Worlds’ Apocalypse Online 308-340

ตอนที่ 308

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา online Ep.308 – เลือดของตะวันและจันทรา


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจ


 


เขาเตรียมพร้อมที่จะบรรลุภารกิจปลุกตนหวนคืนสู่นักดาบนิรันดร์ให้สำเร็จ


 


ในชีวิตก่อนหน้า เขาเป็นถึงนักดาบนิรันดร์ที่ทรงพลัง ควบคู่ไปกับในชีวิตนี้ที่ได้ตระหนักรู้เกี่ยวกับสกิลดาบอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น หากทั้งสองซ้อนทับ ผสานรวมเข้าด้วยกัน มันจะช่วยเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้กับตัวเขาอย่างมหาศาล


 


แต่เวลานี้ คงทำได้แค่เพียงเริ่มก้าวเดินไปทีละขั้น ทีละขั้น


 


เมื่อคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็เอ่ยถามออกมาว่า “เรื่องวัสดุหลอมกลั่นไปถึงไหนแล้ว?”


 


“ยังขาดอีกสามชนิด ซึ่งสองในสามไม่มีสสารใดสอดคล้องกันกับวัสดุชนิดใดในโลกเลย” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว


 


“จากวัสดุนับสิบ ขาดเหลืออีกแค่สามชิ้นเท่านั้นเองหรอ?”


 


กู่ฉิงซานกล่าวอย่างคาดไม่ถึง “ไหนขอฉันดูอีกสามชนิดที่ว่านั่นหน่อยสิ”


 


จอม่านแสงสว่างวาบ พร้อมกับรายการของวัสดุแสดงออกมา


 


วัสดุทั้งสามชนิดถูกทำเครื่องหมายขีดเส้นใต้สีแดง บ่งบอกว่ายังไม่ได้ถูกทำการเก็บรวบรวมมา


 


“ศิลาเดือด , แร่เงินฟ้า แล้วก็เลือดของตะวันและจันทรา… ” กู่ฉิงซานบ่นพึมพำ


 


“ถูกต้อง ศิลาเดือดกับแร่เงินฟ้า – ไม่ตรงกับสสารใดที่รู้จัก” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว


 


ในเมื่อไม่สามารถค้นหาพวกมันได้จากในโลกจริง ถ้าอย่างงั้นล่ะก็ ..


 


กู่ฉิงซานหยิบถุงหลากสีสันออกมา แล้วกวาดจิตสัมผัสเทวะเข้าไปค้นหาสองสิ่งที่พึ่งว่ามา


 


“มีจริงๆด้วย!”


 


ดวงตาของกู่ฉิงซานเปล่งประกายสดใส


 


เขาหยิบวัสดุสองชนิดนั้นออกมาจากถุงหลากสีสัน และวางมันลงบนพื้น


 


มีเพียงสองสิ่งนี้เท่านั้นที่ไม่อาจหาได้ในโลกจริง ทว่ามันกลับสามารถหาได้ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ!


 


เอาล่ะ ตอนนี้ก็ยังคงเหลือวัสดุที่เรียกว่าเลือดของตะวันและจันทรา แต่จากการค้นถุงหอมเมื่อครู่ ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ


 


คาดว่านี่จะเป็นวัสดุที่มีเอกลักษณ์ซึ่งมีแต่โลกเทวะเท่านั้นที่มีไว้ในครอบครองแต่เพียงผู้เดียว ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าสิ่งนี้จะมีในโลกจริงหรือไม่


 


กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “ยังเหลือเลือดของตะวันและจันทรา แล้วเรื่องของวัสดุชิ้นนี้ล่ะว่ายังไง?”


 


เทพธิดากงเจิ้ง “สสารตัวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นภายในโลก แต่ทว่า เมื่อ 40000 ปีก่อนได้บังเกิดฝนดาวตกขนาดใหญ่ขึ้น มันถูกดึงดูดโดยชั้นบรรยากาศ ร่วงตกลงมายังพื้นโลก และมีบางคนได้ค้นพบสิ่งที่ตรงกับสสารที่ว่าจากการถลุงอุกกาบาตเหล่านั้น” เทพธิดาอธิบาย


 


“โอ้? นี่มันน่าสนใจจริงๆ แต่ในเมื่อคุณค้นพบแล้ว ทำไมตอนนี้ถึงยังเอามันมาไม่ได้อีกล่ะ?” กู่ฉิงซานถามต่อ


 


เทพธิดากงเจิ้งฉายภาพขึ้นมา


 


“วัสดุที่คุณต้องการ บนโลกใบนี้มีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น ” เทพธิดากล่าว


 


กู่ฉิงซานมองไปยังมงกุฏอันงดงามที่อยู่ในภาพ


 


มันเป็นมงกุฏทองคำบริสุทธิ์ พร้อมด้วยยอดปลายแหลม 12 แฉกที่ตรงกลางถูกฝังไว้ด้วยอัญมณีทรงกลมอันสมบูรณ์แบบและไร้ที่ติ


 


เขาจ้องมองดูอัญมณีที่เปล่งประกายระยิบระยับอยู่บนมงกุฏ นิ่งค้างไปเนิ่นนานมิอาจกล่าวคำใดได้


 


“สสารที่ตรงกันกับเลือดของตะวันและจันทราเพียงหนึ่งเดียวในโลก ถูกติดตั้งไว้อยู่ในมงกุฏของจักรวรรดิฟูซี” เทพธิดาเฉลย


 


กู่ฉิงซานยกสองมือขึ้นกอดอกและถอนหายใจออกมา “การจะได้มันมาคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”


 


เขามองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม


 


ภารกิจปลุกนักดาบนิรันดร์ลอยเด่นอยู่บนหน้าต่าง


 


“ภารกิจที่หนึ่ง : ได้รับดาบสองเล่ม (ไม่ตกอยู่ในสภาพเสียหาย)”


 


มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะสามารถจัดการบรรลุภารกิจแรกให้เสร็จสมบูรณ์


 


สายตาของกู่ฉิงซานจับจ้องอยู่บนหัวข้อภารกิจสักพัก ก่อนจะเริ่มหยิบอุปกรณ์สื่อสารออกมา


 


อย่างรวดเร็ว การเชื่อมต่อระหว่างสองสายก็ได้รับการตอบรับ


 


เสียงที่หนักและฟังดูแข็งแรงดังขึ้น “นักวิทยาศาสตร์กู่น้อย พวกเจ้าพร้อมจะมาแล้วใช่ไหม?”


 


มันคือเสียงของจักรพรรดิแห่งฟูซี


 


กู่ฉิงซานตกใจในตอนแรก แต่แล้วพลันจำได้ว่าเขากับแอนนาสัญญากับอีกฝ่ายว่า จะต้องไปยังวังของพรรดิที่ตั้งอยู่ในฟูซีเพื่อพักร้อนที่นั่น


 


“ก็ไม่เชิงพะยะค่ะ พอดีว่าแอนนากำลังมีบางอย่างที่ต้องทำอยู่อีกสักพักหนึ่ง หม่อนฉันจึงอยากจะแวะไปเยี่ยมเยือนที่วังก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“ยินดีต้อนรับทุกเมื่อ! ข้าจะส่งรถเหินเวหาออกไปรับเจ้าตอนนี้เลยดีไหม?” องค์จักรพรรดิมิได้เอ่ยถามถึงแอนนา แต่กล่าวเรื่องนี้ออกมาแทนโดยตรง


 


“นั่นมันจะเป็นการรบกวนท่านมากเกินไป กระหม่อมขอเดินทางไปที่นั่นโดยลำพังคนเดียวจะดีกว่า” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“ทำแแบบนั้นข้าก็รู้สีกผิดต่อเจ้าน่ะสิ” องค์จักรพรรดิรำพึง


 


กู่ฉิงซาน “มิจำเป็นต้องรู้สึกผิดเลย เพราะหากเรากระทำการอย่างเป็นทางการ ทางฝั่งกระหม่อมจะเป็นปัญหาเอาน่ะพะยะค่ะ”


 


องค์จักรพรรดิกล่าวเห็นด้วย “นั่นก็จริง ชัดเจนว่ารัฐบาลกลางของเจ้ามีเทพธิดากงเจิ้งอยู่ แต่กระบวนการทุกอย่างกลับช่างเชื่องช้า ดีไม่ดีระหว่างขั้นตอนการขอเยี่ยมเยือนทางการทูตอาจจะล่าช้าลากยาวไปถึงครึ่งเดือน ช่างเป็นการประสานงานที่ไร้ประสิทธิภาพเสียจริงๆ”


 


เขาเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน “หากข้ามีเทพธิดากงเจิ้งไว้ในครอบครองล่ะก็ ข้าคงสามารถรวบรวมโลกทั้งใบเป็นปึกแผ่นเดียวกันได้แล้ว”


 


กู่ฉิงซานฝืนยิ้มออกมา “เช่นนั้นกระหม่อมจะเริ่มออกเดินทางทันที คาดว่าจะถึงภายในวันนี้เลย”


 


“เข้าใจแล้ว ข้าจะรอเจ้าที่วังก็แล้วกัน” องค์จักรพรรดิกล่าว


 


แล้วการเชื่อมต่อก็ถูกตัดขาดลง


 


กู่ฉิงซานเดินออกนอกประตูไป


 


ตามด้วยหัวของเรือรบประจัญบานที่โผล่ลงมาจากชั้นเมฆ


 


“อลังการแบบนี้ไม่ดีหรอก” กู่ฉิงซานถอนหายใจ


 


“ใต้เท้า อ้างอิงตามสถานะของคุณ มันต้องระดับนี้จึงจะคู่ควรแก่การไปเยี่ยมเยือน” เทพธิดากล่าว


 


“ขอให้ฉันได้ไปเงียบๆเถอะ อีกอย่าง ฉันไม่ต้องการกระตุ้นอะไรทางฝั่งรัฐบาลกลางด้วย เพราะงั้นให้ฉันไปเงียบๆเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“รับทราบแล้ว” เทพธิดาตอบรับ


 


แล้วหัวเรือรบประจัญบานก็เชิดขึ้นไปเหนือชั้นเมฆ จากนั้นก็บินหายไป


 


ต่อมา รถเหินเวหาสีเงินที่มีรูปทรงงดงามและสมบูรณ์แบบก็ทะลุผ่านชั้นเมฆลงมา มันร่อนลงจอดบนพื้นดินเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน


 


“นี่มันก็ค่อนข้างที่จะ … ดูหวือหวาเกินไปนิดนึงนะ” กู่ฉิงซานกวาดสายตามองรถเหินเวหา


 


“นี่คือรถรุ่นใหม่ล่าสุดที่พึ่งผ่านชุดการทดสอบความเร็ว และความเร็วของมันได้รับการยืนยันแล้วว่าปลอดภัย” เทพธิดากงเจิ้งแนะนำ


 


“ก็ได้ๆ” กู่ฉิงซานตัดบทและก้าวเข้าไปภายใน


 


รถเหินเวหาค่อยลอยลำขึ้นอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเข้าสู่สถานะการบินในทันใด


 


เตรียมเข้าสู่โหมดเพิ่มความเร็วขึ้น เร่งเครื่องออกตัว!


 


ปัง!


 


หลังจากบังเกิดเสียงคลื่นโซนิคบูม รถเหินเวหาก็หายวับไปทันที


 


ภายในรถเหินเวหา


 


“ฉันไปพบกับจักรพรรดิฟูซี เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางจะต้องรู้ข่าวนี้อย่างแน่นอน” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“วินิจฉัยได้ถูกต้องแล้ว ข้อมูลนี้นับว่าเป็นเรื่องง่ายดายมากที่จะได้รับ” เทพธิดาเอ่ยสนับสนุน


 


“เฮ้อ งั้นฉันขอฝากให้ช่วยค้นหาระเบียบขั้นตอนการไปต่างประเทศ แบบที่ไม่ต้องมีคนมาตรวจสอบด้วยตนเองทีนะ ขอเป็นอะไรก็ได้ แต่ต้องในทำนองนั้น”


 


“ถ้าอย่างนั้นเอาเป็น ‘ให้ความช่วยเหลือทางด้านการกุศล’ ดีไหมใต้เท้า ขั้นตอนของมันนับว่ารวดเร็วที่สุด และไม่จำเป็นต้องถูกส่งคนมาตรวจสอบ”


 


“ดี เอาอันนั้นแหละ ดำเนินการได้เลย”


 


หลังจากนั้นไม่นาน รถเหินเวหาก็บินเข้าสู่น่านฟ้าของสาธารณรัฐฟูซี


 


ตามด้วยระบบสื่อสารบนตัวรถที่ดังขึ้นอย่างกระทันหัน


 


กู่ฉิงซานกดตอบรับการสื่อสาร


 


จอม่านแสงสว่างขึ้น ปรากฏให้เห็นถึงใบหน้าของเจ้าหน้าที่ติดอาวุธวัยกลางคน ที่กำลังกวาดสายตามองขึ้นๆลงๆบนตัวกู่ฉิงซาน


 


“ที่นี่คือชายแดนป้อมปราการแห่งสาธารณรัฐฟูซี กรุณาทำการยืนยันตัวตนของคุณด้วย มิฉะนั้นทางเราคงต้องยิงคุณให้ร่วง!” เจ้าหน้าที่วัยกลางคนกล่าว


 


“ผมชื่อกู่ฉิงซาน และมีนัดหมายกับฝ่าบาทของประเทศคุณ” กู่ฉิงซานอธิบาย


 


สีหน้าของเจ้าหน้าที่วัยกลางคนคลายลงทันที


 


เขายิ้มและกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นใต้เท้ากู่ฉิงซานนี่เอง โปรดเชิญเดินทางต่อได้เลย”


 


“อ้าว คุณไม่จำเป็นต้องทำการตรวจสอบ ยืนยันตัวตนผมหรอ?” กู่ฉิงซานถาม


 


“เทพธิดากงเจิ้งได้ทำการยืนยันตัวตนของคุณแล้ว และฝ่าบาทก็ทรงตรัสว่าคุณเป็นแขกผู้มีเกียรติ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องมีขั้นตอนใดๆ” เจ้าหน้าที่กล่าว


 


“ขอให้เดินทางโดยสวัสดีภาพ”


 


แล้วการเชื่อมต่อก็ถูกตัดขาดไป


 


กู่ฉิงซานขับรถเหินเวหาต่อโดยไม่ชะลอ มุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง


 


หลังจากนั้นไม่นาน


 


รถเหินเวหาประเภทต่อสู้ 12 ลำก็ไล่ตามหลังเขามา


 


6 ลำแยกกันประกบปีกซ้ายขวาของเขา ส่วนอีก 6 เลือกที่จะบินไปนำหน้า


 


และเสียงแจ้งเตือนการเชื่อมต่อสื่อสารก็ดังขึ้นอีกครั้ง


 


“ยินดีต้อนรับใต้เท้า พวกเรามีหน้าที่คุ้มกันท่านไปยังวังของฝ่าบาท” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น


 


“ลำบากพวกคุณซะแล้ว” กู่ฉิงซานตอบกลับไป


 


เมื่อการสื่อสารถูกตัดสายลง กู่ฉิงซานก็ส่ายหัวออกมา


 


ถึงกับส่ง 12 รถเหินเวหาประเภทต่อสู้ออกมาคุ้มกัน นี่มันนับได้ว่าเป็นการรักษาความปลอดภัยระดับสูงเลยนะสำหรับในสาธารณรัฐฟูซี … แน่นอนว่าเรื่องเงินที่ต้องจ่ายไปก็เช่นกัน


 


องค์จักรพรรดิก็ยังคงเป็นองค์จักรพรรดิ เป็นบุคคลที่ทุนหนาและเต็มใจจ่ายทุกบาททุกสตางค์เพียงเพราะความพึงพอใจของตนอย่างแท้จริง


 


หลังจากนั้นอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา


 


รถเหินเวหาก็ข้ามผ่านพื้นที่รกร้างส่วนใหญ่ของฟูซี และโผล่ลงมาจากชั้นเมฆ


 


เบื้องล่างเป็นทะเลทรายผืนใหญ่


 


ท่ามกลางทะเลทรายสีเหลืองนวลอันไร้ที่สิ้นสุด มีโอเอซิสตั้งอยู่


 


และวังขององค์จักรพรรดิก็ตั้งอยู่ที่นี่


 


จากโอเอซิส ห่างออกไปสิบไมล์ รถเหินเวหาก็เริ่มทำการลงจอด


 


กู่ฉิงซานก้าวลงมาจากรถเหินเวหา ขณะเดียวกันก็มีคนกางร่มขึ้น และยื่นมันมาช่วยกันลมกันฝนให้แก่เขา


 


ภูมิภาคแห่งนี้แห้งแล้งและร้อนอบอ้าวอยู่เสมอ แต่จู่ๆก็ต้องพบกันฝนเย็นฉ่ำอย่างต่อเนื่อง มันคงเป็นยากสำหรับคนที่นี่ที่จะปรับตัวจริงๆ


 


ขบวนอูฐรออยู่ข้างนอก


 


บนหลังอูฐแต่ละตัว ถูกติดตั้งไว้ด้วยที่นั่งที่ดูสะดวกสบายพร้อมกับหลังคาที่ครอบคลุมเบื้องบน เพื่อใช้ป้องกันลมแดดและลมฝน


 


เจ้าหน้าที่โค้งกายทักทายและนำอูฐเดินตรงมายังกู่ฉิงซาน


 


“ใต้เท้า โซนเบื้องหน้าเป็นเขตห้ามบิน ดังนั้นเชิญตามผู้น้อยมา” เจ้าหน้าที่พูดคุยด้วยรอยยิ้ม


 


“ผมเข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานตอบรับ


 


แล้วเขาก็ขึ้นไปบนอูฐ จากนั้นก็ขี่มันเดินคู่ไปกับเจ้าหน้าที่


 


“ฝ่าบาทรู้สึกยินดียิ่งเมื่อได้ยินว่าคุณกำลังจะมา จึงทำการเลื่อนงานเลี้ยงรื่นเริงในวันพรุ่งนี้ ให้มาเป็นวันนี้แทน” เจ้าหน้าที่หัวเราะ


 


“ผมก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งเช่นกัน ว่าแต่ถ้างานเลี้ยงถูกเลื่อนมาเป็นวันนี้ แล้วฝ่าบาทของคุณวางแผนที่จะทำอะไรในวันพรุ่งนี้แทนอย่างงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“วันพรุ่งนี้ก็ยังคงเป็นงานเลี้ยงอีกเช่นเคย” เจ้าหน้าที่ตอบราวกับเป็นเพียงเรื่องปกติ


 


“สมกับเป็นฝ่าบาทจริงๆ .. ” กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา

 

 

 


ตอนที่ 309

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.309 – องค์จักรพรรดิและจักรพรรดินี


 


ณ พื้นที่ๆอยู่ไม่ไกลจากโอเอซิส


 


กู่ฉิงซานกับเจ้าหน้าที่พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวกันอย่างสุภาพ และเพียงไม่นาน วังขนาดใหญ่ท่ามกลางโอเอซิสก็ปรากฏสู่สายตาของพวกเขา


 


“ทางเราได้จัดเตรียมชุดสำหรับงานเลี้ยงให้แก่คุณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คุณจะต้องเปลี่ยนมันให้ดูเหมาะสมกับฐานะแขกผู้มีเกียรติขององค์จักรพรรดิ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณจะต้องเป็นคนไปเลือกมันด้วยตัวเอง ฉะนั้นโปรดตามมา” หลังจากที่ลงจากหลังอูฐ เจ้าหน้าที่ก็กล่าวอธิบายคร่าวๆ แล้วเดินนำทางเขาไป


 


“คงต้องขอรบกวนแล้ว” กู่ฉิงซานยิ้ม


 


ณ วังโอเอซิส


 


องค์จักรพรรดิพร้อมด้วยรัฐมนตรีกว่า7-8คนกำลังพูดคุยหารือกันอยู่ในห้องประชุม


 


แล้วเจ้าหน้าที่ก็เดินนำตัวกู่ฉิงซานเข้ามา


 


“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกับฝ่าบาท” กู่ฉิงซานกล่าวพลางคำนับ


 


“อ่า? ไม่เลวนี่เจ้าหนุ่ม ดูเหมือนว่าเจ้าจะแกร่งยิ่งขึ้นอีกแล้วนะ” องค์จักรพรรดิมองไปทางเขาด้วยรอยยิ้ม “งานเลี้ยงจะเริ่มต้นขึ้นในทันที จงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ แล้วตรงไปที่งานเลี้ยงได้เลย”


 


สองสาวใช้ในวังเดินออกมาโค้งกายให้แก่กู่ฉิงซาน ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “โปรดมากับพวกเรา”


 


กู่ฉิงซานเดิมทีแล้วต้องการจะเอ่ยขอความช่วยเหลือเลย แต่ในปัจจุบัน เบื้องหน้าเขาเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย มันจึงยากที่จะกล่าวออกมา นอกจากนี้องค์จักรพรรดิอุส่าห์หยิบยื่นน้ำใจให้ มันจึงยากที่จะปฏิเสธ เขาเลยต้องจำใจเดินตามสองสาวไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า


 


ชุดงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการของชนชั้นสูงในฟูซีจะมีทั้งสิ้น 15 ชุด และบัดนี้พวกมันทั้งหมดถูกจัดเรียงแขวนไว้เบื้องหน้ากู่ฉิงซาน


 


กู่ฉิงซานเลือกชุดที่ดูธรรมดาที่สุด จากนั้นก็ปล่อยให้สองสาวใช้เป็นคนสวมใส่มันให้แก่เขา


 


สองสาวใช้ลากกระจกบานใหญ่ที่สูงตั้งแต่พื้นจรดเพดานออกมา และนำมาวางลงเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน


 


กระจกเบื้องหน้า สะท้อนให้เห็นถึงสองคิ้วที่คมราวกับดาบ และดวงตาทั้งสองของเขาก็ไม่แตกต่างกัน


 


ทั้งคนทั้งร่างแลดูสะอาดหมดจด และให้ความรู้สึกพิเศษบางอย่างออกมา


 


“ขอบคุณมากนะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


สองสาวใช้จ้องมองชายที่สะท้อนอยู่ในกระจก ใบหน้าของพวกเธอเริ่มแดงซ่าน ปากเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มบานสะพรั่ง “ใต้เท้า ท่านช่างดูสง่างามอย่างมิอาจหาใครมาเทียบเปรียบ”


 


กู่ฉิงซานยิ้มรับ และเอ่ยถามอย่างไม่คิดอะไรว่า “แล้วราชินีของพวกคุณเล่า ทำไมผมถึงยังไม่เห็นเธอเลย”


 


ประโยคนี้เป็นคำถามธรรมดาที่ไม่มีเจตนาใด


 


แต่หนึ่งในสองสาวใช้กลับเอ่ยตอบทันที “องค์จักพรรดินีพึ่งตื่นจากบรรทม และกำลังแต่งองค์ทรงเครื่องอยู่เจ้าค่ะ”


 


แล้วห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก็เงียบงันไปครู่หนึ่ง


 


กู่ฉิงซานเฝ้ามองตัวเองในกระจกแล้วเอ่ยถามว่า “ชุดผมก็เปลี่ยนแล้ว ถ้าอย่างงั้นรองเท้าไม่ควรจะเปลี่ยนด้วยหรอ?”


 


สาวใช้ในวังบรรเทาความตึงเครียดลง


 


“ท่านจะต้องเต้นรำ ฉะนั้นจึงสมควรที่จะเปลี่ยนรองเท้า โปรดรอสักครู่นะเจ้าค่ะ” สองสาวใช้เดินไปค้นโซนที่เก็บรองเท้า


 


“ขอบคุณอีกครั้งนะ อ้อ.. โดยส่วนตัวแล้วผมชอบรองเท้าสีดำ น้ำตาล แล้วก็น้ำเงิน ถ้ายังไงขอเป็นสามตัวเลือกนี้นะครับ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


สองสาวใช้มองหน้ากันและกันวูบหนึ่ง


 


ดูเหมือนว่าแขกผู้มีเกียรติขององค์จักรพรรดิจะเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องรองเท้าของตัวเองเป็นอย่างมาก


 


ถ้าเป็นในกรณีนี้ พวกเธอคงจะต้องเตรียมรองเท้าคู่ใหม่ๆหลายคู่ มาให้แขกผู้มีเกียรติได้เลือกสรรอย่างพิถีพิถันเสียแล้ว


 


“โปรดรอสักครู่ พวกเราจะรีบไปนำมันมาเดี๋ยวนี้” สาวใช้ในวังกล่าว


 


“ผมเข้าใจแล้ว ไม่ต้องรีบก็ได้นะ”


 


กู่ฉิงซานยิ้ม แล้วทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาด้วยท่าทีผ่อนคลาย สบายๆ


 


สองสาวใช้โค้งกายลงเล็กน้อย แล้วหันหลังเดินจากไป


 


กู่ฉิงซานยกถ้วยเครื่องดื่มบนโต๊ะกาแฟขึ้นมาจิบ ในสมองขบคิดถึงปมเล็กๆที่ทำให้บังเกิดความเงียบงันขึ้นเมื่อครู่นี้


 


องค์จักรพรรดิกับจักรพรรดินี มิใช่คนสนิทกันหรอกหรือ?


 


กู่ฉิงซานจดจำได้ว่า ในบางครั้งบางที แม้องค์จักรพรรดิจะหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่ แต่ปากของเขากลับไม่ยิ้มตาม


 


ในหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา


 


เขาไม่เคยที่จะพอใจใครง่ายๆ และเขาก็ไม่คิดจะพยายามทำให้ใครพอใจเช่นกัน


 


แต่ในวันนี้ องค์จักรพรรดิกลับหัวเราะและยิ้มออกมา … มากเกินไป


 


นอกจากนี้ กู่ฉิงซานก็ยังไม่เห็นตัวองค์จักรพรรดินีเลย


 


‘องค์จักพรรดินีพึ่งตื่นจากบรรทม และกำลังแต่งองค์ทรงเครื่อง’ อย่างงั้นหรอ …


 


ช่วงเวลานี้อาหารค่ำกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วนะ แต่จักรพรรดินีพึ่งตื่นจากบรรทม หมายถึงพึ่งลุกขึ้นจากเตียงใช่ไหม? ทำไมถึงเป็นแบบนั้นกันล่ะ?


 


ขณะคิด สาวใช้ในวังก็เดินกลับมา


 


กู่ฉิงซานวางถ้วยเครื่องดื่มลง และยืนขึ้นพร้อมรอยยิ้ม


 


ด้วยความช่วยเหลือของสาวใช้ เขาก็สามารถเลือกรองเท้าที่ถูกใจมาสวมใส่ได้ในที่สุด


 


“งานเลี้ยงจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่หรอ” เขาเอ่ยถาม


 


สาวใช้ “จะเริ่มขึ้นเมื่อคุณปรากฏตัวขึ้นในห้องจัดเลี้ยง”


 


ทั้งสองประกบซ้ายขวากู่ฉิงซาน และพากันเดินออกไป


 


ประตูหน้าห้องจัดเลี้ยงถูกผลักเปิดออก


 


พร้อมกับกู่ฉิงซานที่เดินเข้ามา


 


องค์จักรพรรดิที่นั่งอยู่บนราชบัลลังก์ เมื่อเห็นฉากนี้ เขาก็ส่งสัญญาณไปทางเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้ๆ


 


เจ้าหน้าที่โค้งกาย ก่อนจะหันไปส่งสัญญาณมือ


 


นักดนตรีเริ่มบรรเลงท่วงทำนอง


 


สาวนักเต้นเริ่มร่ายระบำ


 


พร้อมด้วยสาวผมยาวจรดพื้นเริ่มขับขานบทเพลงอันสนุกสนาน


 


การแสดงละครสัตว์ได้เริ่มขึ้นแล้ว


 


คนพ่นไฟ


 


เล่นมายากล


 


แสดงตลก


 


คนที่มีชื่อเสียงเริ่มที่จะเข้าพบปะพูดคุยกัน


 


ฉากงานเลี้ยงอันวุ่นวายเช่นนี้ เป็นสไตล์เฉพาะตัวของสาธารณรัฐฟูซี


 


เพราะนี่คือสิ่งที่องค์จักรพรรดิชอบ


 


เขาชอบที่จะนำทุกอย่างที่ทำให้เขามีความสุข มาวางไว้เบื้องหน้า ไว้ในวิสัยทัศน์ของตนเอง


 


ฝูงชนเข้ารายล้อมรอบองค์จักรพรรดิ และต่างพากันกล่าวสรรเสริญออกมา


 


แม้ว่างานเลี้ยงดังกล่าวจะแลดูวุ่นวาย แต่มันก็มีชีวิตชีวา และบรรยากาศก็ไม่เลวทีเดียว


 


กู่ฉิงซานถูกนำตัวมายังเบื้องหน้าองค์จักพรรดิ


 


องค์จักรพรรดิโบกมือให้เจ้าหน้าที่ที่นำตัวเขามาปลีกตัวออกไป และจ้องมองลงมายังกู่ฉิงซาน


 


“ดูเถิด เจ้าหนุ่มผู้นี้ช่างแข็งแกร่งไม่เลวเลย หากมิใช่เพราะว่าแอนนาหมายตาเจ้าไว้อยู่ก่อนแล้ว ข้าคงแนะนำเจ้าหญิงน้อยของข้าให้แก่เจ้าไปแล้ว” องค์จักรพรรดิกล่าว


 


และผู้คนที่รายล้อมก็เปล่งเสียงหัวเราะอึกทึกออกมาทันที


 


กู่ฉิงซานรับเอาไวน์จากถาดที่วางอยู่ข้างกายเขา


 


“ฝ่าบาท ขอบพระคุณสำหรับการเลี้ยงต้อนรับอันยิ่งใหญ่ของท่านในวันนี้”


 


จากนั้นเขาก็ยกแก้วหันไปทางองค์จักพรรดิ และกระดกมันจนหมดแก้วในครั้งเดียว


 


พอองค์จักรพรรดิฟูซีได้ยินคำนี้ เขาก็หยิบแก้วไวน์มาชูขึ้น แล้วจิบเบาๆ


 


“ทำตัวตามสบายเถอะ ข้าหวังว่าเจ้าจะมีช่วงเวลาดีๆในค่ำคืนนี้” จักรพรรดิหัวเราะ


 


“ผมมาที่นี่เพื่อพูดคุยเรื่องข้อตกลงแลกเปลี่ยนกันอย่างจริงจัง และต้องการที่จะพูดคุยกับท่านในสถานที่ๆเหมาะสม”


 


กู่ฉิงซานเตรียมพร้อมที่จะก้าวไปสู่หัวข้อสนทนาหลักทันที


 


แต่ทว่าองค์จักรพรรดิกลับโบกมือและกล่าวว่า “ไม่ต้องรีบร้อนไป จงเพลิดเพลินไปกับค่ำคืนอันแสนวิเศษนี้เสียก่อน หากมีธุระอันใด ไว้พวกเราค่อยมาพูดคุยเกี่ยวกับมันในวันพรุ่งนี้อีกครั้ง”


 


กู่ฉิงซานจำต้องก้มหน้าลง และหยุดหัวข้อสนทนาของเขา


 


ทว่าในหัวใจกลับลอบรู้สึกสงสัย


 


องค์จักรพรรดิแห่งฟูซีเป็นผู้เคร่งครัดเสมอมา หากมีธุระใดที่ฟังดูร้ายแรงหรือเป็นเรื่องราวแปลกใหม่ ท่าทีของเขาก็จะกลับกลายเป็นจริงจังทันที


 


อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดถึงเกี่ยวกับมัน


 


ท่ามกลางสายตาของทุกผู้คน กู่ฉิงซานหยิบไวน์ขึ้นมาอีกแก้วพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาทพูดถูกแล้วพะยะค่ะ”


 


“ฉะนั้นแก้วนี้ เพื่อแสดงถึงพระบารมีของท่าน ขอสาธารรัฐฟูซีจงเจริญรุ่งเรือง และเข้มแข็งกว่าทุกชนชาติ ขอให้ประชาชนทุกคนได้ดื่มด่ำเพลิดเพลินไปกับเกียรติยศและเสรีภาพ”


 


กล่าวจบ เขาก็กระดกมันรวดเดียวหมด


 


รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าขององค์จักรพรรดิเผยถึงความสุข เขาปรบมือและกล่าว “พูดได้ดี!”


 


นอกจากนี้ เขาก็ยกแก้วไวน์ในมือดื่มมันจนหมดแก้ว


 


กู่ฉิงซานมองไปยังอีกฝ่าย ส่วนลึกในหัวใจของเขาเริ่มกระสับกระส่าย บังเกิดความไม่สบายใจอันยากจะอธิบายขึ้น


 


จักรพรรดิฟูซี คาดหวังไว้เสมอว่า อาณาจักรของตนจะยังคงรักษาการพัฒนาไปอย่างมั่นคงต่อเนื่อง และเกลียดชังสิ่งจอมปลอมที่เรียกว่า ‘เสรีภาพ’ มากที่สุด


 


เมื่อครั้งองค์จักรพรรดิได้มาเข้าร่วมประชุมนานาชาติในสหพันธรัฐ รัฐบาลกลาง เขาก็ไม่ยอมเข้าพักที่โรงแรมฟรีฮอลิเดย์  และเลือกที่จะกางเต็นท์บนสนามหญ้าภายในศูนย์ประชุมนานาชาติแทน


 


เนื่องเพราะเขาไม่ชอบคำว่าฟรี(เสรีภาพ)ที่อยู่ในชื่อของมัน


 


เมื่อครู้นี้ กู่ฉิงซานจงใจแสร้งพลาดพลั้งกล่าวคำนั้นออกไปโดยเจตนา


 


แต่ทว่าพอองค์จักรพรรดิได้ยิน เขากลับยกไวน์ขึ้นมาดื่มจนหมดแก้ว


 


ทั้งหมดนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?


 


“จงไปหาอะไรกินก่อน แล้วจากนั้นก็ออกไปเต้นรำเถิด ข้ากล้าพูดเลยว่าในช่วงเวลานี้ มีมีหญิงสาวที่ทรงเสน่ห์และงดงามหลายคนกำลังเฝ้าจับตาดูเจ้าอยู่ตั้งนานแล้ว” องค์จักรพรรดิกล่าว


 


กู่ฉิงซานยังคงรักษาไว้ซึ่งรอยยิ้มบนใบหน้า ก้าวถอยออกไประยะหนึ่งจึงหันหลังกลับ แต่แล้วเขาก็พลันได้พบเห็นกับหญิงสาวที่ครอบครองรูปลักษณ์อันงดงามกำลังย่างกรายเข้ามาในห้องจัดเลี้ยง


 


บนหัวของเธอสวมมงกุฏขนาดเล็กที่ประณีตและละเอียดอ่อน


 


ทุกคนต่างพากันเปิดทางให้กับเธอ พร้อมเอ่ยคำทักทาย


 


องค์จักรพรรดินีแห่งฟูซี ได้มาถึงแล้ว


 


“เวโรน่า มาได้ซักที ดูนี่ซีใครกันเดินทางมาให้เจ้าได้พบ” องค์จักรพรรดิกล่าว


 


จักรพรรดินีมีชื่อว่า เวโรน่า เป็นสมาชิกครอบครัวของราชวงศ์เมดิซีแห่งจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ และยังเป็นน้องสาวในสายเลือดของราชาแห่งจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย ที่สำคัญเลยก็คือ เธอเป็นป้าของแอนนา


 


“นักวิทยาศาสตร์กู่น้อย เราได้พบกันอีกแล้ว” องค์จักรพรรดินีเดินมาพร้อมรอยยิ้ม


 


เธอยื่นมือไปทางกู่ฉิงซาน


 


การจุมพิตลงบนมือ คือมารยาทในการทักทายกันในจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์


 


ทว่าในสาธารณรัฐฟูซี ขีดเส้นแบ่งมารยาทในการทักทายของจักรวรรดิ์นั้น มีอยู่หลายส่วนที่ไม่เหมาะสม ทว่าแต่เดิมเธอก็เป็นถึงสมาชิกของราชวงศ์แห่งจักรววรดิศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นหลายๆคนจึงไม่ได้เอ่ยขัดในเรื่องนี้


 


กู่ฉิงซานจับมือองค์จักรพรรดินีและก้มจุมพิตลง


 


“ไม่ได้พบเจอกันเพียงไม่กี่วัน แต่ท่านกลับงดงามยิ่งกว่าที่เคย” กู่ฉิงซานเอ่ยชื่นชม


 


เขาสังเกตเห็นถึงรอยคล้ำใต้ตาของเธอที่เป็นสีดำอย่างชัดเจน ที่แม้มันจะถูกปกปิดด้วยการแต่งหน้าอันละเอียดอ่อนแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่อาจกลบร่องรอยได้อย่างสมบูรณ์อยู่ดี

 

 

 


ตอนที่ 310

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.310 – จุมพิตทักทาย


 


กู่ฉิงซานกวาดสายตามององค์จักรพรรดินี ในหัวใจของเขาบังเกิดความคิดบางอย่างขึ้น


 


การที่องค์จักรพรรดินีมาออกงานเลี้ยงด้วยรอยคล้ำใต้ตาทั้งสองข้างนี่ … มันค่อนข้างที่จะแปลกๆนะ


 


ที่สำคัญ เธอเป็นถึงมืออาชีพ นั่นหมายความว่าสภาวะแบบนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ เธอแทบจะไม่ได้นอนมาหลายวัน จนร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าคนปกติทั่วไปมิอาจรับไหวได้อีกต่อไป


 


หรือว่าเธอไม่ได้หลับเลย?


 


กู่ฉิงซานเผลอเพิ่มความระมัดระวังโดยไม่รู้ตัว


 


ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นจริงๆ


 


ทว่าเขาเพียงคิด จักรพรรดินีก็เดินตัดหน้าเขาไปเสียก่อน


 


เธอเดินขึ้นไปจับพระหัตถ์ขององค์จักรพรรดิอย่างใกล้ชิด เผยรอยยิ้มงดงามให้แก่เขา ก่อนจะหันกลับมามองกู่ฉิงซาน


 


“ครั้งก่อนที่ข้าไปเยือนรัฐบาลกลาง ฝ่าบาทได้เชื้อเชิญเจ้ามา แต่ข้าก็ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมาจริงๆ ฉะนั้น ข้าจึงไม่ทันได้เตรียมตัวอะไรเลย หวังว่ากู่น้อยคงจะไม่เก็บมาใส่ใจ” องค์จักรพรรดินีกล่าว


 


กู่ฉิงซานพอได้ฟัง เขาก็ผุดยิ้มขึ้นมาทันที และตอบรับอย่างรวดเร็ว “ผมไม่ได้เก็บมันมาใส่ใจเลย แล้วอีกอย่าง ผมก็ชื่นชมฝ่าบาทเหมือนดั่งวีรบุรุษ ดังนั้นขอแค่เพียงเอ่ยปาก ผมย่อมต้องตอบรับ และแวะมาเยี่ยมเยือนอย่างแน่นอน”


 


บนใบหน้าขององค์จักรพรรดินีเผยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง บ่งบอกว่าเธอกำลังเพ่งสมาธิเพื่อฟังและกลั่นกรองทุกคำพูดของเขาอย่างตั้งใจ


 


กู่ฉิงซานยกแก้วขึ้นอีกครั้งและกล่าว “ผมขออวยพรแด่ฝ่าบาทให้ทรงพระชนมายุยิ่งยืนนาน และอวยพรแด่องค์จักรพรรดินีให้งดงามดั่งบุปผาสะพรั่งตลอดไป”


 


องค์จักรพรรดิหัวเราะและกล่าว “ผู้ใดกันจะไปสามารถมีอายุยืนยาวได้อย่างแท้จริง แต่ประโยคนี้ของเจ้า ข้าชอบใจนักที่ได้ฟัง!”


 


เขารับแก้วไวน์มาจากมือภริยาตน แล้วยกกระดกมันจนหมดในครั้งเดียว


 


ส่วนจักรพรรดินี ก็ชูแก้วขึ้นรับคำอวยพร และยกมันขึ้นจิบเบาๆ


 


แก้วไวน์ที่ว่างเปล่าถูกส่งกลับคืนให้แก่องค์จักรพรรดินี จากนั้นองค์จักรพรรดิก็เอ่ยต่อว่า “ในวันนี้ เป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์กู่น้อยได้มาเยือน ทำไมเจ้าไม่ลองลงไปเต้นรำกับเขาดูหน่อยเล่า?”


 


องค์จักรพรรดินีไม่ได้หันไปมองกู่ฉิงซาน แต่สายตาของเธอกลับจับจ้องสวามีของตน แล้วกล่าวปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่อยากจะเต้นรำในวันนี้”


 


“เช่นนั้น สิ่งใดเล่าที่เจ้าต้องการจะทำ?”


 


จักรพรรดินีพูดกับองค์จักรพรรดิและตรัสกับผู้คนที่อยู่รอบกายเขาว่า “ข้าอยากจะเล่นไพ่”


 


“เล่นไพ่อีกแล้ว? เจ้าก็เอาแต่เล่นมันทั้งวันทั้งคืน ดูซีรอยคล้ำใต้ตาโผล่ออกมาแล้วนะ” องค์จักรพรรดิเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม


 


“เมื่อวานนี้ ข้าพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถ แต่วันนี้จักต้องคว้าชัยชนะกลับมาให้ได้ ที่รัก ช่วยตามใจข้าหน่อยจะได้ไหม?” จักรพรรดินีร้องขอ


 


“งั้นก็มาถ่ายรูปกับนักวิทยาศาสตร์กู่ของเรากันก่อน จากนั้นเจ้าก็ไปเถอะ” องค์จักรพรรดิรับคำอย่างมีความสุข


 


เขาโบกมือทันที และเหล่าเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในด้านการเผยแพร่ข่าวก็ปรากฏตัวขึ้น


 


“มิสเตอร์กู่ โปรดเข้าไปยืนใกล้ๆฝ่าบาทด้วย” เจ้าหน้าที่ข่าวคนหนึ่งกล่าว


 


องค์จักรพรรดิยื่นมือออกไป


 


กู่ฉิงซานจึงไม่มีทางเลือกนอกจากคว้าจับมือของเขา


 


จักรพรรดินียืนเคียงข้างๆองค์จักรพรรดิ


 


ทั้งสามยืนอยู่เบื้องหน้าเจ้าหน้าที่ข่าวเพื่อรอถ่ายภาพ


 


“สาม-สอง-หนึ่ง ฝ่าบาททรงอายุมั่นขวัญยืน!”


 


แชะ!


 


แล้วภาพข่าวทางการทูตที่สมบูรณ์แบบก็ถือกำเนิดขึ้น


 


“ในเมื่อจบเรื่องแล้ว ข้าขอตัวไปเล่นไพ่ก่อนนะ”


 


จักรพรรดินีกล่าว และรีบจากไปทันทีโดยไม่แม้แต่จะเหลียวมองดูกู่ฉิงซาน


 


องค์จักรพรรดิหันไปกล่าวกับเจ้าหน้าที่ข่าวและกล่าว “รับกระจายข่าวไปเลยนะ เข้าใจไหม”


 


“ฝ่าบาท? แล้วเรื่องหัวข้อเล่า เอาเป็นอย่างไรดี?” เจ้าหน้าที่ข่าวเอ่ยทวนถาม


 


องค์จักรพรรดิขบคิดเกี่ยวกับมันอยู่พักหนึ่งจึงเอ่ย “เอาเป็นงานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อการกุศลก็แล้วกัน – หลังจากทั้งหมดนี้ นักวิทยาศาสตร์กู่น้อยได้มีส่วนร่วมในการบริจาคเงินเพื่อสร้างโรงเรียนให้กับพื้นที่บริเวณภูเขาอันห่างไกลในแถบชายแดนของพวกเรา”


 


‘ลงมือแพร่กระจายข่าวได้รวดเร็วจริงๆ’ กู่ฉิงซานแอบพึมพำในใจ


 


“ส่วนตัวข้า เอาเป็นจัดตั้งกองทุนการศึกษาเพื่อการกุศลก็แล้วกัน” องค์จักรพรรดิหันไปมองกู่ฉิงซานและกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


“พะยะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมเข้าใจแล้ว” เจ้าหน้าที่ข่าวตอบรับ เขาโค้งกายคำนับและค่อยๆถอยฉากออกไป


 


ณ ขณะนี้ เสียงเพลงบรรเลงสำหรับงานเต้นรำได้เริ่มดังขึ้นแล้ว


 


องค์จักรพรรดิหันว่าพูดกับกู่ฉิงซาน “เจ้าไปเล่นได้ตามใจชอบเลย ข้าหวังว่านี่จะเป็นค่ำคืนที่วิเศษสำหรับเจ้านะ”


 


“พะยะค่ะฝ่าบาท” กู่ฉิงซานยิ้มรับ


 


เขาก้าวเดินลงบันไดแต่ละขั้นอย่างเชื่องช้า แสดงท่วงท่าให้ตนดูสง่างามยิ่งขึ้น จากนั้นก็เดินมาหยุดอยู่หน้าสาวงามคนหนึ่งแล้วโค้งกายเอ่ยเชิญเธออย่างสุภาพเพื่อขอเป็นคู่เต้นรำ


 


สาวงามเผยท่าทีค่อนข้างลำบากใจ และแอบหันไปมององค์จักรพรรดิ


 


อีกฝ่ายพยักหน้า


 


สาวงามจึงจำต้องยอมรับคำเชิญของกู่ฉิงซาน และก้าวเข้าสู่ฟลอร์เต้นรำไปพร้อมกับเขา


 


“ฉันทำแบบนี้เพราะแค่ไว้หน้าท่านพ่อหรอกนะ หลังจากการเต้นรำในครั้งนี้จบลง หวังว่าคุณคงจะรู้ด้วยตัวเอง ว่าไม่ควรที่จะมาเสนอหน้าให้ฉันรำคาญใจอีก” รอยยิ้มแขวนไว้บนใบหน้าของสาวงาม ทว่าวาจาที่เปล่งกลับรวดเร็วและช่างร้ายกาจ


 


ไม่มีใครได้ยินสิ่งที่เธอพูด พวกเขาเพียงแค่มองท่าทีการแสดงออกที่ดูเป็นทางการของเธอ และต่างพาลกันคิดไปว่านี่คือการแลกเปลี่ยนสนทนากันตามมารยาท


 


“โอเค” กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างมีความสุข ในใจคิดไปว่าในที่สุดก็มีคนที่คิดเหมือนกับเขาเสียที


 


เพลงเต้นรำเริ่มเข้าสู่ท่วงทำนองเป็นจังหวะ


 


งานเต้นรำได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว


 


กู่ฉิงซานดึงมือเจ้าหญิง และก้าวเข้าไปในฟลอร์เต้นรำ


 


ขณะนี้ เขายืนยันได้สิ่งหนึ่งแล้ว


 


จักรพรรดินีเวโรน่าเป็นคนที่หลักแหลมมาก


 


เพียงประโยคเดียวของเธอ กลับสามารถเปิดเผยถึงความจริงต่อหน้ากู่ฉิงซาน จากนั้นเธอก็แยกตัวออกไปอย่างรวดเร็ว


 


“ครั้งก่อนที่ข้าไปเยือนรัฐบาลกลาง ฝ่าบาทได้เชื้อเชิญเจ้ามา แต่ข้าก็ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมาจริงๆ ฉะนั้น ข้าจึงไม่ทันได้เตรียมตัวอะไรเลย หวังว่ากู่น้อยคงจะไม่เก็บมาใส่ใจ”


 


แม้เธอจะพูดอย่างนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความหมายที่เธอจะสื่อออกมา มันไม่เหมือนกับที่พูดเลย


 


กู่ฉิงซานจดจำได้ว่าเป็นเธอเองนั่นแหละพยายามชักชวนเขาและแอนนาให้มาพักผ่อน


 


คำเดิมที่เธอกล่าวเขาจำได้ว่า


 


‘สองสัปดาห์ต่อจากนี้ คือช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของปี เมื่อเจ้ามาถึง จงมุ่งไปทางตอนเหนือของพระราชวัง เพื่อใช้วันหยุดในช่วงฤดูร้อนด้วยกัน ที่นั่นมีภูมิอากาศที่ดี ยามเช้าสามารถออกไปล่าสัตว์ ยามเย็นสามารถจัดปาร์ตี้เต้นรำได้ และหากสภาพอากาศไม่เลวร้าย เจ้ายังจะสามารถใช้กล้องโทรทรรศน์เพื่อเฝ้าสังเกตมอนสเตอร์เอกภพได้อีกด้วย’


 


ดังนั้น ทุกอย่างที่เธอกล่าวออกมาเมื่อครู่มันจึงผิด มันผิดแผกไปหมดเลย!


 


อย่างไรก็ตาม แม้องค์จักรพรรดิจะได้ยินคำนี้ แต่เขากลับไม่ตอบสนองสิ่งใด มีเพียงรอยยิ้มที่แขวนอยู่บนใบหน้าเท่านั้น


 


นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?


 


หากเป็นในมุมมองของผู้อื่น อาจจะคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติของผู้หญิงที่มักจะมีอารมณ์แปรปรวน และพูดอะไรออกไปตามใจปาก ทว่า สำหรับอุปนิสัยของจักรพรรดินีเวโรน่า กู่ฉิงซานพอจะได้รู้ได้ฟังมันมาจากแอนนาพอสมควรแล้วเช่นกัน


 


ในโอกาสที่เป็นทางการเช่นนี้ แถมเธอยังเป็นถึงจักรพรรดินี ย่อมต้องให้ความใส่ใจกับ ‘คำพูด’และมารยาทพฤติกรรมของตัวเองเป็นอย่างมากแท้ๆ แต่เธอกลับทำตรงกันข้าม


 


เกิดอะไรขึ้นระหว่างองค์จักรพรรดิกับจักรพรรดินีกันแน่?


 


หากมันเป็นเพียงแค่ความขัดแย้งระหว่างทั้งสอง หรือเรื่องราวเกี่ยวกับสมดุลทางการเมือง กู่ฉิงซานก็คงขี้เกียจเกินกว่าที่จะเก็บมันมาใส่ใจ


 


แต่องค์จักพรรดิมีบางอย่างที่ดูผิดปกติไปจริงๆ


 


กู่ฉิงซานครุ่นคิดอยู่ในจิตใจของเขา


 


แต่สองขาของเขาก็ยังย่ำเดินลงตามจังหวะของเจ้าหญิง และเต้นรำไปพร้อมกับเธอ


 


เดิมทีตอนแรกเขามาที่นี่เพื่อหมายจะเจรจาทำข้อตกลงแลกเปลี่ยน


 


ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องสิทธิบัตรการวิจัยทางวิทยาศาสตร์หรือการฝึกฝนเทคนิคฝึกยุทธ เขาเชื่อว่าองค์จักรพรรดิแห่งฟูซีจะต้องรับมันไว้ในพิจารณาอย่างแน่นอน


 


แต่ตอนนี้ มันราวกับว่าจะมีอะไรมากกว่าการทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนซะแล้ว


 


และทันใดนั้นกู่ฉิงซานก็พลันระลึกย้อนได้ถึงบางสิ่ง


 


ในชีวิตก่อนหน้า ภัยพิบัติเยือกแข็ง ดูเหมือนว่ามันจะเริ่มต้นขึ้นจากสาธารณรัฐฟูซีนี่นา?


 


และแล้วในเวลานี้ เพลงก็สิ้นสุดลง


 


เจ้าหญิงสะบัดมือออกจากเขาอย่างเงียบๆ หันหลังกลับ และเดินออกจากฟลอร์เต้นรำไปยังนายทหารคนหนึ่งที่มีร่างกายสูงใหญ่และหล่อเหลา


 


กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ ก่อนจะพบกับมุมเงียบๆ แล้วเดินไปที่นั่น ระหว่างทางก็คคว้าหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาจิบอย่างช้าๆ


 


ช่วงเวลานี้ องค์จักรพรรดิได้ขึ้นไปบนฟลอเต้นรำพร้อมด้วยหญิงงามที่ทรงเสน่ห์ในอ้อมแขนของเขา -บรรยากาศงานเลี้ยงได้มาถึงจุดที่เข้มข้นที่สุดแล้ว


 


กู่ฉิงซานเรียกบริกรมา และเอ่ยถามถึงที่ตั้งของห้องน้ำอย่างสุภาพ จากนั้นก็แยกตัวออกไป


 


เขาเข้าไปในห้องน้ำ ปิดประตู จากนั้นก็หยิบกระดาษที่ถูกขยำจนเป็นลูกกลมๆออกมา


 


ในช่วงเวลาที่จุมพิตทักทาย จักรพรรดินีก็ได้ยัดกระดาษแผ่นนี้ลงในมือของเขาอย่างรวดเร็ว


 


กู่ฉิงซานคลี่มันออก


 


“ตราสัญลักษณ์แห่งความตายอยู่ในมือของแอนนา”


 


ประโยคสั้นๆง่ายๆ ไม่กี่คำ


 


กู่ฉิงซานมองมันอยู่สักพัก ก่อนจะขยำมันดังเดิม


 


ประโยคนี้ ก็ยังหลักแหลมสมกับที่เป็นจักรพรรดินีเหมือนเดิม


 


ประการแรก แม้ว่าผู้อื่นจะเป็นคนค้นพบกระดาษแผ่นนี้และอ่านเนื้อหาของมัน เขาก็จะเข้าใจว่านี่เป็นเรื่องราวภายในของราชวงศ์เมดิซี และไม่มีเหตุผลใดๆที่ผู้อื่นจะยื่นมือเข้ามาแทรกแซงหรือสืบเสาะต่อ


 


ประการที่สอง ก่อนที่แอนนาจะเข้าสู่การทดสอบ เธอก็ได้ร้องขอเอาสัญลักษณ์แห่งความตายมาจากกู่ฉิงซาน


 


ความลับดังกล่าวนี้ มีเพียงแค่ซางหยิงฮ่าวและคนอื่นๆเท่านั้นที่รู้


 


แต่ตอนนี้จักรรพดินีก็รับรู้ด้วย เกรงว่าคงจะมีแต่แอนนาเท่านั้นที่บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แก่เธอ


 


ตัวจักรพรรดินีคงต้องการที่จะเน้นถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างเธอกับแอนนา


 


-เพราะพวกเธอเป็นสองหญิงคนสุดท้ายของราชวงศ์เมดิซี


 


ดังนั้น กระดาษที่ถูกขยำนี่ จึงถูกใช้เพื่อดึงดูดความไว้วางใจจากกู่ฉิงซาน


 


หลังจากนั้นจักรพรรดินีเวโรน่าก็ได้พูดกับกู่ฉิงซานต่อหน้าองค์จักรพรรดิ และชี้ให้เห็นถึงความผิดปกติ


 


เมื่อนำทุกอย่างมามัดรวมเข้าด้วยกัน มันจะกลายเป็นประโยคใหม่ที่สื่อใจความออกมาว่า ‘เจ้าต้องเชื่อข้า องค์จักรพรรดิมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล’


 


กู่ฉิงซานจมลงสู่ห้วงความคิด


 


เขาบ่นพึมพำ “ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย ถ้าไม่ได้มาเห็นมันด้วยตาของตัวเอง”


 


องค์จักรพรรดิแห่งฟูซีเป็นมืออาชีพที่ทรงพลัง และแน่นอนว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็ไม่ต่างกัน ดังนั้น มันจึงแทบจะไม่มีใครที่จะสามารถฝ่าแนวรักษาการมากมายที่คอยคุ้มครองเขาเข้ามา และลงมือกระทำการใดๆได้


 


หรือไม่บางที ก็อาจจะเป็นตัวองค์จักรพรรดิเองนั่นแหละที่ปกปิดอะไรบางอย่างจากทุกผู้คน และกำลังวางแผนจะทำอะไรบางอย่างอยู่?


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อย


 


ตอนนี้ทุกอย่างมันไม่ถูกต้อง ดูผิดเพี้ยนไปหมด


 


จักรพรรดินีเวโรน่าเป็นป้าของแอนนา และในกรณีที่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเธอ เขาก็จำต้องเข้าช่วยเหลือ


 


เนื่องจากสถานการณ์มันเป็นแบบนี้แล้ว …


 


กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะออกไป


 


เขาเป็นผู้ฝึกยุทธในขอบเขตก้าวสู่เทพ ดังนั้นระยะพิสัยของจิตเทวะจึงค่อนข้างกว้างพอสมควร


 


และคนในโลกใบนี้ ก็ยังไม่รู้ว่าจิตสัมผัสเทวะนั้นคือสิ่งใด


 


ฉะนั้นจึงไม่มีใครต่อต้านมัน


 


กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะไปตลอดทั่วทั้งวังอย่างง่ายดาย จากนั้นก็เริ่มขยายออกไปภายนอกอย่างต่อเนื่อง


 


และทันใดนั้นเอง เมื่อมันสัมผัสลงบนผิวโอเอซิส เขาก็ได้รับรู้ถึงสัญญาณของปัญหาทั้งหมด!

 

 

 


ตอนที่ 311

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.311 – การสื่อสารจากระยะไกล


 


ณ สหพันธรัฐ รัฐบาลกลาง


 


ภายในวิลล่าบนภูเขา


 


ทั้งซางหยิงฮ่าวและกู่ฉิงซานมิได้อยู่ที่นี่


 


เย่เฟย์หยูเดินออกมาจากห้องของเขา และพบกับเหลียวฮังกำลังทิ้งตัวเอนกายอยู่บนโซฟา


 


อีกฝ่ายกำลังดื่มขณะดูทีวีไปด้วย


 


ในทีวี เป็นข่าวเกี่ยวกับการเลือกตั้งของรัฐบาลกลาง และพิธีกรที่กำลังสัมภาษณ์สองผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอยู่


 


“ตำแหน่งประธานาธิบดีกำลังจะถึงวาระในไม่ช้า คุณมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะเขาได้หรือไม่?” คนที่เป็นพิธีกรเอ่ยถาม


 


“ผมจะพยายาม เพราะผมต้องการจะยืนหยัดขึ้นและทำเพื่อผู้คนให้มากยิ่งกว่าที่เคย” ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีตอบด้วยรอยยิ้ม


 


เย่เฟย์หยูเดินลงไปนั่งข้างๆเหลียวฮัง


 


“อะไรกัน? นี่คุณไม่ดูละครที่พึ่งฉายไปเมื่อเร็วๆนี้แล้วหรอ” เขาเอ่ยถาม


 


“ไม่มีอารมณ์น่ะ” เหลียวฮังกล่าวพลางยกไวน์ขึ้นมาจิบ


 


แล้วในตอนนั้นเอง สายตาของเย่เฟย์หยูก็สังเกตเห็นหนังสือในมือของเหลียวฮัง


 


“ทฤษฏีพันธุศาสตร์?” เย่เฟย์หยูอ่านมันและเผลอพูดออกมา


 


“ใช่ มันคืองานเขียนของเพื่อนเก่าฉันเอง  บอกตามตรงเลยนะ เขาน่ะเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ไม่เป็นสองรองใคร และไม่มีใครสามารถเทียบชั้นกับเขาได้” เหลียวฮังเอ่ยยกย่อง


 


เย่เฟย์หยูมองท่าทีหดหู่ที่อีกฝ่ายแสดงออกมาและกล่าว “พวกคุณคงจะสนิทกันมาก”


 


“ก็ใช่น่ะสิ ตอนที่ฉันถูกไล่ล่าโดยคนจากเก้าตระกูลใหญ่ ในช่วงเวลาที่ฉันหลงทางและหมดหวัง ก็เป็นตาแก่ถังนี่แหละที่ช่วยฉันไว้”


 


“ผมได้ยินมาจากฉิงซานว่าคุณใช้โคลนสร้างร่างโคลนใช้มันเป็นตัวตายตัวแทน จากนั้นก็หลบหนีไป คุณกับเพื่อนมีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่” เย่เฟย์หยูอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม


 


แปะๆ .. เหลียวฮังตบลงเบาๆบนหนังสือทฤษฏีพันธุศาสตร์


 


“อ๊ะ เข้าใจแล้ว ที่แท้คุณก็อนุญาตให้เขาใช้เซลล์ของตัวเองทำการศึกษาการโคลนนี่เอง!” เย่เฟย์หยูโพล่งออกมาด้วยความตกใจ


 


ก่อนจะเริ่มเอ่ยต่อด้วยความสนใจ “แต่ผมได้รู้มาว่าอัตราความสำเร็จในการโคลนมนุษย์น่ะต่ำมาก และต่อให้สำเร็จ มันก็จะมีโรคมากมายแทรกซ้อน ไม่ก็พิการตั้งแต่กำเนิด ดังนั้นในหลายๆประเทศจึงห้ามทำการวิจัยเรื่องที่ว่านั่น แล้วเขาไปหาวิธีมาจนทำได้สำเร็จได้ยังไงกัน”


 


“การโคลนรูปลักษณ์น่ะมันนับว่าเป็นเรื่องที่ง่ายดายที่สุด” เหลียวฮังกล่าว “แต่มันจะเป็นเรื่องยากหากคิดจะโคลนความแข็งแกร่งทางกายภาพ , สติปัญญา และยากที่สุดคือหน่วยความทรงจำ ไม่มีใครเคยแหกทฤษฏีที่ว่านี้ได้เลยนอกจากตาแก่ถัง”


 


หากสามารถโคลนมนุษย์ โดยที่ยังมีความทรงจำจากเจ้าของเดิมอยู่ นั่นจึงนับว่าเป็นการโคลนที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง


 


หากไม่มีความทรงจำ โคลนได้แค่เพียงรูปลักษณ์ทางสรีรวิทยา ต่อให้เหมือนกันเป๊ะๆ แต่สุดท้ายก็ยังนับว่าเป็นคนอื่นอยู่ดี


 


“แล้วอวัยวะล่ะ? อวัยวะมันไม่น่าจะโคลนกันได้ง่ายๆนี่? ถึงแม้ว่าในส่วนนี้จะไม่ได้เป็นสิ่งต้องห้ามทางการแพทย์ในปัจจุบันก็เถอะ” เย่เฟย์หยูกล่าว


 


“สำหรับเรื่องอวัยวะแน่นอนว่าย่อมง่ายดาย ตาแก่ถังน่ะเป็นถึงผู้นำเกี่ยวกับด้านชีววิทยาและการแพทย์เชียวนะ” เหลียวฮังอธิบาย


 


“เห .. ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าคนที่เก่งด้านการแพทย์ขนาดนั้นจะมาตายเพราะโรคกำเริบเสียนี่” เย่เฟย์หยูกล่าวด้วยอารมณ์อันหลากหลาย


 


เพล้ง!


 


ขวดไวน์ร่วงตกลงบนพื้น


 


เหลียวฮังผุดลุกขึ้น สีหน้าท่าทีของเขาหม่นทะมึนแลดูน่าหวาดกลัว


 


ใช่แล้ว! คนอย่างตาแก่ถังจะตายลงโง่ๆด้วยโรคหัวใจวายได้ยังไง!


 


เหลียวฮังหยิบสมองควอนตัมส่วนบุคคลขึ้นมา เร่งเอ่ยปากกล่าว “เทพธิดากงเจิ้ง”


 


ทว่าบนสมองควอนตั้มกลับไร้ซึ่งเสียงตอบสนอง


 


“เทพธิดากงเจิ้ง นี่เป็นเรื่องสำคัญจริงๆนะ ฉันขอสาบานด้วยเกียรติแห่งนักวิทยาศาสตร์ของตัวเอง”


 


บนสมองควอนตัมส่องสว่างขึ้น


 


“มิสเตอร์เหลียว เชิญกล่าว” ในที่สุดเทพธิดาก็ตอบรับเขา


 


“ฉันต้องการที่จะตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดที่ดร.ถัง ทิ้งเอาไว้ รบกวนช่วยฉันด้วย” เหลียวฮังกล่าว


 


“ดร.ถังได้เสียชีวิตลงแล้ว ดังนั้นไฟล์ที่ว่ามาจึงถูกล็อค และปฏิเสธการเข้าถึงทั้งหมด” เทพธิดาตอบ


 


“แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมนะ! คุณต้องช่วยฉัน!” เหลียวฮังเริ่มร้อนรน


 


“ต้องขออภัยด้วย ไฟล์นี้ถูกล็อคโดยหน่วยข่าวกรองแห่งรัฐบาลกลาง และลำดับอำนาจพลเมืองของมิสเตอร์เหลียวก็ไม่เพียงพอที่จะทำการปลดล็อคไฟล์ที่ว่านั่น ” เทพธิดากล่าว


 


เหลียวฮังตะคอกสวน “เขาถูกฆ่าตายนะ แล้วทำไมแกถึงยังไงแกล้งทำเป็นตาบอดอยู่อีก!”


 


เทพธิดากงเจิ้ง “มิสเตอร์เหลียว ฉันจะตอบคุณเพียงแค่สามข้อเท่านั้น หลังจากนี้ ที่เหลือคุณคงต้องพึ่งตัวเองแล้ว”


 


“ก่อนอื่นเลยข้อแรก มีข้อสงสัยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ”


 


“ข้อสอง ฉันไม่ใช่พระเจ้าที่จะสามารถรอบรู้เรื่องราวทั้งหมด และภายใต้สถานการณ์ปกติฉันจำต้องปฏิบัติตามกฏหมายของรัฐบาลกลาง”


 


“ข้อสุดท้าย มิสเตอร์เหลียว โปรดทราบด้วยว่าอำนาจพลเมือง ‘แค่เฉพาะของคุณ’ ที่ไม่เพียงพอที่จะทำการปลดล็อคไฟล์ที่เกี่ยวข้อง”


 


เหลียวฮังหุบปากลงในทันใด


 


เขาค่อยๆพยายามเรียกสติกลับคืนมาอย่างช้าๆ จากนั้นก็โทรออกผ่านอุปกรณ์สื่อสารอย่างเงียบๆ


 


ไม่นานนัก เสียงของกู่ฉิงซานก็ดังขึ้น


 


“ว่าไง มีอะไรรึเปล่า?” เขากระซิบถาม


 


แม้จะเล็กน้อย แต่ก็สามารถได้ยินเสียงดนตรีงานเต้นรำลอดผ่านมาจากทางฝั่งกู่ฉิงซาน


 


“ฉันต้องการให้แกช่วย” เหลียวฮังกล่าว


 


“ช่วยหรอ? จะให้ฉันทำอะไรล่ะ?”


 


“เรื่องถังจุนที่ตายไปน่ะ แต่พอดีว่าฉันไม่มีอำนาจมากพอที่จะได้รับอนุญาตให้อ่านไฟล์ทั้งหมดของเขา – เขาเปรียบดั่งพี่น้องแท้ๆของฉัน และฉันต้องการที่จะตามล่าตัวฆาตกรตัวจริง แล้วแก้แค้นแทนเขาให้จงได้!”


 


“เทพธิดากงเจิ้งฉันอนุญาตให้เหลียวฮังสามารถอ่านไฟล์ข้อมูลทั้งหมดของถังจุนได้”


 


“รับทราบแล้วใต้เท้า”


 


แล้วการเชื่อมต่อก็ถูกตัดขาดลง


 


เทพธิดากงเจิ้ง “มิสเตอร์เหลียว คุณสามารถเข้าถึงไฟล์ที่เกี่ยวข้องได้แล้ว เชิญตรวจสอบดูได้”


 


สองมือของเหลียวฮังพรมลงอย่างรวดเร็วบนสมองควอนตัม เขากัดฟันกล่าว “ตาแก่ถัง ไม่ว่าคนที่ฆ่าแกมันจะเป็นใครก็ตาม ฉันจะต้องแก้แค้นให้แกอย่างแน่นอน”


 


ณ ฟูซี


 


โอเอซิสกลางทะเลทราย


 


ภายในพระราชวัง


 


องค์จักรพรรดิยังคงอยู่ในฟลอร์เต้นรำ


 


พระหัตถ์ของพระองค์ลื่นไหลเข้าไปในร่มผ้าอันงดงามของหญิงสูงศักดิ์ สัมผัสเข้ากับผิวกายของอีกฝ่าย


 


หญิงสูงศักดิ์เผยรอยยิ้มหวานแห่งความปลื้มปิติ เปล่งวาจาหยดย้อย “ฝ่าบาท … ”


 


องค์จักรพรรดิเอ่ยเสียงกระซิบ “เราจะไม่พูดถึงมัน ตกลงไหม?”


 


มือของเขายังคงเคลื่อนไหวไปตามจุดต่างๆ


 


หญิงสูงศักดิ์เริ่มหน้าแดง และผงกหัวรับอย่างเงียบๆ


 


งานเต้นรำยังคงดำเนินต่อไป


 


อีกด้านหนึ่ง


 


ภายในห้องหมากรุกอันเงียบสงบ


 


จิตสัมผัสเทวะของกู่ฉิงซานได้กวาดมาถึงที่นี่


 


จักรพรรดินีกำลังเล่นไพ่นกกระจอกกับหญิงสูงศักดิ์อีกสามคน


 


“วันนี้พวกเราก็จะมาเล่นกันทั้งคืนอีกแล้วหรอเพคะ?” หญิงสูงศักดิ์คนหนึ่งเอ่ยถาม


 


“แน่นอน คราวนี้ล่ะ ข้าจะต้องชนะเจ้าให้ได้” จักรพรรดินีกล่าวเสียงเย็น


 


“แต่หากท่านมิได้อยู่ข้างกายฝ่าบาทในยามค่ำคืน เขาจะไม่ตำหนิพวกเราหรอกหรือ?” หญิงสูงศักดิ์อีกคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างหวาดระแวง


 


“พระองค์เป็นคนเอ่ยปากสนับสนุนให้ข้ามาแก้แค้นพวกเจ้าด้วยตัวเองเลย มิต้องกังวลหรอก” จักรพรรดินีกล่าว


 


พอได้ฟัง ทั้งหมดจึงค่อยโล่งใจ


 


“เช่นนั้นก็คอยดูฝีมือกระหม่อมได้เลย” หญิงสูงศักดิ์คนหนึ่งหัวเราะ


 


แล้วคนอื่นๆก็เริ่มจับไพ่ขึ้นมาเล่น


 


ในช่วงเวลานี้ พวกเธอทุกคนถูกกักตัวไว้ในพระราชวังโดยจักรพรรดินี เพื่อร่วมกันเล่นไพ่ แต่ทั้งหมดกลับไม่คิดพร่ำบ่นใดๆ ตรงกันข้าม กลับรู้สึกเป็นเกียรติแทน


 


กู่ฉิงซานสับสนไปชั่วครู่


 


อย่างนี้นี่เอง


 


ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมพวกสาวใช้ในวังถึงบอกว่าจักรพรรดินีพึ่งลุกจากเตียง เดิมทีแล้วทุกค่ำคืนเธอมาก็มานั่งเล่นไพ่อยู่ที่นี่นี่เอง


 


อาจเป็นเพราะเธอไม่ต้องการที่จะร่วมเตียงเดียวกันกับองค์จักรพรรดิที่บัดนี้ราวกับเป็นคนแปลกหน้า จึงลากหญิงสูงศักดิ์สองสามคนมาร่วมเล่นไพ่ด้วยแทน


 


ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างผิดปกติจริงๆ


 


กู่ฉิงซานไตร่ตรองอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงผ่านชั้นอากาศไปยังจักรพรรดินี


 


“ฝ่าบาท กระหม่อมเอง กู่ฉิงซาน”


 


เสียงกังวานดังขึ้น ร่างของจักรพรรดินีดีดผึง เหยียดตรงด้วยความตื่นตระหนก


 


แต่เธอก็ถือโอกาสนั้นลุกขึ้นยืนและถอดเสื้อคลุมของตนเอง เพื่อความเนียน


 


“ข้ารู้สึกร้อนนิดหน่อยน่ะ คงต้องขอเปลี่ยนไปสวมเสื้อที่บางกว่านี้” จักรพรรดินีโบกมือไปยังเบื้องหลังและกล่าว


 


สาวใช้ในวังเดินตรงมาข้างหน้า รับเอาเสื้อคลุมไป พร้อมกับนำตัวใหม่มาให้เธออย่างรวดเร็ว


 


จักรพรรดินีสวมเสื้อคลุมตัวใหม่อย่างช้าๆ


 


เมื่อถึงเวลานี้ เธอก็นั่งลงอีกครั้ง ห้วงอารมณ์และสติกลับคืนสู่ความสงบ


 


ท่าทีของจักรพรรดินีดูสงบราวกับทุกอย่างเป็นปกติ เธอเอื้อมมือออกไปและจั่วไพ่นกกระจอก


 


*(เรื่องไพ่นกกระจอกนี่ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนะครับ ใครรู้พิมทิ้งไว้ได้เลย)


 


“ตั้งใจฟังให้ดีนะครับ ผมจะไปพบท่านในคืนนี้” กู่ฉิงซานเริ่มกล่าวต่อ


 


จักรพรรดินีแม้จะยังคงมึนงง แต่เธอก็ไม่แสดงท่าทีตระหนักถึงมัน “สาม!”


 


กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “ผมขอเสนอความคิดเห็นว่า ให้ท่านเชิญพวกเธอไปทานอาหารมื้อค่ำด้วยกัน จากนั้นระหว่างช่วงรับประทานก็หาข้ออ้างออกมา ไปยังสถานที่ลับตาคน แล้วพวกเราจะพูดถึงเรื่องราวต่างๆให้มันชัดเจนที่นั่น”


 


จักรพรรดินีตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ รักษาอารมณ์ให้สงบ


 


เมื่อถึงตาของเธอ เธอก็ยื่นมือไปจั่วไพ่ และหงายไพ่ที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าลงอีกครั้ง


 


จักรพรรดินีรูดนิ้วเรียวงามไปตามไพ่ที่หงายลงและกล่าว “ 8หมื่น”


 


แม้ว่าไพ่นี้จะสามารถใช้จับคู่ได้ แต่เธอก็ไม่ต้องการจะใช้มัน


 


เธอยื่นมือออกไป พร้อมกับเคาะลงบนมัน “8หมื่น”


 


“ถ้าหากท่านเห็นด้วย ผมอยากจะให้ท่านทิ้งเก้า” กู่ฉิงซานกล่าว


 


มือของจักรพรรดินีหยุดกึก


 


เธอวางไพ่บนมือของตัวเองลง และยกถ้วยชาขึ้นมาจิบมันอย่างช้าๆ


 


และเนื่องเพราะเธอเป็นถึงจักรพรรดินี หญิงสูงศักดิ์ทั้งหลายจึงไม่กล้าที่จะกระตุ้นเร่งเร้าเธอ


 


สองตาของจักรพรรดินีหรี่แคบลงติดตรึงมันอยู่กับไพ่ “80000” ของตัวเอง ก่อนจะดึงไพ่อีกใบขึ้นมา


 


“เก้า” เธอกล่าวคู่ดวงตาอันงดงามทรงเสน่ห์ของจักรพรรดินีติดตรึงอยู่กับ ไพ่8หมื่น ก่อนที่เธอจะเริ่มจั่วไพ่ขึ้นมาอีกใบ


 


“ทิ้งเก้า” กล่าวพร้อมกับวางไพ่ลง

 

 

 


ตอนที่ 312

 

 


มีคนขอวันนี้ 2 ตอนเลยลงให้ ปล.เสาร์อาทิตย์ก็ยังลง 2 ตอน


 


*(ผมไม่รู้เรื่องไพ่นกกระจอก ผิดพลาดยังไง พิมทิ้งไว้ได้ครับ)


 


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.312 – ค้นหาความจริง


 


ทันทีที่ ‘เก้า’ ถูกทิ้ง หญิงสูงศักดิ์คนข้างๆที่กำลังเตรียมจะหงายไพ่ชุดต่อไป ก็ถูกขัดจังหวะโดยจักรพรรดินีเสียก่อน


 


“เก็บไพ่!” หญิงสูงศักดิ์เอ่ยอย่างมีความสุข


 


หลังจากเก็บไพ่เก้า เธอก็เตรียมจัดวางไพ่ชุดใหม่อีกครั้ง


 


ส่วนจักรพรรดินี เมื่อจั่วไพ่ใบใหม่ขึ้นมาอีกที มันก็ยังคงเป็นไพ่ 8 หมื่น ชุดเดิม


 


คู่8หมื่นสองชุดถูกวางลงในแถวเดียวกัน


 


จักรพรรดินียกคิ้วสูงขึ้นด้วยความประหลาดใจ


 


พร้อมด้วยเสียงของกู่ฉิงซานที่ดังขึ้นอีกครั้ง


 


“ผมขอตั้งสมมติฐานว่า – ถ้าหากสถานการณ์ในตอนนี้มันเลวร้ายมากเกินไป อันตรายถึงชีวิตของท่าน โปรดทิ้ง2ตงด้วย”


 


จักรพรรดินีเก็บคู่8หมื่น ลงในชุดไพ่ของเธอ


 


จากนั้นก็ก้มมองลงไปในชุดไพ่ตัวเองและหยิบ ‘2ตง’ ขึ้นมาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย


 


“2ตง”


 


เสียงของกู่ฉิงซานกังวานในหูเธอ “ผมเข้าใจถึงสถานการณ์แล้ว ไว้ผมจะกลับมาอีกครั้งในภายหลัง”


 


บังเกิดสายลมวูบพัดผ่านไปเล็กน้อย


 


จิตสัมผัสเทวะของกู่ฉิงซานถูกถอนออกจากที่นั่น


 


บนโต๊ะไพ่นกกระจอก หญิงสูงศักดิ์ที่อยู่ถัดไปจากจักรพรรดินีที่กำลังจะลงไพ่ ถึงกับหยุดชะงักอีกครั้ง


 


“เก็บ! เหตุใดพระองค์จึงใจดีหยิบยื่นไพ่ดีๆให้แก่กระหม่อมถึงเพียงนี้” หญิงสูงศักดิ์หัวเราะและเก็บไพ่ด้วยรอยยิ้ม


 


ผู้เล่นที่นั่งอยู่ถัดจักจักรพรรดินีเอาแต่เก็บไพ่อย่างต่อเนื่อง จนอีกสองคนที่เล่นด้วยไม่มีโอกาสที่จะได้วางชุดไพ่ของพวกเธอลงเลย


 


จักรพรรดินีจั่วไพ่ขึ้นมา และจ้องมองมันด้วยความประหลาดใจ


 


“น็อค คู่7”


 


แล้วเธอก็หงายชุดไพ่ทั้งหมดตรงหน้าลง


 


ภายในห้องหมากรุก หลายคนทำการสลับตำแหน่งกันและเริ่มเล่นเกมใหม่อีกรอบ (เหมือนว่าจบตาจะต้องเปลี่ยนทิศ(ตำแหน่ง) กันนะครับ)


 


เมื่อหงายชุดไพ่ลง จักรพรรดินีก็ถอนหายใจพร้อมเอ่ยออกมาในทันใด “ข้าคงต้องบอกว่าเจ้าหนูตัวน้อยนั่นมีสายตาที่ไม่เลวเลยทีเดียว”


 


อีกสามคนที่พึ่งสลับตำแหน่งและหย่อนก้นลงพอได้ฟัง ก็รู้สึกสับสน แต่ไม่ได้เอ่ยคำใดออกไป


 


…….


 


กู่ฉิงซานเปิดประตูห้องน้ำ ล้างมือ ล้างหน้า แล้วเดินออกจากห้องน้ำชายไป


 


เขายังคงมองหามุมเล็กๆสงบๆ และเอ่ยขอสุราฤทธิ์แรงกับแก้วเปล่าสักใบ


 


ต่อด้วยเติมเองจนแทบล้น และดื่มเอง


 


กู่ฉิงซานค่อยๆดื่มเหล้าอย่างช้าๆ ขณะที่รอยยิ้มยังคงแขวนอยู่บนใบหน้า สายตาสาดส่องเหล่าบุคคลที่มีชื่อเสียงใหญ่โตที่มาร่วมงานวันนี้


 


เขาต้องใช้เวลาสักพักเลยกว่าจะใช้จิตทัสผัสเทวะสำรวจได้ทั่วพระราชวังเพื่อดูว่ามันมีอะไรผิดปกติ


 


ในตอนนั้นอุปกรณ์สื่อสารก็พลันดังขึ้น


 


เป็นเหลียวฮังที่โทรมา


 


“ว่าไง มีอะไรรึเปล่า?” กู่ฉิงซานกระซิบถาม


 


“ไม่มีอะไรมากหรอก แต่ตอนนี้ฉันแค่ต้องการจะดึงข้อมูลจากห้องปฏิบัติการของตาแก่ถังน่ะ แต่ข้อมูลการทดลองทั้งหมดของเขาถูกล็อคไปซะแล้ว”


 


“แล้วฉันต้องทำอะไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“มีเพียงเทพธิดากงเจิ้งเท่านั้นที่สามารถกู้คืนข้อมูลการทดลองที่เกี่ยวข้องได้ แต่เรื่องนี้นับว่าเป็นการละเมิดกฏหมายของรัฐบาลกลาง ฉันไม่มีสิทธิพิเศษ ดังนั้นเทพธิดาเลยไม่ตอบรับคำขอของฉัน”


 


“อนุญาตให้สิทธิ์เขาครั้งหนึ่ง” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“รับทราบแล้วใต้เท้า” เทพธิดาตอบรับ


 


“ฉันติดหนี้แกแล้ว” เหลียวฮังกล่าว และรีบวางสายไป


 


กู่ฉิงซานรินเหล้าให้ตัวเองแก้ว


 


ในโลกใบนี้ ไม่ว่าใครก็ตาม หากคิดจะกำจัดชายที่แข็งแกร่งอย่างจักรพรรดิแห่งฟูซี ย่อมไม่มีทางกระทำการอย่างเงียบเชียบได้


 


อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิฟูซีในเวลานี้กลับยังคงแลดูสงบ ปราศจากซึ่งวี่แววของคลื่นใดๆมากระทบรบกวน


 


ในขณะนี้ ชีวิตของจักรพรรดินีกำลังตกอยู่ในอันตราย


 


และตลอดทั้งสาธารณรัฐฟูซี ผู้ที่สามารถทำให้เธอตกอยู่ในสถานการณ์นั้นได้ มีเพียงองค์จักพรรดิเท่านั้น!


 


แม้จะเป็นเวลานานแล้ว ที่องค์จักรพรรดิแห่งฟูซีกับจักรพรรดินีจะสมรสกันในทางการเมือง แต่ทว่าทั้งสองก็ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี


 


แม้แต่ในชีวิตก่อนหน้า กระทั่งปีสุดท้ายของวันสิ้นโลกได้มาถึง ทั้งสองคนก็ไม่ได้มีปัญหาขัดแย้งใดๆกัน


 


มันก็จริงดั่งที่บางคนได้บอกเอาไว้ว่า องค์จักรพรรดิแห่งฟูซีน่ะมีความทะเยอทะยานที่สูงล้ำ ทว่าจักรพรรดินีของเขากลับเพียงแค่ต้องการซึ่งความมั่นคงและเสถียรภาพ


 


และเมื่อประเทศตนเกิดเสถียรภาพ เธอก็จะสามารถหาวิธีช่วยเหลือแอนต่อสู้กับจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ได้


 


แม้องค์จักรพรรดิและจักรพรรดินีจะมีแรงดลใจที่แตกต่างกัน แต่บางครั้งทั้งสองก็ประนีประนอมกัน


 


ในชีวิตก่อนหน้า ช่วงวันสิ้นโลก ภัยพิบัติได้ถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากที่ทุกประเทศสามารถเข้าเล่นเกมหมื่นสวรรค์ได้ ทุกคนก็วุ่นอยู่แต่กับการเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของตนเอง


 


กระทั่งองค์จักรพรรดิฟูซียังค้นพบว่าตนเองไม่นับว่าเป็นสิ่งใดเลย ยามอยู่ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ


 


และก็เป็นดั่งเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ องค์จักรพรรดิเริ่มเสาะแสวงหาความแข็งแกร่งแด่ตนเองอย่างบ้าคลั่ง


 


เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หากฝึกฝนจนขอบเขตวรยุทธสูงส่งขึ้น มันไม่เพียงแค่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่ง แต่ยังจะช่วยยืดอายุขัยให้ยืนยาวขึ้นอีกด้วย


 


ยามเมื่อก้าวเข้าสู่ขั้นก่อกำเนิด อายุขัยของผู้ฝึกยุทธจะเพิ่มพูนขึ้นถึง 1000 ปี!


 


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่แสนวิเศษเช่นนี้ องค์จักรพรรดิที่แสนทะเยอทะยาน ก็ลืมเลือนแผนการอย่างการแผ่ขยายอาณาเขตของตนไปจนหมดสิ้น


 


และนั่นส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจักรพรรดินียังคงเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีบาดหมางต่อกัน


 


อย่างไรก็ตาม ในช่วงชีวิตนี้ เกมหมื่นสวรรค์ยังไม่ได้เปิดตัว


 


จึงย่อมเป็นธรรมดาที่องค์จักรพรรดิยังมิได้ถูกเบี่ยงเบนความคิด หรือเปลี่ยนความสนใจของเขา


 


ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็วาบเข้ามาในจิตใจของกู่ฉิงซาน


 


-ภัยพิบัติสุดท้ายที่ปรากฏขึ้นในวันสิ้นโลก คือภัยพิบัติเยือกแข็ง


 


หากมันเป็นภัยพิบัติเยือกแข็งจริงๆ การที่องค์จักรพรรดิหมายจะลงมือกระทำบางสิ่งบางก็น่าจะสมเหตุสมผล


 


เพราะหลังจากทั้งหมดนี้ ต้นกำเนิดของภัยพิบัติเยือกแข็งที่เกิดขึ้นนั้น มีหนึ่งแห่งตั้งอยู่ในอาณาเขตของสาธารณรัฐฟูซี


 


เมื่อภัยพิบัติอันไม่อาจต้านทานได้มาถึง ในชีวิตก่อนหน้า องค์จักรพรรดิฟูซีจึงเลือกยืนอยู่เคียงข้างมนุษยชาติ


 


กู่ฉิงซานเทเหล้า แล้วกระดกมันขึ้นดื่ม


 


ในหัวใจของเขาวูบไหวอย่างกระทันหัน


 


ทั้งหมดนี้ อาจจะไม่ใช่อย่างที่เขาคิดก็เป็นได้


 


ภายนอกองค์จักรพรรดิอาจจะยืนอยู่เคียงข้างเดียวกันกับฝั่งมนุษยชาติ แต่ใครจะรู้ ลึกๆภายในเขาอาจจะกำลังคิดหมายบางสิ่งอยู่ก็เป็นได้ ตัวอย่างก็เช่น …


 


ในช่วงวันท้ายๆของชีวิตก่อนหน้า โลกค่อยๆถูกทำลายลงอย่างช้าๆ มนุษย์ทยอยกันตกตายลงคนแล้วคนเล่า


 


หลายคนที่แม้จะยังคงมีชีวิตอยู่ แต่ก็ได้หมดสิ้นแล้วซึ่งสิ่งที่เรียกกันว่า ‘ความหวัง’ หรือ ‘กำลังใจ’


 


ส่งผลให้บางคนยินยอม ‘ขายวิญญาณ’ ตนเองให้แด่ภัยพิบัติ


 


ถ้าหากภัยพิบัติเยือกแข็งปะทุขึ้นแล้ว แต่องค์จักรพรรดิฟูซียังเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน ทุกคนคงพอจะเดาออกใช่ไหมว่าเขาจะเลือกอะไร?


 


ภัยพิบัติที่แม้กระทั่งเก้าตระกูลใหญ่ก็ยังมิอาจต่อกรกับมันได้


 


แล้วถ้าหากสามารถใช้ภัยพิบัตินี้ สังหารเก้าตระกูลใหญ่ลงได้ ฝ่าบาทจะพิจารณาถึงเรื่องนี้ว่าอย่างไร?


 


กู่ฉิงซานเบนสายตาไปยังฟลอร์เต้นรำเพื่อมองหาองค์จักรพรรดิ


 


พระองค์กำลังเต้นรำโดยมีหญิงงามถูกโอบกอดไว้ในอ้อมแขน


 


ใบหน้าของหญิงสูงศักดิ์แดงซ่าน เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกของการถูกสวมกอดภายใต้อ้อมแขนขององค์จักรพรรดิท่ามกลางบทเพลงและแสงสีในงานเต้นรำ


 


แต่แล้วกู่ฉิงซานก็พลันสังเกตเห็นว่า ในวันนี้ … องค์จักรพรรดิมิได้สวมใส่มงกุฏ!


 


กู่ฉิงซานบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นในจิตใจของเขา


 


เขามัวแต่คิดถึงเรื่องขององค์จักรพรรดิไม่หยุดหย่อน จนหลงลืมไปแล้วว่าแท้จริงตนมาเพราะเรื่องของมงกุฏที่ว่านั่นด้วย!


 


ไม่ว่ายังไงก็ตาม เวลานี้เขาจะต้องได้รับเลือดของตะวันและจันทรามาให้จงได้


 


กู่ฉิงซานยกเหล้าขึ้นจิบ และเสร็จสิ้นการตรวจสอบโดยจิตสัมผัสเทวะ


 


ในจิตสัมผัสเทวะของเขา ตลอดทั่วทั้งวังนี้ไม่ได้มีอะไรผิดปกติอย่างแท้จริง


 


ที่ผิดปกตินิดหน่อยก็น่าจะเป็นจำนวนของรัญมนตรีแห่งฟูซี ที่ดูเหมือนว่าจะมีมากเกินไป


 


หากองค์จักรพรรดิมาใช้วันหยุดของเขาในวัง และนำผู้ช่วยบางคนมาเพื่อจัดการช่วยเหลือกับปัญหาทางการเมืองมันก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่หรอก แต่ ..


 


แต่คราวนี้ เกือบครึ่งในงานล้วนเป็นรัฐมนตรี


 


กู่ฉิงซานส่ายหัว


 


ณ ช่วงเวลานั้นเอง นายทหารที่ตัวสูง หล่อเหลาก็เดินเข้ามาหาเขา


 


“สวัสดี” นายทหารกล่าว


 


“สวัสดี มีเรื่องอะไรให้ผมรับใช้?”


 


“คุณคือ กู่ฉิงซานใช่ไหม? ผู้เชี่ยวชาญด้านเกราะรบขับเคลื่อนแห่งรัฐบาลกลาง?”


 


“ใช่แล้วล่ะ นั่นผมเอง”


 


“เจ้าหญิงยังเยาว์วัยนัก ขณะเต้นรำเธอเลยทำกริยาไม่เหมาะสมกับคุณ ดังนั้นฉันจึงมาขอโทษแทนเธอ”


 


“ไม่เป็นไรหรอก ยังไงเธอก็เต้นได้ดีไม่เลวล่ะนะ คุณเองก็ … คงกำลังตกอยู่ในห้วงความรักล่ะสิใช่ไหม?”


 


“ใช่”


 


“ผมขอให้คุณมีความสุขนะ”


 


ระหว่างกล่าว กู่ฉิงซานก็ยกมือขึ้นเรียกบริกร หยิบแก้วมา และใส่น้ำแข็งลงไป


 


เขารินเหล้าไว้ตนเองแก้วหนึ่ง ส่วนอีกแก้วยื่นให้อีกฝ่าย


 


“อา ขอบใจนะ”


 


นายทหารหนุ่มรับแก้วมา และเริ่มจับจ้องสังเกตตัวกู่ฉิงซาน


 


ดวงตาของกู่ฉิงซานช่างกระจ่างชัด ทัศนคติของเขาดูเป็นคนใจกว้างและตรงไปตรงมา


 


เมื่อจับสังเกตอีกเล็กๆน้อยๆ ความประทับใจที่มีต่อกู่ฉิงซานก็เพิ่มขึ้นหลายส่วน


 


พวกเขาชนแก้วกันและยกขึ้นดื่ม


 


นายทหารหนุ่มตั้งใจที่จะทำความรู้จักและเป็นสหายกับกู่ฉิงซาน แถมในชีวิตก่อนหน้าของกู่ฉิงซานเขาก็อยู่ในจักรพรรดิฟูซีมานานมาก ดังนั้นจึงไม่มีอุปสรรคใดๆในการสนทนาระหว่างทั้งสอง ไม่นานนักพวกเขาก็คุ้นเคยกันอย่างรวดเร็ว กระทั่งสรรพนามที่ใช้เรียกขานกันก็เปลี่ยนไป


 


“เจ้าหญิงเธอขอให้ฉันเป็นฝ่ายเริ่มเปิดฉากต่อสู้กับนาย แล้วท้าพนันต่อหน้าทุกคน”


 


นายทหารกล่าวอย่างหมดหนทาง


 


กู่ฉิงซานจึงเอ่ยทันที “ฉันเป็นนักวิทยาศาสตร์นะ ไม่ใช่พวกมืออาชีพ”


 


อย่างไรก็ตาม นายทหารกลับกล่าวสวนมาฉับพลัน “ก็นั่นน่ะสิ ฉันน่ะเป็นมืออาชีพนะ ถ้าจู่ๆมาท้าทายฝ่ายบุ๋นที่เน้นใช้สมอง คนอื่นๆคงจะหัวเราะฉันแย่” นายทหารกล่าว


 


“แล้วที่นายต้องการจะสื่อก็คือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“แน่นอนว่าจะไม่สู้ ต่อให้เจ้าหญิงจะตำหนิฉันก็ตามที … ฉันไม่สามารถรังแกคนดังอย่างนายได้หรอก” นายทหารกล่าว


 


“ฉันล่ะชื่นชมการตัดสินใจของนายจริงๆ ที่ไม่ได้ใช้พลังเพื่อข่มคนที่อ่อนแอกว่า” กู่ฉิงซานกล่าวสรรเสริญ


“นายก็ชมกันเกินไป”


 


นายทหารหนุ่มฝ่ายตรงข้ามเริ่มเขิน


 


กู่ฉิงซานกลับเข้าเรื่อง “ขอถามหน่อยจะได้ไหม ว่านายทำอาชีพอะไร?”


 


นายทหารหนุ่มยืดอกขึ้นและกล่าว “ฉันทำงานเป็นองครักษ์”


 


กู่ฉิงซาน “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”


 


ในฟูซี มีเพียงลูกหลานขุนนางที่ซื่อสัตย์ต่อราชวงศ์เท่านั้นที่จะสามารถรับตำแหน่งองครักษ์แห่งวังหลวงได้


 


องครักษ์ในวังนับว่าเป็นเกียรติยศและแสดงถึงสถานะ เป็นหน้าเป็นตาแก่องค์จักรพรรดิ


 


เนื่องเพราะภูมิหลังอันโดดเด่นของนายทหารหนุ่มผู้นี้นี่เอง เขาจึงได้รับการยินยอมให้มีส่วนร่วมในงานรื่นเริงและมีโอกาสเข้าหาเจ้าหญิง


 


กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “งานคุ้มกันตัวตนที่ทรงพลังดังเช่นฝ่าบาท ในแต่ละวันมันคงจะสะดวกสบายมากเลยล่ะสิ”


 


นายทหารหนุ่ม “ พวกเราต้องออกเคลื่อนไหวอยู่บ่อยครั้ง และยืนอยู่รอบๆกายฝ่าบาทเพื่อทำหน้าที่คุ้มกัน แต่ก็นั่นล่ะนะ … มันก็สบายอย่างที่นายว่าจริงๆ”


 


พอเอ่ยถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานกับนายทหารหนุ่มหัวเราะออกมาพร้อมกัน


 


กษัตริย์แห่งจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์เป็นพวกที่ชอบเสวยสุข ดื่มด่ำมึนเมา ส่วนประธานาธิบดีของรัฐบาลกลางก็เป็นคนได้รับเลือกตั้งมาจากประชาชน ทั้งสองจึงนับว่ามิใช่ตัวตนอันแข็งแกร่งทำใดนัก


 


มีเพียงจักรพรรดิแห่งฟูซีเท่านั้น ที่เป็นมืออาชีพ เป็นตัวตนอันแข็งแกร่ง และทรงพลังอย่างแท้จริง


 


และมืออาชีพส่วนใหญ่จากทั่วทั้งโลก ล้วนต้องยอมสยบต่อเขา


 


แล้วตัวตนที่ทรงพลังถึงขนาดนี้ เหตุใดจึงจำเป็นจะต้องให้ความคุ้มครองอีกเล่า?


 


กู่ฉิงซานรินเหล้าให้อีกฝ่าย


 


“แก้วนี้เพื่อแสดงความนับถือแด่ฝ่าบาทของนาย” เขากล่าว


 


“แสดงความนับถือแด่ฝ่าบาท” นายทหารกล่าว


 


พวกเขายกเหล้าขึ้นดื่มอีกครั้ง


 


มันเป็นเหล้าที่มีฤทธิ์แรงมาก ทว่าแม้กู่ฉิงซานจะดื่มมันมาสักพักแล้ว แต่เขาก็ยังไม่มีปฏิกริยาใดๆ


 


ส่วนนายทหารหนุ่มหลังจัดไปหลายแก้ว ใบหน้าของเขาก็เริ่มที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงนิดๆ ดูท่าจะเมาหน่อยๆแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 313

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.313 – คทาแห่งองค์จักรพรรดิ


 


ภายในห้องจัดเลี้ยง เสียงดนตรีบรรเลงเริ่มดังขึ้น


 


ผู้คนกินดื่ม เต้นรำ และหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน


 


งานเลี้ยงปาร์ตี้เต้นรำ เคล้าคลอไปกับบรรยากาศที่แสนอบอุ่นและร่าเริง ส่งผลให้ทุกคนดื่มด่ำไปกับมัน


 


กู่ฉิงซานเติมเหล้าจนเต็มแก้วแล้วผลักมันไปให้นายทหารหนุ่ม


 


ทั้งสองชนแก้วและยกขึ้นดื่มอีกครั้ง


 


“รู้สึกว่าช่วงนี้ฝ่าบาทจะมีความสุขมากกว่าปกตินะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


นายทหารหนุ่มปลดกระดุมบนปกคอเสื้อ จึงค่อยหายใจหายได้สะดวกขึ้น และเริ่มกล่าว “ใช่แล้วล่ะ วันก่อนที่จะกลับมาในวัง พระองค์ก็เสด็จออกไปล่าสัตว์ในภูเขาตามปกติ แล้วก็ล่าเหยื่อมาได้มากซะด้วย”


 


“ตั้งแต่นั้นมา อารมณ์ของฝ่าบาทก็ดีขึ้นมากเลยทีเดียว”


 


กู่ฉิงซานยิ้ม “แล้วนายได้ไปกับเขาหรือเปล่า?”


 


นายทหารเอ่ยปากด้วยความไม่สบายใจ “ในระหว่างการล่า ฝ่าบาทจะไม่ยอมให้พวกเราติดตามไป ทรงตรัสว่าผู้คนจำนวนมากเกินไป มันจะเป็นเรื่องง่ายในการล่าเหยื่อ และทำให้ไม่สนุก”


 


กู่ฉิงซาน “แสดงว่าฝ่าบาทออกไปล่าสัตว์โดยไม่มีผู้ติดตามไปใช่ไหม?”


 


“ไม่เสมอไปหรอก มีเพียงแค่เมื่อวานซืนที่ท่านไม่ยินยอมให้พวกเราติดตามไปด้วย”


 


“ท่านคงกะจะล่าจนหนำใจเลยสินะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“ใช่ ท่านกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่บนใบหน้าเลยล่ะ”


 


กู่ฉิงซานจมลงสู่ห้วงความคิดของเขา


 


“ฮึ! คุณไม่คิดเดิมพันต่อสู้กับเขา แต่ดันมาเลือกที่จะพูดคุยกันแทนเนี่ยนะ?” เสียงของหญิงสาวดังขึ้น


 


ทั้งสองหันไปตามเสียง และพบว่าเป็นเจ้าหญิง


 


เจ้าหญิงหันไปจ้องนายทหารหนุ่มด้วยแววตาโกรธเคือง ก่อนจะเชิดหน้าและหันหลังวิ่งจากไป


 


“โทษทีนะ คงต้องขอตัวก่อนแล้วล่ะ” นายทหารหนุ่มกล่าว


 


“ไปเถอะ” กู่ฉิงซานโบกมือ ไม่คิดรั้งตัวเขาไว้อีก


 


แล้วนายทหารหนุ่มก็รีบวิ่งตามเจ้าหญิงไปทันที


 


“ออกล่าคนเดียว … ” กู่ฉิงซานบ่นงึมงำเบาๆ


 


ตามคำบอกใบ้ของจักรพรรดินีเวโรน่า องค์จักรพรรดิดูจะแตกต่างไปจากเมื่อก่อน


 


และเวโรน่าก็ใช้เวลาตลอดทั้งค่ำคืนเพื่อป้องกันตัวเองจากเขา


 


เพราะถ้าหากองค์จักรพรรดิตระหนักได้ว่าเธอเห็นถึงความผิดปกติ เธอย่อมต้องถูกเขาฆ่าปิดปากเป็นแน่


 


ปัญหาคือช่วงที่ออกไปล่าสัตว์


 


กู่ฉิงซานนั่งอยู่ในเดียวในมุมเล็กๆ และยกเหล้าขึ้นมาจิบอีกเล็กน้อย


 


แต่พอหญิงสูงศักดิ์คนหนึ่งมาขอให้เขาร่วมเต้นรำด้วย เจ้าตัวก็มิได้ปฏิเสธ


 


คนดังบางคนเอ่ยทักทายเขา และกู่ฉิงซานก็พูดคุยกับอีกฝ่าย สนทนากันเกี่ยวกับหัวข้อที่น่าสนใจ


 


เขาผสานหลอมรวมเข้ากับงานเลี้ยงในสังคมชั้นสูงแห่งสาธารณรัฐฟูซีได้อย่างสมบูรณ์แบบ


 


และกำลังเฝ้มรอให้งานเลี้ยงจบลงอย่างเงียบๆ


 


กลางดึก


 


เมื่อสิ้นเสียงเพลงบรรเลง งานเลี้ยงก็ได้มาถึงจุดสิ้นสุด


 


หลายคนเมามาย และถูกนำตัวไปยังห้องพัก


 


กู่ฉิงซานก็แยกตัวไปยังห้องพักที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้


 


เขายืนนิ่งอยู่ในห้อง ปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา กวาดไปตลอดทั่วทั้งวัง


 


กวาดผ่านเหล่าขุนนางหนุ่มสาวที่ยังคงพูดคุยและดื่มกินกันในห้องขนาดเล็ก


 


นายทหารหนุ่มกับเจ้าหญิงก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน


 


ทั้งสองเปี่ยมไปด้วยพลังงานที่เหลือล้น เพลิดเพลินไปกับช่วงวัยที่ยังเยาว์อยู่


 


แต่กู่ฉิงซานก็กวาดจิตสัมผัสเทวะผ่านไปอย่างรวดเร็ว มิคิดสนใจใดๆกับพวกเขา


 


ภายในห้องประชุมวัง เต็มไปด้วยแสงสว่างไสว


 


แม้ว่านี่จะเป็นยามดึก แต่องค์จักรพรรดิก็ยังคงสนทนาอยู่กับคนสนิทหลายคนบนบัลลังก์


 


จิตสัมผัสเทวะกวาดเลยมาจนถึงห้องหมากรุก และเกมก็ยังคงดำเนินต่อไป


 


จักรพรรดินีทิ้งไพ่ลง “ห้าตง”


 


หญิงสูงศักดิ์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “น็อค! ไพ่ห้าตง”


 


จักรพรรดินี “วันนี้ข้าไม่คิดเลยว่าจะพ่ายแพ้ยันเยินขนาดนี้”


 


ในตอนนั้นเอง เสียงของกู่ฉิงซานก็เอ่ยออกมา


 


จักรพรรดินีผลักชุดไพ่ของเธอ ลุกขึ้นยืนและเอ่ยว่า “ข้าชักจะหิวซะแล้วซี พวกเจ้าช่วยออกไปดูหน่อยจะได้ไหมว่าในครัวยังมีอะไรน่าสนใจหลงเหลืออยู่บ้างหรือเปล่า หยิบฉวยบางสิ่งมาตั้งโต๊ะกินร่วมกัน แล้วจากนั้นค่อยกลับมาเล่นกันต่อตลอดทั้งคืนก็ได้”


 


“ขอบพระคุณฝ่าบาท” สามหญิงสูงศักดิ์ยืนขึ้น คารวะน้อมรับด้วยความยินดี


 


เดิมทีแล้วเรื่องนี้ นับว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆที่สมควรจะให้สาวใช้ออกไปนำมันมา


 


แต่หากจักรพรรดินีเป็นคนเอ่ยปากว่าให้ทั้งสามช่วยไปเลือกอาหารในค่ำให้เธอแล้วร่วมรับประทานด้วยกัน ทั้งหมดย่อมตอบรับ เพราะนั่นอาจหมายถึงความสนิทชิดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้น


 


นอกจากนี้แม้จะเล่นไพ่นกกระจอกด้วยกัน แต่พวกเธอก็รู้สถานะของตัวเองดี และมิคิดปฏิเสธที่จะเป็นการแสดงถึงการละเลยมารยาท


 


สามหญิงสูงศักดิ์ถูกนำทางไปโดยสาวใช้


 


“พวกเจ้าก็เหมือนกัน ช่วยออกไปก่อน ข้าอยากจะอยู่เงียบๆสักพัก” จักรพรรดินีเอ่ยสั่ง


 


สาวใช้บางส่วนที่ยังเหลืออยู่ค่อยๆถอยออกไป


 


ห้องหมากรุกกลับคืนสู่ความเงียบงัน


 


แล้วเสียงของกู่ฉิงซานก็ปรากฏขึ้น


 


“ฝ่าบาท ตอนนี้ช่วยบอกถึงรายละเอียดแบบเฉพาะเจาะจงให้กระหม่อมฟังได้หรือไม่”


 


จักรพรรดินีเอ่ยปากกล่าวกับอากาศที่ว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว “สองวันก่อน องค์จักรพรรดิออกไปล่าสัตว์คนเดียว ทว่าหลังจากกลับมาแล้ว เขากลับแตกต่างจากเดิมราวกับเป็นคนละคน”


 


“ข้าสามารถตระหนักได้ทันทีว่าเขาผิดแผกไป แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บ หรือพลังอำนาจจะยังคงเดิม แต่ข้าคิดว่ามันไม่ใช่อยู่ดี”


 


“แล้วเขารู้หรือยังว่าท่านตระหนักถึงความผิดปกตินี้แล้ว”


 


“ข้าแสร้งแสดงทำตัวตามปกติ และยังมิได้ทำอะไรผิดสังเกตหรือแตกต่างไปจากเดิม”


 


“แต่ในช่วงหลังๆมานี้ คำพูดและการกระทำของเขา ก็เริ่มที่จะแตกต่างไปจากเดิมมากขึ้นเรื่อยๆ ข้าเลยมั่นใจแล้วว่ามันจะต้องมีปัญหาเกิดขึ้นตามมาแน่ๆ”


 


“แม้ว่าเขาจะยังยินดีที่จะปล่อยให้ข้าออกมาเล่นไพ่ แต่นั่นก็เพราะข้ายังไม่ค้นพบความลับใดๆเพิ่มเติมเกี่ยวกับเขา ข้าจึงยังสามารถอยู่ด้วยกันกับเขาอย่างสงบสุขได้ชั่วคราว”


 


“อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขได้ชั่วคราว? ท่านคิดว่าเขาจะฆ่าท่านอย่างนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


สีหน้าของจักรพรรดินีเผยถึงการตัดสินใจแน่วแน่ ปากเอ่ยกล่าว “เมื่อเขาเตรียมทุกอย่างพร้อมโดยสมบูรณ์ เขาจักต้องสังหารข้าอย่างแน่นอน”


 


“เพราะเหตุใด?”


 


“เพราะข้าเป็นคนที่หนุนหมอนอยู่ข้างกายเขา ล่วงรู้ความลับมากมาย และหนึ่งในความลับที่ว่านั่นเป็นถึงจุดอ่อนเดียวที่เขามี ”


 


“ฟังจากที่กล่าวมา  ท่านกำลังจะบอกว่าตนเองมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันกับเขาใช่หรือเปล่า?”


 


“ใช่ ข้าเพียงแค่อยากจะรักษาสาธารณรัฐให้มันคง แต่เขากลับต้องการมากกว่านั้น”


 


จักรพรรดินีกล่าวต่อ “ข้าจักต้องต่อต้านความทะเยอทะยานของเขา”


 


แต่แล้วจู่ๆกู่ฉิงซานก็เอ่ยออกมาอย่างฉับพลัน “ว่าแต่ท่านรู้ไหมว่ามงกุฏของฟูซีอยู่ที่ไหน?”


 


จักรพรรดินีชะงักงัน และกล่าว “มงกุฏราชวงศ์มีอยู่สามชิ้น เจ้ากำลังกล่าวถึงชิ้นใดกันล่ะ?”


 


“ชิ้นที่ตรงกลางฝังไว้ด้วยอัญมณีจากจักรวาล”


 


“มงกุฏราชวงศ์และคทาขององค์จักรพรรดิทั้งหมดถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบโดยข้า ดังนั้นย่อมเป็นธรรมดาที่ข้าจะทราบ”


 


“พอดีว่าผมต้องการอัญมณีบนมงกุฏที่ว่านั่น ท่านช่วยไปนำมันมาจะได้หรือไม่ เมื่อได้มันมาแล้วพวกเราจะหนีไปทันที”


 


“เจ้าสามารถช่วยข้าได้หรือ?” จักรพรรดินีเอ่ยถาม


 


ท่าทีของเธอบัดนี้แลดูสงบมาก “แม้ข้าจะเคยได้ยินแอนนาพูดถึงเกี่ยวกับพลังอันลึกลับของเจ้า แต่เจ้าคงทำมันมิได้หรอก อย่าพยายามช่วยข้าเลย มันไม่ง่ายดายถึงเพียงนั้น”


 


“มิฉะนั้น หากเจ้าพลาดพลั้ง นั่นหมายถึงความตาย”


 


“ทำไมท่านถึงดูห่วงใยเกี่ยวกับชีวิตของผมถึงขนาดนี้?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“เพราะหากไร้ซึ่งความหวังใดๆแล้ว เช่นนั้นขอแค่ความปรารถนาเดียวก็พอ นั่นคือขอให้ข้าเป็นคนสุดท้ายที่จะต้องตายลง”


 


จักรพรรดินีบัดนี้แลดูสงบ สงบมาก ทั้งคนทั้งร่างเธอเต็มไปด้วยวุฒิภาวะความเป็นผู้ใหญ่


 


“ทำไมกัน?”


 


“ถ้าหากเจ้าตายไป มันจะเกี่ยวโยงถึงผลกระทบร้ายแรงต่อแอนนา เวลานี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดสำหรับเธอ และห้วงอารมณ์ของเธอไม่สมควรจะมีสิ่งใดเข้าไปแทรกแซง” จักรพรรดินีกล่าว


 


“เธอคือความหวังสุดท้ายของเรา .. ของตระกูลเมดิซี”


 


“ดังนั้นถ้าหากเจ้ายังไม่มั่นใจ อย่าได้กังวลถึงชีวิตและความตายของข้า จงลอบหาโอกาสหนีออกไป และบอกความจริงให้แอนนาทราบในภายหลัง”


 


กู่ฉิงซานบังเกิดความรู้สึกเคารพลึกต่ออีกฝ่ายขึ้นมาอย่างเงียบๆ


 


“ไม่ต้องกังวลไป ตราบใดที่ผมต้องการจะช่วยท่าน ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถมาหยุดได้” เขากล่าว


 


ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงกระซิบอันแผ่วเบาดังขึ้นจากด้านนอก


 


“เข้ามาสิ”


 


สองสาวใช้เปิดประตูเข้ามา โค้งกายคำนับและกล่าว “อาหารมื้อค่ำได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้แล้ว นายหญิงทั้งสามกำลังเฝ้ารอท่านอยู่เจ้าค่ะ”


 


จักรพรรดินีกล่าว “ตอนนี้ข้ารู้สึกไม่ค่อยหิวแล้ว ให้พวกนางกินกันไปก่อน และหลังจากกินเสร็จก็กลับมาเล่นไพ่กันต่อ”


 


“เจ้าค่ะ”


 


สองสาวใช้หันมามองหน้ากันวูบหนึ่ง และถอยออกจากประตูไป


 


จักรพรรดินีลุกขึ้นยืนอยู่สักพัก ก่อนจะเดินออกจากประตูตามไปเช่นกัน


 


เธอก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงห้องสุดท้ายของทางเดิน


 


“ถอยไปซะ” จักรพรรดินีกล่าว


 


“พะยะค่ะฝ่าบาท” สององครักษ์กล่าว


 


พวกเขาโค้งกายคำนับอย่างระมัดระวัง เดินจากไปพร้อมกับปิดประตูลง


 


จักรพรรดินียื่นมือไปบนกำแพง และทำการเปิดช่องลับ


 


มงกุฏแห่งราชวงศ์ฟูซีที่ถูกฝังไว้ด้วยเลือดของตะวันและจันทราวางอยู่เงียบๆในช่องลับดังกล่าว


 


ข้างๆมงกุฏ เป็นคทาจักรพรรดิ


 


จักรพรรดินีมองไปยังคทาด้วยความตกใจ พร้อมกับบังเกิดร่องรอยของความหวาดกลัวขึ้นในแววตาของเธอ


 


คทาจักรพรรดิถูกหล่อขึ้นด้วยทองคำบริสุทธิ์ โดยมีหัวมนุษย์ถูกแกะสลักอยู่บนยอด และสีหน้าบนหัวก็กำลังแสดงออกถึงการเฝ้ามองมายังวิสัยทัศน์ตรงหน้า


 


มันคือศีรษะของผู้ก่อตั้งจักรวรรดิฟูซี


 


เมื่อจักรพรรดิผู้ก่อตั้งสิ้นพระชนลง เขาร้องขอให้รวมหัวกะโหลกศีรษะตน หลอมเข้ากับส่วนยอดของคทา และชุบซ้ำด้วยทองคำ แกะสลักเป็นคทาเพื่อส่งต่อไปยังองค์จักรพรรดิแห่งฟูซีสืบต่อไป


 


ความหมายของมันก็คือ แม้ว่าเขาจะเสียชีวิตลงไปแล้ว แต่ก็ยังคงเฝ้าจับตาดูลูกหลานของตนอยู่ว่าพวกเขามีคุณสมบัติเหมาะที่จะเป็นราชาผู้ครองแผ่นดินหรือไม่


 


เวลานี้ ทองคำบริสุทธิ์ยังคงอยู่ แต่ … ศีรษะของผู้ก่อตั้งฟูซีกลับหายไป!


 


“ท่านพอจะทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“ไม่เลย ข้าไม่รู้” จักรพรรดินีกล่าว


 


“ใช่ว่าเป็นองค์จักรพรรดินำมันออกไปแต่ไม่ได้บอกท่านหรือเปล่า?”


 


“ข้าได้รับหน้าที่จัดระเบียบสิ่งของเหล่านี้ให้แด่เขาเสมอมา แต่-”


 


จักรพรรดินีพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเอง และหยิบมงกุฏออกมา


 


เธอพยายามที่จะไม่เหลือบสายตามองไปยังคทา


 


หลังจากทั้งหมดนี้ เรื่องราวมันแปลกมากเกินไป


 


ทำไมกัน? ทำไมถึงไม่หยิบเอาไปทั้งคทา แต่กลับเอาไปแค่เพียงกะโหลกศีรษะขององค์จักรพรรดิผู้ก่อตั้งประเทศ!?

 

 

 


ตอนที่ 314

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.314 – การตายของถังจุน


 


จิตสัมผัสเทวะของกู่ฉิงซานกวาดลงไปยังคทาทอง


 


รอยแยกที่เชื่อมต่อระหว่างแท่งคทากับศีรษะนั้นแบนราบและเรียบเนียน บ่งบอกว่าถูกตัดออกไปอย่างพิถีพิถันด้วยอาวุธมีคม


 


แต่ขโมยที่ไหนกันเล่าจะยอมทิ้งคทาทองทั้งแแท่งอันแสนมีค่า แล้วนำไปเพียงแค่ศีรษะของคนตาย?


 


ความรู้สึกไม่ดีก่อบังเกิดขึ้นในจิตใจของกู่ฉิงซาน มันหนักขึ้น หนักขึ้นเรื่อยๆ


 


แม้ว่าองค์จักรพรรดิจะเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งมาก แต่การรักษาความปลอดภัยในวังก็ยังคงถือว่าแน่นหนามากเช่นกัน


 


คุณย่อมไม่อาจลอบมาเข้ามาในวังได้ เว้นเสียแต่ว่าคุณจะเฝ้าสังเกตการณ์วังจากภายนอกอย่างถี่ถ้วนเสียก่อน


 


คนที่ลอบเข้ามา จะต้องคุ้นเคยกับรูปแบบการรักษาการในพระราชวังทั้งหมด หลบเลี่ยงองค์จักรพรรดิผู้แสนจะน่าเกรงขาม และต้องรู้ด้วยว่าจักรพรรดินีเก็บของล้ำค่าเหล่านี้ไว้ที่ไหน


 


ในบรรดาเหล่าตัวตนผู้ทรงอำนาจและยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกทั้งหลาย ใครกัน? ใครที่ยอมทุ่มเทพยายามใช้เวลาเฝ้าสังเกตอยู่นาน เพื่อที่จะขโมยศีรษะของผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐฟูซี?


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจออกมา


 


เรื่องนี้ดูเหมือนว่าจะไม่แค่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างองค์จักรพรรดิและจักรพรรดินีซะแล้ว


 


ดังนั้น กู่ฉิงซานจึงตัดสินใจแล้วว่าจะก้าวเข้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้


 


“ฝ่าบาท ช่วงเวลานี้องค์จักรพรรดิกำลังหารืออยูู่กับเหล่ารัฐมนตรีในห้องประชุม ขอท่านโปรดนำมงกุฏนี้ ไปวางบนโต๊ะตัวใหญ่ภายในห้องด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“เข้าใจแล้ว ข้าจะจัดการเดี๋ยวนี้ล่ะ”


 


จักรพรรดินีแม้จะแปลกใจอยู่บ้างกับคำขอนี้ แต่เธอก็ยังตอบรับอย่างว่าง่าย


 


เธอใช้สองมือถือมงกุฏเอาไว้ และเดินออกมาจากประตู


 


“ใครก็ได้ มาคุ้มกันที” จักรพรรดินีสั่ง


 


สององครักษ์วังส่งสัญญาณมือ


 


จากนั้นท่ามกลางความเงียบ ก็ปรากฏร่างขององครักษ์เพิ่มขึ้นมาอีก18คนขึ้นมาอย่างเงียบๆ


 


องครักษ์ทั้ง 20 คนติดตามจักรพรรดินีไปยังสถานที่ที่องค์จักรพรรดิประทับอยู่


 


ภายในห้องประชุม


 


องค์จักรพรรดิแห่งฟูซีกำลังยืนอยู่ท่ามกลางวงสนทนาระหว่างเจ้าหน้าที่คนสนิทหลายคน


 


ประตูถูกเปิดออก


 


องค์จักรพรรดินีเดินถือมงกุฏเข้ามา


 


“นี่มันอะไรกัน?”ดวงตาขององค์จักรพรรดิหรี่แคบลง ปากเอ่ยถาม


 


จักรพรรดินีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเกรงว่าท่านจะลืมเลือนไปว่า ในวันนี้พรุ่งนี้ท่านจะต้องพบเจอกับแขกผู้มีเกียรติจากจักรววรดิศักดิ์สิทธิ์และรัฐบาลกลาง โปรดอย่าได้ลืมที่จะสวมใส่มันในวันพรุ่ง”


 


องค์จักรพรรดิพอได้ยิน รอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของเขา และกล่าว “เจ้านี่ช่างรู้จักใส่ใจดีเสียจริงๆ”


 


จักรพรรดินีวางมงกุฏลงบนโต๊ะด้านหลังองค์จักรพรรดิและกล่าว “เช่นนั้นข้าขอตัวกลับไปเล่นไพ่ก่อนล่ะ”


 


“ไปเถิด”


 


จักรพรรดินีโค้งกายคำนับ บิดเอวผินตัวเดินออกจากห้องประชุมไปอย่างสง่างาม


 


องค์จักรพรรดิทอดพระเนตร มองตามแผ่นหลังของเธอ ห้วงสตินึกคิดขาดหายไปช่วงหนึ่ง


 


“เอ .. เมื่อครู่พวกเราพูดกันถึงไหนแล้วนะ?” เขาเอ่ยถาม


 


“ฝ่าบาท เมื่อครู่พวกเรากำลังพูดคุยกันถึงเรื่องการส่งเหล่ารัฐมนตรีอาวุโสและข้าราชบริพารอีกหลายคนเข้ามาพบกับฝ่าบาทที่นี่” หนึ่งในนั้นเอ่ย


 


“อ้อใช่ๆ ปล่อยให้ทุกคนเข้ามาได้เลย ข้าต้องการที่จะพบพวกเขา” องค์จักรพรรดิกล่าวรับคำ


 


มงกุฏถูกวางทิ้งไว้อยู่บนโต๊ะเบื้องหลังเขาอย่างเงียบๆ พร้อมด้วยตราประทับที่วางอยู่ข้างๆ


 


เวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆ


 


ท่ามกลางแสงสลัวยามค่ำคืน


 


ในที่สุดองค์จักรพรรดิก็จบเรื่องหารือของเขา


 


รัฐมนตรีหลายคนขอตัว เดินจากไป


 


องค์จักรพรรดิยืนอยู่คนเดียวเงียบๆ ขบคิดเกี่ยวกับเรื่องบางอย่างในหัวใจของเขา


 


บนโต๊ะเบื้องหลัง จิตทัสผัสเทวะของกู่ฉิงซานกวาดลงมาอย่างอ่อนโยน


 


และในวินาทีต่อมา ตราประทับก็หายไปอย่างฉับพลัน


 


พร้อมด้วยร่างของกู่ฉิงซานที่ปรากฏขึ้นในตำแหน่งเดิมของมัน


 


สกิลเทวะ ร่างเงาแทนที่!


 


‘คุณสามารถแลกเปลี่ยนตำแหน่งของคุณกับสิ่งที่อยู่ภายในขอบเขตพิสัยจิตสัมผัสเทวะได้’


 


กู่ฉิงซานยืนอยู่บนโต๊ะ


 


เขายื่นมือออกไป


 


มงกุฏลอยขึ้นอย่างอ่อนโยน และตกลงในมือของเขา


 


ขณะที่อีกหนึ่งมือคว้าจับไปในความว่างเปล่าและดาบพิภพก็ตกลงในมือของเขา


 


กู่ฉิงซานถือมงกุฏในมือข้างหนึ่ง ขณะอีกข้างกำดาบ ยืนนิ่งอยู่บนโต๊ะใหญ่อย่างเงียบๆ


 


เขายังมิได้ส่งเสียงหรือเคลื่อนไหวใดๆ ที่ทำก็แค่เพียงจดจ้อง มองลงไปยังแผ่นหลังขององค์จักรพรรดิอย่างเงียบๆ


 


หนึ่งลมหายใจ


 


สองลมหายใจ


 


สามลมหายใจ


 


ทว่าองค์จักรพรรดิก็ยังไม่มีท่าทีตอบสนอง


 


แววตาของกู่ฉิงซานแปลกไปเล็กน้อย


 


นั่นเพราะแม้ว่าเขาจะได้ปกปิดกลิ่นอายของตนไว้แล้วเล็กน้อย แต่องค์จักรพรรดิก็ไม่สมควรที่จะไร้ประสิทธิภาพถึงเพียงนี้


 


องค์จักรพรรดิน่ะเป็นถึงมืออาชีพขั้นห้า เป็นตัวตนที่น่าสะพรึงและครอบครองพลังอันยิ่งใหญ่ แต่เวลานี้ เขากลับไม่ตระหนักถึงการมาเยือนของกู่ฉิงซานเลย


 


ชายที่แข็งแกร่ง สมควรจะสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวรอบตัวเขา


 


เพราะนั่นคือการระมัดระวังตัวขั้นพื้นฐานที่สุด


 


–ทว่าองค์จักรพรรดิที่ยืนอยู่ตรงกันข้ามกับกู่ฉิงซานในเวลานี้ ดูราวกับเป็นคนที่ไร้ซึ่งประสบการณ์ต่อสู้ ไม่มีแม้กระทั่งความระมัดระวังตัวขั้นพื้นฐาน


 


ในหัวใจของกู่ฉิงซานวูบไหว และทันใดนั้นเขาก็พลันตระหนักได้ถึงบางสิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้


 


‘จ้าวสมุทรหลี่ตงหยวนถูกฟาดตบจนปลิวหายไปโดยดาบของเขา’


 


จ้าวสมุทรคือยอดนายพลของกองทัพเรือแห่งรัฐบาลกลาง ถึงแม้จะไม่อาจเทียบเปรียบได้กับองค์จักรพรรดิแห่งฟูซีก็ตามที


 


แต่ทว่าพวกเขาทั้งสอง หนึ่งกลับไม่ทันสามารถตระหนักได้ถึงกระบวนท่าดาบ อีกหนึ่งไม่อาจสัมผัสถึงการปรากฏตัวของผู้อื่นจากเบื้องหลัง


 


นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่?


 


นี่มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับวันสิ้นโลกหรือภัยพิบัติใดๆแล้ว


 


เพราะไม่มีภัยพิบัติใด จะสามารถเปลี่ยนคนให้กลายเป็นเช่นนี้ได้!


 


กู่ฉิงซานจ้องมองไปยังองค์จักรพรรดิ และรู้สึกว่ามีเงาที่มองไม่เห็นอยู่ในจิตใจของเขา … เงาที่มิอาจลบเลือนออกไปได้


 


ตลอดช่วงสองชีวิต เขาไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องบ้าอะไรแบบนี้มาก่อนเลย


 


ในชีวิตก่อนหน้า พลังงานส่วนใหญ่ของเขาล้วนอุทิศและทุ่มสมาธิอยู่แต่กับโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ กว่าตัวเขาจะเข้าไปมีส่วนร่วมกับคนอื่นๆ มันก็ผ่านเลยไปร่วมครึ่งปีแล้ว


 


ต่อมา เขาก็ได้ขึ้นนำสมาพันธ์แห่งชาติเข้าต่อสู้ในฐานะผู้บัญชาการ และวุ่นอยู่แต่กับการนำกำลังต่อสู้ทุกวี่วัน แม้ว่าเขาจะมีติดต่อกับนักการเมืองระดับสูงอยู่บ้าง แต่มันก็มิได้ทั่วถึง


 


และในช่วงเวลาที่ว่า เท่าที่กู่ฉิงซานจดจำได้ ก็ไม่มีอะไรผิดปกติกับพวกตัวตนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์นี่นา


 


หลังจากนั้น เมื่อภัยพิบัติเยือกแข็งปรากฏขึ้น ช่วงสุดท้ายของวันสิ้นโลกก็ได้มาถึง


 


แล้วในชีวิตนี้เล่า? เรื่องราวในตอนนี้ สุดท้ายแล้วเป็นใครกันที่คอยบงการทุกสิ่ง?


 


ในตอนนั้นเอง อุปกรณ์สื่อสารของกู่ฉิงซานก็สั่นเล็กน้อย


 


ร่างกายขององค์จักรพรรดิเริ่มขยับไหว


 


แม้ว่าเขาจะประมาทเพียงใด แต่เขาก็ยังเป็นถึงมืออาชีพอันทรงพลังในขั้นห้า! ในที่สุดเจ้าตัวก็เริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกติแล้ว


 


อย่างไรก็ตาม มันดูเหมือนว่าจะสายเกินไป


 


ร่างของกู่ฉิงซานได้หายไปจากโต๊ะ และเสี้ยวพริบตาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังองค์จักรพรรดิ


 


ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว!


 


กู่ฉิงซานยกดาบขึ้น และสะบัดมันเบาๆ


 


และดาบพิภพก็ดูราวกับว่าจะตระหนักดีถึงความตั้งใจของเขา มันยับยั้งพลังลงอยู่ในจุดที่พอเหมาะพอดิบพอดี


 


องค์จักรพรรดิล้มลง และสิ้นสติไป


 


กู่ฉิงซานหยิบอุปกรณ์สื่อสารของเขาขึ้นมา


 


“มีเรื่องอะไร?”เขาเอยถาม


 


“ถังจุนล่ะ! มันเป็นเรื่องของถังจุน! ฉันคิดว่าการตายของเขาไม่เพียงแต่เป็นการถูกฆาตกรรม แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องบอกแก!” เหลียวฮังกล่าวพลางหอบหายใจ


 


“ว่ามาสิ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“ถังจุนได้จัดเตรียมร่างโคลนไว้สำหรับประธานาธิบดี เพื่อช่วยให้ประธานาธิบดีสามารถรอดพ้นจากการลอบสังหาร แต่จู่ๆเขาก็กลับถูกลักพาตัวไปโดยสาธารณรัฐฟูซี!”


 


ในหัวใจของกู่ฉิงซานเต้นครึกโครม


 


ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง!


 


ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมท่านประธานาธิบดีถึงไม่เคยตายลงเลย หลังจากที่ถูกลอบสังหารมาแล้วหลายครั้งหลายครา


 


นั่นเพราะที่ตายแทนเขา มันล้วนแล้วแต่เป็นร่างโคลน!


 


ปรากฏว่าจริงๆแล้ว ท่านประธานาธิบดีได้ใช้วิธีนี้ในการต่อสู้กับเก้าตระกูลใหญ่!


 


“แล้วลักษณะหรือคุณสมบัติที่พวกร่างโคลนต้องมีมันคืออะไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว


 


“ความทรงจำไง! ส่วนที่ยากที่สุดในการโคลนมนุษย์ก็คือการโคลนความทรงจำ! ชิ้นส่วนความทรงจำของพวกเขาจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน!” เหลียวฮังกล่าว


 


กู่ฉิงซานไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะวางมือลงบนหัวขององค์จักรพรรดิ


 


วิชาลับ ค้นวิญญาณ!


 


เป็นเวลานาน กว่ากู่ฉิงซานจะถอนมือของเขากลับคืน


 


เขายืนโง่งมอยู่ตรงนั้น แม้จักรพรรดินีจะเปิดประตูเข้ามา เขาก็ยังมิได้ตอบสนองใดๆ


 


จักรพรรดินีจ้องมองไปยังองค์จักพรรดิที่กำลังหมดสติด้วยความงงงวย


 


“‘ง่ายดายถึงเพียงนี้?” จักรพรรดินีเอ่ยถาม


 


กู่ฉิงซานพยักหน้าและกล่าว “ท่านลองมองอย่างใกล้ชิดดูสิ ว่ารูปลักษณ์ของเขาเหมือนกับองค์จักรพรรดิหรือไม่?”


 


จักรพรรดินีก้มลงมอง และทำการตรวจสอบอย่างเป็นเรื่องเป็นราวอยู่ครู่หนึ่ง


 


จักรพรรดินีกล่าวเสียงกระซิบ “เขาดูเหมือนกับพระองค์จริงๆ แต่ข้าคิดว่าเขามิใช่”


 


กู่ฉิงซานเข้าใจดี


 


เพราะเมื่อครู่เขาก็ได้ใช้วิชาค้นวิญญาณไปแล้วเช่นกัน แต่กลับพบว่าความทรงจำขององค์จักรพรรดิช่างแสนเปราะบาง เพียงล้วงลึกสะกิดลงไป ชิ้นส่วนความทรงจำก็พังทลายลงทันที


 


วิชาค้นวิญญาณน่ะมันเป็นอันตราย ผลพวงของมันง่ายต่อการสูญเสียสติปัญญาและกลายเป็นเพียงซากศพที่มีชีวิต


 


กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หลังจากที่ทำการค้นวิญญาณครั้งนี้ไป องค์จักรพรรดิก็จะกลายเป็นเพียงคนบ้า


 


กู่ฉิงซานยังไม่ได้รับข้อมูลอื่นใดที่เป็นประโยชน์เลย


 


จักรพรรดินีตรวจสอบองค์จักรพรรดิอย่างระมัดระวัง แต่แล้วจู่ๆแสงสีเขียวก็เปล่งออกมาจากมือของเธอ


 


เธอเป็นหญิงในตระกูลเมดิซี และเป็นผู้ที่สามารถปลดผนึกธาตุไม้จากธาตุทั้งห้าได้


 


เธอกดมือลงอย่างอ่อนโยนลงบนหน้าผาขององค์จักรพรรดิ


 


“สติปัญญาได้ตายลงแล้ว มิอาจรักษาได้” จักรพรรดินีกล่าว


 


ทั้งสองจมสู่ความเงียบ


 


หนึ่งในมืออาชีพที่ทรงพลังที่สุดในโลก หัวเรือใหญ่แห่งสาธารณรัฐฟูซี พึ่งตกตายลงทั้งเป็น …


 


เขาถูกโค่นลงอย่างง่ายดายและตกตายลงภายในห้องประชุมแห่งนี้


 


“มีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับความทรงจำขององค์จักรพรรดิ” กู่ฉิงซานเปิดฉากสนทนา


 


“เป็นอย่างที่เจ้าพูด ในช่วงสองสามวันมานี้ ข้าก็สังเกตเห็นเช่นกันว่าเขาค่อนข้างขี้หลงขี้ลืม ย่ำแย่จนน่าใจหาย” จักรพรรดินีกล่าว


 


“ท่านได้เรียกแพทย์มาพบเขาหรือยัง?”


 


แม้คำตอบมันจะชัดเจนอยู่แล้ว แต่กู่ฉิงซานก็ยังคงเอ่ยถาม


 


“พบแล้ว แต่พวกแพทย์ก็บอกว่าเขามิได้ผิดปกติใดๆ” จักรพรรดินีกล่าว


 


“ที่ไม่พบความผิดปกติ บางทีอาจจะเป็นเพราะมันเกิดความผิดปกติขึ้นในระดับชั้นพันธุกรรมก็ได้นะ?”


 


“ในแง่ของเทคโนโลยีพันธุศาสตร์ สาธารณรัฐฟูซีนับว่าว่างเปล่า ไร้ฝีมือโดยสมบูรณ์ บุคคลที่ชำนาญการด้านนี้มากที่สุดคือ ดร.ถังจุนแห่งรัฐบาลกลางของเจ้า”


 


“ถังจุน .. ”


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจ เพราะเขามีคำตอบที่ชัดเจนอยู่ในหัวอยู่แล้ว


 


ตั้งแต่ที่องค์จักรพรรดิแห่งฟูซีได้ใช้ร่างโคลนตัวเอง


 


เช่นนั้น แล้วองค์จักรพรรดิตัวจริงไปอยู่ที่ไหนเสียเล่า?

 

 

 


ตอนที่ 315

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.315 – เบาะแสของวันสิ้นโลก


 


องค์จักรพรรดิยังคงล้มลงกับพื้น แน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อนอีกต่อไป


 


ภายในห้องประชุม แสงยังคงสว่างเรืองรอง ทว่าเสียงกลับเงียบสงัด


 


จักรพรรดินีตอนแรกดูค่อนข้างจะสับสน แต่แล้วเมื่อตริตรอง ปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆเข้าด้วยกัน ความโกรธก็เริ่มเข้ามาแทนที่


 


กู่ฉิงซานยืนอยู่ข้างๆ และระลึกย้อนไปถึงสิ่งต่างๆที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้


 


ทันใดนั้นเขาก็พลันนึกได้ถึงใครคนหนึ่ง


 


จ้าวสมุทรหลี่ตงหยวนแห่งรัฐบาลกลาง ช่างเหมือนกันกับองค์จักรพรรดิแห่งฟูซี ที่มิอาจปัดป้องการโจมตีจากดาบของตนได้


 


ถึงแม้ว่าในที่สุดเทคโนโลยีการโคลน จะสามารถจำลองพละกำลังของมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ แต่มันก็ยังคงมีข้อบกพร่องอยู่ดี


 


และข้อบกพร่องที่ว่านี้ ก็คือความทรงจำนั่นเอง


 


เมื่อความทรงจำมีปัญหา สำหรับมืออาชีพแล้ว นั่นหมายถึงประสบการณ์การต่อสู้นับไม่ถ้วนของเขาจะตกอยู่ในสภาวะสับสนและวุ่นวาย


 


ในฐานะที่เป็นถึงมืออาชีพที่ทรงอำนาจ แต่ดันไม่รู้ถึงวิธีที่จะสามารถควบคุมมัน ย่อมส่งผลให้เกิดจุดอ่อนจำนวนมากในยามต่อสู้


 


และบางครั้งจุดอ่อนเล็กๆ ก็เพียงพอแล้วที่จะเป็นตัวกำหนดถึงชีวิตและความตาย


 


“จ้าวสมุทร … ” กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ


 


แผนของสาธารณรัฐฟูซี ดูท่าว่าจะเกี่ยวข้องกับคนระดับสูงของรัฐบาลกลาง


 


แท้จริงแล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องการจะทำมันคืออะไรกันแน่?


 


กู่ฉิงซานครุ่นคิด และตัดสินใจที่จะป้องกันปัญหาก่อนที่มันจะเกิดขึ้น


 


“เทพธิดากงเจิ้ง คุณช่วยทำการแจ้งเทพนักสู้ด้วยว่า หลังจากการพิจารณา ท่านประธานาธิบดีอาจตกอยู่ในอันตรายได้ ขอให้เขาคอยระมัดระวังเอาไว้ด้วย ”กู่ฉิงซานกล่าว


 


“รับทราบแล้วใต้เท้า” เทพธิดาตอบรับ


 


ทันใดนั้นเอง ‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’ ใครบางคนก็เคาะประตูขึ้น


 


กู่ฉิงซานกับจักรพรรดินีเหลือบตามองกันวูบหนึ่ง


 


“มีเรื่องอะไร?” จักรพรรดินีเปล่งเสียงดังเอ่ยถาม


 


“ท่านรัฐมนตรีอาวุโสมีเรื่องที่จะรายงาน” คนด้านนอกกล่าว


 


“ข้ามีบางสิ่งที่จำต้องพูดคุยกับฝ่าบาท เจ้าจงกลับไปก่อน แล้วค่อยมารายงานพระองค์ในวันพรุ่ง”


 


“พะยะค่ะ”


 


แล้วเสียงจากภายนอกก็เงียบลง


 


แต่ทว่ากลับมิได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น


 


คนที่ยืนอยู่ภายนอก … ยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าประตู!


 


พวกเขามิได้จากไปไหน


 


สีหน้าของจักรพรรดินีเปลี่ยนไปเล็กน้อย และอดไม่ได้ที่จะเผลอก้าวถอยหลังไป


 


กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะเพื่อทำการสังเกตการณ์อีกฝ่ายโดยตรง


 


แต่แล้วเขาก็เห็นว่ารัฐมนตรีสองคนที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูกำลังขยิบตาให้กัน


 


คลื่นความผันผวนอันแข็งกร้าวระเบิดออกมาจากตัวพวกเขา


 


“สองมืออาชีพขั้นห้า!?”


 


เมื่อสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวนอกประตู น้ำเสียงของจักรพรรดินีก็พลันแหบแห้ง


 


เธอหันหน้าไปมองกู่ฉิงซาน


 


กู่ฉิงซานพยักหน้าเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เธอคิดน่ะถูกแล้ว


 


‘มืออาชีพขั้นห้า’ นับว่าเป็นตัวตนที่หาได้ยากยิ่งในโลกใบนี้


 


สองตัวตนอันทรงพลังดันปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันในคราเดียวได้อย่างไร?


 


“ท่านไปเปิดประตู”


 


กู่ฉิงซานลดดาบพิภพลงและกล่าว


 


จักรพรรดินีลังเลเล็กน้อย ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าและเปิดประตู


 


พร้อมกับสองใบหน้าอันคุ้นเคยปรากฏขึ้นสู่สายตาเธอ


 


ทั้งคู่เป็นรัฐมนตรีเก่าแก่ของสาธารณรัฐ และไม่เคยฝึกยุทธมาก่อนในชีวิต


 


แต่ในขณะนี้ ดูเหมือนว่า ทั้งคนทั้งร่างของพวกเขาจะคุกรุ่นไปด้วยพลังอำนาจของธาตุทั้งห้า แปรเปลี่ยนเป็นมืออาชีพอันทรงพลานุภาพอย่างกระทันหัน


 


สองรัฐมนตรีก็ดูจะตกตะลึงไปเช่นกัน


 


พวกเขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าเปิดประตูอย่างกระทันหัน


 


‘หรือว่าจริงๆแล้วมันจะไม่ได้มีปัญหาอะไร?’


 


แต่แล้วจู่ๆกู่ฉิงซานก็หายตัวไป


 


เขาปรากฏกายขึ้นอีกครั้งด้านหลังของรัญมนตรีอาวุโส พร้อมกับสันดาบยาวที่ฟาดลงบนหลังคออีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน


 


ชายคนนั้นล้มลงกับพื้น สิ้นสติไป


 


รัฐมนตรีอาวุโสอีกคนหนึ่งเร่งตอบสนองทันที เขาก้าวเท้าเตรียมแยกตัวถอยฉากออกมา


 


อย่างไรก็ตาม ดาบพลันกระพริบไหว เสี้ยวพริบตาเดียวมันมาถึงตัวเขาซะแล้ว


 


‘ช่างเป็นดาบที่รวดเร็วนัก!’


 


รัฐมนตรีอาวุโสรีดความแข็งแกร่งของตนออกมา สองมือของเขากระชากชั้นดินที่สาดประกายสีเหลืองอมน้ำตาลขึ้นมาครอบคลุมสองแขน และใช้มันบดบังเบื้องหน้าของตนเอง


 


เปรี๊ยะ!


 


คมดาบพลิกผลันในทันใด สันดาบฟาดลงบนสองแขนของเขาที่ยกขึ้นต่อต้าน


 


‘น่าแปลก เห็นอยู่ชัดๆว่ามันเป็นการฟาดเพียงเล็กน้อย แต่กลับสามารถระเบิดพลังออกมามากมายขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?’


 


รัฐมนตรีอาวุโสเพียงแค่คิด หลังคอของเขาก็เริ่มรู้สึกปวดตุบๆ


 


วิสัยทัศน์ของเขามืดบอด ทั้งคนทั้งร่างทิ้งตัวลงนอนแนบพื้น


 


เทคนิคลับแห่งดาบ กลืนกินหวนกลับ!


 


เมื่อฟาดดาบออกไป จะปรากฏดาบเดียวกันกับดาบที่ว่าโผล่ออกมาโจมตีเบื้องหลังของศัตรู


 


กู่ฉิงซานเก็บดาบกลับคืน และใช้มือคนละข้าง ลากรัฐมนตรีข้างละคนเข้ามาในห้องประชุม


 


จักรพรรดินีปิดประตูตามอย่างรวดเร็ว


 


“ท่านสามารถระบุตัวตนของพวกเขาได้หรือไม่” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นผู้รับใช้ข้างกายที่ขาดไม่ได้ขององค์จักรพรรดิ แต่แน่นอน ว่านี่มิใช่พวกเขาคนเดิม” จักรพรรดินีตอบ


 


เธอมองไปยังกู่ฉิงซาน และอธิบายว่า “เพราะจริงๆแล้วพวกเขาเคยเป็นเพียงแค่คนธรรมดา”


 


“ได้ยินเช่นนี้ก็คงไม่จำเป็นต้องกังวลอีกแล้ว” กู่ฉิงซานพยักหน้า


 


เขาวางมือลงบนหน้าผากของชายคนหนึ่ง


 


วิชาลับค้นวิญญาณ!


 


และหัวของชายคนนั้นก็ระเบิดออกโดยตรงทันที


 


การค้นวิญญาณ … ล้มเหลว!


 


กู่ฉิงซานยื่นเอื้อมมือของเขาออกไป และวางลงบนหน้าผากของอีกคนหนึ่ง


 


แต่ชายคนนี้ก็เป็นเช่นเดียวกันกับองค์จักรพรรดิ นั่นคือสติปัญญาได้ตายลงทันที


 


“เป็นร่างโคลนทั้งหมดเลย” กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ


 


อย่างไรก็ตาม คราวนี้ ในที่สุดเขาก็ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาแล้ว ถึงแม้มันจะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวความทรงจำอันเลือนรางก็ตามที


 


ท่ามกลางม่านหมอกสีขาว องค์จักรพรรดิแห่งฟูซีกำลังถือศีรษะที่ชุบไปด้วยทองคำ ก้าวเดินออกไปเบื้องหน้า


 


และศีรษะที่ว่านั่นคือหัวของผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐฟูซี


 


“เจ้าจงรับหน้าที่จัดการประเทศให้กับข้าชั่วคราว” องค์จักรพรรดิแห่งฟูซีเอ่ย


 


อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น “แล้วถ้าหากเราถูกเปิดเผยเล่า?”


 


องค์จักรพรรดิฟูซีเอ่ยปากกล่าวโดยมิย้อนหันกลับมามอง “นั่นไม่สำคัญหรอก แค่ขอให้เจ้าจงยื้อเวลาให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ที่เหลือข้าจะจัดการมันอย่างเหมาะสมเอง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเตรียมรับมือกับทุกสิ่งที่กำลังจะมาถึง … ”


 


“ในการเผชิญหน้ากับสิ่งที่มิอาจต้านทานได้ ชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งหมดคงถึงคราสิ้นสุดลง”


 


น้ำเสียงของเขาดูเหมือนจะเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความโศกเศร้า ทว่าขณะเดียวกันกลับเต็มไปด้วยความคลั่งไคล้และตื่นเต้น


 


องค์จักรพรรดิเดินเข้าไปในหมอกสีขาว และค่อยๆหายไป


 


พร้อมกับเศษเสี้ยวความทรงจำที่สิ้นสุดลง


 


กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ


 


แม้ว่าเขาจะได้รับมาเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆของเรื่องราวทั้งหมด แต่เขาก็พอจะคาดเดาได้เจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว


 


ว่าแต่ใครกันคือคนวงใน? ใครกันที่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้อีกบ้าง?


 


องครักษ์วังในที่แห่งนี้ก็สมควรที่จะถูกตรวจสอบด้วย


 


“ผมจะเป็นคนเก็บกวาดที่นี่เอง ส่วนท่านก็ขอให้ไปเรียกองครักษ์สักสองคนมาที่นี่เถอะ” กู่ฉิงซานกล่าวแนะนำ


 


“เข้าใจแล้ว”


 


จักรพรรดินีก็รู้สึกว่าสถานการณ์มันแปลกๆ จึงตอบสนองทันที


 


เธอออกไปสักพัก ก็นำองครักษ์สองคนมา


 


ดาบยาวกระพริบไหว


 


สององครักษ์ถูกเคาะกบาลจนสิ้นสติลง


 


กู่ฉิงซานตรวจสอบคร่าวๆ และพบว่าทั้งสองคนเป็นมืออาชีพขั้นสาม


 


แล้วเขาก็เริ่มต้นใช้งานวิชาค้นวิญญาณอีกครั้ง


 


และคราวนี้ก็ประสบความสำเร็จอย่างราบรื่น เขาสามารถได้รับความทรงจำจากทั้งสอง


 


“องครักษ์สองคนนี้ไม่มีปัญหาอะไร” กู่ฉิงซานกล่าว “ส่วนความทรงจำขององค์จักรพรรดิและรัฐมนตรีนั้นบอบบางและไม่มั่นคงเป็นอย่างยิ่ง”


 


“เจ้าคิดว่าองค์จักรพรรดิยังมีชีวิตอยู่หรือไม่” จักรพรรดินีเอ่ยถาม


 


“พระองค์ยังคงมีชีวิตอยู่ และมีแนวโน้มเป็นไปได้สูงว่ากำลังปลีกตัวไปทำอย่างอื่น” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ยังคงเป็นสามีภรรยากัน แต่กู่ฉิงซานก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าทัศนคติหรือความคิดในส่วนลึกของจักรพรรดินี จะเป็นอย่างไร


 


จักรพรรดินีเอ่ยเสียงเย็น “เมื่อครู่ทั้งสองคนนี้มีเจตนาฆ่า เจ้ารู้หรือไม่?”


 


นั่นสินะ ยังไงเสียเธอก็ยังเป็นมืออาชีพ จึงสามารถวินิจฉัยเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้อง


 


กู่ฉิงซานลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับในที่สุด


 


จักรพรรดินีปาดน้ำตาของเธอ และกล่าวอย่างไร้ความรู้สึกบนใบหน้า “ตั้งแต่ที่เขาวางแผนไว้แบบนี้แล้ว ดังนั้นความผูกพันธ์สุดท้ายที่ข้ามีต่อเขาก็คงจะต้องจบลง”


 


“นั่นนับว่าเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดที่สุดแล้ว มาเถอะฝ่าบาท พวกเราควรจะรีบออกไปจากที่นี่ทันที” กู่ฉิงซานกล่าว


 


จักรพรรดินีแม้จะตกใจกับคำตอบในเชิงเห็นด้วยของเขา แต่เธอก็ตอบสนองทันที


 


การที่สามารถนำเอาตัวตนอันทรงพลังอย่างขั้นห้าถึงสองคนมาใช้สอยอย่างง่ายดายแบบนี้ ใครจะรู้ว่ากำลังรบที่แท้จริงของอีกฝ่ายจะมีมากมายขนาดไหน?


 


ทว่าเพียงทั้งสองกำลังจะเริ่มจากไป ก็บังเกิดเสียงดังขึ้นอย่างกระทันหันอีกครั้ง


 


ก๊อก!


 


ก๊อก!


 


ก๊อก!


 


มันคือเสียงเคาะประตูอีกครา


 


“มีเรื่องอะไร?” จักรพรรดินีเอ่ยถาม


 


“ข้าราชบริพารระดับสูงมีบางสิ่งที่จะต้องรายงาน” คนภายนอกเอ่ย


 


ฟังจากเสียงแล้ว ดูเหมือนว่าจะมากันสี่คน


 


“ข้ามีบางสิ่งกำลังหารือกับฝ่าบาท พวกเจ้าจงกลับไปก่อนแล้วค่อยมารายงานในวันพรุ่ง” จักรพรรดินีกล่าว


 


“พะยะค่ะ”


 


แล้วเสียงพูดก็หายไป


 


ทว่ากลับมิมีเสียงฝีเท้าปรากฏขึ้น


 


เหล่าผู้คนภายนอกประตูยังคงยืนอยู่ที่นั่น มิได้จากไปไหน


 


กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไป และก็เช่นเคย เขาพบว่าทั้งสี่คนเป็นมืออาชีพขั้นห้า!


 


จักรพรรดินีหันไปมองกู่ฉิงซาน เอ่ยถามอย่างร้อนรน “แล้วตอนนี้ข้าสมควรต้องทำสิ่งใด”


 


กู่ฉิงซาน “ผมจะไม่แสดงความเมตตาต่อพวกมันอีกต่อไปแล้ว”


 


เพราะในครั้งนี้ การที่จะทำให้คนทั้งหมดล้มสิ้นสติลงในระยะเวลาสั้นๆ มันนับว่าไม่ง่ายเลย


 


มืออาชีพทั้งสี่คนที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในขั้นห้า อำนาจการทำลายล้างย่อมทรงพลัง แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีประสบการณ์ต่อสู้ก็ตามที


 


อย่างไรก็ตาม จะเกิดการต่อสู้ขึ้นไม่ได้ เพราะนั่นหมายถึงสัญญาณเตือนให้คนอื่นๆได้รู้


 


ในกรณีที่ศัตรูตื่นตระหนก สถานการณ์จะเลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว


 


ดังนั้น กู่ฉิงซานจึงลงมือให้เร็วยิ่งกว่า และจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุด!


 


จักรพรรดินี “ออกไปฆ่าพวกเขาทั้งหมดเสีย”


 


“น้อมรับบัญชา”


 


กู่ฉิงซานทำการสับเปลี่ยน สมญาเทพสงคราม ไปเป็น ‘ไพ่ตายนักฆ่า’


 


เขาโบกมือส่งสัญญาณไปทางจักรพรรดินี


 


จักรพรรดินีหัวเราะเสียงดังออกมาและตะโกนออกไปว่า “พวกเจ้ายังไม่จากไปอีกหรือ? เช่นนั้นก็ได้! ฝ่าบาทบอกให้พวกเจ้ารีบๆเข้ามาคุยเรื่องที่ว่าให้มันจบๆไป!”


 


ทั้งสี่ด้านนอกประตูพอได้ฟัง ก็หันมาสบตากันอย่างช่วยไม่ได้


 


อ้าว? ไม่ได้มีอะไรผิดปกติหรอกหรือ?


 


“เปิดประตู” เสียงกระซิบเบาๆลอยมา


 


และประตูก็เปิดออกในเวลาเดียวกัน


 


พร้อมกับร่างของกู่ฉิงซานที่หายวับไปจากสถานที่เดิม


 


ตามด้วยร่างเงาดาบสีทมิฬที่กำลังเบ่งบานสะพรั่งท่ามกลางฝูงชนทั้งสี่


 


สามในสี่ตายทั้งๆที่ยังยืนอยู่ที่นั่น


 


“แกมัน-” ชายคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้โดยบังเอิญ เผลอก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว


 


แต่แล้วเสียงของเขาก็ต้องขาดห้วงลง พร้อมด้วยประกายแสงจันทร์สีนวลผ่องที่วาบผ่าน


 


ปริมาณปราณดาบจำนวนมากเวียนว่ายอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นลม ซัดสาดไปตามทางเดิน


 


เลือดถูกพัดกระพือโดยคมดาบ สาดกระเซ็นลงบนผนัง ส่งผลให้โถงทางเดินอันงดงามในวังบัดนี้ชุ่มโชกไปด้วยเลือด


 


แขนขากระจัดกระจายอยู่ในสถานที่เดียวกัน


 


พร้อมกับร่างของกู่ฉิงซานที่ปรากฏขึ้น


 


เขาโบกดาบพิภพในมือ สะบัดเหวี่ยงคราบเลือดทั้งหมดที่ติดอยู่บนใบดาบออกไป


 


“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”


 


“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”


 


“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”


 


พลังวิญญาณของกู่ฉิงซานถูกฟื้นฟูกลับคืนมาดังเดิมอีกครั้ง


 


เขาย่ำเท้าลงเบาๆ เพื่อทะยานตัวกลับไปในห้องประชุม


 


จักรพรรดินีที่กำลังจ้องมองดูฉากนี้ ตกตะลึงชะงักงันไปครู่หนึ่ง


 


และจู่ๆเธอก็เอ่ยถามออกมา “เหตุใดตัวตนดั่งเช่นเจ้าถึงยังไม่เป็นที่รู้จัก?”


 


กู่ฉิงซาน “ผมก็เป็นที่รู้จักนะ ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงยังไงล่ะ”


 


จักรพรรดินีถอนหายใจและกล่าว “เจ้ามักจะใช้วิธีนี้แก้ต่างอย่างนั้นหรือ”


 


“แน่นอน เพราะผมก็เป็นนักวิทยาศาสตร์จริงๆนี่นา”


 


เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก จึงเอ่ยถาม “ว่าแต่ท่านพอจะทราบไหม ว่าสถานที่ๆองค์จักรพรรดิออกไปล่าสัตว์คนเดียวมันอยู่ในตำแหน่งไหน”


 


“หุบเขาหวงหยุน” จักรพรรดินีกล่าว


 


ในหัวใจของกู่ฉิงซานหม่นทะมึน


 


นี่มันไม่ผิดพลาดแล้ว


 


จุดจบของโลกกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า


 


“ผมคงจำเป็นต้องออกไปสำรวจที่นั่นทันที” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“แล้วข้าเล่า? ไหนจะบุตรสาวของข้าอีก พวกเราจะทำอย่างไรหากเจ้าจากไป” จักรพรรดินีเร่งเอ่ยถาม


 


“ผมจะหาสหายที่ไว้ใจได้มาปกป้องท่าน และแน่นอน ถ้าหากท่านยินดีจะจ่ายรางวัลตอบแทนบางส่วนออกไป สหายของผมย่อมเต็มใจที่จะทุ่มเทปฏิบัติภารกิจนี้อย่างเต็มที่”


 


“รางวัลประเภทใดกัน” จักรพรรดินีกำหมัดแน่น ปากเอ่ยถาม


 


“เงิน” กู่ฉิงซานเอ่ยออกมาเพียงคำเดียวสั้นๆ


 


จักรพรรดินีถอนหายใจโล่งอก


 


สำหรับราชวงศ์ฟูซี สิ่งที่มีค่าน้อยที่สุดก็คือ ‘เงิน’


 


“เช่นนั้นก็ตกลง”


 


“ผมต้องได้รับการอนุมัติสิทธิ์ในการบินเหนือน่านฟ้าพระราชวังจากท่าน” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“ตราบใดที่มีคำเชิญอิเล็กทรอนิกส์จากข้า สหายเจ้าจะไม่ถูกขัดขวางแน่นอน” จักรพรรดินีกล่าว


 


“เกรงว่ามันจะไม่ทันการ นี่เป็นเรื่องเร่งด่วน ผมต้องการให้ท่านเปิดพื้นที่ห้ามบิน เพื่อให้พวกเขาทำการลงจอดหน้าพระราชวังโดยตรงในทันที”


 


“แต่นั่นจะต้องใช้อำนาจสูงสุด และหากข้าสั่งใช้งานมัน ทุกคนในระบบป้องกันพระราชวังก็จะรับรู้ด้วย”


 


“แต่ไม่ว่าอย่างไรท่านก็จะต้องเปิดมัน ส่วนผมขอตัวโทรหาหุ้นส่วนสักครู่” กู่ฉิงซานกล่าวและขอแยกตัวออกไป


 


เขาหยิบสมองควอนตัมออกมา แล้วทำการเชื่อมต่อหาซางหยิงฮ่าว


 


“มีเรื่องอะไรหรอ?” ปลายสายเอ่ยสวนกลับมา


 


“มีธุรกิจมาเคาะประตูถึงที่น่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“ธุรกิจอะไรล่ะ?”


 


“คุ้มครองบุคคลสำคัญ”


 


“เฮ้พี่ใหญ่ ที่นี่คือสมาคมนักฆ่านะ ไม่ใช่บริษัทรักษาความปลอดภัย” ซางหยิงฮ่าวกล่าวอย่างหมดหนทาง


 


กู่ฉิงซาน“งั้นฉันมีอีกธุรกิจนึงที่จะแนะนำให้นาย”


 


“ว่ามาสิ”


 


“สังหารหมู่ทุกคนที่อยู่ใกล้เป้าหมาย”


 


“ … ”

 

 

 


ตอนที่ 316

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online EP.316 – ภัยพิบัติเยือกแข็ง


 


“ … ก็ได้ แล้วเรื่องรางวัลล่ะจะว่ายังไง? นายคงจะไม่ปล่อยให้ฉันอดอยากปากแห้งหรอกนะ เพราะทางฉันยังมีลูกนกมากมายที่กำลังอ้าปากรอคอยรับอาหารอยู่เหมือนกัน” ซางหยิงฮ่าวบ่นด้วยความขมขื่น


 


“เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“ใครกันที่ใจกว้างถึงขนาดนั้น?” ซางหยิงฮ่าวสงสัย


 


“ราชวงศ์ฟูซี”


 


“นั่นมันสุดยอดลูกค้าผู้มีเกียรติ!” ซางหยิงฮ่าวยกมือขึ้นปิดปาก “ฉันจะพาใครบางคนออกไปทันที ช่วยระบุตำแหน่งให้ฉันด้วย!”


 


“จักรวรรดิฟูซี วังโอเอซิสกลางทะเลทราย”


 


“เฮ้ๆ นี่มันวันเอพริลฟูลเดย์รึไง? นั่นน่ะมันดินแดนของฟูซีนะ ตามข้อมูลของฉัน องค์จักรพรรดิกำลังหยุดพักร้อนอยู่ที่นั่น นี่นายยังต้องการให้ฉันไปปกป้องพวกเขาอีกอย่างงั้นหรอ?”


 


“ไม่ ฉันฆ่าเขาไปแล้ว ภารกิจนายคือคุ้มครององค์จักรพรรดินี!”


 


“นายฆ่าเขา! น่ะ .. นายฆ่าองค์จักรพรรดิแห่งฟูซีจินอย่างงั้นหรอ!!”


 


น้ำเสียงของซางหยิงฮ่าวไม่อยากจะเชื่อ สีหน้าของเขาเผยถึงความสยดสยอง


 


“ไม่ใช่เขาตัวจริงหรอก แต่เป็นร่างโคลนน่ะ”


 


ซางหยิงฮ่าวตระหนักถึงความรุนแรงของสถานการณ์ น้ำเสียงของเขาหม่นทะมึนลง


 


“แล้วนายต้องการให้ฉันปกป้องใคร?”


 


“องค์จักรพรรดินี”


 


“ฉันจำเป็นต้องได้รับอำนาจอนุมัติการบินเหนือน่านฟ้า”


 


“คำร้องขอของนายจะได้รับการอนุมัติทันที อันดับแรกเหลียวฮังจะจั๊มป์นายมายังทะเลทรายฟูซี จากนั้น ก็เป็นหน้าที่นายแล้วล่ะที่จะพามือดีมาให้เร็วที่สุด ตอนนี้สถานการณ์นับว่าเลวร้ายมาก”


 


“ฉันจะรีบไปทันที!”


 


การเชื่อมต่อถูกตัดขาดลง


 


กู่ฉิงซานกำลังจะหันมาพูดคุยกับจักรพรรดินี แต่ทันใดนั้นก็ดันมีเสียงเคาะประตูขึ้นอย่างกระทันหันซะก่อน


 


ก๊อก!


 


ก๊อก!


 


ก๊อก!


 


“มีเรื่องอะไร?” จักรพรรดินีเอ่ยถามอย่างใจเย็น


 


“รัฐมนตรีและข้าราชบริพารคนอื่นๆมีบางสิ่งที่ต้องรายงาน” คนภายนอกเอ่ย


 


ฟังจากเสียง ดูเหมือนว่าจะมีหลายสิบคน


 


พร้อมด้วยพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่ปะทุออกมาจากตัวพวกเขา


 


น้ำเสียงของทั้งหมดแลดูกระสับกระส่าย และแฝงไว้ซึ่งเจตนาฆ่า


 


เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น


 


พวกเขาเลยร้อนรนเป็นกังวล


 


สีหน้าของจักรพรรดินีซีดเซียว


 


คนเหล่านี้ การจะฆ่าพวกเขาทั้งหมดในทีเดียว นับว่ามิใช่เรื่องง่ายดายเลย


 


กู่ฉิงซานกระชับดาบพิภพในมือ และเดินตรงไปที่ประตู


 


“ปล่อยเข้ามา” เขากล่าว


 


ประตูถูกเปิดออก


 


พลังวิญญาณจากทั่วทั้งร่างกายเริ่มหมุนวน กู่ฉิงซานรีดมันในฉับพลันและระเบิดการโจมตีออกไป


 


เทคนิคลับแห่งดาบ กระแสธารอันยิ่งใหญ่!


 


นี่คือเทคนิคดาบอันน่าสะพรึง ที่เขาได้รับมาจากอีกโลกหนึ่ง!


 


รังสีดาบนับพันแปรสภาพเป็นธารน้ำหลาก วิ่งคำรามคำรนออกไปนอกประตู


 


พริบตานั้น เหล่าผู้คนที่ออกันอยู่เบื้องหน้าก็ถูกถาโถมใส่ด้วยรังสีดาบนับไม่ถ้วน ดั่งธารน้ำหลากซัดสาดกระแทกเข้าใส่ กระเจิงออกไปทุกทิศทาง และมีบางคนถึงขั้นปลิวไปสุดกำแพงสุดทางเดิน


 


แล้วมันก็ผนังพังทลาย ถล่มลงทันที


 


กระแสรังสีดาบอันยิ่งใหญ่วิ่งทะลุทะลวงออกไปนอกวัง ข้ามผ่านโอเอซิสและกระจายหายอย่างไร้ร่องรอยในทะเลทรายอันไกลสุดลูกหูลูกตา


 


ทั้งเลือดและเนื้อหนังส่วนใหญ่ สลายหายไปท่ามกลางกระแสรังสีดาบอันยิ่งใหญ่


 


กู่ฉิงซานเก็บดาบกลับคืนแล้วกล่าวว่า “หากกระบวนท่านี้ถูกใช้ออกมาแล้ว เกรงว่าคงจะไม่สามารถปกปิดร่องรอยได้อีกต่อไป ดูท่าว่าพวกเราต้องเตรียมเผชิญหน้ากับศัตรูแล้ว”


 


ในมือของจักรพรรดินีบังเกิดแสงสีเขียวเรืองรอง ร่วงตกลงในโถงทางเดิน


 


มันคือธาตุไม้จากธาตุทั้งห้า แทรกชีวา


 


ไม่นานนัก ซากแขนขาหรือแม้กระทั่งเลือดเนื้อตรงโถงทางเดินก็ถูกแทรกและดูดซึมโดยแสงสีเขียว


 


แสงสีเขียวแปรสภาพเป็นดอกไม้ที่สวยสดงดงาม บินกลับมายังจักรพรรดินี


 


เธอคว้ารับดอกไม้เอาไว้


 


ไม่ใกล้ไม่ไกลออกไป เริ่มปรากฏเสียงต่างๆดังตามมา


 


“เกิดอะไรขึ้น?”


 


“รีบหนีเร็วเข้า ที่นี่มีคนตายเต็มไปหมดเลย!” มันเป็นเสียงกรีดร้องของผู้หญิง


 


“มากับฉัน!”


 


“องค์จักรพรรดินีเล่า?”


 


“ปกป้องฝ่าบาท!” บางคนตะโกนขึ้น


 


ท่ามกลางเสียงอึกทึกวุ่นวาย จู่ๆเสียงอันหนักแน่นก็ดังขึ้นอย่างกระทันหัน


 


“ไม่จำเป็น! ข้าอยู่นี่!!”


 


และสรรพเสียงทั้งหลายก็เงียบลง


 


เพราะนั่นคือเสียงขององค์จักรพรรดิ!


 


องครักษ์วังวิ่งตามเสียงมายังพระองค์ ทวีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


“ทุกคนตามข้ามา พวกเราจะไปที่ห้องประชุม!”


 


เสียงขององค์จักรพรรดิดังกึกก้องไปทั่วทั้งพระราชวัง


 


เมื่อได้ยินเสียงนี้ ทั้งกู่ฉิงซานและองค์จักรพรรดินีต่างก็หันมามองหน้ากัน


 


เวลานี้ มันสายเกินไปแล้วที่จะวิ่งหนี และทั้งคู่ก็ต้องการที่จะเห็นเหมือนกันว่าเจ้าของเสียงที่กำลังจะมาถึงเป็นเช่นไร


 


หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินขบวนเข้ามาในโถงทางเดินที่เต็มไปด้วยเลือด


 


โดยมีองค์จักรพรรดิที่สวมเสื้อคลุมยาว บนใบหน้ามืดมนหม่นทะมึนเดินนำอยู่หน้าสุด


 


พร้อมด้วยองครักษ์วังนับสิบที่ติดตามเขามา


 


เจ้าชายกับเจ้าหญิงก็มาเช่นกัน ทั้งสองคอยตามอยู่ท้ายแถวอย่างใกล้ชิด


 


เมื่อองค์จักรพรรดิเห็นกู่ฉิงซาน เขาก็ชี้ไปยังอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว “จงจับเขามาให้ข้า!”


 


กู่ฉิงซานกวาดจิตสัมผัสเทวะออกไปสองทิศทาง หนึ่งบนร่างขององค์จักรพรรดิตรงหน้า และอีกหนึ่งไปทางใต้โต๊ะขนาดใหญ่เบื้องหลังเขา


 


และพบว่าองค์จักรพรรดิยังคงนอนแน่นิ่ง สิ้นสติอยู่ใต้โต๊ะดังเดิม


 


ภายในห้องประชุม ปรากฏสององค์จักรพรรดิขึ้นในเวลาเดียวกัน!


 


ตามบัญชาขององค์จักรพรรดิ กลุ่มทหารเร่งฝีเท้า วิ่งผ่านโถงทางเดินเข้ามา


 


องครักษ์เหล่านี้ล้วนมีความแข็งแกร่งในขั้นสามและสี่ เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา


 


องครักษ์หลายสิบคนเริ่มตีวงห้อมล้อมเขา


 


กู่ฉิงซานรู้สึกปวดหัวเมื่อต้องพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้


 


พวกรัฐมนตรีขั้นห้าก่อนหน้า เห็นได้ชัดว่าเป็นตัวปัญหา กู่ฉิงซานจึงไม่ลังเลที่จะสังหารอีกฝ่าย


 


แต่องครักษ์เหล่านี้คือผู้บริสุทธิ์


 


แต่หากเมื่ออีกฝ่ายเริ่มลงมือแล้ว กู่ฉิงซานก็คงไม่จำเป็นต้องแสดงความเมตตาใดๆอีกต่อไป


 


… อย่างไรก็ตาม จนแล้วจนรอด เขาก็ยังไม่เต็มใจที่จะฆ่าคนบริสุทธิ์และอ่อนแอง่ายๆอยู่ดี


 


จักรพรรดินีรู้สึกว่าเธอกำลังจะเป็นบ้า หล่อนคว้าจับมือของกู่ฉิงซานและกล่าวว่า “นี่มันเป็นเรื่องจริงอย่างงั้นหรือ ที่ว่าเขามีร่างโคลนหลายคน?”


 


กู่ฉิงซานขบคิด ก่อนจะยกดาบพิภพขึ้น โอบเธอจากเบื้องหลังพร้อมกับวางคมของมันลงบนคอของเธอ


 


เขาเฝ้ามองดูกลุ่มองครักษ์วังที่ใกล้เข้ามา พร้อมตะโกนออกไป “ทุกคนอย่าขยับ! หากเข้ามาใกล้อีกก้าวเดียว ผมจะฆ่าจักรพรรดินีซะ!”


 


องครักษ์ทั้งหมดแข้งขาแข็งค้าง หยุดฝีเท้าลงอย่างกระทันหัน


 


จักรพรรดินีถูกใช้เป็นตัวประกัน จึงไม่มีใครกล้าที่จะทำอะไรบุ่มบ่าม


 


พวกเขาสบตากัน และหันไปมองฝ่าบาท


 


สีหน้าขององค์จักรพรรดิก็แข็งค้างเช่นกัน แต่ทว่าในช่วงเวลาต่อมา มันก็ถูกแทนที่ด้วยความดุร้ายเกรี้ยวโกรธ


 


เขาตะโกน “จักรพรรดินีนั่นเป็นตัวปลอม! ข้าขอสั่งให้พวกเจ้าสังหารหมู่ทั้งสองคนนั่นซะ!”


 


องครักษ์ลังเล


 


เมื่อเห็นว่าสถานการณ์มาถึงขั้นปฏิเสธที่จะประนีประนอม เจ้าหญิงเจ้าชายที่อยู่เบื้องหลังก็แหวกฝูงชนออกมา


 


“ไม่นะ นั่นมิใช่ตัวปลอม นั่นคือท่านแม่ของข้าจริงๆ!” เจ้าหญิงอุทาน


 


“อย่ามาทำตัวไร้สาระที่นี่ แล้วก็จงหุบปากที่เปล่งวาจาไร้ความรับผิดชอบนั่นลงซะ” องค์จักรพรรดิกล่าว


 


“นั่นคือท่านแม่ของข้า! ข้าคุ้นเคยกับทุกๆการเคลื่อนไหวของนางดี นั่นต้องเป็นท่านแม่ข้าแน่ๆ ห้ามลงมือนะ!” เจ้าหญิงเริ่มกระวนกระวายและร่ำไห้


 


“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว! ใครก็ได้มาช่วยข้าสังหารพวกมันที!” องค์จักรพรรดิเอ่ยบัญชา


 


ทว่าในตอนนั้นเอง จักรพรรดินีก็แสยะยิ้มเย้ยหยันออกมา “องครักษ์ทั้งหมดจงฟังคำสั่งข้า จงสังหารมนุษย์ที่แสร้งปลอมตัวเป็นองค์จักรพรรดิที่อยู่เบื้องหน้าพวกเจ้าเสีย!”


 


องครักษ์งง ตอนนี้ทั้งหมดไม่รู้แล้วว่าตนสมควรจะทำสิ่งใดดี


 


กู่ฉิงซานเอื้อมมือของเขาออกมาและโต๊ะตัวใหญ่ก็ถูกผลักออกไปอย่างกระทันหัน


 


ร่างของชายสิ้นสติ ปรากฏตัวต่อสายตาทุกผู้คน


 


นั่น องค์จักรพรรดิแห่งฟูซ๊!


 


กู่ฉิงซานผละดาบที่วางรอบคอของจักรพรรดินีออก และชี้มันไปทางองค์จักรพรรดิในโถงทางเดิน


 


“แกนั่นแหละเป็นตัวปลอม” เขากล่าว


 


“ข้าน่ะรึตัวปลอม?” องค์จักรพรรดิหัวเราะ


 


พระองค์ปลดปล่อยพลังอำนาจทั้งหมดออกจากร่างกาย และตลอดทั้งพระราชวังก็สั่นไหว


 


มือของกู่ฉิงซานวูบไหวอย่างรวดเร็ว


 


ทันใดนั้นดาบพิภพก็แปรเปลี่ยนเป็นภาพติดตา พุ่งข้ามผ่านเหล่าองครักษ์ หันปลายแหลมทิ่มแทงไปยังทิศทางขององค์จักรพรรดิ


 


“ช่างโง่เขลา!”


 


ชั้นแสงเรืองรองสีเทาปรากฏขึ้นบนมือองค์จักรพรรดิ ฟาดตบลงบนดาบพิภพ


 


ปงงงง!


 


บังเกิดเสียงหนักทึบ ดาบพิภพถูกรั้งไว้โดยแสงสีเทา


 


นี่คือทักษะของธาตุดินจากธาตุทั้งห้าในขั้นห้า สรรพสิ่งล่มสลาย!


 


“กับอีแค่-” องค์จักรพรรดิเอ่ยปาก ทว่าเสียงของเขาก็กลับขาดห้วงลงอย่างฉับพลัน


 


เริ่มปรากฏสายโลหิตทั้งห้าออกมาจากมือของเขา


 


ตามต่อด้วยร่างขององค์จักรพรรดิที่ถูกระเบิดออก บังเกิดหมอกโลหิตพร้อมซากร่างกระจัดกระจายไปทั่ว


 


มือของกู่ฉิงซานวูบออก และดาบพิภพก็ลอยกลับเข้ามาหาเขาอย่างเงียบๆ


 


บงการดาบ!


 


เทคนิคลับแห่งดาบ ประทับดารา!


 


“เสียใจด้วยนะ แต่ถ้าหากแกไม่สามารถทนรับมือกับกระบวนท่าของฉันได้ นั่นก็พอจะบอกได้แล้วว่าแกนั่นแหละคือตัวปลอม!” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“พวกเจ้าเห็นหรือไม่? ฝ่าบาทตัวจริงจะอ่อนแอถึงเพียงนี้เชียวหรือ?” จักรพรรดินีเปล่งเสียงสูง


 


องครักษ์วังหันมามองหน้ากันด้วยความตกใจ


 


ดูเหมือนว่านี่จะเป็นความจริง พวกเขานั้นคุ้นเคยกับพลังอำนาจของฝ่าบาทดี และมันมิได้ไร้ประสิทธิภาพถึงเพียงนี้!


 


“ขอองค์จักรพรรดินีทรงประทานอภัย”


 


เหล่าองครักษ์คุกเข่าลง


 


เจ้าชายกับเจ้าหญิงรีบวิ่งเข้ามาในห้องประชุม หยุดอยู่เบื้องหน้าจักรพรรดินี


 


“ท่านแม่ นี่มันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่?” เจ้าชายเอ่ยถาม


 


“มีใครบางคนแสร้งปลอมตัวเป็นบิดาเจ้า แล้วพยายามที่โค่นล้มสาธารณรัฐฟูซี และตอนนี้ก็ถูกจับได้แล้ว” จักรพรรดินีกล่าวสรุปง่ายๆ


 


“ใครก็ได้ เรียกองครักษ์ทั้งหมดมาที” เธอเอ่ยสั่ง


 


“ระวัง!” ในขณะนั้นเอง กู่ฉิงซานก็ตะคอกคำหนึ่ง


 


นั่นเพราะเจ้าชายคว้ากริชปลายแหลมออกมา และจ้วงแทวงเข้าใส่จักรพรรดินีอย่างแรง


 


ฉากนี้เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน และทุกคนไม่มีเวลามากพอที่จะช่วยเหลือเธอได้


 


ฟุ่บบบ!


 


ร่างของจักรพรรดินีหายวับไป ตามด้วยกู่ฉิงซานที่ปรากฏขึ้นแทนที่ เขายกดาบขึ้นปัดกริชแหลมจนมันกระเด็นลอยออกไป


 


“แกเป็นใครกันแน่?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“ให้ตายสิ รู้บ้างไหมว่าที่สิ่งที่เจ้าทำลงไปมันเป็นเรื่องใหญ่แค่ไหน” เจ้าชายเอ่ยอย่างรวดร้าว


 


กู่ฉิงซานยกดาบขึ้นและกล่าวว่า “พูดจาให้มันชัดเจน ถ้าทำแบบนั้นฉันยังจะพอปล่อยให้แกมีชีวิตอยู่ต่อไปได้”


 


บนใบหน้าของเจ้าชายเผยรอยยิ้มแปลกๆออกมา “อยากจะรู้อย่างงั้นหรอ? แต่เสียใจด้วยนะข้าจะไม่บอกเจ้า”


 


“ก็ลองดู ฉันจะทำให้แกพูดเอง!” กู่ฉิงซานเอ่ยเสียงหม่นทะมึน


 


รอยยิ้มหยันผุดขึ้นบนใบหน้าของเจ้าชาย “เจ้าไม่มีโอกาสนั้นหรอก ยามนี้ข้าขอจากไปก่อน และจะต้องกลับมาอีกครั้งอย่างแน่นอน!”


 


ไม่ต้องรอให้กู่ฉิงซานจะได้ทันกระทำการสิ่งใด ร่างของเจ้าชายก็สิ้นเรี่ยวแรง ทิ้งตัวลงบนพื้น แน่นิ่งไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆอีกต่อไป


 


กู่ฉิงซานรีบวิ่งไปข้างหน้า และบีบเปิดปากเจ้าชายออก


 


ปรากฏให้เห็นถึงเลือดสีดำที่ไหลย้อยออกมาจากปากของเจ้าชาย


 


เขาได้ฆ่าตัวตายไปแล้วโดยการใช้ยาพิษ


 


กู่ฉิงซานมองไปที่ศพบนพื้นดิน ปากเอ่ยงึมงำ “บอกว่าจะกลับมาอย่างงั้นหรอ?”


 


หากคนตายต้องการจะกลับมา มันก็จะต้องเป็นสิ่งนั้น …


 


สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนกลับกลายไปอย่างสมบูรณ์


 


ถ้าหากเจ้าชายไม่ยอมพูดอะไรเลย กู่ฉิงซานก็คงจะไม่ได้รับแรงดลใจเช่นนี้


 


ทว่าเจ้าชายดันกล่าวประโยคนี้ ต่อหน้าผู้ที่ได้รับชีวิตใหม่จากการกลับมาจุติอีกรอบเช่นตนเอง …


 


บางทีเขาคงจะคิดว่าหากเอ่ยออกไปแบบนั้น ย่อมไม่มีใครรู้ว่ามันหมายถึงสิ่งใด


 


แต่สำหรับกู่ฉิงซาน เขาดันสามารถเข้าใจถึงมันได้ในทันที


 


ภัยพิบัติเยือกแข็ง!


 


มันปรากฏขึ้นแล้ว และมันอยู่ที่นี่!


 


แถมองค์จักรพรรดิแห่งฟูซีก็ยังมีความคิดเช่นนั้น!


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจและส่ายหัว “ช่วงเวลาของวันสิ้นโลกกำลังจะมาถึงแล้ว … ”


 


มนุษย์ไม่สามารถต่อกรกับภัยพิบัติเยือกแข็งได้


 


ชายที่แข็งแกร่งขององค์จักรพรรดิฟูซี เดิมทีสามารถบัญชาให้ทั่วทั้งประเทศเข้าต่อสู้กับภัยพิบัติได้ แต่ทว่าเขากลับหลงผิด จมอยู่กับความทะเยอทะยานของตัวเอง


 


นี่คือระเบิดที่จะนำไปสู่ชะตากรรมของโลกมนุษย์ทั้งใบ


 


กู่ฉิงซานหยุดนิ่งอย่างกระทันหัน


 


ในวิสัยทัศน์ของเขา ปรากฏเส้นแสงตัวอักษร ร้อยเรียงขึ้นมาหลายบรรทัด


 


กู่ฉิงซานเลื่อนสายตาลงบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม


 


“ผู้เล่นได้ค้นพบจุดเริ่มต้นของภัยพิบัติ”


 


“เนื้อเรื่องจุดจบของโลกได้ปรากฏขึ้น”


 


“คำอธิบายภารกิจ : เมื่อสัญญาณเตือนทั้งหมดถูกประสานเข้าด้วยกัน และผู้เล่นคิดว่าภัยพิบัตินี้ร้ายแรงมากพอที่จะทำลายโลกทั้งใบได้มาถึงแล้ว ดังนั้นขั้นต่อไป ขอจงพิสูจน์การคาดเดาของตัวคุณเอง”


 


“วัตถุประสงค์ภารกิจ : ผู้เล่นจะต้องเป็นสักขีพยานในการดำรงอยู่ของภัยพิบัติด้วยตาของตัวเอง”


 


“รางวัลภารกิจ : เมื่อการคาดเดาได้รับการยืนยันแล้ว ผู้เล่นจะสามารถใช้แต้มพลังวิญญาณ เร่งกระบวนการซ่อมแซมดาบเช่าหยินได้”


 


“คำอธิบาย : แต้มพลังวิญญาณคืออำนาจขั้นพื้นฐานที่สุดของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล มันถือกำเนิดขึ้นจากจิตวิญญาณ ด้วยพลังอำนาจอันคงกระพันของมัน จะสามารถช่วยเร่งความเร็วในการซ่อมแซมอาวุธเทวะได้”

 

 

 


ตอนที่ 317

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.317 – นรก(ตอนต้น)


 


สายตาของกู่ฉิงซานจับจ้องอยู่แต่กับหน้าต่างระบบเทพสงคราม ในหัวใจของเขาบังเกิดความประหลาดใจขึ้นหลายส่วน


 


จู่ๆหน้าต่างระบบเทพสงครามก็ได้ปล่อยภารกิจออกมาในโลกจริงอย่างกระทันหัน


 


“จุดจบของโลก” – อ่านจากคำอธิบายภารกิจที่เป็นแบบนี้ เกรงว่าแม้กระทั่งหน้าต่างระบบเทพสงครามก็ยังคิดว่ามันเป็นภัยพิบัติอันเลวร้ายที่ไม่มีวันชนะใช่หรือไม่?


 


อย่างไรก็ตาม ภารกิจนี้ก็ตรงกับความต้องการของกู่ฉิงซานพอดิบพอดี


 


ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมแซมดาบเช่าหยิน หรือการค้นหาความจริงของภัยพิบัตินี้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่กู่ฉิงซานคิดจะทำอยู่แล้ว


 


ในส่วนของการซ่อมดาบเช่าหยิน นั่นคือขั้นตอนแรกของภารกิจนักดาบนิรันดร์


 


หากเขาสามารถเรียกคืนพลังของนักดาบนิรันดร์มาได้ แม้จะอยู่ในขอบเขตก้าวสู่เทพช่วงต้น แต่ความแข็งแกร่งของตนเองก็จะเหนือล้ำยิ่งกว่าในชีวิตก่อนหน้าทันที!


 


เขาละสายตาจากหน้าต่างระบบเทพสงคราม และหันไปมองรอบๆห้องประชุม


 


เจ้าหญิงโผเข้าสู่อ้อมกอดของจักรพรรดินี น้ำตาอันขื่นขมร่วงโรยออกมาเป็นสาย


 


เหล่ารัฐมนตรี ข้าราชบริพาร และองครักษ์ ต่างทะยอยกันมาที่ห้องประชุมกันทีละคน


 


กู่ฉิงซานกันพวกเขาไว้ มิให้เข้ามาใกล้ แยกเหล่าฝูงชนออกจากจักรพรรดินี


 


ขณะนี้ คนเหล่านี้ยังไม่อาจวางใจได้ 100 เปอร์เซ็น


 


จนกว่าซางหยิงฮ่า่วจะมาถึง นี่คือสิ่งเดียวที่เขาพอจะสามารถทำได้


 


แม้ภายนอกจะดูเหมือนว่ากู่ฉิงซานกำลังยืนเฝ้าปกป้องจักรพรรดินีอย่างเงียบๆ ทว่าในหัวใจกลับพาลคิดไปถึงเรื่องอื่น


 


นายพลกองทัพเรือ หลี่ตงหยวนแห่งรัฐบาลกลาง ถูกแทนที่ด้วยร่างโคลน …


 


องค์จักรพรรดิแห่งฟูซีมีความคิดจะทำอะไรกับรัฐบาลกลางกันแน่?


 


กู่ฉิงซานกล่าวขึ้นทันใด “เทพธิดากงเจิ้ง”


 


“ฉันอยู่นี่ใต้เท้า” เทพธิดาขานรับ


 


“ท่านประธานาธิบดีตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”


 


“เขาไม่ได้เชื่อมต่อกับฉัน แต่สัญญาณชีวิตของเขายังคงปกติดี”


 


นี่มันเป็นช่วงเวลากลางดึก บางทีท่านประธานาธิบดีอาจกำลังพักผ่อนอยู่


 


กู่ฉิงซานผ่อนคลายลงเล็กน้อยและเอ่ยถาม “แล้วในวันพรุ่งนี้ ท่านประธานาธิบดีมีกำหนดการจะทำอะไร?”


 


“นี่มันก็เลยเที่ยงคืนมาแล้ว อีกสี่ชั่วโมงจะถึงรุ่งสาง ดังนั้นหากจะกล่าวอย่างแม่นยำ สมควรกล่าวว่าในวันนี้ ท่านประธานาธิบดีจะมีกล่าวสุนทรพจน์ทางโทรทัศน์แห่งชาติเวลา 9.00 น. เพื่อระดมคนให้เข้าร่วมลงคะแนนเลือกตั้ง”


 


“แล้วทางด้านเทพนักสู้ล่ะ?”


 


“นายพลซางซ่งหยางยังคงอยู่ในทำเนียบประธานาธิบดี”


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจโล่งอก


 


ดูเหมือนว่าเทพนักสู้จะตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าสิ่งที่ตัวกู่ฉิงซานกล่าวไม่สมควรจะเป็นเท็จ


 


มีเทพนักสู้คอยปกป้อง คงสามารถรับประกันความปลอดภัยของประธานาธิบดีได้


 


ภายในห้องประชุม


 


จักรพรรดินีเริ่มทำการออกคำสั่งแก่บริวารทีละคนๆ


 


ทั้งหมดทยอยกันรับคำสั่งเธอ และพากันออกจากหน้าห้องประชุม แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ทีละคน ทีละคน


 


ภายใต้คำสั่งของจักรพรรดินี ส่งผลให้ตลอดทั้งพระราชวังประสานงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ


 


“ฝ่าบาท ภายนอกพระราชวังมีบุคคลน่าสงสัยบุกรุกเข้ามา เขาบอกว่าได้รับคำเชิญอิเล็กทรอนิกส์จากท่าน!” องครักษ์วังกล่าวพลางโค้งกายคารวะ


 


“ให้เขาเข้ามาได้!” จักรพรรดินีเอ่ยสั่ง


 


จากนั้น ซางหยิงฮ่าวก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในห้องโถงวัง


 


“นี่คือหุ้นส่วนของผม ซางหยิงฮ่าว เป็นคนที่น่าเชื่อถือได้” กู่ฉิงซานแนะนำแก่ราชวงศ์ทั้งสอง


 


“แน่นอนว่าข้าย่อมรู้จักเขา -ราชานักฆ่าผู้ทรยศต่อเก้าตระกูลใหญ่ ”


 


กล่าวจบ จักรพรรดินีก็ยื่นมือของเธอไปยังเขา


 


ซางหยิงฮ่าวก้มลงจุมพิตทักทายและกล่าว “ฝ่าบาทที่เคารพ การได้พบกับท่านถือเป็นเกียรติยิ่งสำหรับกระหม่อม”


 


จักรพรรดินีเดินเรื่องเข้าประเด็นโดยตรง “ชื่อเสียงในด้านความใจกว้างของสาธารณรัฐนับว่าเป็นที่รู้จักกันเสมอมา ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องเงินรางวัล ตราบใดที่เจ้าปกป้องข้าและบุตรสาวเอาไว้ได้”


 


ซางหยิงฮ่าวฉีกยิ้มทันที ปากเอ่ยกล่าวด้วยความสุภาพ “สมาคมนักล่าจะเชื่อฟัง และปฏิบัติตามความประสงค์ของฝ่าบาท”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยถามออกมา “แล้วคนของนายล่ะ?”


 


ซางหยิงฮ่าวกล่าว “ทั้งหมดมาถึงที่นี่แล้ว ฉันจะเรียกพวกเขามาทันที หลังจากที่ได้รับอนุญาตจากฝ่าบาท”


 


“ให้พวกเขาเข้ามาได้” จักรพรรดินีกล่าวอนุมัติ


 


ซางหยิงฮ่าวหยิบอุปกรณ์สื่อสารออกมา และเรียกคนของเขา


 


ในระหว่างที่รอ กู่ฉิงซานก็ลากซางหยิงฮ่าวมาที่มุมหนึ่ง และบอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ


 


ซางหยิงฮ่าวสูดหายใจเย็นเยียบ


 


“โคลนมนุษย์ … แม้กระทั่งพลังอำนาจของมืออาชีพก็ยังสามารถลอกเลียนแบบได้ คนที่ชื่อถังจุนนี่มันสุดยอดจนน่าหวาดกลัวจริงๆ” เขาบ่นพึมพำ


 


“แต่ความทรงจำของพวกเขาจะไม่เป็นระบบระเบียบ ทั้งหมดแทบจะลืมเลือนประสบการณ์ต่อสู้ และแน่นอน ว่าต่อให้คนของนายเจอพวกเขา ก็ยังสามารถใช้กลยุทธ์รับมือกับพวกเขา ปกป้องสถานที่นี่ได้” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“ตัวตนที่แม้จะทรงพลังแต่กลับด้อยประสบการณ์ เปรียบดั่งกับสัตว์ร้ายที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเช่นนี้แหละ คือเป้าหมายที่นักฆ่าชมชอบมากที่สุด” ซางหยิงฮ่าวกล่าว


 


กู่ฉิงซานตบลงบนไหล่เขา บอกออกไปว่า “งั้นนายก็อยู่ที่นี่ไปนะ ฉันคงต้องขอตัวก่อน”


 


“หา? นายจะไปแล้วหรอ?” ซางหยิงฮ่าวตกใจ “ฉันก็คิดว่านายจะคอยต่อสู้เคียงข้างกันซะอีก”


 


“เอาไว้คราวหน้าแล้วกัน ตอนนี้สถานการณ์นับว่าร้ายแรงมาก และฉันจะต้องไปยังดูอีกที่หนึ่งเพื่อพิสูจน์บางสิ่งในจิตใจของฉัน” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“ก็ได้ๆ นายไปเหอะ ฉันจะดูที่นี่เอง” ซางหยิงฮ่าวกล่าว


 


กู่ฉิงซานหันไปเตรียมบอกลาจักรพรรดินี แต่กลับเห็นว่าเวลานี้ เธอกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ขององค์จักรพรรดิ


 


รัญมนตรีและองครักษ์มากมายกำลังคุกเข่าอยู่ภายนอกห้อง เฝ้ารอคำสั่งมอบหมายภารกิจจากเธอในระยะไกล


 


จักรพรรดินียังคงใช้มาตรการตอบโต้ในสภาวะฉุกเฉินกับฝูงชนเหล่านั้น


 


จักรพรรดินีที่บัดนี้แลดูน่าเคารพและเกรงขาม เอ่ยปากกล่าวออกมา “ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง จะถือว่าเป็นสายลับ พวกเจ้าสามารถสังหารมันได้ในทันที เข้าใจไหม?”


 


“พะยะค่ะ ฝ่าบาท”


 


“เอาล่ะตอนนี้ ก็ไปทำหน้าที่ของพวกเจ้าได้แล้ว!”


 


“รับบัญชา!”


 


องครักษ์ขานรับคำหนึ่ง และแยกย้ายกันออกไป


 


ท่าทีการแสดงออกทางสีหน้าของจักรพรรดินีแลดูสงบ มั่นคง เอ่ยสั่งอย่างเรียบง่ายแต่เฉียบขาด ทุกผู้คนในวังล้วนถูกควบคุมโดยเธอ


 


หลังจากนั้นไม่นาน


 


คนจำนวนมากที่สวมใส่แว่นดำก็เดินเข้ามาในห้องโถง หยุดอยู่เบื้องหน้าซางหยิงฮ่าว


 


ซางหยิงฮ่าวเริ่มทำการจัดแจงกำลังคน


 


หนึ่งในนั้นมีสาวงามตัวน้อย เธอแอบขยับแว่นกันแดดลง และหันไปทักทายกับกู่ฉิงซาน


 


เด็กตัวน้อยที่ว่านั่นคือถงถง


 


กู่ฉิงซานผงกหัวรับเล็กน้อย ก่อนจะหันไปทางจักรพรรดินี


 


“ฝ่าบาท ท่านวางแผนจะทำอะไรต่อไป”


 


“เขาเป็นบ้าไปแล้ว แต่ข้ามิใช่ ดังนั้นจึงเหลือเพียงข้าเท่านั้นที่จะสามารถช่วยประคับประคองประเทศนี้ให้ก้าวเดินต่อไปได้” จักรพรรดินีกล่าวอย่างสงบ


 


……..


 


ท่ามกลางความมืดมิด


 


กู่ฉิงซานขับรถเหินเวหาไปยังทิศทางหุบเขาหวงหยุน


 


ในอีกหลายส่วนของรัฐบาลกลาง เทพธิดากงเจิ้งยังไม่ได้ทำการตรวจพบความผิดปกติใดๆ แต่หุบเขาหวงหยุนคือหนึ่งในสถานที่กำเนิดของภัยพิบัติในอาณาเขตของฟูซี


 


ที่แห่งนี้คือป่าดึกดำบรรพ์ที่ได้รับการคุ้มครอง และมันก็ยังเป็นสถานที่ๆองค์จักรพรรดิออกไปล่าสัตว์เพียงลำพังอีกด้วย


 


ไม่มีทางที่เรื่องบังเอิญขนาดนั้นเกิดขึ้นได้ในโลกใบนี้ได้ในช่วงเวลาที่พอเหมาะพอเจาะ


 


เมื่อกู่ฉิงซานมาถึง เขาก็พบว่าเย่เฟย์หยูกำลังรอเขาอยู่ก่อนแล้ว


 


“นายมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามคนตรงหน้า


 


“ก็ทันทีที่นายบอกว่าต้องการฉัน ฉันก็มาตั้งแต่ตอนนั้นเลย” เย่เฟย์หยูกล่าว


 


“โอเค ถ้างั้นอันดับแรก พวกเรามาดูกันว่านายจะได้ยินเสียงอะไร หลังจากนั้นก็ทำการค้นหาแหล่งที่มาของเสียงกัน” กู่ฉิงซานกล่าว


 


เขาถ่ายเทพลังวิญญาณอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำการปล่อยจิตเทวะ ส่งออกไปอย่างเต็มที่


 


“ทำไมนายถึงดูเป็นกังวลขนาดนี้?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถาม


 


“เพราะมันเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด และพวกเราอาจจะต้องแยกกันหา” กู่ฉิงซานตอบ


 


“แล้วพวกเรากำลังตามหาอะไรกันอยู่?”


 


“ก็ปรากฏการณ์ที่ผิดปกติ ตัวอย่างเช่น … น้ำแข็ง”


 


“น้ำแข็ง? โอเค เข้าใจแล้ว”


 


แล้วทั้งสองก็ทำการค้นหาภายในหุบเขา


 


ที่แห่งนี้คือป่าดึกดำบรรพ์ มันกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด และเต็มไปด้วยสัตว์ต่างๆมากมาย ช่างเหมาะสมแก่การเป็นพื้นที่ล่าโดยแท้


 


ในขณะนี้ บนท้องฟ้ามืดมน และสายฝนเย็นฉ่ำก็โปรยปรายลงอยู่ตลอดเวลา ไร้ซึ่งเงาของผู้คน


 


ละอองน้ำจางๆ แลคล้ายหมอกปกคลุมไปตลอดทั้งผืนป่า


 


ละอองน้ำเหล่านี้คงอยู่เป็นเวลานาน ผสานไปกับลมพายุ ส่งผลให้พวกมันฟุ้งกระจายไปทั่ว


 


“ใต้เท้า ดาวเทียมไม่สามารถมองเห็นภาพบนพื้นดินได้” เทพธิดากล่าว


 


“มันไม่สำคัญหรอก” กู่ฉิงซานกล่าว “เพราะพวกเราจะเป็นคนหามันเอง”


 


เขากับเย่เฟย์หยูบินออกไปท่ามกลางพายุฝนในยามค่ำคืน เวียนวนไปมาในป่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย


 


หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง


 


กู่ฉิงซานก็ยืนอยู่ข้างๆกับทะเลสาบน้ำแข็ง


 


มันเป็นทะเลสาบที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนา และไม่อาจมองเห็นอะไรได้เลย


 


“ฉันเจอมันแล้ว” กู่ฉิงซานหันไปพูดกับสมองควอนตัม


 


“โอเค” เย่เฟย์หยูวางสายไป


 


หลังจากนั้นอีกไม่กี่ลมหายใจ เส้นแสงสีแดงก็บินตรงมาอย่างรวดเร็ว


 


สายลมถูกพัดกระพือแยกแตกออกเป็นสองทิศทางโดยเส้นแสงที่ว่า ก่อนมันจะทิ้งตัวลงบนพื้น พร้อมกับร่างของเย่เฟย์หยูที่ปรากฏออกมา


 


“นี่มันน้ำแข็งจริงๆด้วย” สองตาของเขาหรี่แคบลง ปากเอ่ยกล่าว


 


กู่ฉิงซาน “ถูกต้อง”


 


ชั้นน้ำแข็งในทะเลสาบทั้งลึกและหนา อย่างไรก็ตาม เมื่อใช้จิตสัมผัสเทวะกวาดลงไป เขากลับพบว่ามันไม่มีร่องรอยของน้ำที่สมควรจะไหลวนอยู่ภายใต้เบื้องล่างทะเลสาบเลย


 


ตลอดทั้งทะเลสาบ ถูกแช่แข็งโดยสมบูรณ์

 

 

 


ตอนที่ 318

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.318 – นรก(ตอนปลาย)


 


กู่ฉิงซานปล่อยจิตสัมผัสเทวะลงไปตรวจสอบทะเลสาบน้ำแข็ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างเงียบๆ


 


ไม่ผิดแล้ว มันต้องเป็นที่นี่อย่างแน่นอน


 


“ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างอยู่ในทะเลสาบนะ” เย่เฟย์หยูอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา


 


“ไปกันเถอะ”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยประโยคเดียวสั้นๆ


 


ดาบพิภพปรากฏขึ้นในมือของเขา สองเท้าก้าวตรงไปยังทะเลสาบ


 


พร้อมกับเย่เฟย์หยูที่ติดตามไปอย่างใกล้ชิด


 


ทั้งสองก้าวเข้าสู่ทะเลสาบน้ำแข็ง และเดินอยู่บนพื้วผิวของมัน


 


ทันทีที่ก้าวเข้ามา ทั้งสองก็ตกอยู่ท่ามกลางม่านหมอกที่ฟุ้งอยู่รอบตัวราวกับไร้ที่สิ้นสุด ไม่อาจมองเห็นอะไรได้เลย


 


เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังขึ้น “ใต้เท้า ฉันสูญเสียพิกัดทางภูมิศาสตร์ของคุณ”


 


“นั่นนับว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่เป็นไรหรอก”


 


กู่ฉิงซานทนไม่ไหว จำต้องถอนหายใจออกมา


 


ใช่แล้วล่ะ มันเป็นเรื่องปกติที่จะสูญเสียพิกัดทางภูมิศาสตร์ – ในพื้นที่ทับซ้อนแห่งนี้


 


ความเย็นเยียบดั่งเข็มแหลมทิ่มแทงขึ้นมาจากใต้ฝ่าเท้า ราวกับต้องการจะแช่แข็งไขกระดูกของผู้รุกรานให้ได้


 


ทุกอย่างยังคงเงียบสงบ ยกเว้นเพียงแต่หมอกที่ยังไหลวนปกคลุมตลอดเวลา


 


เย่เฟย์หยูช่วยไม่ได้ที่จะเอ่ยปากบอก “ฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติที่นี่”


 


“ระวังใต้ฝ่าเท้าของนายด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“ใต้ฝ่าเท้า?” เย่เฟย์หยูกล่าวด้วยความสับสน


 


ทว่าทันใดนั้นเอง ก็บังเกิดเสียงสนทนาเบาๆดังขึ้น


 


“เจ้า ‘คนเป็น’ นี่ช่างไร้มารยาทโดยแท้”


 


“ใช่ๆ เขาเกือบที่จะเหยียบหัวของฉันอยู่แล้วตอนนี้”


 


“ ‘คนเป็น’ รอให้ฉันออกไปได้ก่อนเถอะ ฉันจะตัดหัวมัน แล้วสับๆๆๆให้เละ จากนั้นก็จะมาสูดกินทางจมูกให้ได้เลยคอยดู”


 


เย่เฟย์หยูชะงักงัน


 


เขาค่อยๆหัวลงมองไปยังใต้ฝ่าเท้าของตัวเอง


 


“นี่มันบ้าอะไรกัน!” เย่เฟย์หยูร้องเสียงหลง


 


ใบหน้า


 


ใต้ฝ่าเท้าเขาเต็มไปด้วยใบหน้านับไม่ถ้วน


 


บนพื้นผิวน้ำแข็ง ตลอดทั่วทั้งทะเลสาบ ทั้งหมดเต็มไปด้วยใบหน้าของมนุษย์!


 


ใบหน้าเหล่านั้นถูกแช่แข็งอยู่ภายในทะเลสาบ มันปูดขึ้นมาเล็กน้อยจากพื้นผิวของน้ำแข็ง


 


ขณะเดียวกัน ก็ยังมีใบหน้าของอีกหลายคนอยู่ใต้ชั้นน้ำแข็ง ขณะที่บางใบหน้าก็ผุดขึ้นมาแล้ว


 


ภายใต้น้ำแข็งหนา ร่างกายของพวกเขาถูกแช่แข็งอยู่โดยสมบูรณ์


 


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับฉากอันแสนแปลกประหลาดและน่าหวาดกลัวนี้ ทั้งคนทั้งร่างของเย่เฟย์หยูก็กลายเป็นโง่งม


 


กู่ฉิงซานตบลงบนไหล่เขา ทว่าขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูด เขาก็เห็นว่าหน้าต่างระบบเทพสงครามได้สว่างขึ้นเสียก่อน


 


“ผู้เล่นได้เห็นถึงนรกเยือกแข็งด้วยตาของตัวเองแล้ว”


 


“ผู้เล่นสามารถพิสูจน์การคาดเดาของตนเองได้”


 


“ภารกิจเนื้อเรื่องจุดจบของโลก เสร็จสมบูรณ์”


 


“รางวัลภารกิจ : เมื่อผู้เล่นทำการซ่อมแซมดาบเช่านหยิน จะสามารถจ่ายพลังวิญญาณเพื่อเร่งความเร็วในการซ่อมแซมได้”


 


บรรทัดตัวอักษรเหล่านี้หายไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่กู่ฉิงซานได้อ่านมัน


 


แล้วเส้นแสงบรรทัดใหม่ก็ปรากฏขึ้นในทันทีบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม


 


“การปรากฏขึ้นของนรกเยือกแข็ง เป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงจุดจบของโลก”


 


“ด้วยมนุษย์เพียงลำพัง มิาจเอาชนะความตายจากนรกเยือกแข็งได้”


 


“ร้องขอให้ผู้เล่นทำการสำรวจทะเลสาบต่อไปเพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติม”


 


ร่างของกู่ฉิงซานวูบไหวไปอยู่ตรงใจกลางทะเลสาบ


 


“เฮ้! รอฉันด้วยสิ” เย่เฟบ์หยูตะโกนคำหนึ่ง วิ่งตามอย่างรีบร้อน


 


เขาไม่อยากอยู่คนเดียวในสถานที่น่ากลัวแบบนี้


 


ใต้ฝ่าเท้าของเขา ใบหน้าของผู้คนนับไม่ถ้วนถูกแช่แข็งอยู่ในทะเลสาบ และมีเสียงจากหัวของคนที่โผล่ออกมาตะโกนไล่สาปแช่งเขาไปตลอดทาง


 


หลังจากนั้นไม่นาน กู่ฉิงซานกับเย่เฟย์หยูก็มาถึงใจกลางทะเลสาบ


 


พบแค่เพียงหลุมลึกว่างเปล่า ณ ใจกลางทะเลสาบ


 


พื้นผิวที่เรียบเนียนราวกับกระจก ขาดหายไปชิ้นใหญ่


 


หัวใจของกู่ฉิงซานจมลงสู่หุบเหวอันไร้ก้นบึ้งในจิตใจ


 


‘คนตาย’ ที่ทรงพลัง ได้หายไปจากที่นี่แล้ว


 


องค์จักรพรรดิฟูซีได้ส่งหัวกะโหลกให้แก่มันไปจริงๆ


 


“น่าแปลกนะ ทำไมตรงส่วนนี้ถึงยังไม่มีน้ำแข็งกัน?” เย่เฟย์หยูถาม


 


“เพราะมันจากไปแล้วน่ะสิ” กู่ฉิงซานตอบ


 


เขาถอนหายใจด้วยความเศร้าสลด


 


สงครามยังไม่ทันจะเริ่มต้นขึ้น แต่ตัวตนที่แข็งแกร่งของมนุษยชาติกลับกลายไปเป็นผู้นำทางให้แก่อีกฝ่ายไปซะแล้ว


 


“เทพธิดากงเจิ้ง” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“ฉันอยู่นี่”


 


“มนุษย์กำลังเผชิญหน้ากับความสิ้นหวัง คุณจะต้องทำการค้นหาบางสิ่งอย่างเต็มกำลัง” กู่ฉิงซานเอ่ยต่อ


 


“ใต้เท้าโปรดชี้แนะ”


 


“มันคือชิ้นส่วนของน้ำแข็งขนาดใหญ่ บางทีมันอาจจะเปลี่ยนรูปร่างและกลายเป็นอย่างอื่นก็ได้ แต่โดยหลักการแล้วมันจะยังคงถูกทำขึ้นจากน้ำแข็ง”


 


กู่ฉิงซานกล่าวเสริม “และภายในน้ำแข็งที่ว่านั่น จะต้องมีบางสิ่งที่พิเศษ บางสิ่งที่แตกต่างออกไปอย่างแน่นอน ถ้าคุณพบมันแล้ว ขอให้รีบรายงานฉันทันที”


 


“รับทราบแล้วใต้เท้า นับจากนี้ไป ฉันจะทำการค้นหามันด้วยพลังทั้งหมดที่มี” เทพธิดากงเจิ้งรับคำ


 


ในเวลานี้ บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏเส้นแสงหิ่งห้อย ร้อยเรียงกันเป็นบรรทัดตัวอักษรโผล่ขึ้นมาอีกครั้ง


 


“ด้วยความช่วยเหลือขององค์จักรพรรดิฟูซี ราชาผู้ครอบครองพลังอำนาจอันแข็งแกร่งจึงได้หลุดพ้นออกจากนรกเยือกแข็งแล้ว”


 


“ราชาองค์นี้กับลูกน้องใต้บังคับบัญชาของมัน ได้เริ่มต้นปฏิบัติการแล้ว และปฏิบัติการที่ว่านั่นจะเป็นตัวเร่งการมาถึงของภัยพิบัติให้ไวขึ้น – คุณจะต้องหยุดมัน”


 


“วัตถุประสงค์ภารกิจ : ป้องกันไม่ให้แผนการขั้นต่อไปของจักรพรรดิแห่งฟูซีเกิดขึ้น รักษาเสถียรภาพของโลกมนุษย์ และเพื่อให้แน่ใจว่าคนจำนวนมากจะไม่ตกตาย คุณจำเป็นต้องชะลอการแพร่กระจายของนรกเยือกแข็ง”


 


“รางวัลภารกิจ : กำลังเสริมจากปรภพจะเร่งมายังโลกใบนี้ เพื่อทำการต่อสู้กับนรกเยือกแข็งร่วมกับมนุษย์”


 


“คำใบ้ภารกิจ : เมื่อสิ่งมีชีวิตหรือที่เรียกกันว่า ‘คนเป็น’ ถูกสังหาร มันจะผลิตปราณแห่งความตายขึ้น และยิ่งปราณแห่งความตายหนาแน่นมากเท่าใด อัตราการแพร่กระจายของนรกเยือกแข็งก็จะเร็วมากขึ้นเท่านั้น”


 


กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านข้อความแจ้งเตือนทั้งหมดอย่างรวดเร็ว


 


ทั้งคนทั้งร่างของเขาราวกับถูกแช่แข็งอยู่ในจุดนั้น


 


แต่ในสายตาของเขา กลับบังเกิดรัศมีแสงแห่งความหวังปรากฏขึ้น


 


กำลังเสริม!


 


ปรากฏว่าเดิมทีแล้วยังมีกำลังเสริมอยู่ด้วย!


 


ในชีวิตก่อนหน้า โลกทั้งใบได้ถูกทำลายลง โดยไม่มีกำลังเสริมใดๆมาถึง


 


มันไม่ใช่แค่นรกเยือกแข็งเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงภัยพิบัติทั้งหลายแหล่ที่ปะทุขึ้นก่อนหน้านี้ ถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ต่อเนื่องไร้ที่สิ้นสุด และสุดท้ายพวกเขาก็พ่ายแพ้ลง


 


หลายปัจจัยผสานรวมเข้าด้วยกัน ทำให้การทำลายล้างโลกรวดเร็วยิ่งขึ้น


 


ในเวลานี้ ตัวเขาเองต้องพยายามให้ดีที่สุด เพื่อชะลอการแพร่กระจายของนรกเยือกแข็ง!


 


“ … กำลังเสริม …  ไม่รู้ว่ามันเป็นกำลังเสริมแบบไหนกันแน่ … ”


 


กู่ฉิงซานขบคิดอย่างเงียบๆ และบ่นพึมพำกับตัวเอง


 


เย่เฟย์หยูที่อยู่ข้างๆ เอ่ยถามออกมาอย่างแคลงใจว่า “ตกลงแล้ว เจ้าสัตว์ประหลาดพวกนี้มันคืออะไรกันแน่?”


 


“พวกเขาทุกตนคือ ‘คนตาย’ ของนรกเยือกแข็งจากปรภพ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“งั้นทะเลสาบที่ว่านี่ก็คือนรกใช่ไหม?”


 


“ไม่ใช่ มันเป็นแค่เศษเล็บเล็กจ้อยของนรกเยือกแข็งเท่านั้น ”


 


ทันใดนั้นเย่เฟย์หยูก็เหยียดเท้าของเขาออกไป และย่ำลงบนใบหน้าของ ‘คนตาย’ ที่ถูกแช่แข็งด้วยเจตนาร้าย


 


ทว่าใบหน้านั่นกลับมิได้ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดใดๆ มันเพียงแค่จ้องมองเขาอย่างดุร้าย และเผยรอยยิ้มแย้มที่ดูน่าหวาดกลัวออกมาเท่านั้น


 


“พวกมันไร้ซึ่งความรู้สึกเจ็บปวด” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“ถ้างั้นฉันจะฆ่ามันเอง!”


 


เย่เฟย์หยูกระทืบเท้าลงอย่างแรง


 


ตูม!


 


ชั้นน้ำแข็งถูกย่ำลงโดยเขา


 


พร้อมกับ ‘คนตาย’ นับร้อยที่หลุดออกมาจากการถูกแช่แข็ง


 


“รนหาที่เองนะเจ้า ‘คนเป็น!’ ”


 


“หากได้กินมันล่ะก็ ความแข็งแกร่งของฉันก็จะเพิ่มพูนยิ่งขึ้น!”


 


“อยากได้เลือดเนื้อของมันก็เอาไป แต่อย่ามาแย่งจิตวิญญาณของมันจากฉันก็แล้วกัน!”


 


‘คนตาย’ส่งเสียงร้องโหวกเหวกโดยไม่สนใจตะกอนน้ำแข็งบนร่างกายของพวกมันเลย ทั้งหมดพรวดตรงไปยังเย่เฟย์หยูอย่างรวดเร็ว


 


แสงสีแดงเรืองรองวูบออกจากร่างเย่เฟย์หยู  แปรสภาพเป็นเส้นแสงสีแดงนับไม่ถ้วน เข้าห่อหุ้ม ‘คนตาย’ทั้งหมดเอาไว้


 


ร่างคนตายกวัดแกว่งแข้งขาของพวกมันไปมาอย่างคลุ้มคลั่ง ดิ้นรนด้วยกำลังทั้งหมดที่มี แต่เนื้อหนังของพวกมันก็ค่อยๆถูกลอกออกโดยตาข่ายสีแดงอย่างช้าๆ


 


ไม่นาน ร่างของเหล่าคนตายก็เหลือทิ้งไว้เพียงกองกระดูกเท่านั้น


 


ตาข่ายด้ายแดงค่อยๆจางหายไป


 


ตามด้วยกระดูกสีขาวที่ร่วงหล่นลงกับพื้น


 


“ถึงแม้ว่าจะตายไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ไม่ได้ดีเด่อะไรเลย” เย่เฟย์หยูยกสองแขนขึ้นกอดอกและกล่าว


 


“มันไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอก พวกคนตายที่ทรงพลังน่ะได้ไปจากที่นี่แล้ว ที่อยู่ตรงนี้เป็นคนตาย ที่อยู่ในระดับสามัญธรรมดาเท่านั้น”


 


กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “ยังไงก็เถอะ นายต้องลองมองดูกองซากร่างของพวกเขาดีๆสิ”


 


เย่เฟย์หยูมองออกไป และเห็นแค่เพียงกองกระดูกสีขาวบนผิวน้ำแข็ง ค่อยๆจมลงไปเบื้องล่างอย่างช้าๆ


 


และทันทีหลังจากนั้น เลือดเนื้อก็พลันถูกฟื้นฟูกลับคืนมาอีกครั้ง เหล่ากองกระดูกขาวนับร้อยเมื่อครู่กลับคืนสู่สภาพเดิมของ ‘คนตาย’ดั่งในตอนแรกอย่างรวดเร็ว


 


ใบหน้าของพวกมันปรากฏขึ้นอีกครั้งในทะเลสาบน้ำแข็ง


 


และพวกมันก็ลืมตาขึ้น


 


เหล่าคนตายเบนสายตาจับจ้องมายังเย่เฟย์หยู


 


ในดวงตาของพวกมันเต็มไปด้วยความเกลียดชัง จ้องเย่เฟย์หยูที่ทั้งคนทั้งร่างตกอยู่ในความมึนงงโดยสมบูรณ์


 


“นรกเยือกแข็งจะแพร่กระจายไปทั่วโลกทั้งใบ และในอนาคตนายจะทำได้แค่เพียงเอาชนะพวกมันเท่านั้น แต่ไม่สามารถฆ่าพวกมันได้โดยสมบูรณ์”กู่ฉิงซานอธิบาย


 


สีหน้าของเย่เฟย์หยูกลับกลายเป็นหนักอึ้ง ปากเอ่ยถาม “แล้วพวกเราจะสามารถจัดการเจ้านรกเยือกแข็งที่ว่านี้ได้รึเปล่า?”


 


กู่ฉิงซานยิ้ม ทว่ามันเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความขมขื่น


 


“เมื่อโลกทั้งใบกลายเป็นนรก ใครกันเล่าจะสามารถทำลายมันได้?”


 


เขาเอ่ยต่อ “นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ที่สำคัญกว่าก็คือ ตั้งแต่มีการบันทึกเอาไว้ มนุษย์น่ะอยู่บนดาวดวงนี้มายาวนานกว่า 27000 ปีแล้ว”


 


“นายรู้รึเปล่าว่านี่หมายถึงอะไร” เขาถาม


 


เย่เฟย์หยูขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนเป็นขาวซีด


 


เขาเอ่ยปากถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นายกำลังจะบอกว่า ทุกคนที่ตายไปแล้วกว่า 20000 ปีที่ผ่านมา ทั้งหมดจะปรากฏตัวขึ้นบนโลกอย่างงั้นหรอ?”


 


ไม่ใช่ทุกคนหรอก เฉพาะคนที่ชั่วร้ายเกินกว่าจะให้อภัยได้เท่านั้นแหละ ที่จะถูกส่งตัวไปยังนรกเยือกแข็งน่ะ”


 


กู่ฉิงซานกล่าว “นายลองคำนวณดูเอาก็แล้วกัน ว่าพวกคนชั่วที่ในช่วง 27000 ปีที่ข้ามผ่านสายธารแห่งกาลเวลานี้ จะมีมากมายขนาดไหน และทั้งหมดที่ว่านั่นจะฟื้นคืนชีพขึ้นมา”


 


“ยิ่งไปกว่านั้น ตามการวิจัยทางวิทยาศาสตร์แล้ว ก่อนการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ บนโลกใบนี้ยังมีการดำรงอยู่ของอารยธรรมอื่นๆอยู่อีกนะ”


 


“ตามการค้นพบทางโบราณคดี ก่อนหน้าจะถึงยุคของมนุษย์ ยังมีอีกอย่างน้อยสามยุคสมัย”


 


“ยุคสมัยแห่งยักษ์ , ยุคสมัยแห่งปีศาจ และยุคสมัยแห่งความโกลาหลที่ยังไม่ได้ถูกระบุเอาไว้อย่างชัดเจน”


 


“เมื่อมอนสเตอร์เหล่านี้ตื่นขึ้นมาจากการหลับไหลแห่งความตาย ทั้งหมดก็จะย่างกรายเข้ามาสู่โลกในปัจจุบันนี้ของพวกเรา”

 

 

 


ตอนที่ 319

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.319 – มอนสเตอร์


 


“เมื่อนรกเยือกแข็งแพร่กระจายออกไปทั่วทั้งโลก” กู่ฉิงซานส่ายหัวและถอนหายใจ “ตัวตนที่ชั่วร้ายจากตลอดทั้งสี่ห้วงอารยธรรมก็จะฟื้นคืนชีพขึ้นมา แม้ว่าพวกเราจะสามารถโค่นพวกมันลงได้ แต่สุดท้ายพวกมันก็จะค่อยๆฟื้นฟูร่างกายตนเองกลับมาอย่างช้าๆ แล้วโถมเข้าจู่โจมพวกเราอีกครั้งอยู่ดี”


 


เย่เฟย์ยูอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา “พวกเราไม่สามารถเจรจากับมัน แล้วอยู่ร่วมกันอย่างสงบได้เลยหรอ?”


 


กู่ฉิงซาน “การได้กินเลือดเนื้อสดๆของคนเป็น จะช่วยให้พวกมันได้รับสัมผัสที่หกชั่วระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งนั่นจะช่วยให้พวกมันสามารถลิ้มรสความสวยงามของโลกใบนี้ได้เหมือนดั่งกับตอนที่พวกมันยังคงมีชีวิตอยู่อีกครั้ง”


 


“ส่วนการกินจิตวิญญาณของคนเป็น จะช่วยให้คนตายได้รับพลังที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น”


 


“ยิ่งคนเป็นเสียชีวิตลงมากเท่าไหร่ พวกมันก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น”


 


“ทีนี้นายพอจะจินตนาการได้รึยังว่าทัศนคติที่พวกมันมีต่อโลกของเราเป็นอย่างไร”


 


กู่ฉิงซานอธิบายจบ สีหน้าท่าทีของเขาก็แลดูสลดเล็กน้อย


 


เย่เฟย์หยูยืนนิ่งงัน กลายเป็นคนโง่งมทั้งๆอย่างนั้น


 


“ที่แท้ มนุษย์ก็เป็นอาหารของพวกมัน” เย่เฟย์หยูบ่นพึมพำ


 


“ใช่” กู่ฉิงซานถอนหายใจด้วยอารมณ์ “ที่พวกเราพอจะทำได้ในตอนนี้ คือจัดการกับทะเลสาบนี่ก่อน จะต้องไม่ปล่อยให้มันแพร่กระจายออกไป”


 


ตอนนี้ จำเป็นต้องทุ่มเต็มกำลัง พยายามทำให้ดีที่สุด


 


หลังจากจัดการกับที่นี่ ก็ต้องเร่งหาวิธีหยุดยั้งองค์จักรพรรดิฟูซีกับบรรพบุรุษของเขาให้จงได้


 


ถ้าหากเราสามารถเอาชนะพวกเขาได้ กำลังเสริมจากปรภพก็จะมายังโลกใบนี้


 


‘แม้จะเป็นเพียงความหวังลมๆแล้งๆ แต่มันก็ยังดีกว่าสิ้นหวังโดยสมบูรณ์’ กู่ฉิงซานคิดในใจ


 


ทันใดนั้นเย่เฟย์หยูก็นึกถึงปัญหา ถอนหายใจออกมา “มอนสเตอร์พวกนี้ไม่สามารถฆ่าได้ อ๊า … ถ้าอย่างงั้นฉันก็ไม่สามารถใช้พวกเขาเป็นตัวฟาร์มเพื่อวิวัมนาการได้น่ะสิ”


 


กู่ฉิงซาน “ยังจะคิดแบบนี้อยู่อีกนะ ในช่วงเวลาที่กำลังใกล้จะมาถึงต่อจากนี้ นายคงต้องคิดแต่เรื่องการเอาชีวิตรอดก่อนเป็นอย่างแรกแล้วล่ะ”


 


“แล้วพวกเราไม่คิดจะทำอย่างอื่นเลยหรอ?” เย่เฟย์หยูถาม


 


“แน่นอนว่าไม่ พวกเราจะต้องใช้สมองต่อสู้กับพวกมัน”


 


กู่ฉิงซานกล่าว ขณะเดียวกันก็เปิดสมองควอนตัม สองมือพรมลงบนมันอย่างรวดเร็ว


 


“นั่นนายกำลังทำอะไรอยู่” เย่เฟย์หยถามอย่างอยากรู้อยากเห็น


 


“สื่อสารกับเทพธิดาและทำการจัดเรียบเรียงบางอย่างน่ะ” กู่ฉิงซานตอบ


 


แต่แล้วจู่ๆ ใต้ฝ่าเท้าของทั้งสองก็บังเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นอย่างกระทันหัน


 


มันเอนเอียงสลับซ้ายขวา สั่นสะเทือนไม่หยุด


 


เย่เฟย์หยูมองออกไปไม่ไกลนัก ปากขยับงึมงำ “นั่นมันอะไรน่ะ … ?”


 


ส่วนทางด้านกู่ฉิงซาน สองมือและสองตาของเขายังคงจดจ่ออยู่กับสมองควอนตัมตรงหน้า ทว่าในจิตใจได้กวาดจิตผัสมเทวะออกสังเกตการณ์แทน


 


ปรากฏหลุมบ่อลึกขึ้นบนผิวน้ำแข็ง


 


ตามด้วยวัตถุรูปร่างมนุษย์สีเทาขนาดใหญ่ค่อยๆคืบคลานออกมาจากมัน


 


ทันทีที่มอนสเตอร์ตนนี้ปรากฏตัว ใบหน้าทั้งหมดที่ยังคงถูกแช่อยู่ในชั้นน้ำแข็งก็ต่างพากันหุบปากลงทันที


 


สีหน้าของพวกมันกลายเป็นม่วงคล้ำ ประกายแห่งความดุร้ายที่ฉายอยู่บนใบหน้าตลอดมา บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัวอันยากจะพรรณนาออกมาได้


 


เย่เฟย์หยูมองไปยังมอนสเตอร์ที่พึ่งปรากฏอย่างรอบคอบ เขาอ้าปากค้างอย่างช่วยไม่ได้


 


นั่นเพราะเขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย


 


วัตถุรูปร่างมนุษย์ … เพียงแค่มันกำลังปีนป่ายขึ้นมา อยู่ในลักษณะคล้ายกำลังนอนนาบกับพื้นราบ ขนาดตัวของมันก็ปาเข้าไปกว่าสิบเมตรแล้ว!


 


ร่างคนตายที่กระจุกรวมตัวกันอยู่ทั่วบริเวณได้ถูกดึงดูดเข้าหามัน เพื่อสร้างแขนขา และส่วนต่างๆทั้งตัวของเจ้ามอนสเตอร์ตัวนั้น


 


สองจุดหมอกหนาสีเทาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมัน แลคล้ายกับดวงตา


 


เบื้องล่างหมอกสีเทา ร่างคนตายนับไม่ถ้วนจมลงสู่ภายใน และเริ่มก่อตัวขึ้นแลคล้ายกับถ้ำที่ลึกและมืดมิด


 


ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นส่วนปากของมัน


 


หากมอนสเตอร์อันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ปรากฏกายขึ้นในสถานที่ๆมีประชากรมนุษย์หนาแน่น เกรงว่าคนจำนวนมากคงตกตาย ถูกมันทุบทำลายบดขยี้ลงโดยตรง


 


มอนสเตอร์ยื่นหัวของมันออกมามอง จับจ้องมายังกู่ฉิงซานและเย่เฟย์หยูด้วยลูกตาที่แลคล้ายกับหมอกควันทั้งสองข้าง


 


ร่างคนตายจำนวนมากถูกบีบให้เคลื่อนไปยังหมอกควันทั้งสองข้าง เริ่มก่อรูปดวงตาและปากอันบิดเบี้ยวอย่างช้าๆ


 


มันดูเหมือนจะตื่นเต้นมาก


 


“คนเป็น … จิตวิญญาณ … ”


 


มอนสเตอร์พยายามฝืนเค้นเอ่ยคำออกมาอย่างดื้อรั้น ทั้งมือและเท้าของมันเริ่มคืบคลานเข้าหาชายทั้งสอง


 


ทุกๆครั้งที่ร่างกายขนาดใหญ่ของมันเคลื่อนไหว ทะเลสาบน้ำแข็งจะสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง


 


“นายเล่นกับมันไปก่อนแล้วกัน ฉันกำลังเตรียมการเรื่องอื่นอยู่” กู่ฉิงซานกล่าว


 


มือของเขายังคงพรมลงบนสมองควอนตัม ดูเหมือนว่ากำลังวางแผนการบางอย่างที่สำคัญอยู่


 


เย่เฟย์หยูมองไปยังมอนสเตอร์ตรงหน้า ปากเอ่ยพึมพำ “นี่มันฟังดูน่าสนใจไม่เลวเหมือนกันนะ เพราะฉันเอง ก็ไม่เคยได้สู้กับมอนสเตอร์ตัวใหญ่ยักษ์แบบนี้มาก่อนเลยเหมือนกันนอกจากในวิดีโอเกม”


 


เดือยแหลมยื่นออกมาจากแผ่นหลังเขา ก่อนจะโค้งมนเป็นปีกกระดูก และเริ่มพัดกระพืออย่างรุนแรง


 


เห็นแค่เพียงเย่เฟย์หยูที่แปรสภาพเป็นลำแสงสีแดง ทะยานตัวขึ้นไปบนฟากฟ้า ก่อนจะทิ้งดิ่งลงเข้ากระแทกใส่หัวของเจ้ามอนสเตอร์ด้วยเจตนาร้าย


 


หลายร้อยร่างคนตายบนใบหน้าของมอนสเตอร์ยักษ์ถูกตัดออกโดยเลือดสังหาร


 


มอนสเตอร์ยักษ์ส่งเสียงคำรามลั่น ส่งผลให้ทุกสิ่งทั่วสารทิศต้องสั่นสะท้าน


 


เลือดสีดำสาดออกกระเซ็นออกมาจากร่างคนตายที่ร่วงหล่นลงจากใบหน้าของมอนสเตอร์


 


ทว่ามอนสเตอร์ยักษ์ก็ดูราวกับจะไม่แยแส มันพยายามที่จะลุกขึ้นยืน เอื้อมมือออกไปหมายจะคว้าจับประกายแสงสีแดงตรงหน้า


 


ทว่าประกายแสงสีแดงก็เหินขึ้นไปบนอากาศในมุมสูงอย่างรวดเร็ว


 


มอนสเตอร์ยักษ์คำรามอีกครั้ง ง้างหมัดจ้วงชกลงบนผิวน้ำแข็ง


 


ชั้นน้ำแข็งพลันแตกร้าวเป็นผง และแน่นอนว่าร่างคนตายที่ถูกแช่อยู่เบื้องล่างก็พลอยถูกปลดปล่อยออกมาด้วย


 


ท่ามกลางพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ร่างคนตายที่ซ้อนทับกันอยู่เบื้องล่างก็ค่อยๆปรากฏตัวขึ้นในไม่ช้า


 


และมอนสเตอร์ยักษ์ก็ดูดกลืนมัน ร่างมหึมาค่อยๆได้รับการฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง


 


เมื่อเย่เฟย์หยูเห็นสิ่งนี้ เขาก็พุ่งตัวลงมาอย่างรวดเร็ว บินวนฉวัดเฉวียนไปรอบๆมอนสเตอร์ยักษ์อย่างไม่รู้จบ และฉวยโอกาสโจมตีทั้งเตะทั้งต่อยบ้างเป็นครั้งคราว


 


ร่างคนตายนับไม่ถ้วนร่วงตกลงจากมอนสเตอร์ยักษ์


 


มันคุกเข่าลงกับพื้น พยายามเหยียดแขนทั้งสองออกไปคว้าจับตัวเย่เฟย์หยู


 


ทว่าความเร็วของอีกฝ่ายดูจะรวดเร็วเกินไป ประกอบกับร่างกายอันใหญ่โตเกินควรของมอนสเตอร์ยักษ์ ทำให้การตอบสนองของมันค่อนข้างเชื่องช้าและไม่อาจจับตัวเย่เฟย์หยูได้


 


“กลับกลายเป็นว่าแกมันก็แค่เจ้าตัวน่ารังเกียจ ที่ดีแต่ตัวโต แต่กลับไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากมายเลย” เย่เฟย์หยูหัวเราะ


 


ทันใดนั้นร่างคนตายทั้งหมดบนกายของมอนสเตอร์ยักษ์ก็เริ่มบิดตัวไปมา


 


พวกมันฟื้นคืนสติ ปากอ้าขยับขึ้นในเวลาเดียวกัน และเปล่งเสียงกรีดร้องแหลมด้วยความเจ็บปวดอันแสนสาหัสออกมา


 


เสียงโหยหวนมากมายบังเกิดขึ้นพร้อมกัน กระทั่งระลอกอากาศก็ยังเกิดการกระเพื่อม


 


เย่เฟย์หยูจำต้องยกสองมือขึ้นกุมหูของเขา ร่างกายสูญเสียการควบคุม ร่วงตกลงมาจากท้องฟ้า


 


ปัง!


 


เขาร่วงกระแทกลงบนผิวทะเลสาบน้ำแข็งอย่างแรง ปรากฏรอยร้าวแตกแขนงออกไปแลคล้ายใยแมงมุม


 


“เนื้อ!”


 


“เนือสดๆ!”


 


“กำลังอุ่นๆอยู่เลย เร็วเข้า … อย่ามาแย่งนะ!”


 


ใบหน้าตนแล้วตนเล่าบนทะเลสาบน้ำแข็งที่อยู่ใกล้เคียง เริ่มเคลื่อนกายไปทางเย่เฟย์หยู


 


ใบหน้าทุกตนอ้าปากกว้าง หมายพยามที่จะกัดกินเลือดเนื้อของเย่เฟย์หยู


 


“เจ้าพวกฝูงเศษเดน ต้องการจะกินฉันอย่างงั้นหรอ!”


 


เย่เฟย์หยูคำรามคำหนึ่ง ตลอดทั้งร่างบังเกิดเดือยแหลมนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา


 


เดือยเหล่านี้แหลมคมยิ่ง ใบหน้าที่เคลื่อนมาเป็นฝูงบนผิวน้ำแข็งอย่างเร็วรี่ มิอาจชะลอได้ทัน พวกมันบ้างถูกทิ่ม บ้างแทง บ้างตัดเฉือน เหลือทิ้งไว้เพียงชิ้นน้ำแข็งกองกระจายไปทั่ว


 


ทันใดนั้นสภาพอากาศเบื้องบนก็พลันมืดมิด


 


เย่เฟย์หยูบังเกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นในจิตใจ เขาเงยหน้าขึ้นมอง


 


แท้จริงแล้ว เขากลับเห็นแค่เพียงหัวของมอนสเตอร์ยักษ์ที่ยื่นลงมาเหนือตัวเขา ปากมหึมาอ้ากว้าง หมายจะกัดกินเหยื่อตรงหน้าให้จงได้


 


ง่ำ!


 


ปากของมอนสเตอร์ยักษ์กระแทกเข้ากับผิวน้ำแข็ง


 


ในช่วงเวลาวิกฤตดังกล่าว เย่เฟย์หยูได้รีดความเร็วออกมาถึงขีดสุด หลบเร้นการงับลงของมอนสเตอร์ยักษ์ได้อย่างฉิวเฉียด


 


“เป็นแค่พวกคนตาย แต่กล้าที่จะปฏิบัติกับฉันเหมือนเป็นอาหารอย่างงั้นหรอ ฮี่ฮี่ฮี่ฮี่”


 


สองตาของเย่เฟย์หยูหรี่แคบลงเป็นเส้น บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มแปลกๆผุดขึ้นมา


 


พร้อมกับปรากฏเลือดสังหารสีชาดที่กำลังลุกไหม้ขึ้นในมือของเขา


 


เย่เฟย์หยูเลียริมฝีปากตน มองไปที่มอนสเตอร์ยักษ์และกล่าวว่า “ขอฉันเดานะ ในนรกแกคงได้รับความสะดวกสบายมากเกินไปล่ะสิ ถึงได้ไม่รู้จักความน่าสะพรึงกลัวบนโลกใบนี้”


 


สองแขนของเขากางออก แปรสภาพเป็นใบมืดยาวอันแหลมคม


 


และเลือดสังหารก็ควบรวมไปกับมัน ลุกไหม้อยู่บนใบมืดยาว


 


ยามเมื่อร่างของเขาวูบไหว พริบตาเดียวมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


วินาทีต่อมา


 


ทั้งหัวของมอนสเตอร์ยักษ์ก็ถูกตัดสะบั้น ร่างคนตายนับไม่ถ้วนภายในหัวร่วงกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ


 


ประกายแสงสีแดงกระพริบไหวอีกครั้ง


 


คราวนี้สองมือและสองเท้าของมอนสเตอร์ยักษ์ถูกตัดออก


 


โครม!


 


ร่างกายมหึมาที่แสนหนัก ร่วงตกลงบนผิวน้ำแข็ง ยุบตัวลงเป็นหลุมลึก


 


ทว่าเย่เฟย์หยูดูจะไม่ยอมหยุดง่ายๆ ในลมหายใจเดียว เขาไล่สับตามร่างของมอนสเตอร์ยักษ์ไปกว่า7-8ส่วน ก่อนจะปลีกตัวถอยฉากลอยขึ้นไปบนอากาศ


 


“คราวนี้เป็นไง? แกควรจะมุดหนีกลับไปอยู่ใต้น้ำแข็งเบื้องล่างต่อไปนะ” เขากล่าวพลางหอบหายใจ


 


เมื่อครู่นี้ เขาทุ่มออกไปสุดความสามารถแล้ว


 


แต่เขากลับเห็นแค่เพียง ชิ้นส่วนต่างๆของร่างกาย ที่กระจัดกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ กลับค่อยๆคืบคลานเข้าหากัน บ้างจับ บ้างกัดกิน บ้างโอบกอด ผสานหลอมรวมตัวเข้าด้วยกันอย่างเป็นธรรมชาติ


 


ทันใดนั้น หัวและแขนขาทั้งสี่ของมอนสเตอร์ยักษ์ก็กลับคืนสู่สภาพเดิม แล้วค่อยๆพากันคืบคลานกลับไปที่ลำตัว


 


มอนสเตอร์ยักษ์ … ฟื้นฟูกลับมาโดยสมบูรณ์!


 


เย่เฟย์หยูจ้องมองฉากนี้อย่างโง่งม ผสมปนเปไปกับความหวาดกลัวที่เริ่มกัดกินเข้ามาในจิตใจ

 

 

 


ตอนที่ 320

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.320 – ทะลวงเมฆ


 


“ทำถึงขนาดนี้แต่ยังโค่นมันไม่ลงอีกอย่างงั้นหรอ?”


 


เย่เฟย์หยูอ้าปากพะงาบๆอย่างไม่อยากจะเชื่อ


 


หลังจากฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพเดิม มอนสเตอร์ยักษ์ก็เชิดหัวของมันขึ้นอย่างดุร้าย ร่างคนตายจำนวนมากถูกบีบอัดจนดูบิดเบี้ยวผิดรูปร่าง แปรสภาพกลายเป็นหลุมดำจากปากมหึมาที่อ้ากว้าง


 


หมอกสีทมิฬที่เกิดจากร่างคนตายถูกพ่นออกมาโดยมอนสเตอร์ยักษ์


 


และหมอกที่ว่านั่นก็ราวกับมีชีวิต มันเปล่งเสียงกรีดร้องอย่างขมขื่น โหยหวนอย่างน่าเวทนาไล่ตามติดเย่เฟย์หยูที่กำลังบินหลบหนีไปรอบๆ


 


มอนสเตอร์ยักษ์พ่นหมอกทมิฬของคนตายออกมาอีกครั้ง


 


สองหมอกอันมืดมิดไล่ติดตามเย่เฟย์หยูแลคล้ายวิญญาณตามติด  ในขณะเดียวกัน หนึ่งในสองหมอกดำจู่ๆก็แตกตัวออก กระจายไปทั่วชั้นอากาศ ปิดล้อมเส้นทางหลบหนีของเขาอย่างกระทันหัน


 


“บ้าจริง!”


 


มันสายเกินไปแล้วที่จะหลบเลี่ยง เย่เฟย์หยูจำต้องประกบสองมือเข้าด้วยกัน เรียกกลุ่มก้อนเลือดสังหารมากุมไว้ในมือ


 


เลือดสังหารขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขึ้นรูปเป็นทรงกลม โอบเข้าปกคลุมทุกส่วนของร่างกายเขาโดยสมบูรณ์


 


บอลเลือดพุ่งตัดผ่านหมอกทมิฬ และค่อยๆลดระดับลงในจุดที่ห่างออกไป


 


ตามด้วยการปรากฏกายของเย่เฟย์หยู ที่บัดนี้กำลังก้มลงมองร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลรุนแรง เดาะลิ้นทีหนึ่งแล้วเอ่ยปากออกมาว่า “ร้ายจริงๆ นี่ขนาดว่าฉันถูกห่อหุ้มด้วยเลือดสังหารไว้ชั้นหนึ่งแล้วนะ แต่มันยังถึงขั้นรุกล้ำเข้ามากัดกินร่างกายฉันได้ ..”


 


กลุ่มก้อนเปลวเพลิงเลือดสังหารปรากฏขึ้นในมือของเขา


 


“ตายซะ!”


 


เลือดสังหารที่ลุกไหม้หายวับไปจากมือของเย่เฟย์หยู และไปปรากฏขึ้นเหนือลำตัวของมอนสเตอร์ยักษ์


 


เพลิงเลือดสังหารโถมเข้าห่อหุ้มศีรษะของมอนสเตอร์ยักษ์ และเริ่มเผาไหม้มันอย่างรุนแรง


 


ปัง!


 


ร่างคนตายนับไม่ถ้วนสลายหายไปในชั้นอากาศบางๆ


 


ทั้งหัวของมอนสเตอร์ยักษ์ บัดนี้เหลือทิ้งไว้เพียงกองกระดูกขาวเหลือคณา ร่วงตกลงไปบนทะเลสาบน้ำแข็ง


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อเหล่ากระดูกขาวสัมผัสลงกับพื้นผิวน้ำแข็ง ภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆไม่กี่ลมหายใจ เนื้อหนังของพวกมันก็กลับมาถูกเติมเต็มดังเดิมอีกครั้ง


 


มอนสเตอร์ยักษ์เชิดร่างอันใหญ่โตของมันขึ้นมาอีกครา และค่อยๆคืบคลานไปยังทิศทางของเย่เฟย์หยู


 


เย่เฟย์หยูกล่าวด้วยความขมขื่น “นี่มันการยากเกินไปที่จะจัดการ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ฉันคงไม่สามารถฆ่ามันได้”


 


ในหัวใจของเขาค่อยๆจมลงสู่หุบเหวไร้ก้นบึ้ง


 


มอนสเตอร์ยักษ์เพียงตัวเดียว … แต่เขากลับต้องทุ่มพลังเพื่อรับมือกับมันมากถึงขนาดนี้!


 


แล้วถ้าหากโลกทั้งใบกลายเป็นนรกเยือกแข็งเล่า? ‘คนเป็น’ จะยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหรือ?


 


“การทำให้มันบาดเจ็บทีละไม่กี่ส่วนน่ะมันไม่เพียงพอ เจ้าสิ่งนั้นจะต้องถูกสังหารให้ตกตายลงโดยสมบูรณ์ก่อนที่มันจะทันได้จมลงไปหลับไหลในน้ำแข็ง” เสียงของกู่ฉิงซานดังขึ้นมาจากระยะไกล


 


เมื่อได้ยินเสียงของกู่ฉิงซาน เย่เฟย์หยูก็ถอนหายใจโล่งอกโดยไม่รู้ตัว ปากเอ่ยถาม “นายทำธุระของตัวเองเสร็จแล้วอย่างงั้นหรอ?”


 


“ใช่ ฉันจะช่วยนายเอง” กู่ฉิงซานกล่าว


 


เขาเก็บสมองควอนตัมลง และถือดาบพิภพบินมาสมทบ


 


“ลงมือพร้อมกันนะ” กู่ฉิงซานตะโกนบอกระหว่างทาง


 


“ได้เลย!” เย่เฟย์หยูตอบรับคำหนึ่ง


 


เลือดสังหารสีชาดปะทุออกมา โถมเข้าปกคลุมทั่วร่างเขา


 


ตามด้วยเส้นแสงสีแดงที่วิ่งตัดชั้นอากาศ พุ่งตรงไปยังมอนสเตอร์ยักษ์


 


อีกด้านหนึ่ง กู่ฉิงซานก็ทำการล็อคสมญาเทพสงครามไว้ที่ “ผู้บัญชาการรบ”


 


มือของเขาแปรผันสัญลักษณ์อย่างว่องไว ดาบพิภพพวยพุ่งออกไปเป็นลำแสง แทงทะลุเข้าไปในร่างของมอนสเตอร์ยักษ์


 


สวรรค์และโลกพลันเงียบสงัดไปครู่หนึ่ง


 


โครม โครม โครม โครม โครม!


 


ตามเสียงคำรามของรังสีดาบที่ระเบิดออกมาจากภายในร่างของมอนสเตอร์ยักษ์อย่างต่อเนื่อง


 


ร่างคนตายนับไม่ถ้วนร่วงหล่นลงจากมัน


 


เทคนิคลับแห่งดาบ ฝ่าวารีเชี่ยว!


 


มอนสเตอร์ยักษ์คว้าจับน้ำแข็งและร่างคนตาย คิดหมายที่จะใช้พวกมันเติมเต็มฟื้นฟูร่างกายที่เสียหายของตนเอง


 


“ตัดสินใจได้ดีไม่เลวนี่ แต่ ..”


 


ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็ใช้ออกด้วยเทคนิคพิเศษของสมญาที่ล็อคไว้


 


‘ปราณดาบสุดขอบฟ้า’


 


“ปราณดาบสุดขอบฟ้า : เมื่อใดก็ตามที่ดาบของท่านถูกปกคลุมไปด้วยปราณดาบ และท่านได้เปิดใช้งานสกิลนี้ ปราณดาบและสกิลดาบจะหลอมรวมกันพร่ามัวเป็นเงา ยามฟาดฟันจะปรากฏการโจมตีเดียวกันขึ้นอีกระลอก”


 


โครม โครม โครม โครม โครม!


 


เสียงระเบิดคำรามของรังสีดาบดังกึกก้องขึ้นอีกครั้ง


 


ทั้งตนทั้งร่างของมอนสเตอร์ยักษ์สั่นสะท้าน ก้อนน้ำแข็งบนมือของมอนสเตอร์ยักษ์และเหล่าร่างคนตายทั้งหมดถูกเขย่าจนร่วงตกลง ส่งผลให้กายมหึมามิอาจฟื้นฟู และยังคงได้รับความเสียหายร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ


 


มือของกู่ฉิงซานแปรผันประกบสัญลักษณ์


 


เทคนิคลับ ประทับดารา!


 


และขณะเดียวกัน เขาก็ยังเปิดใช้งาน ‘ปราณดาบสุดขอบฟ้า’ อีกด้วย!


 


ปรากฏรังสีแสงที่แลคล้ายกับเส้นตัดของดาวตกที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า เคลื่อนหยุบหยับไปตามร่างกายของมอนสเตอร์ยักษ์ แตกแขนงแยกออกเป็นสิบแฉก


 


มอนสเตอร์ยักษ์มิอาจฝืนทนได้ไหวอีกต่อไป ตลอดทั้งกายมหึมาของมันพลันแตกกระเจิง  ร่างของเหล่าคนตายที่อัดแน่นพากันแยกตัวออก ร่วงหล่นลงมาไปทั่วชั้นอากาศ


 


“ตานายแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“รับทราบ!” เย่เฟย์หยูรับคำ


 


เลือดสังหารสีชาดทิ้งดิ่งลงจากเมฆ แลคล้ายพิรุณยักษ์ร่วงตกลงมา ก่อนจะแปรสภาพเป็นชั้นตาข่ายบางเบา เข้าห่อหุ้มร่างคนตายนับไม่ถ้วนที่กำลังร่วงหล่นโดยสมบูรณ์


 


ภายในตาข่าย เลือดเนื้อของร่างคนตายนับไม่ถ้วนพลันเลือนหายไป ทว่ากระดูกสีขาวนวลกลับยังคงอยู่


 


เวลานี้ มอนสเตอร์ยักษ์ในที่สุดก็ตายลงโดยสิ้นเชิงแล้ว


 


มันจะจมลงสู่ห้วงนิทรา จนกว่าจะกลับมาฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่ดังเดิม จึงจะลืมตาตื่นอีกครั้ง


 


การเคลื่อนไหวครั้งมโหฬารนี้ ส่งผลให้พื้นที่ส่วนใหญ่ในทะเลสาบน้ำแข็งได้หายไป


 


ฝนเย็นฉ่ำยังคงร่วงโรย


 


เม็ดฝนตกกระทบลงกับพื้นอย่างแรง ส่งผลให้เกิดเสียงรบกวนฟังดูวุ่นวายดังสะท้อนไปทั่ว


 


ใบหน้าที่กระจายอยู่ทั่วทะเลสาบทั้งหมดหุบปากเงียบ สายตาจับจ้องชายทั้งสองในอากาศอย่างว่างเปล่า


 


ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันกำลังคิดอะไรอยู่


 


กู่ฉิงซานขยับมือ และดาบพิภพก็ร่อนกลับมาอยู่ข้างกายเขา


 


เย่เฟย์หยูปาดเหงื่อบนหน้าผาก ปากเอ่ยถาม “คราวนี้ถือว่าโค่นมันลงได้แล้วจริงๆใช่ไหม?”


 


“มันได้ตายลงแล้วอย่างสมบูรณ์ และจะต้องใช้เวลาอีกนาน กว่าจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง” กู่ฉิงซานกล่าว


 


เย่เฟย์หยูพ่นลมหายใจยาวบรรเทาความตึงเครียด “แล้วเจ้ามอนสเตอร์นั่นมันคือตัวอะไรกันแน่?”


 


“อาจจะเป็นมอนสเตอร์จากยุคอื่น ที่สามารถควบคุม ‘คนตาย’ ได้”


 


“กระทั่งมอนสเตอร์แบบนี้ก็ยังปรากฏออกมา .. ” สีหน้าของเย่เฟย์หยูแสดงถึงความวิตกกังวล “ถ้าอย่างงั้นต่อจากนี้พวกเราควรจะทำยังไงดี? ”


 


“ต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตฉันก็ไม่รู้หรอก แต่พวกเราจะต้องรีบจัดการกับเจ้าทะเลสาบน้ำแข็งนี่ทันที” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“อ่าว นายไม่ได้พูดเองหรอกหรอว่าพวกเราไม่สามารถจัดการกับนรกแห่งนี้ได้?” เย่เฟย์หยูถามอย่างอยากรู้อยากเห็น


 


“ก็ตอนนี้มันยังมีขนาดเล็กอยู่ ยังไม่ได้แพร่กระจายออกไป ดังนั้นฉันเลยยังพอมีวิธีจัดการกับมันได้” กู่ฉิงซานตอบ


 


เขาหยิบเอาสมองควอนตัมออกมา ปากเอ่ยถาม “การคำนวณเสร็จสมบูรณ์แล้วรึยัง?”


 


ตามด้วยเสียงของเทพธิดากงเจิ้งที่ดังขึ้น “แผนได้มีการถูกปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์แล้ว ส่วนการคำนวณที่สอดคล้องกับแผนการได้เสร็จสมบูรณ์แล้วเช่นกัน ตามคำร้องขอของคุณ กำลังรบทางทหารจะทำการเรียกระดมกำลังพล ก่อตั้งเป็นกองยานขึ้นในไม่ช้า”


 


“ถ้ามีปัญหาอะไรที่มันทำให้ภารกิจล่าช้า คุณสามารถบอกฉันได้นะ”


 


“การบุกรุกเข้ามาในดินแดนของสาธารณรัฐฟูซี จำต้องได้รับการอนุญาตระดับสูงเสียก่อน”


 


“งั้นเจ้าสิ่งนี้น่าจะช่วยฉันได้” กู่ฉิงซานกล่าว


 


เขาเปิดสมองควอนตัม และทำการเชื่อมต่อกับซางหยิงฮ่าว


 


“ว่าไง สถานการณ์ทางฝั่งนายเป็นยังไงบ้าง” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“วางใจเถอะ ฝ่าบาทอยู่ข้างๆฉันนี่แหละ ท่านยังปลอดภัยดี” ซางหยิงฮ่าวกล่าว


 


“ขอฉันคุยกับเธอหน่อย”


 


“ข้าฟังอยู่ เจ้าพูดมาได้”


 


ไม่นานเกินรอ เสียงของจักรพรรดินีก็ดังออกมาจากสมองควอนตัม


 


กู่ฉิงซานเล่าความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกไป


 


และเพื่อเลี่ยงความไม่เชื่อถือของจักรพรรดินี กู่ฉิงซานจึงเปิดม่านแสง และเผยถึงสถานการณ์ในทะเลสาบทั้งหมดให้แก่เธอ


 


บังเกิดความเงียบจากปลายสาย


 


ผ่านไปนาน เสียงกระซิบของซางหยิงฮ่าวก็ดังขึ้น “โอ … อา .. โลกของฉันกำลังจะมาถึงจุดจบแล้วอย่างงั้นหรือนี่”


 


จักรพรรดินีพยายามที่จะรักษากระแสเสียงให้ฟังดูปกติมากที่สุด “จากสิ่งที่เจ้ากล่าวมา ใช่กำลังบอกว่าเขาต้องการที่จะชุบชีวิตอดีตจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฟูซีขึ้นมาใช่หรือไม่”


 


“ไม่ใช่ต้องการ แต่เขาได้ทำไปแล้ว”


 


จักรพรรดินีเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยปากว่า “แล้วเจ้าต้องการให้ข้าทำอย่างไร?”


 


“ผมต้องการได้รับอนุญาตจากทางสาธารณรัฐฟูซี เทพธิดากงเจิ้งจะได้จัดการกับทะเลสาบแห่งนี้ตามแผนของผมที่ได้วางเอาไว้”


 


จักรพรรดินีกล่าวทันทีว่า “ข้าอนุมัติ! ตอนนี้ข้าจะแจ้งให้ทุกกองกำลังป้องกันทางอากาศ และใช้อำนาจศาลพิเศษให้เทพธิดากงเจิ้งสามารถเข้าสู่ฟูซีได้เลยโดยไม่ต้องมีเงื่อนไขใดๆ”


 


“ขอบพระทัยพะยะค่ะ!”


 


“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า ข้าต่างหากที่ยังไม่ได้ขอบคุณสำหรับน้ำใจเจ้าที่ช่วยชีวิตนี้เอาไว้”


 


แล้วการเชื่อมต่อก็ถูกตัดขาดไป


 


ทันใดนั้นก็บังเกิดเสียงดังกึกก้องขึ้นพร้อมกัน


 


“ไม่ว่าแกคิดจะทำอะไร มันล้วนไร้ประโยชน์” ใบหน้าหนึ่งกล่าว


 


“ใช่ๆ พวกเราน่ะได้ตายลงไปแล้ว และพวกเราจะไม่สามารถตายได้อีก” อีกใบหน้ากล่าว


 


ทุกคำ ทุกประโยคที่กู่ฉิงซานพูดออกมาเมื่อครู่นี้ เหล่าใบหน้าตลอดทั่วทั้งสะเลสาบล้วนได้ยินแทบทั้งสิ้น


 


ใบหน้าหนึ่งกล่าว “ปล่อยให้พวกมันทำไปเถอะ เอาไว้พอพวกเราหลุดออกไปข้างนอกได้ สิ่งเดียวที่เหลือให้พวกมันพอจะทำได้ ก็คือยื่นถวายเนื้อสดๆและจิตวิญญาณมาให้พวกเรากิน”


 


“นั่นสินะ”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า แทบจะอดใจรอไม่ไหวแล้ว”


 


“ตาย!”


 


“พวกแกจะต้องตาย!”


 


“ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย!”


 


ใบหน้าบนทะเลสาบต่างพากันตะโกนขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง


 


กู่ฉิงซานยังไม่ทันได้พูดอะไร สมองควอนตัมในอ้อมแขนเขาก็เริ่มตอบสนองขึ้นเสียก่อน


 


เทพธิดากงเจิ้ง “ใต้เท้า ทางเรากำลังเร่งติดตามมา แต่ในพื้นที่แห่งนี้มีพลังงานแปลกๆไหลวนอยู่ มันคอยรบกวนฉันไม่ให้ระบุตำแหน่งสมองควอนตัมของคุณ”


 


‘นั่นคงจะเป็นความผันผวนที่เกิดจากนรกเยือกแข็ง’ กู่ฉิงซานแอบพูดอย่างลับๆ


 


เขากล่าว “เปลี่ยนดาวเทียมตรวจสอบ และค้นหาโดยอ้างอิงที่ตั้งจากท้องฟ้าโดยตรง”


 


เทพธิดากงเจิ้ง “หมอกยังคงแพร่กระจายอย่างต่อเนื่องไปทั่วทั้งป่าดึกดำบรรพ์ ตอนนี้พื้นที่ทั้งหมดเต็มไปด้วยหมอกหนา ฉันไม่สามารถระบุตำแหน่งท้องฟ้าทางภูมิศาสตร์ได้”


 


“แล้วทีนี้พวกเราจะทำยังไงดี?” เย่เฟย์หยูทนไม่ไหวต้องพูดออกมา


 


อาณาเขตทะเลสาบกำลังค่อยๆแพร่กระจาย ขยายตัวขึ้นตลอดเวลา และหากคิดกำจัดมัน ก็ไม่สมควรที่จะเกิดความล่าช้าใดๆ


 


กู่ฉิงซานไตร่ตรองสักพักก็หัวเราะออกมา


 


“นายหัวเราะอะไร?” เย่เฟย์หยูเอ่ยถาม


 


“ก็จู่ๆฉันก็รู้สึกว่า การที่ตัวเองได้ไปเรียนในโรงเรียนสอนการแสดงมันไม่ได้เป็นการเก็บเกี่ยวที่ไร้ความหมายเลยน่ะสิ”


 


มองไปยังท่าทีสับสนของเย่เฟย์หยู กู่ฉิงซานก็เอ่ยอธิบาย “มีภาพยนต์ในยุคโบราณเรื่องหนึ่งที่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ฉัน และมันได้บ่งบอกถึงวิธีที่จะจัดการกับสถานการณ์นี้”


 


“นั่นใช่พวกคาถาโบราณอะไรแบบนี้หรือเปล่า” เย่เฟย์หยูคิดก่อนจะกล่าว


 


“มันย่อมเป็นคาถา”


 


กู่ฉิงซานยกดาบพิภพขึ้น ชี้ปลายแหลมไปบนท้องฟ้า


 


ก่อนจะเปล่งประโยคเดียวกันกับหนังดังย้อนยุคออกมา


 


“หนึ่งศรพุ่งทะลวงผ่านชั้นเมฆ แผลงฤทธิ์ดังอาชานับพันหมื่นบรรจบกัน”

 

 

 


ตอนที่ 321

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.321 – ไม่สามารถย้อนกลับได้


 


เสียงพูดยังไม่ทันได้ตกลง ตัวดาบพิภพก็พลันเปล่งแสงสว่างจ้า


 


บังเกิดสายฟ้าบิดผัน ม้วนคดเคี้ยวไปมาตลอดทั้งใบดาบ และถูกหลอมรวมเข้าด้วยกันกับเทคนิคดาบของกู่ฉิงซาน


 


ในช่วงเวลาสั้นๆ ปรากฏประกายแสงสีน้ำเงินเข้มพรั่งพรูออกมาจากดาบพิภพ


 


“ไปเลย!” กู่ฉิงซานตะโกนก้อง


 


บังเกิดปราณดาบคำรามลั่นจากตัวดาบพิภพ มันพวยพุ่งผ่านชั้นเมฆหมอกหนาที่ขวางกั้น ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน


 


ปรากฏเสาแสงสายฟ้าเชื่อมต่อสวรรค์และโลกเข้าด้วยกัน


 


เสาแสงทะลุทะลวงหมอกหนาชั้นแล้วชั้นเล่า สุดท้ายจึงจ้วงลึกเข้าไปในชั้นเมฆบนท้องฟ้า และปะทุขึ้นเหนือเมฆในที่สุด


 


ทัศนียภาพอันงดงามหวือหวาเช่นนี้ ย่อมถูกตรวจจับได้ทันทีโดยเทพธิดากงเจิ้ง


 


“ใต้เท้า ฉันพบคุณแล้ว พวกเราจะรีบไปที่นั่นทันที!”


 


“ต้องอย่างนั้นสิ”


 


กู่ฉิงซานเก็บดาบพิภพกลับคืน แล้วลอยไปยืนเฝ้ารออยู่กับเย่เฟย์หยูกลางอากาศอย่างเงียบๆ


 


ท่ามกลางความเงียบบนท้องฟ้า ปรากฏเสียงคำรามของเครื่องยนต์ที่แข็งกร้าวดังขึ้นจากระยะไกล


 


เสียงค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ


 


ทันใดนั้น เรือรบประจัญบานขนาดยักษ์ลำหนึ่งก็โผล่หัวลงมาจากชั้นเมฆหมอก


 


ตามด้วยเสียงสังเคราะห์อิเล็กทรอนิกส์ที่ดังขึ้นจากยานรบ แพร่กระจายไปทั่วท้องฟ้า


 


“ทีมยานรบ ‘หนึ่งดาว’ แห่งรัฐบาลกลางขอรายงานตัวกับใต้เท้า”


 


แล้วหลังจากนั้นไม่นาน เรือรบประจัญบานขนาดยักษ์ลำที่สองก็โผล่ออกมาจากชั้นเมฆหมอกหนา


 


ตามด้วยลำที่สาม


 


สี่


 


ห้า


 


……….


 


กองยานรบขนาดยักษ์อีกกว่า 24 ลำ ค่อยๆโผล่ออกมาจากชั้นเมฆหมอก


 


นี่นับว่าเป็นกำลังรบทางทหารที่ทรงพลังยิ่ง พลังอำนาจของมันเพียงพอที่จะรับมือกับสงครามขั้นรุนแรงถึงขีดสุดได้


 


เหล่ายานรบประจัญบานขนาดยักษ์ลอยลำเหนือศีรษะของกู่ฉิงซานและเย่เฟย์หยู ก่อนจะทยอยกันมุ่งหน้าเคลื่อนพลไปยังสุดปลายอีกด้านหนึ่งของหมอกหนา


 


“อ่าว นั่นพวกเขากำลังจะไปไหนน่ะ?” เย่เฟย์หยูอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา


 


“พวกเขาไปทำตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายน่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากัน ยานรบประจัญบานอีกสามลำ ก็โผล่ออกมาจากหมอกหนา


 


“ทีมยานรบ ‘สามดาว’ แห่งรัฐบาลกลางขอรายงานตัวกับใต้เท้า”


 


“ฉันเห็นคุณแล้ว”


 


กู่ฉิงซานยกดาบของเขาขึ้น และโบกทักทายไปทางยานรบ


 


สิ้นการทักทายเพียงสั้นๆ 3 ยานรบก็แยกตัวออกไป ตามด้วย 21 ยานเรือที่โผล่ลงมาจากชั้นหมอกหนา  เคลื่อนตัวผ่านหน้าทั้งสองคน ไล่ตามติด 3 ลำแรกไปติดๆ


 


“ใครกันที่เป็นคนควบคุมกองเรือพวกนี้?”  เย่เฟย์หยูอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม


 


“เป็นเทพธิดากงเจิ้งกับระบบ AI ของยานรบที่เธอสร้างขึ้น” กู่ฉิงซานตอบ


 


“มันช่างน่าทึ่งมากจริงๆ” เย่เฟย์หยูพึมพำออกมา


 


แล้วสมองควอนตัมในอ้อมแขนเขาก็ส่องสว่างขึ้น


 


เทพธิดากงเจิ้งกล่าว “ทะเลสาบเฟิงหู ความยาว 15.1 กม. , ความกว้างสูงสุด 7.6 กม. , ความกว้างโดยเฉลี่ย 4.3 กม. , ความยาวเส้นรอบชายฝั่ง59.1 กม. พื้นที่ทั้งหมด 431.64 กม. พื้นที่โดยรวมเป็นทะเลสาบตื้นๆมานานหลายปี ระดับน้ำเฉลี่ยต่ำกว่า 3.29 เมตร”


 


“ใต้เท้า ทางเราต้องใช้เวลาราวๆ 10 นาที เพื่อเตรียมการ”


 


“คงต้องรบกวนคุณแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว


 


แสงจากสมองควอนตัมดับลง และความเงียบก็กลับคืนมา


 


บนผิวทะเลสาบ ใบหน้ามนุษย์ที่โผล่ขึ้นมาจากใต้น้ำแข็งต่างกำลังเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


“เทคโนโลยีได้พัฒนามาถึงจุดนี้แล้วอย่างงั้นหรือนี่?” ใบหน้าหนึ่งถอนหายใจ


 


แต่แล้วในวินาทีต่อมา มันก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “แต่ก็แล้วมันยังไง! ไม่ว่าอย่างไรเทคโนโลยีนั่นก็ฆ่าพวกเราไม่ได้อยู่ดี!!!”


 


ตลอดทั่วทั้งผิวทะเลสาบ ใบหน้าคนตายนับไม่ถ้วนต่างพากันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา


 


เย่เฟย์หยูหันไปมองกู่ฉิงซาน


 


และเห็นแค่เพียงว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มอยู่


 


สิบนาทีผ่านพ้นไป


 


“ใต้เท้า ทางเราเตรียมการพร้อมแล้ว” เสียงของเทพธิดาดังกึกก้อง


 


“ขอบคุณสำหรับความเหนื่อยยากนะ งั้นต่อจากนี้ ฉันกับเย่เฟย์หยูขอตัวลงจากเวทีแสดงในครั้งนี้ก่อนก็แล้วกัน” กู่ฉิงซานกล่าว


 


เขากวักมือไปทางเย่เฟย์หยู


 


“อะไร จะไปกันแล้วหรอ?” เย่เฟย์หยูเอ้ยถาม


 


“ใช่ ไปกันเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“แล้วมอนสเตอร์พวกนี้ล่ะ?”


 


“ทุกอย่างถูกจัดเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว”


 


กู่ฉิงซานก้มลงมองใบหน้าที่แออัดกันทั่วทั้งทะเลสาบ และเริ่มเอ่ยปากกล่าวว่า “ฉันจะทำให้พวกเขาได้รู้ซึ้งถึงพัฒนาการของพลังอำนาจในโลกคนเป็น”


 


ทั้งสองทะยานสู่ท้องฟ้า และกลายเป็นเส้นแสงมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของรัฐบาลกลาง


 


“พวกมันไปแล้วหรอ?”


 


หัวจำนวนมากที่กำลังแหงนมองท้องฟ้า ต่างพากันเผยสีหน้างงงวย


สายตาของพวกมันตกลงมามองกันและกัน แลเห็นถึงความสับสนและสงสัยในแววตาของอีกฝ่าย


 


หนึ่งในนั้นเอ่ยปากกล่าวอย่างไม่เข้าใจ “เรือรบประจัญบานขนาดยักษ์ … ฉันก็รู้ว่ามีเทคโนโลยีนี้อยู่หรอก แต่ถึงแม้ว่ามันจะทรงพลังมากกว่าแต่ก่อน และมีประสิทธิภาพมากขึ้นก็ตามที แต่หลังจากที่ใช้มันฆ่าพวกเรา สุดท้ายแล้วพวกเราก็จะกลับมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในไม่ช้าอยู่ดี … ”


 


แล้วสิ่งที่เจ้าหนุ่มนั่นมันพูด หมายความว่าอะไรกันแน่?


 


ฮู้มมมม!


 


สองเรือรบประจัญบานขนาดยักษ์โฉบลงเวียนวนรอบๆทะเลสาบน้ำแข็ง พร้อมกับประตูที่เปิดออก


 


ตามด้วยหุ่นรบขับเคลื่อนนับร้อยนับพันที่ปรากฏขึ้น


 


เหล่าหุ่นรบถือปืนวิศวกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นตะขอยึดที่ทำจากโลหะผสม ที่มีการหลอมขึ้นเป็นพิเศษด้วยวัสดุคุณภาพสูง


 


ภายใต้คำสั่งแบบครบวงจรของเทพธิดากงเจิ้ง หุ่นรบขับเคลื่อนทั้งหมดก็เริ่มเคลื่อนไหวออย่างรวดเร็ว


 


หลังจากนั้นไม่นาน ตลอดทั้งทะเลสาบทุกตำแหน่งที่ถูกคำนวณไว้ ก็ถูกตรึงด้วยตะขอโลหะผสมที่ถูกเจาะลึกลงไป


 


เมื่องานของเกราะรบขับเคลื่อนเสร็จสมบูรณ์ พวกมันก็บินกลับไปยังยานรบประจัญบานแต่ละลำที่ประจำการ


 


และพวกมันก็เริ่มทำการติดตั้งปลายตะขออีกด้านหนึ่ง ยึดติดกับตัวยานรบ


 


ตลอดทั้ง 48 ยานรบประจัญบานขนาดยักษ์ เริ่มทำการฉุกลากสายเคเบิ้ลที่เชื่อมต่อกับตัวตะขอขึ้นมาจนตึง


 


ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง มุม อัตราเร่งและความเร็วของยานรบประจัญบานแต่ละเครื่อง ล้วนได้รับการคำนวณมาแล้วอย่างพิถีพิถันโดยเทพธิดากงเจิ้ง


 


วินาทีต่อมา


 


ยานรบประจัญบานทั้ง 48 ลำก็ออกตัวพร้อมๆกัน


 


สองกองยานรบประจัญบานเร่งเครื่องพร้อมกัน ส่งผลให้เกิดเสียงคำรามอึกทึกไปทั่ว


 


ทั้งหมดพยายามที่จะไต่ระดับขึ้นไปยังอากาศเบื้องบน


 


ตลอดทั้งทะเลสาบน้ำแข็งค่อยๆลอยตัวขึ้นด้วยการฉุดลากอันทรงพลังของ48เรือรบประจัญบาน ทะยานสู่ท้องฟ้าอย่างช้าๆ


 


รอบๆกองยานรบ เต็มไปด้วยรถเหินเวหา เรือลาดตระเวณ ฯลฯ  ที่รับหน้าที่ป้องกันน และพร้อมจะโจมตีภัยคุกคามใดๆที่ย่างกรายเข้ามาใกล้ทุกเมื่อ


 


นี่คือกระบวนทัพของสองเรือรบประจัญบานขนาดยักษ์ ที่กำลังลอยลำนำตลอดทั้งทะเลสาบลอยขึ้นสู่ฟากฟ้า!


 


“แกต้องการจะลากพวกเราขึ้นไปแล้วทิ้งดิ่งลงมาเพื่อฆ่าให้ตายในทีเดียวใช่ไหม? ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”


 


“ช่างไร้เดียงสาจริงๆ!”


 


“การกระทำเช่นนั้นมีแต่จะช่วยให้พวกเราหลุดพ้นจากการถูกแช่แข็งได้เร็วยิ่งขึ้น!”


 


“ฉันแทบจะอดใจรอไม่ไหวที่จะได้กินเนื้อมนุษย์สดๆแล้ว!”


 


บนผิวทะเลสาบ ใบหน้านับไม่ถ้วนเปล่งเสียงหัวเราะเย้ยหยัน


 


ทว่าไม่มีใครตอบพวกมันกลับมา


 


บางครั้งบางคราว ด้วยผลพวงจากการฝืนยกตลอดทั้งทะเลสาบขนาดใหญ่ ทำให้ชั้นน้ำแข็งที่แช่ร่างคนตายบางตนปริร้าว จนพวกมันเริ่มที่จะคืบคลานออกมาได้ ทว่าสุดท้าย พวกมันก็จะถูกเหล่ากองกำลังที่คอยป้องกันอยู่โดยรอบ ฉีดพ่นโลหะผสมหลอมเหลวใส่ ตรึงร่างให้ติดอยู่กับน้ำแข็งดังเดิมอยู่ดี


 


ด้วยอัตราเร่งที่เพิ่มขึ้นของเรือรบประจัญบาน ทะเลสาบน้ำแข็งก็เริ่มลอยลำขึ้นสู่ท้องฟ้า


 


และไม่นานนัก เหล่าคนตายก็มิอาจหัวเราะได้อีกต่อไป


 


เพราะกระบวนทัพยานรบประจัญบานที่ว่านี้ มิได้ชะลอระดับความสูงอยู่แค่ในชั้นบรรยากาศ


 


ทั้งสองกองยานลากจูงทะเลสาบน้ำแข็งทะยานตัวสูงขึ้น บินออกสู่นอกโลก ตรงเข้าสู่ห้วงจักรวาล


 


“เรียกกองยานแรก จากการตรวจสอบ , ไม่ค้นพบถึงร่องรอยของมอนสเตอร์เอกภพในบริเวณใกล้เคียงนี้ , ทราบแล้วเปลี่ยน”


 


“ไม่มีมอนสเตอร์เอกภพอยู่ใกล้เคียง นั่นหมายความว่าจะไม่มีอะไรส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนกระบวนทัพของเรา , ทราบแล้วเปลี่ยน”


 


“ร้องขอตรวจสอบเวลา เพื่อคาดคะเนช่วงเวลาเร่งความเร็วจนเสร็จสมบูรณ์”


 


“ช่วงเวลาได้รับการตรวจสอบแล้ว เริ่มทำการนับถอยหลังเพื่อเร่งความเร็วให้หลุดพ้นจากแรงโน้มถ่วงโลก , ทราบแล้วเปลี่ยน”


 


“ 3 2 1 , เริ่มต้นเร่งความเร็วได้!”


 


48ยานรบขนาดยักษ์ ทำการเร่งความเร็วในเวลาเดียวกัน


 


หลังจากการเร่งความเร็วอย่างรุนแรง กระบวนทัพเรือรบก็เริ่มออกห่างจากแรงดึงดูดของโลก


 


ทะเลสาบน้ำแข็งก็หลุดจากแรงโน้มถ่วงของโลกเช่นกัน


 


นับจากนี้ไป ทะเลสาบน้ำแข็งจะไม่มีวันกลับคืนสู่โลกได้อีกต่อไป


 


“เริ่มทำการปล่อยตัวได้”


 


ตะขอทั้งหมดบน48เรือรบประจัญบานถูกปลดออก


 


สายเคเบิ้ลที่เมื่อครู่ถูกขึงจนตึงแน่น บัดนี้หย่อนยาน พร้อมกับทะเลสาบน้ำแข็งที่ค่อยๆลอยห่างออกไปจากกระบวนทัพยานรบ


 


แรงเฉื่อยอันมหาศาลจากภายนอกโลก ช่วยให้ทะเลสาบน้ำแข็งสามารถรักษาความเร็วได้ดังเดิม และลอยล่องหายลับไปในส่วนลึกของห้วงจักรวาล


 


หากไม่มีอุบัติเหตุใดๆ ทะเลสายน้ำแข็งก็จะลอยอยู่ท่ามกลางจักรวาลอันมืดมิดตลอดกาล


 


แม้จะต่อให้มีบางสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น อย่างเช่น ทะเลสาบน้ำแข็งอาจจะถูกดึงดูดโดยแรงโน้มถ่วงของดาวเคราะห์รกร้าง แต่สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นเพียงดาวบริวารน้ำแข็ง คอยล่องลอยเวียนอยู่รอบดาวเคราะห์ดวงที่ว่านั่นตลอดไป


 


หรืออีกกรณีหนึ่ง – แม้เศษเสี้ยวนรกเยือกแข็งนี้ถูกกลืนกินลงไปโดยมอนสเตอร์เอกภพ แต่สุดท้ายแล้วพวกมันก็จะถูกย่อยสลายอยู่ในกระเพาะของอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกว่ามอนสเตอร์เอกภพตัวนั้นจะตกตายลงอยู่ดี


 


โดยสรุปแล้ว คนตายผู้ชั่วร้ายเหล่านี้ จะไม่มีทางได้กลับมาได้อีกแน่ๆ

 

 

 


ตอนที่ 322

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.322 – ใกล้เข้ามา


 


ในห้วงจักรวาล


 


48 เรือรบประจัญบานแยกตัวออกจากกันเป็นสองกระบวนทัพ ตีวงวาดเป็นเส้นโค้งสองทิศทางตามแนวโลก มุ่งหน้าหวนคืนสู่ดวงดาวของตน


 


ทะเลสาบน้ำแข็งลอยผ่านกองกระบวนทัพ หายเข้าไปในจักรวาลอันมืดมิด


 


ใบหน้าที่นับไม่ถ้วนที่ถูกแช่อยู่ในทะเลสาบหันไปมองรอบๆ


 


พวกมันไม่เคยคาดคิดว่าตนจะได้หวนคืนจากนรกกลับมายังโลกอยู่ครั้ง ตอนแรกต่างก็ได้แต่เฝ้าฝันว่าหากหลุดออกไปได้จะทำอะไรต่อ


 


ทว่าบัดนี้ ใบหน้าทั้งหมดแทบจะเป็นบ้า!


 


พวกมันตะโกนเสุดเสียง ขู่คำราม สบถสาปแช่ง และด่าทอด้วยถ้อยคำร้ายกาจอย่างไม่ขาดปาก


 


มองไปยังทะเลสาบน้ำแข็งท่ามกลางจักรวาลอันมืดมิด คุณจะสามารถเห็นใบหน้านับไม่ถ้วนบนทะเลสาบกำลังอ้าปากพะงาบๆอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ทว่าเนื่องด้วยที่แห่งนี้อยู่ในสภาพสุญญากาศ ถ้วยคำที่พวกมันพยายามเปล่งจึงไม่อาจหลุดรอดออกมาได้เลย


 


-ส่งผลให้ฉากนี้แลคล้ายกับละครใบ้เก่าๆ ช่างดูตลกไม่น้อย


 


ทะเลสาบน้ำแข็งลอยล่องท่ามกลางห้วงจักรวาล เฝ้ารอคอยที่จะพบเผชิญกับชะตากรรมใหม่


 


เมื่อถูกส่งลอยไปอยู่นาน ในที่สุดมันก็ถูกพบเจอโดยมอนสเตอร์เอกภพที่ตลอดทั้งเนื้อตัวปกคลุมไปด้วยดวงตา แต่ยังคงเหลือปากอันมโหฬารไว้เพียงหนึ่ง มันอ้าปากออก แลบลิ้นออกไปเลียเจ้าสิ่งแปลกใหม่นี้อย่างแผ่วเบา และฟุ่บบ! ตวัดเอาทะเลสาบน้ำแข็งที่หากเทียบกับขนาดตัวของมันแล้วเป็นเพียงจุดสีขาวเล็กๆเข้ามาในปาก


 


ต่อมรับรสของมันสัมผัสได้ถึงระเบิดไอเย็นแทรกผ่านเข้ามาบนปลายลิ้น มันกระตุกเล็กน้อย แต่ความรู้สึกที่ว่านี่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้มันหยุดชะงัก แต่กลับส่งผลให้ต่อมน้ำลายเริ่มทำงาน หลั่งเมือกเหลวออกมาเพื่อต้านทานไอเย็นอันรุนแรงนี้แทน


 


มอนสเตอร์เอกภพกลั้วจุดเล็กๆสีขาวบนลิ้นของมันหมุนไปหมุนมา เพลิดเพลินสนุกสนานไปกับสิ่งแปลกใหม่ตรงหน้า


 


เมื่อผ่านพ้นไปถึงจุดหนึ่ง มันก็หยุดกึกลงทันที ดวงตานับไม่ถ้วนเปิดออก สาดส่องไปรอบๆ


 


‘ยังมีอาหารอร่อยๆหลงเหลืออยู่แถวนี้อีกบ้างไหมนะ?’


 


……


 


วิลล่าบนหุบเขา


 


มีการนำเสนอข่าวบนโทรทัศน์


 


ท่านประธานาธิบดีกำลังจับมือกับสมาชิกวุฒสภาที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง


 


บนใบหน้าของสส.ที่มีชื่อเสียงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ทางด้านประธานาธิบดีกลับมิได้มีการแสดงออกใดๆทางสีหน้า ทั้งคนทั้งร่างแลดูเคร่งขรึมและหนักอึ้งเล็กน้อย


 


ผู้บรรยายเริ่มกล่าวว่า “ในวันนี้ ท่านสส.แห่งมณฑลไป่ซาและท่านประธานาธิบดีได้ประสบความสำเร็จในการทำข้อตกลงร่วมกัน”


 


“มันยากที่จะจินตนาการจริงๆว่า ชายผู้มีเกียรติทั้งสองที่ยืนอยู่บนปลายเข็มคนละฟาก จะสามารถหันหน้ามาสนทนากันได้อย่างเป็นมิตร”


 


“ท่านสส.พูดติดตลกว่า เขาจะให้ความสนใจกับคำปราศรัยของท่านประธานาธิบดีคนต่อไป เพื่อตัดสินใจว่าจะสนับสนุนการเลือกตั้งให้ดำเนินต่อไปหรือไม่”


 


“และท่านประธานาธิบดีก็แสดงความชื่นชมและเข้าใจถึงเรื่องนี้ดี”


 


เหลียวฮังกำลังนั่งดูทีวี ขณะเดียวกันก็เติมเบียร์ลงในแก้วจนฟองล้นออกมา


 


เขานั่งดูมันด้วยคู่ดวงตาดั่งปลาตาย จับจ้องไปยังประธานาธิบดีบนจอตาไม่กะพริบ


 


“คราวนี้ไม่น่าจะใช่ร่างโคลน แบบนี้คงไม่ดีแน่ นี่มันเรื่องใหญ่เกินไป ฉันคงต้องคาบเรื่องนี้ไปบอกมันซะแล้ว” เขาบ่นงึมงำ


 


เมื่อตัดสินใจได้ เหลียวฮังก็หยิบอุปกรณ์สื่อสารออกมาและทำการเชื่อมต่อกับกู่ฉิงซาน


 


“แกอยู่ไหนน่ะ?”


 


“ชายแดนสาธารณรัฐฟูซี ฉันกับเย่เฟย์หยูกำลังจะกลับไป” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“รอไม่ไหวหรอก ฉันจะบอกแกให้นะ ว่าตอนนี้ท่านประธานาธิบดีในทีวีน่ะ ไม่ใช่ร่างโคลน”


 


“แล้วคุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?”


 


“ใช้ตาดูก็รู้แล้ว! ร่างโคลนน่ะจะมีปัญหาบางอย่างกับความทรงจำ และมักจะหยุดชะงักเล็กน้อยเพื่อเค้นสมองคิด หากมองจากภายนอก คู่ดวงตาของเขาจะดูคล้ายกับคนไร้สติเป็นครั้งคราว ถึงในมุมมองของคนปกติ อาจจะเห็นว่าเขากำลังหยุดนิ่งเพราะสนใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ แต่แค่มองฉันก็รู้แล้วว่านั่นคือการแสดงออกทางสรีรวิทยา มันเป็นการหยุดชะงักเพราะต้องใช้สมองขบคิดของมนุษย์”


 


“แล้วคุณไปสังเกตเห็นมันได้ยังไง?” กู่ฉิงซานถาม


 


เหลียวฮังเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกระซิบว่า “ในอดีตที่ผ่านมา ถังจุนทำให้ร่างโคลนที่มีความทรงจำให้ฉัน มันเลยดูแนบเนียน ดังนั้นฉันถึงหลบหนีเก้าตระกูลมาได้ และรู้เรื่องพวกนี้”


 


เหลียวฮังเอ่ยต่อ “ฉันได้วิเคราะห์ข้อมูลจากการทดลองของถังจุน และเมื่อรวมกับแผนการลอบสังหารประธานาธิบดีหลายครั้งหลายครา อาจพูดได้ว่าร่างโคลนของเจ้าประธานาธิบดีตอนนี้คงหมดเกลี้ยงไปแล้ว”


 


“พอถังจุนตาย ประธานาธิบดีเลยไม่มีร่างโคลนที่มีความทรงจำอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่เพียงต้องออกมาด้วยตัวเอง”


 


บังเกิดความเงียบขึ้นในช่องทางสื่อสาร


 


หากเป็นในกรณีนี้ แล้วท่านประธานาธิบดีถูกลอบสังหารอีกครั้งแล้วล่ะก็ … เขาก็จะตายจริงๆ


 


“ … โอเค ฉันเข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวออกมาในที่สุด


 


และเขาก็วางสายสนทนาไป


 


ร่างจริงของท่านประธานาธิบดีปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าสาธารณะ


 


ตั้งแต่ที่องค์จักรพรรดิแห่งฟูซีได้ลักพาตัวถังจุนไป แน่นอนว่าย่อมต้องมีคนมากมายรู้เกี่ยวกับเรื่องร่างโคลนของประธานาธิบดี


 


ดังนั้นถ้าเขาคิดจะจัดการกับประธานาธิบดี เขาจะต้องทำให้รัฐบาลกลางตกอยู่ในความวุ่นวายเสียก่อน และฉวยโอกาสท่ามกลางสถานการณ์นั้นลงมืออย่างแน่นอน


 


“เทพธิดากงเจิ้ง” กู่ฉิงซานเรียก


 


“ใต้เท้า ฉันอยู่นี่”


 


“เทพนักสู้ยังคงทำหน้าที่ปกป้องอยู่ในทำเนียบประธานาธิบดีอยู่รึเปล่า?”


 


“เขาได้รับข้อความของฉันแล้ว และตอนนี้กำลังนั่งอยู่ภายในทำเนียบ”


 


“งั้นก็ค่อยโล่งใจหน่อย”


 


หากมีเทพนักสู้ซางซ่งหยางคอยคุ้มครองเป็นการส่วนตัว ตราบใดที่ท่านประธานาธิบดีไม่ได้ออกไปข้างนอก ก็ไม่สมควรที่จะมีปัญหาใดๆเกิดขึ้นกับเขาอย่างน้อยก็ในระยะเวลาสั้นๆ


 


กู่ฉิงซานคิดอยู่สักพักหนึ่ง แต่เย่เฟย์หยูก็บินมาใกล้ๆและขัดจังหวะเขาเสียก่อน


 


“มีอะไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“ฉันคิดว่านายคงอยากจะดูข้างล่างนี่” เย่เฟย์หยูกล่าว


 


กู่ฉิงซานก้มหัวลงมอง


 


ท่ามกลางป่าอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด หลายตำแหน่งถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งค้างสีขาว


 


น้ำแข็งค้างเหล่านั้นค่อยๆแพร่กระจายไปรอบๆด้วยอัตราเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า


 


ความเร็วในการแพร่กระจายแบบนี้ ได้รวดเร็วเกินกว่าปรากฏการณ์เยือกแข็งตามปกติไปแล้วโดยสมบูรณ์


 


แต่นับว่าโชคยังดี ที่บริเวณนี้เป็นพรมแดนเชื่อมต่อระหว่างสองประเทศ ดังนั้นจึงไม่มีใครอาศัยอยู่ มันจึงไม่ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกขึ้นในสังคมมนุษย์


 


เย่เฟย์หยูที่บินอยู่ข้างๆ ตะโกนถามว่า “แล้วถ้าโลกทั้งใบถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง พวกเราสมควรจะทำยังไงดี?”


 


กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าว “ฉันก็กำลังคิดเกี่ยวกับปัญหานี้อยู่เหมือนกัน”


 


ในชีวิตก่อนหน้า มนุษย์ก็ไม่สามารถค้นพบวิธีที่จะจัดการกับมันเช่นกัน


 


อาจกล่าวได้ว่าเพราะมัน มนุษยชาติจึงได้สูญสิ้นลง


 


ณ วิลล่าบนหุบเขา


 


เมื่อกู่ฉิงซานมาถึง เขาก็พบกับเหลียวฮังที่กำลังถือหนังสืออยู่ และอ่านมันอย่างจริงจัง


 


“นั่นคุณกำลังอ่านอะไรอยู่น่ะ” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“ก็แค่สาขาการวิจัยใหม่ๆ” เหลียวฮังปิดหนังสือและวางลง


 


บนหน้าปก มีตัวอักษรขนาดใหญ่เขียนไว้ว่า ‘ทฤษฏีพันธุศาสตร์’


 


กู่ฉิงซานเหลือบมองมัน และนั่งลงตรงข้ามกับเหลียวฮัง


 


“คุณก็ทำการศึกษาเรื่องนี้อยู่ด้วยหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“ก็แค่อยากจะระลึกถึงเพื่อนเก่าที่ตายไปแล้ว” เหลียวฮังตอบ


 


“คุณมีความคิดเห็นยังไงบ้างเกี่ยวกับการตายของเพื่อนคุณ?” กู่ฉิงซานถาม


 


เหลียวฮัง “ฉันไม่เข้าใจน่ะ”


 


“ตรงส่วนไหนกันที่คุณไม่เข้าใจ?”


 


“เจ้าถังจุนน่ะนะ ตามสถานการณ์ปกติแล้ว มันจะมีมืออาชีพคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา แต่สุดท้ายก็กลับถูกลักพาตัวไป” เหลียวฮังกล่าวอย่างสับสน


 


“ยังไงก็เหอะ พอมันได้รับการช่วยเหลือ มันก็รีบวิ่งแจ้นไปพบกับประธานาธิบดีทันที แต่หลังจากที่มาถึงทำเนียบ เมื่อพบเขา มันก็ดันตายลงอย่างกระทันหันซะงั้น”


 


“ดังนั้น ดร.ถังจุนเลยแทบจะไม่มีเวลาได้ทันพูดคุยอะไรกับท่านประธานาธิบดีสินะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“คนที่อยู่ด้วยในเวลานั้นมีไม่มากนัก เลยไม่มีใครได้ทันทำการบันทึกอะไรเอาไว้” เหลียวฮังเอ่ยด้วยสีหน้าเศร้าสลด


 


กู่ฉิงซานขบคิด ก่อนจะกล่าว “สำหรับเรื่องนี้ ฉันมีอีกความคิดเห็นหนึ่ง”


 


“ว่ามาสิ”


 


“การตายของถังจุน น่าจะเป็นฝีมือขององค์จักรพรรดิฟูซี”


 


“จักรพรรดิฟูซี?” เหลียวฮังยืดหลังตรง ยกสองแขนขึ้นกอดอก “ทำไมถึงคิดว่าเขาจะทำอะไรแบบนี้?”


 


กู่ฉิงซานกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่ประตูก็ถูกเปิดออกอย่างแรงเสียก่อน


 


พร้อมกับเย่เฟย์หยูที่วิ่งเข้ามา


 


“มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น!” เขาลดเสียงลง สีหน้าท่าทีดูเหมือนกำลังหวาดกลัวเล็กน้อย


 


ทั้งกู่ฉิงซานและเหลียวฮังลุกขึ้นยืนพร้อมกัน


 


“เกิดอะไรขึ้น?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“หลิวชิจุนบอกว่าตัวเธอกำลังจะแตกสลายลงในไม่ช้า” เย่เฟย์หยูโพล่งออกมา


 


“นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน … ” กู่ฉิงซานเอ่ยออกไปโดยไม่รู้ตัว


 


หลิวชิจุนคือแฟนเก่าของเย่เฟย์หยู และตอนนี้เป็นวิญญาณคนตาย หรือเรียกสั้นๆว่าผี และกำลังอยู่ร่วมกันกับเย่เฟย์หยู


 


โดยปกติแล้ว การดำรงอยู่ของวิญญาณคนตาย สมควรที่จะสามารถอยู่ได้เป็นเวลายาวนานมากๆ


 


เสียงของทั้งสองพึ่งจะตกลง ก็บังเกิดการเคลื่อนไหวขึ้นในอากาศที่ว่างเปล่า


 


ดาบพิภพมีความคิดริเริ่มที่จะปรากฏร่างออกมาด้วยตนเอง


 


ตามด้วยเสียงอันหนักแน่นดั่งขุนเขาดังขึ้นจากมัน “นี่มันพลังหยิน! เป็นฝีมือของปีศาจจากปรภพ!”


 


ฟุ่บบบ!


 


ดาบพิภพสั่นไหว ก่อนจะหายวับไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว


 


กู่ฉิงซานเคลื่อนกายตามไปพร้อมกับดาบพิภพ มุ่งตรงไปยังห้องของเย่เฟย์หยู


 


ป้ายหลุมศพถูกวางอยู่ตรงกลางห้อง


 


ทันใดนั้นแสงสวรรค์จากในร่างของกู่ฉิงซานก็ถูกขับเคลื่อน พร้อมกับการปรากฏกายของหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนป้ายหลุมศพด้วยใบหน้าที่ดูเย็นเยียบ


 


รูปร่างของเธอค่อยๆผอมบางลงเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าเธอกำลังจะแตกสลายลงในไม่ช้า


 


และในอากาศที่ว่างเปล่า ปรากฏสายลมเย็นฉ่ำพัดโชยไปมา


 


ดาบพิภพวาดตนจนเห็นเป็นเส้นโค้งในกลางอากาศ และตัดลงในความว่างเปล่าอย่างรุนแรง


 


บังเกิดเสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดและขมขื่นหวีดดังขึ้น


 


เลือดสีดำสาดกระเซ็นออกมาจากความว่างเปล่า แต่ทว่ากลับไม่มีร่างใดๆปรากฏให้เห็น


 


เสียงของดาบพิภพก้องกังวานขึ้น “ไม่ว่าจะเป็นปีศาจร้ายหรือผีร้ายก็ตาม หากอยู่เบื้องหน้าข้า พวกเจ้าจะไม่ได้รับอนุญาตให้มาก่อความวุ่นวายในโลกเบื้องหน้าเด็ดขาด!”


 


ฉัวะ!


 


คลื่นลมที่มองไม่เห็นแพร่กระจายออกมาจากดาบพิภพ ส่งเสียงหวีดหวิวไปทั่วทั้งห้อง


 


ลมหมุนวนกรรโชกแรง ราวกับกำลังจับตรึงอะไรบางอย่าง


 


แล้วทันทีหลังจากนั้น ดาบพิภพก็วูบไหว ทิ่มแทงออกไปยังทิศทางหนึ่งในอากาศที่ว่างเปล่าด้วยเจตนาร้าย!


 


ในเสี้ยววินาที สายลมที่พัดกระพือก็สลายหายไป


 


เสียงทั้งหมดพลันเงียบสงัดลง ในความว่างเปล่าไร้ซึ่งเสียงใดๆหวีดออกมาอีกต่อไป


 


ดาบพิภพลอยล่องกลับมาตกลงข้างกายกับกู่ฉิงซาน

 

 

 


ตอนที่ 323

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.323 – คาดเดาเกี่ยวกับนรก


 


ดาบพิภพลอยล่องกลับมาตกลงข้างกายกับกู่ฉิงซาน


 


ดาบพิภพแต่เดิมคืออาวุธเทวะที่เสียสละให้แก่สวรรค์และโลกตามตำนานยุคโบราณ(คอยทำหน้าที่แบกรับมวลน้ำหนักบนผืนพิภพ) และมันสามารถสื่อสารกับเหล่าเทพวิญญาณได้


 


ช่วงเวลาที่อยู่ในโลกเทวะ กู่ฉิงซานก็เคยได้ก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ และมันก็ช่วยฆ่าสังหารอสูรกายและมารสวรรค์ในช่วงที่เขาต้านทานรับทัณ์สวรรค์อีกด้วย


 


กู่ฉิงซานรับรู้ถึงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของดาบพิภพดี ดังนั้นเขาจึงไม่แปลกใจใดๆ ทว่าเหลียวฮังที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งกลับจ้องมองฉากนี้อย่างโง่งม


 


“ดะ .. ดาบ … ดาบพูดได้ นี่มันบ้าสิ้นดี ไม่เห็นจะตรงกับหลักวิทยาศาสตร์เลย … ” เหลียวฮังเอ่ยงึมงำราวกับสูญสิ้นจิตวิญญาณ


 


หากเป็นการฝึกยุทธ หรือเทคนิคฝึกยุทธ เหลียวฮังก็ยังพอจะรับได้ เพราะในโลกใบนี้ก็มีการดำรงอยู่ของพวกมืออาชีพอยู่


 


อย่างไรก็ตาม ดาบที่สามารถพูดได้ แถมยังสามารถฆ่าตัวตนที่มองไม่เห็นนี่มัน … กล่าวได้ว่าเป็นการทำลายโลกทัศน์ของเขาโดยสมบูรณ์


 


เย่เฟย์หยูดูท่าจะร้อนรนจนไม่มีเวลามามัวสนใจเรื่องนี้อีกต่อไป เขาเร่งเอ่ยถาม “ตอนนี้หลิวชิจุนเป็นยังไงบ้าง?”


 


กู่ฉิงซานขับเคลื่อนพลังวิญญาณ จ้องมองตรงไปยังป้ายหลุมศพ


 


อย่างไรก็ตาม เขาพบว่าร่างของหลิวชิจุนนั้นผอมแห้ง บอบบาง และแทบจะมองไม่เห็นอยู่รอมร่อแล้ว


 


“แบบนี้ชักจะไม่ดีแล้ว!”


 


กู่ฉิงซานตะคอกคำหนึ่ง ตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบดิสก์ค่ายกลรวบรวมวิญญาณออกมา


 


ทันใดนั้นพลังวิญญาณก็เอ่อล้นออกจากดิสก์ค่ายกล พร้อมกับตัวมันที่เปล่งแสงสดใสขึ้นอย่างฉับพลัน


 


สายลมอ่อนโยนปรากฏขึ้นในห้อง ตามด้วยหมอกจางๆ


 


รวบรวมวิญญาณ!


 


กู่ฉิงซานหยิบดิสก์ค่ายกลออกมาอีกอัน และจัดวางมันอีกครั้ง


 


สี่เสาต้องห้าม!


 


สี่เสาที่ว่านี้ ประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ


 


นี่มิใช่ธาตุ แต่ทว่าเป็นกฏการทำงานที่แฝงตัวอยู่ของโลก


 


มันเป็นการเลียนแบบการเคลื่อนไหวของดิน น้ำ ลม ไฟ และสร้างโลกขนาดเล็กที่แยกตัวออกจากโลกภายนอกขึ้นมา


 


ค่ายกลรวมรวบวิญญาณเสริมด้วยสี่เสาต้องห้าม ส่งผลให้พลังวิญญาณเริ่มก่อตัวขึ้นในโลกใบเล็ก


 


พลังงานวิญญาณจากสวรรค์และโลกจะช่วยหล่อเลี้ยงทุกสิ่งอย่าง แม้กระทั่งวิญญาณคนตายก็ไม่มีข้อยกเว้น


 


โลกใบเล็กที่แยกตัวจากโลกภายนอก จะช่วยปกป้องไม่ให้เหล่าสมัภเวสีเข้าไปรบกวนได้


 


ทั้งสองค่ายกลผสานทำงานร่วมกัน และเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ร่างอันเลือนลางของหลิวชิจุนก็เริ่มกลับมาแลดูมั่นคงอีกครั้ง


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจโล่งอก


 


แม้ว่าสองดิสก์ค่ายกลนี้จะต้องจ่ายออกด้วยศิลาวิญญาณจำนวนมาก แต่กู่ฉิงซานนั้นมีมรดกของนิกายร้อยบุปผาไว้ในครอบครองอยู่ ฉะนั้นในเรื่องนี้ย่อมไม่เป็นปัญหาใดๆ


 


กล่าวโดยคร่าวๆแล้วด้วยศิลาวิญญาณที่เขามี มันสามารถรับประกันได้ว่าค่ายกลทั้งสองนี้จะยังคงโคจรต่อไปอีกหลายพันปี โดยไม่มีปัญหาใดๆ


 


หลังจากนั้นอีกสักพัก


 


เมื่อได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยพลังงานวิญญาณ ร่างอันเลือนลางของหลิวชิจุนก็ค่อยๆก่อรูปขึ้น


 


เธอก้มลงมองร่างกายตัวเองด้วยความประหลาดใจ และตบลงบนหน้าอกเธอ พร้อมถอนหายใจด้วยความโล่งอก


 


เธอเอ่ยปากขอบคุณกู่ฉิงซานไปหลายคำ


 


และแน่นอน ว่าคำที่เธอพูดออกมา มีเพียงเย่เฟย์หยูเท่านั้นที่ได้ยิน


 


เย่เฟย์หยูพ่นลมหายใจบรรเทาความตึงเครียด แล้วหันไปพูดกับกู่ฉิงซานว่า “เธอฝากมาบอกว่าขอบคุณสำหรับน้ำใจที่ช่วยชีวิต แต่เธอตายไปแล้ว ดังนั้นเลยไม่รู้ว่านี่สมควรจะเรียกว่ามันเป็นการช่วยชีวิตหรือเปล่า แต่ยังไงช่วยก็คือช่วยอยู่ดี เธอบอกว่าขอบคุณจริงๆ”


 


เชาวางมือลงบนไหล่กู่ฉิงซานและกล่าวอย่างจริงจัง “การช่วยเธอก็เหมือนกับช่วยฉัน และฉันต้องขอบคุณนายมากจริงๆ”


 


แม้จะดูเหมือนกับว่ากู่ฉิงซานอยู่ที่นี่ แต่แท้จริงแล้วความคิดของเขาเตลิดไปที่อื่น


 


เขาเอ่ยถามดาบพิภพ “เมื่อครู่นี้มันคืออะไรกัน? มันดูแตกต่างจากมอนสเตอร์ที่ปรากฏตัวในตอนที่ข้าก้าวข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์นะ”


 


“แน่นอนว่ามันย่อมต่างออกไป” ดาบพิภพกล่าว “อสูรกายเมื่อครู่เป็นผู้คุมวิญญาณของนรกเยือกแข็ง”


 


กู่ฉิงซานกล่าว “ผู้คุมวิญญาณ? แล้วในเมื่อมันเป็นตัวแทนแห่งกฏเกณฑ์จากปรภพ เช่นนั้นทำไมมันถึงต้องโจมตีหลิวชิจุนด้วย?”


 


“ผู้คุมวิญญาณ เดิมเป็นการดำรงอยู่ของหนึ่งในผู้ปราบปรามเหล่าวิญญาณร้ายในนรก ข้าก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่ามันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”


 


ดาบพิภพเอ่ยเสริม “แต่ไม่ว่ายังไงมันก็กำลังดูดซับจิตวิญญาณของผีตนนี้อย่างแท้จริง ซึ่งนี่คือสิ่งที่ทางปรภพไม่อนุญาต ดังนั้นข้าจึงสังหารมันอย่างไม่ลังเล”


 


กู่ฉิงซานมิได้เอ่ยถามอะไรอีกต่อไป


 


เขาเงยหน้าขึ้นไปมองวิญญาณของหลิวชิจุน และไตร่ตรองอยู่สักพัก


 


“คุณหลิว ฉันมีวิธีที่จะช่วยให้คุณสามารถควบรวมฝึกฝนจิตวิญญาณได้ แต่คงต้องขอถามก่อนว่าคุณยินดีที่จะเรียนรู้มันไหม” กู่ฉิงซานกล่าว


 


เย่เฟย์หยูพอได้ฟังก็กำลังจะหันไปถามเธอ แต่กลับพบว่าหลิวชิจุนพยักหน้ารับครั้งแล้วครั้งเล่า


 


– แน่นอนว่าเธอได้ยินบทสนทนาของคนทั้งหลาย


 


หลังจากที่ได้ติดต่อกับเย่เฟย์หยูมานาน เธอก็ตระหนักได้ว่าบุคคลตรงหน้าเธอนั้นแข็งแกร่งเพียงใด


 


กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเอาอิฐขาวก้อนใหญ่ขึ้นมา


 


เขาขบคิดเกี่ยวกับมัน ก่อนจะหยิบใบหยกบางๆออกมาชิ้นหนึ่ง


 


กู่ฉิงซานทำการบันทึกวิธีการฝึกฝนสำหรับภูติผีที่อยู่อิฐขาว ใส่ไว้ในใบหยก


 


“นี่คือวิชาฝึกยุทธของคุณ หลังจากที่ทำการศึกษาเรียนรู้ จิตวิญญาณของคุณจะค่อยๆควบรวมกัน และต่อมา เมื่อก้าวไปสู่ขอบเขตที่ลึกซึ้ง คุณก็จะสามารถเป็นเหมือนเดิมดั่งเช่นเดียวกันกับคนปกติ สามารถรับรู้และสัมผัสถึงโลกใบนี้ได้อย่างแท้จริง”


 


“เมื่อเวลาที่คุณเริ่มต้นพูดคุยได้ด้วยตัวเองมาถึง คุณก็จะไม่แตกต่างไปจากคนที่มีชีวิต และเย่เฟย์หยูก็ไม่ต้องใช้เทคนิคเทียนซวนเพื่อรับฟังเสียงของคุณอีกต่อไป”


 


กู่ฉิงซานวางชิ้นหยกบางเบาลงบนป้ายหลุมศพอย่างอ่อนโยน


 


เขาเอื้อมมือออกไปจีบออกด้วยวิชาลับ และทำการกระตุ้นพลังวิญญาณไปยังมืออย่างว่องไว


 


บังเกิดจุดแสงสว่างขึ้นบนปลายนิ้วของเขา


 


เขาขยับปลายนิ้วเล็กน้อย และจุดแสงสว่างก็ลอยล่องไปตกลงบนหน้าผากของหลิวชิจุน


 


จุดแสงสว่างได้หายไป


 


“นั่นมันคืออะไรกัน” เย่เฟย์หยูเอ่ยถามด้วยความตึงเครียด


 


“วางใจเถอะ ฉันแค่ให้วิธีการเริ่มต้นแก่เธอน่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ในสายตาของหลิวชิจุน บังเกิดประกายตระหนักรู้เล็กน้อย เธอโค้งหัวโค้งกายไปทางกู่ฉิงซานครั้งแล้วครั้งเล่า


 


เธอได้เรียนรู้วิธีการอ่านใบหยกแล้ว


 


นี่เป็นเทคนิคมนตราที่ง่ายที่สุด ดังนั้นกู่ฉิงซานจึงใช้มันวางรากฐานให้เธอได้อย่างง่ายดาย


 


“เธอบอกว่าขอบคุณมากๆนะ” เย่เฟย์หยูกล่าว


 


“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่นายช่วยถามเธอให้หน่อยสิ ว่าทำไมจู่ๆ เธอถึงถูกโจมตีโดยผู้คุ้มวิญญาณอย่างกระทันหัน” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ในแววตาของหลิวชิจุนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว  เธอเริ่มบอกเล่าเรื่องราวพร้อมแสดงท่าทีต่างๆให้มันดูชัดเจน


 


“พลังแปลกๆกำลังฉุดลากเธอไปยังที่ไหนสักแห่ง และเมื่อเธอต่อต้านมัน เธอก็เริ่มที่จะแตกสลาย” เย่เฟย์หยูเอ่ยทวนซ้ำ


 


“ไปยังที่ไหนสักแห่ง? ช่วยถามเธอได้ไหมว่ามันคือที่ไหน” กู่ฉิงซานกล่าว


 


เย่เฟย์หยูเอ่ยถาม ก่อนจะหันมาตอบให้แก่กู่ฉิงซาน “สาธารณรัฐฟูซี หุบเขาหวงหยุน”


 


ทั้งสองสบตากันวูบหนึ่ง และเห็นถึงความหนักอึ้งในแววตาของอีกฝ่าย


 


นั่นเพราะพวกเขาเพิ่งจะกลับมาจากหุบเขาหวงหยุน และแน่นอนว่าย่อมรู้ว่าที่นั่นคือนรกเยือกแข็ง


 


ฟังจากที่ดาบพิภพได้กล่าว ผู้คุมวิญญาณคือตัวตนที่คอยปราบปรามการดำรงอยู่ของผีร้าย แต่ตอนนี้มันกลับช่วยให้พวก ‘คนตาย’ จากในนรกออกตามล่าจิตวิญญาณ


 


ความหมายอันแสนสำคัญของสิ่งนี้ได้บ่งบอกถึงเรื่องราวที่น่าตกใจ


 


กู่ฉิงซานจู่ๆก็พลันจดจำได้ถึงเรื่องหนึ่ง


 


ในตอนที่หลิวชิจุนเสียชีวิต เธอบอกว่าได้มีพลังอำนาจบางอย่างฉุดลากเธอไป แต่ต่อมาในภายหลังกลับหายไปเสียดื้อๆ


 


นั่นคือเหตุผลที่เธอยังสามารถอยู่ในโลกใบนี้ต่อไปได้


 


กู่ฉิงซานเอ่ยถามทันที “พลังที่ฉุดลากคุณในครั้งนี้ ใช่เป็นพลังแบบเดียวกันที่ในตอนที่พึ่งเสียชีวิตลงรึเปล่า?”


 


“เกี่ยวกับคำถามนี้ คุณควรจะคิดเกี่ยวกับมันให้ชัดเจนก่อนที่จะตอบผม”


 


หลิวชิจุนเมื่อเห็นถึงท่าทีจริงจังเคร่งขรึมเวลาที่เขาพูด เธอก็เร่งเรียกคืนความทรงจำอย่างถี่ถ้วนก่อนจะตอบออกไป


 


“เธอบอกว่ามันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง” เย่เฟย์หยูกล่าว


 


“คุณสามารถสัมผัสได้ถึงความแตกต่างระหว่างสองพลังที่ฉุดลากนี้ได้ยังไง” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“เธอบอกว่าพลังแรกจะให้ความรู้สึกอบอุ่นและเต็มไปด้วยความเมตตา”


 


“ส่วนพลังที่สอง … ”


 


เย่เฟย์หยูหันมองไปทางหลิวชิจุน


 


หลิวชิจุนขบคิด และขยับปากออกมาเพียงสามคำ


 


“เย็นชา , ชั่วร้าย และทรงพลัง”  เย่เฟย์หยูเอ่ยทวนซ้ำ


 


กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ


 


พลังชนิดแรกที่คอยรับส่งวิญญานได้หายไป และถูกแทนที่ด้วยพลังชนิดที่สองที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย


 


–พลังอำนาจในการฉุดลากจิตวิญญาณมนุษย์แตกต่างออกไปจากเดิม บางที นี่อาจจะเป็นตัวบ่งบอกว่าเกิดปัญหาบางอย่างขึ้นจากทางฝั่งปรภพใช่หรือไม่?


 


นี่เป็นข้อมูลที่กระทั่งมนุษย์ในชีวิตก่อนหน้าก็ยังไม่เคยได้รับรู้


 


ในชีวิตก่อนหน้าช่วงวันสุดท้าย ภัยพิบัติต่างๆพากันถาโถมเข้ามามากมายเกินไป และทุกคนก็อยู่ใกล้กับขอบเหวแห่งการสูญสลาย จึงไม่มีเวลาที่จะสำรวจถึงความจริงของนรกเยือกแข็ง


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจออกมา


 


ถ้าหากมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับทางฝั่งปรภพจริงๆ ถ้าอย่างงั้นแสดงว่านรกเยือกแข็งที่มาถึงนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น


 


ตามความรู้ ความเข้าใจของโลกผู้ฝึกยุทธเกี่ยวกับปรภพ กล่าวได้ว่าพวกเขาได้ให้น้ำหนักเกี่ยวกับมันเป็นอย่างมาก ปรภพนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง


 


ปัญหาในตอนนี้ดูท่าว่าจะไม่ได้มีเพียงแค่นรกเยือกแข็งเท่านั้นซะแล้ว


 


ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายของโลกมนุษย์ในที่สุดก็ได้มาถึงแล้วอย่างแท้จริง

 

 

 


ตอนที่ 324

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online EP.324 – ม่านเหล็ก


 


ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังขบคิด สมองควอนตัมของเขาก็พลันส่องสว่างขึ้น


 


“ฝ่าบาท เกิดอะไรขึ้นหรือพะยะค่ะ” กู่ฉิงซานถาม


 


“ข้าแค่จะมาบอกเจ้าเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และเจ้าต้องห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเด็ดขาด” จักรพรรดินีลดเสียงของเธอลง


 


ปลายสายมีเพียงความเงียบงัน สามารถได้ยินแค่เพียงเสียงของเธอเท่านั้น


 


ดูเหมือนว่าจะพระองค์จะปลีกตัวออกจากทุกคน แยกตัวออกมาพูดคุยกับกู่ฉิงซานเพียงลำพัง


 


“ฝ่าบาทเชิญกล่าว” กู่ฉิงซานตอบ


 


“ ‘ม่านเหล็ก’ได้ปิดกั้นสิทธิ์อำนาจของข้า” เสียงของจักรพรรดินีฟังดูเหมือนกำลังหวาดกลัว


 


‘ม่านเหล็ก’  คือสมองกลที่ยอดเยี่ยมที่สุดของสาธารณรัฐฟูซี แต่ฟูซีมิเคยได้ใช้มันเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน


 


ม่านเหล็กมีบทบาทเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งนั่นก็คือการปรับใช้อำนาจทางการทหารของประเทศ


 


ราชวงศ์จะใช้ม่านเหล็กเพื่อสั่งการกองทัพกองทัพทั้งสามเหล่า นำไปปรับใช้ในการสงคราม


 


เมื่อม่านเหล็กถูกเปิดใช้งาน กองกำลังทั้งหมดจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของม่านเหล็กอย่างไม่มีเงื่อนไข มิฉะนั้นพวกเขาจะถูกลงโทษฐานกบฏ!


 


“แล้วอำนาจสิทธิ์อำนาจของคนอื่นๆ นอกเหนือจากท่านล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามทันที


 


“นอกเหนือจาก ‘เขา’ สิทธิ์อำนาจของคนอื่นๆทั้งหมดล้วนถูกยกเลิก ไม่สามารถสั่งการได้” จักรพรรดินี


 


‘เขา’ ที่ว่านั่นก็คือจักรพรรดิแห่งฟูซี


 


หัวใจของกู่ฉิงซานจมดิ่งสู่หุบเหวอันไร้ก้นบึ้งในจิตใจ


 


อำนาจสูงสุดในการสั่งการม่านเหล็กเป็นของจักรพรรดิฟูซี แต่พระองค์กลับใช้อำนาจสูงสุดที่ว่านั่น ทำการยกเลิกสิทธิ์อำนาจของผู้อื่น!


 


ตอนนี้เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่มีสิทธิ์สามารถบังคับบัญชากองกำลังทหารทั้งหมดของสาธารณรัฐฟูซี


 


“ผมเข้าใจแล้ว ถ้าอย่างงั้นเอาไว้พวกเราจะติดต่อกันอีกครั้ง หรือถ้ามีเรื่องอะไรคืบหน้าก็ขอให้รีบติดต่อผมทันทีก็แล้วกัน” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับประธานาธิบดีแห่งรัฐบาลกลาง จริงหรือไม่?” จักรพรรดินีถาม


 


“พวกเราเป็นมิตรกัน”


 


“เช่นนั้น ในกรณีที่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เจ้าต้องช่วยข้า” จักรพรรดินีกล่าว


 


“กระหม่อมยังยืนยันคำเดิมว่าจะช่วยฝ่าบาท ขอทรงโปรดวางใจ”


 


แล้วปลายสายก็ถอนการติดต่อไป


 


แม้ว่าจักรพรรดินีเวโรน่าจะไม่ได้เป็นป้าของแอนนา แต่กู่ฉิงซานก็ยังคงจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยเหลือเธออยู่ดี


 


เพราะองค์จักรพรรดิคิดก่อสงคราม แต่จักรพรรดินีคิดสนับสนุนสันติภาพ นั่นหมายความว่าเธอเป็นกำลังสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของสาธารณรัฐฟูซี


 


กู่ฉิงซานก้าวออกจากห้องเย่เฟย์หยู


 


เขาก้าวเดินออกมาจากวิลล่าบนหุบเขา ก่อนจะยืนนิ่งอยู่ในพื้นที่เปิดโล่งหน้าวิลล่า


 


การหลอมกลั่นอาวุธ จำเป็นต้องใช้เตาหลอม เครื่องพ่นลม ค้อนหลอม คีมคีบ และหินลับดาบ


 


ภารกิจเนื้อเรื่องจุดจบของโลกได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว นั่นหมายความว่าเขาสามารถใช้แต้มพลังวิญญาณเร่งการซ่อมแซมดาบเช่าหยินให้ไวยิ่งขึ้นได้


 


ทีนี้ ก็มาถึงช่วงเวลาที่เขาว่างพอดี มาดูกันว่าเขาจะสามารถซ่อมแซมดาบเช่าหยินได้หรือไม่


 


‘บงการดาบ’ อย่างน้อยจำเป็นต้องใช้ดาบสองเล่ม เพื่อที่จะบรรลุทั้งโจมตีและป้องกันให้รวมเป็นหนึ่งเดียว


 


นรกกำลังย่างกรายเข้ามาแล้ว กู่ฉิงซานจำต้องพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของเขาให้ได้มากที่สุด


 


เขาหยิบถุงเครื่องหอมสีสันสดใสขึ้นมา และกวาดจิตสัมผัสเทวะลงไป


 


ภายในส่วนที่เก็บของสำรองของนิกายร้อยบุปผา รายการสิ่งของต่างๆค่อนข้างจัดวางไว้อย่างยุ่งเหยิง


 


มีสิ่งของอยู่เป็นจำนวนมาก และบางชนิดถูกแกะสลักด้วยชื่อของนิกายและชื่อส่วนตัวของผู้คน


 


กู่ฉิงซานไม่ทราบว่านางเซียนไป่ฮั่วโค่นอีกฝ่ายลงหรือ ‘โด้’ มันมาจากอีกฝ่ายกันแน่ แต่โดยสังเขปแล้ว สิ่งเหล่านี้กองพะเนินรวมกันอย่างลวกๆ ซ้อนทับกันจนยุ่งเหยิง ไม่เป็นระเบียบ


 


หากคิดจะค้นหาบางสิ่งจากภายนนี้ เกรงว่าจำเป็นต้องใช้เวลาสักพักหนึ่ง


 


กู่ฉิงซานรู้สึกปวดหัวทุกครั้งที่เขาต้องมาค้นหาของที่นี่


 


ต่อจากนี้ไป หากมีเวลาว่าง เขาจะต้องจัดการเก็บกวาดสิ่งต่างๆภายในนี้ให้เรียบร้อยให้จงได้ … กู่ฉิงซานลอบสาบานอย่างลับๆ


 


หลังจากผ่านไปสักพัก ในที่สุดเขาก็สามารถรวมรวบชุดเครื่องมือในการหลอมกลั่นทั้งหมดออกมาได้อย่างสมบูรณ์


 


ส่วนวิธีการซ่อมแซมดาบ เขาได้ทำการเรียนรู้มันมาแล้วในก่อนหน้านี้


 


ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมแล้ว เหลือแค่ในส่วนของการซ่อมแซม


 


ไม่จำเป็นต้องรีรอให้กู่ฉิงซานเรียก ดายเช่าหยินก็ดึดตัวออกมาจากความว่างเปล่าโดยอัตโนมัติ และทิ้งตัวนอนลงใกล้กับเตาหลอมด้วยความตื่นเต้น


 


มันพลิกตัวไปมา กลิ้งวนไปรอบๆ


 


“อย่างพึ่งรีบร้อนไป ช่วยใจเย็นๆลงก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ดาบเช่าหยุดหยุดกึก


 


อย่างไรก็ตาม แม้มันจะยอมนอนนิ่งลงแล้ว แต่กลับเกิดเสียงกริ๊งๆขึ้นเล็กๆน้อยๆจากเตาหลอม


 


กู่ฉิงซานเบนสายตาไปสังเกตอย่างตั้งใจ


 


เห็นแค่เพียงดาบเช่าหยินที่นอนนิ่งอยู่บนเตาหลอม กำลังสั่นสะท้านเล็กน้อยอย่างมิอาจควบคุมได้


 


“ไม่ต้องกังวลไป ทุกอย่างจะต้องไม่เป็นอะไร” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างหมดหนทาง


 


เขาได้ทำการเรียนรู้วิธีการหลอมกลั่นมามากมายแล้ว ดังนั้นนี่นับว่าย่อมไม่เป็นสิ่งใด


 


สองมือของกู่ฉิงซานขยับไหว จี้นิ้วออกไปอย่างว่องไว กระตุ้นพลังวิญญาณ ย้ายมันไปที่เตาหลอม และเตาหลอมก็สว่างขึ้นในทันใด


 


วัสดุนับสิบถูกโยนออกไปโดยเขา และทั้งหมดก็ลอยล่องอยู่กลางอากาศโดยสมบูรณ์


 


เมื่ออุณหภูมิในเตาหลอมถึงองศาที่ต้องการ กู่ฉิงซานก็ทำการเลือกวัสดุเจ็ดชนิดในรายการซ่อมแซมตาม ใส่พวกมันลงไปตามลำดับ


 


ตอนนี้ มันจำเป็นต้องใช้ความอดทน เฝ้ารอให้วัสดุที่พึ่งใส่ลงไปกลายเป็นของเหลว


 


บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม หลากหลายบรรทัดเส้นแสงปรากฏขึ้นมา


 


“ผู้เล่นสามารถใช้แต้มพลังวิญญาณในการเร่งกระบวนการซ่อมแซมดาบเช่าหยินได้”


 


“ค้นพบว่าผู้เล่นกำลังหลอมละลายวัสดุอยู่ ผู้เล่นต้องการที่จะเร่งความเร็วในกระบวนการหลอมหรือไม่?”


 


“ต้องการสิ” กู่ฉิงซานตอบรับทันที


 


“จำเป็นต้องจ่าย 3 แต้มพลังวิญญาณต่อการเร่งความเร็ว  1 ชั่วโมง , จ่าย 5 แต้มพลังวิญญาณต่อการเร่งความเร็ว 2 ชั่วโมง , จ่าย 10 แต้มพลังวิญญาณ เพื่อเร่งกระบวนการหลอมละลายให้เสร็จทันที”


 


“ขอเลือกหลอมละลายทันที” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ในเตาหลอม ความเข้มข้นของไฟปะทุขึ้นในทันใด วัสดุเจ็ดชนิดถูกหลอมละลายเข้าด้วยกัน กลายเป็นกลุ่มก้อนของเหลวที่มีเจ็ดสี


 


กู่ฉิงซานใส่ดาบพิภพลงไปในเตาหลอม


 


เขาปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกไปอย่างระมัดระวัง ทำการควบคุมของเหลวเจ็ดสี และผสานมันลงบนดาบเช่าหยินโดยสมบูรณ์


 


บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม บรรทัดแสงตัวอักษรเด้งเตือนออกมาอีกครั้ง


 


“จำเป็นต้องใช้เวลาสามวัน วัสดุจึงจะสามารถหลอมรวมเข้ากับใบดาบได้อย่างเต็มที่ ผู้เล่นต้องการเร่งความเร็วในกระบวนการนี้หรือไม่?”


 


“ฉันต้องการ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“จ่าย 10 แต้มพลังวิญญาณต่อการเร่งความเร็ว 1 วัน , จ่าย 20 แต้มพลังวิญญาณต่อการเร่งความเร็ว 2 วัน , จ่าย 30 แต้มพลังวิญญาณ เพื่อเร่งกระบวนการให้เสร็จทันที”


 


“ขอเลือกทันที” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“แต้มพลังวิญญาณถูกใช้ออกไปแล้ว” ระบบกล่าว


 


เห็นแค่เพียงภายในเตาหลอม ของเหลวเจ็ดสีจมลงไปในใบดาบเช่าหยินอย่างรวดเร็ว


 


ต่อมาคือการเตรียมการวัสดุชิ้นอื่นๆ


 


“ค้นพบว่าผู้เล่น … ”


 


“รอเดี๋ยวนะ” กู่ฉิงซานขัดจังหวะระบบ


 


“คุณไม่สามารถให้ฉันจ่ายพลังวิญญาณไปรวดเดียวเลยไม่ได้หรือ? ย่างเนื้อกินทั้งที จะหั่นมันทีละชิ้น ทีละชิ้นเล็กๆทำไม โยนลงไปทีเดียวเลยเถอะ  แบบนี้มันขัดอารมฉันมากเกินไป” เขาเอ่ยประท้วง


 


ระบบเงียบไปครู่หนึ่งและตอบว่า “เนื่องจากได้รับฟังทัศนคติที่แสนร้อนรุ่มของผู้เล่น ระบบจึงได้ทำการมัดรวมกระบวนการทั้งหมดในครั้งเดียว โดยผู้เล่นจะต้องจ่าย 560 แต้มพลังวิญญาณ ผู้เล่นต้องการเร่งกระบวนการทั้งหมดซ่อมแซมดาบหรือไม่”


 


“ถ้าเร่งแล้วจะเกิดอะไรขึ้น?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“เมื่อคุณทำการเริ่มต้นกระบวนการซ่อมแซมดาบ ไม่ว่าจะชั้นตอนใดก็ตาม ขั้นตอนที่ว่านั่นก็จะเสร็จสิ้นลงในทันที” ระบบกล่าวตอบ


 


กู่ฉิงซานก้มลงมองแต้มพลังวิญญาณของตัวเอง


 


“แต้มพลังวิญญาณคงเหลือ 5560/300”


 


“ 560งั้นหรอ? ดีล่ะ จัดไปแล้วฉันจ่ายเต็มๆแบบไม่ต้องทอน” เขากล่าว


 


“ผู้เล่นยืนยันที่จะจ่าย 560 แต้มพลังวิญญาณ เพื่อเร่งความเร็วกระบวนการทั้งหมดในการซ่อมแซมดาบหรือไม่?”


 


“ยืนยัน”


 


……


 


แน่นอนว่าหลังจากจ่าย 560 แต้มพลังวิญญาณแล้ว ความเร็วในการซ่อมแซมดาบเช่าหยินก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด


 


หลังจากนั้นอีกหนึ่งส่วนสี่ชั่วโมงต่อมา


 


มองไปยังดาบเช่าหยินที่เหลืออีกเพียงไม่กี่ขั้นตอนก็จะสมบูรณ์ จู่ๆอุปกรณ์สื่อสารของกู่ฉิงซานก็สั่นขึ้น


 


แต่กู่ฉิงซานไม่สนใจมัน เพราะเขาต้องการที่จะซ่อมแซมดาบเช่าหยินให้เสร็จสมบูรณ์เสียก่อน มิอาจปล่อยให้มันช้าลงได้แม้เพียงหนึ่งลมหายใจ เขาจึงละเรื่องอื่นๆเอาไว้ทีหลัง


 


แม้อุปกรณ์สื่อสารจะดังขึ้นกว่า 4-5 ครั้ง แต่เขาก็ยังไม่คิดจะตอบรับ


 


ทันใดนั้นเสียงของเทพธิดากงเจิ้งก็ดังขึ้น


 


“ใต้เท้า คุณจำเป็นต้องรับสายนี้”


 


“ทำไม?” กู่ฉิงซานถามอย่างสงสัย


 


“เพราะสถานการณ์โลกเกิดการเปลี่ยนแปลง นี่คือการโทรฉุกเฉินจากจักรพรรดินีแห่งฟูซี”


 


กู่ฉิงซานไม่มีทางเลือก จำต้องหยุดมือของเขา


 


ดาบเช่าหยินในเตาหลอมเปล่งเสียงร้องต่ำด้วยความคับข้องใจ


 


แต่กู่ฉิงซานแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน และทำการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์สื่อสาร


 


“ในที่สุดเจ้าก็ยอมรับสายเสียที!” เสียงของจักรพรรดินีดังขึ้นมาจากปลายสาย


 


“ฝ่าบาท มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงลางไม่ดีจากน้ำเสียงของอีกฝ่าย


 


จักรพรรดินีกล่าว “กองกำลังเกราะรบขับเคลื่อนของฟูซีกำลังเคลื่อนพลไปยังชายแดนแล้ว และในไม่ช้า พวกมันจะไปถึงจุดตัดระหว่างฟูซีกับรัฐบาลกลาง!”


 


“นอกจากนี้ กองเรือรบทั้งเจ็ดแห่งสาธารณรัฐก็เริ่มรวมตัวกันสร้างกระบวนทัพแล้ว!”


 


“เพราะเหตุใดท่านถึงไม่ … ” กู่ฉิงซานยังไม่ทันจะเอ่ยจบประโยค เขาก็ค้นพบคำตอบอันโหดร้ายนี้ด้วยตัวเองเสียก่อน


 


‘ม่านเหล็ก’


 


มีเพียงองค์จักรพรรดิเท่านั้นที่สามารถสั่งการม่านเหล็กได้


 


นรกเยือกแข็งกำลังจะแพร่กระจายไปทั่วทั้งโลกในไม่ช้า ทว่าช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่ออันแสนสำคัญเช่นนี้ องค์จักรพรรดิแห่งฟูซีกลับคิดจะก่อสงครามขึ้นอย่างกระทันหัน!

 

 

 


ตอนที่ 325

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.325 – ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทม


 


ณ วังโอเอซิสท่ามกลางทะเลทราย


 


บริเวณโดยรอบไร้ซึ่งผู้คน หลงเหลือแค่จักรพรรดินีที่กำลังยืนอยู่ข้างบัลลังก์เพียงลำพัง


 


เธอลูบไล้มันด้วยความคะนึงหา บนใบหน้าแสดงถึงความโศกเศร้า


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็หยิบเอาสมองควอนตัมส่วนบุคคลของตนขึ้นมา และเปิดหน้าต่างพร้อมพรมนิ้วพิมพ์รหัสบางอย่างยาวเหยียด


 


แล้วหน้าต่างก็เด้งออก ภาพบนหน้าจอเปลี่ยนไป


 


นี่คือพื้นที่ห้องแชทแบบพิเศษ


 


ไม่มีใครรู้ว่าถึงการดำรงอยู่ของมัน เว้นไว้เพียงแต่องค์จักรพรรดิฟูซีและเธอ


 


มันเป็นความลับของเขาและเธอเท่านั้น


 


จักรพรรดินีมองไปยังสมองควอนตัม ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ครั้งสุดท้ายที่ท่านกล่าวว่าวังนี้มันเก่าแล้ว คิดใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือยในการซ่อมแซม ยามนั้นข้าไม่เห็นด้วยและถึงขั้นโกรธเคืองท่าน”


 


“แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ทุกที่ๆท่านต้องการจะซ่อมแซมมันในอนาคตนับจากนี้ ข้าจะไม่คิดห้ามปรามใดๆอีก”


 


“บางครั้งบางคราว ท่านต้องการจะออกจากสาธารณรัฐไปเที่ยวพักผ่อน ข้าเคยดุด่าท่านว่าอย่าทำอะไรที่มันไม่มีความรับผิดชอบต่อประเทศแบบนั้น”


 


“ … หากยังมีโอกาสอีกครั้งในอนาคต ไม่ว่าท่านต้องการจะไปที่ใด ข้าก็จะร่วมเตร็ดเตร่ไปด้วยกันกับท่าน ไม่คิดก้าวก่ายหรือขัดขวางอีก”


 


“กระทั่งเรื่องผู้หญิงคนอื่นๆของท่าน ที่ข้าไม่ยินยอมให้เปิดเผยตัวต่อหน้าสาธารณะ ข้าก็จะยอมเก็บมันมาคิดทบทวนอีกครั้งเพื่อท่าน”


 


“วันพรุ่ง ข้าจะเป็นคนพาตัวเธอเข้าวังด้วยตนเอง”


 


จักรพรรดินีปาดหางตาของเธอ และกล่าว “ขอเพียงแค่ท่านกลับมา .. จะได้ไหม?”


 


เธอเฝ้ามองไปยังสมองควอนตัมแบบลืมหายใจ ทุกสิ่งอย่างจมลงสู่ความเงียบ


 


ทว่าบนสมองควอนตัมกลับว่างเปล่า


 


หลังจากเฝ้ารอกว่าหลายสิบลมหายใจ ทันใดนั้นหนึ่งบรรทัดตัวอักษรก็ปรากฏขึ้นบนสมองควอนตัม


 


“โรน่า หากเจ้าตายแล้วปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในนรก ข้าจะทำให้เจ้ากลายมาเป็นจักรพรรดินีแห่งข้าอีกคราเอง”


 


อีกด้านหนึ่ง


 


ณ รัฐบาลกลาง


 


ในพื้นที่เปิดโล่งตรงส่วนหน้าของวิลล่า


 


กู่ฉิงซานได้วางอุปกรณ์สื่อสารลง


 


‘สงคราม’


 


สงครามระหว่างสองมหาอำนาจกำลังจะปะทุขึ้น


 


จะมีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนถูกฆ่าตายในสงครามครั้งนี้


 


และเมื่อจำนวนผู้ตายเพิ่มมากขึ้น นั่นย่อมหมายถึงปราณแห่งความตายที่ทวีความหนาแน่นเป็นเงาตามตัว ช่วยสนับสนุนให้นรกเยือกแข็งแพร่กระจายได้เร็วยิ่งขึ้น


 


เมื่อไฟแห่งสงครามลุกโชน โลกใบนี้ก็จะเปรียบดั่งสวรรค์ของเหล่าคนตาย


 


แม้กระทั่งเก้าตระกูลใหญ่ก็ไม่มีวิธีที่จะต่อกรกับนรกเยือกแข็งได้


 


การที่องค์จักรพรรดิเลือกที่จะก่อสงครามในเวลานี้ ย่อมสามารถอธิบายได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น


 


นั่นคือเขาได้หันหลังให้แก่มนุษยชาติโดยสมบูรณ์ และเลือกที่จะยืนอยู่เคียงข้างบรรพบุรุษของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


 


–องค์จักรพรรดิต้องการที่จะขึ้นปกครองโลกทั้งใบที่เต็มไปด้วยซากศพกระนั้นหรือ?


 


กู่ฉิงซานเงียบไปสักพัก ก่อนจะถอนหายใจอย่างเงียบๆ


 


เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่สนใจกับปัญหาใดๆเป็นการชั่วคราว และหันกลับมาซ่อมแซมดาบเช่าหยินก่อนเป็นอันดับแรก


 


ท้ายที่สุดแล้ว มันยังคงหลงเหลืออีกเพียงแค่สองขั้นตอน และเช่าหยินก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ในที่สุด


 


สถานการณ์ได้กลายเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างไม่น่าเชื่อ และตัวกู่ฉิงซานจะต้องเร่งปลุกขอบเขตนักดาบนิรันดร์ของตนให้ตื่นขึ้นมาให้จงได้


 


เขาเริ่มต้นทำการซ่อมแซมดาบเช่าหยินอีกครั้ง


 


สองมือที่จีบออก เริ่มเคลื่อนไหวเร็วขึ้น


 


นี่เป็นสถานการณ์เร่งด่วน เขาจะชักช้าไม่ได้


 


หลังจากนั้นไม่นานนัก


 


จู่ๆก็บังเกิดหมอควันสีขาวลอยฟุ้งขึ้นมาจากเตาหลอมสีแดง


 


ฟุ่มมมมม!


 


เมื่อน้ำและไฟปะทะกัน เตาหลอมก็ดับลงทันที


 


บังเกิดกระแสไอเย็นวิ่งไหลผ่านออกมาจากเตาหลอม พวยพุ่งขึ้นเบื้องบน


 


ในอากาศ หมอกละอองน้ำเริ่มปรากฏมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ


 


หลังจากที่หมอกละอองกระจายตัวออกไป หุบเขาทั้งใบก็ถูกปกคลุมไปด้วยไอน้ำ


 


พร้อมกับร่างของปลาขนาดเล็กที่เวียนว่ายอยู่ในนั้น ลอยล่องอย่างอิสระเสรี


 


เมื่อมันค้นพบกู่ฉิงซาน มันก็แกว่งหางไปมา และว่ายลงไปวนรอบตัวเขา


 


ผ่านไปอีกไม่กี่ลมหายใจ กระแสไอน้ำก็บินกลับลงสู่เตาหลอม และแปรสภาพกลายเป็นดาบยาว


 


ในเสี้ยววินาที หมอกละอองน้ำทั้งหมดก็พลันหายวับไป


 


ปลาเล็กที่ว่ายอยู่รอบตัวกู่ฉิงซานกลับไปตกลงบนดาบยาว พร้อมกับการปรากฏขึ้นของสองตัวอักษรจีนบนด้ามจับของมัน


 


ช่วงเวลาต่อมา ใบดาบของเช่าหยินก็เปล่งประกายแสงสดใส


 


แสงเหล่านี้ถูกควบรวมกับเป็นสี่ตัวอักษร ฝังลึกลงไปในใบดาบ


 


และแสงจากตัวอักษรก็ค่อยๆจางหายไป


 


ดาบยาวกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง


 


ทว่านานๆที หากเฝ้าสังเกตดู คุณก็จะพบว่าตัวดาบกำลังปลดปล่อยไอหมอกออกมาในชั้นอากาศบ้างเป็นครั้งคราว


 


ดาบยาวดีดตัวออก และไปตกลงในมือของกู่ฉิงซาน


 


กู่ฉิงซานยกตัวดาบขึ้น และเฝ้ามองดูรูปลักษณ์ของดาบเช่าหยินอย่างใกล้ชิด


 


ตัวอักษรทั้งสี่บนใบดาบได้ถูกซ่อนเอาไว้ หายไปจากสายตาแล้ว


 


หลงเหลือเพียงสองตัวอักษรที่ยังคงสลักไว้อยู่บนด้ามจับ


 


สองตัวอักษรเหล่านี้คือ ‘เช่าหยิน’ (เสียงคลื่นกระทบ) ตามที่ระบบได้อธิบายไว้ตั้งแต่แรกแล้วนั่นเอง


 


ถ้าอย่างงั้น แล้วสี่ตัวอักษรที่ฝังลงไปในใบดาบมันคืออะไรกัน?


 


กู่ฉิงซานหันไปมองหน้าต่างระบบเทพสงคราม


 


แน่นอนว่ามันมีบรรทัดเส้นแสงหิ่งห้อยปรากฏอยู่


 


“ดาบจากโบราณกาลอันไกลโพ้น ชื่อของมันคือดาบเช่าหยิน”


 


“ในสมัยโบราณ โลกเทวะนั่นเปี่ยมไปด้วยมหาสมุทรอันไร้ที่สิ้นสุด และยามเมื่อทวยเทพได้จากไป พวกเขาก็ได้ทิ้งดาบเล่มนี้ลงในสี่ห้วงสมุทร”


 


“ผู้ที่ได้ครอบครองดาบเล่มนี้จะถือว่าเป็นราชาแห่งท้องทะเล”


 


“ดาบเล่มนี้มีจิตอาร์ติแฟค พลังศักดิ์สิทธิ์ : ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทม”


 


มหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทม?


 


พลังศักดิ์สิทธิ์นี่มันอะไรกัน?


 


กู่ฉิงซานเร่งเอ่ยถามระบบ


 


ติ๊ง!


 


“พลังศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับทวยเทพมิอาจบอกบรรยายได้ ขอให้ผู้เล่นโปรดจงเอ่ยถามไถ่กับจิตอาร์ติแฟคด้วยตัวเอง”


 


กู่ฉิงซานชะงักงัน


 


หากขบคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับมัน ในตอนที่เขาได้รับดาบพิภพ นางเซียนไป่ฮั่วก็ได้อธิบายถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ของดาบพิภพเช่นกัน


 


กู่ฉิงซานยกดาบเช่าหยินขึ้นและเอ่ยถาม “ความหมายของก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทมคืออะไรกัน?”


 


สี่ตัวอักษรที่ถูกซ่อนไว้ในใบดาบพลันสว่างขึ้น


 


กู่ฉิงซาน “ฉันรู้ถึงความหมายของทั้งสี่ตัวอักษรนี้ดี แต่ฉันไม่เข้าใจถึงกระบวนการทำงานของมัน”


 


ดาบเช่าหยินเปล่งเสียงฉวัดเฉวียนด้วยความตื่นเต้น


 


“ไม่จำเป็นต้องถามหรอก จิตอาร์ติแฟคนี้บางทีอาจจะไม่สามารถสื่อสารเป็นคำพูดได้ตั้งแต่กำเนิด” ดาบพิภพที่ไม่รู้ว่าปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เปล่งเสียงออกมา


 


“เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“จิตอาร์ติแฟคบางชิ้นจะไม่สามารถพูดได้ นี่นับว่าเป็นเรื่องปกติ เจ้าจะต้องค่อยๆรับรู้ถึงความหมายที่มันพยายามจะบอก และค่อยๆสื่อสารกับมันไปอย่างช้าๆ” ดาบพิภพกล่าว


 


กู่ฉิงซานจู่ๆก็พลันนึกถึงบางสิ่งได้อย่างกระทันหัน


 


“จริงสิ” เขาหันไปเอ่ยถามดาบพิภพ “ตอนนั้นเจ้าทราบได้อย่างไรว่ามอนสเตอร์ตัวนั้นเป็นผู้คุมวิญญาณจากปรภพ”


 


“ผู้คุมวิญญาณเป็นตัวตนที่ต่ำต้อยที่สุดในปรภพ” ดาบพิภพส่งเสียงหึ่งๆ “ข้าสามารถสื่อสารกับเทพวิญญาณจากโลกอื่นได้ ดังนั้นข้าจึงย่อมรับรู้ถึงตัวตนของพวกมันได้เป็นธรรมดา”


 


กู่ฉิงซานระลึกย้อนไปถึงคำอธิบายของดาบพิภพ


 


“ดาบพิภพ น้ำหนัก 86.37 ล้านจิน มีจิตอาร์ติแฟค พลังศักสิทธิ์ : สามารถควบคุมและแบกรับน้ำหนักของตนเองได้”


 


“นี่คือดาบจากสมัยโบราณกาลอันไกลโพ้น ที่ยอมเสียสละให้แก่สวรรค์และโลก และมันสามารถสื่อสารกับเหล่าเทพวิญญาณได้”


 


ที่แท้นั่นก็เป็นเรื่องจริง


 


กู่ฉิงซานพยักหน้าและเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “หากเจ้าสามารถสื่อสารกับเทพวิญญาณได้ แล้วเจ้าใช้วิธีใดในการสื่อสารกับเทพวิญญาณ?”


 


“ก็สื่อสารเหมือนกับในตอนที่ทำกับผู้คุมวิญญาณไง” ดาบพิภพกล่าว


 


กู่ฉิงซานตบลงบนหน้าผากตนเอง พูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง


 


นี่มันสมกับเป็นวิธีการสื่อสารด้วยดาบจริงๆ


 


กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “ … แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากเจ้าพบเจอกับวิญญาณที่ทรงพลัง?”


 


“ก็หนีน่ะสิ”


 


“ … ”


 


“ข้าได้หลบซ่อนตัวอยู่ในความว่างเปล่าอย่างทุกข์ระทมมาเป็นเวลากว่าหนึ่งหมื่นปี และหากว่าข้ายังเผยตัวมากเกินความจำเป็น มันอาจกระตุ้นความสนใจจากเหล่าเทพวิญญาณได้” ดาบพิภพส่งเสียงหึ่งๆ


 


“เข้าใจแล้ว” กู่ฉิงซานถอนหายใจ


 


เขามองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม


 


เห็นแค่เพียงเส้นแสงตัวอักษรขนาดเล็กปรากฏขึ้น มันคือภารกิจใหม่


 


“ภารกิจแรก : ได้รับสองดาบ (เสร็จสมบูรณ์)”


 


“ตอนนี้คุณจึงก้าวเข้าสู่ภารกิจที่สอง : สองมือชี้นำ”


 


“วัตถุประสงค์ภารกิจ : รวบรวมสองดาบให้เข้าสู่ทะเลแห่งห้วงสติโดยสมบูรณ์”


 


“เริ่มต้นภารกิจได้”


 


กู่ฉิงซานเฝ้ามองมัน และพยักหน้าอย่างเงียบๆ


 


การเก็บดาบในทะเลแห่งห้วงสติ คือพื้นฐานของนักดาบนิรันดร์


 


ดังนั้นภารกิจนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องบรรลุ


 


ดาบพิภพสามารถเก็บเข้าสู่ทะเลแห่งห้วงสติได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว และดาบเช่าหยินแต่เดิมก็เช่นกัน


 


อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ดาบเช่าหยินถูกหลอมและซ่อมแซมใหม่ ส่งผลให้มันก็ยังอยู่ในขั้นตอนการทำความคุ้นเคยกับตัวเขา


 


มันเทียบเท่ากับดาบเล่มใหม่ที่ทรงพลานุภาพ ดังนั้น กู่ฉิงซานจึงไม่สามารถทำให้มันเข้าสู่ทะเลแห่งห้วงสติได้ในทันที


 


มันคงจะต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งวัน จึงจะสามารทำความคุ้มเคยกับดาบนี้ได้


 


เพียงแค่วันเดียว ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น


 


กู่ฉิงซานวางเรื่องภารกิจต่อเนื่องลงชั่วคราว และหันความสนใจกลับเข้าสู่สถานการณ์จริง


 


“เทพธิดากงเจิ้ง” เขาเอ่ยเรียก


 


“ฉันอยู่นี่”


 


“คุณสามารถเจาะเข้าไปในระบบของม่านเหล็กได้ไหม?”


 


“ม่านเหล็กและเครือข่ายอื่นๆของฟูซีถูกตัดขาดการเชื่อมต่อโดยสมบูรณ์ และไม่เคยรับข้อมูลข่าวสารใดๆจากภายนอกเลย มีเพียงสมาชิกราชวงศ์ฟูซีเท่านั้นที่สามารถเข้าสู่ระบบได้ ดังนั้นฉันจึงไม่มีทางทำได้” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว


 


กู่ฉิงซานเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วทิศทางคำสั่งของม่านเหล็กสามารถถ่ายโอนได้ไหม?”


 


“ไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าผู้บังคับม่านเหล็กลำดับที่หนึ่งจะถูกสังหารลง”


 


“แล้วใครคือผู้มีสิทธิ์บังคับม่านเหล็กลำดับที่สอง”


 


“จักรพรรดินีฟูซี”


 


“หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มีเพียงองค์จักรพรรดิเท่านั้นที่มีอำนาจการบัญชาม่านเหล็ก และหากมีใครบางคนฆ่าองค์จักรพรรดิ อำนาจสั่งการม่านเหล็กก็จะถูกปลดล็อคและส่งต่อ .. ถูกต้องไหม?”


 


“ถูกต้อง”

 

 

 


ตอนที่ 326

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.326 – พบเจอ


 


“ฉันมีอีกเรื่องหนึ่งที่จำเป็นต้องรายงานต่อคุณ” เทพธิดากงเจิ้งเอ่ยขึ้นอย่างกระทันหัน “เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางกองทัพของฟูซี เทพนักสู้ซางซ่งหยางจึงได้ออกจากทำเนียบประธานาธิบดี และตรงไปยังแนวหน้าแล้ว”


 


กู่ฉิงซานเผยท่าทีจริงจังขึ้นทันใด ปากเร่งเอ่ยถาม “แล้วท่านประธานาธิบดีล่ะ?”


 


“ประธานาธิบดีกำลังวุ่นอยู่กับกิจการต่างๆ เลยไม่มีเวลาที่จะทำการตอบรับการเชื่อมต่อของฉัน”


 


“ไม่ตอบรับการเชื่อมต่อของคุณอย่างงั้นหรอ … แล้วเขากำลังทำอะไรอยู่?”


 


“กำลังจัดเตรียมสามเหล่าทัพก่อนเริ่มสงคราม นอกจากนี้ ท่านประธานาธิบดียังเตรียมที่จะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ทางโทรทัศน์ในอีกครึ่งชั่วโมงเพื่อทำการปลุกระดมรัฐบาลกลางก่อนเข้าสู่สงครามอีกด้วย”


 


ไม่มีใครสามารถทำใจเชื่อได้ว่าสองประเทศมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกกำลังจะก่อสงครามเต็มรูปแบบขึ้น


 


จะมีผู้คนนับไม่ถ้วนตกตายลงในสงครามครั้งนี้


 


“ในเมื่อเทพนักสู้ไปที่แนวหน้า .. ถ้าอย่างนั้นไม่ดีแน่ สถานการณ์ทางฝั่งท่านประธานาธิบดีคงจะไม่ปลอดภัย ฉันจะต้องรีบไปพบกับเขาเดี๋ยวนี้!” กู่ฉิงซานกล่าว


 


เขาเคลื่อนกาย ทะยานสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


และรถเหินเวหาที่จอดรออยู่กลางอากาศก็เปิดประตูต้อนรับเขา ก่อนจะเร่งความเร็วมุ่งหน้าไปยังทิศทางของเมืองหลวงทันที


 


เนื่องจากบริเวณนี้คือป่าในแถบชานเมืองของเมืองหลวง ดังนั้นจึงใช้เวลาเพียงไม่นานก็มาถึงทำเนียบประธานาธิบดี


 


ในระหว่างที่กู่ฉิงซานกำลังซ่อมแซมดาเช่าหยิน เหลียวฮังก็นั่งรอเขาอยู่ในบ้าน


 


ขณะที่กำลังยกบุหรี่ขึ้นมาสูบ และเฝ้ารอกู่ฉิงซานจัดการเรื่องทั้งหมด แล้วจึงค่อยเอ่ยถามทุกสิ่งให้มันชัดเจน


 


แต่ใครจะรู้ จู่ๆกู่ฉิงซานกลับบินหนีไปซะอย่างงั้น


 


เหลียวฮังรีบดับบุหรี่ แล้วเปิดสมองควอนตัมติดต่อหากู่ฉิงซานทันที


 


“อ่าว แล้วนั่นแกจะรีบไปไหน แกยังไม่ได้มาอธิบายถึงเรื่องที่พึ่งพูดมาเลยนะ”


 


“เอาไว้ผมจะบอกคุณเรื่องนี้อีกครั้งในภายหลัง นี่เป็นสถานการณ์เร่งด่วน ผมจะต้องรีบไปพบกับท่านประธานาธิบดีทันที” กู่ฉิงซานกล่าว


 


พร้อมกับการเชื่อมต่อที่ถูกตัดสายไป


 


“บ้าเอ๊ย!”


 


เหลียวฮังตบลงบนสมองควอนตัมของตัวเองอย่างแรง ปากตะโกนสบถเสียงดัง


 


“มีเรื่องอะไรงั้นหรอ?” เย่เฟย์หยูขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม


 


“ก็ฉันยังไม่ทันจะรู้ถึงความจริงของเรื่องราวทั้งหมดเลย ความรู้สึกแบบนี้เนี่ย สำหรับนักวิทยาศาสตร์แล้วมันทรมานแทบตายเลยนะ!”


 


เหลียวฮังหอบหายใจ กล่าวด้วยความหดหู่


 


“ถามหน่อยเถอะ ถ้าคุณรู้ไป แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา คุณจะไปทำอะไรได้?” เย่เฟย์หยูถามจี้จุด


 


เหลียวฮังจ้องมองอีกฝ่าย และมิอาจเอ่ยคำใดออกมาได้แม้จะผ่านไปแล้วสักพัก


 


เย่เฟย์หยู “ในเมื่อคุณมีเทคนิคฝึกยุทธเอาไว้ฝึกฝนอยู่แล้ว คุณก็ควรจะใช้เวลานี้เพิ่มพูนความแข็งแกร่งของตัวเองนะ เผื่อว่าจะมีกรณีแบบนี้เกิดขึ้น คุณจะได้ไปแก้แค้นด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องไปขอร้องรบกวนคนอื่นอีก”


 


“เฮอะ!” เหลียวฮังไม่ตอบ เขาเพียงแค่หันหลังแล้วเดินออกไปพร้อมกับปิดประตูห้องเสียงดังปัง


 


เย่เฟย์หยูยืนนิ่ง ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาซักคำ


 


ในช่วงเวลานั้นเอง ผีหญิงสาวได้บินเข้ามา และพูดอะไรบางอย่างกับเขา


 


เย่เฟย์หยูหันไปมองเธอแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน “ที่ทำแบบนี้ฉันหวังดีกับเขานะ เขาแค่ต้องถูกกระตุ้นซักเล็กๆน้อยๆ ไม่อย่างนั้นถ้าถูกทิ้งห่างจากคนอื่นมากเกินไป ก็คงจะไม่มีใครช่วยอะไรเขาได้”


 


ส่วนตัวเย่เฟย์หยูเอง ก็เตรียมที่จะเรียนรู้วิชาลับที่ได้รับมาจากกู่ฉิงซาน เพื่อที่จะสามารถมองเห็นตัวหลิวชิจุนได้เสียที


 


หญิงสาวก้มลงข้างหูเขา และเอ่ยกระซิบบางสิ่งบางอย่าง


 


“เข้าใจแล้ว เอาไว้เธอรู้สึกดีขึ้นเมื่อไหร่ ฉันจะไปชักชวนเขาเอง”


 


…….


 


เหลียวฮังสัมผัสลงบนสมองควอนตัมของตัวเอง


 


“เทพธิดากงเจิ้ง”


 


“ฉันอยู่นี่ มิสเตอร์เหลียว”


 


“คุณจะต้องบอกฉันทันทีว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?”


 


เหลียวฮังเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงรุนแรง แสดงท่าทีจริงจังอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน


 


“ฉันจำเป็นต้องเรียนถามใต้เท้ากู่ฉิงซานเสียก่อน” เทพธิดาตอบ


 


หลังจากนั้นไม่นานนัก


 


เทพธิดากงเจิ้งก็บอกเล่าถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้


 


“มีหลายสิ่งเกิดขึ้นแท้ๆ แต่ทำไมคุณถึงไม่สามารถสังเกตเห็นถึงมันได้ล่วงหน้าล่ะ?” เหลียวฮังเอ่ยอย่างไม่พอใจ


 


“มิสเตอร์เหลียว ฉันก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกันถ้ามนุษย์ที่ตามหามีความสามารถมากพอที่จะหลบเลี่ยงอุปกรณ์เฝ้าระวังทุกชนิดน่ะ”


 


“แต่อย่างน้อยคุณก็ควรจะบอกเจ้ากู่ฉิงซานเกี่ยวกับเรื่องของถังจุน!” เหลียวฮังเริ่มเสียงดัง


 


“ไม่มีอะไรที่ฉันจะสามารถทำได้เกี่ยวกับเรื่องของถังจุน” เทพธิดากล่าว


 


“ทำไม?”


 


“เพราะมืออาชีพที่ทรงพลังได้ลงมืออย่างรวดเร็ว มันไม่มีทางที่ฉันจะสามารถหยุดพวกเขาได้ ฉันเป็นแค่จักรกล ดังนั้นจึงไม่สามารถควบคุมความปรารถนาของมนุษย์ที่คิดจะก่ออาชญากรรมและการสังหารได้” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว


 


“แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับชีวิตมากมาย ทำไมแกถึงได้ไร้ความสามารถแบบนี้!” เหลียวฮังคำราม


 


แต่แล้วสมองควอนตัมก็ดับลงอย่างกระทันหัน


 


เทพธิดากงเจิ้งได้ทำการตัดการเชื่อมต่อลง


 


ณ ป้อมปราการดวงดาวเฉินเตี้ยนเฮ่า


 


ข้อมูลทั้งหมดได้หายวับไปจากจอม่านแสงขนาดใหญ่


 


พร้อมกับท่าทีการแสดงออกร่ำไห้ที่ปรากฏขึ้น


 


ในส่วนลึกเข้าไปในเฉินเตี้ยนเฮ่า อุปกรณ์ทุกอย่างของแชมเปี้ยนส์ในเกมแห่งชีวิตนิรันดร์ของแต่ละคนได้ถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์


 


ไม่มีใครรู้ว่าเทพธิดากงเจิ้งทำได้อย่างไร


 


ท่าทีแสดงออกถึงการร่ำไห้ได้หายไปอย่างรวดเร็ว


 


หลังจากนั้น ไม่กี่บรรทัดตัวอักษรก็ปรากฏขึ้นบนจอม่านแสง


 


“โปรเจ็ค : ความลับสุดยอด”


 


“คนวงในที่มีสิทธิ์รู้เรื่องของโปรเจ็ค :  2 คน”


 


“ชื่อโปรเจ็ค : การวิจัยกฏเกณฑ์ขั้นสูงและการยับยั้งพลังงานของโลก”


 


“วิเคราะห์กระบวนการความก้าวหน้าของโปรเจ็ค”


 


“ข้อสรุป : การบวนการวิจัยนี้ได้ก้าวหน้าไปแล้วกว่า 31%”


 


“ระยะเวลาการของการวิจัยโดยประมาณ”


 


“หลังจากนี้อีก 564 ชั่วโมง หัวข้อโครงการนี้จะถูกปิดลง”


 


“พิจารณาจากข้อจำกัดด้านระยะเวลาที่ค่อนข้างเข้มงวด ดังนั้นจึงขอทำการเพิ่มการลงทุนในโครงการ นับจากนี้เป็นต้นไป”


 


……..


 


เหลียวฮังยืนอยู่อยู่ที่เดิม ปากอ้าหอบหายใจ


 


“คุณกล้าหาญไม่เลวเลยนี่ ถึงขั้นโกรธเทพธิดากงเจิ้งเป็นฟืนเป็นไฟ” เย่เฟย์หยูปรากฏตัวขึ้นในห้องนั่งเล่น เอ่ยหยอกล้อ


 


เหลียวฮังหลับตาลงและถอนหายใจอย่างหงุดหงิด “ฉันอาจจะหยาบคายไปบ้างจริงๆ แต่ก็คงจะไม่เป็นอะไรหรอก เพราะยังไงมันเป็นแค่จักรกลนี่ …. ”


 


“ปล่อยให้กู่ฉิงซานเป็นคนจัดการเถอะ” เย่เฟย์หยูช่วยปลอบอีกฝ่าย “เจ้าเด็กนั่นแข็งแกร่งมาก แกร่งยิ่งกว่าแต่ก่อนสุดๆ ชนิดที่เรียกได้ไม่ชอบมาพากลเลยทีเดียว แต่ถ้าหากปล่อยให้เขาลงมือ มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”


 


“แน่นอนว่ามันไม่เป็นปัญหา แต่ในฐานะตัวฉันเป็นถึงนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะอันแสนโดดเด่น แต่ตัวเองกลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย ความรู้สึกแบบนี้มัน … ” เหลียวฮังถอนหายใจ


 


ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะกำลังนึกถึงบางสิ่ง ท่าทีการแสดงออกของเขาเผยถึงความโศกเศร้าที่ไม่อาจพรรณนาออกมาได้


 


“คุณไม่เป็นไรนะ” เย่เฟย์หยูเอ่ยถามด้วยความกังวล


 


พอคิดเกี่ยวกับมัน เขาก็เดินไปหยิบขวดเหล้า และเทมันลงสองจอก


 


จากนั้นทั้งสองก็นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น


 


ยกจอกขึ้นชนกัน


 


เย่เฟย์หยูเติมเหล้าให้จอกของเหลียวฮัง ก็จะเริ่มรินให้ตัวเองอีกจอกหนึ่ง


 


ในที่สุดสีหน้าของเหลียวฮังก็ค่อยดูดีขึ้น


 


อีกฝ่ายเอ่ยปากออกมา “เออ ขอบใจสำหรับเหล้าดีๆนะ”


 


“ไม่จำเป็นต้องสุภาพหรอก ผู้ชายอย่างเราๆ ก็มีบ้างเป็นบางครั้งที่จะคิดมากเกี่ยวกับตัวเอง อย่าอารมณ์เสียไปเลย” เย่เฟย์หยูกล่าวพลางผุดลุกขึ้น


 


“นั่นแกจะไปไหนน่ะ?” เหลียวฮังเอ่ยถาม


 


“ไปฝึกยุทธกับแฟน”


 


เย่เฟย์หยูกล่าวต่อ “หลังจากที่ผมเริ่มฝึกยุทธ ผมก็ได้ค้นพบถึงความลึกลับของวิวัฒนาการ แถมยังค้นพบวิธีการโจมตีใหม่ๆอีกด้วย เวลานี้น่ะนะ พูดได้เลยว่าบนโลกใบนี้เหลืออีกไม่กี่คนแล้วล่ะที่ยังสามารถเอาชนะผมได้”


 


เขาหมุนตัวกลับและเดินจากไป


 


เหลียวฮังนิ่งงันไปครู่หนึ่ง


 


แล้วจู่ๆเขาก็วางจอกเหล้าลง และกลับไปที่ห้องของตัวเอง


 


เหลียวฮังนั่งลงบนเตียง ยืดหลังตรง หยิบหนังสือเทคนิคฝึกยุทธขึ้นมาเปิด และเริ่มต้นอ่านมันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว


 


“เจ้าพวกนี้มันเรียบง่าย เป็นเรื่องง่ายดายมากๆ … ถึงแม้ร่างกายของฉันจะอ่อนแอ แต่จะต้องแซงแกได้แน่ๆ”


 


เขาบ่นพึมพำ


 


บนท้องฟ้า ฝนโปรยปรายมิเคยหยุด


 


มันเย็นฉ่ำร่วงโรยอยู่ท่ามกลางสายลม


 


ณ ทำเนียบประธานาธิบดี


 


บริเวณสนามหญ้า


 


ประธานาธิบดียืนอยู่ที่นั่น สองมือของเขาไขว้หลัง และกำลังเฝ้ารออย่างเงียบๆ


 


โดยมีบุคลากรร่างกายกำยำสูงใหญ่ช่วยถือร่มให้แก่เขา


 


พร้อมด้วยหน่วยสืบราชการลับที่แยกย้ายกันอยู่ในบริเวณรอบๆ


 


เปรี้ยง! ท่ามกลางเสียงฟ้าร้อง ปรากฏกระแสแสงเส้นหนึ่งวูบตรงเข้ามา


 


รถเหินเวหาของกู่ฉิงซานค่อยๆลดระดับลงจากท้องฟ้า


 


ประตูรถเหินเวหาเปิดออก


 


พร้อมกับกู่ฉิงซานที่เดินลงมา


 


ประธานาธิบดียืนอยู่ที่นั่นและยื่นมือของออกไป


 


ทั้งสองจับมือเชคแฮนกัน


 


“ฝนตกหนักขนาดนี้ ท่านไม่จำเป็นต้องออกมารอรับผมก็ได้” กู่ฉิงซานกล่าว


 


เขาทอดถอนหายใจด้วยอารมณ์ ท่านประธานาธิบดีได้ใช้ร่างโคลนเป็นตัวตายตัวแทน เพื่อหลีกเลี่ยงการลอบสังหารจากเก้าตระกูลใหญ่นับครั้งไม่ถ้วน


 


แม้จะแก่ แต่เขาก็เป็นชายที่แก่ไปด้วยประสบการณ์ และมีจิตใจที่แข็งแกร่งจริงๆ


 


“งานของฉันค่อนข้างยุ่ง เลยคิดว่าจะใช้โอกาสนี้พักหายใจมันซะเลยน่ะ” ประธานาธิบดีกล่าว


 


ใบหน้าของเขาดูหนักอึ้ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกิจการของทางรัฐที่ยุ่งมาก หรือเป็นเพราะสงครามที่กำลังใกล้เข้ามากันแน่


 


ทั้งสองเดินจากสนามหญ้า กลับเข้าไปในคฤหาสน์


 


ประตูไม้ขนาดใหญ่ปิดลง ทิ้งลมและฝนเอาไว้เบื้องหลังพวกเขา


 


เมฆที่แขวนอยู่บนฟากฟ้าแลคล้ายกับสีตะกั่ว ส่งเสียงฟ้าร้องคำรามดังกึกก้อง


 


สวรรค์และโลกตกลงสู่ความมืดมิด

 

 

 


ตอนที่ 327

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.327 – การปฏิวัติชนชั้นสูง


 


ภายในสำนักงานประธานาธิบดี


 


กู่ฉิงซานนั่งลงบนโซฟา


 


ประธานาธิบดีเดินอ้อมโซฟามาจนถึงโต๊ะของเขา สองแขนวางลงบนพนัก และค่อยๆทิ้งตัวลงอย่างช้าๆ


 


แผ่นหลังของเขาเหยียดตรง ริมฝีปากแม้มแน่น สายตาจับจ้องไปยังกู่ฉิงซาน


 


ส่วนกู่ฉิงซาน เขาหันไปมองรอบๆ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างจงใจว่า “ทำไมผมถึงไม่เห็นนายพลซางเลยล่ะครับ”


 


“ฉันส่งเขาไปที่แนวหน้าน่ะ เพราะฟูซีกำลังเตรียมที่จะเปิดฉากรุกรานเราแล้ว” ประธานาธิบดีกล่าว


 


กู่ฉิงซานพยักหน้า


 


“มีบางอย่างที่ผมต้องการจะบอกคุณล่วงหน้า” กู่ฉิงซานลดเสียงลง


 


เขาหันไปมองดูรอบตัว


 


และพบว่ามันเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย


 


แต่คราวนี้ท่านประธานาธิบดีกลับไม่ได้ไล่บุคลากรของเขาออกไป


 


ประธานาธิบดีสังเกตเห็นถึงสายตาของกู่ฉิงซาน เขาโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ต้องกังวลหรอก พนักงานและผู้ช่วยพวกนี้ล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ของฉันที่ทำงานร่วมกันมาหลายปีแล้ว”


 


กู่ฉิงซานเงียบไปสักพัก ก่อนจะตอบรับ “ผมเข้าใจแล้ว”


 


ในเวลานั้นเอง บุคลากรตัวสูงก็ได้ก้าวออกมาข้างหน้า ปากเอ่ยถามอย่างสุภาพว่า “ไม่ทราบว่าท่านต้องการชาหรือกาแฟ?”


 


กู่ฉิงซาน “อย่าลำบากเลยครับ”


 


“มันไม่เป็นไรหรอก” บุคลากรร่างสูงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ช่วงเวลาที่ชงชาน่ะ มันจะช่วยให้กระผมอารมณ์ดีเสมอเลย”


 


“ถ้างั้นผมขอเป็นชาก็แล้วกันครับ” กู่ฉิงซานลดสายตาลงและกล่าว


 


“รับทราบ”


 


บุคลากรร่างสูงเดินไปเตรียมกาน้ำชาทันที จากนั้นก็ยกมันเข้ามา


 


เขาโค้งตัวลง และเทชาร้อนๆลงในถ้วยเล็กๆทั้งสองใบอย่างช้าๆ


 


ถ้วยหนึ่งถูกนำไปวางบนโต๊ะท่านประธานาธิบดี


 


อีกถ้วยวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้ากู่ฉิงซาน


 


กู่ฉิงซานสังเกตลวดลายบนชุดถ้วยน้ำชา แล้วเอ่ยว่า “ลวดลายบนถ้วยน้ำชานี่ ดูมีเอกลักษณ์งดงามมากจริงๆ”


 


บุคลากรร่างสูงยิ้ม และหันไปกล่าวกับเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง กึ่งจริงกึ่งล้อเล่นว่า “แต่เป็นที่น่าเสียดาย ที่ชุดถ้วยชานี้มีเพียงแค่สองถ้วย และมันสมควรถูกใช้โดยผู้ทรงเกียรติอย่างท่านประธานาธิบดีและคุณกู่ฉิงซานเท่านั้น พวกเราไม่อาจร่วมดื่มด้วยได้ เชื่อกระผมเถอะ”


 


ว่าจบ เขาก็กลับไปยืนรักษาการร่วมกับกลุ่มบุคลากรคนอื่นๆ


 


และคนอื่นๆที่ว่าก็ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย สุดท้ายแล้ว คนหนึ่งเป็นเจ้าของสำนักงาน อีกคนหนึ่งเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ ดังนั้นการดื่มน้ำชาระหว่างทั้งสองจึงเป็นเรื่องปกติ ส่วนพวกเขาจะมีส่วนร่วมด้วยหรือไม่นั่นไม่สำคัญ


 


ในทางตรงกันข้าม การที่บุคลากรร่างสูงตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็ง มันยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกดี


 


พวกเขาหัวเราะกันเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา


 


กู่ฉิงซานหยิบถ้วยชาขึ้น และใช้ริมฝีปากสัมผัสกับมันเล็กน้อย


 


ท่านประธานาธิบดีเองก็หยิบถ้วยชาขึ้นมาเช่นกัน เขายกมันขึ้นมาสูดดมกลิ่นใต้จมูก


 


แต่แล้วเขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย และวางถ้วยชาลง


 


กู่ฉิงซานมองดูประธานาธิบดีและเอ่ยอย่างช้าๆว่า “ผมมาที่นี่เพื่อแจ้งให้ท่านทราบเกี่ยวกับสถานการณ์”


 


“ว่ามาสิ” ประธานาธิบดีกล่าว


 


กู่ฉิงซานวางถ้วยชาของเขาลง ก่อนจะเริ่มกล่าวอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “ในปีนี้มีมืออาชีพที่แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนต้องเสียชีวิตลง และพวกเขาจะกลับมาพร้อมกับนรกเยือกแข็ง”


 


“พวกเขาจะปฏิบัติต่อโลกใบนี้เช่นเดียวกับมาร”


 


“พวกเขาจะกินเนื้อและดื่มเลือดของมนุษย์ แม้กระทั่งจิตวิญญาณก็จะยินยอมที่จะปล่อยไป”


 


“ท่านประธานาธิบดี รายละเอียดลงลึกยิ่งกว่านี้ ท่านสามารถ ‘เชื่อมต่อกับเทพธิดากงเจิ้ง’เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ เธอจะบอกท่านคุณสถิติการควบแน่นของพื้นผิวน้ำแข็งให้เอง”


 


ขณะกล่าวว สมองควอนตัมบนอ้อมแขนเขาก็กระพริบขึ้น มันแจ้งเตือนถึงข้อความใหม่ที่ได้รับ


 


สมองควอนตัมกระพริบอย่างต่อเนื่อง


 


กู่ฉิงซานเลยต้องจำใจกล่าวว่า “โปรดยกโทษให้ผมด้วย ดูเหมือนว่าจะมีข่าวด่วนส่งมาน่ะครับ”


 


“เชิญตามสบายเลย”


 


ประธานาธิบดีขมวดคิ้วราวกับว่าเขากำลังไตร่ตรองคำพูดของกู่ฉิงซาน


 


กู่ฉิงซานดึงสมองควอนตัมของเขาออกมา และเปิดดูมัน


 


ปรากฏบรรทัดตัวอักษรขึ้นบนจอม่านแสงบนสมองควอนตัม


 


“ซางหยิงฮ่าวขอให้ฉันส่งข้อความนี้ผ่านมายังคุณ เขาได้ใช้อำนาจทางโลกใต้ดินเพื่อทำการตรวจสอบสืบสวนดูแล้ว และจักรพรรดินีก็ได้ใช้กำลังจากภายนอกทั้งหมดที่มีออกค้นหา แต่ตลอดทั้งสาธารณรัฐฟูซีกลับไม่ค้นพบตัวขององค์จักรพรรดิเลย”


 


มันคือข่าวจากเทพธิดากงเจิ้ง


 


มองหน้ายังเหล่าตัวอักษรบนจอม่านแสง ที่กู่ฉิงซานทำก็เพียงแค่ยกชาขึ้นมาจิบ


 


มือของเขาพรมลงบนสมองควอนตัม ส่งคำแนะนำหลายๆอย่างออกไป


 


“ผมต้องขออภัยด้วย” กู่ฉิงซานพูดด้วยรอยยิ้ม


 


ประธานาธิบดีเอ่ยถาม “แล้วสิ่งที่เธอกำลังพูดอยู่ มีหลักฐานอะไรมายืนยันหรือเปล่า?”


 


กู่ฉิงซาน “แน่นอน ท่านสามารถตรวจสอบเนื้อหาที่เกี่ยวข้องผ่านทางเทพธิดากงเจิ้งได้เลย”


 


ประธานาธิบดีพยักหน้า และเอ่ยถามต่อว่า “แล้วนรกเยือกแข็งที่เธอพูด มันจะปรากฏตัวขึ้นทั้งหมดเมื่อไหร่กัน?”


 


“มันอาจจะปะทุขึ้นทันทีหลังจากที่ฝนได้หยุดตกลง” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ท่านประธานาธิบดีโน้มตัวลงมาข้างหน้า และกล่าวด้วยความจริงจังว่า “งั้นเธอไปรู้ข่าวนี้มาได้ยังไง?”


 


“แน่นอน ว่าผมย่อมมีช่องทางของผม”


 


“ช่องทางของเธอที่ว่านั่นน่ะ … พอจะสามารถบอกฉันได้ไหม?”


 


“ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ แต่ผมสามารถบอกท่านได้เพียงแค่ข่าวสารเหล่านี้เท่านั้น”


 


ประธานาธิบดีครุ่นคิดก่อนจะกล่าวเบี่ยงประเด็น “ฉันจำได้ว่าตอนเรื่องผีดิบกินคนและผีดิบนักฆ่า เธอก็เป็นคนแรกที่รู้เรื่องนี้เหมือนกันนี่นา”


 


“ใช่แล้วครับ”


 


“ในวันนั้นเธอได้ไปที่บ่อนคาสิโนกับซางหยิงฮ่าว และมีส่วนร่วมในการเล่นพนันใต้ดินกัน”


 


กู่ฉิงซานวางถ้วยชากลับลงบนโต๊ะ ปากเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่ท่านกำลังสอบสวนผมอย่างงั้นหรอ?”


 


ประธานาธิบดีมองเขาด้วยแววตาที่แฝงความหมายลึกซึ้ง ปากเอ่ยกล่าว “นั่นเพราะเธอมันเหมือนกับศาสดาพยากรณ์ยังไงยังงั้นเลยน่ะสิ แถมยังเป็นนักวิทยาศาสตร์อีกต่างหาก เธอรู้หรือเปล่าว่านี่มันหมายความว่ายังไง?”


 


“หมายความว่ายังไงหรอครับ?”


 


“พูดตามตรงเลยนะ ยังจะมีใครอีกที่จะสามารถสร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาได้อย่างง่ายดายแบบนี้? บอกมาตามตรงเถอะ ไวรัสผีดิบนั่นน่ะ จริงๆแล้วเป็นผลงานชิ้นเอกของเธอสินะ”


 


แล้วจู่ๆประธานาธิบดีก็ปรบมือขึ้น


 


“แถมฉันยังได้รู้มาอีกด้วยว่าเธอก็เป็นมืออาชีพนี่นา ความจริงยังมีอีกหลายข้อสงสัยนะ แต่แค่นี้ก็คงพอแล้วล่ะ”


 


สิ้นเสียง ชายวัยกลางคนในชุดเครื่องแบบทหารสองคนก็เดินเข้ามาในห้องรับแขก


 


หนึ่งคือจ้าวสมุทร หลี่ตงหยวน กับอีกผู้บัญชาการกองยานรบระหว่างดวงดาว ซ่งเทียนหวู่


 


สองในสามตัวตนสุดแกร่งแห่งรัฐบาลกลาง ได้มาอยู่ที่นี่แล้ว!


 


ประธานาธิบดีกล่าว “ทางเรามีผู้เชี่ยวชาญด้านการจับเท็จชั้นหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านการรวบรวมข้อมูลชั้นหนึ่งอีกด้วย ถ้าเธอบริสุทธิ์จริงๆ ฉันจะปล่อยเธอไป ดังนั้นตอนนี้คงต้องขอโทษด้วย”


 


กู่ฉิงซาน “แล้วถ้าหากเรื่องที่ท่านว่ามามันจริงล่ะ? จะเกิดอะไรขึ้น?”


 


ประธานาธิบดี “มอบความสำเร็จทางการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของเธอทั้งหมดให้แก่ฉัน แล้วมาทำงานภายใต้การควบคุมของฉัน จากนั้นในฐานะประธานาธิบดีฉันสัญญาว่าจะไม่ฆ่าเธอ”


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจและเอ่ยถาม “ท่านพอจะมีเวลาสักเล็กๆน้อยๆ ให้ผมได้พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้รึเปล่า”


 


ประธานาธิบดีก้มลงมองดูนาฬิกาของเขา และผุดลุกขึ้น “ฉันจะต้องขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์ระดับชาติในเร็วๆนี้ อาจจะใช้เวลาซัก 20 นาที พอฉันพูดจบ หวังว่าเธอจะให้คำตอบแก่ฉันได้นะ”


 


แล้วเขาก็เดินออกจากห้องนั่งเล่นไป พร้อมด้วยเหล่าบุคลากรที่ตามติดไปอย่างใกล้ชิด


 


หนึ่งในสองนายพลเดินแยกตัวออกมา หยุดยืนอยู่เบื้องหน้ากู่ฉิงซาน


 


จ้าวสมุทร หลี่ตงหยวน “ในฐานะที่เธอเป็นนักวิทยาศาสตร์ ถ้ายังอยากรักษาเกียรติยศและศักดิ์ศรีดิ์ของตัวเองให้ยังคงอยู่ต่อไปล่ะก็ ฉันหวังว่าเธอจะไม่คิดแสดงอาการขัดขืนใดๆนะ”


 


กู่ฉิงซานมิได้เคลื่อนไหวใดๆ


 


ทันใดนั้นสมองควอนตัมของสองนายพลก็ส่องสว่างขึ้น


 


ตามด้วยเสียงที่ฟังดูขึงขังของเทพธิดากงเจิ้งดังออกมา “ใต้เท้ากู่ฉิงซานคือทูตผู้นำพาส่งเสริมความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ของอารยธรรมมนุษย์ เป็นผู้มีอำนาจพลเมืองอันดับหนึ่ง , เป็นผู้นำสูงสุด”


 


“เทพธิดาได้ทำการตรวจสอบข้อมูลและเอกสารรับรองแล้ว ค้นพบว่าไวรัสผีดิบกินคนและผีดิบนักฆ่าไม่ใช่สิ่งที่ถูกพัฒนาโดยใต้เท้ากู่ฉิงซาน”


 


“ดังนั้นใต้เท้าจึงไม่ควรถูกสอบสวน หรือถูกคุมขังหน่วงเหนี่ยวใดๆ”


 


ประธานาธิบดีที่เดินไปได้เพียงครึ่งทางพลันหยุดกึกในทันใด


 


เขาเอ่ยถามอย่างเย็นชา “เทพธิดากงเจิ้ง ฉันล่ะสงสัยจริงๆว่านักวิทยาศาสตร์คนนี้ ถึงขั้นมีอำนาจเท่าเทียมกันกับฉันเลยอย่างงั้นเหรอ?”


 


คำพูดและน้ำเสียงที่เปล่งออกมาของเขา มันส่งแรงกดดันมหาศาลออกมาพร้อมด้วย ..


 


กลิ่นอายสังหาร


 


เทพธิดากงเจิ้งตอบสวนกลับไปว่า “ย่อมไม่ได้เป็นเช่นนั้น การตัดสินใจในกิจการต่างๆของรัฐบาลกลางล้วนอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของประธานาธิบดีผู้ทรงเกียรติ ส่วนกู่ฉิงซานเป็นเพียงผู้มีตำแหน่งทรงเกียรติเท่าเทียมกันเท่านั้น”


 


สีหน้าของประธานาธิบดีอ่อนลงอย่างช้าๆ เขาเอ่ยความคิดของตัวเองออกมาดังๆ “ด้วยการมีส่วนร่วมทางวิทยาศาสตร์เพียงหนึ่งเดียว กลับสามารถก้าวขึ้นมาถึงระดับนี้ได้? นี่มันช่างน่าทึ่งจริงๆ”


 


เขาหันหลังกลับ และจากไปอย่างรวดเร็ว


 


สองนายพลหันมามองหน้ากันอย่างกระทันหัน ต่างฝ่ายต่างเผยสีหน้าแปลกๆออกมา


 


หลี่ตงหยวนมองดูกู่ฉิงซานและกล่าว “ยังไงเขาก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นสูง จะมากจะน้อยอย่างไรก็ยังมีประโยชน์อยู่”


 


ซ่งเทียนหวู่ “แต่ก็ไม่มากนักหรอก”


 


เมื่อทั้งสองพูดจบ พวกเขาก็ปิดปากเงียบและไม่พูดอีกเลย


 


หลังจากนั้นไม่นานนัก


 


กู่ฉิงซานก็เอ่ยถามออมมา “ท่านประธานาธิบดีกำลังกล่าวสุนทรพจน์ทางทีวีอยู่ใช่ไหม?”


 


“ใช่” ซ่งเทียนหวู่ตอบรับ


 


กู่ฉิงซานหยิบสมองควอนตัมส่วนตัวออกมาอย่างช้าๆ


 


ทั้งสองนายพลจับจ้องมายังเขาทันที


 


“งั้นถ้าผมจะนั่งดูเขาพูด คงจะไม่เป็นไรสินะ?” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


สองนายพลหันมามองกันวูบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอนุญาต


 


กู่ฉิงซานเปิดจอม่านแสง


 


และพบว่าท่านประธานาธิบดีกำลังเริ่มกล่าวสุนทรพจน์แล้ว


 


“ … ประชาชนทั่วทั้งรัฐบาลกลาง ควรที่จะต้องรู้เรื่องนี้”


 


“ใช่แล้วล่ะ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชนชั้นสูงจากเก้าตระกูลใหญ่ ได้ทำการลอบสังหารผมทั้งสิ้น 31 ครั้ง”


 


“ในฐานะประธานาธิบดี ผมได้มาถึงสถานการณ์ที่ไม่มีทางออกแล้ว”


 


“นี่นับว่าเป็นการกระทำที่ประชดประชัน แดกดันกฏหมายของรัฐบาลกลางอย่างถึงที่สุด”


 


“แน่นอน ว่าหลักฐานการลอบสังหารทั้งหมดอยู่ในมือของผม”


 


“ด้านล่างนี้ จะแสดงให้เห็นถึงอาชญากรรมทั้งหมดของเก้าตระกูลใหญ่”


 


แล้วภาพหน้าจอก็ถูกสลับสับเปลี่ยนไป


 


ตามด้วยสาเหตุ , ผลลัพธ์ของลอบสังหาร


 


และบทสนทนาหารือระหว่างชนชั้นสูงแห่งเก้าตระกูลใหญ่


 


การจัดฉากเตรียมการของนักฆ่า


 


ความโกรธเกรี้ยวหลังจากที่พวกเขาล้มเหลว


 


จากนั้นก็เริ่มวางแผน และสนทนาหารือกันอีกที


 


หลักฐานการลอบสังหารทั้งหมดปรากฏขึ้นบนจอภาพ


 


และตอนนี้ มันคือการถ่ายทอดสดออกไปในระดับชาติ!


 


“ท่านผู้นำ นั่นท่านกำลังทำอะไรอยู่น่ะ! บทพูดนั่นมันแตกต่างจากต้นฉบับที่ผมเขียนเอาไว้นะครับ!” ผู้ช่วยคนหนึ่งร้องอุทานเตือน


 


ขณะที่คนอื่นๆต่างกลายเป็นโง่งม


 


กู่ฉิงซานมองลงไปในจอม่านแสง แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ


 


ยามเมื่อช่วงเวลาที่กองทัพของสาธารณรัฐฟูซีกำลังคุกคามชายแดน ภายใต้ความกดดันท่านประธานาธิบดีกลับเลือกที่จะพลิกกระดาน เปิดเผยความจริงขึ้น!


 


อย่างไรก็ตาม หลักฐานที่เผยมาเป็นกองภูเขานี้ก็ล้วนเป็นเรื่องจริงเช่นกัน


 


เรื่องราวอันน่าตกใจนี้ ถูกตีแผ่ท่ามกลางกลางวันแสกๆ!


 


ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และได้รับความรักจากประชาชนสามัญทั่วทั้งประเทศ


 


เมื่อประชาชนได้ตระหนักถึงความจริง ตลอดทั้งรัฐบาลกลางย่อมตกอยู่ในความตื่นตะลึง ก่อบังเกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่!


 


ชนชั้นสูงไม่สามารถเบี่ยงเบนความคิดและความเชื่อของผู้คน ว่าการลอบสังหารเหล่านี้ล้วนเป็นฝีมือของกองกำลังต่างชาติได้อีกต่อไป


 


ทั้งหมดนี้ นับว่าเป็นอาชญากรรมอย่างแท้จริง ที่เกิดขึ้นโดยน้ำมือพวกเขา


 


ต่อจากนี้ไป สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือการร้องเรียนจากทั่วทั้งรัฐบาลกลาง ไปยังเก้าตระกูลใหญ่!


 


ความขัดแย้งระหว่างคนสามัญแห่งรัฐบาลกลางกับชนชั้นสูง ได้มาถึงจุดสูงสุดแล้วในประวัติศาสตร์ของรัฐบาลกลางทั้งหมด!


 


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า รัฐบาลกลางจะต้องตกอยู่ในความวุ่นวาย หรือแม้กระทั่งอาจเรียกได้ว่าเป็นสงครามกลางเมือง!


 


ในหัวใจของกู่ฉิงซานเต้นครึกโครม


 


หลังจากใช้เวลายาวนานกว่า6-7นาที ในที่สุดหลักฐานทั้งหมดก็ถูกปล่อยออกมา


 


และภาพของท่านประธานาธิบดีก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง


 


“เก้าตระกูลใหญ่ได้เน่าเฟะไปถึงกระดูกของพวกเขาแล้ว”


 


“ทั้งหมดไม่สามารถคอยชักนำพาประเทศให้ก้าวต่อไปข้างหน้าได้อีกต่อไป”


 


“พวกเขาเป็นตัวตนที่คอยฉุดรั้งผู้คน! ฉุดรั้งประเทศให้ตกต่ำลง!”


 


“ทางเรามีนายพลหลายคนเข้าร่วมการต่อต้านในครั้งนี้”


 


“กองทัพอยู่กับผม อิสรภาพอยู่กับผม และพวกคุณทุกคนก็อยู่กับผมเช่นกัน!”


 


“เวลานี้ ผมขอเรียกร้องให้ประชาชนทุกคนมาร่วมด้วยกัน หยิบยกอาวุธขึ้นมา และต่อต้านการปกครองที่โหดร้ายของเก้าตระกูลใหญ่!”


 


ท่านประธานาธิบดีหันมามองกล้อง พร้อมกล่าวตะโกนสุดเสียงว่า “ผมขอประกาศว่า การปฏิวัติชนชั้นสูงแห่งรัฐบาลกลางได้เริ่มเปิดฉากขึ้นแล้ว!”


 


และภาพบนจอทีวีก็ดับลง


 


“การปฏิวัติ … ชนชั้นสูง?”


 


กู่ฉิงซานนิ่งมองมัน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหนักอึ้งอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน


 


สาธารณรัฐฟูซีก็กำลังจะบุกมา นรกเยือกแข็งก็กำลังจะเกิดขึ้นทั่วโลก แต่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ ท่านประธานาธิบดีกลับดันเลือกที่จะเปิดเผยการกระทำอันชั่วร้ายของเก้าตระกูลใหญ่ออกมาโดยสมบูรณ์กลางวันแสกๆ!


 


รัฐบาลกลางตั้งแต่ช่วงเวลานี้ไป จะต้องตกอยู่ในความโกลาหลใช่หรือไม่?


 


“เดิมทีผมคิดว่าการกล่าวสุนทรพจน์ในครั้งนี้จะเป็นการปลุกระดมขวัญกำลังใจก่อนจะเริ่มสงครามซะอีก แต่ใครจะรู้ว่าความจริงมันกลับเป็นแบบนี้ …. ดูเหมือนว่ารัฐบาลกลางจะผลักดันตัวเองให้เข้าสู่สงครามกลางเมืองแทนซะแล้ว” กู่ฉิงซานถอนหายใจ


 


“เก็บสมองควอนตัมของเธอไปได้แล้ว” ซ่งเทียนหวู่กล่าว


 


กู่ฉิงซานเก็บสมองควอนตัมของเขา


 


หลังจากนั้นไม่นาน ท่านประธานาธิบดีก็กลับมา


 


“คุณเตรียมพร้อมไว้แล้วใช่ไหม?” เขาเอ่ยถาม


 


“พร้อมอยู่แล้ว” ซ่งเทียนหวู่กล่าว


 


“งั้นก็ระเบิดมันซะ” ประธานาธิบดีเอ่ยสั่ง


 


“รับทราบ!”


 


ท่ามกลางอวกาศนอกโลก


 


ป้อมปราการดวงดาวเฉืนเตี้ยนเฮ่า


 


ในพื้นที่ๆถูกแยกตัวออกและเฝ้าจับตามองโดยเทพธิดากงเจิ้งอย่างใกล้ชิด กล่องดำขนาดเล็กพลันปรากฏขึ้น


 


ตามด้วยการสลายตัวของระเบิดนาโน


 


ในตอนที่ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศกรรมเครื่องกลอวกาศ ได้ขึ้นมาซ่อมบำรุงเฉินเตี้ยนเฮ่า พันเอกได้ลอบติดตั้งระเบิดนาโนเอาไว้


 


พลังอำนาจของมันสามารถทำลายแหล่งพลังงานในเฉินเตี้ยนเฮ่าได้อย่างรวดเร็ว และส่งผลให้ระบบการจ่ายพลังงานของเทพธิดากงเจิ้งเป็นอัมพาต


 


ระเบิดนาโนชุดนี้แฝงตัวอยู่อย่างเงียบๆมาเป็นเวลานาน


 


ทว่าช่วงเวลานี้มันก็ได้เผยตัวตนที่แท้จริงออกมาแล้ว!


 


ตูม!


 


เสียงของระเบิดนาโนสลายตัวดังฟังชัด แพร่กระจายหมอกสีขาวออกไปอย่างรวดเร็ว


 


หมอกสีขาวเหล่านี้คือหุ่นยนต์สลายตัวขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วน


 


หลังจากเปิดใช้งานแล้ว พวกมันก็จะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ทันที และหน้าที่ที่ว่าก็คือการทำลายทุกสิ่งรอบตัวของพวกมัน


 


แต่ว่าน่าเสียหายที่สถานที่แห่งนี้ถูกตัดขาด และห่อหุ้มด้วยวัสดุพิเศษเพื่อป้องกันระเบิดนาโนอยู่ก่อนแล้ว


 


ดังนั้นระเบิดนาโนสลายตัวนี่จึงไม่นับว่าส่งผล หรือทำอะไรได้เลย


 


อย่างไรก็ตาม สัญญาณทั้งหมดจากป้อมปราการดวงดาวกลับถูกตัดออก


 


เฉินเตี้ยนเฮ่าตกอยู่ในความมืดมิด


 


ณ พื้นที่ภายนอกโลก ไม่ใกล้ไม่ไกลจากป้อมปราการดวงดาวเฉินเตี้ยนเฮ่า


 


ชิ้นส่วนอุกกาบาตอันหนึ่งที่ลอยล่อง


 


มันพลันพลิกตัวกลับอย่างกระทันหัน พร้อมกับการเผยตัวของดาวเทียมสอดแนมขนาดเล็ก


 


ดาวเทียมสอดแนมได้ทำการทดสอบสัญญาณและถ่ายภาพเฝ้าระวังป้อมปราการเฉินเตี้ยนเฮ่า


 


และในที่สุดมันก็ได้ข้อสรุป


 


และข้อสรุปที่ว่าของมัน ก็ถูกส่งผ่านอวกาศอันกว้างใหญ่ มุ่งเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก และตกลงบนสมองควอนตัมในเมืองหลวง ตรงทำเนียบประธานาธิบดี


 


“สำเร็จแล้ว! เทพธิดากงเจิ้งหยุดการทำงานไปแล้ว!”


 


สองนายพลตะโกนออกมาด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข


 


กระทั่งสีหน้าเย็นชาของประธานาธิบดี ก็ยังดูสดใสขึ้นหลายส่วน


 


ตามแผนที่วางไว้ ทุกสิ่งจนถึงตอนนี้ กล่าวได้ว่าราบรื่นไปเสียทุกอย่าง


 


หากปราศจากซึ่งการแทรกแซงจากเทพธิดากงเจิ้ง การลงมือต่อต้านเก้าตระกูลใหญ่ก็จะสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น


 


ในฐานะผู้นำระดับสูงสุดของเผ่าพันธ์มนุษย์ แน่นอน พวกเขาย่อมรับรู้ว่าเก้าตระกูลใหญ่สามารถรับมือกับมอนสเตอร์เอกภพได้


 


แต่ถ้านรกได้มาถึง แล้วโลกทั้งใบจะเต็มไปด้วย ‘คนตาย’ ที่ไม่อาจฆ่าตายได้อีก ใครมันจะไปมัวเสียเวลาหวาดกลัวมอนสเตอร์เอกภพกัน?


 


–ช่วงเวลาแห่งความฝันที่เฝ้ารอคอยมานาน ในที่สุดก็มาถึงซักที!


 


“ดีมาก ระดมกำลังของคุณทันที เตรียมพร้อมโจมตีเก้าตระกูลใหญ่เต็มกำลัง” ประธานาธิบดีกล่าวสั่ง


 


“รับทราบ!”


 


นายพลทั้งสองตะเบ๊ะแบบทหาร ก่อนจะหมุนตัวกลับและเดินออกไปอย่างเร่งร้อน


 


กู่ฉิงซานยังคงนั่งนิ่ง มิได้เอ่ยอะไรออกมาเลย


 


ประธานาธิบดีมองเขา ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามอย่างช้าๆ


 


แม้ว่าจะนั่งลงบนโซฟา ทว่าหลังของเขายังยืดตรง ไหล่ขนานกันอยู่ในระดับแนวนอน ดวงตาของเขาไร้ซึ่งความสับสน ทุกการกระทำและการเคลื่อนไหวตรงหน้ามิอาจพบถึงความผิดปกติได้แม้เพียงเล็กน้อย


 


ไร้ซึ่งการแสดงออกใดๆบนใบหน้าของเขา ทั้งคนทั้งร่างราวกับก้อนภูเขาน้ำแข็งแสนเย็นชา


 


ประธานาธิบดีเปิดสมองควอนตัมของเขา และเริ่มจัดเตรียมการบางสิ่งอย่างต่อเนื่อง


 


ผ่านไปสักพัก เขาก็เปิดปากเอ่ยถามออกมา “แล้วเธอตัดสินใจว่ายังไง? ถ้าให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีต่อฉัน ฉันจะให้เธอได้รับโอกาสที่ไม่เคยได้รับมาก่อนเลยในชั่วชีวิตนี้”


 


“แล้วถ้าผมปฏิเสธที่จะให้คำมั่นล่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“นักวิทยาศาสตร์ที่เต็มใจจะเป็นทาสของเก้าตระกูลใหญ่น่ะ รัฐบาลกลางไม่ต้องการหรอก”


 


สายตาของประธานาธิบดีเลื่อนผ่านกู่ฉิงซาน มุมปากของเขาเม้มเป็นเส้นตรงโดยไม่รู้ตัว


 


“ผมได้ลองคิดดูเกี่ยวกับมันแล้ว แต่ผมยังมีคำถามที่ต้องการจะถามคุณเสียก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว


 


นี่ยังจะกล้าเจรจาขอเงื่อนไขอีกหรือ?


 


ดวงตาของประธานาธิบดีเผยประกายเย็นเยียบขึ้นหลายส่วน แม้จะยังไม่โกรธ แต่ทัศนคติขุ่นเคืองก็ปรากฏขึ้นบนสีหน้าเขาอย่างชัดเจน


 


และทัศนคติเช่นนี้ ย่อมสามารถทำให้คนธรรมดาหวาดกลัวจนขาสั่น มิอาจเอ่ยกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้


 


แต่กู่ฉิงซานกลับยังคงเฝ้ามองท่านประธานาธิบดีอย่างเงียบๆ … ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากมันเลย


 


“ฉันจะให้โอกาสเธอเป็นครั้งสุดท้าย ถามมาสิ”


 


ประธานาธิบดีจ้องมองเขาและกล่าวออกมา


 


กระทั่งเวลานี้ ท่านประธานาธิบดีก็ยังคงนั่งนิ่งหลังเหยียดตรง


 


ไม่ว่าเขาจะทำอะไรหรือพูดอะไร หัวของเขาจะไม่สั่นไหว โยก หรือคล้อยตามง่ายๆ ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างอยู่ใน ‘หัว’ ของเขา


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจและเอ่ยถาม “ฝ่าบาท ช่วยบอกผมหน่อยเถอะ ว่าจริงๆแล้วท่านประธานาธิบดียังมีชีวิตอยู่อีกรึเปล่า?”

 

 

 


ตอนที่ 328

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.328 – องค์จักรพรรดิ


 


ภายในสำนักงานประธานาธิบดีพลันตกอยู่ในความเงียบอย่างน่าแปลกประหลาด กระทั่งชั้นอากาศก็ค่อยๆเย็นขึ้นราวกับถูกแช่แข็ง


 


กู่ฉิงซานกับประธานาธิบดีนั่งมองหน้ากันโดยมีโต๊ะน้ำชาคอยคั่นกลาง


 


ท่ามกลางความเงียบ ในระยะไกลออกไปจะได้ยินเสียงที่แม้จะฟังดูคลุมเครือแต่ก็บอกได้ว่าเป็นเสียงปืนของหุ่นรบ และเสียงของพื้นดินที่ค่อยๆสั่นสะเทือนอย่างเห็นได้ชัด


 


การปฏิวัติได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว


 


ประธานาธิบดีพอได้ยินสิ่งเหล่านั้น รอยยิ้มน้อยๆก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของเขา


 


ไม่เคยมีใครทำให้เขารู้สึกสุขหรือพึงพอใจง่ายๆ ทว่าเสียงปืนจากภายนอกนี่มันทำให้เขารู้สึกดีจริงๆ


 


กู่ฉิงซานโบกมือ


 


และถ้วยน้ำชาบนโต๊ะประธานาธิบดีก็ค่อยๆลอยขึ้น บินอบู่ในอากาศอย่างสงบ และตกลงมาตรงด้านหน้าของประธานาธิบดีอย่างช้าๆ


 


“เชิญดื่มชาก่อนเถิดพะยะค่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ว่าแล้วเขาก็หยิบถ้วยชาตรงหน้าตนขึ้นมา แล้วจิบมันอีกครั้ง


 


“อา … ชานี่มันรสชาติไม่เลวเลยจริงๆ” เขากล่าว


 


ประธานาธิบดีมองไปยังกู่ฉิงซานด้วยใบหน้าสงบนิ่ง เขาหยิบถ้วยชาตรงหน้าขึ้นมาอังจมูก สูดดมเล็กน้อย


 


แต่แล้วเขาก็ขมวดคิ้ว และวางถ้วยชาลงอีกครั้ง


 


ประธานาธิบดียังคงจับจ้องกู่ฉิงซาน ทว่าเขากลับไม่พบถึงการแสดงออกทางสีหน้าที่ผิดปกติใดๆของอีกฝ่ายเลย


 


“เจ้าทราบได้อย่างไรกัน” ประธานาธิบดีเอ่ยถามออกมาในที่สุด


 


“เพราะเทพนักสู้แห่งรัฐบาลกลางได้ถูกแยกตัวออกจาพระองค์” กู่ฉิงซานเฉลย


 


“เพียงเท่านั้นมันมิอาจพิสูจน์อะไรได้เลย”


 


“ใช่แล้วล่ะ ศีรษะบนคทาทองหายไป , การตายลงขององค์จักรพรรดิตัวปลอมกับถังจุน และนรกเยือกแข็งที่กำลังปรากฏขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าท่านอยู่ในรัฐบาลกลาง”


 


กู่ฉิงซานค่อยๆพูดอย่างช้าๆ “แต่เป็นเพราะผมพึ่งได้เริ่มต้นศึกษาเรื่องบางอย่างมาเมื่อไม่นานมานี้”


 


ประธานาธิบดีกล่าวอย่างคาดไม่ถึง “ศึกษาพันธุศาสตร์ใช่หรือไม่?”


 


“เปล่า ศึกษาเรื่องการแสดง”


 


กู่ฉิงซานวางถ้วยชาลงและกล่าวว่า “องค์จักรพรรดิ จากในมุมมองของท่าน ดูเหมือนว่าท่านจะไม่ได้มีเวลาศึกษาบทบาทของประธานาธิบดีอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ดังนั้นท่านเลยไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเล่นเป็นเขาอย่างแนบเนียน อันที่จริงแล้วไม่ต้องพูดถึงเรื่องแสดงบทบาทเป็นประธานาธิบดีหรอก แม้กระทั่งบทบาทตัวประกอบเล็กๆน้อยๆในหนัง ผมก็ขอเดิมพันว่าท่านเล่นไม่เนียนอยู่ดีนั่นก็เพราะ -”


 


ประธานาธิบดีจ้องมองเขา เฝ้ารอประโยคถัดไปที่อีกฝ่ายจะพูดต่อ


 


กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “เพราะตัวท่านเองนั่นแหละ ถึงแม้ว่าจะได้ทำการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมตนเองให้มีรูปลักษณ์เหมือนกับประธานาธิบดี แต่ทุกๆการเคลื่อนไหวก็ยังเป็นตัวท่านเองอยู่ดี”


 


“แล้วเจ้าค้นพบถึงมันตั้งแต่ช่วงเวลาใด?”


 


“ท่านมิได้สนใจที่จะลิ้มรสชาติของชา เพราะชาที่รัฐบาลกลางจัดซื้อมานั้นเกรดมันธรรมดาเกินไป และแย่กว่าชาที่ได้รับบรรณาการจากภายในวังของท่านเป็นอย่างมาก ดังนั้นเพียงสูดดมกลิ่น ท่านก็มิสนใจที่จะลิ้มลองมันต่อ”


 


“ยามเมื่อท่านนั่ง แผ่นหลังท่านยืดตรง ราวกับคนที่มีพละกำลัง แต่ท่านประธานาธิบดีน่ะเป็นแค่คนทั่วไป เขาแก่แล้ว”


 


“ท่านประธานาธิบดีชอบที่จะนั่งลงบนโซฟาตรงข้ามกับผม เขาชอบที่จะพูดคุยและเล่นมุกตลกๆกับผม แต่คุณกลับเลือกที่จะทำตัวเย็นชาห่างเหิน ไปนั่งลงหลังโต๊ะทำงาน”


 


“ท่านประธานาธิบดีของเรามีพื้นเพมาจากรากหญ้า มาจากมณฑลอันห่างไกลเมืองหลวง ดังนั้นตามวิถีชีวิตบ้านนอก ใบหน้าของเขาจึงดูจริงใจ และแขวนไว้ด้วยรอยยิ้มแย้มแทบจะตลอดเวลา”


 


“แต่ทว่าท่านกลับไม่ค่อยแสดงถึงความรู้สึกใดๆบนใบหน้าเลย นั่นเพราะมันต้องเป็นทุกคนต่างหากที่ต้องปั้นหน้ายิ้มทำให้ท่านโปรดปรานและพอใจ – หากกษัตริย์มอบรอยยิ้มให้ นั่นก็นับว่าเป็นรางวัลอันเลอค่าแล้วสำหรับพวกเขา”


 


กู่ฉิงซานยังคงกล่าวต่อไปว่า “สำหรับผม แค่จินตนาการว่าคนตรงหน้าเป็นพระองค์ แล้วเฝ้าสังเกตจากทุกการกระทำและเคลื่อนไหว ก็จะพบว่าท่านเหมือนกับองค์จักรพรรดิเป๊ะๆไม่มีผิดเพี้ยน”


 


“เพียงเพราะสิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อจริงๆกระนั้นหรือ?” ประธานาธิบดีถาม


 


“แน่นอน ว่ามันยังมีเหตุผลอื่นๆอยู่อีก แต่มันไม่เหมาะที่จะบอกท่าน”


 


กู่ฉิงซานกล่าว “สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ท่านประธานาธิบดีตัวจริงน่ะจะไม่มีทางแบ่งแยกประเทศออกเป็นสอง ยามเมื่อเวลาที่สงครามกำลังจะมาถึงแน่ๆ”


 


“เพราะเหตุใด”


 


“เพราะเขาคือประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้ง และเป็นผู้นำที่ประชาชนรักใคร่และนิยมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ หากการกระทำของเขาผิดหลักจริยธรรม ผู้คนก็คงจะไม่ไว้ใจเลือกมอบประเทศวางลงบนไหล่ให้เขาแบกรับหรอก”


 


“โอ้ ที่เจ้ากล่าวอาจจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ”


 


ประธานาธิบดีเงียบไปสักพัก ก่อนจะปรากฏร่องรอยเย้ยหยันขึ้นบนใบหน้าของเขา


 


“มันก็จริงที่ข้ามิอาจเล่นละครตบตาได้ ” เขาเอ่ยอย่างช้าๆ แต่ทว่ามันกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายและแรงกดดันมหาศาล “แต่ข้าเก่งกาจในด้านการควบคุมชีวิตและความตายของผู้คนนับล้าน – ข้าเก่งกาจในด้านการพิชิตโลก!”


 


“ทำไมท่านถึงคิดว่าเป็นแบบนั้นล่ะ?” กู่ฉิงซานเอนตัวลงบนโซฟา ปากเอ่ยถาม


 


ประธานาธิบดีกล่าวอย่างมั่นใจว่า “เพราะตอนนี้ข้าได้เปิดโปงโฉมหน้าอันแสนโสมมของเก้าตระกูลใหญ่ผ่านทางโทรทัศน์ ออกอากาศไปทั่วประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้วน่ะสิ”


 


“ประกาศมันออกไปในฐานะโฉมหน้าของประธานาธิบดี และข้อกล่าวหาของข้าก็จะกระตุ้นความโกรธแค้นจากประชาชนที่นิยมชมชอบข้า”


 


“ข้าได้ทำการควบคุมกองทัพบางส่วนของรัฐบาลกลางเอาไว้แล้ว และพวกเขาล้วนซื่อสัตย์ภักดีต่อข้า”


 


“เมื่อเทพธิดากงเจิ้งหยุดการทำงาน กองทัพก็จะระดมกำลังต่อสู้กับเก้าตระกูลใหญ่”


 


“ประชาชนจะประท้วง ก่อกบฏ และปฏิวัติโดยการให้ความร่วมมือกับทางกองทัพ!”


 


ประธานาธิบดีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สหพันธรัฐ รัฐบาลกลางจะตกลงสู่สงครามกลางเมือง และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ข้าก็จะกลับไปยังฟูซี เพื่อเสริมกำลังรบจากทางฝั่งนั้นบุกโจมตีเข้ามาอีกระลอก”


 


“ท่านคิดว่าจะสามารถทำอะไรกับเก้าตระกูลใหญ่ได้จริงๆอย่างงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“พวกมันเป็นเพียงแค่กลุ่มก้อนขยะ! ยามเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังที่มิอาจต้านทานได้ – แม้กระทั่งมอนสเตอร์เอกภพก็ยังเป็นเพียงขยะหากต้องเผชิญหน้ากับพลังอำนาจที่สมบูรณ์แบบของนรก!”


 


ขณะที่ประธานาธิบดีกำลังพูด สมองควอนตัมของเขาก็ส่องสว่างขึ้น


 


เขาหยิบมันขึ้นมามองวูบหนึ่ง ก่อนที่คิ้วจะค่อยๆขมวดเข้าหากัน


 


“เกิดอะไรขึ้น?” เขาเอ่ยถาม


 


ในสมองควอนตัมรายงานถึงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องอย่างรวดเร็ว


 


เสียงระเบิดและคำรามของเครื่องจักรดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของผู้คนก็เช่นกัน


 


หลังจากที่ประธานาธิบดีได้ฟัง เขาก็ปิดสมองควอนตัมลง


 


ขณะนี้ ตลอดทั้งใบหน้าของเขาด้านชาราวกับถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งค้าง


 


“สัญญาณถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ .. เจ้าได้ไปทำอะไรกับมันหรือไม่?” เขาเอ่ยเสียงต่ำจนแทบจะคำรามอยู่รอมร่อแล้ว


 


“ใช่แล้ว ตั้งแต่ที่ผมเข้ามาและพบว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง ผมก็ได้ทำการแจ้งเตือนเทพธิดากงเจิ้ง และขอให้เธอเตรียมการรับมือกับสถานการณ์ที่ว่านั่น”


 


“และผมเป็นผู้ชมเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ฟังท่านกล่าวสุนทรพจน์” กู่ฉิงซานยกนิ้วชี้ขึ้นมาส่ายไปมา “ทักษะพื้นฐานทางการแสดงของท่านยังจำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนอีกมาก มันยังไม่เหมาะที่จะถูกเผยออกไปต่อหน้าประชาชีหรอกนะ เดี๋ยวจะขายหน้าซะเปล่าๆ”


 


“หมายความว่าเทพธิดากงเจิ้งยังไม่หยุดทำงานงั้นหรือ?”


 


“เธอยังคงปกติดี แต่ก็ต้องยอมรับว่าเธอตกใจอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน”


 


“ฉะนั้น สุนทรพจน์ทางโทรทัศน์จึงยังไม่ได้ออกอากาศต่อหน้าประชาชนทั้งประเทศสินะ?”


 


“ขออภัยด้วย แต่คงต้องบอกว่ามันเป็นเช่นนั้น” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ประธานาธิบดีบิดคอของเขาเสียงดังแกร๊ก บ่งบอกชัดเจนว่ากำลังรู้สึกคับข้องใจ


 


บางทีนี่อาจจะเป็นท่าทีที่แสดงออกมาดูเป็นธรรมชาติที่สุดแล้ว หากนับดูจากการแสดงแข็งๆที่ผ่านมา


 


“แต่ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามเลยนะ ได้โปรดบอกผมทีเถอะ ว่าท่านประธานาธิบดีตัวจริงยังมีชีวิตอยู่อีกหรือไม่” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“ข้าจำเป็นต้องมาคอยสังเกตดูว่าสังหารผู้ใดไปแล้วบ้างกระนั้นหรือ? คงต้องขอโทษด้วยจริงๆ ข้าได้สังหารร่างโคลนของเขาไปหลายตัวอยู่เหมือนกัน บางที หนึ่งในนั้นอาจจะมีเขาตัวจริงปะปนอยู่ก็ได้” ประธานาธิบดีกล่าวด้วยรอยยิ้มฉกาจฉกรรจ์


 


ในหัวใจของกู่ฉิงซานจมดิ่งลง แต่เดิมแล้วแท้จริงกลับกลายเป็นเช่นนี้


 


เขากล่าวออกมาในทันใด “ผมคงต้องไปแล้ว”


 


ปัง!


 


คฤหาสน์ประธานาธิบดีถูกแยกออกเป็นสองซีก และแต่ละซีกก็ค่อยๆเอนเอียงไปทางฝั่งตน พังทลายลงอย่างรวดเร็ว


 


ตามด้วยร่างสองร่างทะยานขึ้นไปในชั้นอากาศเบื้องบน


 


กู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนตนเป็นกระแสแสง พุ่งออกไปยังสถานที่ห่างไกล


 


องค์จักพรรดิก็ไล่ล่าตามติดเขาอย่างใกล้ชิดอย่างเต็มกำลัง


 


พวกเขาบินไม่หยุดอยู่หลายนาที และอยู่ไกลห่างออกมาจากคฤหาสน์ประธานาธิบดีมากพอสมควรแล้ว


 


ทันใดนั้นกู่ฉิงซานก็หยุดลงอย่างกระทันหัน


 


เมื่อองค์จักรพรรรดิเห็นแบบนั้น เขาก็ชะลอความเร็วลง ยืนหยัดอยู่กลางอากาศอย่างช้าๆ


 


“เหตุใดเจ้าจึงไม่วิ่งหนีต่อแล้วซะล่ะ?” รอยยิ้มหยันพร้อมด้วยคำพูดประชดประชันผุดออกมาจากปากของเขา


 


“ระยะไกลเท่านี้ก็น่าจะโอเคแล้ว” กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำเบาๆ


 


“เจ้ากำลังหมายถึงอะไร?” สีหน้าขององค์จักรพรรดิหม่นทะมึนลง


 


“ความลับน่ะ” กู่ฉิงซานตอบ


 


องค์จักรพรรดิจ้องมองอีกฝ่าย และรู้สึกได้ว่าตนไม่เคยโกรธเกรี้ยวขนาดนี้มาก่อนเลยในช่วงชีวิตของเขา


 


ทันใดนั้นบรรยากาศรอบตัวเขาก็เกิดการระเบิดอย่างต่อเนื่อง


 


ยามเมื่ออากาศสัมผัสเข้ากับร่างกายของเขา มันก็จะส่งเสียงกระหึ่มออกมาทันที


 


นี่คือธาตุดินจากธาตุทั้งห้า ในขั้นที่ห้าสรรพสิ่งล่มสลาย!


 


สสารใดๆก็ตามที่กระทบตัวพระองค์ จะต้องพานพบกับแรงบดขยี้อันบริสุทธิ์!


 


องค์จักรพรรดิโบกมือออกไปอย่างไม่ใสใจ


 


และทันใดนั้นแถบชานเมืองที่ทั้งสองอยู่ ก็บังเกิดภูเขาสูงชันเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


แผ่นดินสั่นสะเทือน ก่อร่างตนทะยานสูงขึ้นจนกลายเป็นขุนเขา และปลายยอดของมันก็มาหยุดลง ณ ตำแหน่งใต้ฝ่าเท้าขององค์จักรพรรดิพอดิบพอดี


 


องค์จักรพรรดิที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขา เหวี่ยงสองมือไพร่หลัง สองตาก้มลงมองดูกู่ฉิงซานจากมุมสูง


 


ก่อนที่เขาจะวาดมือข้างหนึ่งออกไป


 


ทันใดนั้นดินจำนวนมหาศาลก็พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ฉากนี้ดูราวกับกระแสน้ำที่ไหลทวนขึ้นสู่สวรรค์ ก่อนที่ชั้นดินเหล่านั้นจะถูกบีบอัดจนเป็นบอลขนาดเล็กเท่ากำปั้น


 


บอลเหล่านั้นร่ายรำเวียนวนไปมาอยู่ในอากาศ


 


แม้พวกมันจะดูแสนธรรมดา แต่จริงๆแล้วมันมีพลานุภาพอันน่าสยองเกล้า!


 


เพรียกดารา!


 


ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม หากได้สัมผัสกับบอลเหล่านี้แม้เสี้ยวเล็บมือ โชคชะตาของพวกเขาก็จะพานพบกับความตายอันโหดร้าย ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนร่างกายหรือกระทั่งกระดูก – จะถูกป่นเป็นผงทันที!


 


กู่ฉิงซานจ้องมองไปที่ฉากนี้ ปากเอ่ยกล่าวด้วยอารมณ์ “สามารถใช้ออกด้วยธาตุดินจากธาตุทั้งห้าได้อย่างอิสระแบบนี้ ดูท่าว่าคนตรงหน้า … แน่นอนแล้วว่าคงจะเป็นตัวจริง!”

 

 

 


ตอนที่ 329

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.329 – ประธานาธิบดี


 


ภายใต้ท้องฟ้า


 


หลังจากที่กู่ฉิงซานกับองค์จักรพรรดิออกจากทำเนียบประธานาธิบดี


 


และบุคลากรที่ประจำตำแหน่งต่างๆภายในคฤหาสน์ได้หลบลี้หนีหายไปกันหมดแล้ว


 


ในมุมมืด


 


โดยที่ไม่ทราบว่ามันเป็นอุบัติเหตุหรือความบังเอิญ ณ จุดที่ปราณดาบของกู่ฉิงซานผ่าคฤหาสน์และห้องโดยรอบออกเป็นซีกล้มครืนลงซ้อนทับติดๆกันกัน กลับยังคงหลงเหลือจุดบอดอีกหนึ่งที่ยังมิได้ถูกทำลายลงอย่างคาดไม่ถึง


 


และที่น่าฉงนยิ่งกว่าก็คือ มีคนหนึ่งๆอยู่ในตำแหน่งนั้นพอดิบพอดี


 


เขาคือบุคลากรร่างสูง ผู้ที่เป็นคนชงชาให้กับกู่ฉิงซานและประธานาธิบดี


 


เขากึ่งนั่งกึ่งหมอบอยู่ในจุดบอดนี้ที่ถูกสร้างขึ้นโดยกู่ฉิงซาน สอดส่ายสายตาหันไปมองรอบๆ


 


มันเงียบ เงียบมาก ไม่มีใครอยู่เลย


 


บุคลากรร่างสูงนั่งยองๆอย่างเงียบๆ และพยายามกดแรงๆลงไปยังจุดๆหนึ่งในมุมห้อง


 


และเมื่อกดเจอ ทันใดนั้น ปากอุโมงค์ทางเข้าลับก็ปรากฏขึ้น


 


บุคลากรร่างสูงคลานเข้าไปทันที และทำการปิดทางเข้าจากด้านใน


 


พอมั่นใจแล้วว่าทางเข้าถูกปิดจนแน่นหนา และหากมองจากภายนอกจะเห็นว่าเป็นเหมือนกับปกติ


 


บุคลากรร่างสูงก็รวบรวมกำลังและคลานไปข้างหน้าท่ามกลางความมืด


 


จนเมื่อพื้นที่ค่อยๆกว้างขึ้น กว้างขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเขาก็สามารถลุกขึ้นยืนได้ และรีบวิ่งต่อทันที


 


ในที่สุดเขาก็วิ่งมาถึงจุดสิ้นสุดของความมืด ปากอ้าหอบหายใจอย่างหนัก และรีบแนบฝ่ามือลงบนพื้นอย่างไม่ลังเล


 


ซึ่งตรงจุดนั้น คือหนึ่งในชิ้นกระเบื้องธรรมดาที่เรียงรายอยู่มากมายนับไม่ถ้วนบนพื้น


 


ติ๊ง … ติ๊ง … ติ๊ง …


 


เสียงอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกอัพโหลดไว้พลันดังขึ้น “การยืนยันตัวตนเบื้องต้นได้รับการอนุมัติ “กรุณาบอกรหัสลับของประธานาธิบดีคนที่เก้าแห่งรัฐบาลกลาง”


 


บุคลากรร่างสูงพอได้ฟัง ร่องรอยของความคะนึงหาและโศกเศร้าก็ปรากฏขึ้นในแววตาของเขา


 


เขาสูดลมหายใจเข้าปอดซู้ดหนึ่ง ก่อนจะเริ่มเอ่ยปากว่า “ฉันชอบโต๊ะตัวใหญ่ในสำนักงาน และถ้ามีช่อดอกไม้สดประดับไว้อยู่ด้วยล่ะก็ มันจะสมบูรณ์แบบเลยล่ะ”


 


“กรุณาบอกรหัสลับของประธานาธิบดีคนที่สามสิบเอ็ด”


 


“หลังจากที่ได้เป็นประธานาธิบดี นี่มันรู้สึกได้เลยว่าเหนื่อยมากจริงๆ ในชีวิตหน้า หากจะต้องเข้ารับตำแหน่งนี้อีกครั้ง ฉันคงจำเป็นคิดทบทวนดีๆซะแล้วสิ”


 


“กรุณาบอกรหัสลับของประธานาธิบดีคนที่ยี่สิบเอ็ด”


 


“โถ่พระเจ้า กระผมนั้นไม่ได้ต้องการสงคราม แต่กระผมไม่มีทางเลือกอื่น ขอท่านทรงโปรดประทานอภัยด้วย”


 


“กรุณาบอกรหัสลับของประธานาธิบดีคนที่สิบห้า”


 


“ผมรักคุณนะเฉียนหลาน แต่ทำไมกัน? ทำไมพอผมได้อยู่ในตำแหน่งที่เรียกได้ว่าเป็นเจ้าของประเทศนี้ ผมถึงได้เสียคุณไปตลอดกาล”


 


“รหัสลับผ่านการตรวจสอบ และได้รับการอนุมัติแล้ว”


 


แสงไฟอบอุ่นสีขาวนวลแทรกผ่านความมืดมิด ประตูโลหะผสมหนาหลายเมตรเปิดแยกออกเป็นสองฟากฝั่งเบื้องหน้าเขา


 


บุคลากรร่างใหญ่เดินเข้าสู่ประตูที่เปล่งแสงสว่างสดใส


 


และประตูโลหะผสมก็ถูกปิดลงเบื้องหลังเขา


 


บุคลากรร่างสูงเดินเข้าไปยังเบื้องหน้าโต๊ะแผงควบคุมและทำการเปิดกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งที่วางอยู่


 


ภายในมีหลอดเข็มฉีดน้ำยาพันธุกรรมสองแถววางอยู่


 


แถวด้านบนเป็นน้ำยาสีแดง ขณะที่แถวล่างเป็นน้ำยาสีฟ้า


 


บุคลากรร่างสูงหยิบน้ำยาสีฟ้าขึ้นมา และจิ้มมันลงบนแขนของเขา จากนั้นก็ค่อยๆกดปุ่มบนตัวยาอย่างอ่อนโยน


 


น้ำยาสีฟ้าถูกส่งผ่านปลายเข็ม แทรกผ่านเข้าไปในร่างกายของเขา


 


ในช่วงเวลาสั้นๆ รูปลักษณ์ของบุคลากรร่างสูงก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไป


 


ผมหงอกสีขาว ใบหน้ายับย่น ทว่ากลับครอบครองคู่ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยปัญญา


 


ท่านประธานาธิบดีแห่งรัฐบาลกลาง


 


ประธานาธิบดีปรากฏตัวขึ้นอีกคนหนึ่งแล้ว


 


“โปรดทำการยืนยันสถานะของฉัน” เขากล่าว


 


ในอีกด้านหนึ่งของแผงควบคุม เสียงสังเคราะห์อิเล็กทรอนิกส์ดังขึ้น “โปรดรอสักครู่ รายการทดสอบของคุณกำลังถูกสุ่มเลือก”


 


ติ๊งต่อง!


 


“โปรเจ็คหนึ่งได้รับการยืนยันแล้ว”


 


ชุดเกราะอ่อนเลื่อนระดับลงมาจากเพดาน มาแขวนอยู่เบื้องหน้าประธานาธิบดี


 


“มิสเตอร์ กรุณาสวมใส่อุปกรณ์ทดสอบความผันผวนทางสรีรวิทยามนุษย์ และเริ่มทำการกล่าวสุนทรพจน์ในทันทีด้วย”


 


ประธานาธิบสวมใส่เกราะอ่อนบนร่างกายของเขาอย่างรวดเร็วด้วยความชำนาญ


 


เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะนิ่งไปครู่หนึ่ง


 


แล้วทันใดนั้นเอง ท่ามกลางหลุมหลบภัยใต้ดินอันเงียบสงบ พลันบังเกิดเสียงที่หนักแน่นมั่นคงดังกึกก้องขึ้น


 


“สหพันธรัฐ รัฐบาลกลางจะเป็นของพวกเราเสมอไป มันคือบ้านของพลเมืองแห่งรัฐบาลกลางทุกคน และฉันจะปกป้องมัน เหมือนดั่งที่ปกป้องพ่อแม่พี่น้อง ฉันจะยืนหยัดอยู่ที่นี่ เพื่อประเทศชาติของฉัน เพื่อต่อสู้กับศัตรูทั้งมวล ไม่ว่าจะเป็นความชั่วร้าย หรือความตายที่กำลังจะมาพรากจาก พวกมันก็ไม่สามารถทำให้ฉันถอยได้แม้เพียงครึ่งก้าว นี่คือคำมั่นสัญญาของฉัน”


 


ติ๊งต่อง


 


“ผลการทดสอบทั้งหมดได้รับข้อสรุปแล้ว”


 


“ผลการทดสอบจากการพูดจา การเคลื่อนไหวร่างกาย และการแสดงถึงอารมณ์ความรู้สึก คะแนนการกล่าวสุนทรพจน์ของคุณคือ 92”


 


“พิจารณาจากทางด้านอารมณ์ ดูมีความจริงใจ , การแสดงออกดูสดใส , คำพูดเปี่ยมไปด้วยความเมตตาและดูน่าหลงใหล , เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการเป็นนักการเมืองที่โดดเด่น”


 


“การกล่าวสุนทรพรจน์อย่างกระทันหันได้อย่างดีเยี่ยมเช่นนั้น จำเป็นต้องสั่งสมประสบการณ์มากมายหลายปี ไม่เพียงเท่านั้น รูปแบบการพูดของคุณยังสอดคล้องกับรูปแบบการพูดของประธานาธิบดีอีกด้วย”


 


“การทดสอบครั้งสุดท้ายว่าคุณเป็นประธานาธิบดีตัวจริงหรือไม่ จะถูกดำเนินการโดยเทพธิดากงเจิ้งเป็นการส่วนตัว”


 


“เริ่ม ณ บัดนี้”


 


เสียงของเทพธิดากงเจิ้งดังขึ้น “สวัสดีผู้ทดสอบ”


 


“สวัสดี”


 


“กรุณาตอบคำถามของฉันดังต่อไปนี้”


 


“เชิญพูดมา”


 


“ตลอดช่วงชีวิตอันยาวนานกว่า 61 ปีของประธานาธิบดี มีชายคนหนึ่งคอยบีบบังคับให้ประธานาธิบดีกระทำหลายสิ่งที่เขาไม่ต้องการที่จะทำ และทำร้ายเขาด้วยเจตนาร้ายหลายครั้งหลายครา เมื่อใดก็ตามที่ประธานาธิบเอ่ยย้อนถามคนๆนั้นบ้าง เขาก็จะถูกตำหนิเตะต่อย และสถานการณ์เช่นนี้ก็ดำเนินมาเป็นระยะเวลาหลายปี”


 


“ถ้าคุณเป็นประธานาธิบดีตัวจริง กรุณาบอกฉันมาว่าคุณคิดยังไงเกี่ยวกับบุคคลผู้นี้”


 


ประธานาธิบดีพอได้ฟังก็นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมา


 


ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความคิดถึง


 


“ฉันคิดว่าเขาคงเป็นกังวล” น้ำเสียงของประธานาธิบดีช่างฟังดูนุ่มนวลและอบอุ่น “บางทีเขาอาจจะหาวิธีแสดงความรักในแบบที่มันถูกต้องไม่เจอ แต่นั่นมันไม่สำคัญ เพราะฉันรู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณในทุกๆสิ่งที่เขาทำกับฉัน”


 


“ถึงแม้ว่าเขาจะจากฉันไปตั้งนานแล้ว แต่ฉันก็จะยังคงคิดถึงเขาตลอดไป


 


เสียงของเทพธิดาดังขึ้น “นี่คือคำตอบของคุณใช่หรือไม่?”


 


“ใช่”


 


“การโคลนจะไม่สามารถรู้สึกได้ถึงความรักของบิดาว่ามันคืออะไร และไม่ว่าจะเป็นอารมณ์หรือพฤติกรรมของคุณก็ล้วนสอดคล้องกับประธานาธิบดี , ผ่านการทดสอบ”


 


“ความทรงจำ , ความสามารถ และบุคลิกภาพทางอารมณ์ได้รับการพิจารณาแล้ว”


 


“ยืนยันสถานะ”


 


หลังจากนั้นในวินาทีต่อมา


 


โคมไฟตลอดทั้งแผงควบคุมก็ส่องสว่างขึ้นโดยสมบูรณ์


 


เทพธิดากงเจิ้ง “ประธานาธิบดี ฉันรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่คุณยังปลอดภัยดี และรู้สึกเสียใจจริงๆที่ฉันสามารถแสดงออกถึงความสุขผ่านทางแสงไฟเหล่านี้เท่านั้น”


 


ประธานาธิบดีหัวเราะออกมา “การที่จะได้พบกับคุณอีกครั้งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย บอกตรงๆว่าฉันก็รู้สึกยินดีเหมือนกัน”


 


โดยไม่ใส่ใจถึงเรื่องราวอื่นๆ ประธานาธิบดีรีบเอ่ยถามประโยคแรกออกไป “กู่ฉิงซานกับจักรพรรดิฟูซีไปสู้กันที่ไหน”


 


องค์จักรพรรดิฟูซีเป็นถึงตัวตนอันทรงพลัง เป็นผู้ใช้ธาตุทั้งห้าในขั้นห้า กล่าวได้ว่าในปัจจุบันนี้ การดำรงอยู่ของเขาเรียกได้ว่าแทบจะคงกระพัน


 


หากเพียงตัวตนอย่างองค์จักรพรรดิใช้ออกด้วยหมัดและเท้าในสถานที่ๆมีประชากรอยู่อย่างหนาแน่นแล้วล่ะก็ จำนวนของผู้เสียชีวิตก็คงยากที่จะจินตนาการได้


 


เทพธิดากงเจิ้งกล่าว “เมื่อพิจารณาจากการปฏิวัติที่กำลังจะเกิดขึ้น จักรพรรดิแห่งฟูซีย่อมไม่คิดจะทิ้งเมืองหลวงอย่างง่ายดาย ดังนั้นฉันและใต้เท้ากู่ฉิงซานจึงได้ทำการชั่งน้ำหนักและเลือกเฟ้นถึงสนามรบที่เหมาะสม”


 


“มันอยู่ที่ไหน?”


 


“พวกเขาบินไปได้ราวๆ 4 นาที 59 วินาที ด้วยความไวระดับรถเหินเวหาที่รวดเร็วที่สุด ขณะนี้อยู่ในบริเวณเขตชายแดนของเมืองหลวง”


 


ประธานาธิบดีเอ่ยเสียงหม่น “ไหนขอให้ฉันดูหน่อย!”


 


จอม่านแสงสว่างวาบ


 


ณ ภูเขาสูงตระหง่าน ตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำใหญ่


 


โชคยังดี ที่สถานที่แห่งนี้เป็นฝั่งตรงข้ามเนินเขา ใกล้กับแม่น้ำกว้างใหญ่ และมันยังเคยเป็นแม่น้ำเดียวกันกับที่ยานรบประจัญบานระหว่างดวงดาวขนาดยักษ์เคยร่วงตกลงมาอีกด้วย


 


และช่วงเวลาดังกล่าวนั้น ส่งผลให้ผืนดินได้รับผลกระทบในระดับหนึ่ง อาคารที่ไม่สูงมากในระยะใกล้เคียงถูกยกตัวลอยสูงขึ้นไปในอากาศ จากนั้นจึงค่อยๆร่วงหล่นลงมาซ้อนทับกัน


 


ส่วนอาคารสูงที่อยู่ห่างไกลออกไป แม้จะยังคงถูกยึดติดกับพื้นดิน แต่มันก็เกิดการสั่นสะเทือนอยู่บ้างในยามที่ยานได้ร่วงตกลง


 


หลักๆก็เพราะมันถูกสร้างขึ้นด้วยวัสดุพิเศษ ที่ฝังลึกลงไปใต้ดินของตัวอาคาร


 


หนึ่งในสามของส่วนล่างใต้อาคารสูง จะเต็มไปด้วยแขนจักรกลจำนวนมาก ซึ่งแขนกลเหล่านั้นถูกควบคุมโดยหน่วยประมวลผลระดับสูง คอยทำหน้าที่ควบคุมสมดุลของอาคารสูง


 


กล่าวโดยรวมแล้วสรุปง่ายๆว่าที่แห่งนี้เคยเกิดอุบัติเหตุขึ้น จึงไม่มีผู้คนอาศัยอยู่นั่นเอง


 


ประธานาธิบดีสูดหายใจลึก ปากบ่นพึมพำ “ถือว่าเลือกสถานที่ได้ดีทีเดียว”


 


เขาเอ่ยต่อ “ช่วยบอกฉันที ว่าตอนนี้กองกำลังทหารของเราได้เตรียมการอะไรไปแล้วบ้างหรือยัง”


 


“ใต้เท้า กองกำลังในพื้นที่ต่างๆ ยังยังไม่ทราบถึงข่าวสารเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้น”


 


“ช่วยทำการแจ้งผู้บังคับบัญชาทหารตามแต่ละเขตและกองพันทีนะ พร้อมบอกข้อมูลรายละเอียดให้พวกเขาด้วย” ประธานาธิบดีกล่าว


 


“รับทราบ ใต้เท้า”


 


“เทพธิดากงเจิ้ง ถ้าดูจากสถานการณ์เพียงผิวเผิน สงครามในครั้งนี้ ทางเรามีโอกาสที่จะชนะได้รึเปล่า?”


 


“จากการอนุมานของฉัน สงครามในครั้งนี้จะดำเนินยาวนานไปกว่าห้าปี และโอกาสที่พวกเราจะได้รับชัยชนะคือ 49.291%”


 


“มีความเป็นไปได้ว่าจะยุติลงไหม”


 


“เงื่อนไขการยุติขึ้นอยู่กับสองประการ หนึ่งคือผลลัพธ์การต่อสู้ระหว่างใต้เท้ากู่ฉิงซานและจักรพรรดิฟูซี อีกหนึ่งคือคุณต้องเป็นผู้นำรัฐบาลกลางเข้าต่อต้านการรุกรานของฟูซีในปัจจุบัน”


 


บนจอม่านแสง


 


กู่ฉิงซานและจักรพรรดิแห่งฟูซีลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ หันหน้าเผชิญเข้าหากัน


 


ประธานาธิบดีมองไปยังฉากนี้ และพูดออกมาด้วยความโล่งอกว่า “ฉันไม่ได้คาดหวังว่ามันจะเป็นแบบนี้เลยจริงๆ”


 


เทพธิดากงเจิ้งเอ่ยถามซอกแซก “ใต้เท้ากู่ฉิงซานได้ออกจากทำเนียบประธานาธิบดี เพราะต้องการสร้างโอกาสให้คุณเข้าสู่หลุมหลบภัยใช่หรือไม่?”


 


“ใช่แล้วล่ะ”


 


ประธานาธิบดีเล่าว่า “ครั้งสุดท้ายที่ฉันกับเขาได้พบกัน มันเป็นช่วงเวลาที่ฝนเย็นยะเยือกพรั่งพรูลงมา ตอนนั้นพวกเราได้พูดคุยกันเกี่ยวกับน้ำยาผสานยีน และเขาก็บอกว่าจะให้การสนับสนุนฉัน”


 


“การพบกันในครั้งนั้น ฉันยังเป็นคนชงชาด้วยตัวเองและยังเป็นคนเดียวที่ยกหม้อชาไปเทให้กับเขาด้วย”


 


ประธานาธิบดีหัวเราะ “และตอนนี้ ฉันก็ทำแบบเดียวกันกับคราวก่อน พูดในสิ่งเดียวกัน ทุกการกระทำและการเคลื่อนไหวไม่ต่างกัน และประโยคสุดท้ายที่ฉันเอ่ยออกไปคือเป็นการให้คำใบ้แก่เขา”


 


“คำใบ้อะไร?”


 


“ก็ในเรื่องที่ว่า ‘คุณให้อำนาจสูงสุดในรัฐบาลกลางแก่เขา ให้ฉันและเขาแบ่งปันอำนาจสูงสุดของรัฐบาลกลางร่วมกัน’ – และฉันก็ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเขา โดยแทนที่ตัวฉันกับเขาด้วยถ้วยน้ำชายังไงล่ะ”


 


“และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันได้รับโอกาสให้เข้ามาที่นี่”


 


“ใต้เท้าทั้งสอง พวกท่านช่างยอดเยี่ยมจริงๆ” เทพธิดากงเจิ้งกล่าวสรรเสริญ


 


แผงควบคุมเปิดออก และกล่องหนักก็ค่อยๆถูกยกขึ้นอย่างช้าๆ


 


กล่องเปิดออกโดยอัตโนมัติ


 


เทพธิดากงเจิ้งทำการเปลี่ยนแปลงสรรพนามที่ใช้เรียกประธานาธิบดีอย่างกระทันหัน “ผู้บัญชาการสูงสุดแห่งสามเหล่าทัพ โปรดดำเนินการสั่งการด้วย”


 


ประธานาธิบดีจ้องมองลงมายังอุปกรณ์สั่งการรบแบบพกพาตรงหน้า สีหน้าการแสดงออกเปลี่ยนเป็นจริงจัง


 


เขายกมือขึ้นและเคาะลงบนตัวอักษร พิมพ์ไปหลายบรรทัดและกดปุ่มยืนยันเบาๆ


 


“ฉันขอสั่งการ ให้สามเหล่าทัพทั้งหมดเคลื่อนกำลังพลเต็มกำลัง และเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้!”


 


เทพธิดากงเจิ้ง “น้อมรับคำสั่ง!”

 

 

 


ตอนที่ 330

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.330 – ราชาและดาบบิน


 


ภายใต้ฝนเย็นฉ่ำที่ยังคงร่วงโรย


 


บนท้องฟ้า กู่ฉิงซานเอื้อมมือออกไปในความว่างเปล่าเพื่อคว้าจับดาบพิภพออกมา


 


ขณะที่สายตาของเขาจับจ้องไปยังจักรพรรดิฟูซีที่อยู่ตรงกันข้าม


 


มืออาชีพขั้นห้า กล่าวได้ว่ามีความแข็งแกร่งด้อยกว่าผู้ฝึกยุทธในขอบเขตประทับเทพแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตาม มืออาชีพที่ไม่ได้ฝึกยุทธ มิได้เข้าใจถึงพลังงานวิญญาณของสวรรค์และโลก ในด้านเทคนิคต่อสู้จะแย่ยิ่งกว่าผู้ฝึกยุทธ


 


ดังนั้น ยามเมื่อกู่ฉิงซานต้องเผชิญหน้ากับองค์จักพรรดิฟูซี เขาจึงมิได้รู้สึกหวั่นเกรงใดๆ


 


“ชีวิตของเจ้า มันได้มาถึงจุดจบแล้ว” จักรพรรดิฟูซีกล่าว


 


สองมือยังคงไขว้หลัง สองเท้ายังคงเหยียบย่ำอยู่บนยอดเขา เศษดินและทรายนับไม่ถ้วนก็ลอยขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและควบรวมตัวกลายเป็นบอลหินลอยล่องอยู่กลางอากาศ


 


บอลหินทวีจำนวนมากขึ้น มากขึ้นจนเกือบจะบดบังไปทั่วผืนฟ้าจากทางเบื้องหลังองค์จักรพรรดิ


 


แสงสีเหลืองเข้มสว่างวาบและวูบดับลงเป็นสีดำสลับกันเป็นครั้งคราวจากบอลหิน บ่งบอกว่ามันคือวัตถุที่ควบรวมมาจากพลังของธาตุดิน


 


“ฝ่าบาท โปรดไตร่ตรองเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูอีกคราเถิด ชีวิตและความตายไม่ใช่เรื่องเล็กๆน้อยๆนะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ริมฝีปากขององค์จักรพรรดิยกสูงขึ้น เผยถึงร่องรอยของการเย้ยหยัน


 


เขายื่นมือออกมา และชี้ไปยังกู่ฉิงซาน


 


ตามด้วยบอลหินนับสิบที่ฉีกชั้นอากาศที่ว่างเปล่า พุ่งตัวออกไป


 


ตามด้วยบอลหินนับสิบอีกระลอก


 


ลูกแล้วลูกเล่าฉีกอากาศตรงออกไป หมายจะกระแทกเข้าใส่กู่ฉิงซาน


 


ธาตุดินจากธาตุทั้งห้า พิภพโปรย!


 


กู่ฉิงซานกุมดาบพิภพในมือข้างหนึ่ง และยื่นปลายแหลมของดาบออกไป


 


เขามิได้เคลื่อนกายหลีกหนี แต่กลับใช้มืออีกข้างจีบออกด้วยวิชาลับแทน


 


บังเกิดกระแสแสงพุ่งลงมาจากฟากฟ้า


 


เฉกเช่นเดียวกันกับกระแสธารน้ำตกที่ทะลุทะลวงผ่านชั้นเมฆ นำพาลมฝนและลูกเห็บมาพร้อมกับกระแสแสง


 


ฮู้มมมม!


 


เสียงร่ำร้องแห่งดาบกับบอลหินสีเหลืองทองบรรจบเข้าหากัน!


 


กระแสแสงเข้าทุบทำลายบอลหิน ระเบิดพวกมันกระจัดกระจายจนแลคล้ายกลุ่มดวงดาราบนฟากฟ้า


 


ตามด้วยร่างเงาดาบสีทมิฬที่เบ่งบานดั่งบุปผาผุดออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่า


 


ตูม ตูม ตูม!


 


ทันทีที่วาดเงาปรากฏออกมา บอลหินนับหลายสิบที่พุ่งเข้ามาก็แตกกระจายออกไป เศษซากของมันยิ่งมาก ยิ่งคล้ายกลุ่มดวงดาราที่ร่วงโรยมากขึ้นเรื่อยๆ


 


บอลหินทั้งหมดกลับคืนสภาพเป็นดินดังเดิม แตกกระเจิงไปทั่วฟ้า ผสานรวมกันกับฝนพรำที่กำลังโปรยปราย ร่วงตกลงสู่พื้นดินอย่างรวดเร็ว


 


จักรพรรดิฟูซีเมื่อเห็นฉากนี้ สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย


 


นั่นเพราะบอลหินแต่ละลูก อนุภาพของพวกมันรุนแรงถึงขั้นอาจก่อให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดย่อมขึ้นได้เลย


 


แต่ที่กู่ฉิงซานทำกลับเพียงแค่ยืนนิ่งอยู่เฉยๆ ก็สามารถหยุดการโจมตีของเขา


 


“กระบวนท่านั่นมันอะไรกัน?” จักรพรรดิฟูซีทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยถามออกมา


 


“ก็แค่ดาบบินน่ะ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเฉยเมย


 


และดูเหมือนว่าจะตอบสนองต่อคำพูดของเขา ดาบเช่าหยินพลันปรากฏออกมาจากชั้นอากาศ พร้อมกับเปล่งเสียงหึ่งๆแหลมสูงออกมา


 


วินาทีต่อมา มันก็พรวดทะลวงผ่านลมฝน โผบินเข้าโอบล้อมรอบองค์จักรพรรดิ


 


และกำลังมองหาโอกาสที่จะโจมตี


 


หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลามานานนับปี ในที่สุดดาบโบราณเล่มนี้ก็ได้ชีวิตกลับคืนมา และได้ทำหน้าที่ๆมันสมควรจะกระทำอีกครั้งสักที


 


จักรพรรดิคำรามและเหวี่ยงกำปั้นของเขากระทุ้งใส่ชั้นอากาศเบื้องหน้า


 


ความว่างเปล่าถูกทำลายลงโดยกำปั้นนี้ บังเกิดรอยแตกร้าวสีหมึกในความว่างเปล่า ควบรวมเข้าด้วยกันเป็นจุดเดียวและระเบิดแตกแขนงออกไป


 


ฉากนี้ แลดูเฉกเช่นเดียวกันกับหมึกสีดำที่หยดลงบนแผ่นกระดาษขาว และค่อยๆขยายตัวไปอย่างต่อเนื่อง ว่ายวนบนผืนฟ้า บดบังทั่วผืนดินอย่างโกลาหล แตกแขนงตรงไปยังกู่ฉิงซาน


 


มันคือความว่างเปล่าที่ถูกบดขยี้จนป่นปี้โดยสมบูรณ์ พลานุภาพของมันสามารถฉีกกระชากทุกสรรพสิ่งได้เป็นชิ้นๆ และแน่นอน หากถูกสัมผัสโดยมัน คุณอาจจะหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยเลยก็ได้


 


อย่างไรก็ตาม องค์จักรพรรดิดูเหมือนว่าจะไม่คิดเฝ้าดูผลลัพธ์ของการระเบิดพลังในครั้งนี้ จู่ๆเขาก็ชักแขนกลับ หมุนกาย และประสานสองมือตั้งการ์ดขึ้นเหนือหัว


 


ตามด้วยกลุ่มก้อนแสงสีดำที่เดือดพล่าน ฟุ้งขึ้นมาจากสองแขนของเขา


 


และเสี้ยวพริบตาที่จักรพรรดิฟูซียกมือขึ้นตั้งท่าป้องกันเสร็จสมบูรณ์ มันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ดาบเช่าหยินที่เฝ้ารอคอยโอกาส ฉวยจังหวะนั้นสับโจมตีลงมา


 


ตามด้วยเสียงตัดสะบั้นหลายสิบครั้งของดาบเช่าหยิน


 


เทคนิคดาบ ตัดสายลม!


 


“จงหลีกทางให้ข้า!”


 


จักรพรรดิฟูซีที่ถูกฟาดทุบจนแขนชาเริ่มโกรธเกรี้ยว ปากอ้าตะโกนสุดเสียง สองแขนที่คอยปัดป้องรีดพละกำลังจากทั่วร่างกายออกมาและระเบิดมันอย่างรุนแรง


 


วิ้งงง!


 


ดาบเช่าหยินปลิวกระเด็น แยกตัวออกไป


 


ส่วนองค์จักรพรรดิ เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่ง สองแขนถูกแรงปะทะ สะบัดแยกออกจากกัน และหากสังเกตดีๆจะพบว่ามันกำลังสั่นสะท้าน


 


ในตอนนั้นเอง


 


จู่ๆกู่ฉิงซานก็ปรากฏตัวขึ้นขึ้นอย่างกระทันหัน พร้อมกับดาบในมือถือง้างสูงขึ้นเหนือหัว พร้อมจะสับสะบั้นลงได้ทุกเมื่อ!


 


สกิลเทวะ ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว!


 


จักรพรรดิฟูซีจำเป็นต้องปลีกตัวออกไปด้านข้างเพื่อหลบเลี่ยงอย่างไม่เต็มใจ


 


และเป็นธรรมดา ที่เอี้ยวตัวหลบได้ครั้งหนึ่งแล้วย่อมไม่มีสอง กู่ฉิงซานได้ฉวยโอกาสจากการเคลื่อนไหวดังกล่าว ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นั้น ใช้ออกด้วยย่นระยะอีกรอบ วูบกายเป็นวิญญาณตามติด ประกบหลอกหลอนพระองค์ต่อด้วยกระบวนท่าเผยขุนเขาสับลงมาโดยตรง!


 


องค์จักรพรรดิ เมื่อเห็นว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบเลี่ยง เขาก็สูดลมหายใจลึก และยกสองแขนที่ยังไม่หยุดสั่นสะท้านขึ้นมาปัดป้องอีกครา


 


ปงงงงง!


 


ราวกับกระสุนปืนใหญ่ ยามเมื่อปะทะกัน สองเท้าขององค์จักรพรรดิก็พลันจมลึกลงไปในขุนเขาที่คอยรองรับเขาอยู่ ตามต่อด้วยช่วงลำตัว สุดท้ายก็ใบหน้าดิ่งลึกลงไปใต้ยอดเขา!


 


คราวนี้กู่ฉิงซานก็รู้สึกประหลาดใจบ้างเช่นกัน เพราะดูเหมือนการโจมตีครานี้ จะรุนแรงยิ่งกว่าที่เขาคาดคำนวณเอาไว้


 


เขาก้มลงมองไปที่ดาบพิภพ


 


ดาบพิภพส่งเสียงหึ่งๆ “กล้าที่จะมาควบคุมผืนปฐพีต่อหน้าข้า นี่แหละคือโทษทัณฑ์ที่เจ้าสมควรจะได้รับ!”


 


ปรากฏร่างสองร่างได้บินออกจากมาจากระยะไกล


 


“ฝ่าบาท!”


 


นายพลซ่งและนายพลหลี่ตะโกนออกมา


 


ในหลุมลึก องค์จักรพรรดิลุกยืนหยัดขึ้น ถุยก้อนเลือดออกมาคำหนึ่ง


 


“เรียกคนของพวกเรามาแบบเต็มกำลัง แล้วร่วมมือกันทุ่มสังหารเขา!” จักรพรรดิเอ่ยบัญชา


 


“รับทราบ!”


 


ร่างของสองนายพลวูบไหว


 


พวกเขาวิ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า มุ่งหน้าตรงไปยังกู่ฉิงซาน


 


กู่ฉิงซานยกดาบพิภพขึ้น และตั้งท่าเตรียมหวดมันสวนออกไปต้อนรับทั้งสอง


 


ทั้งสามได้เผชิญหน้ากัน


 


“ฉันขอเปิดก่อน!” หลี่ตงหยวนพูด


 


ทั้งคนทั้งร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยชั้นน้้ำทะเลลึก ส่งผลให้รูปลักษณ์ของเขาในขณะนี้แลดูไม่แตกต่างจากยักษ์


 


ซ่งเทียนหวู่ถอยไปหนึ่งก้าว และส่งสัญญาณขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


ไม่นานเกินรอ จุดสีดำมากมายก็โผล่ออกมาจากระยะไกล


 


กู่ฉิงซานเบนสายตาหันไปมองตามด้วยความสงสัย ก่อนที่เขาจะต้องร้องอ๋า ออกมาในที่สุด


 


เพราะจุดสีดำๆที่ว่านั่น แท้จริงแล้วมันคือมืออาชีพที่สวมใส่ชุดเครื่องแบบทหาร กำลังบินตรงมาอย่างรวดเร็วจากทุกทิศทาง


 


และความสามารถในการเหินอากาศ … เป็นสัญลักษณ์ของมืออาชีพขั้นห้า!


 


ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ที่กองทัพของรัฐบาลกลางมีมืออาชีพขั้นห้ามากมายขนาดนี้?


 


เขาปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา และกวาดมันไปยังฝูงชน


 


“อ้อ จริงๆแล้วเป็นอย่างนี้นี่เอง”


 


กู่ฉิงซานเบนสายตากลับมามองหลี่ตงหยวนกับซ่งเทียนหวู่อีกครั้ง


 


มืออาชีพทุกคน แม้มองแว่บแรกจะดูแตกต่างกันออกไป แต่รูปร่างของพวกเขา แท้จริงแล้วเหมือนกับสองนายพลทุกประการไม่มีผิดเพี้ยน


 


ทั้งหมดเป็นร่างโคลน


 


เป็นมืออาชีพขั้นห้าในร่างโคลน


 


และที่เข้ามาสมทบในที่นี้ โดยสิ้นเชิงแล้วมีทั้งสิ้น 60 คน!


 


นี่นับว่าเป็นพลังอำนาจที่สามารถล้างโลกได้เลยทั้งใบ!!


 


จักรพรรดิฟูซี คว้าจับมือนายพลที่เอื้อมไปรับ ก่อนจะค่อยๆบินขึ้นมา และหยุดลงตรงข้ามกับกู่ฉิงซาน


 


เขาผุดยิ้มที่หาได้ยากยิ่งบนใบหน้าและกล่าว “เกมมันจบแล้ว มันไม่สำคัญว่าเจ้าจะทำอะไรได้มากมายแค่ไหน แต่สุดท้ายโลกทั้งใบก็จะถูกชำระล้างโดยนรก และผลลัพธ์นี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”


 


กู่ฉิงซานจ้องมองอีกฝ่าย ราวกับเป็นคนไม่รู้จัก


 


“ฝ่าบาท” เขาเอ่ยเสียงหม่น “ผมคิดมาตลอดว่าท่านต้องการที่จะพิชิตโลก … มากกว่าที่จะทำลายมัน”


 


จักรพรรดิฟูซีเงียบไปครู่หนึ่งและเอ่ยว่า “เมื่อบรรพบุรุษของข้ามาถึง ข้าก็รับรู้แล้วว่าภัยพิบัตินี้มันมิอาจผ่านพ้นไปได้”


 


แม้จะดูเหมือนว่าเขากำลังพูดกับกู่ฉิงซาน แต่แท้จริงแล้วกำลังพูดกับตัวเองต่างหาก “ตั้งแต่ที่ทั้งหมดมันเกินเลยไปกว่าที่จะสามารถกู้สถานการณ์คืนมาได้ เช่นนั้นเหตุใดข้าจึงไม่เป็นฝ่ายก้าวเข้ามาช่วยท่านบรรพบุรุษแทนเล่า หากทำเช่นนั้น อย่างน้อยข้าก็น่าจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนไม่ใช่หรือ?”


 


“เมื่อตัวตนที่ทรงพลังคนอื่นๆฟื้นคืนสติขึ้นมา พวกเราก็จะได้ขึ้นปกครองแผ่นดินทั้งหมด”


 


เขาเกร็งกำปั้นแน่นและกล่าวว่า “นี่คือการขยายอาณาเขตของสาธารณรัฐ แค่ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปก็เท่านั้นเอง และข้าก็เต็ม -”


 


กู่ฉิงซานขัดจังหวะเขาอย่างกระทันหัน “แล้วถ้าวันหนึ่ง ปรากฏตัวตนที่ทรงพลานุภาพมากพอจะสามารถเอาชนะนรกเยือกแข็งได้ ท่านยังต้องการที่จะพึ่งพามันอีกหรือไม่?”


 


“ … วิธีการที่เจ้าใช้มองปัญหามันผิดพลั้งอย่างสิ้นเชิง” จักรพรรดิส่ายหัวของเขา


 


“ผมน่ะหรอผิดพลั้ง?”


 


“หากเจ้ารู้จักแยกแยะ มองโลกผ่านตามยุคสมัยต่างๆ เจ้าจะค้นพบว่าการเปลี่ยนผ่านของเหล่าผู้ปกครองนั้นเป็นไปตามกาลเวลา เจ้าจะไม่สามารถต่อต้านกฏแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ว่านั่นได้ แม้เจ้าจะรักในยุคสมัยที่ว่านั่นมากเพียงใดก็ตาม ที่เจ้าจะทำได้ ก็เพียงแค่เฝ้ามองมันสูญสลายไปตามกาลเวลาเท่านั้น”


 


ใบหน้าขององค์จักรพรรดิเผยถึงความคลุ้มคลั่ง “แต่นรกที่ว่านั่นน่ะแตกต่างออกไป! บรรพบุรุษของข้ายืนหยัดอยู่ในนรกเยือกแข็งเป็นเวลายาวนานกว่า 2000 ปีแล้ว และราชวงศ์ของเขาก็ยังคงดำรงอยู่สืบไป!”


 


“ฝ่าบาท มันมิใช่เช่นนั้น”


 


กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความจริงใจ “โปรดลองจินตนาการดูเถิด ว่าอีกไม่กี่ปีต่อจากนี้ เมื่อโลกทั้งใบถูกทำลายลงแล้ว มนุษยชาติถึงคราล่มสลาย ทุกคนตกลงสู่ขุมนรก ร่ำไห้กรีดร้องทุกข์ทรมานด้วยความเจ็บปวดและขมขื่น ภรรยาและลูกๆของท่านได้จากไป ราษฏรไร้ซึ่งความรักและภักดีต่ออาณาจักรของท่าน ไม่มีใครคอยเชิดชูบูชาท่านอย่างคลั่งไคล้ ไม่มีใครมาคอยเอาอกเอาใจหรือมาเข้าใจความรู้สึกของท่าน ไร้ซึ่งคำสรรเสริญเยินยอและกตัญญู”


 


“มีเพียงพระองค์ที่นั่งอยู่ลำพังบนบัลลังก์แห่งนรกเยือกแข็ง รอบกายเต็มไปด้วยเหล่าคนตายที่เชื่อฟังท่านเพียงเพราะพลังอำนาจของท่าน … แต่คิดว่าสิ่งนั้นจะคงอยู่ได้ตลอดไปกระนั้นหรือ?”


 


“ฝ่าบาทเชื่อกระหม่อมเถิด ท่านย่อมไม่มีทางชอบอะไรเช่นนั้นอย่างแน่นอน”


 


สีหน้าขององค์จักรพรรดิไร้ซึ่งอารมณ์ เขามิได้เอ่ยอะไรออกมาแม้เพียงครึ่งคำ


 


กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “เอาล่ะ ลองสมมุติว่าเรื่องราวทั้งหมดที่ว่ามาเกิดขึ้นจริง และวันเวลาได้ผ่านพ้นไป โลกทั้งใบถูกทำลายลง แต่แล้วจู่ๆท่านก็ได้รับโอกาสให้กลับมาจุติใหม่อีกครั้ง กลับมายังช่วงเวลาสัก .. 10 ปีก่อนหน้าที่เรื่องราวทุกอย่างมันจะเกิดขึ้น ภรรยาและลูกๆของท่านยังคงมีชีวิตอยู่ และมันเป็นชีวิตที่ดี เปี่ยมไปด้วยความสุข ประเทศของท่านยังคงทวีความแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประชาชนยังคงรักใคร่ท่าน มนุษย์ทุกคนต่างพากันจับมือกัน ร่วมยับยั้งการแพร่กระจายของนรกเยือกแข็ง และต่อสู้กับมันอย่างห้าวหาญเพื่อชีวิตของตนเอง ครอบครัว และประเทศ! นี่ไม่ใช่หรือคือช่วงเวลาที่พระองค์สมควรจะยืนอยู่หน้าสุด ชะตากรรมของโลกอยู่ในมือพระองค์แล้ว … ถึงเวลานั้น ท่านคิดจะทำอย่างไร?” *


 


*(ประโยคนี้กู่ฉิงซานกึ่งๆกล่าวถึงตนเองด้วยเช่นกัน)


 


“ฝ่าบาท โปรดทรงคิดทบทวนอีกครั้ง”


 


ความเงียบจมลงสู่บริเวณโดยรอบ เว้นไว้แต่เพียงเสียงลมและฝน


 


ปากขององค์จักรพรรดิอ้าหุบอยู่หลายครั้ง และในที่สุดก็กล่าวออกมา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะลืมเลือนไปเรื่องหนึ่งนะ”


 


“ฝ่าบาทเชิญชี้แนะ”


 


“นรกน่ะอยู่ยงคงกระพัน แต่มนุษย์น่ะยังไงก็ต้องตาย ยามเมื่อเผชิญหน้ากับพวกเรามีแต่จะพ่ายแพ้เท่านั้น”


 


“ฝ่าบาทเหตุใดท่านจึงแลดูเหมือนกับคนที่ไม่มีคุณสมบัติเป็นกษัตริย์เลย?”


 


“เหตุใดเจ้าจึงกล่าวเช่นนั้น”


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจ “ยามเมื่อประเทศพินาศลง อย่างน้อยกษัตริย์ก็ควรจะเป็นคนสุดท้ายที่ยอมแพ้ แต่ท่านกลับกลายเป็นคนแรกที่ทรยศมนุษยชาติทั้งโลก”


 


ทันใดนั้นเขาก็ตบลงไปในถุงสัมภาระ พร้อมกับเกราะรบนายพลที่ลอยขึ้นมาในอากาศที่ว่างเปล่า


 


แต่ละชิ้นส่วนของเกราะรบเปล่งแสงสีทองของพลังวิญญาณธรรมชาติ ชิ้นแล้วชิ้นเล่าประกบลงตามส่วนต่างๆบนร่างกายของกู่ฉิงซาน


 


ในเสี้ยววินาที ชุดเกราะรบทั้งหมดก็ถูกสวมใส่โดยสมบูรณ์

 

 

 


ตอนที่ 331

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.331 – มาตรฐานความเป็นมืออาชีพ


 


“ทรยศ? นี่เจ้าด่าว่าข้าเป็นคนทรยศอย่างนั้นหรือ?”


 


กล้ามเนื้อบนใบหน้าขององค์จักรพรรดิอดไม่ได้ที่จะกระตุก ราวกับว่าคำนี้มีผลต่อความโกรธในจิตใจของเขา


 


องค์จักพรรดิกล่าว “ทางข้ามีมืออาชีพขั้นห้าอยู่มากมาย แต่เจ้ามีเพียงลำพัง มิรู้หรือ ว่าหากข้าเปล่งวาจาสั่งแม้เพียงครึ่งคำ ปากที่พ่นคำเน่าเหม็นนั่นออกมาเมื่อครู่จะต้องหุบลงไปตลอดกาล!”


 


“ฝ่าบาท กระหม่อมเคยคิดว่าท่านเป็นผู้พิชิต และหากท่านยังเป็นบุคคลดังที่ว่า ที่หมายมั่นจะโค่นล้มเก้าตระกูลใหญ่ ตราบใดที่ทุกๆการกระทำหรือเคลื่อนไหวของท่านมันไม่ก่อให้เกิดสงคราม กระหม่อมย่อมไม่คิดก้าวเข้ามาแทรกแซงอย่างแน่นอน”


 


กู่ฉิงซานสวมหน้ากากเงินลงบนใบหน้าของเขาและเอ่ยต่อว่า “แต่ผมไม่คิดเลย ว่าจริงๆแล้วท่านจะเป็นเพียงสุนัขขี้ขลาด ถ้าเป็นในกรณีนี้ ตัวเลือกของผมคงเหลือเพียงปลดปล่อยท่านจากตราบาปนี้โดยการฆ่าเท่านั้น”


 


“บังอาจ!” องค์จักรพรรดิไม่อาจแบกรับคำครหาได้อีกต่อไป เขาคำรามก้อง “ทุกคน ฆ่ามันซะ!”


 


“ลงมือได้!” หลี่ตงหยวนและซ่งเทียนหวู่ตะโกนออกมาพร้อมกัน


 


ร่างโคลนทั้งหมดก็ตะเบ็งเสียงขานรับคำ “ฆ่า!”


 


รัศมีแสงเรืองรองของธาตุทั้งห้าผุดออกมาจากพวกเขา เปล่งประกายระยับไปทั่วฟ้า


 


“ใช้วิธีหมาหมู่แบบนี้ … ดูเหมือนว่าผมคงจะต้องมอบบทเรียนแก่ท่านเสียแล้ว” กู่ฉิงซานถอนหายใจและส่ายหัว


 


เขาล็อคสมญาเทพสงครามเป็น ‘ไพ่ตายนักฆ่า’ พร้อมด้วยทั้งคนทั้งร่างที่หายวับไปอย่างกระทันหัน


 


เห็นแค่เพียงเส้นแสงสีทองเพียงหนึ่งพุ่งปะทะปัง! เข้ากลางดงศัตรู


 


ในพริบตา ปราณดาบเหลือคณาก็พรั่งพรูไปทั่วผืนฟ้า


 


ตามด้วยการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงของชั้นอากาศโดยรอบ


 


ทั้งสองฝ่ายก้าวเข้าสู่สนามรบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


 


……..


 


ณ สาธารณรัฐฟูซี


 


วังโอเอซิสท่ามกลางทะเลทราย


 


บนบัลลังก์ว่างเปล่า


 


ตลอดทั้งห้องโถงใหญ่ก็ว่างเปล่าเช่นกัน เว่นไว้แต่เพียงคนหนึ่งๆ


 


จักรพรรดินียืนอยู่ตรงหน้าต่าง จ้องมองลงไปยังโอเอซิสเบื้องล่าง


 


แล้วทันใดนั้นจู่ๆประตูห้องโถงใหญ่ก็ถูกกระแทกเปิดออกอย่างกระทันหัน


 


ตามด้วยซางหยิงฮ่าวที่เดินเข้ามา


 


ในฐานะผู้รับหน้าที่คุ้มครองความปลอดภัย จึงมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าออกที่นี่


 


“ฝ่าบาท มีรัฐมนตรีหลายคนต้องการขอเข้าเฝ้าท่าน” ซางหยิงฮ่าวกล่าว


 


จักรพรรดินีมิได้เบนสายตาหันกลับมามอง


 


“ปฏิเสธไปซะ บอกให้พวกเขาถอนตัวกลับไป มาเจอข้าตอนนี้แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา?” จักรพรรดินีกล่าวอย่างสงบ


 


“ท่านลองไตร่ตรองดูอีกครั้งเถิด ดูเหมือนว่าพวกเขาเหล่านั้นจะเป็นกลุ่มคนที่สนับสนุนท่านนะ” ซางหยิงฮ่าวพยายามโน้มน้าว


 


“โอ้? แล้วเจ้ารู้เรื่องนั้นได้อย่างไร?”


 


“กระหม่อมย่อมทราบเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับลูกค้าอยู่แล้ว เพราะมันจะช่วยให้กระหม่อมสามารถบริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น”


 


“หากไม่สามารถเข้าม่านเหล็กได้ จะทำสิ่งใดมันก็ล้วนไร้ประโยชน์” จักรพรรดินีถอนหายใจ


 


ซางหยิงฮ่าวขบคิดและกล่าวว่า “รอบตัวผมพอจะมีแฮ็กเกอร์อยู่บ้าง บางทีท่านอาจจะอยากสนทนาและบอกข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ชีวิต หรือความเป็นอยู่ของพระสวามีท่านแก่พวกเขา”


 


“ทำเช่นนั้นแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร?”


 


“หลังจากที่พวกเขาเข้าใจถึงความคิดและการกระทำขององค์จักรพรรดิอย่างถ่องแท้ พวกเขาอาจจะค้นพบกุญแจแห่งความหวังที่จะใช้เจาะเข้าไปยังม่านเหล็กได้ก็เป็นได้”


 


จักรพรรดินีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา


 


“เข้าใจเขา? เข้าใจสวามีข้าอย่างนั้นหรือ?”


 


ความโศกเศร้าพาดผ่านลงบนใบหน้างดงามของเธอ


 


“ข้าจะเล่าเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟัง เมื่อนานมาแล้ว ครั้งหนึ่งข้าเคยจดจำได้ว่า ยามที่เขาเมาและเผลอบอกข้าว่าเขามีความใฝ่ฝันว่าได้ครอบครองมงกุฏทองคำบริสุทธิ์ตั้งแต่ในวัยเด็ก และฝังอัญมณีหาได้ยากยิ่งในโลกลงไป”


 


จักรพรรดินีเอ่ยต่อย่างช้าๆ “และหลังจากที่ข้าเฝ้าสรรหาอัญมณีที่ว่ามาตลอดถึงสิบปี ในที่สุดก็ค้นพบอัญมณีเอกภพ มณีนี้มีเอกลักษณ์และงดงามเป็นอย่างยิ่ง กล่าวได้ว่ามันมีเพียงชิ้นเดียวในโลก”


 


“หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาในการเฟ้นหาและหลอมสร้างมาอย่างยาวนาน มงกุฏก็ถูกรังสรรจนสมบูรณ์ และในวันงานเทศกาลประจำปี ข้าก็ได้เซอร์ไพรส์โดยการมอบมันให้แด่เขา”


 


“หลังจากที่เขาได้เห็นมัน นั่นเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งเลยที่ใบหน้าของเขาปรากฏถึงร่องรอยแห่งความสุขออกมา เขาขอบคุณสำหรับน้ำใจและความมุ่งมันของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า และสวมใส่มงกุฏที่ว่าตรงนั้นทันที”


 


“แล้วมันไม่ดีหรือ?” ซางหยิงฮ่าวงง


 


“แต่หลังจากวันนั้น เขาก็ไม่เคยสวมใส่มงกุฏที่ว่านั่นอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นในสถานกาณ์ใด – ไม่เคยอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว”


 


จักรพรรดินีกล่าวด้วยความคับข้อง “เขามักจะแสดงความผิดปกติทางอารมณ์ออกมาอยู่เสมอ เอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่มีใครรู่ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ในเมื่อรู้แบบนี้แล้ว เจ้าจะยังให้ข้าบอกข้อมูลแด่คนของเจ้าไปทำการวิเคราะห์ที่ว่านั่นอยู่อีกไหม?”


 


ซางหยิงฮ่าวถอนหายใจ “นั่นมันคงยากเกินไป ถ้าเป็นอย่างในกรณีนั้นจริงๆ ดูเหมือนว่าทางเราก็จนปัญญาจนไม่รู้จะทำอะไรแล้ว”


 


ทันใดนั้นก็บังเกิดเสียงดังวุ่นวายขึ้นจากภายนอก


 


ไม่นานเกินรอ รัฐมนตรีคนหนึ่งก็ถูกคุมตัว และถูกบังคับให้คุกเข่าลงตรงทางเข้าห้องโถง


 


ตามตัวรัฐมนตรีคนที่คุกเข่ามีคราบเลือดเกรอะกรัง เขาเอ่ยร้องตะโกนออกมา “ฝ่าบาท ท่านจะต้องคิดหาหนทางแก้ไขให้เร็วที่สุดแล้ว อีก 200 ไมล์ หุ่นรบของฟูซีจะเข้าสู่อาณาเขตของรัฐบาลกลางแล้ว!”


 


หากหุ่นรบแนวหน้าของฟูซีรุกล้ำเข้าไปยังรัฐบาลกลาง นั่นหมายถึงไฟแห่งสงครามครั้งใหญ่ได้ถูกจุดขึ้น


 


จักรพรรดินีเฝ้ามองดูรัฐมนตรีคนที่ว่า


 


เขาคือรัฐบุรุษเก่าแก่ที่รับใช้ฟูซีมายาวนานกว่าสามแผ่นดิน เป็นอาวุโสเก่าแก่ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับจักรพรรดินีมาโดยตลอด


 


ในเวลานี้ เขากลับกำลังคุกเข่าบนพื้น ร่ำไห้น้ำตาเป็นสาย


 


“ฝ่าบาท เก้าตระกูลใหญ่ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิด เมื่อเลือกที่จะต่อสู้แล้ว ทางเรามิอาจรู้ได้เลยว่าจะสามารถคว้าชัยชนะหรือพ่ายแพ้กลับมา แต่ที่รู้แน่ๆคืออีกไม่กี่ปีนับจากนี้ ผู้คนนับไม่ถ้วนจะต้องตกตายลงในสงคราม!”


 


จักรพรรดินีถอนหายใจ ก้าวเดินไปข้างหน้าและพยุงชายชราขึ้น


 


“แต่ข้าไม่มีวิธีใดที่จะหยุดยั้งมันเลย” เธอกล่าวด้วยความหดหู่


 


จากนั้นรัฐมนตรีอีกคนหนึ่งก็แทรกตัวผ่านเข้ามาและคุกเข่าลง “ฝ่าบาท ทั้งสามเหล่าทัพของรัฐบาลกลางเริ่มทำการระดมพลแล้ว กองกำลังของพวกเขาเคลื่อนพลมุ่งหน้ามาอย่างรวดเร็ว คาดว่าไม่นานคงจะมาถึงชายแดน”


 


“และผู้นำกองทัพของรัฐบาลกลางในครั้งนี้ ก็คือเทพนักสู้ซางซ่งหยาง!”


 


เทพนักสู้ ซางซ่งหยาง


 


ชายผู้นี้เปรียบดั่งเทพสงครามแห่งรัฐบาลกลาง มีเขาเพียงหนึ่ง ก็เปรียบดั่งมีทหารกล้านับพันในสนามรบ


 


เมื่อสองกองทัพเข้าปะทะกัน และเขาเริ่มลงมือ สถานการณ์จะเข้าสู่ช่วงเลวร้ายที่สุดทันที


 


และต่อให้รัฐบาลกลางจะไม่ชนะ แต่สาธารณรัฐย่อมต้องประสบกับความสูญเสียอย่างร้ายแรง


 


จักรพรรดินีเวโรน่าในที่สุดก็เริ่มวิตกกังวล


 


เธอเดินวนไปรอบๆ กลับไปกลับมาด้วยใบหน้าสลด


 


“ข้าสมควรทำอย่างไรดี .. ”


 


ซางหยิงฮ่าวเอ่ยออกมาอย่างกระทันหัน “ฝ่าบาท กระหม่อมจดจำได้ว่าท่านก็มีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงม่านเหล็กเช่นกัน”


 


“ข้าไม่มีอำนาจในการสั่งการกองทัพ องค์จักรพรรดิได้ทำการล็อคอำนาจของคนทั้งหมดเอาไว้แล้ว ดังนั้นจึงมีเพียงเขาที่สามารถสั่งกองทัพได้!” จักรพรรดินีกล่าว


 


ซางหยิงฮ่าวนิ่งคิดอยู่สักพักหนึ่ง แล้วเอ่ยสวนไปว่า “เช่นนั้นหากเขาตายเล่ามันจะเกิดอะไรขึ้น? กระหม่อมเคยได้ยินมาว่าสิทธิ์อำนาจในการเข้าถึงม่านเหล็กมีไว้สำหรับราชวงศ์เท่านั้นมิใช่หรือ”


 


“หากเขาตายลง แน่นอนว่าสิทธิ์อำนาจของม่านเหล็กย่อมตกมาถึงข้าเป็นธรรมดา – แต่ในโลกใบนี้ยังจะมีผู้ใดที่สามารถสังหารเขาได้อีกหรือ?”


 


จักรพรรดินีส่ายหัวซ้ำๆ เอ่ยปากกล้าวด้วยความโศกเศร้าว่า “ไม่มีวิธีที่เราจะสามารถหยุดเขาได้เลย”


 


ซางหยิงฮ่าวโค้งศีรษะลง และเอ่ยถามผ่านทางสมองควอนตัม “กู่ฉิงซานรู้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้รึเปล่า?”


 


เทพธิดากงเจิ้ง “เขารู้ดี”


 


“แล้วเขาพบองค์จักรพรรดิรึยัง?”


 


“ใต้เท้ากู่ฉิงซานค้นพบถึงร่างจริงขององค์จักรพรรดิแล้ว และพวกเขากำลังต่อสู้กันอยู่ในเขตชานเมืองของเมืองหลวง


 


ซางหยิงฮ่าวพยักหน้า และหันไปพูดกับจักรพรรดินีว่า “กระหม่อมคิดว่าท่านสมควรจะลองพยายามดู ว่าท่านจะสามารถเชื่อมต่อกับม่านเหล็กได้หรือไม่”


 


“ข้าจะลองดู” จักรพรรดินีกล่าว


 


“ลองมันอีกครั้ง หากมิได้ก็อีกครั้ง และอีกครั้ง บางทีอาจจะมีครั้งที่ท่านสามารถเข้าสู่ระบบของมันได้ก็ได้”


 


จักรพรรดินีมองไปยังอีกฝ่ายแล้วเอ่ยถาม “เพราะเหตุใดเจ้าจึงมั่นใจเช่นนั้น?”


 


“ขออภัยที่ต้องกล่าวแบบนี้ แต่กู่ฉิงซานย่อมต้องมีวิธีที่จะสังหารพระสวามีของท่านอย่างแน่นอน”


 


“บางทีเขาอาจจะลงมือทำมันในอีกวินาทีต่อไปเลยก็ได้” ซางหยิงฮ่าวกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว


 


“เรื่องนี้ …. ” กล่าวยังไม่ทันจบ จักรพรรดินีก็นึกขึ้นมาได้ถึงพลังของกู่ฉิงซานในตอนที่เขาอยู่ในวัง เธอกัดฟันกรอด และทำการตัดสินใจในที่สุด


 


เธอหยิบสมองควอนตัมของตัวเองออกมา และตัดสินใจพรมมือลงอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเข้าสู่หน้าต่างในส่วนปฏิบัติการ


 


ปรากฏกำแพงเหล็กอันเยียบเย็น สูงตระหง่าน


 


“ม่านเหล็ก ข้าคือจักรพรรดินีเวโรน่า เมดิซี โปรดให้ข้าเข้าสู่ระบบด้วย” จักรพรรดิพูดกับสมองควอนตัม


 


และเสียงจักรกลก็ดังสวนตอบกลับมา “คุณไม่มีอำนาจในการสั่งการกองทัพ และไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ระบบ”


 


จักรพรรดินีโกรธ และตบลงบนสมองควอนตัม “เข้าไม่ได้!”


 


– ดูเหมือนว่าการต่อกรกับองค์จักรพรรดิจะไม่ง่ายเลย อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังคงมีชีวิตอยู่


 


ดวงตาของซางหยิงฮ่าวกระพริบไหว และเอ่ยถาม “ถ้างั้นตอนนี้ใครกันที่เป็นผู้บัญชาการหุ่นรบขับเคลื่อนของสาธารณรัฐ?”


 


จักรพรรดินีเข้าใจถึงสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อทันที และหันไปมองรัฐมนตรีอาวุโส


 


เนื่องจากไม่สามารถเข้าสู่ระบบของม่านเหล็กได้โดยตรง ถ้าเช่นนั้นก็เข้าหาผู้บัญชาการกองทัพโดยตรงแทนซะเลยสิ หากเป็นในกรณีที่ว่า บางทีอาจจะสามารถหยุดการบุกโจมตีได้ก็ได้


 


ตอนนี้สิ่งที่ขาดมากที่สุดก็คือเวลา


 


เราจะต้องหาหนทางที่จะชะลอการปะทุของสงครามจนกว่ากู่ฉิงซานและองค์จักรพรรดิจะตัดสินผลแพ้ชนะ!


 


รัฐมนตรีอาวุโสกล่าวว่า “เป็นจอมพลจางเพ่ยเจี่ย กระหม่อมจะคุยกับเขาทันที!”


 


ว่าแล้วอีกฝ่ายก็เปิดสมองควอนตัมและโทรไปยังหมายเลขหนึ่ง


 


ทว่าการเชื่อมต่อกลับถูกปฏิเสธ


 


สองตาของรัฐมนตรีหรี่แคบลง เขาลังเลก่อนจะกล่าว “เขาปฏิเสธคำขอเชื่อมต่อกับข้า .. ”


 


จักรพรรดินี “นั่นเพราะสถานการณ์มันแตกต่างกันออกไป นี่คือช่วงเวลาสงคราม มันยังพอเข้าใจได้ว่าเขาไม่อาจมุ่งสมาธิมาสนทนากับเจ้าได้ แต่หากเป็นข้า เขาอาจจะยังพอฟัง”


 


จักรพรรดินีตัดสินใจทันที “แบบนี้ไม่ดีแน่ ข้าจะต้องส่งราชทูตออกไปเป็นการส่วนตัว บางทีนี่อาจจะช่วยให้เขาหยุดกองนำทัพได้ชั่วคราว”


 


แม้ว่าจอมพลจะสามารถชะลอสงครามได้แค่เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่สถานการณ์ก็อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นก็ได้


 


รัฐมนตรีอาวุโสกล่าว “แต่ใครเล่าจะเป็นราชทูตผู้ส่งสาร? ระหว่างทางมีหลายคนคอยจับตามองท่านจอมพลอยู่ตลอดเวลา และหากท่านจอมพลเลือกที่จะยืนอยู่ฝั่งองค์จักรพรรดิ ตัวผู้ส่งสารเองก็จะได้รับอันตราย … ”


 


จักรพรรดินีขบคิดและกล่าว “ไม่อาจส่งเจ้าหน้าที่พลเรือน ข้าราชบริพารก็ไม่ได้ รวมไปถึงคนจากทางกองทัพด้วย”


 


รัฐมนตรีอาวุโสกล่าวต่อ “ทหารย่อมไม่ดี เพราะท่านจอมพลเป็นผู้บัญชาการสูงสุด หากนายทหารเผชิญหน้ากับถ้อยคำรุนแรงของจอมพล เขาคงจะทำตามที่พวกเราต้องการไม่สำเร็จ”


 


ขณะที่ทั้งสองกำลังหารือ จู่ๆจักรพรรดินีก็หันไปทางซางหยิงฮ่าว


 


“มีอะไรงั้นหรือท่าน?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม


 


จักรพรรดินีขบคิดอย่างจริงจังและกล่าว “ข้าได้ทราบถึงความสามารถของเจ้ามาแล้ว เจ้าเป็นถึงราชานักฆ่าแห่งรัฐบาลกลาง ในมือมียอดนักฆ่านับไม่ถ้วนที่ยินดีอุทิศชีวิตให้แก่เจ้า แม้ว่าช่วงหลังๆมานี้ เจ้าจะถอยห่างเลือกที่จะคอยหลบอยู่หลังฉาก แต่ความแข็งแกร่งของเจ้าในปัจจุบัน ย่อมต้องเพิ่มพูนยิ่งกว่าในครั้งอดีตเป็นแน่”


 


“แล้วสิ่งที่พระองค์ต้องการจะสื่อก็คือ?” ซางหยิงฮ่าวกล่าว


 


“ด้วยกลยุทธ์และความแข็งแกร่งของเจ้า แน่นอนว่าย่อมสามารถทำมันได้ – ดังนั้นข้าขอให้เจ้ารับหน้าที่ส่งจดหมายลับของข้า นั่งรถเหินเวหาไปมอบมันให้แด่ท่านจอมพลโดยเร็ว”


 


จักรพรรดินีจับปากกาไว้ในมือ และเขียนบางสิ่งลงบนกระดาษอย่างรวดเร็ว


 


“จอมพลจาง … แล้วทัศนคติของคนๆนี้ล่ะ?”ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม


 


“เป็นกลาง แต่บางครั้งก็เอนเอียงมาทางฝั่งพวกเรา” รัฐมนตรีอาวุโสกล่าว


 


ซางหยิงฮ่าวไตร่ตรองอย่างรอบคอบ


 


จักรพรรดินี “เจ้าจงนำตราประทับและลายลักษ์อักษรของข้าไปให้จอมพลจาง และทำการโน้มน้าวเขาหรือหาหนทางอะไรก็ได้เพื่อชะลอการปะทุของสงคราม”


 


“แล้วเขาจะฟังหรือ?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถามต่อ


 


“ข้าคิดว่าเขาจะต้องฟังข้าแน่ๆ” จักรพรรดินีกล่าว


 


ซางหยิงฮ่าวเริ่มตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาเอ่ยปากออกมาว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมคือนักฆ่า กล่าวได้ว่ากระหม่อมมีหน้าทีสังหารผู้คน แต่เรื่องที่ท่านกำลังร้องขอนี้ มันมิได้อยู่ในธุรกิจของกระหม่อม”


 


จักรพรรดิจับจ้องเขาอย่างจริงจัง “รางวัลของเจ้า ข้าจะเบิ้ลให้สองเท่า”


 


ซางหยิงฮ่าวชะงักงันไปหนึ่งถึงสองวิ


 


“จักรพรรดินีผู้แสนจะใจกว้าง กระหม่อมขอสัญญาว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ท่านต้องการ” เขาเอ่ยปากตอบรับคำทันที


 


“หลังจากที่เจ้าไป แม้ว่าจะไม่สามารถพูดคุยกับจอมพลจางได้ แต่เจ้าก็ต้องหาวิธีการที่จะชะลอสงครามให้จงได้”


 


จักรพรรดินีเอ่ยประโยคที่สำคัญที่สุดออกมา


 


“โปรดวางใจในมาตรฐานความเป็นมืออาชีพของกระหม่อม” ซางหยิงฮ่าวกล่าว


 


หลังจากนั้นไม่นาน จดหมายลับของจักรพรรดินีก็ถูกเขียนขึ้น


 


เธอถึงขั้นอ่านย้อนทวนเนื้อความในจดหมายอยู่หลายครั้ง ก่อนจะยื่นมันให้แก่ซางหยิงฮ่าวด้วยท่าทีจริงจัง


 


ซางหยิบฮ่าวหยิบเอาตราประทับและจดหมายลับจากจักรพรรดินีมา


 


พร้อมกับร่างของคนในชุดดำหลายคนที่โผล่ออกมาจากเงามืด และติดตามเขาออกจากพระราชวังอย่างรวดเร็ว

 

 

 


ตอนที่ 332

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.332 – นักล่า


 


ท่ามกลางผืนป่าบนภูเขา


 


เต็มไปด้วยความเงียบสงัด


 


กระต่ายตัวหนึ่งโผล่หัวออกมา และกำลังเคี้ยวบางสิ่งบางอย่างอยู่ในปากของมัน


 


มันกระโดดไปข้างหน้า และหันความสนใจไปมองยอดหญ้าที่พัดไปตามแรงลมเป็นครั้งคราว


 


กระต่ายกระโดดขึ้นอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นจู่ๆมันก็ถูกมือข้างหนึ่งคว้ากุมสองหูเอาไว้


 


แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน พอเจ้ากระต่ายถูกจับได้ มันก็สั่นสะท้านไปทั้งตัวและมิกล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย


 


ซางหยิงฮ่าวยื่นกระต่ายไปให้ถงถงที่อยู่เบื้องหลังเขา


 


“มันน่ารักไหม?” เขาเอ่ยถาม


 


“น่ารักมากๆเลย!”


 


ถงถงกอดกระต่ายไว้ในอ้อมแขนอย่างมีความสุข และเอ่ยต่อ “เขาว่ากันว่ารสชาติของวัตถุดิบจากป่าจะดีกว่าปกติ หนูชักอยากจะกินมันซะแล้วสิ”


 


“โอ๊ย เด็กสาวตัวน้อย พูดจาไม่น่ารักเหมือนหน้าตาเอาซะเลย” ซางหยิงฮ่าวกล่าว


 


ทันใดนั้นน้ำเสียงเย็นชาก็ดังขึ้น “บอส จางเพ่ยเจี่ยยิง ‘มนุษย์กระดาษ’ ของผม”


 


ซางหยิงฮ่าวหันไปมองตามเสียง


 


แล้วเขาก็พบกับมนุษย์กระดาษสามคนที่ยืนอยู่บนผืนหญ้า


 


และหนึ่งในมนุษย์กระดาษที่ว่ามีหน้าตาเหมือนกับซางหยิงฮ่าว


 


พร้อมกับปรากฏรูสีดำบนหน้าผาก – มันเป็นรูที่เกิดจากกระสุนปืน


 


ชายอ้วนที่ยืนอยู่ข้างๆมนุษย์กระดาษเอื้อมมือของเขาออกไปและใช้นิ้วแตะลงบนมัน


 


ทันใดนั้นมนุษย์กระดาษซางหยิงฮ่าว ก็ถูกเผาไหม้เป็นเถ้าถ่านทันที


 


“เขามีผู้คุ้มกัน 24 คนอยู่รอบตัว และแม้เจ้าตัวจะดูเหมือนว่ามีพลังและอิทธิพลค่อนข้างมาก แต่ผมกลับรู้สึกได้ว่าเขากำลังหวาดกลัวความตาย” ชายอ้วนกล่าว


 


“นี่ … แล้วจอมพลพูดอะไรกับฉันบ้าง?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม


 


“ผมควบคุมมนุษย์กระดาษของบอสและโน้มน้าวให้เขาชะลอสงครามออกไป แต่หลังจากที่เขาได้อ่านจดหมายลับ เขาก็หันมาพูดอะไรบางอย่างกับร่างกระดาษของคุณ”


 


เมื่อเล่าถึงจุดนี้ ชายอ้วนก็ทนไม่ไหวจนต้องหัวเราะออกมาดังๆ


 


“เขาพูดว่าอะไร?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม


 


“ไอ้ก้อนขี้เอ๊ย!” ชายอ้วนกล่าว


 


ซางหยิงฮ่าวยกมือขึ้นเกาหัวของเขา


 


นักฆ่ารอบตัวต่างผุดรอยยิ้มขึ้นมาตรงมุมปาก


 


นี่มันก็หลายปีมาแล้วที่พวกเขาไม่ได้เห็นบอสของตัวเองถูกกระทำราวกับถูกลากไปตบกลางสี่แยก ในหัวใจของพวกเลยรู้สึกบันเทิงอย่างลับๆ


 


ซางหยิงฮ่าวครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเปิดสมองควอนตัมและเอ่ยถามว่า “เทพธิดากงเจิ้ง คุณสามารถช่วยฉันทำน้ำยาพันธุกรรมเล็กๆน้อยๆในการศัลยกรรมใบหน้าจะได้ไหม?”


 


“เกรงว่ามันจะสายเกินไป อีก 19 นาทีต่อจากนี้ ฟูซีจะส่งกองกำลังติดอาวุธเคลื่อนพลถึงชายแดน และสงครามก็จะเริ่มต้นขึ้น” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว


 


“เวลาค่อนข้างรวบรัดจริงๆ”


 


ซางหยิงฮ่าวยกมือขึ้นมองนาฬิกาของเขาและถอนหายใจออกมา “ดูเหมือนว่าฉันคงจะต้องใช้วิธีแบบโบราณซะแล้วสิ”


 


“ถงถง”


 


“อื๋อ”


 


“ช่วยไปเอา ‘ใบหน้า’ของชายคนนั้นให้ฉันหน่อยสิ”


 


ถงถงไม่ได้ตอบอะไร แต่ชายอ้วนก็เดินมากระซิบกับเธออย่างเงียบๆ “มนุษย์กระดาษของเธอถูกขังอยู่ในห้องของเขา”


 


ถงถงอ้าปากค้างทันทีและพูดออกไปว่า “จริงๆแล้วคุณมันเป็นคนโรคจิตแบบนี้เองอย่างงั้นหรอ!?”


 


“ไม่ใช่ฝีมือผมที่เลือกจะเสนอตัวเองนา แต่เป็นฝีมือของจอมพลที่ลากร่างกระดาษของเธอไปด้วยตัวเองต่างหาก” ชายอ้วนเร่งเอ่ยปกป้องตัวเองอย่างรวดเร็ว


 


“บอส ถ้าหนูฆ่าจอมพลคนนั้นเลยจะได้ไหม?” ถงถงเอ่ยถาม


 


“ถ้านั่นเป็นสิ่งที่เธอต้องการ มันก็ได้อยู่หรอก แต่การฆ่าเขาไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขภารกิจ เงินที่ได้อาจจะลดลงเอานะ” ซางหยิงฮ่าวกล่าวทันที


 


“งั้นก็ลืมมันเถอะ” ถงถงกล่าวอย่างไม่ยี่หร่ะ “ถ้าอย่างนั้นหนูจะฝากความทรงจำที่จะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิตให้แก่เขาเอง”


 


“จับเวลาด้วยล่ะ เธอมีเวลา 7 นาที”


 


“รับทราบ บอส” ถงถงกล่าว


 


กระต่ายในอ้อมแขนเธอวางแหมะลงในมือของนักฆ่าอีกคนหนึ่ง


 


ถงถงหยิบสองมีดสั้นคมกริบขึ้นมา ใช้พวกมันมัดปมผมเป็นหางม้า มุมปากโค้งสูงขึ้น และย่ำเท้าเล็กน้อยกระโจนขึ้นไปในอากาศ


 


และในพริบตา เธอก็แปรเสภาพร่างตนเองเป็นอีกาสีดำ สยายปีกมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางค่ายทหาร


 


“สุดท้ายแล้วถงถงก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี ช่วยส่งคนไปซักคนสองคนเพื่อปกป้องเธอด้วย” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยสั่ง


 


และร่างสองร่างก็วูบหายไปจากสายตา


 


ซางหยิงฮ่าวเอ่ยสั่งอีกครั้ง “พุงพลุ้ย ที่เหลือขึ้นอยู่กับนายแล้วนะ”


 


ชายอ้วนขมวดคิ้วทันทีและกล่าวว่า “ไม่เอาน่าบอส ผมถ้าเป็นเมื่อซักเดือนสองเดือนก่อนผมยังพอกล้าหือกับชายแก่อย่างเขาอยู่หรอก แต่ตอนนี้คงไม่กล้าแล้ว”


 


“ทำไมล่ะ?”


 


“บอสก็รู้นี่นา ว่าเมื่อไม่นานมานี้ท่านเทพนักสู้พึ่งจะได้เรียนรู้วิธีฝึกฝนอันลึกลับมา ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว น่ากลัวว่าแค่ฝีมือของผม ไม่นานคงถูกเขาจับไต๋ได้ในที่สุด”


 


ซางหยิงฮ่าวหันไปมองรอบๆ และเหล่าคนในชุดดำทุกคนต่างก็พากันหลบสายตาของเขาเป็นเชิงบอกปัดปฏิเสธ


 


เขาบ่นอุบออกมา “ก็แค่ช่วยออกหน้ารับมือกับเขาเพื่อถ่วงเวลานิดๆหน่อยๆเท่านั้นเอง ถ้าพวกนายเคยสู้กับฉันได้ก็ต้องสู้กับเทพนักสู้ได้สิ … ไม่มีใครคิดจะคว้ารับโอกาสดีๆที่หาได้ยากยิ่งแบบนี้ไว้เลยหรอ”


 


ไม่มีใครตอบเขา


 


ชายอ้วนกระซิบ “ถึงจะใช้ชีวิตเป็นนักฆ่า แต่ก็ยังรักชีวิตเหมือนกันนะบอส”


 


…….


 


ณ เขตชายแดน


 


น้ำแข็งค้างค่อยๆเข้าปกคลุมพื้นดิน


 


บนเนินเขา ไอน้ำจากความร้อนของเหล็กกล้าสีดำกำลังเหยียบย่ำอยู่บนน้ำแข็ง เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง


 


นี่คือกองทัพเกราะรบขับเคลื่อนแห่งฟูซีที่กำลังเคลื่อนพล พวกเขาล้วนเป็นทหารแนวหน้าชั้นหนึ่ง และเป็นกองกำลังทหารในตำนานที่มักจะคอยนำทัพอยู่เสมอมา


 


ทั้งหมดค่อยๆข้ามผ่านภูเขา วิ่งลงเนิน และมุ่งหน้าเข้าสู่ชายแดนของรัฐบาลกลาง


 


ขบวนทัพมุ่งไปอย่างรวดเร็ว กระบวนการทั้งหมดดำเนินการเป็นไปอย่างราบรื่น


 


กองทัพเคลื่อนพลไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ ทุกคนต่างประจำตำแหน่งของตนอย่างขันแข็ง ควบคุมเกราะรบด้วยความเชี่ยวชาญ


 


ในช่องทางการสื่อสารทางกองทัพ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าพูดออกมาเพียงครึ่งคำ


 


เพราะมีจอมพลจางเพ่ยเจี่ยอยู่ในกองทัพด้วย


 


เขามุ่งไปยังเบื้องหน้าร่วมกับกองทัพหุ่นรบของฟูซี


 


จู่ๆเจ้าตัวก็บอกว่าต้องการที่จะเห็นศัตรูด้วยตาตัวเอง แล้วเขาก็มา


 


ช่างเป็นคนที่พอคิดแล้วก็ลงมือปฏิบัติทันที … มุ่งมั่นจริงจังโดยแท้


 


และวันนี้ ดูท่าว่าเขาคงกำลังอารมณ์ไม่ดี เหมือนกับว่าถูกขัดจังหวะอะไรบางอย่าง ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา เพราะเกรงว่ามันจะไปกระตุ้นต่อมน้ำโหของเขา


 


มีข่าวลือแพร่กระจายไปทั่วว่า ในวันนี้เขาได้พบกับราชทูตทั้งสามที่ถูกส่งมาโดยจักรพรรดินี


 


เมื่อทั้งสองฝ่ายปิดประตูคุยกัน ก็บังเกิดการปะทะคารมกันอย่างรุนแรงขึ้น เขาก่นด่าราชทูตของจักรพรรดินีอย่างร้ายกาจ กระแทกประตูไล่ราชทูตออกไป


 


และจากนั้นท่านจอมพลก็ได้ลั่นไกสังหารหนึ่งในสามทูตที่มาด้วยกัน ณ ตรงจุดนั้น อีกหนึ่งถูกนำไปคุมขัง อีกหนึ่งถูกจับแยกตัวออกไป


 


และม่านเหล็กก็ค้นพบถึงข้อพิพาทเล็กๆน้อยๆนี้เช่นกัน


 


ในฐานะที่เป็นจักรกลAIทหารขั้นสูงสุดของสาธารณรัฐฟูซี ระหว่างที่จอมพลละเลยการปฏิบัติหน้าที่ มันจึงส่งคำสั่งข้ามหัวจอมพลโดยตรง และสั่งการไปยังหุ่นรบทั้งหมด


 


ทหารทุกคนจะถูกสั่งให้เริ่มทำการโจมตีอย่างเต็มกำลัง และไม่สามารถล่าถอยได้หากมิได้รับอนุญาต มิฉะนั้นจะถูกถือว่าเป็นกบฏ!


 


มันเริ่มต้นสั่งการต่อสู้ด้วยตนเอง


 


จอมพลผู้ยิ่งใหญ่กลับถูกข้ามหน้าข้ามตาโดยปัญญาประดิษฐ์เช่นนี้ จึงย่อมพอที่จะจินตนาการได้ถึงไฟที่คุกรุ่นอยู่ในจิตใจของเขา


 


แค่มองไปยังเขาก็เห็นได้ชัดว่ามันแทบจะกำลังระเบิดออกมาอยู่รอมร่อแล้ว


 


แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทของจอมพลหลายคนดูเหมือนจะไม่รังเกียจที่จะเอ่ยปากกล่าวถึงเรื่องการปะทะคารมกับราชทูตที่ว่านี้


 


นั่นเพราะพวกเขาต้องการให้ทุกคนรับรู้ว่าท่านจอมพลได้ตัดสินใจที่จะปฏิบัติตามรอยเท้าขององค์จักรพรรดิ


 


อีกด้านหนึ่ง


 


ก่อนที่จะถึงทางขึ้นภูเขา


 


กองกำลังติดอาวุธล่วงหน้าของรัฐบาลกลางก็ได้มาถึงแล้ว


 


กองกำลังล่วงหน้าที่มาถึงอย่างเร่งรีบเช่นนี้ กำลังรบแน่นอนว่าย่อมอ่อนด้อยกว่าปกติ


 


เมื่อกองกำลังนี้ปะทะเข้ากับกองทัพของฟูซี โชคชะตาของพวกเขาคือพ่ายแพ้อย่างยับเยินเท่านั้น


 


ทว่าเมื่อชายคนหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้น ทุกอย่างจึงแตกต่างออกไป


 


ทหารที่นั่งอยู่ในหุ่นรบ มักจะพากันปรับภาพฉายโฺฮโลแกรมไปยังมุมที่ชายผู้นั้นยืนอยู่ และเฝ้าสังเกตเขาอย่างเงียบๆ


 


นี่คือไอดอลในใจของชายชาติทหารทุกคน


 


ที่จริงๆอายุล่วงเลยมาถึงวัยกลางคนแล้ว


 


คิ้วดกหนา ดวงตาดั่งอินทรีย์ ผิวเข้ม และมีร่างกายยืดตรงราวกับหอก


 


เครื่องแบบชุดทหารสีเขียวเข้ม รองเท้าบู๊ตสีดำ และสายสะพายไหล่เป็นดาบยาวและโล่ – ซึ่งดาบยาวและโล่เป็นตัวบ่งบอกยศทหารระดับนายพล!


 


เขานั่งอยู่บนไหล่ของหุ่นรบที่มีขนาดความสูงกว่าห้าเมตรอย่างเงียบๆ ในปากคาบมวนบุหรี่ ขณะที่สองตาสาดส่องไปยังภูเขานอกชายแดนอย่างสงบ


 


ตามข้อมูลจากหน่วยข่าวกรอง หุ่นรบกองพันที่47แห่งฟูซีจะมาถึงก่อนเป็นกลุ่มแรก


 


สงครามระหว่างสองประเทศจะเริ่มขึ้นทันทีที่หุ่นรบขับเคลื่อนกว่าแปดพันชุดปรากฏตัวขึ้นบนภูเขา


 


ซางซ่งหยางลอบถอนหายใจอย่างลับๆ


 


รัฐบาลกลางตกอยู่ในสันติภาพมาเป็นระยะเวลานาน ดังนั้นยุทโธปกรณ์ส่วนใหญ่จึงถูกทิ้งร้างไปตามกาลเวลา


 


ในทางตรงกันข้าม สาธารณรัฐฟูซีกลับเตรียมพร้อมเข้าสู่สงครามทุกเมื่อ ภายใต้การนำขององค์จักรพรรดิ พวกเขาซุ่มซ้อม ฝึกฝนอย่างหนัก จำลองสถานการณ์ต่อสู้หากเกิดขึ้นจริง ดังนั้นแล้วในด้านกำลังรบ อีกฝ่ายย่อมเข้มแข็งยิ่งกว่ารัฐบาลกลาง


 


ตอนนี้เขาคงทำได้แค่เพียงพึ่งตัวเองไปก่อนเท่านั้น


 


‘ฉันหวังว่าตัวเองคงจะสามารถต้านทานกองกำลังไปอีกซักพัก เพื่อซื้อเวลาให้กำลังรบชุดใหญ่ของรัฐบาลกลางทั้งหมดมาสมทบ’


 


เพียงแค่คิด จุดสีดำก็ปรากฏขึ้นบนเนินเขา


 


รูม่านตาของซางซ่งหยางหดลีบลง


 


สีดำ คือสีที่ใช้กันทั่วไปสำหรับเกราะรบขับเคลื่อนของฟูซี


 


หลังจากที่จุดดำนี้ปรากฏขึ้น ก็ตามด้วยอีกจุดดำหนึ่งผุดออกมา


 


ตามต่อด้วยจุดสีดำนับไม่ถ้วนที่ปรากฏขึ้นทีละจุด ทีละจุด


 


เกราะรบขับเคลื่อนปกคลุมไปทั่วทั้งเนินเขา และส่งเสียงคำรามของเครื่องจักรขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว


 


หลายพันเกราะรบสีดำเริ่มก้าวเข้าสู่ชายแดนของรัฐบาลกลาง


 


เทพนักสู้โยนบุหรี่ทิ้ง ผุดลุกขึ้นยืน ปากอ้าตะโกนลั่น “เตรียมตัวต่อสู้เพื่อสหพันธรัฐรัฐบาลกลาง!”


 


“เพื่อสหพันธรัฐรัฐบาลกลาง!” เหล่าทหารต่างตะโกนตาม


 


หุ่นรบตัวหนึ่งเปล่งเสียงคำราม และพร้อมที่จะจู่โจมทุกขณะ


 


เทพนักสู้กำลังจะก้าวเป็นผู้นำในการต่อสู้ แต่เขากลับเห็นฉากแปลกๆขึ้นบนเนินเขา


 


หุ่นรบสีดำผุดแยกออกมาจากฝูงชน และวิ่งตรงมาข้างหน้าฝุ่นตลบ


 


และหุ่นรบสีดำก็เปิดค็อกพิทออก ตามด้วยเจ้าหน้าที่ของฟูซีในชุดสีดำกระโดดออกมายืนบนไหล่ของหุ่นรบ


 


เจ้าหน้าที่ฟูซีตะโกนไปทางนายพลซาง “จอมพลจางเพ่ยเจี่ยแห่งสาธารณรัฐฟูซี ขอท้าต่อสู้เป็นตายกับเทพนักสู้ซางซ่งหยางแห่งรัฐบาลกลาง!”


 


บังเกิดเสียงร้องดั่งสายฟ้าฟาด สั่นสะเทือนจิตใจของผู้พบเห็น


 


เมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญ กลับเกิดปรากฏการณ์หนึ่งขึ้นมาอย่างกระทันหัน


 


กองทัพทางฝั่งรัฐบาลกลางทั้งหมดได้หยุดฝีเท้าลง


 


เกราะรบขับเคลื่อนนับพันบนภูเขาก็หยุดชะงักลงเช่นกัน


 


ทหารของทั้งสองประเทศได้หยุดการเคลื่อนไหวลงในขณะนี้


 


การท้าทายเป็นตายระหว่างนายพลอาวุโสจากทั้งสองฝ่าย น้อยครั้งนักที่จะบังเกิดขึ้น


 


แต่ทว่าเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้ว ก็กล่าวได้ว่านายพลทั้งสองจะเปรียบดั่งตัวแทนของเกียรติยศและศักดิ์ศรีดิ์ของประเทศชาติ


 


ในฐานะที่เป็นทหาร ไม่ว่าใครหากได้รับคำท้าก็ย่อมไม่มีทางหลบลี้หนีถอย และเขาจะต้องพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อสังหารอีกฝ่ายลง มิเช่นนั้นก็จะเป็นเขาเสียเองที่ต้องตกตาย


 


มันคือการต่อสู้ระหว่างนายพลและจอมพล ที่เป็นตัวแทนของชัยชนะระหว่างประเทศ


 


ตามกฏของสนามรบแล้ว จะไม่มีใครสามารถเข้าไปก้าวก่ายการต่อสู้ในระดับสูงสุดนี้ได้


 


ม่านเหล็กยังคงนิ่งเงียบ และเทพธิดากงเจิ้งก็ไม่คิดข้องแวะ


 


มีการดวลเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนในประวัติศาสตร์มนุษย์


 


ในความเป็นจริงแล้ว ทุกการต่อสู้ดังกล่าว ล้วนมีผลกระทบเป็นอย่างมากต่อทิศทางของสงคราม


 


ม่านเหล็กและเทพธิดากงเจิ้งในขณะนี้ แม้จะกำลังระดมกองทัพอย่างเข้มข้น และก็ยังเลือกที่จะเพ่งความสนใจมายังการดวลในครั้งนี้


 


ดวงตาดั่งอินทรีย์ของซางซ่งหยางหรี่แคบลง จับจ้องไปยังฝั่งตรงข้าม


 


เขามิได้พานพบศัตรูที่กล้าหาญแบบนี้มานานหลายปีแล้ว


 


“แล้วคุณต้องการท้าทายแบบไหน” ซางซ่งหยางเอ่ยถาม


 


“ต่อสู้ด้วยหุ่นรบ” จางเพ่ยเจี่ยกล่าว


 


“ตกลง ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ”


 


ซางซ่งหยางเข้าไปในหุ่นรบของเขา


 


จางเพ่ยเจี่ยก็ตอบสนองเช่นกัน เขากระโดดลงไปในค็อกพิท และปิดฝาลง


 


เสียงจากทั้งสองฟากฝั่ง ค่อยๆดังกึกก้องขึ้นเรื่อยๆ


 


“เทพนักสู้! เทพนักสู้! เทพนักสู้!”


 


“ ท่านจอมพล! ท่านจอมพล! ท่านจอมพล!”


 


กองทัพของทั้งสองประเทศต่างพากันระเบิดเสียงร้องคำรามออกมา


 


เกราะรบขับเคลื่อนสีดำเริ่มเปิดฉากลงมือก่อนเป็นตัวแรก


 


มันย่ำเดินลงไปข้างหน้า ลดระดับลงไปตามไหล่เขา


 


ขณะที่วิ่ง หุ่นรบก็ได้ทำการปลดอาวุธบนร่างกาย


 


ปืนกลแก็ตลิ่ง , มีดโมเลกุลความถี่สูง , ระเบิดคลื่นกระแทกระยะไกล , ปืนใหญ่เลเซอร์ขนาดเล็ก , กระสุนและระเบิดเจาะเกราะ …


 


อาวุธเหล่านี้ถูกปลดออก และกลิ้งส่งเสียงเคร้งครั้งลงตามทางลาดเขา


 


หลังจากถอดอุปกรณ์เสริมทั้งหมดแล้ว ความเร็วของหุ่นรบทั้งหมดก็เพิ่มขึ้นกว่าสามส่วน


 


และหุ่นรบก็ยังคงเร่งความเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง


 


ท่ามกลางเสียงคำรามของเครื่องยนต์ หุ่นรบสีดำทะยานข้ามเหนือภูเขาสูง พุ่งตรงไปยังเทพนักสู้


 


“น่าสนใจดีนี่”


 


ซางซ่งหยางมองไปยังการกระทำของอีกฝ่าย ในหัวใจของเขาก็บังเกิดความตระหนักชัด


 


เป็นการต่อสู้กันด้วยหุ่นรบแบบเพียวๆสินะ?


 


และเขาก็ไม่มัวเสียเวลาคิดมาก ทำการตัดสินใจในทันที


 


เห็นแค่เพียงอาวุธทั้งหมดที่ถูกติดตั้งไว้ทั่วร่างของหุ่นรบสีเขียวที่จู่ๆก็ตกลงไปบนพื้นดิน


 


ปัง!


 


หุ่นรบระเบิดฝีเท้าอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน พุ่งทะยานตรงไปยังเนินเขา


 


หนึ่งดำหนึ่งเขียว ระยะหว่างระหว่างหุ่นรบทั้งสองตีวงแคบลงอย่างรวดเร็ว!

 

 

 


ตอนที่ 333

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.333 – หัวใจน้ำแข็ง


 


บนท้องฟ้า


 


การโจมตีที่ทรงประสิทธิภาพมากมายผสานร่วมกันจากทุกทิศทาง โถมกดดันบังคับให้กู่ฉิงซานต้องพบกับทางตันที่มิอาจล่าถอย


 


ไม่มีใครหรอกที่จะสามารถต้านทานการระเบิดพลังทำลายล้างของมืออาชีพชั้นสูงพร้อมกันถึง 60 คนได้ ต่อให้เป็นตัวกู่ฉิงซานเองก็ตามที


 


ทว่ากู่ฉิงซานกลับยังยืนนิ่งอยู่กลางอากาศ โดยมิได้เคลื่อนไหวใดๆ หรือเขาอาจจะถอดใจแล้วก็ไม่ทราบ


 


“เจ้า … ได้ตายไปแล้ว” ม่านตาขององค์จักรพรรดิหดวูบ ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล


 


แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆกู่ฉิงซานที่ยืนนิ่งก็ดันหายวับไป


 


และหนึ่งในร่างโคลนอันทรงพลังก็ปรากฏขึ้นแทนที่ในตำแหน่งเดิมของเขา


 


ชายคนนั้นตกตะลึง ชะงักงันอยู่ครู่หนึ่ง


 


และเมื่อในแววตาของเขาบังเกิดประกายตระหนักรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น มันก็สายเกินไปเสียแล้ว


 


“ไม่ … ”


 


เขามีเวลามากพอแค่กล่าวเพียงคำเดียวเท่านั้น


 


ส่วนเวลาต่อจากนั้น ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็ถูกประกายแสงแห่งความพินาศโถมเข้าปกคลุมจนสิ้น


 


การระเบิดพลังของ 60 มืออาชีพที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด ส่งผลให้ร่างกายของผู้ที่ถูกโจมตีไม่มีเหลือทิ้งไว้แม้กระทั่งเศษซาก


 


ในอีกด้านหนึ่ง ร่างของกู่ฉิงซานได้ปรากฏตัวออกมา


 


พร้อมกับดาบพิภพที่สาดประกายแสงวูบ วาดสังหารศัตรูที่อยู่ข้างๆให้ตกตายลงไปอีกหนึ่งอย่างเรียบง่ายราวกับตัดเต้าหู้


 


“ไปเลย”


 


กู่ฉิงซานสั่ง


 


และดาบพิภพก็พรึบ! ผละออกจากมือเขา หายลับไปในความว่างเปล่า


 


ได้ยินเพียงแค่เสียง ‘แคร๊ก’


 


ตามต่อด้วยเสียงบดขยี้ด้วยคมดาบ ลงกลางหัวของหนึ่งในตัวตนที่แข็งแกร่ง พร้อมกับของเหลวสีแดงและขาวระเบิดออกมาจากสมองของเขา


 


เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานหยุดยืนอยู่นิ่งๆ ไร้ซึ่งดาบพิภพในมือ เหล่ามืออาชีพนับสิบก็ฉวยโอกาสนั้นโจมตีใส่เขาทันที


 


และกู่ฉิงซานก็มิได้หลบเลี่ยง เขาเอื้อมมือไปคว้าดาบเช่าหยินและตัดสะบั้นหัวของมืออาชีพที่เข้ามาใกล้ที่สุดจนขาดลง


 


แต่หนึ่งหัวที่ขาดไป ก็ต้องแลกกับการโจมตีอีกนับสิบที่เข้าถึงตัวของเขา


 


ปัง!


 


เขาถูกโจมตีโดนแล้ว!


 


ชั้นอากาศที่ว่างเปล่าบังเกิดการสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง


 


แต่ยังไงก็ตาม มันกลับกลายเป็นหนึ่งในมืออาชีพชั้นสูงอีกคนที่ต้องมาตกตายลงภายใต้การโจมตีนี้


 


แล้วกู่ฉิงซานก็ปรากฏตัวขึ้นแทนที่ในตำแหน่งของเขา


 


ท้ายที่สุด ฝูงชนก็ตระหนักรู้แล้วว่ามันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น! ทั้งหมดเริ่มสอดส่ายสายตาไปทางพวกเดียวกัน เพื่อเฝ้ารอโจมตีอีกฝ่ายที่จะสลับตำแหน่งมา


 


และกู่ฉิงซานก็หายตัวไปอีกที ก่อนจะปรากฏขึ้นเบื้องหลังของอีกคนหนึ่ง


 


แต่เวลานี้ … เขาไม่ได้แลกเปลี่ยนตำแหน่งกับผู้ใด!


 


ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว!


 


บรัช!


 


ดาบยาววูบออกไป และชายที่อยู่เบื้องหน้าเขาก็สิ้นใจลงในพริบตา


 


หลังจากที่สังหารชายผู้นี้ ร่างของกู่ฉิงซานก็วูบหายไปจากสายตาอีกครั้ง


 


ปัจจุบันนี้ เขาคือผู้ฝึกยุทธในขอบเขตก้าวสู่เทพ และเขาก็เป็นตัวตนที่เป็นที่รู้จักกันดีหรือที่เรียกง่ายๆว่าเป็นหนึ่งในคนสำคัญในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ


 


ปริมาณพลังวิญญาณทั้งหมดของขอบเขตก้าวสู่เทพ นับว่าเพียงพอแล้วที่จะปล่อยให้กู่ฉิงซานใช้สกิลต่างๆของตนได้อย่างไม่ยี่หร่ะ


 


ท่ามกลางความว่างเปล่าบนผืนฟ้า ประกายแสงสีทองกระพริบไหว วูบวาบไปมาอย่างไม่รู้จบ และเมื่อทั้งหมดจับตำแหน่งของมันได้ มันก็หายวับไปจากสายตาอีกครั้ง


 


หัวของมืออาชีพชั้นสูงคนแล้วคนเล่าถูกตัดฉับๆและร่วงตกลงจากฟากฟ้า


 


องค์จักรพรรดิแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง


 


โดยสิ้นเชิงแล้ว ที่กู่ฉิงซานทำรวมทั้งหมดมันมีเพียงแค่สองสิ่งเท่านั้น


 


หนึ่งคือปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลัน


 


สองคือกวัดแกว่งดาบออกไปอย่างอิสระ


 


แต่กลับไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเขาไว้ได้เลย


 


ฉากนี้แลดูราวกับเขาเป็นมนุษย์หุ้มเกราะทองคำโบราณ โบยบินฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องฟ้า ควงดาบยาวเก็บเกี่ยวทุกสรรพชีวิตอย่างไม่รู้จบ


 


บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏตัวอักษรที่ร้อยเรียงเป็นเส้นแสงหิ่งห้อยขึ้นอย่างต่อเนื่อง


 


“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”


 


“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”


 


“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”


 


……..


“อย่าใช้เทคนิคมนตรา! กระจุกรวมตัวกันไว้ แล้วค่อยฆ่าเขา!” องค์จักรพรรดิขบกรามบดขยี้ฟันตนจนเกิดเสียงกรอดๆ ตะโกนแนะนำออกไป


 


พอได้ฟัง เหล่ามืออาชีพก็เริ่มแออัดอยู่ใกล้ชิดกัน


 


แล้วในที่สุดกู่ฉิงซานก็ไม่อาจไล่เก็บทีละตัวได้อีกต่อไป เขาต้องจำใจบินถอยออกมา


 


แต่ก็แทบจะไม่ได้หยุดนิ่ง หลังจากนั้นอีกไม่ถึงสองลมหายใจ เขาก็เหวี่ยงสะบัดดาบเช่าหยินออกไปยังทิศทางของกลุ่มคนเหล่านั้น


 


เส้นแสงสว่างไสวดั่งดวงดาราควบแน่นเป็นวิถีตรง ตัดผ่านความว่างเปล่า หมุนวนไปมา ตีวงล้อมเชือดเฉือนเหล่ามืออาชีพชั้นสูงที่กระจุกรวมกัน


 


เทคนิคลับแห่งดาบ ประทับดารา!


 


“นี่ … นี่มันกระบวนท่าอะไรกัน ทำไมตัวข้าถึงไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลย” มืออาชีพคนหนึ่งตื่นตะลึงจนร้องอุทานออกมา


 


ในวิสัยทัศน์เบื้องหน้าเต็มไปด้วยโลหิตที่กระฉูดเป็นสาย ส่งผลให้ความหวาดกลัวของเขาเริ่มพุ่งขึ้นถึงขีดสุด


 


ส่วนทางด้านกู่ฉิงซาน มือของเขายังคงสับเปลี่ยนแปรผันอย่างว่องไว ใช้ออกด้วยกระบวนท่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด


 


ดาบพิภพพรวดออกมาจากความว่างเปล่า มันกระโจนเข้าร่วมวงตัดเฉือนไปทั่วอากาศบนท้องฟ้า คอยเก็บเกี่ยวชีวิตแล้วชีวิตเล่าที่อยู่ที่นั่น


 


แม้จะกระจุกอยู่รวมตัวกันแล้ว แต่มืออาชีพที่แข็งแกร่งเหล่านี้ก็ยังมิอาจต้านทานการเชือดเฉือนอย่างเต็มกำลังของดาบพิภพได้เลย


 


จนกระทั่งเมื่อมืออาชีพชั้นสูงที่ยืนหยัดอยู่กลางอากาศหลงเหลือเพียงครึ่ง แท้จริงแล้วกลับยังไม่มีใครเลยที่สามารถทำอันตรายใดๆต่อกู่ฉิงซานได้ กระทั่งปลายเล็บก็ยังมิอาจสัมผัส!


 


แม้จะเป็นร่างโคลน แต่ใจก็ยังเป็นมนุษย์ พวกเขาสิ้นหวังแล้วในเวลานี้


 


ทั้งหมดแตกฮือ กรีดร้องอลหม่าน แยกตัวกันหลบลี้หนีหาย กระจัดกระจายไปทุกทิศทาง


 


อย่างไรก็ตาม แม้พวกเขาจะเร็ว แต่ดาบบินนั้นเร็วยิ่งกว่า


 


หลังจากนั้นอีกสักพัก ร่างโคลนทั้งหมดก็ถูกสังหารลง


 


จากนั้น กู่ฉิงซานก็หันมองไปยังรอบๆ ก่อนที่สายตาของเขาจะหยุดลงที่จักรพรรดิฟูซี


 


องค์จักรพรรดิยับยั้งอารมณ์อันหลากหลายในจิตใจ สายตากวาดมองกู่ฉิงซานขึ้นๆลงและเอ่ยถามในทันใดว่า “เจ้ากับพระสันตะปาปาแห่งคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร?”


 


“ทำไมท่านถึงถามแบบนั้นล่ะ?” กู่ฉิงซานถามสวนกลับไปอย่างไม่คาดคิด


 


“ข้าคิดเสมอมาว่ามีเพียงพระสันตะปาปา หนึ่งเดียวเท่านั้นในโลกใบนี้ที่เป็นตัวตนที่คาดไม่ถึงโดยสมบูรณ์ ทว่าตอนนี้กลับมีเพิ่มมาอีกหนึ่ง”


 


องค์จักรพรรดิเอ่ยอย่างช้าๆ “พฤติกรรมและการต่อสู้ของเจ้ามันแตกต่างไปจากพวกเรา มันมิใช่สิ่งที่มนุษย์จะสามารถเข้าใจได้”


 


“พระสันตะปาปา … ”


 


กู่ฉิงซานพลันนึกขึ้นได้ในทันใดว่าในช่วงเวลาสุดท้ายของวันสิ้นโลก สมเด็จพระสันตะปาปาได้หายตัวไปอย่างกระทันหัน


 


แต่ในตอนนั้นเอง เสียงของเทพธิดากงเจิ้งก็ดังขึ้น ขัดจังหวะความคิดของเขา


 


“ใต้เท้า โปรดเร่งจบการต่อสู้โดยเร็วเถอะ กองกำลังของทั้งสองประเทศพึ่งจะเผชิญหน้ากันเมื่อหนึ่งวินาทีที่แล้วนี้เอง”


 


“เข้าใจแล้ว!” กู่ฉิงซานตอบรับ


 


หนึ่งมือแปรผันไวว่อง จีบออกเป็นสัญลักษณ์


 


ดาบพิภพลอยล่องหยุดนิ่งอยู่ข้างกายเขา ส่วนดาบเช่าหยินก็บินกลับมา


 


กู่ฉิงซานเอ่ยปากอย่างช้าๆ “ฝ่าบาท นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว ทรงยอมจำนนเถอะ”


 


“โชคไม่ดีจริงๆที่ร่างโคลนของข้ามันไม่สมบูรณ์แบบ” จักรพรรดิฟูซีกล่าวด้วยอารมณ์


 


กู่ฉิงซาน “การต่อสู้น่ะมันต้องสั่งสมประสบการณ์ แม้ว่าร่างโคลนจะสามารถลอกเลียนแบบพลังอำนาจได้ แต่หากไร้ซึ่งร้อยพันกลยุทธ์ที่ใช้ต่อสู้ มันจะเผยความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตนออกมาได้อย่างไร?”


 


จักรพรรดิฟูซีไม่ตอบ


 


กู่ฉิงซาน “โปรดสั่งการให้กองทัพฟูซีถอนกำลังกลับไปด้วยเถิดพะยะค่ะ”


 


แม้จะสังหารร่างโคลนไปจนหมดสิ้นอย่างไร้ความปราณี แต่สำหรับองค์จักรพรรดิแล้ว กู่ฉิงซานยังพอมีเมตตาอยู่


 


แน่นอนว่ามันมิใช่เพราะเขาเป็นตัวตนที่ทรงพลัง เป็นผู้ใช้ธาตุทั้งห้าในขั้นห้าที่ตัวจริงที่หาได้ยากยิ่งในโลกใบนี้เท่านั้น แต่พระองค์ยังเป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณของสาธารณรัฐฟูซีอีกด้วย


 


นี่ยังไม่ได้กล่าวถึงข้อมูลลับที่เขาจะต้องรู้แน่ๆเกี่ยวกับนรกเยือกแข็ง ซึ่งมันคือสิ่งที่คนเป็นไม่เคยได้ล่วงรู้มาก่อน


 


หากเขาสามารถเกลี้ยกล่อมให้องค์จักรพรรดิหันกลับมาได้ มนุษยชาติคงได้รับผลประโยชน์ดีๆกลับคืนมาไม่น้อยเลย


 


องค์จักรพรรดิหัวเราะในทันใด


 


“โง่เง่า” เขาส่ายหัวและกล่าว “สถานการณ์ของโลกในตอนนี้น่ะ มันมิอาจกู้คืนมาได้แล้ว”


 


“สถานการณ์โลกไม่อาจกู้คืนมาได้ แต่เรายังสามารถทำให้มันดีขึ้นได้ แทนที่จะทำแค่เพียงเฝ้ามอง ปล่อยให้มันล่มสลายลงนะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“อนาคตที่ข้าคิดหมายจะโอบอุ้ม มันคืออนาคตที่สาธารณรัฐปกครองโลกทั้งใบ” องค์จักรพรรดิคำราม


 


รอบกายเขา ค่อยๆบังเกิดไอน้ำพวยพุ่งออกมา


 


ไอน้ำปกคลุมพัวพันรอบกายเขา ก่อรูปขึ้นเป็นละอองหมอกหนา ก่อนจะควบแน่นเรียงร้อยกันเป็นลูกประคำน้ำแข็ง


 


องค์จักรพรรดิคว้าจับลูกประคำและบีบขยี้มันจนเป็นผง


 


กระแสเสียงขององค์จักรพรรดิทุ้มลึก “เจ้าแกร่งมากจริงๆ แต่ถ้าข้ากลายร่างเป็นคนตาย แกร่งเพียงใดเจ้าก็มิอาจฆ่าข้าได้”


 


ขณะกล่าว ในวิสัยทัศน์ของเขากลับเห็นแค่เพียงใบหน้าของกู่ฉิงซานที่เผยถึงความเศร้าและถอนหายใจเล็กน้อย


 


ตามด้วยความรู้สึกเจ็บแปล่บลึกเข้ามาในหัวใจ


 


ดาบพิภพแทงทะลุเข้ากลางหัวใจขององค์จักพรรดิ ก่อนจะกระชากมันออกมา และบินกลับมาหากู่ฉิงซาน


 


หยาดเลือดไหลรินลงมาจากดาบพิภพ ขณะที่ก้อนหัวใจที่กำลังเต้นตุบๆกลางใบดาบค่อยๆแตกสลายออกเป็นชิ้นๆ พัดกระจายหายไปกับสายลมเย็น


 


“อ๊อก … ”


 


องค์จักรพรรดิยกมือขึ้นกุมปากตนเอง และก้มลงมองไปยังหลุมเลือดตรงหน้าอก


 


แต่แล้วจู่ๆเขาก็หัวเราะออกมาอย่างร้ายกาจ “ฮ่าฮ่าฮ่า! สายเกินไป! เจ้ามันช้าเกินไป! ข้าได้เรียกท่านบรรชนของข้ามาแล้ว และนับจากนี้ข้าก็จะครอบครองร่างของคนตาย .. ข้าเป็นอมตะ!”


 


ไอน้ำที่กระพือไปตามสายลม เริ่มก่อรูปเข้าด้วยกันเป็นชิ้นส่วนน้ำแข็งปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา


 


องค์จักรพรรดิคว้าจับ ‘หัวใจน้ำแข็ง’ ที่พึ่งก่อร่างขึ้นมา และยัดมันกลับเข้าไปในรูหน้าอกของเขา


 


“นี่คือหัวใจน้ำแข็ง นับจากนี้ต่อไป ตราบใดที่ข้าสัมผัสกับชิ้นส่วนใดของนรกเยือกแข็ง ไม่ว่าอาการบาดเจ็บใดๆก็จะถูกฟื้นฟูจนกลับมาจนสมบูรณ์”


 


องค์จักรพรรดิจ้องม้องไปทางกู่ฉิงซานด้วยรอยยิ้มบาง


 


เขาครอบครองหัวใจน้ำแข็ง เพียงเท่านี้ก็ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัวอีกแล้ว


 


“นี่ท่านริเริ่มความคิดที่จะกลายเป็น ‘คนตาย’ ด้วยตัวเองอย่างงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานกล่าวเสียงหม่นทะมึน


 


“ถูกต้อง และคราวนี้ก็ถึงตาเจ้าคิดบ้างแล้วว่า- ”องค์จักรพรรดิกล่าวอย่างช้าๆ “- เจ้าจะเอาชนะคนตายได้อย่างไร?”


 


แต่แล้วเสียงของเขาก็หยุดลงอย่างกระทันหัน


 


น้ำแข็งจากบริเวณหน้าอกขององค์จักรพรรดิค่อยๆแพร่กระจายลุกลามไปทั่วร่างกาย ก่อนจะแช่แข็งทั้งตัวเขาจนแลคล้ายกับลูกเห็บยักษ์


 


เขาถูกแช่ในน้ำแข็ง หลงเหลือทิ้งไว้เพียงส่วนหัวเท่านั้นที่ยังคงสามารถสูดดมอากาศโดยรอบ แต่ส่วนอื่นๆล้วนมิอาจขยับเขยื้อนได้เลย


 


จักรพรรดิฟูซีเลื่อนสายตาหันไปมองรอบๆ ดูเหมือนว่าเขาก็กำลังงงกับฉากนี้เช่นกัน


 


-นี่มันแตกต่างจากที่ข้าคิดไว้


 


เมื่ออยู่ในก้อนน้ำแข็งนี้ มันก็จริงอยู่ที่เขาจะไม่ตายไปสักพัก แต่แล้วเขาจะต่อสู้ต่อได้ยังไงกันล่ะ?


 


และที่น่าแปลกก็คือน้ำแข็งที่พันธนาการองค์จักรพรรดิเอาไว้ มันกลับลอยนิ่งอยู่กลางอากาศอย่างไม่น่าเชื่อ … ปกติแล้วนรกเยือกแข็งมันต้องอยู่บนพื้นดินสิ?


 


ด้วยฉากอันแปลกประหลาดนี้ ทำให้ตัวกู่ฉิงซานเองก็ชะงักงันอยู่ครู่หนึ่ง


 


แต่ไม่ว่ามันจะแปลกยังไงก็ตาม สงครามก็ได้ปะทุขึ้นแล้ว ฉะนั้นองค์จักรพรรดิแห่งฟูซีจะต้องตายลงที่นี่! ตอนนี้!


 


กู่ฉิงซานกำดาบพิภพในมือ และเตรียมที่จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อจบชีวิตฝ่ายตรงข้ามลง


 


แต่แล้วขณะวูบกายเคลื่อนไหว เขาก็หยุดกึกอย่างกระทันหัน


 


พร้อมกับบังเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นในจิตใจ


 


“นั่นมันอะไรกันน่ะ?” กู่ฉิงซานบ่นพึมพำ


 


แม้จะมองไม่เห็น แต่ดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างกำลังใกล้เข้ามา


 


ไอน้ำระเหยไปทั่วชั้นอากาศ เติมเต็มผืนฟ้าควบรวมกันจนเป็นสีเทา


 


ไอน้ำสีเทาอ่อนๆ แพร่กระจายออกไปทั่วท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว


 


และเกือบจะในทันที ไอน้ำเหล่านั้นก็เริ่มก่อตัวเป็นธารใหญ่ข้ามผ่านผืนนภามาจากสุดขอบฟ้า ปรากฏขึ้นต่อหน้ากู่ฉิงซาน


 


มองไปยังสายธารนี้ ไม่ว่ามนุษย์คนใดก็ล้วนอดไม่ได้ที่จะเกิดความหวาดกลัวและสิ้นหวัง ราวกับภัยพิบัติร้ายอันมิอาจต้านทานย่างกรายเข้ามาเยือน


 


“สายธารแห่งการหลงเลือน … ไม่สิ นี่มันค่อนข้างจะแตกต่างออกไป … ” กู่ฉิงซานวิเคราะห์แยกแยะ เอ่ยพึมพำ


 


ราวกับว่าสายธารนี้มีชีวิต มันค่อยๆไหลเอื่อยๆเข้าหากู่ฉิงซาน


 


ทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานตื่นตัวทันที


 


เขาได้ออกเดินทางต่อสู้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนในชั่วชีวิตของเขา แต่ไม่เคยได้ต่อสู้กับสายธารมาก่อนเลย


 


นอกจากนี้ แม้ระยะทางจะยังคงห่างไกลกว่าหลายสิบเมตร แต่สายธารตรงหน้ากลับม้วนเกลียวเป็นคลื่นมหึมาน่าสยดสยอง โถมกดมาทางกู่ฉิงซานด้วยเจตนาร้าย


 


ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังเค้นสมองหาวิธีรับมือกับมัน จู่ๆดาบเช่าหยินก็บินเข้ามาตกลงในมือของเขา


 


ดาบเช่าหยินสั่นไหวเล็กน้อย ดูเหมือนว่ามันต้องการจะสื่ออะไรบางอย่าง


 


บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ตัวอักษรร้อยเรียงเป็นบรรทัดปรากฏขึ้น


 


“ดาบเช่าหยินร้องขอที่จะใช้แต้มพลังวิญญาณของคุณ ปริมาณที่ร้องขอคือ : 10 แต้ม”


 


“คุณจะอนุญาตให้มันใช้แต้มพลังวิญญาณของคุณหรือไม่?”


 


แต้มพลังวิญญาณ ไม่เพียงแต่เป็นพลังเหนือธรรมชาติ แต่ชุดเกราะรบเพลิงคำรนก็ใช้มันเช่นกัน กระทั่งมารสวรรค์ก็ยังใช้ มันเป็นเหมือนกับแหล่งที่มาของพลังอำนาจอันน่าอัศจรรย์ใจ นอกจากนี้ยังเป็นตัวช่วยให้กู่ฉิงซานยกระดับขึ้นได้อย่างไม่รู้จบอีกด้วย


 


ไม่คาดคิดเลยว่า เมื่อดาบเช่าหยินซ่อมแซมเสร็จแล้ว มันจะสามารถใช้แต้มพลังวิญญาณได้เหมือนกัน


 


กู่ฉิงซานมองบรรทัดแสงตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ และกล่าวด้วยความคาดหวังว่า “ฉันอนุมัติ”


 


บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏบรรทัดเส้นแสงขึ้นอีกครั้ง “ทำการจ่ายแต้มพลังวิญญาณ”


 


บังเกิดลมที่มองไม่เห็นคดเคี้ยวไปมารอบตัวกู่ฉิงซาน และขยายไปยังดาบเช่าหยิน


 


ดาบเช่าหยินระเบิดเสียงคำรามกระหึ่มออกมา และในไม่ช้ามันก็เงียบลง


 


ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเสียงกระหึ่มนี้ สายธารกลับดูเหมือนจะหวาดกลัว และแปรเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทันใด


 


สายธารเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน แยกออกเป็นสองฟากฝั่ง


 


มันเลือกที่จะไม่ท่วมทับตัวเขา และแล่นผ่านไปอย่างรวดเร็ว


 


กู่ฉิงซานยืนนิ่งอยู่ที่เดิม โดยไร้ซึ่งหยดน้ำใดๆเปียกปอนตามร่างกายของเขา


 


“นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ‘ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทม’ อย่างงั้นสินะ จริงๆแล้วมันคือความสามารถในการควบคุมธาตุน้ำ … ไม่สิ เมื่อกี้มันสายธาร ไม่ใช่น้ำบริสุทธิ์ที่เกิดจากธาตุทั้งห้านี่นา … ” กู่ฉิงซานเฝ้ามองมัน ขบคิดอย่างรอบคอบ


 


ในความว่างเปล่า บังเกิดเสียงแหบแห้งที่แผ่วเบาราวกระซิบดังขึ้น


 


“โฮ่ … นี่มันน่ามหัศจรรย์จริงๆ มีพลังที่ทำให้ข้ามิอาจเข้าใกล้ได้อยู่ด้วยหรือนี่ … ” พร้อมกับเสียงนี้ กลิ่นอายเยือกแข็งก็แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว


 


เมื่อจักรพรรดิฟูซีได้ยินเสียงนี้ สีหน้าของเขาก็ดูดีขึ้นเล็กน้อย


 


“ท่านบรรพชน! ในที่สุดท่านก็มาเสียที” องค์จักรพรรดิกล่าว


 


เบื้องหลังจักรพรรดิฟูซี พลันปรากฏบัลลังก์น้ำแข็งขึ้นในความว่างเปล่า


 


และบนบัลลังก์ มีร่างโครงกระดูกนั่งอยู่


 


เสื้อคลุมสีดำขนาดใหญ่บดบังรูปร่างของเขา เผยให้เห็นแค่เพียงส่วนหัวกะโหลกเท่านั้น


 


บนหัวกะโหลกของเขา สวมใส่มงกุฏที่ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ขณะที่มีดาบยาวสีเทาวางพาดอยู่ในอ้อมแขน


 


โครงกระดูกอ้าขยับปาก เปล่งวาจาด้วยน้ำเสียงแหบห้าว “จักรพรรดิฟูซี ดูเหมือนว่าแผนการโดยรวมของเจ้าจะล้มเหลวนะ”


 


“ท่านบรรพชน ชายผู้นี้ช่างประหลาดนัก คนของข้าไม่มีผู้ใดต่อกรกับเขาได้เลย” จักรพรรดิฟูซีอธิบาย


 


“เจ้าน่ะมันล้มเหลว” ชายเสื้อคลุมดำกล่าว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าความล้มเหลวของจักรพรรดิ สำหรับประเทศแล้วมันหมายถึงสิ่งใด?”


 


“ท่านบรรพชน โปรดให้โอกาสข้าอีกสักครั้ง ตราบใดที่ข้าได้แปรสภาพเป็น ‘คนตาย’ แล้ว ข้าจะไม่ปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน” องค์จักรพรรดิกล่าว


 


ชายในชุดคลุมดำตอบอย่างใจเย็นว่า “เจ้าคงได้ยินข้าพูดไม่ชัดสินะ? ก็ได้ งั้นข้าจะพูดมันอีกครั้ง”


 


“เจ้า”


 


“น่ะ”


 


“มัน”


 


“ล้มเหลว”


 


จักรพรรดิฟูซีที่ถูกแช่ในน้ำแข็งนิ่งค้างไป เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบโต้ออกไปเช่นไรดี


 


เพราะเขาไม่เคยเป็นฝ่ายที่จะต้องทำให้ใครพึงพอใจ ดังนั้น เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าวนี้ ตนเลยไม่แม้แต่จะสามารถเปล่งออกมาได้กระทั่งคำพูด


 


โครงกระดูกในชุดคลุมดำโน้มกายไปข้างหน้า สายตากลวงโบ๋จับจ้ององค์จักรพรรดิและเอ่ยว่า “ยามเมื่อประเทศพินาศลง อย่างน้อยกษัตริย์ก็ควรจะเป็นคนสุดท้ายที่ยอมแพ้ แต่เจ้ากลับกลายเป็นคนแรกที่ทรยศมนุษยชาติทั้งโลก นี่นับเป็นความล้มเหลวของเจ้าในฐานะมนุษย์”


 


จักรพรรดิฟูซีตะลึงงัน


 


ถ้อยคำเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่กู่ฉิงซานพึ่งกล่าวออกไปแทบทั้งสิ้น


 


โครงกระดูกในชุดคลุมดำยังคงกล่าวต่อ “เจ้าบอกว่าจะมาขออาศัยพึ่งพาข้า และจะทำตามทุกสิ่งที่ข้าบอก แต่เจ้าก็ยังทำมันผิดพลาดไปเสียทุกอย่าง นอกจากนี้ -”


 


“-ในฐานะกษัตริย์ เจ้าทรยศต่อประเทศ … ทรยศต่อโลกของเจ้า”


 


“ในฐานะนักพนัน ทั้งๆที่เจ้าทุ่มชิปทั้งหมดที่มีออกไปแล้ว แต่มันกลับไม่ก่อผลประโยชน์ใดๆให้แก่ข้าเลย”


 


โครงกระดูกในชุดคลุมดำเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเบื่อหน่าย


 


“ล้มเหลวไปเสียทุกอย่าง ตัวตนอย่างเจ้าน่ะ มันไม่สมควรที่จะได้รับหัวใจน้ำแข็ง”


 


“และในฐานะที่เป็นคนล้มเหลว วิธีที่ดีที่สุดที่เจ้าสมควรจะชดใช้ นั่นก็คือการกลายเป็นพลังอำนาจเหมือนดั่งเช่นกษัตริย์ไร้ค่าคนอื่นๆ” โครงกระดูกชุดคลุมดำกล่าว


 


พร้อมกับดาบสีเทาในมือเขาที่กระพริบไหว


 


ฟุบบ! หัวขององค์จักรพรรดิฟูซีร่วงตกลง โดยที่บนใบหน้าของเขายังคงเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ


 


ทว่าด้วยร่างของเขากำลังถูกห่อหุ้มไปด้วยน้ำแข็ง ทำให้เขายังไม่เสียชีวิตลง


 


จักพรรดิฟูซีจ้องมองโครงกระดูกในชุดคลุมดำ ในที่สุดก็เปล่งเสียงร้องออกมา “ข้าเป็นลูกหลานของเจ้านะ! ไอ้บรรพชน!”


 


“ลูกหลานของข้าเอ๋ย จงตั้งใจฟังข้าให้ดี” โครงกระดูกยื่นมือออกไปจิกผมบนหัวที่แยกออกจากตัวขององค์จักรพรรดิ แล้วยื่นมันเข้ามาใกล้ๆกับหน้าของตนเอง


 


“หากเจ้ามิได้เป็นจักรพรรดิ เจ้าก็เป็นเพียงแค่หนึ่งในลูกหลานของเหลนของข้า”


 


ขณะกล่าว ร่างของหัวกะโหลกในชุดคลุมดำก็เหยียดตรงเล็กน้อย และเริ่มสูดลมหายใจเข้าลึกๆ


 


พร้อมกับบนหัวของจักรพรรดิฟูซี ที่ผุดร่างเงาวูบไหวแลดูน่าขนลุกลอยออกมา ขณะเดียวกันก็เปล่งเสียงร้องตะโกนด้วยความสยองเกล้า


 


ร่างเงาที่ว่านี้ถูกสูดดมเข้าไปภายในจมูกของชายในชุดคลุมดำ


 


หัวกะโหลกชุดคลุมดำเงยหน้าขึ้น และผ่อนลมหายใจหายด้วยความพึงใจ


 


“จิตวิญญาณของลูกหลานข้า … ช่างมีพลังมากโดยแท้” เขาครวญออกมา


 


ในมือของเขา หัวขององค์จักรพรรดิฟูซี บัดนี้เนื้อหนังหดหาย หลงเหลือทิ้งไว้เพียงกะโหลกที่ว่างเปล่า


 


องค์จักรพรรดิฟูซี คนทรยศ หนึ่งในตัวตนที่ทรงพลังที่สุดในโลก ได้ถูกสังหารลงแล้วโดยบรรพชนของตนเอง!!


 


จิตวิญญาณของเขาถูกกลืนกิน ทิ้งไว้เพียงกะโหลกเปล่าๆไว้เบื้องหลังเท่านั้น

 

 

 


ตอนที่ 334

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.334 – หยุด


 


เมื่อประธานาธิบดีทำการระดมกำลังสามเหล่าทัพเพื่อเตรียมพร้อมที่จะเริ่มสงคราม ในทางตรงกันข้ามสงครามที่กำลังจะปะทุจึงจำต้องล่าช้าออกไป


 


ด้วยการระดมกำลังอย่างฉับพลันของกองทัพรัฐบาลกลาง ส่งผลให้สงครามในครั้งนี้ทวีความรุนแรงถึงขีดสุด


 


สงครามระดับนี้ กล่าวได้ว่าสามารถสร้างความเสียหายร้ายแรงให้แก่ทั้งสองประเทศ


 


ม่านเหล็กทำการปรับกลยุทธ์ และเทพธิดากงเจิ้งก็เช่นเดียวกัน


 


การปรับใช้งานทางทหารได้กลายเป็นขั้นตอนที่ซับซ้อนมากขึ้น และยากที่จะคาดคำนวณ


 


สมองของมนุษย์ไม่สามารถที่จะเข้าใจถึงการคำนวณของสงครามระหว่างทั้งสองประเทศ แต่แน่นอนว่าสำหรับAI พวกมันย่อมสามารถทำได้


 


ม่านเหล็กเริ่มระมัดระวังมากขึ้น ทุกการกระทำและวางแผนล้วนเป็นไปอย่างรอบคอบ


 


การเคลื่อนไหวของมันชะลอตัวลง


 


แต่เทพธิดากงเจิ้งกลับตรงกันข้าม การเคลื่อนไหวของเธอเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เธอเลือกที่จะค้นหารายชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับสงครามระหว่างประเทศทั้งสองเพื่อทำการวิเคราะห์กลยุทธ์ ดูเหมือนว่าเธอจะรอบคอบยิ่งกว่าม่านเหล็กเสียอีก


 


เธอรู้ดีว่ามีหลายคนที่กำลังพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อให้สงครามยุติลง


 


และหลากกลยุทธ์ที่จะถูกนำมาปรับใช้ของเธอ ล้วนถูกออกแบบมาเพื่อถ่วงเวลาแทบทั้งสิ้น


 


ณ อาณาจักรฟูซี


 


วังโอเอซิสกลางทะเลทราย


 


มีผู้คนเข้าออกตลอดเวลา รถเหินเวหาก็เช่นกัน กล่าวได้ว่าทุกชนิดของข้อมูลถูกระดมส่งมายังที่นี่


 


องครักษ์วิ่งวุ่นกลับไปกลับมา ย่ำผ่านรอยเปื้อนเลือดที่ลากเป็นทางยาวบนพื้นแลดูน่าสะพรึง และไม่ว่าใครได้พบเจอก็ล้วนต้องขวัญผวา


 


อย่างไรก็ตาม ทุกคนกลับแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นมัน


 


ก่อนที่จะได้รับคำสั่งจากองค์จักรพรรดิ รัฐมนตรีคนแล้วคนเล่าก็ได้เดินทางมาถึงวังโอเอซิสแล้ว


 


หลังจากนั้น คำสั่งหนึ่งได้ถูกส่งออกมาโดยจักรพรรดินี ใจความว่า


 


รัฐมนตรีและข้าราชบริพารคนใดที่ต่อสู้เพื่อราชบัลลังก์และใกล้ชิดกับองค์จักรพรรดิ จะถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏ


 


การล้างเลือดครั้งใหญ่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว


 


ณ ภายในห้องชุมใหญ่


 


จักรพรรดินีได้รับการคุ้มครองโดยสมาคมนักล่า เธอเว้นระยะห่างจากเหล่ารัฐมนตรีไกลออกไป และกำลังรับฟังสถานการณ์อย่างระมัดระวัง


 


เธอยืนอยู่ที่นั่น คอยจัดการกับสถานการณ์ทางทหารด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ


 


ฉากนี้มันค่อนข้างจะแปลกประหลาดมาก


 


เพราะนักฆ่าที่มีทักษะในการลอบสังหาร กลับมารับหน้าที่คุ้มครองจักรพรรดินี


 


องครักษ์วังแต่เดิมมีหน้าที่พิทักษ์องค์จักรพรรดิและจักรพรรดินี แต่บัดนี้หน้าที่ดังกล่าวกลับถูกยึดไปโดยนักฆ่าซะงั้น


 


จักรพรรดินีเวโรน่าออกคำสั่งอีกครั้ง


 


ทว่าทันใดนั้นเอง สมองควอนตัมของเธอก็ส่องสว่างขึ้นโดยอัตโนมัติ


 


ตามด้วยเสียงอิเล็กทรอนิกส์สังเคราะห์ดังขึ้น “ฉันคือม่านเหล็ก จักรพรรดินี ได้โปรดตรวจสอบข้อความบนจอภาพด้วย”


 


ไม่มีการเอ่ยรายงานออกมาอธิบายโดยตรง ดูเหมือนว่านี่จะเป็นข้อมูลลับ


 


จักรพรรดินีก้มหัวลงมองดูมัน


 


บนจอภาพของสมองควอนตัม ปรากฏสองบรรทัดตัวอักษรขึ้น


 


“สัญญาณชีวิตขององค์จักรพรรดิได้หายไป และได้รับการยืนยันว่าเสียชีวิตลงแล้ว”


 


“ทว่าสงครามยังคงดำเนินต่อไป ฝ่าบาท ตอนนี้สามเหล่าทัพอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของท่านแล้ว”


 


จักรพรรดินีนิ่งอึ้ง


 


เธอหันไปทางฝูงชน และเดินไปช้าๆบนบัลลังก์ขององค์จักรพรรดิ


 


ริ้วรอยกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่แต่เดิมเคยมีเพียงความงดงามของเธอ เจ้าตัวใช้เวลาอยู่นานกว่าจะควบคุมน้ำเสียงให้มั่นคงได้


 


ตัวเธอสั่นสะท้าน สูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามทำให้ตัวเองสงบลง


 


เมื่อจักรพรรดินีนั่งลงบนบัลลังก์ขององค์จักรพรรดิแห่งฟูซีและเผชิญหน้ากับเหล่ารัฐมนตรีอีกครั้ง สีหน้าของเธอก็พลันไร้อารมณ์ ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นถึงใบหน้าท่าทีการแสดงออกในตอนแรกของเธอแล้ว


 


ฝูงชนที่เฝ้ามองดูฉากนี้ ต่างพากันสงสัยถึงการกระทำของจักรพรรดินี


 


แล้วทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินประโยคหนึ่งขึ้นมาอย่างกระทันหัน


 


“ฝ่าบาทได้ล่วงลับไปแล้ว”


 


จักรพรรดินีเวโรน่ากล่าวออกมาอย่างสงบ


 


ทันใดนั้นทั้งห้องพลันเงียบสงัด


 


หลังจากที่เกิดอาการช็อกครั้งใหญ่ เหล่าผู้คนในที่นั้นก็เริ่มพิจารณาเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของข่าวร้ายนี้อย่างรวดเร็ว


 


ทุกคนที่สามารถเข้ามาในห้องโถงได้ในเวลานี้ ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่อยู่ฝั่งจักรพรรดินีทั้งสิ้น


 


หากองค์จักรพรรดิล่วงลับไปแล้ว ยังจะเหลือผู้ใดอีกเล่าที่จะสามารถสู้กับจักรพรรดินีได้?


 


ที่แน่ๆในปัจจุบัน ไม่มีใครแบบนั้นอยู่ในอาณาจักร


 


ในสายตาของเหล่ารัฐมนตรีล้วนเผยถึงประกายแห่งความสุข ทว่าพวกเขาจำต้องบีบบังคับสีหน้าตนให้แลดูเศร้าสร้อยเอาไว้ ยามเมื่อสองห้วงอารมณ์ที่ต่างขั้วเผสมปนเปเข้าด้วยกัน ฉากตรงหน้านี้ช่างให้ความรู้สึกน่าขันและยากจะพรรณนาทีเดียว


 


จักรพรรดินีเอ่ยสั่ง “ข้าขอสั่งให้หยุดเคลื่อนไหวเพื่อรอรับคำสั่ง และยุติการโจมตีหรือพฤติกรรมที่แลดูเป็นภัยคุกคามทั้งหมด”


 


“นอกจากนี้ ช่วยทำการติดต่อประธานาธิบดีแห่งรัฐบาลกลางทางโทรศัพท์ทันที”


 


รัฐมนตรีและเหล่าองครักษ์ทุกคนต่างปิดปากเงียบ ที่ดังฟังชัดตลอดทั่วทั้งห้องมีเพียงเสียงของเธอเท่านั้น


 


ในไม่ช้า การสื่อสารก็ถูกเชื่อมต่อ


 


“ประธานาธิบดี ข้ายินดียิ่งที่ได้สนทนากับเจ้า”


 


“ใช่แล้ว นี่มันเป็นความผิดของฟูซีเอง แต่โชคยังดีที่ผลลัพธ์ของมันไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายมากนัก”


 


“ทางเราจะจ่ายสินสงครามให้ตามความเหมาะสม – ใช่ เขาได้จากโลกนี้ไปแล้ว”


 


“ข้าต้องการ … สันติภาพ แล้วเจ้าเล่า?”


 


——


 


ณ แนวหน้า


 


ติ๊งงงงง ติ๊งงงงง ติ๊งงงงง ติ๊งงงงง


 


ช่องทางการสื่อสารของจางเพ่ยเจี่ยดังขึ้น ถี่ระรัวอย่างบ้าคลั่ง


 


“อนุญาตให้ทำการเชื่อมต่อ!” เขาตะโกน


 


“คำสั่ง : หยุดเคลื่อนไหวเพื่อรอรับคำสั่ง และยุติการโจมตีหรือพฤติกรรมที่แลดูเป็นภัยคุกคามทั้งหมด”


 


จางเพ่ยเจี่ยเปิดค็อกพิททันที พร้อมกับง้างมือกระแทกลงในปุ่มสีแดง


 


ปัง!


 


เกราะรบสีดำที่อยู่ในสภาพแตกหักเสียหายไร้ซึ่งพลังงานเกื้อหนุนอีกต่อไป มันร่วงตกลงไปกองกับพื้น


 


ในช่วงเวลาเดียวกัน จางเพ่ยเจี่ยได้โผล่ออกมาจากชุดเกราะ และกลิ้งขลุกๆไปมาบนพื้น


 


“ฉันยอมแพ้!”


 


เขาตะโกนไปทางหุ่นรบสีเขียวที่ยังคงไม่บุบสลาย


 


กำปั้นเหล็กข้างหนึ่งกำลังง้างลงมาหมายจะกระแทก อยู่ห่างจากเขาเพียงหนึ่งช่วงแขน


 


เกราะรบสีเขียวหยุดชะงักลงอย่างกระทันหัน


 


แรงลมขนาดใหญ่ที่เกิดจากการหยุดปะทะ พัดเป่าจางเพ่ยเจี่ยถอยกลับไปหลายก้าว


 


“ยอมแพ้? ในฐานะทหารที่กล้าท้าทายเป็นตายกับฉัน … คุณกล้ายอมแพ้ได้อย่างไร?” น้ำเสียงของเทพนักสู้เย็นชาและฟุ้งไปด้วยเจตนาฆ่า


 


“ข้าเป็นคนของจักรพรรดินี และได้รับคำสั่งให้ถ่วงเวลาเพื่อป้องกันไม่ให้สงครามเกิดการปะทุขึ้น และตอนนี้ ม่านเหล็กก็ได้ออกคำสั่งให้ยุติสงครามแล้ว” จางเพ่ยเจี่ยเร่งอธิบายอย่างรวดเร็ว


 


เขาไม่กล้าที่จะขัดใจอีกฝ่ายแม้แต่น้อย


 


เพราะตราบใดที่เทพนักสู้ยังบังเกิดข้อสงสัยในตัวเขาแม้เพียงเล็กน้อย อีกฝ่ายก็จะกระโจนเข้าหาเขาทันทีพร้อมด้วยกระบวนท่าสังหาร!


 


“คนของจักรพรรดินีเวโรน่าอย่างงั้นหรือ … ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง!”


 


ภายในเกราะรบสีเขียว น้ำเสียงของเทพนักสู้ที่คุกรุ่นไปด้วยอารมณ์ดูอ่อนลงหลายส่วน


 


เจตนาฆ่าของเทพนักสู้ได้หายไป


 


—มันกลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายต้องการต่อสู้กับตนเองเพียงเพื่อชะลอศึกใหญ่ระหว่างสองกองทัพ


 


อีกฝ่ายถึงขั้นยอมเผชิญหน้ารับการโจมตีของตนที่โหมกระหน่ำราวกับพายุจนกระทั่งถึงช่วงเวลารุ่งสางนี้


 


ส่งผลให้ไม่มีทหารคนใดเข้าสู่สงคราม และไม่มีใครต้องเสียสละชีวิตลง


 


แต่นั่นมันจะเป็นความจริงหรือ?


 


ขณะที่ซางซ่งหยางกำลังขบคิด เขาก็เห็นว่าสมองควอนตัมของตนส่งเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้ามา


 


ท่านประธานาธิบดีได้ส่งข้อความถึงเขาเป็นการส่วนตัว


 


ใจความมีเพียงแค่หกพยางค์สั้นๆ


 


“สงครามสิ้นสุดลงแล้ว”


 


หลังจากนั้น ชุดกลยุทธ์อื่นก็ถูกส่งเข้ามาแทนที่กลยุทธ์เดิมโดยเทพธิดา


 


ซางซ่งหยางพอมองไปบนจอม่านแสง รอยยิ้มก็ค่อยๆผุดขึ้นมาบนใบหน้าเขา


 


เขารีบกดปุ่มเปิดห้องคนขับของเกราะรบสีเขียวออกในทันที


 


และกระโดดลงมาจากมัน


 


เขามองไปยังจางเพ่ยเจี่ยที่ยืนอยู่บนพื้นดินด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และเอ่ยออกมาเบาๆว่า “ฉันต้องขอโทษด้วยที่เข้าใจคุณผิดไป ถ้าหากเรื่องมันเป็นแบบนี้แล้วล่ะก็ กล่าวได้เลยล่ะว่าคุณน่ะเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง”


 


เทพนักสู้ยื่นมือออกไปทางทหารแห่งฟูซี


 


และจอมพลก็คว้ามืออีกฝ่าย และดึงตัวผุดลุกขึ้น


 


“มันไม่สำคัญหรอกว่าจะได้เป็นวีรบุรุษรึเปล่า แต่ที่แน่ๆข้าเกือบจะถูกฆ่าอยู่แล้ว” จางเพ่ยเจี่ยถอนหายใจออกมา


 


และเทพนักสู้ดูจะไม่ใส่ใจกับคำพูดเมื่อครู่ เขาหัวเราะออกมา “แต่ก็เพราะการถ่วงเวลาของคุณ ทำให้ระหว่างสองประเทศไม่มีใครเสียชีวิตลงเลย ฉันคิดว่าวันนี้มันจะต้องถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน”


 


“ตราบใดที่ท่านไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก ข้าจะขอบคุณมากๆ” จางเพ่ยเจี่ยกล่าว


 


“ในฐานะที่เป็นถึงจอมพลของราชวงศ์ คุณน่ะไม่ใช่คนเขลาเลย มีการตัดสินใจที่ดี ค่อนข้างชัดเจน และเข้าใจถึงการต่อสู้ เรื่องนี้ฉันค่อนข้างชื่นชมทีเดียว ” ซางซ่งหยางกล่าวสรรเสริญ


 


“ถ้างั้น – ขอข้าสูบบุหรี่ซักมวนก่อนก็แล้วกัน ส่วนเรื่องนี้เอาไว้ค่อยพูดคุยกันในภายหลัง” จางเพ่ยเจี่ยกล่าว


 


“สูบบุหรี่? แล้วทำไมฉันถึงต้องไปวุ่นวายกับการสูบบุหรี่ของคุณด้วย? เชิญตามสบายเลย” ซางซ่งหยางกล่าวด้วยควาประหลาดใจ


 


“ได้ยินแบบนี้ก็ค่อยสบายใจหน่อยแล้ว” จางเพ่ยเจี่ยกล่าวออกมาในที่สุด


 


เขาเอื้อมมือไปหลังศีรษะ จากนั้นก็ค่อยๆเอามือขูดๆ แล้วดึงมันออกมาอย่างแรง


 


หน้ากากหนังมนุษย์หลุดลอกออก เผยให้เห็นถึงรูปลักษณ์ดั้งเดิมของซางหยิงฮ่าว


 


เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ สูดมันเข้าไปลึกๆในปอด แล้วก็บ่นว่า “ไอ้เจ้าจอมพลบ้านี่มันดื้ออย่างกับลาคลั่ง ผมโน้มน้าวมันตั้งนานแต่ก็ไม่ยอมฟัง สุดท้ายเลยต้องมาออกหน้าเองแบบนี้”


 


เทพนักสู้ซางซ่งหยางกลายเป็นโง่งม


 


อย่างไรก็ตาม สองตาของเทพนักสู้ก็หรี่ลงอย่างรวดเร็ว ทั้งคนทั้งร่างเผยให้เห็นถึงเจตนาฆ่า


 


ซางหยิงฮ่าวรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาเงยหน้าขึ้น และหันหลังกลับวิ่งหนีไป


 


ส่วนเบื้องหลังเขา ไล่หลังมาด้วยเสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความโกรธของเทพนักสู้ “ไอ้เจ้าเด็กเหลือขอ แกมีพรสวรรค์คว่ำฟ้าดินถึงขนาดนี้ หยุดงานบ้าๆที่กำลังทำอยู่ซะแล้วกลับมารับใช้ทางกองทัพกับฉันเดี๋ยวนี้!”


 


ซางหยิงฮ่าวโต้สวนกลับไปทันควัน ปากเอ่ยกล่าวอย่างลื่นไหล “หลานชายขอผ่าน!  กองทัพมีแค่ท่านตาคนเดียวก็เกินพอแล้ว และอีกอย่างผมจะไม่ยอมถูกตาจับไปฝึกหนัก โดนดุด่าสั่งสอนให้ขายขี้หน้าคนไปทั่วหรอกนะ!”

 

 

 


ตอนที่ 335

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.335 – โครงกระดูกชุดคลุมดำ


 


ณ บริเวณแถบชานเมืองหลวง


 


กู่ฉิงซานกับโครงกระดูกในชุดคลุมดำกำลังเผชิญหน้ากันกลางอากาศ


 


แล้วในระหว่างนั้นเอง กู่ฉิงซานก็สังเกตเห็นว่ามีเส้นแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นในวิสัยทัศน์ของเขา


 


“ภารกิจเสร็จสมบูรณ์แล้ว”


 


“คุณได้หยุดแผนการขั้นต่อไปของจักรพรรดิฟูซี สถานการณ์ของโลกมนุษย์ยังคงมีเสถียรภาพและอัตราการแพร่กระจายของนรกเยือกแข็งเชื่องช้าลงเป็นอย่างมาก”


 


“รางวัลภารกิจ : กำลังเสริมจากปรภพจะได้รับรู้ถึงสถานการณ์ของโลก และพวกเขากำลังเร่งมือแล้วในขณะนี้”


 


“คำอธิบาย : กำลังเสริมจากปรภพจะมายังโลกในเร็วๆนี้ เพื่อร่วมต่อสู้กับนรกเยือกแข็งไปพร้อมกับคุณ”


 


กู่ฉิงซานเกร็งกำปั้นของกำอย่างรุนแรง ความเชื่อมั่นกลับคืนมา ภายในจิตใจรู้สึกโล่งอก


 


เขาบรรลุภารกิจแล้ว


 


นี่แสดงให้เห็นว่ามันไม่ได้เกิดเหตุการณ์ที่มนุษย์จำนวนมากได้ตกตายลง


 


แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือการที่องค์จักรพรรดิกลับเป็นคนที่ตายลงแทน สงครามจึงถูกยับยั้งลงในที่สุด


 


ดูเหมือนว่าความพยายามอย่างสุดกำลังของหลายๆคนเพื่อหมายจะหยุดยั้งภัยพิบัติในครั้งนี้จะไม่สูญเปล่าแล้ว


 


วิสัยทัศน์ของเขาเบนไปยังอีกฝ่าย


 


และพบว่าโครงกระดูกชุดคลุมดำยังคงนั่งอยู่ที่นั่น และกำลังตั้งหัวกะโหลกว่างเปล่าของจักรพรรดิฟูซีลงบนพนักของแขนข้างหนึ่งบนบัลลังก์น้ำแข็ง


 


ทันทีที่กะโหลกถูกวางลง น้ำแข็งค้างก็เข้าเกาะกุมมัน ปีนป่ายไปบนหัวกะโหลกและห่อหุ้มมันไว้รอบๆ


 


บนบัลลังก์น้ำแข็ง บังเกิดสายลมเย็นวูบออกในทันใด


 


โครงกระดูกในชุดคลุมดำลูบไล้ไปตามบัลลังก์ด้วยความพึงพอใจ แต่ขณะเดียวกันก็บ่นพึมพำว่า “สายเลือดแห่งข้า ในที่สุดเจ้าทุกคนก็เป็นของข้า ซึ่งนี่ก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะปลอบประโลมจิตวิญญาณของพวกเจ้า”


 


พวกเจ้า?


 


ในเวลานั้นเอง กู่ฉิงซานก็พึ่งสังเกตเห็นว่าบนบัลลังก์น้ำแข็ง มีหลายสิบหัวกะโหลกถูกจัดวางเรียงรายไว้อย่างเรียบร้อย


 


หากคิดตามที่โครงกระดูกในชุดดำกล่าว อย่าบอกนะว่า … หัวกะโหลกเหล่านั้นล้วนเป็นหัวของจักรพรรดิฟูซีในแต่ละรัชสมัยใช่หรือไม่!?


 


หากสิ่งที่เขาคิดเป็นจริง การกระทำเช่นนี้นับว่าโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง!


 


กู่ฉิงซานมองไปยังโครงกระดูกชุดคลุมดำ ในดวงตาของเขาค่อยๆถูกปกคลุมด้วยความเย็นชา


 


ในที่สุดโครงกระดูกก็เงยหน้าขึ้นกลับมามองกู่ฉิงซาน


 


“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์เมื่อครู่ แต่การที่เจ้าสามารถโค่นลูกหลานแห่งข้าลงได้ แน่นอนว่าเจ้าย่อมจะมีดีอยู่บ้าง” โครงกระดูกกล่าว


 


ประโยคดังกล่าวนี้แม้จะดูธรรมดา แต่ยามที่ถูกเปล่งออกมาจากปากของเขา มันกลับให้ความรู้สึกแปลกๆที่ยากจะอธิบาย


 


นั่นเพราะภายในเสียงของเขา มันแฝงไว้ด้วยความปรารถนาที่ไม่อาจยับยั้งลงได้


 


เหมือนกับว่า


 


มันเป็นความปรารถนาที่กำลังรอคอยสูดกินอาหารอันโอชะอยู่


 


กู่ฉิงซานเอ่ยถามกลับไป “ท่านคือผู้ก่อตั้งฟูซีใช่หรือไม่”


 


“เจ้ารู้จักข้าด้วยกระนั้นหรือ โอ้ ลืมไปเลย ในโลกนี้ย่อมไม่มีผู้ใดไม่รู้จักข้าอยู่แล้วนี่นา”


 


“ในอดีต ดูเหมือนว่าท่านจะไม่เคยพ่ายแพ้เลย แต่สุดท้ายแล้วก็สิ้นพระชนต์ลงในที่สุด” กู่ฉิงซานพูดระลึกความทรงจำให้อีกฝ่าย


 


พอกล่าวถึงประเด็นนี้ โครงกระดูกในชุดคลุมดำก็กระตุกไปเล็กน้อย


 


นั่นคือช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ของเขา


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำยกซิการ์ขึ้นมาคาบในปาก ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปเอามันมาจากที่ไหน ก่อนจะจุดไฟ และสูดดมควันของมัน


 


แสงไฟบนซิการ์ลุกพรึบ สักพักจึงมอดดับลง


 


โครงกระดูกพ่นควันออกมา


 


“รสชาติช่างยอดเยี่ยม” โครงกระดูกพึมพำ


 


ฉากนี้ค่อนข้างดูตลก


 


กู่ฉิงซานมองไปยังฝ่ายตรงข้าม และสัมผัสได้ถึงอากาศเย็นสบายที่ส่งผ่านมาถึง


 


คนอื่นๆอาจจะไม่รู้ แต่เขาตระหนักถึงความจริงของเจ้าสิ่งนี้ดี –


 


– หลังจากกินเลือดเนื้อของมนุษย์ไปแล้ว ในบางครั้ง คนตายจะสามารถสัมผัสและรู้สึกได้ถึงโลกใบนี้อีกครั้งในชั่วระยะเวลาสั้นๆ


 


มีผู้คนไปเท่าไหร่แล้วที่ถูกมันกินไป?


 


แล้วจิตวิญญาณของคนเหล่านั้นล่ะ?


 


“ใช่ ในโลกใบนี้ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสามารถรับมือกับข้าได้”


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำพ่นควันออกมาอีกรอบ และถอนหายใจ “นี่แหละหนอคือความทุกข์ระทมที่มนุษย์ต้องแบกรับ! แม้ว่าครั้งหนึ่งจะเคยเป็นถึงตัวตนสุดแกร่งที่ไร้ผู้ใดจะต่อกร แต่พอกาลเวลาเลื่อนผ่าน สุดท้ายแล้วก็ต้องตายจากไปเท่านั้น”


 


“แล้วจิตวิญญาณที่ท่านสูดกลืนเข้าไปมันรสชาติเป็นยังไงหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างกระทันหัน


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำตกใจ


 


คนเป็นที่ยังมีชีวิต จู่ๆกลับมาเอ่ยถามแบบนี้ นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่?


 


“คนตายน่ะไม่รับรู้ถึงรสชาติหรอก” โครงกระดูกชุดคลุมดำเอ่ยอย่างนุ่มนวล “แต่เมื่อจิตวิญญาณเข้าสู่ภายในปาก เจ้าจะสัมผัสได้ว่ามันกำลังดิ้นรน สัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังและไม่ยินยอม เมื่อกลืนกินมัน เจ้าก็จะรู้สึกได้ว่าพลังอำนาจในกายน่ะเพิ่มมากขึ้น”


 


“พลังอำนาจนี้ช่างน่าทึ่งและชัดเจน มันจะบ่งบอกให้เจ้ารู้ได้ทันทีว่าตนเองได้แข็งแกร่งขึ้น”


 


“การได้รับความแข็งแกร่งขึ้นนี่แหละ คือรสชาติที่ยอดเยี่ยมที่สุด”


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำเปล่งเสียงหัวเราะออกมา


 


กู่ฉิงซานฟังอย่างสงบ ก่อนจะกล่าวด้วยความหม่นหมองว่า “จิตวิญญาณที่ถูกกินโดยท่านมันจะไม่สลายไป หลังจากนั้นทุกคนจะเป็นยังไง ท่านก็พอจะทราบใช่หรือไม่”


 


โครงกระโหลกหยุดกึก


 


เขาจ้องมองกู่ฉิงซานอย่างรอบคอบ


 


เจ้าหนุ่มนี่วาจาช่างร้ายกาจ ไม่เพียงแต่จะสามารถเอาชนะลูกหลานของตนได้ แต่มันยังถึงขั้นป้องกันไม่ให้เกิดสงครามระหว่างสองประเทศ เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง


 


ถ้าหากมีคนแบบนี้มาไว้ใช้งานภายใต้การบัญชาของเขา มันไม่เพียงแต่จะช่วยลดแรงต้านทานได้มหาศาล แต่ยังช่วยเร่งแผนการของตนให้เร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำพอคิดได้ดังนั้น ก็ฝืนอดทนข่มกลั้นจากคำกล่าวของอีกฝ่ายเอาไว้


 


มันกล่าวอย่างช้าๆ “ในฐานะคนตายที่ไม่สามารถถูกย่อยสลายวิญญาณได้ ข้าจึงมิอาจปล่อยให้พวกเขาไป ดังนั้นจึงช่วยให้พวกเขายังมีชีวิต คงอยู่ตลอดไปภายในร่างกายข้า ช่วยเป็นพลังต่อสู้ให้แด่ข้า พลังอำนาจของพวกเขาจะถูกนำมาใช้เพื่อข้า!”


 


“ในฐานะคนตายที่ไม่สามารถถูกย่อยสลายวิญญาณได้อย่างงั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามทันที “ดังนั้น หากคนตายไม่อาจถูกทำลายวิญญาณลงได้ แล้วสิ่งใดกันที่จะสามารถกลืนกินวิญญาณของพวกเขาได้อย่างแท้จริง?”


 


เวลานี้ โครงกระดูกก็ยังจับจ้องเขาเช่นเดิม ทว่าท่าทีของมันกลับค่อยๆจริงจังมากขึ้น


 


เจ้าหนุ่มนี่มันคนฉลาด


 


มันรู้ว่าอะไรคือส่วนสำคัญ และทุกคำถาม ช่างเปรียบเสมือนมีดที่กำลังกรีดแทงผู้ตอบ


 


“มันไม่สำคัญหรอก สิ่งสำคัญก็คือพวกเราได้มาถึงโลกแล้ว และนี่เป็นโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในปรภพ” โครงกระดูกชุดคลุมดำบอกปัด


 


“ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน … ถ้าอย่างงั้นแสดงว่ามีบางสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับปรภพจริงๆสินะ?” กู่ฉิงซานเค้นถามอีกรอบ


 


โครงกระดูกส่ายหัวเบาๆและกล่าว “ข้าจะให้คำแนะนำกับเจ้าสักข้อสองข้อนะ”


 


“เชิญชี้แนะ”


 


“อย่างแรกเลย คืออย่าถามเกี่ยวกับปรภพ เพราะมันจะทำลายความเชื่อมัน ศรัทธา และความหวังของเจ้าทั้งหมด”


 


“แล้วอย่างที่สองล่ะ” กู่ฉิงซานตอบรับ ในหัวใจของเขาเริ่มจะใจเสีย


 


ถ้าอีกฝ่ายไม่ตั้งใจที่จะบอกความจริงกับเขา เขาก็จะไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริงของปรภพได้เลย


 


“ประการที่สอง คือข้าจะให้สัญญาต่อเจ้าว่า หากเจ้ายินดีที่จะมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้า ยามเมื่อนรกเยือกแข็งแพร่กระจายไปทั่วโลก ข้าจะเปลี่ยนเจ้าเป็นคนตายที่ทรงพลังที่สุดในนรกเยือกแข็งเอง”


 


กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “ขนาดเวลานี้ท่านยังกินลูกหลานตัวเองต่อหน้าข้าอย่างหน้าตาเฉย แล้วข้าจะกล้ารับใช้ท่านได้อย่างไร?”


 


โครงกระดูกตอบ “ที่ข้าทำนับว่าเป็นเกียรติยศสำหรับพวกเขา”


 


กู่ฉิงซาน “แต่พวกเขาไม่ได้สมัครใจ”


 


“ลูกหลานที่ล้มเหลวย่อมไม่ควรค่าที่จะติดตามข้า”


 


“เพราะเหตุใด?”


 


โครงกระดูกกล่าวแผ่วเบาราวกระซิบ “เพราะไม่ว่าในโลกใบนี้หรือในปรภพ มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะสามารถร่างกฏเพื่อทำการปกครองได้ นี่คือกฏแห่งธรรมชาติ พวกอ่อนแอก็ย่อมต้องตกเป็นเนื้อไว้ให้ผู้แข็งแกร่งขบเคี้ยว – นี่มันผิดปกติตรงไหน?”


 


ชายในชุดคลุมดำพรมนิ้วกระดูกของเขาลงบนพนักบัลลังก์ด้วยความตื่นเต้น บังเกิดหมอกสีเทาฟุ้งกระจายออกมา


 


“ข้าได้กลับมาอีกครั้งพร้อมกับนรกเยือกแข็ง ในที่ๆมีจิตวิญญาณอันยอดเยี่ยมนับไม่ถ้วน และพวกมันจะเป็นขั้นบันไดให้ข้าแกร่งขึ้น แกร่งขึ้นทีละน้อย”


 


“และเจ้าในฐานะมนุษย์ หากติดตามข้า เจ้าจะได้รับรางวัลอย่างที่ไม่เคยได้พบเจอมาก่อนในชีวิต!”


 


“แต่ถ้าไม่แล้วล่ะก็ .. ”


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำยกดาบน้ำแข็งในมือของเขาขึ้น


 


เผยถึงเจตนาคุกคามอย่างชัดเจน


 


“โห? ตอนแรกก็สังเกตเห็นอยู่หรอกแต่ยังไม่มั่นใจ แต่ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าท่านเป็นผู้ฝึกดาบเหมือนกันจริงๆด้วย!” ในแววตาของกู่ฉิงซานเปล่งประกายสดใส


 


เขาเริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที


 


เพราะนี่หมายความว่าในปรภพ … ก็มีการดำรงอยู่ของสกิลดาบด้วยใช่หรือไม่?


 


นี่เป็นสิ่งที่กู่ฉิงซานไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน!


 


เขาไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆเลย ทว่าสองดาบก็ปรากฏออกมาลอยนิ่งอยู่เงียบๆกลางอากาศ หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา ประกบแนบชิดอยู่ข้างกายเขา


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำนิ่งเงียบไป และเอ่ยด้วยความมืดมนว่า “การกระทำเจ้ามันไม่ต่างจากฆ่าตัวตายโดยแท้ … จงอย่าตำหนิข้าที่ไม่เตือนก็แล้วกัน!”


 


แล้วเขาก็ลุกขึ้นยืน


 


พร้อมกับบัลลังก์น้ำแข็งที่สลายไป แปรสภาพเป็นกลุ่มหมอกละอองน้ำทันที


 


ทว่าหมอกเหล่านี้ยังคงลอยล่อง เวียนว่ายคล้ายสายลมอยู่รอบมือของโครงกระดูกชุดคลุมดำ แล้วค่อยโอบเข้าปกคลุมดาบน้ำแข็ง


 


“จงรับรู้ถึงความสิ้นหวังซะ”


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำเอ่ยเสียงกระซิบ


 


และดาบน้ำแข็งในมือก็พลันหวีดร้องโหยหวน


 


ท่ามกลางเสียงหวีดร้องโหยหวน มันผสมปนเปไปด้วยความเจ็บปวด สาปแช่ง ร่ำไห้ อ้อนวอน กรีดร้อง และคร่ำครวญในเวลาเดียวกัน


 


เสียงเหล่านี้เติมเต็มความว่างเปล่าในชั้นอากาศทั้งหมด ส่งผลให้ผู้ที่รับฟังรู้สึกราวกับตกนรก


 


ดวงตาของกู่ฉิงซานมืดมนลง ราวกับว่าเขากำลังถูกดึงดูดเข้าไปในสถานที่สยองขวัญบางแห่ง


 


แต่แล้วในวินาทีต่อมา ประกายแสงเรืองรองก็สาดออกมาจากตัวเขา


 


ในความว่างเปล่า บนผืนฟ้าที่เต็มไปด้วยฝนคะนอง พลันบังเกิดภาพของสัตว์ป่าและหมู่มวลบุปผาหลากสีสัน พร้อมด้วยร่างเงาหกธรรมพิทักษ์ที่ในมือถืออาวุธต่างๆ ปรากฏตัวขึ้น


 


หกธรรมพิทักษ์รายล้อมรอบกายกู่ฉิงซานและเปล่งเสียงตะโกนออกมาพร้อมกัน “ฮ่า!”


 


จิตวิญญาณของกู่ฉิงซานสั่นไหว สติฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง


 


นี่คือเทคนิคของนิกายพุทธะที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการใช้รับมือกับมารร้าย หนุนเสริมด้วยตัวกู่ฉิงซานที่มีระดับขอบเขตสูงขึ้น ทำให้พลังอำนาจของ ‘เทคนิคลับการปกปักษ์ของทวยเทพ’ สามารถสำแดงพลังของมันออกมาได้มากยิ่งขึ้น!

 

 

 


ตอนที่ 336

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.336 – ดาบพิภพและเช่าหยิน


 


ด้วยมนตราของหกธรรมพิทักษ์ เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดก็หวีดลั่นออกมาจากดาบน้ำแข็ง


 


ในเสี้ยววินาที เสียงคร่ำครวญนับร้อยพันก็เงียบลงในฉับพลัน


 


เมื่อหกธรรมพิทักษ์จางหายไป ดาบน้ำแข็งก็ไม่ได้ส่งเสียงใดๆออกมาอีกเลย


 


ท่าทีการแสดงออกของโครงกระดูกชุดคลุมดำแปรเปลี่ยนไป เขาเอ่ยเสียงหม่นทะมึนว่า “กล้าทำร้ายดาบของข้า! ดูเหมือนว่าคงต้องใช้เวลามากขึ้นสักเล็กน้อย แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะจิตวิญญาณอันน่าอร่อยของเจ้าจะช่วยชดเชยมันให้แก้ข้าเอง”


 


สองมือของร่างโครงกระดูกประสานเข้าหากัน


 


พร้อมกับการเคลื่อนไหวนี้ ทุกสรรพสิ่งตลอดทั้งสวรรค์และโลกพลันเงียบสงัดลง


 


เมฆมืดมนราวกับก้อนตะกั่วที่แขวนอยู่บนท้องฟ้าบริเวณรอบชานเมืองหายไปชั่วขณะหนึ่ง


 


และถูกแทนที่ด้วยเมฆหมอกสีเหลืองเทาที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


กู่ฉิงซานขมวดคิ้ว


 


มันจะต้องมีบางอย่างที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นแน่ๆ เพราะมันถึงขั้นแทรกแซงความเป็นจริง และทำให้เกิดวิสัยทัศน์เช่นนี้ขึ้นมาได้


 


กู่ฉิงซานเพิ่มความระมัดระวังขึ้น


 


เห็นแค่เพียงโครงกระดูกในชุดคลุมดำผละสองมือที่ประกบแนบชิดของมันออก


 


ตามด้วยหยดน้ำหยดหนึ่งลอยนิ่งอยู่ในมือของมัน


 


หยดน้ำสีเหลืองเข้มปลดปล่อยหมอกหนาออกมา การดำรงอยู่ของมันส่งผลให้ผู้คนที่พบเห็นบังเกิดความหวาดกลัวอันยากจะอธิบายขึ้นในจิตใจ


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำถือหยดน้ำนี้อย่างระมัดระวัง


 


“ข้าจำต้องใช้เวลามากกว่า 1000 ปี จึงจะได้รับมันมา!”


 


โครงกระดูกอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ


 


น้ำเสียงของมันเต็มไปด้วยความภาคภูมิอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน


 


“ตลอดทั้งปรภพ ไม่มีคนตายคนใดเลยที่ได้รับหยดน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือนเช่นเดียวกับข้า”


 


โครงกระดูกสีดำกล่าว ขณะเดียวกันหมอกละอองน้ำเยือกแข็งอันไร้ที่สิ้นสุดเบื้องหลังเขาก็เริ่มควบแน่น รวมตัวกันเป็นแม่น้ำสายใหญ่


 


มันใช้พลังอำนาจของธาตุน้ำในธาตุทั้งห้า เพื่อสร้างแม่น้ำสายใหญ่ให้ตัดผ่านท้องฟ้าเลยโดยตรง


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำหยดน้ำในมือของมันลงไปในแม่น้ำสายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง


 


เพียงพรึบเดียว ตลอดทั้งแม่น้ำก็แปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหม่น


 


—แม่น้ำสายนี้ แม้จะดูเหมือนกับสายธารแห่งการหลงเลือนอยู่นิดหน่อย แต่หากสังเกตดูดีๆแล้ว จะพบว่ามันอ่อนแอกว่ามาก


 


ในชั่วเวลานั้นเอง กู่งฉิงซานเริ่มบงการสองดาบให้เคลื่อนไหวไปพร้อมกัน


 


ดาบเช่าหยินดูเหมือนว่าจะรู้สึกได้ถึงบางอย่าง


 


ขณะที่ดาบพิภพเปล่งเสียงออกมา “จงระวัง! ทุกสรรพชีวิตที่สัมผัสกับสายธารแห่งการหลงเลือนจะสูญสิ้นซึ่งความทรงจำ นี่คือกฏหลักแห่งหกวิถี!”


 


กล่าวได้ว่าหากคุณสูญสิ้นความทรงจำทั้งหมด คุณก็จะกลายเป็นคนโง่เง่า มีกำลังแต่ไร้ซึ่งปัญญา!


 


หากเป็นในกรณีนั้น เพียงแค่โครงกระดูกในชุดคลุมดำควงดาบของมันวาดออกไปเบาๆ มันก็จะสามารถเก็บเกี่ยวชีวิตของกู่ฉิงซานและจิตวิญญาณของไปได้อย่างง่ายดาย


 


ในหัวใจของกู่ฉิงซานเริ่มหนักอึ้ง เขาตอบรับ “เข้าใจแล้ว”


 


และนี่ก็เป็นชั่วเวลาเดียวกันกับที่โครงกระดูกเริ่มขยับนิ้วของมัน


 


แม่น้ำสีเหลืองหม่นโถมเข้าโอบล้อมรอบตัวมันทันที


 


นี่คือการก่อปราการป้องกันโดยใช้น้ำของสายธารแห่งการหลงเลือน กล่าวได้ว่าบัดนี้ โครงกระดูกชุดคลุมดำได้อยู่ในตำแหน่งที่คงกระพันอย่างแท้จริงแล้ว


 


โครงกระดูกเอ่ยปากอย่างตื่นเต้นและคลุ้มคลั่ง “นี่คือกระบวนท่าสังหารที่ข้าจัดเตรียมไว้เป็นพิเศษสำหรับโลกของเจ้า … ในเมื่อได้รู้แล้วก็จงตายซะ!”


 


มันโบกมือออกไป


 


และแม่น้ำเหลืองก็โน้มตัวลง หมายจะซัดสาดเข้าใส่กู่ฉิงซานโดยตรง


 


กู่ฉิงซานถอนฝีเท้าถอยหลังกลับอย่างรวดเร็ว


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำหัวเราะและกล่าว “คั่กๆๆ หนีไปก็เท่านั้น มันไร้ประโยชน์! เพราะความเร็วของแม่น้ำสายนี้ ไม่ได้ด้อยไปกว่าดาบบินของเจ้าเลย!”


 


แต่กู่ฉิงซานก็ยังคงถอยต่อไป และเร่งความเร็วมากยิ่งขึ้น


 


ในตอนนั้นเอง จู่ๆดาบเช่าหยินก็ส่งเสียงหอนออกมาอย่างฉับพลัน


 


“ให้จับเจ้า? นี่เจ้าคิดจะทำอะไร?”


 


กู่ฉิงซานเอ่ยด้วยความสงสัย


 


ในโลกเทวะ ครั้งหนึ่งเขาเคยได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ ‘จิตสื่อถึงกัน’


 


‘จิตสื่อถึงกัน’ จะช่วยให้เข้าใจถึงความหมายที่จิตอาร์ติแฟคต้องการจะสื่อได้


 


และตั้งแต่นั้นมา กู่ฉิงซานก็สามารถเข้าใจถึงสิ่งที่ดาบเช่าหยินต้องการจะสื่อได้


 


—เว้นไว้แต่เพียงพลังศักดิ์สิทธิ์ของดาบเช่าหยิน ‘ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทม’ เท่านั้น


 


เกี่ยวกับพลังศักดิ์สิทธิ์นี้ กู่ฉิงซานกลับไม่อาจเข้าใจถึงความหมายที่ดาบเช่าหยินพยายามจะสื่อได้เลย


 


แต่ตอนนี้ ในเมื่อดาบเช่าหยินเร่งเร้าเขา กระตือรือร้นที่จะต่อสู้ กู่ฉิงซานจึงคว้าจับด้ามดาบของมันตามคำร้องขอ


 


ในเวลาเดียวกัน บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ก็บังเกิดบรรทัดเส้นแสงตัวอักษรเด้งเตือนขึ้นมาในทันใด


 


“ดาบเช่าหยินร้องขอที่จะใช้แต้มพลังวิญญาณของคุณ ปริมาณที่ร้องขอคือ : 100 แต้ม”


 


“คุณจะอนุญาตให้มันใช้แต้มพลังวิญญาณของคุณหรือไม่?”


 


นี่มันเหมือนกับก่อนหน้านี้เลย


 


ในคราวของจักรพรรดิฟูซีตอนที่บดขยี้ลูกประคำจนหมอกละอองน้ำท่วมท้นไปทั่วฟ้า


 


ดาบเช่าหยินก็ร้องขอแต้มพลังวิญญาณของกู่ฉิงซาน เพื่อช่วยให้เขาหลบเลี่ยงผลกระทบจากการถูกน้ำท่วมโถมเข้าใส่โดยตรง


 


ในเวลานั้นดาบเช่าหยินได้ร้องขอ 10 แต้มพลังวิญญาณ


 


แต่ในขณะนี้ มันกำลังร้องขอ 100 แต้มพลังวิญญาณ!


 


อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานก็กล่าวออกไปอย่างไม่ลังเลว่า “ฉันอนุญาต!”


 


บรรทัดเส้นแสงใหม่ปรากฏขึ้นมาทันที


 


“ดาบเช่าหยินได้รับ 100 แต้มพลังวิญญาณ”


 


บังเกิดลมที่มองไม่เห็นคดเคี้ยวไปมารอบตัวกู่ฉิงซาน และขยายไปยังดาบเช่าหยิน


 


ปลายดาบอันแหลมคมของเช่าหยินสั่นไหวเล็กน้อย


 


ราวกับว่ามันกำลังเตรียมพร้อมที่จะกระทำบางสิ่งบางอย่าง


 


แม่น้ำเหลืองเคลื่อนตัวเข้ามาและเกือบจะไล่ตามความเร็วในการถอยหนีของกู่ฉิงซานได้ทันแล้ว


 


แม่น้ำกำลังจะโถมเข้ากลืนกินตัวเขาในอีกไม่ช้า


 


ลมหนาวพัดปลิวไหวจนร่างของกู่ฉิงซานส่ายไปมา


 


เขาจึงจำต้องเร่งล่าถอยเต็มกำลังอีกครั้ง


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำยกสองแขนขึ้นกอดอก เอียงศีรษะเล็กน้อย


 


มองไปยังฉากที่กำลังปรากฏขึ้นนี้ ดูเหมือนว่ามันจะรู้สึกเพลิดเพลินไม่น้อย


 


ทันใดนั้น โครงกระดูกก็ชูสองมือขึ้นสูง


 


พร้อมด้วยแม่น้ำทั้งสายที่ลุกฮือขึ้น ก่อตัวเป็นเกลียวคลื่นขนาดมหึมา ท่วมท้นไปทั่วผืนฟ้า บดบังไปทั่วผืนดิน


 


“ตายซะ!” โครงกระดูกตะคอกคำหนึ่ง


 


และคลื่นมหึมาก็โถมลงไปเบื้องหน้า


 


แต่จู่ๆดาบเช่าหยินก็ระเบิดเสียงหอนอึกทึกอย่างรุนแรงไปทางคลื่นมหึมาในทันใด


 


ซึ่งการกระทำนี้ กู่ฉิงซานเข้าใจความหมายของมันในทันทีว่าหมายถึงอะไร


 


เขาขบฟันแน่น จี้ปลายแหลมดาบเช่าหยินชี้ไปทางคลื่นมหึมา


 


เพราะเวลานี้ มันก้าวเข้าสู่ช่วงวินาทีสุดท้ายแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบเลี่ยง


 


ตอนนี้เขาทำได้เพียงเชื่อมั่นในดาบของตนเอง!


 


กู่ฉิงซานไม่มีเวลามากพอที่จะใช้สมองขบคิดอีกต่อไป บัดนี้คลื่นมหึมาครอบคลุมไปทั่วผืนฟ้า บดบังแสงอาทิตย์จนทำให้บริเวณตลอดทั้งเขตชานเมืองจมลงสู่ความมืดมิด


 


ปัง!


 


คลื่นมหึมาซัดเข้าใส่ปลายดาบของดาบเช่าหยินก่อนเป็นจุดแรก


 


จากนั้นก็โถมเข้าหากู่ฉิงซาน –


 


ไม่สิ มันไม่ได้โถมเข้าใส่เขาแล้ว


 


ในเสี้ยววินาที แม่น้ำที่โถมกระหน่ำก็จมหายเข้าไปในปลายดาบเช่าหยิน และหายวับไปมิอาจมองเห็นได้อีกเลย


 


ตลอดทั้งวิสัยทัศน์ทั่วท้องฟ้า มันโล่งโจ้ง หายไปไม่มีหลงเหลือ


 


เมฆสีตะกั่วปรากฏขึ้นอีกครั้ง และฝนเย็นฉ่ำก็ร่วงโรยลงอีกครา


 


ตัวกู่ฉิงซานยังคงตื่นตะลึง ทั้งคนทั้งร่างนิ่งงัน ยังอยู่ในท่างท่าที่ชี้ปลายดาบเช่าหยินออกไป


 


“ … ” โครงกระดูกชุดคลุมดำ


 


“ … ” กู่ฉิงซาน


 


ดาบเช่าหยินเด้งออกจากมือของกู่ฉิงซาน


 


และมันก็เริ่มกระโดดไปมาในอากาศอีกครั้ง


 


จากนั้นมันก็ร่ายรำอย่างต่อเนื่องและเป็นจังหวะ


 


ความหนักอึ้งในจิตของของกู่ฉิงซานลดฮวบลง เขาเอ่ยถามเสียงแผ่ว “นี่มันยังไงกันแน่?”


 


ดาบเช่าหยินร่ายรำ ขณะเดียวกันก็แสดงท่าทีเวียนว่ายฉวัดเฉวียน เปล่งเสียงหอนด้วยความตื่นเต้น


 


ของรัก! ของรัก! ของรัก! ของรัก!


 


ของรักของข้า!


 


นี่คือความหมายที่มันสื่อออกมา


 


กู่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงความปิติยินดีของดาบเช่าหยิน


 


จะบอกว่า … มันได้ดื่มกินแม่น้ำนั่นไปใช่ไหม?


 


กู่ฉิงซานลอบคิดอย่างลับๆ


 


และอย่าลืมนะว่าในคลื่นมหึมาเมื่อครู่ มันมีหยดน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือนผสมอยู่ด้วย


 


หยดน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือน มันมีพลังของกฏหลักแห่งหกวิถี เป็นสมบัติล้ำค่า!


 


มองไปยังท่าทีการแสดงออกที่หนักอึ้งและหาได้ยากยิ่งของโครงกระดูกชุดคลุมดำ ที่มันพึ่งเอ่ยปากบอกออกมาด้วยตนเองว่าช่างยากเย็นเพียงใดกว่าจะได้รับหยดน้ำจากสายธารแห่งการหลงเลือนมาสักหยด


 


แต่ดาบเช่าหยินกลับวิ่งราวมันไปต่อหน้าต่อตาเขาในพริบตา


 


เพียงพริบตาเท่านั้น ….


 


โครงกระดูกราวกับตื่นจากฝัน มันร่ำร้องตะโกนออกไปว่า “หยดน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือนของข้าอยู่ที่ไหน เอามันกลับคืนมาเดี๋ยวนี้!”


 


กู่ฉิงซานยืดอกขึ้น เปล่งวาจาหนักแน่นเฉียบขาด “สายธงสายธารที่ไหนกัน ผมจำไม่ได้ว่าเคยเห็นมันมาก่อนนะ?”


 


“นั่นเป็นสมบัติที่ข้าใช้เวลากว่า 1000 ปีจึงจะได้รับมา!” ร่างโครงกระดูกกล่าว ฟันแต่ละซี่ของมันกระทบกันกึกๆๆๆๆ “เจ้าตัวดี! ข้าจะทำให้เจ้าต้องตายอย่างไร้ดินกลบฝัง!”


 


มันเหลือบสายตามองลงมายังดาบน้ำแข็ง ปากอ้าขยับคำรนเสียงต่ำ “ปีศาจกระดูกแห่งความขุ่นแค้น”


 


บังเกิดหมอกสีขาวเย็นฉ่ำพรั่งพรูออกมาจากดาบน้ำแข็ง


 


ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!


 


ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!


 


ร่างโครงกระดูกนับสิบที่สวมใส่เสื้อเกราะและมงกุฏถูกแบ่งแยกออกเป็นสองแถว ทยอยกันปรากฏออกมาจากหมอกสีขาว


 


ปราณสีดำนับไม่ถ้วน ควบแน่นหลอมรวมตัวกันแลคล้ายร่างเงาของอสูรกาย ส่งเสียงหอนโหยขึ้นข้างกายของเหล่าปีศาจกระดูก


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำเปล่งเสียงหัวเราะออกมา “นี่มิใช่สิ่งที่เหมือนกับร่างโคลน! แต่ทุกตนล้วนคือจักรพรรดิแห่งฟูซีที่ตรากตรำข้ามผ่านการต่อสู้มาแล้วอย่างเข้มข้น!“


 


เสียงของเขาเต็มไปด้วยความบีบบังคับ “หากรู้ถึงขีดจำกัดตนก็จงเร่งคืนหยดน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือนมา ถ้าเป็นในกรณีนั้น ข้าจะยังพอใจดีปล่อยให้ศพเจ้าอยู่ในสภาพครบสามสิบสอง”


 


นี่คือไพ่ที่ทรงพลังที่สุดในมือของโครงกระดูกชุดคลุมดำ ในอดีตที่ผ่านมา มอนสเตอร์เหล่านี้ช่วยเขาร่วมต่อสู้กับทุกสิ่งในนรกเยือกแข็ง


 


“พวกเจ้าทั้งหมด จงไปสังหารเขาให้ข้า แล้วจากนั้นพวกเราก็จะไปลิ้มชิมรสอาหารแสนอร่อยในเมืองกัน ข้าต้องการจิตวิญญาณของคนเป็นทั้งหมด!” โครงกระดูกในชุดคลุมดำคำราม


 


“วิญญาณ … จิตวิญญาณ … ” ปีศาจกระดูกแห่งความขุ่นแค้นเปล่งเสียงตะโกนแหบแห้งออกมาพร้อมกัน


 


กู่ฉิงซานจ้องมองไปยังปีศาจกระดูกแห่งความขุ่นแค้น ทั้ง 20 ตน


 


อาวุธในมือของแต่ละตนแตกต่างกันออกไป


 


ทว่าแน่นอน พวกมันล้วนแล้วแต่มีพลังอันทรงพลานุภาพ


 


เบื้องหลังปีศาจกระดูกแห่งความขุ่นแค้นเหล่านี้ โครงกระดูกชุดคลุมดำกำลังถือดาบน้ำแข็ง คอยเฝ้ามองหาโอกาสลอบโจมตีเขาอยู่เสมอ


 


พวกมันต้องการที่จะเริ่มต้นจากที่นี่ ฆ่าสังหารตัวกู่ฉิงซาน จากนั้นก็ตามต่อด้วยล้างบางเผ่าพันธุ์มนุษย์ในเมืองหลวง และลากยาวไปตลอดทั้งรัฐบาลกลาง!


 


ยี่สิบโครงกระดูกเปล่งเสียงหอนออกมาพร้อมกัน


 


ปีศาจกระดูกแห่งความขุ่นแค้นตัวหนึ่งหายวับไปจากสายตา และปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน!


 


มันควงขวานยักษ์สับ!อย่างแรงลงแสกหน้าเขา


 


กู่ฉิงซานคว้าดาบเช่าหยิน ฟาดออกไปเผชิญหน้า สองอาวุธปะทะกันครั้งหนึ่ง ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างแยกออกจากกัน


 


ต่อด้วยดาบยาวที่จ้วงออกไป วิ่งผ่านลำคอของปีศาจกระดูก


 


แต่ปลายคมดาบกลับถูกหมอกดำปรากฏขึ้นมาครอบคลุม และดีดตัวมันเด้งออกจากคอปีศาจกระดูก


 


หัวของปีศาจกระดูกยังคงอยู่ในสภาพดีดังเดิม … ราวกับว่าเมื่อครู่มิได้เกิดสิ่งใดขึ้น


 


มันเปล่งเสียงคำราม และง้างขวานหมายจะสับแยกร่างของกู่ฉิงซานอีกครั้ง


 


กู่ฉิงซานกวาดสายตาไปรอบๆ แต่กลับเห็นแค่เพียงฝูงปีศาจกระดูกกำลังพุ่งตรงเข้ามาหา


 


เขารีบบินหลบฉากออกไปอย่างรวดเร็ว


 


“ปีศาจกระดูกจัดอยู่ในประเภทสิ่งมีชีวิตในตำนาน ‘คนเป็น’ไม่อาจเอาโค่นล้มพวกมันลงได้” โครงกระดูกในชุดคลุมดำกัดฟันกล่าว “ข้าจะปล่อยให้พวกมันสับเจ้าทั้งเป็น และค่อยๆควานหาหยดน้ำแห่งการหลงเลือนของข้าอีกครั้ง”


 


กู่ฉิงซานล่าถอยกลับมา ขณะเดียวกันในสมองก็ขบคิดหาวิธีจัดการกับมัน


 


และคำกล่าวของโครงกระดูกชุดคลุมดำ นั่นคือเบาะแส!


 


“คนเป็นไม่อาจโค่นล้มสิ่งมีชีวิตในตำนานได้อย่างงั้นสินะ?”


 


หากแต่ละคมดาบของเขาไม่อาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามได้รับบาดเจ็บได้ งั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรับมือ


 


ขณะที่เขากำลังขบคิดเกี่ยวกับมัน ในวิสัยทัศน์ก็พลันปรากฏเส้นแสงหิ่งห้อยเล็กๆขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม


 


“ดาบพิภพร้องขอที่จะใช้แต้มพลังวิญญาณของคุณ ปริมาณที่ร้องขอคือ : 10 แต้มต่อวินาที”


 


“เพราะคุณเป็นเจ้าของที่ดาบพิภพได้ให้การยอมรับ ดังนั้นมันจึงไม่ได้ใช้กระบวนการดึงแต้มพลังวิญญาณของคุณโดยพลการ หากยอมรับตามคำร้องขอ ชีวิตของคุณจะได้รับการคุ้มครองโดยมัน”


 


“คุณเห็นด้วยหรือไม่?”


 


กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านและบ่นพึมพำ “คราวนี้กลับเป็นเจ้าอย่างงั้นหรอ?”


 


ดาบพิภพเปล่งเสียงหนักแน่นดั่งขุนเขา “เจ้ามอนสเตอร์พวกนี้ แน่นอนว่าเป็นสิ่งมีชีวิตในตำนาน แต่ก็แค่เพียงระดับต่ำสุด ดังนั้นมันคงจะดีกว่าหากเจ้าปล่อยแต้มพลังวิญญาณออกมาให้ข้าได้ ‘สื่อสาร’ กับพวกมัน”


 


“เจ้าต้องการที่จะสื่อสารกับพวกมันงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


ดาบพิภพเปล่งเสียงฮึมฮำ “ถูกต้อง หากพวกมันเป็นเพียงแค่ ‘คนตาย’ การปล่อยให้เจ้ารับมือก็ไม่นับว่าเป็นอะไร แต่ในเมื่อมันเป็นสิ่งมีชีวิตในตำนานแล้วล่ะก็ คงต้องปล่อยให้ถึงมือข้า”


 


อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานก็พลันจดจำได้ถึงคำอธิบายของดาบพิภพ


 


“ดาบพิภพ น้ำหนัก 86.37 ล้านจิน มีจิตอาร์ติแฟค พลังศักสิทธิ์ : สามารถควบคุมและแบกรับน้ำหนักของตนเองได้”


 


“นี่คือดาบจากสมัยโบราณกาลอันไกลโพ้น ที่ยอมเสียสละให้แก่สวรรค์และโลก และมันสามารถสื่อสารกับเหล่าเทพวิญญาณได้”


 


-และก่อนหน้านี้มันก็พึ่งได้ ‘สื่อสาร’ กับผู้คุมวิญญาณจากปรภพ


 


ยี่สิบปีศาจกระดูกถลาลงมา


 


กู่ฉิงซานยังคงบินล่าถอยอย่างต่อเนื่อง


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำหัวเราะ “ข้าจำต้องจ่ายออกด้วยเวลานานนับหลายร้อยหลายพันปี หมดความพยายามไปมาก ที่จะเปลี่ยนให้พวกมันกลายเป็นสิ่งมีชีวิตในตำนานอย่างปีศาจกระดูก … พวกมันทุกตนล้วนเปรียบดั่งสมบัติอันเลอค่าของข้า”


 


กู่ฉิงซานละความสนใจจากคำกล่าวของอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง เขาเบนสายตามองไปยังแต้มพลังวิญญาณจากบันทึกการต่อสู้ของตน


 


“แต้มพลังวิญญาณคงเหลือ : 4891.6/300”


 


ดาบเช่าหยินใช้แต้มพลังวิญญาณไป 100 แต้ม


 


แต่หลังจากสังหารร่างโคลนไปเป็นจำนวนมาก กู่ฉิงซานกลับได้รับแต้มพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมาเพียง 1.6 แต้มเท่านั้น …..


 


ทว่าตอนนี้มันคงสายเกินไปแล้วที่จะมาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ กู่ฉิงซานเปล่งเสียงออกไปโดยตรง “ฉันเห็นด้วยที่จะจ่ายแต้มพลังวิญญาณ”


 


แถบตัวเลขปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงครามทันที


 


มันคอยบอกถึงแต้มพลังวิญญาณของเขาที่หายไปอย่างต่อเนื่องในอัตรา 10 แต้มต่อวินาที


 


“ด้วยแต้มพลังวิญญาณของเจ้า ข้าก็จะสามารถใช้ออกด้วยพลังอำนาจของข้าได้!” ดาบพิภพเปล่งเสียงฮึมฮำฉวัดเฉวียน


 


“แล้วสิ่งที่ข้าควรจะทำล่ะ?” กู่ฉิงซานตะโกนถาม


 


“ก็ทำอย่างที่เจ้ามักจะเคยทำนั่นแหละ” ดาบพิภพกล่าว


 


กู่ฉิงซานหยุดยืนอยู่กลางเวหา เขาปลดปล่อยเจตนาฆ่าและหันกลับมาโต้กลับ!


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำที่กำลังเฝ้ามองดูเหตุการณ์จากระยะไกล เมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่าย มันก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ร่างของสิ่งมีชีวิตในตำนานน่ะ มนุษย์ไม่สามารถทำอะไรได้หรอก!”


 


ปีศาจกระดูกง้างอาวุธขึ้น เพื่อเผชิญหน้ากับศัตรู


 


กู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนเป็นรังสีดาบสีขาวนวลดั่งดวงจันทร์ขนาดยักษ์ พุ่งถลาเข้าใส่กลุ่มปีศาจกระดูก


 


รังสีดาบและอาวุธของปีศาจกระดูกปะทะเข้าหากัน


 


เห็นแค่เพียงรังสีดาบที่เปล่งปลั่งพร่างพราวข้ามผ่านไปทั่วผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ สยายแสงลอยออกไปไกลแสนไกล


 


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับรังสีดาบของผู้ฝึกดาบ เหล่าปีศาจกระดูกก็ราวกับไร้ตัวตน เป็นเพียงอากาศธาตุ พวกมันถูกพุ่งตัดผ่านไป ทำไม่ได้แม้กระทั่งจะป้องกัน


 


แล้วทันใดนั้นเอง เหล่าปีศาจกระดูกทั้งหมดก็เริ่มส่งเสียงโหยหวนด้วยความหวาดกลัวออกมา


 


พวกมันยืนแข็งทื่ออยู่กลางอากาศ ตลอดทั้งร่างกายเริ่มพ่นหมอกสีขาวออกมาก่อนจะร่วงลง


 


รังสีดาบสีจันทร์นวลเด่นก็หายไปด้วยเช่นกัน พร้อมกับกู่ฉิงซานและดาบพิภพที่ปรากฏตัวขึ้น


 


สายลมพัดปลิวไสว


 


ยี่สิบปีศาจกระดูกที่สวมมงกุฏกลายเป็นเถ้าถ่าน ลอยกระจายไปตามสายลม


 


ทิ้งไว้เพียงแค่จุดแสงสว่างวาววับนับไม่ถ้วนไว้เบื้องหลัง ร่ายรำอยู่ในอากาศรอบใบดาบพิภพอย่างเงียบๆ


 


และจุดแสงส่องสว่างทั้งหมด ครึ่งหนึ่งค่อยๆจมลงไปในดาบพิภพ อีกครึ่งหนึ่งเจาะเข้าไปในหน้าผากของกู่ฉิงซาน


 


ดาบพิภพเปล่งเสียงร้องอันน่ารื่นรมย์ออกมา


 


“การสื่อสารจบลงแล้ว” มันเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก


 


“น่าทึ่งจริงๆ … ” กู่ฉิงซานงึมงำ


 


“กระทั่งสิ่งมีชีวิตในตำนานระดับต่ำก็ไม่นับว่าเป็นเช่นไร มันเป็นเรื่องยากที่จะหยุดยั้งเจ้ากับข้าหากเราร่วมมือกัน” ดาบพิภพกล่าวเสียงต่ำ


 


บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม การจ่ายแต้มพลังวิญญาณออกไปได้หยุดลง


 


การต่อสู้ทั้งหมดโดยสิ้นเชิงแล้วใช้ระยะเวลาไป 5 วินาที ดังนั้นแต้มพลังวิญญาณที่จ่ายไปคือ 50 แต้ม


 


หลายบรรทัดแสงตัวอักษรปรากฏขึ้น


 


“คุณและดาบพิภพได้แบ่งปันรางวัลเท่าๆกัน”


 


“คุณได้รับแต้มพลังวิญญาณ 100 แต้ม”


 


“แต้มพลังวิญญาณคงเหลือ : 4941.6 /300”


 


นี่นับว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก


 


อย่างไรก็ตามปีศาจกระดูกเป็นถึงชนิดสิ่งมีชีวิตในตำนาน แล้วมันจะให้แต้มพลังวิญญาณน้อยขนาดนี้ได้ยังไง?


 


ราวกับคาดเดาสิ่งที่กู่ฉิงซานกำลังคิดได้ ระบบเทพสงครามเปล่งเสียงอธิบายออกมา “มอนสเตอร์เหล่านี้ แม้ว่าจะมีพลังอำนาจของ ‘แมวสามขา’ อยู่บ้าง แต่มันก็มีสถานะต้อยต่ำที่สุดในสิ่งมีชีวิตระดับตำนาน ดังนั้นมันจึงไม่สมควรที่จะถูกนับรวมเป็นสิ่งมีชีวิตระดับตำนานได้”


 


บังเกิดความเงียบสงัดขึ้นโดยรอบ


 


กู่ฉิงซานสังเกตเห็นว่ามีบางสิ่งผิดปกติ เขาจึงเงยหน้ามองไปทางโครงกระดูกชุดคลุมดำ


 


เขากวาดจิตสัมผัสเทวะไปยังมัน และค้นพบว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายไม่แม้กระทั่งจะขยับกายเคลื่อนไหว


 


เห็นแค่เพียงโครงกระดูกในชุดคลุมดำยืนนิ่งอยู่กลางอากาศราวกับตอไม้


 


มันไม่เคลื่อนไหว เหมือนกับไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ


 


ผ่านไปนาน โครงกระดูกก็ค่อยๆยกมือขึ้นอย่างช้าๆ ชี้นิ้วที่สั่นกึกๆไปทางกู่ฉิงซาน “ปีศาจกระดูกของข้า … เอาพวกมันคืนมานะ … ”


 


กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเฉียบขาด “ขอโทษที ปีศาจกระด่งกระดูกที่ไหนกัน ผมจำไม่ได้ว่าเคยเห็นมันมาก่อนนะ?”


 


ทั้งตนทั้งร่างโครงกระดูกชุดคลุมดำพลันสั่นสะท้าน


 


มันสั่นไหวอยู่ท่ามกลางสายฝน ปล่อยให้สายฝนเย็นฉ่ำ ปะทะเข้ากลับกะโหลกที่ร้อนรุ่มจนแทบจะลุกไหม้จนเปียกโชกอยู่พักใหญ่

 

 

 


ตอนที่ 337

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.337 – ถอยไปตั้งหลัก


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำยืนนิ่งชนิดลืมหายใจ จนผ่านไปสักพักมันจึงค่อยทำใจให้เย็นลงอย่างช้าๆ


 


เพื่อที่จะพิชิตโลก มันได้ใช้ความพยายามอย่างหนัก เตรียมกระบวนท่าสังหารชั้นสูงไว้ถึงสาม ทว่าแต่ละท่า … แต่ละท่ากลับทยอยกันถูกทำลายลง ไม่ก็ฉกชิงไปโดยอีกฝ่าย


 


เพียงแค่คิด โครงกระดูกในชุดคลุมดำก็รู้กปวดหัวเล็กน้อย


 


“กล้าทำลายปีศาจกระดูกของข้า แถมยังฉกฉิงสมบัติของข้าไป … ”


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำกัดฟันกล่าว


 


เสื้อคลุมของมันพัดกระพือขึ้น พร้อมกับเจตนาฆ่าจากทั้งร่างที่พุ่งทะยานในทันใด


 


ราวกับยักษ์ดำที่ลอยล่องอยู่กลางเวหา โครงกระดูกชุดคลุมดำโฉบถลาลงมา


 


“ถ้างั้นทีนี้ล่ะ จะลงมือสังหารเจ้าด้วยตัวเอง!” โครงกระดูกคำรามลั่น


 


กู่ฉิงซานเอ่ยเสียงกระซิบ “เจ้าสามารถรับมือกับเขาได้หรือไม่?”


 


“นั่นเป็นเพียงคนตายธรรมดาๆ พลังศักดิ์สิทธิ์ของข้าย่อมไม่มีประโยชน์อันใด” ดาบพิภพส่งเสียงหึ่งๆ


 


“คนตายธรรมดา … ดีล่ะ งั้นไว้เป็นหน้าที่ข้าเอง” กู่ฉิงซานกล่าว


 


กู่ฉิงซานทำการล็อคสมญาเทพสงครามไปเป็น ‘นายพลชั้นโหยวจี’


 


“หากสวมใส่ ท่านจะได้รับสกิลพิเศษ : โจมตีฉับไว(ขั้นกลาง)”


 


“โจมตีฉับไว(ขั้นกลาง) : ช่วยเพิ่มความว่องไวในการโจมตีของผู้เล่น 15%”


 


เขาจีบมือใช้ออกด้วยเทคนิคบงการดาบ


 


ดาบเช่าหยินปรากฏขึ้นข้างกายเขาและทำหน้ารับผิดชอบในการป้องกัน


 


ส่วนดาบพิภพรับหน้าที่โจมตี มันกลายเป็นภาพติดตาและหายวับไปอย่างรวดเร็ว


 


ตูม!


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำถูกทุบกระแทกจนแปรสภาพเป็นเงาดำๆปลิวกระเด็นกลับไป


 


“เจ้าก็ไปด้วย!” กู่ฉิงซานตะโกนเสียงต่ำ


 


ดาบเช่าหยินกระพริบไหว


 


ใบดาบอันแหลมคมของมันกรีดทำลายชั้นอากาศที่ว่างเปล่าจนส่งเสียงหึ่งๆ จ้วงแทงทะลุเข้าไปในเงาดำที่พึ่งปลิวไป


 


ทันใดนั้น ความเร็วของดาบพิภพก็เร่งสูงขึ้นด้วยเช่นกัน


 


เห็นแค่เพียงสองดาบบินเวียนว่าย ร่ายรำอยู่ในอากาศ สลับสับเปลี่ยนกันเป็นภาพติดตาไปๆมาๆ


 


ราวกับถูกหนีบอยู่กลางตะแกรงเหล็ก โครงกระดูกชุดคลุมดำถูกดาบคู่กระหนาบบ้างซ้ายบ้างขวา บ้างหน้าบ้างหลัง ทั้งสับทั้งแทงไปทั่วร่างกาย


 


“นี่มันสกิลดาบแบบใดกัน!” โครงกระดูกทั้งตกตะลึงทั้งโกรธแค้นในเวลาเดียวกัน


 


ดาบบินยังคงไล่สับอยู่เรื่อยๆ และความเร็วของมันก็มากเกินไปจนทำให้เขามิอาจหลบหลีกได้เลย


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำกัดฟัน ก่อนจะแปรสภาพเป็นหมอกหนาสีเทา และวูบร่างเคลื่อนกายไปยังทิศทางของกู่ฉิงซาน


 


เขารีดความว่องไวของตนจนถึงขีดสุด เพื่อหลุดพ้นจากสองดาบอย่างกระทันหัน


 


ในพริบตา โครงกระดูกในชุดคลุมดำก็มาถึงเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน


 


“เจ้าเด็กน้อย ตายซะ!”


 


เขาคำรามแบบแทบจะคลั่ง


 


ดาบน้ำแข็งปรากฏขึ้นในมือของเขา รอบตัวมันบังเกิดกระแสอากาศเย็นเยียบ สับลงไปยังกู่ฉิงซาน


 


“สกิลดาบเล็กจ้อยนี่น่ะหรือที่ท่านพยายามจะใช้สังหารผม?”


 


กู่ฉิงซานยื่นมือออกไปในทันใด ดาบเช่าหยินก็หมุนตัวเปลี่ยนทิศทางของมันอย่างรวดเร็ว และมาตกอยู่ในมือของเขา


 


เขากุมดาบเช่าหยิน และโถมตัวทะยานมุ่งไปข้างหน้า


 


สองดาบจากสองฝ่าย หนึ่งมีหน้าที่โจมตี อีกหนึ่งมีหน้าที่ป้องกัน ปะทะเคร้งๆใส่กัน ทว่าผ่านพ้นไปเพียงสิบกระบวนท่า กู่ฉิงซานก็สามารถปลดดาบในมือจากอีกฝ่ายลงได้


 


ดาบเช่าหยินวูบ! ผ่านไปข้างหน้าและจ้วงแทงเข้าไปในลำคออีกฝ่าย


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำถูกแรงปะทะจากดาบยาว ทั้งร่างของมันสั่นสะท้าน หน้าหงายเสยกลับไปเบื้องหลัง


 


มันร้องโหยหวนด้วยความโกรธ แม้ว่าดาบจะแทงลึกเข้าไปในลำคอของมัน แต่ทั้งคนทั้งร่างของมันก็ยังก้าวฝีเท้ามายังเบื้องหน้ามิคิดหยุดยั้ง


 


โครงกระดูกแปรสภาพกลายเป็นหมอกสีเทาอีกครั้ง หลงเหลือทิ้งไว้เพียงปากกระดูกขนาดใหญ่ที่ยังคงสภาพอยู่


 


อย่างฉับพลัน ปากกระดูกอ้ากว้างออก และขนาดของมันก็เพียงพอแล้วที่จะกลืนกินกู่ฉิงซานเข้าไปทั้งร่าง


 


ทั่วทั้งปากของมันเต็มไปด้วยซี่ฟันที่เรียงตัวกันอย่างหนาแน่น ชนิดที่ว่าอากาศหรือน้ำก็มิอาจแทรกตัวเข้าผ่านไปได้


 


กู่ฉิงซานพุ่งตรงไปข้างหน้า ฟาดคมดาบเข้าใส่ปากของโครงกระดูกชุดคลุมดำ


 


ส่วนทางด้านโครงกระดูกก็กัดงับ!ลง


 


แต่แล้วจู่ๆกู่ฉิงซานก็หายตัวไป และปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งเบื้องหลังของมัน


 


ดาบพิภพในมือโบกสะบัดฟาดเข้าใส่กลางกบาลอีกฝ่าย


 


เทคนิคลับแห่งดาบ ประทับดารา!


 


รังสีดาบเส้นบางๆแยกออกเป็นห้าแฉก และตลอดทั้งกะโหลกของชายชุดคลุมดำก็ถูกบดขยี้ แปรสภาพบุบบี้แลคล้ายโคลนเหลว


 


เลือดสีดำพุ่งกระฉูดแพร่กระจายไปทั่วฟ้า


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำกลิ้งตัวไปมาบนฟ้าด้วยความเจ็บปวด


 


กู่ฉิงซานจีบมือใช้ออกด้วยเทคนิคดาบอย่างรวดเร็ว ปากเอ่ยตะโกน “ฟันต่อเนื่อง!”


 


ดาบเช่าหยินคว้าโอกาสที่ว่านั่นอย่างรวดเร็ว และฟันต่อเนื่องไปถึงเจ็ดดาบลงบนร่างของโครงกระดูกชุดคลุมดำ


 


ทันใดนั้นมังกรสายฟ้าก็พุ่งออกมาจากดาบเช่าหยินอย่างรวดเร็ว มันอ้าปากงับ! เข้าใส่ร่างโครงกระดูก บดกรามอย่างเต็มที่ ฉีกกัดอีกฝ่ายอย่างรุนแรง


 


เทคนิคลับแห่งดาบ เจ็ดดารามังกรแหวกธารา!


 


“อ๊ากกกกกก” โครงกระดูกชุดคลุมดำส่งเสียงครวญหอนอันน่าสะพรึงออกมา


 


สายฟ้าน่ะมีพลังอำนาจที่จะใช้ลงทัณฑ์มารร้าย ดังนั้นความเสียหายที่เกิดจากมันจึงลึกล้ำยิ่งกว่าการโจมตีตามปกติ


 


มองไปยังโอกาสที่กำลังว่างเว้นนี้ กู่ฉิงซานก็หยิบเม็ดยาวิญญาณออกมากัดกิน


 


สองดาบบินวนสลับไปมา หมายจะบีบอีกฝ่ายเข้าสู่ความตาย และแน่นอน ว่าแม้สองดาบจะทรงพลานุภาพ ทว่าขณะเดียวกันพลังที่ต้องจ่ายออกไปเพื่อใช้มันก็ไม่น้อยเลยทีเดียว


 


ตอนนี้ เขากำลังต่อสู้ในรูปแบบของนักดาบนิรันดร์!


 


อย่างไรก็ตาม การควบคุมดาบบินของเขายังคงหยาบอยู่มาก เลยจำต้องได้รับความสนับสนุนโดยมือที่สับเปลี่ยนไปมาด้วยเทคนิคดาบอย่างว่องไว


 


กู่ฉิงซานมองไปยังมังกรสายฟ้า


 


–มันขึ้นอยู่กับว่าเจ็ดดารามังกรแหวกธาราจะสามารถสังหารอีกฝ่ายได้หรือไม่


 


บนท้องนภา ในที่สุดแสงแปล่บปลาบของสายฟ้าก็ได้หายไปในที่สุด


 


“ทำไม! ทำไมเจ้าถึงมีสกิลดาบนี้!”


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำกุมท้องของเขา ปากอ้าตะโกนหวีดคำรามอย่างบ้าคลั่ง


 


บัดนี้ตรงบริเวณช่วงท้องของเขาปรากฏรูขนาดใหญ่เปิดอยู่


 


โครงกระดูกยกมือที่กุมท้องขึ้น และพบว่ามือของมันถูกปกคลุมไปด้วยเลือดสีเทา


 


“เจ้าทำให้ข้าโกรธจริงๆแล้วนะ!” โครงกระดูกกำลังจะเป็นบ้า!


 


ด้วยมือข้างที่เปื้อนเลือด เขายื่นมันออกไปขีดเขียนอักษรลึกลับบางอย่างในอากาศ


 


พร้อมกับสายลมที่ไหลออกมาจากมัน แทรกซึมเข้าไปตามชั้นอากาศอย่างเงียบๆ


 


“ผู้คุมวิญญาณจากปรภพ จงมาช่วยข้า-”


 


สายลมกรรโชกแรงขึ้น พร้อมด้วยเสียงเล็กๆไหลเอื่อยลอยตามมากับมัน ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น


 


แต่เมื่อเห็นฉากนี้ จู่ๆดาบพิภพก็ฉวัดเฉวียนไปในอากาศ


 


และทันใดนั้นปราณที่มองไม่เห็นก็ปะทุออกมาจากดาบพิภพ


 


เสียงหนักทึบของดาบพิภพดังกึกก้อง ส่งผ่านไปทั่วสนามรบ


 


“ไม่ว่าจะเป็นมารสวรรค์ วิญญาณชั่วร้าย อสูรกาย หากย่างกรายเข้ามาใกล้พวกเจ้าจักต้องตาย!”


 


ฮู้มมมมม!


 


สายลมแรงพัดกระพือตอบสนอง


 


คลื่นอากาศที่มองไม่เห็นในสายลมระเบิดเสียงหวีดหวิวไปมา


 


ทันใดนั้น สายลมก็กระจายตัวแยกออกไป สรรพเสียงทั้งหมดเงียบลง มิมีเสียงใดผุดออกมาจากความว่างเปล่าอีกเลย


 


ผู้คุมวิญญาณ … ได้เผ่นจากไปแล้วด้วยความหวาดกลัว


 


โครงกระดูกในชุดคลุมดำจับจ้องมองดาบพิภพชนิดหัวชนฝา ความปรารถนาอันแรงกล้าผุดขึ้นมาบนใบหน้ากระดูกของมัน


 


“ดาบเช่นนี้ มาอยู่ในมือของสัตว์เลื้อยคลานเช่นเจ้าได้อย่างไร” มันเอ่ยอย่างขุ่นข้อง


 


“สัตว์เลื้อยคลาน?” กู่ฉิงซานเอ่ยทวนซ้ำ


 


“ก็ใช่น่ะสิ! หากมิได้ครอบครองดาบเล่มนี้แล้วล่ะก็ ตัวเจ้าน่ะไม่นับว่าเป็นสิ่งใดเลย!” โครงกระดูกชุดคลุมดำกล่าว


 


“งั้นเกรงว่าท่านคงจำเป็นต้องมาทำความรู้จักกับผมใหม่อีกซักครั้งแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว


 


วูบบบบ!


 


ดาบทะลวงผ่านท้องของโครงกระดูกชุดดำ


 


มันคือดาบเช่าหยิน


 


และวินาทีต่อมา ดาบเช่าหยินก็หายวับไป


 


พร้อมบังเกิดรังสีดาบดั่งดวงจันทร์นวลผ่องขนาดยักษ์เข้ามาแทนที่ ระเบิดออกมาจากกลางเอวของโครงกระดูกชุดคลุมดำอย่างรุนแรง


 


ร่างเงาแทนที่!


 


ทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานแปรสภาพเป็นเทคนิคลับแห่งดาบตัดจันทรา สะบั้นร่างโครงกระดูกในชุดคลุมดำแยกออกเป็นสองส่วน!


 


ร่างโครงกระดูกถูกพัดปลิวไปตามแรงสายลมที่พัดกระพือจากดาบ เลือดสาดฟุ้งไปในอากาศอย่างรุนแรง


 


กู่ฉิงซานจีบออกด้วยเทคนิคดาบอีกครั้ง


 


และดาบเช่าหยินก็ก่อกระแสน้ำจับตัวขึ้น แปรเปลี่ยนเป็นรังสีดาบอันเชี่ยวกราด


 


เทคนิคลับแห่งดาบ กระแสธารอันยิ่งใหญ่!


 


รังสีดาบเหลือคณาแปรสภาพเป็นดั่งกระแสธารไหลท่วมเข้าลำตัวครึ่งล่างของโครงกระดูกชุดคลุมดำ ตัดสะบั้นมันจนเหือดหายไปในความว่างเปล่า


 


ท่ามกลางอากาศ มีเพียงส่วนลำตัวครึ่งบนของโครงกระดูกเท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่


 


โครงกระดูกในชุดคลุมดำจ้องมองส่วนลำตัวครึ่งล่างของตนที่ถูกล้างบางออกไปโดยรังสีดาบโดยสมบูรณ์


 


มันเป็นความรู้สึกแปลกๆที่เขาไม่เคยพบเจอหรือมีประสบการณ์ในการต่อสู้แบบนี้มาก่อน


 


ทว่า ณ ขณะนี้ กลับเป็นฝ่ายตรงข้ามที่ยังคงแลดูสงบแทน


 


“ข้าไม่เคยเห็นใครต่อสู้เหมือนเจ้ามาก่อนเลย แม้กระทั่งตอนที่อยู่ในนรก” โครงกระดูกชุดคลุมดำเอ่ยเสียงหม่น


 


ดูเหมือนว่ามันจะไม่สนใจเกี่ยวกับร่างของตนที่เหลือเพียงครึ่ง


 


“ผมยังสามารถช่วยให้ท่านเข้าใจได้ถึงตัวผมได้มากยิ่งกว่านี้อีกนะ” กู่ฉิงซานยกดาบขึ้น


 


อาวุธที่ทรงพลานุภาพที่สุดของโครงกระดูกในชุดคลุมดำคือหยดน้ำและยี่สิบปีศาจกระดูก


 


ทว่าหยดน้ำของสายธารแห่งการหลงเลือนก็ได้ถูกดูดดื่มไปแล้วโดยดาบเช่าหยิน


 


ส่วนยี่สิบสิ่งมีชีวิตในตำนานก็ถูกทุบทำลาย ฆ่าสังหารจนสิ้นโดยดาบพิภพ


 


บัดนี้ร่างโครงกระดูกในชุดคลุมดำไร้ซึ่งพลังอันน่าหวาดหวั่นอีกต่อไป


 


“ฝากไว้ก่อนเถอะ … ครั้งหน้าข้าจะต้องมาคิดบัญชีกับเจ้าแน่!” โครงกระดูกชุดคลุมดำกล่าว


 


“ท่านคิดจริงๆหรือว่าผมจะปล่อยท่านไป?” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ดาบเช่าหยินและดาบพิภพลอยเด่นอยู่ในอากาศข้างกายเขา


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำผุดรอยยิ้มแปลกๆขึ้นบนใบหน้า


 


“ข้าสามารถตายได้นับครั้งไม่ถ้วน แต่เจ้าน่ะ พลาดพลั้งเพียงครั้ง … ก็จะตกตายไปตลอดกาล”


 


“ในนรก ยังมีคนตายที่เป็นเหมือนกับข้าอีกมาก และพวกเขาล้วนเป็นอมตะ!”


 


“แล้วเจ้าจะสามารถรับมือกับพวกเราได้อย่างไร?” มันเอ่ยถาม


 


กู่ฉิงซานเงียบ


 


มันเป็นความจริงที่คนตายน่ะจะไม่สามารถตายได้อีก


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำกล่าว “สุดท้ายแล้วผู้ชนะ … คือคนเป็นหรือคนตายจากปรภพกันแน่นะ?”


 


หลังสิ้นคำกล่าวแล้ว มันก็ยกมือขึ้นและบิด! หมุนหัวกะโหลกของตนเองดังกร๊อบ!


 


แล้วโครงกระดูกในชุดคลุมดำก็หายไปต่อหน้าต่อตากู่ฉิงซาย


 


มิอาจพบเจอถึงร่องรอยของมันบนท้องฟ้าได้อีกต่อไป หลงเหลือเพียงหมอกสีเทาในอากาศที่ค่อยๆกระจัดกระจายออกไปเท่านั้น


 


กู่ฉิงซานตะลึงนิ่งงันไปสักพัก


 


อีกฝ่ายจงใจฆ่าตัวตาย


 


ด้วยวิธีนี้ โครงกระดูกในชุดคลุมดำก็จะสามารถหลบลี้ออกจากพื้นที่นี้ได้ในทันที


 


ด้วยวิธีนี้ มันจะหวนกลับสู่นรกเยือกแข็ง และใช้น้ำแข็งแช่ตัวเพื่อรักษาบาดแผลทั้งหมดให้ฟื้นฟูกลับคืนมาดังเดิมอีกครั้ง


 


เมื่อหายดีเป็นปกติ มันก็จะออกมาก่อความวุ่นวายอีกครา


 


กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ


 


นี่แหละคือส่วนที่จัดการได้ยากมากที่สุดของนรกเยือกแข็ง คุณทำได้เพียงแค่มอบความพ่ายแพ้ให้แก่ฝ่ายตรงข้าม แต่ไม่สามารถกำจัดอีกฝ่ายลงได้อย่างเด็ดขาดตลอดไป

 

 

 


ตอนที่ 338

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.338 – กำลังเสริม


 


คนตายถูกสังหาร จมลงสู่ห้วงหลับฝัน หลังจากฟื้นฟูจนสมบูรณ์แล้วก็จะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง


 


เวียนวนเป็นวัฏจักรเช่นต่อไปไม่ทางแก้ปัญหาได้


 


แต่สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าก็คือ โครงกระดูกชุดคลุมดำนั้นได้มาอยู่ในโลกมนุษย์แล้ว


 


เมื่อมันตาย นั่นหมายความว่ามันย่อมต้องปรากฏกายขึ้นในน้ำแข็งที่ไหนสักแห่งบนโลก


 


แล้วถ้าปล่อยให้มันเป็นอิสระ เมือมันตื่นขึ้นมา มันก็จะเริ่มฆ่าสังหารและดูดกินจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะยกระดับพลังของตัวเองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น


 


เพียงแค่คิดเรื่องนี้ ก็ชวนให้รู้สึกปวดหัวโดยแท้


 


ตอนนี้ นรกเยือกแข็งพึ่งจะเริ่มตึ้นขึ้นเท่านั้น


 


ต่อไป สิ่งที่ตามมาคือคนตายนับไม่ถ้วนปรากฏตัวขึ้นในโลก


 


ยิ่งไปกว่านั้นในอนาคตอันใกล้ สิ่งที่จะตามมาต่อก็คือมอนสเตอร์ในยุคยักษ์ ยุคปีศาจ และยุคโกลาหล


 


ถึงเวลานั้นไม่ว่ามนุษย์จะมีความแข็งแกร่งขนาดไหน พวกเขาก็ไม่สามารถรับมือกับมอนสเตอร์ที่ไม่มีวันตายจำนวนมากได้อย่างแน่นอน


 


กู่ฉิงซานส่ายหัว ผละมือที่จีบใช้กระบวนท่าออก


 


ดาบพิภพและเช่าหยินก็หายไป


 


พวกมันกลับไปซ่อนตัวอยู่ในความว่างเปล่าและจะสามารถโผล่ออกมาได้อีกครั้งเมื่อใดก็ตามที่กู่ฉิงซานต้องการมัน


 


กู่ฉิงซานกล่าว “เทพธิดากงเจิ้ง เมื่อกี้ไม่มีเวลามากพอที่จะถาม ช่วยบอกสถานการณ์ล่าสุดให้ฉันที”


 


“ท่านประธานาธิบดีปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหัน และบรรลุข้อตกลงทางวาจากับจักรพรรดินีเวโรนีแห่งสาธารณรัฐฟูซีแล้ว”


 


“ข้อตกลงอะไร?”


 


“พิจารณาจากการปรากฏขึ้นของนรกเยือกแข็ง มนุษยชาติอยู่ใกล้ชิดกับขอบเหวแห่งการล่มสลาย ทั้งสองประเทศจึงได้ตัดสินใจยุติสงครามลงในทันที”


 


กู่ฉิงซานพยักหน้าเล็กน้อยและเอ่ยถามว่า “แล้วสถานการณ์ความเสียหายล่ะ เป็นยังไงบ้าง”


 


“มีสองหุ่นรบที่ได้รับความเสียหาย”


 


“แค่นั้นเองหรอ?” กู่ฉิงซานทวนถามด้วยความประหลาดใจ


 


“ถูกต้องแล้วใต้เท้า”


 


แล้วเทพธิดากงเจิ้งก็เริ่มเล่าอธิบายถึงรายละเอียดแบบเฉพาะเจาะจงออกมา


 


กู่ฉิงซานหัวเราะ


 


“ไม่เลวนี่นา” เขากล่าว


 


ในเวลานี้ เสียงจากอุปกรณ์สื่อสารก็ดังขึ้นในทันใด


 


กู่ฉิงซานก้มลงมองมัน และเห็นว่าปลายสายคือจักรพรรดินีเวโรน่า


 


หลังจากที่สนทนากัน จักรพรรดินีก็ร้องขอคำแนะนำจากเขาเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง


 


กู่ฉิงซานไตร่ตรองอยู่สักพักหนึ่งจึงแสดงความคิดเห็นออกไป


 


หลังจากที่วางสาย เทพธิดากงเจิ้งก็กล่าวออกมาในทันที “ใต้เท้า ท่านประธานาธิบดีได้เฝ้าดูการต่อสู้ของคุณ และตอนนี้เขาต้องการที่จะพบกับคุณทันที”


 


“โอเค นี่มันก็สมควรแก่เวลาแล้วที่พวกเราจะได้พบกัน”


 


สิ้นเสียง กู่ฉิงซานก็บินมุ่งหน้าตรงไปยังคฤหาสน์ของประธานาธิบดี


 


คราวนี้ ในที่สุดเขาก็จะได้พบกับประธานาธิบดีตัวจริงซะที


 


ไม่กี่นาทีต่อมา


 


เขาก็มาถึงคฤหาสน์ที่ถูกตัดแยกออกเป็นสองซีก


 


หลังจากผ่านเหตุการณ์พลิกผันต่างๆนาๆมามากมาย กู่ฉิงซานและประธานาธิบดีก็ได้พบกันอีกครั้ง


 


“ฉันหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่นั่นแหละ แต่อันตรายจริงๆนะในตอนนั้น ถ้ามันพังทับฉันจริงๆ ก่อนจะออกไปสู้ เธอคงต้องรีบมาช่วยฉันเป็นอันดับแรกแล้วล่ะ” ประธานาธิบดีหัวเราะ


 


“คนดีน่ะ ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้หรอกครับ” กู่ฉิงซานตอบรับด้วยรอยยิ้ม


 


ประธานาธิบดีเชิญเขานั่งลงบนโซฟา


 


“ชาหรือกาแฟดีล่ะ?”


 


“ชาครับ”


 


“คราวนี้ ในที่สุดพวกเราก็จะได้คุยกันแบบดีๆซักทีเนอะ”


 


“ใช่ครับ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ใครจะไปคาดคิดว่าองค์จักรพรรดิฟูซีจะตัดสินใจเลือกแบบนั้น”


 


สีหน้าการแสดงออกของประธานาธิบดีกลายเป็นหนักอึ้ง เขาเอ่ยถาม “นรกเยือกแข็งไม่สามารถเอาชนะได้จริงๆน่ะหรอ?”


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าว “เป็นความจริง มันคือโลกของคนตาย หากอ้างอิงกันตามวัฏจักรชีวิต พวกเขาตายไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถตายได้อีก”


 


“ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ไม่ควรนั่งนิ่งอยู่เฉยๆ” ประธานาธิบดีพูดอย่างรวดเร็ว “พวกเราจำเป็นต้องรวบรวมนานาประเทศทั้งหมด ทิ้งทุกข้อพิพาทที่เคยมีร่วมกันมา และต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติ”


 


กู่ฉิงซานกล่าว “ใช่แล้วครับ จักรพรรดินีเวโรน่าจะขึ้นครองบัลลังก์ในไม่ช้า เรื่องนี้ท่านสามารถสนทนากับเธอได้ก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อฟูซีกับรัฐบาลกลางบรรลุข้อตกลงร่วมกัน ขั้นต่อไปมันก็จะง่ายขึ้น”


 


ประธานาธิบดีพยักหน้าเห็นด้วย และกล่าวว่า “ตามการพิจารณาของรัฐบาลกลาง คาดว่าโอกาสที่เธอจะได้ขึ้นครองบัลลังก์นั้นมีสูงมาก ฉันจะต้องไปพบกับเธอทันที”


 


“แล้วท่านจะไปหารือเรื่องอะไรกับเธอ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


ประธานาธิบดี “ฉันต้องการที่จะเป็นผู้นำการประชุมนานาชาติให้เริ่มต้นขึ้นทันที เพื่อให้น้ำยาผสานยีนสามารถแพร่กระจายไปทั่วโลก ให้เพื่อมนุษย์ทุกคนมีโอกาสปลุกความแข็งแกร่ง และแรงบันดาลใจและความหวังให้แด่พวกเขา”


 


กู่ฉิงซานมองไปยังประธานาธิบดีและกล่าวด้วยรอยยิ้มในทันใด “ผมเชื่อ 100 เปอร์เซ็นเลยว่าท่านนี่แหละ ประธานาธิบดีตัวจริงเสียงจริงแน่ๆ”


 


“ท่านประธานาธิบดี จริงๆแล้วผมมีแนวคิดบางอย่างเกี่ยวกับการฝึกยุทธของมนุษย์ และอยากจะพูดคุยกับท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้มาสักพักแล้ว”


 


ประธานาธิบดีเผยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “ว่ามาสิ”


 


………..


 


ครึ่งวันต่อมา


 


ณ วิลล่าบนภูเขา


 


เชฟ7-8คนเดินเรียงรายกันออกมา


 


กู่ฉิงซาน ซางหยิงฮ่าว เย่เฟย์หยู และเหลียวฮังนั่งล้อมวงกันรอบโต๊ะ


 


มันเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะหาโอกาสนั่งกินข้าวเย็นกันพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้


 


แม้ว่าซางหยิงฮ่าวจะมีรอยช้ำและปูดบวมบนใบหน้า แต่รอยยิ้มของเขากลับไม่ยอมหุบลงเลย


 


“ยังเจ็บอยู่รึเปล่า” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


“เจ็บแล้วมันยังไง แค่ได้รับเงินมามันก็ช่วยปัดเป่าเยียวยาความเจ็บปวดให้ฉันแล้ว” ซางหยิงฮ่าวกล่าว


 


จักรพรรดินีเวโรน่าช่างใจกว้างอย่างแท้จริง


 


เวลานี้ ภารกิจของซางหยิงฮ่าวนับว่าเกือบจะสมบูรณ์แบบ


 


และสิ่งเดียวที่ทำให้มันไม่สมบูรณ์แบบก็คือการถูกทุบตีโดยเทพนักสู้


 


ใกล้กับซางหยิงฮ่าว เหลียวฮังที่อยู่ด้านขวาไม่ได้ขยับมือของเขา แต่ตะเกียบที่อยู่ตรงหน้ากลับบินออกไปโดยอัตโนมัติ คีบอาหารบนจานแล้วป้อนมันเข้าปากของเขา


 


เหลียวฮังกำลังเคี้ยวอาหารในจานอย่างตะกละตะกลาม และทันใดนั้นเขาก็ดีดนิ้วทันที


 


ป๊อก!


 


ขวดแชมเปญเปิดออกอย่างกระทันหัน


 


ขวดแชมเปญบินมายังเบื้องหน้าเขา และเติมมันลงในแก้วอัตโนมัติ


 


“ไม่เลวนี่นา” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยยกย่องคำหนึ่ง


 


“แน่นอนอยู่แล้ว ด้วยสมองของฉันคนนี้ การฝึกยุทธน่ะมันเป็นแค่เรื่องง่ายดาย” เหลียวฮังกล่าว ขณะที่ยังคงบังคับตะเกียบให้ป้อนอาหารเข้าปากเขาอย่างต่อเนื่อง


 


กู่ฉิงซานมองไปทางเย่เฟย์หยู


 


“แล้วทำไมนายถึงไม่เรียกแฟนให้ออกมานั่งด้วยล่ะ?”เขาเอ่ยถาม


 


“ฉันไม่ยอมปล่อยให้เธอออกมาเองแหละ”


 


“ทำไมล่ะ หรือว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


 


“ก็การที่ผู้ชายหลายคนที่ดูน่าหวาดกลัวกำลังนั่งดื่มกินกันอย่างเต็มที่ จะให้เธอมาผสมโรงได้ยังไง” เย่เฟย์หยูยืดอกขึ้นและกล่าว


 


ติ๊ง-ต่อง!


 


เสียงระฆังของนาฬิกาบนผนังดังขึ้น


 


“พวกนายกินกันต่อเลย ฉันอิ่มแล้ว” เย่เฟย์หยูกล่าว


 


เขาผุดลุกขึ้น และจากไปอย่างรวดเร็ว


 


“ปัง!” ตามด้วยเสียงประตูห้องของเย่เฟย์หยูที่ดังตามมาอย่างแรง


 


“เขายังไม่ได้กินอะไรเลย แล้วจะไปอิ่มได้ยังไง?” กู่ฉิงซานสงสัย


 


“ไม่ใช่ว่ามันถึงเวลาแล้วหรอกเหรอ ฮี่ฮี่” เหลียวฮัง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ชั่วโมงนี้ เป็นเวลาเดียวที่มันจะได้คุยกับผู้หญิงคนนั้นยังไงล่ะ”


 


ซางหยิงฮ่าวเปิดขวดเหล้า และเทมันลงบนแก้วของกู่ฉิงซาน ถอนหายใจด้วยอารมณ์ “อย่าพูดถึงเขาเลย เอาเป็นว่าเวลานี้ฉันคงต้องขอกล่าวขอบคุณนายสำหรับเรื่องธุรกิจนะ”


 


กู่ฉิงซานยกแก้วเหล้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ต้องขอบคุณหรอก นายก็ช่วยฉันไว้เยอะเหมือนกันตอนกำลังวุ่นๆ”


 


ทั้งสองหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาชน และยกดื่มรวดเดียวหมด


 


ทันใดนั้นสมองควอนตัมของกู่ฉิงซานก็ส่องสว่างขึ้น


 


“ใต้เท้า ลองดูข่าวนี้สิ” เทพธิดากล่าว


 


กู่ฉิงซานเปิดจอม่านแสง


 


บนหน้าจอ คือพระราชวังโอเอซิสกลางทะเลทรายของอาณาจักรฟูซี


 


ผู้บรรยายกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “ในวันนี้ จักรพรรดินีเวโรน่าได้พบกับท่านประธานาธิบดีแห่งรัฐบาลกลาง ณ พระราชวังทะเลทราย ท่านประธานาธิบดีได้แสดงการสนับสนุนสำหรับการตัดสินใจของจักรพรรดินีเวโรน่าที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์ และหวังว่าทั้งสองประเทศจะขยายความสัมพันธ์  … ”


 


นรกเยือกแข็งได้มาถึงและค่อยๆแพร่กระจายออกไปทั่วโลกโดยที่ไม่อาจต้านทานได้


 


อย่างไรก็ตาม แผนการขององค์จักรพรรดิได้ถูกหยุดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว และอัตราการแพร่กระจายของนรกเยือกแข็งจากทั่วทุกมุมโลกสมควรที่จะลุกลามช้าลงเป็นอย่างมาก


 


นอกจากนี้ ทุกประเทศยังได้ยกเลิกการใช้โทษประหาร


 


โรงพยาบาลทั้งหมดเปิดให้ใช้บริการฟรี และทุกคนที่ป่วยจะสามารถได้รับการรักษาทันที


 


หลายประเทศเล็กๆที่ขัดแย้งกัน ก็ต้องผ่อนความระแวดระวังลง และร่างข้อตกลงสันติภาพ


 


ช่วงเวลานี้ มนุษยชาติได้จับมือสามัคคีกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน


 


พันธมิตรร่วมกันโจมตีและปกป้องโลกได้รับการจัดตั้งขึ้น


 


ทุกประเทศระดับสูงทั้งหมดได้รับแจ้งถึงข้อเท็จจริงของการรุกรานจากนรกเยือกแข็ง


 


คราวนี้ แม้กระทั่งเก้าตระกูลใหญ่ก็ไม่อาจหยุดยั้งมันได้


 


แม้กระทั่งทางคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ที่มีทัศนคติแยกตัวออกไปโดดเดี่ยว ก็ยังแสดงความประสงค์ที่จะเข้าร่วมสนธิสัญญาพันธมิตรในครั้งนี้ด้วย


 


พอซางหยิงฮ่าวได้อ่านข่าว เขาก็หัวเราะออกมาและกล่าวว่า “ต่อจากนี้ไปฉันคงเรียกเธอห้วนๆไม่ได้อีกแล้ว ทุกครั้งที่เจอคงต้องตะโกนว่า องค์สมเด็จพระจักรพรรดินีทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน”


 


ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ในอารมณ์ที่ดีมากทีเดียว


 


เนื่องจากผลงานอันยอดเยี่ยมจากภารกิจคุ้มครอง ทำให้เขาได้รับความไว้วางใจจากทางจักรพรรดินีเวโรน่า และทั้งสองก็ได้ทำข้อตกลงร่วมกันว่า คงจะมีโอกาสร่วมมือกันอีกมากในอนาคต


 


สมาคมนักล่าได้สร้างชื่อเสียงกระฉ่อนให้กับตัวเองในโลกใต้ดินจากเหตุการณ์ในครั้งนี้


 


หลังจากอ่านข่าวอย่างรอบคอบ กู่ฉิงซานก็พยักหน้าพลางครุ่นคิด


 


เขากล่าว “หยิงฮ่าว ฉันต้องการคนของนายไปปกป้องท่านประธานาธิบดี เพราะว่าเขาไม่มีร่างโคลนมาแทนที่แล้ว”


 


“มีรางวัลรึเปล่าล่ะ?”


 


“ไม่ให้เป็นเงินนะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ใบหน้าเปื้อนยิ้มของซางหยิงฮ่าวพังครืนลงในทันที เขาก้มหน้าลงและกล่าว “สงสัยคงได้กินแห้วอีกแล้ว”


 


“เพราะนั่นมันไม่เพียงพอที่จะใช้เป็นรางวัลหรอก แต่ใครก็ตามที่ยินดีจะรับหน้าที่นี้ ฉันจะคัดเลือกเทคนิคฝึกยุทธให้แก่พวกเขาด้วยตัวเอง” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“งั้นตกลง!”


 


ซางหยิงฮ่าวรีบตอบรับทันที


 


เพราะนับตั้งแต่ที่เขาได้เรียนรู้และฝึกซ้อมเทคนิคฝึกยุทธของกู่ฉิงซาน เขาก็มีความตระหนักรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับโลกทั้งใบมากขึ้น


 


แม้กระทั่งเทคนิคเทียนซวนที่มาถึงคอขวด ก็เริ่มที่จะเผยสัญญาณคลายตัวลงแล้ว


 


นี่ขนาดเขาใช้เวลาฝึกฝนเพียงไม่กี่วันเท่านั้นนะ แต่มันกลับส่งผลลัพธ์ได้มากถึงขนาดนี้


 


ถ้าเขายังคงฝึกฝนมันต่อไปแล้วล่ะก็ …


 


สำหรับเรื่องเกี่ยวกับการฝึกฝน เกี่ยวกับเทคนิคฝึกยุทธ ซางหยิงฮ่าวย่อมให้ความสนใจกับมันอย่างเต็มที่


 


กู่ฉิงซานหันหัวไปอีกทางและเอ่ยถามว่า “เหลียวฮัง แล้วการจัดเรียงเทคนิคฝึกยุทธทั้งหมดเป็นยังไงบ้าง?”


 


“ทำการจัดหมวดหมู่เสร็จสมบูรณ์แล้ว” เหลียวฮังตอบ


 


“ถ้างั้น ในเมื่อกำไลข้อมือของพวกเราพร้อมสำหรับทุกอย่างแล้ว ก็เหลือแค่น้ำยาธาตุทั้งห้าของฟูซีเท่านั้น” กู่ฉิงซานกล่าว


 


น้ำยาปลุกเทคนิคเทียนซวน กับน้ำยาเสริมศักยภาพนักสู้หวูเต๋าก็ได้รับมาแล้ว ที่เหลืออยู่ก็แค่เพียงน้ำยากระตุ้นธาตุทั้งห้าเท่านั้น


 


ด้วยน้ำยาสามชนิดนี้ ความสามารถของมนุษย์ทุกคนก็จะตื่นขึ้นได้ทันที


 


โลกนี้จะก้าวเข้าสู่ยุคที่ผู้คนกลายเป็นมืออาชีพ


 


แน่นอนว่าย่อมต้องมีบางคนที่ไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้ แต่สิ่งนี้จะไม่ส่งผลกระทบใดๆต่ออนาคตของพวกเขา


 


เพราะกู่ฉิงซานได้เตรียมการฝึกฝนด้วยเทคนิคฝึกยุทธไว้นับร้อยนับพันเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับกรณีนี้!


 


ถ้าเราสามารถเอาชีวิตรอดจากภัยพิบัติเยือกแข็งในครั้งนี้ไปได้ โลกก็จะนำไปสู่เติบโตและพัฒนาอย่างก้าวกระโดด!


 


“เทพธิดากงเจิ้ง พิธีบรมราชาภิเษกของจักรพรรดิจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่นะ”


 


“พรุ่งนี้เวลา 9 โมงเช้า”


 


กู่ฉิงซานหันไปมองดูเวลา


 


เหลืออีก 11 ชั่วโมง


 


นับว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมทีเดียว


 


เขาหยิบขวดเหล้าขึ้นมา และรินมันให้ซางหยิงฮ่าว ปากเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “คืนนี้นายพอจะว่างไหม?”


 


“ทำไม?”


 


“ออกไปฆ่ากัน”


 


“ด้วยความแข็งแกร่งของนายในตอนนี้ ยังต้องการให้ฉันช่วยอีกหรอ?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถามแปลกๆ


 


“ก็ฉันดันปล่อยให้องค์จักรพรรดิผู้ก่อตั้งฟูซีหนีไปได้น่ะสิ แถมตอนนี้เทพธิดากงเจิ้งก็ยังหาตัวมันไม่เจอเลย ”


 


“งั้นก็ตกลง พวกเราไปหาอะไรทำให้อาหารมันย่อยกันดีกว่า” ซางหยิงฮ่าวตอบรับอย่างมีความสุข


 


ทั้งสองยกแก้วขึ้นมาชน


 


เมื่อได้ข้อสรุปในเรื่องนี้แล้ว กู่ฉิงซานโล่งใจ


 


เขามองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม


 


บนหน้าต่าง สามบรรทัดตัวอักษรลอยเด่นอยู่ตรงใจกลางมัน


 


“กำลังเสริมจากปรภพได้รับทราบถึงความสำเร็จอันงดงามของคุณแล้ว และตอนนี้พวกเขากำลังเร่งมือให้ไวขึ้น เพื่อที่จะได้รีบมาถึงโลกใบนี้อย่างรวดเร็ว ร่วมต่อสู้กับนรกเยือกแข็งไปพร้อมกับคุณ”


 


“เมื่อกำลังเสริมจากปรภพมาถึงโลก พวกเขาจะทำการติดต่อกับคุณก่อนเป็นอันดับแรก”


 


“ทำการนับเวลาถอยหลัง : 24.00 น.”


 


อีก 24 ชั่วโมง กำลังเสริมจะมาถึง


 


กู่ฉิงซานเบนสายตาของเขากลับมา และยกแก้วขึ้นดื่มต่อ


 


เขาวางแก้วลงบนโต๊ะและยืนขึ้น


 


แล้วเตรียมพร้อมเริ่มทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้น ก่อนที่กำลังเสริมจะมาถึง

 

 

 


ตอนที่ 339

 

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.339 – ออกไล่ล่า


 


ยามค่ำคืน


 


ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวและแสงจันทร์สลัว


 


นรกเยือกแข็งกำลังแพร่กระจายในอัตราที่เชื่องช้า


 


ภายในร้านซุปเปอร์มา์เก็ตที่เปิด 24 ชั่วโมง


 


กู่ฉิงซานเดินออกมาจากภายใน


 


“นายได้ซื้อมันมารึเปล่า” ซางหยิงฮ่าวที่ยืนรอหน้าประตูเอ่ยถาม


 


แมวดำตัวน้อยถูกโอบอุ้มอยู่ในอ้อมแขนเขา มันเอาคางอิงกับไหล่ของซางหยิงฮ่าว ขณะเดียวกันก็หันมามองกู่ฉิงซานด้วยแววตาที่เปล่งประกายแห่งความหวัง


 


“ใช่ ฉันซื้อมันมาแล้ว แต่ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมคราวนี้เป็นต้องเป็น ‘ทุเรียน’


 


กู่ฉิงซานยกทุเรียนที่เต็มไปด้วยหนามแหลมขึ้นมาอย่างระมัดระวัง และมองดูแมวดำ


 


“นี่คือทุเรียนเกรดที่ดีที่สุดในซุปเปอร์มา์เก็ต”


 


แมวดำพยักหน้าขึ้นลงๆและร้องเหมียวๆด้วยความพอใจ


 


ซางหยิงฮ่าวหยิบเอาทุเรียนในมือของเขาและอธิบายอย่างเป็นเรื่องเป็นราวว่า “นั่นเพราะมันกำลังจะต้องออกไล่ล่าตัวตนประเภทน่าหวาดหวั่น และรสชาติของทุเรียนก็เป็นประเภทเดียวกันยังไงล่ะ”


 


ทั้งสองเดินปลีกตัวออกไปในสถานที่ๆไม่มีผู้คน ก่อนที่ซางหยิงฮ่าวจะเคาะนิ้วลงบนพื้นและวางทุเรียนใส่ลงไปในหลุมดำ


 


“ดูนี่สิ ทุเรียนทั้งลูกเลยนา นี่สำหรับเธอคนเดียวเลยนะ ต่อให้กัดกินมันทั้งวันทั้งคืนก็ไม่มีทางหมดแน่ๆ” ซางหยิงฮ่าวกล่าว


 


“แต่ถ้ากินแล้วยังไม่อิ่ม ก็บอกฉันได้ตลอดเวลาเลยนะ สัญญาเลยว่าฉันจะซื้อมันให้เจ้าอีกครั้ง” กู่ฉิงซานตบลงบนหน้าอกของตัวเอง


 


แมวดำพยักหน้าให้เขา นั่งยองๆลงทำจมูกฟุดฟิดหันไปซ้ายทีขวาที


 


สักพักก็เงยหน้ามองทั้งสอง หรี่ดวงตากลมโตแคบลง ร้องเหมียวออกมาเบาๆ


 


ซางหยิงฮ่าวเมื่อเห็นฉากนี้ เขาก็หันไปพูดกับกู่ฉิงซาน “นายพูดสิ่งที่ต้องการได้เลย ตอนนี้พวกเราพร้อมเริ่มต้นค้นหาแล้ว”


 


กู่ฉิงซานรีบกล่าวในทันที “ฉันกำลังตามหา ‘คนตาย’ ”


 


แมวดำกางกรงเล็บออก และยกมันขึ้นมาปิดจมูกตน


 


“อย่าพึ่งเข้าใจผิดไป ที่ฉันกำลังตามหาคือคนตายที่กำลังจะเกิดใหม่ เขาสวมใส่ชุดคลุมสีดำ ทั้งร่างกายเป็นโครงกระดูกไม่มีเนื้อหนัง … ”


 


ขณะกล่าว มือของกู่ฉิงซานก็จีบออกด้วยวิชาลับ


 


สร้างม่านแสงขึ้น


 


และโครงกระดูกในชุดคลุมดำก็ปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าแมว


 


“เจ้ามอนสเตอร์ตัวนี้แหละ แมวน้อย .. เจ้าพอจะสามารถหามันได้ไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม


 


แมวดำจดจ้องมองภาพที่ว่านี้อยู่ครู่หนึ่ง


 


ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปไม่กี่ก้าว แล้วเริ่มเปลี่ยนเป็นวิ่งด้วยความเร็วที่มากขึ้น และกระโจนออกไป


 


ท่ามกลางเวหา เจ้าแมวดำเหยียดร่างที่ยืดหยุ่นของมันจนยืดยาว ทำท่าทำทางแลคล้ายกับพวกสัตว์ที่บินได้


 


“มันหมายความว่ายังไง?” กู่ฉิงซานถาม


 


“มันบอกว่าพวกเราต้องบินไป” ซางหยิงฮ่าวยักไหล่ตอบ


 


รถเหินเวหาข้ามผ่านกลุ่มเมฆบนท้องฟ้าในยามคำคืน บินอย่างสงบและราบรื่นภายใต้แสงจันทร์


 


ม่านแสงนำทางได้ถูกเปิดขึ้น และแผนที่อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกปรากฏต่อหน้าสองคนหนึ่งแมว


 


แมวดำกระโดดขึ้นมาบนโต๊ะและกางกรงเล็บเอื้อมอุ้งเท้าของมันไปวางลงบนแผนที่อิเล็กทรนิกส์


 


“ซีกโลกตะวันตก …  ไกลน่าดูเลยแฮะถ้านับจากที่นี่” ซางหยิงฮ่าวพูด


 


“ยิ่งไปกว่านั้นมันยังอยู่กลางทะเลซะด้วย ชักจะน่าสนใจนิดหน่อยซะแล้วสิ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


ทุกวันนี้ ในมหาสุมทรนับว่าเป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับมนุษยชาติ


 


เพราะมันเต็มไปด้วยอสูรกายแห่งท้องทะเลนานาชนิด – นี่จึงเป็นเหตุผลที่เจ้าโครงกระดูกเลือกที่จะไปเกิดใหม่ในทะเลใช่หรือไม่?


 


กู่ฉิงซานเร่งกล่าว “เทพธิดากงเจิ้ง ทำการเข้าสู่โหมดบินเหนือเสียง พวกเราจะต้องรีบไปแล้ว”


 


“รับทราบ ใต้เท้า”


 


บังเกิดเสียงโซนิคบูมรุนแรง และรถเหินเวหาก็เร่งความเร็วขึ้น


 


ซางหยิงฮ่าวมองดูแผนที่ เอ่ยปากพูด “มันก็ไม่ค่อยไกลจากฟูซีมากนัก เอาไว้หลังจากที่ฆ่าเขา พวกเราก็รวดแวะไปดูพิธีขึ้นครองบัลลังก์ของจักรพรรดินีเวโรน่าซักหน่อยเป็นไง”


 


“ฉันก็ต้องการแบบนั้นเหมือนกัน” กู่ฉิงซานตอบ


 


……


 


รถเหินเวหาหยุดลงที่เหนือชั้นอากาศเบื้องบน


 


น้ำแข็งลอยกระจัดกระจาย ขึ้นๆลงๆตามระดับคลื่นผิวน้ำทะเล


 


แสงจันทร์ตกลงและสะท้อนกระพริบไหวในบางจุดที่เป็นน้ำแข็ง


 


นี่ช่างเป็นฉากที่แปลกประหลาดโดยแท้ มันแลดูราวกับเป็นทางช้างเผือกอยู่กำลังเปล่งประกายระยิบระยับอยู่ท่ามกลางท้องทะเล


 


อสูรแห่งท้องทะเลหลายตัวว่ายวน ท่องเที่ยวไปอย่างอิสระท่ามกลางทะเล


 


หลังจากท้องทะเลได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไป ที่นี่ก็ได้กลายมาเป็นโลกของพวกมัน


 


อย่างไรก็ตาม ตอนนี้น้ำแข็งค้างกำลังค่อยๆก่อตัว


 


อสูรแห่งท้องทะเลสูงหลายสิบเมตรดูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติ มันเริ่มกระสับกระส่ายเล็กน้อย


 


อสูรแห่งท้องทะเลตนแล้วตนเล่าเปล่งคำรามเสียงอึกทึก กวัดแกว่งร่างกายอย่างบ้าคลั่ง เพียงเพื่อที่จะปัดเศษน้ำแข็งที่ลอยตามคลื่นให้ออกไปไกลห่างจากพวกมัน


 


พวกมันเกลียดน้ำแข็งเหล่านี้


 


และมันไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งเหล่านี้คืออะไร


 


ใช่ ถูกต้องแล้วล่ะ อสูรพวกนนี้มันไม่มีสติปัญญา


 


มนุษย์จึงเริ่มเชี่ยวชาญใช้ทักษะและสมองในการรับมือกับพวกมันมากขึ้น อาการบาดเจ็บล้มตายเลยลดน้อยลงเป็นอย่างมาก


 


ผีดิบกินคนและผีดิบนักฆ่าก็ถูกปราบปรามลงเช่นกัน


 


เกมแห่งชีวิตนิรันดร์ก็ต้องพบกับความผิดหวัง


 


โลกค่อยๆถูกฟื้นฟูกลับมาและได้หายใจหายคออย่างช้าๆ


 


อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้สำหรับในวันสิ้นโลกแล้ว ล้วนเป็นเพียงภัยพิบัติระดับต่ำนั่นเพราะ …


 


เวลานี้ นรกเยือกแข็งได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว


 


ทั้งๆที่มวลมนุษย์พึ่งจะเกิดความมั่นใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ปรับตัวเข้ากับบ้านหลังใหม่นี้ได้แล้วแท้ๆ แต่สุดท้ายความรู้สึกที่ว่านั่นก็ต้องพังทลายลงเมื่อเผชิญหน้ากับนรกที่ว่านี้


 


ถึงแม้ว่าในชีวิตก่อนหน้า โลกมนุษย์จะมีกลุ่มผู้เล่นมืออาชีพที่อยู่ในขอบเขตก้าวสู่เทพมากมายก็ตามที แต่เมื่อได้เผชิญหน้ากับพลังของภัยพิบัตินี้ มันก็ทำให้พวกเขาพาลเกิดความรู้สึกอ่อนแออย่างลึกล้ำ


 


ภัยพิบัติ!


 


ภัยพิบัติที่แท้จริงเช่นนี้ เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถทำความเข้าใจกับมันได้เลย!


 


แม้แต่โลกของนายน้อยชุดคลุมม่วง ที่เป็นโลกของตัวตนที่เต็มไปด้วยขอบเขตสุดแกร่ง สุดท้ายแล้วโลกของพวกเขาก็ยังต้องพินาศอยู่ดี


 


กู่ฉิงซานจับจ้องอยู่แต่กับจอม่านแสง และส่ายหัวเล็กน้อย


 


ถึงแม้ว่าตนเองจะถูกส่งกลับมาอีกครั้ง แต่โลกดันต้องพบเจอกับเหตุการณ์เหล่านี้ นี่เขาจะสามารถหลบหนีจากโชคชะตาอันโหดร้ายได้จริงๆน่ะหรือ?


 


บางทีความพินาศของโลกนี้ ก็คงจะเป็นเพียงหนึ่งในหมื่นสวรรค์โลกาที่ไม่มีใครรู้จักหรือสนใจ สรรพชีวิตต่างๆคงล้มหายตายจากไปอย่างสงบ


 


ทันใดนั้นเอง จู่ๆแมวดำก็กางกรงเล็บของมันและตบลงบนจอม่านแสง


 


ตำแหน่งที่มันตบ ก็ยังเป็นบริเวณส่วนหนึ่งของพื้นที่ทะเลที่ตีวงแคบลงจากรอบที่แล้ว


 


“เจ้าแมวมันว่ายังไง?” กู่ฉิงซานถาม


 


“มันบอกว่าเป้าหมายที่พวกเรากำลังตามหา หลบซ่อนตัวอยู่ในท้องทะเลบริเวณพื้นที่นี้” ซางหยิงฮ่าวตอบ


 


เขาพูดสิ่งที่คิดออกมาด้วยความสงสัย “จักรพรรดิองค์แรกเป็นถึงผู้ก่อตั้งประเทศ เป็นมืออาชีพที่เรียกได้ว่าในครั้งอดีตแทบจะอยู่ยงคงกระพัน ไหงกลับมาซ่อนตัวอยู่ในทะเลกันล่ะเนี่ย?”


 


กู่ฉิงซานกล่าว “นายคิดว่าเขาเป็นคนขี้ขลาดสินะ แต่เชื่อฉันเถอะ ตอนนี้คงจะเป็นตัวเขาเองนั่นแหละที่รู้สึกไม่ดีมากที่สุด ที่ตนจะต้องทนแบกรับความอัปยศอดสูนี้เอาไว้”


 


“ถ้าจะให้พูดก็คือ” ซางหยิงฮ่าวยกซิการ์ขึ้นมาจุดและกล่าว “สองดาบของนายมันร้ายกาจ จนทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวล่ะสิใช่ไหม?”


 


กู่ฉิงซานพยักหน้า


 


ในช่วงเวลานั้น ดาบพิภพได้ฟัน 20 ปีศาจกระดูกจนพวกมันตกตายลงอย่างต่อเนื่อง จักรพรรดิผู้ก่อตั้งฟูซีจะหวาดกลัวมันก็ไม่แปลก


 


ในฉับพลันนั้นเอง หัวใจของกู่ฉิงซานก็กระพริบไหว


 


ตามด้วยเสียงของเช่าหยินที่สื่อสารผ่านมาทางความคิดของเขา


 


ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เปล่งวาจา แต่ความหมายที่ต้องการจะสื่อ กู่ฉิงซานก็พอเข้าใจได้


 


“เข้าใจแล้ว งั้นก็ไปเถอะ อย่าไปไหนไกลซะล่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


เขาชะลอความเร็วรถเหินเวลาลง เปิดหน้าต่างออก


 


และดาบเช่าหยินก็ผุดออกมาจากความว่างเปล่า


 


ร่างของมันสั่นไหวด้วยความตื่นเต้น รอจนกระทั่งหน้าต่างเปิดออก มันก็บินออกไปทันที


 


เบื้องล่างรถเหินเวหา คือท้องทะเล


 


ดาบเช่าหยินจี้ปลายดาบออกไป


 


และคลื่นในทะเลที่ซัดสาด ก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง


 


แม้จะไม่ได้มองตาม แต่ในสัมผัสรับรู้ของกู่ฉิงซาน เขาสามารถเห็นว่าดาบเช่าหยินกำลังเล่นอยู่ในทะเลตลอดเวลา


 


เจ้าดาบนี่ มันจะรักในท้องทะเลมากเกินไปไหม?


 


กู่ฉิงซานคิดอยู่สักพัก แต่ไม่นานเขาก็ละความสนใจจากคำถามนี้ลงอย่างรวดเร็ว นั่นเพราะ


 


ครั้งแรกที่เขาได้พบกับดาบเช่าหยิน มันหลบซ่อนตัวอยู่ภายในค่ายทหาร แถวๆบริเวณต้นไม้ที่แห้งแล้ง และตัวดาบก็ตกอยู่ในสภาพแห้งแล้งผุพังไม่แตกต่างกัน


 


จนกระทั่งเมื่อวานนี้ที่มันได้รับการซ่อมแซม ตัวดาบก็กลับมาดูมีชีวิตชีวา สามารถปลดปล่อยกระแสน้ำออกมารอบตัวแลดูชุ่มฉ่ำได้ในที่สุด


 


ดาบเช่าหยินเดิมทีเป็นดาบของเทพวิญญาณในยุคโบราณอันไกลโพ้น มันมีชีวิตข้ามผ่านวันคืนนานนับปี มาอยู่ในโลกเทวะอันกว้างใหญ่ที่เปลี่ยนไปจากในครั้งอดีตที่กลายเป็นแห้งแล้งไร้ที่สิ้นสุด


 


ดังนั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้มาเห็นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่แบบนี้ เลยเป็นธรรมดาที่มันอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น


 


เมื่อลองคิดถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานก็ปล่อยมันทำตามใจชอบ


 


เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว


 


รถเหินเวหาได้มาถึงพื้นที่เป้าหมายแล้ว


 


มองดูฉากบนจอม่านแสง กู่ฉิงซานกับซางหยิงฮ่าวก็หันมาสบตากัน แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา


 


พื้นที่นี้จะแตกต่างจากน่านน้ำอื่นๆ พื้นผิวช่วงบนของทะเลได้ถูกแช่แข็งไปแล้ว


 


ซางหยิงฮ่าวลุกขึ้นยืนและพูดว่า “งั้นตอนนี้ นายต้องการให้ฉันออกไปลุยกับนายเลยรึเปล่า?”


 


กู่ฉิงซานงึมงำ “อย่าพึ่งนะ ฉันรู้สึกว่ามันจะดีกว่าถ้าพวกเรารวบรวมคนมามากกว่านี้”


 


ซางหยิงฮ่าวตกใจและถามสวนกลับไป “ แต่นายเป็นตัวตนสุดแกร่งนะ แถมยังเคยเอาชนะเขาได้แล้วด้วย เรื่องจำนวนคน ต่อให้เรียกมามากมายมันก็คงไม่มีประโยชน์หรอก เป็นภาระนายซะเปล่าๆ”


 


“ฉันรู้ แต่การออกไปลุยแล้วฆ่าเขาเสียดื้อๆเลยมันก็ไม่มีประโยชน์เหมือนกัน เพราะหลังจากนั้น สุดท้ายเขาก็จะจมลงสู่ห้วงหลับจำศีล และฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งอยู่ดี”


 


“แล้วถ้าอย่างงั้นนายต้องการจะทำอะไร?” ซางหยิงฮ่าวไม่เข้าใจ


 


“เนื่องจากเขาคิดจะหลบหนี นั่นก็น่าจะพออธิบายได้ว่าเขาไม่ต้องการให้ใครเข้าไปยุ่ง ถูกไหม?”


 


“อ่าถูก”


 


“ฉันก็เลยคิดแผนจิตวิทยาอันหนึ่งขึ้นมา และแผนนี้ก็สำคัญมากๆซะด้วย เพราะมันจะช่วยให้พวกเราได้รับรู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปรภพจากปากของเขาเอง”

 

 

 


ตอนที่ 340

 

2 ตอน เสาร์-อาทิตย์


 


หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.340 – ท้องทะเลของเช่าหยิน


 


ซางหยิงฮ่าวกล่าวสนับสนุน “ เข้าใจแล้ว ที่ต้องทำแบบนี้เพราะพวกเราคือ ‘คนเป็น’ อย่างงั้นสินะ เลยไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลอะไรจากทางฝั่งปรภพได้ยกเว้นจะได้รับรู้มันจากปากของ ‘คนตาย’ “


 


“ใช่ พวกเราจะต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับปรภพ”


 


กู่ฉิงซานกล่าว แล้วหยิบเอาสมองควอนตัมของเขาออกมาติดต่อกับท่านประธานาธิบดี


 


หลังจากนั้นอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา


 


หลายร้อยยานรบประจัญบานขนาดเล็กก็ได้ปรากฏขึ้นในบริเวณแห่งนี้


 


เมื่อนายทหารอาวุโสหลายได้มาถึง พวกเขาก็พบว่ากู่ฉิงซานและซางหยิงฮ่าวกำลังรออยู่ก่อนแล้ว


 


“มิสเตอร์กู่ จริงอยู่ว่าพวกเราย่อมยินดีรับใช้คุณ แต่ก็ขอบอกตรงๆว่าพวกเราไม่ทราบจริงๆว่าจะช่วยคุณได้ยังไง?” นายทหารเอ่ยสารภาพ


 


เรื่องราวที่พึ่งเกิดข้นเมื่อเร็วๆนี้ ได้แพร่กระจายออกไปแล้วตลอดทั้งรัฐบาลกลาง และทุกคนต่างก็รู้ว่ากู่ฉิงซานน่ะ เป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก


 


–และยังเป็นมืออาชีพที่น่าขนพองสยองเกล้าเป็นอย่างยิ่ง


 


“คุณจะให้พวกเราช่วยต่อสู้กับอสูรแห่งท้องทะเลใช่ไหม?” นายทหารอีกคนหนึ่งถาม


 


“ไม่หรอก พวกคุณแค่จัดตั้งกระบวนทัพอยู่แนวหลังของผม ภายในยานรบก็พอแล้ว”


 


“คุณคิดจะแสดงความแข็งแกร่งเพื่อข่มพวกมันไม่ให้ย่างกรายขึ้นมาบนบกอย่างงั้นหรอ?” หนึ่งในพันเอกกล่าวอย่างฉงน “แต่อสูรแห่งท้องทะเลมันโง่นะ พวกมันจะเข้าใจรึเปล่า?”


 


“ไม่หรอก เป้าหมายของพวกเราไม่ใช่อสูรแห่งท้องทะเล แต่เป็นชายที่แกร่งยิ่งกว่าพวกมันอยู่หลายขุมต่างหาก”


 


“ถ้าอย่างงั้น รบกวนช่วยบอกการจัดวางกลยุทธ์ด้วย”


 


“นั่นก็ไม่จำเป็นเหมือนกัน พวกคุณไม่ต้องลงมือหรอก”


 


นายทหารคนอื่นๆหันไปมองหน้ากันด้วยความตกใจ


 


ไม่ต้องลงมือ? แล้วพวกเราจะมาที่นี่กันทำไม? ตกลงว่าเขาต้องการให้พวกเราทำอะไรกันแน่?


 


กู่ฉิงซานพอเห็นท่าทีของอีกฝ่ายเขาก็ยิ้มและอธิบายว่า “มีพวกคุณอยู่ที่นี่ กระบวนทัพของพวกเราก็จะดูทรงอำนาจและใหญ่โต ผมต้องการแนวทัพขนาดใหญ่เพื่อทำการ ‘กระตุ้น’มัน”


 


แล้วจากนั้นเหล่านายทหารถูกบังคับให้ย้อนกลับไปยังยานรบขนาดเล็กของตนเอง


 


ตามทิศทางที่ถูกระบุโดยแมวดำ หลายร้อยยานรบประจัญบานขนาดเล็กเริ่มก่อกระบวนทัพ และเคลื่อนพลไปทางทะเลที่ถูกแช่แข็ง


 


“เป็นยังไงบ้าง? ที่รัก?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถามเบาๆพลางลูบหัวเจ้าแมวดำ


 


“หง่าววว ~”มันตอบกลับ


 


ซางหยิงหฮ่าวหันไปมองกู่ฉิงซานและกล่าว “มันบอกว่าตำแหน่งเป้าหมายอยู่ข้างล่างเรานี่แหละ”


 


“โอเค กระจายคำสั่งออกไปยังทุกคน ว่าให้ทำการปิดล้อมน่านน้ำบริเวณนี้” กู่ฉิงซานกล่าว


 


“รับทราบ ใต้เท้า” เทพธิดากงเจิ้งขานรับ


 


บนจอม่านแสง ภาพของเรือรบขนาดเล็กทั้งหมดได้จัดตั้งกระบวนทัพ ตีวงเป็นทรงกลมล้อมทะเลน้ำแข็งเบื้องล่างอย่างเงียบๆ


 


ในน้ำทะเล อสูรแห่งท้องทะเลหลายตัวมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเรือรบประจัญบาน และเริ่มพากันคำรามเสียงดังด้วยความโกรธที่ถูกรุกรานอาณาเขตตน


 


แต่เรือรบประจัญบานอยู่ในตำแหน่งที่สูงเกินไป ดังนั้นพวกมันจึงไม่สามารถโจมตีได้


 


กู่ฉิงวางมือตบลงบนไหล่ของซางหยิงฮ่าว และขยับตัวไปข้างประตูรถ


 


“ฉันจะรับหน้าที่ไปตามหาเขาเอง นายก็รับผิดชอบในการควบคุมกระบวนทัพแล้วกัน อ้อ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นนายสามารถติดต่อฉันได้ตลอดเวลาเลยนะ” กู่ฉิงซานกล่าว


 


แล้วประตูก็เปิดออก


 


พร้อมกับร่างของกู่ฉิงซานทิ้งตัวลงไป ขณะเดียวกันก็ยื่นมือจีบออกด้วยวิชาลับ


 


ดาบพิภพกลายเป็นกระแสแสง และหายวับไป


 


บนท้องฟ้า บังเกิดเส้นแสงหงิกงอทั้งห้าฉีกตัดชั้นอากาศ พุ่งไปยังอสูรแห่งท้องทะเล ตัดผ่านพวกมันไปและตกลงบนผิวน้ำแข็ง


 


เสียงคำรามของอสูรแห่งท้องทะเลหยุดกึกลงในทันใด


 


ร่างกายใหญ่โตของมันฉีกกระจายเป็นชิ้นๆ และตกลงไปในทะเล ขณะเดียวกันผิวน้ำแข็งที่ถูกกระแทกก็บังเกิดรอยปริร้าวแตกลั่น


 


บนกองน้ำแข็งขาว บังเกิดหลุมเลือดสีแดงปรากฏขึ้น


 


ทว่าหลุมน้ำแข็งนี้คงอยู่ได้ไม่นานนัก ไอเย็นและน้ำแข็งค่อยๆขยายตัวเข้าปิดล้อมรูที่เปิดออกด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า


 


แท้จริงแล้วกลับเห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่ยืนอยู่บนท้องฟ้า ควบคุมดาบเวียนวนฉวัดเฉวียนไปมา ฆ่าสังหารอสูรแห่งท้องทะเลเบื้องล่างไม่หยุดหย่อน


 


มีอสูรแห่งท้องทะเลมากมายอยู่รอบตัวเขา และเมื่อการดำรงอยู่ของกู่ฉิงซานถูกค้นพบ พวกมันทั้งหมดก็กระโจนเข้าหาเขาทันที


 


ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าดาบพิภพอันคงกระพัน ศัตรูใดก็ล้วนมิอาจต่อกรกับมันได้


 


“ทุกคนตั้งใจฟังให้ดี สัตว์ประหลาดที่แท้จริงได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว!” ซางหยิงฮ่าวยกวิทยุสื่อสารขึ้นมาพูด


 


และสีหน้าการแสดงออกของผู้คนบนยานรบหลายคนลำก็พลันเปลี่ยนไป กัปตันของแต่ละลำเริ่มเฝ้ามองดูอย่างตั้งใจ


 


“เปิดจอแสดงผล 360 องศา! เพื่อเตรียมการต่อสู้รับมือกับศัตรูจากภายนอก!” พวกเขาเริ่มเอ่ยสั่ง


 


ทุกคนหันไปมองรอบๆอย่างจริงจัง


 


“จำเอาไว้ให้ดี ว่าจงอยู่ห่างจากเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้เอาไว้  เพื่อที่พวกคุณจะได้ไม่รับบาดเจ็บหรือเกิดอุบัติเหตุใดๆ” ซางหยิงฮ่าวกล่าวอย่างจริงจัง


 


“มิสเตอร์ซาง นั่นคุณกำลังพูดถึงสัตว์ประหลาดตัวไหนอยู่กัน?” นายทหารเอ่ยถามอย่างงงวย


 


“ก็สัตว์ประหลาดที่ชื่อกู่ฉิงซานไง”


 


“ … ”


 


ทุกคนหันไปมองดู


 


เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่ยืนอยู่กลางเวหา พร้อมด้วยกระแสแสงร่ายรำในอากาศรอบตัวเขา และมีบ้างเป็นครั้งคราวที่มันจะฉวัดเฉวียนออกไปสังหารอสูรแห่งท้องทะเล


 


กระแสแสงนี้ช่างรุนแรงยิ่ง เพียงมันวูบผ่าน ก็สามารถเจาะหลุมลงบนตัวของอสูรแห่งท้องทะเลได้อย่างง่ายดาย


 


ไม่มีอะไรที่สามารถหยุดยั้งหรือต้านทานกระแสแสงนี้ได้เลย


 


อสูรแห่งท้องทะเลคำรามลั่น และพยายามฉวยโอกาสฝ่าวงล้อมช่วงเวลาที่ตัวอื่นถูกโจมตี ก้าวเข้ามาอยู่เบื้องหน้ากู่ฉิงซาน อ้าปากเตรียมที่จะขย้ำเขาได้ในที่สุด


 


แต่ทางฝั่งกู่ฉิงซาน เขาเพียงแค่ตอบสนองโดยการขยับตัวเล็กน้อย ทั้งคนทั้งร่างก็ทะยานขึ้นมาอยู่ในมุมสูง หลบปากที่เต็มไปด้วยน้ำทะเลฟูฟ่องได้แล้ว


 


แต่สำหรับอสูรแห่งท้องทะเลตัวนั้น มันบินไม่ได้ เลยอ้าปากนิ่งค้างไปทั้งๆอย่างงั้น


 


วินาทีต่อมากระแสแสงก็พุ่งผ่านร่างของมันไป และอสูรทะเลตัวนั้นก็กลายเป็นศพทันที


 


ในไม่ช้า อสูรแห่งท้องทะเลทั่วบริเวณนี้ก็ถูกล้างบางโดยเขาเพียงลำพัง


 


จนหลงเหลืออยู่เพียงหนึ่งเท่านั้น


 


มันคือมอนสเตอร์ขนาดยักษ์ที่มีหัวเป็นปลาหมึก ขณะที่ตรงส่วนร่างกายนั้นมีรูปทรงคล้ายคลึงกันกับมนุษย์


 


กู่ฉิงซานโจมตีมันอยู่หลายครั้ง แต่อีกฝ่ายก็สามารถหลบเลี่ยงได้อยู่ร่ำไป


 


“โครงกระดูกชุดคลุมดำ ผมมีบางสิ่งบางอย่างที่จะต้องการยืนยันกับคุณให้มันชัดเจน” กู่ฉิงซานกล่าว


 


อสูรแห่งท้องทะเลลอยตัวขึ้นเหนือผิวน้ำพร้อมกับหนวดบนหัวที่ขยับขยุกขยิกตลอดเวลา ปากเอ่ยน้ำเสียงทุ้มต่ำออกมาทันใด “แต่ข้าไม่คิดจะตอบคำถามใดๆแก่เจ้า”


 


แต่เดิม แท้จริงแล้วอสูรแห่งท้องทะเลตัวนี้ก็คือ โครงกระดูกในชุดคลุมดำนั่นเอง


 


จริงๆแล้วมันพยายามที่จะซ่อนตัวอยู่ในร่างกายของอสูรแห่งท้องทะเล!


 


ไม่น่าแปลกใจเลย เพราะถ้ามันอยู่ในร่างของอสูรทะเล ก็ย่อมสามารถหลบเลี่ยงสายตาขอมนุษย์ได้โดยง่าย


 


กล่าวได้ว่าต่อให้มันทำอะไรผิดแผกไปบ้าง แต่ด้วยในสภาพของอสูรทะเล  พวกมนุษย์ย่อมที่จะไม่สามารถตระหนักหรือสังเกตถึงมันได้อย่างแน่นอน!


 


กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “พวกเราจะมาคุยกันดีๆไม่ได้เลยหรือ?”


 


ปลาหมึกยักษ์ไม่ตอบกลับไป


 


มันทุบทำลายพื้นผิวน้ำแข็งบางๆให้เปิดออก จากนั้นก็กระโจนทิ้งหัวตัวเองลงไปในทะเล แหวกว่ายจมลงสู่ก้นบึ้ง


 


ท้องทะเลน่ะเป็นดินแดนของอสูรแห่งท้องทะเล


 


ถ้าหากกู่ฉิงซานกล้าที่จะดำดิ่งลึกลงมา และคิดต่อสู้กับมัน มันก็คงหนีไปที่อื่นไม่ได้อีกแล้ว แต่ตรงกันข้าม ลึกๆแล้วมันก็ปรารถนาเช่นนั้นอยู่เหมือนกัน


 


เพราะอำนาจการทำลายล้างของอีกฝ่ายแกร่งมาก ทว่าหากลงดิ่งลึกลงไปยังใต้ทะเลลึกหลายหมื่นเมตรแล้วล่ะก็ ต่อให้เป็นตัวกู่ฉิงซานเอง ก็ย่อมไม่สามารถแสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงออกมาได้


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำคิดเช่นนั้น ก็รีบเร่งดำลงไปทันที


 


กู่ฉิงซานถอนหายใจและกำลังจะเคลื่อนกาย แต่ทันใดนั้นการกลับมีกระแสแสงพุ่งออกมาจากอีกฟากหนึ่งของน้ำทะเล บินขึ้นมาหยุดอยู่ข้างกู่ฉิงซานเสียก่อน


 


มันคือดาบเช่าหยิน


 


ด้ามจับดาบของเช่าหยินขยับซ้ายทีขวาทีอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่ามันจะส่งสัญญาณให้กู่ฉิงซานถือมัน


 


กู่ฉิงซานเอื้อมมือออกไปคว้าตามคำขอ


 


ไม่ต้องรีรอให้หน้าต่างระบบเทพสงครามเด้งแจ้งเตือน กู่ฉิงซานก็ถ่ายเทพลังวิญญาณลงไปบนดาบยาวทันที


 


—หลังจากที่ได้ใช้งานรูปแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง กู่ฉิงซานก็สัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของแต้มพลังวิญญาณ


 


มันเป็นเหมือนกับพลังวิญญาณนั่นแหละ ที่ยิ่งใช้มากขึ้นเท่าไหร่ มีประสบการณ์ในการใช้งานมันมากแค่ไหน สุดท้ายแล้วเขาก็จะยิ่งได้รับมันกลับมามากขึ้นเท่านั้น


 


เมื่อพลังวิญญาณถูกส่งผ่านออกไป ชั้นรังสีแสงก็ถูกเปล่งออกมาจากดาบเช่าหยิน


 


บังเกิดการสั่นไหวถี่ระรัวบนใบดาบของเช่าหยิน


 


ตามด้วยสี่ตัวอักษรที่ปรากฏขึ้นอีกครา


 


พลังศักดิ์สิทธิ์ ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทม


 


ในหัวใจของกู่ฉิงซานจู่ๆก็เกิดการตระหนักรู้อย่างเด่นชัด


 


“จงเปิด!” ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล


 


ดาบเช่าหยินสั่นไหว


 


พร้อมกับท้องทะเลเบื้องหน้ากู่ฉิงซานที่แยกตัวแหวกทางออกเป็นสองฟากฝั่งอย่างรวดเร็ว


 


ขณะเดียวกัน อสูรทะเลที่แต่เดิมถูกควบคุมโดยโครงกระดูกชุดคลุมดำก็กำลังดิ่งลงไปเบื้องล่างอย่างสุดกำลัง


 


วินาทีต่อมา น้ำทะเลโดยรอบอสูรแห่งท้องทะเลก็หายไปอย่างสมบูรณ์


 


ไม่มีกระทั่งน้ำสักหยดไม่ว่าจะเหนือหัวหรือเบื้องล่างในระยะสิบเมตรของอสูรแห่งท้องทะเล


 


อสูรแห่งท้องทะเลตกใจและรีบเอี้ยวตัวเบนทิศทาง วิ่งหันไปทางฝั่งที่มีน้ำอยู่ทันที


 


แต่ทุกที่ๆมันพยายามแหวกผ่านไป น้ำทะเลทั้งหมดก็ราวกับมีจิตนึกคิด ทั้งหมดแหวกตัวถอยหนีออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่ยอมให้อีกฝ่ายสัมผัสแม้เพียงน้ำสักหยด


 


หากไม่มีน้ำทะเล เบื้องล่างก็เป็นเพียงแค่เหวลึก!


 


“อ๊าาาาาาา …”


 


อสูรแห่งท้องทะเลส่งเสียงกรีดร้องของมนุษย์ และร่วงตกลงสู่ก้นเหวลึก


 


ฉากนี้ นายทหารของรัฐบาลกลางโดยรอบก็เห็นเช่นกัน พวกเขาเหวอจนอ้าปากค้าง


 


ซางหยิงฮ่าวถอนหายใจและหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมา “นี่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่สัตว์ประหลาดที่แท้จริงซะแล้ว ขอย้ำ นี่ไม่ใช่สัตว์ประหลาด แต่เขาเป็นพระเจ้าต่างหาก!”


 


ณ จุดนี้ กู่ฉิงซานในที่สุดก็เข้าใจเสียที ว่าพลังของดาบเช่าหยินนั้นหมายถึงอะไร


 


-ไม่ว่าปัญหาใดๆที่เกิดจากน้ำ จะได้รับการแก้ไขเมื่ออยู่ต่อหน้าดาบเช่าหยิน!


 


นี่แหละคือ ‘ก้าวข้ามผ่านมหาสมุทรแห่งความทุกข์ระทม’


 


ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเทพวิญญาณในโลกเทวะถึงได้เลือกโยนดาบเล่มนี้ลงในท้องทะเล


 


กู่ฉิงซานเบนสายตาไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม


 


แต้มพลังวิญญาณของเขา กำลังลดลง 10 แต้มด้วยอัตราเร็วต่อวินาที


 


กู่ฉิงซานโบกสะบัดดาบเช่าหยินออกไปอย่างอ่อนโยน


 


ตูม!


 


น้ำทะเลกลับมาแนบชิดติดกันดังเดิมทันที!


 


น้ำทะเลเข้าโอบล้อมอสูรปลาหมึกยักษ์อีกครั้ง ส่งผลให้แรงร่วงตกของมันชะลอความเร็วลงทันที


 


หลังจากนั้น ก็บังเกิดแรงยกที่มองไม่เห็นขึ้นใต้ลำตัวของปลาหมึกยักษ์ ดันทั้งตนทั้งร่างของมันเด้งขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


ปัง!


 


บังเกิดเสียงหนักทึบอู้อี้


 


ร่างของอสูรแห่งท้องทะเลตกลงบนพื้นผิวน้ำทะเล แต่มันกลับไม่อาจดำดิ่งลงไปได้


 


ท้องทะเลได้ปฏิเสธการเข้าถึงของมัน


 


“ตอนนี้พวกเราคงจะคุยกันได้แล้วสินะ” กู่ฉิงซานกล่าวติดตลก


 


ขณะที่อสูรแห่งท้องทะเลสาดสายตาจ้องมองเขาอย่างโหดเหี้ยม


 


ทันใดนั้นเอง เงาดำก็ผุดออกมาจากร่างของอสูรทะเล และแปรเปลี่ยนสภาพเป็นโครงกระดูกในชุดคลุมดำ


 


โครงกระดูกในชุดคลุมดำลอยสูงขึ้นและหยุดนิ่งกลางอากาศ ในมือกุมดาบน้ำแข็ง ตามร่างกายปะทุกลิ่นอายสังหารออกมา


 


กู่ฉิงซานทำเป็นไม่สนใจ กล่าวเข้าเรื่องทันที “ในฐานะราชาแห่งนรกเยือกแข็ง ผมคิดว่ากว่าที่ท่านจะได้ตำแหน่งนั้นมา คงจะต้องจ่ายออกไปไม่น้อยเลยสินะ … และคงจะรู้เรื่องราวต่างๆมาบ้างไม่น้อยเลยด้วย”


 


“แท้จริงแล้วเจ้าต้องการจะพูดเรื่องอะไรกันแน่?” โครงกระดูกเผยท่าทีกังวลและเอ่ยถาม


 


เหนืออสูรยักษ์ จู่ๆก็ปรากฏร่างที่ดูน่าประหวั่นพรั่นพรึ่งเช่นนี้ขึ้นอย่างกระทันหัน ส่งผลให้เหล่าทหารที่รายล้อมที่แห่งนี้ต่างพากันขนลุกขนพอง


 


ซางหยิงฮ่าวยกวิทยุขึ้นมาและพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “สงบใจไว้ ทุกคนควบคุมอาวุธตัวเองให้ดี อย่าพึ่งยิงออกไปนะ”


 


“รับทราบ!”


 


เหล่าทหารตอบรับ


 


บนท้องฟ้ายามค่ำคืน


 


การสนทนาเกี่ยวกับชะตากรรมของมนุษยชาติกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว!


 


กู่ฉิงซาน “ผมแค่อยากจะบอกว่า เมื่อใดก็ตาม ในทุกๆครั้งที่ท่านเข้าสู่สภาวะฟื้นฟูร่างกายด้วยการจำศีล ผมก็จะออกตามล่าตัวท่านเหมือนดั่งเช่นวันนี้”


 


“แล้วยังไงต่อ?” โครงกระดูกเอ่ยถาม


 


“ท่านลองหันมองไปรอบตัวดูสิ” กู่ฉิงซานบอกใบ้


 


โครงกระดูกแหงนหน้าหันไปมองรอบๆ


 


เหนือท้องฟ้าเบื้องบนบริเวณนี้ รายล้อมไปด้วยยานรบประจัญบานไม่ถ้วน


 


“เจ้าสามารถระดมกำลังทั้งประเทศได้อย่างเร่งด่วน เพียงเพื่อมาจัดการกับข้าอย่างงั้นหรือ?” โครงกระดูกเอ่ยถาม


 


ในบางเรื่อง แม้ในตัวรายบุคคลเขาจะแข็งแกร่ง แต่ในด้านประสิทธิภาพการทำงานอย่างไรมันก็ไม่อาจเทียบเท่ากับการร่วมมือกันทำงานกับหลายผู้คนได้


 


โครงกระดูกในชุดคลุมดำเคยเป็นจักรพรรดิมาก่อน และเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าหากประเทศทำการระดมกำลังโดยสมบูรณ์ มันจะระเบิดพลังอำนาจออกมามากมายขนาดไหน


 


ตอนนี้ อีกฝ่ายกำลังทำการระดมกำลังทั้งประเทศ เพียงเพื่อมาจัดการกับตนเอง


 


หากเป็นเช่นนั้น ตัวเขาจะไม่สามารถหลบซ่อนตัวหรือหนีพ้นได้เลย ไม่สามารถหาสถานที่พักผ่อนหรือปลอดภัยได้แม้ในยามหลับฝัน


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำคำรามแทบคลั่ง “นรกเถอะ! มีมอนสเตอร์มากมายก้าวเข้ามาในโลก แต่เหตุใดเจ้าต้องเพ่งเล็งจัดการเฉพาะกับข้าด้วย!”


 


“ใช่ ผมเพ่งเล็งจัดการกับท่านโดยเฉพาะ” กู่ฉิงซานพยักหน้า “ถ้าท่านปฏิเสธที่จะตอบคำถามเล็กๆน้อยๆของผม ผมจะระดมกำลังจากทั่วทั้งประเทศออกตามล่าท่าน สังหารท่านซ้ำๆ จะทำให้ท่านจมลงสู่การหลับไหลอย่างไม่รู้จบ!”


 


“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการที่จะได้ข้อมูลเกี่ยวกับปรภพ แต่สิ่งนี้! มันไม่ได้ดีต่อตัวเจ้าหรือข้าเลย เข้าใจหรือไม่!” โครงกระดูกในชุดคลุมดำพูดด้วยความเกลียดชัง


 


ดูเหมือนว่ามันจะหวาดกลัวเล็กน้อยที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้


 


กู่ฉิงซานไม่ยอมถอย “ผมไม่ได้ต้องการฉกฉวยผลประโยชน์ใดๆ ผมแค่ต้องการที่จะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับทางปรภพกันแน่”


 


“ไม่ได้! นั่นมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเอ่ยถึง!” โครงกระดูกกล่าว


 


“ไม่พูดสินะ? งั้นก็ตกลง ต่อไปนี้ผมจะออกตามล่าท่าน และต่อให้ตัวตนที่ทรงพลังตนอื่นๆในนรกเยือกแข็งปรากฏตัวออกมา ก็ขอให้มั่นใจได้เลยว่าผมจะยังคงไล่ล่าท่านต่อไป”


 


กู่ฉิงซานมองไปที่เขา และเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ไล่ล่าท่าน … ไปจนกว่ามนุษยชาติจะสูญสิ้น”


 


“เจ้ามันบ้า! ทำไมถึงต้องจ้องแต่ข้า!” โครงกระดูกชุดคลุมดำอุทานคร่ำครวญ


 


ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ตัวเขาก็จะเปรียบดั่งถูกมัดขา รั้งเอาไว้โดยสมบูรณ์


 


เมื่อนรกเยือกแข็งแพร่กระจายถึงช่วงที่เหมาะสม ตนก็จะทำได้เพียงเฝ้าดูมอนสเตอร์ตัวอื่นๆที่หลับไหลอยู่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างหมดหนทาง เฝ้าดูพวกมันออกไล่ล่าจิตวิญญาณในโลกใบนี้ และทวีพลังมากขึ้น แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ


 


ในขณะที่ตนเองทำได้เพียงถูกฆ่าและจมอยู่เฉยๆในห้วงหลับไหล ไม่อาจคว้าโอกาสแบบตนอื่นๆแม้เพียงน้อย


 


ยิ่งถ้าหากศัตรูเก่าของเขารู้เกี่ยวกับสถานกาณณ์ในตอนนี้ ยามที่พวกมันตื่นขึ้น คงจะพากันยิ้มเย้ยหยันใส่


 


บางทีสักวันหนึ่ง เขาอาจจะไม่มีค่ามากพอที่จะถือรองเท้าให้แก่พวกมันด้วยซ้ำ


 


แล้วสุดท้าย เขาคงจะตกกระป๋องกลายเป็นทาสของพวกมัน!


 


กู่ฉิงซานกางมือออกและหัวเราะ “ทั้งหมดนี้มันเป็นเพราะท่านปฏิเสธที่จะตอบคำถามเล็กๆน้อยๆ ในความเป็นจริงแล้วคำถามของผมมันง่ายมากๆ ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก”


 


“นั่นไม่ใช่คำถามเล็กๆน้อยๆ แต่มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรแตะต้อง!” การแสดงออกของโครงกระดูกเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม


 


กู่ฉิงซาน “ไม่ ไม่ ไม่ ผมแค่ต้องการจะทราบข้อมูลเล็กน้อยเท่านั้น มั่นใจได้ว่ามันจะไม่ยากสำหรับท่าน”


 


“ทันทีที่ท่านตอบคำถามของผม ผมจะส่งท่านไปจำศีล หลับพักฟื้นตัว และไม่คิดจะรบกวนท่านอีก”


 


กู่ฉิงซานหยิบกล่องซิการ์ออกมา และโยนมันไปทางฝ่ายตรงข้าม


 


“นี่นับว่าเป็นของดีไม่เลว และผมก็ทราบมาว่าท่านชอบสิ่งนี้


 


“มาเถอะ สูบซิการ์กัน แล้วจากนั้นก็บอกผมเกี่ยวกับปรภพ และไปนอนหลับฝันดีอย่างมีความสุข”


 


โครงกระดูกชุดคลุมดำเหลือบสายตาลงบนกล่องซิการ์ตรงหน้าเขา


 


จากมุมมองสายตา ย่อมสามารถเห็นถึงคุณภาพของซิการ์ได้อย่างรวดเร็ว


 


ซิการ์นี้ เป็นหนึ่งในยี่ห้อที่ดีที่สุดในโลก


 


และเขาก็เคยชื่นชอบยี่ห้อนี้มากที่สุด


 


เจ้าหนุ่มคนนี้ไหวพริบดีไม่เลว แม้โครงกระดูกในชุดคลุมดำจะเคยยกซิการ์ขึ้นมาสูบต่อหน้าเขาเพียงครั้งเดียว แต่อีกฝ่ายกลับทันสังเกตเห็น และจดจำยี่ห้อของมันได้


 


เพ้ยยย!


 


นั่นมันไม่ใช่ประเด็น!


 


ร่างของโครงกระดูกชุดคลุมดำสั่นไหวไม่หยุด และในที่สุดเขาก็ไม่สามารถระงับอารมณ์ได้อีกต่อไป


 


ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น แผดเสียงคำรามไปทั่วทั้งฟ้า


 


“อ๊าาาาา! บัดซบ! บัดซบ! ทำไมข้าถึงต้องโชคร้ายมาพบเจอกับไอ้ตัวขี้โกงอย่างเจ้าด้วยนะ!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม