World of Warcraft ราชันต่างภพ 609-620 End
ตอนที่ 609
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
โชคดีที่เซียวอวี๋และนิโคลัสต่างก็เฝ้าระวังกูดาลอยู่ก่อนแล้ว เมื่อกองทัพของกูดาลพลันถอนตัวกลางคัน พวกเขาก็รีบเคลื่อนกำลังบางส่วนไปประจำที่จุดนั้นแทน ขณะเดียวกันก็เป็นการป้องกันการลอบโจมตีทางด้านหลังจากกูดาลไปด้วย
จากนั้นไม่นาน เซียวอวี๋และนิโคลัสก็ได้รับจดหมายจากกูดาล โดยกูดาลบอกว่ามันไม่ต้องการจะจมอยู่ในปลักโคลนนี้ และในจดหมายยังกล่าวอีกว่า มันขอยกโอกาสจัดการพวกทหารทมิฬให้กับเซียวอวี๋และนิโคลัส ส่วนตัวมันจะถอนกำลังกลับไปยังบึงตะวันลับในดินแดนทางใต้
ซึ่งหากเซียวอวี๋และนิโคลัสเชื่อคำกล่าวอ้างนี้ก็ออกจะแปลกไปแล้ว ถ้ากูดาลไม่ฉวยโอกาสนี้จ้วงแทงดาบใส่แผ่นหลังของพวกเขาในช่วงสำคัญ เช่นนั้นโลกนี้ก็คงจะไม่มีคนชั่วแล้ว
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เซียวอวี๋และนิโคลัสจึงย้ายกำลังมาเฝ้าระวังกูดาลไว้อีกทางหนึ่ง
“เจ้าสุนัขเฒ่านั่น รอให้ข้าจัดการเจ้าพวกนี้ได้ก่อนเถอะ แล้วเจ้าจะเป็นรายถัดไป” เซียวอวี๋คิดอย่างเคียดแค้น
ในไม่ช้า สามจ้าวมนตราก็เริ่มเรียกระดมเหล่านักรบผู้กล้าจากทั่วทุกพรมแดนให้เข้าร่วมศึกป้องกันแผ่นดินเกิดในนามของผู้พิทักษ์ทวีป เพราะนี่อาจจะเป็นการต่อสู้เพื่อปกป้องทวีปเป็นครั้งสุดท้ายของพวกเขาเอง หากว่าพวกเขาล้มเหลวในศึกครั้งนี้ เช่นนั้นมันก็คงไม่มีศึกหน้าอีก
เมื่อประชาชนเข้าร่วมกับกองทัพ ทุกคนก็ต้องพร้อมจะต่อสู้ในสนามรบ โชคยังดีที่ในเวลาปัจจุบัน กองกำลังต่างๆก็เริ่มยึดเกาะกันเป็นกลุ่มก้อนอยู่บ้างแล้ว ซึ่งขุมกำลังหลักๆนั้นจะมีอยุ่สองกลุ่ม นั่นก็คือกลุ่มของเซียวอวี๋และนิโคลัส ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงสามารถใช้ทรัพยากรของทวีปได้อย่างเต็มกำลัง
เซียวอวี๋ยังได้ส่งกลุ่มคนออกไปป่าวประกาศล้างสมองมวลชนอยู่ทุกวัน โดยอธิบายถึงความล่อแหลมของสถานการณ์ ทั้งยังกล่าวถึงความน่ากลัวของพวกทหารทมิฬอย่างเกินจริง กระทั่งบอกต่อผู้คนว่า พวกทหารทมิฬนั้นชื่นชอบกัดกินเนื้อมนุษย์สดๆ หากพวกเขาไม่ลุกขึ้นสู้ พวกเขาก็จะถูกพวกทหารทมิฬจับกินเป็นอาหาร
ภายใต้การป่าวประกาศชวนเชื่อนี้เอง ผู้คนที่ขันอาสาเข้าร่วมสงครามจึงยิ่งมายิ่งมากขึ้น
พวกทหารทมิฬยังคงเพิ่มพื้นที่โจมตีอย่างต่อเนื่อง พวกมันได้ฝ่าแนวป้องกันจุดที่อ่อนกำลังมาได้หลายครั้ง แต่เซียวอวี๋และนิโคลัสก็ย้ายกองกำลังจำนวนมากไปยับยั้งไว้ได้ทันท่วงที
ในศึกครั้งนี้ ทัพพยัคฆ์ก็ยังคงมีบทบาทเด่นเช่นเคย การรุกและถอยที่ฉับไว พลังทำลายล้างในการบุกทะลวง ความสามารถเหล่านี้ได้กลับมาเปล่งประกายใส่กองทัพทมิฬอีกครั้ง
แม้กระนั้น จำนวนของพวกทหารทมิฬก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในหมู่พวกมันก้มีพวกปีศาจที่แข็งแกร่งปรากฏขึ้นมา ปีศาจหลากหลายชนิดเริ่มปรากฏตัวขึ้นในสนามรบ
โลกที่สงบสุขมาเนิ่นนานกำลังเดินทางมาถึงช่วงเวลาครั้งสำคัญ ในเวลานี้ เหล่าผู้มีอำนาจก็เริ่มละทิ้งประโยชนืส่วนตนและหันมาจริงจังกับสงคราม ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่ได้เห็นจำนวนดุจคลื่นมหาสมุทรของพวกทหารทมิฬกับตา พวกเขาจะไม่เห็นเรื่องส่วนตนเหนือส่วนรวมอีก
มีเพียงในสงครามครัง้นี้เท่านั้นที่จะทำให้พวกเขารอดพ้นหายนะ ผลตอบแทนในศึก ขอเพียงพวกเขารอดชีวิตไปได้ก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว
เซียวอวี๋และนิโคลัสได้เข้าประชุมด้วยกันหลายต่อหลายครั้ง และทั้งสองก็ถูกยกให้เป็นผู้นำของกองทัพฝ่ายมนุษย์โดยแบกรับความคาดหวังเอาไว้เต็มบ่า
“คิดว่าพวกเราจะรอดหรือไม่?” นิโคลัสพลันถามขึ้นมาขณะยืนอยู่บนกำแพง สายตาของเขาทอดมองไปยังพวกทหารทมิฬที่แน่นขนัดยาวไปจนถึงเส้นขอบฟ้า
“ข้าไม่รู้” เซียวอวี๋ถอนหายใจ เมื่อครั้งศึกกับพวกทหารทมิฬในจักรวรรดิเมฆา ครั้งนั้นได้พวกวิญญาณนักรบบรรพกาลมาช่วยไว้ได้ทัน หากแต่ครั้งนี้เล่า?
เซียวอวี๋ไม่อาจคาดเดาผลของสงครามในครั้งนี้ แม้ว่าเขาจะมีกองทัพที่แข็งแกร่งสุดขีดอยู่ด้วยก็ตาม กรพนั้นเขาก็ไม่อาจรับรองได้ว่ากองทัพที่เขามีจะสามารถต้านทานศัตรูที่ดูจะไม่มีวันหมดวันสิ้นเหล่านี้ได้
“หากว่าพวกเราชนะและรอดไปได้ เช่นนั้นพวกเราก็คงต้องมาทำศึกตัดสินผู้แพ้ผู้ชนะเพื่อหาราชาแห่งทวีป” นิโคลัสทอดถอนใจ “หาก หากว่าเป็นหนึ่งในพวกเราที่อยู่รอด เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ไม่ต้องพูดถึงอีก ถึงตอนนั้น คนที่รอดก็ให้สร้างอนุสาวรีย์ให้กับคนที่จากไป”
“วางใจเถอะ ข้าจะสร้างอนุสาวรีย์ให้เจ้าอย่างยิ่งใหญ่” เซียวอวี๋กล่าวพลางยกมือขึ้นลูบคาง
“เหอะ รู้ได้อย่างไรว่าข้าคือคนที่จะต้องนอนในโลง?” นิโคลัสเตะใส่เซียวอวี๋ไปเท้าหนึ่ง แน่นอนว่าเซียวอวี๋ย่อมเบี่ยงตัวหลบ
“เหอเหอ นั่นก็เพราะว่าข้ารักตัวกลัวตายมากกว่าเจ้า” เซียวอวี๋กล่าวพลางหัวเราะ
“กลัวความตาย….มีผู้ใดบ้างที่ไม่กลัวตาย?” นิโคลัสเบนสายตามองไปยังเหล่าทหารทมิฬที่เบื้องล่างของกำแพงก่อนจะกล่าวว่า “เคยคิดหรือไม่ว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้? ผู้ที่มีอำนาจและสามารถบงการผู้คนได้มากมายเพียงนี้”
เซียวอวี๋นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “อันที่จริง ข้าก็พอจะมีคำตอบอยู่ในใจ เป็นไปได้มากว่าจะเป็นเจ้านั่น”
“ใคร?” ได้ยินคำกล่าวของเซียวอวี๋ นิโคลัสก็หันมาถาม เขาทราบว่าเซียวอวี๋นั้นเชี่ยวชาญในเรื่องเล่าและตำนานต่างๆกว่าเขาไกลลิบ
“ซาแกรลาส” เซียวอวี๋ตอบ
“ซาแกรลาส?” นัยน์ตาของนิโคลัสพลันหดวูบ
“อืม ถ้าไม่ใช่เจ้านั่น ก็มีอีกแค่ไม่กี่คนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้” เซียวอวี๋ค่อยๆค้นหาในความทรงจำเกี่ยวกับตัวตนที่ทรงอำนาจในโลกวอร์คราฟ และสุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าซาแกรลาสนั้นมีความเป็นไปได้มากที่สุด
เรื่องนี้ยิ่งมีเค้าลางโดยเฉพาะเรื่องที่จู่ๆกูดาลก็ถอนตัวกลางคัน บางทีนี่อาจจะไม่ได้มาจากความคิดของมันเอง เขารู้สึกว่าเบื้องหลังของเรื่องนี้จะต้องเป็นซาแกรลาส เป็นเพราะกูดาลทราบว่ากำลังต่อกรกับอะไร ดังนั้นมันจึงเกิดความหวาดกลัว
ไม่มีผู้ใดรู้ซึ้งถึงพลังของซาแกรลาสมากไปกว่ากูดาลอีกแล้ว
“ยักษ์ผู้ร่วงหล่น? ไม่มีผู้ใดเอาชนะมันได้เลยหรือ?” เซียวอวี๋เคยเล่าเรื่องราวของซาแกรลาสให้คนอื่นๆฟังเมื่อตอนที่อยู่ในวิหารดำ ดังนั้นนิโคลัสจึงพอรู้เรื่องราวของซาแกรลาสอย่างคร่าวๆ
เซียวอวี๋ส่ายหน้าก่อนจะกล่าวว่า “ก็อาจจะ แต่ยากมาก”
“เช่นนั้นก็ให้มันเป็นเรื่องของโชคชะตาเถอะ” นิโคลัสถอนหายใจ
เซียวอวี๋ไม่ทราบว่าไฉนนิโคลัสจึงเปลี่ยนเป็นถอนหายใจบ่อยขึ้น ต่างจากในอดีตที่ดูเป็นผู้นำที่มั่นใจอย่างลิบลับ
หรือเป็นเพราะความแข็งแกร่งของพวกทหารทมิฬ? คิดถึงตรงนี้ เซียวอวี๋ก็ย้อนมองตัวเอง เขาเองก็ดูเหมือนจะท้อแท้ง่ายกว่าเดิม
สิ่งที่เขาเพิ่งกล่าวออกไปก็แสดงให้เห็นว่าเขาเองก็สับสนและไม่มั่นใจในอนาคตเช่นกัน อืม ต่อให้มีจิตใจเข้มแข็งเพียงใดก็ต้องมีวันพังทลายลงหากแบกรับแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง
แต่ไม่ใช่ว่าซาแกรลาสก็มีวันล้มลงหรอกหรือ? มันตกต่ำจนต้องกลายเป็นยักษ์แห่งความมืด
คิดถึงตรงนี้ เซียวอวี๋ก็เผยรอยยิ้มบนใบหน้า จากนั้นก็หัวเราะออกมา
“หัวเราะอะไรของเจ้า?” นิโคลัสถาม
เซียวอวี๋หัวเราะก่อนจะกล่าวว่า “ไม่มีใด ตะวันยังมีลาลับ เอาเถอะ ชีวิตของข้าที่อยู่มาก็ใช่ว่าอยู่โดยเสียเปล่า จะน่าเสียดายเพียงใดหากมาตายเอาตอนจบ?”
ฟังคำพูดของเซียวอวี๋ นิโคลัสก็นิ่งไป จากนั้นจึงหัวเราะออกมา การหัวเราะครั้งนี้ยังดึงเอาจิตวิญญาณของเขากลับมาด้วย
แม้แต่ในแง่ของความคิดจิตใจ ดูเหมือนว่าเขาเองจะด้อยกว่าเซียวอวี๋อีกแล้ว
บทสนทนานี้ได้คลี่คลายปมที่ติดอยู่ในใจของทั้งสองคน ทั้งยังช่วยเตรียมสภาพจิตใจให้พร้อมเข้าสู่สนามรบ…..
ตอนที่ 610
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
ตูม…….
ปืนใหญ่ที่เรียงรายอยู่บนกำแพงส่งเสียงดังกระหึ่ม หน่วยปืนครก ปืนใหญ่เวทที่สร้างขึ้นจากโรงอาวุธ และปืนใหญ่บางส่วนจากกองกำลังต่างๆยังกระหน่ำยิงใส่คลื่นทหารทมิฬที่ดาหน้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
สงครามดำเนินต่อเนื่องไปหลายวันกองทัพทหารทมิฬยังคงพยายามฝ่าแนวป้องกันทั้งกลางวันและกลางคืน เซียวอวี๋และคนอื่นๆเองก็พลอยเหนื่อยล้าไปด้วย
จำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายมีเพิ่มขึ้นทุกวัน กระนั้นพวกทหารทมิฬก็ดูจะหลั่งไหลมาเสริมทัพได้ไม่จบไม่สิ้น
ทั่วทั้งทวีปตกอยู่ในภาวะสงคราม ประชาชนต่างก็ลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนของตน สามจ้าวมนตราเดินทางมาประจำการที่แนวป้องกันแล้ว มานาทุกหยดหยาดที่ใช้ออกไปล้วนแต่บันทอนอายุขัยของทั้งสาม
พวกก๊อบลินได้ผลิตสิ่งของใหม่ๆออกมาไม่หยุดหย่อน ยกตัวอย่างเช่น ปืนใหญ่สนาม หุ่นจักรกล ระเบิดชนิดใหม่ บทบาทของพวกมันยังมากกว่ากองกำลังอื่นๆเสียอีก
เซียวอวี๋คล้ายมองเห็นความรุ่งโรจน์ของเผ่าพันธุ์ก๊อบลินได้ลางๆ
ตูม……
ในตอนนั้นเอง ระลอกเวทมนตร์อันรุนแรงก็ปะทุขึ้น หากแต่ทิศทางที่เกิดขึ้นนั้นกลับมาจากทางแนวป้องกัน เซียวอวี๋ตกตะลึง ใช่มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นแล้วหรือไม่?
แต่ไม่นานเขาก็โล่งใจ ระลอกเวทมนตร์ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกิดจากการระเบิดของเวทมนตร์ ทว่าเกิดขึ้นจากการไหลเวียนของละอองเวทที่เชื่อมต่อระหว่างฟ้าดิน
มีคนบรรลุขั้นที่เจ็ด!
นี่เป็นปรากฏการณ์ของพลังขั้นที่เจ็ด เซียวอวี๋พลันนึกขึ้นได้ เขาเคยใช้เวลาอยู่ร่วมกับเอกวินน์ ทั้งยังเคยเห็นตอนที่สู้กับคฑูน
ในหมู่สามจ้าวมนตรา มีผู้ที่บรรลุขั้นที่เจ็ด!
ท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้าย นี่นับเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างถึงที่สุด
ผู้ที่บรรลุพลังในครั้งนี้ก็คือ ธีโอดอร์ หลังจากก้าวหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ในที่สุดเขาก็ก้าวผ่านธรณีประตูที่ฝันใฝ่ได้ในที่สุด
ขั้นที่เจ็ดและขั้นที่หกนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว ขั้นที่เจ็ดนับเป็นตัวตนที่สูงส่งที่สุดในโลก
ล้าหลังเพียงไม่กี่วัน สองจ้าวมนตราที่เหลือก็ตามฝีเท้าของสหายทัน เฟอร์กูสันและชัคคุนต่างก็บรรลุขั้นที่เจ็ด
เดิมทีพวกเขาก็อยู่ห่างจากขอบเขตขั้นนี้ไม่มากอยู่แล้ว และการบรรลุขั้นที่เจ็ดของธีโอดอร์ยังเป็นการแสดงเส้นทางที่ถูกต้องแก่คนที่เหลือ
นอกจากจ้าวมนตราทั้งสามแล้ว ยังมีผู้ใช้มนตราที่ยิ่งใหญ่อีกคนที่ทั้งสามพามาด้วย เซียวอวี๋ทั้งประหลาดใจและใคร่รู้ เขาพยายามคาดเดาตัวตนของผู้ใช้มนตราคนนี้
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หากมีจ้าวมนตราผู้ยิ่งใหญ่อีกผู้หนึ่งปรากฏขึ้นในทวีป คนผู้นี้ก็ควรเป็นที่รู้จักของสาธารณะ
หลังจากนั้นไม่นาน เซียวอวี๋ก็ได้ทราบว่าจ้าวมนตราผู้นั้นคือใคร
คนผู้นั้นคือ อดีตพระสันตะปาปา
พระสันตะปาปาที่เคยคิดจะปกครองทวีปกลับมีพลังถึงขั้นนี้
ดูเหมือนว่าเขากลับใจและกลับสู่เส้นทางที่ถูกต้องได้ในที่สุด และครั้งนี้เขายังกลับมาเพื่อไถ่โทษต่อทวีป
ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ก็ถือเป็นข่าวดี ดังนั้นเซียวอวี๋และคนอื่นๆจึงไม่ได้ติดใจเรื่องในอดีตอีก ปล่อยให้เขาได้ไถ่บาปไป อย่างไรเสียก็มีจ้าวมนตราทั้งสามคอยจับตาดูอยู่
ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวมนตราทั้งสามต่างก็บรรลุขั้นที่เจ็ดแล้ว ดังนั้นพระสันตะปาปาจึงยากจะก่อระลอกคลื่นใดๆได้อีก
หลังจากบรรลุขั้นที่เจ็ด พลังของจ้าวมนตราทั้งสามก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างก้าวกระโดด เวทมนตร์เพียงบทเดียวของพวกเขาสามารถกวาดล้างพวกทหารทมิฬได้นับไม่ถ้วน
การปรากฏของขุมพลังระดับนี้ได้จุดประกายความหวังขึ้นในใจของผู้คน พวกเขารู้สึกได้ถึงชัยชนะ
พลังของสามจ้าวมนตรายังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหล่าฮีโร่เองก็ก้าวหน้าขึ้นเช่นกัน เป็นเพราะค่าประสบการณ์จากการสังหารพวกทหารทมิฬทำให้เหล่าฮีโร่ไต่ระดับพลังขึ้นไปถึงระดับสุดยอดของขั้นที่หกอย่างรวดเร็ว นั่นหมายความพวกเขามีระดับอยู่ที่ห้าสิบเก้าแล้ว
อีกเพียงแค่ก้าวเดียว พวกเขาก็จะไปถึงระดับหกสิบ ซึ่งมีพลังเทียบเท่าตัวตนขั้นที่เจ็ดของโลกนี้
เมื่อถึงเวลานั้น ความกังวลต่อพวกทหารทมิฬของเซียวอวี๋ก็จะเป็นอันคลี่คลายไป เซียวอวี๋เชื่อว่าหากฮีโร่ทั้งหมดมีพลังเทียบเท่าขั้นที่เจ็ดแล้วล่ะก็ เขาก็คงไม่กลัวศัตรูหน้าไหนอีก
ทว่ามีเรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น มีฮีโร่ผู้สามารถไปถึงขั้นที่เจ็ดได้อย่างรวดเร็ว ทว่าฮีโร่ผู้นั้นไม่ได้อยู่ในสนามรบแห่งนี้ แต่เป็นที่สนามรบอีกด้านหนึ่ง ฮีโร่ผู้นั้นคือ อาร์ทัส
เซียวอวี๋และฮีโร่ทุกคนมีการเชื่อมต่อกันทางจิตวิญญาณ ดังนั้นเซียวอวี๋จึงทราบได้ในทันที
เรื่องเกิดขึ้นขณะที่เซียวอวี๋กำลังประชุมกับระดับผู้นำคนอื่นๆอยู่ จู่ๆอาร์ทัสก็เกิดการเลื่อนขั้นจนเซียวอวี๋เผลออุทานออกมาทำให้คนทั้งหมดต่างก็มึนงงสงสัย
ขั้นที่เจ็ด ขั้นที่เจ็ดเชียวนะ! อาร์ทัสเลื่อนระดับไวไปแล้ว ทั้งยังสามารถควบคุมนครลอยฟ้าแน็กแรมได้ดังใจนึก นี่ไม่ใช่ว่าเขาไร้เทียมทานแล้วหรอกหรือ?
ถึงตอนนี้ เซียวอวี๋ก็เริ่มกังวลเกี่ยวกับอาร์ทัสบ้างแล้ว
ไม่ถูก มันยังมีวิธีการควบคุมอาร์ทัสอยู่ ดังนั้นเซียวอวี๋จึงออกคำสั่งต่ออาร์ทัส สั่งให้เขานำทัพเปิดฉากโจมตีกองทัพทหารทมิฬเป็นวงกว้าง ให้สังหารพวกมันให้ได้มากที่สุด
อาร์ทัสยังคงภักดีต่อเซียวอวี๋ เขาตอบรับคำสั่งและเร่งนำทัพบุกโจมตีพวกทหารทมิฬทันที อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ได้นำไปสู่สิ่งที่เซียวอวี๋คาดคิดไม่ถึง ขุมกำลังของอาร์ทัสเติบโตขึ้นราวกับติดปีก กองทัพของเขาไม่เพียงแต่แข็งแกร่งขึ้น หากแต่ขนาดยังใหญ่โตขึ้นตามเวลาที่ล่วงผ่าน
กองทัพอันเดดนั้นเป็นดาวมัจจุราชของพวกทหารทมิฬอย่างแท้จริง จำนวนของกองทัพอันเดดไม่เพียงแต่ไม่ลดลง จำนวนทหารยิ่งมาก็ยิ่งมีมาก
ฝ่ายหนึ่งลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อีกฝ่ายมีแต่เพิ่มขึ้นๆ ขุมกำลังของอาร์ทัสในเวลานี้ถึงขั้นที่น่าสะพรึงแล้ว
เซียวอวี๋ยิ่งมายิ่งคิดหนัก เขากังวลว่าซาแกรลาสจะเข้าควบคุมอาร์ทัส เรื่องราวจะเลวร้ายหากว่าซาแกรลาสนั้นเป็นบอสใหญ่ของโลกนี้จริงๆ
ต้องทราบว่าในเรื่องราวพื้นหลังนั้น อาร์ทัสเคยถูกจ้าวแห่งลิช เนอซู ควบคุม ก่อนที่สุดท้ายเขาจะขึ้นปกครองกองทัพอันเดดเสียเอง
ตอนนี้ กองทัพของอาร์ทัสยิ่งมายิ่งแข็งแกร่ง หากว่าถูกผู้อื่นหลอกใช้ ผลสุดท้ายคงน่ากลัวยิ่ง
แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ กองทัพอันเดดเพียงสามารถต่อสู้กับทัพทหารทมิฬ
แม้จะมีกองทัพพันธมิตรที่จัดตั้งโดยผู้นำชาวมนุษย์ฝ่ายต่างๆ แต่พวกทหารทมิฬก็ยังมีมากเกินไป ลำพังพวกเขายังไม่อาจจัดการพวกทหารทมิฬได้หมด
เซียวอวี๋ในตอนนี้เต็มไปด้วยความสับสนและลังเล เขาไม่ทราบว่าควรจะจัดการอย่างไร จะเสี่ยงให้อาร์ทัสพัฒนาต่อไปจนถึงขั้นสมบูรณ์ หรือจะเริ่มเข้าจำกัดการเคลื่อนไหว?
ประเด็นก็คือ เขาจะจำกัดอาร์ทัสได้อย่างไร? เวลานี้พลังของอาร์ทัสยิ่งใหญ่ไปแล้ว
กล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม ขุมกำลังที่อาร์ทัสควบคุมไว้ในเวลานี้กระทั่งยังเหนือกว่ากองทัพจากระบบของอีกสามฐานทัพที่เหลือรวมกันแล้ว
การปรากฏขึ้นของพวกทหารทมิฬไม่ต่างอะไรกับสายฝนยามแล้งที่ชโลมใส่กองทัพอันเดดจนเกิดการพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
“มารดามันเถอะ จะคิดมากไปทำไม อย่างมากก็สู้กับพวกอันเดดต่อหลังจากจัดการพวกทหารทมิฬ ยังต้องกลัวหรือ?”
เซียวอวี๋ตกลงปลงใจ ให้อาร์ทัสพัฒนาต่อไป ให้กองทัพอันเดดกวาดล้างพวกทหารทมิฬไปก่อน
การโจมตีเต็มกำลังของกองทัพอันเดดทำให้พวกทหารทมิฬเริ่มเสียพื้นที่ไป อาร์ทัสยังส่งแม่ทัพฮีโร่อีกสามคนที่เหลือของเขาอันได้แก่ อานูบอารัค เคลธูซาด และจ้าวแห่งความพรั่นพรึงให้แยกย้ายกันไปตีชิงพื้นที่และกลืนกินพวกทหารทมิฬ ดังนั้นจำนวนของพวกทหารทมิฬจึงลดลงอย่างรวดเร็ว
การเปิดฉากรุกอย่างดุดันของกองทัพอันเดดยังช่วยให้แรงกดดันทางด้านเซียวอวี๋คลายลง
ทหารทมิฬจำนวนมากค่อยๆถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นทหารอันเดด
การนำทัพบุกของอาร์ทัสได้ก่อให้เกิดการพลิกผันของสถานการณ์อย่างคาดไม่ถึง เป็นสถานการณ์ที่พวกเซียวอวี๋คิดไม่ถึงมาก่อน
เมื่อสถานการณ์เริ่มพลิกกลับ เซียวอวี๋ก็ทราบว่าถึงเวลาแล้ว ถึงเวลาที่เผ่าพันธุ์มนุษย์จะตอบโต้กลับ!
ตอนที่ 611
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
เซียวอวี๋เรียกประชุมคนทั้งหมดเพื่อหารือสำหรับแผนการตอบโต้
ไม่มีใครคัดค้านในเรื่องนี้ แม้พวกเขาจะยังไม่ทราบว่าเซียวอวี๋คือผู้อยู่เบื้องหลังกองทัพอันเดด การเปิดฉากรุกอย่างฉับพลันของกองทัพอันเดดทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป พวกเขาจึงต้องช่วงชิงประโยชน์จากโอกาสนี้ให้ได้มากที่สุด ดังนั้นทุกคนจึงมีเสียงเป็นเอกฉันท์กับการโต้กลับ
ทุกคนล้วนทราบดีอยู่แล้วถึงความสามารถในการบัญชาการรบของเซียวอวี๋ ดังนั้นหลังจากที่เซียวอวี๋กำหนดแผนการขึ้นมา ทุกคนจึงเชื่อมั่นเป็นอย่างมาก
อย่างน้อยที่สุด จากประวัติที่ผ่านมา เซียวอวี๋ไม่เคยแพ้สงครามมาก่อน ทั้งยังชนะอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่กำลังร่างแผนการ เซียวอวี๋ก็ยังทิ้งกำลังบางส่วนไว้ที่แนวป้องกันเพื่อป้องกันเหตุสุดวิสัย ทั้งยังเป็นการเฝ้าระวังการลอบตลบหลังจากกองทัพกูดาล
หลังเกิดสงครามมาหลายเดือน จำนวนทหารของกองทัพพันธมิตรมนุษย์ก็มีมากกว่าสามสิบล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงจนน่าตกใจ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีกำลังสำรองที่พร้อมเข้าร่วมอีกจำนวนมาก
ด้วยเหตุนี้ ต่อให้ต้องเปิดศึกสองด้าน เซียวอวี๋ก็เชื่อว่าเขาจะสามารถรับมือได้
กลยุทธ์ตอบโต้ของเซียวอวี๋คือการเจาะเข้าตรงกลางแล้วทำลายปีกทั้งสองข้าง โดยเริ่มแรก กองหน้าที่ประกอบด้วยกองกำลังชั้นยอดจะแหวกเปิดช่องว่างทะลวงเข้าไปในใจกลางทัพของศัตรู จากนั้นกองทัพที่ติดตามอยู่ด้านหลังก็จะรีบโจมตีไปที่ปีกทั้งสองข้างเพื่อขยายพื้นที่หยั่งเท้าฝ่ายตน
การโจมตีจะต้องลงมืออย่างรวดเร็ว ใช้ขบวนทัพรูปแบบหัวหอกเพื่อตัดเข้าสู่ใจกลางทัพของอีกฝ่ายด้วยความเร็ว จากนั้นให้ทัพที่สองสู้ปกป้องพื้นที่เพื่อยื้อเวลาให้ทัพหน้าพักหายใจ จากนั้นจึงค่อยเปิดฉากทะลวงรอบที่สองเคลื่อนกำลังทำลายพื้นที่อื่นๆ
เมื่อแผนการทั้งหมดได้ข้อสรุปแล้ว วันต่อมา พันธมิตรมนุษย์ก็เริ่มเปิดฉากโจมตี ขบวนรูปหัวหอกถูกแบ่งออกเป็นสองทัพ ทัพแรกนำโดยเซียวอวี๋ นักรบทัวเรน กองพลรถถัง ขณะที่อีกทัพจะนำโดยทัพพยัคฆ์
เซียวอวี๋ได้จัดกองทัพอากาศครึ่งหนึ่งไปกับทัพพยัคฆ์ และอีกครึ่งที่เหลือจะไปกับเขา
ในหมู่จ้าวมนตราทั้งสาม ธีโอดอร์จะไปกับเซียวอวี๋ ขณะที่ชัคคุน เฟอร์กูสัน และพระสันตะปาปาจะไปกับอีกทัพ เพราะทางฝั่งเซียวอวี๋ยังมีแอนโทนีดาส คาเอลธาส และหลินมู่เสวี่ยที่ตอนนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมากอยู่ด้วย
หลังจากผ่านการต่อสู้มาแล้วหลายครั้ง ทั้งยังได้รับการชี้แนะโดยจ้าวมนตราทั้งสาม หลินมู่เสวี่ยในเวลานี้ยังแข็งแกร่งกว่าจ้าวมนตราทั้งสามที่ยังไม่บรรลุขั้นที่เจ็ดเสียอีก
กองทัพทั้งสองทางฝั่งเซียวอวี๋เปิดฉากโจมตี ซึ่งทางฝั่งของนิโคลัสก็ไม่ต้องการนิ่งดูดาย แม้เซียวอวี๋จะต้องการให้นิโคลัสนั่งประจำการอยู่ที่แนวป้องกัน แต่นิโคลัสก็ปฏิเสธ ทั้งยังบอกให้เซียวอวี๋รอดูผลงานของเขา
อันที่จริง นิโคลัสยังมีขุมกำลังชั้นยอดอยู่ในมือ ยกตัวอย่างเช่น เผ่าบลัดเอลฟ์ที่ยอดเยี่ยมในเวทมนตร์ และปืนใหญ่เวทจำนวนมาก และก็ไม่ทราบว่านิโคลัสใช้วิธีการใดจึงไปได้ตัวกองกำลังอัศวินมังกรดินมาเข้าร่วม ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เซียวอวี๋รู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก
อัศวินมังกรดินก็ยังนับเป็นอัศวินมังกร!
ยิ่งไปกว่านั้น กองกำลังอัศวินมังกรดินเหล่านี้ยังมีจำนวนมากถึงห้าพันนาย นี่คือหนึ่งในไพ่ลับที่นิโคลัสไม่เคยใช้ออกมาก่อน
ความแข็งแกร่งของอัศวินมังกรดินนั้นไม่มีข้อกังขา เซียวอวี๋เคยคิดมาตลอดว่าในโลกคงยากจะหาทัพม้าที่แข็งแกร่งกว่าทัพพยัคฆ์ได้ยาก
ทว่ากองกำลังอัศวินมังกรดินนั้นถือเป็นข้อยกเว้น การโถมพุ่งของมังกรย่อมทรงพลังกว่าอาชาอัสนี
แม้ว่ามังกรดินจะเป็นเพียงเผ่าพันธุ์ย่อยของมังกร กระนั้นพวกมันก็ไม่ได้อ่อนแอ อย่างน้อยที่สุด ในด้านพลังป้องกัน พวกมันก็ไม่ด้อยไปกว่าพวกอสูรโคโดเลย แต่ขนาดที่ใหญ่โตจนทำให้เชื่องช้าของพวกอสูรโคโดทำให้พวกมันไม่เหมาะจะนำมาทำหน้าที่พุ่งทะลวง
ทว่าพวกมังกรดินนั้นไม่ใช่ พวกมันทั้งรวดเร็วและดุดัน อัศวินที่อยู่บนหลังสามารถฆ่าฟัน พวกมังกรดินเองก็สามารถขย้ำศัตรู
ในเช้าที่กำหนดให้เป็นวันโจมตี เซียวอวี๋สั่งเปิดประตูแนวป้องกันก่อนจะเคลื่อนทัพออกไป
ยิ่งมาเซียวอวี๋ก็ยิ่งชื่นชอบการขี่อยู่บนหลังของมังกร กล่าวได้ว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ดูน่าเกรงขามเท่ากับการนั่งอยู่บนหลังของมังกรอีกแล้ว อีกทั้งความเร็วของมังกรน้อยยังสูงยิ่ง เซียวอวี๋จึงชอบขี่มังกรน้อยเวลาไปไหนมาไหน
ครืน……
เสียงเครื่องจากรถถังดังกระหึ่ม รถถังคันแล้วคันเล่าเคลื่อนผ่านประตุออกไป พวกทหารทมิฬที่ได้เห็นฉากนี้ก็ยังต้องหันมามอง แม้ว่าพวกมันจะไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ กระนั้นพวกมันก็ยังพอมีสติปัญญาอยู่บ้าง
การต่อสู้หลายๆครั้งที่ผ่านมา พวกมันไม่เคยเห็นฝ่ายเซียวอวี๋เปิดประตูแนวป้องกันมาก่อน เมื่อพวกมันได้เห็นบานประตูที่เปิดออก พวกมันจึงอดหันมามองอย่างสงสัยใคร่รู้ไม่ได้
แต่หลังจากนั้นไม่นาน รถถังก็เคลื่อนขบวนออกมาจากประตู พวกทหารทมิฬเริ่มสัมผัสได้ถึงอันตรายโดยสัญชาตญาณ เมื่อเปลวไฟพวยพุ่งออกจากปากกระบอกปืนใหญ่ พวกมันก็ทราบได้ทันทีว่าพวกมนุษย์กำลังจะตอบโต้กลับมาแล้ว
ว้าก….
พวกมันไม่รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่าความตาย ดังนั้นเมื่อพวกมันกำลังรู้สึกว่าถูกยั่วยุ พวกมันก็ร้องคำรามพลางโถมเข้าหาขบวนรถถังอย่างบ้าคลั่ง
แต่ในไม่ช้า พวกมันก็พบว่ามีสัตว์ประหลาดรูปร่างสูงใหญ่จำนวนมากกำลังล้อมรอบคุ้มครองเป้าหมายของพวกมันอยู่ สัตว์ประหลาดพวกนั้นแต่ละตัวมีความสูงกว่าสามเมตร บนบ่าของพวกมันมีเสาต้นใหญ่พาดวางอยู่ ศีรษะของพวกมันดูคล้ายวัว
เหล่านักรบทัวเรนต่างก็กระเหี้ยนกระหือรือที่จะออกรบ พวกมันร้องคำรามพลางพุ่งโถมเข้าหาพวกทหารทมิฬอย่างดุดัน
เวลานี้ เหล่านักรบทัวเรนต่างก็มีระดับถึงสิบเรียบร้อยแล้ว พวกมันล้วนแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด ยามเมื่อเสาโทเทมยกฟาดลงไปก็จะบังเกิดเป็นระลอกคลื่นกระแทกอันรุนแรงกินรัศมีถึงสิบเมตร
และยามที่พวกนักรบทัวเรนทั้งสามพันตัวโถมพุ่งออกไปพร้อมกัน พวกทหารทมิฬที่อยุ่ในเส้นทางต่างก็ถูกบดขยี้จนพินาศ
กระสุนปืนใหญ่จากรถถังได้กลืนกินทหารทมิฬไปนับไม่ถ้วน และยามที่พวกมันพยายามเข้าใกล้ พวกมันก็จะถูกล้อเหล็กกล้าบดทับอย่างไร้ปราณี บางส่วนที่โชคร้ายก็ไม่ทันได้เข้าถึงตัวรถถัง แต่ถูกพวกทัวเรนบดขยี้ก่อนจะถูกขว้างลอยออกไปอย่างไร้กำลังขัดขืน
นี่ก็คือทักษะของนักรบทัวเรน บดขยี้
มีทัวเรนตัวหนึ่งที่บุกทะลวงอยู่ด้านหน้าสุดด้วยขวานอันใหญ่โต ยามที่ขวานถูกเหวี่ยงฟันลงพื้นก็จะเกิดรอยแยกลุกลามเป็นทางยาวนับร้อยเมตร ศัตรูที่อยู่ในระยะล้วนถูกเปลี่ยนเป็นเศษเนื้อในทันใด
หลังจากความแข็งแกร่งของเขาอยุ่ในระดับสุดยอดของขั้นที่หก คาร์นก็กลายเป็นนักรบผู้ไร้เทียมทานแห่งสนามรบ
การบุกทะลวงนี้ไม่เปิดโอกาสให้พวกทหารทมิฬได้รับมือแม้แต่น้อย มีในหมู่พวกมันจะมีปีศาจที่แข็งแกร่งปะปนอยู่ แต่เหล่าฮีโร่ของเซียวอวี๋ก็สามารถสับสังหารอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว
ทิรันด้าขี่เสือดาวตะบึงไปอย่างปราดเปรียว เมื่อสายตาพบเห็นปีศาจปรากฏตัว ลูกธนูก็จะพุ่งสังหารเป้าหมายไปอย่างรวดเร็ว หลังจากมาถึงขั้นที่หก ทักษะการใช้ธนูของนางก็เข้าขั้นไร้ผู้ต้าน ดังนั้นย่อมเป็นธรรมดาที่ปีศาจทั่วไปไม่แม้แต่จะสัมผัสได้ถึงลูกธนูของนางก่อนจะตายไปอย่างไม่รู้ตัว
และแม้จะปีศาจที่แข็งแกร่งเทียบเท่าระดับสุดยอดของขั้นที่หกหรือกระทั่งขั้นที่เจ็ดเทียม มังกรน้อยก็สามารถจัดการอีกฝ่ายได้อย่างไม่ยากเย็น ทอนฟาในมือของมันเมื่อฟาดออกยังหนักหน่วงยิ่งกว่าขุนเขาถล่มใส่
ความแข็งแกร่งของมังกรน้อยในปัจจุบันนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตใดๆ และมันยังอยู่ห่างจากการทะลวงขั้นที่หกอีกไม่ไกลแล้ว
หากให้มังกรน้อยในเวลานี้ได้สู้กับพวกผู้นำกอล็อกที่บึงตะวันลับอีกครั้ง มังกรน้อยจะสามารถสังหารอีกฝ่ายได้โดยใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที
หรือหากว่ามังกรน้อยสู้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ฝ่ายเขายังมีสามจ้าวมนตราอยู่
หากว่ามังกรน้อยและสามจ้าวมนตราลงมือพร้อมกัน เช่นนั้นก็ไม่ต้องกล่าวถึงการต่อสู้แล้ว อีกฝ่ายคงตกตายตั้งแต่ยังไม่ทันได้สู้
ในการต่อสู้นี้ สามจ้าวมนตราได้ใช้เวทต้องห้ามอย่างต่อเนื่อง แม้กล่าวได้ว่าการใช้เวทต้องห้ามออกไปจะเป็นการบั่นทอนอายุขัย และหากว่าใช้ออกถี่เกินไปจะเป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างใหญ่หลวง
แต่ในเวลาเช่นนี้ พวกเขาไม่คำนึงถึงเรื่องอื่นใดอีกแล้ว การรุกรานของพวกทหารทมิฬคือมหันตภัยร้ายแรงที่สุด ยังมีพวกปีศาจหนุนเสริมจนแทบจะทำให้แนวร่วมฝ่ายมนุษย์พ่ายแพ้
ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า พวกเขาจึงต้องใช้เวทต้องห้ามออกมา หนึ่งเวทที่ใช้ออกของพวกเขาจะสามารถช่วยเหลือชีวิตมนุษย์ได้นับไม่ถ้วน
สงครามหลายครั้งที่ผ่านมานั้นดุเดือดจนแทบลากเลือด หากว่าการศึกไม่เข้าขั้นร้ายแรงจริงๆ เซียวอวี๋คงไม่เรียกใช้กองทัพอันเดด
เมื่อแผนการโต้กลับเริ่มต้นขึ้น กองทัพชั้นยอดของเซียวอวี๋ก็มีบทบาทสำคัญอีกครั้ง เหล่าฮีโร่ของเขาทุกคนเรียกได้ว่ามีผลต่อสถานการณ์อย่างมาก
แต่ฮีโร่ที่น่าตื่นตะลึงที่สุดก็คือ จ้าวอัคคี ฮีโร่ผู้นี้แข็งแกร่งอย่างไร้เหตุผล ทุกที่ที่เขาเคลื่อนตัวผ่าน เปลวเพลิงจะเข้ากลืนกินศัตรูจนหลงเหลือไว้เพียงเถ้าถ่าน
การบุกทะลวงได้กวาดล้างศัตรูไปนับไม่ถ้วน และเมื่อทั้งสองทัพได้กลับมาบรรจบกัน พวกทหารทมิฬก็ไม่มีหนทางให้หลบหนี พวกที่ติดค้างถูกบีบเข้ามุม ทำได้เพียงรอคอยการถูกเชือด
แผนการของเซียวอวี๋ประสบผลสำเร็จ หลังจากการบุกทะลวงดำเนินไปหลายรอบ พวกทหารทมิฬก็สูยเสียอย่างหนัก หลังจากผ่านไปสิบกว่าวัน กองทัพพันธมิตรมนุษย์ก็รุกคืบไปได้นับร้อยกิโลเมตร
ในตอนนี้ กองทัพของพวกเขานั้นใกล้จะพบเจอกับทัพอันเดดแล้ว
ขณะที่เซียวอวี๋กำลังขบคิดหาวิธีการเลี่ยงไม่ให้เกิดการปะทะกับพวกอันเดด จุ่ๆเขาก็พลันรู้สึกได้ว่าแผ่นดินกำลังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จากนั้นที่บนท้องฟ้าก็ปรากฏหลุมขนาดใหญ่ ลูกไฟขนาดมหึมาตกกระหน่ำลงจากฟ้าราวกับวันสิ้นโลกกำลังอุบัติ
“มันมาแล้ว”
เซียวอวี๋พึมพำ….
ตอนที่ 612
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
ลูกไฟนับไม่ถ้วนพุ่งตกลงจากฟ้าราวกับวันโลกาวินาศ และยามที่ลูกไฟเหล่านั้นลงสู่พื้น ลูกไฟเหล่านั้นก็กลายเป็นปีศาจที่มีไฟลุกท่วมีร่าง
ปีศาจที่ดูชั่วร้ายตัวแล้วตัวเล่าหยัดยืนลุกขึ้นก่อนที่พวกมันจะโถมเข้าหาพวกเซียวอวี๋พร้อมเพลิงบนร่าง
ลูกไฟยังคงร่วงหล่นจากท้องฟ้าต่อเนื่องไปอีกราวครึ่งชั่วโมงจึงหยุดลง ไม่ทราบมีปีศาจมากเพียงใดที่มาพร้อมกับเหตุการณ์นี้ ยามสิ้นเสียงหนักทึบเสียงสุดท้าย เงาร่างขนาดใหญ่ที่มีเพลิงลุกท่วมอย่างน่าครั่นคร้านก็ปรากฏตัว เพียงรูปลักษณ์ก็ทำให้ผู้พบเห็นต้องสะท้านไปถึงวิญญาณ
“ซาแกรลาส” เซียวอวี๋มองดูร่างอันใหญ่โตที่คุ้นตานั้นพลางพึมพำออกมา
สิ่งที่เขาคาดเดานั้นเป็นจริง ผู้ที่คอยชักใยอยู่ในเงามืดคือ ซาแกรลาส
“ช่างเป็นการกระทำอันสูญเปล่า พวกเจ้ามีชะตาที่ต้องถูกทำลาย” ซาแกรลาสหัวเราะขณะกวาดตามองดูมวลมนุษย์อย่างเหยียดหยามดูแคลน
เซียวอวี๋เป็นเพียงผู้เดียว ณ ที่แห่งนี้ที่ทราบว่าซาแกรลาสแข็งแกร่งและยากที่จะต่อสู้เพียงใด
ในประวัติศาสตร์ของโลกวอคราฟ ซาแกรลาสไม่เคยถูกสังหาร มันไร้เทียมทาน ทว่าในบันทึกมันกลับถูกปลิดปลงโดยเอกวินน์ และดวงวิญญาณของมันก็ถูกผนึกไว้ในร่างของเอกวินน์นั้นเอง ซึ่งนั่นได้ส่งผลต่อโชคชะตาของเมดีฟหลังจากนั้น
ในเวลาต่อมา โลธาร์ แค็ดการ์ และคนอื่นๆได้ร่วมมือกันต่อสู้กับเมดีฟ และขับไล่วิญญาณของซาแกรลาสสู่ห้วงมิติแห่งความว่างเปล่า
หากแต่ความไม่สมเหตุสมผลกลับอยู่ที่นี่เอง เป็นไปได้หรือที่ซาแกรลาสจะถูกสังหารลงด้วยพลังของเอกวินน์? ต้องทราบก่อนว่า ซาแกรลาสนั้นคือผู้ที่ทรงพลังที่สุดในหมู่ไททัน นี่จะเป็นไปได้จริงหรือ?
และหากวัดจากในบรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งหมด ไม่มีเผ่าพันธุืใดจะเหนือไปกว่าเผ่าพันธุ์ผู้สร้างอย่างไททันอีกแล้ว กล่าวก็คือ ซาแกรลาสนั้นไร้ผู้ต้าน หรือกระทั่งต่อให้มีผู้ที่สามารถสังหารซาแกรลาสลงได้อยู่จริง นั่นก็สมควรเป็นเผ่าพันธุ์ไททันตนอื่น ไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์
ด้วยเหตุนี้ เซียวอวี๋จึงสงสัยว่าเรื่องที่ซาแกรลาสถูกสังหารนั้น ความจริงคือ ซาแกรลาสที่ถูกสังหารไปเป็นเพียงร่างจำแลง หาใช่ร่างจริงไม่
สำหรับการเดินทางมายังดาวดวงนี้ของเบิร์นนิ่งลีเจี้ยน พลังเวทมนตร์คือสิ่งจำเป็น ในอดีต สาเหตุที่เบิร์นนิ่งลีเจี้ยนเดินทางมาได้ก็เพราะเวทมนตร์ของเอลฟ์ และพลังจากบ่อแห่งนิรันดร์
จะเห็นได้ว่าการเดินทางมายังดาวดวงนี้ของพวกปีศาจนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะพวกปีศาจที่ทรงพลัง
สำหรับข้อจำกัดนี้ กระทั่งซาแกรลาสก็ยังไม่อาจฝ่าฝืน
ดังนั้น หากซาแกรลาสคิดจะเดินทางมายังดาวเคราะห์ดวงนี้ พลังที่ต้องใช้ก็ย่อมต้องมหาศาล และบางที กระทั่งพลังจากบ่อแห่งนิรันดร์ก็ยังไม่เพียงพอที่จะนำซาแกรลาสมาที่นี่
ด้วยเหตุนั้น การที่ซาแกรลาสจะเดินทางมาที่นี่ได้จึงมีเพียงการส่งร่างจำแลงมา
สำหรับร่างจริงของซาแกรลาส แน่นอนว่าย่อมไม่ได้รับความเสียหาย และการกลับมาครั้งนี้ของมัน เป้าหมายคงไม่พ้นการทำลายล้างทวีป
เทพปีศาจผู้นี้ไม่เคยละทิ้งความพยายามเลยจริงๆ
ปีศาจตนนี้เคยถูกเอกวินน์โค่นล้มลง หากทว่าเอกวินน์กลับไม่อยู่แล้ว นี่จะทำอย่างไร? ยังมีผู้ใดสามารถเอาชนะซาแกรลาสได้อีก? แม้ว่านี่จะเป็นเพียงร่างจำแลงของมันก็ตาม
เซียวอวี๋กลัดกลุ้มใจ ความแข็งแกร่งที่ซาแกรลาสครอบครองทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวัง
เซียวอวี๋เคยเอาชนะบอสต่างๆมาแล้วมากมาย กระนั้นกลับไม่มีบอสตัวใดเลยที่มีพลังเทียบเท่าซาแกรลาส แล้วนี่เขาจะจัดการเทพปีศาจที่แข็งแกร่งสุดโต่งตนนี้ได้อย่างไรกัน?
ในตอนนั้นเอง เหล่าปีศาจเริ่มเข้ารายล้อมซาแกรลาส และค่อยๆเคลื่อนทัพเข้าหาฝ่ายมนุษย์
สงครามครั้งสุดท้าย…. นี่คือสงครามครั้งสุดท้าย และเป็นสงครามที่ยากจะเอาชนะที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์
ทางฝ่ายมนุษย์ ยอดฝีมือทั้งหมดต่างมารวมกันรอบกายเซียวอวี๋เพื่อเตรียมเผชิญหน้ากับซาแกรลาส
“เหล่ามดปลวกที่สมควรถูกกวาดล้างไปเนิ่นนานแล้วทั้งหลาย ให้ข้า ซาแกลาสผู้ยิ่งใหญ่ได้ช่วยกำจัดพวกเจ้ารวมทั้งทำลายโลกใบนี้เถิด” ราวกับทราบว่าเซียวอวี๋คือผู้นำแห่งมวลมนุษย์ มันหันไปจ้องมองเซียวอวี๋พลางยิ้มออกมา
เซียวอวี๋กลอกตาก่อนจะกล่าวว่า “เช่นนั้นบิดาผู้นี้ก็ขอพูดบ้างแล้วกัน ต้องการจะทำลายโลก? แล้วเจ้าเคยทำสำเร็จหรือ? ไม่ใช่ว่าสุดท้ายก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า? ข้าล่ะยอมรับนับถือเจ้าซะจริงๆ หัวจิตหัวใจที่สามารถแบกรับความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าของเจ้า น่าเสียดายที่สิ่งที่เจ้ากล่าวนั้นเป็นคำพูดคุยโวโอ้อวด คิดหรือว่าเจ้าจะสามารถทำลายพวกเราได้ด้วยร่างจำแลงอ่อนแอนั่น? หากว่าเป็นร่างจริงก็พอจะเป็นไปได้อยู่หรอก แต่น่าเสียดายที่ร่างของเจ้า มา ยัง โลก นี้ ไม่ ได้!”
เซียวอวี๋ทราบว่าในเวลาเช่นนี้ ขวัญกำลังใจถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เขาไม่อาจปล่อยให้มนุษย์คิดว่าไม่อาจเอาชนะซาแกรลาส
แม้ว่าลึกๆลงไปแล้ว เซียวอวี๋จะคิดเช่นนั้นก็ตาม
“ฮึ่ม เจ้ามดปลวก คิดว่าพวกเจ้าคู่ควรให้ข้าต้องเดินทางมาด้วยร่างจริงหรือ? ข้ามาที่นี่เพียงเพื่อทำลายโลกของพวกเจ้าคลายความเบื่อหน่ายเท่านั้น ในสายตาของข้าแล้ว พวกเจ้าที่อยู่ที่นี่ก็เป็นเพียงของเล่นฆ่าเวลา หืม….กลิ่นอายที่คุ้นเคยนัก เอกวินน์งั้นหรือ? หรือว่าเด็กน้อยนั่นคือเอกวินนน์ ฮ่าฮ่า….น่าสนใจเสียจริง คิดถึงยามที่ได้พบเด็กน้อยผู้นั้น เพียงเพราะความสนุก ข้าจึงปล่อยให้นางสังหารข้า จากนั้นก็ครอบงำบุตรของนาง คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายจะพลาดท่าเพราะความประมาท ฮ่าฮ่า…ครั้งนี้ ข้าจะไม่เล่นเช่นนั้นอีกแล้ว ข้าจะเปลี่ยนการละเล่น”
สายตาของซาแกรลาสจับจ้องมองไปยังมู่เสวี่ยพลางกล่าวออกมา
“เพ้ย เลิกพล่ามไร้สาระซะ ครั้งนึงเจ้าเคยถูกขับไล่ไป วันนี้บิดาก็จะขับไล่เจ้าอีกครั้ง คิดว่าตนเองแข็งแกร่งไร้เทียมทานนักหรือ ผ่านมาเนิ่นนานขนาดนี้ เจ้าคิดว่าพวกเรายังเป็นเหมือนเดิมหรือ? พวกเรามีความสามารถที่จะสังหารเจ้าได้ จงคอยดูเถอะ”
เซียวอวี๋ย่อมไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายกล่าวทำลายขวัญกำลังใจของฝ่ายตนอยู่ถ่ายเดียว ดังนั้นจึงกล่าวออกไปด้วยท่าทางเปี่ยมความมั่นใจเพื่อซื้อเวลาขบคิดหาวิธี
“ฮ่าฮ่าฮ่า ช่างเป็นเด็กน้อยที่ตลกขบขันนัก ต่อให้มีแค่ข้า คิดหรือว่าพวกเจ้าสามารถเอาชนะได้? ข้าคือเทพแห่งสงคราม ข้าคือเทพผู้ไร้พ่าย ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะข้าได้ในสนามรบ วันนี้ ข้าจะฆ่าพวกเจ้าทั้งหมดเสียที่นี่ จากนั้นจึงค่อยทำลายโลกของพวกเจ้าตามไป” ดวงตาของซาแกรลาสมีเพลิงลุกโชน จากนั้นจึงตะโกนสั่งการให้พวกปีศาจทั้งหมดโจมตี
“บัดซบ มันไม่หลงกล” เซียวอวี๋มองดูซาแกรลาส ปีศาจบรรพกาลผู้นี้ไม่สนใจสิ่งใดและเปิดฉากโจมตีทันที
ถึงตอนนี้ก็ไม่มีสิ่งใดต้องว่ากล่าวกันอีก มีเพียงสงครามเท่านั้นที่เป็นทางออก…….
ตอนที่ 613
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
เสียงคำรามพร้อมควันไฟพวยพุ่งจากปากกระบอกปืนของรถถังที่เรียงรายอยู่แนวหน้า เหล่าคิเมร่าต่างโผบินขึ้นสู่ฟ้าพร้อมปรับรูปขบวนเป็นร่างแหคลี่คลุมทั่วกองทัพฝ่ายตน
เหล่านักรบทัวเรนที่ระดับล้วนเกินสิบต่างพุ่งเข้าหาพวกปีศาจอย่างอาจหาญ
ด้วยกองหน้าที่แข็งแกร่ง การโจมตีอย่างบ้าคลั่งของพวกปีศาจในช่วงเริ่มต้นจึงถูกยันเอาไว้ได้ อย่างไรก็ตาม พวกปีศาจมีมากเกินไป เป็นการยากที่จะต้านทานพวกปีศาจอย่างสมบูรณ์โดยพึ่งพาเพียงกองทัพพันธมิตรมนุษย์
ในตอนนั้นเอง เสียงกีบเท้าอาชาก็ดังขึ้นแทกรเสียงการสู้รบ และที่ด้านหลังของกองทัพปีศาจก็ปรากฏกลุ่มอาชาที่มีเปลวเพลิงลุกท่วมตัวโถมเข้าหากองทัพปีศาจ
อาร์ทัส!
ในช่วงเวลาสำคัญ อาร์ทัสนำกองทัพอันเดดเข้าสู่สนามรบ ที่ด้านหลังของอาร์ทัส กองทัพอันเดดที่แน่นขนัดกำลังเคลื่อนพลติดตามหลังมา มังกรน้ำแข็งนับร้อยตัวกางปีกสยายพลางกู่คำรามกึกก้องท้องฟ้า
นักรบของทั้งสองฝ่ายต่างตะลึงงัน ไม่ว่าฝ่ายใดก้คาดไม่ถึงว่ากองทัพอันเดดจะปรากฏตัวออกมาในเวลานี้ แต่เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของพวกมันไม่ใช่ฝ่ายมนุษย์หากแต่เป็นฝ่ายทหารทมิฬและปีศาจ
โฮก……….
อาร์ทัสกู่ร้องพลางควบอาชากวัดแกว่งดาบฟรอสต์มัวร์ผ่าร่างของปีศาจเป็นสองส่วน
กลิ่นอายทรงพลังพลันปะทุขึ้นจากร่างของอาร์ทัส อาร์ทัสในเวลานี้ประดุจมัจจุราชคร่าวิญญาณ ทุกที่ที่เขามุ่งไปล้วนเต็มไปด้วยความตาย
หลังจากบรรลุถึงขั้นที่เจ็ด อาร์ทัสก็เปลี่ยนแปลงไปมาก กระทั่งบรรลุระดับที่สูงที่สุดที่เขาเคยบรรลุ ราชันย์อมตะ
ต้องทราบว่า เมื่ออาร์ทัสบรรลุถึงขั้นราชันย์อมตะ เขาก็แทบจะไร้เทียมทาน และไม่ทราบต้องใช้ยอดนักรบมากมายเพียงใดเพื่อต้านทานเขาเอาไว้
หนึ่งดาบฟรอสต์มัวร์กวัดแกว่งออก โลหิตของปีศาจสาดกระเซ็น ตลอดทางมีซากศพนอนทอดยาว พร้อมกับเสียงร่ายมนต์ที่ดังขึ้น ศพของเหล่าปีศาจที่สิ้นชีพไปแล้วก็ลุกขึ้นยืนหยัดต่อสู้อีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ศัตรูของพวกมันคืออดีตสหายร่วมรบของพวกมันเอง
หลังจากบรรลุขั้นที่เจ็ด พลังในการควบคุมเหล่าอันเดดของอาร์ทัสก็เพิ่มขึ้นมหาศาล มากเพียงพอจะเปลี่ยนศพปีศาจทุกศพมาเป็นนักรบอันเดดใต้บัญชา
ปีศาจที่เข้าร่วมสงครามในครั้งนี้ตอนเป็นก็แข็งแกร่งอยู่ก่อนแล้ว และหลังจากถูกเปลี่ยนเป็นอันเดดก้ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีกขีดขั้น อีกทั้งอาร์ทัสยังได้เรียกแน็กแรมมาเพิ่มพลังให้เหล่าอันเดดด้วยแล้ว กองทัพปีศาจต้องต้องเผชิญหน้ากับศัตรูสุดแกร่งจึงกลายเป็นปั่นป่วนขึ้นมา
กองทัพพันธมิตรรีบใช้โอกาสจากความวุ่นวายนี้เพื่อสร้างที่มั่น และในขณะเดียวกันก็ปลดปล่อยอาวุธทั้งหมดโจมตีโต้กลับกองทัพปีศาจ
นี่คือศึกครั้งสุดท้าย ไม่จำเป็นต้องอดออมสิ่งใดไว้อีกต่อไป ดังนั้นจ้าวมนตราทั้งสามจึงนำม้วนคัมภีร์เวทที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยหวงแหนยิ่งกว่าบุตรในไส้มาใช้ถล่มทำลายกองทัพปีศาจจนเกิดความสูญเสียอย่างหนัก
น้ำยาฟื้นฟูมานาของเซียวอวี๋ได้ถูกขนออกมาแจกจ่ายแล้วตั้งแต่แรกเริ่ม การเก็บเอาไว้ไม่ยอมนำมาใช้ในเวลาเช่นนี้ถือเป้นความโง่เขลา คุณค่าของน้ำยาเหล่านี้จะเปล่งประกายได้มากที่สุดก็ในสนามรบ
ครืน…….
ในตอนนั้นเอง แสงสีทองอร่ามก็พลันปะทุขึ้นกลางท้องฟ้าก่อนจะตกลงมา และร่างที่อยู่ทางด้านข้างของเซียวอวี๋เองก็ปลดปล่อยกลิ่นอายพลังเวทมนตร์มหาศาลกวาดผ่านสนามรบสอดรับกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
นี่เป็นการปะทุของพลังขั้นที่เจ็ด!
เซียวอวี๋กระพริบตาปริบๆขระหันไปมองดูผู้ที่บรรลุขั้นที่เจ้ด ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นภรรยาสุดที่รักของเขา หลินมู่เสวี่ย
ในช่วงเวลาอันสำคัญ ในที่สุดหลินมู่เสวี่ยก็ก้าวผ่านธรณีประตูบรรลุขอบเขตขั้นที่เจ็ด ซึ่งอันที่จริง เซียวอวี๋ก็พอจะคาดเดาออกได้ว่าเหตุใดหลินมู่เสวี่ยจึงบรรลุขั้นที่เจ็ดได้รวดเร็วเช่นนี้ นั่นก็เพราะพลังของเอกวินน์ในร่างของนางสมัผัสได้ถึงการคงอยู่ของซาแกรลาส ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้ไปกระตุ้นกระบวนการพัฒนาของมู่เสวี่ยให้เร่งเร็วขึ้น
ความเกลียดชังที่เอกวินน์มีต่อซาแกรลาสนั้นลึกล้ำสุดประมาณ ดังนั้นเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังของซาแกรลาส พลังในร่างของหลินมู่เสวี่ยจึงมีปฏิกิริยาตอบสนองทันที
แม้ว่าในช่วงเริ่มต้น พวกปีศาจจะเป็นฝ่ายที่ถือไพ่เหนือกว่า แต่หลังจากการมาของอาร์ทัส สถานการณ์ก็เริ่มเปลี่ยนไป เป็นเรื่องยากที่มนุษย์จะเอาชนะสงครามในครั้งนี้ได้โดยลำพัง แม้ว่านักรบยอดฝีมือของทางฝั่งมนุษย์จะมีอยู่อย่างคับคั่ง ตัวตนผู้เข้มแข็งทั้งหมดบนผืนทวีปล้วนแต่เข้าร่วมศึกในครั้งนี้ กระนั้นฝ่ายศัตรูนั้นมีจำนวนมากมายมหาศาลจนยากที่จะลบช่องว่างความแตกต่างระหว่างสองฝ่าย
อย่างไรก็ตาม การปรากฏตัวของอาร์ทัสนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง ในด้านจำนวนที่มากมายไม่หมดไม่สิ้นแล้ว กองทัพอันเดดไม่ได้หวาดกลัวต่อข้อได้เปรียบนี้ของกองทัพปีศาจเลย
โดยเฉาพอย่างยิ่ง อาร์ทัสสามารถเปลี่ยนเหล่าปีศาจที่ตกตายให้กลายมาเป็นนักรบใต้สังกัดตน อาจกล่าวได้ว่า กองทัพอันเดดนั้นสามารถเติบโตขึ้นได้อย่างไร้ขีดจำกัด ของที่ทางฝั่งกองทัพปีศาจนั้นไม่ใช่
ขณะที่การบาดเจ็บล้มตายมีอัตราเพิ่มขึ้น ซากศพที่อาร์ทัสควบคุมก็ยิ่งมายิ่งมาก กล่าวได้ว่าบทบาทของอาร์ทัสเพียงคนเดียวยังมีค่ามากกว่าทหารนับล้านเสียอีก
เซียวอวี๋อดยินดีที่ครั้งนั้นตนเลือกปล่อยให้อาร์ทัสพัฒนาต่อไปเสียไม่ได้ มิเช่นนั้นสถานการณ์ในวันนี้คงเลวร้ายสุดประมาณ
หลินมู่เสวี่ยบรรลุขั้นที่เจ็ด ซึ่งอาจกล่าวได้ว่ามีบทบาทสำคัญต่อผลของสงครามเป็นอย่างมาก เพราะถึงที่สุดแล้ว ครั้งนึงพลังของเอกวินน์ก้เคยกำราบซาแกรลาสจนพบความพ่ายแพ้ได้มาแล้ว ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงร่างจำแลงก็ตาม
อย่างไรก็ตาม พลังของหลินมู่เสวี่ยในเวลานี้กำลังเพิ่มขึ้นจนเข้าใกล้ระดับพลังที่เอกวินน์เคยครองครอง นี่นับเป็นสัญญาณที่อันดี…..
ตอนที่ 614
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
เมื่อเห็นว่าจู่ๆหลินมู่เสวี่ยก็บรรลุขั้นที่เจ็ด กองทัพพันธมิตรมนุษย์ก็เต็มไปด้วยความหวัง ขณะที่ทางฝั่งซาแกรลาสแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
“ฮ่าฮ่า เด็กน้อยเอ๋ย จนถึงตอนนี้เจ้าก็ยังต้องการสังหารข้าอยู่งั้นหรือ? แต่ครั้งนี้ข้าจะไม่ให้โอกาสนั้นแก่เจ้าอีกแล้ว ข้าจะไม่เล่นจนประมาทอีก ตอนนี้ข้าจะกำจัดเจ้าก่อนก็แล้วกัน” ซาแกรลาสฉีกยิ้มชั่วร้าย และสะบัดดาบดาร์กริปเปอร์ในมือพุ่งไปทางหลินมู่เสวี่ย
“บัดซบ หยุดมันไว้!” เห็นเช่นนั้นเซียวอว๊่ก็พลันสบถออกมา จากนั้นจึงรีบนำเหล่าฮีโร่พุ่งเข้าสกัดซาแกรลาส
ฮีโร่คนแล้วคนเล่าโถมออกมาข้างหน้าเซียวอวี๋เพื่อเข้าสกัดซาแกรลาส
ผู้ที่อยู่แถวหน้าสุดคือ คาร์นที่ร่างขยายใหญ่โตและมังกรน้อย มังกรน้อยในเวลานี้มีพลังอยู่ในระดับสุดยอดของขั้นที่ห้า และห่างจากขั้นที่หกอีกเพียงครึ่งก้าวเท่านั้น แม้ว่าพลังระดับนี้จะไม่เพียงพอเป็นคู่ต่อสู้ของซาแกรลาส หากแต่มันก็ไม่มีปัญหาหากเพียงต่อสู้เพื่อซื้อเวลา
ในหมู่คนที่อยู่ที่นั่น มังกรน้อยเป็นหนึ่งเดียวที่สามารถต้านทานซาแกรลาสได้ระยะเวลาหนึ่ง
ตูม…….
ลูกไฟขนาดใหญ่ตกลงมาจากบนฟ้าโดยมีเป้าหมายคือมังกรน้อย นี่ย่อมเป็นฝีมือของซาแกรลาสที่ส่งลูกไฟออกมาล่วงหน้า
มังกรน้อยคำรามพลางกวัดแกว่งทอนฟาในมือฟาดเข้าใส่กลุ่มลูกไฟของซาแกรลาส
เกิดการระเบิดขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า เปลวเพลิงจากการระเบิดได้เข้ากลืนกินร่างของมังกรน้อยเข้าไป อย่างไรก็ตาม หลังจากเปลวเพลิงอ่อนกำลังลง มังกรน้อยยังคงยืนตระหง่านอยู่ที่เดิมขณะที่ดวงตาของมันฉายประกายดุร้ายออกมา
โฮก………..
นับตั้งแต่ดูดวับพลังมังกรมาที่อัลคีราฟ ศักยภาพของมังกรน้อยก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในยามนี้ ยามที่เผชิญหน้าซาแกรลาส พลังมังกรในร่างของมังกรน้อยก็เกิดการผสานกัน หลังจากถูกกลุ่มไฟกลืนกิน ร่างกายของมังกรน้อยก็เกิดการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยงแปลงไปถึงระดับที่คาดไม่ถึง
โฮก………….
มังกรน้อยคำรามออกมาอีกครั้ง และร่างของมันก็ขยายใหญ่ขึ้น เปลวเพลิงที่อยู่โดยรอบก็ลุกโชนทำให้อุณหภูมิทั่วสนามรบพุ่งสูงขึ้น
ตูม……….
พร้อมกับการระเบิดอย่างรุนแรง บนศีรษะของมังกรน้อยมีเขางอกขึ้นมาอีกหลายเขา เกร็ดที่ร่วงหล่นจากร่างกายก็ค่อยๆงอกออกมาใหม่ กรงเล็บแหลมคมขึ้น ทั้งยังส่องประกายดูน่าเกรงขาม
“สวรรค์ มังกรน้อยบรรลุขั้นที่หกแล้ว!” เซียวอวี๋ที่อยู่ด้านหลังพลันโพล่งออกมาอย่างยินดี ความยินดีของเซียวอวี๋นั้นเป็นที่ทราบได้ การตัดผ่านขึ้นสู่ขั้นที่หกของมังกรน้อยในเวลานี้นับว่ามาได้ถูกเวลายิ่ง
มังกรขั้นที่หก ทั้งยังเป็นมังกรที่สืบทอดพลังจากมังกรโบราณ ความแข็งแกร่งนั้นเป็นที่คาดได้
มังกรน้อยจ้องไปทางซาแกรลาส และเสียงที่ออกมาจากลำคอของมังกรน้อยก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว มันกลายเป็นทุ้มต่ำลงหากแต่แฝงแววน่าเกรงขามแทน
“มารดามันเถอะ คิดว่าเจ้าเป็นไททันแล้วเจ๋งนักหรือ? ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นถึงความเกรียงไกรของเผ่าพันธุ์มังกร!” แม้ว่าน้ำเสียงจะเปลี่ยนไป หากแต่แนวทางการพูดจายังคงวางท่าราวกับอันธพาลเช่นเดิม
น้ำเสียงและวาจาที่ขัดแย้งกันแทบจะทำให้ทุกคนยกมือขึ้นกุมขมับ นี่มันมังกรอะไรกัน มังกรบ้านไหนเขาใช้วาจาเยี่ยงนี้
“ฮ่าฮ่า เป็นเผ่าพันธุ์มังกรนี่เอง ยามที่พวกเราสรรค์สร้างโลกใบนี้ขึ้นมา เพื่อที่จะทำให้โลกปลอดภัย พวกเราจึงได้สร้างเผ่าพันธุ์มังกรขึ้นมา คาดไม่ถึงว่าวันนี้เผ่าพันธุ์มังกรจะได้ทำหน้าที่ปกป้องโลกจริงๆ ถึงกระนั้น เจ้าคิดว่าสามารถหยุดข้าได้หรือ?”
สายตาของซาแกรลาสจ้องมองมังกรน้อยที่เพิ่งบรรลุขั้นที่หก กลิ่นอายของมังกรโบราณยังคงปกคลุมอยู่บนร่างของมังกรน้อย ในแววตาแฝงความอิจฉาอยู่จางๆ ถึงที่สุดแล้ว เผ่าพันธุ์มังกรก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังที่สุดที่เหล่าไททันสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นผู้พิทักษ์
ถึงตอนนี้ อาจกล่าวได้ว่า อาวุธทรงพลังที่สุดที่เหล่าไททันสร้างขึ้นมากำลังหันคมดาบเข้าใส่ผู้สร้างเสียเอง
ขณะที่ซาแกรลาสปะทะอยู่กับเหล่าฮีโร่ ทางด้านอื่นเองก็ดุเดือดไม่แพ้กัน อาร์ทัสและกองทัพอันเดดยังบุกโจมตีกองทัพปีศาจอย่างดุดัน ภายใต้คมดาบฟรอสต์มัวร์ ไม่มีปีศาจตนใดที่รับเกินหนึ่งดาบ
ทางฝั่งกองทัพพันธมิตรมนุษย์ พวกเขาทราบดีว่าการปะทะกับกองทัพอันเดดในเวลานี้ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นกองทัพมนุษย์และกองทัพอันเดดจึงกลุ้มรุมกระหนาบกองทัพปีศาจโดยมิได้นัดหมาย
อาร์ทัสเรียกได้ว่าควบคุมสนามรบเอาไว้ในกำมือ และปีศาจที่เห็นดังนั้นจึงหมายสังหารเขาเป็นเป้าหมายแรก
อย่างไรก็ตาม อาร์ทัสยังคงขี่อาชาบุกไปทั่วทุกทิศพลางรับมือกับพวกปีศาจที่โถมเข้าหาจากทั่วทิศสารทิศ
เซียวอวี๋ที่เห็นสถานการณ์ของสนามรบดำเนินไปเช่นนี้จึงส่งจ้าวอัคคี อิลิดัน แพนด้าเฉิน และมูราดินไปโจมตีกองทัพปีศาจอีกแรง ขณะเดียวยังขอให้นิโคลัสส่งกำลังบางส่วนไปช่วยไม่ให้อาร์ทัสตกอยู่ในวงล้อมของกองทัพปีศาจ
ถึงตอนนี้ เซียวอวี๋ไม่สนใจอีกแล้วว่าผู้อื่นจะคิดเห็นอย่างไร เขาได้ลงมือช่วยเหลืออาร์ทัสอย่างเปิดเผย อาร์ทัสในเวลานี้เรียกได้ว่าเป็นผู้ช่วยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาในเวลานี้
เหตุผลที่เลือกส่งจ้าวอัคคีและแพนด้าเฉินไปก็เพราะความเกลียดชังที่พวกเขามีต่ออาร์ทัสนั้นมีไม่มาก มิเช่นนั้นหากเป็นฮีโร่คนอื่น เกรงว่าพวกเขาจะหันคมดาบเข้าฟาดฟันกันเองตั้งแต่เริ่มต้น
และแม้ว่าอิลิดันและมูราดินจะมีความเป็นศัตรูกับอาร์ทัสอยู่จางๆ ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้ห้ำหั่นกันเองทันทีที่พบ
จ้าวอัคคีนั้นไม่ได้มีความบาดหมางโดยตรงกับอาร์ทัส แพนด้าเฉินเองก็เช่นกัน
เวลานี้ พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่อยู่ในขั้นที่หก ซึ่งนี่นับเป็นโอกาสอันดีที่จะเพิ่มพูนความแข็งแกร่งด้วยการกำจัดปีศาจไปด้วยในตัว
อิลิดันถือดาบวงพระจันทร์ไว้ในมือทั้งสองข้าง และเมื่อเข้าสู่ใจกลางวงล้อมของพวกปีศาจได้เขาก็พลันเปิดฉากฆ่าฟันเป็นวงกลมทันที ตัวเขาเองก็เป็นปีศาจ อิลิดันในเวลานี้ได้เปิดใช้ร่างปีศาจของเขาออกมาโดยไม่กลัวว่าจะถูกคำสาปอีกแล้ว เขาเพียงหวังพึ่งพาพลังเพื่อกำจัดศัตรูให้ได้มากที่สุด
อิลิดันที่อยู่ในร่างปีศาจเริ่มมีขนาดร่างกายใหญ่โตขึ้น และที่ด้านหลังของเขาเองก็มีร่างแยกปรากฏออกมาอีกหลายร่าง และพัลงที่ปะทุออกมานี้ยังได้ดึงดูดความสนใจจากเหล่าปีศาจทรงพลังที่กำลังกลุ้มรุมอาร์ทัสให้หันมาทันที
จ้าวอัคคียังคงใช้เพลิงแผดเผาพวกปีศาจไปตลอดทาง ซึ่งอันที่จริง พวกปีศาจนั้นไม่ได้เกรงกลัวไฟ ดังนั้นจ้าวอัคคีจึงสร้างความเสียหายให้กับพวกปีศาจได้ไม่มาก
หากแต่ในทางกลับกัน การโจมตีส่วนใหย๋ของพวกปีศาจก็ประกอบไปด้วยไฟ และนั่นไฟย่อมไม่อาจสร้างความเสียหายต่อจ้าวอัคคี
เมื่อเป็นเช่นนี้ จ้าวอัคคีเพียงลำพังจึงสามารถโรมรันกับพวกปีศาจจำนวนมากได้โดยที่พวกปีศาจไม่อาจทำอย่างไรต่อจ้าวอัคคี
พลังสัประยุทธ์ของแพนด้าเฉินยิ่งมาก็ยิ่งทรงพลัง แม้ว่าเขาจะอาศัยเพียงพลังจากสองฝ่ามือ กระนั้นแต่ละหมัดของเขายังอันตรายกว่าอาวุธทั่วไปเสียอีก
ทางด้านของราชันย์แห่งขุนเขา แม้ว่ามูราดินจะตัวเล็ก กระนั้นกลับคล่องแลค่งยิ่ง ด้วยค้อนและขวานในมือทั้งคู่ เขาได้บุกเข่นฆ่าอย่างสมใจ ทุกคนต่างทราบว่ามูราดินนั้นเป็นราชันย์แห่งขุนเขา แม้ว่าร่างกายของเขาจะดูเตี้ย หากแต่พละกำลังของเขานั้นไม่ได้แตกต่างไปจากยักษ์ตัวโตแม้แต่น้อย
ตึง ตึง ตึง…..
ทุกคราที่มูราดินฟาดอาวุธออกไป พวกปีศาจล้วนตื่นตกใจ ด้วยร่างกายที่เล็กเตี้ย พวกปีศาจจึงไม่อาจจับตัวมูราดิน และกลายเป็นฝ่ายถูกมุราดินทุบฟาดอยู่ฝ่ายเดียวอย่างน่าสงสาร…..
ตอนที่ 615
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
เมื่อเห็นสถานการณ์เริ่มทรงตัว ซาแกรลาสก็แค่นเสียพลางสะบัดดาบดาร์กริปเปอร์ฟันเข้าใส่มังกรน้อย มังกรน้อยก็ไม่หวั่นเกรงสะบัดทอนฟาเข้าต้านทาน
เคร้ง เคร้ง เคร้ง….
ทุกครั้งที่ทั้งสองเข้าปะทะจะบังเกิดเป็นคลื่นกระแทกสาดซัดออก
หลังจากโรมรันกันไปหลายสิบดาบ มังกรน้อยก็ยังสามารถต้านทานได้อยู่ เห็นดังนั้นเซียวอวี๋ก็เริ่มมีความมั่นใจขึ้นมา ในเมื่อมังกรน้อยยังสามารถต้านทานได้หลายสิบดาบ นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าซาแกรลาสไม่ได้ไร้เทียมทาน
อย่างไรเสียนี่ก็ไม่ใช่ร่างจริงของซาแกรลาส หากทั้งหมดร่วมมือกัน เซียวอวี๋ก็ไม่เชื่อว่าจะจัดการซาแกรลาสไม่ได้
“ลุย” เซียวอวี๋ตะโกน และพุ่งเข้าหาซาแกรลาสอย่างรวดเร็วจนทิ้งเป็นภาพติดตาไว้เบื้องหลัง เมื่อมาถึงเบื้องหน้าของซาแกรลาส รอบกายของเขาก็พลันปรากฏร่างแยกออกมาอีกหลายร่าง จากนั้นทุกร่างก็กลายเป็นพายุคลั่งโถมเข้าหาซาแกรลาสพร้อมกัน คมดาบอันเฉียบคมพุ่งเข้าตัดเฉือนร่างของซาแกรลาสอย่างรุนแรง
นี่ก็คือทักษะท่าไม้ตายที่เซียวอวี๋เรียนรู้มาจากกรอม ทักษะพายุดาบ
เมื่อเป็นทักษะไม้ตายประจำตัวของกรอม แน่นอนว่าย่อมต้องทรงพลังสุดประมาณ และเมื่อใช้ออกด้วยพลังของเซียวอวี๋ด้วยแล้ว การโจมตีก็ยิ่งรุนแรง และด้วยพลังจากดาบคาริมดอร์ทวงแค้น พลังโจมตีที่ใช้ออกก็ยิ่งสูงสุดกู่
กระทั่งต่อให้ซาแกรลาสจะเป็นเผ่าพันธุ์ไททัน เมื่อเผชิญกับท่านี้ของเซียวอวี๋ก็ยังต้องสูญเสียเลือดเนื้อไม่น้อย
และเซียวอวี๋อวี๋เองก็เจ้าเล่ห์ยิ่ง หลังจากท่าพายุดาบสิ้นสุดลง เขาก็รีบหลบหนีไปอย่างว่องไวด้วยทักษะเทเลพอต เมื่อซาแกรลาสต้องการจะไล่ล่า คาร์นก็พุ่งเข้ามาและแปลงกายเป็นวัวกระทิงขนาดยักษ์ก่อนจะสะบัดเขาเสียบเข้าใส่ร่างกายช่วงล่างของซาแกรลาสเต็มแรง
อ๊าก……………
ซาแกรลาสเปล่งเสียงร้องอออกมาก่อนจะยกเท้าเตะคาร์นออกไป ครั้งนี้นับว่าคาร์นลงมืออย่างไร้ยางอายยิ่ง เขากลับเลือกโจมตีใส่จุดยุทธ์ศาสตร์ของอีกฝ่าย
ฟังจากเสียงร้องของซาแกรลาสแล้ว เซียวอวี๋ก็สรุปได้ว่ากระทั่งไททันก็ยังมีจุดอ่อนอยู่ตรงนั้น
ดูเหมือนไททันจะไม่ได้ไร้เทียมทานอย่างที่ว่าไว้จริงๆ
เซียวอวี่มองดูคาร์นที่ลอยกระเด็นออกไปอย่างตกตะลึง หลังจากถูกซาแกรลาสเตะลอยไปกระแทกพื้น ร่างของคาร์นก็นิ่งสนิท
โชคยังดีที่หลังจากนั้นไม่นานคาร์นก็ลุกขึ้นได้ และเมื่อมาถึงข้างกายของเซียวอวี๋ เขาก็สังเกตุเห็นว่าคาร์นนั้นบาดเจ็บหนัก การถูกเตะเช่นนั้นโดยซาแกรลาสแล้วไม่ตายก็นับว่าเข้มแข็งมากแล้ว
เซียวอวี๋รีบนำน้ำยาฟื้นฟุออกมาให้คาร์นหลายขวด และบอกให้เขาไปพักรักษาตัวก่อน ด้วยระดับของฐานทัพที่เพิ่มขึ้น ระดับของน้ำยาฟื้นฟูที่สร้างออกมาก็มีระดับสูงขึ้นตามไปด้วย
ดังนั้น ตราบใดที่ไม่ได้ตายคาที่ น้ำยาฟื้นฟูก็สามารถช่วยเยียวยาได้
ด้วยร่างกายสุดแกร่งและทรหดของคาร์นแล้ว คิดว่าคงใช้เวลาไม่นานที่จะกลับเข้าสู่สมรภูมิอย่างร่าเริง
หลังจากที่คาร์นถูกเตะลอยไป กรอมก็ใช้ทักษะพายุดาบพัวพันซาแกรลาสเอาไว้ แม้ว่าทักษะพายุดาบที่กรอมใช้ออกจะไม่ได้มีอานุภาพเท่ากับของเซียวอวี๋ กระนั้นมันก็ยังรุนแรงยิ่ง และนั่นทำให้ร่างของซาแกรลาสปรากฏบาดแผลเกลื่อนกลาดอีกครั้ง
ธนูของทิรันด้าและนากาเองก็เบนเป้าหมายมาโจมตีใส่ซาแกรลาส ลูกธนูทุกดอกของพวกนางล้วนถูกสร้างขึ้นด้วยกรรมวิธีพิเศษของฮิกกิ้น ทำให้มีอานุภาพเหนือกว่าลูกธนูธรรมดาอย่างเทียบกันไม่ติด ทุกคราที่ยิงออกไปก็จะบังเกิดการระเบิดขึ้นและระเบิดเหล่านั้นยังสร้างบาดแผลให้ซาแกรลาสไม่เบา
คาเอลธาสและแอนโทนีดาสเองก็ใช้เวทออกอย่างไม่เก็บออม เวทมนตร์สายแล้วสายเล่าพุ่งเข้าใส่ร่างของซาแกรลาสและสร้างความเสียหายอย่างต่อเนื่อง
ที่น่าประหลาดก็คือ จ้าวมนตราทั้งสามไม่ได้โจมตีในทันที หากแต่พึมพำคาถาอยู่ทางด้านหลังเงียบๆ เห็นเช่นนั้นเซียวอวี๋ก็ทราบว่าทั้งสามคงเตรียมจะใช้เวทต้องห้ามแล้ว
ถึงตอนนี้ นี่อาจกล่าวได้ว่าเป็นช่วงสุดท้ายของสงคราม ต่างฝ่ายต่างหงายไพ่ในมือออกอย่างไม่มีเก็บรั้ง สามจ้าวมนตราได้จัดเตรียมม้วนคัมภีร์เวทต้องห้ามเอาไว้ล่วงหน้าเพื่อวันนี้ และตอนนี้ก็ถึงเวลานำมาใช้ออกแล้ว
สิ่งที่เซียวอวี๋และคนอื่นๆต้องกระทำเวลานี้ก็คือซื้อเวลาให้กับทั้งสามได้ตระเตรียมไม้ตาย
สามจ้าวมนตราล้วนมีระดับอยู่ขั้นที่เจ็ด และเมื่อใช้ออกด้วยเวทต้องห้าม อานุภาพย่อมเข้าขั้นสุดสะพรึง ต่อให้เป็นซาแกรลาสก็ยังต้องเจ็บหนักหากโดนเข้าไป
ทางด้านนิโคลัสเองก็ได้ส่งกลุ่มยอดฝีมือไปช่วยจัดการกับซาแกรลาส แม้ว่าพวกเขาจะไม่แข็งแกร่งเท่าเหล่าฮีโร่ของเซียวอวี๋ กระนั้นพวกเขาก็ยังมีส่วนช่วยแบ่งเบาความกดดัน
อ้าวปา ปรมาจารย์แห่งจักรวรรดิเมฆาเองก็เข้าร่วมการโจมตี ความแข็งแกร่งของอ้าวปานั้นอยู่ในระดับใกล้เคียงกับกรอม
ไม่ใช่ว่าความแข็งแกร่งของอ้าวปานั้นลดลง หากแต่กรอมพัฒนารวดเร็วเกินไป
ต้องทราบว่ากรอมและฮีโร่คนอื่นๆนั้นอยู่ห่างจากขอบเขตขั้นที่เจ็ดเพียงก้าวเดียว อีกทั้งแต่ละคนยังมีทักษะทรงพลังต่างๆมาช่วยเสริม หากว่าอ้าวปาต้องปะทะตัวต่อตัวกับกรอม เขาย่อมไม่อาจเอาชนะ
ในโลกใบนี้มีคนอยู่ไม่มากนักที่จะมาถึงระดับเดียวกับที่อ้าวปาอยู่ ด้วยเหตุนั้น อาจกล่าวได้ว่าเหล่าฮีโร่ใต้บัญชาของเซียวอวี๋นับเป็นสิ่งผิดแปลกในโลกใบนี้
การศึกดำเนินต่อไป และเวทต้องห้ามของสามจ้าวมนตราก็เตรียมการใกล้แล้วเสร็จ ถึงตอนนี้ ซาแกรลาสก็ตระหนักได้ถึงมวลพลังเวทอันแข็งแกร่งจากร่างของสามจ้าวมนตรา
ซาแกรลาสคำรามและสร้างลูกไฟขนาดใหญ่ขึ้นมาก่อนจะขว้างไปยังจ้าวมนตราทั้งสาม
จ้าวมนตราทั้งสามในเวลานี้นับว่าอยู่ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ หากถูกโจมตีขัดขวางในเวลานี้ สิ่งที่แล้วมาล้วนเป็นอันจบสิ้น
การย้อนกลับของเวทต้องห้ามนั้นหนักหนาสาหัสยิ่ง ต่อให้เป็นตัวจ้าวมนตราทั้งสามเอง หากโดนเข้าไปก็ยากจะมีชีวิตรอด
หรือต่อให้พวกเขาไม่ตาย ในเวลาอันสั้นก็คงไม่อาจใช้เวทต้องห้ามได้อีก
ขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของเซียวอวี๋คืออะไรน่ะหรือ ก็คือจ้าวมนตราทั้งสาม การดำรงอยู่ของพวกเขาทำให้เซียวอวี๋มีพลังที่จะท้าทายซาแกรลาส หากไม่มีทั้งสาม เช่นนั้นก็ไม่ต้องสู้กันแล้ว ฝ่ายมนุษย์ที่ปราศจากสามจ้าวมนตราย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซาแกรลาส
เห็นลูกไฟยักษ์พุ่งมา เซียวอวี๋ก็ไม่เสียเวลาขบคิด เขากระโดขึ้นตวัดดาบฟันเข้าใส่ลูกไฟนั้นทันที…….
ตอนที่ 616
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
ตูม………….
เซียวอวี๋รู้สึกราวกับถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงใส่ ร่างกายราวกับแตกเป็นเสี่ยงๆ โชคยังดีที่สิ่งที่ปะทะกับลูกไฟนั้นคือดาบ ไม่ใช่ร่างกายของเขาโดยตรง มิเช่นนั้นเขาคงระเบิดเป็นชิ้นๆ
เซียวอวี๋ร่วงลงกระแทกพื้นดินอย่างรุนแรง ร่างกายมีบาดแผลอยู่หลายแห่ง แต่ด้วยเพราะสวมใส่เกราะเซ็ตทีห้าและกายที่มีความแข็งแกร่งระดับสุดยอดของขั้นที่หกช่วยเอาไว้ เขาจึงไม่หนักหนาสาหัสมากนัก
หลังจากดื่มน้ำยาฟื้นฟูไปสองขวด เซียวอวี๋ก็กลับไปคุ้มครองสามจ้าวมนตรา ซึ่งอันที่จริงที่เบื้องหน้าของสามจ้าวมนตราเวลานี้ก็คราค่ำไปด้วยเหล่ายอดฝีมือขั้นที่หกอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เพียงยอดฝีมือเหล่านั้นยังไม่เพียงพอ เวียวอวี๋จำต้องไปคอยคุ้มครองอีกชั้นเพียงป้องกันเหตุสุดวิสัย
“ขั้นที่หกทุกให้ไปคุ้มครองจ้าวมนตราทั้งสาม” นิโคลัสเหลือบมองเซียวอวี๋ จากนั้นจึงพุ่งเข้าร่วมสกัดซาแกรลาส
ในใจของเขาทราบดีว่าหากต้องการจัดการซาแกรลาสแล้วล่ะก็ พวกเขาจำต้องอาศัยจ้าวมนตราทั้งสาม
ซาแกรลาสเวลานี้กำลังถูกมังกรน้อยและคนอื่นๆพัวพันเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่อาจฝ่าวงล้อมไปจัดการกับสามจ้าวมนตราได้ มังกรน้อยยิ่งสู้ก็ยิ่งดุดันจนทอนฟาถูกควงเป็นระวิง ขณะที่กรอมและคนอื่นๆเองก็พยายามอย่างเต็มที่
ในเวลานั้นเอง สามจ้าวมนตราก็จัดเตรียมเวทต้องห้ามเสร็จสิ้น
จู่ๆบนท้องฟ้าก็ปรากฏเสาเพลิงขนาดใหญ่ขึ้น เสาเพลิงนั้นพุ่งตกลงมาราวกับเป็นการลงทัณฑ์จากสวรรค์
ตูม……………
เสาเพลิงนั้นได้พุ่งเข้าใส่ร่างของซาแกรลาสเข้าอย่างจังจนซาแกรลาสกรีดร้องโหยหวน ร่างของมันถูกเผาจนไหม้เกรียม และการเคลื่อนไหวของมันก็ดูเชื่องช้าลงอย่างมาก
และชั่วขณะที่เสาเพลิงปรากฏ นักรบฝั่งมนุษย์นั้นราวกับนกรู้และหลบฉากออกมาได้ทันการณ์ อย่างไรเสียพวกเขาก็พอจะมีประสบการณ์จากอัลีคราฟมาบ้าง
เสาเพลิงเพิ่งจะหายไป ที่ท้องฟ้าด้านหลังทางฝั่งซาแกรลาสก็ปรากฏรอยแตกของมิติขึ้นหลายสิบรอยก่อนที่รอยแตกเหล่านั้นจะขยายตัวจนกว้างนับร้อยเมตรรายล้อมที่ลอบกายของซาแกรลาส ก่อนที่สุดท้ายจะค่อยๆบีบเข้าหาซาแกรลาสพร้อมกัน
เสียงกรีดร้องของซาแกรลาสได้ดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อต้องรับการโจมตีที่ทรงอานุภาพติดต่อกัน กระทั่งมันเองก็ยากจะทานทน
แม้ว่าตัวมันจะเป็นไททัน กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นอมตะ ยิ่งเมื่อต้องมาเผชิญกับพลังอันรุนแรงติดๆกันแบบนี้ก็ยากจะรักษาท่าทีไว้ได้อีก เวทต้องห้ามที่ใช้ออกโดยจ้าวมนตราทั้งสามย่อมมีอานุภาพราวกับการลงทัณฑ์ของพระเจ้า
ต่อหน้าขุมพลังระดับนี้ กระทั่งซาแกรลาสก็ไม่อาจเพิกเฉย
หลังจากถูกรอยแยกกรีดร่างจนเต็มไปด้วยรอยแตก บอลเพลิงขนาดใหญ่ก็ปรากฏทางด้านหลังของซาแกรลาสและพุ่งเข้าหาร่างของซาแกรลาสก่อนจะเกิดการระเบิดตามมา
ซาแกรลาสที่ถูกระเบิดจนร่างด้านชานั้นไม่ทราบแล้วว่ามีชิ้นเนื้อของเขากี่ชิ้นที่ร่วงหลุดไป
เวทต้องห้ามของจ้าวมนตราทั้งสามย่อมมีอานุภาพสุดประมาณ ซาแกรลาสเวลานี้เรียกได้ว่าช้ำเลือดช้ำหนอง ใบหน้าของมันแทบไม่หลงเลหือเค้าโครงเดิม
“ตามข้ามา!” เซียวอวี๋คำราม
ซาแกรลาสที่เพิ่งรับเวทต้องห้ามเข้าไปเต็มๆย่อมอยู่ในสภาพที่อ่อนแอถึงขีดสุด นี่นับเป็นเวลาที่จะจัดการมัน
มังกรน้อยคำรามก่อนจะกระชับทอนฟาพุ่งเข้าไปฟาดใส่ซาแกรลาสอย่างจัง จากนั้นกำปั้นของคาร์นก็ตามหลังมาติดๆ
ทางด้านจ้าวมนตราทั้งสามหลังจากปลดปล่อยเวทต้องห้ามออกไปก็ตกอยู่ในสภาวะอ่อนแอทันที พวกเขารีบหยิบขวดน้ำยาขึ้นดื่มติดต่อกันเพื่อรีบฟื้นฟูพลังกลับมา
ในการสังหารคฑูนเมื่อคราวก่อน เวทต้องห้ามที่พวกเขาทั้งสามปลดปล่อยออกมานั้นได้ปลิดชีพของคฑูนไปทันที พวกเขาจึงมีเวลาได้พักหลังจากนั้น ร่างกายของพวกเขาจึงไม่ต้องรับภาระมากนัก
หากแต่ในครั้งนี้นั้นต่างออกไป ซึ่งอันที่จริงจ้าวมนตราทั้งสามเองก็เพิ่งปลดปล่อยเวทต้องห้ามออกไปหลายครั้งหลายคราในศึกต้านทานการรุกรานของพวกทหารทมิฬ
มาตอนนี้ยังต้องใช้เวทต้องห้ามเป้าหมายเดี่ยวที่กินพลังยิ่งกว่าออกมา แม้ว่าสังขารของเขาพวกเขาจะแทบทนทานรับไม่ได้แล้ว แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือก พวกเขาจำต้องรีบฟื้นฟูพลังมานากลับมาโดยเร็วเพื่อเตรียมที่จะใช้เวทต้องห้ามอีกครั้ง
ในฐานะผู้ใช้ศาสตร์มนตราที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทวีป ในฐานะที่ตัวตนของพวกเขาใกล้เคียงพระเจ้ามากที่สุด นี่เป็นหน้าที่ของพวกเขา การดำรงอยู่ของพวกเขามีเพื่อการปกป้องทวีป
นี่เป็นชะตากรรม
ในตอนนั้นเอง บอลแสงอันทรงพลังก็พลันปรากฏขึ้นที่บนฟ้าก่อนจะพุ่งเข้าชนซาแกรลาสอย่างรุนแรง
เซียวอวี๋และคนอื่นๆต่างก็เบนสายตาไปยังตำแหน่งที่บอลแสงปรากฏขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ที่ตรงนั้นมีชายชราที่อยู่ในชุดคลุมสีทองยืนอยู่ ร่างของชายชราสั่นสะท้านหลังจากร่ายต้องห้ามออกมา จากนั้นร่างของเขาจากไปด้วยทักษะเทเลพอต
พระสันตะปาปา
เซียวอวี๋จดจำชายชราผู้นี้ออก ในช่วงเวลาที่สำคัญ ชายชราได้อุทิศตัวเองเพื่อปลดปล่อยเวทต้องห้ามออกมาก่อนจะจากไป
แม้ว่าเวทต้องห้ามสายนี้จะไม่รุนแรงเท่ากับเวทต้องห้ามของจ้าวมนตราทั้งสาม กระนั้นมันก็ยังเพียงจะสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อซาแกรลาส
และตอนนี้ หลินมู่เสวี่ยที่ยืนดูอยู่ก็ล้วงเอาม้วนคัมภีร์เวทออกมา คล้ายตระเตรียมจะใช้เวทต้องห้าม
เซียวอวี๋ที่เห็นเช่นนั้นก็ตื่นตกใจและรีบวิ่งเข้าไปหยุดนางเอาไว้ “มู่เสวี่ย เจ้าจะทำอะไรน่ะ?”
ต้องทราบว่าการใช้ออกด้วยเวทต้องห้ามนั้นจำต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยอายุขัยในแต่ละครั้งที่ใช้ การใช้ออกเพียงครั้งเดียวนั้นคือารสังเวยพลังชีวิตนับสิบปี
สามจ้าวมนตราที่ใช้ชีวิตมายาวนานย่อมเตรียมการเรื่องราวหนหลังเอาไว้แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ใส่ใจค่าตอบแทนนี้ แต่หลินมู่เสวี่ยเป็นภรรยาของเขา เซียวอวี๋จะหักใจทนดูได้อย่างไร?
หลินมู่เสวี่ยยิ้มออกมาขณะจ้องมองใบหน้าของเซียวอวี๋ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ “เซียวอวี๋ ข้าทราบว่าท่านรักข้ามาก แต่ตอนนี้ ในฐานะจ้าวมนตราของทวีป ข้าต้องลงมือ นี่เป็นภาระหน้าที่ของข้า นับตั้งแต่ที่รับสืบทอดเอาพลังจากท่านเอกวินน์ นี่เป็นโชคชะตาของข้า”
เซียวอวี๋รวบหลินมู่เสวี่ยเข้ามากอดก่อนจะกล่าวว่า “ข้าไม่สนใจชะตากงชะตากรรมอะไรทั้งนั้น แต่ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าใช้เวทต้องห้าม ที่นี่ยังมีข้าอยู่ ตราบเท่าที่ข้ายังไม่ล้มลง เจ้าไม่จำเป็นต้องตรากตรำลำบาก เพียงแค่คอยดูอยู่ตรงนี้ ดูข้าจัดการเจ้านั่นก็พอ”
เซียวอวี๋กล่าวด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน เขาจะไม่ยอมให้คนรักของตนต้องเป็นอันตรายใดๆ เซียวอวี๋กระชับดาบคามริมดอร์ไว้ในมือก่อนจะกระโดดเข้าใส่ซาแกรลาส
ขณะที่อยู่กลางอากาศ เซียวอวี๋ก็สัมผัสได้ถึงขุมพลังที่กำลังปะทุขึ้นจากภายในร่าง คล้ายกับกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากที่โถมเข้าใส่ทุกส่วนของร่างกาย เซลล์ทุกอณุ เลือดทุกหยดหยาดภายในร่างค้ลายได้รับการผลัดเปลี่ยนใหม่
ครืน………
จิตใจของเซียวอวี๋คล้ายกับเกิดการระเบิดขนาดใหญ่ จากนั้นเขารู้สึกถึงพลังงานที่เปี่ยมล้นจากร่างกายตนเอง เขารู้สึกราวกับว่าการขยับเคลื่อนไหวร่างกายของเขาเวลานี้แต่ละท่าล้วนสามารถทำลายภูเขาแยกทะเล
ขั้นที่เจ็ด นี่เป็นพลังของขั้นที่เจ็ด!
ชั่ววินาทีนั้นเอง ในที่สุดเซียวอวี๋ก็บรรลุขอบเขตขั้นที่เจ็ด!
ตอนที่ 617
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
ย้าก……..
หลังบรรลุขั้นที่เจ็ด เซียวอวี๋ก็กู่ร้องพลางกระชับดาบคาริมดอร์เอาไว้แน่นก่อนจะกระโดดลอยตัวขึ้นสู่กลางอากาศ
“ซาแกรลาส คิดว่าบิดากลัวเจ้าหรือ? วันนี้บิดาจะส่งเจ้าลงนรกเอง” เซียวอวี๋คำรามก่อนจะตวัดดาบฟันเข้าใส่ซาแกรลาสจากกลางอากาศ
ฉัวะ…..
ดาบของเซียวอวี๋ได้กรีดร่างของซาแกรลาสเป็นทางยาว ซาแกรลาสที่แต่เดิมก็มีแผลเกลื่อนกล่นทั่วร่างอยู่แล้ว ตอนนี้ยังรับดาบของเซียวอวี๋เข้าไปอีก บาดแผลของมันก็ย่ำแย่กว่าเดิม
พายุดาบที่เซียวอวี๋ใช้ออกก่อนหน้านั้นแม้จะทิ้งบาดแผลเอาไว้ หากแต่บาดแผลนั้นก็ไม่ลึกเท่าการโจมตีด้วยการฟาดฟันธรรมดาของเซียวอวี๋ในตอนนี้ จะเห็นได้ว่าความแข็งแกร่งของเซียวอวี๋นั้นเพิ่มขึ้นมากเพียงใด
ขั้นที่เจ็ดนั้นแตกต่างกับขั้นที่หกราวกับอยู่คนละโลก
หลังได้รับพลังของขั้นที่เจ็ด เซียวอวี๋ก็รู้สึกว่าทั่วทั้งร่างของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ในช่วงก่อนที่เขาจะบรรลุขั้นที่เจ็ดนั้น ค่าสถานะด้านต่างๆของเซียวอวี๋ก็สูงกว่าฮีโร่ทุกคนเป็นเท่าตัวอยู่แล้ว และหลังจากบรรลุขั้นที่เจ็ด ค่าสถานะของเขาก็พุ่งทะยานไปสู่ระดับใหม่อย่างสิ้นเชิง เป็นความแข็งแกร่งที่สะท้านฟ้าสะเทือนดิน
ในสนามรบเวลานี้ หากวัดกันบุคคลต่อบุคคล ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะเซียวอวี๋ได้อีกแล้ว กระทั่งอาร์ทัสเอง หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพอันเดด เขาก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของเซียวอวี๋
พละกำลังของเซียวอวี๋ในปัจจุบันนั้นไม่ได้ด้อยกว่ามังกรน้อยเลย กระทั่งยังเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำ ในยามที่ความแข็งแกร่งของมนุษย์พุ่งขึ้นถึงขีดสุด กระทั่งเผ่าพันธุ์อื่นก็ต้องยำเกรง
ย้าก……….
เซียวอวี๋คำรามพลางตวัดดาบฟันใส่ร่างของซาแกรลาสไม่หยุดหย่อน ในตอนนี้ คนทั้งหมดต่างก็มองดูเซียวอวี๋ราวกับพบเห็นเทพแห่งสงคราม
เมื่ออยู่เบื้องหน้าเซียวอวี๋ พวกเขาก็รู้สึกไร้กำลังจะต่อกร
“นี่ก็คือราชาแห่งราชันย์ของทวีปใหญ่?” ชั่วเวลานั้น ทุกคนต่างก็นึกไปถึงคำพยากรณ์ที่บอกเล่าต่อกันมา ในตำนานนั้นระบุเอาไว้ว่า ราชันย์ผู้ยิ่งใหญ่ของทวีปนั้นเป็นอัศวินมังกร ราชาผู้นั้นมีมังกรเป็นพาหนะ ทั่วร่างกายสวมใส่ไว้ด้วยชุดเกราะทองคำอันเจิดจรัส มีดาบเล่มเขื่องเป็นอาวุธคู่กาย เขาจะเข้าฟาดฟันกับเหล่าปีศาจและนำพาผู้คนสู่ชัยชนะ
แม้ว่าเซียวอวี๋จะดูไม่เหมือนอัศวินมังกรสักเท่าใด มังกรที่เขาเลี้ยงไว้ก็ดูประหลาดจนแทบไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นมังกร ชุดเกราะที่เขาสวมใส่ก็ไม่ใช่ชุดเกราะทองคำ และตัวเซียวอวี๋เองก็ไม่มั่นใจว่าจะพาผู้คนไปสู่ชัยชนะได้หรือไม่ แม้กระนั้น ในช่วงเวลานี้ ในใจของคนทั้งหมดต่างก็เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น
ความเชื่อมั่นเป็นสิ่งที่อัศจรรย์ ตราบที่ท่านคิดว่ามันมีความเป็นไปได้ เช่นนั้นท่านก็จะสามารถดึงศักยภาพของตนออกมาได้เกินขีดจำกัดเพื่อไขว่คว้าสิ่งที่ท่านปรารถนา
ในเวลานี้ ทุกคนต่างก็เชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าเซียวอวี๋ก็คือราชันย์ผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น และสุดท้ายเขาจะสามารถปราบซาแกรลาสลงได้
เมื่อเห็นว่าบัฟต่างๆเริ่มใกล้จะหมดเวลา เซียวอวี๋ก็ใช้ทักษะร่ายบัฟชุดใหม่ลงบนร่างของตัวเอง
หลังจากเพิ่มบัฟแล้วบัฟเล่า ร่างกายของเขาก็อาบย้อมไปด้วยแสงสีทอง ลักษณะภายนอกของเขาในเวลานี้ราวกับเทพสงครามที่สวมใส่ชุดเกราะทองคำไว้ทั่วร่าง
“สวรรค์….เขาก็คือราชาแห่งราชันย์ในคำทำนาย!”
ชั่วขณะนั้นในใจของทุกคนต่างก็ยึดถือเซียวอวี๋เป็นราชันย์ในคำทำนายไปแล้ว
ทอร์ลและอูเธอร์แยกย้ายกันนำกองทัพของพวกเขาเข้าต่อสู้กับปีศาจในพื้นที่อื่นๆ ดังนั้นทั้งสองจึงไม่ได้อยู่ที่นี่ ดังนั้นหน้าที่ในการมอบบัฟต่างๆจึงตกเป็นของเซียวอวี๋
แสงสว่างสาดส่องลงมาพื้นที่รอบกายของเซียวอวี๋ จากนั้นทุกคนที่อยู่รอบกายของเขาต่างก็อาบไล้ลำแสงสีทองจนดูราวกับเซียวอวี๋กำลังนำกลุ่มนักรบทองคำเข้าสู่สนามรบ
หลายคนต่างก็สาบานขึ้นในใจว่าจดจำภาพที่ได้เห็นนี้ไปชั่วชีวิต
ตั้งแต่ที่เซียวอวี๋บรรลุขั้นที่เจ็ด สีหน้าของซาแกรลาสก็มืดครึ้มลง นั่นก็เพราะพลังที่เซียวอวี๋แสดงออกมานั้นมีมากมายมหาศาล แม้จะเทียบกับตัวมันไม่ได้ กระนั้นเซียวอวี๋ก็มีคุณสมบัติที่จะต่อกรกับมัน
และเมื่อรวมเข้ากับเหล่ายอดฝีมือที่รายล้อมอยู่รอบด้าน ทั้งยังมีเวทต้องห้ามจากสามจ้าวมนตรา หากมันยังปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไป ท้ายที่สุดมันก็จะถูกโค่นล้มลง
ถึงตอนนี้ซาแกรลาสก็ตั้งสติ มันพลันกระโดดขึ้นท้องฟ้าโดยทิศทางที่มันพุ่งไปคือที่อยู่ของสามจ้าวมนตรา
มันทราบว่าหากจัดการสามจ้าวมนตราลงได้ เรื่องราวก็จะง่ายขึ้น
สามจ้าวมนตราคือภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมัน
เมื่อเห็นการกระทำของซาแกรลาส เซียวอวี๋ย่อมไม่นิ่งเฉยดูดาย เขารีบตะโกนด้วยเสียงอันดัง “สกัดเอาไว้! แม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ต้องรั้งมันไว้ให้ได้! ไม่อย่างนั้นพวกเราจบสิ้นแน่”
ได้ยินเสียงตะโกนของเซียวอวี๋ เหล่ายอดฝีมือต่างก็พุ่งมาอยู่ด้านหน้าของจ้าวมนตราทั้งสามก่อนที่จะพุ่งเข้าสกัดซาแกรลาส
เปรี้ยง อ๊าก…….
เหล่ายอดฝีมือที่พุ่งเข้าไปหวังหยุดยั้งซาแกรลาสต่างก็ถูกซัดจนลอยกระเด็น กระนั้นเป้าหมายที่ต้องการจะสกัดซาแกรลาสเอาไว้ก็สัมฤทธิ์ผลและทำให้ซาแกรลาสตกลงบนพื้นที่ที่ห่างจากสามจ้าวมนตราไป
ซาแกรลาสนั้นมีร่างกายใหญ่โตสูงนับร้อยเมตร การกระโดดเพียงไม่กี่ครั้งของมันก็สามารถเข้าถึงตำแหน่งที่อยู่ของสามจ้าวมนตรา อย่างไรก็ตาม เหล่ายอดฝีมือต่างก็ทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อสกัดซาแกรลาสเอาไว้ พวกเขาต่างไม่สนใจความเป็นความตายของตนและใช้ร่างกายต้านทานซาแกรลาสเอาไว้เพื่อซื้อเวลาให้กับจ้าวมนตราทั้งสาม
พวกเขาทราบดีว่าแม้พลังของพวกเขาจะได้ชื่อว่าอยู่แถวหน้าของทวีป กระนั้นกลับช่วยจัดการกับซาแกรลาสได้ไม่มาก ไม่เหมือนกับสามจ้าวมนตรา ทั้งสามคือความหวังของทวีป
และด้วยเหตุผลข้อนี้ พวกเขาจึงทุ่มเทสุดความสามารถในการปกป้องสามจ้าวมนตรา แม้อาจจะต้องสละชีวิตของตนก็ตาม….
ตอนที่ 618
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
ในกลุ่มนักรบยอดฝีมือ มีหลายคนที่เซียวอวี๋รู้จัก มีหลายคนที่เป็นอดีตสมาชิกในภาคีอัศวินซึ่งติดตามคาสโซ่มาเข้าร่วมกับเซียวอวี๋ ทั้งหมดต่างพุ่งตามหลังคาสโซ่เข้าหาซาแกรลาสอย่างไม่ลังเล แม้จะทราบว่าพลังของพวกเขาส่งผลต่อซาแกรลาสไม่มากนัก
อันที่จริง คาสโซ่ในปัจจุบันก็เรียกได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างยิ่งแล้ว อีกทั้งเขายังมีโล่เอสซินอสสุดแกร่งด้วยอีก ดังนั้นการโจมตีของซาแกรลาสจึงไม่ได้สังหารเขาในทันที คาสโซ่ยกโล่ปักลงบนพื้นพยายามต้านการโจมตีไว้ก่อนที่ต้านไม่ไหวในการโจมตีครั้งที่สี่
และขณะที่คาสโซ่ล้มลง โล่เอสซินอสของเขาก็มีคนหยิบไปถือแทน เซียวอวี๋เคยเห็นหน้าคนผู้นี้มาก่อน เขาเองก็เป็นอดีตสมาชิกภาคีอัศวินที่คาสโซ่แนะนำเข้ามา
หลังจากหยิบโล่ขึ้นมา เขาก็พยายามเข้าต้านทานการโจมตีจากซาแกรลาสก่อนจะล้มลงสิ้นใจ จากนั้นก็จะมีคนอื่นๆเข้ามาหยิบโล่เพื่อต้านทานซาแกรลาสต่อไป
“เจ้าพวกมดปลวก พวกเจ้าจะพยายามไปเพื่ออะไร? การใช้ชีวิตของตนแลกกับการปกป้องผู้อื่นั้นคุ้มค่าหรือ? พวกเจ้าช่างโง่เขลานัก” เมื่อได้เห็นฉากนี้ ซาแกรลาสที่ไม่เข้าใจก็คำรามด้วยความหงุดหงิด
ในตอนนี้เอง เซียวอวี๋และคนอื่นๆก็วิ่งมาถึง
“นั่นก็เพราะว่าเจ้าไม่ได้เข้าใจมนุษย์อย่างพวกเราแม้แต่น้อย มนุษย์ แม้จะเกิดมาไม่ทรงพลังเฉกเช่นเผ่าพันธุ์อื่น แต่ถึงอย่างนั้น มนุษย์อย่างพวกเราก็มีสิ่งที่เจ้าไม่อาจทำลายได้นั่นก็คือ ศรัทธา เพราะมนุษย์อย่างพวกเรามีความศรัทธา ดังนั้น ตราบที่พวกเรายังคงอยู่ พวกเราก็จะสู้! พวกเราไม่กลัวการเสียสละ พวกเราไม่กลัวความตาย พวกเราเชื่อมั่นว่าจะชนะ และพวกเราจะล้มปีศาจเช่นเจ้าลง”
เสียงของเซียวอวี๋ถูกถ่ายทอดไปทั่วทั้งสนามรบ และทำให้เหล่านักรบที่ต่อสู้อยู่ต่างก็คำรามตอบรับอย่างฮึกเหิม
สิ่งที่เซียวอวี๋กล่าวนั้นถูกต้อง พลังแห่งความศรัทธาของมนุษย์นั้นไร้สิ้นสุด เป็นพลังที่สามารถผลักดันผู้คนให้ลุกขึ้นสู้ ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา
นี่ก็คือพลังที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาล!
“โง่เขลา พวกเจ้าช่างโง่เขลานัก!” ซาแกรลาสตะโกนด้วยเสียงอันดัง
“ความเขลาที่เจ้าเรียกก็คือความกล้าหาญของพวกเรา นั่นจึงเป็นเหตุผลที่มนุษย์ได้ครองทวีป และเจ้า ซาแกรลาส เจ้าจะไม่มีวันชนะพวกเรา”
เซียวอวี๋ตะโกนตอบก่อนจะยกดาบคาริมดอร์ฟันเข้าใส่ซาแกรลาสจนทำให้ซาแกรลาสไม่อาจเข้าใกล้สามจ้าวมนตราได้อีก
คนที่เหลือต่างก็ตามมาถึงในเวลานี้เอง โดยเฉพาะมังกรน้อยที่ยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งดุดัน
ฉัวะ……
ในตอนนั้นเอง ดาบน้ำแข็งเล่มใหญ่ก็เสียบใส่ร่างของซาแกรลาส ก่อนที่แขนของซาแกรลาสจะถูกตัดในดาบถัดมา
เมื่อทุกคนหันไปยังทิศทางที่ดาบพุ่งมา พวกเขาก็พบเห็นหลินมู่เสวี่ยที่มีสีหน้าเหนื่อยอ่อนอยู่ตรงนั้น
ดาบน้ำแข็งเมื่อครู่ ชัดเจนว่าเป็นฝีมือของนางเอง
ในตอนนี้ จ้าวมนตราที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปไม่ใช่สามจ้าวมนตราอีกต่อไป หากแต่เป็นหลินมู่เสวี่ยที่เป็นผู้สืบทอดพลังจากเอกวินน์
หลังจากบรรลุขั้นที่เจ็ด ความแข็งแกร่งของนางก็เหนือล้ำผู้อาวุโสทั้งสามไปมาก
ดังนั้นการโจมตีของนางจึงมีพลังทำลายล้างมหาศาล
อ๊ากกกกก………
ซาแกรลาสกรีดร้องโหยหวน
“รีบมาจบเรื่องนี้กันเถอะ” เซียวอวี๋หันไปมองหลินมู่เสวี่ยที่กำลังร่ายเวทต้องห้ามด้วยใบหน้าซีดเผือดอย่างเป็นกังวล ในใจของเขาตัดสินใจว่าต้องรีบจัดการซาแกรลาสให้ได้โดยเร็วที่สุด
จ้าวมนตราทั้งสามต่างหันไปสบตากัน ก่อนจะเผยรอยยิ้มอันปลอดโปร่งออกมา ในที่สุดภาระหน้าที่ที่พวกเขาแบกรับเอาไว้ก็สิ้นสุดลง ต่อให้โลกในภายหน้าจะไม่มีพวกเขาทั้งสามอยู่ แต่ก็จะมีผู้คนคอยปกป้องทวีปแห่งนี้ต่อไป
หลินมู่เสวี่ยได้ก้าวเข้ามารับหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ทวีปอย่างเต็มตัวแล้ว
เมื่อตัดสินใจได้ จ้าวมนตราทั้งสามก็นำน้ำยาฟื้นฟูมานาออกมาดื่มจนหมด จากนั้นพวกเขาจึงเริ่มต้นร่ายเวทต้องห้ามเป็นครั้งสุดท้าย
อันที่จริง พวกเขาทั้งสามไม่หลงเหลือเรี่ยวแรงใดๆพอจะสู้ต่ออีกแล้ว ซึ่งการปลดปล่อยเวทต้องห้ามอีกครั้งก็ไม่ต่างจากการเดินเข้าอ้อมกอดของความตาย แต่พวกเขาจะสนใจไปใย ภาระใดๆล้วนถูกปล่อยวางไปแล้ว
“อารักขาผู้อาวุโสทั้งสาม!” เซียวอวี๋ที่เห็นดังนั้นก็พลันตะโกนออกมา “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะไม่มีผู้ใดแตะต้องพวกเขาได้!”
ถึงจุดนี้ ซาแกรลาสก้พบว่าการต้องต่อสู้เพียงลำพังนั้นเหน็ดเหนื่อยยิ่ง ดังนั้นมันจึงส่งฝูงปีศาจอ้อมไปโจมตีกลุ่มจ้าวมนตราทั้งสาม หลินมู่เสวี่ยและเหล่านักรบที่แข็งแกร่งพอจะคุกคามมัน
อาร์ทัสที่เห็นฝูงปีศาจถาโถมเข้าใส่ดุจน้ำหลากก็พลันยกดาบสั่งการกองทัพอันเดดให้เข้าปะทะ
ทั่วทุกหนแห่งเต็มไปด้วยการฆ่าฟัน เปลวเพลิงที่ลุกโชน แสงจากการใช้เวทมนตร์ที่ใส่อีกฝ่าย ทั้งหมดล้วนแต่ก่อเกิดเป็นธารโลหิตไหลนองทั่วท้องธาร
ครืน……..
จู่ๆพื้นดินที่ใต้ฝ่าเท้าของทั้งหมดก็พลันสั่นสะเทือน และสนามรบก็เต็มไปด้วยรอยแตกแยกของพื้นดิน จากนั้นเสาที่มีความสูงหลายร้อยเมตรก็ค่อยๆผุดขึ้นมาจากรอยแยกทั่วสนามรบ
นักรบฝ่ายมนุษย์นั้นตกตะลึงในคราแรก หากแต่ชั่ววินาทีถัดมาในใจของพวกเขาก็พลันรู้สึกเชื่อมั่นอย่างแปลกประหลาด พวกเขาไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ตรงกันข้าม ในใจของพวกเขาเต็มไปด้วยศรัทธา
ศรัทธานี้ได้บอกต่อพวกเขาว่าในท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์จะเป็นฝ่ายชนะ และศรัทธานั้นยังบอกต่อพวกเขาว่า พวกเขาจะต่อทุ่มเทสุดกำลังเพื่อปกป้องจ้าวมนตราทั้งสาม
เหล่าปีศาจที่สัมผัสได้ถึงลางร้ายต่างก็พุ่งเข้าหาต้นตอแห่งลางร้ายโดยไม่สนใจใดอีกต่อไป ซึ่งตำแหน่งที่พวกมันสัมผัสได้ก็คือตำแหน่งที่จ้าวมนตราทั้งสามอยู่
นิโคลัสรีบนำกลุ่มองค์รักษ์ของเขาเข้าขัดขวางพวกปีศาจอยู่เบื้องหน้าของสามจ้าวมนตราโดยไม่สนใจค่าตอบแทนที่ต้องจ่าย
เหล่าองค์รักษ์ที่เข้าฟาดฟันกับพวกปีศาจเริ่มล้มตายลงอย่างรวดเร็ว กระนั้นนิโคลัสก็ยังคงยืนหยัดต่อสู้อยู่ที่นั่นอย่างแน่วแน่
ถึงตอนนี้ นิโคลัสทราบว่าตนนั้นมีส่วนช่วยในการจัดการกับซาแกรลาสได้ไม่มาก หากแต่ยังมีผู้ที่กระทำได้ นั่นก็คือ เซียวอวี๋
ในที่สุดเขาก็เข้าใจและยอมรับได้ ผู้ที่เป็นราชาแห่งราชันย์นั้นไม่ใช่เขา แต่เป็นเซียวอวี๋
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า? ตัวเขาก็ยังคงมีส่วนในการปกป้องทวีปแห่งนี้ และเขาจะไม่ยอมให้มีปีศาจตนใดเข้าถึงตัวจ้าวมนตราทั้งสามได้เป็นอันขาด
นี่ก็คือความมุ่งมั่นของเขา นิโคลัส
ต่อให้เขาต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ มันก็เป็นการเสียสละเพื่อทวีป
ความแข็งแกร่งของนิโคลัสเองก็ไม่ใช่ธรรมดา เขามีพลังอยู่ในขั้นที่หก ดาบที่อยู่ในมือของเขาถูกกวัดแกว่งออกไปนับครั้งไม่ถ้วนจนประสาทมือของเขาด้านชาไร้ความรู้สึก
ในช่วงเวลาที่สำคัญนี้ ต่างฝ่ายต่างไม่จำเป็นต้องเก็บออมสิ่งใดไว้อีกต่อไป และนิโคลัสเองก็นำไพ่ตายออกมาใช้แล้วเช่นกัน
ฝูงปีศาจถูกหยุดเอาไว้ ไพ่ตายที่ตระกูลของนิโคลัสเก็บซ่อนเอาไว้มานานหลายปีล้วนถูกใช้ออกมาในเวลานี้เอง ทั้งม้วนคัมภีร์เวทและอาวุธเวทต่างก็ถูกใช้ออกอย่างไม่มีสิ้นสุด
หากไม่มีไพ่ตายเหล่านี้ของนิโคลัส ฝูงปีศาจก็คงเข้าถึงตัวและฉีกร่างของจ้าวมนตราทั้งสามไปแล้ว นักรบทุกนายต่างก็ต่อสู้จนตาแดงฉาน หลงเหลือไว้เพียงความคิดที่จะสังหารศัตรูให้ได้มากที่สุด
พวกเขามีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าในศึกครั้งนี้ มนุษย์จะต้องชนะ…..
ตอนที่ 619
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
ตูม ตูม ตูม………..
ในที่สุด ประกายแสงสามสายก็พุ่งออกจากร่างของจ้าวมนตราทั้งสาม ก่อนจะตรงเข้าหาซาแกรลาส ร่างของซาแกรลาสไถลถอยหลังไปไกล สภาพของมันในเวลานี้นับว่าทรุดโทรมอย่างถึงที่สุด มันเริ่มส่ายโงนเงนก่อนที่สุดท้ายจะล้มคว่ำลงกับพื้น มองจากภายนอกก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าซาแกรลาสนั้นบาดเจ็บอย่างสาหัส
เมื่อได้เห็นฉากนี้ นิโคลัสก็ระบายลมหายใจอย่างโล่งอก เขาถือว่าบรรลุหน้าที่ในการคุ้มครองสามจ้าวมนตราจนร่ายเวทต้องห้ามจนสำเร็จแล้ว
ทว่าทันใดนั้นเอง รยางค์เส้นหนึ่งก็เสียบทะลวงผ่านหน้าอกของเขา
นิโคลัสเบิกตากว้าง ก่อนที่ร่างของเขาจะร่วงลงพื้นราวกับหุ่นเชิดที่ถูกตัดสาย
‘จบแล้วสินะ’
นิโคลัสยิ้มออกมาอย่างขมขื่นก่อนที่ความมืดจะเข้ากลืนกินสติสัมปชัญญะของเขา
สงครามได้ดำเนินมาถึงช่วงที่ดุเดือดที่สุด ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นช่วงเวลาสุดท้ายของนิโคลัส
เซียวอวี๋ที่ต่อสู้อยู่ จู่ๆในใจของเขาก็พลันรู้สึกหนักหน่วงราวสูญเสียสิ่งใดไป เขาหันไปมองที่การต่อสู้รอบตัว หากแต่ก็พบเห็นเพียงเหล่าฮีโร่ที่กำลังฟาดฟันกับฝูงปีศาจที่ถาโถมเข้าใส่ เมื่อไม่พบเห็นสิ่งผิดปกติ เขาจึงหันกลับไปพยายามฝ่าเข้าถึงตัวซาแกรลาส
นิโคลัส ผู้ซึ่งเป็นความหวังที่จะนำพาตระกูลขึ้นสู่จุดสูงสุดของทวีปกลับจากไปอย่างไร้ตัวตน สุดท้ายแล้ว โชคชะตาของเขาก็เป็นได้เพียงดาวประดับฟ้า หาใช่ดวงตะวันที่ส่องแสงตลอดไปไม่
หลังจากใช้เวทต้องห้ามออกไป เส้นผมบนศีรษะของทั้งสามก็เปลี่ยนเป็นขาวโพลน ทั้งยังดูแก่ชราลงไปมากจนแทบไม่หลงเหลือกลิ่นอายแห่งชีวิต
“มู่เสวี่ย….” ธีโอดอร์เปล่งเสียงที่แหบแห้งออกมา
มู่เสวี่ยที่ได้ยินก็รีบใช้เทเลพอตมาที่ข้างกายของธีโอดอร์ทันที
“มู่เสวี่ย….จง….จงรับ…สิ่งนี้….นี่เป็น…..สิ่งที่สามารถ…..ฆ่า…ซาแกรลาส จงใช้…ให้ดี….พวกข้าดีใจ….ที่มีเจ้า….เป็นศิษย์….ทวีปในภายหน้า…..ต้องพึ่งพาเจ้าแล้ว……”
ธีโอดอร์ระบายลมหายใจพลางยิ้มออกมา เขาเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่ายุคที่มีหลินมู่เสวี่ยอยู่จะต้องดีกว่ายุคของเขา หลินมู่เสวี่ยจะต้องทำหน้าที่ได้ดีเป็นแน่…..
“ท่านอาจารย์……” ใบหน้าของหลินมู่เสวี่ยเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา
“อย่าร้อง…..เจ้าคือผู้พิทักษ์….เจ้าจะต้องปกป้องผู้คน…..ดังนั้นจงเข้มแข็ง….เด็กเอย……..” เฟอร์กูสันที่อยู่ด้านข้างกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันเบา
หลินมู่เสวี่ยพยักหน้ารับทั้งน้ำตาพลางรับสิ่งของที่ธีโอดอร์ส่งให้
สิ่งที่ธีโอดอร์มอบต่อหลินมู่เสวี่ยก็คือดวงตาแปลกประหลาดดวงหนึ่ง ซึ่งมันก็คือดวงตาของคฑูน
นี่เป็นดวงตาของคฑูนที่ครั้งหนึ่งเซียวอวี๋ต้องการครอบครอง แต่หลังจากนั้นเขาก็ยอมให้จ้าวมนตราทั้งสามเก็บเอาไว้ สิ่งนี้นับว่ากักเก็บไว้ซึ่งพลังอันมหาศาลของคฑูน
คฑูนนั้นเป็นเทพผู้ทรงพลังจากยุคบรรพกาล พลังทั้งหมดทั้งมวลของมันล้วนถูกเก็บเอาไว้ที่ดวงตา หลังจากถูกหลอมกลั่นจนกลายเป็นอาวุธเวท อานุภาพของมันยังทรงพลังยิ่งกว่าการใช้เวทต้องห้ามเสียอีก
สิ่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรับมือกับตัวตนเช่นซาแกรลาส
และตอนนี้ มันก็กำลังจะถูกนำมาใช้เพื่อปิดฉากซาแกรลาสที่เจ็บสาหัส
“ฆ่ามัน!” เซียวอวี๋คำรามพลางนำเหล่านักรบบุกเข้าหาซาแกรลาส แต่แม้ว่าซาแกรลาสจะบาดเจ็บอย่างหนัก ทางด้านของเหล่าฮีโร่เองก็มีสภาพแทบไม่แตกต่างกัน ล้วนแต่บาดเจ็บกันถ้วนหน้า
ถึงตอนนี้ก็เหลือผู้ที่ยังต่อสู้ได้จริงๆอยู่ไม่มาก กระทั่งเซียวอวี๋เองก็มีสภาพราวกับขอทาน การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งล้วนสร้างความเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง
ในตอนนั้นเอง ทุกคนก็เห็นดวงตาขนาดใหญ่ดวงหนึ่งลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ดวงตาดวงนั้นมีกลิ่นอายอันลึกลับสุดหยั่ง ผู้ที่จ้องมองมันล้วนแต่รู้สึกราวกับถูกมองทะลุปรุโปร่งไปถึงวิญญาณ
“นั่นมัน…..” เมื่อได้มอง เซียวอวี๋ก็จดจำออกในทันที นั่นคือดวงตาของคฑูน นี่เป็นว่าจ้าวมนตราทั้งสามหลอมสามารถมันให้กลายเป็นอาวุธเวทได้จริงๆ
หากจะมีตัวตนใดที่เซียวอวี๋คิดว่าเทียบเคียงกับซาแกรลาสได้ แน่นอนว่าเขาย่อมตอบว่าคฑูน ความแข็งแกร่งของคฑูนนั้นจัดอยู่ในระนาบเดียวกับซาแกรลาส แม้อาจจะอ่อนด้อยกว่าอยุ่บ้างก็ตาม
แม้กระนั้น มันก็เพียงพอจะจัดการซาแกรลาสแล้ว
เมื่อได้เห็นดวงตาของคฑูน ซาแกรลาสก็ตกตะลึง นั่นก็เพราะว่ามันเองก็รู้จักเจ้าของดวงตาดวงนี้ ทั้งยังทราบดีถึงอำนาจที่คฑูนครอบครอง
“เจ้า…คฑูน!……”
ซาแกรลาสต้องการจะหลบหลีก ทว่ามันกลับสายไปเสียแล้ว หลินมู่เสวี่ยได้เค้นพลังเวททั้งหมดเพื่อใช้ออกในเวลานี้เอง พลังเวทสูงเทียมฟ้าที่ปรากฏในเวลานี้ยังสูงล้ำกว่าของจ้าวมนตราทั้งสามรวมกันเสียอีก
แสงทำลายล้างจากดวงตาของคฑูนพุ่งเข้าใส่ร่างของซาแกรลาส ขณะที่ใบหน้าของซาแกรลาสปรากฏเค้าความหวาดกลัวขึ้นเป็นครั้งแรก
ลำแสงทำลายล้างสายนี้มีพลังพอที่จะทำลายตัวมัน
ตูม……………..
แสงสว่างสาดกระจายออกรอบทิศราวกับทั้งโลกถูกปกคลุมด้วยแสงสีขาว
ซาแกรลาสเดิมทีก็บาดเจ็บจนแทบยืนไม่ไหวอยู่แล้ว และเมื่อรับลำแสงทำลายล้างสายนี้เข้าไป ร่างกายของมันก็ถูกทำลายลงในทันที
ไม่!!!………
ซาแกรลาสกรีดร้อง จากนั้นรอยแยกมิติขนาดใหญ่ก็โผล่ขึ้นและดูดเอาวิญญาณของซาแกรลาสเข้าไปก่อนที่รอยแยกจะปิดตัวลง
ฟุ่บ……
เมื่อวิญญาณของซาแกรลาสถุกดูดออกไปนอกห้วงมิติ สงครามก็เป็นอันจบลง ร่างที่ไร้ซึ่งวิญญาณของมันแหลกสลายกลายเป็นฝุ่น
เซียวอวี๋ทิ้งตัวลงคุกเข่าพลางเงยหน้ามองท้องฟ้า เขารู้สึกราวกับทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่ง หลังจากเงียบสงัดอยู่นาน เสียงโห่ร้องก็ระเบิดขึ้นทั่วสนามรบก่อนที่มนุษย์จะวิ่งโถมเข้าจัดการฝูงปีศาจที่หมดสิ้นขวัญกำลังใจ……….
ตอนที่ 620 (จบ)
ซาแกรลาสตายแล้ว เซียวอวี๋ขี่มังกรน้อยบินอยู่บนท้องฟ้าพลางมองดูสนามรบที่เต็มไปด้วยความพินาศที่เบื้องล่าง ในใจของเขารู้สึกสับสน สงครามจบแล้ว มันจบแล้ว
เรื่องราวเป็นดั่งในคำพยากรณ์ เขาเอาชนะซาแกรลาส ปกป้องโลกไว้ได้สำเร็จ และเขากำลังจะได้ขึ้นเป็นราชาแห่งราชันย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด
เซียวอวี๋ออกคำสั่งให้อาร์ทัสล่าถอยไปพร้อมกับกองทัพอันเดดอย่างเงียบๆ ดังนั้นที่เบื้องล่างจึงเหลือเพียงกองทัพพันธมิตรมนุษย์ที่ไล่ล่าพวกปีศาจซึ่งคงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ๆ
กูดาลไม่อาจคุกคามใดๆได้อีกต่อไป หลังจากสงครามครั้งนี้สิ้นสุดลง ความแข็งแกร่งของเซียวอวี๋ก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี เทียบกับกองทัพใต้บัญชาของเซียวอวี๋แล้ว กองทัพของกูดาลนั้นอยู่คนละระดับกันอย่างสิ้นเชิง
ไม่นานหลังจากนั้น ผู้คนต่างก็เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศเพื่อมาร่วมเฉลิมฉลองให้กับผู้ปกครองคนใหม่ของทวีป ทั้งยังเป็นสักขีพยานการถือกำเนิดของราชวงศ์ใหม่
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นราวกับทุกกระบวนการล้วนถูกลิขิตเอาไว้
กระนั้นมันกลับให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาด ราวกับทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงความฝัน….
……………………………………..
สามปีต่อมา……
สถานการณ์บนทวีปใหญ่เริ่มมั่นคง กูดาลได้นำกองทัพออร์คของเขาไปยังบึงตะวันลับและไม่เคยกลับออกมาอีก อาร์ทัสเองก็ได้นำกองทัพอันเดดของเขาเข้าไปอาศัยอยู่ที่นครใต้พิภพ และไม่เคยปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน
ในที่วันที่อาร์ทัสต้องจากไป เซียวอวี๋ได้เข้าพูดคุยกับอาร์ทัส เขาสวมกอดอาร์ทัสไว้แน่นพลางหลั่งน้ำตาด้วยความรู้สึกผิด
อาร์ทัสที่เรียกได้ว่าเป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุดของเขาจะต้องไปแล้ว
นับตั้งแต่วันที่เขาอัญเชิญอาร์ทัสออกมา เซียวอวี๋ก็มีความหวาดระแวงต่ออาร์ทัส และพยายามกีดกันไม่ให้อาร์ทัสเติบโตมาโดยตลอด แม้กระนั้น อาร์ทัสก็ไม่เคยปริปากบ่นและจงรักภักดีต่อเขาตลอดมา อีกทั้งในช่วงศึกสุดท้าย อาร์ทัสยังปรากฏตัวออกมากอบกู้โลกเอาไว้
ไม่มีผู้ใดทราบสาเหตุที่จู่ๆกองทัพอันเดดก็มาและจากไปอย่างเงียบเชียบ
มีเพียงเซียวอวี๋เท่านั้นที่ทราบว่าอาร์ทัสได้เสียสละมากมายเพียงใดเพื่อทวีปแห่งนี้……
การสถาปนาราชวงศ์ใหม่ การก่อตั้งนครหลวง สิ่งเหล่านี้เซียวอวี๋ไม่จำเป็นต้องกังวลแม้แต่น้อย แน่นอนว่าย่อมต้องมีคนรับเอาเรื่องเหล่านี้ไปจัดการแทนเขา ที่เขาต้องทำก็แค่รอเข้าร่วมพิธีขึ้นครองราชย์เพียงเท่านั้น
จักรพรรดิองค์ก่อนแห่งราชวงศ์พยัคฆ์คำรนได้ประกาศสละราชบัลลังก์ให้กับเซียวอวี๋อย่างเต็มใจ ทั้งยังส่งตัวราชธิดาให้อภิเษกสมรสกับเซียวอวี๋ โดยหวังว่าสายโลหิตของตนจะคงอยู่สืบไป
ในวันที่เซียวอวี๋ขึ้นครองราชย์ ทั่วทั้งทวีปต่างก็เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง เหล่าผู้ที่เดินทางมาไม่ได้ล้วนส่งคำอวยพรหรือตัวแทนมา
การถือกำเนิดของราชวงศ์ใหม่ได้ถูกบันทึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ในนั้นกล่าวสรรเสริญเซียวอวี๋เอาไว้เสียยาวเหยียด ภาพลักษณ์อันธพาลของเซียวอวี๋ถูกลบออกจนเกลี้ยงเกลาและแทนที่ด้วยความสูงส่งสง่างาม ความทรงปัญญา ทั้งยังกล้าหาญ ถือเป็นสุดยอดวีรบุรุษแห่งยุค
เซียวอวี๋ที่ได้อ่านบันทึกนี้ก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ
แม้ว่าทุกคนจะคัดค้านอย่างหนักเรื่องที่เซียวอวี๋จะแต่งตั้งหลินมู่เสวี่ยเป็นราชินี และให้สตรีคนอื่นๆรวมถึงราชธิดาของจักรพรรดิองค์ก่อนเป็นสนม กระนั้นมันก็ไม่มีอุปสรรคมากนัก เพราะสุดท้ายแล้วหลินมู่เสวี่ยก็คือผู้พิทักษ์คนใหม่ของทวีป เสียงคัดค้านจึงค่อยๆเบาบางลง
ดังนั้น หลังจากพิธีขึ้นครองราชย์ พระราชพิธีอภิเษกสมรสก็ถูกจัดขึ้นในท้องพระโรงอย่างยิ่งใหญ่
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสมบูรณ์แบบราวกับเรื่องราวในนิทาน
นับแต่นั้น เซียวอวี๋ก็ดำรงตำแหน่งผู้ปกครองสูงสุดของทวีปและใช้ชีวิตอย่างสุขสมกับหลินมู่เสวี่ย ซึเหวิน สกาเล็ต ลีอา และสตรีคนอื่นๆรวมถึงอดีตพี่สะใภ้ของเขา ไม่มีผู้ใดตำหนิต่อเซียวอวี๋ในเรื่องนี้ กลับกัน ผู้คนต่างสรรเสริญว่าเซียวอวี๋นั้นเก่งกล้าทั้งบุ๋นและบู๊ จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะเป็นที่หมายปองของสตรีมากมาย
หลังจากนั้นสองสามปี มิรันด้าและมัลฟูเรี่ยนก็นำชาวเอลฟ์มากล่าวลาต่อเซียวอวี๋ พวกเขาต้องการจะเดินทางไปก่อตั้งถิ่นฐานในป่าลึกเพื่อสถาปนาราชวงศ์เอลฟ์ขึ้นมาใหม่
ไม่นานหลังจากนั้น กรอมและทอร์ลก็เตรียมนำเผ่าพันธุ์ออร์คไปหาพื้นที่สร้างอาณาจักรออร์ค
คาเอลธาสเองก็มาบอกลาและนำชาวบลัดเอลฟ์ไปตั้งรกรากใหม่ แต่นั่นก็ไม่ได้ไกลจากดินแดนไลอ้อนนัก พวกเขาเพียงค้นหาสถานที่ที่เหมาะสมต่อการศึกษาเวทมตร์ ซึ่งที่แห่งนั้นก็ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากอาณาจักรของมนุษย์สักเท่าใด พวกเขาสามารถไปเยี่ยมเยือนกันได้ตลอดเวลาที่ต้องการ
ชนเผ่าคนแคระที่นำโดยมูราดินเองก็นำคนไปตระเตรียมที่จะสร้างอาณาจักรคนแคระ ซึ่งที่ตั้งก็ไม่ได้อยู่ไกลจากอาณาจักรของมนุษย์ พวกเขาจะคอยผลิตอุปกรณ์เพื่อมาค้าขายกับมนุษย์ต่อไป ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้ก็เป็นที่นิยมอย่างมาก
เซียวอวี๋ได้มอบเหรียญทองและวัตถุดิบต่างๆให้กับเผ่าพันธุ์ต่างๆไปมากมายโดยหวังว่าพวกเขาจะมีชีวิตที่ดี ทั้งยังออกกฏหมายห้ามล่าเผ่าพันธุ์ออร์คและเอลฟ์ มิเช่นนั้นจะมีความผิดอย่างร้ายแรง
อูเธอร์ในที่สุดก็ได้ขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่ของศาสนจักรแห่งแสง เขาได้เผยหลักคำสอนใหม่ให้เป็นไปอย่างถูกครรลองครองธรรม เซียวอวี๋ก็ได้จัดสร้างนครศักดิ์สิทธิ์ให้เป็นของขวัญ ทั้งยังตั้งศาสนาของอูเธอร์เป็นศาสนาหลักของอาณาจักร
แอนโทนีดาสได้ดำรงตำแหน่งปราชญ์เวทแห่งราชสำนัก โดยจะคอยเป็นที่ปรึกษาของเซียวอวี๋
เหล่ามิตรสหายเก่าล้วนแยกย้ายกันไป เซียวอวี๋ได้ดำรงตำแหน่งจักรพรรดิสมดังใจ
ทุกคนต่างชื่นชมในสติปัญญาของเซียวอวี๋ ทั้งยังยกย่องเขาเป็นอย่างสูงในฐานะที่เป็นผู้กอบกู้ทวีปและมวลมนุษยชาติ
ในบางครั้ง สหายเก่าดังเช่นโถวปาหงก็จะเดินทางมาพักผ่อนและเล่นหมากรุกเป็นเพื่อนเซียวอวี๋ นี่ทำให้เซียวอวี๋ดีใจมาก ทุกครั้งคราเขาล้วนถ่วงรั้งโถวปาหงเอาไว้เป็นนาน ไม่ยอมให้โถวปาหงจากไป
อาวุโสสามจ้าวมนตราเองก็ค่อยๆสิ้นอายุขัยไปทีละคนเพราะผลจากการใช้พลังเกินขีดจำกัด
ก่อนที่ธีโอดอร์จะจากไป เขาได้มอบกล่องใบหนึ่งให้กับเซียวอวี๋ และบอกว่า หากวันหนึ่งจิตใจของเขารู้สึกเคว้งคว้างว่างเปล่า และรู้สึกว่าโลกใบนี้นั้นเป็นเพียงแค่ความฝัน ถึงตอนนั้นก็จงเปิดกล่องออกดู
กล่องใบนี้คือจะมีคำตอบที่เขาต้องการ
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นเซียวอวี๋ก็ไม่กล้าที่จะเปิดกล่องใบนี้
อำนาจและความมั่งคั่ง นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนใฝ่ฝันจะครอบครองหรอกหรือ? เวลานี้เซียวอวี๋มีทุกสิ่งอย่าง ตัวเขาควรจะมีความสุขเกินกว่าผู้ใด ทว่าเขากลับพบว่าตนยังคงขาดสิ่งที่เรียกว่าความสุข
นั่นก็เพราะว่าในใจของเขามักมีความรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติตลอดมา แต่ผิดปกติตรงที่ใด ตัวเขากลับบอกไม่ได้
หลังจากนั้นอีกสิบปี ชีวิตของเซียวอวี๋แทบจะเป็นไปด้วยความสมบูรณ์ ขาดก็แต่ว่าเขานั้นไม่เคยมีทายาท นี่นับเป็นความเสียใจที่สุดของเขา
เขาวาดหวังว่าจะมีบุตรธิดาให้อุ้มชูมาโดยตลอด ไม่ใช่เพียงเพื่อสืบทอดราชบัลลังก์ หากแต่เพื่อปลอบโยนดวงวิญญาณของเขา กระนั้นสวรรค์กลับไม่ยอมให้เขาสมมาดปรารถนาในเรื่องนี้
หลังจากนั้นอีกสิบปี เซียวอวี๋นั้นอยู่ที่โลกนี้มานานเท่าใดแล้วตัวเขาก็ไม่ทราบ แต่เขาเริ่มคิดถึงเรื่องราวเมื่อวันวาน วันวานที่เขาบุกตะลุยโจรกลุ่มต่างๆไปพร้อมกับกรอมและลีอา ช่วงเวลานั้นนับเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขและตื่นเต้นเร้าใจมาก
หากแต่ในปัจจุบัน เขากลับหาความสุขแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว
เซียวอวี๋คิดถึงผู้คนที่เคยพบพาน สหายเก่าต่างๆ เมื่อถึงวันครบรอบวันเกิดของเซียวอวี๋ สหายจากที่ต่างก็จะเดินทางมาร่วมฉลองงานวันเกิดกับเขา ทั้งอาณาจักรเต็มไปด้วยเทศกาลและงานฉลอง แม้จะผ่านมานานหลายปี ชื่อเสียงของเขาก็ยังคงยิ่งใหญ่ไม่เสื่อมคลาย
เซียวอวี๋ต้องการจะรั้งสหายเหล่านั้นให้อยู่กับเขา แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องแยกจากกันเมื่อถึงเวลา
เซียวอวี๋รู้สึกว่าตนเองชราแล้ว เขาแก่ชรามากแล้ว
ซึ่งความจริง ร่างกายของเขายังไม่ชรา ที่ชรานั้นคือจิตใจของเขา
เมื่อเซียวอวี๋อายุถึงห้าสิบห้าปี ตัวเขาก็ยังคงไร้ทายาทสืบสกุล ซึ่งเขารู้ดีว่าคงถึงเวลาที่ต้องแต่งตั้งองค์รัชทายาทแล้ว มิเช่นนั้นอาณาจักรที่เขาฟูมฟักมาคงจะเกิดความวุ่นวายในยามเมื่อเขาจากไป
ดังนั้น เซียวอวี๋จึงแต่งตั้งฉินเช่อเป็นรัชทายาท โดยหวังว่าฉินเช่อจะสามารถนำพาอาณาจักรไปสู่ความรุ่งโรจน์สืบไป
ในช่วงสงคราม ฉินเช่อนั้นมีความสำเร็จมากมายมหาศาล และหลังจากจบสงคราม เขาก็ยังดำรงตำแหน่งเป็นขุนนางในราชสำนัก เขาได้เสนอนโยบายที่ยอดเยี่ยมออกมาจนได้รับการแซ่ซ้องสรรเสริญจากปวงชน
สุดท้าย หลังจากแต่งตั้งฉินเช่อเสร็จแล้ว เซียวอวี๋ก็ไปยังห้องที่เก็บกล่องซึ่งธีโดอร์มอบไว้ให้โดยลำพัง เขาต้องการจะเปิดกล่องและดูว่ากล่องใบนี้จะให้คำตอบเช่นไรแก่เขา
หลังจากรวบรวมความกล้าอยู่นานราวกับนี่เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต เซียวอวี๋ก็เอื้อมมืออันสั่นเทาไปหยิบกล่องและเปิดมันออกอย่างช้าๆ
ประกายแสงสีขาวจนเสียดแทงตาได้เข้ากลืนกินทัศน์วิสัยทั้งหมดของเซียวอวี๋
เขาค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นและพบว่าตนกำลังอยู่ในโลกที่ดูแปลกตา ไม่ถูกต้อง ต้องบอกว่าเป็นห้องที่ดูแปลกตาจึงจะถูก
ห้องที่เขาอยู่ไม่ใช่ห้องในพระราชวังที่งดงามหรูหราอีกต่อไป หากแต่เป็นห้องที่เขาเคยพบเห็นในชีวิตก่อน
อีกทั้งศีรษะของเขายังรู้สึกปวดอย่างประหลาด
ตอนนั้นเอง เงาร่างหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้อง เงาร่างนั้นคลี่ยิ้มให้กับเซียวอวี๋และกล่าวขึ้นว่า “คุณผู้ทดสอบ ในที่สุดคุณก็ฟื้นแล้วสินะ เป็นอย่างไรบ้าง? นี่เป็นรางวัลที่คุณชนะเลิศในงานวอร์คราฟแชมป์เปี้ยนชิป เกมจำลองเสมือนจริง นี่เป็นผลิตภัทฑ์ใหม่ล่าสุดของบริษัทของเราเลยนะ คุณถือเป็นคนแรกที่ได้สัมผัสประสบการณ์นี้ โชคดีสุดๆเลยล่ะ”
“ผู้ทดสอบ? เกม?” เซียวอวี๋ลุกขึ้นยืนอย่างตกตะลึงก่อนจะยกมือขึ้นจับศีรษะ ซึ่งบนศีรษะของเขาในเวลานี้กำลังสวมใส่หมวกใบหนึ่งอยู่ จากนั้นเขาจึงหันไปมองทางด้านหลัง และพบว่ามันเป็นเตียงอัลลอยด์ที่มีสายระโยงระยางอยู่เต็มไปหมด
ทันใดนั้น เซียวอวี๋ก็เหมือนจะเข้าใจบางสิ่ง
เป็นว่าเรื่องราวทั้งหมดนี่เป็นเพียงแค่ความฝันงั้นเหรอ? กรอม ทอร์ล อาร์ทัส หลินมู่เสวี่ย ลีอา…..ก็ด้วยงั้นเหรอ?
เซียวอวี๋รู้สึกเจ็บปวดใจราวกับถูกมีดกรีดแทง เขาพลันทรุดฮวบลงไปกับพื้น โลหิตสีแดงเริ่มไหลออกจากมุมปากของเขา ขณะที่เจ้าหน้าที่โดยรอบรีบวิ่งเข้ามาดูอาการของเขาอย่างตื่นตระหนก
ในชั่ววินาทีนั้น เซียวอวี๋ที่นอนอยุ่บนพื้นกำลังหลั่งน้ำตาจนตาพร่ามัว เขารู้สึกราวกับเด็กที่ถูกผู้ใหญ่พรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากชีวิต…….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น