Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ 361-370
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.361 – พิธีราชาภิเษก(2)
ในชั่วพริบตา เหล่าผู้คนก็พบว่าตัวเองได้มาอยู่ในวิหารของเมืองหลวงแล้ว
พวกเขาหันมามองหน้ากันเองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
สองเท้าเหยียบย่ำลงบนหินอ่อนที่เรียบเนียน สองหูได้ยินเสียงรำไรของคำอธิษฐาน
นี่มันเสียงของพระสังฆราชของวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งความตายนี่นา? เขากำลังสวดอวยพรให้แด่พระจักพรรดินีอยู่อย่างงั้นสินะ
ท่ามกลางการออกอากาศ สุรเสียงของพระสังฆราชดังกังวาน หนุนเสริมด้วยเสียงดนตรีประกอบส่งผลให้มันแลดูศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง
“พระมารดาของเรากำลังจะขึ้นครองบัลลังก์ ใช่หรือไม่?” เจ้าหญิงเอ่ยถาม
“ใช่ คุณสามารถไปหาพระองค์ได้เลยตอนนี้” กู่ฉิงซานกล่าว
“หากทำเช่นนั้นแล้วมันจะไม่เป็นปัญหาหรือ?”
“ไม่เป็นหรอก”
“แต่คนที่ลักพาตัวพวกเราไป เขาน่ะคือ -”
“คุณสามารถพูดชื่อของคนๆนั้นออกมาได้เลยดังๆ ต่อหน้าทุกคนที่อยู่ที่นั่น”
“แล้วจากนั้นเล่า? มันจะเกิดอะไรขึ้น”
“จากนั้น … คนที่อยู่เบื้องหลังการชักใยในครั้งนี้ ก็จะต้องจ่ายออกด้วยราคาที่เหมาะสมกับการกระทำของเขา”
เจ้าหญิงมองกู่ฉิงซานอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะโค้งกายคำนับด้วยท่วงท่าสง่างาม
“ในครั้งช่วงเวลางานเต้นรำที่เราทำเป็นหยิ่งใส่ท่าน … เราขอโทษนะ” เธอกล่าว
กู่ฉิงซานรับคำขอโทษ เร่งประสานมือไปทางอีกฝ่ายและกล่าวอย่างเป็นเรื่องเป็นราวว่า “นั่นมันก็แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ตราบใดที่เจ้าหญิงไม่แสดงกริยาแบบนั้นกับคนอื่นๆในอนาคต ท่านจะต้องเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ที่ดีได้อย่างแน่นอน”
เจ้าหญิงมองเข้าไปในดวงตาของเขา โค้งกายลงข้างหู เอ่ยกระซิบกับอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา “เวลาที่เราจะเลือกพระสวามีน่ะ เรามักจะแสดงกริยาเย่อหยิ่งออกไปแบบนั้นเสมอแหละ”
กู่ฉิงซานยังคงโค้งกายประสานสองมือ ศีรษะก้มต่ำลงแต่มิได้ตอบคำใดออกไป
เมื่อเจ้าหญิงเห็นท่าทีการแสดงออกของเขา จู่ๆเธอก็ยิ้มออกมา ก่อนจะหันไปทางเหล่ารัฐมนตรีอีกหลายคน
ทว่ายังคงมีเสียงกระซิบของเธอลอยมาตามสายลม
“ … แอนนา …. ก็กำลังเล็งเขาอยู่สินะ… ”
กู่ฉิงซานปาดเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาบนหน้าผาก
แล้วในเวลานั้นเอง ดาบพิภพกับดาบเช่าหยินก็บินลอดผ่านกระจกหน้าต่างเข้ามา ตกลงเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานถอนหายใจด้วยความโล่งอก เก็บดาบทั้งสองกลับคืน จากนั้นก็กวาดจิตสัมผัสเทวะออกไปทั่วท้องฟ้า
บนท้องฟ้า มอนสเตอร์ในโลงกำลังจะหลุดพ้น ปลดปล่อยตัวตนเป็นอิสระในไม่ช้า
‘เวลากำลังจะหมดแล้ว คงต้องรีบหน่อยล่ะ’
กู่ฉิงซานเดินไปตรงมุมที่เงียบสงบมุมหนึ่งของวิหาร
แต่แล้วเขาก็ได้พบกับเด็กชายและเด็กหญิงตัวน้อยๆกำลังนั่งเล่นตุ๊กตาฮีโร่ในการ์ตูนอยู่บนพื้นวิหาร
ทั้งสองกำลังเล่นกันอย่างมีความสุข โดยไม่ได้รับรู้เลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นภายนอก
ไม่มีใครข้างกาย ไม่มีใครคอยดูแลเด็กน้อยทั้งสองเลย
นี่มันแปลกๆอยู่นะ
กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะลงไปยังเด็กๆ
‘ก็ปกติดีนี่นา’
จากนั้นเขาก็กวาดจิตสัมผัสเทวะออกไปทั่วทั้งวิหาร และไม่นาน เขาก็ค้นพบพ่อแม่ของเด็กทั้งสอง
พ่อแม่ที่ยังดูวัยรุ่นอยู่พร้อมด้วยองครักษ์อีกหลายคนกำลังตะโกนเรียกชื่อเด็กๆจากอีกด้านหนึ่งของวิหาร ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากำลังตามหาเจ้าตัวน้อยทั้งสองอยู่
-ช่างเป็นพ่อแม่ที่ขาดความรับผิดชอบอย่างแท้จริง
แม้นี่จะดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่เหตุการณ์ที่แปลกอะไร แต่บอกตรงๆว่าตอนนี้เส้นประสาทของกู่ฉิงซานมันตึงจนเครียดเกินไป ดังนั้นเพียงแค่เห็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องในสถานที่ไม่เหมาะไม่ควร เขาเลยคิดจะรีบแก้ปัญหาทันที
ขณะนี้ตนเองเริ่มรู้สึกกังวลเล็กน้อย
กู่ฉิงซานก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
เด็กทั้งสอง เมื่อสังเกตเห็นถึงร่างสูงใหญ่กำลังยืนอยู่ด้านข้างของพวกเขา ก็อดไม่ได้ที่จะแหงนหน้ามองขึ้นพร้อมกัน
“พี่ชายเป็นใครกันน่ะ?” เด็กชายตัวเล็กเอ่ยถามออกมา
กู่ฉิงซานได้สติกลับคืน
“อ๊ะ ขอโทษทีที่รบกวนช่วงเวลาดีๆของพวกเธอ เอ่อ .. กำลังเล่นเกมเป็นฮีโร่กันอยู่ใช่รึเปล่า?”
เขามองไปที่ตุ๊กตาในมือของเด็กน้อยทั้งสอง
“ใช่ เกมนี้มันสนุกมากเลยนะ” เด็กสาวตัวน้อยเอ่ยแทรกขึ้น
กู่ฉิงซานนั่งยองๆลง แล้วหันไปถามกับเด็กสาวตัวน้อยด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อมีฮีโร่เป็นพระเอก ถ้างั้นเธอก็คงจะเป็นนางเอกสินะ ช่วยบอกชื่อของเธอให้พี่ชายหน่อยจะได้ไหม”
พอถูกชมว่าเป็นนางเอก เด็กสาวตัวน้อยมองดูเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน ความประทับใจที่มีต่อตัวเขาเพิ่มขึ้นหลายส่วนและตอบกลับไปว่า “ซีซีล่ะ ชื่อของหนูคือซีซี”
ไม่น่าจะพลาดแล้ว เพราะพ่อแม่ที่ยังดูเป็นวัยรุ่นอยู่ก็ตะโกนเรียกซีซีอยู่เหมือนกัน
กู่ฉิงซานผ่อนคลายลง และเอ่ยถาม “ซีซี ทำไมหนูถึงไม่ไปดูพิธีขึ้นครองราชย์ของจักพรรดินีล่ะ?”
เด็กชายตัวเล็กพูดสวนทันควัน “เรื่องแบบนั้นมันน่าสนใจตรงไหน พวกผู้ใหญ่ก็เอาแต่พูดๆๆๆ กันอยู่นั่นแหละ ไม่จบไม่สิ้นซักที น่าเบื่อจะตาย”
“อื้อ อื้อ มันไม่น่าสนใจเลยสักนิด” ซีซีเอ่ยงึมงำ
กู่ฉิงซานมองดูตุ๊กตาฮีโร่ในมือของทั้งสอง
ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยออกมาว่า “พี่ชายได้ยินมาว่าจะมีซูเปอรร์ฮีโร่ที่โบยบินในอากาศได้ จะมาปรากฏตัวแล้วทำการสังหารมอนสเตอร์ต่อหน้าพระจักรพรรดินีด้วยล่ะ”
“จริงๆหรอ?”
เด็กน้อยทั้งสองเงยหน้าขึ้นมองกู่ฉิงซานด้วยแววตาที่เปล่งประกายสดใส
กู่ฉิงซาน “จริงๆสิ รู้ไหมว่าตอนนี้น่ะ มอนสเตอร์มันได้ปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว และพอผู้ร้ายปรากฏตัว ก็จะถึงคราวซูเปอร์ฮีโร่ออกมาจัดการล่ะ”
ซีซีเอียงคอสงสัย เอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจว่า “พี่ชายจะไม่โกหกพวกหนูใช่ไหม?”
กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเด็ดขาด “พี่ชายไม่เคยโกหกเด็กสาวตัวเล็กๆที่แสนจะน่ารักหรอก”
“ว้าวว! เยี่ยมไปเลย!”
ซีซีเชื่อสนิทใจ เธอลุกขึ้นยืนและวิ่งไปยังทิศทางตำแหน่งประกอบพิธี
และเด็กชายตัวน้อยก็รีบวิ่งตามเธอไปอย่างใกล้ชิด
“ฮีโร่ที่ปรากฏตัวออกมาจะเป็นแบบไหนกันนะ? ฉันขอเดาว่าเขาจะต้องเป็นซูเปอร์แมนที่ผดุงความยุติธรรมด้วยมือเปล่าแน่ๆเลย!” เด็กชายตัวเล็กพูดขณะที่กำลังวิ่ง
“ไม่หรอก เขาจะต้องเป็นฮีโร่แขนเดียวที่ใช้ดาบเป็นอาวุธต่างหากล่ะ!” ซีซีตะโกนเสียงดัง
ทั้งสองเริ่มเอะอะเถียงกัน แล้วก็วิ่งหายไป
บริเวณโดยรอบกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง และเมื่อเด็กน้อยน่ารักทั้งสองได้จากไป มันก็ไม่มีใครอยู่ใกล้ๆนี่อีกเลย
กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป และเห็นว่าพ่อแม่วัยรุ่นกำลังเดินไปตามเส้นทางประกอบพิธีราชาภิเษกพอดี
และนั่นหมายความว่าเด็กน้อยทั้งสองกำลังจะได้เจอกับพ่อแม่ของของตัวเองในไม่ช้า
เรียบร้อย
ช่างเป็นภารกิจที่ง่ายดาย เอาล่ะ จากนี้ไปก็ถึงตาภารกิจหลักซะที
กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ
ตามด้วยเกราะรบนายพลชั้นโหยวจีสีทองอ่อนที่ปรากฏออกมา มันเรียงต่อกันประกอบไปด้วย หน้ากาก เสื้อเกราะ เกราะไหล่ เกราะแขน เข็มเข็ม สนับเข่ามือ สนับเข่า รองเท้า และส่วนต่างๆ
ชุดเหล่านี้มิได้มีการตกแต่งเพิ่มเติมใดๆ พวกมันถูกแกะสลักไว้ด้วยอักษรรูนที่ดูสลับซับซ้อนและลึกซึ้ง แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกงดงามอันยากพรรณนา
“เด็กสาวตัวน้อยเดาได้ถูกต้องแล้วล่ะ ฉันใช้ดาบเป็นอาวุธจริงๆ … ”
ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังกล่าว ชุดเกราะก็แยกตัวกระจายออกจากกัน มันแหวกว่ายไปตามส่วนต่างๆของร่างกายราวกับจิตวิญญาณของปลา
ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ชุดเกราะรบนายพลชั้นโหยวจีก็ถูกสวมใส่เต็มยศ
กู่ฉิงซานสวมหน้ากากเงินและทำการล็อคสมญาเป็น ‘ผู้บัญชาการรบ’
ตามด้วยดาบพิภพและเช่าหยินที่ปรากฏตัวขึ้นอัตโนมัติ
“—ถึงแม้ว่าจะทายถูกเรื่องใช้ดาบ แต่แขนทั้งสองข้างของฉันยังสมบูรณ์ดีอยู่นะ”
สิ้นเสียง ร่างของกู่ฉิงซานกระพริบไหว หายตัวไปจากสถานที่นั้น
บนแท่นระเบียงสูง
เจ้าหญิงได้มาถึงแล้ว และกำลังบอกเล่าเรื่องราวของเธอที่ถูกลักพาตัวไป
ด้วยเรื่องราวของเจ้าหญิง โลกทั้งใบก็ตกอยู่ในความโกลาหล
ทันทีที่องค์จักรพรรดิฟูซีเสียชีวิตลง กลับมีบางคนกล้าที่จะลักพาตัวเจ้าหญิง!
เจ้าหญิงคุกเข่าลงข้างชายกระโปรงของเวโรน่า ร่ำไห้อย่างเงียบๆ
เหล่าคนที่เฝ้าดู ต่างก็กำลังเฝ้ารอการตอบสนองของเธอ
เวโรน่าสูดหายใจเข้าลึกๆและ เปล่งเสียงดังลั่นออกมาว่า “นับจากนี้ไป เราจะสวมมงกุฏในฐานะกษัตรีย์!”
“เราจะปกป้องผู้คนของเราจากความเจ็บปวดของการสูญเสียศักดิ์ศรี!”
“เราจะขุดรากถอนโคนความชั่วร้ายทั้งหมด เพื่อรักษาความสงบสุขและมั่นคงของประเทศนี้!”
“เราจะรักเด็กๆทุกคนในฟูซีเหมือนดั่งเช่นที่เรารักบุตรสาวตัวเอง!”
“เราขอให้คำมั่นสัญญา ว่าจะปกป้องพวกเขา!”
เธอก้าวไปข้างหน้า และหยิบเอามงกุฏจากมือพระสังฆราชแล้วสวมมันลงบนศีรษะด้วยตัวเอง
สมเด็จพระจักรพรรดินีเวโรน่า ได้ทำการสวมใส่มงกุฏด้วยตนเอง สถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตรีย์!
“ข้า เวโรน่า คือกษัตรีย์ของประเทศนี้ และจะขอปกปักษ์รักษาประเทศนี้ด้วยมือของตนเอง!” เธอประกาศลั่น
สิ้นเสียงของเธอ ประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐ รัฐบาลกลางก็เป็นคนแรกที่ลุกขึ้นยืนพร้อมกับปรบมือให้
แล้วเสียงปรบมือก็ดังขึ้นเรื่อยๆราวกับเสียงฟ้าผ่า
แม้จะเห็นได้ชัดว่า การแต่งตั้งตนขึ้นเป็นกษัตรีย์ด้วยตัวเองมันจะดูไม่ค่อยมีมารยาทและเหมาะสม แต่เหล่าผู้นำโลกต่างเลือกที่จะปรบมือให้เธอเพื่อชื่นชมความมานะบากบั่นและทัศนคติของเธอ
เหล่าผู้นำทั้งหมดในฉากต่างลุกขึ้นยืน
แต่ทันใดนั้นเอง น้ำเสียงที่ฟังดูประชดประชันก็ดังขึ้น
“มอนสเตอร์ยังอยู่บนท้องฟ้า ถ้าบอกว่าจะปกป้องประเทศ ก็ลองทำลายมันให้ดูทีสิ!”
เสียงดังออกมาจากทางฝั่งกลุ่มทหาร
คราวนี้ เป็นรัฐมนตรีกลาโหมที่ตะโกนพูดขึ้นด้วยตัวเอง
เขาเป็นอาวุโสในขั้นห้า กล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในตัวตนที่ทรงพลังที่สุดในโลก!
ตลอดทั้งอาณาจักรฟูซี คนๆนี้เป็นรองแค่เพียงองค์จักรพรรดิเท่านั้น
นอกเหนือไปจากองค์จักรพรรดิแห่งฟูซี ไม่มีใครกล้าไม่ไว้หน้าเขา!
หัวใจของเวโรน่าเต้นรัวตุบๆๆๆ ความโกรธปะทุพุ่งสูงขึ้น
นี่มันคือการถ่ายทอดสดออกไปทั่วโลก!
ในพีธีขึ้นครองราชย์ที่สำคัญที่สุดของเธอ … เขากล้าดียังไงถึงทำเช่นนี้!
เธอพยายามอย่างหนักที่จะรักษากระแสเสียงให้มั่นคงและกล่าว “รัฐมนตรีกลาโหม ข้าขอสั่งให้เจ้าออกไปจัดระเบียบกำลังคน เพื่อพร้อมเตรียมรับมือกับศัตรู”
รัฐมนตรีกลาโหมยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าเป็นใครกันถึงมาสั่งข้า? ก็แค่คนที่ยกมงกุฏขึ้นสวมใส่ด้วยตัวเองโดยมิได้รับการยอมรับมิใช่หรือ? เฮอะ! เกรงว่าข้าคงจะทำให้เจ้าผิดหวังซะแล้ว”
เวโรน่าส่ายหัวและกล่าวว่า “ในฐานะที่เป็นตัวตนอันทรงพลานุภาพแห่งอาณาจักร เจ้าไม่ควรทำให้สาธารณรัฐต้องผิดหวัง”
จู่ๆเธอก็จ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
มอนสเตอร์ยังคงดิ้นรนขัดขืน และกำลังจะหลุดออกจากโลงในไม่ช้า
“พร้อมแล้ว”
เสียงที่คุ้นเคยกังวานขึ้นในหูของเธอ
ความตึงเครียดในจิตใจของสมเด็จพระจักรพรรดินีสลายหายไปทันที
เธอเอื้อมมือออกไปลูบไล้ขนอีกา ปากอ้าเปล่งเสียงอ้อนวอนอย่างนุ่มนวล “ผู้ส่งสารแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์เอ๋ย ท่านผู้พิทักษ์แห่งข้า ยามนี้ข้าต้องการพลังของท่าน”
แล้วก็ช่างน่าแปลกใจยิ่ง เพราะดูเหมือนว่าอีกาจะเข้าใจถึงคำพูดของเธอ
มันสยายปีก ก่อนจะเริ่มโผบินออกไป
“แม่ ดูนั่นสิ เห็นไหมบอกแล้วว่าหนูไม่ได้โกหก มีมอนสเตอร์ตัวร้ายอยู่จริงๆด้วยล่ะ!”
เด็กสาวตัวน้อยๆร่ำร้องออกมา
ท่ามกลางสายตาของทุกคน พริบตานั้นอีกาดำพลันหายวับไป และถูกแทนที่ด้วยแสงแพรวพราวสีทอง
แสงสีทองค่อยๆลดระดับลงอย่างช้าๆ ก่อนจะลอยนิ่งอยู่เหนือแท่นระเบียงสูง
ทุกคนต่างจ้องมองเป็นสายตาเดียว และพบว่าแท้จริงแล้วมันคือเกราะทองคำและหน้ากากเงินที่ถูกสวมใส่อยู่
ไม่มีใครสามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้ ทั้งร่างของเขาถูกห่อหุ้มด้วยเกราะสีทองอ่อน ก่อให้เกิดกลิ่นอายที่เต็มไปด้วยความลึกลับและสง่างามอย่างยากจะพรรณนา
รัฐมนตรีกลาโหมเดิมต้องการจะเอ่ยปากประชดประชันออกไปอีกหลายคำ แต่ทว่าตอนนี้ กระทั่งตัวเขาเองก็ยังถูกดึงดูดความสนใจโดยชุดเกราะทองคำนั่น ไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้อยู่ครู่หนึ่ง
แม้เขาจะเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งยิ่ง แต่เขากลับไม่อาจวัดพลังและเข้าใจถึงตัวตนของอีกฝ่ายได้โดยสมบูรณ์
เดิมเมื่อเห็นฉากนี้ในทีแรก รัฐมนตรีคิดว่ามันเป็นการเล่นละครตบตาโดยฝีมือของเวโรน่า
—แต่แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ละครตบตา เพราะในฉากนี้มีมืออาชีพที่แข็งแกร่งอยู่มากมาย ดังนั้นการตบตาหรือหลอกลวงใดๆ ย่อมต้องถูกเปิดเผยได้โดยง่าย การกระทำเช่นนั้นมันย่อมเป็นไปไม่ได้!
อีกาดำหายตัวไป และกลายร่างเป็นผู้รับใช้เทพในชุดเกราะทองคำ
อีกาได้หายไปจริงๆ และเกราะทองคำเบื้องหน้านี้ก็เป็นของจริง จริงๆ!
แถมอีกฝ่ายยังสามารถลอยบนท้องฟ้าได้ ..
…. มีเพียงมีอาชีพขั้นห้าเท่านั้นที่จะสามารถลอยบนท้องฟ้าได้!
แถมเมื่อครู่เวโรน่ายังบอกว่าเขาเป็นผู้พิทักษ์ของเธอ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่สาธารณรัฐมีผู้พิทักษ์เป็นขั้นห้า!?
หรือว่าจริงๆแล้วนั่นจะเป็นผู้รับใช้เทพของวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งความตายจริงๆ?
ในขณะที่คนทั้งหมดกำลังคาดเดาไปต่างๆนาอย่างลับๆ ก็บังเกิดเสียงทุ้มต่ำดังออกมาจากหลังหน้ากากเงิน
“เวโรน่า กษัตรีย์องค์ใหม่แห่งสาธารณรัฐเอ๋ย”
“ข้าอยู่นี่แล้ว” เวโรน่ากล่าว
“นับแต่นี้ต่อไป เจตจำนงของเจ้า จะเปรียบดั่งคมดาบของอาณาจักรแห่งนี้”
เวโรน่า “เช่นนั้นขอท่านจงโปรดทำตามเจตจำนงของข้า โดยการสังหารมอนสเตอร์บนท้องฟ้าตัวนั้นด้วยเถิด””
“เพื่อกษัตรีย์ ข้ายินดีรับใช้”
จู่ๆการไหลของกระแสอากาศทั่วบริเวณก็เริ่มเวียนว่ายรอบตัวเขาราวกับน้ำวน สนับสนุนให้ร่างในชุดเกราะทองคำให้โผทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
ผู้คนยังไม่ทันจะได้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เกราะทองคำก็หายวับไปซะแล้ว
“ดูนั่นสิ! ดาวตกล่ะ! มันสวยมากๆเลย!” เด็กสาวตัวน้อยร้องออกมา
ฝูงชนคนแล้วคนเล่าก็แหงนหน้าขึ้นไปมอง
เห็นแค่เพียงท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิด ปรากฏกระแสแสงดาวตกหลายแฉกวาบผ่านลงมาตามร่างของมอนสเตอร์ขนาดใหญ่
แล้วดาวตกหลายแฉกระลอกสองก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งท่ามกลางท้องฟ้า ซ้อนทับลงตามบนตัวมอนสเตอร์อีกครา
เปรียบดั่งฝนดาวตกที่กำลังหล่นจากฟากฟ้า เวียนว่ายแตกแขนงไปตามส่วนต่างๆบนร่างกายของมอนสเตอร์
มอนสเตอร์แทบจะไม่มีเวลามากพอที่จะต่อต้าน หรือแม้กระทั่งเวลาที่จะเปล่งเสียงหวีดร้องน่าสังเวชออกมา … ทุกอย่างสายเกินไป เพราะกระทั่งในระหว่างที่กำลังบรรยายอยู่นี้ มันก็ถูกหั่นเป็นชิ้นๆไปเรียบร้อยแล้ว!!
เทคนิคลับแห่งดาบ ประทับดารา!
สกิลพิเศษของสมญา ปราณดาบสุดขอบฟ้า!
“ปราณดาบสุดขอบฟ้า : เมื่อใดก็ตามที่ดาบของท่านถูกปกคลุมไปด้วยปราณดาบ และท่านได้เปิดใช้งานสกิลนี้ ปราณดาบและสกิลดาบจะหลอมรวมกันพร่ามัวเป็นเงา ยามฟาดฟันจะปรากฏการโจมตีเดียวกันขึ้นอีกระลอก (หมายเหตุ : เมื่อใช้สมญานี้ ท่านจะถูกจำกัดให้ใช้เฉพาะอาวุธดาบเท่านั้น)”
เห็นได้ชัดว่าตัวมันเอง เป็นถึงปีศาจอันน่าสะพรึงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน มันได้ก่อให้เกิดความหวาดกลัวและความกดดันอย่างหนักแก่ผู้คน ทว่าเวลานี้ … มันกลับตายไปอย่างง่ายดาย!
ผู้กำลังเฝ้าดูทั้งหมดช็อก ตัวแข็งค้าง
แสงสีทองค่อยๆทิ้งตัวร่อนลงอย่างช้าๆ และลงมาหยุดอยู่เบื้องหน้าแท่นระเบียงสูงอีกครั้ง
เสียงลุ่มลึกดังก้องออกมาจากผู้รับใช้เทพเกราะทองคำ
“กษัตรีย์แห่งฟูซี เจ้ามีสิ่งใดจะเอ่ยสั่งอีกหรือไม่?”
เวโรน่ากล่าว “ท่านผู้พิทักษ์แห่งข้า หากมีใครบางคนมิเชื่อฟังคำสั่งของกษัตรีย์ โชคชะตาของเขาจะเป็นเช่นไร?”
“โชคชะตาของมันผู้นั่นคือจุดจบ” ผู้รับใช้เทพเกราะทองคำเอ่ยตอบ
ร่างของเขาหายวับไป และปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
พร้อมกับหัวๆหนึ่งที่ถูกโยนตกลงมาบนแท่นระเบียงสูง
มันคือหัวของรัฐมนตรีกลาโหม!
การแสดงออกบนใบหน้าของรัฐมนตรีกลาโหมยังคงสงบ ราวกับว่าแม้กระทั่งในตอนนี้ หัวเขาก็กำลังขบคิดถึงบางสิ่งเล็กๆน้อยๆอยู่
ส่วนร่างกายของเขา มันยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลย
เห็นได้ชัดว่ากระทั่งเฮือกสุดท้าย เขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าศีรษะของตนได้หลุดออกจากบ่าแล้ว!
ช่างเป็นคมดาบที่ว่องไวอะไรเช่นนี้!
เวโรน่าโค้งกายคารวะ “ขอบพระคุณท่านมาก ตอนนี้ทุกอย่างสงบดีแล้ว คราหน้าหากเกิดเภทภัยใดๆขึ้น ข้าจะเรียกท่านกลับมาอีกครั้ง”
“ยินดีรับใช้เจ้าเสมอ กษัตรีย์”
เมื่อผู้รับใช้เทพเกราะทองคำเอ่ยจบ ตัวเขาก็ได้หายวับไปโดยไม่มีสัญญาณบ่งชี้ใดๆ
ไม่สิ ไม่ได้หายไปซะทีเดียว
เพราะอีกาดำได้กลับมาปรากฏตัวแทนที่อีกครั้ง
มันเปล่งเสียงร้องเล็กน้อยไปทางจักรพรรดินี ก่อนจะโผบินทะยานหายขึ้นไปในม่านเมฆ
ฉากนี้ ส่งผลให้มืออาชีพทุกคนที่เฝ้าดูอยู่ต่างตะลึงงัน! ขวัญกระเจิงไปตามๆกัน
อีกาดำกลายร่างเป็นผู้รับใช้เทพเกราะทองคำด้วยวิธีที่ผู้คนมิอาจเข้าใจได้ และยังไม่พอ ผู้รับใช้เทพเกราะทองคำยังทรงพลานุภาพยิ่งชนิดที่ว่าสามารถสังหารมอนสเตอร์ขนาดใหญ่และรัฐมนตรีกลาโหมซึ่งเป็นขั้นห้าได้ในพริบตาเดียว!
แต่ที่สำคัญก็คือ ไม่ว่าเจ้าสิ่งที่พึ่งแปลงร่างเป็นอีกาบินหายไปจะเป็นเทพหรือไม่ก็ตาม ทว่าด้วยพลังอำนาจของเขา ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนที่หมายจะลุกฮือขึ้นต่อต้านเวโรน่าต้องสิ้นหวัง!
ในขณะนี้ เหล่ามืออาชีพที่ทรงพลังทุกคนที่กำลังรับชมอยู่ได้แต่เฝ้าถามตัวเองอย่างเงียบๆ
ว่าหากเป็นตน … จะสามารถรับมือกับอีกาดำตัวนี้ได้หรือไม่?
-แน่นอนว่าคำตอบคือไม่
ทันใดนั้น สมเด็จพระจักรพรรดินีเวโรน่าก็เคลื่อนไหว
เธอก้มตัวลง ใช้มือคว้าจับผมของรัฐมนตรีกลาโหมและยกศีรษะของเขาขึ้น
สมเด็จพระจักรพรรดินีได้ยื่นใบหน้านี้หันไปทางกล้องที่ถ่ายทอดสดไปทั่วทั้งโลก
“ตัวข้า เวโรน่า , สุภาพสตรีแห่งตระกูลเมดิซี , พระคาร์ดินัลของเทพแห่งความตายผู้หลับไหล และสมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งสาธารณรัฐฟูซี”
“ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม โปรดจงจดจำสถานะของข้าเอาไว้ และจงตริตรองให้ดี หากคิดหมายจะทำให้ข้าต้องขุ่นเคือง!”
แล้วศีรษะที่ว่านั่นก็ถูกผละออกจากมือ ร่วงตกลงจากแท่นระเบียงสูง
เหล่าผู้กำลังเฝ้าดูเงียบงันโดยสมบูรณ์
ที่ไม่เงียบก็ดูแต่จะมีเพียงเย่เฟย์หยูที่กำลังแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก สีหน้าท่าทีแสดงออกถึงความยกย่องและปลื้มปริ่มสุดๆ
และซางหยิงฮ่าวที่บ่นงึมงำ “เอากันถึงขนาดนี้ ต่อไปจะมีใครหน้าไหนมากล้าดูหมิ่นท่านเวโรน่าอีกเล่า … เป็นแบบนี้ต่อไปเธอก็ไม่จำเป็นต้องจ้างฉันแล้วน่ะสิ!!”
หมื่นสวรร์คสิ้นโลกา Online Ep.362 – ค้นพบ
ในสาธารณรัฐฟูซี เวโรน่าสวมมงกุฏ สถาปนาตนเองเป็นกษัตรีย์ต่อหน้าคนทั้งโลก
พิธีราชาภิเษกได้เสร็จสิ้นลงแล้ว
ในช่วงเวลาเดียวกัน
ณ จักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์
มนุษย์ปีศาจทั้งหมดได้ตายลงไปแล้ว
ในการโจมตีครั้งนี้ ตลอดทั้งเมืองหลวงของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ได้พบกับความสูญเสียอย่างแสนสาหัส
โบสถ์ใหญ่ได้กลายเป็นซากปรักหักพัง
อาคารที่งดงามทั้งหลัง บัดนี้มีเพียงส่วนชั้นใต้ดินเท่านั้นที่สามารถใช้งานได้
ณ ห้องลับในชั้นใต้ดินของโบสถ์
ยี่ชายืนอยู่หน้าสระเลือดและถอนหายใจอย่างอ่อนล้า
“เอาล่ะ ข้าจะเริ่มอัญเชิญเจ้าแล้วนะ” เธอกล่าว
เหนือสระเลือด มีไพ่ใบหนึ่งลอยอยู่
ด้วยคำพูดของเธอ ไพ่ใบนั้นก็ส่งแสงสีเทาบางเบา สาดส่องลงไปในสระเลือด
“ไพ่เพรียกปีศาจ”
“คำอธิบาย : การใช้ไพ่ใบนี้ คุณจะสามารถสกัดจิตวิญญาณนับไม่ถ้วน และส่งพวกมันไปยังโลกอื่นได้”
บังเกิดเสียงดังก้องขึ้นในสระเลือด “ลำบากเจ้าแล้ว อีกไม่นานพิธีก็จะสมบูรณ์ แต่ข้ายังต้องการเวลาเล็กน้อยเพื่อเสริมพลังที่จะใช้เพื่อเข้าถึงโลกของเจ้า”
“แอสเมิร์ด เจ้าจะมาที่โลกนี้เพื่อปกป้องข้าจริงๆน่ะหรือ?” ยี่ชาเอ่ยถาม
แอสเมิร์ดมิได้ตอบกลับไป
ไพ่ลอยจากเหนือบ่อเลือด มาหยุดอยู่ตรงหน้ายี่ชาอย่างเงียบๆ
ไพ่ใบนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยชั้นเปลวเพลงอันงดงามที่เวียนวนอยู่ มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นว่าสิ่งใดกันที่ถูกวาดอยู่ภายใน
“นี่มันอะไร?” ยี่ชาเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ไพ่ที่มิอาจกล่าวถึงได้ แต่หากเจ้าพกมันติดตัวไว้ แล้วเผชิญกับอันตรายถึงตาย มันจะถูกเปิดใช้งานขึ้น ‘ช่วงเวลาหนึ่ง’ เพื่อช่วยให้เจ้ารอดพ้นจากความตาย”แอสเมิร์ดกล่าว
ว่าจบ ไพ่ก็ตกลงไปในมือของยี่ชา
ยี่ชาลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็รับมันมา
‘ไพ่ที่มิอาจกล่าวถึงได้’ นั่นหมายความว่าไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันเป็นไพ่ประเภทใด หากเป็นในกรณีนี้ แน่นอนว่าเธอย่อมไม่กล้าใช้มัน
นอกจากนี้ สิ่งที่พวกปีศาจให้มา ก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป
เธอกล่าว “ข้าต้องการที่จะตรวจสอบไพ่ใบนี้”
“เชิญทำตามที่เจ้าต้องการได้เลย”
ยี่ชายกไพ่ขึ้นมาแปะบนหน้าผากของเธอ และเพ่งการรับรู้ทางจิตลงไปยังมันอย่างระมัดระวัง
ยามเมื่อแปะลงบนหน้าผาก พลันบังเกิดกระแสพลังคุ้มภัยอันเปี่ยมล้น ถูกปลดปล่อยออกมาจากรอบตัวเธอ
ยามเมื่อเพ่งการรับรู้ทางจิตลงไป แม้ไพ่ใบนี้ที่ถูกปกคลุมด้วยเปลวเพลิง แต่มันกลับทำให้ยี่ชาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังป้องกันอันลึกล้ำจากมัน
ไพ่ใบนี้ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย ..
ได้รับการตัดสินโดยยี่ชาที่เป็นผู้ใช้เทียนซวนประเภทไพ่ รวมไปถึงได้รับการตัดสินโดยการรับรู้ทางจิตวิญญาณ … ดังนั้นไพ่ใบนี้ไม่สมควรที่จะผิดปกติใดๆ
“ขอบใจนะแอสเมิร์ด” ยี่ชาเก็บไพ่และกล่าวออกมา
“ด้วยความยินดี แต่ก่อนที่พิธีจะเสร็จสิ้น เจ้าจะต้องระมัดระวังตัวให้ดี จงอย่าทำอะไรเกินงามเพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าจะปลอดภัยก่อนที่ข้าจะมาถึง”
ในกระแสเสียงของเขา แฝงไว้ซึ่งร่องรอยของความกังวลอันหาได้ยากยิ่ง
ยี่ชาก็ตระหนักถึงมันเช่นกัน
เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเคารพยิ่งกว่าเดิม “เข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะ”
“ไปเถอะ” แอสเมิร์ดกล่าว
แล้วยี่ชาก็ออกจากสระเลือดไป
‘เฮ้อ … ’ ภายในสระเลือด บังเกิดเสียงถอนหายใจด้วยความกังวลออกมาเล็กน้อย
ยี่ชาขึ้นมาจากชั้นใต้ดิน แล้วเธอก็พบกับหัวหน้าสาวกศักดิ์สิทธิ์ฮัทท์กับคาร์ดินัลคิดด์ที่กำลังวิ่งตรงมาอย่างเร่งรีบ
“มีเรื่องอะไร?” ยี่ชาเอ่ยถาม
“คิดด์บอกว่าเขาได้ข้อมูลเกี่ยวกับชายผู้นั้นแล้ว” ฮัทท์เอ่ยรายงาน
“ชายผู้นั้น?”
ยี่ชาตอบสวนกลับไป แต่แล้วไม่ต้องรีรอให้อีกฝ่ายบอก เธอก็ได้คำตอบทันที
จริงสิ ในงานเลี้ยงของมาดามดู่ ตนได้ลงมือเข้าต่อสู้ด้วยตัวเอง และในที่สุดก็ปล่อยให้นายทหารของรัฐบาลกลางหนีไป
ผู้ชายคนนั้น … กล้าดียังไงถึงมาเล่นตลกกับเธอ!
“รีบพูดมา” ยี่ชาเร่งกล่าว
“โปรดดูนี่”
คาร์ดินัลคิดด์เปิดสมองควอนตัมของเขา และฉายภาพขึ้นบนจอม่านแสง
ณ สาธารณรัฐฟูซี
เวโรน่าได้สวมมงกุฏ สถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์
ภายใต้การเรียกขานของเธอ นักดาบในเกราะทองคำได้ปรากฏกายขึ้น เขาสังหารมอนสเตอร์และตัดสะบั้นศีรษะของรัฐมนตรีกลาโหม
“ชายคนนี้งั้นหรือ?” ยี่ชาเอ่ยถาม
คาร์ดินัลคิดด์ตอบ “ในช่วงเวลานั้น ตอนที่เขาได้หลบหนีจากงานเลี้ยงของมาดามดู่ เขาก็ได้สวมใส่เกราะทองคำเช่นกัน”
“เจ้าแน่ใจใช่ไหม?”
“ไม่ผิดพลาดแน่นอน แส้ของกระผมไม่สามารถทะลุเข้าไปในเกราะได้เลย ดังนั้นกระผมเกิดความประทับใจต่อมัน และจดจำได้เป็นอย่างดี” คิดด์กล่าว
ยี่ชาหรี่ตาแคบลง จ้องมองไปที่นักดาบเกราะทองคำชนิดหัวชนฝา
ทันใดนั้น วิสัยทัศน์ของเธอก็ตกลงบนดาบยาวของนักดาบเกราะทองคำ
“ใช่แล้วล่ะ นั่นต้องเป็นเขาแน่ๆ ข้าจดจำดาบเล่มนั้นได้!” เธอพยักหน้า
“เช่นนั้นเขาก็เป็นคนของฟูซี” ฮัทท์เอ่ยเสริม
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเราถึงไม่อาจค้นพบกับคนๆนี้ได้ในรัฐบาลกลาง” คิดด์พูดด้วยความตื่นเต้น
ยี่ชาครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะกล่าวว่า “เราได้รับเชิญในพิธีราชาภิเษกของเวโรน่าอยู่ ถูกต้องหรือไม่”
“ขอรับ”
“ถ้าบินไปตอนนี้ จะต้องใช้เวลาแค่ไหน?”
“ถ้าด้วยรถเหินเวหา อย่างเร็วที่สุดก็น่าจะทันช่วงเวลามื้อกลางวันของพิธีราชาภิเษก .. ”
“ดีมาก คิดด์ เจ้ารับหน้าที่ปกป้องที่นี่ ส่วนฮัทท์ฺ เจ้าไปฟูซีกับข้า”
“ขอรับ!” สองสาวกศักดิ์สิทธิ์โค้งกายลงเล็กน้อย ปากเอ่ยรับคำสั่ง
“ในที่สุดข้าก็เจอตัวเจ้า … อยากจะรู้จริงๆว่าสิ่งใดกันแน่นะที่เจ้าได้ขโมยมันไปจากจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์”
อย่างรวดเร็ว รถเหินเวหาก็ได้ทะยานตัวออกไป บินมุ่งตรงไปยังทิศทางเมืองหลวงของฟูซี
……
ณ สาธารณรัฐฟูซี
ภายในสถานที่พักของแขกรับเชิญ ในงานเลี้ยงอาหารกลางวัน
ทุกอย่างดูจะเรียบง่ายและเป็นไปอย่างรวดเร็ว
ผู้นำจากทุกประเทศมารวมตัวกันที่นี่ หารือกันอย่างเร่งด่วนเกี่ยวกับวิธีรับมือกับการรุกรานของนรก
ว่ากันว่านักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลกลางจะประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ชิ้นสำคัญที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดอีกด้วย
แต่จนกว่าจะถึงตอนนั้น ผู้นำทั้งหลายจะไม่ได้รับอนุญาตให้ท้องหิวในระหว่างที่ประชุม
ดังนั้น หลังพิธีราชาภิเษก ทุกคนจึงต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารกลางวัน และจะได้รีบกินมัน เพื่อที่จะได้พร้อมเข้าร่วมประชุมกันเร็วๆซักที
บนเวที สมเด็จพระจักรพรรดินีได้กล่าวสุนทรพจน์เพียงสั้นๆ
และงานอาหารกลางวันก็เริ่มต้นขึ้น
ผู้นำจากประเทศต่างๆ แต่ละคนเริ่มนั่งลงในตำแหน่งของตัวเอง
สมเด็จพระจักรพรรดินีได้พูดคุยทักทายกับผู้นำจากแต่ละประเทศ , เหล่านักการเมือง และบุคคลสำคัญที่มาเข้าร่วม
ท่าทีการแสดงออกของเธอดูสงบ สง่างาม และทรงเสน่ห์ ขับกล่อมด้วยมงกุฏทองคำบนศีรษะส่องแสงระยิบระยับก็ยิ่งดูโดดเด่นงดงาม
ทุกอย่างดูจะเป็นไปได้ด้วยดี
ในตอนนั้นเอง หนึ่งในองครักษ์วังก็วิ่งเหยาะๆเข้ามา และกระซิบอะไรบางอย่างข้างหูสมเด็จพระจักรพรรดินี
สมเด็จพระจักรพรรดินีกล่าวขออภัยต่อทุกคน และแยกตัวออกไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่ทางการทูตและองครักษ์อีกหลายคน
ฉากนี้ ทำให้ผู้คนต่างเกิดความสงสัยและใคร่รู้
แต่ในไม่ช้า พวกเขาก็ได้พบกับคำตอบ
ประตูทางเข้าหลักของห้องจัดเลี้ยงถูกเปิดออก สมเด็จพระจักรพรรดินีและคนอีกสี่คนเดินเข้ามาพร้อมกัน หัวเราะสนทนาด้วยรอยยิ้ม
ชายแก่ที่เป็นหนึ่งในนั้น ผู้คนทั้งหลายในที่แห่งนี้ต่างรู้จักกันดี
เขาคือประธานาธิบดีแห่งรัฐบาลกลาง
ส่วนอีกสามคนที่เหลือยังเป็นวัยรุ่นอยู่ แต่พวกเขาไม่รู้จัก
ทว่าในเมื่อทัศนคติของสมเด็จพระจักรพรรดินีที่แสดงออกมากลับดูเหมือนว่าจะสนิทสนมกับคนหนุ่มทั้งสามนั่นเป็นอย่างดี
นี่มันออกจะแปลกๆนะ
ยิ่งไปกว่านั้น ท่านประธานาธิบดีก็ดูเหมือนว่าจะรู้จักเด็กหนุ่มทั้งสามอยู่ก่อนแล้วอีกด้วย
“ข้าต้องการทราบถึงข้อมูลเกี่ยวกับเด็กหนุ่มทั้งสามคนนั้น ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ในทันที!” ยี่ชากล่าว
เธอนั่งอยู่กับฮัทท์อย่างเงียบๆ โดยคนรอบข้างไม่มีใครกล้าที่จะพูดกับเธอเลย
“รับทราบ”
ฮัทท์เปิดสมองควอนตัมและทำการเชื่อมต่อกับระบบข่าวกรองของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์
ไม่นานนัก เขาก็ยื่นสมองควอนตัมไปให้พระสันตะปาปา
“หนึ่งคือราชานักฆ่าแห่งรัฐบาลกลาง อีกหนึ่งคือนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง และเอ่อ ..อีกหนึ่งไม่มีข้อมูล”
“ … นี่ช่างเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มคนที่แปลกประหลาดโดยแท้”
พระสันตะปาปากล่าวอย่างเงียบๆ “แต่นี่มันไม่ถูกต้อง เหตุใดข้าถึงได้รู้สึกคุ้นเคยกับเจ้านักวิทยาศาสตร์คนนั้นกันนะ ..”
แต่แล้วจู่ๆก็ราวกับมีแรงกระตุ้นให้เธอต้องการที่จะใช้ไพ่เพื่อมองดูโชคชะตาในทันใด
ทว่าสุดท้าย เธอก็พยายามฝืนอดกลั้นมันเอาไว้ได้ในที่สุด
นี่มันกลางงานเลี้ยงที่เป็นการรวมตัวของผู้นำจากทุกประเทศนะ หากเธอจั่วไพ่ขึ้นมาที่นี่ คนอื่นจะมองเธอด้วยสายตาอย่างไร?
ในเวลานั้นเอง ทหารวังก็เดินเข้ามา
ยามที่ต้องเผชิญหน้ากับพระสันตะปาปา บนหน้าผากของเขาบังเกิดเม็ดเหงื่อขนาดเท่าลูกปัดผุดขึ้นเต็มไปหมด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากำลังตึงเครียดสุดๆ ทว่าเขาก็ยังคงฝืนยิ้มให้อีกฝ่าย
ทหารวังวางบัตรสี่เหลี่ยมลงเบื้องหน้าพระสันตะปาปา และโค้งกายคำนับให้แด่เธอ
พระสันตะปาปาเอื้อมมือไปหยิบบัตรขึ้นมาดู
‘ทันทีหลังจากที่งานเลี้ยงอาหารเที่ยงจบลง สหพันธ์โลกจะถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์ที่จะใช้ในการต่อต้านวันสิ้นโลก’
“ข้าจะไปที่นั่นตามที่ได้กำหนดการไว้” เธอกล่าว
“ขอรับ” ทหารวังพยักหน้าเล็กน้อย แล้วค่อยๆหมุนตัวเดินแยกออกมา
เมื่อเขาออกจากโต๊ะของพระสันตะปาปา ตนก็ลอบถอนหายใจโล่งอกอย่างลับๆ
ยี่ชามองไปที่เวโรน่า
สมเด็จพระจักรพรรดินียังคงทักทายแขกผู้มีเกียรติของรัฐบาลกลางอยู่ เดินส่งพวกเขาไปยังที่นั่ง จากนั้นก็สนทนากันเพียงไม่กี่คำ และเตรียมที่จะเดินจากไป
เธอเป็นเจ้าภาพของที่นี่ ดังนั้นจึงต้องรีบไปเตรียมการประชุมสภาโลกที่กำลังจะเกิดขึ้น
ยี่ชาขบคิดเกี่ยวกับมัน ก่อนที่ตนจะยกมือสูงขึ้น และโบกไปมาทางสมเด็จพระจักรพรรดินี
แน่นอน ว่าทุกๆการเคลื่อนไหวของเธอน่ะถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อเธอยกมือขึ้น ผู้คนจำนวนมากจึงสังเกตเห็นฉากนี้
สมเด็จจักรพรรดินีเวโรน่าก็ย่อมเป็นธรรมดาที่จะสังเกตเห็นมันเช่นกัน
เวโรน่าหันศีรษะมองไปทางยี่ชา
ดวงตาของทั้งสองสบกัน
ยี่ชากล่าว “เวโรน่า พอจะมีเวลาสนทนากันสักหน่อยได้หรือไม่?”
เสียงภายในห้องจัดเลี้ยงค่อยๆเงียบลง
หนึ่งคือผู้นำศาสนาที่สังหารครอบครัวของอีกฝ่าย ทำการยึดอำนาจรัฐ แถมยังเป็นหนึ่งในตัวตนขั้นห้าที่ทรงพลังที่สุดในโลก
ส่วนอีกหนึ่งคือผู้ที่คนในครอบครัวถูกสังหารลง แม้กระทั่งสามีก็เสียชีวิต แต่ในที่สุดเธอก็สามารถลุกขึ้นยืนหยัดและควบคุมปกครองทั้งประเทศจนได้
ความเกลียดชังระหว่างทั้งสองราวกับผืนดินและผืนทะเลที่ไม่ว่าฝ่ายใดล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตตน ก็จะถูกกลืนกินไปทันที
แต่ในเวลานี้ พระสันตะปาปากลับยิ้มหวานและเชื้อเชิญสมเด็จพระจักรพรรดินีมาเพื่อต้องการที่จะพูดคุยกับเธอ
สมเด็จพระจักรพรรดินียังไม่ทันจะได้เอ่ยตอบ หนึ่งในองครักษ์วังก็ลุกขึ้นยืนและกล่าวขึ้นมาทันที “หากท่านต้องการจะกล่าวอันใด ขอให้พูดมันออกมาตรงๆ ไม่จำเป็นต้องเข้าใกล้กับสมเด็จพระจักรพรรดินี!”
แน่นอน มันเป็นความจริงที่ว่าทั้งโลกน่ะรับรู้กันทั่ว ว่าพระสันตะปาปาคือมืออาชีพขั้นห้าที่แข็งแกร่งที่สุดเฉกเช่นเดียวกันกับองค์จักรพรรดิแห่งฟูซีที่พึ่งล่วงลับไป
แม้ว่าสมเด็จพระจักรพรรดินีจะเป็นมืออาชีพเช่นกัน แต่ในด้านความแข็งแกร่ง เธอก็มิอาจเทียบเปรียบได้กับคนตรงหน้า
ดังนั้นหากพระสันตะปาปาต้องการที่จะสังหารสมเด็จพระจักรพรรดินีแล้วล่ะก็ ตราบใดที่ทั้งสองอยู่ใกล้กันมากพอ มันย่อมสำเร็จได้อย่างแน่นอน
“เวโรน่า เจ้ากลัวข้ากระนั้นหรือ?” ยี่ชาเอ่ยถาม
รอยยิ้มหยันผุดขึ้นบนมุมปากของเวโรน่า เธอเอ่ยสวนกลับไปว่า “เจ้าควรเรียกว่าข้าสมเด็จพระจักรพรรดินีนะ ยี่ชา”
ยี่ชามองดูเธอและเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อย่างงั้นหรือ แต่เจ้าก็เรียกขานข้าด้วยชื่อเช่นกันนี่”
“แน่นอน หรือเจ้าอยากจะให้ข้าเรียกขานด้วยชื่อเสียงอื่นที่เจ้ามี อย่างเช่น ผู้ยึดอำนาจประเทศ? หรือผู้ลอบสังหารกษัตริย์ดีเล่า?”
“บังอาจ! ข้าคือพระสันตะปาปาแห่งคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์นะ!”
เวโรน่า “คริสตจักรศักดิ์สิทธิ์เป็นของตระกูลเมดิซี และหัวหน้าตระกูลในรุ่นนี้ แอนนา เมดิซี ก็ไม่เคยยอมรับอำนาจของเจ้า”
รอยยิ้มบนใบหน้าของยี่ชาเริ่มที่จะค่อยๆจางหายไป
เวโรน่ามองไปยังเหล่าบุคคลสำคัญในห้องจัดเลี้ยง ก่อนจะมาหยุดลงที่ยี่ชาอีกครั้งและกล่าวว่า “สิ่งที่เจ้าต้องการจะพูด มีเพียงแค่นี้ใช่หรือไม่?”
ยี่ชา “สิ่งนี้มันเกี่ยวโยงกับเรื่องอื้อฉาวของราชวงศ์ฟูซี เจ้ามาพูดคุยกับเราเป็นการส่วนตัวจะดีกว่า”
เธอเท้าศอกลงบนโต๊ะ และก้มวางแก้มลงบนมือ ปากเอ่ยกล่าวด้วยความสนใจ “หรือเจ้าไม่กล้าที่จะมา? ในฐานะสมเด็จพระจักรพรรดินี เจ้าเกรงว่าข้าจะสังหารเจ้างั้นหรือ?”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้ เวโรน่าทำได้แค่เพียงลอบกัดฟันอย่างลับๆ
อีกฝ่ายอันตรายเกินไปสำหรับเธอ
ไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม เธอจะไม่โยนตนเองให้ไปตกอยู่ในอันตรายเด็ดขาด!
เพราะการต่อสู้ด้วยความโกรธน่ะ มันเป็นการกระทำของพวกเด็กๆที่เลือดยังร้อนเท่านั้น
ในหัวเธอกำลังคิดประโยคปฏิเสธดีๆอยู่หลายประโยค แต่แล้วเสียงที่คุ้นเคยก็ดังเข้ามาในหูของเธอ
“ไปฟังในสิ่งที่เธอจะพูดเถอะ หากยังมีผมอยู่ที่นี่ ขอท่านโปรดวางใจได้เลย ” กู่ฉิงซานกล่าว
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.363 – ความตายได้มาเยือน
เมื่อได้ยินแบบนั้น เวโรน่าก็ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะเดินเข้าไปหายี่ชา
“เชิญกล่าวมาได้เลย ทางราชวงศ์ฟูซีของเราไม่มีเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับความน่าอับอาย!” เธอกล่าว
ยี่ชาเมื่อเห็นอีกฝ่ายยอมเดินเข้ามาจริงๆ คิ้วของเธอก็ยกสูงขึ้นอย่างไม่คาดคิด
ใกล้เข้าไป ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ
ภายใต้สายตาที่กำลังเฝ้ามองด้วยความสนใจของทุกผู้คน เวโรน่าได้เดินมาจนหยุดอยู่เบื้องหน้ายี่ชา
ด้วยระยะห่างระหว่างทั้งสองในเวลานี้ มันแคบจนเรียกได้ว่าไม่ถึงครึ่งเมตรด้วยซ้ำ!
ช่างโง่เขลา …
ยี่ชาพึมพำในจิตใจของเธอ
เวลานี้ มันก็เหมือนกับว่าอีกฝ่ายได้ยอมรับ พร้อมใจให้เธอลงมือสังหารตนเองแล้ว
และทันที่ที่เวโรน่าตาย ฟูซีก็จะตกอยู่ในความโกลาหล
จักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ถูกคว้ามาอยู่ในมือของเธอตั้งนานแล้ว และหากฟูซีระส่ำระส่าย เธอก็จะใช้พลังอำนาจของตน กลืนกินดินแดนอันไพศาลของฟูซีมาไว้ในครอบครองเช่นกัน
ประชาชน ทรัพยากร ความมั่งคั่ง และมืออาชีพ ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่เธอต้องการ
ยี่ชาค่อยๆยืนขึ้นอย่างช้าๆ
เธอเอ่ยเสียงกระซิบว่า “เวโรน่า ข้าจะขอบอกเพียงสั้นๆว่า อีกาดำของเจ้าหรือไอ้ผู้พิทักษ์ในชุดเกราะทองคำน่ะ แท้จริงมันเป็นหัวขโมย! เขาได้ขโมยสมบัติของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ไป และเจ้าต้องพาตัวมันมาพบข้าทันที มิฉะนั้นก็จงอย่าหาว่าข้าไม่สุภาพ”
เวโรน่าเอ่ยถาม “สมบัติของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์? มันคืออะไรกัน?”
ยี่ชานิ่งงันไป ก่อนจะกล่าวต่อว่า “ในงานเลี้ยงของมาดามดู่ เขาได้ขโมยภาพวาดไป”
“ภาพวาด?” เวโรน่ากล่าวด้วยความสงสัย
ยี่ชา “ภาพวาดของแอนนาและพระบิดา”
เวโรน่ามองยี่ชา รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเธอ
เธอกล่าว “หากเป็นภาพใบนั้น ข้าจดจำได้ว่ามันเป็นภาพวาดของราชวงศ์ ครั้งหนึ่งองค์ราชาเคยให้มาดามดู่ยืมไปจัดแสดงในห้องนิทรรศการ แล้วสิ่งนี้กลายเป็นของเจ้าตั้งแต่เมื่อใด?”
“อีกอย่าง ถึงอีกาดำจะเอาภาพวาดนั้นไปจริงๆ แล้วเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าอีกาดำไม่ได้มอบมันคืนให้แก่แอนนาแล้ว?”
“องค์หญิงแอนนาเป็นทายาทผู้สืบทอดสมบัติและความมั่งคั่งทั้งหมดของราชวงศ์ หากเธอต้องการสิ่งใด เธอก็ไม่จำเป็นต้องขอความเห็นใดๆจากเจ้า และที่สำคัญก็คือ เจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงมาชี้นิ้วสั่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของราชวงศ์?”
ถามไปประโยคเดียว โดนสวนกลับมาสองสามดอก ยี่ชาก็นิ่งงันไปครู่หนึ่ง
หากกล่าวกันตามปกติแล้ว นี่นับว่าเป็นข้อแก้ต่างที่สมบูรณ์แบบ
“ก็ได้ ถ้าอย่างงั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงมันอีกแล้ว” ยี่ชาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “แต่ผู้พิทักษ์ของเจ้าไม่เพียงแต่จะลักขโมยสิ่งของ แต่ยังได้ลงมือลอบสังหารข้าอีกด้วย!”
สิ้นประโยคนี้ ภายในห้องจัดเลี้ยงก็บังเกิดความวุ่นวายขึ้น
ยี่ชาจ้องมองเวโรน่า ปากอ้าขยับ เปล่งเสียงของมาทีละคำ ทีละคำ “จง-ให้มัน-ออกมา-พบ-กับข้า-ได้ยินไหม?”
“เจ้ากล่าวหาว่าเขาลอบสังหารเจ้า? นี่มันน่าสนใจจริงๆ”
สีหน้าประชดประชันของเวโรน่ายิ่งมายิ่งชัดเจนขึ้น
ต่อหน้าผู้คนทั้งหมด เธอค่อยๆกล่าวออกมาอย่างช้าๆ “เป็นที่ทราบกันดีว่า เทพอีกากับเทพสุนัขเป็นผู้อุปถัมภ์ของวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งความตาย เป็นผู้รับใช้ของเทพแห่งความตายที่หลับไหล”
“หากเจ้าบอกว่าอีกาดำคิดลอบสังหารเจ้า – นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็นแล้ว”
“สิ่งที่ควรจะเป็น?” ยี่ชาเอ่ยทวนซ้ำ
“ใช่ เพราะเจ้าขโมยสิทธิ์อำนาจของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ไป หมิ่นเกียรติแห่งพระผู้เป็นเจ้า เทพอีกาดำจึงต้องการที่จะลงโทษเจ้า แค่นี้ยังไม่เข้าใจอีกหรือ?”
“หากเจ้าเป็นพระสันตะปาปาแห่งคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์แห่งความตายจริงๆ แล้วอีกาดำจะนำความตายไปสู่เจ้าได้อย่างไร?”
เวโรน่าสังเกตสถานการณ์โดยรอบ ก่อนจะเปล่งวาจาลั่น “ แท้จริงแล้วเจ้าน่ะมันเป็นคนบาป! คนบาปที่คิดแย่งชิงอำนาจรัฐ! ดังนั้นเทพแห่งความตายจึงตัดสินอาญา นำความตายมาสู่เจ้า!”
ยี่ชาไม่สามารถยับยั้งเจตนาฆ่าในหัวใจของเธอได้อีกต่อไป เธอยกมือขึ้นอีกครั้ง และกล่าวว่า “ช่างยโสนัก! รู้หรือไม่ว่าข้าก็สามารถนำความตายมาสู่พวกเจ้าได้เช่นกัน!”
ไพ่หลายใบปรากฏขึ้นในมือของเธอ
เธอกำลังคิดจะฆ่าเวโรน่า!
แต่พริบตานั้นเวโรน่าก็หายตัวไป
พร้อมกับสามเด็กหนุ่มที่มาปรากฏอยู่เบื้องหน้ายี่ชาแทน
กู่ฉิงซานผละสองมือของเขาลงจากไหล่ของซางหยิงฮ่าวและเย่เฟย์หยู
ด้วยร่างเงาแทนที่ พวกเขาได้ทำการแลกเปลี่ยนตำแหน่งกับเวโรน่า!
“อะไรกัน!”
รูม่านตาของยี่ชาเบิกกว้างขึ้น เผลออุทานออกไปโดยไม่รู้ตัว
เธอรู้สึกได้ถึงอันตรายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ท่ามกลางช่วงเวลาที่กำลังเดือดพล่าน
ซางหยิงฮ่าวคว้าจับสองกริชสีเขียวอ่อนในมือ และวาดคมมีดโค้งเป็นรูปกากบาทตรงไปยังลำคอของยี่ชา
เย่เฟย์หยูตะคอกคำหนึ่ง สองมือประสานเข้าด้วยกัน ผลักดันเลือดสังหารสีแดงสดออกมา
ดาบยาวโผล่ออกมาเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน เขาคว้าจับมัน และทิ่มตรงออกไป!
ทั้งสามโผล่ออกมาในเวลาเดียวกัน และระเบิดกระบวนท่าสังหารออกไป หมายจะฆ่าศัตรูตรงหน้าในคราเดียว!
ซางหยิงฮ่าวน่ะเป็นถึงราชานักฆ่าผู้มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในโลกในด้านลอบสังหาร!
ส่วนเย่เฟย์หยูก็ดูจะเหนือล้ำยิ่งกว่าตัวตนที่ทรงพลังในขั้นห้าไปแล้ว เขาคือผีดิบนักฆ่าสุดแกร่งอย่างหาที่ใดเปรียบ!!
และสุดท้าย กู่ฉิงซาน เขาคือนักดาบนิรันดร์ในขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นกลาง!!!
ผู้ฝึกดาบน่ะ จะสามารถระเบิดพลังที่แท้จริงของพวกเขาออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดก็ในการต่อสู้ระยะประชิดนี่แหละ ดังนั้นคงไม่ต้องกล่าวถึงกู่ฉิงซานที่ในเวลานี้อยู่ในขอบเขตนักดาบนิรันดร์
แม้กระทั่งผู้ฝึกยุทธที่มีขอบเขตสูงกว่านักดาบนิรันดร์ พวกเขาก็ยังไม่กล้าที่จะให้นักดาบนิรันดร์ย่างกรายเข้ามาในระยะประชิด!
การดำรงอยู่ของตัวตนทั้งสามได้ระเบิดการโจมตีในช่วงเวลาเดียวกัน ย่อมไม่มีใครในโลกสามารถต้านทานได้!
กระทั่งยี่ชาเองก็ไม่เว้น หากเธอตอบสนองผิดพลั้งไปแม้เพียงน้อย ก็ย่อมต้องถูกสังหารลงทันที!
ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายที่ใกล้เข้ามา
ทันใดนั้นเอง จู่ๆไพ่ใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของยี่ชาอย่างกระทันหัน
มันคือไพ่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงสดใส … ไพ่ที่เธอพึ่งได้รับมันมาจากแอสเมิร์ด!
เปลวเพลิงสาดกระจายออกไปโดยสมบูรณ์
ไพ่ได้เผยถึงลักษณะที่แท้จริงของมันออกมา
เห็นแค่เพียงภายในไพ่ถูกวาดเป็นรูปนาฬิกาโบราณ
ขณะเดียวกันก็มีโครงกระดูกนับไม่ถ้วนที่กำลังปีนป่ายอยู่บนมัน ทั้งหมดพยายามอย่างสุดกำลังที่จะยื่นมือออกไปคว้าเข็มบนนาฬิกาไม่ให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
‘ไพ่อสูรกาย: การแลกเปลี่ยนของปีศาจ’
“คำอธิบาย : เมื่อภัยคุกคามร้ายแรงเกิดขึ้น ศัตรูที่เริ่มโจมตีจะถูกแช่ให้คงสภาพอยู่ในสถานะเริ่มโจมตีเป็นเวลา 5 วินาที”
ทันทีที่ไพ่ถูกเปิดใช้งาน มันก็พลันแตกร้าว และกระจายเป็นสะเก็ดดาวไปทั่วบริเวณ
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เสียงของผู้ชายก็ดังขึ้นในจิตใจของยี่ชาอย่างรวดเร็ว
“ยี่ชา ความตายอันลึกล้ำกำลังย่างกรายมาหาตัวเจ้า”
“ไพ่ใบนี้เป็นของขวัญแห่งข้า และมันเพียงพอสำหรับเจ้าที่จะใช้เข่นฆ่าสังหารศัตรูที่เข้ามาคุกคาม!”
“จงจดจำเอาไว้ ขอให้เจ้าทุ่มสุดกำลังในช่วงเวลานี้!”
ห้าวินาที! ได้เริ่มนับขึ้นแล้ว!!
วินาทีแรก
ยี่ชาที่กำลังฟังเสียงของแอสเมิร์ดยังคงตกอยู่ในอาการช็อก
เธอเอื้อมมือไปจั่วไพ่ของตัวเองออกมาอย่างรวดเร็ว
ตรงข้ามกับเธอ กู่ฉิงซาน ซางหยิงฮ่าว เย่เฟย์หยูยังคงนิ่งงัน
บังเกิดการไหลเวียนของกระแสลมที่มองไม่เห็นห่อหุ้มทั้งสามเอาไว้ แน่นอนว่ามันรวมไปถึงกริช เลือดสังหาร และรัศมีดาบสีขาวนวลดั่งแสงจันทร์ ทั้งหมดทั้งมวลหยุดนิ่งอยู่กลางเวหาอย่างสิ้นเชิง มิอาจเขยื้อนได้แม้แต่น้อย
พวกเขาตกอยู่ในสถานะหยุดนิ่งของเวลา
และตรงข้ามกับพวกเขา ในวินาทีที่สอง ยี่ชาก็จั่วไพ่ทั้ง 11 ใบออกมาได้โดยสมบูรณ์!
วินาทีที่สอง ได้เริ่มนับขึ้นแล้ว!
ยี่ชาทิ้งไพ่ที่ไร้ประโยชน์ไปหลายใบ และเริ่มทำการจั่วไพ่ขึ้นมาอีกครั้ง
เวลาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย 5 วินาที โดยที่อีกฝ่ายไร้ซึ่งการต่อต้าน มันนับว่าเพียงพอแล้วที่เธอจะระเบิดพลังของตนออกมาอย่างเต็มกำลัง!
เธอเอ่ยด้วยรอยยิ้มฉกาจฉกรรจ์ “คิดลอบสังหารข้า? บังอาจนัก! จงตายเสีย!!”
วินาทีที่สาม ได้เริ่มนับขึ้นแล้ว!
ยี่ชากำลังปลุกเร้าแต้มพลังวิญญาณของเธอ และกระตุ้นไพ่ทั้ง 11 ใบในมือทีละใบ ทีละใบ
ส่วนทางฝั่งกู่ฉิงซาน ดาบอีกเล่มหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้น
อย่างไรก็ตาม ไม่จำเป็นต้องรีรอให้ดาบเล่มนั้นเคลื่อนไหว
เหนือหัวของกู่ฉิงซาน จู่ๆก็ปรากฏม้วนคัมภีร์สีเลือดโผล่ออกมา!
“ช่วงเวลาว่างเปล่าของทวยเทพ”
“คำอธิบาย : เมื่อศัตรูเตรียมที่จะทำการโจมตีขั้นร้ายแรง สติอารมณ์และสภาวะจิตใจของศัตรูจะตกอยู่ในสถานะว่างเปล่าเป็นเวลา 3 วินาที”
ม้วนคัมภีร์สีเลือดสาดแสงสีแดงดุดันออกมา
เมื่อยี่ชาเห็นม้วนคัมภีร์นี้ เธอก็กรีดร้องออกมาราวกับเห็นภูติผี! “ไม่จริง! นั่นมันคัมภีร์ของชุดคลุมเลื -”
และในตอนนั้น เธอก็รู้สึกราวกับว่าถูกกระแทกที่ศีรษะอย่างแรง ทั้งคนทั้งร่างไร้สตินิ่งงันไป
‘ช่วงเวลาว่างเปล่าของทวยเทพ’ เริ่มทำงาน!
สองมือที่กำลังจะเคลื่อนไหว นิ่งงันไปในวินาทีที่สี่!
ไพ่ทั้ง 11 ใบของยี่ชาร่วงตกกระจัดกระจายจากมือ และสลายหายไป
ภายในวินาทีนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างนิ่งงัน ตกอยู่ในสภาพมิอาจเคลื่อนไหวได้
วินาทีที่ห้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ปงงง!
ปงงง!
บังเกิดสองเสียงดังขึ้นเล็กน้อยในช่วงเวลาเดียวกัน
‘การแลกเปลี่ยนของปีศาจ’ และ ‘ช่วงเวลาว่างเปล่าของทวยเทพ’ ทั้งหมดแตกกระจายหายไปในเวลาเดียวกัน
ทั้งสองฝ่ายเรียกคืนความสามารถในการเคลื่อนไหวกลับมาได้อีกครั้ง
สามการโจมตีฟุ้งไปด้วยเจตนาฆ่าถลามาถึงตัวยี่ชา
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ ยี่ชาก็ได้เตรียมความพร้อมไว้ก่อนแล้ว
เธอจั่วไพ่ออกมาอย่างเร่งร้อน ปากอ้าตะโกนขึ้นในเวลาเดียวกัน “ฮัทท์!”
ฮัทท์คือนักรบที่ทรงพลังที่สุดของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์
ตราบใดที่เขาก้าวเข้ามารับหน้าแทนตน ยี่ชาก็จะมีเวลามากพอที่จะใช้งานไพ่ของตัวเอง
ยี่ชาเชื่อมั่นว่ามันต้องเป็นแบบนั้น
ไพ่ใบแรกปรากฏขึ้นในมือของเธอ
แต่การจู่โจมแรกของซางหยิงฮ่าวก็ได้มาถึงแล้วเช่นกัน!
“จงขับไล่!”
ยี่ชายกไพ่ขึ้นแล้วตะโกน
ซางหยิงฮ่าวถูกตีกระแทกด้วยบางสิ่ง พุ่งฟิ้ว!ปลิวกระเด็นออกไป
“จงกระจาย!” ยี่ชาจั่วไพ่ใบที่สองออกมา
บังเกิดพลังสายลมอันอ่อนนุ่ม พัดพาเอาเลือดสังหารและเย่เฟย์หยูโบยบินห่างออกไป
ยี่ชาปลีกตัวถอยออกมา
เธอต้องการจะให้ฮัทท์สลับหน้าที่รับมือกับกู่ฉิงซานแทนตนเอง
ตราบใดที่ฮัทท์หยุดการโจมตีจากดาบยาวของกู่ฉิงซานได้ ตนก็จะมีเวลามากพอที่จะจั่วไพ่ออกมาอีกสองใบ!
และด้วยไพ่สองใบนี้ ตนก็จะพอมีเวลาได้พักหายใจเสียที
–อย่างไรก็ตาม มันกลับไม่มีใครโผล่ออกมา
ปลายดาบยาวของกู่ฉิงซาน … เจาะ! ทะลวงเข้าไปในหน้าอกของเธอ!
สีหน้าของยี่ชาแปรเปลี่ยนกลับกลายครั้งใหญ่ เธอจำต้องเสี่ยงชีวิตจั่วไพ่ขึ้นมาอีกใบหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สายตาสาดลงบนไพ่ใบนั้น และสีหน้าของเธอก็เผยถึงความสุขชั่วครู่หนึ่ง
นี่คือไพ่ป้องกัน
ตราบใดที่ฮัทท์ก้าวออกมา และถูกหนุนเสริมด้วยไพ่ใบนี้ เขาก็จะรับมือกับศัตรูตรงหน้าได้อย่างง่ายดาย
ยี่ชากระตุ้นไพ่ป้องกันใบนี้ทันที
ในเวลาเดียวกัน โล่ศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเธอในทันใด
ปุ!
ทว่ากลับเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น เพราะดาบที่สมควรจะอยู่ข้างหน้า กลับแทงทะลุอกมาจากทางเบื้องหลังเธอ!
ยี่ชาแข็งค้าง
นี่เป็นดาบที่คุกคามถึงชีวิต
‘เทคนิคลับแห่งดาบ กลืนกินหวนกลับ!’
เบื้องหลังเธอ … ไม่ได้มีไพ่ป้องกัน ..
เธอใช้มือคว้าจับปลายดาบ ที่ยามนี้ทิ่มแทงผ่านหัวใจเธอทะลุออกมาจากอก และพยายามอย่างยิ่งยวด ที่จะหันคอมองไปยังทิศทางที่ฮัทท์ยืนอยู่
มันก็จริงที่เปลวเพลิงสีขาวบริสุทธิ์กำลังเผาไหม้อยู่ในมือของสาวกศักดิ์สิทธิ์ฮัทท์ แต่ทว่า … เขากลับยังคงยืนอยู่อย่างเงียบๆ
เขายับยั้งตนเอง และเลือกที่จะไม่ก้าวเข้าไปร่วมต่อสู้
และค่อยๆถอยห่างไกลออกไป
“นั่นเจ้า … เพราะเหตุใด?”
สองตาของฮัทท์แดงก่ำ สองมือกำแน่น ปากเปล่งวาจาด้วยเจตนาร้าย “แกฆ่าน้องชายฉัน ทั้งๆที่เขาอุทิศตนและภักดีเสมอมา แต่แก ..แก … แกกลับฆ่าเขา!”
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.364 – ถูกรับตัวไปโดยปีศาจ
“น้องชาย?”
บนใบหน้าของยี่ชาฉายแววเยาะหยัน “ไม่คิดเลยว่าคนเขลาเช่นเจ้า … จะใส่ใจไอ้เรื่องเกี่ยวกับครอบครัวไร้สาระนี่ด้วย”
ว่าจบ ปากก็พ่นเลือดออกมาคำหนึ่ง สองตาค่อยๆปิดลงอย่างช้าๆ
เธอสิ้นใจแล้ว
กู่ฉิงซานเก็บดาบกลับคืนด้วยสีหน้าแลดูซับซ้อนเล็กน้อย
ในหมู่มวลมนุษย์ มืออาชีพที่ทรงพลังได้ตกตายลงไปอีกคนหนึ่งแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นองค์จักรพรรดิฟูซีหรือพระสันตะปาปาแห่งคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสองก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่เลือกก้าวเดินในเส้นทางที่ผิด
พวกเขาจะนำมนุษย์ชาติไปสู่ก้นบึ้งแห่งการทำลายล้าง
ดังนั้นการที่โลกจะต้องสูญเสียพวกเขาไปมันจึงไม่นับว่าเป็นสิ่งใด
แต่สิ่งที่ทำให้กู่ฉิงซานต้องเก็บมันมาคิดอย่างลึกซึ้งก็คือ ขณะที่เกิดการต่อสู้ขึ้นเมื่อครู่นี้ เขาได้เสียการควบคุมไป
ไพ่เทียนซวนชนิดใดกันที่สามารถทำให้เวลาหยุดนิ่งและพันธนาการพวกเขาทั้งสามคนได้ในคราเดียว?
ไพ่เทียนซวนปกติย่อมไม่มีทางทรงประสิทธิภาพถึงขนาดนี้เป็นแน่
เพราะถ้าไพ่เทียนซวนทั้งหมดมีประสิทธิภาพขนาดนี้จริง มืออาชีพในสายอื่นๆก็คงจะไม่มีใครเหลือรอดกันหมดแล้ว
แม้ว่าพระสันตะปาปาจะแข็งแกร่ง แต่มันก็แกร่งไม่พอที่จะทำให้เธอได้ครอบครองไพ่ที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้!
และอีกอย่างก็คือ ถ้าหากเธอแกร่งพอที่จะครอบครองไพ่ระดับนั้นจริงๆ ขอเพียงแค่เธอก็แค่จั่วมันขึ้นมาอีกใบ แล้วใช้มันพลิกสถานการณ์ สังหารตัวเขาและคนอื่นๆทุกอย่างมันก็จบ
กู่ฉิงซานย้อนคิดอย่างรอบคอบถึงทุกๆกระบวนการต่อสู้ระหว่างตนกับพระสันตาปาปา
ไม่น่าจะผิดพลาดแล้ว!
ไพ่ใบนั้นสามารถทำให้เวลาหยุดนิ่งได้จริงๆ และจากในบรรดาไพ่ทั้งหมดที่เธอมี ชัดเจนว่าไพ่ใบนั้นอานุภาพร้ายแรงที่สุด!
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดเลยก็คือ ซูเซี่ยเอ๋อก็มีม้วนคัมภีร์ที่อยู่ในระดับเดียวกันอยู่ด้วยเช่นกัน
ตอนนี้กู่ฉิงซานค่อนข้างมั่นใจว่า ซูเซี่ยเอ๋อไม่ได้ถูกส่งไปยังโลกแห่งผู้ฝึกยุทธแน่นอน
แต่การที่สามารถได้ม้วนคัมภีร์อันแสนร้ายกาจเช่นนี้มาครอบครองได้นี่มัน … โลกแบบใดกันนะที่เธอถูกส่งไป?
ซางหยิงฮ่าวเช็ดเลือดตรงมุมปาก เดินกะเผลกๆมาข้างกายกู่ฉิงซาน สายตาจ้องมองไปยังร่างของพระสันตะปาปา
“ไม่คาคคิดเลยว่าวันหนึ่ง ผมจะได้มีส่วนร่วมในการลอบสังหารตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกเช่นท่าน”
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากจริงๆ”
เขาหันไปทางพระสันตะปาปา โค้งคารวะอย่างจริงใจ
เย่เฟย์หยูลอยลงมาจากท้องฟ้ามาหยุดยืนอยู่ข้างๆกู่ฉิงซาน
เย่เฟย์หยูเหลือบมองไปที่ฮัทท์ เอียงคอไปข้างกายและกระซิบถามอย่างเงียบๆ “แล้วจะเอาไงต่อ ฆ่าเจ้าหมอนั่นไปด้วยเลยไหม”
“ไม่เป็นไรไม่ต้องจัดการเขาหรอก เรื่องของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์น่ะ เดี๋ยวก็มีคนเข้ามาจัดการแทนพวกเราอยู่แล้ว”
“เรื่องของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์?” เย่เฟย์หยูทวนซ้ำ
แต่แล้วทั้งหมดก็ได้ยินเสียงอันไพเราะของหญิงงามที่ดังก้อง
“ฮัทท์! ในนามของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์แห่งความตาย ข้าขอถามเจ้าว่า เจ้ายังมั่นคงต่อศรัทธาของตัวเจ้าหรือไม่?”
สมเด็จพระจักรพรรดินีเวโรน่าก้าวออกมาอย่างช้าๆ
ฮัทท์ก้มหน้าลง ปากเอ่ยงึมงำ “เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเอ่ยถามข้า”
“ผิดแล้ว ข้าย่อมมีคุณสมบัติอย่างแน่นอน” เวโรน่ากล่าว “ข้าเป็นถึงพระคาร์ดินัลแห่งคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ และเจ้าก็ร่วมงานกับข้ามาเป็นระยะเวลากว่า 5 ปี ฉะนั้นเจ้าควรจะรู้ถึงความศรัทธาของข้าดี”
ฮัทท์เงยหน้าขึ้นและกล่าวสวนไปว่า “ข้ารู้ แต่ตอนนี้เจ้าเป็นกษัตรีย์แห่งฟูซีแล้ว ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆกับคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์อีก”
ท่าทีของเวโรน่าเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว “แต่ก็ยังหลงเหลืออีกผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ ตระกูลเมดิซีที่แท้จริงคนนั้น! และเจ้าก็ควรที่จะซื่อสัตย์ต่อเธอ!!”
ฮัทท์กล่าวหยัน “เจ้ากำลังหมายถึงแอนนา? เด็กสาวตัวน้อยคนนั้นน่ะหรือ?”
“เธอไม่ใช่แค่เด็กสาวตัวน้อย แต่เธอคือผู้นำตระกูลเมดิซีของเราที่โดดเด่นที่สุดในระยะเวลากว่าหลายร้อยปีที่ผ่านมา ทรงอำนาจชนิดผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนทำได้เพียงแค่แหงนมอง มิอาจเทียบเปรียบกับเธอได้”
ท่าทีการแสดงของเวโรน่าเปลี่ยนเป็นดุดัน “ฮัทท์ เจ้ายังคงจดจำได้หรือไม่ ว่าถ้าหากเจ้าไม่ซื่อสัตย์ต่อตระกูลเมดิซี นั่นหมายความว่าเจ้ากำลังทรยศคริสตจักรศักดิสิทธิ์!”
“ฉะนั้น เจ้าจึงเหลือเพียงสองทางเลือก หนึ่งคือออกไปจากคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์เสีย อีกหนึ่งคือสาบานว่าจะมอบความภักดีให้กับคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ และตัดสินใจเรื่องนี้ร่วมกันกับสาวกศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ”
เวโรน่ากล่าวต่อ “ไม่ว่าเจ้าจะเลือกทางไหน ข้าก็สามารถรับประกันได้ว่าแอนนาจะต้องทำให้คริสตจักรศักดิ์สิทธิ์เจริญรุ่งเรืองต่อไปได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะมีเจ้าหรือไม่ก็ตาม”
เวโรน่าส่งสัญยาณไปทางองครักษ์วังเพื่อเปิดเส้นทางให้แก่เขา
ฮัทท์จ้องมองเธอด้วยสีหน้าซับซ้อน ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
เวโรน่าเดินมาหากู่ฉิงซานและคนอื่นๆ สายตาก้มลงมองไปยังร่างของยี่ชา
“คนๆนี้ทำการยึดประเทศและลอบสังหารกษัตริย์ แต่สุดท้ายก็ตายด้วยน้ำมือเจ้า”
“นี่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดสำหรับตระกูลเมดิซี และเป็นช่วงเวลาที่คริสตจักรศักดิ์สิทธิ์จะได้ถือกำเนิดใหม่!”
เธอหลั่งน้ำตาและยิ้มให้กับตัวเอง … มันเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากหัวใจของเธอ
สมเด็จพระจักรพรรดินีหันมาประกาศกับทุกคนด้วยน้ำเสียงดังลั่น “เจ้าเป็นผู้มีพระคุณของตระกูลเมดิซี คือผู้มีพระคุณของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์แห่งความตาย ข้าขอยกย่องสำหรับความกล้าหาญนี้ ด้วยการมอบความรุ่งโรจน์อันหาที่ใดเปรียบแก่เจ้า!”
หนึ่งกำปั้นประสานหนึ่งฝ่ามือเสมอหน้าอก กู่ฉิงซานโค้งกายลงและกล่าว “ขอบพระคุณสมเด็จพระจักรพรรดินี”
…..
ในเวลาเดียวกัน
ภายในจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์อันห่างไกล
ณ โบสถ์ใหญ่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์
ภายในห้องลับใต้ดิน
ไพ่ที่ลอยอยู่เหนือสระเลือด ‘เพรียกปีศาจ’ ได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆอย่างฉับพลัน
แสงที่เปล่งออกมาจากมันหายไปทันที
ภายในสระเลือด บังเกิดเสียงกระซิบพึมพำออกมาว่า “นางได้ตายลงแล้ว … นี่มันช่างน่าประหลาดใจโดยแท้”
“ดูเหมือนว่าเทพแห่งความตายจะโกรธเกรี้ยวเธอมากเป็นพิเศษ จนแม้กระทั่งไพ่ของข้าก็ยังไม่อาจหยุดยั้งเทพแห่งความตายได้”
เลือดก่อร่างขึ้นบนฝ่ามือของเขา และผุดออกไปจากสระเลือด
“อา .. พลังของสระเลือดในตอนนี้ คงเพียงพอแล้วที่จะช่วยให้ข้าเปิดช่องว่างระหว่างสองโลก และกลับคืนสู่แดนแห่งการชำระล้างเสียที”
เลือดที่ผุดออกมาลอยล่องอยู่กลางอากาศ ราวกับว่ามันกำลังค้นหาบางสิ่งบางอย่าง
“สิ่งที่หาได้ยากที่สุดในหมื่นโลกา ก็คือจิตวิญญาณของผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์จากเกาะหมอก และข้าจะต้องได้รับมันมาให้จงได้!”
เลือดที่ลอยล่องเริ่มจะพลุ่งพล่าน
“ตามที่สัญญากันไว้ ยี่ชา .. ข้าจะขอรับเอาจิตวิญญาณของเจ้าไป!”
ในกระแสเสียงของเขา มันแฝงไว้ด้วยร่องรอยของความตื่นเต้น
ณ ฟูซี
ภายในห้องโถงจัดเลี้ยง
จู่ๆยี่ชาก็ลืมตาขึ้นในทันใด
ดาบของกู่ฉิงซานยังคงจ้วงแทงลึกลงในหัวใจของเธอ
ยี่ชาหันไปมองรอบๆ ก่อนจะก้มมองดูเลือดและดาบที่ปักเสียบคาอยู่บนหน้าอกของเธอ
เธอลุกขึ้นมาจากตัวเอง และก้มลงมองศพใต้ฝ่าเท้า
ผู้คนทั้งหมดในที่แห่งนี้ ไม่มีใครมองเห็นเธอเลย
ความกระจ่างชัดปรากฏขึ้นในจิตใจของยี่ชา
-เธอได้เสียชีวิตลงแล้ว
“โอ๊ะ? นี่น่ะหรือคือสาเหตุการตายของเจ้า” เสียงในอากาศดังขึ้น
ยี่ชาเงยหน้าขึ้นมองและร้องออกมา “แอสเมิร์ด!”
“เป็นข้าเอง ข้ามารับตัวเจ้าเพื่อออกไปจากโลกอันแสนสับสนวุ่นวายใบนี้”
แอสเมิร์ดปรากฏร่างของเขาออกมา
และก็ไม่มีใครสามารถมองเห็นเขาได้เช่นกัน
นั่นเพราะในขณะนี้ ตัวเขาได้อยู่ในสถานะของจิตวิญญาณ
ยี่ชามองไปทางแอสเมิร์ด น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความเกลียดชัง “แอสเมิร์ด โปรดแก้แค้นให้ข้าด้วย! ไม่ว่าเจ้าจะต้องการสิ่งใด ข้าก็ยินดีจะจ่ายมันออกไปทั้งสิ้น!”
แอสเมิร์ดส่ายหัวและกล่าวว่า “ไม่ได้หรอก เพราะนี่เป็นเจ้าเองที่พลาดพลั้ง ตามสัญญา ตอนนี้เจ้ากลายเป็นของข้าโดยสมบูรณ์ ดังนั้นทุกสิ่งที่เจ้ามีอยู่ก็คือของข้า แล้วเจ้าจะใช้ของๆข้าจ่ายให้ตัวข้าเองได้อย่างไร?”
น้ำเสียงของยี่ชาเริ่มที่จะกระวนกระวาย “เจ้าไม่ต้องการทราบหรือว่าแท้จริงแล้วเกิดสิ่งใดขึ้นกับปรภพ? หากเจ้าช่วยข้าแก้แค้น ข้าจะบอกความลับที่ข้ารู้ให้เจ้าทราบเอง”
เสียงของแอสเมิร์ดดูจะอ่อนโยนลง “เจ้าโกหกได้ไม่เอาไหนจริงๆ ยี่ชาเอ๋ย ข้าจะบอกเจ้าอีกครั้ง ข้าน่ะไม่ได้สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นไปของบ้านคนอื่นหรอกนะ”
แอสเมิร์ด “ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่ข้าสนใจน่ะ มีเพียงจิตวิญญาณของเจ้าเท่านั้นแหละยี่ชา‘
“เจ้าเป็นผู้ใช้ไพ่ที่ชั้นยอดคนหนึ่ง และข้าต้องการให้เจ้าเดินทางมากับข้า นำมาซึ่งผลประโยชน์อันหาที่ใดเปรียบให้แด่ข้า!”
ทันใดนั้นยี่ชาก็ร้องออกมาด้วยความเกลียดชัง “เจ้าต้องช่วยข้านะ ช่วยสังหารศัตรูให้ข้า! แล้วข้าจะยินดีจ่ายทุกอย่างเลย!”
แอสเมิร์ด เอ่ยถาม “ทุกอย่างเลย? มันจะเป็นไปได้หรือ?”
“ใช่แอสเมิร์ด ทุกอย่างเลย!”
“เช่นนั้นข้าขอเป็น ‘ระบบ’ที่ถูกสร้างขึ้นโดยจิตวิญญาณของเจ้า นี่แหละคือสิ่งที่ข้าต้องการ เจ้าจะว่าอย่างไรล่ะยี่ชา”
ยี่ชาพอได้ยิน ทั้งร่างก็ชะงักงันไป
คราวนี้ น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?”
เสียงของแอสเมิร์ดดูจะเต็มไปด้วยความภาคภูมิ “เจ้าเป็นคนที่ถูกเลือกโดยสวรรค์ที่ออกมาจากเกาะหมอก คือการดำรงอยู่ของผู้ฝึกสอน – และแน่นอนว่าเจ้าย่อมสามารถสร้างระบบขึ้นมาได้ด้วยไพ่เทียนซวน ใช่หรือไม่?”
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าหากข้าทำเช่นนั้น ข้าจะต้องสูญสิ้นตัวตน ต้องสละทุกสิ่งอย่าง กลายเป็นตัวตนที่มองไม่เห็น ต้องคอยต่อสู้กับวันสิ้นโลกตลอดไป ต้องทนทุกข์ทรมาณเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสเพียงใด!?”
ยี่ชาตะโกนอย่างบ้าคลั่ง “หากเป็นเช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องการที่จะให้เจ้าช่วยแก้แค้นแล้ว แอสเมิร์ด!”
แอสเมิร์ดร่อนลงมาจากอากาศที่ว่างเปล่า และคว้าหมับ! เข้าที่คอของยีชา
เขาระเบิดเสียงคำรามออกมา “เจ้ามันก็แค่คนเขลา! มิได้รู้อะไรเกี่ยวกับระบบเลย!”
“จงมากับข้า แล้วข้าจะแสดงให้เจ้าได้เห็นเองว่าพลังอันแสนล้ำค่าของระบบมันคืออะไร แล้วมันจะช่วยให้ข้าและเจ้าได้รับผลประโยชน์มหาศาลขนาดไหน”
พอเอ่ยถึงจุดนี้ น้ำเสียงของเขาก็คลายลง “สิ่งมีชีวิตทั้งมวล ทุกสิ่งอย่าง เมื่ออยู่ต่อหน้าระบบ … มันก็เป็นเพียงลูกแกะที่รอวันถูกสังหารเท่านั้น!”
แต่แล้วขณะที่เขากล่าว จู่ๆในหัวใจของเขาก็บังเกิดประกายวาบผ่านเข้ามา
หรือว่าเขาจะฆ่าพวกมดตัวจ้อยซักสองสามคนเพื่อระบายความโกรธแค้นให้แก่ยี่ชาซักหน่อยก็น่าจะดี?
ดวงตาของเขากวาดผ่านไปทั่วทั้งโถงจัดเลี้ยง และในที่สุดก็ตกลงบนสองดาบยาวข้างกายของกู่ฉิงซาน
เมื่อเห็นเช่าหยิน แอสเมิร์ดก็ดูจะประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าเมื่อเขาเห็นดาบพิภพ กลับบังเกิดประกายของความหวาดกลัวขึ้นในแววตาของเขา
หลังจากมองสองดาบแล้ว แอสเมิร์ดก็หันไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
ด้วยพลังอำนาจชนิดอยู่ยงคงกระพันของเขา ตนจึงสามารถมองเห็นถึงบุคลลที่แม้จะมีเพียงร่างจางๆราวกับภาพลวงตา ทว่ากลับน่าสะพรึงกลัวที่สุดในห้องโถงแห่งนี้ได้ -คนๆนั้นกำลังยืนถือไม้คทาอยู่อย่างเงียบๆ
ชายผู้นั้นแม้จะมีร่างกายผ่ายผอม ทว่าส่วนเหนือลำตัวขึ้นไปกลับเป็นหัวสุนัข!
รูม่านตาของแอสเมิร์ดหดวูบลงอย่างกระทันหัน
ผู้รับใช้เทพแห่งความตาย .. ก็อยู่ที่นี่!?
“นั่นเจ้ามัวแต่เหม่อมองอะไรอยู่?” ยี่ชาเบนสายตามองตามเขา ทว่ากลับเห็นเพียงความว่างเปล่า มันไม่มีอะไรอยู่เลย
“ไม่หรอก ไม่ได้มองสิ่งใด”
แอสเมิร์ดตอบปัด
เขาตัดสินใจที่จะไม่สร้างปัญหา ละเรื่องการสังหารคนเพื่อเอาใจยี่ชาไป
ยี่ชาไม่อยากจะเชื่อได้เลย เธอกล่าวอย่างลังเลว่า “แล้วที่เจ้ากล่าวเมื่อครู่มันเป็นความจริงหรือ?”
แอสเมิร์ดกล่าว “แน่นอน! หลังจากที่รู้ถึงความลับที่แท้จริงของระบบ เจ้าจะร่ำไห้และอ้อนวอนให้ข้าช่วยเปลี่ยนเจ้าเป็นระบบอย่างแน่นอน แล้วจากนั้นชีวิตเจ้าก็จะพานพบแต่ความสุขไปชั่วนิรันดร์”
“แอสเมิร์ด บอกข้ามาว่าความลับของระบบคืออะไร!” ยี่ชาเอ่ยถามอย่างไม่เต็มใจ
“ระบบไม่จำเป็นต้องใช้เพื่อ ‘ช่วย’ โลกเสมอไป แต่มันยังสามารถทำให้ทุกสรรพชีวิตกลายเป็น ‘ทาส’ ได้อีกด้วย เจ้าไม่รู้เรื่องนี้เลยหรอกหรือ?”
แอสเมิร์ดกล่าวด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ยี่ชาพอได้ฟังก็ชะงักงันอย่างรุนแรง
เธอไม่เคยคิดเกี่ยวกับมันเลย แค่ยามที่ครอบครองมัน เธอจะรู้สึกเพียงว่ามีบานประตูกำลังเปิดอยู่เบื้องหน้า
และภายนอกประตูบานนั้น มันคือโลกใบใหม่ที่เธอไม่เคยพบเจอโดยสมบูรณ์
แอสเมิร์ดกล่าวเตือน “ไปได้แล้ว จงมากับข้า ตัวข้าไม่อาจอยู่ที่นี่เป็นเวลานานได้!”
เขาโบกมือออกไปพร้อมกับหลุมดำที่ผุดออกมาจากความว่างเปล่า
แล้วสองดวงจิตก็ถูกดูดเข้าไป หายวับมิอาจมองเห็นได้อีกเลย
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.365 – แอนนากับเทพแห่งความตาย(1)
ย้อนเวลากลับไปก่อนหน้านี้หนึ่งวัน
ในคืนก่อนที่เวโรน่าจะได้ขึ้นครองบัลลังก์
ขณะที่กู่ฉิงซานพึ่งกลับมาจากมหาสมุทรและตรงกลับไปยังวิลล่า
ขณะที่ซูเซี่ยเอ๋อยังอยู่ในช่วงเวลาแห่งโชคชะตาอันไม่แน่ไม่นอน
ในช่วงเย็น
บริเวณเขตแดนเชื่อมต่อระหว่างจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์และฟูซี
ณ เมืองที่รกร้างแห้งแล้ง
ภายในโบสถ์ของตัวเมืองที่แม้จะทรุดโทรมไปบ้าง แต่ก็นับว่าโชคยังดีที่มีบาทหลวงชราคอยดูแลนรักษามันอยู่
ซึ่งโดยปกติแล้วประตูของโบสถ์จะถูกเปิดทิ้งเอาไว้ตลอดเวลาโดยไม่คำนึงถึงสายลมและสายฝน
ทว่าวันนี้ ประตูโบสถ์กลับถูกปิดสนิท
เมื่อชาวเมืองที่อยากรู้อยากเห็นมาเอ่ยถามว่าทำไม
แล้วพวกเขาก็ได้รับคำตอบว่า เชิงเทียนขนาดใหญ่ที่ติดอยู่เหนือเพดานมายาวนานกว่าร้อยปี และมักจะส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดไปมายามปะทะกับลมฝน สุดท้ายก็ถึงคราสิ้นอายุขัย ถูกกระแสลมกระหน่ำจนมิอาจยึดติดกับเพดานได้อีกต่อไปในที่สุด
มันร่วงตกลงมาจากเพดาน
ร่วงตกลงใส่ม้านั่งที่ใช้สำหรับสวดอธิษฐาน และเกือบที่จะตกลงใส่หัวบาทหลวงชรา
ด้วยเหตุนี้ ทางโบสถ์จึงไม่สามารถเปิดทำการได้อีกต่อไป
บางที มันอาจจะจำเป็นต้องใช้เวลาซ่อมม้านั่ง หรือไม่ก็เป็นเพราะความเสียขวัญของบาทหลวง ที่ต้องการจะพักผ่อนทำใจเป็นระยะเวลาสั้นๆ จึงตัดสินใจประกาศปิดโบสถ์เป็นการชั่วคราว
ยามเมื่อประตูถูกปิด สรรพเสียงภายในกับภายนอกโบสถ์ก็แยกออกจากกันราวกับสองโลก
ภายในตัวโบสถ์อันเงียบสงบ
จู่ๆเสียงของบาทหลวงชราก็ดังขึ้น
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้งในลำคอ “ฝ่าบาท ในประวัติศาสตร์ของตระกูลเมดิซี ท่านนับว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์โดยกำเนิด และยังเป็นผู้นำตระกูลเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับเทคนิคโบราณทั้งหมดนี้ได้”
“ผู้เฒ่าเช่นเราคิดว่าท่านกำลังจะกลายเป็นหนึ่งในผู้นำตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ ดังนั้นท่านไม่จำเป็นต้องมาเสี่ยงเช่นนี้เลย”
ตรงกันข้ามกับเขา หญิงสาวหน้าตางดงามผู้ครอบครองผมสีแดงเพลิงได้กล่าวตอบกลับไปว่า “อย่าได้โน้มน้าวฉันอีกต่อไปเลย ไม่ว่าอย่างไรฉันก็จะต้องลองดู”
แอนนาล่ะ
แอนนาอยู่ในที่แห่งนี้
เธอกำลังแบกกระเป๋าสะพายหลังใบใหญ่ และยืนอยู่ภายในโบสถ์
บาทหลวงชรากล่าวอย่างขมขื่น “ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ทางราชวงศ์ได้ผลิตผู้สืบทอดที่ยอดเยี่ยมมามากมาย ทว่าสุดท้ายแล้วทุกคนก็จนปัญญา และไม่สามารถปลุกเทพแห่งความตายให้ตื่นขึ้นมาได้เลย”
“ทายาทหลายคนถึงขั้นยอมบูชายัญฆ่าตัวตายหน้ากล่องสมบัติ เพียงเพื่อหวังแค่ว่าเทพแห่งความตายจะปรากฏตัวขึ้น”
“แต่ไม่ว่าจะใช้กลวิธีใด กล่องสมบัติก็ยังไม่มีปฏิกริยาตอบสนองอยู่ดี”
“จากทั้งหมดทั้งมวลนี้ มีเพียงบรรพบุรุษรุ่นแรกของท่านเท่านั้นที่สามารถเปิดมันขึ้นมาได้”
“ฝ่าบาท กล่องสมับัติชิ้นนี้คือสิ่งโชคร้าย ผู้เฒ่าเช่นเราแนะนำให้ท่านควรรีบหันหลังย้อนกลับไปจะดีกว่า”
“หยุดพูดเรื่องไร้สาระเถอะ ฉันเป็นผู้นำตระกูลแล้ว หากได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูล ไม่ว่ายังไงก็ต้องลองพยายามเปิดมันดู นี่เป็นกฏ!”
บาทหลวงชราถอนหายใจ “แต่ทางราชวงศ์น่ะไม่มีใครหลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นภารกิจที่สำคัญที่สุดของท่านก็คือ ‘จะทำอะไรก็ต้องขอให้ยึดมั่นใจในความปลอดภัยของตัวเอง เพื่อรักษาสายโลหิตของตระกูลให้สืบสานต่อไป’ ”
แอนนาพยักหน้า “ที่ท่านเอ่ยมาก็ถูก ฉันไม่คิดจะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับพวกบรรพชนหรอก ฉันเพียงแค่ต้องการที่จะจบภารกิจรับสืบทอดมรดกนี้ในฐานะผู้นำตระกูลให้เร็วที่สุดก็เท่านั้น”
บาทหลวงชราชะงักไปเล็กน้อย
แอนนากล่าวต่อ “ฉันไม่เคยคิดหรือรู้สึกว่าตัวเองจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าบรรพชนในประวัติศาสตร์หรอกนะ และแน่นอนว่าฉันก็ยังรักชีวิตของตัวเองเหมือนกัน ฉันเลยมาที่นี่ในฐานะผู้นำตระกูลเพียงเพื่อที่ในอนาคตฉันจะได้ระลึกถึงมันว่าตัวเองได้เลยลองพยายามที่จะทำมันอย่างเต็มที่แล้ว”
“ … แท้จริงแล้วมันเป็นเช่นนี้”
บาทหลวงชราจ้องมองการแสดงออกทางสีหน้าของเธออย่างรอบคอบ และตระหนักว่าเธอไม่มีความหวังใดๆแอบแฝงจริงๆ เขาก็รู้สึกโล่งใจ
เขากลัวว่าแอนนาจะทำอะไรไม่ยั้งคิด และต้องจ่ายออกไปด้วยราคามหาศาล เพียงเพื่อพยายามที่จะเปิดกล่องสมบัติที่ได้รับสืบทอดมา
ราชวงศ์เมดิซีในตอนนี้น่ะ ไม่สามารถที่จะสูญเสียผู้สืบสายโลหิตมากไปกว่านี้ได้อีกต่อไปแล้ว
“แต่ — จากที่ตัวเราเฝ้ามองจากการแสดงออกของท่าน เพราะอะไรกันท่านถึงได้ดูมีท่าทีกังวลแบบนี้?” บาทหลวงชราเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
แอนนาตอบ “ไม่มีอะไรหรอก มันก็แค่เรื่องไร้สาระน่ะ ฉันแค่รีบมาที่นี่แล้วจะได้ทำให้มันจบๆและกลับไปซักที!”
เธอกำหมัดแล้วกล่าวออกมาว่า “ฉันได้เรียนรู้เทคนิคโบราณทั้งหมดมาแล้ว ฉันไม่เหมือนกับในอดีตอีกต่อไป และฉันนี่แหละจะเป็นคนสังหารพระสันตะปาปาเอง!”
“ฝ่าบาท ตัวเราเชื่อในความสามารถของท่าน”
บาทหลวงชรายิ้มออกมา และดูเหมือนว่าเขาจะพอใจมากกับคำตอบนี้
“เช่นนั้นคำถามสุดท้ายนะฝ่าบาท” เขากล่าว
“ว่ามาสิ”
“เหตุใดจึงพกพาสิ่งของมามากมายเช่นนี้ … ที่อยู่ในกระเป๋าสะพายของท่าน มันใช่อุปกรณ์สำหรับปลุกเทพแห่งความตายหรือไม่?”
“ถ้ามันอยู่ในกระเป๋าของหญิงสาว มันก็ต้องเป็นของใช้ส่วนตัวของหญิงสาวสิ มันจะไปเกี่ยวข้องกับเทพแห่งความตายได้ยังไง?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เข้าใจแล้ว เช่นนั้นได้โปรดตามเราเข้าไปข้างในด้วย”
บาทหลวงชราเดินนำทางไปยังที่ไหนสักแห่งในโบสถ์ และจุดคบเพลิงขึ้น
เขาถือคบเพลิงในมือข้างหนึ่ง ขณะที่อีกข้างกดลงบนช่องลับที่ซ่อนอยู่ในความมืดมิด
บังเกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย
แล้วพื้นดินของตัวโบสถ์ลดระดับลง เผยให้เห็นถึงอุโมงค์ลับที่เป็นเส้นทางโบราณ
ฟิ้ว!
บังเกิดกระแสลมอันรุนแรงวิ่งผ่านขึ้นมาจากอุโมงค์ลับ กวาดกระจายไปทั่วตัวโบสถ์
บาทหลวงชราหันกลับมา และปลีกตัวไปอยู่หน้าปากทางเข้า
“ฝ่าบาท ขอจงโปรดระมัดระวังตัวให้ดี ไม่ว่าจะพบเจอกับอะไรก็ตาม”
บาทหลวงชรายื่นคบเพลิงให้แก่แอนนา
“เข้าใจแล้ว ท่านก็คอยคุ้มกันฉันจากด้านนอกนี้แล้วกัน ส่วนฉันจะเข้าไปดูข้างใน ถ้าเห็นท่าไม่ดีก็จะถอนตัวกลับมาทันที ไม่ฝืนตัวเองจนเกินไปแน่นอน”
เธอคว้าคบเพลิงแล้วแล้วยื่นมันออกไปเบื้องหน้า ก้าวฝีเท้าเดินลงไปในอุโมงค์ทางเดินลับโดยไม่คิดเหลียวหลังกลับมา
บาทหลวงชราเฝ้ามองตามแผ่นหลังของแอนนา ถอนหายใจด้วยอารมณ์อันหลากหลาย “ฝ่าบาท ในที่สุดท่านก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่จริงๆเสียที”
……..
แอนนากำลังเดินอยู่ภายในทางเดินลับ
หลังจากที่ผ่านไปครู่หนึ่ง ทางเดินอุโมงค์ก็เริ่มจะดิ่งลง ดิ่งชนิดที่ว่าเกือบจะยกตัวขึ้นเป็นแนวตั้งตรง
แต่ละขั้น แต่ละตอน เท้าของแอนนาค่อยๆย่ำลงไปในความมืดมิด
สภาพแวดล้อมที่นี่เปียกชื้นและเย็นจัด
มีเพียงเฉพาะคบเพลิงในมือเท่านั้นที่คอยนำทางและให้แสงสว่างเล็กๆน้อยๆ
เวลานี้ แอนนาเดินลงมายาวนานกว่าชั่วโมงแล้ว แต่ฝีเท้าของเธอก็ยังคงย่ำลงไปอย่างต่อเนื่องไม่รู้จบ
สักพักเธอก็หยุดฝีเท้าลงและเริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย
“เมื่อไหร่จะถึงซักที! เวลาของฉันมีไม่มากนักนะ มันจะสายไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว!”
สิ้นคำกล่าว แอนนาก็คว้าหมับ จับกระเป๋าสะพายให้แน่นขึ้น
จากนั้นเธอก็เลือกที่จะกระโดดจากมุมสูง ดิ่งลงไปในความมืดมิด
เบื้องหลังเหนือกระเป๋าสะพายของเธอ ปรากฏปีกคู่เปลวเพลิงอันร้อนแรง พัดกระพือให้อุณหภูมิในอากาศสูงขึ้น และแน่นอน ว่าแสงสว่างในที่มืดก็เช่นกัน
กระแสไอร้อนอบอ้าวส่งเสียงกระหึ่ม ขณะที่แอนนายังคงค่อยๆร่อนลดระดับลงมาอย่างช้าๆ
สายลมพัดผ่าน ส่งผลให้ผมของเธอพริ้วไหว เสียงหวีดหวิวดังลอดเข้ามาในหู
แอนนาเลือกที่จะร่อนลงไม่ห่างจากขั้นบันไดหิน และพบกับค้างคาวมากมายที่เกาะอยู่ตามอุโมงค์ บ้างเปล่งเสียง บ้างหลบหนีเมื่อเผชิญหน้ากับเปลวเพลิงของเธอ
เธอหลีกเลี่ยงอุปสรรคเหล่านี้โดยการเลือกที่จะไม่ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย
ความเร็วในการบินแบบทิ้งตัวดังกล่าว มันว่องไวยิ่งกว่าเดินลงตามขั้นบันไดเป็นสิบเท่า!
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงต่อมา
แอนนาก็ได้มาถึงสุดทางเดินที่อาจเรียกได้ว่าเป็นก้นเหวลึกได้ในที่สุด
ที่นี่ช่างมืดมิดและเงียบสงบ
คบเพลิงกำลังจะมอดดับลงในไม่ช้า
แอนนาชูคบเพลิงขึ้น เพื่อที่เธอจะได้เห็นสภาพทุกอย่างโดยรอบตัวเธอ
แล้วก็พบกับประตูโลหะสีดำที่ปรากฏขึ้นตรงปลายอุโมงค์
ประตูใบนี้มีขนาดใหญ่มาก ถึงขั้นที่แอนนาต้องเงยหน้าขึ้นเพื่ออ่านคำแกะสลักที่จารึกอยู่เหนือขอบประตูด้านบน
‘เทพแห่งความตายหลับไหลอยู่ที่นี่ และผู้ที่ได้พบเห็นจะมีเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่’
แอนนาอ่านคำเหล่านั้นทีละคำๆ ในหัวใจเริ่มฟุ้งซานไปครู่ใหญ่
ในประวัติศาสตร์ ครั้งหนึ่งเคยปรากฏสุดยอดตัวตนที่ทรงพลังขึ้น คนผู้นั้นเคยได้ออกสำรวจร่องรอยบางอย่าง และบังเอิญค้นพบความลับนี้ของตระกูลเมดิซีเข้า
ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะลอบเข้ามาที่นี่เพียงลำพัง
แต่ใครจะรู้ เมื่อเขาได้ก้าวเข้ามาอยู่หน้าประตูบานนี้ เขากลับเสียชีวิตลงอย่างกระทันหัน?
ทุกคนที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับประตูบานนี้ ต่างก็จมลงสู่การหลับไหลชั่วนิรันดร์
มีเพียงเฉพาะคนของตระกูลเมดิซีเท่านั้นที่จะสามารถเข้าสู่วิหารเบื้องหลังประตูบานนี้ได้อย่างปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม ตระกูลเมดิซีกลับไม่เคยประสบความสำเร็จในการปลุกเทพแห่งความตายเลย
เหล่าผู้นำตระกูลเมดิซีมากมายที่ฉลาดและหลักแหลมต่างพยายามเค้นสมองอย่างสุดกำลังเบื้องหน้าประตูบานนี้ ก่อนที่พวกเขาจะเดินเข้าไปและทำมันออกมาให้ดีที่สุด
พวกเขาพยายามที่จะปลุกเทพแห่งความตายที่กำลังหลับไหลอยู่ โดยบางคนถึงขั้นการฆ่าตัวตายเพื่อบูชายัญตนเองเบื้องหน้าแท่นบูชา
ทว่าผลลัพธ์ก็คือ มันยังคงไม่สามารถทำงานได้อยู่ดี
และแอนนาคงจะไม่เลือกทำเช่นนั้น
เธอกำสัญญาชีวิตที่แขวนอยู่บนคอ กลืนน้ำลายลงอึกใหญ่ ก่อนจะกล่าวกับประตูโลหะสีทะมึนด้วยความจริงจัง
“ตัวข้า ผู้ที่ได้ทำสัญญากับเทพแห่งความตาย ผู้นำตระกูลคนใหม่ของเมดิซี , แอนนา เมดิซี , ร้องขอที่จะเข้าสู่พระวิหาร!”
สัญญาชีวิตดูเหมือนว่าจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นจู่ๆอุณหภูมิของมันก็ดิ่งวูบลงจนเย็นเยียบ
เกร๊ง!
เสียงของประตูโลหะสีทะมึนที่ถูกเปิดออก
ทันทีที่มันเปิดออก แอนนาก็เดินเข้าไปในประตูอย่างรวดเร็ว
มีแค่เพียงความมืดมิดที่รายล้อมอยู่รอบตัวเธอ
ท่ามกลางความเงียบอันแสนจะน่าอึดอัดที่เพียงจะหายใจก็ยังรู้สึกยากลำบาก
นี่คือวิหารของเทพแห่งความตายที่กำลังหลับไหล
แอนนาเหยียดนิ้วออกไปและดีดมัน
เป๊าะ!
เปลวไฟเล็กๆปรากฏขึ้นบนนิ้วของเธอ มันสว่างไสวส่องสะท้อนให้เห็นถึงใบหน้าอันงดงามของตนเอง
แอนนาสะบัดนิ้วมือของเธอ
และเปลวไฟที่ว่าก็ลอยออกจากนิ้วมือ ยกระดับขึ้นไปกลางอากาศ ก่อนจะลุกพรึ่บ! กลายเป็นเปลวไฟก้อนใหญ่ที่ลุกโชติช่วง
ตลอดทั้งวิหารบังเกิดแสงสว่างเจิดจรัส
แอนนาหันไปมองรอบๆ
ถึงแม้ว่าเธอจะได้รู้จักสถานที่แห่งนี้ผ่านทางบันทึกของตระกูลมาก่อนแล้ว ทว่าพอได้มาเห็นของจริง แอนนาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจเล็กน้อย
ในสายตาเธอ ปรากฏรูปปั้นหินของมนุษย์ทั้งสิบสองตนที่มีความสูงระดับเดียวกันกับตึกสิบชั้น
สิบสองรูปปั้นหินล้วนถือเคียวยาวสีทมิฬ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจที่ใช้ขับไล่วิญญาณชั่วร้าย และปกป้องสิ่งมีชีวิตทั้งมวล
หัวของรูปปั้นหินทุกคนถูกแกะสลักให้สวมใส่หน้ากากหัวสุนัข ซึ่งนี่บ่งบอกถึงหมายความที่ว่า มันได้กลืนกินร่างกายที่มีมลทินของคนตายและชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อีกาดำและสุนัข เป็นผู้รับใช้ของเทพแห่งความตาย และคอยทำหน้าที่ต่างๆแทนเทพแห่งความตายที่กำลังหลับไหลอยู่
รูปปั้นเหล่านี้ล้วนเป็นเทพสุนัข
สิบสองรูปปั้นหินยืนอยู่ทางซ้ายและขวา รายล้อมรอบแท่นสูงที่อยู่ใจกลางพระวิหาร
มันเป็นแท่นบูชาที่สูงโดดๆ แลดูคล้ายกับหอคอย และไม่มีบันไดที่จะใช้เดินขึ้นไป
นี่คือสถาปัตยกรรมของวิหารศักดิ์สิทธิ์ของเทพแห่งความตาย
ในแต่ละวิหารทั้งหลาย จะมีเพียงวิหารแห่งนี้เท่านั้นที่ท่านเทพได้ปรากฏกายขึ้น
นี่คือแท่นบูชาเทพแห่งความตาย
ที่ไม่ว่าสาวกคนใดก็มิได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปยังแท่นบูชาได้ เพราะที่นั่นคือตำแหน่งสูงสุดของเทพ และมนุษย์ไม่สามารถล่วงละเมิด
นี่คือคำอธิบายที่อยู่ในบันทึกของตระกูลเมดิซี
กล่องสมบัติแห่งความตายก็อยู่บนแท่นบูชาเช่นกัน
หากใครก็ตาม ประสบความสำเร็จในการปลุุกเทพแห่งความตาย เทพแห่งความตายก็จะปรากฏกายขึ้นบนแท่นบูชา จากนั้นก็ทำการเปิดหีบสมบัติที่วางอยู่ออกและมอบสมบัติอันล้ำค่าให้
แอนนาเดินไปยังใต้แท่นสูง
เธอก้มลงมอง
ปรากฏร่องรอยไหม้เกรียมสีเทาด่าง และคราบเลือดสีดำแห้งๆอยู่บนพื้น
และในมุมๆหนึ่งก็มีกระดูกของคนตายหลายคนกองรวมๆกันอยู่
กองกระดูกเหล่านี้ล้วนเป็นผู้สืบทอดของตระกูลเมดิซีที่พยายามจะร้องขอให้เทพแห่งความตายจุติลงมา
แอนนาเงยหน้าขึ้นมองเบื้องบน
มันคือแท่นบูชาเทพที่ถูกยกตัวขึ้น ด้วยแท่นหินที่วางเรียงกันเป็นรูปทรงกระบอก สูงขึ้นไปในอากาศโดยไร้ซึ่งขั้นบันไดให้เดินขึ้นไป
สิ่งนี้คือสัญลักษณ์ของการแบ่งแยกระหว่างพระเจ้ากับพื้นพิภพ
เป็นเวลากว่าหลายพันปีแล้วที่หอคอยสูงแห่งนี้เงียบสงัด และไม่เคยปรากฏปาฏิหารย์ใดๆ
เมื่อเดินมาถึงแท่นบูชา แอนนาก็ประกบสองมือของเธอด้วยท่าสวดอ้อนวอนอธิษฐาน
พิธีได้เริ่มขึ้นแล้ว
แอนนาสูดหายใจเข้าลึกๆ และเริ่มร่ายคำอธิษฐานออกมาดังๆ
“ท่านผู้พิพากษาความดีและความชั่ว”
“ท่านผู้ชี้นำดวงวิญญาณ”
“ท่านผู้เก็บรักษาความลับของความตาย”
“เทพแห่งความตายที่กำลังหลับไหล”
“ตัวข้า ลูกหลานแห่งตระกูลเมดิซี ได้มาเยือนยังที่นี่เพื่อขอเข้าพบกับท่าน”
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.366 – แอนนากับเทพแห่งความตาย(2)
หลังจากสวดคำอธิษฐานตามพิธีสืบทอดมรดก แอนนาก็กรีดข้อมือตัวเองเบาๆ และปล่อยให้เลือดของเธอหยดลงบนพื้น
ยามเมื่อเลือดหยดลงกระทบกับพื้น มันก็ถูกดูดซึม จมหายลงไปอย่างรวดเร็ว
แอนนาหยุดเลือดตรงข้อมือ และเฝ้ารออยู่สักครู่ท่ามกลางความเงียบ
เงียบสงัด
มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
อย่างไรก็ตามในเวลานี้ แม้กระทั่งตัวแอนนาเอง ก็จำเป็นต้องใช้เวลาเฝ้ารออย่างอดทนให้มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เพราะผู้นำตระกูลรุ่นก่อนๆทั้งหมดที่เข้ามาในวิหารนี้ ล้วนต้องเฝ้ารอกว่า 5 ชั่วโมงเต็มเพื่อทำพิธีกรรมอัญเชิญเทพแห่งความตายที่กำลังหลับไหล
ห้าชั่วโมงเป็นการเรียงลำดับที่แสดงถึงช่วงชีวิตแรกเกิด , ช่วงชีวิตที่กำลังเบ่งบาน , ช่วงชีวิตที่กำลังเสื่อมโทรม , ช่วงชีวิตที่จิตวิญญาณถูกเรียกกลับคืน และสุดท้ายช่วงชีวิตแห่งการถือกำเนิดใหม่
นี่คือกระบวนการที่สมบูรณ์เกี่ยวกับเรื่องของชีวิตและความตาย ซึ่งสอดคล้องกับคำสอนของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์แห่งความตาย
ในช่วงระยะเวลา 5 ชั่วโมงนี้ ผู้ที่ทำการอัญเชิญสามารถกระทำได้ทุกสิ่งเพื่อดึงดูดความสนใจจากเทพแห่งความตาย
ในประวัติศาสตร์บางคนได้สำแดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของพวกเขาเบื้องหน้าหอคอยสูง ขณะที่คนอื่นๆได้ทำการเสียสละบางสิ่งที่ดูชั่วร้าย เพื่อให้ได้รับความสนใจจากเทพแห่งความตาย
ขณะที่บางคนก็มีความคิดแปลกๆอย่างเช่นว่า หากยอมบูชายัญชีวิตตนเองหรือของผู้อื่นดู เทพแห่งความตายอาจจะปรากฏตัวออกมาให้เห็นก็ได้
พวกเขาล้วนจ่ายออกด้วยราคาที่แสนเจ็บปวด ทว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครประสบความสำเร็จเลย
ดังนั้นห้าชั่วโมงในระหว่างพิธีกรรมเหล่านี้ จึงถูกเรียกขานต่อๆกันมาว่า ‘การอัญเชิญที่สิ้นหวัง’
แต่สำหรับแอนนาแล้ว บอกตรงๆว่าเธอค่อนข้างที่จะดูใจเย็นเกี่ยวกับเรื่องนี้
เพราะตัวเธอเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับมันตั้งแต่ต้นแล้ว
ดังนั้นเธอจึงไม่ได้คิดจะทำอะไรเลย
หลังจากที่ทุกคนนอกเหนือไปจากท่านบรรบุรุษรุ่นแรกแล้ว ตัวตนที่เปรียบดั่งวีรบุรุษมากมายนับไม่ถ้วนท่ามกลางสายธารอันยาวนานของประวัติศาสตร์ ล้วนแล้วแต่ล้มเหลวในการอัญเชิญเทพแห่งความตาย
แล้วแอนนาก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเธอเองจะแข็งแกร่งไปกว่าพวกเขา
แอนนายืนนิ่งอยู่สักพัก
ห้าชั่วโมง … มันช่วงเป็นเวลาที่ยาวนานจริงๆ
แอนนาคิดเกี่ยวกับมัน ก่อนจะก้าวถอยหลังออกมา และเริ่มมองหาจุดสะอาดๆที่พอจะนั่งได้
เธอเลือกที่จะนั่งอย่างเงียบๆ ระหว่างรอให้พิธีกรรมจบลง
หลังจากทั้งหมดนี้ พิธีกรรมน่ะเป็นสิ่งที่ผู้นำตระกูลทุกคนต้องเคยปฏิบัติมัน มิอาจละทิ้งได้!
เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างช้าๆ
ภายในวิหาร ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ยกเว้นเสียแต่เสียงของเปลวไฟที่ปะทุขึ้น และสาดแสงวูบไหวไปมาเป็นครั้งคราวเท่านั้น
แอนนาไม่ได้ทำอะไรหรือพยายามที่จะปลุกเทพแห่งความตายขึ้นมาเลย
เธอกำลังเฝ้ารอให้เวลาเดินไปจนครบ 5 ชั่วโมง
—เมื่อหนึ่งคนทำแค่เพียงปล่อยให้เวลาสูญไปอย่างไม่มีเหตุผล ในจิตใจของคนผู้นั้นจะเกิดความรู้สึกว่าเวลาช่างยาวนาน ยาวนานมากจนเกินไป
แอนนาต้องใช้เวลากว่าครึ่งคืนเพื่อเฝ้ารอ แถมยังไม่ได้มีความกดดันใดๆในหัวใจของเธอ ดังนั้นเพียงไม่นาน เธอก็เริ่มที่จะเบื่อหน่าย
เกิดอาการเบื่อหน่ายขึ้นในระหว่างพิธีอัญเชิญเทพแห่งความตาย … ในตลอดระยะเวลาหลายพันปีก็นับว่ามีเธอนี่แหละที่เป็นคนแรก
เวลาผ่านไปสักเล็กน้อย แอนนาก็ส่ายหัวและกล่าวในสิ่งที่คิดออกมาดังๆ “นี่จะต้องให้รอนานขนาดนี้จริงๆหรอ ฉันคงจำเป็นต้องหาอะไรทำฆ่าเวลาจริงๆซะแล้ว”
ว่าจบ เธอก็หันไปเปิดกระเป๋าสะพายหลัง
ทันใดนั้นไวน์ฤทธิ์แรงสองขวดก็ปรากฏสู่สายตาของเธอ
มันคือไวน์ยู่หลู ไวน์ชื่อดังของฟูซี
สายตาของแอนนาจับจ้องไปยังขวดไวน์ทั้งสองและยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
นี่คือไวน์ที่ถูกเก็บไว้มาเป็นระยะเวลากว่าร้อยปี! มันเป็นไวน์ฤทธิ์แรงที่สุดของฟูซี!!
ความจริงแล้วสำหรับตัวเธอ มันไม่ง่ายเลยที่จะได้สัมผัสกับไวน์ขวดนี้ แต่ที่เธอได้มันมาทั้งหมดคงต้องขอบคุณกู่ฉิงซานที่ดันไปร้องขอจะลิ้มชิมรสมันจากองค์จักรพรรดิจนท่านประกาศออกมาต่อหน้าสาธารณชนว่าจะส่งมอบมันให้แก่เขาและเธอ
แอนนาหยิบไวน์ฤทธิ์แรงขึ้นมา ใช้ปากงับจุกก๊อกเปิดมันอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะหันไปหยิบแก้วไวน์แองกูลาร์ที่ได้รับการยืนยันกันว่าหากใช้มันแล้วจะช่วยให้รสของไวน์กลมกล่อมขึ้นจากกระเป๋าสะพายหลัง
ไวน์ถูกรินลงไป
ในพริบตา กลิ่นละมุนของไวน์ก็เอ่อล้นออกมา
แอนนาเผลอเลียมุมปากโดยไม่รู้ตัว คว้าจับแก้วและยกมันขึ้นมาจิบเบาๆ
เอิ๊ก!
ไวน์ที่ดี! แถมรสชาติก็ยังดีสุดๆไปเลย!
แอนนาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
แน่นอน ว่าจริงๆแล้วเธอจงใจนำไวน์พวกนี้ลงมาเองแหละ ไม่อย่างงั้นห้าชั่วโมงอันแสนยาวนานที่ต้องทำแค่เพียงเฝ้ารอมันคงจะน่าเบื่อแย่่
เธอยกมันขึ้นจิบอีกครั้ง
คราวนี้ ในความรู้สึกของเธอมันบ่งบอกว่าเวลาได้ไหลผ่านไปเร็วกว่าเดิมเล็กน้อย
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
ไวน์ที่อยู่ในขวดดูจะลดหลั่นลงมาจนใกล้จะถึงก้นขวดแล้ว
แอนนายกขวดไวน์ขึ้นมาแกว่งๆดู ขณะที่ในหัวของเธอเริ่มจินตนาการออกไป
ในพิธีกรรมนี้ จริงๆแล้วสิ่งที่ต้องจ่ายออกไปมันคืออะไรกันแน่นะ ถึงจะสามารถปลุกเทพแห่งความตายได้?
ช่างมันเถอะ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม นั่นไม่สำคัญหรอก
เพราะคนอื่นๆนับไม่ถ้วนที่ถึงขั้นหยิบยื่นสมบัติมากมาย และแม้กระทั่งบูชายัญชีวิตตนเองที่นี่ สุดท้ายก็กลับไม่มีใครประสบความสำเร็จเลย
ส่วนฉันน่ะเหรอ? เหอะ! ฉันจะไม่ยอมจ่ายอะไรทั้งนั้นแหละ!
เธอหันไปมองรอบๆ ในหัวจินตนาการเตลิดไปไกล
ช่วงเวลานี้ เวโรน่าสมควรที่จะได้ขึ้นครองบัลลังก์ในไม่ช้าแล้ว
สำหรับตระกูลเธอ นั่นนับว่าเป็นสิ่งที่ดีทีเดียว
เวโรน่าได้กลายเป็นสมเด็จพระจักพรรดินีแห่งฟูซี ส่วนตนเองก็ได้เรียนรู้เทคนิคโบราณในการต่อสู้ของตระกูลมา
นี่นับว่าเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครในตระกูลทำได้มาก่อน
ยามเมื่อตนเสร็จสิ้นพิธีกรรมนี้ และออกไปพบกับเวโรน่า เธอย่อมที่จะสามารถทำการแก้แค้นพระสันตะปาปาได้อย่างแน่นอน
เมื่อคิดถึงจุดนี้ แอนนาก็อารมณ์ดีขึ้นมาอีกครั้ง
เธอเติมไวน์จนเต็มแก้ว ชูมันสูงขึ้น แล้วแหกปากร้องตะโกนไปทางหอคอยสูงซึ่งเป็นแท่นบูชาเทพแห่งความตาย “แก้วนี้แด่ความนับถือที่มีต่อท่าน – เทพแห่งความตายผู้ไม่เคยปรากฏ”
แล้วเธอก็กระดกมันจนหน้าหงายขึ้นฟ้า เทไวน์ทั้งหมดในแก้วลงคอไป
เนื่องจากไวน์มันมีฤทธิ์แรงอยู่แล้ว ทำให้แอนนาเริ่มที่จะรู้สึกเมานิดหน่อย จนเธอเผลอส่ายหัวไปโดยไม่รู้ตัว
จริงสิ แล้วกู่ฉิงซานล่ะ?
เวลานี้เขาอยู่ที่ไหน?
แล้วกำลังทำอะไรอยู่กันแน่นะ?
แอนนามองไปที่สมองควอนตัม
นี่ก็ดึกมากแล้ว กู่ฉิงซานอาจจะกำลังพักผ่อนอยู่ก็ได้
ช่วงเวลานี้ มันคงไม่เป็นการดีถ้าจะรบกวนการนอนของคนอื่นๆ
แอนนาชะงักไป
แต่คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ขอเวลาแค่นิดเดียวก็พอ ก็ฉันอยากจะคุยกับเขานี่นา
ว่าแต่เรื่องอะไรดีที่จะใช้เป็นเหตุผลในการปลุกเขา?
แอนนาแหงนหน้ามองขึ้นไปบนแท่นบูชาเทพแห่งความตาย
นั่นน่าจะเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นไม่เลว เอาเป็นอย่างนั้นก็แล้วกัน
เธอเปิดสมองควอนตัมและทำการเชื่อมต่อแบบวิดีโอ
แล้วอีกฝั่งก็ตอบรับการเชื่อมต่ออย่างรวดเร็ว
แอนนามองเข้าไปในฉากของอีกฝั่งแล้วกล่าวด้วยความประหลาดใจ “นั่นพวกนายสี่คนกำลังนั่งดื่มกันอยู่หรอ? กลางดึกเนี่ยนะ”
เหลียวฮังส่งเสียงฮึฮะแล้วกล่าว “ว่าแต่คนอื่น แต่ไม่ดูตัวเองเลยนะ”
แอนนาไม่สนใจเขา และบอกกู่ฉิงซานเกี่ยวกับเรื่องเทพแห่งความตาย
จากนั้น ซูเซี่ยเอ๋อก็ปรากฏตัวขึ้นในทันใด
……
“หล่อนคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่มาจากที่ไหนกัน!”
แอนนาปิดสมองควอนตัมและโยนขวดไวน์ลงพื้นอย่างแรง
“คิดว่ามารดาผู้นี้จะกลัวหล่อนหรือ? รอให้พิธีนี้จบลงก่อนเถอะ ฉันจะไปฆ่าหล่อนซะ!”
แอนนาตะโกนด้วยความโกรธ
แบบนี้ไม่ดีแล้ว ฉันคงต้องรีบกลับไปที่รัฐบาลกลางทันทีหลังจากที่พิธีนี้จบลง
จะต้องรีบกลับไปหากู่ฉิงซานที่นั่น!
หวังว่าคืนนี้ ซูเซี่ยเอ๋อคงจะไม่ได้พักในวิลล่าบนหุบเขานะ
แอนนาเริ่มจินตนาการเลยเถิด และได้ข้อสรุปในใจทันทีว่าเมื่อพิธีจบลง เธอจะเร่งมุ่งตรงไปยังรัฐบาลกลางโดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลังจากที่ซูเซี่ยเอ๋อได้ปั่นหัวเธอครั้งใหญ่แล้ว อีกฝ่ายก็ได้ถูกส่งข้ามโลกกลับไปยังเกาะหมอกทันที
พิธีกรรม …
แอนนาหันไปมองที่สมองควอนตัม
ยังคงเหลือเวลาอีกกว่า 3 ชั่วโมง
ไอ้พิธีนรกเอ๊ย!
ซุเซี่ยเอ๋อได้นั่งอยู่กับกู่ฉิงซานอย่างอบอุ่นในวิลล่าบนผู้เขา แต่เธอกลับต้องมานั่งอย่างหนาวเหน็บอยู่ในสถานที่อันมืดมิดและน่าหวาดกลัวแบบนี้เนี่ยนะ!?
ยิ่งคิด แอนนาก็ยิ่งรู้สึกหดหู่
เธอลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล พยายามฝืนสมดุลร่างกายให้มั่นคงแล้วเดินไปข้างหน้าเพื่อหยิบขวดไวน์ที่ขว้างไปเมื่อครู่กลับมา
เนื่องจากมันเป็นขวดที่ถูกเตรียมไว้เพื่อเก็บและบ่มไวน์ในระยะเวลายาวนานกว่า 100 ปี ดังนั้นมันจึงแข็งและทนทานเป็นอย่างมาก มิได้แตกร้าวลงในตอนที่ถูกขว้างกระแทกกับพื้น
ทว่าจุกก๊อกคงหลวมจากแรงปะทะ เนื่องจากมันไม่ได้ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา ไวน์จึงไหลออกมา
แอนนาลองเขย่าขวด
แต่กลับพบว่าไม่มีเสียงอะไรอยู่ข้างในเลย
เอ๊ะ?
—ฉันจำได้ว่าตัวเองไม่ได้ดื่มเร็วขนาดนี้นี่นา
มันหมดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ลืมมันเถอะ ช่างมันดีกว่า
แอนนาวางขวดลง และหันไปเปิดกระเป๋าสะพายหลังของเธอ
เพราะฉันยังมีเหลืออีกหนึ่งขวด!
เธอนั่งลงและเริ่มเปิดจุกก๊อกไวน์อีกขวด
แต่คราวนี้เธออารมณ์ไม่ดี เลยไม่คิดจะใช้แก้วแล้ว พอกัดจุกก๊อกออกปุ๊บ เธอก็กระดกมันทันทีเลย
ฟู่ว…
ฤทธิ์แรงดุดันดีจริงๆ!
เธอไม่เคยดื่มเครื่องดื่มที่ฤทธิ์แรงจนเมามายขนาดนี้มาก่อนเลย
หลังจากที่กระดกไม่อีกสองสามอึก แอนนาก็เริ่มแดงไปทั่วทั้งหน้า สายตาเริ่มพร่ามัว
หัวของเธอส่ายไปมาเล็กน้อย
—เวลามันผ่านไปนานแค่ไหนแล้วกันนะ?
แอนนาหันไปเปิดสมองควอนตัมของเธอและดูเวลา
เวลาแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย มันยังคงเหลือเวลาอีกเกือบสามชั่วโมง!
นี่มันชักจะยาวนานเกินไปแล้ว!!
พอรู้ว่าซูเซี่ยเอ๋ออยู่ในวิลล่าบนหุบเขา การรอคอยก็ยิ่งทำให้ในหัวใจรู้สึกกังวล
ถ้าไม่มีเจ้าพิธีกรรมบ้านี่ ตัวเธอคงพุ่งตรงไปยังรัฐบาลกลางแล้ว
ความโกรธในหัวใจของแอนนาเริ่มที่จะพุ่งสูงมากขึ้นเรื่อยๆ
เธอลุกขึ้นยืน และเดินไปไม่กี่ก้าวก็สะดุดขาตัวเองล้มลงไปจูบกับพื้น
ขวดไวน์ในมือลอยออกไปไกล กระเด้งลงบนพื้นกว่า2-3รอบก่อนที่จะหยุดนิ่ง
แอนนาไม่ยอมลุก เธอค่อยๆไถตัวเองไปข้างหน้าและคว้าขวดเอาไว้
โชคดีจริงๆที่ทุกครั้งหลังจากยกมันขึ้นดื่ม เธอจะปิดจุกก๊อกเอาไว้ และด้วยประสบการจากครั้งที่แล้ว ดังนั้นเธอจึงปิดจุกไว้อย่างแน่นหนา ไวน์จึงไม่ไหลออกมา
แอนนาถอนหายใจโล่งอก
แต่แล้วจู่ๆเธอก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งที่แปลกออกไปบนฝ่ามือของเธอ
แอนนายกมันขึ้นมามอง
ปรากฏว่าผิวหนังบนมือของเธอถูกกรีดจนฉีกขาด มันถลอกและโชกไปด้วยเลือด คาดว่าน่าจะมาจากการล้มลงเมื่อครู่
บาดแผลขนาดนี้ มันนับว่าไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม แอนนากลับไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดมากนัก
-นั่นเพราะธอดื่มจนเมามายมากเกินไป สมองที่ใช้สั่งการจึงเริ่มทื่อและด้านชา ความเจ็บปวดที่รับรู้ได้มันจึงไม่ค่อยหนักหนาเท่าใดนัก …
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.367 – แอนนากับเทพแห่งความตาย(3)
แต่แอนนาก็ดูจะไม่ได้ใส่ใจกับมือของเธอนัก เธอเพียงสะบัดๆมันและขี้เกียจเกินกว่าจะเดินไปพันผ้าพันแผล
เพราะเมื่อเทียบกับบาดแผลในมือของเธอแล้ว เธอกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกเยาะเย้ยต่อหน้าคนรักและท่ามกลางสายตาของเพื่อนๆโดยคู่แข่งของตัวเองซะมากกว่า … เธอแทบอยากจะลงไปดิ้นตายอยู่แล้วเนี่ย!
“อ้าาาาาา! ไอ้พิธีบ้านี่ก็ไม่จบซักที ทำเอาโมโหไปหมดแล้ว!”
แอนนาร้องออกมาอย่างไม่พอใจ
ฟุ่ม!
เปลวไฟลุกไหม้ขึ้นเบื้องหลังเธอ งอกออกมาเป็นปีกคู่หนึ่ง
แอนนากระโดดขึ้นๆลงๆ บินไปในที่สูงกลางอากาศ ดิ่งลงมาที่ต่ำบนพื้นดิน เคลื่อนที่ไปมาอย่างไร้ทิศทางยากจะคาดเดาได้
แล้วเธอก็บินขึ้นไปบนหอคอยเทพแห่งความตาย
ที่ๆซึ่งเป็นอาณาเขตอันศักดิ์สิทธิ์ และมนุษย์มิสมควรที่จะล่วงล้ำเข้าไป
เธอเมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
……
แอนนายืนอยู่บนแท่นสูงซึ่งเป็นตัวแทนของเทพ กวาดสายตาหันไปมองรอบๆ
“ไม่เห็นจะมีอะไรเลยนอกจากหินแตกๆก้อนนี้!”
แอนนาบ่นพึมพำโดยไม่รู้ตัวเลยว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่
แต่ที่นี่มันก็ไม่มีอะไรเลยจริงๆ นอกจากก้อนหินที่สีดำที่เป็นสัญลักษณ์ของกล่องสมบัติการหลับไหล
ใช่แล้ว วิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งความตายใช้หินสีดำนี้แทนสัญลักษณ์ของกล่องสมบัติ!
กล่องสมบัติที่หลับไหล คือสมบัติในตำนานของเทพแห่งความตาย ดังนั้นจึงย่อมเป็นธรรมดาที่จะไม่ปรากฏขึ้นจริงๆที่นี่
บางทีในอดีต อาจจะมีน้อยคนนักที่กล้าหาญเสี่ยงต่อการดูหมิ่นเทพเจ้า โดยการเลือกที่จะบินขึ้นมาในระดับเดียวกันกับแท่นสูงและเข้าไปใกล้ๆเพื่อทำการสำรวจบริเวณโดยรอบ
แต่ไม่มีใครเลยที่ทำเหมือนกับแอนนา ที่ขึ้นมายืนอยู่บนแท่นสูงด้วยสถานะเมามาย และปฏิเสธที่จะลงไป
ฉากนี้ สำหรับประวัติศาสตร์ของตระกูลเมดิซีแล้ว นับว่าไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
– แอนนานั่งลงบนแท่นบูชาเทพแห่งความตายที่หลับไหล
แม้ว่าจะมานั่งที่นี่ แต่มันก็ยังน่าเบื่ออยู่ดี
เท้าของเธอแกว่งไปมาในอากาศ ขณะที่ในมือถือขวดไวน์ ในสมองขบคิดอย่างจริงจัง
“พอไปถึงรัฐบาลกลาง ฉันจะใช้เทคนิคที่พึ่งเรียนรู้มาใหม่สยบนังเด็กนั่นก่อนเลย กระบวนท่าแรกให้นังนั่นล้มลง ตามด้วยกระบวนท่าที่สองยัดปากหล่อนให้รู้ซึ้งว่าไม่สมควรพูดจาไร้สาระต่อหน้าคนอื่นๆ แล้วก็จะใช้กระบวนท่าสุดท้ายประทับตรา สร้างความหวาดกลัวฝังลึกไว้ในจิตใจ …”
ขณะที่กำลังวางแผนร้าย เธอก็ยกไวน์ขึ้นเทใส่ปากของเธอ
ยิ่งดื่ม ร่างกายทั้งหมดก็ยิ่งมึนเมา และรู้สึกราวกับว่าตรงบริเวณช่วงหน้าอกจะหนาวเย็นมากเป็นพิเศษ
มันชวนให้รู้สึกอึดอัดมาก เหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ตรงหน้าอกของเธอ
แอนนาเอื้อมมือขึ้นไป คว้าจับเอารูปปั้นเล็กๆของยมทูต … รูปปั้นเทพแห่งความตาย
มันคือสัญญาชีวิตนั่นเอง
– นี่เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเทพแห่งความตายเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่บรรบุรุษของเมดิซีได้รับมา
แอนนาหยิบมันขึ้นมาและวางบนแท่นหินใกล้ๆกับเธอ
ทันใดนั้นจู่ๆความรู้สึกเจ็บแปล่บก็จี๊ดขึ้นมาจากมือของเธอ
“อ๊ะ!”
เธออุทานออกมาคำหนึ่ง
มือของเธอยังคงมีรอยถูกขูดและผิวที่ลอกออก แถมยังไม่ได้รับการปฐมพยาบาล ดังนั้นในเวลานี้จึงมีเลือดไหลออกมาเป็นระยะๆ
เธอคว้าจับสัญลักษณ์แห่งความตายด้วยมือข้างนั่นอีกครั้ง แล้วเหวี่ยงมันกระแทกลงบนแท่นหินอย่างแรงด้วยความโมโห!
แล้วแผลในมือก็ฉีกขาด เลือดไหลทะลักลงบนรูปปั้นเเทพแห่งความตายองค์เล็กๆ และแน่นอน ว่ามันย่อมไหลลงบนแท่นหินซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของหีบสมบัติแห่งการหลับไหลด้วยเช่นกัน
เลือด , รูปปั้นเทพแห่งความตาย และหีบสมบัติเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน
และมันก็บังเกิดปฏิกริยาตอบสนองอันน่าอัศจรรย์ใจขึ้น
บางสิ่งที่มองไม่เห็นปรากฏตัวขึ้นมาในอากาศที่ว่างเปล่าอย่างสงบ มันแอบซุ่มอยู่เบื้องหลังแอนนา และเฝ้ามองเธออย่างเงียบๆ
และแอนนาก็ไม่ได้รับรู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย
“โถ่เอ๊ย! เจ็บจัง … ทำอะไรก็แย่ไปหมดเลย!” เธอกุมมือปิดปากแผล คร่ำครวญเสียงต่ำด้วยความเจ็บปวด
แอนนาวางขวดไวน์ลงข้างๆแล้วพลิกเอากระเป๋าสะพายหลังมาไว้ข้างหน้า จากนั้นก็หยิบอุปกรณ์ปฐมพยาบาลฉุกเฉินออกมา และเริ่มจัดการกับมัน
สมองของเธอตื้อตึง แอนนาตอนนี้เกือบจะงีบหลับลงไปแล้ว
“ให้ตายสิ ที่นี่มันอุดอู้จริงๆ ถ้ามีลมแรงๆพัดมาบ้างสักหน่อยก็คงดี” เธอเอ่ยพึมพำกับตัวเอง
ทันใดนั้นก็บังเกิดลมหนาวพัดโชยมาจากตรงส่วนไหนก็ไม่อาจรู้ได้
มันเป็นสายลมที่พัดเป่าไปถึงจิตวิญญาณของแอนนา
เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าด้วยคำพูดเมื่อครู่ เธอได้ใช้สิทธิ์ร้องขอสิ่งในที่ตนปรารถนากับเทพแห่งความตายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เลยได้รับสายลมนั้นมา
และหากทุกอย่างจบลงเพียงเท่านี้ เธอก็จะกลายเป็นผู้ศรัทธาที่เอ่ยขอสิ่งปรารนาอันด้อยค่าที่สุดในโลกตั้งแต่ที่อารยธรรมมนุษย์เคยถือกำเนิดขึ้นมา!
พอปฏิบัติตามคำร้องขอ การดำรงอยู่ของสิ่งที่มองไม่เห็นเบื้องหลังก็กำลังจะกระจายหายไป
แต่ทันใดนั้นเอง แอนนาก็สัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติกับร่างกายตนเอง
“แย่ล่ะสิ” เธอเอ่ยงึมงำ
ความรู้สึกอันแสนจะคุ้นเคยกระชากขึ้นมาจากกระเพาะ ไหลสวนขึ้นมาบนหน้าอกของเธอ!
“อ๊อก … ”
“อ๊อก … ”
แอนนาปัดขวดไวน์ออกไปอีกทางหนึ่ง และหันไปอ้วกลงใส่หินสีดำที่เป็นตัวแทนของกล่องสมบัติแห่งการหลับไหล
“ … บ้าจริง สงสัยฉันจะดื่มมากเกินไปหน่อย”
เธออ้าปากพ่นน้ำหูน้ำตาออกมา ก่อนจะหยิบทิชชู่ขึ้นมาเช็ดปาก
โดยไม่รู้ตัวเลยว่า สิ่งทีมองไม่เห็นกำลังจะจากไปอยู่แล้ว แต่ดันต้องมาเห็นและถูกเธออาเจียนใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว!?
สิ่งที่มองไม่เห็นยืนแข็งค้างอยู่บนแท่นหิน มิอาจเคลื่อนกายไปไหนได้ครู่หนึ่ง …
มันไม่เคยพบเจอกับสถานการณ์อะไรแบบนี้มาก่อน
และแอนนาก็ยังไม่ตระหนักถึงมันเหมือนเคย
หลังจากอ้วกไปสักพัก แอนนาก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
เธอหันไปมองรอบๆก่อนที่จะสะดุ้งตกใจ “เอ๊ะ? นี่ฉันขึ้นมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? มันไม่เหมาะที่จะเป็นที่นอนนะ เดี๋ยวเผลอตกลงไปคงจะแย่”
ว่าแล้วแอนนาก็คว้าขวดไวน์และบินร่อนลงบนไปพื้น
เธอเดินโซเซไปไปยังที่นั่งเก่าของตัวเอง
ทว่าหลังจากนั้นก็บังเกิดกระแสลมพัดกระพือขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ตัววิหารก็เริ่มที่จะสั่นไหวเล็กน้อย
‘เอ๋? ฉันพึ่งจะอ้วกไปนี่นา หรือว่าฤทธิ์อันรุนแรงของไวน์กลับคืนมาอีกครั้ง’ … นี่คือสิ่งที่แอนนาคิด
ขณะนั้นเอง บนแท่นสูง ก็บังเกิดการเปลี่ยนแปลงของกระแสอากาศอันรุนแรงและคมชัดขึ้น
อากาศกรีดร้องหวีดหวิว ก่อนจะบินลงมาหยุดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเบื้องหน้าเธอ
ด้วยการกระชากของกระแสอากาศอันพลุ่งพล่าน ทันใดนั้นรูปปั้นหัวสุนัขทั้งสิบสองที่ยืนอยู่รอบวิหารก็ก้มหัวลงและมองตามไปยังจุดนั้นทันที
นี่นับว่าเป็นครั้งแรกเลยในรอบหลายพันปี ที่พวกเขาเคลื่อนไหว
แต่น่าเสียดายจริงๆ ที่ดันไม่มีใครสังเกตเห็นถึงฉากนี้
กระแสอากาศกลับคืนสู่ความเงียบ ทว่ากลับมีบางสิ่งที่อยู่กลางอากาศกำลังจ้องมองแอนนาด้วยเจตนาร้าย
‘คนผู้นี้ช่างน่ารังเกียจนัก บังอาจล่วงเกินท่านเทพ ฉะนั้นมันจักต้องได้รับโทษ!’
‘แต่เดี๋ยวก่อน?’
‘กลิ่นหอมละมุนชวนเคลิ้มนี่มันคือสิ่งใดกัน?’
กระแสอากาศก้มหน้าลงมองด้วยความสงสัย
แล้วมันก็พบว่าข้างๆเท้าของมัน เป็นแก้วไวน์ที่ท่วมไปด้วยน้ำเมาที่ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนใจออกมา
น้ำเมาที่ว่านี้คือไวน์ชั้นดี …
ตนทำหน้าที่ปกปักษ์สถานที่แห่งนี้มานานนับหลายพันปี แต่กลับไม่เคยได้ดอมดมกลิ่นอันยั่วยวนเช่นนี้มาก่อนเลย
ในเวลานี้ แอนนาได้กลับไปนั่งประจำตำแหน่งเดิมของเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
และทันใดนั้นเอง เธอก็สังเกตเห็นถึงเงาดำๆกำลังเลียลงบนแก้วที่เธอวางเอาไว้บนพื้น
ดวงตาของแอนนาราวกับมีไฟลุกพรึบ! เธอลุกพรวดขึ้นด้วยความมึนเมา ก้าวพรวดๆเป็นฟืนเป็นไฟตรงไปข้างหน้า
เธอตะโกนออกมา “นั่นมันแก้วของฉันนะ!”
เงาดำตกใจ และเผลอก้าวถอยหลังไปหลายก้าว
ทันใดนั้นแอนนาก็ได้สติกลับคืน ฝีเท้าของเธอหยุดลงอยู่ในตำแหน่งนั้น
ภายในวิหาร … นอกจากตัวเองแล้ว ยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นเข้ามาได้อยู่อีกหรือ?
หรือว่าจะเป็นท่านเทพ!?
เธอตบลงบนหน้าของตัวเองและฝืนบังคับตนให้ใจเย็นๆลง แล้วจ้องมองไปที่เงานั้นอีกครั้ง
“ท่านที่เคารพ – ” แล้วเสียงของแอนนาก็ขาดห้วงไป
เพราะในที่สุดเธอก็สามารถเห็นเงาดำตรงหน้าได้อย่างชัดเจน และพบว่ามันไม่ใช่เทพจริงๆ!
เห็นได้ชัดเลยว่ามันเป็นหมาดำ!
ใช่ มันเป็นแค่ ‘หมา’
เพราะท่านเทพแห่งความตายจะมานั่งเลียแก้วไวน์เธอได้อย่างไร?
เมื่อคิดได้แล้วแอนนาถอนหายใจโล่งอก
ว่าแต่เจ้าหมาตัวนี้มันมาจากที่ไหนกัน?
เธอก้าวออกไปข้างหน้า
เจ้าหมาที่ว่ามิได้ขยับเขยื้อน
เธอเดินเข้าไปหาเจ้าหมา
เจ้าหมายังคงยื่นปากเข้าไปในแก้วไวน์ของเธอ สองตาของมันหรี่แคบลงและกำลังจดจ้องมาที่เธอ
กลิ่นอายที่ดูเคร่งขรึมและหนักอึ้งเริ่มปรากฏออกมาจากมัน ค่อยๆควบรวมกันเป็นพลังอันลึกลับที่มองไม่เห็น
พลังนี้กำลังจะเอ่อล้นออกมา และยามที่มันถูกปลดปล่อย เมื่อนั้นบุคคลตรงหน้ามันก็จะต้องพบกับความทุกข์ทรมาน!
ขณะที่กลิ่นอายนี้ใกล้จะปะทุอยู่รอมร่อ แอนนาก็ได้เริ่มทำสิ่งหนึ่งที่มันไม่คาดฝันออกมา
เธอยื่นขวนไวน์ในมือของเธอให้อีกฝ่าย
“จะดื่มซักหน่อยไหม?” เธอเอ่ยถาม
แม้ว่าเธอจะเมาอยู่บ้าง แต่เธอก็ยังตระหนักได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติที่จะมีหมามาปรากฏตัวขึ้นที่นี่
บางทีเจ้าหมาตัวนี้อาจจะเป็นเบาะแสที่จะใช้อัญเชิญเทพแห่งความตายมาก็เป็นได้
แอนนาตบลงบนหน้าผากของเธอและนึกเสียใจกับมัน
เธอไม่เคยคาดคิดว่าตนเองจะได้รับการตอบสนองจากเทพแห่งความตาย ดังนั้นจึงไม่ได้นำสิ่งใดติดตัวมาด้วยเลย
ทั้งเนื้อทั้งตัวเธอ ก็มีแต่ไวน์ขวดนี้นี่แหละ
มันเลยเป็นสิ่งเดียวที่เธอจะสามารถหยิบยื่นให้แก่อีกฝ่ายได้
ตอนนี้เธอยื่นไวน์ออกไปอย่างระมัดระวัง
เจ้าหมามองตามเธอและขวดในมือเธอ
มันชะงักงันไปครู่หนึ่ง
เจ้าหมาอดไม่ได้ที่จะยื่นอุ้งมือออกไป และคว้าจับขวดไวน์มา
แล้วมันก็ยกกระดกขวดไวน์เข้าปาก จิบไปอึกใหญ่
จิบไปอีกอึก
และอีกอึก
อีกอึก
เอิ๊ก!
เจ้าหมาเลียริมฝีปากของมันและทิ้งขวดไวน์ที่ว่างเปล่าลงด้วยความพึงพอใจ
ดวงตาของมันเหลือบมองไปยังแอนนาและตกลงบนแผลบนฝ่ามือของเธอ จมูกของมันขยับฟุดฟิด
ใช่แล้ว นี่คือเลือดของตระกูลเมดิซี
หมาดำพยักหน้าเล็กน้อยจนแทบไม่อาจสังเกตเห็นได้
แม้คนตรงหน้าจะดูมีกริยาไม่ดีอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ตาม เธอก็ยังนับว่ามีสัญญาผูกพันธ์กับมันอยู่
แถมไวน์นี่ก็ดีไม่เลวเลย
‘ถึงจะไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่นัก แต่เราควรให้อภัยฝั่งตรงข้ามเลยจะดีหรือไม่?’
นี่คือสิ่งที่เจ้าหมากำลังคิด
แอนนาเฝ้ารออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดื่มจนหมดแล้ว เธอก็ลังเลอยู่สักพักหนึ่งและในที่สุดก็เปิดปากออกมา
นี่นับว่าเป็นครั้งแรกเลยในรอบหลายพันปีที่ตระกูลเมดิซีสามารถสื่อสารกับเทพแห่งความตายที่พวกเขาเคารพบูชาได้
นอกจากนี้ ยังเป็นการได้สื่อสารระหว่างเทพอันหาได้ยากยิ่งในประวัติศาสตร์ของโลก!
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ นับว่าเพียงพอแล้วสำหรับการบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ตลอดไป!!
ในวิหารแห่งความตาย รูปปั้นมนุษย์หัวสุนัขทั้งสิบสองก้มหน้าลง และจ้องมองมายังฉากนี้อย่างเงียบๆ
แอนนามองไปยังหมาดำด้วยสีหน้าไม่แน่ไม่นอน
เนื่องจากเธอดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ทำให้หัวของเธอมึนงง และคิดอะไรก็เชื่องช้า
แต่เธอก็ยังคงเป็นคนฉลาด และสามารถตระหนักได้ว่าอะไรคือกุญแจสำคัญของปัญหาตรงหน้า
ในที่สุดแอนนาก็เข้าใจถึงปัญหาของเธอ
เธอมองไปที่หมาดำอย่างระมัดระวัง ปากเอ่ยกล่าวด้วยความลังเลว่า “ไม่ใช่หรอกมั้ง ..”
หมาดำหูตั้งตรงทันที มันยกหางขึ้นและจ้องไปทางแอนนาด้วยแววตาขึงขัง
“ในพระวิหารมีรูให้หมาลอดผ่านเข้าเดินเล่นได้ด้วยงั้นหรือนี่?” แอนนาบ่นงึมงำ
พอได้ยิน หมาดำก็กลายเป็นโง่งม
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.368 – แอนนากับเทพแห่งความตาย(4)
หมาดำนิ่งงันไปนาน ก่อนจะพยายามสงบจิตสงบใจลง
มันย้อนนึกไปถึงฉากที่ได้พบเจอกับหญิงตรงหน้าในตอนแรก
นางผู้นี้กำลังเมาอยู่
และเห็นได้ชัดว่าการที่เธอสามารถปลุกเขาขึ้นมาได้ มันเป็นเพียงอุบัติเหตุ
หมาดำแหงนหน้ามองขึ้นไปบนหอคอย
ทั้งร่างของมันเลอะไปด้วยไวน์และอ้วก จนตัวเองโกรธเกรี้ยวและเผลอละเมิดสัญญาไป
การออกจากหอคอยของเทพแห่งความตายที่กำลังหลับไหล นั่นหมายถึงการที่ตัวมันได้ย่างกรายเข้าสู่โลกของคนเป็น
แต่หญิงสาวคนนี้กลับดันกลายเป็นทายาทของตระกูลเมดิซี ซึ่งเป็นสายเลือดที่มิอาจตัดขาดกับตนเองได้
ดังนั้นการสังหารฝ่ายตรงข้ามลงเพียงเพราะความโกรธจากการกระทำไม่ยั้งคิด มันคงจะเป็นการทำลายมิตรภาพและน่าเจ็บปวดจนเกินไป
หากต้องตัดตัวเลือกในการสังหารไป ก็เหลือแค่เพียงตัวเลือกที่ว่ามันจะต้องทำตามความปรารถนาของอีกฝ่ายให้บรรลุเสียก่อน จึงจะสามารถจากไปได้
ถ้าอย่างงั้นก็รีบทำทุกอย่างให้มันจบๆไปเลยก็แล้วกัน
ขณะที่หมาดำกำลังขบคิด มันก็มองไปยังหญิงสาวอีกครั้ง
แต่มันกลับพบว่าหญิงสาวยังคงหันไปมองรอบๆ ชัดเจนว่ากำลังหารูโหว่ที่หมาใช้มุดเข้ามาอยู่
แถมดวงตาของเธอยังสลึมสลือ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแทบอยากจะนอนอยู่เต็มแก่แล้ว
นังโง่ขี้เมานี่!
หมาดำไม่อาจควบคุมตนเองได้อีกต่อไปแล้ว
มันกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “หญิงแห่งตระกูลเมดิซีเอ๋ย เจ้าไม่สมควรทำกริยาเช่นนี้ รู้หรือไม่ว่าเราเป็นถึงผู้รับใช้ของเทพแห่งความตาย เป็นร่างอวตารของเทพสุนัข!”
พอได้ฟัง ทั้งคนทั้งร่างของแอนนาสั่นไหว
เธอมองไปยังหมาดำ
และหมาดำก็กำลังจ้องมองมาที่เธอ
ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังจ้องมองกันอย่างเงียบๆ
ทันใดนั้นเอง
“อ๊อก … ”
แอนนาก็อ้วกออกมาอีกครั้ง
หมาดำกางอุ้งมือตนเองออก และยกขึ้นมาปัดเศษอ้วกบนหน้าของมันอีกรอบ
ไม่มีทางที่จะสื่อสารกันแบบรู้เรื่องได้เลย …
อันที่จริง ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เยี่ยงนี้ เหตุใดทางโลกจึงส่งนางลำยองเช่นนี้มากัน?
หรือว่าตระกูลเมดิซีจะไม่เหลือใครแล้ว?
ราวกับได้ยินถึงความคิดของมัน แอนนาก็ได้เอ่ยออกมา “เจ้าหมาน้อยอย่ามาโกหกกัดีกว่าน่า ลองแหงนหน้าดูรูปปั้นเทพสุนัขข้างบนสิ ดูมีมนต์ขลังจะตายเห็นไหม? เพราะงั้นไม่มีทางที่ร่างอวตารของท่านเทพสุนัขจะมีลักษณะเหมือนกับหมาชนบทแบบนี้หรอก”
หมาดำเกือบจะเป็นลม
พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเกียรติของตน มันก็อ้าปากประท้วงขึ้นมา “จงเบิ่งตาของเจ้าดูให้ดีๆอีกครั้ง! เราดูเหมือนสุนัขชนบทตรงไหนกัน!?”
มันลุกขึ้นยืนพร้อมกับเห่าจนตลอดทั้งวิหารเกิดการสั่นสะเทือน
แอนนาที่ง่วงนอนจนแทบจะหลับไหลพยายามที่จะลืมตาขึ้น และมองดูรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายอย่างชัดๆ
“เอ .. พอดูดีๆแล้วมันไม่เหมือนกันหมาชนบทเลย” เธอเอ่ยพึมพำ
หมาดำหมุนตัวไปรอบๆราวกับกำลังไล่กัดหางตัวเองให้อีกฝ่ายดู แล้วเอ่ยเตือนออกไป “ใช่ไหมล่ะ! เจ้าไม่คิดว่าเรามีลักษณะเหมือนหมาป่าหรอกหรือ?”
แอนนามองค้างไปที่อีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าและกล่าว “อ่า .. ดูเหมือนหมาป่าจริงๆด้วย หมาป่าที่ถูกเลี้ยงเอาไว้ใช้ไล่ต้อนฝูงแกะ …”
หมาดำ “ … ”
มันหอนขึ้นในทันใด “ไม่ใช่หมาเลี้ยงแกะ! เราคือเทพสุนัข! นังผู้หญิงโง่นี่!”
ด้วยความโกรธ กลิ่นอายของความมืดก็เล็ดลอดออกมาจากตัวมัน
เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายนี้ แอนนาก็รู้สึกตกใจ
เพราะเธอก็เป็นผู้ใช้เทคนิคเทียนซวนประเภทเรียกใช้ความมืดเหมือนกัน จึงมีความไวต่อกลิ่นอายชนิดนี้มากเป็นพิเศษ
นอกจากนี้ ถึงเธอจะเมา แต่ก็ไม่ใช่คนโง่
เมื่อรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายนี้ ดวงตาอันทรงเสน่ห์ทั้งสองข้างก็เบิกกว้างขึ้นในทันใด
กลิ่นอายความมืดนี้ถูกยับยั้งโดยเจ้าหมาดำเป็นอย่างดี มันจึงรั่วไหลออกมาเพียงแค่หนึ่งในพันเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นเพียงกลิ่นอายเล็กน้อย แต่มันกลับทำให้ทั้งจิตวิญญาณของแอนนาสั่นสะท้านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ความรู้สึกนี้ มันเหมือนกับว่าตนเองเป็นมด ขณะที่อีกฝ่ายเป็นสัตวร้ายในยุคก่อนประวัตศาสตร์ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน!
ยังจะมีสุนัขตัวใดกันในโลกใบนี้ที่พูดได้ แถมยังปลดปล่อยกลิ่นอายความมืดในระดับนี้ออกมาได้อีก!?
ดูเหมือนว่าตรงหน้าเธอ จะเป็นเทพสุนัขจริงๆ!
สติที่เลอะเลือนจากไวน์ของแอนนาเริ่มตื่นตัวกลับมาทันที
เธออดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผากที่ผุดขึ้นมา
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน!
เห็นได้ชัดว่าเธอแค่กำลังดื่มอยู่ดีๆ ไหงถึงสามารถอัญเชิญเทพสุนัขแห่งความตายมาได้?
แถมดูเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังขุ่นเคืองอยู่อย่างชัดเจน
แย่ล่ะสิ คงต้องรีบกู้คืนสถานการณ์ทันทีแล้ว!
ในขณะนี้ สมองเล็กๆของแอนนาได้เรียกคืนสตินึกคิดกลับมาในระดับปกติ และเริ่มที่จะทำงานอย่างรวดเร็ว
แอนนานึกถึงสิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นในทุกขั้นตอน
แล้วก็ต้องขอบคุณสัญชาตญาณนักดื่มของเธอ ที่ทำให้แอนนาได้ค้นพบความจริงในข้อนี้
เทพสุนัขดูเหมือนจะรักในการดื่มสิ่งมึนเมาเป็นอย่างมาก!
แอนนารีบควานมือลงไปในกระเป๋าสะพายใบใหญ่ของเธอ
ภายในถูกยัดๆของหลายสิ่งเอาไว้จนยุ่งเหยิง แม้กระทั่งตัวแอนนาเองก็ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างในทุกชิ้นเหมือนกัน
คราวนี้เธอนำเอาไวน์ยู่หลูติดตัวมาด้วยเพียงสองขวดเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือไปจากยู่หลูสองขวดในคราวนี้ ก่อนออกเดินทางทุกครั้ง เธอก็มักจะพกสุราอีกขวดติดตัวมาเสมอเป็นประจำอยู่แล้ว
‘ได้โปรด ได้โปรด ได้โปรดเถอะ ขอให้ตัวฉันอย่าพึ่งเผลอดื่มไปจนหมดแล้วเลย เหลือให้ฉันซักขวดเถอะในครั้งนี้’
แอนนาเฝ้าอธิษฐานกับตัวเองในอดีต
และแล้วมือเธอก็สัมผัสเข้ากับวัสดุแข็งที่ทำจากแก้ว
แอนนาคว้าหมับและยกมันขึ้นมาดู
นี่มันเป็นขวดเหล้าที่มีขนาดเล็กมาก
ทั้งขวดมีขนาดเท่ากับหนึ่งฝ่ามือเท่านั้น
แม้ว่าสุรานี้จะไม่อาจเทียบเท่าได้กับไวน์ยู่หลูทั้งในด้านจำนวนปีที่บ่มและฤทธิ์ของมัน แต่ก็ยังนับว่าเป็นของหายากด้วยรสชาติอันนุ่มนวลและมีความหมายของมัน
และเนื่องเพราะสุราขวดนี้เป็นสิ่งหายาก ดังนั้นขวดที่ใช้บรรจุมันถึงได้มีขนาดเล็กและประณีตแบบนี้
อาจกล่าวได้ว่าสุราขวดนี้ค่อนข้างเหมาะสมกับรสนิยมของเธอ ดังนั้นเธอจึงไม่ค่อยเต็มใจที่จะดื่มมันแบบเรื่อยเปื่อย … นับว่าโชคดีจริงๆ
เพราะว่าเหล้าขวดนี้มันมีขนาดเล็กพกพาง่าย มันจึงถูกโยนลงไปในกระเป๋าสะพายและถูกยัดๆลงด้วยสิ่งของต่างๆจนเธอไม่อาจเอื้อมไปถึงมันและคงไม่หยิบออกมาได้เลยถ้าไม่ทันได้นึกถึงมัน
แอนนาถอนหายใจโล่งอก
“นี่คือเครื่องบรรณาการสำหรับการพบพานกันระหว่างท่าน” เธอกล่าว
หมาดำจ้องมองไปที่ขวดเหล้าแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “นังเด็กน้อย เจ้าคิดหรือว่าเราจะปลื้มปริ่มหากได้รับขวดใบนี้ที่ถูกหมักโดยข้าวหยกขาวในถังไม้โอ๊คเป็ยเวลากว่า 70 ปี และหลังจากนำออกจากถังแล้วก็นำไปผสมผสานด้วยเทคนิคลับระดับสูง จนในที่สุดก็ได้รสชาติอันอ่อนโยนและกลมกล่อมเป็นพิเศษออกมาเช่นนี้?”
หมาดำพยายามที่จะทำสีหน้าและน้ำเสียงให้ดูเย็นชา ทว่าหางของมันกลับส่ายไปมาโดยไม่รู้ตัว
แอนนามองไปยังหางของมัน และพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง
นี่มันอะไรกัน เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเจ้าหมานี่ต้องการที่จะดื่ม
เธอวางขวดสุราไว้เบื้องหน้าของหมาดำ
“โปรดรับมันไปเถิด เมื่อครู่ฉันเมามายจนเกินงาม จึงเผลอทำกริยาไม่สุภาพไปเล็กน้อย สุราขวดนี้ถือว่าแทนคำขอโทษจากใจจริงของฉัน”
หมาดำมองเธออีกครั้ง ก่อนจะสลับไปมองขวดสุรา จนในที่สุดมันก็เอ่ยออกมาว่า “ในเมื่อเจ้าจริงใจถึงเพียงนี้ เช่นนั้นเราก็ไม่ลังเลที่จะรับมัน”
หมาดำกางเล็บตรงอุ้งเท้าของมันตะปบขวดเข้าหาตัวและใช้ปากงับฝาเปิด จากนั้นก็งับแล้วกระดกมันขึ้น
“ท่านต้องการเอาอะไรไปผสมสุราเพื่อให้ดื่มคล่องคอขึ้นหรือไม่?” แอนนาเอ่ยถาม
หมาดำยอมสละเวลาแห่งความสุขในการดื่มกล่าวตอบเธอ “เหอะ! จงอย่าปรามาสเรา สุราประเภทนี้ต้องดื่มแบบเพียวๆเท่านั้นจึงจะสาแก่ใจ! ”
แอนนากล่าวสรรเสริญ “หื้ม ท่านนับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้โดยแท้ นับถือ นับถือ”
หนึ่งคนหนึ่งหมาสบตากันและกัน ทันใดนั้นก็พลันรู้สึกได้ว่าระยะห่างระหว่างทั้งสองแลดูจะแคบลง ใกล้ชิดกันมากขึ้น
นี้อาจจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของแอลกอฮอล์ก็ได้
ทันใดนั้นหมาดำก็พลันตระหนักได้ถึงความคิดบางอย่างขึ้น
มันหลับตาลง
และในพริบตา ช่วงเวลาหลายพันปี ทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวข้องกับคริสตจักรแห่งความตายก็ปรากฏขึ้นในจิตใจของมัน
หมาดำลืมตาขึ้น การแสดงออกทางสีหน้าของมันเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อยเล็กน้อย
กลับกลายเป็นว่าตระกูลเมดิซีในตอนนี้ไม่หลงเหลือใครแล้วจริงๆ แถมคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ก็ยังถูกยึดครองโดยคนนอกอีก
มันมองไปยังแอนนาอีกครั้ง จ้องมองหนึ่งในสายเลือดที่หลงเหลืออยู่ของตระกูลเมดิซี ..
ความโกรธของหมาดำได้กระจายหายไป ดวงตาของมันเผยร่องรอยของความเมตตาสงสารออกมา
ทว่าแอนนาไม่กลับไม่รู้ถึงเรื่องเหล่านี้ เธอเอ่ยถามในสิ่งที่ตนอยากรู้ออกไป “ท่านเทพ ตระกูลของเราทำการอัญเชิญท่านมานับพันๆปี แต่ท่านก็ไม่ยอมปรากฏกายออกมาเลย เหตุใดวันนี้จึงเลือกที่จะปรากฏตัวขึ้นกัน?”
หมาดำดื่มเหล้าที่เหลือในขวดจนหมดภายในหนึ่งลมหายใจ และเอ่ยลวกๆอย่างไม่คิดว่า “เราก็แค่กำลังหลับอยู่น่ะ”
“นอนหลับเป็นเวลากว่าหลายพันปีเลยหรือ?”
“ก็เหมือนงีบหลับในช่วงบ่ายนั่นแหละ”
แต่แล้วหมาดำก็หรี่สองตาแคบลง น้ำเสียงของมันเปลี่ยนไปแล้วอธิบายว่า “แต่จู่ๆก็ดันรู้สึกได้ถึงกลิ่นแอลกอฮอล์ในอากาศ แถมเจ้ายังอ้วกใส่สถานที่ๆเราหลับอยู่อีก จึงย่อมเป็นธรรมดาที่เราจะตื่นขึ้น”
“ท่านคือเทพสุนัขจริงๆใช่ไหม? แล้วร่างกายที่แท้จริงของท่านล่ะ?” แอนนาเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
“เจ้าก็รู้ถึงเรื่องร่างจริงของเรานี่ ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ”
หมาดำเอ่ยต่อ “เมื่อหลายพันปีก่อน บรรพบุรุษของเจ้าได้ช่วยเหลือเทพสุนัขเอาไว้ ส่วนตัวเราเป็นเพียงเศษเสี้ยวความคิดที่กระจัดกระจายของเทพสุนัขก็เท่านั้น และได้รับหน้าที่สร้างศรัทธาในสถานที่แห่งนี้ คอยเฝ้าพิทักษ์ปกปักษ์ตระกูลของเจ้า”
“แต่ตอนนี้ท่านกำลังหลับอยู่”
“หุบปากเถอะ”
“แล้วในเมื่อท่านตื่นขึ้นมาแล้ว สิ่งใดกันที่ท่านจะทำต่อไป?”
“เราไม่รู้หรอกว่าจะทำอะไรดีตอนนี้ ว่าแต่เจ้าเถอะ สิ่งใดกันล่ะที่ต้องเจ้าต้องการ?”
“แน่นอนว่าฉันย่อมมีสิ่งที่ต้องการอยู่ … ได้โปรดช่วยฉันอัญเชิญเทพแห่งความตายมาด้วยเถอะ” แอนนากล่าว
“เจ้ากำลังมองหาเทพแห่งความตาย เพราะเหตุใดกัน?”
แอนนานิ่งค้างไป
เธอเอียงศีษะและขบคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับคำถามนี้
ใช่สิ ฉันจะตามหาเทพแห่งความตายไปทำไมกัน?
เธอคิดไตร่ตรองก่อนที่จะกล่าวว่า “ตระกูลเราในแต่ละรุ่นก็ทำการอัญเชิญท่านเทพแห่งความตายกันทั้งนั้น บางทีพวกเขาอาจจะต้องการจะอัญเชิญท่านเทพมาเพื่อถามไถ่ว่าจะสามารถช่วยเหลืออะไรแก่ทางตระกูลได้บ้างก็ได้”
“เทพแห่งความตายไม่มีเวลาว่างนักหรอก ยิ่งกับมนุษย์ตัวจ้อยเช่นพวกเจ้าแล้ว คงไม่มีเวลามาสนใจ หากเจ้าปรารถนาสิ่งใด ขอให้วิงวอนอธิษฐานต่อเราโดยตรงจะดีกว่า” หมาดำกล่าว
“วิงวอนท่าน?” แอนนาเผยท่าทีลังเล
“อะไรอีกล่ะ นี่เจ้ากำลังดูถูกเราอีกแล้วใช่ไหม ขอบอกเลยนะว่าเราน่ะแข็งแกร่งมาก”
“สามารถเอ่ยขอได้จริงๆน่ะหรือ?”
“ก็ได้น่ะสิ เจ้านี่มันรู้สึกตัวช้าจริงๆ ลองสวดวิงวอนในสิ่งที่เจ้าต้องการมาสิ” หมาดำกล่าว
มันจ้องมองแอนนาอย่างใกล้ชิด
หากอีกฝ่ายยังคงมีความปรารนามันก็จะช่วยเหลือให้
ความปรารถนาของอีกฝ่าย เป็นสิ่งที่มันจำเป็นต้องทำเพื่อบรรลุสัญญา
“เรื่องที่ฉันต้องการวิงวอนอธิษฐาน?” แอนนานิ่งงันไป
ว่าจบเธอก็ตบลงบนหน้าผากกระจ่างใสของตนเองแล้วกล่าว “นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะนึก ก็ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะปลุกเทพแห่งความตายขึ้นมานี่นา เพราะงั้นเลยไม่ทันจะได้คิดตั้งแต่ต้นว่าจะวิงวอนอธิษฐานอะไร”
เวรกรรม เรื่องที่ตนปรารถนานี่มันจำเป็นต้องเสียเวลาคิดด้วยหรือ?
หมาดำก้มศีรษะลง และพยายามเฝ้าอดทนเป็นระยะเวลานาน
มันถอนหายใจยาวและกล่าวว่า “ลูกหลานของสายเลือดแห่งเมดิซีเอ๋ย ทำไมการที่เราจะได้สื่อสารกับเจ้าให้เข้าใจมันถึงได้ยากเย็นเพียงนี้”
แอนนารีบตอบกลับไป “ต้องขออภัยจริงๆ ฉันกำลังเริ่มที่จะไตร่ตรองเกี่ยวกับมันอย่างจริงจังแล้วล่ะ”
และเกือบจะในทันที เธอก็นึกถึงซูเซี่ยเอ๋อ
จริงสิ ตัวเองจะต้องรีบกลับไปที่รัฐบาลกลางทันที เพื่อเผชิญหน้ากับซูเซี่ยเอ๋อนี่นา
บางที หากรบกวนท่านเทพสุนัข ก็อาจจะช่วยให้เธอตกใจ และหนีออกจากอ้อมอกของกู่ฉิงซานไปด้วยความหวาดกลัวก็ได้
อืม .. นั่นนับว่าเป็นความคิดที่ดี
อย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่ได้ถึงขั้นตั้งใจที่จะฆ่าอีกฝ่าย ดังนั้นเพียงแค่ทำให้รู้สึกหวาดกลัวก็น่าจะพอแล้วมั้ง
ที่สำคัญก็คือ หากมีเทพสุนัขอยู่ข้างๆ ยังจะมีสิ่งใดอีกที่เธอไม่สามารถทำได้ในอนาคต?
แอนนาก้มหน้าลงและกล่าวกับหมาดำอย่างจริงใจ “ท่านเทพสุนัข ฉันวิงวอนร้องขอท่าน ให้ติดตามช่วยเหลือฉันจะได้หรือไม่?”
หมาดำจ้องมองเธออย่างลึกซึ้ง
สุดท้ายมันก็ส่ายหัวและกล่าวว่า “ด้วยสุราเพียงขวดเดียว แต่เจ้ากลับปรารถนาให้เราทำหน้าที่เป็นกุลีให้เจ้าเชียวหรือ?”
“มิใช่กุลี แต่คอยติดตามช่วยเหลือฉันในฐานะคู่หู ร่วมต่อสู้ไปด้วยกัน” แอนนาเร่งอธิบาย
เธอประกบสองมือเข้าด้วยกัน เริ่มภาวนาอ้อนวอน “ท่านเทพสุนัข ฉันมิกล้าจะพูดอะไรให้มันมากความนัก แต่ฉันแค่อยากจะบอกว่า ฉันมีห้องเก็บสุราและไวน์ส่วนตัวอยู่สองห้องใหญ่ ภายในนั้นมีเครื่องดื่มมึนเมานับพันขวด หากท่านช่วยเหลือฉัน ฉันจะยกพวกมันทั้งหมดให้ท่านเลย ตกลงไหม!”
คราวนี้หางของหมาดำเริ่มแกว่งไหว
มันกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เรานั้นเป็นเทพ และจริงจังในเรื่องเกี่ยวกับคำปฏิญาณสาบานตนเอามากๆ ในเมื่อเจ้าแสดงความจริงใจออกมาถึงเพียงนี้ ฉะนั้นเราจะยอมรับคำวิงวอนอธิษฐานของเจ้าก็ได้”
“งั้นเจ้าจงรออยู่ที่นี่เถอะ เราจะเริ่มต้นด้วยการไปจับตัวเจ้าผู้ใช้ไพ่เทียนซวนที่ทำการหมิ่นเกียรติคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์แห่งความตายก่อนเป็นอันดับแรก!”
ว่าจบ หมาดำก็หายวับไปมิอาจมองเห็นได้อีกเลย … และนี่คือเหตุผลที่แอสเมิร์ดได้เห็นมนุษย์หัวสุนัขในโถงจัดเลี้ยงนั่นเอง
แอนนาชะงักงัน เฝ้ามองฉากตรงหน้าด้วยความปิติยินดี
“ว้าว! จู่ๆก็หายไปในอากาศซะเฉยๆเลย! ไม่ได้ใช้เครื่องจั๊มป์หรือเทคนิคใดๆซะด้วย นี่แสดงว่าเขาแข็งแกร่งจริงๆ!”
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.369 – ยุคสมัยใหม่กำลังจะมาถึง
ในวันที่เวโรน่าขึ้นครองบัลลังก์
นรกอีกสามขุมก็ได้ปรากฏขึ้นมาบนโลก
พวกมันกำลังสั่งสมพลังอย่างเงียบๆ ขณะที่เฝ้ารอให้ขุมนรกของตนเองมาถึงโดยสมบูรณ์
แถมในวันนี้ ก็ยังเกิดเหตุการณ์ที่พระสันตะปาปายี่ชาได้เสียชีวิตลงในห้องจัดเลี้ยงของรัฐฟูซีอีกด้วย
สมเด็จพระราชินีฟูซีได้ประกาศในสถานที่เกิดเหตุว่ายี่ชา – หรือพระสันตะปาปาองค์ปัจจุบันนี้ แท้จริงแล้วเป็นตัวปลอม!
เธอกล่าวอย่างเป็นเรื่องเป็นราวว่าจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์จะกลับคืนสู่อ้อมอกของตระกูลเมดิซีอีกครั้ง
นอกจากนี้ คริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ก็จะทำการจัดระเบียบใหม่ และจะมีการเลือกพระสันตะปาปาองค์ใหม่ขึ้นด้วยเช่นกัน
ในขณะที่ทุกคนกำลังเกิดความลังเลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ประธานาธิบดีแห่งรัฐบาลกลางก็เป็นคนแรกที่เอ่ยแสดงความชื่นชมและยอมรับในคำกล่าวของเธอ
ในขณะที่งานเลี้ยงอาหารกลางวันยังไม่จบลง เหล่านักการเมืองจากทุกประเทศก็ได้ทำการไตร่ตรองถึงใจความสำคัญของฉากนี้อย่างรวดเร็ว
สาธารณรัฐฟูซีตกอยู่ในอุ้งมือของเวโรน่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นอกเหนือจากอาณาจักรฟูซีในมือ เธอก็ยังมีผู้แข็งแกร่งลึกลับที่สามารถสังหารรัฐมนตรีกลาโหมซึ่งเป็นขั้นห้าได้ในกระบวนท่าเดียวอีกด้วย
รัฐบาลกลางก็มีความสำเร็จทางเทคโนโลยีขั้นสูงสุดของโลกอย่างเทพธิดากงเจิ้ง
ในแง่ของกำลังรบ รัฐบาลไม่ได้มีเพียงแค่เทพนักสู้ซางซ่งหยางอีกต่อไป แต่ยังมีอีกสามตัวตนทรงพลังที่พึ่งจะร่วมลงมือสังหารพระสันตะปาปาไปเมื่อครู่เช่นกัน
ด้วยประการฉะนี้ หากทั้งสองประเทศแสดงถึงความตั้งใจของพวกเขาออกมาอย่างชัดเจนถึงขนาดนั้น ประเทศอื่นๆก็สมควรจะต้องพิจารณาทิศทางตำแหน่งที่พวกเขาจะทำการเลือกเดินอย่างรอบคอบ
ในทางตรงกันข้าม ความตายของพระสันตะปาปา กลับไม่ได้ก่อให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้นอย่างที่คิด
งานเลี้ยงมื้อออาหารกลางวันได้สิ้นสุดลงแล้ว
และต่อไปก็ถึงคราวการเริ่มประชุมสภาโลก
นักวิทยาศาสตร์กู่ฉิงซานแห่งรัฐบาลกลางได้ก้าวขึ้นมาบนเวทีและทำการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ : ‘กำไลฝึกยุทธ’
สมเด็จพระจักรพรรดินีฟูซีประกาศว่า ‘ผู้ใดก็ตามที่มีการใช้กำไลฝึกยุทธนี้ ’ น้ำยาปลุกเทียนซวนที่เคยถูกจำกัดไว้ให้ใช้ได้แค่กับสาวกศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นจะถูกจัดให้ใช้ได้ฟรี 1 ครั้ง
แน่นอน ว่ามันรวมไปถึงน้ำยากระตุ้นธาตุทั้งห้าของฟูซี และน้ำยาเสริมศักยภาพนักสู้หวูเต๋าของรัฐบาลกลางก็เช่นกัน พวกมันจะได้รับอนุญาตให้ใช้ได้เลยฟรีๆ!
ภายใต้การร่วมมือกันโน้มน้าวของประธานาธิบดีแห่งรัฐบาลกลางและเวโรน่าแห่งฟูซี ส่งผลให้ผู้นำคนแล้วคนเล่าของโลกได้ทำการทดลองเทคโนโลยีนี้
และประสบการณ์ทั้งหมดที่พวกเขาได้รับมันช่างน่าตกตะลึง!
บาทหลวงของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ประจำสาธาณรัฐฟูซีได้รับน้ำยาปลุกเทียนชวนจากทางคริสตจักร
โดยท่านได้ใช้น้ำยาพลังปลุกเทียนซวนต่อหน้าสารณชน
แล้วเขาก็ถูกปลุกตื่นขึ้นมาจริงๆ
ภายใต้การริเริ่มนึกคิดของเขา ตลอดทั้งโต๊ะในห้องประชุมสภาก็บานสะพรั่งไปด้วยดอกไม้
ทันทีหลังจากนั้น นักวิทยาศาสตร์กู่ฉิงซานแห่งรัฐบาลกลางก็ได้ขึ้นมากล่าวอธิบายเกี่ยวกับการฝึกยุทธอีกรอบ
เมื่อทุกคนได้รับรู้ว่าการฝึกยุทธจะสามารถช่วยเพิ่มพูนอายุขัยของตนเองได้อย่างมหาศาล ประกายเพลิงในห้วงอารมณ์ของพวกเขาก็ถูกจุดจนลุกโชนขึ้น
เทพนักสู้ซางซ่งหยางได้สารภาพต่อสาธารณชนว่าเขาก็เริ่มฝึกยุทธแล้วเช่นกัน
ว่าจบ เขาก็เริ่มใช้เครื่องตรวจวัดพลังชีวิตต่อหน้าทุกผู้คน
แล้วมันก็เด้งขึ้นมาว่า ขีดจำกัดอายุขัยของเขาคือ 150 ปี!
ผู้นำของหลายประเทศย่อมไม่เชื่อในสิ่งที่ตาเห็นทันที พวกเขาได้ร้องขอให้ทำการเปลี่ยนเครื่องมือตรวจวัดอยู่หลายครั้ง แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือนเดิม
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงนี้ ความกังวลและข้อสงสัยทั้งหมดก็สลายไม่มีหลงเหลืออีกต่อไป
หลังจากการอภิปรายอย่างเข้มข้นเพียงครึ่งชั่วโมง รัฐบาลทั่วโลกต่างก็บรรลุข้อตกลงในประเด็นสำคัญต่างๆหลายประการ
ในตอนท้ายของการประชุม ผู้นำทุกประเทศได้ประกาศว่าพวกเขาจะส่งเสริมกำไลฝึกยุทธนี้ให้แพร่กระจายไปทั่วโลก
นับจากวันนี้ไป กำไลฝึกยุทธจะกลายเป็นที่นิยม และทุกคนก็จะมีสิทธิเท่าเทียมกันในการวิวัฒนาการ
เทพธิดากงเจิ้งได้เริ่มใช้ทรัพยากรที่เกี่ยวข้องของประเทศต่างๆทั่วโลกเพื่อทำการผลิตน้ำยาปลุกเทียนซวน , เสริมศักยภาพนักสู้หวูเต๋า และกระตุ้นธาตุทั้งห้า
สำหรับกำไลฝึกยุทธ เทพธิดากงเจิ้งได้เริ่มต้นทดลองผลิตไว้นานแล้ว
พร้อมด้วยการสนับสนุนจากประเทศต่างๆ ส่งผลให้เทพธิดาเร่งมือของเธอ และมุ่งมั่นที่จะแพร่กระจายกำไลฝึกยุทธให้เข้าถึงไปในทั่วทุกมุมโลก
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ก็เพื่อทำการต่อต้านวันสิ้นโลก
ณ เมืองหลวงของฟูซี
ภายในบาร์ที่มีชื่อเสียง
บาร์ได้ปิดทำการวันนี้ หากจะกล่าวอย่างชัดเจน สมควรบอกว่ามันมิได้เปิดทำการให้บุคคลทั่วไปเข้าใช้บริการต่างหาก
เพราะหลายสิบองค์กรแห่งโลกมืดที่แกร่งที่สุดในโลก ได้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่
ซางหยิงฮ่าวกำลังเล่าถึงเรื่องฝึกยุทธ
ขณะที่มีเย่เฟย์หยูคอยยืนอยู่เบื้องหลังเขา พร้อมด้วยมือข้างหนึ่งที่ถือกล่องไอศกรีม ส่วนอีกข้างกำลังใช้ช้อนใบเล็กๆขูดมันตักขึ้นมากิน
“ตั้งแต่ที่สามารถได้รับน้ำยาไปใช้ฟรีๆ แถมยังสามารถยืดอายุขัยได้ ผมคิดว่าพวกพี่ใหญ่ทุกคนคงไม่มีใครคิดจะคัดค้านในเรื่องนี้” ซางหยิงฮ่าวกล่าวสรุปออกมาในที่สุด
หลายสิบผู้นำองค์กรโลกมืดต่างพยักหน้ากันอย่างเงียบๆ
แต่แล้วชายหัวโล้นที่มีรอยสักเต็มตัวก็พูดขึ้นมาว่า “เจ้าเด็กน้อยซาง ฉันบังเอิญได้ยินมาว่านายก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เหมือนกันนี่”
“ถูกต้อง ผมเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนของเรื่องนี้” ซางหยิงฮ่าวตอบอย่างเรียบง่าย
ชายหัวโล้นหัวเราะ “ช่างเป็นธุรกิจที่ดีจริงๆ แต่มันจะดีกว่าไหมหากจะให้พี่ชายได้มีส่วนแบ่งในธุรกิจดีๆแบบนี้ด้วย”
“คุณเข้าใจผิดแล้ว ผลประโยชน์เพียงอย่างเดียวที่ผมได้มาก็คือ ผู้ที่คิดค้นเทคนิคฝึกยุทธจะเป็นคนเลือกสรรเทคนิคฝึกยุทธที่เหมาะสมกับตัวผมและคนรอบข้างให้ก็เท่านั้นเอง ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นเลย”
“เรื่องนั้นฉันรู้ มันเป็นผลงานของนักวิทยาศาสตร์ที่ชื่อ กู่ฉิงซาน ถูกต้องใช่ไหม?” ชายหัวโล้นกล่าว และเฝ้าสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงของท่าทีที่แสดงออกของซางหยิงฮ่าวอย่างรอบคอบ
“ฉันต้องยอมรับเลยว่าพวกนายทั้งสามคนร้ายกาจจริงๆที่สามารถสังหารพระสันตะปาปาลงได้”
ชายหัวโล้นหันไปมองรอบๆ และกล่าวกับทุกคนว่า “แต่ธุรกิจก็ยังไงก็เป็นธุรกิจ และสิ่งนี้จะสามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดโดยได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังรบอันทรงพลังของพวกเรา”
ทันใดนั้นใครบางคนเอ่ยขึ้นมาทันที “กฏระบุเอาไว้ว่าคนทั้งโลกจะสามารถรับน้ำยาได้เพียงครั้งเดียว แต่ถ้าปล่อยให้พวกเราดำเนินการ และเก็บน้ำยาส่วนหนึ่งไว้ในมือเรา มันก็เพียงพอแล้วที่เราจะสามารถแบ่งปันผลประโยชน์อันมหาศาลนี้ร่วมกันได้”
อีกคนเอ่ยเสริม “ตามหน่วยข่าวกรองของฉัน น้ำยาเหล่านี้ก็ตกอยู่ในการควบคุมของกู่ฉิงซานเช่นกัน และฉันก็คิดว่าตัวน้ำยาคงมีเหลือเพียงพอที่จะนำมาแบ่งปันให้กับคนทั้งห้องนี้ได้”
พอคนอื่นๆได้คิดตาม ก็ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ช่วงเวลาหนึ่ง ทุกคนต่างพากันจ้องมองไปที่ซางหยิงฮ่าวด้วยแววตาที่แฝงความหมายอันยากจะอธิบายได้
พวกเขาเป็นเหมือนกับหมาป่าหิวโหยที่พึ่งได้พบพานกับชิ้นเนื้อก้อนโต
ซางหยิงฮ่าวถอนหายใจและกล่าวกับชายหัวโล้นว่า “พี่ชายหลัว ผมขอแนะนำคุณว่าอย่าไปกระตุ้นอะไรนักวิทยาศาสตร์คนนั้นจะดีกว่านะ เขาไม่ได้อารมณ์ดีเหมือนอย่างที่แสดงออกมาในทุกๆครั้งหรอก”
“นอกจากนี้ธุรกิจการค้ามนุษย์ของคุณก็จะต้องหยุดลงเช่นกันและต้องปล่อยทุกคนให้เป็นอิสระ”
ชายหัวล้าน “ทำไม?”
“เพราะวันสิ้นโลกได้มาถึงแล้วยังไงล่ะ ตอนนี้ทุกคนคือกำลังรบอันล้ำค่าที่มีไว้ใช้ต่อสู้ บางทีหนึ่งในทาสที่คุณจับตัวมา หลังจากที่พวกเขาฝึกยุทธแล้ว อาจจะกำเนิดตัวตนที่มีพรสวรรค์โดดเด่นขึ้นมาก็ได้”
“ทำแบบนั้นแล้วฉันจะได้ผลประโยชน์อะไรบ้าง?”
“ผลประโยชน์ของคุณคือมีอายุขัยที่ยืนยาวขึ้น” ซางหยิงฮ่าวกล่าว
ชายหัวโล้นหัวเราะออกมาเบาๆ
เขาเอียงศีรษะและกล่าวว่า “จู่ๆก็โผล่ออกมายืนยิ้มแฉ่งโชว์ฟันขาวๆ แล้วบอกว่าต้องการขโมยผลงานที่ฉันเฝ้าฟูกฟักมาเป็นอย่างดีไม่ง่ายๆอย่างงั้นหรือ? อยากจะตายรึไง? เจ้าเด็กน้อยซาง”
ชายหัวล้านโน้มตัวไปข้างหน้า และกระซิบเบาๆว่า “กู่ฉิงซานอาจจะแกร่งพอสมควรก็จริง แต่สำหรับพวกเราแล้วน่ะ ยังมีอีกหลายวิธีที่จะใช้บีบบังคับมัน อย่างเช่นลักพาตัวคนรอบกายของมันมาข่มขู่ก็ได้ เมื่อถึงเวลานั้น เดี๋ยวมันก็จะมาร่ำร้องแล้วถามถึงฉันเองแหละ”
ทว่าหลังจากที่พูดจบ หัวของเขาก็ร่วงตกลงจากบ่าทันที
ผู้นำซึ่งเป็นหัวหอกในการควบคุมธุรกิจการค้ามนุษย์ของโลก .. ได้ถูกสังหารลงอย่างกระทันหันในสถานที่แห่งนี้!!
ท่ามกลางความว่างเปล่า ดาบเล่มหนึ่งวาดเส้นแสงสีแดงเป็นทางยาวที่เกิดจากเลือด และบินกลับไปอยู่เบื้องหลังซางหยิงฮ่าว
ผู้นำโลกมืดทั้งหมดถูกกระตุ้นจนความโกรธปะทุขึ้น
“นี่แกกล้าดียังไง – ”
“รนหาที่ตาย!”
“นี่มันชักจะข้ามเส้นเกินไปแล้ว!”
“ในเมื่อแกเลือกที่จะทำผิดกฏ ถ้างั้นก็ถึงเวลาตาย!”
ว่าจบ ร่างหลายร่างก็ทะยานตัวออกไป และบินตรงมาทางซางหยิงฮ่าว
ซางหยิงฮ่าวยกหลังเท้าส่งสัญญาณเตะออกไปข้างหลังอย่างแผ่วเบา นอกเหนือจากนั้นก็ไม่ได้ขยับตัวใดๆอีก
เลือดสังหารพรั่งพรูออกมาอย่างฉับพลัน และห่อหุ้มตัวซางหยิงฮ่าวเอาไว้
การโจมตีอันหลากหลายกระแทกเข้ากับเลือดสังหาร และถูกดูดซึม จางหายไปอย่างเงียบๆ
“กรุณากลับไปนั่งประจำที่ของพวกคุณด้วย”
เย่เฟย์หยูยิ้ม ขณะที่สองมือของเขาข้างหนึ่งถือถ้วย ขณะอีกข้างยังคงตั้งใจขูดไอศกรีมกิน
กลุ่มเลือดสังการกระพริบไหว พุ่งออกต้อนรับ ปะทะเข้ากับผู้คนเหล่านั้นที่ยังคงอยู่กลางอากาศ
หลายคนถูกกระแทกด้วยความสับสน และเมื่อรู้สึกตัวอีกที พวกเขาก็ถูกแรงปะทะ กดดันให้ตกลงมานั่งประจำตำแหน่งเดิมได้อย่างพอดิบพอดีโดยไม่คาดคิดซะแล้ว
พริบตานั้นฝูงชนทั้งห้องพลันตกอยู่ในความเงียบ
ซางหยิงฮ่าวกล่าวต่อ “ไม่เพียงแต่ในเรื่องการค้ามนุษย์หรอกนะ แต่ในเรื่องการค้ายาเสพติดก็ต้องหยุดลงด้วยเหมือนกัน แต่สำหรับธุรกิจขายบริการ นอกเหนือไปจากสาวๆที่ยินยอมรับงานด้วยตัวเองแล้ว พวกคุณจะไม่สามารถบังคับให้พวกเธอกระทำในสิ่งที่ไม่มีความสุขได้อีก”
เขากางมือออก “หลังจากที่พวกเรากลายเป็นผู้ฝึกยุทธ มีคุณสมบัติตรงตามที่จะเป็นสหายเต๋าร่วมกัน ทุกคนจะไม่อาจกระทำการที่ผิดหลักแห่งเต๋าได้”
ชายชราภายในห้องแสยะออกมาและกล่าวว่า “ในวันนี้แกอาจจะเหนือกว่าพวกเรา แต่ลองคิดให้ดีๆเถอะ ว่าในวันข้างหน้าหลังจากนี้ไป ยังจะมีใครฟังคำของแกอีกบ้าง?”
แต่แล้วจู่ๆชายชราก็สัมผัสได้ถึงไอเย็นน้อยๆรอบคอของเขา
เมื่อเหลือบสายตามองลงไปก็จะเห็นแค่เพียงดาบยาวที่ลอยนิ่ง หันคมดาบจ่ออยู่ล่างคางของเขา
และดาบนั่นก็หายวับไปจากสายตาในฉับพลัน
ชายชราปิดปากเงียบ
เหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นมาบนแผ่นหลังของเขา
ไม่เพียงแต่เขา แต่เหล่าตัวตนท่ามกลางตัวตนทรงอำนาจของโลกใต้ดินในที่แห่งนี้ เมื่อครู่กลับไม่มีคนไหนเลยที่เห็นว่าดาบได้ปรากฏขึ้นและหายวับไปได้อย่างไร
แต่ละคนหันมามองหน้ากันและกัน
ซางหยิงฮ่าวโยนสมองควอนตัมส่วนบุคคลของเขาลงบนโต๊ะ
“ตั้งใจฟังให้ดีล่ะทุกๆท่าน” เขากล่าว
แล้วสมองควอนตัมก็ส่องสว่างขึ้น
ตามด้วยเสียงอันไพเราะของผู้หญิงที่ดังออกมา
“สวัสดีทุกท่าน ฉันคือเทพธิดากงเจิ้ง”
“ขณะนี้แผนการ ‘สกายฟอล’ กำลังเริ่มปฏิบัติการแล้ว”
“เกี่ยวกับการร้องขอของ มิสเตอร์ซางหยิงฮ่าว ขอให้ทุกท่านโปรดให้ความร่วมมือ ปฏิบัติตามด้วย”
“มิฉะนั้นฉันจะใช้ป้อมปราการระหว่างดวงดาวซ่งหวูเฮ่าทำการโจมตีพื้นที่เป้าหมายจากนอกอวกาศโดยตรง”
“และโปรดอย่าได้สงสัยถึงความสามารถของหน่วยข่าวกรองของฉัน ฉันได้ทำการเชื่อมต่อกับหน่วยประมวลผลแห่งชาติของประเทศทั่วโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นหมายความว่าหากพวกคุณและอาณาจักรที่พวกคุณสร้างขึ้นมายังต้องการที่จะมีชีวิตและดำเนินอยู่ต่อไป โปรดเลือกที่จะเป็นพันธมิตรกับฉันด้วย”
“นั่นคือทั้งหมดที่ฉันจะพูด ขอบคุณสำหรับการรับฟัง และลาก่อน”
วูบ. .. และสมองควอนตัมก็ดับลง
ซางหยิงฮ่าวยกบุหรี่ขึ้นมาจุด สูดควันเข้าเต็มปอดและพ่นมันออกไปอย่างแรง
เขาลุกขึ้นยืน ในมือคีบบุหรี่ และเดินไปรอบๆเหล่าฝูงชนอย่างช้าๆและไร้จุดหมาย
ดาบยาวกำลังจะลอยตามเขา แต่เพียงแค่เขาโบกมือ ดาบยาวก็หยุดนิ่ง
ดังนั้นขณะนี้ กล่าวได้ว่าเขาไม่มีดาบไว้คุ้มกันอีกต่อไป ทั้งตัวไร้ซึ่งการป้องกันแต่ก็ยังกล้าที่จะเดินผ่านหน้าเหล่าบรรดาพี่ใหญ่ทุกคนที่อยู่ในโลกมืด
แต่กลับไม่มีใครกล้าทำอันตรายใดๆแก่เขาเลย
ดูเหมือนว่าการกระทำนี้ จะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของโลกใต้ดิน … เป็นการแสดงอำนาจและเอ่ยถามความคิดเห็นของผู้คนด้วยการกระทำโดยตรง
และซางหยิงฮ่าวก็เดินล่อหน้าล่อตากลับมาได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
เขาหันไปกล่าวกับดาบว่า “นายไปได้แล้ว”
เสียงของดาบยาวกังวานขึ้น “แต่หน้าที่ของนายยังไม่จบลงเลยนี่”
“แม้ว่าหลังจากนี้การประชุมของเขาเราจะเดือดขึ้นสักเล็กน้อย แต่ถ้านายยังอยู่ที่นี่ต่อไปมันจะกระทบกับบรรยากาศของพวกเรา” ซางหยิงฮ่าวกล่าว
วูบบบบ!
และดาบยาวก็หายไปทันที
ซางหยิงฮ่าวนั่งยองๆลงเบื้องหน้าของชายหัวล้าน และยื่นมือของตนไปปิดดวงตาที่ยังคงเบิกกว้างของอีกฝ่าย
เขาลุกขึ้นยืน และยื่นมือข้างนั้นไปทางทุกคน
“เมื่อต้องเผชิญหน้ากับดาบเมื่อครู่ พี่ใหญ่เคยรู้สึกว่าตัวเองช่างเล็กจ้อยไหม? รู้สึกหวาดกลัวถึงความตายรึเปล่า?” เขาเอ่ยถาม
“นี่แหละ … คือสิ่งระดับที่แตกต่างกันระหว่างพวกพี่ใหญ่กับสิ่งที่เรียกว่า ‘ผู้ฝึกยุทธล่ะ’”
หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.370 – ก่อนพายุกระหน่ำ
ท่ามกลางพายุฝนที่ยังคงโหมกระหน่ำอย่างเงียบๆ ยุคใหม่กำลังจะมาถึง
หลังการประชุมโลกได้จบลง เทพธิดากงเจิ้งก็เริ่มดำเนินการทันที
ณ เวลา 16.00 น.
การสาธิตวิธีการฝึกยุทธก็ได้ถูกถ่ายทอดสดออกไปทั่วทั้งโลกเป็นครั้งแรก
และแน่นอน ว่านี่คือการเผยโฉมของกำไลฝึกยุทธต่อหน้าสาธารณชนเป็นครั้งแรกเช่นกัน
เด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่ต่อหน้าสายตาของคนทั้งโลก และกำลังดำเนินการสาธิตวิธีฝึกยุทธ
เธอถูกรับเลือกให้เป็นผู้ทดสอบรายแรก เนื่องจากเป็นที่รู้จักกันดีเพราะเคยเข้าร่วมงานการกุศลในหลายๆประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ แถมยังเป็นนักร้องที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงจากทั่วโลกอีกด้วย
ฉะนั้นผู้ที่อยู่ในทีวีตอนนี้ คงจะเป็นใครไปไม่ได้อีกแล้วนอกเสียจากซุปเปอร์สตาร์ระดับโลก – ซีซวงหยาน!
เมื่ออยู่ต่อหน้าการถ่ายทอดสด ใบหน้าอันบริสุทธิ์งดงามและท่วงท่าในการเคลื่อนไหวของเธอก็ยิ่งดูน่าดึงดูดมากเป็นพิเศษ
“เทพธิดากงเจิ้ง ฉันอยากจะถามว่า ถ้าฉันฉีดน้ำยาเข้าสู่ร่างกายไปแล้ว แต่กลับไม่สามารถผสานเข้ากับนักสู้หวูเต๋า เทียนซวน หรือธาตุทั้งห้าได้เลย ถ้าอย่างงั้นแล้วฉันจะยังคงสามารถฝึกยุทธต่อไปได้ไหม?” เธอเอ่ยถาม
“แน่นอนว่าทุกคนยังคงสามารถฝึกยุทธต่อไปได้ เพราะนั่นแค่หมายความว่าความสามารถส่วนบุคคลของพวกเขาแค่แตกต่างออกไปเท่านั้น มิได้บ่งบอกว่าจะฝึกยุทธไม่ได้เสียหน่อย” เทพธิดากงเจิ้งแถลงไข
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่มีคำถามอะไรอีกแล้วล่ะ” ซีซวงหยานกล่าว
ว่าจบ เธอก็สวมใส่กำไลเงิน
“มนุษย์คนแรก ซีซวงหยาน , กำลังจะเริ่มต้นฝึกยุทธในไม่ช้า ขอเรียนถามว่าคุณยืนยันที่จะใช้งานกำไลฝึกยุทธหรือไม่?” เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังกังวาน
ซีซวงหยานพยักหน้าอย่างมั่นใจและกล่าว “ฉันยืนยัน”
“3”
“2”
“1”
“เริ่มปฏิบัติการณ์ฝึกยุทธได้”
ทันใดนั้น กำไลฝึกยุทธสีเงินพลันส่องสว่างขึ้น
ตามด้วยภาพฉายโฮโลแกรมที่ปรากฏออกมา และห้องทั้งห้องที่เปลี่ยนเป็นภาพของยอดเขาที่ทะลุขึ้นเหนือท่ามกลางทะเลเมฆ
ซีซวงหยานปรากฏกายอีกครั้งในชุดคลุมขนนกหลากสีสัน มันพัดกระพือไปตามสายลมฉากนี้แลดูราวกับนางสวรรค์ที่กำลังจุติลงมาบนโลกมนุษย์
นี่คือชุดคลุมของผู้ฝึกยุทธหญิงจากโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ และมันได้ถูกนำมาใช้ในโลกจริงโดยกู่ฉิงซาน
ซีซวงหยานนับว่าเป็นหญิงงามอันดับต้นๆ ดังนั้น ยามที่เธอสวมใส่ชุดคลุมขนนก ฉากนี้ย่อมนำไปสู่การจดจำและยากจะลืมเลือนของผู้คน
นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น แต่มันก็ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนตกตะลึงกันแล้ว!
“สวัสดีซีซวงหยาน ไม่ทราบว่าคุณสนใจที่จะเป็นมืออาชีพประเภทใด?” เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังขึ้น
พร้อมกันกับเสียงของเธอ สามสัญลักษ์ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าของซีซวงหยาน
ธาตุทั้งห้าเป็นสัญลักษ์รูปการสวดภาวนา ขณะที่นักสู้หวูเต๋าเป็นสัญลักษณ์รูปกำปั้น
“ฉันต้องการที่จะกลายเป็นผู้ใช้เทคนิคเทียนซวน” ซีซวงหยานกล่าวออกมาจากจิตใต้สำนึก
เทพธิดากงเจิ้ง “มนุษย์แต่ละคนจะมีโอกาสเลือกอาชีพฟรีแค่หนึ่งครั้งเท่านั้นนะ คุณแน่ใจว่าจะเลือกมันเลยหรือไม่?”
“ถ้าอย่างนั้นหลังจากที่ฉันเลือก มันจะเกิดอะไรขึ้น?”
“ฉันก็จะใช้เทคโนโลยีจั๊มป์ขนาดเล็กที่ถูกติดตั้งไว้ในตัวกำไล ส่งน้ำยาปลุกเทียนซวนมามอบให้แด่คุณ จากนั้นคุณก็จะต้องใช้มันในจุดที่ส่งมาให้ทันที”
“แล้วถ้าพลังของฉันไม่ตื่นขึ้นมาในครั้งแรก ฉันยังคงสามารถใช้น้ำยาได้อีกรึเปล่า?”
“แน่นอนว่าย่อมใช้ได้ แต่คุณจะต้องมีส่วนร่วมในการสนับสนุนสังคมมนุษย์ให้ดีขึ้น เพื่อที่จะได้รับเป็นแต้มแลกมา และเมื่อมันมากพอ คุณก็จะสามารถนำแต้มไปแลกน้ำยาขวดต่อไปได้”
ดวงตากลมโตราวลูกปัดของซีซวงหยางลุกวาว เธอรีบกล่าว “งั้นก็วางเรื่องนี้เอาไว้ก่อนดีกว่า ฉันค่อยมาเลือกมันอีกทีหลังจากฝึกยุทธและเข้าใจถึงเส้นทางของตัวเองอย่างถ่องแท้ซะก่อน แล้วค่อยมาทำการเลือกอาชีพอีกครั้ง แบบนี้ได้ไหม?”
“แน่นอนว่าได้ ถึงแม้จะเป็นการข้ามทฤษฏีไปบ้าง แต่แบบนั้นก็อาจจะดีกว่าจริงๆ”
“กรุณาช่วยฉันเริ่มต้นดำเนินการสาธิตการฝึกยุทธด้วย”
เทพธิดากงเจิ้งเริ่มอธิบายว่า “รับทราบแล้ว เอาล่ะ เราจะเริ่มกันจากระดับขอบเขตของการฝึกยุทธขั้นแรก – ปราณปรับแต่ง”
“นับจากนี้ไปคุณจะต้องรับหน้าที่ฝึกยุทธขั้นฟื้นฐานในระดับปราณปรับแต่ง”
“ส่วนฉันจะรับหน้าที่ตรวจสอบความคืบหน้าในการฝึกยุทธของคุณ และวางแผนปรับปรุงมันให้สอดคล้อง เหมาะสมตรงกันกับอาชีพที่คุณได้ทำการเลือกเอาไว้”
“นอกจากนี้ เพื่อที่จะได้รับเทคนิคลับที่ใช้ในการฝึกยุทธขั้นสูง คุณต้องอย่าลืมที่จะให้ความร่วมมือและทำผลงานเพื่อมวลมนุษยชาติด้วยล่ะ เข้าใจไหม?”
“เอาล่ะ ตอนนี้เราจะมาเริ่มต้นด้วยขั้นแรกกัน : ‘ปราณปรับแต่งขั้นหนึ่ง’ ”
“กำลังส่งวิชาลับ ปราณปรับแต่งขั้นหนึ่งไปให้คุณ”
“ ฉันจะอธิบายใจความสำคัญของวิชาลับให้แก่คุณทีละประโยคนะ”
“โปรดปฏิบัติตามเนื้อหาและพยายามฝึกฝนด้วย”
“เข้าใจแล้ว”
ซีซวงหยานอ่านบรรทัดตัวอักษรที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเธอ จากนั้นก็มองไปที่คำอธิบายใต้บรรทัดเหล่านั้น
สิ่งที่แปลกประหลาดเช่นนี้ แม้กระทั่งคนที่ชื่นชอบในเรื่องลี้ลับอย่างเธอ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะสงสัยเล็กน้อย
เธอใช้สมองไตร่ตรองโจทย์ตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งจึงหลับตาลง และเริ่มปฏิบัติตามใจความสำคัญของวิชาลับ
ไม่กี่นาทีต่อมา
ซีซวงหยานก็ลืมตาขึ้น
“นี่มันอะไรกัน?” เธอเอ่ยถาม
ในมือของเธอ ปรากฏจุดแสงสีขาวสาดแสงออกมาจากอากาศที่บางเเบา
มันเป็นพลังที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ซีซวงหยานลอบประหลาดใจอย่างลับๆ
เทพธิดากงเจิ้ง “ขอแสดงความยินดีด้วย คุณได้บรรลุปราณปรับแต่งขั้นหนึ่งแล้ว”
“งั้นก็เข้าสู่ขั้นต่อไปกันเลย : ด้านล่างนี้ คือคำอธิบายเกี่ยวกับ ปราณปรับแต่งขั้นสอง ”
แล้ววิชาลับในการฝึกยุทธขั้นต่อไปก็ปรากฏขึ้น
เนื้อหาของมันยังไม่มีจำนวนมากนัก
ซีซวงหยานหลับตาลง เพือที่จะดำเนินการฝึกยุทธต่อตามเนื้อหาของวิชาลับ
และก็โชคดีตรงที่ว่าเธอน่ะเป็นผู้หญิงสวย ดังนั้นผู้คนที่เฝ้าดูผ่านทางการถ่ายทอดสดจึงตั้งใจมองไม่มีเบื่อ
หลังจากนั้นผ่านไปอีกหลายนาที
ซีซวงหยานก็โบกมือออกไปอีกครั้ง
คราวนี้ ตลอดทั้งฝ่ามือของเธอเริ่มเรืองแสงเล็กน้อย
“แล้วนี่ล่ะ?” เธอถาม
เทพธิดากงเจิ้งได้ทำการตรวจสอบและตอบว่า “ขอแสดงความยินดีด้วย คุณได้บรรลุปราณปรับแต่งขั้นสอง แล้ว”
“ด้านล่างนี้คือคำอธิบายเกี่ยวกับ ปราณปรับแต่งขั้นสาม ”
……
แล้วซีซวงหยานสามารถตัดผ่านปราณปรับแต่งขั้นสามได้อีกครั้ง
เทพธิดากงเจิ้งเงียบไปหลายลมหายใจก่อนจะกล่าวว่า “การตัดผ่านอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อรากฐานวรยุทธและเสถียรภาพของร่างกาย ฉะนั้นคุณควรที่จะพักเสียก่อน และโปรดทำตามคำแนะนำของสามขั้นแรกเพื่อหลอมรวมเป็นหนึ่งกับพื้นฐานวรยุทธด้วย”
“เข้าใจแล้ว” ซีซวงหยานกล่าวด้วยความรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
แต่หากอ้างอินตามคำอธิบาย ในตอนนี้ เพียงยกมือขึ้น เธอก็มีพลังพอที่จะสามารถควบคุมวัตถุขนาดเล็กให้ลอยไปลอยมาได้แล้ว!
เมื่อคิดเกี่ยวกับมัน เธอก็โบกมือออกไป
และถ้วยใบหนึ่งที่ตั้งอยู่ในระยะไกลก็ลอยมาตกลงในมือของเธอ
ซีซงหยานยกถ้วยขึ้นและจิบชาที่ถูกเททิ้งไว้อยู่ภายในอย่างช้าๆ
เธอหันไปมองกล้องถ่ายทอดสด และเอ่ยถามว่า “ฉันได้ยินมาว่าถ้าเราฝึกยุทธจนยกระดับไปถึงในขอบเขตที่ลึกล้ำ อายุขัยของพวกเราจะสามารถยืนยาวขึ้น ข้อนี้จริงหรือเปล่า?”
“เป็นเรื่องจริง ต่อจากขอบเขตปราณปรับแต่งคือขอบเขตก่อตั้ง , ขอบเขตก่อตั้งจะทำให้ช่วงชีวิตยืนยาวขึ้นได้ถึง 150 ปี!” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว
“แล้วขอบเขตต่อไปล่ะ?”
“เป็นขอบเขตแก่นทองคำ , ช่วงชีวิตจะยืนยาวขึ้นไปถึง 500 ปี”
ซีซวงหยานชะงักไป ปากเอ่ยเสียงกระซิบ “นั่นมันเยอะมากๆเลยนะ หวังว่าหน้าตาผิวพรรณฉันคงไม่แก่ไปตามอายุด้วยหรอกนะ?”
“นอกเหนือไปจากเรื่องอายุขัยแล้ว ความแข็งแกร่งของคุณจะยังเพิ่มพูนขึ้นขึ้นอีกด้วย! พลังโจมตีจะรุนแรงยิ่งกว่าในขอบเขตปราณปรับแต่งเป็นอย่างมาก โดยประมาณแล้วจะเพิ่มสูงขึ้นกว่า20% !”
“จริงๆหรอ?” ซีซวงหยานเอ่ยถามด้วยความสนใจ
ต้องบอกว่าคราวนี้ เธอเริ่มที่จะสนใจจริงๆแล้วนะ ไม่ใช่แค่การแสดงผ่านหน้ากล้องแบบในตอนแรก
เธอหันไปทางกล้องถ่ายทอดสดและพูดด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะทุกคน การสาธิตฝึกยุทธในวันนี้ก็ได้หมดเวลาลงแล้วนะ อันที่จริงมันยังมีรายละเอียดยิบย่อยอีกมาก แต่ทุกคนคงจะต้องไปลองสัมผัสกับมันด้วยตัวเองน้า”
และการถ่ายทอดสดก็สิ้นสุดลง
‘อายุขัยยืนยาว!’
‘ได้ก้าวขึ้นเป็นมืออาชีพที่แข็งแกร่ง!!’
ผู้คนแทบจะกลายเป็นบ้า และได้แต่เฝ้ารอกำไลฝึกยุทธที่กำลังจะถูกแจกจ่ายจนนั่งไม่ติดเก้าอี้
ณ เวลา 18.00 น.
แม้นรกยังคงย่างกรายเข้ามาอย่างช้าๆ
แต่รัฐบาลก็ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะมอบกำไลฝึกยุทธให้แก่ทุกคนเช่นกัน!
ส่วนค่าใช้จ่ายในเรื่องน้ำยา รัฐบาลจะเป็นผู้รับภาระทั้งหมด!!
และวัสดุสำหรับการผลิตกำไลก็ยังถูกออกค่าใช้จ่ายให้โดยรัฐบาลเช่นกัน!!!
ทว่าไม่มีสิ่งใดได้มาฟรีๆ – ทุกคนจะต้องลงนามในข้อตกลงที่จะรับใช้ประเทศของตน และมีส่วนร่วมในการฝึกยุทธของมนุษยชาติ และต้องเชื่อฟังคำสั่งเพื่อต่อสู้กับวันสิ้นโลก!
ผู้ที่ละเมิดฝ่าฝืน จะถูกเพิกถอนสิทธิ์ในการใช้กำไลฝึกยุทธตลอดไป
ยุคแห่งผู้ฝึกยุทธได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันนี้ไป … ยุคทองของเหล่ายอดยุทธได้เปิดฉากขึ้นแล้ว!
ณ วิลล่าบนหุบเขา
ผู้คนทั้งหลายกำลังนั่งอยู่บนโซฟาเพื่อพักผ่อน
กู่ฉิงซานก้มลงมองดูเวลา
กำลังเสริมจากปรภพกำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า
“นังลูกเจี๊ยบที่ชื่อซีซวงหยานนั่นดูเหมือนว่าจะมีปัญหาบางอย่างนะ” เหลียวฮังเปิดประเด็นขึ้นในทันใด
“มีปัญหายังไง?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ก็เธอแค่หลับตาลง แต่สามารถไปถึงปราณปรับแต่งขั้นสามได้เลยน่ะสิ! ทีตอนฉันกลับใช้เวลาและความพยายามไปมากมาย!” เหลียวฮังหงุดหงิด
“ไม่เอาน่า เธอก็แค่มีพรสวรรค์ที่ดีเท่านั้นเอง อันที่จริงแล้ว คุณก็มีพรสวรรค์ไม่เลวเลยนะ อย่าไปเปรียบเทียบกันกับคนอื่นเลย” กู่ฉิงซานหัวเราะ
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง สุดท้ายก็กล่าวออกไปว่า “แต่มันก็ยังจำเป็นที่จะต้องอธิบายอยู่ดี เพื่อที่ผู้คนจะได้ไม่เอามาตรฐานของตัวเองไปเปรียบเทียบกันกับมาตรฐานของซีซวงหยาน”
“รับทราบแล้วใต้เท้า” เทพธิดาตอบรับ
“เอ้อจริงสิ เห็นว่าแกได้ฆ่าพระสันตะปาปาไป แถมสมเด็จพระจักพรรดินียังมอบเหรียญบุบๆพังๆให้อีกด้วยนี่?” เหลียวฮังชี้ไปที่เหรียญในมือของซางหยิงฮ่าวและกล่าวเหยียด
“นี่มันไม่ใช่เหรียญพังๆนะ” ซางหยิงฮ่าวกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “มันคือเหรียญพิเศษที่ได้รับพระราชทานมาจากสมเด็จพระจักรพรรดินีโดยตรง! และด้วยเจ้าสิ่งนี้ มันจะช่วยอำนวยความสะดวกให้เราสามารถใช้ทรัพยากรในสาธารณรัฐฟูซีได้โดยไม่จำเป็นต้องเสียแต้มเครดิตเลยแม้แต่แต้มเดียว! เพราะทางฟูซีจะเป็นคนจ่ายให้เราเอง”
เหลียวฮังพอได้ฟังก็ตกตะลึง เขารีบเอ่ยถาม “งั้นเจ้าสิ่งนี้สามารถให้คนอื่นๆยืมใช้ได้ไหม?”
“ขอโทษที แต่มันมีชิปที่ใช้ในการพิสูจน์ตัวตนอยู่ นั่นหมายความว่าคนอื่นๆคงไม่สามารถใช้ได้”
“จิ๊ส์ น่าเบื่อจริง” เหลียวฮังกล่าวอย่างฉุนเฉียว
จู่ๆเทพธิดากงเจิ้งก็เอ่ยถามขึ้นทันใด “ใต้เท้า ฉันได้ค้นพบทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับเทคนิคฝึกยุทธระดับสูงแล้ว แต่ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นล้วนเป็นทรัพยากรที่จำต้องมีวิธีการผลิตอันลึกล้ำ ตัวอย่างเช่นเม็ดยาเหล่านี้ที่ถูกเขียนระบุเอาไว้ในหนังสือฝึกยุทธบางเล่ม ฉันไม่สามารถทำการผลิตมันได้เลย ปัญหานี้สมควรจะแก้ไขอย่างไรดี?”
“ปล่อยไปก่อนก็แล้วกัน” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “เอาไว้รอจนกว่าจำนวนคนในโลกจะก้าวขึ้นสู่ขอบเขตก่อตั้งซะก่อน เดี๋ยวปัญหานี้ก็จะได้รับการแก้ไขเองแหละ”
“รับทราบแล้ว” เทพธิดาตอบ
ในเมื่อเทพธิดากงเจิ้งไม่ถามต่อ เหลียวฮังจึงเป็นฝ่ายอดไม่ได้ที่จะถามออกมาเอง
“นี่มันเป็นปัญหาใหญ่อยู่นา แล้วแกจะแก้ไขมันยังไง?” เขาเอ่ยถาม
“ปล่อยไปก่อน” กู่ฉิงซานตอบคำเดิม
“ไอ้เจ้านี่! บอกมาดีๆจะได้ไหม อย่าให้ฉันมัวแต่ต้องคาดเดา!” เหลียวฮังเริ่มหงุดหงิด
กู่ฉิงซานหัวเราะ “อย่าคาดเดาไปเลย มันก็แค่เรื่องไร้สาระนั่นแหละ ฉันกลัวว่าคุณคงจะคลั่งซะก่อนถ้าได้ฟังมัน”
“พูดมาเหอะ ฉันไม่เป็นแบบนั้นหรอก”
“อ่า งั้นเอาแบบนี้ก็แล้วกัน ถ้าสามารถผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปได้ ฉันว่าจะไปหาเวลาว่างๆทำการ ‘รวบรวมผสานสองโลก’เข้าด้วยกัน” กู่ฉิงซานกล่าว
“ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกควรจะบอกว่าเป็นการ ‘ผสานสามโลก’เข้าด้วยกันต่างหาก” เขาเอ่ยเสริม
ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังงึมงำอยู่นั้นเอง จู่ๆก็พลันบังเกิดเจตนาฆ่ากระชากออกมาจากร่างกายเขา
“หรือบางที … อาจจะเป็น ‘สี่โลก’ก็ได้ ..”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น