World of Warcraft ราชันต่างภพ 581-587
ตอนที่ 581
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
โถวปากุ้ยในวันนี้ไม่ใช่โถวปากุ้ยคนเดิมอีก เพียงเสียงของเขาก็แสดงให้เห็นความแข็งแกร่งที่บรรลุถึงขั้นน่าสะพรึง เป็นน้ำเสียงที่แฝงกลิ่นอายชั่วร้ายอยู่เต็มเปี่ยม
“โถวปากุ้ย ตอนนี้เจ้ากลายเป็นปีศาจไปแล้วสินะ สิ่งที่เจ้าต้องการคือทำให้ชาวเมฆาทุกคนกลายเป็นสิ่งน่ารังเกียจเช่นเจ้า? ก่อนหน้านี้ แม้เจ้าจะก่อกบฏ แต่ข้าก็ยังปฏิบัติต่อเจ้าในฐานะชาวเมฆาผู้หนึ่ง หากแต่ตอนนี้เจ้าไม่ใช่ชาวเมฆาอีกต่อไปแล้ว วันนี้ข้าจะสังหารเจ้าลงที่นี่เพื่อเซ่นสังเวยดวงวิญญาณชาวเมฆาที่ตกตายไปเพราะเจ้า!”
แม้จะตะลึงในคราแรก แต่โถวปาหงก็คืนสติและตอบโต้กลับไปในทันที จะปล่อยให้อีกฝ่ายลดขวัญกำลังใจของไพร่พลไม่ได้เด็ดขาด
“เหอเหอ…โถวปาหง ความแข็งแกร่งของข้าเวลานี้สุดที่เจ้าจะเข้าใจได้ พลังของข้าเหนือล้ำกว่าโลกนี้โดยสิ้นเชิง และข้าต้องการให้ชาวเมฆาทุกคนได้ติดตามข้าไปยังโลกแห่งนั้น ที่โลกแห่งนั้น ทุกคนจะเป็นนิรันดร์ ที่นั่นทุกคนจะเป็นอิสระ ที่นั่นพวกเราจะเป็นพระเจ้า ฮ่าฮ่าฮ่า….พวกเราจะเป็นกลุ่มแรก ข้าจะทำให้ผู้คนในจักรวรรดิกลายเป็นต้นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ” น้ำเสียงอันบ้าคลั่งของโถวปากุ้ยดังขึ้นอีกครั้ง ความบ้าคลั่งที่แฝงมานั้นทำให้ทุกคนที่ได้ฟังรู้สึกสะท้านอยู่ในใจ
“ในเมื่อเจ้ามีสภาพเช่นนี้แล้วก็ไม่มีอะไรต้องพูดคุยกันอีก ด้วยนามของเทพหมาป่า กำจัดปีศาจร้ายเพื่อล้างมลทินให้จักรวรรดิเมฆา!”
โถวปาหงตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันดัง ก่อนที่ชาวเมฆาทุกคนจะตะโกนตาม
“ฮ่าฮ่าฮ่า…มาเถอะ” โถวปากุ้ยหัวเราะขึ้นก่อนจะสั่งกองทัพทหารทมิฬบุกโจมตี
“เตรียมต่อสู้! พลหน้าไม้ พลเครื่องยิงหิน เตรียมยิง!…”
เสียงตะโกนสั่งการดังขึ้นตลอดแนวกำแพง ชาวเมฆาทุกคนต่างมีความตั้งใจเดียว นั่นคือกวาดล้างศัตรูที่ดาหน้าเข้ามาจนราบคาบ
ตึง ตึง ตึง….
ทหารทมิฬต่างพากันเดินขึ้นหน้า พวกมันแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มย่อย บางกลุ่มแบกบันได บางกลุ่มดันเครื่องยิงหน้าไม้หรืออุปกรณ์ตีเมืองชนิดต่างๆ แต่ที่ทำให้พวกมันได้เปรียบที่สุดก็คือ จำนวนที่มากมายมหาศาล
เมื่อกองทัพทมิฬเคลื่อนตัวใกล้เข้ามา เซียวอวี๋และโถวปาหงก็สามารถมองเห็นกองทัพของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ที่กึ่กลางทัพของพวกทหารทมิฬมีปราการเคลื่อนที่สีดำทมึนที่ถูกลากจูงโดยม้าหลายสิบตัว ที่จุดสูงสุดของปราการคือบัลลังก์ที่มีบุรุษใบหน้าซีดขาวกำลังยิ้มอย่างเย็นชา
บุรุษผู้นั้นคือโถวปากุ้ยที่กลายสภาพ โถวปากุ้ยเวลานี้แทบจดจำเค้าเดิมไม่ได้ เขากลายเป็นปีศาจไปแล้วจริงๆ รัศมีพลังสีดำที่โอบล้อมรอบกายของเขาทำให้ดูชั่วร้ายอย่างยิ่ง
“บัดซบ พลังของมันแข็งแกร่งมาก ท่านอ้าวปา ท่านมีความมั่นใจว่าจะจัดการโถวปากุ้ยได้หรือไม่?” เซียวอวี๋หันไปถามอ้าวปาที่ยืนอยู่ไม่ไกล
อ้าวปาส่ายหน้าก่อนจะกล่าวว่า “เพียงรัศมีพลังของมันก็แข็งแกร่งมากแล้ว ทั้งยังเหนือกว่าข้าไปมาก หากมีเพียงข้าคงไม่อาจรับมือมันได้ พลังระดับนี้คงมีเพียงการลงมือของผู้อาวุโสสามจ้าวมนตราแล้ว”
“น่าเสียดายที่ผู้อาวุโสทั้งสามไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย แต่ไม่เป็นไร หากพวกเราร่วมมือกันยังกลัวกำราบอีกฝ่ายลงไม่ได้หรือ?”
เซียวอวี๋เวลานี้มั่นใจกว่าเดิมมาก ด้วยพลังของดาบแห่งคาริมดอร์ที่ถือครองอยู่ เขาก็ไม่หวั่นเกรงผู้ใด อีกทั้งที่ข้างกายยังมีกรอม คาร์นและคนอื่นๆอยู่อีก เขายังต้องเกรงกลัวไปใย? ของเพียงอีกฝ่ายไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนคฑูนก็พอ
คฑูนเป็นเทพจากยุคโบราณ พลังย่อมอยู่ในขีดขั้นสุด สามจ้าวมนตราต้องร่ายเวทต้องห้ามออกจึงจะสยบมันลงได้ หากแต่โถวปากุ้ยผู้นี้ไม่ได้แข้งแกร่งถึงขั้นนั้น อย่างมากเพียงอยู่ในขั้นที่เจ็ด เซียวอวี๋ย่อมไม่เกรงกลัว
ขนาดกอล็อกและออกุสตุสที่ทรงพลังเพียงนั้นยังถูกเขาจัดการมาแล้ว โถวปากุ้ยผู้นี้หรือจะเหนือกว่าพวกนั้น?
อย่างมากเพียงเทียบเท่าได้เท่านั้น
ฆ่า……….
เสียงร่ำร้องดังขึ้นขณะพวกทหารทมิฬโถมบุกใส่กำแพง ขณะที่ไพร่พลที่ประจำการบนกำแพงซึ่งเตรียมตัวอยู่ก่อนแล้วก็เปิดฉากโจมตีกลับ
“เครื่องยิงหินกลุ่มที่หนึ่ง ยิงได้!”
“เครื่องยิงหินกลุ่มที่สอง ยิงได้!”
เครื่องยิงหินนั้นมีระยะโจมตีได้ไกลที่สุด ดังนั้นหน้าที่เปิดฉากจึงตกเป็นของพวกมัน เสียงวัตถุหนักอึ้งดีดขึ้นสู่อากาศดังกังวานไปทั่วทั้งสนามรบ
ก้อนหินใหญ่น้อยนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่ร่างของพวกทหารทมิฬจนล้มกันระนาว พวกมันส่วนใหญ่กลายเป็นเศษเนื้อก่อนจะทันรู้สึกตัวเสียด้วยซ้ำ
ก้อนหินเหล่านี้ดูไปธรรมดายิ่ง หากแต่อานุภาพยามที่มันตกลงมาจากฟ้านั้นสุดที่ร่างเลือดเนื้อจะต้านทานได้
เนื่องจากเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า จำนวนของเครื่องยิงหินจึงเรียงรายอยู่เต็มแนวกำแพง ท้องฟ้าในเวลานี้มีก้อนหินปลิวว่อนประดุจห่าฝน ทหารทมิฬล้มลงดุจใบไม้ร่วงแทบทุกวินาที
เห็นอานุภาพการโจมตีเช่นนี้ กระทั่งไพร่พลที่ประจำการอยู่บนกำแพงก็ยังตะลึง
“เครื่องยิงบาริสต้าหลุ่มที่หนึ่ง ยิงได้!”
“เครื่องยิงบาริสต้าหลุ่มที่สอง….ยิงได้!”
แม้เครื่องยิงหินจะทรงอำนาจและสามารถสังหารทหารทมิฬจำนวนนับไม่ถ้วนได้ในคราวเดียว กระนั้นที่เบื้องหน้ากลับมีทหารทมิฬมากเกินไป พวกมันยังคงเคลื่อนตัวมาดุจฝูงมด
ดังนั้นคราวนี้จึงถึงเวลาของเครื่องยิงบาริสต้า ลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วนแหวกฝ่าอากาศก่อนจะปักตามร่างของพวกทหารทมิฬที่วิ่งเข้ามาจนกลายเป็นตัวเม่น
ฆ่า ฆ่า…….
พวกทหารทมิฬยังคงบุกขึ้นหน้าอย่างไม่มีเกรงกลัว แม้จะเผชิญห่าธนูที่ปลิวว่อนเต็มผืนฟ้า พวกมันก็ยังวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล
ในใจของพวกมันไม่มีความรู้สึกที่เรียกว่าความกลัว
เพียงเริ่มต้นสงครามก็เดือดระอุ โลหิตไหลนองกลบหน้าดินจนแดงฉาน พวกทหารทมิฬบางส่วนเริ่มพาดบันไดกับกำแพงได้แล้ว
แนวกำแพงด่านที่ทอดยาวนับร้อยกิโลเมตรล้วนถูกคลื่นสีดำบุกจู่โจมไม่ว่างเว้น แนวการรบที่ทอดยาวเช่นนี้ ขอเพียงมีช่องโหว่ปรากฏขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถนำไปสู่จุดสิ้นสุดของสงคราม
เซียวอวี๋ขี่มังกรน้อยบินสังเกตการณ์อยู่บนท้องฟ้า ขณะที่บางเวลาก็สั่งการทัพอากาศและทัพพยัคฆ์ให้เข้าช่วยเหลือตำแหน่งที่เพลี่ยงพล้ำ
กองทัพอากาศและทัพพยัคฆ์เป็นสองทัพที่มีความคล่องตัวสูง ทั้งสองสามารถเคลื่อนไปกลับได้ตลอดแนวกำแพง
ไพร่พลทางฝั่งจักรวรรดิเมฆาถูกแบ่งออกเป็นหลายระลอกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นไปป้องกันกำแพงด่าน
เพราะนี่คือสงครามยืดยื้อ การออมกำลังเอาไว้จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ชนะในสงคราม
ครั้งนี้มีชาวเมฆาเข้าร่วมจำนวนมาก มีไพร่พลทหารกว่าหนึ่งล้าน และผู้ที่ทำหน้าที่คอยสนับสนุนสูงมากกว่าสิบล้านคน ด้วยเหตุนี้นี่จึงเป็นแนวกำแพงที่เพรียบพร้อมไปด้วยปัจจัยต่างๆ
ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าการเสริมแกร่มแนวป้องกันของเซียวอวี๋ก่อนที่สงครามครั้งใหญ่จะเริ่มนั้นถูกต้อง แนวป้องกันอันไร้ที่ตินี้ทำให้ประชาชนชาวเมฆาทุกคนมีความหวัง
ท่ามกลางกลุ่มทหารทมิฬที่เข้าโจมตีก็มีนักรบแดนใต้หรือกระทั่งสัตว์ประหลาดร่างยักษ์ บ้างก็เป็นสัตว์ประหลาดสี่แขนที่ปีนกำแพงเมื่อครั้งก่อน บ้างก็เป็นพวกสัตว์ประหลาดตาเดียวที่ถือค้อนขนาดใหญ่ บ้างก็เป็นปีศาจมีปีก
กองทัพที่โถวปากุ้ยขนออกมาคราวนี้นับว่ายิ่งใหญ่กว่าครั้งก่อนมากนัก
อย่างไรก็ตาม เซียวอวี๋ได้จัดเตรียมหน่วยเครื่องยิงบาริสต้าเอาไว้รับมือกับพวกมันอยู่ก่อนแล้ว หน่วยเครื่องยิงบาริสต้าแต่ละหน่วยจะมีเครื่องอยู่หน่วยละสิบเครื่อง กำลังคนห้าสิบคน แต่ละเครื่องจะใช้คนดูแลห้าคน เมื่อเห็นสัตว์ประหลาดร่างยักษ์ปรากฏในระยะยิง เครื่องบาริสต้าทุกเครื่องก็จะเปลี่ยนเป็นบรรจุลูกธนูเวทและยิงไปยังสัตว์ประหลาดยักษ์เหล่านั้น
การเตรียมการเช่นนี้ทำให้พวกสัตว์ประหลาดยักษ์ทำอะไรไม่ได้มาก
แม้เซียวอวี๋จะมีหน่วยรบแข็งแกร่งอื่นๆที่สามารถจัดการกับพวกสัตว์ประหลาดเหล่านี้ หากแต่จำนวนนั้นน้อยเกินไป พวกเขาย่อมไม่อาจแบ่งไปประจำการตามแนวกำแพงที่ยาวนับร้อยกิโลเมตรนี้ได้
ดังนั้นหน่วยเครื่องยิงบาริสต้าจึงถูกจัดเตรียมไว้เพื่อการนี้
พวกสัตว์ประหลาดยักษ์นั้นเป็นภัยคุกคามอย่างมาก หากไม่ระวังป้องกันไว้ก่อนคงต้องมีกำแพงบางส่วนถูกยึดไปเป็นแน่…….
ตอนที่ 582
ในสถานการณ์ที่สงครามกำลังดำเนินไปเช่นนี้ กองทัพที่จะมีบทบาทเด่นขึ้นมาก็คือ ทัพพยัคฆ์และทัพอากาศของเซียวอวี๋
ทหารทุกนายของทัพพยัคฆ์ล้วนแต่มีพลังฝีมือเหนือขั้นที่สี่ขึ้นไป บางคนกระทั่งอยู่ในขั้นที่ห้า ยิ่งเมื่อได้อาวุธชุดเกราะรวมถึงม้าอัสนีด้วยแล้วก็ยิ่งทำให้พวกเขาราวกับพยัคฆ์ติดปีก ไม่เพียงเท่านั้น กระบวนทัพที่เป็นการรวมพลังของผู้แข็งแกร่งหลายคนก็ยิ่งทำให้พวกเขาแทบจะๆร้เทียมทาน
ทัพพยัคฆ์สิบคนสามารถจัดการกับสัตว์ประหลาดยักษ์หนึ่งตัว หรือต่อให้จัดการไม่ได้ พวกเขาก็สามารถพัวพันอีกฝ่ายไว้จนกระทั่งห่าศรเวทกระน่ำยิงใส่สัตว์ประหลาดเหล่านั้น
ทว่าการจัดการกับสัตว์ประหลาดยักษ์เหล่านี้ก็ทำให้ทัพพยัคฆ์บาดเจ็บล้มตายไม่น้อย แม้กระนั้นพวกเขาก็จะรวมตัวเป็นกลุ่มย่อยและกลับเข้าสู่สนามรบทันที
ทัพพยัคฆ์นี้สมกับเป็นแหล่งรวมทหารชั้นยอดจริงๆ
สงครามในชั่วโมงแรกเป็นไปด้วยความดุเดือดรุนแรง ทั้งสองฝ่ายต่างบาดเจ็บล้มตายอย่างหนัก เซียวอวี๋ที่ขี่มังกรน้อยบินพล่านไปทั่วก็เหนื่อยล้ามากเช่นกัน
ลมหายใจเพลิงของมังกรน้อยนั้นทรงพลังมาก หากแต่การพ่นไฟอย่างต่อเนื่องก็ทำให้มันเหนื่อยล้าเช่นเดียวกัน
ด้วยเหตุนั้น ส่วนใหญ่มังกรน้อยจึงมักพึ่งพาสองหมัดและทอนฟาเสียมากกว่า ร่างกายที่แข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์มังกรเหนือกว่าสัตว์ประหลาดร่างยักษ์เหล่านั้นมาก เมื่ออยู่ต่อหน้ามังกรน้อย สัตว์ประหลาดร่างยักษ์เหล่านั้นก็ราวกับเด็กทารกอมมือ ล้วนถูกมังกรน้อยทุบตีอยู่ฝ่ายเดียว
ดังนั้นฉากที่มังกรน้อยต่อสู้กับกลุ่มสัตว์ประหลาดยักษ์จึงกลายเป็นจุดสนใจของทุกฝ่าย หลายร้อยหลายพันปีถัดมา ฉากมังกรยืนควงทอนฟาจะถูกเล่าขานสืบต่อไป
อีกทั้งในอนาคต อาวุธประเภททอนฟาจะกลายเป็นอาวุธที่เป็นดั่งสัญลัษณ์แห่งเผ่าพันธุ์มังกร กล่าวกันว่ามังกรตัวผู้ที่ใช้ทอนฟาไม่เป็นนั้นไม่ใช่บุรุษ
ความดีความชอบในการรบครั้งนี้ มังกรน้อยถือว่ารับไปตัวเดียวหนึ่งจากสิบส่วนเต็มๆ เพราะไม่ว่าตำแหน่งใดที่เกิดการเพลี่ยงพล้ำ เมื่อมังกรน้อยปรากฏกาย สถานการณ์ก็จะถูกคลี่คลายโดยเร็ว ไม่มีศัตรูหน้าไหนสามารถหยุดยั้งมังกรน้อยได้
มังกรน้อยที่อยู่ในขั้นที่ห้านับว่าเป็นจ้าวแห่งสนามรบอย่างแท้จริง
อ้าวปาเองก็ถูกโถวปาหงส่งออกไปกอบกู้สถานการณ์ในหลายแห่ง และด้วยฝีมือระดับปรมาจารย์แห่งยุคก็ไม่ได้แสดงพลังด้อยไปกว่ามังกรน้อยสักเท่าใด อย่างไรเสียเขาก็คือยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิเมฆา
ดาบขนาดใหญ่ในมือของอ้าวปาปลดปล่อยแสงสีแดงเลือดเด่นสะดุดตา นอกจากนั้น ที่ตัวของเขายังมีม้วนคัมภีร์เวทที่เซียวอวี๋ให้ไว้ก่อนสงครามจะเริ่มอีกหลายม้วน พลังฝีมือและสิ่งเกื้อหนุนที่เพียบพร้อมย่อมทำให้เคลื่อนไปได้ทุกที่ในสนามรบ
อาศัยเพียงหนึ่งดาบก็ล้มสัตว์ประหลาดยักษ์ลงหนึ่งตัว การลงมืออันหมดจรดนี้เรียกเสียงโห่ร้องจากบนกำแพงได้เป็นอย่างดี
อ้าวปาเพียงคอยทำหน้าที่กำจัดศัตรูที่บุกขึ้นมาบนกำแพง แต่นั่นก็เพียงพอจะสร้างขวัญกำลังใจแก่ไพร่พลแล้ว ในสายตาของคนทั่วไป การปรากฏกายของยอดยุทธ์ก็ไม่ต่างอะไรกับเทพจุติลงสู่โลก ความแข็งแกร่งที่ปรากฏในสายตาล้วนแต่ทำให้ผู้คนโดยรอบรู้สึกฮึกเหิมและเชื่อว่าพวกเขาจะชนะสงครามได้ในท้ายที่สุด
ในสงครามชั่วโมงที่สอง กองทัพทหารทมิฬได้เพิ่มความดุดันขึ้นไปอีก หากแต่ความสูญเสียของฝ่ายป้องกันกลับไม่มากเท่าชั่วโมงแรกเพราะพวกเขาเริ่มปรับตัวได้แล้ว การโต้กลับที่มีประสิทธิภาพเริ่มทำให้ฝ่ายกองทัพทมิฬรุกคืบขึ้นหน้าอย่างเชื่องช้า
“ตรงกำแพงหมายเลขสี่ร้อยห้าสิบเจ็ด ให้ทัพพยัคฆ์หน่วยที่สองร้อยห้าสิบสามไปหนุนเสริมทันที” พวกอัศวินกริฟฟ่อนเวลานี้ทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดคำสั่ง
เมื่อนายทหารทัพพยัคฆ์ได้ยินคำสั่ง เขาก็รีบนำกำลังไปเสริมที่กำแพงหมายเลขสี่ร้อยห้าสิบเจ็ดทันที
เซียวอวี๋ได้กำหนดหมายเลขของกำแพงแต่ละส่วนเอาไว้ล่วงหน้า เมื่อมีตำแหน่งใดต้องการความช่วยเหลือ ทุกคนก็สามารถเคลื่อนกำลังไปช่วยเหลือได้ทันที
ซึ่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงก็ได้พิสูจน์ประสิทธิภาพของแผนการนี้ ความช่วยเหลือที่มาถึงอย่างรวดเร็วทำให้ลดจำนวนผู้สูญเสียลงกว่าครึ่ง
ทุกครั้งที่ทัพพยัคฆ์ไปเสริมกำลัง แน่นอนว่าย่อมมีการสูญเสียเกิดขึ้น หากแต่ทหารทัพพยัคฆ์ที่เหลือก็จะรวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มใหม่ขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นอัศวินกริฟฟ่อนก็จะนำหมายเลขกลุ่มมาแจ้งให้พวกเขาทราบ
ตึง ตึง ตึง…..
บนกำแพงพลันปรากฏหมีแพนด้าตัวใหญ่พุ่งเข้าปะทะสัตว์ประหลาดสี่แขน สัตว์ประหลาดสี่แขนเหวี่ยงสะบัดแขนทั้งสี่โจมตีเข้าใส่อย่างดุดัน หากแต่แพนด้าตัวนั้นมีความพริ้วไหวดุจสายลม ไม่มีการโจมตีใดสามารถสัมผัสถูกร่างกลมตุ้ยนุ้ยนั้นได้
ต่อสู้ได้ไม่ถึงนาที สัตว์ประหลาดยักษ์สี่แขนก็ถูกสังหาร และหลังจากสังหารสัตว์ประหลาดลงได้ รอบกายของแพนด้าก็เปล่งกลิ่นอายอันแข็งแกร่งออกมา ในแววตาที่เฉียบคมทั้งสองปรากฏประกายแสงวูบผ่าน
ขั้นที่หก
หลังจากผ่านศึกมาอย่างโชกโชน ในที่สุดแพนด้าเฉินก็ตัดผ่านไปขั้นที่หกได้สำเร็จ สงครามที่ศัตรูบุกโถมเข้ามาไม่หยุดนี้ได้มอบโอกาสในการเก็บเกี่ยวค่าประสบการณ์ให้กับเหล่าฮีโร่และยูนิตจากระบบทั้งหมดอย่างหาได้ยาก
กระทั่งมัลฟูเรี่ยนที่เป็นฮีโร่สายสนับสนุนยังเลื่อนไปขั้นที่หก มัลฟูเรี่ยนนั้นมีบทบาทสำคัญต่อทหารชาวเอลฟ์ไม่ต่างจากที่อูเธอร์มีความสำคัญกับทหารมนุษย์และทอร์ลมีความสำคัญต่อทหารออร์ค
เมื่อมีมัลฟูเรี่ยนอยู่ในสนาม พลังต่อสู้ของพวกเอลฟ์ก็เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว
แม้พลังที่แสดงออกมาจะไม่หวือหวาเหมือนฮีโร่คนอื่นๆ หากแต่ประสิทธิผลที่ได้กลับมีสูงสุด
และเมื่อเป็นเช่นนี้ ฮีโร่ทุกคนก็อยู่ในขั้นที่หกทั้งหมดแล้ว
เซียวอวี๋พอใจยิ่ง ไม่มีการต่อสู้ใดที่ไม่มีผลรับ ทั้งระดับของฮีโร่และค่าผลงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เซียวอวี๋ประเมินว่าหลังจบการต่อสู้ครั้งนี้ ยศผู้บัญชาการของเขาคงได้เปลี่ยนเป็นแน่ และถึงตอนนั้นเขาก็จะสามารถอัญเชิญยูนิตระดับสามของเผ่าพันธุ์มนุษยืออกมา เพียงจินตนาการภาพรถถัง ปืนครกและอาวุธล้ำสมัยต่างๆปรากฏในสนามรบก็ตื่นเต้นแล้ว
และหากอัญเชิญยูนิตออร์คระดับสามออกมาได้ พลังต่อสู้ของกองทัพดินแดนไลอ้อนก็จะเพิ่มขึ้นอีกก้าวใหญ่
เซียวอวี๋คาดว่ากระทั่งยูนิตรถถังของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็เทียบไม่ได้กับยูนิตทหารทัวเรนของเผ่าพันธุ์ออร์ค
“พวกสารเลว กลับกล้ามาหยุดยั้งข้า….ผู้ที่ขวางทางข้าล้วนต้องตาย!!” ขณะที่เซียวอวี๋กำลังตกอยู่ในภวังค์ ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากอีกฝากของสนามรบ เป็นโถวปากุ้ยที่คำรามอย่างเดือดดาล
สงครามนี้กินเวลาไปแล้วหลายชั่วโมง หากแต่ทัพทมิฬยังคงไม่มีความคืบหน้าใด โถวปากุ้ยย่อมไม่อาจทนรับผลลัพธ์เช่นนี้
ดูเหมือนสงครามอันดุเดือดกำลังจะปะทุขึ้นอีกครั้ง…..
ตอนที่ 583
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
“หรือเจ้านี่จะลงมือเองแล้ว?” ได้ยินเสียงโถวปากุ้ย เซียวอวี๋ก็เกาจมูก
เซียวอวี๋เดาไม่ผิด ไม่นาน ทั้งหมดก็ได้เห็นเกี้ยวสีดำของโถวปากุ้ยกำลังตรงมาทางแนวกำแพง
“วันนี้จะให้สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอย่างพวกเจ้าได้เห็นพลังที่แท้จริงของข้า!”
พร้อมกับเสียงคำราม ม่านบังเกี้ยวถูกเลิกขึ้นก่อนที่โถวปากุ้ยจะก้าวลงมา
โถวปากุ้ยสวมใส่ชุดเกราะที่ดูแปลกตาไม่เหมือนชุดเกราะของทวีปนี้ บนตัวเกราะมีไฟกลุ่มเล็กๆลุกโชนทำให้โถวปากุ้ยดูคล้ายกับปีศาจจากขุมนรก
“มารดามัน ชุดอลังการจริงๆ”
เซียวอวี๋หรี่ตา กลิ่นอายของโถวปากุ้ยเวลานี้ทำให้นึกถึงผู้นำกอล็อกขึ้นมา
ตอนนั้นเขาร่วมมือกับนิโคลัสและลีโอนาโด ต่างคนต่างก็งัดไพ่ตายออกมาใช้จนสามารถสังหารผู้นำกอล็อกลงได้ในที่สุด
แต่ตอนนี้สองคนนั้นไม่อยู่แล้ว พลังของเซียวอวี๋เองก็ต่างจากตอนนั้นมาก ฮีโร่ทุกคนล้วนอยู่ในขั้นที่หก และนั่นยังไม่รวมสิ่งของต่างๆในแหวนมิติ มีม้วนคัมภีร์เวทต่างๆที่ได้มาจากสามจ้าวมนตราอยู่ จะจัดการโถวปากุ้ยก็ไม่ยากเท่าไร
แต่แน่นอนว่าเซียวอวี๋คงไม่นำม้วนคัมภีร์อันล้ำค่าออกมาใช้ง่ายๆ
หลังจากโถวปากุ้ยก้าวลงจากเกี้ยว เขาก็พลันชูมือขึ้นฟ้า และร่ายคาถาด้วยสำเนียงแปลกหู เสียงร่ายคาถาที่ทั้งซับซ้อนและฟังยากนี้ดังกึกก้องไปทั่วสนามรบ
ควบคู่กับเสียงร่าย พายุเพลิงลูกใหญ่ก็ก่อตัวขึ้น พายุลูกนี้คล้ายคลึงกับพายุที่ชัคคุนร่ายออกมาตอนอยู่ในวิหารอัลคีราฟ ต่างก็แต่พายุลุกนี้ไม่ได้เน้นพลังทำลายล้าง ระลอกพลังที่มันปลดปล่อยออกมาราวกับกำลังจะมีสิ่งที่น่าสะพรึงปรากฏตามหลัง
“บัดซบ นี่มันเวทอัญเชิญ!” เห็นว่ากำลังจะบางอย่างออกมา เซียวอวี๋ก็สบถ
“ทุกคนระวัง ฮีโร่ทุกคนเตรียมรับมือ” เจ้าสิ่งที่กำลังจะออกมานี้คงไม่เรียบง่าย เวลานี้จำต้องเรียกรวมเหล่าฮีโร่ทั้งหมด
หลังจากผ่านสนามรบเก็บเกี่ยวประสบการณ์มานาน ตอนนี้ก็ได้เวลาทดสอบแล้ว
พายุเพลิงเคลื่อนตัวกวาดผ่านสนามรบ มีทหารทมิฬมากมายตายด้วยพายุเพลิงนี้
อย่างไรก็ตาม โถวปากุ้ยไม่ได้สนใจความเป็นความตายของทหารทมิฬเหล่านั้นเลย
ครืน…….
พายุเพลิงยิ่งมายิ่งดูรุนแรง และสุดท้ายก็เกิดรอยแยกมิติขึ้นที่ใจกลางพายุ ‘ลูกไฟ’ นับไม่ถ้วนร่วงหล่นจากฟ้ากระทบสนามรบดังตูมตาม ‘ลูกไฟ’ ดวงแล้วดวงเล่าร่วงลงมาไม่ขาดสาย เมื่อ ‘ลูกไฟ’ เหล่านั้นเหยียดร่างขึ้นตรงทุกคนก็พลันเข้าใจ สิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นลุกไฟ ที่แท้คือพวกปีศาจที่มีเปลวเพลิงห่อหุ้มร่างกาย
ปีศาจเหล่านี้ล้วนมีใบหน้าอัปลักษณ์ ร่างกายของพวกมันปลดปล่อยกลิ่นอายชั่วร้ายออกมาไม่หยุด พวกมันแสยะยิ้มเลียปากก่อนจะพุ่งโถมไปทางแนวกำแพง
จำนวนปีศาจเหล่านี้อย่างน้อยก็หลักหมื่น เมื่อรวมพลังที่แผ่จากร่างกายของพวกมันด้วยแล้ว ชาวเมฆาทั้งหมดก็พลันรู้สึกไร้เรี่ยวแรงจะจับอาวุธ
ปีศาจมากมายถึงเพียงนี้ พวกเขาจะจัดการได้หรือ…
“มารดามันเถอะ! ไฉนภาพนี้มันคุ้นตานัก คงไม่ใช่ว่าพวกเบิร์นนิ่งลีเจี้ยนก็กลับมาแล้วหรอกนะ” แน่นอนว่าเซียวอวี๋ยอมไม่ลืมสงครามอันมีชื่อเสียงแห่งโลกวอคราฟที่แรกเริ่มเดิมทีเป็นสงครามของฝ่ายพันธมิตรกับพวกชนเผ่า ทว่าจู่ๆก็ถูกแทรกแซงโดยพวกปีศาจที่ตกลงมาจากฟ้า
ไม่ได้ ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ดีแน่ เกรงว่าทุกคนคงจบสิ้นกันหมด แต่ตอนนี้เซียวอวี๋ก็คิดวิธีรับมือไม่ออก กองกำลังทั้งหมดก็เข็นลงสนามรบไปแล้ว เขาจะทำอย่างไรดี?
หากสามจ้าวมนตราอยู่ที่นี่ด้วย พวกเขาก็ไม่ต้องกังวลอะไร ด้วยเวทมตร์วงกว้างของทั้งสาม จัดการปีศาจเหล่านี้รวดเดียวย่อมไม่ยาก แต่ปัญหาก็คือ ตอนนี้จ้าวมนตราทั้งสามไม่ได้อยู่ที่นี่…
นี่จะทำอย่างไรดี?
“มารดามันเถอะ สวรรค์เล่นตลกงั้นเหรอ แล้วแบบนี้จะไปสู้ได้อย่างไร?” เห็นกองทัพปีศาจพุ่งโถมมาทางกำแพง ขณะเดียวกันที่บนท้องฟ้าก็ยังมีปีศาจร่วงลงมาไม่หยุดหย่อน นับเป็นครั้งแรกที่เซียวอวี๋พลันรู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา
ทว่าในเวลานั้นเอง จู่ๆเสียงร่ายเวทอีกบทก็ดังขึ้นกลางท้องฟ้า เสียงที่ร่ายนั้นฟังดูโบราณราวกับข้ามผ่านกาลเวลามานานแสนนาน คล้ายเป็นเสียงที่ดังมาจากส่วนที่ลึกที่สุดของโลก และคล้ายดังมาจากในใจของทุกคน ทั้งหมดต่างก็ประหลาดใจที่ได้ยินเสียงนี้ดังก้องอยู่ในหัว
แต่เซียวอวี๋รู้ว่าเวทบทนี้กำลังจะแสดงพลังออกมาจริงๆ ทั้งยังเป็นพลังที่แข็งแกร่งมากด้วย
“นี่มันพลังอะไรกัน ดูไม่คล้ายเป็นพลังของศัตรู แต่มันคืออะไร? ยังมีพลังที่มหาศาลแบบนี้อยู่ในโลกด้วยหรือ?”
เซียวอวี๋มึนงง หากแต่โถวปาหงที่ยืนอยู่ด้านข้างดูเหมือนจะรู้จักพลังขุมนี้ ใบหน้าของเขาเวลานี้มีน้ำตาแห่งความยินดีไหลออกมา โถวปาหงพลันคุกเข่าลงบนกำแพง เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้าพลางกล่าวว่า “นี่ใช่เป็นวิญญาณบรรพกาลหรือไม่ แต่นี่จะเป็นไปได้อย่างไร เว้นก็แต่ท่านมหาปุโรหิตอี ที่ด้านนอกทะเลสาบไม่เคยมีผู้ใดสามารถอัญเชิญวิญญาณบรรพกาลได้ หรือนี่จะเป็นสวรรค์เห็นใจพวกเรา?”
อ้าวรีบกลับมาที่ข้างกายของโถวปาหง มองดูจุดแสงสีเขียวมากมายที่ลอยอยู่รอบกายของโถวปาหงแล้วก็อดกล่าวออกมาไม่ได้ “ไม่ใช่ บางทีตำนานนั้นอาจเป็นความจริง”
“ตำนานใด?” โถวปาหงรีบหันไปถาม
อ้าวปาหันกลับไปมองที่ด้านหลังของกำแพง มองดูทุ่งหญ้าเขียวขจีที่ทอดยาวไม่สิ้นสุดของจักรวรรดิเมฆา “มีตำนานเล่าว่ามหาปุโรหิตอีฮูยังไม่ตาย หากแต่ยังมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง มีเพียงยามที่แผ่นดินเมฆาตกอยู่ในอันตรายถึงขีดสุด เขาก็จะสละชีวิตของเขาเพื่ออัญเชิญวิญญาณเมฆาบรรพกาลออกมาปกป้องจักรวรรดิเมฆาจากหายนะ”
“ยังมีเรื่องแบบนี้อยู่ด้วย?” เซียวอวี๋อ้าปากค้าง
อ้าวปาหันไปมองเซียวอวี๋ก่อนจะกล่าวเสียงเบา “ชาวเมฆาอาศัยอยู่ในแผ่นดินใหญ่มาช้านาน เรื่องนี้ย่อมเป็นไปได้”
เซียวอวี๋ตะลึง เขาตกใจมากจริงๆ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามหาปุโรหิตอีฮูเป็นใครหรือว่าวิญญาณเมฆาบรรพกาลคืออะไร แต่ก็เห็นได้ชัดว่าตัวตนเหล่านี้ทรงพลังมาก
อย่างน้อยที่สุด เซียวอวี๋ก็เชื่อว่าการรุกรานของพวกปีศาจคราวนี้คงไม่มีปัญหาหนักใจแล้ว
“ด้วยนามแห่งเทพหมาป่า นักรบผู้ยิ่งใหญ่เอ๋ย โปรดรับการเรียกขานเพื่อขจัดปีศาจร้าย และปกป้องจักรวรรดิเมฆาด้วยเทอญ”
ตอนนี้เอง เสียงร่ายเวทพลันสิ้นสุดลง และที่กลางท้องฟ้า ร่างของหมาป่าสีทองมากมายก็ปรากฏขึ้น หมาป่ายักษ์สีทองเหล่านี้ค่อยๆลอยลงมายืนอยู่บนกำแพง
“เพื่อที่จะหลอมรวมหมาป่าสีทองเหล่านี้ มีเพียงยอดยุทธ์ขั้นที่ห้าขึ้นไปจึงทำได้!” อ้าวปาพลันโพล่งออกมา
เขาเข้าใจทันทีว่าสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณบรรพกาลนี้คืออะไร และใช้อย่างไร
ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเซียวอวี๋ปกป้องเมืองอู่เหอ พวกเขาก็เคยประจันหน้ากับหน่วยรบพิเศษของจักรวรรดิเมฆา นักรบหมาป่า ซึ่งเหล่าหมาป่าที่ปรากฏขึ้นตอนนี้นั้นคล้ายกับตอนนั้นมาก หากแต่ดูทรงพลังยิ่งกว่า
เมื่อเหล่านักรบชาวเมฆาบางคนได้เห็นฉากนี้ ในใจก็คล้ายมีพลังขุมหนึ่งปะทุขึ้น พวกเขาพลันกระโดดขึ้นไปบนฟ้า กระโดดเข้าไปในฝูงหมาป่าสีทอง
แสงสีทองสว่างขึ้นอย่างฉับพลัน แสงสีทองเข้าห่อหุ้มร่างของนักรบเหล่านั้นก่อนจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเขา นักรบที่หลอมรวมกับแสงสีทองเหล่านั้นต่างก็โก่งคอเปล่งเสียงหอนของหมาป่าออกมา บนร่างของนักรบเหล่านั้นพลันปรากฏชุดเกราะหมาป่าสีทองอันแปลกตาห่อหุ้มร่าง ที่มือของพวกเขามีกรงเล็บยาวสวมเป็นสนับมือ และนั่นทำให้พวกเขาดูทรงพลังอย่างมาก……
ตอนที่ 584
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
อวู้วววว…….
เหล่านักรบหมาป่าพุ่งเข้าหาพวกปีศาจอย่างดุดัน ความเร็วที่สำแดงออกมาทำให้เห็นพวกเขาเป็นเพียงเงาวูบวาบ เมื่อสนับกรงเล็บถูกสะบัด พวกปีศาจก็ร้องโหยหวน เพียงไม่กี่วินาที ปีศาจพวกนั้นก็ถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“เป็นนักรบหมาป่าที่แข็งแกร่งมาก” เซียวอวี๋ตกใจ
เห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ชาวเมฆาที่แข็งแกร่งหลายคนก็กระโดดไปหลอมรวมกับหมาป่าสีทอง กลายเป็นนักรบหมาป่าที่ทรงพลัง
ยิ่งเป็นนักรบที่ทรงพลังมากเท่าใด หลังจากหลอมรวมพลังกับหมาป่าสีทองแล้วก็ยิ่งแข็งแกร่ง เมื่อนักรบขั้นที่หกบางคนหลอมรวมเข้ากับหมาป่าสีทอง กลิ่นอายแข็งแกร่งก็ปะทุออกจากร่าง ผู้ที่รับรู้ถึงกลิ่นอายนี้ต่างสูดหายใจเฮือกใหญ่
ที่น่าสนใจกลับเป็นบุตรชายของโถวปาหู่ โถวปาเฟิง
โถวปาเฟิงได้ติตตามพวกเซียวอวี๋เข้าร่วมการต่อสู้ที่วิหารอัลคีราฟ และคอยปกป้องหลินมู่เสวี่ยอยู่ไม่ห่าง เซียวอวี๋ไม่ได้ทำอะไรที่เกินเลย ดังนั้นโถวปาเฟิงจึงยังติดตามต่อไป
จากนั้น เมื่อเซียวอวี๋มาที่นี่ โถวปาเฟิงย่อมติดตามมา โถวปาหู่เคยเรียกตัวโถวปาเฟิงกลับไปยังทัพพยัคฆ์ ทว่าโถวปาเฟิงยืนกรานปฏิเสธ เขาต้องการอยู่คุ้มครองหลินมู่เสวี่ย
และเมื่อเหล่าหมาป่าทองปรากฏขึ้น เขาก็รีบหลอมรวมกับหมาป่าทองโดยไม่ลังเลและกลายเป็นนักรบหมาป่าทรงพลัง เดิมทีเซียวอวี๋ไม่เคยเห็นโถวปาเฟิงอยู่ในสายตา ในสายตาของเขา โถวปาเฟิงก็แค่ตัวละครเล็กๆตัวหนึ่ง ลำบากเพียงยกมือก็กำจัดทิ้งได้ ทว่าสถานการณ์ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว โถวปาเฟิงเวลานี้คล้ายเกิดใหม่ กลายเป็นตัวตนทรงพลัง
เมื่อมีความช่วยเหลือจากเหล่านักรบหมาป่า พลังต่อสู้ของจักรวรรดิเมฆาก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว หากนักรบหมาป่าเหล่านี้สามารถคงพลังไว้ได้ตลอดไป คาดว่าจักรวรรดิเมฆาคงไม่มีปัญหาในการกวาดพิชิตไปทั่วทั้งทวีป
อย่างไรก็ตาม เซียวอวี๋ทราบดีว่าการอัญเชิญนี้ย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างหนัก มันยังยากกว่าการใช้เวทต้องห้ามเสียอีก
“เพื่อจักรวรรดิเมฆา”
ตอนนั้นเอง หมาป่าสีทองตัวหนึ่งก็ลอยลงมาประทับร่างของอ้าวปาและทำให้พลังของเขาสูงขึ้นเทียมฟ้า
อย่างไรก็ตาม เห็นชัดว่าอ้าวปาไม่ได้สูญเสียสติสัมปชัญญะไปชั่วคราวเหมือนคนอื่นๆ เขาไม่ได้ดูดุร้ายราวสัตว์ป่า หากแต่สามารถควบคุมสติของตนไว้ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
ด้วยเหตุนี้ อ้าวปาจึงจำต้องรับหน้าที่ผู้บัญชาการทัพนักรบหมาป่าไปโดยปริยาย
เวลานี้นับเป็นโอกาสอันดีที่จะโต้กลับ ในใจอ้าวปาทราบดีว่าขุมพลังของวิญญารบรรพกาลนี้คงอยู่ได้ไม่นาน และพวกเขาต้องใช้เวลาอันล้ำค่านี้กำจัดกองทัพทมิฬให้ได้มากที่สุด หากพวกเขาชนะการต่อสู้นี้ได้ สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“อวู้วววว….”
เหล่านักรบหมาป่าเงยคอหอนออกมาจนพื้นดินสั่นสะเทือน พวกเขาต่างติดตามอ้าวปาบุกจู่โจมใส่กองทัพปีศาจ
“โต้กลับไป ทุกคนเริ่มโต้กลับได้ อ๋องหู่ ท่านนำทัพพยัคฆ์บุกออกไป สังหารศัตรูให้สิ้น” เห็นสถานการณืที่เปลี่ยนพลิก เซียวอวี๋ย่อมไม่ปล่อยโอกาสทองเช่นนี้ให้หลุดมือ เขาเริ่มออกคำสั่งอย่างต่อเนื่องทันที
ซึ่งอันที่จริง ทหารทัพพยัคฆ์หลายคนได้หลอมรวมกับหมาป่าทองกลายเป็นนักรบหมาป่าไปแล้ว กระนั้นจำนวนของนักรบหมาป่าก็ไม่ได้มากมายอะไร พวกเขามีจำนวนราวห้าถึงหกพันคนเท่านั้น ขณะที่ทัพพยัคฆ์ยังเหลือไพร่พลยู่หลายหมื่น ตอนนี้ถึงคราวที่ทัพพยัคฆืจะได้แสดงความสามารถแท้จริงแล้ว
อวู้วววว…….
เหล่านักรบหมาป่าเริ่มทักทายพวกปีศาจด้วยการสับสังหารอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งอันที่จริง พวกปีศาจนั้นแข็งแกร่งมาก กระทั่งนักรบขั้นที่ห้าทั่วไปยังไม่ใช่คู่มือของพวกมัน ทว่านักรบหมาป่าเหล่านี้เป็นนักรบขั้นที่ห้ากลายพันธุ์ ยิ่งบางคนที่อยู่ในขั้นที่หกก็ยิ่งแข็งแกร่งอย่างไร้เหตุผล ภาพที่นักรบขั้นที่ห้าและหกพุ่งโถมเข้าใส่พร้อมกันนั้นน่าสะพรึงยิ่ง
ชาวเมฆาทุกคนเวลานี้ล้วนแต่รู้สึกเดือดพล่าน พวกเขาไม่เคยเห็นภาพเช่นนี้มาก่อน ทุกคนล้วนทราบว่านี่หมายความว่าพวกเขากำลังจะชนะศึกนี้ มีเทพหมาป่าคอยหนุนหลัง แล้วพวกเขาจะไม่ชนะได้อย่างไร
ภายใต้ความเชื่อมั่นอันแรงกล้านี้ ทหารหลายคนต่างก็กระโดดลงจากกำแพงและพุ่งเข้าหาทาหรทมิฬโดยไม่สนใจความเป็นตายของตน
มีความแข็งแกร่งของเหล่านักรบหมาป่ากรุยเปิดทางไว้ก่อนแล้ว ไม่นานก็มีทัพพยัคฆ์พุ่งตะลุยตามไป ทัพอากาศของเซียวอวี๋ทะยานขึ้นฟ้าก่อนจะคอยสนับสนุนทัพพยัคฆ์จากด้านบน
เซียวอวี๋ขี่มังกรน้อยบินขึ้นฟ้าก่อนจะใช้ม้วนคัมภีร์เวทใส่เบื้องล่างอย่างต่อเนื่อง นี่เรียกตีชิงตามไฟ การใช้ม้วนคัมภีร์เวทเวลานี้นั้นส่งผลได้มากที่สุด
เพราะเวลานี้ การระเบิดออกของม้วนคัมภีร์แต่ละเล่มสามารถเพิ่มขวัญกำลังใจของทั้งหมด พลังใจของทั้งหมดเวลานี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าการรับบัฟจากอูเธอร์เลย
ครืน……..
เวทมนตร์ไฟหลายสายจากคาเอลพุ่งลงสุ่สนามรบจนเกิดเป็นพื้นที่ว่างขนาดใหญ่
ด้วยพลังของเวทวงกว้าง คาเอลและแอนโทนีดาสจึงเลื่อนระดับขึ้นรวดเร็วที่สุด เวลานี้พวกเขาเลื่อนระดับจนมีพลังเทียบได้กับขั้นที่หกระดับสุดยอดแล้ว
เมื่อพลังเพิ่มมากขึ้น อานุภาพของเวทมตร์ที่ปล่อยออกก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้นตาม
ดังนั้นการโต้กลับที่ดุเดือดจึงเริ่มขึ้น ทหารทมิฬที่มากมายราวกับเม็ดทรายเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด
แววตาของโถวปากุ้ยเวลานี้เริ่มปรากฏเค้าความหวาดกลัวขึ้น เขาคาดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะกลายเป็นเช่นนี้ เขาจะทราบได้อย่างไรว่าจะมีเรื่องวิญญาณบรรพกาลแทรกแซงเข้ามา
แม้ว่าตอนนี้โถวปากุ้ยจะไม่ใช่คนธรรมดาและกลายเป็นปีศาจไปแล้ว กระนั้นปีศาจก็ยังมีความกลัว เมื่อเผชิญหน้ากับพลังที่มากกว่าอย่างท่วมท้น ปีศาจเองก็กลัวตายได้เหมือนกัน
ฆ่า……..
ใช้เวลาเพียงสิบนาทีเศษ แนวโต้กลับก็ดันมาถึงหน้าเกี้ยวสีดำ อ้าวปาคำรามขณะที่คนวางเท้าลงบนหลังคาเกี้ยว เขายกดาบเล่มเขื่องขึ้นพลางมองไปทางโถวปากุ้ย
“โถวปากุ้ย ทุกอย่างมันจบแล้ว”
ตอนที่ 585
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
ควบคู่กับเสียงอ้าวปา มังกรน้อยที่บินอยู่บนฟ้าก็คำรามออกมาพร้อมกัน ทำให้สภาวะของทั้งคู่ดูน่าเกรงขามยิ่ง
โถวปากุ้ยมองฉากนี้อย่างเย็นชา หอกในมือถูกกำแนบแน่น เปลวเพลิงที่ลุกโชนตามร่างของโถวปากุ้ยทำให้เขาดูราวกับเป็นราชาปีศาจ ในใจของเขาทราบดีว่าถึงเวลาลงมือแล้ว การปรากฏตัวของวิญญาณบรรพกาลทำให้แผนการของเขาถูกทำลายไม่มีชิ้นดี
“ด้วยนามแห่งเทพของข้า ขอจงทำลายอุปสรรคเบื้องหน้าทั้งมวล” โถวปากุ้ยตะโกน เขาขยับหอกพลางพุ่งโถมเข้าใส่อ้าวปา
เคร้ง เคร้ง เคร้ง…..
อ้าวปาย่อมไม่นิ่งเฉย เขากระชับดาบยักษ์ในมือก่อนเข้าปะทะกับโถวปากุ้ย ทว่าถึงแม้อ้าวปาเวลานี้จะมีพลังของวิญญาณบรรพกาลหนุนเสริม เขาก็ยังตกเป็นรอง
พลังของโถวปากุ้ยเวลานี้อยู่เหนือสามัญสำนึกของผู้คนไปแล้ว
“ตาย!” แววตาของโถวปากุ้ยคุโชนด้วยโทสะ
“เหอๆ อาศัยพลังอันน้อยนิดนี้น่ะหรือ?” อ้าวปาแค่นเสียง ร่างของเขาลอยขึ้นสูง เงาหมาป่าสีทองขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่เบื้องหลัง ดาบยักษ์ในมือพลันมีเปลวเพลิงสีทองลุกพรึ่บขึ้นมา
ทั้งสองพุ่งเข้าปะทะกันอีกคำรบ ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมอ่อนข้อ
เซียวอวี๋ที่เห็นฉากนี้ก็พลันหน้ามุ่ย เขาเรียกกรอม เมอีฟ และอิลิดันให้เข้าไปล้อมโถวปากุ้ยเอาไว้ ครั้งนี้เขาไม่คิดจะใช้การต่อสู้ตัวต่อตัวเพื่อจบศึก ยิ่งกำจัดโถวปากุ้ยได้เร็วก็ยิ่งช่วยชีวิตผู้คนได้มากขึ้น
จับโจรต้องจับหัวหน้า ตีงูต้องตีที่หัว นี่เป็นหลักพื้นฐานที่สุด
เซียวอวี๋สั่งให้มังกรน้อยร่อนลงบนพื้น ตัวเขากระโดดลงจากหลังมังกรน้อยพลางกระชับดาบคาริมดอร์ในมือ ขณะที่มังกรน้อยก็นำทอนฟาออกมาก่อนจะพุ่งเข้าหาโถวปากุ้ยพร้อมเซียวอวี๋
เดิมทีโถวปากุ้ยรับมือกับอ้าวปาคนเดียวก็ยังจัดการอีกฝ่ายไม่ลงแล้ว ตอนนี้ยังมีตัวตนทรงพลังมากมายพุ่งเข้าหาอีก โถวปากุ้ยรีบใช้สมองเค้นหาทางก่อนจะพุ่งไปซ้ายทีขวาทีพลางถอยร่นอย่างรวดเร็ว เกี้ยวสีดำที่เขาโดยสารมาถูกมังกรน้อยใช้ทอนฟาทุบพังเป็นเศษเล็กเศษน้อยไปแล้ว
ดาบทั้งสองของอิลิดันบินพุ่งฝ่าอากาศเข้าหาโถวปากุ้ย อิลิดันนั้นเป็นปีศาจ ดังนั้นเขาย่อมไม่กลัวอีกฝ่ายโจมตีใส่จิตวิญญาณ ตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกยินดี ความสามารถเฉพาะของดาบคู่ของเขาถูกเปิดใช้ นี่จะทำให้เขายิ่งได้เปรียบโถวปากุ้ยที่เป็นปีศาจ
ครั้งนี้กรอมเองก็ลงมือเต็มที่ ความแข็งแกร่งของปรมาจารย์ดาบแห่งเผ่าพันธุ์ออร์คถูกสำแดงออกมา ดาบยาวในมือถูกสะบัดจนเห็นเพียงเงาลางๆ ยิ่งเมื่อใช้ออกคู่กับทักษะวินด์วอร์คก็ทำให้เวลานี้ร่างกายของโถวปากุ้ยมีร่องรอยถูกฟันอยู่ทั่วทั้งร่าง
เมอีฟเวลานี้นับว่าน่ากลัวที่สุด นางอัญเชิญวิญญาณเทพทวงแค้นออกมาก่อนจะเรียกวิญญาณแค้นจำนวนนับไม่ถ้วนจากซากศพที่อยู่โดยรอบเข้าจัดการเหล่าทหารที่คิดจะเข้ามาช่วยโถวปากุ้ยจนมือไม้ปั่นป่วน
พวกทหารปีศาจนั้นแข็งแกร่งมาก แต่เมื่อต้องเจอกับเหล่าวิญญาณบรรพกาล พวกมันก็ถูกพัวพันเอาไว้จนไม่อาจมาช่วยโถวปากุ้ย
ดังนั้นตอนนี้โถวปากุ้ยจึงต้องต่อสู้อยู่เพียงลำพัง
“ฮึ่ม…พวกสารเลว!”
โถวปากุ้ยคำรามแล้วคำรามอีกราวกับคนเสียสติ เพราะตอนนี้เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์กำลังโน้มเอียงไปทางฝ่ายกองทัพพันธมิตรมนุษย์ สภาพของตัวเขาในตอนนี้คล้ายกับธนูที่ยิงออกไปแล้ว โถวปากุ้ยถูกกลุ้มรุมจนไม่มีโอกาสหลบหนี
ในเวลานี้เอง ทัพพยัคฆ์ก็เริ่มกวาดผ่านสนามรบ ด้วยการสนับสนุนจากทัพอากาศของเซียวอวี๋ ทัพพยัคฆ์ก็สามารถพุ่งตะลุยไปในทัพศัตรูได้อย่างสะดวกดาย การพุ่งชนของทัพม้าจำนวนมากทำให้พวกทหารทมิฬถูกย่ำเป็นเศษเนื้อเลอะเลือน
เมื่อเห็นท่าไม่ค่อยดี ทหารทมิฬบางส่วนก็เริ่มหลบหนี
“โลกใบนี้ถูกลิขิตให้มอดไหม้และต้องถูกทำลาย!” โถวปากุ้ยคำราม ทันใดนั้นฝนเพลิงก้กระหน่ำตกลงมาบริเวรรอบกายของเขา
“ถอยก่อน!” เห็นพลังอันแข็งแกร่งที่แฝงมากับลูกไฟเหล่านี้ เซียวอวี๋ก็รีบบอกให้ทุกคนถอยออกห่าง ฝนเพลิงครั้งนี้รุนแรงกว่าฝนเพลิงทั่วไป หากมันตกใส่ผู้คน คนผู้นั้นจะกลับกลายเป็นเถ้าถ่านในเวลาไม่นาน
ฝนเพลิงห่านี้ กระทั่งเผ่าพันธุ์มังกรก็ยังถูกเผา หากฝนนี้กระทบลงบนร่าง บริเวณที่ถูกฝนนั้นก็จะเกิดเป็นหลุมบ่อขึ้นมา ซึ่งนี่แสดงให้เห็นความรุนแรงของฝนเพลิงห่านี้
ทุกคนต่างก็เคลื่อนกายถอยฉากออกมาทันที ดังนั้นจึงรับความเสียหายไปไม่มาก เมื่อเห็นโอกาสพลิกสถานการณ์ โถวปากุ้ยก็คำราม หอกในมือถูกแทงออกเป็นพัลวัน ก่อนจะพุ่งไปยังทิศทางหนึ่ง เขาต้องการจะหนี
แต่ผู้ใดจะยอมให้เขาหลบหนีไปเช่นนี้เล่า? มีเพียงโถวปากุ้ยตกตายที่นี่เท่านั้นจึงยุติสงครามได้ มังกรน้อยครางเสียงต่ำก่อนจะเป็นคนแรกที่เหวี่ยงทอนฟาฟาดเข้าใส่โถวปากุ้ย
ตอนนี้มังกรน้อยใช้ทอนฟาได้อย่างชำนาญแล้ว ไม่เหมือนช่วงแรกที่ใช้ออกติดๆขัดๆ ทอนฟาของมังกรน้อยเวลานี้นับว่ามีความแม่นยำสูงยิ่ง
เห็นทอนฟาฟาดเข้าใส่ โถวปากุ้ยรีบโยกตัวหลบ แต่มังกรน้อยก็ตามมาซ้ำจนฟาดโถวปากุ้ยร่วงหล่นจากกลางอากาศ
มังกรน้อยรีบพุ่งตามเข้าไปฟาดทอนฟาเข้าใส่อย่างดุดัน โถวปากุ้ยได้แต่กัดฟันยกหอกขึ้นต้าน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับดับโอกาสหลบหนีของเขาไป
ตอนนี้คนอื่นๆก็ตามมาถึง ทั้งหมดเข้ากลุ้มรุมโถวปากุ้ยอีกครั้ง การปะทะเกิดขึ้นอย่างดุเดือด พวกทหารทมิฬที่อยู่โดยรอบต่างก็โดนลูกหลงบางเจ็บล้มตายอย่างต่อเนื่อง….
ตอนที่ 586
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
เมื่อบรรลุขั้นที่หกได้ พลังของคนผู้นั้นก็เรียกได้ว่าอยู่เหนือสามัญสำนึก ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงคนกลุ่มนี้ แทบทั้งหมดต่างก็มีพลังอยู่ในขั้นที่หกระดับสุดยอด
ดังเช่นกรอม ขณะที่โถวปากุ้ยพยายามตีฝ่าไปทิศทางหนึ่ง กรอมก็จะใช้พยุหะดาบออกมา ทุกสิ่งที่อยู่รอบกายของเขาต่างก็ถูกตัดเฉือนไม่เว้นแม้กระทั่งอากาศ
แม้โถวปากุ้ยจะแข็งแกร่ง แต่เขาก็ไม่กล้ากระทบถูกพยุหะดาบของกรอม เพราะหากไปโดนเข้าล่ะก็ ต่อให้เขาจะเป็นอมตะ เขาก็คงถูกตัดเฉือนผิวหนังออกไป เมื่อเขาจะหนีไปอีกทาง พยุหะดาบก็ปรากฏขึ้นขัดขวางเขาไว้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นฝีมือของเซียวอวี๋
แน่นอนว่าเซียวอวี๋ไม่มีเหตุผลที่จะไม่เรียนรู้ทักษะพยุหะดาบเอาไว้ นี่เป็นทักษะที่ทรงพลังอย่างมาก นอกจากนั้น หลังๆมานี้เซียวอวี่ยังหันมายึดเส้นทางสายพละกำลัง ดังนั้นพยุหะที่เขาใช้ออกจึงทรงพลังยิ่งกว่าต้นฉบับเสียอีก พลังของมันถึงกับทำให้อ้าวปาปากอ้าตาค้าง
เวลานี้โถวปากุ้ยกลายเป็นสุนัขจนตรอก เขาพยายามจะตีฝ่าวงล้อมอยู่หลายหน หากแต่ก็ไม่มีครั้งใดที่สำเร็จ ดังนั้นยิ่งมาจึงยิ่งอับอาย จากอับอายค่อยๆกลายเป็นโทสะ
ฟุ่บ…..
อ้าวปาพลันคว้าโอกาสไว้ได้ครั้งหนึ่ง ดาบของเขากรีดผ่านบริเวณใต้ท้องน้อยของโถวปากุ้ยจนเลือดฉีดพุ่งออกมา
อย่างไรก็ตาม หลังจากเลือดพุ่งออกมาแล้ว มันก็ถูกเปลวเพลิงเผาจนระเหยไป
หลังได้รับบาดเจ็บ โดยปกติแล้วความสามารถในการต่อสู้ของคนผู้นั้นย่อมลดน้อยถอยลง ทว่าโถวปากุ้ยกลับดูยิ่งคลุ้มคลั่งกว่าเก่า ในแววตาของเขาตอนนี้สะท้อนเพียงความบ้าคลั่งอันไร้สิ้นสุด
เห็นฉากนี้ เซียวอวี๋ก็ฉุกคิด เขาพลันนึกถึงรูปปั้นที่พบเจอภายในรังของกลุ่มเคราแดงขึ้นมา ใช่แล้ว รูปลักษณ์ของโถวปากุ้ยในตอนนี้เหมือนรูปปั้นนั้นไม่มีผิด
โถวปากุ้ยเวลานี้ถูกเทพปีศาจเข้าครอบงำแล้ว
แม้จะไม่ใช่การยึดร่างโดยสมบูรณ์ พลังแค่เพียงส่วนหนึ่งที่ไหลเวียนในร่างของโถวปากุ้ยก็เพียงพอให้ความแข็งแกร่งของเขาพุ่งทะยานขึ้นอีกระดับ
ด้วยเหตุนี้ ความแข็งแกร่งของโถวปากุ้ยจึงพุ่งไปถึงระดับที่น่าพรั่นพรึง พลังขุมนี้ช่วยทำลายพันธนาการของขั้นที่หกและก้าวเข้าสู่ขั้นที่เจ็ด
เมื่อมาถึงขั้นที่เจ็ดได้ พลังที่ครอบครองก็เหนือล้ำผู้คนส่วนใหญ่ สถานการณ์เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เวลานี้การจะจัดการโถวปากุ้ยลงก็ไม่ง่ายแล้ว
หากแต่ในตอนนั้นเอง ร่างหมาป่าสีทองยักษ์ตัวหนึ่งก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า มันเงยหน้าส่งเสียงหอนครั้งหนึ่งก่อนจะพุ่งตรงมาหาโถวปากุ้ย
ภายในร่างหมาป่าสีทองมีเงาของคนผู้หนึ่งอยู่ คนผู้นั้นก็คือ โถวปาหง
“องค์จักรพรรดิ!” อ้าวปาโพล่งออกมา หน้าที่ของเขาคือปกป้องคุ้มครองโถวปาหง การออกมาต่อสู้ที่แนวหน้าโดยไม่ได้อยู่ข้างกายโถวปาหงก็นับว่าสุ่มเสี่ยงมากแล้ว ยามนี้เมื่อเห็นโถวปาหงกำลังพุ่งมายังสนามรบ อ้าวปาก็ร้อนใจขึ้นมา
ทว่าครู่ต่อมาเขาก็ฉุกใจคิด ในใจพลันสัมผัสได้ว่าการปรากฏตัวของโถวปาหงครั้งนี้ไม่ใช่ความตั้งใจของเจ้าตัว หากแต่เป็นการชักนำของวิญญาณบรรพกาล
“บุตรแห่งซีเลียสได้จุติลงมาเพื่อกำจัดมารร้ายแล้ว” เสียงกล่าวอันชืดชาของวิญญาณบรรพกาลดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ดังออกมาจากปากของโถวปาหง
พริบตาต่อมา เงาหมาป่าสีทองและโถวปาหงก็หลอมรวมกันก่อนจะปลดปล่อยกลิ่นอายแข็งแกร่งไปทั่วสนามรบ
ทั้งหมดต่างได้เห็นฉากที่โถวปาหงและเงาหมาป่าทองผสานรวมกัน กลายเป็นนักรบเทพหมาป่าทอง
เฮ เฮ……
ชาวเมฆาทั้งหมดพลันระเบิดเสียงโห่ร้อง การผสานพลังครั้งนี้มีความหมายมาก เพราะนี่แสดงให้เห็นว่าโถวปาหงคู่ควรตำแหน่งจักรพรรดิ จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเมฆา
ครั้งนี้ จักรพรรดิของพวกเขา ผู้กอบกู้ของพวกเขา กำลังจะลงมือกำจัดฆ่าโถวปากุ้ยที่ชั่วร้ายด้วยตนเอง!
อวู้ว……..
เสียงหอนอันทรงพลังดังออกจากปากของโถวปาหง จากนั้นเขาจึงพุ่งลงมาจากฟ้าด้วยปีกสีทองคู่หนึ่งบนแผ่นหลัง
ฟุ่บ…….
โถวปาหงตวัดสนับกรงเล็บอย่างรวดเร็วจนมองไม่ทัน เกิดเป็นแผลขึ้นเกลื่อนกล่นร่างของโถวปากุ้ย หลังจากเทพปีศาจเข้ายึดร่าง พลังของโถวปากุ้ยก็บรรลุถึงขั้นที่น่าพรั่นพรึง หากแต่พลังที่โถวปาหงแสดงออกมาเวลานี้ยังแข็งกร้าวยิ่งกว่า โถวปาหงจู่โจมต่อเนื่อง ขณะที่โถวปากุ้ยรับมือไม่ทัน
อ๊าก…….
โถวปากุ้ยกรีดร้องและเริ่มสวนกลับ กระนั้นกลับเปล่าประโยชน์ การโจมตีของเขาไม่อาจสัมผัสถูกร่างของโถวปาหงได้เลย นี่เป็นลงมือการโจมตีอยู่เพียงฝ่ายเดียว
เซียวอวี๋และคนอื่นๆต่างตกตะลึง เวลานี้พวกเขาได้แต่มองฉากที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า ไม่ได้เข้าไปช่วยโถวปาหงแต่อย่างใด โถวปาหงลงมือรวดเร็วเกินไป ร่างกายของเขาคล้ายเปลี่ยนเป็นพายุหอบหนึ่งที่โหมกระหน่ำตีโถวปากุ้ยจากรอบทิศทาง โถวปากุ้ยเวลานี้ เนื้อตัวปริแตกรอยเลือดเกลื่อนกล่นเต็มร่างแล้ว
โถวปากุ้ยกรีดร้องสุดเสียงก่อนที่ทุกอย่างจะตกอยู่ในความเงียบ สรรพเสียงหายไปราวกับกาลเวลาถูกหยุดลง
ทั่วทั้งสนามรบปกคลุมด้วยความเงียบ สายตาของทุกฝ่ายจับจ้องมาที่การต่อสู้ตัดสินของสงครามครั้งนี้
หลังจากหมอกจากการปะทะจางลง ร่างของโถวปาหงที่สวมใส่เกราะทองเต็มตัวก็ยืนตระหง่านอย่างสง่างาม ขณะที่โถวปากุ้ยถูกฉีกเป็นชิ้นๆ กระทั่งวิญญาณของเขาก็ยังถูกทำลายไม่มีเหลือ
มีเพียงชุดเกราะและหอกประจำกายของโถวปากุ้ยเท่านั้นที่ยังอยู่ในสภาพครบส่วน ขณะที่ร่างกายของโถวปากุ้ยนั้นกระจายเกลื่อนอยู่โดยรอบ….
เฮ…………….
ชาวเมฆาทั้งหมดส่งเสียงโห่ร้องดังกระหึ่ม จบแล้ว ทุกอย่างจบแล้ว จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเขาโถวปาหงได้ปกป้องพวกเขาและจบสงครามด้วยตนเอง
ทหารทมิฬและพวกปีสาจกรีดร้องอย่างหวาดผวา พวกมันเริ่มหันหลังวิ่งหนีทันที ไม่มีทีท่าจะสู้ต่อแล้ว ทัพพยัคฆ์ที่นำโดยอ๋องหู่จึงเปิดฉากไล่ตามตี พวกเขาต้องกำขุดรากถอนโคนเมล็ดพันธุ์แห่งความชั่วร้ายนี้ให้สิ้นซาก
เซียวอวี๋กวาดมองทั่วสนามรบก่อนจะระบายลมหายใจยาว สงครามครั้งนี้จบลงแล้ว ปัญหาทางด้านจักรวรรดิเมฆาสิ้นสุดลงแล้ว…..
ตอนที่ 587
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
กองทัพจักรวรรดิเมฆาใช้โอกาสนี้ไล่ตามตีไปนับร้อยกิโลเมตรจึงจะหยุดลง ศึกครั้งนี้ฝ่ายทหารทมิฬบาดเจ็บล้มตายไปนับไม่ถ้วน ขณะพวกกากเดนที่เหลือก็แยกย้ายกันหลบหนีไปทุกทิศ เมื่อไม่มีผู้นำคอยบัญชาการ ระบบสั่งการของทัพทมิฬก็เป็นอัมพาตไป กลายเป็นกลุ่มทหารเร่ร่อนไร้จุดหมาย
เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกมันก็ไม่มีกำลังก่อเภทภัยใด เพียงรอให้โถวปาหงส่งทหารออกกวาดล้าง
ใช้เวลาไม่นาน พวกทหารทมิฬก็ยอมจำนน
หลังจากทุกคนกลับมาถึงแนวกำแพง เสียงเชียร์ก็ดังกระหึ่มไปทั่วแนวกำแพง บรรยากาศเต็มไปด้วยความปิติยินดี
ครั้งนี้ ทุกคนทราบว่าสงครามในจักรวรรดิจบลงจริงๆแล้ว ส่วนที่เหลือคือการฟื้นฟู
จักรวรรดิสามารถยืนหยัดอย่างมั่นคง ในห้วงแห่งวิกฤต วิญญาณบรรพกาลได้ออกมาปกป้องจักรวรรดิไว้ นี่ยิ่งทำให้ชาวเมฆาปักใจเชื่อว่าจักรวรรดิเมฆาได้รับการปกปักษ์จากทวยเทพ
เซียวอวี๋พักในค่ายอยู่หลายวัน เวลาส่วนใหญ่ใช้พักผ่อนหย่อนใจไปกับหลินมู่เสวี่ย
เซียวอวี๋ตัดสินใจอย่างเแน่วแน่ว่ากลับไปคราวนี้เขาจะจัดงานแต่งงานกับหลินมู่เสวี่ย เวลาก็ผ่านมานานแล้ว สมควรจัดการเรื่องนี้ให้ดี มิเช่นนั้นอาจมีแมงหวี่แมงวันอย่างโถวปาเฟิงโผล่มาอีก
โถวปาหงไม่ได้มากล่าวคำขอบคุณกับเซียวอวี๋ แต่ในใจของเขาทราบว่าตนติดหนี้เซียวอวี๋อย่างลึกล้ำ
สิบกว่าวันผ่านพ้นไป เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ทางนี้เริ่มมั่นคง เซียวอวี๋ก็คิดว่าถึงเวลาที่เขาจะเดินทางกลับดินแดนไลอ้อนแล้ว
อย่างไรเสีย นี่ก็ผ่านมานานมากแล้ว ถึงเวลาต้องกลับไปดูแลจัดการดินแดนของตน
สามจ้าวมนตราเวลานี้กำลังพำนักอยู่ที่นั่น เขาอยากกลับไปดูว่าสามท่านนั้นตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว
ยิ่งกว่านั้น นิโคลัสเองก็กลับไปพักหนึ่งแล้ว ดูเหมือนสถานการณ์ทางด้านนั้นคงไม่ราบรื่นสักเท่าใด เวลานี้ทั้งทวีปกำลังถูกปกคลุมด้วยไฟสงคราม เซียวอวี๋จำต้องวางแผนเตรียมการไว้แต่เนิ่นๆ
ในเช้าของวันนี้ เซียวอวี๋ได้รับสารว่าเวลานี้ศาสนจักรได้เข้ายึดครองแว่นแคว้นหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ห่างจากรัฐเว่ยไปเพียงไม่กี่ร้อยกิโลเมตร พวกเขาอาจยกกำลังบุกโจมตีดินแดนไลอ้อนได้ทุกเวลา
หลังอ่านจบ เซียวอวี๋ก็พลันขมวดคิ้วมุ่น ศาสนจักรคิดไวทำไว ดูท่าพวกมันคิดยึดดินแดนไลอ้อนไว้ในมือจริงๆ การรุกตีครานี้ช่างรวดเร็วนัก
“เป็นอย่างไร เซียวอวี๋? ต้องการคนไปช่วยหรือไม่?” หลังได้ฟังสารนั้น โถวปาหงก็ถามขึ้นเบาๆ
เซียวอวี๋ส่ายหน้าก่อนจะกล่าวว่า “แม้โถวปากุ้ยจะตายแล้ว หากแต่ภัยซ่อนเร้นในจักรวรรดิยังคงอยู่ เจ้าต้องอยู่คุมสถานการณ์ที่นี่ ทั่วทั้งทวีปกำลังจะเกิดความวุ่นวาย ถึงเวลานั้น ข้าคงต้องขอความช่วยเหลือจากเจ้า”
เซียวอวี๋ทราบว่าในอนาคตอันใกล้ ทั่วทั้งทวีปจะเต็มไปด้วยไฟสงคราม เมื่อเวลานั้นมาถึง จักรวรรดิเมฆาย่อมไม่อาจยืนดูอยู่นอกวงได้
โถวปาหงพยักหน้ารับ “ตกลง ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าต้องการให้ช่วยเมื่อใดก็บอกข้าแล้วกัน”
เซียวอวี๋พยักหน้า เขาเผยยิ้มก่อนจะกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล ข้าไม่เกรงใจเจ้าแน่”
หลังจากนั้น เซียวอวี๋ก็เริ่มนำผู้คนออกเดินทางกลับ
โถวปาหงนำเหล่าทหารคุ้มครองส่งนับร้อยกิโลเมตร และชาวเมฆายังได้มอบดอกกล้วยไม้คังฮัวอันเป็นเอกลักษณ์ของทุ่งหญ้าให้กับพวกเซียวอวี๋เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อพวกเขา
ในใจพวกเขาตระหนักดี หากปราศจากเซียวอวี๋และกองทัพของเขา สถานการณ์ของจักรวรรดิเมฆาคงอยู่ปากเหวจริงๆ
หนึ่งเดือนต่อมา เซียวอวี๋ก็กลับมาถึงเมืองไลอ้อน เซียวอวี๋ได้รับแจ้งว่าสามจ้าวมนตราได้จากไปแล้ว ก่อนจากไป พวกเขายังทิ้งจดหมายเอาไว้ เป็นจดหมายขอบคุณ
เซียวอวี๋ขบริมฝีปาก ไฉนไม่อยู่ฝึกที่นี่ต่อ มันคงจะดีกว่านี้หากเปลี่ยนคำขอบคุณเป็นม้วนคัมภีร์เวทหรือของล้ำค่า
หลังจากเซียวอวี่เข้ามาในเมือง เขาก็ไม่ได้พักผ่อน หากแต่เดินทางไปหารือกับมู่ฮัว หลงฮุ่ย จางมู่เหอและคนอื่นๆเพื่อที่จะทำความเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบัน
และจากคำรายงานของพวกเขา เซียวอวี๋ก็พบว่าสถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คิดมาก ตอนนี้กองทัพของศาสนจักรมาจ่อรอที่หน้าประตูบ้านแล้ว ขอเพียงตีชิงมาอีกแคว้นเดียว พวกเขาก็จะจ่อประชิดพื้นที่บริเวณรัฐเว่ยเดิม
ตอนนี้ หลังจากถูกเซียวอวี๋ปราบพิชิต พื้นที่รัฐเว่ยเดิมก็กำลังพัฒนาไปในทิศทางที่ดี กำลังจะกลายเป็นหัวเมืองอันรุ่งเรือง หากการพัฒนาดำเนินต่อไปเช่นนี้ ทั่วทั้งดินแดนไลอ้อนก้จะเป็นแผ่นดินอันศิวิไลซ์
อย่างไรก็ตาม ศาสนจักรไม่มอบโอกาสนั้นต่อเซียวอวี๋
เดิมที เซียวอวี๋กำลังคิดจะจัดงานแต่งงาน หากแต่ตอนนี้จำต้องเลื่อนออกไปก่อนแล้ว
“มารดามันเถอะ ศาสนจักรนี่ต้องการจะเป็นศัตรูกับลูกพี่มากนักใช่ไหม” เซียวอวี๋คิดอย่างขื่นขม ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่น สงครามก็สงครามเถอะ
หลังจากไปร่วมศึกใหญ่ที่จักรวรรดิเมฆามาสองครา กองทัพของดินแดนไลอ้อนก็เปลี่ยนแปลงไปมาก
อีกทั้งเวลานี้ ค่าผลงานของเซียวอวี๋เพียงพอที่จะเลื่อนระดับฐานทัพจากสองเป็นสามแล้ว รถถังและปืนใหญ่ของฐานทัพมนุษย์ก็ใกล้จะได้เผยโฉมแล้ว
คิดถึงเรื่องนี้ เซียวอวี๋ก็ตื่นเต้นขึ้นมา ครั้งนี้เขาจะให้ศาสนจักรได้ลิ้มรสชาติของยูนิตสุดแกร่ง
ด้วยเหตุนี้ หลังจากการประชุม เซียวอวี๋ก็รีบบึ่งไปยังฐานทัพมนุษย์และเลือกอัพเกรดเป็นระดับสามทันที
กระบวนการนี้ใช้เวลาค่อนข้างนาน ดังนั้นเซียวอวี๋จึงเดินทางไปหาอาร์ทัสเพื่อดูว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ และเมื่อเขาไปถึงก็ต้องตกใจ เพราะเวลานี้อาร์ทัสอยู่ในขั้นที่หกแล้ว ไม่ได้ล้าหลังฮีโร่คนอื่นๆเลย
เซียวอวี๋ประหลาดใจยิ่ง เรื่องนี้เหนือความคาดหมายของเขามาก กองทัพที่อาร์ทัสบัญชาการแทบไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเซียวอวี๋เลย พวกเขามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?
เซียวอวี๋เอ่ยปากถาม และอาร์ทัสก็เล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมา อาร์ทัสบอกว่า พวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังแห่งความตายที่ปกคลุมอยู่บนท้องฟ้า พวกเขารับเอาพลังจากบนนั้นมา และนั่นก็ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
เซียวอวี๋นิ่งตะลึง เขาเข้าใจแล้วว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร
แน็กแรม
มารดามันเถอะ ที่แท้เหตุผลที่นครลอยฟ้าแห่งนี้ลอยไปทางเทือกเขาอัลคาเกนก็เพราะทิศทางนั้นเป็นที่ตั้งของฐานทัพอันเดดนี่เอง
จะว่าไปแล้ว แน็กแรมและอาร์ทัสก็มีความเกี่ยวพันกันอย่างลึกล้ำ ไม่แปลกที่พวกเขาจะพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
เซียวอวี๋นิ่งเงียบ เขาไม่รู้ว่าเวลานี้ควรกล่าวอะไรดี เดิมทีเขากังวลว่าอาร์ทัสและกองทัพของเขาจะแข็งแกร่งจนสร้างความวุ่ยวายขึ้นในอนาคต ทว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้นั้นเหนือความคาดหมายของเขาไปไกลโข
ดูเหมือนว่าจะมีฝ่ามือในเงามืดคอยควบคุมความเป็นไปของโชคชะตาอยู่
เซียวอวี๋ส่ายศีรษะทอดถอนใจ สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามโชคชะตา บางที นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าชะตากรรม….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น