World of Warcraft ราชันต่างภพ 553-559
ตอนที่ 553
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
เซียวอวี๋ขี่มังกรน้อยมองลงมาจากบนฟ้า อีกชั่วอึดใจ ทัพพยัคฆ์จะเข้าปะทะกับกองทัพเซิก ในใจของเขาตื่นเต้นขึ้นมา เขาคาดว่าแนวหน้าของกองทัพเซิกจะพังทลายทันทีภายใต้กีบเท้าของทัพพยัคฆ์
พวกเซิกคาดไม่ถึงว่ามนุษย์จะตอบโต้กลับ พวกมันไร้รูปขบวนใดๆ แต่ละตัวกระจัดกระจายไม่มีการพร้อมรับมือ
โครม!
เมื่อทัพพยัคฆ์โถมเข้าใส่ พวกเซิกก็ลอยกระเด็นเป็นทางยาว แม้ในหมู่พวกมันจะมีบางตัวที่แข็งแกร่งอยู่บ้าง แต่ทัพพยัคฆ์ก็ยังทะลวงผ่านร่างของพวกมันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ภายใต้การเหยียบย่ำของกีบเหล็ก พวกเซิกพลันถูกเปลี่ยนเป็นเนื้อบดทันที
ยอดทัพก็คือยอดทัพ เซียวอวี๋มองดูฉากเบื้องล่างด้วยความตื่นเต้น กองทัพของพวกเซิกราวกับนาข้าวที่ถูกเก็บเกี่ยว พวกมันถูกเข่นฆ่าเป็นทางยาวในทุกที่ที่ทัพพยัคฆ์พุ่งผ่าน
เซิกบางส่วนที่หลบรอดมาได้ก็จะถูกนักรบออร์คและอสูรโคโดที่ตามมาฉีกร่าง พวกออร์คราวกับเป็นเครื่องจักรที่ไร้ความรู้สึก พวกมันยกขวานขึ้นและฟันลงราวกับกำลังฟันหญ้าต้นหนึ่ง
อสูรโคโดอาศัยแรงพุ่งและร่างที่ใหญ่โตของมันเหยียบร่างของพวกเซิกจนแหลกเละและพุ่งต่อไปข้างหน้าโดนไม่สนใจสิ่งใด
มองจากด้านบน ทัพพยัคฆ์ราวกับมังกรยักษ์ที่กำลังแหวกว่ายในสนามรบ โดยเฉพาะตำแหน่งที่โถวปาหู่และโถวปาเฟิงสองพ่อลูกประจำอยู่
แม้ว่าความแข็งแกร่งของโถวปาหู่จะด้อยกว่าอ้าวปาอยู่เล็กน้อย แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ตัวเขาที่ทำหน้าที่เป็นหัวลูกศรของรูปขบวนดูยิ่งใหญ่ราวเทพเจ้าไร้เทียมทาน
เมื่อทัพม้าพุ่งออกไป ผู้ใดก็ยากจะหยุดยั้ง
พวกเซิกไม่มีค่ายไม่มีกำแพง พวกมันจึงถูกทัพพยัคฆ์บดขยี้อย่างไร้ปราณี พวกมันตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าไม่อาจปล่อยให้ทัพม้าทะลวงต่อไปเช่นนี้ พวกมันรีบส่งเซิกที่ทรงพลังออกมาเกาะกลุ่มกันเพื่อหวังทำลายหัวลูกศรและตัดตอนรูปขบวน
นี่เป็นกลยุทธ์ที่ไว้ใช้รับมือกับทัพม้า
อย่างไรก็ตาม เซียวอวี๋ได้เตรียมการแก้ไขไว้แล้ว ตัวเขาทำหน้าที่เป็นทัพอากาสคอยคุ้มกันขบวนม้าจากบนฟ้า เมื่อเห็นว่าที่เบื้องหน้ามีพวกเซิกหนาแน่นจนทัพพยัคฆ์ไม่อาจทะลวงผ่าน เซียวอวี๋ก็ให้กองทัพคิเมร่าล่วงหน้าไปเผาทำลาย
นอกจากเซียวอวี๋แล้ว จ้าวมนตราทั้งสามเองก็อยู่บนหลังของพวกคิเมร่า เมื่อเห็นตำแหน่งที่พวกเซิกมารวมกัน เวทชุดใหญ่ก็กระหน่ำลงไปทำลายฝูงเซิกทันที
หรือในกรณีที่มีพวกเซิกจากทางด้านหลังรวมกลุ่มกันจะตัดตอนขบวนทัพ เซียวอวี๋ก็จะสั่งทัพอากาศจู่โจมทำลายไป
ทัพพยัคฆ์เองก็ไม่ได้พุ่งเป็นเส้นตรงเพียงอย่างเดียว บางคราพวกเขายังแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยออกไปเก็บกวาดพวกเซิกที่จะเข้าโจมตีรูปขบวน
หลังจากเข่นฆ่าได้ครู่หนึ่ง พวกเขาก็จะกลับเข้ารูปขบวนและมุ่งหน้าต่อไป
ในวันนี้ ทัพพยัคฆ์นับเป็นแกนหลักในการบุกทะลวง ด้วยภูมิประเทศที่เปิดโล่ง พวกเขาสามารถพุ่งไปข้างหน้าโดยปราศจากอุปสรรค พวกเขาพุ่งตรงไปข้างหน้าโดยปราศจากความกังวล การสนับสนุนจากทางอากาศทำให้พวกเขาพุ่งไปข้างหน้าได้ดั่งใจนึก พวกเซิกที่ไม่ถูกพวกเขาสังหารก็จะถูกกองทัพที่ตามมาด้านหลังจัดการ
ครืนนนนน
แสงอาทิตย์เริ่มสาดส่อง กองทัพพวกเซิกเริ่มตื่นขึ้นมา พวกมันเริ่มเข้ามารวมกันจนมีจำนวนมหาศาลราวฝูงมด เมื่อเห็นศัตรูบุกเข้ามาในอาณาเขต พวกมันก็กรูกันเข้าโจมตีทันที
พวกมันรู้ว่าภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดก็คือทัพพยัคฆ์ที่บุกทะลวงเข้ามา หากว่าสกัดยับยั้งทัพพยัคฆ์เอาไว้ได้ พวกมันก็จะสามารถใช้จำนวนที่มากกว่ากลืนกินกองทัพอีกฝ่ายจนสิ้นซาก
ติดก็เพียงแต่พวกมันจะสกัดไว้ได้หรือ? หากไม่มีเซียวอวี๋ ไม่มีสามจ้าวมนตรา บางทีพวกมันอาจจะทำสำเร็จ แม้ว่าทัพพยัคฆ์จะแข็งแกร่ง แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็มีกันเพียงหนึ่งหมื่นห้าพันคน ขณะที่พวกเซิกนั้นมีดุจหยดน้ำในมหาสมุทร อย่างไรเสียทัพพยัคฆ์ก็มีวันเหนื่อย เมื่อความเร็วของพวกเขาตกลง พวกเขาก็จะถูกโอบล้อมจากทุกทิศทาง ถึงตอนนั้นพวกเขาย่อมต้องสูญเสียอย่างหนัก
อย่างไรก็ตาม การมีอยู่ของเซียวอวี๋และสามจ้าวมนตราแบ่งเบาภาระของทัพพยัคฆ์ไป พวกเขาเพียงต้องพุ่งไปข้างหน้า ไม่จำเป็นต้องแบ่งสมาธิไปจัดการส่วนอื่นๆ
อาจกล่าวได้ว่า การประสานของพวกเขาทำให้สามารถดึงศักยภาพของทัพพยัคฆ์ออกมาถึงขีดสุด
ที่บนฟ้า เซียวอวี๋คอยแจ้งตำแหน่งต่อโถวปาหู่และบอกเขาว่าควรใช้ทิศตัดผ่านพวกเซิกเพื่อสร้างความเสียหายให้กับพวกมันมากที่สุด
แม้ว่านี่จะเป็นการร่วมมือกันครั้งแรก แต่เซียวอวี๋และโถวปาหู่ต่างประสานกันได้เป็นอย่างดี นี่เป็นการผสานกำลังระหว่างสองผู้บัญชาการชั้นยอดเพื่อรีดเค้นความสามารถในการต่อสู้ของกองทัพออกมาถึงขีดสุด
ทัพพยัคฆ์พุ่งวนซ้ำไปซ้ำมาท่ามกลางกองทัพของพวกเซิก พวกเขาเข่นฆ่าพวกมันไปมากเท่าใดก็ไม่อาจนับได้แล้ว
ในการต่อสู้นี้ สามจ้าวมนตราและทัพพยัคฆ์ร่วมมือกันสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงราวกับการจู่โจมสายฟ้าแลบของกองทัพเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง
สาเหตุที่ทำให้ทัพพยัคฆ์สามารถโลดแล่นได้อย่างอิสระในทัพของพวกเซิกเป็นเพราะการคุ้มครองจากสามจ้าวมนตรา พวกเขาสามารถพุ่งต่อไปได้โดยไม่เกิดการชะงักใดๆ
มิเช่นแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงการพุ่งวนซ้ำไปซ้ำมาหลายสิบครั้ง เพียงพุ่งไประยะหนึ่งพวกเขาก็คงถูกพวกเซิกสกัดไว้แล้ว หนึ่งบวกหนึ่ง แต่ผลลัพธ์กลับมากกว่าสอง บางทีกระทั่งอาจมากเป็นสิบเท่า
หากสามจ้าวมนตราลงมือเพียงลำพัง แม้พวกเขาจะฆ่าพวกเซิกได้เป็นจำนวนมาก เว้นแต่จะใช้เวทมนตร์บทใหญ่ พวกเขาก็ยากจะสร้างความเสียหายต่อทัพของพวกเซิก
ตู้มมมมมมมมม!
เวทมนตร์ห่าใหญ่ปูพรมถล่มพวกเซิกเป็นแถบราวกับถูกมีดกรีดลงไป เพื่อที่จะสกัดยับยั้งทัพพยัคฆืแล้ว พวกเซิกจำต้องรวมกัวเกาะกลุ่มกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกมันมารวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ พวกมันก็จะถูกห่าเวทมนตร์นับสิบจากสามจ้าวมนตราที่อยู่บนฟ้าถล่มจนย่อยยับ ถึงจะเหลืออยู่บางส่วน พวกมันก็ยังจะถูกเวทมนตร์จากคาเอลและมู่เสวี่ยถล่มตามหลังมาอยู่ดี
สถานการณ์ในสนามรบเอนเอียงมาเข้าข้างฝั่งเซียวอวี๋ พวกเซิกบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน พวกมันวิ่งสะเปะสะปะไร้ทิ้งทางจนโกลาหลไปหมด
เซียวอวี๋ไล่ล่าโจมตีพวกมันไปตอลดทาง แต่ดูเหมือนพวกเซิกจะมีไม่หมดไม่สิ้น ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มถอยทัพ เตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ในวันพรุ่ง
เซียวอวี๋ที่อยู่บนฟ้าส่งสัญญาณถอนกำลังให้กับกองทัพที่อยู่ด้านล่าง เหล่านักรบที่อยู่ด้านล่างต่างชูมือโห่ร้องยินดีกับชัยชนะครั้งใหญ่
เพียงวันนี้วันเดียว พวกเซิกต้องตายไปหลายล้านชีวิต นี่เป็นชัยชนะครั้งใหญ่อย่างที่พวกเขาไม่เคยจินตนาการมาก่อน
แม้ว่าพวกเซิกจะยังคงเหลืออยู่อีกมาก แต่ดูจากความก้าวหน้าในวันนี้ สักวันพวกเซิกจะต้องถูกกวาดล้างทั้งหมด!
ตอนที่ 554
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
งานฉลอง เป็นงานฉลองครั้งใหญ่ นานแล้วที่จักรวรรดิเมฆาไม่มีงานรื่นเริงครั้งใหญ่เช่นนี้ ข่าวชัยชนะเหนือพวกเซิกได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว แม้จะต้องห้อตะบึงม้าจนหมดแรง เหล่าผู้ที่จับตาดูอยู่ก็เร่งกระจายข่าวนี้ไปทั่วจักรวรรดิ
ชื่อเสียงของทัพพยัคฆ์พุ่งทะยานสูงถึงสวรรค์ ความแข็งแกร่งของทัพพยัคฆ์ได้ประทับอยู่ในจิตใจของผู้ที่ได้เห็นอย่างลึกล้ำ
พวกเขาคือความภาคภูมิใจของชาวเมฆา เป็นความรุ่งโรจน์ของจักรวรรดิ เป็นต้นแบบให้ชายหนุ่มทั่วแผ่นดิน การรบครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นถึงคุณค่าของทัพพยัคฆ์และชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของโถวปาหู่
สงครามที่ยอดเยี่ยม กองทัพที่ยอดเยี่ยม
เหล่าทหารจากทัพพยัคฆ์สามารถลืมตาอ้าปากอย่างภาคภูมิ พวกเขาสามารถยืดอกเดินเข้ากำแพงเมืองได้อย่างภูมิใจ หลังจากตกอยู่ในความหดหู่กว่าครึ่งเดือน สายตาที่คลางแคลงสงสัย สายตาที่เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามไม่มีอีกต่อไป ในที่สุดพวกเขาก้สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ด้วยความกล้าหาญ
พวกเขาได้พิสูจน์แล้วว่าทัพพยัคฆ์คือยอดทัพและเป็นผู้พิทักษ์แห่งจักรวรรดิ ตราบใดที่ทัพพยัคฆ์ยังคงอยู่ จักรวรรดิเมฆาก็จะอยู่ยั่งยืนยงสืบไป
เมื่อทัพพยัคฆ์กลับมา ผู้คนที่รออยู่ก็ปรบมือโห่ร้องด้วยความยินดี ในใจมีความเคารพบูชา นี่ก็คือสิ่งที่พวกเขาคาดหวังจากกองทัพผู้พิทักษ์
โถวปาหู่รู้สึกภูมิใจมาก รอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าไม่เสื่อมคลาย กับผลการรบเช่นนี้ ในจักรวรรดิยังจะมีผู้ใดเหนือล้ำกว่าอีก?
แม้ว่าชัยชนะครั้งนี้จะมีหลายปัจจัยมาเกี่ยวข้อง ผลงานอย่างน้อยครึ่งหนึ่งเป็นของเซียวอวี๋และสามจ้าวมนตราอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ตาม กองกำลังที่เป็นแกนหลักสำคัญก็คือทัพพยัคฆ์ พวกเขาก็คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้กลยุทธ์ในครั้งนี้ประสบความสำเร็จ
เป็นเพราะทัพพยัคฆ์ ผลการรบจึงออกมายิ่งใหญ่
แม้ที่แนวหน้าจะขาดเสบียงหลายอย่าง โถวปาหงก็ยังสั่งให้จัดงานเลี้ยงฉลองขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ จากการรบในวันนี้ พวกเขาจะเปลี่ยนจากฝ่ายรับเป็นฝ่ายรุก
พวกเซิกที่บีบคั้นพวกเขาเข้าตาจนก็ไม่ใช่กองทัพที่ไร้เทียมทานอีกต่อไป เมื่อเผชิญกับการโต้กลับ พวกเซิกก็มีโอกาสถูกกวาดล้างได้เหมือนกัน
ในเวลานี้ ในใจของคนทั้งหมดต่างเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น พวกเขาเชื่อว่าสักวันพวกเซิกจะถูกกลบฝังจนหมด
ไพร่พลมีความยินดีอย่างไพร่พล ประชาชนมีความยินดีอย่างประชาชน บุคคลระดับสุงเองก้มีความยินดีในแบบพวกเขา
ในกระโจมใหญ่ของโถวปาหู่ เหล่าบุคคลสำคัญต่างรวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลอง สำหรับเรื่องนี้ โถวปาหงไปหาเซียวอวี๋อีกครั้งเพื่อร้องขอเหล้าและไวน์จำนวนมาก นั่นทำให้เซียวอวี๋ต้องจดดอกเบี้ยที่ต้องชำระเพิ่มลงในบัญชีอีกครั้ง
สามจ้าวมนตราที่มีท่าทีเคร่งขรึมมาตลอด มาตอนนี้บนใบหน้าของพวกเขาก็มีร่องรอยของความใจดีปรากฏขึ้นแล้ว อันที่จริง ศึกในวันนี้พวกเขาไม่ได้ใช้พลังมานาไปมากนัก พวกเขาใช้แต่เพียงเวทมนตร์บททั่วไป
แต่หากเป็นการป้องกันเมืองที่พวกเซิกบุกมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน พวกเขาก็จำต้องปลดปล่อยเวทบทใหญ่
อย่างไรก็ตาม ด้วยความแข็งแกร่งของทัพพยัคฆ์ผ่านการใช้รูปขบวนบุกทะลวง ที่พวกเขาทั้งสามต้องทำก็แค่เพียงกำจัดอุปสรรคและปกป้องเป็นบางครั้งเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ปริมาณมานาที่พวกเขาใช้จึงน้อยมาก อีกทั้งเวทมนตร์ที่ใช้ยังเป็นเวทมนตร์เป้าหมายเดี่ยว แต่ด้วยความแข็งแกร่งของทั้งสามแล้วมันก็กลายเป็นการโจมตีหมู่ไป
ดังนั้นน้ำยาฟื้นฟูมานาที่เซียวอวี๋มอบให้ทั้งสามไปจึงถูกใช้ไปเพียงคนละขวด
หากเวทมนตร์ถูกใช้ไปมาก ต่อให้พวกเขามีน้ำยาฟื้นฟูมานาอยู่ ร่างกายของพวกเขาก็ยังต้องรับผลสะท้อน ผู้ใช้มนตราไม่ได้ไร้เทียมทานดังที่ใครๆคิด เวทมนตร์นั้นขึ้นอยู่กับองค์ประกอบเวท หากว่าองค์ประกอบเวทถูกใช้มากเกินไป ร่างกายของผู้ใช้ก็จะอ่อนแอลง
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ผู้ใช้มนตราจำต้องมีผู้คุ้มกันคอยอารักขาอยู่ข้างๆ
กล่าวตามตรง ด้วยกลยุทธ์ที่ใช้ในวันนี้จึงทำให้พวกเขาสูญเสียไปไม่มาก แต่กลับได้รับผลลัพธ์อย่างยิ่งใหญ่ พวกเซิกต้องตายไปหลายล้านชีวิต
โถวปาเฟิงมีความสุขมาก เขาเดินชนถ้วยสุรากับคนงานด้วยความยินดี แต่บางคราสายตาของเขายังเหลือบมองหลินมู่เสวี่ยอยู่หลายครา ทุกครั้งที่สายตาของเขาตกกระทบบนร่างแบบบาง ใบหน้าของเขาก็จะแดงเห่อขึ้นมา
แน่นอนว่าท่าทีเช่นนี้ย่อมไม่อาจหลุดพ้นสายตาของเซียวอวี๋ เขากลอกตาก่อนจะเดินตรงดิ่งไปโอบกอดหลินมู่เสวี่ยอย่างไม่สนใจสายตาของผู้ใด
การกระทำอันอุกอาจนี้ทำให้โถวปาเฟิงที่เห็นถึงกับสำลักสุรา
“นะ…นั่นเจ้าทำอะไร?” โถวปาเฟิงรีบวิ่งเข้ามาด้วยความโกรธ
เซียวอวี๋ฉีกยิ้มก่อนจะกล่าวว่า “ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า สามีภรรยากอดกันก็เป็นเรื่องปกติ”
“อะไรนะ! ภะ…ภรรยาของเจ้า?” มองดูหลินเสวี่ยที่ขวยเขินอยู่ในอ้อมกอดของเซียวอวี๋ ฉับพลันเขาก็เข้าใจเรื่องราว
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับ เทพธิดาในจิตใจของเขา โฉมงามไร้ที่ติ และกระทั่งจอมมนตราขั้นที่หกจะกลับกลายเป็นภรรยาของเจ้าลอร์ดนิสัยโจรผู้นี้ไปได้
ในตอนแรก เขาเห็นหลินมู่เสวี่ยอยู่กับสามจ้าวมนตราตลอดเวลา ดังนั้นทุกคนจึงคิดว่านางเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสท่านหนึ่งในสามท่านนี้ ความจริงการคาดเดานี้ก็นับว่าถูกครึ่งหนึ่งผิดครึ่งหนึ่ง
สายตาของโถวปาเฟิงเปลี่ยนเป็นว่างเปล่าราวกับบางสิ่งในจิตใจถูกทำลาย ตัวเขาที่หยิ่งยโสมาตั้งแต่เด็ก นัยน์ตาของเขาย่อมต้องสูงเทียมฟ้า สตรีทั่วไปย่อมไม่อยู่ในสายตาของเขา ในที่สุดเขาก็พบคนที่ใช่ เมื่อได้พบหลินมู่เสวี่ย เขาก็ตกหลุมรักนางตั้งแต่แรกเห็น ทว่าความฝันของเขากลับพังครืน
โถวปาหู่ย่อมมองทะลุจิตใจของบุตรชาย เขาดึงโถวปาเฟิงออกไปก่อนจะกล่าวกับเซียวอวี๋ “ท่านดยุคเซียว แก้วนี้ขอมอบแด่ท่าน ศึกในวันนี้ หากปราศจากท่านแล้ว ผลลัพธ์ย่อมไม่อาจออกมาสวยหรูเช่นนี้ ข้าหวังว่าพวกเราจะร่วมแรงร่วมใจอย่างจริงใจ กำจัดเภทภัยอย่างพวกเซิกและปกป้องทวีปของเรา”
เซียวอวี๋ย่อมเข้าใจสถานการณ์ เขาปล่อยมู่เสวี่ยและยกแก้วไวน์ขึ้นชนกับโถวปาหู่ “เป็นเกียรติของข้าที่ได้เป็นประจักษ์พยานในความกล้าหาญของทัพพยัคฆ์ พวกเขายอดเยี่ยมสมชื่อจริงๆ ด้วยการร่วมมือของพวกเรา ข้าเชื่อว่าพวกเราต้องสร้างปาฏิหาริย์ได้อีกมาก”
“กล่าวได้ดี ฮ่าๆ” โถวปาหู่กล่าวก่อนจะกระดกแก้วไวน์ในมือ
โถวปาหู่กระจ่างดีว่าขุมกำลังของเซียวอวี๋นั้นยิ่งใหญ่เพียงใด มันกระทั่งยิ่งใหญ่กว่าเขา คิดว่าเขาไม่เห็นท่าทีของสามจ้าวมนตราที่มีต่อเซียวอวี๋หรือ? เขาจะเทียบอีกฝ่ายได้เช่นไร?
ยิ่งกว่านั้น กองทัพใต้ร่มธงของเซียวอวี๋ยังแข็งแกร่งมาก ต่อให้เขาทุ่มสุดตัว มันก็ยังไม่เพียงพอจะเป็นคู่มือของอีกฝ่าย
เขาไม่เคยเกรงกลัวกองทัพใดๆ เขามั่นใจมากว่ามีกองกำลังไม่มากที่สามารถต่อกรกับทัพพยัคฆ์ของเขาบนแผ่นดินนี้ได้ อย่างไรก็ตาม กองทัพอากาศของเซียวอวี๋สร้างความพรั่นพรึงให้กับเขา
คิเมร่าสองหัวเหล่านั้น เพียงแค่พ่นไฟออกมาตัวละที ทั่วทั้งสนามรบก็ตกอยู่ในความปั่นป่วน นั่นสร้างความตกตะลึงให้กับเขาเป็นอย่างมาก เมื่อรวมกับพวกแบทไรเดอร์ อัศวินกริฟฟ่อน ไวเวิร์น และอื่นๆแล้ว หากทัพพยัคฆ์ต้องลงสนาม พวกเขาแน่นอนว่าสู้อีกฝ่ายไม่ได้เลย
ยังไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่นๆ เพียงการกำจัดพวกเซิกและปกป้องจักรวรรดิเมฆา ก็จำต้องพึ่งพาเซียวอวี๋แล้ว เขาทราบดีว่าผลงานในวันนี้ล้วนปรากฏได้เพราะเซียวอวี๋ หากขาดเซียวอวี๋ไป พวกเขาคงไม่ได้มาดื่มฉลองกันอย่างตอนนี้
ดังนั้นตอนนี้จึงเป็นดอกาสอันดีที่จะสานสัมพันธ์กับเซียวอวี๋ กล่าวตามตรง วันนี้เขาไม่อาจต่อต้านเซียวอวี๋ ในอนาคตเองก็ไม่ เขาไม่ทราบว่าเซียวอวี๋ยังมีไพ่ตายอีกมากเท่าใด
ในระหว่างงานเลี้ยง รอยยิ้มล้วนประดับอยู่บนใบหน้าของทุกคน มีเพียงโถวปาเฟิงที่ให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง เขายังคงลอบมองหลินมู่เสวี่ยเป็นครั้งคราว ในแววตาเต็มไปด้วยความหลงใหลและเศร้าหมอง
ตั้งแต่ที่ได้เห็นหลินมู่เสวี่ยเป็นครั้งแรก เขาก็วาดฝันไว้ในใจว่าหลังจากจบศึกนี้ เขาจะคอยประกบติดหลินมู่เสวี่ยดุจองค์รักษ์ไม่ห่างแม้เพียงก้าว ด้วยรากฐานตระกูลของเขาแล้ว เรื่องนี้ย่อมกระทำได้ไม่ยาก
ทว่าช่างน่าเศร้า เขาหมดโอกาสตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
งานเลี้ยงดำเนินไปจนใกล้สิ้นสุด โถวปาหู่ เซียวอวี่และคนอื่นๆเริ่มหารือกันถึงศึกครั้งต่อไป
โถวปาหงต้องการให้พักผ่อนก่อนจะดำเนินการโจมตี แต่เซียวอวี๋นั้นเข้าใจว่าตีเหล็กต้องตีตอนร้อน วันพรุ่งนี้พวกเขาสมควรโจมตีเพื่อบีบให้พวกเซิกถอยร่นกลับไปอัลคีราฟ
ขวัญกำลังใจของกองทัพตอนนี้สูงเทียมฟ้า แต่ยิ่งพักนาน พวกเขาก็จะยิ่งเฉื่อยชา
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ความมั่นใจของพวกเขามีเต็มเปี่ยม พวกเขาจะไม่ลังเลที่จะเข่นฆ่าไปจนถึงรังของพวกเซิก นี่เป็นเวลาอันหาได้ยาก
โถวปาหงและโถวปาหงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตกลงทำตามคำแนะนำของเซียวอวี๋
พวกเขาจะเปิดฉากโจมตีในวันพรุ่ง…….
ตอนที่ 555
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
ในเช้าวันถัดมา ตั้งแต่ก่อนช่วงรุ่งสาง เสียงแตรของกองทัพก็ดังขึ้นทั่วค่าย โถวปาหงยืนนิ่งอยู่บนกำแพงเมือง สายตากวาดมองผู้คนที่มาชุมนุมอยู่ข้างล่าง เมื่อเห็นไพร่พลบางคนมีท่าทางซึมกระทือ เขาก็ตะโกนขึ้นว่า “นักรบแห่งจักรวรรดิเมฆาทุกคน ข้ามีความสุขมากที่ได้ร่วมสู้ไปกับพวกเจ้า เพราะการต่อสู้ของเราคือการปกป้องประชาชนและแผ่นดินของเราจากผู้รุกราน เมื่อวานพวกเราทำได้ดีมาก ชัยชนะเป็นของเรา นี่เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่ากระทั่งแมลงพวกนั้นก็ต้องสยบต่อนักรบกล้าของพวกเรา พวกเราโชคดีที่มีทัพม้าที่เข้มแข็งที่สุดในทวีป ทัพพยัคฆ์คือยอดทัพ พวกเราไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวต่อศัตรู พวกเราจะมุ่งไปข้างหน้าเพื่อคว้าชัยชนะ และวันนี้ พวกเราจะโจมตีอีกครั้ง! ทัพพยัคฆ์จะรับหน้าที่บุกทะลวงให้พวกเราเช่นเดิม จงกำอาวุธในมือไว้ให้มั่น พวกเราจะกวาดล้างแมลงที่เข่นฆ่าผู้คนของเราให้หมดสิ้นไป!”
โอ้ววววว!
ไพร่พลที่อยู่ด้านล่างต่างโห่ร้องอย่างฮึกเหิม ความง่วงเหงาหาวนอนได้หายไปเป็นปลิดทิ้ง จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ได้เข้าแทนที่
หลังจากสงครามเมื่อวาน ทุกคนก็มีความมั่นใจมากขึ้น ตราบที่ทัพพยัคฆ์ยังคงอยู่ พวกเขาจะไม่พ่าย
ในช่วงสำคัญของสงคราม ทุกกองทัพต่างต้องการแหล่งยึดเหนี่ยวจิตใจเช่นนี้
ดังเช่นสมรภูมิในอเมริกาเหนือช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารเยอรมันต่างก็เชื่อว่าเยอรมันจะไม่พ่ายแพ้ แม้ว่าพวกเขาจะถูกบีบเข้าสู่ทางตัน พวกเขาก็ยังคงเชื่อว่าผู้บัญชาการของพวกเขานั้นไร้พ่าย ตราบใดที่ผู้บัญชาการของพวกเขายังอยู่ ชัยชนะก็อยู่เพียงแค่เอื้อม พวกเขาไม่มีวันพ่ายแพ้
เวลานี้ โถวปาหงได้หยิบยกทัพพยัคฆ์ขึ้นมาเป็นแรงบันดาลใจ ในใจของทุกคนต่างเต็มไปด้วยความหวัง วิธีนี้จะสามารถเสริมสร้างสภาวะและขวัญกำลังใจของไพร่พล สิ่งนี้ยังเหนือยิ่งกว่าอาวุธทรงอานุภาพใดๆ
จิตวิญญาณของคนทั้งหมดต่างลุกโชน โถวปาหงจึงใช้โอกาสนี้ตะโกนขึ้นอีกครั้ง “ศึกในวันนี้เกี่ยวพันกับศักดิ์ศรีของนักรบแห่งเมฆา! ดังนั้น ข้าเองก็จะเข้าร่วมการรบในวันนี้ด้วย! ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะติดตามข้าด้วยความกล้าหาญและแสดงให้ทุกคนได้เห็นถึงความสามารถของนักรบแห่งจักรวรรดิเมฆา!”
ได้ยินประโยคนี้ ทุกคนก็โห่ร้องอย่างกึกก้อง โถวปาหงซึ่งเป็นจักรพรรดิจะนำเหล่านักรบเข้าสู่สนามด้วยพระองค์เอง ยังจะมีสิ่งใดปลุกขวัญกำลังใจผู้คนไปกว่านี้ได้อีก?
แม้อาจกล่าวได้ว่าโถวปาหงเคยต่อสู้อยู่บนกำแพงเมืองมาก่อน แต่อย่างไรเสีย เขาก็ไม่ได้พุ่งเข้าสู่สนามรบในแนวหน้า ดังนั้นเมื่อโถวปาหงกล่าวว่าเขาจะนำไพร่พลเข้าสู่สนามรบ ความหมายของเขาก็คือ เขาจะร่วมบุกเข้าไปในกองทัพของพวกเซิกด้วยกันกับทุกคน
ในเวลานี้ พวกเขามีคุณสมบัติถึงขั้นต้องให้องค์จักรพรรดิต้องออกรบที่แนวหน้าด้วยพระองค์เองเลยหรือ? ไม่ใช่แน่นอน หากว่าจักรพรรดิเกิดมีอันตรายขึ้นมา มันคงเป็นความอัปยศของพวกเขาแล้ว ทหารทุกคนต่างให้สัตย์สาบานกับตัวเองว่าพวกเขาจะต้องรีบพุ่งไปข้างหน้าให้เร็วที่สุดเพื่อที่องค์จักรพรรดิจะได้ไม่ต้องเสี่ยงอันตราย
ได้ยินวาจาของโถวปาหง โถวปาหู่ก็ตกตะลึง เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนแล้วว่าโถวปาหงจะมีความกล้าหาญกล่าวถ้อยคำเช่นนี้ออกมาได้ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย เวลานี้โถวปาหงเป็นจักรพรรดิแห่งเมฆา เป็นอนาคตของจักรวรรดิ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับเขา หากเขาเกิดเป็นอะไรขึ้นมา เรื่องราวจะลุกลามบานปลายใหญ่โต
เรื่องนี้แตกต่างจากศึกป้องกันเมืองอย่างสิ้นเชิง เพราะศึกนี้เป็นการบุกเข้าไปในแดนข้าศึก เป็นศึกที่การบาดเจ้บ้ลมตายเกิดขึ้นได้ง่าย แม้ว่าจะเคยจักรพรรดิที่บัญชาการกองทัพด้วยพระองค์เองอยู่ ทว่านั่นก็เป็นการออกคำสั่งจากที่ปลอดภัย ไม่มีจักรพรรดิพระองค์ใดจะยินดีเสี่ยงชีวิตตนเองที่แนวหน้าอย่างแน่นอน
โถวปาหู่รีบก้าวออกมาคัดค้าน “ฝ่าบาท…”
อย่างไรก็ตาม เขาเพิ่งกล่าวได้เพียงสองคำก็ต้องกลืนคำพูดลงไปเพราะโถวปาหงกล่าวขัดขึ้นก่อน “ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าเองก็เป็นนักรบแห่งเมฆา และครั้งนี้ข้าจะไม่อยู่รั้งอยู่ข้างหลังกำแพงอีก”
หล่าวจบ โถวปาหงก็หันกายเดินจากไป
โถวปาหู่ยืนนิ่งงันอยู่เช่นนั้นพักหนึ่ง จากนั้นเขาจึงวิ่งไปหาอ้าวปาและรีบกล่าวว่า “หน้าที่ดูแลความปลอดภัยของฝ่าบาทเป็นของเจ้า หากว่าฝ่าบาทเป็นอะไรขึ้นมา ข้าจะมาคิดบัญชีกับเจ้า!”
อ้าวปาแค่นเสียง “ไม่ต้องให้เจ้าบอกหรอก”
แผนการถูกจัดเตรียมเสร็จสิ้นแล้ว ที่เหลือก็เพียงแต่บุกทะลวงเข้าไป ครั้งนี้พวกเขาจะต้องบีบพวกเซิกมห้ถอยกลับไปยังอัลคีราฟ เมื่อนั้นภัยที่คุกคามจักรวรรดิอยู่จึงจะเบาบางลง
ครืนนนนนน
ยามเมื่อแสงแรกของวันสาดส่องจากขอบฟ้า ทัพพยัคฆ์ก็เคลื่อนพลออกจากกำแพงเมือง ที่เบื้องหลังตามติดด้วยกองกำลังต่างๆ ธงประจำพระองค์ของโถวปาหงชูหราอยู่ที่ด้านหน้าสุด
มองดูธงประจำพระองค์ของจักพรรดิแห่งจักรวรรดิที่ปลิวไสว ชาวเมฆาทั้งหมดก็ฮึกเหิมขึ้นมา เซียวอวี๋ยังคงขี่มังกรน้อยประจำอยู่บนท้องฟ้า นำกองทัพอากาศคอยสนับสนุนกองทัพที่ด้านล่าง
เขากระจ่างดีว่าชัยชนะเมื่อวานมาจากทัพอากาศ ดังนั้นวันนี้เขาก็จะใช้ความได้เปรียบนี้ไล่ต้อนพวกเซิกกลับไปที่อัลคีราฟในคราเดียว
“ที่ทิศสิบนาฬิกามีกองทัพเซิกขนาดใหญ่ ให้ทัพพยัคฆ์จู่โจมทางนั้นเป็นที่แรก” เซียวอวี๋บังคับมังกรน้อยลดระดับลงกล่าวกับโถวปาหู่ด้วยเสียงอันดัง
เวลานี้พวกเขาต่างคุ้นเคยกันแล้ว การร่วมมือระหว่างทั้งสองจึงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
“เหล่าทหารแห่งทัพพยัคฆ์ ได้เวลาที่พวกเจ้าจะแสดงฝีมือแล้ว ติดตามข้าบุกเข้าไป เพื่อแผ่นดินเมฆา เพื่อเกียรยศแห่งทัพพยัคฆ์!” โถวปาหู่ตะโกนสั่งการ จากนั้นจึงนำทัพมุ่งหน้าไปยังทิศสิบนาฬิกา
โถวปาหู่และโถวปาเฟิงต่างควบขี่ม้าเปกาซัสที่มีปีก เซียวอวี๋เลียบเคียงถามอยู่หลายครั้งว่าไปหามาจากไหน หากแต่โถวปาหู่ก็ปฏิเสธไม่ตอบคำ นี่เป็นความลับอันมีค่าของพวกเขา
จำนวนของม้าเปกาซัสมีไม่มาก ทั้งทัพพยัคฆ์ก็มีอยู่เพียงสิบกว่าตัว ล้วนแต่อยู่กับบุคคลสำคัญ ด้วยม้าเปกาซัสนี้ พวกเขาจะสามารถตรวจสอบสถานการณ์และบัญชาการกองทัพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ม้าเปกาซัสเพดานบินไม่สูงนัก เทียบไม่ได้กับพวกกริฟฟ่อน อีกทั้งพวมันยังอยู่บนอากาศได้ไม่นาน กระนั้นก็ยังมีประโยชน์ใช้สอยมาก เวลาส่วนใหญ่พวกมันจะวิ่งอยู่บนพื้นดิน แต่ด้วยเพราะมีปีกคอยพยุงหนุนเสริม พวกมันจึงรวดเร็วกว่าม้าทั่วไป
“ฆ่า!” นักรบแห่งทัพพยัคฆ์กู่ร้องอย่างห้าวหาญไปพร้อมกับเสียงร้องของม้าพาหนะ พวกเขาโถมเข้าหาพวกเซิกอย่างดุดัน
เซียวอวี๋ขี่มังกรน้อยนำกองทัพอากาศบุกโจมตีเช่นกัน กลุ่มก้อนเปลวเพลิงจำนวนมากพุ่งลงมาจากฟ้าและสังหารพวกเซิกราวกับการยิงถล่มมิสไซน์จากเครื่องบินเจ็ท ทางด้านสามจ้าวมนตรา หลินมู่เสวี่ยและคาเอลธาสเองก็เลือกปล่อยเวทโจมตีบริเวณที่พวกเซิกอยู่กันแน่นหนา ฝูงบินแบทไรเดอร์เองก็บินทิ้งระเบิดแบบปูพรม เวลานี้ดินแดนไลอ้อนครอบครองลูกระเบิดไว้จำนวนมาก พวกก๊อบต่างมีพัฒนาฝีมือขึ้นภายใต้การสั่งสอนจากฮิกกิ้น ระเบิดทั่วไป แม้ว่าจะมีอานุภาพทำลายไม่มาก แต่เมื่อถูกใช้ออกโดยกองทัพแบทไรเดอร์ก็สามารถสร้างความปั่นป่วนไปทั่วสนามรบ
โดยเฉพาะกับพวกเซิก เปลวเพลิงจากระเบิดสามารถสร้างความเสียหายต่อพวกมันอย่างร้ายแรง เมื่อขวดระเบิดแตกออก ประกายไฟก็กลืนกินร่างของพวกมันไปทันที
เมื่อเกิดระเบิดขึ้นในที่ที่พวกเซิกรวมตัวกัน ทัพพยัคฆ์ก็จะสามารถบุกทะลวงตามไปโดยไร้ซึ่งอุปสรรค ทั้งทัพสามารถพุ่งทะลวงได้โดยที่ความเร็วไม่ตกลง
พวกเขาบุกทะลวงดังเช่นเมื่อวาน หากแต่วันนี้กลับกล้าหาญกว่าเก่า พร้อมกับเสียงโลหะฟาดฟัน พวกเซิกก็ถูกฉีกร่างก่อนจะโดนม้าเหยียบจนบี้แบน
พวกเซิกคิดไม่ถึงว่ามนุษย์จะบุกโจมตีอีกครั้งในวันถัดมา แม้ว่าพวกมันกำลังเรียนรู้หาทางป้องกันการโจมตีผสานจากพื้นดินและอากาศ แต่พวกมันก็ยังไม่มีผลลัพธ์อันใด
ดังนั้นวันนี้พวกเซิกจึงยังคงถูกเข่นฆ่าอย่างหนัก เซียวอวี๋เข่นฆ่าจากบนฟ้าพลางบอกทิศทางแก่ทัพพยัคฆ์
หลังจากฆ่าพวกเซิกทางนี้จนเบาบาง เซียวอวี๋ก็นำทั้งหมดบุกทำลายรังต่อไปของพวกเซิก
ถูกระเบิดและทัพพยัคฆ์บุกทะลวงระลอกแรก พวกเซิกก็กระจัดกระจายไม่อาจต่อต้านได้
หลังถูกบุกโจมตีสองระลอก เซียวอวี๋ก็มองเห็นจุดดำปรากฏขึ้นที่ไกลๆ พวกเซิกคงเคลื่อนไหวครั้งใหญ่แล้ว
เป็นดั่งคาด พวกเซิกเองก็มีกองทัพทางอากาศอยู่เช่นกัน เพียงแต่เมื่อวานพวกมันรับมืออย่างฉุกละหุกไม่ทันรับมือ ดังนั้นจึงมีเพียงกองทัพอากาศขนาดเล็กซึ่งไม่เป็นภัยคุกคามต่อพวกเซียวอวี๋ จ้าวมนตราทั้งสามเพียงปล่อยเวทออกไปไม่กี่บทก็สามารถทำลายฝูงอากาศของมันได้แล้ว เห็นได้ชัดว่าวันนี้พวกมันตระหนักถึงอานุภาพแห่งทัพอากาศของเซียวอวี๋แล้ว หากว่าพวกมันต้องการหยุดกองทัพที่ภาคพื้น พวกมันต้องหยุดยั้งกองทัพอากาศของเซียวอวี๋ให้ได้เสียก่อน
แต่พวกมันจะสามารถทำได้หรือ?
ตอนที่ 556
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
หากว่าเป็นเมื่อก่อน เซียวอวี๋ก็อาจจะวิตกต่อทัพอากาศของพวกเซิกอยู่บ้าง อย่างไรเสีย ทัพอากาศส่วนใหญ่ของเขาก็มีพลังป้องกันต่ำ ทว่าเวลานี้พวกเขามีสามจ้าวมนตราอยู่ด้วย ยังจะต้องเกรงกลัวแมลงฝูงหนึ่งอีกหรือ?
พวกมันคิดว่าผู้ใช้มนตราสามคนที่อยู่ในระดับสูงสุดของขั้นที่หกเป็นพวกกินพืชหรือ? เนื่องเพราะเมื่อวานไม่จำเป็นให้พวกเขาต้องลงมือ ดังนั้นทั้งสามจึงไม่ได้ลงมืออย่างขยันขันแข็ง อย่างมากก็ใช้ความสามารถไปไม่กี่ส่วน
หากว่าต้องลงสนามต่อสู้จริงๆขึ้นมา พวกเขาคนเดียวก็สามารถเข่นฆ่าจนซากศพกองพะเนิน
มองดูกองทัพอากาศของพวกเซิกที่บินตรงมา เซียวอวี๋ก็ตัดสินใจว่าจะเพิ่มจำนวนทัพคิเมร่าหลังจากกลับไปเพื่อเสริมสร้างความสามารถป้องกันให้ทัพอากาศ
หากว่าในอนาคตเขาต้องพบเจอทัพอากาศที่ทรงพลังของศัตรู กองทัพในตอนนี้ของเขาก็คงประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก ตอนนี้สถานการณ์ทั่วแผ่นดินยิ่งมายิ่งวุ่นวาย ขุมกำลังที่มีทัพอากาศอยู่ย่อมต้องมีอยู่เป็นแน่
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฝูงบินของอีกฝ่ายก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าแล้ว ฝูงแมลงที่บินรวมกลุ่มย่อมสร้างความครั่นคร้ามต่อผู้พบเห็น
หากแต่เซียวอวี๋กลับเฉยเมย ศัตรูพวกนี้ย่อมไม่อาจสร้างปัญหาต่อเขา
“ผู้อาวุโสทั้งสาม ถึงคราวพวกท่านออกโรงแล้ว” เซียวอวี๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม ครั้งนี้ฝูงบินของศัตรูมากันอย่างหนาแน่น หากพึ่งแต่เพียงกำลังของเซียวอวี๋อย่างเดียวย่อมยากจะจัดการ
ไม่ว่าจะพวกพลปืนคนแคระที่อยู่บนหลังคิเมร่าหรือพวกกริฟฟ่อน ทั้งหมดต่างก็เป็นยูนิตโจมตีเป้าหมายเดี่ยว เผชิญกับฝูงแมลงมหาศาลเช่นนี้ การใช้เวทโ๗มตีวงกว้างย่อมได้ผลดีที่สุด
หากอาศัยเพียงคาเอลธาสและหลินมู่เสวี่ย พวกเขาก็ยังยากจะรับมือ ดูเหมือนว่าในภายหน้าพวกเขาต้องจัดหาอาวุธที่สามารถโจมตีเป็นวงกว้างมาใช้บ้างเสียแล้ว
สามจ้าวมนตรามองฝูงแมลงที่บินตรงอย่างดูถูก ต่อหน้าพวกเขาแล้ว แมลงพวกนี้ยังจะได้แสดงฝีมือหรือ? หรือพวกมันไม่ทราบว่าผู้ใช้มนตรานับเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญการโจมตีวงกว้างมากที่สุด?
“คมวายุ” เฟอร์กูสันปล่อยเวทออกไปเป็นคนแรก คมมีดอากาศนับไม่ถ้วนพลันพุ่งตัดอากาศไปก่อนจะหมุนวนก่อเป็นพายุคมดาบพัดเข้าไปในฝูงบินเซิก
พายุคมดาบนี้ทำหน้าที่ราวกับเครื่องบดเนื้อขนาดใหญ่ เพียงกวาดผ่านก็ฉีกกระชากพวกเซิกเป็นชิ้นๆ
พวกเซิกตกใจและพยายามจะหลบหลีก ทว่าพายุลูกนี้มีแรงดูดมหาศาล ขอเพียงเฉียดกายเข้าใกล้ พวกมันจะถูกดูดกลืนหายไปทันที
พวกเซิกเริ่มกรีดร้อง ส่วนใหญ่ถูกตัดร่างจนไม่เหลือซาก ทว่านั่นยังไม่จบ
หลังจากเฟอร์กูสันปล่อยเวทออกไป ธีโอดอร์ก็ยกชูไม้เท้า บอลเวทลูกยักษ์พลันพุ่งเข้าไปในฝูงเซิกและเกิดการระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง จากบอลพลังลูกใหญ่แตกย่อยออกเป็นบอลลูกเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนสาดกระจายไปรอบทิศก่อนจะเกิดการระเบิดแบบลูกโซ่ พวกเซิกถูกแรงระเบิดจนแทบสิ้นซาก บางส่วนที่อยู่ไกลหน่อยก็ยังปีกขาดปีกแหว่งและร่วงหล่นจากท้องฟ้าราวกับฝน
วิธีของธีโอดอร์นั้นค่อนข้างยุ่งยาก หากแต่ได้ผลดี หากใช้บอลพลังนี้จัดการกับกองทัพที่สวมใส่เกราะหนัก มันก็อาจจะไม่ได้ผลมากนัก แต่เมื่อนำมาใช้กับพวกเซิกที่บินอยู่บนอากาศแล้วก็เหลือเฟือ พวกแมลงที่ไร้ซึ่งปีก พวกมันยังจะบินอยู่บนฟ้าได้อีกหรือ?
เมื่อพวกมันร่วงกระแทกพื้น พวกมันก็จะถูกทัพพยัคฆ์ที่ด้านล่างเหยียบจมดิน
การโจมตีของธีโอดอร์ใช้พลังเวทไม่มากนัก หากแต่ได้ผลดี นี่ก็คือความร้ายกาจของผู้ใช้มนตราระดับสูง
หากเป็นผู้ใช้มนตราทั่วไป แม้จะร่ายเวทบทเดียวกัน พวกเขาก็ไม่อาจควบคุมได้ดีเท่า และการโจมตีก็จะส่งผลกับพวกเซิกได้น้อยมาก แต่บอลพลังของธีโอดอร์นั้นกินวงกว้าง ทั้งยังใช้พลังน้อย นี่เป็นเทคนิคระดับสูง ยังเหนือกว่าการโจมตีของเฟอร์กูสันที่กินพลังมาก
เฟอร์กูสันที่เห็นดังนั้นก็มุ่ยหน้า
ถัดมา ชัดคัลที่ได้เห็นการโจมตีของธีโอดอร์ก็ยกเลิกเวทที่ร่ายอยู่ และเปลี่ยนเป็นร่ายเวทเปลวเพลิงแทน
เวทที่ร่ายใหม่นี้เน้นการเผาไหม้ ไม่เน้นพลังทำลาย ทว่าปีกของพวกเซิกนั้นบางมาก ขอเพียงแตะถูกเปลวเพลิง ปีกของมันก็จะไหม้เกรียมและร่วงหล่นจากท้องฟ้า
ด้วยเหตุนี้ ภายใต้การโจมตีของจ้าวมนตราทั้งสาม แผนจู่โจมทัพอากาศของพวกมันก็ถูกทำลายไม่มีชิ้นดี
เซียวอวี๋อดรู้สึกยินดีที่พาทั้งสามมาด้วยไม่ได้ มิเช่นนั้น เผชิญหน้ากับฝูงแมลงเช่นนี้ พวกเขาคงต้องต่อสู้อย่างยากลำบาก
อาจกล่าวได้ว่า บทบาทของจ้าวมนตราทั้งสามยังเหนือล้ำกว่าทัพเซียวอวี๋และทัพพยัคฆ์รวมกันเสียอีก แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ได้ใช้เวทต้องห้าม เพียงใช้เวทบทเล็กๆ พวกเขาก็ยังสามารถพลิกสนามรบได้ทั้งสนาม
ทันใดนั้น จู่ๆพวกเซิกก็พลันรวมกลุ่มแมลงที่มีเหล็กในเข้าขวางทางพวกทัพพยัคฆ์ หากอาศัยเพียงเปลวเพลิงจากคิเมร่าหรือการทิ้งระเบิดของแบทไรเดอร์ มันก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะกำจัดพวกมันอย่างรวดเร็ว ทว่าด้วยการลงมือของสามจ้าวมนตรา พวกแมลงที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆก็ถูกบดขยี้ทันที
พลังโจมตีจากสามจ้าวมนตรานั้นเหนือกว่าพวกเซียวอวี๋อย่างสิ้นเชิง
ด้วยเหตุนี้ ภายใต้การคุ้มครองจากสามจ้าวมนตรา การบุกทะลวงก็เป็นไปด้วยความราบรื่น พวกเซิกถูกบดขยี้จนย่อยยับ เห็นดังนั้น เซียวอวี๋ก็พลันบินลงต่ำก่อนจะบอกให้ทัพพยัคฆ์แบ่งออกเป็นสามกลุ่มโถมบุกทลายพวกเซิกจากสามทิศทาง
โถวปาหู่ผงกศีรษะ จากนั้นจึงแบ่งทัพพยัคฆ์ออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มละห้าพันนาย โจมตีตามการชี้นำของเซียวอวี๋ สามจ้าวมนตราเองก็แบ่งไปดูแลกลุ่มละคน
มีจ้าวมนตราคอยดูแลเช่นนี้ พวกเขาก็สามารถพุ่งโจมตีอย่างวางใจ
ไพร่พลทั้งหมดเต็มไปด้วยความฮึกเหิม พวกเขาบุกตะลุยพลางโห่ร้องไปตลอดทางอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พวกเขาชนะอย่างต่อเนื่อง บุกโจมตีได้โดยแทบไม่มีแรงต้านใดๆ
ทั้งสามกลุ่มบุกตีทัพพวกเซิกจนแตกกระจุย พวกมันเริ่มหันหลังหลบหนี ในระหว่างหนีนั้นก็เกิดการบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน สงครามในวันนี้ กองทัพฝ่ายมนุษย์ยังเข่นฆ่าได้มากกว่าเมื่อวาน
อย่างไรก็ตาม เมื่อไล่ต้อนพวกเซิกไปจนถึงเขตชายแดน สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป ภายในรังของพวกเซิกพลันปรากฏเสาขนาดใหญ่จำนวนมากค่อยเคลื่อนออกมา
เสาใหญ่เช่นนั้นย่อมไม่อาจเคลื่อนได้ด้วยตัวเอง แต่เมื่อมองสังเกตเสาเหล่านั้นอย่างละเอียด เซียวอวี๋ก็พลันนึกได้ถึงบางสิ่ง
“มารดามันเถอะ นั่นมันอานูบีส!”
ตอนที่ 557
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
พวกอานูบีส
สิ่งมีชีวิตที่เซียวอวี๋คุ้นเคย พวกมันเป็นหนึ่งในกองกำลังหลักที่อยู่ในอัลคีราฟ ทั้งยังแข็งแกร่งยิ่ง ในอดีต ตัวเขาต้องทุ่มเทความพยายามอย่างหนักในการจะล้มพวกมันสักตัว
พวกมันแต่ละตัวมีความสูงกว่าสิบเมตร นั่นยังสูงกว่าพวกยักษ์ศิลาเสียอีก ส่วนหัวของพวกมันเป็นสัตว์ ขณะที่ร่างกายคล้ายมนุษย์ มันเป็นมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่ง เพียงพวกมันตัวเดียวก็สามารถถล่มกองทัพขนาดเล็กจนราบคาบ
ตั้งแต่แรกพวกเขาเพ่งความสนใจไปที่จำวนวมหาศาลของพวกเซิกจนมองข้ามบางสิ่งไป ยิ่งไปกว่านั้น เซียวอวี๋ยังจำได้ว่าภายในวิหารอัลคีราฟไม่ได้มีแต่อานูบีสคอยพิทักษ์ แต่ยังมีรถบด!
แม้ว่าภายในกองทัพอันเดดของเซียวอวี๋จะมีอยู่เช่นกัน ทว่าพวกมันกลับมีข้อแตกต่าง รถบดที่อยู่ในอัลคีราฟแข็งแกร่งกว่าอย่างสุดกู่
ว่ากันว่ามันเป็นเครื่องจักรที่ถูกคิดค้นโดยจักรพรรดิเวกซ์ลอร์เพื่อใช้ต่อสู้กับพวกมังกร ลือว่าเจ้าเครื่องจักรชั่วร้ายนี้บรรจุไว้ด้วยพลังงานมืดจนทำให้มันไร้เทียมทาน
และด้วยเจ้าสิ่งที่อยู่ภายในวิหารเหล่านี้ นั่นทำให้การบุกอัลคีราฟทวีความยากขึ้นไปอีก
ไม่นาน พวกอานูบีสก็เผยโฉม ผู้คนที่ได้เห็นพวกมันเต็มๆต่างเบิกตากว้างขณะสั่นสะท้านขึ้นในใจ
เราจะสู้กับไอ้พวกยักษ์นี่ได้อย่างไรกัน?
ต่อหน้าเจ้าพวกยักษ์ร่างสูงใหญ่เหล่านี้ กระทั่งทัพพยัคฆ์ก็ไม่อาจจัดการ โถมพุ่งเข้าใส่หรือ? เกรงว่านั่นจะราวกับพุ่งชนใส่กำแพงเมืองเสียมากกว่า ในใจของไพร่พลทั้งหมดเริ่มเกิดความกังวลขึ้น
“ทำอย่างไรดี?” กระทั่งโถวปาหู่ที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพสงครามก็ยังนัยน์ตาหดวูบ ศัตรูหน้าใหม่ที่ปรากฏตัวขึ้นทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพลดลง
เซียวอวี๋บังคับมังกรน้อยบินลงต่ำพลางตะโกนว่า “ไอ้พวกนี้เรียกว่าอานูบีส พวกมันไม่ได้น่ากลัวดังที่คิด พวกมันเพียงแค่ตัวโตแรงเยอะก็เท่านั้น พวกมันทั้งอืดอาดและไร้สติปัญญา ด้วยการใช้กลยุทธ์โจมตีแบบฉาบฉวย พวกเราจะสามารถกวาดล้างพวกมันได้โดยเร็ว!”
ในเวลาเช่นนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาขวัญกำลังใจของกองทัพ เมื่อผู้คนเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่รู้จัก สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างแรกก็คือ ความกลัว แต่เมื่อเซียวอวี๋กล่าวชื่อเรียกของมันออกมา ทั้งยังชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนของพวกมัน ในใจของคนทั้งหมดก็เริ่มสงบลง
ดูเหมือนว่าพวกมันใช่จะไม่มีหนทางกำจัด พวกมันก็เพียงตัวใหญ่ไว้ข่มขวัญก็เท่านั้น
ตึง ตึง
เมื่อเห็นพวกอานูบีสเริ่มเคลื่อนร่างอันใหญ่โตใกล้เข้ามา เซียวอวี๋ก็รีบกล่าวต่อโถวปาหู่ “แบ่งทัพพยัคฆ์ออกเป็นสิบกลุ่มและมุ่งเน้นโจมตีพวกเซิกที่เหลือ แต่อย่าได้ล่วงเข้าไปลึกนัก โจมตีเสร็จแล้วให้รีบกลับมารอข้าให้สัญญาณอีกครั้ง จำไว้ว่าให้หลีกเลี่ยงเจ้าพวกนั้น หากปะทะขึ้นมาทัพของท่านจะเสียเปรียบมาก ข้าจะระดมยักษ์ศิลามาต่อกรกับพวกมัน”
ได้ยินคำกล่าวของเซียวอวี๋ โถวปาหู่ก็พยักหน้ารับ จากนั้นจึงหันไปออกคำสั่งให้ทัพพยัคฆ์แบ่งออกเป็นสิบกลุ่ม กลุ่มละหนึงพันห้าร้อยนายแยกกันโจมตี
เซียวอวี๋เองก็แบ่งกองทัพอากาศไปดูแลทัพพยัคฆ์แต่ละกลุ่ม
เมื่อมีสามจ้าวมนตราอยู่ด้วย เซียวอวี๋ก็มั่นใจในการรับมือพวกอานูบีส
เซียวอวี๋คาดไว้แล้วว่าอาจมีเหตุเปลี่ยนแปลง และเมื่อเวลานั้นมาถึง เขาก็ต้องการยืมกำลังจากพวกเขาทั้งสาม จ้าวมนตราแต่ละคนล้วนทรงอำนาจเทียมฟ้า ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับจักรวรรดิทั้งจักรวรรดิพวกเขาก็รับมือไหว
พวกยักษ์ศิลาถูกทิ้งอยู่ที่ทัพหลังเพราะเคลื่อนที่ช้า และอีกเหตุผลก็เพื่อป้องกันเมือง เซียวอวี๋ไม่ได้เรียกพวกมันมามากนัก
ที่ไกลๆด้านหลังทัพฝ่ายมนุษย์ ยักษ์ศิลาห้าสิบตัวกำลังก้าวเดินมาอย่างเชื่องช้า เซียวอวี๋กำลังรอคอยการปะทะกันของยักษ์ศิลากับพวกอานูบีส
“ไม่ต้องวิตกไป พวกเราจะใช้การโจมตีล่อหลอกพวกมัน ให้หน่วยโจมตีระยะไกลเป็นหน่วยโจมตีหลัก เปลี่ยนลูกธนูทั้งหมดเป็นลูกธนูเวท ลูกธนูทั่วไปทำอะไรพวกมันไม่ได้” เซียวอวี๋ขี่มังกรน้อยบินตะโกนบอกวิธีรับมือให้ไพร่พลที่ด้านล่าง
ได้ยินวาจาของเซียวอวี๋ ทุกคนก็สงบลง เมื่อมีวิธีการรับมือพวกมันก็ไม่น่ากลัวดั่งรูปลักษณ์แล้ว
ชาวเมฆาเชี่ยวชาญการขี่ม้ายิงธนู และนักรบส่วนใหญ่มักพกลูกธนูเวทไว้ด้วย กับสัตว์ประหลาดยักษ์พวกนี้ เมื่อมีวิธีรับมือก็ง่ายแล้ว
ครืนน
กองทัพฝั่งมนุษย์ถุกแบ่งเป็นสองทัพ ทัพพยัคฆ์ควบม้าไปอีกทางเพื่อเตรียมแยกย้ายจู่โจมพวกเซิก ขณะที่นักรบชาวเมฆาที่เหลือเริ่มตั้งแนวยิง
ตึง ตึง ตึง
เสียงกลองศึกเริ่มดังขึ้น มันเป็นกลองศึกที่กองทัพของจักรวรรดิเมฆาใช้ กลองจะถูกตียามเมื่อกองทัพเผชิญศึกหนัก และการปรากฏตัวของพวกอานูบีสก็เป็นเช่นนั้น
เสียงลั่นกลองดังกระหึ่มทั่วสนามรบควบคู่ไปกับเสียงก้าวเท้าของพวกอานูบีสและยักษ์ศิลา และเมื่อรวมเข้ากับเสียงฝีเท้าม้าของทัพพยัคฆ์ด้วยแล้ว มันก็ทำให้บรรยากาศในสนามรบเดือดพล่านขึ้นมา
ในเวลาเดียวกัน พวกเซิกก็ค่อยๆคืบคลานเข้าสู่สนามรบดุจมวลคลื่น พวกอานูบีสที่เดินอยู่กลางคลื่นทะเลสีดำนั้นดูโดดเด่นเป็นพิเศษ ทำให้ผู้คนที่ได้เห็นรู้สึกอึดอัดในอก
กิ๊ซซซซซซซ
ในเวลานั้นเอง จู่ๆกองทัพของพวกเซิกก็แหวกแยกออก แมลงเปลือกแข็งที่สูงราวห้าหกเมตรก็ปรากฏตัวออกมา
“บัดซบ แม่ทัพราแจ็ค” เซียวอวี๋พลันจดจำออก ศัตรูตัวนี้นับว่ารับมือได้ยากยิ่ง
หากที่นี่ไม่มีสามจ้าวมนตราอยู่ด้วย ฝ่ายจักรวรรดิคงต้องสูญเสียอย่างหนักแล้ว
“จัดกระบวนทัพรูปสี่เหลี่ยม พลธนูอยู่ด้านในคอยโจมตีพลางถอย” โถวปาหงที่อยู่ใต้ธงตะโกนสั่งการเสียงดัง
เห็นโถวปาหงอยู่ที่นี่ด้วย ในใจทุกคนก็ผ่อนคลายกว่าเดิม กระทั่งจักรพรรดิยังมาแนวหน้าด้วยพระองค์เอง แล้วพวกเขายังจะกลัวอะไร
ในตอนนี้เอง พวกยักษ์ศิลาก็มาถึง ในมือพวกมันแต่ละตัวถือไว้ด้วยค้อนเหล็กหนักหลายตัน ทั่วร่างยังสวมใส่เกราะโลหะมิดชิด
เกราะและค้อนทำให้พวกมันเคลื่อนตัวได้ช้าลง แต่เดิมทีพวกมันก็ไม่ใช่ยูนิตประเภทคล่องตัวอยู่แล้ว ทำให้พวกมันรวดเร็วขึ้นยังจะมีประโยชน์อะไร?
จุดเด่นของพวกมันอยู่ที่การป้องกันและโจมตีหนัก มุ่งเน้นไปที่สองด้านนี้ก็เพียงพอแล้ว
ชุดเกราะโลหะที่พวกมันสวมใส่ไม่ได้ตีขึ้นจากโลหะทั่วไป ชุดเกราะนี้ถูกออกแบบโดยพวกก๊อบลินอย่างพอดีตัว ต้องใช้วัตถุดิบต่างๆไปมาก ค้อนเหล็กของพวกมันเองก็ถูกเสริมเวทปฐพี เมื่อฟาดลงไปยังพื้นดินก็จะสามารถก่อนให้เกิดแผ่นดินสะเทือนได้
ดังนั้น ยามเมื่อยักษ์เหล็กเหล่านี้ออกก้าวเดินพร้อมกันจึงก่อเป็นภาพคล้ายกับปราการเหล็กกำลังเคลื่อนที่ ดูๆไปคล้ายกับไม่เสียเปรียบพวกอานูบีสแต่อย่างใด พวกอานูบีสยังมีเนื้อมีหนัง ทว่ายักษ์ศิลาเหล่านี้หุ้มด้วยเกราะหนักทั่วทั้งตัว
ในขณะที่พวกเซิกมีสติปัญญาต่ำ จุดเด่นของมนุษย์คือการประดิษฐ์เครื่องมือและอุปกรณ์ขึ้นมาใช้ สิ่งนี้เองที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น
ฮู่มมมมมมมม
เมื่อพวกยักษ์ศิลามองเห็นอานูบีส พวกมันก็ร้องคำรามเป็นการท้าทายต่อศัตรู นี่เป็นครั้งแรกที่พวกมันได้เห็นศัตรูที่มีขนาดเท่าเทียมกัน และพวกมันก็ต้องการพิสูจน์ฝีมือ
อย่างไรก็ตาม ที่นี่จำนวนของพวกอานูบีสมีมากกว่ายักษ์ศิลา กวาดดูคราเดียวก็เห็นพวกมันมีหลายร้อยหรืออาจเป็นพันตัว
โฮกกกกกกกก
ทั้งสองฝ่ายต่างคำรามใส่กัน พวกเซิกเปิดฉากโจมตี มนุษย์ตั้งแนวป้องกัน เมื่อพวกเซิกบุกขึ้นหน้ามาได้สี่ห้าร้อยเมตร โถวปาหู่ก็ออกคำสั่งโจมตีต่อทัพพยัคฆ์ แต่คราวนี้พวกเขาแบ่งกำลังแยกกันโจมตีโดยหลีกเลี่ยงพวกอานูบีส
เวลานี้ความสุดยอดของทัพพยัคฆ์ก็ถูกแสดงออกมา แม้จะแบ่งกำลังเป็นกลุ่มย่อย แต่ความดุดันในการพุ่งโจมตีกลับไม่ลดลง ไม่ว่าจะเป็นหนึ่งหมื่นห้าพันหรือหนึ่งพันห้าร้อย ผลลัพธ์กลับไม่ต่างกัน
พวกเซิกทั่วไปยังคงรับมือการพุ่งโจมตีไม่ได้ ทัพม้าหุ้มเกราะยังคงเหยียบย่ำพวกเซิกจนราบคาบ
เหนือทัพพยัคฆ์ขึ้นไปมีอัศวินกริฟฟ่อนคอยบินนำ หลังจากพุ่งเข้าไปได้ระยะทางหนึ่ง พวกเขาก็จะวนกลับก่อนจะพุ่งไปอีกทิศเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกล้อมกัก
หากทัพม้าพุ่งเข้าไปติดกับพลังต่อสู้ก็จะลดลงอย่างมาก
โครมมม
ไม่นานพวกอานูบีสกับพวกยักษ์ศิลาก็เข้าปะทะกัน ค้อนเหล็กของยักษ์ศิลาหวดเข้าเต็มร่างของพวกอานูบีสจนพวกมันร้องอย่างเจ็บปวด
บุรุษมักพูดคุยกันด้วยกำปั้น ประโยคนี้ได้รับการพิสูจน์แล้ว
สงครามของเหล่าสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ได้เริ่มขึ้นแล้ว……
ตอนที่ 558
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
ในที่สุด เม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่เซียวอวี๋ทุ่มทุนสร้างอาวุธชุดเกราะให้ยักษ์ศิลาก็เกิดผล เกราะที่ยักษ์ศิลาสวมใส่นั้นทำมาจากแร่โลหะหายาก และด้วยข้อได้เปรียบด้านยุทโธปกรณ์นี้เองที่ทำให้พวกอานูบีสตกเป็นรอง
หากพวกยักษ์ศิลาไม่ได้สวมใส่เกราะถือค้อนเหล็กแต่ใช้ต้นไม้เป็นอาวุธเพียงอาเดียว เกรงว่าพวกมันคงยากจะสู้กับอานูบีส แต่เมื่อมีเกราะและค้อนเหล็กอยู่ในมือ สถานการณ์ก็แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
พวกอานูบีสพึ่งพาเพียงกำปั้นเปล่าๆ เมื่อเป็นเช่นนี้พวกมันย่อมสู้กับอีกฝ่ายที่มีค้อนยาวอยู่ในมือไม่ได้
หากกำปั้นของอานูบีสต่อยโดนมนุษย์ธรรมดาหรือแม้กระทั่งไพร่พลทัพพยัคฆ์ ผู้ที่โดนหากไม่ตายก็ปลิวกระเด็น ไม่มีหาทางรับหมัดอันหนักหน่วงนี้ได้แน่
พวกอานูบีสเป็นสิ่งมีชีวิตสติปัญญาต่ำ มีเพียงการเคลื่อนไหวอันทื่อด้าน ไม่มีเทคนิคต่อสู้ใดๆ อวัยวะส่วนสำคัญของยักษ์ศิลาล้วนถูกห่อหุ้มไว้ใต้เกราะเหล็กหนาหนัก กระนั้นก็ยังมีบางส่วนที่ไร้เกราะกำบัง การโจมตีไปที่ส่วนเหล่านั้นย่อมสามารถสร้างความเสียหายต่อพวกมันอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าโชคร้ายที่พวกอานูบีสรู้จักแต่โจมตีออกไปทื่อๆ ไม่รู้จักกำหนดจุดโจมตี ดังนั้นทุกครั้งคราล้วนต่อยเข้าใส่เกราะเหล็กอย่างจัง
แน่นอนว่าการโจมตีเบาหวิวดุจยุงพุ่งชนนี้ย่อมไม่อาจทำอะไรพวกยักษ์ศิลา กลับกัน การโจมตีของพวกยักษ์ศิลาสร้างความเสียหายอย่างหนักหน่วงต่อพวกอานูบีส
ในตอนแรก ทุกคนต่างหวาดกลัวรูปร่างที่ใหญ่โตของพวกอานูบีส แต่เมื่อเห็นพวกมันถูกพวกยักษ์ศิลาทุบตีอยู่ฝ่ายเดียวราวกับกระสอบทราย ความกลัวในใจก็พลันสลายไปจนสิ้น พวกเขาหวังให้พวกอานูบีสรีบตกตายโดยเร็วเพราะสุดท้ายพวกเขาก็ไม่ทราบว่ามีเจ้าพวกตัวใหญ่แบบนี้อยู่อีกมากน้อยเท่าใด
นอกจากพวกยักษ์ศิลาแล้วก็ไม่มีหน่วยรบอื่นที่จะรับมือกับพวกอานูบีสได้อีก….
เวลานั้นเองกรอมก็ชักดาบยาวจากแผ่นหลังก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีพวกอานูบีส ด้วยการเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่อง รอยแผลลึกจำนวนมากก็ค่อยๆปรากฏขึ้นตามร่างกายของพวกอานูบีส
แต่ละดาบของกรอมสามารถสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลจนทำให้พวกอานูบีสต้องร้องอย่างเจ็บปวด โลหิตสีดำรินหลั่งไหลนองพื้น
ร่างของกรอมขยับเคลื่อนไหวไต่ขึ้นไปตามร่างกายของอานูบีสพลางฝากรอยดาบไว้ตามทาง เมื่อไปถึงบริเวณไหล่ของอานูบีส กรอมก็ยกดาบขึ้นก่อนจะปักลงไปอย่างแรง อานูบีสตนนั้นกรีดร้องและพยายามยกมือปัดป่ายกรอมออก
กรอมแค่นเสียงเย็นก่อนตวัดดาบฟันไปยังลำคอของมัน โลหิตสีดำฉีดพุ่งอย่างแรง อานูบีสพยายามจะคว้าร่างของกรอมอีกครั้ง แต่กรอมนั้นมีทักษะก้าวกระโดดอยู่ มันยังจะจับกรอมได้หรือ?
ย๊ากกกกกกก
กรอมกู่ร้องขณะที่ปรากฏลำแสงขึ้นห่อหุ้มดาบยาวในมือ วินาถัดมาใบดาบพลันตัดผ่านศีรษะของอานูบีส
ตึง….
ศีรษะของอานูบีสร่วงหล่นลงพื้นดิน จากนั้นร่างที่ไร้ศีรษะจึงเอนล้มลง
“ยอดเยี่ยม!…..”
ทุกคนที่ได้เห็นฉากนี้ต่างระเบิดเสียงโห่ร้องอย่างยินดี ในเวลานี้ไม่มีข้อจำกัดทางชาติพันธุ์อีก เมื่อศัตรูร่วมกัน ผู้ที่สังหารศัตรูลงได้ก็คือมิตร
กล่าวได้ว่ากรอมได้แสดงให้ทุกคนเห็นถึงวิธีจัดการกับอสูรร่างยักษ์แล้ว
อย่างไรก็ตาม ดูการเคลื่อนไหวที่ไหลลื่นนั้นแล้วอาจจะเห็นว่าง่าย ทว่าบุคคลทั่วไปย่อมไม่อาจลอกเลียน หากฝืนกระทำตามคงถูกอานูบีสตบร่วงเหมือนตบยุง
นี่คือช่องว่างของความแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม การลงมือของกรอมปลุกกระตุ้นจิตต่อสู้ของทุกคนขึ้น ทำให้พวกเขากล้าต่อสู้กับพวกอานูบีส แม้จะต้องสูญเสียไปไม่น้อย แต่ยิ่งนานพวกเขาก็ยิ่งจัดการพวกอานูบีสได้ดีขึ้น พวกทหารผสานงานกันได้เป็นอย่างดี บางกลุ่มคอยหลอกล่อ บางกลุ่มคอยโจมตี ในที่สุดพวกเขาก็พบว่าบริเวณหว่างขาของอานูบีสนั้นเป็นจุดอ่อนร้ายแรงที่สุด นั่นเพราะว่าจุดนั้นเป็นจุดอับสายตา
ในที่สุดกระแสสงครามก็เอนเอียงมากองทัพฝ่ายจักรวรรดิ ทว่าทันใดนั้นเอง เงาร่างขนาดใหญ่ก็กระโจนออกมาจากฝูงแมลงและโถมเข้าหากลุ่มทหารชาวเมฆา ด้วยการสะบัดขาหน้าอันแหลมคมไม่กี่ครั้ง ร่างของทหารเมฆาโดยรอบก็ถูกตัดเป็นชิ้นๆ
จากนั้นเหตุการณ์ก็ราวกับพยัคฆ์กระโจนเข้าสู่ฝูงแกะ ร่างของมันเคลื่อนไหวไปมาท่ามกลางกองทัพจักรวรรดิพลางเข่นฆ่าจนโลหิตหลั่งไหลเป็นธาร เงาร่างนั้นก็คือ แม่ทัพแมลงราแจ็ค
แม่ทัพราแจ็คยังคงกล้าหาญแข็งแกร่ง เป็นฮีโร่ที่มุ่งเน้นบุกทะลวงทัพศัตรู
มองเห็นแม่ทัพราแจ็คเข่นฆ่าอย่างย่ามใจ เซียวอวี๋ก็เตรียมจะออกคำสั่งรับมือ ทว่าในตอนนั้นเอง เงาร่างสูงใหญ่ก็พลันกระโจนไปอยู่เบื้องหน้าของราแจ็คก่อนจะเหวี่ยงขวานยักษ์ฟันเข้าใส่
เงาร่างนั้นคือคาร์นบลัดฮูฟ!
คาร์นชมชอบต่อสู้กับศัตรูที่ดูสมน้ำสมเนื้อเช่นนี้ที่สุด การต่อสู้ที่ใช้กำลังเข้าว่า การต่อสู้ที่ดูป่าเถื่อนเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านเสมอ การต่อสู้ดำเนินไปช่วงสั้นๆ ปรากฏว่าคาร์นสามารถรับมือกับราแจ็ค แม้ว่าคาร์นจะตกเป็นรองอยู่บ้าง แต่ภายในระยะเวลาพักหนึ่งราแจ็คจะยังไม่อาจโค่นคาร์นลงได้
มังกรน้อยที่ได้เห็นการต่อสู้เบื้องล่างก็รู้กระเหี้ยนกระหือรืออยากจะลงไปฟัดกับเขาบ้าง แต่ถูกเซียวอวี๋ปฏิเสธเสียงแข็ง ตอนนี้เซียวอวี๋ติดใจการขี่มังกรบินไปบินมาแล้ว มีหรือที่เขาจะปล่อยสัตว์ขี่แสนสะดวกและลงไปเดินให้เจ็บเท้า?
จู่ๆพื้นดินก็สั่นสะเทือนราวกับมีบางสิ่งบางอย่างกำลังผุดขึ้นมา หางขนาดใหญ่พลันแทงขึ้นจากพื้นและสังหารทหารโดยรอบไปหลายคนก่อนจะมุดหายไปในดิน จากนั้นบริเวณที่เคยมีหางโผล่ขึ้นมาก็กลายเป็นทรายดูด หลายคนที่ไม่ทันระวังก็โดนทรายดูดร่างหายไปจากสายตาพวกพ้องอย่างไม่อาจช่วยเหลือ
ตอนที่ 559
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
“มันคือคุรินแน็ก!” เซียวอวี๋โพร่งออกมาทันทีที่ได้เห็น เจ้าตัวนี้คือผู้พิทักษ์ประตูสู่อัลคีราฟ คุรินแน็กเป็นแมลงที่มีหางเป็นแมงป่อง ทักษะของมันทั้งเงียบงันและรุนแรง หลุมทรายที่มันสร้างขึ้นสามารถกลืนกินผู้ที่หล่นลงไปอย่างไร้ร่องรอย
“ระวังเจ้านั่นไว้ให้ดี! ผู้ใช้มนตราถอยออกไป เจ้าตัวนี้สามารถเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ มันสามารถลอบเข้าประชิดพวกเจ้าได้โดยที่พวกเจ้าไม่รู้สึกตัว” เซียวอวี๋ตะโกนบอกจากบนฟ้า หากแต่เขายังไม่ส่งสามจ้าวมนตราไปจัดการ เขาต้องคอยดูสถานการณ์ทั่วสนามรบก่อนจะตัดสินใจ
ไม่แน่ว่าอาจยังมีศัตรูที่เข้มแข็งซ่อนตัวอยู่ หากส่งสามจ้าวมนตราออกแล้วเกิดศัตรูโผล่มาอีกด้านก็แย่แล้ว
ฟุ่บ!
ทันใดนั้นเงาร่างหนึ่งก็พุ่งเข้าหาคุรินแน็ก โล่ในมือของเขาเหวี่ยงกระแทกร่างของคุรินแน็กอย่างจังจนร่างของมันลอยกระเด็นไป
คนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นคาสโซ่ เขารีบวิ่งขึ้นมาจากแนวหลังเพื่อรับมือกับคุรินแน็ก คุรินแน้กเป็นพาลาดินขั้นที่หก และเมื่อประกอบกับโล่เอสซินอสและสร้องแห่งไททันที่เซียวอวี๋มอบให้ เขาก็สามารถต่อกรกับคุรินแน็กได้ระยะหนึ่งอย่างไร้ซึ่งปัญหา
คาสโซ่รุดขึ้นหน้าก่อนจะโจมตีเข้าใส่คุรินแน็กอย่างต่อเนื่อง
“ต่อไปจะเป็นตัวอะไร?” เซียวอวี๋มองดูศัตรูทั้งสองที่ทยอยปรากฏตัวก่อนจะกวาดมองสนามรบอย่างระแวดระวัง
เหตุการณ์เป็นไปดังที่เซียวอวี๋คาด ไม่นานเงาร่างหนึ่งก็พุ่งทะยานขึ้นมาบนฟ้าและบินตรงเข้าหาเซียวอวี๋
รูปร่างของมันคล้ายกับผึ้งขนาดใหญ่ ปีกที่กระพืออย่างถี่ยิบทำให้มันสามารถบินบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็วเหนือกองทัพฝ่ายมนุษย์ก่อนจะปลดปล่อยละอองพิษลงมาทำให้ไพร่พลด้านล่างบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก
“ท่านย่ามันเถอะ กระทั่งเจ้านี่ก็โผล่มาด้วย” เซียวอวี๋สบถอย่างหัวเสีย ดูท่าศึกในวันนี้คงไม่ง่ายแล้ว
จากนั้น เซียวอวี๋ก็มองเห็นแมลงเปลือกแข็งขนาดใหญ่ ขาของมนแต่ละข้างคมกริบดุจคมมีด เมื่อมันพุ่งเข้าไปในกองทัพฝ่ายมนุษย์ได้ขาอันคมกริบของมันก็เริ่มสับสังหารผู้คนโดยรอบราวกับหั่นผักหั่นแตง
บูรูเดอะกอเกอร์!
“เจ้านี่ก็ด้วย! เหลือเพียงโมอัมกับออสซิเลี่ยนแล้ว” เซียวอวี๋พึมพำ ทันใดนั้น สามจ้าวมนตราก็รู้สึกว่าพลังมานาภายในร่างกำลังถูกบางสิ่งสูบออกไป และเมื่อพวกเขาหันไปมองพวกเขาก็เห็นอสูรที่มีร่างกายเป็นสิงโตพร้อมกับปีกสองข้างอยู่ด้านหลัง ร่างกายของมันล้วนทำมาจากศิลาที่แปลกประหลาด
โมอัม!
ตอนนี้เหลือเพียงออสซิเลี่ยนแล้ว
บอสส่วนใหญ่ล้วนปรากฏกาย เห็นได้ชัดว่าพวกเซิกเองก็เริ่มวิตกกันแล้ว หากฝ่ายมนุษย์ยังกดดันพวกมันอยู่เช่นนี้ ไม่ช้าพวกมันคงถูกกวาดล้าง ดังนั้นพวกมันจึงส่งแม่ทัพที่ทรงพลังออกมาพลิกสถานการณ์
ซึ่งแม่ทัพเหล่านี้ก็แข็งแกร่งจริงๆ เป็นเรื่องยากที่กองทัพของฝ่ายมนุษย์จะรับมือกับพวกมัน ผ่านไปพักหนึ่ง คาร์นก็เริ่มรับมือราแจ็คไม่ไหว อย่างไรเสียคาร์นก็ยังเป็นเพียงนักรบขั้นที่ห้า ขณะที่ราแจ็คอยู่ในขั้นที่หกระดับสุดยอด ช่องว่างระหว่างทั้งสองมีมากเกินไป
คุรินแน็กต่อสู้กับคาสโซ่อยู่พักหนึ่งก่อนจะดำดินหายไปแล้วไปโผล่อยู่อีกทาง ฝั่งเซียวอวี๋ไม่มียอดฝีมือมากเพียงพอจะไปรับมือกับเหล่าแม่ทัพของอีกฝ่าย
หากฝั่งเซิกยังสามารถผลุบโผล่ไปเข่นฆ่าที่ใดก็ได้อยู่เช่นนี้ ความพ่ายแพ้ของฝั่งมนุษย์ก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว
ทันใดนั้นคุรินแน็กก็มุ่งเป้าไปยังธงที่มีโถวปาหงอยู่ ก่อนจะเริ่มจัดการกับพวกองค์รักษ์ที่อยู่โดยรอบ
องค์รักษ์เหล่านี้ล้วนแต่อยู่ในขั้นที่ห้า กระนั้นพวกเขาก็ไม่อาจรับมือการลอบโจมตีอันไร้ร่องรอยจากคุรินแน็กที่อยู่ในขั้นที่หกระดับสุดยอด
อย่างไรก็ตาม ขณะที่คุรินแน็กกำลังจะโจมตีโถวปาหง เงาร่างหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่มันพร้อมประกายดาบที่คลี่คลุมทั่วฟ้า
อ้าวปา!
การโจมตีของอ้าวปาทำให้อากาศโดยรอบสั่นสะเทือน นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวอวี๋เห็นการลงมือของอ้าวปา เซียวอวี๋ไม่ทราบจะใช้คำใดมาอธิบายการโจมตีดาบนี้ของอ้าวปา ดาบนี้แม้จะดูเชื่องช้า แต่กลับรวดเร็ว รัศมีที่เกิดขึ้นจากการโจมตีนี้ทำให้ผู้ที่อยู่โดยรอบรู้สึกสั่นสะท้าน
ปะทะกับการโจมตีดาบนี้ ร่างของคุรินแน็กก็มีรอยดาบลึกสายหนึ่งปรากฏอยู่บนร่าง
เพียงดาบเดียวก็ทำให้คุรินแน็กเจ็บหนัก ความแข็งแกร่งของเขาสมกับเป็นปรมาจารย์แห่งจักรวรรดิเมฆา
คุรินแน็กดิ้นพล่านอยู่บนพื้นก่อนจะรีบมุดดินหลบหนี ชัดเจนว่ามันหวาดกลัวอ้าวปาแล้ว
อ้าวปาแค่นเสียงเย็น จากนั้นเหินร่างกลับไปที่ข้างกายของโถวปาหง แม้เขาจะสามารถตามไปจัดการคุรินแน็กได้ แต่ความปลอดภัยของโถวปาหงต้องมาก่อน
“โอ้…..” เซียวอวี๋สูดหายใจพลางครุ่นคิดว่าเมื่อใดตนจะสามารถโจมตีเช่นดาบเมื่อครู่ได้
เช่นเดียวกับเซียวอวี๋ ทุกคนที่ได้เห็นฉากเมื่อครู่ล้วนแต่ตกตะลึงเป็นเวลานาน พวกเขาเพิ่งเคยเห็นการโจมตีที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินเช่นนี้ พวกเขาทราบว่าอ้าวปาเป็นปรมาจารย์แห่งจักรวรรดิ เป็นผู้เข้มแข็ง แต่พวกเขาคิดไม่ถึงว่าปรมาจารย์อ้าวปาจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
และในวันนี้ พวกเขาก็ได้รับทราบความร้ายกาจของปรมาจารย์ท่านนี้แล้ว
พวกเขาถูกคุรินแน็กเข่นฆ่าอย่างย่ามใจมาพักใหญ่ ดังนั้นจึงรู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของมันดี ขาหน้าของมันตัดผ่านร่างของพวกทหารราวกับผ่าผลแตง ทว่าเพียงหนึ่งดาบของอ้าวปาก็ทำให้มันต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุน ในใจของพวกทหารย่อมเทิดทูนเคารพอ้าวปา
เซียวอวี๋ถูกความแข็งแกร่งของอ้าวปาทำให้ตะลึง แต่นี่ก็ยิ่งทำให้เขาตื่นเต้นพลางเฝ้าจินตนาการถึงตอนที่สามจ้าวมนตราลงมือพร้อมกัน
ต้องทราบว่าสามจ้าวมนตรายังแข็งแกร่งกว่าอ้าวปาอีก หากอ้าวปายังทำได้ถึงขั้นนี้ แล้วเวทบทใหญ่ของอาวุโสทั้งสามนั้นเล่า? มันจะยิ่งใหญ่ถึงขั้นใด?
เซียวอวี๋เหลือบมองสามจ้าวมนตราก่อนจะฉีกยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสทั้งสาม ถึงคราวพวกท่านลงมือแล้ว โปรดจัดการเจ้าแมลงที่กำลังบินอยู่นั่นก่อน เจ้านั่นเรียกว่านักล่าอายามิส มันสามารถฉีดพิษเป็นวงกว้างเป็นภัยคุกคามต่อพวกทหารด้านล่าง”
สามจ้าวมนตราพยักหน้า พวกเขาไม่ได้ปริปากบ่นใดๆเพราะทราบดีว่านี่เป็นเรื่องเร่งด่วน
ทั้งสามหันไปสบตากันก่อนที่เฟอร์กูสันจะเริ่มร่ายเวท
หลังท่องคาถาไปได้ราวสองนาทีเฟอร์กูสันก็พลันลืมตา เซียวอวี๋สัมผัสได้ว่ามังกรน้อยก็อาการสั่นเทาเบาๆ
วินาทีถัดมา เซียวอวี๋ก็ใจสั่นสะท้านก่อนที่ขนทั่วร่างจะลุกชี้ชัน
เซียวอวี๋ได้เห็นภาพที่เขาจะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต ที่เบื้องหน้าของอายามิสพลันบังเกิดรอยแยกขนาดใหญ่ขึ้น เมทื่ออายามิสเห็นรอยแยกมิติที่เบื้องหน้า มันก็พยายามหลบหลีกหากแต่ร่างกายของมันกลับไม่ฟังคำสั่งอย่างสิ้นเชิง
วินาทีถัดมาร่างกายของมันก็ถูกผ่าเป็นสองส่วนอย่างไม่ทันตั้งตัวใดๆ เลือดสีเขียวพร่างพรมไปทั่วพื้นดิน
ร่างของมันถูกมิติตัดผ่าน!
นี่ก็คือการโจมตีด้วยเวทมิติในตำนาน!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น