World of Warcraft ราชันต่างภพ 588-594
ตอนที่ 588
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
หลังจากกล่าวปลอบโยนพวกอาร์ทัส เซียวอวี๋ก็กลับไปยังฐานทัพมนุษย์ และครั้งนี้ฐานทัพก็เลื่อนระดับเสร็จแล้ว
หลังจากมีค่าผลงานถึงระดับนายพัน จำนวนยูนิตที่ควบคุมได้ก็เพิ่มขึ้นเป็นสามหมื่นจากระดับเดิมสองหมื่น นี่ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นมาก
แน่นอนว่าที่ว่างเหล่านี้เซียวอวี๋ย่อมเลือกยูนิตประเภทจักรกล
เซียวอวี๋เลือกสร้างรถถังหนึ่งพันคัน แต่ละคันมีค่าเท่ากับห้ายูนิต นี่คือจำนวนที่สร้างได้สุงสุดแล้ว ระบบตั้งจำนวนรถถังสูงสุดที่ครอบครองได้แค่หนึ่งพันยูนิต เพราะรถถังจำนวนเพียงเท่านี้ก็ทรงพลังอย่างยิ่งแล้ว เซียวอวี๋เองก็ไม่ได้เสียใจ รถถังจำนวนหนึ่งพันต้องไม่ทำให้เขาผิดหวังอย่างแน่นอน จากนั้นเซียวอวี่จึงเลือกสร้างปืนครกหนึ่งพันกระบอก แต่ละกระบอกมีค่าเท่ากับสองยูนิต จากนั้นจึงสร้างเครื่องบินหนึ่งพันลำ แต่ละลำใช้สองยูนิต และหลังจากใคร่ครวญอยู่นาน เซียวอวี๋ใช้ยูนิตที่เหลือสร้างปืนครก การปุพรมยิงถล่มอีกฝ่ายก็ฟังดูไม่เลว เมื่อถึงยามนั้น หากอีกฝ่ายไม่มีสนามเพลาะ นั่นก็คงเป็นจุดจบของพวกเขาแล้ว
เจ้าสิ่งนี้อาจจะรุนแรงสู้เวทมนตร์ที่ร่ายจากผู้ใช้มนตราไม่ได้ แต่มันสามารถยิงถล่มอีกฝ่ายจากระยะไกลโพ้น
ลองจินตนาการถึงภาพปืนครกนับหมื่นกระบอกยิงออกพร้อมกันดูสิ แค่คิดเซียวอวี๋ก็ฉีกยิ้มกว้างถึงใบหู
เครื่องบินยังสามารถบรรทุกผู้คน เครื่องบินแต่ละลำจะมีคนแคระเป็นพลขับ พวกเขาสามารถบังคับปืนกลกระหน่ำยิงได้ทั้งจากอากาศสู่อากาศ หรืออากาศสู่พื้นดิน นี่แน่นอนว่าเป็นยูนิตที่น่ากลัวอีกยูนิตหนึ่ง
ทัพบินหนึ่งพันลำยังมีข้อได้เปรียบยูนิตอากาศอื่นๆ เช่น อัศวินกริฟฟ่อน
หลังเริ่มกระบวนการผลิต เซียวอวี๋ก็หันมาจัดการเรื่องสุด การอัญเชิญฮีโร่ เซียวอวี๋เลือกที่จะอัญเชิญฮีโร่คนสุดท้ายของเผ่ามนุษย์ออกมา ราชันย์แห่งขุนเขา เป็นที่ทราบดีว่า ราชันยืแห่งขุนเขาเป็นฮีโร่ที่ถนัดในการรบ เขามักจะถูกใช้ในหลายสนามต่อสู้ สำหรับเซียวอวี๋แล้ว เขาคิดว่าฮีโร่ผู้นี้จะยกระดับพลังต่อสู้ของดินแดนไลอ้อนขึ้นอีกมาก
ครืน……..
รถถังคันแรกเคลื่อนที่ออกมาจากโรงงาน ขนาดของรถถังเทียบได้กับมังกรระดับสี่ รถถังคันนี้มีมีปืนหลักหนึ่งกระบอก ปืนรองสองกระบอก มันสามารถโจมตีได้ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ตัวรถสร้างขึ้นจากโลหะอย่างประณีตดูสง่างามน่าเกรงขาม
ภายในตัวรถมีระบบที่ครบครัน รถถังส่งเสียงปล่อยไอน้ำออกมาก่อนจะเคลื่อนที่ตามคำสั่งของเซียวอวี๋ เขาสั่งให้มันเดินหน้ามุ่งไปทางต้นไม้ ต้นไม้ที่หนาราวสามคนโอบพลันถูกชนจนล้มโค่นลงก่อนจะถูกเหยียบจนแตกกระจาย
“ช่างทรงพลังจริงๆ เหอเหอ….”
เซียวอวี๋รู้สึกลิงโลด หลังจากนั้นไม่นาน หน่วยพลปืนครกก็ปรากฏตัวขึ้น หน่วยปืนครกหนึ่งหน่วยประกอบด้วยคนแคระสามคน หนึ่งคนรับผิดชอบการยิง หนึ่งคนเติมกระสุน ขณะที่อีกคนทำหน้าที่ลำเลียง
ปืนครกส่งเสียงดัง ปั้ง ขณะที่ยิงออกไปตามคำสั่งของเซียวอวี๋ ควันสีขาวมากมายพวยพุ่งจากปากกระบอกปืนจนตลบอบอวล วินาทีถัดมา กระสุนก็ตกลงที่เบื้องหน้าจนเกิดเป็นหลุมที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางราวสี่ห้าเมตร อานุภาพของมันรุนแรงมาก
“ให้ตายสิ หากยิงออกไปพร้อมกันทั้งพันกระบอกคงจะสะท้านสะเทือนน่าดูชม เจ้านี่ยังเจ๋งกว่าเครื่องยิงบาริสต้าเวทเสียอีก” เซียวอวี๋ดีใจจนเนื้อเต้น
และสุดท้าย เครื่องบินก็ปรากฏโฉม เครื่องบินที่บินออกมามีรูปทรงคล้ายกับเฮลิคอปเตอร์ เครื่องบินพุ่งออกตัวก่อนจะเริ่มสาดมิสไซส์โชว์แสนยานุภาพจนระเบิดผืนป่าไปเป็นแถบ
เครื่องจักรสังหารทั้งสามนี้ได้พิสูจน์แสนยานุภาพของมันแล้ว ตอนนี้ เซียวอวี๋กระหายใคร่อยากทดสอบสนามจริงกับศาสนจักรใจจะขาด เพียงแค่คิดว่ากำลังบัญชาการกำลังพลกลุ่มนี้บุกเข้าไปในสนามรบก็รู้สึกสนุกขึ้นมาแล้ว
“นายท่าน!” ในตอนนั้นเอง เสียงตะโกนก็ดังขึ้น ขณะที่คนแคระที่ดูทรงพลังผู้หนึ่งกระโดลงมาจากแท่นอัญเชิญ ในมือของเขาข้างหนึ่งกำขวาน ข้างหนึ่งกำค้อน รูปลักษณ์ที่ดุดันยิ่งเสริมความน่าเกรงขามให้ดูโดดเด่นขึ้นไปอีก
ราชันย์แห่งขุนเขา
“อา ต้องขอโทษด้วยที่เพิ่งจะเรียกเจ้าออกมาในเวลานี้ แต่นั่นไม่สำคัญหรอก ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าต้องผิดหวัง” เซียวอวี๋อมยิ้มกล่าวพลางตบศีรษะราชันย์แห่งขุนเขาเบาๆ
“ไม่เป็นไรขอรับนายท่าน เมื่อมีตัวข้า มูราดิน อยู่ที่นี่ จะไม่มีผู้ใดสามารถทำร้ายท่าน!” ราชันย์แห่งขุนเขากล่าวอย่างดุดันราวจะคำราม
ดูเหมือนว่าการที่เขาเพิ่งถูกอัญเชิญออกมาจะทำให้เขามีสติปัญญาไม่สูงนัก แต่หลังจากปล่อยให้ปรับตัวไปพักหนึ่งก็น่าจะเพิ่มพูนขึ้นเอง
นอกจากราชันย์แห่งขุนเขาแล้ว ระบบยังส่งเสียงแจ้งเตือนว่าเซียวอวี๋สามารถอัญเชิญฮีโร่ออกมาได้อีกหนึ่งคน นั่นทำให้ให้เซียวอวี๋ดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้น เมื่อเป็นแบบนี้ก้เท่ากับว่าเขาสามารถอัญเชิญฮีโร่ออกมาสองคนในคราวเดียว
เซียวอวี๋มีฮีโร่ที่จะอัญเชิญอยู่ในใจแล้ว เขาคิดจะอัญเชิญจ้าวอัคคีออกมา ในอดีตตอนที่เซียวอวี๋เล่นเกมวอคราฟ เขานั้นมีความประทับใจในตัวจ้าวอัคคีอย่างลึกล้ำ หากเป็นฮีโร่ผู้นี้ล่ะก็ การส่งเขาลงไปในสนามรบจะสามารถดึงศักยภาพของเขาออกมาได้ดีที่สุด
เซียวอวี๋รีบวิ่งไปยังแท่นอัญเชิญก่อนจะเลือกอัญเชิญจ้าวอัคคีออกมา
ย่าห์…….
พร้อมกับเสียงคำราม เพลิงกลุ่มหนึ่งพลันพุ่งลงสู่พื้น เงาร่างสูงใหญ่ที่มีเปลวเพลิงลุกโชนอยู่ทั่วร่างพลันยืนหยัดเบื้องหน้าของเซียวอวี๋ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงอันดัง
“แร็กนารอสอยู่ที่นี่แล้วขอรับ!”
“แม่งมันเถอะ โครตเจ๋งเลย!” เซียวอวี๋ปาดน้ำตาด้วยความยินดี คิดไม่ถึงว่าเจ้านี่จะถูกเรียกออกมาแล้วจริงๆ ฮีโร่ผู้นี้เรียกได้ว่าเก่งจนเข้าขั้นโกง ตอนนี้เขามาอยู่ต่อหน้าเซียวอวี๋ เซียวอวี่หมายมั่นในใจว่าจะปลุกปั้นอีกฝ่ายให้ดี
เซียวอวี๋สั่งให้ทั้งสองออกไปเพิ่มระดับ จากนั้นตัวเขาจึงเดินทางกลับเมืองไลอ้อน
และเมื่อเขากลับไปถึงเมือง เขาก็พลันได้รับข่าวร้าย กองทัพศาสนจักรได้เริ่มบุกตีแค้วนที่อยู่ติดกับอาณาเขตของเซียวอวี๋แล้ว หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง อีกไม่นานศาสนจักรก็จะจ่อประชิดพื้นที่ส่วนรัฐเว่ยเดิม
“น่าตายจริงๆ พวกมันมาได้เร็วนัก แต่คิดว่าลูกพี่จะกลัวหรือ? ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้อพยพคนทั้งหมด ปล่อยพื้นที่ส่วนรัฐเว่ยเดิมให้ว่างเปล่า และสร้างแนวกำแพงขึ้นที่อาณาเขตดินแดนไลอ้อน!” เซียวอวี๋ขบคิดก่อนจะตัดสินใจเช่นนี้
เนื่องเพราะอาณาเขตของรัฐเว่ยเดิมนั้นกว้างใหญ่เกินไปจนยากที่จะเฝ้าระวัง กองทัพศาสนจักรสามารถตีฝ่ามาได้โดยง่าย แต่หากเลือกที่จะป้องกันเพียงส่วนของเมืองไลอ้อน นั่นก็จะง่ายขึ้นมาก
ด้วยแนวรบที่ไม่ยาวเท่าใด ฝ่ายเซียวอวี๋เพียงต้องรักษาเมืองไลอ้อนเอาไว้ พวกเขาสามารถระดมไพร่พลทั้งหมดมาไว้ที่นี่ เพราะอย่างไรเสีย ศาสนจักรก็มีเปรียบด้านกำลังพลมาก
ศาสนจักรขยายขนาดกองทัพอย่างว่องไว ทุกที่ที่พวกเขาบุกโจมตี พวกเขาก็จะบังคับเกณฑ์ไพร่พล หากขัดขืนไม่เข้าร่วมก็จะถูกส่งตัวไปรับโทษทัณฑ์ ภายใต้วิธีการอันรุนแรงนี้เอง จำนวนไพร่พลของฝ่ายศาสนจักรจึงเพิ่มไปเกินสิบล้านคนแล้ว
การต้องสู้กับทหารศัตรูเป็นสิบล้านคน หากเซียวอวี่ยังเลือกแบ่งกำลังออกเป็นส่วนย่อยอีก นั่นก็ไม่ตายอะไรจากรอคอยความตาย
ดังนั้นเซียวอวี๋จึงให้คนทั้งหมดมารวมพลที่เมืองไลอ้อน จากนั้นจึงจัดสร้างกำแพงเป็นวงกลมล้อมตัวเมืองไลอ้อนเอาไว้เพื่อเตรียมรับมือกับกองทัพของศาสนจักร
การก่อสร้างกำแพงเมืองนี้ยังคงใช้วิธีการก่อสร้างแบบเดียวกับที่ใช้ในจักรวรรดิเมฆา แม้วัสดุที่นำมาใช้จะเป็นอิฐที่ไม่แข็งแรงเท่าหิน กระนั้นมันสามารถจัดสร้างและเพิ่มความหนาได้รวดเร็วกว่า
กำแพงหินสามารถสร้างได้หนาที่สุดเพียงไม่กี่เมตร แต่กำแพงอิฐสามารถก่อให้หนาได้เกินสิบเมตรหรือกระทั่งหลายสิบเมตร และเมื่อชั้นหนึ่งพังลง พวกเขาก็สามารถเสริมชั้นใหม่ได้อย่างรวดเร็ว
เซียวอวี๋ยังส่งยูนิตชาวบ้านและดรูอิดไปสร้างหอสังเกตการณ์ขึ้นตามกำแพง
การจัดสร้างหอสังเกตการณ์ไว้บนกำแพงหินนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่กำแพงอิฐนั้นทำได้ เนื่องจากกำแพงที่ก่อขึ้นจากอิฐจะมีลักษณ์คล้ายกับเนินเขาขนาดย่อม
ระบบไม่ได้จำกัดการสร้างป้อมสังเกตการณ์ไว้บนเนินเขาเสียหน่อย
ด้วยเหตุนั้น ทางฝั่งดินแดนไลอ้อนจึงสาละวนอยู่กับการเตรียมการป้องกัน ก่อนที่พวกศาสนจักรจะมาถึง แนวป้องกันของพวกเขาจะต้องเรียบร้อยและสมบูรณ์ที่สุด
เซียวอวี๋ยังได้เตรียมกลยุทธ์พิเศษบางอย่างไว้เพื่อรับมือกับการโหมบุกของศาสนจักร ครั้งนี้ เซียวอวี๋ตั้งมั่นจะขุดรากถอนโคนศาสนจักรให้ได้ มิเช่นนั้นกลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่นี้จะก่อเภทภัยไม่จบสิ้น…..
ตอนที่ 589
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
หลายวันมานี้ ผู้คนในดินแดนไลอ้อนต่างวุ่นวายอยู่กับการเตรียมรับมือสงคราม มีบ้างบางส่วนที่รู้สึกวิตก บางส่วนกระทั่งเลือกอพยพไปยังจักรวรรดิเมฆา หวังจะหลีกหนีจากภัยสงคราม
เซียวอวี๋ไม่ได้ห้ามปรามคนเหล่านั้น เขากลับจัดการแสดงสร้างความบันเทิงต่างๆภายในเมืองไลอ้อนทุกวัน อย่างเช่น ละคร และการแสดงความสามารถพิเศษต่างๆ
วิธีจัดการเช่นนี้สามารถทำให้ผู้คนสงบลงได้บ้าง บางส่วนคิดว่าสถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายดังที่คิด ลอร์ดของพวกเขาเตรียมการรับมือกับสงครามนี้อยู่ก่อนแล้ว
เซียวอวี๋ยังได้สั่งให้ทหารกระจายข่าวลือว่าเมื่อครั้งที่สามจ้าวมนตราพักอยู่ที่เมืองไลอ้อน พวกเขาได้ทิ้งไพ่ตายไว้เป็นการตอบแทน ซึ่งไพ่ตายใบนี้สามารถต่อกรกับกองทัพศาสนจักรได้แน่นอน
เรื่องที่สามจ้าวมนตราเคยพักอยู่ภายในเมืองไลอ้อนนั้นเป็นที่ทราบกันดี และด้วยเพราะเรื่องของเอกวินน์ จ้าวมนตราทั้งสามและดินแดนไลอ้อนจึงมีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้น
และด้วยเรื่องนี้เองที่ทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในดินแดนไลอ้อนของพวกเขา เมื่อรวมกับเรื่องนโยบายปูนบำเหน็จแก่ผู้มีความดีความชอบของเซียวอวี๋แล้ว ประชาชนมากมายจึงเลือกเข้าร่วมการก่อสร้างกำแพง หรือสมัครเป็นทหารอาสากองหนุนเพื่อมีส่วนร่วมในการปกป้องดินแดนของพวกเขา
ตอนนี้ หากนับรวมประชากรของรัฐเว่ยเดิมเข้ามาด้วยแล้ว ดินแดนไลอ้อนจะมีประชากรทั้งหมดสูงถึงสามสิบล้านคน และต่อให้ไม่นับรวมประชากรจากพื้นที่รัฐเว่ย เพียงดินแดนไลอ้อนเดิมก็มีประชากรเกินกว่าสิบล้านคนแล้ว
คนเหล่านี้ล้วนมาจากทั่วทุกสารทิศตามแรงดึงดูดจากนโยบายละเว้นภาษีของเซียวอวี๋
เวลานี้ฝ่ายเซียวอวี๋นับว่ามีเปรียบด้านจุดยุทธ์ศาสตร์ กองทัพดินแดนไลอ้อนสามารถใช้ข้อได้เปรียบนี้รับมือกับกองทัพสิบล้านคนของศาสนจักร
กองทัพสิบล้านคน แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่ศาสนจักรจะส่งทหารทั้งสิบล้านคนบุกตีเมืองไลอ้อนได้พร้อมกัน
ในช่วงเวลานี้ เซียวอวี๋ได้เจรจากับกองกำลังกลุ่มต่างๆผ่านทางสการ์เล็ตและช่องทางอื่นๆเพื่อเตรียมรับมือกับศาสนจักร
หากเป็นในอดีตคงไม่มีกองกำลังไหนต้องการต่อกรกับศาสนจักรแบบซึ่งหน้า ทั้งยังแอบภาวนาให้ศัตรูของศาสนจักรพินาศย่อยยับไป หากแต่ในเวลานี้ เมื่อพวกเขาพบว่าศาสนจักรกำลังขยายอิทธิพลอย่างไม่ลืมหูลืมตา พวกเขาต่างก็เริ่มกังวลขึ้นมาแล้ว
ขุมกำลังฝ่ายต่างๆเริ่มจับดาบขึ้นสู้กับศาสนจักร บ้างก็เพื่อแย่งชิงดินแดนกับศาสนจักร บ้างก็เพื่อปกป้องตัวเอง และเมื่อเป็นเช่นนี้ กองทัพของศาสนจักรจึงถูกบีบให้แบ่งกำลังออกไปรับมือ มิเช่นนั้น ดินแดนที่ศาสนจักรเพิ่งตีชิงมาคงถูกช่วงชิงไปจนหมด
เป็นเพราะศาสนจักรขยายอำนาจอย่างหิวกระหายเกินไป ดินแดนของพวกเขาใหญ่ขึ้นก็จริง แต่ดินแดนที่เพิ่งยึดครองย่อมไม่สวามิภักดิ์ต่อพวกเขาทั้งหมด เนื่องเพราะทุกที่ที่ศาสนจักรยึดครอง พวกเขาจะบังคับให้ประชาชนทั้งหมดหันมาเป็นสาวกของพวกเขา ผู้ที่ต่อต้านขัดขืนจะถูกจับมัดไม้บนเสาก่อนจะเผาทั้งเป็น
การบีบคั้นเช่นนี้พลันก่อปัญหาใหญ่ตามมาเป็นลูกโซ่ ผู้คนตามที่ต่างๆพลันก่อการลุกฮือซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเมื่อขุมกำลังอื่นเข้ายึดครองพื้นที่เหล่านั้นได้ ประชาชนทื้องถิ่นก็จะโห่ร้องต้อนรับอย่างยินดี อาจกล่าวได้ว่า ชื่อชั้นของสาสนจักรเวลานี้ไม่อาจใช้ล้างสมองผู้คนอย่างไม่ลืมหูลืมตาได้อีกต่อไป ตรงกันข้าม การต่อต้านต่อศาสนจักรยิ่งมายิ่งเพิ่มสูง
อันที่จริง หากศาสนจักรค่อยๆย่อยกลืนพื้นที่แต่ละแห่งอย่างช้าๆไม่เร่งรีบแล้ว บางทีพวกเขาก็อาจจะล้างสมองผู้คนมาเข้าร่วมได้อย่างราบรื่น แต่เพราะพวกเขาหวาดกลัวต่อเซียวอวี๋และเร่งขยับขยายอำนาจเร็วเกินไป ผลที่ออกมาจึงกลายเป็นตรงข้าม
อย่างไรก็ตาม การรีบร้อนตัดสินใจกำจัดเซียวอวี๋โดยเร็วของสันตะปาปานี้ไม่น่าแปลกใจสักเท่าใด เพราะหากมอบเวลาให้เซียวอวี๋มากกว่านี้ ไม่ว่าผู้ใดก็คาดเดาไม่ได้ว่าเซียวอวี๋จะนำพาดินแดนของเขาไปถึงขั้นใด และอาจบางทีเมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้คิดกำจัดเซียวอวี๋ก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว
เซียวอวี๋คาดการณ์เอาไว้ว่าศาสนจักรคงส่งกองทัพมาได้อย่างมากก็ห้าหกล้านคน และหากว่าเขาสามารถมีชัยเหนือศาสนจักรได้ในศึกครั้งนี้ พื้นที่ที่ศาสนจักรเข้ายึดครองก่อนหน้าก็จะได้รับผลกระทบจากการเข้าตีของขุมกำลังอื่นๆทันที ศาสนจักรจะถูกฝูงหมาป่ารุมทึ้งจนล้มครืน
เวลานี้สถานการณ์ยังไม่ชัดเจนนัก หลายฝ่ายจึงทำเพียงมองดูอยู่ด้านข้าง แต่หากกองทัพดินแดนไลอ้อนเอาชนะกองทัพของศาสนจักรได้สำเร็จ ขุมกำลังเหล่านั้นคงคิดเข้ามาขอแบ่งปันถ้วยน้ำแกง
เป็นเพราะเซียวอวี๋คาดการณ์ในเรื่องนั้นไว้ก่อนแล้ว เขาจึงให้ก่อกำแพงสูง เตรียมการตั้งรับอย่างมั่นคง
“ลา ลา ลา…..ลา ลาลา ลา…” ขณะที่เบื้องล่างสาละวนวุ่นวายอยู่กับงาน เซียวอวี๋กลับฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์อยู่ในสำนักงานเมืองที่สร้างขึ้นเมือง ข้งกายซัคคิวบัสสาวยืนรอรับใช้อยู่ด้านข้าง นางทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดสารของเซียวอวี๋ หยินไค่เอ๋อร์ที่ถูกจับสวมปลอกคอฝึกสัตว์ก็กลายเป็นทาสของเซียวอวี๋โดยสมบูรณ์ หน้าที่ของนางช่วงนี้คือการบีบนวดเฟ้นขาให้เซียวอวี๋
น้องสาวของสการ์เล็ต มิเชลเองก็อยู่คอยข้างกายของเขา มือคอยส่งป้อนอาหารและผลไม้อยู่ไม่ขาด
วันเวลาของเซียวอวี๋ผ่านไปอย่างสุขสมไร้กังวลใด
“เข้าใจแล้วว่าทำไมเหล่ากษัตริย์ในอดีตจึงชอบฟุ้งเฟ้อ ชีวิตอันสุขสมบูรณ์เช่นนี้ช่างกัดกินจิตปณิธานของผู้คนจริงๆ” เซียวอวี๋จิบไวน์ที่มิเชลป้อนให้พลางหลับตาดื่มด่ำรสชาติ
แม้จะเป็นหลุมฝังศพของวีรบุรุษผู้กล้า แต่รสชาติชีวิตเช่นนี้ก็ไม่เลวเลย
ชีวิตเช่นนี้สามารถดื่มด่ำได้ช่วงหนึ่ง แต่มิอาจดื่มด่ำได้ตลอดไป มิเช่นนั้นคงเสียผู้เสียคงแล้ว
ในวันนี้ ขณะที่เซียวอวี๋กำลังเดินทอดกายอย่างเอื่อยเฉื่อยอยู่บนกำแพง เขาก็พลันเห็นอัศวินกริฟฟ่อนนายหนึ่งบินจากขอบฟ้ามาทางเขา เมื่ออัศวินนายนั้นมาถึงเบื้องหน้าของเซียวอวี๋ เขาก็รีบกล่าวทันที “เรียนนายท่าน กองทัพของศาสนจักรได้เข้ายึดครองพื้นที่รัฐเว่ยแล้ว เวลานี้พวกเขากำลังเร่งเคลื่อนกำลังมายังแนวป้องกันนี้ขอรับ”
“ช่างน่าตายนัก มาไวเสียจริง….แจ้งให้ทั้งหมดเตรียมตัวทำสงคราม!” เซียวอวี๋สั่งการ เขานำเอาเก้าอี้หินจากแหวนมิติออกมานั่ง
สงครามใกล้เข้ามาแล้ว ….
ตอนที่ 590
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
เสียงระฆังดังสะท้อนทั่วเมืองไลอ้อนบ่งบอกถึงสัญญาณของสงครามที่ใกล้เข้ามา ในดินแดนไลอ้อนมีนักผจญภัยจำนวนมากที่เดิมทีเดินทางมาเพื่อรอบุกเบิกนครลอยฟ้าแน็กแรม หากแต่นครแน็กแรมเวลานี้ยังไม่เปิดออก อีกทั้งดินแดนไลอ้อนก็กำลังเข้าสู่สภาวะสงคราม เซียวอวี๋กังวลว่าในหมู่คนเหล่านี้จะมีสายลับแฝงตัวเข้ามา เขาจึงต้องหาทางรับมือก่อนที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นในช่วงเวลาสำคัญ
เซียวอวี๋ได้ให้คำสัญญาเอาไว้ก่อนจะสลายกลุ่มนักผจญภัยว่าหากแน็กแรมเปิดออก ตัวเขาจะไม่ควบคุมไว้เพื่อบุกเบิกคนเดียว แต่จะแบ่งให้ทุกคนบุกเบิกไปด้วยกัน
ด้วยเหตุนี้ แม้จะไม่ค่อยพอใจกับคำสั่งสลายกลุ่มนักผจญภัยของเซียวอวี๋ พวกเขาก็ได้แต่ต้องปฏิบัติตาม เพราะอย่างไรเสียการอยู่ท่ามกลางการรบพุ่งขนาดใหญ่เช่นนี้ก็ไม่ส่งผลดีต่อพวกเขาเช่นกัน
อีกทั้งเมื่อย้อนกลับไปเมื่อครั้งการบุกเบิกอัลคีราฟ เซียวอวี่ยังมีชื่อเสียงอันดีจากการรักษาสัญญา ดังนั้นครั้งนี้พวกเขาคิดว่าเซียวอวี๋ย่อมต้องรักษาอย่างแน่นอน
หลังจากนั้นไม่นาน กองทัพของศาสนจักรก็ปรากฏขึ้นในระยะสายตามองเห็น กำลังทหารที่แน่นขนัดดุจฝูงมดนั้นทำให้เซียวอวี่คิดถึงกองทัพทมิฬของโถวปากุ้ยขึ้นมา
ต่างกันก็แต่คราของโถวปากุ้ยนั้นเป็นกองทัพมดดำ หากแต่กองทัพของศาสนจักรครานี้นั้นเป็นมดแดง
“ในที่สุดก็มาแล้วสินะ มาเถอะ มาสะสางเรื่องราวให้จบ จากนั้นก็ถึงตาของเจ้าพวกลึกลับนั่น”
เซียวอวี๋ตระหนักดีว่าศึกกับศาสนจักรครั้งนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น ยังมีสงครามกับขุมกำลังลึกลับและกองทัพของกูดาลที่ก่อความวุ่นวายไปทั่วรอเขาอยู่
ในวันแรก ฝ่ายศาสนจักรเลือกส่งกำลังส่วนน้อยออกมาหยั่งเชิง จำนวนทหารหลักหมื่นที่ส่งออกมานั้นมีหน้าที่แค่ประเมินความแข็งแกร่งแนวป้องกันของเมืองไลอ้อน
เซียวอวี๋ที่เห็นศาสนจักรจัดกำลังออกมาเช่นนี้ก็เลือกแบ่งกำลังออกเป็นสามทัพ ทัพแรกเป็นกองพลรถถัง ทัพที่สองเป็นทัพม้า ขณะที่จัดคิเมร่า แบทไรเดอร์ อัศวินกริฟฟ่อน ไวเวิร์น เครื่องบินรบ และมังกรน้อยเป็นทัพที่สาม
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น กองพลรถถังคงถูกเก็บไว้ใช้ออกในช่วงท้ายเสมือนเป็นอาวุธลับชนิดหนึ่ง แต่การสั่งการของเซียวอวี๋นั้นขึ้นอยู่แรงบันดาลใจที่แวบผ่านมาในหัว
และแรงบันดาลใจเช่นนี้ก็ทำให้เขามีเปรียบมานักต่อนักแล้ว
ครั้งนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เดิมที หลังจากจัดตำแหน่งป้องกันเสร็จสิ้น กองกำลังทั้งหมดต่างก็ประจำตำแหน่งของตนบนกำแพงเตรียมพร้อมป้องกัน จะมีก็แต่กองพลรถถังที่ถูกซ่อนไว้หลังแนวกำแพงรอโอกาสเผยโฉมอย่างเงียบเชียบเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น
หลังได้รับคำสั่งจากเซียวอวี๋ ผ้าที่คลุมปกปิดรถถังไว้ก็ถูกเปิดออก รถถังจำนวนหนึ่งพันคันแล่นผ่านประตูเมืองออกไปอย่างยิ่งใหญ่ พวกทหารนั้นไม่เคยเห็นยานเกราะพวกนี้มาก่อน ทั้งหมดได้แต่ปากอ้าตาค้างมองดูยักษ์เหล็กแล่นผ่านประตูเมืองไปเป็นทิวแถว
รถถังภายในเกมนั้นจะสร้างขึ้นจากไม้ หากแต่รถถังที่ถูกอัญเชิญมายังโลกนี้นั้นถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเหล็กหนา และเพื่อที่จะเสริมความแข็งแกร่งคงทนของรถถัง เซียวอวี๋ยังได้จัดสร้างแผ่นเหล็กเสริมเข้าไปอีกชั้น
นี่ก็เพราะว่าเซียวอวี๋ทราบดี ไม่ว่ารถถังจะวิ่งได้เร็วเพียงใด มันก็วิ่งได้เร็วไม่เท่ากับม้า กระทั่งนักรบที่แข็งแกร่งบางคนยังรวดเร็วกว่ารถถังเสียอีก ดังนั้นจุดได้เปรียบของมันจึงเป็นความคงทน เป็นอสูรเหล็กที่กวาดผ่านไปทั่วทั้งสนามรบ
ไม่ว่าศัตรูจะเป็นอะไร ที่รถถังเหล่านี้ต้องทำก็เพียงแค่พุ่งชน แต่ให้รถถังพังหมดสิ้นก็ช่าง บิดาก็แค่ต้องสร้างขึ้นใหม่ที่ฐานทัพและเอามาพุ่งชนพวกเจ้าใหม่ก็เท่านั้นเอง!
สำหรับพวกทหาร เซียวอวี๋นั้นให้ความสำคัญกับชีวิตของพวกเขายิ่ง แต่สำหรับรถถังไร้ชีวิตจิตใจเหล่านี้ เซียวอวี๋ไม่กังวลความปลอดภัยของพวกมันแม้แต่น้อย หากพังก็สั่งสร้างใหม่ แม้ว่าราคาจะไม่ใช่ถูกๆ กระนั้นเวลานี้เซียวอวี๋ก็ไม่ขาดแคลนเงินทองแล้ว
ด้วยเหตุนี้เอง สุดยอดเครื่องจักรสังหารที่สมควรเผยโฉมในช่วงท้ายสงครามจึงถูกเข็นออกมาใช้ตั้งแต่เริ่มต้น
พวกศาสนจักรอาจจะรู้เรื่องที่เมืองไลอ้อนก่อสร้างแนวกำแพง พวกเขารู้ดีว่าการบุกตีแนวกำแพงนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นวันนี้พวกเขาจึงไม่ได้เตรียมจะมาบุกโจมตี หากแต่มาเพื่อประเมินดูความแข็งแกร่งเพียงเท่านั้น และส่วนใหญ่ที่มาก็เป็นพวกทหารม้า
พวกเขาร้อยคิดพันคำนวณก็คิดไม่ถึงว่าเซียวอวี๋จะส่งทัพใหญ่ออกมาต้อนรับทันทีที่เห็นพวกเขา ทั้งยังเห็นได้ชัดว่ามุ่งมั่นจะโจมตีพวกเขาแบบจริงจัง ขณะที่ทางฝั่งของพวกเขายังไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจจะเข้าสนามรบเลยด้วยซ้ำ
ค่ายของพวกเขาตั้งห่างออกมาราวสิบกว่ากิโลเมตร นับว่าไกลจากแนวกำแพงมาก และระยะทางเท่านี้ก็เพียงพอให้กองทัพของเซียวอวี๋ไล่ล่าสังหารพวกเขาด้วย….
ครืน……………
“อา…นะ..นั่นมันอะไรน่ะ? ปีศาจ?”
“ร..หรือว่าพวกมันจะเป็นอสูรเกราะเหล็กในตำนาน? แต่อสูรเกราะเหล็กจะมีรูปร่างแบบนี้ได้อย่างไร? เจ้าพวกนี้มันไม่มีขาอยู่ด้านล่างด้วยซ้ำ!…นั่นมันล้อหรือ?”
“อ้ากก…พวกมันยิงมาแล้ว!”
“นั่น!…เจ้าพวกที่บินบนฟ้านั่นมันอะไรกัน? มังกร? ไฉนจึงมีมังกรอยู่มากมายนัก?!”
“เจ้าพวกนั้นมันไม่ใช่มังกร มันคือคิเมร่า พวกมันแข็งแกร่งมาก รีบถอย!”
ผู้บัญชาการอัศวินสีชาดรีบสั่งล่าถอยทันที แต่ไม่ว่าพวกเขาจะรวดเร็วเพียงใด หรือยังจะเร็วกว่ากองทัพอากาศ? เพลิงของคิเมร่า ลูกระเบิดของแบทไรเดอร์ สายฟ้าของอัศวินกริฟฟ่อน หอกของนักรบไวเวิร์นและระเบิดของเครื่องบินรบต่างสาดเทเข้าใส่กองทัพศาสนจักรที่เบื้องล่างจนเกิดความชุลมุนวุ่นวายขึ้นมา
การทิ้งระเบิดทำให้พวกเขาวุ่นวายจนทำให้การถอยทัพเกิดความล่าช้า และกองพลรถถังที่ไล่หลังมาก็ตามทันพวกเขาแล้ว
ความเร็วของรถถังนั้นทำให้เซียวอวี่รู้สึกผิดคาด หลังจากติดตั้งเกราะเหล็กเข้าไปมากมาย ความเร็วของรถถังกลับไม่ลดลง เพียงพริบตาพวกมันก็วิ่งทันกองทัพอากาศที่อยู่ด้านบนแล้ว เหล่าทหารของศาสนจักรต่างก็รีบหนีกันอย่างสุดกำลัง
แต่ยามเมื่อพวกเขาทิ้งระยะห่างได้สำเร็จ กองพลรถถังก็พลันเปิดฉากยิง เสียงกระหน่ำยิงดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยเสียงตูมตามพร้อมแรงระเบิดที่ก่อให้เกิดหลุมบ่อขึ้นจำนวนมาก
จากนั้นปืนรองของรถถังก็ยิงออกไปเป็นระลอกที่สอง และปิดท้ายด้วยปืนไฟที่ด้านหน้าตัวรถ กองทัพศาสนจักรในเวลานี้นับว่าอเนจอนาถอย่างมาก
สำหรับการไล่ล่ากองทัพที่แตกพ่าย กองพลรถถังก็เปรียบเสมือนค้อนขนาดใหญ่ที่ไล่หวดฟาดอีกฝ่ายจนยับเยิน หลายครั้งรถถังยังวิ่งทับกลุ่มทหารศาสนจักรไปเลยด้วยซ้ำ แม้ว่าอีกฝ่ายจะขี่ม้าอยู่ด้วยก็ตาม รถถังก็ไม่สนใจสิ่งใดและวิ่งทับทั้งคนทั้งม้าไปพร้อมกัน กองพลรถถังเวลานี้นับว่าเป็นจ้าวแห่งสนามรบอย่างแท้จริง
เครื่องบินรบที่ด้านบนเองก็แสดงอำนาจการโจมตีได้ดีเช่นกัน พวกมันคล่องแคล่วและรวดเร็วกว่าพวกแบทไรเดอร์ อีกทั้งพลังของลูกระเบิดยังรุนแรงกว่า
เครื่องจักรสังหารจากยุคใหม่ไล่เข่นฆ่าไปตลอดทาง ยามที่พวกมันจวนจะไปถึงค่ายของศาสนจักร กองทัพนับหมื่นของศาสนจักรก็ถูกสังหารเรียบไม่หลงเหลือ
ขณะที่อีกด้านหนึ่ง เซียวอวี๋ที่ขี่มังกรน้อยก้นำกองกำลังที่เหลือมาถึงหน้าค่ายของฝ่ายศาสนจักร เซียวอวี๋กระแอมเสียงก่อนจะตะโกนเข้าไปในค่ายว่า “เหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ผู้ถ่อมตนทั้งหลาย มาเถอะ ให้แสงศักดิ์สิทธิ์ได้ส่องชำระพวกเจ้า…”
ประโยคนี้ควรจะเป็นฝ่ายศาสนจักรที่กล่าว แต่คราวนี้กลับถูกเซียวอวี๋หยิบยกมาใช้ออก
กองทัพศาสนจักรไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือใดๆกับเซียวอวี๋ที่บุกมาถึงหน้าค่ายของพวกเขา ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังรู้สึกหวาดหวั่นต่ออสูรเกราะเหล็กพวกนั้น
ผลคือ พวกทหารของศาสนจักรทำได้เพียงมองดู พวกเขากลัวจนกระทั่งไม่กล้าส่งคนออกไปตอบโต้
เหตุผลที่เป็นเช่นนี้หลักๆแล้วก็เพราะว่าที่นี่ไม่มีผู้บัญชาการระดับแม่ทัพประจำการ ดังนั้นพวกผู้บัญชาการระดับต่ำลงมาจึงไม่กล้าตัดสินใจใดๆ
อูเธอร์ที่นั่งอยู่บนหลังมังกรน้อยกับเซียวอวี๋ยกชูค้อนในมือขึ้น แสงสีทองอร่ามพลันปะทุออกราวกับรัศมีของเทพเจ้า และการปรากฏของรัศมีที่ทรงพลังนี้เองได้ทำให้ผู้คนต่างนิ่งตะลึงงัน
เซียวอวี๋มาที่นี่อย่างมีจุดประสงค์….เขามาเพื่อสร้างภาพลักษณ์ขึ้นในใจของพวกทหารศัตรู
หลังจากสำแดงอำนาจศักดิ์สิทธิ์แล้ว เซียวอวี๋ก็ถอนทัพกลับ อสูรเกราะเหล็กและสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทิ้งเงามืดไว้ในใจของพวกทหาร จนกระทั่งถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่ามันเกิดอะไรขึ้น…..
ตอนที่ 591
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
ความพ่ายแพ้อย่างราบคาบทำให้กองทัพฝ่ายศาสนจักรตกอยู่ในห้วงชะงักงัน เซียวอวี๋ยกพลออกมาถล่มพวกเขารอบหนึ่งแล้วก็กลับไปนอน ฝ่ายศาสนจักรยังไม่มีโอกาสได้เห็นกำแพงของเมืองไลอ้อนอย่างชัดเจนเสียด้วยซ้ำ และนี่เป็นเพราะว่าเซียวอวี๋ทราบว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้เตรียมพร้อมกำสงครามทันที ผลลัพธ์จึงปรากฏดังที่เห็น
ในคืนนั้น เซียวอวี๋ลอบปลีกตัวออกมาเตรียมสั่งการให้กองทัพอันเดดบุกเข้าโจมตีพวกศาสนจักร
ภายใต้การบัญชาการของอาร์ทัส ไพร่พลอันเดดผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้ทำร้ายชาวบ้านที่ไม่เกี่ยวข้องแม้แต่น้อย สิ่งนี้เป็นการปูทางสำหรับเพิ่มความคิดเห็นของมวลชนในอนาคต ดังนั้นพวกมันจะต้องไม่สร้างความรู้สึกไม่ดีให้กับผู้คนทั่วไป
ในเมื่อศาสนจักรเดินทางมาถึงที่ ก็นับว่าเป็นช่วงเวลาอันดีที่จะให้พวกเขาได้สัมผัสพลังของพวกอันเดด ไม่ว่าศาสนจักรมีหน้าที่กำจัดสิ่งชั่วร้ายหรอกหรือ เช่นนั้นก็ให้พวกเขาได้เผชิญกับสิ่งชั่วร้ายเสียหน่อย
ในคืนที่ลมพัดโชย เซียวอวี๋นำกองทัพอันเดดคืบคลานเข้าใกล้ค่ายกระโจมของศาสนจักร เนื่องเพราะศาสนจักรมีกำลังพลจำนวนมาก ดังนั้นกระโจมจึงเรียงรายทอดยาวหลายสิบกิโลเมตร ดังนั้นพวกเขาจึงดูแลได้ไม่ทั่วถึงทุกจุด
และด้วยเหตุข้อนี้เอง เซียวอวี๋จึงกล้านำกองทัพอันเดดลอบเข้าโจมตี
เสียงพูดคุยจากภายในค่ายดังให้ได้ยินตั้งแต่ไกล แสดงให้เห็นว่าภายในค่ายแห่งนี้ไม่มีกำลังหลักของศาสนจักรอยู่ ไพร่พลที่ถูกรวบรวมมาจึงไม่มีระเบียบนัก
บางทีอาจเป็นเพราะศาสนจักรมั่นใจเกินไป หรือบางทีอาจเพราะด้วยความเร่งรีบ ค่ายกระโจมของพวกเขาจึงสร้างขึ้นจากเสาไม้ธรรมดา ไม่ได้มีการเสริมแกร่งแต่อย่างใด
นี่เปิดโอกาสให้เซียวอวี๋และกองทัพของเขาลอบเข้าโจมตีได้ง่ายขึ้น
ปึง ปึง ปึง
เสียงรถบดเนื้อชนปะทะกำแพง ก่อนที่กำแพงไม้จะพังลงไปทั้งแถบ อันเดดจำนวนมากกรูกันเข้าไปตามช่องว่างและแยกย้ายเปิดฉากโจมตีอย่างรวดเร็ว
“อ๊า…นั่นมันตัวอะไร?”
แม้ทหารศาสนจักรบางส่วนจะถูกปลูกฝังแนวคิดให้กำจัดสิ่งชั่วร้าย แต่อันที่จริงก็ใช่ว่าพวกเขาจะพบเห็นสิ่งชั่วร้ายอย่างอันเดดได้บ่อยๆ บางคนกระทั่งไม่เคยพบเคยเห็น พวกอันเดดนั้นแทบจะเป็นสิ่งที่มีอยู่แต่ภายในเรื่องเล่าสำหรับพวกเขา
วันนี้ จู่ๆก็ปรากฏอันเดดจำนวนมากขึ้นตรงหน้า สถานการณ์จึงกลายเป็นปั่นป่วนวุ่นวาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังอาร์ทัสได้เปลี่ยนซากศพให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ เจ้าสัตว์ประหลาดพวกนี้มีขนาดใหญ่โต ซ้ำร้ายสภาพภายนอกของมันยังดูสยดสยอง
หนึ่งในสัตว์ประหลาดยักษ์มีรูปร่างคล้ายแรดตัวหนึ่งซึ่งมีความสูงราวเจ็ดถึงแปดเมตร ยาวนับสิบเมตร ขนาดของมันไ่ได้ต่างไปจากรถไฟที่วิ่งหลุดราง เมื่อเจ้ารถไฟตัวนี้เริ่มออกวิ่ง ทั่วทั้งค่ายก็เริ่มพังทลาย เหล่าอัศวินที่พยายามจะเข้าหยุดยั้งต่างก็ถูกชนและเหยียบซ้ำกลายเป็นกองเนื้อไป
อาวุธที่พุ่งเข้าใส่ร่างของเจ้าแรดตัวนี้ส่วนใหญ่แทบไม่อาจสร้างความเสียหายให้กับมัน นั่นก็เพราะว่าเจ้าแรดตัวนี้นั้นเป็นอันเดด การโจมตีทางกายภาพนั้นแทบไม่ส่งผลกับอันเดด และพวกอัศวินของศาสนจักรส่วนใหญ่ที่ประจำการภายในค่ายตอนนี้ก็ล้วนแต่เป็นอัศวินหน้าใหม่ พวกเขายังใช้เวทแสงได้ไม่คล่อง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากเอาคนธรรมดามาต่อกรกับพวกอันเดด
ศาสนจักรบาดเจ็บล้มตายด้วยอัตราที่น่าขนลุก พวกเขาแตกพ่ายภายในชั่วอึดใจ แม้ไพร่พลส่วนใหญ่จะถูกล้างสมองจากศาสนจักร กระนั้นก็ยังไม่อาจเทียบกับสัญชาตญาณความกลัว พวกเขาอาจจะไม่กลัวความตาย แต่ยามที่เผชิญกับอันเดดที่ฆ่าไม่ตายและสหายร่วมรบยังล้มตายดุจใบไม้ร่วงที่ตรงหน้า ความกลัวก็กลายเป็นที่สิ่งผลักดันให้พวกเขาหันหลังวิ่งหนี
“ผู้ใดกล้าล่าถอย?” หัวหน้านายกองต่างๆรีบเข้าควบคุมสถานการณ์ พวกเขาชักดาบหรือปลดค้อนจากแผ่นหลังลงมากำมั่น แสงสีขาวเริ่มเปล่งจากภายในร่างจนเกิดเป็นรัศมีสีทองลางๆ
ทว่าแม้พวกเขาจะดูแข็งแกร่ง แต่พลังจริงๆของพวกเขาแข็งแกร่งนักหรือ? คำตอบคือไม่ พลังของพวกเขามีข้อจำกัด กล่าวคือ หากพลังของสองมีใกล้เคียงกัน พลังของพวกเขาก็อาจจะดูแข็งแกร่ง แต่หากว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่า เช่นนั้นพลังของพวกเขาก็แทบจะไม่ส่งผลคุกคามใดๆ
ยามที่เหล่าหัวหน้านายกองและกลุ่มอัศวินที่ใช้เวทธาตุแสงได้รุดมาถึง อาร์ทัสก็ชักดาบฟรอสต์มัวร์ก่อนจะกระตุ้นม้าคู่ใจโถมเข้าหา
เนื่องด้วยอิทธิพลพลังจากแน็กแรมที่ปรากฏขึ้น ความแข็งแกร่งของอาร์ทัสในเวลานี้จนบรรลุถึงขีดขั้นสุดของขั้นที่หกแล้ว เขาควบม้าพลางสะบัดดาบฟรอสต์มัวร์ในมือไม่กี่ครั้งก็ปลิดปลงศีรษะของเหล่านายกองได้หลายหัวโดยแทบไม่ลำบากกินแรง
“ให้ตายสิ อาร์ทัสกลายเป็นแข็งแกร่งขนาดนี้แล้ว” มองดูอาร์ทัสกวัดแกว่งดาบฟรอสต์มัวร์ เซียวอวี๋ก็ได้แต่พึมพำกับตนเอง นั่นก็เพราะว่าเวลานี้ จากที่ได้เห็นอาร์ทัสแสดงฝีมือ เขาสามารถบอกได้เลยว่าในหมู่ฮีโร่ของเขาไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะอาร์ทัสได้แล้ว
อาร์ทัสในเวลานี้แข็งแกร่งจนน่าพรั่นพรึง ยิ่งเมื่อรวมกับความสามารถในการบัญชากองทัพซากศพของเขาที่จำนวนยิ่งมายิ่งมาก กองทัพศาสนจักรจึงกลายเป็นถูกเข่นฆ่าแต่เพียงฝ่ายเดียว แทบจะไร้หนทางโต้กลับ
เมื่อได้เห็นสหายตกตายไปต่อหน้าก่อนจะลุกขึ้นมาจับดาบโถมเข้าใส่พวกเขา พวกอัศวินของศาสนจักรก็แทบจะหมดแรงสู้
อาร์ทัสนำกองทัพอันเดดเข่นฆ่าไปตลอดทาง ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ค่ายของศาสนจักรก็ราบพณาสูร
“กองทัพศาสนจักรนี้อ่อนแอเกินไปแล้ว พวกเขาทำไม่ได้แม้แต่ซื้อเวลา…หรือศาสนจักรจะพ่ายแพ้ไปในลักษณะนี้?” เซียวอวี๋กวาดตามองดูฉากโดยรอบ ทั่วทั้งค่ายเวลานี้กลายเป็นซาก ไพร่พลของศาสนจักรทำได้เพียงวิ่งหนีเอาตัวรอด เซียวอวี๋ดูแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
เดิมทีเขาคิดนำกองทัพอันเดดมาสร้างความปั่นป่วนและตัดทอนกำลังของฝ่ายศาสนจักร แต่เขาคาดไม่ถึงว่ากองทัพอันเดดจะน่าพรั่นพรึงอย่างถึงที่สุด ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงกลายเป็นชัยชนะถล่มทลายอย่างที่ปรากฏ
แม้เซียวอวี๋จะยังตะลึงกับความแข็งแกร่งของกองทัพอันเดดไม่หาย แต่เขาก็ยังเลือกจะนำกองทัพอันเดดบุกโจมตีต่อ
เพราะสุดท้ายแล้ว ไพร่พลศาสนจักรล้มตายลงหนึ่งคนก็เท่ากับว่าศัตรูที่เขาต้องเผชิญในสนามรบหายไปหนึ่งคน
อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขาได้สั่งการกองทัพอันเดด เซียวอวี๋ก็เกิดความรู้สึกแปลกๆขึ้นในใจ มันเป็นความรู้สึกที่ยิ่งมายิ่งรู้สึกเสพติด สิ่งนี้อาจจะมอบความสุขล้นได้ช่วงสั้นๆ แต่ผลที่ต้องจ่ายในอนาคตจะยิ่งมายิ่งมาก
แต่เซียวอวี๋ไม่มีทางเลือก เขาจะต้องตัดทอนกำลังฝ่ายศัตรูให้ได้มากที่สุด
หลังจากอัญเชิญกองทัพชุดใหม่จากฐานทัพมนุษย์ออกมา เซียวอวี๋ก็ยังเหลือโควต้าอีกหนึ่งพันยูนิต เซียวอวี๋จึงเลือกอัญเชิญอสูรซากศพออกมาห้าร้อยตัว
อสูรกายพวกนี้มีร่างกายใหญ่โต พร้อมกับตะขอขนาดใหญ่ในมือ พวกมันยังสามารถปลดปล่อยหมอกพิษซึ่งส่งผลอย่างมากในสนามรบ ดังนั้นเซียวอวี๋จึงเลือกที่จะเพิ่มจำนวนของพวกมัน
นี่จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมของกองทัพอันเดด
ในส่วนของพวกอันเดดระดับทั่วไป กองทัพอันเดดเวลานี้ไม่ขาดแคลนแม้แต่น้อย เพราะพวกอันเดดชุดเก่ายิ่งมายิ่งมีระดับสูงขึ้นจนเกิดเป็นเนโครแมนเซอร์ขึ้นมา และเมื่อมีเนโครแมนเซอร์มากขึ้น นักรบโครงกระดูกก็จะมากขึ้นตาม เมื่อรวมเข้ากับพวกอันเดดที่อาร์ทัสปลุกขึ้นมาด้วยตนเองในระยะหลังด้วยแล้ว จำนวนของพวกอันเดดในกองทัพก็มีอยู่หลายหมื่น
ในจำนวนกองทัพหลายหมื่นนี้ ของเพียงพวกมันไม่ตายจนหมดสิ้นในคราเดียว จำนวนของพวกมันก็จะยิ่งมายิ่งเพิ่มมากขึ้น
นี่ก็คือความน่าสะพรึงของกองทัพอันเดด ทหารที่เพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆได้แปรเปลี่ยนจนกลายเป็นทะเลซากศพ
เซียวอวี๋ยังคงนำพวกอันเดดบุกตีต่อไป เขาสวมผ้าคลุมดำจนมิดชิด แฝงตัวคอยสั่งการอยู่ภายในกองทัพอันเดด หากว่าพบเจออัศวินที่แข็งแกร่ง เขาก็จะออกไปจัดการด้วยตนเองก่อนจะกลืนหายไปกับพวกอันเดดอย่างไร้ร่องรอย
ขณะที่บุกรุกคืบลึกเข้าไปในค่าย อาร์ทัสที่นำกำลังอันเดดล่าสังหารอยู่ด้าหน้าก็เผชิญพบกับพาลาดินขั้นที่หกสองคนโจมตีเข้าใส่ หากทว่าขณะที่ทั้งสองกำลังลอยตัวโจมตีเข้ามา อาร์ทัสเพียงสะบัดดาบครั้งหนึ่งก็ผ่าร่างทั้งสองตายในดาบเดียว
อาร์ทัสนำกลังเข่นฆ่า เซียวอวี๋คอยลอบสั่งการอยู่ใกล้ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้การโจมตีจึงเป็นไปอย่างราบรื่น
ฮีโร่อีกตัวในกองทัพอันเดดก็คือเคลธูซาด ในฐานะฮีโร่ที่ราวกับเป็นช่องโหว่ของระบบ พลังแห่งการปลุกซากซพของเขาแทบจะไร้เทียมทาน ทั้งยังสามารถปลดปล่อยพลังซากศพและดีบัพแห่งความตายใส่ศัตรูจนอัศวินของฝ่ายกลายเป็นอ่อนแอไร้ทางสู้
สถานการณืดำเนินต่อไป ค่ายกระโจมที่ปลูกติดกันค่อยๆถูกบุกโจมตีหลายสิบค่าย มีอัศวินล้มตายนับไม่ถ้วน อย่างน้อยที่สุดในการต่อสู้คืนนี้ก็มีทหารระดับอัศวินตายไปแล้วเรือนแสน
เซียวอวี๋กวาดมองสนามรบและพบว่าอาร์ทัสกับต่อกรกับใครบางคนอยู่ อย่างไรเสีย ที่ศาสนจักรอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ก้ย่อมต้องมีดีอยู่บ้าง และหากว่าครั้งนี้ศาสนจักรเคลื่อนกองกำลังระดับสูงออกมา เซียวอวี๋เกรงว่ากองทัพอันเดดของเขาย่อมต้องเกิดการสูญเสียอย่างหนักหน่วงเช่นกัน
ซึ่งอันที่จริง ครั้งนี้ฝ่ายกองทัพอันเดดเองก็เกิดการสูญเสียจำนวนมาก พวกทหารที่เรียกออกมาจากระบบล้มตายไปราวหนึ่งในสี่
ในค่ายศาสนจักรเองก็มีนักรบระดับสูงอยู่เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับความสูญเสียที่ศาสนจักรได้รับในครั้งนี้แล้ว จำนวนก็แตกต่างกันอย่างเทียบกันไม่ได้เลย เพราะหลังจากจบศึกนี้ เซียวอวี๋ยังสามารถกลับไปสั่งสร้างอันเดดออกมาทดแทนที่สูญเสียไป แต่ไม่ใช่กับฝ่ายศาสนจักร
และด้วยการเข่นฆ่าในคืนนี้ อันเดดจำนวนมากต่างก็เลื่อนระดับขึ้นหลายระดับ
ทหารจากระบบหลายตัวสามารถเลื่อนระดับไปถึงระดับสิบ และนั่นหมายความว่าพวกมันกลายเป็นเหล่าฮีโร่หน้าใหม่ ซึ่งการเลื่อนระดับฮีโร่หน้าใหม่เหล่านี้ต่างก็เกิดขึ้นในทุกกองกำลังจากระบบ
ในหมู่เผ่าพันธุ์อันเดด จำนวนที่ปรากฏมีค่อนข้างมาก พวกมันมีด้วยกันหลายร้อยตัว พวกมันมีทั้งแมงมุม อสูรกาย การ์กอย และพวกเนโครแมนเซอร์
และหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป กองทัพอันเดดก็จะยิ่งมายิ่งไร้เทียมทาน และสุดท้ายก็จะกลายเป็นภัยที่ไม่อาจหยุดยั้ง
เซียวอวี๋กำลังขบคิดถึงวิธีที่จัดการดูแลกองทัพอันเดดหลังสงครามนี้สิ้นสุด
“พักไว้ก่อนก็แล้วกัน อย่างไรเสียก็ต้องมีวิธีสักวิธี” เซียวอวี๋คิดขึ้นในใจ ก่อนจะปลีกตัวกลับไปพักผ่อน
ตอนที่ 592
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
ยามเย็นของวันถัดมา สายข่าวทุกคนภายในเมืองไลอ้อนก็ได้ข่าวอันน่าตระหนกเรื่องหนึ่ง พวกอันเดดกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้งแล้ว ทั้งยังเป็นการกลับมาพร้อมกับทำลายกองทัพศาสนจักรเสียจนย่อยยับ
ข่าวนี้ทำให้ผู้คนลอบยินดี พวกอันเดดที่กลบดานอยู่ในเขตเทือกเขาอัลคาเกนไม่เพียงแต่ไม่ทำร้ายชาวไลอ้อน หากแต่ยังผันตัวมาเป็นผู้พิทักษ์เสียอย่างนั้น ทุกคราที่มีศัตรูรุกรานก็เป็นพวกมันที่ออกมาโจมตีเสียจนอีกฝ่ายแตกพ่ายไป
แม้จะมีบ้างบางคนที่สงสัยถึงเรื่องที่พวกอันเดดปรากฏกายออกมาถูกที่ถูกเวลาทุกครั้งไปก็ตาม แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่าใด อย่างไรเสียการปรากฏตัวของพวกมันก็เป็นผลดีต่อดินแดนไลอ้อน ยามศึกสงครามเช่นนี้ยิ่งมีพวกมากเท่าใดก็ยิ่งดี ไม่มีผู้ใดจะมาบ่นว่ามีพันธมิตรมากไป เรื่องข้อสงสัยต่างๆจึงเป้นอันตกไป ไม่มีผู้ใดกล่าวถึงอีก
และด้วยการลอบโจมตีของพวกอันเดดครั้งนี้เองที่ทำให้ศาสนจักรจำต้องเลื่อนแผนการโจมตีที่เดิมเป็นวันนี้ออกไปอย่างฉุกละหุก
ผ่านไปอีกหลายวัน ศาสนจักรเริ่มก่อสร้างค่ายของตนให้แข็งแกร่งเพื่อป้องกันการลอบโจมตีของทั้งฝ่ายดินแดนไลอ้อนและพวกอันเดด
เดิมที พวกเขาคิดว่าด้วยกองทัพที่มีกำลังพลมากถึงหกล้านนายก็เพียงพอถล่มเมืองไลอ้อนจนราบคาบได้หลายสิบแล้ว หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับไม่ง่ายถึงเพียงนั้น
พวกเขาต้องสูญเสียคนไปมากมายตั้งแต่ยังไม่ทันบุก ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสงครามที่ผ่านๆมา พวกเขาย่อมเคยเผชิญกับขุมกำลังที่กล้าแข็งมาก่อน กระนั้นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้กลับเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยพบเคยเจอ เพียงพวกเขาเพิ่งจะหยั่งเท้าตั้งค่ายก็มาถูกเซียวอวี๋ชิงโจมตีก่อนเสียแล้ว
จากศึกที่เกิดขึ้น เหล่าผู้บัญชาการของฝ่ายศาสนจักรต่างก็ทราบแล้วว่าเซียวอวี๋ไม่เหมือนผู้บัญชาการทั่วไป ทั้งยังได้รับทราบความร้ายกาจของพวกอันเดดที่แปลกประหลาดพวกนั้นอีก ทุกครั้งที่ดินแดนไลอ้อนถูกรุกราน เจ้าอันเดดพวกนั้นก็จะปรากฏกายมาโจมตีทุกครั้งไป นี่เป็นเรื่องที่น่าสงสัยอย่างยิ่ง
บางคนสงสัยว่าเซียวอวี๋จะเป็นผู้ควบคุมให้กองทัพอันเดดบุกมาโจมตี อย่างไรก็ตาม อันเดดพวกนั้นทรงพลังอย่างมาก เซียวอวี๋จะสามารถควบคุมพวกมันได้หรือ?
หรือว่าเซียวอวี๋ยังช่ำชองศาสตร์แห่งความตาย? เขาเป็นเนโครแมนเซอร์ระดับสูง? เรื่องนี้ออกจะเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อประเมินจากสถานการณ์ปัจจุบัน อันเดดพวกนั้นแข็งแกร่งกว่าครั้งที่ตระกูลเคเนดี้รุกรานดินแดนไลอ้อนมาก
โดยเฉพาะในกองทัพอันเดดเวลานี้มีตัวตนขั้นที่หกอยู่ด้วย ศาสนจักรต้องสูญเสียพาลาดินขั้นที่หกไปถึงสองคนในศึกนี้
ต้องทราบว่ากว่าจะฝึกให้ถึงขั้นที่หกได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เมื่อผู้บัญชาการของศาสนจักรเออซ่าทราบข่าวนี้ เขาก็ทุบโต๊ะอย่างเดือดดาล พวกเขาต้องเสียพาลาดินขั้นที่หกไปถึงสองคนอย่างเปล่าประโยชน์
ตอนนี้คำถามที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาจะรับมือกับพวกอันเดดอย่างไร อันเดดพวกนั้นทรงพลังมาก หากว่าพวกมันบุกมาทุกคืน เช่นนั้นพวกเขาคงมีแต่ต้องถอนทัพกลับอย่างอับอายแล้ว
ด้วยเหตุนี้ เออซ่าจึงสั่งการให้เสริมสร้างป้อมค่ายให้มั่นคงเพื่อป้องกันการลอบโจมตีของพวกอันเดด
และเมื่อเป็นเช่นนี้ แผนการบุกโจมตีของกองทัพที่หนึ่งของศาสนจักรจึงต้องเลื่อนแล้วเลื่อนอีก หลายวันผ่านไปกลับไม่มีการบุกแม้สักครั้ง และฝ่ายเซียวอวี๋เองก็ไม่ได้ส่งพวกอันเดดออกมาก่อกวนอีก อย่างไรเสีย ที่การโจมตีครั้งก่อนประสบผลก็เนื่องเพราะอีกฝ่ายไม่ทันระวัง หากส่งออกไปอีกคงไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีสักเท่าใด
ผ่านไปสองสามวัน เออซ่าก็ยังไม่มีคำสั่งให้โจมตี นี่ทำให้ไพร่พลระดับล่างเริ่มเกิดข้อสงสัยขึ้นมา
“ท่านแม่ทัพเออซ่า ท่านเป็นผู้บัญชาการอัศวินสีชาดของศาสนจักร ใยท่านจึงไม่ยอมส่งไพร่พลออกรบ ท่านเพียงนั่งเฝ้าอยู่ทีนี่ ท่านมีเป้าหมายอะไรกันแน่? หรือท่านคิดก่อกบฏต่อสมเด็จพระสันตะปาปา? หรือท่านไม่เชื่อมั่นในพระองค์แล้ว?”
การมาบัญชาการกองทัพครั้งนี้ของเออซ่าได้นำพาลาดินระดับสูงมาด้วยหลายคน ส่วนใหญ่ต่างก็อยู่ในขั้นที่หกเช่นเดียวกับคริส พาลาดินคนที่กล่าววาจานี้ต่อเออซ่าก็มีศักดิ์เป็นเซนต์ซึ่งมีฐานะสูงมากในศาสนจักร พาลาดินผู้นี้มีชื่อว่า ดัม
เมื่อพระสันตะปาปามอบหมายให้เออซ่าเป็นผู้บัญชาการครั้งนี้ ดัมเองก็รู้สึกไม่พอใจอยู่ก่อนแล้ว ยิ่งตอนนี้ได้เห็นเออซ่าเอาแต่นั่งจับเจ่าอยู่ในกระโจม ไม่มีทีท่าว่าจะเคลื่อนพลโจมตี ดัมก็ใช้ข้ออ้างนี้กล่าวโจมตีเออซ่าทันที
ศาสนจักรเวลานี้ได้กลายเป็นกลุ่มคนบ้าคลั่งไปแล้ว หากมีบางคนสงสัยในคำสั่งของพระสันตะปาปา นั่นจะถือเป็นบาปอย่างมหันต์ และคนผู้นั้นจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก
เมื่อได้ยินดัมตั้งคำถามกับตน เออซ่าก็เริ่มเกิดความกังวลอยู่บ้าง ตัวเขาเข้าใจสถานการณ์ภายในศาสนจักรเวลานี้ดี หากกล่าวผิดพลาดไป ทั้งตระกูลของเขาคงถูกจับไปเผาทั้งเป็น
เออซ่าสงบใจลงก่อนจะยิ้มกล่าวว่า “แน่นอนว่าข้าไม่เคยมีข้อสงสัยต่อคำสั่งขององค์สมเด็จพระสันตะปาปา ข้าเพียงแค่กำลังเตรียมการให้สมบูรณ์พร้อมเพื่อที่ข้าจะได้สามารถกวาดล้างพวกชั่วช้าให้สิ้นซากในคราเดียว ข้าวางแผนจะบุกโจมตีในวันพรุ่ง และข้าหวังว่าท่านดัมจะรับหน้าที่เป็นทัพหน้าไปกำจัดเซียวอวี๋”
เออซ่าไม่ใช่คนเขลา มิเช่นนั้นเขาคงไม่ได้มายืนอยู่ในจุดนี้ ในเมื่อดัมต้องการจะใช้ลูกไม้มาเล่นงานเขา เขาย่อมต้องโต้ตอบกลับไป
ต้องการสู้นักหรือ? ตกลง งั้นเจ้าไปเองเถอะ เวลานี้ฝ่ายเราเสียพาลาดินขั้นที่หกไปแล้วสองคน บางทีเจ้าอาจจะเป็นรายที่สาม
คิดว่าการจะเอาชนะเซียวอวี๋นั้นง่ายนักหรือ? หากยังเอาแต่พึ่งพากลยุทธ์แบบเดิมๆเช่นการใช้จำนวนที่มากกว่าเข้าเล่นงานแล้วล่ะก็ เช่นนั้นเจ้าก็คิดผิดแล้ว
ดัมแค่นเสียงก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อท่านต้องการเช่นนั้น ข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะถล่มเมืองไลอ้อนให้ราบคาบ หวังว่าถึงตอนนั้นท่านคงจะไม่แย่งชิงผลงานกับข้า”
เออซ่าเงยหน้าหัวเราะ “ท่านดัม ท่านก็รู้จักข้าดี เรื่องการแย่งผลงานผู้อื่นนั้นข้าชิงชังเป็นที่สุด”
“ฮึ่ม พรุ่งนี้ข้าจะนำทัพนักรบศักดิ์สิทธิ์ถล่มเมืองไลอ้อนจนราบคาบเอง” ดัมแค่นเสียงก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากกระโจมไปโดยไม่มีทีท่าให้ความเคารพผู้บัญชาการทัพอย่างเออซ่าแม้แต่น้อย
เรื่องนี้ไม่อาจตำหนิดัม เพราะดัมกับเออซ่านั้นอุทิศตัวเข้าเป็นพาลาดินให้ศาสนจักรในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งความแข็งแกร่งของทั้งสองยังคู่คี่ก้ำกึ่ง และหากว่าวัดในด้านฝีมือต่อสู้กันจริงๆ เออซ่ายังด้อยกว่าดัมอยู่ครึ่งขั้น ดังนั้นการที่พระสันตะปาปามอบหน้าที่บัญชาการทัพแก่เออซ่านั้นทำให้ดัมไม่พอใจอย่างมาก
มองดูเงาหลังของดัมที่เดินจากไปแล้วเออซ่าก็ได้แต่ส่ายศีรษะ การมีความกล้าเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ใช่คุณสมบัติของพาลาดินที่ดี บางครั้งความกล้าไม่กลัวตายก็อาจนำพาไปสู่หายนะได้เช่นกัน
ครั้งนี้เขาไม่อาจห้ามปรามดัม เพราะหากว่าเขาทำพลาดแล้วดัมรายงานว่าเขาสงสัยต่อคำสั่งของพระสันตะปาปาแล้วล่ะก็ ตัวเขาคงไม่พ้นถูกจับเผาทั้งเป็น
แม้ว่าตัวเขาจะเป็นพาลาดินที่รับใช้ศาสนจักรมาเป็นเวลานาน หากแต่เขาก้ไม่ได้คลั่งศาสนาไม่ลืมหูลืมตาเช่นคนอื่นๆ
เขายังทราบถึงความจริงเกี่ยวกับอูเธอร์ที่ศาสนจักรชูธงขึ้นมา ทั้งยังทราบดีถึงความทะเยอทะยานของพระสันตะปาปา อย่างไรก็ตาม ตัวเขาไม่มีทางเลือกนอกจากเชื่อฟังคำสั่ง ชะตากรรมของเขาถูกผูกเอาไว้กับพระสันตะปาปาเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ล้วนอยู่ในเรือลำเดียวกัน มีแต่ต้องช่วยเหลือกันจะผ่านพ้นช่วงวิกฤตไปได้
ความเชื่ออันบิดเบี้ยวที่ทำให้สาวกคลั่งศาสนานั้นถูกนำมาใช้แต่เพียงกับสาวกระดับล่าง มีเพียงสาวกระดับบนเท่านั้นที่ทราบความจริงว่าทุกอย่างนั้นเป็นเพียงกุศโลบาย
และด้วยเหตุนี้เอง พระสันตะปาปาจึงมอบหมายให้เขาทำหน้าที่ผู้บัญชาการทัพ เพราะมีแต่ผู้ที่เยือกเย็นและมีสติเท่านั้นที่จะมีชัยในสงคราม
ในวันต่อมา เรื่องราวได้เป้นไปดังคาด ดัมตื่นตั้งแต่รุ่งสางมาเพื่อเตรียมจัดทัพ ในวันนี้เขาจะทำศึกบุกตีเมืองที่จะกลายเป็นตำนาน
เซียวอวี๋ย่อมทราบข่าวที่ศาสนจักรจะบุกโจมตีอยู่ก่อนแล้ว เขาทราบว่าครั้งนี้จะเป็นการบุกโจมตีอย่างจริงจัง ดังนัน้เขาจึงสั่งการให้ทุกแนวป้องกันเตรียมพร้อมรับมือ
สงครามเมื่อครั้งในจักรวรรดิเมฆา เซียวอวี่ไม่ได้นำกองกำลังจากระบบไปรบทั้งหมด ส่วนใหญ่ที่นำไปก็คือไพร่พลทหารที่รับสมัครมาใหม่ของดินแดนไลอ้อนโดยมีจุดมุ่งหมายคือสั่งสมประสบการณ์
ประสบการณ์จากการผ่านศึกสงครามนั้นมีประโยชน์มาก ที่ส่งผลอย่างเด่นชัดที่สุดก็คือ แม้จะเผชิญหน้ากับกองทัพจำนวนหลายล้านของศาสนจักร พวกทหารฝ่ายดินแดนไลอ้อนก็ไม่มีผู้ใดแสดงท่าทางตื่นสนามออกมา
ไม่ว่าเจ้านำทหารมามากมายเท่าใด หรือยังจะมากกว่าที่พวกเซิกและกองทัพทมิฬเข็นออกมา?
เซียวอวี๋เคยนำทัพชนะศึกมาแล้วหลายครั้งในจักรวรรดิเมฆา มีศึกใดที่เขาเอาชนะมาไม่ได้? และยิ่งพวกทหารได้เห็นเซียวอวี๋นำกองกำลังใหม่ๆมาใช้ออกอย่างเช่น หน่วยคนแคระปืนระเบิด กองพลอสูรเหล็ก และพวกคนแคระขี่นกเหล็กด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้พวกเขามั่นใจในผู้บัญชาการของพวกเขายิ่งขึ้นไปอีก
เซียวอวี๋ออกคำสั่งให้ทุกคนตื่นมารับประทานมื้อเช้าตั้งแต่รุ่งสาง ก่อนจะนำทุกคนทำกายบริหารเป็นการยืดเส้นยืดสายเพื่อเตรียมพร้อมรับมือศึกที่กำลังจะมา
ในเวลาเดียวกัน ทางด้านของศาสนจักรก็กำลังเคลื่อนพลออกจากค่าย เมื่อพวกทหารฝ่ายศาสนจักรได้เห็นทหารฝ่ายดินแดนไลอ้อนทำท่าประหลาดๆอยู่ตามแนวกำแพงก็ได้แต่แปลกใจ เจ้าพวกนั้นกำลังทำอะไรน่ะ? พิธีกรรมมนต์ดำหรือ?
หลังจากทำกายบริหารเสร็จสิ้น พวกเขาก็รู้สึกกระฉับกระเฉงพร้อมสู้ศึก
ตอนนี้ อาวุธโจมตีระยะไกลต่างๆเช่น เครื่องยิงหิน บาริสต้า และเครื่องยิงใบมีดนั้นถูกเตรียมพร้อมแล้วเรียบร้อย ที่เหลือก็เพียงแค่รอให้กองทัพศาสนจักรเข้ามาในระยะยิง
เช้านี้ เออซ่าได้กล่าวให้กำลังใจดัมอยู่หลายคำ เข้าพูดถึงเรื่องเกียรติยศความรุ่งโรจน์ของศาสนจักรที่จะได้หลังกวาดล้างพวกนอกรีตด้านหน้ากรอกหูดัมนับสิบรอบ
ดัมที่ได้ยินได้ฟังก็ยิ่งฮึมเหิม เขายืดอกก่อนจะเดินออกจากกระโจมบัญชาการไปอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม
หลังจากดัมออกไปแล้ว เออซ่าก็แค่นเสียงเย็น
“ไปมารดาเจ้า เจ้าคิดว่าตนเองเป็นพาลาดินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศาสนจักรหรือไร? เช่นนั้นก็ไปเถอะ จงไปกลายเป็นตำนานที่ลาลับของศาสนจักรเถอะ”
อันที่จริง ตัวเออซ่าเองก็มีความสงสัยเกี่ยวกับตัวตนในตำนานอย่างอูเธอร์อยู่ ทั้งยังอยากทราบว่าเหตุใด พาลาดินผู้มีฐานะสูงส่งอย่างคริสจึงเลือกที่จะแปรพักต์ต่อศาสนจักรไปเข้าร่วมกับอีกฝ่าย
บางที ถ้าโชคดีเขาอาจจะได้ทราบคำตอบของทั้งสองคำถามในวันนี้
ตึง ตึง ตึง…..
เสียงย่ำกลองรบดังกึกก้อง กองทัพศาสนจักรที่แผ่รังสีน่าเกรงขามกำลังย่ำเท้าเคลื่อนพลไปทางเมืองไลอ้อน……
ตอนที่ 593
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
“ฆ่า……”
ไพร่พลภายใต้การนำของดัมเวลานี้ต่างก็ได้รับอิทธิพลจากความกล้าหาญของดัมจนมีขวัญกำลังใจเต็มเปี่ยม ทั้งหมดตบเท้ามุ่งหน้าไปยังเมืองไลอ้อนอย่างฮึกเหิม ทุกคนล้วนดูคล้ายกับคนเสียสติ นัยน์ตาของพวกเขาแดงก่ำกระหายเลือด ราวกับว่าผู้คนในดินแดนไลอ้อนที่พวกเขากำลังจะรบด้วยนั้นเป็นศัตรูคู่แค้นกันมาแต่ชาติปางก่อน
ในฐานะแม่ทัพแห่งทัพหน้า ดัมถือค้อนยักษ์ซึ่งเป็นอาวุธคู่กายนำอยู่ด้านหน้าสุด เขากู่ร้องคราหนึ่งก่อนจะกระโดดไปยังกำแพงเมืองไลอ้อนที่สูงสิบกว่าเมตรอย่างอาจหาญ
เมื่อเห็นดัมกระโดดขึ้นไปบนกำแพงเมือง เออซ่าก็แค่นเสียงเย็น เจ้าคิดว่าสงครามนั้นสามารถจบได้ด้วยกำลังของคนเพียงคนเดียวงั้นหรือ?
หากว่าเป็นเมื่อก่อนที่เซียวอวี๋ไม่มีตัวตนขั้นที่หกอยู่ในสังกัดแล้วล่ะก็ การบุกขึ้นไปบนกำแพงเช่นนี้ก็อาจจะสร้างความปั่นป่วนได้มากมายมหาศาล แต่เออซ่านั้นทราบมาว่าตอนนี้เซียวอวี๋มียอดฝีมือขั้นที่หกอยู่คับคั่ง
โดยเฉพาะในการศึกที่อัลคีราฟ ยอดฝีมือกลุ่มนั้นได้แสดงความเก่งกาจออกมาจนกลายเป็นที่จับตา เหล่านักผจญภัยต่างก็เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับยอดฝีมือกลุ่มนั้นด้วยน้ำเสียงชื่นชม
ด้วยการมีอยู่ของยอดฝีมือกลุ่มนั้น ดัมจะสามารถก่อการใดได้หรือ?
เพียงแค่สองเท้าของดัมแตะสัมผัสพื้นกำแพง เงาร่างหนึ่งก็พลันปราฏกขึ้นทักทายเขา
เปรี้ยง!
ทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรง ต่างฝ่ายต่างก็ถอยหลังไปหลายก้าว กระนั้นดัมก็สามารถยืนหยัดอยู่บนกำแพงได้สำเร็จ
ดัมจ้องเขม็งไปยังบุคคลที่เบื้องหน้าก่อนที่เพลิงแห่งโทสะจะถูกจุดจนลุกโชน
นั่นก็เพราะที่ปรากฏกายเบื้องหน้าของเขาไม่ใช่คนอื่นคนไกล หากแต่เป็นอดีตพาลาดินของศาสนจักร อลอนโซ่
เวลานี้อลอนโซ่ถือคบเพลิงต้องสาป ร่างกายสวมใส่ชุดเกราะเซ็ตทีห้าที่ปกคลุมมิดชิดทั่วทั้งร่าง ลักษณะภายนอกของเขาดูน่าเกรงขามยิ่งกว่าครั้งอยู่ในสังกัดศาสนจักรอย่างเทียบกันไม่ติด
ในอดีตนั้น อลอนโซ่เป็นแค่หัวหน้าหน่วยพาลาดินกลุ่มเล็กๆของศาสนจักรที่พอจะมีฝีมืออยู่บ้าง และในช่วงเวลาที่ดัมเริ่มมีฐานะขึ้นมา อลอนโซ่ยังเป็นแค่เพียงพาลาดินฝึกหัดคนหนึ่งเท่านั้น
หากทว่าในเวลานี้ พาลาดินฝึกหัดที่ว่าได้บรรลุถึงขั้นที่หกและกลายเป็นตัวตนที่ทรงพลัง เรื่องนี้ทำให้ดัมสะเทือนใจมาก และเรื่องที่ทำให้ดัมรู้สึกโกรธแค้นก็คือ การที่อีกฝ่ายแปรพักต์ต่อศาสนจักรและหันไปเข้าร่วมกับฝ่ายตรงข้าม อลอนโซ่ได้เลือกหันหลังต่อศาสนจักรที่ชุบเลี้ยงเขาขึ้นมา
“เจ้าคนทรยศ! เจ้ายังมีหน้ามาปรากฏตัวต่อหน้าข้าอีก” ดัมตะโกนอย่างเดือดดาล
อลอนโซ่จ้องมองดัมพลางกล่าวตอบอย่างเยือกเย็น “ท่านดัม ท่านได้สติสักที ท่านอูเธอร์ตัวจริงนั้นอยู่ที่นี่ เทพแห่งแสงสว่างนั้นอยู่ที่นี่แล้ว ท่านไม่เห็นพรที่ข้าได้รับหรือ? นี่ต่างหากจึงจะเป็นพรแท้จริงของพาลาดิน พลังที่แท้จริงของแสงสว่าง มีเพียงเส้นทางสายนี้ที่จะนำพาพวกเราไปสู่ความจริง”
“ผายลม ท่านอูเธอร์ตัวจริงงั้นหรือ? ท่านอูเธอร์ตัวจริงนั้นอยู่ที่ศาสนจักร! เจ้าดันหลงเชื่อคำโป้ปดของพวกนอกรีตและหันหลังให้พระเจ้า! วันนี้ ข้าในฐานะตัวแทนของสมเด็จพระสันตะปาปาจะชำระล้างเจ้าเอง!” กล่าวจบดัมก็พุ่งเข้าหาอลอนโซ่พร้อมค้อนยักษ์ในมือ
เมื่อเริ่มปะทะอลอนโซ่ก็ตกเป็นรองด้านพละกำลัง อลอนโซ่พบว่า แม้ตัวเขาจะได้รับบัฟจากอูเธอร์มาแล้ว เขาก็ยังไม่อาจเทียบกับดัมได้ในการปะทะซึ่งหน้า
กำลังใจของดัมเวลานี้ได้พุ่งสู่จุดสูงสุด สิ่งนี้ไม่อาจหักล้างได้ด้วยพลังจากบัฟ นักรบที่แท้จริงนั้นไม่ได้พึ่งพาเพียงแค่กำลังกาย หากแต่ยังต้องมีกำลังใจ ซึ่งหากเทียบในด้านของกำลังใจนี้ อลอนโซ่ยังตกเป็นรองอยู่ขั้นหนึ่ง
อย่างไรกก็ตาม เมื่อเห็นสถานการณ์ของอลอนโซ่เริ่มแย่ลง เงาร่างหนึ่งก็พุ่งโถมออกมาจากด้านข้าง เงาร่างนั้นร้องคำรามพลางพุ่งเข้าหาดัมอย่างรุนแรง
เป็นกรอมที่ถือดาบยักษ์พุ่งโถมออกมา
เคร้ง เคร้ง เคร้ง……
เพียงชั่วพริบตาทั้งสองก็ปะทะกันไปหลายครั้ง กรอมไม่ได้เสียเปรียบแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้น การโจมตีของกรอมก็ยิ่งมายิ่งหนักหน่วง ทักษะดาบอันลื่นไหลของกรอมได้สร้างความประหลาดใจต่อดัมเป็นอย่างมาก
‘ออร์คตนนี้มันอะไรกัน? ไฉนจึงมีเพลงดาบเฉียบคมถึงเพียงนี้? เมื่อปะทะกันข้ากลับไม่ได้เปรียบแม้แต่น้อย เป็นไปได้หรือไม่ว่าสมุนของเซียวอวี๋ต่างก็มีฝีมือร้ายกาจเช่นนี้?”
นับตั้งแต่ที่ดัมบรรลุขั้นที่หกได้เป็นต้นมา ตัวเขาก็แทบไม่ประสบพบเจอกับคู่ต่อสู้ที่รับมือเขาได้ โดยเฉพาะในช่วงสงครามศักด์สิทธิ์หลายๆสงครามที่ผ่านมา กำแพงเมืองของฝ่ายศัตรูล้วนถูกป่นทำลายด้วยความกล้าหาญของเขามานักต่อนัก ตัวเขานั้นไร้ผู้ต้านราวกับเทพสงครามไร้พ่าย
แม้จะเคยเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งมาบ้าง กระนั้นก็ยังไม่มีผู้ใดเอาชนะเขาได้แม้สักครั้ง อย่างมากก็เพียงเสมอกัน
ดังนั้น ในหลายศึกที่ผ่านมา กล่าวได้ว่าตัวเขาเพียงคนเดียวมีส่วนช่วยอย่างมากในการยึดครองดินแดนมากมายให้ศาสนจักร
อย่างไรก็ตาม ฝีมือของกรอมได้สร้างความประหลาดใจแก่เขา
นั่นเป็นเพราะตัวเขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีนักรบจากดินแดนไลอ้อนบีบให้เขาตกเป็นรองได้ แม้เขาจะรู้สึกได้ว่ากรอมไม่สามารถฆ่าเขา แต่เขาก็ไม่อาจทำอย่างไรกรอมได้เช่นกัน
และในครั้งนี้ ดัมก็ต้องรู้สึกเย็นวาบที่สันหลังขึ้นมา เพราะว่าตอนนี้ รอบกายของเขาต่างก็มียอดฝีมือระดับเดียวกับกรอมปรากฏตัวออกมาโอบล้อมเขาไว้
“บัดซบ…” ดัมสัมผัสได้ถึงอันตรายที่กลายกล้ำเข้ามา เป็นเพราะตัวเขาพุ่งมาสุดกำลัง กองทัพของเขาจึงถูกทิ้งไว้ด้านหลัง
หากว่าเป็นในอดีต แม้ขุมกำลังเหล่านั้นจะมียอดฝีมือขั้นที่หก กระนั้นก็มีเพียงหนึ่งหรือสองคน เขาย่อมไม่รู้สึกเกรงกลัวแต่อย่างใด หากเป็นตัวตนขั้นที่หก ดัมยังสามารถรับมือพร้อมกันได้ห้าหกคน
แต่ในวันนี้ เพียงกรอมคนเดียวก็มีฝีมือคู่คี่ก้ำกึ่งกับเขาแล้ว และที่ด้านข้างยังมีตัวตนแบบนี้อีกหลายคนโอบล้อมเข้ามา นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ดัมเกิดรู้สึกกลัวขึ้นมาแล้ว
เหล่าฮีโร่ที่ปรากฏตัวออกมาก็คือ อิลิดัน คาร์น เมอีฟ
กล่าวได้ว่าฮีโร่เหล่านี้ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือในเชิงต่อสู้ระยะประชิดที่แข็งแกร่งที่สุดในสังกัดของเซียวอวี๋แล้ว นี่เป็นกลยุทธ์ที่เซียวอวี๋ได้จัดสรรให้กับพวกเขาเป็นการล่วงหน้า หากว่าสบโอกาสก็ให้ทำการโอบล้อมตัวตนที่แข็งแกร่งของศัตรูเอาไว้
มีคนเคยกล่าวไว้ว่า ทำให้นิ้วหักหนึ่งนิ้วยังดีกว่าทำให้เจ็บทั้งสิบนิ้ว ดังนั้นตราบที่มีโอกาส เขาจะต้องกำจัดตัวตนระดับผู้นำของศัตรูออกไป เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อฝ่ายตรงข้าม
ยอดฝีมือขั้นที่หกเพียงคนเดียวยังมีค่ายิ่งกว่าทัพทหารหนึ่งแสนนาย
ตอนที่เซียวอวี๋เล่นเกมในอดีต เรื่องพื้นฐานที่สุดที่เขาทำก็คือเด็ดชีพฮีโร่ของฝ่ายตรงข้ามก่อน
ด้วยเหตุนี้ เซียวอวี๋จึงได้จัดเตรียมกลยุทธ์นี้เอาไว้ใช้ออกในเวลาเช่นนี้
หากเพียงตัวตนขั้นที่หกธรรมดาทั่วไป พวกเขาก็รังเกียจที่จะใช้กลยุทธ์เช่นนี้ แต่ว่าเหล่าฮีโร่นั้นเชื่อฟังคำสั่งของเซียวอวี๋ พวกเขาพร้อมปฏิบัติตามโดยไม่มีแม้แต่ความสงสัย
ฮีโร่สายต่อสู้ระยะประชิดสี่คนเข้ารุมล้อมดัมไว้ ทำให้ดัมต้องรับมืออย่างปั่นป่วน เวลานี้เขาไม่สนใจสิ่งที่เรียกว่าศักดิ์ศรีของยอดฝีมืออีกต่อไป เขาต้องการจะตีฝ่าวงล้อมหลบหนีให้ได้โดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม ฮีโร่ทั้งสี่คนต่างก็ดุดันถึงขีดสุด การตีฝ่าออกไปนั้นใช่เ็นเรื่องที่ทำได้ง่ายหรือ?
ทักษะทรงพลังหลายสายต่างกระหน่ำตกลงบนร่างดัมอย่างต่อเนื่อง หากเป็นหนึ่งถึงสองทักษะ เขาก็คงพอรับไว้ได้ แต่ย่อมไม่ใช่กับทักษะนับสิบสาย ดังนั้นดัมจึงรับบาดเจ็บสาหัสในทันที
เวลานี้เองพาลาดินขั้นที่หกคนอื่นๆของศาสนจักรต่างก็รีบพุ่งเข้ามาหวังช่วยเหลือ แต่ทว่าพวกเขาก้ต้องพบเจอกับห่าธนูของทิรันด้าและนากาขัดขวางไว้
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง….
ขณะที่ทุกคนกำลังต่อสู้กัน เงาร่างหนึ่งก็ลอยลงมาจากฟ้าและสะบัดดาบฟันใส่ดัมจากทางด้านหลัง
คนผู้นี้คือเซียวอวี๋เอง….
ตอนที่ 594
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
สิ่งที่เซียวอวี๋ถนัดที่สุดก็คือการลอบโจมตีทีเผลอ
ใบดาบอันคมกริบสะบัดวูบลงก่อนที่โลหิตจะสาดกระเซ็นออกจากร่างของดัม
อ๊ากก……
ดัมกู่ร้องอย่างเกรี้ยวกราด แต่การทำเช่นนั้นก็ไม่ได้ช่วยเหลืออันใด เขาต้องการจะหันกลับไปสับสังหารเซียวอวี๋ให้ดับดิ้น ทว่าเซียวอวี๋นั้นใช้เทเลพอตหลบออกไปไกลแล้ว
ในเวลาเดียวกัน การโจมตีหลายสายก็กระทบลงบนแผ่นหลังของดัม มีดของเมอีฟได้ทิ้งรอยตัดเฉือนหลายสายอันสดใหม่เอาไว้
ฉัวะ ฉัวะ….
อาศัยจังหวะที่ดัมกำลังเหม่อลอยจากการบาดเจ็บ ฮีโร่ทั้งหมดต่างก็เข้ากลุ้มรุมโจมตีจนดัมหัวหมุนงุนงง
ฉัวะ
ในจังหวะสุดท้ายนั้นเอง เซียวอวี๋ก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้งก่อนจะใช้ดาบคาริมดอร์แทงทะลุอกของดัม
ดัมเบิกตากว้างอย่างไม่อาจเชื่อว่าเขาจะต้องมาจบชีวิตในศึกครั้งนี้
นี่ก็คือราคาที่เขาต้องจ่ายจากความหยิ่งผยองของเขาเอง
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเซียวอวี๋จะใช้กลยุทธ์อันไร้ยางอายเช่นนี้ เซียวอวี๋นับว่าผิดแผกแตกต่างจากผู้บัญชาการทุกคนที่เขาเคยพบเจอมา
เซียวอวี๋นั้นมีแนวคิดเกี่ยวกับพิชัยสงครามเพียงข้อเดียว นั่นคือชัยชนะ สำหรับวิธีการเพื่อให้ได้ผลลัพธ์มานั้น ขอเพียงชนะก็พอแล้ว อื่นๆล้วนไม่สำคัญ
เห็นฉากการตายของดัม กระทั่งเออซ่าที่มองดูอยู่ก็ยังถึงกับชะงัก แม้จะคาดเดาได้ว่าดัมคงไม่มีชีวิตรอดกลับมาจากศึกครั้งนี้ แต่การตายของดัมนั้นเกิดขึ้นเร็วเกินไป เพิ่งเริ่มสงครามได้ไม่ทันไร ผู้นำทัพก็ตกตายเสียแล้ว
ต้องทราบว่าตัวตนขั้นที่หกนั้นมีโอกาสน้อยมากที่จะตกตาย แม้ว่าสู้ไม่ได้ แต่การหลบหนีกลับไม่ใช่เรื่องยากอะไร
อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะมอบโอกาสให้ดัมได้ทดลองหลบหนี นี่แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งเพียงใด ตัวเออซ่าเองนั้นทราบถึงความแข็งแกร่งของดัมดี กระทั่งเขาเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของดัม
กล่าวก็คือ หากว่าเขาตกอยู่ในวงล้อมของอีกฝ่าย เขามีแต่หนทางตายสถานเดียว
ชั่วขณะหลังจากเซียวอวี๋และเหล่าฮีโร่ล้อมสังหารดัมได้สำเร็จ กลุ่มพาลาดินขั้นที่หกที่ต้องการช่วยเหลือดัมก็เพิ่งมาถึง
“ฆ่าให้หมด!” เมื่อเห็นโอกาส เซียวอวี๋ย่อมไม่ปล่อยไป อีกฝ่ายพาตัวเข้ามาส่งเองเช่นนี้ เขาจะไม่น้อมสนองได้อย่างไร? หากสังหารพาลาดินกลุ่มนี้ได้สำเร็จ ขุมกำลังของอีกฝ่ายจะตกฮวบลง และเมื่อเป็นเช่นนั้นโอกาสที่จะชนะสงครามนี้ก้จะเพิ่มขึ้นมาก
พาลาดินเหล่านั้นเพิ่งหยั่งเท้าลงบนกำแพงเมืองได้ไม่ทันไรก็ต้องพบเห็นศพของดัม พวกเขาต่างตกตะลึงก่อนจะรีบถอยหลังเตรียมตัวหลบหนี
แต่เซียวอวี๋สั่งให้เหล่าฮีโร่เข้ากลุ้มรุมใส่ศัตรูเพียงคนเดียวโดยไม่ต้องไม่สนใจศัตรูคนอื่นๆ
ผู้ที่รวดเร็วที่สุดก็คือเมอีฟ เพียงชั่วกระพริบตาร่างของนางก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพาลาดินผู้หนึ่งก่อนจะจ้วงแทงมีดทำลายจังหวะหลบหนีของอีกฝ่ายไป จากนั้นเซียวอวี๋และฮีโร่คนอื่นๆติดตามมาถึงก่อนจะเปิดฉากโจมตีอย่างดุเดือด
พาลาดินคนอื่นๆที่เห็นดังนั้นก็ต้องการจะย้อนกลับมาช่วยเหลือ หากแต่เครื่องยิงบาริสต้าบนกำแพงกระหน่ำยิงสกัดพวกเขาเอาไว้ ความรุนแรงของเครื่องยิงบาริสต้าที่ถูกปรับปรุงของกองทัพดินแดนไลอ้อนนั้น กระทั่งตัวตนขั้นที่หกก็ต้องขยาด
สุดท้ายแล้วตัวตนขั้นที่หกก็ยังไม่ถึงกับตายไม่เป็น พวกเขายังมีเลือดเนื้อ
หากถูกศรเวทที่บรรจุบนเครื่องยิงบาริสต้าเสียบทะลวงบนร่าง พวกเขาก็คับขันแล้ว
ศรเวททั้งหมดต่างก็ถูกปรับปรุงเสริมอานุภาพโดยฮิกกิ้น ทุกดอกล้วนแต่มีพลังทำลายล้างขั้นสูง
เหล่าพาลาดินต่างก็หลบศรเวทจากเครื่องยิงบาริสต้าเป็นพัลวันจนทั้งหมดแตกสานซ่านเซ็นไม่เป็นกลุ่ม และเพียงชั่วลมหายใจเข้าออกไม่กี่ครั้ง พาลาดินผู้โชคร้ายที่ถูกพวกเซียวอวี๋กลุ้มรุมก็ตกตาย
ต้องทราบว่ายอดฝีมือระดับเดียวกับดัมนั้นมีไม่มาก และพาลาดินขั้นที่หกผู้นี้ก็เป็นเพียงขั้นที่หกทั่วไป เขาไม่อาจรับมือกับฮีโร่ที่รุมโจมตีใส่เขาได้แม้แต่คนเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเอาชนะ
เมอีฟดึงมีดออกจากขั้นหัวใจของพาลาดินผู้นั้นก่อนจะสะบัดเลือดอทิ้งอย่างเฉยชา
โฮก……………….
กรอมเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า ในเสียงคำรามแฝงแววกระหายเลือดไว้อยู่กลายๆ
“พาลาดินขั้นหกที่พวกเจ้าพึ่งตกตายไปแล้วสอง กุ้งฝอยเช่นพวกเจ้าต้องพึ่งพาตัวเองแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า….มาเถอะ ให้บิดาส่งพวกเจ้าไปยังสถานที่ที่เรียกว่านรกเถอะ”
เซียวอวี๋ก้มกายลงตัดศีรษะของดัมและพาลาดินอีกคนก่อนจะยกขึ้นชู
ช่วงเริ่มการต่อสู้ ดัมได้มุ่งหน้าไปยังกำแพงโดยทิ้งกองทัพไว้ด้านหลัง เรื่องนี้ไพร่พลของศาสนจักรต่างก็เห็นกันทุกคน ยามเมื่อดัมถูกปลิดปลง พวกเขาก็เห็น และฉากการตายของพาลาดินอีกคนเองก็ไม่หลุดรอดไปเช่นเดียวกัน นักรบของศาสนจักรทุกคนล้วนเห็นด้วยสองตาของตน
ฉากเหล่านี้ได้ทำลายขวัญกำลังใจพวกเขาจนแทบสิ้นหวัง อย่างไรก็ตาม ในสนามรบนั้น คำสั่งของผู้บัญชาการถือเป็นที่สุด ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงเดินหน้าต่อไปจนกว่าจะมีผู้บัญชาการมาสั่งให้ถอยทัพ เมื่อเข้าประชิดกำแพงได้ พวกเขาก็เริ่มพาดบันไดเทียมเมฆเพื่อทำการโจมตีต่อไป
เซียวอวี๋ที่เห็นเช่นนั้นก็ตะโกนสั่งการต่อ “จงทะยานออกไป สังหารศัตรูให้สิ้นซาก!”
หากในช่วงเริ่มต้นพวกเขาต้องเผชิญกับการโหมบุก ฝ่ายเมืองไลอ้อนก็คงทำได้เพียงตั้งรับให้มั่น แต่ในเมื่อผู้นำทัพหน้าของอีกฝ่ายถูกสังหารไปแล้ว ขวัญกำลังใจของกองทัพฝ่ายศาสนจักรก็ตกฮวบลง นี่จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะโต้กลับ
หากไม่ไล่ตีศัตรูให้แตกพ่ายตอนนี้ ผู้บัญชาการของอีกฝ่ายก็คงมีคำสั่งเรียกทัพกลับไปเสียก่อน……
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น