World of Warcraft ราชันต่างภพ 602-608
ตอนที่ 602
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
ชี่ชี่……
เมื่อเผ่าพันธุ์อันเดดได้สัมผัสกับเวทแสงของอูเธอร์ ควันสีดำก็ลอยขึ้นจากร่างของพวกมัน พวกอันเดดที่มีระดับต่ำต่างก็สลายกลายเป็นไอไป
ด้วยเหตุนี้ ฉากอันแปลกประหลาดจึงปรากฏขึ้นในสนามรบ ตอนนี้กองทัพศาสนจักรอยู่ทางทิศตะวันออกของพวกอันเดด ตำแหน่งกึ่งกลางคือกองทัพอันเดด ขณะที่กองทัพของเซียวอวี๋อยู่ทางทิศตะวันตกของทัพอันเดด การแทรกสอดเข้ามาคั่นกลางของพวกอันเดดทำให้กองทัพทั้งสามตั้งประจันหน้ากันเป็นตรีศูล
เมื่ออาร์ทัสพบเห็นอูเธอร์ ประแสงสีเขียวก็ปรากฏขึ้นวูบในแววตาของเขาก่อนจะจางหายไป หลังจากเงียบอยู่พักหนึ่ง อาร์ทัสก็ค่อยๆกล่าวขึ้นว่า “อูเธอร์ อาจารย์ข้า ครั้งหนึ่งท่านเคยเป็นผู้ชี้นำเส้นทางแห่งแสงต่อข้าและทำให้ข้ากลายเป็นพาลาดินที่ยอดเยี่ยม ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ สิ่งที่ท่านให้ข้ามันยังไม่พอ ตอนนี้ข้าทั้งแข็งแกร่งและคงกระพัน ท่านไม่อาจเอาชนะข้าได้ อูเธอร์ แสงสว่างของท่าน เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังแห่งความชั่วร้าย มันจะมอดดับตลอดกาล”
“โอหัง เจ้าคิดจริงหรือว่าพลังแห่งความชั่วร้ายจะสามารถเอาชนะแสงสว่าง? มีเพียงแสงสว่างเท่าที่คงอยู่เป็นนิรันดร์ ตราบที่ดวงตะวันยังคงส่องแสง แสงจะดำรงคงอยู่ และชีวิตก็จะถือกำเนิด และเจ้า ผู้ไร้ซึ่งชีวิต เจ้าไม่สมควรดำรงอยู่ในโลกแห่งนี้ ข้า….ในนามของแสงสว่างจะชำระล้างเจ้าเอง…..” อูเะอร์กู่ร้องก่อนจะเหวี่ยงค้อนคู่ใจเข้าใส่อาร์ทัส
อาร์ทัสเองก็ไม่ยอมถอย เขากวัดแกว่งดาบฟรอสต์มัวร์เข้าสู้ทันที
ด้วยเหตุนี้ ฮีโร่ทั้งสองที่ต่างก็เป็นลูกน้องใต้สังกัดของเซียวอวี๋จึงเข้าโรมรันกัน
เซียวอวี๋รู้สึกสมองพองโต เขาได้ปกปิดการดำรงอยู่ของพวกอันเดดเอาไว้จากทุกคน นั่นยังรวมถึงเหล่าฮีโร่ข้างกายเขาด้วย และตอนนี้เขาก็ยังคงปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ ดังนั้นจึงไม่มีใครทราบว่าอาร์ทัสนั้นทำงานรับใช้เซียวอวี๋
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ทั้งสองจะเปิดฉากสู้กันทันทีที่พบหน้า
ขณะที่ฮีโร่ทั้งสองกำลังประมือกันอยู่กลางสนาม สายตาของแอนโทนีดาสและเคลธูซาดก็สบประสานกัน และอย่างที่ทราบ คู่นี้เองก็มีความสัมพันธ์ฉันท์อาจารย์และศิษย์
เมื่อเออซ่าได้เห็นฉากนี้ เขาก็ประหลาดใจขึ้นมา เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าทั้งสองฝ่ายจะปะทะกันทันทีเช่นนี้
เขาเชื่ออย่างสนิทใจว่าพวกอันเดดนั้นมีเซียวอวี๋คอยบงการอยู่หลังฉาก แต่เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เขาก็เริ่มไม่แน่ใจขึ้นมา เขาสัมผัสได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องหลอกตา ความเกลียดชังที่อูเธอร์และอาร์ทัสได้แสดงออกมานั้นเป็นของจริง ขณะเดียวกันเขาก็สัมผัสได้ถึงความเป็นปรปักษ์ระหว่างแอนโทนีดาสและเคลธูซาดได้อย่างเด่นชัด ความเป็นศัตรูกันระหว่างภาคีหัตถ์เงินและกองทัพอันเดดเองก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาเขาไปได้
ในขณะนั้นเอง ทหารศาสนจักรบางคนที่เห็นฉากนี้ก้เริ่มที่จะชักอาวุะตรงเข้าสู้กับพวกอันเดด
ถึงที่สุดแล้ว กระบวนการล้างสมองของศาสนจักรก็ไม่พ้นยกอูเธอร์ขึ้นเป็นพระเจ้าสูงสุดของศาสนจักร และหน้าที่ของสาวกก็คือชำระล้างเหล่าผู้ไม่ตาย
เมื่อได้เห็นอูเธอร์เข้าปะทะกับอาร์ทัส พวกเขาก็รู้สึกอยากช่วยเหลืออูเธอร์ขึ้นมา กระทั่งลืมความจริงที่ว่าพวกเขาเคยคิดว่าอูเธอร์ผู้นี้อาจจะเป็นตัวปลอม
ในเวลานี้พวกทหารต่างก็รู้สึกว่าอูเธอร์ผู้นี้คือตัวจริง และพวกเขาควรสนับสนุน
พวกอันเดดนั้นได้รับแรงหนุนจากแน็กแรม ดังนั้นความแข็งแกร่งของพวกมันจึงเพิ่มขึ้นมาก แต่เมื่อถูกกระหนาบโจมตีจากกองทัพของเซียวอวี๋และกองทัพศาสนจักรทั้งสองทาง จำนวนที่มากกว่าจึงค่อยๆเผยข้อได้เปรียบออกมา
เมื่อเหตุการณ์ดำเนินไปในรูปแบบนี้ เซียวอวี๋จึงรีบลอบสั่งการให้อาร์ทัสล่าถอย หากเขายังอยู่ต่อไป ไม่แน่ว่าเขาจะต้องตายจริงๆ
แม้จะไม่เต็มใจ แต่อาร์ทัสก็ยังคงฟังคำสั่งของเซียวอวี๋ เขากู่ร้องคราหนึ่งก่อนจะนำทัพอันเดดของเขาตีฝ่าวงล้อม
เนื่องด้วยทัพอันเดดมีอันเดดระดับต่ำจำนวนมากเป็นโล่เลือดเนื้อ การสละตัวเองของพวกมันได้ซื้อเวลาให้พวกอันเดดระดับสูงถอยร่นออกไปได้อย่างปลอดภัย แม้ทหารศาสนจักรและภาคีหัตถ์เงินจะพยายามติดตามไป พวกเขาก็ไล่ฝีเท้าของอีกฝ่ายไม่ทัน
และเมื่ออาร์ทัสนำทัพอันเดดจากไป นครลอยฟ้าแน็กแรมก็เคลื่อนตัวไปในทิศทางเดียวกัน
“ท่านย่ามันเถอะ แน็กแรมถูกควบคุมโดยอาร์ทัส?” เซียวอวี๋พลันตั้งข้อสงสัยขึ้นในใจ
แต่ตอนนี้เขายังไม่มีเวลามาขบคิดเรื่องนี้ เพราะที่เบื้องหน้า กองทัพของดินแดนไลอ้อนและกองทัพของศาสนจักรอยู่ในตำแหน่งจ่อประชิดใส่กัน
อย่างไรก็ตาม มีเรื่องแปลกเกิดขึ้นเมื่อเหล่าทหารของศาสนจักรต่างก็เข้ามาล้อมรอบอูเธอร์ไว้ หากแต่ไม่มีท่าทีคุกคามแต่อย่างใด
ทันใดนั้นเอง ทหารศาสนจักรทุกนายก็ตะโกนขึ้นพร้อมกัน “ท่านอูเธอร์จงเจริญ ความยุติธรรมจงเจริญ….”
เหล่าภาคีหัตถ์เงินเองก็เข้าร่วมการตะโกนนี้ด้วย จากนั้น กองทัพศาสนจักรก็เริ่มเปล่งเสียงตะโกนตาม แรกเริ่มนั้นมีเพียงพวกทหารที่อยู่ใกล้ๆ และไม่นาน เหล่าทหารที่อยู่ไกลๆเองก็เปล่งเสียงตาม นั่นอยู่รวมถึงเหล่าพาลาดินที่อยู่ข้างกายของเออซ่าด้วย ในชั่วขณะนั้น เสียงตะโกนได้ดังก้องไปทั่วสนามรบ ทุกคนต่างก็ได้รับอิทธิพลจากเสียงตะโกนนี้
เออซ่าที่มีไหวพริบย่อมทราบว่าเวลานี้เขาไม่ควรหยุดยั้ง เพราะหากเขากล้าก้าวออกไปขัดขวางมวลชนในเวลาเช่นนี้ เขาคงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ในใจเขาตระหนักดีว่าความกระตือรือร้นของมวลชนเวลานี้จะไปได้ถึงระดับ และเมื่อพวกทหารต่างก็ร่วมเปล่งเสียงตะโกนพร้อมกันเช่นนี้ เขาก็ทราบแล้วว่าการเปลี่ยนแปลงได้หยั่งลึกเข้าไปถึงกระดูกของเหล่าทหารแล้ว
ตัวเขาเพียงลำพังไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใด
เซียวอวี๋ที่อยู่บนหลังของมังกรน้อยมองดูฉากที่ปรากฏขึ้นอย่างมึนงง
นี่มันอะไรกัน? ไม่ใช่ว่าพวกเราจะสู้กันต่อหรือ? เหตุการณ์กลับดำเนินไปตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ผู้คนทั้งหมดต่างก็เข้ามาล้อมอูเธอร์ก่อนจะคุกเข่าลง
เซียวอวี๋สับสน เดิมทีเขาตั้งใจเรียกอาร์ทัสมาช่วยรับมือกับกองทัพศาสนจักร ทว่าเมื่อมาถึงสนามรบ อูเธอร์กับอาร์ทัสกลับหันมาห้ำหั่นกันเองเสียอย่างนั้น
จากนั้นพวกทหารศาสนจักรก็พลันยอมรับอูเธอร์เป็นเทพแท้จริงของพวกเขา สถานการณ์เช่นนี้เขาควรทำอย่างไรกับมันดี?
เสียงตะโกนดังต่อเนื่องไปกว่าหนึ่งชั่วโมง จากนั้นความพลุ่งพล่านของพวกทหารจึงค่อยๆลดลง และจากนั้น พวกทหารของทั้งสองฝ่ายต่างก็มองหน้ากันไปมา ไม่ทราบว่าสมควรสงบศึกหรือสู้กันต่อ….
“สหายทั้งหลายเอ๋ย ท่านอูเธอร์ได้นำพวกเราเข้ากำจัดความชั่วร้าย ในภายภาคหน้า ภายใต้การนำของท่านอูเธอร์ผู้ยิ่งใหญ่ พวกเราจะสามารถกวาดล้างสิ่งชั่วร้ายทั้งมวลในโลกและพิทักษ์ความยุติธรรมให้กับโลกต่อไป พวกเราคือผู้ส่งสารแห่งแสงสว่าง พวกเราจะดำรงอยู่ตลอดไป ถวายความภักดีต่อท่านอูเธอร์ มหาพาลาดินผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล”
ในเวลาเช่นนี้ เซียวอวี๋ย่อมไม่หยิบยกเรื่องที่อูเธอร์เป็นตัวจริงหรือตัวปลอมขึ้นมากล่าว เขาเริ่มปลุกระดมให้พวกทหารหันมาสวามิภักดิ์ต่ออูเธอร์ พวกทหารแสดงความยินดีและโค้งคำนับไปทางอูเธอร์
เซียวอวี๋ฉีกยิ้ม จากนั้นจึงบังคับมังกรน้อยบินไปยังทิศทางที่เออซ่าอยู่
“แล้วเจ้าเล่า คนฉลาดคือคนที่รู้สถานการณ์ เจ้าคงรู้นะว่าควรทำอย่างไร?” เซียวอวี๋มองเออซ่าพลางแสยะยิ้ม
เออซ่าเงยหน้าขึ้นมองเซียวอวี๋ จากนั้นจึงเบนสายตาไปยังมวลชนที่กำลังตื่นเต้นยินดี หลังจากเงียบอยู่พักใหญ่ เขาก็ค่อยๆกล่าวว่า “ข้าทราบ….ท่านอูเธอร์จงเจริญ”
หลังจากเออซ่ากล่าวจบ เหล่าพาลาดินทั้งหมดที่อยู่โดยรอบก็รีบตะโกนตาม
การต่อสู้นองเลือดที่ควรเกิดพลันจบลงไปในลักษณะนี้ และกองทัพศาสนจักรทั้งหมดก็เข้าร่วมกับเซียวอวี๋
มีเรื่องวิเศษเช่นนี้ด้วย?
ตอนที่ 603
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
หลังจากนั้นไม่นาน เออซ่า เซียวอวี๋ และคนอื่นๆก็เข้ามาในกระโจม และเริ่มการประชุม
“เจ้าเป็นคนรู้สถานการณ์” เซียวอวี๋ตบบ่าเออซ่าพลางยิ้มออกมา ท่าทางที่ปลอดโปร่งของเขาอาจทำให้มีคนเข้าใจผิดว่าพวกเขาเป็นสหายกัน
เออซ่ายิ้มอย่างขมขื่น หากแต่ไม่กล่าวสิ่งใด
“เออซ่า ไฉนเจ้าจู่ๆจึงยอมแพ้เล่า? แม้จะมีหลายคนจดจำอูเธอร์ได้ในตอนนั้น แต่การจะพลิกสถานการณ์ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” เซียวอวี๋ถามสิ่งที่ค้างคาใจออกมา
เออซ่ายกถ้วยชาขึ้นจิบก่อนจะกล่าวว่า “ข้าพลิกสถานการณ์ได้ชั่วคราว แล้วอย่างไรต่อ? ใจคนเปลี่ยนไปแล้ว ข้ายังจะทำอย่างไรได้? อีกอย่าง ไม่ว่าติดตามเจ้าหรือติดตามพระสันตะปาปา สำหรับข้าแล้วมันก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก แม้จะสักกัดศาสนจักร หากแต่ข้าก็ไม่มีความทะยานอยากใดๆ ข้าไม่ชอบแข่งขันกับผู้ใด ที่ข้าได้รับหน้าที่สำคัญในครั้งนี้ก็เป็นเพราะพระสันตะปาปาให้ความสำคัญกับความสามารถของข้า ท่านเองก็เป็นคนที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง ก่อนที่ข้าจะมา ข้าได้ศึกษาทุกเรื่องเกี่ยวกับท่าน และข้าชื่นชมท่าน เข้าร่วมกับท่านก็คงไม่แย่นัก ดังนั้นข้าจึงยอมแพ้”
เออซ่ากล่าวด้วยอย่างสุขุมและเป็นธรรมชาติ แสดงให้เห็นว่าเขาคิดเช่นนี้จริงๆ
“ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นอูเธอร์หรือพระสันตะปาปา เจ้าล้วนไม่มีความศรัทธา?” ได้ฟังน้ำเสียงของเออซ่า เซียวอวี๋ก็ทราบว่าเออซ่าไม่มีความรู้สึกผูกพันต่อพระสันตะปาปาแต่อย่างใด
“ใช่ เมื่อมาถึงตำแหน่งระดับข้า มันคงน่าหัวเราะหากยึดถือตามสิ่งที่ศาสนจักรยัดใส่หัวพวกเราจริงๆอย่างเช่น ดัม” เออซ่าส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายใจ
“เจ้าเป็นคนฉลาด และยังเป็นแม่ทัพที่มีความสามารถ เจ้าสุขุมจึงมองสิ่งต่างๆได้กระจ่างชัด อืม ในอนาคต กองทัพนี้จะยังคงให้เจ้าเป็นผู้นำต่อไป และเจ้าจะเป็นแม่ทัพในสังกัดของอูเธอร์” เซียวอวี๋ประกาศต่อเออซ่าอย่างเป็นทางการ
“นี่มัน….เจ้าไม่กังวลเกี่ยวกับข้าหรือ?” แม้จะเคยได้ยินชื่อเสียงของเซียวอวี๋ในด้านนี้มาบ้าง กระนั้นเออซ่าก็คิดไม่ถึงว่าเซียวอวี๋จะกล้าหาญถึงขั้นที่ให้เขาเป็นผู้นำทัพต่อไปเพียงแต่เปลี่ยนสังกัดไปอยู่ใต้อูเธอร์เท่านั้น
“อย่างที่เจ้าเพิ่งกล่าวมา เจ้าเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นผู้ควบคุมกองกำลังนี้ นับแต่นี้ไป อัศวินสีชาดจะถูกควบรวมเข้ากับภาคีหัตถ์เงิน และเจ้าจะเป็นผู้นำแห่งภาคีหัตถ์เงิน อลอนโซ่จะเป็นผู้ช่วยของเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะศรัทธาในอูเธอร์หรือไม่ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ” เซียอวี๋กล่าวอย่างยินดี
เออซ่ายิ้มอย่างหมดหนทาง เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อยกับการจัดการทุกเรื่องราวของเซียวอวี๋
การยอมแพ้ของเออซ่าและชัยชนะในสงครามได้นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ดินแดนไลอ้อนอย่างใหญ่หลวง เซียวอวี๋ใช้โอกาสนี้กรีธาทัพบุกชิงพื้นที่ที่ศาสนจักรควบคุมอยู่ในละแวกใกล้เคียงอย่างรวดเร็ว ส่วนพื้นที่ที่อยู่ไกลออกไปเขาก็ไม่แตะต้อง เพราะทราบดีว่ามันยากจะควบคุม
สงครามย่อมเกิดขึ้นตามมา เหล่าดินแดนที่ถูกบุกโจมตีย่อมต้องตอบโต้
ส่วนดินแดนที่เซียวอวี๋เอื้อมมือไปไม่ถึงนั้น เขาก็ปล่อยให้ขุมกำลังอื่นๆจัดการไป
ตั้งแต่แรกเริ่ม สายตาทุกคู่ล้วนเฝ้ามองมายังศึกใหญ่ครั้งนี้ ทว่าเหตุพลิกผันที่จู่ๆก็เกิดขึ้นทำให้ทุกฝ่ายต่างก็ตั้งตัวกันไม่ทัน แต่เมื่อได้เห็นผู้แพ้ผู้ชนะ พวกเขาก็ย่อมไม่ลีรอที่จะไล่ตีสุนัขตกน้ำ
ด้วยเหตุนี้ อาณาเขตอันใหญ่โตของศาสนจักรจึงถูกรุมทึ้งและแตกย่อยเป็นดินแดนต่างๆมากมาย
เดิมทีประชาชนในดินแดนเหล่านั้นมีความเกลียดชังการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์และบังคับผู้คนให้เป็นสาวกของศาสจักรอยู่ก่อนแล้ว ครั้งนี้พวกเขาจึงลุกฮือล้างแค้น ขอเพียงพบเห็นสัญลักษณ์ของสาสนจักรบนตัวผู้ใด คนผู้นั้นจะถูกสังหารทันที เหล่าทหารของศาสนจักรจึงมีสภาพราวกับหนูในท่อระบายน้ำที่ต้องอยู่อย่างหวาดกลัว
ศาสนจักรแห่งแสงที่ครั้งหนึ่งเคยควบคุมโลก เวลานี้ได้พังครืนลงจนตกอยู่ในสถานการณ์อันล่อแหลม
เซียวอวี๋ยังใช้ความพยายามอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงเหล่าอัศวินของศาสนจักร ทุกวันเขาจะให้อูเธอร์ไปเผยแพร่คำสอนใหม่ๆ อย่างเช่น การละเว้นการฆ่า อยู่ในศีลธรรม และให้อดทนอดกลั้นต่อผู้ไม่ศรัทธา ไม่บีบบังคับ….
อัศวินสีชาดถูกยุบโดยสมบูรณ์ และผู้คนเหล่านี้ในอนาคตจะถูกเปลี่ยนเป็นสมาชิกแห่งถาคีหัตถ์เงิน
เครื่องแบบของพวกเขาเองก็ถูกเปลี่ยนจากสีแดงสดเป็นสีขาวสะอาดตา สิ่งนี้จะเป็นข้อได้เปรียบในการแย่งชิงอำนาจของเซียวอวี๋ในอนาคต มิเช่นนั้นคงยากจะเอาชนะใจมวลชนที่เกลียดชังศาสนจักรอย่างลึกล้ำ เมื่อเซียวอวี๋ใช้งานกองกำลังขุมนี้ ผู้คนจะได้ลดความอคติลง
เซียวอวี๋ได้กลืนกินกองกำลังขุมนี้เข้าไปในคราวเดียว นั่นเป็นจำนวนผู้คนกว่าสิบล้านคน และหากจะนำมาใช้งาน เขาก็จำต้องย่อยกองกำลังขุมนี้เสียก่อน
ยามเมื่อย่อยกองกำลังนี้ได้โดยสมบูรณ์ พวกเขาย่อมต้องกลายเป็นกองกำลังที่มีพลังต่อสู้สูงล้ำ
ในขณะที่เซียวอวี๋ประสบโชคดีติดต่อกัน ทางฝั่งระดับสูงของศาสนจักรกลับเงียบเชียบ พระสันตะปาปาที่เป็นประมุขสูงสุดของศาสนจักรยังเงียบยิ่งกว่า
นี่เรียกได้ว่าเสียทั้งเบี้ยเสียทั้งขุน เดิมทีเขาหยิบยกชื่ออูเธอรืขึ้นมาเป็นข้ออ้างในการล้างสมองผู้คน อย่างไรก้ตาม การล้างสมองที่ฝังลึกเกินไปกลับกลายเป็นผลเสีย สาวกเหล่านั้นล้วนคลั่งไคล้ในตัวอูเธอร์ ดังนั้นเมื่อได้พบเจอกับอูเธอร์เข้าจริงๆ ความรู้สึกที่ฝังแน่นอยู่แล้วจึงปะทุออกมาเป็นพลังศรัทธา
เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ทั้งตัวพระสันตะปาปาและอูเธอร์หุ่นเชิดถูกผู้คนมองข้ามไป
นี่ไม่ต่างอะไรกับการทุ่มหินใส่เท้าตัวเอง
แม้ว่าศาสนจักรจะยังมีขุมกำลังหลงเหลืออยู่ แต่การแปรพักต์ของเออซ่าก็ทำให้ผู้คนรู้สึกท้อแท้ใจ เวลานี้ขุมกำลังฝ่ายต่างๆทั่วทั้งทวีปกำลังเข้าฉีกทึ้งพื้นที่ในครอบครองของศาสนจักร และไม่นานคงถึงคราวศูนย์กลางการปกครองของพวกเขา
พระสันตะปาปากำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก
“จังหวะเวลาเองก็เป็นโชคชะตา” พระสันตะปาปานั่งอยู่บนบัลลังก์สูง ริ้วรอยบนใบหน้าดูจะกดลึกขึ้นกว่าปกติ
“เพียงปล่อยไปไม่ได้หรือ?” มีเสียงหนึ่งดังสะท้อนไปมาในห้องโถง
“หึ คนไร้ยางอายเยี่ยงนั้นน่ะรึ?”
“ถึงที่สุดแล้ว เขาก็จะเป็นผู้ที่ก้าวขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของโลก คงเป็นเรื่องน่าเสียดายหากจะฆ่าเขาเช่นนี้”
“อืม การเก็บเขาเอาไว้ก่อนอาจยังมีประโยชน์ แต่ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่? ช่วงเวลาเป็นตายของทวีป หากเจ้าเลือกที่จะยืนหยัดปกป้องทวีปอย่างเต็มกำลังความสามารถ เจ้าก็คงจะสามารถชดเชยให้กับเหล่าผู้ที่เจ้าสังหารอย่างไร้ปราณีเหล่านั้น”
มีเงาร่างสามร่างค่อยๆปรากฏขึ้นภายในห้องโถง ผู้ที่เพิ่งปรากฏกายก็คือ จ้าวมนตราทั้งสามเอง
“เฮ้อ…..” หลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน พระสันตะปาปาก็ถอนหายใจ
ตอนที่ 604
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ทวีปใหญ่เกิดความปั่นป่วนมากที่สุด ความพ่ายแพ้ของศาสนจักรทำให้ทั้งองค์กรต้องพังทลายลงในชั่วข้ามคืน ไม่มีหนทางกอบกู้อีก
ทุกฝ่ายต่างก็กระโจนเข้าตะครุบอาณาเขตในครอบครองของศาสนจักร ซ้ำร้ายเหล่าอัศวินที่ยังภักดีต่อศาสนจักรยังพบว่าพระสันตะปาปาของพวกเขาได้หายตัวไป
ประมุขสูงสุดของศาสนจักรหายตัวไปแล้ว การต่อสู้ในพื้นที่ต่างๆก็เริ่มพบความเพลี่ยงพล้ำ เหล่าพาลาดินระดับสูงเองก็ทยอยหายตัวตามไป นี่ทำให้ระบบกองทัพของศาสนจักรพังครืนลงอย่างรวดเร็ว
กระนั้นก็ยังคงมีเหล่าสาวกเดนตายที่ทำการปกป้องศาสนจักรอย่างสุดตัว คนเหล่านั้นล้วนปักหลักสู้ไม่ถอยหนี ซึ่งสุดท้ายแล้วพวกเขาก็ต้านทานศัตรูที่กลุ้มรุมมาจากทุกทิศทุกทางไม่ไหวและตกตายในที่สุด
มีพวกระดับสูงบางส่วนยังคงยึดมั่นในวิถีของอัศวินสีชาด พวกเขาร่อนเร่พเนจรไปทุกหนแห่งพลางคิดหาวิธีกอบกู้ศาสนจักร
หลังจากนั้นอีกหลายปี กองกำลังอัศวินสีชาดยังคงดำรงอยู่ กลุ่มคนเหล่านั้นยังยึดมั่นในคำสอนของศาสนจักรที่ไม่มีอยู่แล้วต่อไป สืบทอดไปรุ่นแล้วรุ่นเล่าอย่างน่าเศร้าสลด
นอกจากเรื่องศาสนจักรแล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของผู้คน
มีขุมกำลังขนาดเล็กและขนาดกลางจำนวนมากผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด และไม่นานกองกำลังเหล่านั้นก็พร้อมใจกันเปลี่ยนไปใช้สัญลักษณ์ธงสีดำ
ทหารทมิฬจำนวนมากได้กลับมาปรากฏตัวอีกครั้งในพื้นที่หลายแห่ง พวกมันเข้าโจมตีและยึดครองดินแดนเหล่านั้นได้อย่างรวดเร็วเพราะมีเผ่าพันธุ์ปีศาจประกอบอยู่ในนั้น ดินแดนขนาดเล็กและกลางย่อมยากจะต้านทานการรุกราน ดังนั้นการล่มสลายของดินแดนเหล่านั้นจึงปรากฏขึ้นตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
ที่เมืองเกิดของพี่สะใภ้คนที่ห้าของเซียวอวี๋ ซีเหวินเองก็ถูกยึดครองโดยพวกทหารทมิฬ และเมื่อไม่เหลือทางเลือกอื่นใด บิดาของนางหวังเทียนหู่จึงนำตระกูลมาเข้าร่วมกับดินแดนไลอ้อน
ครั้งหนึ่ง เซียวอวี๋เคยพาตัวเองเข้าไปในดินแเดนต่างๆและต้องพบเจออุปสรรคนานับประการ แต่กาลเวลาล่วงเลยผ่านไป ทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนผัน เซียวอวี๋ไม่ใช่เซียวอวี๋ในวันวานอีกแล้ว
เซียวอวี๋ในสายตาของผู้คนเวลานี้คือ ผู้ที่มีคุณสมบัติสูงสุดในการขึ้นนั่งบัลลังก์ผู้ปกครองทวีป ดังนั้นเหล่าผู้ลี้ภัยจึงเลือกดินแดนไลอ้อนเป็นที่พึ่งพิง
เซียวอวี๋รับตระกูลของหวังเทียนหู่เอาไว้เพื่อให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข เหล่าพี่สาวน้องสาวที่เคยรังแกซีเหวินต่างก็เข้ามาประจบเอาใจซีเหวินเพื่อหวังมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น พวกนางยังคอยเสนออุบายให้กับซีเหวิน อย่างเช่นว่าควรยั่วยวนเซียวอวี๋อย่างไรเพื่อให้กลายเป็นสตรีของเซียวอวี๋
เพราะนี่จะมีประโยชน์อย่างมหาศาลกับอนาคตของตระกูล
ซีเหวินเพียงมองพวกที่เสนอแผนการเหล่านั้นอย่างเย็นชา และเมินเฉยต่อคำพูดของสตรีกลุ่มนี้
เซียวอวี๋ยังรับตระกูลของมู่เสวี่ยมายังดินแดนไลอ้อนด้วย เมื่อครั้งยังเป็นผู้ปกครองดินแดนเล็กๆ ในเวลานั้น เขากระทั่งคุณสมบัติในการเชิญตัวหลินอ้าวเทียนมายังไม่มี ทว่าตอนนี้ต่างกับตอนนั้น อาณาเขตภายใต้การปกครองของเซียวอวี๋มีขนาดใหญ่โตกว่าเดิมหลายเท่า อีกทั้งเขายังมีกำลังทหารอยู่ในมือหลายสิบล้านนาย กล่าวได้ว่าเขามีทั้งกำลังและทรัพยากรเพียงพอจะให้เขาใช้ไปอีกยาวนาน
หลินอ้าวเทียนให้ความเคารพต่อเซียวอวี๋ แต่เซียวอวี๋ยังให้ความเคารพต่อหลินอ้าวเทียนยิ่งกว่า ในวันที่ตระกูลของหลินอ้าวเทียนเดินทางมา เซียวอวี๋ได้นำผู้คนออกไปรอต้อนรับตั้งแต่หลายร้อยกิโลเมตรจากตัวเมือง ทั้งยังจัดกองเกียรติยศรอคอยต้อนรับอย่างเอิกเกริกไปตลอดเส้นทาง
หลินอ้าวเทียนที่ได้เห็นว่าที่ลูกเขยเอาใจใส่ตระกูลของเขาก็รู้สึกเบาใจ อย่างไรเสีย ฐานะของเซียวอวี๋ในตอนนี้นั้นแตกต่างจากอดีตกาลอย่างสิ้นเชิง
เซียวอวี๋ในเวลานี้มีคุณสมบัติของราชาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ และการตั้งตนขึ้นเป็นราชาก็ย่อมไม่มีผู้ใดส่งเสียงคัดค้าน ขณะเดียวกัน ความอดทนของโรเบิร์ตแห่งตระกูลร็อบก็หมดลง เขายกตัวเองขึ้นเป็นราชาสูงสุดของทวีป เขาอ้างว่าตนเองคือราชาแห่งราชันย์ และโลกใบนี้สมควรเป็นเขาที่ปกครอง
หลังจากนั้น ลีโอนาโดเองก็ตั้งตนขึ้นเป็นราชาเช่นกัน ทว่านิโคลัสกลับไม่ได้กระทำเช่นนั้น ที่เขาทำมีเพียงการเสริมสร้างแนวป้องกันและเพิ่มความเข้มแข็งของกองทัพอย่างต่อเนื่อง
หลังจากหลินอ้าวเทียนมาถึงเมืองไลอ้อน งานแต่งงานระหว่างเซียวอวี๋และหลินมู่เสวี่ยก็ถูกประกาศสู่สาธารณชน พ่อบ้านชราเซียวหงคือผู้ที่กังวลในเรื่องนี้มากที่สุด เขาหวังมาตลอดว่าตนเองจะได้เห็นงานแต่งงานของเซียวอวี๋ก่อนที่เขาจะลาโลกไป
เซียวอวี๋นั้นต้องการจะจัดงานแต่งงานของเขากับหลินมู่เสวี่ยมาตลอด เพียงแต่งานก็ต้องถูกเลื่อนออกไปอยู่หลายครั้งเพราะเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น
และเมื่อมีโอกาสอันดีเช่นนี้ เซียวอวี๋จึงต้องการใช้โอกาสนี้ในการจัดงานแต่งงานกับหลินมู่เสวี่ยอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าสวรรค์จะชิงชังเซียวอวี๋เป็นพิเศษ เพียงข่าวงานแต่งงานของเขาเพิ่งเผยแพร่ออกไป ข่าวใหญ่ที่ถูกส่งจากชายแดนก็มาถึงเมืองไลอ้อน กองทัพออร์คที่นำโดยกูดาลได้เข้ายึดครองดินแดนจำนวนมากในเวลาอันสั้น ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันยังจับมือเป็นพันธมิตรกับตระกูลเคเนดี้ และในเวลานี้ กองทัพของพวกมันก็อยู่ห่างไปไม่ไกลจากอาณาเขตของดินแดนไลอ้อนแล้ว
สงครามครั้งใหม่กำลังจะอุบัติขึ้นอีกครั้ง!
“ถล่มท่านย่ามันเถอะ! คิดจะไม่ปล่อยให้ข้าอยู่สบายเลยหรืออย่างไร!” เซียวอวี๋สบถอย่างหัวเสีย
เดิมทีอีกเพียงไม่กี่วัน เซียวอวี๋ก็จะได้ลิ้มรสชีวิตคู่เฉกเช่นผู้อื่นบ้างแล้ว เขาต้องการจะมอบงานแต่งงานที่ดีที่สุดจนทุกคนต้องอิจฉาแก่หลินมู่เสวี่ย
ดังนั้นเขาจึงไม่อาจรีบจัดงานขึ้นอย่างลวกๆได้
หลินอ้าวเทียนที่ได้ยินก็ยิ้มออกมาพลางกล่าวกับเซียวอวี๋ว่า “หลานชายเอยหลานชาย บุรุษนั้นมีหน้าที่ของบุรุษอยู่ เจ้าควรจัดการเรื่องราวเหล่านั้นเสียก่อน”
เซียวอวี๋ไม่มีทางเลือก เขาจำต้องพักเรื่องงานแต่งเอาไว้และไปดูว่ากูดาลวางแผนจะทำอะไร….
ตอนที่ 605
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
หลังจากชนะเออซ่าในสงคราม จากชัยชนะอย่างท่วมท้นที่เกิดขึ้นทำให้ยศของเซียวอวี๋เลื่อนขั้นขึ้นอีกครั้ง เขาสามารถเลื่อนระดับของฐานทัพทั้งสามขึ้นเป็นระดับสาม
ครั้งนี้เป็นการเลื่อนระดับฐานทัพออร์ค เมื่อมาถึงระดับสาม ฐานทัพออร์คก็สามารถอัญเชิญเผ่าทัวเรนออกมา
ความเก่งกาจของนักรบแห่งเผ่าพันธุ์ทัวเรนนั้นไม่มีสิ่งใดสงสัย แต่เมื่อได้เห็นพวกเขาด้วยสายตาตนเอง เซียวอวี๋ก็ต้องตกตะลึง ทัวเรนแต่ละตัวมีร่างกายสูงมากกว่าสามเมตร ในมือถือเสาโทเทมเป็นอาวุธ การทุบฟาดพื้นดินด้วยสิ่งนี้จะเป็นการสร้างคลื่นกระแทกรอบตัว
เมื่อเลื่อนขั้น เซียวอวี๋ก็สามารถควบคุมจำนวนยูนิตเพิ่มได้อีกหนึ่งหมื่นห้าพันยูนิต ซึ่งเซียวอวี๋ก็ไม่ขบคิดให้มากความ เขาจัดการทุ่มโควตาทั้งหมดไปที่นักรบทัวเรน
นักรบทัวเรนแต่ละตัวนั้นจะมีค่าเท่ากับห้ายูนิต ดังนั้นโควตาหนึ่งหมื่นห้าพันยูนิตจึงเป็นการอัญเชิญนักรบทัวเรนออกมาสามพันตัว
เมื่ออัญเชิญออกมาแล้ว เซียวอวี๋ก็ทำการทดลองความสามารถของนักรบชุดใหม่ทันที ผลปรากฏว่า อัศวินชั้นยอดจำนวนสามหมื่นนายจากภาคีหัตถ์เงินถูกบดขยี้โดยพวกนักรบทัวเรนสามพันตัวใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ
เผ่าพันธุ์ทัวเรนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ต่อให้เป็นการปะทะกับทัพม้า พวกเขาก็ไม่หวาดหวั่นแต่อย่างใด ยามที่เหล่าทหารม้าพุ่งทะยานเข้าหา พวกนักรบทัวเรนก็ยกเสาโทเทมขึ้นก่อนจะกวาดฟาดไปทั้งคนทั้งม้า
สุดท้ายเซียวอวี๋จึงลองจับพวกนักรบทัวเรนไปสู้กับพกวอสูรโคโด และก็พบว่า พวกนักรบทัวเรนถึงกับแข็งแกร่งกว่าพวกอสูรโคโดเสียอีก
“ยอดเยี่ยม ทัวเรนพวกนี้คุ้มค่าที่เป็นหน่วยบุกทะลวงเบอร์หนึ่งของฉันจริงๆ”
เซียวอวี๋ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เมื่อมีนักรบทัวเรนเหล่านี้อยู่ พวกออร์คของกูดาลยังจะน่ากลัวอีกหรือ? นักรบทัวเรนจำนวนสามพันที่สามารถบยขยี้ศัตรูที่มากกว่านับสิบเท่าได้นั้นแทบจะเรียกได้ว่าแข็งแกร่งไรเทียมทานแล้ว
เมื่อจับคู่รบร่วมกับกองพลรถถัง ยังจะมีศัตรูหน้าไหนหยุดยั้งการจับคู่นี้ได้อีก?
และพวกทัวเรนก็ยังมีระดับเพียงหนึ่งเท่านั้น ยามใดที่พวกมันเลื่อนไปถึงระดับสิบ ยามนั้นคงถึงคราววิบัติของศัตรู
เมื่อถึงระดับที่สิบ ทัวเรนจะมีทักษะแยกทลาย ทะกษะนี้จะสามารถบดขยี้ชุดเกราะของศัตรูได้ราวกับกระดาษ เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับกองทัพเกราะหนักของศัตรู เซียวอวี๋ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด
จากนั้นก็ถึงเวลาอัญเชิญฮีโร่ออกมา ซึ่งเขาเลือกจะอัญเชิญฮีโร่คนสุดท้ายจากเผ่าพันธุ์ออร์ค ชาโดว์ฮันเตอร์
ทักษะที่น่าจับตามองมากที่สุดของชาโดว์ฮันเตอร์คงจะเป็นทักษะ คลื่นรักษา สาป และเสางูพิษ
เซียวอวี๋สั่งให้พวกเขาเร่งเพิ่มระดับของตนเองโดยเร็วที่สุดเพื่อให้พร้อมในการเข้าร่วมสงคราม
จากการต่อสู้ในครั้งล่าสุด จ้าวอัคคีสามารถเลื่อนระดับจนมีพลังเทียบเท่าตัวตนขั้นที่หกแล้ว ทางด้านของราชันย์แห่งขุนเขาเองก็มาถึงระดับสุดยอดของขั้นที่ห้า การเข้าร่วมสงครามทำให้อีโร่ทั้งสองยกระดับตัวเองได้เร็วมาก
โดยเฉพาะจ้าวอัคคีที่ไม่ได้มีกายเนื้อ ฮีโร่ผู้นี้สามารถต่อสู้ได้โดยม่จำเป็นต้องหยุดพักเลย ตราบใดที่ยังมีพลังมานาเหลืออยู่ เขาก็พร้อมจะต่อสู้ตลอดเวลา เวลานี้ร่างกายของเขามีความสูงเกินสิบเมตรจนดุราวกับเป็นพายุเพลิงลูกใหญ่ที่ดูน่ายำเกรง
และโรงเตี๊ยมฮีโร่เองก็มีโควต้าให้อัญเชิญฮีโร่ได้อีกหนึ่งคน เซียวอวี๋จึงเลือก ก๊อบลินทิงเกอร์ ทิงเกอร์นั้นสามารถใช้การโจมตีเป็นวงกว้างอย่างเช่น การระเบิด ซึ่งเซียวอวี๋ก้ตั้งใจว่าจะให้เขาเป็นผู้นำเหล่าก๊อบลินในการจัดตั้งกองทัพจักรกล
เนื่องเพราะในเวลานี้การวิจัยของฮิกกิ้นนั้นก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง พวกก๊อบลินได้สร้างหุ่นยนต์และของชิ้นอื่นๆออกมาเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการให้พวกมันขับหุ่นยนต์เข้าสู่สนามรบคงจะเป็นอะไรที่ตระการตาเป็นแน่
การดำรงอยู่ของเหล่าฮีโร่ทำให้สถานการณ์ของเซียวอวี๋ปลอดโปร่งไร้ซึ่งความกังวลใด
จะเกิดอะไรขึ้นหากว่า ‘สหายเก่า’ อย่างกูดาลมาถึงน่ะหรือ? ยามเมื่อผู้คนถือปืนไว้ในมือ พวกเขาจะรู้สึกอุ่นใจ หากแต่ที่เซียวอวี๋ถืออยู่นี้คือปืนใหญ่ เขายังจะต้องกังวลด้วยหรือ?
สถานการณ์ของทั่วทั้งทวีปยังคงเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง สงครามเกิดขึ้นและจบลงนับครั้งไม่ถ้วน ยุคเก่ากำลังจะตายลงไป และยุคสมัยใหม่กำลังใกล้เข้ามา เซียวอวี๋ทราบกระจ่างดี ทุกคนเองก็รับรู้ถึงเรื่องนี้ ดังนั้นต่างคนจึงต่างพยายามสร้างอนาคตของตนเอง การปรับตัวให้เข้ากับยุคใหม่ที่กำลังจะมาถึงคือเรื่องสำคัญ และผู้ที่เตรียมตัวได้ดีที่สุดจะเป็นผู้ที่ได้หัวเราะในตอนสุดท้าย
เซียวอวี๋มุ่งหน้าไปยังชายแดนเพื่อดูสถานการณ์การร่วมมือกันของพันธมิตรระหว่างกูดาลและร็อบ พวกมันกำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่? พวกมันคิดจะกลืนกินดินแดนของเขาเป็นการเริ่มต้นหรือ?
กล่าวได้ว่าดินแดนของเซียวอวี๋เวลานี้ไม่ใช่ลูกพลับนิ่มที่ผู้ใดจะรังแกได้อีกต่อไป ในบรรดาขุมใหญ่กำลังฝ่ายต่างๆ ดินแดนของเซียวอวี๋นั้นทรงพลังมากที่สุดแล้ว ด้วยกำลังทหารมากกว่าสิบล้านนาย เหล่ายอดฝีมืออีกคับคั่ง ยังจะมีฝ่ายใดกล้ามายั่วยุเขาง่ายๆอีกหรือ?
จะมีก็แต่ร็อบจากตระกูลเคเนดี้ผู้หุนหันที่เสนอแผนการนี้ขึ้นมา เขายังคงเจรจาอย่างต่อเนื่องกับกูดาลเกี่ยวกับการบุกโจมตีดินแดนไลอ้อน
ทว่ากูดาลนั้นเป็นสุนัขเฒ่าเจ้าเล่ห์ เขาเจนโลกยิ่ง และทราบว่าจะฉกฉวยผลประโยชน์จากความวุ่นวายได้อย่างไร
ดังนั้นกูดาลจึงปฏิเสธข้อเสนอแนะของร็อบอย่างเด็ดขาดและปฏิเสธที่จะโจมตีดินแดนไลอ้อนเป็นแห่งแรก อีกทั้งกูดาลยังได้ส่งทูตมาเจรจากับเซียวอวี๋ เป็นการแสดงออกมาว่าเขาต้องการจะสงบศึกกับเซียวอวี๋
“มารดามัน เจ้าจิ้งจอกเฒ่านี่”
แน่นอนว่าเซียวอวี๋เองก็ไม่ได้ปฏิเสธ เขาตกลงที่จะเซ็นข้อตกลงนี้
หากแต่ในความเป็นจริงแล้ว เซียวอวี๋เองก็เริ่มเตรียมตัว เขาสั่งเรียกระดมกำลังทหารทั้งหมด
หน้าที่หลักนี้เขาได้มอบหมายให้กับคนสองคน คนแรกคือเออซ่า อีกคนคือฉินเช่อ ประเมินจากสงครามการปิดล้อมเมืองครั้งล่าสุด เซียวอวี๋ทราบว่าเออซ่านั้นช่ำชองการบัญชาทัพ และการแต่งตั้งเออซ่าจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง
และฉินเช่อเองก็ได้พิสูจน์ความสามารถของเขาแล้ว ไม่มีผู้ใดคัดค้านในเรื่องนี้
เซียวอวี๋ได้ผลักภาระหน้าที่ทางด้านกองทัพไปให้กับแม่ทัพทั้งสอง ส่วนตัวเขาเองนั้นอยู่ว่าง และใช้ชีวิตไปอย่างเพลิดเพลินไร้กังวล
ส่วนเรื่องของนครแน็กแรมนั้น เวลานี้มันได้ลอยอยู่เหนือฐานทัพของอันเดด และอาร์ทัสก็ค่อยๆเข้าใจการเคลื่อนตัวของมัน
เรื่องนี้ทำให้เซียวอวี๋งุนงงเป็นอย่างมาก แต่ความจริงก็คือ อาร์ทัสสามารถควบคุมแน็กแรมได้จริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้นอาร์ทัสยังสามารถสั่งเปิดแน็กแรมได้ด้วย เซียวอวี๋เลยขึ้นไปสำรวจด้วยตนเองพร้อมกับอาร์ทัส แต่ก็ไม่พบสิ่งใดภายในนั้น
แน็กแรมเวลานี้กลายเป็นนครที่ว่างเปล่า
เรื่องนี้ยิ่งทำให้เซียวอวี๋ตกตะลึงกว่าเดิม เขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
สุดท้ายเขาก็จำต้องออกมามือเปล่าและให้อาร์ทัสคอยควบคุมแน็กแรมต่อไป และหากว่าจำเป็น เขาก็อนุญาตให้ใช้แน็กแรมในการต่อสู้
หลังจากนั้นไม่นาน อาร์ทัส ก็พลันพบว่าตนเองสามารถเชื่อมโยงแน็กแรมเข้ากับฐานทัพอันเดด เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกอันเดดก็สามารถย้ายไปอยุ่ภายในแน็กแรม และนี่จะทำให้การค้นหากองทัพอันเดดในอนาคตเป็นเรื่องยากสุดจะหยั่ง
เซียวอวี๋ที่เกิดความคิดแปลกๆก็ลองย้ายฐานทัพอันเดดเข้าไปอยู่ภายในแน็กแรม ซึ่งก็ประสบความสำเร็จ เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกอย่างก็ลงตัว เขาไม่ต้องคอยกังวลอีกแล้วว่าฐานทัพอันเดดจะถูกพบเจอ
หลังจากรื้อสิ่งก่อสร้างภายในฐานทัพเก่า เขาก็เริ่มทยอยสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆขึ้นใหม่ภายในนครแน็กแรม และทำให้มันกลายเป็นฐานทัพลอยฟ้า
“ท่านย่ามันเถอะ โครตเจ๋ง ฐานทัพที่สามารถไปได้ทุกที่!”
หลังจากย้ายพวกอันเดดไปอยู่ในแน็กแรม เซียวอวี๋ก็พบว่าพวกเผ่าพันธุ์อันเดดนั้นเกิดการพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าสถานที่นี้เป็นที่ที่เหมาะสมในการพัฒนากองทัพอันเดด
ปัญหาเรื่องอันเดดเป็นอันว่าแก้ไขไปได้ชั่วคราว
ในเวลาต่อมา อูเธอร์ได้ร้องขออนุญาตจากเซียวอวี๋ในการนำกำลังไปปราบปรามพวกอันเดดภายในเทือกเขาอัลคาเกน แต่การเดินทางไปหลายครั้งของเขาก็ต้องพบเจอแต่ความว่างเปล่า
ช่วงเวลาหลังจากนั้น การปรับเปลี่ยนฐานรากของพวกอัศวินจากศาสนจักรก้เริ่มมีประสิทธิภาพ แนวคิดของพวกเขาค่อยๆถูกกล่อมเกลามาอยู่ในทางที่ถูกที่ควร
ในช่วงเวลานี้เซียวอวี๋ก็ทำเพียงเฝ้าสังเกตการเปลี่ยนแปลงในดินแเดนแห่งอื่นๆ เขายึดมั่นในหลัก ไม่เปลี่ยนแปลงเพื่อรับมือความเปลี่ยนแปลง
หลังจากกูดาลทำสนธิสัญญาสันติภาพกับเซียวอวี๋ เขาก็หันไปเริ่มสงครามตีชิงดินแดนและขยายอาณาเขตของตัวเองอย่างรวดเร็ว
ซึ่งเซียวอวี๋เองก็ไม่ได้กังวลแต่อย่างใด เมื่อถึงเวลาที่กูดาลปะทะกับพวกทหารทมิฬ เขาก็จะได้ทราบว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่
แม้ว่าก่อนหน้านี้เซียวอวี่จะสงสัยว่ากูดาลและพวกกองทัพทมิฬนั้นเป็นกลุ่มเดียวกัน แต่มันก็มีข้อบ่งชี้มากมายที่บ่งบอกว่าทั้งสองกลุ่มไม่ใช่พวกเดียวกันอยู่
เมื่อเวลานั้นมาถึง เขาก็จะปล่อยให้หมาป่าสองตัวนี้ต่อสู้กัน
เซียวอวี๋หัวเราะให้กับความคิดของตนเอง…..
ตอนที่ 606
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
หลังจากที่พวกอันเดดเข้าไปอยู่ภายในแน็กแรม เซียวอวี๋ก็ออกคำสั่งให้กองทัพอันเดดมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ที่ถูกพวกทหารทมิฬยึดครองเพื่อเพิ่มพลังรบ
อย่างไรเสีย พวกทหารทมิฬก็ไม่อาจนับว่าเป็นมนุษย์ได้อีกต่อไป ดังนั้นการเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นอันเดดและนำมาใช้ในการรบจึงไม่ได้สร้างความตะขิดตะขวงใจเท่าใดนัก
อาร์ทัสยังคงจงรักภักดีต่อเซียวอวี๋ แต่เซียวอวี๋ก็ได้เตรียมแผนการในอนาคตสำหรับอาร์ทัสเอาไว้แล้ว เมื่อถึงตอนนั้นเขาอาจจะส่งอาร์ทัสไปปกครองโลกใต้ดิน กลายเป็นราชาแห่งโลกใต้ดิน หรืออาจจะให้อาร์ทัสปกครองแน็กแรมต่อไป
เวลานี้ เขาต้องการจะเพิ่มขุมพลังให้กับอาร์ทัสก่อนเพื่อให้เขาสามารถต้านทานพวกทหารทมิฬ
อ้างอิงจากความคืบหน้าของพวกอันเดด เซียวอวี๋เชื่อว่าอีกไม่นานยศของเขาคงเลื่อนขึ้นสู่ระดับสูงสุด และเมื่อถึงเวลานั้น เขาก็จะสามารถอัญเชิญฮีโร่ตัวสุดท้ายของเผ่าพันธุ์อันเดดอย่าง จ้าวแห่งความพรั่นพรึง ออกมา
ด้วยวิธีนี้ เหล่าอันเดดก็จะมีกลุ่มผู้นำเป็นเสาหลักของกองกำลังและกลายเป็นขุมกำลังขนาดใหญ่อย่างแท้จริง
การส่งกองทัพอันเดดไปยังพื้นที่ปกครองของพวกทหารทมิฬของเซียวอวี๋นั้นเป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยม หลังจากไปถึงที่นั่นได้ไม่นาน อาร์ทัสก็แสดงความสามารถด้านผู้นำของเขาออกมาอย่างโดดเด่นและสังหารพวกทหารทมิฬไปนับไม่ถ้วน และหลังจากพวกทหารทมิฬตกตายลง พวกมันก็จะฟื้นขึ้นมาใหม่ในฐานะทหารอันเดด
การทำสงครามในจักรวรรดิเมฆาของพวกทหารทมิฬได้แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกมันไม่ได้มีพลังโจมตีสูงนัก พวกมันเป็นเพียงเหล่าชาวบ้านที่ถูกล้างสมอง ดังนั้นจึงไร้แรงต่อกรกับพวกอันเดดอย่างสิ้นเชิง
อาร์ทัสใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถสร้างฐานอำนาจของตนขึ้นมาได้ และการดำรงอยู่ของนครแน็กแรมก็ช่วยให้พวกอันเดดกลายเป็นขุมกำลังฝ่ายใหม่
ทั่วทั้งทวีปตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง เดิมทีแค่พวกทหารทมิฬก็แย่พอแล้ว มาตอนนี้ยังปรากฏพวกอันเดดขึ้นมาอีก นี่ทำให้ผู้คนทั่วไปยากจะข่มตานอนได้
ขณะที่ทางเซียวอวี๋นั้นลอบยินดี ยิ่งพลังของอาร์ทัสเพิ่มพูนขึ้น การทำสงครามกับพวกทหารทมิฬในอนาคตก็จะง่ายขึ้นตาม
นี่เป็นเพราะพวกทหารทมิฬนั้นมีมากเกินไป เพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นยากจะกำจัดพวกมันได้ทั้งหมด แต่พวกอันเดดนั้นมีคุณลักษณะคล้ายคลึงกับพวกทหารทมิฬ และการลดทหารทมิฬมาเพิ่มกำลังรบของฝ่ายตนไปในเวลาเดียวกันก็เป็นวิธีการที่ไม่เลว
ยิ่งไปกว่านั้น พวกอันเดดนั้นเรียกได้ว่าเป็นดาวข่มของพวกทหารทมิฬเลยก็ว่าได้ หลังจากพวกทหารทมิฬตาย พวกมันก็จะกลายเป็นอันเดด แต่หากพวกอันเดดถูกฆ่าตาย พวกทหารทมิฬก็ไม่สามารถเพิ่มกำลังได้เฉกเช่นเดียวกับพวกอันเดด
ด้วยเหตุนี้ เซียวอวี๋จึงตัดสินใจส่งพวกอันเดดไปกอบกู้ทวีป ของเพียงพวกมันได้แสดงด้านที่ดีออกมาสู่สายตาผู้คน พวกอันเดดเองก็สามารถเป็นวีรบุรุษของทวีปได้
ความสำเร็จของอาร์ทัสในแนวหน้านั้นโดดเด่นเป็นอย่างมาก และค่าผลงานของเซียวอวี๋ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนสุดท้ายก็สามารถเลื่อนยศขึ้นเป็นยศสูงสุดที่ระดับจอมทัพ และนี่ทำให้เขาสามารถอัพเกรดฐานทัพอันเดดให้เป็นระดับสาม
หลังจากอัพเกรดฐานทัพอันเดดเป็นระดับสาม ยูนิตที่สามารถอัญเชิญออกมาได้ก็คือมังกรน้ำแข็งที่สุดแสนจะแข็งแกร่ง
หากส่งฝูงมังกรน้ำแข็งออกไปยังจะมีผู้ใดต้านติดได้อีก?
ผลลัพธ์นั้นคล้ายคลึงกับฝูงคิเมร่าของฐานทัพเอลฟ์ จำนวนที่สามารถครอบครองได้สูงสุดคือหนึ่งร้อยตัว แต่ละตัวมีค่าเท่ากับสิบยูนิต
ได้เห็นข้อกำหนดนี้ เซียวอวี๋ก็ก่นด่ามารดาของระบบอยู่ในใจ แต่นี่ก็ไม่มีผลอะไร จำนวนหนึ่งร้อยตัวก็ไม่ได้แย่แต่อย่างใด หากตายไปก็สามารถสร้างตัวใหม่ขึ้นมาได้อีก
ด้วยการถึงระดับยศสูงสุดของเขา จำนวนยูนิตที่ควบคุมได้จึงเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งหมื่นห้าพันยูนิต และเซียวอวี๋ก็ยกผลประโยชน์ส่วนนี้ให้กับพวกอันเดด
ตอนนี้เซียวอวี๋จำเป็นต้องพึ่งพาขุมกำลังของอันเดด
นอกจากโควต้าหนึ่งพันยูนิตในการอัญเชิญมังกรน้ำแข็งหนึ่งร้อยตัวแล้ว เซียวอวี๋ยังได้เสริมกำลังให้กับยูนิตอันเดดแต่ละยูนิต และนั่นก็ทำให้จำนวนอันเดดทั้งหมดของฐานทัพอันเดดมีจำนวนมากถึงสองหมื่นตัว
การมีอันเดดกำลังหลักจำนวนสองหมื่นตัวได้ยกระดับขุมกำลังของพวกอันเดดขึ้นไปอีกขีดขั้น เพราะสุดท้ายแล้ว พวกอันเดดจากระบบนั้นก็แข็งแกร่งกว่าพวกอันเดดที่ถูกปลุกจากซากศพมาก
พวกอันเดดเดินหน้าบุกโจมตีอย่างมั่นคง ขุมกำลังยิ่งมายิ่งใหญ่ขึ้น และพวกทหารทมิฬเองก็ขยายพื้นที่ออกไปอย่างต่อเนื่องเช่นกัน สำหรับกับมนุษย์ธรรมดาทั่วไป เซียวอวี๋ได้กำชับอาร์ทัสไม่ให้สังหารคนเหล่านั้น เขาสั่งให้อาร์ทัสนำตัวคนเหล่านั้นไปกักขังไว้ที่ใดสักแห่ง และตบตาว่าคนเหล่านั้นถูกช่วยเหลือโดยกองกำลังไม่ทราบฝ่าย
ซึ่งแน่นอนว่ากองกำลังลึกลับเหล่านั้นถูกส่งไปโดยเซียวอวี๋
ด้วยวิธีนี้สถานการณ์ในทวีปจึงค่อยๆเด่นชัดขึ้น และกองกำลังของนิโคลัสที่ซุ่มตัวอยู่นานก็ผุดขึ้นกลายเป็นขุมกำลังใหม่ เป็นขุมกำลังที่กระทั่งทรงพลังกว่าฝ่ายของเซียวอวี๋
นิโคลัสผู้นี้เป็นผู้ที่มากความสามารถอย่างแท้จริง อีกทั้งตระกูลที่หนุนหลังเขาอยู่ก็ยังแข็งแกร่ง ดังนั้นขุมกำลังของเขาจึงพัฒนาขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ลีโอนาโดที่ได้ขึ้นเป็นราชาในตอนแรก มาตอนนี้กำลังถูกกดดันอย่างหนัก ดังนั้นเขาจึงต้องละทิ้งตำแหน่งราชาไปจนกลายเป็นเรื่องขำขัน
และจากแรงกดดันที่มากขึ้นมากขึ้น การถูกรุกรานโดยพวกทหารทมิฬและกองทัพของกูดาลทำให้เขาจำต้องจับมือเป็นพันธมิตรกับนิโคลัส นิโคลัสเองก็ทราบว่าไม่มีทางเลือกมากนัก ดังนั้นจึงตกลงเป็นพันธมิตรกับลีโอนาโด
อีกขุมกำลังหนึ่งที่โดดเด่นก็คือพันธมิตรระหว่างร็อบและกูดาล อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณบางอย่างที่บ่งชี้ว่าร็อบนั้นกำลังค่อยๆถูกกูดาลควบคุม
กูดาลนั้นเป็นจ้าวแห่งมนต์ดำ การจะควบคุมจิตใจของผู้คนก็ไม่เหนือบ่ากว่าแรงของเขา หรือที่จริงแล้ว การร่วมกันระหว่างทั้งสองนั้นอาจจะเป็นกูดาลที่ควบคุมมาตั้งแต่แรก? เซียวอวี๋มั่นใจอย่างยิ่งว่าทัพพันธมิตรของทั้งสองเวลานี้ได้ตกอยู่ในการควบคุมของกูดาลอย่างสมบูณณ์แล้ว
ตัดกลับมาทางด้านของเซียวอวี๋ ขุมกำลังของเซียวอวี๋นั้นเรียกได้ว่าอยู่ในตำแหน่งมีเปรียบมากที่สุดของทวีปแล้ว เป็นเพราะว่าอาณาเขตในการปกครองของเขาเป็นเพียงอาณาเขตเพียงแห่งเดียวที่ภัยรุกรานของพวกทหารทมิฬถูกตัดออกไปด้วยการมีกองทัพอันเดดเป็นแนวกันชนที่แนวหน้า ดังนั้นศัตรูที่เขาจะต้องเผชิญจริงๆจึงมีเพียงกองทัพของกูดาล
อาณาเขตของนิโคลัสและลีโอนาโดนั้นอยู่ที่อีกด้านของกูดาลซึ่งไกลจากเซียวอวี๋เป็นอย่างมาก
ขุมกำลังขนาดเล็กหรือประเทศเล็กๆในละแวกใกล้เคียงอย่างเช่น จักรวรรดิแลนซ์ที่เซียวอวี๋เคยไปเยือนก็ล่มสลายและหันไปพึ่งพิงขุมกำลังฝ่ายอื่นๆ
ซึ่งฝ่ายที่จักรวรรดิแลนซ์เลือกจะหันไปซบก็คือ ฝ่ายของกูดาล
ขุมกำลังส่วนใหญ่นั้นเลือกที่จะไปเข้าร่วมกับนิโคลัสหรือขุมกำลังฝ่ายอื่นๆ
ห่างออกไปทางด้านตะวันออกของดินแดนไลอ้อนก็คือ จักรวรรดิเมฆา จักรวรรดิเมฆานั้นเคยเกือบต้องล่มสลายเพราะพวกทหารทมิฬมาก่อน และครั้งนี้ก็ยังได้ส่งกองกำลังชั้นยอดมาช่วยเหลือเซียวอวี๋ในการทำสงคราม
นี่คือหนี้ที่โถวปาหงได้ติดค้างไว้ต่อเซียวอวี๋
นอกจากนั้น โถวปาหงยังทราบดีว่าทั่วทั้งทวีปกำลังตกอยู่ในความวุ่นวาย หากไม่ระวังให้ดีก็อาจนำไปสู่การล่มสลายของกฏระเบียบต่างๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เรียกได้ว่าทุกคนกำลังลงเรือลำเดียวกัน หากว่าทวีปล่มสลาย จักรวรรดิเมฆาเองก็คงไม่พ้นต้องมีชะตากรรมเช่นเดียวกับดินแดนแห่งอื่นๆ
ดังนั้นจักรวรรดิเมฆาจึงต้องทุ่มสุดกำลังเพื่อชนะในสงครามนี้
เซียวอวี๋พึงพอใจกับการมาถึงของกองกำลังชั้นยอดแห่งจักรวรรดิเมฆามาก โดยเฉพาะทัพพยัคฆ์จำนวนห้าหมื่นห้าพันนาย นี่ทำให้เซียวอวี๋ตื่นเต้นยินดีอย่างที่สุด สำหรับทัพพยัคฆ์นี้ เซียวอวี๋รู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของพวกเขาเป็นอย่างดี เขาเคยร่วมรบกับยอดทหารหาญเหล่านี้มาแล้วหลายครั้ง และเซียวอวี๋ก็มีความประทับใจต่อพวกเขาอย่างลึกล้ำ
กองทัพส่วนใหญ่ของจักรวรรดิเมฆานั้นเป็นทหารม้า ดังนั้นเซียวอวี๋จึงส่งพวกเขาไปอยู่ภายใต้การบัญชาของฉินเช่อ เนื่องเพราะผู้นำทัพที่มาในครั้งนี้คือโถวปาหู่ และโถวปาหู่กับฉินเช่อก็รู้จักกันเป็นอย่างดี ซึ่งโถวปาหู่ก็ไม่ได้คัดค้านกับการจัดการนี้
“เรียกใช้พวกเราได้ตามต้องการเลย” นี่คือสิ่งที่โถวปาหู่กล่าวกับเซียวอวี๋
สิ่งนี้ทำให้เซียวอวี๋ประทับใจอย่างมาก โถวปาหู่นับว่าเป็นชายชาตรีอย่างแท้จริง
สงครามที่ลุกลามไปทั่วทวีปนั้นทำให้ทวีปเปราะบาง และวันหนึ่ง เฟอร์กูสันก็ได้นำพาคนบางคนมายังดินแดนไลอ้อน…..
ตอนที่ 607
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
เซียวอวี๋คิดว่ามันแปลกมากที่เฟอร์กูสันคิดจะมาที่ดินแดนไลอ้อนด้วยตนเอง เพราะอย่างไรเสีย ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก หากว่าผู้มาเป็นธีโอดอร์ก็คงจะไม่แปลก แต่เฟอร์กูสันล่ะ ผู้อาวุโสท่านนี้มาทำอะไรที่นี่กันแน่?
เมื่อเซียวอวี๋ออกไปต้อนรับเฟอร์กูสัน เขาก็พบว่าที่ด้านหลังของเฟอร์กูสันยังมีคณะผู้ติดตามอีกหลายคน ยิ่งกว่านั้น คนเหล่านี้ยังมีลักษณะราศีไม่ธรรมดา ลวดลายบนเสื้อผ้าอาภรณ์ก็ประณีตงดงาม นี่เป็นลักษณะของเชื้อพระวงศ์
เซียวอวี๋ทราบแล้วว่าเฟอร์กูสันนำพาผู้ใดมา
คนเหล่านี้ก็คือเชื้อพระวงศ์แห่งราชวงศ์พยัคฆ์คำรน
เซียวอวี๋กลอกตา ดูท่าเฒ่าชราผู้นี้คงนำเรื่องยุ่งยากพกติดมาด้วยเป็นแน่ ท่านคิดให้ข้าถวายความภักดีต่อราชวงศ์โดยการนำเชื้อพระวงศ์มาด้วยอย่างนั้นหรือ? ท่านคิดผิดแล้ว!
“ท่านเฟอร์กูสัน นี่เป็นเรื่องราวใดกัน?” เซียวอวี๋ยิ้มรับหน้า หากแต่ในใจปรารถนาใคร่ทุบตีเฒ่าชราผู้นี้ใจจะขาด
ตาเฒ่านี่คงอยู่ว่างเกินไปจึงหาเรื่องลำบากให้ผู้อื่นแก้เบื่อกระมัง
“เซียวอวี๋ ข้าขอกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อมเลยนะ ตัวข้านั้นรับใช้ราชวงศ์พยัคฆ์คำรน ทวีปในเวลานี้กำลังตกอยู่ในความวุ่นวาย เหล่าเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์ในเวลานี้ไม่มีที่พักอันปลอดภัย ข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยจัดหาที่พักให้พวกเขาเพื่อรักษาสายเลือดสุดท้ายของราชวงศ์เอาไว้” เฟอร์กูสันกล่าวด้วยน้ำเสียงเชิงขอร้อง
เซียวอวี๋ขบริมฝีปากก่อนจะดึงเฟอร์กูสันไปพูดคุยที่ด้านข้าง “ผู้อาวุโส นี่มันอะไรกัน? ท่านต้องการให้ข้าจัดพวกเขาพักอาศัยอยู่ที่นี่หรือ? ต้องคอยดูแลด้านการกินและเสื้อผ้าของพวกเขา? หรือท่านกำลังคิดจะใช้พลังของท่านมาบีบบังคับข้า ให้ข้ายอมก้มหัวต่อพวกเขา?”
เฟอร์กูสันยิ้มฝืดเฝื่อนก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้าในตอนนี้ยังคุกคามเจ้าได้หรือ?”
เซียวอวี๋กล่าวว่า “แน่นอนว่าได้ ข้าเคยเห็นเวทต้องห้ามที่ท่านใช้ออกเมื่อตอนที่อยู่ในอัลคีราฟมาแล้ว หากท่านนำมาใช้ในเมืองไลอ้อนของข้า ข้าก็คงต้านทานไม่ไหว”
เฟอรืกูสันทอดถอนใจพลางกล่าวว่า “ต่อให้ข้าใช้เวทต้องห้ามจริงๆ ข้าก็คงจะไม่ใช้ที่นี่ ตาเฒ่าสองคนนั้นคงไม่เห็นด้วยแน่ ตอนนี้เจ้าคือความหวังของทวีป หากว่าข้าโจมตีใส่เจ้า เช่นนั้นข้าก็คงจะถูกก่นด่าไปชั่วลูกชั่วหลาน”
“เอาล่ะ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดี ว่าแต่ท่านพาพวกเขามาที่นี่เพื่ออะไร?” เซียวอวี๋เหลือบมองขบวนรถม้าอันหรูหราที่จอดเรียงราย
“ข้าหวังว่าเจ้าจะต้อนรับพวกเขา อย่างน้อยก็ในนาม รอกระทั่งวันหนึ่ง หากว่าเจ้าช่วยทวีปแห่งนี้ได้สำเร็จ ข้าสัญญาว่าจะทำให้พวกเขาไม่คัดค้านที่จะให้เจ้าขึ้นเป็นราชาแท้จริงแห่งทวีป” เฟอร์กูสันมองเซียวอวี๋ด้วยสายตาอันแน่วแน่
“อืม น่าสนใจ เช่นนั้น ผู้อาวุโส ท่านคงจะไม่หลอกข้าหรอกนะ?” เซียวอวี๋ยังคงกังวลอยู่
เฟอร์กุสันพลันยกนิ้วขึ้นมาก่อนที่จะมีเปลวเพลิงถูกจุดขึ้นที่ปลายนิ้ว เขากล่าวด้วยนำเสียงเคร่งขรึม “ข้าขอสาบานด้วยนามแห่งมนตราธาตุ หากว่าข้าหลอกลวงเจ้า ให้ข้าถูกสังหารด้วยมนตรานี้”
“อ่า ผู้อาวุโส ดูท่านสิ ท่านจริงจังไปแล้ว ข้าเพียงแค่หยอกท่านเล่น ในเมื่อท่านให้สัญญา ข้าจะไม่เชื่อท่านได้อย่างไร มาเถอะ ข้าจะไปต้อนรับเหล่าอาคันตุกะจากราชวงศ์ก่อน พวกเราดินแดนไลอ้อนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง!” เซียวอวี่ยิ้มให้เฟอร์กูสันก่อนจะตะโกนด้วยเสียงอันดัง
ด้วยเหตุนั้น ดินแดนไลอ้อนจึงได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับเหล่าเชื้อพระวงศ์ของราชอาณาจักรพยัคฆ์คำรน เซียวอวี๋ได้จัดอาหารและเครื่องดื่มออกมามากมาย เพียงแต่ไม่ให้ความสำคัญต่อพวกเขามากนัก
นี่เป็นการบอกใบ้ว่าอยู่ที่นี่ข้าคือเจ้าบ้าน ส่วนพวกท่านเป็นอาคันตุกะ
เซียวอวี๋เคยคิดว่าโจโฉนั้นชั่วร้ายมาก แต่มาตอนนี้เขากลับต้องกระทำเฉกเช่นเดียวกัน และเขาก็ทราบแล้วว่าหากมีหนทางอื่นอยู่ โจโฉก็คงกระทำไปแล้ว ‘ให้ตายเถอะ ดินแดนนี้เป็นลูกพี่บุกเบิกเส้นทางอย่างยากลำบาก พวกเจ้านับเป็นตัวอะไร? เพียงแค่ใช้ความเป็นเื้อพระวงศ์ก็คิดจะมาขี่คอลูกพี่หรือ?’
‘กองทัพทั้งหมดก็เป็นกองทัพของลูกพี่ ให้ข้าส่งมอบออกไปหรือ เหอะ นี่ใยไม่ใช่ว่าข้ายื่นคอให้พวกเจ้าหรือ’
ดินแดนนี้เป็นของข้า!
เซียวอวี๋เริ่มขบคิดหาวิธีจัดการกับเชื้อพระวงศ์เหล่านี้ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต หากไม่ใช่คำขอร้องของเฟอร์กูสัน ตัวเขาก็คร้านจะใส่ใจคนเหล่านี้
‘ยุคของพวกเจ้ามันจบลงไปแล้ว พวกเจ้าควรยอมรับความจริงและหันไปใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบ เช่นนั้นก็คงยังพอรักษาเกียรติเอาไว้ได้’
ในช่วงนี้ก็คงต้องปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปก่อน อย่างไรเสียเฟอร์กูสันก็รับปากเอาไว้แล้ว ตราบใดที่เขาขึ้นเป็นราชาของทวีป เขาก็จะจัดการเรื่องราวต่างๆได้อย่างชอบธรรม
เซียวอวี๋เดินทางไปเยี่ยมเยือนจักรพรรดิด้วยฐานะที่เท่าเทียมกัน และพบว่าจักรพรรดินั้นเป็นบุรุษผอมบางกลางคนอายุราวสี่สิบปี ลักษณะท่าทางดูผ่อนคลายไร้กังวล
จักรพรรดิพระองค์นี้ดูจะเป็นกันเองกว่าที่คาด พระองค์เมื่อแรกพบหน้าเซียวอวี๋ก็ประกาศมอบบรรดาศักดิ์ราชาแก่เซียวอวี๋ทันที
ในเวลานี้ เซียวอวี๋ไม่ใช่ดยุคของดินแดนไลอ้อนอีกต่อไป หากแต่เป็นราชา
และแน่นอนว่านี่เพียงชั่วคราว หลังจากเรื่องราวจบลง เซียวอวี๋จะขึ้นเป็นราชาอย่างแท้จริง
หลังจากจักรพรรดิกล่าวปลอบโยนเซียวอวี๋อยู่หลายคำ เขาก็ต้องการจะยกหนึ่งในองค์หญิงให้แต่งงานกับเซียวอวี๋ ซึ่งแน่นอนว่าเซียวอวี๋นั้นปฏิเสธในเรื่องนี้ ตัวเขามีภรรยาอยู่แล้ว
จักรพรรดิดูจะหงุดหงิดอยู่บ้าง ดังนั้นเขาจึงเรียกหาเฟอร์กูสันมา ให้เฟอร์กูสันไปเกลี้ยมกล่อมเซียวอวี๋ ครั้งนี้เขาจะยกบุตรีทั้งหมดให้ ขอเพียงแค่เซียวอวี๋ตกลงรับปาก ซึ่งหากยังยืนการปฏิเสธอีกก็จะเป็นการทำให้ราชวงศ์เสื่อมเสียหน้าตา แต่หากรับปากก็จะเป็นผลดีต่อเซียวอวี๋ในอนาคต นี่ยังเป็นการบอกใบ้ว่าจักรพรรดิจะสละบัลลังก์ให้กับราชบุตรเขย นี่เป็นทางออกที่ดีต่อทั้งสองฝ่าย
เซียวอวี๋บอกให้เฟอร์กูสันไปหารือเรื่องนี้กับหลินมู่เสวี่ยเอง ซึ่งหากมู่เสวี่ยต้องการให้แต่ง เช่นนั้นเขาก็จะแต่ง แต่หากว่านางไม่ยินยอม เช่นนั้นเรื่องนี้ก็เป็นอันตกไป….
ตอนที่ 608
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
เฟอร์กูสันสิ้นไร้หนทาง สุดท้ายจึงต้องไปพบหลินมู่เสวี่ย อย่างไรเสียทั้งสองก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เฟอร์กูสันเคยฝึกฝนให้มู่เสวี่ยจนมู่เสวี่ยก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ส่วนตัวเขาเองก็ได้ประโยชน์จากการศึกษาพลังเวทของเอกวินน์
ทว่าเรื่องราวกลับไม่เหมือนดังที่เซียวอวี๋คาดคิด หลินมู่เสวี่ยเป็นสตรีที่ดีงาม นางเห็นด้วยโดยไม่มีท่าทางไม่พอใจแม้แต่น้อย ซ้ำยังดูยินดีอีกด้วย
ไฉนนางจึงรู้สึกยินดี?
นางไม่ได้เพียงแค่เห็นด้วย หากแต่ยังกล่าวว่าจะให้องค์หญิงผู้นั้นอยู่ในฐานะราชินีอีกด้วย ส่วนตัวนางจะอยู่ในตำแหน่งรองลงมา แต่เซียวอวี๋ไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้
องค์หญิงผู้นั้นเป็นใครมาจากไหนกัน? หลินมู่เสวี่ยเป็นภรรยาของเขา แม้ว่าตัวเขาจะมีอนุและทาสสาวอยู่บ้าง กระนั้นก็ยังมีภรรยาเพียงคนเดียว และเขาจะไม่เปลี่ยนตัวภรรยาอย่างเด็ดขาด
ทว่ากลับเป็นหลินมู่เสวี่ยที่เวลานี้กลับมาเป็นฝ่ายเกลี้ยมกล่อมเซียวอวี๋ซะเอง นี่เป็นเรื่องความชอบธรรม หากว่าเซียวอวี๋กลายเป็นราชบุตรเขยของราชวงศ์พยัคฆ์คำรน เขาก็จะมีเปรียบอย่างมากในการขึ้นปกครองทวีป
นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าความชอบธรรม เมื่อได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความชอบธรรม เรื่องราวก็จะราบรื่น เมื่อเป็นเช่นนั้น เซียวอวี๋ก็จะได้สืบราชบัลลังก์ จะไม่มีผู้ใดสามารถคัดค้านได้อีก
กระนั้นเซียวอวี๋ก็ยังไม่เห็นด้วย ไม่ว่าอย่างไร หลินมู่เสวี่ยจะดำรงตำแหน่งภรรยาหลวงของเขา เขาจะยอมรับเรื่องที่จะให้นางลดตำแหน่งไปเป็นอนุภรรยาอย่างเด็ดขาด
ได้เห็นการแสดงออกของเซียวอวี๋ หลินมู่เสวี่ยก็โมโห นางไม่ยอมพูดยอมจากับเซียวอวี๋อยู่หลายวัน ทั้งยังขู่ว่าจะหย่ากับเซียวอวี๋ นางยังยืนกรานคำเดิม เซียวอวี๋จะต้องยกตำแหน่งราชินีให้กับองค์หญิงผู้นั้น
เซียวอวี๋ตามง้อนางอยู่หลายวัน แต่นางก็ไม่สนใจ สุดท้ายเขาจึงจำต้องตกปากรับคำไปก่อน เอาไว้ค่อยพูดเรื่องนี้กันภายหลัง
เซียวอวี๋ยังไม่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำว่าองค์หญิงผู้นี้หน้าตาเป็นอย่างไร เขาขี่มังกรน้อยออกไปสังเกตการณ์ที่แนวหน้าทุกวันเพื่อทำความเข้าใจ สถานการณ์ อย่างไรเสีย เวลานี้เขายังไม่ใช่ราชาของทวีป ดังนั้นจึงยากจะพูดถึงเรื่องราชินี
เซียวอวี๋รออยู่ไม่นาน ไฟสงครามก็ลามมาถึงดินแดนไลอ้อน
วันนั้นทหารยังคงลาดตระเวนตามแนวชายแดนตามปกติ แต่จู่ๆพวกเขาก็ถูกทหารทมิฬซุ่มโจมตี โชคดีที่ฉินเช่อตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว เขาได้ส่งสัญญาไปยังแนวป้องกันและถอยร่นกลับมายังแนวป้องกันที่สองในทันทีเพื่อลดการสูญเสีย
ทุกคนต่างก็สงสัยในเรื่องเดียวกัน ทหารทมิฬพวกนี้มาจากไหน?
ไม่นานข่าวระลอกใหม่ก็ถูกส่งมาจากชายแดน จู่ๆก็มีทหารทมิฬจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นในดินแดนของร็อบและยึดพื้นที่ส่วนใหญ่ไปในชั่วเวลาเพียงข้ามคืน ทางกูดาลที่ไม่ทันระวังเองก็ประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก
ทางด้านนิโคลัสเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ดินแดนในครอบครองของเขาก็ถูกรุกรานและมีหทารบาดเจ็บล้มตายไม่น้อย
ทหารทมิฬบางส่วนก็หลุดรอดผ่านมาได้ และพวกทหารทมิฬที่ปรากฏขึ้นที่ชายแดนของดินแดนไลอ้อนก็เป็นส่วนที่หลุดรอดมานี้เอง
นิโคลัสได้ส่งทูตไปเจรจากับกูดาลเรื่องการร่วมมือกันต้านทานพวกทหารทมิฬอย่างเร่งด่วน ในสถานการณ์ตอนนี้ ขุมกำลังเพียงฝ่ายเดียวไม่อาจรับมือการโจมตีของพวกทหารทมิฬได้อีกแล้ว
แม้จะทราบว่าการร่วมมือกับกูดาลที่หน้าเนื้อใจเสือนั้นอันตราย แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
ตอนนี้พื้นที่ด้านตะวันตกนั้นเป็นของนิโคลัส ตรงกลางเป็นของกูดาล และตะวันออกนั้นเป็นของเซียวอวี๋ ดังนั้นนิโคลัสจึงไม่อาจไปรวมกำลังกับเซียวอวี๋
ดังนั้น พวกเขาจึงจำต้องร่วมมือกับกูดาล
ยังมีอีกหนึ่งขุมกำลังที่อยู่ทางตอนเหนือของดินแดนไลอ้อน นั่นก็คือฝ่ายอันเดดที่นำโดยอาร์ทัส
ขณะที่พื้นที่ทางตอนเหนือแทบทั้งหมดนั้นถูกพวกทหารทมิฬเข้ายึดครองไว้แล้ว มีเพียงพื้นที่ที่มีอันเดดเท่านั้นที่พวกมันไม่อาจยึดครอง พวกอันเดดแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ทหารทมิฬไม่มีหนทางเอาชนะได้เลยพวกมันเคยพยายามโจมตีพวกอันเดด แต่สุดท้ายก็ต้องสูญเสียกลับไป ซ้ำร้ายยังเป็นการเพิ่มทหารให้ฝ่ายศัตรู สุดท้ายพวกมันจึงได้แต่หลบเลี่ยงการปะทะกับพวกอันเดด
เซียวอวี๋ไม่ได้กังวลต่อพวกทหารทมิฬแม้แต่น้อย อย่างไรเสียเขาก็เตรียมการไว้พรักพร้อมแล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถอาศัยโอกาสนี้เพิ่มค่าประสบการณ์ให้กับเหล่ายูนิตจากระบบ
เรื่องใหญ่ที่สุดในเวลานี้คงเป็นเรื่องการจับมือกับนิโคลัสและกูดาล
ด้วยเหตุนั้น เซียวอวี๋จึงได้จัดส่งคณะทูตไปเจรจากับทั้งสองฝ่าย ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นทุกฝ่ายต่างก็มีเป้าหมายเดียวกันคือการจัดการกับทหารทมิฬ ดังนั้นทั้งสามฝ่ายจึงตกลงก่อตั้งพันธมิตรไตรภาคีขึ้นเพื่อกำจัดพวกทหารทมิฬอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่พันธมิตรถูกก่อตั้งขึ้น พันธมิตรไตรภาคีก็เปิดฉากโจมตีทันที กองทัพพันธมิตรได้รุกคืบและผลักดันให้พวกทหารทมิฬต้องถอยร่นกลับขึ้นเหนือ จากนั้นจึงก่อตั้งแนวป้องกันขึ้น จากนั้นพันธมิตรจึงร่วมมือกันเสริมแกร่งแนวป้องกันนี้ และใช้ปนวป้องกันเป็นจุดหยั่งเท้าในการตอบโต้กลับไป
ซึ่งแนวคิดนี้เป็นเซียวอวี๋ที่เสนอขึ้นมา โดยมาจากประสบการณ์การต่อสู้กับพวกทหารทมิฬมาแล้วหลายครั้ง เซียวอวี๋ทราบดีว่าการจัดการกับพวกทหารทมิฬนั้นไม่อย่างรีบเร่งไป พวกเขาจะต้องตั้งรับให้มั่นก่อน จากนั้นจึงตอบโต้อย่างค่อยเป็นค่อยไป
ในระยะแรก ทุกเรื่องราวดำเนินไปอย่างราบรื่น แนวป้องกันค่อยๆถูกเสริมสร้างขึ้นทีละชั้น อย่างไรก็ตามกลับมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นแทรก
ขณะที่กำลังซ่อมสร้างแนวป้องกันกันอยู่นั้น เซียวอวี๋และคนอื่นๆก็พบว่าจู่ๆกองทัพออร์คของกูดาลก็หลบหนีหายไป ทิ้งหน้าที่ป้องกันแนวป้องกันให้กับกองกำลังของเซียวอวี๋และนิโคลัส
“มารดามันเถอะ! เจ้าจิ้งจอกเฒ่าบัดซบ” เซียวอวี๋สบถอย่างเดือดดาล
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น