World of Warcraft ราชันต่างภพ 595-601

ตอนที่ 595

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


เป็นดังคาด เพิ่งจะสิ้นเสียงคำสั่งของเซียวอวี๋ เสียงแตรถอยทัพก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังกองทัพศาสนจักร เพราะทันทีที่ดัมถูกสังหาร เออซ่าก็เข้าควบคุมกองทัพแทนที่ และแน่นอนว่าเขาย่อมต้องรักษาขุมกำลังของตนไว้

ผู้นำทัพหน้าตกตายอนาถ ขวัญกำลังใจของไพร่พลย่อมตกต่ำถึงขีดสุด หากยังฝืนบุกตีต่อไปก็มีแต่จะยิ่งสูญเสีย แม้ว่าฝ่ายศาสนจักรจะมีไพร่พลมากมายมหาศาล แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะส่งไพร่พลออกไปตายเปล่าได้

ตั้งแต่ที่พวกทหารศาสนจักรเห็นเซียวอวี๋ตัดศีรษะของดัม พวกเขาก็ไม่หลงเหลือความคิดจะต่อสู้แล้ว ยามนี้เมื่อได้ยินสัญญาณให้ล่าถอย ราวกับได้ยินเสียงจากสวรรค์ พวกเขาก็รีบถอยกลับด้วยความยินดีทันที

กระนั้นการจะแปรขบวนทัพขนาดใหญ่นั้นต้องใช้เวลาพักหนึ่ง ยิ่งเป็นทัพใหญ่ก็ยิ่งต้องใช้เวลามากขึ้นตามจำนวนคน

ไพร่พลที่ดัมขนมาครั้งนี้มีอยู่เรือนแสน ดังนั้นการจะแปรขบวนล่าถอยก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบนาที

แต่เวลาสิบนาทีนั้นก็พอเพียงแล้วสำหรับเซียวอวี๋ ยามทหารศาสนจักรล่าถอย พวกเขาเพียงคิดแต่ถอยให้ได้โดยเร็ว ดังนั้นเมื่อมีกองกำลังอันทรงพลังของเซียวอวี๋ที่นำโดยกองพลรถถังไล่ติดตามมา ชะตากรรมของพวกเขาจึงไม่ต่างจากแกะที่รอถูกเชือด

ครืน ครืน……

เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มพร้อมกับกองพลรถถังวิ่งเรียงกันออกมา

แน่นอนว่าสองเท้ามนุษย์ย่อมช้ากว่ายานยนต์ ดังนั้นเมื่อกองพลรถถังทั้งหนึ่งพันคนแล่นออกมา สภาพการณ์ก็กลายเป็นรถถังไล่จ่อประชิดท้ายทัพของศาสนจักร

ตูม ตูม ตูม……

เมื่อถึงระยะยิง ฝั่งรถถังก็เริ่มเปิดฉากยิง ปืนหลักที่รถถังยิงออกยังมีอานุภาพรุนแรงกว่าอาวุธเวทระดับห้าอีก

หากรถถังไม่มีข้อได้เปรียบใดๆ เช่นนั้นก็ไม่คู่ควรกับที่เป็นยูนิตระดับสามของฐานทัพมนุษย์แล้ว ยูนิตแต่ละชนิดของฐานทัพต่างก็มีลักษณะเด่นของตน ขึ้นอยู่กับผู้บัญชาการจะควบคุมจัดสรรอย่างไร

คุณลักษณะที่โดดเด่นที่สุดของรถถังก็คือ เกราะอันแข็งแกร่ง ความเร็วในการเคลื่อนที่ และที่เป็นตัวชูโรงเลยก็คือ ปืนใหญ่ รถถังที่ไร้ซึ่งปืนใหญ่ยังจะเรียกรถถังได้หรือ?

ปืนใหญ่หลักของรถถังมีอานุภาพสุดสะพรึง เพียงชั่วพริบตา กองทัพของศาสนจักรก็ถูกแรงระเบิดเข้ากลืนกิน ปืนใหญ่เพียงหนึ่งนัดก็แทบสังหารไพร่พลทหารได้ทั้งกอง

และเมื่อมีการล้มตาย ที่ตามมาก็คือความปั่นป่วน จากรูปขบวนอันเป็นระเบียบพลันเปลี่ยนเป็นวุ่นวายไร้รูปแบบทันที เวลานั้นเอง ทัพม้าของดินแดนไลอ้อนก็ไล่ตามทัน พวกเขาพุ่งทะยานเข้าไปในกลุ่มทหารศานจักรและเริ่มการล่าสังหาร

เซียวอวี๋ที่ไปจักรวรรดิเมฆาย่อมไม่กลับมามือเปล่า เขายังนำฝูงม้าชั้นดีกลับมาด้วย นี่ทำให้ทัพม้าของดินแดนไลอ้อนขยายขนาดขึ้นหลายเท่าตัว เวลานี้ดินแดนไลอ้อนมีทหารม้าอยู่ราวหนึ่งแสนนาย

ด้วยเพราะไพร่พลศาสนจักรที่แตกพ่ายไม่เป็นขบวน ทัพม้าจึงเปิดฉากล่าสังหารอย่างราบรื่น กลายเป็นการฆ่าฟันอยู่เพียงฝ่ายเดียว

ขบวนรถถังยังคงเดินหน้าทำลายทัพหลักเพื่อจับแยกไพร่พลเป็นกลุ่มยิบย่อยต่อไป

ในหมู่กองทัพที่ไล่ติดตามมายังมีเงาร่างหนึ่งที่สร้างความฉงนแก่ทุกฝ่ายปรากฏอยู่ และร่างนั้นก็คือ จ้าวอัคคีแร็กนารอส ฮีโร่ที่เซียวอวี๋เพิ่งอัญเชิญออกมา

ในฐานะจ้าวปีศาจโบราณ แร็กนารอสยังจะอ่อนด้อยหรือ? เขาจะปล่อยโอกาสเพิ่มระดับอันดีเช่นนี้ไปได้อย่างไร ดังนั้นเขาจึงคว้าโอกาสนี้ไว้และไล่ล่าและสังหารอย่างไม่ลดละ ด้วยร่างทั้งร่างที่เป็นเพลิงลุกโชน ทุกที่ที่เขาเคลื่อนผ่านจึงกลายสภาพเป็นกองไฟลากยาวไปตลอดเส้นทาง

ยิ่งสังหารได้มากก็ยิ่งเพิ่มระดับได้เร็ว หลังจากไล่ล่าไปได้พักหนึ่ง แร็กนารอสก็เพิ่มไปได้สิบระดับ ทำให้เขาในเวลานี้มีระดับอยู่ที่สามสิบ

เมื่อเขามีระดับถึงสามสิบ ความแข็งแกร่งก็เพิ่มขึ้นจากเดิมอย่างน้อยเท่าตัว ดังนั้นเมื่อแร็กนารอสออกไล่ล่าอีกครั้ง ทักษะของเขาจึงสังหารได้มากกว่าเดิม คลื่นลาวาที่สาดซัดออกรอบกายใส่ได้เข้ากลืนกินทหารศาสนจักรทั้งกลุ่มจนหายไปไม่เหลือแม้แต่ซาก

มีฮีโร่บางคนที่พบเจอความลำบากอยู่บ้าง ดังเช่น ราชันย์แห่งขุนเขามูราดิน ด้วยระดับที่ต่ำและเสียเปรียบในช่วงเริ่มต้นจึงทำให้เขาต่อสู้ลำบากกินแรงกว่าฮีโร่คนอื่นๆ

ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูต่ำเตี้ยของเผ่าคนแคระทำให้มีทหารของศาสนจักรบางส่วนที่ชักอาวุธหันมาสู้กับมูราดิน ซึ่งข้อนี้แตกต่างจากแร็กนารอสอย่างสิ้นเชิง

ไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นปีศาจที่เพลิงลุกท่วมร่างมาก่อน ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดทราบวิธีรับมือ อีกทั้งแส้เพลิงในมือของแร็กนารอสยังลื่นไหลประดุจมีชีวิต เขาขยับมือเพียงไม่กี่คราก็สะบั้นร่างไพร่พลทหารตกตายโดยไม่รู้ตัว นี่ก็ยิ้งทำให้แร็กนารอสกลายเป็นปีศาจไร้ผู้ต้านในสายตาของกองทัพศาสนจักร

ดังนั้น ทหารของศาสนจักรจึงยินดีทดลองต่อสู้กับมูราดินมากกว่าจะยอมเผชิญหน้ากับแร็กนารอส มูราดินเป็นฮีโร่ใหม่ที่เพิ่งถูกอัญเชิญออกมา ดังนั้นความแข็งแกร่งที่แสดงออกจึงดูอ่อนด้อยกว่ากำลังรบคนอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด ทหารศาสนจักรส่วนใหญ่จึงพุ่งเล็งโจมตีมูราดิน

ทว่าน่าเสียดายที่พวกเขาประเมินความแข็งแกร่งของมูราดินต่ำไปมาก ความแข้งแกร่งของเขาไม่อาจประเมินได้ด้วยหลักสามัญสำนึก เพราะอะไรน่ะหรือ? นั่นก็เพราะว่าเขาคือ ราชันย์แห่งขุนเขา!

ราชันแห่งขุนเขาก้คือราชันย์แห่งเผ่าพันธุ์คนแคระ เป็นชาตินักรบโดยกำเนิด และยังเป็นเผ่าพันธุ์นักรบที่แข็งแกร่งยิ่ง

โดยเฉพาะอาวุธคู่มืออย่างค้อนสายฟ้าของเขา ยามเมื่อค้อนทุบฟาดลง สายฟ้าหลายสายก็จะพุ่งผ่านร่างของผู้คนโดยรอบและเผาคนเหล่านั้นจนกลายเป็นตอตะโก

และแม้จะต้องเผชิญหน้ากับพาลาดินขั้นที่สี่และห้า มูราดินก้ไม่ได้แสดงความขลาดเขลาออกมาแม้แต่น้อย เขาพึ่งพาพละกำลังอันเหนือมนุษย์ของตน กระโดดขึ้นฟ้าและโถมฟาดลงมาอย่างดุดัน แม้ว่าเขาจะสูงเพียงเอวของมนุษย์ แต่พละกำลังที่อัดแน่นอยู่ในร่างนั้นเหนือกว่ามนุษย์อยู่หลายขุม

พละกำลังของเผ่าพันธุ์คนแคระนั้นเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทวีป และผู้ที่เป็นสุดยอดของเผ่าพันธุ์ย่อมต้องเป็นราชาคนแคระ ค้อนในมือที่ที่ทุบฟาดลง ยากนักที่จะมีผู้ใดรับมือได้โดยไม่บาดเจ็บหรือตกตาย

แม้ว่ามูราดินจะไม่ได้แข็งกร้าวเหมือนแร็กนารอสที่บุกเข้าไปใจกลางทัพศาสนจักร แต่ความเร็วในการเก็บเกี่ยวค่าประสบการณ์ของเขาก็ไม่ได้ด้อยกว่าสักเท่าใด

ฮีโร่รุ่นเก่าคนอื่นๆเองก็เข้าร่วมการไล่ล่าครั้งนี้ด้วย ด้วยความแข็งแกร่งระดับพวกเขาย่อมไม่มีผู้ใดสกัดขัดขวาง กระทั่งพาลาดินขั้นที่หกก็เลือกที่จะหลบหนีแทนที่จะเผชิญหน้า

นั่นเพราะพวกเขาทราบดี หากว่าหันกลับไปรับมือ เพียงชั่วพริบตาต่อมา พวกเขาก็คงถูกล้อมกักโดยกลุ่มยอดฝีมือของอีกฝ่ายก่อนจะตกตายในเวลาอันสั้น

ยอดฝีมือของศาสนจักรที่อยู่ในสนามรบเวลานี้มีไม่เพียงพอจะต่อกรกับกลุ่มยอดฝีมือของดินแดนไลอ้อน นั่นก็เพราะว่าพาลาดินขั้นที่หกส่วนใหญ่ยังคงอยู่ที่ศาสนจักร เออซ่าไม่ได้นำพวกเขามาทั้งหมด หากแต่ยังสำรองขุมกำลังส่วนใหญ่เอาไว้ เขาเพียงนำพาลาดินที่โดดเด่นมาเพียงคนเดียว นั่นก็คือ ดัม

อย่างไรเสีย การทำสงครามก็ไม่ใช่เรื่องที่จะจบได้ในสนามรบเดียว ยิ่งเมื่อศาสนจักรเปิดสงครามกับทุกฝ่ายรอบด้านด้วยแล้วก้ยิ่งต้องมีขุมกำลังคอยประจำการรักษาพื้นที่ที่ตีชิงมาเหล่านั้น นี่เป็นเพียงการบุกโจมตีเมืองไลอ้อนครั้งแรก ศาสนจักรย่อมไม่ทุ่มกำลังออกมาทั้งรัง

และด้วยเหตุนี้เอง กองทัพศาสนจักรเวลานี้จึงไม่อาจต่อกรกับกองทัพดินแดนไลอ้อน

เออซ่าเองก็คิดไม่ถึงว่าเซียวอวี๋จะวางแผนสังหารดัมได้อย่างรวดเร็วปานนี้ นับว่าเขายังคงประเมินเซียวอวี๋ต่ำเกินไป

หลังจากถูกไล่ล่ากว่าครึ่งชั่วโมง กองทัพศาสนจักรก็บาดเจ็บล้มตายอย่างหนัก เซียวอวี๋ยืนอยู่หน้าสุดของกองพลรถถังพลางมองประสานสายตากับเออซ่าที่อีกด้าน เขายกนิ้วโป้คว่ำลงพื้นก่อนจะหันหลังนำกองกำลังเดินทางกลับเมืองไลอ้อน

สีหน้าของเออซ่ายังคงเรียบเฉย เวลานี้สิ่งที่เขาให้ความสนใจกลับไม่ใช่ท่าทางถากถางของเซียวอวี๋ หากแต่เป็นเงาหลังของคนผู้หนึ่ง

บุคคลที่ยืนอยู่เยื้องหลังของเซียวอวี๋ไปไม่ไกล ในมือของคนผู้นั้นถือค้อนที่เปล่งรัศมีแห่งแสงออกมา

คนผู้นี้ได้ดึงดูดสายตาของเขาตั้งแต่แรกเห็น เป็นบุคคลที่เขาไม่เคยลืมเลือน

อูเธอร์

วินาทีนั้น เออซ่าคล้ายจะเข้าใจถึงสาเหตุที่คริสแปรพักต์แล้ว

ในตัวของคนผู้นั้น เขาสัมผัสได้ถึงพลังขุมหนึ่ง เป็นพลังแห่งแสงที่บริสุทธิ์นัก…. 

 

 


ตอนที่ 596

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


ศึกในครั้งแรกจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายเซียวอวี๋ ประเมินโดยคร่าวแล้วศาสนจักรมีไพร่พลบาดเจ็บล้มตายอย่างน้อยห้าแสนนาย ซึ่งหากกล่าวตามจริงก็คงมีมากกว่านั้น

ประชาชนภายในเมืองไลอ้อนต่างก็โห่ร้องอย่างยินดี และพวกเขาก็ยังมีความสงสัยเกี่ยวกับอสูรเหล็ก

ผู้ที่สงสัยใคร่รู้ยิ่งกว่าชาวเมืองไลอ้อนก็คือ เออซ่า พลังทำลายล้างยามที่รถถังขับพุ่งโจมตีได้ประทับอยู่ในใจของเขาอย่างลึกล้ำ และเขาทราบดีว่า หากยังไม่สามารถหาวิธีรับมือกับเจ้าสิ่งนี้ได้ ศึกครั้งหน้าก้คงมีผลลัพธ์ไม่ต่างกัน

เขาได้เรียกตัวพาลาดินที่เคยพยายามโจมตีใส่รถถังเข้ามาสอบถาม และได้ความว่าเกราะของรถถังนั้นหนายิ่ง กระทั่งพาลาดินขั้นที่ห้าก็ยังไม่อาจเจาะทะลวงได้ในเวลาอันสั้น

ยิ่งไปกว่านั้นเซียวอวี๋ยังได้จัดกองกำลังพิเศษคอยคุมครองอยู่ข้างรถถัง ดังนั้นการจะเข้าถึงรถถังได้จึงไม่ง่ายเลย

“เจ้าเซียวอวี๋ผู้นั้นมันอย่างไรกันแน่? ไฉนจึงมีแต่สิ่งของประหลาดในครอบครอง แล้วยังยอดฝีมือกลุ่มนั้นอีก ไม่แปลกที่สมเด็จพระสันตะปาปาจะมีบัญชาให้เร่งกำจัด หากปล่อยไว้นานไป ภายภาคหน้าคงไม่อาจจัดการเขาได้อีกแล้ว”

เออซ่าพลันเข้าใจความรู้ของพระสันตะปาปาขึ้นมา และในเวลาเดียวกัน เขาก็ยิ่งรู้สึกปวดหัวเมื่อต้องหาวิธีกำราบดินแดนไลอ้อน

ข้อได้เปรียบเดียวที่เขามีอยู่ก็คือ จำนวนพลรบที่มากกว่า

ทหารของศาสนจักรมีมากมายยิ่ง อันที่จริงแล้ว ทั้งโลกต่างก็ประเมินจำนวนไพร่พลของศาสนจักรผิดไป ซึ่งจำนวนที่แท้จริงนั้นเรียกได้ว่าอยู่เหนือจินตนการของทุกฝ่ายไปมาก

ความเร็วในการเผยแผ่ลัทธินั้นรวดเร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง และแน่นอนว่ามันย่อมไม่ใช่การเผยแพร่ศาสนาโดยวิธีการทั่วไป การจะเปลี่ยนผู้คนให้หันมาศรัทธาความเชื่อเดียวกับตนนั้นจำต้องใช้เวลาช่วงใหญ่ ซึงนั่นเป็นสิ่งที่ศาสนจักรไม่อาจแบกรับ

ดังนั้นพวกเขาจึงต้องใช้วิธีการที่จะทำให้จำนวนของสาวกเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อขยับขยายกองทัพ

ในเมื่อมีเปรียบด้านจำนวน พวกเขาย่อมไม่ละทิ้งจุดเด่นหันมาใช้จุดด้อยสู้รบกับศัตรู เออซ่าเริ่มวางแผนการบุกตีเมืองไลอ้อนอีกครั้ง ครั้งนี้เขาจะมุ่งเน้นไปที่กำแพงเมือง

ตราบที่กำแพงเมืองพังทลายลง กองทัพของดินแดนไลอ้อนก้จะถูกจับแยกออกจากกันทันที และพวกเขาย่อมไม่อาจต้านทานคลื่นนักรบของศาสนจักรที่กระหน่ำกลุ้มรุมจากรอบทิศทาง

ทางฝ่ายดินแดนไลอ้อนที่เพิ่งชนะศึกย่อมมีขวัญกำลังใจสูงเทียมฟ้า พวกเขาคิดว่าท้ายที่สุดแล้วชัยชนะจะต้องเป็นของดินแดนไลอ้อน

ครึ่งเดือนถัดมา เออซ่าไม่ได้โจมตีเมืองไลอ้อนอีก นี่ทำให้เซียวอวี๋ยิ่งระมัดระวังมากขึ้น ยิ่งศัตรูสงบเสงี่ยมมากเพียงใด ศึกครั้งต่อไปก็ยิ่งน่ากลัวขึ้นเท่านั้น

เซียวอวี่ตระหนักดีว่าจำนวนทหารของศาสนจักรนั้นน่ากลัวเพียงใด ลือกันว่าองค์กรการค้าที่ยิ่งใหญ่ลำดับต้นๆของทวีปอย่าง ค้อนเทพสงครามมีศาสนจักรลอบให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง

จึงพอจะจินตนาการได้ว่าศาสนจักรถือครองทรัพยากรและยุทธ์ภัณฑ์ไว้มากเพียงใด

ด้วยกลยุทธ์อันยอดเยี่ยมของเซียวอวี๋ ก่อนหน้านี้จึงคว้าชัยชนะเหนือกองทัพศาสนจักรได้อย่างท่วมท้น ซึ่งอีกฝ่ายยังไม่ได้แม้แต่นำอาวุธสงครามออกมาต่อกร หากว่าครั้งก่อนอีกฝ่ายนำอาวุธเหล่านั้นออกมาใช้ ผลลัพธ์ที่ออกมาคงยากคาดเดา

เซียวอวี๋ตัดสินใจส่งทัพอันเดดไปลอบโจมตีอีกครั้ง การบุกโจมตีของกองทัพอันเดดสามารถขัดขวางสิ่งที่ศาสนจักรกำลังซุ่มกระทำอยู่ และนั่นจะช่วยคลายความกังวลของเซียวอวี๋ได้อย่างมาก

อย่างไรก็ตามศาสนจักรนั้นเตรียมพร้อมรับมืออยู่ก่อนแล้ว หลังจากบุกเข้าโจมตีอยู่หลายครั้ง ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่ดีเท่าสักใด ศาสนจักรได้จัดเตรียมอาวุธเวทมนตร์ไว้ป้องกันค่ายโดยเฉพาะ และยังไม่ทราบว่ามีปืนเวทมนตร์อีกเท่าใด พวกสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ที่อาร์ทัสสร้างขึ้นจากซากศพต่างก็ถูกปืนใหญ่เวทยิงสังหารจนหมดสิ้น

ครั้งนี้เรียกได้ว่ากองทัพของอาร์ทัสประสบกับความสูญเสียอย่างหนักเป็นครั้งแรก

แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่ได้รับสิ่งใดเลย อาร์ทัสและกองทัพได้สังหารพาลาดินไปหลายคน จากนั้นจึงเปลี่ยนศพของพวกเขาให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดชุดใหม่ ผลที่ออกมานั้นสร้างความหวาดผวาแก่ทัพศาสนจักรอย่างยิ่ง กองทัพอันเดดกลายเป็นแข็งแกร่งกว่าเก่า

เป็นเพราะความแข็งแกร่งของพาลาดินเหล่านั้น เป็นเพราะทักษะความสามารถในการควบคุมบงการพลังแห่งแสง หลังจากถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดไป พลังของพวกมันจึงแข็งแกร่งยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดชุดก่อนมาก

ยิ่งกว่านั้น ด้วยการบุกโจมตีในครั้งนี้ เซียวอวี๋ก็ตระหนักได้ว่าศาสนจักรนั้นมีแผนจะจัดการกับกองทัพอันเดด พวกเขากระทั่งจัดเตรียมปืนใหญ่เวทมนตร์เอาไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ และนี่ยังแสดงให้เห็นว่าศาสนจักรยังซุกซ่อนอาวุธอันร้ายกาจเอาไว้อีกมาก…..

 

 

 


ตอนที่ 597

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


อาร์ทัสเข่นฆ่าเข้าไปในทัพศาสนจักรก่อนจะตัดศีรษะพาลาดินขั้นที่หกผู้หนึ่งและเปลี่ยนซากศพนั้นให้กลายเป็นอันเดด เมื่อรวมกับอันเดดสองตัวจากพาลาดินขั้นที่หกในครั้งก่อน เวลานี้อาร์ทัสจึงมีอันเดดที่สร้างจากพาลาดินระดับสูงอยู่สามตัว

นี่เรียกได้ว่าเป็นการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ อันเดดทั้งสามที่สร้างขึ้นจากศพของพาลาดินขั้นที่หกนั้นแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าสัตว์ประหลาดยักษ์เลย

การลอบโจมตีของกองทัพอันเดดสามารถสร้างความเสียหายต่อทัพศาสนจักรได้ประมาณหนึ่ง กระนั้นทางกองทัพอันเดดเองก็ต้องสูญเสียอย่างหนัก

อย่างไรก็ดี เซียวอวี๋ทราบว่ากองทัพศาสนจักรนั้นมีจุดอ่อนขนาดใหญ่อยู่อย่างหนึ่ง

ด้วยขนาดความใหญ่ของค่ายที่มีทหารหลายล้านนาย ค่ายกระโจมจึงเรียงรายยาวหลายสิบกิโลเมตรหรือกระทั่งหลายร้อยกิโลเมตร

ในอดีต เซียวอวี๋เคยคิดว่าค่ายกระโจมที่เรียงรายยาวแปดร้อยลี้ของเล่าปี่ในเรื่องสามก๊กนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันอาจจะเป็นไปได้

ในค่ายกระโจมที่เรียงรายย่อมมีคลังเสบียงและคลังอาวุธตั้งอยู่เป็นระยะ สำหรับแจกจ่ายให้ไพร่พลทหารหลายล้านนาย ดังนั้นความสำคัญของมันจึงเป็นที่คาดเดาได้

หากกองทัพขาดแคลนเสบียงกรัง ผลที่ตามมาย่อมเลวร้ายเกินคาดคิด

ดังนั้นในอนาคตเซียวอวี๋จะไม่ส่งกองทัพอันเดดไปโจมตีป้อมค่ายที่เป็นด่านหน้าอีก แต่จะเลือกโจมตีแนวหลังเพื่อก่อกวน ทำลายยุทธภัณฑ์ และเผาหญ้าเสบียงให้มากที่สุด

เช่นนั้นจึงจะสร้างความเสียหายต่อศาสนจักรอย่างสาหัส ด้วยสภาพพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยหมอกหนา กว่าศาสนจักรจะสังเกตพบความเคลื่อนไหวของพวกอันเดดได้ก็สายเกินแก้แล้ว

เป็นไปไม่ได้ที่ทุกหอป้องกันค่ายจะประจำการด้วยปืนใหญ่เวทมนตร์ ขอเพียงค่ายส่วนนั้นไม่แข็งแกร่งเกินไป กองทัพอันเดดที่นำโดยอาร์ทัสย่อมบุกตะลุยเข้าไปไม่ยาก

ด้วยเหตุนั้น ช่วงระยะครึ่งเดือนถัดมาจึงเป็นช่วงเวลาที่ค่ายส่วนหลังของกองทัพศาสนจักรถูกบุกทำลายเสียหายอย่างหนัก

“บัดซบ! อันเดดพวกนั้นต้องเป็นฝีมือของเซียวอวี๋แน่ มิเช่นนั้นการบุกโจมตีของพวกมันทุกครั้งจะแม่นยำถึงเพียงนั้นได้อย่างไร”

สำหรับกองทัพอันเดดที่ไปมาไร้ร่องรอย ทั้งยังแข็งแกร่งผิดปกติเหล่านี้ เออซ่ายังไม่มีหนทางรับมือ หากแบ่งกำลังกลุ่มเล็กๆออกไปไล่ล่า กลุ่มเล็กๆนั้นจะไปแล้วไปลับ และหากส่งคนกลุ่มใหญ่ไป พวกอันเดดก็จะหนีหายไร้ร่องรอย

ตั้งแต่เมื่อใดกันที่พวกอันเดดฉลาดได้ถึงเพียงนั้น? เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้มีคนบงการอยู่เบื้องหลัง

ด้วยขนาดค่ายที่ใหญ่โตของกองทัพศาสนจักรในปัจจุบัน การคอยระวังป้องกันพวกอันเดดตลอดเวลาจึงเป็นไปไม่ได้ วิธีรับมือที่ดีที่สุดในเวลานี้คงมีเพียงการเร่งกำจัดเซียวอวี๋โดยเร็วที่สุด

เซียวอวี๋ผู้นี้นับว่าถนัดในการสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าต่อผู้อื่นโดยแท้ มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่ทราบว่าเขายังซ่อนไพ่ตายไว้อีกมากเพียงใด

หลังจากนั้นสองสามวัน เออซ่าที่ไม่อาจอดทนรอได้อีกจึงเริ่มแผนการบุกที่เขาวางไว้นานแล้ว

เมื่อถึงรุ่งเช้า กองทัพศาสนจักรก็เคลื่อนกำลังออกมา หากแต่ครั้งนี้พวกทหารไม่มีท่าทางกระตือรือร้นเฉกเช่นครั้งก่อนอีก มีเพียงสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจ

ความเร็วในการเดินทัพของพวกเขาเชื่องช้ายิ่ง กระนั้นก็ยังคงไว้ซึ่งความเป็นระเบียบ อาวุธเวทมนตร์หลากชนิดที่ขนลากออกมาทำให้ไพร่พลใจเต้นไม่เป็นส่ำ

ครั้งนี้คงจะเป็นศึกที่กินเวลายาวนานไม่ผิดแน่ ด้วยอาวุธเวทมนตร์ที่ขนออกมา พวกเขาคงไม่เสียเปรียบอีกฝ่ายสักเท่าใด

ไม่ว่าไพร่พลทหารคนใดก็ไม่ทราบว่ากำแพงส่วนไหนจะเป็นจุดโจมตีหลัก แต่ไม่ว่าจะเป็นส่วนใด หากกำแพงส่วนนั้นพังทลายลง ทหารทุกนายก็จะกรูกันบุกไปยังจุดนั้น

เออซ่าเองก็เป็นผู้บัญชาการที่ชำนาญศึก เขาย่อมคำนวณเวลาและตำแหน่งบุกโจมตีเอาไว้แล้ว

อย่างไรก็ดี เซียวอวี๋ก็ใช่ว่าจะไม่ได้เตรียมการรับมือสถานการณ์เช่นนี้ หลังจากแค่นเสียงเย็น เซียวอวี๋ก็สั่งให้ทหารของเขาเข้าสู่สภาวะต่อสู้

ตึง ตึง ตึง…..

เสียงย่ำเท้าเป็นจังหวะของกองทัพศาสนจักรได้ก่อเกิดเป็นสภาวะอันเข้มแข็งขึ้นมาคล้ายกับคลื่นยักา์ที่พร้อมจะโถมทับแนวกำแพง

เมื่อกำลังจะเข้าสู่ระยะอาวุธพิสัยไกลของฝ่ายเมืองไลอ้อน ทหารของศาสนจักรก็ส่งเสียงโห่ร้องพร้อมกับโถมบุกออกไป พวกทหารแถวหน้าแบกบันไดพลางยกโล่ขึ้นบังด้านหน้าของตนไว้ ขอเพียงพวกเขาพาดบันไดกับกำแพงได้ สหายที่ด้านหลังก็จะบุกเข่นฆ่าขึ้นไปทันที

“ยิงได้!”

ที่ด้านบนกำแพง หน่วยโจมตีระยะไกลทั้งหมดเริ่มเปิดฉากโจมตี ลูกธนูและก้อนหินจำนวนนับไม่ถ้วนลอยเกลื่อนเต็มผืนฟ้าก่อนจะตกลงใส่กองทัพศาสนจักรที่กำลังบุกเข้ามา

อ๊ากก…..

ทหารศาสนจักรทยอยล้มลงกับพื้น กระนั้นก็จะมีทหารที่มากมายยิ่งกว่าบุกขึ้นหน้าต่อไป เมื่อพวกทหารบุกไปถึงตำแหน่งหนึ่ง เครื่องยิงบาริสต้าเวท ปืนใหญ่เวทและอาวุธเวทอื่นๆก็กระหน่ำยิงใส่กำแพงเมืองอย่างดุดัน

การต่อสู้อันเข้มข้นได้เปิดฉากขึ้นแล้ว…..

 

 

 


ตอนที่ 598

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


ตูม ตูม ตูม…..

อาวุธเวทที่ศาสนจักรขนมาได้เปิดฉากยิงใส่กำแพง พื้นผิวของกำแพงเริ่มปรากฏรอยแตกขึ้นตามกระสุนที่ตกกระทบ แม้ว่ากำแพงที่สร้างขึ้นจากอิฐนี้จะถูกเสริมเแกร่งไว้หลายชั้น กระนั้นมันก็ยังไม่คงทนเท่ากำแพงที่สร้างขึ้นจากศิลา หากยังถูกกระหน่ำโจมตีเช่นนี้ต่อไป กำแพงส่วนคงนี้ยากจะต้านลงพังทลายลง

“มารดามัน ปืนใหญ่พวกนั้นอันตรายจริงๆ ยังรุนแรงกว่าปืนใหญ่หลักของรถถังอีก”

เห็นอาวุธเวทหลากชนิดยิงถล่มใส่กำแพง เซียวอวี๋อดสบถออกมาไม่ได้

“เอาเถอะ หลังจัดการคนควบคุมได้ อาวุธเวทเหล่านั้นก็จะอยู่ในมือเรา” เซียวอวี๋แสยะยิ้มชั่วร้าย

เมื่อตอนศึกที่เมืองเม็ก เขายึดปืนใหญ่เวทมนตร์มาได้มากมาย อย่างไรก็ตาม อานุภาพของปืนใหญ่เหล่านั้นไม่ได้รุนแรงมากนัก เทียบปืนใหญ่เวทที่ศาสนจักรขนมาคราวนี้ไม่ได้แม้แต่น้อย

ครั้งนี้ศาสนจักรเอาจริงแล้ว

“หน่วยปืนครกที่สิบเล็งไปที่สิบนาฬิกา ยิงได้!”

อีกฝ่ายมีปืนใหญ่เวท ทางฝั่งเขาก็มีหน่วยปืนครกเช่นกัน แม้ในด้านการบุก หน่วยปืนครกจะสู้รถถังไม่ได้

แต่ในด้านของการป้องกันเมือง พวกเขามีประโยชน์อย่างยิ่ง

ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าการตัดสินใจเลือกอัญเชิญหน่วยปืนครกออกมาหนึ่งพันหน่วยนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เซียวอวี๋ได้แบ่งหน่วยปืนครกออกเป็นสิบกลุ่ม กลุ่มละสิบหน่วย หน่วยปืนครกเพียงกลุ่มเดียวก็สามารถสร้างความเสียหายได้มากมายแล้ว ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการดำรงอยู่หน่วยปืนครกสิบกลุ่ม

ด้วยเพราะประจำการอยู่บนกำแพงสูง ระยะยิงของปืนครกจึงกว้างไกลมาก และนั่นยังครอบคลุมถึงพื้นที่ีตั้งปืนใหญ่เวทของศาสนจักร

อย่างที่ทราบกันดีว่า ปืนครกถูกสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ในการกำจัดทหารราบ ไม่ใช่เพื่อยิงทำลายสิ่งก่อสร้างที่แข็งแกร่ง ดังนั้นกระสุนของปืนครกจึงไม่อาจทำลายปืนใหญ่เวทของอีกฝ่าย แต่นั่นไม่รวมถึงพวกทหารประจำปืนใหญ่เหล่านั้น

ปืนครกนั้นถูกประดิษฐ์ขึ้นสำหรับการทำสงครามสนามเพลาะในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มันสามารถจัดการกับศัตรูที่รวมกลุ่มกันหนาแน่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครั้งหนึ่งนโปเลียนยังเคยใช้วิธีระดมยิงปืนใหญ่ใส่ฝ่ายศัตรูที่โถมเข้าหา

ในยุคของอาวุธเย็น การทำสงครามส่วนใหญ่ล้วนพึ่งพาการพุ่งทะลวงตี แม้ว่ายุคนี้จะมีการใช้เวทมนตร์อยู่บ้าง กระนั้นการพุ่งโถมของไพร่พลทหารก็ยังเป็นส่วนสำคัญของการทำสงคราม

ดังนั้นขบวนทัพโจมตีโดยทั่วไปจึงมักจับกันเป็นกลุ่มก้อน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กองทัพของศาสนจักรที่มีผู้คนมากมาย พวกเขาย่อมนำเอาข้อได้เปรียบด้านกำลังคนมาใช้กำหนดกลยุทธ์

ด้วยเหตุนั้น หน่วยปืนครกจึงเปรียบเสมือนฝันร้ายของพวกเขา ทุกครั้งที่หน่วยปืนครกยิงออกไป พื้นที่แถบนั้นก็จะมีเศษซากชิ้นส่วนมนุษย์หล่นกระจายอยู่ตามพื้น

แม้ว่าทหารเหล่านั้นจะสวมใส่ชุดเกราะ กระนั้นชุดเกราะของพวกเขาย่อมไม่อาจครอบคลุมได้ทุกส่วน เศษกระสุนที่แตกกระจายออกสามารถสร้างความเสียหายได้อย่างร้ายแรงตราบเท่าที่มีชุดเกราะนั้นมีช่องว่างรอยต่อ

และยิ่งเป็นการบุกตีชิงเมืองเช่นนี้ก็ยิ่งแล้วใหญ่ พวกทหารจะต้องปืนขึ้นกำแพง ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่อาจสวมใส่เกราะหนัก และชุดเกราะเบาทั่วไปก็ไม่สามารถต้านทานเศษกระสุนเหล่านั้น

เพียงช่วงเวลาสิบนาทีสั้นๆ หน่วยปืนครกทั้งหมดก็ทะลุผ่านระดับสิบ ซึ่งนั่นหมายความว่าพลังโจมตีของพวกมันย่อมเพิ่มขึ้นตาม

ในสว่นของกองพลรถถังนั้น หลังจากผ่านศึกมาสองสนาม รถถังส่วนใหญ่ต่างก็มีระดับอยู่ที่ห้าหรือมากกว่า และด้วยเพราะเป็นสงครามขนาดใหญ่ จำนวนศัตรูที่สังหารได้จึงมากขึ้นตาม

เวลานี้นับเป็นช่วงเก็บเกี่ยวค่าประสบการณ์ของหน่วยปืนครก ระดับของพวกเขาเพิ่มขึ้นไวมาก และเมื่อมาถึงระดับสิบ ความแข็งแกร่งของหน่วยปืนครกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง กระบอกปืนของหน่วยปืนครกขยายขนาดขึ้น อานุภาพการทำลายล้างย่อมมากขึ้นตามขนาด ยิ่งไปกว่านั้น ความเร็วในการยิงและความแม่นยำก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก ยามเมื่อลูกกระสุนตกกระทบเป้าหมาย มันสามารถสร้างแรงระเบิดไปได้ไกลมากกกว่ายี่สิบเมตร กล่าวก็คือ เมื่อยิงกระสุนออกไป หน่วยทหารในบริเวณนั้นจะถูกกำจัดจนหมดสิ้น

หน่วยปืนครกระดมยิงอย่างดุดัน และเครื่องบินที่อยู่บนฟ้าเองก็ไม่ยอมน้อยหน้า พวกเขายังช่วยยิงปืนใหญ่ถล่มใส่บริเวณใกล้เคียง

เซียวอวี๋ได้กำหนดแบ่งแนวกำแพงออกเป็นหลายพื้นที่ หากมีพื้นที่ใดต้องการความช่วยเหลือ เหล่าอัศวินกริฟฟ่อนก็จะมารายงานทันที จากนั้นกองหนุนก็จะถูกส่งออกไปช่วยเหลือ

กองหนุนเหล่านี้ส่วนใหญ่ประกอบด้วย ทัพอัศวิน นักรบหมาป่า ทัพม้า หน่วยรบทางอากาศต่างๆ รถถัง และยักษ์ศิลา

ยามเมื่อเกิดช่องว่างขึ้น พวกยักษ์ศิลาก็จะตรงดิ่งไปอุดช่องว่างนั้นไว้ จากนั้นเหล่าช่างทั้งหลายก็จะรีบเข้าไปซ่อมแซทที่ส่วนนั้น

สู้รบไปซ่อมแซมกำแพงไป การรบอันแปลกประหลาดเช่นนี้เคยปรากฏขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์เมื่อครั้งจูหยวนจางตั้งรับอยู่ที่เมืองหงตู แต่เฉินโหย่วเลี่ยงก็สามารถบุกทำลายกำแพงเมืองได้สำเร็จ ดังนั้นจูหยวนจางจึงสั่งให้ทหารของพระองค์สู้รบพลางซ่อมแซมกำแพงเมืองพลาง สุดท้ายสามารถต้านยันอีกฝ่ายไว้ได้สำเร็จ รอจนกระทั่งทัพหนุนยกมาถึง กองทัพของเฉินโหย่วเลี่ยงจึงพ่ายแพ้ในที่สุด

ตอนนี้เซียวอวี๋มีช่างฝีมือที่ดีที่สุดอย่างพวกก๊อบลินอยู่ในมือ ทั้งยังมีสุดยอดยูนิตอย่างยักษ์ศิลาที่สามารถแทนที่กำแพงที่แตกรั่วอยู่ด้วย ดังนั้นเขาจึงมั่นใจอย่างยิ่งในการใช้กลยุทธ์นี้

ตูม……..

หลังจากสงครามดำเนินไปสักพัก ในที่สุดช่องว่างขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นบนกำแพง

“พื้นที่ห้าสิบเอ็ดเกิดช่องว่าง ส่งหน่วยสนับสนุนไปด่วน”

หลังจากคำสั่งถูกถ่ายทอดออกไป รถถังหนึ่งหน่วย ทหารม้าหนึ่งหน่วย อัศวินกริฟฟ่อนหนึ่งหน่วยและยักษ์ศิลาอีกสองสามตัวก็มุ่งหน้าไปยังรอยแตกนั้น……….. 

 

 


ตอนที่ 599

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


ขณะที่กำแพงเพิ่งปรากฏรอยแตกขนาดใหญ่ขึ้น กองทหารของศาสนจักรก็โห่ร้องพลางโถมไปยังรอยแตกนั้น อย่างไรก็ตาม ทหารศาสนจักรเพิ่งปีนเข้าไปในรอยแตกได้ไม่นาน พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนราวกับมีบางสิ่งที่มีขนาดใหญ่โตกำลังใกล้เข้ามา เงาดำเริ่มขยายขนาดเมื่อระยะทางหดสั้นลงก่อนที่เงาร่างขนาดใหญ่นั้นจะโถมทิ้งตัวเข้าใส่รอยแตกของกำแพง

ตูม……….

รอยแตกที่เกิดขึ้นนั้นกว้างพอจะให้ยักษ์ศิลาจำนวนสองตัวเข้าไปอุด ดังนั้นยักษ์ศิลาสองตัวจึงโถมเข้าใส่รอยแยกที่เต็มไปด้วยทหารศาสนจักรและแปรสภาพทหารเหล่านั้นให้กลายเป็นเนื้อบด

น่าสยดสยองนัก…

ยักษ์ศิลามีขนาดตัวที่ใหญ่ ทั้งยังมีน้ำหนักมหาศาล และหลังจากเซียวอวี๋ติดตั้งเกราะหนักให้กับพวกมัน พวกมันก็กลายเป็นภูเขาเหล็ก หากถูกพวกมันกระโดดโถมทับ สิ่งมีชีวิตที่มีร่างเลือดเนื้อย่อมยากที่จะรอด

เดิมทีทหารศาสนจักรจำนวนมากกำลังหลั่งไหลกันมาที่รอยแตก แต่หลังจากเห็นชะตากรรมของพวกพ้องและรอยแตกที่ถูกอุด พวกเขาก็ได้แต่หยุดฝีเท้า

หลังรอยแตกส่วนใหญ่ถูกอุดด้วยยักษ์ศิลาสองตัว ยักษ์ศิลาอีกสองตัวก็ปีนข้ามยักษ์ศิลาสองตัวที่อุดอยู่มายืนที่หน้ารอยแตกเสมือนเป็นกำแพง

ทหารศาสนจักรบางส่วนที่เล้ดรอดเข้าไปได้ก่อนรอยแยกถูกอุดก็ต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีจากรถถังและกองทหารม้า ด้วยจำนวนที่น้อยกว่ามาก ไม่ช้าพวกเขาจึงถูกกำจัดสิ้น

ขณะเดียวกัน อาวุธเวทของฝ่ายดินแดนไลอ้อนก็ยิงตอบโต้ไปยังปืนใหญ่เวทของฝ่ายศาสนจักรเพื่อสะกดอีกฝ่ายไม่ให้ยิงสังหารยักษ์ศิลา

ทางฝ่ายศาสนจักรย่อมไม่โง่เขลา พวกเขาเรียกอาวุธถอยกลับออกไปนอกระยะยิงหลังจากโจมตีสำเร็จ จากนั้นจึงกลับเข้ามาโจมตีเมื่อพร้อมยิง

ดังนั้นเซียวอวี๋จึงส่งหน่วยรบทางอากาศเข้าไปโจมตีเพื่อสะกดหรือทำลายอาวุธเหล่านั้น

สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในอีกหลายแห่ง แต่เพราะกลวิธีรับมืออันมีประสิทธิภาพของเซียวอวี๋ แม้ว่ารอยแตกจะถูกเปิดขึ้นอีกหลายครั้ง ฝ่ายศาสนจักรก็ยังไม่สามารถบุกทะลวงผ่านกำแพงเข้ามาได้

สงครามดำเนินต่อไป และในที่สุดกลยุทธ์ของเออซ่าก็ประสบผล แนวป้องกันของดินแดนไลอ้อนเริ่มก็ช่องโหว่รูรั่วมากขึ้น หลายครั้งยังตกอยู่ในช่วงวิกฤต ช่วงเวลาที่เกิดขึ้นเพียงช่วงสั้นๆเหล่านั้นทำให้ทหารศาสนจักรหลั่งไหลผ่านรอยแตกนั้นเข้าไปได้หลายหมื่นนาย แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยความแข็งแกร่งของทัพอากาศและกองพลรถถัง ทหารศาสนจักรเหล่านั้นจึงถูกกำจัดในเวลาไม่นาน

รถถังที่ตั้งเรียงรายคอยกระหน่ำยิงผู้ที่ล่วงล้ำได้กลายเป็นกำแพงเหล็กที่ทหารศาสนจักรไม่อาจฝ่าผ่านไปได้

แม้ว่าศาสนจักรจะมีพาลาดินระดับสูงอยู่มากมาย ทว่าทางฝั่งดินแดนไลอ้อนเองก็เต็มเปี่ยมไปด้วยบุคคลากรที่มีพรสวรรค์ ดินแดนไลอ้อนได้รับตัวผู้มีความรู้ความสามารถมาเข้าร่วม และเมื่อรวมกับเหล่าฮีโร่ของเซียวอวี๋ด้วยแล้ว การต่อสู้ระหว่างตัวตนระดับสูงจึงไม่อาจสร้างความได้เปรียบแก่ฝ่ายศาสนจักร

และในแง่ของไพร่พลรบ ศาสนจักรก็ยังด้อยกว่า ความแข็งแกร่งของรถถังนั้นมีมากเกินไป และหลายต่อหลายครั้ง เซียวอวี๋ยังส่งกองพลรถถังไปตั้งแนวยิงที่หน้าช่องว่างเพื่อป้องกันโดยไม่ต้องส่งช่างฝีมือไปอุดซ่อมรอยแตกนั้นด้วยซ้ำ

ทหารของศาสนจักรส่วนใหญ่ต่างก็ถูกล้างสมองจนคลั่งศาสนา ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงคิดว่าการอุทิศตัวต่อสู้เพื่อศาสนจักรนั้นถือเป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิต ดังนั้นพวกเขาจึงยังคงบุกไปข้างหน้าเพื่อพยายามฝ่ากระสุนปืนใหญ่ของรถถังเข้าไป แต่ด้วยอานุภาพของปืนใหญ่และเหล่าคิเมร่าที่คอยสนับสนุนจากบนฟ้า ผลที่ออกมาจึงกลายเป็นทหารศาสนจักรเอาชีวิตไปทิ้งอีกหลายหมื่นชีวิต

แม้จะมีพาลาดินระดับสูงบางส่วนที่สามารถฝ่าเข้ามาสร้างความเสียหายต่อรถถังได้บ้าง เซียวอวี๋ก็ไม่ได้ใส่ใจ หากรถถังเสียหายก็เพียงส่งกลับไปซ่อม ทั้งยังใช้เวลาซ่อมเพียงไม่นาน

หรือต่อให้รถถังถูกทำลายจนเป็นซาก เขาก็แค่สั่งสร้างใหม่ ตราบใดที่ยังมีเงินพอ ดินแดนไลอ้อนก็จะยังมีรถถังคอยประจำการ

ภายใต้สงครามที่ดำเนินไป รถถังก็เลื่อนระดับเพิ่มขึ้น มีบางคันที่เลื่อนขึ้นไปถึงระดับสิบ รถถังที่ระดับสิบนั้นจึงจะเรียกได้ว่าเป็นฝันร้ายอย่างแท้จริง เกราะที่หนากว่าเก่า ปืนที่ทรงอานุภาพยิงกว่าเดิม เป็นยูนิตสุดแกร่งที่รถถังระดับต่ำไม่อาจเทียบได้

แม้จะมีศพกองสูงหลายเมตรที่เบื้องหน้า รถถังระดับสูงก็สามารถขับปีนขึ้นไปได้อย่างไร้อุปสรรค

ความแข็งแกร่งของมันถึงกับทำให้เซียวอวี๋ต้องตะลึง รถถังระดับสูงภายในเกมนั้นไม่ได้ทรงพลังถึงเพียงนี้ ด้วยพลังการปีนที่ทรงพลังของมันนี้เองจึงทำให้มันค่อยคู่ควรกับที่เป็นยูนิตขั้นที่สาม ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเครื่องจักรสังหารแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์

เมื่อได้เห็นความแข็งแกร่งเช่นนี้ บางครั้งเซียวอวี๋จึงจงใจเปิดช่องว่างขึ้นและส่งกองพลรถถังไปอุดเพื่อเพิ่มระดับให้กับพวกมัน เหตุการณ์นี้คล้ายกับศึกป้องกันเมืองครั้งแรกที่เซียวอวี๋ได้ส่งนักรบออร์คไปตั้งรับที่ประตูเมือง โดยเขาได้อิงความคิดนี้มาจากศึกที่เหล่านักรบสปาตันทั้งสามร้อยต่อต้านการรุกรานของกองทัพเปอร์เซีย

แต่ตอนนี้เซียวอวี๋มีรถถังแล้ว เทียบกันแล้วพลังของรถถังในตอนนี้ยังเหนือกว่าเหล่านักรบออร์คในตอนนั้นไม่รู้ตั้งเท่าใด

อย่างไรก็ตามอาวุธเวทที่ทรงพลังศาสนจักรนั้นเป็นภัยอย่างมาก หลายต่อหลายครั้งแนวป้องกันของเมืองไลอ้อนนั้นถูกกดดันจนแทบไม่อาจสกัดกั้นไว้ได้

และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เขาจะส่งอาวุธหนักออกไป อาวุธที่ว่าก็คือ มังกรน้อย

ตราบที่มังกรน้อยปรากฏกาย สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไปอย่างพลิกฟ้าคว่ำดิน มังกรน้อยสามารถสู้กับยอดฝีมือขั้นที่หกได้พร้อมกันหลายคน ทั้งยังมีการโจมตีวงกว้างที่แข็งแกร่ง ดังนั้นศัตรูจึงไม่อาจใช้ข้อได้เปรียบด้านจำนวนกับมังกรน้อย

มังกรน้อยที่อยู่ในขั้นที่ห้าเวลานี้นั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเหล่าบอสที่เซียวอวี๋เคยพบเจอมาเลย เมื่อมีมังกรยักษ์กระโจนสู่สนามรบพร้อมร่วมมือกับหน่วยรบอื่นๆ กองทัพของอีกฝ่ายยังจะกุมความได้เปรียบไว้ได้หรือ?

ในศึกนี้เซียวอวี๋ได้ยังนำผู้พิทักษ์โบราณของฐานทัพเอลฟ์มาเข้าร่วมด้วย ต้นไม้ยักษ์เหล่านี้มีพลังขว้างที่รุนแรง ในแง่ของการต่อสู้ระยะประชิดก็ได้เปรียบเรื่องความสูงใหญ่

ป้อมที่สร้างขึ้นบนกำแพงเมืองเองก็แสดงอานุภาพของมันออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ระยะยิงของป้อมจากระบบเหล่านี้จะไม่ไกลเท่าเครื่องยิงบาริสต้าเวทมนตร์ อีกทั้งพลังทำลายก็เทียบไม่ได้ กระนั้นยามที่ข้าศึกเข้ามาใกล้กับกำแพงเมือง ประสิทธิภาพของป้อมเหล่านี้ก็ถูกแสดงออกมา ไม่ทราบมีพาลาดินมากเพียงใดที่ตกตายภายใต้การยิงสังหารของป้อมเหล่านี้

สงครามอันดุเดือดได้กินเวลาตลอดทั้งวัน กองทัพของทั้งสองฝ่ายต่างก็บาดเจ็บล้มตายไปไม่น้อย แน่นอนว่าฝ่ายที่สูญเสียมากกว่าย่อมต้องเป็นฝ่ายกองทัพศาสนจักร โดยอัตราการสูญเสียนั้นมากกว่าฝ่ายดินแดนไลอ้อนอย่างน้อยสิบเท่า

ในศึกป้องกันอันตึงเครียดเช่นนี้ ไม่ว่าจะมีอาวุธหรือทหารประจำการมากมายเพียงใด การสูญเสียย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตามแม้จะสามารถกำจัดศัตรูได้เกินกว่าสิบเท่าของอัตราสูญเสีย ดินแดนไลอ้อนก็ยังคงเสียเปรียบศาสนจักร เพราะศาสนจักรยังมีกำลังอยู่อีกมาก

ตอนนี้เซียวอวี๋ทราบแล้วว่าศาสนจักรไม่ได้สนใจต่อชีวิตของไพร่พลทหารตนเองเลย ชัดเจนว่าอีกฝ่ายยังมั่นใจในจำนวนทหารของฝ่ายตน

หลังจากที่ต่อสู้กันมาทั้งวัน เซียวอวี๋ก็ต้องอึ้งเมื่อพบว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะหยุดการโจมตีเลยแม้ว่าท้องฟ้าจะเริ่มมืดลงแล้วก็ตาม

“มารดามันเถอะ นี่มันบ้าไปแล้ว แม้แต่พวกเซิกก็ยังมีช่วงพักรบ แต่คนเหล่านี้กลับ….ดูเหมือนพวกทหารจะไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นมนุษย์อีกต่อไปแล้ว”

เซียวอวี๋กัดริมฝีปาก สงครามจะยังคงดำเนินต่อไป และเขาต้องตั้งรับต่อไปให้ได้…. 

 

 


ตอนที่ 600

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


เป้าหมายที่แท้จริงของเออซ่าคือการใช้จำนวนลิดรอนกำลังของกองทัพฝ่ายดินแดนไลอ้อน

เขาเชื่อว่ากลยุทธ์เช่นนี้ใช้ได้ผลที่สุด ไม่ว่ากองกำลังของเซียวอวี๋จะเป็นทหารประเภทใด หากต้องกรำศึกอย่างต่อเนื่องก็ย่อมต้องเกิดความเหนื่อยล้า

และเมื่อทหารเหล่านั้นเหนื่อยล้า ความสามารถในการต่อสู้ก็ย่อมลดลงตามไป ผลที่ตามมาคือการปรากฏข้อผิดพลาด และศาสนจักรจะใช้โอกาสนั้นในการบุกทะลวง ซึ่งอันที่จริง กลยุทธ์เช่นนี้สร้างความอิจฉาเซียวอวี๋อย่างยิ่ง

ช่องว่างขนาดใหญ่ของจำนวนกำลังรบระหว่างสองฝ่ายเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการใช้กลยุทธ์นี้

“มารดามันเถอะ ปล่อยไว้แบบนี้ต่อไปคงพ่ายแพ้แน่ ดูเหมือนต้องใช้พวกอันเดดแล้ว” เซียวอวี๋มองดูสถานการณ์พลางครุ่นคิดขึ้นในใจ

เขาตระหนักดีว่าการเรียกใช้กองทัพอันเดดในเวลานี้จะทำให้ผู้คนล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองทัพ อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หากไม่ลงมือในเวลานี้ ความพ่ายแพ้ของดินแดนไลอ้อนก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น

อันที่จริง ขอเพียงแค่เซียวอวี๋ไม่ปล่อยให้ผู้คนพบเจอหลักฐานสำคัญที่เชื่อมโยงตัวเขากับกองทัพอันเดดก็ใช้ได้แล้ว เวลานี้ทั่วทั้งทวีปกำลังอยู่ในความวุ่นวาย แม้ผู้คนจะทราบว่าพวกอันเดดปรากฏขึ้นในดินแดนไลอ้อน พวกเขาก็คงลืมตาข้างหลับตาข้างและปล่อยผ่านไป

ดังนั้นเซียวอวี๋จึงเบาใจไปได้บ้าง เขารีบผละลงจากกำแพงเมืองและมุ่งตรงไปยังฐานทัพอันเดด จากนั้นจึงออกคำสั่งต่ออาร์ทัส

เมื่อได้รับคำสั่งจากเซียวอวี๋ อาร์ทัสก็รีบเรียกระดมพวกอันเดดและเคลื่อนทัพอ้อมผ่านสนามรบเตรียมจะเข้าตีโอบกองทัพศาสนจักร

ในการลอบโจมตีครั้งก่อนๆ เนื่องเพราะมีประสบการณ์ครั้งแรก ศาสนจักรจึงได้เตรียมการป้องกันการลอบโจมตีของพวกอันเดด และทำให้การโจมตีของพวกอันเดดไม่ประสบผลสักเท่าใดนัก

หากแต่ครั้งนี้ผลลัพธ์จะไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว

กองทัพศาสนจักรทุ่มความสนใจไปกับการบุกโจมตีเมืองไลอ้อนที่อยู่ด้านหน้า ดังนั้นการป้องกันที่ด้านข้างจึงหลวมคลาย พวกเขาย่อมไม่คาดคิดว่าจะมีทัพใดปรากฏขึ้นจากทางเทือกเขาอัลคาเกน

ซ้ำร้ายยังเป็นทัพที่แข็งแกร่งอย่างกองทัพอันเดด

ช่วงเวลาในยามค่ำคืน คืนช่วงเวลาของเหล่าคนตาย นี่เป็นช่วงเวลาที่พวกมันจะแข็งแกร่งที่สุด แม้ว่ากองทัพอันเดดจะสามารถปรากฏกายในตอนกลางวันได้ แต่ในตอนกลางคืนนั้น ความแข็งแกร่งของพวกมันจะเพิ่มขึ้นเป็นทบทวีคูณ

เวลานี้กองทัพศาสนจักรกำลังโหมบุกอย่างบ้าคลั่ง จำนวศพที่กองทับถมอยู่ใต้กำแพงไม่ทราบเป็นตัวเลขน่ากลัวเพียงใด กระนั้นพวกเขาก็ยังเดินหน้ารุกคืบใส่กำแพงเมืองอย่างไม่ลดละ

บรรยากาศของกองทัพศาสนจักรเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความบ้าคลั่ง ความรู้สึกอื่นๆล้วนถูกละทิ้งไว้เบื้องหลัง ทหารของศาสนจักรในเวลานี้แทบจะไม่ได้ต่างอะไรไปจากหุ่นเชิดที่รู้จักแต่การบุกไปข้างหน้า

ครืน……

พื้นดินเกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นขณะที่มีสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่สองสามตัวปรากฏตัวขึ้นที่ด้านข้างของสนามรบ เมื่อทหารศาสนจักรมองเห็นร่างของสัตว์ประหลาดเหล่านั้น พวกเขาก็ตกตะลึง พวกเขาเคยเห็นสัตว์ประหลาดเช่นนี้มาก่อน ร่างกายที่ประกอบขึ้นอย่างพิกลพิการนั้นถูกสร้างขึ้นจากศพ ไม่ใช่สัตว์ประหลาดที่มีชีวิตจริงๆ

“พวกผีเน่าบัดซบนั่นอีกแล้ว!”

กองทัพศาสนจักรต้องเสียหายอย่างหนักจากการปะทะกับพวกอันเดด แม้ว่าพวกเขาจะสังหารอันเดดไปได้มากมาย แต่หากเปรียบเทียบกันแล้ว กองทัพของพวกเขายังจะเสียหายมากกว่า

อันเดดที่ตายส่วนใหญ่ไม่ใช่อันเดดที่สร้างขึ้นจากฐานทัพของระบบ ดังนั้นความเสียหายที่เกิดจึงไม่กระทบกับกำลังหลักของกองทัพอันเดดเท่าใดนัก

ดูเหมือนว่าอาร์ทัสจะเพิ่งได้สัตว์ประหลาดพวกนี้มาจากเทือกเขาอัลคาเกน ความสามารถในด้านผู้นำของอาร์ทัสนั้นยอดเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่นานมานี้ กองทัพอันเดดได้เข้าปะทะกับกองทัพศาสนจักรอย่างรุนแรง สัตว์ประหลาดแทบทั้งหมดตกตายไป ทว่าผ่านไปเพียงไม่กี่วัน อาร์ทัสก็สามารถหาสัตว์ประหลาดมาเสริมทัพได้แล้ว

ความแข็งแกร่งของสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่พวกนี้ส่งผลอย่างมากในสนามรบ ยามที่พวกมันบุกตะลุยไปข้างหน้า ชีวิตของไพร่พลมากมายจะถูกปลิดปลงไป

ความน่าพรั่นพรึงของพวกมันได้หยั่งรากอยู่ในใจของทหารศาสนจักรอย่างลึกล้ำ

เมื่อพวกสัตว์ประหลาดที่เพิ่งปรากฏตัวเริ่มออกวิ่ง ที่ด้านหลังของพวกมันก็ตามติดไปด้วยกองทัพอันเดดที่แน่นขนัดดุจฝูงแมลง เพื่อที่จะจัดการกับศาสนจักรในครั้งนี้ เซียวอวี๋ได้ปลดข้อจำกัดบางประการที่เคยจำกัดไว้ต่ออาร์ทัส เขาอนุญาติให้อาร์ทัสปลุกทหารซากศพขึ้นมาเพิ่มมาอีกระดับ

และผลลัพธ์ที่ออกมาจะพลิกโฉมกองทัพอันเดดไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้จำนวนทหารอันเดดทั่วไปที่อาร์ทัสควบคุมบงการได้นั้นมีจำนวนถึงหนึ่งแสนตนแล้ว และหากมีอันเดดถูกทำลาย เขายังสามารถปลุกซากศพขึ้นมาเติมเต็มให้ครบจำนวนได้เรื่อยๆ

นี่ก็คือข้อได้เปรียบที่น่าพรั่นพรึงที่สุดของเผ่าพันธุ์อันเดด

โฮก…………..

ท่ามกลางพวกอันเดดที่บุกเข้ามา อาชานรกที่อาร์ทัสควบขี่นั้นดูสะดุดตาที่สุด พื้นที่ที่มันวิ่งผ่านจะถูกความตายเข้าปกคลุม ทุกที่ที่หนึ่งคนหนึ่งม้าควบผ่านจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นแดนประหาร

อันที่จริงศาสนจักรนั้นเตรียมการรับมือพวกอันเดดไว้ก่อนแล้ว ด้วยสติปัญญาของเออซ่า มีหรือที่เขาจะไม่คาดการณ์ว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้?

เออซ่านั้นสงสัยมานานแล้วว่าพวกอันเดดนั้นมีความเชื่อมโยงกับเซียวอวี๋

ตอนนี้ ขณะที่อยู่ในช่วงที่สำคัญที่สุดของการบุกตี จู่ๆพวกอันเดดก็ปรากฏตัวออกมา สิ่งนี้ถือเป็นข้อพิสูจน์อย่างดีแล้ว เออซ่าแค่นเสียงเย็นและส่งกองทัพย่อยไปรับมือกับพวกอันเดด

กองทัพศาสนจักรไม่เคยขาดแคลนไพร่พล การส่งกองทัพบางส่วนไปสกัดพวกอันเดดจึงไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด

เออซ่าคิดไว้เช่นนี้ แต่เมื่อพวกอันเดดบุกเข้ามาจริงๆ เขาก็พบว่าตนนั้นประเมินพลังของกองทัพอันเดดต่ำไป

ซึ่งที่จริง ที่เขาประเมินผิดไปคือพลังของอาร์ทัส อาร์ทัสสะบัดดาบฟรอสต์มัวร์อยู่หน้าสุดของทัพอันเดดโดยไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งได้

เออซ่าส่งพาลาดินขั้นที่หกสี่คนไปรับมือ พาลาดินทั้งสี่ต่างก็แข็งแกร่งและมีชื่ออยู่บ้าง แม้จะไม่แข็งแกร่งในระดับเดียวกับดัม กระนั้นพวกเขาก็เป็นขั้นที่ที่หกระดับสูงสุด

เมื่อพาลาดินทั้งสี่จับกลุ่มล้อมอาร์ทัสไว้ได้สำเร็จ พวกเขาก็ยังไม่อาจทำอย่างไรต่ออาร์ทัส

ตรงกันข้าม อาร์ทัสได้สั่งให้อันเดดโดยรอบเข้ากลุ้มรุมพาลาดินทั้งสี่ จากนั้นจึงใช้ทักษะระเบิดซากศพ และทำให้พาลาดินทั้งสี่บาดเจ็บ

ทันใดนั้นอานูบอารัคก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินและยิงหนามแหลมเข้าใส่พาลาดินทั้งสี่จนต้องหันมารับมือเป็นพัลวัน จากนั้นเคลธูซาดก็ตามติดมาใช้เวทโจมตีซ้ำจนทั้งสี่แทบต้านทานรับไว้ไม่ไหว

ความแข็งแกร่งที่อาร์ทัสแสดงออกมาทำให้เออซ่าขมวดคิ้ว เขาขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่งพาลาดินขั้นที่หกอีกสองคนไปคลี่คลายสถานการณ์ให้พาลาดินทั้งสี่

แม้กระนั้น สถานการณ์ก็ยังไม่เกิดความเปลี่ยนแปลง อาร์ทัสยังคงนำทัพอันเดดรุกคืบเข้ามาอย่างต่อเนื่องจนจ่อประชิดใส่ปีกข้างของกองทัพศาสนจักร

เมื่อเป็นเช่นนี้ กองทัพอันเดดจึงค่อยๆเบียดเข้ามามีส่วนร่วมในสงครามและส่งผลให้สงครามรุนแรงกว่าเดิม โลหิตไหลเจิ่งนองไปทั่วสนามรบขณะที่ดวงจันทร์เฝ้ามองลงมาจากฟ้า……

 

 

 


ตอนที่ 601

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


ขณะที่การต่อสู้ดำเนินต่อไป ทั้งดินแดนไลอ้อนและศาสนจักรต่างก็สูญเสียไพร่พลอย่างหนัก แต่ด้วยการเข้ามามีส่วนร่วมของทัพอันเดด ศาสนจักรจึงจำต้องแบ่งกำลังบางส่วนมารับมือและทำให้ไม่อาจโหมบุกตีเมืองได้เต็มกำลัง ขณะที่แนวป้องกันของเมืองไลอ้อนยังตั้งมั่นอยู่เช่นเดิมและผ่านพ้นคืนนั้นมาได้

ในศึกยามค่ำคืนที่ผ่านมา ศาสนจักรสูญเสียทหารไปอย่างน้อยหนึ่งล้านนาย ทว่ากองทัพศาสนจักรก็ยังจะเดินหน้าโจมตีต่อไป พวกเขาจะต้องกำจัดดินแดนไลอ้อนของเซียวอวี๋ให้จงได้

“น่าตายนัก เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่” เซียวอวี๋มองดูกองทัพศาสนจักรที่โหมบุกอย่างหนักพลางยกมือขึ้นลูบคาง สมองเร่งขบคิดหาวิธีการ

ขุมกำลังของศาสนจักรแข็งแกร่งยิ่ง แม้แต่กองทัพของพวกเซิกเองก็อาจจะไม่แข็งแกร่งไปกว่านี้ ซึ่งในครั้งนั้นฝ่ายเขายังมีสามจ้าวมนตรา และทัพม้าชั้นยอดของจักรวรรดิ

หากจ้าวมนตราทั้งสามอยู่ที่นี่ในตอนนี้ ปัญหาที่เขาเผชิญอยู่ก็คงคลี่คลายได้โดยง่าย

ทหารของศาสนจักรอาจจะไม่ได้แข็งแกร่งเทียบเท่าทหารทมิฬของโถวปากุ้ย แต่ประการสำคัญก็คือ ครั้งนี้เขาไม่มีวิญญาณบรรพกาลคอยช่วยเหลือ วิญญาณบรรพกาลมีพลังถึงขั้นที่สามารถพลิกเปลี่ยนสถานการณ์ หากเขาได้ผู้ช่วยอันเข้มแข็งจำนวนมากมาเพิ่มในครั้งเดียวเช่นนั้นอีก ศึกครั้งนี้คงยุติได้โดยเร็ว

ขณะที่เซียวอวี๋กำลังคิดหาวิธีเอาชนะกองทัพศาสนจักรอยู่นั้นเอง เมฆขนาดใหญ่ก็พลันปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าก่อนจะเคลื่อนตัวเข้าบดบังดวงอาทิตย์

“หืม เมฆาพวกนี้มาจากไหนกัน?”

ขณะนั้นเอง ดวงอาทิตย์ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งและปลดปล่อยแสงสว่างจ้าออกมาจนทำให้ทั้งหมดต้องรีบเบนสายตาหลบ

อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกครั้ง พวกเขาก็ต้องตกตะลึง

เป็นเพราะเมฆที่ปรากฏก่อนหน้านี้นั้นหายไปแล้ว และตำแหน่งเดิมของมันก็ถูกแทนที่ด้วยนครลอยฟ้าแน็กแรม

“เจ้านี่ลอยมาที่นี่ทำไมกัน?”

เมื่อเห็นแน็กแรมกำลังลอยมา เซียวอวี๋ก็ตกตะลึง ตอนนี้ทั้งเขาและกองทัพดินแดนไลอ้อนกำลังอยู่ในสภาพที่อ่อนล้ายิ่ง และตอนนี้เจ้านครเจ้าปัญหานี่ก็ยังกระโดดมาเข้าร่วมวงอีก นี่ไม่ยิ่งแย่ไปกันใหญ่หรือ?

ทหารของศาสนจักรเองก็ตกตะลึงขระมองดูแน็กแรมเคลื่อนตัวอยู่บนท้องฟ้า หากว่าจู่ๆเจ้าสิ่งนี้ตกลงมา พื้นที่ที่พวกเขาอยู่ก็คงถูกกลบฝังในทันที

ด้วยเหตุนี้ ความเร็วในการบุกโจมตีจึงเริ่มลดลง ผู้คนเริ่มเงยหน้าขึ้นมองแน็กแรมขณะที่กังวลว่ามันจะตกลงมา

เมื่อเออซ่าได้เห็นฉากนี้ ใจของเขาก็เต้นไม่เป็นระส่ำ ลางสังหรณ์อัปมงคลเริ่มกัดกินหัวใจของเขา

“นี่….หรือจุดจบของโลกจะมาถึงแล้ว?”

เออซ่าจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเจ้าสิ่งนี้ปรากฏอยู่ในบันทึกเล่มหนึ่งของศาสนจักร ซึ่งท่อนนั้นมีใจความว่า ….เมื่อเจ้าสิ่งที่ยิ่งใหญ่นี้ปรากฏขึ้น นั่นหมายถึงการล่มสลายของศาสนจักร….

ในช่วงเวลานี้เอง เออซ่าผู้ไม่เคยระย่นระย่อต่อสิ่งใด พลันเกิความปั่นป่วนขึ้นในใจ

ซึ่งที่จริงลางสังหรณ์ของเออซ่าก็ไม่ผิดพลาด เพราะในตอนนั้นเอง อาร์ทัสและเหล่าอันเดดก็เริ่มตื่นเต้นด้วยความยินดี แววตาของพวกเขาเริ่มฉายแววกระหายเลือด และความแข็งแกร่งของพวกเขาก็พลันเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

โดยเฉพาะอาร์ทัส ในขณะนี้เขาคล้ายกลายเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง เขาเงยหน้ากู่ร้อง จากนั้นจึงกระตุ้นอาชานรกให้วิ่งออกไปสุดกำลัง

“ฆ่า!…..”

เสียงอันน่าขนลุกถูกเปล่งออกมาจากปากของอาร์ทัส จากนั้นเหล่าอันเดดที่ติดตามอยู่เบื้องหลังของเขาก็เข่นฆ่าทหารศาสนจักรตามหลังอาร์ทัสไป

กองทัพศาสนจักรที่ถูกแหวกทะลวงพลันปรากฏความวุ่นวายขึ้น พวกเขาไม่อาจหยุดยั้งการโจมตีของพวกอันเดดได้เลย พวกอันเดดในเวลานี้ได้กลายเป็นกองทัพที่ไม่อาจหยุดยั้งไปแล้ว

ชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้มาจากแน็กแรมที่ลอยอยู่บนฟ้า

เซียวอวี๋นิ่งตะลึงไปชั่วขณะ ขณะที่สายตาจับจ้องไปยังอาร์ทัสที่นำทัพตีฝ่าเข้าไปใจกลางกองทัพศาสนจักร และเขาก็พลันเข้าใจ มีบางสิ่งบางอย่างได้เกิดขึ้นกับอาร์ทัสแล้ว

พวกอันเดดบุกเข้าไปอย่างไม่อาจหยุดยั้ง และไม่นานทัพหน้าและทัพหลังกองทัพของศาสนจักรก็ถูกตัดขาดจากกัน

เมื่อเซียวอวี๋เห็นเช่นนี้ เขาจะทราบได้อย่างไรว่านี่นับเป็นโอกาสอันหาได้ยาก ดังนั้นเขาจึงรีบตะโกนสั่งการให้กองกำลังของเขาละทิ้งการป้องกันและบุกลงไปเข่นฆ่าทหารศาสนจักร

โฮก………

สิ้นเสียงร้องคำรามของมังกรน้อย กองทัพดินแดนไลอ้อนก็เปิดฉากบุกชนิดเทหมดหน้าตักโดยมีกองพลรถถังรับหน้าที่เป็นผู้เบิกทาง ดินแดนไลอ้อนเริ่มการโจมตีโต้กลับแล้ว

รถถังเหล่านี้ได้ผ่านการต่อสู้มาทั้งวันทั้งคืน และพวกมันก็มีระดับถึงสิบไปเนิ่นนานแล้ว และเมื่อถึงจุดนี้ มันก็จะสามารถแสดงศักยภาพออกมาได้เต็มที่ พวกรถถังเริ่มยิงปืนใหญ่อันหนักหน่วงขณะเคลื่อนตัวไปข้างหน้าและบดขยี้ทุกสิ่งที่ขวางหน้า กองทัพศาสนจักรที่กำลังปั่นป่วนย่อมไม่อาจรับมือพวกมัน

ที่ตามติดมายังมีกองกำลังอื่นๆ เวลานี้ทั้งหมดต่างก็ได้แสดงศักยภาพของตนออกมาและเริ่มสังหารกองทัพศาสนจักรที่แตกพ่ายไม่เป็นกระบวนอย่างรวดเร็ว

อูเธอร์ควบม้าขึ้นหน้า เวทมนตร์แห่งแสงของเขาเข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณโดยรอบ เหล่าผู้ที่ได้สัมผัสกับลำแสงนี้ต่างก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่น และร่างกายของพวกเขาก็แข็งแกร่งขึ้นชั่วขณะ

มีไพร่พลบางส่วนของศาสนจักรที่สัมผัสถูกลำแสงนี้ ร่างกายของพวกเขาเองก็เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างแปลกประหลาด

สมาชิกภาคีหัตถ์เงินที่ติดตามอยู่ด้านหลังของอูเธอร์เร่งกระตุ้นม้าขึ้นหน้าพลางตะโกนคำสอนแห่งแสงสว่างทีละคนทีละคนจนก่อเกิดเป็นสภาวะอันดูศักิด์สิทธิ์ขึ้นมา

พาลาดินของศาสนจักรหลายคนตกตะลึงเมื่อได้เห็นฉากนี้ บางคนกระทั่งลืมจะยกอาวุธขึ้นสู้

ไม่ช้า กองทัพดินแดนไลอ้อนที่นำโดยเซียวอวี๋ก็กวาดล้างทหารของศาสนจักรในฝั่งที่อยู่หน้ากำแพงเมืองได้ทั้งหมด บางส่วนก็เลือกที่จะทิ้งอาวุธยอมจำนน

ขณะที่มองไปยังอูเธอร์ ทหารเหล่านั้นคล้ายเกิดความกระจ่างแจ้งขึ้นในใจ

ในที่สุดอูเธอร์และอาร์ทัสก็ได้เผชิญหน้ากันในสนามรบเป็นครั้งแรก

แม้ว่าทั้งสองจะเป็นฮีโร่ในสังกัดของเซียวอวี๋ แต่ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของพวกเขาก็ทำให้พวกเขากระอักกระอ่วนในทันทีที่พบหน้า

“อาร์ทัสศิษย์ข้า คิดไม่ถึงว่าจะได้พบเจ้าที่นี่” น้ำเสียงของอูเธอร์แฝงไว้ด้วยโทสะ ขณะเวทแห่งแสงที่ล้อมรอบกายของเขาก็เข้มข้นขึ้นก่อนจะระเบิดพลังพุ่งออกไป….

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม