World of Warcraft ราชันต่างภพ 574-580

ตอนที่ 574

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


คฑูนที่กำลังเดือดดาลสุดขีดแน่นอนว่าน่ากลัวยิ่ง หนวดแต่ละเส้นของมันมีพลังโจมตีเทียบได้กับตัวตนขั้นที่หกระดับสุดยอด เวลานี้มีเพียงแต่อ้าวปาที่สามารถประจันหน้ากับหนวดเหล่านั้นได้โดยตรง ขณะที่คนอื่นๆต้องทุ่มสุดตัวเพื่อถ่วงเวลาให้กับเฟอร์กูสัน


หนวดรยางค์เหล่านั้นคล้ายรับรู้ได้ถึงอันตราย พวกมันลงมือโจมตีไปทางเฟอร์กูสันอย่างหนัก กระนั้นกลับมีเหล่านักรบและนักผจญภัยคั่นอยู่ตรงกลาง


ในมือของเฟอร์กูสันข้างหนึ่งถือม้วนคัมภีร์ของเวทต้องห้าม ขณะที่อีกมือกำเข็มทิศประหลาดเอาไว้แน่น เจ้าสิ่งนี้สามารถช่วยเพิ่มความเร็วในการร่าย การเตรียมเวทต้องห้ามของเฟอร์กูสันจึงเร็วกว่าธีโอดอร์เป็นเท่าตัว เมื่อคำร่ายสุดท้ายถูกร่ายออก รอยแยกมิติขนาดใหญ่ก็พลันปรากฏขึ้นกลางอากาศเหนือศีรษะของทั้งหมด ทุกคนต่างก็สัมผัสได้ถึงแรงดูดอย่างรุนแรงจากรอยแยกมิตินั้นราวกับว่ามันสามารถดูดกลืนได้ทุกสรรพสิ่ง


อย่างไรก็ตาม เมื่อมีเฟอร์กุสันคอยควบคุมอยู่ย่อมไม่มีคนถูกดูดเข้าไป เฟอร์กุสันค่อยๆควบคุมรอยแยกมิติเคลื่อนตัวไปทางคฑูน


คฑูนย่อมสัมผัสได้ถึงอำนาจของรอยแยกมิตินี้ มันส่งเสียงคำรามก่อนที่หนวดรยางค์ทั้งหมดจะโหมโจมตีใส่เฟอร์กูสัน


เห็นหนวดจำนวนมากกำลังพุ่งเข้ามาเซียวอวี๋ก็พุ่งเข้าสู่สนามรบ ในมือกำดาบคาริมดอร์แน่นก่อนตวัดฟันใส่หนวดรยางค์ที่อยู่ในระยะโจมตี


“ให้ตายเถอะ นี่เราแข็งแกร่งขนาดนี้เลย?” เซียวอวี๋ประหลาดใจกับความแข็งแกร่งของตน เขาสัมผัสได้ถึงขุมพลังอันแข็งแกร่งที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่าง


แม้จะเพิ่งบรรลุขั้นที่หกได้ไม่นาน ทว่าเซียวอวี๋นั้นมีทักษะให้ใช้สอยมากมาย รวมทัั้งยังเพิ่มแต้มทักษะลงไปจนระดับสูงสุด เทียบกันแล้ว ทักษะบางทักษะของเขาตอนนี้ยังทรงพลังกว่าเจ้าของแท้จริงเสียอีก


ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ….


เซียวอวี๋สะบัดดาบฟันรยางค์ที่พุ่งเข้ามาไม่หยุดหย่อน ในเวลาเดียวกันนั้น รอยแยกมิติของเฟอร์กูสันก็ลอยไปถึงเหนือร่างของคฑูนแล้ว รอยแยกมิติเริ่มขยายกว้างพลางค่อยๆดึงดูดคฑูนเข้าหา


โฮก……


คฑูนส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด รอยแยกมิติเคลื่อนตัวเข้าคลอบคลุมพร้อมปล่อยแรงดึงดูดอย่างหนักหน่วงจนร่างของมันเริ่มกระตุก คล้ายกับต้นไม้ที่หยัดยืนต้านพายุ


เมื่อรอยแยกมิติหายไป ทั้้งหมดก็พบว่าร่างกายของคฑูนหายไปเกือบครึ่ง ขณะที่อีกครึ่งที่เหลือเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะ


“เจ้านี่ไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม มิเช่นนั้นเวทของข้าคงไม่ได้ผล เซียวอวี๋ รีบหาคนจัดการร่างอีกครึ่งที่เหลือก่อนที่มันจะฟื้นฟู” หลังปล่อยเวทออกไป เฟอร์กูสันก็หน้าขาวซีดขณะกล่าวกับเซียวอวี๋ด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า


เซียวอวี๋พยักหน้าและเรียกคาเอล แอนโทนีดาส หลินมู่เสวี่ยและผู้ใช้มนตราที่แข็งแกร่งอีกหลายคนจากกลุ่มนิโคลัสมาก่อนจะให้พวกเขาโจมตีไปยังตำแหน่งที่เฟอร์กูสันปูทางไว้บนร่างของคฑูน


“สหายชัคคุน ที่เหลือคงต้องฝากท่านแล้ว” เฟอร์กูสันสูดลมหายใจก่อนจะหันไปกล่าวกับชัคคุน


ชัคคุนยิ้มก่อนจะนำม้วนคัมภีร์เวทออกมาพลางกล่าวว่า “วางใจเถอะ ตอนนี้มันบาดเจ็บหนัก ข้าจะใช้คัมภีร์เวทยุติเรื่องนี้เอง”


ได้เห็นม้วนคัมภีร์ในมือชัคคุนเฟอร์กูสันก็ผงะก่อนจะเอ่ยปากถาม “ท่านมีมันอยู่จริงๆ? เช่นนี้ข้าก็วางใจแล้ว ขอเพียงใช้ออก ต่อให้เป็นทวยเทพก็คงต้องจบสิ้นในมือท่านแล้ว”


ได้ยินเฟอร์กูสันกล่าวเช่นนั้น เซียวอวี๋ที่ฟังอยู่ด้านข้างก็ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “มันคือเวทอะไรหรือ?”


ชัคคุนเผยยิ้มเล็กน้อย “อีกเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง ตอนนี้ช่วยข้าตรึงมันไว้ก่อน ข้าจะเริ่มร่ายเวทแล้ว”


เซียวอวี๋พยักหน้า “ปล่อยเป็นหน้าที่ข้าเอง”


หลังรับเวทต้องห้ามของเฟอร์กูสันไป ความแข็งแกร่งของคฑูนก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ทรงพลังดั่งก่อนหน้า แม้ตัวมันจะเป็นเทพยุคโบราณ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะอยู่ยงคงกระพัน กระทั่งซาแกลาสที่อยู่ในลำดับชั้นสูงกว่ายังตกตายเป็น


แม้จะไม่ได้ตายไปอย่างสมบูรณ์ แต่กว่ามันจะหวนคืนก็ยังต้อใช้เวลาอย่างยาวนาน ในกรณีของคฑูน บางทีมันอาจจะฟื้นคืนชีพในอีกหนึ่งหมื่นปีถัดมา แต่นั่นก็เป็นเรื่องของชนรุ่นหลัง ไม่เกี่ยวกับเซียวอวี๋แล้ว


คฑูนพยายามตอบโต้ อาการบาดเจ็บที่ได้รับจากเวทของเฟอร์กูสันนั้นสาหัสยิ่ง มาตอนนี้บาดแผลนั้นยังถูกย้ำโจมตีจากฝีมือของคาเอลอีก สถานการณ์ของมันนับว่าตกเป็นรอง


คฑูนต้องการเวลาพักหนึ่งในการฟื้นฟูร่างกายกลับมา


ศึกครั้งนี้เรียกได้ว่าต้องพึ่งพาพลังของจ้าวมนตราทั้งสามอย่างแท้จริง บทบาทของคนอื่นๆนั้นแทบจะไม่มี พวกเขาทำได้เพียงพยายามซื้อเวลาให้กับจ้าวมนตราทั้งสาม


เซียวอวี๋นึกขึ้นในใจ โชคดีที่มีจ้าวมนตราทั้งสามอยู่ด้วย มิเช่นนั้น อาศัพเพียงพลังของพวกเขาเองคงไม่ต่างจากหาที่ตาย แม้จะมียอดฝีมือขั้นที่หกอยู่ที่นี่หลายคนก็คงไม่ต่างจากเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง


คฑูนแข็งแกร่งเกินไป มีเพียงเวทต้องห้ามเท่านั้นที่สามารถสร้างบาดแผลสาหัสแก่มัน


ชัคคุนใช้เวลาร่ายเวทนานกว่าธีโอดอร์และเฟอร์กูสัน เดาได้ว่าเวทที่กำลังจะใช้ออกนี้มีอานุภาพรุนแรงยิ่งกว่าเวทต้องห้ามก่อนหน้า


ตอนนี้คฑูนบาดเจ็บหนัก หากรับเวทต้องห้ามที่กำลังเร่ายนี้เข้าไปคาดว่ามันต้องตายอย่างแน่นอน


ศึกนี้ไม่ยุติธรรมตั้งแต่แรกเริ่ม การคงอยู่ของจ้าวมนตราทั้งสามเรียกได้ว่าเป็นการโกงกันและทำให้การพิชิตวิหารอัลคีราฟสะดวกง่ายขึ้นมาก


ซึ่งความจริง หากอาศัยเพียงกำลังของเซียวอวี๋และคนอื่นๆ แม้สุดท้ายอาจกำจัดคฑูนลงได้ แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างหนัก กรพะทั่งอาจต้องจ่ายด้วยชีวิตของทั้งหมด


ในที่สุดชัคคุนก็ร่ายเวทเสร็จสิ้น ท้องฟ้าเวลานี้มีถูกปกคลุมไปด้วยเมฆสีแดงที่ปลดปล่อยกลิ่นอายสุดสะพรึงออกมาไม่หยุดจนทุกคนที่อยู่ที่นั่นร่างกายสั่นเทา


ซึ่งเป็นเช่นนี้ก็ถูกแล้ว เพราะเวทบทนี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ หากแต่เป็นพลังจากสวรรค์ที่ต้องการจะทำลายล้างสรรพสิ่ง


สะพรึง นั่นเป็นความรู้สึกที่ทั้งหมดสัมผัสได้ในตอนนี้ ราวกับลูกเจี๊ยบที่กำลังถูกพญาเหยี่ยวจับจ้องมองมา เป็นความรู้สึกที่ไร้กำลังจะขัดขืนอย่างสิ้นเชิง


ครืน………..


ภายในกลุ่มเมฆแดงเริ่มปรากฏสายฟ้าและเริ่มก่อตัวเป็นพายุ ในพายุมีเปลวเพลิงผสมอยู่ ใจกลางพายุมีหลุมดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา


ตอนที่หลุมดำค่อยเปิดออก พายุก็อยู่เหนือร่างของคฑูนแล้ว


ดวงตายักษ์ของคฑูนมองไปยังพายุสีแดงฉานก่อนจะกรีดร้องอย่างหวาดกลัว ทว่ามาถึงตอนนี้นั้นสายเกินกว่าจะทำสิ่งใดแล้ว เสาเพลิงยักษ์ร่วงหล่นจากฟ้าและตกลงบนร่างของคฑูน


นี่คล้ายกับลำแสงลงทัณฑ์จากสวรรค์


ตูม……..


ทุกคนที่อยู่ที่นั่นพลันหลับตาลงอย่างไม่รู้ตัว นั่นเพราะพลังทำลายล้างที่เกิดขึ้นไม่สามารถใช้สายตาจ้องมองได้โดยตรง


นี่ราวกับพวกเขาอาศัยอยู่ในความมืด ก่อนที่จู่ๆปรากฏแสงสว่างสาดส่องที่เบื้องหน้า


หากพวกเขาอยู่ใกล้เสาเพลิงนี้อีกเพียงไม่กี่มตร พวกเขาต้องถูกแผดเผาเป็นเถ้าถ่านอย่างไม่ต้องสงสัย


เสาเพลิงดำรงอยู่เกือบหนึ่งนาทีก่อนจะหายไปพร้อมเมฆสีแดงอย่างไร้ร่องรอยราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน ทุกคนพลันรู้สึกราวกับภัยพิบัติในวันสิ้นโลกยุติลงแล้ว


เมื่อทุกคนค่อยเปิดตามองไปยังทิศทางที่คฑูนอยู่ พวกเขาก็พบว่าที่นั่นหลงเหลือเพียงหลุมยักษ์ที่มองไม่เห็นความลึก ไม่มีร่างที่เต็มไปด้วยหนวดยุบยับอยู่แล้ว


บรรยากาศพลันตกอยู่ในความเงียบ


“มารดามันเถอะ! เวทนั่นทำลายล้างจนสิ้น ร่างที่ล้ำค่าของมันก็ด้วย!” เซียวอวี๋รีบวิ่งไปยังหลุมก่อนจะชะโงกคอมองลงไปก่อนจะเห็นเพียงความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด


“ไม่ ต้องไม่ใช่แบบนี้สิ….สิ้นหวังแล้ว” เซียวอวี๋หดหู่มาก ขณะที่คนอื่นๆยังตกตะลึงกับอานุภาพของเวทมนตร์ต้องห้ามกันอยู่


นี่ก็คือพลังของเวทต้องห้าม ในที่สุดพวกเขาก็ทราบแล้วว่าเหตุใดจ้าวมนตราทั้งสามจึงเป็นตัวตนที่อยู่บนจุดสูงสุดของทวีป หากเวทเช่นนี้ปรากฏขึ้นในเมือง เมืองนั้นคงไม่แคล้วระเหิดหายไปสิ้น


พลังของจ้าวมนตราออกจะน่ากลัวไปแล้ว…..

 

 

 


ตอนที่ 575

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


“กรอม หาเชือกมาไต่ลงไป ดูว่าด้านล่างมีศพของมันหรือไม่ ร่างของมันล้ำค่า ต้องกู้ขึ้นมา” เซียวอวี๋เรียกกรอมมาสั่งการ


กรอมกลอกตามองบน หน้าที่กินแรงเช่นนี้มักตกใส่หัวเขาอยู่ร่ำไป


แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก กรอมนำเชือกหลายเส้นออกมาจากแหวนมิติก่อนจะมัดต่อกันทีละเส้น จากนั้นจึงเหวี่ยงเชือกโรยตัวลงไป ขณะที่ปลายเชือกด้านบนมีคาร์นคอยจับไว้อยู่


“ถึงก้นหลุมหรือยัง?” เซียวอวี่ตะโกนถาม


“ยังขอรับ”


“ถึงหรือยัง?” หลังจากครู่หนึ่งเซียวอวี๋ก็ถามอีก


“ยังขอรับ”


“ให้ตายเถอะ ต่อเชือกให้ยาวกว่านี้” เซียวอวี๋หันไปสั่งผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลัง คราวนี้เซียวอวี๋สั่งให้หาเชือกเท่าที่จะหาได้มาต่อกันจนยาวกว่าเดิมหลายเท่า


“ถึงหรือยัง? เชือกข้างบนใช้หมดแล้ว” เซียวอวี๋ชะโงกหน้าตะโกนลงไป


“ด้านล่างไม่มีสิ่งใดอยู่ขอรับ” เสียงกรอมตะโกนขึ้นมา


“ท่านย่ามัน หายไปในอากาศแบบนี้มันไร้เหตุผลสิ้นดี! แล้วที่ลงทุนลงแรงไปเล่า?” เซียวอวี๋โวยวายก่อนจะให้คาร์นดึงกรอมขึ้นมา


“ทุกคน ต้องขออภัยด้วย เวทของท่านชัคคุนได้ทำลายร่างของคฑูนจนไม่หลงเหลือ นั่นเท่ากับว่าไม่มีสมบัติให้แบ่งแล้ว แต่พวกเราจะค้นให้ทั่ววิหาร พวกเซิกมักชอบสะสมผลึกอัญมณี ได้แต่หวังว่าจะหาเจอ พวกเราจะต้องไม่กลับไปมือเปล่า!” เซียวอวี๋กล่าวกับเหล่านักผจญภัย


ได้ยินคำกล่าวของเซียวอวี๋ ทุกคนก็รู้สึกผิดหวัง อย่างไรเสีย ชิ้นส่วนจากร่างของเทพโบราณย่อมต้องขายได้กำไรสูงเทียมฟ้า


“ถึงกระนั้น วีรกรรมอันกล้าหาญของพวกเจ้าในครั้งนี้จะถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ชนรุ่นหลังจะแซ่ซ้องสรรเสริญไปเป็นร้อยปีพันปี ยามเมื่อแก่เฒ่า พวกเจ้าก็สามารถนำเรื่องนี้บอกเล่าให้ลูกหลานฟังว่าครั้งหนึ่งพวกเจ้าเคยเข้าร่วมศึกสังหารเทพโบราณคฑูน ว่าพวกเจ้าได้เห็นความยิ่งใหญ่ของเวทมนตร์ต้องห้ามด้วยสองตาตนเอง ว่าพวกเจ้าเคยปกป้องทวีปแห่งนี้! ทุกคนจะได้รับเข็มกลัดเป็นสัญลักษณ์ในการสังหารคฑูน เข็มกลัดนี้ยังทรงคุณค่ากว่าเข็มกลัดจากการสังหารมังกร นี่เป็นเกียรติที่มีเพียงพวกเจ้าเท่านั้นที่ได้รับ เป็นกลุ่มแรกและกลุ่มเดียวที่จะได้!”


เซียวอวี๋กล่าวด้วยเสียงอันดังจนทุกคนรู้สึกพลุ่งพล่าน ใช่แล้ว เพียงได้เข้าร่วมศึกนี้ก็นับว่าได้รับรางวัลที่สูงค่าที่สุดในชีวิตแล้ว!


เข็มกลัดจากการสังหารคฑูนนี้จะเป็นสิ่งแสดงความรุ่งโรจน์ไปหลายช่วงอายุคน


“เข็มกลัดคฑูนนี้จะถูกผลิตในดินแดนไลอ้อน จะใช้กรรมวิธีพิเศษเพื่อไม่ให้สามารถลอกเลียนแบบ ทุกคนที่นี่สามารถไปรับเข็มกลัดได้โดยไม่ต้องจ่ายแม้แต่เหรียญเดียว!”


เซียวอวี๋แสดงความใจกว้างเพื่อซื้อใจมวลชน


เฮ……..


เหล่านักผจญภัยต่างชูกำปั้นโห่ร้องด้วยความยินดี


“ทุกคน! เวลานี้ภัยพิบัติที่คุกคามทวีปของเรายังคงอยู่ ข้าจะเดินทางไปยังดินแดนทางตอนเหนือของจักรวรรดิเมฆาเพื่อเผชิญหน้ากับศัตรูของมนุษยชาติ พวกปีศาจชั่วร้าย ตอนนี้พวกมันได้รุกรานไปทั่วทวีป ในฐานะนักรบของทวีปนี้แล้ว พวกเราต้องสู้เพื่อปกป้องทวีป! ไม่ว่าพวกเจ้าจะสังกัดอยู่ฝ่ายใด ตราบที่เจ้าสู้กับพวกปีศาจร้าย พวกเจ้าก็คือวีรบุรุษ! ข้าหวังว่าภัยพิบัตินี้จะจบลงโดยเร็ว ถึงเวลาที่จะแสดงความกล้าหาญของพวกเจ้าแล้ว!”


เซียวอวี๋กล่าวใบหน้าเคร่งขรึมจริงจัง นั่นทำให้เขาดูมีสง่าราศีดุจราชันผู้ยิ่งใหญ่


ทุกคนที่ได้ฟังต่างก็หันไปซุบซิบพูดคุยกัน เรื่องการรุกรานนี้พวกเขาย่อมเคยได้ยินมาบ้าง เวลานี้ดินแดนทางตอนใต้ได้ถูกกองทัพของกูดาลยึดครองไปแล้ว มีผู้คนนับไม่ถ้วนถูกสังหารจนโลหิตไหลเป็นท้องธาร


ในบางแห่งแทบจะไม่หลงเหลือมนุษย์อาศัยอยู่ และในเวลาเช่นนี้เป็นเวลาที่พวกเขาจะต้องลุกขึ้นสู้


คำกล่าวของเซียวอวี๋ได้ปลุกจิตสำนึกในการปกป้องทวีปขึ้นมา


“เอาล่ะ ข้าขอกล่าวเอาไว้แต่เพียงเท่านี้ พวกเจ้าสามารถแยกย้ายไปค้นหาสมบัติ ส่วนข้าจะออกเดินทางไปจัดการกับพวกปีศาจ ตราบที่พวกเราร่วมมือกัน เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ของเราจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก!”


“จิตใจอันไร้ละโมบของเขาช่างน่ายกย่องนัก หลังกำจัดเจ้าปีศาจดวงตานั่นแล้วกลับไม่คิดตามหาสมบัติต่อ ทว่ากลับเลือกที่จะเดินทางเข้าสู่สนามรบอีกครั้ง เขาช่างคู่ควรกับคำว่าวีรบุรุษผู้กล้าจริงๆ” หลายคนได้แต่ถอนหายใจชมเชย


สามจ้าวมนตราย่อมต้องร่วมทางไปกับเซียวอวี๋ แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือนิโคลัสก็ไม่ได้อยู่ค้นหาสมบัติต่อ หากแต่เลือกจะเดินทางไปพร้อมเซียวอวี๋


ที่ด้านนอกวิหารอัลคีราฟ คล้ายกับรับรู้ได้ถึงการตายของคฑูน พวกเซิกทั้งหมดต่างก็แยกย้ายหลบหนีอย่างลนลาน ไม่หลงเหลือจิตต่อสู้อีก


ด้วยเหตุนี้ กองทัพมนุษย์จึงสามารถกวาดล้างพวกเซิกและค้นทั่ววิหารได้อย่างราบรื่น


ยามเมื่อมาถึงค่ายด่านหน้าของจักรวรรดิเมฆา เซียวอวี๋ก็ให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักเพื่อเตรียมที่จะเคลื่อนกำลังไปช่วยโถวปาหงในวันพรุ่ง


ในช่วงพักผ่อน เซียวอวี๋ได้ไปหาสามจ้าวมนตราและพบว่าพวกเขาต่างก็อารมณ์ดี เพียงแต่ผลจากการใช้เวทต้องห้ามทำให้พวกเขาอ่อนเพลียอยู่บ้าง


“ผู้อาวุโสทั้งสาม พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปช่วยเหลือโถวปาหง พวกท่านไม่จำเป็นต้องร่วมทางให้ลำบากอีก พวกท่านสามารถกลับไปยังดินแดนไลอ้อนเพื่อพักฟื้น พวกท่านสามารถใช้วัตถุดิบที่ต้องการได้เลย ถือเป็นสิ่งตอบแทนความเหนื่อยยากของพวกท่าน” เซียวอวี๋กล่าวกับสามจ้าวมนตราอย่างจริงใจ


“ไร้สาระ การปกป้องทวีปแห่งนี้ถือเป็นหน้าที่ของพวกข้าอยู่แล้ว เมื่อพวกข้าลงมือยังจะต้องการคำขอบคุณอันใด?” ธีโอดอร์กลอกตาอย่างรำคาญ


เซียวอวี๋ยิ้มกล่าว “ถูกแล้ว ถูกแล้ว ผู้อาวุโสทั้งสามคือผู้พิทักษ์แห่งทวีป”


“วาจาไร้สาระให้พอแค่นี้ อย่าได้เล่นลิ้นและส่งดวงตาของคฑูนมาซะ ของสิ่งนี้ล้ำค่าทว่าไม่มีประโยชน์สำหรับเจ้า แต่สำหรับกับพวกเราแล้วสามารถนำมันไปหลอมสร้างอุปกรณ์เวทมนตร์ที่แข็งแกร่ง” ธีโดอร์กล่าว


“ดวงตาของคฑูน?” ได้ยินวาจาของธีโอดอร์ เซียวอวี๋ก็แสร้งแสดงสีหน้าประหลาดใจสุดขีด


“เสแสร้งเข้าไป คิดว่าพวกเราไม่ล่วงรู้ความคิดของเจ้าหรือ? คฑูนเป็นตัวตนระดับใด? นั่นเป็นถึงเทพจากยุคโบราณ อาศัยเพียงเวทต้องห้ามก็สามารถลบล้างมันได้หมดจรดหรือ? ฮึ่ม ส่วนดวงตาขนาดยักษ์นั่นก็คือที่กักเก็บพลังทั้งหมดของมัน ไม่ต้องกล่าวถึงเพียงเวทต้องห้าม ต่อให้เป็นพลังอำนาจจากสวรรค์ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสังหารไม่เหลือซาก” ธีโอดอร์ถลึงตากล่าว


“น่าตายนัก ไฉนพวกท่านดูจะรู้ไปทุกเรื่อง ของเล็กน้อยเช่นนี้มอบให้ข้าไม่ได้หรือไร?” เซียวอวี๋หน้าตาบูดบึ้ง


เหตุผลที่เขาส่งกรอมลงไปก็เพื่อเก็บกู้ร่างของคฑูน ในเวลานั้นทุกคนต่างก็ยังสะเทือนขวัญกับเวทต้องห้ามอยู่ไม่หาย พวกเขาย่อมไม่ทันฉุกคิดว่าคฑูนจะทิ้งซากร่างเอาไว้


เซียวอวี๋จึงฉวยโอกาสนั้นให้กรอมลอบเก็บร่างของคฑูนเข้าแหวนมิติ และแสร้งตอบว่าไม่พบเจอสิ่งใดเพื่อกลบข้อสงสัย


อย่างไรก็ตาม คิดไม่ถึงว่าจ้าวมนตราทั้งสามนั้นราวกับพยาธิในลำไส้ของเขา แผนการที่คิดฮุบสมบัติไว้คนเดียวจึงสลายเป็นอากาศธาตุ


แต่เรื่องจำพวกตัดเย็บชุดวิวาห์ให้กับผู้อื่น แน่นอนว่าเซียวอวี๋ย่อมไม่มีนิสัยเช่นนั้น


“เอาล่ะ ครั้งนี้เจ้าก็ได้ของกลับไปมากมายแล้ว แต่ของสิ่งนี้มีความสำคัญยิ่ง อย่าเก็บไว้เลย ไม่เช่นนั้นคงเกิดเรื่องทำนองว่าหยกไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก” ธีโอดอร์แบมือไปทางเซียวอวี๋เป็นนัยให้รีบส่งของมาซะ


“น่าตายนัก พวกท่านนี่เจ้าเล่ห์จริงๆ เพียงร่ายเวทไม่กี่บทเท่านั้น แต่เอาเถอะ อย่างไรเสียก็เป็นพวกท่านที่สังหารมัน ข้ามีหรือจะไม่มอบให้ ขอข้าตรวจดูก่อนนะ อืม….”


แม้เซียวอวี๋จะมีท่าทีลากถ่วง แต่สุดท้ายก็นำดวงตาของคฑูนซึ่งมีขนาดเท่ากำปั้นจากแหวนมิติส่งให้กับธีโอดอร์


หลังได้รับมา ธีโอดอร์ก็สัมผัสได้ถึงพลังวอันแข็งแกร่งจากของที่อยู่บนฝ่ามือ เขาพยักหน้าก่อนจะกล่าวว่า “เมื่อมีของสิ่งนี้อยู่ ภัยพิบัติคงจบลงโดยเร็ว”


“ใช่ ผู้ที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังคงรับมือไม่ง่ายนัก แต่เมื่อมีดวงตาของคฑูนอยู่สถานการณ์ก็แตกต่างแล้ว” ชัคคุนกล่าวเสริม


“พวกท่านกำลังพูดถึงผู้นำของขุมกำลังลึกลับนั้น?” เซียวอวี๋เปิดปากถาม


“ใช่แล้ว เรื่องนี้เจ้าต้องตรวจสอบอย่างละเอียด และเมื่อถึงคราวต้องลงมือ พวกเราจะเข้าร่วมด้วย” ธีโอดอร์ตอบรับ


ธีโอดอร์ทราบดีว่าอาศัยพวกเขาทั้งสามเพียงลำพังยังไม่พอ เรื่องนี้พวกเขายังต้องพึ่งพากองกำลังจำนวนมากร่วมด้วย


และในหมู่ขุมกำลังกลุ่มต่างๆ ความแข็งแกร่งของเซียวอวี๋นับเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย


ที่พวกเขาต้องทำก็คือช่วยเหลือเซียวอวี๋เมื่อถึงยามตัดสิน ผู้ใช้มนตราเป็นขุมกำลังที่ขาดไปไม่ได้ แต่ก็ทำได้เพียงสนับสนุน พวกเขาไม่ใช่ผู้นำ


ทวีปแห่งนี้ต้องการราชา


ราชาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด……

 

 

 


ตอนที่ 576

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


วันรุ่งขึ้น เซียวอวี๋ก็นำผู้คนออกเดินทางไปสนับสนุนโถวปาหง อ้างอิงจากข่าวที่ได้รับจากอัศวินกริฟฟ่อน ทัพของโถวปาหงได้เข้าปะทะกับกองทัพชั่วร้ายนั่นแล้ว และสถานการณ์ก็ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก


การช่วยเหลือจากเซียวอวี๋ไม่ต่างอะไรกับการส่งถ่านกลางหิมะ


กองทัพของเขาต้องเร่งออกเดินทางไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายเฉกเช่นครั้งการบุกของพวกเซิก


เรื่องนี้จะล่าช้าไม่ได้ จักรวรรดิเมฆานั้นอยู่ติดกับดินแดนของเขา มีเพียงการสร้างสเถียรภาพทางฝั่งนี้เขาจึงจะวางใจไปรับมือที่อื่นได้ ในเวลานี้กองทัพศาสนจักรและขุมกำลังลึกลับต่างก็เคลื่อนกำลังใกล้เข้ามาแล้ว หากชักช้าคงกลายเป็นการรับศึกสองด้าน


มีตัวอย่างเช่นกองทัพเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สองให้เห็นแล้ว การเปิดศึกสองด้านไม่ใช่เรื่องดีเลย


เซียวอวี๋สั่งเคลื่อนกำลังในยามกลางวันก่อนจะพักในยามกลางคืน พวกเขาใช้เวลาสี่วันเต็มก่อนจะถึงที่แนวหน้า ทั้งในระหว่างเซียวอวี๋ยังพบเห็นชาวเมฆาที่ลี้ภัยสงครามมากมายสวนทางมา


ท่าทางของชาวบ้านเหล่านั้นเต็มไปด้วยความกลัวราวกับเพิ่งพบเจอนรกมา


ซึ่งเซียวอวี๋ก็เข้าใจได้ว่าสถานที่แถบนั้นคงไม่ต่างจากนรกแล้วในเวลานี้


ชาวบ้านที่ลี้ภัยต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าที่นั่นวุ่นวายมาก พวกเขาก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร เพียงได้แต่บอกว่าผู้คนจู่ๆก็คลุ้มคลั่งออกอาละวาดราวกับเป็นคนละคน คนคลั่งพวกนั้นรู้จักแต่เพียงฆ่าฟัน พวกเขาจะสังหารทุกชีวิตที่พบเห็นโดยไม่ละเว้น พวกเขาบูชาเพียงเทพองค์หนึ่ง


ต่อให้เป็นภรรยา บิดามารดาหรือบุตร หากไปขัดขวางพวกเขาก็ยังต้องตายอนาถ เหตุการณ์เช่นนี้ปรากฏทั่วทั้งดินแดนตะวันออกของจักรวรรดิเมฆา


พื้นที่บริเวณนั้นไม่ใช่พื้นที่ที่มนุษย์จะอยู่อาศัยได้อีกต่อไป


เซียวอวี๋ปลุกปลอบกำลังใจ เขาทราบว่าสงครามนั้นโหดร้ายเพียงใด ดังนั้นจึงเร่งนำผู้คนออกเดินทางต่อ


จนเมื่อมาถึงจุดหมาย พวกเขาก็เห็นแนวป้องกันถึงสร้างขึ้นแล้ว ที่อีกฝั่งของแนวป้องกันจะเป็นพื้นที่ที่พวกคลุ้มคลั่งยึดครอง


ชัดเจนว่าสถานการณ์กำลังร้ายแรงยิ่ง


โถวปาหงกำลังเดินตรวจตราดูแล ยามเมื่อหันมาเห็นเซียวอวี๋ก็พลันเผยยิ้มยินดี “เจ้ามาดูแลแทนข้าที ข้าจะไปพักก่อน”


“น่าตายนัก เพิ่งมาถึงก็โยนงานเลยหรือ?” โถวปาหงคิดว่าเขาเป็นอะไรกัน ทุกครั้งที่เขามาถึงก็ต้องรับหน้าที่หนักเช่นนี้ตลอด


โถวปาหู่เดินมาหาเซียวอวี๋ก่อนจะกล่าวว่า “ท่านดยุคเซียว ข้าจะพาท่านไปสำรวจพื้นที่โดยรอบและแจ้งท่านเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน”


เซียวอวี๋พยักหน้า


แม้ว่าแนวป้องกันนี้จะยาวไม่เท่าแนวป้องกันเซิก หากก็ไม่อาจกล่าวว่าสั้นเกินไป กำแพงถูกสร้างขึ้นยาวเป็นเส้นตรงขณะที่มีประตูอยู่กึ่งกลาง ทุกคนที่ผ่านประตูจะถูกตรวจสอบอย่างละเอียด


เหล่าผู้ที่กลายสภาพนั้นจะมีจุดสังเกตที่ชัดเจน ดวงตาของพวกเขาจะเป็นสีเทาหรือดำแปลกๆ ไม่คล้ายเป็นดวงตาของมนุษย์


โถวปาหู่บอกเล่าถึงสถานการณ์ช่วงนี้ โดยเล่าว่า ยามที่พวกเขามาถึง ทุกที่ก็เต็มไปด้วยความวุ่นวายแล้ว เมืองหลายแห่งกลายสภาพเป็นเมืองร้าง


โถวปาหงทำตามคำแนะนำของเซียวอวี๋ เขาจัดส่งหน่วยสอดแนมออกไปเป็นจำนวนมากเพื่อติดประกาศและแจ้งเตือนประชาชนด้วยวิธีต่างๆ บอกว่าคนเหล่านั้นไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป หากแต่กลายสภาพเป็นปีศาจ และต้องการให้ประชาชนทุกคนอพยพลงทางใต้ มาทางที่มีแนวป้องกันแห่งนี้ตั้งอยู่


ในช่วงเวลานั้น โถวปาหงเลือกที่จะสั่งสร้างแนวป้องกันขึ้น และละทิ้งเมืองทางเหนือไปหลายเมือง นำมาซึ่งเสียงก่นด่าสาปแช่งจากผู้คนมากมาย พวกเขากล่าวว่าโถวปาหงออกจะไร้ใจไปแล้ว


อย่างไรก็ตาม หากดูจากสถานการณ์ในเวลานี้จะเห็นได้ชัดว่าโถวปาหงตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว


หากไม่ใช่เพราะเขาเร่งจัดสร้างแนวป้องกันนี้ขึ้น เช่นนั้นกองทัพปีศาจคงเข่นฆ่าไปทั่วและสร้างความเสียหายได้มากกว่านี้


หลังผ่านเหตุการณ์มาแล้วมากมาย โถวปาหงก็ไม่ใช่โถวปาหงคนเก่าที่ตัดสินใจอะไรไม่เป็น หากแต่เพาะสร้างลักษณะของราชันขึ้น


เวลานี้ เหนือขึ้นไปจากแนวป้องกันยังคงมีประชาชนที่ยังไม่กลายสภาพอยู่อีกมาก โถวปาหงได้ส่งกองทหารม้ากลุ่มย่อยออกไปช่วยเหลือแล้ว


อ้างอิงจากข่าวสารที่ได้รับจากทางด้านนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ได้กลายสภาพและเข้าร่วมทัพปีศาจไปแล้ว


จากญาติสนิทมิตรสหายก็กลับกลายเป็นศัตรู พวกเขาต่างหยิบมีดพร้าเข้าห้ำหั่นกัน สภาพการณ์เช่นนี้สุดที่ผู้คนทั่วไปจะรับไหว เวลานี้นับว่าจักรวรรดิเมฆากำลังอยู่ในเส้นแบ่งระหว่างความเป็นและความตายอย่างแท้จริง


โชคดีที่ในเวลาเช่นนี้มีจักรพรรดิเช่นโถวปาหงอยู่


อย่างไรก็ตาม โถวปาหงเหนื่อยล้าแล้ว


เขาต้องการจะเอนกายลงพัก หากแต่ไม่สามารถ เพราะเขาคือจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเมฆา ประชาชนล้วนต้องการพึ่งพาเขา ไม่ว่าเขาจะเหนื่อยจนสายตัวแทบขาดอย่างไร เขาก็ต้องกัดฟันสู้


ทุกคนเพียงได้เห็นความสำเร็จของเขา แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ได้เห็นความยากลำบาก มีเพียงผ่านความลำบากไปได้จึงจะมีสิทธิ์ดื่มด่ำกับเกียรติยศและความรุ่งโรจน์


เรื่องราวในโลกก็เป็นเช่นนี้เอง เคยผ่านพ้นความลำบากจึงจะได้สุขสบาย


ซึ่งในกรณีของโถวปาหงนับว่าโชคดีแล้ว แม้ว่าเขาจะมีภาระอยู่เต็มบ่า หากแต่ก็ยังมีมุมให้เอนกายพักพิงได้ครู่หนึ่ง


และมุมที่ว่าก็คือเซียวอวี๋


เมื่อมีเซียวอวี๋อยู่ เขาจึงจะสามารถพักผ่อนได้อย่างวางใจ


การเดินทางครั้งนี้นิโคลัสไม่ได้ร่วมทางมาด้วย เขาแยกตัวกลับดินแดนไป ดูเหมือนจะมีเรื่องเร่งด่วนใดที่เซียวอวี๋ไม่ทราบ


คล้ายกับว่าที่ดินแดนของนิโคลัสเกิดเรื่องขึ้น บางทีขุมกำลังลึกลับที่เฝ้าคุมเชิงอยู่คงลงมือเคลื่อนไหวแล้ว


หรืออาจเป็นว่านิโคลัสพบเห็นอันใดจึงเร่งกลับไปเตรียมการรับมือล่วงหน้า


หลังจากได้เห็นพลังทำลายของกองทัพเซิก นิโคลัสก็เข้าใจแล้วว่ากองทัพที่คิดว่าไร้ต้านจนสามารถกวาดล้างทั่วทวีปนั้นอ่อนแอและเป็นความคิดที่ตื้นเขินเพียงใด


หากให้เขารับมือกับกองทัพเซิกเพียงลำพังนั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงขุมกำลังลึกลับที่ยังมีพลังทำลายล้างมากยิ่งกว่าพวกเซิก


เขาเข้าใจแล้วเหตุใดสามจ้าวมนตราจึงลงมือและใช้เวทต้องห้ามจัดการคฑูนด้วยตนเอง แม้ว่านั่นจะเป็นการบั่นทอนอายุขัยของพวกเขา


นั่นเป็นเพราะทั้งสามทราบถึงความน่ากลัวของศัตรู ทว่านิโคลัสนั้นไม่


เรื่องราวได้อยู่เหนือเกินกว่าที่ทั้งเขา เซียวอวี๋ ลีโอนาโดหรือตระกูลใดๆจะเผชิญหน้าต่อกรกับศัตรูเพียงลำพัง พวกเขาจะต้องร่วมมือกัน มิเช่นนั้นทวีปแห่งนี้จะไม่มีคำว่าสงบสุขอีก


“ทางด้านโถวปากุ้ยเล่า?” เซียวอวี๋พลันถามขึ้นมา


โถวปาหู่นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “เวลานี้เขาสถาปนาตนเป็นราชาปีศาจแล้ว จากคำบอกเล่าของชาวบ้านที่หลบหนีมา โถวปากุ้ยไม่ใช่โถวปากุ้ยอีกแล้ว เวลานี้เขาถูกพลังปีศาจเข้าครอบงำ กลายเป็นราชาปีศาจอย่างสมบูรณ์ ในอีดต โถวปากุ้ยเพียงมีพลังอยู่ในขั้นที่ห้า ทว่าเวลานี้กลับตัดผ่านไปยังขั้นที่หกแล้ว ไม่ได้ด้อยไปกว่าข้าหรืออ้าวปาเลย เห็นได้ชัดว่ามีพลังบางอย่างควบคุมร่างของเขา..ตอนนั้นข้าช่างเลอะเลือนนัก สายตากลับกลายเป็นพร่ามัวไป ข้ามัวแต่แยกตัวออกมาเฝ้าดูสถานการณ์อยู่ด้านข้าง หากทราบว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้คงเลือกช่วยเหลือองค์จักรพรรดิ และสถานการณ์ก็คงไม่เลวร้ายดั่งเช่นทุกวันนี้”


โถวปาหู่สะทกสะท้อนใจ หากเวลานั้นทัพพยัคฆ์เลือกที่จะอยู่เคียงข้างโถวปาหง โถวปาหงก็จะได้เปรียบ และในกรณีนั้น ขุมกำลังของโถวปากุ้ยก็จะอ่อนแอลง ชาวเมฆาก็คงไม่ถูกเปลี่ยนสภาพให้กลายเป็นปีศาจร้ายมากมายเช่นนี้


เซียวอวี๋ยกมือตบบ่าโถวปาหู่พลางปลอบโยนว่า “ตอนนั้นท่านไม่ทราบถึงความชั่วร้ายของโถวปากุ้ย อย่าได้ตำหนิตนเองเลย ตอนนี้ใยมิใช่ถึงเวลาที่ท่านจะทำเพื่อจักรวรรดิหรือ? อีกทั้งกองทัพของท่านยังมีบทบาทสำคัญในศึกนี้ด้วย”


โถวปาหู่ถอนหายใจ “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น ครั้งนี้ข้าเคลื่อนกำลังออกมาจนหมดแคว้น หวังว่าจะชดเชยความผิดพลาดในอดีตได้”


ก่อนหน้านี้ โถวปาหู่ไม่ทราบสถานการณ์ทางด้านพวกเซิก ดังนั้นจึงนำนักรบผู้กล้าแห่งทัพพัยคฆ์มาเพียงสองหมื่นนายจากทั้งหมดห้าหมื่นนาย


นอกจากทัพพยัคฆ์แล้ว โถวปาหู่ยังมีทหารม้าทั่วไปอีกจำนวนมาก เป็นเพราะพวกเขาต้องผ่านการเคี่ยวกรำเพื่อคัดเลือกเข้าทัพพยัคฆ์ ดังนั้นทหารม้าทั่วไปก็จัดเป็นทหารม้าชั้นยอด ครั้งนี้โถวปาหู่เรียกระดมออกมาทั้งหมด ถึงขั้นที่ว่าสามารถสั่นสะเทือนได้ทุกขุมกำลัง


“พี่เซียวอวี๋” ในเวลานั้นเอง ฉินเช่อก็เดินมาหาเซียวอวี่ด้วยรอยยิ้มเขินอาย 

 

 


ตอนที่ 577

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


“ฉินเช่อ” ผ่านไปไม่นานแต่ดูเหมือนว่าฉินเช่อจะสูงและดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นอีกแล้ว ในใจของเซียวอวี๋มีความสุขมาก


“ฉินเช่อ เจ้ามาแล้ว” เห็นฉินเช่อเดินเข้ามา โถวปาหู่ก็ร้องทักอย่างกระตือรือร้น หลังจากร่วมงานกับฉินเช่ได้ช่วงหนึ่ง เขาก็รู้สึกถูกชะตาเด็กหนุ่มผู้นี้ยิ่ง


หากในช่วงแรกไม่ได้ฉินเช่อยืนหยัดต้านการโจมตีของโถวปากุ้ย เช่นนั้นทุกอย่างคงจะเลวร้ายสุดขีด


กล่าวได้ว่าฉินเช่อถือเป็นผู้มีพระคุณต่อจักรวรรดิเมฆา


แต่นั่นไม่ใช่ปัจจัยหลัก สิ่งสำคัญคือความเข้าใจของฉินเช่อในกลยุทธ์ของทัพม้า สิ่งนี้สร้างความประทับใจให้โถวปาหู่อย่างมาก โถวปาหู่ใช้เวลาทั้งชีวิตอยู่กับการพัฒนากลยุทธ์ของทัพม้า แน่นอนว่าเขาย่อมชื่นชมเหล่าแม่ทัพทหารม้าที่สุด และฉินเช่อก็เป็นแม่ทัพทหารม้าที่โดดเด่นที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอ


เขาอดคิดจะดึงตัวฉินเช่อมาบัญชาการทัพพยัคฆ์ของเขา แต่น่าเสียดาย หลังจากลองชักชวนอยู่หลายครา เขาก็ทราบแล้วว่าฉินเช่อภักดีต่อเซียวอวี๋อย่างถึงที่สุด เป็นไปไม่ได้ที่จะมีผู้ใดดึงตัวเขาจากเซียวอวี๋


ไฉนไม่มีอัจฉริยะเช่นนี้ผุดขึ้นในจักรวรรดิของเราบ้าง?


“เรียนท่านอ๋อง พวกทหารทมิฬกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ คาดว่ามีจำนวนราวสี่หมื่นคนขอรับ” ในเวลานั้นเอง ทหารนายหนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามารายงานต่อโถวปาหู่


“มาอีกแล้วหรือ?” โถวปาหู่ขมวดคิ้ว


ทหารทมิฬเป็นชื่อเรียกที่ชาวจักรวรรดิตั้งให้กับคนที่กลายสภาพ เนื่องจากพวกที่กลายสภาพมีแต่ลูกตาดำและหลังจากกลายสภาพแล้วคนเหล่านั้นก็มักจะสวมใส่แต่ชุดสีดำ


“หลายวันนี้พวกมันบุกมาบ่อย?” เซียวอวี๋ถามขึ้นมา


“ใช่ ด่านแห่งนี้มีความสำคัญมาก หากไม่มีด่านนี้อยู่ สถานการณ์คงเลวร้ายสุดจะคาด ทุกครั้งที่พวกมันบุกโจมตีเมือง จำนวนของพวกมันมักมีด้วยกันหลายหมื่น อีกทั้งรูปแบบต่อสู้ของพวกมันยังเป็นตกตายตามกัน พวกมันไม่สนใจความเป็นความตายของตนแม้แต่น้อย” โถวปาหู่กล่าวพลางทอดถอนใจ


ในอดีตคนเหล่านี้อาจเคยเป็นชาวเมฆา เป็นญาติพี่น้อง แต่นั่นก็แค่ ‘เคย’ เท่านั้น ตอนนี้พวกเขากลายเป็นปีศาจไร้ใจไปแล้ว


เซียวอวี๋ผงกศีรษะก่อนจะกล่าวว่า “ไม่มีทางเลือก สำหรับผู้ที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลัง ช้าเร็วข้าต้องสังหารมันให้จงได้”


ที่ที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ชาวบ้านที่ต่อแถวตรวจสอบอยู่ก็กรูกันเข้ามาในด่านก่อนที่ประตูด่านจะถูกปิดลง ที่อีกด้านของประตูชาวบ้านที่เข้ามาไม่ทันต่างก็รีบวิ่งมาทางประตูพลางร้องให้รีบเปิดประตูให้พวกเขาเข้าไป คนเหล่านี้แตกต่างจากทหารทมิฬที่ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ ชัดเจนว่าชาวบ้านเหล่านี้ยังไม่กลายสภาพ


อย่างไรก็ตาม ที่ด้านหลังของพวกเขามีพวกทหารทมิฬจำนวนนับไม่ถ้วนติดตามหลังมา อาวุธในมือของพวกมันกวัดแกว่งฟาดฟันเหล่าชาวบ้านล้มลง พวกชาวบ้านที่วิ่งรั้งท้ายย่อมไม่อาจหลีกหนีจากความตาย


“ท่านอ๋อง พวกเราควรทำอย่างไรดีขอรับ?” ทหารที่มารายงานเอ่ยถามอย่างร้อนลน


โถวปาหู่มองดูฉากเบื้องหน้า ขณะที่ในใจทราบดีว่าไม่อาจเปิดประตูด่าน เพราะหากประตูด่านถูกเปิดแล้วล่ะก็ทหารทมิฬเหล่านั้นก็จะหลุดรอดเข้ามาด้วย และนั่นจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง


แต่หากว่าไม่เปิดประตู ชาวเมฆาข้างนอกนั่นคงล้มตายหมดสิ้น และเขาคงได้รับคำก่นด่าสาปแช่งตามมา นี่นับเป็นการยากที่จะตัดสินใจ


หากเพียงแค่ทหารทมิฬราวสี่หมื่นคนนั่นยังไม่เป็นไร หากแต่เบื้องหลังของทหารกลุ่มนี้เป็นไปได้มากว่ายังมีทหารทมิฬที่มากยิ่งกว่าตามมา ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น สถานการณ์ย่อมอยู่เหนือการควบคุม


ด่านป้องกันแห่งนี้เป็นปราการสุดท้ายที่พวกเขาพึ่งพิง หากด่านนี้ถูกตีแตก เช่นนั้นทั่วทั้งจักรวรรดิคงพินาศสิ้น


เมื่อเผชิญกับความขัดแย้งในจิตใจ โถวปาหู่จึงนิ่งเงียบ สายตาเหม่อมองดูเหล่าชาวบ้านที่วิ่งหนีตายสุดชีวิต มือของเขากำด้ามดาบไว้แน่น


“ท่านอ๋องหู่ ส่งทัพพยัคฆ์และกองทหารออกไปเถอะ ท่านคอยสกัดการโจมตีของทหารทมิฬ ส่วนข้าจะเฝ้ารักษาประตูด่านให้เอง” เซียวอวี๋พลันเปิดปากกล่าว


ได้ยินคำแนะนำของเซียวอวี๋ โถวปาหู่ก็ได้สติ เขารีบกล่าวด้วยความสำนึกขอบคุณ “ขอบคุณดยุคเซียว”


เซียวอวี๋ยิ้มก่อนจะกล่าวว่า “ทุกคนย่อมมีความเมตตาอยู่ในใจ ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก เร่งมือเถอะ หากลงมือรวดเร็วพอย่อมสกัดทหารทมิฬไว้ได้”


โถวปาหู่พยักหน้ารับ จากนั้นจึงหันไปกล่าวกับฉินเช่อ “ฉินเช่อ เจ้ามากับข้า ข้าต้องการให้เจ้าช่วยนำทัพ พวกเราสองคนจะแยกย้ายกันรับมือ”


ฉินเช่อพยักหน้ารับคำ “ขอรับ”


ด้วยเหตุนั้น ประตูด่านจึงเปิดออกอีกครั้ง ทัพพยัคฆ์ควบตะบึงม้าผ่านประตูไป เหล่าผู้ที่กำลังถูกไล่ล่าเมื่อเห็นประตูเปิดออกก็หลั่งน้ำตาด้วยความยินดี พวกเขาต่างตะโกนแซ่ซ้องทัพพยัคฆ์สุดเสียง


ครืน……


ทัพพยัคฆ์ควบทะยานราวกับพยัคฆ์ฝูงหนึ่งจนก่อเกิดเป็นสภาวะที่ดุดันขึ้นมา ในเวลานี้พวกเขากำลังต่อสู้เพื่อปกป้องชาวเมฆา ศึกเช่นนี้นับเป็นศึกที่ทรงเกียรติที่สุด ทั้งหมดต่างกระตือรือร้นใคร่ต่อสู้ แม้จะต้องทอดกายเป็นศพในสนามรบ แต่เพื่อจักรวรรดิเมฆาแล้ว พวกเขายินดียิ่ง


ทัพพยัคฆ์แยกออกเป็นสองขบวนเตรียมโอบล้อมชาวบ้านจากสองฟากข้าง พวกเขาชักอาวุธเตรียมสกัดการโจมตีของทหารรทมิฬ


“เรียกยักษ์ศิลามาป้องกันประตูไว้” เห็นทัพพยัคฆ์เข่นฆ่าออกไป เซียวอวี๋ก็ออกคำสั่งเรียกพวกยักษ์ศิลามาที่ประตู


พวกยักษ์ศิลานับว่าเกิดมาเพื่อป้องกันเมืองจริงๆ ด้วยความสูงใหญ่ของพวกมันแล้วก็ยากที่จะมีศัตรูฝ่ามาได้ ยิ่งกว่านั้นผิวกายของพวกมันยังแข็งจนอาวุธทั่วไปฟันแทงไม่เข้า


ตอนนี้พวกทหารทมิฬไล่เข้ามาอย่างกระชั้นชิด มีทหารทมิฬอย่างน้อยหนึ่งหมื่นที่อยู่ด้านหน้าสุด ทหารทมิฬเหล่านั้นอาศัยจังหวะชุลมุนแทรกซึมเข้าไปในกลุ่มชาวบ้านที่กำลังวิ่งหนี พวกมันต้องใช้โอกาสนี้แทรกซึมเข้าไปในเมือง


“พลธนูเอลฟ์เตรียมพร้อม! เมื่อเห็นทหารทมิฬให้ยิงสังหารทันที” เซียวอวี๋สั่งการ


ในสถานการณ์เช่นนี้พลธนูเอลฟ์นับว่ามีบทบาทอย่างมาก ต่อให้ทหารทมิฬหลบซ่อนอยู่ในกลุ่มชาวบ้าน พวกมันก้ยากจะหลบรอดสายตาอันแหลมคมของพวกเอลฟ์ไปได้


“ฆ่า!!” ไพร่พลทัพพยัคฆ์ร้องคำราดังกระหึ่ม


สภาวะของคนและม้าหลายพันก่อเป็นรัศมีอันน่าตื่นตระหนก


โครม โครม…..


ทัพพยัคฆ์พุ่งเข้าปะทะทหารทมิฬ พวกทหารทมิฬมีเปรียบด้านจำนวน หากแต่ความแข็งแกร่งกลับเทียบทัพม้าไม่ติด


ตอนนี้พวกเขากลายเป็นหุ่นเชิดอย่างสมบูรณ์โดยปราศจากทักษะการต่อสู้ อีกทั้งไม่ว่าอาวุธหรือชุดเกราะก็ล้วนแล้วแต่คุณภาพต่ำ ทหารทมิฬส่วนใหญ่เพียงถือมีดทำครัวหรือค้อนด้วยซ้ำ


เป็นเพราะกำลังส่วนใหญ่ถูกเปลี่ยนสภาพมาจากชาวบ้านธรรมดา ดังนั้นจึงแทบคาดหวังเรื่องพลังต่อสู้ไม่ได้ ทว่าจิตใจที่ไม่เกรงกลัวความตายนั้นทำให้ผู้คนปวดหัวยิ่ง


อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกทัพพยัคฆ์พุ่งทะลวงใส่ จุดอ่อนของพวกมันก็เปิดเผยออกมา เลือดและเนื้อลอยสาดกระเซ็น ทหารทมิฬล้มตายลงราวผักปลา……

 

 

 


ตอนที่ 578

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


“ทัพอากาศ ลุยได้!” เซียวอวี๋โบกมือส่งสัญญาณให้ทัพอากาศไปช่วยทัพพยัคฆ์


เมื่อมีความช่วยเหลือจากทัพอากาศจากบนฟ้า ทัพพยัคฆ์ก็พุ่งทะลวงไปกลับท่ามกลางกลุ่มทหารทมิฬ ขณะที่ชาวบ้านยังคงวิ่งหนีไปยังประตูด่าน


ในกลุ่มชาวบ้านเหล่านี้มีทหารทมิฬกว่าหนึ่งหมื่นนายแฝงตัวเข้ามา หากแต่ชุดสีดำที่พวกมันสวมใส่กลับเด่นสะดุดตายิ่ง


หรืออาจเป็นเพราะผู้ที่อยู่เบื้องหลังของพวกมันคร้านจะใส่ใจ ด้วยจำนวนที่มากมายของพวกมันก็เพียงพอแล้วจะบดขยี้ทุกสิ่ง


เมื่อเป็นเช่นนี้พวกมันก็กลายเป็นเป้าสะดุดตาให้พลธนูเอลฟ์ยิงสังหาร เสียงลูกศรแหวกฝ่าอากาศปักใส่ทหารทมิฬดังขึ้นไม่หยุดหย่อน


ในหมู่ทหารชาวเมฆาก็มีนักธนูฝีมือดีเช่นกัน เมื่อได้เห็นวิธีการของเซียวอวี๋ พวกเขาก็นำคันศรลูกธนูออกมาตั้งแถวบนกำแพงก่อนจะเล็งยิงทหารทมิฬที่แฝงตัวเหล่านั้น


เพียงชั่วพริบตาทหารทมิฬก็บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน แม้ว่าพวกมันบางส่วนจะมาถึงประตูด่านได้ แต่ก็จะมีทหารถือหอกดาบคอยจัดการพวกมันอีกที


หากว่าทหารทมิฬที่ด้านหลังรวมกลุ่มกับทหารทมิฬจำนวนเรือนหมื่นที่ด้านหน้าแล้วล่ะก็ บางทีพวกมันอาจยึดประตูด่านได้สำเร็จ ทว่าด้วยจำนวนที่มีเพียงหมื่นเศษ จะถูกกำจัดจนหมดเมื่อใดก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว


เมื่อเห็นว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ผ่านเข้าประตูด่านมาแล้ว เซียวอวี๋ก็ส่งสัญญาณไปยังทัพพยัคฆ์ให้ถอยทัพ


โถวปาหู่จ้องมองกำลังฝ่ายศัตรูที่เพิ่มขึ้นทุกขณะก่อนจะขมวดคิ้ว กะประมาณโดยสายตาคร่าวๆแล้ว ศัตรูที่หนุนเนื่องมานี้มีไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนคน


“ถอย!” โถวปาหู่ออกคำสั่งถอยทัพ การถอยทัพของทัพพยัคฆ์ดำเนินไปอย่างมีระเบียบแบบแผน บางส่วนรั้งสายเบียนเหียนม้าและถอยกลับทันที ขณะที่บางส่วนตั้งขบวนเป็นแนวแถวคอยคุ้มกันรั้งท้าย


บนท้องฟ้ามีกองทัพคิมเมร่าของเซียวอวี๋ประจำการอยู่ พวกมันคอยพ่นไฟเพื่อเปิดทางถอยให้กับทัพพยัคฆ์


เทียบกันแล้วทหารทมิฬเหล่านี้จัดการได้ง่ายกว่าพวกเซิกเสียอีก พวกเซิกนั้นเป็นเผ่าพันธ์ุดุร้ายโดยธรรมชาติ แมลงทุกตัวมีทักษะต่อสู้ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ทั้งพวกมันยังมีกองทัพอากาศ ทว่ากับทหารทมิฬเหล่านี้แล้ว ทั้งหมดแทบจะเป็นชาวบ้านธรรมดา พวกมันไม่มีทักษะต่อสู้ ทั้งยังไม่มีกำลังต่อต้านศัตรูจากบนฟ้า


พลังสู้รบของกองทัพอากาศนั้นยิ่งใหญ่มาก โดยเฉพาะพวกคิเมร่า ทุกที่ที่ลมหายใจเพลิงของพวกมันไปถึงล้วนแล้วแต่ถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่โล่งเตียน


ย่าห์ ย่าห์


ทัพพยัคฆ์เร่งบังคับม้าเข้าด่าน แต่เพราะทหารทมิฬมีจำนวนมากเกินไป พวกทหารที่คอยรั้งท้ายจึงแทบจะถูกศัตรูโอบล้อมเอาไว้ หากไม่มีความช่วยเหลือจากทัพอากาศของเซียวอวี๋ พวกเขาคงต้องจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อย


ด้วยลักษณะที่ไม่หวั่นเกรงความตายของพวกทหารทมิฬ พวกมันส่วนใหญ่ต่างก็ใช้ร่างเลือดเนื้อหยุดม้าเอาไว้ หากหนึ่งคนยังไม่พอ พวกมันก็จะเพิ่มจำนวนคนไปเรื่อยๆจนก่อเป็นภูเขาซากศพขึ้นมาขวางไว้


ด้วยการเปิดทางของพวกคิเมร่า ในที่สุดทัพพยัคฆ์ก็ผ่านเข้าประตูด่านได้สำเร็จ ด้านหลังของพวกเขามีพวกทหารทมิฬจำนวนมากที่หลั่งไหลมาจากทุกทิศทางวิ่งตามมา


คาเอล แอนโทนีดาสและหลินมู่เสวี่ยต่างก็ใช้เวทโจมตีวงกว้างออกมาทันทีโดยที่ไม่ต้องให้เซียวอวี๋สั่งการ


เซียวอวี๋ยืนมองคลื่นมนุษย์สีดำที่ไหลหลั่งมาจากทิศอยู่บนกำแพงพลางสูดหายใจเย็นเยียบ


จำนวนที่ราวกับมดซึ่งยกออกมาทั้งรังนี้น่าตระหนกนัก ไม่แปลกที่โถวปาหู่จะใช้คำกล่าวว่าสถานการณ์ค่อนข้างหนักหนา


ทหารทมิฬเหล่านี้มีจำนวนมากมายมหาศาล เกรงว่ายังมากกว่าจำนวนของเซิกที่บุกมาคราวนั้นเสียอีก ที่ต่างออกไปก็คือที่นี่ไม่มีสามจ้าวมนตรา พวกเขาต้องหาทางรับมือกันเอง


เห็นสถานการณ์ที่เบื้องหน้า เซียวอวี๋และหลายคนก็คิดถึงสามจ้าวมนตราขึ้นมา หากมีทั้งสามอยู่ด้วยเรื่องราวคงง่ายขึ้นแล้ว


เวลานี้เซียวอวี๋คิดถึงชายชราสามคนมาก


แต่นั่นเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ การปลดปล่อยเวทต้องห้ามทำให้พวกเขาตกอยู่ในสภาวะอ่อนแรง พวกเขาต้องการเวลาฟื้นฟู


เช่นนั้นสถานการณ์ตอนนี้พวกเขาควรจัดการอย่างไร?


ที่พึ่งหลักของพวกเขาในตอนนี้คงต้องเป็นแนวกำแพงของด่านแห่งนี้แล้ว


เมื่อทหารคนสุดท้ายของทัพพยัคฆ์ผ่านเข้าประตูมาแล้ว เซียวอวี๋ก็สั่งให้พวกยักษ์ศิลาเคลื่อนตัวไปอุดประตูด่านไว้


เมื่อเห็นว่าพวกทหารทมิฬสร้างความเสียหายให้กับยักษ์ศิลาได้ไม่มาก เซียวอวี๋ก้โล่งอก ศัตรูที่พึ่งพามีดทำครัวผุผังจะสร้างความเสียหายได้สักเท่าใดกันเชียว?


ยิ่งกว่านั้นพวกยักษ์ศิลายังสวมใส่เกราะหนาทั่วร่าง และร่างกายที่ใหญ่โตของพวกมันเพียงขยับยกเท้าโดยไม่ตั้งใจก็สามารถเหยียบสังหารทหารทมิฬได้กลุ่มใหญ่แล้ว


“ในหมู่พวกมันคงไม่มีพวกที่แข็งแกร่งแฝงตัวอยู่กระมัง?” เซียวอวี่รู้สึกว่าเรื่องราวคงไม่รวบรัดดังที่เห็น ผู้ที่คอยบงการอยู่เบื้องหลังคงไม่เพียงส่งพวกมันออกมาตายเช่นนี้


และเป็นดังคาด สิ้นประโยคคำถามของเซียวอวี๋ สายตาของเขาก็พลันเห็นกลุ่มนักรบสวมเกราะหนักท่ามกลางพวกทหารทมิฬ พวกมันแต่ละตัวล้วนแต่มีดวงตาสีเหลืองสะท้อนแสง


“นักรบแดนใต้?” กับนักรบเหล่านี้ เซียวอวี๋นับว่าคุ้นเคยอยู่บ้าง เมื่อครั้งตอนที่เขาป้องกันเมืองอู่เหอ โถวปากุ้ยก็ได้ส่งนักรบเหล่านี้บุกโจมตีเมือง ครั้งนั้นนักรบเหล่านี้นับว่าสร้างความเสียหายให้กับฝ่ายเขาไม่น้อยเลย


และในคราวนี้ดูเหมือนจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าคราวก่อน นักรบแต่ละล้วนถือดาบใหญ่ ร่างกายสวมใส่ด้วยเกราะหนักทั้งตัว ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกคล้ายกำลังมองภูเขาศิลาที่ยากจะโค่นลง


เคร้ง เคร้ง…..


เสียงโลหะกระทบกันขณะที่กลุ่มนักรบแดนใต้โถมพุ่งเข้าหายักษ์ศิลา พวกเขายกชูดาบใหญ่ขึ้นขณะที่กระโดดขึ้นสูงเกือบห้าเมตรเพื่อเสริมแรงและฟันไปยังส่วนเปราะบางของยักษ์ศิลา


ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ……


ดาบใหญ่ในมือของพวกเขากระหน่ำฟันไปยังตำแหน่งที่ไร้เกราะของพวกยักษ์ศิลาจนเกิดเป็นรอยลึกขึ้นอย่างรวดเร็ว 

 

 


ตอนที่ 579

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


“น่าตายนัก! ปล่อยไว้แบบนี้พวกยักษ์ศิลาคงถูกพวกมันเล่นงานแน่….พลปืนคนแคระ ยิงเจ้าพวกนั้นซะ! คุ้มกันให้ยักษ์ศิลาถอยกลับมา”


เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มย่ำแย่ เซียวอวี๋ก็รีบสั่งให้พวกยักษ์ศิลาถอยกลับและปิดประตูด่านลง


เมื่อมีพวกนักรบแดนใต้คอยเป็นหัวหอกนำบุก พวกทหารทมิฬก็รุกคืบโจมตีใส่กำแพงอย่างดุดัน


โฮก…….


ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องคำรามดังขึ้นจากทางฝั่งกองทัพของทหารทมิฬ หลังเสียงคำราม กลุ่มสัตว์ประหลาดร่างยักษ์ก็ปรากฏขึ้นในทัพของทหารทมิฬ สัตว์ประหลาดเหล่านี้แต่ละตัวมีดวงตาสี่ดวงบนใบหน้า มีแขนถึงสี่แขนอยู่ข้างลำตัว


สัตว์ประหลาดสี่แขนเหล่านี้ดูเหมือนจะมีความสามารถในการปีนกำแพง แม้กำแพงด่านที่ก่อขึ้นมานี้จะนับว่าสูงหากเทียบกับตัวเมืองทั่วไป กระนั้นแน่นอนว่าคงไม่อาจหยุดยั้งเจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์พวกนี้ได้


“หลายวันก่อนก็มีเจ้าพวกนี้?” เซียวอวี๋หันไปถามโถวปาหู่


หลังจากโถวปาหู่นำทัพพยัคฆ์กลับเข้าด่านมาแล้ว เขาก็รีบขึ้นมาสังเกตุการณ์บนกำแพงทันที


โถวปาหู่ขมวดคิ้วมุ่น “หลายวันก่อนพวกมันบุกมาเพียงตัวเดียว แต่พวกเรายันมันกลับไปได้ ครานี้กลับขนมามากมายนัก”


เซียวอวี๋พยักหน้ารับ “ดูเหมือนวันนี้พวกเราคงได้สนุกกันทั้งคืน พวกมันคงเตรียมโถมบุกแล้ว”


โถวปาหู่ยิ้มเจื่อน “ท่านมาได้ถูกเวลาทุกครั้งจริงๆ แม้ไม่อยากกล่าวแต่ก็คงต้องบอกว่าท่านนี่มีชะตาเป็นผู้กอบกู้ของจักรวรรดิเมฆาจริงๆ”


เซียวอวี๋หัวเราะ “คำกล่าวของท่านนี้นับว่าถูกใจข้าจริงๆ ในโลกนี้คงมีคนกล่าวตรงๆเช่นท่านอยู่ไม่มาก ข้าเชื่อว่าหลังจากเรื่องราวคราวนี้จบลง ดินแดนไลอ้อนและจักรวรรดิเมฆาจะต้องมีสัมพันธ์อันดีสืบไป”


เซียวอวี๋แหงนมองฟ้าพลางกล่าวว่า “ซึ่งที่จริง เป็นมิตรเช่นนี้ยังมีอันใดไม่ดี? พวกเราไม่ต้องรบกัน ประชาชนของพวกท่านก็ไม่ต้องถูกกะเกณฑ์เข้ากองทัพ ไม่ต้องมีชาวบ้านสูญเสียครอบครัวจากไฟสงคราม ประชาชนทุกคนล้วนใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ข้าจะจัดส่งสิ่งของจากทางด้านอาณาจักรพยัคฆ์คำรนมาให้ ส่วนพวกท่านก็จัดส่งม้า ขนสัตว์และสิ่งของอื่นๆกลับมา ทุกฝ่ายต่างก็ได้รับผลประโยชน์ มีชีวิตสงบสุขเช่นนั้นไม่นับดีหรือ?”


โถวปาหู่นิ่งฟังคำกล่าวของเซียวอวี๋ ก่อนที่สุดท้ายจะกล่าวขึ้นว่า “หากทุกคนมีความคิดเช่นท่านก็คงดี หากท่านได้ขึ้นเป็นราชาของอาณาจักรพยัคฆ์คำรนในภายหน้า ผู้คนในแผ่นดินใหญ่ก็นับว่าได้รับการอำนวยพรแล้ว”


เซียวอวี๋ยิ้ม “อันที่จริงข้าไม่ต้องการตำแหน่งราชาอะไรนั่นเลย ขอเพียงไม่มารุกรานข้า ต่างฝ่ายต่างก็อยู่อย่างสันติ ข้าจะมีภรรยาสักหลายคน มีชีวิตอย่างสุขสบาย หากเบื่อก็หาสิ่งใดทำเล่น แต่หากเป็นแบบนั้น ผู้คนคงเรียกข้าว่าเจ้าบุตรล้างผลาญแล้ว”


โถวปาหู่ยิ้มตาม “น่าเสียดายที่ฟ้าไม่ปล่อยให้ท่านมีชีวิตเช่นนั้น ตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้ที่เหล่าขุมกำลังต่างๆจะปล่อยให้ท่านอยู่อย่างสงบ ทั่วทวีปแห่งนี้กำลังวุ่นวาย ท่านต้องรับหน้าที่ปกป้องทวีปนี้แล้ว และคงต้องพับเก็บแผนการบุตรล้างผลาญของท่านไปก่อน”


“ฮาฮาฮา..” เซียวอวี๋ระเบิดเสียงหัวเราะ เขามองไปยังพวกสัตว์ประหลาดสี่แขนที่เริ่มลงมือปีนกำแพงก่อนจะขึ้นด้วยเสียงอันดัง “เตรียมตัวต่อสู้! ส่งไอ้พวกตัวประหลาดนี้ลงนรก!”


โอ้ว…..


ได้ฟังคำกล่าวของเซียวอวี๋ ไพร่พลทั้งหมดก็ตะโกนขานรับ ขวัญกำลังใจในตอนนี้นับว่าเต็มเปี่ยม


ปัง……


ขณะที่สัตว์ประหลาดสี่แขนตัวหนึ่งกำลังจะทิ้งตัวลงบนกำแพง เสียงแหวกฝ่าอากาศก็พลันดังขึ้น ก่อนที่เสียงระเบิดจะดังขึ้นพร้อมบนร่างของสัตว์ประหลาดสี่แขนปรากฏรูกลวงรูใหญ่


เป็นฝีมือของทิรันด้า


หลังจากตัดผ่านมาขั้นที่หกได้ ทักษะธนูของนางก็เปี่ยมไปด้วยพลังพิฆาตสูงสุด เพียงศรเวทธรรมดาดอกเดียวก็สามารถสร้างแรงระเบิดได้มหาศาลแล้ว


อันที่จริง หลังสังหารคฑูนลงได้สำเร็จ เหล่าฮีโร่ยกเว้นแพนด้าเฉินและมัลฟูเรี่ยนต่างก็บรรลุขั้นที่หกกันหมด


เวลานี้ กลุ่มกำลังหลักของเซียวอวี๋เรียกว่าแข็งแกร่งจนไม่อาจแข็งแกร่งไปได้กว่านี้แล้ว


ขณะที่เหล่าฮีโร่ยังอยู่ในขั้นที่ห้า พวกเขาก็สามารถรับมือกับยอดฝีมือขั้นที่หกได้แล้ว มาตอนนี้พวกเขาอยู่ในขั้นที่หก เหล่ายอดฝีมือขั้นที่หกทั่วไปย่อมไม่อาจเป็นคู่มือของพวกเขา


เผชิญหน้ากับสัตว์ยักษ์สี่แขนพวกนี้ แม้พวกมันจะมีพละกำลังมาก แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหล่าตัวตนที่แข็งแกร่งประดุจฝันร้ายเหล่านี้ก็มีแต่รอถูกเชือดเท่านั้น


ฟุ่บ!


ขณะที่กลุ่มนักรบแดนใต้กำลังไล่ตามโจมตีพวกยักษ์ศิลาที่กำลังถอยอยู่นั้นเอง ร่างของกรอมก็ร่วงลงมาจากฟ้า เขาหมุนตัวขึ้นกลางอากาศจนก่อเป็นพายุดาบที่มีรัศมีโจมตีสิบเมตรขึ้นมา ผู้ที่สัมผัสถูกพายุดาบนี้ล้วนแต่กลายเป็นเศษเนื้อ


พยุหะดาบ!


ทักษะใหม่ของกรอม พยุหะดาบนี้ในที่สุดก็ได้สำแดงพลังอย่างเต็มที่ ในฐานะทักษะไม้ตายของกรอมแล้ว พลังของมันย่อมไม่ธรรมดา กระทั่งเรียกได้ว่าฝืนชะตาฟ้าเสียด้วยซ้ำ


ทักษะนี้ยังน่ากลัวเสียยิ่งกว่าเวทพายุเพลิงของคาเอลอีก ทุกที่ที่เขาเคลื่อนตัวผ่านล้วนแต่กลายเป็นพื้นที่โล่งเตียน กลุ่มนักรบแดนใต้ที่อยู่ในระยะล้วนแต่ถูกกำจัดสิ้น สิ่งใดก็ตามที่อยู่ในรัศมีพายุดาบนี้ล้วนแต่มีชะตาต้องถูกทำลายโดยไม่อาจหลีกหนี


โถวปาหู่อ้าปากค้างเมื่อได้เห็นท่านี้ของกรอม เขานิ่งงันราวกับสติหลุดลอยไป เขายังมั่นใจว่าหากต้องเผชิญหน้ากับกรอมแบบตัวต่อตัว เขาแน่นอนว่าจะต้องได้รับชัยชนะในท้ายที่สุด แต่หากกรอมใช้ทักษะสังหารนี้ออกมา เขาเองก็คงยากจะรอด ทักษะนี้สะท้านสะเทือนไปแล้ว


เขาไม่เข้าใจอย่างยิ่งว่าไฉนเหล่านักรบใต้ร่มธงของเซียวอวี๋ถึงล้วนแล้วแต่มีกระบวนท่าพิสดารกันทั้งสิ้น ทุกคนล้วนแต่เป็นนักรบไร้เทียมทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ลงมือสังหาร คล้ายกับว่าพวกเขาเกิดมาเพื่อสังหารโดยเฉพาะ


กระบวนท่าเหล่านี้ผิดหลักสามัญสำนึกเกินไปแล้ว….


แม้สงครามจะรุนแรงมากเพียงเท่าใด แต่ต่อหน้าพลังของฮีโร่กลุ่มนี้ ทั้งนักรบแดนใต้และสัตว์ประหลาดสี่แขนก็ล้วนแต่ถูกบดขยี้เพียงฝ่ายเดียว พวกมันรุกคืบเข้ามาไม่ได้ด้วยซ้ำ


ยอดฝีมือขั้นที่หกนับเป็นตัวตนที่เป็นดั่งฝันร้ายในสนามรบ และเหล่าฮีโร่ก็น่าสะพรึงยิ่งกว่านั้น พวกเขาสังหารศัตรูราวกับกำลังเด็ดหัวผักกาด


การโจมตีดำเนินอยู่ราวสองชั่วโมง หลังจากนั้นพวกทหารทมิฬก็ดูเหมือนจะรู้ตัวว่าวันนี้คงไม่อาจยึดกำแพงได้แล้ว ดังนั้นพวกมันจึงค่อยๆถอยทัพกลับไป


หากแต่เซียวอวี๋รู้ดีว่าคลื่นลมกำลังก่อตัว พวกมันจะต้องกลับมาแน่ ทั้งยังกลับมาด้วยความแข็งแกร่งที่มากกว่าเดิม


“เฮ้อ น่าปวดหัวจริงๆ เจ้าพวกนั้นมันอะไรกัน? ทั้งยังมีจำนวนมากขนาดนั้น ไม่ว่าผู้ใดต้องมาสู้แบบนี้ก็คงเหนื่อยจนตาย ไม่รู้ว่าต้องฆ่าไปจนถึงเมื่อใด” เซียวอวี่ทอดถอนใจ


“ดูเหมือนว่าข้าจะพลาดชมเรื่องสนุกเสียแล้ว” พร้อมกับเสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลัง โถวปาหงเดินมาพร้อมรอยยิ้ม

 

 

 


ตอนที่ 580

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


“น่าโมโหนัก ยังรู้ว่าตัวเองต้องมาหรือ?” เซียวอวี๋กลอกตาบ่นอุบ


โถวปาหงหัวเราะ “มีเจ้าอยู่ ข้ายังต้องกังวลอะไร?”


“มารดาเจ้าเถอะ ข้าอยู่แล้วไม่ต้องกังวล หรือเจ้าไม่กลัวข้ายึดจักรวรรดิของเจ้าไป?” เซียวอวี๋แค่นเสียง


“ฮ่าฮ่า มีขนมเปี๊ยะแผ่นใหญ่อย่างพยัคฆ์คำรนรอเจ้ากลับไปขโมยอยู่ เจ้ายังจะสนใจดินแดนแร้นแค้นอย่างจักรวรรดิเมฆาหรือ?” โถวปาหงกล่าวกลั้วหัวเราะ


เซียวอวี๋พลันเหนื่อยใจ เจ้าผู้นี้กลับมองความคิดของเขาออก


“แล้วพวกเราจะทำอย่างไรต่อ? อ๋องหู่ ท่านมีข้อแนะนำหรือไม่?” โถวปาหงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายราวกับถามความเห็นจากสหาย


โถวปาหู่ส่ายหน้าเบาๆก่อนจะกล่าวว่า “สำหรับสถานการณ์ตอนนี้ยังไม่มี มีเพียงต้องตั้งรับให้รัดกุมก่อนจะหาโอกาสโต้กลับ นี่สมควรเป็นสงครามที่กินเวลายาวนาน”


โถวปาหงพยักหน้า “ท่านกล่าวถูก ครั้งนี้คงเป็นสงครามชี้ชะตาของจักรวรรดิแล้ว”


โถวปาหู่กล่าวต่อ “การฟื้นฟูประเทศไม่ใช่งานง่าย หลังผ่านพ้นหายนะครั้งนี้ไปได้ จักรวรรดิเมฆาจะยิ่งแข็งแกร่ง และฝ่าบาทก็จะถูกจารึกชื่อว่าเป็นจักรพรรดิที่ปรีชาที่สุดของจักรวรรดิเมฆา พระนามของพระองค์จะถูกแซ่ซ้องสรรเสริญไปนับพันๆปี”


“ฮ่าฮ่า…ท่านอ๋อง ท่านกล่าวเกินไปแล้ว แซ่ซ้องไปนับพันๆปีหรือ ซึ่งอันที่จริง ข้าเองก็คิดเช่นเดียวกับเซียวอวี๋ หากเป็นไปได้ข้าก็อยากจะใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานไปวันๆ เรื่องจารึกชื่อในประวัติศาสตร์นั้นคงต้องเหนื่อยทั้งชีวิต”


โถวปาหงบิดเอวพลางมองดวงตะวันลับขอบฟ้า บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มจางๆ


“แก่งแย่งกันไปใย บางครั้งชีวิตที่เรียบง่ายนั้นดีที่สุดแล้ว”


…………………………


หลายวันผ่านไป ทัพทหารทมิฬยังคงบุกโจมตีอย่างต่อเนื่อง การต่อสู้กลายเป็นสงครามปิดล้อม ทหารทุกขบวนล้วนตบเท้าเข้าสู่สนามรบ ภายใต้การบัญชาการที่โดดเด่นของเซียวอวี๋ กองทัพทมิฬก็ค่อยๆสูญเสียอย่างหนัก


ทุกๆวัน โถวปาหงจะส่งทหารม้ากลุ่มเล็กๆออกค้นหาชาวบ้านที่ยังไม่กลายสภาพเพื่อพากลับมาที่ด่าน แม้การทำเช่นนี้จะอันตราย แต่ก็สามารถชนะใจชาวเมฆา


หลายคนย่อมมีญาติที่พลัดหลงสาบสูญ และการกระทำที่มีคุณธรรมเช่นนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าโถวปาหงคู่ควรกับฐานะจักรพรรดิ ตราบเท่าที่ยังมีความเป็นไปได้แม้เพียงเศษเสี้ยว โถวปาหงก็ยังส่งหทารออกช่วยเหลือผู้คน


ซึ่งผลที่ตามมาก็ได้พิสูจน์ว่าการตัดสินใจนี้ถูกต้องเพียงใด ด้วยเพราะจักรวรรดิเมฆามีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ผู้คนย่อมไม่ถูกแปรสภาพไปทั้งหมด ต้องมีผู้คนบางกลุ่มที่ยังเหลือรอด ซึ่งผู้คนเหล่านั้นก็ผ่านประตูด่านเข้ามาแทบทุกวัน


เพื่อที่จะปกป้องเหล่าผู้อพยพเหล่านี้ ทัพพยัคฆ์ได้เข้าปะทะกับพวกทหารทมิฬอย่างดุเดือดเพื่อซื้อเวลา ซึ่งนั่นก็ทำให้ไพร่พลทัพพยัคฆ์ลดน้อยลงทุกที


อย่างไรก็ตาม ฐานะของทัพพยัคฆ์ในใจของประชาชนชาวเมฆาได้พุ่งทะยานสูงเสียดฟ้า ทุกคนล้วนรู้สึกภูมิใจในทัพพยัคฆ์ เด็กๆต่างวาดฝันอยากสวมเครื่องแบบของทัพพยัคฆ์


ทัพพยัคฆ์กลายเป็นสัญลักษณ์ของความรุ่งโรจน์แห่งจักรวรรดิ


สงครามดำเนินต่อไปกว่าหนึ่งเดือน ฝ่ายทหารทมิฬยิ่งมายิ่งบุกอย่างคลุ้มคลั่ง ชาวบ้านที่ช่วยเหลือกลับมาได้ก็ลดน้อยถอยลงทุกวัน อาจกล่าวได้ว่าหากชาวบ้านไม่เห็นญาติตนเองในกลุ่มผู้อพยพก็สามารถเข้าใจได้ว่าญาติเหล่านั้นตกตายไปแล้ว


วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้ม เมฆแทบจะปกคลุมไปทั่วทั้งผืนฟ้า ฝนห่าใหญ่ตั้งเริ่มเค้า


ไม่นานบรรยากาศก็เริ่มหนักอึ้ง ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง


“ฝนคงตกหนักเป็นแน่” โถวปาหงและเซียวอวี๋ยืนอยู่บนกำแพงด่านพลางแหงนหน้า


“อืม ลมคลุ้มฝนคลั่ง พวกเราคงต้องตัวเตรียมรับศึกหนักแล้ว” เซียวอวี๋มองดูทัพทหารทมิฬที่เริ่มรวมตัวกันอยู่ไกลๆ ในใจทราบว่าศึกอันดุเดือดใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว


ตลอดเดือนที่ผ่านมา ทหารทมิฬได้บุกโจมตีอย่างต่อเนื่อง และสูญเสียอย่างหนัก ซากศพสีดำทับถมจนก่อเป็นเนินขนาดย่อม ซึ่งหลังจบการต่อสู้ทุกครั้ง โถวปาหงก็จะสั่งให้เผาทำลายศพเหล่านั้นทันที


เพราะหากว่าศพไม่ถูกกำจัดและถูกทิ้งไว้เป็นเวลานาน โรคระบาดก็จะลุกลามไปทั่ว


โถวปาหงได้จัดพิธีศพเพื่อปลอบประโลมประชาชน ไม่ว่าชาวเมฆาที่กลายสภาพหรือชาวเมฆาที่ถูกทหารทมิฬสังหาร กระทั่งทหารที่ติดตามเซียวอวี๋มาก็ถูกจัดพิธีศพพร้อมกัน


โถวปาหงกล่าวว่าจะสลักนามของทุกคนไว้บนกำแพงที่ทอดยาวนับร้อยกิโลเมตรแห่งนี้


คำกล่าวนี้กลายเป็นคำกล่าวไว้อาลัยแก่ผู้วายชนม์ ชาวเมฆาที่ได้ฟังต่างก็รู้สึกเปรียบการตายดั่งการหวนคืนสู่บ้าน และพวกเขาจะต้องชนะศึกนี้ ไม่มีทางเลือกอื่นอีก


“ตราบที่เรายังยืนหยัดที่ด่านแห่งนี้อย่างมั่นคง พวกเราก็จะมีโอกาสตอบโต้กลับ แม้อีกฝ่ายจะมีจำนวนมากมายดุจเม็ดฝน แต่ด้วยข้อจำกัดของพื้นที่นี้ พวกมันก็เข้ามาได้อย่างจำกัด เวลานี้ผู้คนจากทั่วจักรวรรดิเมฆากำลังหลั่งไหลมา ทุกคนล้วนเป็นนักรบที่ต้องการปกป้องแผ่นดินเกิด พวกเรามีทหารนับล้าน ศึกนี้พวกเราจะต้องชนะ!”


โถวปาหงหันไปมองค่ายกระโจมที่เรียงรายทอดยาวไปหลายสิบกิโลเมตรที่เบื้องหลัง ในใจของเขาพลันรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา มีชาวเมฆามากมายกำลังเดินทางมาปกป้องแผ่นดิน เช่นนี้แล้วเขายังต้องเกรงกลัวสิ่งใดอีก? ตราบที่ชาวเมฆายังสนับสนุนเขา เขาจะยืนหยัดต่อสู้อยู่ที่นี่ในฐานะจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเมฆา หลังจากนี้อีกสิบปี จักรวรรดิเมฆาจะกลายเป็นกลุ่มอิทธิพลทรงอำนาจ


เซียวอวี๋พยักหน้าก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าพูดถูก หลังผ่านเหตุการณ์มากมาย เจ้าก็ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก เวลานี้เจ้าคู่ควรกับตำแหน่งจักรพรรดิแล้ว”


“เพ้ย เจ้าพูดอย่างกับข้าเป็นชนรุ่นหลังของเจ้า” โถวปาหงไม่พอใจ


“เหอะ….หรือข้าไม่คู่ควร? แม้เจ้าจะพอมีฝีมือเชิงยุทธ์อยู่บ้าง แต่หากไม่ได้ข้าคอยชี้นำในด้านอื่นๆ เจ้ายังจะมีความสำเร็จดังทุกวันนี้หรือ? ฮ่าฮ่าฮ่า…..” เซียวอวี๋หัวเราะ


ได้ยินเซียวอวี๋กล่าวเช่นนั้น โถวปาหงก็นิ่งงัน ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “เจ้าพูดถูก ปราศจากเจ้า ข้าคงไม่มีความสำเร็จดังทุกวันนี้ กระนั้นเจ้าก็ไม่ใช่ผู้อาวุโสของข้า เจ้าเป็นพี่น้อง พี่น้องที่ยอดเยี่ยมของข้าโถวปาหง”


เซียวอวี๋ชะงัก ก่อนจะยิ้มกล่าวว่า “อืม เอาเถอะ พี่น้องในตระกูลข้าล้วนแต่ตายหมดสิ้น ได้เจ้าเป็นพี่น้องก็ไม่เลวนัก”


โถวปาหงยื่นมือออกมา และเซียวอวี๋ก็ยื่นมือออกมาจับ ฉากนี้ปรากฏขึ้นในสายตาของชาวเมฆาที่อยู่โดยรอบ และมันก็ถูกเล่าต่อกันไป หลังจากนี้อีกหลายปี ภาพดังกล่าวก็ถูกกระจายไปทั่วทั้งแผ่นดิน ผู้คนต่างกล่าวขานถึงมิตรภาพของสองจักรพรรดิ และนั่นเป็นผลให้จักรวรรดิเมฆาและอาณาจักรพยัคฆ์คำรนสงบสุขไปหลายร้อยปี


ครืน……


ทหารทมิฬนับไม่ถ้วนหลั่งไหลมาทางแนวป้องกัน มองจากระยะไกลคล้ายกับคลื่นกำลังจะสาดซัดใส่กำแพง และกำแพงด่านที่ทอดยาวนับร้อยกิโลเมตรนี้ก็กำลังจะได้รับบททดสอบครั้งสำคัญ


เวลานับเดือนที่ผ่านมา ชาวเมฆาได้หลั่งไหลกันมาและทั้งหมดก็ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับแนวป้องกันแห่งนี้ คำกล่าวของเซียวอวี๋ที่ว่า ‘กำแพงยิ่งมั่นคงจะยิ่งลดชีวิตที่ต้องสูญเสีย’ ได้ปลุกกระตุ้นชาวเมฆาและถูกกล่าวต่อไปอย่างแพร่หลาย สตรีและเด็กที่ไม่สามารถต่อสู้ล้วนแต่เดินทางมาช่วย และด้วยการชี้นำของก๊อบลิน แนวป้องกันแห่งนี้จึงแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว


ก๊อบลินมีบทบาทในสงครามนี้อย่างมาก และยังรวมไปถึงสงครามครั้งก่อนกับพวกเซิก กล่าวได้ว่าพวกก๊อบลินก็เป็นผู้กอบกู้แห่งจักรวรรดิเมฆาเช่นกัน


เวลานี้กำแพงของแนวป้องกันมีความหนากว่าสิบเมตร และฐานของมันก็หยั่งลึกไปกว่าสิบเมตรเพื่อป้องกันพวกทหารทมิฬมุดผ่านมา


บนกำแพงเวลานี้สามารถควบม้าได้อย่างสะดวก พื้นที่ที่ราบเรียบและมั่นคงทำให้ทัพพยัคฆ์สามารถพุ่งเข่นฆ่าได้ดังใจ ในบางสถานการณ์ พลังทะลุทะลวงของทัพม้าก็สามารถตัดสินผลแพ้ชนะ


นอกจากนั้น บนกำแพงยังมีเครื่องมือป้องกันต่างๆถูกจัดวางทอดยาวอย่างเป็นระเบียบ ทุกอุปกรณ์ล้วนมีทหารคอยประจำการ การแบ่งหน้าที่ของแต่ละทีมก็ถูกกำหนดอย่างชัดเจน


ขณะที่ทอดมองแนวป้องกัน เซียวอวี๋ก็อดคิดถึงแนวป้องกันแนวมาฌีโนของฝรั่งเศสในสงครามโลกครั้งที่สองขึ้นมาไม่ได้ ความแข็งแกร่งของมันทำให้ทุกคนล้วนแต่รู้สึกทึ่ง ภายในแนวป้องกันนั้นมีหลุม อุโมงค์มากมายจนราวกับเป็นปราการแห่งหนึ่ง เป็นปราการที่มั่นคงประดุจเหล็กกล้า หากว่าเยอรมันเลือกโจมตีที่แนวป้องกันมาฌีโน เช่นนั้นผลลัพธ์ของสงครามก็อาจเปลี่ยนไป


แนวป้องกันที่เซียวอวี๋และทุกคนสร้างขึ้นนี้เต็มไปด้วยเครื่องธนูหน้าไม้ เครื่องยิงหิน รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆอย่างห้องน้ำและห้องครัวจนเรียกได้ว่ามีอย่างครบคัน


เซียวอวี๋แนะนำให้โถวปาหงขายสิ่งของบางอย่างที่ปกติจักรวรรดิไม่ขายออกเพื่อหาซื้อเครื่องยิงหน้าไม้และอาวุธต่างๆมาติดตั้งไว้ที่นี่


และด้วยเส้นสายที่กว้างขวางของหอการค้ามั่งคั่งของสการ์เล็ต สิ่งของต่างๆจึงถูกจัดส่งมาที่นี่ไม่ขาดสาย


ในเวลาหนึ่งเดือนกว่าๆเกือบสองเดือน แนวป้องกันแห่งนี้ก็เสร็จสมบูรณ์


และด้วยสิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้โถวปาหงรู้สึกมั่นใจเต็มเปี่ยม กำแพงที่ทอดยาวนับร้อยกิโลเมตร เครื่องยิงธนูหน้าไม้อีกนับไม่ถ้วน ลูกธนูที่มีตั้งแต่ลูกธนูธรรมดาไปจนถึงลูกธนูเวท เครื่องยิงหิน และกระสุนชินต่างๆล้วนถูกขนมาจากที่ต่างๆทั่วทวีป


พวกเด็กๆ สตรีและคนชราล้วนรับหน้าที่หน่วยสนับสนุน


จักรวรรดิเมฆาเวลานี้เรียกได้ว่าพร้อมถึงขีดสุดสำหรับสงครามที่กำลังจะมาถึง


แน่นอนว่าคนจำนวนนับล้านเหล่านี้ไม่ใช่ประชากรทั้งหมดของจักรวรรดิเมฆา ยังมีผู้คนอีกมากที่ไม่สามารถเดินทางมายังที่นี่ แต่พวกเขาก็ยังจัดส่งสิ่งของเท่าที่จัดหาได้มาช่วยสนับสนุน


ในสงครามขนาดใหญ่เช่นนี้ การจัดส่งเสบียงนับเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง หากไม่สามารถเลี้ยงดูทหารที่แนวหน้า เช่นนั้นการจะชนะสงครามก็เป็นเรื่องยากแล้ว


ตึง ตึง ตึง…..


เสียงฝีเท้าของพวกทหารทมิฬสั่นสะเทือนดั่งแผ่นดินไหว ขณะที่คลื่นมนุษย์สีดำคืบกรายมาทางแนวกำแพง


“ชาวเมฆาเอ๋ย พวกเราเป็นชาติพันธุ์ที่ได้รับคำอวยพรจากสวรรค์ ธงหมาป่าสีทองของพวกเราจะปลิวสะบัดทุกหนแห่ง ม้าศึกของเราจะพุ่งทะยานไปทั่วแผ่นดิน เพื่อลูกหลาน เพื่อภรรยา เพื่อตัวเราเอง! จงแสดงความกล้าหาญแห่งสายเลือดหมาป่าที่ฝังแน่นในกระดูกของพวกเรา! ฆ่าทหารทมิฬล้างแค้นให้พี่น้องที่ตายไป!”


เสียงตะโกนของโถวปาหงดังดึกก้องไปทั่วบริเวณ


“ฮ่าฮ่าฮ่า…โถวปาหง คิดหรือว่าเจ้าจะชนะศึกนี้ได้? บอกต่อเจ้าก็แล้วกันว่าสุดท้ายแล้วชันชนะจะเป็นของข้า! ข้าจะได้ปกครองโลกใบนี้! ฮ่าฮ่าฮ่า….” สิ้นเสียงคำกล่าวของโถวปาหง จู่ๆก็มีเสียงหัวเราะอันชั่วร้ายปรากฏขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มวิปลาส


เจ้าของเสียงนั้นก็คือ โถวปากุ้ย…..

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม