World of Warcraft ราชันต่างภพ 539-545

ตอนที่ 539

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


เมื่อพวกแมลงองค์รักษ์แห่งแซลทูร่าบินออกมาจากใต้ดิน พวกดราก้อนแฟร์รี่ก็พ่นหมอกหนาออกมาปกคลุมพวกคิเมร่าเอาไว้

ในอดีต เซียวอวี๋เพียงคิดว่าหมอกเหล่านี้เอาไว้ใช้รบกวนประสาทสัมผัสของศัตรู หากแต่ต่อมาเขาก็ได้ทราบว่ามันสามารถใช้ได้หลากหลายรูปแบบ

ที่จริงแล้วหมอกเหล่านี้กลับไม่ค่อยส่งผลกับศัตรูโดยตรงเท่าใดนัก และเนื่องเพราะที่ผ่านมาเซียวอวี๋ไม่เคยเผชิญกับศัตรูประเภทบินมาก่อน เขาจึงคิดเพียงแต่ว่ามันได้ผลกับศัตรูประเภทบิน แต่ไม่ค่อยได้ผลกับศัตรูที่อยู่บนพื้น

เมื่อพวกแมลงบินเข้าไปในม่านหมอก พวกมันก็พลันสูญเสียการรับรู้ทิศทางไป

อันที่จริงแล้ว พวกแมลงประเภทบินเหล่านี้แข็งแกร่งอย่างมาก พวกมันมุ่งเน้นโจมตีแลกชีวิตอย่างไม่หวาดกลัวความตาย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าต่อศัตรูอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม หมอกเหล่านี้กลับแก้สถานการณ์น่าปวดหัวนี้ไป

หลังจากพวกแมลงบินเข้าไปภายในหมอก พวกมันก็ไม่อาจหาตำแหน่งที่อยู่ของพวกคิเมร่าได้ ในตอนนั้นเอง ฝนธนูนับไม่ถ้วนพลันแหวกฝ่าอากาศพุ่งเข้าใส่พวกมันจากทุกทิศทางจนพวกมันล้มตายดุจใบไม้ร่วง

ความสามารถในการต่อสู้กับศัตรูประเภทบินของพวกคิเมร่าไม่สูงนัก จุดเด่นของพวกมันคือการโจมตีจากอากาศลงสู่พื้น

กับการต่อสู้ในอากาศ พวกมันจำเป็นต้องได้รับการคุ้มครองจากยูนิตบินได้อื่นๆ ดังเช่น พวกอัศวินกริฟฟ่อน ดราก้อนแฟร์รี่ และไวเวิร์น

ตุบ ตุบ…..

การโจมตีประสบผล กองทัพแมลงประเภทบินเกิดการสูญเสียอย่างหนัก กระนั้นพวกมันกลับไม่ถอยหนี ตรงกันข้าม พวกมันเลือกที่จะพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หวั่นเกรง

แมลงบางตัวมีขนาดใหญ่จนกระทั่งลูกธนูไม่อาจระคายเคืองผิวของมัน แต่อย่างไรก็ตาม ขณะที่พวกมันกำลังจะบินฝ่าหมอกออกไปได้นั้น ตาข่ายแสงขนาดใหญ่ก็ครอบคลุมเข้าใส่พวกมันจนทำให้มันหยุดการเคลื่อนไหวไป

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

จากนั้นหอกหรือศรเวทมนตร์ก็พุ่งเข้าสังหารพวกมัน

ตาข่ายแสงนี้เป็นทักษะหนึ่งของพวกอัศวินกริฟฟ่อน ทักษะตรวนอากาศ

แม้ทักษะต่อสู้ทางอากาศของพวกคิเมร่าจะไม่สูง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความสามารถในการต่อสู้ทางอากาศของพวกคิเมร่า เซียวอวี๋ยังได้ติดตั้งอานไว้บนหลังของพวกคิเมร่าแต่ละตัวและให้พวกพลปืนคนแคระขึ้นขี่

ปัง ปัง ปัง

เมื่อสบโอกาส พวกพลปืนคนแคระก็ยิงสังหารพวกแมลงที่พุ่งเข้าหา หลังจากที่พลปืนคนแคระไปถึงระดับที่สอง ปืนคาบศิลาที่พวกเขาใช้ก็มีอานุภาพรุนแรงขึ้น อำนาจทะลุทะลวงก็เพิ่มขึ้น ทั้งยังมีกระสุนลูกปลายแบบปืนลูกซอง นั่นทำให้อำนาจการทำลายล้างของมันน่ากลัวขึ้นมาก

เดิมทีเซียวอวี๋เพียงแค่คิดทดลองดู ไม่คาดผลลัพธ์ของมันกลับน่าประทับใจอย่างยิ่ง

เมื่อพวกพลปืนคนแคระสามารถเคลื่อนที่ไปได้ทุกที่แม้กระทั่งบนอากาศเช่นนี้ ความแข็งแกร่งของกองทัพของเซียวอวี๋ก็เพิ่มขึ้นไปอีกขั้น

ด้วยเหตุนั้น การต่อสู้ทางอากาศที่ดูดุเดือดก็เป็นทางฝ่ายของเซียวอวี๋ที่คว้าชัยไป พวกเซิกเกิดการสูญเสียอย่างหนัก ขณะที่ทางฝ่ายของพวกเซียวอวี๋แทบไร้รอยขีดข่วน

หมอกของพวกดราก้อนแฟร์รี่ได้ทำลายจังหวะการบุกของพวกเซิกไป

ในขณะเดียวกัน ที่การต่อสู้ทางด้านล่าง กองทัพฝ่ายมนุษย์ก็เป็นฝ่ายกุมความได้เปรียบ พวกเซิกบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ซากศพของพวกแมลงกองสุมเป็นภูเขาไปทั่วทั้งสนามรบ

หากไม่ใช่เพราะกำแพงเมืองมีความสูงมากแล้วล่ะก็ เช่นนั้นซากศพของพวกเซิกคงสูงท่วมกำแพงเมืองไป

จ้าวมนตราทั้งสามยืนมองดูสถานการณ์จากบนกำแพง ภายใต้การคุ้มครองจากพลเกราะหนัก พวกเขาทั้งสามไม่ได้ลงมือใดๆ นั่นเพราะยังไม่ถึงคราวให้พวกเขาต้องลงมือ

เพียงกองทัพของเซียวอวี๋ก็สามารถจัดการกับพวกเซิกเหล่านี้แล้ว เมื่อทั้งสามได้เห็นพวกคิเมร่า ทั้งสามก็ตกตะลึงเล็กน้อย พวกเขาไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป มองเพียงปราดเดียวก็ทราบว่าพวกมันคือคิเมร่า สัตว์อสูรในตำนานของพวกเอลฟ์

ดูเหมือนว่าเซียวอวี๋จะมีอำนาจเหนือพวกเอลฟ์อย่างเบ็ดเสร็จแล้ว

สงครามอันดุเดือดดำเนินไปกว่าสองชั่วโมงจึงค่อยยุติลง สุดท้ายพวกเซิกที่สูญเสียอย่างหนักก็เลือกที่จะถอยทัพกลับไป การบุกโจมตีของพวกมันรุนแรงอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะพวกเซียวอวี๋มาได้ทันการณ์ กองทัพของจักรวรรดิเมฆาจะต้องล่มสลายอย่างแน่นอน

ตอนนี้สถานการณ์ถูกกอบกู้คืนกลับ พวกเขาเพียงต้องเสริมความแข็งแรงของกำแพงเมืองและหาหนทางตอบโต้กลับ เป้าหมายสูงสุดของพวกเขาย่อมไม่ใช่เพียงเพื่อหยุดพวกเซิก หากแต่เป็นการบุกเข้าไปภายในอัลคีราฟและเก็บกวาดขุมทรัพย์

ต่อให้ที่นี่ไม่มีสามจ้าวมนตราอยู่ด้วย เซียวอวี๋ก็สามารถจัดการกับพวกเซิก กระนั้นเซียวอวี๋ก็เลือกที่จะกันไว้ดีกว่าแก้ อีกทั้งจ้าวมนตราทั้งสามยังมีประโยชน์มากกว่านั้น

มันเป็นโอกาส ด้วยการมีอยู่ของจ้าวมนตราทั้งสาม การขจัดภัยคุกคามจากอัลคีราฟได้สำเร็จก็เป็นเรื่องที่แน่นอน เพราะอาศัยเพียงกองทัพของดินแดนไลอ้อนอย่างเดียวยังไม่อาจกวาดล้างอัลคีราฟและครอบครองสมบัติ

เมื่อเห็นพวกเซิกล่าถอยกลับไปดุจคลื่นลดลงสู่ทะเล ในเวลาอันสั้นนี้คงไม่มีการบุกครั้งใหญ่อีก เซียวอวี๋ตัดสินใจมอบให้ฉินเช่อดูแลจัดการเรื่องราวต่างๆ

เนื่องเพราะต้องการฝึกฝนฉินเช่อ ดังนั้นนี่จึงนับเป็นโอกาสอันดี

ฉินเช่อพยักหน้ารับ เขาไม่ได้กล่าววาจาใดก่อนจะปลีกตัวออกไปจัดการเรื่องราวต่างๆ

เซียวอวี๋นำจ้าวมนตราทั้งสามลงจากกำแพงและหาสถานที่พักผ่อน เซียวอวี๋กวาดมองกระโจมพักอย่างพูดไม่ออก ที่พักของเขาสภาพไม่อาจเรียกได้ว่าที่พักด้วยซ้ำ แน่นอนว่าทุกคนย่อมไม่ต่างกัน กระทั่งที่พักของโถวปาหงก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าใด มันเป็นเพียงกระโจมที่เรียบง่าย

แน่อนนว่าเซียวอวี๋ย่อมไม่อยากพักในที่นี้ เขาพลันนำเอากระโจมหรูหราออกมาหลายหลังก่อนจะเริ่มจัดตั้ง ทั้งยังแบ่งให้โถวปาหงหลังหนึ่ง

โถวปาหง จักรพรรดิองค์ปัจจุบันของจักรวรรดิเมฆาตะวันออกกลับมีที่พักอนาถา เซียวอวี๋อดสงสารไม่ได้เลยจริงๆ

ขณะที่เซียวอวี๋และจ้าวมนตราทั้งสามกำลังจะหย่อนก้นนั่งบนเก้าอี้นั้นเอง พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังขุมหนึ่งจากนอกกระโจม ขนของพวกเขาพลันลุกชี้ชัน

อย่างไรก็ตาม ไม่ช้าเซียวอวี๋ก็คืนสติก่อนจะเอ่ยอย่างสงบ “เป็นท่านราชครูนี่เอง”

ม่านกระโจมถูกเลิกขึ้น ชายวัยกลางคนที่มีสีหน้าเย็นชาเดินเข้ามา เขาก็คืออาจารย์ของโถวปาหงที่เซียวอวี๋เคยพบมาก่อน อ้าวปา…..

 

 

 


ตอนที่ 540

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


หลังจากอ้าวปาเข้ามา สายตาของเขาก็ตกลงบนร่างของจ้าวมนตราทั้งสาม เขาก้มศีรษะทักทายก่อนจะกล่าวว่า “ไม่คาดว่าปรมาจารย์ทั้งสามจะมา ครั้งนี้นับว่าจักรวรรดิเมฆารอดพ้นหายนะแล้ว”

กระทั่งอ้าวปาผู้แข็งแกร่งยังกล่าวเช่นนี้ เป็นที่จินตนาการได้ว่าสถานการณ์ของจักรวรรดิเมฆาเลวร้ายเพียงใด

“ท่านก็คือราชครูของจักรวรรดิเมฆา ได้ยินชื่อเสียงมานานแลว เลื่อมใสๆ” จ้าวมนตราทั้งสามลุกขึ้นกล่าวทักทายตอบ

ทั้งทวีปแห่งนี้มีคนอยู่ไม่มากที่จ้าวมนตราทั้งสามจะปฏิบัติด้วยเช่นนี้ จากข้อนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่าอ้าวปาผู้นี้จะต้องไม่ธรรมดา

ย้อนกลับไปในอดีต ครั้งนั้นเซียวอวี๋ยังไม่แข็งแกร่งเท่าใด ตัวเขามองอ้าวปาผู้นี้ไม่ออกแม้แต่น้อย ไม่ทราบว่าอ้าวปาผู้นี้อยู่ในระดับใดกันแน่

แต่มาเวลานี้ เซียวอวี๋สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายอันตรายได้จากร่างของอ้าวปา กระนั้นเขาก็ยังคงมองระดับของอ้าวปาไม่ออก แต่เขาคาดว่าอ้าวปาจะต้องแข็งแกร่งอย่างน่าสะพรึง

คาสโซ่เองก็ที่อยู่ในขั้นที่หก แต่เทียบกับอ้าวปาที่เบื้องหน้านี้แล้วนับว่าแตกต่างราวกับอยู่คนละขั้นอย่างสิ้นเชิง

แม้ว่าตัวเซียวอวี๋เองจะยังไม่ได้อยู่ในขั้นที่หก แต่หากให้เขาปะทะกับคาสโซ่จริงๆแล้วล่ะก็ เขามั่นใจว่าตัวเองไม่พ่ายแพ้แน่ แต่สำหรับกับอ้าวปาแล้ว ตัวเขาไม่มีความมัน่ใจแม้แต่น้อย

“ชื่อเสียงเล็กน้อยสามารถเข้าหูท่านทั้งสามได้ นี่นับว่าโชควาสนาแล้ว” จ้าวมนตราทั้งสามและอ้าวปาทรุดตัวนั่งลง

อ้าวปาไม่อ้อมค้อมอีก เขาหันไปมองเซียวอวี๋ก่อนจะเอ่ยปากกล่าวทันที “เซียวอวี๋ ครั้งนี้ข้าต้องขอบใจเจ้าจริงๆ หากวันนี้ไม่มีเจ้าอยู่ สถานการณ์ในวันนี้คงยากจะกล่าว”

เซียวอวี๋หัวเราะก่อนจะกล่าวว่า “ปรมาจารย์อ้าวปายกย่องเกินไปแล้ว อันที่จริง คนทั้งหมดย่อมทราบว่าข้ามาที่นี่ก็เพื่อรักษาดินแดนไลอ้อน หากว่าจักรวรรดิเมฆาพังทลายลง เช่นนั้นเป้าต่อไปก็คือดินแดนไลอ้อนที่โชคร้ายของข้า เช่นนั้นข้ายังไม่มาได้หรือ? ยังไม่ต้องกล่าวถึงว่าโถวปาหงและข้าเป็นพันธมิตรกัน ข้ายังต้องการตักตวงผลประโยชน์จากเขาอีกในภายหน้า แล้วข้าจะนิ่งดูดายได้อย่างไร ฮ่าฮ่าฮ่า…”

อ้าวปาจ้องมองเซียวอวี๋ก่อนจะกล่าวว่า “แม้จะเป็นเช่นนั้น ข้าก็ยังต้องขอบใจเจ้า ครั้งนี้เจ้าช่วยพวกเราไว้มากจริงๆ เอาล่ะ ข้าไม่กล่าววาจาไร้สาระแล้ว ผลประโยชน์ใดๆหงเอ๋อร์ได้กล่าวไปแล้ว ตราบใดที่เขาได้ขึ้นนั่งบัลลังก์และรวบรวมทุ่งหญ้าให้เป็นหนึ่งได้สำเร็จ ดินแดนไลอ้อนจะเป็นสหายของจักรวรรดิเมฆาตลอดไป”

เซียวอวี่พยักหน้า “ข้าเชื่อว่าโถวปาหงกล่าวคำไหนคำนั้น เหอเหอ…”

“ทว่าตอนนี้ เซียวอวี๋ ครั้งนี้เจ้าคงต้องลงทุนลงแรงอย่างมาก อาศัยกำลังเพียงลำพังของจักรวรรดิเมฆา เกรงว่ามันยังยากที่จะจัดการกับพวกเซิก หลายวันมานี้ข้าเดินทางไปทั่วจักรวรรดิและได้ติดต่อกับกองกำลังต่างๆเท่าที่ติดต่อได้และแจ้งให้เคลื่อนกำลังมาหนุนเสริม หากว่าแนวป้องกันแห่งนี้พังทลายลง ทั่วทั้งจักรวรรดิย่อมพินาศตาม หากแต่สารเลวโถวปากุ้ยกลับมัวแต่ห่วงประโยชน์ส่วนตน ปฏิเสธที่จะส่งกำลังมา ทั้งยังส่งกำลังมาโจมตีตลบหลังพวกเราจนข้าแทบคลั่งแล้ว” กล่าวถึงตรงนี้ สายตาของอ้าวปาก็คมกล้าดั่งกระบี่วิเศษเล่มหนึ่ง

เพียงสายตาก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหาร ไม่รู้ว่าอ้าวปาผู้นี้แข้งแกร่งถึงขั้นใดกันแน่?

.”ไฉนโถวปากุ้ยจึงดื้อดึงนัก?” เซียวอวี๋ขมวดคิ้วถาม

อ้าวปา “อืม แต่ที่ข้ากังวลกลับเป็นอีกเรื่อง เจ้าก็ทราบว่าที่เบื้องหลังของโถวปากุ้ยมีขุมกำลังทรงอำนาจสามฝ่ายยืนไว้อยู่ ข้าสงสัยว่านี่คงจะเป็นการตัดสินใจจากพวกนั้น นี่กลับยิ่งเป็นการสร้างปัญหา เห็นได้ชัดว่าคนพวกนั้นไม่ได้เห็นความอยู่รอดของจักรวรรดิเมฆาอยู่ในสายตา ที่พวกนั้นต้องการก็คือความวุ่นวาย เพื่อที่พวกมันจะสามารถตักตวงผลประโญชน์ได้มากขึ้น”

ได้ยินดังนั้น เซียวอวี๋ก็ลุกขึ้นเดินไปเดินมาอย่างครุ่นคิด เขาเองก็เคยคาดคิดไว้แบบนี้ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้จริงๆ

หากปล่อยเอาไว้แบบนี้ พวกเขาก็จำต้องรับศึกสองด้าน สถานการณ์ก็จะยิ่งยุ่งยากกว่าเก่า

“เช่นนั้นพวกเราจำต้องส่งคนไปยับยั้งการโจมตีของโถวปากุ้ย ตอนนี้ท่านมีกำลังที่โยกย้ายได้มากน้อยเท่าใด” เซียวอวี๋เองก็เลิกกล่าวอ้อมและเอ่ยถามเรื่องสำคัญทันที

“คอนนี้พวกเราครอบครองพื้นที่ราวครึ่งหนึ่งของจักรวรรดิ มีประชากรรวมสิบกว่าล้านคน ไพร่พลที่สามารถโยกย้ายได้มีราวห้าแสนนาย หากถึงคราวคับขัน ยังสามารถกะเกณฑ์ไพร่พลได้อีก ชาวเมฆามีพื้นเพเป็นชนเร่ร่อนอยู่แล้ว ชายฉกรรจ์ทุกคนล้วนแต่เป็นนักรบ อย่างไรก็ตาม มันยังต้องใช้ระยะหนึ่งเพื่อระดมพล กองทัพที่ประจำการอยู่แนวหน้าตอนนี้มีอยู่ราวสองแสนเท่านั้น อาจจะมีตามมาสมทบอีกราวห้าถึงหกหมื่นในอีกไม่กี่วัน” อ้าวปากล่าวตอบ

เซียวอวี๋พยักหน้าแต่คิ้วกลับขมวดเป็นปม ต่อหน้ากองทัพของพวกเซิก มีมากกว่านี้ก็ยังคงไม่เพียงพอ

“เรียกระดมกำลังให้ได้มากที่สุด ศึกครั้งนี้สำคัญยิ่ง นอกจากนี้โถวปาหงยังต้องส่งผู้บังคับบัญชาที่สามารถไว้ใจได้ไปคอบควบคุมพวกเขา ท่านมีตัวเลือกที่เหมาะสมหรือไม่?”

เมื่อต้องรับศึกสองด้าน การจะละทิ้งไม่สนใจด้านใด้านหนึ่งย่อมเป็นไปไม่ได้ มิเช่นนั้นเส้นทางถอยของทั้งหมดจะถูกตัดขาดไปและถูกโอบล้อมอยู่ที่นี่

“กล่าวตามตรง แม้ที่นี่จะมีขุนศึกอยู่มากมาย กระนั้นกลับไม่มีผู้ที่สามารถบัญชาการ” อ้าวปาทอดถอนใจ

ขุนศึกนั้นหาง่าย แต่แม่ทัพที่สามารถควบคุมบัญชากำลังพลนับว่าหายากเย็นยิ่ง

“เมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นตัวเลือกก็คงเหลือเพียงแค่หนึ่งเดียว” เซียวอวี๋ถอยหายใจอย่างช่วยไม่ได้

“ผู้ใดหรือ?” ได้ยินคำของเซียวอวี๋ แสงแห่งความปิติก็พาดผ่านแววตาของอ้าวปา

“ฉินเช่อ” เซียวอวี๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม

อันที่จริง เซียวอวี๋ไม่ต้องการจะมอบงานหนักให้ฉินเช่อเร็วเกินไปนัก นี่เป็นสถานการณ์อันตราย ทั้งอีกฝ่ายยังมีขุมกำลังในเงามืดคอยหนุนหลังอีก

“ฉินเช่อ…ประเสริฐ หากเป็นฉินเช่อ สถานการณ์ก็นับว่ารับมือได้แล้ว เหอเหอ….” อ้าวปากล่าวอย่างยินดี

ความสามารถของฉินเช่อย่อมไม่เป็นที่สงสัย อาจกล่าวได้ว่าเหตุผลที่โถวปาหงสามารถกุมอำนาจตอนนี้ได้ส่วนใหญ่ล้วนมาจากฝีมือของฉินเช่อ

เซียวอวี๋พยักหน้า “เวลานี้ทัพม้าทั้งหมดของข้าได้ส่งต่อให้ฉินเช่อควบคุมดูแลแล้ว ทางด้านของท่านก็ให้ส่งทัพม้ามือดีบางส่วนให้ฉินเช่อแล้วกัน”

อ้าวปาพยักหน้า “นี่ไม่มีปัญหา ข้าจะส่งทัพม้ามือดีที่สุดให้ฉินเช่อ”

 

 

 


ตอนที่ 541

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


ขณะที่พวกเซียวอวี๋กำลังหารือแผนการกันอยู่นั้น พลส่งสารนายหนึ่งก็ขอเข้าพบอย่างรีบร้อน “เรียนท่านราชครู ท่านลอร์ดเซียว ท่านแม่ทัพแห่งทัพพยัคฆ์หู่ได้นำกองทัพเดินทางมาเป็นกองหนุนขอรับ”

“เข้าใจแล้ว” ได้ยินคำรายงาน เซียวอวี๋ก็รีบตอบ เขาคิดไม่ถึงว่าผู้มาจะเป็นโถวปาหู่

ในจักรวรรดิเมฆา แม่ทัพพยัคฆ์โถวปาหู่นับเป็นเทพสงครามองค์หนึ่ง ชื่อเสียงของเขาดุจดังฟ้าร้องกรอกหู โดยเฉพาะกองทัพพยัคฆ์ที่เขาควบคุมยังนับเป็นทัพม้าที่เก่งกาจที่สุดของจักรวรรดิเมฆา ชื่อเสียงของกองพลพยัคฆ์นั้นเป็นตำนาน ร้องคำรามดุจพยัคฆ์ ฝีดาบรวดเร็วดุดัน เทียบกันแล้วยังแข็งแกร่งกว่ายูนิตธรรมดาทั่วไปของระบบด้วยซ้ำ ทหารทุกนายล้วนสวมใส่เกราะหนัก ทุกคนล้วนแต่เป็นนักรบในขั้นที่สามเป็นอย่างน้อย ทอดตาทั่วทุ่งหญ้ากว้างใหญ่แห่งนี้ กองทัพพยัคฆ์นี้นับว่าไร้ผู้ต้าน

เมื่อครั้งตอนที่ถูกเคราแดงโจมตีครั้งนั้น เซียวอวี๋ได้แอบอ้างชื่อของโถวปาหู่ผู้นี้จนทำลายขวัญกำลังใจของพวกโจรชิงม้าลง นี่แสดงให้เห็นว่าชื่อเสียงของโถวปาหู่กึกก้องเพียงใด

นับตั้งแต่ที่จักรพรรดิโถวปาเย่สิ้นพระชนม์ โถวปาหงและโถวปากุ้ยก็ต่างคนต่างเร่งสร้างฐานอำนาจ ทั้งสองฝ่ายต่างพยายามชักชวนโถวปาหู่ให้เข้าร่วม หากแต่โถวปาหู่นั้นตั้งทัพคอยดูแลความสงบอยู่ที่แคว้นฮิลาลอันห่างไกล และไม่ได้ข้องเกี่ยวกับการชิงอำนาจของทั้งสอง

โถวปาหู่เองก็เป็นเชื้อพระวงศ์ ทั้งยังมีอำนาจบารมีอย่างมาก หากเขาเข้าร่วมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฝ่ายนั้นจะได้เปรียบเพียงใด

อย่างไรก็ตาม โถวปาหู่ไม่ได้นำกำลังของเขาเข้ามายุ่งเกี่ยว ตัวเขาเป็นอ๋องที่คอยดูแลแคว้นฮิลาล เขามีกำลังคน มีดินแดน อีกทั้งกิจการที่บิดาและปู่ของเขาตกทอดไว้ให้ก็มีมากมายมหาศาล กล่าวได้ว่าโถวปาหู่มีพร้อมทุกอย่าง

หากว่าโถวปาหู่เข้าร่วมการแย่งชิงบัลลังก์ เช่นนั้นโถวปาหงและโถวปากุ้ยก็แทบจะหมดโอกาสใดๆ กระนั้นโถวปาหู่กลับเลือกที่จะนิ่งเฉยไม่เคลื่อนไหวใดๆ

ทั้งโถวปาหงและโถวปากุ้ยเคยส่งจดหมายไปเชิญเขาอยู่หลายครั้ง หากแต่โถวปาหู่กลับเผาจดหมายเหล่านั้นทิ้งทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม วันนี้ไม่ทราบเพราะเหตุใดโถวปาหู่จึงมาปรากฏกายที่นี่ได้

“อะไรนะ! ท่านลุงมาที่นี่?” โถวปาหงที่เพิ่งตื่นและมายังกระโจมของเซียวอวี๋ร้องโพล่งอย่างยินดี

หากนับตามศักดิ์แล้ว โถวปาหู่นับเป็นลุงของโถวปาหง

“พะย่ะค่ะ ท่านอ๋องหู่ได้ตั้งค่ายอยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้ และพร้อมจะเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้วพะย่ะค่ะ” พลสื่อสารกล่าวอย่างตื่นเต้นยินดี

การปรากฏตัวของโถวปาหู่ครั้งนี้อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่าเขาก็ไม่ได้มาเพื่อต่อต้านโถวปาหง โถวปาหู่ไม่เหมือนกับโถวปากุ้ย หากอยากกำจัดโถวปาหงจริงก็ไม่ต้องทำถึงขั้นนี้ อีกทั้งในครั้งที่โถวปาหงยังเยาว์วัย โถวปาหู่ยังเป็นมิตรต่อโถวปาหงไม่น้อย

หากเป็นเช่นนี้ ขุมกำลังของพวกเขาก็นับว่าเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โอกาสที่จะพิชิตพวกเซิกได้ก็จะยิ่งมากขึ้น

“เร็ว รีบนำข้าไปหาเขา” โถวปาหงตื่นเต้นยินดีและรีบสั่งให้พลสื่อสารนำเขาไปพบกับโถวปาหู่

อ้าวปากลับไม่ได้ตื่นเต้นยินดีใดๆ เขาลุกขึ้นก่อนจะติดตามอยุ่ทางด้านหลังของโถวปาหงอย่างเฉื่อยชา

เมื่อเซียวอวี๋เห็นดังนั้นก็คิดขึ้นในใจ “ดูเหมือนว่าอ้าวปาผู้นี้จะไม่กินเส้นกับโถวปาหู่ ไม่รู้ว่าสองคนนี้มีบุญคุณความแค้นใดกันแน่”

เซียวอวี๋กล่าวขอตัวกับจ้าวมนตราทั้งสามที่นิ่งเฉยก่อนจะตามโถวปาหงออกไป

ระยะทางสิบลี้นั้นใช้เวลาไม่นาน เมื่อโถวปาหงก็พบกับแถวกระโจมเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ทั่วทั้งค่ายเงียบสงบ ไม่มีเสียงโหวกเหวกดังเช่นค่ายทหารทั่วไป นี่คล้ายเป็นรังพยัคฆ์ที่ซุ่มเฝ้ามองเหยื่ออย่างเงียบเชียบ

นี่ไม่คล้ายเป็นค่ายทหาร หากแต่เป็นรังของสัตว์ร้าย

เมื่อเซียวอวี๋มาถึง ทางค่ายทหารก็มีเงาร่างสองร่างบังคับม้าที่ตัวใหญ่กว่าม้าทั่วไปออกมา ทั้งสองยกปืนขึ้นเล็งพลางตะโกนถาม “พวกเจ้าเป็นใคร?”

เห็นท่าทีไพร่พลทั้งสองจากทัพพยัคฆ์ โถวปาหงก็ไม่ได้ไม่พอใจแต่อย่างใด ตัวเขาเติบโตขึ้นในจักรวรรดิและได้ยินชื่อเสียงของทัพพยัคฆ์จนคุ้นชิน เขาเห็นว่าท่าทีสะกดข่มผู้อื่นเช่นนี้นับเป็นเรื่องปกติ

แต่นั่นไม่ใช่กับเซียวอวี๋ เขาไม่ชอบท่าทีเช่นนี้ ดังนั้นเซียวอวี๋จึงไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาพุ่งเข้าไปจับทหารทั้งสองนายนั้นโยนขึ้นฟ้าจนตกลงมากระแทกพื้นเสียงดัง

เกิดเสียงตุบดังขึ้นสองครั้ง โถวปาหงอ้าปากค้าง เขากำลังคิดว่าจะปฏิบัติต่อทัพพยัคฆ์อย่างไร แต่เซียวอวี๋กลับทุบตีอีกฝ่ายเสียอย่างนั้น

เมื่อม้าทั้งสองเห็นเซียวอวี่จับเจ้านายของพวกมันโยนทำร้าย พวกมันก็หายใจฟูดฟาดอย่างโกรธแค้น พวกมันส่งเสียงร้องก่อนจะพุ่งเข้าหาเซียวอวี่หวังใช้กีบเหล็กกระทืบเซียวอวี๋ให้จมดิน

ม้าทั้งสองล้วนสวมเกราะหุ้มทั้งตัว มองจากระยะไกลทำให้ดูคล้ายอสูรเหล็ก ฝีเท้าของพวกมันรวดเร็วประดุจสายฟ้า พวกมันวิ่งฝ่าสายลมจนบังเกิดเสียงหวีดหวิว

ที่ส่วนศีรษะของม้าทั้งสองมีเขาเหล็กแหลมประดับอยู่ราวกับยูนิคอร์น หากถูกพวกมันจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวล่ะก็ แม้แต่นักรบขั้นที่สามก็ยังสาหัส

แต่เซียวอวี๋เป็นใคร? ความแข็งแกร่งในวันนี้ของเซียวอวี่แทบไม่ด้อยกว่าคาร์นแล้ว เห็นม้าเหล็กสองตัวพุ่งเข้าใส่ เซียวอวี๋เพียงยกเท้าเตะออกไปสองครั้งอละส่งม้าทั้งสองลอยไปกระแทกกำแพงค่ายจนฝุ่นผงคละคลุ้ง

อย่างไรก็ตาม ม้าทั้งสองนั้นมีร่างกายที่แข็งแกร่ง พวกมันรีบลุกขึ้นก่อนจะพุ่งเข้าใส่เซียวอวี่อีกครั้ง

ทว่าตอนนั้นเอง ทหารทั้งสองพลันรีบวิ่งเข้ามาปลอบม้าคู่ใจให้สงบลง

ทั้งสองต่างทราบแล้วว่า หากเซียวอวี่ลงมืออย่างจริงจัง พวกเขาทั้งสองรวมถึงม้าคู่ใจคงตกตายตั้งแต่แรก

“เจ้าเป็นใคร แข็งแกร่งไม่เลวนี่” ในตอนนั้นเอง เงาร่างสูงที่อยู่บนหลังม้ามีปีกพลันบังคับม้าลอยตัวลงมาจากบนฟ้า

คนผู้นี้สวมใส่เกราะคลอบคลุมทั้งร่างจนมองไม่เห็นแม้แต่ใบหน้า หากแต่จากกลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมาก็ทำให้ทราบได้ว่าคนผู้นี้เป็นนักรบขั้นที่หก

แต่เซียวอวี๋นั้นทราบว่าคนเบื้องหน้านี้ไม่ใช่โถวปาหู่ เพราะฟังจากน้ำเสียงล้วอีกฝ่ายยังเยาว์วัย อย่างมากคงอายุมากกว่าเซียวอวี๋ไม่กี่ปี กระนั้นความแข็งแกร่งของเขานั้นแทบไม่ด้อยกว่าคาสโซ่เลย แม้เซียวอวี๋จะยังไม่ได้อยู่ในขั้นที่หก แต่เขาก็มั่นใจว่าสามารถเอาชนะคนผู้นี้ได้ ดังนั้นคนผู้นี้ย่อมไม่ใช่โถวปาหู่

ใต้ร่มธงของโถวปาหู่ถึงกับมีนักรบขั้นที่หกอยู่ นี่ยิ่งพิสูจน์ความไม่ธรรมดาของโถวปาหู่

“ธุระอะไรของเจ้าล่ะ?” ขณะที่โถวปาหงกำลังจะเดินออกไปกล่าววาจา เซียวอวี๋พลันแค่นเสียงใส่เงาร่างนั้น…. 

 

 


ตอนที่ 542

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


“โอหัง!” ชายหนุ่มจ้องเซียวอวี๋อย่างโมโห เขายกหอกขึ้นก่อนจะบังคับม้าเปกาซัสพุ่งเข้าใส่เซียวอวี๋

โฮก!

เวลานั้นเอง เสียงคำรามพลันดังขึ้น ร่างอันใหญ่โตของคาร์นพุ่งเข้าประจันหน้ากับชายหนุ่ม

อั่ก!

ชายหนุ่มไม่ทันระวังจึงถูกคาร์นชนกระเด็นทั้งคนทั้งม้า

เมื่อได้เห็นชายหนุ่มท้าทายเซียวอวี๋ต่อหน้าเขา คาร์นย่อมไม่นิ่งเฉย ดังนั้นผลจึงออกมาอย่างที่เห็น

คาร์นในตอนนี้นับว่าอยู่ในระดับสุดยอดของขั้นที่ห้า แต่เมื่อรวมกับพละกำลังอันเปี่ยมล้นของเผ่าพันธุ์แล้ว เขาสามารถรับมือกับตนตัวขั้นที่หกได้อย่างไม่เสียเปรียบ และหากว่าคาร์นใช้ทักษะแปลงร่างด้วยแล้วล่ะก็ บางทีเขาอาจกระทั่งล้มตัวตนขั้นที่หกได้เลย

แม้ว่าชายหนุ่มผู้นี้จะเป็นนักรบขั้นที่หกพร้อมขี่อยู่บนหลังม้าเปกาซัส กระนั้นหากวัดด้านพละกำลังกันแล้วเขาย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคาร์น

ม้าเปกาซัสร่วงลงบนพื้นก่อนจะกลิ้งไปอีกสี่ห้าเมตรจึงค่อยหยุดลง ชายหนุ่มที่อยู่บนหลังม้าย่อมไม่มีสภาพที่ดีไปกว่ากัน เขารู้สึกเสียหน้าอย่างยิ่ง

การเดินทางมาครั้งนี้เซียวอวี๋ได้นำผู้คุ้มกันมาสองคนนั่นคือ คาร์นและเมอีฟ คาร์นนั้นทรงพลัง แข็งแกร่ง และกล้าหาญ ขณะที่เมอีฟหยิ่งทะนงตามสายเลือดเอลฟ์ ดังนั้นเมื่อมีผู้คุ้มกันทั้งสองอยู่ข้างกายก็จะเป็นการส่งเสริมความสง่างามของเซียวอวี๋ และสร้างความประทับใจต่อผู้พบเห็น

“เซียวอวี๋เจ้าใจเย็นก่อนเถอะ คนผู้นี้เป็นบุตรชายของอ๋องหู่ หากเจ้าทุบตีเขา เรื่องราวจะลุกลามใหญ่โตแล้ว” โถวปาหงยิ้มเจื่อนขณะกล่าวเกลี้ยกล่อมเซียวอวี๋ เดิมทีโถวปาหงคิดว่าเพียงเดินทางมารับการสวามิภักดิ์ของโถวปาหู่ก็จบเรื่อง ไหนเลยจะคาดว่ามาถึงก็เกิดตีกันแล้ว

แต่เซียวอวี๋กลับโน้มตัวเข้าไปกระซิบต่อโถวปาหง “เจ้าวางใจเถอะ รับรองว่าอ๋องหู่ต้องเข้าร่วมกับเจ้าแน่ หากแต่เจ้าต้องไม่แสดงว่าอ่อนแอออกมา มิเช่นนั้นเรื่องราวจะยากขึ้น หากว่าไว้ใจข้าก็ยกเรื่องนี้ให้ข้าจัดการ”

ได้ฟังคำของเซียวอวี๋ โถวปาหงก็ยิ้มเจื่อน เขาจำได้แล้วว่าเซียวอวี๋ชอบใช้วิธีการเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่กล่าวอะไรอีก อีกด้านหนึ่ง อ้าวปาที่เห็นวิธีการของเซียวอวี๋ก็ยิ้มอย่างชื่นชม

เห็นว่าอ้าวปาไม่ได้ว่าอะไร โถวปาหงจึงสงบลง เขาส่ายหน้ายิ้มอย่างขมขื่น

เขาทราบว่าเซียวอวี๋รู้ว่าควรหยุดเมื่อใด ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ คนยิ่งมากก็ยิ่งเพิ่มความมั่นใจในการต่อกรกับพวกเซิก ผู้ใดจะต่อว่าว่ามีทหารมากเกินไปกัน?

วิธีการของเซียวอวี๋ไม่อาจใช้หลักการทั่วไปมาหยั่งวัด ครั้งนี้ไม่ทราบจะใช้วิธีการใด?

“หาที่ตาย!” ชายหนุ่มคำรามก่อนจะละทิ้งม้าและชี้หอกไปทางเซียวอวี๋ “กล้าก่อเรื่องในค่ายพยัคฆ์งั้นรึ ทหาร! มานี่!”

ได้ยินเสียงร้องตะโกนของชายหนุ่ม ทหารม้ามากมายก็กรูกันออกมาจากค่าย หัวหน้าขบวนทหารเป็นบุรุษร่างสูง ใส่เกราะหุ้มทั้งตัว

ทหารม้าค่อยๆโอบล้อมพวกเซียวอวี๋เอาไว้

เซียวอวี๋แค่นเสียง และมองพวกทหารม้าอย่างเย็นชา

“จัดการมันซะ!” เห็นกองทหารจัดวางกำลังเสร็จสรรพ ชายหนุ่มก็ชี้นิ้วสั่งให้จัดการกับเซียวอวี๋ ชายหนุ่มผู้นี้อยู่ในวัยยี่สิบกว่าปี ตั้งแต่เล็กก็ถูกอุ้มชูตามใจ ไหนเลยจะเคยเสียหน้าถึงเพียงนี้มาก่อน

เซียวอวี๋ทุบตีสมุนของเขา ทั้งยังทำให้เขาต้องอับอาย นี่จะให้เขาทนได้อย่างไร

ด้วยเหตุนั้น เมื่อสติถูกโทสะเข้าครอบงำ เขาจึงสั่งการให้พวกทหารลงมืออย่างไร้เหตุผล

ทว่าเซียวอวี่กลับตะโกนขึ้น “ช้าก่อน!”

ชายหนุ่มมองเซียวอวี๋พลางอ้าปากค้าง “อะไร รู้ความผิดแล้วงั้นรึ เหอะ! สายไปแล้ว”

เซียวอวี๋จ้องมองชายหนุ่มก่อนจะกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าผิดกับมารดาเจ้าสิ ข้าเพียงต้องการถาม เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าเป็นชาวเมฆาจริงๆ?”

ได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มก็ยิ่งโกรธแค้น เขาคำรามใส่เซียวอวี๋ “ข้าเป็นชาวเมฆา! สืบสายโลหิตเชื้อพระวงศ์! เจ้ากล้าหมิ่นเกียรติแห่งราชวงศ์! วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าสารเลวชั้นต่ำเยี่ยงเจ้าเพื่อธำรงไว้ซึ่งเกียรติ!”

เซียวอวี๋เงยหน้าหัวเราะ “โอ้ เชื้อพระวงศ์? แต่ข้ารู้จักกับจักรพรรดิ ทั้งเขายังอยู่ที่นี่กับข้า ในฐานะพสกนิกร ในฐานะทหารแห่งจักรวรรดิเมฆา พบเห็นองค์จักรรพรรดิกลับไม่ถวายความเคารพ ทั้งยังกล้าหันอาวุธใส่ เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ? หรือพวกเจ้าคิดก่อกบฏ? เหอเหอ เป็นว่าที่พวกเจ้ารอพวกเรามาที่นี่ก็เพื่อที่จะลอบปลงพระชนม์องค์จักรพรรดิ เช่นนั้นก็อย่าได้ว่าว่าพวกเราไร้ปราณี เข้ามาเถอะ เกียรติแห่งองค์จักรพรรดิไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าสามารถดูหมิ่นดูแคลนได้ มาดูกันว่าพวกเจ้าจะจับองค์จักรพรรดิได้หรือไม่”

ได้ยินวาจาของเซียวอวี๋ คนทั้งหมดต่างชะงัก ไม่เว้นกระทั่งชายหนุ่มผู้นั้น ความรู้สึกของเขาตอนนี้ราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็น

แม้ว่าเขาจะเป็นบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของอ๋อง แม้จะมีอำนาจบารมีในเขตแดนตนสูงเสียดฟ้า กระนั้นบิดาของเขาก็ยังคงเป็นข้าในพระองค์ เวลานี้โถวปาหงได้ขึ้นครองราชย์ อีกทั้งผู้คนกว่าครึ่งล้วนเข้าสวามิภักดิ์ ทว่าพวกเขากลับหันอาวุธเข้าใส่องค์จักรพรรดิ ซึ่งหากนับตามบทลงโทษแล้ว พวกเขามีแต่ตายอย่างแน่นอน

แม้ว่าอ๋องหู่จะไม่เคยประกาศตนว่าสนับสนุนโถวปาหง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เอนเอียง ดังนั้น หากพวกทหารหันอาวุธเข้าใส่องค์จักรพรรดิ อ๋องหู่เองก็จะถูกนับว่าเป็นกบฏด้วย

โถวปาหงสามารถใช้เหตุผลข้อนี้กำจัดพวกอ๋องหู่จนสิ้นซาก

ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้น ชื่อเสียงและบารมีที่สั่งสมมาหลายสิบปีของอ๋องหู่ก็จะย่อยยับไปด้วย และเขาจะไมู่กรู้จักในฐานะเทพแห่งสงคราม หากแต่เป็นพวกกบฏชิงบัลลังก์

โถวปาหงและโถวปาเหยียนต่อสู้ช่วงชิงบัลลังก์ โถวปาหู่ตีตัวออกนอกวง ประชาชนจึงไม่ได้ต่อว่าเขาสักเท่าใด อย่างไรเสียมันก็เป็นการช่วงชิงตำแหน่งจักรพรรดิ

แต่หากว่าอ๋องหูหันคมอาวุธเข้าใส่โถวปาหง เรื่องราวจะเปลี่ยนไปทันที ในเวลานี้ ประชาชนส่วนใหญ่แล้วสนับสนุนโถวปาหง

ด้วยการมใช้นโยบายปลอบขวัญตามที่เซียวอวี๋บอก ประชาชนส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นมิตรกับโถวปาหง อีกทั้งโถุวปาหงยังเป็นองค์รัชทายาทของโถวปาเย่ เขาจึงมีสิทธิ์นั่งบัลลังก์อย่างชอบธรรม

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว โถวปาหู่เป็นเพียงอ๋องที่ห่างไกล การเข้ามาประสมโรงช่วงชิงบัลลังก์ด้วยจึงเป็นเรื่องที่ไม่ชอบธรรมอย่างยิ่ง

ด้วยเหตุเผลหล่านี้เอง โถวปาหงจึงกลายเป็นศูนย์รวมจิตใจของราษฎร์ หากว่ามีผู้ใดนำเรื่องที่อ๋องหู่หันอาวุธเข้าใส่องค์จักรพรรดิไปป่าวประกาศ เขาจะตกเป็นศัตรูของประชาชนทันที 

 

 


ตอนที่ 543

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


ชายหนุ่มพึ่งพาบิดาผู้เป็นอ๋อง และเขาทราบว่าที่นี่คือค่ายพยัคฆ์ ดังนั้นเขาจึงเย่อหยิ่งในคราแรก ซึ่งนั่นจะเป็นการแสดงอำนาจของทัพพยัคฆ์ และเสริมอำนาจต่อรองของอ๋องหู่

เดิมทีแล้วเขาจะวางท่าทีสูงส่ง และเมื่อพบเห็นโถวปาหงก็จะแสดงความสุภาพออกมาเพื่อที่จะไม่ดูอ่อนน้อมและแข็งแกร้าวจนเกินไป เป็นการสร้างความได้เปรียบด้านการต่อรอง

แต่ผู้ใดจะทราบว่าในหมู่ผู้ติดตามกลับมีบุคคลเช่นเซียวอวี๋อยู่ด้วย เซียวอวี๋ผู้นี้กลับไม่เล่นตามเกมและยั่วยุจนเขาเลือดขึ้นหน้า

เขาหลงกลเซียวอวี๋และสูญเสียความได้เปรียบไปจนหมด ทั้งยังถูกเซียวอวี๋ทุบตีจนเผลอเรียกระดมทหารมาโอบล้อม

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงกันข้ามกับสิ่งที่วางแผนไว้อย่างสิ้นเชิง ทั้งเขายังทำเสียงาน

ตอนแรก เขาแสร้งเป็นไม่รู้จักโถวปาหงนั้นไม่เป็นไร ทว่าตอนนี้่เขากลับนำทหารมาล้อมจักรพรรดิไว้ เช่นนั้นเรื่องราวก็ร้ายแรงแล้ว

ยิ่งคิดชายหนุ่มก็ยิ่งเสียวสันหลัง เขากำลังจะทำให้ชื่อเสียงที่สั่งสมมานานของบิดามลายกลายเป็นฝุ่น

ชายหนุ่มกระจ่างดี เหตุผลที่บิดาของเขาเดินทางมาในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะแสดงจุดยืนว่าเขาอยู่ฝ่ายโถวปาหง แต่หากเหตุการณ์ยังดำเนินต่อไปในลักษณะนี้ บิดาผู้เป็นอ๋องของเขาก็จะกลายเป็นกบฏแล้ว

เขารู้ว่าบิดาจะต้องไม่ยอมให้เช่นนี้เกิดขึ้น และตระกูลของเขาจะต้องไม่ถูกจารึกว่าเป็นตระกูลกบฏ

ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะกล่าววาจาติดขัด “ผะ…ผู้ใดคือจักรพรรดิกัน? ยังไม่มีรายงานว่าพระองค์เสด็จมาเสียหน่อย แล้วเจ้าทราบได้อย่างไร?”

ชายหนุ่มแสร้งเป็นเลอะเลือน ซึ่งอันที่จริง ผู้คนภายในค่ายต่างทราบว่าว่าองค์จักรพรรดิจะเสด็จมาค่ายแห่งนี้ด้วยพระองค์เอง อีกทั้งโถวปาหงที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็ยังสวมฉลองพระองค์ตามธรรรมเนียม แล้วมีหรือที่ชายหนุ่มจะไม่ทราบจริงๆ

“เหอะ เจ้าตาบอดหรือ? หรือไม่เห็นว่านี่คือฉลองพระองค์ของจักรพรรดิ? เจ้าไม่เคยเห็นพระพักต์ของจักรพรรดิมาก่อนจริงๆ? เจ้าไม่รู้จักจักรพรรดิโถวปาหง?” เซียวอวี๋ผายมือไม่ทางโถวปาหงพร้อมกับกล่าวด้วยเสียงอันดัง

“นะ…นี่…นี่ ข้าไม่ทันสังเกต อา เป็นฉลองพระองค์ของฝ่าบาท” ชายหนุ่มหันไปมองโถวปาหงก่อนจะรีบลดหอกลงพลางส่งสายตาให้ทหารโดยรอบลดอาวุธ

“ฉลองพระองค์สะดุดตาเช่นนี้….เหอเหอ” ได้ยินคำพูดของชายหนุ่มเซียวอวี๋ก็แค่นเสียง แต่สายตาของเขาลอบชำเลืองไปทางโถวปาหง

โถวปาหงไม่ได้นอนมาสามวันสามคืนแล้ว เขาต้องต่อสู้ติดต่อกันอย่างยาวนาน ดังนั้นชุดของเขาจึงเต็มไปด้วยคราบสกปรก หากไม่ตั้งใจมองให้ดีมันก็แทบไม่ต่างไปจากชุดชาวบ้านที่ลี้ภัย

“แม้ว่าชุดจะดูเปื้อนไปหน่อย แต่เจ้าไม่สังเกตเห็นจริงๆ? เจ้ารู้สาเหตุที่มันดูสกปรกเช่นนี้หรือไม่? จักรพรรดิโถวปาหงของพวกเจ้า เพื่อที่จะปกป้องประชาชนแล้ว เขาได้ทำการรบอยู่ที่แนวหน้าด้วยตนเอง ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกว่าเจ็ดวันเจ็ดคืนจึงมีสภาพเฉกเช่นนี้ แต่พวกเจ้าเล่า? กองทัพที่ได้ชื่อว่าเป็นทัพชั้นยอดแห่งจักรวรรดิ ตอนที่จักรวรรดิแทบล่มสลาย พวกเจ้าไปอยู่ที่ใด? ท่าทางองอาจกองทัพดูเข้มแข็ง หากแต่จิตใจกลับขลาดเขลาดุจฝูงสุนัข พวกเจ้าคู่ควรได้ชื่อว่ากองทัพพยัคฆ์หรือ? คู่ควรเรียกตนเองว่าชาวเมฆาหรือ? ยามที่จักรวรรดิต้องการคมหอกคมดาบของพวกเจ้า ยามที่พวกเซิกเข่นฆ่าสังหารชาวเมฆา เด็ก สตรี และคนชราต้องพลัดถิ่น พวกเจ้าไปมุดหัวอยู่ที่ใด?” เซียวอวี๋ยกมือกอดอกพลางกวาดมองพวกทหาร และสภาพที่ดูอิดโรยของโถวปาหงก็ยิ่งเป็นการขับเน้นให้เรื่องนี้มีน้ำหนักยิ่งขึ้น

ได้ยินคำกล่าวของเซียวอวี๋ พวกทหารก็หันไปมองใบหน้าที่ดูมอมแมมของโถวปาหง ใบหน้าอันหล่อเหลาที่ตอนนี้เต็มไปด้วยคราบเลือดและฝุ่น เสื้อผ้าที่ฉีกขาดจนแทบจำสภาพเดิมไม่ได้ ยิ่งมองก็ยิ่งละอายใจ ทั้งหมดต่างก้มหน้าก้มตาไม่กล้าสบตาผู้ใด

แรกเริ่มชายหนุ่มยังรู้สึกยินดี เขาสามารถวางท่าต่อหน้าจักรพรรดิเนื่องเพราะบารมีของบิดา บารมีของลูกหลานของเทพสงครามแห่งจักรวรรดิ ต่อให้อยู่ต่อหน้าจักรพรรดิพระองค์ก่อน ตระกูลของพวกเขาก็ไม่ต้องคุกเข่าเพื่อทำความเคารพ นั่นเป็นเกียรติยศถึงเพียงไหนกัน?

ทว่าตอนนี้เขากลับถูกวาจาของเซียวอวี๋ทำให้ขวัญกระเจิง เหลือบมองโถวปาหงซึ่งสวมเสื้อขาดวิ่นนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจาตั้งต้น ย้ัอนมองกับมาดูพวกตัวเองที่สวมเกราะเงาวับแล้วก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ

สำหรับเหล่าทหารแล้ว ยามที่มาตุภูมิต้องการพวกเขา พวกเขากลับนิ่งดูดายไม่ยื่นมือช่วยเหลือ ทั้งยังเสพสุขอยู่ในที่ห่างไกลอย่างสงบ มันนับเป็นความอัปยศอดสูอย่างถึงที่สุด

ตอนแรกพวกเขาก็รู้ภาคภูมิที่ได้ชื่อว่าเป็นทัพพยัคฆ์ ทัพกล้าแกร่งแห่งเมฆา เป็นกองทัพที่ดำรงอยู่ในฐานะไพ่ตายของจักรวรรดิ เป็นทัพอันไร้ผู้ต้าน แต่หากว่าทัพเช่นนี้นิ่งดูดายไม่ร่วมศึก เช่นนั้นแล้วมันจะยังมีความหมายใด?

ทหารที่ไม่เคยผ่านสมรภูมินั้นไม่นับว่าเป็นทหาร ทัพพยัคฆ์นั้นไม่ได้รบทัพจับศึกกับผู้ใดมากว่าทศวรรษแล้ว อันที่จริง ทัพพยัคฆ์เคยเข้าร่วมการศึกเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะชื่อเสียงและบารมีของอ๋องหู ทัพพยัคฆ์จึงทะนงตน แต่เมื่อถูกตำหนิติเตียนจากเซียวอวี๋คราวนี้ ความทะนงตนในอดีตล้วนกลายเป้นฝุ่นควันไปสิ้น

“กระหม่อม…..ผู้บัญชากองร้อยแห่งทัพพยัคฆ์โถวปาเฟิง เมื่อสักครู่ไม่ทันพบเห็นองค์ชายจึงกระทำการหยาบคายไป เชิญองค์ชายเสด็จเข้าค่ายก่อนเถิดพะย่ะค่ะ” หลังจากถูกเซียวอวี๋ด่าทอไป ความเย่อหยิ่งของชายหนุ่มก็ถูกลดทอนลง กระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมรับฐานะจักรพรรดิของโถวปาหง เพียงยอมรับเขาเป็นองค์ชาย

โถวปาหงรู้สึกพูดไม่ออก เดิมทีเขามาที่นี่เพื่อที่จะขอความช่วยเหลือ และพยายามจะเป็นฝ่ายที่ปฏิบัติกับอีกฝ่ายด้วยดี ตอนนี้ชายหนุ่มผู้เย่อหยิ่งยังต้องลดทอนความโอหังลง เหล่าทหารที่อยู่โดยรอบก็มองมาที่เขาด้วยแววตาเคารพเทิดทูน เขาคิดไม่ถึงจริงๆว่าเรื่องราวที่วุ่นวายในตอนแรกจะดำเนินมาถึงจุดนี้ได้

“เซียวอวี๋ผู้นี้ ข้าช่างด้อยกว่าเขามากจริงๆ” โถวปาหงทอดถอนใจ

 

 

 


ตอนที่ 544

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


กระทั่งอ้าวปาเอง ขณะมองเซียวอวี๋ก็ยังทอดถอนใจ พรสวรรค์ของเซียวอวี๋ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถลอกเลียนได้จริงๆ มันเป็นความสามารถเฉพาะตัว สามารถปั่นหัวอีกฝ่ายทั้งยังพลิกสถานการณ์ให้มาเข้าทางเขาได้อย่างง่ายดาย

การตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาก็คือการตกลงร่วมเป็นพันธมิตรกับเซียวอวี๋

โถวปาหงเดินเข้าค่ายทหารขณะที่เซียวอวี๋เดินตามอยู่ทางด้านหลัง เหล่าทหารที่ประจำค่ายต่างมองมายังกลุ่มของพวกเขาด้วยความเทิดทูน ทหารม้าที่เคยมาล้อมพวกเขาเองก็ติดตามอยู่ทางด้านหลังอย่างเงียบขรึม คล้ายกับคอยทำหน้าที่อารักขากลุ่มของโถวปาหง

สิ่งที่เซียวอวี๋ได้กล่าวไปนั้นทำให้พวกเขาคิดได้และเลือกที่จะเชื่อมั่นในองค์จักรพรรดิ จักรพรรดิที่คอยต่อสู้ในแนวหน้าเพื่อปวงประชาเช่นนี้หาได้ง่ายนักหรือ?

ไม่ว่าผู้อื่นจะยอมรับเขาเป็นจักรพรรดิหรือไม่ แต่เพียงข้อที่ต่อสู้เพื่อประชาชนแล้ว เหล่าทหารม้าก็ยอมรับนับถือจนหมดหัวใจ

ระหว่างทาง เซียวอวี๋กวาดสำรวจดูภายในค่ายและต้องรู้สึกตกตะลึง ทั้งการจัดวางกระโจม การแบ่งสรรพื้นที่ การจัดวางกำลังล้วนแต่เป็นระบบระเบียบ ไพร่พลมีขวัญกำลังใจเต็มเปี่ยม พวกม้าพาหนะก็สมบูรณืพร้อมออกศึก กองทัพนี้คู่ควรแล้วที่ได้ชื่อว่าเป็นทัพอันดับหนึ่งของจักรวรรดิเมฆา

ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดภายใต้การนำของแม่ทัพใหญ่โถวปาหู่ถึงมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วแดนดิน

ดูเหมือนว่าเซียวอวี๋จะประเมินทหารม้าสองนายที่หน้าค่ายนั้นเกินไปหน่อย และยิ่งโดยเฉพาะกับม้าพาหนะสองตัวนั้น

อาชาอัสนีสองตัวนั้นไม่ธรรมดาเลย มันเทียบได้กับม้าจากระบบเสียด้วยซ้ำ ม้าของระบบทรงพลังมาก พวกมันสามารถเร็วได้เหมือนเบนท์ลีย์ กระโดดได้เหมือนกับรถออฟโร้ด

เซียวอวี๋หวนนึกถึงรถฮัมวี่ในชีวิตก่อน ไม่คิดเลยว่าจะพบม้าที่มีความสามารถถึงขนาดนี้ได้ที่นี่ จะเป็นอย่างไรหากถูกพุ่งชนด้วยรถฮัมวี่? แรงกระแทกที่ได้คงรุนแรงน่าดู

เซียวอวี๋เกิดความสนใจในม้าพวกนี้เข้าแล้ว หากว่าเขาสามารถครอบครองกองทัพเช่นนี้ได้ เขาก็จะมีอำนาจมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม หันกลับมาดูทางโถวปาหงแล้ว กองทัพที่เขาครอบครองกลับเป็นเพียงทัพม้าธรรมดาทั่วไป จากข้อนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าม้าพันธุ์เหล่านี้หาได้ยากเพียงใด

เซียวอวี๋กวาดสายตามองดูกระโจมก่อนจะประมาณกำลังทหารในใจ จำนวนของกองทัพที่อยู่ที่นี่มีอยู่ราวสองหมื่นคน จำนวนเท่านี้ไม่นักว่ามากเท่าใด

อย่างไรก็ดี หากเป็นทัพม้าชั้นเลิศแล้ว จำนวนสองหมื่นก็เรียกได้ว่ามีอำนาจเหนือทุ่งกว้างแล้ว

เซียวอวี๋ลองเทียบทัพม้าอัสนีพวกนี้กับกองทัพอัศวินของเขาก่อนจะพบว่าทัพม้าทัพนี้ดูเหมือนจะเหนือกว่ากองทัพอัศวินจากระบบของเขาอยู่ขั้นหนึ่ง

ข้อได้เปรียบเพียงหนึ่งเดียวของทัพม้าอัศวินของเขาก็คือ คนและม้าล้วนหลอมรวมเป็นหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์ ทัพม้าทัพอื่นๆย่อมไม่สามารถมีเปรียบในข้อนี้

หากเทียบระหว่างทัพม้าทั้งสองนี้ในจำนวนหนึ่งพันนายเท่ากัน ทั้งสองฝ่ายคงต้องสูญเสียอย่างหนัก

แม้แต่เขาเองก็ยังบอกไม่ได้ว่ากองทัพไหนจะกำชัยในที่สุด

จากจุดนี้ก็สามารถบ่งบอกได้อีกข้อว่าทัพม้าอัศวินก็ธรรมดาเช่นกัน ฉินเช่อสามารถบัญชาการทัพอัศวินหนึ่งพันนายนั้น เมื่อผสมรวมเข้ากับทัพหมาป่าและทัพอื่นอีกบางส่วน ฉินเช่อย่อมสามารถท่องไปได้ทั่วทั้งทุ่งกว้างแห่งนี้

แต่หากว่าฉินเช่อได้รับทัพม้าจำนวนสองหมื่นนี้ไปอีก ฉินเช่อย่อมกวาดพิชิตจักรวรรดิแห่งนี้ได้เลย

กองทัพม้านั้นทรงพลังเกินไป ไม่แปลกที่ว่าเมื่อไรได้ยินขื่อของทัพพยัคฆ์ ชาวเมฆาทั้งหมดจึงรู้สึกให้ความเคารพ และไม่แปลกที่โถวปาหงเมื่อได้ยินว่าอ๋องหู่เดินทางมาพบ เขาถึงมีทีท่าประหลาดใจเช่นนั้น

ด้วยกองทัพเช่นนี้ พวกเขาสามารถเข้าจัดการกับพวกเซิกได้โดยตรง

ติดก็แต่เพียงไม่ทราบว่าอ๋องหู่นั้นเป็นบุคคลเช่นไร ครัง้นี้ใช่มีแผนการอยู่เบื้องหลังหรือไม่? ดูจากท่าทีของโถวปาเฟิงแล้ว เซียวอวี๋ก็ไม่พบเห็นข้อพิรุธอะไร เพียงแต่พวกเขาดูเหมือนจะยังไม่ได้ยอมรับโถวปาหงในฐานะจักรพรรดิ

ในเรื่องนี้ เซียวอวี๋สามารถเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน เขาจะต้องพิชิตใจอ๋องชราผู้นี้

ไม่กี่อึดใจ พวกเขาก็หน้ากระโจมบัญชาการขนาดใหญ่ กระโจมหลังนี้สูงถึงสิบเมตรและกว้างกว่าร้อยเมตร ดูโอ่อ่าภูมิฐานอย่างยิ่ง ภาพบนกระโจมแสดงสัตว์ร้ายต่างๆที่ดูราวกับมีชีวิต

เซียวอวี๋หรี่ตามองกระโจมหลังใหญ่นี้ก่อนจะลอบผงกศีรษะ การตั้งกระโจมเช่นนี้ขึ้นสามารถแสดงบารมีออกผู้สูงศักดิ์ออกมาได้ดีจริงๆ

ที่เบื้องหน้าของกระโจม ทหารชั้นยอดหลายสิบนายยืนยามอยู่สองฟากข้าง ท่าทีเคร่งขรึมจริงจัง แต่ละคนล้วนมีฝีมืออยู่ขั้นที่ห้า

‘มารดามันเถอะ เอานักรบขั้นที่ห้ามายืนเฝ้ายามให้แบบนี้มันช่างรู้สึกดีมากจริงๆ’

เซียวอวี๋มองดูฉากที่เบื้องหน้าก่อนจะกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “ให้พวกเราเดินผ่านทหารเหล่านี้เข้าไปหรือ? ลูกไม้เล็กน้อยเหล่านี้ เมื่อนำมาใช้ต่อหน้าจักรพรรดิ พวกเจ้าก็ยังคิดจะใช้ออกอีกหรือ?”

ได้ยินวาจาของเซียวอวี๋ โถวปาเฟิงก็รุ้สึกอับอายเล็กน้อย อันที่จริง องค์รักษ์เหล่านี้เป็นองคืรักษ์ประจำตัววังอ๋อง เรียกว่าองค์รักษ์พยัคฆ์ พวกเขามักต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่อยู่ข้างกายอ๋องหู่

ที่นำพวกเขาออกมาแสดงในวันนี้ อันที่จริงเพียงเพื่อลอบสร้างแรงกดดันให้กับโถวปาหง ทว่าเมื่อถูกเซียวอวี๋กล่าวถากถาง โถวปาเฟิงก็ทราบแล้วว่าลูกไม้เช่นนี้ไม่ได้ผล

 

 

 


ตอนที่ 545

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


เมื่อได้สติ โถวปาเฟิงก็รีบอธิบาย “คนพวกนี้เป็นองค์รักษ์ประจำตัวของบิดาข้า ไม่ว่าอยู่ที่ใด พวกเขาล้วนติดตามอยู่ข้างกายไม่ห่าง”

เซียวอวี๋แค่นเสียง “เจ้าเคยเห็นทัพหมาป่าของจักรพรรดิหรือไม่?”

“ทัพหมาป่า?” เมื่อได้ยินคำกล่าวของเซียวอวี๋ โถวปาเฟิงก็ประหลาดใจ อันที่จริงตัวเขาเคยได้ยินเรื่องนี้มาเล็กน้อย แต่ไม่แน่ใจนัก

หมาป่าเป็นสัตว์สัญลักษณ์ที่ชาวเมฆาบูชา ว่ากันว่าเมื่อนานมาแล้ว ข้างกายของจักรพรรดิเมฆาสมัยก่อนมักมีกองทัพหมาป่าด้วยเสมอ

ดังนั้น แม้ทัพพยัคฆ์จะแข็งแกร่ง แต่พวกเขาก็เป็นเพียงนักรบชั้นสูงทั่วไป หากแต่ทัพหมาป่านั้นเป็นดั่งสัญลักษณ์แสดงถึงบารมีของจักรพรรดิ

แม้พวกองค์รักษ์ที่ยืนเรียงแถวอยู่เบื้องหน้าจะดูน่ายำเกรง แต่หากไปอยู่เบื้องหน้าทัพมหาป่าก็ไม่นับเป็นอย่างไรแล้ว

“เจ้าสามารถเห็นพวกเขาได้หากไปที่แนวหน้า พวกเขาย่อมแตกต่างจากพวกที่ดีแค่อวดเบ่งอยู่ที่นี่” พร้อมกับวาจาที่เฉือดเฉือน เซียวอวี๋กวาดมองพวกองค์รักษ์ด้วยสายตาเย็นเยียบ

เมื่อเซียวอวี๋กล่าวจบ สายตาของพวกองค์รักษ์ก็แข็งกร้าวขึ้นมาทันที วาจาของเซียวอวี๋กระตุ้นโทสะขององค์รักษ์ทั้งหมด หากไม่ใช่ว่ามีกฏระเบียบเข้มงวดแล้วล่ะก็ พวกเขาคงกรูกันเข้าไปฟันเซียวอวี๋แล้ว

“ผู้ใดว่าองค์รักษ์พยัคฆ์ของข้าเป็นสวะ?” ในเวลานั้นเอง เสียงทุ้มต่ำก็ดังมาจากในกระโจม แม้จะฟังดูเรียบๆทว่าดุจดังฟ้าร้อง เซียวอวี๋รู้สึกราวกับอากาศเบื้องหน้าสั่นสะเทือน

‘บัดซบ ในที่สุดก็ออกมาแล้ว’ เซียวอวี๋รู้สึกอึดอัด ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้อย่างน้อยก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอ้าวปาที่อยู่ข้างๆเลย

เป็นนักรบขั้นที่หกระดับสุดยอด

คนผู้นี้ย่อมต้องเป็นอ๋องหู่แล้ว ถึงกับมีพลังเช่นนี้ได้ ไม่แปลกใจว่าทำไมบริวารของเขาถึงวางท่าใหญ่โต กระทั่งทำให้โถวปาหงต้องมาพบด้วยตนเอง และดูเหมือนว่าจะขัดแย้งกับอ้าวปาเสียด้วย

หากว่าเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นอ๋องหู่ผู้นี้ก็น่ากลัวแล้ว

‘มารดามันเถอะ ดีที่ผู้อาวุโสทั้งสามก็มาด้วย มิเช่นนั้นคงยากรับมือแล้ว ทำไมอาณาจักรพยัคฆ์เมฆาจึงไม่มีแม่ทัพแบบนี้บ้าง ทำไมพวกนักรบระดับสูงจึงมีแต่ในจักรวรรดิเมฆานี้ เฮ้อ ตามคำบอกของนิโคลัส มีนั้นมีอยู่ แต่ว่าพวกเขายากจะขยับตัว ชาวเมฆาสะกดบุ๋นเทิดทูนบู๊ ทัพพยัคฆ์นี้เทียบกับตระกูลของนิดคลัสก็ยังถือว่าอยู่ในระดับสูงอยู่ดี หากว่าผู้อาวุโสทั้งสามไม่มีฐานะสามจ้าวมนตรา เรื่องนี้คงยากจะเป็นฝ่ายมีเปรียบได้’

เซียวอวี๋ครุ่นคิด แต่อันที่จริงแล้ว เขากำลังคิดว่าเหล่าฮีโร่ของเขาจะแข็งแกร่งถึงขั้นใดเมื่อไปถึงขั้นที่หกระดับสุดยอด

“ไม่ใช่สวะงั้นหรือ? อย่างนั้นเป็นอะไร? เป็นทหาร? หากว่าเป็นทหารจริง พวกเขาทำหน้าที่เพียงยืนเฉยอยู่ที่นี่? นักรบที่ไม่ออกรบ ไม่เรียกสวะแล้วจะเรียกว่าอะไร?” เซียวอวี๋ทราบว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่ง แต่เขาก็ไม่อาจแสดงท่าทีอ่อนแอ ดังนั้นจึงปั้นหน้ากล่าวเสียงเย็น

“เจ้าเป็นใคร? กลับกล้ามาต่อว่าคนของข้าต่อหน้า” สิ้นคำก็มีเงาร่างพุ่งออกมาจากกระโจม เงาร่างนั้นพุ่งตรงเข้าหาเซียวอวี๋ทันที

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นวิธีโจมตีของอ๋องหู่ การโจมตีนี้ไม่อาจประมาทได้ แม้ว่าเซียวอวี๋จะอยู่ในขั้นที่ห้าแล้ว แต่หากโดนท่านี้เข้าไป ต่อให้ไม่ตายก็ต้องเจ็บหนัก

ชัดเจนว่าอ๋องหู่โกรธแล้ว บารมีอันเกรียงไกรของเขากลับถูกดูหมิ่นโดยชนไร้นามเช่นเซียวอวี๋ นี่จะให้เขาทนได้อย่างไร?

ตู้ม!

ฝุ่นผงปลิวคละคลุ้งที่เบื้องหน้าเซียวอวี๋ ก่อนจะทันได้ฟาดเซียวอวี๋ อ๋องหู่ก็ถูกหยุดไว้ก่อน

ไม่ใช่ใครอื่น ผู้ที่หยุดไว้ก็คือ อ้าวปา

อันที่จริง แม้ว่าอ้าวปาจะออกหน้ารับมือ เซียวอวี๋ก็ยังมีวิธีหลบหลีกท่านี้ แต่เขารู้ว่าอ้าวปาอยู่ไม่ห่างนัก ดังนั้นเขาจึงยืนนิ่งลงเดิมพัน และเขาก็ชนะ

“ฮึ่ม ท่านอ๋องช่างลงมือหนักจริงๆ” อ้าวปาแค่นเสียง ก่อนจะสะบัดมือ พวกองค์รักษ์พยัคฆ์ที่อยู่ด้านหน้าพลันลอยกระเด็นออกไปทันที

‘มารดามัน โครตแกร่ง!’ เซียวอวี๋จ้องมองไปที่มือของอ้าวปาอย่างตกตะลึง แม้เขาจะรู้ว่าอ้าวปาแข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่คิดว่าจะทรงพลังถึงขั้นนี้ นั่นมันกลุ่มนักรบขั้นที่ห้าเชียวนะ พวกนั้นรับมือไม่ได้แม้แต่ท่าเดียว การลงมือนี้คล้ายเพียงปัดกวาดใบไม้ข้างทางเท่านั้น

“เหอะ เจ้าก็มาด้วย” อ๋องหู่พึมพำ

โถวปาเฟิงจ้องมองฉากเบื้องหน้า หากแต่มุมปากของเขาปรากฏรอยยิ้มขึ้นแล้ว

เซียวอวี๋รีบส่งสายตาให้โถวปาหง โถวปาหงพลันเข้าใจ เขาจัดเสื้อคลุมของเขาและยืดอกขึ้นก่อนจะเดินไปทางกระโจมใหญ่

ภายใต้สภาวะที่เซียวอวี๋และอ้าวปาสร้างไว้ให้ โถวปาหงก็มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม….

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม