Worlds’ Apocalypse Online 341-360

 หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.341 – ความกลัว


 


หลายร้อยเรือรบประจัญบานขนาดเล็กลอยลำปกคลุมหนาแน่นไปทั่วฟ้า


 


น้ำทะเลถูกยกสูงขึ้น ปฏิเสธการเข้าถึงของเขา


 


และสุดท้าย คือเจ้า ‘คนเป็น’ ผู้น่ารังเกียจ ที่กำลังยืนนิ่งอยู่กลางอากาศตรงข้ามกับตน


 


หลังจากผ่านพ้นมานานจนจำไม่ได้แล้วว่ากี่ปี ในที่สุดโครงกระดูกในชุุดคลุมดำก็จดจำถึงสิ่งที่เรียกว่าสิ้นหวัง ไร้ซึ่งหนทางออกขึ้นมาอีกครั้ง


 


เขาอ้าปากค้างอยู่นาน แต่แล้วจู่ๆก็ตะโกนก่นด่าทว่ากลับฟังดูคล้ายร่ำไห้ออกมา “ให้ตายเถอะ! เจ้าจงรีบถามมา! แล้วข้าจะรีบออกไปจากที่นี่ทันทีที่เจ้าถามเสร็จ!”


 


“ต้องอย่างนั้นสิ อันที่จริงแล้ว ผมก็ไม่ต้องการที่จะไล่ล่าท่านตลอดเวลาหรอก มันคงดีที่สุดถ้าเราไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


ประโยคนี้ทำให้อารมณ์คุกรุ่นของโครงกระดูกชุดคลุมดำกลับมามั่นคงขึ้นอีกครั้ง


 


มันเอ่ยว่า “คงจะดีที่สุดจริงๆ เพราะข้าไม่ต้องการที่จะเห็นหน้าตัวอัปมงคลเช่นเจ้าอีกแล้ว”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยถามออกไปทันที นี่เป็นคำถามที่เขาได้เตรียมเอาไว้นานมากแล้ว


 


ในชีวิตก่อนหน้า ยามเมื่อนรกเยือกแข็งได้มาถึง มันใช้เวลาแค่เพียงครึ่งวัน โลกทั้งใบก็ถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์


 


มันรวดเร็วเกินไป และไม่มีใครล่วงรู้ว่าช่วงเวลานั้นทางปรภพก็มีปัญหาเกิดขึ้นเช่นกัน


 


และในชีวิตนี้ นรกเยือกแข็งก็กำลังจะขยายออกไปในไม่ช้า


 


ดังนั้น หากยังรีรอปล่อยให้เวลาผ่านเลยไปโดยไม่รู้เรื่องราว แล้วในอนาคตจะไปมีวิธีรับมือกับมันได้อย่างไร?


 


กู่ฉิงซานบังเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาในจิตใจ


 


หากปรภพมีปัญหาจริงๆ ถ้าอย่างงั้นสิ่งที่กำลังจะมาเยือนโลกใบนี้ย่อมมิใช่นรกเยือกแข็งเพียงหนึ่งเดียวอย่างแน่นอน


 


“ในปรภพ นอกเหนือไปจากนรกเยือกแข็งแล้ว สมควรที่จะยังมีนรกอื่นๆอยู่อีกถูกต้องไหม?” เขาเอ่ยถาม


 


“ช่างเป็นคำถามที่โง่เง่า  มันย่อมเป็นธรรมดาที่ในปรภพมีจะนรกอยู่อีกเพียบ มันมีจำนวนมากจนนับไม่ถ้วนอย่างแน่นอน”  โครงกระดูกชุดคลุมดำตอบ


 


และสำหรับคำถามนี้ ดูเหมือนว่ามันจะตอบออกไปด้วยความสุข


 


แต่สำหรับกู่ฉิงซาน เขากลับตรงกันข้าม หัวในของเขาดิ่งลงสู่หุบเหวแห่งความสิ้นหวัง


 


เขาสงบอารมณ์ลงและถามว่า “หลังจากนรกเยือกแข็ง มันจะยังมีนรกอะไรอีกที่จะมายังโลกใบนี้”


 


โครงกระโหลกชุดคลุมดำกล่าวประชดประชัน “จำนวนของนรกแต่ละประเภทมันมีเยอะมาก ทว่าข้าก็เป็นเพียงแค่หนึ่งใน ‘คนตาย’ เท่านั้น จะไปตรัสรู้ได้อย่างไร?”


 


“ข้าจะบอกความจริงให้เจ้าได้รับรู้เอาไว้ ว่าข้าน่ะ ไม่เคยไปและไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนรกแห่งอื่นเลย”


 


เงื่อนงำบางอย่างปรากฏขึ้นในจิตใจของกู่ฉิงซาน


 


“แล้วในปรภพ แท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” เขาถาม


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำกล่าวด้วยความหงุดหงิด “ข้าบอกเจ้าไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปรภพ”


 


“จริงหรอ? ถ้าอย่างงั้นก็ก็รอดูผมไล่ล่าท่านไปไปเรื่อยๆไม่มีจบสิ้นก็แล้วกัน” กู่ฉิงซานเหน็บแนม


 


โครงกระดูกคำราม “เจ้ามิอาจสังหารข้าได้!”


 


“แต่ผมจะตามหลอกหลอนท่าน และจะส่งท่านนอนหลับฝันดีอีกครั้ง และอีกครั้ง” กู่ฉิงซานอย่างอย่างสบายๆ


 


“เจ้าสามารถเอ่ยถามถึงเรื่องอื่นๆได้ แต่เฉพาะเรื่องของปรภพเท่านั้นที่ข้ามิอาจพูด!” โครงกระดูกก้าวถอยหลังกลับ


 


“ไม่สามารถบอกความจริงกับผมได้ … ทำไมกัน?” กู่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงความแน่วแน่ของอีกฝ่าย หลังจากไตร่ตรองเล็กๆน้อยๆ เขาจึงเลือกที่จะใช้ไม้อ่อนเข้าสู้บ้าง


 


“-เอาล่ะ ผมจะไม่ถามถึงเรื่องปรภพแล้ว แต่ขอเปลี่ยนคำถาม เพราะอะไร ทำไมท่านถึงไม่สามารถบอกความจริงกับผมได้”


 


“เพราะหากข้าเอ่ยมันออกไป ข้าจะถูกค้นพบทันที”


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำกล่าวโดยไร้ซึ่งการแสดงออกใดๆ


 


แต่กู่ฉิงซานกลับสัมผัสได้ถึงความกลัวที่มิอาจกลั้นข่มได้ในคำพูดของเขา


 


เรื่องนี้ .. มันทำให้เขาหวาดกลัว


 


“ท่านจะไปกลัวอะไรอีก ในเมื่อคนตายไม่อาจตายได้-” กู่ฉิงซานกล่าวพลางขบคิด


 


แต่แล้วจู่ๆเขาก็สะดุ้งเฮือก ร่างกายแข็งทื่อ ปากเร่งเอ่ยถาม “ไม่สิ – มันต้องไม่เป็นแบบนั้นแน่ๆ เพราะท่านบอกเองว่าหากเอ่ยถึงเรื่องปรภพ ท่านอาจจะจบสิ้นลง”


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำเร่งตอบอย่างรวดเร็ว “ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าจะทรงพลังขนาดไหน  ตราบใดที่กล้าพูดถึงเรื่องนี้ มันจะหายไปโดยสมบูรณ์”


 


กู่ฉิงซานเงียบ


 


คำพูดนี้ ไม่ใช่ว่ามันฟังดูคุ้นๆรึเปล่านะ?


 


ภาพๆหนึ่งพาดผ่านเข้ามาในหัวของกู่ฉิงซาน


 


ณ เสาทองแดงขนาดยักษ์


 


“ท่านเป็นใครกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


ร่างยักษ์ใหญ่ตอบ “มันจะดีกว่าถ้าเจ้าไม่รู้ เพราะหากปปปปปปปปชื่อของข้าถูกเอ่ยออกไป ข้าก็จะถูกค้นพบทันที”


 


หลังจากนั้นภาพก็ตัดไป


 


ด้านหน้าประตูวิลล่าบนหุบเขา


 


“ข้าซ่อนตัวอยู่ในความว่างเปล่าเป็นเวลานานนับหมื่นปี แต่คงมิอาจแสดงพลังได้มากมายนัก มิฉะนั้นมันอาจไปกระตุ้นเหล่าเทพวิญญาณได้” ดาบพิภพส่งเสียงฮึมฮัม


 


กู่ฉิงซานค่อยๆขบคิดอย่างช้าๆ ไตร่ตรองอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง ก่อนจะเบนสายตาไปยังโครงกระดูกและเอ่ยถาม “ท่านกลัวเทพวิญญาณสินะ?”


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำเผลอหันไปจ้องกู่ฉิงซานอย่างไม่คาดคิด แต่ยังคงเงียบ


 


การไม่พูด นั่นแหละคือคำตอบ


 


เขาเดาได้ถูกเผง


 


เหตุผลที่อีกฝ่ายไม่อาจพูดได้ ก็เพราะหวาดกลัวเทพวิญญาณนี่เอง


 


กู่ฉิงซานถามอย่างงงงวย “เทพวิญญาณไม่ได้ปกครองปรภพนี่ นรกต่างหากที่รับผิดชอบดูแลสิ่งมีชีวิตที่ตกตายลงแล้วทั้งหมด?”


 


โครงกระดูกชุดดำไม่ได้พูดคำใด มันเพียงมองดูกู่ฉิงซานและหัวเราะสั้นๆ


 


เสียงหัวเราะนี้แสดงให้เห็นถึงความเศร้าโศก ขณะเดียวกันก็ประชดประชันอย่างลึกล้ำ


 


กู่ฉิงซาน ราวกับเข้าใจถึงความหมายของมัน เขาเอ่ยปากกล่าว “มองจากท่าทีของท่าน ผมขอเดาว่าเทพนี่ไม่ใช่ฝีมือของเทพวิญญาน”


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำก้มหัวลง แต่ไม่ได้พูดอะไร


 


ถูกล่ะ


 


เดาถูกอีกแล้ว


 


กู่ฉิงซานเริ่มเข้าใจ เขาพยายามขบคิดอย่างเงียบๆ


 


ปรภพ … เทพวิญญาณ …


 


ประการแรก ทางฝั่งปรภพน่ะมีปัญหาอย่างแน่นอน


 


ประการต่อไป เทพวิญญาณไม่ได้รับผิดชอบในการจัดการสิ่งมีชีวิตทั้งหมด แต่สิ่งที่เทพวิญญาณทำ ตอนนี้ยังไม่ทราบว่ามันคืออะไร


 


อีกอย่าง ที่โครงกระดูกชุดคลุมดำไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ก็เพราะหวาดเกรงเทพวิญญาณ


 


ในท้ายที่สุดแล้ว คนตายจะสามารถฟื้นคืนชีพในนรกได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อแบกรับความทุกข์ทรมานจากบาปที่พวกเขาได้เคยกระทำเอาไว้


 


คนตาย จะไม่สามารถตายได้อีก


 


ดังนั้นแล้ว สิ่งที่ทำให้คนตายกลัวมันคืออะไรกัน?


 


“ตามที่ได้พูดมานี้ เทพวิญญาณจะไม่รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดการกับคนตาย”


 


กู่ฉิงซานพึมพำกับตัวเอง “แต่เทพวิญญาณดันทำให้ท่านหวาดกลัว สามารถทำให้ตัวตนที่อยู่ยงคงกระพันหวาดกลัวได้ .. ถ้างั้น เทพวิญญาณก็ควรจะเป็น … ”


 


“หยุด! หยุดเถอะ! อย่าได้พูดมันออกมาอีกเลย!” โครงกระดูกชุดคลุมดำตะโกนลั่น


 


กู่ฉิงซานตกใจ


 


โครงกระดูกอ้าปากหอบหายใจอย่างรุนแรง


 


หากสังเกตดูอย่างใกล้ชิดจะพบว่าเขากำลังสั่นสะท้าน


 


เนื่องเพราะความหวาดกลัว มันไม่สามารถยับยั้งสัญชาตญาณของร่างกายได้


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำส่ายหัวของมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า “เจ้าน่ะคือ ‘คนเป็น’ ที่น่าหวาดกลัวก็จริง แต่ข้าไม่สนแล้ว! ข้าจะเข้าสู่การจำศีลอีกครั้ง ข้ายอมถูกเจ้าไล่ล่า ดีกว่าที่จะต้องมาสนทนากับเจ้าต่อไป”


 


“ทำไม?” กู่ฉิงซานถาม


 


“เพราะมันอันตราย! อันตรายเกินไป! เจ้าเข้าใจไหม!”


 


ในน้ำเสียงของโครงกระดูกเผยถึงความตื่นตระหนก การแสดงออกของเขาแลดูอึดอัดยิ่ง


 


มันเอ่ยเสียงกระซิบ “เวลานี้เป็นข้าที่ผิดเอง ข้าไม่ควรจะใช้วิธีลัดมาถึงโลกใบนี้ก่อนเลย ข้าควรจะเฝ้ารออย่างสัตย์ซื่อ ให้นรกเยือกแข็งปรากฏตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์ก่อนแล้วจากนั้นจึงค่อยออกมา”


 


มันยื่นฝ่ามือใหญ่โตคว้าหมับเข้าที่คอของตัวเอง


 


“นี่จะกลับไปแล้วหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “พวกเราพึ่งจะพูดคุยกันแค่สองสามประโยคเท่านั้นเอง ผมยังมีคำถามอีกสองสามข้อ – ”


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำขัดจังหวะเขา ปากอ้าตะโกนอย่างคลุ้มคลั่ง “ไม่! เอาไปแค่คำเดียวพอ ข้าไม่คิดจะพูดคุยกับเจ้าอีกแล้ว!”


 


มันคำรามอย่างดุเดือด “เจ้ามันสัตว์ประหลาด แต่เมื่อโลกนี้กลายเป็นนรก เจ้าจะไม่มีทางได้ไปนรกอีก!”


 


ว่าจบ โครงกระดูกก็บิดหัวของตัวเอง


 


มันตายแล้ว


 


-ตายลงและจมลงสู่การหลับไหลอีกครั้ง


 


“หนีไปซะแล้ว” กู่ฉิงซานพึมพำ


 


เขาแกว่งดาบเช่าหยินออกไป


 


และท้องทะเลก็กลับมาสงบอีกครั้ง


 


อย่างไรก็ตาม หัวใจของกู่ฉิงซานกลับไม่สงบลงเลย


 


“เมื่อโลกนี้กลายเป็นนรก เจ้าจะไม่มีทางได้ไปนรกอีก?”


 


น้ำเสียงที่เปล่งประโยคนี้ แฝงไว้ด้วยความหวาดกลัวอันล้ำลึกผสานไปกับความตื่นตระหนก


 


อะไรกันที่สามารถทำให้คนที่ปกครองโลกมานานนับหลายปี และเป็นถึงราชาในนรกแสดงอารมณ์เช่นนี้ออกมาได้?


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำยอมฆ่าตัวตายเอง เสียยังดีกว่าพูดคุยกันเขา


 


สิ่งใดกันที่ทำให้คนตายไปแล้วหวาดกลัวได้


 


เทพวิญญาณสามารถสังหารคนตายได้อย่างงั้นหรือ?


 


กู่ฉิงซานคาดเดาไปหลายทิศทาง แต่เขาก็ไม่สามารถยืนยันความจริงได้เลย


 


ข้อมูลที่มีมันน้อยเกินไป น้อยจนน่าสงสาร


 


กู่ฉิงซานหลับตาลงและคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้


 


บางที มันอาจจะน่าหวาดกลัวมากกว่าที่เขาคิดก็ได้


 


แบบนี้ไม่ดีแน่ แผนการขั้นต่อไปควรจะเร่งให้มันเร็วขึ้นซะแล้ว


2 ตอน เสาร์-อาทิตย์


 


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.342 – เด็กกำพร้าในเกาะหมอก(1)


 


บางที ฉันคงกำลังจะตาย …


 


หลังจากที่ซูเซี่ยเอ๋อเขียนประโยคนี้เสร็จ ปลายปากกาของเธอก็หยุดลง


 


แสงไฟสลัวๆสะท้อนให้เห็นถึงผนังกำแพงสีขาวราวหิมะ


 


บนผนัง มีหลุมสีดำขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือปรากฏขึ้นมาอย่างช้าๆ


 


แหวนวงหนึ่งปรากฏออกมาจากรูที่ว่านั่น และสำรวจบริเวณโดยรอบอย่างระมัดระวัง


 


หลังจากที่พบว่าทุกอย่างโอเค โดยที่ไม่รู้ว่าเจ้าแหวนนั่นใช้วิธีอะไร แต่มันก็สามารถปิดผนึกหลุมดำเบื้องหลังเธอให้หายไปได้อย่างง่ายดาย


 


เมื่อผนังกลับมาเป็นสีขาวหิมะล้วนอีกครั้ง แหวนก็ร่วงตกลงมา มันกระดอนไปบนโต๊ะ ก่อนจะทำการปรับสมดุลแล้วหยุดนิ่ง


 


“สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง” ซูเซี่ยเอ๋อถามเสียงกระซิบ


 


แหวนลดเสียงลงและตอบกลับไปว่า “ ‘พวกเธอ’ ไม่รู้ตัวเลย ดูเหมือนว่าฉันจะทำสำเร็จแล้ว”


 


“ขอบคุณสำหรับความเหนื่อยยากในครั้งนี้นะ”


 


“ยังมีเวลาเหลือหรือเปล่า?” แหวนถาม


 


ซูเซี่ยเอ๋อประสานสองมือของเธอเข้าด้วยกัน ปากเอ่ยอธิษฐานว่า “ฉันหวังว่าจะมีเวลามากพอ”


 


ด้านนอก ปรากฏเสียงเคาะดังขึ้นทันใด


 


และแหวนก็ไม่ส่งเสียงใดๆอีก


 


ซูเซี่ยเอ๋อกัดริมฝีปากของเธอ และปิดไดอารี่ลง


 


เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อทำให้อารมณ์ของตัวเองกลับมามั่นคง


 


“มีเรื่องอะไรหรอ?” เธอเอ่ยถาม


 


เสียงเล็กๆของผู้หญิงดังลอดผ่านบานประตูมา “ผู้ฝึกสอนยี่ชาต้องการที่จะพบเธอภายในหนึ่งชั่วโมงนี้”


 


“เข้าใจแล้ว ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”


 


เสียงฝีเท้าค่อยๆห่างออกไปจากบานประตู พร้อมกับเสียงสนทนาที่แผ่วเบาเนื่องจากกระซิบ


 


“ช่างเป็นมนุษย์ที่โชคดีโดยแท้”


 


“ใช่ คงจะมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าทำไมท่านผู้ฝึกสอนยี่ชาถึงโปรดปรานเธอ”


 


“ฮึ! นั่นมันไม่ใช่เพราะว่าเธอสามารถมาที่เกาะนี้ได้ทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่หรอกหรือ?”


 


“คอยดูต่อไปในระยะยาวเถอะ ฉันว่าเธอต้องคอยเลียแข้งเลียขาผู้ฝึกสอนแน่ๆ คนประเภทนี้แหละน่ารังเกียจที่สุด”


 


เสียงค่อยๆไกลออกไป


 


ซูเซี่ยเอ๋อกอดสมุดไดอารี่ไว้ในอ้อมอก และนิ่งไปหลายลมหายใจ


 


แม้จะบอกว่าภายในหนึ่งชั่วโมง แต่มันใช้เวลาพอสมควรกว่าจะไปถึงสถานที่ๆผู้ฝึกสอนยี่ชาอยู่ ดังนั้นเธอคงต้องออกไปทันที


 


เวลาค่อนข้างรวบรัด


 


ซูเซี่ยเอ๋อเริ่มแต่งตัว และพร้อมที่จะออกไป


 


ตัวเองเป็นเด็กใหม่ที่ยังไม่ได้ถูกนับว่าเป็นนักเรียนด้วยซ้ำ แต่กลับถูกเรียกตัวไปโดยผู้ฝึกสอนที่ทรงพลัง


 


ต้องรีบแล้ว


 


ถ้าไปสาย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น


 


แต่ซูเซี่ยเอ๋อก็ยังคงเลือกที่จะใช้เวลาอีกเล็กน้อยในการเขียนประโยคที่สองลงบนไดอารี่


 


“ฉันหวังว่าทุกอย่างมันจะมีเวลามากพอ”


 


แล้วสมุดไดอารี่ก็ถูกปิดลง พร้อมกับซูเซี่ยเอ๋อที่ลุกขึ้นและเดินออกไป


 


“เธอตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเกินไป พาฉันไปด้วยเถอะ” จู่ๆแหวนก็เปล่งเสียงออกมา


 


ซูเซี่ยเอ๋อขบคิดเกี่ยวกับมันอย่างจริงจัง ก่อนจะหยิบแหวนขึ้นมา


 


แหวนวงนี้พิเศษมาก ถ้ามันถูกค้นพบโดยผู้ฝึกสอนยี่ชา มันอาจจะถูกยึดไปเลยก็ได้


 


ผู้ฝึกสอนยี่ชามักจะมีวิธีค้นหาสิ่งที่อยู่บนร่างกายของเธออยู่เสมอ


 


และโชคดีที่ในครั้งก่อนๆเธอตื่นตัวและฉลาดพอที่จะซ่อนสมุดเล่มเล็กๆเอาไว้ได้


 


แต่แหวนนี่ …


 


“คุณสามารถเปลี่ยนเป็นแหวน … อ่า .. อะไรก็ได้ที่มันกลมๆและดูเป็นธรรมชาติมากที่สุดจะได้ไหม?” เธอเอ่ยถาม


 


“ได้สิ”


 


ขณะพูด ตัวแหวนก็เปลี่ยนเป็นสีดำ


 


ซูเซี่ยเอ๋อหยิบมันขึ้นมา และลองเล่นมัน


 


ในเรื่องความยืดหยุ่นนับว่าพอใช้ได้


 


ว่าแล้วเธอก็ใช้แหวนนาโนผูกผมตัวเองเป็นทรงหางม้า


 


“ไปกันเถอะ”


 


เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ และมองรอบห้องพักของเธอ


 


ที่นี่มีเพียงเตียงเดี่ยว และโต๊ะเล็กๆเท่านั้น


 


ซูเซี่ยเอ๋อมีชีวิตอยู่มานานนับหลายปี แต่เธอไม่เคยอาศัยอยู่ในสถานที่ที่ต่ำต้อยเช่นนี้มาก่อนเลย


 


แต่ในสายตาของเธอกลับไม่ได้รังเกียจมัน แต่เป็นตรงกันข้าม


 


นี่เป็นพื้นที่เล็กๆของเธอ ไม่ต้องมีข้อพิพาทโต้แย้ง ไม่มีการตีตรา ตีกรอบ และไม่มีใครเข้ามารบกวน


 


ในที่แห่งนี้ เธอสามารถใช้เวลาพักหายใจได้ แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม


 


—ฉันไม่รู้ว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้งไหม


 


ซูเซี่ยเอ๋อถอนหายใจและปิดประตูลงอย่างช้าๆ


 


ด้านนอกประตู เป็นฉากที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง


 


ท้องฟ้ามืดมิด


 


กระท่อมชั้นเดียวและดูเรียบง่ายถูกจัดวางเรียงๆกันเป็นแถว


 


ที่นี่คือสถานที่ที่นักเรียนฝึกหัด , คนกวาดขยะ , พ่อครัว , พ่อบ้าน , ยาม ฯลฯ อาศัยอยู่


 


คุณจะสามารถออกจากที่นี่ได้ หากคุณได้กลายมาเป็นนักเรียนอย่างเป็นทางการ


 


ซูเซี่ยเอ๋อเดินไปตามถนนที่ถูกปูด้วยเศษหินและเศษอิฐ มุ่งหน้าไกลออกไป


 


แต่ละก้าวเดินของเธอรวดเร็วมาก


 


หลังจากผ่านสระน้ำพุขนาดเท่าสนามฟุตบอล และรูปปั้นที่สูงกว่าหลายสิบเมตร เธอก็เดินขึ้นไปตามบันไดหินอ่อนและมาถึงขอบหน้าผาในที่สุด


 


คบเพลิงลุกพรึบขึ้นโดยอัตโนมัติ และตกลงในมือของซูเซี่ยเอ๋อ


 


กู่ฉิงเอ๋อก้มลงมองไปยังใต้ฝ่าเท้าของตัวเอง


 


และพบกับขั้นบันไดแคบๆขั้นหนึ่งโผล่ออกมาอย่างเงียบๆ


 


นอกเหนือจากขั้นบันไดแล้ว เบื้องล่างมันคือเหวลึก


 


วิธีการใช้เส้นทางสายนี้ คือจะต้องไม่หันหลังมองย้อนกลับไป , ไม่ก้มหัวลงมองเบื้องล่าง ,  ไม่ได้รับอนุญาตให้พักเป็นเวลานาน … มันอนุญาตให้แค่เพียงก้าวไปข้างหน้า ก้าวต่อไปเรื่อยๆ เท่านั้น


 


ไม่ว่าใครก็ตามที่ละเมิดกฏเหล่านี้ จะต้องถูกกลืนกินโดยมอนสเตอร์ในสายหมอก และหายไปจากโลกใบนี้ตลอดกาล


 


ซูเซี่ยเอ๋อสูดลมหายใจและเริ่มก้าวเดินไปข้างหน้าในทิศทางหน้าผา


 


ทันทีที่ก้าวไป บันไดขั้นใหม่ก็ปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าเธอ


 


เมื่อเธอก้าวเดินไปอีกก้าว ขั้นบันไดเบื้องหลังที่เคยรองรับเท้าของเธอก็หายไป – นี่คือที่มาของกฏที่บอกว่าห้ามหันหลังย้อนกลับไป


 


ซูเซี่ยเอ๋อก้าวออกไปในอากาศ ทีละขั้น ทีละขั้น เดินไปท่ามกลางสายหมอกหนาที่ปกคลุมทุกสิ่งอย่าง


 


เธอยังคงสงบ และถือคบเพลิงในมือ


 


มันเพียงพอที่จะใช้สำหรับให้ความอบอุ่นเท่านั้น


 


เพราะอุณหภูมิในหมอกหนา เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนถูกแช่แข็งจนตายในพริบตา ทว่าหากมีคบไฟนี้ มันจะช่วยแยกอากาศเย็นให้กระจายออกไปโดยอัตโนมัติ


 


เดินต่อไป ก้าวไปอย่างต่อเนื่อง


 


หมอกสีเทาหนาแน่น ปกคลุมไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก


 


ในวิสัยทัศน์ของซูเซี่ยเอ๋อ เธอมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากหมอก


 


ผ่านไปสักพักหนึ่ง จู่ๆเธอก็นึกไปถึงบางสิ่ง และเริ่มใจเสาะขึ้นมาเล็กน้อย


 


เพราะนี่มันเป็นเหมือนกันกับสถานการณ์เดิมของเธอเลย


 


ทิ้งชะตากรรมที่ผ่านมาในอดีต ทิ้งครอบครัวที่น่าเกลียด เธอมาที่นี่เพื่อค้นหาชีวิตใหม่


 


อย่างไรก็ตาม ในหมอกเบื้องหน้า กลับยังมีอีกหลายคนที่จ้องจะเอาชีวิตเธอ นี่มันไม่แตกต่างไปจากเดิมเลยมิใช่หรือ?


 


ราวกับมีเงามืดคอยปกคลุมเวียนวนอยู่รอบตัว มิอาจหลุดพ้นหรือหลบหนีจากมันไปได้เลย


 


ตราบใดที่คุณประมาท ไม่ระมัดระวัง โชคชะตาของคุณก็จะพบกับความโหดร้าย!


 


วิถีทางสายนี้ที่เธอเลือกเดิน มันช่างขมขื่นและน่าเจ็บปวดโดยแท้


 


ซูเซี่ยเอ๋อหยุดฝีเท้า ยืนอยู่ท่ามกลางหมอกหนา


 


ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า


 


ทันใดนั้น ในช่วงเวลาสั้นๆ มันดูราวกับว่าหมอกกำลังพลุ่งพล่าน ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างขนาดใหญ่กำลังใกล้เข้ามา – นี่คือกฏที่ไม่อนุญาตให้ผู้ที่เดินทางหยุดพัก!


 


ซูเซี่ยเอ๋อจ้องมองมัน สูดลมหายใจอีกสองสามเฮือก และยื่นมือออกมาแตะลงบนหัวตัวเองแบบที่คนๆหนึ่งเคยทำกับเธอ


 


สองเท้าเริ่มก้าวเดินต่อไปอีกครั้ง


 


ด้วยการกระทำเมื่อครู่ ส่งผลให้เธอสามารถเรียกความกล้ากลับคืนมามากพอที่จะเดินไปท่ามกลางความว่างเปล่าที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาได้


 


สิ่งนิรนามพวกนั้นรู้สึกได้ถึงการกระทำของเธอ มันไล่ติดตามอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆล่าถอยไปอย่างช้าๆ


 


ซูเซี่ยเอ๋ออ้าปากถอนหายใจเล็กน้อย


 


‘อันตรายจริงๆ เกือบไปแล้วสิ’


 


เธอพยายามที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง และก้าวเดินลึกเข้าไปในท้องฟ้า


 


หลังจากผ่านพ้นไปหลายสิบนาทีต่อมา


 


ในที่สุด ช่วงเวลาหนึ่ง คบไฟในมือของเธอก็วูบไหว


 


ซูเซี่ยเอ๋อหยุด และปล่อยคบเพลิงในมือของเธอไป


 


คบเพลิงลอยออกไป หายลึกเข้าในหมอก


 


“เคร้ง!”


 


คบเพลิงดูเหมือนว่าจะไปติดอยู่กับอะไรบางอย่าง


 


มันส่งเสียงดังก้องอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนที่หมอกหนาเบื้องหน้าซูเซี่ยเอ๋อจะแยกออกจากกัน


 


ซูเซี่ยเอ๋อสามารถมองเห็นทางเดินฝั่งตรงข้ามได้อย่างชัดเจน


 


นี่ไม่ใช่ประตูทางเข้าหลัก แต่เป็นทางเข้าลับที่ถูกซ่อนอยู่


 


ซูเซี่ยเอ๋อเดินเข้าไปข้างใน


 


ผนังด้านหลังเธอวูบหายไปทันทีที่เธอเดินเข้ามา


 


ซูเซี่ยเอ๋อก้มศีรษะของเธอลง และยกคอเต่าของชุดเธอขึ้นมาปิดหน้า หลงเหลือทิ้งไว้เพียงส่วนเหนือจมูกขึ้นไป จากนั้นก็เดินไปตามทาง มุ่งหน้าตรงไปยังจตุรัส


 


และเธอก็ยังยกฮู้ดที่อยู่เบื้องหลังขึ้นมาสวมใส่อีกด้วย


 


นี่ก็เพื่อป้องกันไม่ให้นักเรียนทางการเห็นว่าเธอมาปรากฏตัวขึ้น มันเป็นวิธีการขั้นพื้นฐานที่สุดในการป้องกันตัวเอง


 


ครั้งก่อนที่เธอมาที่นี่ นักเรียนทางการเห็นเธอ และพยายามลากเธอให้ออกมาสารภาพ


 


ทว่าเสียงระฆังชั้นเรียนดันดังขึ้นเสียก่อน


 


นักเรียนทางการจึงต้องถูกบังคับให้หยุดการกระทำลง และเอ่ยถามชื่อของเธอ ก่อนที่จะเดินจากไปด้วยดวงตาขุ่นเขียว


 


เดชะบุญจริงๆในครั้งนั้น


 


มิฉะนั้น ซูเซี่ยเอ๋อคงทำได้เพียงทุ่มเต็มกำลังสังหารอีกฝ่าย หรือไม่ก็ฆ่าตัวตายเท่านั้น


 


หลังจากปล่อยให้ผู้คนเดินผ่านไป ซูเซี่ยเอ๋อก็รีบก้าวตรงไปยังด้านหนึ่งของสุดปลายทางเดินอย่างรวดเร็ว … ในที่สุดเธอก็มาถึงที่หมายเสียที


 


มันยาวนานราวกับใช้เวลาเดินทางนับศตวรรษ สุดท้ายแล้วซูเซี่ยเอ๋อก็โล่งใจในที่สุด


 


ในสุดปลายทางเดิน จตุรัสปรากฏขึ้นในสายตาของเธอ


 


มีสิ่งแปลกๆมากมายหลายอย่างลอยอยู่ในอากาศอย่างเงียบๆ


 


ม้วนคัมภีร์ , ไพ่ , นาฬิกาทราย , ชุดคลุม , หนังสือสีดำ แขนขาของสัตว์ที่ไม่ทราบชนิด , กิ่งไม้ที่ลอยอยู่ในอากาศ …


 


ทุกอย่างที่นี่เป็นตัวแทนที่แสดงถึงพลังของเหล่าผู้ฝึกสอน มันคือตัวแทนของพวกเขา


 


ทว่ากลับมีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่ลอยเด่นสะดุดตาอยู่ใจกลาง แลคล้ายกับทั้งสองถูกรายล้อมไปด้วยดาวบริวาร


 


หนึ่งคือฟันขนาดใหญ่ที่ส่งกลิ่นอายไม่ดีออกมา


 


อีกหนึ่งคือม้วนคัมภีร์สีเลือด


 


พวกเขาก็เป็นผู้ฝึกสอนของที่นี่เช่นกัน ทว่ากลับครอบครองตำแหน่งใจกลางของจตุรัสทั้งหมด


 


นั่นคือคณบดี และอาวุโสบังคับกฏ


 


ถ้าหากนักเรียนต้องการพบเจอกับผู้ฝึกสอนคนใด ก็เพียงแค่เดินไปสัมผัสกับสิ่งที่เป็นตัวแทนพลังของผู้ฝึกสอนเหล่านี้ ก็จะสามารถไปยังตำแหน่งของผู้ฝึกสอนได้ทันที


 


ซูเซี่ยเอ๋อถอนสายตากลับมามองเป้าหมายของตัวเองจากในตัวแทนพลังของผู้ฝึกสอนทั้งหลายตรงหน้า


 


อย่างรวดเร็ว เธอก็มองเห็นไพ่ขนาดใหญ่ที่มีความสูงถึงระดับมนุษย์สองคนยืนเรียงกัน


 


บนหน้าไพ่ ปรากฏหญิงงามที่มีผมเป็นงู กำลังถือโล่ขนาดใหญ่ยืนอยู่บนเส้นทางที่คดเคี้ยว


 


ราวกับรับรู้ถึงการจ้องมองของซูเซี่ยเอ๋อ หญิงงามผมงูหันหน้ามาสบตากับเธอ


 


ซูเซี่ยเอ๋อก้าวไปข้างหน้า โค้งเคารพหญิงงามที่มีผมเป็นงูและกล่าวว่า “หนูมาหาที่ผู้ฝึกสอนยี่ชา”


 


หญิงงามผมงูผงกหัวเล็กน้อย และเดินปลีกตัวออกไปด้านข้าง


 


เธอเปิดเส้นทางให้แก่ผู้มาเยือน


 


และซูเซี่ยเอ๋อก็เดินเข้าไปในไพ่


 


จากด้านข้างของหญิงงามผมงู จะเห็นว่าซูเซี่ยเอ๋อกำลังก้าวเดินต่อไปตามถนนที่คดเคี้ยวเบื้องหน้า


 


ครึ่งชั่วโมงต่อมา ซูเซี่ยเอ๋อก็ปีนขึ้นมาบนภูเขา


 


ที่ด้านบนยอดเขา ปรากฏร่างของหญิงสาวในชุดสีดำยืนหันหลังให้แก่เธอ สาดสายตามองไกลออกไปจากริมขอบหน้าผา


 


พร้อมด้วยกระดานวาดภาพที่ลอยอยู่เงียบๆเบื้องหน้าหญิงสาวในชุดดำ


 


หญิงสาวในชุดดำมองออกไปในป่าด้านนอกภูเขา คว้าแปรงพู่กันขึ้นมา และเริ่มวาดเส้นเงาลงบนกระดานภาพ


 


หมอกอันมืดมิดไร้ที่สิ้นสุดปกคลุมรอบตัวผู้ฝึกสอน ทำให้ยากที่จะเห็นรูปร่างและหน้าตาของเธอได้อย่างชัดเจน


 


แต่คู่ปีกสีขาวที่อยู่ข้างหลังเธอ กลับไม่สามารถถูกหมอกดำปิดซ่อนมันได้


 


รัศมีแสงสว่างไสวลอยอยู่เหนือศีรษะของเธออย่างเงียบๆ และตรงจุดนี้ช่างดูโดดเด่นและดึงดูดความสนใจมากเป็นพิเศษ


 


เพราะมันทำให้เธอดูราวกับเป็นนางฟ้า นางสวรรค์ในตำนาน


 


“รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้พบผู้ฝึกสอนยี่ชา” ซูเซี่ยเอ๋อคารวะ


 


หญิงในชุดดำไม่หันกลับมา เธอยังคงหันหน้าไปทางป่ารกร้างเบื้องล่าง และวาดรูปต่อไปอย่างพิถีพิถัน


 


เธอไม่ได้อ้าปากพูด ดังนั้นซูเซี่ยเอ๋อจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ


 


มันใช้เวลาอยู่นานกว่าที่หญิงในชุดดำจะหยุดฝีแปรงลงและเอ่ยถามว่า “พรุ่งนี้จะเป็นการทดสอบอย่างเป็นทางการ เจ้ามั่นใจว่าจะผ่านมันไปได้หรือไม่?”


 


“ไม่ แต่หนูจะลองพยายามดู” ซูเซี่ยเอ๋อสารภาพออกไปตามความจริง


 


“ถ้าไม่มีความมั่นใจ การกระทำของเจ้าก็เปรียบดั่งการรีบร้อนไปตายเท่านั้น”


 


“แต่หนูก็ยังอยากที่จะพยายาม”


 


หญิงในชุดดำมองทิวทัศน์ที่ไกลห่างออกไป มือคว้าจับแปรงพู่กัน และเริ่มวาดภาพอีกครั้ง


 


แล้วจู่ๆเธอก็เอ่ยออกมาว่า “นับจากนี้ไป เจ้าจะกลายมาเป็นลูกศิษย์ของข้า”


 


ซูเซี่ยเอ๋อตกอยู่ในความเงียบงัน มิตอบสนองไปครู่หนึ่ง


 


การเป็นสานุศิษย์ของผู้อื่นมิใช่เรื่องดีซะทีเดียว


 


เพราะผู้ฝึกสอนจะมีอำนาจเด็ดขาด และสามารถสังหารสานุศิษย์ของพวกเขาได้


 


แต่ในขณะเดียวกัน นักเรียนฝึกหัดที่ไม่ได้มีผู้ฝึกสอนเป็นที่ปรึกษาใดๆ จะไม่ได้รับอนุญาตให้ถูกฆ่าตายได้โดยง่ายดาย


 


และขณะนี้ ซูเซี่ยเอ๋อก็คือนักเรียนฝึกหัด


 


สถานะปัจจุบันของเธอ คือปราการชั้นสุดท้ายที่มีไว้ใช้ปกป้องตนเอง


 


เมื่อคุณกลายเป็นลูกศิษย์ของอีกฝ่าย บุคคลอื่นๆก็จะไม่ถามไถ่หรือสนใจเกี่ยวกับชีวิตและความตายของเธออีก


 


หญิงชุดดำเฝ้ารออยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ เธอจึงหัวเราะออกมา “เพียงเพราะเจ้าสามารถมายังเกาะนี้ได้ทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นจึงรังเกียจที่จะรับผู้ฝึกสอนที่ตายไปแล้ว จึงมาถึงที่เกาะหมอกนี้ได้อย่างงั้นใช่ไหม?”


 


หมอกสีดำกระชากออกมาจากร่างกายผู้ฝึกสอนอย่างรวดเร็ว


 


ซูเซี่ยเอ๋อรีบตอบกลับไปทันที “หนูไม่กล้า มันไม่ใช่แบบนั้น”


 


เธอไม่ได้เป็นนักเรียนทางการ ดังนั้นหากเธอเอ่ยคำดูถูกหรือแสดงการกระทำแบบนั้นออกมากับผู้ฝึกสอน อีกฝ่ายก็จะสามารถฆ่าเธอได้อย่างสัตย์ซื่อ


 


และจะไม่มีใครสามารถช่วยเหลือเธอได้เลย


 


“เช่นนั้นมันเป็นเพราะอะไร?” หญิงชุดคลุมดำถาม


 


“หนูแค่ต้องการที่จะพิจารณาเกี่ยวกับมันอีกครั้ง” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว


 


“พิจารณา? ไม่จำเป็นต้องพิจารณาอะไรอีก” หญิงชุดดำกล่าว


 


เธอเอ่ยอย่างหงุดหงุด “ข้าจะให้เวลาเจ้านาทีสุดท้าย หากเจ้ายังไม่ต้องการ แม้ว่าข้าจะต้องถูกลงโทษในภายหลัง แต่ข้าจะฆ่าเจ้าซะเดี๋ยวนี้เลย”


 


ด้วยถ้อยคำเหล่านี้ ทำให้ตาข่ายที่คอยแยกกั้นระหว่างทั้งสองพังทลายลงในที่สุด


 


ใช่แล้วล่ะ


 


หากข้าต้องการชีวิตเจ้า


 


เจ้ามันจะไปทำอะไรได้?


 


แม้หญิงชุดคำจะพูดกับซูเซี่ยเอ๋อ แต่ในมือของเธอก็ยังคงปาดแปรงลงบนกระดานภาพต่อไป


 


การฆ่า ดูเหมือนจะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆเท่านั้น


 


และเธอก็ขี้เกียจเกินไปที่จะหันกลับไปมองซูเซี่ยเอ๋อ แม้เพียงวูบหนึ่ง


 


ซูเซี่ยเอ๋อบีบกำปั้นของเธอ


 


เร็วเข้า


 


เร็วอีกหน่อยสิ!


 


นี่มันยังไม่ ‘ถึงเวลานั้น’ อีกหรอ?


 


บนภูเขา มีเพียงสายลมหนาวที่พัดโชยต่อเนื่องเท่านั้น


 


หนึ่งนาทีกำลังจะผ่านพ้นไปในไม่ช้า


 


ซูเซี่ยเอ๋อก้มหัวลงอย่างเศร้าสลด


 


มันดูเหมือนว่าแผนการที่วางไว้จะสายเกินไป


 


เธอค่อนข้างจะสิ้นหวัง


 


แต่ทันใดนั้นเอง เธอก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นเล็กน้อยตามเส้นผมของเธอ


 


มันคือความร้อนที่ปล่อยออกมาจากแหวนนาโนที่กำลังทำงานด้วยความเร็วสูง


 


ในแหวนนาโน มีตัวAIขนาดจิ๋วที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษอยู่ มันจะช่วยทำหน้าที่วิเคราะห์สถานการณ์ในปัจจุบันของซูเซี่ยเอ๋อนับร้อยนับพันครั้ง


 


“เกิดข้อผิดพลาดในด้านเวลา”


 


“การจัดเตรียมแผนการที่สอดคล้อง ไม่สามารถทำเวลาได้ตามเป้า”


 


“เริ่มต้นตัดสินสถานการณ์ในปัจจุบันอีกครั้ง”


 


“คำตัดสิน : ซูเซี่ยเอ๋อมีแนวโน้มเป็นไปได้สูงที่จะตาย”


 


“ทำการค้นหามาตรการตอบโต้ เพื่อช่วยชีวิตซูเซี่ยเอ๋ออีกครั้ง”


 


“เริ่มรังสรรกลยุทธ์”


 


“กลยุทธ์ที่สอดคล้องกับเงื่อนไขของเกาะหมอก รวมไปถึงสถานการณ์เงื่อนไขในปัจจุบัน ทางเลือกคือ  กลยุทธ์ที่เหมาะสมคือหมายเลข 739 ”


 


“เริ่มต้นการประกอบอุปกรณ์เสียงนาโน”


 


“คุณสมบัติเสียงของซูเซี่ยเอ๋อถูกอัพโหลดแล้ว”


 


“เตรียมการพูดแทนซูเซี่ยเอ๋อ”


 


“พร้อมปฏิบัติการแล้ว”


 


ผมของซูเซี่ยเอ๋อสยายออก


 


คราวนี้ แหวนที่แต่เดิมแปรสภาพเป็นหนังยางรัดผม บัดนี้ค่อยๆแปรสภาพเป็นเส้นผม และเคลื่อนผ่านระหว่างปลายผมของเธอไปอย่างช้าๆ


 


แม้ว่าหญิงชุดดำจะหันหลังอยู่ แต่ซูเซี่ยเอ๋อก็ยังคงระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก


 


เส้นผ่านศูนย์กลางของมันเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของเส้นผมธรรมดาเท่านั้น


 


มันปรับสีของมันเอง และเปลี่ยนเป็นสีผิวของซูเซี่ยเอ๋อ


 


มันเลียนแบบท่าทางการหล่นของผมอย่างเป็นธรรมชาติ และค่อยๆร่วงตกลงไปยังมุมปากของเธออย่างแผ่วเบา


 


ซูเซี่ยเอ๋อเผยอริมฝีปากเล็กน้อย


 


และเส้นผมก็หายไปในฉับพลัน


 


…….


 


“หมดเวลาแล้ว เจ้าจะต้องบอกการตัดสินใจเดี๋ยวนี้” เสียงของหญิงชุดดำดังขึ้น


 


ในน้ำเสียงของเธอ แผ่เจตนาฆ่าออกมาอย่างแผ่วเบา “ไม่ว่าจะตายตอนนี้ หรือเฝ้ารอไปตายในช่วงเวลาที่เจ้าบอกว่าจะลองพยายามดู ถ้ายังไงก็จะต้องตายอยูแล้ว หากเจ้าเลือกอย่างหลังแล้วยอมรับข้าเป็นอาจารย์ เจ้าก็จะยังคงสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกนิดหน่อยมันจะไม่ดีกว่าหรือ”


 


น้ำเสียงและท่าทีการแสดงออกของเธอเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลง “ซูเซี่ยเอ๋อ เจ้าต้องการที่จะคารวะข้าเป็นอาจารย์หรือไม่?”


 


บังเกิดเสียงหมดหวังดังขึ้นจากอากาศเบื้องหลัง


 


“หนูตัดสินใจที่จะคารวะท่านเป็นอาจารย์”


 


ทันทีที่ประโยคนี้เสร็จสิ้นลง เบื้องหน้าของหญิงชุดดำ ก็ปรากฏไพ่ใบหนึ่งขึ้นมาทันใด


 


ไพ่ส่งเสียงดังพรึบออกมา และถูกเผาไหม้เป็นเถ้าถ่านในพริบตา


 


หญิงชุดดำยิ้มอย่างเงียบๆ


 


เธอกล่าวเสียงกระซิบ “ยอดเยี่ยม ไพ่ใบนี้ได้เป็นสักขีพยานระหว่างเราแล้ว เมื่อเจ้าผ่านการทดสอบฝึกหัด เจ้าก็จะกลายมาเป็นศิษย์ของข้า”


 


ช่วงเวลานี้ หญิงชุดดำดูจะมีความสุขมาก


 


หลังจากการทดสอบฝึกหัด ทั้งสองจะมีความสัมพันธ์ฺระหว่างศิษย์อาจารย์อย่างเป็นทางการ


 


เมื่อถึงเวลานั้น ชีวิตและความตายของสาวน้อยคนนี้ก็จะอยู่ในมือของเธอ


 


‘ในที่สุดก็จับตัวได้เสียที’


 


เพราะเธอคือคู่แข่งเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น


 


และเธอจะต้องตาย!


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.343 – เด็กกำพร้าในเกาะหมอก(2)


 


เกาะหมอก


 


สถานที่ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรซากศพ และยังเป็นสถานที่เดียวในโลกทั้งใบที่มีผืนดิน


 


นอกจากนี้มันเป็นสถานที่เดียวในโลก ที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่อีกด้วย


 


แม้ว่าสภาพอากาศจะเย็น และอุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์องศามาหลายปีแล้ว แต่มันก็ยังคงเป็นที่เฝ้าฝันถึงของของทุกผู้คน


 


ในทุกโลก ตราบใดที่รู้ถึงที่ตั้งของมันและตระหนักถึงมัน จะต้องกระหายที่จะแสวงหามันอย่างแน่นอน


 


เพราะมันเป็นเกาะแห่งโชคชะตาในตำนาน


 


แต่น่าเสียดาย การที่คุณจะมาถึงที่นี่ได้ คุณจะต้องตายลงก่อนครั้งหนึ่ง


 


และยังเป็นความตายที่เจ็บปวดเสียด้วย


 


ทุกคนที่เข้ามายังโลกของเกาะหมอก จะปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางมหาสมุทรซากศพ


 


ในมหาสมุทร แน่นอนว่าย่อมเต็มไปด้วยมอนสเตอร์ที่คอยยับยั้งขัดขวางผู้คนไม่ให้มาถึงที่นี่ได้


 


หลังจากถูกฆ่าตายโดยมอนสเตอร์ ร่างศพของผู้เดินทางก็จะลอยล่องอยู่ในทะเลลึก


 


และวิญญาณเจ้าของร่างจะถูกกักเอาไว้ในร่างศพ เฝ้าทนทุกข์กระทำสิ่งใดมิได้แม้กระทั่งหายใจในห้วงทะเลลึก


 


จนกระทั่งวันหนึ่งร่างศพได้หลุดพ้นจากกระแสน้ำทะเล และถูกพัดพามายังเกาะหมอก นั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่าปาฏิหาริย์แห่งโชคชะตา


 


เพราะเกาะหมอกจะมอบชีวิตใหม่ให้กับผู้ที่มาถึง แม้ว่าคนๆนั้นจะหลงเหลือเพียงร่างศพก็ตามที


 


เวลานี้ ซูเซี่ยเอ๋อก็อยู่ในเกาะหมอก


 


เธอมาถึงที่นี่เพราะเลือกที่จะบินเข้าไปในทะเลหมอก


 


และเธอมาถึงเกาะหมอก โดยที่ร่างกายมิได้ตกตายลง


 


นี่นับว่าเป็นเหตุการณ์พิสดารครั้งแรกในรอบร้อยปี


 


โชคของเธอทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนอิจฉาจนแทบบ้า


 


ไม่ต้องกล่าวถึงหลังจากการตรวจสอบเอกลักษณ์และคุณสมบัติของเธอ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกาะหมอกมิอาจปฏิเสธได้


 


ครั้งหนึ่งพ่อแม่ของเธอเคยเสียสละชีวิตของพวกเขาเพื่อเกาะหมอก


 


แม้ว่าทั้งสองจะเป็นตัวตนที่ไม่โดดเด่น แต่พวกเขาก็นับว่าเป็นผู้มีพระคุณต่อเกาะหมอก


 


ดังนั้น ลูกสาวของพวกเขา เด็กกำพร้าดวงดีที่มาพร้อมกับโชคชะตาแห่งปาฏิหาริย์นี้ แน่นอนว่าเกาะหมอกย่อมที่จะไม่ปฏิเสธ


 


ตอนนี้ซูเซี่ยเอ๋ออยู่ในห้องของอาจารย์ยี่ชา


 


“ในเมื่อเจ้าได้กลายเป็นนักเรียนของข้าแล้ว ก็มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าจำเป็นจะต้องเรียนรู้” หญิงชุดคลุมดำกล่าว


 


“นั่นคือการเพลิดเพลินกับความเจ็บปวด”


 


เธอยื่นมือออกไป และเริ่มจั่วไพ่ขณะเดียวกันก็เอ่ยว่า “มาลองดูกันว่าเจ้าจะได้รับการลงโทษแบบใดก่อนที่เจ้าจะตายลง …  เสียงที่ข้าได้ยินมันจะไพเราะขนาดไหนกันนะ”


 


ซูเซี่ยเอ๋อเงียบ


 


แบบนี้มันแย่แน่ๆแล้วไม่ใช่หรอ?


 


ทำไมช่วงเวลาตามแผนการที่เตรียมไว้มันถึงไม่เริ่มซะที?


 


ขณะที่เธอกำลังคิด เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่าบนภูเขา


 


ซูเซี่ยเอ๋อลอบกำหมัดของเธออย่างลับๆ ในหัวใจกรีดร้องด้วยเสียงแห่งชัยชนะ


 


-ในที่สุด สิ่งที่เตรียมเอาไว้ก็มาถึง


 


“ใครกัน?” หญิงชุดดำเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจ


 


ในอากาศ ความมืดมิดที่มองไม่เห็นผุดออกมาจากท้องฟ้า และพริบตานั้นประตูขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นอย่างกระทันหัน


 


ตามด้วยชุดเกราะโบราณที่เดินเข้ามาเป็นสองทิวแถวพร้อมกับถือโล่เหล็กและดาบในมือ


 


ในเกราะ ไม่มีผู้ใดอยู่ภายใน


 


นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นเทคนิคมนตราไม่ทราบชนิด หรือไม่ก็คงเป็นเทคนิคเทียนซวน


 


ชุดเกราะย่ำฝีเท้ามาไม่หยุด ผ่านไปสักพักมันก็มาถึงด้านบนของเนินเขา


 


“ผู้ฝึกสอนยี่ชา ขออภัยที่รบกวน” เกราะส่งเสียงกฮึมฮัม


 


“ผู้บังคับกฏเช่นเจ้ามาทำอะไรที่นี่?” หญิงในชุดคลุมดำถาม


 


“เราสงสัยว่านักเรียนฝึกหัดได้กระทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม” ชุดเกราะกล่าว


 


“โอ๊ะโอ? แล้วมันร้ายแรงมากหรือไม่?”


 


“อาจถึงขั้นต้องโทษประหารชีวิต” เกราะพูด


 


“เข้าใจแล้ว งั้นก็ทำตามที่เจ้าต้องการเถอะ” หญิงชุดดำคิดเล็กน้อยและกล่าว


 


เมื่อได้รับอนุญาต สองชุดเกราะก็เดินมาหยุดอยู่ข้างๆซูเซี่ยเอ๋อ


 


“ซูเซี่ยเอ๋อสินะ?” ชุดเกราะถามเสียงหม่น


 


“ฉันเอง”


 


“กรมบังคับกฏต้องการเรียกเจ้าไปสอบสวน”


 


ซูเซี่ยเอ๋ออดไม่ได้ที่จะเชิดหน้าขึ้น ในหัวใจของเธอเริ่มสงบ


 


นี่แหละ! มันเป็นสิ่งที่เธอคาดหวังเอาไว้ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมาช้าไปหน่อยนะ ..


 


เธอกล่าว “ทำไมถึงเป็นฉันอีกแล้ว? ทำไมไม่ลงโทษพวกเธอที่กล่าวความเท็จตั้งหลายครั้งบ้าง? ทำไมอาจารย์ที่ดูแลพวกเธอถึงไม่ตำหนิพวกเธอบ้างเลย?”


 


ชุดเกราะกล่าว “เวลานี้เจ้าได้ก่ออาชญากรรมโทษถึงตาย ดังนั้นผู้ฝึกสอนทั้งเจ็ดจึงได้มาถึงแล้ว”


 


หญิงชุดคลุมดำเอ่ยถามด้วยความสนใจ “ถึงขั้นเรียกผู้ฝึกสอนทั้งเจ็ด แถมยังเป็นอาชญากรรมโทษถึงตาย .. ดูเหมือนว่าเจ้าจะทำอะไรบางอย่างที่ข้าไม่รู้มาสินะ”


 


ซูเซี่ยเอ๋อหันไปมองเธอ และอ้อนวอน “ได้โปรดช่วยหนูด้วย”


 


หญฺิงชุดคลุมดำเดิมยังคงลังเลอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ยินคำพูดที่เปรียบดั่งคำสารภาพนี้ เธอก็ยิ้มเยาะออกมาและโบกมือเบาๆ “ไม่เป็นไรหรอก เจ้าควรจะไปยอมรับโชคชะตาของตนซะ ส่วนข้าจะคอยกังวลอยู่ห่างๆเอง”


 


“ซูเซี่ยเอ๋อ โปรดติดตามข้าไปยังกรมบังคับกฏแต่โดยดี มิฉะนั้นพวกเราคงต้องใช้กำลังพาตัวไป” ชุดเกราะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา


 


ซูเซี่ยเอ๋อนิ่งงันไม่ตอบอยู่ครู่หนึ่ง  ชุดเกราะ7-8ตัวจึงเข้ารายล้อมเธอ ปิดหนทางจนเธอไม่มีโอกาสหลบหนีเลย


 


แต่ตรงกันข้าม ซูเซี่ยเอ๋อกลับมิได้ตื่นตระหนก


 


“กรุณานำทางฉันด้วย ฉันต้องการจะดูว่าพวกเขาจะจัดการกับฉันยังไง” เธอกล่าวอย่างสงบ


 


เธอเดินเข้าไปบนท้องฟ้าพร้อมกับชุดเกราะ และหายไปจากภูเขานี้


 


หญิงชุดดำยืนอยู่สักพัก ปากบ่นพึมพำ “กรมบังคับกฏ … จะไม่สามารถเข้าไปได้หากมิได้รับเชิญ หรือว่าข้าคงไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเองแล้ว? แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”


 


ออกจากห้องของผู้ฝึกสอนยี่ชา


 


ซูเซี่ยเอ๋อก็ตามชุดเกราะที่เดินเรียงกันประกบซ้ายขวาเธอเป็นสองแถวไป ข้ามผ่านบันไดเดิมที่ลอยอยู่ในอากาศ ขณะที่เบื้องล่างมันเป็นเหวลึก


 


สายลมเย็นพัดมาตลอดเวลา


 


เธอควบคุมร่างกายตัวเอง และพยายามที่จะหลบเลี่ยงสายตา ไม่มองลงไปยังมารแมงมุมยักษ์ที่อยู่ในก้นเหว


 


หลังจากเดินทางผ่านพ้นบันไดล่องหน ก็เป็นอุโมงค์ที่กว้างขวาง


 


ในทุกๆไม่กี่สิบเมตร คุณจะสามารถพบเห็นคบเพลิงที่ติดอยู่บนผนัง


 


พวกมันส่องสว่างในความมืด และปัดเป่าความเย็นชื้นในอากาศ


 


แม้ว่าจะมีเจ็ดผู้ฝึกสอนรออยู่ แต่ซูเซี่ยเอ๋อก็ยังคงเดินช้าๆ โดยไม่ใช้พลังแม้เพียงเล็กน้อย


 


นั่นเพราะมันเป็นกฏที่ต้องปฏิบัติตาม


 


เนื่องจากสถาบันตั้งอยู่ในอากาศ ดังนั้นอาคารทั้งหมดที่อยู่ภายใต้จึงถูกห้ามไม่ให้ใช้พลัง


 


นักเรียนไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้พลังในที่สาธารณะ


 


พื้นที่ที่จะสามารถใช้พลังได้ จะมีรายละเอียดอธิบายแบบเฉพาะเจาะจง


 


ด้วยวิธีนี้ สถาบันที่ซ่อนอยู่ในท้องฟ้าลึกของเกาะหมอก จึงไม่ดึงดูดมอนสเตอร์ที่ทรงพลังมาจากทั่วทุกมุมโลก


 


ซูเซี่ยเอ๋อใช้เวลาไปกว่าหนึ่งส่วนสี่ชั่วโมง จึงจะมาถึงกรมบังคับกฏ


 


กรมบังคับกฏเป็นสถานที่ขนาดใหญ่ เป็นสถาปัตยกรรมแบบกอธิคในยุดกลาง


 


เมื่อผลักประตูเปิดเข้ามา ก็จะพบกับทางเดินตรงที่ทอดยาว นำไปสู่บัลลังก์บนบันไดสูงอันห่างไกล


 


บนบัลลังก์ มีร่างแห้งกรังที่หัวห้อยตกลงมาอยู่


 


ร่างแห้งกรังแต่งกายในชุดเสื้อคลุมสีเลือด เอนตัวพิงพนักบัลลังก์ แน่นิ่งไม่ไหวติง


 


เบื้องหลังเขา คือเลือดมากมายดั่งธารน้ำ ส่งผลให้ฉากเบื้องหน้าของซูเซี่ยเอ๋อช่างดูงดงาม


 


ธารเลือดกินพื้นที่ทั้งหมดเบื้องหลังร่างแห้งกรัง เติมเต็มไปในทุกๆชั้นอากาศที่ว่างเปล่า ตั้งแต่พื้นจรดเพดาน


 


กระแสเลือดไหลเชี่ยวในธารอย่างเงียบๆ ปะทะซัดสาดกันไปมา


 


ธารเลือดทั้งหมดไหลผ่านอยู่ในอากาศ และไม่เคยตกลงบนพื้น


 


ชายผู้ที่มีธารเลือดอยู่เบื้องหลังผู้นี้


 


คือตัวตนในตำนานของสถาบัน


 


เขาคือจอมมารชุดคลุมเลือด อาวุโสบังคับกฏแห่งสถาบัน


 


ในทั้งสองฟากฝั่งระหว่างเส้นทางที่ทอดยาวไปสู่บัลลังก์เลือด มีรูปปั้นมากมายวางเรียงรายกันอยู่


 


รูปปั้นเหล่านั้นมีลักษณะและท่าทีที่แตกต่างกัน และให้ความรู้สึกดุร้าย


 


มีผู้หญิงหลายคนที่สวมใส่ชุดคลุมยาวยืนอยู่ตรงใจกลาง ทั้งหมดแน่นิ่งไม่ไหวติง และกำลังปลดปล่อยบรรยากาศน่ากลัวออกมา


 


เมื่อพวกเธอเห็นซูเซี่ยเอ๋อเดินเข้ามา จู่ๆทั้งหมดก็เงยหน้าขึ้นมองเธอทันทีด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความความทะนงตน


 


ชุดเกราะสองแถวย่อเข่าลงข้างหนึ่ง เอ่ยรายงาน “ท่านอาวุโสบังคับกฏ อาวุโสทั้งเจ็ด พวกเราได้นำคนมาตามคำสั่งแล้ว”


 


ร่างแห้งกรังบนบัลลังก์ยกศีรษะขึ้นเล็กน้อยและกล่าว “ออกไปได้”


 


“รับทราบ”


 


ชุดเกราะยืนขึ้นเล็กน้อย โค้งคำนับ หันหลังกลับและออกจากกรมบังคับกฏไป


 


“ซูเซี่ยเอ๋อ”


 


จอมมารชุดคลุมแดงเอนหลังพิงพนัก ปากเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เจ้าได้ก่ออาชญากรรมที่มีโทษทัณฑ์ถึงตาย ตอนนี้มีอะไรจะโต้แย้งหรือไม่?”


 


ซูเซี่ยเอ๋อมองอีกฝ่ายโค้งคารวะตามพิธี


 


เธอเอ่ย “หนูยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอาชญากรรมที่ว่านั่นมันคืออะไร”


 


จอมมารชุดคลุมเลือดกล่าว “ลอบเรียนรู้วิชาชั่วร้าย”


 


ซูเซี่ยเอ๋อหัวเราะและกล่าวว่า “วิชาชั่วร้าย? หนูไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับวิชาชั่วร้ายมาก่อนเลย”


 


“แต่มีบางคนสังเกตเห็นว่าเจ้ากำลังอ่านวิชาชั่วร้ายที่ว่านั่น” จอมมารชุดคลุมเลือดกล่าว


 


“เช่นนั้นโปรดให้ ‘พวกเธอ’ ออกมาเผชิญหน้ากับหนู” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว


 


เมื่อเห็นเธอดูจะมั่นใจมาก การแสดงออกของจอมมารชุดคลุมเลือดก็แลดูจะผ่อนคลายลง เขากล่าว “พวกเจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่?”


 


เด็กสาวหลายๆคนที่ยืนอยู่ในมุมๆหนึ่งต่างกันมามองหน้ากันและกัน


 


“คืนหนึ่ง ในช่วงที่เรากำลังพักผ่อน หนูเห็นเธอถือสมุดเล่มเล็กๆ และตั้งใจอ่านมันอย่างขมักเขม้นชนิดที่ว่าเธอไม่ทันสังเกตถึงตัวหนูที่เดินเข้าไปใกล้เลยด้วยซ้ำ” เด็กสาวกล่าว


 


เด็กสาวอีกคนพูดต่อ “หนูบังเอิญเห็นหนึ่งในคำไม่กี่คำที่อยู่ในมุมสมุดเล่มเล็กๆของเธอ”


 


“มันคือคำว่าอะไร?” จอมมารถาม


 


“ขอบเขตฝึกยุทธ จะแบ่งออกเป็นหลายส่วน คือ ปราณปรับแต่งแล้วก็ก่อตั้ง” เด็กสาวตอบ


 


ทันใดนั้น ในแถวที่เรียงรายไปด้วยรูปปั้นมากมาย มีเจ็ดรูปปั้นที่เปิดปากพูดอออกมาอย่างต่อเนื่อง


 


“วิชาชั่วร้าย”


 


“วิชาชั่วร้าย”


 


“วิชาชั่วร้าย”


 


“วิชาชั่วร้าย”


 


“วิชาชั่วร้าย”


 


“วิชาชั่วร้าย”


 


“วิชาชั่วร้าย”


 


จอมมารชุดคลุมเลือดเปล่งเสียงตะโกนที่ฟังดูดุร้าย “ซูเซี่ยเอ๋อ! การเรียนรู้วิชาชั่วร้ายคืออาชญากรรม! เจ้ามีอะไรจะโต้แย้งหรือไม่?”


 


กระบี่ยาวสนิมเขรอะผุดออกมาในอากาศ แม้จะลอยอยู่นิ่งๆ แต่ปลายแหลมของมันกลับจี้มายังทิศทางที่เธอยืนอยู่


 


และมีเสียงร่ำไห้นับไม่ถ้วนดังออกมาจากกระบี่


 


เหล่าเด็กสาวมองหน้ากันและกัน และเห็นถึงความตื่นเต้นในแววตาของอีกฝ่าย


 


มนุษย์ที่สามารถมาถึงเกาะหมอกได้ทั้งๆที่มีชีวิต กำลังจะตายลง


 


พวกเธอหันไปดูซูเซี่ยเอ๋ออีกครั้ง และต้องการที่จะชื่นชมสีหน้าหวาดกลัว ตื่นตระหนกก่อนที่อีกฝ่ายจะสิ้นใจ


 


ทว่าซูเซี่ยเอ๋อกลับยิ้มออกมาอย่างสงบ และพูดอย่างใจเย็น “คืนหนึ่ง ในช่วงที่หนูกำลังพักผ่อน หนูเห็นพวกเธอหลายคนเดินไปด้วยกันพร้อมกับถือสมุดเล่มเล็กๆเล่มหนึ่งเอาไว้ และตั้งใจอ่านมันอย่างขมักเขม้น หนูก็เลยแอบตามไปดู และบังเอิญเห็นหนึ่งในคำไม่กี่คำที่อยู่ในมุมสมุดเล่มเล็กๆของพวกเธอ ‘ขอบเขตฝึกยุทธ จะแบ่งออกเป็นหลายส่วน คือ ปราณปรับแต่งแล้วก็ก่อตั้ง …’ ”


 


“พวกเธออาจจะกลัวว่าหนูจะเอามาฟ้อง ดังนั้นพวกเธอจึงเริ่มลงมือก่อน ใส่ร้ายหนู เล่าความเท็จแก่อาวุโส”


 


เด็กสาวๆหลายคนโพล่งออกมาทันที “นั่นแกกำลังพล่ามอะไรไร้สาระ!”


 


“ผายลม!”


 


“เห็นอยู่ชัดๆว่านั่นมันแกต่างหาก!”


 


ซูเซี่ยเอ๋อไขว้สองมือของเธอไว้ด้านหลัง และเอ่ยปากกับอีกฝ่ายด้วยท่าทีสบายๆ “ความจริงก็เป็นเช่นนี้”


 


จอมมารชุดคลุมเลือดเงียบไปเล็กน้อย


 


ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนเอาสิ่งที่ตนกระทำไม่เหมาะสม มาหลอกลวงเขาที่เป็นถึงผู้บังคับกฏและผู้ฝึกสอนทั้งเจ็ด เพื่อให้ตนมีชีวิตรอด


 


เขาเปล่งเสียงหัวเราะที่ฟังแลดูเศร้าๆออกมาและ เอ่ยว่า “ใครก็ตามที่กล้าหลอกเรา ราคาที่มันต้องจ่ายจะไม่ใช่แค่ความผิดทางอาญา”


 


เขายื่นมือออกไปและแตะม้วนคัมภีร์บนบัลลังก์


 


นั่นคือม้วนคัมภรี์สีเลือด


 


“ซูเซี่ยเอ๋อจงอย่าต่อต้าน”


 


หลังจากจอมมารชุดคลุมเลือดกล่าว เขาก็โยนม้วนคัมภีร์ออกไปเบาๆ


 


ม้วนคัมภีร์ถูกเผาไหม้ แต่ทว่ามิได้เป็นเถ้าถ่าน พวกมันแตกกระจายเป็นด้ายเลือด หมุนวนไปรอบๆตัวซูเซี่ยเอ๋อก่อนที่จะบินกลับมาบนบัลลังก์


 


ตามด้วยสมุดเล่มเล็กที่ปรากฏขึ้นในมือของจอมมารชุดคลุมเลือด


 


“ในห้องของเจ้า มีสมุดเล่มเล็กๆนี่ซ่อนอยู่” จอมมารชุดคลุมเลือดกล่าว


 


“สมุดเล่มนั้นแหละ!” เหล่าเด็กสาวตะโกนเสียงดังฟังชัด


 


ซูเซี่ยเอ๋อเงียบ ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป


 


จอมมารชุดคลุมเลือดคว้าสมุดเล่มนั้น แล้วพลิกมันอ่านในมือของเขา


 


ทันใดนั้นเสียงของเขาก็อ่อนโยนลงอย่างกระทันหัน “พ่อแม่ของซูเซี่ยเอ๋อถูกฆ่าตายในสงคราม และเสียสละชีวิตของพวกเขาเพื่อสถาบัน”


 


“สมุดเล่มนี้ คือบันทึกในชั้นเรียนของแม่เธอ”


 


“ข้าจดจำได้ว่าผู้หญิงคนนั้น – เธอเป็นนักเรียนที่ฉลาด .. ขอข้าดูมันอย่างรอบคอบอีกสักครู่ … ”


 


“มิผิดแล้ว ในชั้นเรียน มันมีเนื้อหาที่สอนเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดของแต้มพลังวิญญาณจากทุกโลกอยู่”


 


“ในเวลานั้น จริงๆแล้วข้าเองที่เป็นผู้สอน ที่รู้ก็เพราะว่าในบันทึกนี้เขียนถึงความเข้าใจและมุมมองของข้าเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดแต้มพลังวิญญาณของโลก แต่เด็กสาวในตอนนั้นกลับจดจำมันได้ และเขียนทุกอย่างลงไป”


 


น้ำเสียงของจอมมารชุดคลุมเลือดดูจะอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย


 


“คำถามและคำตอบของข้า อืม.. ถูกต้อง ข้ามักจะตอบอธิบายไปแบบนี้ … ”


 


“ช่างเป็นนักเรียนที่ดีจริงๆ”


 


จอมมารชุดคลุมเลือดถอนหายใจด้วยอารมณ์ เขาปิดสมุดเล่มเล็กๆ แล้วหันไปมองซูเซี่ยเอ๋อ


 


*(ถ้าท่านงง จะมีเฉลยปมต่างๆในตอนต่อๆไป)


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.344 – เด็กกำพร้าในเกาะหมอก(3)


 


เธอคือเด็กสาวกำพร้า


 


พ่อแม่ของเธอเป็นนักเรียนของจอมมาร และทั้งคู่ก็เสียสละชีวิตเพื่อเกาะหมอก


 


เธอที่เป็นลูกสาวของพวกเขา ร่อนเร่ไปทั่วโลก และตอนนี้พึ่งกลับมาได้เพียงไม่นาน ทว่ากลับถูกใส่ร้าย และคำใส่ร้ายนี้ก็มีแนวโน้มเป็นไปได้สูงที่จะถึงขั้นต้องถูกลงโทษจนจบชีวิตลง


 


เด็กสาวกำพร้าไร้ที่พึ่งพิง กำลังรอคำตัดสินชีวิตเป็นตายอยู่


 


จอมมารชุดคลุมเลือดเงียบไปนาน สุดท้ายจึงกล่าว “ซูเซี่ยเอ๋อ เจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ ”


 


“ขอบพระคุณท่านอาวุโสบังคับกฏ”


 


“เช่นนั้นเกี่ยวกับเรื่องในวันนี้ เจ้ามีสิ่งใดอยากจะระบายหรือไม่?” จอมมารชุดคลุมเลือดเอ่ยถาม


 


มาแล้ว


 


ตอนนี้ล่ะ!


 


ซูเซี่ยเอ๋อจิกริมฝีปากเธอ เผยท่าทีค่อนข้างลังเลออกมา


 


“หนู … ขอถามอะไรซักเล็กๆน้อยๆจะได้ไหม?” เธอเอ่ยปาก


 


“แน่นอน เจ้าสามารถถามสิ่งใดก็ได้ตามต้องการ” จอมมารดูจะมีความอดทนมากเป็นพิเศษในวันนี้


 


“ขอบพระคุณท่าน” ซูเซี่ยเอ๋อพูดอย่างระมัดระวัง


 


นี่เป็นโอกาสเดียวที่เธอจะโต้กลับ! และเธอต้องคว้ามันมาให้จงได้!


 


‘จะแสดงให้เห็นเอง ว่าฉันก็สู้คนเหมือนกัน’


 


อีกอย่างชายเบื้องหน้า ก็ดูเหมือนว่าจะมีทัศนคติที่ดีกับฉันไม่น้อย


 


เอาล่ะ ทีนี้แหละพวกแกจะไม่สามารถทำแบบนี้กับฉันได้อีกต่อไปแล้ว


 


ฉันต้องการจะอยู่ที่นี่อย่างสงบสุข! โดยที่ไม่มีใครสามารถรังแกฉันได้อีกต่อไป!!


 


ถ้าหากใครต้องการชีวิตของฉันอีกครั้งล่ะก็ …


 


“เพื่อความเป็นธรรม หนูหวังว่าท่านอาวุโสบังคับกฏจะทำการค้นตัวพวกเธอด้วย” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว


 


“นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น” จอมมารชุดคลุมเลือดตอบรับ


 


หลากหลายแสงสีเลือดบิดม้วนไปมาในอากาศ ก่อนจะตกลงแล้ววนรอบๆสาวๆทั้งหลาย และพ่นถุงขยะชิ้นหนึ่งลงบนพื้น


 


ภายในถุงขยะ มีหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่ภายในอย่างสงบ


 


จอมมารชุดคลุมเลือดหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา และพลิกอ่านแบบลวกๆ


 


“ฮะฮะ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”


 


เขาหัวเราะออกมาเบาๆ


 


ตนเองเกือบจะถูกหลอก … เกือบจะสังหารลูกสาวของนักเรียนตัวเองไปแล้วเชียว


 


“ผู้ฝึกสอน จงสลับกันดูเจ้าสิ่งนี้เสีย”


 


หนังสือเล่มเล็กๆลอยไปทางรูปปั้น และตกลงบนพื้น


 


“วิชาชั่วร้าย!”


 


สีหน้าของรูปปั้นหม่นทะมึนลง ปากเอ่ยเสียงต่ำ


 


“ไม่นะ! หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่ของพวกเรา!”


 


“นี่ต้องเป็นกับดักแน่ๆ”


 


“ท่านอาจารย์ หนูไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่นี่ไม่ใช่หนังสือของหนู”


 


สาวๆกรีดร้องอลหม่านด้วยความหวาดกลัว


 


เพราะพวกเธอทราบดี ว่าการฝึกฝนวิชาชั่วร้าย ถือว่าเป็นอาชญากรรมใหญ่หลวง


 


ทันใดนั้นเด็กสาวคนหนึ่งก็ร้องไห้ออกมา “หนูผิดไปแล้ว หนูแค่อิจฉาเธอที่สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็ว แถมยังมาถึงที่นี่แบบยังมีชีวิตอยู่ หนูคิดว่าเธอเป็นแค่กำพร้า หากรังแกไปก็คงไม่สำคัญ หนูไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นแบบนี้!”


 


ทันทีที่เธอร่ำไห้ ทั้งหมดก็เริ่มร้องตาม


 


พวกเธอทราบดีว่าจุดจบของการฝึกฝนวิชาชั่วร้ายนั่นคืออะไร


 


และนั่นคือสิ่งที่พวกเธอเตรียมไว้ให้แก่อีกฝ่าย


 


ทว่าในขณะนี้ พวกเธอตระหนักแล้วว่าสิ่งที่ทำกับคนอื่น กำลังจะย้อนกลับมา


 


จอมมารชุดคลุมเลือดเอ่ยถาม “พวกเจ้าที่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา มีความคิดเห็นว่าอย่างไร?”


 


รูปปั้นเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง สุดท้ายจึงกล่าวออกมา “ตามแต่ท่านจะตัดสินใจ”


 


จอมมารครุ่นคิดพักหนึ่ง ก่อนจะหันไปถามซูเซี่ยเอ๋อ “แล้วเจ้าเล่า มีความคิดเห็นว่าอย่างไร?”


 


ซูเซี่ยเอ๋อหันไปมองกลุ่มเด็กสาว


 


ทั้งหมดคุกเข่าลงเบื้องหน้าเธอ และร่ำไห้อ้อนวอนขอความเมตตา


 


ซูเซี่ยเอ๋อมองไปยังหนังสือที่เมื่อครู่ยัดอยู่ในถุงขยะจนมันเปื้อนฝุ่นไปหมด


 


—นั่นคือหนังสือเล่มเล็กที่กู่ฉิงซานมอบให้เธอ เป็นหนังสือเล่มจริง


 


ทว่าในสถานการณ์สิ้นหวัง เธอกลับใช้หนังสือเล่มนี้เป็นกับดัก เพื่อไขว่คว้าฟางเส้นสุดท้ายที่จะรอดชีวิต


 


*(เฉลยปม ซูเซี่ยเอ๋อกับแหวนได้ร่วมมือกันให้เด็กสาวกลุ่มนี้เห็นว่าตนกำลังอ่านหนังสือ + เฝ้ารอให้พวกเธอไปฟ้อง+ฉวยโอกาสเอาหนังสือไปซ่อนที่อีกฝ่ายนั่นเอง)


 


เวลานี้กลุ่มก้อนเปลวไฟปรากฏขึ้นบนหนังสืออย่างรวดเร็ว มันถูกแผดเผาจนมิอาจกู้คืนได้ สุดท้ายมันก็กลายเป็นเถ้าถ่าน


 


ราวกับได้ยินเสียงอันอ่อนโยนของกู่ฉิงซานกระซิบอยู่ในหูของเธอ


 


“ … หนังสือเล่มเล็กๆนี้คือวิธีการฝึกยุทธ มันสำคัญมาก เธอจะต้องฝึกฝนมันอย่างตั้งใจนะ”


 


“รีบฝึกฝนจะได้แข็งแกร่งขึ้นเร็วๆ อนาคตข้างหน้า โลกมันไม่แน่ไม่นอน เธอจะต้องแกร่งพอที่จะปกป้องตัวเองให้ได้นะ”


 


“เก็บมันไว้ให้ดีล่ะ!”


 


แต่ตอนนี้ เธอได้สูญเสียหนังสือเล่มนั้นไปตลอดกาลแล้ว


 


“ท่านอาวุโสบังคับกฏ คำพูดของหนูจะมีประโยชน์หรอ?” เธอถาม


 


“เจ้าเป็นเหยื่อ ดังนั้นคำพูดเจ้าย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีประโยชน์” จอมมารชุดคลุมเลือดกล่าว


 


เสียงร่ำไห้ของเหล่าเด็กสาวยิ่งดังขึ้น


 


พวกเธอแผดเสียงอ้อนวอนซูเซี่ยเอ๋อ


 


ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยเสียงกระซิบ “เรียนรู้วิชาชั่วร้าย หลอกลวงผู้ฝึกสอน หนูคิดว่าสมควรจะถูกลงโทษโดยการเป็นอาหารแมงมุมในเหว”


 


“นั่นสินะ” จอมมารชุดคลุมเลือดพยักหน้า


 


เขาโบกมือออกไป


 


แล้วเส้นสีขาวที่มีลักษณะคล้ายผ้าไหมก็ห้อยลงมาจากเพดาน


 


กลุ่มเด็กสาวที่กำลังร่ำร้อง ถูกเส้นไหมเหล่านั้นรัดพันรอบหัวเอาไว้ จนเสียงมิอาจเล็ดลอดออกมาได้อีก


 


และแมงมุมยักษ์หลากสีสันก็ตกลงมาจากเพดาน


 


แมงมุมยักษ์ยื่นเท้าบางๆของมันออกไป จับเส้นไหมสีขาวเหล่านั้น แล้วหมุนๆไปรอบๆ ห่อพวกเธอจนดูราวกับมัมมี่


 


แมงมุมนำมัมมี่สดใหม่ขึ้นไปบนเพดาน และออกไปนอกหน้าต่างด้วยความพึงพอใจ


 


“การพิพากษาในวันนี้สิ้นสุดลงแล้ว เจ้าสามารถกลับไปได้แล้วล่ะซูเซี่ยเอ๋อ” จอมมารชุดคลุมเลือดกล่าว


 


แต่แล้วเขาก็พลันฉุกคิดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับเธอ ก่อนจะกล่าวว่า “ข้านึกขึ้นได้ว่าเจ้ากำลังจะเข้าร่วมการทดสอบฝึกหัดในครั้งนี้ และคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดที่จะผ่านเกณฑ์ก็พึ่งกลายเป็นอาหารแมงมุมไปเมื่อครู่แล้ว”


 


“แม้ตอนนี้พวกเธอจะหายไปแล้ว แต่เจ้ามิอาจประมาทผ่อนปรนได้ จงพยายามอย่างหนักต่อไป” ร่างแห้งกรังแนะนำแนวทางให้ปฏิบัติตาม


 


แล้วจู่ๆทันใดนั้นก็บังเกิดม้วนคัมภีร์ผุดออกมาจากความว่างเปล่า


 


ม้วนคัมภีร์หายไป และวินาทีต่อมามันก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าซูเซี่ยเอ๋อ


 


“ท่านอาวุโส สิ่งนี้คืออะไรกัน?” ซูเซี่ยเอ๋อถามด้วยความสงสัย


 


“นั่นสำหรับเจ้า”


 


ซูเซี่ยเอ๋อยิ้มเล็กน้อย โค้งกายกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ “ขอบพระคุณท่านอาวุโสบังคับกฏ”


 


“ไม่จำเป็นต้องสุภาพ พ่อแม่เจ้าเป็นนักเรียนของข้า แต่ข้ากลับมิได้ใส่ใจดูแลใดๆเจ้าเลย แถมยังเกือบลากเจ้าลงสู่หุบเหวแห่งความตายเสียแล้ว นี่ถือว่าเป็นคำขอโทษเล็กๆน้อยๆจากข้าก็แล้วกัน” จอมมารชุดคลุมเลือดกล่าว


 


ซูเซี่ยเอ๋อมิได้เปิดม้วนคัมภีร์ แต่รับมันมาโดยตรง


 


“ม้วนคัมภีร์นี้มีอิทธิพลต่อตัวหนูมากจริงๆ มันจะต้องช่วยเหลือหนูได้มากแน่ๆ ดังนั้น หนูไม่ปฏิเสธที่จะรับมัน แต่ถ้าหากวันหนึ่งหนูประสบความสำเร็จในอนาคต หนูจะไม่ลืมเลือนความเมตตาของท่านอย่างแน่นอน” เธอกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว


 


เมื่อเข้าสู่เกาะหมอกในตอนแรก ทุกคนจะไม่มีพลังอำนาจใดๆจนกว่าพวกเขาจะถูก ‘ปลุกให้ตื่น’ ขึ้นมา


 


และมันเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับพลัง หากคุณไม่ปล้นจากผู้อื่น หรือได้รับของขวัญ , ของรางวัลจากผู้ฝึกสอนระดับสูง คุณไม่มีทางที่จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน


 


ม้วนคัมภีร์นี้ ย่อมสามารถช่วยซูเซี่ยเอ๋อได้อย่างมหาศาล


 


เธอไม่เพียงแต่ยอมรับมัน แต่ยังกล่าวแบบนี้ออกมา


 


จอมมารชุดคลุมเลือดค่อนข้างแปลกใจ แต่ขณะเดียวกันก็ค่อนข้างสุขใจเล็กน้อย


 


เด็กสาวผู้นี้ช่างเป็นคนที่มีความประพฤติซื่อตรง วาจาไม่มีมดเท็จ แถมยังรู้จักตอบแทนพระคุณ


 


ไม่เลวเลย


 


“เจ้ามีความมั่นใจในการทดสอบฝึกหัดหรือไม่?” จอมมารชุดคลุมเลือดกล่าวด้วยความเป็นห่วง


 


ซึ่งนี่แตกต่างจากตอนหญิงชุดดำ เขาดูจะเป็นห่วงเธออย่างแท้จริง


 


“หนูไม่มีความมั่นใจเลย” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว


 


จอมมารชุดคลุมเลือดยิ้ม และเอ่ยว่า “เจ้ามาถึงเกาะหมอกทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่ นั่นย่อมหมายความว่าโชคชะตาโปรดปรานในตัวเจ้า มิต้องกังวลไปหรอก”


 


ซูเซี่ยเอ๋อลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดสิ่งที่เก็บลึกอยู่ในจิตใจออกมาว่า “หนูอาศัยเครื่องมือบางอย่าง เลยสามารถมีชีวิตรอดมาถึงเกาะหมอกได้”


 


เธอกล่าวต่อ “อันที่จริง หากวัดกันเฉพาะความสามารถ หนูย่อมไม่มีทางรอดชีวิตมาถึงที่นี่ได้แน่ๆ”


 


“เพราะฉะนั้น หนูเลยไม่มีความมั่นใจในการทดสอบ”


 


จอมมารชุดคลุมเลือดพอได้ฟังก็รู้สึกคาดไม่ถึง


 


เขาสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเทใจมาให้เขา ไว้ใจเขา


 


ลูกสาวของนักเรียน เด็กกำพร้า กำลังบอกกล่าวความลับในใจออกมา


 


กี่ปีดีดักแล้วหนอ ที่มีคนกล้าที่จะมาใกล้ชิดกับตนเอง?


 


หลังจากที่เงียบงันไปสักพัก จอมมารชุดคลุมเลือดก็เอ่ยออกมาในที่สุด “ซูเซี่ยเอ๋อ ข้าจะบอกความจริงกับเจ้า”


 


“เชิญชี้แนะ”


 


“หากโชคชะตามิได้โปรดปรานเจ้า ต่อให้มีเครื่องมือใดๆ เจ้าก็มิอาจเข้ามาถึงเกาะหมอกได้อยู่ดี”


 


“เจ้าคิดว่าบนอากาศจะไม่มีมารอยู่เลยหรือไร?”


 


“เป็นเวลากว่าร้อยปีแล้ว และเจ้าเป็นคนเดียวที่บินข้ามผ่านอากาศที่ว่างเปล่าทั้งหมดทั้งมวล สามารถมาถึงเกาะหมอกได้ โดยมิดึงดูดความสนใจจากมอนสเตอร์”


 


ซูเซี่ยเอ๋อชะงักงัน


 


มันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆหรือ?


 


ตนเองละทิ้งโชคชะตาก่อนหน้า เพื่อใช้มันแลกบัตรผ่านเข้ามาสู่โลกใบนี้


 


แต่ผลลัพธ์คืออะไร?


 


ตนเองถูกส่งมายังมหาสมุทรแห่งซากศพ


 


เกือบจะถูกกัดกินโดยมอนสเตอร์ในทะเล


 


หลังจากเข้าสู่เกาะหมอก ก็ถูกนักเรียนฝึกหัดด้วยกันอิจฉา ถูกผลักไสและต้องแยกตัวออกไปอยู่อย่างโดดเดี่ยว


 


ผู้ฝึกสอนยี่ชาก็ต้องการเอาชีวิตเธอ


 


เธอน่ะหรือคือคนที่โชคชะตาโปรดปราน?


 


ดูเหมือนว่ามันจะเกลียดเธอซะมากกว่า


 


ทว่าตัวตนที่มีชื่อเสียงอย่างจอมมารชุดคลุมเลือดเป็นคนเอ่ยปากออกมาด้วยตนเอง ฉะนั้นย่อมไม่มีทางที่เขาจะโกหก


 


ซูเซี่ยเอ๋อลังเลเล็กน้อย


 


จอมมารมองไปยังการแสดงออกทางสีหน้าของเธอ และในหัวใจของเขาก็ตระหนักถึงมันดี


 


จอมมารชุดคลุมเลือดยังคงกล่าวต่อว่า “ไม่ว่าใครก็ตาม เมื่อมาถึงเกาะหมอก โชคชะตาของพวกเขาจะถูกเขียนขึ้นใหม่”


 


“ชีวิตหรือความตาย , ความปรารถนาในหัวใจของเจ้า , การต่อต้านและเรียกร้องในโชคชะตา”


 


“ไม่ว่าเจ้าจะพึ่งพาเครื่องมือหรืออะไรก็ตาม นั่นคือของขวัญจากโชคชะตาที่ถูกเขียนขึ้นใหม่เพื่อมอบมันให้แด่เจ้า”


 


“มิฉะนั้นโชคชะตาจะคงจะทำลายตัวเจ้าไปแล้ว”


 


ซูเซี่ยเอ๋อฟังอย่างตั้งใจ พยักหน้าโดยไม่รู้ตัว


 


ดูเหมือนว่าจอมมารชุดคลุมเลือดจะรู้สึกตัวว่าตนพูดมากไปเล็กน้อย เขาจึงโบกมือและกล่าว “เจ้าไปเถอะ จงไปเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการทดสอบ”


 


“เจ้าค่ะ ขอบพระคุณท่านอาวุโสบังคับกฏ ขอบพระคุณท่านผู้ฝึกสอน”


 


ซูเซี่ยเอ๋อคำนับและค่อยเดินจากไปอย่างช้าๆ


 


เธอชะลอฝีเท้าลง และออกจากกรมบังคับกฏไปอย่างสงบ


 


หลังจากที่เธอจากไป


 


รูปปั้นยักษ์ก็หายไปทันที


 


ตลอดทั้งกรมบังคับกฏ หลงเหลือเพียงจอมมารชุดคลุมเลือดที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เพียงลำพังเท่านั้น


 


จอมมารนั่งอยู่เฉยๆ สักพักเขาก็พูดกับตัวเองว่า “ยังไม่ตาย แต่ร่างกายกลับให้ความรู้สึกถึงกลิ่นอายแรกเกิดใหม่ของโชคชะตา ช่างเป็นเด็กน้อยที่โชคดีเสียจริงๆ”


 


ซูเซี่ยเอ๋อมุ่งหน้าไปยังห้องพักของตนเอง


 


การทดสอบของนักเรียนฝึกหัด สามอันดับแรกจะมีรางวัลพิเศษมอบให้


 


นั่นคือคนเหล่านั้นจะมีอิสระที่จะกำหนดอาจารย์ที่ปรึกษา แทนที่จะถูกคัดเลือกโดยผู้ฝึกสอนแทน


 


ดังนั้นสามตำแหน่งนี้จึงเป็นสิ่งยั่วยวน และแก่งแย่งกันของผู้คนนับไม่ถ้วน


 


ทุกประเภทและวิธีการต่างๆจะถูกนำออกมาใช้อย่างไม่รู้จบ


 


และตัวเธอเอง ในฐานะที่เป็นคนเดียวในรอบร้อยปีที่มายังเกาะหมอกแบบยังมีชีวิต ย่อมมีแนวโน้มที่จะได้รับหนึ่งในตำแหน่งนั้น


 


นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนอิจฉาตาร้อน


 


และพวกเขาย่อมที่จะคิดหาวิธีจัดการกับตัวเธออย่างแน่นอน


 


ถูกทำเย็นชาใส่ ขับไล่ผลักไส กีดกัน กระทั่งกลั่นแกล้งด้วยกำลัง


 


อย่างสุดท้ายก็คือ ในระหว่างทางที่เธอและกลุ่มเด็กสาวกำลังไปที่ห้องสมุด พวกนั้นก็หาทางทำให้นักเรียนทางการหันมาหาเรื่องเธอได้สำเร็จ


 


ถ้าไม่ใช่ว่านักเรียนคนนั้นต้องเข้าชั้นเรียนไปก่อนแล้วล่ะก็ เธอก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นต่อไป


 


โชคดีจริงๆที่เธอไม่ได้เลือกที่จะนั่งรอความตายอยู่เฉยๆ


 


พวกเด็กสาวกลุ่มนั้น สุดท้ายก็พลาดสะดุดขาตัวเองพ่ายแพ้ไป


 


บางทีวันนี้ หรือพรุ่งนี้ แมงมุมหุบเหวอาจจะกินพวกเธอ


 


—อาาาา ความรู้สึกที่ได้แก้แค้นอย่างสาสมใจนี่มันดีจริงๆ


 


รอยยิ้มพึงใจค่อยๆผุดขึ้นมาบนใบหน้าของซูเซี่ยเอ๋อ


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.345 – คนที่ถูกเลือกโดยสวรรค์


 


ตลอดทาง นักเรียนฝึกหัดหลายคนได้รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในกรมบังคับกฏ


 


ผู้คนต่างพูดคุยกระซิบกระซาบ เฝ้ามองดูซูเซี่ยเอ๋อจากระยะไกล


 


ในแววตาที่มองซูเซี่ยเอ๋อ นอกเหนือไปจากร่องรอยริษยาแล้ว มันยังแฝงไว้ซึ่งความกลัวอยู่หลายส่วนอีกด้วย


 


ที่ใดก็ตามที่ซูเซี่ยเอ๋อเดินมาถึง ผู้คนจะรีบหลีกทางให้เธอทันที


 


“ขอบคุณ”


 


รอยยิ้มแขวนอยู่บนใบหน้าของซูเซี่ยเอ๋อ ปากเอ่ยแสดงความปรารถนาดีต่อเหล่าคนที่เปิดทางให้เธอ


 


เมื่อผู้คนเหล่านั้นเห็นทัศนคติของเธอ ก็บังเกิดความคิดในจิตใจที่แตกต่างกันออกไป


 


อย่างน้อยการแสดงท่าทีว่าเป็นศัตรูก็ถูกปิดซ่อนเอาไว้ พวกเขาไม่กล้าที่จะแสดงมันออกมาโดยตรงต่อหน้าซูเซี่ยเอ๋อ


 


ซูเซี่ยเอ๋อเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง


 


และประตูก็ถูกปิดลง


 


ซูเซี่ยเอ๋อคุกเข่าลงบนเตียง เอนอิงหัวตัวเองพิงกับผนังข้างๆอย่างแผ่วเบา


 


หยาดน้ำตาหยดลงจากใบหน้าเธอ ร่วงลงบนผ้าปูที่นอน


 


“ขอโทษนะ … ฉิงซาน ฉันเสียหนังสือที่นายได้ให้ไว้ไปซะแล้ว … ”


 


เธอร้องไห้อยู่สักพัก ก่อนจะปาดน้ำตาออก


 


ตามด้วยเส้นผมเส้นหนึ่งที่ว่ายออกมาจากปากเธอและตกลงบนเตียง


 


และผมเส้นนั้นก็แปรสภาพเปลี่ยนเป็นแหวน


 


“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง” ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถาม


 


แหวนในมือเธอตอบกลับมาว่า “คลื่นความผันผวนชีวิตของพวกเธอได้หายไปแล้ว”


 


“คุณคิดว่ามันจะมีช่องโหว่ในแผนนี้รึเปล่า?” ซูเซี่ยเอ๋อถาม


 


“สมุดบันทึกการศึกษาของแม่คุณที่ถูกหยิบขึ้นมาอ่านโดยจอมมาร มันถูกดึงออกมาจากวิชาเรียน 30 วิชาในห้องสมุด ตัวสมุด กระดาษ และร่องรอยขีดเขียนล้วนถูกผลิตด้วยนาโนเทคโนโลยีล่าสุด และวัสดุที่สลายตัวในระดับจุลภาค ส่งผลให้มันดูไม่แตกต่างกันจากกระดาษที่ถูกทิ้งไว้มานานหลายทศวรรษ ดังนั้นมันจึงไม่สมควรที่จะมีช่องโหว่ใดๆ”


 


ซูเซี่ยเอ๋อผ่อนคลายลง และเอื้อมมือออกไปสัมผัสในความว่างเปล่า


 


ม้วนคัมภีร์สีเลือดปรากฏขึ้นในมือของเธอ


 


นี่คือสิ่งที่อาวุโสบังคับกฏมอบมันให้แด่เธอเป็นรางวัล


 


ไม่นาน หลังจากที่มาถึงเกาะหมอก ตัวเธอเองก็ได้รับคัมภีร์เทียนซวนอย่างเป็นทางการเสียที


 


และมันยังเป็นม้วนคัมภีร์ของท่านอาวุโสบังคับกฏอีกด้วย!


 


หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะมีคนอิจฉาตาร้อนเธอมากขนาดไหน


 


ซูเซี่ยเอ๋อคลี่ม้วนคัมภีร์อย่างระมัดระวัง


 


นี่คือม้วนคัมภีร์ที่มีลวดลายป็นเอกลักษณ์


 


ภายในม้วนคัมภีร์ มีรูปวาดของนางฟ้าในชุดคลุมสีขาว


 


ดวงตาของนางฟ้านั้นว่างเปล่า และท่าทีการแสดงออกก็แข็งทื่อราวกับท่อนไม้


 


ใกล้กับหัวของนางฟ้า มีเงาดำจำนวนนับไม่ถ้วนลอยล่องอยู่


 


ในส่วนล่างของม้วนคัมภีร์ มีตัวอักษณขนาดเล็กถูกขีดเขียนเอาไว้สองบรรทัด


 


“ช่วงเวลาว่างเปล่าของทวยเทพ”


 


“คำอธิบาย : เมื่อศัตรูเตรียมที่จะทำการโจมตีขั้นร้ายแรง สติอารมณ์และสภาวะจิตใจของศัตรูจะตกอยู่ในสถานะว่างเปล่าเป็นเวลา 3 วินาที”


 


สีหน้าของซูเซี่ยเอ๋อแสดงออกถึงความสุข


 


หากตัดสินจากความรู้และประสบการณ์ที่เธอเข้าใจ นี่คือม้วนคัมภีร์ที่จะสามารถพลิกสถานการณ์ได้นับครั้งไม่ถ้วน


 


และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ รูปแบบของม้วนคัมภีร์นี้เป็นนางฟ้า เห็นได้ชัดว่ามันหมายถึงผู้ฝึกสอนยี่ชา


 


อาวุโสบังคับกฏอย่างไรก็คืออาวุโสบังคับกฏ หลังจากทั้งหมดนี้ เขาเองก็คงจะสังเกตเห็นถึงบางสิ่ง


 


ซูเซี่ยเอ๋อเก็บม้วนคัมภีร์อย่างระมัดระวัง จากนั้นเธอก็หันไปมองหน้าต่างสถานะในจินตนาการบนสายตาของเธอ


 


นี่คือระบบของเธอ


 


บนหน้าต่างสถานะ  ภารกิจแรกที่บอกให้เธอเอาชีวิตรอดได้เสร็จสมบูรณ์


 


เธอประสบความสำเร็จในการเอาชีวิตรอด และได้รับรางวัลเป็น ‘ตัวตนใหม่’


 


ในโลกใบนี้ พ่อแม่ของเธอคือผู้เสียสละชีวิตเพื่อเกาะหมอก และเธอเป็นเด็กกำพร้าที่ล่องลอยอยู่ภายนอก


 


นี้คือการเขียนทับประวัติศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับจากกฏของโลก เอกสารข้อมูลหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดล้วนสามารถพิสูจน์ได้


 


นี่คือตัวตนใหม่ที่ซูเซี่ยเอ๋อได้รับมา


 


สำหรับภารกิจที่สอง มันยังไม่ปรากฏขึ้นจนถึงขณะนี้


 


ระบบยังคงเงียบ


 


ซูเซี่ยเอ๋อมองไปยังหน้าต่างสถานะในจินตนาการและถอนหายใจออกมา “ระบบเอ๋ยระบบ เมื่อไหร่คุณจะตอบรับคำของฉันซักที”


 


ติ๊ง!


 


จู่ๆระบบก็ตอบรับคำเธออย่างกระทันหัน


 


“ระบบได้ทำการสร้างอัตลักษณ์ตัวตนใหม่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับคุณ ดังนั้นมันจึงได้ใช้พลังงานทั้งหมดที่มีออกไป”


 


“ขอให้ผู้เล่นโปรดระวังตัวด้วย เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ได้ถูกรับรู้จากผู้ทดสอบอีกคนหนึ่งแล้ว และเธอกำลังโกรธมาก”


 


“เธอยังคงต้องการที่จะสังหารคุณ”


 


ในหัวใจของซูเซี่ยเอ๋อคับข้องใจยิ่งนัก


 


“ฉันรู้แล้วว่าคนๆนั้นคือผู้ฝึกสอนยี่ชา แต่ทำไมเธอถึงต้องการฆ่าฉัน?” ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถามด้วยความสับสน


 


“เพราะเพียงคุณตาย เธอก็จะมีสิทธิ์ที่จะครอบครองทั้งระบบแต่เพียงผู้เดียว”


 


“ทำไมกัน?” ซูเซี่ยเอ๋อโพล่งออกมา


 


นี่มันเป็นปริศนา … เป็นความลึกลับที่เธอไม่สามารถแก้ได้


 


เธอไม่เคยรู้จักอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายกลับต้องการที่จะฆ่าเธอ


 


ระบบตอบกลับไปว่า “นอกเหนือไปจากคนในโลกเกาะหมอก ทุกๆคนที่มาจากโลกอื่น จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถใช้พลังของเทียนซวนเพื่อสร้างระบบคำสั่งใหม่ในโลกเดิมของพวกคนเหล่านั้นได้”


 


“สรุปง่ายๆว่าถ้ามีฉันคอยควบคุมคุณอยู่ด้วย เธอก็จะสูญเสียคุณสมบัตินี้ไป ถูกต้องไหม?”


 


“นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น”


 


“เธอมาจากโลกเดียวกันกับฉัน .. ”ซูเซี่ยเอ๋อกลายเป็นว่างเปล่า


 


ในจอสายตา ตัวอักษรเล็กๆเริ่มที่จะปรากฏขึ้นบนหน้าต่างสถานะ


 


“ตอนนี้ ถึงเวลามอบหมายภารกิจที่สองแล้ว”


 


“ชื่อภารกิจ : บุคคลที่สวรรค์แต่งตั้ง”


 


“วัตถุประสงค์ภารกิจ : ผู้เล่นจะต้องกลายเป็นผู้ทดสอบเพียงหนึ่งเดียว”


 


“อธิบาย 1 : ในสองผู้ทดสอบ จะมีผู้เล่นเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จะสามารถเป็นเจ้าของระบบได้”


 


“อธิบาย 2 : หากผู้เล่นออกจากเกาะหมอก เขาหรือเธอจะถูกกำจัดทันที และจะไม่สามารถเชื่อมต่อกับระบบได้อีกต่อไป”


 


ซูเซี่ยเอ๋ออ่านคำอธิบายภารกิจ และหายไปในห้วงความคิด


 


ผู้ฝึกสอนยี่ชาต้องการที่จะฆ่า


 


เพราะงั้นตอนนี้ สันนิษฐานว่าเธอก็น่าจะได้รับภารกิจนี้ด้วยเช่นกัน


 


เราจะสามารถรับมือกับผู้ทดสอบที่เป็นถึงผู้ใช้เทคนิคเทียนซวนแสนอันตราย แถมยังทรงพลังจนน่าหวาดกลัวเช่นนี้ได้อย่างไร?


 


คืนนี้ฉันพึ่งจะพิสูจน์ว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์ และออกมาจากกรมบังคับกฏอย่างสบายๆ


 


อาวุโสบังคับกฏยังให้ความสนใจในตัวเธอ ถึงขั้นหยิบยื่นม้วนคัมภีร์ของตนเองให้!


 


อย่างไรก็ตามนี่มันก็แค่ในระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่อาวุโสบังคับกฏจะให้ความสนใจกับตัวเธอ ซึ่งเป็นเพียงบุคคลไม่สำคัญได้ตลอดเวลา


 


เธอจะต้องเข้าร่วมการทดสอบฝึกหัดในทันที …


 


ซูเซี่ยเอ๋อครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายจึงเอ่ยถามออกไป “ฉันจะสร้างความประทับใจแก่อาวุโสบังคับกฏได้ยังไง?”


 


คราาวนี้ ระบบไม่ได้เอ่ยตอบกับเธอ


 


“จากการวิเคราะห์การแสดงออกทางใบหน้า คำพูด และท่าทางของเขา เห็นได้ชัดว่าเขามีความสนใจในตัวคุณ” แหวนตอบแทน


 


ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถาม “อาวุโสบังคับกฏเป็นชายที่แข็งแกร่งที่สุดในเกาะนี้รึเปล่า?”


 


“จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอย่างครอบคลุม รวมกับเอกสาร 270 ฉบับในห้องสมุด และการวิเคราะห์เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์กว่า1496 เหตุการณ์ ได้ข้อสรุปว่า : อาวุโสบังคับกฏคือหนึ่งในสี่ตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดบนเกาะ”


 


“จุดอ่อนเพียงอย่างเดียวของเขาคือ ความอ่อนไหวทางด้านอารมณ์ และเป็นคนที่มักจะคิดถึงช่วงเวลาในอดีต”


 


“ดูเหมือนว่าแผนการของเราจะไม่มีอะไรผิดปกติ เพียงแต่ผิดพลาดในด้านเวลาก็เท่านั้น” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว


 


เพื่อต่อสู้กับโชคชะตา และได้รับความแข็งแกร่งมา ตัวเธอเองจะต้องพยายามหาหนทางที่จะได้เป็นนักเรียนของอาวุโสบังคับกฏให้จงได้


 


แต่แล้วเรื่องของผู้ฝึกสอนยี่ชาล่ะ? จะทำยังไงดี?


 


ทันใดนั้นเอง จู่ๆแหวนก็พูดออกมาว่า “ตามความรู้ความเข้าใจของเราเกี่ยวกับเกาะหมอกในทุกวันนี้ บ่งบอกชัดเจนว่าถ้าฉันยังคงอยู่ แผนของคุณอาจจะถูกตรวจพบโดยเหล่าอาจารย์ที่แข็งแกร่ง”


 


ซูเซี่ยเอ๋อพยักหน้าอย่างเงียบๆ


 


แหวนกล่าว “ซูเซี่ยเอ๋อ คงถึงเวลาที่จะต้องกล่าวคำอำลาแล้ว ฉันคงต้องทำลายตัวเอง เพื่อที่จะทำให้กลยุทธ์ของคุณประสบความสำเร็จ … ”


 


ซูเซี่ยเอ๋อเผยอปากขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา


 


เธอไม่สามารถหลั่งน้ำตาออกมาได้อีกแล้วในวันนี้


 


“โปรดจดจำเอาไว้ ว่าฉันคือผลผลิตร่วมกันระหว่างใต้เท้ากู่ฉิงซานและเทพธิดากงเจิ้ง – แหวนนาโน”


 


แหวนยังคงเปล่งเสียงอย่างต่อเนื่อง


 


“ฉันคงต้องออกตามหาสถานที่ๆไม่เกี่ยวข้องกับคุณเพื่อทำลายตัวเอง ลาก่อน”


 


ขณะที่แหวนกำลังเปล่งเสียง มันก็ตกจากเตียงของซูเซี่ยเอ๋อ และกลิ้งตัวออกไปจากห้อง


 


ไม่นานนักมันก็ไปถึงประตูทางเข้า


 


ซูเซี่ยเอ๋อนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ เฝ้ามองแหวนลอดประตูแล้วหายลับไป


 


มันจากไปแล้ว


 


ครั้งแรกก็หนังสือเทคนิคฝึกยุทธ คราวนี้ก็เป็นแหวนนาโน สิ่งต่างๆของกู่ฉิงซานจากเธอไปทีละชิ้น ทีละชิ้น


 


พวกมันทั้งหมดจากไปเพื่อปกป้องเธอ ทำให้เธอมีชีวิตรอดอยู่ต่อไป


 


เห็นได้ชัดว่า แม้เธอจะไล่ล่าออกตามหาความแข็งแกร่ง ด้วยทุกวิธีและหนทาง แต่ก็ยังไม่อาจเก็บรักษาของดูต่างหน้าของเขาไว้ได้อยู่ดี


 


ซูเซี่ยเอ๋อกัดริมฝีปากตน จนเลือดไหลซิบลงมา


 


ทันใดนั้นเธอก็ยกมือขึ้นปาดเลือดที่คาง และใช้นิ้วที่มีเลือดติดสอดเข้าไปในปากเพื่อลิ้มรสชาติของมัน


 


กลิ่นฉุนคล้ายสนิม ผสานไปกับกลิ่นคาวของเลือด


 


ความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อน ค่อยๆเข้ามาแทนที่การร่ำไห้และน้ำตา


 


‘ยี่ชา ตั้งแต่ที่แกต้องการจะครอบครองระบบแต่เพียงผู้เดียว ฉันนี่แหละจะเป็นคนทำให้แกจากไปตลอดกาลเอง’


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.346 – กลืนกินโชคชะตา


 


ค่ำคืนผ่านพ้นไป


 


ในวันถัดมา


 


บนเกาะหมอก


 


ภายในสถาบัน


 


ณ จตุรัสแแห่งการเสียสละอันศักดิ์สิทธิ์


 


โชคชะตากำลังเฝ้ารออยู่


 


แม้กลุ่มเด็กสาวเมื่อวานจะถูกแมงมุมจับกินแล้ว แต่ก็ยังมีนักเรียนฝึกหัดอีกมากกว่า 100 คนที่มาเฝ้ารอพิจารณาการทดสอบในตอนนี้


 


ทุกคนกระจายตัวอยู่รอบจตุรัส รายล้อมมันอย่างระแวดระวัง


 


“นั่นคือ ‘โชคชะตา’ ใช่ไหม?” บางคนถามเสียงกระซิบ


 


น้ำเสียงของคนๆนั้นดูจะสั่นเล็กน้อย


 


“ใช่ ตามวรรณกรรมบางเล่มที่บันทึกไว้ นั่นคือ ‘โชคชะตา’ ” คนที่ตอบกลับไปก็ดูจะประหม่าอยู่บ้างเช่นกัน แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าอีกฝ่าย


 


“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมจตุรัสถึงถูกสร้างขึ้นให้มีขนาดใหญ่ขนาดนี้” อีกคนกล่าวด้วยอารมณ์


 


โชคชะตาที่พวกเขากำลังกล่าวถึงอยู่นี้ ถูกวางต้องแสงอาทิตย์อยู่ใจกลางจตุรัสแห่งการเสียสละอันศักดิ์สิทธิ์


 


มันคืออสูรยักษ์ที่ไม่มีใครเคยพบเจอมาก่อน มันดูคล้ายกับจระเข้ แต่ขณะเดียวกันก็ดูเหมือนมังกร


 


หากมีคนไปยืนอยู่เบื้องหน้ามัน ขนาดตัวของเขาคงเล็กยิ่งกว่าเล็บเท้าของมันด้วยซ้ำ


 


อสูรยักษ์เผยอปากเล็กน้อย ผ่อนลมหายใจหนัก เป่าพัดพาผ่านจตุรัส


 


แม้จะมองจากระยะไกล แต่คุณก็จะสามารถเห็นฟันอันแหลมคมในปากของมันที่เรียงกันเป็นทิวแถวได้อย่างชัดเจน


 


-ราวกับว่าปากของมันถูกรังสรรมาเพื่อใช้ในการฉีกกัด บดขยี้โดยเฉพาะ


 


แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือดวงตาของอสูรยักษ์


 


ดวงตาของมันไม่ได้กลมหรือเป็นแนวตั้ง แต่กลับเป็นสีขาวขุ่น


 


เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของมันปฏิกริยาแรกของเรา จะรู้สึกว่ามันตาบอด


 


แต่หากคุณเฝ้ามองมันอย่างใกล้ชิด คุณจะพบว่าชิ้นส่วนสีขาวของมันนี้ช่างสดใส มีชีวิตชีวา และเต็มไปด้วยพลัง


 


นี่คือสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตา ที่ปัจจุบันเป็นอสูร


 


มันมาจากคณบดีของสถาบัน และเป็นเทคนิคเทียนซวนของคณบดี


 


อสูรยักษ์แห่งโชคชะตาก้มกวาดสายตามองผู้ชมรอบสนาม และค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ


 


ผู้ทดสอบทั้งหมดได้มากันพร้อมหน้าแล้ว


 


การทดสอบจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ


 


ในจตุรัส ไม่มีผู้ฝึกสอนหรืออาจารย์อาวุโสของสถาบันปรากฏกายขึ้น มีเพียงนักเรียนฝึกหัดกว่าร้อยคนที่กำลังเตรียมพร้อมอยู่เท่านั้น


 


“ไม่มีพวกผู้ฝึกสอนเลย? แล้วถ้าอย่างงั้นพวกเราควรจะทำอย่างไรดี?” หนึ่งในนั้นอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเสียงดังออกมา


 


แล้วเสียงสั่นไหวก็ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณอย่างกระทันหัน “พูดแบบนี้ แสดงว่าเจ้าไม่ได้ไปที่ห้องสมุดสินะ?”


 


มันเป็นเสียงของอสูรยักษ์แห่งโชคชะตา


 


ผู้คนต่างมองไปที่มันด้วยความตกใจ


 


“ผมต้องขออภัยด้วยจริงๆ พอดีว่าผมพึ่งได้รับชีวิตกลับคืนมาเมื่อวานนี้เอง เชิญท่านโปรดอธิบายด้วย” ชายคนนั้นรีบพูดแก้ตัวอย่างร้อนรน


 


เสียงใหญ่ดังขึ้นอีกครั้ง “โฮ่ พึ่งฟื้นคืนชีพเมื่อวานนี่เอง งั้นก็ไม่น่าแปลกใจเลย”


 


อสูรยักษ์แห่งโชคชะตามองผู้ฝึกหัดกว่า 100 คนบนลานกว้างและอธิบายว่า “พวกเจ้าจำเป็นที่จะต้องถูกกัดกินโดยข้า”


 


หลายคนพลันขนลุกซู่ ถอยหลังไปหลายก้าวด้วยความตกใจ ขณะที่บางคนถึงขั้นล้มลงก้นกระแทกพื้น


 


อสูรยักษ์แห่งโชคชะตาดูจะผิดหวังเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าพวกเจ้าหลายคนจะไม่ได้ไปศึกษาหาความรู้มาก่อนจากที่ห้องสมุด นี้มันไม่ดีเลยนะรู้ไหม ความรู้น่ะคือสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมได้ แต่พวกเจ้ากลับไม่รักมัน”


 


เสียงของอสูรยักษ์เผยร่องรอยดูหมิ่นออกมา


 


มันยังคงหันไปมองรอบๆอย่างเงียบๆ


 


ซูเซี่ยเอ๋อไม่รีรออีกต่อไป เธอก้าวเดินออกไปข้างหน้า ปากอ้าเปล่งวาจา “หนูรู้ขั้นตอนนี้ดี โปรดให้หนูได้ทดสอบเป็นคนแรกด้วยเถอะ”


 


เธอนั่งแช่อยู่ในห้องสมุดทุกวัน และรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับอสูรยักษ์แห่งโชคชะตา


 


เธอพร้อมแล้ว


 


ไม่ว่าอย่างไรตนเองก็ต้องอยู่ในอันดับบนๆให้จงได้


 


จนกว่าการทดสอบจะจบสิ้นลง ไม่ว่าผู้ฝึกสอนคนใดก็ไม่ได้รับอนุญาตให้มารบกวนการทดสอบอันศักดิ์สิทธิ์นี้


 


ยี่ชาก็ไม่มีข้อยกเว้น


 


ดังนั้น ด้วยวิธีนี้ เมื่อคุณเข้ารับการทดสอบเป็นคนแรก คุณก็จะมีช่วงเวลาอันล้ำค่ามากขึ้น กล่าวได้ว่ายิ่งรู้ผลไวเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีเวลาคิดหาหนทางต่อไปได้มากขึ้นเท่านั้น


 


คุณสามารถขบคิดหามาตรการรับมือตอบโต้ได้ในเวลาช่วงที่คนอื่นๆกำลังทำการทดสอบ


 


-คิดถึงสิ่งที่จะต้องทำต่อไปโดยพิจารณาตามผลการทดสอบของคุณ


 


ในจตุรัส


 


เมื่ออสูรแห่งโชคชะตาได้ยินเสียงของซูเซี่ยเอ๋อ


 


มันก็หันหัวขนาดใหญ่โต และใช้ดวงตาขาวขุ่นจับจ้องมาที่เธอ


 


วิสัยทัศน์ของมันติดตรึงอยู่กับร่างของซูเซี่ยเอ๋อ และไม่ละสายตาไปเลย


 


-เพียงแค่ดวงตาของมันก็มีระดับความสูงเกือบเทียบเท่าทั้งตัวของเธอ


 


รูม่านตาของอสูรยักษ์ถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวขุ่น บัดนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงฉับพลัน มันเบิกกว้างออกเล็กน้อย


 


‘นี่คือหมอกแห่งโชคชะตาที่ถูกกล่าวถึงในหนังสือใช่หรือไม่?’


 


ซูเซี่ยเอ๋อคิด


 


ในวินาทีต่อมา เสียงสั่นสะเทือนของคลื่นโซนิบูมจากตัวอสูรยักษ์แห่งโชคชะตาก็ถูกเปล่งออกมาจนเธอแทบจะทนยืนไม่ไหว


 


“ไม่ล่ะ เจ้ามันเป็นอาหารอันโอชะที่หาได้ยากยิ่ง และควรที่จะถูกกินเป็นมื้อสุดท้าย”


 


สิ้นคำกล่าว อสูรยักษ์แห่งโชคชะตาก็หันไปงับคนที่อยู่ถัดไปจากซูเซี่ยเอ๋อ


 


มันเคี้ยวเลือดเนื้อของคนๆนั้นโดยไม่สนใจเสียงกรีดร้องแสนสาหัสของอีกฝ่ายเลย


 


เลือดหยดย้อย ไหลทะลักออกมาจากปากของมัน


 


การถูกเจาะ ฉีกกัด เคี้ยว บดขยี้ซ้ำๆด้วยฟันอันแหลมคมนับไม่ถ้วน มันเป็นความเจ็บปวดที่มนุษย์มิอาจต้านทานรับไหว


 


นี่นับว่าเป็นขั้นตอนที่เจ็บปวดอันหาที่เปรียบมิได้สำหรับผู้ทดสอบ


 


ความเจ็บปวดที่รุนแรงอย่างฉับพลัน มันเกินเลยเหนือล้ำไปยิ่งกว่าการลงโทษจากนรก


 


ผู้ชมทั้งหมดที่มองไปยังฉากนี้ต่างเหวอจนแทบจะกลายเป็นโง่งม


 


“อา … อาหารรสจืดชืด … แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ได้หลบหนีจากชะตากรรมเดิม …”


 


อสูรยักษ์แห่งโชคชะตาหยุดเคี้ยวและคายซากเลือดออกมา


 


เลือดพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนจะแปรรูปเป็นร่างมนุษย์ และร่วงตกกลับลงมาบนพื้นอีกครั้ง


 


และคนที่ปรากฏตัวขึ้นก็ยังคงเป็นผู้ชายคนเดิม


 


เป็นคนที่เมื่อครู่กรีดร้องอลหม่านด้วยความตกใจและหวาดกลัวแทบคลั่ง


 


หลังจากที่ผ่านไปสักพักหนึ่ง เจ้าตัวก็ค้นพบถึงสิ่งผิดปกติ


 


เขายกมือขึ้น และสัมผัสลงบนใบหน้าของตัวเอง


 


ไม่มีร่องรอยของบาดแผลเลย?


 


“ฉันว่าเมื่อกี้ฉันตายไปแล้วแน่ๆ นี่มันน่าทึ่ง! ปาฏิหาริย์ชัดๆ!” เขาบ่นพึมพำ


 


ในอากาศที่ว่างเปล่า จู่ๆไพ่ใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา


 


ชายคนนั้นจ้องมองมันราวกับถูกแช่แข็ง ก่อนจะเผยถึงใบหน้าสุขสมเปี่ยมล้น


 


“ฉันทำได้! ฉันทำได้สำเร็จแล้ว! ฉันได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้งในฐานะเทียนซวน!(ผู้ที่ถูกเลือกโดยสวรรค์)”


 


ซูเซี่ยเอ๋อโน้มตัวไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น จ้องมองไปที่ไพ่


 


มันเป็นไพ่สีเทา


 


ในมุมมองห่างไกล เราจะสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันมีอาวุธอยู่ภายในไพ่ใบนั้น


 


แววตาของหลายคนแสดงถึงความริษยา


 


ซูเซี่ยเอ๋อม้วนริมฝีปากของเธอ และไม่สนใจมันอีกต่อไป


 


-มันก็แค่ไพ่ใบหนึ่งที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาเท่านั้น แถมยังเป็นไพ่อาวุธสีเทา ซึ่งนับการเป็นการตื่นขั้นต่ำสุด


 


ด้วยการประสบความสำเร็จของคนแรก ทำให้ทุกคนต่างเริ่มกระตือรือร้น


 


“คนต่อไป เจ้ามานี่”


 


อสูรยักษ์แห่งโชคชะตาตะโกนสั้นๆไปยังชายคนหนึ่ง


 


นั่นคือคนที่เมื่อครู่ได้เอ่ยปากออกมาว่าพึ่งได้รับชีวิตกลับคืนมาจากความตายเมื่อวานนี้เอง


 


อสูรยักษ์แห่งโชคชะตาอ้าปากของมัน และกัดงับอีกฝ่ายโดยไม่รีรอคำตอบใดๆจากเขา


 


มันเคี้ยวหงับๆในปาก


 


เห็นได้ชัดว่าชายคนนั้นรู้ว่าเขากำลังจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา แม้จะเจ็บปวด แต่ก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร่ำร้องที่แฝงแววปิติยินดีออกมาอย่างบ้าคลั่ง


 


“อืม เจ้ามีคุณสมบัติไม่เลวเลย” อสูรยักษ์แห่งโชคชะตาแม้จะกำลังเคี้ยว แต่ก็กล่าวประเมินอีกฝ่ายไปในตัว


 


และมันก็หยุดเคี้ยวอย่างกระทันหัน


 


โฮก!


 


เสียงคำรามด้วยความโกรธดังขึ้น


 


เหล่านักเรียนฝึกหัดที่เข้ารับการทดสอบตกใจจนผงะ


 


ขาของหลายคนสั่นสะท้าน ทิ้งก้นกระแทกลงพื้นอีกครั้ง


 


แต่ละคนต่างคิดกันว่าอสูรยักษ์แห่งโชคชะตาจะคายคนๆนั้นออกมา แต่ใครจะรู้ จู่ๆมันก็คำรามออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเสียอย่างนั้น


 


“พึ่งได้ฟื้นคืนชีวิตกลับมาเวื่อวาน? มันจะใช่หรือ? เจ้าได้เกิดใหม่มาตั้งหลายวันแล้ว แถมยังลักขโมยสิ่งของจากคนอื่นๆไปมากมาย!” อสูรยักษ์แห่งโชคชะตาสาดเสียงดังดั่งฟ้าร้อง


 


เสียของมันเต็มไปด้วยความโหดร้ายที่มิอาจเขียนบรรยายได้


 


ท่ามกลางสายตาของทุกผู้คน อสูรยักษ์ก็ผงกหัว ยกคอขึ้นทันใด


 


และมันก็กลืนชายคนนั้นลงไป!


 


ชายคนนั้นถูกกินเข้าไปแล้ว …


 


ผู้ชมนิ่ง ทึ่ง อึ้ง เงียบกันโดยสมบูรณ์


 


สักพัก อสูรยักษ์แห่งโชคชะตาก็อ้าปากกว้างที่เต็มไปด้วยเลือด และหันไปมองหาผู้ทดสอบคนต่อไป


 


“ใครจะมาเป็นคนต่อไป?” มันเอ่ยถาม


 


หลายคนหดตัวลีบด้วยความหวาดกลัว


 


แต่แล้วเด็กหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่งก็ยืนขึ้นและกล่าวว่า “ผมเองแล้วกัน จัดมาเลย”


 


ในแววตาของเขา มันถูกขีดเขียนไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว


 


“โห? ข้าพึ่งจะกินคนเข้าไปนะ เจ้ายังกล้าที่จะลุกขึ้นมาขอรับการทดสอบอีก?” อสูรยักษ์แห่งโชคชะตาพูดด้วยความสนใจ


 


หนุ่มรูปหล่อกล่าวว่า “มันไม่สำคัญหรอกว่าคนอื่นจะโดนอะไร เพราะนับจากนี้ไป หลังจากที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ผมก็จะพัฒนาการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และในที่สุดก็จะได้กลายเป็นจ้าวโลก – นี่คือโชคชะตาของผม!”


 


“ยอดเยี่ยม! มีความกล้าหาญและทะเยอทะยานไม่เลว งั้นคนต่อไปเป็นเจ้า” อสูรยักษ์กล่าว


 


มันเปิดปากออกและกินเด็กหนุ่มเข้าไป


 


ฟันนับร้อยนับพันเคี้ยวกรุบกรับไปมา เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด


 


หลังจากนั้นไม่นาน


 


อสูรยักษ์แห่งโชคชะตาก็เงยคอขึ้น และกลืนเด็กหนุ่มรูปหล่อคนนั้นเข้าไปเสียดื้อๆ!?


 


“คนต่อไป” มันกล่าวเสียงหนักทึบ


 


แต่ละคนต่างหันมามองหน้ากันด้วยความตกใจ


 


บางคนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมาว่า “ท่าน … แล้วสหายผู้นั้นล่ะ?”


 


“ก็อย่างที่เจ้าเห็น ข้าได้กินมันเข้าไปแล้ว” อสูรยักษ์กล่าว


 


ชายที่เอ่ยถามชะงักไป ก่อนจะเริ่มเอ่ยถามอีกทีว่า “ทำไมกัน? ทำไมท่านถึงไม่ปลุกให้เขาตื่นขึ้นมา?”


 


อสูรยักษ์ “นี่ไม่อาจตำหนิข้าได้ มันเป็นเพราะเขาไม่มีคุณสมบัติที่สอดคล้อง ดังนั้นเขาจึงต้องตาย”


 


“ความตาย ก็คือหนึ่งในโชคชะตาเช่นกัน”


 


เงียบ


 


บังเกิดความเงียบสงัดแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง


 


อารมณ์ความรู้สึกที่เรียกกันว่าตื่นตระหนกเริ่มกัดกินเข้ามาในจิตใจของทุกคน


 


แท้จริงแล้วกลับปรากฏว่า ผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติอย่างไรก็ต้องตกตาย


 


จะต้องถูกอสูรยักษ์ขบเคี้ยวจนตาย และกลืนกินเข้าไปในท้อง …


 


ทันใดนั้นก็มีคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาว่า “อย่ามาล้อกันเล่นนะ! ฉันจะไม่เข้าร่วมการทดสอบบ้าๆนี่แล้ว ฉันต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป!”


 


เขากำลังจะกลายเป็นบ้า ใบหน้าอาบนองด้วยน้ำตา หน้าผากของเขาถูกปกคลุมไปด้วยเหงื่อเม็ดใหญ่ขนาดเท่าลูกปัด


 


หลังจากถอยหลังไปไม่กี่ก้าวจนสะดุดล้มลง ชายคนนั้นก็ลุกขึ้นหันหลังและวิ่งออกไปจากจตุรัสอย่างสิ้นหวัง


 


อสูรยักษ์เฝ้ามองดูฉากนี้ด้วยความรังเกียจ และไม่เหลือบแลชายคนนั้นอีกต่อไป


 


ในความว่างเปล่า บังเกิดเสียงกระซิบกระซาบขึ้นมากมาย


 


“สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นแบบนี้”


 


“ข้าเห็นเขามาตั้งหลายปี … ”


 


“เจ้าบ้านั่นมันไม่ได้เรื่อง”


 


“เป็นแค่คนขี้ขลาด โชคชะตาจะไปใส่ใจมันได้ยังไงกัน”


 


ทันใดนั้นดูเหมือนว่าเสียงเหล่านี้จะบรรลุข้อตกลงร่วมกันแล้ว


 


“ปล่อยให้เขาไป ให้รับหน้าที่เป็นคนทำความสะอาดบนเกาะจนตาย”


 


“อืม”


 


“เห็นด้วย”


 


“เห็นด้วย”


 


แล้วเสียงทั้งหมดก็หายไป


 


ในเวลาเดียวกัน หลุมดำก็ปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าเบื้องล่างของชายที่กำลังวิ่งอย่างสิ้นหวัง


 


ทันใดนั้นเขาก็ตกลงไปในพื้น และหายวับไป


 


และหลุมดำก็หายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน


 


พื้นจตุรัสเรียบเนียน และไม่ปรากฏร่องรอยใดๆให้เห็นอีกเลย


 


จนกระทั่งเวลานี้ เหล่าผู้เข้ารับการทดสอบก็ได้รับรู้


 


ว่าแต่เดิมคณะผู้ฝึกสอนของสถาบันนั้นเฝ้ามองดูพวกเขาอยู่เสมอมา เพียงแต่พวกเขาไม่อาจมองเห็นได้ก็เท่านั้นเอง


 


บางที ที่ปรึกษาของทุกคนอาจกำลังเฝ้าสังเกตพวกเขาอย่างเงียบๆ


 


“ยังมีคนอื่นที่ต้องการจะถอนตัวอีกหรือไม่?” อสูรยักษ์เอ่ยถาม


 


ผ่านไปสักพัก


 


ก็ไม่มีใครส่งเสียงอะไรออกมา


 


“งั้นข้าขอเริ่มต่อก็แล้วกัน” อสูรยักษ์กล่าว


 


ไม่ว่าสิ่งที่ผู้ทดสอบเหล่านี้จะกำลังคิดสิ่งใดอยู่ แต่การกัดกลืนของอสูรยักษ์แห่งโชคชะตาก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง


 


ทีละคน คนแล้วคนเล่าถูกกินเข้าไป กลายเป็นสิ่งแปลกๆก่อนจะถูกถุยออกมา


 


อสูรยักษ์แห่งโชคชะตาบางครั้งก็คายเลือดออกมา ขณะที่บางครั้งก็คายเนื้อ หรือแม้กระทั่งกระดูก


 


แต่ไม่ว่าสิ่งที่คายออกมาจะเป็นอะไร เหล่าผู้ทดสอบก็จะได้รับการปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างแน่นอน


 


แต่แล้ว เมื่ออสูรยักษ์แห่งโชคชะตาได้คายน้ำกลุ่มก้อนหนึ่งออกมา ในอากาศที่ว่างเปล่า ก็บังเกิดเสียงสนทนานับไม่ถ้วนดังกึกก้องขึ้น


 


“ดูนั่นเร็ว นั่นน้ำล่ะ!”


 


“มันช่างเป็นเรื่องยากจริงๆที่จะได้เห็นลางบอกเหตุแห่งน้ำหลังจากเกิดใหม่ ”


 


“นับว่ามีคุณสมบัติที่ดี”


 


“เอาล่ะ ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะรับเอาเจ้าเด็กคนนี้เป็นศิษย์”


 


บอลน้ำได้แปรสภาพกลายเป็นนักเรียนฝึกหัดอย่างรวดเร็ว


 


เบื้องหน้าเขา ปรากฏไพ่ขึ้นถึงสามใบ


 


ตลอดช่วงเวลารับการทดสอบที่ผ่านมา เขาเป็นคนที่ได้รับไอเท็มเทียนซวนมากที่สุด!


 


นักเรียนฝึกหัดหลายคนที่เฝ้ามองดูฉากนี้ แถมยังได้ฟังเสียงสนทนาในอากาศที่ว่างเปล่า พวกเขาก็บังเกิดความอิจฉา ทว่าขณะเดียวกันก็บังเกิดความกระตือนรือร้นที่จะคว้าชัยชนะ!


 


การทดสอบดำเนินต่อไปโดยไร้ซึ่งปัญหาใดๆ


 


ในที่สุด มันก็เป็นตาของซูเซี่ยเอ๋อ


 


ทันใดนั้นการเคลื่อนไหวของอสูรยักษ์แห่งโชคชะตาก็กลายเป็นอ่อนโยนลง


 


มันยื่นหัวของมันออกมา ข้ามผ่านพื้นมาหยุดลงตรงหน้าซูเซี่ยเอ๋อ


 


“ข้ารู้มาว่าพ่อแม่ของเจ้าเสียสละชีวิตเพื่อเกาะหมอก ในภัยพิบัติครั้งนั้น”


 


ขณะกล่าว กระแสเสียงของอสูรยักษ์แห่งโชคชะตาก็สั่นไหวในอากาศ


 


ทุกสรรพเสียงรอบตัวเงียบสงัดลง ราวกับกำลังเคารพความเป็นส่วนตัวของมัน


 


ดูเหมือนว่าคนทั้งหมดจะจมลงสู่ห้วงความทรงจำ


 


อสูรยักษ์แห่งโชคชะตากล่าวต่อว่า “จงมั่นใจเถิด หากเจ้าไม่มีคุณสมบัติ ข้าจะใช้พลังของข้า สร้างเจ้าให้เกิดใหม่เป็นคนปกติดังเดิม แล้วเจ้าจะสามารถใช้ชีวิตในเกาะหมอกได้อย่างปลอดภัย”


 


ซูเซี่ยเอ๋อรับฟังอย่างตั้งใจ จนกระทั่งอสูรยักษ์แห่งโชคชะตากล่าวจบ


 


เกือบจะไม่มีความคิดใดๆ เธอก็เผยรอยยิ้มสดใสบริสุทธิ์ออกมา


 


“ขอบพระคุณท่าน แต่หากหนูไม่มีคุณสมบัติจริงๆ ก็โปรดกินหนูเหมือนที่ปฏิบัติกับคนอื่นๆเถอะ”


 


“เพราะเหตุใด? มีชีวิตอยู่ต่อไปมันไม่ดีหรือ?”


 


“ไม่ใช่เช่นนั้น”


 


ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว “หากต้องเผชิญหน้ากับโชคชะตาที่ยากจะต้านทาน ดังเช่นการถูกปกป้อง ถูกขังให้ตายลงอย่างโดดเดี่ยวบนเกาะ เหมือนซากศพแทนที่จะได้ใช้ชีวิต แบบนั้นมันจะดีกว่าหากปล่อยให้จิตวิญญาณของหนูกลับไป … ให้กลับไปยังสถานที่ที่มีคนรักและห่วงใย ถ้าอย่างนั้นต่อให้ต้องตาย หนู – ซูเซี่ยเอ๋อก็ไม่เสียใจ ”


 


“นี่คือคำขอสุดท้ายของเจ้าใช่หรือไม่?”


 


“ใช่ ถ้าหนูไม่มีคุณสมบัติ ก็ตามนั้นเลย”


 


“ข้ารับปากเจ้า”


 


อสูรยักษ์แห่งโชคชะตากล่าว และค่อยๆเปิดปากที่เต็มไปด้วยฟันอันแหลมคมอย่างช้าๆ


 


ซูเซี่ยเอ๋อเดินเข้าไป


 


ขณะนี้ ภายในความว่างเปล่าทั้งหมด พวกเขาแทบจะลืมหายใจ


 


ซูเซี่ยเอ๋อยืนอยู่ในปากของอสูรยักษ์แห่งโชคชะตา เฝ้ารอคอยความเจ็บปวดจากฟันอันแหลมคม


 


ร่างกายของเธอสั่นไหวเพราะความกลัว


 


วิสัยทัศน์ค่อยๆเปลี่ยนจากสว่างไสวลงสู่ความมืดมิด


 


เนื่องเพราะเวลานี้อสูรยักษ์แห่งโชคชะตากำลังปิดปากของมันลงอย่างช้าๆ


 


ทันใดนั้นความหวาดกลัวในสายตาของซูเซี่ยเอ๋อก็จางหายไป


 


ท่ามกลางฟันมากมายนับไม่ถ้วน แหลมคมดั่งหาที่ใดเปรียบ ปากงามของเธอเปล่งเสียงนุ่มนวลแผ่วเบาราวกระซิบออกมาคำหนึ่ง “ฉิงซาน … ”


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.347 – ความจริง


 


ปากมหึมาของอสูรยักษ์แห่งโชคชะตาปิดลงอย่างสมบูรณ์


 


ทว่าไม่ทันรีรอจะได้เคี้ยว ไม่ทันรีรอจะได้ฉีกกัด ไม่จำเป็นต้องรีรอใดๆ เสียง ‘ฟู่ววว’ เบาๆก็ดังและลอดออกมาจากปากของมัน


 


ในจตุรัส ภายในความว่างเปล่าทั้งหมดเดือดพล่านไปด้วยความตื่นเต้น!


 


นักเรียนฝึกหัดนับไม่ถ้วนต่างพากันสับสนถึงสถานการณ์นี้ แต่เหล่าอาจารย์ดูเหมือนว่าจะไม่สนใจพวกเขาเลย


 


บังเกิดเสียงสนทนาด้วยความตื่นเต้นนับไม่ถ้วนดังขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


“โอ้สวรรค์!”


 


“นี่ข้าตาฝาดไปรึเปล่า?”


 


“นี่มันเป็นเรื่องจริงหรือนี่?”


 


“มันผ่านมากี่ปีแล้วหนอ ที่ข้าได้เห็นเจ้าสิ่งนี้!”


 


“โอ้ท่านเทพมารมาโปรด ข้าพึ่งจะเคยเป็นมันเป็นครั้งแรกนี่แหละ ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันจะมีอยู่จริง!”


 


เสียงสนทนาเล่าลือแพร่กระจายไปทั่ว


 


นั่นเพราะ –


 


เมื่ออสูรยักษ์แห่งโชคชะตาปิดปากลง หมอกสีขาวบริสุทธิ์ก็บินออกจากปากของมันทันที


 


หมอกสีขาวค่อยๆควบแน่น รวมตัวกันแปรสภาพไปเป็นร่างมนุษย์


 


ดวงตาที่สว่างสดใส ซี่ฟันที่เปล่งประกาย รูปร่างอันงดงาม


 


ซูเซี่ยเอ๋อ


 


เธอพึ่งจะถูกกัดโดยโชคชะตาเข้าไปโดยตรง!


 


แต่ในกรณีของเธอ มันกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สอดประสานกันขึ้น


 


ผมสีดำขลับราวเส้นไหม แปรเปลี่ยนเป็นสีเงินขาว


 


เธอปรากฏตัวท่ามกลางจตุรัสในชุดคลุมสีขาวบริสุทธิ์พร้อมคทาในมือ!


 


ไม่ต้องกล่าวถึงคนอื่นๆ กระทั่งซูเซี่ยเอ๋อก็ยังตะลึงตัวเอง


 


เธอก้มลงมองชุดคลุมบนร่างกาย – นี่มันไม่ใช่เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่มาในวันนี้นี่นา


 


อมันก็ค่อนข้างดูดีทีเดียว


 


อย่างไรก็ตาม ไม่นาน เธอก็ละความสนใจจากเสื้อผ้าตัวเองไป


 


เพราะคทาในมือขยับไหวเล็กน้อย และทันใดนั้นไพ่เจ็ดใบก็กระโดดออกมาจากมัน


 


ซูเซี่ยเอ๋อเข้าใจอย่างชัดเจน


 


ว่าจริงๆแล้วเทคนิคเทียนซวนของตนเองที่พึ่งถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาคือประเภทไพ่


 


บรรพบุรุษของเก้าตระกูลใหญ่ ท่านผู้พิทักษ์ก็มีเทคนิคเทียนซวนประเภทไพ่เช่นกัน


 


ซูเซี่ยเอ๋อเอื้อมไปคว้าไพ่มาไว้ในมือและดูมัน


 


แต่กลับเห็นแค่เพียงบนไพ่เป็นรูป ดิน น้ำ ลม ไฟ อยู่ตามขอบมุมต่างๆ ขณะที่ช่องว่างตรงใจกลางระหว่างพวกมันนั้นว่างเปล่า


 


ตรงส่วนล่างของไพ่คือชื่อและรายละเอียดคำอธิบายของไพ่


 


“ต้นกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง”


 


“คำอธิบาย : เมื่อคุณพกไพ่ใบนี้ติดตัว คุณจะได้รับ 1 แต้มพลังวิญญาณในทุกๆชั่วโมง”


 


“การใช้งาน : พกติดตัวไปกับคุณ นั่นแหละคือการใช้งานมัน”


 


นับว่าเป็นไพ่เทคนิคเทียนซวนที่ดี!


 


มุมปากของซูเซี่ยเอ๋อยกสูงขึ้นเล็กน้อย


 


เธอน่ะเป็นคนฉลาด ดังนั้นเธอย่อมเข้าใจว่าในครั้งนี้ตนเองประสบความสำเร็จชนิดที่เรียกได้ว่าเกรี้ยวกราดครั้งใหญ่!


 


ไพ่เจ็ดใบปรากฏขึ้นพร้อมกัน ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ยากจะเห็นนักในประวัติศาสตร์ของเกาะหมอก


 


ในที่สุดฉันก็สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเองได้ และกลายมาเป็นผู้ได้รับเลือกจากสวรรค์!


 


“ซูเซี่ยเอ๋อ!” เสียงชราดังขึ้น


 


ซูเซี่ยเอ๋อหันไปมองรอบๆ แต่กลับไม่เห็นใครเลยนอกจากกลุ่มผู้ทดสอบร่วมกันกับเธอ


 


“เสื้อคลุมขาวและคทาน่ะมีความหมายในตัวของพวกมันเอง”


 


เสียงชรายังคงเอ่ยต่อ “ไพ่เจ็ดใบช่างเป็นเลขที่มงคลยิ่ง โชคชะตาโอบกอดเจ้าด้วยเลขมงคลที่ว่านั่น ดังนั้น กล่าวได้ว่าเจ้าเป็นคนที่โชคชะตาคาดหวังเป็นพิเศษ”


 


ซูเซี่ยเอ๋อตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ


 


เสียงยังคงกล่าวต่อ “เจ้าได้เอาชนะตัวเองในอดีตได้อย่างสมบูรณ์แล้ว และในไม่ช้า เจ้าก็กำลังจะกลายมาเป็นนายแห่งโชคชะตา ดังนั้นเจ้าจึงจะได้รับสิทธิพิเศษ”


 


“สิทธิพิเศษอะไร?” ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยถาม


 


“มันคงจะเป็นการไม่เคารพต่อโชคชะตาของเจ้า หากต้องมาให้ปฏิบัติติดตามผู้ฝึกสอนธรรมดาๆคนอื่นๆ ดังนั้น นับจากนี้ไป เจ้าจะสามารถเลือกหนึ่งในเจ็ดอาวุโสและติดตามเรียนรู้กับพวกเขาได้”


 


ซูเซี่ยเอ๋อเงียบไปครู่หนึ่ง สักพักจึงเอ่ยถาม “ระหว่างผู้อาวุโสกับผู้ฝึกสอน แตกต่างกันใช่หรือไม่?”


 


“ย่อมแน่นอนว่าใช่” เสียงเอ่ย “เหล่าอาวุโสน่ะคือปรมาจารย์ผู้ควบคุมโลก เป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่ง และสามารถสร้างวงจรกฏแห่งความอยู่รอดกับไพ่ เพื่อที่จะช่วยให้สิ่งมีชีวิตในโลกต่อสู้กับเผ่ามารในวันสิ้นโลกได้”


 


“เอาล่ะ ตอนนี้โปรดจงเลือก”


 


ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “เช่นนั้นหนูขอเลือกท่านอาวุโสบังคับกฏ”


 


ท่ามกลางความว่างเปล่า บังเกิดเสียงสนทนาดังขึ้นขยายเป็นวงกว้าง


 


ทันใดนั้นเองเสียงแหบห้าวก็ดังขึ้น


 


“จงเงียบให้ข้าได้พูดหน่อย!”


 


แทบจะในทันที เสียงอึกทึกโดยรอบทั้งหมดก็หายไป


 


ตามด้วยเสียงของจอมมารชุดคลุมเลือดปรากฏขึ้นในอากาศ


 


น้อยครั้งนักที่เขาจะปรากฏตัวขึ้นในที่สาธารณะ แต่สถานการณ์ในวันนี้มันอยู่เหนือจินตนาการของทุกผู้คนไปแล้ว ดังนั้นการที่เขาจะออกมาจัดการกับสถานการณ์ในเวลานี้ก็ไม่น่าจะแปลกอะไร


 


“ทำไมกัน? ทำไมเจ้าถึงเลือกข้าให้เป็นที่ปรึกษาของเจ้า?” จอมมารชุดคลุมเลือดเอ่ยถาม


 


“เพราะท่านเป็นอาจารย์ของแม่หนู” ซูเซี่ยเอ๋อยิ้ม


 


เดิมทีแล้วจอมมารชุดคลุมเลือดเตรียมใจที่จะได้ยินคำตอบแบบว่า ‘ตัวเขาเที่ยงธรรมนะ , เป็นสุดยอดตัวตนทรงพลังนะ , ครอบครองม้วนคัมภีร์ที่แข็งแกร่งมากที่สุดนะ , มีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง …บลาๆๆ’ แต่เดี๋ยวก่อน! ใครจะไปคิดว่าแท้จริงแล้วคำตอบที่ได้มากลับง่ายดายถึงเพียงนี้


 


“ด้วยเหตุผลแค่นี้?”  จอมมารชุดคลุมเลือดถามด้วยความแปลกใจ


 


“ใช่ ในตอนที่หนูยังเด็ก หนูเคยได้ยินแม่เล่าเกี่ยวกับชั้นเรียนของท่าน เธอชอบที่จะซักไซ้ไถ่ถามทุกครั้งในชั้นเรียน จนท่านเบื่อที่จะตอบและบอกให้เธอปิดปากเงียบเสีย ”


 


“เธอมักจะสนทนากับเจ้าเกี่ยวกับอดีตอย่างงั้นหรือ?” จอมมารชุดคลุมเลือดเอ่ยถาม


 


“ใช่ เพราะเธอไม่อยากลืมเลือนวันเวลาเหล่านั้น โดยเฉพาะในช่วงที่ท่านพาเธอไปเผชิญหน้ากับวันสิ้นโลก”


 


จอมมารชุดคลุมเลือดถอนหายใจและกล่าวว่า “แท้จริงแล้วมันเป็นแบบนี้ บอกได้เลยว่าวันเวลาเหล่านั้นช่างเป็นสิ่งสวยงาม มันเป็นความทรงจำอันล้ำค่าของข้า”


 


เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง


 


“ดีล่ะ เช่นนั้นก็เป็นอันตกลง นับจากนี้ต่อไปเจ้าจะกลายเป็นศิษย์ของข้า” จอมมารชุดคลุมเลือดตัดสินใจ


 


นี่ก็นับเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขาเช่นกัน


 


ด้วยการตัดสินใจในครั้งนี้ ส่งผลให้ในหัวใจของเขาบังเกิดความสุขขึ้นเล็กน้อย


 


นับตั้งแต่เกิดภัยพิบัติในครั้งนั้น เขาก็ไม่เคยคิดจะรับนักเรียนอีกเลย


 


อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ นักเรียนของตนได้ตายไปแล้ว แต่ลูกของนักเรียนตนกลับยังคงมองหาตน … และต้องการที่จะมาเป็นศิษย์ของเขาด้วยตัวเอง


 


การกระทำของสาวน้อยผู้นี้ เปรียบดั่งการคว้าไม้ต่อจากรุ่นแม่สู่ลูก


 


—นอกจากนี้ ยังช่วยเติมเต็มความทรงจำดีๆของเขาในวันเก่าๆที่ผ่านมา


 


จอมมารชุดคลุมเลือดกำลังจะร่อนลงจากกลางอากาศ เพื่อมาทักทายนักเรียนใหม่ของตนเอง


 


ทว่าทันใดนั้น-


 


“ช้าก่อน!” เสียงของผู้หญิงที่ฟังดูโกรธเกรี้ยวพลันดังขึ้น


 


หญิงที่ซ่อนตัวอยู่ในหมอกสีดำปรากฏกาย


 


เหนือหัวของเธอมีรัศมีแสงระยิบระยับ


 


ผู้ฝึกสอนยี่ชา


 


“มีอะไรหรือยี่ชา? หรือว่าเจ้าจะคัดค้านการรับศิษย์ของข้า?” ท่าทีการแสดงออกของจอมมารชุดคลุมเลือดเปลี่ยนเป็นมืดมน


 


“มิใช่เช่นนั้น แต่เธอได้กลายมาเป็นนักเรียนของข้าแล้ว” ผู้ฝึกสอนยี่ชากล่าว


 


เธอแอบลอบกัดฟันอย่างลับๆ


 


ให้ตายสิ!


 


โชคชะตาของนังลูกเจี๊ยบนี่ มันดีจนน่าอิจฉาจริงๆ


 


ยิ่งไปกว่านั้น หากปล่อยนังลูกเจี๊ยบมีชีวิตอยู่ต่อไปล่ะก็ โลกก็จะค่อยๆหลุดออกไปจากกำมือเธอ


 


นังเด็กนี่จะต้องตาย!


 


“อะไรนะ? นักเรียนของเจ้า?” จอมมารชุดคลุมเลือดชะงักเล็กน้อย


 


“ใช่ เธอรับปากสัญญาด้วยตนเองว่าจะเป็นนักเรียนของข้า ฉะนั้นข้าคงต้องขอโทษด้วย” ผู้ฝึกสอนยี่ชากล่าวอย่างช้าๆ


 


จอมมารชุดคลุมเลือดหุบปากลง


 


จังหวะการเต้นของหัวใจทุกคนสั่นระรัว บังเกิดความรู้สึกอันหลากหลายขึ้นในก้นบึ้งของจิตใจ


 


พื้นดินเริ่มจะสั่นไหว


 


ทันใดนั้นเอง อสูรยักษ์แห่งโชคชะตาก็แปรสภาพเป็นเขี้ยวยักษ์ในทันใด หนีหายวับออกไปจากจตุรัส


 


ภายในอากาศที่ว่างเปล่า ตัวตนนับไม่ถ้วนที่ซ่อนกายเริ่มตกอยู่ในความวุ่นวาย


 


มีบางคนเลือกที่จะเผ่นออกจากจตุรัสก่อนล่วงหน้าที่จะเกิดอะไรขึ้น


 


ตัวยี่ชาเองก็ตื่นตระหนกเล็กน้อยเช่นกัน


 


อีกฝ่ายทรงพลังเกินไป เพียงเขาเหยียดมือออกก็สามารถฆ่าตนเองได้แล้ว


 


เธอเร่งเอ่ยอย่างรวดเร็ว “โปรดสงบใจแล้วฟังข้าก่อน เรื่องนี้ซูเซี่ยเอ๋อเป็นคนเลือกด้วยตัวเอง เธอขอร้องต่อหน้าข้า ว่าต้องการเป็นนักเรียนของข้า … เป็นศิษย์ข้า หากท่านไม่เชื่อก็จงลองถามเธอดู”


 


จอมมารชุดคลุมเลือดหันขวับอย่างรุนแรง มองไปทางซูเซี่ยเอ๋อ


 


“เป็นเช่นนั้นหรือ? ซูเซี่ยเอ๋อ?” เขาเอ่ยถามแบบแทบจะคำรามออกมา


 


ซูเซี่ยเอ๋อส่ายศีรษะและกล่าว “ไม่ มันไม่ใช่เช่นนั้น”


 


จอมมารชุดคลุมเลือดชะงักงัน แล้วทันใดนั้นก็หัวเราะออกมา “มันดูเหมือนว่าหนึ่งในพวกเจ้ากำลังจงใจเล่นกลหลอกลวงข้า มาเถอะ เช่นนั้นพวกเราก็มาค้นหาความจริงของเรื่องนี้ให้มันชัดเจนกัน”


 


เขามองไปยังทิศทางหนึ่งและกล่าว “คณบดี เจ้าคิดเห็นเช่นไร?”


 


เสียงชราดังขึ้นมาว่า “ยี่ชา , เซี่ยเอ๋อสมควรที่จะพิสูจน์ตัวเอง นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น”


 


ยี่ชาจั่วไพ่ออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่า และเร่งยกมันชูขึ้นสูง


 


“โปรดดูไพ่ใบนี้ มันคือพยานหลักฐานการสนทนาระหว่างข้ากับซูเซี่ยเอ๋อ”


 


เธอถ่ายเพพลังของตนลงไป และโยนไพ่ขึ้นไปกลางอากาศ


 


ภาพเคลื่อนไหวถูกฉายออกมา


 


ซูเซี่ยเอ๋อและยี่ชายืนอยู่บนยอดเขา


 


เสียงสทนาได้ดังขึ้น


 


ยี่ชาเอ่ยถามเบาๆ “ซูเซี่ยเอ๋อ เจ้าต้องการที่จะคารวะข้าเป็นอาจารย์หรือไม่?”


 


รอสักครู่หนึ่ง เสียงของซูเซี่ยเอ๋อก็ดังตามมา


 


“หนูตัดสินใจที่จะคารวะท่านเป็นอาจารย์”


 


เมื่อถึงจุดนี้ ภาพเคลื่อนไหวก็สิ้นสุดลง


 


นี่คือหลักฐานมัดตัว


 


ยี่ชารับไพ่กลับคืนและกล่าวเสียงดังลั่น “ได้ยินหรือไม่ เธอปรารถนาที่จะคารวะข้าในฐานะอาจารย์ และตอนนี้เธอกำลังหลอกลวงอาวุโสบังคับกฏ นี่มันคือการเล่นละครของเธอ! ”


 


ในอากาศที่ว่างเปล่า เสียงจำนวนมากมายดังขึ้น “บุคคลเช่นนี้ อาจก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงขึ้นในอนาคต!”


 


“เป็นเช่นนั้น เมื่อพบเจอกับทางเลือกที่ดีกว่า เธอกลับละทิ้งที่ปรึกษาของเธอ ใครกันที่จะกล้าสอนเธออีก?”


 


“ลงโทษทัณฑ์ตายเถิด คนเช่นนี้ แม้จะมีพรสวรรค์ล้ำค่า แต่ก็คงไม่นำพาและก่อประโยชน์ให้แก่เกาะหมอก”


 


ผู้คนจำนวนมากพูดคุยเกี่ยวกับมัน


 


และทันใดนั้นพวกเขาทั้งหมดก็ปิดปากลงทันที


 


แมงมุมยักษ์หลายตัวตรงเข้ามายังจตุรัส ล้อมรอบตัวซูเซี่ยเอ๋อเอาไว้


 


โชคชะตาของเธอ ยามนี้มันคงชัดเจนแล้ว


 


เสียงชราเอ่ยขึ้น “ซูเซี่ยเอ๋อ เจ้ามีอะไรจะพูดเป็นสิ่งสุดท้ายหรือไม่?”


 


ซูเซี่ยเอ๋อ “เป็นเรื่องจริงที่หนูไปพบเธอ แต่นั่นเพราะเธอเรียกหนูไปต่างหาก”


 


“ได้โปรดเชื่อหนูเถอะ หนูไม่เคยมีความคิดที่จะคารวะเธอเป็นอาจารย์เลย”


 


เธอหันไปมองจอมมารชุดคลุมเลือดด้วยน้ำตาสองสายที่อาบบนใบหน้า “ท่านอาวุโสบังคับกฏ หนูพึ่งจะถูกใส่ร้ายมา หวังว่าท่านจะยังจดจำมันได้”


 


หลังจากที่ได้ยินประโยคนี้ เจตนาฆ่าของจอมมารชุดคลุมเลือดพลันสลายไปทันที


 


“ใช่ … กลุ่มเด็กสาวกล่าวหาว่าเจ้ากำลังฝึกฝนวิชาชั่วร้าย … ”


 


จอมมารชุดคลุมเลือดพลันหวนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมาของตน


 


ครั้งเมื่อเขายังอยู่ในช่วงวัยรุ่น  บุตรชายของผู้ฝึกสอนคนหนึ่งได้เคยแอบปองร้ายเขา


 


จนกระทั่งหลังจากที่อีกฝ่ายทำสำเร็จ และเขาถูกลงโทษจนตายลง ผู้ฝึกสอนอีกคนที่มีจิตใจดีงามก็อดไม่ได้ จึงช่วยออกค้นหาความจริง


 


ในท้ายที่สุด ความจริงก็ถูกเปิดเผย และผู้คนก็ค้นพบว่าเขาถูกใส่ร้ายป้ายสี


 


แต่เขาก็ได้ตายลงไปแล้ว


 


ทว่าเกาะหมอกคือสถานที่อันน่าอัศจรรย์ใจ


 


เพียงแค่ตายลงที่นี่ ก็กล่าวได้ว่ายังมีความหวังที่จะฟื้นคืนชีพ


 


แต่ความหวังนี้ที่ว่านั่นย่อมมีจำนวนจำกัด


 


ในมหาสมุทรแห่งซากศพ เขาก็ได้ตกตายไปแล้วครั้งหนึ่งจนมาถึงเกาะหมอก


 


และตอนถูกกลืนกินโดยอสูรยักษ์แห่งโชคชะตา แล้วเขาก็ตายไปอีกครั้งหนึ่ง


 


ตายไปแล้วถึงสองครั้ง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถกลับมามีชีวิตอีกครั้งในสภาพสมบูรณ์ได้


 


ที่ทำได้ก็มีเพียงปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งในสภาพที่มีร่างกายแห้งกรังราวกับซากศพ


 


นี่คือโชคชะตาในช่วงปีแรกๆของเขา


 


ตั้งแต่นั้นมา จอมมารชุดคลุมเลือดก็สาบานกับตัวเองว่าจะไม่ยอมได้เห็นอะไรที่มันไม่ถูกต้องเกิดขึ้นอีก


 


จอมมารชุดคลุมเลือดยับยั้งความโกรธของเขา และขบคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากรอบด้าน


 


น้ำเสียงพูดของเขาทุ้มลึก “ยี่ชา เพื่อความยุติธรรมในการตัดสินใจ ขอเจ้าจงให้คณบดีตรวจสอบไพ่ของเจ้าด้วย”


 


“ย่อมแน่นอน ท่านสามารถตรวจสอบมันได้” ยี่ชากล่าวอย่าไม่ต้องคิด


 


เธอปล่อยไพ่ในมือไปกลางอากาศ


 


และไพ่ก็ลอยออกไปทันที


 


ท่ามกลางความว่างเปล่า ปรากฏมือหนึ่งเหี่ยวย่นที่ดูราวกับถูกปกคลุมไปด้วยเปลือกไม้ยื่นออกมาคว้าไพ่


 


“มันเป็นเพียงการตรวจสอบอย่างง่ายๆเท่านั้น เราจะสามารถพบความจริงได้” เสียงชรากล่าว


 


อีกมือหนึ่งของคณบดีคว้าจับลงเบาๆในอากาศที่ว่างเปล่า


 


และเขี้ยวยาวก็ถูกดึงออกมาโดยคณบดี


 


บนเขี้ยวซี่นี้ ถูกแกะสลักไว้ด้วยกลุ่มฝูงหมาป่า


 


“ไปเถอะ จงไปตามหา ‘เจ้าของเสียง’ ทั้งสองนี้เสีย” เสียงชรากล่าว


 


แล้วเขี้ยวก็หายไปทันที


 


ทว่ากลับปรากฏฝูงหมาป่าสีเทากระโจนออกมาแทน


 


หมาป่าสีเทาหลายตัวรีบวิ่งไปที่เท้าของผู้ฝึกสอนยี่ชา และทำการดมกลิ่น ก่อนจะหยุดเคลื่อนไหว


 


ส่วนหมาป่าอีกฝูงหนึ่งวิ่งไปทางซูเซี่ยเอ๋อ


 


เวลานี้ทุกคนเข้าใจอย่างชัดเจน


 


แน่นอนแล้วว่าเป็นซูเซี่ยเอ๋อ ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีอะไรผิดพลาด!


 


ทว่ากลับเห็นแค่เพียงฝูงหมาป่าวิ่งผ่านเธอไป โดยไม่แม้แต่จะชายตามองซูเซี่ยเอ๋อ


 


และฝูงหมาป่าก็เร่งตรงไปยังขอบจตุรัสและหยุดลง


 


พวกมันนั่งหมอบลงกับพื้น และส่งเสียงหอนไกลออกไปทางสถาบัน


 


เสียงชราดังก้องขึ้นอีกครั้ง


 


แต่คราวนี้ มันฟังดูค่อนข้างรุนแรง


 


“ทุกคนจงมองดู ผลลัพธ์ได้ออกมาแล้ว”


 


“เสียงหนึ่งมาจากผู้ฝึกสอนยี่ชา อีกเสียงหนึ่งหายไปจากสถาบัน และไม่อาจค้นหาได้”


 


*(เฉลยปมที่แหวนนาโนแปรสภาพเป็นเส้นผม และลอดเข้าไปในปากซูเซี่ยเอ๋อ + ที่มันเลือกจะทำลายตนเอง เพื่อให้กลยุทธ์สมบูรณ์)


 


จอมมารชุดคลุมเลือดมองไปยังซูเซี่ยเอ๋อ ในแววตาของเขาอ่อนโยนลง


 


ความจริงมักจะปรากฏขึ้นในท้ายที่สุด ยามเมื่อน้ำลด ก้อนหินที่อยู่เบื้องล่างก็จะเผยโฉมออกมา


 


จอมมารชุดคลุมเลือดกลับมาใจเย็นลง เขากล่าวอย่างช้าๆ “มองตามที่เห็น เสียงนี้ไม่ได้มาจากซูเซี่ย ภาพเคลื่อนไหวเมื่อครู่คงจะถูกบิดเบือนด้วยอะไรบางอย่าง”


 


“คงเป็นเช่นนั้น เพราะในหลายร้อยปีมานี้ การค้นหาของฝูงหมาป่าไม่เคยผิดพลาดมาก่อนเลย”


 


เสียงชราถอนหายใจ ก่อนจะกล่าวต่อ “นังหนูคนนี้ แท้จริงแล้วถูกใส่ร้าย”


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.348 –  ทรมานวิญญาณ


 


คณบดีได้ตัดสินผลลัพธ์ด้วยตนเอง


 


ฉะนั้น ดูเหมือนว่านี่จะเป็นความจริง


 


ฮือฮา!


 


บังเกิดเสียงสนทนาดังขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า


 


เสียงเหล่านั้นดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ


 


ผลกลับปรากฏว่าแท้จริงแล้วผู้ฝึกสอนใช้วิธีการนี้หลอกหลวงอาวุโสบังคับกฏและคณบดี! ทำราวกับว่าพวกเขาหูตาบอด!


 


นั่นเธอกำลังคิดอะไรอยู่ในหัวกันแน่?


 


เธอไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้วหรือ?


 


ในหัวใจของยี่ชา บังเกิดความรู้สึกหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน


 


เธอหวีดร้องเสียงดัง “ไม่! ท่านคณบดี โปรดทำการตรวจสอบไพ่ของข้าอย่างรอบคอบอีกครั้งเถิด ข้ามิได้ทำการดัดแปลงใดๆกับมัน และตัวไพ่ก็สมควรที่จะไม่มีปัญหาใดๆ!”


 


ในอากาศที่ว่างเปล่า มือที่เหี่ยวย่นราวกับเปลือกไม้กำลังถือไพ่เทียนซวน นิ่งงันไปเล็กน้อย


 


เห็นได้ชัดว่าเขาได้พิสูจน์ความจริงของเรื่องนี้ไปแล้ว แต่เธอ – ยี่ชาที่เป็นเจ้าของไพ่กลับต้องการให้เขาตรวจสอบมันอีกครั้ง?


 


ในตอนนั้นเอง ซูเซี่ยเอ๋อก็ดึงชายแขนเสื้อของจอมมารชุดคลุมเลือดอย่างแผ่วเบา


 


เธอพูดด้วยความหวาดหวั่นว่า “ท่านอาวุโสบังคับกฏ ในเมื่อเรื่องราวมันเป็นแบบนี้ ก็คงต้อง .. ”


 


จอมมารชุดคลุมเลือดหันศีรษะของตนมา และก้มลงมองเด็กสาวข้างกายเขา


 


นี่ช่างเป็นฉากที่คุ้นเคย


 


มันเหมือนกันเลย ไม่แตกต่างไปจากนักเรียนหญิงของเขาในครั้งอดีต


 


ในเวลานั้น มันก็เหมือนกัน ทุกครั้งที่นักเรียนหญิงของเขาถูกกลั่นแกล้ง การแสดงออกของเธอก็จะเป็นแบบนี้เหมือนกัน ไม่ว่าจะท่าทาง หรือคำพูด


 


เหมือนกันทุกประการ


 


น่าเสียดายนัก ที่ช่วงเวลานั้นเขาพึ่งจะได้กลายมาเป็นผู้ฝึกสอน และมิได้ครอบครองพลังอำนาจมากเท่าใดนัก


 


ทำให้ในตอนนั้น ก็มีบางเรื่องเหมือนกันที่เขาไม่สามารถไถ่ถามถึงความยุติธรรมสำหรับนักเรียนของตนได้


 


ในฐานะที่เป็นนักเรียนของเขา ช่วงเวลาในอดีตมันช่างเป็นอะไรที่น่าสมเพชอย่างแท้จริง


 


น่าสมเพช …


 


ปัง!


 


“อ๊าาา!”


 


จอมมารชุดคลุมเลือดคำรามคลั่ง ทั้งคนทั้งร่างผุดออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่าในพริบตา เลือดสังหารพวยพุ่งอย่างดุเดือด ก่อตัวเป็นทะเลเลือดอันกว้างใหญ่ขึ้นบนท้องฟ้า


 


ทะเลเลือดโอบล้อมปกคลุมไปตลอดทั้งสถาบัน ส่งผลให้แต่ละคนที่กำลังเฝ้ามองดูอยู่อดไม่ได้ที่จะเริ่มหลบหนี


 


กระทั่งตัวสถาบันเอง ก็ยังสั่นไหวเมื่อเผชิญกับพลังอำนาจนี้


 


จอมมารชุดคลุมเลือดจับจ้องยี่ชา ปากเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มฉกาจฉกรรจ์ “ยี่ชา! เจ้ากล้าลวงข้าต่อหน้าทุกคน แถมเจ้ายังคิดจะจูงจมูกข้าให้ลงมือกับศิษย์คนใหม่ … ข้าจะฆ่าเจ้า!”


 


“ไม่นะ! ท่านคณบดี โปรดช่วยข้าด้วย!” ยี่ชาร่ำร้องด้วยความหวาดกลัว ปากเร่งเอ่ยขอความช่วยเหลืออย่างร้อนรน


 


“ช้าก่อน!” เสียงชราตะโกนดังขึ้น


 


ภัยพิบัติกำลังจะมาถึง และคณบดีไม่อาจยอมสูญเสียไพ่ในมือที่ตนมีอยู่ไปได้


 


เขาโผล่ออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่า


 


แท้จริงแล้วเขาคือชายชราร่างสูงใหญ่


 


ทันทีที่คณบดีปรากฏตัว เขาก็โบกมือ และอีกหกอาวุโสก็ปรากฏตัวขึ้นตามมาพร้อมกัน


 


“สิ่งต่างๆยังไม่ชัดแจ้ง อาวุโสบังคับกฏ โปรดสงบใจลงก่อน” คณบดีกล่าว


 


จอมมารชุดคลุมเลือดกำลังจะเถียง แต่เขาก็ถูกมือเล็กๆดึงแขนเสื้อเอาไว้ก่อน


 


“ซูเซี่ยเอ๋อ มีอะไรงั้นหรอ?” เขากล้ำกลืนความพิโรธลงในลำคอแล้วเอ่ยถาม


 


“ได้โปรดอย่าสังหารใครเพื่อหนูเลย หนูก็แค่ต้องการที่จะทำสิ่งที่มันถูกต้องตามกฏของสถาบัน” เด็กสาวกระซิบ


 


จอมมารชุดคลุมเลือดสวนกลับทันใด “เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าไม่ต้องการให้ข้าระบายความโกรธแค้นนี้แทนเจ้า?”


 


เด็กสาวพูด “หนูเชื่อในทุกกฏระเบียบและข้อบังคับของสถาบัน หนูเชื่อว่าด้วยสิ่งนี้ ท่านคณบดีจะสามารถจัดการได้อย่างเป็นธรรม”


 


พอเขาได้เห็นเธอพยายามพูดโน้มน้าวตนให้ใจเย็นแบบนี้ ก่อนอื่นเลยก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมในจิตใจ


 


ผู้ฝึกสอนคนอื่นๆก็พยักหน้ากันอย่างเงียบๆ


 


ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว “หนูร้องขอให้ทำการ ‘ทรมาณจิตวิญญาณ’ของหนู”


 


เพียงได้ยิน หัวใจของเหล่าผู้ฝึกสอนอาวุโสก็พลันสั่นไหว


 


การทรมานวิญญาณ ก็ตามชื่อ มันคือการทรมานและไต่สวนระดับสูงสุดของสถาบัน เป็นการทรมานจิตวิญญาณเหล่าคนบาปผู้กระทำความผิดโดยตรง


 


ไม่มีคำโป้ปดใดจะเล็ดลอดไปจากการทรมานจิตวิญญาณได้


 


นี่คือหนึ่งในวิชาที่รุนแรงที่สุด ซึ่งจะส่งผลให้จิตวิญญาณของผู้ถูกทดสอบเกิดความเสียหายได้ในระดับหนึ่ง


 


ในระหว่างกระบวนการทรมาน ผู้เข้ารับการไต่สวนจะรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดในระดับที่ลึกลงไปในจิตวิญญาณ


 


เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ซูเซี่ยเอ๋อถึงขั้นยินดีที่จะแบกรับความทรมานที่ว่านั่นไว้!


 


ในเมื่อเธอเต็มใจที่จะทำเช่นนั้น คณบดีจึงไม่คิดจะถ่ายเพพลังลงไปในไพ่บนเมื่อเพื่อทำการตรวจสอบมันอีก


 


เพราะใครจะรู้ ว่าไพ่ใบนี้ยังมีกลโกงใดแอบซ่อนอยู่อีกมากมายแค่ไหน?


 


เขาโยนไพ่กลับไปให้ยี่ชา


 


เมื่อซูเซี่ยเอ๋อเห็นฉากนี้ สีหน้าท่าทีของเธอมิได้แสดงออกหรือเปลี่ยนแปลงใดๆ มีเพียงมือที่กำแน่น คลายลงเท่านั้น


 


ยี่ชารีบเอ่ยทันทีว่า “ท่านคณบดี! ได้โปรดทำการตรวจสอบไพ่ของข้าเถอะ มันมิได้มีปัญหาใดๆจริงๆนะ”


 


คณบดีมองเธออย่างมืดมน ปากเอ่ยกล่าว “ข้าได้ทำการตรวจสอบด้วยฝูงหมาป่าแล้ว ต่อจากนั้นก็กำลังตรวจสอบด้วยการทรมานจิตวิญญาณ ถึงขั้นนี้แล้วเจ้าก็ยังไม่พอใจอีกหรือ?”


 


มันจะต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างหนัก เพื่อที่จะยืนยันว่าไพ่ของผู้อื่นนั้นไร้ซึ่งความผิดปกติใดๆ


 


หากต้องการจะทราบความจริง สู้ใช้การทรมานจิตวิญญาณที่สามารถตัดสินได้อย่างรวดเร็วและมีความน่าเชื่อถือสูง มันจะไม่ดีกว่าหรือ?


 


หลังจากที่ได้ยินแบบนั้น ยี่ชาก็มิเอ่ยสิ่งใดอีก


 


—ตนเองคิดลงมือกับนักเรียนต่อหน้าสาธารณะ แถมยังทำให้คณบดีไม่พอใจ


 


นอกจากนี้ มันไม่มีหรอก ผู้ที่จะสามารถโกหกในระหว่างกระบวนการทรมานจิตวิญญาณได้


 


ด้วยเหตุนี้ ในใจของเธอจึงไม่กล้าที่จะทำให้คณบดีรู้สึกโกรธอีก


 


จอมมารชุดคลุมเลือดก้าวมาข้างหน้า ขวางซูเซี่ยเอ๋อไว้เบื้องหลังเขา


 


เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหม่นลึก “การทดสอบวิญญาณ มันจะเป็นการทำร้ายจิตวิญญาณเธอ ดังนั้นการทรมานจะต้องไม่มากเกินไปกว่าสามครั้ง”


 


“ข้าเห็นด้วย” คณบดีกล่าว


 


พวกเขาทั้งสองมองหน้ากันวูบหนึ่ง และจอมมารชุดคลุมเลือดก็ค่อยๆปลีกตัวออกไปด้านข้างอย่างช้าๆ


 


เขาหันไปมองซูเซี่ยเอ๋อและพูดเบาๆว่า “เซี่ยเอ๋อ นักเรียนของข้า เพียงเจ้ายืนยันรับการทรมานนี้ ข้าสัญญาว่าจะไม่ยินยอมให้ผู้ใดมาทำให้เจ้าเปื้อนมลทินอีกนับจากนี้ไป”


 


ซูเซี่ยเอ๋อยิ้มและตอบกลับไปว่า “หนูเชื่อคำพูดของท่าน”


 


จอมมารพยักหน้า


 


ในช่วงเวลานี้ ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ที่ปรึกษาและศิษย์ก็เริ่มก่อตัวขึ้น


 


คณบดีสูดหายใจเข้าลึกๆ และท่าทีการแสดงออกของเขาก็กลายเป็นอึมครึมเคร่งขรึม


 


การทรมานจิตวิญญาณไม่ได้ถูกนำมาใช้เป็นเวลานานมากแล้ว


 


อย่างไรก็ตาม สำหรับในกรณีนี้ สมควรที่จะทำให้ทุกอย่างกระจ่างโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นความขัดแย้งอาจทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น จนอาจถึงขั้นมิอาจคืนดีกันเลยก็ได้


 


ทุกคนกำลังเฝ้ารอผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถืออยู่


 


ด้วยเหตุนี้ การทรมานจิตวิญญาณจึงต้องกระทำต่อหน้าทุกคน


 


คณบดีเอื้อมมือออกไปในความว่างเปล่า


 


เขี้ยวสีดำยาวปรากฏขึ้นในมือของเขา


 


คราวนี้ เขี้ยวยาวถูกแกะสลักด้วยรูปแท่นประหารและมีโครงกระดูกยืนประกบมันอยู่ทั้งสองด้าน


 


โครงกระดูกหนึ่งถือดาบขยึกขยือราวกับฟันเลื่อย อีกหนึ่งถือแส้ยาวที่ลุกไหม้ ทั้งหมดมองไปทางคณบดี


 


“มีเรื่องอะไร?” โครงกระดูกถาม


 


“ทำการไต่สวนซูเซี่ยเอ๋อ” เขากล่าวเสียงต่ำ


 


“ตามที่เจ้าต้องการ” โครงกระดูกกล่าว


 


แล้วเขี้ยวสีดำก็หายไปอย่างฉับพลัน


 


บังเกิดรังสีแสงตกลงมาจากชั้นเมฆ และร่วงลงใส่ซูเซี่ยเอ๋อ


 


ทันใดนั้นซูเซี่ยเอ๋อก็สูญเสียการควบคุมร่างกายของตนไปทันที ทั้งคนทั้งร่างของเธอค่อยๆลอยขึ้นไปบนกลางอากาศ


 


“กู๊กกุกๆๆๆ .. ”


 


ในอากาศที่ว่าเปล่า บังเกิดเสียงหัวเราะที่ฟังดูน่าขนลุกขึ้น


 


ร่างที่แต่เดิมดูคลุมเครือของสองโครงกระดูกปรากฏออกมา


 


เบื้องหลังพวกมัน ปรากฏร่างเงาของแท่นประหารขึ้น


 


ซูเซี่ยเอ๋อถูกแขวนบนแท่นประหารด้วยเชือกที่มองไม่เห็น ผูกมัดติดตรึงร่างกายของเธอ


 


“การทรมานครั้งแรกได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว” โครงกระดูกเปล่งเสียงเย็นสะท้าน


 


“หากเจ้าโกหก จิตวิญญาณจะต้องทนแบกรับความเจ็บปวดอย่างมิอาจลบเลือน” อีกหนึ่งโครงกระดูกกล่าวด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน


 


แล้วจากนั้นพวกเขาก็ยกอาวุธของตนขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทรมานซูเซี่ยเอ๋อ


 


คณบดีเอ่ยถามซูเซี่ยเอ๋อเสียงดังต่อหน้าทุกคน “ซูเซี่ยเอ๋อ เจ้าได้เคยร้องขอผู้ฝึกสอนยี่ชาว่าต้องการจะฝากตนเป็นศิษย์ของเธอหรือไม่”


 


ซูเซี่ยเอ๋อตอบเพียงสั้นๆ “ไม่”


 


สองโครงกระดูกมองหน้ากันและกันวูบหนึ่ง อย่างไรก็ตาม พวกมันกลับต้องวางอาวุธในมือของด้วยแววตาขุ่นเขียว


 


หนึ่งในสองโครงกระดูกหันไปกล่าวอย่างเสียดายกับคณบดี “เธอพูดความจริง”


 


ไม่จำเป็นต้องทรมานถึงสามครั้ง เพียงการทรมานครั้งแรกก็พอแล้วที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเด็กสาว!


 


“ฟู่ววว .. ”


 


หลายคนทนไม่ไหว ต้องบรรเทาลมหายใจออกมา


 


ดูเหมือนว่าความจริงจะได้รับการเปิดเผยแล้ว


 


ยี่ชาตกอยู่ในความร้อนรน


 


แต่แล้วเธอก็จดจำได้ถึงฉากหนึ่ง


 


ในยามที่ทั้งสองพูดคุยกัน เธอได้ตั้งเขตแดนพิเศษ ‘ปรามวิญญาณร้าย’ เอาไว้ ผลของมันก็คือ เมื่อใดก็ตามที่อีกฝ่ายใช้พลังใดๆ เขตแดนก็จะสามารถแจ้งเตือนตนให้รับรู้ถึงมันได้ทันที


 


แต่ในเขตแดน ยี่ชากลับไม่พบถึงการแจ้งเตือน หรือจับสังเกตได้ว่าอีกฝ่ายกระทำสิ่งใดเลย


 


และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอกล้าทำตัวเอะอะครั้งใหญ่ที่นี่ จนกระทั่งเรื่องมันดำเนินมาบานปลายถึงขนาดนี้


 


ไม่มีทางถอยแล้ว


 


ในหัวใจของยี่ชาเรียกความกล้ากลับคืน


 


จู่ๆเธอก็แทรกเข้ามาและเอ่ยถามอย่างฉับพลัน “ซูเซี่ยเอ๋อ เจ้ากล้าพูดรึเปล่าว่าเจ้าไม่ได้วางแผนอะไรกับข้า?”


 


“หุบปาก!” สีหน้าของคณบดีเดือดพล่าน


 


เขาขุ่นเคืองใจยิ่งที่กำลังถูกทำราวกับโดนสบประมาท


 


นี่เขากำลังจัดการเรื่องนี้อย่างยุติธรรม แต่หนึ่งในผู้ฝึกสอนกลับกล้าที่จะเข้ามาแทรกแซงการทดสอบ?


 


จอมมารชุดคลุมเลือดก็จ้องเขม็งไปที่ยี่ชาเช่นกัน เจตนาฆ่าในจิตใจของเขาหนาแน่นขึ้น


 


แต่ในเวลานั้น มันก็สายเกินไปแล้ว การทรมานรอบที่สองได้เริ่มต้นขึ้น


 


เมื่อสองโครงกระดูกได้ยินเสียงของใครบางคนไต่สวน พวกมันก็ยกอาวุธขึ้นอีกครั้ง และตรงมาทางซูเซี่ยเอ๋อ


 


“จงตอบคำถามมา!”


 


โครงกระดูกกวัดแกว่งดาบใบเลื่อยฉวัดเฉวียน ตะคอกคำหนึ่ง


 


ซูเซี่ยเอ๋อเงียบ


 


ยี่ชาสั่นไหวด้วยความตื่นเต้น เธอชี้ไปทางซูเซี่ยเอ๋อ เอ่ยเสียงดังลั่น “ดู! พวกท่านจงเร่งดูเถอะ! เห็นหรือไม่ว่าเธอไม่กล้าที่จะตอบคำถามข้า!”


 


เหล่าผู้คนจึงละความสนใจจากยี่ชาไปครู่หนึ่ง และต่างพากันหันไปมองซูเซี่ยเอ๋อ


 


แต่กลับพบว่าใบหน้าของซูเซี่ยเอ๋อดูจะเจ็บปวด และแสดงออกถึงความไม่เต็มใจเล็กน้อย


 


การทรมานจิตวิญญาณ เป็นการทรมาน และการแสดงออกถึงความลังเลของเธอจึงสามารถเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์


 


อย่างไรก็ตาม เธอเอ่ยปากพูดอย่างช้าๆ “บางที หากท่านผู้ฝึกสอนเคยถูกใส่ร้ายมาก่อน ก็ไม่แปลกที่ท่านอาจจะคิดว่าแม้กระทั่งนักเรียนฝึกหัดก็ยังสามารถใส่ร้ายท่านได้”


 


ซูเซี่ยเอ๋ออ้าปากสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดต่อ “ถ้ามีใครบางคนเคยทำแบบนั้นกับท่านผู้ฝึกสอนแล้วล่ะก็ หนูก็คงต้องขอแสดงความเสียใจด้วย แต่คงต้องบอกตามตรงว่า หนูไม่ฉลาดพอที่จะวางแผนใส่ร้ายท่านได้หรอก”


 


สองโครงกระดูกวางอาวุธของพวกมันลงด้วยความเสียดาย “ความจริง! นี่คือความจริง!”


 


ยี่ชากลายเป็นโง่งม


 


เธอไม่สามารถทำใจตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าตัวเองในปัจจุบันได้


 


เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมันวางกับดักเธอ แต่ทำไมผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่ามันไม่ได้ทำซะอย่างงั้น?


 


แต่แล้วจู่ๆก็บังเกิดประกายบางอย่างขึ้นในจิตใจของยี่ชา


 


ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจถึงเทคนิคของอีกฝ่ายอย่างกระทันหัน!


 


โดยไม่คำนึงถึงความโกรธของคณบดี และการจับจ้องของจอมมารชุดคลุมเลือด เธอเร่งเอ่ยคำถามสุดท้ายอย่างหมดหนทาง


 


“ ผู้สมคบคิด! เจ้าต้องมีผู้สมรู้ร่วมคิดแน่นอน!”


 


เธอตะโกนลั่น “เจ้าบอกว่าเจ้าไม่ฉลาด ดังนั้นเจ้าจะต้องมีใครซักคนหนึ่งช่วยเจ้า และแผนการทั้งหมดนี้คือสิ่งที่คนสมรู้ร่วมคิดของเจ้ากระทำใช่หรือไม่?”


 


โครงกระดูกทั้งสองหันมามองซูเซี่ยเอ๋ออีกครั้ง


 


หนึ่งในสองตะคอกคำหนึ่ง “จงตอบคำถาม!”


 


คณบดีกับจอมมารชุดคลุมเลือดโกรธจนแทบบ้า


 


พวกเขาเป็นถึงคนที่ริเริ่มใช้การทรมานจิตวิญญาณ แต่ดันกลับปล่อยให้สถานการณ์ถูกแทรกแซงจนกลายแบบนี้ได้


 


หากแม้กระทั่งการทรมานจิตวิญญาณยังไม่เป็นธรรม แล้วสถาบันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!


 


“ยี่ชา นี่เจ้า … ” คณบดีเปล่งเสียงออกมาอย่างมืดมน


 


“ดู! ท่านดูสิ! เห็นไหมว่าเธอไม่กล้าตอบ!” ยี่ชาตะโกนกลางชี้ไปทางซูเซี่ยเอ๋อ


 


สองโครงกระดูกทั้งสองยกอาวุธขึ้น


 


หนึ่งในสองโครงกระดูกจ้องดูซูเซี่ยเอ๋อและพูดด้วยความตื่นเต้น “ถ้าเจ้าไม่ตอบ เราจะใช้แส้วิญญาณมอบความเจ็บปวดที่เกินกว่ามนุษย์คนใดจะสามารถทนได้ให้แก่เจ้า”


 


อีกหนึ่งกล่าว “เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าก็ต้องพูดความจริงออกมาอยู่ดี”


 


ซูเซี่ยเอ๋อยังคงเงียบ


 


เธอไม่ได้มองโครงกระดูกทั้งสอง แต่กลับมองไปที่ยี่ชา


 


เหล่าผู้คนได้ยินเพียงเสียงกระซิบอันแผ่วเบาของเธอ “ผู้สมรู้ร่วมคิด? น่าเสียดายที่ท่านผู้ฝึกสอนคิดแบบนั้น ไม่มีหรอก … ไม่มี ‘คน’ สมรู้ร่วมคิดกับหนูทั้งนั้น”


 


สองโครงกระดูกชะงักงัน


 


ทันใดนั้นพวกมันก็วางอาวุธลงและประกาศต่อหน้าคณบดีและกลุ่มคน “เธอกำลังพูดความจริง”


 


“ไม่! เจ้ากล้าที่จะพูดหรือไม่ว่า – ” ยี่ชาตะโกนและกำลังจะเอ่ยถามอีกครั้ง


 


และการแสดงออกทางสีหน้าของสองโครงกระดูกก็เผยถึงความสนใจ


 


ทว่าในขณะนั้นเอง เสียงหม่นทะมึนของคณบดีก็ตะโกนขึ้นเสียก่อน “ครบสามครั้งแล้ว! การทดสอบทรมานจิตวิญญาณเป็นอันสิ้นสุดลง!”


 


เห็นเพียงมือของคณบดีที่วูบออก และทั้งแท่นประหารและสองโครงกระดูกก็หายวับไปทันที


 


จอมมารชุดคลุมเลือดพุ่งตัวออกไป คว้าร่างของซูเซี่ยเอ๋อ และซ่อนตัวเธอไว้เบื้องหลังเขา


 


ทั้งสองต่างหันไปมองยี่ชาพร้อมกัน


 


สองตัวตนที่ทรงพลานุภาพ ออกเดินทางไปทั่วหมื่นสวรรค์โลกา บัดนี้ในแววตาของพวกเขากำลังเผยถึงความโกรธ!


2 ตอน


 


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.349 – หมดสิ้นฝุ่นละออง


 


“ยี่ชา เจ้ากล้าที่จะข้ามหน้าข้ามตาข้าในการไต่สวนทรมานจิตวิญญาณ เข้าเอ่ยแทรกแซงคำถามอย่างกระทันหัน ข้าผิดหวังในตัวเจ้าจริงๆ” คณบดีส่ายหัว


 


“ท่านคณบดี ขออภัย นั่นเป็นเพราะข้ากระวนกระวายมากเกินไปจนเผลอทำอะไรล่วงเกินไม่ยั้งคิด” ยี่ชารีบอธิบายอย่างรวดเร็ว


 


จอมมารชุดคลุมเลือดเอียงศีรษะของเขา มองไปยังยี่ชา เผยท่าทีสนอกสนใจ


 


“แต่เจ้าถึงขั้นกล้าที่จะลวงข้า ตรงจุดนี้ต่างหากที่มันน่าสนใจจริงๆ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา


 


เมื่อเทียบเปรียบกับคณบดีที่ยุติธรรมและซื่อตรงแล้ว ปฏิกิริยาของจอมมารชุดคลุมเลือดต่างหาก ที่ส่งผลให้ส่วนลึกในหัวใจของยี่ชาเกิดการสั่นสะท้านจากอย่างแท้จริง


 


จอมมารชุดคลุมเลือดได้แสดงท่าทีให้เห็นว่าในหัวใจของเขาได้ตัดสินใจแน่นอนแล้ว


 


ยี่ชาสูดหายใจเข้าลึกๆ และพยายามที่จะสงบสติอารมณ์ตัวเองให้เย็นลง


 


“มันไม่ใช่อย่างนั้น ท่านต้องฟังข้านะ นังหนูนั่นพยายามที่จะบิดเบือนจริงๆ” ยี่ชากล่าว


 


เธอมองไปยังสองตัวตนทรงอำนาจแล้วเปล่งวาจาอย่างจริงใจ “ข้าสามารถสาบานด้วยเกียรติยศศักดิ์ศรีของผู้ที่ได้รับเลือกจากสวรรค์”


 


สองตัวตนทรงอำนาจมิกล่าวคำใด


 


อย่างไรก็ตาม ซูเซี่ยเอ๋อโน้มตัวออกมาจากทางด้านหลังจอมมารชุดคลุมเลือด


 


เธอเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ “ไม่ใช่ว่าท่านผู้ฝึกสอนพึ่งจะใส่ร้ายหนูต่อหน้าท่านอาวุโสหรอกเหรอ แถมยังข้ามหน้าข้ามตาท่านคณบดี แทรกแซงไต่สวนหนูอย่างมุทะลุ นี่ใช่สิ่งที่สมควรจะใช้เกียรติของผู้ได้รับเลือกจากสวรรค์มาอ้างจริงๆน่ะหรือ?”


 


เสียงของเธอกังวานไปอย่างรวดเร็ว ได้ยินฟังชัดไปทั่วทั้งจตุรัส


 


“ข้าไม่ได้ – ” ยี่ชาเปิดปากของเธอเพื่อโต้แย้ง


 


แต่ซูเซี่ยเอ๋อก็ขัดจังหวะเธอทันที “ถ้าหากคุณเป็นผู้บริสุทธิ์จริง โปรดทำการพิสูจน์ด้วยการทรมานจิตวิญญาณเหมือนกันกับหนูสิ”


 


เธอมองไปที่ยี่ชา และกล่าวอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “คุณกล้าที่จะพูดความจริงระหว่างการทรมานจิตวิญญาณรึเปล่าว่าคุณไม่ได้กำลังใส่ร้ายหนูจริงๆ?”


 


ยี่ชาหุบปากเงียบ ไม่กล้าเอ่ยคำใด


 


เธอมองไปยังซูเซี่ยเอ๋ออย่างไม่อยากจะเชื่อ


 


ไม่คิดไม่ฝันเลยว่านังเด็กรุ่นเยาว์ผู้นี้ จะเติมเชื้อไฟด้วยวาจาไร้เดียงสา .. ช่างโหดเหี้ยมอย่างคาดไม่ถึงจริงๆ


 


พูดความจริงระหว่างทรมานจิตวิญญาณ? ต้องการจะให้ข้าเปิดเผยเรื่องระบบด้วยตนเองรึไง?


 


สำหรับเรื่องนี้ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะพูดเพียงลำพัง


 


แม้ว่าในโลกนับไม่ถ้วน มันจะยังมีการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดมากกว่าระบบก็ตามที


 


อย่างไรก็ตาม มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา ว่าตนต้องการจะฆ่านักเรียน เพื่อที่จะครอบครองระบบแต่เพียงผู้เดียว


 


นักเรียนคนนี้มีพรสวรรค์สูงล้ำยิ่ง ไม่เพียงถูกคณบดีมองว่าเป็นคนสำคัญ แต่ยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจอมมารชุดคลุมเลือดอีกด้วย


 


หากตนถูกไต่สวนทรมานจิตวิญญาณ ทุกอย่างก็เป็นอันจบสิ้น


 


ในจตุรัส เสียงของยี่ชาเงียบลง


 


ในสายตาของคนอื่นๆ ความเงียบของเธอเป็นสัญญาณบ่งบอกได้ถึงความรู้สึกผิดของตนเอง


 


ดังนั้น ด้วยเหตุนี้ สิ่งต่างๆก็พอที่จะกระจ่างแจ้งแล้ว


 


ยี่ชามองไปยังดวงตาของทุกคน ในหัวใจของเธอหดหู่จนไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้


 


ทันใดนั้นเธอก็พลันจดจำขึ้นมาได้ว่า อีกฝ่ายก็จำเป็นต้องบรรลุภารกิจที่ว่านี้เช่นเดียวกันกับตนเอง


 


ซูเซี่ยเอ๋อกำลังคิดหาวิธีที่จะกำจัดตนอยู่เหมือนกัน


 


และซูเซี่ยเอ๋อก็ไม่กล้าที่จะสารภาพยอมรับเรื่องของระบบ


 


ยี่ชาหันไปพูดกับซูเซี่ยเอ๋อทันที “นับประสาอะไรกับข้า ในเมื่อเจ้ายังไม่กล้า – ”


 


“เธอน่ะหรือไม่กล้า? เธอยอมรับการทรมานจิตวิญญาณด้วยตัวเองแล้ว เป็นเจ้าต่างหากที่ทำไมถึงยังไม่กล้า!” ในน้ำเสียงของคณบดี แฝงอารมณ์เกรี้ยวกราดไว้ด้วยเล็กน้อย


 


ยี่ชาชะงักงัน


 


แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายพึ่งยอมรับการทรมานจิตวิญญาณ ทำการถูกสอบสวนไป


 


คิ้วของยี่ชาขมวดเข้าหากัน ทั้งคนทั้งร่างสั่นไหวเล็กน้อย


 


หรือว่าจริงๆแล้วจะมีอะไรบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับเธอกันแน่?


 


เพราะเหตุใด? เหตุใดข้าจึงถูกนังเด็กผู้นี้ไล่ต้อนจนสับสนถึงเพียงนี้


 


เสียงถอนหายใจยาวดังขึ้น


 


มันเป็นเสียงของคณบดี


 


หลายปีมาแล้ว ที่ไม่มีใครกล้าจะขัดใจหรือทำให้เขาขุ่นเคือง เนื่องด้วยพลังอำนาจของเขา


 


แต่เหตุการณ์นี้ ทำให้เขารู้สึกโกรธอีกครั้งหลังจากผ่านมานานนับหลายสิบหลายร้อยปี


 


เขาเกือบที่จะถูกหลอกลวงต่อหน้าสาธารณะ


 


เพียงเพราะไว้ใจผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเองมากเกินไป!


 


เพราะคำว่า ‘ไว้ใจ!’


 


ช่างเป็นคำที่ประชดประชัน เสียดสี แดกดันกันโดยแท้


 


คณบดีคลี่ม้วนหนังแกะออก และอ่านมันอย่างช้าๆ


 


“ผู้ฝึกสอนยี่ชา เจ้าเป็นบุคลากรที่มีส่วนร่วมลงทุนลงแรงกับทางสถาบันมานานปี เจ้าต้องการที่จะชดเชยความผิดพลาดของเจ้าด้วยผลงานของเจ้าหรือไม่? ” เขาเอ่ยถาม


 


“ชดเชยมันทั้งหมด!” ยี่ชาตะโกน


 


คณบดีพยักหน้าและกล่าว “หลังจากชดเชยแล้ว ความผิดร้ายแรงของเจ้าจะได้รับการยกเว้น ทว่าในฐานะที่เป็นถึงผู้ฝึกสอน แต่กลับทำให้สถาบันเสื่อมเสีย ใส่ร้ายนักเรียนฝึกหัด ผลการกระทำจากทั้งหมดนี้ก็คือ เจ้าจะต้องกล่าวคำขอโทษต่อหน้าสาธารณชน และระงับการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะบุคลากร พร้อมกับถูกคุมขังเป็นเวลาหนึ่งปี”


 


“ยี่ชา เจ้ามีอะไรจะคัดค้านหรือไม่?”


 


ยี่ชาโค้งหัวลง ปากเอ่ยกล่าวเสียงกระซิบ “ข้าไม่คัดค้าน”


 


ถูกคุมขังหนึ่งปีอย่างกระทันหัน ด้วยฝีมือของนังเด็กน้อย!


 


บ้าจริง!


 


ถ้าเป็นแบบนี้ ข้าก็ไม่มีทางที่จะสังหารนางได้ไปอีกสักพักแล้ว


 


สำหรับตอนนี้ มันจะเป็นการดีที่สุดที่จะปฏิบัติตามอย่างอ่อนน้อม และในภายหลังเดี๋ยวผู้ฝึกสอนอีกหลายคนที่มีสัมพันธ์อันดีกับตน ก็จะนำผลงานของพวกเขามาไถ่บาปตัวเธอที่ต้องถูกคุมขังเป็นเวลาหนึ่งปีเอง


 


เมื่อเวลานั้นมาถึง ไว้ค่อยคิดหาวิธีจัดการกับนังเด็กคนนี้อีกก็ได้


 


คราวนี้แหละ ข้าจะไม่ประมาทนางอีกต่อไป


 


คณบดีมองไปยังเหล่าอาวุโสและบรรดาผู้ฝึกสอนในอากาศ


 


เขาเอ่ยถาม “ยังมีผู้ใดคัดค้านการตัดสินใจนี้ของข้าอีกหรือไม่?”


 


ทุกคนเงียบ


 


ในเวลานี้ ไม่มีใครกล้าที่จะก้าวออกมาข้างหน้า และเอ่ยคำใดออกมา


 


แม้กระทั่งผู้ฝึกสอนหลายคนที่มีสัมพันธ์อันดีกับยี่ชา ก็ยังคงปิดปากของพวกเขาแน่น


 


—ไม่มีใครสามารถทนแบกรับความโกรธของคณบดีและอาวุโสบังคับกฏในเวลาเดียวกันได้หรอก


 


คณบดีพอเห็นเช่นนี้ ก็ค่อนข้างรู้สึกพอใจ


 


ในฐานะเจ้าบ้าน เขาไม่ได้ทำอะไรตามอารมณ์ตนเองแบบนี้มานานแล้ว


 


ความแข็งแกร่งของยี่ชาก็นับว่าไม่เลว ยังคงสามารถทำผลงานและประโยชน์ที่จับต้องได้มากมายมาสู่สถาบัน


 


ในอนาคต ยังมีอีกหลายสิ่งที่เธอยังสามารถทำได้


 


ดังนั้นการกักขัง และริบผลงานความสำเร็จทั้งหมดจากเธอ การลงโทษนี้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว


 


เมื่อการลงโทษสิ้นสุดลง เธอก็จะได้ทำงานอย่างหนัก เพื่อรับใช้สถาบันและเพิ่มคะแนนผลงานของตนเอง


 


การจัดการด้วยวิธีนี้ นับว่าดีที่สุดแล้ว


 


ในที่สุด คณบดีก็มองไปทางซูเซี่ยเอ๋อและเอ่ยถามถึงคำตัดสินว่า “ในฐานะเหยื่อ เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร?”


 


เด็กคนนี้ สมควรที่จะเป็นคนใจกว้าง และไม่เข้ามาก้าวก่ายกับผลการตัดสินใจของเขา


 


คณบดีเพียงแค่ได้คิด ซูเซี่ยเอ๋อก็กล่าวโดยไม่ลังเลว่า “หนูไม่มีความคิดเห็น”


 


ในหัวใจของคณบดียังไม่ทันได้ผ่อนปรนลง ก็ได้ยินซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยเสริม “หนูไม่เข้าใจกฏและระเบียบข้อบังคับ ฉะนั้นหนูขอฟังและทำตามท่านคณบดีและท่านอาจารย์จะดีกว่า”


 


ในฐานะผู้มาใหม่ การเชื่อฟังคำตัดสินของคณบดี นี่นับว่าไม่มีอะไรผิดปกติ


 


ในฐานะนักเรียน การเชื่อฟังคำตัดสินของอาจารย์ ก็เป็นคำตอบที่เหมาะสมเช่นกัน


 


แต่อย่างไรก็ตาม ต้องขอบอกว่าเวลานี้คณบดีกำลังแอบกรีดร้องอยู่ในจิตใจ


 


นั่นเพราะตั้งแต่ต้นจนจบ เขามิได้เอ่ยถามความคิดเห็นของจอมมารชุดคลุมเลือดเลย จริงๆแล้วสมควรที่จะกล่าวว่าเขาเลือกที่จะหลีกเลี่ยงมันเสียมากกว่า เพราะเจ้าหมอนี่มันเป็นคนที่อารมณ์เดือดจัดได้ง่ายสุดๆ


 


เมื่อใดก็ตามที่จอมมารชุดคลุมเลือดทำการตัดสินใจด้วยตนเอง แม้กระทั่งตัวเขาที่เป็นถึงคณบดีก็ต้องปวดหัว


 


ที่สำคัญก็คือ เหยื่อผู้เสียหายยังอยู่ฝั่งเดียวกันกับจอมมารอีก


 


สายตาของทุกคนเบนออกไปโดยไม่รู้ตัว และตกลงบนร่างของจอมมาร


 


“ข้าไม่เห็นด้วย” จอมมารชุดคลุมเลือดกล่าว


 


“แล้วความคิดเห็นของเจ้าคืออะไร?” คณบดีถอนหายใจและเอ่ยถาม


 


“ยี่ชาไม่ได้ใส่ร้ายนักเรียนฝึกหัด แต่เธอใส่ร้ายนักเรียนทางการ แถมยังเป็นนักเรียนทางการของข้าอีกด้วย!” จอมมารชุดคลุมเลือดกล่าว


 


ท่าทีการแสดงออกของซูเซี่ยเอ๋อบ่งบอกว่ากำลังหวาดกลัว เธอดึงชายแขนเสื้อของจอมมารด้วยความกระวนกระวาย พยายามที่จะหยุดยั้งข้อพิพาท และสร้างสันติกับฝ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้


 


เธอลดเสียงลง และเอ่ยเตือนอย่างรวดเร็ว “อาจารย์! ท่านคณบดีตัดสินใจแล้ว อย่าโต้เถียงกันอีกเลย พวกเราก็ทำตามเถอะ”


 


จอมมารชุดคลุมเลือดมองเธอวูบหนึ่ง แต่มิได้ปฏิเสธคำเรียกขาน ‘อาจารย์’ ในครั้งนี้


 


เขากล่าวอย่างเฉียบขาดไปทางซูเซี่ยเอ๋อ “เซี่ยเอ๋อ เจ้าต้องจำเอาไว้ ว่าอาจารย์ของเจ้าเป็นถึงอาวุโสบังคับกฏของสถาบันแห่งนี้ ดังนั้นการจะลงโทษผู้ใดมันย่อมขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของอาจารย์เจ้า”


 


ซูเซี่ยเอ๋อมองไปทางเขา แต่มิได้กล่าวคำใด


 


คณบดีถอนหายใจ และละทิ้งความคิดของเขาที่คิดจะต่อต้านทันที


 


แท้จริงแล้วเขาก็อยากจะลดโทษให้ยี่ชาอยู่หรอก อย่างน้อยก็เพื่อสถาบัน


 


แต่จอมมารชุดคลุมเลือดดูเหมือนว่าต้องการจะลงโทษยี่ชาสถานหนักตามกฏระเบียบ และแน่นอน แบบนั้นก็ไม่นับว่าผิดอะไร


 


เพราะนี่มันอยู่ในความรับผิดชอบและหน้าที่ของผู้อื่น ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เหยื่อเป็นศิษย์ของตัวเอง คณบดีย่อมรู้ดีว่าหากอีกฝ่ายยืนกราน ตัวเขาเองก็ยากที่จะขัดขืน


 


หากเกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างตนและอาวุโสบังคับกฏ มันจะนับว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของสถาบัน สูญเสียยิ่งกว่าการเสียผู้ฝึกสอนคนหนึ่งไปอย่างเทียบไม่ติด


 


ได้ยินเพียงเสียงของจอมมารชุดคลุมเลือดกล่าว “หลอกลวงคณบดีและข้า , แทรกแซงการทรมานจิตวิญญาณ ป้ายสีนักเรียนทางการ ตามกฏของสถาบัน สมควรจะถูกไล่ออก และไม่ได้รับอนุญาตให้ย่างกรายขึ้นมาบนเกาะหมอกอีกต่อไป”


 


เงียบสงัด


 


คณบดีไม่เอ่ยคำใดออกมา


 


ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าจอมมารชุดคลุมดำจะโหดร้ายถึงเพียงนี้


 


หากไม่สามารถเข้าสู่เกาะได้อีกต่อไป ก็คงทำได้เพียงเตร็ดเตร่จากโลกหนึ่งไปสู่อีกโลกหนึ่ง เผชิญหน้ากับเส้นทางอันไร้ที่สิ้นสุด


 


คณบดีพูดอย่างใจเย็นว่า “นี่คือคำตัดสินอย่างเป็นทางการของเจ้าใช่หรือไม่?”


 


จอมมารชุดคลุมเลือด “ในฐานะอาวุโสบังคับกฏ ข้ามีสิทธิ์ที่จะที่จะตัดสินความยุติธรรมมากที่สุด และข้าเชื่อว่าทุกคนจะไม่มีใครคัดค้านความคิดเห็นนี้”


 


วิสัยทัศน์ของเขา กวาดผ่านไปยังผู้ชมโดยรอบ


 


ไม่มีใครกล้าพูดอะไรเลยในเวลานี้


 


คณบดีกล่าว “เนื่องจากทุกคนไม่มีใครคัดค้าน … ”


 


ยี่ชารีบขัดอย่างรวดเร็ว “ข้าขอคัดค้าน อันที่จริงแล้วข้าก็แค่อยากจะรับเธอ – ”


 


“หุบปาก! หรือเจ้าต้องการจะสู้กับข้าเดี๋ยวนี้ ต้องการจะตายลงตรงนี้เลยใช่ไหม?” จอมมารชุดคลุมเลือดตะคอกด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม


 


ทะเลเลือดบนท้องฟ้ากำลังเดือดพล่าน


 


ยี่ชาหุบปากลงในทันใด


 


เธอยังไม่คิดจะตายในตอนนี้


 


“เอาล่ะๆ ยี่ชา ที่นี่ก็ถึงเวลาชดใช้การกระทำของเจ้าแล้วนะ” คณบดีถอนหายใจ


 


ปงงงง!


 


พริบตานั้นบังเกิดกระแสอากาศกระโดดออกมาจากร่างของยี่ชาอย่างรวดเร็ว


 


ยี่ชาเปิดปาก แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยสิ่งใด


 


วินาทีต่อมา ทั้งคนทั้งร่างของเธอก็หายลับไป


 


เธอได้ถูกจับแยกออกไป ถูกปฏิเสธโดยเกาะหมอก


 


นับจากช่วงเวลานี้ไป เธอจะไม่มีวันหยั่งเท้าลงบนเกาะหมอกได้อีกต่อไป


 


ภายนอก มันเป็นมหาสมุทรแห่งซากศพ และหากเธอไม่พยายามหาวิธีแก้ไขโดยเร็วที่สุด เธอก็จะตายลงที่นั่น


 


ซูเซี่ยเอ๋อมองไปยังฉากนี้ กรามขบแน่นจนฟันกระทบกันอย่างรุนแรง


 


ฉันทำได้แล้ว!


 


ยี่ชาถูกบังคับให้ออกจากที่นี่ และไม่สามารถกลับมาได้อีก


 


ตามคำอธิบายของภารกิจผู้ทดสอบ ยี่ชาจะไม่สามารถครอบครองระบบได้ตามที่ตัวเองต้องการได้อีกต่อไป!


 


ซูเซี่ยเอ๋อมองไปยังหน้าต่างระบบ


 


แน่นอน ว่ามันมีตัวอักษรขนาดเล็กร้อยเรียงกันเป็นสามบรรทัดปรากฏขึ้นอยู่ภายในนั้น


 


“ผู้เล่นที่ทำการทดสอบได้ออกจากระยะของเกาะหมอก”


 


“การตัดสิน : ผู้เล่นที่ทำการทดสอบได้ถูกกำจัดออกไปแล้ว”


 


“จำนวนผู้เล่นทดสอบที่เหลืออยู่ : 1 คน”


 


“ภารกิจเสร็จสิ้น”


 


“คุณสามารถบรรลุภารกิจ : บุคคลที่สวรรค์แต่งตั้ง”


 


“นับจากนี้ไป ระบบจะเป็นของคุณแต่เพียงผู้เดียว”


 


อารมณ์ความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กระชากหัวใจของซูเซี่ยเอ๋อ


 


ซูเซี่ยเอ๋อรู้สึกร้อนรุ่มในดวงตาของเธอ และรีบฝืนปรามมันลง


 


นี่นับว่าเป็นเรื่องที่ดี ดังนั้นฉันจะไม่ร้องไห้!


 


คณบดีที่เงียบไปสักพัก ได้เปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง “เอาล่ะ การพิพากษาจบลงแล้ว คนอื่นๆจะทำการเลือกนักเรียนอย่างเป็นทางการของตัวเองซะ”


 


สิ้นประโยคนี้ ผู้ฝึกสอนหลายคนก็ปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่า


 


พวกเขาร่อนลง และมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายของตนเอง


 


ผู้เข้าร่วมการทดสอบกำลังเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ คาดหวังว่าพวกเขาจะก้าวเข้าสู่บ้านหลังใหม่ที่ดี


 


จอมมารชุดคลุมเลือดมองไปที่ซูเซี่ยเอ๋อ


 


เห็นแค่เพียงดวงตาของเธอที่แดงระเรื่อราวกับจะร้องไห้ แต่กำลังฝืนกลั้นเอาไว้


 


เจ้าเด็กคนนี้ คงกลัวว่าจะเกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างตนกับคณบดี ช่างอ่อนแอเหลือเกิน


 


จอมมารชุดคลุมเลือดคิดเช่นนั้น ในหัวใจก็บังเกิดความพึงใจอันยากจะอธิบายขึ้น


 


“เซี่ยเอ๋อ ไปกันเถิด” เขากล่าว


 


“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว


 


และทั้งสองก็ปลีกตัวออกจากจตุรัสไป


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.350 – เส้นทางแห่งโชคชะตา


 


กรมบังคับกฏ


 


ชั้นอากาศที่นี่หนาวเย็นกว่าในส่วนอื่นของสถาบันอย่างชัดเจน มันไร้ซึ่งสรรพเสียงหรือความวุ่นวายใดๆ และไม่มีนักเรียนเดินผ่านไปมาให้เห็น


 


ซูเซี่ยเอ๋อยืนอยู่กลางห้องโถงของกรมบังคับกฏ ในหัวใจบังเกิดความรู้สึกแปลกๆเล็กน้อย


 


ที่เท้าเบื้องล่างถูกปูด้วยอิฐสีเทาหนา


 


แต่จากการที่มันอยู่มานานหลายปีแล้ว ส่งผลให้อิฐบางก้อนบ้างแตกร้าว บ้างเป็นหลุมบ่อ ทำให้สามารถสังเกตเห็นได้ถึงการสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว


 


แรงสั่นสะเทือนนี้ ดูเหมือนว่าต้นตอของมันจะมาจากเบื้องล่างลึกลงไป ราวกับมีอะไรบางอย่างพยายามที่จะคืบคลานออกมาจากใต้อิฐสีเทา


 


หากตั้งใจฟังอย่างรอบคอบ ท่านจะได้ยินเสียงครวญครางและร่ำร้องด้วยความเจ็บปวดอยู่รำไรดังลอดขึ้นมาจากมัน


 


เสียงเหล่านี้ ฟังดูราวกับว่ามีนรกถูกฝังเอาไว้อยู่ใต้กรมบังคับกฏยังไงยังงั้น


 


“อย่ากลัวไปเลย ข้างล่างนั่นคือคุกใต้ดิน มันเป็นสถานที่ๆข้ามีไว้ใช้เก็บรวมรวบสิ่งแปลกๆที่จับหรือหามาได้จากทั่วทุกมุมโลก และมักจะใช้มันสำหรับการวิจัย” จอมมารชุดคลุมเลือดกล่าว


 


ซูเซี่ยเอ๋อพยักหน้า เผยท่าทีเข้าใจอย่างชัดเจน


 


“เอาล่ะ ตอนนี้พวกเรามาพูดคุยเกี่ยวกับเจ้ากันดีกว่า” กระแสเสียงของจอมมารชุดคลุมเลือดเปลี่ยนเป็นทุ้มลึก


 


“ท่านอาจารย์เชิญชี้แนะ”


 


“ในตอนที่เจ้าเสร็จสิ้นการทดสอบ เจ้าคงจะสามารถสัมผัสได้ถึงบางสิ่งใช่หรือไม่ แล้วรู้ไหมว่าทำไม?” จอมมารเอ่ยถาม


 


“หนูไม่รู้เลย” ซูเซี่ยเอ๋อตอบ


 


“การทดสอบทั่วๆไปน่ะ มันสามารถทำได้แค่แปรสภาพคนให้ฟื้นคืนชีพขึ้นใหม่เท่านั้น แต่ในขณะที่เจ้ากำลังฟื้นคืนชีพ มันกลับมีชุดคลุมยาวสีขาวและคทาติดมือมาด้วย”


 


จอมมารชุดคลุมเลือดหัวเราะ “ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงโชคชะตา เสื้อผ้าที่เผยออกมาในปัจจุบันน่ะจะแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของอาวุธ และเป็นตัวแทนที่บ่งบอกถึงโอกาสและทิศทางในการพัฒนา”


 


“เสื้อคลุมขาวเป็นสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์และเกียรติยศอันสูงส่งแห่งเทียนซวน(ถูกเลือกโดยสวรรค์) ส่วนคทาของเจ้าหมายถึงสิทธิอำนาจการปกครองของเจ้าที่เหนือกว่ากฏแห่งเทียนซวน”


 


“สิทธิอำนาจการปกครอง?”


 


“ใช่ เจ้าเป็นผู้พิชิตกฏแห่งไพ่  ดังนั้นเจ้าจึงสามารถปล่อยเทคนิคเทียนซวนต่างๆได้ทุกประเภทด้วยคทา โดยไม่จำเป็นต้องสนถึงขีดจำกัดของไพ่”


 


“หากจะกล่าวง่ายๆก็คือ สำหรับผู้ที่ถูกเลือกโดยสวรรค์น่ะ จะมีไพ่จำนวนจำกัดโดยขึ้นอยู่กับแต่ละขีดระดับความแข็งแกร่ง”


 


“ตัวอย่างเช่น เมื่อถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาแล้ว ผู้ที่ถูกเลือกโดยสวรรค์จะได้รับไพ่เพียง2-3 ใบ และจะสามารถใช้ได้เพียงไพ่เหล่านั้นเท่านั้น”


 


“แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่ใช่ประเภทเดียวกับกลุ่มคนเหล่านั้น”


 


“แล้วหนูเป็นประเภทไหน?”


 


“ด้วยสิทธิอำนาจการปกครองของเจ้า เป็นผู้ที่อยู่เหนือกฏเกณฑ์แห่งไพ่ ทำให้เจ้าสามารถได้รับไพ่พันหมื่นใบหรือใช้งานมันตอนไหนก็ได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องคำนึงถึงขีดระดับความแข็งแกร่ง”


 


“นี่นับว่าเป็นหนึ่งในพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด”


 


ซูเซี่ยเอ๋อตกตะลึง


 


จอมมารชุดคลุมเลือดกล่าวอธิบายอย่างจริงจังและนำม้วนคัมภีร์เลือดออกมา


 


“โดยทั่วไปแล้ว เมื่อนักเรียนกลายเป็นผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์  เขาหรือเธอจะต้องทำการเลือกเส้นทางของตัวเองทันที”


 


“บางคนต้องการที่จะเดินทาง ท่องไปในหลายมิติและจักรวาล บางคนต้องการที่จะต่อสู้กับวันสิ้นโลก บางคนต้องการควบคุมโชคชะตาของพวกเขา นี่คือเส้นทางที่ผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์จะต้องเป็นคนกำหนดมันเอง”


 


“หลังจากตัดสินใจกำหนดเส้นทางของตัวเองแล้ว จึงจะสามารถเลือกไพ่ที่สอดคล้องกันกับเส้นทางที่ตนเลือกได้”


 


ซูเซี่ยเอ๋อถามอย่างระมัดระวัง “หนังสือหลายเล่มบอกว่าบางคนเลือกเส้นทางผิด และในที่สุดก็ต้องปล่อยพลังอำนาจทั้งหมดของพวกเขาไป เพื่อเริ่มสร้างไพ่ของพวกเขาขึ้นมาใหม่ด้วยตัวเอง ตรงส่วนนี้ก็เป็นเรื่องจริงใช่ไหมคะ?”


 


“เจ้ามักจะไปที่ห้องสมุดบ่อยๆงั้นหรือ?” จอมมารชุดคลุมเลือดถามอย่างคาดไม่ถึง


 


“เจ้าค่ะ นักเรียนฝึกหัดจะสามารถอ่านหนังสือที่ชั้นหนึ่งได้ หนูเลยมักจะไปบ่อยๆ”


 


จอมมารพอได้ฟังก็รู้สึกประทับใจ เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ช่างเป็นนักเรียนที่ไม่ได้มีดีแค่พรสวรรค์ แต่พรแสวงก็ยอดเยี่ยม สมแล้วที่เป็นนักเรียนของข้า ก่อนที่เจ้าจะทำการกำหนดเส้นทาง แม้จะต้องจ่ายด้วยราคามหาศาล แต่ข้าก็ยินดีทำเพื่อส่งเจ้าเข้าสู่เส้นทางแห่งโชคชะตาที่ถูกต้องเอง”


 


“ที่นั่น เจ้าจะได้ตระหนักถึงหัวใจที่แท้จริงของเจ้า และตัดสินใจได้ว่าเจ้าต้องการจะเลือกแบบไหน”


 


“ด้วยวิธีนี้ เส้นทางที่เจ้าเลือกเดินมันจะไม่มีทางผิดพลาดไปอย่างแน่นอน”


 


หลังจากที่ตั้งใจฟังอย่างรอบคอบ ซูเซี่ยเอ๋อก็โค้งคารวะอย่างนอบน้อม “ขอบพระคุณท่านอาจารย์”


 


จอมมารชุดคลุมเลือดส่งม้วนคัมภีร์สีเลือดให้แก่ซูเซี่ยเอ๋อ


 


“นี่คือม้วนคัมภีร์ที่สืบทอดชีพจรของข้า มันถูกเรียกว่า เส้นทางชะตาอันผิดเพี้ยน”


 


ซูเซี่ยเอ๋อเอ่ยทวนซ้ำด้วยความใคร่รู้ “เส้นทางชะตาอันผิดเพี้ยน?”


 


“ใช่ มันจะไล่ตามโชคชะตาดั้งเดิมที่สุดในชีวิตของเจ้า และแสดงให้เจ้าได้เห็นเส้นทางแห่งโชคชะตาของเจ้าว่าแต่เดิมแล้วแท้จริงเป็นยังไง”


 


“จงใช้มัน และค้นหาเส้นเทางที่เจ้าต้องการจะไปด้วยตนเอง” จอมมารกล่าว


 


“ทราบแล้วเจ้าค่ะ” ซูเซี่ยเอ๋อตอบรับ


 


เธอรับม้วนคัมภีร์มา จ้องมองมันด้วยความลังเล ก่อนจะหันไปกล่าวกับจอมมารว่า “แล้วโชคชะตาที่ว่านี้ ท่านอาจารย์ก็ทราบถึงมันอยู่แล้วใช่ไหม?”


 


“ข้าไม่รู้หรอก เพราะนิมิตหมายที่จะปรากฏขึ้นมันจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละบุคคล”


 


จอมมารชุดคลุมเลือดกล่าว “มีเฉพาะผู้ใช้มันเท่านั้นที่จะสามารถเห็นโชคชะตาดั้งเดิมของตนเองได้ และโชคชะตาที่ว่านั่นจะเป็นตัวช่วยบ่งบอกไม่ให้เจ้าเลือกเส้นทางที่หลงผิด”


 


ซูเซี่ยเอ๋อพอได้ฟังรู้สึกโล่งใจ คลายกังวลเรื่องการเลือกเส้นทางที่ผิดพลาดไปจนสิ้น


 


เธอค่อยๆใช้พลังจากภายในห่อหุ้มม้วนคัมภีร์อย่างแผ่วเบา


 


และม้วนคัมภีร์สีเลือดก็หายวับไปพร้อมกับเธอทันที


 


ท่ามกลางความมืดมิด


 


ค่อยๆมีแสงแวววาวเล็กๆปรากฏขึ้น


 


ภาพเคลื่อนไหวค่อยๆกางออกเบื้องหน้าซูเซี่ยเอ๋อ


 


“ท่านปู่ ท่านปู่ต้องให้อภัยเขานะ ไว้ชีวิตเขาเถอะ เขาต้องไม่ได้ตั้งใจอย่างแน่นอน”


 


นี่มันเป็นเสียงของเธอเองนี่นา?


 


ซูเซี่ยเอ๋อมองเข้าไป และเห็นว่าคนตรงหน้าคือตัวเองที่ใส่ชุดงานพรอมในวันฉลองจบการศึกษาของโรงเรียนมัธยม เธอคุกเข่าลงกับพื้น และกำลังอ้อนวอนขอร้องท่านปู่อยู่


 


ท่านปู่เอ่ยสวนกลับมา “ปู่ยอมปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ต่อไปก็ได้ แต่หลานเอ๋ย ฮึ่ม! หลังจากนี้ไปปู่จะไม่อนุญาตให้เจ้าติดต่อกับไอ้เด็กเหลือขอตัวเหม็นนี่อีก!”


 


พ่อของเธอที่ยืนอยู่ข้างๆตบลงบนโต๊ะอย่างแรงและพูดว่า “มันพยายามล่วงเกินลูกในงานเต้นรำ เจ้าสัตว์ร้ายจอมหื่นกระหายแบบนี้ ไม่สมควรที่จะโผล่มาอยู่ในสายตาของลูกอีกต่อไป!”


 


ปู่พูดต่อ “ถ้าหลานยินยอมตัดความสัมพันธ์กับเขา ปู่ในฐานะผู้นำตระกูลซูขอให้คำมั่นว่าจะไม่ส่งใครในตระกูลไปฆ่ามัน”


 


“ … เข้าใจแล้ว หนูจะไม่ติดต่อกับเขาอีก ขอเพียงแค่ท่านปู่ปล่อยเขาไป”


 


มองไปยังใบหน้าของตัวเองที่แลดูเศร้าสร้อยและกำลังคุกเข่าลงบนพื้น ซูเซี่ยเอ๋อก็แอบรู้สึกแปลกๆขึ้นในจิตใจ


 


นี่มันเกิดอะไรขึ้น?


 


ในงานพรอม เห็นได้ชัดว่ามันเป็นฝีมือของจางเย่อที่คิดลอบทำร้ายเธอโดยการชักใยกู่ฉิงซานอย่างลับๆ


 


แต่ทำไมในนิมิตของเส้นทางแห่งโชคชะตา สมาชิกครอบครัวของเธอจึงพูดราวกับว่าเป็นกู่ฉิงซานที่กระทำหยาบคายกับตัวเธอ?


 


และภาพก็เปลี่ยนไป


 


ทุกคนหายไปหมด


 


ก่อนจะดังขึ้นด้วยเสียงของผู้หญิงที่ฟังดูคุ้นเคยตะโกนร้องด้วยเสียงแสบแก้วหู “ยานอวกาศกำลังจะออกแล้ว! จับตัวเธอไว้เร็วเข้า! ไม่นะ! รีบจับตัวเธอเร็ว!”


 


ท่านแม่?


 


ซูเซี่ยเอ๋อบังเกิดความสับสนขึ้นในความคิด


 


“ไม่! หนูไม่ไป! หนูไม่ไป! ทำไมล่ะ! ทำไมเราถึงไม่ช่วยพวกเขา!”


 


และนี่ก็คือเสียงของเธออีกแล้ว


 


“ช่วยพวกเขา? เราจะช่วยอะไรพวกเขาอีก? เซี่ยเอ๋อ ดาวดวงนี้น่ะมันจบสิ้นแล้วลูกไม่เข้าใจหรือ? เราไม่สามารถช่วยเหลือใครได้แล้ว แต่พวกเราต้องรีบออกหนีออกจากที่นี่! รีบหนี! ได้ยินไหม!” แม่ตะโกนเสียงดัง


 


และภาพเคลื่อนไหวก็ค่อยๆชัดเจนขึ้น


 


สถานที่ที่สองแม่ลูกกลังถกเถียงกันอยู่นี้ คือภายในขั้วโลกเหนือ


 


ยานอวกาศขนาดใหญ่กำลังเตรียมจะเดินเครื่องออกตัว


 


เซี่ยเอ๋อกำลังเฝ้าดูนิมิตตนอยู่กลางอากาศ จ้องมองสถานการณ์เบื้องล่างจากมุมสูง


 


ขณะนี้ ตัวเธอในนิมิตกำลังถูกล็อคตัวโดยสองมืออาชีพ


 


โดยมีแม่ของเธอยืนอยู่ตรงข้าม


 


แม่กับลูกสาวมองหน้าสบตากันและกันด้วยความโกรธ


 


ไม่ไกลนัก คนอื่นๆจากเก้าตระกูลใหญ่กำลังทยอยกันขึ้นยานอวกาศคนแล้วคนเล่าอย่างต่อเนื่อง


 


ซูเซี่ยเอ๋อลดระดับลง ทิ้งตัวยืนอยู่ข้างฉากนิมิตดังกล่าวนี้ เพื่อเฝ้าดูโชคชะตาดั้งเดิมของเธอ


 


แม้เพียงมอง แต่มันก็ทำให้เธอสัมผัสถึงความรู้สึกอันบอบบางในจิตใจ


 


เสียงอิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ดังขึ้น “ยานอวกาศเตรียมการเสร็จสิ้นแล้ว อีกสิบนาทีจะเริ่มออกตัว”


 


พอได้ฟัง ซูเซี่ยเอ๋อก็พอจะคาดเดาทุกอย่างได้ในที่สุด


 


-เก้าตระกูลใหญ่ กำลังจะหลบหนีออกจากดาวดวงนี้


 


เธอก้าวไปข้างหน้า และมองดูตนเองในภาพเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด


 


แม้วันเดือนปีที่ผ่านพ้นไป แต่ริ้วรอยต่างๆบนใบหน้าเธอก็ยังเพิ่มขึ้นไม่มากนัก


 


เห็นแค่เพียงใบหน้าของตัวเองที่อาบไปด้วยน้ำตา ปากเอ่ยปฏิเสธที่จะยอมรับ “นี่คือสงครามขั้นแตกหักระหว่างมนุษยชาติกับเผ่ามาร ไม่ใช่ว่าพวกเราตกลงกันแล้วหรอว่าจะเข้าสู่โลกแห่งผู้ฝึกยุทธเพื่อป้องกันเมืองคิงซิตี้! ทำแบบนี้มันเท่ากับการทรยศนะ!”


 


โลกแห่งผู้ฝึกยุทธ?


 


นั่นมันคือที่ไหนกัน?


 


ซูเซี่ยเอ๋อคิดด้วยความสงสัย


 


แม่เธอสวนกลับด้วยความโกรธว่า “อย่ามาพูดถึงเรื่องทรยศหักหลังอะไรนั่นให้ขำเลยจะดีกว่า คิดหรือว่าแม่ไม่รู้ว่าลูกก็แค่คิดถึงเจ้าหนุ่มนั่น”


 


ร่างของซูเซี่ยเอ๋อแข็งค้าง


 


แม่หัวเราะหยัน “แม่รู้ว่าลูกได้แอบช่วยเหลือเขามาตั้งหลายปีแล้ว แต่ตอนนี้! เวลาที่อันตรายชนิดที่ว่าชีวิตลูกเองยังไม่รู้เลยว่าจะรอดไหม แล้วลูกมัวแต่คิดถึงเขามันจะมีประโยชน์อะไร!?”


 


ร่างหนึ่งบินออกมา และร่อนลงเบื้องหน้าซูเซี่ยเอ๋อ


 


ผู้พิทักษ์แห่งเก้าตระกูล


 


เธอสัมผัสลงบนหัวของซูเซี่ยเอ๋อ ปากเอ่ยเตือน “เซี่ยเอ๋อ เจ้าเป็นทายาทที่มีพรสวรรค์มากที่สุด จงเชื่อฟังแล้วขึ้นไปบนยานอวกาศเถอะ แล้วหลังจากนั้น ข้าจะบอกพ่อเจ้าให้สละตำแหน่ง ยกเจ้าขึ้นเป็นจ้าวมณฑลแทนทันที”


 


“แต่ท่านผู้พิทักษ์ พวกเราไม่ควรที่จะหนีไปในตอนนี้” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว


 


ผลั่ก!


 


ผู้พิทักษ์สับฝ่ามือลงบนต้นคอของซูเซี่ยเอ๋ออย่างอ่อนโยน


 


และเธอก็หมดสติลงทันที


 


ผู้พิทักษ์ถอนหายใจและกล่าว “เซี่ยเอ๋อ เจ้าน่ะยังไม่รู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวที่แท้จริงของเผ่ามาร หากมีวิธีการที่สามารถเอาชนะมันได้ แล้วข้าจะเลือกหนทางอันแสนอัปยศอย่างการพาเหล่าทายาททั้งหมดหลบหนีไปเพื่ออะไร?”


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.351 – ลมตะวันตก


 


“ท่านผู้พิทักษ์ ขออภัยจริงๆที่ทำให้ท่านต้องเดือดร้อน” แม่ของซูเซี่ยเอ๋อรีบโค้งกายคำนับอย่างรวดเร็ว


 


“ไม่เป็นไรหรอก เจ้าก็รีบไปขึ้นยานเถอะ พวกเรากำลังจะออกเดินทางกันแล้ว” ผู้พิทักษ์กล่าว


 


“เข้าใจแล้วค่ะ”


 


ซูเซี่ยเอ๋อที่ไร้สติ ถูกอุ้มตัวพาขึ้นไปบนยาน


 


หลังจากนั้นไม่นาน


 


ยานอวกาศขนาดใหญ่ก็ลอยลำขึ้นสู่ท้องฟ้า และระเบิดคลื่นอัดอากาศพุ่งสูงขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศหายลับไป


 


-นี่มันอะไรกัน? เก้าตระกูลใหญ่หลบหนีออกจากโลก นี่คือโชคชะตาของฉันอย่างงั้นหรอ?


 


ซูเซี่ยเอ๋อเฝ้ามองนิมิต ในสมองขบคิดถึงฉากที่ปรากฏอย่างเงียบๆ


 


และภาพก็กระพริบไหว ฉากโดยรอบเปลี่ยนไปอีกครั้ง


 


ภายในยานอวกาศ


 


ทุกคนหลับไหลกันไปหมดแล้ว


 


เห็นแค่เพียงผู้พิทักษ์ที่ยืนอยู่หน้าแผงควบคุมยาน เธอแสดงท่าทีลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะ ‘กดปุ่มสีเขียว’


 


แล้วหมอกค่อยๆเติมเต็มไปทั่วยานอวกาศ


 


“ข้าเสียใจจริงๆ” ผู้พิทักษ์บ่นพึมพำ “ในจักวาลนี้มีอสูรกายอยู่มากเกินไป ข้าทำได้แค่เพียงรับประกันได้ว่าตนเองจะไม่ถูกค้นพบเท่านั้น”


 


“เพื่อการดำรงอยู่ต่อไปของเก้าตระกูลใหญ่ เจ้าจะต้องอยู่ภายในยานอวกาศในฐานะต้นกำเนิดยีนไว้สำหรับสานต่อทายาทรุ่นต่อไปของเก้าตระกูล”


 


“สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือ แม้พรสวรรค์โดยกำเนิดของซูเซี่ยเอ๋อจะดีเลิศ แต่ทว่ากว่าจะค้นพบมันก็สายเกินไปเสียแล้ว …”


 


…..


 


ภาพเคลื่อนไหวกำลังจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า


 


เฝ้ามองหน้าตาของตัวเองที่ไร้สติและกำลังหลับลึก ภายในจิตใจของซูเซี่ยเอ๋อก็เต็มไปด้วยอารมณ์อันหลากหลาย


 


“ช่างเป็นชีวิตที่อ่อนแอและน่าเวทนาจริงๆ”


 


นี่มันหมายความว่า แต่เดิม ความจริงแล้วฉันไม่เคยควบคุมโชคชะตาของตนเองได้เลยสินะ?


 


จู่ๆเธอก็เริ่มใจเสียอย่างกระทันหัน


 


แล้วฉิงซานล่ะ?


 


เขาจะเป็นอย่างไร?


 


ราวกับรับรู้ถึงความนึกคิดของเธอ ภาพเคลื่อนไหวได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง


 


ยามเมื่อเปลี่ยนไปในตอนแรก ภาพเคลื่อนไหวนั้นพร่ามัวแลดูสับสน แต่ว่าสักพักมันก็ค่อยๆชัดเจนกระจ่างใสขึ้น


 


สายลมปั่นป่วน


 


เปลวไฟปะทุ


 


ควันลอยฟุ้งไปทั่ว


 


กลิ่นคาวของเลือดฟุ้งอยู่ในชั้นอากาศ


 


บรรยากาศร้อนอบอ้าว พวยพุ่งไปด้วยไอน้ำ


 


เสียงร่ำไห้คร่ำครวญอลหม่าน ร้องระงมไปทั่ว


 


มืออาชีพนับไม่ถ้วนที่สวมชุดเกราะและถืออาวุธของพวกเขากำลังข้ามแม่น้ำใหญ่


 


เหนือแม่น้ำใหญ่  ปรากฏเงาดำๆปกคลุมไปทั่วผืนฟ้า บดบังไปทั่วผืนดิน


 


ฮู้มมมมม!


 


เงาดำที่ว่าเปล่งเสียงคำรนอึกทึก


 


เหล่ามนุษย์มืออาชีพที่รายล้อมมันราวกับเกี๊ยวน้ำที่แตกออก เสียงคำรนระเบิดอวัยวะภายในของพวกเขาจนทะลุออกมาภายนอก คนแล้วคนเล่าสิ้นชีพลง เศษซากร่วงหล่นลงสู่แม่น้ำใหญ่


 


“อสูรกายที่ปกป้องที่นี่มันทรงพลังเกินไป พวกเราไม่สามารถข้ามผ่านธารเมฆามารได้เลย!” บางคนร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว


 


“แล้วสถานการณ์ทางฝั่งแนวหลังเป็นยังไงบ้าง?” อีกเสียงหนึ่งเอ่ยทวงถามกลับมา


 


ในหัวใจของซูเซี่ยเอ๋อเต้นครึกโครม


 


เพราะนี่คือเสียงของกู่ฉิงซาน!


 


เธอรีบเบนหน้าหันไปรอบๆเพื่อตามหาต้นตอของเสียงทันที


 


ดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นค่ายทหารโบราณ


 


เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่สวมใส่ชุดเกราะและถือดาบยาว ยืนอยู่ใจกลางเหล่ามืออาชีพมากมายที่รายล้อมรอบตัวเขา


 


ลักษณะของเขาดูจะมีความเปลี่ยนแปลงไปบ้างเล็กน้อย ใบหน้าปรากฏริ้วรอยและบาดแผล แสดงให้เห็นถึงความเหนื่อยล้าอย่างชัดเจน


 


ด้วยวันเวลาที่ผ่านพ้นไป ส่งผลให้ใบหน้าของเขามีหนวดเคราขึ้นประปราย


 


ดูจากรูปลักษณ์ทั้งหมดของฉิงซาน บ่งบอกได้ว่าช่วงเวลานี้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว


 


ทว่าสิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยคือดวงตาของเขา


 


มันคือดวงตาที่สดใส มั่นคง วันเวลามิได้ทำให้มันเปลี่ยนแปลงไปเลย


 


ซูเซี่ยเอ๋ออดไม่ได้ที่จะบินลงไปยืนข้างๆกู่ฉิงซาน


 


ทว่าเขากลับมองไม่เห็นเธอ


 


เธอเอื้อมมือออกไปและพยายามที่จะสัมผัสกับใบหน้าของเขา


 


“รายงาน!”


 


มีเสียงตะโกนดังลงมาจากบนท้องฟ้า


 


มือของซูเซี่ยเอ๋อหดกลับอย่างรวดเร็วราวกับปฏิกริยาโดนไฟดูด


 


เห็นแค่เพียงคนๆหนึ่งที่ทั้งคนทั้งร่างท่วมไปด้วยเลือดร่อนลงมา คนๆนั้นแทบจะทรงตัวไม่ได้ด้วยซ้ำ เมื่อเท้าย่ำลงบนพื้น เขาก็เสียหลักกลิ้งหลุนๆหลายตลบ ก่อนจะถูกช่วยพยุงโดยคนอื่นๆ


 


“มีอะไร? จงรีบรายงานมาเร็วเข้า” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ชายคนนั้นอ้าปากค้างหอบหายใจ ก่อนตะโกนเสียงดัง “มืออาชีพของเก้าตระกูลใหญ่ที่รับผิดชอบปกป้องเมืองคิงซิตี้ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่โผล่หัวกันมาเลย!”


 


“เมืองคิงซิตี้กำลังจะล่มสลายลงแล้ว!”


 


น้ำเสียงของเขากำลังหวาดกลัวและอดไม่ได้ที่จะสิ้นหวัง


 


“แล้วเทพวิญญาณของพวกเราล่ะ?” กู่ฉิงซานถาม


 


“ท่านเทพวิญญาณยังคงพยายามต่อสู้อยู่!”


 


“แบบนี้ไม่ดีแน่ ท่านเทพของพวกเราคงไม่สามารถเอาชนะพวกมันได้ จำนวนของอีกฝ่ายมีมากเกินไป!” ผู้บัญชาการอีกคนหนึ่งโพล่งออกมา


 


“เป็นอย่างที่ว่า แต่อสูรกายในธารเมฆามารมันแกร่งมากเกินไป พวกเราเองก็ไม่สามารถแบ่งกำลังไปสนับสนุนทางฝั่งนั้นได้เหมือนกัน” กู่ฉิงซานเอ่ยเสียงหม่นทะมึน


 


ทั้งหมดจมลงสู่ความเงียบ


 


ซูเซี่ยเอ๋อยังคงยืนอยู่ข้างกายกู่ฉิงซาน เฝ้ามองดูฉากนี้อย่างเงียบๆ


 


แปลกจัง สถานที่นี้มันคือที่ไหนกันแน่?


 


เธอหันไปมองรอบๆ


 


ทันใดนั้นเธอก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย


 


คนๆนั้นเป็นหนึ่งในนักสู้ผู้มีชื่อเสียงของรัฐบาลกลาง


 


เขาก็อยู่ในที่แห่งนี้ และสวมใส่ชุดเกราะที่ดูแปลกตา ในมือถืออาวุธแหลมคม สีหน้าการแสดงออกแลดูสิ้นหวัง


 


หรือว่า … นี่จะเป็นอีกโลกหนึ่ง?


 


โลกที่คนจากเก้าตระกูลเลือกที่จะทอดทิ้ง?


 


หรือว่านี่จะเป็นโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ที่ตัวเธอเองได้เอ่ยมันออกมาในก่อนหน้านี้?


 


เธอพยายามไตร่ตรองขบคิด


 


ช่วงเวลานั้นเอง ผู้หญิงในชุดเกราะทองคำก็บินมาจากพื้นที่ส่วนหลัง


 


หญิงนางนี้งดงามโดดเด่นชนิดหาตัวจับได้ยาก กระทั่งซูเซี่ยเอ๋อยังอดไม่ได้ต้องกวาดสายตามองเธอขึ้นๆลงอยู่ซ้ำอยู่หลายรอบ


 


“นายพลโหยวจีจากนิกายร้อยบุปผา หวังหลิงซิว มาที่นี่ขอรับ” ใครบางคนกระซิบเตือนกู่ฉิงซาน


 


“นายพลหวัง ท่านมาที่นี่ด้วยเหตุอันใด?” กู่ฉิงซานหันหลังกลับมาเอ่ยถาม


 


“หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเราจักพ่ายแพ้ใช่หรือไม่?” นายพลหญิงถาม


 


กู่ฉิงซานเงียบไปสักพัก สุดท้ายจึงเอ่ยตอบ “ใช่”


 


นายพลหญิงถอนหายใจและเอ่ยอย่างเศร้าสลด “น่าเสียดายยิ่งนักที่ท่านอาจารย์แห่งข้าได้ล่วงลับไปแล้ว ศิษย์พี่หนึ่งและสองก็ได้ล่วงลับไปแล้วเช่นกัน หลงเหลืออยู่เพียงแค่ข้าเท่านั้น”


 


กู่ฉิงซานไม่ได้เอ่ยตอบ


 


นายพลหญิงกล่าว “กู่ฉิงซาน เจ้าเป็นนักดาบนิรันดร์แห่งมนุษยชาติคนเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ ข้าจำได้ว่าเจ้ามีกระบวนท่าเทคนิคลับแห่งดาบของนักดาบนิรันดร์ ‘ทงกุ่ย’(ร่วมหวนคืน) ไว้อยู่ในครอบครองใช่หรือไม่?”


 


“หุบปากซะ!” ผู้ฝึกยุทธแห่งมนุษยชาติตัดบทด้วยความขุ่นเคือง และกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ เทคนิคทงกุ่ยที่ว่านั่น หากใช้มันออกไป นายท่านกู่ก็จะต้องตาย!”


 


นายท่าน?


 


ซูเซี่ยเอ๋อพอได้ยินทั้งคำพูดและสำเนียงนี้ก็คาดเดาไปว่า


 


นี่คือคำที่ใช้พูดกันในโลกใบนี้ใช่หรือไม่?


 


กู่ฉิงซานปรามชายคนนั้นและเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ใช่ ข้ามีกระบวนท่าที่ว่านั่น”


 


นายพลหญิงกล่าว “ข้ายินดีจะเสียสละชีวิตข้า รวมทั้งพื้นฐานวรยุทธทั้งหมด เพื่อช่วยให้เจ้าเปิดใช้งานทงกุ่ย ”


 


เธอมองไปที่กู่ฉิงซาน ในแววตาเปล่งประกายสดใสระยับ


 


“เราไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไปแล้ว มีเพียงแค่กระบวนท่าดาบนั่นที่จะสามารถทำลายเหตุและผล ตัดสะบั้นทุกสรรพสิ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องได้รับการยินยอมจากนายท่านกู่อยู่ดี” เธอกล่าว


 


กู่ฉิงซานหันไปมองดูเงาขนาดใหญ่บนท้องฟ้า ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น


 


“เจ้าอสูรกายตัวนี้ เป็นอาวุธชั้นยอดที่สุดของเผ่ามาร” เขาเอ่ยอย่างช้าๆ “เพียงเจ้าและข้าสองชีวิต มิอาจกระตุ้นกระบวนท่าดาบที่ว่านั่นได้ เราไม่สามารถเอาชนะอสูรกายที่ร้ายกาจที่สุดตัวนี้ได้”


 


-อสูรกายที่ร้ายกาจที่สุด


 


ซูเซี่ยเอ๋อเงยหน้าขึ้นมอง


 


บนท้องฟ้ามืดมิด


 


มอนสเตอร์ขนาดยักษ์ลอยตัวข้ามผ่านผืนฟ้า เกือบที่จะบดบังแสงสว่างทั้งหมดโดยสมบูรณ์


 


มอนสเตอร์ตัวนี้ บนร่างกายของมันประกอบไปด้วยหัวกะโหลกนับไม่ถ้วน


 


ไม่ว่าจะเป็นกะโหลกมนุษย์ , อสูรวิญญาณ , มาร , และอื่นๆที่ไม่ทราบชนิด


 


แต่ละหัวบ้างปิดปาก บ้างเปิดปากในเวลาเดียวกัน


 


และทุกๆการจู่โจมนับไม่ถ้วน ล้วนถูกส่งผ่านออกมาจากปากของเหล่ากะโหลกที่ว่านี้


 


ผู้ฝึกยุทธมนุษย์ที่รับผิดชอบในการบุกโจมตีจากทั่วฟ้าถูกมันระเบิดอวัยวะภายในตกตายลงอย่างต่อเนื่อง ร่างไร้วิญญาณของพวกเขาร่วงตกลงไปไหลรวมกับแม่น้ำใหญ่


 


ในชีวิตของซูเซี่ยเอ๋อ เธอไม่เคยพบเห็นฉากที่น่าเศร้าสลดเช่นนี้มาก่อนเลย


 


เธอจ้องมองมันอย่างว่างเปล่า ร่างกายแข็งทื่อไปสักพักหนึ่ง


 


ขณะนั้นเอง เสียงของกู่ฉิงซานก็ก้องขึ้นในหูของเธอ


 


“อย่างน้อยก็จำเป็นต้องใช้สองผู้ฝึกยุทธขอบเขตประทับเทพ เราถึงจะสามารถรับมือกับมันได้” กู่ฉิงซานมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและกล่าว


 


“แต่นักปราชญ์ได้ตกตายลงไปหมดแล้ว” นายพลอีกคนหนึ่งถอนหายใจอย่างเศร้าสลด


 


“มันดูเหมือนว่าทั้งในโลกจริงกับที่นี่คงไม่แคล้วถูกทำลายไม่ต่างกัน” นายพลอีกคนถอนหายใจตาม


 


โลกจริง?


 


ที่นี่?


 


มนุษย์สามารถเดินทางไปมาระหว่างสองโลกได้อย่างงั้นหรอ?


 


ซูเซี่ยเอ๋อขบคิดอย่างลับๆ


 


ในค่ายทหารที่กำลังเร่งร้อน เสียงดังรบกวนภายในค่อยๆสงบลง


 


สายลมเย็นพัดโชยไปมา


 


สรรพสิ่งเงียบงันราวกับทุกอย่างได้ตายจาก


 


ผู้ฝึกยุทธต่างหยุดมือในสิ่งที่ตนกำลังทำ


 


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอสูรกายที่ร้ายกาจที่สุด ทุกการกระทำทั้งหมดก็ดูเหมือนจะไร้สาระและไร้ความหมาย


 


ผู้ฝึกยุทธยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่นาน ราวกับตนเป็นประติมากรรม


 


บนใบหน้าของพวกเขาขณะนี้แลดูบิดเบี้ยว มันเผยถึงความโกรธแค้นไม่ยินยอมผสานไปกับความสิ้นหวัง


 


แต่ละคนทำแค่เพียงเบนสายตามามองกันและกัน แต่ในตอนนั้นเอง เสียงของผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาทำลายความเงียบ


 


ช่วงเวลานั้น


 


เห็นแค่เพียงภายในค่ายทหาร ผู้ฝึกยุทธที่สวมใส่ชุดเกราะรบสีดำเดินมาเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน


 


“นายพลดู่กู้ มีเรื่องอะไรกระนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างรอบคอบ


 


นายพลดู่กู้กล่าว “ข้าเพียงหวังว่าเราจะชนะสงครามที่นี่ด้วยตนเอง ไม่จำเป็นต้องมาพิจารณาว่าที่อื่นๆหรือเมืองคิงซิตี้จะมาสนับสนุนเรา – แต่เป็นเราที่ต้องคว้าชัยที่นี่และกลับไปช่วยเหลือเมืองคิงซิตี้”


 


“ใช่แล้วล่ะ นั่นเป็นวิธีเดียว แต่ด้วยความแข็งแกร่งของข้า ต่อให้แม้นสละชีวิต มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะสามารถสังหารอสูรกายตนนี้ได้” กู่ฉิงซานตอบ


 


นายพลเกราะดำค่อยๆย่อเข่าลง หัวเข่าข้างหนึ่งสัมผัสกับพื้นดินอย่างช้าๆ สองกำปั้นประสานเข้าหากัน


 


“นายท่านกู่ ข้ายินดีเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนท่าดาบทงกุ่ยของท่าน” เธอกล่าวอย่างสงบ


 


นายพลหญิงเชิดหน้าขึ้น สายตาจับจ้องมายังกู่ฉิงซาน


 


บนใบหน้าอันงดงามหาตัวจับได้ยากของเธอแสดงออกถึงความเฉยเมยต่อชีวิตและความตาย


 


เธอยื่นกำปั้นข้างหนึ่งไปทางเขาและเอ่ยว่า “นายท่านกู่ ข้ายินดีที่จะร่วมกระบวนท่าทงกุ่ยกับท่าน”


 


ผู้ฝึกยุทธต่างมองไปที่ฉากนี้อย่างเงียบๆ


 


หลังจากนั้นผู้ฝึกยุทธอีกคนหนึ่งก็คุกเข่าลง สองกำปั้นประสานเข้าหากัน ตามด้วยอีกคน และอีกคน


 


กลิ่นอายของทั้งหมดปุทะพรั่งพรูออกมาราวกับกำลังเปล่งประกายท่วมท้นดั่งขุนเขาและทะเล แสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจของพวกเขา


 


ตลอดทั้งค่ายทหาร นับพันหมื่นมืออาชีพและผู้ฝึกยุทธ ทั้งหมดต่างคุกเข่าลง จ้องมองไปยังกู่ฉิงซาน


 


เหล่าผู้คนต่างร้องตะโกน เปล่งวาจาแห่งความตั้งใจจากส่วนลึกในหัวใจของพวกเขาออกมา


 


“นายท่านกู่ ข้าก็ยินดีร่วมกระบวนท่ากับท่าน”


 


“มาร่วมกันทำให้มันเป็นกระบวนท่าที่สุดยอดกันเถิด”


 


“พวกเราขอยอมเป็นส่วนหนึ่งของทงกุ่ย!”


 


“ข้ายินดีแลกเลือดทุกหยดของข้าเพื่อเปิดใช้งานทงกุ่ยกับนายท่าน!”


 


….


 


ลมตะวันตกรุนแรงพัดกระหน่ำ


 


กู่ฉิงซานยืนอยู่ท่ามกลางสายลมและหันไปมองรอบๆ


 


ตลอดทั้งค่ายทหารไม่มีใครยืนอยู่อีกเลย ยกเว้นเขาแต่เพียงผู้เดียว


 


ทั้งหมดคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น สองกำปั้นประสานกัน ในแววตาของทุกคนฉายแววหนักแน่นเด็ดเดี่ยว


 


กู่ฉิงซานค่อยๆคุกเข่าของเขาลงข้างหนึ่งอย่างช้าๆ ประสานกำปั้นไปยังทุกผู้คน “มันก็แค่ชีวิตและความตายเท่านั้น วันนี้ข้าและเหล่าวีรชนเบื้องหน้าจะใช้ออกด้วยกระบวนท่าทงกุ่ย!”


 


ว่าจบ ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


เบื้องหลังเขา ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดต่างยืนขึ้น


 


ผู้ฝึกยุทธนับพันหมื่นมองตามร่างที่ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างพร้อมเพรียง


 


บินไปได้ครึ่งทาง กู่ฉิงซานก็เอ่ยตะคอกคำหนึ่ง


 


“ดาบเอ๋ย!”


 


ทันใดนั้น ดาบบินมากมายก็ผุดออกมาจากความว่างเปล่า


 


ดาบบินเหล่านั้นลดระดับลงมาอย่างรวดเร็ว ร่อนตกลงมาข้างกายของเหล่าผู้ฝึกยุทธแต่ละคน


 


ผู้ฝึกยุทธยื่นมือออกไปจับด้ามดาบข้างกาย และเริ่มต้นเผาผลาญพลังชีวิต , พื้นฐานวรยุทธ และจิตวิญญาณ เพื่ออัดฉีดพวกมันทั้งหมดเข้าไปในดาบบิน


 


ในขณะนี้ ทุกคนต่างร้องตะโกนโดยพร้อมเพรียง “แด่ทงกุ่ย!”


 


ร่างทั้งหมดเปล่งประกายวาวโรจน์ และผสานเข้ากับดาบยาวในมือของพวกเขา


 


ดาบยาวทั้งหมดเหินทะยานขึ้นโดยอัตโนมัติ พวกมันล้วนเปล่งประกายเจิดจรัสและเร่าร้อน ต่อแถวเรียงรายกันอย่างงดงามและสมบูรณ์


 


เทคนิคลับ นักดาบนิรันดร์


 


ค่ายกลดาบ ทงกุ่ย!


 


ฮู้มมม!


 


ปัง! บังเกิดเสียงสนั่นของปราณดาบระเบิดออก


 


ภูเขาและแม่น้ำบังเกิดความอลหม่าน ลมและเมฆแยกออกราวกับกำลังตื่นกลัว


 


เส้นแสงพวยพุ่งขึ้นสู่เงาชั่วร้ายที่บดบังไปทั่วผืนฟ้า


 


ปราณดาบเหลือคณา ฉีกอากาศตรงขึ้นไปราวกับต้องการทะยานสู่สรวงสวรรค์


 


สองมือของกู่ฉิงซานคว้าจับดาบยาว สองเท้าย่ำลงบนค่ายกลดาบ ขี่ทงกุ่ยเหินขึ้นสู่ฟากฟ้า


 


เขาทะยานเข้าหาเจ้าอสูรกาย


 


ใกล้เข้าไป


 


ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ


 


นักดาบนิรันดร์คนสุดท้ายในโลก ได้ระเบิดการโจมตีที่เขาเชื่อมั่นว่ามันทรงพลานุภาพที่สุดในช่วงชีวิต และคาดว่าน่าจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตออกมา


 


กระบวนท่าดาบได้ถูกปลดปล่อยออกไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ


 


รัศมีดาบเปล่งปลั่งน่าหลงไหลขจรขจายไปทั่วผืนฟ้า ขจัดความมืดมิดทั้งมวลสลายไป


 


ท่ามกลางความมืดมิด เสียงคำรนด้วยความเจ็บปวดหวีดแหลมในความว่างเปล่า


 


อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ จู่ๆนิมิตหมายแห่งโชคชะตาก็ราวกับหยุดนิ่ง


 


ทันใดนั้นทุกอย่างก็เชื่องช้าลง สรรพเสียงทั้งหมดก็พลันหายไปอย่างสิ้นเชิง


 


ซูเซี่ยเอ๋อสามารถมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน ว่ากู่ฉิงซานทะยานตัวขึ้นไปเผชิญหน้ากับอสูรกายด้วยอัตราเร็วที่แสนเชื่องช้า


 


ซูเซี่ยเอ๋อกระทั่งสามารถเห็นถึงการแสดงออกอันละเอียดอ่อนบนใบหน้าของกู่ฉิงซานได้อย่างชัดเจน


 


กู่ฉิงซานค่อยๆอ้าปากของเขาอย่างช้าๆ เปล่งคำรนสุดเสียงออกมาคำหนึ่ง


 


ทว่าแม้ซูเซี่ยเอ๋อพยายามตั้งใจฟังอย่างหนัก เธอก็ไม่สามารถได้ยินมันได้เลย


 


ประกายแสงทวีความเจิดจรัสมากขึ้น เปล่งประกายยิ่งขึ้น


 


แสงสีขาวแผ่กระจายไปทั่วผืนฟ้า บดบังปกคลุมทั้งสวรรค์และโลก


 


และเมื่อแสงสีขาวค่อยๆจางหายไปในความว่างเปล่า ทุกอย่างก็พลันมืดดับลง


 


ภาพเคลื่อนไหวหยุดลงเพียงแค่ฉากนี้


 


ซูเซี่ยเอ๋อนิ่งตะลึงงัน เพราะเธอค้นพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในกรมบังคับกฏอีกครั้งดังเดิมแล้ว


 


เธอยกมือขึ้นลูบสัมผัสลงบนแก้มตัวเอง


 


แล้วก็พบกับคราบน้ำตา ที่ไม่รู้เลยว่ามันไหลรินลงมานานแค่ไหนแล้ว


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.352 – หวนคืน


 


มันจำต้องใช้เวลาอยู่สักพัก ซูเซี่ยเอ๋อจึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้


 


ในที่สุดเธอก็ปาดน้ำตาที่ไหลรินออก แต่ดวงตาของเธอก็ยังคงแดงเรื่ออยู่


 


“ขออภัยท่านอาจารย์ ดูเหมือนว่าหนูจะมีอารมณ์ร่วมกับมันมากไปหน่อย …” ซูเซี่ยเอ๋ออธิบาย


 


“ดูจากท่าทีที่แสดงออกมา เจ้าคงดำดิ่งลงไปลึกมากทีเดียว” จอมมารชุดคลุมเลือดมองเธอและกล่าว “แล้วผลเป็นเช่นไร? มันช่วยให้เจ้าได้พบเจอกับเส้นทางที่ตนเลือกหรือไม่?”


 


ซูเซี่ยเอ๋อยืนยัน “อาจารย์ สิ่งที่หนูพึ่งได้เห็นไป มันคือโชคชะตาดั้งเดิมของหนูจริงๆน่ะหรือ?”


 


“ใช่ ประสิทธิภาพของม้วนคัมภีร์นี้ทรงพลังยิ่ง มันสามารถมสะท้อนให้เห็นถึงโชคชะตาที่แท้จริงของเจ้าได้”


 


“หนูเข้าใจแล้ว” ซูเซี่ยเอ๋อย่นจมูกสูดหายใจ และโค้งศีรษะของเธอลง


 


จอมมารชุดคลุมเลือด “อีกไม่กี่วันข้างหน้า เจ้าจะต้องกำหนดเส้นทางของตัวเอง ดังนั้นเวลานี้สมควรที่จะทำสมาธิ แล้วไตร่ตรองเกี่ยวกับมัน”


 


ว่าแล้วเขาก็ส่งกุญแจพวงหนึ่งให้แก่ซูเซี่ยเอ๋อ


 


“อาจารย์ นี่คือ?” เธอเอ่ยถาม


 


“มันคือกุญแจสำคัญที่ใช้เข้าสู่ทุกห้องของอาคารภาคพื้นดินทั้งหมดในกรมบังคับกฏ” จอมมารกล่าว


 


ซูเซี่ยเอ๋อเร่งเอ่ยทันที “ทำไมท่านถึงวางใจมอบมันให้มันแก่หนู?”


 


“ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้เจ้าเป็นนักเรียนเพียงคนเดียวของข้า ดังนั้นกรมบังคับกฏก็เปรียบดั่งบ้านของเจ้า จงทำความคุ้นเคยกับมันเสีย”


 


“มีห้องพักมากมายอยู่ในสวนด้านหลังของกรมบังคับกฏ เจ้าก็เลือกซักห้องไว้พักอาศัยก็แล้วกัน” จอมมารอธิบาย ก่อนจะนึกขึ้นได้ถึงบางสิ่ง “อ้อจริงสิ ข้าจำเป็นต้องไปทำบางสิ่งบางอย่างใน ‘โลกแห่งหนึ่ง’ และจะกลับมาในอีกราวๆไม่เกินภายในสามวันนะ”


 


“เจ้าค่ะ ศิษย์รับทราบแล้ว” ซูเซี่ยเอ๋อตอบรับ


 


“อ่า ช่วงเวลานั้นก็จงตริตรองเกี่ยวกับเส้นทางของเจ้าเสีย ยามเมื่อข้ากลับมา ข้าจะร่วมช่วยเจ้าสร้างชุดไพ่พื้นฐานเอง ” จอมมารกล่าว


 


“ขอบพระคุณท่านอาจารย์”


 


จอมมารชุดคลุมเลือดยิ้ม และทั้งคนทั้งร่างของเขาก็หายวับไปจากกรมบังคับกฏ


 


ซูเซี่ยเอ๋อถือพวงกุญแจ เตรียมที่จะทำความคุ้นเคยกับกรมบังคับกฏที่ว่างเปล่า ขณะที่ในสมองคิดไปต่างๆนาๆ


 


ภาพที่เธอเห็นเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างผิดปกติเล็กน้อย


 


ในงานพรอม กู่ฉิงซานไม่ได้ทำอะไรไม่เหมาะสมกับตนเองเสียหน่อย?


 


แต่ท่านอาจารย์บอกว่า สิ่งที่สะท้อนออกมาจากม้วนคัมภีร์นี้ คือโชคชะตาดั้งเดิมของเธออย่างแน่นอน


 


แต่ในความเป็นจริงแล้วนั่นมันไม่ใช่


 


กู่ฉิงซานได้เปิดเผยแผนการการของจางเย่อชัดๆ


 


สองโชคชะตานี้ แท้จริงแล้วตรงจุดไหนกันแน่นะ? ที่ทำให้ทุกอย่างมันแตกต่างออกไป


 


ซูเซี่ยเอ๋อนึกอย่างรอบคอบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานั้น


 


ใช่ มันน่าจะเป็นข่วงเวลาที่เขาสารภาพรัก …


 


“จริงๆแล้วฉันหวังว่าเธอให้รับปากฉันสักเรื่องหนึ่ง” เขาเอ่ยอย่างจริงใจ


 


“มาที่ร้านบาร์บีคิวของฉันในวันพรุ่งนี้ และลองชิมฝีมือการย่างของฉัน”


 


ท่าทีการแสดงออกของเขาดูจริงจังมาก


 


เมื่อคิดถึงเรื่องของกู่ฉิงซาน ซูเซี่ยเอ๋อก็รีบสะบัดหัวอย่างรวดเร็ว และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา


 


“ในตอนนั้นฉิงซานดูแปลกไปจริงๆ” เธอพึมพำ


 


—บางที มันอาจจะเป็นช่วงเวลานั้นก็ได้ที่กู่ฉิงซานได้ทำการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาดั้งเดิมของเธอ


 


ภายในโชคชะตาเดิม มันได้บอกเล่าเรื่องราวของหลายปีต่อจากนั้นออกมา


 


เมื่อเผ่ามารได้บุกมาถึง และเก้าตระกูลใหญ่หลบหนีออกจากโลก


 


กู่ฉิงซานและมอนสเตอร์ยักษ์เริ่มปะทะเข้าใส่กันจนทุกอย่างพินาศสิ้น


 


พินาศสิ้นไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย …


 


ซูเซี่ยเอ๋อหยุดฝีเท้า ชะงักไปอย่างกระทันหัน


 


พอคิดว่าฉิงซานได้ตายลง


 


ในหัวใจของเธอก็เต้นถี่ระรัว มันหนักอึ้งในทันใด


 


ถึงแม้ว่ามันจะใช้เวลาอีกกว่าสองสามปี จึงจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น แต่ตอนนี้เธอก็ได้รับรู้แล้วว่า มันไม่ใช่เรื่องเบาๆ


 


ซูเซี่ยเอ๋อรู้สึกหดหู่เล็กน้อย


 


เธอพึ่งจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา และยังไม่มีพลังอำนาจมากพอที่จะช่วยเหลือเขา อย่างน้อยก็ในระยะเวลาอันสั้นนี้


 


เมื่อพิจารณาเกี่ยวกับมัน เธอก็เห็นบรรทัดตัวอักษรหลายเส้นแจ้งเตือนขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า


 


พวกมันปรากฏขึ้นบนจอประสาทตาของเธอ


 


“คุณได้ชนะการทดสอบ”


 


“คุณถูกปลุกให้ตื่นขึ้น และมีคุณสมบัติในการใช้งานระบบ”


 


“ระบบนี้จะมีผลผูกมัดเชื่อมโยงกับคุณในกรณีที่มีสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้น”


 


ซูเซี่ยเอ๋อมองไปที่บรรทัดเหล่านั้นและเอ่ยถามว่า “แล้วอะไรคือสิ่งที่ฉันจำเป็นต้องทำ?”


 


“คุณไม่จำเป็นต้องทำอะไร การผูกมัดเชื่อมโยงจะใช้เวลาไม่กี่วัน ดังนั้นโปรดอย่าไปในสถานที่ๆอันตราย” ระบบตอบกลับ


 


“ขอทำการยืนยันเป็นครั้งสุดท้าย ผู้เล่นต้องการที่จะผูกเชื่อมโยงกับระบบหรือไม่?”


 


ซูเซี่ยเอ๋อมองบรรทัดตัวอักษร และนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง


 


ทันใดนั้นเธอก็เอ่ยออกมาทันทีว่า “ฉันไม่ต้องการผูกมัดกับคุณ”


 


บังเกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่ง


 


สักพักเลยทีเดียวระบบถึงจะตอบสนอง “ทำไมคุณถึงไม่ต้องการ?”


 


ซูเซี่ยเอ๋อ “ตั้งแต่วินาทีที่ฉันมาถึงโลกนี้ คุณก็ปรากฏตัวให้เห็นและบอกว่าฉันเป็นผู้เล่นทดสอบ (ผู้เล่นเบต้า)”


 


“แต่ฉันไม่ต้องการที่จะเป็นผู้เล่น ฉันไม่ต้องการที่จะทำภารกิจใดๆ เพราะฉันมีเรื่องที่ตัวเองต้องทำและต้องจัดการอยู่”


 


ระบบตอบกลับ “แต่สองภารกิจก่อนหน้านี้ คุณปฏิบัติมันจนบรรลุได้อย่างยอดเยี่ยม”


 


ซูเซี่ยเอ๋อ “ภารกิจแรกน่ะคือการเอาชีวิตรอด ส่วนภารกิจที่สองมันคือการตอบโต้กับศัตรู มันเลยพอจะพูดได้ว่าสองภารกิจที่คุณปล่อยออกมาน่ะมันตรงกับความต้องการของฉันพอดี ดังนั้นฉันเลยทำมันอย่างดีที่สุดจนสำเร็จ”


 


“ฉันรู้สึกขอบคุณสำหรับคำแนะนำของคุณ แต่ถ้าวันหนึ่งคุณได้สั่งให้ฉันทำภารกิจที่ไม่ต้องการ ฉันจะต้องต่อต้านมันอย่างแน่นอน”


 


“ไม่มีใครควบคุมโชคชะตาของฉันได้ และทั้งหมดที่ควรจะเป็นก็คือ ฉันจะทำในสิ่งที่อยากทำ – นั่นคือเหตุผลที่ตัวฉันซึ่งกำลังหมดหวังเลือกที่จะมายังโลกใบนี้”


 


ระบบ “ดังนั้น คุณเลยไม่ต้องการที่จะผูกมัดกับฉันอย่างงั้นหรอ?”


 


“ใช่ ” ซูเซี่ยเอ๋อตอบอย่างหนักแน่น


 


ระบบกล่าว “เป็นผู้เล่นที่ถูกเลือกโดยสวรรค์น่ะพิเศษมากเลยนะ ยิ่งมีระบบคอยช่วยเหลือมันจะสร้างประโยชน์ในการจัดแจงกฏเกณฑ์ของโลกให้แก่คุณได้อย่างมหาศาล … ”


 


“ฉันไม่ต้องการที่จะเป็นคนพิเศษ ฉันไม่ต้องการที่จะสร้างอะไรเลย ฉันเพียงแค่อยากกำจัดทุกการถูกควบคุมใดๆ และกลายเป็นคนที่สามารถกำหนดโชคชะตาได้อย่างอิสระก็เท่านั้นเอง” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว


 


ระบบเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง


 


ก่อนที่มันจะเอ่ยถามในทันใดว่า “คุณต้องการที่จะกลับไปยังโลกของคุณหรือไม่?”


 


ดวงตาของซูเซี่ยเอ๋อฉายแววสดใส “ฉันสามารถกลับไปได้หรอ?”


 


ไพ่แห่งโชคชะตาของท่านผู้พิทักษ์ดูจะใช้พลังงานมหาศาลเป็นอย่างมาก ในตอนที่มันส่งตัวเธอมายังโลกใบนี้ มันก็แตกสลายลงทันที


 


เทียบเท่าได้กับว่า ตัวเธอถูกขังอยู่ในโลกใบนี้โดยสมบูรณ์


 


มันคงจะดีกว่าถ้าเธอสามารถย้อนกลับไปได้


 


“ใช่ เดิมทีแล้วคุณยังอ่อนแอเกินไปที่จะย้อนกลับไปยังโลกด้วยตัวเอง แต่หากมีระบบ คุณจะสามารถหวนคืนกลับไปได้” ระบบกล่าว


 


ซูเซี่ยเอ๋อกัดริมฝีปากเธอ และตกอยู่ในห้วงภวังค์


 


จำเป็นต้องมีพลังอำนาจในระดับผู้ฝึกสอนเท่านั้น จึงจะสามารถไปมาระหว่างต่างโลกได้


 


ฉันจำเป็นต้องบรรลุถึงขั้นนั้น แต่หนทางดูเหมือนว่าจะยังอีกยาวไกล


 


มันอาจจะต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะได้หวนคืนกลับไป


 


ฉิงซาน ….


 


จู่ๆซู่เซี่ยเอ๋อก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่ง


 


‘ใช่สิ ยังมีอีกคนหนึ่งที่คอยเดินเคียงข้างเขา’


 


‘แอนนา’


 


จากข้อมูลที่ได้เผชิญหน้ากันตรงๆและแอบไปสืบมา ผู้หญิงคนนั้นช่างเป็นคนที่ไร้ยางอาย!


 


แถมยังพูดว่าตัวเองน่ะชอบดื่มสุดๆ


 


แล้วถ้าเธอชวนกู่ฉิงซานดื่มล่ะ?


 


พอดื่ม …. แล้วก็เมา … แล้วก็ …


 


ซูเซี่ยเอ๋อผูกเรื่องราวต่างๆมาโยงกันในความคิดของตัวเอง


 


ในเวลานั้น เสียงของระบบก็ดังขึ้น “หากมีฉัน คุณจะสามารถย้อนกลับไปพบเจอใครบางคนที่คุณอยากเจอได้อย่างสม่ำเสมอ”


 


ซูเซี่ยเอ๋อสวนกลับด้วยความโกรธ “เล่นใช้วิธีนี้! คุณมันช่างเจ้าเล่ห์นัก!”


 


“เปล่านะ นี่มันคือหนึ่งในฟังก์ชั่นของระบบต่างหาก” มันตอบกลับ


 


“งั้นฉันจะกลับไปตอนนี้ คุณสามารถทำมันได้เลยไหม?”


 


“พลังของระบบในขณะนี้ จะสามารถส่งคุณหวนคืนกลับไปได้แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น”


 


“แล้วมันจะเป็นแบบนี้ต่อไปไหมในอนาคต”


 


“ไม่ หากคุณช่วยให้ระบบแข็งแกร่งขึ้น ระบบก็จะให้บริการแก่คุณเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน และในครั้งต่อๆไปคุณจะสามารถใช้เวลากลับบ้านได้นานยิ่งขึ้น”


 


“เข้าใจแล้ว ฉันอยากจะกลับไปตอนนี้เลย!” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว


 


“รับทราบ ซูเซี่ยเอ๋อ โปรดยืนยันทำการผูดมักกับระบบด้วย”


 


“ … ฉันยืนยันผูกมัด”


 


“ผู้เล่นได้ทำการผูกมัดกับระบบ”


 


“ร้องขอผู้เล่นให้ใส่ใจบริหารเวลาให้ดี .. เตรียมการข้ามผ่านพื้นที่มิติและห้วงเวลา!”


 


“3”


 


“2”


 


“1!”


 


บังเกิดม่านแสงกระพริบวาบ และทั้งคนทั้งร่างของซูเซี่ยเอ๋อก็หายไปจากกรมบังคับกฏ


 


ณ ขั้วโลกเหนือ


 


กระท่อมบนภูเขา


 


ทันใดนั้นจู่ๆร่างของซูเซี่ยเอ๋อก็ปรากฏขึ้นหน้าเตาผิง


 


“เซี่ยเอ๋อ ในที่สุดเจ้าก็กลับมา!” ผู้พิทักษ์แห่งเก้าตระกูลมองและด้วยร่างที่กำลังสั่นไหว


 


“ผมของเจ้า! แล้วไหนจะชุดคลุมยาวสีขาวกับคทาในมืออีก นี่มันอะไรกัน?”


 


“มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อถูกทำการปลุกให้ตื่นขึ้นมาน่ะค่ะ” ซูเซี่ยเอ๋อตอบอย่างรวดเร็ว


 


ผู้พิทักษ์แห่งเก้าตระกูลกวาดสายตามองชุดคลุมของเธอ และกล่าวด้วยความปิติว่า “ในที่สุด! ในที่สุดสวรรค์ก็มีตาไม่ทอดทิ้งเก้าตระกูลของข้า!”


 


ซูเซี่ยเอ๋อหยิบสมองควอนตัมส่วนบุคคลของเธอออกมา และเริ่มทำการติดต่อเทพธิดากงเจิ้ง


 


เมื่อได้รับการตอบสนองจากเทพธิดา เธอก็รีบหันไปกล่าวกับผู้พิทักษ์ทันทีว่า “ท่านผู้พิทักษ์ ตอนนี้รบกวนช่วยปลดม่านป้องกันให้หนูหน่อยจะได้ไหม หนูจำเป็นต้องให้ชุดเกราะรบขับเคลื่อนมาที่นี่ แล้วพาหนูออกไปโดยเร็วที่สุด .. นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก”


 


“เรื่องสำคัญ? ดี! เข้าใจแล้ว! จัดไปเลยไม่มีปัญหา!” ผู้พิทักษ์ดูจะตื่นเต้นจนไม่มัวเสียเวลาคิดอะไรแล้ว เธอเร่งดำเนินการให้สาวน้อยตรงหน้าทันที


 


ซูเซี่ยเอ๋อได้กลับมาพร้อมกับถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ดังนั้นสิ่งที่เธอบอกว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ จะต้องเกี่ยวพันกับอนาคตของเธออย่างแน่นอน!


 


ฉะนั้น ข้าจะต้องให้ความร่วมมือกับเธออย่างเต็มที่!


 


ในไม่ช้า ผู้พิทักษ์ก็ทำการปลดม่านป้องกันบางส่วนออก และเปิดทางให้เกราะรบเพลิงนางฟ้าเข้าสู่ขั้วโลกเหนือ


 


ระหว่างเฝ้ารอการมาถึงของมัน เธอก็เอ่ยถามว่า“เจ้าสามารถไปยังเกาะหมอกได้สำเร็จแล้วใช่หรือไม่?”


 


“ค่ะ ต้องขอบคุณท่านที่ให้โอกาสหนูได้เข้าสู่โลกใบนั้น” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าวอย่างรู้คุณ


 


“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า” ผู้พิทักษ์กล่าว “ในอดีต มีจ้าวมณฑลหลายคนทีเดียวที่เลือกไปยังโลกใบนั้น แต่ทว่ามีเจ้าเลยเป็นคนแรกที่กลับมาแบบยังมีชีวิตนอกจากข้า”


 


ซูเซี่ยเอ๋อดูเวลาในสมองควอนตัมและกล่าว “ระหว่างกระบวนการ มันเป็นเรื่องที่ยากมากๆเลย บอกตรงๆหนูก็ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะรอดเหมือนกัน”


 


“แล้วเจ้ามีที่ปรึกษาหรือไม่?” ผู้พิทักษ์เอ่ยถามอย่างระแวดระวัง


 


“มีค่ะ” ซูเซี่ยเอ๋อยอมรับ


 


“แล้วผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์ที่เป็นที่ปรึกษาเจ้าคือใครกัน?”


 


“อาวุโสบังคับกฏ”


 


ผู้พิทักษ์แห่งเก้าตระกูลสูดหายใจยาว และเอ่ยสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจตนเองออกมาว่า “เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว”


 


“ท่านรู้จักเขางั้นหรอ?” ซูเซี่ยเอ๋อถามอย่างใคร่รู้


 


“แน่นอน! แน่นอนว่าต้องรู้จัก! ชื่อเสียงของเขาน่ะสะท้อนสะท้านไปทั่วในโลกมากมายนับไม่ถ้วน!” ผู้พิทักษ์กล่าว


 


น้ำตาของเธอไหลออกมาอย่างกระทันหันและกล่าว “เดิมข้าคิดว่าโลกใบนี้คงจะสิ้นสุดลงแล้ว และไม่มีทางที่จักรวาลทั้งหมดจะสามารถถูกช่วยเหลือเอาไว้ได้! แต่ไม่คาดคิดเลย! ไม่คาดคิดเลยว่าในเก้าตระกูลใหญ่ จะปรากฏผู้ใช้เทียนซวนประเภทไพ่ออกมาอีกคนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอนาคตที่สดใสรอเธออยู่เบื้องหน้าอีกด้วย!”


 


ซูเซี่ยเอ๋อค่อยๆโอบกอดเธออย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องกังวลนะคะ หนูสัญญาว่าจะพยายามให้ดีที่สุด”


 


ในระหว่างการสนทนา ชุดเกราะรบเพลิงนางฟ้าก็ร่อนลงมาถึงด้านนอกกระท่อมในที่สุด


 


ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว “หนูจำเป็นต้องไปจัดการเรื่องสำคัญในทันที ตอนนี้คงต้องขอตัวก่อน”


 


“จำเป็นต้องให้ข้าช่วยหรือไม่?” ผู้พิทักษ์กล่าว


 


“ไม่หรอกค่ะ นี่มันเป็นเรื่องส่วนตัวน่ะ” ซูเซี่ยเอ๋อกล่าว


 


ผู้พิทักษ์พยักหน้าด้วยความเข้าใจ ยอมรับฟังอย่างว่าง่าย


 


ด้วยนี่ก็เพราะซูเซี่ยเอ๋อได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาแล้ว


 


ก่อนที่คุณจะเสริมสร้างพลังอำนาจและความแข็งแกร่งของตัวคุณเอง คุณจะต้องเข้าใจหัวใจของตัวเอง และรักษาเสถียรภาพของมันให้หนักแน่นมั่นคงเสียก่อน


 


นี่เป็นช่วงเวลาที่ผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์(เทียนซวน)จะต้องเผชิญหน้ากับจุดที่อ่อนแอที่สุดในหัวใจของพวกเขา


 


และในระหว่างกระบวนการนี้ มันจะเป็นการดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายที่จะไม่แทรกแซงหรือรบกวน


 


ผู้พิทักษ์กล่าว “ไปเถอะ แต่จะทำอะไรต้องให้แน่ใจว่าตัวเองจะปลอดภัยนะ”


 


“หนูเข้าใจแล้ว เมื่อมีโอกาสได้กลับมาหาท่านอีกครั้งในอนาคต หนูมีบางอย่างที่จะเรียนถามท่าน ถึงเวลานั้นคงต้องรบกวนแล้ว”


 


“นั่นไม่ใช่ปัญหาเลย”


 


ซูเซี่ยเอ๋อออกจากประตูไป กระโจนไปเบื้องหน้าเพลิงนางฟ้า


 


ตามต่อด้วยเสียงกระหึ่มของคลื่นโซนิคบูม เพลิงนางฟ้าทะยานตัวขึ้นไปในอากาศเบื้องบนทันที มุ่งตรงไปยังทิศทางรัศบาลกลาง


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.353 – อีฟ (ต้น)


 


สหพันธรัฐ รัฐบาลกลาง


 


ณ ภูเขาในเขตชานเมืองหลวง


 


ภายในวิลล่าบนภูเขา


 


กู่ฉิงซานทำสมาธิอยู่คนเดียวภายในห้องนั่งเล่นที่มืดมิด


 


โดยมีดาบเช่าหยินบินวนอยู่เบื้องหน้าเขาอย่างเงียบๆ


 


กู่ฉิงซานหลับตาลง ปล่อยจิตสัมผัสเทวะเข้าใส่ดาบเช่าหยิน และค่อยๆถ่ายเทมันลงไปอย่างช้าๆ


 


เขาพยายามที่จะสื่อสารกับดาบเช่าหยินและทำความคุ้นเคยซึ่งกันและกันอีกครั้ง


 


ดาบเช่าหยินถูกซ่อมแซมจนมีสภาพเหมือนใหม่ ดังนั้นจึงเทียบเท่ากับว่ามันได้กลายเป็นดาบเล่มใหม่ของผู้ฝึกดาบ


 


เพียงแค่ทำให้ดาบเช่าหยินเข้าไปในทะเลแห่งห้วงสติของตนเองได้ ภารกิจที่สองของการปลุกนักดาบนิรันดร์ก็จะบรรลุได้ในที่สุด


 


เวลาผ่านไปนาน


 


“อีกนิดเดียวก็น่าจะสำเร็จแล้ว” กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น ปากเอ่ยกล่าวอย่างแผ่วเบา


 


เขาค่อนข้างพอใจกับความเร็วในการคืบหน้านี้


 


คาดว่าในอีกไม่กี่ชั่วโมง เขาก็น่าจะสามารถนำดาบลงไปในทะเลแห่งห้วงสติได้ในที่่สุด


 


ในตอนนั้นเอง บังเกิดเสียงคำรามของรถเหินเวหาดังขึ้นจากภายนอก


 


เสียงคำรามได้หายไป และประตูก็ถูกเปิดออก


 


ตามด้วยซางหยิงฮ่าวที่เดินเข้ามา


 


เมื่อเห็นคนตรงหน้า เขาก็ชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่มันดึกมากแล้วนา ยังไม่นอนอีกหรอ?”


 


เขาเปิดไฟห้องนั่งเล่น


 


เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่อยู่ในท่วงท่าขาขวาทับซ้าย มือซ้ายทับขวาอยู่ในอากาศ และมีดาบเล่มหนึ่งเวียนวนอยู่รอบกายเขา


 


กู่ฉิงซานเก็บดาบและทิ้งตัวลงบนพื้น


 


“ฝึกยุทธน่ะ ขี้เกียจหนึ่งวัน มันก็เท่ากับแกร่งช้าลงหนึ่งวันนะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“ฉันก็หลงนึกว่านายจะกำลังมัวแต่คิดถึงเรื่องโครงกระดูกชุดคลุมดำซะอีก”


 


“ก็กำลังคิดเรื่องนั้นอยู่ด้วยเหมือนกัน”


 


“งั้นทำไมเราไม่พักสมองโดยการหาเหล้าดีๆมาจิบกันซักหน่อยล่ะ”


 


“นั่นก็ฟังดูไม่เลวนะ”


 


ซางหยิงฮ่าวเดินไปเปิดตู้แช่และหยิบเหล้าขวดหนึ่งออกมา


 


ทั้งสองยกแก้วขึ้นชน


 


พวกเขากำลังดื่มและสนทนาเกี่ยวกับถ้อยคำที่โครงกระดูกชุดคลุมดำเอ่ยออกมา


 


พอเวลาเที่ยงคืน เหลียวฮังก็เดินออกมาเพื่อเข้าห้องน้ำ แต่เมื่อเขาเห็นว่าห้องนั่งเล่นยังคงเปิดไฟอยู่จึงรีบวิ่งเข้ามาดู


 


คนที่สมองดีน่ะ จำเป็นต้องได้รับเครื่องดื่มดีๆเข้ามาเติมเต็มในร่างกาย ไม่นานนัก วงเหล้าจากมีเพียงสองก็กลายเป็นสาม


 


หลังจากนั้นอีกไม่กี่นาทีต่อมา เย่เฟย์หยูก็เดินออกมาจากห้อง


 


แต่เดิมเย่เฟย์หยูวางแผนที่จะแอบเข้าไปหาของกินในห้องครัว แต่เมื่อเขาเห็นทั้งสามคนกำลังนั่งอยู่ที่นั่น


 


แหมะ … เขาก็ทิ้งตัวลงบนโซฟา วงเหล้าจากสามก็เปลี่ยนเป็นสี่


 


ปาร์ตี้สังสรรค์จึงได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ


 


กู่ฉิงซานยกเหล้าขึ้นจิบและกล่าวว่า “ฉันคิดว่าโครงกระดูกชุดคลุมดำกลัวสถานที่แห่งนั้น”


 


“สถานที่แห่งนั้น? หมายถึงนรกเยือกแข็งรึเปล่า?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม


 


“ไม่ หมายถึงปรภพน่ะ” กู่ฉิงซานตอบ


 


เหลียวฮังขบคิดเกี่ยวกับมันและกล่าว “คนตายที่ไม่อาจตายได้อีก แต่แท้จริงแล้วกลับดันมากลัวเทพวิญญาณ พอฉันได้มาคิดถึงเรื่องนี้ดู เลยลองตั้งสมมุติฐานเล่นๆว่า เทพวิญญาณน่ะ เป็นปรปักษ์กับคนตาย และสามารถทำลายคนตายได้ … ใช่หรือเปล่านะ”


 


“ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็ดีน่ะสิ แต่ทางปรภพน่ะไม่เคยเกิดความผิดปกติใดๆขึ้นมาก่อนเลยนะ แล้วทำไมอยู่มันถึงมีปัญหาขึ้นมาได้ล่ะ”ซางหยิงฮ่าวคิดยังไงก็คิดไม่ออกเลยเอ่ยถาม


 


เหลียวฮังพอถูกคำถามยากๆสวนกลับมาก็นิ่งงันไป อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ตอบกลับ แต่ยกแก้วขึ้นมาจิบแทน


 


“หรือว่าจำนวนประชากรในปรภพมันจะเยอะจนล้นแล้ว?” เย่เฟย์หยูลองคิดแตกยอดดูและเอ่ยถาม


 


“บางทีภัยพิบัติอาจจะเกิดขึ้นเพราะสาเหตุนั้นก็ได้” ซางหยิงฮ่าวกล่าว


 


กู่ฉิงซานไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยกแก้วตนขึ้นมาดื่ม


 


ทั้งสี่ยกแก้วขึ้นชน และกระดกมันจนหมด ก่อนจะอ้าปากทำเสียง ฮ่าาาา แล้วกระแทกก้นแก้วลง


 


เย่เฟย์หยูขมวดคิ้ว ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบแชมเปญขวดหนึ่งมา


 


“ฉันขอดื่มนี่แล้วกัน เหล้าพวกนายมันฤทธิ์แรงเกินไป” เขาโบกขวดแชมเปญไปมาและกล่าว


 


เหลียวฮังเทเหล้าฤทธิ์แรงให้กู่ฉิงซานกับซางหยิงฮ่าว ก่อนจะหันมาเติมให้ตัวเองจนเต็ม


 


จากนั้นเขาลุกขึ้น เดินไปที่ตู้เย็นในครัว หยิบของหวานออกมาและวางมันลงบนโต๊ะ


 


ขณะกำลังกินขนมไปพร้อมๆกับเหล้าฤทธิ์แรงซึ่งดูจะไม่เข้ากัน เหลียวฮังก็ทำการเปิดเครื่องเล่นแผ่นเสียง


 


“ถ้าเป็นอย่างที่เย่เฟย์หยูพูด ว่าจำนวนประชากรในปรภพมันล้นขีดจำกัดจริงๆ หลังจากนี้ไปคงได้เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นแน่นอน”


 


“เรื่องอะไรหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“ก็นรกอื่นๆที่จะปรากฏตามมายังไงล่ะ” เหลียวฮังกล่าว


 


“เรื่องนั้นฉันก็คิดอยู่เหมือนกัน” กู่ฉิงซานเห็นด้วย


 


“ถ้าเป็นแบบนี้” ซางหยิงฮ่าวถอนหายใจ “ฉันคงไม่สามารถเปิดรับงานของสมาคมนักล่าได้อีกต่อไปแล้ว”


 


“มนุษย์ทุกคนจะถูกล้างบางอยู่รอมร่อ นับประสาอะไรกับสมาคมนักล่าของนาย” เย่เฟย์หยูยกแชมเปญขึ้นดื่มและกล่าว


 


เหลียวฮังบ่นพึมพำเบาๆ “แต่ถ้าเอาจริงๆเลยนะ ทำไมพวกเราไม่ลองส่งแฟนแกไปส่องทางฝั่งปรภพดูซักหน่อยล่ะ แล้วให้กลับมารายงานว่ามันเป็นยังไงกันแน่ แบบนี้ฟังดูน่าสนใจไหม?”


 


เย่เฟย์หยูสวนกลับทันทีว่า “ไม่มีทางซะล่ะ! แล้วถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธออ่ะ? แล้วถ้าเธอไม่กลับมาจะทำยังไง?”


 


“ก็ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ฉันคิดว่าบางทีคงจะเป็นอะไรอย่าง -เธออาจจะได้เกิดใหม่ และได้รูปลักษณ์ใหม่ก็ได้นะ” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยเสียงดังกว่าปกติ


 


เขาดื่มมากเกินไปและเริ่มพูดจาเลอะเทอะแล้ว


 


เหลียวฮังตริตรองอย่างจริงจังและกล่าว “ถ้าเกิดใหม่เป็นผู้หญิงมันก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นผู้ชายแล้วล่ะก็ … ”


 


เขาแอบเหลือบมองอย่างระแวดระวังไปที่เย่เฟย์หยูวูบหนึ่ง


 


เย่เฟย์หยูกระแทกก้นแก้วของเขาลงบนโต๊ะอย่างแรง ปากร้องคำราม “เกิดใหม่งั้นหรอ จะบ้ารึไง? ดูคนตายในนรกเยือกแข็งพวกนั้นสิ! ไม่มีใครได้เกิดใหม่หรอก! ทุกคนมีแต่จะต้องทนทุกข์ทรมานตลอดไปในนรกนั่นต่างหาก!”


 


เขาผุดลุกขึ้น เปล่งเสียงดังยื่นคำขาด “ไม่ยอม! ฉันจะไม่มีวันยอมให้เธอไป!”


 


กู่ฉิงซานเอื้อมมือไปตบอีกฝ่ายเบาๆและกล่าวอย่างหนักแน่น “ฉันจะไม่ปล่อยให้แฟนนายไปทำอะไรแบบนั้นหรอกน่า มั่นใจได้”


 


เหลียวฮังตกใจกับท่าทีของอีกฝ่าย เขารีบเอ่ยว่า “พวกเราแค่พูดเล่น แกไม่ต้องจริงจังถึงขนาดนี้ก็ได้”


 


พอได้ฟัง เย่เฟย์หยูก็พยายามห้ามปรามอารมณ์ของตัวเองลง


 


“แต่วิธีที่ว่านั่นมันก็น่าสนใจจริงๆนะ นายจะไม่ลองตั้งใจหาผีตัวอื่นๆไปสำรวจดูซักหน่อยหรอ” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม


 


กู่ฉิงซาน “แฟนของเย่เฟย์หยูน่ะฉันช่วยไว้ได้ทัน แต่ผีนอกเหนือไปจากเธอ คงโดนกลืนหายไปในนรกเยือกแข็งจนหมดแล้ว”


 


“จบสิ้นกัน” ซางหยิงฮ่าว บ่นอุบอย่างช่วยไม่ได้ “ถ้าไม่มีข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำล่ะก็ … จะบอกอะไรให้นะ ในความเป็นจริงแล้วการต่อสู้กับศัตรูที่ไม่รู้จักนั่นแหละเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดเลยรู้ไหม เพราะนายไม่มีทางรู้รายละเอียดของมัน แถมยังไม่รู้ว่ามันจะมีการเปลี่ยนแปลงหรืออาจเล่นตุกติกอะไรบ้าง”


 


ณ เวลานั้นเอง อุปกรณ์สื่อสารของกู่ฉิงซานก็ดังขึ้น


 


เขาเปิดมันและทำการเชื่อมต่อทันที


 


“เป็นยังไงบ้าง การสืบทอดมรดกของเธอเรียบร้อยแล้วใช่ไหม” เขาเอ่ยถาม


 


“อ๋า–ตำแหน่งของฉัน? ตอนนี้ก็ … ” กู่ฉิงซานหันไปมองซางหยิงฮ่าว


 


และซางหยิงฮ่าวก็บอกตำแหน่งที่อยู่ออกไปอย่างรวดเร็ว


 


กู่ฉิงซานกล่าวมันออกไป


 


และการสื่อสารก็สิ้นสุดลง


 


เหลียวฮังจ้องมองเขา “สาวคนไหนอีกล่ะทีนี้”


 


ซางหยิงฮ่าว “ดูเหมือนจะไม่ใช่แอนนานะ”


 


เย่เฟย์หยู “ฟังจากที่คุยกัน ดูเหมือนน้ำเสียงเธอจะห่วงนายไม่น้อยเลยนี่”


 


กู่ฉิงซาน “ … ”


 


พวกเขาตั้งวงเหล้านั่งใกล้กัน ดังนั้นเสียงจากอุปกรณ์สื่อสาร ย่อมสามารถดังเข้ามาถึงหูของทั้งสองได้อย่างชัดเจน


 


ไม่ต้องกล่าวถึงเย่เฟย์หยูกับซางหยิงฮ่าว แม้กระทั่งตัวเหลียวฮังเอง หลังจากฝึกฝนยุทธแล้ว ต่อให้เขาหูหนวก ก็ยังสามารถจับเสียงในลำโพงได้อยู่ดี


 


“ซูเซี่ยเอ๋อน่ะ” กู่ฉิงซานเฉลย


 


“ซูเซี่ยเอ๋อ จ้าวมณฑลคนใหม่แห่งเก้าตระกูลใหญ่สินะ” ซางหยิงฮ่าวกล่าว


 


“โห–” อีกสองคนลากเสียงยาวขึ้นพร้อมกัน


 


ก่อนจะหันมาขยิบตาให้อีกฝ่าย


 


ต้องขอบคุณปากที่เปรียบดั่งมีรูรั่วอยู่เต็มไปหมดของซางหยิงฮ่าวจริงๆ ที่ทำให้ทั้งสองคนล่วงรู้ว่าชุดเกราะรบขับเคลื่อนชิ้นแรกที่กู่ฉิงซานทำขึ้น ได้มอบมันให้เป็นของขวัญสาว


 


นี่กล่าวได้ว่าเป็นตัวละครในตำนาน ที่พวกเขาเพียงเคยได้ฟัง แต่ไม่เคยเห็นคนๆนี้มาก่อนเลย


 


“เธอกำลังจะมาหาฉันที่นี่ บอกว่ามีเรื่องด่วนจะพูดด้วยน่ะ”


 


กู่ฉิงซานกล่าว แต่แท้จริงแล้วเขากลับแสดงท่าทีกังวลออกมา


 


—นรกกำลังจะมาถึงในไม่ช้าแล้ว แล้วเวลานี้มันยังจะมามีสถานการณ์อะไรอีกกันนะ? ซูเซี่ยเอ๋อถึงจำเป็นต้องรีบมาหาเขา


 


เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?


 


อีกสามคนมองไปทางกู่ฉิงซานและเห็นถึงความกังวลของอีกฝ่าย


 


-น้อยครั้งนักที่จะเห็นกู่ฉิงซานแสดงออกทางสีหน้าเช่นนี้


 


บางที เรื่องมันอาจจะไม่ธรรมดาอย่างที่พวกเขาคิดกันก็ได้


 


เมื่อคิดถึงจุดนี้ ทั้งสามก็รีบเปลี่ยนทัศนคติล้อเล่นเมื่อครู่ทันที


 


เหลียวฮังกล่าว “แกต้องการให้ฉันเปิดเครือข่ายจั๊มป์ทั่วโลกเพื่อให้เธอมาหาได้เร็วขึ้นอีกซักหน่อยไหม?”


 


“ไม่ต้องหรอก เธอมาจากขั้วโลกเหนือน่ะ ไม่มีจุดเครื่องจั๊มป์ตั้งไว้ใกล้ๆหรอก และตอนนี้เธอก็กำลังขับเพลิงนางฟ้ามา ตามความเร็วของมันแล้วคงจะมาถึงในเร็วๆนี้ล่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


เย่เฟย์หยูเลียริมฝีปากและกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ถ้าจำเป็นต้องสู้ ช่วยรวมฉันเข้าไปด้วยนะ”


 


ซางหยิงฮ่าวกล่าวเสียงหม่น “อันดับแรกก็มาดูกันก่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วจากนั้นก็มาวางแผนตามสถานการณ์”


 


กู่ฉิงซานพยักหน้า บังเกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นในจิตใจเล็กน้อย


 


แล้วในเวลานั้นเอง สมองควอนตัมส่วนบุคคลของเขาก็ส่องสว่างขึ้นอย่างกระทันหัน


 


กู่ฉิงซานเหลือบมองมันและกล่าวอย่างไม่ลังเล “เชื่อมต่อ”


 


จอม่านแสงปรากฏขึ้น


 


ผมยาวสีแดงเพลิง ผิวขาว สองตาเปล่งประกายงดงาม


 


แอนนาถือขวดไวน์ในมือ ใบหน้าของเธอแดงก่ำ ดวงตาที่เมามายจ้องมองมาที่จอม่านแสง


 


ในเวลานี้ เธอเชื่อมต่อกับสมองควอนตัมของกู่ฉิงซานในรูปแบบวิดีโอคอล


 


“โทรมาหาฉันในเวลานี้ มีอะไรเกิดขึ้นอย่างงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


แอนนาเห็นได้ชัดว่าตกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากอีกฝั่งหนึ่ง


 


“นั่นพวกนายสี่คนกำลังนั่งดื่มกันอยู่หรอ? กลางดึกเนี่ยนะ” เธอกวาดสายตามองคนทั้งหลายแล้วกล่าว


 


เหลียวฮังส่งเสียงฮึฮะแล้วกล่าว “ว่าแต่คนอื่น แต่ไม่ดูตัวเองเลยนะ”


 


แอนนาไม่สนใจเขา และหันไปกล่าวกับกู่ฉิงซานโดยตรง “ตอนนี้มีทางเลือกที่สำคัญมากสำหรับฉัน และฉันต้องการจะถามความคิดเห็นจากนาย”


 


“ลองว่ามาสิ ฉันฟังอยู่” กู่ฉิงซานกลายเป็นจริงจัง


 


“สิ่งที่ตระกูลของฉันได้รับสืบทอดมามันแปลกมาก มันคือกล่องสีดำ และว่ากันว่าตราสัญลักษณ์แห่งความตายก็ถูกหยิบออกมาจากกล่องที่ว่านี้นี่แหละ”


 


กู่ฉิงซานพยักหน้า


 


แอนนากล่าวอย่างลังเล “แต่กล่องใบนี้ หากนับตั้งแต่ต้นตระกูล จะมีเพียงหัวหน้าตระกูลรุ่นแรกของเราเท่านั้นที่เปิดมันได้ ฉันเลยลังเลใจว่าจะลองทำมันดูดีไหม”


 


กู่ฉิงซาน “ถ้าเธอลังเลแบบนี้ แสดงว่ามันต้องมีสิ่งที่จะใช้จ่ายออกไปเพื่อแลกกับการทำลองมันอยู่สินะ?


 


นี่เป็นมรดกที่หายสาบสูญไปของตระกูลเมดิซี ในชีวิตก่อนหน้าแอนนาได้ตกตายลง ร่องรอยของมันจึงหายไปโดยสมบูรณ์


 


ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร


 


“ใช่ มันมีราคาที่ต้องจ่ายออกไป”


 


แอนนากำลังจะตอบ แต่ทันใดนั้นจู่ๆเธอก็หุบปากลง


 


เพราะทางฝั่งกู่ฉิงซาน มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น


 


“ดึกดื่นป่านนี้แล้ว ยังจะมีใครมาอีก?” แอนนาถามด้วยความสงสัย


 


สีหน้าของเหลียวฮัง เย่เฟย์หยู และซางหยิงฮ่าวเริ่มซีดลงทันที


 


เหลียวฮังบ่นงึมงำ “ถ้าเทียบกับนรกเยือกแข็งแล้ว ฉันว่าสถานการณ์ที่เรียกว่า ‘นรก’ เหมือนกันในตอนนี้น่ากลัวยิ่งกว่าซะอีก”


 


แล้วประตูก็ถูกกระแทกเปิดออกโดยที่ไม่มีใครทันจะไปเปิดมัน


 


ท่ามกลางสายลมแรง เด็กสาวงดงามผู้มีดวงตากระจ่างใสและฟันสีเงินเรื่อปรากฏตัวขึ้น


 


“ขอโทษนะ ฉันมาสายเกินไปหน่อย ตอนนี้เวลาของฉันมันใกล้จะหมดลงแล้ว” เด็กสาวอุทาน


 


เธอคือซูเซี่ยเอ๋อ


 


ขั้วโลกเหนือมันอยู่ไกลเกินไปสำหรับวิลล่าบนภูเขา แถมยังเสียเวลาคุยกับท่านผู้พิทักษ์แห่งเก้าตระกูลใหญ่อีก ดังนั้นตอนนี้เธอจึงเหลือเวลาอีกไม่ถึงนาทีแล้ว


 


เธอจะต้องทำมัน!


 


“เซี่ยเอ๋อ เกิดอะไรขึ้น?” กู่ฉิงซานถามด้วยกระแสเสียงทุ้มลึก


 


เขายกมือขึ้น


 


ดาบพิภพและเช่าหยิน หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา ลอยโฉบจากกลางอากาศมาอยู่ข้างกายเขาอย่างเงียบๆ


 


กู่ฉิงซานไม่เคยเห็นซูเซี่ยเอ๋อดูดูเร่งร้อนขนาดนี้มาก่อนเลย


 


ที่บอกว่า ‘เวลาใกล้จะหมดลงแล้ว’


 


นั่นมันหมายความว่ายังไง!?


 


ซูเซี่ยเอ๋อดูจะแตกต่างจากเมื่อก่อนเล็กน้อย


 


ผมสีดำของเธอ ตอนนี้ทั้งหมดดันเปลี่ยนเป็นสีเงินขาว!


 


แท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่?


 


กู่ฉิงซานเริ่มเป็นกังวล


 


เมื่อคนอื่นๆเห็นสายตาของกู่ฉิงซาน รวมถึงอาวุธของเขาที่ถูกเรียกออกมาอย่างกระทันหัน ในหัวใจของพวกเขาก็ราวกับถูกระเบิดลงอย่างกระทันหัน


 


เหลียวฮังเปิดสมองควอนตัมส่วนบุคคล ปากเอ่ยกล่าวอย่างรวดเร็ว “เตรียมจั๊มป์ระเบิด”


 


ส่วนเย่เฟย์หยู รอบกายเขาปรากฏเลือดสังหารพรั่งพรูออกมา พร้อมด้วยคู่เดือยแหลมบนแผ่นหลังที่งอกขึ้น


 


ทั้งหมดจ้องมองไปที่ประตูอย่างระแวดระวัง


 


ขณะที่ซางหยิงฮ่าวนั่งนิ่ง มิได้ขยับกายเคลื่อนไหวใดๆ


 


แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหมือนกัน ที่มือทั้งสองของเขากำลังกุมด้ามกริชสั้นที่คมของมันสาดประกายเย็นเยียบ


 


ซูเซี่ยเอ๋อเป็นคนฉลาด เพียงเห็นท่าทีตอบสนองของหลายๆคนเธอก็เข้าใจได้ในทันที


 


เธอตะโกนออกมาว่า “ใจเย็นๆกันก่อนะ มันไม่มีอะไรหรอก ” ขณะเดียวกันก็รีบวิ่งไปทางกู่ฉิงซาน


 


“มีสิ่งหนึ่งที่ฉันต้องการมอบมันให้กับนาย” ซูเซี่ยเอ๋ออ้าปากหอบหายใจ


 


เธอชำเลืองมองไปที่ดาบทั้งสองข้างกายกู่ฉิงซาน และคว้าเอาม้วนคัมภีร์สีเลือดออกจากอ้อมแขน


 


—มันคือม้วนคัมภีร์อันทรงพลานุภาพที่ได้มาจากจอมมารชุดคลุมเลือด


 


“ช่วงเวลาว่างเปล่าของทวยเทพ”


 


เธอยัดม้วนคัมภีร์ลงในมือของกู่ฉิงซาน เงยหน้าขึ้นมองสบตากับอีกฝ่าย


 


“มันคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของฉันตอนนี้ และฉันหวังมามันจะเป็นตัวแทนของฉันที่คอยอยู่เคียงข้างไปกับนาย เมื่อพบเจอกับอันตราย มันจะต้องช่วยนายได้อย่างแน่นอน”


 


หลังจากกล่าวประโยคนี้จบ ซูเซี่ยเอ๋อก็ถอนหายใจยาว


 


เธอยินยอมผูกมัดกับระบบ เดินทางข้ามผ่านระหว่างสองโลก และใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงบินจากขั้วโลกเหนืออย่างสุดกำลังกลับมายังรัฐบาลกลาง เพื่อส่งต่อม้วนคัมภีร์เลือดนี้


 


และเวลานี้ มันก็ได้มาถึงมือของกู่ฉิงซานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


 


สิ่งมากมายเหล่านี้ มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่จะสามารถทำเพื่อเขาได้


 


จากนี้ไป เธอก็จะกำหนดเส้นทางของตัวเอง และเร่งพยายามแข็งแกร่งขึ้น


 


มีเพียงการที่ตัวเธอต้องพัฒนาขึ้นเป็นตัวตนที่ทรงพลังมากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้เท่านั้น จึงจะสามารถหยุดฉากจบอันโหดร้ายแห่งโชคชะตาลงได้ ลบมันไปให้ราวกับไม่เคยเกิดขึ้นตลอดกาล


 


ซูเซี่ยเอ๋อมองไปยังหน้าต่างระบบ


 


เหลือเวลาอีกสิบวินาที


 


ด้วยเวลาอันจำกัดนี้ จำเป็นต้องโจมตีคู่ต่อสู้ที่สำคัญที่สุด!


 


เธอเรียกความกล้าทั้งหมดที่มีออกมา และโผเข้ากอดกู่ฉิงซานเบาๆ


 


ซูเซี่ยเอ๋อหันศีรษะของเธอไปทางแอนนาที่กำลังตะลึงงันอยู่ในจอม่านแสง และทำเสียงหัวเราะคิกคักราวกับระฆังเงินอันเสนาะหู


 


ปากขยับเป็นเสียงกระซิบ “ไม่ว่ายังไง เดิมที ‘ที่ตรงนี้’ก็ไม่ใช่ของเธออยู่แล้ว”


 


เธอยิ้มกว้างด้วยความสุขใจยิ่ง


 


มันสดใส ร่าเริงยิ่งกว่าตอนนี้เธอโค่นยี่ชาลงได้เสียอีก


 


“ที่พูดนั่นเธอคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่มาจากไหนกัน!” แอนนาตวาดเสียงดัง


 


ณ จุดนี้คนอื่นทั้งหลายถึงขั้นลืมหายใจ จ้องมองฉากที่เกิดขึ้นด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง


 


เมื่อกี้เย่เฟย์หยูยังกางปีกออก ตั้งท่าเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้อยู่เลย แต่ตอนนี้เขาไม่กล้าแม้กระทั่งขยับหายใจเพราะเกรงว่าจะเป็นการรบกวนสองสาว


 


เหลียวฮังหรี่สองตาของเขาแคบลง เบนสลับไปมาระหว่างเด็กสาวทั้งสอง


 


ส่วนซางหยิงฮ่าวผ่อนคลายลงเล็กน้อย


 


เขาใช้เท้าเตะลงที่ไหนสักแห่งในช่องลับ ที่ดูเหมือนว่าจะสามารถหยิบจับบางสิ่งบางอย่างออกมาได้ตลอดเวลาปิดกลับคืน


 


แอนนาปิดวิดีโอคอลในสมองควอนตัมด้วยความโกรธ


 


และเสียงสุดท้ายที่ดังลอดออกมาจากลำโพง มันเป็นเสียงของขวดแก้วที่แตกกระจาย!


 


กู่ฉิงซานถือม้วนคัมภีร์สีเลือดในมือ ขณะที่ปลายจมูกสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมละมุนและความอบอุ่นจากเนื้ออสัมผัสที่ราวกับหยกในอ้อมอกของเขา


 


ริมฝีปากของเขาขยับขึ้น และเตรียมที่จะเอ่ยถามสถานการณ์ให้มันชัดเจน


 


แต่ทันใดนั้น ก็พลันบังเกิดม่านแสงสว่างวาบ!


 


พร้อมกับร่างของซูเซี่ยเอ๋อที่หายไป


 


คำพูดของกู่ฉิงซานจุกอยู่ในลำคอ ทว่าคนที่อยู่ในอ้อมอกของเขากลับหายไปแล้ว


 


เขายืนโง่งมอยู่ในสถานที่นั่นโดยสมบูรณ์


 


และคนอื่นๆก็ไม่ต่างกัน


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.354 – อีฟ(ปลาย)


 


โดยไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ ซูเซี่ยเอ๋อได้หายตัวไปต่อหน้าต่อตาทุกคน


 


“นี่มันเรื่องบ้าอะไร!?” เหลียวฮังกระโดดโหยงแล้วรีบวิ่งไปข้างๆกู่ฉิงซาน


 


เขาจับสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงของมิติอย่างรอบคอบ ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “นี่มันไม่ใช่การจั๊มป์! แล้วเธอหายตัวไปดื้อๆได้ยังไงกัน!”


 


กู่ฉิงซานก้มหน้าลง มองไปยังม้วนคัมภีร์สีเลือดในมือ


 


ปรากฏเส้นแสงหิ่งห้อยสามบรรทัดขึ้นในหน้าต่างระบบเทพสงคราม


 


“ช่วงเวลาว่างเปล่าของทวยเทพ”


 


“คำอธิบาย : นี่คือม้วนคัมภีร์ขั้นสูง เมื่อศัตรูเตรียมที่จะทำการโจมตีขั้นร้ายแรง สติอารมณ์และสภาวะจิตใจของศัตรูจะตกอยู่ในสถานะว่างเปล่าเป็นเวลา 3 วินาที”


 


ซึ่งนี่มันแตกต่างจากคนอื่นๆ กู่ฉิงซานสามารถตัดสินคุณภาพของไอเท็มชิ้นนี้ได้ในทันที


 


ม้วนคัมภีร์ระดับนี้ เกรงว่าจักต้องมาจากผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์(เทียนซวน)ที่ทรงพลังมากอย่างแน่นอน


 


กล่าวโดยทั่วไปแล้ว ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นไพ่ ม้วนคัมภีร์ หรือแม้กระทั่งสิ่งอื่นๆที่ถูกรังสรรค์ขึ้นโดยผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์ สิ่งเหล่านั้นจะสามารถถูกใช้ได้โดยพวกเขาเท่านั้น


 


ยกเว้นไว้เพียงแต่ผู้ถูกเลือกโดยสวรรค์ที่ทรงพลานุภาพสุดๆเท่านั้น จึงจะสามารถมอบความสามารถของตัวเองให้กับผู้อื่นเพื่อให้พวกเขาใช้งานมันได้


 


แต่ซูเซี่ยเอ๋อกลับสามารถได้รับม้วนคัมภีร์จากคนประเภทหลังที่พึ่งอธิบายไปมาได้อย่างกระทันหัน?


 


แล้วเธอก็พึ่งหายวับไป … แต่การหายตัวไปอย่างฉับพลันแบบนี้ นี่มันเหมือนกันกับเขาเลยมิใช่หรือ


 


– อย่าบอกนะว่าเธอได้เข้าสู่เกมแล้ว?


 


ในหัวใจของกู่ฉิงซานเต้นครึกโครม


 


… ว่าแต่เธอถูกส่งไปยังโลกไหนกัน?


 


ถ้าเป็นเมื่อก่อน กู่ฉิงซานย่อมคิดว่าเธอจะต้องถูกส่งไปยังโลกแห่งผู้ฝึกยุทธแน่ๆ


 


แต่ด้วยมุมมองความคิดของเขาและประสบการณ์ที่ได้พบเจอ ทำให้ตอนนี้เขารู้แล้วว่ายังมีโลกอื่นอีกอยู่เป็นจำนวนมาก


 


ดังนั้น เรื่องที่ว่าซูเซี่ยเอ๋อถูกส่งไปที่ไหนมันจึงยังเป็นปริศนา


 


ฉะนั้น เอาไว้พอเธอกลับมาคราวหน้า ก็ค่อยมาเปิดอกคุยกันถึงที่มาของเรื่องราวทั้งหมดก็แล้วกัน


 


ดูจากลักษณะท่าทีที่เร่งรีบของซูเซี่ยเอ๋อ บ่งบอกว่าเธอจะต้องอยู่ในสภาวะจำต้องเข้าสู่โลกอื่นอย่างแน่นอน


 


นี่เธอยอมเสียเวลาอันมีค่า เดินทางมาถึงที่นี่เพื่อมอบม้วนคัมภีร์ให้แก่ตนเองโดยเฉพาะเลยอย่างงั้นหรือ?


 


ในหัวใของกู่ฉิงซานบังเกิดความอบอุ่นขึ้น


 


เขาเก็บม้วนคัมภีร์ไปอย่างเงียบๆ ก่อนจะหันไปทางอีกหลายคนที่ยืนอยู่ “ฉันคิดว่าฉันพอจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นนะ เพราะงั้นไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับมันไปหรอก เอาไว้รอเธอกลับมาในครั้งต่อไป ฉันจะทำให้ทุกอย่างมันกระจ่างและบอกพวกนายทุกอย่างเอง”


 


“นี่มันเกี่ยวข้องกับการฝึกยุทธรึเปล่า?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถาม


 


“ก็แทบจะเกี่ยวข้องกันล่ะนะ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างลวกๆ


 


ตอนนี้ แค่การดำรงอยู่ของพลังวิญญาณก็เป็นเรื่องที่น่าตกใจจนแทบจะไม่มีใครอยากจะเชื่อแล้ว


 


ดังนั้นไม่ต้องกล่าวถึงการมีอยู่ของต่างโลก นี่มันเป็นเรื่องร้ายแรงเกินไป มันคงน่าตกใจจนเกินกว่าจะยอมรับได้


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหลียวฮัง ที่ตอนนี้กำลังพ่นคำออกมาเป็นฟืนเป็นไฟว่า “วิทยาศาสตร์จบสิ้นแล้ว! วิทยาศาสตร์จบสิ้นแล้ว!”


 


กู่ฉิงซานจึงต้องเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะประกาศเจ้าสิ่งนี้ออกไป และอธิบายมันอย่างละเอียดอีกครั้ง


 


ไม่นานมานี้พวกเขาก็พึ่งจะได้รับการอธิบายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพลังวิญญาณ ทั้งหมดต่างก็มึนงงไม่ก็ตกใจไม่น้อย


 


แต่หลังจากฝึกยุทธ ความตระหนักรู้ ความเข้าใจด้วยตัวเองของพวกเขาก็ค่อยๆทวีมากขึ้น


 


ไม่ว่าจะเป็นเย่เฟย์หยู ซางหยิงฮ่าว หรือแม้กระทั่งเหลียวฮังซึ่งเป็นเหล่าคนกลุ่มแรกในปัจจุบัน พวกเขาก็ได้ยอมรับการดำรงอยู่ของพลังอำนาจนี้ไปโดยธรรมชาติ


 


“ปรากฏว่าจริงๆแล้วพลังวิญญาณไม่เพียงแต่จะสามารถสร้างค่ายกลได้ แต่มันทำได้แม้กระทั่งการส่งผ่านไปมาระหว่างสองสถานที่สินะ … ฉันจำได้ว่าครั้งนึงแกก็เคยพูดอะไรประมาณนี้อยู่เหมือนกัน” เหลียวฮังกล่าว


 


“ใช่ เมื่อคุณมีพื้นฐานวรยุทธแล้ว ฉันจะแสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งค่ายกลให้ดูเอง” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“ยอด! นั่นมันฟังดูยอดไปเลย!” เหลียวฮังค่อยๆกลับมาสงบสติอารมณ์ลง


 


กู่ฉิงซานเมื่อเห็นท่าทีนี้ เขาก็ลอบผ่อนคลายลง


 


การจะทำให้เหลียวฮังผู้คลั่งไคล้และยึดถือในวิทยาศาสตร์สงบลงนี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย


 


“ฟู่ … ดูเหมือว่าจะไม่มีอะไรแล้วนะ มา พวกเรามาดื่มกันต่อเถอะ” ซางหยิงฮ่าวกล่าว


 


ว่าจบ เขาก็เริ่มเทเหล้า


 


คนทั้งหลายทยอยกันนั่งลงอย่างเงียบๆ


 


กู่ฉิงซานพูดออกมา “ขอโทษด้วยนะ เรื่องประตูของนาย ดูท่าว่ามันจะพังแล้ว”


 


“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก” ซางหยิงฮ่าวกล่าว


 


แต่แล้วจู่ๆเย่เฟย์หยูก็เอ่ยถามออกมา “แล้วเรื่องแอนนาล่ะ?”


 


“ ปล่อยเธอไว้ก่อนจะดีกว่า เธอกำลังอารมณ์แปรปรวนอยู่น่ะ” กู่ฉิงซานพยายามสงบใจลง “ในตอนที่เธอโกรธ ถ้านายยังอยากมีชีวิตอยู่ล่ะก็ ฉันขอเตือนว่าอย่าไปพูดอะไรที่มันมีโอกาสกระตุ้นเธอจะดีกว่านะ”


 


หลายคนลองจินตนาการตาม และเมื่อได้ข้อสรุปว่ามันสมควรจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ไม่มีใครยอมที่จะเอ่ยถึงหัวข้อนี้อีก


 


ทว่าก่อนจะทันได้ยกเหล้าขึ้นดื่ม สมองควอนตัมในแขนของกู่ฉิงซานก็สว่างขึ้นอีกครั้ง


 


“สวัสดีในยามค่ำคืนใต้เท้า แม้นี่จะเป็นการรบกวน แต่ฉันมีบางสิ่งที่น่ากลัวจริงๆจำเป็นต้องรายงาน” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว


 


“คืนนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากพอแล้ว คงไม่มีอะไรน่ากลัวยิ่งกว่านี้อีกแล้วล่ะ” กู่ฉิงซานตอบกลับไป


 


“มีกลุ่มมืออาชีพ 30 คนถูกกวาดล้างจนสิ้น โปรดดูบันทึกการต่อสู้ด้วย” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว


 


และจอม่านแสงก็สว่างขึ้น


 


30 มืออาชีพที่เป็นทหาร ได้รับภารกิจค้นหาคนตายในแม่น้ำของรัฐบาลกลางที่ถูกแช่แข็ง


 


ทันใดนั้นกลุ่มแสงสีน้ำเงินเข้มก็ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน


 


มันปล่อยพลังดึงดูดอันแข็งกร้าว และเหล่ามืออาชีพก็มิอาจช่วยเหลือตัวเองได้ ทั้งหมดถูกดูดจนลอยขึ้นในอากาศอย่างไร้การต้านทาน และขณะเดียวกันก็ถูกคร่าชีวิตไป


 


ร่างของพวกเขาซูบผอมลงอย่างกระทันหัน เมื่อร่วงตกลงกระแทกกับพื้นน้ำแข็ง ร่างทั้งหมดก็แตกกระจายเป็นชิ้นๆ


 


“นั่นใช่ ‘นทีเหือดแห้ง’ รึเปล่า?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ


 


“ใช่ นั่นมันเป็นความสามารถของธาตุน้ำในขั้นสี่ นทีเหือดแห้ง”กู่ฉิงซานกล่าว


 


“ดูเหมือนมันจะจัดการกับฝ่ายเราได้ง่ายๆเลยแฮะ” ซางหยิงฮ่าวกล่าว


 


กู่ฉิงซาน “เรื่องนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?”


 


เทพธิดากงเจิ้ง “มันเกิดขึ้นในช่วงที่พวกเรากำลังทำการกวาดล้างแม่น้ำที่ถูกแช่แข็งในรัฐบาลกลาง จู่ๆก็มีมอนสเตอร์ที่เป็นแสงประหลาดๆและไม่เคยมีประวัติการณ์พบเห็นมาก่อนปรากฏตัวขึ้น”


 


“เย่เฟย์หยู นายออกไปกับฉัน”


 


“เหลียวฮัง เริ่มจัดการเตรียมเครื่องจั๊มป์ให้พร้อม”


 


“เทพธิดา คุณรับผิดชอบในเรื่องการจัดเตรียมรถเหินเวหาในจุดที่พวกเราจะทำการจั๊มไป”


 


“ซางหยิงฮ่าว นายรับผิดชอบความปลอดภัยของท่านประธานาธิบดีกับองค์จักรพรรดินีเวโรน่าต่อไป หากมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็ขอให้ติดต่อฉันทันที”


 


“พวกเราแยกย้าย!”


 


และหลายคนก็เริ่มเคลื่อนไหวไปคนละทิศทางทันที


 


……


 


กู่ฉิงซานกับเย่เฟย์หยูลงมือพร้อมกัน ในโลกใบนี้คงน้อยคนนักที่จะสามารถต้านทานพวกเขาได้


 


การต่อสู้ดำเนินไปเพียงชั่วครู่เท่านั้น


 


หลังการโจมตีด้วยกระสุนระเบิดของเลือดสังหารและดาบยาวที่บินฉวัดเฉวียน


 


ดาบบินเวียนว่ายอย่างต่อเนื่อง ปราณดาบเติมเต็มในอากาศเป็นกลุ่มก้อน ตามด้วยระเบิดเสียงคำรามออกมา


 


กลุ่มก้อนแสงกรีดร้องโหยหวนอย่างน่าสมเพช


 


เมื่อแสงทั้งหมดหายไป ร่างคนตายที่อยู่ภายในมันก็เผยโฉมออกมา


 


กู่ฉิงซานกับเย่เฟย์หยูร่อนลงและยืนอยู่ข้างๆคนตาย


 


เย่เฟย์หยูเอ่ยถาม “นี่ใช่มนุษย์ปีศาจที่นายพูดถึงรึเปล่า? ไอ้ที่ว่าเป็นมอนสเตอร์จากยุคอื่นน่ะ?”


 


กู่ฉิงซานลองเอาดาบเช่าหยินเขี่ยๆ พลิกร่างของมันดูและกล่าว “มันเป็นมนุษย์ปีศาจจริงๆ”


 


ทั้งสองคนยืนอยู่เบื้องหน้าร่างคนตายที่เป็นมนุษย์ประหลาด และทำการตรวจสอบมันอย่างระมัดระวัง


 


ปีศาจตนนี้มีร่างกายคล้ายคลึงกับมนุษย์ เพียงแต่มันไม่มีเค้าโครงหน้า


 


ทั้งร่างของมันถูกสร้างขึ้นจากผลึกน้ำแข็งเย็นเยียบ และร่างกายของมันก็ปล่อยกลิ่นเลือดเน่าเหม็นออกมา


 


ซากของมันค่อยๆจมลงไปในน้ำแข็งเย็นเยียบอย่างช้าๆ


 


แม้กระทั่งมอนสเตอร์เช่นนี้ ก็ยังต่อต้านได้เพียงไม่กี่กระบวนท่า สุดท้ายก็ถูกสังหารลงโดยทั้งสองอย่างง่ายดาย


 


“ไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะพุ่งเข้าปะทะและสังหารมืออาชีพไปกว่า 30 คน แถมยังเป็นในพริบตา ถ้าต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ หากฉันเป็นพวกทหารก็คงจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่เหมือนกัน ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเทพธิดากงเจิ้งถึงต้องรายงานและส่งต่อเรื่องนี้มาถึงมือของพวกเรา” เย่เฟย์หยูถอนหายใจออกมา


 


บนท้องฟ้า ปรากฏชุดเกราะรบขับเคลื่อนสองเครื่องกำลังร่อนลงจอด


 


พวกเขาตัดชิ้นส่วนทั้งหมดของน้ำแข็งพร้อมกับร่างคนตายของเจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้และจับมันขึ้นเรือขนส่ง


 


มอนสเตอร์จะถูกจับโยนออกสู่ห้วงจักรวาล


 


นี่เป็นวิธีเดียวที่จะสามารถจัดการกับคนตายที่ไม่อาจตายลงอีกได้


 


กู่ฉิงซานกล่าว “นี่เป็นเพียงแค่มนุษย์ปีศาจธรรมดาๆ มนุษย์ปีศาจที่น่ากลัวจริงๆมันยังไม่ปรากฏตัวขึ้นเลย”


 


“มันก็คงจะมีรูปร่างอย่างงี้เหมือนกันใช่ไหม?”


 


“ไม่หรอก มนุษย์ปีศาจบางตัวจะถูกสร้างขึ้นจากธาตุ ที่แกร่งจริงๆน่ะไม่ใช่มนุษย์ปีศาจธาตุน้ำหรอก แต่เป็นพวกธาตุลม สายฟ้า ไฟ และธาตุมืด ต่างหาก”


 


“‘งั้นก็หมายความว่ามนุษย์ปีศาจทั้งหมดมันถูกสร้างขึ้นจากธาตุโดยสมบูรณ์สินะ”


 


“ไม่หรอก พวกมันบางตัวกระทั่งฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร”


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าวต่อ “นอกจากนี้ มอนสเตอร์ในยุคยักษ์ยังไม่ปรากฏตัวออกมาเลย หลังจากนั้นก็ยังมียุคโกลาหลอีก – ไอ้อย่างหลังน่ะมันเป็นปีศาจที่คลั่งในการฆ่าโดยสมบูรณ์เลยนะรู้ไหม”


 


“ปัญหาใหญ่จริงๆซะด้วยสิ … ” เย่เฟย์หยูยกสองแขนขึ้นกอดอก สีหน้าของเขาเผยถึงความกังวล


 


กู่ฉิงซาน “พวกเราคงต้องรีบเปิดตัวกำไลข้อมือแล้วล่ะ กระตุ้นมนุษยชาติให้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการฝึกยุทธ และจากนั้นก็รวมประเทศทั้งหมดเป็นหนึ่ง ในขณะที่นรกเยือกแข็งยังไม่แพร่กระจายเต็มที่ พวกเราก็จะทำการปิดล้อมพวกมอนสเตอร์ตามสถานที่ต่างๆอย่างเต็มกำลัง”


 


“ทำแบบนั้นไปมันจะได้ผลหรอ?”


 


“ฉันคิดว่าอย่างน้อยก็ยังมีโอกาสรอดชีวิต .. อย่างน้อยล่ะนะ”


 


“งั้นพวกเรามัวรออะไรกันอยู่ล่ะ รีบไปหาซางหยิงฮ่าวเลยเถอะ แล้วก็ไปที่สาธารณรัฐฟูซี องค์จักรพรรดินีแห่งรัฐก็อยู่ที่นั่น เพื่อเฝ้ารอทำพิธีขึ้นครองราชย์”


 


“อ่า งั้นก็ไปกันเถอะ”


 


ทั้งสองบินขึ้นไปบนท้องฟ้า มุ่งหน้าสู่วิลล่าบนหุบเขา


 


ในท้องฟ้ายามค่ำคืน กู่ฉิงซานเบนสายตามองดูเมืองมนุษย์ที่อยู่ในระยะไกลออกไป


 


มันเป็นกลางดึกแล้ว ทั้งเมืองจึงเงียบสงบ


 


ถึงแม้ว่าจะไม่มีเสียง แต่ก็ยังคงมีแสงสว่างตลอดทั้งเมือง ส่งผลให้ฉากนี้ดูราวกับดอกไม้ไฟที่ปะทุอยู่บนพื้นเบื้องล่าง


 


บางที นี่อาจเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่เงียบสงบสำหรับมนุษยชาติก็ได้


 


เมื่อนรกเยือกแข็งปรากฏขึ้นโดยสมบูรณ์ มอนสเตอร์แปลกประหลาดนับไม่ถ้วนก็จะเข้าทำการยึดครองเมือง


 


หากเป็นเช่นนั้น กู่ฉิงซานก็ยังคงพอจะมีวิธีแก้ไขรับมือกับมันอยู่บ้าง


 


มันอาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะระดมมมนุษยชาติทั้งหมดเข้าด้วยกัน และพยายามอย่างเต็มกำลังที่ต่อต้านนรกเยือกแข็ง


 


อย่างไรก็ตาม เงาที่ซุ่มแฝงตัวอยู่ในหัวใจของกู่ฉิงซานกลับยังคงไม่จางหายไปไหน


 


มันเป็นความรู้สึกอันลึกลับยากจะอธิบาย ที่กำลังค่อยๆเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ


 


มันเป็นเพียงความคิดที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ยืนยัน


 


ถ้าหากว่า …


 


นอกเหนือจากนรกเยือกแข็งแล้ว ยังมีนรกอื่นติดตามมาด้วยล่ะ จะทำอย่างไร?


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.355 – ชายผู้ถือกำเนิดใหม่


 


“ดูจากท่าทีเป็นกังวลของนาย ใช่ว่ามีเรื่องไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้นรึเปล่า?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถาม


 


“ไม่มีอะไรหรอก” กู่ฉิงซานส่ายหัวของเขา


 


หลังจากทั้งหมดนี้ ทุกสิ่งล้วนเป็นเพียงการคาดเดาทั้งสิ้น ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึงมัน


 


อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่ควรจะรีรออีกต่อไปแล้ว เขาจะต้องเร่งความเร็วยกระดับความแข็งแกร่งของตัวเองให้ไวที่สุด!


 


ณ วิลล่าบนภูเขา


 


กู่ฉิงซานขังตัวเองอยู่ในห้อง


 


ดาบเช่าหยินวางอยู่บนตักของเขา


 


“มาต่อกันเลย” กู่ฉิงซานเอ่ยเบาๆ


 


ดาบเช่าหยินส่งเสียงฮึมฮำอยู่ครู่หนึ่ง และจมลงไปในร่างกายของเขา


 


มันบินเข้าไปในทะเลแห่งห้วงสติ ก่อนจะลอยเคียงบ่าเคียงไหล่กับดาบพิภพ


 


กู่ฉิงซานจับตาดูสถานการณ์ต่อไปอีกสักพัก แต่ทุกอย่างก็ยังคงเป็นปกติ


 


ในที่สุดเขาก็สามารถทำความคุ้นเคยกับดาบเช่าหยินได้อย่างสมบูรณ์ และเก็บมันในทะเลแห่งห้วงสติได้


 


เกือบจะในเวลาเดียวกัน กู่ฉิงซานก็เห็นเส้นแสงหิ่งห้อยหลายบรรทัดขึ้นในวิสัยทัศน์ของเขา


 


“คุณสามารถรวบรวมสองดาบเข้าไปในทะเลแห่งห้วงสติของตัวเอง”


 


“ภารกิจที่สอง ปลุกนักดาบนิรันดร์ : สองมือชี้นำ(เสร็จสมบูรณ์)”


 


“ต่อไปคือภารกิจที่สาม : ทดสอบระเบิดพลังนับร้อยนับพันครั้ง”


 


“วัตถุประสงค์ภารกิจ : กระตุ้นสองดาบบิน และฝึกฝนเทคนิคดาบทั่วไปที่คุณเคยได้เรียนรู้มากับพวกมันอีกครั้ง”


 


กู่ฉิงซานขมวดคิ้วทันทีหลังจากได้อ่านคำอธิบายของภารกิจ


 


ที่พูดมาน่ะ มันไม่ใช่เทคนิคลับแห่งดาบนะ แต่เป็นเทคนิคดาบธรรมดาที่ตนครอบครองอยู่กว่าหลายพันกระบวนท่า


 


แม้ว่าจะเริ่มต้นทำมันเลยในตอนนี้ น่ากลัวว่าต่อให้ฝึกทั้งวันทั้งคืน ก็คงจะใช้เวลาอีกหลายวันกว่าที่จะบรรลุภารกิจจนสมบูรณ์


 


เขาขบคิดและเอ่ยถาม “ระบบ ยังไงตัวฉันเองก็มีความรู้ความสามารถในวิถีดาบจากชีวิตก่อนหน้าอยู่แล้วนี่ คุณไม่สามารถปลุกฉันให้ตื่นขึ้นทันทีแบบให้มันจบๆไปไม่ได้เลยหรอ?”


 


ติ๊ง!


 


ระบบตอบคำถาม


 


“นี่เป็นส่วนสุดท้ายของความทรงจำในชีวิตก่อนหน้าของคุณ หากคุณเต็มใจที่จะยอมแพ้ ละทิ้งความทรงจำนี้ คุณก็สามารถเปลี่ยนแปลงพวกมันเป็นพลังงาน และทำการปลุกขอบเขตนักดาบนิรันดร์ขึ้นมาทันทีเลยก็ได้ แต่หากไม่ คุณก็ต้องค่อยๆปลุกมันผ่านทางภารกิจ”


 


“ส่วนสุดท้ายของความทรงจำในชีวิตก่อนหน้า … ที่ว่ามานั่นคือเทคนิคดาบทั้งหมดเลยใช่ไหม? ยังมีอะไรที่สำคัญๆที่ฉันยังจดจำมันไม่ได้อีกรึเปล่า?


 


“เป็นเทคนิคดาบทั้งหมด ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น” ระบบตอบกลับ


 


พอได้ฟัง กู่ฉิงซานก็รู้สึกโล่งใจ


 


“แล้วมันจะใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าจะบรรลุภารกิจปลุกนักดาบนิรันดร์จนเสร็จสมบูรณ์?”เขาเอ่ยถาม


 


“ยังเหลือภารกิจคงค้าง : 98 ภารกิจ จากการคำนวณ คาดการณ์ว่าคุณน่าจะใช้เวลาทั้งหมดสองเดือนจึงจะเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์”


 


98 ภารกิจ!


 


สองเดือน!?


 


กู่ฉิงซานเกือบจะร่วงตกลงจากเตียง


 


หากเขาจะต้องใช้เวลาฟื้นฟูพื้นฐานวรยุทธของนักดาบนิรันดร์โดยใช้เวลาสองเดือนจริงๆ นั่นก็นับว่าเป็นระยะเวลาที่สั้นมาก แต่ …


 


มันอาจจะสายเกินไปสำหรับสถานการณ์ในปัจจุบันนี้


 


ในโลกจริง นรกกำลังจะมาเยือนอยู่รอมร่อแล้ว


 


ส่วนอีกด้านหนึ่งในโลกเทวะ ตัวเขาก็กำลังมุ่งหน้าสู่โลกที่ทรงพลังยิ่งกว่าอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน


 


ด้วยเหตุนี้ เขาจะไปรอถึงสองเดือนได้ยังไง!


 


พอถึงเวลาที่ภารกิจทั้งหมดเสร็จสิ้น คาดว่ากว่าถั่วจะสุกงาก็คงจะไหม้ไปหมดแล้ว


 


ฉันจะต้องเร่งเพิ่มความแกร่งของตัวเองในทันที มันต้องตอนนี้เลยเท่านั้น!


 


กู่ฉิงซานครุ่นคิดอยู่สักครู่จึงเอ่ยถาม “คุณไม่สามารถผ่อนปรนกฏเกณฑ์ได้เลยหรอ อย่างเช่นให้ฉันทะลวงผ่านเข้าสู่นักดาบนิรันดร์ด้วยพลังของตัวเอง จากนั้นคุณก็ค่อยคืนเทคนิคดาบนิรันดร์ให้แก่ฉัน แบบนี้เป็นไง?”


 


เสียงของระบบฟังดูรุนแรงเป็นพิเศษ “มีเพียงครั้งนี้เท่านั้น ที่คุณจะไม่สามารถทะลวงผ่านมันไปด้วยตัวเองได้”


 


“ทำไมล่ะ?”


 


“เพราะว่าคุณคือนักดาบนิรันดร์ที่ได้ตัดสะบั้นฆ่าสังหารเทพมารบนเส้นแบ่งมิติและเวลาในอนาคต และเทพมารที่ว่านั่นก็มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับชะตากรรมของโลกในช่วงเวลาวิกฤติเช่นกัน”


 


ระบบยังคงกล่าวต่อ “นี่เป็นการระบุตัวตนของมิติและเวลาสำหรับคุณ และถ้าคุณทำการระบุตัวตนที่ว่านี้หายไป(หมายถึงทะลวงเองไม่ให้ระบบช่วย) มันจะเกิดเรื่องน่ากลัวขึ้น”


 


“ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?”


 


“เส้นแบ่งมิติเวลาเป็นมาตรวัดสภาวะภายนอกของโลกจริง ถ้าตัวคุณในอนาคตกลับมาสู่อดีตอีกครั้ง โลกก็จะสูญเสียคุณภาพและมวลพลังงานของคุณในจุดนั้น .. ในอนาคตไป”


 


“แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะเมื่อคุณปรากฏตัวขึ้นในอดีต โลกก็จะระบุตัวตนคุณตามสถานะปัจจุบันของคุณ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าคุณยังเป็นตัวของตัวเองอยู่”


 


“โลกจะทำการระบุตัวตนและสถานะในอดีตให้แก่คุณ เพื่อให้แน่ใจว่า จะยังคงสามารถรักษาพลังงานมวลรวมในโลกจริงให้คงอยู่ไว้ได้”


 


“อย่างไรก็ตาม ถ้าหากคุณเสียสถานะการระบุตัวตนนี้ไป กฏเกณฑ์ของโลกก็จะไม่อาจระบุตัวตนของคุณได้ และมันจะตัดสินว่าคุณเป็นปรากฏการณ์พิเศษ มิได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกตามมิติและเวลาในปัจจุบัน”


 


“หากเป็นเช่นนั้น ไม่เพียงแต่กฏเกณฑ์ของโลกจะปรับใช้มาตรการณเพื่อทำการตอบโต้คุณ แต่กระทั่งกฏเกณฑ์ของมิติและเวลาที่เกี่ยวข้องกับอดีตและอนาคตก็จะตอบสนองเช่นกัน – และบางทีนั่นอาจเป็นการทำให้เทพมารค้นพบว่าคุณเป็นคนที่ไร้ซึ่งโชคชะตา หรือบางทีมันอาจจะสร้างอีกตัวตนนึงของคุณขึ้นมาทดแทนก็ได้”


 


“ตัวฉันอีกคนหนึ่งอย่างงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานอุทานด้วยความสงสัย


 


“ใช่ นั่นคือการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตที่คล้ายกันกับคุณ – เพราะร่องรอยที่สำคัญที่สุดที่คุณได้ทิ้งเอาไว้ในมิติและเวลามันได้หายไปแล้ว และคุณไม่ได้ตายลง ซึ่งนั่นทำให้โลกสูญเสียพลังงานและคุณภาพไป ดังนั้นกฏเกณธ์ของโลกจึงจำเป็นต้องสร้างสิ่งที่คล้ายคลึงกันเพื่อให้แน่ใจว่าคุณภาพและพลังงานมวลรวมของโลกจะไม่เกิดความสับสนหรือผิดแผกไป”


 


นอกจากนี้ความวุ่นวายหรือผิดแผกของกฏเกณฑ์แห่งมิติและเวลา ยังจะเป็นตัวดึงดูดความสนใจของเทพมารอันทรงพลังชนิดที่เรียกได้ว่าเป็นตำนานมาอีกด้วย เพราะนั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบมากที่สุด


 


“พวกเขาจะตามหาคุณ และมั่นใจได้เลยว่าจะต้องพบอย่างแน่นอน”


 


กู่ฉิงซานกล่าว “ถ้าเป็นไปตามที่คุณพูดมา เจ้าสิ่งที่ทำการระบุตัวตนว่าฉันยังคงเป็นตัวฉัน ก็คือการสังหารเทพมารในคราวนั้น รวมไปถึงความแข็งแกร่งและความทรงจำในช่วงเวลานั้นด้วย ใช่ไหม?


 


“นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น”


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจ “มันดูเหมือนว่า การก้มหน้าก้มตาทำภารกิจปลุกนักดาบนิรันดร์ต่อไปแบบนี้นี่แหละดีที่สุดแล้ว”


 


“ถูกต้อง คุณมีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น เพื่อให้แน่ใจว่ากฏเกณฑ์ของโลกและเส้นแบ่งมิติเวลายังคงปกติดี”


 


“หนึ่ง ค่อยๆดึงความทรงจำเกี่ยวกับเทคนิคดาบนิรันดร์ไปตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย และกลายมาเป็นนักดาบนิรันดร์


 


“สอง แปลงความทรงจำที่กล่าวมานี้เป็นพลังงาน และใช้มันทะลวงเข้าสู่นักดาบนิรันดร์ได้ในตอนนี้เลย เพียงแต่คุณจะสูญเสียเทคนิคดาบเหล่านั้นไป”


 


กู่ฉิงซานจมลงสู่ความเงียบ


 


มันสายเกินไปที่จะต้องมานั่งทำภารกิจที่ละขั้นตอน


 


หากคุณเลือกตัวเลือกที่สอง มันก็ใช่ที่คุณจะยกระดับไปอีกขั้นหรือหลายๆขั้นได้เลยทันที แต่ต้องแลกเปลี่ยนกับเทคนิคดาบในชีวิตก่อนหน้า อันที่จริงแล้วแผนนี้ก็ยังพอมีความเป็นไปได้


 


—ด้วยเพราะความรู้ความเข้าใจของตนเองเกี่ยวกับสกิลดาบในปัจจุบัน มันได้ก้าวเลยเหนือล้ำยิ่งกว่าในชีวิตก่อนหน้าไปแล้ว


 


เทคนิคดาบเหล่านั้นมันไม่สำคัญอีกต่อไป


 


ตราบใดที่เขาได้กลายเป็นนักดาบนิรันดร์ รังสีดาบจะเพิ่มขึ้นมหาศาลอย่างมีนัยยะสำคัญ


 


เขาไม่จำเป็นต้องใช้มือของตัวเองในการควบคุมดาบอีกต่อไป เพียงแค่นึกคิดในจิตใจ พวกมันก็เคลื่อนไหวตามปรารถนาแล้ว


 


ด้วยวิธีนี้ ความเร็วในการโจมตีและสไตล์การต่อสู้ก็จะแปรผันและลื่นไหลเร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า


 


กล่าวได้ว่าหากเขาได้พบเจอกับโครงกระดูกชุดคลุมดำอีกครั้ง มันยังมิทันตอบสนอง ก็ถูกตัดหั่นกระดูกลงเป็นชิ้นๆให้หมาคาบไปแทะเรียบร้อยแล้ว


 


กู่ฉิงซานเอ่ยถามอีกครั้งในทันทีว่า “แล้วถ้าฉันละทิ้งเรื่องสกิลดาบเอาไว้ชั่วคราว แล้วหันมาสนใจกับการยกระดับขอบเขตก่อนล่ะ?”


 


“แบบนั้นไม่ใช่เรื่องดี” ระบบกล่าวอย่างเฉียบขาด


 


“ทำไม?”


 


“นี่เป็นช่วงเวลาที่ต้องให้ความระมัดระวังมากที่สุด คุณจะต้องบรรลุขอบเขตสกิลดาบให้ไปถึงในระดับเดียวกันกับชีวิตก่อนหน้าเสียก่อน เพื่อทำการระบุตัวตนและให้มั่นใจว่า คุณได้กลับมาเป็นตัวเองแล้วจริงๆ ไม่ใช่สิ่งอื่น”


 


“ด้วยวิธีนี้ คุณก็จะถูกรวมอยู่ในเส้นแบ่งของมิติและเวลานี้ โชคชะตาจะไม่สนใจคุณอีกต่อไป แน่นอนว่ารวมไปถึงเหล่าเทพมารด้วย”


 


“แล้วต่อมาถ้าฉันยกระดับเป็นประทับเทพล่ะ? มันจะยังคงมีข้อจำกัดที่คล้ายกันอยู่รึเปล่า?”


 


“เพราะในชีวิตที่ผ่านมา คุณไม่ได้ก้าวขึ้นสู่ประทับเทพ ดังนั้น ในครั้งนี้ หลังจากที่คุณสามารถทะลวงขึ้นสู่ประทับเทพ คุณจะสามารถเขียนอะไรทับลงไปก็ได้ในหน้าอนาคตที่ยังคงว่างเปล่าอยู่ด้วยตัวคุณเอง”


 


“ฉันเข้าใจแล้ว”


 


กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่ลังเลอีกต่อไป “เทคนิคดาบอะไรนั่นฉันไม่ต้องการ ฉันต้องการที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตนักดาบนิรันดร์ในตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลย”


 


“คุณแน่ใจหรือไม่?”


 


“ฉันแน่ใจ”


 


ด้วยคำพูดนี้ของเขา บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม บังเกิดข้อมูลจำนวนมากเริ่มไหลผ่านไปมาอย่างบ้าคลั่ง


 


“ตรวจพบว่าผู้เล่นมีดาบยาวอันยอดเยี่ยมหาที่ใดเปรียบอยู่สองเล่ม”


 


“ตรวจพบว่าผู้เล่นสามารถเก็บพวกมันไว้ได้ในทะเลแห่งห้วงสติ”


 


“ตรวจพบว่าผู้เล่นสามารถควบคุมการโจมตีของดาบบินได้ด้วยมือ”


 


“เงื่อนไขพื้นฐานขั้นต่ำสุดสำหรับการปลุกนักดาบนิรันดร์มีความสอดคล้อง”


 


“เริ่มต้นทำการเปรียบเทียบร่องรอยของมิติและเวลา”


 


“ยืนยันสถานะส่วนบุคคล”


 


“เริ่มถ่ายโอนความทรงจำของตัวตนจากเส้นแบ่งเวลาในชีวิตก่อนหน้า”


 


“การเคลื่อนย้ายประสบความสำเร็จ”


 


“ปิดช่องทางการตรวจสอบย้อนหลังของห้วงเวลาลงโดยสมบูรณ์”


 


“ตัดการเชื่อมต่อเส้นแบ่งเวลาทั้งหมดโดยสิ้นเชิง”


 


“ทำลายข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง : เสร็จสิ้น”


 


……


 


กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูฉากนี้อย่างเงียบๆ


 


เห็นได้ชัดว่าแม้จะเป็นเพียงคำพูดไม่กี่คำ แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกตกใจมากเป็นพิเศษ


 


เหงื่อเย็นเริ่มเข้าปกคลุมแผ่นหลังแต่ละชั้น แต่ละชั้น


 


นี่เป็นปฏิกริยาของสัมผัสที่หกที่ทำการตอบสนองอย่างไม่ตั้งใจ


 


ทันทีที่เขาหลับตาลง กู่ฉิงซานรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในลวดเล็กๆที่ถูกขึงอยู่กึ่งกลางระหว่างสองหน้าผาสูงชัน


 


ตอนนี้มันเป็นการเดินก้าวสุดท้ายบนเส้นลวดแล้ว


 


เขาตระหนักชัดในจิตใจ ว่านี่เป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด


 


ตราบใดที่ช่วงเวลานี้ไม่เกิดปัญหาใดๆ มันก็จะไม่มีความผิดปกติใดๆกับการกำเนิดใหม่ของตนเอง


 


ราวกับรอมาเนิ่นนานนับศตวรรษ


 


ติ๊ง!


 


“คุณได้เกิดใหม่โดยสมบูรณ์แล้ว”


 


“การไหลของเวลายังคงปกติ”


 


“ความผันผวนของมิติยังคงปกติ”


 


“ไม่พบความผิดปกติใดๆ นี่คือช่วงชีวิตใหม่ที่สมบูรณ์แบบ”


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจบรรเทาความตึงเครียด


 


กล่าวได้ว่าบัดนี้ เท้าของเขาได้ย่ำลงบนผาอีกฟากนึงแล้วโดยสมบูรณ์


 


สามบรรทัดตัวอักษรเด้งขึ้นมาบนหน้าต่างระบบเทพสงครามทันที


 


“คุณได้จ่ายความทรงจำทั้งหมดของนักดาบนิรันดร์เพื่อให้ได้รับมาซึ่งพลังแห่งการถูกปลุกให้ตื่น”


 


“คุณได้ถูกปลุกให้ตื่นแล้ว”


 


“คุณได้ก้าวขึ้นสู่ขอบเขตนักดาบนิรันดร์”


 


กู่ฉิงซานจ้องค้างไปยังเส้นตัวอักษรบรรทัดสุดท้าย


 


ในที่สุด … ในที่สุดตัวฉันก็กลับมาแล้ว!


 


นี่คือสถานะดั้งเดิมของเขา – นักดาบนิรันดร์!


 


มือที่กำลังอ้าออก ค่อยๆหุบเข้าหากันเป็นกำปั้นอีกครั้ง


 


พลังที่คุ้นเคย และความแข็งแกร่งอันน่าแปลกประหลาดเติมเต็มอยู่ในร่างกาย


 


ไม่จำเป็นต้องไปทำสิ่งอื่นใดอีก ไม่จำเป็นต้องทำการทะลวงขอบเขตอีกครั้ง – นี่คือความแข็งแกร่งดั้งเดิมของเขา


 


เพื่อที่จะต่อสู้กับวิกฤติที่กำลังใกล้เข้ามา คุณจำเป็นต้องใช้พลังที่ว่านี้!


 


นี่คือจุดสูงสุดแห่งการฝึกยุทธ


 


ตั้งแต่บัดนี้ไปในอนาคต จะไม่มีประสบการณ์ล่วงหน้าให้พึ่งพาอีกต่อไป


 


ในเส้นทางแห่งการฝึกฝนอันไร้ที่สิ้นสุด ทั้งหมดล้วนเป็นเส้นทางใหม่ – เส้นทางที่เขายังมิเคยได้ก้าวเดิน!


 


กู่ฉิงซานสูดหายใจลึก


 


เพียงนึกคิดในจิตใจเล็กน้อย สองดาบก็ปรากฏออกมาจากความว่างเปล่าในทันที


 


ไม่จำเป็นต้องใช้มือจีบออกด้วยเทคนิคใด ดาบพิภพก็กวัดแกว่งโดยอัตโนมัติ และเพียงหนึ่งลมหายใจ มันก็ฟาดออกด้วยหนึ่งชุดวิชาดาบเผยขุนเขา


 


ส่วนดาบเช่าหยินก็แปรเปลี่ยนเป็นภาพติดตาอย่างรวดเร็ว ฟาดออกด้วยวิชาดาบตัดสายลมกลับไปกลับมาอย่างฉับไว


 


สองดาบเวียนวนฉวัดเฉวียนไปรอบห้องราวกับนกฟินิกส์ที่พึ่งจุติใหม่


 


“จงมา” กู่ฉิงซานเอ่ยกระซิบเบาๆ


 


และสองดาบก็ลดระดับลงอย่างเชื่อฟัง ปลายดาบหันทิ้งดิ่งลงเบื้องล่าง ลอยล่องมาแขวนนิ่งอยู่ในอากาศข้างกายกู่ฉิงซาน


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.356 – ปรากฏกาย(1)


 


กู่ฉิงซานหยิบถุงเครื่องหอมที่มีสีสันออกมา และเริ่มแทรกจิตสัมผัสเทวะลงไปเพื่อทำการค้นหาวิชาลับในขอบเขตก้าวสู่เทพ


 


เนื่องด้วยความผันผวนทางพลังวิญญาณหลังจากในตอนแรกที่พึ่งยกระดับขึ้นสู่ขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นต้นได้ลดลงไปมากแล้ว ดังนั้น มันจึงถึงเวลาที่จะทะลวงเข้าสู่ก้าวสู่เทพขั้นกลางเสียที


 


แต่แล้วการแสดงออกทางสีหน้าของเขาก็วูบไหวอย่างกระทันหัน


 


เพราะภายในถุงเครื่องหอม ท่ามกลางหลายสิ่งที่กองซ้อนๆกันไม่เป็นระเบียบ


 


มีเพียงแค่ในส่วนเทคนิคฝึกยุทธของเขา เซี่ยวโหลว และซิวซิวเท่านั้นที่ถูกจัดแจงไว้อย่างเป็นระเบียบ


 


กู่ฉิงซานคว้าจับสิ่งหนึ่งมาไว้ในมือ


 


มันเป็นใบหยกที่ถูกสลักคำว่า ‘ซาน’ เอาไว้


 


เขารีบปล่อยพลังวิญญาณออกไปกระตุ้นมัน และเสียงของนางเซียนไป่ฮั่วก็ดังสะท้อนออกมาจากใบหยกทันที


 


“การเลือกเทคนิคฝึกยุทธในขอบเขตก้าวสู่เทพน่ะ มันเป็นอะไรที่สำคัญมากๆเลยนะรู้ไหม นั่นเพราะมันเกี่ยวข้องโดยตรงกับความยากลำบากในการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตประทับเทพ”


 


“ฉิงซาน วิชาลับ‘มังกรฟ้า’ก้าวสู่เทพ  นี้ข้าตั้งใจเลือกมันอยู่นาน และในที่สุดก็ตัดสินใจว่าเทคนิคฝุกยุทธชนิดนี้นี่แหละ ที่มันเหมาะสมกับรูปแบบการต่อสู้ของเจ้ามากที่สุด”


 


“ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน มีผู้ฝึกยุทธทั้งหมด 37 คนที่ได้รับวิชาลับที่ว่านี้ และมีถึง 9 คนที่สามารถยกระดับขึ้นสู่ประทับเทพได้ นอกจากนี้6ใน9ยังเป็นผู้ฝึกดาบและนักสู้หวู๋เต๋าอีกด้วย”


 


“ข้าเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เรียนรู้วิชาลับนี้เช่นกัน และก็ค้นพบว่ามันเหมาะสมจริงๆสำหรับผู้ฝึกดาบ”


 


“ฉิงซาน เจ้าจักต้องศึกษาวิชานี้อย่างจริงจัง นี่เป็นเรื่องใหญ่มากเพราะมันจะก่อประโยชน์อย่างมหาศาลต่อตัวเจ้าในอนาคต”


 


แล้วเสียงก็หายไป


 


มุมปากของกู่ฉิงซานกระตุกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเขา


 


ในช่วงชีวิตใหม่นี้ สิ่งที่นับว่าตนตัดสินใจได้ถูกต้องมากที่สุดหากเทียบกับหลายๆสิ่งที่กระทำมา ก็คงจะไม่พ้นการได้คารวะนางเซียนไป่ฮั่วเป็นอาจารย์นี่แหละ


 


นางเซียนไป่ฮั่ว เซี่ยเต๋าหลิง ปฏิบัติกับสาวกราวกับเป็นคนในครอบครัวของเธอ


 


ดังนั้นเธอจึงย่อมปกป้อง ใส่ใจ และห่วงใยในตัวเขาเป็นธรรมดา


 


กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะลงในใบหยก และกวาดอ่านมันทั้งหมดอย่างรวดเร็ว


 


ในเวลาเดียวกัน หลายบรรทัดแสงตัวอักษรก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม


 


“ค้นพบเทคนิคฝึกยุทธ : วิชาลับมังกรฟ้าก้าวสู่เทพ ”


 


“การเรียนรู้วิชาลับนี้โดยสมบูรณ์ จำเป็นต้องจ่าย 200 แต้มพลังวิญญาณ ผู้เล่นยินดีที่จะจ่ายหรือไม่?”


 


“ฉันยินดี” กู่ฉิงซานกล่าว


 


กระแสความร้อนไหลจากใบหยกเข้าสู่แขน กระจายไปตลอดทั่วตัวและกระดูก และในที่สุดก็มาบรรจบกันในทะเลแห่งห้วงสติ


 


ในทันที กู่ฉิงซานก็สามารถเข้าใจถึง ‘วิชาลับมังกรฟ้าก้าวสู่เทพ’ ได้อย่างสมบูรณ์


 


เขาหลับตาลงเพื่อที่จะตระหนักรู้ถึงทุกขั้นตอนในการฝึกยุทธ


 


หลังจากตรวจสอบจนแน่ใจว่าทุกอย่างถูกต้อง กู่ฉิงซานก็หยิบเม็ดยาวิญญาณทรงเมล็ดข้าวที่มีฤทธิ์แรงที่สุดออกมาและโยนมันเข้าปากกลืนลงไป


 


จากนั้น เขาก็เริ่มทำการทะลวงก้าวสู่เทพขั้นกลาง


 


ด้วยความเข้าใจในเทคนิคฝึกยุทธอย่างถ่องแท้ ทุกๆกระบวนการที่เขาทำจึงดูราวกับเป็นผู้ฝึกยุทธที่ฝึกฝนอยู่ในขอบเขตนี้มาเนิ่นนานแล้ว แต่ละขัั้นตอนค่อยๆบรรลุอย่างง่ายดาย และเริ่มต้นด้วยขั้นตอนต่อไปอีกครั้ง


 


เนื่องเพราะได้รับประสบการณ์มาก่อนแล้ว ทำให้กระบวนการนี้ช่างคืบหน้าไปอย่างง่ายดาย


 


ช่วงกลางดึก แสงสวรรค์ในร่างของกู่ฉิงซานก็ทวีอานุภาพขึ้น ส่องสว่างยิ่งขึ้น จนห้องพักของเขาในเวลานี้เจิดจ้าราวกับอยู่ในช่วงกลางวัน


 


คืนที่มืดมิดได้ผ่านพ้นไป และแสงแรกแห่งรุ่งอรุณก็ค่อยๆสาดลงมาจากสุดขอบฟ้า


 


แสงสวรรค์บนร่างกายของกู่ฉิงซานค่อยๆควบรวมกลับคืน และจมลงสู่ร่างกายของเขา


 


สองตาที่ปิดแน่นได้ลืมขึ้น


 


เขาได้กลายเป็นก้าวสู่เทพขั้นกลางเรียบร้อยแล้ว


 


ในช่วงเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นในด้านขอบเขตฝึกยุทธ หรือความสำเร็จในด้านสกิลดาบ เขาก็มิแตกต่างไปจากช่วงเวลาที่อยู่ในจุดสูงสุดของชีวิตก่อนหน้าแล้ว!


 


งั้นจากนี้ก็สามาถทะลวงก้าวสู่เทพขั้นปลายได้เลยน่ะสิ?


 


กู่ฉิงซานคิดอย่างถี่ถ้วน แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะไม่ทะลวงสู่ก้าวสู่เทพขั้นปลายในทันที


 


เพราะหลังจากทั้งหมดนี้ เขาจำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อมเสียก่อนสำหรับขอบเขตประทับเทพในระดับต่อไป


 


นี่คือเส้นแบ่งที่มีนัยยะสำคัญ


 


เพราะผู้ฝึกยุทธมากมายติดอยู่ในขอบเขตก้าวสู่เทพตลอดช่วงชีวิตของพวกเขา และไม่อาจที่จะทะลวงไปยังขอบเขตประทับเทพได้ ดังนั้นก่อนจะยกระดับแต่ละที เขาก็จำเป็นที่จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมเสียก่อน


 


แต่ ณ ตอนนี้ ด้วยการที่ความผันผวนทางพลังวิญญาณของตนเองยังไม่แน่ไม่นอน ร่างกายยังมีได้ปรับตัวให้เข้ากับพลังของก้าวสู่เทพขั้นกลาง ดังนั้นการจะทะลวงสู่ขั้นต่อไป มันจะเป็นการง่ายที่จะส่งผลกระทบให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บ


 


มันจะดีกว่าหากรอสักพักหนึ่ง รอให้ความผันผวนทางพลังวิญญาณลดลง แล้วจากนั้นค่อยมาวางแผนที่จะทะลวงมันอีกครั้ง


 


“ใต้เท้า ได้เวลาอาหารเช้าแล้ว โปรดกินให้ตรงเวลา เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะได้รับสารอาหารที่พอเพียง” เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังขึ้นจากสมองควอนตัม


 


“เข้าใจแล้ว ถ้างั้นระหว่างกินข้าว ฝากเตรียมรถเหินเวหาให้ฉันด้วยนะ ช่วงเช้าฉันว่าจะไปฟูซีเพื่อดูพิธีขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดินีเวโรน่าซะหน่อย”


 


“โปรดวางใจ รถเหินเวหาได้ถูกตระเตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว”


 


…….


 


ณ คริสตจักรศักดิ์สิทธิ์


 


สาวกศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ด แต่ละคนต่างย่อตัวคุกเข่าลง


 


เจ็ดแสงบริสุทธิ์ลอยออกมาจากพวกเขา ควบรวมเข้าด้วยกัน แปรสภาพเป็นเสาแสงอันกว้างใหญ่


 


ตลอดทั้งตัวโบสถ์ใหญ่ ได้ถูกครอบคลุมไปด้วยแสงบริสุทธิ์นี้


 


เพียงไม่นาน


 


บนบัลลังก์ของโบสถ์ ก็เริ่มปรากฏร่างของคนๆหนึ่งขึ้น


 


สามารถมองเห็นส่วนปีกที่ซ่อนอยู่ได้อย่างชัดเจน ขณะที่เหนือหัวของคนผู้นั้นมีรัศมีแสงแขวนอยู่


 


บนร่างกายสวมใส่ชุดคลุมสีขาว ขณะที่บนใบหน้าถูกปิดบังไว้ด้วยผ้าโปร่ง


 


พระสันตะปาปาได้กลับมาแล้ว


 


เธอนั่งลงบนบัลลังก์และกล่าวว่า “หากไม่มีเรื่องเร่งด่วนก็จงอย่าติดต่อข้า เรื่องนี้พวกเจ้าน่าจะทราบดีนี่”


 


เจ็ดสาวกศักดิ์สิทธิ์พยักหน้าพร้อมกัน


 


พระสันตะปาปามองไปที่พวกเขา ก่อนจะลอบถอนหายใจออกมา


 


ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ


 


—ตนเองได้พ่ายแพ้


 


ตอนนี้ เธอทำได้เพียงเดินเหินไปในมหาสมุทรแห่งซากศพ และไม่มีทางที่จะเข้าสู่เกาะหมอกได้


 


ข้าไม่ยินยอม!


 


หลังจากเตรียมการและใช้ความพยายามอย่างหนัก แต่ท้ายที่สุดเธอกลับถูกนังเด็กนั่นผลักไสจนต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้


 


ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก!


 


แต่ก็นับว่าข้ายังมิได้พ่ายแพ้โดยสมบูรณ์


 


นังเด็กสาวนั่นจะต้องเป็นใครบางคนในโลกใบนี้อย่างแน่นอน


 


ข้าจะต้องหาวิธีที่จะตามตัวเธอในโลกจริง จากนั้นก็ฆ่าเธอซะ!


 


ตราบใดที่นังเด็กนั่นตาย ย่อมเป็นธรรมดาที่ระบบจะกลับมาสู่อ้อมอกของตนเอง


 


แต่สำหรับตอนนี้ มาดูกันก่อนดีกว่าว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่


 


เธอเอ่ยถาม “งั้นก็ดี ในเมื่อพวกเจ้ารู้ แต่ก็ยังดึงดันจะเรียกข้ากลับมา ฉะนั้นข้าต้องการจะทราบว่าแท้จริงแล้วมันเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่”


 


“นายทหารของรัฐบาลกลางที่เป็นตัวสร้างปัญหาขึ้นในงานเลี้ยงอาหารค่ำของมาดามดู่ได้หายตัวไปแล้ว ไม่มีวี่แววของเขาโดยสมบูรณ์” สาวกศักดิ์สิทธิ์ฮัทท์กล่าวรายงาน


 


เสียงของพระสันตะปาปาเปล่งออกมาอย่างแผ่วเบา “เพียงเพราะเรื่องแค่นี้หรือ?”


 


ในจิตใจของฮัทท์รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะโกรธ เขาจึงเร่งเอ่ยว่า “มิได้มีแค่นั้น แต่ตอนนี้โลกได้เกิดปัญหาขึ้น นรกกำลังมาเยือนพวกเราแล้ว”


 


“นรก?”


 


พระสันตะปาปาทวนซ้ำ น้ำเสียงของเธอค่อนข้างประหลาดใจ ความโกรธได้สลายไป


 


“ขอรับ นรกเยือกแข็ง” ฮัทท์ถอนหายใจโล่งอก


 


แล้วเขาก็เริ่มบอกเล่าเกี่ยวกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้


 


พระสันตะปาปานั่งเงียบไปครู่หนึ่ง สักพักจึงถอนหายใจออกมา “จักรพรรดิฟูซี อันที่จริงแล้วข้าเข้าใจตัวเขานะ แต่น่าเสียดายจริงๆที่เขาเลือกเป้าหมายผิด”


 


“เกิดความผิดปกติบางอย่างขึ้นกับปรภพอย่างงั้นหรือ … ” พระสันตะปาปาพึมพำ


 


หนึ่งศอกวางลงบนพนัก เอนตัววางแก้มลงบนมือข้างเดียวกันขณะที่ในสมองกำลังครุ่นคิด


 


ดูเหมือนว่าการที่ตนเองถูกเรียกกลับมาจะนับว่าถูกต้องแล้ว


 


สถานการณ์โลกในเวลานี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และเธอต้องก้าวเข้ามาควบคุมสถานการณ์ด้วยตนเอง


 


ด้วยความแข็งแกร่งของโลกใบนี้ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรับมือกับนรก


 


ดูเหมือนว่าข้าจะต้องจากไปเร็วขึ้นสักหน่อยเสียแล้วกระมัง


 


—แต่ดูทุกสิ่งที่สร้างมาเป็นอย่างดีนี่ซี? จะต้องทิ้งมันไปจริงๆน่ะหรือ?


 


เธอมองไปรอบโบสถ์


 


ห้องโถงกว้างขวาง ส่องสว่างและสดใส


 


กลุ่มคนที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ภักดี ซื่อสัตย์ และเต็มใจอุทิศตนเพื่อเธอ


 


แสงแดดจากดวงอาทิตย์สาดเข้ามาทางกระจกหน้าต่างที่เป็นรูปวาดหลากสีสัน นำมาซึ่งความรู้สึกสงบอย่างน่าแปลกประหลาด


 


เงียบสงบและอบอุ่น ทุกอย่างดูเป็นระเบียบ


 


ไม่เพียงแต่โบสถ์นี้เท่านั้น แต่กระทั่งทั้งประเทศก็ยังเป็นของตนเอง


 


หากต้องจากไปในตอนนี้จริงๆ บอกตรงๆว่าเธอลังเล


 


มันไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยสำหรับตนเองที่จะได้รับร่างกายนี้ ศาสนานี้ และประเทศนี้ แต่มาตอนนี้กลับจะต้องหนีไป?


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่พึ่งถูกขับไล่ออกจากเกาะหมอก


 


ให้เตร่ไปทั่วจักรวาลเนี่ยนะ? เพียงแค่คิดก็เจ็บปวดใจยิ่งแล้ว


 


พระสันตะปาปาลุกขึ้น และเดินไปรอบๆโบสถ์ ด้วยสองมือที่ไขว้กันอยู่เบื้องหลัง


 


ใช่ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือนังเด็กสาวคนนั้น


 


เมื่อเธอกลับมาสู่โลกใบนี้ ข้าจะต้องตามหาเธอให้พบและจัดการสังหารซะ!


 


ทันทีทีนังเด็กนั่นตาย อะไรๆมันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นก็ได้


 


ดังนั้น เวลานี้จึงยังไม่สมควรที่จะทอดทิ้งโลกใบนี้ไป


 


สำหรับเรื่องของปรภพ-


 


จากมุมมองในปัจจุบัน มันยังไม่ชัดเจนว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นกับปรภพ


 


สถานการณ์ยังไม่กระจ่าง หากตนเองผลีผลามจากไปอย่างเร่งร้อน เกรงว่าคงจะสูญเสียมากเกินไป


 


บางทีความผิดปกติจากทางปรภพอาจจะหายไปในไม่ช้าก็ได้


 


ถ้างั้นรอดูก่อนก็แล้วกัน


 


พระสันตะปาปารำพึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเปล่งเสียงเอ่ยถามว่า “เวโรน่าได้ขึ้นครองบัลลังก์ใช่หรือไม่?”


 


“ใช่ โปรดดูในจอม่านแสง”


 


ขณะที่ฮัทท์กำลังกล่าว จอม่านแสงก็โผล่ออกมา


 


บนจอม่านแสง เป็นพระราชวังที่สวยงาม


 


ณ เมืองหลวงของฟูซี


 


ภายในพระราชวังหลวง


 


ตามวัฒนธรรมดั้งเดิมของพิธีราชาภิเษกแห่งฟูซี เวโรน่าจะต้องนั่งอยู่ในรถม้าที่ถูกลากโดยอาชาสีขาวบริสุทธิ์แปดตัว เดินทางออกจากพระราชวังภายใต้การคุ้มกันขององครักษ์ มุ่งหน้าไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์ของฟูซี


 


พระสังฆราชแห่งฟูซีจะรับผิดชอบเป็นประธานในการดำเนินพิธีนี้


 


ผู้นำระดับโลก และบุคคลสำคัญจากประเทศต่างๆจะรออยู่ในภายในมหาวิหารเพื่อร่วมเป็นสักขีพยานในพิธี


 


เวโรน่าสวมใส่เสื้อคลุมจักรพรรดิสีดำและแดง ในมือข้างหนึ่งถือคทาของกษัตริย์ ขณะที่อีกข้างถือแอปเปิ้ลทองคำซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจในรูปแบบของฟูซี


 


เธอเอ่ยปฏิญาณอย่างเคร่งครัดกับรูปปั้นเทพแห่งความตายที่กำลังหลับไหลใจกลางวิหาร


 


“เราจะปกป้องอาณาจักรนี้เพื่อประโยชน์ของประชาชน เพื่อความผาสุขและศักดิ์ศรี เราจะ … ”


 


พระสันตะปาปามองไปยังฉากนี้ ปากเอ่ยกล่าวอย่างแผ่วเบา “น่าสนใจดีนี่”


 


เดิมทีแล้ววิหารศักดิ์สิทธิ์ของฟูซีถูกสร้างขึ้นก่อนที่องค์จักรพรรดิฟูซีจะแต่งงาน


 


แน่นอน ว่าเป็นการแต่งงานกับเวโรน่าจากตระกูลเมดิซี


 


เวโรน่า เมดิซี ครั้งหนึ่งในวัยเยาว์เธอเคยเป็นถึงพระคาร์ดินัลของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์


 


เพื่อที่จะได้ครอบครองเธอ องค์จักรพรรดิแห่งฟูซีถึงขั้นประกาศแก่สาธารณชนว่า ตนจะสร้างวิหารศักดิ์สิทธิ์อันงดงามยิ่งใหญ่ขึ้นในเมืองหลวงของฟูซี


 


วิหารนี้เปรียบดั่งตัวแทนของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ เป็นตัวแทนของความเชื่อแห่งคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ และความศรัทธาของเวโรน่าที่จะปกป้องจักรวรรดิ์ศักดิ์สิทธิ์


 


—แต่ปัจจุบันมันไม่ได้เป็นตัวแทนของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไปแล้ว


 


พระสันตะปาปาขบคิดอย่างเงียบๆ


 


โชคดีจริงๆที่ได้ร่างนี้มา เพราะปัญหาที่ร่างนี้ต้องเผชิญนับว่าใหญ่หลวงไม่น้อย


 


เป็นเรื่องบังเอิญที่โชคดีมากเสียจริงๆ


 


แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ในตอนที่ตนเองได้เข้าสู่ร่างกายนี้ มันกลับไม่หลงเหลือร่องรอยของพระสันตะปาปาคนเก่าเสียแล้ว


 


ดังนั้นเธอจึงไม่ได้รับความทรงจำใดๆมาเลย


 


บนจอม่านแสง เวโรน่ายังคงคุกเข่าต่อหน้าเทพแห่งความตายที่หลับไหล เปล่งวาจาสัตย์อย่างเคร่งขรึมจริงจัง


 


เหตุการณ์นี้ดำเนินไปอีกราวๆ2-3 นาที


 


สายตาของพระสันตะปาปาก็เบนไปตกลงบนรูปปั้น


 


เทพแห่งความตายที่หลับไหล


 


กล่าวกันว่าเทพแห่งความตายกำลังปกป้องตระกูลเมดิซี


 


—แต่ในโลกที่ตัวพระสันตะปาปารู้จัก กลับไม่เคยได้ยินถึงมอนสเตอร์อย่างเทพแห่งความตายนี้มาก่อนเลย


 


เดิมทีเธอกะว่าหลังจากเอาชนะราชวงศ์เมดิซีได้อย่างเด็ดขาดแล้วจึงค่อยมาตรวจสอบเรื่องนี้อีกครั้งอย่างช้าๆ


 


แต่น่าเสียดายเหลือเกิน ที่ในที่สุด ก็ยังไม่ค้นพบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ใดๆ


 


มีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่ได้รู้


 


ประการแรก ครั้งหนึ่งในอดีต เทพแห่งความตายได้เคยปรากฏตัวขึ้น


 


ประการที่สอง มันกำลังหลับไหลอยู่


 


อย่างไรก็ตาม เทพแห่งความตายมันคืออะไรกันแน่?


 


ทำไมตระกูลเมดิซีถึงได้เคารพบูชามัน?


 


ไม่มีใครรู้คำตอบนี้


 


ว่ากันว่าความลับนี้ มีเพียงกษัตริย์แห่งจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์และพระสันตะปาปาที่แท้จริงเท่านั้นที่รู้คำตอบ


 


สิ่งเดียวที่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามันมีอยู่จริงก็คือ ตรายมทูต … สัญลักษณ์แห่งความตาย


 


สัญญาชีวิตนั่นเอง


 


และสิ่งนี้ กษัตริย์แห่งจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ส่งต่อมันให้แก่แอนนาไปแล้ว


 


และตัวเธอเอง ก็ได้ส่งผู้คนออกไปเป็นจำนวนมาก ทว่ากลับยังจับตัวแอนนาไม่ได้เลย


 


เมื่อคิดถึงจุดนี้ อารมณ์ของพระสันตะปาปาก็ขุ่นมัวทันที


 


“เวโรน่าไม่ได้เชิญเราใช่ไหม”


 


“เชิญขอรับ”


 


“โอ้?”


 


สีหน้าของพระสันตะปาปาเปลี่ยนไปเล็กน้อย


 


ผู้หญิงคนนี้ … ไม่ง่ายเหมือนกันนี่


 


เธอเกือบจะฆ่าคนในตระกูลเมดิซีทั้งหมด ทว่าอีกฝ่ายกลับเชื้อเชิญตนเพื่อไปเข้าร่วมพิธี


 


หญิงนางนี้กล้าเผชิญหน้ากับข้า  เพราะคิดว่าจริงๆแล้วข้าไม่กล้าที่จะลงมือใช่หรือไม่?


 


ไม่น่าใช่ … คนอย่างเวโรน่าจะต้องมีความคิดอื่นแอบแฝงอยู่ด้วยอย่างแน่นอน


 


ดูเหมือนว่าข้าจะต้องกลับมาจริงๆ คงจะไม่สามารถปล่อยเรื่องพวกนี้ไว้เฉยๆโดยไม่จัดการไม่ได้อีกแล้ว


 


พระสันตะปาปากล่าว “ฟูซีมีจัดเลี้ยงมื้อเที่ยงหรือไม่?”


 


“มีขอรับ”


 


พระสันตะปาปาลุกขึ้นและกล่าวว่า “เจ้ามากับข้า เราไปดูกันว่าทางฟูซีกับรัฐบาลกลางกำลังวางแผนอะไรอยู่”


 


“น้อมรับคำสั่ง รถเหินเวหาถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว พร้อมที่จะเดินทางทุกเมื่อ” ฮัทท์กล่าวด้วยความเคารพ


 


“ดีมาก ข้าสงสัยนักเชียวว่าพอได้เห็นข้า เวโรน่าจะทำหน้ายังไง” พระสันตะปาปากล่าว


 


เธอเหลือบมองพิธีราชาภิเษกบนจอม่านแสง บังเกิดระลอกคลื่นของความหงุดหงิดอันยากจะอธิบายขึ้นในจิตใจ


 


ราวกับว่าในอากาศ จะมีแรงที่มองไม่เห็นกำลังบีบคอเธอจนหายใจได้ลำบากอยู่


 


“ปิดมันซะ ไม่มีสิ่งใดน่าดึงดูดพอจะให้ดูอีกต่อไปแล้ว” พระสันตะปาปาสั่ง


 


“รับทราบ”


 


“พวกเราก็ไปกันเถอะ”


 


สาวกศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ดยืนขึ้นอย่างพร้อมเพรียง และออกเดินตามไปส่งเธอข้างนอก


 


ทว่ามาได้เพียงครึ่งทาง พระสันตะปาปาก็หยุดฝีเท้าลง


 


“มีบางอย่างไม่เหมาะสม” เธอเอ่ยพึมพำ


 


“สมเด็จพระสันตะปาปา มีอะไรหรือขอรับ?” ฮัทท์เอ่ยถาม


 


“ ทอง , ไม้ , น้ำ , ไฟ , ดิน , ลม , สายฟ้า , แสงสว่าง , ความมืด และเสียง ธาตุทั้งสิบกำลังเกิดความโกลาหล พวกมันถูกเติมเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า”


 


พระสันตะปาปาพยายามรับรู้ถึงสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างเงียบๆ แล้วจู่ๆสีหน้าของเธอค่อยๆเปลี่ยนไป!


 


เธอตะโกนลั่น “เร็วเข้า! รีบสั่งการแจ้งเตือนทั้งหมด เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับศัตรู!”


 


“ขอรับ!”


 


สาวกศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ดเปิดสมองควอนตัมของตนเอง และออกคำสั่งไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขาทันที


 


ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ที่บังเกิดเสียงระเบิดจากระยะไกลออกไปขึ้นประปรายลอยมาตามสายลม


 


พระสันตะปาปาโบกมือ และไพ่กว่าสิบใบก็ปรากฏขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า ร่วงตกลงในมือของเธอ


 


เธอกล่าวอย่างเฉียบขาด “ออกไปกับข้า ไปดูหน้าคนบาปเหล่านั้นกันว่ามันเป็นใคร!”


 


ฮัทท์กล่าวหยันด้วยรอยยิ้มฉกาจฉกรรย์ “ใครกันที่กล้ามาสร้างปัญหาในเมืองหลวงของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ เดี๋ยวก็ – ”


 


ตูม!


 


พื้นดินสั่นสะเทือน


 


หลังคาของโบสภ์ใหญ่ทั้งหมดถูกระเบิดออก


 


ตามด้วยกลุ่มแสงหลากสีสันแลดูงดงามปรากฏตัวขึ้น ลอยเด่นอยู่กลางเวหา


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.357 – ปรากฏกาย(2)


 


พระสันตะปาปารวมทั้งเจ็ดสาวกเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน


 


เห็นแค่เพียงกลุ่มแสงเหล่านั้นกระจายแตกตัวออกไป เผยให้เห็นถึงรูปลักษณ์ที่แท้จริงของพวกมันออกมา


 


“มนุษย์? ไม่สิ ไม่ใช่!”


 


ดวงตาของพระสันตะปาปาหรี่แคบลง จับจ้องสังเกตสิ่งเบื้องหน้าอย่างระมัดระวัง


 


ภายในกลุ่มแสง มีมอนสเตอร์รูปร่างคล้ายมนุษย์อยู่


 


ส่วนเหตุผลที่ทำให้มั่นใจว่าพวกมันมิใช่มนุษย์ นั่นก็เพราะแม้สรีระร่างกายส่วนใหญ่จะเหมือนกับมนุษย์ ทว่าพวกมันกลับไร้ซึ่งใบหน้า


 


รวมไปถึงพลังธาตุที่หมุนเวียนว่ายรายล้อมอยู่รอบตัวพวกมัน ควบรวมตัวกันได้อย่างง่ายดาย


 


ธาตุทั้งสิบที่ทรงพลานุภาพแตกตัวจากทั่วผืนฟ้า ร่วงหล่นไปทั่วผืนดินจนตลอดทั้งเมืองลุกเป็นไฟ


 


การแสดงออกของหัวหน้าสาวกศักดิ์สิทธิ์ฮัทท์แปรเปลี่ยนไป


 


ด้วยตัวเขาที่เป็นถึงนักสู้ที่ทรงพลังและมีประสบการณ์การต่อสู้มากมาย ทำให้ไม่นานก็สามารถเห็นถึงกุญแจสำคัญของเรื่องราวตรงหน้าได้ในที่สุด


 


“พวกมันเป็นผู้ควบคุมธาตุ! แถมถ้าเทียบกับมืออาชีพที่ใช้ธาตุทั้งห้าแล้วแกร่งยิ่งกว่าหลายเท่าอีกด้วย!!” เขาตะโกนออกมา


 


“ดูเหมือนพวกมันจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้ธาตุจริงๆ” คาร์ดินัลคิดด์เอ่ยเสริม


 


บนท้องฟ้า มอนสเตอร์ที่ไร้ซึ่งใบหน้า กำลังเปล่งแสงหลากสีของธาตุต่างๆออกมาจากร่างกาย


 


และมอนสเตอร์ทุกตัวที่ปรากฏ ทั้งหมดล้วนสามารถควบคุมธาตุได้อย่างสมบูรณ์แบบ


 


มนุษย์ปีศาจ


 


ปีศาจแห่งนรกเยือกแข็งได้มารวมตัวกัน และกำลังริเริ่มทำการโจมตีเมืองแล้ว!


 


และเวลานี้ ทั่วทั้งเมืองหลวงของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ คือเป้าหมายของพวกมัน


 


โบสถ์ใหญ่ได้ถูกโจมตีก่อนเป็นแห่งแรก ด้วยเหตุผลอันเนื่องมาจากมันเป็นอาคารที่ดูโดดเด่น งดงามสะดุดตา เต็มไปด้วยความซับซ้อนทางสถาปัตยกรรม ดังนั้นอาคารแห่งนี้จึงดึงดูดกลุ่มแสงจำนวนมากเข้ามาหา


 


“สั่งระดมมืออาชีพทุกคน! ส่วนพวกเจ้า ออกไปสู้กับมันซะ เร็วเข้า!” พระสันตะปาปาตะโกนสั่งเสียงดัง


 


สาวกศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ดได้ถ่ายทอดคำสั่งของพวกเขาลงไปยังผู้ใต้บังคับบัญชา จากนั้นก็ทะยานออกไปต้อนรับมอนสเตอร์ที่โบยบินบนผืนฟ้า


 


เกือบจะในทันที การต่อสู้ก็เข้าสู่ช่วงเวลาที่ร้ายแรงที่สุด


 


มนุษย์ปีศาจสามารถใช้งานธาตุได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นพลังโจมตีของมันจึงรุนแรงยิ่งกว่ามืออาชีพธรรมดาๆอยู่หลายเท่า


 


นอกจากนี้พวกมันยังสามารถบินได้


 


มนุษย์ปีศาจทั้งหมดลอยอยู่ในอากาศ ทำให้มืออาชีพธรรมดาๆไม่สามารถโจมตีพวกมันได้เลย


 


คริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ได้ทำการส่งเกราะรบทั้งหมดออกมา


 


อย่างไรก็ตาม เกราะรบของทางคริสตจักร ทั้งหมดล้วนเป็นอาวุธที่ล้าสมัย


 


จำนวนของมนุษย์ปีศาจมีมากเกินไป มันเยอะกว่าเกราะรบขับเคลื่อน


 


พวกมันบินฉวัดเฉวียนไปมาอย่างอิสระ และโจมตีได้ดั่งใจต้องการ


 


ส่งผลให้กองกำลังติดอาวุธของคริสตจักร ทั้งหมดกำลังตกอยู่ภายใต้การต่อสู้อันยากลำบาก


 


ในเวลาเพียงไม่กี่สิบนาทีของการต่อสู้ มนุษย์ปีศาจก็ดูจะค่อยๆเหนือกว่าจนเห็นได้ชัด


 


พวกมันกำลังกรีทาทัพมุ่งหน้าไปยังทิศทางโบสถ์ใหญ่ของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์


 


พระสันตะปาปาบินขึ้นไปบนท้องฟ้า เข้าร่วมต่อสู้ด้วยตนเอง ถลาเข้าโจมตีสังหารมนุษย์ปีศาจไปกว่า7-8ตน


 


เหตุการณ์นี้ ส่งผลให้มนุษย์ปีศาจทั้งหมดต่างโกรธแค้น


 


หลายร้อยมนุษย์ปีศาจจับกลุ่มรวมตัวเข้าด้วยกัน ตนแล้วตนเล่าระเบิดพลังธาตุของตัวเองออกมา


 


พริบตานั้น ตลอดทั้งมหาวิหาร ทั้งหมดพลันพังทลายลง ล้มครืนตกลงสู่พื้นดิน


 


แม้กระทั่งพระสันตะปาปาที่กล่าวกันว่าเป็นตัวตนที่ทรงพลัง ก็ยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับการจู่โจมอันน่าสะพรึงเช่นนี้


 


อย่างไรก็ตามเธอก็ยังรอดชีวิตมาได้


 


ด้วยการเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในไพ่ ทำให้พระสันตะปาปาสามารถหลบเลี่ยงการโจมตีได้ชั่วคราว


 


การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป


 


เมื่อมนุษย์ปีศาจไม่อาจหาเป้าหมายของพวกมันพบ  พวกมันจึงไประบายความโกรธใส่กลุ่มคนอื่นๆที่กำลังต่อต้าน


 


เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ


 


หลังจากการเสียชีวิตนับร้อยนับพันของกองกำลังติดอาวุธแห่งคริสตจักร รวมไปถึงสองในเจ็ดสาวกศักดิ์สิทธิ์ พระสันตะปาปาก็ยังคงหลบซ่อนตัวอยู่


 


เธอมิได้ออกไปลงมืออีกครั้ง


 


เธอหลบซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบ สองตาเฝ้าสังเกตบนท้องฟ้าอย่างระมัดระวัง


 


“นี่มันตระกูลจำพวกปีศาจ? ดูเหมือนว่าจะเป็นการดำรงอยู่ของตัวตนจากในยุคอดีต แต่ตามตัวของพวกมันยังคงมีกลิ่นอายของวิญญาณ ดูเหมือนว่าพวกมันจะคืบคลานออกมาจากนรกจริงๆ” เธอพึมพำ


 


ตอนนี้ มิอาจสามารถกลับไปยังเกาะหมอกได้ ดังนั้น หากเธอไม่สามารถรักษาที่นี่ไว้ได้จริงๆ ก็คงจำเป็นต้องท่องไปตามโลกอื่น จักรวาลอื่นๆ


 


หัวหน้าสาวกศักดิ์สิทธิ์ฮัทท์กระอักเลือดคำหนึ่ง วิ่งตรงเข้ามา ปากเอ่ยรายงาน “พวกเราได้ใช้ทุกวิถีทางแล้ว แต่จำนวนของพวกมันมีเยอะเกินไป แถมยังทวีมากขึ้นเรื่อยๆ การที่จะสังหารพวกมันเลยเป็นไปอย่างยากลำบาก … ”


 


พระสันตะปาปามองขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง


 


การโจมตีด้วยธาตุของมนุษย์ปีศาจ ค่อยๆเพิ่มขึ้นและซ้อนทับกันเรื่อยๆ


 


เมื่อจำนวนของพวกมันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่รู้จบ หลายร้อยกลุ่มก้อนพลังงานก็ผสานรวมเข้าด้วยกัน ก่อบังเกิดรูปแบบการโจมตีทางเทคนิคมนตราอันน่าพรั่นพรึงขึ้น


 


การโจมตีดังกล่าวนี้ แม้กระทั่งพลังมนตราของเธอก็มิอาจเอาชนะศัตรูได้


 


ตัวโบสถ์ล้มครืนลงโดยสมบูรณ์


 


แสงจากเบื้องบนท้องฟ้า สาดทอลงมากระทบเข้ากับชั้นผ้าโปร่งที่ปกคลุมใบหน้าของพระสันตะปาปา


 


และเธอก็ยิ้มออกมาทันใด


 


หลายวันที่ผ่านมานี้ เธอได้แต่เตร็ดเตร่อยู่ในมหาสมุทรแห่งซากศพ และทำได้เพียงถอนหายใจบรรเทาทุกข์


 


โดยไม่คาดคิดเลยว่า หลังจากที่ตนกลับมา จะถูกบังคับให้ตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าวนี้


 


ไม่มีทางให้ถอยกลับแล้ว


 


นี่มันมากเกินกว่าที่คนๆหนึ่งจะทนไหว!


 


“ฮัทท์ เจ้ากลัวความตายหรือไม่?” พระสันตะปาปากล่าว


 


“เพื่อคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ กระผมเต็มใจที่จะเสียสละทุกสิ่ง” ฮัทท์กล่าว


 


“เพื่อคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์สินะ เหตุใดจึงมิใช่เพื่อข้าเล่า?” พระสันตะปาปาดูจะผิดหวังเล็กน้อย


 


ฮัทท์ชะงักงัน ก่อนจะกล่าว “เพื่อท่าน เพื่อคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ มันก็ไม่แตกต่างกัน”


 


พระสันตะปาปาเงียบไป ก่อนจะเอ่ยสั่ง “ไปซะ จงไปตามผู้ทรมานตนอีวานมา”


 


ฮัทท์ราวกับตระหนักได้ถึงบางสิ่ง เขาเร่งกล่าวทันที “อีวานเป็นคนประเภทสมองกล้ามเนื้อ หากมีเรื่องใดขอท่านโปรดบอกกระผมโดยตรง ตัวกระผมยินดีสละทุกสิ่งเพื่อคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์”


 


“ไม่ ภารกิจนี้มันไม่เหมาะกับเจ้า จงไปตามตัวอีวานมา เดี๋ยวนี้!”


 


“ … น้อมรับคำสั่ง” ฮัทท์ตอบรับ


 


แล้วไม่นานนัก อีวานก็มาหยุดยืนอยู่ต่อหน้าพระสันตะปาปา


 


“ฮัทท์ เจ้าไปรับหน้าที่หัวหอกควบคุมการต่อสู้” พระสันตะปาปาสั่ง


 


“รับทราบ” ฮัทท์ปลีกตัวแยกออกไป


 


ทว่าก่อนจะลับสายตา เขาก็อดไม่ได้ที่จะเหลียวหลังหันกลับมามองน้องชายของตนด้วยความกังวล


 


“โปรดสั่งมาได้เลยท่าน” อีวานคุกเข่าลงข้างหนึ่งและกล่าว


 


พระสันตะปาปาก้าวเข้าไปหาเขาทีละก้าว ทีละก้าว ปากเอ่ยเสียงกระซิบ “อีวาน เจ้าเป็นนักสู้ ครอบครองจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ยิ่งกว่าใครหากเทียบเปรียบกับสาวกศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ ดังนั้นข้าจะมอบอาวุธที่เหมาะสมกันให้แก่เจ้า”


 


เธอเอ่ยถาม “เอาล่ะ ตอนนี้ข้าจะถามอีกครั้ง เจ้ายินดีจะสู้เพื่อข้าหรือไม่?”


 


“ข้าจะทำ!”


 


อีวานร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น


 


เขาจำได้ว่า ครั้งหนึ่งพระสันตะปาปาเคยมอบแส้วิเศษให้แก่คาร์ดินัลคิดด์


 


แส้ที่สามารถหายไปในความว่างเปล่าได้ดั่งใจนึก ช่างเป็นอะไรที่แปลกประหลาดทว่าขณะเดียวกันก็สุดยอดโดยแท้!


 


ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญเช่นนี้ พระสันตะปาปากลับเลือกที่จะมอบอาวุธของตนเองให้แก่เขา!


 


ขณะที่อีวานกำลังขบคิด ทันใดนั้นก็ปรากฏไพ่ใบหนึ่ขึ้นต่อหน้าเขา


 


ภาพในไพ่ เป็นกระแสน้ำวนที่มืดมิด


 


ใจกลางของกระแสน้ำวน มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมา ราวกับกำลังต้องการที่จะขอเชคแฮนทักทายกับเขา


 


แต่หากเพ่งพินิจมองด้วยสองตาดีๆ เขากลับรู้สึกว่ามือที่ยื่นมานี้ส่งกลิ่นอายของความบ้าคลั่ง


 


– มันราวกับคนที่กำลังจมน้ำ และพยายามจะคว้าทุกสิ่ง อะไรก็ได้ที่จับได้


 


“เอาไปสิ” พระสันตะปาปากล่าว


 


อีวานยังคงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง


 


ทันใดนั้น ความรู้สึกไม่ดีก็เกิดขึ้นในจิตใจของเขา


 


“เอามันไป นี่คือคำสั่ง” พระสันตะปาปากระตุ้นเตือน


 


“ทราบแล้ว”อีวานก้มหัวลง สุดท้ายก็รับไพ่มา


 


เมื่อพระสันตะปาปาเห็นว่าเขารับไพ่ไปแล้ว ตนก็ก้าวถอยหลังปลีกตัวออกมา


 


เธอจ้องมองอีวานอย่างเงียบๆ ในโทนเสียงปรากฏถึงร่องรอยของความหวาดกลัวและโศกเศร้า “จงอย่าตำหนิข้า อย่าตำหนิข้าเลย ที่ทำเช่นนี้ เพราะข้าไม่มีทางให้ถอยกลับอีกต่อไปแล้ว”


 


สีหน้าของอีวานเผยถึงความสงสัย เขาเอ่ยปากกล่าว “พระสันตะปาปา นี่ท่าน … ”


 


บางที อาจจะเป็นเพราะอีกฝ่ายกำลังจะต้องตายในเร็วๆนี้ พระสันตะปาปาจึงเอ่ยอธิบายออกไปหลายคำ


 


“แท้จริงแล้ว เมื่อใช้ออกด้วยไพ่ใบนี้ ข้าเองก็ไม่ทราบถึงผลลัพธ์ที่ตามมาเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม ข้าไม่ต้องการเป็นคนจร ที่จะต้องท่องไปทั่วอย่างไร้ที่สิ้นสุด ขอเจ้าจงยกโทษให้ข้าด้วยนะ”


 


หลังจากได้ยินคำอธิบายที่ฟังดูสับสนนี้ อีวานก็งงงวยยิ่งกว่าเดิม


 


เขากำลังจะถามอะไรบางอย่างออกไป แต่ก็ดันพบว่าไพ่ในมือของเขาเริ่มที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเสียก่อน


 


ฝ่ามือขนาดใหญ่ยื่นออกมาจากไพ่ มันคว้าหมับ! จับเข้ากลางลำตัวเขาและดึงเข้าไปข้างใน


 


“อาา อ๊าาาา!”


 


บังเกิดเสียงร่ำร้องอันขมขื่นดังขึ้นชั่วขณะหนึ่ง


 


ผสมปนเปไปกับเสียงเคี้ยวที่เพียงได้ฟังก็ต้องขนลุกซู่


 


การซ้อนทับ ผสมผสานกันระหว่างสองเสียงนี้ ไม่ว่าใครได้ยินก็พอที่จะตั้งสมมติฐานได้ว่า มันคือเสียงของคนๆหนึ่งที่กำลังถูกกัดกินอย่างช้าๆ


 


ผ่านพ้นไปสักพัก ภายในไพ่ก็บังเกิดเสียงถอนหายใจด้วยความพึงพอใจออกมา


 


“อืม … ช่างเป็นจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์โดยแท้ แม้จะยังมีความโหดร้ายกระหายเลือดอยู่บ้าง แต่สำหรับใน ‘นรกเก้าชั้น’ แล้วมันนับว่าเป็นอาหารอันโอชะที่หาได้ยากยิ่งทีเดียว”


 


“ยี่ชา ในที่สุดเจ้าก็ตกลงเต็มใจที่จะลงนามทำสัญญากับข้า แถมยังเสนออาหารอันโอชะมาเป็นของขวัญในสัญญาอีก บอกตามตรงว่าข้ารู้สึกพึงพอใจมากทีเดียว”


 


พระสันตะปาปา หรือคนที่ถูกเรียกว่ายี่ชา ก้มหัวลงด้วยความเคารพและกล่าวว่า “ถ้าเจ้าพอใจ งั้นก็ดีแล้ว”


 


“ตั้งแต่นี้ไป สัญญาได้ถูกก่อร่างขึ้นแล้ว จงพูดในสิ่งที่เจ้าต้องการมา” เสียงนั่นเอ่ยถาม


 


“ข้าต้องการจะถือครองธงของเจ้า และหยุดสงครามโดยสมญานามของเจ้า” ยี่ชากล่าว


 


“อ๊ะ นั่นมันเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง ข้าอนุญาต” เสียงนั่นเอ่ยตอบกลับด้วยความเกียจคร้าน


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.358 – ปรากฏกาย(3)


 


เมื่อได้รับอนุญาตจากอีกฝ่าย ยี่ชาก็บังเกิดความสุขยิ่ง


 


มีเฉพาะเพียงการดำรงอยู่ของ ‘สิ่งนี้’ เท่านั้น ที่จะสามารถเพิกเฉยต่อจำนวนศัตรู และยุติการทำลายล้างทั้งหมดลงได้


 


แม้ว่าในความเป็นจริง สิ่งที่ต้องจ่ายออกไปในภายหลังจากเหตุการณ์นี้มันอาจจะนับว่าไม่คุ้มค่า แต่เวลานี้ยี่ชาไม่มีทางเลือกอื่น เธอจำเป็นต้องคำนึงถึงสถานการณ์ปัจจุบันของตัวเองก่อนเท่านั้น


 


ในความว่างเปล่า ไพ่ใบหนึ่งปรากฏขึ้น


 


ภายในไพ่ เป็นรูปของมารที่ทั้งร่างถูกแผดเผาไปด้วยเปลวเพลิงขณะที่ในมือข้างหนึ่งของมันถือธงแกะ ส่วนอีกมือหนึ่งถือธงแตรยาว


 


“บัญชาอสูรกาย”


 


“คำอธิบาย : ไพ่ใบนี้เป็นสัญลักษณ์ของเจตจำนงแห่งอสูรกาย มันจะให้ความสนใจไปกับโลกที่คุณอาศัยอยู่ และจะอนุญาตให้คุณใช้งานภายใต้สมญาของมัน”


 


ยี่ชาคว้าไพ่มาไว้ในมือ แหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


บัดนี้มนุษย์ปีศาจได้ปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบการโจมตีของมนุษย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว


 


ส่งผลให้พวกมันเชี่ยวชาญในการฆ่ามากขึ้น แลดูราวกับเป็นเพชฌฆาตก็ไม่ปาน


 


มีผู้คนมากมายถูกสังหารตกตายลงในสนามรบ และบางตำแหน่งก็ย่อยยับชนิดเฉียดอยู่บนปากเหวแห่งการล่มสลายแล้ว


 


สถานการณ์ของสงคราม โอนเอนไปทางอีกฝั่งหนึ่งอย่างชัดเจน


 


หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความพยายามกันอีกสักพักหนึ่ง มนุษย์ทั่วทุกพื้นที่ก็มิอาจรับมือได้ไหวอีกต่อไป ทยอยกันถูกสังหารลงโดยเพชฌฆาตมนุษย์ปีศาจอย่างต่อเนื่อง


 


ในช่วงเวลานั้นเอง พลันบังเกิดรัศมีแสงศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่งขึ้น ดึงดูดความสนใจของทั้งสองฝ่าย


 


กองกำลังแห่งคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ที่ยังคงเหลือรอด ต่างหันหน้ามองมันเป็นสายตาเดียว


 


เห็นแค่เพียงสองปีกศักดิ์สิทธิ์ของพระสันตะปาปาที่กางออก สองเท้ายืนหยัดอย่างสง่าผ่าเผยอยู่เหนือซากปรักหักพังของโบสถ์ใหญ่


 


“นั่นสมเด็จพระสันตะปาปา!”


 


“ท่านมาโปรดพวกเราแล้ว!”


 


ผู้คนต่างร้องตะโกนออกมา ร่ำไห้ด้วยน้ำตา


 


หัวหน้าสาวกศักดิ์สิทธิ์ฮัทท์พยายามกวาดสายตามองไปรอบๆอย่างเต็มที่ ทว่าเขากลับไม่พบถึงร่องรอยของน้องชายตนเองเลย


 


“อีวาน … ” แข้งขาของเขาอ่อนแรง สองเข่าทรุดกระแทกลงกับพื้นด้วยความสิ้นหวัง


 


รัศมีแสงศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่โอบอุ้มรอบกายพระสันตะปาปา ก่อนที่พวกมันจะทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า เจิดจรัสเฉกเช่นเดียวกันกับแสงแห่งรุ่งอรุณ


 


ไพ่นับสิบใบถูกกุมอยู่ในมือของเธอ


 


“จงหยุดซะ” เธอร้องตะโกน


 


กองกำลังติดอาวุธของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์หยุดต่อต้านการโจมตีอย่างสิ้นเชิง


 


เหล่ามนุษย์ปีศาจตระหนักได้ทันทีว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง พวกมันต่างหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ และเฝ้ามองเธออย่างระแวดระวัง


 


“ด้วยนามของจ้าวแห่งวิญญาณร้าย ข้าจะให้โอกาสครั้งสุดท้ายแก่พวกเจ้า จงยุติสงครามครั้งนี้เสีย และอย่าได้ย่างกรายเข้ามาอีกต่อไป!” พระสันตะปาปากล่าว


 


ทันทีที่เสียงของเธอตกลง ‘บัญชาอสูรกาย’ ก็เริ่มเคลื่อนไหวทันที


 


ไพ่ใบหนึ่งถูกป่นเป็นผง เศษของมันกระจัดกระจายดั่งดาราที่ร่วงโรย


 


ไพ่สัญญาได้ถูกเปิดใช้งานแล้ว!


 


ในมือของเธอ ไพ่ทั้งเก้าใบที่เหลืออยู่พลันทะยานขึ้นไปกลางอากาศ เปล่งกระแสเสียงออกมาโดยพร้อมเพรียง


 


“จงเฝ้ามองธงแห่งข้า จงเชื่อฟังบัญชาแห่งข้า จงทำตามเป้าประสงค์แห่งข้า!”


 


ไพ่ที่มีขนาดเพียงแค่ฝ่ามือทั้งเก้าใบกำลังเปล่งวาจาที่ฟังดูน่าเกรงขาม นี่มันช่างแลดูราวกับเป็นเรื่องตลกร้าย ไร้สาระโดยแท้


 


มนุษย์ปีศาจหันมามองหน้ากันและกัน ก่อนจะแสดงท่าทีขบขันออกมา


 


หนึ่งในนั้นโบกมือของมันออกไป ปลดปล่อยกระแสคลื่นสีทองอันแหลมคม ตัดสะบั้นศีรษะของกองกำลังติดอาวุธแห่งคริสตจักรไปหลายสิบ บังเกิดหมอกโลหิตจางๆโปรยไปทั่ว


 


จากการแสดงออกของมนุษย์ปีศาจตนนั้น บ่งบอกว่ามันกำลังยั่วยุพระสันตะปาปาอย่างชัดเจน


 


พระสันตะปาปาหัวเราะคิกคักออกมาเบาๆ


 


เธอเอ่ยกับไพ่เบื้องหน้าทั้งเก้าว่า “พวกมันไม่เชื่อฟังคำสั่งเจ้า ข้าร้องขอให้เจ้าปรากฏกายด้วย”


 


“เข้าใจแล้ว” ไพ่ทั้งเก้าตอบรับพร้อมกัน


 


สองมือของพระสันตะปาปาขยับไหวอย่างรวดเร็ว จัดเรียงไพ่ทั้งเก้าเรียงต่อกันเป็น3แนวทั้งตั้งและนอน


 


ต่อมา ภายในไพ่แต่ละใบก็เริ่มปรากฏร่างเงาของอวัยวะต่างๆงอกออกมา


 


หลังจากที่ถูกเย็บรวมเข้าด้วยกันแล้ว ไพ่ทั้งหมดก็มีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย และแปรสภาพกลายเป็นไพ่ขนาดยักษ์


 


อันที่จริงแล้วตอนนี้มันมิได้ดูเหมือนไพ่นะ แต่เวลานี้มันดูราวกับเป็นภาพจิตรกรรมบนฝาผนังขนาดเล็กต่างหาก


 


ภายในจิตรกรรมฝาผนัง ชายหนุ่มรูปงามกำลังยืนอยู่บนหลังของแกะ ในมือข้างหนึ่งถือกุหลาบขาว ขณะที่ในมืออีกข้างถือหอกแหลม เบื้องหลังเขาถูกคลุมไว้ด้วยขนสีเลือด และมีวงแหวนศักดิ์สิทธิ์สีดำลอยอยู่เหนือหัวของเขา


 


รอบๆตัวชายหนุ่มรูปงาม 18 วิญญาณร้ายสีเทากำลังรายล้อมเขา สภาพของทุกตนกำลังก้มศีรษะลง แสดงท่าทีคำนับอย่างเชื่อฟัง


 


พระสันตะปาปาประกบสองมือทำท่าทีสวดอธิษฐานอ้อนวอนต่อจิตรกรรมเบื้องหน้า


 


ปากเอ่ยกระซิบว่า “เทวดาตกสวรรค์ที่ถูกสาปแช่งเอ๋ย นายเหนือแห่งวิญญาณชั่วร้าย ราชาแห่งคุกทั้ง 9 แอสเมิร์ดผู้คงกระพันอย่างหาที่ใดเปรียบ ข้าร้องขอให้เจ้าจงก้าวออกมาช่วยเหลือ โดยมีส่วนแบ่งเป็นจิตวิญญาณอันหาได้ยากยิ่ง …”


 


ไพ่จิตรกรรมได้แปรสภาพเป็นควันสีขาว


 


เสียงของทั้งเก้าเปล่งออกมาในเวลาเดียวกัน “แม้ว่าจะมีสัญญา แต่เจ้าก็ได้รบกวนการหลับลึกของข้า  เพื่อเป็นการไถ่โทษ เจ้าจะต้องมาใช้เวลาอยู่ด้วยกันกับข้าตลอดทั้งค่ำคืนอันแสนยาวนาน”


 


ยี่ชาพยายามเลี่ยงคำกล่าวของอีกฝ่าย แต่ละถ้อยคำที่เอ่ยออกไปถูกขบคิดมาอย่างระมัดระวัง “ตามสัญญา ข้าจะแบ่งปันวิญญาณอันหาได้ยากยิ่งในยุคอดีตเหล่านี้ให้แด่เจ้า”


 


ควันสีขาวแยกย้ายกันออกไป


 


พร้อมด้วยร่างๆหนึ่งที่ปรากฏออกมา


 


มันคือหนุ่มรูปงามจากจิตรกรรมในไพ่ใบนั้น


 


ราวกับถูกจำกัดการปรากฏกาย – รูปร่างของเขาจึงมองเห็นเป็นเหมือนกับภาพลวงตา มันโปรงใสดั่งภาพมายา


 


เขาไม่ได้มีอาวุธใดๆในมือ ไร้ซึ่งม้าไว้ควบขี่หรือผู้ติดตามคอยรับใช้


 


หนุ่มรูปงามหันไปมองรอบๆ


 


และก็เป็นฝ่ายมนุษย์ปีศาจอีกคราที่เริ่มเปิดฉากลงมือก่อนอย่างโหดเหี้ยม มันซัดโจมตีด้วยด้ายสีทองออกไปยังหนุ่มรูปงาม


 


ด้ายสีทองตัดหั่นชั้นอากาศ เปล่งประกายวิบวับ พริบตาเดียวก็มาถึงเบื้องหน้าของหนุ่มรูปงาม


 


“ช่างโง่เขลา”


 


หนุ่มรูปงามปากอ้าขยับ เปล่งเสียงคำหนึ่ง


 


และด้ายสีทองก็หายวับไปต่อหน้าเขา และปรากฏขึ้นอีกครั้งจากทางเบื้องหลังมนุษย์ปีศาจตนนั้นแทน


 


ฉัวะ! มนุษย์ปีศาจถูกหั่นแยกเป็นสองด้วยการโจมตีของตัวมันเอง


 


ฉากนี้ทำให้มนุษย์ปีศาจทั้งหมดรู้สึกโกรธแค้นยิ่ง!


 


พวกมันเปล่งเสียงคำรน และเริ่มพุ่งเข้าหาหนุ่มรูปงาม


 


หนุ่มรูปงามถอนหายใจและกล่าวว่า “ฝูงแกะที่โง่เขลาเอ๋ย แม้กระทั่ง ‘กฏแห่งการกระทำ’ พวกเจ้าก็ยังไม่สามารถมองเห็นถึงมันได้”


 


“ยี่ชา กระทั่ง ‘สิ่งของ’ พวกนี้ เจ้าก็ยังถึงขั้นต้องเรียกหาข้าเลยหรือ ข้าชักจะสงสัยเกี่ยวกับสัญญาของเจ้าซะแล้วซี”


 


“มันมิใช่เช่นนั้น แอสเมิร์ด เหล่าตัวตนที่เจ้าเรียกขานมันอย่างไร้ค่าว่าสิ่งของเหล่านี้ ทั้งหมดล้วนคืบคลานออกมาจากนรก” ยี่ชารีบอธิบาย


 


“นรก?”  แอสเมิร์ด กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในนรกไม่มีเจ้าตัวไร้ค่าพวกนี้ – ”


 


แต่แล้วเขาก็หยุดไปอย่างกระทันหัน สายตาจับจ้องไปยังมนุษย์ปีศาจในทันใด


 


“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ากำลังหมายถึงว่าพวกมันมาจาก ‘นรกที่เชื่อมต่ออยู่กับโลกใบนี้’ ต่างหาก”


 


ขณะที่เขากล่าว เหล่ามวลมหามนุษย์ปีศาจต่างพากันเปล่งเสียงร้องตะโกน และเริ่มลงมือโจมตีออกไป


 


แอสเมิร์ด อ้าปากหาวยาวๆ ก่อนจะเอ่ยว่า “ความผิดทั้งมวลที่ทำให้ข้าผู้นี่ขุ่นเคือง โทษทัณฑ์คือพวกเจ้าทั้งหมดจักต้องรับการชำระล้างบาป”


 


ทันทีที่เสียงนี้ตกลง มนุษย์ปีศาจทั้งหมดในอากาศพลันหยุดนิ่ง


 


ใช่ จู่ๆพวกมันก็ไม่ไหวติง มิใช่เพียงแค่เพียงรูปลักษณ์การแสดงออก แต่รวมไปถึงการเคลื่อนไหวทั้งหมด การกระทำทั้งหมดต่างก็หยุดนิ่งลงอย่างฉับพลัน ราวกับแผ่นภาพยนต์ที่ถูกกดหยุดลงอย่างกระทันหัน


 


แอสเมิร์ดบินไปข้างหน้าพวกมัน และค่อยๆฉีกหัวของมนุษย์ปีศาจตนหนึ่งออกอย่างแผ่วเบา


 


เขาเอานิ้วแหย่ลงไปในคอของอีกฝ่าย จุ่มลงไปในเลือดเนื้อของมัน คนๆวนๆ และยกขึ้นมาแลบลิ้นเลีย


 


แอสเมิร์ดกล่าวอย่างมึนเมา “จิตวิญญาณคนตายช่างยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ทำเอาข้ารู้สึกได้ถึงพลังของกฏแห่งปรภพเลยทีเดียว”


 


“แต่นี่มันแปลกจริงๆที่จิตวิญญาณของคนตายดันมาปรากฏตัวขึ้นในโลกมนุษย์”


 


“ … น่าสนใจไม่เลวนี่ เช่นนี้แล้วมันจะต้องเกิดปัญหาบางอย่างขึ้นแน่นอน”


 


“เกิดอะไรขึ้นกับอสูรกายผู้คุมนรกหรือเปล่านะ?”


 


เขากล่าว “ยี่ชา จงเตรียม ‘คนเป็น’ 1000 ชีวิต เพื่อทำการเสียสละบูชายัญ ข้าต้องการที่จะแบ่งร่างแยกของตัวเองมายังโลกใบนี้เพื่อช่วยเจ้า”


 


“ข้าน้อมรับความช่วยเหลือนี้และยินดีปฏิบัติตามเป้าประสงค์ของเจ้า … ท่านผู้ทรงเกียรติ” ยี่ชากล่าว


 


“เจ้าทำได้ดีมากในครั้งนี้ ข้าจะใช้พลังของนรก 9 ชั้นชำระล้างเพื่อขยายขีดจำกัดไพ่เทียนซวนของเจ้าให้เพิ่มขึ้นเป็นรางวัล”


 


“ขอบพระคุณท่านผู้ทรงเกียรติ” ยี่ชาขานรับด้วยความสุขใจยิ่ง


 


“เอาล่ะ เจ้าไปทำตามที่ได้รับมอบหมายเถอะ”  แอสเมิร์ด กล่าว


 


“แต่ … แล้วพวกมันเล่าจะทำอย่างไร?” ยี่ชาเอ่ยอย่างลังเล


 


เธอกำลังชี้ไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยมนุษย์ปีศาจนับหลายร้อยหลายพันตัว


 


“กฏของปรภพในโลกของเจ้ามันหลุดจากการควบคุมแล้ว จิตวิญญาณของพวกมันได้ตกอยู่ในกำมือของข้าเป็นที่เรียบร้อย”


 


แอสเมิร์ด ยื่นมือข้างหนึ่งของเขาออกไปและแบออก


 


จุดแสงสว่างหนาแน่นปรากฏขึ้นในมือของเขา


 


“นี่ใช่สิ่งที่เรียกว่าเก็บเกี่ยวได้โดยบังเอิญอย่างไม่คาดคิด ใช่หรือไม่?” เขายิ้ม


 


“เจ้านี่ช่างร้ายกาจจริงๆ” ยี่ชาเอ่ยชมออกมาอย่างจริงใจ


 


“หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว จงไปเตรียมเครื่องบูชายัญให้พร้อมเสีย จงจดจำเอาได้ด้วยว่าต้องเร็วที่สุด ข้าต้องการจะมาสำรวจด้วยตาตนเองว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”


 


“น้อมรับบัญชา ท่านแอสเมิร์ด”


 


กล่าวจบ ยี่ชาก็เร่งลงมือ และจัดการเรื่องที่เกี่ยวข้องทันที


 


ส่วนแอสเมิร์ด เขาเพียงหยุดยืนอยู่กลางอากาศ สายตาจ้องมองไปยังแผ่นหลังของยี่ชาโดยไม่คิดติดตามไป


 


‘จิตวิญญาณอันล้ำค่าจากเกาะหมอก’ … นี่คือสิ่งที่เขาต้องการเสมอมา


 


สำหรับสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้น่ะ เขาขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจมัน


 


—เกิดสิ่งผิดปกติขึ้นกับอสูรกายผู้ควบคุมนรก แน่นอนว่านี่ย่อมต้องเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญยิ่งแน่ๆ


 


แม้ว่าตนจะเป็นนายเหนือผู้ครอบครองสถานชำระล้างบาปทั้ง 9 ชั้น แต่ตนก็รู้ดีว่าไม่สมควรที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์สยองเกล้าที่ไม่รู้ที่จักเช่นนี้


 


เมื่อได้ก้าวเข้ามาสู่โลกใบนี้ด้วยการเสียสละของเครื่องบูชายัน


 


เขาก็จะรับเอาตัวยี่ชา หนึ่งเดียวในโลกนี้ที่มี ‘จิตวิญญาณอันล้ำค่าจากเกาะหมอก’ มา แล้วก็จะจากไปทันที


 


นี่คือเรื่องที่แอสเมิร์ดกำลังคิดจะทำ


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.359 – ปรากฏกาย(4)


 


ย้อนเวลากลับไปอีกสักเล็กน้อย


 


ในช่วงที่พระสันตะปาปากำลังตอบสนองต่อการเรียกขานของสาวกศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ด และพึ่งกลับมาที่โบสถ์ใหญ่


 


ช่วงเวลานี้ มนุษย์ปีศาจยังไม่ได้เริ่มโจมตีเมือง


 


ณ สาธารณรัฐฟูซี


 


ภายในวิหารศักดิ์สิทธิ์ของสาธารณรัฐ


 


พิธีขึ้นครองราชย์ของเวโรน่ากำลังจะเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ


 


จักรพรรดินีได้ขึ้นครองบัลลังก์ นี่นับว่าเป็นเหตุการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่ดึงดูดความสนใจจากทั่วทั้งโลก


 


เวโรน่าจะเป็นหญิงคนแรกที่ได้เข้าสู่พิธีครองราชย์อย่างเป็นทางการของฟูซี จะได้กลายมาเป็นผู้ครอบครองอำนาจสูงสุดในประเทศ


 


ทุกประเทศทั่วโลกต่างก็ส่งทีมถ่ายทอดสดมาทำข่าว เพื่อเตรียมที่จะบันทึกเหตุการณ์นี้ลงในหน้าประวัติศาสตร์


 


ในขณะนี้ ผู้บรรยายทางโทรทัศน์กำลังกล่าวน้อมรำลึกถึงองค์จักพรรดิแห่งฟูซีให้ประเทศต่างๆได้รับฟัง


 


แน่นอน ว่าสาเหตุการตายที่แท้จริงของเขาย่อมถูกปกปิดไว้โดยเวโรน่า


 


เพื่อหลีกเลี่ยงการก่อให้เกิดความตื่นตระหนก ความวุ่นวาย และรักษาไว้ซึ่งเกียรติยศแห่งฟูซี เรื่องราวขององค์จักรพรรดิจึงถูกบิดผัน ประกาศออกไปว่าเขาได้ตกตายลงเยี่ยงวีรบุรุษในระหว่างการต่อสู้กับนรกเยือกแข็ง


 


ด้วยน้ำแข็งที่ค่อยๆแช่สิ่งทุกและแพร่กระจายออกไปทั่วโลก ทำให้เรื่องราวของนรกเยือกแข็งมิได้เป็นความลับอีกต่อไป


 


เกิดการจลาจลอย่างรุนแรงเนื่องเพราะความสิ้นหวังปะทุขึ้นในทุกประเทศทั่วโลก


 


ผู้นำของประเทศจำเป็นต้องใช้หุ่นรบและมืออาชีพออกไปจัดระเบียบทางสังคมที่กำลังอยู่ในปากอ่าวแห่งการล่มสลายนี้


 


ส่วนในสาธารณรัฐฟูซี จักรพรรดินีเวโรน่าได้รับอำนาจ และสิทธิการตัดสินใจทางทหารขั้นเด็ดขาด


 


ขั้นตอนของการดำเนินงานทางกองทัพนั้นง่ายดายมาก โดยสิ้นเชิงกล่าวได้ว่ามันมีเพียงสองขั้นตอนเท่านั้น


 


ขั้นตอนแรกคือการยืนยันข้อเท็จจริงของอาชญากรรม


 


ขั้นตอนที่สองคือยิงประหารชีวิตทันที


 


ทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใดก็ตามในฟูซี จะเป็นการปล้น ฆ่า หรือใช้ความรุนแรง ก่อกวนสร้างสถานการณ์ ทั้งหมดจะถูกกวาดล้าง


 


มันก็จริง ที่นรกเยือกแข็งกำลังจะแพร่กระจายอยู่ และในอนาคต มนุษย์ก็มีแนวโน้มที่จะสูญพันธ์ลงกับภัยพิบัตินี้


 


แต่ถ้าใครกล้าที่จะสร้างปัญหา พวกเขาก็จะถูกยิงจนสูญพันธ์ไปซะก่อนที่จะถึงวันสิ้นโลก!


 


ภายในเวลาไม่กี่วัน สาธารณรัฐฟูซีก็เกลื่อนไปด้วยทุ่งซากศพ


 


วิธีการโหดร้ายรุนแรงเช่นนี้ ย่อมเป็นธรรมดาที่จะกระตุ้นความไม่พอใจของประชาชน ส่งผลให้พวกเขาลุกขึ้นต่อต้าน


 


บางกลุ่มที่ทำการสนับสนุนประชาธิปไตยเริ่มทำการมองหาการสนับสนุนจากต่างประเทศ เพื่อพยายามที่จะใช้แรงจากภายนอกกดดันจักรพรรดินีเวโรน่า


 


อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ ดูท่าว่าพวกเขาจะคาดคะเนผิดพลาดไป


 


เพราะในประเทศอื่นๆทั่วโลก กลับไม่มีใครกล่าวโทษหรือประฌามการกระทำดังกล่าวนี้ของเธอเลย


 


ไม่มีใครลุกฮือขึ้นและกล่าวให้ร้ายเวโรน่า


 


ในช่วงเวลาสุดท้ายของวันสิ้นโลก ผู้นำที่มีสติดีๆเขาไม่มาสนใจเรื่องของประเทศอื่นหรอก ที่ต้องทำคือการแสวงหาความมั่นคงของประเทศชาติต่างหาก!


 


นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนที่ลุกฮือขึ้นต่อต้านก็ถูกดำเนินการปราบปรามอย่างลับๆโดยเวโรน่า


 


หลังจากนั้น เวโรน่าก็ได้ประชาสัมพันธ์เปิดตัวสิ่งอำนวยความสะดวกแก่สังคมและประชาชน เพื่อเป็นการปิดปากพวกเขาให้เงียบลง


 


สถานีโทรทัศน์ออกอากาศ 24 ชั่วโมง เพื่อรายงานรายละเอียดของนรกเยือกแข็ง


 


ตามคำแนะนำของกู่ฉิงซาน เวโรน่าทำแม้กระทั่งการจับ ‘คนตาย’ ไว้ใส่ในกรงเหล็ก เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้เข้ามาเยี่ยมชม


 


ในตอนแรก ฝูงชนมากมายต่างเดินทางมาเพื่อเยี่ยมชมสถานที่แห่งนั้น


 


เนื่องจากการปรากฏขึ้นของเกมแห่งชีวิตนิรันดร์และเพชฌฆาตตัวตลกก่อนหน้านี้ ส่งผลให้สังคมมนุษย์ไม่ได้หวาดกลัวหรือตื่นตระหนกเกี่ยวกับการแพร่กระจายของนรกเยือกแข็งเท่าใดนัก ผลร้ายมันจึงน้อยกว่าที่ควรจะเป็น


 


ดังนั้น หลังจากที่ประชาชนได้เดินทางไปดูและความตื่นเต้นในช่วงแรกได้จางลง ผู้คนจึงพบว่ามันไม่มีอะไรน่าสนใจอีกต่อไป


 


—เดิมทีแล้วหลายคนหวาดกลัวความตาย เพราะความตายเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่รู้จักโดยสมบูรณ์


 


ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่ตนเองเสียชีวิตลง


 


จิตของพวกเขาจะกระจายเหือดหายไปเลยหรือเปล่านะ?


 


หรือยังมีสถานที่อื่นที่ต้องล่องลอยไปใช่หรือไม่?


 


ทว่าตอนนี้ ตัวอย่างที่แท้จริงได้มาปรากฏอยู่เบื้องหน้าพวกเขาแล้ว มันได้พิสูจน์ว่ามนุษย์มีสถานที่ๆจะต้องไปอยู่ต่อหลังจากที่เสียชีวิตลงจริงๆ


 


แล้วความตายก็เลยกลายมาเป็นสิ่งที่ ‘ไม่ยากเกินกว่าจะยอมรับได้’อีกต่อไป


 


บางคนกำลังสนทนากันว่า โลกหลังความตาย มันอาจจะมีสถานที่ดั่งเช่นที่เป็นเหมือนกับสรวงสวรรค์อยู่ก็ได้นะ


 


เมื่อได้ข้อสรุปดังนั้น ผู้คนจำนวนมากจึงเริ่มที่จะหันมาตั้งใจทำสิ่งดีๆ โดยหวังว่าการทำดีจะช่วยให้เขาได้อยู่ในภพภูมิที่ดีหลังจากเสียชีวิตลง


 


เมื่อมีผู้คนจำนวนมากเริ่มกระทำความดี บรรยากาศทางสังคมจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างสมบูรณ์


 


ตอนนี้ หากมีหญิงชราคนหนึ่งกำลังจะเดินข้ามถนน เธอก็ถูกอุ้มขึ้นในท่าเจ้าหญิงและพาไปส่งอีกฟากทันที – หรือแม้จะไม่ถึงขั้นนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็จะมีอีกหลายมือมาช่วยจูงข้ามผ่านไป


 


ดังนั้น ผลที่ตามมาหลังจากการสิ้นพระชนม์ขององค์จักรพรรดิฟูซี , หลังจากประสบกับการถูกกวาดล้างด้วยเลือดและเปลวเพลิงที่เดิมสมควรจะสั่นคลอนสาธารณรัฐ ก็ค่อยๆกลับมามีเสถียรภาพขึ้นอีกครั้ง


 


ระเบียบทางสังคมของสาธารณรัฐฟูซีช่วงเวลานี้ นับว่าดียิ่งขึ้นกว่าในยุคก่อนหน้าเสียอีก


 


เมื่อทุกประเทศเห็นสิ่งที่ฟูซีทำ พวกเขาก็เริ่มเลียนแบบ และก็ได้รับผลตอบรับที่ดีอย่างรวดเร็ว


 


ชื่อเสียงของเวโรน่าได้ทะยานสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และในที่สุดเธอก็ได้รับการยอมรับจากอิทธิพลส่วนใหญ่ของโลก จนได้ก้าวขึ้นมาครองบัลลังก์ได้ในที่สุด


 


ฉากที่แตกต่างไปจากในชีวิตก่อนหน้าอีกฉากหนึ่ง ได้ปรากฏขึ้นมาอีกแล้ว


 


พื้นน้ำแข็งยังคงแพร่กระจายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และมีคนตายปรากฏตัวขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว


 


‘คนตายนั้นกินคนเป็น พวกมันมองพวกเราในฐานะอาหาร’


 


คำกล่าวนี้เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไป แต่ในเมื่อแรกเริ่มเดิมที คนตายจะปรากฏตัวขึ้นเฉพาะใต้น้ำแข็งเท่านั้น มันจึงไม่ค่อยจะมีปัญหาเท่าใด หากค้นหาพวกมันจนพบแล้วทำการกำจัดเสียก่อน


 


กองกำลังทหารกำลังวุ่นอยู่กับการเก็บรวบรวมร่างคนตาย และส่งพวกมันลอยออกสู่อวกาศ


 


ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา สรุปได้ว่าสังคมมนุษย์ทั้งหมดโดยรวมแล้วกลมเกลียวกันมากขึ้น และสงบมากขึ้น


 


ทุกอย่างดูเหมือนว่ากำลังจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี


 


จนกระทั่งแม่น้ำที่ถูกแช่แข็งในรัฐบาลกลาง ได้นำมาซึ่งการปรากฏตัวของหนึ่งในคนตาย ที่เป็นมอนสเตอร์แปลกๆขึ้น


 


กว่ามอนสเตอร์ที่ว่าจะถูกค้นพบ ตัวมันก็ได้หลุดออกมาจากการถูกแช่แข็งซะแล้ว


 


มอนสเตอร์ทำการฆ่าสังหารมืออาชีพไปกว่า 30 คนในที่เกิดเหตุ


 


เลือดของทุกคนถูกสูบไปโดยมัน


 


มอนสเตอร์ตัวนี้ช่างแข็งแกร่งและทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง


 


แต่ก็ต้องขอบคุณมืออาชีพลึกลับที่ออกมาลงมือ สังหารเจ้ามอนสเตอร์ที่ว่าจนสิ้นท่าลง ช่วยหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บล้มตายที่อาจเพิ่มขึ้นไปได้เยอะทีเดียว


 


ผู้คนระดับสูงต่างก็ได้รับทราบข่าวนี้ ดังนั้นข้อมูลนี้ย่อมไม่มีผิดพลาดแน่นอน


 


นี่หมายความว่า มอนสเตอร์แบบเดียวกันนั่น จะปรากฏตัวขึ้นตามมาอีกในอนาคต และไม่น้อยเลยด้วย


 


ผู้นำของประเทศต่างๆจึงตกลงเห็นพ้องกันอย่างรวดเร็วว่าในวันที่เวโรน่าขึ้นครองราชย์ พวกตนจะเดินทางไปยังฟูซีเพื่อเข้าร่วมพิธีและรวดประชุมหารือฉุกเฉินกันเลยไปในตัว


 


ณ เวลานี้


 


ภายในฉากที่จักรพรรดิกำลังจะขึ้นครองบัลลังก์


 


พระสังฆราชแห่งสาธารณรัฐได้ก้าวเดินออกมาจากภายในตัววิหาร พร้อมด้วยมงกุฏ 12 แฉกที่ถือไว้ในสองมือ


 


พอเห็นเขา จักรพรรดินีเดินแยกไปอีกทาง มุ่งหน้าไปยังบันไดทางขึ้นระเบียงแท่นสูงที่ตั่งอยู่หลังวิหาร


 


ระเบียงสูงนี้ ถูกเรียกอีกอย่างว่า ‘ที่ประทานพรของทวยเทพ’


 


นับว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในวิหาร


 


บนระเบียงสูง พระสังฆราชจะมอบมงกุฏสิบสองที่มียอดแหลม 12 แฉก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของราชบัลลังก์ให้แก่องค์จักรพรรดินี


 


และนั่นเป็นการสื่อถึงความหมายว่า บัลลังก์ขององค์จักรพรรดินีเป็นสิ่งที่ได้รับการประทานพรจากสรวงสวรรค์


 


ผู้คนในวิหารค่อยๆลุกขึ้นยืน และเดินตามเวโรน่ากับพระสังฆราชไปยังทิศทางที่ตั้งระเบียงสูง


 


กู่ฉิงซาน ซางหยิงฮ่าว และเย่เฟย์หยูก็ปะปนอยู่ในหมู่ฝูงชนเช่นกัน


 


ทั้งสามเดินตามฝูงชนไปอย่างสงบ ขณะเดียวกันก็พูดคุยกระซิบกระซาบ


 


“รู้สึกแปลกๆยังไงไม่รู้สิ” เย่เฟย์หยูบอก


 


“ทำไม? หรือว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม สายตาสอดส่องไปรอบๆ


 


“เปล่าหรอก แค่ดูเหมือนว่ามันจะมีคนมาน้อยเกินไปหน่อยน่ะ” เย่เฟย์หยูตอบ


 


“อ้อ ถ้าเรื่องนี้ล่ะก็เป็นธรรมดา” ซางหยิงฮ่าวดูจะผ่อนคลายลง


 


“ธรรมดายังไง?” อีกฝ่ายถามต่อ


 


ซางหยิงฮ่าวอธิบายเสียงกระซิบ องค์จักรพรรดิฟูซีน่ะ เป็นตัวตนที่ทรงพลังชนิดหาตัวจับได้ยาก เขาได้ออกปราบปรามมืออาชีพที่น่าพรั่นพรึงและกระจายตัวอยู่ตามสถานที่ต่างๆของประเทศ แล้วชักชวนมาเข้ารับใช้โดยมีตนเป็นนายเหนือผู้ปกครอง แต่ตอนนี้ชายผู้แข็งแกร่งคนที่ว่าได้ตกตายลงไปแล้ว และจักรพรรดินีที่กำลังขึ้นสืบทอดก็ไม่ได้ทรงพลังดั่งเช่นเจ้าของบัลลังก์คนก่อน ดังนั้นเหล่าตัวตนที่ครั้งหนึ่งเคยยอมสยบ จึงยังไม่ไว้วางใจในตัวเธอ”


 


“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรอเนี่ย?” เย่เฟย์หยูอุทาน


 


“ใช่ มืออาชีพที่ทรงพลังอย่างแท้จริง ส่วนใหญ่ยังไม่ได้มาเข้าร่วมกับเธอ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ตามสถิติของเทพธิดากงเจิ้ง เกือบครึ่งหนึ่งของการดำรงอยู่ที่ทรงพลังในฟูซี ยังไม่ปรากฏตัวขึ้น


 


เย่เฟย์หยู “นรกกำลังจะมาถึง แต่พวกเขายังคงต่อต้าน แบบนี้มันจะไม่ดูเห็นแก่ตัวไปหน่อยหรอ?”


 


ซางหยิงฮ่าว “พวกผู้มีอำนาจน่ะ มักจะกระตือรือร้นที่จะยุยงปลุกปั่นให้เกิดการต่อสู้ภายใน มากกว่าภายนอกนะ นายไม่เคยสังเกตเรื่องนี้เลยหรอ?”


 


“ฉันบอกว่าอยากจะออกมาเห็นโลกกว้างด้วยกันกับนาย แต่ใครจะรู้แท้จริงแล้ว มันจะกลับกลายเป็นแบบนี้” เย่เฟย์หยูพึมพำ


 


กู่ฉิงซานก็ดูเหมือนจะอารมณ์เสียเล็กน้อยเช่นกัน


 


นรกเยือกแข็งกำลังลุกลามขยายวงกว้างอย่างเงียบๆ


 


และสิ่งต่อไปที่ตนเองจะต้องทำก็คือ ให้ความร่วมมืออย่างเต็มกำลังกับสาธารณรัฐฟูซี


 


แต่ก่อนหน้านั้น จักรพรรดินีเวโรน่าจำเป็นที่จะต้องควบรวมอำนาจในอาณาจักรทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเสียก่อน … ซึ่งกระบวนการนี้บางทีอาจจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างยาวนาน


 


ทว่าเวลาที่เหลือน่ะมันกระชั้นชิดมากเกินไป มันอาจจะสายเกินไปที่จะกำจัดความขัดแย้งทีละขั้น ทีละตอน และรวบรวมพลังเป็นหนึ่ง


 


ขณะที่เขากำลังขบคิด ซางหยิงฮ่าวก็กล่าวออกมาว่า “ฉันได้ยินมาว่าบางคนต้องการที่จะเลือกชายที่สืบสายเลือดแท้แห่งราชวงศ์ขึ้นมาสืบทอดบัลลังก์ด้วยนะ”


 


“มันเป็นความจริง ทางกองทัพและบางกองกำลังในท้องถิ่นที่ค่อนข้างมีสิทธิมีเสียงต่างก็มีความคิดเอนเอียงไปในทิศทางนั้นกันเยอะมากทีเดียว ทางจักรพรรดินีเวโรน่าก็พยายามทุกวิถีทางเพื่อปราบปรามเสียงเหล่านั้นลง ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“พวกเขาต้องการองค์จักรพรรดิที่เป็นหุ่นเชิดอย่างงั้นหรอ?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถาม


 


“แน่นอน เพราะนั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“พวกเขาจะไม่สนใจเลยหรอว่าประเทศนี้มันจะเป็นยังไง?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถามอย่างไร้เดียงสา


 


กู่ฉิงซานกับซางหยิงฮ่าวหันมามองหน้ากันโดยไม่ได้พูดอะไร


 


กู่ฉิงซานเงียบ และเริ่มคิดหาวิธีเกี่ยวกับการแก้ปัญหาของทางฟูซี


 


ในเวลานี้ จักรพรรดินีได้เดินขึ้นไปบนแท่นระเบียงสูงเรียบร้อยแล้ว


 


ส่วนแขกเหรื่อก็ยืนอยู่ใต้แท่นระเบียงสูง เฝ้ารอเป็นสักขีพยานในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของพิธีราชาภิเษกของสมเด็จพระจักรพรรดินี


 


พระสังฆราชยกมงกุฏทองคำบริสุทธิ์ 12 แฉกขึ้น และสวมใส่ลงบนศีรษะของเวโรน่าอย่างช้าๆ


 


ผู้คนจากทุกประเทศทั่วโลก ตราบใดที่พวกเขาไม่มีอะไรต้องทำ ในมือต่างก็ได้เปิดสมองควอนตัม และให้ความสนใจกับช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์นี้


 


กล่าวได้ว่าชั่วขณะนี้ ยอดจำนวนผู้เข้ารับชมการถ่ายทอดสดผ่านทางออนไลน์นับว่าพุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์


 


ทว่า ท่ามกลางฉากพิธีราชาภิเษกของจักรพรรดินี กลับบังเกิดเหตุการณ์แปลกๆปรากฏขึ้น


 


เหตุการณ์ที่ว่านั่นก็คือ จู่ๆผู้นำในแต่ละประเทศ ต่างก็ก้มลงมองสมองควอนตัมในมือของพวกเขาที่กำลังส่องสว่างอย่างพร้อมเพรียง


 


ผู้คนในวิหารเริ่มกระซิบกระซาบดังขึ้นเรื่อยๆ


 


ความปั่นป่วนวุ่นวาย และความไม่สบายใจอันยากจะอธิบายเริ่มแพร่กระจายลุกลามขึ้นอย่างเงียบๆ


 


ไม่ว่าจะเป็นผู้นำ นักการเมืองจากหลายๆประเทศ รวมไปถึงตัวประธานาธิบดีเองก็ได้เปิดสมองควอนตัมของพวกเขา


 


เมื่อทั้งหมดรับฟังข่าวจากสมองควอนตัม สีหน้าการแสดงออกของแต่ละคนก็เริ่มหนักอึ้ง


 


ผู้นำบางคนที่มีสิทธิอำนาจเด็ดขาดเริ่มส่งออกคำสั่งไป


 


กระทั่งประธานาธิบดีเองก็ยังเลือกสั่งการควบคุมกองกำลังติดอาวุธในประเทศจากระยะไกล


 


“นี่ชักจะมีอะไรแหม่งๆซะแล้วสิ” ซางหยิงฮ่าวกระซิบ


 


“เทพธิดากงเจิ้ง สถานการณ์นี้มันอะไรกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“ … ในทะเลทรายหลายแห่งบนโลก มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น”


 


“ทว่าข้อมูลที่เกี่ยวข้องยังไม่สมบูรณ์ ดังนั้นในปัจจุบันฉันเลยไม่ได้รายงานออกไป” เทพธิดากล่าว


 


กู่ฉิงซานรู้สึกแปลกใจ


 


“ไหนขอฉันดูหน่อยสิว่าไอ้บางสิ่งบางอย่างนั่นน่ะ มันคืออะไร” เขากล่าว


 


“ทราบแล้วใต้เท้า”


 


และฉากๆหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนสมองควอนตัม


 


ณ ทะเลทรายมาซาลาแห่งสหพันธรัฐ รัฐบาลกลาง


 


ปรากฏซึ่งร่างใหญ่โตชนิดที่ว่าสามารถบดบังแสงจากดวงอาทิตย์มิให้สาดลงมายังเบื้องล่าง กำลังเคลื่อนกายผ่านทะเลทรายอย่างช้าๆ


 


ร่างที่ว่านี้ครอบครองความสูงระดับเดียวกันกับตึกระฟ้า


 


ยักษ์!


 


ยักษ์ได้ปรากฏขึ้นแล้ว


 


ทุกครั้งที่มั่นย่ำลงบนผืนทราย พื้นดินจะสั่นสะเทือน จนหนามแหลมที่เสียบแน่นอยู่บนต้นกระบองเพชรถึงขั้นร่วงหล่นลงมา


 


ยามเมื่อเท้าของมันสัมผัสกับผืนทราย ผืนทรายโดยรอบก็จะม้วนตัวและเปลี่ยนเป็นสีเทาของคนตาย


 


โซ่ตรวนสีดำล็อคเท้าทั้งสองของยักษ์เอาไว้ และบ่อยครั้งโซ่เหล่านั้นก็ปะทุเปลวเพลิงออกมา ส่งผลให้ยักษ์ถูกแผดเผา – ตกอยู่ในความเจ็บปวดอันหาที่เปรียบมิได้


 


แต่เจ้ายักษ์นั่นกลับเลือกที่จะเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด เปล่งเสียงตะโกนคำรามกึกก้องออกมา


 


“รีบ – ลุก – กัน – ขึ้นมา – เร็วเข้า!”


 


“ก่อนที่พวก‘คนเป็น’จะตรวจพบ เราจะต้องสร้างเมืองแห่งคนตายของพวกเราขึ้นมาให้จงได้!”


 


“ขอรับ!”


 


หลายร้อยหลายพันร่างใหญ่โตเปล่งเสียงขานรับ


 


และเมืองทะเลทรายสีเทาค่อยๆก่อตัวขึ้น


 


ว่าบบบ! ม่านแสงพริบไหว ภาพทั้งหมดพลันหายไป


 


กู่ฉิงซานใช้มือตบลงบนหน้าผากตัวเอง ปากอ้าถอนหายใจยาวออกมา


 


‘หวาดกลัวสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมถามหา’


 


บนผิวทะเลทรายทั้งหมด ไม่มีน้ำแข็งอยู่บนพื้นเลย


 


โซ่ตรวนสีดำที่ผูกติดอยู่กับยักษ์พวกนั้น มันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันกับนรกเยือกแข็ง


 


เห็นได้ชัดว่านั่นมิใช่นรกเยือกแข็ง


 


นรกที่สองได้มาเยือนโลกมนุษย์แล้ว!!


 


กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะมองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม


 


ปรากฏบรรทัดแสงหิ่งห้อยอยู่ภายในนั้น


 


“ยังเหลือเวลาอีก 11 ชั่วโมงกว่ากำลังเสริมจากปรภพจะมาถึง”


 


ให้ตายสิ!


 


การปรากฏตัวขึ้นโดยสมบูรณ์ของนรกเยือกแข็งล่าช้าออกไป แต่นรกอื่นกลับปรากฏขึ้นเร็วยิ่งกว่าซะงั้น!


 


กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “ระบบ ทำไมคุณถึงไม่บอกฉันล่วงหน้า”


 


ติ๊ง!


 


ระบบเทพสงครามตอบกลับ “ ระบบไม่รู้ว่าจะมีนรกอื่นปรากฏขึ้น ในความเป็นจริงแล้ว ในตอนที่นรกเยือกแข็งปรากฏ คุณก็เป็นคนแรกที่ค้นพบมันไม่ใช่ระบบ”


 


กู่ฉิงซานลองคิดตาม … ดูเหมือนว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ


 


“แต่คุณสามารถเรียกกำลังเสริมจากปรภพได้นะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ระบบเทพสงครามอธิบาย “ฉันเพียงแค่ปล่อยข้อมูลลับออกไป และที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะเป็นคนทำการตามหานรกที่หลบหนีออกไปด้วยตัวเอง”


 


กู่ฉิงซานกำลังจะสนทนาเรื่องนี้กับระบบต่อ แต่ทันใดนั้นเขาก็ต้องหุบปากลง


 


บนแท่นระเบียงสูง


 


พิธีการยังคงดำเนินต่อไป


 


“เวโรน่า เมดิซี … ”


 


พระสังฆราชเพียงเอ่ยชื่อของเธอ และกำลังจะกล่าวคำอวยพร


 


แต่แล้วจู่ๆท้องฟ้าก็พลันมืดมิดลง


 


บังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเหนือความคิดหมายขึ้น


 


ทุกคนต่างพากันเงยหน้ามอง


 


“นี่มันไม่ถูกต้อง ฉันรู้สึกได้ถึงความวุ่นวายอย่างผิดปกติในอากาศ” สีหน้าของซางหยิงฮ่าวเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม


 


“ดูเหมือนว่ามีบางอย่างกำลังจะมา เฮ้ย ดูนั่นเร็ว!” เย่เฟย์หยูกล่าวพลางชี้ไม้ชี้มือ


 


พวกเขาเบนสายตามองไปยังจุดๆหนึ่งบนท้องฟ้า


 


ดวงอาทิตย์ได้ถูกปกปิด หายไปท่ามกลางสายลมอันมืดมิด


 


ท้องฟ้าแยกออกจากกัน และบังเกิดปากหลุมดำขึ้น


 


ทันใดนั้นโลงศพ … ใช่แล้วล่ะ มันเป็นโลงศพจริงๆ โลงศพได้ปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า


 


โลงศพนี้มีขนาดใหญ่มาก ขนาดของมันเกือบจะเทียบเท่ากับตัววิหารทั้งหมดเลยทีเดียว


 


โลงศพที่ว่านี้ หากสังเกตดูดีๆจะพบว่ามันถูกสร้างขึ้นมาจากกระดูกสีดำ และบางครั้งกก็มีเลือดไหลหยดย้อยลงมาจากรอยเชื่อมต่อของกระดูก


 


ปัง!


 


บังเกิดเสียงกระหึ่มดั่งลูกกระสุนปืนใหญ่ที่ระเบิดออก


 


ฝาโลงถูกเป่าทำลายหายไป เผยโฉมมอนสเตอร์ที่ถูกขังเอาไว้อยู่ภายในที่กำลังหวีดร้องลั่น พยายามที่จะปีนป่ายออกมา


 


ตลอดทั้งร่างของมันเป็นสีดำ กล่าวได้ว่ามืดทะมึนโดยสมบูรณ์


 


กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะออกไปสำรวจมัน แล้วเขาก็ค้นพบว่า แท้จริงแล้วโลงศพขนาดใหญ่บนท้องฟ้านั่นเต็มไปด้วยหนามแหลม


 


และหนามแหลมเหล่านี้เกือบทั้งหมดล้วนเจาะลึกอยู่ตามร่างกายของมอนสเตอร์ตัวดังกล่าว ยึดตรึงมันไว้ในโลงมิยินยอมให้เล็ดลอดออกมา


 


ดังนั้น เจ้าสิ่งที่อยู่ภายในจึงเพียรพยายามอย่างหนักที่จะปีนออกมาเพื่อหลุดพ้นจากมัน


 


‘โลงศพกับหนามแหลม’


 


นี่คือการลงโทษจากนรก ที่ไม่มีความสัมพันธ์อันใดกับนรกเยือกแข็งเลย …


 


เพียงแค่มอง กู่ฉิงซานก็ได้รับคำตอบในทันที


 


สำหรับช่วงเวลานี้ ที่เขาทำก็เพียงนิ่งค้างจ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเป็นเวลานาน มิได้เอ่ยคำใดออกมา


 


ใช่ พวกคุณทุกคนคิดถูกแล้วล่ะ ท่ามกลางงานพิธีราชาภิเษกของจักรพรรดินีเวโรน่า … ท่ามกลางสายตาของผู้คนนับล้านๆที่กำลังเฝ้าดูการถ่ายทอดสด — นรกที่สามได้มาเยือนโลกใบนี้แล้ว!!!


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.360 – พิธีราชาภิเษก(1)


 


“โอ้สวรรค์ นั่นมันบ้าอะไรกัน?” ซางหยิงฮ่าวอุทานด้วยความประหลาดใจ


 


กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป และเฝ้าสังเกตเจ้ามอนสเตอร์อย่างใกล้ชิด พยายามอย่างเต็มที่ที่จะรักษาความสงบเอาไว้


 


เขารู้จักเจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้


 


มันคือมอนสเตอร์มาจากยุคอันไกลโพ้น ก่อนยุคของยักษ์และยุคมนุษย์ปีศาจ มันคือหนึ่งในปีศาจแห่งยุคโกลาหล!


 


มีเพียงมอนสเตอร์จากยุคดังกล่าวเท่านั้น ที่ครอบครองรูปลักษณ์อันน่ารังเกียจเช่นนี้!


 


ส่วนในด้านความแข็งแกร่งของมัน กล่าวได้ว่าสูงล้ำยิ่งกว่ายักษ์ธรรมดาและมนุษย์ปีศาจมัดรวมกันเสียอีก


 


โชคยังดีที่มอนสเตอร์ตัวนี้ถูกขังอยู่ในโลงศพ และร่างของมันก็ถูกแทงตรึงไว้ด้วยหนามแหลมอย่างแน่นหนา


 


มันดูเหมือนว่าจะได้รับความทุกข์ทรมานจากการลงโทษ และน่าจะไม่สามารถหลุดพ้นออกมาก่อความวุ่นวายได้อย่างน้อยก็ในเร็วๆนี้


 


กู่ฉิงซานหลับตาลง และปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไปสำรวจโดยรอบ


 


ยามนี้ เขาคือตัวตนในขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นกลาง ดังนั้นจิตสัมผัสเทวะของเขา จึงมากพอจนเกือบจะครอบคลุมเมืองทั้งเมืองได้


 


โชคดีจริงๆ


 


ที่ตลอดทั้งเมืองหลวงมีมอนสเตอร์ตัวนี้เพียงตัวเดียวเท่านั้น


 


แต่ที่น่าเสียดายก็คือ เจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้ดันสร้างความตื่นตระหนกขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในสังคมมนุษย์ซะแล้ว ทั้งๆที่พวกเขาพึ่งจะได้รับการฟื้นฟูสภาพจิตใจให้กลับมาดีขึ้นได้แล้วแท้ๆ นั่นเพราะ


 


แต่เดิม อาณาจักรฟูซีกำลังอยู่ในบรรยากาศของงานรื่นเริงของพิธีราชาภิเษกของสมเด็จพระจักรพรรดินี


 


ในเมืองหลวง ผู้คนมากมายรวมตัวกันในจตุรัสเพื่อชุมนุมเฉลิมฉลอง


 


แต่แล้ว ทันใดนั้นก็ดันบังเกิดโลงศพยักษ์ พร้อมกับมอนสเตอร์ที่ไม่รู้จักปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้า


 


ฝูงชนที่มารวมตัวกันในจตุรัสต่างตกอยู่ในความตื่นตระหนกและสับสบวุ่นวาย


 


ผู้คนเริ่มกรีดร้อง และวิ่งหนีกระจัดกระจายไป


 


แม้แต่ผู้ชมจากทางโทรทัศน์ ก็ยังตกอยู่ในความสิ้นหวังเป็นประวัติการณ์


 


ณ จุดนี้ ภายในฉากพิธีราชาภิเษก


 


ท่ามกลางแขกเหรื่อที่เข้ามาร่วมพิธี หนึ่งในบางคนก็ได้เปล่งเสียงตะโกนขึ้น “เวโรน่าคือภัยพิบัติ! เธอคือความชั่วร้าย! พระเจ้าบนสรวงสวรรค์จึงได้ส่งปีศาจลงมาหยุดเธอไม่ให้ครองบัลลังก์!!”


 


– มันสายเกินไปแล้วที่จะหยุดเขา และเนื่องเพราะนี่เป็นการถ่ายทอดสด ดังนั้นเสียงนี้จึงถูกส่งออกไปทั่วโลก


 


ทุกคนที่ดูอยู่ต่างก็ได้ยินเสียงนี้


 


กู่ฉิงซานเบนสายตาไปตามต้นตอของเสียง ก่อนที่มันจะหยุดลงตรงร่างของนักการเมืองคนสำคัญรายหนึ่งของฟูซี


 


จิตสัมผัสเทวะของเขาครอบคลุมไปทั่วฉากพิธี จึงสามารถรับรู้ได้ถึงทุกการเคลื่อนไหว หรือกระทั่งการกระทำเล็กๆน้อยที่อาจก่อให้เกิดปัญหาได้


 


ในช่วงเวลาวิกฤติ เมื่อมอนสเตอร์ปรากฏตัวขึ้น และทุกคนกำลังอยู่ในความตื่นตระหนก นักการเมืองคนสำคัญของฟูซีก็สั่งให้คนข้างกายตะโกนในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อออกไป


 


‘ภัยพิบัติ’ ที่ถูกตะโกนออกมานี้ ทำให้ตลอดทั้งฉากพิธีราชาภิเษกเกือบจะสูญเสียการควบคุมไปโดยสมบูรณ์


 


บนระเบียงสูง สีหน้าของเวโรน่าหมองซีดลง กรามของเธอบดฟันจนแน่น กำลังพยายามยับยั้งความโกรธของตัวเองลง


 


เรื่องนี้ตีแผ่ออกมาได้อย่างชัดเจนถึงอำนาจการปกครองของเธอที่พกพร่อง มันบ่งบอกถึงความสัมพันธ์อันร้าวฉานระหว่างเธอกับเหล่าชนชั้นสูงอย่างรุนแรง


 


กู่ฉิงซานมองไปที่ชายคนนั้น


 


เขาเป็นทหารในชุดเครื่องแบบยอดนายพล


 


เขาคือรัฐมนตรีกลาโหมของสาธารณรัฐฟูซี และเป็นอาวุโสขั้นห้าที่แข็งแกร่ง


 


เขาไม่หวาดเกรงสายตารอบข้างที่กำลังมองมา เขายืดอกยืนหยัดอยู่ในสถานที่แห่งนั้น บนใบหน้าแขวนไว้ซึ่งรอยยิ้มแห่งชัยชนะ


 


ใครบางคนเอนกายกระซิบลงข้างหูเขา ลดเสียงลงและพูดว่า “คนของเธอทุกคนอยู่ภายใต้การควบคุมหมดแล้ว และตอนนี้ยังไม่มีสถานการณ์ใดผิดปกติ”


 


“ดีมาก วันนี้ล่ะ ตัวข้าจะต้องแสดงให้โลกได้เห็นว่าเวโรน่าน่ะ ไร้ซึ่งความสามารถในที่จะควบคุมฟูซีได้”


 


รัฐมนตรีกลาโหมกล่าวต่อ “ให้รอจนกว่าจะสิ้นสุดพิธีราชาภิเษก จากนั้นทางเราจะทำการกวาดล้างผู้คนของเธอทันที”


 


“ฆ่าทั้งหมดเลยหรือท่าน?”


 


“ไม่หรอก สถานการณ์ทางการเมืองน่ะยังคงต้องการคนไว้ใช้งาน คนไหนที่มันยอมจำนนก็ปล่อยให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่ต้องควบคุมพวกมันเอาไว้”


 


“รับทราบแล้ว”


 


บทสนทนาระหว่างทั้งสอง มันเล็กและเบาราวกับเสียงของยุงบิน นอกจากนี้ทั้งหมดยังถูกห้อมล้อมด้วยกลุ่มคนที่กำลังคุ้มครองอยู่อีก


 


ดังนั้นรัฐมนตรีกลาโหมจึงกล้าที่จะเอ่ยออกมา โดยไม่เกรงกลัวว่าข่าวคราวนี้จะรั่วไหลออกไป


 


แต่ก็แล้วมันยังไง? ต่อให้ข่าวรั่วไหล เวโรน่าก็ไม่มีเวลามากพอที่จะทำอะไรอยู่ดี


 


ทว่าพวกเขากลับหารู้ไม่ ว่าการสนทนาเล็กๆน้อยๆนี้ ได้ถูกเปิดเผยจนหมดเปลือกแล้วโดยจิตสัมผัสเทวะของกู่ฉิงซานแล้ว


 


กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ ในหัวใจของเขาบังเกิดความโกรธขึ้นเล็กน้อย


 


โลกกำลังจะพินาศอยู่รอมร่อแล้ว แต่คนเหล่านี้ยังคงสร้างความวุ่นวายไม่เลิก


 


—เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็ตัดสินใจเด็ดขาด


 


เขาตบไหล่ซางหยิงฮ่าว และกล่าวกระซิบ “ฉันจำได้ว่าในวิหารแห่งความตาย มีเทพอุปถัมภ์อยู่สองตัวตน หนึ่งคือเทพอีกาดำ อีกหนึ่งคือเทพสุนัข ใช่ไหม?”


 


“ใช่ เรื่องนั้นน่ะ ไม่ว่าใครก็รู้เกี่ยวกับมันเป็นอย่างดีทั้งนั้นแหละ ว่าแต่นายจะถามไปทำไม?” ซางหยิงฮ่าวสงสัย


 


กู่ฉิงซาน “ก็พอดีฉันจำได้ว่าเทคนิคเทียนซวนของถงถงน่ะสามารถเปลี่ยนเป็นร่างอวตารของอีกาดำได้ แล้วจากนั้น นายก็ต้องทำแบบนี้ … ”


 


เขากล่าวกระซิบกับซางหยิงฮ่าว ส่วนเย่เฟย์หยูที่อยู่ข้างๆพอเห็นฉากนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะยื่นหูเข้ามาร่วมฟังด้วย


 


……


 


อย่างรวดเร็ว


 


กู่ฉิงซานก็ได้หายตัวไปจากฉากพิธี


 


ซางหยิงฮ่าวกับเย่เฟย์หยูยกแว่นกันแดดขึ้นมาสวม และผลักดันเดินผ่านฝูงชนตรงไปยังทางขึ้นระเบียงสูง


 


พฤติกรรมที่ผิดปกติของพวกเขา ได้ดึงดูดความสนใจขององครักษ์ในวังทันที


 


แต่ทหารองครักษ์เหล่านั้นรู้จึกซางหยิงฮ่าวอยู่แล้ว และยังได้เห็นวิธีการของเขามาแล้วด้วย


 


ซางหยิงฮ่าวเป็นถึงตัวตั้งตัวตีในการจัดการคุ้มครองในครั้งก่อน และมันได้ทิ้งความประทับใจไว้ให้กับพวกเขาไม่น้อยเลย


 


เมื่อองครักษ์เห็นเขาเดินเข้ามา แต่ละคนก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางสมเด็จพระจักรพรรดินี


 


เมื่อเวโรน่าเห็นทั้งสอง คำอธิบายของกู่ฉิงซานก็กังวานขึ้นในหูของเธอ


 


ท่าทีการแสดงออกของเธอผ่อนคลายลง และหันไปพยักหน้าให้กับองครักษ์


 


พวกเขาหลีกทางให้


 


ซางหยิงฮ่าวกับเย่เฟย์หยูเดินขึ้นมาบนระเบียงเวทีอย่างช้าๆ หนึ่งซ้าย หนึ่งขวา ประกบคุ้มครองจักรพรรดินี


 


“แม้ว่าโลกทั้งใบกำลังจะพินาศในวันนี้ แต่พิธีราชาภิเษกของข้าก็สมควรที่จะดำเนินต่อไป”


 


เวโรน่ากวาดสายตามองดูทุกผู้คน ปากเอ่ยประกาศลั่น


 


พระสังฆราชเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของเขา และฝืนบังคับตนเองไม่ให้แหงนหน้าขึ้นไปมองมอนสเตอร์บนท้องฟ้า และกล่าวถ้อยคำอวยพรต่อ


 


และฉากสุดแปลกก็ได้ปรากฏขึ้น


 


ในท้องฟ้า โลงศพขนาดใหญ่ยังคงลอยล่อง พร้อมด้วยมอนสเตอร์ที่ถูกขังอญู่ภายในกำลังกรีดร้องลั่น และพยายามดิ้นรนให้ตนได้หลุดพ้น


 


ขณะที่ในวิหาร เวโรน่ายังคงยืนอยู่บนแท่นสูง และต้องการจะดำเนินพิธีการต่อไป


 


แถมฉากนี้ยังถูกถ่ายทอดสดออกไปทั่วโลก


 


ผู้คนที่ตื่นตระหนกและรู้สึกราวกับว่าตนกำลังยืนอยู่บนขอบเหวแห่งการล่มสลาย ต่างถูกดึงดูดความสนใจมาที่ฉากนี้ทันที


 


ไม่มีใครปิดสมองควอนตัมลง


 


ทุกคนต้องการที่จะเห็นว่า สุดท้ายแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นกับฟูซีกันแน่


 


การถ่ายทอดสดไปทั่วโลกของจักรพรรดินี เดิมทีก็มีผู้คนรับชมสูงสุดตั้งแต่เริ่มต้นอยู่แล้ว ทว่าบัดนี้ ยอดผู้ชมก็ยังคงทวีจำนวนสูงขึ้นเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง


 


ทันใดนั้นก็มีบางสิ่งที่แปลกประหลาดเกิดขึ้น


 


จู่ๆอีกาดำตัวหนึ่งพลันปรากฏกายขึ้น มันบินโฉบลงมาผ่านกลุ่มเมฆ และร่อนลงบนแท่นสูง


 


ต่อหน้าผู้คนนับล้านๆ มันอ้าปากเปล่งเสียงไปทางเวโรน่า


 


เวโรน่าโค้งกายคารวรมันด้วยท่วงท่างดงาม


 


แล้วอีกาดำก็บินมาเกาะลงบนไหล่ของเวโรน่าอย่างอ่อนโยน


 


ราวกับว่าจะได้รับตำแหน่งที่เหมาะสม อีกาเกาะนิ่งไม่ยินยอมเคลื่อนกายย้ายไปไหนอีก


 


“นั่นอีกาดำ!”


 


“ดูสิ มันเป็นอีกาดำล่ะ!”


 


“โอ้สวรรค์!”


 


“ผู้ส่งสารของเทพแห่งความตายมาเยือนที่นี่แล้ว!”


 


ผู้ศรัทธาในเทพแห่งความตายต่างร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้น


 


ตามคำสอนของวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เทพอีกาดำและเทพสุนัขน่ะเป็นผู้รับใช้ของเทพแห่งความตาย เป็นผู้เผยแพร่ความตายแทนเทพแห่งความตายที่กำลังหลับไหลอยู่


 


และตอนนี้ ท่ามกลางงานพิธีราชาภิเษกของจักรพรรดินีเวโรน่า อีกาดำก็ได้ปรากฏตัวขึ้นจริง


 


นี่สามารถกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่?


 


ใบหน้าของรัฐมนตรีกลาโหมยิ้มหยัน ปากเอ่ยประชดประชัน “สวมบทบาทเล่นเป็นเทพ? น่าเสียดายที่มันไร้ประโยชน์!”


 


เขาหันไปกล่าวกับคนข้างๆว่า “เริ่มแผนก่อนเวลาได้เลย ถามพวกคนที่สนับสนุนเธอคำเดียวว่า ‘เลือกที่จะเชื่อฟังข้าหรือตายลงตรงนั้นทันที’ ”


 


“รับทราบ!”


 


ชายที่รับคำสั่งเปิดสมองควอนตัม และเริ่มจัดการพูดออกไป


 


…….


 


ซางหยิงฮ่าวกับเย่เฟย์หยูเดินขึ้นไปบนแท่นสูง


 


กู่ฉิงซานก็ปลีกตัวออกจากฉากพิธีนี้ เดินไปคนเดียวท่ามกลางลานว่างในวิหารใหญ่


 


เขาคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นกลาง


 


แม้กระทั่งในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธขอบเขตก้าวสู่เทพก็ยังถูกนับว่าเป็นตัวแทนของความแข็งแกร่งในบรรดาตัวตนที่แข็งแกร่งทั้งมวล เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติมากพอที่จะก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้านิกายได้!


 


จิตสัมผัสเทวะถูกกวาดขยายกว้างไปออกจากร่างของกู่ฉิงซาน


 


แทบจะในไม่กี่ลมหายใจ จิตสัมผัสเทวะก็ได้ครอบคลุมเมืองหลวงทั้งหมด


 


แผนการชั่วช้าทั้งหมด เมื่ออยู่ต่อหน้าจิตสัมผัสเทวะของกู่ฉิงซาน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบเลี่ยง


 


“เจอ-ตัว-แล้ว”กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างช้าๆ


 


ในสถานที่ซ่อนที่กระจายตัวออกไปหลายแห่ง ผู้ที่สนับสนุนเวโรน่าได้ถูกลักพาตัวไปจับขังและบังคับข่มขู่


 


โดยมีนายทหารจำนวนมากที่มีอาวุธครบมือ และเป็นผู้ให้การสนับสนุนรัฐมนตรีกลาโหม กำลังทำหน้าที่เฝ้าดูคนเหล่านั้น


 


พวกเขากำลังเฝ้ารอคำสั่งจากรัฐมนตรีกลาโหมอย่างเงียบๆ


 


กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น มองไปที่กระจกแก้วที่มีสีสันงดงามของวิหาร


 


มีกระจกหน้าต่างบานหนึ่งเปิดอยู่


 


“ไปซะ” เขาเอ่ยคำหนึ่ง


 


ดาบพิภพและเช่าหยินผุดออกมาจากความว่างเปล่า


 


ฟุ่บบบ!


 


สองดาบวิ่งผ่านหน้าต่าง กระทบหายเข้าไปในก้อนเมฆ


 


สองดาบช่างว่องไวยิ่ง บินเพียงชั่วครู่ พวกมันก็แยกตัวตกลงไปในสองทิศทางที่แตกต่างกัน


 


พวกมันทิ้งดิ่งตกลงไปยังสถานที่ซ่อนเหล่านั้น และภายในช่วงเวลาสั้นๆ พวกมันก็วูบไหวเป็นภาพติดตา ร่ายรำฉวัดเฉวียนอย่างโหดรา้ย


 


และคนทั้งหมดของรัฐมนตรีกลาโหม ศีรษะระเบิดโผล๊ะราวกับลูกแตงโมที่แตกออก … พวกเขาถูกฆ่าตายก่อนที่จะทันได้ตอบสนองด้วยซ้ำ


 


เพื่อที่จะต้องจัดการกับมืออาชีพทั่วไปเหล่านี้ พึ่งพาแค่ความเร็วของดาบบินเพียงอย่างเดียวก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ออกด้วยเทคนิคดาบใดๆ


 


หลังจากที่ทำการตัดกุญแจมือทั้งหมด สองดาบก็ทะยานตัวขึ้นอีกครั้ง และมุ่งหน้าไปยังสถานที่ต่อไป


 


แม้จะดูเหมือนว่ากู่ฉิงซานกำลังเดินเล่นอยู่ในวิหาร แต่แท้จริงแล้วเขากำลังทยอยช่วยคนที่สนับสนุนจักรพรรดินีเวโรน่าอยู่


 


แต่แล้วทันใดนั้นเขาก็ชะงักไปเล็กน้อย


 


ภายใต้การควบคุมโดยจิตสัมผัสเทวะของเขา ทางฝั่งดาบพิภพที่ได้ทำการสังหารหมู่ศัตรูในสถานที่หลบซ่อน มันได้ช่วยลูกสาวของจักรพรรดินีเวโรน่าเอาไว้ -เจ้าหญิงแห่งฟูซี


 


“การลักพาตัวราชวงศ์ผู้สืบสายเลือดโดยตรง ตามหนังสือพระราชบัญญัติของฟูซี สามารถตัดสินโทษประหารชีวิตได้ทันที”


 


“ … ฉันควรที่จะพาตัวเธอกลับมา”


 


สิ้นคำกล่าว กู่ฉิงซานก็หายวับไปจากวิหาร


 


ตามด้วยดาบพิภพที่ปรากฏขึ้นในตำแหน่งเดิมของเขา


 


และตัวเองที่ปรากฏขึ้นในสถานที่หลบซ่อน


 


สกิลเทวะ ร่างเงาแทนที่!


 


“เจ้าหญิง โปรดตามกระหม่อมมา”


 


กู่ฉิงซานยื่นมือออกไปทางเจ้าหญิง


 


เจ้าหญิงมองไปยังคนตรงหน้าด้วยแววตาซับซ้อน


 


ในงานเต้นรำ เดิมทีแล้วเธอคิดว่าเขาเป็นแค่หนอนหนังสือที่แสนจะน่าเบื่อหน่าย


 


แต่หลังจากที่ได้รู้เรื่องราวของเขาจากแม่ตัวเองแล้ว เธอก็ตระหนักได้ว่าคนผู้นี้แข็งแกร่งเพียงใด – เขาไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ที่เอาแต่อ่านหนังสือเพียงอย่างเดียว!


 


“ขอบใจนะ” เจ้าหญิงเอ่ยเสียงแผ่ว


 


เธอจับมือของเขา


 


“โปรดอย่าสุภาพเลย … พวกคุณทั้งหมดก็มาด้วยกันสิ”


 


กู่ฉิงซานหันหน้าไปพูดกับรัฐมนตรีและองครักษ์วังหลวงอีกหลายคน


 


“พวกเราจะทำอย่างไรกันดี .. ” รัฐมนตรีคนหนึ่งเอ่ยถาม


 


“ก็แค่เกาะแขนผมไว้” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ผู้คนทั้งหลาย เมื่อถูกสั่ง ทั้งหมดก็วางมือลงบนแขนของเขา


 


วินาทีต่อมา ผู้คนทั้งหมดก็หายวับไป


 


ตามด้วยดาบพิภพที่ปรากฏขึ้นมาในตำแหน่งเดิมที่พวกเขาได้หายไป


 


พร้อมด้วยกันกับผู้คนเหล่านั้น กู่ฉิงซานก็ได้กลับมายังวิหารศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม