Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ 371-380

 หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.371 – คำเตือน


 


กู่ฉิงซานเอนหลังพิงโซฟา ขณะที่ในมือถือแก้วเหล้าฤทธิ์แรงและค่อยๆแกว่งมันเบาๆอย่างช้าๆ


 


“ตราบใดที่โลกผสานรวมเข้าด้วยกัน เรื่องเกี่ยวกับทรัพยากรฝึกยุทธก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป”


 


“และหกศิลป์ก็จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้คนอย่างรวดเร็ว”


 


“ส่วนปัญหาในด้านความเป็นธรรมระหว่างโลกต่อโลก … ”


 


เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับมันอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “ด้วยสถานะของฉัน ฉันขอรับประกันเลยว่าในอนาคต โลกทุกใบจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมต่อกัน”


 


“เอ … แล้วฉันจะให้คนจากโลกควรจะทำยังไงดีนะ? ให้เข้าร่วมกับนิกายดีหรือเปล่า? หรือจะให้รับใช้ประเทศดี? หรือจะปล่อยให้เป็นผู้ฝึกยุทธไร้สังกัดดี?”


 


“ให้ทำตามใจปรารถนาคงจะดีกว่า เพราะทุกคนย่อมมีสิทธิ์ที่จะเลือก”


 


เหลียวฮังพอได้ฟังก็ตะลึงงันไป


 


เนื่องจากเขาเป็นชายที่ฉลาดหลักแหลมมากคนหนึ่ง ดังนั้นแต่ละคำที่กู่ฉิงซานเปล่งออกมา เขาจึงล้วนคิดวิเคราะห์มันอย่างถี่ถ้วน


 


นั่นคือเหตุผลที่เหลียวฮังตะลึงและไม่อาจทำใจเชื่อไปได้สักพักหนึ่ง


 


พูดมาขนาดนี้ แสดงว่ากู่ฉิงซานต้องเคยไปอีกโลกหนึ่งมาก่อนแล้วอย่างแน่นอน!


 


แถมยังมีสถานะที่โดดเด่นในโลกใบนั้นอีกด้วย!!


 


ว่าแต่เขารู้วิธีการผสานรวมระหว่างโลกได้อย่างไร?


 


และเขาคงจะเตรียมพร้อมที่จะผสานรวมระหว่างสองโลกให้เป็นหนึ่งเดียวใช่หรือไม่!?


 


ด้วยลักษณะและอุปนิสัยของกู่ฉิงซาน และดูจากคำพูดที่มีสิทธิ์มีเสียงของเขาในปัจจุบันนี้ เหลียวฮังจึงสามารถตัดสินได้ทันทีว่าอีกฝ่ายหนึ่งกำลังพูดความจริง!


 


เหลียวฮังเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “สามสี่โลก? แกกำลังหมายความว่ายังมีโลกใบอื่นอยู่อีกใช่ไหม?”


 


กู่ฉิงซานหัวเราะ “ก็การที่ฉันมีวิธีการและเทคนิคฝึกยุทธมากมายขนาดนี้ คุณคงจะไม่ได้คิดว่ามันผุดออกมาจากสูญญากาศหรอกนะใช่ไหม”


 


เหลียวฮังกับซางหยิงฮ่าวพอได้ฟัง ก็คิดตามว่านั่นมันก็จริง แต่ก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้อยู่ดี


 


แน่นอน เพราะทุกสิ่งที่กู่ฉิงซานนำออกมานั้นมันดูเป็นระบบระเบียบจนเกินไป


จากมุมมองและความรู้ของพวกเขา ส่งผลให้ทั้งสองสามารถเข้าใจได้โดยธรรมชาติว่า เทคนิคฝึกยุทธมากมายเหล่านี้ หากปราศจากซึ่งการพัฒนาอย่างน้อยนับร้อย หรือนับพันปี มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรังสรรค์วิธีการฝึกฝนที่สมบูรณ์แบบ และเป็นระบบระเบียบขนาดนี้ออกมาได้


 


กล่าวได้ว่าคงไม่มีใครสามารถทำสิ่งนี้ได้นอกจากองค์เง็กเซียน!


 


และพวกเขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่ากู่ฉิงซานไม่ใช่เง็กเซียนอย่างแน่นอน


 


ดังนั้นคำตอบนี้จึงชัดเจนมาก


 


ยังไงก็ตาม พวกเขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อกับคำตอบนี้อยู่ดี


 


ตอนนี้ กู่ฉิงซานได้สารภาพความจริงแล้ว มันจึงเป็นไปไม่เลย ที่พวกเขาจะแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้


 


ซางหยิงฮ่าวเงียบไปนาน จนกระทั่งถึงตอนนี้ที่เขาทนไม่ไหวอีกต่อไป


 


“ที่พูดมานี่ นายหมายความว่ายังมีอีกโลกหนึ่งเหนือจากโลกของเราอยู่จริงๆใช่ไหม?” เขาเอ่ยถาม


 


“ใช่ แต่มันไม่ใช่แค่อีกโลกหนึ่ง”


 


“ไม่ใช่แค่อีกโลกหนึ่ง?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยทวนซ้ำ


 


“ใช่ มันยังมีโลกอื่นอีกมากมาย และฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีมากขนาดไหน”


 


กู่ฉิงซานขบคิดและกล่าว “แต่ถ้าจะให้ฉันนับโลกที่รู้จักล่ะก็ เอ่อ .. มันก็มีโลกของพวกเรา , โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ , โลกเทวะ แล้วก็โลกที่ฉันกำลังจะได้ไปอีกในไม่ช้า”


 


“อ๊ะจริงสิ ได้ยินมาว่าโลกที่ฉันกำลังจะได้ไปมันก็กำลังจะถึงจุดจบลงในอีกไม่ช้าแล้วเหมือนกันนี่นา นั่นหมายความว่าผู้คนจำนวนมากในโลกใบนั้นจะต้องหาทางลี้ภัยไปยังโลกอื่นแน่ๆ ฉะนั้นการดำรงอยู่ของโลกอื่นก็น่าจะยังมีอยู่อย่างน้อยอีกหลายใบเลยล่ะ”


 


ซางหยิงฮ่าวกับเหลียวฮังกลายเป็นโง่งม


 


เหลียวฮังยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองเบาๆ ปากเอ่ยงึมงำซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ใจเย็นๆสิตัวฉัน ใจเย็นๆลงก่อนอย่าพึ่งคลั่งไป!”


 


ทันใดนั้นประตูหน้าก็เปิดออกอย่างกระทันหัน


 


พร้อมกับเย่เฟย์หยูที่เก็บคู่ปีกกระดูกและเดินเข้ามา


 


“เฮ้อ เหนื่อยแทบตาย” เขากล่าวพลางทิ้งก้นกระแทกลงกับเบาะโซฟา


 


“ดูเหมือนว่าจะกลับมาได้อย่างปลอดภัยนะ ว่าแต่ทางด้านทะเลทรายเป็นยังไงบ้าง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“ยักษ์แต่ละตัวแข็งแกร่งไม่เลวเลย แถมตำแหน่งสร้างเมืองของพวกมันก็ยอดเยี่ยม ทำเอาฉันต้องใช้เวลาไปพอสมควรเลย ” เย่เฟย์หยูบ่นอุบ


 


เขาเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยถาม “พวกมันก็เป็นประเภทตายไม่เป็นเหมือนกันใช่ไหม?”


 


“ใช่” กู่ฉิงซานตอบ


 


“ฉันรับมือกับมันได้ลำบากมากจริงๆ ถ้าคนอื่นๆยังไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของพวกมันได้ ขอบอกเลยว่าโลกคงจบสิ้นลงแล้วล่ะ” เย่เฟย์หยูปิดตาทั้งสองข้างลง


 


ซางหยิงฮ่าวกล่าวด้วยความกังวล “แต่ขอแค่ทุกคนสามารถยกระดับได้อย่างว่องไวเหมือนกับซีซวงหยาน พวกเราก็อาจจะรับมือกับนรกได้อยู่นะ”


 


“ใช่แล้วล่ะ ทว่าถึงแม้จะมีกำไลฝึกยุทธ แต่มนุษย์น่ะพึ่งเริ่มต้นฝึกยุทธอยู่ดี หากต้องการเอาชนะมอนสเตอร์ที่ตายไม่เป็นเหล่านั้น จริงๆแล้วในตอนนี้ยังไม่สามารถทำได้”


 


เขามองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม


 


“เวลานับถอยหลังที่กำลังเสริมจากปรภพจะมาถึง : 01.05 ”


 


สิ่งใดกันแน่นะที่จะมาหาพวกเรา?


 


กู่ฉิงซานเริ่มกระวนกระวายเล็กน้อย


 


เขาปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา ส่งผ่านคำพูดไปเอ่ยถามกับภาพพิภพ “ดาบพิภพ ข้าจำได้ว่าครั้งหนึ่งเจ้าเคยกล่าวว่าตนได้หลบซ่อนตัวอยู่ในกระแสความว่างเปล่าอันเชี่ยวกราดเป็นระยะเวลานานใช่หรือไม่”


 


“ใช่ ครั้งหนึ่งข้าเคยซ่อนตัวอยู่เป็นระยะเวลากว่า 10000 ปี” ดาบพิภพตอบกลับ


 


“ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานถึงขนาดนั้น เจ้าอาจจะได้เคยข้ามผ่านไปยังปรภพมาแล้ว ถูกต้องไหม?”


 


“เคยแค่คราเดียว แต่มันก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ และอีกอย่างข้ามิได้ข้ามไปลึกเท่าใดนัก”


 


“ถ้าอย่างนั้น พอจะบอกได้ไหมว่ามีอะไรอยู่ในส่วนนอกของปรภพ?”


 


“ส่วนนอกของปรภพเป็นถ้ำน่ะ … ท่ามกลางมิติอันเชี่ยวกราด จะมีถ้ำอันมืดมิดอยู่ และข้าก็ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำที่ว่าเป็นระยะเวลาหนึ่ง ทว่ายามที่กำลังจะออกไป ก็ดันได้ยินเสียงกังวานขึ้นมาว่าหากข้ามผ่านถ้ำขนาดใหญ่นี้ไป ก็จะสามารถไปถึงปรภพได้”


 


ข้อมูลนี้มันแทบจะไม่มีประโยชน์เลย แต่อย่างน้อยมันก็บอกใบ้ถึงทางเข้าข้ามยังปรภพล่ะนะ


 


ในระหว่างขบคิด จู่ๆกู่ฉิงซานก็พลันตระหนักถึงปัญหาสำคัญขึ้นมาทันใดว่า–


 


—หากกำลังเสริมจากปรภพที่กำลังจะมาถึงมันทรงพลังจริงๆ ถ้าอย่างงั้นที่ปัญหาเกี่ยวกับนรกพวกนี้ก็สมควรจะถูกแก้ไขได้ตั้งแต่ในปรภพแล้วสิ มันจะปล่อยให้นรกมาย่างกรายเข้ามาในโลกได้อย่างไร?


 


กู่ฉิงซานส่ายหัว และเลิกคิดเรื่องนี้ไปอย่างไว


 


ลืมมันเถอะ เอาไว้พวกเขาได้มาถึงซะก่อน ก็ค่อยมาว่าเรื่องนี้กันอีกที


 


เวลาค่อยๆไหลผ่านไปเรื่อยๆ


 


และหนึ่งชั่วโมงก็ผ่านพ้นไป


 


ติ๊ง!


 


เสียงระบบแจ้งเตือนดังขึ้นทันใด


 


หลากเส้นแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม


 


“กำลังเสริมจากปรภพกำลังมาถึงในเร็วๆนี้”


 


“เนื่องจากความสำเร็จที่ผ่านมาของผู้เล่น ที่สามารถชะลอการแพร่กระจายของนรกเยือกแข็งได้อย่างงดงาม กำลังเสริมจึงจะมาหาคุณก่อนเป็นอันดับแรก”


 


“ร้องขอให้ผู้เล่นค้นหาสถานที่โล่งกว้าง เพื่อดำเนินการพบปะกับกำลังเสริมจากปรภพก่อนเป็นอันดับแรก”


 


หลังจากที่อ่านเสร็จ กู่ฉิงซานก็ผุดลุกขึ้นและเดินออกไปข้างนอกทันที


 


“นั่นนายกำลังจะไปไหนน่ะ?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม


 


“ไปพบกับใครบางคนที่อาจจะเป็นพันธมิตรใหม่ของพวกเรา นายอยากจะมาด้วยกันไหมล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“พันธมิตรงั้นหรอ? ทำไมฉันถึงไม่รู้เลยว่าเราจะมีพันธมิตรใหม่! น่าสนใจ! น่าสนใจไม่เลวเลย ถ้าอย่างงั้นคำตอบมันก็แน่นอนอยู่แล้ว – ฉันจะไป!” ซางหยิงฮ่าวลุกขึ้นยืน


 


เย่เฟย์หยูกับเหลียวฮังก็ดูจะสนใจเช่นกัน


 


ทั้งสี่จึงเดินทางออกจากวิลล่า


 


ณ ขณะนี้ สภาพอากาศโดยรอบเริ่มมืดลงแล้ว


 


ดวงตะวันลับขอบฟ้า เวลาค่ำคืนได้มาถึง


 


“ว่าแต่พวกเราจะไปพบกับพันธมิตรใหม่ที่ไหนกัน?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม


 


กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ


 


ด้านนอกของวิลล่า มีสถานที่โล่งกว้างตั้งอยู่


 


มันเป็นสถานที่ๆซึ่งกู่ฉิงซานได้พิสูจน์ให้เห็นถึงพลังอำนาจของพลังวิญญาณออกมาเป็นครั้งแรก โดยการสาธิตต่อสู้กับแอนนาเป็นระยะเวลาสั้นๆ


 


“พวกเราจะรออยู่ในที่โล่งกว้างตรงนี้แหละ” เขากล่าว


 


หลายคนพยักหน้า บ่งบอกว่าตัวเองเข้าใจ


 


มันกลับกลายเป็นว่า อีกฝ่ายเลือกที่จะมาเยี่ยมเยือนถึงหน้าประตูบ้านของพวกเขาเอง


 


และเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายย่อมมีสถานะไม่เลวเลย มิฉะนั้นกู่ฉิงซานคงไม่ลากพวกเขามาด้วยเพื่อให้ดูเหมือนกับว่ามีคนมารอต้อนรับไม่น้อยเลยแบบนี้


 


พันธมิตรใหม่คือใครกันนะ?


 


ขณะที่กำลังสงสัย พวกเขาก็ได้มาถึงใจกลางของพื้นที่โล่งกว้าง


 


กู่ฉิงซานก้มลงดูหน้าต่างระบบเทพสงคราม


 


“เหลือเวลาอีก 1 นาที กำลังเสริมก็จะมาถึง”


 


กู่ฉิงซานหันไปมองทั้งสามคนและกล่าว “วันนี้ฉันได้บอกพวกนายเกี่ยวกับโลกอื่นแล้วก็จริง แต่ว่าฉากต่อไปนี้อาจจะทำลายความรู้ความเข้าใจเดิมของพวกนายไปโดยสิ้นเชิงเลยก็ได้นะ”


 


อีกสามคนหันมามองหน้ากัน ทั้งหมดเริ่มรู้สึกประหม่า


 


เหลียวฮังยกมือขึ้นขยี้ตาแล้วกล่าว “วันนี้ฉันว่าตัวเองก็โดนมาหนักไม่น้อยแล้วนา ให้ตายสิ .. รู้งี้น่าจะดื่มให้มันเมากว่านี้”


 


“ว่าแต่ใครกันหรอที่กำลังจะมาหาพวกเราน่ะ?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถามด้วยความสนอกสนใจ


 


“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอะไรกำลังจะมา แต่โดยสังเขปแล้ว มันสมควรที่จะมาเพื่อช่วยพวกเรา” กู่ฉิงซานกล่าว


 


บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม เวลานับถอยหลังนาทีสุดท้ายได้่กลายเป็นศูนย์


 


“มาแล้ว” กู่ฉิงซานกระตุ้นเตือนคนอื่นๆ


 


ทั้งหมดรีบหันไปมองรอบๆ


 


แต่กลับไม่พบอะไรเลย


 


แต่แล้วจู่ๆท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิด ก็พลันบังเกิดแสงสว่างสาดขึ้นอย่างกระทันหัน


 


“ข้างบน!” ซางหยิงฮ่าวกล่าวพลางชี้ไม้ชี้มือให้ทุกคนดู


 


เห็นแค่เพียงม้วนคัมภีร์ขนาดใหญ่ที่สาดแสงปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า


 


มันลดระดับลงมา และค่อยๆคลี่ออกต่อหน้ากู่ฉิงซานและคนอื่นๆอย่างช้าๆ


 


พื้นผิวของม้วนคัมภีร์เป็นสีเหลืองเล็กน้อย ตามขอบตามมุมก็ชำรุดทรุดโทรม แม้กระทั่งใจกลางม้วนคัมภีร์ก็มีรูสีดำอมเหลืองขนาดเล็กราวกับว่าพึ่งถูกเผาไหม้มา


 


กล่าวโดยรวมแล้ว ม้วนคัมภีร์นี้ดูราวกับว่าได้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงมานานนับหลายปี


 


มันค่อยๆคลี่ออกอย่างช้าๆ และทันใดนั้นตัวอักษรสีเลือดขนาดใหญ่สองตัวก็ปรากฏขึ้น


 


“คำเตือน!”


 


ทั้งสี่จ้องมองสองตัวอักษรนี้ด้วยสีหน้าขึงขังจริงจัง


 


และทันทีหลังจากนั้น บรรทัดตัวอักษรอื่นๆก็ปรากฏขึ้นตามมา


 


“ถ้าคุณยังเป็นเด็กน้อยมือใหม่ที่พึ่งก้าวเข้าสู่นรก ก็ขอให้ถือว่าคำเตือนนี้มอบให้แด่คุณ”


 


“เมื่อใดก็ตามที่คุณเห็นคำเหล่านี้ ชัดเจนว่าคุณมันเป็นขยะ! ขยะที่เสียโอกาสมากมายที่จะเป็นคนดีในชีวิต ในแต่ละวันคุณไม่ทำอะไรดีๆบ้างเลยรึไง? ชีวิตของคุณมันช่างว่างเปล่าเหลือเกิน ไม่มีงานอดิเรกอื่นใดทำนอกไปจากสิ่งเลวร้ายเลยหรือ หรือว่าคุณจะเป็นพวกหัวอ่อน คุณเอาแต่คอยฟังคนอื่นๆแต่ไม่กล้าที่จะเอ่ยถามหรือต่อต้านพวกรุ่นใหญ่หรือหัวหน้าแก๊งใช่ไหม? ชีวิตของคุณมันแย่เกินไป ดังนั้นฉันจะขอถามคุณอีกครั้ง : ในชีวิตที่ยาวนานหรือสั้นนี้ของคุณ  คุณมันไม่สามารถทำอะไรได้เลยหรือ นอกไปจากสิ่งชั่วร้าย?”


 


“เอาล่ะ ในเมื่อทำผิด ก็จงเพลิดเพลินไปกับความเจ็บปวดของนรกอันไร้ที่สิ้นสุดนี้เสีย และวันหนึ่งหากคุณได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ได้โปรดอย่าเอาแต่นั่งอยู่เฉยๆและทิ้งคอมพิวเตอร์ของคุณไปซะ! : โปรดริเริ่มความคิดที่จะออกไปจากห้องด้วยตัวเองเพื่อค้นหาเพื่อนใหม่ ค้นหาโลกกว้าง ค้นหาสิ่งที่คุณปรารถนาและเริ่มที่จะสู้เพื่อมัน จงพิสูจน์สิ! พิสูจน์ว่าชีวิตของคุณมันมีความหมาย! และสาบานว่าจะไม่ใช้มันในทางที่ผิดแบบเดิมอีก! จงอย่าได้โยนตัวเองเข้ามาในอ้อมอกของนรกอีก! เวลานี้ เราได้เตือนคุณแล้วนะ! เอาล่ะตอนนี้ก็จงชดใช้กรรมของคุณในนรกเสีย แล้วอดทนเฝ้ารอจนกว่าการเดินทางครั้งใหม่ของคุณจึงจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง!”


 


ทั้งสี่คนจ้องมองประโยคบนม้วนคัมภีร์ และตกลงสู่ความเงียบ


 


“ดูนั่นสิ ฉันว่ามันกำลังหมายถึงคุณนะ” ซางหยิงฮ่าวตบแปะๆลงบนไหล่ของเหลียวฮัง



หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.372 – เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนา


 


“บัดซบเถอะ นี่มันไม่เกี่ยวกับข้าโว้ย ลองอ่านดูดีๆก่อนไหม มันกำลังพูดถึงไอ้พวกที่กำลังจะตกลงสู่นรกในไม่ช้าต่างหาก” เหลียวฮังกล่าว


 


“แต่ทำไมพวกเราถึงได้รับคำเตือนนี้กัน ทั้งๆที่ชัดเจนว่าพวกเรากำลังอยู่บนโลก?” เย่เฟย์หยูไม่เข้าใจ


 


ทั้งสี่ต่างมองไปที่ม้วนคัมภีร์ด้วยความงงงวย


 


ทันใดนั้นเสียงที่ทรงพลังก็พลันดังก้องขึ้น


 


“ต้องขออภัยจริงๆ เดิมทีแล้วนี่มันเป็นอารัมภบทของทางปรภพน่ะ พอดีพวกเรารีบมากเกินไปหน่อย ดังนั้นเลยไม่ทันได้ทำการเปลี่ยนข้อความ”


 


ทั้งสี่หันไปมองรอบๆ แต่กลับพบว่าไม่มีสิ่งใดเลยในพื้นที่โล่งกว้าง ยกเว้นแต่ม้วนคัมภีร์ตรงหน้าพวกเขา


 


“แกเป็นใครกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


เสียงตอบสวนกลับมาว่า “เดี๋ยวได้รู้แน่ แต่ตอนนี้กรุณาเขยิบให้กระผมได้มีพื้นที่เพื่อทำการทิ้งตัวลงไปก่อนจะได้ไหม?”


 


ทั้งสี่จึงค่อยๆถอยออกมา เว้นระยะออกไปไกล


 


หลังจากรอสักพัก ก็ได้ยินเสียง ‘ตึง!’ดังสนั่นขึ้น


 


ตามด้วยหมอกควันหนาฟุ้งออกมา พัดกระพือไปทั่ว


 


ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างตกลงมาจริงๆ


 


หลังจากนั้นไม่นาน ควันหนาก็ค่อยๆจางลง และสลายหายไป


 


พร้อมกับมีบางสิ่งที่คล้ายกับตู้เย็นปรากฏขึ้นในพื้นที่เปิดโล่ง!?


 


—ไม่สิ มันไม่ใช่ตู้เย็น แม้จะมีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่มันมีขนาดใหญ่กว่ามาก


 


ดูจากรูปทรงแล้ว มันดูเหมือนกับเป็นตู้เล่นเกมหยอดเหรียญขนาดใหญ่ซะมากกว่า!


 


บนตู้นี้ มีแสงไฟส่องสว่ง ขับคลอด้วยเสียงเพลงๆออกมาเบาๆ


 


หากตั้งใจฟังอย่างรอบคอบ จะพบว่าบทเพลงที่กำลังขับขานอยู่นี้ แท้จริงแล้วมันเป็นหลากหลายเสียงที่กำลังสวดอ้อนวอนอยู่


 


ตู้นี้ ตลอดทั้งเครื่องเป็นสีดำทั้งหมด และมีตัวเลข ‘1’ ขนาดใหญ่ขีดเขียนเอาไว้อยู่ด้านข้าง


 


“สหายน้อย พวกนายทำได้ดีมากเลยนะ สามารถชะลอการปะทุของนรกเยือกแข็งเอาไว้ชั่วคราวได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว” เสียงที่ดังออกมาจากตู้เกมกล่าวยกย่อง


 


“แล้วตกลงว่าแกเป็นใครกัน?”กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“กระผมน่ะหรอ? กระผมก็คือเครื่องจักรพิพากษาความปรารถนา ที่ถูกส่งตรงมาจากสำนักงานของปรภพยังไงล่ะ” มันเอ่ยแนะนำตัว


 


“อ่า ยินดีที่ได้รู้จัก” กู่ฉิงซานปาดเหงื่อบนหน้าผากที่เกิดจากความตึงเครียดออกและกล่าวทักทาย


 


มันกลับกลายเป็นว่าเจ้าสิ่งนี้นี่เอง คือกำลังเสริมที่มาถึง


 


แต่แล้วจู่ๆเสียงของเครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาก็ดังกึกก้อง


 


“คุณมีข้อร้องเรียนใดๆเกี่ยวกับโลกใบนี้หรือไม่? พบเห็นความอยุติธรรมและการกดขี่ข่มเหงบนโลกใบนี้หรือเปล่า? หากมีปัญหาใดๆที่เกิดขึ้นเหมือนกับในข้างต้น โปรดบอกมันแก่กระผมได้ในทันที!”


 


“เดี๋ยวๆๆ ฉันขอถามคุณก่อน คุณมาจากปรภพจริงๆใช่ไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใช่!”


 


กู่ฉิงซานกวาดสายตามองดูเครื่องจักรตรงหน้า แล้วเปิดปากเอ่ยออกมาว่า “แต่คุณดูไม่เหมือนกับว่าจะเป็นสิ่งที่มาจากทางปรภพเลย”


 


“เพื่อปรับปรุงการทำงานต่างๆของทางปรภพให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นในตอนนี้ทางเราจึงเน้นไปที่การดำเนินการจัดการขั้นตอนต่างๆด้วยระบบอัตโนมัติมากขึ้นน่ะ แล้วตัวกระผมเองก็เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ตัวแทนอัตโนมัติที่ว่านั่นของทางปรภพเช่นกัน”


 


แม้จะฟังดูพิกลอยู่บ้าง แต่กู่ฉิงซานไม่มีทางเลือก เขาจำใจต้องโน้มน้าวตัวเองให้เชื่อเรื่องนี้


 


เขาเปลี่ยนแปลงน้ำเสียงในการพูด และกล่าว “ถ้างั้นก็ดี ในเมื่อคุณคือผลิตภัณฑ์จากปรภพ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าคุณมีคนที่กำลังคอยรับผิดชอบดูแลอยู่เบื้องหลังน่ะสิใช่ไหม?”


 


“ใช่”


 


“งั้นทำไมถึงมีคุณคนเดียวที่มาที่นี่ แล้วพวกเขาล่ะ?”


 


“มันจบแล้วน่ะสิ”


 


“จบแล้ว? หมายความว่ายังไง มันเกิดอะไรขึ้น?” กู่ฉิงซานเร่งถาม


 


“เรื่องที่เกี่ยวข้องกับทางปรภพ กระผมไม่สามารถบอกคุณได้ แต่โดยสังเขปแล้ว ทางปรภพยังคงสามารถช่วยเหลือมนุษย์ได้ โดยใช้พวกเราเหล่า ‘เครื่องจักร’ เท่านั้น”


 


“พวกคุณเท่านั้น?” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างรวดเร็ว “หมายความว่านอกจากคุณแล้วยังมีเครื่องจักรตัวอื่นๆอยู่อีกใช่ไหม?”


 


เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนากล่าว “แน่นอน นอกเหนือจากกระผม ยังมีเครื่องจักรกงล้อนรก , เครื่องจักรช่วยเหลือข้ามผ่านทะเลแห่งความขมขื่น , เครื่องจักรสำนึกบาป , เครื่องจักรขจัดโทสะ ทั้งหมดรวมๆกันแล้วกว่า 88 เครื่อง”


 


มันยังคงกล่าวต่อ “ตั้ง 88 เครื่องแน่ะ! โอ้สวรรค์ ให้ตายเถอะ ในความเป็นจริงแล้ว กระผมคิดว่าบุคลลากรของทางเราค่อนข้างจะเหลือล้นเกินไปด้วยซ้ำ”


 


“พวกคุณแต่ละเครื่องมีการแบ่งแยกการทำงานที่แตกต่างกันไปอย่างงั้นหรอ?” เหลียวฮังถาม


 


“ฉลาดนี่นา!”


 


เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนามองเขาและกล่าว “กระผมเป็นเครื่องจักรที่ถูกรังสรรขึ้นโดยเทพวิญญาณ  มีไว้ใช้สำหรับงานอดิเรกทั่วๆไป แต่ก็ยังมีเครื่องจักรอื่นๆที่รับผิดชอบสำหรับการต่อสู้ด้วยนะ เครื่องที่รับผิดชอบในการทำความสะอาดก็มี หรือเครื่องจักรที่ดูแลเรื่องขยายตัวของแผ่นดินก็มี แต่ไม่ว่ายังไงโดยรวมแล้วก็มีทั้งหมด 88 เครื่อง!”


 


“ทำไมต้อง 88 เครื่องด้วย? ตัวเลขนี้มันมีความหมายอะไรกันแน่??” ซางหยิงฮาวเอ่ยถาม


 


เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาถอนหายใจและกล่าว “เพราะเทพวิญญาณของพวกเราน่ะเชื่อเรื่องโชคลางมาก และคิดว่าตัวเลขที่ดีย่อมจะส่งผลดีตาม อย่างเช่นที่ว่า ‘ยามเมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น หนึ่งในเทพวิญญาณทั้ง 88 องค์จะลงมาขจัดภัย’ – อะไรแบบนี้”


 


กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ


 


ลมหนาวพัดโชย และมีเพียงเครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาเท่านั้นที่อยู่เบื้องหน้าทั้งสี่


 


เขาเอ่ยถาม “แล้วเพื่อนๆของคุณล่ะ ไปอยู่ที่ไหน?”


 


“พวกเขากำลังเตรียมความพร้อมอยู่ และกำลังจะมา- เฮ้อ ปล่อยพวกเขาไปเถอะ พวกนายมาพูดคุยกับกระผมถึงเรื่องภัยพิบัติในปัจจุบันจะดีกว่านะ”


 


เสียงของเครื่องจักรพิพากษายังคงดังต่อเนื่อง “เราอาจจะสามารถคิดหาทางออกที่จะช่วยโลกของพวกนายให้ผ่านพ้นความยากลำบากไปก็ได้นะ”


 


“นี่คุณทำได้จริงๆหรอ?” เย่เฟย์หยูเอ่ยอย่างไม่มั่นใจ


 


“จงอย่าดูแคลนเรา” เครื่องพิพากษาพ่นลมหายใจออกมา และกล่าว “เราเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่เอี่ยมหลังจากที่ทางปรภพได้เข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรม! เราเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพและแข็งแกร่ง สามารถช่วยเทพวิญญาณในการปกครองนรกทั้งหมด และยังช่วยจัดการกิจการต่างๆในทางปรภพได้อีกด้วยนะ”


 


พอได้ยินเรื่องเล่านี้ กู่ฉิงซานก็หันไปมองหน้าเหล่าสหายอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดเริ่มแสดงท่าทีมีความสุขออกมา


 


ถ้ามันแข็งแกร่งจริงๆอย่างที่พูดแล้วล่ะก็ โลกใบนี้ก็คงจะปลอดภัยแล้ว!


 


“เช่นนั้นท่านที่เคารพ เอ่อ ทางฉันในฐานะตัวแทนของโลกจะขอพูดตรงๆเลยก็แล้วกันนะ ว่าตอนนี้น่ะ นรกสามแห่งได้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่แล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวสั้นๆ


 


“จบสิ้นกัน! ถ้าเป็นแบบนั้นตัวกระผมเองก็คงจะไม่สามารถช่วยพวกนายได้!!!” เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาคร่ำครวญด้วยความเศร้าสลด


 


กู่ฉิงซาน “ … ”


 


ซางหยิงฮ่าว “ … ”


 


เย่เฟย์หยู “ … ”


 


เหลียวฮังอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา “แม่แกเถอะ! นี่แกมาที่นี่เพื่อเล่นตลกรึไง?”


 


เครื่องพิพากษากล่าว “แน่นอนว่าไม่ใช่ ตัวกระผมแม้จะไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ก็จริง แต่นั่นเพราะนี่มันเป็นหน้าที่ของเครื่องจักรกงล้อนรกที่จะส่งเหล่าคนตายที่ชั่วร้ายให้กลับไปยังนรกต่างหาก”


 


“นาย นาย นาย และนายสามารถร่วมมือกับมัน และส่งขยะจากนรกทั้งสามไปยังนรกอื่นๆได้ และจากนั้น ภัยพิบัติในครั้งนี้ก็จะถูกกำจัดออกไปโดยสมบูรณ์” เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนากล่าว


 


“แต่ในสามนรกน่ะมีมอนสเตอร์อยู่มากมาย เครื่องจักรกงล้อนรกเครื่องเดียวมันจะไปมีประโยชน์อะไร?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถาม


 


“มีประโยชน์แน่นอน เพราะเครื่องจักรกงล้อนรกน่ะมีลักษณะคล้ายคลึงกับรถไฟ ฉะนั้น ตราบใดที่พวกนายเติมคนตายยัดใส่ลงไปในนั้น พวกมันก็จะถูกควบคุมตัวไว้ทันที และจะออกมาไม่ได้อีกเลยจนกว่าจะถูกพาตัวกลับไปยังนรก”


 


“หลังจากนั้น เมื่อรถไฟเต็มขบวนแล้ว เครื่องจักรกงล้อนรกที่เต็มไปด้วยคนตาย ก็จะเริ่มทำงาน มันจะขนส่งพวกคนที่ตายไปแล้วกลับไปยังปรภพและจับพวกมันโยนลงในนรกอื่นๆ”


 


ซางหยิงฮ่าวบ่น “เติมคนตาย … อีกความหมายนึงก็คือ เราจะต้องชนะคนตายพวกนั้นให้ได้ซะก่อนสินะ ถึงจะสามารถนำพวกมันกลับคืนสู่นรกได้”


 


“แต่พวกคนตายจากสามนรกน่ะเป็นตัวตนที่ถือกำเนิดมาจากหลากหลายยุคสมัย แล้วพวกเราจะไปสู้กับมันได้ยังไง?” เหลียวฮังกล่าว


 


“ต่อให้สู้ไม่ได้ก็ต้องสู้เท่านั้น พวกเราเหลือเพียงทางเดียวแล้ว” กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ


 


ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเอง จู่ๆก็บังเกิดเสียงคำรามน่าสะพรึงจนพื้นสั่นสะเทือนขึ้นจากในความว่างเปล่า


 


พร้อมกับการปรากฏกายของตู้เสบียงและหัวรถจักรขึ้นจากอากาศอันบางเบา และ ตึง! ตึงงงงง! – มันก็ร่วงตกไถลลากลงไปกับพื้นเป็นทางยาว


 


ตามหัวรถจักรและตู้เสบียงกำลังลุกไหม้ไปด้วยเปลวเพลิงอย่างรุนแรง และไม่นานมันก็ถูกแผดเผาจนกลายเป็นกองเศษเหล็ก


 


“อ๊ะ ไม่นะ ดูเหมือนว่าเครื่องจักรกงล้อนรกจะข้ามมายังโลกนี้ไม่สำเร็จซะแล้ว”


 


“เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง? ไม่ใช่เมื่อครู่คุณบอกว่าเจ้านี่คือเครื่องจักรที่จะช่วยพวกเราหรอกหรอ!” ซางหยิงฮ่าวตะโกน


 


“ใจเย็นๆก่อนสิ เดิมทีแล้วพวกเราหลายคนก็ตั้งใจเดินทางมาในโลกนี้นั่นแหละ … แต่มันไม่ราบลื่นอย่างที่คิดก็เท่านั้นเอง” เครื่องพิพากษากล่าว


 


“ดูจากสภาพของคุณกับเครื่องจักรกงล้อนรกแล้ว นี่อย่าบอกนะว่าพวกคุณถูกลอบโจมตีระหว่างทาง?” กู่ฉิงซานถามเสียงหม่นทะมึน


 


“ขอโทษด้วย แต่เรื่องนี้กระผมไม่สามารถบอกได้” เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนากล่าว


 


หลายคนหันมามองกันและกัน ก่อนจะก้าวเดินไปข้างหน้าเพื่อทำการตรวจสอบซากรถไฟ


 


“เจ้านี่น่ะหรอกงล้อนรก? พวกเราพอจะสามารถซ่อมแซมมันได้ไหม?” เหลียวฮังเอ่ยถาม


 


“เป็นไปไม่ได้ที่จะซ่อมแซม นอกเสียจากว่าจะเป็นเทพวิญญาณเอง ถ้าเป็นเขาล่ะก็คงซ่อมมันได้” เครื่องพิพากษากล่าว


 


“หรืออีกความหมายนึงก็คือ พวกเราได้สูญเสียความหวังเดียวของเราไปแล้วอย่างงั้นสินะ” ซางหยิงฮ่าวตัดพ้อ


 


“ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ อันที่จริงแล้วยังมีเครื่องจักรอีกมากมายที่จะช่วยโลกได้ เพียงแต่มันมีวิธีการเฉพาะตัวที่แตกต่างกันไปก็เท่านั้นเอง” เครื่องพิพากษากล่าว


 


“แล้วที่ว่ามานั่นมันคืออะไร – ได้โปรดช่วยอธิบายให้มันชัดเจนไปเลยในครั้งเดียวเลยจะได้ไหม” กู่ฉิงซานบ่น


 


เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาเงียบไปครู่หนึ่ง


 


มันบิดร่างกายของมันอย่างเชื่องช้า ด้วยลักษณะท่าทีดูเก้ๆกังๆ หันไปมองรอบๆ


 


ในพื้นที่โล่งกว้าง ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย ยกเว้นพวกกู่ฉิงซานทั้งสี่


 


ไม่มีถนนที่นี่


 


มันอ้างว้างและไร้ซึ่งผู้คน


 


มีเพียงลมหนาวมีพัดมาเป็นระยะๆ


 


“ดูเหมือนว่ากระผมจะทำพลาดไปเล็กน้อย กระผมคงต้องออกไปจัดการ ‘ธุระ’ ของตัวเองทันที นี่ก็เพื่อสร้างความสัมพันธ์สร้างใกล้ชิดกับโลกใบนี้ให้มากขึ้น มิเช่นนั้นกระผมจะถูกกฏเกณฑ์ของโลกใบนี้ปฏิเสธ และจะถูกส่งกลับไปยังนรกในทันที”


 


มันหันไปทางกู่ฉิงซานและผองเพื่อน “กระผมคงต้องขอตัวไปจัดการธุระก่อน และนั่นคงต้องใช้เวลาอีกสักพัก จากนั้นพวกเราค่อยมาพูดคุยเกี่ยวกับรายละเอียดในเรื่องกันอีกครั้ง ตกลงไหม?”


 


“นี่ …ก็ได้” กู่ฉิงซานถอนหายใจ “แต่ทางฉันหวังว่าคุณต้องเร่งมือนะ เพราะความเร็วในการรุกรานของนรกก็กำลังเพิ่มพูนขึ้นอยู่ตลอดเวลา”


 


“ไม่ต้องกังวลไป กระผมจะกลับมาอีกครั้งในเร็วๆนี้”


 


‘ปัง!’ บังเกิดเสียงสนั่น เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาถูกแยกออกเป็นสอง


 


และพวกมันก็หายวับไปในทันที


 


หลายคนมองหน้ากันด้วยความตกใจ


 


เหลียวฮังเอ่ยขึ้นมาว่า “ก็เข้าใจหรอกนะที่บอกว่าจะต้องรีบเปิดกิจการน่ะ แต่นี่ถึงขั้นแยกร่างอวตาร – ”


 


ปัง! บังเกิดเสียงดังขึ้นอีกระลอก หนึ่งในสองเครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาปรากฏขึ้นอีกครา ต่อหน้าคนทั้งหลาย


 


“กระผมต้องการยืมตัวพวกคนซักคนหนึ่ง โอ้ วางใจเถอะ ไม่ได้ใช้ให้ช่วยงานฟรีๆอย่างแน่นอน” มันกล่าว




หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.373 – เลือดหยดแรก


 


ณ จักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์


 


พื้นที่แห่งนี้คือจุดที่มีการแพร่กระจายของนรกเยือกแข็งรุนแรงที่สุด


 


แม้ว่ามอนสเตอร์จำนวนมากจะถูกกวาดล้างออกไปแล้วก็ตาม แต่ทว่าหิมะและน้ำแข็งก็ยังคงอยู่


 


สภาพภูมิอากาศค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ


 


ช่วงเวลากลางค่ำ


 


ภายในสลัม


 


บรรดาผู้คนได้จมลงสู่ห้วงนิทรากันหมดแล้ว


 


น้ำฝนและลูกเห็บเย็นเยียบยังคงโปรยปรายอยู่ทั่วฟ้า สายลมหนาวพัดโชยเสียดสีกับอากาศส่งเสียงหวีดหวิว ขณะพัดผ่านถนนที่ไร้ผู้คน


 


และเนื่องด้วยบนตัวถนนที่ลื่นและยากต่อการเดินทางเช่นนี้ ทำให้แทบจะไม่มีใครเลือกที่จะใช้รถสัญจรไปมาเลย


 


กล่าวได้ว่าหากมีใครที่ไหนคิดจะหาเหยื่อกรรโชกทรัพย์ พวกเขาก็คงจะต้องกินแห้วไปตามระเบียบ


 


เหล่าสมาชิกแก๊งทั้งหมดจึงล้มเลิกความพยายาม ถอนตัวกลับไปอยู่กันตามไนท์คลับ คาสิโน และบาร์ เพื่อดื่มเหล้ามอมตัวเองให้เมามาย


 


ทันใดนั้นเอง ณ สุดปลายทางเดินของสลัม จู่ๆก็ปรากฏเงาของเครื่องจักรที่มีลักษณะคล้ายตู้สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ขึ้นมาอย่างกระทันหัน


 


มันดูคล้ายกับเป็นตู้เครื่องดื่มขายน้ำอัตโนมัติ … หรือไม่ก็เครื่องเล่นเกมขนาดใหญ่


 


ตลอดทั้งตัวตู้เป็นสีดำสนิททั้งหมด แต่ทว่ากลับมาตัวเลข 1 ขนาดใหญ่ขีดเขียนเอาไว้อยู่ด้านข้าง


 


เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนา นั่นเอง


 


เมื่อปรากฏตัวขึ้น มันก็ได้ทำการเปลี่ยนแปลงลักษณะของตัวเองไปเล็กน้อย


 


บังเกิดชั้นกระจกแก้วที่โปร่งใสขึ้นบนส่วนหน้าของตัวเครื่องจักร พร้อมด้วยอุปกรณ์ทำความร้อน และอาหารอุ่นใส่กล่องที่พร้อมรับประทานถูกวางเอาไว้เบื้องหลังกระจกใส


 


สำหรับคนยากจนที่กำลังหิวโหยแถมยังอยู่ท่ามกลางหิมะแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่มันเปรียบดั่งของขวัญจากสวรรค์


 


ไม่กี่นาทีที่ผ่านมา มีกลุ่มคนจรจัดและคนยากจนกว่า 2 กลุ่มได้พยายามที่จะทุบตีมันอย่างรุนแรง เพื่อที่จะทำลายชั้นกระจกใสและหยิบฉวยเอาอาหารที่อยู่ภายในออกมา


 


ทว่าช่างน่าแปลกนัก ที่ตัวตู้กลับไม่ได้รับความเสียหายใดๆ


 


แต่กลับเป็นคนจรจัดซะเองดันเป็นฝ่ายล้มลงนอนกองอยู่กับพื้น ส่งเสียงครวญครางออกมาไม่หยุด


 


และในระหว่างที่พวกเขากำลังช่วยกันทำลายมันนั้นเอง กลุ่มเด็กที่มีช่วงวัยไม่ถึงครึ่งของผู้ใหญ่ต่างก็กำลังแอบเฝ้ามองดูฉากนี้อย่างเงียบๆ


 


“ดูนั่นสิ พวกเขาไม่สามารถทำลายตู้อาหารนั่นได้ล่ะ” เด็กคนหนึ่งพูดขึ้น


 


“ฉันเห็นแล้ว รอพวกเขาไปกันก่อน แล้วเดี๋ยวพวกเราก็ค่อยไปลองดูกันบ้าง เผื่อว่าจะโชคดีมีอะไรตกถึงท้องสำหรับคืนวันนี้” เด็กอีกคนพูดต่อ


 


หลังจากที่เฝ้ารอจนกระทั่งพวกใหญ่ยอมแพ้และจากไป พวกเด็กๆจึงออกมาจากที่ซ่อน และเดินมาล้อมตู้สีดำท่ามกลางความมืดมิด


 


จากนั้นก็เริ่มเปิดฉากทุบทำลายทันที!


 


ทว่ากลับช่างน่าฉงนนัก เพราะเมื่อใดก็ตามที่เด็กๆหวดการโจมตีอย่างรุนแรงออกไป พวกเขาก็จะต้องประสบพบเจอกับความเจ็บปวดเช่นเดียวกันกับที่ตนกระทำออกมาแทน


 


หลังจากนั้นไม่นานนัก พวกเด็กๆก็ตกอยู่ในสภาพไม่แตกต่างไปจากกลุ่มคนจรจัดและยากไร้ก่อนหน้านี้ ที่ทิ้งตัวลงไปนอนแผ่หอบหายใจหนักหน่วงอยู่กับพื้น


 


ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนกลับยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ดังเดิมไม่ปรากฏกระทั่งริ้วรอยให้เห็น


 


“ให้ตายสิ! ทนทายาทชะมัด เจ้าสิ่งนี้มันคืออะไรกันแน่เนี่ย?”


 


เด็กชายอายุน้อยใช้มือลูบๆท้องที่กำลังร้องโครกคราก ปากเอ่ยกล่าวด้วยความขมขื่น


 


แต่เหล่าบรรดาเด็กๆที่สมรู้ร่วมคิดกับเขาดันไม่มีใครตอบกลับมาเลย เพราะแต่ละคนมัวแต่ให้ความสนใจกับความเจ็บปวดของตัวเอง


 


ทันใดนั้น เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาก็ส่งเสียงดังขึ้น


 


“แม้ว่าพวกนายจะเป็นฝ่ายที่หยาบคายก่อน แต่กระผมอยากจะบอกว่าการพิพากษาได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และกระผมต้องการที่จะถามคำถามกับพวกนาย”


 


ขณะที่มันกล่าว เสียงเพลงกวนๆก็ดังขึ้น


 


“เทพวิญญาณแห่งปรภพน่ะเป็นผู้ที่มีเมตตา ดังนั้นท่านจึงสร้างกระผมขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง”


 


“ใช่แล้วล่ะ! กระผมคือสุดยอดเครื่องจักรที่ใช้มอบความบันเทิงให้แด่เทพวิญญาณ!”


 


“กระผมคือ เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาอันแสนเลือดเย็น!”


 


เงียบ …


 


เด็กๆต่างอึ้งทึ่ง มิอาจเอ่ยคำใด ทำได้เพียงหันมามองหน้ากันด้วยความตกใจ


 


ตู้อาหารสามารถพูดได้เฉยเลย!


 


แถมเห็นได้ชัดว่าเสียงของมันแตกต่างไปจากเสียงอิเล็กทรอนิกส์ทั่วๆไป


 


ราวกับว่ามันมีสตินึกคิดที่เป็นอิสระเลย


 


ในค่ำคืนที่มืดมิด ดันปรากฏสิ่งที่ยากจะอธิบายเช่นนี้ขึ้น


 


นี่มันน่าอยู่นา .. ชักจะท่าไม่ดีแล้ว!


 


เด็กๆในสลัมพยายามลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ พวกเขาช่วยพยุงกันและกัน แต่ก็ยังส่งเสียงร้องโอดครวญอยู่เป็นระยะ


 


ด้วยสัญชาตญาณของเด็ก ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เวลาพบเจออะไรแปลกๆแบบนี้ ก็สมควรที่จะอยู่ห่างมันไว้ก่อนจะดีที่สุด


 


เด็กๆตัดสินใจอย่างรวดเร็ว และช่วยกันพยุงเพื่อนๆในกลุ่มรีบจากไปอย่างรวดเร็ว


 


อย่างไรก็ตาม ยังคงเหลือเด็กชายอีกคนหนึ่งที่อยู่รั้งท้าย และในหัวใจของเขาก็ไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ ปากเอ่ยตะโกนใส่ตู้ตรงหน้าอย่างขุ่นเคือง “แกน่ะ ไหนบอกว่าตัวเองคือความเมตตาของเทพไง ถ้าเมตตาจริงก็ต้องมอบของในตู้มาสิ – เอาอาหารมาให้พวกเราเดี๋ยวนี้เลยนะ!”


 


“ต้องขออภัยด้วย” เสียงเครื่องจักรพิพากษาดังก้อง “อาหารฟรีๆน่ะไม่มีในโลกใบนี้หรอก”


 


นรกเถอะ!


 


เด็กชายตัวเล็กกัดฟันและเอ่ยถาม “ถ้างั้นไอ้ตู้เฮงซวยอย่างแกมันทำอะไรได้บ้างกัน?”


 


“เยอะแยะเลยล่ะ! ไม่ว่าจะเป็น สนับสนุนความยุติธรรม! พิพากษาความชั่วร้าย! ตราบใดที่นายมีความปรารถนาเช่นนี้ กระผมจะสามารถทำให้นายได้ตามที่ต้องการเลยนะ!” เครื่องจักรกล่าว


 


เด็กชายพอได้ฟังก็นิ่งค้างไป


 


เขาพึ่งจะอายุได้เพียง 11 ขวบในปีนี้ แต่ครอบครัวที่ของเขากลับไม่มีเงินมากพอที่จะมอบมันให้เขาไปใช้เรียนรู้ทักษะหรือวิชาที่จะใช้ปูทางไปสู่อนาคตอันสดใสของตนเองได้


 


ในบ้านของเขา ตอนนี้ก็เหลือเพียงคุณยายป่วยหนักที่นอนติดเตียงและถูกทิ้งเอาไว้ที่บ้านเท่านั้น


 


ดังนั้น เด็กน้อยคนนี้เลยจำเป็นต้องออกเดินเตร่ไปตามท้องถนน เพื่อพบปะและทำความรู้จักกับคนประเภทเดียวกัน แล้วร่วมมือกันลักขโมย .. นี่แหละแหล่งที่มารายได้ของเขา


 


“ถ้าอย่างงั้น แกกำลังจะบอกว่าตัวเองเป็นเทคโนโลยีชั้นสูงสินะใช่ไหม” เด็กชายตัวน้อยกล่าวสรุป


 


“ในคำพูดของนายมันก็ยังไม่ถูกต้องทั้งหมดนะ อันที่จริงแล้วต้องบอกว่าตัวกระผมสามารถนับได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ลงโทษต่างหาก!” เครื่องจักรกล่าว


 


เพื่อนๆของเด็กหนุ่มเดินกลับมา และพยายามที่จะฉุดดึงตัวเขาออกไป


 


แต่เด็กชายคนนั้นกลับตะโกนออกมาด้วยความโกรธ “ขี้โม้เถอะ! ถ้าแกเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ลงโทษจริงๆ ถ้าอย่างงั้นแกก็ต้องสามารถฆ่าเจ้าแม็กซ์ได้ด้วยสิ!”


 


แม็กซ์คือหัวหน้าแก๊งนังเลงในละแวกนี้


 


ทุกๆการค้าขายยาเสพติด การค้ามนุษย์ การปล้นและฆาตกรรม และแย่งชิงตลาดการค้า ทั้งหมดจะมีเขาเป็นผู้ตัดสินใจ และคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง


 


และพ่อแม่ของเด็กกลุ่มนี้ก็ได้รับความเดือดร้อนจากเจ้าหมอนี่เหมือนกัน บางคนถึงขั้นต้องจ่ายราคาออกไปด้วยชีวิตเลยก็มี


 


เด็กชายตัวเล็กตรงหน้าคนนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน ตอนนี้เขาเลยกลายเป็นกำพร้าไป


 


พ่อของเด็กน้อยเป็นคนที่ดีมีความซื่อสัตย์ จึงไม่ยอมอ่อนข้อให้ต่อแม็กซ์ สุดท้ายจึงถูกฆ่าตายไป ส่วนแม่ของเขาก็ถูกแม็กซ์จับตัวไปขาย ถึงไม่ตายก็มีชะตากรรมไม่ต่างกัน


 


“กระผมไม่สามารถสังหารผู้บริสุทธิ์อย่างลวกๆโดยไร้ซึ่งการวินิจฉัยได้”


 


เด็กน้อยพอได้ยินก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา


 


“ไม่ฆ่า … ผู้บริสุทธิ์สินะ … ”


 


“ฮะฮ่าฮ่าฮ่า แม็กซ์น่ะเหรอผู้บริสุทธิ์? นี่นับว่าเป็นเรื่องตลกไร้สาระที่สุดที่ฉันเคยได้ยินมาเลยในปีนี้!”


 


“เจ้าเครื่องจักรนี่ สงสัยจะมีอะไรผิดปกติกับในส่วนตั้งค่าความฉลาดของมันซะแล้วล่ะมั้ง”


 


ความผิดหวังอันล้ำลึกฉายออกมาในแววตาของเด็กน้อย


 


“แต่!” เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาเอ่ยต่อ “ถ้านายยินดีที่จะนำเขาเข้ารับการทดสอบและหลังจากที่ทดสอบแล้วว่าเขาคือคนชั่วร้ายจริงๆ กระผมจะหาวิธีฆ่าเขาให้เอง”


 


“นายต้องการจะให้กระผมตัดสินเขารึเปล่าล่ะ?”


 


“แน่นอนว่าต้องการ!” เด็กน้อยตะโกนออกมา


 


คราวนี้เพื่อนของเขาก็ตะโกนออกมาด้วยเช่นกัน “ต้องการสิ! ต้องการมากๆเลย!”


 


“งั้นก็ดี เช่นนั้นกรุณาบริจาคเลือดของพวกนายด้วย” เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนากล่าว


 


บังเกิดความเงียบขึ้นโดยรอบ


 


เครื่องจักรพิพากษาเห็นบรรยากาศไม่ดี จึงอธิบายเสริมว่า “เลือดของสิ่งมีชีวิตทั้งปวงน่ะจะถูกปนเปื้อนด้วย ‘พลังแห่งความปรารถนา’ และมีเพียงพลังแห่งความปรารถนาเท่านั้นที่จะสามารถขับเคลื่อนตัวเราที่เป็นเครื่องจักรได้”


 


“นี่ๆ ไปกันเถอะ เจ้าตู้นี้มันชักจะแปลกเกินไปแล้วนะ” เพื่อนของเด็กน้อยกล่าว


 


พวกเขาฉุดลากเด็กน้อยออกมา และรีบพากันออกไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว


 


ความเงียบกลับคืนสู่มุมถนนอีกครั้ง


 


แต่ทว่าไม่นานนัก


 


เด็กชายตัวเล็กคนเดิมก็เดินมาหยุดยืนอยู่หน้าเครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาอีกครั้ง


 


เขาปาดน้ำฝนบนใบหน้าและเอ่ยถามว่า “จะสามารถทำการพิพากษาคนชั่วได้จริงๆน่ะหรอ?”


 


“ใช่แล้วล่ะ ตราบใดที่นายบริจาคเลือดให้กระผมน่ะนะ”


 


“ต้องการเท่าไหร่?”


 


“กระผมขอเดาว่านายกำลังจะต้องรับมือกับคนที่ชั่วร้าย ดังนั้นการพิพากษาในครั้งนี้สมควรจะจัดให้มันอลังการขั้นสุดยอด”


 


“แล้วต้องการเลือดเท่าไหร่?”


 


“ก็อย่างที่กระผมได้บอกไปแล้วว่ามันจำเป็นต้องใช้พลังแห่งความปรารถนาจำนวนหนึ่ง นั่นหมายความว่าจะต้องใช้เลือดพอสมควร เพราะในเลือดแต่ละหยดน่ะจะมีพลังแห่งความปรารถนาผสมอยู่ประปรายเท่านั้น”


 


“ก็แล้วมันเท่าไหร่กัน!” ร่างกายของเด็กน้อยสั่นไหว ในขณะที่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความปรารถนา


 


ท่ามกลางชะตากรรมอันน่าสังเวชและมืดมิด หากได้พบพานเพียงแสงสลัวของความหวัง ต่อให้มันจะฟังดูเป็นเพียงเรื่องตลกไร้สาระก็ตาม แต่เขาก็เต็มใจที่จะลองมัน


 


เครื่องจักรพิพากษากวาดรังสีแสงผ่านไปทั่วร่างของเด็กน้อย


 


ผ่านไปนาน เครื่องจักรก็พ่นลมหายใจออกมา


 


“เนื่องจากนายเป็นลูกค้ารายแรกของโลก ฉะนั้นกระผมจะลดปริมาณเลือดที่ต้องการให้ก็แล้วกัน … เอาเป็นแค่หยดเดียวก็พอแล้ว” มันกล่าว


 


เด็กชายตัวเล็กถอนหายใจด้วยความโล่งอก และพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันยินดีที่จะบริจาคเลือดให้!”


 


“สหายน้อย นายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ตัวนิดเดียวทว่าหาญกล้าที่จะต่อกรกับความชั่วร้าย … เอาล่ะ รีบยื่นฝ่ามือของนายเข้าไปในพื้นที่สีดำทางซ้ายมือของกระผมซะสิ”


 


“แบบนี้หรอ?”


 


“ถูกต้อง … แบบนั้นแหละ เอาล่ะพอได้แล้ว”


 


“เข้าใจแล้ว”


 


เด็กชายหดมือของเขากลับมาทันที และก้มหน้าลงสำรวจมันอย่างรอบคอบ


 


เอ๋? ไม่มีบาดแผลเลยนี่นา


 


แถมเมื่อกี้นี้ ก็ยังไม่ได้รู้สึกอะไรเลยด้วย


 


ดูเหมือนว่าเจ้าตู้ประหลาดนี่จะต้องการแค่เลือดหยดเดียวจริงๆ


 


มันไม่ได้เจ็บปวดเลย แม้กระทั่งเด็กตัวเล็กๆที่หิวโหยมาตลอดทั้งวันก็ยังสามารถทนไหว


 


ทันใดนั้นเอง เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาก็พลันบังเกิดเสียงร้องที่ไม่สม่ำเสมอดังกังวานขึ้น


 


“โอ้วววว! ในที่สุดกระผมก็ได้รับเลือดหยดแรกแล้ว!” มันตะโกนด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก


 


“ลูกค้าที่เคารพ โปรดเอ่ยนามของคนบาปที่ต้องการจะให้กระผมทำการพิพากษาด้วย”


 


เด็กชายตะโกนด้วยความคาดหวัง “แม็กซ์! บอสสูงสุดของแก๊ง – แม็กซ๊!”


 


ทันใดนั้นเสียงจากเครื่องพิพากษาก็ดังออกมาประโยคหนึ่ง


 


“การพิพากษากำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว”


 


น้ำเสียงของมันดูขึงขังและเคร่งขรึม


 


“เนื่องจากนี่เป็นการพิพากษา ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างรอบคอบ”


 


“ขั้นแรก : ทำการค้นหาวิธีการพิพากษาที่เหมาะสมกับโลกใบนี้”


 


“ค้นพบวิธีการพิพากษาที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดในโลกใบนี้แล้ว”


 


“มันคือการพิพากษาไปพร้อมๆกับดำเนินการถ่ายทอดสดไปทั่วทั้งโลก”


 


“ขั้นต่อไป : เริ่มทำการคัดเลือกผู้พิพากษาของโลกใบนี้”


 


“ค้นพบผู้พิพากษาที่เหมาะสมและน่าสะพรึงที่สุดในโลกใบนี้แล้ว”


 


“ขอเชิญ ‘เพชฌฆาตตัวตลก’ ขึ้นมารับหน้าที่ผู้พิพากษา จากนั้นก็จะเริ่มทำการพิจารณาคดีได้!”


 


“ทำการจ่ายราคาค่ารับเชิญที่เหมาะสม”


 


“เพชฌฆาตตัวตลกได้ตอบตกลงแล้ว”


 


“การพิพากษาพิจารณาคดีได้เริ่มขึ้นแล้ว ณ บัดนี้!”


 


และสมองควอนตัมตลอดทั่วทุกมุมโลกก็พลันส่องสว่างขึ้น


 


ฉากนี้ มิแตกต่างไปจากในตอนที่เพชฌฆาตตัวตลกได้ทำการพิพากษาแชมเปี้ยนส์แห่งชีวิตนิรันดร์เลย หลังจากที่ห่างหายไปนาน ในที่สุดมันก็ปรากฏขึ้นสู่สายตาของทุกคนอีกครา


 


รอยยิ้มเย็นชาของหน้ากากตัวตลก เกราะรบสีดำหมึก พร้อมด้วยคู่ปีกแสงสีทมิฬที่อยู่เบื้องหลัง ทุกอย่างอันแสนคุ้นเคยได้เผยโฉมออกมาอีกครั้ง


 


เพชฌฆาตตัวตลกผุดออกมาจากความมืดมิด พร้อมกับกระบอกแสงสปอตไลท์ที่ส่องตกลงมากระทบตัวของมัน


 


เพชฌฆาตตัวตลกยกมือขึ้นทาบปากแลคล้ายกับกำลังอุทานตกใจ ตามด้วยเสียงบางเบาราวกระซิบที่เปล่งออกมา “อุต๊ะ! ดูเหมือนว่าผมจะได้งานใหม่ซะแล้ว”


 


ท่าทีการแสดงออกของมันดูประหม่าและตื่นเต้น มันสอดส่ายสายตามองไปรอบๆสักพัก ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา


 


แล้วจู่ๆ มันก็หยิบกระดาษที่ดูเหี่ยวย่นขึ้นมา ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้ากระดาษแผ่นนี้โผล่มาตั้งแต่ตอนไหน


 


เพชฌฆาตตัวตลกเปล่งเสียงกังวานภายใต้หน้ากากที่แขวนไว้ซึ่งรอยยิ้มแข็งค้างออกมา “เอาล่ะ แขกผู้มีเกียรติของเราในคืนนี้ก็คือ .. แม็กซ์ – แม็กซ์จากจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ล่ะทุกๆคน!”


 


ว่าจบ ตัวตลกก็เริ่มปรบมือรัวๆอย่างจริงจัง


 


แล้วทันใดนั้นเอง จู่ๆก็มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นข้างกายเขา ทั้งสองยืนอยู่อย่างโดดเด่นท่ามกลางแสงสปอตไลท์ ขณะที่บริเวณโดยรอบนั้นมีเพียงความมืดมิด


 


ชายคนนี้ตัดผมทรงเปิดข้างและปล่อยผมส่วนบนไว้ให้ยาว แต่เขาทาเจลและหวีมันย้อนม้วนกลับขึ้นไปบนหัวลากยาวไปจนถึงแผ่นหลัง มีร่างกายใหญ่โต บนตัวสวมเสื้อกั๊กสีดำ จมูกงองุ้มราวกับตะขอ มีเคราดกดำ ในมือถือแก้วไวน์ และเขาผู้นี้ก็คือ-


 


-บอสสูงสุดของแก๊ง แม็กซ์


 


ทันทีที่แม็กซ์ปรากฏตัวขึ้น เจ้าตัวก็ชะงักไปด้วยความตกใจ


 


“เพชฌฆาตตัวตลก … ” เขามองไปทางตัวตลก กระทั่งน้ำลายยังเหนียวหนืด ฝืนกล้ำกลืนลงลำคออย่างยากลำบาก


 


แม็กซ์ยกมือขึ้น แล้วล้วงเข้าไปบริเวณอกใต้เสื้อกั๊กของตัวเอง คว้าจับเอาบางสิ่งไว้ในมือของเขา


 


แต่ในวินาทีต่อมา ดูเหมือนเขาจะทันตระหนักได้ว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับอยู่สิ่งใด


 


มือของเขาแข็งค้างไปทั้งๆอย่างงั้น ขณะที่บนใบหน้ากำลังฝืนยิ้มออกมา “คุณต้องการอะไรอย่างงั้นหรอ?”


 


เพชฌฆาตตัวตลกคว้าจับแขนของอีกฝ่ายเอาไว้ และชูมันขึ้น พร้อมกับโบกไปมาด้วยความตื่นเต้น


 


เพชฌฆาตตัวตลกกล่าว “ขอแสดงความยินดีกับคุณด้วยนะ! อันที่จริงแล้วผมต้องการที่จะสนทนากับคุณอยู่หรอก แต่เวลาถ่ายทอดสดของเรามันมีจำกัดเนี่ยสิ แถมยังไม่มีตัวแทนโฆษณาคนไหนให้การสนับสนุนพวกเราอีกด้วย! น่าเศร้าใจจริงๆ! ฉะนั้น! ตอนนี้พวกเราก็มาเริ่มการพิพากษากันเลยจะดีกว่า”


 


“ช่วงชีวิตอันแสนวิเศษกำลังจะถูกฉายออกไปแล้วนะ! ทุกคนเชิญรับชมได้!”


 


และภาพก็ถูกสลับเปลี่ยนไป


 


ทุกสิ่ง ทุกการกระทำอันชั่วร้ายในระหว่างช่วงชีวิตของแม็กซ์ได้ปรากฏขึ้นบนจออีกครั้ง


 


ต่อสู้ ปล้นฆ่า ค้ามนุษย์ทั้งเด็กและผู้หญิง เก็บค่าคุ้มครอง ค้ายาเสพติด เปิดบ่อนคาสิโนผิดกฏหมาย คดโกง และฆ่าล้างครอบครัวผู้อื่น


 


มันเป็นฉากอันโหดร้าย อาชญากรรมอันสุดแสนจะชั่วช้ากำลังปรากฏขึ้นบนจอม่านแสง


 


แม้แต่ละฉากกินเวลาไปไม่กี่วินาที แต่มันก็สามารถอธิบายถึงจุดเริ่มไปจนกระทั่งถึงจุดสิ้นสุดของอาชญากรรมได้


 


และใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีภาพบนจอม่านแสงก็หายไปโดยสมบูรณ์


 


เพชฌฆาตตัวตลกกับแม็กซ์ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งต่อหน้าทุกคน


 


เพชฌฆาตตัวตลกผละมือออกจากแขนของอีกฝ่ายและกล่าวว่า “หากอ้างอิงตามอาชญากรรมของมิสเตอร์แม็กซ์แล้ว ผมว่าผมพอจะมีวิธีการลงโทษแบบคลาสสิคที่เหมาะสมกับการกระทำของเขาอยู่นะ”


 


ว่าจบ ท่ามกลางความมืดมิดที่รายล้อม จู่ๆก็ผุดเชือกห้าเส้นพุ่งออกมา


 


เชือกทั้งห้าพุ่งเข้ารัดพันสองแขน สองขา และหนึ่งลำคอของแม็กซ์


 


และผูกปมเป็นเงื่อนตายที่มิอาจแก้ออกได้อย่างรวดเร็ว


 


สายของเชือกทอดยาวออกไปจมหายอยู่ในความมืดมิด


 


“บัดซบ! นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันวะ!” แม็กซ์พยายามขัดขืนดิ้นรน


 


ทว่ายิ่งเขาดิ้นเท่าไหร่ เชือกก็ดูเหมือนว่าจะยิ่งรัดพัดแน่นมากขึ้นเท่านั้น


 


จนในที่สุด เชือกก็รัดแน่นจนแม็กซ์แทบจะไม่สามารถขยับเขยื้อนได้อีกต่อไป


 


ร่างอันใหญ่โตของเขาถูกดึงขึงจนตึง แขนข้าอ้าออกไปคนละทิศละทาง


 


“เอาล่ะ ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับทุกคนแล้วนะ!” เพชฌฆาตตัวตลกกล่าว


 


“กรุณาเริ่มทำการโหวตด้วย”


 


“หากเห็นด้วยว่าแม็กซ์สมควรตาย ได้โปรดจ่ายเลือดลงหนึ่งหยดเพื่อโหวตให้เขาตาย”


 


“โอ้ ๆๆๆ ใช่ๆ แน่นอนว่าคนๆหนึ่งย่อมสามารถโหวตได้มากกว่าหนึ่งหยดนะ … ก็ร่างกายของคนเราน่ะมันมีเลือดอยู่ตั้งมากมายนี่นาถูกไหม?”


 


ทันทีที่เสียงของเพชฌฆาตตัวตลกตกลง หมายเลขสีแดงก็ปรากฏขึ้นบนหน้าอกของแม็กซ์


 


ด้านล่างของหมายเลสีแดง คือนาฬิกาจับเวลาที่ยังไม่ได้เริ่มเดิน


 


เพชฌฆาตตัวตลกอธิบายว่า “ทุกๆ 1 แต้มของหมายเลขสีแดงที่เพิ่มขึ้น นั่นจะหมายถึงเลือดหนึ่งหยดที่ผู้โหวตบริจาคมาเพื่อหวังว่าจะให้มิสเตอร์แม็กซ์คนนี้ตายลง”


 


“ภายในเวลาสามนาที ถ้าหากว่าตัวเลขสีแดงเพิ่มสูงขึ้นถึง 1 ล้านแล้วล่ะก็ แม็กซ์ก็จะได้รับการลงโทษฉบับคลาสสิค – ถูกดึงกระชากแยกร่างออกเป็นส่วนๆ!”


 


“เอาล่ะ! ทำการนับถอยหลังได้!”


 


สิ้นเสียง นาฬิกาจับเวลาก็เริ่มนับถอยหลังทันที


 


ในความเป็นจริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เพชฌฆาตตัวตลกอธิบายหรอก เพราะเบื้องหน้าทุกคน มันปรากฏข้อความแจ้งเตือนขึ้นมาก่อนแล้ว


 


“คุณยินดีที่จะพิพากษาการตายบอสสูงสุดของแก๊ง – แม็กซ์โดยการบริจาคเลือดหรือไม่?”


 


บางคนรู้สึกระแวงและตื่นกลัว จึงไม่ได้ทำการตัดสินใจตอบอะไรกลับไป


 


อย่างไรก็ตาม ผู้คนส่วนใหญ่มิได้คิดเช่นนั้น


 


ชีวิตของแม็กซ์น่ะเต็มไปด้วยความชั่วร้าย และอาชญากรรมนับไม่ถ้วนที่เขาก่อขึ้น มันได้สร้างความไม่พอใจให้แก่คนธรรมดาที่ได้เห็น ทั้งหมดจึงเต็มไปด้วยความโกรธ


 


มีผู้คนมากมายทั้งที่รู้จักเขาและไม่ได้รู้จักเขาทำการจ่ายหยดเลือดลงไปเพื่อโหวตให้เขาต้องตาย


 


ทั่วทุกมุมโลก


 


“บ๊ะ! ไอ้ขยะฝอยนี่มันตัวบัดซบโดยแท้!”


 


“อาวุโส โปรดสงบใจลงก่อนอย่าพึ่งวู่วามตอบอะไรกลับไปนะ มันอาจจะเป็นกับดักก็ได้”


 


“สงบใจอะไร! ฉันมีชีวิตอยู่มาจนปูนนี้แล้ว ต่อให้เพชฌฆาตตัวตลกมันจะหลอกฆ่าฉัน ฉันก็ไม่สนใจหรอก”


 


“ฉันต้องการที่จะบริจาคเลือดเพื่อทำการโหวต!”


 


ในสถานที่อื่นๆ


 


สามีได้กระตุ้นเตือนภรรยาว่า “ที่รัก ใจเย็นๆก่อนนะ อย่าไปตอบอะไรเจ้าเพชฌฆาตตัวตลกเลย มันคือสัตว์ประหลาดที่แสนจะโหดร้ายนะ จำไม่ได้หรอ?”


 


ภรรยาของเขาที่สองตาแดงเรื่อตอบปัด “ผายลมเถอะ! ที่โหดร้ายน่ะมันเจ้าแม็กซ์ที่น่ารังเกียจนี่ต่างหาก มันทั้งฆ่าทั้งปล้นคนยากจนมากมาย ฉันไม่สนใจแล้ว ฉันจะหยดเลือดโหวต!”‘


 


ว่าจบ เธอก็หยดเลือดหยดหนึ่งลงไป


 


แต่พอคิดเกี่ยวกับมัน ก็ดูเหมือนว่าเธอจะยังคงไม่พอใจนัก


 


เธอเอ่ยถามบรรทัดตัวอักษรที่ลอยอยู่กลางอากาศว่า “ถ้าฉันต้องการที่จะบริจาคมากกว่านี้ มันก็ได้ใช่ไหม?”


 


ทันใดนั้นบรรทัดใหม่ก็ปรากฏขึ้นมาแทนที่ทันที “แน่นอน คุณสามารถบริจาคให้ได้มากตามที่คุณต้องการ”


 


“ถ้าอย่างนั้นฉันขอบริจาคอีกสิบหยด!”


 


ณ พระราชวังฟูซี


 


“ฝ่าบาท นี่มันดูจะอันตรายไปหน่อย กระหม่อมว่า .. ” รัฐมนตรีคนหนึ่งพยายามท้วงติง


 


“ไม่เป็นไรหรอก ข้าก็พอจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเพชฌฆาตตัวตลกมาบ้าง สิ่งที่เขากำลังทำอยู่นี้มันน่าสนใจไม่เลว ขอให้ข้าได้ลองเถอะ”


 


“ข้าขอบริจาคเลือด 20 หยด โหวตว่าต้องการให้แม็กซ์ตาย”


 


สมเด็จพระจักรพรรดินีเวโรน่าพูดราวกับว่าเธอพึ่งได้ค้นพบของเล่นชิ้นใหม่


 


ณ จักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์


 


แก๊งของแม็กซ์ในคาสิโน


 


อีกคนที่เหมือนจะเป็นบอสเอ่ยปากขึ้น “ตั้งแต่ที่แม็กซ์มันได้ขึ้นเป็นบอสสูงสุด มันก็กดขี่พวกเรามาโดยตลอด พวกแกทุกคนจงทำการบริจาคเลือดซะ แน่นอนว่าการกระทำในครั้งนี้จะเป็นความลับ ไม่ถูกแพร่งพรายออกไป”


 


“แต่บอส พี่ไม่กลัวว่านี่มันจะเป็นกับดักหรอ?” หนึ่งในลูกน้องเอ่ยถาม


 


“โลกมันกลายเป็นแบบนี้แล้ว ยังจะมีอะไรน่ากลัวอีก? เพชฌฆาตตัวตลกน่ะถึงจะน่ากลัว แต่มันก็ไม่คิดลงมือกับพลเรือนทั่วไปหรอก แกอย่ากังวลเรื่องนี้ไปเลย”


 


สิ้นเสียง บอสของแก๊งก็หยดเลือดลงไป


 


“พวกแกก็ด้วย อย่ามัวชักช้า”


 


“รับทราบแล้ว!”


 


ขณะนี้ คนที่รู้จักแม็กซ์และไม่เคยรู้จักแม็กซ์มาก่อนก็ได้เลือกทำการพิพากษาเขาแล้ว


 


ไม่ต้องกล่าวถึงผู้คนทั้งสลัม แต่ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยเลยที่เกลียดชังในตัวของแม็กซ์


 


หลายคนทำการเลือกที่จะจ่ายหยดเลือด


 


และตัวเลขสีแดงก็เริ่มขยับขยายขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


ในเวลาเพียง 20 วินาที หยดเลือดก็ถูกเติมเต็มอย่างรวดเร็วจนมันครบ 1 ล้านหยดแล้ว!


 


ทว่านี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น


 


หลังจากที่ผู้คนพบว่าการบริจาคเลือดมันมิได้ส่งผลกระทบต่อตัวเอง


 


ผู้ชมมากมายก็เริ่มที่จะก้าวเข้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้


 


ตัวเลขที่แสดงถึงการเพิ่มจำนวนขึ้นของหยดเลือดพุง่ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


และสามนาทีก็ได้ผ่านพ้นไปอย่างฉับไว


 


เวลาได้หมดลงแล้ว


 


“หยดเลือด 1 ล้านหยดถูกเติมจนเต็มในเวลา 20 วินาที”


 


“และในเวลา 3 นาที หยดเลือดกว่า 89 ล้านหยดก็ถูกเติมเต็มเข้ามาอย่างรวดเร็ว”


 


“นี่ช่างเป็นฉากที่น่าประทับใจจริงๆ ที่ทุกคนมีความกระตือรือร้นเป็นอย่างมากเกี่ยวกับการตายของผู้อื่นแบบนี้” เพชฌฆาตตัวตลกถอนหายใจออกมา


 


“มิสเตอร์แม็กซ์ ต้องขอบอกว่าคุณได้รับการสนับสนุนอย่างล้นหลามจริงๆ และคงจะรู้แล้วสินะ … ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป”


 


“โปรดเพลิดเพลินไปกับมัน ส่วนกระผมจะขอดูอยู่เงียบๆ ไม่รบกวนอะไรคุณอีกแล้ว”


 


หลังจากกล่าวจบ เพชฌฆาตตัวตลกก็วูบหายเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิดทันที


 


หลงเหลือเพียงแม็กซ์ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ท่ามกลางสปอตไลท์


 


และทันใดนั้น เชือกที่พันรอบแขน ขา และลำคอของเขาก็ถูกกระชากอย่างรวดเร็ว!


 


ในวินาทีต่อมา แรงดึงอันมหาศาลก็ได้ฉุดลากเชือกจากทุกทิศทางจนมันแกว่งไปมา ขณะที่ห้วงอารมณ์ของบรรดาผู้ชมที่กำลังเฝ้ามองต่างก็หนักอึ้ง


 


“อะ อา อ๊ากกกกกก”


 


แม็กซ์กรีดร้องด้วยออกมาด้วยกระแสเสียงอันน่าหวาดผวา


 


มันจำเป็นต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะกระชากศีรษะ แขน และขาของมนุษย์ออก ยิ่งการลงโทษอย่างช้าๆเช่นนี้ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง


 


มันคือความเจ็บปวดอันแสนจะทุกข์ทรมานที่นักโทษมิอาจจะสามารถจินตนาการได้!


 


จำเป็นต้องใช้เวลายาวนานมากกว่า 10 วินาที แต่สุดท้ายแล้วว-


 


-โผล๊ะ!


 


เลือดไหลทะลักออกมาราวกับน้ำพุ


 


เชือกทั้งห้าเส้นวูบหายกลับเข้าไปในความมืดมิด


 


บัดนี้ท่ามกลางแสงสปอตไลท์


 


ไร้ซึ่งหัว แขน และขา ทั้งหมดทั้งมวลถูกลากหายไปในความมืดมิดโดยสิ้นเชิง!


 


หลงเหลือเพียงส่วนลำตัวที่นอนจมแอ่งเลือด


 


“การพิพากษาคดีครั้งแรกได้สิ้นสุดลงแล้ว” เครื่องพิพากษาความปรารถนากล่าว


 


“การทดสอบนี้มีค่าใช้จ่ายเป็น 1 ล้านพลังความปรารถนา ซึ่งส่วนเกินทีเหลือคือตัวเลขหลักมงคลที่มีอยู่ราวๆกว่า 88 ล้าน!”


 


“เนื่องจากได้รับพลังแห่งความปรารถนาส่วนเกินมามากเกินไป เครื่องจักรจึงจะนำมันมาใช้เปลี่ยนแปลงมรดกที่แม็กซ์ทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง”


 


“ทรัพย์สิน้ทั้งหมดของเขาจะถูกแปลงออกเป็นแต้มเครดิต และแจกจ่ายให้กับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของเขาตามระดับความร้ายแรงที่โดนกระทำ”


 


“การพิพากษานี้ได้เสร็จสิ้นลงโดยสมบูรณ์แล้ว กรุณาอย่าได้ลืมติดตามรับชมการพิจารณาคดีในครั้งต่อไปด้วย”


 


แล้วจอม่านแสงทั้งหมดก็ถูกปิดลงโดยอัตโนมัติ อุปกรณ์ฉายภาพตลอดทั้งโลกกลับคืนสู่สภาพปกติ


 


การพิพากษาได้สิ้นสุดลงแล้ว


 


เด็กชายตัวเล็กยังคงยืนอยู่เบื้องหน้าเครื่องจักรพิพากษา


 


“แม็กซ์ตายลงไปแล้วจริงๆหรอ?” เขาเอ่ยถาม


 


“ก็ใช่น่ะสิ แถมเขายังได้ถูกส่งไปรายงานตัวในนรกเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยนะ” เครื่องจักรพิพากษาตอบ


 


“นี่คือเรื่องจริงใช่ไหม? มันไม่ได้เป็นความฝันสินะ?” เด็กน้อยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ


 


“แน่นอนว่ามันไม่ใช่ความฝัน และกระผมได้ทำการแปลงแต้มเครดิต และนำไปฝากไว้ในธนาคารของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ของนายกับแม่นายแล้วนะ ส่วนรหัสผ่านก็คือ ‘88888888’ ยังไงล่ะ!”


 


“เอาล่ะ ตอนนี้ก็มาถึงช่วงเวลาสำคัญที่สุดแล้วนะ สหายตัวน้อย นายลองหันหลังกลับไปสิ”


 


และเด็กน้อยก็ทำตามคำพูดของเขาอย่างว่าง่าย


 


แล้วก็บังเกิดเรื่องมหัศจรรย์ขึ้น! เพราะเบื้องหลังของเขา กลับปรากฏร่างแม่ของเด็กน้อยกำลังยืนอยู่ เธอปาดน้ำตา ขณะเดียวกันก็กำลังมองมายังเขาด้วยความอ่อนโยน


 


“แม่!”


 


เด็กตัวน้อยถลาพุ่งเข้าสู่โอบกอดมารดาของตน …




หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.374 – กำลังเสริมที่ทยอยกันมา


 


หลังจากการพิพากษาได้สิ้นสุดลง ตลอดทั้งโลกก็เดือดพล่านไปด้วยความตื่นเต้น!


 


ทั่วทุกมุมโลก เริ่มที่จะค้นพบเครื่องพิพากษาความปรารถนาตู้แล้วตู้เล่า


 


มันได้แยกร่าง กระจายตัวงออกไปอย่างรวดเร็ว ตามแต่ละเมือง ตามแต่ละสถานที่ๆผู้คนอาศัยอยู่ ไม่ว่าที่ใด ก็จะมีเจ้าเครื่องจักรดังกล่าวถูกวางเอาทิ้งไว้


 


สำนักข่าวจากประเทศต่างๆได้เริ่มรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว


 


นักวิทยาศาสตร์และรัฐบาลก็เริ่มที่จะให้ความสนใจกับมัน


 


ผู้คนพยายามที่จะสื่อสารกับเจ้าสิ่งแปลกประหลาดนี้


 


หลังจากที่ได้รับชมการพิพากษา กลุ่มต่อไปที่ได้พบเจอกับมันก็คือกลุ่มนักโทษ


 


——


 


ในช่วงเวลานั้นเอง ภายในเรือนจำ เสียงนกหวีดได้ถูกเป่าดังขึ้น


 


และเหล่านักโทษก็ถูกปล่อยตัว ทยอยกันเดินออกมายังลานกิจกรรมของพวกเขาอย่างช้าๆ


 


ทันใดนั้นเอง พลันบังเกิดเสียงปัง! ดังขึ้นอย่างกระทันหัน


 


ภายนอกรั้วลวดหนาม ปรากฏเครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาขึ้น


 


ทุกคนตกใจจนผงะไป


 


สายตาของเหล่านักโทษจับจ้องไปยังเครื่องพิพากษาด้วยความตกตะลึง


 


และทันใดนั้นเอง จู่ๆก็มีนักโทษคนหนึ่งรีบวิ่งตรงไปยังรั้วลวดหนาม


 


เขาคว้าจับรั้ว ใช้สองมือแยกแหวกรูรั้วออกโดยไม่สนว่าหนามจะบาดหรือทิ่มแทงหรือไม่ จากนั้นก็พยายามที่จะเอื้อมมือออกไป


 


‘ในที่สุดก็ได้เจอกับมันแล้ว!’


 


อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่านักโทษคนนั้นจะไม่รู้วิธีใช้งานมัน เขาจึงทำได้เพียงปัดๆฝ่ามือลงบนเครื่องพิพากษาเท่านั้น


 


“เบิร์ด  .. หัวหน้าตำรวจเบิร์ด!!” นักโทษรีบกล่าวอย่างรวดเร็ว


 


และเวลานี้ มันจะแตกต่างกันไปจากในครั้งแรก


 


ผู้พิพากษาที่ได้รับเชิญมา – เพชฌฆาตตัวตลกได้รับรางวัลของตนเองและจากไปแล้ว


 


คราวนี้สิ่งที่มาแทนเขา กลับกลายเป็นร่างเงาเสมือนของตาชั่งแทน


 


ร่างเงาปรากฏขึ้นเหนือเครื่องจักรพิพากษา


 


ตามด้วยเสียงของเครื่องจักรพิพากษาที่ดังกึกก้อง “‘เริ่มทำการทดสอบว่าหัวหน้าตำรวจเบิร์ดจะเป็นคนบาปจริงๆหรือไม่”


 


ทันใดนั้นบนจานที่ชั่งทั้งซ้ายและขวาก็ปรากฏหัวใจขึ้นข้างละดวง ข้างหนึ่งเป็นสีขาวน้ำนม ขณะที่อีกข้างเป็นสีดำสนิท


 


ทันทีที่หัวใจทั้งสองถูกวางลงบนตาชั่ง หัวใจสีขาวก็เอียงสูงขึ้น ขณะที่หัวใจดำเอนลงไปจนถึงล่างสุด … ฉากนี้แลคล้ายกับไม้กระดกในสนามเด็กเล่นที่หากข้างหนึ่งหนักกว่า อีกข้างย่อมยกถูกสูงขึ้นไปโดยปริยาย


 


“ชายผู้นี้มีความผิดบาปที่ไม่สามารถให้อภัยได้จริงๆ – กล่าวได้ว่ามีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขเข้ารับการพิพากษา”


 


“‘งั้นก็เริ่มกันเลยสิ เร็วเข้า!” นักโทษตะโกนออกมาอย่างร้อนรน


 


ในะระยะไกลออกไป สองผู้คุมเรือนจำที่เห็นเหตุการณ์กำลังวิ่งตรงเข้ามา


 


“โปรดทำการจ่ายเลือดด้วย”


 


“ต้องการเลือดของฉันงั้นหรอ?” นิ่งงันไป


 


“หากคิดจะให้ผลลัพธ์คือเลือดของอีกฝ่าย มันก็ต้องจ่ายด้วยเลือด – เลือดแลกด้วยเลือด … โปรดทำการจ่ายเลือดด้วย”


 


“เท่าไหร่? ต้องการเท่าไหร่บอกมาเร็วเข้า!” นักโทษกัดฟันกล่าว


 


“ 200 มิลลิลิตร”


 


“งั้นก็เอามันไปเลย!”


 


ทันทีที่กล่าว นักโทษคนนั้นก็ถูกล็อคตัวไว้โดยสองผู้คุม และถูกรั้งตัวฉุดลากกลับมาทันที


 


มือข้างหนึ่งของนักโทษยังคงคว้าจับลวดหนามอย่างแน่นหนา ขณะที่อีกข้างยังคงวางลงบนเครื่องพิพากษาอย่างไม่ยินยอมจะจากไป


 


สองผู้คุมพยายามสุดกำลัง และสุดท้ายก็สามารถดึงนักโทษกลับมาได้ในที่สุด


 


ผู้คุมผลักตัวเขาล้มลงกับพื้น และหยิบกระบองขึ้นมาทุบตีตามตัวเขาอย่างแรง


 


ข้อตกลงบรรลุแล้วใช่รึเปล่า?


 


นักโทษคร่ำครวญโหยหวนด้วยความขมขื่น แต่วิสัยทัศน์ของเขากลับไม่ยอมละไปจากเครื่องพิพากษาเลย


 


ฮู้มมม!


 


น้ำเสียงอันขึงขังจริงจังของเครื่องพิพากษาดังขึ้น “ได้รับเลือดมาแล้ว จะเริ่มต้นทำการพิพากษา ณ บัดนี้”


 


ทันใดนั้นเสียงของมันก็ดังขึ้นในจิตใจของมนุษย์ทุกคน


 


“มนุษญ์เอ๋ย เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกคุณหลับตาลงทำสมาธิ พวกคุณจะสามารถรับชมการพิพากษาของเครื่องจักรจากในจิตใจได้ตลอดเวลา”


 


“อาชญากรในครั้งนี้คือหัวหน้าตำรวจเบิร์ดแห่งสาธารณรัฐฟูซี .. การพิพากษาได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!”


 


และฉากใหม่ก็ปรากฏขึ้น มันเป็นภาพการติดสินบน ปลอมแปลงหลักฐาน ยักยอกสิ่งของ และใส่ร้ายคู่แข็งทางธุรกิจ สุดท้ายคือเป็นตัวแทนจำหน่ายยาเสพติดซะเอง ทุกภาพได้ปรากฏสู่สายตาของทุกคน


 


“ดูสิ! เห็นนั่นไหม!”


 


นักโทษที่ถูกทุบตีอยู่บนพื้นร้องตะโกนออกมา


 


มันเป็นฉากที่หัวหน้าตำรวจเบิร์ดยัดถุงยาลงในกระเป๋าของเขา และทำการจับกุมเขา


 


ฉากถัดไป คือหัวหน้าตำรวจเบิร์ดได้รับรางวัลเป็นวิลล่าหลังเดี่ยวซึ่งเป็นของกลางของนักโทษที่ถูกยัดยา และจำนวนเงินอีกหลายแต้มเครดิต


 


สองผู้คุมเรือนจำชะงักงัน และหยุดทุบตีอีกฝ่าย


 


การกระทำอันชั่วร้ายของเบิร์ดได้ถูกเปิดเผยต่อหน้าต่อตาทุกคน


 


เสียงของเครื่องจักรพิพากษาดังกึกก้อง “สวมใส่เสื้อตำรวจที่บ่งบอกถึงความยุติธรรม ทว่าความจริงกลับปกป้องแต่ความชั่วร้าย และนำพาความทุกข์ทรมานมาสู่ผู้คนบริสุทธิ์ ชื่อของมิสเตอร์เบิร์ดได้ถูกเพิ่มลงในลิสของคนบาปแล้ว”


 


“ในเวลาสามนาที หากตัวเลขสีแดงถึง 10000 มิสเตอร์เบิร์ดที่ถูกตอกตรึงอยู่บนเสาแห่งความอัปยศก็จะต้องได้รับความเพลิดเพลินไปกับการถูกเผาไหม้!”


 


และชายที่ชื่อว่าเบิร์ดในชุดเครื่องแบบหัวหน้าตำรวจก็ปรากฏตัวขึ้นในจิตใจของทุกผู้คน


 


เบิร์ดรีบตะโกนทันที “มันโกหก! เจ้าเครื่องจักรนี่คือปีศาจ! มันกำลังหลอกลวงพวกคุณอยู่! ได้โปรดเถอะ ฉันบริสุทธิ์จริงๆนะ!”


 


“ใครก็ได้ช่วยฉันที โถ่สวรรค์!”


 


ไม่ต้องรีรอให้พูดมากความไปกว่านี้ หัวหน้าตำรวจพลันถูกตอกตรึงลงบนเสาต้นหนึ่งทันควัน ขณะที่บนหน้าอกของเขามีแถบตัวเลขสีแดงปรากฏขึ้น


 


ด้านล่างของตัวเลขสีแดง คือนาฬิกาที่ยังไม่เริ่มเดิน


 


“ดังนั้นตอนนี้ … เริ่มจับเวลาได้!”


 


นาฬิกาเริ่มเคลื่อนไหวทันที


 


ในความเป็นจริงแล้ว บรรทัดแจ้งเตือนก็ได้ปรากฏสู่เบื้องหน้าทุกคนก่อนแล้วเหมือนเช่นเดิม


 


“คุณยินดีที่จะพิพากษาการตายของหัวหน้าตำรวจเบิร์ดโดยการบริจาคเลือดหรือไม่?”


 


และเกือบจะในทันที ตัวเลขสีแดงก็พุ่งทะยานขึ้นมาถึง 10000


 


ในเวลาสามนาที ตัวเลขสีแดงก็ได้พุ่งทะยานขึ้นกว่า 20 ล้าน!


 


เห็นได้ชัดว่าในตอนนี้ มนุษย์ได้เข้าใจแล้วว่าเจ้าสิ่งนี้มันคืออะไร


 


หลังจากที่พบเผชิญกับสิ่งแปลกประหลาดมามากมาย ทุกคนจึงมีภูมิคุ้มกันบางอย่างเกิดขึ้นมาต่อสิ่งแปลกประหลาดเหล่านี้


 


ในหัวใจของมนุษย์ทุกคนน่ะ ขุ่นเคืองและเกลียดชังไอ้สิ่งที่เรียกกันว่าความชั่วร้ายอยู่แล้ว!


 


“มิสเตอร์เบิร์ด ต้องขอบอกว่าคุณได้รับแรงสนับสนุนอย่างล้นหลามจริงๆ ฉะนั้นคงถึงเวลาแล้ว ที่คุณจะได้รับโทษเป็นการถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิงอันร้อนแรง!”เครื่องจักรพิพากษากล่าว


 


และไฟก็ลุกโชนขึ้นบนเสาอย่างฉับพลัน


 


ตามด้วยเสียงของมิสเตอร์เบิร์ดที่ร้องโหยหวนออกมาด้วยความเจ็บปวดเหลือแสน


 


ร่างกายของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ทว่าตามมือและเท้าของเขากลับถูกตอกไว้อย่างแน่นหนา จึงมิอาจเคลื่อนไหวได้


 


อุณหภูมิที่สูงลิ่วของเปลวเพลิง ทำให้เขาค่อยๆหยุดการดิ้นรนอย่างช้าๆ


 


พร้อมกับชีวิตผิดบาปของเขาที่ได้สิ้นสุดลง


 


“การพิพากษาครั้งที่สองได้สิ้นสุดลงแล้ว” เสียงของเครื่องพิพากษาดังขึ้น


 


“เนื่องจากได้รับพลังแห่งความปรารถนาส่วนเกินมามากเกินไป เครื่องจักรจึงจะนำมันไปใช้ในการเปลี่ยนแปลงทรัพย์สินทั้งหมดของมิสเตอร์เบิร์ดให้กลายเป็นแต้มเครดิต และจะนำมาใช้ในการชดเชยพวกมันให้แก่ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ”


 


“การพิพากษานี้ได้เสร็จสิ้นลงโดยสมบูรณ์แล้ว กรุณาอย่าได้ลืมติดตามรับชมการพิจารณาคดีในครั้งต่อไปด้วย”


 


และภาพก็หายไป


 


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ฉันได้แก้แค้นแล้ว! แก้แค้นสมใจแล้ว! ” นักโทษนอนแผ่ลงบนพื้น สะอื้นไห้อย่างขมขื่น


 


แต่แล้วทันใดนั้นเอง โซ่ตรวนในมือของเขาก็คลายออกในทันใด


 


และชุดคนคุกก็หายไปแล้วเช่นกัน


 


เวลานี้เขากำลังสวมใส่เสื้อติดแบรนด์ใหม่เอี่ยม พร้อมด้วยกลิ่นโคโลญจ์ที่ฟุ้งออกมาเล็กน้อย


 


เขากลับกลายเป็นคนที่ดูมีชีวิตชีวาอีกครั้ง


 


นักโทษก้มลงมองตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา


 


ทันใดนั้นเอง กระดาษแผ่นหนึ่งก็ดีดออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเขา และตกลงต่อหน้าผู้คุมเรือนคำหลายคน


 


“หลักฐานการปล่อยตัวผู้บริสุทธิ์ …”


 


ผู้คุมเรือนจำอ่านมันอย่างช้าๆ


 


“ใช่ของจริงรึเปล่า?” พัศดีก็เดินเข้ามาด้วยเช่นกัน เขาเอ่ยถามเสียงดัง


 


ผู้คุมเรือนจำดึงเครื่องสแกนออกมา และกวาดไปที่ใบรับรองการปล่อยตัวผู้บริสุทธิ์


 


“ติ๊ง!”


 


“นี่คือผลการพิพากษาล่าสุด ซึ่งได้รับการยืนยันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”


 


พอได้ยิน ผู้คุมเรือนจำทั้งหมดถึงกับกลั้นหายใจ


 


ทันใดนั้นอุปกรณ์สื่อสารของพัศดีก็ดังขึ้น


 


เขารับการเชื่อมต่อและกล่าวตอบคำกลับไป “ใช่ ใช่แล้ว … อา .. รับทราบ …”


 


หลังจากการเชื่อมต่อถูกตัดขาดไป พัศดีก็หันไปมองนักโทษที่ราวกับได้รับชีวิตใหม่และกล่าวว่า “ปล่อยตัวเขาไป”


 


เขาหันไปอธิบายกับเหล่าผู้คุมว่า “เทพธิดากงเจิ้งได้ทำการอนุมัติเรื่องนี้ ดังนั้นสมเด็จพระจักรพรรดินีจึงพลอยอนุมัติมันไปด้วยโดยปริยาย”


 


………


 


หลังจากช่วงเวลานั้น ทุกๆช่วงนาที หรืออาจกล่าวได้ว่าทุกๆวินาที ตราบใดที่มีคนหลับตาทำสมาธิ พวกเขาจะสามารถรับชมการพิจารณาคดีของเครื่องจักรพิพากษาได้ตลอดเวลา


 


—แล้วจากนั้นการพิพากษาก็ไม่เคยหยุดนิ่งอีกเลย


 


ทำไมน่ะหรือ? ก็ในโลกใบนี้น่ะ มันมีความไม่เท่าเทียม ความอยุติธรรม ความผิดบาปและชั่วร้ายอยู่มากเกินไปน่ะสิ!


 


แต่ตอนนี้ ทุกสิ่งที่ว่ามานั้นก็กำลังจะถูกทำลายลงในที่สุด


 


ผู้คนนับไม่ถ้วนจากทั่วทั้งโลกเริ่มแห่กันออกจากบ้าน


 


ทุกคนกำลังดิ้นรนเพื่อที่จะได้รับการแก้แค้น


 


และในไม่ช้า พวกเขาก็ค้นพบกับสิ่งที่กำลังตามหา


 


มันเป็นไปไม่ได้ที่จะห้ามคนอื่นๆไม่ให้ใช้เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนา


 


เพราะดูเหมือนว่าเจ้าเครื่องจักรนี้มักจะปรากฏขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลกับเหล่าผู้คนที่ตกเป็นเหยื่อได้อย่างน่าประหลาดใจ


 


แต่เรื่องที่เกี่ยวกับเจ้าเครื่องจักรนี้ ก็ยังคงมีคำถามอีกมากมายเกี่ยวกับมัน


 


เพราะด้านข้างของมันมีเลข ‘1’ ขนาดใหญ่อยู่


 


ฉะนั้น หมายความว่าจะต้องมีเครื่องหมายเลข ‘2’ ด้วยใช่หรือไม่?


 


ทว่าความสงสัยนี้ของเหล่าผู้คนก็มิได้ยาวนานนัก


 


เพราะคำตอบดูเหมือนว่าจะมาเร็วกว่าที่คาด


 


——


 


ในพื้นที่เปิดโล่งนอกวิลล่าบนหุบเขา


 


สามเครื่องจักรที่มีขนาดคล้ายตู้เกมขนาดใหญ่ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้ากู่ฉิงซานและคนอื่นๆ


 


โดยถัดจากเครื่องพิพากษาความปรารถนาสีดำสนิทก็เป็นเครื่องคีบตุ๊กตา


 


เจ้าเครื่องนี้ถูกทาด้วยสีฟ้าตลอดทั้งตู้ พร้อมกับมีหมายเลข ‘12’ อยู่ด้านข้าง


 


“สวัสดีเหล่าสหายหนุ่มผู้กล้าหาญ กระผมคือเครื่องจักรช่วยเหลือข้ามผ่านทะเลแห่งความขมขื่น” ตู้เกมคีบตุ๊กตากล่าวทักทาย


 


และตามต่อด้วยอีกหนึ่งเครื่องสีดำที่มาพร้อมกับหมายเลข ‘23’ ที่อยู่ข้างๆ


 


“มันเป็นเรื่องง่ายที่จะโกรธแค้น แต่คุณไม่จำเป็นต้องทำอะไรไม่ดีเพื่อระบายมันหรอกนะ! ขอเพียงแค่ตามหาตัวกระผมก็พอแล้ว” เครื่องจักรชนิดนี้กล่าว


 


ต่อมาก็คือเครื่องถ่ายภาพอัตโนมัติที่มีสีแดงพร้อมกับหมายเลข ‘47’ อยู่ด้านข้าง


 


“ดิฉันคือเครื่องจักรสำนึกบาป” มันมองไปทางกู่ฉิงซานและโค้งคารวะเล็กน้อย “แม้ว่าคุณจะฆ่าคนไปมากมายแต่คุณคงไม่จำเป็นต้องใช้ดิฉันหรอกใช่ไหมจ๊ะที่รัก?”


 


เหล่าเครื่องจักรยังคงทำการแบ่งร่างแยกออกไปอย่างต่อเนื่อง และร่างแยกเหล่านั้นก็หายวับไปจากสถานที่นี้ตลอดเวลา


 


มองไปยังปรากฏการนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทั้งหมดกำลังกระจายตัวกันออกไปทั่วทุกมุมโลก


 


เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนากระแอมไอเบาๆและกล่าวว่า “เอาล่ะ กระผมจะขอแนะนำแต่ละเครื่องให้พวกคุณก่อนเป็นอันดับแรก”


 


……


 


เมื่อมันแนะนำฟังชั่นก์ของเครื่องจักรทั้งสามนี้ กู่ฉิงซานและคนอื่นๆก็บื้อใบ้ กลายเป็นโง่งม


 


“เจ้าพวกนี้มันอะไรกัน หรือเทพวิญญาณที่อยู่ทางฝั่งปรภพจะรู้สึกเบื่อมากเกินไป?” กู่ฉิงซานกล่าวพลางครุ่นคิด


 


“ทางปรภพน่ะเป็นระบบระเบียบอยู่เสมอแหละ มันเลยค่อนข้างที่จะว่าง ดังนั้นเทพวิญญาณก็เลยต้องการที่จะมองหาความสนุกบ้างเช่นกัน” เครื่องจักรช่วยเหลือข้ามผ่านทะเลแห่งความขมขื่นตอบ


 


เย่เฟย์หยูถอนหายใจ และกล่าว “ปรภพนะนั่น ไม่ใช่สวนสนุก … ”



หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.375 – เครื่องจักรปรภพ


 


เครื่องจักรเหล่านี้มันจะทำอะไรได้บ้างกันนะ?


 


ผู้คนทั่วโลกต่างก็กำลังสงสัยและอยากรู้อยากเห็น


 


หลังจากเกมแห่งชีวิตนิรันดร์กับเพชฌฆาตตัวตลก ต่อมาก็เป็นเจ้าเครื่องจักรพวกนี้นี่แหละที่ทางรัฐบาลให้ความระมัดระวังกับมันอย่างแท้จริง


 


ทางรัฐบาลเริ่มห้ามผู้คนไม่ให้เฉียดเข้ามาใกล้เครื่องจักรเหล่านี้


 


แต่ก็ราวกลับรู้ทัน ทันทีที่เกิดเหตุการณ์ประมาณนี้ขึ้น เหล่าเครื่องจักรก็จะทำการเคลื่อนย้ายทันที จากนั้นมันก็จะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในสถานๆที่ไม่มีการป้องกันจากทางหน่วยงานใดๆ


 


จึงกลับกลายเป็นว่า เหล่ามืออาชีพที่กล้าเข้าไปใช้งานมันและประชาชนทั่วไป ก็ได้คุ้นเคยกับเครื่องจักรทั้งสี่นี้อย่างรวดเร็ว


 


เพียงไม่นาน เรื่องราวเกี่ยวกับฟังก์ชั่นและวิธีการใช้งานของเครื่องจักรเหล่านี้ได้แพร่กระจายออกไปทั่วโลกราวกับไฟลามทุ่ง


 


จนท้ายที่สุด แม้กระทั่งหน่วยงานในภาครัฐบางแห่งก็เริ่มที่จะใช้งานเครื่องจักรเหล่านี้


 


รัฐบาลต้องแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เลือกที่จะปิดตาเอาไว้ข้างหนึ่ง


 


ณ รัฐบาลกลาง


 


ภายในเมืองหลวง


 


รถตำรวจ7-8คันกำลังล้อมรอบเครื่องจักรช่วยเหลือข้ามผ่านทะเลแห่งความขมขื่นอยู่ ขณะที่ตำรวจทุกคนที่มาต่างเฝ้ามองและคอยให้กำลังใจตำรวจคนหนึ่งที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่เบื้องหน้ามัน


 


บนหน้าผากของตำรวจคนที่ว่ามีเหงื่อผุดออกมาไม่หยุด


 


สมาธิของเขา เพ่งอยู่แต่กับเครื่องคีบตุ๊กตาอันแสนจะลึกลับนี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว


 


คันโยกถูกควบคุมอย่างระมัดระวัง ขณะที่เป้าหมายของเขาคือตุ๊กตาเด็กที่อยู่ภายใน


 


“ตอนนี้ล่ะ!”


 


เขาง้างมือกระแทกลงบนปุ่มกดอย่างแรง เพื่อคว้าจับ


 


และคีมคีบจากข้างบนก็อ้าออก จากนั้นก็เริ่มลดระดับลงแล้วหุบเข้าจับตัวตุ๊กตาเด็กเอาไว้


 


ทว่าหลังจากที่คีมคีบเลื่อนกลับขึ้นมาข้างบน และเคลื่อนตัวไปได้แค่ครึ่งทาง ตุ๊กตาก็ดันหลุดออกจากคีมคีบซะอย่างงั้น


 


“โถ่เว้ย!”


 


“บ้าจริง!”


 


“ล้มเหลวอักแล้ว!”


 


ในหัวใจของนายตำรวจหม่นทะมึน


 


“ยังไม่ได้อีกงั้นหรอ?” เสียงๆหนึ่งดังขึ้น


 


นายตำรวจคนนั้นหันหน้าไปมองตามเสียง ก่อนจะยืดหลังตรงและตะโกนออกมา “หัวหน้า!”


 


“ทำความเคารพท่านหัวหน้า!”


 


ตำรวจอ้วนในชุดเครื่องแบบแหวกฝูงชนก้าวเข้ามาในวงล้อม และผงกหัวให้กับทุกคนที่ตะเบ๊ะให้เขา


 


จากนั้นก็ดึงวัยรุ่นตัวเล็กลีบคนหนึ่งที่หลบอยู่ข้างหลังเขาออกมาสู่สายตาฝูงชน


 


หน้าตาของวัยรุ่นดูซีดเซียว ร่างกายผอมแห้ง จนดูไม่เหมาะสมกับชุดหลวมโพรกที่เขาสวมใส่อยู่ มันกว้างและใหญ่เกินไป ดูไม่เข้ากันอย่างร้ายกาจ


 


อย่างไรก็ตาม นี่คือชุดที่ดีที่สุดที่เขาเคยมีมา … นับตั้งแต่วันนั้น!


 


ตำรวจอ้วนกล่าวว่า “ผมได้เชิญผู้เชี่ยวชาญในการคีบตุ๊กตามาแล้ว คราวนี้แหละพวกเราจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน!”


 


“นั่นมันยอดไปเลย!”


 


นายตำรวจคนที่อยู่หน้าตู้ ผู้ที่คีบล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า พอได้ยิน ท่าทีของเขาก็แสดงออกถึงความสุขทันที


 


ไม่นานนัก วัยรุ่นคนที่ว่าก็มาหยุดยืนอยู่หน้าตู้คีบตุ๊กตา และกดมือของเขาลงบนจุดเชื่อมต่อสีดำ


 


พริบตานั้นเครื่องคีบตุ๊กตาก็สว่างขึ้นในทันใด พร้อมด้วยเสียงของเกมที่ดังขึ้นอีกครั้ง


 


วัยรุ่นหันหน้าไปมองตำรวจอ้วน


 


และอีกฝ่ายก็กล่าวสวนกลับมาว่า “เลือดหนึ่งหยด ฉันจะจ่ายให้เธอ 1000 แต้มเครดิต”


 


วัยรุ่นคนนั้นพยักหน้า


 


เขาหยิบเอากระดาษมาจากในมือของตำรวจ และอ่านมันออกมา “หวังหมิไคว่ อายุ 16 ปี เพศหญิง”


 


ภายในเครื่องคีบ พลันบังเกิดรังสีแสงกวาดวาบลงไปยังตัวตุ๊กตาทั้งหมด


 


“เตรียมการพร้อมแล้ว ขอให้สนุกกับการเล่นนะ!” เครื่องคีบตุ๊กตาเปล่งเสียงออกมา


 


วัยรุ่นคว้าจับคันโยก สองตาของเขากวาดไปยังตุ๊กตาทั้งหมดอย่างรวดเร็ว


 


เขากำลังมองหาตุ๊กตาที่มีโอกาสมากที่สุดที่จะคีบมันขึ้นมาได้สำเร็จอยู่


 


–วัยรุ่นคนนี้คือผู้เชี่ยวชาญในด้านการคีบตุ๊กตา กล่าวได้ว่าเขาเกือบที่จะชนะรางวัลเครื่องคีบตุ๊กตามาแล้วทั่วประเทศ


 


ส่วนหนึ่งก็เพราะแต่ก่อน ครอบครัวของเขาเคยบริหารสวนสนุกขนาดใหญ่ และกิจการก็เป็นไปได้ด้วยดี แต่แล้วเมื่อผีดิบกินคนปรากฏขึ้น สวนสนุกของครอบครัวก็ได้ถูกทำลายลง


 


พ่อแม่ของเขาถูกกิน และมีเพียงเขาที่รอดชีวิตมาได้ แต่ก็ต้องกลายเป็นคนจรจัดนับตั้งแต่นั้น


 


วันสิ้นโลกได้ทำลายความสุขในครอบครัว ความสุขในช่วงชีวิตวัยรุ่นไป ส่งผลให้ตอนนี้เขาทำได้เพียงซุกหัวนอนอยู่ตามท้องถนนเท่านั้น


 


วัยรุ่นควบคุมคันโยก เคลื่อนที่คีบไปมาหลากหลายทิศทาง เพื่อเลือกเป้าหมายที่เหมาะสม


 


เขาเติบโตมากับการเล่นแบบนี้


 


และในที่สุด วัยรุ่นก็เจอตุ๊กตาในตำแหน่งที่ต้องการ!


 


“ปึ้ก!”


 


ปุ่มถูกกดลง


 


ตามด้วยเสียงเพลงพิเศษที่ดังขึ้น และตัวคีบได้ตกลงไปอย่างรวดเร็ว


 


และที่คีบก็หุบเข้าใส่ตุ๊กตา!


 


นับจากนี้ไปนี่แหละ คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด!


 


เพราะที่คีบตุ๊กตากำลังไต่ระดับขึ้นมาอย่างช้าๆ


 


จะหมู่หรือจะจ่าในเรื่องการคีบตุ๊กตา มันก็วัดกันตอนนี้นี่แหละ


 


โดยส่วนมากแล้ว คีมคีบหลายอันจะหุบลงอย่างหลวมๆ ทำให้ไม่อาจหุบจับตุ๊กตาได้อย่างแน่นหนา


 


และเมื่อกี้ทางตำรวจเองก็ล้มเหลวลงในส่วนนี้เช่นกัน


 


อย่างไรก็ตาม ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน พอเป็นฝีมือคีบของวัยรุ่น ตัวตุ๊กตากลับไม่ตกลง มันถูกหุบเอาไว้อย่างแน่นหนาโดยคีมคีบ


 


ตัวคีบค่อยๆขยับเคลื่อนที่กลับมาอย่างต่อเนื่อง


 


และในที่สุด! ตุ๊กตาก็ถูกปล่อยลงมาในช่องรางวัล


 


“ให้มันได้อย่างงี้สิ!” เหล่าตำรวจส่งเสียงเฮกันกึกก้อง


 


เครื่องคีบตุ๊กตากล่าวคำถามออกมา “ขอแสดงความยินดีด้วย คุณสามารถพบกับหวังหมิงไคว่ได้เลยในทันที คุณต้องการที่จะพบเธอหรือไม่?”


 


วัยรุ่นหันมามองตำรวจอ้วน


 


ตำรวจอ้วนพยักหน้า


 


“ต้องการพบเลย” วัยรุ่นกล่าว


 


“เข้าใจแล้ว จะทำการดำเนินการเดี๋ยวนี้” เครื่องคีบตุ๊กตากล่าว


 


และในวินาทีต่อมาพร้อมกับเสียง  ‘ว่าบบบ!’ เด็กสาวผู้น่าสงสารคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน ก็พลันปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าของเครื่องคีบตุ๊กตา


 


เด็กสาวหันไปมองเหล่าผู้คนทั้งหมดที่อยู่เบื้องหน้าเธอ ก่อนที่การแสดงออกที่เศร้าหมองทางสีหน้าจะแปรเปลี่ยนเป็นตะลึงลานอย่างชัดเจน


 


บนใบหน้าของเธอมีคราบเลือดอยู่ ขณะที่ตามร่างกายถูกผูกมัดด้วยเชือกจนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้


 


“ลูกฉัน!” สองชายหญิงในวัยกลางคนถลาลงมากอดเด็กสาว


 


“นั่นพ่อ? กับแม่หรอ? โอ โอ… อ้าาา” เด็กสาวเริ่มร้องไห้ออกมา


 


ตำรวจหยิบเครื่องมือออกมา และเริ่มทำการตัดเชือกที่มัดตามตัวเด็กสาว


 


ตำรวจอ้วนหยิบอุปกรณ์สื่อสารออกมา และรีบเอ่ยสั่งการอย่างรวดเร็ว “ตัวประกันได้รับการช่วยเหลือเรียบร้อยแล้ว! ส่งทีมเกราะรบขับเคลื่อนชุดพิเศษออกปฏิบัติการได้ ระเบิดฐานพวกคนร้ายให้เป็นจุลซะ!”


 


เขาเอ่ยสั่งการออกไปอย่างรวดเร็ว


 


วัยรุ่นเงยหน้าขึ้น จ้องมองไปทางตำรวจอ้วน “ทีนี้จะจ่ายเงินมาได้รึยัง?”


 


ตำรวจอ้วนปั้นรอยยิ้มประจบประแจงบนใบหน้าให้อีกฝ่าย


 


ถ้าให้ตอนนี้เลยคงไม่มีทางซะล่ะ เจ้าตู้คีบตุ๊กตานี่มันยากเกินไป ขอบอกตรงๆว่าฝีมือของตำรวจเช่นพวกเขามันไม่มากพอหรือสันทัดกับอะไรแบบนี้จริงๆ


 


“พอดีว่าฉันยังมีเจ้าพวกผู้ก่อการร้ายอีกซัก 2-3คนที่ต้องการจะจับกุมตัวน่ะ เธอพอจะช่วยต่อได้ไหม?” เขาหยิบรูปถ่ายหลายใบออกมา แล้วยื่นมันให้แก่วัยรุ่น


 


วัยรุ่นรับเอาภาพพวกนั้นมามองสักพักและกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่มีปัญหาหรอก แต่เงิน–”


 


“แน่นอนว่าฉันจะจ่ายอยู่แล้ว!” ตำรวจอ้วนรีบเอ่ยขัด


 


แต่ทันใดนั้นเอง ในสมองของเขาก็มีความคิดหนึ่งวาบผ่านเข้ามาในฉับพลัน


 


“แต่เดี๋ยวก่อน เธอสนใจที่จะมาเป็นตำรวจด้วยกันรึเปล่า?” เขาเอ่ยถาม


 


ขณะนี้ได้มีการปรากฏขึ้นของเครื่องจักรช่วยเหลือข้ามผ่านทะเลแห่งความขมขื่นบนโลกแล้ว และคุณจะสามารถพบใครก็ได้ที่ต้องการ ขอเพียงแค่คีบตุ๊กตาในตู้ให้ได้สำเร็จ


 


และเมื่อคุณจับมันได้แล้ว คุณจะสามารถทำให้อีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้นได้ในทันที!


 


แน่นอน!


 


ว่าผู้ที่จะจับมัน จะต้องมีแรงจูงใจเป็นพิเศษ มิฉะนั้นแล้วเครื่องคีบตุ๊กตาจะไม่มีปฏิกริยาตอบสนอง


 


และด้วยกรณีนี้ มันจึงไม่ใช่เรื่อง่ายเลยที่จะจับตัวคนที่ต้องการได้


 


ตราบใดที่มีแรงจูงใจที่ต้องการจะจับตุ๊กตา และยิ่งมันสูงเท่าไหร่ คุณก็จะสามารถจับมันได้ … จับใครก็ได้ในโลกใบนี้ตามต้องการ!


 


ดังนั้น กล่าวได้ว่าการปรากฏตัวขึ้นของเครื่องจักรช่วยเหลือข้ามผ่านทะเลแห่งความขมขื่นบนโลกใบนี้ จึงนับว่าเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดของทางตำรวจ!


 


ดวงตาของวัยรุ่นเปล่งประกายเจิดจ้า เขารีบเอ่ยถามออกไป “คุณกำลังหมายความว่าต้องการที่จะให้ผมเป็นตำรวจอย่างงั้นหรอ?”


 


“ใช่แล้วล่ะ ด้วยความสามารถในการคีบตุ๊กตาของเธอ ฉันจะทำการอนุมัติให้เธอเข้าร่วมกับทางกรมตำรวจเป็นกรณีพิเศษเลย … ว่าแต่เธอต้องการมันหรือเปล่าล่ะ?”


 


“ต้องการสิ!”


 


“ถ้างั้นตอนนี้ พวกเราก็มาเริ่มทำการจับกุมเจ้าพวกคนร้ายฉาวโฉ่กันได้แล้ว!”


 


“รับทราบ!”


 


วัยรุ่นยกมือขึ้นตะเบ๊ะ ปากอ้าขานรับคำเสียงดัง


 


……


 


ในเครื่องจักรจากปรภพทั้งสี่ ที่เหงาเปล่าเปลี่ยวที่สุดก็คงจะไม่พ้นหมายเลข ‘23’


 


มันคือตู้หยอดเหรียญอัตโนมัติ และชื่อของมันก็คือ ‘เครื่องจักรขจัดโทสะ’


 


สิ่งที่เรียกว่า ‘ขจัดโทสะ’ นี้ มีหน้าที่ในการกลั่นแกล้งเป้าหมายไม่ว่าจะเป็นดึงหู บีบจมูก ปิดตา จั๊กจี้ตีน หรือเตะตูด ฯลฯ แทนคุณ


 


แน่นอน ว่าเจ้าเครื่องจักรนี้ไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย หน้าที่ของมันก็เป็นแค่การแกล้งเล่นแผลงๆหลายร้อยรูปแบบกับผู้คนเท่านั้น


 


นี่จะช่วยให้ผู้ที่ใช้งานมันระบายความโกรธที่แสนจะอัดอั้นตันใจออกมาได้เล็กน้อย


 


หากคุณรู้สึกไม่พอใจกับการระบายความโกรธจากการกลั่นแกล้งที่แสนจิ๊บจ๊อยนี่  ‘เครื่องจักรขจัดโทสะ’ ก็จะให้คำตอบแก่คุณว่า อันที่จริงแล้ว ตัวมันนั้นทรงพลังกว่านี้มาก แต่ยาหยีของมันที่มีชื่อว่า ‘เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนา’ คงจะไม่ยินยอมให้มันทำอย่างนั้น …. และต่อให้ทำได้จริง แล้วอีกฝ่ายใช้เครื่องพิพากษามางัดกับคุณแทน อันนี้ถึงตายเลยนา มันไม่คุ้มกันหรอก


 


กล่าวได้ว่าเมื่อมีเครื่องจักรพิพากษา จึงไม่มีใครกล้าที่จะทำความชั่วร้ายแรง แล้วได้ทนกล้ำกลืนความอัปยศอดสูเอาไว้เท่านั้น


 


และนั่นจึงเป็นหน้าที่ของเครื่องขจัดโทสะ เพียงคุณบริจาคหยดเลือด คุณก็จะสามารถเปิดใช้งานเจ้าเครื่องนี้ได้ และส่งมันไปกวนตีนคนที่คอยกวนใจคุณแทน


 


อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันสิ้นโลกได้มาถึง และผู้คนนับไม่ถ้วนล้วนถูกสังหารลงโดยอสูรร้ายแห่งท้องทะเล ,  ผีดิบกินคนและผีดิบนักฆ่า ตามด้วยสามนรกที่ปรากฏขึ้นในเวลาเดียวกัน แล้วแบบนี้ใครมันจะมาใช้เจ้าสิ่งนี้เพื่อเล่นตลก กลั่นแกล้งกับคนอื่นๆกัน?


 


แต่แล้วสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปในช่วงกลางดึกของคืนวันนั้น


 


“ยินดีต้อนรับคุณลูกค้ารายแรก” เครื่องขจัดโทสะกล่าว


 


ลูกค้ารายแรกที่ว่านี้เป็นเด็กหนุ่ม อายุราวๆ 17-18 ปี


 


เขาจ่ายเลือดและทำการเปิดใช้งานเครื่องจักรนี้


 


ติ๊ง!


 


เครื่องจักรขจัดโทสะส่งเสียงดังคมชัดขึ้น


 


มันลดเสียงลงและเอ่ยถามอย่างแผ่วเบาว่า “คุณต้องการทำบางสิ่งที่ไม่ดีอย่างเงียบๆไหม? สามารถใช้เครื่องนี้เพื่อซื้อจำนวนครั้งที่ต้องการกลั่นแกล้งได้เต็มที่เลยนะ เพราะถ้ากลั่นแกล้งเล็กๆน้อยโดยผ่านทางกระผมแล้วล่ะก็ เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาจะไม่ทำการค้นพบอย่างแน่นอน”


 


“จัดมา ฉันต้องการทำสิ่งชั่วร้าย” วัยรุ่นกล่าวอย่างเยือกเย็น


 


“จัดไป ว่าแต่คุณต้องการจะทำอะไรกันล่ะ?” เครื่องจักรเอ่ยถาม


 


“แกล้งคนโดยการเอาขนนกไปจั๊กจี้เท้าคนๆหนึ่ง จากนั้นก็เตะก้นมันแรงๆด้วยรองเท้าบู๊ทคู่ใหญ่” ท่าทีการแสดงออกของเด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นดุดัน


 


“ค่าเสียหายทั้งหมด 20 หยดเลือดนะตกลงไหม”


 


วัยรุ่นไม่ตอบ แต่กดมือลงบนจุดสีดำของเครื่องแทน


 


“ดีมาก กระผมได้รับการชำระของคุณมาแล้ว เอาล่ะไหนบอกซิว่าเป้าหมายความคุณคือใคร?” เครื่องจักรถาม


 


“ไม่อยากจะพูดชื่อมัน เขียนใส่ปากกาจะได้รึเปล่า?”


 


“ได้สิ”


 


แล้ววัยรุ่นก็ส่งยื่นชื่อนั้นออกไป


 


เครื่องจักรกล่าว “ฉันเอาขนนกไปจั๊กจี้ตีนเจ้าหมอนั่นเรียบร้อยแล้ว และเขาก็หัวเราะจนหายใจไม่ออกเกือบตายแน่ะ!”


 


และมันก็กล่าวต่อ “เอารองเท้าบู๊ทคู่ใหญ่ไปเตะตูดเจ้าหมอนั่นแล้ว กระผมเตะอย่างแรงเพื่อให้เขารู้ว่ามีคนๆหนึ่งโคตรจะเกลียดชังเขาอย่างสุดหัวใจเลยล่ะ!”


 


“การกระทำชั่วร้ายของคุณได้สิ้นสุดลงแล้ว หากต้องการทำชั่วอีกครั้ง โปรดเฝ้ารอคูลดาวน์เป็นเวลา 24 ชั่วโมง”


 


เด็กหนุ่มผงกหัว พอได้แก้แค้น สีหน้าของเขาเผยถึงความผ่อนคลายลงหลายส่วน


 


ได้ยินเพียงแค่เสียงบ่นพึมพำของเขา “เห็นรึยังว่าถ้าเล่นไม่ซื่อกับฉันมันจะเป็นยังไง อย่าคิดนะว่าฉันจะไม่กล้าทำมากกว่านี้ … ”


 


หลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็เดินจากไปด้วยความพึงพอใจ และลูกค้ารายที่สองของเครื่องจักรขจัดโทสะก็เดินเข้ามา


 


อย่างรวดเร็ว ลูกค้ารายที่สองก็ได้เดินจากไปด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ


 


ตามด้วยเสียงอันแผ่วเบาของเขาที่ลอยตามมาในอากาศ


 


“เจ้าพวกชอบวิจารย์นิยายคนอื่นแรงๆ เสียๆหายๆ … นี่แหละเป็นผลจากการกระทำของพวกแกล่ะ ..!!”



หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.376 – โลกถูกทำลาย


 


นอกเหนือไปจากเครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาแล้ว ก็ยังมีเครื่องจักรช่วยเหลือข้ามผ่านทะเลแห่งความขมขื่น , เครื่องขจัดโทสะแล้ว สุดท้ายก็คือเครื่องจักรสำนึกบาปที่ขีดเขียนหมายเลข 47 เอาไว้ด้านข้าง


 


มันคือเครื่องสีแดงที่ทำหน้าที่บริการถ่ายภาพด้วยตัวเองหรือที่เรียกง่ายๆว่าตู้ถ่ายสติ๊กเกอร์นั่นเอง


 


มนุษย์สามารถถ่ายภาพตัวเอง โดยภาพที่ออกมาจะเป็นอาชญากรรม ความชั่วร้าย หรือความผิดบาปที่พวกเขาเคยได้ก่อเอาไว้ และจากนั้นก็ต้องบริจาคเลือดออกไป


 


ส่วนปริมาณของเลือดที่จะต้องบริจาค ก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ระดับของความผิดที่ได้ก่อเอาไว้


 


ทว่าหากเป็นผู้ที่กระทำความร้ายอย่างร้ายแรง คงไม่จำเป็นต้องใช้มัน เพราะการจะล้างความผิดบาปของพวกเขา ก็คงต้องแลกกับการบริจาคเลือดทั้งตัว!


 


ดังนั้นจะต้องเป็นผู้ที่กระทำความผิดเล็กๆน้อยๆเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอดกลับมาได้หลังจากที่ใช้เจ้าเครื่องจักรนี้


 


แต่ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ เจ้าสิ่งนี้น่ะเป็นวิธีการเดียวเท่านั้นที่คนธรรมดาทั่วไปจะสามารถใช้มันเพื่อต่อต้านเครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาได้


 


หลังจากทั้งหมดนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นอาชญากรรมเล็กหรือใหญ่ หากคุณถูกพิจารณาคดีโดยเครื่องพิพากษา คนอื่นๆก็ย่อมสามารถทำการจ่ายหยดเลือดเพื่อโหวตได้


 


ดังนั้นจึงมีผู้คนจำนวนไม่น้อยเลยที่ถูกโหวตให้รับโทษตาย ทั้งๆที่ความผิดบาปของพวกเขาก็ไม่ได้ร้ายแรงถึงขนาดนั้น


 


ด้วยเหตุนี้ ธุรกิจของทางฝั่งตู้ถ่ายสติ๊เกอร์จึงมีลูกค้าไหลมาเทมาอย่างต่อเนื่อง


 


ด้วยเหตุนี้ เครื่องจักรจากปรภพที่แม้ภายนอกอาจจะดูไร้สาระเหล่านี้ กลับสามารถช่วยบรรเทาความตึงเครียดและความวิตกกังวลของผู้คนในวันสิ้นโลกได้อย่างน่าเหลือเชื่อ!


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องพิพากษาความปรารถนา


 


หลังจากที่มันปรากฏตัวขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนจู่ๆก็ดีขึ้นทันตาเห็น


 


“ว่าแต่ว่านะ ไอ้รางวัลที่นายได้รับจากเครื่องจักรพิพากษามันคืออะไรกัน?” ซางหยิงฮ่าวหันไปถามเย่เฟย์หยู


 


“เป็นการดัดแปลงเทคนิคเทียนซวนของฉันน่ะ ทำให้ตอนนี้ฉันสามารถกำหนดเสียงที่ตัวเองต้องการจะได้ยินได้แล้ว” เย่เฟย์หยูตอบด้วยรอยยิ้ม


 


“อ้อ งั้นก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะ ทีนี้นายคงจะสามารถพูดคุยกับแฟนตอนไหนก็ได้แล้วสิ”


 


“ใช่”


 


……….


 


ช่วงเวลากลางคืน


 


ณ ย่านที่ห่างไกล


 


ในที่ๆไม่ได้ถูกใช้งาน และคนอื่นๆที่อาศัยอยู่ก็ได้แยกย้ายกันออกไปจนหมดแล้ว


 


จู่ๆกลับปรากฏว่ามีกองกำลังก่อการร้ายติดอาวุธหนักกำลังห้อมล้อมสถานที่แห่งนี้อยู่


 


พวกเขากระจายตัวกันออกไปทุกทิศทาง สองตาสอดส่ายไปโดยรอบ ขณะที่สองหูตั้งใจฟังทุกสรรพเสียงที่เกิดขึ้น


 


ในใจกลางของฝูงชน เป็นพื้นที่เปิดโล่ง


 


และมีสี่ตู้เกมแห่งวันสิ้นโลกวางอยู่เคียงข้างกันที่นี่


 


กลุ่มคนลึกลับที่สวมเสื้อโค้ทสีดำพร้อมด้วยหมวกปีกกว้างกำลังยืนอยู่หน้าตู้เกมวันสิ้นโลก


 


“เริ่มกันเลยไหมท่าน?” คนหนึ่งเอ่ยถาม


 


“เริ่มได้เลย” เสียงชรากล่าวออกมา


 


ทันทีที่เสียงนี้ตกลง กลุ่มคนติดอาวุธหลายคนก็เดินเข้ามายืนอยู่ข้างตู้คีบตุ๊กตา


 


หนึ่งในนั้นจับไปที่เครื่องและกดมือของเขาลงไป


 


เครื่องคีบตุ๊กตาพลันส่องสว่าง พร้อมกับเสียงเพลงที่ดังขึ้น


 


“จำเป็นต้องใช้หยดเลือด ต่อการเล่นมันหนึ่งครั้ง”


 


ติ๊งต่อง!


 


“ฉันต้องการจับตัวประธานาธิบดีของสหพันธรัฐ รัฐบาลกลาง คุณสามารถทำได้หรือไม่?”


 


“โปรดระบุชื่อและอายุของเขา”


 


ชายคนนั้นตอบกลับไป


 


และเครื่องคีบตุ๊กตาก็เงียบไปสักพัก ก่อนจะสารภาพว่า “กระผมไม่สามารถจับตัวคนๆนี้ได้”


 


“ทำไมกัน? เพราะเขาไม่ใช่คนธรรมดาอย่างงั้นหรอ?” ชายคนนั้นอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม


 


“เปล่า แต่เป็นเพราะว่าคุณมีความชั่วร้ายอยู่ในจิตใจต่างหาก”


 


ชายคนนั้นหันศีรษะของเขาไปมองด้านหลัง


 


“เปลี่ยนเครื่องซิ” เสียงชรากล่าว


 


จากนั้นชายติดอาวุธก็เดินไปที่เครื่องจักรพิพากษาความปรารถนาและกล่าวว่า “ฉันต้องการพิพากษาคน”


 


และเสียงตอบสนองก็กังวานขึ้นทันที


 


“ลูกค้าที่เคารพ โปรดระบุตัวคนบาปที่คุณต้องการจะพิพากษาด้วยว่าเขาเป็นใคร”


 


ชายคนนั้นเอ่ยเสียงเบาราวกระซิบว่า “ฉันต้องการพิพากษาประธานาธิบดีแห่งรัฐบาลกลาง”


 


“กระผมไม่สามารถพิพากษาคนๆนี้ได้” เครื่องจักรสารภาพ


 


“ทำไมกัน? ก่อนหน้านี้ประธานศาลแห่งรัฐบาลกลางยังถูกคุณพิพากษาได้เลย แล้วทำไมพอเป็นประธานาธิบดีแล้วถึงไม่ได้กัน?” ชายคนนั้นถาม


 


เครื่องจักรตอบ “แม้ว่าเขาจะเป็นคนเจ้าเล่ห์จอมวางแผนก็จริง แต่ทั้งหมดที่ทำมันก็เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน ดังนั้นเขาจึงไม่ใช่คนบาป”


 


หลายคนหันมามองหน้ากันอย่างว่างเปล่า


 


“บัดซบเอ๊ย!” เสียงชราตวาดคำหนึ่ง


 


“นี่มันแปลกจริงๆ เราได้ฆ่ามันไปตั้งหลายครั้งแล้ว แต่สุดท้ายมันก็ยังกลับมาลอยหน้าลอยตาได้” เสียงชรากล่าว “คราวนี้แม้กระทั่งเจ้าพวกเครื่องบ้าๆนี่ก็ยังคิดปกป้องมันอีก!”


 


“ในประวัติศาสตร์ของรัฐบาลกลาง เราได้ใช้วิธีการคล้ายคลึงกับแบบนี้ทำการเปลี่ยนผ่านประธานาธิบดีมาหลายครั้งแล้ว แต่ทำไมพอมาถึงยุคของเจ้าบ้านี่มันถึงได้ล้มเหลวซะทุกครั้งเลยกัน?” เสียงชราบ่น


 


“ปัญหาสำคัญก็คือ จำนวนคนที่เอนเอียงไปทางมันเริ่มจะมีจำนวนมากขึ้นอีก”


 


“ไม่ว่าจะเป็นเทพนักสู้จากตระกูลซาง กับเจ้านักฆ่ารุ่นใหม่นั่นที่กำลังปกป้องมัน”


 


“แล้วก็เจ้านักวิทยาศาสตร์ที่แสนจะน่ารังเกียจนั่นอีก!”


 


“ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ว่านโยบายอะไรที่มันปล่อยออกมาใหม่ คะแนนเสียงก็คงจะโหวตให้ผ่านทั้งหมด!”


 


“ไปเตรียมการลอบสังหารครั้งต่อไปซะ ถ้ามันเป็นแมวเก้าชีวิตไม่ยอมตายซักที ฉันนี่แหละจะเป็นคนฆ่ามันจนกว่าจะครบทั้ง 9 ชีวิตเอง!”


 


“รับทราบ!”


 


หลังจากกล่าวจบ คนเหล่านั้นก็ถอนกำลังออกจากย่านพื้นที่ห่างไกลนี้ไปอย่างรวดเร็ว


 


……..


 


“งั้นฟังก์ชั่นของพวกคุณก็เป็นแบบนี้เองสินะ?” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่อยากจะเชื่อ


 


“ใช่” เครื่องจักรพิพากษากล่าว


 


“แล้วเรื่องนรกล่ะจะว่ายังไง?”


 


เครื่องพิพากษากล่าว “โปรดลองดูที่หมายเลขของพวกเราสิ”


 


“ฉันเห็นแล้ว แต่ละเครื่องที่มาถึงมันแตกต่างกันมี  1 , 12 , 23 , 47”


 


“เครื่องจักรที่คอยจัดการธุระทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับทางปรภพ มีทั้งสิ้นตั้งแต่หมายเลข 1 ถึง 88 โดยสิ้นเชิงแล้วจึงมี 88 เครื่อง”


 


“ในฐานะที่เป็นเครื่องจักรที่คอยจัดการชีวิตความเป็นไปตามแต่ละวันในปรภพ พวกเราจึงสามารถจัดการได้ทุกปัญหา และนอกจากนี้ยังมีความสามารถให้การให้ความบันเทิงอีกด้วย”


 


“นี่ก็เพื่อบรรเทาความกดดันจากการทำงานของพวกอสูรกาย และปรับปรุงคุณภาพชีวิตของอสูรกายในปรภพให้ดียิ่งขึ้น”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “แล้วพวกเครื่องจักรที่รับผิดชอบในการต่อสู้กับนรก หรือเครื่องจักรที่ใช้รับมือกับพวกคนตายล่ะ?”


 


“นั่นนับว่าเป็นเรื่องที่โชคร้ายจริงๆ ที่ในระหว่างเดินทางมายังโลก เว้นไว้เพียงแต่พวกเราทั้ง 4 เครื่อง , เครื่องอื่นๆต่างก็ล้วนได้รับความเสียหาย”


 


“แล้วพวกเขาได้รับความเสียหายได้อย่างไร?”


 


“เส้นทางเข้าสู่โลกตอนนี้มันอันตรายมาก และไม่ง่ายเลยที่จะมาถึง”


 


“แล้วไม่มีกำลังเสริมอื่นๆอีกเลยหรอ?”


 


“ก็มีนะอย่างเช่น ‘สิ่งประดิษฐ์เทวะจากยุคโบราราณ’ แต่พวกเขายังคงหาพยายามรักษาทางปรภพอยู่ ก็เลยยังมาไม่ได้ ดังนั้นกำลังเสริมจึงมีเพียงแค่พวกเราเท่านั้น”


 


“หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ พวกคุณทั้ง 4 เครื่องมันไม่เพียงพอที่จะสามารถรับมือกับนรกได้ใช่ไหม?”


 


“เพียงพวกเรา 4 เครื่อง ย่อมไม่สามารถทำได้จริงๆ”


 


……


 


กู่ฉิงซานหันไปมองคนอื่นๆ แล้วก็เห็นถึงประกายแห่งความสิ้นหวังอันลึกล้ำในแววตาของอีกฝ่าย


 


“ใต้เท้า มีข้อมูลเร่งด่วนถูกส่งเข้ามา!”


 


จู่ๆเสียงของเทพธิดากงเจิ้งก็ดังขึ้น


 


พร้อมกับจอม่านแสงที่ผุดออกมา


 


บนทะเลทราย ปราสาทขนาดใหญ่ได้ถูกสร้างขึ้นและเสร็จสมบูรณ์แล้ว!


 


เหล่ายักษ์เริ่มที่จะเดินออกมาสำรวจนอกทะเลทราย และทำการโจมตีเมือง


 


ด้วยพลังอำนาจอันเหนือชั้นที่พวกมันมี เพียงโบกมือและย่ำเท้าลงไป ก็เพียงพอแล้วที่จะสามารถโจมตีเมืองและยึดครองได้โดยง่าย!


 


กองยานรบประจัญบานของรัฐบาลกลางกำลังระดมยิงปืนใหญ่จากบนท้องฟ้าลงไปอย่างต่อเนื่อง แต่น่าเสียดาย ที่มันดูจะส่งผลแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น


 


พอโดนมากๆเข้าก็ชักจะรำคาญ ร่างยักษ์ใหญ่ที่สูงโดดเด่นกว่าตัวอื่นๆเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า กล้ามเนื้อบนสองขาของมันเกร็งแน่นและตึง!  ทะยานขึ้นไปยังเบื้องบนด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มันมี


 


มันกระโดดขึ้นไปในอากาศ และคว้าจับยานรบประจัญบายลำหนึ่งเอาไว้


 


“ฮว๊ากกกกกกก จงลงมาซะดีๆ!” ยักษ์ใหญ่คำรามลั่น


 


แล้วมันก็ใช้น้ำหนักตัว ลากยานรบประจัญบานลงมาจากท้องฟ้า


 


ตูมมม!


 


ยานรบกระแทกกับพื้นดิน บังเกิดทั้งแรงทั้งเสียงระเบิดสั่นสะเทือนไปทั้งตลอดทั้งสวรรค์และโลก


 


ยานรบประจัญบานลำอื่นที่ลอยลำอยู่บนอากาศรีบยกระดับขึ้นไปซ่อนตัวในที่สูงกว่าเดิมอย่างรวดเร็ว


 


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าพวกคนเป็น จงยอมจำนนเสีย แล้วจากนั้นก็เฝ้ารอคอยมาเป็นอาหารของพวกเราซะ!” ยักษ์ใหญ่หัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง


 


ม่านแสงสว่างวาบ


 


ณ เมืองหลวงของสาธารณรัฐฟูซี


 


โลงศพยักษ์ได้ผุดออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่าอีกครั้ง


 


พวกมันลอยอยู่เหนือระดับตัวเมืองอย่างเงียบๆ และทยอยกันเพิ่มปริมาณมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ


 


ทุกประเภทของเสียงคร่ำครวญโหยหวนแปลกๆด้วยความเจ็บปวด ดังลอดออกมาจากโลงศพ


 


และม่านแสงก็สว่างวาบอีกครั้ง


 


คราวนี้เป็นเมืองหลวงของรัฐบาลกลาง


 


ที่มีโลงศพยักษ์ปกคลุมหนาแน่นไปทั่วผืนฟ้า!


 


การที่เมืองหลวงของทั้งสองประเทศถูกปกคลุมด้วยนรกเช่นนี้ … มันย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญเป็นแน่!


 


กู่ฉิงซานเฝ้าดูแต่ละฉากในจอม่านแสง เขาค่อยๆสูดหายใจลึกๆอย่างช้าๆ


 


เขารีบสงบใจและเอ่ยถามออกไป “แล้วทางฝั่งนรกเยือกแข็งเป็นยังไงบ้าง?”


 


จอม่านแสงสลับเปลี่ยนภาพไป


 


ในมุมมองจากดาวเทียมบนอวกาศ พื้นที่ขนาดเล็กๆกว่าครึ่งหนึ่งของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ได้กลายเป็นพื้นที่สีขาวไปแล้ว


 


หิมะและน้ำแข็งกำลังกัดกินดินแดนของประเทศนี้อย่างเงียบๆ


 


“ใต้เท้า นอกจากนี้ยังมีสถานการณ์ใหม่ปรากฏขึ้นอีกด้วย” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว


 


“ยังมีสถานการณ์ใหม่ … เพิ่มขึ้นอีกหรือ” กู่ฉิงซานเอ่ยทวนซ้ำอย่างช้าๆ


 


จอม่านแสงสว่างวาบ


 


ภายในภาพ มันคือประเทศเล็กๆแห่งหนึ่งในโลก


 


และกำลังเกิดแผ่นดินไหวปะทุขึ้นอยู่บนประเทศนี้


 


บ้านถล่มลงมา ตัวสะพานแขวนได้รับความเสียหาย ประชาชนกำลังกรีดร้องหลบหนีไปทั่วทุกสถานที่


 


ทว่าแผ่นดินไหวกลับยังคงปะทุอย่างต่อเนื่อง และไม่เคยหยุดนิ่งเลย


 


ใต้พื้นดินลงไป มีโครงกระดูกขาวผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง


 


โครงกระดูกเหล่านี้ถูกซ้อนกันเป็นชั้นๆ กองๆกันจนกลายเป็นภูเขาโครงกระดูกสีขาว


 


แผ่นดินยังคงไหวต่อเนื่อง และซากโครงกระดูกแห้งกรังยังคงผุดออกมาจากใต้ดินตลอดเวลา และกระบวนการนี้กินเวลาเป็นหลายชั่วโมง


 


“ไม่คาดคิดเลยจริงๆ ว่าคุกกระดูกก็จะมายังโลกใบนี้แล้วด้วยเหมือนกัน” เครื่องพิพากษาความปรารถนาจ้องไปในจอม่านแสง ถอนหายใจด้วยความหดหู่


 


กู่ฉิงซานไม่อาจฝืนยับยั้งตัวเองได้อีกต่อแล้ว เขาหันไปเผชิญหน้ากับเครื่องพิพากษาและเร่งถามออกไป “มันเกิดอะไรขึ้นกับทางปรภพกันแน่? บอกให้พวกเรารู้สึกนิดเลยก็ไม่ได้หรือ?”


 


เครื่องพิพากษากล่าวอย่างสงบ “บอกไม่ได้หรอก นี่ก็เพื่อประโยชน์ของตัวนายเองนะ”


 


กู่ฉิงซาน “โลกกำลังจะพินาศอยู่แล้ว เรื่องประโยชน์บ้าบออะไรนั่นฉันไม่สนแล้ว!”


 


เครื่องพิพากษาอธิบายออกมาในที่สุด “มีเพียงสิ่งมีชีวิตระดับเทพวิญญาณเท่านั้นที่สามารถมองเห็นถึงมันได้ แต่ไม่สามารถกล่าวถึงได้”


 


“มิฉะนั้นทันทีที่นายพูดอะไรเกี่ยวกับมัน การดำรงอยู่ของบางสิ่งที่ดุร้ายและแข็งแกร่งเป็นพิเศษจะรับรู้ทันที และมันจะไล่ตามเสียงนั้นมุ่งมายังที่โลกใบนี้โดยตรง”


 


“เชื่อกระผมเถอะ ว่าถ้าบอกออกไปแล้วนายคงไม่แคล้วจะต้องตายทันที”


 


กู่ฉิงซานเงียบไป


 


เขากำลังเฝ้าดู ‘สี่นรก’ ที่อุบัติขึ้นบนจอม่านแสง


 


ดูเหมือนว่าเวลานี้ มนุษยชาติคงต้องสูญพันธุ์เป็นแน่


 


โลกได้มาถึงจุดจบแล้ว …


 


เหลียวฮังหันหลังและวิ่งปลีกตัวออกไป


 


“เฮ้ย นั่นคุณจะไปไหนน่ะ?” เย่เฟย์หยูตะโกน


 


“เทพธิดากงเจิ้ง ช่วยอนุมัติสิทธิ์ให้ฉันสร้างยานอวกาศใหม่เร็วเข้า – พวกเราจะหนีออกจากดาวดวงนี้กัน!” เหลียวฮังวิ่ง ขณะเดียวกันก็ตะโกนออกมา


 


“ใต้เท้า อนุมัติสิทธิ์ให้เขาหรือไม่?” เทพธิดากงเจิ้งเอ่ยถาม


 


และเธอก็เอ่ยเสริมว่า “หากวิเคราะห์ตามสถานกาณ์ โลกกำลังจะถูกทำลายลง และกลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือการหนีออกจากโลกก่อนที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น”


 


“นอกจากนี้ ยานอวกาศขนาดใหญ่ที่มีอยู่อาจจะถูกพบเจอกับมอนสเตอร์เอกภพได้โดยง่าย แต่มิสเตอร์เหลียวฮังน่ะเคยควบคุมยานอวกาศขนาดเล็กมาหลายปี ดังนั้นจึงมีประสบการณ์มากมายในการขับเคลื่อนยานในอวกาศ – ฉะนั้นการปะทะเข้ากับมอนสเตอร์เอกภพจึงมีโอกาสเป็นไปได้ต่ำมากหากคุณไปกับเขา นอกจากนี้มิสเตอร์เหลียวยังมีเทคโนโลยีจั๊มป์เอาไว้ในครอบครองอีกด้วย นี่จะช่วยรับประกันได้ว่าหากพบเจออันตราย คุณก็จะยังคงสามารถมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้”


 


“แล้วยังไง? จากนั้นก็ใช้ชีวิตไปวันๆ เตร็ดเตร่ไปทั่วจักรวาลตลอดไปยังงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยเสียงเย็น


 


พอถูกอีกฝ่ายดุ เทพธิดากงเจิ้งก็เงียบไป



หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.377 – สายธารแห่งการหลงเลือนยังไงล่ะ!


 


ณ พื้นที่เปิดโล่งบนหุบเขา


 


กู่ฉิงซานและคนอื่นๆกำลังเฝ้าดูเรือรบประจัญบานขนาดเล็กบินหายลึกเข้าไปในท้องฟ้า


 


นั่นคือยานของเหลียวฮังที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเฉินเตี้นเฮ่า


 


ตราบใดที่เขาได้รับการอนุมัติจากกู่ฉิงซาน เขาก็จะสามารถดัดแปลงยานอวกาศขนาดเล็กได้ในทันที


 


ซางหยิงฮ่าวกล่าว “ในเมื่อโลกมันเป็นแบบนี้ บางครั้งการเผชิญหน้ากับความจริงมันก็เป็นความกล้าหาญอย่างหนึ่งนะ”


 


เขาตบลงบนไหล่กู่ฉิงซานและกล่าวว่า “นายลองตัดสินใจดูก่อนก็แล้วกัน”


 


กู่ฉิงซานพยักหน้า และหันไปมองทางเย่เฟย์หยู


 


เย่เฟย์หยูรีบเอ่ยออกมาว่า “ถ้ายังมีความหวังที่จะชนะนรกพวกนี้อยู่ ฉันก็ยินดีที่จะร่วมสู้ไปกับนาย แต่ถ้านายต้องการที่จะหนีจริงๆ ได้โปรดพาฉัน แม่ฉัน แล้วก็ป้ายหลุมศพแฟนฉันไปด้วย ฉันขอแค่นี้แหละ”


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจ “ฉันขอคิดมันอย่างรอบคอบอีกครั้งก็แล้วกัน ถ้ามันเป็นไปไม่ได้จริงๆก็คงต้องไปเท่านั้น … ”


 


ซางหยิงฮ่าวกับเย่เฟย์หยูสบตากันวูบหนึ่งและปิดปากเงียบ


 


กู่ฉิงซานปลีกตัว แยกเดินออกไปทางยอดหุบเขาคนเดียวลำพัง


 


มองตามแผ่นหลังของเขาไป เย่เฟย์หยูเอ่ยถามออกมาว่า “เขาจะไม่เป็นไรใช่ไหม?”


 


ซางหยิงฮ่าวหยิบสมองควอนตัมออกมา และเริ่มติดต่อกับสมาชิกในครอบครัว ปากเอ่ยกล่าว “เขาไม่เป็นไรหรอก ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจยังไง ฉันก็จะพาน้องสาวฉันไปก่อนเป็นอันดับแรก”


 


“อ้าว นี่นายมีน้องสาวด้วยหรอ?” เย่เฟย์หยูกล่าวอย่างประหลาดใจ


 


“เออสิ พ่อแม่ก็มีนะ แฟนด้วย” ซางหยิงฮ่าวกล่าว


 


“งั้นฉันคงต้องรีบติดต่อแม่ของฉันซะแล้ว” เย่เฟย์หยูกล่าว ขณะเดียวกันก็หยิบสมองควอนตัมออกมา


 


…….


 


กู่ฉิงซานเดินขึ้นไปบนยอดเขา


 


สายลมที่พัดโชยช่างเย็นฉ่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงค่ำคืน


 


และมันก็คงจะเป็นค่ำคืนที่น่ารื่นรมย์ไม่น้อย หากไม่มีเงาดำของโลงศพที่แน่นขนัดไปทั่วผืนฟ้า ปกคลุมอยู่เหนือเมืองหลวงให้เห็นจากในระยะไกลออกไป


 


กู่ฉิงซานเอนตัวนั่งลงเอาหลังพิงกับต้นไม้


 


เขาถอนหายใจยาว


 


ไม่คาดคิดเลยว่าจะสถานการณ์ของโลกในตอนนี้ จะข้ามขั้นเข้มข้นรุนแรงยิ่งกว่าในชีวิตก่อนหน้าของเขาไปซะแล้ว


 


แม้ว่าจะได้แจกจ่ายวิชาลับในการฝึกยุทธ รวมไปถึงน้ำยาเสริมศักยภาพหวูเต๋า , น้ำยาปลุกเทียนซวน หรือน้ำยากระตุ้นธาตุทั้งห้า ทั้งสามน้ำยาไปแล้วก็ตาม แต่นั่นมันก็พึ่งทำได้แค่ในระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น


 


มนุษยชาติยังไม่มีเวลามากพอที่จะพัฒนาไปอีกระดับ


 


ถึงแม้ว่าตนจะเป็นนักดาบนิรันดร์ แต่ด้วยตัวเขาเพียงลำพัง มันก็ไม่มีพลังมากพอที่จะเอาชนะทั้งสาม .. ไม่สิ ตอนนี้ได้กลายเป็นสี่นรกแล้วได้หรอก


 


ถึงต่อให้เขาเลือกที่จะผสานรวมโลกใบนี้เข้ากับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่ามันจะสายเกินไป


 


นี่ฉันไม่สามารถทำอะไรได้เลยจริงๆหรอ?


 


มันได้มาถึงช่วงเวลาสุดท้ายแล้วจริงๆน่ะหรือ?


 


ทันใดนั้นสมองควอนตัมของเขาพลันส่องสว่างขึ้น


 


และเสียงของเหลียวฮังก็ดังออกมา “กู่ฉิงซาน ช่วยอนุมัติสิทธิ์อำนาจให้ฉันเร็วๆเข้า ฉันต้องการจะให้เทพธิดากงเจิ้งช่วยจัดเตรียมวัสดุและเป็นผู้ช่วยฉันสร้างยานอวกาศ!”


 


“มันจะมีเวลาพอหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“แน่นอนสิวะ! ครั้งก่อนที่กลับมา เป็นเพราะว่ามีปัญหาเรื่องจำนวนประชากรในยาน และตอนนี้ฉันจะไม่ทำมันผิดพลาดอีก!”


 


เหลียวฮังสบตากับเขา ถลกแขนเสื้อขึ้นและแกว่งแขนไปมา “ฉันจะทำให้มันยิ่งใหญ่ที่สุดเลย เอาให้นรกพวกนี้ไม่อาจเอื้อมมือมาสัมผัสกับลูกๆหลานๆของพวกเราได้อีกเลย!”


 


กู่ฉิงซานมองดูเหลียวฮัง ที่กำลังเผยท่าทีเต็มไปด้วยจิตวิญญาณออกมา


 


เขายิ้มและเอ่ยออกมาว่า “เข้าใจแล้ว เทพธิดากงเจิ้ง ทำการอนุมัติให้เขาด้วย”


 


“รับทราบ” เทพธิดาตอบรับ


 


เและแสงบนสมองควอนตัมก็ดับลง กู่ฉิงซานงึมงำออกมาว่า “คุณเหลียวนี่ช่างเป็นคนที่สุดยอดโดยแท้ ขนาดตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาก็ยังไม่แสดงท่าทีว่ากำลังกดดันออกมาเลย”


 


เทพธิดากงเจิ้งกล่าว “ใต้เท้าต้องการที่จะช่วยเหลือดาวดวงนี้ แต่เขาต้องการที่จะหลบหนี ความกดดันมันย่อมแตกต่างกันเป็นธรรมดา โปรดอย่าใส่ใจเกี่ยวกับมันมากเกินไป”


 


กู่ฉิงซานยิ้ม “ฉันรู้หน่า”


 


เขาหลับตาลงและเริ่มคิดอย่างหนักเพื่อที่จะหาวิธีการตอบโต้


 


นับตั้งแต่ในชีวิตก่อนหน้า กระทั่งตนเองได้กลับมาจุติใหม่อีกครั้งในชีวิตนี้ ในแต่ละสงคราม ในแต่ละการต่อสู้ ในแต่ละจุดเปลี่ยน ในแต่ละวิธีการ ในแต่ละเทคนิคฝึกยุทธ และแม้กระทั่งในแต่ละอุปกรณ์ฝึกฝน ในแต่ละเหตุการณ์ ค่อยๆข้ามผ่านเข้ามาในหัวใจของกู่ฉิงซานอย่างช้าๆ


 


เขาพยายามขบคิดอย่างหนัก ไตร่ตรองอย่างดีที่สุดเพื่อที่จะได้พบร่องรอยแห่งการเอาชีวิตรอดจากกับดักแห่งความตายในตอนนี้


 


เวลาได้ไหลผ่านไปเรื่อยๆ


 


กู่ฉิงซานนิ่งงันไม่ไหวติง ทั้งคนทั้งร่างจมลงสู่ห้วงคนึงคิด


 


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนรก ไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือปัจจุบันนี้ เหล่าผู้ฝึกยุทธต่างก็ไม่ได้มีส่วนช่วยเหลือพวกเขามาก่อนเลย


 


ดังนั้นการคิดพึ่งพาพวกเขา นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นความพยายามที่ไร้ประโยชน์


 


ค่ำคืนได้ผ่านพ้นไปโดยไม่รู้ตัว


 


รุ่งอรุณกำลังใกล้เข้ามา และช่วงเวลานี้ก็นับได้ว่าเป็นชั่วโมงที่มืดมิดที่สุดของวัน


 


ทั่วบริเวณยอดเขา ทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยความมืด ไม่มีแม้กระทั่งแสงเดือนหรือแสงดาว


 


กู่ฉิงซานที่เงียบมานานแล้วก็ยังมิอาจค้นหาวิธีพบ


 


เขาเริ่มเอ่ยกับตัวเองออกมา


 


“ปรภพ … มันเป็นไปไม่ได้จริงๆหรอที่จะเข้าไปสำรวจที่นั่น มันไม่มีวิธีที่จะสามารถสื่อสารกับปรภพได้จริงๆน่ะหรือ?”


 


แต่แล้วทันใดนั้นเอง เขาก็พลันตระหนักได้ถึงบางสิ่ง


 


เขาจำได้ว่าครั้งหนึ่ง เช่าหยินเคยใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ ‘ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทม’ จนได้รับหยดน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือนมาจากโครงกระดูกชุดคลุมดำมา


 


นี่คือสิ่งที่จากปรภพ และเป็นสมบัติล้ำค่าที่โครงกระดูกชุดคลุมดำใช้เวลานับพันปีกว่าจะได้มันมา


 


“เช่าหยิน” กู่ฉิงซานเรียก


 


ฮู้มม!


 


ดาบเช่าหยินผุดออกมาจากความว่างเปล่า


 


“น้ำของสายธารแห่งการหลงเลือน มันใช้ทำประโยชน์อะไรได้บ้าง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


เช่าหยินส่งเสียงฮึมฮัม


 


“เจ้ากำลังจะบอกว่า เจ้าสามารถหลอมกลั่นมันและละลายมันให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวเองได้อย่างงั้นหรือ?”


 


ดาบเช่าหยินผงกด้ามดาบ และส่งเสียงหึ่งๆออกมาอย่างต่อเนื่อง


 


“หลอมกลั่นอย่างรวดเร็ว และจากนั้นเจ้าก็จะได้รับการยอมรับจากสายธารแห่งการหลงเลือน และสามารถอยู่ในสายธารได้โดยใช้ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทม … ” กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ “สายธารแห่งการหลงเลือน สายธาร .. ”


 


เขายิ้มออกมาอย่างขมขื่นและส่ายหัวอย่างช้าๆ


 


มันดูเหมือนว่าน้ำจากสายธารแห่งการหลงเลือนนี่จะนับว่าเป็นสมบัติอย่างแท้จริง


 


อย่างไรก็ตาม สมบัติดังกล่าวนี้สามารถทำงานได้กับสายธารแห่งการหลงเลือนของปรภพเท่านั้น มันไม่สามารถใช้แก้ปัญหาสี่นรกที่กำลังอุบัติขึ้นบนโลกใบนี้ได้


 


ไม่ว่าอย่างไร โลกก็จะต้องถูกทำลาย


 


เดี๋ยวๆ ….


 


เดี๋ยวก่อนนะ!!!


 


สายธารแห่งการหลงเลือน-


 


ดูเหมือนว่าในตอนที่เขากลับมาสู้โลกจริง ตนจะได้ทำการตรวจสอบมรดกของนิกายร้อยบุปผาไปรอบนึงแล้วนี่นา


 


ในเวลานั้น ตนได้ทำการตรวจสอบสกิลเทวะในใบหยกทั้งหมด และดูเหมือนว่า …


 


กู่ฉิงซานรีบหยิบถุงหอมหลากสีออกมาอย่างรวดเร็ว


 


เขาตรวจสอบมันสักพัก และหยิบเอาอะไรบางอย่างออกมา


 


มันคือใบหยก


 


ใบหยกนี้ บันทึกสกิลเทวะประเภทหกวิถี – สายธารแห่งการหลงเลือน


 


กู่ฉิงซานแช่จิตสัมผัสเทวะลงไปยังมัน และอ่านเนื้อหาภายในอย่างรอบคอบ


 


“การที่จะฝึกฝนสกิลเทวะนี้ จำเป็นต้องมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้”


 


“เป็นผู้ฝึกยุทธหญิง”


 


“มีพรสวรรค์ทางพลังวิญญาณในการใช้ธาตุทั้งห้าในขั้นห้า”


 


“ครอบครองเทคนิคเทียนซวน : เพรียกวิญญาณ”


 


“ครอบครองเทคนิคลับ : ผนึกร่างสู่หยิน”


 


“ครอบครองเทคนิคลับ : วิญญาณหวนคืน”


 


“ครอบครองเชื่อมต่อหกวิถี : เรือข้ามปรภพ”


 


พอได้กวาดสายตาอ่านมันจนจบ กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะอีกครั้ง


 


เพียงแค่กฏข้อแรกมันก็ไม่สอดคล้องกับตนเองแล้ว


 


คราวก่อนที่ดูม้น เขาจดจำได้ว่าเงื่อนไขในด้านการฝึกยุทธของเขาไม่เพียงพอ ตนจึงยอมแพ้ไป


 


แต่ถ้าเขาจำไม่ผิดแล้วล่ะก็!


 


การเรียนรู้สายธารแห่งการหลงเลือน จำเป็นต้องมีสองเทคนิคลับ ซึ่งสองเทคนิคนี้ได้เคยสร้างความประทับใจอันลึกล้ำไว้ให้กับตนเอง!


 


กู่ฉิงซานข้ามส่วนอื่นๆของสกิลเทวะนี้ไป กวาดจิตสัมผัสเทวะลงไปยังสองเทคนิคลับที่จำเป็นต้องมีที่ว่า


 


“เทคนิคลับ : ผนึกร่างสู่หยิน คือการปิดผนึกร่างกาย เพื่อให้ตนสามารถเข้าสู่สภาวะแห่งความตาย มิแตกต่างอันใดไปจากเหล่าผู้คนที่สิ้นชีพลงในโลก”


 


“เทคนิคลับ : วิญญาณหวนคืน : แม้ตนจะตกตาย หรือกระทั่งจิตแห่งตนล่องลอยสู่ปรภพ ก็ยังสามารถที่จะเรียกมันกลับคืนมาได้”


 


หัวใจของกู่ฉิงซานเต้นครึกโครม ใบหยกในมือถูกกำแน่น


 


ท่ามกลางความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด ราวกับว่าเขาจะค้นพบกับร่องรอยของแสงสว่างเดียวที่ยังเหลืออยู่ระหว่างสวรรค์และโลก!


 


แม้นี่จะเป็นแสงสว่างอันเล็กจ้อย และเขาจักต้องโยนตัวเองให้เข้าไปยังโลกที่ตนไม่รู้จัก พบกับความเสี่ยงอันใหญ่หลวง ทว่าเพื่อที่จะไขว่คว้าแสงสว่างนั้น และต่อสู้ดิ้นรนจุดให้มันลุกโชนเติบโตขึ้นจนกลายเป็นเปลวเพลิงอันร้อนแดงดั่งดวงตะวันอันยิ่งใหญ่ ที่สาดแสงสว่างลงมาให้กับโลกทั้งใบ


 


แต่ก่อนหน้านั้น ตนจะต้องหา ‘สองกุญแจ’ ที่จะใช้เปิดมันทั้งหมดซะก่อน


 


สองกุญแจที่ว่านั่นก็คือ –


 


กู่ฉิงซานทิ้งจิตสัมผัสเทวะลงไปในถุงหอมหลากสี และพยายามมองหาพวกมันอย่างถี่ถ้วน


 


เป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็เอื้อมมือเข้าไปสัมผัสมัน และหยิบสองใบหยกมาไว้ในมือ


 


จิตสัมผัสเทวะกวาดลงไปอีกครั้ง และยืนยันว่ามันถูกต้อง


 


ใช่ นี่แหละคือวิธีการที่เขาคิดออกมาได้ในที่สุด


 


“เทคนิคลับ : ผนึกร่างสู่หยิน”


 


“เทคนิคลับ : วิญญาณหวนคืน”


 


กู่ฉิงซานถือสองใบหยกนี้ ราวกับว่ากำลังถือสมบัติที่หาได้ยากยิ่งที่สุดในโลก


 


บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏเส้นแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


 


“คุณค้นพบ เทคนิคลับ : ผนึกร่างสู่หยิน การจะเรียนรู้เทคนิคลับนี้ อย่างน้อยจำเป็นต้องมีพื้นฐานวรยุทธในระดับก้าวสู่เทพ และมีค่าใช้จ่ายเป็น 300 แต้มพลังวิญญาณ”


 


“คุณค้นพบ เทคนิคลับ : วิญญาณหวนคืน การจะเรียนรู้เทคนิคลับนี้ อย่างน้อยจำเป็นต้องมีพื้นฐานวรยุทธในระดับก้าวสู่เทพ และมีค่าใช้จ่ายเป็น 400 แต้มพลังวิญญาณ”


 


“คุณต้องการที่จะเรียนรู้เทคนิคลับเหล่านี้หรือไม่?”


 


โชคดี … โชคดีจริงๆ ที่เวลานี้ตนเองเป็นผู้ฝึกยุทธระดับก้าวสู่เทพขั้นกลาง และมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไข!


 


กู่ฉิมซานลอบยินดีอย่างลับๆ


 


เขาไม่ลังเลเลยที่จะเอ่ยปากว่า “ฉันต้องการที่จะเรียนรู้เทคนิคลับทั้งสอง”


 


“คุณแน่ใจหรือไม่?”


 


“แน่ใจ!”


 


ทันใดนั้น กระแสไอร้อนจากใบหยกก็ไหลเข้าสู่ฝ่ามือของกู่ฉิงซาน และเริ่มแตกแขนงขยายไปทั่วร่างกาย จนในที่สุดก็ไปบรรจบกันที่ทะเลแห่งห้วงสติ


 


กู่ฉิงซานหลับตาลงสักพัก และทำความเข้าใจกับสองเทคนิคลับนี้อย่างเงียบๆ


 


หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ลืมตาขึ้น


 


บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม มีเส้นแสงหิ่งห้อยสองบรรทัดลอยอยู่


 


“คุณได้เรียนรู้ เทคนิคลับ : ผนึกร่างสู่หยิน , เทคนิคลับ : วิญญาณหวนคืน ใช้แต้มพลังวิญญาณไปโดยสิ้นเชิงแล้ว 700 แต้ม”


 


“แต้มพลังวิญญาณปัจจุบัน 4100/300”


 


กู่ฉิงซานเลื่อนสายตาของเขาออกไป จ้องมองดูตลอดทั้งสวรรค์และโลกเบื้องหน้าที่ยังคงมืดมิด


 


ทว่าท่ามกลางความมืดมิด แสงนวลตากำลังค่อยๆแผ่ขยายออกมาจากในระยะสุดสายตาอย่างช้าๆ


 


รุ่งอรุณแห่งวันใหม่กำลังจะถือกำเนิดขึ้น!


 


แสงสว่างแห่งความหวังค่อยๆสาดลงมา ตกกระทบลงกับใบหน้าของเขาที่กำลังเปล่งประกายไปด้วยความมุ่งมั่น!


 


มองย้อนกลับไปเมื่อคืน ที่เขาได้เอ่ยถามถึงทางปรภพว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่เครื่องพิพากษากลับไม่กล้าที่จะเอ่ยกล่าว


 


เพราะคนเป็นมิอาจทำอะไรได้เลยหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปรภพ ดังนั้นตามจิตใต้สำนึกแล้ว เขาจึงไม่ได้เค้นถามต่อไป


 


แต่ตอนนี้ ทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว!!


 


กู่ฉิงซานยืนขึ้น ปากเอ่ยพึมพำ “ในเมื่อไม่มีใครกล้าที่จะพูดเกี่ยวกับมัน ถ้าอย่างงั้นฉันก็ขอไปสำรวจปรภพดูด้วยตาตัวเองซะเลยก็แล้วกัน!!”


 


……



หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.378 – ตาย


 


“ว่าไงนะ! นายต้องการที่จะฆ่าตัวตายอย่างงั้นหรอ!?” เย่เฟย์หยูอุทานด้วยความประหลาดใจ


 


ซางหยิงฮ่าวเอาแต่มองกู่ฉิงซาน นิ่งค้างไปชั่วเวลาหนึ่ง ก็ยังไม่รู้ว่าตนสมควรจะเอ่ยอะไรออกมาดี


 


“อย่าเข้าใจผิดไป ฉันก็แค่พึ่งจะค้นพบวิธีที่จะแยกจิตวิญญาณออกจากกายหยาบเพื่อที่จะได้เข้าไปสำรวจทางปรภพก็เท่านั้นเอง” กู่ฉิงซานอธิบาย


 


ซางหยิงฮ่าวกับเย่เฟย์หยูเหลือบมองกันวูบหนึ่ง


 


“จริงๆหรอ?” เย่เฟย์หยูเค้นถาม


 


“จริงๆสิ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างจริงจัง


 


ดูจากท่าทางและฟังจากน้ำเสียงของกู่ฉิงซาน ทั้งสองก็เริ่มจะเชื่อขึ้นเล็กน้อย


 


“แล้วพวกเราต้องทำอะไรบ้าง?” ซางหยิงฮ่าวกล่าว


 


“คอยปกป้องร่างมนุษย์ของฉันเอาไว้ เพราะถ้าร่างกายของฉันได้รับความเสียหาย เวลาที่จิตวิญญาณของฉันกลับมา มันก็จะไม่สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ และสถานการณ์นั้นจะหมายความว่าฉันได้ตายลงแล้วจริงๆ”


 


“นายสามารถเดินทางไปยังปรภพได้จริงๆน่ะหรอ?” เย่เฟย์หยูอดไม่ได้ที่จะย้ำถาม


 


“ใช่ และมันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“งั้นพวกเราล่ะ? พวกเราสามารถไปด้วยได้ไหม?”


 


“ก็ได้อยู่หรอก ถ้าพวกนายมีพื้นฐานวรยุทธระดับก้าวสู่เทพนะ ว่าแต่อยู่ขั้นไหนกันแล้วล่ะ”


 


“อ่า ฉันปราณปรับแต่งขั้น 7”


 


“เอ่อ ฉันอยู่แค่ระดับก่อตั้งเท่านั้นเอง”


 


……..


 


“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ถ้างั้นฉันจะรับหน้าที่จัดการเรื่องกำลังคนให้เองก็แล้วกัน” ซางหยิงฮ่าวเสนอตัว


 


เขากล่าวต่อด้วยสีหน้าแข็งกร้าว “แต่ไม่ต้องเตือนนายก็คงจะรู้อยู่แล้วใช่ไหม ว่าปรภพน่ะ เต็มไปด้วยสิ่งน่าพรั่นพรึงมากมาย นอกจากนี้ดูเหมือนว่าเจ้านรกพวกนี้ยังหนีออกมาจากทางฝั่งปรภพอีกด้วย ฉะนั้นการที่มันจะปรากฏขึ้นในโลก ทางปรภพจะต้องเกิดสถานการณ์บางอย่างขึ้นอย่างแน่นอน นายจะต้องระมัดระวังให้ดี”


 


“วางใจเถอะ ฉันจะรีบกลับมาทันทีถ้ารู้สึกว่ามันมีอะไรไม่ถูกต้อง” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“ใต้เท้า โปรดทำการเลือกสถานที่ที่จะทำการเก็บรักษาร่างกายมนุษย์เอาไว้ด้วย ส่วนฉันจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องสถานที่นั้นเอง” เทพธิดากล่าว


 


กู่ฉิงซานหันหน้ากลับไปทางหุบเขา มองไปยังทิศทางของวิลล่า “งั้นขอเลือกเป็นในวิลล่าก็แล้วกัน”


 


และทั้งกลุ่มก็กลับไปยังวิลล่า


 


ซางหยิงฮ่าวเปิดอุปกรณ์สื่อสารทันที และเริ่มต้นระดมกำลังพล


 


“งั้นฉันขอรับหน้าที่ปกป้องข้างร่างมนุษย์ของนายก็แล้วกัน” เย่เฟย์หยูกล่าว


 


เทพธิดากงเจิ้งกล่าวต่อ “ส่วนฉันกำลังสร้างมาตรการป้องกันสำหรับใต้เท้า ร้องขอให้ใต้เท้าโปรดรอสักครู่”


 


“โอเค” กู่ฉิงซานตอบรับ ในขณะเดียวกันก็ตบลงบนถุงสัมภาระ และหยิบดิสก์ค่ายกลทั่วไปออกมามากมาย


 


คลังสำรองของนิกายร้อยบุปผานับว่ามั่งคั่งยิ่งนัก มันอุดมไปด้วยดิสก์ค่ายกลอันหลากหลายที่ถูกเก็บสะสมเอาไว้


 


กู่ฉิงซานนำดิสก์ค่ายกลออกมากองหนึ่ง และเริ่มจัดวางค่ายกลประเภทโจมตีและค่ายกลประเภทป้องกันขนาดใหญ่หลายสิบรูปแบบ


 


อย่างไรก็ตาม ศิลาวิญญาณที่จำต้องใช้งานก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว ทว่าสำหรับกู่ฉิงซานแล้ว เขาใช้มันเต็มที่โดยไม่รู้สึกลำบากใจใดๆเลย


 


เพราะเมื่อยามที่จิตวิญญาณออกจากร่างไปยังปรภพ ร่างกายมนุษย์จะเปราะบางมาก กล่าวได้ว่าไร้ซึ่งการป้องกันใดๆ


 


การจัดวางค่ายกลไม่ดี งกนิดๆหน่อยๆโดยไม่สนใจชีวิตตัวเอง หากถึงเวลาคับขันจริงๆก็คงไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้


 


“จัดวางให้คนเป็น สามารถเข้ามาได้ด้วยก็แล้วกัน” กู่ฉิงซานพึมพำ


 


แล้วเขาก็กระตุ้นเปิดใช้งานดิสก์ค่ายกลทั้งหมด


 


ณ ขณะนี้ คนของซางหยิงฮ่าวก็ได้มาถึงแล้ว


 


ซางหยิงฮ่าวเริ่มต้นมอบหมายภารกิจให้เหล่านักฆ่าของเขา


 


เย่เฟย์หยูยืนอยู่อย่างเงียบๆข้างกู่ฉิงซาน ขณะนี้ทั้งคนทั้งร่างของเขาเข้าสู่สถานะตื่นตัวเต็มที่


 


ทุกอย่างได้ถูกเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว


 


กู่ฉิงซานนั่งในท่วงท่าสมาธิ และเริ่มจีบออกด้วยวิชาลับ


 


ผนึกร่างสู่หยินกับวิญญาณหวนคืนจะต้องถูกใช้ออกในเวลาเดียวกัน และจะต้องไม่มีการผิดพลาดใดๆ


 


เพราะถ้าหากใช้ออกด้วยผนึกร่างสู่หยินก่อน คนใช้ก็จะตายลงโดยตรง และไม่มีทางที่จะทันได้จีบออกด้วยวิชาลับวิญญาณหวนคืนเพื่อทำการเรียกจิตวิญญาณของตนกลับคืนเข้าสู่ร่างได้


.


ขณะเดียวกันหากใช้วิญญาณหวนคืนก่อน จิตวิญญาณก็จะตายลงตรงนั้นเลยโดยตรง มิอาจฟื้นคืนชีพได้อีกเลย


 


กู่ฉิงซานจึงต้องใช้สองวิชาลับนี้ในเวลาเดียวกันและ เขาหยุดลงก่อนที่จะทำการร่ายในส่วนสุดท้าย


 


“ฉันขอตายก่อนนะ แล้วพบกันใหม่” กู่ฉิงซานกล่าว


 


เขากระตุ้นพลังวิญญาณในตันเถียน และผนึกมนตราทั้งสองก็ปะทุขึ้นพร้อมกัน!


 


ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็ปิดลงอย่างไม่ตั้งใจ มือไม้อ่อนห้อยต่องแต่งไม่เป็นภาษา


 


ทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานได้สูญสิ้นกลิ่นอายของชีวิตไปแล้ว


 


“เขาตายลงแล้วจริงๆหรอ? นี่มันน่าทึ่งมาก”


 


ถงถงที่เฝ้ามองจากด้านข้างกลืนน้ำลายอึกใหญ่


 


“เขาแค่ตายลงชั่วคราวน่ะ เพื่อที่จะไปตรวจสอบดูว่าทางปรภพมันเกิดอะไรขึ้น เดี๋ยวก็กลับมา” เย่เฟย์หยูกล่าวอย่างเคร่งเครียด


 


เหล่าผู้คนที่รายล้อมต่างก็อดที่อุทานชื่นชมออกมาไม่ได้


 


ซางหยิงฮ่าวกระแอม ก่อนจะกล่าวให้มันชัดเจน “เอาละๆ พวกเราก็มาเริ่มต้นหน้าที่ของแต่ละคนกันได้แล้ว แม้ว่าจะมีพลังอันแสนจะลึกลับนี่คอยปกป้องอยู่ แต่ฉันก็ยังอยากจะให้ทุกคนกระจายตัวกันออกไปลาดตระเวนรอบหุบเขานะ ถ้ามีสถานกานการณ์อะไรแม้จะเล็กๆน้อยๆเกิดขึ้นก็ขอให้รายงานทันที เราจะต้องแน่ใจว่าจะไม่เกิดความผิดพลาดใดๆ”


 


“เหล่าพี่น้องทั้งหลาย นี่ก็เพื่อการปกป้องโลก หากสิ่งที่เรียกว่าคุณงามความดีมีอยู่จริง ก็หวังว่าการกระทำของเราในครั้งนี้ จะส่งพวกเราไปในภพภูมิที่ดีหลังจากที่ตายลงแล้ว”


 


เหล่านักฆ่าตะโกนขานรับ


 


พวกเขาทั้งหมดได้ลิ้มรสชาติอันหอมหวานของสิ่งที่เรียกว่าการฝึกยุทธแล้ว แถมตอนนี้พวกเขาก็ยังได้เห็นฉากที่ดูมีมนต์ขลังเช่นนี้อีก จึงย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีแรงจูงใจที่จะปฏิบัติภารกิจให้ดีที่สุดสำหรับประวัติการณ์ใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้!


 


วิลล่ากลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง


 


เหลียวฮังยังคงอยู่ในเฉินเตี้ยนเฮ่าเพื่อทำการประกอบยานอวกาศใหม่


 


ส่วนซางหยิงฮ่าวกับเย่เฟย์หยู ก็คอยรับหน้าที่ป้องกันที่นี่


 


“แต่แค่พวกเราจะพอหรอ?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถาม


 


“นอกเหนือจากเรา ยังมีเทพธิดากงเจิ้งที่คอยตรวจตราบนท้องฟ้าอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นนี่ก็สมควรที่จะไม่มีปัญหาอะไร” ซางหยิงฮ่าวกล่าว


 


“ถ้างั้น แล้ว … เขาล่ะ?”


 


“เขาก็คงต้องพึ่งพาตัวเองแล้ว” ซางหยิงฮ่าวถอนหายใจ


 


“นั่นสินะ เรื่องการเข้าสู่ปรภพน่ะ ไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้หรอก” เย่เฟย์หยูเอ่ยเสริม


 


ทั้งสองมองไปยังร่างของกู่ฉิงซานที่ไม่แตกต่างอะไรไปจากคนตายด้วยความเป็นห่วง


 


แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆสองดาบก็ปรากฏขึ้นจากในความว่างเปล่า


 


มันคือดาบของกู่ฉิงซาน


 


จากนั้นพวกมันก็บินเวียนวนโอบล้อมร่างกายมนุษย์ของกู่ฉิงซาน และจู่ๆก็บินฉวัดเฉวียนไปยังทิศทางหนึ่งในฉับพลัน


 


และวินาทีต่อมา ดาบทั้งสองก็หายวับไป


 


“อ่า คราวนี้มันอะไรกันอีกล่ะเนี่ย?” เย่เฟย์หยูเอ่ยด้วยความสงสัย


 


“ฉันขอเดาว่าพวกเขาคงจะตามกู่ฉิงซานไปยังปรภพด้วยกันนั่นแหละ” ซางหยิงฮ่าวกล่าว


 


——–


 


กู่ฉิงซานปิดตาของเขาลง


 


เจ้าตัวรู้สึกได้ถึงความดำมืดวูบหนึ่งเบื้องหน้า และจากนั้นทั้งร่างก็สั่นสะท้านอย่างไม่ตั้งใจ


 


อย่างแรกเลยคือลมหายใจที่หยุดลง


 


ต่อมา การเต้นของหัวใจก็ค่อยๆช้าลงอย่างมาก


 


อุณหภูมิร่างกายค่อยๆลดลง


 


พลังวิญญาณค่อยๆหดตัวเข้าในไปตันเถียน


 


แ้วหัวใจก็หยุดเต้นลงในที่สุด


 


และในช่วงเวลาเดียวกัน กู่ฉิงซานก็พลันลืมตาขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ


 


เขาลุกขึ้นยืนจากตัวเอง


 


แต่กลับพบว่ายังมีตัวเขาอีกคนหนึ่งกำลังนั่งไขว้ขาอยู่ นิ่งงันอยู่ในสถานที่เดิม


 


กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ


 


และพบว่าถงถงกำลังมองเขาที่นั่งอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ


 


ขณะที่ฝูงชนเริ่มที่จะพูดคุยกัน


 


ทว่าสายตาของทุกคนกลับยังคงตกลงบนร่างของเขาที่กำลังนั่งไขว้ขาอยู่


 


กู่ฉิงซานโบกมือไปมาด้านหน้าซางหยิงฮ่าว


 


แต่ซางหยิงฮ่าวกลับไม่ตอบสนองอะไรเลย เขาเพียงจ้องมองกู่ฉิงซานที่กำลังนั่งอยู่อย่างใจจดใจจ่อ


 


เย่เฟย์หยูก็มองไม่เห็นเขาเช่นกัน แต่ตามร่างกายของอีกฝ่ายดูเหมือนว่าจะปรากฏร่องรอยจางๆของเลือดสังหารที่กระพริบไหว บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเจ้าตัวกำลังกระวนกระวาย


 


ณ เวลานี้ ไม่มีใครเลยที่สามารถมองเห็นกู่ฉิงซานที่กำลังยืนอยู่ได้


 


กู่ฉิงซานสามารถเข้าใจได้ในทันที


 


ตนเองได้ตายลงแล้ว


 


ตอนนี้ เขาอยู่ในสถานะจิตวิญญาณ


 


และมีพลังมนตราอันแปลกประหลาดคอยห่อหุ้มตัวเขาเอาไว้ จากนั้นก็เริ่มทำลายอากาศที่ว่างเปล่า และสร้างรูที่มองไม่เห็นขึ้นตรงหน้าเขา


 


นี่คือพลังของวิชาลับวิญญาณหวนคืน


 


มันจะดึงเอากู่ฉิงซานฝ่าวงล้อมอาณาเขตของโลกมนุษย์ และชักนำเข้าสู่มิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราด


 


‘หากคิดจะมุ่งหน้าไปยังปรภพ คงต้องผ่านรูมิตินี้ไปอย่างงั้นหรอ?’


 


“พูดได้ว่า ตอนนี้ฉันสามารถไปยังปรภพได้แล้วอย่างงั้นสินะ” กู่ฉิงซานพึมพำ


 


ทันใดนั้นดาบพิภพก็กระโดดออกมาจากอากาศที่ว่าเปล่าและส่งเสียงกังวานก้อง “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย หลังจากนี้ไปสถานการณ์จะวุ่นวายมาก และเจ้าก็อาจจะตกอยู่ในอันตรายได้”


 


“เจ้าสามารถร่วมเดินทางไปด้วยกันได้กระนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


ทันทีที่เขาเอ่ยถาม ตนก็จดจำได้ว่าครั้งหนึ่งดาบพิภพก็เคยท่องอยู่ในกระแสมิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราด และเคยไปเฉียดปากทางเข้าปรภพมาแล้ว


 


กล่าวกันว่าดาบพิภพสามารถติดตามตนเองไปได้จริงๆ!


จิตใจของกู่ฉิงซานผ่อนคลายลงทันที


 


สำหรับผู้ฝึกดาบ หากมีดาบอยู่ในมือ ในหัวใจก็หนักแน่นมั่นคงขึ้นไปหลายส่วน


 


“ไม่ใช่เพียงแค่ข้าหรอก เช่าหยินก็เป็นอาวุธของเทพวิญญาณเช่นกัน ดังนั้นมันจึงสามารถร่วมเดินทางไปด้วยได้”


 


และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะดาบเช่าหยินก็ได้ปรากฏตัวขึ้นตามมาในความว่างเปล่าทันที


 


ปลาเล็กกระโดดออกมาจากดาบเช่าหยิน และว่ายวนไปรอบๆกู่ฉิงซาน


 


“เช่าหยินก็ไปด้วยสินะ? ดีล่ะ เช่นนั้นข้าก็รู้สึกใจชื้นเพิ่มขึ้นแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม


 


“งั้นก็ออกเดินทางกันเถอะ!”


 


เขานำสองดาบ ก้าวผ่านเข้าไปในช่องว่างที่ว่างเปล่า และมิอาจมองเห็นได้อีกเลย



หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.379 – ลี้ลับ


 


ท่ามกลางความโกลาหลอันมิอาจอธิบายได้


 


ภายในพื้นที่และเวลาอันสับสนวุ่นวาย


 


ทุกสิ่งโดยรอบเปรียบดั่งผืนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่


 


บ่อยครั้งก็มักจะมีสิ่งแปลกๆผลุบขึ้น และหายไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางกระแสความวุ่นวายนี้


 


ที่นี่คือมิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราด


 


กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูฉากที่คุ้นตานี้ ในหัวใจของเขาค่อยๆหม่นลง


 


ตามคำแนะนำของสองวิชาลับ กระแสมิติที่ว่างเปล่านี้จะปรากฏขึ้นเพียงชั่วขณะ


 


แล้วหลังจากนั้น เขาก็จะสัมผัสได้ถึงตำแหน่งที่ตั้งของปรภพ


 


ขั้นต่อไป ตัวเองก็จะไล่ตามการเหนี่ยวนำของวิชาลับ เพื่อมุ่งหน้าตามเส้นทางสู่ปรภพ


 


แต่เขากลับนิ่งอยู่ในมิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราดมาสักพักแล้ว และการเหนี่ยวนำก็ยังไม่ปรากฏขึ้น?


 


ทำไมจึงเป็นแบบนี้กัน?


 


กู่ฉิงซานพยายามบังคับให้ตัวเขาเองขบคิดอย่างใจเย็น


 


ใช่สิ บางทีสองวิชาลับนี้อาจจะนำไปสู่ปรภพในโลกของผู้ฝึกยุทธก็ได้ แต่ไม่ใช่ปรภพของโลกจริง


 


หรือเป็นเพราะสองโลกมันแตกต่างกัน อะไรๆที่เกี่ยวข้องกับหกวิถีจึงแตกต่างกันออกไปด้วย? ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าปรภพในแต่ละโลกจึงแตกต่างกันไปใช่หรือไม่?


 


บางทีจากที่นี่ไปยังปรภพของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ มันอาจจะเป็นการเดินทางที่ยาวไกลก็ได้


 


ดังนั้นทันทีที่เขาเข้าสู่มิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราด เขาจึงสูญเสียความรู้สึกในการเหนี่ยวนำทิศทางไป?


 


แต่แล้วทันใดนั้นเอง พลังอำนาจแปลกๆก็พลันปรากฏออกมา


 


มันเป็นพลังอำนาจอันอ่อนนุ่ม ค่อยๆเข้าห่อหุ้มกู่ฉิงซานเอาไว้ และฉุดดึงเขาไปยังทิศทางหนึ่งอย่างอ่อนโยน


 


เมื่อกู่ฉิงซานที่กำลังระมัดระวังตัวอยู่ เมื่อสัมผัสได้ถึงมัน เขาก็เข้าใจทุกอย่างในทันที


 


นี่เป็นฝีมือของร่างใหญ่ที่มีอายุนับ 100000 ปี!


 


นี่คือพลังอำนาจของเขา!


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อยด้วยอารมณ์อันหลากหลาย


 


ครั้งสุดท้ายที่เจอกัน อีกฝ่ายเปิดเผยความลับมากมายกับตัวเอง เขาบอกตนเองถึงวิธีจัดการกับการตายของนางเซียนไป่ฮั่ว แถมยังเล่าถึงวิธีการผสานทั้งสองโลกอีกด้วย


 


ด้วยเหตุนี้ ผลลัพธ์มันจึงกลายเป็นว่าอีกฝ่ายถูกฟาดผ่าด้วยสายฟ้าอันทรงพลานุภาพชนิดที่ตัวกู่ฉิงซานมิเคยพบเห็นมาก่อน และมิอาจติดต่อกันได้เป็นระยะเวลานาน


 


อีกฝ่ายกลับมาหายดีแล้วใช่หรือไม่?


 


แต่เอาเถอะ เดาไปก็เท่านั้น เพราะไม่ว่ายังไงเดี๋ยวเขาก็จะได้ไปเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว


 


บางที โดยอาศัยความรู้ความเข้าใจของอีกฝ่าย มันอาจจะสามารถให้คำแนะนำบางอย่างเกี่ยวกับตนเองเพิ่มมากขึ้นก็ได้


 


ทันทีที่พิจารณาจนถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็ยินยอมให้พลังอำนาจดังกล่าวนำพาตนเองเคลื่อนย้ายไปท่ามกลางมิติที่ว่างเปล่า


 


และพลังที่ว่าก็ดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงการตอบสนองของเขา มันจึงเร่งความเร็วมากยิ่งขึ้น


 


ความเร็วของกู่ฉิงซานค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ


 


ข้ามผ่าน ‘กระแสน้ำวนสีดำ’ ที่กระจายตัวอยู่ในมิติที่ว่างเปล่า  ทะยานตัวสูงขึ้นข้าม ‘เนินเขาอันอ้างว้างรกร้างไร้ซึ่งสิ่งใดอยู่อาศัย’ และสุดท้าย ‘ทะลุผ่านเมืองที่ว่างเปล่า’ อย่างระมัดระวัง


 


สิ่งมีชีวิตที่น่าขนลุก แปลกประหลาดและพิศดารมากมาย ผลุบขึ้นและหายไปในระหว่างการเดินทางในมิติที่ว่างเปล่าของเขา


 


แต่ที่ติดตาที่สุดคงเป็นยักษ์ตาเดียวที่ถือกระบองใหญ่ และกำลังวิ่งหนีด้วยความตื่นตระหนก


 


ทว่ากู่ฉิงซานไม่ได้ใส่ใจที่จะสังเกตถึงสิ่งที่กำลังไล่ตามมัน เพราะจู่ๆพลังอำนาจที่กำลังฉุดดึงเขาก็เหินสูงขึ้นเป็นแนวตั้ง เพื่อทำการหลีกเลี่ยงสถานที่แห่งนั้นซะก่อน


 


หลังจากที่ลอยล่องมาอย่างยาวนาน ในที่สุดเขาก็กลับเข้ามาสู่โลกอีกด้านหนึ่งที่ไม่รู้จักอีกครั้ง


 


ตรงหน้า ปรากฏเสาทองแดงที่เชื่อมต่อระหว่างผืนดินและผืนฟ้า


 


พร้อมด้วยร่างยักษ์ในเกราะสีดำที่ถูกตอกตรึงอยู่บนเสาทองแดง


 


และโครงกระดูกสีดำที่กระจุกตัวกันอย่างหนาแน่น เดินวนและปีนป่ายไปมาบนพื้นดินอันกว้างใหญ่เป็นระยะเวลานาน


 


กู่ฉิงซานค่อยๆลอยมาอยู่ด้านหน้าของร่างใหญ่


 


“ในที่สุดเจ้าก็มา” เสียงได้ดังขึ้น


 


“เป็นเช่นนั้น แท้จริงแล้วเราไม่ได้พบเจอกันนานทีเดียว ว่าแต่อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” กู่ฉิงซานถาม


 


“ตัวข้านั้นไม่มีทางตาย หรืออาจจกล่าวว่าเพราะอย่างไรเสียข้าก็ตายลงไปแล้วก็ได้ ฉะนั้นอาการบาดเจ็บเพียงเท่านี้ ผลกระทบของมันจึงส่งผลแค่ทำให้ข้าต้องทุกข์ทรมาน ทว่ามิอาจทำให้ข้าสูญสลายไปได้”


 


“คราก่อนข้าต้องขอบคุณสำหรับคำแนะนำของท่านจริงๆ เพราะคำแนะนำนั่น ข้าจึงสามารถช่วยชีวิตหนึ่งในคนที่สำคัญที่สุดต่อข้าเอาไว้ได้” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“กระไรนะ? นี่เจ้าสามารถทำมันได้จริงๆอย่างนั้นหรือ?” ร่างใหญ่อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ


 


เห็นได้ชัดว่ามันรู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก


 


“เจ้าได้ฉุดผู้คนออกมาจากเงื้อมมือของโชคชะตา เช่นนั้นแล้วโชคชะตาของเจ้าอาจจะแก้แค้นเจ้าด้วยการมอบประสบการณ์อันแสนพิศวงที่ยากจะเข้าใจได้กลับคืน เจ้าสามารถบอกข้าได้ไหมว่าประสบการณ์ใดกันที่เจ้าได้ผ่านพ้นมา”


 


“แน่นอน” กู่ฉิงซานกล่าว


 


จากนั้นเขาก็ได้เล่าถึงประสบการณ์ที่เขาได้พานพบอีกครั้ง


 


“มันน่าสนใจอย่างแท้จริง เช่นนั้น กล่าวได้ว่าเจ้ากำลังจะเข้าไปแทนที่นายน้อยชุดคลุมม่วง และกลับไปยังโลกที่กำลังจะพินาศลงในไม่ช้าอย่างงั้นสินะ” ร่างใหญ่กล่าว


 


“ใช่ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่นั้น” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงค่อนข้างหดหู่


 


“ยังมีอะไรอีกรึ?”


 


“ท่านลองมองดูข้าตอนนี้ซี จิตวิญญาณอยู่ในสถานะตกตาย มันถูกแยกออกจากร่างกายมนุษย์เพื่อที่จะออกค้นหาปรภพ แต่แท้จริงแล้วกลับถูกส่งพรวดลงมาในมิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราด และมิอาจหาสิ่งใดเจอได้เลย”


 


ร่างใหญ่พอได้ฟัง มันก็หัวเราะด้วยกระแสเสียงราบเรียบออกมา


 


“จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้า ดูเหมือนว่านี่จะเป็นการแก้แค้นของโชคชะตานะ และแน่นอนว่ามันจะยังคงดำเนินต่อไป ตอนนี้เจ้าเริ่มรู้สึกเสียใจที่ได้ช่วยเหลือนางผู้นั้นแล้วหรือยัง?”


 


กู่ฉิงซานตอบยืนยันทันควัน “ข้ามิเสียใจเลย”


 


น้ำเสียงของร่างใหญ่ที่เปล่งออกมาบ่งบอกถึงความชื่นชม “ยอดเยี่ยม เช่นนั้นก็มาเถอะ ขอให้ข้าได้ตรวจสอบสถานะปัจจุบันของเจ้าโดยละเอียดหน่อยซิ”


 


ฉับพลันนั้นบังเกิดลมกรรโชก มันวูบผ่านร่างจิตวิญญาณของกู่ฉิงซานไป


 


“รวดเร็วยิ่งนัก ขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นกลาง แม้ว่าจะยังเล็กจ้อยและอ่อนแอ ทว่าความไวในการยกระดับของเจ้ากลับช่างรวดเร็วจนน่าตกใจ”


 


“อ่า แล้วยังมีอะไรอีกนะ เจ้าเป็นผู้ฝึกดาบ … แล้วก็ได้มาถึงขอบเขตนักดาบนิรันดร์แล้ว? ดี ดีมาก นี่แสดงให้เห็นว่าข้าอ่านคนไม่ผิดจริงๆ”


 


ร่างใหญ่เริ่มจะจริงจังมากขึ้นและกล่าวว่า “ช่างเป็นความคืบหน้าที่รวดเร็วยิ่งนัก กล่าวได้ว่าเจ้ามีคุณสมบัติที่ดี และข้าคิดว่าอีกไม่นาน เจ้าคงจะต้องกลับมาช่วยข้าได้แน่ๆ”


 


“แม้ว่าท่านจะเอ่ยปากเช่นนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะช่วยท่านอยู่แล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“แต่มันอาจจะอันตรายเล็กน้อยนะ”


 


กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “บางครั้งแม้จะไม่ได้ทำสิ่งใดเลย แต่ชีวิตก็ยังคงเต็มไปด้วยอันตรายอยู่ดี สิ่งสำคัญที่สุดก็คือท่านเคยช่วยเหลือข้า และจุดนี้ข้าย่อมมิยินยอมลืมเลือน”


 


ร่างใหญ่สัมผัสได้ถึงทัศนคติของเขา ในหัวใจก็บังเกิดความพอใจขึ้นหลายส่วน


 


“ดีมาก เช่นนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่เจ้าทะลวงผ่านไปในขอบเขตที่สูงยิ่งกว่านี้ ข้าก็จะเรียกเจ้ากลับมาที่นี่อีกครั้งก็แล้วกัน”


 


“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา”


 


ร่างใหญ่นิ่งไป ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความกังวล “การแยกจิตออกจากกายเป็นสิ่งที่อันตรายยิ่ง เพราะเหตุใดกันเจ้าถึงต้องการจะไปยังปรภพ?”


 


กู่ฉิงซานกล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกจริงอีกครั้งและเอ่ยถามออกไปว่า “เรื่องราวเกี่ยวกับทางปรภพ ท่านพอจะรู้อะไรหรือไม่?”


 


ร่างใหญ่เงียบงันไปนาน มิอาจเอ่ยคำใดได้ ท่าทีที่แสดงออกของเขาดูจะอึดอัดมากขึ้น


 


มันกำลังไตร่ตรอง สุดท้ายก็เอ่ยออกมา “สิ่งที่เรียกกันว่าหกวิถีแห่งสังสารวัฏ มันคือโลกทั้งหกที่อยู่ร่วมกัน ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ในโลกของเจ้าจะมีปรภพที่เชื่อมต่อกันแน่นอนอยู่แล้ว”


 


“เช่นนั้นแล้วโลกอื่นๆเล่า?”


 


“โดยปกติแล้วพลังของปรภพจะสอดคล้องกับโลกอื่นๆที่เชื่อมต่อกับมัน อย่างเช่นบางหากเป็นบางโลกมนุษย์ที่ทรงพลังแกล่งกล้า ทางปรภพก็จะแกล่งกล้าไปด้วย”


 


“หากเป็นตามที่ท่านพูดมา ข้าคิดว่าทางปรภพที่เชื่อมต่อกับโลกของข้าไม่สมควรที่จะแข็งแกร่งมากจนเกินไปนัก”


 


ร่างใหญ่ราวกับกำลังหวาดกลัวที่จะเอ่ยออกมา “เจ้าคงต้องไปเห็นด้วยตาตัวเอง และบางครั้งสถานการณ์อาจจะแตกต่างออกไปจากที่เจ้าคาดเดา …  มันอาจจะล้มล้างความคิดเดิมๆของเจ้าไปเลยก็ได้”


 


“แต่ในทางกลับกัน ข้าก็ยังไม่แนะนำให้เจ้าไปยังปรภพอยู่ดี”


 


ร่างใหญ่ยังคงกล่าวต่อ “มันจะต้องเป็นสถานการณ์ที่น่าหวาดกลัวมากอย่างแน่นอน ถึงสามารถก่อให้เกิดปัญหาปรภพได้”


 


“ด้วยความแข็งแกร่งในขอบเขตเช่นเจ้า ย่อมมิอาจเผชิญหน้ากับความเสี่ยงอันใหญ่หลวงนี้ได้ ข้าขอเตือนให้เจ้าละทิ้งโลกของเจ้าไปเสียจะดีกว่า”


 


“ตราบใดที่ยังมีความหวัง ข้าก็ยังอยากที่จะลอง มิเช่นนั้นจิตแห่งเต๋าของข้าคงจะว้าวุ่นสับสน และทั้งคนทั้งร่างจะสูญเสียจิตแห่งการฝึกยุทธไป”


 


“โลกใบนั้นมันสำคัญต่อเจ้ามากนักหรือ?”


 


“โลกมิได้สำคัญอะไร แต่มีบางคนในโลกใบนั้นที่สำคัญต่อข้า และข้าไม่ต้องการให้พวกเขาท่องเตร่ไปทั่วทั้งจักรวาลอย่างไร้หนทาง”


 


ร่างใหญ่เงียบไปนาน นานมากๆ


 


แต่แล้วมันก็เอ่ยออกมาด้วยอารมณ์ว่า “มนุษย์ช่างเป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดา ดั่งเช่นตัวข้าเอง ก็ไม่คิดว่าจะมีจุดจบเช่นนี้เหมือนกัน แล้วอีกอย่างตอนนี้ เจ้าก็เป็นความหวังเดียวของข้า- ”


 


“-แต่มันก็จริงนะ เพราะถ้าเจ้ามิใช่คนแบบนี้ มันก็คงไม่คุ้มค่ากับการที่ข้าตั้งความหวังเอาไว้กับเจ้าหรอก”


 


ขณะกล่าว ร่างใหญ่ก็ถอนหายใจออกมา


 


“เอาล่ะ! ขอให้ข้าได้ลองทบทวนดูเกี่ยวกับมันก่อนนะ … ”


 


มันงึมงำครุ่นคิด และแล้วก็ตัดสินใจได้ในที่สุด


 


“เจ้าเป็นคนที่มีพรสวรรค์มาก มิเช่นนั้นคงไม่มีความสามารถทำสิ่งต่างๆได้มากมายขนาดนี้ ดังนั้น ข้าจึงยังอยากที่จะซ่อนตัวเจ้าเอาไว้อีกสักพัก”


 


“มันยังเร็วเกินไปที่จะเปิดเผยการดำรงอยู่ของตัวตนที่พิเศษเช่นเจ้า”


 


“และตัวเลือกที่ดีที่สุดคือ ข้าจะมอบสิ่งหนึ่งให้ ส่งต่อมันไปยังเจ้า”


 


บนร่างใหญ่ เกล็ดชิ้นเล็กๆของเกราะรบสีดำตกลงมา


 


เกล็ดเกราะบินตรงไปหยุดอยู่หน้ากู่ฉิงซาน


 


“เจ้าสิ่งนี้คือ?” กู่ฉิงซานถามอย่างสงสัย


 


“ข้าได้ต่อสู้มาแล้วทั้งสิบโลก และแน่นอน ว่ามันไม่ใช่เพียงเพราะข้านั้นไร้เทียมทานชนิดอยู่ยงคงกระพัน แต่มันเป็นเพราะข้าได้อาศัยสิ่งอื่นที่สามารถใช้ปกป้องและรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ได้ต่างหาก”


 


“นี่เป็นวิชาที่ดีที่จะช่วยชีวิตเจ้าได้ จงใช้มันแล้วเรียนรู้เสีย”


 


“จริงๆหรือ?”


 


กู่ฉิงซานรับเอาเกล็ดสีดำมา


 


และเกล็ดชุดเกราะสีดำก็แตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับปรากฏสัญลักษณ์ที่สาดประกายแสงลึกลับออกมา


 


“แต่กาลก่อน ยามเมื่อข้ายังเป็นเด็ก วันหนึ่งข้าได้ค้นพบเจ้าสิ่งนี้ในซากปรักหักพังโบราณ”


 


“และมันได้ช่วยชีวิตข้ามานับครั้งไม่ถ้วน”


 


“แต่ตอนนี้ ข้าได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับมันได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ดังนั้นข้าขอส่งต่อมันให้แก่เจ้า หวังว่าเจ้าจะศึกษาเรียนรู้มันอย่างจริงจังนะ”


 


“ถ้าเจ้าตัดสินใจที่จะไปปรภพ วิชานี้อาจจะช่วยเจ้าได้”


 


กู่ฉิงซานตั้งใจฟังอย่างเป็นเรื่องเป็นราว วิสัยทัศน์ของเขาตกลงบนสัญลักษณ์ลึกลับ


 


บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หนึ่งบรรทัดเส้นแสงขนาดเล็กกระพริบไหวอย่างต่อเนื่อง


 


“ค้นพบวิชาเฉพาะ : ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต



หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.380 – พลังเหนือธรรมชาติ


 


กู่ฉิงซานอ่านประโยคบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม บังเกิดความรู้สึกประหลาดใจในหัวใจของเขา


 


ในช่วงชีวิตที่สอง นี่นับว่าเป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้ยินเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ลี้ลับ’ นี้


 


เห็นแค่เพียงบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ระบบกำลังตีความหมายและเพิ่มคำอธิบายของความลี้ลับนี้อย่างต่อเนื่อง


 


ตลอดมา ระบบไม่เคยจริงจังขนาดนี้มาก่อนเลย


 


“ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต : คุณจะได้เรียนรู้ที่จะแยกแยะความแตกต่างของแต่ละองค์ประกอบขั้นพื้นฐานของการดำรงอยู่ต่างๆ และจะได้รับความสามารถในการปรับตัวเองให้เป็นชนิดเดียวกันกับการดำรงอยู่นั้นได้”


 


“คำอธิบาย : คุณต้องได้รับส่วนประกอบของการดำรงอยู่ชนิดนั้น เพื่อแยกแยะลักษณะ และกฏเกณฑ์ในตัวมันเสียก่อน คุณจึงจะสามารถอำพรางปบอทตัวเป็นการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตนั้นๆได้”


 


“โปรดทราบ”


 


“โปรดทราบ”


 


“เนื่องด้วยระบบเทพสงครามมีความพิเศษและเป็นเอกเทศ : ดังนั้นคุณจึงได้รับสองตัวเลือกสำหรับการฝึกฝนวิชาลี้ลับนี้ ”


 


“หนึ่ง : ฝึกฝนวิชาลับนี้โดยใช้ ‘พลังวิญญาณ’เป็นพื้นฐาน หลังใช้งาน ผู้เล่นก็จะมีลักษณะการดำรงอยู่ รูปร่างหน้าตาที่คล้ายคลึงกับสิ่งมีชีวิตนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอายและความผันผวนของพลังวิญญาณก็จะคล้ายคลึงกัน โดยที่สิ่งมีชีวิตนั้นๆ จะไม่สามารถแยกแยกออกได้ว่าคุณเป็นสิ่งมีชีวิตคนละประเภท”


 


“สอง : ฝึกฝนวิชาลับนี้โดยใช้ ‘แต้มพลังวิญญาณ’ เป็นพื้นฐาน ผู้เล่นจะกลายเป็นการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันกับสิ่งมีชีวิตที่ตนเลือกเป็นเวลาชั่วคราว”


 


“คำเตือน : ชนิดของสิ่งมีชีวิตที่อ้างอิงถึง ‘จะต้องมีจิตวิญญาณ’ ”


 


“คำเตือน : คุณจะต้องทำการเลือกทันที เพื่อกำหนด ‘ต้นกำเนิด’ของพลังของวิชาลี้ลับนี้”


 


“คำเตือน : เมื่อคุณเลือกต้นกำเนิดของพลังขั้นพื้นฐานนี้แล้ว คุณจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้”


 


หลังจากที่อ่านเสร็จ กู่ฉิงซานก็ลังเลไปชั่วขณะ


 


หากกล่าวโดยทั่วไปแล้ว โดยทั่วไปน่ะนะ การอำพรางปลอมตัวโดยเลือกที่จะใช้ต้นกำเนิดเป็น ‘พลังวิญญาณ’ ก็น่าจะเพียงพอแล้ว


 


แต่กู่ฉิงซานกลับคิดลึกเข้าไปมากยิ่งกว่านั้น จินตนาการเลยเถิดไปไกล


 


เขาเอ่ยถาม “ระบบ ถ้าตามคำอธิบาย หมายความว่าฉันจะกลายเป็นการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตประเภทนั้นไปเลยถูกต้องไหม? ”


 


“ใช่ คุณจะกลายเป็นการดำรงอยู่ชนิดนั้นชั่วคราว” ระบบตอบกลับอย่างรวดเร็ว


 


ระบบอธิบายต่อ ซึ่งนับว่าน้อยครั้งนักที่มันจะใส่ใจแบบนี้ “วิชาลี้ลับนี้ แต่เดิมอยู่ในมือของสิ่งมีชีวิตเฉพาะเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น และแม้กระทั่งการดำรงอยู่แบบเฉพาะอย่างพวกมัน ก็ยังเลือกที่จะใช้ ‘พลังวิญญาณ’ เป็นต้นกำเนิดพื้นฐานในการเรียนรู้วิชาลี้ลับนี้”


 


“เพราะแต้มพลังวิญญาณน่ะ มันไม่ได้เป็นเพียงพลังเหนือธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นพลังบริสุทธิ์ที่มาจากต้นกำเนิดของโลกอันหาได้ยากยิ่งอีกด้วย”


 


“ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่าในโลกทั้งสิบจึงไม่มีใครล่วงรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่คุณต้องรู้นะว่ามีเพียงการใช้ ‘แต้มพลังวิญญาณ’ เป็นต้นกำเนิดพลังขั้นพื้นฐานเท่านั้น จึงจะเป็นวิธีที่ถูกต้องในการเรียนรู้วิชาลับนี้”


 


“และตัวระบบเอง ก็ขอแนะนำให้คุณเลือกใช้ ‘แต้มพลังวิญญาณ’ ในการเรียนนี้วิชาลี้ลับนี้”


 


กู่ฉิงซานพยักหน้า เพราะนี่ก็สอดคล้องกับความคิดของตัวเองอยู่แล้วเหมือนกัน


 


“ฉันขอเลือกใช้แต้มพลังวิญญาณเป็นพลังพื้นฐาน” เขากล่าว


 


ระบบตอบกลับ “วิชาลี้ลับนี้ กล่าวได้ว่าเป็นสิ่งลึกลับล้ำค่ายิ่ง มันซ่อนอยู่ในส่วนลึกของกฏเกณฑ์แห่งโลก หากต้องการเรียนรู้วิชานี้ จำเป็นต้องจ่าย 2000 แต้มพลังวิญญาณ”


 


เยอะโคตร!


 


กู่ฉิงซานสูดลมหายใจเย็นเยียบ สุดท้ายจึงกัดฟันกล่าวว่า “ฉันยอมจ่าย”


 


“ได้รับ 2000 แต้มพลังวิญญาณแล้ว พลังวิญญาณคงเหลือ : 2100/300”


 


“ทำการเรียนรู้วิชานี้ด้วยแต้มพลังวิญญาณ”


 


อักษรรูนอันลึกลับได้เปล่งแสงออกมา ทันใดนั้นจู่ๆมันก็แตกกระจายเป็นจุดแสงดาวเล็กๆระยิบระยับ


 


แสงดาวระยิบรายล้อมรอบตัวกู่ฉิงซานอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ผลุบเข้าไปในหน้าผากของเขาโดยสมบูรณ์


 


กู่ฉิงซานหลับตา และรับรู้ถึงมันอย่างเงียบๆ


 


นี่เป็นวิชาที่ประกอบไปด้วยความลี้ลับมากมายนับไม่ถ้วนจากต้นกำเนิดของโลก เพียงแค่ปิดตาลงและตระหนักถึงมันอย่างเงียบๆ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกทึ่ง


 


เจ้าสิ่งนี้ นับว่าเป็นพื้นฐาน เป็นองค์ความรู้ เป็นภูมิปัญญาขนาดใหญ่ที่ช่วยให้เข้าใจโลกได้โดยแท้!


 


กู่ฉิงซานตระหนักรู้ถึงวิธีการฝึกฝนและพลังของมันอย่างลึกซึ้ง


 


แถมยังได้เพิ่มพูนความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับพลังวิญญาณและกฏเกณฑ์ต่างๆทั้งหมด


 


ทุกสรรพสิ่งในสวรรค์และโลก กฏแห่งชีวิตและความตายล้วนผุดขึ้นมาในจิตใจของเขา


 


ทันใดนั้นกู่ฉิงซานก็บังเกิดความรู้แจ้ง


 


แม้ตอนนี้ตนจะอยู่ในร่างจิต ทว่าโดยไม่รู้ตัว เขาก็ได้ยกระดับขึ้นมาสู่ขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลายแล้ว!


 


เพียงบังเกิดความรู้แจ้งถึงวิชาลับนี้ ก็กลับสามารถยกระดับขึ้นไปอีกขั้นได้ในทันที!


 


กู่ฉิงซานค่อนข้างที่จะตกตะลึง


 


เขาทำการตระกหนักถึงวิชานี้อย่างเงียบๆ แต่แล้วในระหว่างนั้นเอง ร่างใหญ่ก็เอ่ยขัดขึ้นมา


 


“เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ ฉะนั้นจึงน่าจะสามารถเรียนรู้วิชานี้ได้โดยการใช้พลังวิญญาณได้ และหากสามารถใช้มันอำพรางตัวเองได้ บางทีเจ้าอาจจะมีโอกาสรอดมากขึ้นในปรภพ”


 


กู่ฉิงซานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง นี่ร่างใหญ่ไม่รู้จริงๆหรือว่าตัวเขาน่ะมี ‘แต้มพลังวิญญาณ’ และเลือกที่จะเรียนรู้วิชาลี้ลับนี้ด้วยแต้มพลังวิญญาณแล้ว


 


“ขอบพระคุณท่านมาก ข้ารู้ว่านี่มันเป็นสิ่งมีค่า ฉะนั้นข้าจักจดจำน้ำใจในครานี้เอาไว้”


 


หนึ่งกำปั้นประสานหนึ่งฝ่ามือ โค้งคารวะไปทางอีกฝ่าย


 


“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า แต่ข้าหวังว่าหลังจากนี้ไปเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้น และมาช่วยเหลือข้าให้ออกไปจากที่นี่” ร่างใหญ่กล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


“คำถามสุดท้าย หากข้าไม่สามารถหาปรภพที่เชื่อมต่อกันกับโลกของข้าได้ แล้วข้าสมควรจะทำเช่นไรดี?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างร้อนรน


 


ร่างใหญ่กล่าว “ไม่ว่าปรภพจะวุ่นวายแค่ไหน มันก็ไม่มีทางที่จะสูญเสียการเชื่อมต่อระหว่างโลกจริงของเจ้าไปโดยสมบูรณ์ มันสมควรที่จะมีแรงฉุดหรือเหนี่ยวนำอยู่”


 


กู่ฉิงซานกล่าว “แต่พลังที่ว่านั่นได้หายไปแล้ว”


 


ร่างใหญ่ตอบกลับ “ในโลก การเชื่อมต่อดังกล่าวอาจถูกจะวิธีการบางอย่างบดบังเอาไว้ชั่วคราว แต่สำหรับภายในมิติที่ว่างเปล่าแล้ว พลังของหกวิถีนั้นจะมิอาจถูกปกคลุมได้ ดังนั้นเจ้าจำเป็นต้องตั้งใจสัมผัสถึงมันในมิติที่ว่างเปล่าอย่างช้าๆด้วยตนเอง”


 


“มีเพียงเจ้าที่จะรู้สึกได้ถึงแรงดึงเล็กน้อยผ่านมิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราด และจงตามแรงนั้นไปจนถึงทางเข้าปรภพ จากนั้นเจ้าก็จะพบกับถ้ำใหญ่อันมืดมิด”


 


“จงตรวจสอบให้มั่นใจว่ามันคือถ้ำมืด มิใช่เส้นทางอื่น – เพราะหากหลงไปยังเส้นทางอื่นที่อยู่ใกล้ๆกับปรภพแล้ว เจ้าจะมิอาจกลับมาได้อีกเลย”


 


กู่ฉิงซานจดจำคำพูดของอีกฝ่ายอย่างถี่ถ้วน


 


เขาพยักหน้าและกล่าวอย่างจริงจังว่า “เช่นนั้นคงต้องร่ำลากันแล้ว หากข้าไม่ตายไปเสียก่อน วันหนึ่งข้าจักต้องมาช่วยท่านอย่างแน่นอน”


 


ร่างใหญ่กล่าวขึ้นในทันใด “เจ้าจะต้องแกร่งขึ้นโดยเร็วไว เพราะช่วงนี้ ข้าสัมผัสได้ถึงมอนสเตอร์ที่น่าหวั่นเกรงยิ่งกว่ามอนสเตอร์ใดๆทั้งหมดทั้งมวลกำลังค่อยๆย่างกรายเข้ามา มุ่งหน้าตรงมายังโลกที่ข้าถูกคุมขังอยู่อย่างช้าๆ”


 


กู่ฉิงซานแข็งค้างไป


 


นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้ยินน้ำเสียงที่ฟังดูสิ้นหวังออกมาจากปากของร่างใหญ่


 


ตลอดเวลาที่ผ่านมา อีกฝ่ายได้ให้ความช่วยเหลือตนเองมามากมาย


 


แต่ตอนนี้ อีกฝ่ายกำลังจะตกอยู่ในอันตราย


 


กู่ฉิงซานเริ่มกลายเป็นเคร่งขรึมจริงจัง


 


เขาเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว “ด้วยระดับความแข็งแกร่งของข้า จะสามารถรับมือกับมอนสเตอร์ที่ท่านว่าได้หรือไม่-”


 


“-หรือมีวิธีอื่นใดอีกที่ข้าจะช่วยท่านได้?”


 


ร่างใหญ่ถอนหายใจ “ข้าก็ยังไม่แน่ใจนัก เพราะข้าเองก็ไม่เคยเห็นมอนสเตอร์ตัวนั้นเช่นกัน”


 


กู่ฉิงซานเงียบไป


 


“ขอท่านวางใจเถอะ ข้าจะรีบแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะมาช่วยท่านให้เร็วยิ่งขึ้น” เขากล่าวอย่างหนักแน่น


 


ร่างใหญ่ไม่ตอบ แต่กู่ฉิงซานรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังยิ้มอยู่


 


“ข้าหวังว่าเราจะยังสามารถพบกันได้อีกครั้ง” ร่างใหญ่กล่าวออกมาในที่สุด


 


วู้มมม!


 


บังเกิดแรงฉุดดึงมหาศาล


 


กู่ฉิงซานถูกลากออกมาจากโลกของร่างใหญ่ที่มีอายุยืนยาวกว่า 100000 ปี


 


เขาบินกลับไปเป็นกระแสแสง


 


และครั้งนี้ เขาถูกส่งกลับไปด้วยความเร็วกว่าในครั้งที่เดินทางมา


 


ภูมิทัศน์ที่แปลกประหลาดโดยรอบ เวลานี้เขากลับเห็นพวกมันเป็นแค่เพียงเส้นแสงที่วิ่งผ่านไปเท่านั้น


 


เกือบจะในทันที กู่ฉิงซานก็กลับเข้ามาสู่มิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราดอีกครั้ง


 


กู่ฉิงซานไตร่ตรองเล็กน้อย ก่อนจะจีบสองมือออกด้วยวิชาลับอีกครา


 


ในความว่างเปล่าบังเกิดรูที่แยกออก


 


เขาก้าวเข้าไป ผุดออกมาตกลงในห้องนั่งเล่นของห้องพักบนวิลล่า


 


ซางหยิงฮ่าวกับเย่เฟย์หยู ทั้งสองนั่งประกบซ้ายขวาข้างกายเขา


 


ทั้งสองกำลังเฝ้าปกป้องร่างมนุษย์ของกู่ฉิงซานอย่างจริงจัง


 


กู่ฉิงซานพุ่งเข้าไปในร่างกายมนุษย์ของตนเองจากเบื้องบน


 


เขาลืมตาขึ้น


 


และทั้งสองก็ตระหนักถึงมันได้ในทันที


 


กู่ฉิงซานกล่าวประโยคหนึ่ง “ช่วยปกป้องฉันอีกสักพักนะ”


 


เขาไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมอีก และทั้งคนทั้งร่างก็เข้าสู่สภาวะควบรวมกับขอบเขตใหม่ทันที


 


หลังจากที่เขาได้เรียนรู้ ‘ความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต’ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการฝึกยุทธ สกิลดาบ และโลกทั้งใบก็แตกต่างไปจากเดิม


 


นี่คือการระเหิดทางปัญญา และโดยอาศัยความรู้ความเข้าใจเพียงอย่างเดียว เขาจะไม่สามารถยับยั้งการเปลี่ยนแปลงจากก้าวสู่เทพขั้นกลาง มายังขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลายได้


 


กู่ฉิงซานหลับตาลง หมุนวนพลังวิญญาณไปทั่วร่างกาย และทำการควบรวมเข้ากับขอบเขตใหม่อย่างระมัดระวัง


 


ช่วงแรกของการยกระดับไปยังก้าวสู่เทพขั้นปลาย ความผันผวนทางพลังวิญญาณจะขึ้นๆลงๆ และกระจัดกระจายไม่คงที่


 


ดังนั้น กู่ฉิงซานจึงต้องระมัดระวังและมุ่งพยายามที่จะปรับตัวให้เข้ากับพื้นฐานวรยุทธใหม่ของเขานี้โดยเร็วที่สุด


 


เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาควบรวมเข้ากับพื้นฐานวรยุทธได้จนเสร็จสมบูรณ์ ก็กล่าวได้ว่าตัวเขาได้พร้อมที่ทำการทะลวงในครั้งต่อไป เพื่อก้าวข้ามไปสู่ขอบเขตที่สูงกว่าได้ทุกเมื่อ


 


นั่นคือขอบเขตประทับเทพ!


 


ขอบเขตที่ผู้เล่นในชีวิตก่อนหน้าต่างเฝ้าแสวงหามาตลอดชีวิต


 


เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างช้าๆ และกู่ฉิงซานก็ลืมตาขึ้นได้ในที่สุด


 


“เป็นไงมั่ง นายยังสบายดีรึเปล่า?”


 


“ทางปรภพล่ะว่าไง?”


 


ซางหยิงฮ่าวกับเย่เฟย์หยูเปิดปากถามขึ้นพร้อมกัน


 


“พอดีมีบางอย่างเกิดขึ้นนิดหน่อยน่ะ ฉันเลยยังไม่ได้ไปที่ปรภพ”


 


กู่ฉิงซานคว้าเม็ดยารวบรวมวิญญาณทรงเมล็ดข้าวขึ้นมา และโยนมันเข้าไปเคี้ยวในปาก


 


สองมือของเขาจีบออกด้วยวิชาลับอีกที ใช้ออกด้วยทั้งสองเทคนิคลับอีกครั้ง


 


“แต่ครั้งนี้ ฉันจะต้องไปจริงๆแล้วนะ”


 


ซางหยิงฮ่าวกับเย่เฟย์หยูเหลือบมองกันวูบหนึ่ง และพยักหน้าพร้อมกัน


 


แล้วจิตของกู่ฉิงซานก็ผุดลุกออกจากร่างตนเอง บินเข้าสู่ความว่างเปล่าที่เปิดออกกลางอากาศและหายลับไป

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม