World of Warcraft ราชันต่างภพ 560-566

ตอนที่ 560

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


“มารดามันเถอะ ตาแก่นี่โหดจริงๆ” เห็นอานุภาพเวทมิติของเฟอร์กูสันแล้วเซียวอวี๋ก็นิ่งตะลึงงัน เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดผู้คนถึงยำเกรงจ้าวมนตราสามท่านนี้นัก


เวทมิติเมื่อครู่ถึงกับทำให้มังกรน้อยตัวสั่นเทา กระทั่งเซียวอวี๋เองก็ยังรู้สึกขนลุก จะเป็นอย่างไรหากเป้าหมายของมันเป็นพวกเขา?


อายามิสเองก็นับว่าเป็นหนึ่งในบอสใหญ่ กระนั้นมันก็ต้องจบชีวิตใต้เงื้อมมือของเฟอร์กุสัน กระทั่งบอสใหญ่ยังสู้ไม่ได้ เฟอร์กูสันแข็งแกร่งขนาดไหนกัน?


ตอนนี้เซียวอวี๋กระจ่างแจ้งถึงความน่าเกรงขามของจ้าวมนตราแล้ว


หลังโจมตีออกไป เฟอร์กูสันก็หน้าซีดลงเล็กน้อย หลังผ่อนหายใจเล็กน้อยก็ดีขึ้นบ้าง ไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำยาฟื้นฟู


กล่าวอีกอย่างคือ การโจมตีนี้ไม่ได้กินแรงมากนัก เขายังสามารถโจมตีได้อีกหลายครั้ง นับว่าน่ากลัวจริงๆ


หลังฟอร์กุสันโจมตีออก ธีโอดอร์กับชัคคุนก็โจมตีเช่นกัน แต่ทั้งสองไม่ได้ร่วมกันโจมตี เพราะการโจมตีของพวกเขาเพียงคนเดียวก็ทรงพลังมากพอแล้ว อีกทั้งหากทำเช่นนั้นละอองเวทอาจเกิดการผันผวนและขัดแย้งกันได้


หากเป็นเพียงเวทบทเล็ก พวกเขาย่อมไม่ใส่เรื่องพวกนี้ ด้วยการควบคุมละอองเวทของพวกเขา สิ่งนี้ย่อมง่ายดุจปลอกกล้วยเข้าปาก ทว่านี่เป็นเวทบทใหญ่ที่ใช้จัดการศัตรูเข้มแข็งในการโจมตีครั้งเดียว ไม่อาจเอาเปรียบเทียบกันได้


ต่อให้พวกเขาเป็นจ้าวมนตราผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่มีข้อยกเว้นในเรื่องนี้


ธีโอดอร์ร่ายเวทเสร็จเป็นคนถัดมา ละอองเวทมหาศาลที่ลอยวนเวียนอยู่รอบกายของเขาทำให้คิเมร่าตัวที่เขานั่งอยุ่ถึงกับสั่นเทิ้มจนแทบทรงกายไม่อยู่


โชคดีที่จ้าวมนตราทั้งสามกางม่านเวทมนตร์ปกป้องรอบกายคิเมร่าเอาไว้ก่อน ซึ่งนั่นช่วยให้รับผลกระทบน้อยลง มิเช่นนั้น พวกคิเมร่าคงต้านแรงกดดันของละอองเวทไม่ไหว


จะเห็นได้ว่าพลังของสามจ้าวมนตราไม่เพียงแต่น่าอัศจรรย์เท่านั้น การควบคุมเองก็ยังไร้ที่ติคู่ควรเป็นสามผู้ใช้มนตราที่เข้มแข็งที่สุด


เวทของธีโอดอร์เป็นศรเวทดอกหนึ่ง ตัวลูกศรมีความยาวราวสามเมตรจนดูคล้ายหอกเล่มหนึ่ง หลังจากละอองเวทก่อรูปจนเสร็จสมบูรณ์ก็กลายเป็นศรเวทที่เปล่งประกายดอกหนึ่ง


สายตาธีโอดอร์จับจ้องแม่ทัพราแจ็คที่กำลังต่อสู้อยู่กับคาร์นเขม็ง เมื่อราแจ็คเห็นศรเวทกำลังเล็งมาที่ตน มันก็รีบถอยหนีโดยไม่ลังเล มันทราบดีว่าหากหลบการโจมตีนี้ไม่พ้น มันคงต้องจบชีวิตเป็นแน่


น่าเสียดายที่ผู้ลงมือคือธีโอดอร์ มันยังจะมีโอกาสหลบหนีอีกหรือ?


ศรเวทพุ่งแหวกฝ่าอากาศก่อนจะพุ่งทะลวงผ่านร่างราแจ็ค


ตูม…….


ศรเวทนี้แม่นยำยิ่ง มันทะลวงผ่านร่างราแจ็คไปกระแทกกับพื้นดินด้านหลังจนเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ หลังจากนั้นราวห้าวินาทีระลอกพลังเวทก็ระเบิดออกมาจากภายในหลุมจนพื้นดินสั่นสะเทือน


ราแจคหลังจากถูกระลอกพลังเวทก็ร่างระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที


“ให้ตายเถอะ ตาแก่นี่จะโหดไปถึงไหน” เซียวอวี๋อ้าปากค้าง ในที่สุดก็ได้รับทราบความร้ายกาจของตาแก่ที่ตนอยู่ด้วยมานาน หากเปลี่ยนเป็นเขาที่โดนศรเวทดอกนี้เข้าไป เกรงว่าแม้แต่ซากก็คงไม่เหลือ


ต่อเป็นโล่ศักดิ์สิทธิ์ของพาลาดินก็ป้องกันไม่ได้ แม้ทักษะโล่ศักดิ์สิทธิ์จะแข็งแกร่งจนแทบไร้เทียมทาน กระนั้นก็ยังมีขีดจำกัด สำหรับการโจมตีที่ทะลุทะลวงทุกสิ่งแบบนี้ เกรงว่าจะต้านไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว


ต่อหน้าศรเวทดอกนี้ การป้องกันใดๆก็กลายเป็นบางเบาดุจกระดาษ


ถัดจากเวทของธีโอดอร์ก็เป็นคราวของชัคคุน เขาเริ่มร่ายเวทขึ้นทันที ไม่นาน มังกรเพลิงตัวยาวหลายร้อยเมตรก็ปรากฏเป็นรูปเป็นร่าง มังกรเพลิงร้องคำรามก่อนจะพุ่งเข้าใส่โมแอม


สิ่งที่โมแอมโดดเด่นที่สุดคือการดูดซับเวทมนตร์ ดังนั้นมันจึงถือเป็นดาวข่มของผู้ใช้มนตราทั้งหลายและเป็นเป้าหมายที่ต้องเร่งกำจัดโดยเร็ว ไม่อย่างนั้น ยิ่งมันอยู่นานมากเท่าใด พวกผู้ใช้มนตราก็ยิ่งอ่อนแอลงเท่านั้น


มังกรเพลิงเลื้อยอยู่ในอากาศราวกับกำลังประกาศศักดาต่อโลกหล้า สายตาของมันจับจ้องอยู่ที่โมแอมเขม็ง


โมแอมดูดซับมานาจากในอากาศพลางปลดปล่อยเวทมนสังหารกองทัพมนุษย์อย่างต่อเนื่อง ทว่าตอนนั้นเองหางตาของมันก็เหลือบเห็นมังกรเพลิงกำลังบินลงมาจากฟ้า มันพยายามจะพุ่งหลบแต่โชคร้ายที่สายไปเสียแล้ว


มังกรเพลิงพุ่งเข้าพัวร่างกายของโมแอมก่อนจะปลดปล่อยเพลิงออกมาจนโมแอมกรีดร้องอย่างหวาดกลัว เสียงของมันยิ่งมายิ่งเบาลง ขณะที่ผิวกายของมันค่อยๆถูกเผาเป็นเถ้าไปที่ละชั้นจนสุดท้ายเหลือทิ้งไว้เพียงขี้เถ้ากองหนึ่ง


หลังเผาโมแอมจนเป็นขี้เถ้ามังกรเพลิงก็ไม่ได้หายไปทันที มันโผบินเข้าหากองทัพเซิกก่อนจะปลดปล่อยเพลิงเผาแมลงปีกเหล็กที่กำลังขวางทางทัพพยัคฆ์จนเหี้ยน หลังจากนั้นไม่กี่นาที ร่างของมังกรเพลิงก็เกิดการระเบิดก่อนจะสลายหายไป


เปลวเพลิงที่เกิดจากการระเบิดได้เผาพวกเซิกที่อยู่ใกล้จนตกตายฝูงใหญ่…..

 

 

 


ตอนที่ 561

 

อำนาจของสามจ้าวมนตราได้ครอบงำจิตใจของผู้คนทั้งหมดอย่างสมบูรณ์ มีทั้งสามอยู่ด้วยพวกเขายังต้องเกรงกลัวสิ่งใดอีก? พวกแมลงที่โหดหินพวกนั้นพลันถูกฆ่าอย่างง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ พวกเขาแข็งแกร่งถึงขั้นใดกันแน่?


แทบจะกล่าวได้ว่าตราบใดที่ยังมีจ้าวมนตราทั้งสามอยู่ กองทัพฝ่ายมนุษย์ก็จะมีกำลังขวัญท่วมท้น


หลังถูกดาบของอ้าวปาไปคุรินแน็กก็ดำดินหลบหนีไม่กล้าโผล่ขึ้นมาอีก ยิ่งได้เห็นการแสดงพลังของสามจ้าวมนตราก็ยิ่งทำให้มันไม่มีความกล้าจะออกมา มันคิดไม่ถึงเลยว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์จะมีตัวตนที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้อยู่ สหายของมันล้วนจบชีวิตในหนึ่งการโจมตี


เผชิญหน้ากับศัตรูร้ายกาจเช่นนี้มันก็เลือกที่จะหลบหนีเพื่อรักษาชีวิตรอดทันที ก่อนหน้ามันคือผู้ล่า ทว่าตอนนี้ผู้ล่าที่เกรียงไกรเช่นมันกลับต้องหลบซ่อนอย่างหวาดกลัว


หลังจากพวกบอสถูกสังหาร เซียวอวี๋ก็ให้สามจ้าวมนตราแยกตัวไปช่วยพวกทหารคนละทิศ โดยเน้นเปิดทางให้กับทัพพยัคฆ์เพื่อเร่งเผด็จศึกโดยเร็ว


ครั้งนี้โถวปาหงได้ให้ทหารที่ทัพหลังนำเครื่องบาริสต้าเวทมตร์มายังแนวหน้าเพื่อจัดการกับพวกอานูบีส พวกอานูบีสมีพลังป้องกันสูง ลูกศรทั่วไปย่อมไม่ระคายผิวของพวกมัน


เมื่อเป็นเช่นนี้ สถานการณ์ก็พลิกกลับมาเข้าทางฝ่ายมนุษย์ พวกอานูบัสค่อยๆล้มตายทีละตัวและกองทัพเซิกทั่วไปย่อมไม่อาจต่อกรทัพมนุษย์ได้อีก


หลังผ่านไปราวสองชั่วโมง กองทัพเซิกก็ค่อยๆถอยทัพ แม้พวกมันจะพยายามตอบโต้กลับอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อมีสามจ้าวมนตราดำรงอยู่ พวกมันย่อมไม่อาจก่อการใด


พวกอานูบีสล้มตาย กองทัพเซิกก็แตกพ่าย กองทัพฝ่ายมนุษย์ย่อมไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป ทัพพยัคฆ์จัดขบวนบดขยี้อยู่ด้านหน้าไพร่พลทัพอื่นติดตามอยู่ด้านหลัง


ครั้งนี้พวกเซิกล้มตายนับไม่ถ้วน กวาดมองไปยังที่ใดก็พบซากแมลงทอดร่างเป็นซากศพอยู่ทั่วทุกหนแห่ง


กองทัพฝ่ายมนุษย์ไล่ล่าพวกเซิกไปหลายร้อยไมล์จนกระทั่งมืดค่ำ สุดท้ายก็ไล่ล่ามาถึงหน้าเมืองโบราณแห่งหนึ่ง


กำแพงของเมืองโบราณมีความสูงนับร้อยเมตร รอบๆเมืองมีรูปปั้นขนาดใหญ่ตั้งอยู่มากมาย ตัวกำแพงชำรุดทรุดโทรมหลงเหลือเพียงซาก กระนั้นก็ยังสะท้อนให้เห็นถึงความตระการตาในครั้งอดีต


อัลคีราฟ!


อดีตอาณาจักรอันเกรียงไกรอัลคีราฟ ทว่าตอนนี้กลับหลงเหลือเพียงซากปรักหักพัง ความรุ่งโรจน์ในอดีตถูกกาลเวลากัดกร่อนจนแทบจำภาพเดิมไม่ได้ ลึกเข้าไปในซากสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ก็คือวิหารอัลคีราฟ พวกเซิกที่ออกอาละวาดไปทั่วจักรวรรดิเมฆาสมควรออกมาจากที่นี่เอง


หลังจากผ่านการศึกอันยาวนาน ในที่สุดกองทัพฝ่ายมนุษย์ก็สามารถขับไล่พวกเซิกกลับมาจนถึงอัลคีราฟ ตอนนี้พวกเขาสามารถทำศึกสุดท้ายกับพวกมันได้ที่นี่


ภายในวิหารอัลคีราฟมีความเป็นมานับหมื่นปี ไม่ทราบว่ามีสมบัติมากมายเพียงใดที่ผู้คนได้แต่ฝันถึงถูกเก็บไว้ด้านในนั้น


โถวปาหงออกคำสั่งให้สร้างแนวป้องกันขึ้นทันที เขาต้องการจะปิดล้อมพวกเซิกเอาไว้ที่นี่


ทาสก๊อบลินจำนวนมากเร่งเคลื่อนย้ายอุปกรณ์และเริ่มลงมือก่อสร้างป้อมค่ายอย่างแข็งขัน


พวกเซิกพยายามจะทำลายแนวป้องกันอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อมีสามจ้าวมนตรานั่งบัญชาการพวกมันจึงต้องพบแต่ความล้มเหลว ทั้งยังสูญเสียกำลังอีกเป็นจำนวนมาก


เรียกได้ว่าวันนี้สามจ้าวมนตราถือเป็นกำลังหลักอย่างแท้จริง สมแล้วที่พวกเขาคือผู้แข็งแกร่งอันดับต้นๆของทวีป ครั้งนับว่าทุกคนได้ทราบความร้ายกาจแล้ว ทราบว่าเหตุใดพวกเขาจึงถูกเรียกว่าผู้พิทักษ์แห่งทวีป ในช่วงเวลาวิกฤตผู้คนสามารถพึ่งพาความแข็งแกร่งของพวกเขาพลิกสถานการณ์เป็นตาย


หลังจากเร่งงานตลอดสามวันเต็ม กองทัพพันธมิตรของมนุษย์ก็สามารถก่อกำแพงขึ้นปิดตายอัลคีราฟได้สำเร็จ ขณะเดียวกัน พวกเซิกก็กระจัดกระจายกันไป บ้างหลบหนี บ้างถูกกองทัพย่อยฝ่ายมนุษย์กำจัดฆ่า


มาถึงจุดนี้ ฝ่ายมนุษย์ไม่ได้พลีผลามบุกเข้าไปในอัลคีราฟ พวกเขาเลือกที่จะหารือแผนการอีกครั้ง ทหารของจักรวรรดิเมฆาค่อยๆลำเลียงเสบียงมาตั้งค่ายขึ้นที่นี่ พวกเขาจะไม่ปล่อยให้พวกเซิกเล้ดรอดออกไปก่อกรรมทำเข็ญได้อีก มิเช่นนั้นไม่รู้ว่าจะต้องมีชาวบ้านอีกกี่ชีวิตที่จบสิ้นลง


หลังพวกเซียวอวี๋ขับไล่พวกเซิกมาจนถึงที่นี่ ขุมกำลังที่เฝ้าดูสถานการณ์มานานก็เริ่มเคลื่อนไหว พวกเขาขนกองกำลังตามมาโดยอ้างว่ายกกำลังมาช่วยเหลือ แท้ที่จริงกลับหวังจับปลาตอนน้ำขุ่น สายตาของพวกเขาล้วนจับจ้องขุมทรัพย์ภายในอัลคีราฟด้วยความโลภ


เกี่ยวกับเรื่องนี้ โถวปาหงได้ดำเนินการตามแผนที่เซียวอวี๋เตรียมไว้ ผู้ที่ต้องการพักหรือเข้าไปค้นหาสมบัติภายในอัลคีราฟจะต้องจ่ายค่าผ่านทาง มิเช่นนั้นพวกเขาจะถูกขับไล่ออกห่างจากแนวป้องกัน หากว่าขัดขืนก็จะถือว่าเป็นศัตรูกับจักรวรรดิเมฆา


ผู้คนมากมายต่างประท้วงว่าไม่ยุติธรรม แต่เมื่อได้เห็นเซียวอวี๋ขี่มังกรบินลงมาจากบนฟ้าพวกเขาก็พลันปิดปากเงียบทันที


ที่แท้ความคิดรีดไถผู้อื่นก็มาจากเจ้าวายร้ายนี่เอง!


พวกเขาที่สิ้นไร้หนทางได้แต่กัดฟันและก่นด่าบรรพบุรุษของอีกฝ่ายอยู่ในใจ พวกเขาทราบดีว่าเวลานี้การเป็นศัตรูกับกองทัพพันธมิตรของอีกฝ่ายเป็นการรนหาที่ตายโดยแท้


โดยเฉพาะตอนที่ได้เห็นทัพพยัคฆ์สำแดงอานุภาพ คิดจะต้านกองทัพดุร้ายเช่นนี้มีแต่เจ็บหนัก จริงอยู่ที่ขุมกำลังทรงอำนาจอย่างเช่น ตระกูลเคเนดี้ ตระกูลช็อค ตระกูลเอิรน์และตระกูลอื่นๆก็อยู่ที่นี่ กระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ขนกองทัพมาด้วย แน่นอนว่ากองกำลังเพียงหยิบมือของพวกเขาย่อมไม่อาจรับมือกับจักรวรรดิเมฆาทั้งจักรวรรดิในแผ่นดินของอีกฝ่าย


ทุกคนได้แต่กำหมัดและจ่ายค่าผ่านทางจำนวนมหาศาลอย่างไม่เต็มใจ


ได้เห็นเงินทองมหาศาลที่ไหลเข้ากระเป๋า เซียวอวี๋ก็ยิ้มแย้มไม่หุบ เท่านั้นยังไม่พอ เขายังเอ่ยปากทวงหนี้ที่โถวปาหงขอยืมไปจัดเลี้ยงให้ทัพพยัคฆ์คืนทันที


โถวปาหงยื้มเจื่อน นิสัยของเซียวอวี๋เรียกว่าแก้ไม่หายจริงๆ เขาได้แต่นำเงินส่วนแบ่งจากค่าผ่านทางจ่ายให้กับเซียวอวี๋


ในการศึกครั้งนี้ ทัพพยัคฆ์นับว่าสร้างชื่อเสียงอันเกรียงไกรขึ้นอีกครั้ง ด้วยความดีความชอบที่พวกเขาสร้างขึ้น โถวปาหงจึงได้มอบรางวัลพิเศษให้กับพวกเขา อ๋องหู่เองก็ได้รับชื่อเสียงและการสรรเสริญจากประชาชนดังที่หวัง นับว่ากู้คืนชื่อเทพสงครามไร้พ่ายกลับมาได้อย่างสมศักดิ์ศรี


ในวันนั้นสามจ้าวมนตราเองก็นับว่าลงมือลงแรงไปมาก หลายวันนี้จึงเก็บตัวฟื้นฟูพลัง ทั้งยังเป็นการเตรียมตัวสำหรับการบุกเข้าทำศึกสุดท้ายภายในอัลคีราฟอีกด้วย


การศึกครั้งหน้าจะเป็นศึกที่จะขจัดหายนะจากอัลคีราฟตลอดกาล……

 

 

 


ตอนที่ 562

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


ตลอดหลายวันที่ผ่านมา พวกเซิกที่อยู่ในอัลคีราฟพยายามจะตีฝ่าวงล้อมอยู่หลายครั้ง กระนั้นก็ต้องล้มเหลวทุกครั้งไป ในตอนนี้ที่นี่ไม่ได้มีเพียงกองทัพของเซียวอวี๋และจักรวรรดิเมฆาเท่านั้น หากแต่ยังมีกลุ่มกองกำลังและเหล่านักผจญภัยจำนวนมาก


ขุมกำลังทรงอำนาจทั้งหลายล้วนมาแล้ว ทั้งหมดต่างก็มีจุดประสงค์เดียวกัน นั่นคือครอบครองสมบัติภายในอัลคีราฟ


เหล่าคนคุ้นหน้าคุ้นตาที่เซียวอวี๋เคยพบที่วิหารดำก็มาแล้วเช่นกัน อย่างเช่นลีโอนาโดแห่งตระกูลช็อค ร็อบแห่งตระกูลเคเนดี้ กลุ่มสตาร์และอื่นๆ


ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมกองกำลังเหล่านี้จึงใจกว้างช่วยกวาดล้างพวกเซิกที่ออกมานั้น ย่อมต้องเป็นเพราะซากแมลงเหล่านี้ล้วนสามารถนำไปเป็นวัตถุดิบในการสร้างสิ่งต่างๆ


ตลอดเวลาหลายวัน เซียวอวี๋ได้ออกเก็บซากแมลงไปทั่ว พบเจอศพใดก็เป็นกวาดเข้าแหวนมิติไปทั้งหมด


โดยเฉพาะกับซากร่างอันใหญ่โตของพวกอานูบีส ทุกส่วนของมันล้วนแต่เป็นวัตถุดิบหลอมสร้างชั้นยอด เซียวอวี๋ตั้งใจจะขนกลับไปให้ฮิกกิ้น


ด้วยเหตุนี้พวกเซิกจึงออกมาได้แต่กลับไม่ได้


เมื่อสถานการณ์เริ่มมั่นคง ทั้งหมดก็เริ่มเตรียมตัวสำหรับการบุกเข้าอัลคีราฟ


เซียวอวี๋ใช้เวลาหารือแผนการต่างๆกับโถวปาหง บางเวลาก็สังสรรค์หรือพูดคุยสถานการณ์ของทวีปใหญ่กับนิโคลัส


นิโคลัสเองก็มีบทบาทในการโต้กลับพวกเซิก แต่ด้วยเพราะจำนวนคนที่เขานำมาในตอนแรกนั้นมีน้อย ผลงานของเขาจึงถูกกองกำลังอื่นๆบดบังไป


แต่วันนี้คนจากตระกูลของเขาได้เดินทางมาสมทบแล้ว การบุกเข้าอัลคีราฟครั้งนี้นิโคลัสให้ความสำคัญอย่างมาก


“ตอนนี้กองทัพออร์คของกูดาลครอบครองดินแดนได้หลายแห่ง ทั้งจำนวนไพร่พลยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว” เซียวอวี๋กวาดมองตำแหน่งบนแผนที่พลางเอ่ยกับนิโคลัส


ดินแดนจำนวนมากตกอยุ่ใต้การปกครองของกูดาลโดยมีบึงตะวันลับเป็นจุดศูนย์กลาง


หลังจากที่กูดาลฟื้นคืนชีพ ความแข็งแกร่งของมันก็มีแต่เพิ่มพูนขึ้นอย่างน่ากลัว มันนำกองทัพบุกโจมตีไปทุกหนแห่ง กองทัพของดินแดนที่ไม่เข้มแข็งย่อมไม่อาจต้านทานการบุกของกองทัพออร์คที่กระหายเลือดจำนวนมาก


อันที่จริง ไม่ใช่ว่ากองทัพของมนุษย์ไม่สามารถจัดการกับพวกออร์คได้ หากแต่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ทุกดินแดนต่างแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ทุกคนมัวแต่กังวลถึงผลประโยชน์ส่วนตน ไม่มีผู้ใดยินดีนำกองทัพเข้าสกัดยับยั้งการเติบโตของกูดาล ดังนั้นดินแดนและเมืองจำนวนมากจึงถูกกูดาลบุกยึดได้โดยง่าย


“ไม่นานมานี้ข้าได้ข่าวว่าเกิดการระดมกำลังจำนวนมากขึ้นที่ดินแดนแห่งหนึ่ง ทหารเหล่านั้นล้วนแต่สวมใส่ผ้าคลุมสีดำ พื้นที่ที่ที่พวกเขาครอบครองนับว่าใหญ่อย่างยิ่ง” นิโคลัสกล่าวพลางชี้ไปยังจุดหนึ่งในแผนที่


“หืม เจ้าหมายถึงขุมกำลังลึกลับนั้น?” เซียวอวี๋เลิกคิ้วพลางยกไวน์ขึ้นจิบ กระนั้นกลับไม่มีท่าทีกังวลแต่อย่างใด


นั่นเป็นเพราะเขาเพิ่งได้รับข่าวดีข่าวหนึ่ง ฮีโร่ในสังกัดของเขาหลายคนได้เลื่อนไปถึงขั้นที่หกแล้ว!


ฮีโร่เหล่านั้นประกอบด้วยกรอม คาร์น อิลิดัน แอนโทนีดาส คาเอลธาส


ส่วนทอร์ล อูเธอร์ นากา แพนด้าเฉิน มัลฟูเรี่ยน ทิรันด้าและเมอีฟที่ยกกำลังไปโจมตีโถวปากุ้ยกับฉินเช่อยังคงไม่เลื่อนระดับ


กรอม คาร์นและอิลิดันนับเป็นกำลังหลักในการต่อสู้ระยะประชิด การศึกที่ผ่านมาหลายครั้งพวกเขาเป็นหน่วยบุกทะลวงฟันที่ยอดเยี่ยม ย่อมไม่แปลกที่พวกเขาจะเลื่อนระดับ ส่วนคาเอลและแอนโทนีดาสรับหน้าที่กวาดล้างกลุ่มศัตรูที่รวมตัวอยู่หนาแน่น เวทเพียงบทเดียวของพวกเขาสามารถเข่นฆ่าพวกเซิกได้จำนวนมาก การเลื่อนระดับจึงรวดเร็วกว่าฮีโร่คนอื่นๆ


ในตอนนี้ แพนด้าเฉินและมัลฟูเรี่ยนที่เพิ่งถูกอัญเชิญออกมาก็มีระดับสี่สิบซึ่งเทียบได้กับนักรบขั้นที่สี่แล้ว


หลังจากมีพลังถึงขั้นที่หกก็เรียกได้ว่าเป็นการเกิดใหม่ เป็นการบรรลุพลังขั้นใหม่อย่างแท้จริง เว้นแต่เผชิญหน้ากับศัตรูเข้มแข็งที่อยู่ในขั้นที่หกขึ้นไปแล้ว ศัตรูอื่นๆล้วนแต่ไม่อาจเป็นภัยคุกคามพวกเขาได้อีก


นั่นก็เพราะว่าเหล่าฮีโร่ล้วนแต่มีทักษะที่ทรงพลังยิ่งกว่าผู้ใด


เซียวอวี๋เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าการบุกเข้าอัลคีราฟครั้งนี้ เมื่อมีฮีโร่ขั้นที่หกจำนวนมากอยู่ด้วย กองทัพของเขาจะสามรถบดขยี้ศัตรูได้ทุกรูปแบบ


นอกเหนือจากเหล่าฮีโร่แล้ว อลอนโซ่เองก็สามารถตัดผ่านไปยังขั้นที่หกได้ภายใต้การชี้แนะของอูเธอร์เช่นกัน แม้ว่าตัวอูเธอร์เองจะยังเลื่อนไปขั้นที่หกไม่ได้ เขาก็ไม่ได้ตระหนี่ความรู้ไม่ยอมชี้แนะให้อลอนโซ่


ด้วยเพราะได้ติดตามอูเธอร์มาพักใหญ่ จิตใจของอลอนโซ่ยิ่งมาก็ยิ่งแน่วแน่ พลังศรัทธาในใจของเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นพลังที่ช่วยให้เขาสามารถบรรลุขอบเขตขั้นที่หก พวกพาลาดินคนอื่นๆในภาคีหัตถ์เงินเองก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก


ในดินแดนของเซียวอวี๋ เขาได้รับสมัครผู้คนจำนวนมากเข้าภาคีหัตถ์เงิน จำนวนพาลาดินใต้สังกัดของเขาจึงมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่เข้มแข้งอยู่แล้วก็ยิ่งเข้มแข็งขึ้นไปอีกขั้น นักรบพาลาดินล่าสุดตอนนี้มีจำนวนเกินกว่าสามหมื่นคนไปแล้ว


แม้สมาชิกที่แรกเริ่มเข้าร่วมจะยังอ่อนแอ แต่เมื่อได้อาบแสงของอูเธอร์บ่อยเข้า พวกเขาก็ยิ่งมาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มที่ติดตามอลอนโซ่มาตั้งแต่แรก พาลาดินหลายร้อยคนนั้นระดับต่ำสุดก็อยู่ที่ขั้นห้าแล้ว


เห็นสมาชิกที่มีศรัทธาแรงกล้าในอูเธอร์ยิ่งมายิ่งแข็งแกร่ง เซียวอวี๋ก็ยิ้มจนแก้มแทบฉีก พลังของศาสนาช่างยิ่งใหญ่จริงๆ


ตอนนี้มีคนที่ไม่ใช่ฮีโร่แต่ไปถึงขั้นที่หกแล้วจำนวนสามคนอยู่กับเขา นั่นก็คือ หลินมู่เสวี่ย อลอนโซ่ และคาสโซ่


มีผู้แข็งแกร่งอยู่รอบกายมากถึงเพียงนี้ มีหรือที่เซียวอวี๋จะไม่มีความสุข กองทัพของเขาเติบโตขึ้นทุกวันแบบนี้ย่อมีสว่ยช่วยให้ระดับผู้บัญชการของเขาเพิ่มขึ้นเช่นกัน คาดว่าอีกไม่นานคงเลื่อนไปอีกขั้น เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็จะสามารถอัพเกรดฐานทัพให้เป็นระดับสาม


ฐานทัพที่เขาจะอัพเกรดเป็นระดับสามย่อมต้องเป็นฐานทัพเผ่ามนุษย์ นั่นเพราะเมื่อไปถึงระดับสาม ยูนิตรถถังและปืนใหญ่จำนวนมากก็จะถูกปลดล็อค และนั่นจะยิ่งเสริมให้กองทัพของเขาไร้เทียมทานขึ้นไปอีก


ในช่วงเวลาที่แผ่นดินวุ่นวายเช่นนี้ เซียวอวี่ย่อมไม่นิ่งเฉย เขาย่อมต้องใช้กองทัพในมือให้เป็นประโยชน์


หากฐานทัพเผ่ามนุษย์อยู่ในระดับสาม การรับมือกับพวกเซิกก็จะง่ายขึ้นมาก พวกเขาจะสามารถบุกขยี้กองทัพเซิกได้โดยตรง


“กองกำลังลึกลับนี้นับว่าลึกลับสมชื่อ แต่ข้ามักคิดอยู่ตลอดว่าบนทวีปแห่งนี้ย่อมต้องมีขุมกำลังที่เก็บเนื้อเก็บตัว หากพวกเราไม่รับรู้ถึงตัวตนของพวกเขา เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะถูกพวกเขากลืนกินโดยไม่รู้ตัว” นิโคลัสขมวดคิ้ว เขาไม่เพียงแต่กังวลกับกองกำลังลึกลับนี้ หากแต่ยังระแวดระวังกองกำลังของเซียวอวี๋ด้วย การที่ขุมกำลังเหล่านี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วได้สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าแก่เขาอย่างมาก


“นอกจากกองทัพของกูดาลและขุมกำลังลึกลับนี้แล้ว ที่รับมือได้ยากที่สุดก็คงเป็นพวกศาสนจักร พื้นที่สีแดงบนแผนที่ก็คือดินแดนใต้ปกครองของศาสนจักร” เซียวอวี๋กล่าว


“ใช่ พื้นที่สีแดงก็คือดินแดนของศาสนจักร เวลานี้กองกำลังกลุ่มเล็กๆล้วนถูกศาสนจักรควบคุมเอาไว้ กระนั้นพวกมันก็ยังไม่ลงมือกับขุมกำลังขนาดใหญ่ เซียวอวี๋ เจ้าต้องระวังไว้ เป็นไปได้มากว่าพวกเขาจะมุ่งเป้ามาที่เจ้า” นิโคลัสกล่าวหยอกเย้า


เซียวอวี๋แค่นเสียงเหยียด “หากมีความสามารถก็มาเลย คิดว่าข้ากลัวหรือ? ยิ่งกว่านั้นระหว่างพื้นที่ของศาสนจักรกับข้าก็มีดินแดนน้อยใหญ่มากมายคั่นกลางอยู่ พวกศาสนจักรกล้าบุกดินแดนเหล่านั้นหรือ?”


นิโคลัสกล่าวขึ้นอย่างจริงจัง “นี่ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ความทะเยอทะยานของศาสนจักรสูงเทียมฟ้า เมื่อสถานการณ์ฝั่งพวกเขามั่นคงเมื่อใด เป้าหมายต่อไปย่อมเป็นการกำจัดศัตรูที่เป็นหนามแทงตาที่สุดอย่างเจ้า ขอเพียงกำจัดเจ้าได้ อำนาจของพวกเขาจะทะยานขึ้นฟ้า”


ได้ยินเช่นนั้นเซียวอวี๋ก็เงยหน้าหัวเราะ “บังคับผู้อื่นให้ศรัทธา ผู้ใดไม่ยินยอมก็เข่นฆ่า เจ้าคิดว่าศาสนจักรมีคนชื่นชอบมากนักหรือ? สายน้ำสามารถประคองเรือได้ฉันใด สายน้ำนั้นก็สามารถคว่ำเรือได้เช่นกัน เมื่อใดที่อำนาจของศาสนจักรพังทลายลง เหล่าผู้ที่มีความเกลียดชังต่อศาสนจักรย่อมรุดมาบดขยี้พวกเขาจนสิ้นซาก ข้าไม่ใส่ใจพวกเขาหรอก ที่ต้องทำก็เพียงต้านทานพวกเขาระยะหนึ่ง รอจนพวกเขาพังทลายด้วยตนเอง”


นิโคลัสเผยรอยยิ้ม “เจ้าช่างมั่นใจเสียจริง”


เซียวอวี๋เชิดหน้าตอบ “แน่นอน”


“คนของเจ้าหลายคนเลื่อนถึงขอบเขตขั้นหกแล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างแท้จริง หากมอบเวลาให้อีกระยะหนึ่ง เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะไปถึงขั้นที่เจ็ด?” นิโคลัสหรี่ตาลงเล็กน้อย ความเร็วในการพัฒนาของกองทัพเซียวอวี๋นับว่าน่าตกตะลึงเสียจริง


ต้องทราบว่าการบรรลุขอบเขตขั้นที่หกนั้นต้องใช้เวลานานหลายปี การใช้เวลาอันสั้นแล้วสามารถบรรลุขอบเขตนี้ได้ย่อมมีเพียงคำอธิบายเดียว พวกเขาเป็นตัวตนในตำนานที่ฟื้นคืนชีพ! และแน่นอนว่าย่อมมีความเป็นไปได้มากที่พวกเขาจะสามารถไปถึงขอบเขตขั้นที่เจ็ดในตำนาน


กลุ่มคนเหล่านี้นับว่าน่าพรั่นพรึงอย่างแท้จริง


“ฮ่าฮ่า ขั้นที่เจ็ดนั้นเป็นเพียงเรื่องของเวลา แต่ไม่ต้องกังวลไป หากว่าเจ้าต้องการความช่วยเหลือ ขอเพียงเจ้าร้องให้สุดเสียง สหายผู้นี้จะส่งคนไปช่วยเจ้าเอง” เซียวอวี๋หัวเราะพลางตบบ่านิโคลัส


นิโคลัสกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ


“อย่างไรก็เถอะ ในเมื่อตอนนี้ขุมกำลังลึกลับนั้นอยู่ที่ดินแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือ เจ้าว่าดินแดนแถบนั้นจะต่อต้านได้หรือ? ด้วยความแข็งแกร่งและการวางแผนมาอย่างยาวนาน เมื่อพวกเขาเลือกลงมือ แน่นอนว่าพวกเขาย่อมต้องเตรียมการมาเป็นอย่างดี” ในใจของเซียวอวี๋นั้นรู้สึกว่าขุมกำลังลึกลับนี้คือศัตรูที่เข้มแข็งที่สุดมาโดยตลอด


“นี่เป็นไปได้อย่างยิ่ง” นิโคลัสกวาดมองแผนที่ “หากพื้นที่แถบนั้นถูกยึดครอง ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะต้องเพิ่มขึ้นอีกมาก ถึงตอนนั้นพวกเราจะต้องติดต่อขุมกำลังต่างๆเพื่อรับมือกับพวกเขา กระทั่งความแข็งแกร่งของพวกเรารวมกัน ข้าเกรงว่าก็ยังไม่ใช่คู่มือพวกเขา”


“มีวิธีที่ดียิ่งกว่านั้นอยู่นะนิโคลัส ก่อนอื่นเราสองร่วมมือกันกำจัดศาสนจักรลงก่อน จากนั้นก็บุกตีกูดาล สุดท้ายค่อยยกทัพไปบดขยี้ขุมกำลังลึกลับนั่นเป็นอย่างไร?” เซียวอวี๋บอกเล่าแผนการขณะยิ้มจนตาหยี


นิโคลัสหรี่ตามองเซียวอวี๋ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ส่ายศีรษะ “พวกเราสองคนไม่ใช่มิตรที่แท้จริง หากว่าพวกเราร่วมมือกันกำจัดพวกเขาจนหมดสิ้น สุดท้ายผู้ใดจะได้ครองทวีปนี้?”


เซียวอวี๋หัวเราะพลางตบบ่านิโคลัส “ไฉนเจ้าคิดเล็กคิดน้อยนัก รอจนกำจัดพวกเขาหมดสิ้น พวกเราค่อยมาตีกันก็ได้แล้ว”


นิโคลัสกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ถึงเวลานั้นกองทัพเจ้าย่อมเหนือกว่าข้าแล้ว”


เซียวอวี๋แหงนหน้าหัวเราะ “เช่นนั้นก็เข้าร่วมกับข้า ข้าจะให้เจ้าเป็นอ๋องของดินแดนพยัคฆ์ในจักรวรรดิเมฆา”


กล่าวจบเซียวอวี๋ก็หันไปหาโถวปาหู่


โถวปาหู่ได้แต่ยิ้มเจื่อน


นิโคลัสแค่นเสียง “ไฉนไม่เป็นเจ้าที่เข้าร่วมกับข้า ถึงตอนนั้นข้าจะยกประเทศให้เจ้าปกครองสักประเทศ”


เซียวอวี๋แสร้งถอนหายใจก่อนจะกล่าวว่า “เฮ้อ ไฉนเจ้าดื้อรั้นถึงเพียงนี้ เจ้าชนะข้าไม่ได้หรอก”


นิโคลัสกัดฟัน “นั่นก็ไม่แน่”


เซียวอวี๋เงยหน้าหัวเราะ “เรื่องนี้ข้าได้กล่าวไปแล้ว เอาเถอะ เวลานี้พวกเราจะต้องร่วมมือกัน หากไม่ร่วมมือกัน ไม่ว่าเจ้าหรือข้าก็รับมือกับขุมกำลังลึกลับนั้นไม่ได้”


นิโคลัสเหม่อมองท้องฟ้าก่อนจะกล่าวว่า “ชะตาฟ้ายากฝ่าฝืนเสียจริง”

 

 

 


ตอนที่ 563

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


หลังจากเตรียมการอยู่เจ็ดวัน กองทัพพันธมิตรของมนุษย์ก็บุกเข้าอัลคีราฟ เหตุผลที่ทุกฝ่ายหันมาร่วมมือกันก็เป็นเพราะพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูต่างเผ่าพันธุ์


กองทัพเซิกพวกนี้มุ่งหวังจะทำลายล้างโลก เผ่าพันธุ์มนุษย์จึงต้องร่วมมือกันกำจัดพวกมันเสียก่อน อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้คนอีกมากที่ไม่ได้คิดเช่นนี้ ผู้คนบางส่วนก็มาเพียงเพราะต้องการแสวงหาความมั่งคั่งจากการติดตามเข้าไปในอัลคีราฟ


เฟอร์กูสันมักมองเซียวอวี๋ด้วยสายตาอันซับซ้อนอยู่หลายครั้ง เขาตระหนักดีว่าครั้งนี้เซียวอวี๋มีส่วนช่วยในการปกป้องทวีปมากเพียงใด คนผู้นี้บางคราก็คนไร้สาระ บางคราก็เป็นวายร้าย เขาไม่มีท่าทางเหมือนกับขุนนางแม้แต่น้อย แต่เมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญ คนผู้นี้พร้อมทุ่มกำลังทั้งหมดปกป้องทวีปและเผ่าพันธุ์มนุษย์


นี่เป็นสิ่งที่ยากจะพบเห็นจากผู้ทรงอำนาจคนอื่นๆ


แน่นอนว่านิโคลัสก็ดีไม่น้อย ตั้งแต่ที่เขาร่วมออกทุนจำนวนมากในการสร้างรูปปั้นอนุสรณ์ของเอกวินน์ในคราวนั้น มาครั้งนี้เขายังนำกำลังเดินทางมาต้านทานพวกเซิกโดยปราศจากความลังเล จะเห็นได้ว่าคนผู้นี้ไม่ได้เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตน อีกทั้งวิสัยทัศน์ของเขายังลึกซึ้งกว้างไกลกว่าผู้อื่น


ราชวงศ์ที่ตอนนี้เขาปกป้องดูแลอยู่นับว่าเทียบไม่ได้เลย


อันที่จริง ในใจของเขากระจ่างดี อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่เป็นผู้ปกปักษ์ของราชวงศ์แล้ว ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาย่อมต้องปกป้องราชวงศ์สุดกำลัง


แม้ว่าสงครามกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า แต่เฟอร์กูสันก็ยังกวาดมองดูคิเมร่าที่เขากำลังนั่งอยู่ เขาถอนหายใจพลางนึกถึงคำพยากรณ์ขึ้นมา


สามารถรวบรวมทุกเผ่าพันธุ์ให้เป็นหนึ่ง สามารถนำเหล่าวีรชนให้หวนคืน


เห็นได้ชัดว่ามีเพียงเซียวอวี๋ที่สามารถบรรลุเงื่อนไขสองข้อนี้


“เพื่อจักรวรรดิเมฆา เพื่อความสงบสุขของทวีป ทัพพยัคฆ์ บุก!” เสียงตะโกนของโถวปาหู่ดังกึกก้องไปทั่วสนามรบ


“ย่าห์!” ทัพพยัคฆ์ต่างกู่ร้อง ม้าศึกที่พวกเขาเองก็เช่นกัน เสียงร้องอันกึกก้องนี้ล้วนทำให้ผู้คนสั่นสะท้านอยู่ในใจ


ครืน……..


ทัพพยัคฆ์พุ่งทะยานราวสายฟ้าเส้นหนึ่ง อำนาจบุกทะลวงนับว่าเกรงขามอย่างถึงที่สุด สมกับยอดทัพของทวีป


พวกนักผจญภัยที่มาจากทั่วทวีปหรือนักรบจากขุมกำลังต่างๆล้วนแต่ตกตะลึงในใจ ทัพพยัคฆ์นี้นับว่าน่าเกรงขามจริงๆ


ทั้งขวัญกำลังใจและสภาวะ เหล่านี้พวกเขาล้วนแต่มีมากที่สุดในสนามรบแห่งนี้


“หากได้ครอบครองกองทัพเช่นนี้ก็ประเสริฐนัก” ในใจของทุกคนล้วนแต่คิดเห็นเช่นเดียวกัน


ครืน…….


เสียงกีบเท้าม้ายิ่งมาก็ยิ่งดัง ผู้คนจำนวนมากต่างตามทัพพยัคฆ์ไปติดๆ ที่บนฟ้ามีกองทัพอากาศของเซียวอวี๋บินคุ้มครอง พวกเขาแบ่งกองทัพเป็นสามรูปขบวน ผู้ใช้มนตราของแต่ละขบวนมีหน้าที่สนับสนุนทัพพยัคฆ์ที่เบื้องล่าง


ตู้ม!


ทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกันอย้่างรุนแรงประดุจคลื่นกระทบกำแพง แรงกระแทกจากการปะทะได้บดขยี้พวกแมลงเปลือกเหล็กเป็นชิ้นๆ


เพลิงจากลมหายใจของคิเมร่า ระเบิดจากพวกแบทไรเดอร์และเวทมนตร์ของสามจ้าวมนตราก็ตามไล่หลังมาทันที พวกเซิกในแนวหน้าพลันล้มตายอย่างสาหัส


ทัพพยัคฆ์ประดุจมังกรที่แหวกว่ายในสมุทร ไม่ว่าพุ่งไปที่ใดที่นั่นล้วนแหวกเป็นทางสายหนึ่ง


เห็นฉากที่ปรากฏในสายตา เซียวอวี๋ก็พลันเลือดลมพลุ่งพล่าน


“มังกรน้อย พวกเราเองก็ไปกันเถอะ!” เซียวอวี๋ตะโกนพลางบังคับมังกรน้อยพุ่งลงจากท้องฟ้า เพียงชั่วลมหายใจพวกเขาก็มาถึงพวกแมลงที่พยายามจะสร้างแนวต้านทานทัพพยัคฆ์ เมื่อมังกรน้อยบินทะลวงผ่านไป แมลงเหล่านี้ก็ถูกบดขยี้จนชิ้นส่วนกระจัดกระจาย


เวลานี้มังกรน้อยอยู่ในระดับสุดยอดของขั้นที่สี่ และอยุ่ห่างจากขั้นที่ห้าไม่ไกล ความแข็งแกร่งของมันย่อมสูงล้ำจนยากต้านทาน


หากว่าสามารถไปถึงขอบเขตขั้นที่ห้าได้สำเร็จ ความแข็งแกร่งของมังกรน้อยก็สามารถมีเปรียบเหนือขั้นที่หกของเผ่าพันธ์ุอื่นๆได้ทันที จะเป็นรองก็เพียงอ้าวปาและสามจ้าวมนตราทเท่านั้น และหากว่าไปถึงขั้นที่หกได้ มันก็จะกลายเป็นตัวตนไร้เทียมทานในทวีปนี้


ได้ติดตามเซียวอวี๋มานาน มังกรน้อยก็ได้รับการเลี้ยงดุด้วยของดีมากมาย เซียวอวี๋ไม่เคยตระหนี่ในการส่งเสริมมังกรน้อยอยู่แล้ว เขาไม่สนใจว่าจะต้องลงเงินมหาศาลเพียงใด เขาให้มังกรน้อยได้กินของดีที่สุดเสมอ


นี่จึงเป็นสาเหตุที่มังกรน้อยก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว และนี่ยังเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเซียวอวี๋ใช้งานมังกรน้อยราวกับทาส กระนั้นมังกรน้อยก็ยังติดตามเซียวอวี๋อย่างไม่ลังเล


เซียวอวี๋เปรียบประดุจบิดาของมัน แม้ว่าเขาจะเข้มงวดกับมังกรน้อยไปบ้าง กระนั้นก็ล้วนแต่ทำไปด้วยความหวังดี


โฮกกกกกกกก


เมื่อได้เข้าร่วมสนามรบ มังกรน้อยก็คำรามอย่างตื่นเต้น บางครั้งมันยังเปล่งเสียงร้องเพลงที่เซียวอวี๋สอนให้อีกด้วย “รีบเร่งใช้ทอนฟา จงใช้ทอนฟาฟาดหวดโดยไว….”


กองทัพมนุษย์บุกทะลวงพวกเซิกราวกับผ่าปล้องไผ่ ภายใต้การคุ้มครองจากสามจ้าวมนตรา กำแพงแมลงที่พวกเซิกกอ่ตัวขึ้นก็ถูกบดขยี้ เมื่อเห็นท่าไม่ดี พวกเซิกก้เริ่มที่จะล่าถอยไปยังกำแพงสูงตระหง่านของอัลคีราฟ


“กำแพงเปลือกแมลง” เซียวอวี๋มองดูกำแพงสูงด้วยอารมณ์ กำแพงแห่งนี้สร้างขึ้นจากการเสียสละของสามจ้าวมังกรผู้ยิ่งใหญ่ อารีกอส เมอริธา และเคลธาส


และนับแต่นั้น เผ่าพันธุ์มังกรก็ตกต่ำลง


ตอนนี้กำแพงแห่งนี้ไม่อาจหยุดยั้งพวกเซิกไม่ให้ออกไปได้อีก ทั้งยังต้องพึ่งพาพลังของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในการต้านทานพวกเซิก เผ่าพันธุ์ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีป แต่เมื่อคราวคับขัน มนุษย์จะปกป้องทวีปแห่งนี้ด้วยชีวิต


กองทัพฝ่ายมนุษย์หยุดเท้าลงที่เบื้องหน้ากำแพงเปลือกแมลง ด้านหลังกำแพงนี้ก็คืออัลคีราฟซึ่งเป็นที่มั่นของพวกเซิก พวกเขาย่อมไม่อาจผลีผลามบุกเข้าไปมั่วซั่ว


ในเวลานี้เอง กองทัพพันธมิตรก็เกิดการเปลี่ยนแปลง กองกำลังต่างๆเริ่มแยกตัวออกเพื่อเตรียมค้นหาสมบัติ สำหรับเรื่องนี้ เซียวอวี่ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด อย่างไรเสียเขาก็มีสามจ้าวมนตราร่วมทางไปด้วย กองทัพของเขาจะเป็นกำลังหลักที่จะบุกเข้าไป ซึ่งแน่นอนว่าผลประโยชน์ส่วนใหญ่ย่อมตกเป็นของเขา


“ทุกคนระวังให้ดี ข้าจะเข้าไปดูสถานการณ์ก่อน จากนั้นพวกเจ้าค่อยตามไป” เซียวอวี๋กล่าวกับทั้งหมด อย่างไรเสียเขาก็มีมังกรเป็นสัตว์พาหนะ การไปกลับย่อมสะดวกกว่าคนอื่นๆ


ด้วยเหตุนี้ เซียวอวี๋จึงขี่มังกรน้อยบินไปทางกำแพงเปลือกแมลงอย่างรวดเร็ว กำแพงแห่งนี้มีความสูงอย่างมาก ไม่ทราบว่าสูงกี่ร้อยเมตรกันแน่ เซียวอวี๋ต้องบังคับมังกรน้อยบินขึ้นสูงเพื่อที่จะข้ามกำแพงเข้าไป


แค่เพียงบินผ่านกำแพงเข้ามา เซียวอวี๋ก็มองเห็นพวกเซิกกำลังแบ่งออกเป็นระลอกแล้วระลอกเล่าเข้าซ่อนตัวตามสถานที่ต่างๆ เห็นได้ชัดว่าพวกมันเตรียมการซุ่มโจมตีกองทัพมนุษย์ที่กำลังจะเข้ามา


เห็นแบบนี้เซียวอวี๋ก็ไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร เพราะนักผจญภัยส่วนใหญ่ล้วนสามารถรับมือกับแมลงเล้กแมลงน้อยเหล่านี้ได้ หากวางแผนดีๆยังสามารถเป็นประโยชนืให้กับฝ่ายเขาอีกด้วย


ที่สร้างความลำบากที่สุดก็คงเป็นพวกแมลงระดับบัญชาการที่อยู่ด้านใน เซียวอวี๋เชื่อว่า ในเมื่อพวกมันฟื้นขึ้นมา เป็นได้อย่างมากว่าผู้นำสูงสุดของพวกมันคฑูนเองก็อาจฟื้นคืนชีพขึ้นมา มีเพียงแต่มันฟื้นคืนชีพเท่านั้น พวกเซิกจึงสามารถขยายพงศ์พันธุ์ได้


กระนั้นเจ้านี่ก็ยังไม่ใช่ปัญหา แม้ว่ามันจะเป็นเทพปีศาจจากยุคโบราณ แต่เมื่อสามจ้าวมนตราอยู่ที่นี่ เซียวอวี๋ก็วางใจได้เปราะหนึ่ง


กล่าวได้ว่าเทพปีศาจตนนี้ยังร้ายกาจกว่ากูดาลไม่รู้เท่าไร ซึ่งแน่นอนว่าที่แห่งนี้ยังอันตรายยิ่งกว่าวิหารดำเสียอีก


ขณะที่เซียวอวี๋กำลังจะกลับไปจัดเตรียมการบุกนั้นเอง ทันใดนั้นมังกรน้อยก็เกิดการสั่นอย่างรุนแรง เวลาเดียวกันนั้นก็มีพลังงานมหาศาลเอ่อล้นออกมาจากด้านในอัลคีราฟ พลังขุมนี้ได้ห่อหุ้มพวกเขาเอาไว้จนไม่อาจขยับได้แม้แต่ปลายนิ้ว


“อา…ช่วยด้วย!” เซียวอวี๋พลันบังเกิดลางสังหรณ์อันเลวร้าย เขารีบตะโกนออกไปสุดเสียง


ได้ยินเสียงขอตะโกนขอความช่วยเหลือของเซียวอวี๋ จ้าวมนตราทั้งสามก็พบว่าผิดท่า พวกเขารีบบังคับคิเมร่าบินไปทางเซียวอวี๋ทันที


ทว่าพวกคิเมร่าไม่ได้รวดเร็วนัก อีกทั้งกำแพงเปลือกแมลงยังสูงยิ่ง การจะบินไปถึงที่นี่จึงเชื่องช้าอย่างมากในความคิดของจ้าวมนตราทั้งสาม


ยิ่งกว่านั้น เมื่อพวกเขาเข้าใกล้กำแพง พวกเขาก็พลันสัมผัสได้ถึงขุมอำนาจอันยิ่งใหญ่แผ่ออกมาจนทำให้พวกเขาใจสั่นสะท้าน……

 

 

 


ตอนที่ 564

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


“พลังนี่มันอะไรกัน? ช่างแข็งแกร่งนัก!” จ้าวมนตราทั้งสามหันไปสบตากันอย่างแตกตื่น ในใจยิ่งเกิดความกังวลต่อความปลอดภัยของเซียวอวี๋ แบบนี้ไม่ดีแน่


จากความรู้สึกของพวกเขา พลังขุมนี้ได้สะกดข่มละอองเวทของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง เวลานี้พวกเขาไม่สามารถใช้เวทมนตร์ใดๆได้เลย


“อึก หรือว่าทวีปแห่งนี้จะต้องล่มสลายจริงๆ? เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังขุมนี้ พวกเราไม่แม้แต่จะสามารถขัดขืนได้เลย” ธีโอดอร์กล่าวด้วยใบหน้าขาวซีด เขาคาดหวังกับเซียวอวี๋เอาไว้มากว่าเซียวอวี๋จะสามารถปกป้องทวีปแห่งนี้ได้ แต่ตอนนี้เซียวอวี๋กำลังตกอยู่ในอันตราย และพวกเขาไม่มีหนทางช่วยเหลือเซียวอวี๋ได้เลย


“อย่าได้สิ้นหวังไป แม้พลังขุมนี้จะแข็งแกร่งมากก็จริง กระนั้นข้ากลับสัมผัสไม่ได้ถึงจิตมุ่งร้าย มิเช่นนั้นยามเมื่อพลังนี้ปะทุออก ข้าเกรงว่ากระทั่งพวกเราก็คงตกตายไปแล้ว” ชัคคุนกล่าวปลอบ


คำกล่าวนี้นับว่าทำให้ธีโอดอร์คืนสติกลับมา เขาสงบใจพลางแผ่สัมผัสออก และเขาก็รู้สึกแบบเดียวกัน เขาชี้ไปยังกลิ่นอายที่ปกคลุมไปทั่วผืนฟ้าพลางกล่าวว่า “นี่…พลังนี้มัน….”


“ใช่ นี่เป็นพลังแห่งเผ่าพันธุ์มังกร! ทั้งยังเป็นมังกรบรรพกาล มีเพียงมังกรจากยุคบรรพกาลเท่านั้นที่สามารถมีพลังเช่นนี้ แม้ข้าจะเคยพบกับมังกรมามาก แต่ข้าไม่เคยพบเห็นพลังที่สะกดข่มทุกสิ่งเช่นนี้มาก่อน กระทั่งขั้นที่หกก็ยังไม่อาจแข็งขืนใดๆ พลังขุมนี้….ข้ารู้สึกว่ามันคือพลังของขั้นที่เจ็ดที่พวกเราต่างถวิลหา ลองเปิดรับสัมผัสให้ดี บางทีนี่อาจมีส่วนช่วยให้พวกเราบรรลุขอบเขตขั้นที่เจ็ดได้” ชัคคุนเงยหน้ามองกลิ่นอายบนท้องฟ้าก่อนจะหลับตาลง


ธีโอดอร์และเฟอร์กูสันพลันเข้าใจ พวกเขาค่อยๆหลับตาลงและเริ่มสัมผัสรับรู้พลังขุมนี้


เหล่าผู้ที่อยู่ด้านล่างต่างก็ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อพบเห็นความผิดปกติก็ล่าถอยอย่างรวดเร็ว


มีเพียงกองทัพของเซียวอวี๋เท่านั้นที่จ้องมองไปยังกำแพงด้วยความกังวล ในเวลานี้เอง ทอร์ลก้ออกคำสั่งให้ล่าถอยก่อน มีสามจ้าวมนตรามุ่งหน้าไป หากกระทั่งพวกเขายังไม่มีหนทาง กองทัพที่อยู่ด้านล่างต่างก็ไม่อาจทำอะไรได้แล้ว


เมื่อเซียวอวี๋ไม่อยู่ ทอร์ลก็กลายเป็นผู้นำ นี่เป็นที่เซียวอวี๋ได้บอกไว้ก่อนแล้ว


โถวปาหงและนิโคลัสหันไปมองหน้ากันด้วยความกังวล โถวปาหงย่อมไม่ต้องการให้เกิดอะไรขึ้นกับเซียวอวี๋ อย่างไรเสียเซียวอวี๋ก็ดีกับเขามาก ทั้งระหว่างพวกเขายังไม่มีข้อบาดหมางอะไร


ส่วนนิโคลัสนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ซับซ้อน หากเซียวอวี๋เป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ มันอาจจะส่งผลดีต่อเขาเพราะศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดถูกกำจัดไป ทว่าในใจของเขาย่อมรู้สึกโหวงเหวงราวกับสูญเสียบางสิ่งไป


เรียกได้ว่าเป็นกระต่ายตายจิ้งจอกโศกเศร้า


ขณะที่ทั้งหมดกำลังพูดคุยถึงความเป็นไปได้ต่างๆนานา เงาร่างขนาดใหญ่สามร่างก็พลันปรากฏขึ้นเหนือกำแพงเปลือกแมลง


ไม่ช้าทุกคนก็ได้เห็นร่างทั้งสามอย่างชัดเจน นั่นเป็นมังกรยักษ์สามตัว!


การปรากฏตัวของมังกรทั้งสามอยู่เหนือความคาดคิดของทุกคนอย่างสิ้นเชิง ร่างของมังกรทั้งสามใหญ่โตนับพันเมตรราวกับจะบดบังไปทั้งท้องฟ้า


มังกรยักษ์ทั้งสามพลันบินลงมาจากบนกำแพง สายตาของพวกมันจับจ้องไปยังเซียวอวี๋และมังกรน้อย ดวงตาทั้งหกคู่ส่องประกายราวกับคบเพลิงขนาดใหญ่


เมื่อเห็นว่าที่ปรากฏออกมาเป็นมังกรยักษ์สามตัว เซียวอวี๋ก็โล่งใจ เขารู้ว่ามังกรทั้งสามไม่ได้มีจิตคิดร้าย ทั้งยังประสงค์ดี


ดูเหมือนนี่จะเป็นจิตวิญญาณที่มังกรทั้งสามได้หลงเหลือทิ้งไว้ที่กำแพงเปลือกแมลงนี้


“ผู้เยาว์เอย พวกเรารับรู้ถึงจิตใจอันเที่ยงธรรมและเหตุผลในการมาของเจ้าได้ พวกเราเองก็เคยเป็นผู้พิทักษ์ของทวีป เพื่อทวีปนี้แล้ว พวกเรายินยอมสละแม้ชีวิต อย่างไรก็ตามกาลเวลาไม่เคยปราณีใคร พวกเราไม่อาจปกป้องทวีปได้ตลอดไป ดีที่วันนี้พวกเราได้พบเห็นผู้สืบทอดปณิธานนี้ ได้เห็นถึงความจริงใจของเจ้า พวกเราจะส่งต่อมรดกพลังของพวกเราให้กับเจ้า หวังว่าเจ้าจะสามารถแบกรับหน้าที่ในการปกป้องทวีปนี้” มังกรยักษ์ตัวหนึ่งพึมพำ แม้จะเพียงพึมพำกับตนเอง กระนั้นเสียงของมันกลับถ่ายทอดออกไปไกลหลายไมล์


ตอนนี้ทั้งหมดก็พลันเข้าใจเรื่องราว มังกรทั้งสามนี้ถูกผนึกวิญญาณเอาไว้ที่นี่ และตอนนี้พวกมันกำลังจะถ่ายทอดพลังให้กับมังกรที่เป็นสัตว์ขี่ของเซียวอวี๋


ทุกคนต่างอิจฉาตาร้อนขึ้นมาทันที สืบทอดมรดกพลังของมังกรจากบรรพกาลเชียวนะ! ครั้งนี้เจ้าวายร้ายนี่นับว่าได้รับลาภก้อนโตแล้ว


เมื่อร็อบที่อยู่ห่างออกไปได้เห็นฉากนี้ เขาก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธแค้น “รอก่อนเถอะเจ้าเซียวอวี๋ ข้าได้จับมือเป็นพันธมิตรกับกูดาลแล้ว รอให้ข้าพาพวกออร์คไปถล่มดินแดนไลอ้อนของเจ้าให้ราบคาบก่อนเถอะ ถึงตอนนั้นข้าจะแย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้า ผู้หญิงของเจ้าจะต้องมารับใช้ข้าทั้งวันทั้งคืน!”


ลีโอนาโดที่อยู่ห่างออกไปมุมหนึ่งก็รู้สึกคล้ายกัน เห็นฉากนี้เขาก็กำหมัดแน่น ตั้งแต่เล็กจนโต ตัวเขาไม่ว่าอยากได้อะไรต้องได้ เขาไม่เคยต้องรู้สึกอิจฉาผู้ใด มีเพียงแต่ผู้อื่นที่ต้องอิจฉาเขา ทว่าในเวลานี้ สตรีที่เขาชื่นชอบกลับไปอยู่ข้างกายเจ้าวายร้าย สมุนองค์รักษ์ที่คอยห้อมล้อมก็บรรลุขอบเขตขั้นที่หก และตอนนี้มังกรสัตว์เลี้ยงของเซียวอวี๋ก็กำลังจะได้สืบทอดมรดกมังกรอีก ไฉนสวรรค์จึงลำเลียงเช่นนี้!


ผู้คนที่เบื้องล่างต่างรู้สึกซับซ้อน เมื่อมังกรด้านบนกล่าวเช่นนี้ นี่แน่นอนว่าย่อมไม่ได้กล่าวเล่นๆ ทันใดนั้น มังกรยักษ์ทั้งสามพลันอ้าปาก จากนั้นใยแสงสามเส้นก็ลอยไปเชื่อมต่อกับมังกรน้อย


ตอนนี้มังกรน้อยกำลังสับสน หากแต่โลหิตมังกรภายในกายกำลังตื่นเต้นราวกับพบเจอญาตผู้ใหญ่ ดังนั้นตัวมันจึงนิ่งเฉยยอมรับของขวัญจากมังกรยักษ์ทั้งสาม นี่ก็คือมรดกพลังของเผ่าพันธุ์มังกรที่แข็งแกร่ง


ครืน…….


เนื่องเพราะพลังขุมนี้ทรงอำนาจเกินไป มิติโดยรอบจึงสั่นสะเทือนและเกิดรอยร้าวขึ้นเป็นจำนวนมาก กำแพงบางส่วนเริ่มปรากฏรอยแตกก่อนที่พริบตาต่อมาจะสลายหายไปราวกับตรงนั้นไม่เคยมีสิ่งใดอยู่


ทุกคนต่างรู้สึกหวาดกลัวจนต้องถอยหลังไปไกล


ครืน…….


เมฆดำเริ่มก่อตัวขึ้นบนท้องฟ้า ทั้งดันในั้นฝนก็พลันตกหนักราวกับฟ้ารั่ว ปรากฏการณ์นี้ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกมึนงง


ท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำ เงาร่างของมังกรยักษ์ทั้งสามค่อยๆขยายตัวราวกับจะปกคลุมไปทั้งโลก ในเวลานี้ ทุกคนต่างก็ได้เป็นประจักษ์พยานถึงความยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์มังกร


ต่อหน้ามังกรบรรพกาลทั้งสาม มังกรน้อยก็ราวกับทารกที่กำลังถูกป้อนอาหาร


เหตุการณ์นี้ดำเนินไปราวครึ่งชั่วโมง ทันใดนั้นจู่ๆก็เกิดเสียงแตกร้าวดังขึ้นราวกับโลกใบนี้กำลังจะแตกสลาย กำแพงเปลือกแมลงที่ตั้งตระหง่านมาถึงเมื่อครู่พลันพังทลายลง มวลอากาศขนาดใหญ่พลันเข้ากดทับกองทัพพันธมิตรมนุษย์จนรู้สึกหายใจลำบาก


ยังดีที่พวกเขาล่าถอยไปไกลตั้งแต่แรก มิเช่นนั้นคงเกิดการบาดเจ็บล้มตายอย่างหนักแล้ว


ครืน…….


พายุฟ้าฝนที่กำลังโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งพลันค่อยเคลื่อนตัวไปไกลเงาของมังกรยักษ์ทั้งสามเองก็ยิ่งมายิ่งดูเลือนลางจนสุดท้ายแทบจะมองไม่เห็น จากนั้นเงาของทั้งสามก็แปรเปลี่ยนเป็นลำแสงสายหนึ่งส่องตรงไปยังร่างของมังกรน้อยจนมันคำรามออกมาเสียงดัง


เสียงคำรามครั้งนี้ราวกับค้อนขนาดใหญ่ที่ทุบฟาดอากาศโดยรอบ ทุกคนต่างก็ตื่นตระหนกอยู่ในใจ พวกม้าศึกทั่วไปที่ได้ยินเสียงคำรามนี้ต่างก็ตัวสั่นเทิ่มก่อนจะล้มหงายไปบนพื้น ในแววตาของพวกมันฉายแววหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด


ในเวลานี้เอง ร่างของมังกรน้อยก็มีขนาดใหญ่โตกว่าเดิมหลายเท่า มันกางปีกก่อนจะทะยานขึ้นสู่ฟ้าประดุจพายุสีแดงลูกหนึ่ง ยามเมื่อมันบินอยู่เหนือศีรษะ ผู้คนที่เบื้องล่างต่างก็มีความรู้ศิโรราบปรากฏขึ้นในใจ


โฮก………


พร้อมกับเสียงคำราม ร่างมังกรแดงเพลิงที่ยาวกว่าร้อยเมตรก็บินไปทั่วฟ้า สายตาของมันกวาดมองผู้คนที่เบื้องล่าง ทุกคนที่ได้สบตากับมันต่างก็รู้สึกราวกับถูกกระชากวิญญาณออกจากร่าง


ความยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์มังกร ความรุ่งโรจน์ของเผ่าพันธุ์มังกร ทั้งสองสิ่งนี้พลันประทับลงไปในจิตใจของทุกคนที่ได้มอง


เซียวอวี๋ที่อยู่บนหลังของมังกรน้อยตอนนี้เองก็สวมใส่ชุดเกราะเซ็ตเทียร์ห้า ในมือถือขวานพรากวิญญาณ ภาพที่ปรากฏตอนนี้นับว่าสง่างามตราตรึงนัก


ร่างของเขาราวกับมีพลังบางอย่างแผ่ออกมาจนผู้คนรู้สึกสะท้าน


“ขั้นที่หก เขาบรรลุขั้นที่หกแล้ว” นิโคลัสพึมพำอย่างเหม่อลอย


ยามที่มังกรบรรพกาลทั้งสามถ่ายทอดพลังให้กับมังกรน้อย เซึยวอวี๋ที่นั่งอยู่บนหลังของมังกรน้อยเองก็พลอยรับอานิสงค์นี้ไปด้วย


แม้ว่าจะเป็นพลังส่วนเล็กๆ กระนั้นพลังกลุ่มนี้ก็สามารถผลักดันเซียวอวี๋ไปถึงขั้นที่หกได้ในคราวเดียว


เวลานี้ ภาพนักรบในชุดเกราะสง่างามขั้นที่หกกำลังขี่หลังมังกรยักษ์ก็ได้กระตุ้นให้ทุกคนนึกถึงคำพยากรณ์ขึ้นมา ผู้กอบกู้จะปรากฏกายพร้อมมังกรและปัดเป่าหายนะให้สลายไป


เซียวอวี๋ยามนี้ดูสูงส่งประดุจเทพที่จุติลงมาจากฟ้า


“ในนามของเผ่าพันธุ์มังกรและมนุษย์ทั้งหมด ติดตามข้าบุกเข้าอัลคีราฟเพื่อปกป้องทวีปของพวกเรา!” เซียวอวี๋ตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันดัง เสียงตะโกนนี้ได้ปลุกกระตุ้นให้ทุกคนร้องตะโกนตาม


เซียวอวี๋กระตุ้นมังกรน้อยบินตรงเข้าอัลคีราฟ ขณะที่กองทัพทางด้านหลังก็วิ่งตามราวกับคลื่นน้ำไหลบ่าเข้าสู่อัลคีราฟ……

 

 

 


ตอนที่ 565

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


แม้กำแพงเปลือกแมลงจะพังทลาย กระนั้นที่ด้านในก็ยังมีกำแพงสูงที่พวกเซิกก่อขึ้นอยู่อีกชั้น แต่ภายใต้การนำของเซียวอวี๋ ผู้คนทั้งหมดต่างก็พุ่งเข้าเข่นฆ่าพวกเซิกอย่างไม่กลัวเกรง


มังกรน้อยตอนนี้นับว่าไม่เกรงกลัวสิ่งใดแล้ว มันทั้งพ่นไฟ ตะปบ และฟาดหาง ทุกการโจมตีของมันล้วนแต่เปี่ยมไปด้วยอานุภาพรุนแรง


ตอนนี้มังกรน้อยอยู่ในขั้นที่ห้า ความแข็งแกร่งของมันตอนนี้แทบจะไม่ด้อยไปกว่าอ้าวปา นี่เป็นพลังอำนาจที่สามารถสะกดข่มผู้คนได้นับไม่ถ้วน


อันที่จริง มังกรน้อยนั้นได้รับสืบทอดพลังมังกรมาเต็มเปี่ยม จนสามารถทำให้มันกลายเป็นขั้นที่หกได้เลย หากแต่มังกรยักษ์ทั้งสามเกรงว่ามังกรน้อยจะไม่อาจแบกรับไหว ดังนั้นพวกมันจึงได้ผนึกพลังส่วนใหญ่เอาไว้ก่อนเพื่อให้มังกรน้อยพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป


อย่างไรก็ตาม การปรากฏตัวของมังกรน้อยได้กระตุ้นขวัญกำลังใจของคนทั้งหมด ทำให้พวกเขาต่อสู้ด้วยความเชื่อใจอย่างเต็มเปี่ยมจนพลังต่อสู้เพิ่มสูงกว่าปกติมากนัก


อย่างไรก็ตาม หลังจากเข้ามาด้านใน เนื่องเพราะอัลคีราฟมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ดังนั้นทุกคนจึงค่อยๆแยกตัวกันไป ทุกคนต่างก็คิดแสวงหาโชคของตนเอง ไม่แน่ว่ากลับบ้านครั้งนี้สามารถขนภูเขาสมบัติกลับไปครอบครอง


อย่างไรเสียพวกเขาก็เสียค่าผ่านทางให้พวกเซียวอวี๋แล้ว หากไม่ให้พวกเขาหากำไรเข้ากระเป๋า หรือจะให้พวกเขาขาดทุนเช่นนี้?


ด้วยเหตุนี้ กองกำลังของเซียวอวี๋ โถวปาหงและนิโคลัสจึงยังรวมตัวเป็นทัพใหญ่ ขณะที่คนอื่นๆต่างก็แยกตัวออกไปแล้ว


จ้าวมนตราทั้งสามนั่งหลับตาพลางทำความเข้าใจกลิ่นอายที่ได้รับรู้จากสามมังกรยักษ์มาตลอด เซียวอวี๋เองก็ไม่เข้าไปรบกวนพวกเขา แต่แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ให้ทั้งสามออกห่างกาย


เพราะปราศจากคนทั้งสาม หากว่าเจอกับคฑูนขึ้นมา พวกเขาไม่เละเป็นเลยโจ๊กหรือ?


คนอื่นจะแยกตัวก้แยกไปได้ อย่างไรเสียพวกนักผจญภัยก็มีมากมาย ด้วยพลังของพวกเขาแล้ว การรับมือกับพวกเซิกทั่วไปย่อมไม่มีปัญหาใด


เมื่อเข้ามาด้านใน ทัพพยัคฆ์ก็ไม่ได้มีเปรียบเหมือนตอนแรกอีก เซียวอวี๋จึงให้โถวปาหู่นำทัพพยัคฆ์เตรียมตัวไว้ ให้พวกเขารับหน้าที่สนับสนุน


นับตั้งแต่บุกมา ทัพพยัคฆ์ก็รับหน้าที่เป็นทัพหน้ามาโดยตลอด พละกำลังของพวกเขาย่อมมีขีดจำกัด เวลานี้สมควรให้พวกเขาพักฟื้นฟู อย่างไรเสียการจะโค่นอัลคีราฟลงในวันเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้ เซียวอวี่วางแผนเอาไว้ว่าจะตั้งหลักพักกันก่อน จากนั้นจึงค่อยเคลื่อนกำลังไปตามเส้นทางหลัก


อย่างไรเสีย อัลคีราฟก็แตกต่างจากที่อื่นๆ ที่นี่มีบอสอยู่มากมาย พวกเขาจะต้องระมัดระวังกว่าเดิม


เซียวอวี๋ขี่มังกรน้อยนำทุกคนกวาดล้างพวกเซิก พบเห็นเซิกเมื่อใดก็พุ่งเข้าบดขยี้ แม้ว่าเขาจะเคยมาที่นี่ในอดีต กระนั้นสภาพที่นี่ตอนนี้ก็ยังแตกต่างจากอดีตมาก


เซียวอวี๋หวังที่จะเก็บกวาดที่นี่ให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นพรุ่งนี้ค่อยไปรวมตัวที่หน้าวิหาร


สำหรับสมบัติตามซากปรักหักพังที่นี่ มันไม่คุ้มค่าที่พวกเขาจะเอาเวลามาทิ้ง เขาไม่รู้ว่าบอสที่ร้ายกาจพวกนั้นฟื้นคืนชีพมาแล้วหรือยัง


หากว่าพวกมันอยู่ภายในวิหาร และเขาสามารถกำจัดพวกมันได้ พวกเซิกก็จะล่มสลายอย่างแท้จริง


วันนี้ผู้คนต่างแยกย้ายกันไปหาสมบัติ กระนั้นกลับพบแต่ของที่ไม่ค่อยมีประโยชน์


แน่นอนว่าไม่ใช่ทั้งหมดที่จะไร้ประโยชน์ ที่นี่ยังมีสิ่งของล้ำค่าอยู่ ที่ด้านในวิหารอัลคีราฟ ที่นั่นมีอาวุธชุดเกราะและอื่นๆอยู่มากมาย ของพวกนั้นอาจไม่เป็นประโยชน์ต่อพวกเซิก แต่ไม่ใช่กับเผ่าพันธุ์อื่นๆ


โดยเฉพาะพวกม้วนคัมภีร์เวทจากยุคโบราณ เวทอาวุธและอื่นๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นของล้ำค่า


แต่แม้ตอนนี้จะยังไม่พบของเหล่านั้น ซากศพของพวกเซิกบางซากที่นี่ก็ยังมีค่า อย่างเช่นศพของแมลงเปลือกเหล็กนั้นสามารถนำไปเป็นวัตถุดิบในการสร้างชุดเกราะได้


ซากแมลงพิษบางชนิดก็สามารถนำไปใช้ปรุงยา


ดังนั้นกองทัพพันธมิตรมนุษย์จึงมีบรรยากาศแห่งความยินดี วันนี้พวกเขานับว่าพอมีของติดไม้ติดมือกลับไปแล้ว


จากการออกกวาดล้างในวันนี้เซียวอวี๋ก็ได้ล่วงรู้ตำแหน่งของวิหารอัลคีราฟ


การต่อสู้ที่นี่จะต้องกระทำเป็นขั้นเป็นตอน พวกเขาต้องเก็บกวาดภายในซากเมืองนี้ให้ทั่วก่อนแล้วค่อยเข้าไปภายในวิหาร


อย่างไรเสียวิหารก็ตั้งอยู่ตรงนั้น มันย่อมไม่ขยับหนีไปไหน


นักผจญจำนวนมากรู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้คุ้มค่าแล้ว ค่าผ่านทางที่ต้องจ่ายให้เซียวอวี๋นับว่าไม่ได้เสียเปล่า


ในยามเย็น เซียวอวี๋ได้ไปพูดคุยกับโถวปาหงเรื่องการเปิดวิหาร หากพวกเขาเปิดวิหาร แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเข้าไปได้ พื้นที่ภายในนั้นไม่ได้ใหญ่โตเหมือนด้านนอก อีกทั้งพวกทหารม้าก็ยิ่งเสียเปรียบ


ดังนั้นจึงมีเพียงกลุ่มยอดฝีมือเท่านั้นที่จะเข้าไปได้


และด้วยความอันตรายของสถานที่ โถวปาหงซึ่งเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเมฆาย่อมไม่สมควรเข้าไป


โถวปาหงก็ตระหนักในข้อนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ประท้วงอะไร


อย่างไรก็ตาม เซียวอวี๋ต้องการให้อ้าวปาและโถวปาหู่เข้าไปด้วยกัน ทั้งสองล้วนเป็นยอดฝีมือ ซึ่งครั้งนี้เซียวอวี๋รู้สึกว่าต้องการจะนำยอดฝีมือเท่าที่หาได้เข้าไปด้วย


ตอนแรกเซียวอวี๋ต้องการจะพาทั้งสองเข้าไป แต่เขาทราบดีว่าทั้งสองคงไม่ยอม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทิ้งใครสักคนไว้คอยอารักขาโถวปาหง


ทว่ามีคนผู้หนึ่งต้องการจะเข้าไปด้วยให้ได้ คนผู้นั้นคือโถวปาเฟิง


โถวปาเฟิงมักมองเซียวอวี๋ด้วยตาแดงก่ำ โดยเฉพาะหลังจากเซียวอวี๋บรรลุขั้นที่หก ทั้งมังกรสัตว์เลี้ยงยังบรรลุขั้นที่ห้า สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้ความอิจฉาของเขาทบทวีกว่าเดิม


ในอดีตเขามักขี่ม้าเปกาซัสไปไหนมาด้วยท่าทีสูงสง่าราวกับเจ้าชาย สัตว์พาหนะของเขาแม้แต่ตัวตนขั้นที่หกก็ยังต้องรู้สึกอิจฉา


หากแต่ตอนนี้เซียวอวี๋กลับแย่งชิงความโดดเด่นของเขาไปด้วยการขี่มังกรตัวเขื่อง สวมใส่ชุดเกราะสง่างามเคียงคู่สาวงามเช่นมู่เสวี่ย


ภาพที่เห็นนี้ทำให้โถวปาเฟิงรู้สึกสิ้นหวัง เขาต้องการจะบายความโกรธแค้นออกมา หากแต่ไม่มีที่ให้เขาระบายออก เพราะเขาทราบดีว่าตนเองไม่อาจเทียบกับเซียวอวี๋ได้เลย


ทว่าทุกครั้งที่ได้เห็นหลินมู่เสวี่ย หัวใจของเขาก็รู้สึกราวกับถูกมีดกรีดจนแทบทนไม่ได้ ทุกวันได้เห็นเทพธิดาที่ตนหลงรัก หากแต่เทพธิดานางนี้กลับโถมเข้าหาอ้อมกอดผู้อื่น


ความรักเป็นสิ่งที่ยากหักห้าม รักของเขายิ่งเป็นรักเพียงฝ่ายเดียว หรือนี่จะเป็นสิ่งที่สวรรค์ลิขิตให้กับเขา


บางทีอาจเป็นกรรมแต่ชาติปางก่อนที่ทำให้คนหลีกหนีไม่พ้น……

 

 

 


ตอนที่ 566

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


ในยามค่ำคืน แสงจากกองไฟก็ส่องสว่างอยู่ทั่วซากเมืองอัลคีราฟ นักผจญภัยต่างก็นั่งล้อมวงดื่มกินกันเฮฮา ทุกคนล้วนแต่พูดคุยถึงการเก็บเกี่ยวในวันนี้ ทั้งยังคาดหวังกว่าเดิมในวันพรุ่ง

แน่นอนว่ายังมีบางคนที่คิดแสวงหาโชคต่อในตอนกลางคืน ในขณะที่คนอื่นๆไปพัก พวกเขาต่างพยายามหาสมบัติให้ได้มากที่สุด

คนเหล่านี้ต้องมีกำลังที่แข็งแกร่ง มิเช่นนั้นก็เท่ากับไปรนหาที่ตาย

ในยามค่ำคืนมืดๆแบบนี้ มนุษย์ยังจะมีเปรียบเหนือเซิกได้หรือ?

วันนี้เซียวอวี๋มีความสุขมาก มังกรน้อยสามารถเลื่อนไปขั้นที่ห้า และตัวเขาเองก็เลื่อนไปขั้นที่หก นี่นับเป็นโชคหล่นทับอย่างแท้จริง บางทีหลังจากนี้เขาอาจจะมีโอกาสตัดผ่านไปยังขั้นที่เจ็ดก็ได้

ขั้นที่เจ็ดเป็นขั้นที่ทุกคนต่างฝันใฝ่ เพียงตอนนี้ได้อยู่ในขั้นที่หกก็รู้สึกราวกับฝันไปแล้ว หากเลื่อนไปขั้นที่เจ็ดจะแข็งแกร่งถึงเพียงไหน?

มรดกพลังมังกรนี้ไม่ใช่ผลประโยชน์ก้อนเล็กๆ ไม่เพียงแต่พละกำลังของมังกรน้อยจะเพิ่มขึ้น หากแต่การพ่นไฟด้วย ทั้งตอนนี้ยังมีรัศมีมังกรที่สามารถปลดปล่อยกลิ่นอายสะกดข่มศัตรู

นี่เป็นพลังที่ดีมาก

รัศมีมังกรนี้ไม่ใช่รัศมีของมังกรทั่วๆไป หากแต่เป็นรัศมีมังกรจากบรรพกาล หากมังกรทั่วไปมาอยู่ต่อหน้ามังกรน้อยตอนนี้ พวกมันก็ทำได้เพียงตัวสั่นราวลูกนกเท่านั้น

ขณะที่เซียวอวี๋และโถวปาหงกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นก็ได้รับข่าวใหญ่

“ฝ่าบาท แม่ทัพฉินเช่อที่แนวหน้าได้ส่งข่าวมาพะย่ะค่ะ เมื่อวานพวกเขาได้เอาชนะกองทัพของโถวปากุ้ยได้ที่อี้เป่ย สังหารข้าศึกได้ราวแปดหมื่น ที่หลงเหลือถูกจับเป็นเชลย อย่างไรก็ตาม เกิดเหตุเปลี่ยนแปลงขึ้นพะย่ะค่ะ ชาวเมฆาหลายคนดูเหมือนถูกเวทมนตร์ชั่วร้ายควบคุม พวกเขาจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวราวศพเดินได้ ยามพบเห็นผู้คนก็พุ่งเข้าจู่โจมอย่างคลุ้มคลั่ง ท่านแม่ทัพเห็นว่าเรื่องราวมีความสำคัญจึงได้ส่งกระหม่อมมารายงานฝ่าบาท”

“อะไรนะ!” ได้ยินรายงานโถวปาหงก็ดีดตัวลุกขึ้น

โถวปาหงย่อมทราบความสำคัญของเรื่องนี้ดี ถูกเวทมนตร์ชั่วร้ายควบคุมให้ไร้สติ นี่ทำให้ผู้คนไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์

“พวกมันทั้งกลุ่มสวมใส่ผ้าคลุมสีดำหรือไม่?” จู่ๆนิโคลัสก็เอ่ยถาม

“ขอรับ เป็นดังท่านกล่าว” พลส่งสารตอบอย่างนอบน้อม นิโคลัสได้พักอยู่ที่จักรวรรดิเมฆาระยะหนึ่ง ทั้งยังเป็นอาคันตุกะคนสำคัญขององค์จักรพรรดิ ดังนั้นพลส่งสารจึงมีท่าทีสุภาพนอบน้อม

“เรื่องเป็นอย่างไรกันแน่?” โถวปาหงหันไปถามนิโคลัส

นิโคลัสยกไวน์ขึ้นจิบก่อนจะกล่าวว่า “เป็นขุมกำลังลึกลับ ข้าเคยได้รับรายงานจากหูตาที่วางไว้ เหตุการณ์นั้นคล้ายกัน ทุกคนดูจิตใจเลื่อนลอยขาดสติ ราวกับศพเดินได้”

“เป็นพวกมันจริงๆ” โถวปาหงบีบแก้วไวน์จนแตกคามือ ประกายโทสะลุกโชนในแววตา ผู้ที่หนุนหลังโถวปากุ้ยก็คือขุมกำลังลึกลับ เรื่องนี้พวกเขาพอได้ยินมาบ้าง หากแต่พวกเขาคาดไม่ถึงว่าพวกคนลึกลับจะไร้ยางอายถึงเพียงนี้ ทั้งยังกล้าชักใยจักรวรรดิเมฆา

“ดูเหมือนพวกมันจะเคลื่อนไหวแล้ว” เซียวอวี๋ขมวดคิ้ว เขารู้ว่าในอดีตคนกลุ่มนี้คอยชักใยอยู่เบื้องหลังขุมกำลังหลายกลุ่ม

วิธีการต่ำช้านี้เป็นการกระทำอันน่ารังเกียจสำหรับทวีปใหญ่ หากพบเจอก็จะถูกกองกำลังทั้งหมดรุมสับสังหาร

ทว่าตอนนี้คนพวกนั้นกลับเมินเฉยกฏข้อนี้อย่างสิ้นเชิง นี่แสดงให้เห็นว่าพวกมันเตรียมพร้อมจะลงมือกับทุกกองกำลังบนแผ่นดินใหญ่

“ทำอย่างไรดี?” โถวปาหงเอ่ยถามเซียวอวี๋ เขารีบทำใจให้สงบเพราะทราบดีว่าไม่ใช่เวลามามัวตื่นตระหนก

“บัดซบ เจ้าเป็นจักรพรรดิของจักรวรรดิเมฆาไม่ใช่หรือ มาถามข้าทำอะไร?” เซียวอวี๋กลอกตา เจ้าผู้นี้คิดอะไรไม่ตกก็มองหาข้าก่อนตลอด

“เรื่องไร้สาระไว้เพียงเท่านี้ นี่เกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของทวีป เจ้าคิดว่านี่ยังเป็นปัญหาของข้าเพียงผู้เดียวอีกหรือ?” โถวปาหงกล่าวกับเซียวอวี๋อย่างโมโห

“เพ้ย เรื่องนี้ยังต้องคิดอีกหรือ ทางอัลคีราฟนี่ปล่อยให้ข้าจัดการ เจ้านำทัพพยัคฆ์กลับไปเถอะ จากนั้นรอจนพวกเรากลับไป” เซียวอวี๋กล่าวอย่างปลอดโปร่ง

ตอนนี้ที่นี่ไม่ต้องการทัพพยัคฆ์แล้ว ดังนั้นดีที่สุดคือให้พวกเขากลับไปกับโถวปาหง

โถวปาหงพยักหน้า “อืม คอยจนเช้าไม่ได้แล้ว ข้าจะกลับไปตอนนี้เลย อยู่ที่นี่เจ้าจงเร่งจัดการเสีย”

โถวปาหงกังวล ประชาชนถูกผู้อื่นควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ หากปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินต่อไปเกรงว่าทั่วทั้งจักรวรรดิเมฆาคงตกเป็นของอีกฝ่าย ไม่คาดว่าเรื่องอัลคีราฟยังไม่จบ ทางนั้นก็เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน นี่กะไม่ให้เขาได้พักบ้างเลยหรืออย่างไร

เป็นจักรพรรดินั้นไม่ง่ายเลยจริงๆ

“อืม ระหว่างทางก็ระวังด้วย ทางนี้คงใช้เวลาไม่นานนักหรอก เมื่อไปถึงที่นั่นเจ้าก็ใช้กระจายข่าวกระตุ้นถึงความสำคัญของเรื่องนี้ต่อผู้คน จงจำไว้ว่าให้เผยข้อเท็จจริง ไม่ใช่ชี้นำ ตรงไหนควรกล่าวเกินก็จริงก็กล่าวเกินจริง ตรงไหนต้องโกหกก็โกหกไป ผู้คนคงยากสนใจหากเจ้าซื่อสัตย์ไปเสียหมด” เซียวอวี๋กำชับกับโถวปาหง

โถวปาหงพยักหน้ารับ “วางใจเถอะ ข้าทราบดีว่าต้องทำอย่างไร”

“เพ้ย ช่างคุยโตเสียจริง” เซียวอวี๋กลอกตาอีกหน

“เช่นนั้นข้าไปแล้ว ดูแลตัวเองด้วย ท่านราชครูจะอยู่ที่นี่คอยช่วยเหลือเจ้า” โถวปาหงกล่าวก่อนหันไปหาโถวปาหู่ เขาส่งสายตาเรียกโถวปาหู่ให้ติดตามไป

เห็นผลที่อ้าวปาต้องอยู่นั้นเป็นเพราะเรื่องอัลคีราฟนั้นมีความสำคัญมาก สุดท้ายแล้วเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นในจักรวรรดิเมฆา เป็นปัญหาของจักรวรรดิเมฆา พวกเขาย่อมไม่ปล่อยให้เซียวอวี๋ต้องรับมืออยู่คนเดียว

เห็นได้ว่าโถวปาหงได้มีการพูดคุยกับอ้าวปาก่อนแล้ว

อ้าวปาโค้งตัวลงต่ำ “ฝ่าบาทโปรดถนอมพระวรกาย”

โถวปาหงหันไปมองอ้าวปา “อาจารย์ เรื่องนี้ต้องฝากท่านแล้ว”

อ้าวรีบกล่าวตอบ “เมื่อฝ่าบาทตรัสเช่นนี้ กระหม่อมย่อมต้องลงแรงสุดกำลัง”

โถวปาหงพยักหน้า เขาไม่กล่าวอะไรอีกก่อนจะเดินจากไป เดิมโถวปาหู่ต้องการจะกล่าวกับโถวปาเฟิงสองสามคำ แต่สุดท้ายเขาก็เพียงยกมือขึ้นตบบ่าโถวปาเฟิง จากนั้นจึงสั่งให้ทัพพยัคฆ์ตระเตรียมเดินทาง

เขาทราบดีว่าเรื่องบางอย่างก็ต้องให้โถวปาเฟิงเผชิญหน้าด้วยตนเอง โถวปาเฟิงไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว บางปัญหาเขาต้องเรียนรู้ที่จะแก้มันเอง

ยามดวงจันทร์ลอยอยู่กึ่งกลางฟ้า โถวปาหงก็นำทัพพยัคฆ์และกองทหารม้าชั้นยอดออกเดินทาง เซียวอวี๋มองส่งพวกเขาก่อนจะถอนหายใจ เขาโบกมือก่อนจะกล่าวว่า “แยกย้ายกันไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้เช้ายังมีงานต้องทำอีก”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม