World of Warcraft ราชันต่างภพ 546-552
ตอนที่ 546
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
โถวปาหง เซียวอวี๋ อ้าวปา เดินตรงเข้ากระโจมไป เหลือคาร์นและอิลิดันไว้คอยด้านนอก
เซียวอวี๋รู้ว่าด้านในไม่มีอันตรายใด ไม่จำเป็นต้องพากันเข้าไปทั้งหมด อีกทั้งการทิ้งคาร์นและอิลิดันไว้ด้านนอกยังเป็นการแสดงอำนาจในระดับหนึ่งด้วย
กองทัพพยัคฆ์แน่นอนว่าเป็นทหารชั้นสูงในหมู่ทหารชั้นสูง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับองค์รักษ์อย่างเผ่าพันธุ์ทัวเรนและปีศาจแล้ว พวกเขาก็ยากจะสงบใจได้ลง
พวกเขาไม่รู้ว่าใต้บัญชาของเซียวอวี๋จะมีทัวเรนและปีศาจเช่นนี้อีกมากเท่าไร
เซียวอวี๋ยังลอบกำชับคาร์นและอิลดันไว้ว่าหากมีคนกล้าท้าทายก็ให้ลงมือให้หนักได้ทันที ขอเพียงไม่ถึงตายก็พอ
แต่ความจริงแล้ว กองทัพพยัคฆ์มีวินัยเคร่งครัด หากปราศจากคำสั่งของเบื้องบน พวกเขาย่อมไม่กล้าลงมือ และต่อให้พวกเขาถูกยั่วยุก่อน พวกเขาก็จะไม่เป็นฝ่ายเริ่มก่อเรื่อง
ทัพพยัคฆ์ยึดถือกฏระเบียบมาก ไม่คล้ายกับกองทัพของเซียวอวี๋ กองทัพของเซียวอวี๋ผ่อนปรนให้และเป็นกันเองมากกว่า
หลังจากพวกเซียวอวี๋เดินเข้ามาในกระโจมก็เห็นบุรุษวัยกลางคนที่มีคิ้วหนานั่งอยู่บนเก้าอี้กลางกระโจม
แม้ว่าบุรุษผู้นี้จะนั่งอยู่ แต่ก็เห็นได้ถึงความเข้มแข็งกำยำของเขา หากอยู่ในวัยหนุ่ม ไม่ว่าเขาไปที่ใดย่อมต้องเรียกสายตาจากสตรีมากมายได้แน่
บุรุษกลางคนมองพวกเซียวอวี๋สามคนปราดหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“หลานคำนับเสด็จลุง” โถวปาหงที่เรียกความมั่นใจกลับมาได้แล้วกล่าวทักทาย เขาประสานมือไปทางอ๋องหู่อย่างสุภาพ หากแต่น้ำเสียงกลับไม่ได้แสดงทั้งความถ่อมตนหรือเย่อหยิ่ง
ได้ยินน้ำเสียงของโถวปาหง แววตาของโถวปาหู่ก็ฉายแววประหลาดใจ
“อืม ทำให้ฝ่าบาทต้องเดินทางไกลเพื่อมาพบผู้ชราแล้ว ขอทรงอภัยให้กระหม่อมด้วย” โถวปาหู่นั่งหลังเหยียดตรงโดยไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นแสดงความเคารพ
โถวปาหงรีบโบกมือ “คำพูดของท่านลุง หลานไม่กล้ารับ ท่านลุงได้รับพระทานตำแหน่งอ๋องโดยเสด็จพ่อ คอยพิทักษ์ชายแดนอย่างเข้มแข็ง เสด็จพ่อมักกล่าวอยู่บ่อยๆว่าท่านลุงหวังเป็นเสาหลักของแผ่นดิน ต้องปฏิบัติต่อท่านให้ดี เมื่อข้าได้พบกับท่านลุง ข้าก็มาเพื่อเยี่ยมเยียน อา หวังว่าท่านลุงจะอภัยให้ข้า หลังพบกับท่านลุงแล้ว ไม่นานหลานก็ต้องกลับไปบัญชาการรบที่แนวหน้าต่อ ตอนนี้สถานการณ์ที่แนวหน้าตึงเครียดยิ่ง ข้าหวังว่าท่านลุงจะไม่ตำหนิ”
คำพูดของโถวปาหงดูมีพลัง ด้านหนึ่งเขาแสดงความไว้วางใจจากโถวปาเย่ผู้เป็นบิดาตอนที่พระองค์ยังมีชีวิตอยู่และเป็นการบอกเป็นนัยว่าผลประโยชน์ที่โถวปาหู่ได้รับนั้นมาจากโถวปาเย่ อีกด้านหนึ่ง คำพูดของโถวปาหงดูเหมือนสนิทสนม หากแต่ในความจริงกลับเว้นระยะห่าง นั่นหมายความว่า เขามาที่นี่เพื่อทำตามคำกล่าวของบิดาที่ให้ปฏิบัติด้วยดีเพียงเท่านั้น นอกจากนี้โถวปาหงยังชี้ให้เห็นว่าสงครามครั้งนี้เขาเป็นผู้กุมบังเหียนและผ่านสงครามอันยากลำบากมา เขาต้องรีบกลับไปก็เป็นการบอกว่าในสายตาของเขา สงครามนี้มีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
ได้ยินคำพูดของโถวปาหง แววตาของโถวหู่ก็ไหววูบและไม่ได้กล่าวสิ่งใด ที่เขาเดินทางมาครั้งนี้ เขาคิดว่าโถวปาหงจะแสดงอารมณ์เดือดดาลออกมาและพยายามยกอ้างเหตุผลต่างๆนานาเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เขาเข้าร่วม ทว่ากระทั่งถึงตอนนี้ โถวปาหงก็ยังไม่เอ่ยปากถึงเรื่องช่วยเหลือแม้แต่น้อย
ส่วนเหตุผลที่เขานำกองทัพมาด้วยนั้นก็เพื่อให้ทหารของเขาได้เปิดหูเปิดตาถึงความน่าสะพรึงของพวกเซิก เขายังรู้มาอีกว่า โถวปาหงกำลังอยู่ในช่วงวิกฤติ ครั้งนี้ขาไม่อาจทำตัวนิ่งเฉยไม่ทำอะไรได้อีก
ส่วนในตอนแรกที่โถวปาหงและโถวปากุ้ยแย่งชิงบัลลังก์ เขาไม่ได้เลือกข้างและทำเพียงดูอยู่นอกวง แต่การมาครั้งนี้ถือเขามาแบบลดราคาค่าตัว กระนั้นก็ยังต้องแสดงท่าทีของอ๋องเพื่อรักษาศักดิ์ศรีเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงวางท่าสูงส่ง ไม่ให้โถวปาหงกุมความได้เปรียบ และเขาก็จะรักษาตำแหน่งอ๋องของตนไว้
นี่คือความคิดของอ๋องหู่
ด้วยความแข็งแกร่งของทัพพยัคฆ์ของเขาแล้ว เขาย่อมมีอำนาจต่อรองในมือ เมื่อโถวปาหงกำลังเผชิญหน้ากำลังวิกฤติ เขาจึงนำกำลังมาด้วยเช่นนี้ โถวปาหงย่อมสมควรยินดี และโดยที่เขาไม่ต้องเอ่ยปาก โถวปาหงก็จะรีบหยิบยื่นประโยชน์ต่างๆมาให้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็จะสามารถชนะการเจรจาได้โดยไม่ต้องเจรจา
ทว่าตอนนี้ดูเหมือนสถานการณ์จะผิดแปลกไปแล้ว
โถวปาหงดูไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับสงครามเลย กระทั่งไม่เห็นความต้องการที่จะเรียกใช้งานทัพพยัคฆ์
แม้คำอธิบายจะดูไม่เหมาะสมนัก แต่ตอนนี้ก็อธิบายได้เพียงว่า เขากำลังหน้าร้อนและเย็นก้น เขานำกองกำลังมาด้วยถึงที่หวังให้อีกฝ่ายรับไว้ ทว่าอีกฝ่ายกลับเฉยชา
“เฮ้อ” โถวปาหู่ไม่ได้กล่าวตอบใดๆ ครั้งนี้เขาไม่ทราบจะเอ่ยอะไรจริงๆ
ในเวลานี้ โถวปาหงเริ่มต้นพูดคุยกับโถวปาหู่เรื่องความเลื่อมใสที่เขามีต่อโถวปาหู่ตั้งแต่ยังเด็ก และรำลึกความหลังที่พวกเขาพบเจอกันในวัง
โถวปาหงเล่าหลายเรื่อง ยกเว้นเรื่องของสงครามในตอนนี้ ทำให้โถวปาหู่ไม่อาจดึงหัวข้อมายังเรื่องของสงคราม ด้วยวิธีนี้ หากเขาต้องการพูดคุยก็ทำได้เพียงบอกว่าเขานำกำลังมาช่วยเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม โถวปาหงกลับไม่ยอมเอ่ยถึง สีหน้าเองก็ไม่ได้แสดงสิ่งใด
เว้นแต่โถวปาหงจะถามโถวปาหู่ว่ามานี่ด้วยสาเหตุใด เขาจึงจะมีทางให้ลง แต่โถวปาหงไม่ยอมถามออกมาสักที
เซียวอวี๋ที่ฟังอยู่ด้านข้างก็ลอบผงกศีรษะ โถวปาหงช่างเรียนรู้ไว คู่ควรแล้วที่ขึ้นมาเป็นจักรพรรดิได้
ตั้งแต่ด้านนอก เขาก็รู้แล้วว่าโถวปาหู่มาทำไม โถวปาหู่ย่อมไม่ได้มาเพื่อก่อกบฏชิงบัลลังก์อยู่แล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝ่ายของเซียวอวี๋จึงมีอำนาจต่อรองเหนือกว่า…..
ตอนที่ 547
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
หลังจากพูดคุยกันร่วมชั่วโมง จู่ๆโถวปาหงก็พลันกล่าวว่า “กองทัพม้าของท่านลุงเป็นทัพอันดับหนึ่งในแผ่นดิน ชื่อเสียงของทัพยังเลื่องลือไปยังอาณาจักรข้างเคียง วันนี้หลานมาที่นี่เพื่อชมความสง่างามของทัพพยัคฆ์ เมื่อกลับไปย่อมนำไปเล่าเรื่องราวให้เป็นแรงบันดาลใจของกองทัพที่คอยปกป้องประชาชนทั่วจักรวรรดิ”
ได้ยินโถวปาหงกล่าวเช่นนี้ โถวปาหู่ก็ขมวดคิ้วมุ่น โถวปาหงหมายความว่าอย่างไร? มาเพื่อชมดูทัพพยัคฆ์แล้วกลับไปเล่าให้ทัพของตนฟัง เรื่องราวย่อมไม่เรียบง่ายดังว่าเป็นแน่
หรือเห็นว่ากองทัพพยัคฆ์ของเขาไม่มีความสามารถแท้จริงอันใด?
ในใจของโถวปาหู่เริ่มหงุดหงิด เขาไม่พอใจกับคำกล่าวนี้ของโถวปาหงมาก โถวปาหู่พลันแค่นเสียงเย็น “อืม เช่นนั้นเชิญฝ่าบาทตามกระหม่อมไปชมความสามารถของทัพพยัคฆ์”
โถวปาหู่ยังตั้งใจจะใช้โอกาสนี้แสดงอำนาจของทัพพยัคฆ์ ให้ท่านดูว่าทัพพยัคฆ์เป็นอย่างไร ดูว่าถึงตอนนั้นยังจะไม่ต้องการทัพพยัคฆ์หรือไม่
“ดี” โถวปาหงได้ยินก็ลุกขึ้นเผยยิ้มบนใบหน้า
โถวปาหู่เองก็ลุกขึ้นและเดินนำออกไป ขณะที่เขาเดินผ่านเซียวอวี๋และอ้าวปา เขาก็กวาดมองคนทั้งสองก่อนจะแค่นเสียงคำหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าโถวปาหู่นั้นมองออกว่าท่าทีของโถวปาหงในวันนี้ย่อมไม่ได้คิดได้ด้วยตนเอง มันจะต้องเป็นความคิดของเซียวอวี๋และอ้าวปาเป็นแน่
ทุกคนล้วนออกไปด้านนอก โถวปาหู่เรียกโถวปาเฟิงเข้ามากล่าวอยู่หลายคำ ก่อนที่โถวปาเฟิงจะออกไปทำตาม
ด้วยเหตุนั้น เมื่อพวกเซียวอวี๋เดินไปยังเวทีไม้ที่สร้างขึ้นชั่วคราว พวกทหารทั้งหมดภายในค่ายก็ถูกเรียกตัวมาจากรอบทิศทางดุจน้ำป่าไหลหลาก
ในกระบวนการทั้งหมด นอกจากเสียงฝีเท้าม้าแล้ว เสียงตะโกน เสียงบ่นล้วนไม่มีสักคำ นี่ทำให้เห็นถึงระเบียบวินัยอันเป็นมาตราฐานของกองทัพนี้
ยิ่งไปกว่านั้น อาชาอัสนีพวกนี้แต่ละตัวยังสูงกว่าสองเมตร พร้อมกับเกราะที่หุ้มทั่วร่าง ด้วยจำนวนที่มีหลายพัน แต่เมื่อพวกมันวิ่งอยู่บนพื้นดินกลับส่งเสียงออกมาเบามากคล้ายยามคนธรรมดาก้าวเดินปกติ นี่ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่ธรรมดา
“มารดามัน ทัพพยัคฆ์นี่ไม่ได้มีดีแต่ชื่อจริงๆ” กระทั่งเซียวอวี๋เมื่อได้เห็นฉากนี้ก็ยังรู้สึกตื่นตา จักรวรรดิเมฆษถึงกับมีกองทัพเช่นนี้อยู่ด้วย
ยิ่งดูเซียวอวี๋ก็ยิ่งชอบทัพพยัคฆ์นี้มากขึ้นจนเขาอยากได้มาครอบครอง แต่เขาก็รู้ว่านั่นเป็นไปไม่ได้
ต้องใช้ความพยายามมากเท่าใดจึงจะได้ทัพเช่นนี้มา กระทั่งจักรพรรดิอย่างโถวปาหงยังไม่ได้ครอบครอง แล้วเขาจะได้ได้อย่างไร?
ไม่ถึงห้านาที กองทัพพยัคฆ์ที่มีกำลังนับหมื่นก็มาเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ครั้งนี้ โถวปาหู่นำทัพพยัคฆ์มาด้วยสองหมื่นนาย เพียงไม่กี่นาทีสามารถรวบรวมกำลังได้ครึ่งหนึ่ง กองทัพนี้ต้องมีวินัยมากเพียงใดกัน?
เซียวอวี๋ลองคำนวณในใจ หากว่ากองทัพไพร่พลทหารทั่วไปของเขาต้องรวบรวมกำลังหนึ่งหมื่นนาย มันก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยราวครึ่งชั่วโมงถึงจะปฏิบัติตามได้
อย่างไรก็ตาม ทหารและม้าล้วนแต่เป็นระเบียบราวกับกำลังจะเดินพาเหรดเช่นนี้ น้อยนักที่จะมีทัพใดกระทำตามได้
“ค่ายพยัคฆ์ดำ ค่ายที่หนึ่งแห่งทัพพยัคฆ์ มารายงานตัว!” โถวปาเฟิงที่อยู่บนหลังม้าเปกาซัสที่ด้านหน้าก็ตะโกนออกมา
พร้อมกับเสียงตะโกนของเขา พวกทหารที่ด้านหลังก็ตะโกนตาม “ค่ายพยัคฆ์ดำ ค่ายที่หนึ่งแห่งทัพพยัคฆ์ มารายงานตัว!”
เสียงตะโกนเลือนลั่นประดุจฟ้าร้องนี้สามารถได้ยินไปไกลหลายกิโลเมตร
จากนั้นพวกม้าศึกก็แหงนหน้ากู่ร้องเสียงดัง เซียวอวี๋ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขายังสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลจนรู้สึกแน่นหน้าอก
“มารดามันเถอะ! ม้าพวกนี้ร้องคำรามพร้อมกันถึงกับสร้างแรงกดดันเช่นนี้ขึ้นมาได้ ทั้งที่เห็นชัดๆว่ายังไม่ได้เข้าสภาวะต่อสู้ ถึงตอนนั้นจะทรงพลังเพียงใดกัน? ไม่แปลกที่โถวปาหงจะให้ความสำคัญต่อทัพพยัคฆ์นี้มาก ทัพนี้ทรงพลังมากจริงๆ หากว่ากองทัพหนึ่งหมื่นนายนี้พุ่งเข้าใส่พร้อมกัน ผู้ใดยังจะต้านทานได้?” ลองประเมินดูแล้ว ต่อให้มีกองทัพนักรบออร์คหนึ่งหมื่นนายในมือ หากต้องสู้กับกองทัพเช่นนี้ เขาย่อมไม่อาจมีเปรียบแม้แต่น้อย แต่สาเหตุที่พวกออร์คถูกกวาดล้างจนสิ้นเผ่าพันธุ์นั้นก็เป็นเพราะพวกออร์คไม่รู้จักใช้กระบวนทัพ การต่อสู้รู้จักแต่เพียงตะลุมบอน แม้ความสามารถส่วนตัวจะสูงล้ำ แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกระบวนทัพเช่นนี้ของมนุษย์แล้วก็มีแต่แพ้
เซียวอวี๋รู้สึกตะลึง
นี่นับเป็นกองทัพที่เข้มแข็งที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอมา
จินตนาการถึงทัพหนึ่งหมื่นนายนี้พุ่งเข้าใส่พร้อมกัน นั่นจะน่าพรั่นพรึงเพียงใด
“เราเองก็ต้องการอัศวินหนึ่งหมื่นนาย แต่น่าเสียดายที่มียูนิตประเภทนี้ไม่มากนัก”
เซียวอวี๋กัดริมฝีปากและรู้สึกว่าตัวเขาประเมินทัพพยัคฆ์ต่ำเกินไป
อย่างไรก็ตาม เวลานี้เป็นช่วงสำคัญของการเจรจากับโถวปาหู่ พวกเขาไม่อาจแสดงความหวั่นไหวใดๆ มิเช่นนั้นที่ทำมาจะเสียเปล่า
‘ทัพพยัคฆ์คู่ควรแล้วที่ได้ชื่อว่าเป็นทัพอันดับหนึ่งของจักรวรรดิเมฆา’ โถวปาหงที่ยืนอยู่บนเวทีไม้มองดูเหล่าทหารหาญที่เบื้องล่าง หากแต่สีหน้าของเขายังคงนิ่งเฉยราวกับกวาดมองหมู่มวลดอกไม้ในสวน
ดูจากท่าทีที่แสดงออกมาแล้ว ตอนนี้โถวปาหงมีลักษณะท่าทางของจักรพรรดิอย่างแท้จริง….
ตอนที่ 548
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
ภายใต้การชี้แนะของเซียวอวี๋ ในที่สุดโถวปาหงก็มีลักษณะท่าทางของจักรพรรดิ กระทั่งอ้าวปายังลอบผงกศีรษะอยู่ด้านข้าง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าการจับมือเป็นพันธมิตรกับเซียวอวี๋เป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมที่สุด เซียวอวี๋ได้นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่จักรวรรดิและโถวปาหง
“ในตอนที่ข้ายังเด็ก ข้าได้ยินเรื่องเล่ามากมายของกองทัพพยัคฆ์ เรื่องเล่านั้นทำให้ข้าฝันว่าสักวันหนึ่ง ข้าจะเข้าร่วมกับทัพพยัคฆ์และต่อสู้เพื่อจักรวรรดิเหมือนพวกเจ้า” มองดูทหารหาญทั้งหนึ่งหมื่นนายที่เบื้องหน้า โถวปาหงก็กล่าวด้วยรอยยิ้มบาง เขาไม่ได้กล่าวเสียงดังนัก หากแต่ทุกคนต่างได้ยินอย่างชัดเจน อย่างไรเสีย โถวปาหงก็อยู่ในระดับสุดยอดของขั้นที่ห้า ดังนั้นจึงไม่ได้ตะเบ็งเสียงก็สามารถได้ยิน
“ทัพพยัคฆ์เป็นความภาคภูมิใจของชาวเมฆา พวกเจ้าคือสัญลักษณ์ที่นำพาความรุ่งโรจน์มาสู่จักรวรรดิ ครั้งนี้ ได้มาเห็นพวกเจ้าที่นี่ ข้ารู้สึกเป็นเกียรตินัก เดิมที ข้าต้องการจะได้พบกับพวกเจ้าในวาระอื่นเพื่อที่จะสร้างความประทับใจที่ดีต่อกัน เพื่อให้ฝันของข้าเป็นจริง ทว่าในเวลานี้ ทั่วทั้งจักรวรรดิกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ เป็นจุดเปลี่ยนที่จะตัดสินว่าจักรวรรดิจะยังคงอยู่ต่อไปหรือไม่ บางทีในวันพรุ่งอาจเป็นวันสุดท้ายของจักรวรรดิ ชาวเมฆาทุกคนล้วนต่อสู้เพื่อฝ่าฟันวิกฤตครั้งนี้ ข้าต้องขอโทษที่ไม่อาจทำได้ทุกสิ่งอย่าง
แต่ข้ามาที่นี่เพื่อให้เกียรติต่อพวกเจ้า ให้เกียรติที่หลายปีมานี้พวกเจ้าต่อสู้รักษาแนวชายแดนของจักรวรรดิ ในฐานะจักรพรรดิแล้ว ข้าไม่อาจนิ่งดูดายไม่เข้าสู่สนามรบ แม้ว่าอาจจะต้องทอดร่างในสมรภูมิ แต่ข้าก็จะไม่ถอย การได้เสียสละเพื่อปวงประชาแห่งเมฆาถือเป็นเกียรติสูงสุดของข้า แต่พวกเจ้า….ในฐานะกองทัพอันดับหนึ่งของจักรวรรดิ พวกเจ้ากลับไม่ได้มาที่นี่เพื่อต่อสู้ พวกเจ้าเพียงต้องการกลับไปเสวยสุขที่ดินแดนของพวกเจ้า เมื่อวันหนึ่งที่ข้าจากไป ถึงตอนนั้นจะทำอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว ข้าเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเมฆา ทว่าไม่ใช่จักรพรรดิของพวกเจ้า ดังนั้นข้าจึงไม่มีสิทธิ์สั่งการพวกเจ้า ทว่าพวกเราล้วนแต่มีสายโลหิตของชาวเมฆา ข้ามาที่นี่พวกขอให้พวกเจ้าไปเสีย ไม่จำเป็นต้องเสียสละเพื่อจักรวรรดิ ข้าในฐานะชาวเมฆาจะสู้เพื่อชาวเมฆาเอง!”
หลังจากกล่าวจบ โถวปาหงก็โบกมือส่งไพร่พลทัพพยัคฆ์ จากนั้นจึงหันกลับมาก้มศีรษะให้อ๋องหู่เล็กน้อย “ท่านลุง โปรดถนอมตัว สงครามที่แนวหน้าตึงเครียดยิ่ง ข้าต้องขอตัวก่อน ข้าหวังว่าในอนาคตพวกเราจะได้พบกันอีก”
จากนั้นจึงโบกมือเรียกเซียวอวี๋และอ้าวปาลงจากเวทีไม้โดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองด้านหลังอีก
เซียวอวี๋คาดไม่ถึงว่าโถวปาหงจะใจเด็ดเช่นนี้ เดิมทีโถวปาหงมาที่นี่เพื่อหวังหยิบยืมกำลังจากโถวปาหู่ ทว่าตอนนี้ แม้แต่ทหารสักคนก็ไม่เอาแล้ว ทั้งยังเอ่ยปากไล่กลับไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้โถวปาหงกระทำได้ดียิ่ง
แทนที่จะกล่าวร้องขอ มิสู้ละทิ้งทุกสิ่งและดูว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร หากว่าในหัวใจของพวกเขาไม่มีจักรวรรดิเมฆาอยู่เลย เช่นนั้นก็ไม่พูดกันแล้ว ไม่จำเป็นต้องยึดถือคนเหล่านี้เป็นชาวเมฆาอีก
หากในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ คนเหล่านี้กระทั่งละทิ้งไม่ใยดีจักรวรรดิ โถวปาหงก็จะสามารถใช้เรื่องนี้ขับไล่พวกโถวปาหู่ออกไปจากจักรวรรดิได้เมื่อเรื่องราวจบลง
กองทัพที่ไม่รับบัญชาจากจักรพรรดิ จะปล่อยให้มีกองทัพเช่นนั้นอยู่ในจักรวรรดิได้อย่างไร?
มองดูโถวปาหงที่เดินจากไป โถวปาหู่ก็อ้าปากจะกล่าวแต่ไม่มีเสียง แววตาของเขามองตามแผ่นหลังของโถวปาหงอย่างโง่งม เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นนี้ เดิมทีเขาคิดว่าโถวปาหงจะเรียกใช้กำลังทหารเหล่านี้ในการต่อต้านพวกเซิก
ทว่าสุดท้ายโถวปาหงกลับหันหลังใส่ เช่นนั้นแล้วพวกเขามาทำไมที่นี่? ครั้งนี้พวกเขามาเดินเล่นกันหรือ?
นอกจากนั้น โถวปาหงยังกล่าวอย่างชัดเจน ขณะนี้เป็นช่วงเวลาครั้งสำคัญของจักรวรรดิ เขากำลังต่อสู้เพื่อชาวเมฆาและสามารถพลีชีพเพื่อชาวเมฆา แล้วกองทัพพยัคฆท์ของโถวปาหู่ล่ะ?
ชาวเมฆาจะกล่าวถึงทัพพยัคฆ์ในภายหน้าอย่างไร?
ทุกคนจะกล่าวกันว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อสังเกตการณ์จากนั้นจึงกลับไป ทิ้งชาวเมฆาที่กำลังถูกเข่นฆ่าไว้ด้านหลัง เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขายังจะเหลือหน้าตาใดอีก?
กองทัพอันดับหนึ่งของจักรวรรดิเลือกที่จะทอดทิ้งประชาชนยามที่ประชาชนต้องการพวกเขามากที่สุด
ไพร่พลทัพพยัคฆ์ทั้งหนึ่งหมื่นนายต่างถูกทิ้งให้ยืนโง่งมอยู่เช่นนั้น พวกเขาพร้อมที่จะต่อสู้ หากแต่โถวปาหงกับบอกว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องสู้และกลับไปเสีย
ในเวลานี้ในใจพวกเขาต่างรู้สึกแย่ พวกเขาคับแค้นใจ พวกเขาคับแค้นใจกับคำกล่าวของโถวปาหง เห็นได้ชัดว่าถ้อยคำของโถวปาหงนั้นกำลังเยาะเย้ยพวกเขา
พวกเขาคือทัพพยัคฆ์ กระทั่งจักรพรรดิพระองค์ก่อนอย่างโถวปาเย่ก็ยังให้เกียรติพวกเขา แต่โถวปาหงผู้นี้กลับไม่ใยดีพวกเขา นี่มันช่างเป็นเรื่องอัปยศเสียจริง!
มองอย่างผิวเผิน โถวปาหงกล่าวยกย่องชมเชยพวกเขา หากแต่ในความเป็นจริงกลับเป็นการถากถุาง
โถวปาหงกล่าวว่า เขาเป็นจักรพรรดิของชาวเมฆา แต่ไม่ใช่จักรพรรดิของทัพพยัคฆ์ ด้วยถ้อยคำนี้ เช่นนั้นอีกฝ่ายก็ไม่ได้ถือว่าพวกเขาเป็นชาวเมฆาแล้ว
โถวปาหงกล่าวว่าพวกเขาไม่ได้มีข้อผูกมัดที่จะต้องต่อสู้เพื่อจักรวรรดิ เช่นนั้น หากวันหนึ่งโถวปาหงสามารถรวบรวมจักรวรรดิให้เป็นหนึ่งและขึ้นครองบัลลังก์ได้อย่างแท้จริง ถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะไม่ถูกนับเป็นชาวเมฆา เป็นเพียงพวกเร่ร่อนไร้ชาติ
โถวปาหงจากไปพักหนึ่งแล้ว ทิ้งให้พวกทหารยืนนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้น และพวกเขาไม่ทราบว่าควรทำเช่นไรต่อ
กระทั่งเหล่าผู้บังคับการสั่งให้พวกเขาแยกย้าย พวกเขาก็ยังยืนโง่งมอยู่เช่นนั้น
หลายวันต่อมา การต่อสู้ที่แนวหน้าทวีความรุนแรงขึ้น นักสู้ชาวเมฆาจากทั่วทุกสารทิศต่างหลั่งไหลกันมาต่อสู้ที่แนวหน้า
พวกทัพพยัคฆ์มองดูชาวเมฆาที่ต่างคนต่างถืออาวุธเท่าที่หาได้เดินทางไปยังแนวหน้า
ชาวเมฆษทุกคนที่เดินผ่านค่ายของทัพพยัคฆ์ต่างมีสายตาเป็นประกาย พวกเขาโห่ร้องด้วยความยินดี ทั้งยังเริ่มร้องเพลงสรรเสริญ
เมื่อได้ยินบทเพลงสรรเสริญ ทหารทัพพยัคฆ์ต่างก้มหน้าลงต่ำ พวกเขาต่างรู้สึกละอายใจ แม้แต่เด็กเล็กที่อายุไม่ถึงสิบปียังหยิบอาวุธไปต่อสู้ ทว่าพวกเขากลับไม่
โถวปาเฟิงได้นำคนเดินทางไปยังแนวหน้า หวังจะเฝ้าดูสถานการณ์ แต่ก็พบว่าที่ด้านหลังของแนวป้องกันมีสิ่งกีดขวางต่างๆอยู่ ทั้งยังมีทหารบางส่วนคอยเฝ้าระวัง และเมื่อพวกทหารที่เฝ้าอยู่นั้นมองเห็นเครื่องแบบทัพพยัคฆ์ พวกเขาก็ตะโกนขึ้นทันที “ไพร่พลทัพพยัคฆ์โปรดกลับไป ที่แห่งนี้ไม่ใช่สนามรบที่พวกเจ้าต้องต่อสู้ หากว่าพวกเจ้าฝืนบุกรุกเข้ามา พวกเราย่อมไม่ปราณี!”
ได้ยินดังนั้น โถวปาเฟิงก็โมโห เขาตะโกนขึ้นอย่างเดือดดาล “โถวปาหง เจ้าจะมากไปแล้ว!”
อย่างไรก็ตาม เขาไม่กล้าบุกต่อไป เพราะทราบดีว่าหากทำเช่นนั้นจริง พวกเขาจะกลายเป็นคนบาปแห่งจักรวรรดิเมฆาทันที
พวกเขาไม่เหมือนกับพวกโถวปากุ้ย กระทั่งในเวลาเช่นนี้ยังกล้าโจมตีพวกโถวปาหงและก่อความแค้นต่อมวลชน นั่นเป็นเพราะโถวปากุ้ยไม่สนใจอีกต่อไป เขาไม่สนหน้าตาหรือศักดิ์ศรีใดอีก
ทว่าพวกเขาทัพพยัคฆ์นั้นไม่ใช่
เพราะพวกเขาคือทัพพยัคฆ์ และศักดิ์ศรีก็คือชีวิตของพวกเขา……
ตอนที่ 549
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
โถวปากุ้ยไม่กลัวที่จะเป็นคนบาปของจักรวรรดิ ตราบที่สุดท้ายเขาได้ครองบัลลังก์
แต่ทัพพยัคฆ์ไม่เหมือนกัน พวกเขาได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กให้คอยพิทักษ์จักรวรรดิเมฆา ให้เป็นผู้นำพาความสงบสุขมาสู่จักรวรรดิ
ครั้งนี้ หากพวกเขาเปิดฉากโจมตีใส่โถวปาหง พวกเขาก็จะกลายเป็นคนทรยศต่อชาติบ้านเมือง เพราะหากว่าพวกเขาลงมือจริง แนวรับที่คอยต้านทานพวกเซิกเอาไว้ก็จะล่มสลาย จากนั้นพวกเซิกก็จะกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง ถึงคราวนั้นจักรวรรดิเมฆาย่อมต้องจบสิ้นลง
โถวปาหงเดิมพันว่าพวกโถวปาเฟิงจะไม่กล้าโจมตี มิเช่นนั้น พวกเขาก็จะไม่มีที่ยืนในจักรวรรดิอีก
หมากอันแยบคายของโถวปาหงนี้ผลักพวกโถวปาหู่ไปสู่ทางตัน
“ได้ โถวปาหง ข้าประเมินเจ้าต่ำไป” โถวปาหู่ที่อยู่ในกระโจม เมื่อได้รับรายงานจากโถวปาเฟิงก็หน้าดำครึ้ม
โถวปาเฟิงกล่าวขึ้นว่า “ท่านพ่อ พวกเราควรทำอย่างไรดี? หรือพวกเราจะทำเพียงมองดูอยู่เช่นนี้? แนวหน้าตอนนี้ตึงมือแล้ว หากไม่ได้กองทัพของลอร์ดแห่งดินแดนไลอ้อนประคับประคองไว้ก็เกรงว่าจะล่มสลายไปนานแล้ว ชาวเมฆาย่อมสิ้นชาติ แม้ว่าพวกเขาจะโชคดีต้านทานการโจมตีของพวกเซิกได้โดยไม่พึ่งพวกเรา แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างหนัก หากพวกเซิกรุกหนักกว่านี้ พวกเขาอาจจะล่าถอย ถึงตอนนั้น แม้ว่าพวกเราจะแข็งแกร่ง แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ จักรวรรดิเมฆษคงจบสิ้นเป็นแน่”
ได้ยินผู้เป็นบุตรชายกล่าวเช่นนั้น โถวปาหู่ก้นิ่งเงียบ เขาทราบว่าเวลาเช่นนี้ควรรวมกำลังกับพวกโถวปาหงก่อนที่จะสายเกินการณ์
ทว่าโถวปาหงกลับไม่ต้องการพวกเขา เช่นนั้นเขาจะทำอย่างไรได้? หรือว่าพวกเขาต้องเป็นฝ่ายก้มหัวขอร้องอีกฝ่าย? หากเป็นเช่นนั้นจริง พวกเขายังจะหลงเหลือหน้าตาอันใด?
หรือหากว่าพวกเขายกกำลังกลับดินแดนไป แล้วโถวปาหงชนะล่ะ? พวกเขาที่ทอดทิ้งจักรพรรดิของตัวเองก็ย่อมกลายเป็นคนทรยศ
ถึงตอนนั้นชาวเมฆาคงสิ้นศรัทธาในทัพพยัคฆ์
หัวใจมวลชนคือสิ่งที่สำคัญที่สุด โถวปาหู่ย่อมทราบดี หากเสียแรงสนับสนุนจากมวลชนไป ทัพพยัคฆ์ก็จะไม่เป็นทัพพยัคฆ์ เทพสงครามโถวปาหู่ก็จะไม่มีผู้ใดให้ความสำคัญอีก
โถวปาหู่ย่อมไม่ต้องการผลลัพธ์เช่นนั้น เขาไม่ต้องการตกตายทั้งเป็น มีชีวิตอยู่มิสู้ตาย
ตัวเขาไม่ได้อยากเป็นจักรพรรดิ หากว่าเขาต้องการ เขาคงลงมือไปนานแล้ว เขาเพียงต้องการอำนาจที่มากขึ้น ได้รับความสนใจจากมวลชนมากขึ้น
ตอนนี้เขาเข้าใจบางสิ่งแล้ว ผู้ที่ดูหมิ่นอำนาจของจักรวรรดิ จักรพรรดิย่อมไม่ปล่อยให้มีบุคคลเช่นนั้นดำรงอยู่
โถวปาหงเข้าใจบทบาทหน้าที่ของจักรพรรดิแล้ว และเขากำลังปฏิบัติมัน
หลายวันผ่านไป สถานการณ์ที่แนวหน้าก็ยิ่งตึงมือขึ้นทุกที เหล่าทหารที่ตายในสนามรบ โถวปาหงได้สั่งให้เผาศพและกลบฝังในสุสานที่จัดขึ้นเพื่อแสดงความเคารพต่อวีรชนผู้กล้า
เพราะว่าหากมีศพกองสุมทับกันมากเกินไป โรคระบาดก็จะตามมา หากว่าเผาศพให้ดีย่อมไม่เกิดเรื่องเช่นนั้น
การเผาศพนับเป็นการสดุดีของชาวเมฆา เป็นการบ่งบอกว่าคนผู้นั้นได้กลับคืนสู่อ้อมกอดของเทพหมาป่าแล้ว
โถวปาหงได้จัดสร้างสถานที่เผาศพขึ้นไม่ได้ห่างไกลจากค่ายพยัคฆ์มากนัก ทำหค่ำคืน ทหารทัพพยัคฆ์จะได้ยินบทเพลงที่อ้างว้างดังมาจากสถานที่เผาศพและบทสรรเสริญเหล่าชนที่ตายเพื่อปกป้องจักรวรรดิ
โถวปาหงมาเข้าร่วมพิธีเผาด้วยตนเองทุกวันเพื่อเป็นการระลึกถึงพวกเขา ซึ่งนั่นยิ่งเป็นปลุกขวัญกำลังใจของคนที่ยังอยู่ให้สู้ต่อไป
ให้พวกเขาได้รับรู้ว่า แม้ว่าพวกเขาจะตายไป หากแต่ก็ตายอย่างมีคุณค่า ตายอย่างมีเกียรติ
เหล่าแม่ทัพนายกองของทัพพยัคฆ์เห็นชัดกระจ่างตา พวกเขาเห็นโถวปาหงสวมชุดที่ฉีกขาดมาทุกวัน ยืนท่องบทสวดร่วมกับคนโดยรอบอยู่เช่นนั้น
ใบหน้าของโถวปาหงต้องลมหานวและน้ำค้างแข็ง เป็นเพราะกรำศึกอย่างยาวนาน ร่างกายจึงซูบผอมลง แก้มเริ่มตอบลึก มีเพียงแววตาที่ยังมั่นคงแน่วแน่ เขากล่าวด้วยเสียงอันดังว่าเทพหมาป่าอยู่เคียงข้างพวกเขา จักรวรรดิจะยังคงอยู่ พวกเขาจะมีชัยในศึกนี้
ในตอนแรก ทุกคนต่างยังชื่นชมกองทัพพยัคฆ์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ที่แนวหน้า เมื่อพวกเขาได้ยินว่าพวกทัพพยัคฆ์ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมศึกปกป้องแผ่นดิน พวกเขาก็ก่นด่าบอกว่าพวกพยัคฆ์ป่วยมาเพียงเฝ้าดู หากว่าโถวปาหงมีแววว่าจะพ่ายแพ้ พวกเขาก็จะรีบเข้าขย้ำและยึดบัลลังก์ไป
ถ้อยคำเหล่านี้เล่าต่อกันไปต่างๆนานาจนรุนแรงเกินจะกล่าว
สายตาของชาวเมฆาทุกคนที่ใช้มองทัพพยัคฆ์เริ่มเปลี่ยนไป อยู่ใกล้แค่เอื้อมกลับไม่ยื่นมือช่วย ขณะที่พวกเราชาวบ้านหลั่งเลือดพิทักษ์จักรวรรดิ เช่นนั้นยังจะชื่นชมพวกมันไปทำไม?
ด้วยเหตุนนั้น ความเคารพเทิดทูนที่เคยมีล้วนมลายหายไปและถูกแทนที่ด้วยความเกลียดชังและดูถูก
โถวปาเฟิงที่เจอเช่นนี้ก็เจ็บแปลบในอก เขารีบตะโกนอธิบาย บอกทุกคนว่าพวกเขาไม่ใช่ว่าไม่ต้องการร่วมสู้ แต่โถวปาหงไม่ให้พวกเขาร่วมสู้ต่างหาก
กระนั้นกลับไม่มีผู้ใดยินยอมเชื่อ เวลานี้กลับยังกล้ากล่าวให้ร้ายองค์จักรพรรดิอีกหรือ? องค์จักรพรรดิทรงต่อสู้ร่วมกับทุกคนอยู่ที่แนวหน้า แล้วพวกเจ้าเล่า ไปมุดหัวอยู่ที่ใด?
ชื่อเสียงของโถวปาหงพุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้า เพราะเซียวอวี๋ได้ช่วยกระพือข่าวเพิ่มพูนชื่อเสียง ทั้งให้โถวปาหงปรากฏกายขึ้นบนกำแพง ในค่ายทหาร ในพิธีเผาศพ เป็นการบอกต่อคนทั้งหมดว่า เพื่อจักรวรรดิแล้ว จักรพรรดิโถวปาหงยินยอมสละหยาดเหงื่อแรงกายทั้งหมดจนไม่สนพระวรกาย
ด้วยเหตุนั้น เมื่อชาวเมฆษได้เห็นโถวปาเฟิงที่อยู่ในชุดเกราะเงาวับ เสื้อผ้าที่สะอาดเอี่ยมอ่อง พวกเขาก็ถ่มน้ำลายก่อนจะตะโกนใส่ว่า “น่าอับอาย”
โถวปาเฟิงเสมือนถูกตะปูตอกลงกลางอก เขากระอักเลือดก่อนจะสิ้นสติไป
วันหนึ่ง ในที่สุดเหตุกาณณ์ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง มีทหารบางส่วนมายื่นคำขออนุญาตต่อโถวปาเฟิง บอกว่าพวกเขาต้องการส่งคืนชุดและอาวุธ ขอต่อสู้ในฐานะชาวเมฆษที่แนวหน้า หวังว่าโถวปาเฟิงจะอนุญาต
โถวปาเฟิงทราบแล้วว่าเวลานี้ศูนย์รวมจิตใจของทัพพยัคฆ์ได้แตกลงแล้ว เมื่อกองทัพปราศจากจิตวิญญาณ เช่นนั้นกองทัพก็จะไม่ใช่กองทัพอีกต่อไป
จิตวิญญาณของกองทัพพยัคฆ์คือการที่พวกเขาเป็นทัพไร้พ่ายแห่งจักรวรรดิ เป็นผู้คุ้มครองจักรวรรดิ แต่ตอนนี้ พวกเขาไม่อาจปกป้องและทอดทิ้งชาวเมฆา เมื่อเป็นเช่นนี้จะเป็นทหารแห่งทัพพยัคฆ์ไปทำไมอีก?
โถวปาเฟิงตะคอกใส่พวกเขาเสียงดัง จากนั้นจึงรีบไปรายงานต่อบิดา โถวปาหู่ยังคงนิ่งเงียบ ทว่าในคืนนั้นเอง ทหารบางส่วนได้ถอดชุดทิ้งอาวุธหลบหนีไปจากค่าย ก่อนไปยังทิ้งจดหมายเอาไว้ บอกว่าพวกเขาจะต่อสู้และหลั่งโลหิตเพื่อปกป้องปวงประชา
ต่อให้ต้องใช้สองมือเปลือยเปล่า ต่อให้เป็นการพุ่งเข้าสู่ความตาย พวกเขาก็ขอตายที่แนวหน้า
โถวปาเฟิงรู้แล้วว่าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ทัพพยัคฆ์ย่อมล่มสลาย เมื่อมีคนแรกหลบหนี เช่นนั้นก็จะมีผู้หลบหนีรายที่สองรายที่สาม
ด้วยเหตุนั้น ในวันต่อมา โถวปาหู่จึงออกไปนอกค่าย มองดูธงพยัคฆ์ที่ปลิวสะบัดตามแรงลม เขาก็ถอนหายใจ จากนั้นจึงกล่าวกับโถวปาเฟิงที่อยู่ด้านข้าง “แจ้งต่อโถวปาหง อ๋องหู่ขอน้อมพบ”
ตอนที่ 550
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
อ๋องหู่ นี่หมายความว่าโถวปาหู่ตัดสินใจกลับไปอยู่ใต้ร่มธงของโถวปาหงแล้ว เป็นการสวามิภักดิ์อย่างแท้จริง ไม่พูดถึงเงื่อนไขใดอีก เขายอมรับฐานะจักรพรรดิของโถวปาหง
ได้ยินวาจาของโถวปาหู่ โถวปาเฟิงก็แข็งค้าง จากนั้นก็รีบพยักหน้าและเดินออกจากกระโจมไป
ในใจเขาย่อมรู้ดี เวลานี้ต้องตัดสินใจแล้ว
จะเลือกความชอบธรรมหรือผลประโยชน์?
ตระกูลของเขาไม่เคยขาดแคลนชื่อเสียง นับตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษก็ควบคุมกองทัพพยัคฆ์ ทั้งยังเป็นที่เคารพยกย่องของคนทั่วไป
ตอนนี้ บางทีอาจจะถึงเวลาที่ต้องสละละทิ้งบางสิ่ง ฐานะของทัพพยัคฆ์ ศักดินาของอ๋อง บางที สิ่งที่อยู่ตรงหน้าอาจไม่สลักสำคัญอีกต่อไป
ต่อหน้าเกียรติยศ ศักดิ์ฐานะใดๆล้วนเป็นเพียงหมอกควัน ไม่ใช่ว่าที่ทัพพยัคฆ์ตามไขว่คว้ามาตลอดก็คือเกียรติยศหรอกหรือ?
เป็นเพราะเกียรติยศ ทัพพยัคฆ์จึงค่อยเป็นทัพพยัคฆ์อย่างทุกวันนี้
โถวปาเฟิงขึ้นขี่เปกาซัส เขาถือธงสัญลักษณ์ประจำทัพพยัคฆ์เอาไว้ในมือ จากนั้นจึงรีบตรงไปยังแนวหน้า เมื่อถึงด่านสกัดก็ตะโกนเสียงดัง บอกว่ามาในนามของอ๋องหู่
หลายวันก่อน โถวปาเฟิงกระทั่งไม่กล้ายกชูธงประจำทัพ แต่ครั้งนี้เขายกชูขึ้นสุดแขน บอกให้ทุกคนที่ดูอยู่ได้ทราบว่าทัพพยัคฆ์มาแล้ว
ได้ยินเสียงตะโกน ทุกคนที่พักอยู่แถวนั้นก็หันมามองดู เมื่อได้เห็นธงสัญลักษณ์ของทัพพยัคฆ์ที่คุ้นเคย ทุกคนก็เริ่มโห่ร้องขึ้นมา
พวกเขาจ้องมองดูธงด้วยน้ำตานองหน้า
นี่ก็คือทัพพยัคฆ์ เมื่อจักรวรรดิกำลังอยู่ในห้วงวิกฤต พวกเขาต้องลุกขึ้นยืนหยัดปกป้องด้วยเลือด นี่จึงเป็นทัพพยัคฆ์ที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ความภาคภูมิของชาวเมฆา
ผู้คนนับไม่ถ้วนกรูกันออกมาล้อมโถวปาเฟิงไว้ก่อนจะเริ่มร้องเพลงสรรเสริญ
วินาทีนั้น ใบหน้าของโถวปาเฟิงเประเปื้อนไปด้วยน้ำตา นี่ก็คือเกียรติยศที่เขาเฝ้าใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก ตัวเขาเกิดมาก็เพื่อสิ่งนี้
วันรุ่งขึ้น ทัพพยัคฆ์ก็เดินทางมายังแนวหน้าอย่างเป็นทางการ โถวปาหงนำพาบุคคลสำคัญทั้งหมดออกมาต้อนรับ ครั้งนี้เขายังผลัดเปลี่ยนเสื้อใหม่ให้ดูเป็นพิธีการ
โถวปาหู่ควบม้ามาที่เบื้องหน้าของโถวปาหงก่อนจะพลิกตัวลงจากหลังม้า จากนั้นจึงเดินไปเบื้องหน้าของโถวปาหงก่อนจะคุกเข่าลงด้วยใบหน้าจริงจัง “กระหม่อม โถวปาหู่ถวายบังคมฝ่าบาท กระหม่อมมาขอรับโทษ”
วินาทีที่โถวปาหงเห็นโถวปาหู่คุกเข่าลง เขาก็รีบเดินเข้าไปพยุงขึ้นมา อย่างไรเสีย ด้วยผลงานที่สั่งสมตลอดหลายปีมานี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าเมื่อพบจักรพรรดิ
อย่างไรก็ตาม โถวปาหงที่ช่วยพยุงกลับไม่สามารถทำให้โถวปาหู่ลุกขึ้นได้ เขารู้สึกราวกับกำลังพยายามยกขุนเขาศิลา
นี่แสดงให้เห็นว่าการคุกเข่าของโถวปาหู่ได้ทำเพียงผิวเผิน หากแต่เป็นการแสดงความเคารพจากใจจริง
“ท่านลุงรีบลุกขึ้นเถอะ นี่จะให้ข้ารับไว้ได้อย่างไร? นับตั้งรุ่นพระบิดา ท่านก็รับสั่งไว้ว่าท่านลุงไม่จำเป็นต้องคุกเข่า และยังมีผลในรุ่นข้าเช่นกัน บารมีของท่านเทียบเท่ากับตอนที่พระบิดายังมีพระชนม์ชีพอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง”
เห็นโถวปาหู่แสดงท่าทีเช่นนี้ โถวปาหงก็มีความสุขมาก เขากล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดัง
ที่โถวปาหงต้องการมีเพียงการสวามิภักดิ์ของโถวปาหู่ ไม่ได้ต้องการริดรอนอำนาจของเขา โถวปาหู่เลือกเดินทางมาอ้อนน้อมที่แนวหน้าทั้งที่เขาสามารถยกทัพจากไปได้ สิ่งนี้ย่อมเป็นข้อพิสูจน์ว่าเขาไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ
นับตั้งแต่ที่โถวปาหู่แสดงจุดยืนของตนเช่นนี้ โถวปาหงย่อมไม่อาจสร้างข้อเรียกร้องมากเกินไป ในเวลาเช่นนี้ ไม่เพียงไม่อาจริดรอนอำนาจของโถวปาหู่ หากแต่ยังต้องเพิ่มอำนาจให้เขา ให้เขารู้สึกสำนึกขอบคุณต่อโถวปาหง
หลังจากโถวปาหู่ลุกขึ้นยืน โถวปาหงก็จับมือโถวปาหู่พาเดินเข้าไปในค่ายด้วยกัน ขณะเดินอยู่โถวปาหงก็ตะโกนบอกคนรอบข้าง “ท่านอ๋องหู่นำทัพพยัคฆ์มาแล้ว กองทัพที่เป็นดั่งความความภูมิของเราชาวเมฆา ไม่ช้าพวกเราจะโค่นล้มกองทัพเซิกและฟื้นฟูจักรวรรดิเมฆา!”
เสียงตะโกนของโถวปาหงทำให้ชาวเมฆารู้สึกฮึกเหิม พวกเขาต่างร้องตะโกนตอบรับกันสุดเสียง
การมาถึงของทัพพยัคฆ์ทำให้ชาวเมฆามีความมั่นใจมากขึ้น แม้ว่าก่อนหน้านี้เซียวอวี๋จะนำกองทัพมาช่วยเหลือ แต่อย่างไรเสีย นั่นก็เป็นกองทัพของคนนอก ดังนั้นจึงไม่อาจยึดกุมรวมใจชาวเมฆาทั้งหมด
เพราะเมื่อเป็นคนนอก พวกเขาก็อาจสละละทิ้งแนวป้องกันในยามคับขัน ทว่ากองทัพพยัคฆ์นั้นเป็นลูกหลานชาวเมฆา เป็นความภาคภูมิใจของชาวเมฆา พวกเขาย่อมต่อสู้จนตัวตายไปพร้อมกับชาวเมฆา
ด้วยเหตุนี้ ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองจึงจบลงด้วยชัยชนะของโถวปาหง และผู้ที่มีส่วนสำคัญอย่างแท้จริงก็คือเซียวอวี๋ที่มีท่าทีแข็งกร้าวตั้งแต่เริ่ม
เป็นเซียวอวี๋ที่กระตุ้นจิตวิญญาณของจักรพรรดิภายในตัวของโถวปาหงขึ้นมา
เหล่าทหารที่หลบหนีออกจากทัพพยัคฆ์ก่อนหน้าถูกรับตัวกลับมาโดยไม่มีการตำหนิลงโทษอะไร ทั้งหมดล้วนกลับมาสวมใส่เครื่องแบบทัพพยัคฆ์และเตรียมตัวออกรบในศึกที่กำลังจะมาถึง
แม้ว่าการศึกจะเป็นเรื่องเร่งด่วน กระนั้นโถวปาหงก็ยังเลือกจะจัดพิธีง่ายๆเพื่อต้อนรับโถวปาหู่
สิ่งของที่จัดเตรียมไว้ในงานส่วนใหญ่ล้วนมาจากเซียวอวี๋ เซียวอวี๋กลอกตาตอนที่โถวปาหงมาหยิบยืมพร้อมทั้งบอกว่าเมื่อสงครามสิ้นสุดลง โถวปาหงต้องรีบจัดการจ่ายค่าสิ่งของเหล่านี้
เหตุผลที่จัดงานเลี้ยงต้อนรับครั้งนี้ไม่เพียงเพื่อสร้างความรู้สึกที่ดีต่อโถวปาหู่เท่านั้น หากแต่ยังเป็นการปรึกษาหารือเกี่ยวกับแผนการรบในศึกที่กำลังจะมาถึง
เมื่อมีกองทัพพยัคฆ์มาเสริม พวกเขาก็มีกำลังจะตอบโต้กลับแล้ว
โถวปาเฟิงเป็นคนหนุ่มเลือดร้อน เขาถูกเชิญให้มาร่วมงานเลี้ยงนี้ แต่เขาปฏิเสธและเลือกที่จะไปทดสอบฝีมือกับพวกแมลงที่ด้านบนกำแพงเมืองแทน
ทัพพยัคฆ์เพิ่งเข้าร่วม โถวปาหงจึงยังไม่มีคำสั่งทางการทหารใดๆ แต่โถวปาหงเฟิงนั้นอดทนรอไม่ไหว
เห็นดังนั้น โถวปาหงก็หัวเราะพร้อมทั้งอนุญาตโถวปาเฟิง
ภายในงานเลี้ยง เมื่อโถวปาหู่ได้พบเห็นจ้าวมนตราทั้งสาม เขาก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก เขารีบสลัดท่าทีวางตัวสูงส่งทิ้งและแสดงความเคาระต่อจ้าวมนตราทั้งสามอย่างนอบน้อม
“ได้ปรมาจารย์ทั้งสามยื่นมือช่วยเหลือ โถวปาหู่ซาบซึ้งใจยิ่ง”
โถวปาหู่ทราบว่าที่ทั้งสามเดินทางมานี้ก็เพื่อรักษาความสงบของทั้งทวีป ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน
บุคคลเช่นนี้ย่อมควรค่าแก่การสรรเสริญ เปรียบเทียบกันแล้ว แม้ว่าตัวเขาจะมีอำนาจมาก แต่เขาก็ยังคงคิดเล็กคิดน้อยขณะที่จักรวรรดิบ้านเกิดกำลังอยู่ในห้วงวิกฤต สิ่งนี้ยิ่งทำให้เขารู้สึกละอายใจ
พวกเขาไม่ใช่ชาวเมฆา แต่พวกเขามาเพื่อต่อสู้รักษาทวีป ในฐานะชาวเมฆาแล้ว ตัวเขาเพียงเฝ้ามองดูอยู่ด้านข้างมาหลายวัน และปล่อยให้ชาวเมฆาต้องหลั่งเลือดมากมายโดยไม่จำเป็น ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแย่
คิดถึงเหล่าชาวบ้านธรรมดาต้องหลั่งโลหิตใกล้ค่ายพยัคฆ์ของตนอยู่หลายวัน โถวปาหู่รู้สึกเสียใจยิ่ง
เวลานี้โถวปาหู่เพิ่งทราบว่าการโต้กลับที่โถวปาหงเคยกล่าวถึงนั้นไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเลื่อนลอย ด้วยการคงอยู่ของจ้าวมนตราทั้งสาม การจะโต้กลับพวกเซิกก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป
ยิ่งกว่านั้น เขายังทราบว่าอีกว่า เพื่อต่อกรกับกองทัพเซิก เซียวอวี๋ได้รวบรวมนักผจญภัยมากมายมาที่นี่เพื่อเตรียมบุกเข้าอัลคีราฟ
ที่พวกเขาต้องทำก็เพียงแค่ต้อนพวกเซิกไปที่วิหารอัลคีราฟ จากนั้นก็จะถึงเวลาลงมือของพวกนักผจญภัย
แม้ว่าในตอนแรกเขาจะไม่ชอบพอนิสัยใจคอที่เจ้าเล่ห์ของเซียวอวี๋ แต่ตอนนี้โถวปาหู่เริ่มรู้สึกนับถือเซียวอวี๋ขึ้นมาแล้ว
เขารู้ว่าที่จักรวรรดิเมฆายังสามารถค้ำยันกับพวกเซิกได้ก็เพราะเซียวอวี๋ หากปราศจากเซียวอวี๋ โถวปาหงก็ไม่มีความมั่นใจและสามารถจูงใจเขาได้
เขาไม่ได้รู้สึกเกลียดชังเซียวอวี๋ ตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกขอบคุณเซียวอวี๋ บางทีที่เซียวอวี๋นำกองทหารมาที่นี่ก็เพื่อปกป้องดินแดนของตน แต่หากขาดการสนับสนุนของเซียวอวี๋ ลำพังเพียงกองทัพจักรวรรดิยังไม่เพียงพอ
เซียวอวี๋นำกองทัพยืนหยัดต้านทานพวกเซิก นำสามจ้าวมนตรามา ทำให้พวกเขามีโอกาสที่จะตอบโต้พวกเซิก
อาจกล่าวได้ว่าเซียวอวี๋ถือเป็นผู้มีพระคุณของจักรวรรดิเมฆา…..
ตอนที่ 551
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
แม้ว่าบางครั้งโถวปาหู่จะเห็นแก่ตัว แต่เขาก็ยังมีมโนธรรมรู้ผิดชอบชั่วดี นี่ทำให้สุดท้ายเขาเลือกสยบต่อโถวปาหง
ในงานเลี้ยง ทุกคนเริ่มหารือเกี่ยวกับแผนการโจมตีพวกเซิก หาวิธีที่ไร้จุดบกพร่องมากที่สุด
ในเวลานั้นเอง โถวปาหงพลันถอนหายใจก่อนกล่าวว่า “ตอนนี้ทัพม้าของโถวปากุ้ยอยู่ที่ตอนล่างของแม่น้ำ หากพวกเราไม่ระมัดระวังไว้ก่อน เมื่อถึงตอนที่พวกเราจัดการพวกเซิกได้ ข้าเกรงว่าแนวหลังของพวกเราคงถูกกวาดล้างทั้งหมด และพวกเราจะไม่เหลือเส้นทางถอยใดอีก”
ได้ยินโถวปาหงกล่าวเช่นนั้น โถวปาหู่ก็รู้สึกโกรธแค้นขึ้นมา “โถวปากุ้ยผู้นี้ช่างต่ำช้าจริงๆ ในเวลาเช่นนี้ยังจะส่งกองทัพมาตัดทางถอยพวกเราอีก ฝ่าบาท โปรดอนุญาตให้ข้านำกำลังไปจัดการพวกมัน ข้าจะตัดศรษะโจรเฒ่านี้เพื่อเซ่นสังเวยเหล่าผู้กล้าที่พลีชีพในสงคราม”
โถวปาหงเพียงยิ้มบาง “อ๋องหู่ไม่ต้องรีบร้อนไป ตอนนี้การโต้กลับใกล้เข้ามาแล้ว พวกเราไม่อาจขาดคนมากฝีมือเช่นท่าน การดำรงอยู่ของท่านสามารถสร้างขวัญกำลังใจต่อไพร่พลทั้งหมด”
สิ่งที่โถวปาหงกล่าวมา โถวปาหู่ทราบว่าเป็นเช่นนั้น หากว่าโถวปาหู่ยังคงอยู่ที่นี่ ขวัญกำลังใจของชาวเมฆาทั้งหมดก็จะเพิ่มขึ้นอักโข
เพราะในสายตาของชาวเมฆา ตัวเขาเป็นดั่งเทพเจ้าแห่งสงครามผู้ไร้พ่าย ที่ใดมีเขาที่นั่นมีชัย
“แล้วทางด้านโถวปากุ้ยล่ะพะย่ะค่ะ? หากปล่อยพวกมันไว้จะเป็นอันตรายต่อพวกเรามากนะพะย่ะค่ะ” โถวปาหู่ไตร่ถามเมื่อเห็นว่าโถวปาหงมีสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อน เขาพอเดาได้ว่าโถวปาหงคงมีวิธีการรับมือในใจแล้ว
เป็นดังคาด โถวปาหงชี้มือไปยังชายหนุ่มที่อายุราวสิบเจ็ดสิบแปดผู้หนึ่งพลางกล่าวว่า “ข้าและเซียวอวี๋หารือกันแล้วว่าจะส่งฉินเช่อนำทัพบางส่วนไปรับมือโถวปากุ้ย”
“ฉินเช่อ?” ได้ยินดังนั้น โถวปาหู่ก็เลิกคิ้วขึ้น แน่นอนว่าเขาย่อมเคยได้ยินชื่อฉินเช่อมาก่อน ระยะนี้ ไม่มีผู้ใดในทุ่งหญ้าไม่รู้จักนามฉินเช่อ
อย่างไรก็ตาม โถวปาหู่คาดไม่ถึงเลยว่าชายหนุ่มที่ดูเหมือนมาจากครอบครัวชาวนาผู้นี้จะเป็นฉินเช่อผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือผู้นั้น
นอกจากนั้น เมื่อครั้งที่ฉินเช่อนำกำลังโจมตีโถวปากุ้ย เขายังมีนิสัยที่ค่อนข้างน่ารำคาญ ทำให้โถวปาหู่ไม่รู้สึกดีต่อฉินเช่อสักเท่าใด
ฉินเช่อมักใช้วิธีการรบแบบกองโจร บางครั้งเขายังต้องจัดหาเสบียงให้กองทัพฝ่ายตน และส่วนใหญ่แล้วพื้นที่ของโถวปากุ้ยก็มักถูกใช้เป็นแหล่งเติมเสบียง หมู่บ้านหลายแห่งของเขามักถูกปล้นชิงอาหารไป
อย่างไรก็ตาม ในฐานะเทพสงครามแล้ว โถวปาหู่ย่อมเข้าใจการรบเช่นนี้ ยามเมื่อต่อสู้กองทัพต้องมุ่งเน้นชัยชนะเป็นสำคัญ และบางครั้งก็จำต้องใช้วิธีที่ไร้ยางอาย
ในฐานะชาวเมฆาแล้ว โถวปาหู่ควรจะรังเกลียดพฤติกรรมของฉินเช่อ แต่ในฐานะเทพสงครามแล้ว เขากลับชื่นชมคนหนุ่มมากความสามารถเช่นนี้
สิ่งที่ควรทำย่อมลงมือทำ ไม่ต้องสนว่าชนชาวโลกจะกล่าวเช่นไร นี่จึงจะเป็นผู้บัญชาการที่ดี
เพราะอย่างไรเสีย ประวัติศาสตร์ก็ถูกเขียนโดยผู้ชนะ
“ใช่ ความสามารถของฉินเช่อย่อมไม่ต้องพูดถึง แต่ตอนนี้อาจมีปัญหาที่ต้องขอความช่วยเหลือจากท่านอ๋องหู่ ข้อเรียกร้องนี้อาจเกินเลยไปบ้าง หากท่านอ๋องจะปฏิเสธก็เป็นที่เข้าใจได้ ข้าจะขอกล่าวและหวังว่าท่านอ๋องจะไม่รังเกลียด” วาจาของโถวปาหงเต็มไปด้วยการให้เกียรติ
ได้ยินโถวปาหงกล่าวเช่นนั้น โถวปาหู่ก็รีบยืนขึ้นก่อนกล่าวทันทีว่า “ฝ่าบาททรงเป็นนาย กระหม่อมเป็นเพียงขุนนางใต้ฝ่าพระบาท เมื่อฝ่าบาทมีรับสั่ง กระหม่อมย่อมปฏิบัติตาม”
โถวปาหู่ทราบว่าเวลานี้เป็นเวลาที่จะแสดงความภักดีแล้ว ในเมื่อเขาตัดสินใจเข้าร่วมกับโถวปาหง หากว่าเขาไม่ปฏิบัติตามก็เท่ากับเป็นการกระด้างกระเดื่องแล้ว
ทั้งโถวปาหงยังกล่าวกับเขาด้วยความสุภาพ
โถวปาหงผงกศีรษะก่อนกล่าวว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะกล่าวเลยก็แล้วกัน ฉินเช่อถนัดการรบระยะทางไกล เขาช่ำชองการใช้ทัพม้า ตอนนี้ในมือของเขามีทัพม้ามือดีอยู่ หากแต่จำนวนกลับมีไม่มาก ครั้งนี้โถวปากุ้ยได้ลงทุนลงแรงอย่างหนักรวบรวมกำลังมามากมาย หากว่ากองทัพที่เราส่งไปมีจำนวนน้อยเกินไป ข้าเกรงว่าการจะจัดการกองทัพของโถวปากุ้ยคงเป็นไปได้ยาก ความสามารถในด้านการรบของฉินเช่อนั้นหาตัวจับยาก ข้าเชื่อว่าด้วยกองทัพพยัคฆ์ห้าพันนายและทหารอื่นๆ เขาจะสามารถจัดการโถวปากุ้ยได้ในครั้งเดียว”
ได้ยินเช่นนั้น โถวปาหู่ก็เข้าใจได้ทันที กล่าวตามตรง ทัพพยัคฆ์ทั้งหมดล้วนถูกเขาอบรมมากับมือ ทั้งหมดเปรียบเสมือนลูกๆของเขา หากผู้อื่นจะนำไปใช้เขาก็ยังรู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตาม ไม่นาน ในใจของโถวปาหู่ก็คิดขึ้นว่า หากเขาส่งมอบกองทัพพยัคฆ์ออกไปในเวลานี้ เขาก็จะสามารถได้รับความไว้วางใจจากโถวปาหงมากขึ้น
ในตอนแรก ความเย่อหยิ่งของเขาทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและโถวปาหงเกิดการสั่นคลอน ตอนนี้นับเป็นโอกาสอันดีแล้วที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์กลับมา
แม้ว่าโถวปาหงจะยังคงให้ความเคารพต่อเขาอยู่ แต่ผู้ใดจะทราบเล่าว่าหลายปีให้หลังจะเป็นอย่างไร? เมื่อจักรวรรดิถูกรวมเข้าเป็นหนึ่งแล้ว ถึงตอนนั้นตัวเขาจะถูกคิดบัญชีหรือไม่?
ทัพพยัคฆ์เป็นกองทัพที่แทบจะไม่อยู่ภายใต้อำนาจของจักรวรรดิ นั่นถือเป็นสัญญาณอันตรายอย่างหนึ่ง หากว่าไม่ได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดิ พวกเขาก็จะถือว่าเป็นภัยร้ายที่แฝงเร้นสำหรับจักรพรรดิ
ชัดเจนว่าโถวปาหงย่อมตระหนักได้ถึงข้อนี้
โถวปาหู่พลันกล่าวอย่างฉะฉาน “ทัพพยัคฆ์เป็นกองทัพของฝ่าบาท ที่ฝ่าบาทต้องกระทำมีเพียงออกคำสั่ง ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตกระหม่อมก่อน”
ได้ยินดังนั้น โถวปาหงก็ยินดี “ประเสริฐ เช่นนั้นขอให้ท่านอ๋องจัดสรรกำลังทัพพยัคฆ์ห้าพันนายต่อฉินเช่อ หลังจากนั้นไม่เกินสามวัน พวกเราจะเริ่มปฏิบัติการโต้กลับ ให้ท่านอ๋องเป็นทัพหลักนำกำลังจู่โจมเต็มกำลัง หน้าที่นี้มีเพียงท่านอ๋องและทัพพยัคฆ์เท่านั้นที่กระทำได้”
ที่โถวปาหงกล่าวมาเป็นความจริง การโต้กลับเช่นนี้ การลงมือรวดเร็วถือเป็นกุญแจสำคัญ
“ได้ต่อสู้เพื่อจักรวรรดิในฐานะทัพหน้าเช่นนี้ถือเป็นเกียรติต่อกระหม่อมและไพร่พลทัพพยัคฆ์ทัั้งหมด!” โถวปาหู่กล่าวอย่างภาคภูมิใจ
นี่ก็คือทัพพยัคฆ์ ในปัจจุบันเขายังถือเป็นหัวใจสำคัญของกองทัพ ครั้งนี้ เขาจะให้ทุกคนได้ประจักษ์ว่าทัพพยัคฆ์เป็นเช่นไร และเหตุใดทัพพยัคฆ์จึงเป็นทัพอันดับหนึ่งของจักรวรรดิ
โถวปาหงยิ้มรับพลางกล่าวว่า “ทั้งหมดต้องพึ่งท่านอ๋องแล้ว”
ในงานเลี้ยง ทุกคนต่างสนุกสนานยินดี
เป็นเพราะการหารือในวันนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายจึงแน่นแฟ้นขึ้น นี่ถือเป็นเรื่องดีต่อคนทั้งหมด
คืนนั้น โถวปาหู่จัดสรรกำลังห้าพันนายให้กับฉินเช่อ ทั้งยังบอกคุณสมบัติพิเศษบางส่วนของทัพพยัคฆ์เพื่อให้ฉินเช่อดึงความสามารถของไพร่พลพยัคฆ์ออกมาใช้ได้
ฉินเช่อคล้ายเป็นเด็กดีที่เชื่อฟัง เขาพยักหน้ารับฟังอย่างตั้งใจ ทำให้โถวปาหู่รู้สึกประทับใจมาก โถวปาหู่คิดว่าฉินเช่อเป็นคนที่มีความสามารถมากจริงๆ
ก่อนรุ่งสาง ฉินเช่อนำกำลังจากไป เพราะการศึกเป็นเรื่องเร่งด่วน ยิ่งเขาออกเดินทางได้เร็ว เขาก็ยิ่งมีเวลาเตรียมรับมือกับโถวปากุ้ย
เซียวอวี๋ยังกำชับฉินเช่ออีกหลายครั้ง จากนั้นก็มอบคัมภีร์จำนวนมากไว้ให้ฉินเช่อใช้ป้องกันตัว หากว่าเผชิญหน้ากับยอดฝีมือของฝ่ายตรงข้าม สิ่งเหล่านี้จะมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด
นอกจากนั้น ครั้งนี้เซียวอวี๋ยังส่งทิรันด้าและเมอีฟไปคอยช่วยฉินเช่อ ครั้งนี้โถวปากุ้ยทุ่มกำลังออกมา ฉินเช่อย่อมไม่อาจใช้วิธีการรบแบบกองโจรได้ดังเดิม และมีแนวโน้มว่าจะเป็นการรบซึ่งหน้า ดังนั้นการมอบฮีโร่ทั้งสองไปช่วยย่อมสามารถเพิ่มกำลังรบให้ฉินเช่อได้อีกมาก
ทิรันด้ามีพยัคฆ์ขาวเป็นพาหนะ ซึ่งมันวิ่งได้รวดเร็วยิ่ง นั่นย่อมไม่ส่งผลกระทบต่อการเดินทัพ ส่วนเมอีฟได้ขี่อสูรเขาไปตัวหนึ่ง
เซียวอวี๋เชื่อว่าด้วยความสามารถฉินเช่อ รวมกับการมีทิรันด้าและเมอีฟคอยช่วย โถวปากุ้ยย่อมไม่อาจกระทำการได้สำเร็จ
ขั้นต่อไปคือการวางแผนและเตรียมตัวบุกไปยังอัลคีราฟ…..
ตอนที่ 552
ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
โจมตีอัลคีราฟ อันที่จริง เซียวอวี๋ได้กำหนดแผนการโจมตีเอาไว้แล้ว การมีอยู่ของสามจ้าวมนตราทำให้เรื่องราวง่ายขึ้น
สามจ้าวมนตราสามารถใช้เวทมนตร์ต้องห้ามออกมาพร้อมกัน แม้กล่าวกันว่าที่แผ่นดินใหญ่ห้ามมิให้ใช้เวทต้องห้าม แต่นั่นก็เพื่อรัักษาความสงบของทวีป ผู้ใช้มนตรายังคงสามารถใช้เวทคำสาปได้
แต่ดีที่สุดคือไม่ใช้มัน
ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเวทคำสาปรุนแรงเกินไป ไม่เื้อต่อการโต้กลับที่กำลังจะเกิด ทั้งยังสิ้นก่อผลกระทบต่อตัวผู้ใช้
เวลานี้แผ่นดินใหญ่กำลังจะเกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย เซียวอวี๋ทราบว่าทวีปแห่งนี้ยังต้องการจ้าวมนตราทั้งสาม
หากว่าหนึ่งในสามคนนี้เกิดเป็นอะไรขึ้นมา มันจะส่งผลกระทบไปทั่วทั้งทวีป
หลายวันมานี้ พวกเซิกยังคงบุกมาอย่างต่อเนื่อง พวกมันพยายามใช้จำนวนอันมหาศาลริดรอนกำลังของฝ่ายจักรวรรดิ จำนวนถือเป็นข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดของพวกเซิก
ในข้อนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่อาจมีเปรียบพวกมัน และนี่จึงเป็นเหตุผลที่สามจ้าวมนตราเดินทางมาด้วยตนเอง พวกเขาจะต้องกำจัดพวกเซิกโดยสมบูรณ์และทำลายรังใหญ่ของพวกมัน ให้พวกมันไม่อาจขยายเผ่าพันธุ์เพิ่มขึ้นได้อีก
นั่นจึงจะเป็นวิธีแก้อย่างถาวร
ในสองวันที่ผ่านมา เซียวอวี๋ โถวปาหง นิโคลัสและคนอื่นๆเริ่มร่างแผนการกันอย่างต่อเนื่อง พวกเขาวางแผนที่จะใช้พลังของสามจ้าวมนตราเบิกทางสายหนึ่งและบุกเข้าเข่นฆ่าพวกแมลงที่หน้าวิหารอัลคีราฟ
เมื่อพวกเซิกที่ด้านหน้าถูกกวาดล้างแล้ว จากนั้นกองกำลังบางส่วนก็จะเดินทางเข้าไปสำรวจหาขุมทรัพย์
ในฐานะวิหารที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในยุคโบราณแล้ว สมบัติภายในย่อมมีมากมายก่ายกอง
ผู้ใดเล่าจะไม่อยากชิมน้ำแกงหอมหวานถ้วยนี้? อย่างไรก็ดี ตอนนี้ฝ่ายจักรวรรดิเมฆากำลังมือไม้ปั่นป่วน พวกเขาไม่อาจเข้ามาร่วมฉกชิงสมบัติครั้งนี้ โถวปาหงได้รับข่าวล่วงหน้าแล้วว่ากองกำลังจำนวนมากกำลังเดินทางผ่านดินแดนไลอ้อนมายังแนวหน้า รอให้แนวหน้าจัดการพวกเซิก จากนั้นพวกเขาก็จะเริ่มตอบโต้กลับ
แต่หากว่าการรบที่แนวหน้าล้มเหลว พวกเขาก็จะถอยกลับกันทันที
คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้แสวงหาโชค พวกเขาโหยหาเพียงสิ่งที่สร้างประโยชน์แก่ตน ความปลอดภัยของทวีปอะไรเทือกนั้นไม่ได้อยู่ในหัวของพวกเขาแม้แต่น้อย
เซียวอวี๋เองก็ไม่ได้คาดหวังว่าคนกลุ่มนี้จะช่วยในการโต้กลับได้อยู่แล้ว แต่สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าไปยังอัลคีราฟ เซียวอวี๋ก็เตรียมจะเก็บค่าเข้าไว้แล้ว
หากไม่ยอมจ่าย เช่นนั้นการอย่าหวังจะเข้าไปได้
ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่มาจากไหน จักรวรรดิเมฆาก็ไม่ใช่ขุมกำลังที่จะตอแยได้โดยง่าย การกระตุ้นโทสะนับเป็นทางเลือกที่ไม่ฉลาดแม้แต่น้อย
เรื่องเหล่านี้ ขุมกำลังทรงอิทธิพลต่างๆย่อมกระจ่างดี
เกี่ยวกับข้อเสนอของเซียวอวี๋ โถวปาหงพยักหน้าเห็นด้วย เพราะอย่างไรเสีย เรื่องนี้ก็ใช่ว่าเขาจะไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเลย เซียวอวี่ตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ครึ่งหนึ่งให้กับเขาเพื่อเป็นการชดเชยการสูญเสียจากพวกเซิก
หลังจากนั้นแผนการจึงถูกกำหนดขึ้น ในวันที่สาม แผนการก็พร้อมดำเนิน หลังจากถูกริดรอนกำลังอยู่หลายวัน พวกเซิกก็สูญเสียอย่างหนัก เซียวอวี๋ได้ส่งหน่วยสอดแนมไปตรวจดูสถานที่ชุมนุมต่างๆของพวกเซิกเพื่อเตรียมพร้อมกวาดล้างพวกมันในคราเดียว
เมื่อกองทัพเตรียมจะเปิดฉากโจมตี พวกเขาก็จำต้องต้องทิ้งกำลังบางส่วนไว้เฝ้ากำแพงเมือง เพราะหากว่าเกิดข้อผิดพลาดใดขึ้น ตัวเมืองก็ยังสามารถต้านทานพวกเซิกได้อยู่
พวกเขาสามารถจัดเตรียมม่านพลังป้องกันและใช้มันพักหายใจหายคอได้ช่วงหนึ่ง
เพราะหากไม่จัดเตรียมกำลังป้องกันไว้ เมื่อพวกเขาออกไปโจมตี พวกเซิกที่เหลือก็อาจฉวยโอกาสนี้บุกตีชิงเมืองและสร้างความเสียหายต่อประชาชนทั่วไป
หลังจากจัดเตรียมทุกสิ่งเสร็จสิ้น ในเช้าของวันหนึ่ง กองทัพก็ถูกระดมพลอย่างเงียบเชียบ จากนั้นจึงเปิดประตูเมืองบานหนึ่ง เตรียมใช้ทัพม้าบุกเบิกเปิดทาง
กำลังหลักในครั้งนี้ย่อมเป็นทัพพยัคฆ์ที่นำโดยอ๋องหู่ หลังจากเคยเห็นสภาวะของทัพพยัคฆ์มาแล้ว เซียวอวี๋ก็ต้องการชมดูตอนพวกเขารบจริงมาตลอด
ครืน…….
เมื่อทัพพยัคฆ์ควบม้าออกจากเมือง กีบเท้าม้านับหมื่นก็ดังกระหึ่มกึกก้อง เซียวอวี๋พอจินตนาการถึงพลังโจมตีขุมนี้ออก
ในยามปกติ ทัพพยัคฆ์เพียงนิ่งเงียบรักษาวินัย แม้ว่าน้ำหนักของคนและม้ารวมกันจะหนักนับพันกิโลกรัม ก็นั้นเสียงที่เกิดก็ยังเบามาก ยังเบากว่าเสียงม้าทั่วไปอีก
อย่างไรก็ตาม เมื่ออยู่ในรูปขบวนโจมตี ม้าทั้งหมดก็ส่งเสียงคำรามราวอสูร สภาวะที่เกิดดุจคลื่นสูงโถมทับใส่ศัตรู เป็นแรงดันที่พร้อมฉีกกระชากทุกอย่างที่เบื้องหน้า
เซียวอวี๋ลองจินตนาการว่าหากผู้ที่ถูกกองทัพโหมจู่โจมนี้เป็นตัวเขาแล้วจะเป็นอย่างไรดู จินตนาการถึงช่วงก่อนที่ทัพม้านี้จะได้รับบัฟจากเสาโทเทมและเหล่านักบวชของจักรวรรดิเมฆา แม้จะปราศจากตัวช่วยเหล่านี้ มันก็ยังน่าพรั่นพรึงอยู่ดี
“มารดามัน น่าสนใจจริงๆ….สหายทุกท่าน มาเถอะ ไปถล่มฝูงแมลงพวกนั้นด้วยกันกับข้า!” เซียวอวี๋ตะโกนก้องก่อนจะกระโดดขึ้นหลังมังกรน้อยมุ่งหน้าไปทางฝั่งพวกเซิก เขากำลังจะได้เป็นประจักษ์พยานยามทัพพยัคฆ์พุ่งเข้าใส่ศัตรู
ได้ยินเสียงตะโกนของเซียวอวี๋ กองทัพที่รอคอยคำสั่งก็โห่ร้องวิ่งตามหลังทัพพยัคฆ์ไป
แถวหน้าสุดคือเหล่านักรบออร์ค แม้จะเห็นสภาวะของทัพพยัคฆ์ตอนโถมพุ่งออกไปแล้ว หากแต่ในแววตาของพวกมันกลับไม่มีความหวั่นเกรงใดๆปรากฏออกมาแม้แต่น้อย
เซียวอวี๋เคยกล่าวอย่างไม่ตั้งใจว่าพวกนักรบออร์คยังไม่อาจต้านทานทัพพยัคฆ์ได้ และนั่นทำให้พวกออร์คที่ได้ยินรู้สึกเจ็บปวดใจยิ่ง มีออร์คหลายตัวแทบวิ่งปรี่เข้าไปท้าทายทัพพยัคฆ์เพื่อพิสูจน์ฝีมือแต่ก็โดนเซียวอวี๋ห้ามปรามไว้ก่อน
ทว่าในที่สุด โอกาสที่จะได้พิสูจน์ฝีมือก็มาถึง แน่นอนว่าพวกออร์คย่อมแสดงออกสุดฝีมือ
ถัดจากพวกนักรบออร์คก็คือทัพอสูรโคโดที่พุ่งออกไปอย่างดุดัน เซียวอวี๋ได้ทำการติดตั้งเกราะเต็มตัวให้กับพวกแล้ว เวลานี้พลังทะลุทะลวงของพวกมันจึงแทบจะไร้เทียมทาน น้ำหนักของมันมากกว่าทั้งคนทั้งม้าจากทัพพยัคฆ์รวมกันเสียอีก การลงเท้าของพวกมันแต่ละครั้งทำให้กำแพงเมืองทั้งแถบสั่นสะเทือนไม่หยุด
กลองที่ติดตั้งอยู่บนตัวของอสูรโคโดสามารถช่วยเพิ่มพลังโจมตีให้กับนักรบออร์ค ดังนั้นการผสานกันทั้งสองนี้จึงช่วยเสริมอานุภาพให้กันและกัน พวกโทร์ลเองก็ไม่ต้องการล้าหลัง ขายาวทั้งสองเร่งขัยบเคลื่อนไหว ความเร็วของพวกมันยังมากกว่าพวกนักรบออร์ค หอกซัดของพวกมันจะส่งผลอย่างมากในสมรภูมิ
ท่ามกลางพวกมันมีเงาร่างหนึ่งที่ดูอ้วนฉุจนโดดเด่นออกมา เงาร่างนั้นคือฮีโร่จากเผ่าพันธุ์แพนด้า เฉิน สตรอมเอาท์
นับตั้งแต่ถูกอัญเชิญมา เนื่องจากพลังของเขายังอ่อนแอกว่าฮีโร่คนอื่นๆมาก ที่ผ่านมาเขาจึงไม่มีความมั่นใจนัก และพยายามเข้าร่วมการต่อสู้เพื่อเพิ่มพูนความแข็งแกร่ง
เขาไม่มีโอกาสได้ต่อสู้ในสนามรบมากนัก ดังนั้นระดับจึงเพิ่มขึ้นมาไม่มาก ดังนั้นตอนนี้จึงยังมีระดับยี่สิบกว่า
ต่อมา เขาได้เข้าไปยังเทือกเขาอัลคาเกนเพื่อออกล่าสัตว์อสูร จนในที่สุดก็มีระดับถึงสามสิบ กระนั้นระดับสามสิบก็ยังคงไม่เพียงพอสำหรับเขา เทียบกับฮีโร่คนอื่นๆแล้ว ช่องว่างของระดับยังใหญ่มาก
ดังนั้นในครั้งนี้ แรงผลักดันในจิตใจได้กระตุ้นให้เขาออกวิ่งสุดฝีเท้าเพื่อหวังจะยกระดับฝีมือขึ้นโดยเร็วที่สุด
เทียบกันคนอื่นๆแล้ว มัลฟูเรี่ยนดูจะสงบที่สุด แม้ว่าระดับของเขาจะไม่สูงนัก แต่สถานะของเขาในเผ่าพันธุ์เอลฟ์ก็ค่อยๆเพิ่มสูงขึ้น
ตอนนี้ เมื่อทิรันด้ากับเมอีฟไม่อยู่ เขาก็คือผู้นำของกองทัพเอลฟ์
ในฐานะผู้นำแล้ว เขาย่อมต้องมีการแสดงออกดังเช่นผู้นำ ไม่อาจเคลื่อนไหวคนเดียวเช่นแพนด้าเฉินและปล่อยตัวตามสบายได้…..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น