World of Warcraft ราชันต่างภพ 532-538
ตอนที่ 532
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง เฟอร์กูสันและชัคหลุนที่หน้าบึ้งตึงกับเซียวอวี๋ก็ทำข้อตกลงกัน ขณะที่ธีโอดอร์ที่นั่งดูอยู่ด้านข้างหัวเราะเสียงดัง นั่นทำให้ชายชราทั้งสองแทบจะลุกขึ้นมาลงไม้ลงมือกับธีโอดอร์
อย่างไรก็ตาม ธีโอดอร์เพิ่งหัวเราะได้ไม่ทันไร เซียวอวี๋ก็พลันเบนเป้ามาที่เขาต่อ ธีโอดอร์โมโหจนควันออกหู ขณะที่ชายชราทั้งสองหัวเราะเยาะอยู่ด้านข้าง
หลังจากบีบให้ชายชราทั้งสามทำข้อตกลงได้สำเร็จแล้ว เซียวอวี๋ก็ยิ้มก่อนจะกล่าวว่า “หากในอนาคตมีผู้ที่สนใจอีก พวกท่านก็อย่าลืมแนะนำให้กับข้าล่ะ ข้าจะปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันที่สุด ข้าจะทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่อาจหมกเม็ดและจ่ายน้อยไปกว่าพวกท่านแม้แต่เสี้ยว”
ชายชราทั้งสามจ้องมองเซียวอวี๋พลางกัดฟันแน่น หากว่าที่นี่ไม่ใช่ดินแดนไลอ้อน หากไม่ใช่เพราะเซียวอวี๋เป็นคู่หมั้นของหลินมู่เสวี่ยล่ะก็ ป่านนี้เซียวอวี๋คงถูกพวกเขาเชือดทิ้งไปแล้ว
ด้วยชื่อเสียงและบารมีของพวกเขา ยังจะมีผู้ใดกล้าปฏิบัติต่อพวกเขาเช่นนี้อีก?
เซียวอวี๋นับเป็นคนแรกที่กล้า!
หลังจากปล้นทรัพย์ชายชราทั้งสาม เซียวอวี๋ก็รีบเผ่นแน่บอย่างรวดเร็ว เขาเกรงว่ายิ่งชายชราเห็นหน้าของเขาก็จะยิ่งโกรธจนหมดความอดทน
หากทั้งสามโกรธขึ้นมาจริงๆ มีหรือที่เขาจะรองรับไหว?
เซียวอวี๋อารมณ์ดียิ่ง เขาเดินฮัมเพลงพลางทอดมองเมืองไลอ้อน หลังผ่านการตบทรัพย์เมื่อครู่ ความโศกเศร้ากับการจากไปของเอกวินน์ก็เบาบาง เขาจึงเดินเตร็ดเตร่พลางหาเรื่องสนุกทำ
ด้วยเหตุนั้น เซียวอวี๋จึงมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่จัดสร้างขึ้นเป็นพิเศษเพื่อคนพิเศษ
ในห้องมีผู้คนอยู่สองคนถูกคุมตัวอยู่ หนึ่งคือนางโจรเคราแดงหยินเค่อ ขณะที่อีกหนึ่งคือซัคคิวบัสที่จับตัวมาจากวิหารดำ
หลังจากจับซัคคิวบัสมา เขาก็คุมตัวนางไว้ในรถม้าคันหนึ่ง เมืองมาถึงเมืองไลอ้อน เขาก็พบว่าซัคคิวบัสนางนี้ยังไม่ตาย ดังนั้นเขาจึงจับนางมาไว้กับหยินเค่อ
เสน่ห์ของซัคคิวบัสนั้นสุดที่มนุษย์คนใดจะต้านทานไหว ดังนั้นเซียวอวี๋จึงไม่กล้าให้ผู้คนพบเห็นนาง ด้วยเหตุนั้นจึงมีคนเพียงไม่กี่คนที่ทราบว่าเซียวอวี๋นั้นจับซัคคิวบัสขังเอาไว้ที่นี่
ครั้งนี้ เซียวอวี๋ได้รับสิ่งของมามากมายจากการรีดไถเฟอร์กูสัน และเขาก็เตรียมจะใช้ของเหล่านั้นต่อซัคคิวบัส หนึ่งในนั้นเป็นไอเท็มที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับปอกคอทาสของลีอาที่สามารถทำให้ผู้สวมใส่เชื่อฟังคำสั่งของเจ้านาย
ตอนที่ได้รับของสิ่งนี้มา เซียวอวี๋ก็นึกถึงซัคคิวบัสทันที หากว่าเขาสามารถทำให้ซัคคิวบัสเชื่อฟังเขาได้ มันก็คงจะยอดเยี่ยมอย่างที่สุด
ห้องขังนี้ถูกจัดสร้างขึ้นเป็นพิเศษโดยเซียวอวี๋เพื่อคุมขังผู้แข็งแกร่งสำหรับการทดลองของฮิกกิ้น
เซียวอวี๋นำสิ่งของชั้นยอดกลับมาด้วยจำนวนนับไม่ถ้วน ดังนั้นฮิกกิ้นจึงไม่อาจบ่นกับเรื่องแบบนี้ และจำต้องย้ายไปใช้สถานที่อื่นก่อนเป็นการชั่วคราว
สำหรับการรับผู้ใช้มนตรามาเป็นลูกมือให้ฮิกกิ้นนั้น เซียวอวี่ได้ติดสัญญลักษณ์ของธีโอดอร์ไปทั่วทุกที่ ดังนั้นการรับสมัครจึงเป็นไปอย่างราบรื่น ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ฮิกกิ้นก็ได้ผู้ใช้มนตราที่ผ่านคุณสมบัตินับร้อยคนมาเป็นลูกมือ
ในตอนแรกเมื่อพวกเขาไม่ได้พบกับธีดอดอร์ พวกเขาก็เริ่มไม่มั่นใจ แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่าเซียวอวี๋นัน้มีวัตถุดิบชั้นดีมากมายสำหรับการทดลองที่สามารถทำให้พวกเขายกระดับฝีมือขึ้นได้พวกเขาก็ลังเลที่จะถอนตัว
และหลังเกิดเรื่องของเอกวินน์ขึ้น จ้าวมนตราทั้งสามมารวมตัวกัน เมืองไลอ้อนก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นกว่าเดิม มีผู้คนมากมายที่เดินทางเข้ามายังเมืองแห่งนี้
เซียวอวี๋ได้ใช้โอกาสนี้ออกไปรับสมัครผู้ใช้มนตราและจัดตั้งโรงเรียนเวทมนตร์ขึ้น
อย่างไรเสีย โลกใบนี้ก็ยังเป็นโลกแห่งเวทมนตร์ ด้วยจำนวนผู้ใช้มนตราที่มากขึ้น มันก็ยิ่งเสริมความแข็งแกร่งของดินแดนให้มากขึ้นด้วย
ยิ่งตอนนี้หลินมู่เสวี่ยได้กลายมาเป็นผู้สืบทอดของเอกวินน์ด้วยแล้ว นั่นก็ยิ่งเป็นโอกาสทองที่จะใช้ประชาสัมพันธ์และรับสมัครคน
ต้องทราบว่า เพื่อเป็นการไว้อาลัยแก่เอกวินน์นั้น จ้าวมนตราทั้งสามได้ร่วมกันใช้เวทสร้างภาพของเอกวินน์ขึ้นให้ได้เห็นโดยทั่วกัน การจัดสร้างโรงเรียนเวทมนตร์ในเวลานี้จึงนับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด
ขณะที่เซียวอวี๋คิดถึงเรื่องเหล่านี้ เขาก็มาถึงห้องขัง เซียวอวี๋นำกุญแจห้องขังออกมาก่อนจะเปิดประตูและเดินเข้าไป
เซียวอวี๋ไม่ได้กังวลว่าทั้งสองจะทำร้ายเขา นั่นก็เพราะความแข้งแกร่งของเขาในตอนนี้นับว่าสูงอย่างมาก อีกทั้งเขายังมีไอเท็มเวทมนตร์มากมายอยู่กับตัว ด้วยสิ่งของที่ได้รับมาจากจ้าวมนตราทั้งสามแล้ว การค้าครั้งนี้นับว่าสร้างกำไรให้เขาอย่างงาม…..
ตอนที่ 533
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา สตรีทั้งสองที่อยู่ด้านในก็มองมายังต้นเสียง เมื่อได้เห็นว่าผู้มาเยือนเป็นใคร ทั้งสองก็มีสีหน้าแตกต่างกัน
ซัคคิวบัสนั้นมองมาด้วยความสนใจใคร่รู้ในตัวเซียวอวี๋ ขณะที่หยินเค่อมองเซียวอวี๋อย่างเคียดแค้น
“เหอเหอ ใยจึงมองข้าเช่นนั้น? ตอนที่เจ้าพรากความบริสุทธิ์ของข้าไป ข้าไม่เคยบ่นแม้แต่คำเดียว เจ้ายังไม่พอใจอีกหรือ?” เซียวอวี๋มองหยินเค่อพลางกล่าวหยอกล้อ
“ฮึ่ม ไม่ช้าก็เร็ว เจ้าจะต้องเสียใจ” หยินเค่อถลึงตามอง
“อืม ดูเหมือนจะต้องใช้ปลอกคอฝึกสัตว์กับเจ้าแล้ว ไม่อย่างนั้นเจ้าคงไม่ยอมทำตัวดีๆ” เซียวอวี๋ได้รับปลอกคอฝึกสัตว์จากเฟอร์กูสันมาหลายวง และเฟอร์กูสันคงคาดไม่ถึงว่า ไอเท็มที่สามารถใช้ฝึกสัตว์อสุรที่ทรงพลังจะถูกนำมาใช้เพื่อฝึกสาวงามสองคน
“เจ้ากล้า?” หยินเค่อเดือดดาลขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน นางทราบว่าเมื่อปลอกคอฝึกสัตว์ถูกสวมแล้วล่ะก็ มันจะกลายเป็นฝันร้ายของนาง
นางไม่คิดเลยว่าเซียวอวี๋จะมีไอเท็มเช่นนี้อยู่ด้วย
“เหอ กลัวแล้วล่ะสิ? ผู้ใดใช้ให้เจ้าไม่เลือกดื่มสุราคารวะ แต่ดื่มสุราจับกรอกกันเล่า เดิมที ข้าเป็นคนใจดีอย่างยิ่ง ข้าจึงไม่ต้องการทำให้เจ้าเจ็บตัว ต้องการให้เจ้ามาอยู่ในเมืองไลอ้อน แต่ในเมื่อเจ้าไม่สนใจ เช่นนั้นก็อย่าได้มาโทษว่าข้า” เซียวอวี๋ฉีกยิ้มพลางเดินเข้าใกล้หยินเค่อ
หยินเค่อคำรามก่อนลุกขึ้นโถมเข้าหาเซียวอวี๋ แต่เซียวอวี๋เพียงยกยิ้มอย่างไม่อินังขังขอบก่อนจะโยนม้วนคัมภีร์เวทมนตร์ออกไปและเกิดเป็นเชือกเพลิงสายหนึ่งพุ่งเข้ารัดหยินเค่อเอาไว้
หยินเค่อกรีดร้องและพยายามจะสะบัดหลุด หากแต่ก็ล้มเหลว
“อืม เสียของจริงๆ แต่ไม่นานมานี้ข้าเพิ่งได้รับทรัพย์ก้อนโต เช่นนั้นสิ้นเปลืองก็สิ้นเปลืองเถอะ” เซียวอวี๋ยิ้มก่อนจะนำปลอกคอหนังวงหนึ่งออกมาและใส่ลงบนคอของหยินเค่อ
หยินเค่อพยายามดิ้นอย่างสุดกำลัง แต่เชือกที่รัดร่างของนานอยู่ทำให้นางหมดหนทางต่อต้านโดยสิ้นเชิง เซียวอวี๋จึงสามารถสวมใส่ปลอกคอให้นางได้โดยง่าย
“ฮ่าฮ่า นับแต่นี้เจ้าก็กลายเป็นสัตว์เลี้ยงของข้าแล้ว หากว่าเจ้ากล้าต่อต้าน ปลอกคอนี้ก็จะปล่อยสายฟ้าไปช็อตเจ้า ให้เจ้าได้ลิ้มรสความเจ็บปวด ฮ่าฮ่าฮ่า….”
เซียวอวี๋หัวเราะอย่างภูมิใจ แม้ว่าปลอกคอฝึกสัตว์วงนี้จะไม่ดีเท่าปลอกคอทาส แต่มันก็เพียงพอทำให้หยินเค่อเชื่อฟังเขาแล้ว
กลไกของปลอกคอฝึกสัตว์นั้นมีอยู่ในปลอกคอทาส เซียวอวี๋สามารถควบคุมและออกคำสั่งได้โดยสมบูรณ์อย่างที่ลีอาเคยถูกควบคุม
“เจ้า….เจ้าสารเลว” หยินเค่อที่เป็นอิสระหลังจากเซียวอวี๋สั่งปล่อยเชือกเพลิงพลันพุ่งเข้าหาเซียวอวี๋อีกครั้ง แต่เพียงแค่นางเพิ่งขยับร่างกายได้เล็กน้อย ร่างกายของนางก็กระตุกจากการที่กระแสไฟแล่นผ่านไปทั่วร่าง นางพลันทรุดลงกับพื้นและไม่อาจลุกขึ้นได้อีก
“เจ้าสิ่งนี้สามารถใช้ฝึกสัตว์อสูรขั้นที่หกได้ เจ้าอย่าต่อต้านและเชื่อฟังคำสั่งข้าแต่โดยดีเถอะ ภรรยาที่น่ารัก….” เซียวอวี๋หัวเราะอย่างร่าเริง
บางครั้ง การเป็นคนชั่วร้ายบ้างก็ให้ความรู้สึกไม่เลวเลยจริงๆ
มองดูหยินเค่อที่หมดสภาพเพราะถูกไฟช็อตแล้ว เซียวอวี๋ก็ปล่อยนางไว้และหันไปมองซัคคิวบัสที่อยู่อีกด้าน สิ่งที่ทำให้เซียวอวี๋ประหลาดใจก็คือ ซัคคิวบัสนางนี้ไม่มีท่าทีต่อต้านแต่อย่างใด กลับกัน นางเพียงยืนนิ่งอย่างเชื่อฟัง
เซียวอวี๋คิดว่าซัคคิวบัสนั้นมีแผนการอยู่ในใจ ดังนั้นเขาจึงระวังตัวขึ้นมา แต่หลังจากเขานำหลอกคอฝึกสัตว์ออกมาและสวมใส่ให้กับนางแล้ว ซัคคิวบัสก็ไม่ขัดขืน
นี่ยิ่งทำให้เซียวอวี๋ประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม
“นายท่าน นับแต่นี้ไมเออร์คือข้ารับใช้ของท่าน สิ่งที่ท่านปรารถนา ขอเพียงสั่งการมา ไมเออร์จะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อทำให้นายท่านพึงพอใจ” ซัคคิวบัสกล่าวอย่างยั่วยวน แววตาที่ดูมีเสน่ห์ของนางยิ่งเต็มไปด้วยการยั่วเย้า และนั่นทำให้ร่างกายท่อนล่างของเซียวอวี๋พลันมีปฎิกิริยาขึ้นมา
“มารดามันเถอะ สมกับเป็นซัคคิวบัสจริงๆ” เซียวอวี๋สูดหายใจเข้าลึก เขารู้สึกตกตะลึงกับความเย้ายวนของซัคคิวบัส
“นายท่าน ท่านต้องการให้ไมเออร์รับใช้ท่านตอนนี้เลยหรือไม่?” ซัคคิวบัสลดสายตาลงมองส่วนที่นูนเด่นขึ้นมาของเซียวอวี๋ก่อนจะถามเสียงหวาน
เซียวอวี๋ที่ถูกซัคคิวบัสยั่วยวนก็แทบจะพังทลายลง ยิ่งได้มองก็ยิ่งรู้สึกยากจะต้านทาน เขากลืนน้ำลายพลางเลียริมฝีปากที่แห้งผาก
ซัคคิวบัสย่อตัวลงอย่างนุ่มนวลก่อนจะคลานเข้าหาเซียวอวี๋ จากนั้นนางจึงยื่นมือออกไปช่วยเซียวอวี๋แก้สายรัดกางเกงและยื่นหน้าออกไป
อาาา
เซียวอวี๋อุทานก่อนจะสัมผัสถึงความสุขอันไม่สิ้นสุดที่ระเบิดออกมาทั่วร่าง ความรู้สึกที่ได้รับนี้แทบจะทำให้เขาล่องลอยขึ้นฟ้า……
ตอนที่ 534
ด้วยความสุขที่บังเกิด เซียวอวี๋รู้สึกราวกับตัวเองกำลังล่องลอยอยู่ในความฝัน เขาไม่แปลกใจแล้วว่าเหตุใดมนุษย์จึงชื่นชอบเผ่าพันธุ์ซัคคิวบัสกันนัก ซัคคิวบัสนั้นสุดยอดจริงๆ
“นายท่านพอใจหรือไม่?” ซัคคิวบัสเม้มปากเบาๆพลางเงยหน้ามองเซียวอวี๋ด้วยใบหน้าเหนียมอาย
“ฮ่าฮ่า ไมเออร์ อืม เจ้าจะเป็นสัตว์เลี้ยงของข้า ตราบที่เจ้าทำตัวดี ข้าย่อมไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างเลวร้าย” เซียวอวี๋ยิ้มขณะที่ในใจมีความสุขอย่างมาก
“ขอบคุณนายท่าน” ดวงตาของไมเออร์ฉายแววยินดี ขณะที่เซียวอวี๋รู้สึกว่าร่างกายท่อนล่างกำลังผงาดขึ้นมาอีกครั้ง เขาจึงรีบสงบใจลง
เขาควรควบคุมอารมณ์ไว้ให้ได้!
“ในอนาคตพวกเจ้าสองคนจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่จะติดตามข้า” เซียวอวี๋ลูบหัวไมเออร์ก่อนจะเบนสายตาไปยังหยินเค่อที่ด้านข้าง
หยินเค่อหน้าแดงก่อนจะกัดฟันกล่าว “ไร้ยางอาย”
“ฮึ่ม ไร้ยางอายอะไรกัน? หากว่านี่เรียกว่าไร้ยางอาย เช่นนั้นเจ้าก็จะไร้ยางอายทุกวัน เหอเหอ….” เซียวอวี๋กล่าวหยอกหยินเค่อ
นอกจากปลอกคอฝึกสัตว์แล้วยังมีเชือกเวทมนตร์ที่พันธนาการอยู่ เซียวอวี๋เพียงกระตุกมือเบาๆ ร่างของหยินเค่อก็ถูกดึงเข้ามาอย่างไม่อาจขัดขืน
เซียวอวี๋ส่งไมเออร์และหยินเค่อให้พ่อบ้านหงจัดการดูแล พวกนางที่สวมใส่ปลอกคอฝึกสัตว์อยู่ย่อมไม่อาจก่อความวุ่นวายใด
พี่สะใภ้คนโตฉีอิ่นถลึงตามองเซียวอวี๋ทีหนึ่งก่อนจะพาตัวไมเออร์และหยินเค่อไป
หากเป็นเมื่อก่อน ฉีอิ่นคงตบหน้าเซียวอวี๋ไปแล้ว ทว่าตอนนี้เซียวอวี๋เติบโตขึ้นและสามารถทำหน้าที่เสาหลักของตระกูลได้อย่างมั่นคง เรื่องราวต่างๆล้วนถูกจัดการโดยเซียวอวี๋เพียงคนเดียว ดังนั้นนางจึงไม่ควบคุมเซียวอวี๋ในเรื่องนี้
ในฐานะสตรีที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้ว ฉีอิ่นย่อมเข้าใจธรรมชาติของบุรุษ สิ่งที่นางต้องทำคือช่วยเซียวอวี๋ดูแลจัดการบรรดาสตรีของเขาเพื่อไม่ให้เซียวอวี๋ต้องพะวง
เซียวอวี๋รู้สึกคันยิบที่หัวใจ เขาไม่คิดว่าซัคคิวบัสจะร้ายกาจจนเขาแทบไม่อาจควบคุมตัวเองได้เช่นนี้ หากแต่เขาก็เตือนสติตัวเองอยู่ในใจไม่ให้หมกมุ่นเกินไป มิเช่นนั้นึงเกิดปัญหาตามมา
เซียวอวี๋เดินทอดน่องไปในเมือง แต่หลังจากเดินไปได้พักหนึ่ง เขาก็เห็นลีอากำลังวิ่งมาทางเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดราวกับมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น ไฉนดูเคร่งเครียดนัก?” เซียวอวี๋ถามลีอาอย่างประหลาดใจ ในเวลาเช่นนี้จะมีเรื่องใดที่ทำให้นางดูเคร่งเครียดได้กัน? หรือว่าแน็กแรมเปิดแล้ว?
หรือว่าตาเฒ่าสามคนนั้นโดนเซียวอวี๋ต้มตุ๋นจนอับอายกลายเป็นโทสะแล้วอยากจะใช้เวทมนตร์เป่าเมืองไลอ้อน?
ลีอามองเซียวอวี๋ด้วยสีหน้าจริงจังพลางกล่าวว่า “มีข่าวจากจักรวรรดิเมฆาตะวันออก”
“ที่นั่นเกิดเรื่อง?” เซียวอวี๋ขมวดคิ้ว หรือว่าฉินเช่อเกิดอุบัติเหตุใด? มิเช่นนั้นด้วยสถานการณ์ในเวลานี้แล้ว ที่นั่นสมควรไม่มีเรื่องราวใด
“เป็นข่าวที่ส่งมาโดยโถวปาหง ที่นั่นคงมีเรื่องใหญ่ใดเกิดขึ้น ข้าเองก็ยังไม่ได้ดู” ลีอาตอบ
เซียวอวี๋ผงกศีรษะ จากนั้นจึงรีบกลับไปยังห้องโถงของสำนักงานเมือง ตอนนี้จ้าวมนตราทั้งสามไม่ได้อยู่ที่นี่ หากแต่ไปยังลานฝึกเพื่อสอนเวทมนตร์ให้กับหลินมู่เสวี่ย ส่วนนิโคลัสนั้นก็ไม่ทราบเช่นกันว่าอยู่ที่ใดแล้ว
เหล่าคนสำคัญของเมืองไลอ้อนอย่างพวกมู่หลี่นั้นรอเซียวอวี๋อยู่ที่ห้องโถงของสำนักงานเมืองแล้ว
หลังจากเซียวอวี๋มาถึง เขาก็หยิบจดหมายออกมาเปิดอ่านทันที เมื่อได้อ่านสารที่อยู่ภายใน เซียวอวี๋ก็ขมวดคิ้ว
“เกิดอะไรขึ้นขอรับ?” ได้เห็นสีหน้าของเวียวอวี๋ มู่หลี่ก็เอ่ยถามทันที
เซียวอวี๋ยิ้มฝืดเฝื่อน “ดูเหมือนจะเป็นข่าวที่ไม่ค่อยดีเท่าใด โถวปาหงบอกว่าพบพวกแมลงจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่ส่วนลึกของจักรวรรดิเมฆาตะวันออก เขาได้ส่งหูตาไปสำรวจเมืองโบราณที่ว่านั่นแล้ว ตอนนี้พวกแมลงเริ่มจะแพร่กระจายไปทั่วทั้งจักรวรรดิ ก่อเป็นความเสียหายใหญ่โต หากว่าเราไม่ยับยั้งพวกมัน ผลที่ตามมาจะยิ่งเลวร้าย”
“แมลง? ไฉนพื้นที่นั้นจึงมีแมลงมากมายนัก?” มู่หลี่และคนอื่นๆรับฟังอย่างตั้งใจพลันตกใจ จากประวัติศาสตร์ของทวีปแล้ว การปรากฏตัวของแมลงพวกนี้นับเป็นลางร้าย ด้วยจำนวนที่มากมายมหาศาลของพวกมัน หากพวกมันแพร่กระจายออกไปที่ใด ที่นั่นย่อมเผชิญกับมหันตภัย
“หากข้าเดาไม่ผิด มันอาจจะเป็นอัลคีราฟ” เซียวอวี๋เม้มปากพลางคิดถึงเหตุการณ์แปลกๆที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ แน็กแรมที่เพิ่งปรากฏ มาตอนนี้ยังมีอัลคีราฟเข้ามาอีก
“อัลคีราฟ? มันคืออะไร?” เมื่อทุกคนได้ยินก็พลันมึนงง
เซียวอวี๋ถอดหายใจก่อนจะกล่าวว่า “อัลคีราฟเป็นสถานที่โบราณของอาณาจักรเซิค ครั้งหนึ่ง ที่นั่นเคยเป็นอาณาจักรเซิคที่เพียงแค่ชื่อของมันก็ทำให้ผู้คนสั่นกลัว พวกเซิคแข็งแกร่งมาก แต่ด้วยความช่วยเหลือจากพวกมังกร ในที่สุดพวกเซิคก็พ่ายแพ้ มาตอนนี้เมื่ออัลคีราฟปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันคงไม่ใช่เรื่องดี”
“อา? พวกเราควรทำอย่างไร? หากว่าจักรวรรดิเมฆาตะวันออกพ่ายแพ้ต่อพวกเซิค เช่นนั้น เหยื่อรายต่อไปก็คือพวกเรา!” ทุกคนต่างก็ทราบดีว่าพวกแมลงนั้นแพร่พันธุ์เร็วมาก
“ทำอะไรน่ะหรือ? จงรวบรวมกำลังคน ไม่ใช่ว่าที่นี่ตอนนี้มีนักผจญภัยอยู่มากมาย? พวกเขามาที่นี่เพื่อสิ่งใดเล่า? ไม่เพียงแค่แน็กแรมที่มีสมบัติ ที่อัลคีราฟเองก็มีเช่นกัน ทั้งยังมีมากกว่า ขอเพียงประกาศออกไป นักผจญภัยจำนวนมากจะต้องรีบตะครุบไว้ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องเหนื่อยกันมาก” เซียวอวี๋แสยะยิ้ม ในเมื่อเรื่องนี้ไม่อาจจัดการได้โดยลำพัง เช่นนั้นก็ฉุดดึงทุกคนลงมายังปักโคลนนี้ด้วยกันเถอะ
ถึงกระนั้น เซียวอวี๋ก็ยังไม่สบายใจ แม้จะดึงนักผจญภัยจำนวนมากเข้ามา นั่นก็ยังไม่เพียงพอจะต่อกรกับกองทัพเซิค พวกเซิคนั้นมีมากมายมหาศาล ทั้งยังมีหลากหลายสายพันธุ์ หากไม่จัดการให้ดีคงมีผู้คนล้มตายจำนวนมาก
“ใช่แล้ว ท่านลอร์ดช่างทรงปัญญาจริงๆ” ได้ฟังคำกล่าวของเซียวอวี๋ ทุกคนก็รู้สึกว่าไม่ว่าเรื่องใดก็ดูจะง่ายสำหรับเซียวอวี๋ไปเสียหมด
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ทราบเลยว่าเซียวอวี๋นั้นไม่มีความมั่นใจที่จะรับมือกับศึกครั้งนี้เลย
ด้วยเหตุนั้น เซียวอวี๋ได้ออกคำสั่งให้ติดประกาศและกระจายข่าวออกไป ประกาศนั้นบอกว่ากองทัพของดินแดนไลอ้อนกำลังเคลื่อนพลไปยังจักรวรรดิเมฆาตะวันออกเพื่อบุกเบิกอัลคีราฟ สำหรับแน็กแรมนั้น เมื่อเทียบกับอัลคีราฟแล้วนับว่าย่ำแย่กว่ากันมาก อัลคีราฟนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ทั้งยังมีสมบัติอยู่เป็นภูเขา มันมากเพียงพอที่จะแจกจ่ายให้กับนักเสี่ยงโชคทุกคน
“นี่ เจ้าได้ยินหรือยัง? ตอนนี้นักผจญภัยจำนวนมากกำลังเดินทางออกจากที่นี่เพื่อมุ่งไปยังจักรวรรดิเมฆาตะวันออกกันแล้ว”
“ไปจักรวรรดิเมฆาตะวันออก? เพื่ออะไร? แน็กแรมใกล้จะเปิดออกแล้ว ใยจึงไปจากที่นี่? พวกนั้นโง่หรือเปล่า?”
“เจ้าไม่เข้าใจ แน็กแรมยังไม่เปิดออกเร็วๆนี้หรอก แต่ไม่ใช่กับที่จักรวรรดิเมฆาตะวันออก ตอนนี้มีโบราณสถานขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในจักรวรรดิเมฆาตะวันออก มันคือวิหารอัลคีราฟจากยุคโบราณ ที่นั่นมีสมบัติมากมายนับไม่ถ้วน โอกาสครอบครองสมบัติย่อมมากกว่าแน็กแรม ไม่ว่าผู้ใดก็มีโอกาสแบ่งน้ำแกงถ้วยนี้ ดังนั้นคนทั้งหมดจึงมุ่งหน้าไปยังที่นั่นเพื่อเตรียมจะสำรวจข้างใน”
หัวข้อสนทนาที่คล้ายคลึงกันนี้ปรากฏขึ้นตามร้านเหล้าและโรงเตี๊ยมต่างๆทั่วดินแดนไลอ้อน ผู้คนต่างก็หันมาสนใจข่าวเกี่ยวกับอัลคีราฟ….
ตอนที่ 535
ขณะที่ข่าวกระจายออกไป เซียวอวี๋ก็มาพบกับจ้าวมนตราทั้งสาม
“ผู้อาวุโส พวกท่านสบายดีหรือไม่?” เซียวอวี๋เอ่ยทักด้วยสีหน้ายิ้มแย้มขณะเดินเข้าไปในลานฝึกราวกับเขาไม่ได้ขูดรีดทรัพย์คนทั้งสามมาก่อน
จ้าวมนตราทั้งสามกลอกตาเมื่อเห็นว่าผู้มาเป็นใคร
“อะไรทำให้เจ้าถ่อมาที่นี่?” ธีโอดอร์เปิดปากเป็นคนแรก อย่างไรเสีย คนทั้งสองก็นับว่าคุ้นเคยกันดี
“อันที่จริง ในเวลานี้ทวีปของพวกเรากำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์แห่งความล่มสลาย ข้าเกรงว่าหากพวกท่านไม่ยื่นมือช่วยเหลือ เช่นนั้นทวีปแห่งนี้ก็จบสิ้นแล้ว” สีหน้าของเซียวอวี๋เต็มไปด้วยความโศกเศร้าราวกับวีรบุรุษที่กำลังจะพลีชีพเพื่อกอบกู้โลก
“วิกฤตการณ์แห่งความล่มสลายงั้นหรือ? ฮึ่ม ใช่ด้วยฝีมือเจ้าหรือไม่?” เฟอร์กูสันกล่าวแค่นเสียง
“หากว่าข้ามีความสามารถเช่นนั้น ข้าคงไม่ได้เป็นแค่ลอร์ดตัวเล็กๆอยู่ที่นี่ ข้าจะกล่าวเข้าประเด็นเลยแล้วกัน ตอนนี้อัลคีราฟปรากฏขึ้นอีกครั้งแล้ว กองทัพเซิคกำลังจะกลืนกินจักรวรรดิเมฆาตะวันออก หากพวกเราไม่หยุดยั้งพวกมันตั้งแต่เนิ่นๆ ข้าเกรงว่าอีกครึ่งเดือนข้างหน้า จักรวรรดิเมฆาตะวันออกคงเหลือเพียงแต่ชื่อ ถัดจากนั้นก็จะเป็นดินแดนไลอ้อนแห่งนี้ และจากนั้นก็จะเป็นทั่วทั้งทวีป เป็นที่ทราบดีว่าการขยายพันธุ์ของพวกเซิคนั้นรวดเร็วเพียงใด หากละเลยไม่สนใจ ผลลัพธ์สุดท้ายคงเลวร้ายยิ่ง” เซียวอวี่จงใจกล่าวเกินจริง เขาหวังให้ผู้เข้มแข็งทั้งสามเร่งตัดสินใจ
“ว่ากระไร? เจ้าบอกว่าอัลคีราฟปรากฏขึ้นอีกครั้ง?” ได้ยินคำกล่าวของเซียวอวี๋ เริ่มแรกพวกเขาก็คิดว่าเซียวอวี๋คงปั้นเรื่องเหลวไหลมาหลอกลวงพวกเขาอีก แต่เมื่อได้ยินคำ ‘อัลคีราฟ’ พวกเขาก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที กระนัั้นทั้งสามก็ยังไม่ได้ให้คำตอบ พวกเขาหันไปสบตากันขณะที่ประกายความเจ้าเล่ห์พาดผ่านแววตา
“ข้าจะกล้าโกหกพวกท่านหรือ? ข้าเพิ่งได้รับข่าวมาวันนี้ โถวปาหงส่งจดหมายมาขอความช่วยเหลือ หากว่าพวกเราชักช้า ข้าเกรงว่าผลที่ตามมาเลวร้ายเกินจินตนาการ” เซียวอวี๋กล่าวอย่างเคร่งขรึม
“หลายวันมานี้ข้าได้ลองใช้เวทพยากรณ์ดูแล้ว เป็นเรื่องจริงที่จักรวรรดเมฆาตะวันออกกำลังเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่ สหายทั้งสอง ข้าเกรงว่าครั้งนี้พวกเราต้องลงมือแล้วจริงๆ หากไม่อาจทำลายหรือผนึกอัลคีราฟได้แล้วล่ะก็ หายนะได้บังเกิดแน่” ธีโอดอร์มุ่นคิ้วอย่างวิตก
ตนตัวเช่นพวกเขาทั้งสามนั้นไม่ได้ข้องเกี่ยวกับทางโลกมานานแล้ว ครั้งนี้เป็นเพราะการดับสูญของเอกวินน์ค่อยสามารถชักนำพวกเขาออกมาพร้อมหน้าได้ ไม่เช่นนั้นไม่มีสิบปียี่สิบปี ผู้คนคงยากจะได้พบกับพวกเขา
อย่างไรก็ตาม พวกเขาทราบดีว่าในฐานะสามผู้ใช้มนตราที่ทรงพลังที่สุดและเป็นผู้ที่เข้าใกล้ขอบเขตขั้นที่เจ็ดมากที่สุด ความรับผิดชอบของพวกเขาย่อมต้องเพิ่มตามมา
ครั้งนี้พวกเขายิ่งไม่อาจนิ่งเฉย พวกเขาต้องรับหน้าที่พิทักษ์ทวีปแห่งนี้
เมื่อพวกเขาในทวีป ทั้งยังครอบครองขุมพลังอันแข็งแกร่ง พวกเขาย่อมไม่อาจนิ่งดูดายและปล่อยให้ทวีปถูกทำลายลง นั่นเพราะต้นไม้ย่อมไม่อาจขาดดินให้หยั่งราก
ทุกคนล้วนมีความผูกพันกับแผ่นดินเกิด พวกเขาย่อมต้องปกป้องรักษาไว้
“ข้าสัมผัสได้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น และข้าคิดว่าเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นคงจะเป็นการเปิดออกของแน็กแรม ไม่คาดว่าเรื่องใหญ่ที่ว่าจะเป็นอัลคีราฟแทน เรื่องราวไม่อาจชักช้า พวกเราควรเร่งเดินทางไปยังจักรวรรดิเมฆาตะวันออกโดยเร็ว นอกจากนั้น การเผชิญกับกองทัพที่แข็งแกร่งของพวกเซิคก็เหมาะจะเป็นเป้าในการค้นคว้าเวทมนตร์ใหม่ของพวกเรา” ชัคหลุนกล่าวพลางลูบคาง
“อืม ครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ทดลองเวทมนตร์ใหม่ เซียวอวี๋ ครั้งก่อนเจ้าบีบเค้นเอาสิ่งของจากเราไปไม่น้อย การเดินทางไปยังจักรวรรดิเมฆาตะวันออกในครั้งนี้ นัยหนึ่งเป็นการช่วยทวีป อีกนับหนึ่งก็ยังเป็นการปกป้องดินแดนไลอ้อนของเจ้า ดังนั้นเจ้าต้องจ่ายออกมาบ้างแล้ว” ธีโอดอรืกล่าวพลางยิ้มเยาะเซียวอวี๋
“เพ้ย! พวกท่านจะเอาอย่างไรกับข้า? ภรรยาของข้าก็ถูกพวกท่านนำตัวไปแล้ว นี่พวกท่านยังต้องการจากข้าอีกหรือ?” เซียวอวี๋ถลึงตามองธีโอดอร์ ขณะที่เขาสัมผัสได้ถึงลางร้าย
“เซียวอวี๋ เจ้ากล่าวอะไรเช่นนั้น เหตุใดพวกเราถึงต้องนำตัวภรรยาของเจ้าไปกันล่ะ? นั่นก็เพื่อช่วยนางฝึกฝนพลังให้แข็งแกร่งขึ้น การได้ครองขุมพลังของท่านเอกวินน์ยังเรียกว่าเสียเปรียบได้อีกหรือ? พวกเราทั้งสามเหลือเวลาไม่มากแล้ว ในอนาคต หน้าที่ผู้พิทักษ์ของทวีปย่อมต้องส่งต่อให้กับภรรยาของเจ้า” เผชิญความขี้งกของเซียวอี๋ ธีโอดอร์ก็กลอกตา
“ว่าไปแล้ว ตอนนี้ภรรยาของข้าอยู่ขอบเขตใดแล้ว? ใช่อยู่ในขั้นที่ห้าระดับสุดยอดหรือไม่?” ได้ยินธีโอดอร์กล่าวเช่นนั้น ในใจของเซียวอวี๋ก็รู้สึกลิงโลด ในอนาคต ภรรยาของเขาจะต้องไร้เทียมทานเป็นแน่
“ขั้นที่ห้าระดับสุดยอด? เจ้าละเมออยู่หรือไร? ด้วยการรับสืบทอดพลังของท่านเอกวินน์ ตอนนี้ภรรยาของเจ้าเพียงอยู่ในขั้นที่ห้า เจ้าคิดว่าการตัดผ่านของผู้ใช้มนตรานั้นทำได้ง่ายนักหรือ?” ธีโอดอร์กล่าวอย่างขุ่นเคือง
“คือว่าข้า…” เซียวอวี๋กลืนน้ำลาย ก็จริงที่ตัวเขาใจร้อนเกินไป แต่อย่างไรก็ตาม มู่เสวี่ยย่อมสามารถตัดผ่านไปขั้นที่หกได้แน่
ทั้งทวีปแห่งนี้มีผู้ใช้มนตราขั้นที่หกเพียงไม่กี่คน
ต้องทราบก่อนว่า ก่อนที่หลินมู่เสวี่ยจะเดินทางไปยังวิหารดำ นางยังไม่บรรลุขั้นที่สี่เสียด้วยซ้ำ
จากขั้นที่สี่ไปยังขั้นที่หก กระทั่งธีโอดอร์ก็ยังใช้เวลานับร้อยปี ตอนนี้มู่เสวี่ยสามารถกระโดดข้ามขั้นไป นี่ยังไม่นับว่ารวดเร็วอีกหรือ?
“ฮึ่ม ว่าอย่างไร? มันคงไม่มากเกินไปที่จะเรียกร้องบางสิ่งจากเจ้ากระมัง?” ธีโอดอร์แค่นเสียง
“พวกท่านต้องการอะไร?” เซียวอวี๋ถามอย่างสงสัย ด้วยความแข็งแกร่งของทั้งสามแล้ว พวกเขายังต้องการสิ่งใดจากข้า? ยังมีสิ่งใดที่พวกเขาหามาไม่ได้อีกหรือ?
“น้ำยาฟื้นฟูเวทมนตร์ให้พวกเราคนละห้าร้อยขวด อย่างไรก็เสีย การจัดการกับกองทัพเซิคย่อมต้องใช้พลังเวทมหาศาล หากว่ามีน้ำยาฟื้นฟูเวทมนตร์ของเจ้าอยู่ ไม่ว่าพวกมันมีกันมากเพียงใด พวกเราย่อมสามารถกำจัดจนสิ้น” ธีโอดอร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“มารดาท่านเถอะ! คนละห้าร้อยขวด? นี่ท่านคิดปล้นข้าหรือ? ต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะได้มาห้าร้อยขวด ครั้งล่าสุดที่เติมมานาให้กับรูปปั้นของเอกวินน์ ข้าก็ให้พวกท่านไปคนละร้อยขวดแล้ว” เซียวอวี๋โพล่งออกมาทันทีที่ได้ยินข้อเรียกร้องของธีโอดอร์
มูลค่าของน้ำยาฟื้นฟูมานานี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันมีมากเพียงใด
“เลิกไร้สาระเสีย คิดว่าพวกเราไม่รู้จักเจ้าหรือ? เจ้าต้องมีกักตุนเอาไว้มากมายเป็นแน่ รีบๆนำออกมาให้พวกเราคนละสามร้อยขวดได้แล้ว” ธีโอดอร์แบมือไปทางเซียวอวี๋
“สามร้อยขวด ไม่สิ อย่างมาก ข้าคงให้ได้คนละร้อยขวด ข้ารู้ว่าร้อยขวดจากครั้งก่อนพวกท่านยังไม่ได้ใช้มัน” เซียวอวี๋ย่อมไม่อาจตัดใจควักเนื้อตัวเอง น้ำยาฟื้นฟูมานาถือเป็นทรัพยากรล้ำค่าทางกลยุทธ์ของเขา มีหรือที่เขาจะยอมส่งมอบโดยง่าย
ซึ่งอันที่จริง ตอนนี้เขามีอยู่ราวแปดร้อยขวดเท่านั้น
“สองร้อยขวด นี่ย่อมไม่มากเกินไปสำหรับเจ้า หากว่าเจ้าไม่ให้ ฮึ่ม เช่นนั้นก็อย่าโทษพวกเราผู้ชราทั้งสามจะมีโทสะ” ธีโอดอร์จ้องตาเซียวอวี๋
“คนละหนึ่งร้อยห้าสิบขวด” เซียวอวี๋พยายามต่อรอง หากชายชราทั้งสามสร้างความวุ่นวายในดินแดนของเขา เขาคงต้องปวดหัวมากแล้ว
การตอแยกับสามจ้าวมนตรานั้นไม่ต่างจากการแส่หาความตาย
“สองร้อย” ธีโอดอร์กลอกตาก่อนจะเอ่ยปาก
“เอาเถอะ ครั้งนี้ถือว่าพวกท่านรังแกข้าได้สำเร็จ” เซียวอวี๋กล่าวตัดพ้อ
“เหอเหอ เช่นนั้นพวกเราทั้งสามจะรั้งอยู่ที่นี่ เจ้าก็รีบๆเตรียมการเดินทางไปยังจักรวรรดิเมฆาตะวันออกเสีย” ธีโอดอร์กล่าวกำชับ
เซียวอวี๋ผงกศีรษะรับอย่างจนใจ เขาต้องให้น้ำยาฟื้นฟูมานาแก่อีกฝ่ายคนละสองร้อยขวด อย่างไรก็ดี การมีทั้งสามมาช่วยเหลือก็เพิ่มความมั่นใจให้กับเขาขึ้นมาก
หากเฒ่าชราทั้งสามออกโรงเอง เช่นนั้นอัลคีราฟต้องพินาศแน่….
ตอนที่ 536
ด้วยเหตุนั้น แผนการเดินทางไปยังจักรวรรดิเมฆาตะวันออกจึงถูกร่างขึ้น การเดินทางครั้งนี้ไม่อาจเพิกเฉย การต่อสู้นี้จะเป็นสิ่งตัดสินชะตากรรมของทั้งทวีป เวลานี้แผ่นดินกำลังปั่นป่วนวุ่นวาย ปัญหาจะถาโถมเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง และหากว่าจัดการได้ไม่ดี ทวีปแห่งนี้คงถึงกาลล่มสลายแล้ว
เพื่อไม่เป็นการสร้างความตื่นตระหนกแก่ผู้คน พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะไม่เผยแพร่ข้อมูลออกสู่สาธาราณะ และนั่นก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พวกเขาต้องใส่ใจกับการเดินทางไปยังจักรวรรดิเมฆาครั้งนี้ เมื่อไร้ซึ่งเอกวินน์คอยพิทักษ์ หน้าที่ปกป้องทวีปแห่งนี้จึงตกเป็นของพวกเขา
เนื่องเพราะเวลานี้ ทุกคนจำต้องร่วมใจกันปกป้องผืนทวีป การเผยแพร่เรื่องราวของเอกวินน์ออกไปได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับเหล่านักผจญภัยหนุ่มจำนวนมาก เมื่อทวีปแห่งนี้เผชิญหน้ากับวิกฤต มันก็ถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะลุกขึ้นสู้
การปกป้องทวีปนั้นดูเป็นเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ มันใหญ่เกินจินตการของคนธรรมดาจนดูราวกับไม่มีสิ่งใดข้องเกี่ยวกัน
ทวีปแห่งนี้กำลังจะถูกทำลายงั้นหรือ? แต่เรื่องนี้ดูจะไกลตัวพวกเขาเกินไป
ในเวลาเช่นนี้ ต้องมีผู้นำที่จะนำพาผู้คนลุกขึ้นสู้ และจ้าวมนตราทั้งสามก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อหน้าที่นี้
ในคราแรก ตระกูลเอิร์นของนิโคลัส ตระกูลช็อคของลีโอนาโด ตระกูลเคเนดี้ละอื่นๆนั้นถูกพิจาณาให้รับหน้าที่นี้
แม้ว่าเฟอร์กูสันจะเป็นผู้พิทักษ์ของราชวงศ์พยัคฆ์เมฆา แต่เขาก็ทราบดีว่าหากต้องการปกป้องทวีป เขาจำต้องมีความช่วยเหลือจากตระกูลใหญ่
มีเพียงตระกูลใหญ่เหล่านี้ที่มีพลังมากพอต่อกรกับกองทัพชั่วร้าย อย่างไรก็ตาม หลังจากตรวจสอบอยู่นาน พวกเขาก็พบว่าตระกูลใหญ่เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เห็นแก่ตัว
แต่โลกใบนี้ยังจะมีผู้ใดที่ไม่เห็นแก่ตัวอีกหรือ? กระทั่งพวกเขาเองก็ยังมีความเห็นแก่ตัว ดังนั้นพวกเขาจึงต้องทำให้แน่ใจว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง ตระกูลใหญ่เหล่านี้จะลุกขึ้นสู้
และตอนนี้ ในรายชื่อเหล่านั้นก็มีชื่อของเซียวอวี๋เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง
ผู้ที่สามารถอัญเชิญเหล่าวีรชนจากยุคโบราณและสามารถรวบรวมเผ่าพันธุ์ทั้งมวลให้เป็นหนึ่งได้ คนผู้นั้นจะกลายเป็นราชาแห่งราชัน
ไม่มีผู้ใดที่ไม่ทราบคำพยากรณ์นี้ และตอนนี้ ดูเหมือนว่าผู้ที่อยู่ในคำพยากรณ์นั้นจะไม่แคล้วเป็นเซียวอวี๋ผู้นี้เอง แล้วพวกเขาทั้งสามยังจะเพิกเฉยได้อย่างไร?
ที่ครั้งนี้พวกเขาปรากฏตัวขึ้น ส่วนหนึ่งก็เพื่อสำรวจดูว่าเซียวอวี๋เป็นคนเช่นไร เขาจะสามารถแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่ได้หรือไม่ แม้จะมีข้อบกพร่องอยู่มากมาย แต่เซียวอวี๋ก็มีสิ่งสำคัญที่พวกเขาต้องการเห็นอยู่ นั่นคือ คุณธรรม
หากคนผู้นั้นมีคุณธรรม เช่นนั้น เขาก็สามารถไว้ใจได้
อันที่จริง ธีโอดอร์ได้จับตาดูเซียวอวี๋มาตั้งนานแล้ว และเขาก็รู้สึกว่าเซียวอวี๋นั้นเชื่อใจได้ ซึ่งเฟอร์กูสันและชัคหลุนก็ไม่มีข้อคิดเห็นเป็นอื่น
แต่แม้พวกเขาจะชื่นชมเซียวอวี๋ พวกเขาย่อมไม่ทุ่มแทงหมดหน้าตักไว้ที่เซียวอวี๋
หากว่าคำพยากรณ์นั้นเป็นความจริง เซียวอวี๋ย่อมสามารถปกป้องทวีปและกลายเป็นราชาแห่งราชันย์
ที่พวกเขาต้องทำก็แค่เพียงผลักเรือตามน้ำ
รุ่งขึ้น กองทัพของเซียวอวี๋ก็เคลื่อนพลไปยังจักรวรรดิเมฆาตะวันออก ครั้งนี้ เซียวอวี๋ทุ่มกำลังออกไปแทบทั้งหมด เหลือไว้ป้องกันดินแดนเพียงบางส่วน
เหตุผลที่เซียวอวี๋กล้าทุ่มกำลังทหารออกไปอย่างเอิกเกริกขนาดนี้ก็เพราะจ้าวมนตราทั้งสามได้ทิ้งประกาศเวทมนตร์เอาไว้ ในประกาศฉับบนั้นกล่าวไว้ว่า เวลานี้ดินแดนไลอ้อนกำลังเคลื่อนกำลังไปพิชิตอัลคีราฟเพื่อปกป้องทวีป ผู้ใดกล้าฉกฉวยโอกาสนี้เข้าโจมตีดินแดนไลอ้อนจะถือว่าเป็นศัตรูกับจ้าวมนตราทั้งสาม
แน่นอนว่าย่อมไม่มีขุมกำลังใดกล้ากระตุ้นโทสะของสามจ้าวมนตรา
และด้วยประกาศเวทมนตร์ฉบับนี้เอง เซียวอวี๋จึงวางใจได้ในที่สุด
“มารดามันเถอะ มีคนใหญ่คนโตหนุนหลังเช่นนี้ ผู้ใดยังจะกล้าเขย่าภูเขาไท่ซาน? ครั้งนี้กระทั่งพวกศาสนจักรก็ยังไม่กล้าลงมือ มิเช่นนั้นศาสนจักรคงเหลือเพียงซาก ฮ่าฮ่าฮ่า” เซียวอวี๋กระหยิ่มใจ
“ท่านธีโอดอร์ ท่านพอจะทราบความเป็นมาของสันตะปาปาบ้างหรือไม่?” เซียวอวี๋กล่าวถามขณะที่กำลังดื่มไวน์อยู่ภายในรถม้ากับผู้อาวุโสทั้งสาม อย่างไรระหว่างทางก็ว่างอยู่แล้ว เขาจึงต้องการทราบข้อมูลของศัตรู
“ศาสนจักรเป็นขุมกำลังที่ลึกลับเสมอมา พวกเราจึงไม่ค่อยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพวกเขานัก กระนั้นพวกเราก็ต้องยอมรับเรื่องหนึ่ง ต่อให้เป็นพวกเราทั้งสามก็ไม่กล้าดูแคลนศาสนจักร ขุมกำลังของพวกเขาแข็งแกร่ง โดยเฉพาะตัวพระสันตะปาปา พวกเรายิ่งไม่อาจหยั่งตื้นลึกหนาบางของเขา แต่ข้าเดาว่าความแข็งแกร่งของตาแก่นั่นคงไม่ด้อยไปกว่าพวกเรา” ธีโอดอร์ตอบก่อนยกไวน์ขึ้นจิบ
“ศาสนจักร…พวกเขามีตัวตนขั้นที่หกระดับสุดยอดอยู่หรือไม่?” เซียวอวี๋ถามอย่างกังวล คิดไม่ถึงว่าสันตะปาปาจะน่ากลัวเช่นนี้
“ข้ารู้แต่ว่า หากศาสนจักรไม่มีขุมกำลังเช่นนั้น ศาสนจักรคงไม่ใช่ศาสนจักรเช่นทุกวันนี้” ชัคหลุนกล่าวขึ้น
อยู่กับเซียวอวี๋มาสักพัก เซียวอวี๋ได้ดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี นั่นจึงทำให้ความประทับใจของพวกเขาที่มีต่อเซียวอวี๋เพิ่มขึ้นจากเดิมมาก
เมื่อเซียวอวี๋ถามถึงศัตรูที่น่ากลัวอย่างศาสนจักร พวกเขาก็ยินดีตอบคำถามให้ อย่างไรเสียมันก็ไม่ใช่เรื่องเหลือบากกว่าแรงอะไร
“หากตาแก่นั่นแข็งแกร่งขนาดนั้น ใยเขาจึงไม่ออกมาถล่มดินแดนไลอ้อนของข้าให้พินาศไปเลยล่ะ?” เซียวอวี๋อดถามออกมาไม่ได้ ตอนนี้เขาถือเป็นหนามตำตาของอีกฝ่าย ในเมื่อเขามีพลังถึงขนาดนั้น ใยจึงไม่ลงมือ?
“นี่เจ้าคิดว่าเวทต้องห้ามสามารถใช้สุ่มสี่สุ่มห้าได้หรือ? เหตุที่เรียกเวทต้องห้ามว่าเวทต้องห้ามก็เพราะความร้ายแรงของมัน หากมันใช้ออกได้ง่ายปานนั้น โลกคงพินาศไปหลายรอบแล้ว” เห็นท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราวของเซียวอวี๋ ธีโอดอร์ก็อธิบาย
“สรุปว่ามันก็คือระเบิดนิวเคลียร์ดีๆนี่เอง แล้วหากว่ามีคนเปิดฉากใช้มันใส่ผู้อื่นเล่า?” เซียวอวี๋เข้าใจแล้วว่าการใช้เวทต้องห้ามนั้นมีเงื่อนไขและข้อจำกัดการใช้อยู่
“ระเบิดนิวเคลียร์? มันคืออะไร?” ธีโอดอร์เอ่ยถามอย่างงุนงง
“อ่า…ไม่มีอะไร มันก็คืออาวุธที่ทรงพลังมากๆ คล้ายกับคำสาปหรือเวทต้องห้ามนั่นล่ะ” เซียวอวี๋ตอบกลบเกลื่อน
“อย่างไรก็ตาม เวทต้องห้ามนั้นทรงพลังอย่างมาก หากว่าไม่จำเป็นก็จะไม่ใช้กัน ประการแรก ขณะที่ใช้เวทต้องห้าม มันจำเป็นต้องใช้พลังเวทมหาศาล การใช้มันย่อมส่งผลเสียต่อพลังชีวิตของผู้ร่าย ประการที่สอง การจะปลดปล่อยเวทต้องห้ามออกไปก็ยังต้องใช้วัตถุดิบเวทมนตร์จำนวนมาก ไม่เหมือนกับการใช้เวทมนตร์ทั่วไป ประการที่สาม ทวีปนี้ยังมีสมาพันธ์จอมเวทดำรงอยู่ หากมีผู้ใดใช้เวทต้องห้ามโดยไม่ผ่านการยินยอมจากสมาพันธ์ก่อน สมาพันธ์จอมเวทจะกระทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดคนผู้นั้น” ชัคหลุนกล่าวอธิบาย
แม้ชัคหลุนจะรู้จักกับเซียวอวี๋ได้ไม่นาน แต่เขาก็มีความรู้สึกที่ดีต่อเซียวอวี๋ เปรียบเทียบกันแล้ว เฟอร์กูสันยังไม่ดีเท่า
นั่นก็เพราะว่าเฟอร์กูสันนั้นมีศักดิ์ศรีของจ้าวมนตราแห่งราชวงศ์ค้ำคออยู่ หากว่าเซียวอวี๋เป็นราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งผืนทวีป เช่นนั้น ไม่ช้าก็เร็ว ราชวงศ์พยัคฆ์เมฆาที่เขาเฝ้าปกปักรักษาอยู่ก็คงไม่แคล้วต้องจบสิ้นลง ดังนั้นตัวเขาจึงไม่ทราบสมควรวางตัวอย่างไร
ยิ่งอยู่นาน เขาก็ยิ่งได้ทำความเข้าใจกับเซียวอวี๋มากขึ้น และดูคำพยากรณ์นั่นดูจะเข้าเค้าเข้าไปทุกที แน่นอนว่าเรื่องภาพพจน์นั้นเป็นข้อยกเว้น เซียวอวี๋ดูคล้ายกับอันธพาลร้านถิ่นมากกว่าจะเป็นขุนนางผู้สูงส่ง
อย่างไรก็ตาม ในฐานะจ้าวมนตราประจำราชวงศ์ เฟอร์กูสันทราบว่าเรื่องภาพพจน์ของกษัตริย์มักจะถูกแต่งเติม ดังนั้น ไม่ว่าเซียวอวี๋จะใช่อันธพาลหรือไม่ ตัวเขาย่อมสามารถแต่งเติมได้ตามต้องการ
เฟอร์กูสันมองเห็นบางสิ่งที่พิเศษในตัวของเซียวอวี๋ นั่นก็คือ ทัศนคติที่มีต่อเผ่าพันธ์ุอื่นๆ เขามองและปฏิบัติต่อเผ่าพันธ์ุอื่นอย่างเท่าเทียม ทั้งยังค่อยๆกำจัดระบบทาสภายในดินแดนให้หมดไป
สำหรับตัวเขาแล้ว สิ่งเหล่านี้นั้นเป็นเรื่องยากที่จะทำให้เกิดขึ้นจริงได้ แต่เมื่อมองดูดินแดนไลอ้อนแล้ว มันก็ทำให้เขาต้องตะลึง
นโยบายที่ดูเปะปะมั่วซั่วเหล่านั้นและการปฎิรูปที่ดูขบถต่อธรรมเนียมประเพณีกลับทรงพลังจนทำให้ผู้คนได้แต่ปากอ้าตาค้าง
การไหลบ่าเข้ามาของผู้คนจากทั่วทุกสารทิศนับเป็นข้อพิสูจน์อย่างดี
ดินแดนไลอ้อนที่จากเดิมมีประชากรเพียงหลักแสน มาตอนนี้มีมากถึงหลักล้านแล้ว ผู้คนต่างสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุข นี่นับเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ว่าผู้ใดก็สามารถกระทำได้
นี่เป็นสิ่งที่จักรพรรดิพึงมี มันคือคุณสมบัติของผู้ปกครองที่แท้…..
ตอนที่ 537
เซียวอวี๋ไม่ล่วงรู้ความคิดของเฟอร์กูสัน เขาเพียงแค่คิดว่าเฟอร์กุสันเป็นคนพูดน้อย
เนื่องด้วยการนำนำของเซียวอวี๋ นักผจญจำนวนมากจึงยอมละความสนใจจากแน็กแรมและมุ่งหน้าไปยังอัลคีราฟ มีหัวเรือใหญ่อย่างเซียวอวี๋คอยนำ บางทีพวกเขาเองก็อาจจะได้โชคลาภบางส่วน
กล่าวกันว่าลอร์ดผู้นี้ชื่นชอบการเสาะหาสมบัติ ทั้งยังได้รับสมบัติกองโตกลับมาแทบทุกครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้น ลือกันว่าเหล่าสมุนบริวารข้างกายของเขาล้วนแต่เป็นตัวตนชั้นตำนานจากยุคอดีตกาล แน่นอนว่าพวกเขาย่อมต้องคุ้นเคยกับสมบัติโบราณต่างๆ
ข่าวลือมากมายแพร่กระจายไปในหมู่นักผจญภัย นักผจญภัยนั้นชื่นชอบข่าวลืออยู่แล้ว พวกเขามักมีความอยากรู้อยากเห็น
เซียวอวี๋นั้นมีภาพลักษณ์เป็นอันธพาลในสายตาของผู้คนทั่วไป แต่พวกเขาที่ติดตามเซียวอวี๋นั้นก็เพราะสัมผัสได้ถึงเสน่ห์ของเขา
ในทวีปแห่งนี้ ทั่วทุกที่ล้วนมีแต่ภัยอันตราย หากต้องการจะปกป้องตนเอง มันก็จำเป็นที่จะต้องมีคนหนุนหลัง
ฝูงชนต่างมุ่งหน้าไปยังจักรวรรดิเมฆาตะวันออก เนื่องเพราะจำนวนคนที่มีมากเกินไป แน่นอนว่าความเร็วย่อมต้องลดลงตาม ตอนแรกเซียวอวี๋คิดไม่ถึงว่ามันจะเกิดผลถึงเพียงนี้ เขาก็เพียงแค่ยกอ้างชื่อของพวกธีโอดอร์ก็เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม จดหมายที่ได้ในวันนี้ทำให้เซียวอวี๋ต้องเร่งฝีเท้าขึ้น จดหมายฉบับนี้มาจากโถวปาหง ในนั้นกล่าวว่าสถานการณ์ที่อัลคีราฟเมฆากำลังอยู่ในขั้นวิกฤติ ตอนนี้พวกเซิกได้รุกคืบยึดครองดินแดนจักรวรรดิเมฆาไปกว่าหนึ่งในสามแล้ว ผู้คนต่างล้มตายกันอย่างสาหัส โถวปาหงจึงชะลอการเข้าปะทะและสั่งให้ก่อกำแพงสูงตามเมืองต่างๆเพื่อต้านทานการโจมตีของพวกเซิก
เมื่ออ่านจนจบ สีหน้าของเซียวอวี๋มืดครึ้มลง ตามรายงานที่ได้รับเมื่อไม่กี่วันก่อน จดหมายเพียงบอกว่าพวกเซิกเพิ่งปรากฏตัวและเกิดความเสียหายบางส่วนเท่านั้น แต่เพียงไม่กี่วันถัดมา สถานการณ์กลับถูกผลักดันมาถึงขั้นนี้ นี่น่ากลัวนัก หากว่าล้่ช้า เกรงว่าเวลานั้นคงไม่มีจักรวรรดิเมฆาแล้ว
เมื่อจักรวรรดิเมฆาล้มลง คราวต่อไปก็เป็นตาของดินแดนไลอ้อนแล้ว
นี่เรียกว่าริมฝีปากกับฟัน เซียวอวี๋ชัดแจ้งในเหตุผลข้อนี้ ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้จักรวรรดิเมฆาล้มลงไม่ได้เด็ดขาด
เซียวอวี๋สั่งให้เร่งเดินทาง ขณะเดียวกันก็ขบคิดถึงสาเหตุที่จู่ๆอัลคีราฟก็ปรากฏออกมา ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับขั้วอำนาจใดหรือไม่
สิ่งที่เขากังวลที่สุดคือเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับกองกำลังชั่วร้ายนั้น มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเหตุการณ์นี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกมัน
แม้พวกเขาจะพยายามเร่งเดินทางสุดฝีเท้า กระนั้นหนทางกลับไม่ใกล้เลย พวกเขาต้องใช้อีกราวสี่วันจึงจะไปถึงจุดปะทะแนวหน้ากับพวกเซิก
เวลานี้โถวปาหงไม่ได้อยู่ภายในเมืองอู่เหอ แต่เขากลับเดินทางไปที่แนวหน้าเพื่อบัญชาการด้วยตนเอง เพราะเขาตระหนักดีว่า หากไม่อาจควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ ถึงตอนนั้น ทั้งกองหนุนของเซียวอวี๋และจักรวรรดิเมฆาอาจจบสิ้นไปพร้อมกัน
เมื่อเซียวอวี๋เดินทางมาถึง แม้ก่อนมาจะเตรียมใจเอาไว้บ้างแล้ว กระนั้นพวกเขาก็ยังต้องตกตะลึง เมื่อได้ก้าวขึ้นไปบนกำแพงและทอดมองฝูงเซิกที่ดำพรืดสุดลูกหูลูกตาแล้ว ในใจก็หนักอึ้งดั่งโดนหินกดทับ
มากเหลือเกิน พวกมันมีมากมายนัก….
โถวปาหงสั่งให้ก่อกำแพงชั้นแล้วชั้นเล่า ทุกครั้งที่พวกเซิกบุกทะลวงผ่านมาได้ พวกเขาก็จำต้องถอยร่นไม่หยุด หากไม่มีกำแพงสูงคอยสกัดกั้น ต่อหน้าจำนวนอันน่าสะพรึงของพวกมันแล้ว เกรงว่าชะตากรรมของพวกเขามีเพียงถูกกลืนกินในพริบตา
วิธีการก่อกำแพงนี้ถูกคิดค้นโดยเซียวอวี๋ขณะที่ช่วยเขาป้องกันเมืองอู่เหอเมื่อครั้งนั้น วิธีการนี้ทำให้พวกเขาสามารถต้านทานพวกเซิกไว้ได้
โถวปาหงไม่ได้ออกมาต้อนรับเซียวอวี๋ด้วยตนเอง หากแต่อยู่บนกำแพงคอยเฝ้าคุมเชิงดูสถานการณ์ เขารอคอยเซียวอวี๋มาสามวันสามคืนแล้ว วินาทีที่ได้พบเห็นเซียวอวี๋ โถวปาหงก็เผยยิ้มยินดีพลางกล่าวว่า “ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว”
คำพูดเพียงไม่กี่คำหากแต่สามารถบ่งบอกบรรยายาหลายสิ่ง แสดงให้เห็นถึงความเหนื่อยยากตลอดหลายวันมานี้ของโถวปาหง แสดงให้เห็นว่าเขาต้องการให้เซียวอวี๋มาอยู่ที่นี่มากเพียงใด และแสดงให้เห็นว่าเขาตั้งความหวังไว้กับเซียวอวี๋สุงเพียงใด มันยังแสดงถึงความเชื่อใจที่เขามีต่อเซียวอวี๋
เซียวอวี๋สบกับดวงตาที่แดงก่ำของโถวปาหง เขายิ้มก่อนที่จะยกมือตบลงบนบ่าของอีกฝ่าย “อืม ไปพักเถอะ ที่เหลือปล่อยเป็นหน้าที่ของข้าเอง”
โถวปาหงพยักหน้า จากนั้นจึงหันไปสั่งต่อผู้ช่วยที่อยู่ด้านข้าง “คำสั่งของเซียวอวี๋คือคำสั่งของข้า” จากนั้นจึงลงจากกำแพงไป
“พี่เซียวอวี๋!” ในเวลานั้นเอง เสียงอันคุ้นเคยก็ดังขึ้น
เมื่อเซียวอวี๋หันมองไปตามเสียง เขาก็เห็นบุรุษหนุ่มร่างกำยำผู้หนึ่ง คิ้วดกเข้มขับรับกับใบหน้าอันหล่อเหลาของอีกฝ่าย
“ฉินเช่อ?” เซียวอวี๋ตาเป็นประกายขณะที่คิดในใจว่าอีกฝ่ายเติบโตขึ้นมากนัก
“อืม” ฉินเช่อที่เซียวอวี๋เห็นดูแทบไม่ต่างจากตอนที่จากมาสักเท่าไร แต่มาตอนนี้เขากลับกลายเป็นผู้บัญชาการที่น่าเกรงขามไปแล้ว
ฉินเช่อยังคงเป็นฉินเช่อ แต่ผู้ใดก็มองออกว่าตอนนี้จิตวิญญาณของเขาเติบโตขึ้นมาก
เซียวอวี๋ทราบแล้วว่าตนคิดไม่ผิดจริงๆ ฉินเช่อนับเป็นพันธุ์ชั้นยอด เจ้าหนูในตอนนั้นมาตอนนี้กลายเ็นผู้ช่วยอันเข้มแข็งของเขาแล้ว
“ยอดเยี่ยมมาก” เซียวอวี๋ยิ้มก่อนจะกล่าวเพียงสามคำ
กับฉินเช่อ ไม่จำเป็นต้องใช้วาจามากมาย
“อืม” ฉินเช่อทำท่าจะกล่าวอะไร แต่ก็ไม่ได้กล่าวออกมา ฉินเข่อไม่ใช่เด็กช่างพูด หากแต่ถ่อมตน มั่นคง และแตกต่างจากเซียวอวี๋อย่างสิ้นเชิง
“เขาก็คือฉินเช่อ?” ในเวลานั้น นิโคลัสก็ก้าวออกมาพิจารณาดูฉินเช่อ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม เรื่องราวที่เกิดขึ้นในจักรวรรเมฆาย่อมไม่อาจหลบรอดสายตาของนิโคลัสไปได้ ทั้งยังกระจ่างเป็นอย่างดี ดังนั้นตัวเขาจึงชื่มชนฉินเช่อที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ด้วยวัยเพียงเท่านี้
เหล่าฮีโร่ที่อัญเชิญมาดูไร้วึ่งหนทาง แต่กับฉินเช่อนั้นยังพอมีหวัง แม่ทัพเช่นนี้นับว่าหาตัวจับยากอย่างแท้จริง
“ถูกต้อง แต่เลิกหวังเกี่ยวกับเขาไปได้เลย ข้าไม่อนุญาต” คลุกคลีกันมานาน มีหรือจะไม่ทราบความคิดของอีกฝ่าย?
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่มีใด ข้าเพียงชื่นชมน้องชายผู้นี้ รู้สึกถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็น มานี่สิ ข้ามีดาบมนตราที่เรียกว่าเกล็ดมังกรอยู่ ข้าขอมอบมันให้เจ้า” จากนั้นนิโคลัสก็นับของออกมาจากแหวนมิติ มันเป็นดาบมือเดียวที่เซียวอวี๋คุ้นเคยยิ่ง
“มารดามันเถอะ นี่มันดาบเกล็ดมังกร ฉินเช่อ เจ้ายังไม่รีบขอบคุณพี่ชายนิโคลัสอีก!?” เมื่อมีของขวัญส่งมอบถึงหน้าประตูบ้าน มีหรือที่เซียวอวี๋จะไม่รับไว้? เขารีบบอกฉินเช่อให้รีบเก็บดาบกลับมา
เดิมฉินเช่อนั้นมีดาบดีอยู่หลายเล่มที่ได้มาจากเซียวอวี๋ กระนั้นคุณภาพของพวกมันก็ไม่อาจเทียบได้กับดาบเกล็ดมังกรเล่มนี้ เมื่อนิโคลัสมอบให้มา มีหรือที่เขาจะไม่รับไว้
หลังได้รับการกระตุ้นจากเซียวอวี๋ ฉินเช่อก็รับดาบเกล็ดมังกรมาถือไว้อย่างโง่งม จากนั้นจึงกล่าวว่า “ขอบคุณท่านนิโคลัส”
หากมองแต่เพียงภายนอก ผู้ใดจะทราบเล่าว่าคนผู้นี้จะคือฉินเช่อผู้มีชื่อเสียงสะท้านสะเทือนผู้นั้น?
ในสายตาของชาวจักรวรรดิเมฆา หรือแม้กระทั่งชาวพยัคฆ์เมฆาจำนวนมาก ฉินเช่อจะต้องร่างสูงใหญ่ ทั้งยังชั่วร้ายราวปีศาจ มิเช่นนั้นเขาจะมีชื่อเสียงดุจฟ้าร้องดังกรอกหูเช่นนั้นได้หรือ?
อย่างไรก็ตาม ลักษณะของฉินเช่อตอนนี้ดูราวกับชายหนุ่มจากชนบท สภาพไม่คล้ายแม่ทัพผู้กรำศึกอย่างโดดเด่นเลยแม้แต่น้อย
ในตอนนั้น เสียงกลองศึกพลันดังขึ้น กองทัพพวกเซิกที่หยุดนิ่งมาตลอดพลันส่งเสียงแปลกๆออกมา จากนั้นพวกมันจึงเคลื่อนที่มาทางกำแพงเมือง
“พี่เซียวอวี๋ ขอคำสั่งด้วย” ฉินเช่อมองดูกองทัพเซิกที่เคลื่อนเข้ามาพลางร้องขอคำสั่ง
“ยังจะมีคำสั่งใดอีก? ทั้งหมดเตรียมต่อสู้! พลราบขึ้นหน้า พลธนูแนวหลัง! ทัพอากาศประจำการด้านบน! ข้าไม่เชื่อว่าพวกมันจะตีฝ่าพวกเราได้!” เซียวอวี๋ยังคงแข็งกร้าว เขาโบกมือต่อเหล่าทัพทางด้านหลัง ไพร่พลพลันเคลื่อนพลขึ้นสู่กำแพงและประจำตำแหน่งเตรียมสู้ศึก……
ตอนที่ 538
อันที่จริง กลยุทธ์ใดๆในเวลาเช่นนี้นับว่าไม่จำเป็นแล้ว ไพร่พลทั้งหมดเปิดฉากฆ่าฟันอย่างดุเดือด
เซียวอวี๋กวาดตาสังเกตการณ์ หากวันนี้เขาพากองทัพมาไม่ทัน อาศัยเพียงกองทัพของจักรวรรดิเมฆาคงไม่อาจต้านทานได้เกินครึ่งวัน มีกำแพงหลายชั้นที่ยังไม่ทันได้ซ่อมแซม หากพวกเซิกบุกฝ่าเข้ามาได้ เมืองแห่งนี้จะกลายเป็นนรกบนดินทันที
“เพื่อเกียรติแห่งออร์ค!” ทอร์คกู่ร้องพลางพุ่งเข้าจัดการกับพวกเซิกที่ปีนขึ้นมาบนกำแพง เสาโทเทมถูกเรียกออกมาสร้างขวัญกำลังใจแก่ไพร่พล เมื่อมีเสาโทเทมนี้อยู่ ขวัญกำลังใจของทหารก็สูงเทียมฟ้า ทั้งหมดกู่ร้องพลางฟาดฟันกับพวกเซิกอย่างดุดัน
“เพื่อแสงสว่าง!” อูเธอร์ตะโกนก่อนจะเริ่มท่องบทสวดมอบบัฟให้กับทุกคน เหล่านักรบทั้งหมดรวมถึงคนที่ไม่ได้รับผลจากเสาโทเทมล้วนแต่ได้รับผลจากบัฟ
ด้วยความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้น พวกทหารต่างเลือดลมพลุ่งพล่านราวกับถูกฉีดเลือดไก่ ยิ่งมาก็ยิ่งต่อสู้ได้อย่างดุดัน
“พลธนู! เตรียม…ยิง!” เมื่อได้รับสัญญาณพลธนูที่ตั้งแถวหน้ากระดานอยู่หลังกำแพงก็ปลดสายธนูทันที ฝนธนูพุ่งสู่ท้องฟ้าก็จะตกลงใส่กองทัพเซิก
ครืน…..
ที่บนท้องฟ้า กองทัพอากาศไม่มีแม้แต่เวลาให้พักหายใจ กำลังพลที่รบได้ทุกนายถูกเข็นลงสู่สนามรบ พวกแบทไรเดอร์ อัศวินกริฟฟ่อน นักรบไวเวิร์น อสูรเขา ทั้งหมดล้วนโจมตีสุดกำลัง
พวกเซิกโถมเข้าหากำลังราวคลื่นสมุทรสาดใส่ชายฝั่ง แม้พวกมันจะล้มตายราวกับใบไม้ร่วง กระนั้นพวกมันก็ยังหนุนเนื่องมาไม่หมดไม่สิ้น เทียบกับจำนวนฝ่ายป้องกันเมืองแล้วนับว่าขู่ขวัญแก่ผู้ที่พบเห็นอย่างมหาศาล
เดิมที ขวัญกำลังใจของไพร่พลเมฆานั้นแทบไม่หลงเหลือตั้งแต่ก่อนสู้ พวกเขาต้องต่อสู้ตั้งแต่แดนข้าศึกจนถอยร่นกลับมาที่นี่ โชคดีที่กองหนุนมาได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นกองทัพคงพังทลายลงไปแล้ว
“อสูรพวกนั้นมันอะไรน่ะ? ไฉนจึงทรงพลังนัก?”
“นั่นสิ ยังมีพวกที่อยู่บนฟ้านั่น ไฉนจึงขว้างหอกได้ไกลและรุนแรงนัก? ขนาดพวกแมลงเปลือกแข็งยังถูกหอกเจาะทะลวง”
“นั่น! ดูพวกคนแคระพวกนั้นสิ นั่นมันอาวุธอะไรกัน? หรือจะเป็นปืนคาบศิลาในตำนาน? ยิงเพียงนัดเดียวก็สังหารแมลงตะขอเหล็กได้แล้ว! ขนาดธนูและหน้าไม้ทั่วไปยังไม่ระคายผิวมันเลย สุดยอดมาก”
“คนกลุ่มนั้นแปลกมาก ไฉนจู่ๆพลันกลายร่างเป็นหมี? โอ้! ตะปบครั้งเดียวก็ฆ่าแมลงได้เป็นกลุ่ม กระทืบพื้นทีเดียวผืนดินพังทลาย อ๊ะ เปลี่ยนร่างเป็นเสือดาวแล้ว รวดเร็วนัก พวกแมลงรยางค์ร่วงลงไปอีกหนึ่งแล้ว!”
“อ๊า ดูบนฟ้าสิ! โอ้พระเจ้า! นั่นมันมังกร! มังกรเต็มไปหมด! พระเจ้าทรงโปรด พระองค์ส่งกองทัพมังกรลงมาช่วยพวกเราแล้ว!”
“เป็นมังกร! มีมังกรมาช่วยพวกเรา! ครั้งนี้พวกเราชนะได้แน่!”
แม้ว่ากองทัพของเซียวอวี๋จะผสมผสานไปด้วยกองกำลังแปลกประหลาด แต่แน่นอนว่าที่สร้างความตกใจที่สุดย่อมไม่พ้นพวกคิเมร่าสองหัว เมื่อเห็นพวกมันบินผ่านกำแพงออกไป ไพร่พลที่พบเห็นต่างเลือดลมพลุ่งพล่าน
โฮก…….
พวกคิเมร่าสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนที่วินาทีถัดมาจะพ่นเปลวเพลิงและน้ำแข็งไปยังพวกเซิกที่เกาะกลุ่มกันแน่นขนัด
หากถูกโจมตีด้วยธนู พวกเซิกเพียงล้มทีละตัวสองตัว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีวงกว้างของพวกคิเมร่า พวกมันพลันหายไปในกลุ่มเพลิงหรือน้ำแข็งกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า….
การโจมตีของพวกคิเมร่าได้ผลอย่างชะงัด นับว่าสมราคายิ่ง
ตอนนี้พวกคิเมร่าบินกวาดทั่วท้องฟ้า ตำแหน่งใดที่มีพวกเซิกหนาแน่น ตำแหน่งนั้นจะเป็นเป้าหมายแรกที่พวกคิเมร่าเลือกลงมือ
ภาพอันตื่นตาตื่นใจนี้ทำให้ขวัญกำลังใจของพวกทหารพุ่งขึ้นสูง ในสายตาของพวกทหารและเหล่านักผจญภัยแล้ว พวกเขาคิดว่าพวกมันคือมังกรสองหัว
ฝูงมังกรสองหัวนับร้อยตัว ภาพที่ปรากฏนี้ช่างสั่นสะเทือนขวัญผู้คนนัก!
“สวรรค์! นี่เรื่องจริงหรือ? ลอร์ดผู้นี้เป็นใครกันแน่? ไฉนจึงครอบครองกองทัพมังกรสองหัวได้? หรือจะเป็นดั่งคำทำนาย ราชันย์แห่งผืนทวีป?”
ในตอนแรก ผู้คนมากมายต่างตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวเซียวอวี๋เนื่องเพราะว่าเขาดูไม่ได้แข็งแกร่งอะไรเลยเมื่อเปรียบเทียบกับเหล่าตระกูลเก่าแก่ หากแต่ในวินาทีนี้พวกเขาต้องเปลี่ยนความคิดไปในทันที
แม้เซียวอวี๋จะเคยใช้พวกคิเมร่าในการบุกโจมตีรัฐเว่ย หากแต่เขาใช้พวกมันเข้าโจมตีสายฟ้าแลบ และเก็บซ่อนพวกมันทันทีหลังใช้งานเสร็จ
แม้จะมีข่าวลือถูกกระจายออกมา กระนั้นกลับไม่มีผู้ใดยินยอมเชื่อว่าเซียวอวี๋เลี้ยงฝูงมังกรเอาไว้นับร้อย ในความเห็นของพวกเขาแล้ว ข่าวลวงนี้ถูกปล่อยออกมาเพื่อเสริมบารมีของเซียวอวี๋ก็เท่านั้น แต่มาตอนนี้ เมื่อได้มาเห็นพวกมันเองกับตา ทุกคนก็พลันสัมผัสได้ถึงความเล็กจ้อยของตน ต่อหน้าฝูงมังกรที่บินทะยานเต็มท้องนภา พวกเขายังจะทำอะไรได้?
ครึ่กๆ…..
เมื่อพวกคิเมร่ากวาดล้างพวกเซิกไปได้ฝูงใหญ่ พื้นดินหลายแห่งก็พลันยกตัวขึ้นมา พวกเซิกทราบแล้วว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป พวกมันจะย่ำแย่เอาได้
พวกเซิกไม่ใช่แมลงที่ไม่มีสติปัญญา กลับกัน พวกมันฉลาดอย่างมาก ดังนั้น เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดี พวกมันก็ทำการส่งกองทัพอากาศออกมาจัดการกับพวกคิเมร่าทันที
หลายคนอาจไม่ทราบว่าพวกเซิกนั้นยังมีกองทัพทางอากาศอยู่ สาเหตุที่กองทัพจักรวรรดิเมฆาแตกพ่ายอย่างรวดเร็วและสูญเสียอย่างหนักก็มาจากกองทัพอากาศเหล่านี้เอง
แม้ว่าพวกเขาจะมีพลธนูและพลหน้าไม้อยู่ไม่น้อย กระนั้นก็ไม่นับเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับจำนวนศัตรูที่มีมืดฟ้ามัวดิน
พวกทหารที่กำลังต่อสู้ต่างขนหัวลุกเมื่อได้เห็นฝูงแมลงรูปร่างมนุษย์จำนวนมากโผล่ขึ้นมาจากใต้ดิน
เมื่อเซียวอวี๋มองเห็นพวกมัน เขาก็ไม่รู้สึกเป็นกังวลแต่อย่างใด “มารดามันเถอะ ในที่สุดก็เจอกองทัพอากาศสักที คราวนี้จะได้ใช้งานจริงแล้ว”
เซียวอวี๋ยกยิ้มก่อนส่งสัญญาณมือให้พวกดราก้อนแฟร์รี่ออกโรง
ความสามารถในการโจมตีลงสู่พื้นดินของพวกดราก้อนแฟร์รี่นับว่าต่ำเตี้ยเลี่ยดิน ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ปกติแล้ว พวกมันแทบจะไม่มีบทบาทใดๆเลย
อย่างไรก็ตาม เมื่อกล่าวถึงการป้องกันทางอากาศแล้ว ดราก้อนแฟร์รี่เหล่านี้นับว่าเป็นตัวเลือกชั้นยอด!!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น