World of Warcraft ราชันต่างภพ 504-531

ตอนที่ 504

 

เมื่อได้เห็นคณบดีอีกครั้ง เซียวอวี๋ก็รู้สึกราวกับย้อนไปยังวันวานที่เคยบุกฝ่าที่นี่พร้อมกับเพื่อนๆ


คิดไม่ถึงว่าเขาจะได้มาเจอกับคณบดีมืดตัวเป็นๆ

ท่าทางของคณบดีดูสงบราวกับบัณฑิตคงแก่เรียน กระนั้นกลิ่นแผ่กลิ่นอายแห่งความมืดออกมาล้นปรี่

ครู่หนึ่งเซียวอวี๋ก็สลัดเรื่องราวในอดีตทิ้งไป เขาหันไปกล่าวกับเหล่าคนทางด้านหลัง “คนผู้นี้แข็งแกร่งยิ่ง ให้ทุกคนระวังตัว ทักษะที่ทรงพลังของเขาสามารถส่งเป้าหมายไปยังห้องใกล้เคียง แน่นอนว่าทุกห้องของที่นี่ล้วนแต่มีอันเดดจำนวนมาก”

เซียวอวี๋จัดแจงบทบาทหน้าที่ของกองทัพดังเช่นรูปแบบการต่อสู้ที่เขาเคยใช้ต่อสู้กับคณบดีมืด ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีความก้าวหน้าใดจากเดิมหรือไม่

มีบอสหลายตัวที่พัฒนาขึ้น เขาคิดว่าคณบดีมืดเองก็คงไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งสูงล้ำเพียงใด เซียวอวี๋ก็เชื่อว่าอีกฝ่ายคงไม่เก่งกาจไปกว่าผู้นำกอล็อกและออกุสตุส

เขาเคยจัดการทั้งผู้นำกอล็อกและออกุสตุสลงได้ หรือเขายังต้องเกรงกลัวอีกฝ่าย? แน่นอนว่าถึงแม้ครั้งนั้นเป็นเพราะได้รับการสนับสนุนจากนิโคลัสและลีโอนาโด ทั้งยังต้องพึ่งพาเหล่ายอดฝีมือและสมบัติวิเศษหลายชิ้น แต่ตอนนี้เซียวอวี๋ก็ได้ภาคีอาชาเหล็กมาเกื้อหนุนเช่นกัน

เหล่าอัศวินของภาคีอาชาเหล็กล้วนมีพลังทางกายภาพที่โดดเด่น ในส่วนที่เหลือ เซียวอวี๋ก็คงต้องงัดเอาของในตัวออกมาเสริม ถึงคราวยุ่งยากจริงๆ เซียวอวี๋ก็ยังสามารถนำม้วนคัมภีร์และระเบิดออกมาใช้ได้

แม้การใช้ออกด้วยสิ่งของเหล่านี้จะดูเหมือนยิ่งใหญ่ แต่แท้จริงกลับสิ้นเปลืองมากเช่นกัน เซียวอวี๋นึกอิจฉาเหล่าบรรดาตระกูลใหญ่ที่พวกเขาสามารถเข็นสมบัติมากมายออกมาใช้ได้อย่างไม่รู้สึกปวดใจ

ดูเหมือนช่องว่างของเขากับบรรดาตระกูลใหญ่อย่างตระกูลของนิโคลัสและลีโอนาโดจะยังมากมายจริงๆ

เซียวอวี๋รู้ว่าอีกไม่นานทวีปแห่งนี้จะเต็มไปด้วยความวุ่นวาย และเมื่อถึงตอนนั้นเขาคงหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับตระกูลใหญ่เหล่านั้นไม่ได้

ดูจากสถานการณ์ในปัจจุบันของเขาแล้วก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก ความสัมพันธ์ของเขากับบรรดาขุมกำลังใหญ่ล้วนแต่ย่ำแย่ ดูเหมือนว่าใครๆก็ปรารถนาใคร่จะกลืนกินเขาลงไปทั้งนั้น

อย่างไรก็ตาม บรรดาขุมกำลังใหญ่ๆเองก็ใช่ว่าจะลงรอยกันเสียทีเดียว พวกเขาต่างก็มีความขัดแย้งต่อกัน ทั้งหมดล้วนทราบดีว่า ราชันย์ที่จะบงการทวีปแห่งนี้ได้มีเพียงหนึ่งเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ขุมกำลังที่หลบงเหลือย่อมอยู่ในสถานะศัตรู

บางทีเซียวอวี๋อาจจะใช้ประโยชน์จากเส้นใยความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านี้ได้ก็เป็นได้

เรื่องในอนาคตก็เอาไว้ครุ่นคิดในอนาคตเถอะ ตอนนี้เขาต้องจัดการคณบดีมืดให้ได้เสียก่อน เซียวอวี๋เชื่อว่าด้วยประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ของโรงเรียนเนโครแมนเซอร์แห่งนี้แล้ว เขาคงได้ของติดไม้ติดมือกลับไปบ้าง แม้จำต้องทุ่มสิ่งของไม่น้อยเพื่อกำจัดคณบดีมืด แต่ตราบที่สังหารอีกฝ่ายลงได้ เซียวอวี๋ก็มั่นใจอย่างยิ่งว่าจะได้รับรางวัลก้อนโต

“พวกเจ้าเป็นใคร? ใยจึงรุกล้ำเข้ามาภายในสโคโลแมนซ์?” เสียงแหบต่ำของเกรดิ้งพลันดังขึ้น พลังหม่นมัวที่แฝงมาในเสียงถึงกับทำให้ทุกคนรู้สึกซึมเซา

“เป็นมนต์ที่ทรงพลังนัก” ทุกคนพลันสัมผัสได้ถึงความทรงอำนาจของชายชราผู้นี้

เพียงเอ่ยคำก็มีมนต์แฝงมาด้วย อีกฝ่ายไม่ธรรมดาจริงๆ

เซียวอวี๋ทราบดีว่าบอสประเภทนี้เป็นศัตรูที่รับมือได้ยากที่สุดเพราะคาถาของพวกเขาจะทำให้ศัตรูไม่อาจสำแดงพลังออกมาได้เต็มที่ บางครั้งถึงกระทั่งลดทอนจนศัตรูต้องปราชัยอย่างย่อยยับ

เมื่อก่อนเซียวอวี๋ก็เคยเผชิญหน้ากับบอสประเภทนี้ คิดไม่ถึงจริงๆว่าคณบดีมืดผู้นี้จะมีพลังประเภทนี้เพิ่มขึ้นมาด้วย นี่ไม่ดีต่อฝั่งของเขาเอาซะเลย

“ฮึ่ม กล้าใช้มนต์ต่อข้า มารดามันเถอะ คิดว่าพวกเรากลัวมนต์ของเจ้าหรือ? พวกเราล้วนแต่เป็นนักรบกล้าแกร่ง เก็บมนต์สั่วๆของเจ้าไว้ใช้กับตัวเองเถอะ พวกเรา! บุก!” เซียวอวี๋ตระหนักดี สถานการณ์เช่นนี้ไม่อาจปล่อยให้ยืดเยื้อ ดังนั้นจึงออกคำสั่งโจมตีทันที

ได้ยินคำสั่งของเซียวอวี๋ คาสโซ่ก็พุ่งออกไปเป็นคนแรก ตัวเขารับประโยชน์จากอีกฝ่ายมาไม่น้อย ดังนั้นย่อมต้องขยันขันแข็ง เขาตระหนักดีว่าศัตรูผู้นี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ ดังนั้นเขาจึงต้องเปิดฉากก่อน

“พวกเจ้าคิดจะท้าทายความยิ่งใหญ่ของสโคโลแมนซ์? ฮึ่ม ช่างไม่ประมาณตน ข้าจะให้พวกเจ้าได้เห็นเวทอันเดดที่แท้จริง” เกรดิ้งส่งเสียงหัวเราะที่ดูน่าขนลุก จากนั้นพลังเวทอันมหาศาลพลันระเบิดออกจากร่างของเขา พริบตาถัดมาแรงระเบิดอันรุนแรงก็กระแทกคาสโซ่จนลอยกระเด็นกลับไป

เกิดเสียงครืนครานดังขึ้น ฝุ่นผงทั่วห้องพลันพัดปลิว บนร่างของเกรดิ้งพลันเพิ่มเกราะกระดูกสีขาวที่ให้กลิ่นอายขนลุกแก่ผู้พบเห็นขึ้นห่อหุ้มกาย

ที่ข้างกายของเขายังปรากฏเงาร่างดำทะมึนขึ้นหลายร่างจนทำให้ทั้งหมดขนลุกชัน เงาร่างเหล่านี้พัดพลิ้วราวกับวิญญาณซึ่งมีสภาพคล้ายหมอกควัน กระนั้นความเร็วของพวกมันกลับสูงยิ่ง

เพียงครู่เดียวเงาดำเหล่านี้ก็พุ่งโถมเข้าใส่ผู้คน เมื่อเข้าประชิดตัวได้ เงามืดก็แปรสภาพส่วนหนึ่งของร่างเป็นของแหลมคมจ้วงแทงออกไป

การโจมตีนี้รวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน ไพร่พลหลายคนพลันรับบาดเจ็บหลายแห่งทันที

“ระวังตัว!” เซียวอวี๋ตะโกน จากนั้นใช้เทเลพอตไปปรากฏที่ด้านหลังเงาดำตนหนึ่งก่อนจะตวัดแอชเชสฟันลงไป

ชี่ชี่ชี่….

เกิดควันลอยขึ้นเมื่อต้องรับการโจมตีที่เป็นปฏิปักษ์ เงาดำนั้นพลันถูกพลังศักดิ์สิทธิ์แผดเผาจนมอดไหม้

“พวกมันแพ้เวทแสงสว่าง เหล่าอัศวินหัตถ์เงิน ถึงตาพวกเจ้าแล้ว!” เมื่อเห็นพวกมันแพ้เวทธาตุแสงดังคาด เซียวอวี๋ก็ไม่รอช้าที่จะส่งกลุ่มพาลาดินอันแข็งแกร่งออกต่อกร มีทั้งอูเธอร์และเหล่าพาลาดินอยู่ที่นี่ เขาก็ไม่กังวลแล้ว

ด้วยคำสั่งของเซียวอวี๋ อูเธอร์ก็ร่ายมนตร์มอบบัพให้ทุกคนและเปิดใช้รัศมีแห่งแสง

โอ……

แสงสว่างที่ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของอูเธอร์ทำให้พวกเงาดำเร่งถอยหนีอย่างหวาดกลัว

เกรดิ้งเองก็ไม่นิ่งเฉย บนใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มประหลาดขึ้นวูบหนึ่ง เวทมนตร์บทหนึ่งปะทุขึ้น กลุ่มฝนเพลิงพลันตกใส่เหล่าไพร่พล

“กระจายออก!” เซียวอวี๋ตะโกนด้วยเสียงอันดัง อย่างไรก็ตาม ขณะที่เหล่าไพร่พลกำลังจะหลบนั้นเอง พวกเขาก็พบว่ามีบางสิ่งเกิดการระเบิดขึ้นที่ใต้ฝ่าเท้า…..

 

 

 


ตอนที่ 505

 

“บัดซบ นั่นมันอะไร?” เซียวอวี๋มองดูเหล่าแมลงประหลาดที่จู่ๆก็โผล่ขึ้นจากพื้นดินอย่างกังวล แม้แมลงเหล่านี้ดูธรรมดาเหมือนไม่มีอะไร แต่สีที่ดำสนิทของมันก็ทำให้ดูแปลกตาอย่างยิ่ง


อย่างไรก็ตาม เซียวอวี๋ได้ฉวยโอกาสที่พวกมันเพิ่งขึ้นมาและไม่ทันระวังโจมตีเข้าใส่พวกมัน

“บิดาเป็นพยัคฆ์ไม่ใช่ลูกแมว ต่อให้เกรดิ้งจะมีทักษะทรงพลังแค่ไหนก็ยังตายได้อยู่ดี…คาสโซ่ ไม่ต้องพยายามฆ่าพวกเงานั่นแล้ว แค่คอยถ่วงพวกมันตอนที่คนอื่นๆโจมตีเกรดิ้งก็พอ” เซียวอวี๋สั่งการต่อ

การโจมตีของเกรดิ้งเป็นการโจมตีด้วยเวทมนตร์แบบหมู่ ไม่ใช่การโจมตีเป้าหมายเดี่ยวอย่างรุนแรง แม้ว่าโล่ของคาสโซ่จะไม่มีอำนาจคุกคาม แต่เขาก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดีในการซื้อเวลาจากเกรดิ้ง

ครืน……

ฟีนิกซ์เพลิงพุ่งเข้าชนใส่ร่างของเกรดิ้งและผลักให้เขาต้องก้าวถอยหลังไป แน่นอนว่าฟีนิกซืเพลิงตัวนี้ย่อมเป็นฝีมือของคาเอล

ในเวลานี้ไม่มีวิธีใดดีไปกว่าการโจมตีเต็มกำลังและกำจดเกรดิ้งโดยเร็วที่สุดอีกแล้ว

เซียวอวี๋ย่อมไม่ขาดแคลนผู้เข้มแข็งในสังกัด เมอีฟ กรอม ทิรันด้า อิลิดันและคาเอลล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือเชิงรุกที่แข็งแกร่ง เซียวอวี๋ไม่ได้นับรวมมังกรน้อยเข้าไปในการโจมตีเกรดิ้ง หากแต่ปล่อยให้มันไปจัดการกับพวกเงาดำ

เซียวอวี๋ทราบว่าเกรดิ้งย่อมไม่มีทักษะเพียงเท่านี้ เขายังมีไพ่ตายซุกงำเก็บไว้ มังกรน้อยเองก็เป็นไพ่ตายของเซียวอวี๋เช่นกัน

“เหล่าศิษย์แห่งข้าเอย จงลุกขึ้นมาจากหลุมของพวกเจ้าและกำจัดพวกมันเสีย” เกรดิ้งตะโกนขณะที่ร่างกายของเขาปลดปล่อยพลังงานแปลกประหลาดออกมา

“เพื่อความรุ่งโรจน์แห่งสโคโลแมนซ์!” พร้อมกันกับเสียงตะโกนของเกรดิ้ง เหล่าศิษย์นับไม่ถ้วนต่างก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน ทั้งหมดล้วนแต่อยู่ในชุดดคลุมสีดำที่ปลดปล่อยกลิ่นอายขมุกขมัวออกมา ที่เหลืออยู่ล้วนเป็นเพียงซาก พวกเขาทั้งหมดกลายเป็นอันเดดไปแล้ว

“มังกรน้อย อูเธอร์ พวกเจ้าไปจัดการพวกมัน” ไม่ต้องคิดมาก เซียวอวี๋ก็ออกคำสั่งโจมตีทันที

จำนวนศิษย์ของสโคโลแมนซ์นั้นมีมากมาย นั่นจึงยากที่จะรับมือได้ทั้งหมด ไม่เพียงเท่านั้น ทั้งหมดยังตายเป็นอันเดดไปแล้ว พวกเขาไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดหรือหวาดกลัวใดๆ ดังนั้นทุกการโจมตีจึงเป็นการโจมตีแบบแลกชีวิต

แม้ว่าภาคีหัตถ์เงินจะได้รับการฝึกจากอูเธอร์ไปบ้างแล้ว แต่ต่อหน้าศัตรูที่มากมายจนดูไม่หมดไม่สิ้นเช่นนี้พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้มาก

อย่างไรก็ตาม เหล่าสมาชิกใหม่ของภาคีต่างก็มีขวัญกำลังใจดี ภายใต้บัพของอูเธอร์ พวกเขาก็พุ่งเข้าต่อสู้กับพวกอันเดดอย่างกล้าหาญ สำหรับพวกเขาแล้ว การรบครั้งนี้นับเป็นเกียรติประวัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาที่ได้ทำสงครามกับพวกอันเดดภายใต้การนำของอูเธอร์

และด้วยการนำของอลอนโซ่ ภาคีหัตถ์เงินก็เป็นกองกำลังหลักที่เข้าโรมรันกับพวกศิษย์อันเดด ขณะที่กองกำลังอื่นๆจะคอยสนับสนุน

เวทแสงสายแล้วสายเล่าพุ่งเข้าถล่มใส่พวกศิษย์อันเดดและเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นขี้เถ้า ทุกคราที่สมาชิกของภาคีหัตถ์เหล็กสังหารอันเดดศิษย์ลงได้ พวกเขาก็จะพึมพำ “ขอจงสู่สุขคติ” แทนคำว่า “ชำระล้างสิ่งชั่วร้าย” ที่เคยใช้ในกองกำลังอัศวินสีชาด

คำสวดที่แปรเปลี่ยนก็ได้เปลี่ยนแนวคิดของพวกเขาด้วยเช่นกัน พวกเขาไม่ใช่กองกำลังอัศวินสีชาดที่กระหายการฆ่าฟันอีกต่อไป แต่เป็นภาคีหัตถ์เงินที่ดำรงอยู่เพื่อพิทักษ์ธรรม

ที่สนามรบอีกด้านหนึ่ง เมอีฟ อิลิดันและคนอื่นๆก็โอบล้อมเกรดิ้งเอาไว้

แม้เกรดิ้งจะเรียกเงาดำมากมายออกมาปกป้อง กระนั้นก็ยังมีการโจมตีเล็ดลอดเข้าไปตกกระทบบนเกราะกระดูกขาวของเกรดิ้ง

พลังป้องกันของเกราะกระดูกขาวนั้นสูงมาก

แม้จะรับการโจมตีเข้าไปหลายครั้งก็ยังไม่สามารถสร้างบาดแผลให้กับเกรดิ้งได้ เกรดิ้งยังคงร่ายเวทโจมตีใส่ทั้งหมดอย่างไม่สะทกสะท้าน

แม้เกรดิ้งจะเป็นเนโครแมนเซอร์และเวทมนตร์ที่ถนัดจะเป็นการอัญเชิญ กระนั้น เวทมนตร์สายอื่นๆของเกรดิ้งก็ไม่ได้อ่อนด้อยแต่อย่างใด

“หึหึหึ….ศัตรูแห่งข้าเอย จงฟังคำข้า” ในตอนนั้นเอง จู่ๆเกรดิ้งก็ระเบิดเสียงหัวเราะที่แฝงมนต์ในเสียงออกมา

ทุกคนพลันรู้สึกมึนงงในศีรษะราวกับวิญญาณกำลังถูกบางสิ่งฉุดดึงออกไป

การเคลื่อนไหวของคนทั้งหมดพลันหยุดชะงัก แววตาของคาร์นพลันเปล่งแสงสีเขียวก่อนจะหันไปมองเหล่าฮีโร่ที่อยู่ใกล้เคียง

จู่ๆคาร์นก็สับขวานในมือเข้าใส่กรอมที่อยู่ใกล้ๆ

“อะไรของเจ้า?” กรอมตกตะลึงเพราะคาดไม่ถึง กระนั้นการตอบสนองของเขาก็ยังว่องไวและหลบหลีกได้ทัน

เมื่อการโจมตีแรกพลาดเป้าไป คาร์นก็เหวี่ยงขวานเข้าใส่เมอีฟที่อยู่ใกล้ในลำดับถัดมา

ด้วยความคล่องตัวของเมอีฟแล้ว แน่นอนว่านางย่อมหลบได้อย่างสบายๆ ทำให้ขวานของคาร์นจามเข้าใส่ผนังที่ด้านหลัง

“บัดซบ ในที่สุดมันก็เผยไพ่ในมือแล้ว” เซียวอวี๋คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเลือกทิ้งไพ่เร็วเช่นนี้

“คาสโซ่ เจ้าเข้าไปสกัดคาร์นเอาไว้ เขาถูกควบคุมจิตใจ ที่เจ้าต้องทำก็แค่ถ่วงเขาเอาไว้ ไม่ต้องโจมตีให้บาดเจ็บ”

ในตอนนี้ เงาดำนั้นถูกกำจัดจนหมดสิ้นแล้ว ดังนั้นความกดดันทางด้านของคาสโซ่จึงมีไม่มาก

ตอนนี้คาร์นถูกเวทมนตร์ควบคุมจิตใจเอาไว้ และด้วยผลของมนตร์ดำนี้เอง ความแข็งแกร่งของคาร์นก็มากขึ้นกว่าปกติ

ตอนนี้มีเพียงโล่ของคาสโซ่ที่สามารถต้านทานการโจมตีของคาร์น นอกจากนี้ คาสโซ่ยังอยู่ในขั้นที่หก ขณะที่คาร์นนั้นอยู่เพียงขั้นที่ห้า และถึงแม้ว่ามนตร์ดำจะสามารเพิ่มความแข็งแกร่งให้คาร์นได้ แต่นั่นก็ยังอยู่ในระดับที่คาสโซ่สามารถรับมือไหว

“ทั้งหมดโจมตีไปที่เกรดิ้งและกำจัดเขาให้ได้โดยเร็ว!” เซียวอวี๋ตะโกนสั่งการ

ทว่าก่อนที่ทุกคนจะลงมือโจมตีนั้นเอง บอลแสงสีเขียวก็พลันปรากฏขึ้นในมือของเกรดิ้งก่อนที่มันจะพุ่งไปยังหน้าผากของคาเอล ไม่นานแววตาของคาเอลก็เปล่งแสงสีเขียว เขาแสยะยิ้มแปลกๆก่อนจะหันไปลงไม้ลงมือกับเหล่าสหายร่วมรบ

เหตุการณ์สร้างความตกตะลึงให้กับเซียวอวี๋มาก

คาเอลนั้นไม่เหมือนกับคาร์น คาร์นมีเพียงการโจมตีระยะประชิด ไม่มีระยะไกล ดังนั้นเพียงคาสโซ่ก็รับมือได้ ทว่าคาเอลนั้นเป็นจอมมนตราผู้ทรงพลัง

ยิ่งได้รับการหนุนเสริมจากมนต์ดำในเวลานี้ด้วยแล้ว พลังโจมตีของเขาก็รุนแรงจนยากจะต้านทาน เขายังอันตรายยิ่งกว่าคาร์นเสียอีก

“กระจายกำลัง! พวกดรูอิดให้โอบล้อมและร่ายเวทหลับใหลใส่คาเอลซะ!” เซียวอวี๋รีบตะโกนสั่งการ เวลานี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำให้คาเอลหลับไปก่อน

แม้ว่าคาเอลจะทรงพลัง กระนั้นก็ยังไม่มีความสามารถต้านทานเวทมนตร์โดยสมบูรณ์ ยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับเวทหลับใหลจำนวนมากในเวลาเดียวกันด้วยแล้ว แม้จะทำให้เขาหลับได้ไม่นาน กระนั้นก็น่าจะเพียงพอต่อการจัดการกับเกรดิ้ง

เหตุการณ์เป็นไปตามแผน คาเอลวูบหลับไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกรดิ้งเพียงแค่นเสียงและหันไปร่ายมนต์ใส่อิลิดัน ความแข็งแกร่งของอิลิดันนั้นไม่มีข้อกังขา หากว่าเขาถูกควบคุมจิตใจได้แล้วล่ะก็ มันจะเป็นหายนะทันที

ทว่าไม่นาน ใบหน้าที่หยิ่งทะนงของเกรดิ้งก็แปรเปลี่ยนเป็นสับสน หลังจากร่ายมนต์ใส่อิลิดันแล้ว มันกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่อย่างใด

“นี่เป็นไปได้อย่างไร?” เกรดิ้งไม่อาจทำใจเชื่อได้ลง

อิลิดันแค่นเสียง “ข้าเป็นตัวตนที่ไร้ซึ่งวิญญาณ คิดจะควบคุมวิญญาณของข้างั้นรึ? ฝันไปเถอะ”

“อา….ปีศาจ เจ้ามีพลังชั่วร้ายที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร? เจ้าเป็นผู้ใดกัน?”

เกรดิ้งพลันสัมผัสได้ถึงพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างของอิลิดันและโพล่งออกมาอย่างตกตะลึง

อิลิดันไม่ตอบคำ หากแต่ตอบด้วยการสะบัดดาบเข้าฟาดฟัน……

 

 

 


ตอนที่ 506

 

“ฮึ่ม สารเลว!” เมื่อถูกโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว เกรดิ้งก็รับการโจมตีเข้าอย่างจัง

การโจมตีของอิลิดันยิ่งมายิ่งดุดัน เกรดิ้งย่อมหลบไม่ได้ทั้งหมด ด้วยเหตุนั้นจึงมีหลายครั้งที่ถูกโจมตี อย่างไรก็ตาม อิลิดันนั้นสามารถดูดซับเวทมนตร์ระหว่างต่อสู้ได้ และยิ่งการต่อสู้ดำเนินนานขึ้น เวทมนตร์ของเกรดิ้งก็ลดฮวบลงอย่างน่ากลัว

“สารเลว ลงนรกไปซะ!” เกรดิ้งแผดเสียงด้วยโทสะ

ครืน…

มิติในอากาศเกิดการสั่นไหวก่อนที่ผู้คนในห้องบางส่วนจะหายตัวไป

“เคลื่อนย้าย….” เซียวอวี๋ทราบว่านี่เป็นเวทเคลื่อนย้ายของเกรดิ้ง

“ไปดูที่ห้องอื่นๆ ช่วยพวกเขา!” เซียวอวี๋ตะโกนสั่งพลางนำแอชเชสออกมาก็จะพุ่งตัวออกไป

ในเวลาเดียวกัน เกรดิ้งก็เสมือนลูกธนูที่ยิงสุดหล้าแล้ว เซียวอวี๋ตัดสินโจมตีเพื่อเร่งกำจัดอีกฝ่าย

ทุกคนพลันปลดปล่อยการโจมตีอันทรงพลังเข้าใส่เกรดิ้ง ขณะเดียวกัน คาร์นก็หลุดจากมนต์สะกดได้ในที่สุด ต้องตกอยู่ใต้มนต์สะกดของเกรดิ้ง คาร์นรู้สึกอัปยศอย่างที่สุด และเพื่อล้างอาย เขาพลันกู่ร้องพลางควงขวานพุ่งโถมเข้าใส่เกรดิ้งอย่างดุดัน

ตูม….. ครืน…

แม้ว่าทั้งหมดจะลงมือกลุ้มรุม กระนั้นเกราะกระดูกขาวของเกรดิ้งก็ทรงพลังอย่างแท้จริง พวกเขาไม่อาจสังหารเกรดิ้งโดยง่าย

ในช่วงชุลมุนนั้น เมอีฟและอิลิดันก็ปลดปล่อยการโจมตีที่รุนแรงที่สุดและสร้างความเสียหายให้กับเกรดิ้งอย่างรุนแรง

“เด็กน้อย พวกเจ้าเล่นสนุกนานพอแล้ว ความสามารถของพวกเจ้าช่างน่าผิดหวังเสียจริง” เวลานี้เอง เอกวินน์ที่ชมดูการต่อสู้จากด้านข้างก็พลันลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินเข้าสู่สนามรบ นางพลันยกมือชี้ไปยังเกรดิ้ง

ร่างกายของเกรดิ้งพลันถูกเวทมนตร์ของเอกวินน์เข้าห่อหุ้มจนชะงัก เขาไม่อาจขยับได้แม้แต่นิ้วเดียว ทำให้คนอื่นๆโจมตีใส่เขาอย่างไร้กังวล

“โอ…” ทั้งหมดต่างมองเอกวินน์อย่างนับถือ พวกเขาทุ่มเทพยายามอยู่นานสองนาน ทว่าเพียงความเคลื่อนไหวเรียบง่ายครั้งเดียวของเอกวินน์กลับทำให้เกรดิ้งแน่นิ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้ง

สมกับเป็นจอมมนตราอย่างแท้จริง

“อ…อะ…จะ…เจ้า…” เกรดิ้งพยายามเค้นเสียงในลำคอ

จากนั้นเอกวินน์ก็เริ่มร่ายเวท ไม่ช้าใบหน้าของเกรดิ้งก็บิดเบี้ยวราวกับทุกข์ทรมาณอย่างหนัก

ร่างกายของเกรดิ้งพลันเปล่งแสงสีเขียวออกมา แสงที่เปล่งออกมานี้ไม่ใช่แสงจากพลังเวทหากแต่เป็นไฟวิญญาณของเกรดิ้ง

ไฟวิญญาณค่อยๆล่องลอยออกมารวมกันเป็นก้อน เอกวินน์โบกมือวูบหนึ่งและดูดซับเอาเพลิงกลุ่มนี้ไป บนปลายนิ้วของนางปรากฏเปลวเพลิงอันเจือจางที่เปล่งแสงสีเขียวออกมา

ใบหน้าของหลินมู่เสวี่ยที่เป็นเจ้าของร่างในเวลาแลดูชั่วร้ายอย่างมาก

จากนั้นครู่หนึ่ง เอกวินน์ก็โยนเพลิงนั้นเข้าปากตามด้วยยกไวน์ขึ้นจิบตามอย่างสง่างาม

พรึ่บ!

ร่างกายของเอกวินน์เปล่งแสงสีเขียว ทว่าไม่นานก็จางหายไปราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

เมื่อเอกวินน์กลืนเปลวเพลิงนั้นเข้าไป บรรยากาศโดยรอบก็กลายเป็นเงียบงัน พวกศิษย์อันเดดและเงาดำแปรเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่านลอยไปตามสายลม

การต่อสู้อันดุเดือดพลันจบลง……

เซียวอวี๋อ้าปากค้าง พลังของเอกวินน์ทำให้เขาถึงกับสติหลุดลอย

เอกวินน์หันมามองเซียวอวี๋ที่ตะลึงงันก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ “จบแล้ว…เจ้าไม่ไปเก็บของหรือ? ที่นี่ย่อมมีของดีอยู่บ้าง”

หลังจากนั้นเอกวินน์ก็เดินกลับไปยังเก้าอี้ก่อนจะเอนกายหลับตาพักผ่อน

เซียวอวี๋แค่นเสียงแต่ไม่กล้าปริปาก เขาหันไปโบกมือสั่งการให้ทั้งหมดเริ่มตรวจค้นสถานที่

ในฐานะโรงเรียนศาสตร์มืดที่ใหญ่ที่สุดแล้ว มันคงเป็นเรื่องแปลกที่จะไม่มีของล้ำค่าอยู่เลย

หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เอกวินน์ก็ลืมตาขึ้นก่อนจะถอนหายใจ

“กว่าหมื่นปีแล้ว เวลาช่างนานนัก พลังวิญญาณของข้าเหลืออีกไม่มาก พลังส่วนใหญ่ก้ส่งต่อให้บุตรของข้าเมดีฟไปแล้ว คงใกล้ถึงเวลาของข้าแล้วกระมัง?”

สายตาของนางจับจ้องอยู่ที่เพดาน ขณะจมอยู่ในความคิด

นางทราบว่าทั้งหมดนี้เป็นโชคชะตาที่นำพาดุจเดียวกับที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน นางหมกมุ่นอยู่กับการเป็นผู้พิทักษ์ของทวีป หมกมุ่นอยู่กับการพัฒนาพลังจนสุดท้ายกระทั่งต้องสูญเสียเพราะพลังของตัวเอง

กระทั่งการสานสัมพันธ์กับอีลานก็เพื่อยกระดับพลังของตัวนางเอง นางและอีลานได้ให้กำเนิดบุตรที่เปี่ยมพรสวรรค์ เมดีฟ หากแต่เมดีฟก็ถูกสาปโดยปีศาจร้าย

ซาแกรลาส ปีศาจร้ายที่นางเคยคิดว่ากำจัดจนสิ้นซากแล้ว กลับใช้นางเป็นเครื่องมือ….เครื่องมือที่จะใช้ทำลายโลกใบนี้

บุตรชายของนาง เมดีฟกลับต้องมารับกรรม แม้นางจะทุ่มเททุกอย่างแล้วก็ไม่อาจช่วยเขาไว้ได้ สุดท้ายนางค่อยตระหนักได้ว่า เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะความยึดติดที่มากเกินไปของนางเอง

หากไม่ใช่เพราะชิงชังความชั่วร้ายอย่างลึกล้ำและเพื่อให้ได้ครอบครองพลังอันไร้เทียมทาน นางก็คงไม่ต้องเผชิญหน้ากับซาแกรลาสจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมเช่นนี้

แต่โชคดีที่ผลลัพธ์สุดท้ายไม่ได้ออกมาเลวร้ายและนำไปสู่การล่มสลายของทวีป ในจุดนับว่าทำให้นางโล่งอกมาก

ต่อมา ทวีปก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลายครั้ง ตอนนี้ก็เป็นเวลากว่าหนึ่งหมื่นปีแล้ว

ทวีปนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เหล่าวีรบุรุษและเหล่าทหารหาญในอดีตไม่ดำรงอยู่อีกต่อไปหรือไม่พวกเขาก็อาจจะกลับมาในอัตตลักษณ์ใหม่ ไม่เหมือนเดิมอีก

เอกวินน์หันไปมองดู กรอม ทิรันด้าและคาเอล คนพวกนี้นางย่อมคุ้นเคยดี ทว่าตอนนี้พวกเขากลับสูญสิ้นซึ่งความทรงจำในอดีต

หรือว่าคำพยากรณ์จะเป็นจริง?

เมื่อครั้งยังเยาว์ เอกวินน์นั้นไม่เคยเชื่อในโชคชะตาหรือคำทำนายใด นางคิดว่าตราบที่นางมีอำนาจ นางก็สามารถกระทำได้ทุกสิ่ง ทว่าตอนนี้นางเข้าใจแล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับโชคชะตา นางก็ทำได้เพียงปล่อยให้มันพัดพาไปดุจกระแสน้ำ

คำพยากรณ์นั้นกล่าวไว้ว่า เหล่าวีรชนจะหวนกลับคืน และเมื่อถึงตอนนั้น โลกก็จะไม่ใช่โลกที่เคยเป็นอีก จะเกิดการเปลี่ยงแปลงครั้งใหญ่ สงครามจะแปรเปลี่ยนทั้งดวงดาว โลกจะกลายเป็นโลกใบใหม่

แผ่นดินจะถูกผนวกรวม มหากษัตราจะจุติและนำเหล่าวีรชนครั้งอดีตรวมทวีปและต่อต้านหายนะ

มหาราชันองค์ที่ว่าคงไม่ใช่เจ้าหนุ่มนี่หรอกนะ? หากบอกว่าเขาเป็นดาวแห่งอันธพาลนางยังจะเชื่อเสียมากกว่า

เมื่อลองเทียบกับเหล่าราชาปราดเปรื่องที่เคยเจอมา เอกวินน์คิดว่า เซียวอวี๋ผู้นี้ยังไม่คู่ควรแม้แต่เป็นคนหิ้วรองเท้าให้พวกเขา

ตัวนางเคยเป็นพยานการผงาดขึ้นของราชาผู้ยิ่งใหญ่มาแล้วมากมาย แต่ทั้งหมดล้วนแต่มีข้อบกพร่อง บางคนเหี้ยมโหด บางคนโลภโมโทสัน กระนั้นก็ยังไม่เคยมีแบบเซียวอวี๋

นางจินตนาการไม่ออกว่าเมื่อเซียวอวี๋สวมมงกุฏแล้วจะเป็นอย่างไร แต่มันคงเป็นภาพที่ตลกไม่น้อย

นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา นี่คงเป็นการเล่นตลกของโชคชะตา กระทั่งคนเช่นนี้ก็ยังเป็นราชาได้หรือ?

‘ท่านคิดว่าเขาใช่มหาราชันในคำพยากรณ์นั้นหรือไม่?’ ในห้วงแห่งความคิด หลินมู่เสวี่ยเอ่ยถามเสียงเบา เป็นเพราะตอนนี้พวกนางใช้ร่างร่วมกัน วิญญาณของทั้งสองจึงเกิดการทับซ้อน ดังนั้น เมื่อเอกวินน์คิดอะไร หลินมู่เสวี่ยก็จะรับรู้โดยปริยาย เว้นเสียแต่เอกวินน์จะใช้บางสิ่งสกัดกั้น

อย่างไรก็ตาม เอกวินน์ไม่ได้ปกปิด หลังจากอยู่ด้วยกันมาพักหนึ่ง นางก็รู้สึกเอ็นดูมู่เสวี่ย มู่เสวี่ยช่างเป็นเด็กหญิงที่ใจดีและบริสุทธิ์อย่างแท้จริง

ทางด้านมู่เสวี่ยเองก็ทราบว่าเอกวินน์จะไม่ทำร้ายนาง ดังนั้นทั้งสองคนจึงเข้ากันได้ดี ลึกๆในใจแล้ว มู่เสวี่ยยังรู้สึกเห็นใจกับชะตากรรมของเอกวินน์ยิ่ง

ในระหว่างที่วิญญาณของเอกวินน์พักผ่อน มู่เสวี่ยก็ได้อ่านความทรงจำทั้งหมดของเอกวินน์ ทั้งห้วงแห่งความสุขและเศร้า

ชีวิตของเอกวินน์นั้นถือเป็นตำนานบทหนึ่งอย่างแท้จริง หากเปลี่ยนเป็นนาง นางคงไม่อาจทนทานรับไหว

ชีวิตของเอกวินน์นั้นไม่เหมือนใคร ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจลอกเลียน

กระทั่งไจน่า ทิรันด้าและคนอื่นๆก็ไม่อาจเทียบได้

อย่างไรก็ตาม การที่สามารถแบ่งปันความรู้และประสบการณ์กับเอกวินน์ได้ก็ทำให้มู่เสวี่ยมีความสุขมาก

ตอนนี้ เมื่อมู่เสวี่ยรับรู้ความคิดของเอกวินน์ก็อดถามออกไปไม่ได้ สุดท้ายแล้ว หากว่าในอนาคตสามีของนางได้เป็นมหาราชันของทวีป สตรีใดบ้างที่จะไม่รู้สึกภาคภูมิและมีความสุข

เอกวินน์ที่รับรู้ความคิดของมู่เสวี่ยได้ก็เผยยิ้มบาง “เมื่อก่อนข้าไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตา ทว่าตอนนี้เชื่อแล้ว ทุกสิ่งไม่อาจหลีกหนีจากชะตากรรม ไม่ว่าจะดีหรือจะร้าย มันก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลง”

‘เช่นนั้น ท่านหมายความว่าเขาจะกลายเป็นมหาราชันแห่งยุค?’ มู่เสวี่ยอดถามย้ำไม่ได้

เอกวินน์เพียงยิ้ม แต่ไม่ได้ตอบคำ ทั้งสองต่างเงียบไป ทอดตาไปยังเบื้องหน้า บุรุษที่ถูกทำนายว่าจะกลายเป็นมหาราชันนั้นกำลังใช้เท้าเหยียบกล่องสมบัติพลางเงยหน้าหัวเราะอย่างอหังการราวกับชีวิตนี้ไม่เคยพบเคยเจอสมบัติอย่างไรอย่างนั้น…..

 

 

 


ตอนที่ 507

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้ารวยแล้ว! ข้ารวยแล้ว!” เซียวอวี๋ยิ้มจนตาหยีขณะที่กวาดมองกองสมบัติที่ได้จากสโคโลแมนซ์ แล้วนี่จะไม่ให้เขายินดีได้อย่างไร?

ยังไม่ต้องกล่าวถึงสิ่งอื่น เพียงวัตถุดิบในการแปรธาตุแต่ละชิ้นก็มีมูลค่ามหาศาลแล้ว กลับไปครั้งนี้ ตาแก่ฮิกกิ้นคงลุกขึ้นเต้นด้วยความยินดี แม้ว่าเซียวอวี๋จะเอาไม้หวดตี ตาแก่นั่นคงไม่ปล่อยมือจากกองสมบัติเหล่านี้แน่

นอกจากนั้นแล้ว ม้วนคัมภีร์เวทที่พบก็ทำให้เขาดีใจจนเนื้อเต้น ย้อนกลับไปเมื่อก่อน ม้วนคัมภีร์ที่ได้รับมาจากธีโอดอร์นั้นมีส่วนช่วยเขามาก แต่น่าเสียดายที่มันไม่ได้มีมากมายอะไร ซึ่งเซียวอวี๋ก็ใช้มันจนหมดสิ้นแล้ว ทว่ามาตอนนี้ เขาก็ได้มันมาเพิ่ม นี่ทำให้เขามีความมั่นใจในยามคับขันมากขึ้น

แม้กล่าวได้ว่าตอนนี้ พลังโดยรวมของเซียวอวี๋นั้นก็ไม่เลว แต่เหลือก็ดีกว่าขาดไม่ใช่หรือ?

เหล่านักรบใต้สังกัดของเขาต่างก็คุ้นเคยกับการค้นสมบัติ ประสาทสัมผัสก็ไวต่อสมบัติมากจนมีทักษะแทบไม่ต่างจากกองโจรแล้ว

ประกอบกับมีพวกก๊อบลินอยู่ด้วย สมบัติที่ซุกซ่อนตามที่ลับต่างๆจึงถูกขนออกมาอย่างไม่ยากเย็น

“นายท่าน! นายท่าน! ท่านดูสิว่าข้าพบอะไร” คาร์นร้องตะโกนวิ่งเข้ามาขณะที่แบกกล่องสมบัติหลายกล่องมาด้วย คาร์นนั้นแข็งแรงยิ่ง เพียงลำพังก็หอบกล่องสมบัติมานับสิบ เมื่อมาถึงก็โยนกล่องสมบัติลงพื้นดังตึงตัง

“อะไร?” เซียวอวี๋มองดูคาร์นที่มีท่าทีตื่นเต้นแล้วก็อดบังเกิดความสนใจขึ้นไม่ได้ นั่นเพราะปกติแล้วคาร์นมักไม่ค่อยสนใจอะไรเช่นนี้

คาร์นฉีกยิ้มให้เซียวอวี๋ก่อนจะกล่าวว่า “นายท่าน มันเป็นเกราะ เกราะกระดูกขาว!”

“เกราะกระดูกขาว?” เซียวอวี๋ขมวดคิ้ว จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเกรดิ้งเองก็สวมใส่เกราะกระดูกขาวอยู่ เกราะนั้นทั้งแข็งแกร่งและยากจะทำลาย

เซียวอวี๋หยิบชุดเกราะกระดูกขาวขึ้นมาดู เขาคิดไม่ถึงว่าที่นี่ถึงกับมีชุดเกราะกระดูกขาวตัวอื่นๆอยู่ด้วย

หากว่าชุดเกราะทั้งหมดแข็งแกร่งถึงระดับที่ได้เห็นจริงๆ เช่นนั้นเซียวอวี๋ก็รับทรัพย์ก้อนโตแล้ว ชุดเกราะกระดูกขาวของเกรดิ้งนั้น กระทั่งการโจมตีจากขั้นที่หกก็ยังทำลายไม่ง่ายนัก

เซียวอวี๋เปิดกล่องและเห็นชุดเกราะวางเรียงรายแน่นขนัด ทว่าในแง่ของคุณภาพนั้น มันแย่กว่าของเกรดิ้งสวมใส่

กระนั้นก็ยังไม่เลว เกราะเหล่านี้ยังแข็งแกร่งกว่าเกราะทั่วไปเสียอีก

เซียวอวี๋ค่อยๆตรวจนับ ทั้งหมดมีจำนวนถึงสี่ร้อยชุดด้วยกัน

ด้วยจำนวนที่มากขนาดนี้ มันเพียงพอสร้างกองกำลังขนาดย่อมได้เลย

เซียวอวี๋หันไปมองเหล่านักรบของกลุ่มอาชาเหล็กของคาสโซ่ เขายิ้มก่อนจะกล่าวว่า “คาสโซ่ ท่านต้องการสร้างกองกำลังเกราะกระดูกขาวหรือไม่?”

คาสโซ่ที่สั่งการคนของเขาอยู่ไม่ไกล เมื่อได้ยินคำถามของเซียวอวี๋ก็หันกลับมา เมื่อได้เห็นก็พลันเข้าใจ เขาอึกอักเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “เจ้า…เจ้าจะยกพวกมันทั้งหมดให้ข้า?”

เซียวอวี๋มองชุดเกราะที่กลุ่มอาชาเหล็กสวมก่อนจะกล่าวว่า “แม้เกราะของพวกท่านจะดี แต่เกราะกระดูกพวกนี้ดีกว่า”

“ตะ…แต่นี่มันล้ำค่าเกินไป” แม้คาสโซ่จะคุ้นเคยกับความใจกว้างของเซียวอวี๋บ้างแล้ว แต่ครั้งนี้ก็ทำให้เขาตื่นตะลึงอยู่ดี

เซียวอวี๋ยิ้มก่อนจะกล่าวว่า “ทุกคนต่างก็มีความดีความชอบร่วมกัน พวกท่านก็สมควรได้รับสิ่งตอบแทน ทั้งเกราะพวกนี้ก็ยังเหมาะกับพวกท่านยิ่ง ใส่แล้วจะต้องเข้ากันแน่ ข้าแทบอดใจรอชมไม่ไหวแล้ว ฮ่าฮ่า…”

เซียวอวี๋ไม่เพียงแต่จะซื้อใจคาสโซ่ เขายังซื้อใจเหล่าลูกน้องของคาสโซ่ด้วย เซียวอวี่ตระหนักดีกว่า นักรบกลุ่มนี้ แต่ละคนล้วนไม่ธรรมดา หนึ่งคนเทียบได้กับนักรบร้อยคน

“แต่…นี่…น้องชายเซียว ของพวกนี้มูลค่าสูงเกินไป…” คาสโซ่รู้สึกว่ารับไว้ไม่ได้ ก่อนหน้านี้เขาก็เคยรับของล้ำค่ามาจากเซียวอวี๋แล้วบอกว่าจะตอบแทน แต่นี่ไม่ทันไรก็จะไปรับของเขามาอีกแล้ว?

เซียวอวี๋หัวเราะ “พี่ชายคาสโซ่วางใจเถอะ ข้าเพียงแค่คิดว่าเกหราะเหล่านี้เหมาะกับพวกท่าน หากว่าท่านลำบากใจ เช่นนั้นสมบัติที่พบหลังจากนี้ก็ขอให้ข้าแล้วกัน”

เซียวอวี๋รับรู้ความลำบากใจของคาสโซ่ ดังนั้นเขาจึงไม่เร่งรีบที่จะให้อีกฝ่ายมาเข้าร่วม เขาจะค่อยๆดึงอีกฝ่ายมาอย่างช้าๆ

“นี่…” คาสโซ่ยังคงลังเลใจ

“นี่อะไรกัน? เอ้า เจ้าลองสวมใส่ดู” เซียวอวี๋หยิบชุดเกราะมาชุดหนึ่งก่อนจะโยนให้สมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มอาชาเหล็ก

แม้สมาชิกกลุ่มอาชาเหล็กที่เห็นจะกลืนน้ำลายด้วยความอิจฉาเพียงใด แต่ปราศจากคำสั่งของหัวหน้ากลุ่ม พวกเขาก็ไม่กล้าสวมใส่อยู่ดี

เซียวอวี๋กวักมือเรียกให้พวกเขาเข้ามา สมาชิกกลุ่มอาชาเห็ลกต่างหันไปมองคาสโซ่ เมื่อเห็นว่าหัวหน้าไม่มีท่าทีคัดค้าน พวกเขาก็รีบวิ่งไปหยิบชุดเกราะขึ้นมาดูอย่างตื่นเต้น

คาสโซ่ที่เห็นก็ไม่ได้กล่าวอะไร เขารู้ว่าคนของเขาติดหนี้เซียวอวี๋อีกแล้ว

“พี่ชายคาสโซ่ นี่เป็นชุดเกราะกระดูกขาวที่เกรดิ้งสวม ท่านลองใส่ดู มันดีกว่าที่ท่านใส่ตอนนี้แน่ จากนั้นท่านก็จะดูเหมือนผู้นำกองทัพโครงกระดูกแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า….”

เซียวอวี๋หัวเราะอย่างอารมณ์ดี

คาสโซ่รับเกราะไปเงียบๆ เกราะกระดูกชุดขาวนี้ เขาประจักษ์ในความยอดเยี่ยมของมันมาแล้ว

เมื่อสวมใส่เสร็จ คาสโซ่ก็ดูทรงอำนาจอย่างมาก เกราะกระดูกขาวทำให้เขาดูน่าเกรงขามและสูงส่ง

“ฮ่าฮ่า ดี ดี ไป พวกเราไปดูข้างหน้ากันต่อ” เห็นกลุ่มอาชาเหล็กแปรเปลี่ยนเป็นกองทัพนักรบโครงกระดูกขาวแล้ว เซียวอวี๋ก็อารมณ์ดี

หลังจากจัดการที่ตรงนั้นเสร็จสิ้น เซียวอวี๋ก็นำทางอีกครั้ง โรงเรียนสโคโลแมนซ์นั้นมีห้องอยู่มากมาย เมื่อตัวตนที่แข้งแกร่งที่สุดอย่างเกรดิ้งถูกกำจัดแล้ว ห้องที่เหลือก็สมควรไม่มีอันตรายใด

ที่นี่มีของดีอยู่มกามาย แต่ด้วยเวลาที่มีไม่มาก เซียวอวี๋ย่อมไม่ตรวจดูสิ่งของที่ได้ เขาเพียงกวาดทั้งหมดลงแหวน เอาไว้กลับไปแล้วค่อยไปตรวจดูอย่างละเอียด….

 

 

 


ตอนที่ 508

 

เซียวอวี๋เดินผิวปากอย่างอารมณ์ดีไปตลอดทาง

แม้ในอดีตเซียวอวี๋จะเคยมาที่แห่งนี้จากในเกมแล้วหลายครั้ง แต่บางครั้งความซับซ้อนของเส้นทางภายในสโคโลแมนซ์ก็ทำให้เขาปวดหัว

หลังจากเดินมาครึ่งค่อนวัน เซียวอวี๋ก็ยังไม่พบสิ่งของล้ำค่าอื่น ดังนั้นเขาจึงนำคนของเขาย้อนกลับทางเดิน

แม้เซียวอวี๋จะไม่รู้ว่าที่ทางเข้าตอนนี้เป็นอย่างไรแล้ว แต่เขาเชื่อว่ามิรันด้าจะต้องส่งคนเข้ามาสำรวจที่นี่แน่ และหากเขาย้อนกลับไปทางออกเดิม การต่อสู้ย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

เซียวอวี๋รู้สึกว่ามันยังมีทางออกอื่น

ในเวลานั้นเอง กีอบลินที่กำลังตรวจสอบสถานที่อยู่ก็ร้องเสียงแหลม “นายท่าน! ตรงนี้มีบางสิ่งแปลกๆ”

ได้ยินคำพูดของก๊อบลิน เซียวอวี๋ก้ตาเป็นประกาย เขารีบเอ่ยถาม “แปลกอย่างไร?”

ก๊อบลินรีบวิ่งเข้ามาหาก่อนจะกล่าวตอบว่า “โครงสร้างของมันประหลาดนัก แม้จะดูคล้ายสมบูรณ์ดี แต่ท่านดูนี่สิ มันถูกสร้างจากไพร็อกซิไนส ขณะที่ส่วนอื่นๆล้วนแต่เป็นหินธรรมดา มันย่อมไม่เป็นเช่นนี้ เว้นแต่จะมีบางสิ่งที่พิเศษ”

ก๊อบลินวิเคราะห์จากประสบการณ์ของมัน

เซียวอวี๋ไม่ทราบเรื่องพวกนี้ สำหรับเขาแล้ว ผนังแถบนี้ก็ปกติดี

“เอาล่ะ เข้าเรื่องเลยเถอะ เราจะเปิดมันได้อย่างไร?” เซียวอวี๋ถามเข้าประเด็น

“ข้าไม่ทราบ” ก๊อบลินแต่อย่างจริงใจ

“บัดซบ เจ้าไม่ทราบว่าจะจัดการอย่างไร?” เซียวอวี๋กลอกตา

“นี่….แม้จะไม่รู้วิธีเปิด แต่ข้ารู้ว่ามันแปลกๆ ขอเวลาข้าศึกษามันก่อน หากไม่ได้ผลจริงๆพวกเราค่อยใช้กำลังฝ่าเข้าไปขอรับ” ก๊อบลินที่กลัวเซียวอวี๋โมโหก็รีบกล่าวออกมา

เซียวอวี๋โบกมือ “ไปจัดการเสีย หากไม่ได้ผล เราก็แค่ลองเปิดมันดู”

เซียวอวี๋นำเก้าอี้ออกมานั่งก่อนจะรินไวน์อย่างสบายอารมณ์

หลังจากตรวจสอบอยู่กว่าสองชั่วโมง ก๊อบลินก็ยังไม่พบอะไรที่เป็นประโยชน์ มันกลัวว่าเซียวอวี๋จะใช้ศีรษะของมันต่างที่ขุดจริงๆ ยิ่งคิดเหงื่อกาฬก็ยิ่งไหล

เซียวอวี๋ที่เห็นท่าทางของก๊อบลินก็โบกมือก่อนกล่าวออกมาว่า “ถอยไป ข้าไม่รอแล้ว”

เซียวอวี๋หันไปส่งสายตาให้คาร์น คาร์นที่เข้าใจเจตนาก็กระชับขวานในมือก่อนจะจามไปที่ผนังอย่างรุนแรง

ตึง!

พร้อมกับเสียงอันดัง ฝุ่นผงก็ลอยคละคลุ้งไปทั่วทางเดิน

“มารดามันเถอะ ไหนว่าเปิดยาก? ไม่ใช่ว่าแค่นี้ก็เปิดได้แล้วรึ” เซียวอวี๋ที่ตระเตรียมส่งมังกรน้อยไปลองดู เมื่อเห็นผลลัพธ์ก็สบถออกมา

“นะ…นี่…ได้อย่างไรกัน?” ก๊อบลินยืนอ้าปากค้างขณะมองดูผนังที่พังทลายลงมาทั้งแถบ มันไม่อาจทำใจเชื่อสิ่งที่เห็น

“ไป” เซียวอวี๋โบกมือนำทั้งหมดเดินเข้าไป เขาไม่ได้กังวลอันตรายอต่อย่างใด กระทั่งวิหารดำก็ยังผ่านมาแล้ว หรือที่นี่จะอันตรายกว่าวิหารดำ?

ทั้งหมดเดินไปตามเส้นทางที่ปรากฏ ภายในอุโมงค์นี้ไม่มีแสงสว่างใด มันมืดสนิท ดังนั้นทุกคนจึงนำไอเทมที่ส่องแสงหรือใช้เวทมนตร์ส่องสว่าง

หลังจากเดินลดเลี้ยวไปตามทางกว่าครึ่งชั่วโมง เส้นทางข้างหน้าก็ยิ่งมายิ่งแคบลงจนเพียงพอให้คนสองสามคนเดินเรียงหน้ากระดาน คาร์นที่ตัวใหญ่จึงจำต้องเดินคนเดียว

“เป็นทางตัน” เมอีฟและคาสโซ่ที่ล่วงหน้าไปบุกเบิกเส้นทางพลันย้อนกลับมารายงาน

แม้ว่าคาสโซ่จะไม่มีทักษะสำรวจ แต่เขาก็มีโล่ และเพื่อป้องกันอันตรายใดที่อาจเกิดขึ้น เขาจึงเดินนำหน้า

“ไป เจ้าไปดู หากว่าครั้งนี้ยังหาทางออกไม่ได้อีก ข้าจะใช้หัวของเจ้าขุด!” เซียวอวี๋หันไปกล่าวกับก๊อบลิน

ก๊อบลินตัวสั่นเทิ้ม มันเร่งรีบขึ้นหน้าไปตรวจสอบทันที

“มันเป็นเพียงประตูทั่วไป หากแต่ถูกปิดตายมานานจนถูกดินทับ มันไม่มีกลไกใด พวกเราเพียงต้องขุดดินออกขอรับ” ก๊อบลินรีบวิ่งกลับมารายงาน

“ขุด” เซียวอวี๋ออกคำสั่ง

เหล่าไพร่พลที่แข็งแรงจึงเริ่มทำการขุดดินออก และมันก็เป็นไปตามที่ก๊อบลินกล่าว หลังจากขุดดินออกไป ด้านหลังของมันก็เป็นประตูบานใหญ่ที่ดูเก่าแก่

“บัดซบ มันถูกฝังลึกเพียงใดกัน?” เซียวอวี๋สบถออกมาหลังจากเห็นว่าดินมันแทบจะไม่หมดไปเลย

“นายท่าน! ท่านดูสีของชั้นดินนี่สิ มันมีอายุไม่เกินห้าร้อยปี มันสมควรเหลือไม่มากแล้ว”

“ห้าร้อยปี?” เซียวอวี๋โพล่งออกมา ชั้นดินที่มีอายุห้าร้อยปี เป็นเวลาไม่น้อยเลยนะ

“ขอรับ ต่อให้มันมากอย่างไรมันก็เป็นเพียงแค่กองดิน ไม่ใช่ชั้นหินแข็ง ดังนั้นย่อมไม่มีจุดใดที่ขุดไม่ได้!” ก๊อบลินกล่าวอย่างมั่นใจ

อย่างไรก็ตาม สิ้นเสียงของก๊อบลิน เสียงของแข็งกระทบกันก็ดังขึ้นมา

“อะ…” ก๊อบลินนิ่งตะลึงงัน

เซียวอวี๋หันมาหรี่ตามอง “ไหนเจ้าว่าไงนะ?”

“นะ…นี่….นายท่าน….ข้าจะไปดูอีกครั้ง มันไม่ควรมีชั้นหินอยู่ เว้นเสียแต่ที่นี่จะเคยเกิดแผ่นดินไหวมาก่อน….” กีอบลินที่หลั่งเหงื่อเต้มหน้ารีบกล่าวก่อนจะวิ่งไปตรวจดู มันกลัวจับใจว่าเซียวอวี๋จะใช้ศีรษะของมันต่างค้อนจริงๆ

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ก๊อบลินก็ร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้น “อ๊า! นายท่าน! มันไม่ใช่ชั้นหิน หากแต่เป็นอาคารที่สร้างด้วยหิน! มันสมควรเป็นกำแพงของเมืองเม็กหรือสิ่งก่อสร้าง หากขุดต่อไป พวกเราก็จะเข้าเมืองเม็กแล้วขอรับ”

“เจ้าหมายความว่ามันคือฐานราก?” ได้ยินดังนั้น เซียวอวี๋ก็มึนงง แต่ที่จริง ที่นี่ก็อยู่ห่างจากเมืองเม็กไม่ไกล ไม่แปลกที่มันจะเชื่อมถึงเมืองเม็กได้

“ใช่ขอรับ นายท่านโปรดดูนี่ ชัดเจนว่าพวกมันเป็นหินที่ใช้วางฐานราก ไม่ใช่ชั้นหิน” ก๊อบลินโล่งอกแล้ว ในที่สุดศีรษะของมันก็ไม่ต้องถูกใช้ต่างค้อนทลายผนัง

“แบบนี้เอง…ขุดต่อไป จำไว้ว่าขุดอย่างเบามือ อย่าให้ศัตรูรู้ตัว ครั้งนี้พวกเราถล่มมันจากใจกลาง” เซียวอวี๋แสยะยิ้ม

ไม่คิดว่าจะมีเรื่องดีๆเช่นนี้เกิดขึ้น หากเป็นเช่นนี้ เซียวอวี๋ก็จะสามารถก่อการใหญ่โต เขาจะสามารถยึดเมืองได้อย่างสมบูรณ์ ผลงานการรบของเขานี้จะต้องถูกจารึกไว้ในประศาสตร์ดุจเดียวกับบิดาของเขา!

แม้ว่าการบุกเมืองเม้กนี้จะเป็นการกระตุ้นสงครามระหว่างสองฝ่าย กระนั้นไม่ช้าก็เร็วสงครามก็ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างไรเซียวอวี๋ก็ไม่กังวล ดินแดนไลอ้อนของเขาอยู่ห่างจากที่นี่กว่าแสนกิโลเมตร จักวรรดิแลนซืยังจะทำอย่างไรได้?

สิ่งที่ลอร์ดคนอื่นๆกังวล เซียวอวี๋ไม่กังวลแม้แต่น้อย

หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง พวกเขาก็ไปโผล่ที่หลุมขนาดใหญ่

ในเวลานั้นเอง จู่ๆร่างของอูเธอร์ก็ปกคลุมด้วยแสง

“อา…..” อูเธอร์ส่งเสียงร้องก่อนจะวิ่งออกจากหลุมไป 

 

 


ตอนที่ 509

 

“เกิดอะไรขึ้น?” ทุกคนต่างมึนงง

“ออกจากที่นี่กันก่อน” เซียวอวี๋แค่นเสียงก่อนจะรีบตามออกไป อูเธอร์นั้นมีความสำคัญต่อเขามาก เขาจะไม่ยอมให้อูเธอร์เป็นอะไรไป

หากเกิดอะไรขึ้นกับอูเธอร์ นั่นจะเป็นการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง และการฟื้นฟูภาคีหัตถ์เงินก็จะกลายเป็นฟองสบู่

เซียวอวี๋นำกรอม เมอีฟและคนอื่นๆออกจากหลุม สิ่งที่ได้เห็นคือห้องโถงที่วิจิตรตระการตา

ทั่วทั้งห้องโถงเต็มไปด้วยอัญมณีที่ส่องประกาย โถงต้อนรับอันโอ่อ่าที่ได้เห็นทำให้มันดูคล้ายกับโรงแรมห้าดาวที่เซียวอวี๋เคยเห็น

มีรูปปั้นทองคำขนาดใหญ่ตั้งอยู่ที่กลางห้อง

และที่ด้านหน้าของรูปปั้นก็เป็นโลงศพขนาดใหญ่

“มารดามันเถอะ ที่นี่คือสุสานของอูเธอร์….” เมื่อเห็นฉากที่เบื้องหน้า เซียวอวี๋ก็เข้าใจเรื่องราวทันที ที่นี่ก็คือหลุมศพของอูเธอร์ที่เขาตามหา

ระยะทางระหว่างสโคโลแมนซ์และหลุมฝังศพของอูเธอร์นั้นไม่ได้อยู่ไกลกันมากนัก ทุกครั้งที่เซียวอวี๋มายังสโคโลแมนซ์ เขาก็มักจะแวะสักการะที่หลุมฝังศพของอูเธอร์เสมอ

คาดไม่ถึงว่าหลุมฝังศพของอูเธอร์จะอยู่ที่นี่ นี่พวกเขาขุดกันมาถึงหลุมฝังศพของอูเธอร์เลยงั้นหรือ?

ไม่น่าแปลกใจที่อูเธอร์มีท่าทีเช่นนั้น ที่นี่จะต้องมีมรดกของอูเธอร์อยู่แน่ และตัวอูเธอร์ย่อมสัมผัสได้ถึงสิ่งของเหล่านั้น

เซียวอวี๋เงยหน้าขึ้นมองรูปปั้นและเห็นว่าอูเธอร์กำลังลอยอยู่หน้ารูปปั้นนั้น ดวงตาของอูเธอร์ปิดสนิทและอยู่ในท่าทางเดียวกับรูปปั้น

ปรากฏแสงสีทองส่องสว่างจากด้านบนของรูปปั้น กลุ่มแสงนั้นลอยลงมาห่อหุ้มร่างของอูเธอร์เอาไว้

“อูเธอร์คนเก่ากลับมาแล้ว” เซียวอวี๋ถอนหายใจ เขารู้ว่าอูเธอร์ก็ได้รับมรดกของตัวเองกลับคืนมาเช่นเดียวกับเมอีฟ

นี่ย่อมเป็นเรื่องดีต่อพวกเซียวอวี๋

คนที่เหลือค่อยๆทยอยตามมาสมทบ เมื่อสมาชิกกลุ่มภาคีหัตถ์เงินได้มาเห็นฉากนี้ พวกเขาก็พลันคุกเข่าลงทำความเคารพต่ออูเธอร์

พวกเขาเลือกไม่ผิด อูเธอร์ผู้นี้คืออูเธอร์ตัวจริง กลับกลายเป็นว่าที่นี่ก็คือหลุมฝังศพที่พวกเขาตามหากันมาแสนนาน

ผู้ใดก็คาดไม่ถึงว่าหลุมฝังศพของอูเธอร์จะตั้งอยู่ใกล้เมืองเม็กเช่นนี้

“ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหน?” เซียวอวี๋กวาดสายตาผ่านห้องโถงพลางเอ่ยถามออกมา

“ข้าก็ไม่ทราบขอรับ แต่ตามการคาดเดาของข้าแล้วที่นี่สมควรอยู่ภายในเมืองเม็ก” ก๊อบลินที่เดินตามมากล่าวตอบ

เซียวอวี๋พยักหน้า “เมอีฟ เจ้าไปสำรวจดู”

เมอีฟพยักหน้ารับก่อนจะหายไปอย่างไร้ซุ่มเสียง

เซียวอวี๋สั่งทุกคนไม่ให้รบกวนอูเธอร์ ดังนั้นทั้งหมดจึงหย่อนก้นนั่งพักเอาแรงอย่างสงบเสงี่ยม

ตอนนี้ทั้งหมดต่างก็ทราบแล้วว่าพวกเขากำลังอยู่ภายในเมืองเม็ก และไม่นานการต่อสู้ก็จะปะทุขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงเตรียมความพร้อมก่อนการต่อสู้

ไม่นาน เมอีฟก็กลับมารายงาน “นายท่าน ที่นี่เป็นวิหารที่ตั้งอยู่บนเขาในเขตหวงห้ามของเมืองเม็ก มีพวกทหารคอยเฝ้าอยู่ด้านนอก”

“ดี” ได้ยินดังนั้นเซียวอวี๋ก็ยินดี ‘เจ้ามิรันด้านั่นบังอาจมีความคิดต่อผู้หญิงของลูกพี่ รนหาที่จริงๆ’

เซียวอวี๋ กรอมและฮีโร่คนอื่นๆติดตามเมอีฟไปเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ จากนั้นทั้งหมดจึงเริ่มประชุมวางแผน

เซียวอวี๋พบว่าเวลานี้ภายในเมืองนั้นมีทหารอยู่บางตา นั่นก็เพราะมิรันด้าคิดว่าเซียวอวี๋ยังอยู่ที่สโคโลแมนซ์ ดังนั้นมิรันด้าจึงแบ่งทหารออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งส่งเข้าไปสำรวจสโคโลแมนซ์ ขณะที่อีกส่วนทำการโอบล้อมทางเข้าสโคโลแมนซ์เอาไว้ มิรันด้าย่อมไม่คิดไม่ฝันว่าตอนนี้เซียวอวี๋จะเข้ามาในเมืองเม็กได้แล้ว

สิ่งที่สร้างความกังวลให้กับเซียวอวี๋นั้นมีเพียงปืนใหญ่เวท หากทำลายทิ้งได้ เพียงอาศัยความสามารถในการต่อสู้ของนักรบแต่ละนายก็เพียงพอต่อการสยบเมืองนี้แล้ว

หลังจากจัดการทหารยามด้านนอกจนหมดแล้ว ทั้งหมดก็กลับเข้ามาในสุสานอีกครั้ง

เซียวอวี๋หันไปมองอูเธอร์ที่ตอนนี้กำลังดูดซับแสงสว่างเข้าไปจนตอนนี้แสงเริ่มจางลงแล้ว

คงอีกไม่นาน ก่อนที่อูเธอร์จะดูดซับพลังงานเสร็จสิ้น ความแข็งแกร่งของอูเธอร์สมควรถูกยกระดับขึ้นอีกขีดขั้นหนึ่ง

เซียวอวี๋เริ่มแจกจ่ายงานให้กับคนทั้งหมด

เซียวอวี๋หันไปมองกลุ่มอาชาเหล็กที่ตอนนี้ทุกคนล้วนสวมใส่เกราะกระดูกด้วยความตื่นเต้น หากคนเหล่านี้ปรากฏตัวออกไป มันจะสร้างผลกระทบต่อกองทัพอีกฝ่ายขนาดไหนกัน?

หลังจากนั้นราวครึ่งชั่วโมง แสงที่รายล้อมอูเธอร์อยู่ก็ระเบิดออกกระจายไปทั่วทั้งห้องโถง

“ข้ากลับมาแล้ว” ปากของอูเธอร์ไม่ได้ขยับ กระนั้นกลับมีเสียงดังขึ้นมาจากร่างของเขา ชัดเจนว่าวิญญาณดวงเก่าของอูเธอร์ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว

ร่างของอูเธอร์ร่อนลงมาถึงพื้น เวลานี้ทั่วทั้งร่างของอูเธอร์แผ่กลิ่นอายที่ดูศักดิ์สิทธิ์ออกมา เหล่าพาลาดินแห่งภาคีหัตถ์เงินรีบกล่าวสรรเสริญ บางคนกระทั่งหลั่งน้ำตาด้วยความยินดี ในที่สุด….ท่านอูเธอร์ผู้ยิ่งใหญ่ก็กลับมาแล้ว

ครืน…..

รูปปั้นของอูเธอร์เริ่มพังทลายลงมา จากนั้นทั่วทั้งห้องโถงก็เกิดการสั่นสะเทือน

“บัดซบ! ที่นี่กำลังจะถล่ม รีบออกจากที่นี่!” เมื่อเห็นท่าไม่ดี เซียวอวี๋ก็รีบนำทุกคนออกจากที่นี่

เมื่อทุกคนออกมาแล้ว สิ่งก่อสร้างทางด้านหลังก็ยิ่งสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

“เอาล่ะ พวกเราจะลงมือตามแผนทันที เมื่อที่นี่ถล่ม พวกมันจะต้องรู้ตัวแน่ ดังนั้นพวกเราต้องรีบแล้ว” เซียวอวี๋ตะโกน

“ไป ไปล่าตัวมิรันด้า” เซียวอวี๋นำพรากวิญญาณออกมาชูก่อนจะนำทั้งหมดวิ่งลงเขา

………………………

……………………..

ณ ห้องโถงของสำนักงานเมือง

อัสตูที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นและกำลังครุ่นคิดบางสิ่งก็พลันได้ยินเสียงกู่ร้องจากทางด้านนอก

“หืม? เกิดอะไรขึ้น?” อัสตูขมวดคิ้วก่อนจะเดินออกไปดู แต่เขาก็พบว่าอาคารโดยรอบหลายแห่งลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิงแล้ว

“นี่มันบ้าอะไรกัน? มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?” อัสตูตกตะลึง ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะทันได้ตอบสนองใดๆ อัสตูก็รู้สึกเย็นวาบที่ลำคอและสูญเสียประสาทสัมผัสไป

“นะ…นี่….” สายตาของเขาเห็นร่างที่ไร้ศีรษะของตนเองล้มลงกับพื้น

การโจมตีเพียงครั้งเดียวจากเมอีฟก็ส่งวิญญาณของอัสตูให้ล่องลอยไป

เวลานี้เมอีฟแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก เว้นแต่ตัวตนขั้นที่หกแล้ว การจะรอดจากการลงมือของเมอีฟนับว่ายากเย็นแสนเข็ญยิ่ง

ครู่หนึ่ง เซียวอวี๋ก็นำกรอม อิลิดันและคาร์นและมังกรน้อยมาสมทบ เขารู้ว่ามิรันด้านั้นมียอดฝีมือขั้นที่หกสองคนคอยตามอารักขา ดังนั้นเซียวอวี๋จึงไม่กล้าประมาทและพายอดฝีมือมาที่นี่ด้วยตนเอง

ขณะที่เซียวอวี๋ต้องการจะเข้าไปในห้องของมิรันด้านั้นเอง ชายหัวโล้นก็วิ่งออกมาพลางคำราม “ผู้ใดกัน?”

เซียวอวี๋หัวเราะพลางตอบว่า “บรรพบุรุษของเจ้ามาเยือนแล้ว”

“เป็นเจ้า! ฮึ่ม ครั้งก่อนปล่อยให้เจ้าหนีไปได้ ครั้งนี้เจ้าไม่รอดแน่” โล้นมหากาฬกล่าวเสียงเย็น

เซียวอวี๋หัวเราะ “ท่านปู่ผู้นี้รออยู่แล้ว แน่จริงก็เข้ามาสิ”

“สารเลว!” โล้นมหากาฬคำรามก่อนจะพุ่งเข้าใส่เซียวอวี๋ ในเวลาเดียวกัน ที่ลานกว้างก็ปรากฏทหารนับไม่ถ้วนโผล่ออกมาโจมตีไปที่เซียวอวี๋เป็นจุดเดียว

สิ่งเหล่านี้ไม่ได้สร้างความประหลาดใจต่อเซียวอวี๋และคนอื่นๆแต่อย่างใด มิรันด้านั้นเป็นถึงเจ้าชายของจักรวรรดิแลนซ์ หากว่าเขาไม่มีคนอยู่ข้างกายเลยก็แปลกไปแล้ว

เซียวอวี๋ส่งสัญญาณมือให้มังกรน้อยพลางกล่าวว่า “ไปกระทืบพวกมัน”

มังกรน้อยนำทอนฟาออกมาก่อนจะพุ่งตัวออกไป แน่นอนว่าอาวุธเวทมนตร์ของพวกทหารอีกฝ่ายสามารถสร้างความเสียหายให้เขาได้ แต่อย่างไรก็ตาม เผ่าพันธ์มังกรนั้นมีขนาดใหญ่โตและบินได้ ทั้งยังลงมือได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง พวกทหารทั่วไปยังจะทำอย่างไรกับมันได้หรือ?

“ฮี่ฮี่ เอาทอนฟาไปกินซะ!” มังกรน้อยพุ่งตัวไปกลางกลุ่มศัตรูก่อนที่จะบรรเลงเพลงยุทธออกมา….

 

 

 


ตอนที่ 510

 

ครืน…..

มังกรน้อยโจมตีออกด้วยทุกส่วนของร่างกาย มือกวัดแกว่งทอนฟา หางกวาดพื้น ปากพ่นไฟ เรียกได้ว่ามันงัดเอาทุกส่วนของร่างกายออกมาใช้แล้ว

แม้กลุ่มทหารจะสวมใส่อุปกรณ์เวทมนตร์ กระนั้นความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ไม่ได้มากมายอะไร นั่นทำให้พวกเขาเกิดการสูญเสียอย่างหนักขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเขาตระหนักได้แล้วว่าเหตุใดเผ่าพันธุ์มังกรจึงอยู่ในจุดสูงสุดของยอดปีรามิด

นั่นก็เพราะมังกรนั้นแข็งแกร่งทั้งทางกายภาพและเวทมนตร์

ขณะเดียวกัน ทหารบางส่วนก็อ้อมเข้ามาโจมตีพวกเซียวอวี๋ แต่แน่นอนว่าทั้งกรอม อิลิดันและคาร์นล้วนแต่ไม่ใช่ลูกพลับนิ่มที่ใครจะมาบีบคลึงก็ได้

เซียวอวี๋เองก็ไม่อยู่เฉย เขาพุ่งตัวออกไปพร้อมด้วยพรากวิญญาณในมือ สายตาสาดส่องมองหาร่างของมิรันด้าตามห้องต่างๆ

“โฮ่ ไม่คิดว่าจะได้พบเจ้าที่นี่ วันนี้เจ้าหนีไม่พ้นหรอก!” ทันใดนั้น เสียงที่คุ้นเคยก็ดังเข้ามาในหูของเซียวอวี๋

“หืม?….โอ้ หยินเค่อ ภรรยาที่รักของข้า ใยจึงกล่าวเช่นนั้นกับสามีเล่า? อืม พวกเราเป็นคนรักกัน และเจ้ายังเป็นผู้หญิงคนแรกของข้า เจ้าปฏิบัติต่อสามีเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ไม่สู้เจ้ายอมแพ้และติดตามสามีกลับไป สามีผู้นี้สัญญาว่าจะดูแลอย่างดี ว่าอย่างไร?”

เซียวอวี๋หันกลับมองด้านหลัง ผู้ที่อยู่ตรงนั้นไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นขุนโจรเคราแดง หยินเค่อ

อาจกล่าวได้ว่าทั้งคู่นั้นอยู่ในสถานะศัตรู แต่เซียวอวี๋ไม่ต้องการสังหารนาง อย่างไรเสียนางก็เป็นผู้หญิงของเขา เขาคงต้องหาวิธีนำนางกลับไปด้วยเสียแล้ว

“ไร้ยางอาย!” หยินเค่อกรีดร้องพลางพุ่งโถมเข้าหาเซียวอวี๋

เซียวอวี๋ส่ายหัวอย่างจนใจ เขาเรียกใช้ทักษะย่างก้าวเงาก่อนที่ร่างกายของเขาจะกระพริบวูบและหลบหลีกการโจมตีได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขาเพิ่งหลบการโจมตีของหยินหยินเค่อสำเร็จนั้นเอง เซียวอวี๋ก็พลันสัมผัสได้ถึงการโจมตีที่พุ่งเข้ามาจากทางแผ่นหลัง

หืม?

เซียวอวี๋รีบใช้เทเลพอตหลบออกไปทันที

เป็นฝีมือขององค์รักษ์นักฆ่าขั้นที่หกของมิรันด้า มอร์เดล

มอร์เดลจ้องมองเซียวอวี่ที่ปรากฏตัวห่างไปไม่ไกลนัก ประกายแสงปรากฏขึ้นวูบในแววตาของเขา ครั้งก่อน การที่เขาไม่อาจทำอย่างไรต่อเซียวอวี๋ได้นั้นกลายเป็นเงามืดในใจของเขาไป เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของนักฆ่าขั้นที่หกเอาไว้ เขาจะต้องสังหารเซียวอวี๋ด้วยมือตนเองให้จงได้

“ท่านย่ามันเถอะ! คิดว่าเจ้าแน่นักหรือ? เมอีฟ อิลิดัน เจ้าสองคนไปเล่นกับมันหน่อย” เซียวอวี๋โบกมือสั่งการ

เซียวอวี๋รู้ว่าตนเองไม่อาจเป็นคู่มือของอีกฝ่าย ทว่าเมอีฟและอิลิดันนั้นต่างก็มีความคล่องแคล่วว่องไว ทั้งยังแข็งแกร่งมาก ต่อให้ทั้งคู่สังหารอีกฝ่ายไม่ได้ พวกเขาก็สมควรสกัดอีกฝ่ายได้ไม่ยาก

ขณะที่ทางด้านของโล้นมหากาฬนั้นมีกรอมและคาร์นคอยรับมือ คาร์นนั้นเป็นฮีโร่สายพละกำลัง แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่ได้อยู่ในขั้นที่หก แต่พละกำลังอันมหาศาลของเขาก็เพียงพอจะสกัดอีกฝ่ายแล้ว

เซียวอวี๋หันไปยิ้มให้เคราแดงที่ตอนนี้กำลังจ้องมายังเขาอย่างเครียดแค้น

“อา ภรรยาที่น่ารักของข้า ครั้งนั้นเป็นความผิดของสามีเอง ข้าปฏิบัติต่อเจ้าอย่างหยาบคายนัก ครั้งต่อไปข้าสัญญาว่าจะกระทำอย่างนุ่มนวล” เซียวอวี๋ยังคงหยอกเย้าหยินเค่อด้วยรอยยิ้ม

นี่เป็นการทำสงครามจิตวิทยาในการบั่นทอนความแข็งแกร่งของศัตรู เดิมทีนางก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเซียวอวี๋อยู่แล้ว และในสภาพที่ถูกปั่นหัวเช่นนี้ นางก็ยิ่งไม่ใช่คู่ต่อสุ้ของเขา

ปกตินั้น หยินเค่อนับว่าเก่งฉกาจพอตัว ไม่มีผู้ใดสามารถทำให้นางสติหลุดได้ กระนั้นบุรุษที่อยู่ตรงหน้าของนางกลับเป็นข้อยกเว้น

การหยอกเย้าของเซียวอวี๋ทำให้นางขบฟันแน่น และยิ่งนางมองท่าทียียวนของคนตรงหน้า นางก็ไม่อาจรักษาความสงบไว้ได้อีก

“หุบปาก!” หยินเค่อตะโกนพลางพุ่งเข้าหาเซียวอวี๋ เซียวอวี๋ฉีกยิ้มและถลันหลบออกไป

เขาไม่ได้ต้องการทำร้ายนาง ดังนั้นเซียวอวี๋จึงหยอกเย้านางก่อนจะหลบหลีกไปมา

เวลานี้ความแข็งแกร่งของเซียวอวี๋นับว่าสูงแล้ว ภายในขั้นที่ห้านั้น เขานับว่าไร้คู่เปรียบ เว้นเสียแต่จะเจอกับตัวตนขั้นที่หก ไม่เช่นนั้นก็ยากที่จะมีผู้ใดรุกไล่เขาได้

บางทักษะของเหล่าฮีโร่ เซียวอวี๋ก็เรียนรู้จนระดับเต็มแล้ว เซียวอวี๋ตอนนี้นับว่าแทบจะไร้เทียมทาน

ตัวอย่างเช่น ตอนนี้เซียวอวี๋สามารถใช้ทักษะแยกร่างของกรอม และร่างแยกทั้งสี่นั้นเหมือนกับตัวจริงไม่มีผิดเพี้ยน ทุกร่างพุ่งวนรอบหยินเค่อไม่กี่รอบ หยินเค่อก็บอกไม่ได้แล้วว่าร่างไหนคือเซียวอวี๋ตัวจริง

ขณะที่เซียวอวี๋หยอกล้ออยู่กับหยินเค่อ ทางด้านอื่นๆของเมืองก็เกิดความวุ่นวายไปทั่ว เสียงกรีดร้องดังขึ้นให้ได้ยินจากแทบทุกมุมเมือง

เซียวอวี๋ตระหนักดีว่าฝ่ายตนนั้นมีคนน้อยกว่า หากว่าพวกเขาต้องการยึดเมือง เช่นนั้นก็ต้องใช้การวางเพลิง ด้วยเหตุนี้เปลวเพลิงจึงลุกขึ้นทั่วทั้งเมือง ทำให้เมืองเต็มไปด้วยความปั่นป่วนวุ่นวาย

คาสโซ่พาคนของเขาไปด้วยกันอลอนโซ่ พวกเขามุ่งหน้าไปที่กำแพงเมืองเพื่อยึดครอง พวกปืนใหญ่เวทของศัตรูบนกำแพงเมืองนั้นสร้างความอิจฉาให้กับเซียวอวี๋เกินไป

นอกจากนั้น อีกฝ่ายยังมีกำลังพลอยู่นอกเมืองที่กำลังเดินทางกลับมา พวกเขาจะต้องสกัดเอาไว้ให้ได้

เหล่าสมาชิกของกลุ่มอาชาเหล็กที่สวมเกราะจนเผยให้เห็นเพียงดวงตานั้นสร้างความหวาดผวาให้กับทหารรักษาเมืองมาก เมื่อรวมกับพลังต่อสู้ที่โดดเด่นของพวกเขาด้วยแล้ว การบุกโจมตีกำแพงเมืองก็คืบหน้าอย่างรวดเร็ว

ทางด้านท้องฟ้า เซียวอวี๋ยังได้ส่งหน่วยอัศวินกริฟฟ่อนและกลุ่มอสูรเขาไปช่วยพวกคาสโซ่ยึดกำแพงเมืองอีกแรง

อีกด้านหนึ่ง เซียวอวี๋ได้ส่งดรูอิดขี่แรฟเตอร์ไปวางเพลิง เวทพายุของพวกเขานั้นเหมาะในการเพิ่มกำลังไฟที่สุด

ผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วโมงเศษ ทั้งเมืองก็สูญเสียการควบคุม ทุกหัวระแหงเต็มไปด้วยความโกลาหล

โฮก……

ตอนนั้นเอง มังกรน้อยที่จัดการพวกทหารจนหมดแล้วก็เงยหน้าคำรามประกาศชัยชนะ เซียวอวี๋ที่เห็นดังนั้นจึงสั่งให้มันไปตามหามิรันด้า ทว่าหลังจากหาอยู่นานสองนาน มังกรน้อยก็หาอีกฝ่ายไม่พบ

เซียวอวี๋จึงให้มังกรน้อยไปช่วยทางด้านกรอมและคาร์นจัดการกับโล้นมหากาฬ

โล้นมหากาฬไม่ได้อ่อนแอ แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกรอมและคาร์นพร้อมกัน เขาก็ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ พละกำลังของคาร์นนั้นอยู่เหนือความคาดหมาย เห็นชัดๆว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงตัวตนขั้นที่ห้า กระนั้นพละกำลังของอีกฝ่ายกลับไม่ด้อยไปกว่าเขาซึ่งอยู่ในขั้นที่หกเลย

อีกทั้งการโจมตีจากกรอมก็ยากจะรับมือ มีหลายดาบที่กรอมได้ทิ้งแผลไว้บนร่างของเขา

และเมื่อมีมังกรน้อยมาร่วมด้วย โล้นมหากาฬก็อับจนหนทาง เขารู้ว่าป่านนี้มิรันด้าคงหลบหนีไปอย่างปลอดภัยแล้ว ภารกิจของเขาถือว่าสำเร็จเสร็จสิ้น ดังนั้นโล้นมหากาฬจึงคิดจะปลีกตัวจากไปบ้าง

แต่มีหรือที่คาร์นจะยอมปล่อยเขาไป กับคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อเช่นนี้ คาร์นไม่มีวันปล่อยให้หลุดมือไปโดยเด็ดขาด

มังกรน้อยเองก็เช่นกัน มันหยิบเอาทอนฟาออกมาโจมตีออกพร้อมส่วนอื่นๆของร่างกายดังเช่นที่ใช้จัดการกับพวกทหาร บางครั้งมันยังส่งเสียงร้องเหมือนบรูซลีอย่างสนุกสนานด้วย

โล้นมหากาฬหงุดหงิด เขารู้ว่าตอนนี้คงไปไม่ได้แล้ว อย่างไรก็ตาม ในฐานะนักรบ เขาจะยอมถอดใจได้อย่างไร?

ดังนั้นโล้นมหากาฬจึงล้วงหยิบเอาเข็มสีดำขนาดเล็กออกมาก่อนจะปักไปที่หลังคอของของตนเอง

ปึด!

มีพลังอันรุนแรงปะทุขึ้นภายในร่างของโล้นมหากาฬ

ดวงตาของโล้นมหากาฬเปลี่ยนเป็นสีแดงดุจโลหิต ที่ศีรษะของเขาพลันมีเขาแหลมสองเขาผุดขึ้นมา

ร่างกายทั้งหมดของเขาเริ่มเปลี่ยนไปราวกับว่ามีอะไรบางอย่างปะทุอยู่ภายใน ผิวหนังของเขาไม่ใช่สีผิวของมนุษย์อีกต่อไป หากแต่แทนที่ด้วยสีเทาดำ จากนั้นเกล็ดก็เริ่มผุดขึ้นมาปกคลุมผิวหนัง

“มารดามันเถอะ ตัวอะไรล่ะนั่น สยองแท้” มังกรน้อยสบถออกมาเมื่อได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของโล้นมหากาฬ

“พวกแกทั้งหมด…ตาย!” โล้นมหากาฬที่กลายร่างเป็นปีศาจกระทืบพื้นจนแผ่นดินเกิดการสะเทือน

“อิลิดัน งานถนัดของเจ้าแล้ว ไปจัดการมันเสีย” กรอมหันไปตะโกนใส่อิลิดัน จากนั้นจึงวิ่งไปโจมตีมอร์เดลแทนที่ตำแหน่งของอิลิดัน

อิลิดันที่ได้ยินดังนั้นก็ไม่พูดอะไร ก่อนจะผละจากมอร์เดลไปหาปีศาจโล้นมหากาฬ

ในเวลานั้นเอง ร่างกายของโล้นมหากาฬก็มีเปลวเพลิงลุกโชน สภาพของเขาตอนนี้เรียกได้ว่ากลายเป็นปีศาจเต็มตัวแล้ว

อิลิดันไม่สนใจ เมื่อมาถึงก็ตวัดดาบคู่เล็งฟันไปยังศีรษะของปีศาจทันที….


ตอนที่ 511

 

โฮก…..

เปลวเพลิงปะทุขึ้นบนร่างของปีศาจโล้นอย่างรุนแรง ส่งผลเป็นคลื่นกระแทกเข้าสกัดการโจมตีของอิลิดัน

ครืน…..

เกิดรอยแตกของพื้นขึ้นที่ใต้ฝ่าเท้าของปีศาจโล้นก่อนที่หินจะลอยมารวมกันก่อตัวเป็นรูปปั้นมนุษย์หินหน้าตาบิดเบี้ยวหลายตัว แต่ละตัวสูงกว่าสามเมตร ในมือของพวกมันยังถือค้อนศิลาทำให้ดูแข็งแกร่งไม่เบา

“เหอะ” อิลิดันแค่นเสียง เจ้าครึ่งปีศาจนี่กล้ามาเล่นปาหี่ต่อหน้าเขาที่เป็นปีศาจแท้ๆ นี่เป็นเรื่องตลกแบบใดกัน?

“เฮลไฟ จงมาตามคำบัญชาของข้า!” อิลิดันตะโกน ทันใดนั้นที่บนท้องฟ้าก็ปรากฏประตูมิติขนาดใหญ่ขึ้น จากนั้นลูกไฟขนาดใหญ่หลายลูกก็พุ่งออกมาจากประตู

ฟู่ม…….

ขณะที่กลุ่มลูกไฟร่วงลงมา พวกมันก็รวมกันและก่อรูปขึ้นเป็นปีศาจเฮลไฟตัวใหญ่ เพียงส่วนหัวของมันก็ใหญ่ยิ่งกว่าความสูงของรูปปั้นมนุษย์หินทั้งตัวแล้ว

โล้นมหากาฬเพียงใช้วิธีการพิเศษเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นปีศาจ ทว่าอิลิดันนั้นเป็นปีศาจแต่กำเนิด ทั้งความแข็งแกร่งของเขายังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดตอนนี้เขาก็ปลุกความสามารถในการอัญเชิญปีศาจเฮลไฟออกมาได้แล้ว

ปีศาจเฮลไฟเพียงตัวเดียวยังแข็งแกร่งกว่ามนุษย์หินพวกนั้นรวมกันเสียอีก มันไม่รอช้า เมื่อถึงพื้นก็พุ่งเข้าใส่พวกมนุษย์หินก่อนจะเกิดเสียงพังทลายตามมาอย่างรุนแรง

เมื่อปีศาจโล้นเห็นพวกมนุษย์หินที่ตนอัญเชิญมาถูกถล่มไม่มีชิ้นดี มันก็คำรามก่อนจะควงขวานโถมเข้าหาอิลิดัน

“ไฮ๊ ลองกินลูกเตะของข้าดูหน่อย!” มังกรน้อยแค่นเสียงก่อนจะม้วนตัวเตะเข้าใส่ปีศาจโล้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

ปีศาจโล้นที่ตอนนี้กลายเป็นปีศาจไปแล้วย่อมไม่มีสติแจ่มใสเหมือนก่อนหน้า เมื่อมันเห็นมังกรน้อยม้วนเตะเข้ามามันก็ไม่ได้หลบหลีก หากแต่เหวี่ยงขวานโจมตีใส่มังกรน้อยแทน

แม้มังกรน้อยจะใช้เพียงมือเปล่า มันก็ไม่ได้หวั่นเกรงใดๆ เป็นที่ทราบกันดีว่ากรงเล็บของมังกรถืออาวุธทรงพลังโดยธรรมชาติอยู่แล้ว และยิ่งกับกรงเล็บของมังกรน้อยที่ได้รับการดูแลจากเซียวอวี๋ด้วยแล้ว มันถึงกับแข็งแกร่งกว่ากรงเล็บของมังกรทั่วไปเสียด้วยซ้ำ

แม้พละกำลังของโล้นมหากาฬจะเพิ่มขึ้นมากจากการกลายเป็นปีศาจ กระนั้นหากมันคิดจัดการกับมังกรน้อย นั่นก็ยังต้องใช้เวลาพักใหญ่

คาร์นและอิลิดันย่อมไม่อยู่ว่าง ทั้งสองพลันพุ่งเข้าโจมตีประกบปีศาจโล้นทันที

เปรี้ยง!

ปีศาจโล้นต่อสู้โดยไม่สนใจสิ่งใด แม้ทั่วร่างจะเพิ่มบาดแผลขึ้นมาก็ตาม

ด้วยเหตุนี้ การต่อสู้อันรุนแรงจึงดำเนินต่อไป ทว่าไม่ข้าก็เร็ว ปีศาจโล้นจะจบสิ้นลงอย่างแน่นอน

มอร์เดลเองก็ต้องการล่าถอยแล้วเช่นกัน กระนั้นการจะหนีจากเงื้อมมือของเมอีฟนั้นเรียกได้ว่าลำบากแทบลากเลือด ณ ปัจจุบันนี้อาจถือได้ว่าเมอีฟกลายเป็นมือสังหารที่ทรงพลังที่สุดแล้วก็ว่าได้ มอร์เดลรู้สึกอับจนหนทางอย่างยิ่ง

เมื่อเป็นเช่นนี้ มอร์เดลจึงถูกเมอีฟและกรอมพัวพันเอาไว้จนแทบไม่อาจกระดิกตัว

ทางด้านเซียวอวี๋นั้น เขามีเปรียบเหนือหยินเค่ออย่างขาดลอย หากไม่ใช่เพราะเซียวอวี๋ไม่ต้องการลงมือแล้วล่ะก็ เช่นนั้นหยินเค่อคงถูกสังหารไปนานแล้ว

“นี่ ที่รัก สามีไม่ต้องการสร้างปัญหาให้เจ้าหรอกนะ ดังนั้นเจ้าจงติดตามสามีกลับไปอย่างเชื่อฟังเถอะ ไปเป็นนายหญิงที่ดินแดนของข้า…” เซียวอวี่กล่าวหยอกล้อ จากนั้นเขาก็พลันใช้ย่างก้าวเงาไปทางด้านหลังของหยินเค่อ จากนั้นก็ฉีกม้วนคัมภีร์เวทม้วนหนึ่งโยนไปเหนือศีรษะของหยินเค่อ

วู่ม….

พร้อมกับเสียงดังขึ้นเบาๆ ร่างของหยินเค่อพลันถูกพันธนาการด้วยเวทมนตรืเป็นชั้นๆจนไม่อาจขยับเคลื่อนไหวใดๆ

ม้วนคัมภีร์นี้เป็นเซียวอวี๋ได้มาจากสโคโลแมนซ์ แต่อานุภาพของมันไม่ดีเท่าใดนัก หากใช้มันโดยตรง เป้าหมายจะสามารถหลบมันได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นเซียวอวี๋จึงต้องหลอกล่อหยินเค่ออยู่นานสองนาน และเมื่อนางไม่ทันระวัง เซียวอวี๋ก็เกาะกุมโอกาสนั้นไว้

“ฮ่าฮ่า ที่รัก มามะ มาให้สามีจูบให้ชื่นใจหน่อย” เซียวอวี๋หัวเราะก่อนจะจูบแก้มของหยินเค่อ

หยินเค่อโกรธจนดวงตาแทบจะพ่นไฟได้ ทว่าตอนนี้นางไม่อาจทำอย่างไรได้แล้ว

เวลานี้เซียวอวี๋อารมณ์ดีอย่างยิ่ง เขาไม่คิดว่าจะได้พบนางอีกครั้งด้วยซ้ำ

โครม….

ในเวลานี้คาร์นใช้ทักษะแปลงกายจนร่างกายใหญ่โตได้ชนปะทะกับปีศาจโล้นอย่างรุนแรง พร้อมกับการกลุ้มรุมโจมตีจากมังกรน้อยและอิลิดัน เปลวไฟวิญญาณของมันก็เริ่มอ่อนแรงลง

“เอานี่ไปกิน!” มังกรน้อยกระโดเข้ามาฟาดทอนฟาเข้าใส่ร่างของปีศาจโล้นอย่างจังจนลอยละลิ่วไป

เปรี้ยง!

พร้อมกับเสียงอันดัง ร่างของปีศาจโล้นก็ระเบิดจนเกิดหลุมขนาดใหญ่ โล้นมหากาฬกลับจบสิ้นไปเช่นนี้เอง

เมื่อโล้นมหากาฬตายแล้ว สถานการณ์ทางด้านมอร์เดลก็เข้าขั้นวิกฤติ เขาพลันล้วงเอาม้วนคัมภีร์ม้วนหนึ่งออกมาก่อนจะฉีกมัน ประตูมิติพลันเปิดขึ้นที่เบื้องหน้าของเขา

มอร์เดลถูกประตูมิติดูดหายไปทันที

“มารดามัน! ไอ้เจ้านี่กลับมีของดีซ่อนไว้” เซียวอวี๋สบถอย่างอารมณ์เสีย

เซียวอวี๋กวาดตามองโดยรอบและพบว่าทั่วทั้งเมืองเม็กกลายเป็นทะเลเพลิงไปแล้ว ไม่นานหนว่ยอื่นๆก็กลับมาสมทบ พวกเขาทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายเสร็จสิ้นแล้ว ในตอนนี้ เมืองเม็กก็เท่ากับอยู่ในอุ้งเมืองของเซียวอวี๋แล้ว

เซียวอวี๋หัวเราะก่อนจะเดินนำคนของเขาไปยังสำนักงานเมือง

ครั้งก่อนเขามาที่นี่โดยได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น มาครั้งนี้เขากลับเป็นเจ้าของมันแล้ว

“นายท่าน พวกเราทำอย่างไรต่อดี?” กรอมเอ่ยถาม

“ยังต้องถามอีกหรือ? แน่นอนว่าค้น! ของมีค่าต้องรวบรวมมา ให้สกาเล็ตและผู้จัดการเซี่ยชานรับผิดชอบเรื่องนี้ พวกเขาย่อมชำนาญกว่าพวกเรา” เซียวอวี๋สั่งการ

เวลานี้เซี่ยชานได้รับการช่วยออกมาแล้ว เขามาพบเซียวอวี๋เพื่อขอบคุณและสาบานจะภักดีต่อเซียวอวี๋

เหล่าคนทรยศของหอการค้าฝูลู่ล้วนถูกจับกุมตัว ซึ่งเซียวอวี๋ก็ยกให้สกาเล็ตจัดการต่อ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องภายในองค์กร ตัวเขาคร้านจะเข้าไปยุ่ง

หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาตลอดคืน เซียวอวี๋ก็เสาะหาที่นอนพักเป็นอันดับแรก ห้องภายในสำนักงานเมืองนั้นหรูหราอย่างยิ่ง ซึ่งตอนนี้ทั้งหมดก็ตกเป็นของเซียวอวี๋แล้ว

รุ่งขึ้น เซียวอวี๋ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น สิ่งต่างๆของที่นี่ล้วนได้รับการคลี่คลายแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ เซียวอวี๋ก็สามารถกลับดินแดนไลอ้อนได้แล้ว

ที่ดินแดนไลอ้อนยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องจัดการ ยังมีเรื่องของรัฐเว่ย พวกเขาจะต้องพัฒนาขนานใหญ่เพื่อเตรียมการต่อสู้ชิงดินแดนบนทวีป

ทางด้านจักรวรรดิเมฆาตะวันออกนั้น เขาไม่รู้ว่าที่นั่นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว

เซียวอวี๋ได้ส่งฉินเช่อไปช่วยโถวปาหง ไม่รู้เจ้าหนูนั่นกำลังทำอะไรอยู่?

เจ้าหนูนั่นถือเป็นผู้ช่วยชั้นดี ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเด็ก เซียวอวี๋กลัวว่าเขาจะสร้างปัญหาเล็กๆ

“รายงานนายท่าน! พวกทหารที่นอกเมืองกลับมาถึงแล้วขอรับ” อลอนโซ่วิ่งเข้ามารายงานต่อเซียวอวี๋

ตอนนี้อลอนโซ่กลายเป็นหนึ่งในผู้ช่วยของเซียวอวี๋ กระทั่งอูเธอร์ยังเรียกหาเซียวอวี๋เป็นนายท่าน แล้วอลอนโซ่ยังจะกล้าเรียกอย่างอื่นอีกหรือ?

เซียวอวี๋โบกมือ “เจ้ากับคาสโซ่ไปจัดการ”

“ขอรับ” อลอนโซ่รับคำก่อนจากไป

เรื่องนี้เซียวอวี๋ไม่กังวลแม้แต่น้อย เขารู้ว่าทั้งคู่สามารถจัดการเรื่องราวได้

เมื่อคำสั่งมาถึงคาสโซ่ คาสโซ่เพียงพยักหน้ารับ เมื่อเซียวอวี๋ไว้ใจเขา เขาย่อมไม่สร้างความผิดหวังให้เซียวอวี๋

มองดูพวกทหารของจักรวรรดิที่พยายามบุกโจมตีเมืองอย่างบ้าคลั่งแล้ว คาสโซ่ก็แค่นเสียงก่อนจะกล่าวว่า “ถ่ายทอดคำสั่ง ให้ทีมที่หนึ่งป้องกัน ทีมสองให้ใช้เครื่องมือป้องกันเมืองจัดการกับพวกทหารแลนซ์”

คนของฝ่ายเขามีน้อยกว่าศัตรู บนกำแพงเมืองมีเครื่องมือป้องกันเมืองอยู่มากมาย แต่พวกเขาก็ไม่อาจใช้งานได้ทั้งหมด แม้ความแข็งแกร่งส่วนตัวของสมาชิกภาคีอาชาเหล็กจะสูงล้ำ หากแต่พวกเขาก็ไม่มีประสบการณ์การใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้

เมื่อคืน เมืองทั้งเมืองถูกควบคุมไว้หมดแล้ว

ด้วยเหตุนี้คาสโซ่จึงคุมตัวพวกทหารรักษาการณ์ ถอดชุดเกราะและปลดอาวุธออกก่อนจะเอาดาบจ่อบังคับให้พวกเขาควบคุมเครื่องมือป้องกันเมือง

วิธีการนี้ได้ผลยิ่ง สิ่งนี้สามารถชดเชยความต่างด้านกำลังพลได้ทันที เมื่อเป็นเช่นนี้ทางฝั่งบุกโจมตีเมืองก็ประสบกับการบาดเจ็บล้มตายอย่างหนักแล้ว….

 

 

 


ตอนที่ 512

 

เซียวอวี๋กำลังพักผ่อนอย่างสบายอารมณ์อยู่ภายในห้องโถง จู่ๆสกาเล็ตก็วิ่งเข้ามาก่อนจะโถมเข้าหาอ้อมอกของเขาด้วยน้ำตานอง

“เกิดอะไรขึ้น?” เห็นสกาเล็ตร้องไห้ไม่หยุด เซียวอวี๋ก็ตื่นตระหนก “ผู้ใดรังแกสกาเล็ตของข้า? บอกมา เดี๋ยวข้าจะไปจัดการมันเอง”

สกาเล็ตร้องไห้อยู่นานสองนานก่อนจะกล่าวออกมา “ไม่มีผู้ใดรังแกข้า ข้าเพิ่งจัดการพวกทรยศเหล่านั้นไป ข้าจึงดีใจ ขอบคุณ ขอบคุณท่านจริงๆเซียวอวี๋ หากไม่ได้ท่าน ข้าคงไม่อาจล้างแค้น และครอบครัวของข้าคงต้องตกนรกทั้งเป็น”

เซียวอวี๋ยิ้มก่อนจะกล่าวอย่างอ่อนโยน “เช่นนี้เอง คนพวกนั้นสมควรโดนแล้ว หลังจากเสร็จเรื่องแล้ว พรุ่งนี้พวกเราก็จะกลับดินแดนไลอ้อน ที่นั่นจะเป็นบ้านหลังใหม่ของเจ้า เจ้าจะต้องมีความสุขอย่างแน่นอน”

เซียวอวี๋หรี่ตาลงอย่างมีความสุข การเดินทางครั้งนี้ช่างคุ้มค่านัก ไม่เพียงได้สมบัติกองเป็นภูเขา เขายังได้สาวงามสองนางอย่างสกาเล็ตและหมี่ไค่เอ๋อร์ และนั่นยังไม่รวมหยินเค่ออีก ยิ่งคิดก็ยิ่งมีความสุข เป็นบุรุษนี่ช่างดีจริงๆ

ด้วยเหตุนั้น วันนี้ทั้งวันเซียวอวี๋จึงปล่อยให้คนของเขาค้นและรวบรวมสิ่งของจนแทบจะเต็มรถม้าทั้งหมดที่หาได้ในเมืองเม็ก แม้เซียวอวี๋จะมีแหวนมิติอยู่มากมาย กระนั้นมันกลับไม่เพียงพอจะขนสิ่งขนทั้งหมด ส่วนที่เหลือจึงจำต้องขนใส่รถม้าไป

ทางด้านการสู้รบป้องกันเมืองนั้น ทั้งคาสโซ่และอลอนโซ่สามารถจัดการพวกทหารที่บุกมาได้สำเร็จ หลังจากนำศีรษะของอัสตูชูขึ้นเหนือกำแพงเมือง พวกทหารของแลนซ์ก็รีบล่าถอยหลบหนี

หลังจากคาสโซ่หารือกับอลอนโซ่แล้ว ทั้งคู่ก้ตัดสินใจส่งกำลังไล่ติดตามไปบดขยี้กากเดนที่เหลือ

ด้วยเพราะคำสั่งจากเซียวอวี๋ที่บอกว่า พวกเขาจะจากไปในพรุ่งนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องการกำจัดพวกทหารนอกเมืองให้สิ้นซาก มิเช่นนั้นทหารเหล่านี้อาจจะไล่ติดตามพวกเขา

การเก็บกวาดเป็นไปอย่างราบรื่น วันรุ่งขึ้น เซียวอวี๋ก็นำคนของเขาออกเดินทาง

เหตุผลที่ออกจากเมืองเร็วถึงเพียงนี้ก็เนื่องเพราะเซียวอวี๋รู้ว่า หากยืดเวลานานออกไป กองทหารของแลนซ์จากเมืองอื่นๆจะต้องเคลื่อนทัพมาแน่

ในคราแรกนั้น เป็นเพราะมิรันด้าไม่ได้เรียกขอกองหนุนเพระาคิดว่าตัวเขาสามารถจัดการเซียวอวี๋ได้

ทว่าท้ายที่สุดแล้ว เขาก็คิดไม่ถึงว่าเซียวอวี๋จะโผล่ออกมากลางเมืองจนทำให้พวกเขาต้องพ่ายแพ้เช่นนี้

มิรันด้าย่อมไม่อาจทนทานรับได้ เขาจะต้องส่งคนมาไล่ล่าเซียวอวี๋อย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเซียวอวี๋จึงต้องออกเดินทางเร็วขึ้นหน่อย

เซียวอวี๋ออกเดินทางโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้งยังทำร่องรอยหลอกล่อเอาไว้หลายทิศ ดังนั้นคนของมิรันด้าจึงไม่ทราบว่าเขาไปทิศทางใดกันแน่

เซียวอวี๋เดินทางไปยังเมืองเล็กที่เขาพบเป็นเมืองแรกหลังออกจากบึงตะวันลับก่อน เขายังไม่ได้มุ่งหน้าสู่ดินแดนไลอ้อนโดยตรง

“เจ้าสารเลวนั่น ข้าต้องจัดการมันให้ได้!” ในเวลาเดียวกันนั้น ในสถานที่อยู่ห่างไกลออกไป ใบหน้าของมิรันด้าบิดเบี้ยวจนดูราวกับปีศาจที่ผุดขึ้นจากขุมนรก

วันนั้นมิรันด้าหลบหนีออกมาด้วยม้วนคัมภีร์เวท

ถึงอย่างนั้น แม้ว่าเขาจะหลบหนีได้สำเร็จ แต่ผลกระทบจากความพ่ายแพ้ครั้งนี้ก็มากมายนัก นอกจากต้องเสียเมืองเม็กแล้ว เขายังสูญเสียไพร่พลไปเรือนแสน

แม้เขาจะเคียดแค้นเซียวอวี๋จับใจ แต่การจะไล่ล่าเซียวอวี๋ไหนเลยจะง่ายดายปานนั้น เขาได้เห็นกับตาตัวเองมาแล้ว แม้เซียวอวี๋จะไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่ที่สืบทอดมาเป็นพันๆปี แต่ความแข็งแกร่งทางขุมกำลังของเซียวอวี๋นั้นทรงพลังยิ่ง

ยิ่งไปกว่านั้น ดินแดนไลอ้อนของเซียวอวี๋ยังอยู่ห่างจากจักรวรรดิแลนซ์มาก อล้วเขาจะตามไปล้างแค้นได้อย่างไร? เดินทางไปดินแดนไลอ้อนเพื่อลอบสังหารเซียวอวี๋น่ะหรือ? นั่นช่างเพ้อเจ้อนัก ไม่เห็นหรือว่าองค์รักษ์ข้างกายของเซียวอวี๋แข็งแกร่งปานใด?

มิรันด้ามาถึงเมืองใกล้เคียง เขารีบออกคำสั่งต่อกองทัพให้ส่งคนไล่ติดตามเซียวอวี๋ไป เขาหวังจะยับยั้งไม่ให้เซียวอวี๋กลับดินแดนไลอ้อน

นี่เป็นเพียงโอกาสเดียวของเขา หากเซียวอวี๋ข้ามผ่านชายแดนของอาณาจักรพยัคฆ์เมฆาไปได้แล้วล่ะก็ ความหวังล้างแค้นของเขาคงต้องกลายเป็นหมันแล้ว

หากเขากล้าส่งทหารล่วงล้ำติดตามเข้าไป นั่นคงกลายเป็นชนวนสงครามระหว่างสองจักรวรรดิยักษ์ใหญ่ มิรันด้าย่อมไม่มีกำลังขวัญถึงเพียงนั้น

ถึงมี มันก็ยังไม่ถึงรอบให้เขาตัดสินใจ เขายังต้องถามเสด็จพ่อก่อน

หลังจากไล่ล่าเซียวอวี๋ได้สองสามวัน พวกเขาก็ยังไม่พบแม้แต่ร่องรอยของอีกฝ่าย

มิรันด้าหน้าเขียวคล้ำ เขากระทั่งคิดไล่ติดตามเข้าไปในอาณาจักรพยัคฆ์เมฆาและฉวยโอกาสหาผลประโยชน์โดยการปล้นสักครา

อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่นั้น ทหารของเขาก็วิ่งเข้ามาก่อนจะรายงาน “ฝ่าบาท! พวกเราถูกซุ่มโจมตีพะย่ะค่ะ! กองทัพออร์คนับหมื่นของเซียวอวี๋กำลังมุ่งหน้าเข้ามาแล้ว ทรงเร่งหลบหนีเถิดพะย่ะค่ะ!”

ในการสู้รบครั้งสุดท้ายนั้น พวกออร์คได้ประทับความทรงจำอันตราตรึงไว้ในใจของไพร่พลชาวแลนซ์ ดังนั้นเมื่อหน่วยลาดตระเวนค้นพบร่องรอยกองทัพออร์ค พวกเขาก็คิดว่าเป็นพวกเซียวอวี๋ซุ่มโจมตี

มิรันด้าตกตะลึง เหงื่อเย็นไหลซึมแผ่นหลัง

มิรันด้าเร่งสั่งการให้ถอยทัพทันที อย่างไรก็ตาม กองทัพออร์คบางส่วนนั้นมาถึงแล้ว

แม้เหล่าทหารที่ติดตามมิรันด้ามานี้จะเป็นกองทหารชั้นสูง ทว่าพวกออร์คที่เผชิญหน้าครั้งนี้กลับดุดันจนพวกเขาขวัญกระเจิง พวกทหารพากันวิ่งหนีไปคนละทิศคนละทาง ขณะที่พวกออร์คก็เข่นฆ่าติดตามไป

“ถอย! รีบถอย!” เห็นพวกออร์คโถมเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน มิรันด้าก็หน้าซีด เขารีบหลบหนีเอาตัวรอดโดยไม่ใยดีพวกทหารทางด้านหลัง

ออร์คเหล่านี้กระหายเลือดยิ่ง พวกมันคว้าจับคนขึ้นมาก่อนจะจับฉีกกินเนื้อพวกทหารทั้งเป็น

ยิ่งเห็น พวกทหารก็ยิ่งกลัว บางคนกระทั่งกลัวจนก้าวขาไม่ออกและทรุดตัวลงไปตรงนั้น

ด้วยเหตุนั้น กองทัพที่มิรันด้านำมาจึงสามารถหลบหนีไปได้ไม่ถึงครึ่ง

พวกออร์คนั้นไม่ได้ไล่ติดตามไป พวกมันเคลื่อนกำลังไปยังอีกทางหนึ่ง

“อะไรนะ? กองทัพออร์คจำนวนมาก?” ได้ยินคำรายงาน เซียวอวี๋ที่อยู่อีกที่ก็ขมวดคิ้วมุ่น

ด้วยเพราะเรื่องนี้เอง พวกออร์คใต้สังกัดของเซียวอวี๋จึงเป็นที่หวาดกลัวทันทีที่ถูกพบเห็น บางคนแสดงความเกลียดชังจนถึงขั้นจะเข้ามาเข่นฆ่า

“ใช่ ที่ชายขอบของบึงตะวันลับ ว่ากันว่าจู่ๆก็มีพวกออร์คหลายหมื่นโผล่ออกมาและเข่นฆ่าผู้คนไปตลอดทาง สถานที่หลายแห่งถูกพวกมันยึดครองไป” ลีอากล่าวรายงานข่าวที่สืบมาได้

นางยังคงเป็นหน่วยสอดแนมคนสำคัญของเขา ดังนั้นส่วนใหญ่แล้วเซียวอวี๋จึงเลือกส่งนางออกไปสืบหาข่าว เพราะอย่างไรเสีย เมอีฟก็เป็นเอลฟ์ นางย่อมไม่สะดวกทำอะไรหลายๆอย่าง

แต่ลีอานั้นไม่ใช่ นางสามารเข้าไปสืบข่าวตามบาร์และโรงเตี๊ยม

“ดูเหมือนว่านี่จะเป็นฝีมือของกูดาล” เซียวอวี๋พลันเข้าใจเรื่องราว เขาไม่สามารถจัดการกูดาลได้ ดังนั้นพวกออร์คที่กำลังออกปล้นสะดมตอนนี้ย่อมต้องมีกูดาลบงการอยู่เบื้องหลัง

พวกมันซ่อนตัวอยู่ในบึงตะวันลับมาเนิ่นนาน ครั้งนี้ถึงเวลาที่พวกมันจะทวงคืนความยิ่งใหญ่แล้ว

โชคดีที่เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นใกล้ดินแดนของเขา มิเช่นนั้น หากต้องปะทะกับกองทัพออร์คที่ดุร้ายพวกนี้ กองทัพของเขาย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงการสูญเสีย

เวลาก็ผ่านมาหลายปีตั้งแต่พวกมันดำเนินแผนการ ผู้ใดจะทราบเล่าว่าออกุสตุสมีขุมกำลังในมือมากน้อยเท่าใด

นี่ถือเป็นช่วงเวลาอันดีสำหรับกูดาล นั่นเพราะะเวลานี้แผ่นดินหลักกำลังแตกแยก ทุกที่ล้วนเปิดศึกแย่งชิงดินแดน อาณาจักรพยัคฆ์เมฆาเองก็เหลือแต่ชื่อ ขุมกำลังต่างๆล้วนคิดแต่จะพิชิตโลก ไม่สนใจเรื่องไกลตัว

ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อพวกออร์คปรากฏตัวขึ้นจึงไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ

“เราจะกลับดินแดนไลอ้อนทันที สถานการณ์ของทั่วแผ่นดินตอนนี้เริ่มวุ่นวายแล้ว” เซียวอวี๋รู้ว่าเขาจะต้องเร่งเตรียมการแล้ว มิเช่นนั้นคงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบตั้งแต่เริ่ม

เซียวอวี๋เร่งนำคนมุ่งหน้ากลับดินแดนไลอ้อน ตามรายทาง เซียวอวี๋ยังคอยส่งคนไปกระจายข่าวเกี่ยวกับการโจมตีของพวกออร์ค ให้พวกชาวบ้านเร่งอพยพออกไป ทั้งยังบอกว่าที่ดินแดนไลอ้อนนั้นไม่มีการเรียกเก็บภาษี ยิ่งกว่านั้นยังมีการแจกที่ดินและนโยบายเลิศล้ำอื่นๆ เขาหวังบางคนอาจจะคล้อยตามและเดินทางไปยังดินแดนไลอ้อน

แม้จากที่นั่นจะอยู่ห่างไกลจากดินแดนไลอ้อนมาก แต่หากว่าไม่มีที่ที่เหมาะแล้ว พวกเขาก็อาจจะเลือกเดินทางไปยังดินแดนไลอ้อน

ขณะเดียวกัน เซียวอวี๋ยังได้เขียนบทเพลงมากมายและให้พวกนักกวีร้องบรรยายความวิเศษของดินแดนไลอ้อนไปตลอดทาง

มันเป็นการโฆษณาชวนเชื่ออย่างยิ่งใหญ่

ขณะที่เซียวอวี๋เพิ่งกลับถึงดินแดนไลอ้อนนั้น กองทัพออร์คของกูดาลก็สามารถยึดครองเมืองมนุษย์รอบบึงตะวันลับได้สำเร็จ

เหล่าชนเผ่าออร์คในตอนนี้ล้วนเปลี่ยนสังกัดจากออกุสตุสไปเข้ากับกูดาลจนสิ้น

ณ ที่ค่ายใหญ่ของพวกออร์ค กูดาลนั่งหลับตาอยู่บนบัลลังก์ในห้องโถงขณะสัมผัสถึงสภาพโดยรอบ

กูดาลนั้นเป็นวอร์ล็อค ขณะเดียวกันมันก็ยังเป็นหมอผีชั้นสูง มันสามารถทำความเข้าใจสถานการณืที่เกิดขึ้นผ่านทางลูกแก้วมนตรา

ความคืบหน้าในระยะแรกของพวกออร์คเป็นไปอย่างราบรื่น นั่นทำให้มันพอใจอย่างมาก

“ท่านกูดาล ข้ายินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับท่าน สิ่งของที่ท่านต้องการ ข้าจะค่อยๆทยอยส่งมาให้ แต่เงื่อนไขที่ท่านตกลงไว้ หวังว่าตอนนั้นท่านจะทำให้ข้าพึงพอใจ”

ที่เบื้องล่างไม่ไกลจากบัลลังก์ของกูดาล มนุษย์ท่าทางกลอกกลิ้งคนหนึ่งกำลังกล่าวกับกูดาลด้วยรอยยิ้ม มนุษย์ผู้นี้ย่อมไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นศัตรูคู่อาฆาตของเซียวอวี๋ โรเบิร์ตแห่งตระกูลเคเนดี้

หลังจากถูกส่งตัวออกมาจากวิหารดำ เขากลับโชคร้ายยิ่ง นั่นเพราะพวกเขาปรากฏตัวขึ้นไม่ไกลจากกองทัพของกูดาล คนทั้งหมดจึงถูกจับอย่างไร้หนทาง

อย่างไรก็ตาม กูดาลไม่ได้สังหารพวกเขา หากแต่ยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจให้โรเบิร์ต

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งสองฝ่ายก็จับมือเป็นพันธมิตรกัน

เวลานี้กูดาลต้องการขุมกำลังของมนุษย์เพื่อรักษาอำนาจของมัน ขณะที่โรเบิร์ตต้องการครอบโลก แต่ก็ต้องการความช่วยเหลือจากพวกออร์ค ตระกูลของเขาได้ฟื้นฟูพวกออร์คเผ่าแบล็กร็อคขึ้นมา ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะร่วมมือกับกูดาล

“ไม่ต้องกังวลไปหรอกสหายข้า ข้าจะให้เจ้าได้เป็นราชันย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษย์ ส่วนข้าจะปกครองพวกออร์ค พวกเราทั้งสองจะปกครองทวีปแห่งนี้ร่วมกัน ฮ่าฮ่าฮ่า…”

เสียงหัวเราะของกูดาลดังกึกก้องทั้งห้องโถง…..

 

 

 


ตอนที่ 513

 

“เฮ้อ ในที่สุดก็กลับมาแล้ว” เซียวอวี๋ทอดตามองหอสังเกตการณ์ที่เรียงรายอยู่ห่างไปไม่ไกล

หลังจากผจญภัยอย่างยาวนาน ในที่สุดเขาก็กลับถึงบ้านแล้ว ช่างน่าคิดถึงจริงๆ แถมครั้งนี้เขายังไม่ได้กลับมามือเปล่า ยังมีสมบัติอีกกองพะเนิน ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้เขามีความสุข

หน่วยอัศวินอสูรเขาพบเห็นพวกพ่อบ้านหง มู่หลี่ หลงฮุ่ยและคนอื่นๆแล้ว พวกเขานำทัพใหญ่ออกมารอต้อนรับ

“นายน้อย” พ่อบ้านหงรีบปรี่เข้ามาหา มือของเขารีบปัดเช็ดเสื้อผ้าให้เซียวอวี๋พลางหลั่งน้ำตาไปด้วย

“อ๊ะ ท่านลุงหง ท่านทำอะไรน่ะ? ไม่ใช่ว่าข้ากลับมาอย่างปลอดภัย? แม้แต่ผมสักเส้นยังไม่ร่วงเลยนะ” เซียวอวี๋รู้ว่าพ่อบ้านหงเป็นห่วงเขามาก

เซียวหงเป็นพ่อบ้านให้ตระกูลเซียวมาเนิ่นนาน เวลานี้ตระกูลเซียวหลงเหลือหน่อเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่ง นี่จะไม่ให้เขากังวลได้อย่างไร?

“อา กลับมาแล้ว ท่านกลับมาแล้ว….” พอ่บ้านหงปาดเช็ดน้ำตาพลางยิ้มอย่างอบอุ่น

“เอาล่ะ เอาไว้กลับไปแล้วค่อยๆคุยกันเถอะ” เซียวอวี๋ทราบว่าที่นี่ไม่ใช่ที่เหมาะจะพูดคุยสักเท่าไร หลังจากกลับไปแล้วเขายังต้องทำความเข้าใจสถานการณ์ของดินแดนไลอ้อนอีก

อย่างไรก็ตาม แม้เขาจะไม่ได้เอ่ยถาม เพียงเห็นกองทัพที่มาต้อนรับยืนแถวอย่างเป็นระบบระเบียบ เขาก็ทราบได้ทันทีว่าดินแดนไลอ้อนตอนนี้คงพัฒนาไปมาก

ฮีโร่คนอื่นๆที่ไม่ได้ติดตามไปกับเขาก็ล้วนแต่มายืนรอเซียวอวี๋

เหล่าบรรดาพี่สะใภ้เองก็ล้อมวงเข้ามาบ่นใส่เซียวอวี๋ บอกว่าจากไปตั้งนาน เขากลับไม่ยอมส่งข่าวกลับมาบ้างเลย

จากนั้นเหล่าพี่สะใภ้ก็เข้าไปรุมล้อมหลินมู่เสวี่ย อย่างไรเสีย ไม่ช้าก็เร็ว มู่เสวียก็จะกลายเป็นน้องสาวของพวกนาง นางคือว่าที่นายหญิงแห่งตระกูลเซียว

พวกนางย่อมต้องเอาใจใส่

เซียวอวี๋พลันหลั่งเหงื่อเย็น ตอนนี้หลินมู่เสวี่ยไม่ใช่หลินมู่เสวี่ยคนเก่า หากเกิดอะไรแปลกๆ นั่นคงเป็นปัญหาแล้ว

โชคดีที่นางไม่ได้มีท่าทีแปลกๆ นางยิ้มแย้มพูดคุยกับบรรดาพี่สะใภ้ ชัดเจนว่าผู้ที่ควบคุมร่างในตอนนี้คือหลินมู่เสวี่ย ไม่ใช่เอกวินน์

สกาเล็ต หมี่ไค่เอ๋อร์ ผู้จัดการเซี่ยชานและคนอื่นๆที่ได้เห็นความเป็นระเบียบของกองทัพดินแดนไลอ้อนก็ตกตะลึง

ดินแดนนี้มันอะไรกัน? คล้ายกับพวกเขากำลังหลุดเข้าไปในโลกเทพนิยาย กองทัพจากหลากหลายเผ่าพันธุ์มีให้เห็นชะลานตา สิ่งเช่นนี้เพียงพบเห็นได้ในครั้งโบราณเท่านั้น ไม่คิดว่าพวกเขาจะได้มาเห็นด้วยสองตาของตัวเองจริงๆ

สกาเล็ตและหมี่ไค่เอ๋อร์หันไปสบตากัน ดวงตาของทั้งคู่ฉายแววยินดี พวกนางเลือกติดตามคนไม่ผิดจริงๆ

ด้วยเหตุนี้ คณะเดินทางของเซียวอวี๋จึงถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนมากมายระหว่างเดินทางกลับเมือง

แม้จะรู้ว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ควรถามอะไรมาก กระนั้นเซียวอวี๋ก็ยังอดกระซิบถามมู่หลี่ไม่ได้ “ฉินเช่อเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”

ได้ยินคำถามนี้ ใบหน้าของมู่หลี่ก็เผยรอยยิ้มที่ยากจะปรากฏ แววตาของเขาดูตื่นเต้นอย่างมาก “ท่านลอร์ด ท่านต้องไม่เชื่อแน่ๆ ฉินเช่อยอดเยี่ยมยิ่ง เขานำไปเพียงทัพเดียว หากแต่ยังวิ่งป่วนไปทั่วเมฆาตะวันออก เขากระทั่งควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้หมดจด โถวปาหงย่อมได้ประโยชน์ไปเต็มๆ ข้าเกรงว่าอีกไม่นานเขาคงได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิแล้ว”

“หะ? ควบคุมสถานการณ์ได้หมดแล้ว?” เซียวอวี๋ตกตะลึง แม้ว่าเขาจะคาดหวังในตัวฉินเช่อเอาไว้อย่างสูง แต่ตอนที่ส่งฉินเช่อไป เขาก็คิดไว้แค่เพียงให้ฉินเช่อไปคอยป่วนพวกศัตรูเพื่อซื้อเวลาให้โถวปาหง

คิดไม่ถึงว่าฉินเช่อจะทำผลงานได้ดีเลิศถึงเพียงนี้

“ขอรับ ตอนนี้ทั่วทั้งจักรวรรดิล้วนแซ่ซ้องนามของเขา เดิมทีความเชี่ยวชาญด้านสงครามของเขาก็น่ากลัวอยู่แล้ว นับตั้งแต่เดินทางเข้าจักรวรรดิไป เขาก็รบชนะทุกครั้งครา ไม่แพ้แม้แต่หนเดียว จนตอนนี้ทุกคนล้วนแต่ยกย่องบูชาเขา” ยามเมื่อกล่าวถึงฉินเช่อ น้ำเสียงของมู่หลี่ยังถึงกับสั่น ชัดเจนว่าเขาตื่นเต้นยินดีมากเพียงใด

“เมื่อเป็นเช่นนี้ กองทัพหมาป่าก็อยู่ภายใต้การบัญชาของฉินเช่อ?” เซียวอวี๋ตกตะลึง ดูเหมือนว่าการตัดสินใจของเขาจะไม่ผิดจริงๆ ครั้งนี้เขากลับเพาะสร้างแม่ทัพชาญชัยขึ้นมาคนหนึ่งแล้ว

“ขอรับ กระทั่งทัพหมาป่าที่อยู่ใต้บัญชาของโถวปาหงก็ส่งมอบให้ฉินเช่อดูแล ฉินเช่อยังส่งจดหมายกลับมาเพื่อร้องขอเสบียง ซึ่งเราก็ส่งให้ อาจารย์ฮิกกิ้นเองก็สร้างไอเทมเวทออกมามากมาย เป็นฉินเช่อที่ส่งวัตุดิบกลับมา” มู่หลี่กล่าวรายงาน

เซียวอวี๋ผงกศีรษะขณะรับฟัง ดูเหมือนว่าหนทางสู่อำนาจของเขาจะราบรื่นกว่าเดิมมากแล้ว

เซียวอวี๋ไม่ได้ถามอะไรอีก

เวลานี้เมืองไลอ้อนกลายเป็นงดงามตระการตาแล้ว มันไม่ได้เป็นเมืองแสนธรรมดาดั่งเช่นตอนแรกเริ่มอีก ตอนนี้มันกลายเป็นเมืองใหญ่แล้วจริงๆ ทั้งยังค่อยๆเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งหมดทั้งมวลต้องยกความดีความชอบให้กับนโยบายของเซียวอวี๋ นโยบายเหล่านั้นได้เพิ่มพูนประชากรให้กับดินแดนเป็นทบทวี ผู้อพยพล้วนหลั่งไหลเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศ พวกเขาต่างเข้ามาลงหลักปักฐานและทำการเกษตรที่บ้านหลังใหม่แห่งนี้

บางคนสมัครเข้าร่วมกองทัพเพื่อลดหย่อนภาษีของทางบ้าน ในตอนนี้ กองทหารชั้นสูงของดินแดนก็มีจำนวนเกินหนึ่งแสนนายไปแล้ว

นั่นยังไม่รวมถึงกำลังสำรองอีกกว่าห้าแสนนาย

นโยบายทางการทหารประสบความสำเร็จอย่างงดงาม มันทำให้สามารถคงกำลังทหารเอาไว้โดยไม่ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรต้องลดน้อยลง

เป็นเพราะเงินทุนและอาวุธอุปกรณ์ที่มีไม่ขาด การฝึกฝนกองทหารจึงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับได้เหล่านักเรียนสถาบันอัศวินมาเข้าร่วมกับดินแดน ดังนั้นตอนนี้เซียวอวี๋จึงมีนายทหารชั้นสั่งการค่อนข้างมาก

ถึงแม้จำนวนนี้จะยังไม่พอสำหรับอนาคต แต่สำหรับตอนนี้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว นายทหารหนุ่มเหล่านี้มีความกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความมั่นใจในอนาคตของดินแดนไลอ้อน

ตำนานการรบอันไร้พ่ายของเซียวอวี๋ขจรขจายไปทั่วแดนดิน เซียวอวี๋คือราชันในคำพยากรณ์ ข่าวลือเหล่านี้ล้วนแพร่สะพัดไปทั่วทั้งดินแดนแล้ว

โฆษณาชวนเชื่อเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับดินแดน

ในช่วงที่เซียวอวี๋ไม่อยู่ มู่หลี่และหลงฮุ่ยยังได้ส่งกองทัพบางส่วนไปช่วยเหลือโถวปาหงและเพื่อเป็นการฝึกฝนไปในตัว

เนื่องเพราะเซียวอวี๋จากไปเป็นเวลานาน เดิมเขาคิดว่าคงมีศัตรูบุกรุกดินแดน ทว่าเรื่องนั้นกลับไม่เกิดขึ้น ดังนั้นเหล่าทหารใหม่จึงได้แต่ทำการฝึก แต่หากพวกเขาไม่เคยผ่านสนามรบจริง พวกเขาก็ไม่อาจเรียกตัวเองว่านักรบ

พวกโจรปล้นชิงในดินแดนส่วนใหญ่ถูกกวาดล้างไปแล้ว กระนั้นก็ยังเหลือพวกกลุ่มยิบย่อยและมีแนวโน้มว่าจะฟื้นตัวขึ้นได้ ดังนั้นโจรพวกนี้เลยกลายเป็นเป้าซ้อมที่ดีสำหรับทหารของดินแดนไลอ้อน

มู่หลี่จะคอยฝึกและอบรมเหล่านายทหารรุ่นเยาว์เพื่อให้พวกเขากลายเป็นนายทหารชั้นยอด ขณะที่ทอร์ลจะนำพวกเขาเข้าสู่สนามรบจริง

ความสามารถในการนำทัพของทอร์ลนั้นไร้ซึ่งข้อกังขา แม้ว่าเขาจะเป็นออร์ค ทว่าเหล่าทหารกลับให้ความเคารพเขาอย่างสูงจนข้ามผ่านข้อจำกัดด้านเผ่าพันธุ์ไป

ในดินแดนไลอ้อนนั้นห้ามมิให้ทำการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติอย่างเด็ดขาด ผู้ใดที่กล้าเลือกปฏิบัติต่อเผ่าพันธุ์อื่นจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง ด้วยเหตุนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างทหารชาวมนุษย์และเผ่าพันธุ์อื่นๆจึงกลมเกลียวแน่นแฟ้น

แน่นอนว่าพวกเอลฟ์นั้นเป็นข้อยกเว้น

พวกเอลฟ์ยังคงหยิ่งทะนงดุจเดิม แม้จะมีบางคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับมนุษย์ แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยึดติดว่าตนเป็นเผ่าพันธ์ชั้นสูง

เมื่อเข้าสู่เมืองไลอ้อน มู่หลี่ก้หันมากระซิบข้างหูของเซียวอวี๋ “ท่านลอร์ด มีเรื่องสำคัญที่ข้าลืมบอกท่านไป เมื่อไม่นานนี้ สหายของท่านฮิกกิ้นได้มาเยี่ยมเยือน ทั้งยังพักอาศัยอยู่ที่นี่ ชื่อของเขาคือธีโอดอร์”

“หะ?” เมื่อได้ยินชื่อ เซียวอวี๋ก็สะดุ้งโหยง ตาแก่ธีโอดอร์กลับวิ่งแจ้นมาที่นี่ แล้วแบบนี้เขาจะหลบหน้าอีกได้อย่างไร

เซียวอวี๋รู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของธีโอดอร์ดี เขาจะกล้าชักช้าได้อย่างไร? เขาพลันเปลี่ยนทิศทางไปพบกับธีโอดอร์ก่อน

ไม่เพียงแต่เซียวอวี๋ กระทั่งราชาของอาณาจักรใหญ่ก็ยังต้องทำเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้พบกับธีโดอดอร์ ตาแก่นั่นนึกอยากจะทำอะไรก็ทำ เขาอยากจะพบเจอใครก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขา

เซียวอวี๋จึงเดินทางไปยังสถาบันวิจัยของฮิกกิ้น ที่แห่งนี้เซียวอวี๋ได้จัดสรรเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้ถูกใครรบกวน

เพียงแค่มาถึง เขาก็ได้ยินเสียงบ่นของฮิกกิ้นดังมา “อะไรนะ? กระดูกงูหาย? ไม่มีอัญมณี? แล้วทรายทังสเตนเล่า? บัดซบ เจ้าเซียวอวี๋นั่นมัวไปเที่ยวเตร่อยู่ที่ไหน? ตอนนี้ไม่มีวัตถุดิบแล้ว ข้าจะทำการวิจัยได้อย่างไร?”

“เฮ้อ ตาเฒ่าคนนี้ยังคงไฟแรงเหมือนเดิม” เซียวอวี๋กลอกตา

ตึกๆ

ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าเซียวอวี๋ เป็นตาแก่ฮิกกิ้นที่ทั่วร่างตอนนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นผง เส้นผมที่รกรุงรัง และสภาพที่โทรมจนแทบไม่ต่างจากขอทาน

กระนั้นแววตาของเขากลับเป็นประกาย เขารีบกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดัง “ไอ้หนู ในที่สุดเจ้าก็ไสหัวกลับมาได้เสียที เจ้าบอกว่าเจ้าจะเอากองวัตถุดิบกลับมา ของพวกนั้นอยู่ไหน? อย่าได้หลอกลวงผู้อาวุโส”

เซียวอวี๋เบ้หน้า “ดูเอาเอง”

กล่าวจบก็นำวัตถุดิบทั้งหมดออกมาจากแหวนมิติจนกองเป็นภูเขาขึ้นในลานกว้าง

“อะ…นะ..นี่ ร่างของสัตว์อสูรขั้นที่หก? โอ้นั่น ตรงนั้นมัน…สัตว์ประหลาดอะไรกันนี่? ดูแข็งแกร่งนัก อะ…นั่นมันแก่นนภา! เอ๊ะ คริสตัลอาร์เคน? ผงอาร์เคน? นี่มันช่างมากมายนัก…..”

เมื่อเห็นสิ่งของชนิดต่างๆ ฮิกกิ้นก็ตื่นเต้นจนตัวสั่น สายจับจ้องไปยังภูเขาสมบัติที่อยู่ตรงหน้าไม่ละสายตา เขาไม่สนใจเซียวอวี๋อีก

“นี่แค่หนึ่งในสิบเท่านั้นหรอก” เซียวอวี๋เชิดหน้ากล่าวอวด

“อะไรนะ?! แค่หนึ่งในสิบ? เจ้าต้องส่งของทั้งหมดมาให้ข้า!” ฮิกกิ้นรีบวิ่งเข้ามาคว้าไหล่ของเซียวอวี๋ราวกับจะไม่ยอมปล่อยหากไม่ส่งมอบของออกมา

“บัดซบ ไม่ได้อยู่ที่ข้าแล้ว มันอยู่ในรถม้าโน่น ท่านไปเอาเองเถอะ” เซียวอวี๋รีบกล่าว ขืนโดนตาแก่นี่ตามตอแยคงยุ่งยากมากแล้ว

ได้ยินดังนั้นฮิกกิ้นก็วิ่งแจ้นจากไป

“เฮ้อ ตาแก่คนนี้ ไม่มีความเป็นอาวุโสสักนิด” เซียวอวี๋พึมพำ

“โอ้ เจ้ากำลังพูดถึงข้าหรือ?” เสียงอันคุ้นพลันดังออกมาจากในอาคาร ก่อนที่ทันใดนั้นร่างหนึ่งจะปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าของเซียวอวี๋ราวกับยืนอยู่ตรงนั้นมาตลอด

คนผู้นี้ย่อมไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นจ้าวมนตราขั้นที่หก ธีโอดอร์…

 

 

 


ตอนที่ 514

 

“อ๊ะ ท่านเองเรอะ” เมื่อเห็นธีโอดอร์ เซียวอวี๋ก็ยินดี อย่างไรเสียผู้อาวุโสท่านนี้ก็ช่วยเหลือเขาไว้มาก

“โฮ่ ย่อมต้องเป็นข้า นอกจากข้าแล้วจะเป็นผู้ใดได้อีก? ไม่นานมานี้ข้าลองทำนายดวงชะตาผ่านการดูดาวบนฟ้า และข้าก็พบว่าเกิดบางสิ่งขึ้นกับศิษย์ตัวน้อยของข้า ข้าจึงต้องเดินทางมาดูด้วยตาตัวเอง” ธีโอดอร์ยิ้มพลางก้าวเข้ามา

“นั่น….เรื่องมันยาวและค่อนข้างอธิบายยาก….” ได้ยินคำถาม เซียวอวี๋ก็ถอนหายใจ

เรื่องนี้ เซียวอวี๋เองก็ว่าจะลองถามธีโอดอร์ดู เผื่อว่าเขาจะมีความคิดดีๆ ตอนนี้เอกวินน์ใช้ร่างร่วมกับหลินมู่เสวี่ย แม้เวลานี้จะดูไม่มีอันตรายอะไร แต่กันไว้ก็ดีกว่าแก้ หากสามารถช่วยให้หลินมู่เสวี่ยกลับเป็นปกติได้ มันจะไม่ดีกว่าหรือ?

ขณะที่เซียวอวี๋ต้องการชักชวนธีโอดอร์ไปหาห้องเพื่อพูดคุย ทันใดนั้น ฮิกกิ้นก็วิ่งเข้ามาพลางตะโกนโหวกเหวก “ธีโอดอร์ ธีโอดอร์! ข้าไม่มีเวลาอยู่กับเจ้าแล้ว ที่นั่นมีวัตุดิบมากมายนัก งานวิจัยของข้าจะต้องก้าวหน้าไปไกลแน่”

“ฮึ่ม…ฮิกกิ้น ท่านนี่นะ ที่นี่เป็นที่ของข้า ท่านควรต้องทักทายข้า ที่กินที่อยู่ก็ล้วนเป็นข้าที่จัดหา ช่วงนี้ท่านให้อะไรดีๆตอบแทนกลับมาบ้างหรือไม่?”

ได้ยินคำกล่าวของเซียวอวี๋ ฮิกกิ้นก็กลอกตากล่าวว่า “ท่านปู่ผู้นี้ใช่กินอยู่เปล่าเสียหน่อย หากข้าไม่ได้มอบอะไรให้ เจ้าคิดหรือว่าเด็กน้อยฉินเช่อจะสามารถโลดแล่นไปทั่วทุ่งหญ้าได้?”

ได้ยินดังนั้น เซียวอวี๋ก็กระจ่าง ไม่แปลกที่ฉินเช่อจะกลายเป็นไร้เทียมทานขึ้นมา ที่แท้ฮิกกิ้นก็มีส่วนสำคัญด้วยนี่เอง

ความสามารถด้านการนำทัพของฉินเช่อนั้นสูงส่ง แต่อย่างไรเสีย คนของเขาก็มีกำลังน้อยกว่า ยากจะที่รับมือกับผู้แข็งแกร่งจริงๆ หากมีตัวตนขั้นที่หกปรากฏตัวออกมาเล่นงาน ฉินเช่อยังจัดการได้หรือ?

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายเขายังมีฮิกกิ้น ครั้งล่าสุดเขายังมอบสิ่งของต่างๆให้กับฉินเช่อมากมายจนกระทั่งต่อกรกับตัวตนขั้นที่หกอย่างไม่เสียเปรียบ

“อืม ท่านไปทำการวิจัยของท่านต่อเถอะ หากมีของดีอะไรอีกก็อย่างลืมเรียกข้าล่ะ” เซียวอวี๋โบกมือไล่ฮิกกิ้น

“ฮึ่ม เจ้าคิดว่าข้าไม่ต้องกินต้องนอนเรอะ? ตอนนี้ข้ายุ่งจนไม่รู้จะยุ่งอย่างไรแล้ว ข้าต้องได้ลูกมือโดยเร็ว”

“ไม่มีปัญหา ข้าจะส่งพวกก๊อบลินบางส่วนมาช่วยในไม่กี่วัน” พวกก๊อบลินถือเป็นช่างฝีมือคุณภาพที่ทั้งถูกทั้งดี เซียวอวี๋เองยังต้องการตัวพวกมันมาเพิ่ม

“ไม่เอาเจ้าก๊อบลินพวกนั้น ฝีมือดีก็จริง แต่พวกมันไม่มีพลังเวท การวิจัยหลายๆอย่างต้องการผู้ใช้มนตราที่มีประสบการณ์” ฮิกกิ้นกล่าวขัด

“เป็นเช่นนี้เอง วางใจเถอะ ข้าจะส่งคนมาในไม่กี่วัน” เซียวอวี๋รับปาก

“จำคำพูดของเจ้าไว้ด้วย หากข้าไม่ได้ตัวพวกเขาในหนึ่งเดือน เช่นนั้นก็อย่าได้ตำหนิข้าใช้วัตถุดิบฟุ่มเฟือย” หลังจากนั้นฮิกกิ้นก็กลับไปยังห้องทดลอง

การจัดหาผู้ใช้มนตราสำหรับเซียวอวี๋แล้วไม่ได้ยากนัก เขามีหลายวิธีการเพื่อให้ได้คนมา

“โอ้ แล้วเจ้าจะไปหาคนเหล่านั้นมาอย่างไร?” ธีโอดอร์ยิ้มถาม

“ไม่ยาก ข้าจะประกาศรับสมัครผู้ใช้มนตราตามสถาบันเวทมนตร์ต่างๆด้วยชื่อของท่าน เชื่อว่าคนจำนวนมากคงรีบแห่กันมาเลยล่ะ” เซียวอวี๋กล่าวอย่างปลอดโปร่ง

“ฮึ่ม เจ้าเด็กนี่ กระทั่งใช้ชื่อข้าหาผลประโยชน์เลยรึ?” ธีโอดอร์โกรธจนเครากระดิก

“เหอเหอ ท่านยังจะกลัวอะไร? ถึงเวลานั้นท่านก็ให้ผลประโยชน์พวกเขาสักหน่อย พวกเขาก็ไม่กล้าจากไปแล้ว ชื่อเสียงของท่านไม่เสื่อมเสียหรอกน่า” เซียวอวี๋กล่าวอย่างมั่นใจ

“ฝันไปเถอะเจ้าหนู ข้าไม่ช่วยหรอก” ธีโอดอร์กลอกตา ขณะที่เซียวอวี๋กระอักกระอ่วน

“นี่ ท่านไม่ต้องช่วยอะไรหรอก แค่เซ็นลายเซ็นให้ข้าสกหลายชุด” เซียวอวี๋ยิ้มแห้ง

“ไม่มีทาง” ธีโอดอร์ปฏิเสธ ดูท่าต้องนอนต้องคอยระวังไว้บ้างแล้ว

“แค่กๆ ท่านธีโอดอร์ผู้ยิ่งใหญ่ ตัวท่านก็ติดอยู่บนยอดของขั้นที่หกมานาน หากข้าบอกว่าข้ามีวิธีช่วยให้ท่านตัดผ่านไปขั้นที่เจ็ดได้เล่า ท่านจะช่วยข้าหรือไม่?” เซียวอวี๋เริ่มใช้ฝีปากล่อลวง

“เจ้าว่าอะไรนะ? ช่วยข้าตัดผ่านไปขั้นที่เจ็ด? เจ้าพูดจริงรึ?” เรื่องการตัดผ่านไปขั้นที่เจ็ด แม้แต่ธีโอดอร์ก็ยังหวั่นไหว

มีคนตั้งมากเท่าไรที่ใฝ่ฝันจะเป็นตัวตนสูงสุดของโลก นานเท่าไรแล้วที่ตัวตนขั้นที่เจ็ดไม่มีปรากฏขึ้นในทวีป?

“แน่นอน มันเป็นไปได้แน่ เพียงแค่ท่านต้องเซ็นลายเซ็นให้ข้า ท่านแทบไม่ต้องลงแรงอะไรด้วยซ้ำ” เซียวอวี๋รีบฉวยโอกาสตีชิงตามไฟ

“ฮึ่ม เจ้าคิดว่าข้ามีดีแค่อยู่มานานรึ? ข้าไม่ถูกเจ้าปั่นหัวหรอก” ธีโอดอร์สงบใจลง เรื่องนี้จะเป็นไปได้หรือ? ขนาดตัวเขายังไม่อาจตัดทะลวงไปได้ แล้วเซียวอวี๋จะมีความสามารถนั้นหรือ?

แม้จะยอมรับว่าตัวเขาสู้เซียวอวี๋เรื่องความชั่วร้ายไม่ได้ แต่ในด้านวิถีแห่งมนตรา เขาเชื่อว่าตนไม่เป็นสองรองใครแน่

“เพ้ย ท่านไม่เชื่อ? การผจญภัยครั้งนี้ ท่านรู้หรือว่าข้าได้อะไรมาบ้าง?” เซียวอวี๋ตีหน้าขรึมทำตัวลึกลับ “ข้าได้ไปที่วิหารดำมา และข้าก็คุ้นเคยกับที่นั่นดี ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังได้พบกับกูดาล แม้สุดท้ายแล้วมันจะหนีรอดไปได้ แต่ข้าก็สู้กับมันตั้งนานสองนาน และที่สำคัญที่สุด ข้ายังได้พบเจอผู้ยิ่งใหญ่ทางเวทย์ท่านหนึ่ง มหาจอมเวทในครั้งโบราณ”

เซียวอวี๋เงยหน้าขึ้นจ้องธีโอดอร์ และรอดูท่าทีของเขา

“ที่เจ้าพบเป็นผู้ใด?” มือของธีโอดอร์สั่นน้อยๆ ตัวเขานั้นได้ศึกษาศาสตร์แห่งการทำนายมา และแน่นอนว่าเขาย่อมมีความสามารถในการส่องชะตา

เขาสัมผัสได้ว่าเซียวอวี๋ได้นำบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญยิ่งกลับมากับเขาด้วย แต่เป็นอะไรนั้น ตัวเขาก็ไม่อาจมองเห็น

สิ่งนั้นสูงส่งและมีอำนาจเหนือกว่าตัวเขาไปไกลโข

“หากอยากรู้ก็เซ็นให้ข้าก่อน” กล่าวจบก็นำเอากองกระดาษออกมาเตรียมให้ธีโอดอร์เซ็นลายเซ็นให้

“ฮึ่ม เจ้าสารเลวน้อย หากเจ้ากล้าหลอกลวงเราผู้เฒ่า ข้าจะระเบิดเมืองของเจ้าทิ้ง” ธีโอดอร์ถลึงตาใส่เซียวอวี๋พลางข่มขู่

“ไม่มีปัญหา ข้าจะกล้าโกหกท่านหรือ?” เซียวอวี๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ลีอา ที่เจ้าหนูนี่พูดเป็นเรื่องจริงงั้นรึ?” ธีโอดอร์หันไปถามลีอาที่อยู่ห่างไปไม่ไกล

ลีอาและธีโอดอร์นั้นสนิทกันมาก ทว่าตอนนี้นางหันไปติดตามเซียวอวี๋เป็นเวลานาน ความคิดความอ่านของนางก็เติบโตขึ้นมาก นางไม่ใช่เด็กหญิงตัวน้อยที่ชอบมาดึงเคราของธีโอดอร์เล่นอีกแล้ว

ขณะที่เซียวอวี๋และธีโอดอร์พูดคุยกัน ลีอาเองก็อยู่ด้านข้าง นางมองสลับกันระหว่างเซียวอวี๋และธีโอดอร์ด้วยแววตาสนุกสนาน

“ข้าก็ไม่รู้ อาจจะจริงและไม่จริง บางทีมันอาจจะช่วยให้ท่านตัดผ่านไปขั้นที่เจ็ดได้ก็ได้” นางยืนฟังเซียวอวี๋กล่าวมานาน สิ่งที่เขากล่าวอาจสามารถช่วยธีโอดอร์ได้จริงๆ

“เฮ้อ ออกเรือนไม่ทันไรก็ช่วยผู้อื่นรังแกเราผู้เฒ่าเสียแล้ว” ธีโอดอร์รำพัน

“เพ้ย! ไปตายซะตาแก่ ผู้ใดออกเรือนกัน?” ลีอาพลันหน้าแดง

“ข้ายังจะมีทางเลือกหรือ? เฮ้อ ชีวิตของข้าพังเพราะพวกเจ้าทั้งสองจริงๆ” ธีโอดอร์ยื่นนิ้วออก ตวัดไม่กี่ครั้ง ลายเซ็นประทับเวทมนตร์ก็ถูกเซ็นเรียบร้อย

“เอาล่ะ อันที่จริงแล้ววิธีการนี้เกี่ยวข้องกับศิษย์ของท่าน มู่เสวี่ยของข้า” เซียวอวี๋ถอนหายใจ

“อย่างไร? เรื่องนี้เกี่ยวอับกับเสี่ยวเสวี่ย?” ธีโอดอร์ขมวดคิ้ว

“เฮ้อ ว่าไปแล้ว มันถือเป็นเรื่องโชคร้าย พวกเราเข้าไปที่วิหารดำเพื่อตามหากระโหลกของกูดาล ทว่าพวกเรากลับบังเอิญไปพบแท่นบูชาแห่งหนึ่งเข้า แท่นบูชานี้….” เซียวอวี๋เล่าเหตุการณ์การพบเจอกับเอกวินน์ให้ธีโอดอร์ฟัง

เมื่อได้ยินเซียวอวี๋เอ่ยถึงเอกวินน์ ธีโอดอร์ก็พรวดพราดเข้ามาจับมือเซียวอวี๋ไว้อย่างแรง

“เจ้าว่าอะไรนะ? เอกวินน์? มารดาของจอมเวทเมดีฟ? ผู้พิทักษ์แห่งทวีป เอกวินน์?” ธีโอดอร์จ้องเซียวอวี๋ราวกับจะค้นหาความจริง

“ถูกแล้ว ท่านจะได้พบนางด้วยตัวเองอย่างแน่นอน ที่ข้าบอกท่านเรื่องนี้ ทางหนึ่งก็เพื่อให้ท่านช่วยหาวิธีนำวิญญาณของนางออกจากร่างเสี่ยวเสวี่ย อีกทางก็เพื่อที่ท่านจะได้พูดคุยกับนาง แน่นอนว่านางจะต้องช่วยชี้ทางให้ท่านได้แน่ ท่านก็ทราบว่านางมีชีวิตอยู่มานับหมื่นปี ความเข้าใจในวิถีแห่งมนตราของนางย่อมบรรลุถึงขีดสุด เป็นอย่างไร ข้าไม่ได้หรอกท่านใช่หรือ?” เซียวอวี๋กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ได้ยินคำกล่าวของเซียวอวี๋ ธีโอดอร์ก็เงียบไป สายตาเหม่อมองไปยังอากาศธาตุ ขณะที่เขาพึมพำบางอย่าง

เซียวอวี๋หน้าซีด เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะคลุ้มคลั่งระเบิดเวทใส่เขา

“เอกวินน์ เป็นเอกวินน์จริงๆ….ไม่แปลกที่ข้าจะรู้สึกเช่นนั้น ไม่คิดเลยว่าข้าจะมีโอกาสได้พบนาง” สีหน้าของธีโอดอร์เปลี่ยนไปมา ครู่หนึ่งยินดี แต่ครู่ถัดมาก็เต็มไปด้วยความเศร้า ความตื่นเต้นและความอัดอั้น

สำหรับเซียวอวี๋แล้ว เอกวินน์เป็นเพียงแค่ตัวละครหนึ่งในประวัติศาสตร์ ดังนั้นเขาย่อมไม่ได้คุ้นเคยและรู้สึกเคารพยกย่องอีกฝ่าย

ทว่าธีโอดอร์นั้นไม่ใช่ ตัวเขาได้ศึกษาศาสตร์แห่งมนตรามาทั้งชีวิต ตัวเขาย่อมมีความเคารพและชื่นชมต่อเหล่าจ้าวมนตราผู้ยิ่งใหญ่ในครั้งอดีต ด้วยเหตุนั้น เมื่อได้ยินนามของเอกวินน์ เขาก็รู้สึกเฉกเช่นเดียวกับเหล่าพาลาดินที่ได้พบกับอูเธอร์

มันคือความศรัทธา

“พาข้าไปพบท่านเอกวินน์ อา ไม่ได้ๆ ข้าต้องไปล้างมือก่อน” ธีโอดอร์กลายเป็นตื่นเต้นราวกับเด็กน้อยที่กำลังจะไปงานสังสรรค์

“อืม ท่านควรสระผมเสียด้วย ไม่ต้องรีบร้อน เรื่องราวไม่ได้เร่งรีบอะไร แล้วก็ไม่ต้องเป็นฝ่ายไปหานางหรอก อย่างไรเสีย ร่างกายนั่นก็เป็นของศิษย์ท่าน ให้เสี่ยวเสวี่ยมาพบท่านเถอะ แล้วก็นะ ตอนพบกันให้ท่านวางมาดเสียหน่อย ข้ายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องเจรจากับนาง หลังจากเสร็จแล้วก็เชิญท่านตามสบาย”

ซึ่งที่จริง เซียวอวี๋ก็คาดหวังให้ธีโอดอร์สามารถตัดผ่านไปขั้นที่เจ็ดได้เช่นกัน อย่างไรเสีย ตาเฒ่านี่ก็มีความสัมพันธ์อันดีกับเขา อีกทั้งอีกฝ่ายยังเป็นคนดี หากว่าเขาไปถึงขั้นที่เจ็ดได้ ทั่วทั้งทวีปยังจะมีผู้ใดกล้าตอแย? แน่นอนว่าเซียวอวี๋ยังสามารถเป็นจิ้งจอกอาศัยบารมีเสือ…

หลังจากกล่าวลาธีโดอร์ เซียวอวี๋ก็ไปยังสำนักงานเมือง ส่วนลีอานั้นรั้งอยู่กับธีโอดอร์ เซียวอวี๋ทราบว่าตาแก่นั่นคงมีอะไรต่อมิอะไรที่ต้องถามจากลีอา อย่างไรเสียทั้งคู่ก็ถือเป็นคนสนิทที่สุดของกันและกัน

หลังจากรับการทักทายระหว่างทาง เซียวอวี๋ก็เรียกตัวผู้นำแต่ละเขตมาสอบถามสถานการณ์ปัจจุบัน

ในระหว่างการประชุม เซียวอวี๋ก็พบว่าสถานที่ประชุมนั้นถูกตกแต่งจนหรูหราและใหญ่กว่าเดิมมาก มันสามารถจุคนได้ราวสี่สิบห้าสิบคน

เซียวอวี๋พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

นอกจากนี้ จำนวนผู้เข้าร่วมประชุมเองก็เพิ่มจากเดิม การประชุมครั้งนี้มีผุ้เข้าร่วมคือ เซียวอวี๋ พ่อบ้านหง บรรดาพี่สะใภ้ หลงฮุ่ย และมู่หลี่

และยังมีเหล่าบรรดาผู้บัญชาการรุ่นเยาว์ที่ได้รับฝึกฝน นอกจากที่ว่ามานี้ เซียวอวี๋ยังเรียกอลอนโซ่และคาสโซ่มาด้วย

ในอนาคต อลอนโซ่จะมีบทบาทสำคัญในการรักษาดินแดน แม้ว่าตอนนี้เขาจะดำรงตำแหน่งผู้นำภาคีหัตถ์เงินที่ส่วนใหญ่มีหน้าที่คอยสนับสนุนอูเธอร์ กระนั้นการให้เขาคอยปกป้องอาณาเขตก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดี

เซียวอวี๋มีความคิดที่จะพัฒนาภาคีหัตถ์เงิน ทวีปนี้ยังต้องมีศาสนา และเขาเองก็ต้องการให้อูเธอร์ขึ้นเป็นผู้นำ

นอกจากนี้ เซียวอวี๋ยังมีความคิดที่จะรับเหล่าสมาชิกของกลุ่มอาชาเหล็กและคาสโซ่เข้ามา เซียวอวี๋มีแผนที่จะโจมตีดินแดนแห่งอื่นๆ ซึ่งเขาก็จะใช้โอกาสนี้ว่าจ้างคนกลุ่มนี้เพื่อขยายอาณาเขต ด้วยวิธีนี้ กลุ่มอาชาเหล็กก็จะค่อยๆคุ้นชินกับดินแดนไลอ้อน

มู่หลิงเทียน บุตรชายของมู่หลี่เองก็กลับมาที่ดินแดนไลอ้อนแล้ว ตอนนี้เขากลายเป็นพยัคฆ์หนุ่มที่มีความสามารถ ในอดีต มู่หลิงเทียนรู้สึกดูถูกเซียวอวี๋ เขาไม่รู้สึกว่าเซียวอวี๋น่าเคารพยกย่องอะไร

อย่างไรก็ตาม สองปีผ่านไป ดินแดนไลอ้อนเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ รัฐเว่ยเองก็ตกอยู่ในอุ้งมือของเซียวอวี๋ คงอีกไม่นานที่ดินแดนไลอ้อนจะขยายใหญ่จนสามารถตั้งตนเป็นอิสระ

ในเรื่องนี้ มู่หลิงเทียนไม่ใช่คนเขลา เขาย่อมเข้าใจได้ ตัวเขาจึงหันมาทุ่มเทให้กับดินแดนเต็มกำลัง ด้วยการร่วมกันระหว่างเขาและบิดาของเขามู่หลี่ การทหารของดินแดนไลอ้อนในเวลานี้จึงพัฒนาขึ้นหลายเท่าตัว

มองดูความรุ่งเรืองของดินแดนไลอ้อนแล้ว ในใจของเซียวอวี๋ก็ตื่นเต้น แม้ว่าผลงานส่วนใหญ่ล้วนต้องยกเป็นความดีความชอบของฐานทัพจากระบบทั้งสี่แห่ง กระนั้นความสามารถในการจัดการของเขาก็นับว่ายอดเยี่ยม

ในตอนต้นของการประชุม เซียวอวี๋ค่อยๆทำความเข้าใจเกี่ยวกับเปลี่ยนแปลงของดินแดน จากนั้นเขาจึงค่อยเริ่มหารือเกี่ยวกับแผนการในอนาคต

เส้นทางสู่การพิชิตโลกได้เริ่มขึ้นแล้ว…..

 

 

 


ตอนที่ 515

 

การประชุมกินระยะเวลานาน แต่นั่นก็ช่วยให้เซียวอวี๋เข้าใจสถานการณ์ของดินแดนในปัจจุบัน ส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องดี ประชากรของดินแดนเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก ผลผลิตทางเกษตรก็บริบูรณ์ ทางด้านกำลังทหารก็มีกำลังพลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เรื่องร้ายเพียงเรื่องเดียวก็คือ พวกอันเดดในภูเขาอัลคาเกนมีการปรากฏตัวถี่ขึ้นในระยะหลังมานี้ มีหมู่บ้านหลายแห่งถูกพวกมันเข้าโจมตี เว้นเสียก็แต่หมู่บ้านที่อยู่ในดินแดนไลอ้อนที่มีเครื่องรางขับไล่สิ่งชั่วร้าย

หลายๆคนกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะมันอาจกลายเป็นภัยต่อเมืองไลอ้อน มู่หลี่ได้ส่งคนไปสืบหาสาเหตุการโจมตีหลายครั้ง ทว่าทุกครั้งล้วนแต่ล้มเหลว

สาเหตุของเรื่องนี้ มีเพียงเซียวอวี๋ที่ทราบดี ดูเหมือนว่าภายใต้การนำของอาร์ทัส กองทัพอันเดดจะพัฒนาขึ้นมาก

หากว่ามีเวลา ตัวเขาก็อยากจะไปดูด้วยตัวเองว่าตอนนี้กองทัพอันเดดเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ตั้งแต่ครั้งที่อัญเชิญอาร์ทัสมา เซียวอวี๋ก็แทบไม่ได้ไปสนใจกองทัพอันเดดอีก

สุดท้ายแล้ว ความลับของกองทัพนี้จะต้องไม่ถูกเปิดเผยอย่างเด็ด ดังนั้นเซียวอวี๋จึงต้องระมัดระวังในการใช้งาน

ตอนนี้เซียวอวี๋เลื่อนขั้นขึ้นอีกแล้ว เขาสามารถอัญเชิญทหารออกมาได้มากกว่าห้าพันนาย ทั้งยังสามารถอัพเกรดฐานทัพให้เป็นเลเวลสาม อัญเชิญยูนิตเลเวลสามออกมา

หลังจากใช้เวลาครุ่นคิดพักหนึ่ง เซียวอวี๋ก็เลือกที่จะอัพเกรดฐานทัพเอลฟ์ให้เป็นเลเวลสาม เพราะคิเมร่าสองหัว เซียวอวี๋ตื่นเต้นและแทบจะอดใจรอไม่ไหว

แม้ว่ารถถังและปืนใหญ่ของฐานทัพมนุษย์เองก็มีประโยชน์มาก แต่สำหรับในยุคนี้แล้ว กองทัพอากาศถือเป็นข้อได้เปรียบสูงสุด

โดยเฉพาะคิเมร่าสองหัวที่มีรูปลักษณ์คล้ายมังกร ทักษะของพวกมันยังน่าพรั่นพรึงยิ่ง

เซียวอวี๋จัดการงานก่อนจะเดินทางไปอัพเกรดฐานทัพเอลฟ์ การอัพเกรดใช้เวลาค่อนข้างนาน มันต้องใช้เวลากว่าหนึ่งวันเพื่ออัพเกรด เซียวอวี๋จึงเดินทางกลับเมืองก่อน

ในยามเย็น เซียวอวี๋จัดงานเลี้ยงขึ้น นี่ไม่เพียงฉลองสำหรับการผจญภัย แต่ยังฉลองให้กับความก้าวหน้าของดินแดนไลอ้อน

เซียวอวี๋ยังสั่งให้จัดงานฉลองขึ้นภายในเมือง ประชาชนทุกคนสามารถเข้าร่วมดื่มกินได้เต็มที่

ด้วยเหตุนี้ ทั่วทั้งเมืองจึงเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง

แม้เวลาจะล่วงเลยไปดึกดื่น กระนั้นแสงไฟก็ยังคงส่องสว่างอยู่ทั้งเมือง

หลังงานเลี้ยง เซียวอวี๋ก็นำธีโอดอร์ไปยังที่พักของหลินมู่เสวี่ย

หลังจากเข้าร่วมงานเลี้ยงได้สักพัก เอกวินน์ก็ปลีกตัวกลับมาก่อน ดูเหมือนว่าสตรีผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้จะไม่ค่อยชอบงานรื่นเริง

ในสายตาของเอกวินน์แล้ว งานเลี้ยงเช่นนี้คงเป็นเพียงการละเล่นของเด็กน้อย ในฐานะที่เป็นจอมเวทย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทวีปแล้ว ความรุ่งโรจน์และเสื่อมทรามของดินแดนใดๆคงไม่อยู่ในสายตานาง

ธีโอดอร์มีท่าทางประหม่า แม้ว่าตัวเขาจะเคยท่องไปทั่วทวีปมาแล้ว แต่เมื่อจะต้องพบหน้าเอกวินน์ เขาก็อดกระสับกระส่ายไม่ได้

“ที่รักจ๋า สามีมาแล้ว!” เซียวอวี๋เปิดประตูพลางตะโกนเสียงดัง

เปรี้ยง!

เวทมนตร์ปรากฏขึ้นวาบ เซียวอวี๋พลันลอยกระเด็นออกจากบ้านไป

“บัดซบ เอกวินน์ นี่ไม่มากไปหรือ หรือยิ่งอายุมากก็จะยิ่…” เซียวอวี๋ลุกขึ้นชี้ไปในบ้านอย่างเดือดดาล

เปรี้ยง!

เซียวอวี๋พลันลอยกระเด็นไปอีกครั้ง

“ท่านย่ามันเถอะ ท่านเป็นถึงตัวตนผู้ยิ่งใหญ่ ท่านมีความสุขนักหรือที่ได้รังแกข้า? ท่านมีความสามารถที่จะฆ่ากูดาลได้ แต่ท่านกลับไม่ทำ ท่านใช่ผู้พิทักษ์แห่งทวีปจริงๆหรือไม่? เวลานี้กูดาลเริ่มสร้างความพินาศขึ้นในทวีปแล้ว และไม่ช้าความวุ่นวายคงลุกลามไปทั่ว ไฉนท่านจึงไม่จัดการมัน?” เซียวอวี๋จุกมาก กระนัน้ก็ยังคงตะโกนใส่เอกวินน์

เอกวินน์ไม่ได้สนใจเซียวอวี๋ นางเพียงเอ่ยเสียงเรียบ “ยุคนี้ไม่ใช่ยุคของข้าอีกแล้ว ต้องมีบางคนปกป้องทวีป บางคนที่จะกำจัดกูดาล แต่คนๆนั้นไม่ใช่ข้า”

“เพ้ย! ข้าว่าท่านไม่มีความสามารถนั้นมากกว่า วันนี้ข้าพาผู้ที่มีความสามารถนั้นมาด้วยแล้ว” เซียวอวี๋กล่าวพลางนำธีโอดอร์เข้าไปในบ้าน

“หืม?” เมื่อได้เห็นธีโอดอร์ เอกวินน์ก็สัมผัสได้ถึงพลังของธีโอดอร์ได้ทันที

ไม่เพียงแต่มีกลิ่นอายเวทมนตร์อันหนาแน่น การควบคุมมานาของเขายังทำให้นางสนใจ

นี่คือเครื่องหมายบ่งบอกถึงความเชี่ยวชาญระดับปรมาจารย์

“เจ้าเป็นจอมมนตราขั้นที่หก?” เอกวินน์เลิกคิ้วถาม นางมักจะมีสีหน้าเฉยชายามเมื่อพูดคุยกับคนอื่น กระนั้น เมื่อได้พบกับธีโอดอร์นางก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา

เพราะนางทราบว่าธีโอดอร์เป็นภัยคุกคามต่อนาง

“ขอรับ ข้าคือธีโอดอร์ ยินดีที่ได้พบท่านจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่เอกวินน์” ธีโอดอร์ถอดหมวกออกพลางกล่าวอย่างถ่อมตน

เห็นท่าทีถ่อมตัวและจริงใจของธีโอดอร์ เอกวินน์ก็พยักหน้า “เจ้ารู้ว่าเป็นข้า ดูเหมือนทวีปนี้จะมีเรื่องเล่าเกี่ยวข้าอยู่บ้าง”

ธีโอดอร์รีบกล่าวตอบ “แน่นอนขอรับ มีจอมเวทย์ที่ยิ่งใหญ่ปรากฏตัว เรื่องราวจะไม่มีเล่าขานได้อย่างไร ทั้งท่านและสามีของท่าน อลัน ยังมีบุตรชายของท่าน เมดีฟ ทั้งหมดล้วนเป็นต้นแบบให้กับผู้ใช้มนตรารุ่นหลัง”

เอกวินน์พยักหน้า นางหันไปหาเซียวอวี๋ “ข้าต้องการพูดคุยบางอย่างกับเขา เจ้าออกไปก่อน”

“มันเป็นความลับนักหรือ? ข้าจำเป็นต้องออกไป? ท่านก็รู้ว่าที่นี่มันเมืองของข้านะ” เซียวอวี๋กล่าวเถียง เขาย่อมต้องการอยู่ฟังบทสนทนาของทั้งสอง

“ที่พวกข้าคุยกันเจ้าจะเข้าใจหรือ? แม้แต่รูนสักตัวเจ้ายังไม่รู้จัก อยู่ไปก็รบกวนเปล่าๆ ดังนั้นเจ้าออกไปซะ”

“ช่างเถอะ เชิญผู้อาวุโสสองทั้งสองท่านพูดคุยกัน” เซียวอวี๋แค่นเสียงก่อนจะหันหลังเดินออกไป

หากว่าเขายังยืนกรานจะอยู่ เชื่อว่าเอกวินน์คงจับเขาโยนออกมาอยู่ดี

กระนั้นเขาก็ไม่ได้ไปไหนไกล เขาเลือกนั่งรอธีโอดอร์อยู่ที่ห้องรับแขก อย่างไรเสีย ตัวเขาก็ยังกังวลเกี่ยวกับมู่เสวี่ยอยู่ เขาจึงรอธีโอดอร์กลับออกมา

ส่วนเรื่องที่ธีโอดอร์จะสามารถไปถึงขั้นที่เจ็ดได้หรือไม่นั้น นั่นเป็นเพียงเรื่องรอง

เซียวอวี๋รอคอยจนกระทั่งฟ้าสาง กระนั้นธีโอดอร์ก็ยังไม่ออกมา เซียวอวี๋จึงลองเข้าไปส่งเสียงเรียกดู ผลลัพธ์ก็คือถูกเอกวินน์ส่งลอยออกมา ทั้งยังกำชับไม่ให้มารบกวนอีก

“เพ้ย สองคนนั้นคุยเรื่องอะไรอยู่กัน?” เมื่อทำอะไรไม่ได้ เซียวอวี๋จึงเลือกไปดูความคืบหน้าของฐานทัพก่อน

เมื่อมาถึงฐานทัพเอลฟ์ เขาก็พบว่าการอัพเกรดเกือบจะเสร็จสิ้นแล้ว เพียงต้องรออีกเล็กน้อย

เซียวอวี๋รู้สึกเบื่อ ดังนั้นจึงตัดสินใจจะเดินเล่น เขาพบว่าพวกเอลฟ์ที่พากลับมาจากเทือกเขาอัลคาเกนได้ลงหลักปักฐานและสร้างสิ่งก่อสร้างขึ้นมากมาย จำนวนเอลฟ์เองก็เพิ่มขึ้น

เซียวอวี๋ฟังรายงานสถานการณ์ของที่นี่ กลับกลายเป็นว่า ในเทือกเขาอัลคาเกนยังมีพวกเอลฟ์อยู่มากมาย มีเอลฟ์ที่นี่บางคนรู้ตำแหน่งที่ตั้งของหมู่บ้านบางส่วน หากแต่ตอนนั้นพวกเขาไม่ไว้ใจเซียวอวี๋นัก ดังนั้นจึงไม่ได้บอกออกมา แต่เมื่อเวลาผ่านไป หลังพบว่าที่นี่มีความเป็นอยู่ที่ดี พวกที่เหลือก็ค่อยๆอพยพมาตั้งถิ่นฐานที่นี่

เซียวอวี๋มอบที่ดินและสิ่งของที่จำเป็นให้กับพวกเขา

แม้ว่าตัวเซียวอวี๋เองจะไม่ค่อยชอบความเย่อหยิ่งของพวกเอลฟ์นัก กระนั้นก็เขาก็ยังต้องยอมรับว่ารูปร่างและท่าทีที่ดูสูงส่งของพวกเขาก็ดูสบายตานัก เวลานี้เซียวอวี๋กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายอันงดงาม คลอเคล้าด้วยเสียงบรรเลงและขับขานโดยพวกเอลฟ์หญิง

บรรยากาศที่ราวกับอยู่ในเทพนิยายนี้ มีเพียงพวกเอลฟ์ที่สามารถเนรมิตรขึ้นมาได้ ไม่แปลกที่พวกเขาจะทะนงตนเช่นนี้

แม้มนุษย์จะพยายามลอกเลียนแบบสักเท่าไร กระนั้นก็ไม่เคยสำเร็จ นั่นเป็นเพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกฝังลึกอยู่ในกระดูกของพวกเอลฟ์ ยากที่จะลอกเลียน

พวกเขายอมไม่สวมเกราะ แต่จะไม่ยอมขี้เหร่ พวกเขายอมตายได้ แต่จะต้องตายอย่างดูดี

พวกเอลฟ์คือเผ่าพันธุ์ที่รักสวยรักงามอย่างที่สุด

ตอนนี้เซียวอวี๋ถือเป็นนายเหนือของพวกเขา กระนั้นพวกเอลฟ์ก็ไม่ค่อยอยากพบเขานัก แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ไม่ได้มีท่าทีไม่ดีอะไร พวกเขายังคงทักทายและรับใช้เขา

นั่นเพราะอย่างไรเสีย เซียวอวี๋ก็คือผู้ที่มอบบ้านหลังใหม่ให้กับพวกเขา ทั้งยังนำพาเมอีฟและทิรันด้ากลับมาสู่เผ่าพันธุ์

ขณะที่เซียวอวี๋กำลังดื่มด่ำไปกับบรรยากาศอันสุนทรีย์อยู่นั้น เสียงจากระบบก็รายงานว่าการอัพเกรดฐานทัพเสร็จสิ้นแล้ว…..

 

 

 


ตอนที่ 516

 

“โอ้ว ในที่สุดก็อัพเสร็จ” เซียวอวี๋มองดูฐานทัพที่ใหญ่โตและมีสไตล์มากขึ้น ความสุขพลันเอ่อล้นอยู่ในใจ

ต้นไม้โลกในเวลานี้มีความสูงทะลุเมฆแล้ว ภาพที่เห็นนี้ทั้งน่าประทับใจและตกตะลึงในเวลาเดียวกัน

หลังจากอัพเกรดต้นไม้โลกเสร็จ พวกเอลฟ์ที่ได้เห็นต่างก็หลั่งน้ำตา ทั้งหมดพลันคุกเข่าลงเบื้องหน้าต้นไม้โลกและเริ่มสวดภาวนา

พวกเอลฟ์ต้องทนใช้ชีวิตอย่างขมขื่นมานานหลายปี ทว่าในที่สุด พวกเขาก็ค้นพบความหวังใหม่ ทั้งยังเป็นความหวังที่ดียิ่งกว่าเดิม มีหรือที่พวกเขาจะไม่ตื่นเต้น? ทิรันด้า เมอีฟ และกระทั่งอิลิดัน เมื่อได้เห็นฉากที่ปรากฏขึ้น ความตื่นเต้นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“ต้นไม้โลกปรากฏขึ้นอีกครั้ง วันแห่งความรุ่งโรจน์ของเผ่าพันธุ์เอลฟ์มาถึงแล้ว” ทิรันด้าพึมพำขณะที่มีแสงปรากฏออกมาจากร่างของนาง

แสงสว่างนี้ไม่ใช่แสงทั่วไป หากแต่เป็นแสงของเทพธิดาแห่งจันทรา ในเวลานี้ ทิรันด้าไม่ได้เป็นเพียงผู้นำทางแห่งจันทราอีกต่อไป หากแต่กลายเป็นเทพธิดาแห่งจันทราอย่างแท้จริง

นางได้ผ่านพิธีสวมมงกุฎจริงๆแล้ว

เซียวอวี๋ที่มีพันธะอยู่กับทิรันด้าพลันรับรู้ได้ว่าเวลานี้ ทิรันด้าได้รับทักษะหนึ่งในทักษะที่ทรงพลังที่สุดมาแล้ว นั่นคือ ทักษะดาวตก

หากอธิบายอย่างกระชับ มันคือทักษะที่จะเรียกดาวตกลงมาจากฟากฟ้าและทำลายศัตรูเป็นวงกว้าง เวทมนตร์บทนี้ยังทรงพลังยิ่งกว่าเวทไฟและน้ำทั่วไป

ด้วยการมีอยู่ของทักษะนี้ ทิรันด้าก็กลายเป็นทิรันด้าอย่างแท้จริง

“ขอสรรเสริญท่านทิรันด้าผู้ยิ่งใหญ่ ขอสรรเสริญท่านเมอีฟผู้ยิ่งใหญ่….”เมื่อพวกเอลฟ์ได้เห็นฉากนี้ ทั้งหมดก็คุกเข่าก่อนจะกล่าวสรรเสริญทั้งสอง

หลังจากมองดูอยู่ครู่หนึ่ง เซียวอวี๋ก็ยิ้มก่อนจะกลับไปทำงาน เขาไปยังแท่นบูชาเพื่อที่จะเรียกมัลฟูเรี่ยนออกมา จากนั้นจึงเป็นฮีโร่อีกคน

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ตอนนี้แรงก์ของเซียวอวี๋เพิ่มขึ้นแล้ว ดังนั้นจึงสามารถอัญเชิญฮีโร่ออกมาได้อีก(อัพฐานทัพ+แรงก์อัพ) ซึ่งเซียวอวี๋กำลังครุ่นคิดว่าจะเลือกผู้ใดดี

เหล่าฮีโร่ที่เรียกออกมาได้ล้วนแต่มีความสามารถสูง โดยเฉพาะพวกฮีโร่สายต่อสู้ระยะประชิด เซียวอวี๋นึกถึง แพนด้าเฉินและสตรอมสปิริต

เฉิน สตรอมเอ้าท์สามารถพ่นไฟ ทั้งยังเป็นสายต่อสู้ระยะประชิด เขานับเป็นฮีโร่ที่ครบเครื่อง และที่สำคัญที่สุด เขาเป็นคนจีน ดังนั้นจึงชื่นชอบแพนด้าเป็นพิเศษ

ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ก่อนอื่นเลย เขาจัดการสร้างรังของคิเมร่าที่โรงทหาร

การก่อสร้างนี้ต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ และเซียวอวี๋ก็ทำได้เพียงแค่รอต่อไป มัลฟูเรียน

ด้วยเหตุนี้ เซียวอวี๋จึงเลือกอัญเชิญแพนด้าเฉิน เขาเฝ้ารอฮีโร่ทั้งสองให้ออกมาแทบไหมา่ไหวแล้ว ด้วยฮีโร่ใหม่ทั้งสองนี้ กำลังรบของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก

พลังของมัลฟูเรียนโดยหลักจะเป็นการรักษา กระนั้นก็ยังมีทักษะที่เรียกรากไม้ออกมาตรึงศัตรู มันเป็นทักษะที่ค่อนข้างแข็งแกร่งทีเดียว

เซียวอวี๋อดคิดขึ้นไม่ได้ว่า หากมัลฟูเรียนไปถึงขั้นที่ห้าแล้ว มนุษย์ต้นไม้ที่เขาเรียกออกมาจะเป็นอย่างไร

ไม่ต้องกล่าวถึงพวกสายนักรบ เพียงผู้พิทักษ์โบราณก็แข็งแกร่งอย่างยิ่งแล้ว

เซียวอวี๋รอคอยอย่างหงุดหงิด เขารอมาตั้งนาน ฮีโร่ทั้งสองก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมา สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจไปที่ฐานทัพอันเดดก่อน

เมื่อมาถึง เซียวอวี๋ก็มองหาทางเข้าอยู่นาน ทว่าก็ยังหาไม่พบ กระทั่งมีแมงมุมตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากดินและส่งเสียงร้อง เซียวอวี๋จึงติดตามมันไปยังถ้ำที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นฐานของพวกอันเดด

“ฮะฮ่า ดูเหมือนอาร์ทัสจะทำได้ไม่เลวเลย เขากระทั่งขุดสร้างถ้ำเพื่ออำพรางทางเข้า แม้แต่ลูกพี่ยังหาไม่เจอ จิ๊จิ๊ เจ้านี่ช่างมีความสามารถจริงๆ” เซียวอวี๋มีความสุขมาก

“อาร์ทัสคำนับนายท่าน” เมื่อได้ยินว่าเซียวอวี๋เดินทางมา อาร์ทัสก็ขี่อาชานรกออกมาต้อนรับพร้อมด้วยเคลธูซาด กระทั่งเสี่ยวเชียงก็ยังมาด้วย

เมื่อได้เห็นทั้งหมด เซียวอวี๋ก็ตกตะลึง ตอนนี้พวกเขาส่วนใหย่มีระดับมากกว่าสี่สิบแล้วและกำลังจะเลื่อนไปขั้นที่ห้า นี่นับเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของเขามาก

ต้องทราบว่าเซียวอวี๋ไม่เคยพาพวกเขาออกไปเก็บระดับเลย กระนั้นพวกเขากลับเพิ่มระดับได้ด้วยความพยายามของตนเอง นี่มันน่าเหลือเชื่อมาก

“เจ้า…ไฉนจึงเพิ่มระดับได้รวดเร็วเพียงนี้?” เซียวอวี๋ถามอาร์ทัส

“เรียนนายท่าน พวกเราได้กระทำตามคำแนะนำก่อนออกเดินทางของท่าน ใช้เวลายามค่ำคืนลอบเร้นเข้าไปในแคว้นต่างๆ สังหารกำลังทหารบางส่วนและค่อยเติบโตขึ้น” อาร์ทัสกล่าวตอบ

“เพียงแค่นั้น?” เซียวอวี๋รู้สึกเหลือเชื่อ

“พวกเรามักจะเข้าไปในเทือกเขาเพื่อล่าสัตว์อสูรตัวใหญ่ๆตอนนี้พวกเราสามารถสั่งการซากศพสัตว์พวกนั้น นั่นทำให้การล่าเป็นไปอย่างสะดวก” อาร์ทัสกล่าวพลางชี้ไปยังซากศพสัตว์อสูรขนาดใหญ่สิบตัวที่นอนเรียงกันอยู่

เซียวอวี๋เบนสายตามองตามและก็ต้องตกตะลึง พวกมันเป็นสัตว์อสูรขั้นที่ห้า ขณะที่อาร์ทัสก็อยู่เพียงขั้นที่ห้าเท่านั้น เขาสามารถสังหารพวกมันได้อย่างไร?

“พวกเราเน้นการใช้วิธีซุ่มโจมตีและวิธีอื่นๆ เช่นการพึ่งพาจำนวนเข้าตัดทอนกำลังก่อนจะสังหารมัน” อาร์ทัสอธิบายเสริม

เซียวอวี๋เดินตามอาร์ทัสเข้าไปด้านในและพบว่ามีทหารอันเดดเป็นพันๆเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ จำนวนของพวกมันเพิ่มขึ้นจากตอนแรกหลายเท่าตัว

“ทำไมจำนวนจึงมากมายนัก?” เซียวอวี๋ตกตะลึง

“เรียนนายท่าน เมื่อระดับพวกเราเพิ่มขึ้นถึงจุดหนึ่ง พวกเราก็สามารถเปลี่ยนซากศพที่ตายให้กลายเป็นอันเดด ดังนั้นจำนวนของเราจึงเพิ่มขึ้นมาก” อาร์ทัสชี้ไปยังอันเดดที่เพิ่งถูกเปลี่ยนจากซากศพ

เซียวอวี๋กวาดตามองกองทัพอันเดดอยู่นาน คิดไม่ถึงจริงๆว่ากองทัพอันเดดจะพัฒนาขึ้นมาถึงจุดนี้ได้

แรกเริ่มเดิมที เขาก่อตั้งกองทัพอันเดดขึ้นเพื่อใช้ก่อกวนศัตรู ไม่คาดคิดว่ามันจะถูกพัฒนามาถึงจุดนี้ สถานการณ์ตอนนี้มันแทบจะหลุดการควบคุมแล้ว

อาร์ทัสอยู่รอคำสั่งอย่างสงบ เซียวอวี๋มองดูค่าความภักดีของเหล่าฮีโร่และเหล่าทหารอันเดดผ่านระบบ เขาทราบดี หากปล่อยให้ค่าความภักดีต่ำลงถึงจุดหนึ่ง พวกเขาก็จะตีจากไป

และเมื่อถึงตอนนั้น กองทัพอันเดดที่มากมายขนาดนี้จะต้องกลายเป็นหายนะอย่างแน่นอน

เซียวอวี๋ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ เขายิ้มอย่างขมขื่น “เจ้าทำได้ดีมากอาร์ทัส เจ้าทำได้ดีจริงๆ ถึงอย่างนั้น ในอนาคต หากปราศจากการอนุญาตของข้า จงอย่าได้เพิ่มกำลังอันเดดโดยพลการ และจงจำไว้ว่าอย่าได้สังหารชาวบ้านโดยพลการ”

“ขอรับ พวกเราจะปฏิบัติตามคำสั่งของท่าน” อาร์ทัส เคลธูซาดและเสี่ยวชิงกล่าวรับคำ

เซียวอวี๋พยักหน้าและไม่ได้กล่าวอะไรอีก

หลังจากตบบ่าอาร์ทัสสองสามที เขาก็ออกจากฐานทัพอันเดด

ความมีเหตุมีผลบอกเขาว่าเขาควรกำจัดพวกอันเดดทั้งหมดเสียแต่ตอนนี้เพื่อไว้ให้เกิดปัญหาขึ้นในอนาคต

ทว่าเขาก็ยังไม่อาจตัดใจกำจัดกำลังพลของตัวเองได้ลง

แม้ว่าพวกมันจะเป็นอันเดด กระนั้นพวกมันก็ยังเป็นทหารของเขา เฉกเช่นเดียวกับพวกนักรบออร์ค นักรบเอลฟ์ เซียวอวี๋คิดกับพวกมันเสมือนพี่น้อง

“เราใช่โลเลไปหรือเปล่า?” เซียวอวี๋หัวเราะกับตัวเอง

“ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ” เมื่อเดินออกจากถ้ำ เซียวอวี๋ก็มองไปยังต้นไม้แห่งชีวิตที่อยู่ไกลๆ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เขาสร้างขึ้น เช่นนั้นทั้งหมดก็ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของโชคชะตาเถอะ 

 

 


ตอนที่ 517

 

“คำนับนายท่าน” มัลฟูเรียนและเฉินสตรอมเอาท์วิ่งเข้ามารับเซียวอวี๋ รูปลักษณ์ของทั้งคู่ดูประหลาดอยู่บ้าง โดยเฉพาะแพนด้าเฉิน ร่างกายของเขาอ้วนกลมราวกับลูกบอลจนดูตลก

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น เซียวอวี๋ก็ทราบดีถึงระดับทักษะต่อสู้ของเฉิน และในอนาคตเขาจะต้องแข็งแกร่งยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

เซียวอวี๋เปิดหน้าต่างทักษะของทั้งคู่ขึ้นดูก่อนจะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เป็นดังคาด มัลฟูเรียนมีทักษะเน้นหนักไปทางผู้รักษา ขณะที่แพนด้าเฉินเป็นนักสู้

ตอนนี้เขาได้รับฮีโร่มาเพิ่มอีกสอง เซียวอวี๋ปล่อยให้พวกเขาไปล่าสัตว์อสูรเพื่อเพิ่มระดับเสียก่อน หลังจากนั้นไม่กี่วัน เขาตั้งใจจะเปิดฉากโจมตีรัฐเว่ย และนั่นจะเปิดโอกาสให้ฮีโร่ทั้งสองได้เก็บเกี่ยวระดับอย่างเต็มที่

เซียวอวี๋เดินทางไปยังโรงทหารเพื่ออัญเชิญคิเมร่าสองหัว มันคือช่วงเวลาที่เขารอคอยมานาน หัวใจของเขาสูบฉีดด้วยความตื่นเต้น

ตอนนี้เขามีโควตาทหารเพิ่มมาอีกห้าพันนาย ทว่าเมื่อเขากำลังจะอัญเชิญคิเมร่าสองหัวออกมา ระบบก็แจ้งเตือนเรื่องโควตา

เขาสามารถอัญเชิญคิเมร่าสองหัวได้มากสุดก็หนึ่งร้อยตัวเท่านั้น คิเมร่าสองหัวตัวหนึ่งใช้โควตาถึงสิบคน ดังนั้น คิเมร่าสองหัวหนึ่งร้อยตัวจึงใช้โควตาถึงหนึ่งพันคน

เมื่อเป็นเช่นนี้ เซียวอวี๋จึงเหลือโควตาอีกเพียงสี่พัน

หลังจากรอพักหนึ่ง ร่างของสัตว์ประหลาดที่ยาวประมาณเจ็ดถึงแปดเมตรก็เดินย่ำเท้าออกมา สัตว์ประหลาดตัวนี้มีสองหัว ทั่วร่างปกคลุมด้วยเกร็ดแกร่ง สองปีกถูกพับแนบลำตัว ดูผิวเผินแล้วมันดูคล้ายกับมังกรอย่างมาก

“คิเมร่า! ทั้งยังสองหัว! นี่ข้ากำลังฝันอยู่รึ?” พวกเอลฟ์มองดูคิเมร่าสองหัวอย่างตกตะลึง

คิเมร่าสองหัวถือเป็นสุดยอดสัตว์วิเศษของพวกเอลฟ์ ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงอำนาจ ในอดีต หากเอลฟ์มีคิเมร่าอยู่ด้วย เช่นนั้นก็คงไม่มีผู้ใดกล้าบุกรุกพื้นที่ของพวกเอลฟ์แล้ว

การโจมตีที่รุนแรงที่สุดของคิเมร่าคือการพ่นไฟ แม้การโจมตีทางกายภาพจะสู้พวกมังกรไม่ได้ แต่การพ่นไฟของมันนั้นเหนือกว่ามังกรทั่วไปเสียอีก

หากเห็นคิเมร่าเกาะกลุ่มบินอยู่บนฟ้า สิ่งเดียวที่ทำได้คือหนี! จงหนีไปให้ไกล เพราะเมื่อเปลวเพลิงถูกพ่นออกมา ทุกสิ่งจะกลายเป็นเถ้าถ่าน…

เซียวอวี๋ตระหนักถึงพลังของพวกมันดี หลังจากจัดการธุระที่นี่เสร็จ เขาก็เดินทางกลับปราสาท เวลาตาเฒ่าธีโอดอร์สมควรออกจากห้องแล้ว

อย่างไรก็ตาม เมื่อเซียวอวี๋มาถึง เขากลับพบกับศิษย์ของฮิกกิ้นแทน ศิษย์ของฮิกกิ้นแจ้งต่อเขาว่าธีโอดอร์ได้จากไปแล้วและทิ้งจดหมายไว้ให้เซียวอวี๋

เซียวอวี๋สบถด่าทันที ตาแก่นั่นใช้ประโยชน์จากเขาเสร็จก็เปิดตูดแนบจากไป

เซียวอวี๋เปิดจดหมายออกมาอ่าน มีตัวอักษรเขียนไว้เพียงไม่กี่บรรทัด ธีโอดอร์บอกว่าหลินมู่เสวี่ยปลอดภัยดี ขณะเดียวกันเขาเองก็ได้รับประโยชน์จากการพูดคุยกับเอกวินน์อย่างมาก ดังนั้นจึงต้องปลีกตัวไปสักพัก

นอกจากนี้ธีโอดอร์ยังย้ำให้เซียวอวี๋เพิ่มความเคารพต่อเอกวินน์ให้มาก อย่างไรเสียนางก็เป็นถึงผู้พิทักษ์ของทวีป

เซียวอวี๋ทำลายจดหมายก่อนจะเดินไปยังสวนหลังบ้านที่เอกวินน์นั่งอยู่

“ที่รักจ๋า?!” เซียวอวี๋ตะโกนทัก

“ไสหัวไป” เอกวินน์เสกเวทส่งเซียวอวี๋ลอยออกมา

“บัดซบเอ๊ย!” เซียวอวี๋กลิ้งอย่างทุลักทุเล เขารีบลุกขึ้นก่อนจะตะโกน “นั่นมันร่างกายของภรรยาข้าชัดๆ ดังนั้นจึงไม่ผิดที่ข้าจะเรียกที่รักของข้า เจ้าเอาแต่ใจเกินไปแล้ว!” เซียวอวี๋ประท้วง

“ข้าเอาแต่ใจแล้วอย่างไร?” เอกวินน์เงยหน้ามองเซียวอวี๋ราวเยาะเย้ย

“มารดามันเถอะ เจ้าก็เก่งได้แค่กับข้านั่นล่ะ หากเป็นธีโอดอร์เจ้าก็สู้ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?” เซียวอวี๋จำได้ว่า ตอนนางเห็นธีโอดอร์ครั้งแรกนางถึงกับเปลี่ยนสีหน้าทันทีที่

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังอยู่กับนางมาได้พักใหญ่ แม้นางจะดูแข็งแกร่งจนไร้เทียมทาน ทว่าความจริงแล้ว เซียวอวี๋เดาว่านางคงไม่ได้แข็งแกร่งดังที่คิด กระนั้นเซียวอวี๋ก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวแท้จริงเป็นอย่างไร

เมื่อได้เห็นท่าทีของนางครั้งนั้น เขาก็เดาว่า หากธีโอดอร์ลงมือเต็มกำลัง บางทีเขาคงกลายเป็นภัยคุกคามของเอกวินน์ได้แน่

อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าธีโอดอร์ให้ความเคารพต่อเอกวินน์มาก เขาย่อมไม่มีทางลงมือต่อนางแน่

“ข้าอาจจะชนะเขาไม่ได้ แต่ไม่ใช่กับเจ้า ตัวตนระดับเดียวกับเขา ในทวีปคงมีไม่มากนักกระมัง?” เอกวินน์กล่าวเสียงเรียบ

“ฮึ่ม เจ้ารีบออกไปจากร่างภรรยาของข้าเลยนะ มิเช่นนั้นเจ้าจะได้เห็นด….” เซียวอวี๋แสยะยิ้มชั่วร้าย ทว่ากล่าวได้ครึ่งประโยค ตัวเขาก็ลอยละลิ่วออกไป

ในเมื่อธีโอดอร์กล่าวว่าหลินมู่เสวี่ยจะไม่เป็นอะไร เช่นนั้นเอกวินน์คงไม่มีเจตนาร้ายต่อนาง อีกทั้งสังเกตจากตอนที่ธีโอดอร์และเอกวินน์พบกัน นั่นยิ่งทำให้เซียวอวี๋ยิ่งมั่นใจการคาดเดาของตัวเอง เอกวินน์ไม่ได้ไร้เทียมทานดังที่คิด

อย่างไรก็ตาม หากว่าเขาตัดสินใจจะแตกหักกับนางโดยไม่สนค่าตอบแทนจริงๆ เขาเชื่อว่าเอกวินน์เองก็ไม่อาจต้านทานไว้ได้

นี่คือข้อสรุปของเซียวอวี๋

ด้วยเหตุนั้น เอกวินน์จึงวางท่าว่าตนแข็งแกร่งไร้ผู้เทียบเทียม แม้จะจริงที่นางแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ถึงกับไร้เทียมทาน

คิดถึงตรงนี้ เซียวอวี๋ก็ไม่กังวลอีก เขาเพียงแต่ห่วงหลินมู่เสวี่ย

นับวันมู่เสวี่ยก็ยิ่งปรากฏตัวออกมาน้อยลง คล้ายกับเอกวินน์ค่อยๆมีอำนาจควบคุมร่างมากขึ้น

ขณะที่เซียวอวี๋กำลังเหม่อลอย ฝ่ามือหนึ่งก็วางลงบนไหล่ของเขา

เซียวอวี๋ตกใจกระโดดถอยก่อนจะหันหลับไปมองก่อนจะเห็นว่ามู่เสวี่ยกำลังยืนยิ้มอยู่

ถูกแล้ว เป็นหลินมู่เสวี่ย ไม่ใช่เอกวินน์

“มู่เสวี่ย….” เซียวอวี๋อดสงสัยไม่ได้ นางมาเมื่อไรกัน? เขาไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาแล้ว ประสาทสัมผัสของเขาถูกยกระดับขึ้นจนสูงลิบ กระทั่งมือสังหารขั้นที่หกก็ไม่อาจโจมตีเขาโดยไม่รู้สึกตัว

หรือจะเป็นพลังของเอกวินน์? แต่ตอนนี้มู่เสวี่ยกำลังควบคุมร่างอยู่ไม่ใช่หรือ? นางจะควบคุมพลังของเอกวินน์ได้อย่างไร?

“อื้ม ข้าเอง” มู่เสวี่ยค่อยๆเดินเข้ามา ทั้งร่างของนางแผ่กลิ่นอายสูงศักดิ์จนทำให้เซียวอวี๋สับสน

มู่เสวี่ยในตอนนี้แตกต่างจากมู่เสวี่ยตอนก่อนหน้าอย่างมาก รัศมีของนางแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงราวกับพลิกฟ้าคว่ำสมุทร ท่าทีของนางตอนนี้ดูเป็นธรรมชาติอย่างมากราวกับนางได้หลอมรวมเข้าสวรรค์และโลก

นี่มัน….เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

เซียวอวี๋ตกตะลึงแล้ว

“เจ้า….ไฉนจึงดูต่างจากเดิมมาก?” ไม่เหมือนกับครั้งสุดท้ายที่ได้พบนางแม้แต่น้อย เพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่วัน นางก็กลายเป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว

“เซียวอวี๋ ท่านวางใจเถอะ ข้าสบายดี พี่สาวเอกวินน์ดีต่อข้ามาก ไม่นาน….ข้าจะกลับมา…ขอให้รอ…รอข้า” กล่าวถึงตรงนี้ นัยน์ตาของนางก็มีม่านหมอกเขาปกคลุม นางดูเศร้าสร้อยมาก

“เกิดอะไรขึ้น? เสวี่ย? เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า? ไฉนจึงร้องไห้แล้ว? อย่าทำให้ข้ากลัวสิ ข้ากลัวน้ำตาของสตรีที่สุด” เซียวอวี๋รีบเข้าไปหามู่เสวี่ย แต่เขาไม่กล้าสัมผัสตัวนาง เพราะทุกครั้งที่แตะโดนเขาก็จะถูกเอกวินน์โจมตีใส่ทุกครั้ง

“ไม่มีอะไร” มู่เสวี่ยกล่าวก่อนจะจับมือเซียวอวี๋ไว้ ทั้งคู่จ้องตากันอยู่อย่างนั้น

“ท่านควรใส่ใจตัวเองให้มาก ทำเรื่องที่ต้องทำ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับข้า ไม่นาน ข้าจะกลับมาอยู่ข้างกายท่าน” หยดน้ำใสไหลรินจากหางตาของนาง

มู่เสวี่ยก้าวเท้าขึ้นหน้าและจูบที่แก้มของเซียวอวี๋เบาๆ จากนั้นจึงปล่อยมือและหันหลังเดินจากไป

‘ข้าเคยบอกแล้วว่าอย่าทำเช่นนั้น’ เอกวินน์แค่นเสียงอย่างไม่พอใจ

“อืม ข้าผิดไปแล้ว แต่…ข้าหักห้ามใจไม่ได้จริงๆ…” มู่เสวี่ยกล่าวเสียงเศร้า

‘มีเกิดก็มีดับ มีชีวิตแล้วไม่ดับสูญ นั่นก็ไม่ใช่ชีวิต ไม่ใช่ความสมบูรณ์ ดอกไม้ไฟจะเจิดจ้างดงามเพียงช่วงสั้นๆ ไม่จำเป็นต้องโศกเศร้าเพื่อข้า ข้าคืนชีพขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้ว นับเป็นโชคประการหนึ่ง นี่ไม่ใช่ยุคสมัยของข้าอีกต่อไป ที่นี่ยังมีผู้ที่สามารถปกป้องทวีปแทนข้า ข้าไม่ใช่ผู้พิทักษ์อีกต่อไปแล้ว..ในอดีต ตัวข้ามัวแต่ยึดติดกับการเป็นผู้พิทักษ์ ข้าจะได้กระทำผิดพลาดอย่างมหันต์ เวลานี้ ดูเหมือนว่าต่อให้ปราศจากข้าแล้ว ทวีปแห่งนี้ก็ยังมีผู้คอยปกปกคุ้มครอง โลกนี้จะมีวีรบุรุษที่เสียสละปกป้องแผ่นดินเกิดเสมอ ดังนั้น ผุ้ที่จะคอยพิทักษ์ทวีปนี้ไม่ควรมีเพียงข้า หากแต่เป็นทุกชีวิต ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้’

กล่าวถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเอกวินน์ก็เต็มไปด้วยความอ้างว้าง มหาจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถเรียกลมเรียกฝน ในเวลานี้ช่างดูอ้างว้างโดดเดี่ยวเหลือแสน ในเวลาเดียวกันนางก็ดูโล่งใจ

เมื่อวางภาระบนบ่าอันหนักอึ้งลง ทุกสิ่งบนโลกนี้ก็จะดูสวยงาม แม้แต่ต้นหญ้าดาษดื่นก็ทำให้รู้สึกดีได้

มนุษย์ทั้งซับซ้อนและเรียบง่ายอย่างที่สุด บางยามอ่อนแอ บางยามตื่นเต้น บางยามโกรธเกรี้ยว กระนั้นทั้งหมดก็ยังไม่อาจปกปิดอารมณ์หนึ่ง

นั่นคือ ความรัก

หัวใจของมนุษย์เกิดมาเพื่อรัก หากปราศจากความรู้สึกนี้ นั่นก็ไม่ใช่มนุษย์ผู้หนึ่ง

เพราะรักจึงอ่อนแอ เพราะรักจึงสุข เพราะรักจึงเศร้า พระพุทธเจ้าเคยนิยามรักไว้มากมาย

เมื่อทุกสิ่งถูกปล่อยวาง สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือความรัก และชีวิตก็จะกลายเป็นชีวิตที่สมบูรณ์

หลายคนเพียงตระหนักได้ในช่วงท้ายของชีวิต ดังนั้น ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่จงหวงแหนมัน

ร่างของหลินมู่เสวี่ยยืนอยู่หลังหน้าต่างพลางเหม่อมองตะวันขึ้น ใบหน้าของนางเรียบเฉยค้ลายไม่อาจมีสิ่งใดโยกคลอน

ช่วงเวลานี้ ในที่สุดเอกวินน์ก็ได้บรรลุแล้ว ที่แท้จิตวิญญาณนั้นไม่ได้ทรงพลังอะไร หากแต่หัวใจต่างหากที่เข้มแข็ง

ครั้งหนึ่ง เพื่อไขว่คว้าหาอำนาจ หัวใจของนางต้องดำดิ่งสู่ความเกลียดชัง นางใช้ทุกวิถีทางเพื่อรักษาตำแหน่งผู้พิทักษ์ไว้ แม้กระทั่งล่อลวงจอมเวทย์วังหลวง ไนรัส อีลาน ใช้พลังของเขาเพื่อให้กำเนิดบุตรที่เปี่ยมไปด้วยพลัง

การยึดติดกับอำนาจและถลำลึกกับความเกลียดชังก่อเกิดเป็นชะตาอันน่าสลดของเด็กน้อยเมดีฟ….

ทวีปแห่งนี้ไม่จำเป็นต้องมีผู้พิทักษ์ที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์ ไม่ต้องการผู้พิทักษ์ที่เข่นฆ่าปีศาจได้หมดจด ทวีปแห่งนี้เป็นของทุกชีวิต แม้จะอ่อนแอ โลภโมโทสัน เคียดแค้นชิงชัง กระนั้น พวกมันก็ยังมีรัก เพราะรัก พวกมันจึงทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อพิทักษ์สิ่งที่มันรัก พลังแห่งความรักนั้นทรงพลังยิ่งกว่าเวทมนตร์บทใด

เอกวินน์นั้นถ่องแท้ในศาสตร์แห่งมนตรายิ่งกว่าผู้ใด แต่ยิ่งได้ศึกษาลึกลงเพียงใด นางก็ยิ่งค้นพบว่าเวทมนตร์ไม่ใช่พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มันเทียบไม่ได้กับพลังแห่งความรักแม้แต่น้อย

ตราบใดที่ยังมีรักอยู่ โลกก็จะดำรงอยู่สืบไป ไม่ว่าพลังใดก็ไม่อาจผลาญทำลาย

ตอนนี้ เอกวินน์ได้ปลดพันธนาการให้กับตนเองอย่างแท้จริงแล้ว….


ตอนที่ 518

 

ในหลายวันมานี้ เซียวอวี๋ค่อยๆศึกษาการป้องกันของรัฐ แม้ว่ารัฐเว่ยตอนนี้จะมีกำลังคนของตระกูลเคเนดี้ประจำการอยู่ แต่ขุมกำลังของดินแดนไลอ้อนในตอนนี้เองก็เหนือล้ำกว่าอดีตมาก การโจมตีรัฐเว่ยย่อมไม่เป็นปัญหา

เวลานี้ ทั้งดินแดนล้วนมีขวัญกำลังใจเต็มเปี่ยม สำหรับสงครามที่กำลังจะมาถึง ทุกคนต่างกระเหี้ยนกระหือรือที่จะแสดงความสามารถ

นโยบายที่ส่งเสริมด้านการทหารของเซียวอวี๋ทำให้ผู้คนกระตือรือร้นที่จะสร้างผลงาน

เรื่องของสองพี่น้องสกาเล็ตและไค่เอ๋อร์ถูกพักเอาไว้ก่อน และทั้งสองคนเองก็สามารถรอกระทั่งสงครามจบลงก่อน จากนั้นค่อยให้สกาเล็ตและเซี่ยชานเริ่มเปิดหอการค้าเพื่อติดต่อค้าขายกับจักรวรรดิเมฆาตะวันออกและอาณาจักรพยัคฆ์เมฆาเพื่อสร้างผลกำไร

สกาเล็ตและไค่เอ๋อร์นิสัยดียิ่ง บรรดาพี่สะใภ้ของเซียวอวี๋ต่างรักใคร่พวกนาง อย่างไรก็ตาม พี่สะใภ้ใหญ่ของเซียวอวี๋ได้เรียกเซียวอวี๋ไปหา นางจ้องมองเขาก่อนจะกล่าวว่า “ฮึ่ม ข้าหลงคิดว่าเจ้าจะเปลี่ยนไปแล้ว แต่ว่าเปล่าเลย เอาเถอะ ข้าไม่มีความเห็นต่อพวกนาง แต่เจ้าไม่อาจมีสตรีมากกว่านี้ และเจ้าก็ไม่อาจปฏิบัติไม่ดีต่อพวกนาง”

“นี่…อา….ฮ่าฮ่า วางใจเถอะข้าจะดูแลพวกนางอย่างดี” ขณะกล่าวเซียวอวี๋ก็คิดขึ้นในใจ ดูเหมือนว่าพี่สะใภ้ใหญ่จะเปิดใจแล้ว พี่สะใภ้สี่และซีเหวินก็ดูเหมือนจะเริ่มดีต่อเขา

สำหรับสองคนหลัง เซียวอวี๋ชมชอบพวกนางมานาน แต่เพราะมัวยุ่งกับสงครามจึงไม่มีเวลาสานต่อ แต่ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว เขาไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลอีก หลังจากจบเรื่องรัฐเว่ย เขาจะไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย

เซียวอวี๋เรียกระดมไพร่พลจากทั่วดินแดนเพื่อเตรียมเคลื่อนทัพ เหล่าไพร่พลเองต่างก็ลับดาบรอเวลานี้อยู่แล้ว

สงครามนี้จะเป็นสงครามใหญ่ ตระกูลเคเนดี้ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เซียวอวี๋ไม่ได้เกรงกลัวพวกเขาแล้ว เมื่อต้องประจันหน้ากับความแข็งแกร่งอันเหนือชั้น กลยุทธ์ใดๆล้วนไร้ความหมาย

เซียวอวี๋มั่นใจว่าจะถล่มอีกฝ่ายได้ราบคาบ

เวลานี้คิเมร่าหนึ่งร้อยตัวถูกอัญเชิญออกมาแล้ว เพียงแต่เซียวอวี๋ยังไม่ได้ให้พวกมันเผยตัว เขาต้องการใช้พวกมันในญานะทัพพิสดาร เซียวอวี๋มักเป็นเช่นนี้ เขามักเหลือไพ่ตายไว้บนมือเสมอ

แต่ต่อให้ตระกูลเคเนดี้ล่วงรู้ว่าพวกเขากำลังจะโจมตี ทว่าเมื่อเหล่าคิเมร่าปรากฏตัว กองทัพของอีกฝ่ายย่อมตกอยู่ในความปั่นป่วน ขวัญกำลังใจพังทลาย

ทวีปนี้ไม่มีคิเมร่าปรากฏตัวมาแสนนานแล้ว ผุ้คนเพียงจดจำแต่เผ่าพันธุ์มังกร พวกเขาไม่จดจำสิ่งมีชีวิตสองหัวที่เรียกว่าคิเมร่า

ด้วยรูปลักษณ์ของมัน ผู้คนย่อมเข้าใจว่าเป็นมังกร เมื่อฝูงมังกรร้อยตัวปรากฏ เมืองทั้งเมืองย่อมพินาศสิ้น

นอกจากพวกคิเมร่าหนึ่งร้อยตัวแล้ว เซียวอวี๋ยังใช้โควต้าที่เหลืออีกสี่พันยูนิตเป็น โทรลนักล่าหัวห้าร้อยตน สปิริตวอล์คเกอร์ห้าร้อยตน ไวเวิร์นห้าร้อยตัว พลธนูเอลฟ์ห้าร้อยนาย นักรบอร์คห้าร้อยตน เอลฟ์นักล่าห้าร้อยคน ไรเดอร์(ออร์คขี่หมาป่า)หนึ่งพันตน

ในอดีต เป็นเพราะยูนิตที่เรียกได้มีเพียงน้อยนิด ดังนั้นเขาจึงต้องใช้บางยูนิตทดแทนไปก่อน

ดังเช่นพวกโทรลนักล่า สปิริตวอล์คเกอร์และพวกไวน์เวิร์น ซึ่งตอนนั้นเซียวอวี๋ใคร่ครวญแล้วว่าการขว้างหอกของพวกโทรลนักล่าย่อมไม่ดีเท่าพลธนูของพวกเอลฟ์ ดังนั้นเขาจึงต้องเลือกพลธนูเอลฟ์แทน ซึ่งครั้งนี้ เขาจะใช้พวกโทรลบ้าง

เขาเชื่อว่าไม่มียูนิตใดที่ไร้ประโยชน์

ซึ่งพวกโทรลนักล่าก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง การขว้างหอกของพวกมันแม่นยำและรุนแรง โดยเฉพาะในระยะสามสิบเมตร หอกซัดแทบจะสามารถทะลุทะลวงได้ทุกสิ่ง

อีกทั้งความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดของพวกมันยังไม่ธรรมดา หอกคู่สามารถทิ่มแทงศัตรูอย่างฉับไว พวกมันไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกนักรบออร์คทั่วไปเสียด้วยซ้ำ ตรงกันข้าม ด้วยความคล่องแคล่วที่มากกว่า วิ่งได้เร็วกว่า พวกมันจึงสามารถทำหน้าที่ได้หลากหลายกว่า

ส่วนพวกสปิริตวอล์คเกอร์นั้นมีความสามารถเชื่อมหลายยูนิตเข้าด้วยกันเพื่อกระจายความเสียหายที่ได้รับ

ในกรณีที่ไพร่พลบาดเจ็บสาหัส โซ่วิญญาณนี้ย่อมสามารถใช้ช่วยชีวิตไพร่พลนายนั้น ซึ่งในสนามรบประจัญบานขนาดใหญ่ ความสามารถนี้ย่อมมีประโยชน์อย่างยิ่ง

ในหมู่ยูนิตของพวกออร์ค พวกเขามีอสูรโคโดอยู่แล้ว หากว่าเชื่อมโซ่วิญญาณให้กับพวกมัน อานุภาพของกองกำลังย่อมเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเซียวอวี๋จึงเลือกอัญเชิญพวกสัตว์ซะมาก พวกอสูรโคโดเป็นเพียงหน่วยเสริม หน่วยหลักที่แท้ยังคงเป็นพวกนักรบออร์ค กระนั้นพวกอสูรโคโดก็สามารถเป็นอาวุธทะลวงชั้นดี

เซียวอวี๋ได้ให้คนจัดสร้างเกราะเหล็กให้กับพวกอสูรโคโด ทำให้ทั่วร่างของพวกมันถูกปกคลุมไปด้วยหนามแหลม เมื่อพุ่งไปข้างหน้า พลังของพวกมันย่อมทะลวงทัพศัตรูจนแตกเป็นเสี่ยงๆ

หากว่าทัพม้ากล้าชนปะทะกับพวกมัน จุดจบที่รออยู่ย่อมมีเพียงความตาย

พวกไวเวิร์นนับเป็นหน่วยรบทางอากาศ คล้ายกับพวกกริฟฟ่อน หากแต่ความสามารถในการติดตามและตรวจจับสูงกว่า ขณะที่เหล่าอัศวินบนหลังของพวกมันก็สามารถขว้างโยนหอกใส่ศัตรูเบื้องล่าง การต่อสู้ระยะประชิดของพวกไวเวิร์นเองก็ดี พวกมันสามารถใช้ขาจับศัตรูเหินขึ้นฟ้าก่อนจะเหวี่ยงลงมา

เซียวอวี๋คิดใช้พวกมันคอยประสานงานกับพวกแบทไรเดอร์ ใช้พวกมันเป็นหน่วยคุ้มกัน

พลธนูเอลฟ์ห้าร้อยนาย ยูนิตนับเป็นไพ่ตายของเขาเสมอมา ในยุคอาวุธเช่นนี้ ธนูย่อมเป็นอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพ

เอลฟ์นักล่าและพวกไรเดอร์อย่างละห้าร้อยจะสามารถช่วยเสริมกำลังให้ทัพม้า ซึ่งเซียวอวี๋ก็เตรียมจะจัดส่งกองกำลังนี้ให้ฉินเช่อบัญชาการ พวกเอลฟ์นักล่ามีความสามารถในการสืบเสาะ พวกเขาจะช่วยฉินเช่อได้อย่างมาก

เมื่อเป็นเช่นนี้ กองทัพของเซียวอวี๋จึงถูกเสริมเขี้ยวเล็บขึ้นมาก เดิมทีเซียวอวี๋วางแผนจะอัญเชิญพวกพลปืนคนแคระออกมา แต่เมื่อคิดได้ว่าเขาห่างจากการเลื่อนขั้นต่อไปอีกไม่มาก เมื่อเลื่อนขั้นได้ เขาก็จะสามารถอัพเกรดฐานทัพมนุษย์ และเรียกหน่วยปืนครกออกมา ซึ่งถึงตอนนั้นหน่วยพลปืนก็ไม่มีความจำเป็นแล้ว

ไม่กี่วันต่อมา ขณะที่เซียวอวี๋เตรียมการเสร็จสิ้นและพร้อมจะเคลื่อนทัพ มู่หลี่ก็ได้นำข้อความมา เวลานี้พวกกองกำลังอัศวินสีชาดของศาสนจักรได้ยึดสถานที่ไว้หลายแห่ง กองกำลังของพวกเขาพัฒนาเร็วมาก และไม่นานมานี้ พวกเขาได้ลอบส่งกองกำลังจำนวนมากมาสนับสนุนตระกูลเคเนดี้ในรัฐเว่ยเพื่อใช้จัดการกับเซียวอวี๋

กองกำลังเหล่านั้นยังมาไม่ถึงเนื่องเพราะผสมปนเปด้วยกองกำลังหลากหลาย ดังนั้นการเดินทัพย่อมล่าช้าลง

“ตอนนี้พวกศาสนจักรมีกองทัพไม่น้อยเลย หรือจะไม่มีใครหยุดพวกมันได้?” เซียวอวี๋ขมวดคิ้ว

“อำนาจของศาสนจักรยิ่งมายิ่งใหญ่โต และแน่นอนว่าย่อมต้องเกิดการขัดแย้งกับขุมกำลังอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ขุมกำลังเหล่านั้นต่างก็จ้องคุมเชิงกันและกัน ไม่มีผู้ใดยอมลงมือก่อน ดังนั้นศาสจักรจึงขยายอิทธิพลโดยสะดวก” มู่หลี่กล่าวเสียงเครียด

เขาย่อมล่วงรู้ว่าเป้าหมายของศาสนจักรคือดินแดนไลอ้อน นั่นเพราะการดำรงอยู่ของอูเธอร์ อีกฝ่ายย่อมข่มตาหลับไม่ลง หากอูเธอร์ยังมีชีวิตอยู่

ยิ่งศาสนจักรยิ่งใหญ่ขึ้นเท่าใด ดินแดนไลอ้อนก็ยิ่งตกอยู่ในอันตรายขึ้นเท่านั้น

“เห็นทีคงถึงคราวใช้แผนร่วมประสานแนวดิ่งแล้ว” เซียวอวี๋พึมพำขณะลูบคาง

“แผนร่วมประสานแนวดิ่ง? มันคือ?” มู่หลี่ที่ได้ฟังพลันมึนงง

เซียวอวี๋ยิ้มก่อนจะกล่าวว่า “ไม่มีใด ไม่จำเป็นที่เราจะจัดการพวกมันด้วยตนเอง ผู้ที่ถูกศาสนจักรคุกคามไม่ได้มีเพียงเรา แต่ยังมีฝ่ายอื่นๆ ตอนนี้ทั้งหมดต่างก็หวาดระแวงซึ่งกันและกัน หากปล่อยให้พวกนั้นนั่งดูอยู่เฉยๆย่อมไม่ดีแน่ ยิ่งกว่านั้น กูดาลยังเริ่มจะก่อคลื่นลมขึ้นมาแล้ว สถานการณ์จะกลายเป็นซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ หากทุกคนยังนิ่งเฉยอยู่เช่นนี้ ไม่ช้าจุดจบก็จะมาถึง”

“ท่านคิดจะทำอะไร?” เวลานี้มู่หลี่เชื่อมั่นต่อเซียวอวี๋สุดหัวใจ ไม่ว่าเรื่องใดเมื่อมาอยู่ต่อหน้าเซียวอวี๋แล้วย่อมไม่นับเป็นอะไร เซียวอวี๋มักมีแผนการเสมอ

“จะทำอะไรงั้นหรือ? อืม เริ่มจากติดต่อนิโคลัสก่อนเลย คนผุ้นี้ทั้งทะเยอทะยานและมากความสามารถ ต้องโน้มน้าวเขาก่อน” เซียวอวี๋เผยรอยยิ้ม

“นิโคลัส? คนผู้นี้ชาญฉลาด ทั้งตระกูลของเขายังแข็งแกร่ง แต่เราต้องระวังเขาให้มาก” มู่หลี่กล่าวเตือน

“ฮ่าฮ่า ข้าไม่กลัวหรอก ข้าชอบที่จะร่วมมือกับคนเช่นนี้ คนฉลาดร่วมมือกันย่อมประหยัดสมองไปได้มาก หึหึ” เซียวอวี๋หัวเราะ

“แล้วพวกเราจะตามหาเขาได้ที่ใดหรือ?” มู่หลี่คุ้นเคยกับนิสัยของเซียวอวี๋แล้ว บางครั้งเซียวอวี๋ก็กระทำในสิ่งที่คนอื่นๆมักไม่กระทำ

เซียวอวี๋เผยยิ้มลี้ลับ “ใยเราจึงต้องหา? แค่ติดประกาศไว้นอกเมืองไลอ้อนว่ามีขุมทรัพย์รอให้เขามาแบ่งปันร่วมกัน ไม่ช้าเขาย่อมต้องรีบแจ้นมาแน่”

“จะได้ผลหรือ?” มู่หลี่เบิกตาค้าง เซียวอวี๋มักทำสิ่งที่เหนือสามัญสำนึกเสมอ

อย่างไรก็ตาม ในใจของมู่หลี่ย่อมเข้าใจ นิโคลัสย่อมมีหูตาอยู่ในดินแดน เมื่อขึ้นประกาศไว้ ไม่ช้านิโคลัสจะต้องทราบแน่

“แน่นอน จัดการเถอะ” เซียวอวี๋ยิ้มก่อนจะฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์

มู่หลี่ถอนหายใจด้วยความชื่นชม นายท่านของเขายอดเยี่ยมยิ่ง ติดตามนายท่านผู้นี้แทบไม่ต้องลำบากกินแรงอะไร ทุกสิ่งอย่างล้วนกลายเป็นเรื่องง่ายเมื่ออยู่ในมือเขา ที่พวกเขาต้องทำก็เพียงแค่ปฏิบัติตามให้ดีเท่านั้น

“ดูเหมือนคำพยากรณ์จะไม่ผิด ราชาแห่งราชันย์จะกลายเป็นตำนาน” มู่หลี่เชื่อมั่นในเรื่องนี้ยิ่ง….

 

 

 


ตอนที่ 519

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


ไม่นาน แผ่นประกาศขนาดใหญ่ก็ถูกติดไว้บนกำแพงสูงของเมืองไลอ้อน “นิโคลัสสหายรัก อีกไม่นานข้าจะไปสำรวจโบราณสถาน ที่ซึ่งมีสมบัติอยู่มากมาย หากว่าเจ้าสนใจก็รีบติดต่อข้าโดยเร็วที่สุด”

ประกาศฉบับนี้ทำให้ชาวเมืองรู้สึกงุนงง เหล่าผู้ที่ผ่านไปมาล้วนเห็นเป็นเรื่องขำขัน

กระนั้นก็ยังมีผู้ที่มองเจตนาของเซียวอวี๋ออกและอดชื่นชมเซียวอวี๋ในใจไม่ได้

เวลานี้ ด้วยเพราะเทือกเขาอัลคาเกนได้เปิดให้ผู้คนจากภายนอกเข้าไป ดังนั้นดินแดนไลอ้อนจึงมีผู้คนเดินทางมาเพื่อผจญภัย แต่ต่อให้ไม่ได้มาผจญภัย บางส่วนก็มาเพื่อดูพวกเอลฟ์และเผ่าพันธุ์อื่นๆด้วยตาตนเอง

เซียวอวี๋ยังได้ว่าจ้างเหล่าจิตกรให้มาวาดภาพเหมือนของพวกออร์คและขายต่อนักท่องเที่ยว ซึ่งมันก็ทำให้ดินแดนไลอ้อนได้รับความนิยมอย่างมาก

เซียวอวี๋ต้องการทำให้ดินแดนไลอ้อนกลายเป็นดินแดนที่มีชื่อเสียง ด้วยเพราะดินแดนของเขาอยู่ห่างไกลผู้คนเกินไป ดังนั้นมันจึงไม่อาจดึงดูดเหล่าผู้มีความสามารถได้มากนัก

ในเวลานี้ ดินแดนไลอ้อนกลายเป็นเส้นทางเดียวที่จะใช้เดินทางไปสู่จักรวรรดิเมฆาตะวันออก เซียวอวี๋ยังตั้งใจจะสร้างเส้นทางการค้าและส่งเสริมให้พ่อค้ามาใช้เส้นทางนี้กันให้มากขึ้น แน่นอนว่าเขาย่อมต้องจัดเก็บภาษีผ่านทาง

เมื่อเป็นเช่นนี้ ดินแดนไลอ้อนที่เดิมเคยเป็นดินแดนรกร้างห่างไกลผู้คนจึงกลายเป็นดินแดนที่มีชีวิตชีวาขึ้นมา

เซียวอวี๋ยังได้จัดสร้างเมืองขนาดเล็กเพื่อให้ผู้คนอาศัยอยู่โดยเฉพาะ เป็นเมืองที่ไร้ซึ่งทหารประจำการ เมืองเช่นนี้นับวันมีแต่จะมากขึ้น

เมื่อเห็นว่าพวกเซียวอวี๋มีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ นักผจญภัยมากมายต่างก็เข้ามาเสนอตัวเป็นทหารรับจ้างเพื่อหาเงิน ซึ่งเซียวอวี๋ก็รับไว้และได้ตั้งกฏระเบียบเพื่อควบคุม จากนั้นจึงส่งต่อให้คาสโซ่จัดการดูแล

คาสโซ่เดิมก็เป็นทหารรับจ้างอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาอะไร แน่นอนว่าในกลุ่มคนเหล่านี้ย่อมมีสายลับแฝงตัวเข้ามา แต่เซียวอวี๋ไม่ได้สนใจ สายลับเพียงน้อยนิดไม่อาจส่งผลใดๆต่อเขา

ด้วยเหตุนี้ เมื่อการเตรียมการทั้งหมดเกือบเสร็จสิ้น เซียวอวี๋ก็ได้นำกองทัพใหญ่มุ่งหน้าสู่รัฐเว่ยอย่างเปิดเผย

……………………………..

……………………………..

ในเวลาเดียว ณ รัฐเว่ย หลายคนกำลังประชุมกันหารือกัน

“เจ้าเซียวอวี๋นั่นช่างไม่ประมาณตนจริงๆ มันคิดว่ามันจะสามารถโค่นล้มรัฐของพวกเราได้หรือ? ตระกูลเคเนดี้ประกาศแล้วว่าจะไม่ปล่อยมือจากรัฐเว่ย เพราะมันสามารถใช้เป็นประตูสู่จักรวรรดิเมฆาตะวันออก ที่นี่ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ตอนนี้พวกเรามีกำลังพลมากมาย หากว่ามันกล้ามาจริงๆ มันจะไม่ได้กลับไปทั้งมีชีวิต!” บุรุษร่างใหญ่ที่นั่งอยู่ตำแหน่งหัวโต๊ะกล่าวอย่างเย็นชา

คนผู้นี้ก็คือแม่ทัพที่ตระกูลเคเนดี้ส่งมา แม่ทัพซาเน็ตติ

ซาเน็ตติเป็นแม่ทัพที่มีความสามารถทั้งยังเจ้าความคิด แม้ครั้งสุดท้ายเขาจะโจมตีดินแดนไลอ้อนล้มเหลว เขาก็คิดว่าปัจจัยหลักนั้นเป็นเพราะเขาไม่ทราบขุมกำลังของอีกฝ่าย ทั้งเวลานั้นผู้ที่สั่งการเป็นส่วนใหญ่ก็คือโรเบิร์ต ตัวเขายังไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือที่แท้จริง

“ถูกแล้ว มีท่านแม่ทัพซาเน็ตติอยู่ที่นี่ เจ้าสุนัขเซียวย่อมถูกหวดตีกลับไป” หลี่เหอกล่าวพลางรอยยิ้มประจบ

เวลานี้ หลี่เหอได้ขึ้นเป็นแม่ทัพของรัฐเว่ย เขาได้รับหน้าที่ให้ความร่วมมือกับซาเน็ตติในการป้องกันรัฐ

“ยังไม่ต้องกล่าวถึงว่ายังมีกำลังหนุนจากศาสนจักรของพวกเรา เมื่อพวกท่านเข้าโรมรันกับศัตรู ข้าก็จะนำกำลังลอบเข้าโจมตีจากทางด้านข้าง พวกมันย่อมตกตะลึงเป็นแน่ ถึงเวลานั้นชัยชนะก็ย่อมตกเป็นของพวกเรา” ดูจากการแต่งกายของคนผู้นี้แล้ว ชัดเจนว่าเป็นคนจากศาสนจักร

“ถูกแล้ว ครั้งนี้พวกเราจะชนะอย่างแน่นอน” หลี่เหอกล่าวเสริม

“อืม ทัพอัศวินสีชาดที่นำโดยยอดฝีมือย่อมเป็นกองกำลังอันน่าหวาดหวั่น พวกมันต้องคาดไม่ถึงเป็นแน่” ซาเน็ตติหันไปมองเทอร์รี่

“รายงานท่านแม่ทัพ! กองทัพดินแดนไลอ้อนเคลื่อนกำลังมุ่งหน้ามายังรัฐเว่ยแล้วขอรับ คาดว่าจะมีกำลังพลราวหนึ่งแสนนาย” พลสอดแนมเร่งเข้ามารายงาน

“อืม อีกฝ่ายมีกี่ทัพ?” ซาเน็ตติหน้าเสียงเรียบ

“กองทัพเดียวขอรับ!” พลสอดแนมกล่าวตอบ

“ว่ากระไร? เพียงทัพเดียว?” ได้ยินคำรายงาน ซาเน็ตติพลันขมวดคิ้วมุ่น อาณาเขตของรัฐเว่ยนั้นกว้างใหญ่ไพศาล มีพื้นที่สำคัญน้อยใหญ่อยู่มากมาย บางแห่งมีกำลังรักษาการณ์อย่างเข้มงวด ขณะที่บางแห่งนั้นไม่มีเลย ซึ่งส่วนแล้ว การเข้าโจมตีดินแดนขนาดใหญ่มักต้องมีการแบ่งทัพย่อยออกเป็นหลายสาย ทว่าเซียวอวี๋กลับไม่ทำเช่นนั้น เขารวมกำลังทั้งหมดไว้ในที่เดียวกัน

“ขอรับ กองทัพหนึ่งแสนนายไม่มีแบ่งย่อย ที่แห่งแรกที่พวกมันจะเข้าโจมตีสมควรเป็นเมืองเยือกแข็งขอรับ” พลสอดแนมกล่าวรายงาน

“เจ้าเซียวอวี๋ผู้นี้กลับไม่รู้หลักพิชัยสงคราม แบบนี้ยังเรียกว่าสงครามได้หรือ? หรือมันไม่กลัวว่าพวกเราจะตัดทางถอยของพวกมัน? เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราก็สามารถเข้าโจมตีจากด้านข้างได้” ซาเน็ตติขมวดคิ้ว เขาไม่อาจเดาความคิดของเซียวอวี๋ได้แม้แต่น้อย

“เซียวอวี๋ผู้นี้มักพึ่งพาทัพพิสดารในการเอาชนะสงคราม บางทีมันอาจจะมีแผนการบางอย่าง พวกเราต้องระวังให้ดี!” เทอร์รี่กล่าวกระตุ้นเตือน

คนผู้นี้ทั้งหนุ่มแน่นและมากความสามารถ ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้รับความไว้วางใจจากพระสันตะปาปา ก่อนหน้านี้ อลอนโซ่ได้ทรยศ โมดริกถูกสังหาร และคริสต์ตกตาย สาเหตุเหล่านี้ทำให้เทอร์รี่เกลียดชังเซียวอวี๋ยิ่ง

ในความคิดของเขา เซียวอวี๋ได้ทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของกองกำลังอัศวินสีชาดลง ดังนั้นตัวเขาจึงขันอาสาที่จะมาจัดการเซียวอวี๋ด้วยตนเอง

คริสต์นั้นมีอิทธิพลภายในศาสนจักรอย่างสูง แน่นอนว่าศาสนจักรย่อมปกปิดการทรยศของคริสต์ พวกเขาป้ายความผิดไปให้เซียวอวี๋ว่าเป็นผู้ที่สังหารคริสต์ ทั้งยังบอกว่าอลอนโซ่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด

ด้วยการประกาศเช่นนี้ สาวกที่เหลือทั้งหมดจึงชิงชังเซียวอวี๋และอลอนโซ่เข้ากระดูกดำ

“เหอะ ข้าก็อยากจะรู้นักว่าในน้ำเต้าของมันจะมีอะไร….สั่งการลงไป ให้ทหารรักษาการณ์ของเมืองเยือกแข็งตรึงพวกมันเอาไว้ ข้าจะส่งคนเข้าโจมตีพวกมันจากทางด้านข้าง ตราบเท่าที่เมืองเยือกแข็งสามารถรั้งพวกมันไว้ได้หนึ่งวัน ศีรษะของเซียวอวี๋ย่อมถูกปลิดปลงลง” ซาเน็ตติออกคำสั่ง

“ขอรับ” พลสอดแนมรับคำสั่งก่อนล่าถอยจากไป

ในเวลาเดียวกันนั้น เซียวอวี๋ได้นำกองทัพของเขาเคลื่อนพลางร้องเพลงอย่างสบายอารมณ์ เซียวอวี๋ได้นำบทเพลงจากยุคปัจจุบันมาดัดแปลงเป็นเพลงมาร์ชกองทัพ ให้ไพร่พลทั้งหมดขับร้องเพื่อปลุกขวัญกำลังใจ

บทเพลงปลุกใจไม่ต้องส่งสัยเลยว่าสามารถทำให้ผู้คนรู้สึกฮึกเหิมขึ้นได้ เซียวอวี๋เคยได้ยินเรื่องเล่ามาว่า เคยมีแม่ทัพผู้หนึ่งที่มักจะร้องเพลงไม่ยามที่ตนได้รับชัยชนะหรือพ่ายแพ้ก็ตาม เขามักจะร้องเพลงระหว่างกลับเสมอ

เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้คนต่างก็พากันคิดว่าแม่ทัพผู้นี้รบชนะตลอด และเหล่าไพร่พลเองก็รู้สึกว่าพวกเขาจะเอาชนะได้ทุกครั้งที่รบ ซึ่งนั่นก็ถือเป็นวิธีการรักษาขวัญกำลังใจของกองทัพ

วิธีการที่ดีเช่นนี้ แน่นอนว่าเซียวอวี๋ย่อมไม่พลาดที่จะนำมาใช้

หลังจากเดินทัพมาได้สองวัน ในที่สุดที่เบื้องหน้าสายตาก็ปรากฏกำแพงของเมืองเยือกแข็ง

มองดูกำแพงเมืองที่เต็มไปด้วยทหารแล้ว เซียวอวี๋ก็ไม่ได้ออกคำสั่งโจมตีทันที หากแต่ให้ไพร่พลดื่มน้ำพักผ่อน

ดังนั้นเหล่าไพร่พลจึงดื่มกินพลางพูดคุยกันอย่างสนุกสนานไร้ซึ่งความกังวลใด

เมื่อถึงยามเย็น ไพร่พลทั้งหมดก็อยู่ในสภาพพร้อมรบ กำลังกายของพวกเขาถูกฟื้นคืนกลับมาแล้ว แม้กระนั้น เซียวอวี๋กลับยังไม่ออกคำสั่งบุก เขากลับให้ทุกคนตั้งค่าย

ทั้งหมดต่างล้วนประหลาดใจต่อคำสั่งของเซียวอวี๋ ใยพวกเราจึงยังไม่ลงมือ? อย่างไรก็ตาม ทุกคนล้วนล่วงรู้ชื่อเสียงเรื่องรบคราใดล้วนได้ชัยของเซียวอวี๋ดี เมื่อเขาสั่งการมาเช่นนี้ แน่นอนว่าคงมีแผนการอยู่ในใจ

ในเวลาเดียวกัน ที่กองบัญชาการของเมืองเยือกแข็ง ไพร่พลทั้งหมดต่างรักษาการณ์อย่างเข้มงวดเพื่อรอรับการโจมตี เมื่อเห็นว่าเซียวอวี๋ไม่มีทีท่าจะบุกเข้ามา ทั้งหมดก็ได้แต่มึนงง พวกเขาไม่รู้ว่าเซียวอวี๋กำลังคิดอะไรอยู่?

อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่กล้าประมาท ผู้บัญชาการของเมืองสั่งให่้ไพร่พลรักษาความตื่นตัวเอาไว้ ทั้งตัวเขาเองก็ไม่กล้ากลับบ้านไปนอน สุดท้ายจึงจำต้องพักงีบในกองบัญชาการ

ในความคิดของเขาแล้ว เซียวอวี๋คงกำลังหาจังหวะลอบเข้าตี ดังนั้นตัวเขาจึงเพิ่มการระวังอย่างที่สุด ทั้งยังมีคำสั่งจากแม่ทัพซาเน็ตติว่าให้ตรึงศัตรูเอาไว้ ตราบเท่าที่เขาทำสำเร็จ เมื่อกองทัพหลวงเข้าโจมตีจากด้านข้างได้แล้ว เช่นนั้น ชัยชนะในศึกนี้ย่อมต้องตกเป็นของพวกเขา

ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็เพียงแค่ตรึงอีกฝ่ายเอาไว้ด้วยทุกอย่างที่มี

ในวันที่สอง ผู้บัญชาการเมืองคิดว่าเซียวอวี๋ ทว่าเขากลับต้องมึนงงเมื่อเซียวอวี๋เลือกที่จะสร้างค่ายทหาร หอสังเกตการณ์ รั้วไม้และสนามเพลาะแทนการบุกโจมตี

ไม่กี่วันถัดมา เซียวอวี๋ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะโจมตีแม้แต่น้อย เขายังคงให้พวกทหารเสริมแนวป้องกันต่อไปราวกับเขาต้องการจะสร้างเมืองขึ้นที่นี่

“เจ้าเซียวอวี๋มันมัวทำเรื่องผีสางอะไรอยู่?” ซาเน็ตติได้ส่งกำลังคนไปเตรียมพร้อมจะโอบโจมตีเรียบร้อยแล้ว เมื่อใดก็ตามที่เซียวอวี๋บุกเมืองเยือกแข็ง กองทัพของเขาก็จะสามารถเข้าโจมตีจากทุกทิศทาง

อย่างไรก็ตาม เซียวอวี๋ไม่ยอมลงมือเสียที ทุกวันเขาจะปล่อยให้ทหารสังสรรค์อยู่ภายในค่าย

นี่ทำให้ผู้ที่เฝ้าจับตาอยู่ต่างสับสนมึนงง

ไม่เพียงแต่ซาเน็ตติที่สับสน กระทั่งมู่หลี่ หัวหน้าทหารฮุ่ยและคนอื่นๆเองต่างก็สับสน เซียวอวี๋ต้องการจะทำอะไรกันแน่?

ใยจึงไม่บุกโจมตี? หรือเขาจะกลัวการสูญเสีย? กระนั้นกำลังพลของดินแดนไลอ้อนในเวลานี้ก็ไม่ได้อ่อนแอแต่อย่างใด กระทั่งเข้มแข็งเสียด้วยซ้ำ ด้วยขุมกำลังระดับนี้ พวกเขาสามารถบุกยึดเมืองเยือกแข็งได้ไม่ยาก

“เจ้าเซียวอวี๋มันกำลังทำอะไรอยู่กันแน่? หรือมันต้องการล่อพวกเราออกไป?” ซาเน็ตติแทบคลุ้มคลั่งแล้ว ไม่กี่วันนั้นไม่นับเป็นอย่างไร แต่หากเป็นเดือนเล่า? เซียวอวี๋ดูผ่อนคลายและไม่มีทีท่าจะเข้าโจมตีเมืองแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นก็ทำให้ซาเน็ตติวิตกจนแทบจะพังทลาย

หลังจากผ่านไปอีกครึ่งเดือน ซาเน็ตติก็หมดคำพูด ที่ด้านนอกของเมืองเยือกแข็งยังคงมีทัพทหารหนึ่งแสนนายคุมเชิงอยู่โดยไม่เข้าตี นี่แน่นอนว่าทำให้พวกซาเน็ตติอึดอัดอย่างมาก

เหตุการณ์นี้คล้ายกับสงครามเคิร์สต์ เหล่านายพลของโซเวียตได้ระดมสมองคิดหากลยุทธ์ป้องกัน ทว่าเยอรมันกลับไม่เข้าโจมตี ฝ่ายโซเวียตจึงได้แต่วิตกจนแทบไม่เป็นอันกินอันนอน

ในเวลาเช่นนี้ ความฉลาดไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญที่สุด แต่ดูว่าสุดท้ายแล้วผู้ใดจะแบกรับความกดดันได้มากกว่ากัน

“ไม่ได้ พวกเราต้องหาทางลากพวกมันออกมา” ดวงตาของซาเน็ตติสาดประกายวูบ

ดังนั้นซาเน็ตติจึงเขียนสารท้ารบที่ใช้ถ้อยคำยั่วยุและดูถูกไปให้เซียวอวี๋ ซึ่งหากคนทั่วไปได้อ่านมัน คนผู้นั้นจะต้องคลุ้มคลั่งโถมออกมาแลกชีวิตกับซาเน็ตเป็นแน่

กระนั้น หลังจากได้อ่านมัน เซียวอวี๋เพียงเขียนจดหมายตอบกลับฉบับหนึ่ง จดหมายนี้เป็นมีอักษรไม่กี่ตัว “ถล่มมารดาเจ้า”

“เจ้าสารเลว!” ซาเน็ตติเดือดดาล เขาสั่งให้ทหารของเขาไปตะโกนด่าทอบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเซียวอวี๋ที่หน้าค่าย

หลงฮุ่ยที่ได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นก็เดือดดาล ซาเน็ตติถึงกลับกล้าลบหลู่บรรพชนตระกูลเซียว นี่เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้เด็ดขาด ตัวเขาจงรักภักดีต่อตระกูลเซียวมาตลอด เมื่อมีผู้กล้ามาด่าทอตระกูลเซียวเช่นนี้ เขาย่อมไม่อาจปล่อยไป

ดังนั้นหลงฮุ่ยจึงย่ำเท้าเตรียมออกจากค่ายด้วยความโกรธ ทว่าเดินไปได้เพียงครึ่งทาง เขาก็ถูกเมอีฟสะกดไว้

“ลุงหลง ท่านชราแล้ว แต่ก็ยังคงอารมณ์ร้อน มีคำกล่าวที่ว่า ‘พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง’ พวกเราจะไปเต้นตามอีกฝ่ายได้อย่างไร? นี่ไม่ใช่แนวทางของตระกูลเซียวเลย…..คาเอล เจ้ามานี่หน่อย ช่วยข้าที” เซียวอวี๋หันไปเรียกคาเอลมาและให้เขาใช้เวทมนตร์ตามที่บอก

หลังจากนั้นไม่นาน ที่ท้องฟ้าเหนือค่ายของฝ่ายดินแดนไลอ้อนก็มีพลุระเบิดออกเป็นคำพูดสี่คำ “ถล่มมารดาเจ้า”

ซาเน็ตติที่ได้เห็นก็โกรธจนแทบกระอักเลือด

นอกจากนั้น เซียวอวี๋ยังได้ให้ไพร่พลทั้งหนึ่งแสนนายตะโกน “ถล่มมารดาเจ้า” พร้อมกันจนดังกระหึ่ม

ด้วยเหตุนี้ นับแต่นั้นซาเน็ตติจึงไม่ได้ไปยั่วยุเซียวอวี๋อีก ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่าเรื่องฝีปากนั้น เขาสู้เซียวอวี๋ไม่ได้เลย!

อย่างไรก็ตาม ซาเน็ตติก็ไม่ได้ชะล่าใจ เขาเชื่อว่าเซียวอวี๋ต้องกำลังวางแผนจะลอบโจมตีอยู่เป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงสั่งให้ไพร่พลตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ห้ามหย่อนยานโดยเด็ดขาด

ด้วยเหตุนี้ ไพร่พลของรัฐเว่ยจึงอยู่ในสภาพหวาดวิตกทุกเมื่อเชื่อวัน พวกเขาต่างก็กังวลว่าเมื่อใดเซียวอวี๋จะส่งกำลังเข้าตี

หลังจากนั้นอีกครึ่งเดือน ผู้บัญชาการของทัพศาสนจักรก็นั่งไม่ติดเก้าอี้แล้ว เขากล่าวด้วยเสียงเย็นชา “ข้าไม่รู้ว่าพวกท่านกำลังหวาดกลัวอะไรกัน? พวกเราต้องเกรงกลัวพวกมันด้วยงั้นหรือ? ข้าจะนำคนของข้าออกไป หากว่าลงมือ พวกมันย่อมต้องสูญเสียอย่างหนักเป็นแน่” เขารู้ว่าต่างฝ่ายต่างหดหัวอยู่ในกระดองเช่นนี้ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา

“ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่าน แต่ข้าขอเตือนท่าน ก่อนหน้านี้พวกเราก็เคยร่วมมือกับอลอนโซ่และท่านโมดริกในการโจมตีเซียวอวี๋ ซึ่งตอนนี้แน่นอนว่าพวกเราย่อมเข้มแข็งกว่าตอนนี้มาก กระนั้นก็ยังพ่ายแพ้กลับมา ท่านคิดว่าด้วยคนของท่านตอนนี้ ท่านจะสังหารเซียวอวี๋ได้งั้นหรือ?” ซาเน็ตติเองก็เดือดดาลอย่างมาก ทว่าก็ยังสะกดข่มอารมณ์ไว้

“หรือท่านจะให้พวกเรารอต่อไป?” เทอร์รี่แค่นเสียง เขารู้มันเป็นเรื่องจริง หากว่าเซียวอวี๋กำจัดได้ง่ายปานนั้น ตัวเขาก็คงไม่ต้องมาอยู่ที่นี่แล้ว

“ในเมื่อพวกมันไม่ออกมา ข้าก็อยากจะดูนักว่าพวกมันจะมุดหัวอยู่ในนั้นได้สักเท่าไร” ซาเน็ตติกล่าวเสียงเหี้ยม

เวลาไหลผ่านไป เซียวอวี๋ยังคงปล่อยให้พวกทหารพักผ่อนอย่างไร้กังวล

ไพร่พลที่ประจำการอยู่ของรัฐเว่ยก็ได้แต่มองตาปริบๆ นานวันเข้าเมื่อเห็นพวกเซียวอวี๋จัดการแข่งขันภายในค่าย พวกเขาก็จะส่งเสียงเชียร์จากบนกำแพง

ไม่ว่าคำสั่งจะให้พวกเขาเฝ้าระวังสูงสุดอย่างไร มนุษย์ก็ยังคงมีจิตใจ หลังจากถูกกล่อมเกลาทุกวัน แน่นอนว่ากำแพงในใจย่อมต้องพังทลาย นี่ก็คือกฏแห่งจิตวิทยา

“ฮ่า ครั้งนี้ข้าจะลงเดิมพันข้างทีมน้ำเงิน ดูสิพวกเขาชนะแน่” ทหารบางส่วนเริ่มเปิดพนันขันต่อ

“ฮึ่ม นี่มันล้มบอลชัดๆ มิเช่นนั้นทีมแดงจะเล่นห่วยเช่นนั้นหรือ?” เหล่าไพร่พลที่เสียพนันต่างก็บ่นด้วยความไม่พอใจ

“ล้มบอลงั้นเรอะ? เห็นอยู่ชัดๆว่าทีมน้ำเงินแข็งแกร่งกว่า เจ้าอย่าอ้างน่า”

“ข้ออ้าง? เหอะ ไม่ใช่ว่าทีมน้ำเงินถูกทีมสีแดงยำเละอยู่ข้างเดียวในการแข่งครั้งก่อนๆเรอะ? แล้วครั้งนี้สีน้ำเงินจะทิ้งห่างเพียงนี้ได้อย่างไร?”

“เพราะทีมฝั่งเรามันโครตทีมไงล่ะ! ทีมสีแดงเจ้าสิกระจอกเอง”

“กล้าบอกว่าทีมสีแดงของเราเป็นทีมหมาแดงงั้นเรอะ งั้นทีมพวกเจ้าก็คงเป็นทีมหมาน้ำเงินแล้ว!”

“เฮ้ย ไหนเจ้าพูดใหม่อีกทีซิ!”

“ข้าบอกว่าพวกเจ้าทีมสีแดงก็เป็นหมาแดงหมดนั่นล่ะ!”

“หนอย ก็สวยสิ? ทีมสีแดงของพวกข้าเจ๋งกว่าโว้ย!”

ไม่นานบนกำแพงเมืองก็ชุลมุนวุ่นวาย

ขณะที่ทางฝั่งเซียวอวี๋ก็กำลังฟังเพลงพลางเล่นหมากรุกกับคาสโซ่อยู่ ทันใดนั้นก็มีพลทหารวิ่งเข้ามารายงาน “ท่านลอร์ดขอรับ มีบุรุษที่ชื่อว่านิโคลัสรออยู่ข้างนอกขอรับ”

“ฮึ่ม ไฉนเจ้านี่ถึงได้มาสายนัก?” เซียวอวี๋ไม่พอใจอย่างมาก เขาโบกมือก่อนสั่งการ “ให้เขาเข้ามา”

 

 

 


ตอนที่ 520

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


ไม่นาน เงาร่างอันคุ้นเคยก็เดินเข้ามาภายในค่าย สายตาของเขากวาดมองมาทางเซียวอวี๋ที่เอนหลังอย่างเกียจคร้าน เขายิ้มก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ไม่เจอกันนานเลยนะเซียวอวี๋”

ผู้กล่าวทักย่อมต้องเป็นนิโคลัส

เซียวอวี๋ยิ้มรับ “อืม แต่ที่จริงมันก็ไม่ได้นานเท่าใดนัก เจ้าคงลืมใบหน้าอันคมคายของข้าไม่ได้ล่ะสิ แต่ช่างเถอะ นี่คงโทษเจ้าไม่ได้ ผู้ใดใช้ข้าหล่อเหลาถึงเพียงนี้กันเล่า”

“โอ้ เจ้ายังไร้ยางอายไม่เปลี่ยน” นิโคลัสถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายใจ เขาเดินไปยังที่นั่งด้านข้างของเซียวอวี๋ก่อนจะนั่งลงพลางหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาจิบ

“อืม ข้าได้ยินมาว่าศาสนจักรกำลังขยายอิทธิพล เจ้าใช่มีความคิดจะขัดขวางหรือไม่?” เซียวอวี๋ปรับท่าทางให้อยู่ในท่าที่สบายก่อนจะเอ่ยถาม

“ไม่ต้องกังวล พระสันตะปาปาไม่ใช่คนเขลา เขารู้ว่าเมื่อใดควรหยุด ตอนนี้ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนจับจ้องมาที่เจ้า เจ้าวางแผนจะจัดการอีกฝ่ายเมื่อใด?” นิโคลัสถอดรองเท้าก่อนจะเอนตัวนอนอย่างสบายอารมณ์

“เจ้านี่ช่างโลภมากจริงๆ” เซียวอวี๋กล่าวเหน็บ

“ข้าก็เป็นเช่นนี้เสมอ” นิโคลัสยิ้มกล่าวพลางหยิบองุ่นหย่อนเข้าปาก

“คนโลภมักไม่มีจุดจบที่ดี” เซียวอวี๋แค่นเสียง

“มีชีวิตย่อมมีความโลภ และเพราะความโลภนี่ล่ะ ผู้คนจึงมีแรงใจที่จะมีชีวิต หรือว่าเจ้าไม่มีความโลภ?” นิโคลัสไม่สนใจคำเหน็บแนมของเซียวอวี๋

“หืม ข้าเนี่ยนะโลภ? ถ้าข้าบอกว่าเป้าหมายใหญ่ที่สุดของข้าคือปกป้องดินแดน ตั้งตนเป็นจักรพรรดิน้อยและอยู่ให้ห่างจากปัญหา เจ้าจะเชื่อหรือไม่?” เซียวอวี๋โวยวาย

นิโคลัสนิ่งคิดอย่างจริงจังครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวตอบ “ข้าเชื่อ แต่โลกย่อมไม่อนุญาติให้เจ้าทำเช่นนั้น มีเพียงกลืนกินไม่ก็ถูกกลืนกิน ดังนั้นเจ้าทำได้เพียงแข็งแกร่งขึ้นเพื่อกลืนกินผู้อื่น”

“ทว่า กระทั่งปลาใหญ่ก็ยังไม่อาจกระโดดออกจากแม่น้ำแห่งโชคชะตา อย่างมากพวกเราก็ก่อคลื่นลมได้เพียงเล็กน้อย กระนั้นก็ยังไม่อาจหลีกเลี่ยงแม่น้ำแห่งโชคชะตา ไม่อาจกระโดดขึ้นฝั่ง” เซียวอวี๋กล่าวอย่างปลอดโปร่ง

“ไม่อาจกระโดดขึ้นฝั่ง แต่ตราบที่สามารถแหวกว่ายในแม่น้ำอย่างอิสระ พวกเราก็พึงพอใจแล้วไม่ใช่หรือ?” นิโคลัสเผยยิ้ม

“ฮ่าฮ่า เจ้าพูดถูก ตราบที่ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข นั่นก็เพียงพอแล้ว” นี่ก็คือความตั้งใจเดิมของเขา ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

“การสำรวจครั้งใหม่ที่เจ้ากล่าวถึงคือ?” นิโคลัสจิบไวน์ก่อนจะเอ่ยเข้าประเด็น

“อันที่จริงแล้ว ไม่มีอะไรหรอก ข้าเพียงคิดถึงเจ้า ต้องการนั่งคุยเพื่อรำลึกความหลังกับเจ้าก็เท่านั้น” เซียวอวี๋กล่าวด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน

“ฮึ่ม เจ้าอยากตายหรือ? เจ้าเรียกข้ามาเพื่อมานั่งเปื่อยอยู่ที่นี่กับเจ้า?” นิโคลัสรู้ว่าเซียวอวี๋เพียงหยอกล้อ

“อะแฮ่ม อันที่จริง ข้าต้องการให้เจ้ามาเห็นตอนที่ข้ากำจัดรัฐเว่ย ซึ่งในอนาคต มันก็จะเป็นส่วนหนึ่งในดินแดนของข้า และข้าก็ต้องการจะแบ่งปันผลประโยชน์บางส่วนให้เจ้า” เซียวอวี๋ชี้ไปยังกำแพงเมืองที่ตั้งตระหง่านอยู่ห่างออกไป

“โอ้ ไฉนจึงใจกว้างแล้ว? ยกผลประโยชนืให้กับข้างั้นหรือ? คนตระหนี่ขี้งกอย่างเจ้าเนี่ยน่ะหรือ? พูดมาเถอะ เจ้าต้องการอะไรจากข้า?” นิโคลัสถามกลับตรงๆ

“อะแฮ่ม เจ้าก็แกล้งทำตัวซื่อๆบ้างไม่ได้หรือ? ไม่ต้องกล่าวตรงเพียงนี้ก็ได้” เซียวอวี๋ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

“อืม…ข้าจะไว้หน้าเจ้าสักหน่อยแล้วกัน พูดมาเถอะ ข้าจะได้ผลประโยชน์สักเท่าใด?” นิโคลัสยิ้มบาง

“ไม่นานมานี้ข้าเพิ่งได้หอการค้ามาไว้ในมือ ข้าจึงคิดจะทำการค้ากับจักรวรรดิเมฆาตะวันออกและแดนอื่นๆ ทว่าในบางดินแดนนั้น อิทธิพลของข้ามีไม่มากนัก ดังนั้นข้าจึงต้องการให้เจ้าดูแลความปลอดภัยของสาขาย่อยเหล่านั้น วางใจเถอะ ในเมื่อขอให้เจ้าช่วย แน่นอนว่าย่อมไม่ให้เจ้าเสียเปรียบ เจ้าจะได้ผลประโยชน์จากมัน” เซียวอวี๋ก็ไม่กล่าวอ้อมค้อม พูดเข้าประเด็นทันที

“อืม? ไม่เลว เจ้ามีความสัมพันธ์อันดีกับจักรวรรดิเมฆาตะวันออก ย่อมได้รับการสนับสนุนอย่างราบรื่น ความคิดนี้ไม่เลวจริงๆ เช่นนั้น ผลประโยชน์เท่าใดที่เจ้าจะให้ข้า?” นิโคลัสเริ่มสนใจขึ้นมาแล้ว

ทั้งต่อรองกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะตกลงกันได้ที่สามส่วน นิโคลัสจะได้รับกำไรสามส่วนและในทางกลับกัน เขาจะต้องรับรองความปลอดภัยของหอการค้าสาขาย่อยในดินแดนต่างๆ

“เจ้านี่มันหน้าเลือดจริงๆ ไม่แปลกที่จะพัฒนาตระกูลจนใหญ่โตได้ถึงเพียงนี้ ที่แท้ก็ใช้วิธีการเช่นนี้นี่เอง” เซียวอวี๋ยังไม่ลืมที่จะกล่าวเหน็บแนมทิ้งท้าย

“หากพวกเราทำธุรกิจอย่างตรงไปตรงมา ตระกูลของเรายังจะตกทอดได้เป็นพันๆปีหรือ? ผู้ที่ไร้เล่ห์ไร้เหลี่ยมก็เป็นได้เพียงเหยื่ออ่อนแอ สำหรับโลกใบนี้แล้ว มีเพียงสูบเลือดเนื้อผู้อื่นเพื่อเติบโต ไม่เช่นนั้นผู้อื่นก็จะสูบเลือดเรา” นิโคลัสเอนหลังพลางจ้องมาทางเซียวอวี๋เงียบๆ

ในเวลานั้นเอง เส้นผมของนิโคลัสก็ปรกหน้า เมื่อรวมกับชุดคลุมสีขาวอันสง่างามแล้วก็ยิ่งขับเน้นท่าทางผู้มีการศึกษาออกมา

ตอนที่นิโคลัสหันมามอง เซียวอวี๋ก็นิ่งตะลึง เขารู้สึกราวกับว่าที่ตรงหน้าไม่ใช่บุรุษ หากแต่เป็นสาวงามนางหนึ่ง

ซึ่งที่จริง นิโคลัสนั้นมีใบหน้าหล่อเหลาจนบางครั้งก็ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขาคล้ายสตรี

“หืม ใยเจ้าจึงจ้องข้าเช่นนั้น?” พอโดนจ้องมากๆเข้า นิโคลัสก็รู้สึกขนลุก

“ไม่มีใด นิโคลัส เจ้ามีพี่สาวน้องสาวหรือไม่ เจ้าต้องการจัดงานแต่งกระชับความสัมพันธ์หรือไม่?” เซียวอวี๋จ้องหน้าของนิโคลัสและจินตนาการภาพเค้าโครงอิสตรีทับกับใบหน้าของนิโคลัส

“ตัวบัดซบ! เจ้าคิดอะไรของเจ้า?” ในที่สุดนิโคลัสก็เข้าใจความคิดของเซียวอวี๋และแทบจะลุกขึ้นยันเซียวอวี๋ให้หงายหลัง

“เหอๆ ไม่ต้องเขินอายหรอกน่า ก็แค่ถามว่าเจ้ามีพี่สาวน้องสาวหรือไม่ก็เท่านั้น คิดว่าลูกพี่สนใจเจ้างั้นหรือ? ข้าไม่ได้มีรสนิยมทางนั้นเสียหน่อย แม้ว่าเจ้าจะดูคล้ายสตรีมากๆก็เถอะ…..” เซียวอวี๋กล่าวเสียงเรียบ

“เจ้าสิคล้ายสตรี ตระกูลเจ้าสิที่คล้ายสตรี!” นิโคลัสเดือดดาล หากไม่ใช่ว่าอยู่ในถิ่นของเซียวอวี๋แล้วล่ะก็ นิโคลัสคงเชือดอีกฝ่ายทิ้งไปแล้ว

“เอาล่ะๆ เรื่องหอการค้าก็จบไปแล้ว เช่นนั้นเรามาพูดคุยเรื่องศาสนจักรกันดีกว่า” เซียวอวี๋เบนสายตาไปทางอื่นพลางเอ่ยออกมา

“ศาสนจักรเกี่ยวอะไรกับข้างั้นหรือ? อย่างไรเสียศาสนจักรย่อมไม่มาตอแยข้าอยู่แล้ว” นิโคลัสกล่าวอย่างไม่แยแส

“เพ้ย เจ้าไม่อาจพูดเช่นนั้น ผู้ใดจะทราบว่าศาสนจักรวางแผนใดไว้? หากว่าวันหนึ่งพวกมันล้มข้าได้ เจ้าก็อาจกลายเป็นเป้าต่อไปของพวกมัน ความทะเยอทะยานของสันตะปาปาไม่ใช่เรื่องเล็กเลย ทั้งอิทธิพลที่มากขึ้นก็ยิ่งขยายความทะเยอทะยานของเขาให้ใหญ่โต เจ้าสามารถพูดคุยกับลีโอนาโดก่อนได้ ดูเหมือนว่าในเวลานี้เขาจะมีการติดต่ออย่างใกล้ชิดกับศาสนจักรอยู่” เซียวอวี๋ดึงลีโอนาโดเข้ามาเกี่ยว

 

 

 


ตอนที่ 521

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


“เหอๆ เซียวอวี๋เอยเซียวอวี๋ ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าเป้าหมายแรกของศาสนจักรก็คือเจ้า เจ้ากังวลมากเสียจนคิดจะดึงพวกเราลงไปในปลักโคลนกับเจ้าหรือ? คงมิใช่ว่าเจ้ารู้สึกกลัวศาสนจักรขึ้นมาหรอกนะ?” นิโคลัสไม่เชื่อคำกล่าวของเซียวอวี๋ เขาเอนตัวพลางกล่าวอย่างเกียจคร้าน

“เหอ ที่ข้ากล่าวเช่นนี้ก็ไม่ใช่เพื่อทุกคนหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของข้ากับศาสนจักร! เวลานี้แผ่นดินกำลังตกอยู่ในความวุ่นวาย ขุมกำลังทุกฝ่ายต่างก็เร่งขยับขยายดินแดนโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ยังมีขุมกำลังลับต่างๆที่เริ่มปรากฏออกมาอีก ไม่มีผู้ใดทราบชัดว่าพวกมันแข็งแกร่งเพียงใด อย่าบอกเชียวว่าเจ้าไม่รับรู้ถึงอันตราย บอกตามตรงนะ ข้าคิดว่าพวกมันต่างหากที่เป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุด รองลงมาจึงจะเป็นศาสนจักร ศาสนจักรนั้นหยั่งรากลึกในทวีปแห่งนี้ พวกมันมีพาลาดินอยู่ใต้สังกัดคณานับ พวกมันล้วนแต่เป็นพวกคลั่ง พวกคลั่งที่ครอบครอบความแข็งแกร่ง! ยังมีขุมกำลังที่สาม พวกออร์คที่นำโดยกูดาลที่กำลังคุกคามมนุษย์ ขึ้นชื่อว่าเป็นตัวตนระดับตำนาน พวกเราย่อมไม่อาจมองข้ามมันได้ กองกำลังเหล่านี้ย่อมไม่มีทางอยู่อย่างสันติกับผู้อื่น ดังเช่นกฏปลาใหญ่กินปลาเล็กที่เจ้าว่า แม้ว่าพวกเราอาจจะต้องกลืนกินกันและกันในอนาคต แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น พวกเรายังสามารถร่วมมือกัน แต่เจ้ากล้าร่วมมือกับคนเหล่านั้นหรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้น พนันได้เลยว่าเจ้าคงมีจุดจบที่ไม่สวยเป็นแน่” เซียวอวี๋ค่อยๆกล่าววิเคราะห์สถานการณ์ของทวีปอย่างใจเย็น

ได้ฟังการวิเคราะห์ของเซียวอวี๋แล้ว นิโคลัสก็นิ่งเงียบ แน่นอนว่าสิ่งที่เซียวอวี๋หยิบยกขึ้นมากล่าว ตัวเขาเองก็ย่อมต้องคิดได้ ทั้งหมดที่เซียวอวี๋ล้วนแต่มีเหตุผล

ถึงอย่างนั้น ตัวเขาและเซียวอวี๋ก็มองต่างกันอยู่บ้าง สำหรับนิโคลัสแล้ว นอกเหนือจากขุมกำลังที่แข็งแกร่งเหล่านั้น ฝ่ายของเซียวอวี๋เองก็นับว่าไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย

สำหรับเขาแล้ว เซียวอวี๋เองต่างหากจึงจะเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุด นั่นเพราะคำพยากรณ์ เหล่าตัวตนตำนานจะย้อนกลับคืน และราชันย์ผู้ยิ่งใหญ่จะนำพาทุกเผ่าพันธุ์รวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง

ซึ่งเวลานี้ ตัวตนและเผ่าพันธุ์ในตำนานเหล่านั้นล้วนแต่อยุ่ภายใต้ร่มธงของเซียวอวี๋ กล่าวคือ เซียวอวี๋นั้นอาจจะเป็นราชันย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ว่า

ด้วยเหตุนี้ นิโคลัสจึงรู้สึกอิจฉาเซียวอวี๋ นับตั้งแต่ที่เขาเริ่มจับตาเซียวอวี๋และสังเกตมานาน เขายังได้เห็นช่วงการเติบโตของเซียวอวี๋

ยิ่งไปกว่านั้น ความเร็วในการเติบโตของเซียวอวี๋ยังน่ากลัวอย่างยิ่ง กระทั่งตัวเขาในตอนนี้ก็ยังยากที่จะกำจัดเซียวอวี๋ในคราวเดียว

หากว่าเขากำจัดเซียวอวี๋ไม่ได้ อย่างนั้นในอนาคตข้างหน้า เซียวอวี๋ก็จะกลายเป็นขวากหนามชิ้นใหญ่ แรกเริ่มเดิมที ตัวเขาคิดจะอาศัยการจับปลาตอนน้ำขุ่นในระหว่างที่เซียวอวี๋กำลังทำสงครามกับตระกูลเคเนดี้ ทว่าท้ายที่สุดแล้ว เขากลับพบว่าความแข็งแกร่งของเซียวอวี๋ถึงกลับมีกำลังมากพอจะโค่นล้มตระกูลเคเนดี้เลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม หลังจากได้คลุกคลีอยู่กับเซียวอวี๋มาพักใหญ่ สุดท้ายเขาก็ได้ข้อสรุปว่าความคิดของเซียวอวี๋นั้น ไม่อาจใช้สามัญสำนึกของคนทั่วไปมาหยั่งคำนึง หรือก็คือ เขาไม่อาจหยั่งคำนวณอีกฝ่ายด้วยวิธีการทั่วไป และหากว่าผู้ใดเห็นว่าเซียวอวี๋เป็นเหมือนคนอื่นๆทั่วไปแล้วล่ะก็ คนผู้นั้นก็คงจะไม่ทราบด้วยซ้ำว่าตนตายได้อย่างไร

เซียวอวี๋ไม่มีที่ใดที่ธรรมดาเลย เขาไม่ทราบเลยว่าเซียวอวี๋กำลังวางแผนการใดอยู่ มองอย่างผิวเผิน เซียวอวี๋อาจคล้ายเป็นอันธพาลเสเพลทั่วไป ทว่าไม่ว่าจะเกิดเรื่องราวแบบใด เซียวอวี๋ล้วนแต่หาทางจัดการได้ทั้งสิ้น

บุคคลเช่นนี้แน่นอนว่าน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง

นิโคลัสเองยังเคยพยายามจะซื้อใจเหล่าฮีโร่ใต้สังกัดของเซียวอวี๋เพื่อดึงตัวมาเข้าร่วม ทว่าหลังจากทดลองดูแล้วหลายครั้ง เขาก็ถอดใจในที่สุด

นั่นเป็นเพราะว่า ฮีโร่และไพร่พลเหล่านั้นมีความภักดีต่อเซียวอวี๋อย่างที่สุด กลัวว่าจะภักดียิ่งกว่าที่เหล่าสาวกภักดีต่อศาสนจักรเสียด้วยซ้ำ

ดูไม่มีความเป็นไปได้เลย

ส่วนสาเหตุคืออะไรนั้น บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาทั้งหมดถูกอัญเชิญมาโดยเซียวอวี๋?

เมื่อทราบว่าไม่สามารถซื้อใจเหล่าฮีโร่ได้ นิโคลัสจึงต้องหันไปใช้วิธีอื่น วิธีการนั้นก็คือ คลุกคลีกับเซียวอวี๋ต่อไปเพื่อทำความเข้าใจเหล่าฮีโร่ เพื่อเข้าใจและวางแผนสังหารฮีโร่เหล่านั้น

ตราบที่ฮีโร่ทั้งหมดถูกสังหาร เช่นนั้นคำพยากรณ์อะไรนั่นก็จะเป็นแค่เพียงคำล่ำลือ และเมื่อถึงตอนนั้น เขาก็จะสามารถขึ้นเป็นราชันย์ผู้ปกครองทวีปแห่งนี้ได้

“เจ้าวางแผนจะทำอย่างไรกับศาสนจักร?” ความคิดมากายแล่นผ่านสมอง หากแต่ภายนอก นิโคลัสยังดูสงบเยือกเย็น

นิโคลัสวางแผนจะกำจัดทั้งเซียวอวี๋และศาสนจักร กระดานหมากนี้นับเป็นกระดานสำคัญต่อเขาอย่างยิ่ง

หากเกมดำเนินไปได้ด้วยดี เขาก็จะสามารถยืมดาบฆ่าคน และรับเอาผลประโยชน์สุงสุดไปโดยแทบไม่ต้องเปลืองแรง

นี่ก็คือสิ่งที่นิโคลัสให้ความสำคัญ

“ไม่มี” เซียวอวี๋กล่าวตามตรง

“ไม่มี? เช่นนั้นเจ้ากล่าวเสียตั้งมากเช่นนี้เพื่ออะไร?” นิโคลัสเริ่มคุ้นเคยกับนิสัยเช่นนี้ของเซียวอวี๋บ้างแล้ว บางครั้ง เมื่อเซียวอวี๋กล่าวว่าไม่มีแผน บางทีมันอาจจะไม่มีแผนการจริงๆ แต่เซียวอวี๋ผู้นี้ย่อมไม่ทำอะไรโดยไม่คิดแน่นอน

“อย่างที่บอก ไม่มีอะไรมากกว่านั้น พวกเราควรมุ่งความสนใจไปที่ขุมกำลังลึกลับเหล่านั้นจะดีกว่า มองอย่างผิวสเผิน พวกมันอาจจะนิ่งเงียบไม่เคลื่อนไหว ทว่าในความจริง พวกมันกำลังเคลื่อนไหว ทั้งยังเคลื่อนไหวใหญ่โตเสียด้วย พวกเราไม่ทราบชัดว่าพวกมันแข็งแกร่งเพียงใด หากไม่ได้วางแผนรับมืออย่างเหมาะสม พวกเราทั้งหมดก็อาจจะถูกกวาดล้างจนสิ้น”

“อืม แม้ว่าพวกมันจะแข็งแกร่งจริง แต่ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะกวาดล้างกองกำลังจำนวนมากในคราเดียว” นิโคลัสกล่าวเสียงเรียบ

เขาก็คิดเช่นนั้น กระนั้นเขาก็คิดไม่ออก ต้องแข็งแกร่งเพียงใดกันจึงจะสามารถควบคุมกำลังมากมายได้?

“อย่าได้มั่นใจนัก มีหลายแห่งที่ถูกพวกมันแทรกซึมไปแล้ว กระทั่งตระกูลของเจ้าก็ด้วย มีโอกาสสูงที่มันจะแฝงตัวอยู่ในตระกูลของเจ้า ข้าสัมผัสได้ว่าพวกมันแข็งแกร่งมาก กล่าวตามตรง กระทั่งข้าและพวกฮีโร่ก็ยังไม่อาจจัดการกับพวกมัน เซียวอวี๋หันไปมองไพร่พลที่เดินไปมาอยู่นอกค่ายพลางกล่าวออกมา

“เดาออกหรือไม่ว่าพวกมันเป็นใคร? มีเป้าหมายอะไร? ใยจึงต้องรวบรวมไพร่พลมหาศาลเช่นนั้น?” นิโคลัสลุกขึ้นพลางเอ่ยถาม

“กล่าวตามตรง ข้าเองก็ไม่รู้อะไรเลย ดูเหมือนว่าการดำรงอยู่ของพวกมันยังจะเก่าแก่เสียยิ่งกว่าตระกูลของเจ้า พวกมันอาจจะเป็นตระกูลตั้งแต่ครั้งโบราณ เพียงแต่เราไม่รู้ว่าเป็นตระกูลใดกันแน่ ส่วนเป้าหมายของพวกมันน่ะหรือ? นั่นง่ายมาก พวกมันต้องการทวีปแห่งนี้ มิเช่นนั้นแล้ว ยังจะมีอะไรที่เข้าตาพวกมันอีก?” เซียวอวี๋เอนตัวลงนอนพลางกล่าวออกมา

“หากเป็นเช่นนั้น พวกมันสมควรแข็งแกร่งยิ่ง พวกเราจะรับมือกับพวกมันได้อย่างไร? ในเมื่อทุกที่ล้วนมีพวกมันอยู่” นิโคลัสจ้องเซียวอวี๋พลางเอ่ยถาม

หากว่าเซียวอวี๋มีแผนการที่ดี เขาก็พร้อมจะทดลองดู นั่นเพราะเรื่องขุมกำลังลึกลับเหล่านี้ก็สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าแก่เขาเช่นกัน

“ง่ายยิ่ง พวกเราก็แค่รวมตระกูลทั้งหมดเข้าด้วยกัน ทุกฝ่ายจะลงนามในข้อตกลง เมื่อได้รับข่าวเกี่ยวกับพวกมัน หลังจากยืนยันได้แล้ว ทั้งหมดก็จะเคลื่อนกำลังเข้าโจมตีและกำจัดพวกมันในครั้งเดียว” เซียวอวี๋กล่าวตอบ

“ทว่าในหมู่พวกเรา มันยังคงมีความขัดแย้งกันอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น บางส่วนยังอาจจะเป็นหุ่นเชิดของขุมกำลังลึกลับนั้นด้วย” นิโคลัสออกความคิด

เซียวอวี๋เผยรอยยิ้มลี้ลับ “ข้าทราบดี แต่ถ้าเป็นกรณีนี้ พวสกเราก็จะสามารถค่อยๆทำความเข้าใจได้ว่าฝ่ายใดเป็นหูตาของพวกมัน จากนั้นพวกเราก็จะทุ่มกำลังออกโจมตี”

“ความหมายของเจ้าคือ ล่องูออกจากรู?” นิโคลัสขมวดคิ้ว

“ใกล้เคียง พวกเราจะรวมพวกมันไปไว้ในจุดเดียว จากนั้นจึงค่อยๆกำจัดพวกมัน” เซียวอวี๋แสยะยิ้ม

“โฮ่? ใยเจ้าจึงไม่คิดว่าข้าจะเป็นหนึ่งในพวกมันบ้างเล่า?” นิโคลัสหรี่ตาลง

“สัญชาตญาณล้วนๆ!” เซียวอวี๋ยิ้ม

 

 

 


ตอนที่ 522

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


ในตอนกลางคืน เซียวอวี๋ไปยังกระโจมของนิโคลัสก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ข้ามาชวนเจ้าไปดูการแสดง”

“การแสดง? การแสดงอะไร?” นิโคลัสถามอย่างงุนงง เขาเดาไม่ออกจริงๆว่าเซียวอวี๋จะทำอะไรกันแน่

“แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นการแสดงต่อสู้แบบจัดเต็ม ดูนั่นสิ ฮ่าฮ่า…” จากนั้นเซียวอวี๋ก็สั่งให้บรรดาผู้ติดตามอย่างมู่หลี่ คาสโซ่และคนอื่นๆไปเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า

“หนึ่งชั่วโมง?” มู่หลี่และคาสโซ่นิ่งตะลึง

“ตะ..แต่..พวกเรายังไม่มีการเตรียมพร้อมใดๆเลย” คาสโซ่ตกใจ หากว่าท่านต้องการบุกโจมตี ท่านก็ต้องเตรียมการล่วงหน้าหนึ่งวัน ในสามเดือนที่ผ่านมานี้ ไพร่พลทั้งหมดต่างก็เอาแต่สนุกสนานอยู่ภายในค่ายตลอดทั้งวัน พวกเขายังไม่ได้เตรียมตัวใดๆเลย

“ถูกต้อง หากพวกเราไม่มีการเตรียมพร้อม อีกฝ่ายก็ยิ่งไม่ทันระวัง พวกเราย่อมสามารถคว้าชัยในศึกนี้ ภายในหนึ่งชั่วโมง การเตรียมการทั้งหมดต้องพร้อมสรรพ ไพร่พลระดับล่างสุดจะได้รับแจ้งสิบนาทีก่อนทำสงคราม!” เซียวอวี๋กล่าวอย่างมั่นใจ

“ขอรับ” หลังจากหายตกตะลึง มู่หลี่ก็รีบไปจัดการตามที่ได้รับคำสั่งทันที

คาสโซ่พยักหน้ารับก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ในที่สุดเขาก็เข้าใจความแตกต่างระหว่างเขากับเซียวอวี๋แล้ว เขาได้ทราบแล้วว่าใยเซียวอวี๋จึงไร้เทียมทาน กลยุทธ์อันเรียบง่ายนี้นั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึง

ในตอนแรก เซียวอวี๋นั้นทราบว่าตระกูลเคเนดี้ได้จัดส่งมือดีจำนวนมากมาที่นี่ ทั้งยังมีกำลังหนุนชั้นดีจากศาสนจักรร่วมด้วยอีก มันจึงเป็นการยากที่จะเอาชนะ แต่ถึงแม้จะชนะได้ การสูญเสียที่เกิดก็คงไม่น้อยเลย

อย่างไรก็ตาม หลังจากลากถ่วงมาเป็นเวลาสามเดือน สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปแล้ว ผ่านไปสามเดือนแล้วยังไม่มีการรบพุ่ง ไพร่พลของรัฐเว่ยก็ได้แต่นิ่งเฉย ซึ่งนี่ก็เป็นเวลาอันเหมาะสมที่จะเปิดฉากโจมตีสายฟ้าแลบเพื่อพิฆาตอีกฝ่ายในครั้งเดียว

นิโคลัสมองดูเซียวอวี๋อย่างตะลึงงันก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “เพื่อที่จะโจมตีรัฐเว่ย เจ้าถึงกลับรอกว่าสามเดือน หลังจากอีกฝ่ายเริ่มหย่อนยาน เจ้าก็พลันลงมือ แผนการของเจ้ายอดเยี่ยมยิ่ง”

เซียวอวี๋หัวเราะพลางยิ้มเล็กน้อย

ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง มู่หลี่ก็กลับมารายงานต่อเซียวอวี๋ว่าไพร่พลพร้อมรบแล้ว นี่เป็นเพราะว่าไพร่พลของพวกเขาแทบจะไม่ต้องมีการเตรียมตัวอะไรนัก พวกเขาพร้อมทำศึกทุกเวลา

แม้ว่าเหล่านักรบจากฐานทัพจะวางตัวราวกับไพร่พลทั่วไป กระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้คลายการระวังลง พวกเขาเกิดมาเพื่อเป็นนักรบอย่างแท้จริง

ในเวลานี้เอง ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว ทั่วทั้งค่ายจุดไฟสว่างไสว ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่ไพร่พลของรัฐเว่ยสังเกตเห็นจนชินตา

“เหอๆ พวกมันคิดเล่นสนุกอีกแล้วกระมัง? ข้าอยู่ตรงนี้เบื่อหน่ายแทบตายแล้ว”

“คงใช่ คนพวกนั้นนั้นกินดื่มอย่างสนุกสนานทุกวัน แล้วดูพวกเราสิ พวกเรากลับต้องมายืนยามโง่ๆเช่นนี้”

“นั่นสิ ได้ยินมาว่าพวกนั้นมีรางวัลประกวดการเต้นด้วยนะ”

“อืม มาดูกันว่าคืนนี้พวกนั้นจะละเล่นอะไร วันนี้ค่ายของพวกมันดูไม่ค่อยแออัด วันนี้คงจัดแข่งเต้นกระมัง?”

“เอ๊ะ นั่นมันอะไรน่ะ เจ้าพวกตัวสูงๆเหล่านั้น? ยักษ์ภูเขา? ข้าไม่เคยเห็นพวกมันมาก่อนเลย พวกมันก็จะร่วมการแข่งเต้นด้วยงั้นหรือ?”

“ฮ่า ถ้าเจ้าพวกนั้นร่วมเต้นด้วยคงดูพิลึกดี”

“หืม ดูในมือของพวกมันยักษ์นั่นสิ ดูเหมือนจะเป็นต้นไม้นะ”

“ใช่ ต้นไม้จริงๆด้วย ถ้าพวกมันมาถึงกำแพงเมือง พวกมันก็คงจะสูงพอๆกันเลย”

“อืม ผิวของพวกมันก็ยังเป็นศิลาแกร่ง การโจมตีคงไม่ระคายผิวของพวกมัน มีเพียงธนูเวทที่รุนแรงเท่านั้นที่ทำร้ายพวกมันได้”

“ไม่รู้ว่าลอร์ดของอีกฝ่ายไปหาพวกแปลกๆตั้งมากมายขนาดนี้มาจากไหน”

“ลือกันว่าพวกมันล้วนแต่มาจากเทือกเขาอัลคาเกน ที่นั่นเต็มไปด้วยสิ่งลึกลับมากมาย รวมทั้งอันเดดจำนวนมากด้วย”

“อา ตอนนี้เรื่องอันเดดเองก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆแล้ว ได้ข่าวมาว่ามีหมู่บ้านในรัฐของเราหลายแห่งถูกบุกโจมตี และสร้างความหวาดกลัวให้ชาวบ้านอย่างมาก มีหลายคนที่เลือกอพยพไปยังดินแดนไลอ้อนด้วย”

“ได้ยินมาว่าที่นั่นมีเหล่านักรบพาลาดินอยู่ พวกเขาสามารถใช้ลำแสงปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายได้ด้วย”

“ใช่ที่ไหนกัน มันเป็นเพราะพวกเขามีเวทมนตร์ที่สามารถชำระพวกอันเดดได้ พวกมันจึงไม่กล้าย่างกายเข้าไปต่างหาก”

“แต่กองทัพอันเดดพวกนั้นก็แข็งแกร่งจริงๆ พวกมันมีทั้งการ์กอย มีทั้งแมงมุมคริสตัล และอื่นๆที่ล้วนมีแต่ในนิทาน หรือนี่จะเป็นลางบอกเหตุว่าโลกนี้กำลังจะเกิดเรื่องใหญ่?”

“หรือเจ้าไม่เคยได้ยินคำพยากรณ์นั้น? ว่ากันว่าผู้ที่สามารถรวบรวมทุกเผ่าพันธ์ุเข้าด้วยกันได้จะกลายเป็นราชันย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งทวีป ซึ่งตอนนี้ บรรดาลอร์ดและขุนนางใหญ่มากมายต่างก็พยายามรวบรวมกำลังอย่างเอิกเกริกเพื่อหวังเป็นบุคคลในคำทำนาย”

“เฮ้อ ดูดินแดนไลอ้อนตอนนี้สิ ประชาชนของพวกเขาต่างก็ได้รับการดูแลอย่างดี ทุกเผ่าพันธุ์ล้วนเท่าเทียม หากผุ้ใดกล้าแบ่งแยก คนผู้นั้นก็จะได้รับโทษอย่างหนัก”

“แล้วหันมาดูพวกเราตอนนี้สิ ต้องมานั่งดูอีกฝ่ายจัดงานฉลองอยู่ทุกวัน ยิ่งก็คิดก็ยิ่ง…..เฮ้อ…..”

“บางครั้งข้าเองก็อยากจะลงไปแข่งเต้นกับพวกมันด้วยจริงๆ เฮ้อ….”

“เฮ้ วันนี้พวกมันจะจัดแข่งเต้นนี่นา ไฉนจึงดูเหมือนกำลังใกล้เข้ามาทางพวกเรานัก?”

“นั่นสิ คล้ายกับว่ายักษ์ภูเขาพวกนั้นก้าวขาเพียงไม่กี่ก้าวก็สามารถบรรลุถึงตำแหน่งของพวกเราเลย”

“ใช่ หากว่าพวกมันต้องการจะเข้าเมืองด้วยต้นไม้ในมือนั่นล่ะก็…..”

ในเวลานี้เอง ไพร่พลทั้งสองพลันหันไปมองหน้ากันก่อนจะตะโกนสุดเสียง

“ศัตรูบุก!”

“ศัตรูบุก!”

 

 

 


ตอนที่ 523

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


ตู้ม!

ต้นไม้ในมือยักษ์ภูเขาฟาดเข้าใส่กำแพงเมืองอย่างรุนแรง

เหล่าทหารยามบนกำแพงต่างรับแรงกระแทกจนลอยกระเด็น

พวกแบทไรเดอร์ กริฟฟ่อนไนท์ และไวเวิร์นบินเข้าหาตัวเมือง การโจมตีหลากหลายสายพลันถล่มลงสู่ตัวเมือง กองทัพรักษาเมืองพลันปั่นป่วนขึ้นมา

เดิมทีแล้ว เซียวอวี๋ต้องการให้คาเอลนั่งอยู่บนตัวกริฟฟ่อนและถล่มเมืองด้วยเวทมนตร์ทว่าต่อมาเขาก็พบว่าวิธีการนี้ใช้ไม่ได้ นั่นก็เพราะว่ากริฟฟ่อนไม่สามารถต้านทานรัศมีเวทมนตร์อันทรงพลังของคาเอลได้

เซียวอวี๋จึงจำต้องยกเลิกความคิดนี้ไป

การโจมตีสายฟ้าแลบนี้ทำให้ไพร่พลของฝ่ายรัฐเว่ยตกตะลึงตระกูลเคเนดี้ได้จัดสรรกำลังพลไว้ที่นี่จำนวนมาก แต่โดยส่วนใหญ่แล้วก็ล้วนแต่เป็นไพร่พลของรัฐ ซึ่งไพร่พลเหล่านี้ก็คลายการระวังตั้งแต่แรก พวกเขาคาดไม่ถึงว่าจะโดนโจมตีอย่างฉับพลันเช่นนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงสูญเสียความตั้งใจจะต่อสู้ไปในทันที

แค่เพียงสามนาที การป้องกันของเมืองก็พังทลาย

ความเร็วระดับนี้ก็อยุ่เหนือความคาดหมายของเซียวอวี๋เช่นกัน แผนการที่เตรียมจะส่งกองกำลังคิเมร่าออกไปพลันต้องพับเก็บเอาไว้ก่อน

“เกิดอะไรขึ้น? เรื่องอะไรกัน?” แม้ว่าผู้บัญชาการของเมืองเยือกแข็งจะกล่าวเอาไว้ว่าเซียวอวี๋จะต้องเลือกจู่โจมอย่างพิสดาร แต่หลังจากผ่านมาสามเดือน ตัวเขาก็ไม่ได้ระมัดระวังดังเช่นตอนแรกอีก

การตื่นตัวอาจจะกระทำติดต่อกันได้หนึ่งวัน หนึ่งสัปดาห์ หรือกระทั่งหนึ่งเดือน แต่ทว่าเวลาสามเดือนนั้น คงไม่มีผู้ใดสามารถทนทานรับได้เป็นแน่

ตัวเขายังเป็นมนุษย์ เขายังคงต้องการการพักผ่อน เขาเองก็คาดไม่ถึงว่าเซียวอวี๋จะเลือกเปิดฉากอย่างไม่ทันให้ตั้งตัวเช่นนี้

ยิ่งกว่านั้น มันยังเป็นการโจมตีอย่างรุนแรง การโจมตีที่กระหน่ำลงมาจากบนท้องฟ้า และพวกยักษ์ภูเขาที่เข้าประชิดกำแพงเมืองก็ทำให้การป้องกันของเมืองพังทลายลงอย่างรวดเร็ว

เมื่อกำแพงเมืองพังทลายแล้ว กองทัพของเซียวอวี๋ที่มีเหล่านักรบของฐานทัพเป็นหัวหอกก็บุกเข้าเมืองได้ทันที เดิมที กองทัพเมืองเยือกแข็งวางแผนจะตั้งแนวป้องกันขึ้นตามหัวมุมถนนและถ่วงเวลารอให้กองหนุนมาช่วย

อย่างไรก็ตาม เมื่อสงครามเริ่มขึ้นจริง พวกเขายังไม่มีการเตรียมตัวใดๆ ดังนั้นแผนการที่จะลากถ่วงศัตรูเอาไว้จึงกลายเป็นหมันไปในทันที

“นี่มันอะไรกัน? พระเจ้าช่วย ไฉนที่นี่จึงมีพวกอันเดดมากมายนัก!? หรืออันเดดพวกนี้อยู่ใต้บัญชาของเซียวอวี๋?”

“หนีเร็ว! พวกอันเดดกำลังมาทางนี้แล้ว!”

พวกอันเดดที่กองทัพฝ่ายรัฐเว่ยได้เห็นก็คือหน่วยทหารที่นำโดยคาสโซ่ พวกเขาทั้งหมดล้วนสวมใส่เกราะโครงกระดูกทับทั้งตัวขณะเคลื่อนพลเข้าสู่ตัวเมือง

เมื่อได้ยอดนักรบขั้นที่หกอย่างคาสโซ่มานำทัพ พวกเขาก็แทบจะไร้เทียมทาน แม้ว่าภายในเมืองจะมีชนชั้นยอดฝีมืออยู่บ้าง กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่อาจต้านทานกองกำลังของคาสโซ่

หลังจากนั้นราวสิบนาที เมืองเยือกแข็งก็พ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์ แผนการป้องกันที่เตรียมไว้ทั้งหมดล้วนไม่อาจนำออกมาใช้ นอกจากนั้น กองกำลังผู้ใช้มนตราของตระกูลเคเนดี้ยังหลบหนีไปแล้ว

เดิมที หากไม่ใช่เพราะการโจมตีเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ตราบที่ไพร่พลสามารถต้านทานไว้ได้พักหนึ่ง จากนั้นด้วยการประสานกันของอาวุธเวทและผู้ใช้มนตรา หากว่าเซียวอวี๋ต้องการจะบุกเมืองเยือกแข็งแล้วล่ะก็ เขาก็คงต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างหนักหน่วง

เมื่อได้ทราบว่าเมืองเยือกแข็งเป็นเป้าหมายแรกของเซียวอวี๋ ซาเน็ตติก็ได้นำอาวุธเวทและผู้ใช้มนตรามากมายมาเตรียมการป้องกันอยู่ที่นี่

ซึ่งหากใช้อาวุธเวทเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสมแล้วล่ะก็ กระทั่งศัตรูที่ร้ายกาจอย่างยักษ์ภูเขาและมังกรก็ยังอาจถูกปลิดปลง

มังกรและยักษ์ภูเขานั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลัง อาวุธเวททั่วไปย่อมไม่อาจเจาะทะลวงผิวหนังของพวกมัน อย่างไรก็ตาม อาวุธเวทส่วนใหญ่มีขนาดใหญ่และยากต่อการเคลื่อนย้าย ดังนั้นหลักๆแล้วพวกมันจึงมักถูกใช้ในการป้องกันเมือง

ยิ่งไปกว่านั้น อาวุธเวทที่ซาเน็ตตินำมายังเป็นอาวุธเวทชั้นสูง ทั้งยังมีคัมภีร์เวทอีกมายมาย หากว่ามันถูกใช้ในการรบ เช่นนั้นทางฝั่งของเซียวอวี๋คงเกิดการสูญเสียอย่างหนัก

น่าเสียดายที่สิ่งเหล่านี้กลายเป็นไร้ประโยชน์ไปแล้ว

ผู้ใช้มนตราหลายสิบคนตกตายอยู่บนกำแพงเมืองด้วยฝีมือของเซียวอวี๋ เมอีฟ กรอม อิลิดันและเหล่าฮีโร่ ต่อหน้ามัจจุราชเงาเช่นเมอีฟ ผู้ใช้มนตราเหล่านี้ไม่มีแม้แต่เวลาตอบสนองด้วยซ้ำ

ประกอบกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากหน่วยต่างๆ ไพร่พลทางฝั่งของเมืองเยือกแข็งจึงต้องรับมืออย่างฉุกละหุก

เมื่อผู้บัญชาการของเมืองเยือกแข็งวิ่งออกจากห้องพักเพราะเสียงที่เกิดขึ้น เขาก็พบว่ากองทัพของเซียวอวี๋กำลังจะเปิดฉากโจมตีคฤหาสน์ของเขาแล้ว เขาเหม่อมองไปยังกองทัพที่เบื้องหน้าก่อนจะทอดถอนใจ เขาเลือกที่จะไม่ต่อสู้อย่างดื้อรั้นอีก หากแต่เลือกที่จะถอยก่อนเป็นอันดับแรก

อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าพวกเขายังล่าถอยได้ไม่เร็วพอ เซียวอวี๋สั่งให้กองทัพเคลื่อนกำลังพลางสะสางเมืองเยือกแข็ง

หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เขาแบ่งกองกำลังออกเป็นห้ากลุ่มและสั่งให้พวกเขาเร่งเคลื่อนพลไปยึดเมืองอื่นๆของรัฐเว่ยโดยเร็วที่สุด เมื่อเป็นเช่นนั้น เมืองฮุยเฉิงก็จะเป็นเป้าหมายสุดท้ายของปฏิบัติการนี้

เมืองฮุยเฉิงนั้นเป็นเมืองหลวงของรัฐเว่ย ซาเน็ตติย่อมต้องเสริมสร้างแนวป้องกันไว้ที่นั่นอย่างหนาแน่น เพราะเขาทราบดีว่าเป้าหมายของเซียวอวี๋ก็คือเมืองหลวง ดังนั้นเขาย่อมจะไม่ส่งกองหนุนไปยังเมืองอื่นๆ

กองทัพแรกนั้นนำโดยอลอนโซ่ กองกำลังส่วนใหญ่จะเป็นสมาชิกจากภาคีหัตถ์เงิน ทั้งยังมีคาร์นและแบทไรเดอร์ห้าร้อยนาย ไวเวิร์นและไพร่พลทั่วไปสองหมื่นนายร่วมทางไปด้วย

กองทัพที่สองนำโดยคาสโซ่ ประกอบด้วย คาเอล พลเกราะหนัก ลอว์เบรกเกอร์ วิช กริฟฟ่อนไนท์ ไวเวิร์นสองร้อยห้าสิบตัว และไพร่พลทั่วไปสองหมื่นนาย

กองทัพที่สามนำโดยทอร์ล ร่วมด้วยกรอม กำลังรบหลักจะเป็นพวกนักรบออร์ค อสูรโคโด แบทไรเดอร์ห้าร้อยนาย แฟรี่ดราก้อนและอื่นๆ รวมถึงไพร่พลทั่วไปอีกสองหมื่นนาย

กองทัพที่สี่นำโดยทิรันด้า ติดตามไปด้วยเมอีฟและอิลิดัน กองทัพหลักจะเป็นพวกเอลฟ์ เอลฟ์นักล่า แรฟเตอร์ดรูอิด คลอว์ดรูอิด ยักษ์ภูเขา และอสูรเขา รวมถึงไพร่พลทั่วไปสองหมื่นนาย

ส่วนกองทัพที่ห้าจะนำโดยมู่หลี่และหลงฮุ่ยรวมทั้งเหล่าฮีโร่ที่เหลือ เช่น แอนโทนีดาสและนากา ทั้งยังมีกองกำลังผู้ใช้มนตรารวมถึงอุปกรณ์เครื่องโจมตีต่างๆ

กองทัพทั้งห้าต่างเร่งเคลื่อนทัพไปโจมตีเป้าหมายของตน

เซียวอวี๋นั่งอยู่ในห้องโถงของสำนักงานเมืองพลางพูดคุยกับนิโคลัส

“เป็นอย่างไร? การแสดงสนุกหรือไม่?” เซียวอวี๋กล่าวพลางยิ้มออกมา

“ยอดเยี่ยมจริงๆ เจ้าไม่เร่งฉวยโอกาสโจมตีฮุยเฉิง หากแต่เลือกหันไปโจมตีเมืองอื่นๆก่อน นี่เหนือความคาดหมายของข้าจริงๆ ข้าต้องยอมรับเลยว่าข้าไม่เคยพบเจอผู้ใดที่เหมือนกับเจ้า ผู้ที่สามารถทัดเทียมหรืออาจจะเหนือกว่าข้า ข้าเคยทระนงตนว่าในโลกใบนี้ไม่มีผู้ใดทัดเทียมกับข้าได้จนมาเจอเจ้า” นิโคลัสหยิบไวน์ขึ้นจิบพลางจ้องมองเซียวอวี๋เงียบๆ

“เฮ้ นี่เจ้ากำลังวางแผนจะฆ่าข้าอยู่ใช่ไหม?” เซียวอวี๋พิงเก้าอี้ขณะที่มีหญิงรับใช้หลายนางบีบนวดให้อย่างสบายอารมณ์

หญิงรับใช้เหล่านี้ย่อมเป็นหญิงรับใช้ที่ติดตามเขามาจากเมืองฮันหยาง ซึ่งตอนนี้พวกนางล้วนแต่ติดตามรับใช้เขาแล้ว ซึ่งทั้งพ่อบ้านหงและบรรดาพี่สะใภ้ต่างก็ไม่ว่าอะไร ดังนั้นเซียวอวี๋จึงสามารถใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายกว่าเดิม

ในอดีตนั้นเป็นเพราะเซียวอวี๋มีชื่อเสียงเสื่อมเสียมากเกินไป ดังนั้นพวกนางจึงรู้สึกไม่ดีต่อเซียวอวี๋ ทว่าในเวลานี้ เซียวอวี๋ก็เปรียบประดุจมังกรท่ามกลางหมู่มวลมนุษย์ ทั้งดินแดนของเขายังเจริญรุ่งเรือง พวกนางย่อมไม่ติดปัญหาอะไรอีก

สำหรับบุรุษแล้ว ยิ่งโดยเฉพาะกับบุรุษที่ประสบความสำเร็จ หากว่าไม่มีสตรีข้างกายเลยก็ดูจะผิดปกติเกินไป

“ตอบตามตรง ใช่แล้ว ข้าต้องการสังหารเจ้าจริงๆ แต่ข้าก็รู้ดีว่าคงสังหารเจ้าในตอนนี้ไม่ได้” นิโคลัสถอนหายใจ

ดูเหมือนว่าเขาจะถูกกำหนดให้เป็นคู่ต่อสู้ของเซียวอวี๋จริงๆ

“ข้าเองก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าแท้จริงแล้วเจ้าแข็งแกร่งเพียงใด แม้ว่าขุมกำลังตอนนี้ของข้าจะเข้มแข็งพร้อมสรรพ แต่ข้าก็เชื่อว่าขุมกำลังของเจ้าคงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน หากว่าข้าทุ่มกำลังทั้งหมดโจมตีตระกูลของเจ้าในตอนนี้ มันจะมีโอกาสชนะกี่ส่วน?” เซียวอวี๋เองก็สนใจในขุมกำลังที่นิโคลัสมี

“หากว่าเจ้าสู้กับตระกูลของข้าจริง เช่นนั้นข้าก็บอกไว้เลยว่ามันจะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้กำจัดเจ้าไปเสีย แม้ว่าขุมกำลังของเจ้าในเวลานี้จะแข็งแกร่งยิ่ง กระนั้นก็ยังไม่อาจเทียบกับตระกูลของข้า ยังคงมีช่องว่างขนาดใหญ่อยู่ น่าเสียดายที่ดินแดนไลอ้อนของเจ้าเป็นดินแดนไกลปืนเที่ยง ข้าจึงไม่อาจส่งกองทัพเคลื่อนกำลังผ่านหลายดินแดนเพื่อมาโจมตีเจ้าได้ ดินแดนที่ตั้งอยู่ห่างไกลของเจ้านั้นเป็นจุดอ่อน แต่ก็ถือเป็นจุดแข็งในเวลาเดียวกัน ศัตรูที่อยู่ใกล้เคียงก็ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าใด เมื่อเจ้าโค่นล้มรัฐเว่ยลงได้ ดินแดนอื่นๆก็ไม่อาจเป็นภัยคุกคามได้อีก เว้นแต่พวกมันทั้งหมดจะรวมกำลังกัน ซึ่งแน่นอนว่านั่นย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”

นิโคลัสถอนหายใจ สถานการณ์ของเซียวอวี่ในตอนนี้ยังดีกว่าตระกูลของเขาเสียอีก

“เหอะ เจ้าอิจฉาข้าหรือ? ที่ข้ามีทุกวันนี้ได้ก็ต้องจ่ายออกไปไม่น้อย ในอดีต ที่นี่มีทั้งพวกโจรปล้นชิง ทั้งยังมีภัยคุกคามจากจักรวรรดิเมฆาตะวันออก”

“ใช่ ในตอนแรก ทุกคนต่างก็คิดว่าดินแดนแห่งนี้เป็นดินแดนรกร้างที่ไม่มีค่าอะไร เป็นไปไม่ได้ที่จะพัฒนา คาดไม่ถึงว่ามันจะกลับกลายเป็นสมบัติไปเสียได้”

นิโคลัสย่อมล่วงรู้เรื่องราวของดินแดนไลอ้อน มันเคยเป็นสถานที่ที่ผู้คนต่างก็ไม่อยากเฉียดกายเข้าใกล้ เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยภยันตราย

ทว่าในเวลานี้มันกลับครอบครองชัยภูมิชั้นเลิศที่สามารถรุกและรับได้อย่างแข็งแกร่ง

ทั้งสองพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ ซึ่งระหว่างนั้นก็มีคนนำข่าวสารเข้ามาแจ้ง

ในที่สุด กองทัพทั้งห้าก็สามารถยึดเมืองได้สำเร็จโดยแทบไม่มีอุปสรรคใดๆ

 

 

 


ตอนที่ 524

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


“เป็นไปได้อย่างไร? ใยจึงเป็นเช่นนี้? ข้าเฝ้าที่นี่อยู่เป็นนาน แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าทุกเมืองถูกตีชิงไป กองกำลังพาลาดินก็ไม่ทันได้ลงมือ” ซาเน็ตติกล่าวอย่างเคร่งเครียด

เดิมทีแล้ว ซาเน็ตติเตรียมจะใช้ทัพพิสดาร แต่เมื่อเซียวอวี๋ไม่ยอมออกจากค่าย ทัพพิสดารนี้ก็กลายเป็นไร้ประโยชน์ไป

ดังนั้น ทัพพิสดารจึงถอนกำลังกลับเมืองฮุยเฉิงและเตรียมการดำเนินแผนอื่น

เพราะหากว่ากองกำลังนี้รั้งอยู่ที่เมืองเยือกแข็ง เซียวอวี๋ก็คงจะยอมเปิดฉากโจมตีเสียที ซึ่งอันที่จริง ซาเน็ตติก็ได้จัดสรรกำลังไว้เพียงพอที่จะยันข้าศึกได้นับสิบชั่วโมงแล้ว

ทว่า เขากลับคาดคิดไม่ถึงว่าเซียวอวี๋จะสามารถยึดเมืองได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที

เมื่อคิดดูให้ดีแล้ว ซาเน็ตติก็พลันกระจ่าง หากแต่นั่นก็สายเกินการณ์แล้ว กลยุทธ์ของเซียวอวี๋นี้นับว่าผิดผู้ผิดคนเกินไปจริงๆ

เขานำกองทัพหนึ่งแสนนายยกมาอย่างเอิกเกริก ทว่ากลับนำกำลังนั้นมาตั้งค่ายและเล่นสนุกราวกับมาพักผ่อน ซึ่งเมื่อพวกเขาลดการระวังลง อีกฝ่ายก็พลันเปิดฉากโจมตี

ซาเน็ตติเองก็คาดไม่ถึงว่าเซียวอวี๋จะมาไม้นี้ ตัวเขาได้จัดเตรียมการป้องกันไว้แล้ว แต่เมื่อเวลาดำเนินไปกว่าสามเดือน ไพร่พลที่จัดเตรียมไว้ก็พลอยถูกบรรยากาศอันเหนื่อยหน่ายบั่นทอนวินัยไป

เซียวอวี๋เลือกใช้สงครามจิตวิทยา ความผิดพลาดที่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจหลีกเลี่ยง แม้จะทราบว่าอีกฝ่ายจะต้องโจมตีมาแน่ แต่สามเดือนผ่านไป พวกเขายังจะสามารถรักษาความตื่นตัวเอาไว้ตลอดเวลาได้หรือ?

“เรียนท่านแม่ทัพไคฉี กองทัพของดินแดนไลอ้อนเคลื่อนกำลังมาถึงนอกเมืองแล้ว พวกมันคิดจะปิดล้อมพวกเรา” พลส่งสารรีบเข้ามารายงานอย่างวิตก

“เหอะ พวกมันคิดจะจัดการเราหรือ? คิดว่าพวกเราไม่มีการเตรียมตัวเลย? ครั้งนี้ข้าจะให้มันต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างหนัก ท่านไม่ต้องวิตกไป ข้ามีแผนในใจแล้ว ท่านจะได้ในสิ่งที่ท่านต้องการ” ซาเน็ตติกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ซึ่งอันทีจริง ในใจของซาเน็ตติเวลานี้กลับไม่ค่อยมั่นใจนัก ในที่สุดเขาก็ได้รับทราบขุมกำลังของเซียวอวี๋ใหม่ ทั้งยังเข้าใจแล้วว่าความล้มเหลวครั้งก่อนนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโรเบิร์ตทั้งหมด หากแต่เพราะความสามารถของเซียวอวี๋สูงอย่างยิ่ง

“เหอะ อย่าได้คิดฝันจะมาออกคำสั่งต่อข้า ข้าจะจัดการตามวิธีของข้าเอง กองกำลังอัศวินสีชาดของข้าคือทัพแกร่งที่สุด มีเพียงข้าที่สามารถออกคำสั่งต่อพวกเขา” เทอร์รี่กล่าวเสียงเรียบ แม้ว่ากำลังตกอยู่ในวงล้อมข้าศึก สีหน้าของเขากลับยังคงราบเรียบอย่างไม่แยแส ทั้งยังแฝงกลิ่นอายคลุ้มคลั่งอยู่ลางๆ

นี่ก็คือความคลั่งที่ศาสนานำมาสู่ผู้คน ในสายตาของพวกเขาแล้ว การรบเพื่อศาสนานับเป็นเกียรติยศสูงสุด

กลุ่มคนประเภทนี้ล้วนแต่บ้าคลั่ง

“หึ หากว่าเจ้าต้องการร่วมมือกับข้าจริงๆ เช่นนั้นก็จงทำตามคำข้า จากนี้ไปที่นี่มีข้าคอยบัญชา ไม่ใช่เจ้า” เทอร์รี่กล่าวอย่างเย่อหยิ่ง เขารู้ว่าซาเน็ตติไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพึ่งพากำลังจากศาสนจักร เทเรซ่าจึงใช้โอกาสนี้ชิงอำนาจบัญชาการมาอยู่ในมือ

“ไม่มีปัญหา ก็อย่างที่เห็น ข้าไม่มีคุณสมบัติเป็นผู้บัญชาการแล้ว มิเช่นนั้นพวกเราคงไม่พ่ายต่อเซียวอวี๋ ตอนนี้พวกเจ้าเป็นความหวังเดียวของเราแล้ว” ซาเน็ตติกล่าวประจบ ซึ่งนั่นทำให้เทเรซ่ารู้สึกกระหยิ่มในใจ

“เอาล่ะ เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็มากำหนดแผนการจับตัวเซียวอวี๋ เมื่อเซียวอวี๋ถูกจับแล้ว กองทัพของมันก็ย่อมต้องพินาศลง” เทอร์รี่กล่าวอย่างมั่นใจ เขาทั้งไม่คิดที่จะป้องกันหรือวางแผนจะลบหนีแต่อย่างใด เขาเพียงคิดที่จะโค่นเซียวอวี๋ลงก็เท่านั้น

“พวกเราจะโจมตีก่อนหรือ?” ได้ยินเทอร์รี่กล่าว ซาเน็ตติก็ตะลึง ในใจของเขาลอบด่าทอเทอร์รี่ว่าตัวโง่งมไปแล้ว เซียวอวี๋สามารถคร่ากุมได้ง่ายนักหรือ?

นอกจากนั้น ตอนนี้พวกเขายังถูกโอบล้อมไว้ทุกด้าน ขวัญกำลังใจของฝ่ายเซียวอวี๋ก็สูงเทียมฟ้า อีกทั้งความแข็งแกร่งของกองทัพอีกฝ่ายยังไม่อาจมองข้าม

ยิ่งกว่านั้น เขายังได้ยินมาว่าตัวเซียวอวี๋เองก็ไม่ได้อ่อนแอเลย

“ใช่ ในเมื่อพวกมันทำได้ ไฉนพวกเราจะทำบ้างไม่ได้? พวกมันคงคิดไม่ถึงว่าเราจะลงมือในเวลาแบบนี้ พวกเราย่อมสามารถพิชิตชัยในอึดใจเดียว!”

“ยังมี พวกมันเพิ่งผ่านการทำศึกมา แน่นอนว่ากายใจย่อมต้องเหนื่อยล้า หากว่าเราลงมือตอนนี้ โอกาสสำเร็จก็จะยิ่งมีมาก” เทอร์รี่เชิดหน้ากล่าวอย่างถือดี

เขามีความมั่นใจอย่างยิ่งว่าจะสามารถคร่ากุมอีกฝ่ายมาคุกเข่าที่เบื้องหน้า

นี่ก็คือลักษณะของผู้ที่ไม่เคยรับความลำบาก พวกเขามักจะมั่นใจว่าตนเองสามารถกระทำได้ทุกประการจนนำไปสู่การประมาทต่อศัตรู

“ถูกแล้ว นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะลงมือ จะให้ข้าร่วมมือกับแม่ทัพคนอื่นๆอย่างไรหรือ?” ซาเน็ตติมองเทอร์รี่อย่างนอบน้อม

“ข้าไม่คาดหวังว่าเจ้าจะต้องสร้างผลงานชิ้นใหญ่ ที่พวกเจ้าต้องกระทำก็คือหาทางตีฝ่าออกไปจากทุกด้าน จงแสร้งหลบหนีไปเพื่อสร้างโอกาสให้เหล่าอัศวินของข้ามีโอกาสลงมือตลบหลังพวกมัน ข้าจะนำกำลังเข้าตีจากอีกด้านหนึ่ง มือดีของข้าย่อมสามารถเสาะหาตัวเซียวอวี๋จนพบได้”

“เช่นนั้นข้าจะรีบไปเตรียมการตีฝ่าจากสามด้านเพื่อดึงดูดความสนใจของพวกมันทันที” ซาเน็ตติกล่าวรับอย่างขึงขัง

ด้วยเหตุนี้ แผนการจับกุมเซียวอวี๋จึงเริ่มต้นขึ้น


ตอนที่ 525

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


หลังจากเซียวอวี๋นำทัพมาถึงเมืองฮุยเฉิง เขาก็ไม่ได้รีบเริ่มเปิดฉากโจมตี เพระาเขาทราบดีว่าอีกฝ่ายคงเตรียมการป้องกันไว้เป็นอย่างดี อีกทั้งกองทัพของเขาก็เพิ่งทำศึกมา ย่อมต้องการพักฟื้นฟู

ถึงกระนั้น การพักนานเกินไปย่อมไม่ส่งผลดี ตอนนี้กองทัพของเขามีกำลังขวัญจากการรบชนะอยู่ ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะโจมตี

เมื่อถึงยามดึก เซียวอวี๋ก็ออกคำสั่งโจมตีจากสามด้านและละเว้นด้านหนึ่งเอาไว้

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่กองทัพจะปะทะกัน เขาก็พบว่าศัตรูเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีออกมาก่อน ขณะที่เซียวอวี๋กำลังนั่งจิบไวน์พลางพูดคุยอยู่กับนิโคลัส พลส่งสารก็เข้ามารายงานว่าฝ่ายศัตรูเลือกที่จะออกจากเมืองมาโจมตี

“หืม? สมองของพวกมันมีปัญหา? พวกมันคิดว่าจะสามารถลงมือโดยที่เราไม่ทันระวังงั้นหรือ?” ได้ยินคำรายงาน เซียวอวี๋รู้สึกว่าซาเน็ตติผู้นี้มีดีแต่ชื่อเสียแล้ว

ไม่อย่างนั้น อีกฝ่ายคงจะไม่เลือกหลบหนีด้วยวิธีนี้แน่

“ท่านย่ามันเถอะ คิดหนีงั้นหรือ? คิดว่าลูกพี่จะยอม? จัดเตรียมทัพอากาศ รวมทั้งมังกรน้อยและพวกคิเมร่าด้วย เมื่อใดที่พบตัวซาเน็ตติก็ให้แจ้งข้าทันที ลูกพี่ไม่เชื่อว่าพวกมันจะหนีไปได้” เซียวอวี๋เตรียมจัดการซาเน้ตติแล้ว

อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นเอง เซียวอวี๋ก็สังเกตเห็นว่ามีกลุ่มคนสวมผ้าคลุมสีโลหิตกำลังมุ่งตรงมาทางเขา

“มารดามัน กองกำลังอัศวินสีชาด สมองของพวกมันเน่าเฟะหมดแล้วหรือถึงกล้าพุ่งเข้ามาหาข้า? พวกมันมั่นใจว่าจะจัดการข้าได้?” เห็นกองกำลังที่มุ่งเข้ามา เซียวอวี๋ก็ทราบตัวตนของอีกฝ่ายทันที

เซียวอวี๋รู้สึกตะลึง เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงจะซุกซ่อนยอดฝีมือเอาไว้ในคนกลุ่มนี้ด้วย ดังนั้นเขาจึงรีบเรียกตัวเหล่าฮีโร่มา

“ฆ่า! จงชำระพวกบาปหนานั้นซะ!” เหล่าอัศวินสีชาดต่างร่ำร้องอย่างคลุ้มคลั่ง

“มารดามัน กล้าโจมตีใส่บิดาหรือ…ทัพอากาศทั้งหมดจงบถล่มใส่พวกโง่นั่นซะ เหอะ คิดว่าบิดาหวาดกลัวพวกเจ้าหรือ?” เซียวอวี๋ยังได้เรียกตัว กรอม คาร์นและคาเอลมาอยู่ข้างกาย เขาต้องการจะจัดการอีกฝ่ายจนสิ้นซากที่นี่

วันนี้เขาจะสั่งสอนบทเรียนให้อีกฝ่ายว่าพวกเจ้าน่ะไม่ใช่พยัคฆ์อะไรหรอก ก็แค่แมวป่วย!

ได้ยินคำสั่งจากเซียวอวี๋ กองทัพอากาศที่ประกอบด้วยอัศวินกริฟฟ่อน แบทไรเดอร์และไวเวิร์นจึงมุ่งเข้าหากองกำลังอัศวินสีชาด

กองทัพอัศวินสีชาดนั้นไม่ได้มีมากนัก พวกเขามีจำนวนราวๆหนึ่งหมื่นคน แต่แม้จะมีเพียงแค่หนึ่งหมื่น กระนั้นความแข็งแกร่งก็เหนือล้ำกองทัพทั่วไปมาก อีกทั้งในกองกำลังยังมีพาลาดินชั้นสูงอยู่หลายคน

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ซาเน็ตติคิดใช้พวกเขาในฐานะทัพพิสดาร

แต่แม้จะแข็งแกร่งเพียงใด พวกเขาก็ยังด้อยกว่าขุมกำลังโดยรวมของเซียวอวี๋

เห็นกองทัพอากาศของเซียวอวี๋มาถึง พวกอัศวินก็ไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด ตรงกันข้าม พวกเขาสั่งให้มือธนูยิงใส่อีกฝ่ายทันที แต่ด้วยเพราะประสบการณ์ที่โชกโชน ทัพอากาศย่อมมีวิธีรับมือ

เมื่อเห็นลูกธนูยิงขึ้นสู่ท้องฟ้า ทัพอากาศก็แบ่งแยกฝูงบินเป็นหลายกลุ่มก่อนจะเปิดฉากโจมตีและล่าถอยออกไปนอกระยะยิง

ตู้ม!

เกิดการระเบิดขึ้นท่ามกลางทัพอัศวิน ติดตามมาด้วยสายฟ้าและคมหอกที่กระหน่ำลงมาดุจห่าฝน

กระนั้น การตายของพวกพ้องกลับไม่ได้ส่งผลกระทบกับกำลังขวัญของพวกเขา กลับกันพวกเขากลับยิ่งโถมเข้ามาอย่างไม่กลัวตาย

“โฮ่ มารดามันเถอะ ช่างกล้าหาญจริงๆ แต่ก็เท่านั้น” เซียวอวี๋แค่นเสียงก่อนจะหันไปตะโกนต่อพลถ่ายทอดคำสั่ง “ให้คิเมร่าออกโรง!”

“คิเมร่า? เจ้ามีคิเมร่า?” นิโคลัสโพร่งอย่างตกตะลึง

“เหอ แปลกงั้นหรือ? หึ วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้ดูการแสดงดีๆ” กล่าวจบเซียวอวี๋ก็หันไปออกคำสั่งต่อ

พวกคิเมร่านั้นเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องใช้เวลาเตรียมตัวอีก ไม่นานพวกมันก็โผบินขึ้นสู่ท้องฟ้า

เมื่อทั้งหมดได้เห็นสิ่งที่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ไม่ว่าจะไพร่พลของฝั่งใด พวกเขาต่างก็ตะลึงจนอ้าปากค้าง สมรภูมิที่ก่อนหน้าเต็มไปด้วยเสียงตะโกนร่ำร้องพลันเงียบกริบลง ทั้งหมดหยุดมือขณะสายตาจับจ้องไปยังฝูงคิเมร่าบนท้องฟ้า

นี่มันเรื่องอะไรกัน?

สิ่งนี้ทำลายความเข้าใจของพวกเขาไปโดยสิ้นเชิง เป็นดั่งที่เซียวอวี๋คาดการณ์เอาไว้ บนทวีปแห่งนี้ มีไม่กี่คนที่สามารถจดจำคิเมร่าได้ ในความรู้ความเข้าใจของพวกเขาแล้ว สัตว์ประหลาดขนาดใหญ่นี้มันคือมังกรชัดๆ

ยิ่งเมื่อพวกมันสยายปีกบินอยู่บนฟ้า เมื่อแสงตกกระทบลงบนตัว นั่นก็ทำให้ผู้คนไม่อาจมองเห็นสีผิวที่แท้จริงและยิ่งเพิ่มสภาวะยิ่งใหญ่ให้กับพวกมัน

ไม่นาน พวกคิเมร่าก็บินมาอยู่เหนือกองทัพอัศวินสีชาด ปากอันใหญ่โดตพลันอ้าออกและส่งเปลวเพลิงร้อนแรงแผดเผาทัพอัศวิน

เพลิงที่พ่นออกมานี้ยังรุนแรงกว่าเพลิงของมังกร นั่นก็เพราะนี่เป็นทักษะที่โดดเด่นที่สุดของพวกมัน และเมื่อเปลวเพลิงกว่าร้อยสายถูกพ่นออกมาพร้อมกัน อานุภาพของมันกระทั่งยังเหนือล้ำกว่าเวทมนตร์ระดับหกอีก

ในฐานะยูนิตขั้นที่สามแล้ว หากไม่มีทีเด็ดใด เช่นนั้นก็คงไม่มีชื่อเสียงโด่งดังหรอก

พวกอัศวินที่กำลังตกตะลึงต่างถูกเพลิงแผดเผาเป็นเถ้าถ่าน

เห็นกองทัพคิเมร่าเปิดฉากเป็นทัพหน้า ทัพอากาศที่เหลือก็บินย้อนกลับมาติดตามคิเมร่ากวาดล้างทัพอัศวินสีชาด

ตกตะลึง การปรากฏตัวเป็นครั้งแรกของพวกมันเพียงอธิบายได้เพียงนี้เท่านั้น….. 

 

 


ตอนที่ 526

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


อันที่จริงแล้ว พวกคิเมร่าก็ไม่ได้แข็งแกร่งไร้เทียมทาน พวกมันยังมีข้อบกพร่องมากมาย ประการแรกเลยก็คือ พลังป้องกันของมันไม่อาจเทียบกับมังกร หากว่าพวกมันถูกโจมตีด้วยเวทมนตร์หรืออาวุธเวทที่ทรงพลัง มันก็อาจจะบาดเจ็บ และความยืดหยุ่นของมันก็ค่อนข้างแย่

ยิ่งไปกว่าการโจมตีทางกายภาพของมันยังย่ำแย่ ส่วนที่ทรงพลังที่สุดของมันก็คือการพ่นเปลวเพลิง

แต่ปัจจุบันไม่มีผู้ทราบเกี่ยวกับข้อมูลของมัน อีกทั้งยังคิดว่าพวกมันคือมังกร ความหวาดกลัวเริ่มแพร่ไปในหมู่ฝ่ายศัตรู พวกเขาไม่ทราบว่าควรรับมือกับคิเมร่าอย่างไร

แม้ว่ากองทัพอัศวินสีชาดจะแข็งแกร่งและไม่หวาดหวั่นต่อความตาย แต่การไม่กลัวนั้นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่ใช่มนุษย์ ตราบใดที่มีชีวิต เช่นนั้นก็ย่อมรู้จักความกลัว

หากว่าเป็นมังกรเพียงตัวเดียว พวกเขาก็คงไม่สึกกลัวใดๆ อย่างไรเสีย พวกเขาก็เคยได้ยินมาว่าดินแดนไลอ้อนนั้นมีมังกรอยู่

อย่างไรก็ตาม การถูกโจมตีด้วยมังกรนับร้อยตัวนั้นอยู่เหนือจินตนาการโดยสิ้นเชิง

มังกรนับร้อยตัวนั้นแทบจะเรียกได้ว่าไร้เทียมทาน ต่อให้มีกองทัพนับแสนอยู่เบื้องหน้า พริบตาถัดมาพวกเขาก็อาจจะหลงเหลือเพียงธุลี

พวกเขากระทั่งไม่มีความคิดจะหลบหนีและทำได้เพียงยืนนิ่งตะลึงอยู่อย่างนั้น

และในเมื่อไม่ได้นำอาวุธเวทออกมารับมือ พวกเขาก็เป็นได้เพียงเป้านิ่ง

ทัพอัศวินเริ่มแตกฮือ ขณะที่ทัพอากาศไล่ล่าติดตามไป

“อ๊าก…” ในเวลานั้นเอง เสียงคำรามอันโกรธแค้นพลันดังขึ้นท่ามกลางสนามรบ ผู้ที่ส่งเสียงนั้นก็คือผู้นำทัพอัศวินสีชาด

เขาไม่เคยคิดเลยว่าลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นนี้ แม้ว่าตัวเขาจะรอดมาได้ด้วยความแข็งแกร่งเฉพาะตัว ทว่าไม่ใช่กับคนของเขา กองทัพทั้งหมดถูกกวาดล้างจนย่อยยับ

สิ้นหวัง เป็นความสิ้นหวังอย่างแท้จริง ความภาคภูมิใจก่อนหน้าพลันพังทลายเมื่อนักรบทั้งหมดของเขาถูกกวาดล้าง

เวลานี้เขาคลุ้มคลั่งแล้ว เขากู่ร้องยาวนานก่อนจะพุ่งเข้าหาเซียวอวี๋เพื่อหวังปลิดชีพอีกฝ่ายในดาบเดียว

“เจ้านี่โง่หรือเปล่า?” เซียวอวี๋มองเทอร์รี๋พลางส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่าย เขากล่าวอีกว่า “พลโจมตีระยะไกล โจมตีพร้อมกัน”

ภายใต้คำสั่งของเซียวอวี๋ รถจู่โจม พลธนูเอลฟ์และพลปืนคนแคระก็โจมตีพร้อมกัน

เทอร์รี่นั้นเป็นพาลาดินขั้นที่ห้าระดับสูงสุด กระนั้นก็แน่นอนว่าย่อมไม่อาจต้านทานการโจมตีที่ถาโถมเข้ามาได้ อย่างดีเขาก็เพียงต้านทานได้สามถึงสี่ครั้งก่อนจะสิ้นลมหายใจ

“นายท่าน ยังมีศัตรูบางส่วนต่อสู้ขัดขืน แต่สถานการณ์ถูกพวกเราควบคุมไว้ได้แล้ว มีเพียงกลุ่มศัตรูทางทิศตะวันออกเท่านั้นที่หนีรอดจากการล้อมปิดล้อมเนื่องเพราะมีจำนวนมากขอรับ” พลส่งสารวิ่งเข้ามารายงานต่อเซียวอวี๋

“เหอะ เจ้าขี้ขลาดนั่นกลับหลบหนีเอาตัวรอด….จงประกาศไปว่าซาเน็ตติหลบหนีออกจากเมืองไปแล้ว เมืองฮุยเฉิงตกเป็นของพวกเราแล้ว เช่นนั้นขวัญกำลังใจของฝ่ายศัตรูย่อมพังทลายลง ฮีโร่ทั้งหมด ทัพอากาศทุกหน่วย ให้ติดตามข้าไปจับเจ้าขี้ขลาดนั่น”

ได้ฟังคำรายงาน เซียวอวี๋ก็ทราบสถานการณ์โดยรวม ซาเน็ตติใช้ไพร่พลของเขาเป็นโล่มนุษย์ขณะที่ตัวเองหลบหนีไป

แต่เซียวอวี๋จะยอมปล่อยเขาไปหรือ?

ดังนั้นเซียวอวี่จึงออกคำสั่งให้ทัพอากาศทั้งหมดเร่งตามไปสกัดซาเน็ตติ

“เซียวอวี๋ ข้าไปด้วยได้หรือไม่?” นิโคลัสที่เพิ่งหายจากอาการตกตะลึงพลันเอ่ยปากร้องขอ

“ไม่มีปัญหา ไป” กล่าวจบเซียวอวี๋ก็ให้กริฟฟ่อนลงมารับนิโคลัส

นิโคลัสสำรวจดูคิเมร่าขนาดใหญ่ที่บินอยู่ด้านข้าง แววตาของเขาส่องประกายขณะที่ในใจไม่ทราบว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ เดิมที นิโคลัสค้นพบวิธีที่จะใช้รับมือกับทัพอากาศของเซียวอวี๋ได้แล้ว ทว่าการปรากฏขึ้นของฝูงคิเมร่าทำให้สถานการณ์กลับไปเป็นดังเก่า เซียวอวี่ยังคงยากที่จะจัดการ

เซียวอวี๋ไม่สนใจว่านิโคลัสกำลังคิดอยู่ เกี่ยวกับคิเมร่าฝูงนี้ เขารุ้ว่าด้วยเครือข่ายข่าวสารของนิโคลัสแล้ว ไม่ช้าก็เร็วเขาก็ต้องรับทราบอยู่ดี

ไม่นาน เซียวอวี๋ก็ไล่ติดตามซาเน็ตติจนทัน ซาเน็ตติกำลังนำผู้ใช้มนตราและยอดฝีมือบางส่วนหลบหนีไปด้วยกันกับเขา

เซียวอวี๋ที่อยู่บนฟ้าแค่นเสียงก่อนจะกล่าวว่า “เฮ้ ซาเน็ตติ เจ้ากำลังจะไปไหนงั้นหรือ?”

ซาเน็ตเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงก่อนจะตกตะลึงอย่างหนัก เขาคิดไม่ถึงว่าเซียวอวี๋จะไล่ตามมาเร็วเช่นนี้ เขาคิดว่าเมื่อมีพวกศาสนจักรรับหน้า เซียวอวี๋ก็จะต้องหันไปรับมือเต็มกำลังและไม่มีเวลามาสนใจเขา แต่ไฉนมันจึงไล่ตามมาเร็วเช่นนี้? อีกทั้งมังกรมากมายปานนั้น เขาไปหามาจากที่ใดกัน?

ผู้ที่พบเห็นพวกคิเมร่าครั้งแรกย่อมต้องคิดว่าพวกมันเป็นมังกร นั่นเพราะเดิมเซียวอวี่ก็มีมังกรอยู่ใต้บัญชาก่อนแล้ว ดังนั้น เมื่อพบเห็นฝูงคิเมร่าปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน เขาก็คิดว่าเผ่าพันธุ์มังกรยอมสยบต่อเซียวอวี๋แล้ว

ความหวาดกลัวเกิดขึ้นในใจจนทำให้เขาไม่ทันได้มีเวลาตอบสนองใดๆ สุดท้ายแล้ว เผ่าพันธุ์มังกรก็เป็นตัวตนที่สร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้พบเห็น

ต่อให้เป็นมังกรเพียงตัวเดียว มันก็ยังทำให้ผู้พบเห็นถึงกับหน้าซีดอยู่ดี ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงมังกรนับร้อยตัว พวกเขาไม่มีความคิดจะต่อต้าน นั่นก็เพราะทราบว่ามันไร้ประโยชน์

ขระที่พวกเขากำลังตกตะลึง เพลิงของคิเมร่าหลายสายก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า

“อา แยกกัน! รีบแยกกันเร็ว!” ซาเน็ตติรีบตั้งสติก่อนจะสั่งให้คนของเขากระจายตัวออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงเปลวเพลิงอันร้อนแรง

อย่างไรก็ตาม พวกคิเมร่ามีมากเกินไป ต่อให้พวกเขาหลบ มันก็แทบไม่มีช่องว่างให้หลบ พวกนักรบนั้นยังดี ส่วนพวกผู้ใช้มนตรากลับถูกสังหารอย่างง่ายดาย

แน่นอนว่าพวกเขาย่อมต้องเคยเผชิญพบกับพวกสัตว์อสูรที่บินได้มาก่อน พวกเขาสามารถใช้เวทมนตร์ยิงตอบโต้ไป

หากแต่ในเวลานี้ พวกเขาล้วนไม่มีความคิดที่จะต่อสู้ คิดเพียงแต่จะหนีเอาตัวรอดเพียงเท่านั้น ผลลัพธ์จึงลงเอยอย่างที่เห็น

ครืนนน…..

การโจมตีของคิเมร่ากวาดล้างคนส่วนใหญ่ไป ขณะที่ทัพอากาศส่วนที่เหลือคอยตามเก็บกวาดศัตรู เมื่ออีกฝ่ายต่างหลบหนีอย่างไร้ระเบียบแบบแผน มันก็ยิ่งง่ายที่จะจัดการ

ด้วยเหตุนี้ กองกำลังของซาเน็ตติจึงค่อยๆถูกกำจัดไป สุดท้ายที่ข้างกายของซาเน็ตติก็แทบไม่หลงเหลือผู้คน

ซาเน้ตติตระหนักแล้วว่าตนคงไม่มีทางให้หลบหนี ดังนั้นเขาจึงถอนหายใจก่อนจะกระตุกบังเหียนม้าเพื่อหยุดลง เขามองไปยังเซียวอวี๋ที่อยู่บนหลังกริฟฟ่อน

เห็นซาเน็ตติมองมา เซียวอวี๋ส่งสัญญาณมือให้มังกรน้อยมารับเขา

การขี่กริฟ่อนย่อมไม่อาจสร้างความน่าเกรงขามได้เท่ากับขี่มังกร ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนไปอยู่บนหลังของมังกรน้อย เขาคว้าขี้เถ้าที่ปลิวมาตามลมไว้พลางเอ่ยปากกล่าวว่า “ไม่มีทางให้เจ้าหนีแล้ว ยอมจำนนซะ พ่ายแพ้ต่อผู้บัยชาการที่เก่งที่สุดเช่นข้าไม่ทำให้น่าอายหรอก”

“อา เซียวอวี๋ ข้าแพ้แล้วจริงๆ แต่เจ้าก็อย่าได้ใจเกินเร็วไปนัก เจ้าคิดว่าด้วยกองทัพของเจ้าในเวลานี้จะสามารถครอบครองทวีปได้หรือ? ยังมีขุมกำลังทรงอำนาจอีกมากที่เจ้าไม่รู้จัก อีกทั้งข้าจะบอกต่อเจ้า เวลานี้นายท่านของข้าได้พันธมิตรใหม่แล้ว เมื่อพวกเขามาถึง เจ้าแน่นอนว่าต้องไม่ตายดี ฮ่าฮ่าฮ่า……” ซาเน็ตติพลันหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง

จากนั้นเขาชักดาบข้างบั้นเอวขึ้นมาเฉือนคอตัวเอง

พร้อมกับเสียงทึบเสียงหนึ่ง ร่างของซาเน็ตติล้มลงกับพื้น

เมื่อเห็นว่าซาเน็ตติเลือกที่จะจบชีวิตตัวเอง เซียวอวี๋ก็แค่นเสียง หากแต่ในใจก็อดชื่นชมไม่ได้

“นำร่างเขาไปฝัง” กล่าวจบเซียวอวี๋ก็ขี่มังกรน้อยบินกลับไปยังเมืองฮุยเฉิง

เวลานี้บนกำแพงของเมืองฮุยเฉิงล้วนประดับไว้ด้วยธงของดินแดนไลอ้อน

เหล่าไพร่พลที่สูญเสียผู้บัยชาการไปแล้วก็เลือกที่จะไม่ขัดขืนและยอมจำนนแต่โดยดี

ด้วยเหตุนี้ สงครามที่กินระยะเวลากว่าสามเดือนก็จบลงในช่วงเวลาสั้นๆ เวลานี้ดินแดนทั้งหมดของรัฐเว่ยก็กลายเป็นของเซียวอวี๋……. 

 

 


ตอนที่ 527

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


ดินแดนไลอ้อนขยายอาณาเขตออกไปอีกครั้ง มีหลายเมืองที่เจริญรุ่งเรือง มันไม่ใช่เพียงดินแดนอันยากแค้นอีกต่อไป

เซียวอวี๋เตรียมที่จะจัดสร้างเมืองขึ้นเพิ่มเติมเพื่อใช้เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างดินแดนไลอ้อนและดินแดนของรัฐเว่ย เมื่อเป็นเช่นนั้น ทั้งดินแดนไลอ้อนและรัฐเว่ยก็จะถูกผสานเข้าเป็นหนึ่งเดียว ถึงตอนนั้นเซียวอวี๋ก้จะกลายเป็นผู้ปกครองของภูมิภาคนี้

หลังจากยึดครองรัฐเว่ยได้แล้ว สิ่งแรกที่เซียวอวี๋ทำคือการส่งคนไปประกาศต่อสาธารณะเพื่อให้ผู้คนที่นี่ได้รับทราบถึงนโยบายของดินแดนไลอ้อน และประชาชนในอาณาเขตนี้เองก็จะได้รับการปฏิบัติในแบบเดียวกัน

การโฆษณานี้ได้ผลอย่างมาก นี่เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องกระทำหลังจากยึดครองอาณาเขตได้ มิเช่นนั้นประชาชนก็อาจจะตื่นตระหนกและก่อปัญหาขึ้น

ด้วยเหตุนี้ ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน ประชาชนส่วนใหญ่ในรัฐเว่ยก็เริ่มยอมรับเซียวอวี๋ ส่วนเจ้าหน้าที่ที่ทำงานตำแหน่งต่างๆ เซียวอวี๋ก็ให้พวกเขาคงตำแหน่งไว้ เป็นเพราะเดิมที ทางฝั่งของเขาก็ขาดแคลนผู้มีความรู้ความสามารถอยู่แล้ว เขายังไม่อาจหาคนจำนวนมากมาทดแทนตำแหน่งเหล่านี้ได้

เซียวอวี๋สอนพวกเขาและให้พวกเขาปฏิบัติตามให้ดี แล้วพวกเขาจะได้รับรางวัล และหากว่ากระทำได้ไม่ดีพวกเขาก็จะถูกลงโทษ

พวกเขารู้สึกโชคดีอย่างมากที่ยังรักษาตำแหน่งของตนไว้ได้ เมื่อเซียวอวี๋ย้ำเตือนพวกเขา พวกเขาก็หวาดกลัวและสาบานว่าจะทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด

สำหรับเหล่าผู้บัญชาการทางทหาร แม่ทัพหลายตำแหน่งถูกแทนที่ด้วยคนของเซียวอวี๋ และหากว่าบางคนยังคงต้องการจะทำงานให้เซียวอวี๋ พวกเขาก็จะต้องสมัครเข้ากองทัพและค่อยๆไต่เต้าตำแหน่งขึ้นมาใหม่

ชูฉีและบิดาของเขา ลี่เหอที่ถูกจับกุมตัวไว้ เซียวอวี๋ไม่ได้ออกคำสั่งประหารพวกเขา หากแต่ปล่อยพวกเขา กระนั้นพวกเขาก็ยังถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าทำงาน นั่นเพราะพวกเขาเคยทรยศต่อรัฐเว่ยมาก่อน คนประเภทนี้ย่อมไม่ควรค่าแก่การรับตัวไว้ใช้งาน

กระนั้นสองพ่อลูกคู่นี้ก็รู้สึกว่าดีมากแล้ว เดิมทีพวกเขาคิดว่าเซียวอวี๋จะต้องไม่ปล่อยให้พวกเขามีชีวิตอยู่ต่อ

ผู้ที่มีความแค้นโดยตรงกับพ่อลูกคู่นี้ก็คือมู่หลี่ ตัวเขาถูกสองคนนี้ให้ร้ายจนต้องกลายเป็นศัตรูกับรัฐเว่ย อย่างไรก็ตาม เขาได้รับการช่วยเหลือจากเซียวอวี๋ ทั้งยังได้รับประโยชน์มากมายอย่างคาดไม่ถึง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้โกรธแค้นพ่อลูกคู่นี้เท่าใดนัก

ซึ่งอันที่จริง เขาอยากจะขอบคุณอีกฝ่ายเสียด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะการใส่ร้ายของลี่เหอ ตัวเขาก็คงไม่ได้เข้าร่วมกับดินแดนไลอ้อน และคงไม่ได้ดำรงตำแหน่งสุงส่งอย่างเช่นทุกวันนี้

ที่ดินแดนไลอ้อน ในด้านการทหารแล้ว มู่หลี่และหลงฮุ่ยนับเป็นผู้มีอำนาจอันดับต้นๆและรับคำสั่งจากเซียวอวี๋โดยตรง กล่าวได้วว่าทั้งคู่อยู่ใต้คนเพียงหนึ่งคน หากแต่อยู่เหนือผู้คนนับล้าน

เซียวอวี๋ไว้ใจมู่หลี่อย่างมาก เขาให้อำนาจในการพัฒนากองทัพต่อพวกเขา และนั่นทำให้อำนาจด้านกองทัพของดินแดนไลอ้อนพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากว่าเขายังคงอยู่ในรัฐเว่ย เขาก็ไม่รู้ว่ารัฐเว่ยจะมีวันเช่นนี้ได้หรือเปล่า แล้วเขาจะยังเคียดแค้นต่อลี่เหอไปทำไม?

เมื่อได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง เซียวอวี๋ได้คืนคฤหาสน์หลังเดิมให้เขา นี่ทำให้ครอบครัวของพวกเขามีความสุขมาก

แม้ว่าที่เมืองไลอ้อนจะดียิ่ง แต่อย่างไรเสีย ที่นี่ก็เคยเป็นบ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่มานาน ตอนที่พวกเขาถูกขับไล่ออกไปจึงเศร้าอย่างมาก

เวลานี้ พวกเขาได้กลับมาบ้านเดิมที่เคยอยู่แล้ว

มู่หลี่นั้นมีชื่อเสียงอย่างมากภายในรัฐเว่ย และเมื่อมู่หลี่กลับมาแล้ว ด้วยชื่อเสียงอันดีของเขา มันจึงง่ายที่จะควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในความสงบ

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เซียวอวี๋ก็คร้านจะลงไปจัดการเอง เขาได้ฝึกบุคคลากรขึ้นมาเพื่อสะสางเรื่องราวเหล่านี้ คำขอของเขามีเพียงแค่อย่าทำให้เกิดปัญหาใหญ่

ในอดีต หากว่าอาณาจักรแพ้สงคราม พวกทหารส่วนใหญ่ก็จะถูกจับล่ามโซ่และส่งไปเป็นทาส แต่เซียวอวี๋ได้ออกคำสั่งห้ามไม่ให้มีการค้าทาส บรรดาผู้ที่เคยเป็นทาสก็ให้พ้นสถานะทาส

หากว่าพวกเขาต้องการจะเป็นทหารต่อ พวกเขาก็จะได้รับการดูแลเช่นเดียวกับไพร่พลของดินแดนไลอ้อน หรือหากว่าพวกเขาไม่ต้องการ พวกเขาก็สามารถกลับไปเป็นพลเรือน

นโยบายของเซียวอวี๋ทำให้พวกเขารู้สึกดีกว่ากว่าอยู่ภายใต้กฏของผู้ปกครองคนเก่า

หลายวันมานี้ เซียวอวี๋ไม่ได้ทำอย่างไรกับนิโคลัส เซียวอวี๋นั้นมีแผนการในใจอยู่แล้ว มันยากที่จะหาคู่ต่อสู้ที่สามารถตามความคิดของเขาได้ทัน ซึ่งแน่นอนว่านิโคลัสนั้นเป็นคู่ต่อสู้ที่ยากจะพบพาน

ความสามารถของชายผู้นี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย หากว่าเซียวอวี๋ไม่มีระบบของเกมวอร์คราฟมาช่วย เกรงว่าเขาคงไม่อาจเ็นคู่ต่อสู้ของนิโคลัส

ในหลายวันที่ผ่านมา เซียวอวี๋และนิโคลัสได้แข่งขันกันหลายเกม ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ผลออกมาสูสีอย่างยิ่ง

“ในเกมนั้น ควรเป็นข้าที่ได้ชัย” นิโคลัสแค่นเสียง

“ไร้สาระ เห็นชัดๆว่าข้าชนะ” เซียวอวี๋แค่นเสียง

“เหอเหอ วาจาของเจ้าไม่ไร้เหตุผลไปหน่อยหรือ?”

“เพ้ย พูดอะไรของเจ้า….เอาเถอะ ข้าไม่สน เกมนั้นควรเป็นข้ามากกว่าที่ชนะ….”

ขณะที่ทั้งสองยังคงถกเถียงอย่างไร้สาระต่อไปนั้นเอง คนผู้หนึ่งก็เร่งรีบเข้ามารายงาน “ท่านลอร์ดขอรับ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!” พลส่งสารกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

“หืม เกิดเรื่องอะไร? หรือเมืองไลอ้อนโดนบุก?” เซียวอวี๋ถามอย่างจริงจัง เขาคิดไม่ออกจริงๆว่าเรื่องอะไรถึงทำให้พลส่งสารดูตื่นตระหนกขนาดนี้

“ไม่ใช่ขอรับ”

“อะไรทำให้เจ้าตื่นตระหนกเพียงนี้? ฟ้าถล่มลงมาหรือ? แต่ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา ข้าก็จะรับมันไว้เอง เจ้ากลัวอะไร?” เซียวอวี๋สังเกตท่าทีไม่สู้ดีของผู้ส่งสาร พลางคิดในใจ ‘ต่อให้เกิดเรื่องอะไรก็ไม่น่าจะทำให้เขาวิตกได้ขนาดนี้’

“ไม่ใช่ฟ้าจะถล่มลงมาขอรับ แต่มีบางสิ่งที่อาจจะถล่มลงมา” พลส่งสารกระพริบตาปริบๆ

“เล่ามา เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” เมื่อคิดดูแล้ว เซียวอวี๋ไม่คิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกับข้าศึกบุกจู่โจม

หากว่ามีทัพแกร่งของศัตรูปรากฏขึ้นจริง ตราบใดที่เขายังมีฐานทัพของระบบอยู่ เขาก็ไม่กลัวแม้แต่น้อย

“เรียนท่านลอร์ด เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อคืน ไม่ทราบว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร มีเมืองลอยฟ้าลอยมาอยู่เหนือเมืองไลอ้อนขอรับ! ยิ่งไปกว่านั้น ขนาดของมันยังใหญ่กว่าเมืองไลอ้อนทั้งเมือง….หากว่ามันถล่มลงมา….เกรงว่าเมืองไลอ้อนคงเหลือแต่ซากขอรับ” พลส่งสารกล่าวตอบอย่างวิตก

“มารดามันเถอะ เจ้าว่าอะไรนะ? เมืองลอยฟ้า? เมืองมันจะไปลอยได้อย่างไร?” เซียวอวี๋คิดว่าสมองของคนผู้นี้คงเพี้ยนไปแล้ว

“ใช่ขอรับ ข้าเห็นมันมากับตา มันเป็นเมืองจริงๆขอรับ ขนาดของมันใหญ่อย่างยิ่ง ทั้งยังมีกลิ่นอายความตายแผ่ออกมาราวกับเป็นเมืองของคนตาย…”

“มารดามันเถอะ!” ได้ยินคำรายงาน เซียวอวี๋ก็สบถออกมา ขณะที่คิดถึงความเป็นไปได้หนึ่ง

นครลอยฟ้า แน็กแรม!

 

 

 


ตอนที่ 528

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


เซียวอวี๋คิดถึงเมืองลอยฟ้าแห่งนึงที่เป็นไปได้ เมืองแน็กแรม

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เคลธูซาดนั้นอยู่ใต้บัญชาของเขาแล้ว ดังนั้นแน็กแรมจึงกลายเป็นเมืองไร้นาย เมื่อเช่นนี้ ด้านในนั้นจะมีอะไรอยู่กันแน่?

เซียวอวี่เรียกกริฟฟ่อนมารับก่อนจะมุ่งหน้าไปยังเมืองไลอ้อนทันที แน่นอนว่าย่อมมีนิโคลัสร่วมทางไปด้วย เรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ มีหรือที่เขาจะพลาด?

เมื่อเซียวอวี๋เข้าใกล้เมืองไลอ้อน ภาพเมืองขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่เหนือเมืองไลอ้อนก็ปรากฏในสายตา เงาดำทาบทับเมืองไลอ้อนทั้งหมด ประชาชนด้านล่างต่างก็ออกจากบ้านมาชมดู พวกเขาพูดคุยกันอย่างวิตกเพราะกลัวว่าเมืองลอยฟ้านี้จะร่วงลงมาถล่มเมืองของพวกเขา

“มารดามันเถอะ ไฉนเรื่องเช่นนี้จึงมาเกิดกับข้าตลอด?” เซียวอวี๋จ้องมองแน็กแรมพลางเผยรอยยิ้ม เซียวอวี๋มั่นใจแล้ว มันคือแน็กแรมจริงๆ

เขาไม่ได้กังวลว่ามันจะตกลงมาทับเมืองแม้แต่น้อย เมืองแห่งนี้ลอยอยู่บนฟ้ามานานแสนนาน แล้วมันจะร่วงลงมาง่ายๆได้อย่างไร? ถึงแม้จะมีวันที่ร่วงลงมา แต่มันก็คงไม่ร่วงลงมาทับเมืองไลอ้อน พวกเขาคงไม่โชคร้ายถึงเพียงนั้น

เซียวอวี๋ขี่กริฟฟ่อนบินวนดูรอบแน็กแรม บรรยากาศของมันตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย ที่ด้านข้างของเมืองนั้นมีของเหลวสีเขียวที่ดูน่าขยะแขยงไหลลงมาตลอดเวลา

อย่างไรก็ตาม หลังจากบินวนอยู่หลายรอบ เขาก็ยังไม่พบทางเข้า แน็กแรมในตอนนี้ถูกปิดโดยสมบูรณ์

แต่ในเมื่อมันปิดได้ มันก็ต้องเปิดได้ แต่ตัวเขาไม่รู้ว่ามันจะเปิดอีกเมื่อใด

ดังนั้นเซียวอวี๋จึงได้แต่จำใจบินลงไปยังกำแพงเมืองก่อน เขากล่าวปลอบฝูงชนให้สงบลง พร้อมบอกว่าเมืองลอยฟ้าจะไม่ร่วงลงมาแน่นอน

ด้วยการปรากฏตัวขึ้นของเซียวอวี๋ ฝูงชนที่วิตกกังวลก็ค่อยๆสงบลง อย่างไรเสีย เซียวอวี๋ก็ยืนอยู่ที่นี่กับพวกเขาด้วย หากว่าเมืองด้านบนร่วงลงมาจริงๆ เซียวอวี๋ก็ย่อมประสบภัยไปกับพวกเขา

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เซียวอวี๋นั้นสะสมชื่อเสียงมาเป็นเวลานาน ประชาชนย่อมเชื่อมั่นในตัวเขา

เซียวอวี๋ยืนอยู่บนกำแพงพลางทอดมองแน็กแรมที่อยู่ด้านบน เขาสังเกตพบว่ามันกำลังค่อยๆเคลื่อนตัวไปทางเทือกเขาอัลคาเกนอย่างช้าๆ

หลังจากนั้นราวหนึ่งชั่วโมง แน็กแรกก็เคลื่อนตัวพ้นเขตเมืองไลอ้อนไป

เมื่อประชาชนเห็นเช่นนั้น พวกเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก พวกเขากลัวจริงๆว่าเมืองไลอ้อนจะถึงคราวสิ้นสุด ตอนนี้เมืองไลอ้อนนั้นคือบ้านของพวกเขา ที่นี่ยังมีผู้ปกครองที่ยอดเยี่ยมเช่นเซียวอวี๋ พวกเขาย่อมมีความสุขหากได้อยู่ที่นี่ต่อไป

หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยความมืด แน็กแรมนั้นลอยพ้นห่างออกไป ประชาชนต่างยินดีที่วิกฤตการณ์ได้ผ่านพ้นไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เซียวอวี๋ทราบว่ามันคงไม่ง่ายเช่นนั้น ตั้งแต่ที่มันมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ มันก็คงจะไม่บินไปไกลนัก

“มันคืออะไร?” นิโคลัสที่ยืนมองแน็กแรมอยู่ด้านข้างเซียวอวี๋เอ่ยถามอย่างสงสัย

“เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเมืองโบราณของพวกสเกิร์ตหรือไม่? นั่นคือนครลอยฟ้าของพวกมัน เรียกว่าแน็กแรม”

“หืม? แน็กแรม? นครลอยฟ้า?” นิโคลัสตกตะลึงเมื่อได้ฟัง

นครลอยฟ้าแน็กแรมนั้นมีชื่อเสียงอย่างมากในโลกนี้ มันถือเป็นสิ่งลึกลับที่มีตำนานมากมาย

หากยกตัวอย่างให้เข้าใจได้ มันก็คล้ายคลึงกับตัวตนของยูเอฟโอในโลกปัจจุบัน

นิโคลัสคิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้ตัวเขาจะได้มาเห็นมันกับตาตนเอง

‘อืม ดูเหมือนว่าเรื่องวุ่นวายกำลังจะเกิดขึ้น แม้แต่แน็กแรมก็ปรากฏออกมาแล้ว’ เซียวอวี๋ครุ่นคิดในใจ

“ด้านในนั้นมีอะไรอยู่?” นิโคลัสมองแน็กแรมขณะที่ประกายแสงวูบผ่านแววตา

เซียวอวี๋หัวเราะ “พวกอันเดด อันเดดที่แข็งแกร่ง แต่ขณะเดียวกันก็มีสมบัติ”

แน็กแรมนั้นถือเป็นปราการลอยฟ้าที่ทรงพลังที่สุดแห่งยุค ภายในย่อมมีอาวุธอยู่มากมาย ซึ่งอาวุธที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คงไม่พ้น แอชบิงเกอร์

แอชบิงเกอร์ที่เซียวอวี๋ครอบครองอยู่นั้นเป็นของเลียนแบบ ของจริงนั้นสมควรอยู่ในแน็กแรม ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็จะยอดเยี่ยม อาวุธที่ทรงพลังเช่นมันย่อมช่วยยกระดับความแข็งแกร่งให้กับเซียวอวี๋อย่างมาก

“ดูเหมือนเรื่องวุ่นวายกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว….” นิโคลัสถอนหายใจ

“อิม ทุกคนย่อมต้องการสิ่งที่อยู่ภายในนั้น แต่สุดท้าย ผู้ใดจะได้ไปก็ขึ้นอยู่กับโชคแล้ว” เซียวอวี๋ยิ้ม ขณะที่ในใจลอบสาบานกับตน แอชบิงเกอร์จะต้องไม่ตกไปอยู่ในมือของคนอื่น

เซียวอวี๋เฝ้าฝันที่จะครอบครองอาวุธชิ้นนี้มาโดยตลอด

เมื่อครั้งที่ยังเล่นเกม อาวุธที่เซียวอวี๋ชื่นชอบคือ แอชบิงเกอร์ แอชคานดี้ และธันเดอร์ฟิวรี่

แอชคานดี้นั้นไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด เขาไม่รู้ว่าเมื่อใดจึงจะหามันพบ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง ธันเดอร์ฟิวรี่ อาวุธที่หายากยิ่งกว่าหายาก

ดังนั้นเซียวอวี๋จึงมุ่งมั่นที่จะครอบครองแอชบิงเกอร์ให้จงได้!

ในยามเย็น เซียวอวี๋บินขึ้นไปสำรวจดูแน็กแรมอีกครั้ง กระนั้นแน็กแรมก็ยังไม่มีร่องรอยว่าจะเปิดออกเมื่อใด

เซียวอวี๋คร้านที่จะเฝ้าติดตามด้วยตนเอง ดังนั้นเขาจึงสั่งให้ทหารจับตาดูไว้ จากนั้นจึงกลับเมืองไลอ้อนไปเล่นหมากรุกกับนิโคลัส

หลายวันถัดมา ดินแดนของรัฐเว่ยก็ค่อยๆถูกหลอมกลืนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนไลอ้อนและทำให้ดินแดนไลอ้อนเติบโตขึ้นอย่างมาก

ภายใต้การจัดการของสกาเล็ตและเซี่ยชาน หอการค้าฝูลู่ก็เริ่มเฟื่องฟู ทั้งยังเริ่มขยายสาขาออกไป

และด้วยการสนับสนุนจากตระกูลของนิโคลัส สาขาหลายแห่งจึงก่อตั้งขึ้นอย่างราบรื่น เซียวอวี๋ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขารู้สึกโชคดีที่สามารถดึงนิโคลัสมาร่วมมือได้สำเร็จ

ตระกูลของนิโคลัสนั้นเป็นหนึ่งในขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีป ผุ้คนทั่วไปที่ได้เห็นธงของพวกเขาต่างก็มองดูด้วยความยำเกรง

ในช่วงเวลานี้ แน็กแรมได้ลอยเข้าไปยังเขตเทือกเขาอัลคาเกนแล้ว กระนั้นมันก็ยังคงไม่มีสัญญาณว่าจะเปิดออกเมื่อใด

ข่าวเรื่องการปรากฏขึ้นของเมืองลอยฟ้าเริ่มแพร่ออกไป หลายฝ่ายต่างก็ส่งสายสืบเข้ามาตรวจสอบ

สุดท้ายแล้ว นั่นก็เป็นนครลอยฟ้าในตำนาน เรื่องราวเล่าขานเกี่ยวกับมันยังมีนับไม่ถ้วน ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีการเอ่ยถึงขุมทรัพย์ที่รอผู้โชคดีไปคว้ามาครอบครอง….. 

 

 


ตอนที่ 529

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน เมืองไลอ้อนก็เต็มไปด้วยผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ โรงแรมที่พักล้วนถูกจับจอง เซียวอวี๋จำต้องสั่งสร้างกระโจมที่พักขึ้นมาสำหรับพวกนักผจญภัย ซึ่งแน่นอนว่าเขาย่อมต้องเก็บค่าพักแรม

แม้ว่าพวกนักผจญภัยจะไม่พอใจกับภาษีที่ต้องจ่ายและกฏของดินแดนไลอ้อน พวกเขาก็ทำได้เพียงเก็บความไม่พอใจเอาไว้ภายใน นั่นก็เพราะพวกเขาได้เห็นแล้วว่าผู้ที่ฝ่าฝืนกฏนั้นจะเป็นอย่างไร เซียวอวี๋สั่งประหารทุกคนที่ฝ่าฝืนกฏไม่ว่าจะหนักหรือจะเบา นั่นทำให้คนทั้งหมดไม่กล้าสร้างความวุ่นวายอีก

ทุกคนเปลี่ยนเป็นเรียบๆร้อยๆ แม้กระทั่งเหล่าตัวตนขั้นที่หกที่มักทำตามใจอยากก็ยังไม่กล้าสร้างความวุ่นวายที่นี่

เซียวอวี๋ไม่ได้เจอเอกวินน์มาหลายวันแล้ว ทุกครั้งที่เขามาหาล้วนแต่ได้พบกับหลินมู่เสวี่ยที่มีสีหน้าเศร้าโศกอยู่เสมอ เมื่อเซียวอวี๋ถามนาง นางก็เพียงหลั่งน้ำตาไม่ยอมปริปากใดๆ

เซียวอวี๋อับจนหนทาง หลินมู่เสวี่ยไม่ยอมบอกเขาว่าเกิดอะไรขึ้น

ตอนที่แน็กแรมโผล่มา เอกวินน์ออกมาดูเพียงครั้งเดียว หลังจากดูอยู่ครู่หนึ่งก็กลับไป นางไม่แม้แต่จะปริปากเอ่ยวาจา

ดูเหมือนว่าเอกวินน์จะเฉยชาต่อทุกสิ่ง เซียวอวี๋ที่เห็นเช่นนั้นก็กังวลขึ้นมา เพราะเขาเองก็พอจะดูออกว่าเอกวินน์คงเหลือเวลาไม่มากแล้ว

ไม่ว่าอย่างไร เอกวินน์ก็นับว่าเป็นคนดี ถึงแม้จะค่อยไม่ดีต่อเซียวอวี๋ก็ตาม นางก็ไม่ได้คุกคามหรือเป็นอันตรายต่อเขาจริงๆ อีกทั้งนางยังดีต่อหลินมู่เสวี่ยมาก เซียวอวี๋เดาว่าเอกวินน์คงส่งมอบทุกสิ่งทุกอย่างของนางให้หลินมู่เสวี่ยแล้ว นั่นทำให้นางสามารถจากไปได้อย่างไร้กังวล

แม้ว่าเซียวอวี๋จะยินดีอย่างมากที่หลินมู่เสวี่ยจะได้ครอบครองพลังของเอกวินน์ กระนั้นเซียวอวี๋ก็ยังคงรู้สึกเศร้า

ผู้พิทักษ์ที่เคยปกป้องดูแลทวีปแห่งนี้ สตรีที่ยืนหยัดต่อสู้กับความชั่วร้าย มหาจอมเวทย์ที่เก่งที่สุด มารดาที่ตั้งใจอุทิศทุกสิ่งทกอย่างให้บุตรชาย ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นตำนาน…..นางกำลังจะจากไปแล้ว

ทางด้านของจักรวรรดิเมฆาตะวันออก เซียวอวี๋ได้ส่งสิ่งของเพิ่มเติมไปให้ฉินเช่อเพื่อที่เขาจะได้ต่อสู้ได้สะดวกขึ้น ทั้งเซียวอวี๋ยังได้จัดส่งกำลังทหารจำนวนหนึ่งหมื่นนายไปเข้าร่วมสงครามเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์

แม้ทหารเหล่านี้จะเคยมีประสบการณ์ในการบุกยึดรัฐเว่ยมาแล้วก็ตาม แต่นั่นก็แทบไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นสงคราม เพราะส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นผลมาจากการวางแผนของเซียวอวี๋และการปรากฏตัวของพวกคิเมร่า

ด้วยเหตุนั้น ทหารใหม่หลายๆนายจึงยังขาดประสบการณ์อยู่บ้าง และสำหรับมู่หลิงเทียน บุตรชายของมู่หลี่ เซียวอวี๋คาดหวังในตัวเขาไว้มาก

อย่างไรเสีย มู่หลิงเทียนและมู่หลี่ก็จงรักภักดีต่อเขา

ซึ่งครั้งนี้ ผู้บัญชาการที่จะนำกองทหารหนึ่งหมื่นนายไปยังจัรวรรดิเมฆาตะวันออกก็คือ มู่หลิงเทียน

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ขณะที่เซียวอวี๋กำลังพูดคุยกับนิโคลัสอยู่นั้นเอง จู่ๆทั้งโลกก็กลายเป็นเงียบสงัด ราวกับโลกทั้งใบกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลง

ดวงตะวันเริ่มหม่นแสง ไม่ใช่เพราะเมฆนั้นเคลื่อนไปบัง หากแต่เป็นทั้งโลกที่คล้ายจะเปลี่ยนเป็นสีเทาราวกับกำลังไว้ทุกข์

บรรยากาศอันแปลกประหลาดคลี่ปกคลุมทั่วทั้งเมืองไลอ้อน กระทั่งทั้งดินแดนไลอ้อน

ทุกคนพลันรู้สึกผิดปกติ ไม่มีใครทราบว่ารู้สึกผิดปกติที่ใด ทุกคนเพียงรู้สึกว่าโลกนี้เหมือนมีบางสิ่งขาดหายไป

ราวกับดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์พลันหายไป แม้ว่าความจริงดวงอาทิตยืจะยังคงอยู่บนท้องฟ้า ดวงจันทร์ยังจะคงปรากฏยามพลบค่ำ กระนั้นทุกคนกลับรู้สึกราวกับว่าโลกไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

“นาง…ไปแล้วจริงๆ” เซียวอวี๋ยืนนิ่งเงียบ ขระที่หางตาปรากฏหยาดน้ำใสซึมออกมา

นิโคลัสนั้นไม่ทราบชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ในใจของเขาก็รู้สึกเศร้าอย่างไม่ทราบสาเหตุ

ไม่นานฝนก็ตกลงมา โลกทั้งใบเผยกลิ่นอายเศร้าโศก บรรยากาศที่เงียบสงัดทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดใจ

ทั้งนักผจญภัยและผู้คนที่มาจากต่างแดนต่างก็ไร้วาจา พวกเขาไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆพวกเขาก็รู้สึกเศร้าจนพูดไม่ออก

เซียวอวี๋เดินทางไปยังที่พักที่เอกวินน์อาศัยอยู่ ในเวลานี้ ลานบ้านนั้นปกคลุมไปด้วยแสงอันอบอุ่น มันไม่ใช่เวทมนตร์ แต่คล้ายเป็นละอองแสงอันอ่อนโยน

หลินมู่เสวี่ยเดินออกมาจากที่พักและหันมาเห็นเซียวอวี๋ นางโถมเข้าสู่อ้อมแขนของเซียวอวี๋ก่อนจะร่ำไห้อย่างโศกเศร้า เซียวอวี่ลูบหลังของนาง เขาต้องการจะกล่าวปลอบโยน หากแต่เขาเองก็รู้สึกเศร้าจนไม่อาจเอยคำใดออกมา

ยามที่เอกวินน์จากไป นางจากไปอย่างเงียบงัน ผู้ยิ่งใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้โลกต้องสั่นสะเทือน เทพเจ้าที่อยู่ยงคงกระพันในสายตามนุษย์ได้จากไปอย่างสงบ

มหาจอมเวทย์ได้จากไปแล้ว หากแต่นามกรของเอกวินน์จะคงอยู่ตราบนานเท่านาน

ไม่ทราบว่าฮิกกิ้นมาตั้งแต่เมื่อใด นักหลอมสร้างสติเฟื่องผู้นี้ไม่ได้รบกวนเซียวอวี๋ เขาเพียงยืนอยู่ด้านหลังของเซียวอวี๋อย่างเงียบๆ

“ฮิกกิ้น สร้างรูปปั้นของเอกวินน์ขึ้นที่นี่” เซียวอวี๋กล่าวแผ่วเบา

“อืม” ฮิกกิ้นเพียงตอบรับสั้นๆก่อนจะหันหลังจากไป ไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมกับอุปกรณ์และวัสดุต่างๆ จากนั้นเขาก็เริ่มง่วนอยู่กับการผสานวัตถุดิบล้ำค่าต่างๆเพื่อสร้างรูปปั้นที่สมบูรณ์แบบที่สุดในชีวิตของเขา

เซียวอวี๋ยังนำเอาวัตถุดิบที่ล้ำค่าออกมาส่งให้ฮิกกิ้น ตราบที่ฮิกกิ้นต้องการ ไม่ว่าจะสิ่งใด เขาล้วนเอาออกมาอย่างไม่ลังเล เขาเพียงแต่ต้องการจัดสร้างรูปปั้นที่ยอดเยี่ยมที่สุดให้กับเอกวินน์

“ถ้าหากต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมโปรดบอกข้า ข้าจะส่งคนไปจัดหามา” นิโคลัสที่ยืนอยู่ข้างๆกล่าวออกมา ฮิกกิ้นผงกศีรษะก่อนจะหันไปมองกองวัตถุดิบ จากนั้นจึงเขียนรายการสิ่งของส่งให้นิโคลัส แม้ว่าสิ่งของที่เซียวอวี๋นำออกมาจะมีไม่น้อย กระนั้นก็ยังคงขาดบางสิ่ง

นิโคลัสไม่แม้กระทั่งเหลือบมองก่อนจะส่งใบรายการสิ่งของให้คนของเขา “จัดส่งมาโดยเร็วที่สุด หากไม่มีก็ซื้อมา ไม่ว่าราคาเท่าใดก็ตาม”

เซียวอวี๋ยืนนิ่งเงียบอยู่ในลาน เขากุมมือไว้ด้านหน้าพลางลดศีรษะลงต่ำเพื่อเป็นการไว้อาลัยให้กับการจากไปของผู้พิทักษ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทวีป….

 

 

 


ตอนที่ 530

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อ ผู้คนเริ่มมารวมตัวกันที่ด้านนอกของลานเล็กๆแห่งนี้ พวกเขาเพียงยืนนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้น ไม่มีผู้ใดเอ่ยปากกล่าววาจา พวกเขาต่างก็รู้สึกเศร้าโศกกับการจากไปของผู้พิทักษ์ในตำนาน

พรึ่บ!

เกิดเสียงการสั่นไหวของมิติขึ้นอย่างแผ่วเบา เงาร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของเซียวอวี๋ เซียวอวี๋ไม่จำเป็นต้องหันกลับไปมองก็ทราบได้ว่าเป็นผู้ใด ผู้มาเป็นธีโอดอร์เอง

ธีโอดอร์ยกมือปลดหมวกทรงแหลมบนศีรษะลงก่อนจะยืนนิ่งเงียบอยู่เช่นนั้น

ไม่นาน มิติก็เกิดการผันผวนอีกครั้งก่อนที่ชายชราผมขาวจะปรากฏตัวออกมา เขากวาดมองลานเล็กๆที่ปกคลุมไปด้วยอนูวิญญาณของเอกวินน์ก่อนจะปลดหมวกบนศีรษะลงมาไว้แนบอกเพื่อแสดงความไว้อาลัย

เซียวอวี๋หันไปมองอย่างตกตะลึง กลิ่นอายของคนผู้นี้ไม่ด้อยไปกว่าธีโอดอร์เลย ดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะเป็นหนึ่งในสามตัวตนที่เข้าใกล้ตัวตนขั้นที่เจ็ดมากที่สุดในทวีป

หลังจากนั้นไม่ถึงห้านาที มิติก็เกิดการผันผวนขึ้นอีกครั้ง ผู้มานี้ก็มีกลิ่นอายเหมือนกับธีโอดอร์

ชายชราผู้นี้ไม่ได้เอ่ยปากทักทายผู้ใด เขาปรากฏตัวอย่างเงียบๆก่อนจะพึมพำบางอย่าง เกิดละอองเวทขึ้นในอากาศก่อนจะลอยไปปกป้องละอองแสงอันอบอุ่นที่ลอยอยู่ในลาน

จากนั้นชายชราคนนั้นก็ถอยกลับไปยืนที่ด้านข้างของธีโอดอร์และชายชราคนก่อนหน้าอย่างเงียบงัน

สามวันหลังจากนั้น รูปปั้นขนาดใหญ่ก็ตั้งอยู่กลางลานนั้น ขณะที่เปล่งละอองแสงอ่อนๆออกมา

กล่าวได้ว่ารูปปั้นที่ตั้งอยู่นี้ถูกสร้างขึ้นจากวัตถุดิบที่ดีที่สุดเท่าที่จะจัดหาได้จากทวีปนี้แล้ว กระทั่งรูปปั้นของอูเธอร์ที่ผู้คนกราบไหว้บูชาก้ยังไม่ทรงคุณค่าถึงเพียงนี้

หลังจากสร้างรูปปั้นเสร็จ ฮิกกิ้นก็กระอักโลหิตออกมาคำใหญ่ ตัวเขาเหน็ดเหนื่อยอย่างมากเพื่อสร้างรูปปั้นของเอกวินน์ให้สมบูรณ์แบบ ตลอดสามวันมานี้เขาจัดสร้างอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะเหนื่อยล้าทั้งกายใจ

“อาจารย์ฮิกกิ้น ลำบากท่านแล้ว” เซียวอวี๋โค้งตัวให้ฮิกกิ้น แต่ฮิกกิ้นไม่สนใจ เขาเพียงจ้องมองรูปปั้นพลางส่ายศีรษะ “ยังมีบางส่วนที่ขาดไป แม้มันจะดูสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ กระนั้นกลับยังคงขาดซึ่ง’แก่นแท้’”

“อะไรคือ ‘แก่นแท้’ ?” เซียวอวี๋เอ่ยปากถาม

“กลิ่นอาย! ท่านเอกวินน์นั้นเป็นมหาจอมเวทย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แล้วนางจะไม่มีกลิ่นอายอยุ่รอบกายได้อย่างไร แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่อาจจัดสร้าง ข้าไม่แข็งแกร่งพอ ข้าไม่อาจอัดเวทมนตร์เข้าไปเพื่อให้รูปปั้นสมบูรณ์แบบ” ฮิกกิ้นกล่าวอย่างเลื่อนลอย

“ให้พวงกเราจัดการเรื่องนั้นเอง!” ทันใดนั้น ธีโอดอร์และจ้าวมนตราอีกสองคนก็เสนอตัว

ธีโอดอร์หันไปผงกศีรษะกับชายชราอีกสองคนและเริ่มท่องคาถา วงเวทพลันลอยออกมาจากร่างของทั้งสาม แม้ว่ามันจะเป็นวงเวทที่เรียบง่ายอย่างที่สุด กระนั้นมันกลับมีพลังอานุภาพสุดหยั่งอยู่ภายใน ทุกคนอดก้าวที่จะถอยห่างออกมาไม่ได้ พวกเขาไม่อาจทนทานกับกลิ่นอายและพลังอำนาจที่มันเปล่งออกมา

การรวมกันของจ้าวมนตราทั้งสามนั้นเหนือล้ำขอบเขตขั้นที่เจ็ดอย่างสิ้นเชิง หากไม่ระวังให้ดี เมืองไลอ้อนก็อาจจะหายไปในพริบตา

อย่างไรก็ตาม จ้าวมนตราทั้งสามค่อยๆถ่ายทอดพลังเวทมนตร์เข้าไปในรูปปั้น พวกเขาพยายามรีดเค้นเวทมนตร์ออกมาโดยปราศจากความลังเล

ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง จ้าวมนตราทั้งสามก็หยุดมือ ในเวลานี้ รูปปั้นของเอกิวนน์ปลดปล่อยกลิ่นอายเวทมนตร์อันทรงพลังออกมาอย่างเข้มข้นราวกับกลิ่นอายของจ้าวมังกร กลิ่นอายที่ปลกปล่อยออกมานี้ทำให้ผู้ที่มองดูอยู่พลันสูดหายใจอย่างหนาวเหน็บ

“ในที่สุด! ในที่สุดมันก็สมบูรณ์! ท่านเอกวินน์จริงๆ ท่านผู้ยิ่งใหญ่เอกวินน์!…..” ฮิกกิ้นทิ้งตัวนั่งลงกับพื้นพลางจ้องมองรูปปั้นที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายเวทมนตร์อันทรงพลัง เขาหลั่งน้ำตาพลางหัวเราะราวกับคนเสียสติ

“ลำบากผู้อาวุโสทั้งสามท่านแล้ว” เซียวอวี๋กล่าวก่อนจะก้าวออกไปและยื่นน้ำยาฟื้นฟูมานาระดับสูงหนึ่งร้อยขวดให้แต่ละคน น้ำยาฟื้นฟูมานาระดับสูงนี้เซียวอวี่มีอยู่ไม่มากนัก กระนั้นเขาก็ยังคงไม่ลังเลที่จะมอบออกมาเพื่อเป็นการขอบคุณจ้าวมนตราทั้งสาม

ชายชราทั้งสามพยักหน้ารับก่อนจะดื่มน้ำยาฟื้นฟูมานา

หลังจา่กนั้นไม่กี่ชั่วโมง ทุกคนที่มาล้อมวงดูรูปปั้นของเอกวินน์ก็เริ่มพูดคุยกัน

“ในวันพรุ่งนี้ ใช้เวทมนตร์เพื่อส่งสารไปยังสถาบันเวทมนตร์ทุกแห่งให้ไว้อาลัยต่อท่านเอกวินน์…” ธีโอดอร์กล่าว

“นับจากนี้ ในวันพรุ่งนี้ของทุกปีจะเป็นวันรำลึกของผู้ใช้มนตรา เพื่อเป็นการระลึกถึงท่านมหาจอมเวทย์เอกวินน์” ชายชราอีกครั้งกล่าวเสริม

ด้วยเหตุนั้น จอมมนตราหลายคนต่างก้ช่วยกันเขียนจดหมายเวทมนตร์และส่งไปยังสถาบันเวทมนตร์ทุกแห่งเพื่อให้สถาบันเหล่านั้นช่วยกันแจ้งต่อผู้ใช้มนตราทุกคนบนทวีป

ในวันนั้น ผู้ใช้มนตราจากทั่วทุกสารทิศต่างหันมาทางเมืองไลอ้อนเพื่อไว้อาลัยก่อนที่ทุกคนจะยิงเวทมนตร์และสร้างสัญญลักษณ์ขึ้นบนฟ้าเพื่อเป็นการรำลึกถึงเอกวินน์

เซียวอวี๋พยักหน้าและเริ่มจัดเตรียมงานรำลึกให้กับเอกวินน์ในพรุ่งนี้

ในวันถัดมา ทั่วทั้งดินแดนไลอ้อนล้วนประดับไว้ด้วยผ้าดำ เมืองทุกเมืองต่างชักธงดำขึ้นเสา ผู้คนมากมายเดินทางมายังเมืองไลอ้อนเพื่อไว้อาลัย

นักผจญภัยทั้งหมดต่างก็ผลัดกันมาไว้อาลัยลงวางดอกไม้ เซียวอวี๋สั่งให้สถานบันเทิงทั้งหมดหยุดทำการเป็นเวลาสามวันให้พวกนักผจญภัยทั้งหมดพักและกินอยู่ฟรี

ในวันนี้ ทั่วทั้งทวีปต่างก็เต็มไปด้วยบรรยากาสเศร้าหมอง เมื่อจ้าวมนตราทั้งสามปลดปล่อยเวทมนตร์สร้างคำกล่าวภาวนาขึ้นที่บนฟ้าเหนือเมืองไลอ้อน ผู้ใช้มนตราทุกคนในทวีปก็สามารถได้ยินคำภาวนานั้น ท้องฟ้าปรากฏภาพรูปปั้นของเอกวินน์ขึ้น ขอเพียงใช้เวทมนตร์ได้เล็กน้อย คนผู้นั้นย่อมสามารถมองเห็นภาพรูปปั้นที่สร้างจากเวทมนตร์นี้

การกระทำเช่นนี้ต้องใช้เวทมนตร์อย่างมหาศาล กระนั้นจ้าวมนตราทั้งสามก็ไม่ลังเลที่จะทำ

แม้การกระทำนี้จะลดอายุขัยของทั้งสามไปสิบปีก็ตาม

พวกเขาเพียงต้องการแสดงความเคารพต่อเอกวินน์ มหาจอมเวทย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

แม้นางจะจากไปแล้ว แต่นามของนางจะถูกเล่าขานสืบต่อไปตราบนานเท่านาน……

 

 

 


ตอนที่ 531

 

ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล


เซียวอวี๋ไม่ลืมที่จะเชิญจ้าวมนตราทั้งสามไปยังโถงประชุมเพื่อพูดคุย

ต้องทราบว่าทั้งสามเป็นถึงผู้ใช้มนตราที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปเชียวนะ!

เพียงหนึ่งในสามคนนี้ไปถึงที่ใดย่อมสามารถสร้างแรงกระเพื่อมใหญ่โต ตอนนี้พวกเขามารวมกันอยู่ที่เมืองไลอ้อน หากไม่ใช่เพราะเรื่องของเอกวินน์ เรื่องเช่นนี้คงไม่มีวันเกิดขึ้นได้

ความเศร้าโศกชักนำผู้คนมารวมกัน พวกเขามาที่นี่เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อเอกวินน์ เมื่อเซียวอวี๋นำผู้อาวุโสทั้งสามไป นิโคลัสย่อมไม่ยอมพลาดโอกาสและติดตามไปยังห้องโถง

หลินมู่เสวี่ยหลังได้สืบทอดพลังของเอกวินน์ก็แทบไม่ได้ด้อยไปกว่าชายชราทั้งสามเลย

ต้องทราบว่าการสืบทอดพลังครั้งนี้สำคัญยิ่ง มรดกนี้เป็นถึงมรดกพลังของเอกวินน์ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าผู้ใดต่างก็ใฝ่ฝันจะครอบครอง

เซียวอวี๋ย่อมไม่ต้องการให้ผู้ใดมารบกวน ดังนั้นจึงจัดวางกำลังเอาไว้โดยรอบ

“ธีโอดอร์ เจ้านี่มันจริงๆเลย ได้รับประโยชน์มากมายกลับอุบเงียบไว้คนเดียว” ชายชราในชุดคลุมสีขาวที่ดูสูงส่งกล่าวขึ้นเบาๆ

“ไม่เอาน่าชัคหลุน นี่จะตำหนิข้าได้อย่างไร? ข้าก็เคยเล่าสถานการณ์ให้เจ้าฟังแล้วนี่ว่าท่านเอกวินน์ไม่ต้องการให้ผู้ใดมารบกวน แต่ข้าก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้เจ้ามาเสียหน่อย” ธีโอดอร์หรี่ตาลงพลางกล่าวกับชัคหลุนอย่างเจ้าเล่ห์

“เฮ้อ เจ้าช่างโชคดีจริงๆที่มีโอกาสพูดคุยกับท่านเอกวินน์ แต่คราวนี้เจ้าคงไม่คิดจะผูกขาดคุณหนูหลินไว้คนเดียวหรอกนะ?” ชัคหลุนหันไปมองมู่หลินเสวี่ย

“ใช่แล้ว เวลานี้มรดกของท่านเอกวินน์อยู่ในร่างคุณหนูหลิน ไม่ใช่ร่างเจ้า ผลประโยชน์นี้ควรแบ่งให้ผู้ใช้มนตราทุกคน ท่านเอกวินน์เป็นผู้พิทักษ์แห่งทวีป สิ่งที่นางตกทอดไว้ก็สมควรสร้างประโยชน์ให้ทั้งทวีป” จ้าวมนตราอีกคนกล่าวเสริม

“เหอๆ ผู้อาวุโสทั้งสอง นั่นก็ไม่ถูกนะ มู่เสวี่ยเป็นภรรยาของข้า เมื่อพวกท่านกำลังพูดถึงภรรยาของข้า พวกท่านก็สมควรสอบถามความเห็นของข้าก่อน” เซียวอวี๋กล่าวแย้งอย่างสุภาพ ตาแก่สองคนนี้พูดคุยกันราวกับภรรยาของเขาเป็นสมบัติของส่วนรวมเสียอย่างนั้นแหละ

“ดยุคเซียวอย่าเพิ่งเข้าใจผิด พวกเราไม่ได้จะบีบบังคับคุณหนูหลิน นางเป็นผู้สืบทอดของท่านเอกวินน์ ผู้พิทักษ์แห่งทวีป พวกเราจะกล้าไม่ให้ความเคารพนางได้อย่างไร พวกเราจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยเหลือนาง เพื่อที่นางจะได้สืบทอดทุกสิ่งโดยสมบูรณ์” ได้ยินคำกล่าวของเซียวอวี๋ ชัคหลุนก็รีบอธิบาย

ซึ่งอันที่จริง หากเปลี่ยนเป็นบุคคลอื่นกล่าวเช่นนี้ ด้วยตัวตนของชัคหลุนแล้ว เขาก็คงคร้านจะอธิบายใดๆ แต่เวลานี้สถานะของหลินมู่เสวี่ยนั้นไม่ใช่สามัญแล้ว

เซียวอวี๋เป็นคู่หมั้นของหลินมู่เสวี่ย และยังเป็นผู้ที่นำเอกวินน์กลับมา สถานะเหล่านี้ได้ช่วยยกตัวตนของเซียวอวี๋ให้สูงส่งขึ้นกว่าเดิม

“ช่วยเสี่ยวเสวี่ย? เช่นนั้นพวกท่านสามารถช่วยด้วยกัน ใยจึงยังต้องแบ่งแยกด้วยเล่า? ท่านกล่าวราวกับจะแบ่งนางเป็นส่วนๆเสียอย่างนั้นล่ะ” เซียวอวี๋ไม่ยอมถูกหลอก

“ดยุคเซียว เรื่องมันเป็นเช่นนี้ แม้ว่าคุณหนูหลินนั้นเป็นผู้สืบทอดของท่านเอกวินน์ แต่หากว่านางต้องการเรียกใช้พลังขุมนั้น นางก็ยังต้องการอาจารย์คอยชี้แนะ ซึ่งในระหว่างนั้น พวกเราเองก็จะสามารถศึกษาเวทมนตร์ของท่านเอกวินน์ซึ่งจะมีส่วนช่วยต่อพวกเราอย่างมหาศาลไปด้วย หากว่าธีโอดอร์คอยชี้แนะ เช่นนั้นพวกเราทั้งสองคนก็คงหมดโอกาสจะตัดผ่านไปยังขั้นที่เจ็ดแล้ว” ชายชราอีกคนกล่าวขึ้น

“เช่นนี้เอง” ได้ยินดังนั้นเซียวอวี๋ก็เข้าใจ “ท่านคือท่านเฟอร์กูสัน?”

สำหรับนามเฟอร์กูสันนี้ เซียวอวี๋ค่อนข้างคุ้นเคย อย่างไรเสียนี่ก็เป็นนามของหนึ่งในสามจ้าวมนตราที่แข็งแกร่งที่สุด

“อืม ข้าคือเฟอร์กูสัน หัวหน้าจอมเวทย์วังหลวงแห่งอาณาจักรพยัคฆ์เมฆา” เฟอร์กูสันพยักหน้ารับ

เซียวอวี๋เคยได้ยินมาว่าเฟอร์กูสันผู้นี้เคยเป็นที่ต้องการตัวอย่างมาก แต่เขาเป็นจ้าวมนตราที่ภักดีต่ออาณาจักรพยัคฆ์เมฆา หลายฝ่ายต่างก็พยายามจะเชิญเขาไปร่วมด้วย ทว่าสุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว

อาจกล่าวได้ว่านี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมอาณาจักรพยัคฆ์เมฆาจึงยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้ เหตุผลส่วนใหญ่ล้วนเป็นเพราะการดำรงอยู่ของเฟอร์กูสัน มิเช่นนั้นเกรงว่าคงมีตระกูลใหญ่โค่นล้มอาณาจักรพยัคฆ์เมฆาไปแล้ว

เคยมีจ้าวมนตราผู้ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งก้าวล้ำล่วงเกิน คนผู้นั้นจึงถูกเฟอร์กูสันใช้เวทสาปให้เป็นนกก่อนจะถูกกำจัดทิ้งไป

“ถ้าอย่างนั้น เช่นนั้นข้าขอบางสิ่งบ้างได้หรือไม่?” เซียวอวี๋พลันกล่าวขึ้น

เป็นเพราะมรดกของเอกวินน์ ผลกระทบของมันนั้นใหญ่เกินไปจริงๆ มันเป็นโอกาสเดียวที่จะทำให้พวกเขาตัดผ่านไปยังขั้นที่เจ็ด แล้วพวกเขาจะยอมปล่อยให้มันหลุดลอยไปหรือ?

เป็นเพราะตัวตนอันพิเศษของหลินมู่เสวี่ย พวกเขาจึงไม่กล้าใช้กำลังบีบบังคับ และทำได้เพียงถามความเห็นจากเซียวอวี๋และหลินมู่เสวี่ย

ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมีโอกาสตักตวงเช่นนี้ เซียวอวี๋ก็ย่อมไม่ยอมพลาด ด้วยระดับของจ้าวมนตราสองท่านนี้ หากว่าสามารถรีดทรัพย์มาได้ ตัวเขาคงได้กำไรก้อนโต

“นี่….ท่านมีข้อเรียกร้องอะไรหรือ?” ชัดหลุนมองดูเซียวอวี๋ ขณะที่ในใจรู้สึกถึงลางสังหรณ์อัปมงคล เซียวอวี๋ผู้นี้ดูคล้ายกับหมาป่าที่พบเจอแกะอ้วนพี

“อืม….” เซียวอวี๋ฉีกยิ้มก่อนจะกล่าวถึงเงื่อนไขออกมา

หลังจากได้ฟัง เฟอร์กูสันและชัคหลุนก็หน้าเขียวคล้ำ แต่ถึงแม้ว่าคำร้องขอของเซียวอวี๋นี้ออกจะเกินเลยไป พวกเขาก็ยังไม่กล้าตอแยเซียวอวี๋

พวกเขาจะสามารถตัดผ่านไปยังขั้นที่เจ็ดได้หรือไม่นั้นล้วนขึ้นอยู่กับหลินมู่เสวี่ย จะเป็นการดีกว่าหากไม่ไปตอแยเซียวอวี่ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหลินมู่เสวี่ย

ผู้ใดใช้ให้หลินมู่เสวี่ยเป็นภรรยาของเซียวอวี๋กันเล่า?

นิโคลัสทำได้เพียงนั่งกัดฟันด้วยความอิจฉาอยู่ด้านข้าง เขาอยากจะกินเซียวอวี๋ลงไปทั้งตัว เจ้าเซียวอวี๋ผู้นี้ออกจะโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!

แต่นั่นก็ช่วยไม่ได้ ตัวเขาไม่ได้มีภรรยาดีเช่นหลินมู่เสวี่ย ดังนั้นจึงทำได้เพียงอิจฉาแต่ทำอย่างไรไม่ได้…..

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม