งพรูเข้าไปในจิตใจของกู่ฉิงซาน
ภาพเคลื่อนไหวค่อยๆขยายออกอย่างช้าๆ
บนท้องฟ้าเหนือภูเขาล้อมเหล็ก ปรากฏมวลกลุ่มแสงที่กระจ่างชัดกำลังลอยนิ่งอยู่อย่างสงบ
บางครั้งมันก็มีแสงหลากสีสันทะยานเข้าหามัน โถมเข้าใส่บอลแสงด้วยเจตนาร้าย
แต่ทุกๆครั้งเลย ไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่ปะทะกัน 1-2กลุ่มแสงก็จะร่วงตกลงมา
กลุ่มแสงร่วงกระแทกเข้ากับภูเขาล้อมเหล็ก และเผยให้เห็นถึงร่างมนุษย์ ก่อนที่ร่างดังกล่าวจะแปรสภาพกลายเป็นเถ้าถ่าน สลายไปอย่างรวดเร็ว
กู่ฉิงซานพยายามเบิ่งตาของเขาออกให้เต็มที่ แต่แท้จริงแล้วเขากลับสามารถมองเห็นได้แค่เพียงร่างอันน่าสังเวชของอีกฝ่ายก่อนที่จะสลายหายไปก็เท่านั้น
และร่างสังเวชที่ว่า นั่นคือเทพวิญญาญแห่งปรภพ!
บนใบหน้าของพวกเขา ล้วนเผยถึงความเจ็บปวดสุดจะทานทน แล้วก็ตกตายไป
อีกด้านหนึ่ง สุดปลายของภูเขาล้อมเหล็ก
ปรากฏถึงเผ่ามารที่คราคร่ำ เบียดเสียกระจุกตัวกันอยู่ฟากฝั่งหนึ่งของภูเขาล้อมเหล็ก พวกมันกำลังเฝ้ารอคอยให้เทพวิญญาณตกตายลงโดยสมบูรณ์อย่างเงียบๆ
และตรงพื้นที่ท่ามกลางภูเขาที่ว่างเปล่าระหว่างเทพกับมารนั่นเอง
มีอสูรกายอยู่ตนหนึ่งยืนหยัดอยู่
มันกำลังมุ่งหน้าเดินไปยังทิศทางของเทพแห่งปรภพ และไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเลยที่กล้าจะย่างกรายเข้าไปใกล้มัน
“โฮ่!!”
ทุกย่างก้าว อสูรกายจะเปล่งเสียงร่ำร้องออกมา
ขณะนี้ ในมือทั้งสองข้างของอสูรกายกำลังถือหอกเล่มหนึ่งอยู่
สายตาของกู่ฉิงซานมองลงไปที่หอก ขณะเดียวกันสีหน้าของเขาก็ค่อยๆกลายเป็นหนักอึ้ง
นี่คือหอกขนาดใหญ่ ที่แม้กระทั่งอสูรกายก็ยังจำต้องใช้มือทั้งสองข้าง จึงจะสามารถเกาะกุมมันได้
และเมื่อดูจากสีหน้าของอสูรกาย บ่งบอกชัดเจนว่าเจ้าสิ่งนี้ไม่แต่เพียงแต่หนักหน่วง ทว่ามันยังแฝงไว้ซึ่งพลังอำนาจอันแปลกประหลาดอีกด้วย
ตัวหอกเปล่งประกายหลากสีสัน ส่องแสงงดงามสุกใสขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า ฉากนี้แท้จริงแล้วสมควรจำเริญตา
แต่อสูรกายกลับโห่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
กู่ฉิงซานจึงได้ลองเฝ้าสังเกตมันอย่างรอบคอบอีกครั้ง
แล้วเขาก็พบว่าแม้มันจะเปล่งแสงสุกสกาวสาดส่องจนแสบตาออกมา ทว่าตามตัวหอกกลับสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
บนตัวหอก ถูกแกะสลักไว้ด้วยอักษรรูนที่ดูบิดเบี้ยวและซับซ้อนมากมาย ขณะเดียวกันก็แผ่กลิ่นอายอำนาจอนันต์อันหาผู้ใดเทียบเปรียบได้ออกมา
ราวกับว่าสิ่งมีชีวิตทั้งมวลตลอดทั้งสวรรค์และโลก ยามเมื่ออยู่ต่อหน้ามัน จักต้องทิ้งเข่าลงก้มกราบกรานหอกเล่มนี้
บนตัวหอก ถูกแปะไว้ด้วยยันต์ที่กำลังสาดแสงสีทองอยู่
บนตัวยันต์เปล่งแสงสีทองออกมาอย่างต่อเนื่อง และห่อหุ้มปกคลุมตลอดทั้งหอกเอาไว้
แม้กระทั่งแสงหลากสีสันบนตัวหอก ก็ยังถูกยับยั้งเอาไว้ด้วยแสงสีทองนี้ ขณะเดียวกันก็มีบ้างเป็นครั้งคราวที่แสงและเงาหลุดลอยออกมาจากมัน ทิ่มแทงไปยังตำแหน่งที่เทพวิญญาณอยู่บนภูเขา
และยามเมื่อเทพวิญญาณถูกมันทิ่มแทง พวกเขาก็จะตกตายลงทันที
กู่ฉิงซานเฝ้ามองภาพเบื้องหน้าเขา สมองหมุนเร็วจี๋ ขณะที่เขาหัวใจของเขาสั่นไหว
เมื่อพิจารณาจากประสบการณ์และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งของตลอดทั้งสองช่วงชีวิตของเขา ชัดเจนว่าหอกนี้ไม่ได้ดูเหมือนกับว่าจะเป็นอาวุธของเผ่ามาร
เนิ่นนานสักพัก อสูรกายก็ยังมิได้ก้าวออกไปข้างหน้า
บนภูเขาล้อมเหล็ก หลากหลายเทพวิญญาณก็เร่งฉวยโอกาสนี้ พุ่งเข้าหาอสูรกายอย่างรวดเร็ว
อสูรกายบังเกิดปฏิกริยาตอบสนองอย่างทันท่วงที มันดึงยันต์สีทองออกจากหอกในฉับพลัน!
ทันใดนั้น บนตัวหอกก็ระเบิดเฉดแสงและเงาหลากสีออกมา จ้วงแทงออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า กระจายไปยังทุกทิศทางรอบกาย
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการจู่โจมหลากสีสันของหอกนี้ เหล่าเทพวิญญาณก็ล้มตัวลงกับพื้น สิ้นใจอย่างมิอาจต้านทาน
ทว่าดูเหมือนจะมิใช่เทพวิญญาณเพียงฝ่ายเดียวที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำในครั้งนี้ ขณะเดียวกัน เบื้องหลังของอสูรกาย บัดนี้เหลือทิ้งไว้เพียงซากศพมารนับพันหมื่น!
แม้กระทั่งอสูรกายเอง ที่กำลังถือหอกมากสีสันนี้ ก็ยังต้องคุกเข่าลงกับพื้น
ตามด้วยชิ้นส่วนของเลือดและเนื้อหนังที่ร่วงตกลงจากตัวมัน
ต่อให้เปิดใช้งานยันต์ทองคำแล้วก็ตามที ทว่าอสูรกายก็ยังมิอาจทานทนต่ออนุภาพของหอกที่มันกำลังใช้อยู่ได้
ทั้งคนทั้งร่างของมันกำลังพังทลายลง
สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนกลับกลาย!
เพียงแค่ลอกยันต์สีทองออก มารตนนั้นก็สามารถใช้หอกสังหารเทพได้! แม้กระทั่งเผ่ามารนับพันหมื่นก็ยังต้องสิ้นชีพลง!
นี่นับว่าช่างเป็นอำนาจอันน่าสะพรึงกลัว น่าสะพรึงเกินไปแล้วจริงๆ
ในช่วงเวลานั้นเอง หลากหลายอสูรกายร่างใหญ่ก็วิ่งฝ่าออกมาจากกลุ่มมาร ทุกตนมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือวิ่งตรงเข้าหาหอก แต่ทว่า
ขณะเดียวกัน เฉดแสงและเงาขอหอกหลากสียังคงสาดประกายออกมาอย่างต่อเนื่่อง ส่งผลให้เหล่าอสูรกายร่างใหญ่ถูกเฉดสีเหล่านั้นทิ่มแทงเอาระหว่างทาง ร่วงกลิ้งลงกับพื้น บังเกิดเสียงร่ำร้องโหยหวนไปทั่ว
จนกระทั่งหลงเหลืออสูรกายตัวสุดท้าย มันเลือกที่จะหลบซ่อน และใช้ร่างของสหายเบื้องหน้าเป็นชั้นป้องกัน ทำให้สามารถรอดชีวิตมาได้
และท้ายที่สุดมันก็มาถึงใจกลางของภูเขา มือเร่งคว้ายันต์ทองคำที่ตกอยู่ขึ้นมา และแปะมันกลับคืนลงบนหอกหลากสี
ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง แสงและเงาทั้งหมดบนตัวหอกก็จางหายไป
ตลอดทั้งหอกได้ถูกปกคลุมด้วยแสงสว่างสีอร่ามอีกครั้ง
อสูรกายตนใหม่คว้าจับหอกหลากสีขึ้นมาในมือ และทำเฉกเช่นเดียวกันตนก่อนหน้า ย่ำฝีเท้าก้าวเดินกดดันเทพวิญญาณที่อยู่อีกฟาฟฝั่งของเขาล้อมเหล็กต่อไป
เบื้องหลังมัน ที่แต่เดิมพลุกพล่านไปด้วยอสูรกายที่วิ่งเข้ามาหมายจะคว้าจับหอก บัดนี้ถูกเปลี่ยนเป็นทะเลเลือด เอ่อล้นหลั่งไหลลงไปตามสายธารแห่งการหลงเลือน
เพียงแค่หอกเล่มเดียว … ทว่ากลับสามารถโจมตีอสูรกายมากมายถึงตายได้มากมายขนาดนี้!
อสูรกายตนใหม่ยืนหยัดขึ้น แบกหอกในมือ และเริ่มก้าวเดินต่อไป ทว่ามันก็ได้เพียงแค่สองก้าวเท่านั้น
เพราะจู่ๆเทพวิญญาณจากอีกฟากภูเขาก็กระจายตัวแยกจากกัน ทั้งคนทั้งร่างของพวกเขาสาดแสงสีขาวนวลออกมา กวาดปกคลุมออกไปทั่วฟ้า
และแสงสีขาวที่ว่านี้ก็กดทับลงไปทางอสูรกาย
อสูรกายกระชากยันต์ทองคำออกทันที! และจ้วงปลายหอกไปทางแสงสีขาว!!
ฟุบ ฟุบ ฟุบ ฟุบ ฟุบ ฟุบ!
เฉดแสงและเงาอันคมชัดทะยานออกจากตัวหอก
พร้อมกับแสงที่ขาวที่กระเจิงออกไป
บนท้องฟ้าเหนือภูเขาล้อมเหล็ก เมื่อเผชิญหน้ากับคมหอกนี้ เทพปรภพตนแล้วตนเล่าก็พากันตกตายลง ร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า
ขณะเดียวกัน กระทั่งอสูรกายผู้ใช้หอกเล่มนี้ มันก็ได้ตกตายลงไปด้วยเช่นกัน
และแน่นอน ว่าไกลออกไปเบื้องหลังอสูรกายที่ใช้หอก เผ่ามารอีกหลายหมื่นตนก็ตกตายลงอีกคราภายใต้เฉดแสงและเงาของคมหอกนี้
พื้นที่โดยรอบถูกเปลี่ยนเป็นทะเลเลือดอีกครั้ง!
กู่ฉิงซานสูญสิ้นกระแสเสียงของเขา “การโจมตีนี้ … มันไม่แบ่งแยกมิตรหรือศัตรู!”
เห็นเพียงแค่อสูรกายตนนั้นล้มลง และอสูรกายอีกหลายตัวได้วิ่งเข้ามา
อสูรกายตนใหม่คว้าจับยันต์ทองคำ แปะกลับคืนบนหอกหลากสี ยกถือมันในมือ รับช่วงต่อก้าวเดินออกไปเบื้องหน้า
โดยไม่ใยดีอสูรกายตัวก่อนหน้าที่ล้มลงกับพื้น ที่ไร้ซึ่งชีวิตอีกต่อไปเลยแม้แต่น้อย
กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว
ฉากตรงหน้านี้ ได้อยู่เหนือล้ำยิ่งกว่าจินตนาการของเขาไปไกลแล้ว
ทำลายสิ้นโดยไม่สนใจว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู กระทั่งอสูรกายและทวยเทพก็ยังไม่มีข้อยกเว้น!
อาวุธนี่มันอันใดกัน!!!?
อสูรกายเดินไปทั่วภูเขาล้อมเหล็กอยู่สักพักหนึ่ง
ทว่าจนถึงเวลานี้ ก็ยังไม่มีเทพวิญญาณคนใดพุ่งเข้ามาโจมตีมัน
อย่างไรก็ตามขณะที่มันกำลังย่ำเดินกดดันอยู่นั้นเอง จู่ๆฝีเท้าของมันก็เริ่มซวนเซ
ไม่นานนักมันก็จำต้องคุกเข่าลงกับพื้น … และสิ้นใจลง
ถึงแม้ว่าจะมียันต์ทองคำคอยปรามพลังอำนาจเอาไว้ ทว่าพลานุภาพของหอกก็ยังค่อยๆเอ่อล้นออกมาภายนอก สังหารอสูรกายที่ถือจับมันอยู่ดี
พลังอำนาจนี้ มันจะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
เมื่อถึงฉากนี้ อสูรกายร่างใหญ่อีกตนที่เปี่ยมไปด้วยพลังก็ก้าวออกมาข้างหน้า
อสูรกายตนใหม่รับช่วงต่อหอกมา และก้าวเดินสำรวจภูเขาล้อมเหล็กต่อไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนัก มันก็คุกเข่าลงกับพื้น และตกตายจากไป
ทว่าอสูรกายก็ตนใหม่ก็ยังมารับช่วงต่อหอก และเริ่มทำการสำรวจอย่างหาร่องรอยของเทพวิญญาณต่อไปอย่างรอบคอบ
กล่าวได้ว่าบัดนี้ หลังจากที่สูญสิ้นอสูรกายไปกว่าร้อยตน พวกมันก็สามารถกดดันเทพวิญญาณจนดิ้นรนเฮือกสุดท้าย ตกตายกันจนหมดสิ้น
เผ่ามารที่ถึงขั้นยอมจ่ายราคามหาศาลหนักหน่วงเช่นนี้ออกมา ในที่สุด ก็ได้มาถึงช่วงเวลาเก็บเกี่ยวผลกำไรจากการลงทุนของพวกมันแล้ว!
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.394 – ไม้เท้าแห่งการจองจำของราชาภูติ
ย้อนความกันสักเล็กน้อย
ขณะที่เผ่ามารกำลังกรีฑาทัพ ค่อยๆคืบคลานกินพื้นที่เข้ามาจากฝั่งปลายของภูเขาล้อมเหล็ก ทางฝั่งเทพวิญญาณก็ค่อยๆทยอยกันล่าถอยไปยังฝั่งหัวของภูเขา
ทว่าอสูรกายถือหอกก็ยังไล่ตามพวกเขาอย่างไม่ลดละ
จากตำแหน่งของมัน ระยะห่างที่จะเดินไปถึงเหล่าทวยเทพค่อยๆแคบลง แคบลงเรื่อยๆ
และเมื่ออสูรกายที่กุมหอกได้ตกตายลง
ก็จะมีอสูรกายตนใหม่รับช่วงต่อหอกทันที และมุ่งหน้าก้าวต่อไป
จนในที่สุด เทพแห่งปรภพก็มิอาจล่าถอยได้อีกและต้องจำต้องเลือกออกไปเผชิญหน้ากับการโจมตีจากหอกนี้
อสูรกายได้กระชากยันต์ทองคำออก
และจ้วงหอกที่กำลังระเบิดเฉดแสงและเงาอันไม่มีที่สิ้นสุดออกมา
ทวยเทพคนแล้วคนเล่าทยอยกันสิ้นใจ
สุดท้าย ทวยเทพทั้งหมดก็ได้ตกตายลง
แน่นอน ว่ามิใช่แค่เหล่าทวยเทพเท่านั้นที่ตกตาย ทว่าพวกอสูรกายที่สิ้นชีพในระหว่างกระบวนการดังกล่าวนี้ก็ยังมีมากถึง 197 ตน!
และอสูรกายเหล่านี้ แต่ละตนก็ล้วนแล้วแต่เป็นอาวุธที่ร้ายกาจที่สุดของเผ่ามาร กล่าวได้ว่าหากมันไปปรากฏตัวขึ้นที่ใดในโลก มันจะกลายเป็นกำลังรบที่ใช้ชี้ขาดสงครามเหล่านั้นได้ในทันที!
แต่ที่นี่ พวกมันกลับถูกนำมาใช้เพียงเพื่อถือหอกหลากสีเท่านั้น
ท้ายที่สุด อสูรกายตนสุดท้ายก็ได้มาถึงที่หมาย มันพยายามจะจ้วงแทงหอกลงบนยอดของภูเขาล้อมเหล็ก
ทว่าตลอดทั้งภูเขาล้อมเหล็กน่ะ มันเชื่อมต่อกันอย่างหนาแน่น ปราศจากรอยต่อที่รั่วไหล แม้กระทั่งลมแห่งทัณฑ์โกลาหลจากภายนอกก็ยังสามารถต้านทานได้
ดังนั้นแล้ว หอกหลากสีก็ย่อมมิอาจแทรกลงไปในภูเขาล้อมเหล็กได้เช่นกัน
อสูรกายจึงจำต้องเอียงหอกของมันหนุนอิงกับผนังหินบนยอดเขา
หลังจากที่เสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมดนี้ อสูรกายก็ส่งเสียงหอนหวนออกมา และกลิ้งลงมาจากยอดเขา
กลิ้งลงมาได้เพียงครึ่งทาง ทั้งตนทั้งร่างของเป็นก็แปรสภาพกลายเป็นแอ่งเลือด
แม้ตัวจะออกห่างแล้วก็ตาม ทว่าสุดท้ายมันก็ยังถูกสังหารลงโดยหอกหลากสีอยู่ดี
กระทั่งตัวกู่ฉิงซานที่มีประสบการณ์จากสองชั่วชีวิต เมื่อเฝ้ามองดูฉากนี้ ก็ยังตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
“เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าก็น่าจะเข้าใจแล้วใช่ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับปรภพ?” ตะขอเกี่ยววิญญาณเอ่ยถาม
กู่ฉิงซานจำต้องสงบสติอารมณ์ลง ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “ข้ายังมีบางสิ่งที่ต้องการเอ่ยถามอยู่”
“ลองมาว่าสิ”
“ปริมาณของเผ่ามารน่ะมันไร้ที่สิ้นสุด และทุกครา ยามที่มันต้องเผชิญหน้ากับโลกอื่น พวกมันก็มักจะได้รับชัยชนะเสมอ ด้วยกลยุทธ์เน้นจำนวนที่มากมายมหาศาล ทว่าแล้วเพราะเหตุใดกันในการบุกโลกปรภพ พวกมันจึงถึงขั้นยอมจ่ายออกด้วยราคาอันสาหัสถึงเพียงนี้?”
“นั่นเพราะปรภพน่ะมีสายธารแห่งการหลงเลือนอยู่น่ะสิ พวกมันจึงมิอาจเน้นใช้จำนวนเล่นบทบาทในครั้งนี้ได้ นอกจากนี้ยังสืบเนื่องมาจาก 18 นรกที่อยู่ในส่วนลึกของภูเขาล้อมเหล็กอีกด้วย ที่นั่นเป็นที่อาศัยอยู่ของคนตาย ดังนั้นต่อให้มารมีจำนวนมากขนาดไหน ก็ไม่อาจจัดการพวกคนตายทั้งหมดนี้ลงได้”
“อีกอย่าง แม้จะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น แต่คนตายน่ะจะไม่มีทางตายได้อีก พวกเขาจะจมสู่การหลับลึกแล้วเกิดใหม่อีกครั้งอยู่ดี”
“เพราะอย่างงั้นพวกมันเลย … ”
“ใช่ นั่นแหละคือเหตุผลที่พวกมันถึงได้เลือกใช้หอกหลากสีล่ะ หอกที่ว่านี้ไม่ทราบว่ามาจากที่ใด ทว่ามันสามารถต่อกรกับทางโลกปรภพของพวกเราได้”
“จริงๆแล้วหอกนั่นคืออาวุธของใครกันแน่?”
“เรื่องนี้ไม่มีผู้ใดทราบ”
“มันไม่มีทางที่จะต่อต้านเลยจริงๆหรือ?”
“ตัวหอกน่ะมันมิได้แบ่งแยกมิตรหรือศัตรู อำนาจของมันไว้เพื่อทำลายล้างเท่านั้น ขนาดพลังอันคงกระพันของเทพวิญญาณยังพ่ายแพ้เมื่ออยู่ต่อหน้ามัน แล้วจะไปมีวิธีต้านทานมันได้อย่างไร?”
กู่ฉิงซานไตร่ตรอง ปากเอ่ยงึมงำ “หากเป็นเช่นนั้น แล้วทำไมเหล่าทวยเทพถึงไม่เลือกที่จะไปหลบซ่อนตัวอยู่ในสายธารแห่งการหลงเลือนกันล่ะ?”
“เพราะสายธารแห่งการหลงเลือนคือกฏเกณฑ์ขั้นพื้นฐานที่สุดของปรภพ ไม่ว่าจะทวยเทพหรือมาร หากเข้าสู่สายธารแห่งการหลงเลือน จะมีเพียงโชคชะตาแห่งการถือกำเนิดใหม่เท่านั้นที่รออยู่”
“ข้าไม่สามารถทำความเข้าใจได้เลย อาศัยเพียงแค่ตัวหอก .. ทว่ากลับสามารถสังหารทั้งเทพและอสูรกายลงได้ … ” กู่ฉิงซานบ่นพึมพำ
“โลกปรภพน่ะเกือบจะถึงวาระแล้ว และเผ่ามารก็กำลังดำเนินแผนการของพวกมันในขั้นต่อไป เจ้ายังต้องการจะดูต่อหรือไม่?” ตะขอเกี่ยววิญญาณเอ่ยถาม
“แน่นอนว่าต้องดู” กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นและกล่าว
“เช่นนั้นก็เชื่อมต่อจิตสัมผัสเทวะกับข้า”
“เข้าใจแล้ว”
และภาพเคลื่อนไหวก็ค่อยๆขยายออกอย่างช้าๆ
หลังจากที่เหล่าทวยเทพได้ตกตายลง
เผ่ามารก็ได้ยึดครองตลอดทั้งภูเขาล้อมเหล็ก
ณ บริเวณมุมหนึ่งที่เงียบสงบของภูเขาศักดิ์สิทธิ์
เผ่ามารได้ทำลายชั้นแนวป้องกันของที่นั่น
แล้วพวกมันก็ได้เริ่มต้นทำการขุดค้นอย่างบ้าคลั่ง
แน่นอน ว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์น่ะมิอาจจะสามารถขุดหรือเจาะทำลายได้ ดังนั้นที่บอกว่าขุดค้นน่ะจึงหมายความว่าพวกมันกำลังสำรวจและค้นหาที่สถานที่หนึ่งอย่างเป็นจริงเป็นจัง
และในที่สุด พวกมันก็พบกับกองหินที่ดูไม่แตกต่างไปจากโขดหินอื่นๆในภูเขาล้อมเหล็ก
และหินเหล่านี้สามารถขุดได้
เห็นได้ชัดว่านี่มันถูกสร้างขึ้นมาไว้เพื่อใช้สำหรับปกปิดและป้องกันไม่ให้ถูกผู้ใดค้นพบ
เผ่ามารได้ขุดลงไป แล้วก็พบกับโลงศพไม้
พวกมันได้ใช้ความพยายามและเวลาออกไปเป็นจำนวนมากเพื่อทำลายตราผนึกบนโลงศพไม้
สักพักหนึ่ง โลงศพไม้ก็สามารถเปิดออกได้ในที่สุด
พร้อมกับไม้เท้ามนตราที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของเหล่ามวลมาร
ไม้เท้านี้มีด้ามจับยาวสีดำ ขณะที่หัวไม้เท้าเป็นกะโหลกศีรษะที่มีเขาแหลม
เผ่ามารที่มีสองปีกร่อนลงมา และคาบไม้เท้าด้วยปากของมัน
จากนั้นมันก็กระพือปีกออก และบินไปยังทิศทางของสายธารแห่งการหลงเลือน
แล้วไม้เท้ามนตราก็ถูกโยนลงไปในสายธารแห่งการหลงเลือน
ตามด้วยแสงสีดำที่สาดออกมาจากตัวไม้เท้า
ในชั่วพริบตา ตัวไม้เท้ามนตราก็ได้หายไป
“นั่นมันคือสิ่งใดกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ตามคำกล่าวของทวยเทพในยุคโบราณ ว่ากันว่าไม้เท้าแห่งการจองจำของราชาภูติได้ถูกผนึกเอาไว้ในปรภพ” ตะขอเกี่ยววิญาณกล่าว
“ราชาภูติ? ทำไมราชาภูติถึงไปอยู่ในประภพได้?” กู่ฉิงซานถามอย่างคาดไม่ถึง
“ตามตำนานกล่าวว่า แต่เดิมแล้วปรภพน่ะถูกปกครองโดยราชาภูติ และในเวลานั้นนรกภูมิมีอยู่เพียง 9 ขุมเท่านั้น มิใช่ 18 ขุมอย่างในปัจจุบัน”
“ต่อมา ทวยเทพจากอาณาจักรสวรรค์คิดหมายจะควบคุมพลังของปรภพ เพื่อปกครองอำนาจเหนือชีวิตและความตายของทุกสิ่งมีชีวิต พวกเขาจึงส่งเทพวิญญาณทั้งแปดลงมาบริหารจัดการกับปรภพ”
“แรกเริ่ม เหล่าเทพวิญญาณจะมีหน้าที่ในการจัดสรรสิ่งมีชีวิตที่ผ่านเข้ามาในปรภพ หลังจากผ่านการทุกข์ทรมานในนรกแล้ว ก็จะจัดการหาที่ทางให้พวกเขาได้ไปต่อ”
“ขณะที่ราชาภูติน่ะมีอำนาจในการปกครองนรกทั้ง 9 และคอยสั่งการคนตายและวิญญาณทั้งหมดในปรภพ”
“หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ค่อยๆเกิดความขัดแย้งกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้าย สงครามระหว่างเทพวิญญาณที่มาจากอาณาจักรสวรรค์กับราชาภูติก็ได้ปะทุขึ้น”
“มันเป็นสงครามครั้งแรกของทวยเทพในปรภพ”
“ราชาภูติได้คว้าไม้เท้าแห่งการจองจำออกมา แล้วเริ่มปลดปล่อยพลังอันคงกระพัน ต่อกรกับเทพวิญญาณ และกดดันพวกเขากลับคืนสู่อาณาจักรสวรรค์”
“พลานุภาพของไม้เท้านั่นมากมายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
“ใช่แล้วล่ะ หากไม่นับสิ่งประดิษฐ์เทวะทั้งสามแห่งปรภพ ก็มีไม้เท้าจองจำของราชาภูตินี่แหละที่ทรงพลังที่สุด พลานุภาพของมันเหนือล้ำยิ่งกว่าข้าหรืออุปกรณ์ที่มีจิตอาร์ติแฟคอื่นๆไปไกลโข ดังนั้นฝ่ายเทพวิญญาณจึงเกือบจะพ่ายแพ้”
“แต่นับว่าโชคยังดี ที่ภายในช่วงเวลาวิกฤตอันแสนสำคัญยิ่ง เทพวิญญาณที่ทรงพลานุภาพได้ลงจากอาณาจักรสวรรค์มาเยือนปรภพพอดิบพอดี … โชคดีจริงๆ”
“จากนั้นก็ตามต่อด้วยเกือบทั้งอาณาจักรสวรรค์ได้ตามลงมา และเทพสวรรค์ก็ยังได้เชื้อเชิญ กองกำลังจากอาณาจักรอาชูร่า อาณาจักรจ้าวอสูร และอาณาจักรผีโหย มาร่วมกันพิชิตโลกปรภพอีกด้วย”
“ราชาภูติจึงนำคนตายเข้าร่วมการต่อสู้ ทว่าสุดท้ายก็มิอาจเอาชนะทวยเทพและอาณาจักรทั้งสี่ได้ จึงถูกสะบั้นศีรษะลงในที่สุดโดยเทพสวรรค์”
“นับตั้งแต่นั้นมา ไม้เท้าแห่งการจองจำของราชาภูติก็ถูกปิดผนึก”
“และเพราะด้วยความหวั่นเกรงในพลังของสิ่งประดิษฐ์เทวะชิ้นนี้ จิตอาร์ติแฟคของไม้เท้าแห่งการจองจำจึงถูกสังหารจนดับสูญลงโดยเหล่าทวยเทพ ขณะที่ส่วนร่างของมันซึ่งก็คือตัวไม้เท้าได้ถูกผนึกเอาไว้”
“ประเดี๋ยวก่อน!”
กู่ฉิงซานหลับตาลง ใช้สมองขบคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเริ่มกล่าวต่อว่า “หากฟังตามที่เจ้าพูด นี่เจ้ากำลังจะบอกว่าเผ่ามารได้ขุดไม้เท้าซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์เทวะออกมา เพื่อหมายจะควบคุมนรกทั้ง 18 ขุมเหมือนดั่งที่ราชาภูติเคยกระทำอย่างงั้นหรือ?”
“ไม่หรอก เผ่ามารมิอาจใช้ไม้เท้าแห่งการจองจำของราชาภูติได้”
“เพราะเหตุใด?”
“ตามกฏเกณฑ์ของนรก คนที่จะถือไม้เท้าแห่งการจองจำของราชาภูติ จำต้องเป็น ‘คนตาย’ ในนรกเท่านั้น”
“ถ้าอย่างงั้นแล้วพวกมันจะหาสิ่งประดิษฐ์เทวะชิ้นนี้ไปทำไม?”
“เพราะเผ่ามารไม่สามารถบุกโลกได้ในขณะนี้ ทว่าหากเป็นนรกภูมิล่ะก็ … ย่อมสามารถทำได้”
“ทันทีที่ไม้เท้าของราชาภูติปรากฏออกมา เหล่าคนตายจักต้องกลับคืนสู่นรกภูมิทั้ง 18 ขุม”
“และตัวไม้เท้าเอง ถึงแม้ว่าจะมิได้มีจิตอาร์ติแฟคอยู่แล้ว ทว่าตามกฏเกณฑ์ของมัน มันจักต้องเลือกราชาภูติองค์ใหม่ขึ้นอย่างแน่นอน”
“สิ่งประดิษฐ์เทวะชิ้นนี้ทรงพลังมากเกินไป ทว่าในขณะเดียวกันมันก็ยังมีเทคนิคลับ ที่จะสามารถช่วยให้นรกทั้ง 18 ขุมแยกตัวออกจากปรภพได้”
กู่ฉิงซานเข้าใจทุกสิ่งในทันที
นี่สินะสิ่งที่ควรจะเป็น
สาเหตุที่นรกปรากฏตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในโลกมนุษย์ และเหตุผลที่ลงตัวที่สุดก็เกิดจากจุดนี้นี่เอง
“แล้วราชาภูติได้ถูกเลือกแล้วหรือยัง?”
“ในตอนนี้ยัง แต่มันกำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้” ตะขอเกี่ยววิญญาณกล่าว
กู่ฉิงซานถอนหายใจยาว และเอ่ยว่า “เมื่อราชาภูติองค์ใหม่ถือกำเนิดขึ้น เขาก็จะมีคุณสมบัติที่จะสามารถเปล่งวาจาสิทธิ์สั่งการนรกทั้ง 18 ขุมได้ และทำการโจมตีโลกอย่างงั้นสินะ”
“ฉะนั้น หาก 18 นรกภูมิถูกแยกตัวออกจากโลกปรภพแล้วล่ะก็ กฏเกณฑ์ของโลกปรภพก็จะเริ่มพังทลาย”
“18 นรกภูมิจะเข้าสู่โลก และโลกย่อมมิอาจต้านทานมันได้อย่างแน่นอน”
“โลกปรภพและโลกมนุษย์จะถูกทำลายลงพร้อมกัน และนั่นจะส่งผลให้ตลอดทั้งหกวิถีแห่งสังสารวัฏตกอยู่ในความวุ่นวายโดยสมบูรณ์”
“ในเวลานั้น อุปสรรคที่คอยป้องกันโลกทั้งหกก็จะล่มสลายลงโดยพลัน และเผ่ามารก็จะกรีฑาทัพเข้าบุกโจมตีอาณาจักรปรภพ , โลก , อาณาจักรผีโหย , อาณาจักรอาชูร่า , อาณาจักรจ้าวอสูร และกระทั่งแห่งสุดท้าย อาณาจักรสวรรค์”
“นี่คือวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของเผ่ามาร — บุกทั้งหกวิถี พิชิตโลกทั้งหมดในคราเดียว!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น