World of Warcraft ราชันต่างภพ 486-503

ตอนที่ 486

 

เซียวอวี๋มองดูคฤหาสน์อย่างชื่นชม เทียบกับคฤหาสน์ที่เบื้องหน้าแล้ว คฤหาสน์ที่เมืองไลอ้อนของเขาก็ไม่ต่างจากกระท่อมคนจน แต่เรื่องนี้ก็ตำหนิเขาไม่ได้ เขาต้องเผชิญสถานการณ์ล่อแหลมไม่หยุดหย่อน ต้องติดพันอยู่กับการทำสงครามเพื่อขยายดินแดนจนไม่มีเวลาไปใส่ใจ


ตอนนี้ ความแข็งแกร่งของดินแดนของเขาก็นับว่าพอเชิดหน้าชูตาภายในทวีปได้ ทว่าที่พักส่วนตัวถึงกลับสู้จวนเจ้าเมืองเล็กๆไม่ได้

ภายในคฤหาสน์ มีบ่าวรับใช้ชายและหญิงอยู่นับร้อย ทุกที่ทางล้วนได้รับการทำความสะอาดอยู่เสมอ นี่ทำให้เซียวอวี๋มองอย่างสบายตาสบายใจ

โดยเฉพาะกับกลุ่มสาวงามที่มิรันด้าจัดไว้ให้ปรนนิบัติที่ทำให้เซียวอวี๋ถึงกับหัวหมุนงุนงง

“นายท่าน ขอเชิญที่ห้องอาบน้ำ” เพียงเข้ามาในห้องโถง หญิงสาวใบหน้ารูปไข่ก็ยิ้มรับพลางยกถาดชาเข้ามาอย่างนอบน้อม

ท่าทีอันนุ่มนวลเช่นนี้ทำให้เขานึกถึงคุณหนูอ่อนโยนตามภาพยนตร์ ยิ่งคิดเซียวอวี๋ก็ยิ่งรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมา

“มารดามัน นี่คือชีวิตของคนรวยสินะ เทียบกันแล้ว ข้ากลับต้องใช้ชีวิตอย่างยาจกมาตลอด” เซียวอวี๋ทอดถอนใจ

เซียวอวี๋ถึงกับอยากใช้ชีวิตหาความสุขอยู่ในเมืองเช่นนี้เมื่อได้รับการบริการอย่างครบวงจรดั่งเช่นที่เคยได้ยินได้ฟังมา แต่ครู่หนึ่งเขาก็สลัดความคิดทิ้งไป เขามาที่นี่เพื่อทำงาน ยังจะฟุ้งซ่านไปใย

แต่ถึงกระนั้น หากว่าเขาไม่สนใจและขับไล่คนที่ส่งมาปรนนิบัติ มิรันด้าก็อาจจะเกิดความสงสัยได้

ด้วยเหตุนี้ เซียวอวี๋ต้องไม่ทำตัวกระโตกกระตากและเพลิดเพลินไปกับการรับการปรนนิบัติ

เซียวอวี๋ลุกขึ้นจากเก้าอี้ จากนั้นจึงติดตามบ่าวรับใช้หญิงไปยังส่วนอาบน้ำ

เมืองเม็กแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขา ดังนั้นที่นี่จึงมีบ่อน้ำพุร้อนอยู่มากมาย เหล่าชนชั้นสูงของที่นี่ต่างก็มีบ่อน้ำร้อนเป็นของตัวเอง

เซียวอวี๋ไม่คิดว่าบ่อน้ำร้อนจะให้ความสดชื่นได้เพียงนี้ ภายใต้การนำทางของบ่าวรับใช้หญิง เซียวอวี๋ก็มาถึงบ่อน้ำและพบว่าที่นี่มีหญิงรับใช้หน้าตางดงามหลายนางมายืนคอยอยู่ก่อนแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น แต่ละนางล้วนแต่แต่งกายน้อยชิ้นเพียงปกปิดจุดสำคัญเท่านั้น ทั้งชุดของพวกนางยังบางจนสามารถมองทะลุ พวกนางมารอยคอยปรนนิบัติเซียวอวี๋

เซียวอวี๋แสร้งยกมือขึ้นลูบจมูก แท้จริงพยายามกดไม่ให้เลือดกำเดาไหลออกมา ‘ท่านย่ามัน ช่างสุดยอดจริงๆ มีคนสวยๆตั้งหลายคนแบบนี้ ต้องการชีวิตกันหรือไร’

เซียวอวี๋เพิ่งเคยได้รับการปรนนิบัติเช่นนี้เป็นครั้งแรก แต่เขาก็ต้องรักษาสีหน้าเอาไว้และแสร้งเป็นเฉยชาราวกับพบเจอเรื่องเช่นนี้เป็นประจำอยู่แล้ว

ที่ขอบบ่อ เซียวอวี๋เพิ่งพยายามรักษาท่าทีที่เป็นธรรมชาติ แต่สตรีที่นำทางเขามาก็เดินเข้ามาประชิดร่างของเขา

หญิงงามคนอื่นๆเองก็รุมล้อมเข้ามาเพื่อช่วยนวดเฟ้นและถอดชุดออก

‘แม่เจ้า ถึงกับไม่ต้องถอดเอง ชีวิตแบบนี้มัน….เฮ้อ มีชีวิตอยู่มาตั้งหลายปี ได้เจอเรื่องสุดยอดก็วันนี้ หากข้ามีอำนาจยิ่งใหญ่แล้ว ข้าจะมีสาวงามนับร้อยๆคอยจัดการสวมเสื้อถอดเสื้อทุกวัน โอ แม้แต่ตอนจะกิน ก้ให้พวกนางป้อนถึงปาก….ตอนที่กินอยู่ ข้าก็จะแอบมองหน้าอกพวกนาง โว้ว….หากข้าได้เป็นราชา….และหากได้เป็นจักรพรรดิ….’

เซียวอวี๋ครุ่นคิดฟุ้งซ่าน ขณะเดียวกัน เหล่าหญิงงามก็ช่วยกันปลดสายรัดเอวของเขาออก ซึ่งเซียวอวี๋ก็ปล่อยให้พวกนางจัดการตามสะดวก

ในฐานะบุรุษที่ได้พบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้แล้ว เขารู้สึกลอยล่องราวกับอยู่ในฝัน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกผ่อนคลายที่ช่วงเอว

ใบหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่โชคดีที่หญิงสาวเหล่านั้นไม่ทันสังเกตุ ตอนนี้พวกนางพับเก็บชุดของเซียวอวี๋ไปพลางลงมือนวดเฟ้นให้ก่อนจะอาบน้ำ

เซียวอวี๋รู้สึกวาบหวิวที่ช่วงล่าง น้องชายของเขาพลันลุกขึ้นผงาดอย่างอาจหาญอยู่ภายใต้กางเกง ทันใดนั้นริมฝีปากของเขาก็ถูกประกบปิดโดยหญิงสาวนางหนึ่ง

นางมองสบสายตากับเขาก่อนจะยื่นมือไปลูบคลำน้องชายของเขาอย่างนุ่มนวล จากนั้นกางเกงที่สวมใส่อยู่ก็ถูกถอดออก

ดังนั้นตอนนี้เซียวอวี๋จึงเปลือยกายล่อนจ้อนอย่างสมบูรณ์ภายใต้สายตาของหญิงงามโดยรอบ ในใจของเซียวอวี๋เต้นกระหน่ำไม่เป็นจังหวะ ต่อหน้าหญิงงามแปลกหน้าหลายนาง เขากลับไม่เหลือสิ่งใดปกปิดแล้ว

เพื่อสลัดหลุดจากสถานการณ์กระอักกระอ่วน เซียวอวี๋พลันกระโดดลงบ่อน้ำร้อนและเริ่มเพลิดเพลินไปกับมัน

เมื่อมีน้ำคอยปกปิด เซียวอวี๋ก็รู้สึกเป็นธรรมชาติขึ้นเล็กน้อย แม้จะทำท่าทีไม่สนใจ แต่เขาก็แทบสะกดกลั้นไว้ไม่ไหว

อย่างไรก็ตาม เซียวอวี๋ยังไม่รู้ว่ามีอะไรรอเขาอยู่ เมื่อเห็นเซียวอวี๋ลงบ่อน้ำไปแล้ว หญิงงามหลายนางนั้นติดตามลงไปก่อนจะถอดเสื้อผ้าส่วนที่เหลือออกจนหมด

ด้วยเหตุนั้น เซียวอวี๋จึงได้เห็นภาพที่เคยได้แต่เห็นในหนัง กลุ่มภูเขาหิมะละลานตา ตอนนี้เขาได้ชมมองอย่างเต็มสองตาแล้ว

เซียวอวี๋รู้สึกพลุ่งพล่านจนยากจะควบคุม เขารีบหลับตาลงก่อนจะถอนหายใจออกมา ‘ท่องเอาไว้ๆ เพื่อช่วยแม่และน้องสาวของสกาเล็ต เวลานี้ข้าต้องอดทนเอาไว้’

สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินไปกว่าชั่วโมง

เซียวอวี๋ออกจากห้องอาบน้ำอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก จากนั้นเขาก็กลับไปที่ห้องนอนโดยการนำทางของหญิงรับใช้

เมื่อมาถึงห้องนอน เขาก็พบว่าภายในห้องมีหญิงสาวผมสีบรอนด์หน้าตางดงามอายุราวสิบห้าสิบหกปีกำลังนั่งรอเขาอยู่บนเตียง……

 

 

 


ตอนที่ 487

 

“นายท่าน สตรีนางนี้เป็นองค์ชายมิรันด้าจัดเตรียมไว้ให้ท่านโดยเฉพาะ หวังว่านายท่านจะพึงพอใจนะเจ้าคะ” หญิงรับใช้กล่าวด้วยรอยยิ้ม


เซียวอวี๋ลูบจมูก มิรันด้ากระตือรือร้นไปแล้ว การปรนนิบัติก่อนหน้ายังไม่พอ ตอนนี้ยังจัดส่งหญิงสาวงดงามมาอุ่นเตียงอีก

ดูเหมือนมิรันด้าจะกังวลสนใจตัวเขาเสียจริงๆ ซึ่งอันที่จริง ที่เซียวอวี๋ไม่ทราบก็คือ การปฏิบัติแบบนี้ไม่ถือเป็นเรื่องแปลกพิสดารในหมู่ชนชั้นสูง

ในยุคนี้ หญิงงามมักเป็นของขวัญที่ใช้มอบต่อกัน

จิตสำนึกสั่งให้เขาปฏิเสธ อย่างไรเสีย มองปราดเดียวก็ทราบได้ว่าสตรีนางนี้แตกต่างจากหญิงรับใช้คนอื่นๆ ชัดเจนว่านางเป็นสตรีพรหมจรรย์ที่ถูกจัดส่งมาให้เขาโดยเฉพาะ

หากว่าครอบครองสตรีนางนี้ คงบังเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นไม่น้อย ในใจของเขารู้สึกหนักอึ้ง

หญิงรับใช้ที่นำทางมาพลันล่าถอยออกไป ทิ้งให้เซียวอวี๋อยู่กับหญิงสาวตามลำพัง ส่วนอิลิดันนั้นคอยเฝ้าระวังอยู่บนหลังคาตึกเพื่อที่จะสามารถสอดส่องได้รอบทิศทาง

อิลิดันเห็นแล้วว่ามีหลายคิดลอบเข้ามาตรวจสอบที่นี่ แต่สุดท้ายก็ถอยกลับไป แน่นอนว่าคนเหล่านั้นพอจะประมาณความแข็งแกร่งของอิลดันได้ สุดท้ายจึงจำต้องล่าถอยกลับไป

เซียวอวี๋เดาว่า คนเหล่านั้นคงเป็นคนที่ถูกมิรันด้าส่งมาตรวจสอบเขา แต่สุดท้ายก็ทำไม่สำเร็จ พวกนั้นประเมินความแข็งแกร่งของอิลิดันต่ำไป

ต่อให้เป็นยอดฝีมือขั้นที่หกโผล่มา อิลิดันในตอนนี้ก็สามารถรับมือได้

นอกจากนี้ อิลิดันยังมีประสาทเฉียบไวต่อลมหายใจใดๆ นั่นเพราะเขามีทักษะเนตรกระจ่าง กระทั่งมือสังหารขั้นที่หกก็อย่าหวังจะเล็ดลอดผ่านเขาไปได้

เซียวอวี๋มองสตรที่เบื้องหน้าอย่างลังเลครู่หนึ่ง อย่างไรก็ตาม หญิงสาวลุกขึ้นจากเตียงและเดินมาหาเขาด้วยรอยยิ้ม “คุณชาย ข้าน้อยมีนามว่าหมี่ไค่เอ๋อร์ หวังว่าข้าจะสามารถมอบความสุขให้กับคุณชายได้”

เซียวอวี๋เห็นใบหน้าแข็งเกร็งของนาง เขาก็รู้ทันทีว่านางกำลังฝืนใจอยู่ กระนั้น เรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นทั่วทั้งทวีปอยู่แล้ว สตรีมากมายจากครอบครัวยากไร้มักมีผลลงเอยเช่นนี้

เพื่อหาเลี้ยงครอบครัวแล้ว พวกนางจำต้องขายเรือนร่างของตนเอง

สำหรับหญิงสาวนางนี้ เซียวอวี๋รู้สึกเวทนานางนัก “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เต็มใจ วางใจเถอะ ข้าไม่ใช่คนประเภทนั้น ข้าจะไม่บีบบังคับเจ้า”

เมื่อได้ยินคำพูดของเซียวอวี๋ นางก็สั่นสะท้านอย่างหวาดวิตก น้ำตาพลันเอ่อไหลออกมา “คุณชาย ข้าจะทำทุกสิ่งตามที่ท่านต้องการ แต่ได้โปรดอย่าขับไล่ข้าน้อยเลย ไค่เอ๋อร์จะปรนนิบัติคุณชายอย่างดีที่สุด”

เห็นท่าทางหวาดวิตกของนางแล้ว เซียวอวี๋ก็นิ่งตะลึง จากนั้นก็พลันเข้าใจได้ ตัวนางคงถูกเฝ้าจับตาดูอยู่ หากนางไม่ยอมปรนนิบัติเขา ตัวนางคงถูกลงโทาอย่างหนัก

ชีวิตเช่นนี้ช่างน่าเวทนานัก

เซียวอวี๋เดินไปรอบห้องอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจได้ แม้ว่าเขาจะไม่ครอบครองนางในคืนนี้ นางก็คงต้องถูกส่งต่อให้คนอื่นๆอยู่ดี เช่นนั้นมิสู้ให้นางอยู่กับเขา หลังจากครอบครองนางแล้ว เขาก็แค่ต้องพานางกลับดินแดนไลอ้อนด้วยกัน

เช่นนั้น ชีวิตความเป็นอยู่ของนางก็คงดีกว่าตอนนี้

หลังจากใคร่ครวญดูแล้ว เซียวอวี๋ก็กล่าวว่า “ข้าไม่ได้ตำหนิเจ้าไม่ดี วางใจได้ ข้าจะไม่ไล่เจ้าไปแล้ว นับจากนั้นเจ้าเป็นของข้า ติดตามข้า แล้วเจ้าจะไม่ผิดหวัง”

เมื่อหมี่ไค่เอ๋อร์ได้ฟัง นางก็ปาดเช็ดน้ำตาก่อนจะหยุดร้องไห้ นางค่อยๆลุกขึ้นยืนก่อนจะกอดเซียวอวี๋ อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่านางไม่ประสีประสาในเรื่องนี้ นางค่อยๆปลดเสื้อผ้าของเซียวอวี๋อย่างเก้ๆกังๆ เมื่อเห็นร่างกายเปลือยเปล่าของเซียวอวี๋ ใบหน้าอันน่ารักของนางก็แดงสดใส นางเขินอายจนไม่ทราบจะวางมือไม้ไว้ที่ใด

เห็นเช่นนี้ เซียวอวี๋ก็หัวเราะเสียงดัง และดึงไค่เอ๋อร์เข้าอ้อมอกก่อนสอดมือเข้าไปในร่มผ้า

ทั้งความเอียงอาย และบริสุทธิ์ไร้เดียงสาอย่างน่ารักของนางทำให้ผู้คนหลงใหลโดยง่าย สิ่งนี้แตกต่างจากเสน่ห์เต็มสาวของสกาเล็ตอย่างสิ้นเชิง สกาเล็ตนั้นเหมือนกับดอกกุหลาบที่บานสะพรั่ง ขณะที่ไค่เอ๋อร์เปรียบดังดอกทานตะวันในหุบเขา

คืนนั้น เซียวอวี๋รู้สึกว่ามันจึงเป็นวันที่มีความหมาย นี่ล่ะคือการใช้ชีวิต

มองดูไค่เอ๋อร์ที่มีน้ำตาบนใบหน้าขณะหลับแล้ว เซียวอวี๋ก็อดจุมพิตเบาๆที่หางตาของนางไม่ได้ หลังจากโรมรันกันทั้งคืน นางคงเหน็ดเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด

“คุณชาย….ท่านตื่นแล้ว” ไค่เอ๋อร์ตื่นขึ้นอย่างกังวล เห็นนางเป็นเช่นนี้แล้ว เขาก็รู้ว่านางคงใช้ชีวิตผ่านมาอย่างหวาดกลัว ในใจก็รู้สึกรักเวทนา

เซียวอวี๋พยักหน้าก่อนจะกล่าวว่า “อืม ไค่เอ๋อร์ เจ้าอย่างได้กลัว นับจากนี้เจ้าคือสตรีของข้า ข้าจะปกป้องเจ้า ตราบที่ข้ายังยังอยู่ จะไม่มีผู้ใดทำร้ายเจ้าได้”

คำพูดของเซียวอวี๋ทำให้ไค่เอ๋อร์นิ่งงันไป ในความคิดของนาง เมื่อบุรุษนี้เชยชมนางแล้วเขาก็คงสลัดนางทิ้งเสมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า

‘ใยเขาจึงกล่าวเช่นนี้? หรือเป็นเพราะความงามของข้า? ข้าได้รับความรักจากเขางั้นหรือ? แต่มันจะดำรงคงอยู่ได้นานเพียงใดกัน?’

ในฐานะที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในตระกูลใหญ่มาตั้งแต่เด็ก นางทราบดีว่าสตรีอย่างนางก็เป็นได้แค่ของเล่นสำหรับบุรุษ

ด้วยเหตุนั้น เมื่อได้ยินคำพูดของเซียวอวี๋ นางจึงไม่ได้คาดหวังอะไรนักและเพียงยิ้มบาง “ตราบที่ทำให้คุณชายพอใจและไม่ติติงผู้น้อยต่อองค์ชายมิรันด้า แค่นั้นก็ข้าก็ยินดีแล้วเจ้าค่ะ”

เซียวอวี๋ยกมือลูบแผ่นหลังของนางเบาๆพลางเผยรอยยิ้ม ” อย่างไร? ข้าบอกแล้วว่านับจากนี้เจ้าเป็นสตรีของข้าและไม่มีเกี่ยวข้องกับมิรันด้าอีก นับจากนี้เจ้าเป็นอิสระแล้ว เจ้าอยากไปที่ใดก็ได้ตามที่เจ้าต้องการ บอกมาสิว่าเจ้าอยากได้อะไร ข้าจะมอบมันให้เจ้า”

กล่าวจบเซียวอวี๋ก็รู้สึกกระตือรือร้น บุรุษที่ปกป้องสตรีของตนได้จึงจะเป็นบุรุษที่ดี

ตอนนี้เซียวอวี๋มีทุนรอนแล้ว บนเส้นทางของเขา ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร หากกล้ามาขวางทาง เขาจะจัดการอีกฝ่ายโดยมิเกรงกลัว ซึ่งอันที่จริง ขุมอำนาจแกร่งๆหลายฝ่ายก็เป็นศัตรูของเขาอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องกลัวอีก

ก็จริงที่จักรวรรดิแลนซ์นั้นเป็นจักรวรรดิที่เข้มแข็งเรืองรอง กระนั้นก็ยังห่างไกลจากตระกูลของนิโคลัสและศาสนจักร ตอนนี้เซียวอวี๋ถือเป็นศัตรูคู่อาฆาตของศาสนจักรแล้ว ดังนั้นจักรวรรดิแลนซืจึงไม่อยู่ในสายตาของเขา

กระทั่งทั้งจักรวรรรดิยังไม่ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเพียงองค์ชายองค์หนึ่ง

คิดถึงตรงนี้ เขาก็ไม่ใส่ใจมิรันด้าอีก ‘รอทหารของข้ามาถึงก่อนเถอะ ข้าจะถล่มมารดามันและปล้นเมืองเม็กนี้อีกครั้งดุจเดียวกับที่บิดาของข้าเคยกระทำ’

เซียวอวี๋โอบกอดไค่เอ๋อร์ไว้ในอ้อมอกพลางเค้นคลึงนางเบาๆขณะที่แววตาฉายแสงเจิดจ้า เขากำลังครุ่นคิดหาวิธีจัดการกับมิรันด้า

ในยามบ่าย เจ้าหน้าที่หญิงก็มาหาเซียวอวี๋และกล่าวว่า “เรียนคุณชาย องค์ชายมิรันด้าต้องการเชิญท่านเข้าพบที่จวนของเจ้าเมืองเจ้าค่ะ”

เซียวอวี๋พยักหน้า “เข้าใจแล้ว”

เซียวอวี๋ทราบว่าอีกฝ่ายไม่ได้เชิญเขาไปมอบของขวัญอะไร หากแต่เป็นการพูดคุยเรื่องธุรกิจ ดังนั้นเซียวอวี๋ย่อมต้องไป

เซียวอวี๋เปลี่ยนชุดและให้ไค่เอ๋อร์รออยู่ที่นี่ จากนั้นจึงออกไปพร้อมกับอิลิดัน

มีรถม้าถูกจัดเตรียมไว้ที่นอกประตู เซียวอวี๋ขึ้นไปนั่งอย่างสบายอารมณ์พลางชมวิวทิวทัศน์ไปตลอดทาง หลังจากนั้นราวสิบนาที เขาก็มาถึงด้านนอกของอาคารสูงแห่งหนึ่ง

เซียวอวี๋มองดูจวนเจ้าเมือง ตัวอาคารดูโอ่อ่าตระการตาไม่เลว นี่ยังดีกว่าจวนของเขาที่เมืองไลอ้อนมาก

ที่ประตู มิรันด้ายืนอยู่พร้อมรอยยิ้ม ที่ด้านหลังของเขามีคนมากมายออกมายืนต้อนรับ

นี่แสดงให้เห็นว่ามิรันด้าใส่ใจต่อเซียวอวี๋เพียงใด

“องค์ชายท่านให้เกียรติกันเกินไปแล้ว” เซียวอวี๋เร่งกล่าวกับมิรันด้า กระนั้นท่าทีของเขากลับไม่มีร่องรอยตามคำพูดแต่อย่างใด นี่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้ยำเกรงต่อตัวตนของมิรันด้าเลย

เหล่าผู้คนที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของมิรันด้า เมื่อได้เห็นท่าทีของเซียวอวี่เข้า ทั้งหมดก็แสดงความประหลาดใจและเริ่มยำเกรง ท่าทีที่ไม่เห็นมิรันด้าอยู่ในสายตานี้ แน่นอนว่าคนผู้นี้จะต้องมีที่ให้ถือดีอย่างแน่นอน

“เป็นครั้งแรกที่คุณชายเซียวมาเยือนจวนเจ้าเมือง ข้าแน่นอนว่าย่อมต้องออกมารับด้วยตัวเอง” มิรันด้ายิ้มก่อนจะเดินไปอยุ่ด้านข้างของเซียวอวี๋แล้วจับมือของเซียวอวี๋ไว้ด้วยท่าทีมีลับลมคมใน มิรันด้ายื่นหน้าเข้าไปกล่าวที่ข้างหูของเซียวอวี๋ “คุณชาย สาวงามที่ส่งไปถูกใจท่านหรือไม่?”

เซียวอวี๋พลันเผยยิ้มยินดีก่อนจะตอบว่า “องค์ชายช่างวิเศษนัก ไม่ทราบว่าท่านไปหานางงามน้อยเช่นนั้นมาจากที่ใด ข้าชมชอบนางยิ่ง ข้าแทบจะไม่อยากรุดมาพบกับท่านเพราะอยากเสพสุขอยู่กับนาง”

ได้ยินเซียวอวี๋กล่าวเช่นนั้น แม้มิรันด้าจะเจ็บปวดใจ แต่เขาก็รีบปั้นยิ้มพลางกล่าวว่า “ในเมื่อคุณชายชมชอบ เช่นนั้นก็ถือว่ายกนางให้กับท่านเถอะ”

เซียวอวี๋พยักหน้ายิ้มรับ “เช่นนั้นข้าไม่สุภาพแล้ว ขอบคุณองค์ชาย”

จากนั้นมิรันด้าก็แนะนำเซียวอวี๋ต่อคนอื่นๆ บางคนเป็นแม่ทัพในสังกัดของมิรันด้า ขณะที่อีกหลายๆคนเป็นคนของหอการค้าฝูลู่

หลังจากได้พบกับทุกคนแล้ว เซียวอวี๋ก็เอ่ยปากถาม “องค์ชาย ข้าได้ยินมาว่าผู้นำคนเก่าของหอการค้าฝูลู่ สกาเล็ตนั้นเป็นสตรีที่มีรูปโฉมงามงด ไม่ทราบตอนนี้นางอยู่ไหนหรือ?”

ได้ยินเซียวอวี๋พูดถึงสกาเล็ต มิารันด้าก็ไม่ได้ประหลาดใจ สกาเล็ตนั้นเรียกได้ว่าเป็นสาวงามที่มีชื่อเสียงของจักรวรรดิ หากเป็นบุรุษย่อมต้องให้ความสนใจต่อนาง

“ตอนนี้สกาเล็ตยังมาไม่ถึง แต่ไม่ช้านางจะต้องถูกจับแน่ หรือว่าคุณชายเซียวก็สนใจในตัวนางด้วย? หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะให้คุณชายได้ลิ้มรสนางเป็นคนแรก” เพื่อการร่วมมืออันราบรื่น มิรันด้าย่อมไม่ตระหนี่ถี่เหนียว

เซียวอวี๋หัวเราะก่อนจะกล่าวว่า “ข้าจะตั้งตารอเลยล่ะ”

หากแต่ในใจนั้นลอบสบถด่าไม่หยุด ‘ท่านย่ามัน ไม่รู้จักดีชั่ว กล้าคิดจะขายภรรยาของข้า คอยดูว่าลูกพี่จะจัดการเจ้าอย่างไร’

“ถึงอย่างนั้น แต่คุณชายก็เพิ่งได้เสพสมกับน้องสาวของนางไป รู้สึกดีใช่หรือไม่? ได้ขึ้นขี่ทั้งพี่ทั้งน้อง นั่นคงเป็นความรู้ที่ยอดเยี่ยม” มิรันด้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ว่ากระไร? ไคเอ๋อร์เป็นน้องสาวของสกาเล็ต?” ได้ยินเช่นนี้ เซียวอวี๋ก็นิ่งตะลึง

 

 

 


ตอนที่ 488

 

‘มารดามันเถอะ! ไค่เอ๋อร์กลับเป็นน้องสาวของสกาเล็ต งานเข้าแล้ว ลูกพี่กลับหลับนอนกับน้องเมีย เรื่องนี้จะอธิบายกับนางอย่างไร?’ เซียวอวี่คร่ำครวญ ไม่ทราบจะสู้หน้าสกาเล็ตได้อย่างไร


เขามาที่นี่เพื่อช่วยมารดาและน้องสาวของสกาเล็ตออกไป ทว่าผลลัพธ์กลับเป็นเขามาหลับนอนกับน้องสาวนาง เขาอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี

อย่างไรก็ตาม หลังจากใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง เขาก็พบว่าสถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายถึงเพียงนั้น อย่างไรเสีย หากไค่เอ๋อรไม่ได้มาพบกับเขา นางก็คงต้องไปร่วมเตียงกับมิรันด้าหรือคนอื่นอยู่ดี ในเมื่อทำไปแล้ว มันก็คงดีกว่าผลักไสนางไปให้ผู้อื่นปู้ยี่ปู้ยำ

คิดถึงตรงนี้ เซียวอวี๋ก็ระบายลมหายใจ

“อาใช่แล้ว ยังมีมารดาของสกาเล็ต…แม้อายุจะมากไปบ้าง ทว่านางก็นับเป็นสตรีชั้นยอดนางหนึ่ง ไม่ทราบคุณชายเซียวรู้สึกสนใจหรือไม่?” มิรันด้าคิดจะยกพวกนางแม่ลูกให้กับเซียวอวี๋ เพื่อประจบเอาใจเซียวอวี๋แล้ว มิรันด้าย่อมต้องทุ่มทุน

ได้ยินคำพูดของมิรันด้า เซียวอวี๋ก็ตกตะลึง เขาร่วมรักกับน้องสาวของสกาเล็ตไปแล้ว หากให้ร่วมรักกับมารดาของนางอีก มันก็คงจะเกินไปมาก

อย่างไรก็ตาม หากว่าเขาไม่รับเอาไว้ ไม่รู้ว่ามิรันด้าจะยกนางให้กับผู้อื่นอีกหรือเปล่า หากเป็นเช่นนั้น ไม่สู้รับนางมาไว้ข้างกายจะปลอดภัยกว่า

“อืม ได้ทั้งแม่ทั้งลูก นั่นคงเป็นรสชาติที่ไม่เลว ฮ่าฮ่า….องค์ชายท่านช่างใจกว้างดุจมหาสมุทรจริงๆ” เซียวอวี๋เผยสีหน้ายินดี

“เหอเหอ….ข้าจะจัดส่งนางไปให้ท่านที่คฤหาสน์ คืนนี้คุณชายจะต้องมีความสุขอย่างแน่นอน” มิรันด้าหัวเราะ

เซียวอวี๋ลอบสบถอยู่ในใจ ‘รอก่อนเถอะ ลูกพี่จะจัดการเจ้าจนสิ้นซาก’

เซียวอวี๋และคนอื่นๆต่างพูดคุยสังสรรค์กันอย่างราบรื่น สุดท้าย เซียวอวี๋และมิรันด้าก็ตกลงทำธุรกิจร่วมกัน จากนั้นจึงค่อยแยกย้ายกันกลับ

เมื่อเซียวอวี๋กลับมาถึงคฤหาสน์ เจ้าหน้าที่หญิงก็มาแจ้งว่า มารดาของสากเล็ตถูกส่งตัวมาแล้ว เซียวอวี๋ผงกศีรษะ ‘มิรันด้านี่รู้จักซื้อใจคนจริงๆ’

ตอนนี้ เมื่อได้ตัวมารดาและน้องสาวของสกาเล็ตมาพร้อมแล้ว เซียวอวี๋ก็สามารถจากไปได้แล้ว อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของเขาย่อมไม่เพียงแค่ช่วยเหลือพวกนางออกมาเท่านั้น

เขายังต้องการช่วยเซี่ยชานและบุคคลากรคนอื่นๆออกมาด้วย

เมื่อเดินเข้าไปในคฤหาสน์ ไค่เอ๋อร์และมารดาของนางที่ต่างก็มีใบหน้าอาบน้ำตาก็สังเกตุเห็นเซียวอวี๋ ไค่เอ๋อร์รีบเดินเข้ามาหาเซียวอวี๋ก่อนจะย่อกายคำนับ “คุณชาย ข้าขอวิงวอนต่อท่าน ขอท่านอย่ารังแกท่านแม่ข้าเลย ข้าจะทำทุกอย่างตามที่คุณชายต้องการ”

เซียวอวี๋มองไค่เอ๋อร์ที่ด้านหน้า ก่อนจะเบนสายตาไปมองสตรีที่มีเสน่ห์เต็มสาวที่ยืนร้องไห้อยู่ด้านหลัง ในใจก็รู้สึกเวทนา โชคดีที่พวกนางได้พบกับเขาโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นชะตากรรมของพวกนางแม่ลูกคงเลวร้ายเกินบรรยาย

เซียวอวี๋โบกมือไล่เจ้าหน้าที่หญิงและคนอื่นๆออกไป จากนั้นจึงปิดประตูลง

ไค่อเอ๋อร์และแม่ของนางมองดูการกระทำของเซียวอวี๋แล้วก็คิดว่าเขาจะจัดการพวกนางทั้งแม่ลูก ดังนั้นนั้นทั้งสองจึงกอดกันด้วยความกลัว

เซียวอวี๋ยกมือเกาจมูกก่อนจะกล่าวอย่างบริสุทธิ์ใจ “ข้าดูเป็นคนร้ายเช่นนั้นหรือ?”

ไค่เอ๋อร์ร้องไห้สะอึกสะอื้น “คุณชาย วิงวอนท่าน….”

ดูเหมือนมารดาของนางก็รู้สึกสิ้นหวังเช่นกัน แววตาของนางฉายแววตื่นกลัว

เซียวอวี๋หย่อนก้นนั่งบนเก้าอี้ก่อนจะกล่าวอย่างจนใจ “วางใจเถอะ ข้าไม่ใช่สัตว์ป่า ข้าไม่ทำเรื่องแบบนั้นหรอก”

เซียวอวี๋รินชาใส่แก้วก่อนจะยกขึ้นจิบ “พวกเจ้ารู้จักสกาเล็ตหรือไม่?”

ได้ยินคำถามของเซียวอวี๋ ไค่เอ๋อร์กับมารดาก็นิ่งตะลึงงัน ทั้งคู่มองเซียวอวี๋ด้วยความตกตะลึง พวกนางไม่รู้ว่าเซียวอวี๋ต้องการจะกล่าวอะไร

“แค่กๆ….อันที่จริง…นี่…ข้ารับปากสกาเล็ตว่าจะช่วยเจ้าแต่ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นน้องสาวของนาง…อืม…อ่า…ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”

เซียวอวี๋กระอักกระอ่วนเมื่อพูดถึงเรื่องนั้น เขาทำกับน้องสาวของนางโดยไม่ตั้งใจ และมารดาของนางก็คิดว่าเขาจะข่มเหงพวกนางอีก

“ท่าน….ท่านกำลังพูดเรื่องอะไร? ท่านได้รับคำไหว้วานจากสกาเล็ตหรือ?” มารดาของไค่เอ๋อร์พบเจอกับการทรยศมากเกินไป ดังนั้นนางจึงไม่ไว้ใจเซียวอวี๋

เซียวอวี๋ทราบว่าพวกนางคงไม่เชื่อ ดังนั้นจึงหยิบเครื่องประดับที่สกาเล็ตมอบให้ออกมา ไค่เอ๋อร์รีบหยิบมันไปดูอย่างตื่นเต้น

เมื่อมารดาของไค่เอ๋อร์ได้เห็น แววตาก็ทอแววโศกเศร้า นางรับเครื่องประดับนั้นจากไค่เอ๋อร์ด้วยมือสั่นเทา

นางกังวลเรื่องสกาเล็มาตลอด กลัวว่านางจะถูกจับตัว ตอนนี้นางไม่ต้องการให้สกาเล็ตมาช่วยพวกนาง ตราบที่สกาเล็ตยังปลอดภัย นั่นก็เพียงพอแล้ว เมื่อเห็นเครื่องประดับที่สำคัญที่สุดของสกาเล็ต นางก็ตื่นเต้นยินดี นั่นหมายความว่าสกาเล็ตปลอดภัยดี

“ท่าน….ท่านเป็นคนที่พี่สาวข้าส่งมาจริงๆ?” ไค่เอ๋อร์ตะลึง ตอนนี้นางไม่ได้มีท่าทีสิ้นหวังเหมือนก่อนหน้าแล้ว

เซียวอวี๋พยักหน้า “ใช่ ข้าจะพาพวกเจ้าไปหาสกาเล็ตหลังจากช่วยเซี่ยชานได้แล้ว”

“ท่านต้องการช่วยเซี่ยชานหรือ? นั่นยากเย็นยิ่ง ในคุกมีทหารยามอยู่มาก เว้นแต่เมืองนี้จะเกิดสงคราม มิเช่นนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่จะช่วยเขา” ไค่เอ๋อร์ส่ายหน้าอย่างอับจน นางเองก็เคยถูกขังอยู่ที่นั่นช่วงหนึ่งจนกลัวฝังใจ

เซียวอวี๋กล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าโจมตีเมืองนี้งั้นหรือ? เหอเหอ เจ้ายังไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร ข้าคือเซียวอวี๋ ลอร์ดแห่งดินแดนไลอ้อน และเซียวซานเทียนก็คือบิดาของข้า”

“เอ๊ะ? ท่าน…ท่านคือทายาทของเซียวซานเทียน?” ไค่เอ๋อร์และมารดาตกตะลึงจนพูดไม่ออก

เซียวอวี๋เชิดหน้ากล่าวอย่างภูมิใจ “ใช่แล้ว ไม่เช่นนั้น ใยมิรันด้าจึงต้องให้เกียรติข้ากันเล่า? เพื่อเอาใจข้า เขากระทั่ง….แค่กๆ….ยกเจ้าให้ข้า”

“มะ…เมื่อเป็นเช่นนั้น แสดงว่าท่านมีกองทัพพอยึดเมืองนี้หรือ?” ไค่เอ๋อร์ประหลาดใจ

อย่างไรก็ตาม หากว่าเขาโจมตีเมืองเม็กจริงๆ นั่นก็เท่ากับว่าเขาจะกลายเป็นศัตรูกับทั้งจักรวรรดิแลนซ์

เซียวอวี๋ยิ้มพลางโอบกอดไค่เอ๋อร์ “เพื่อสาวน้อยงดงามของข้าแล้ว ต่อให้ถล่มที่นี่จนราบ ใยจะทำไม่ได้?”

ในเวลานั้นเอง มีลมพัดขึ้นวูบที่ด้านข้างของเซียวอวี๋ จนเขาสะดุ้งเล็กน้อย แต่เมื่อหันไปมอง เขาก็ระบายลมหายใจอย่างโล่งอก

“เมอีฟ!”

ผู้ที่มาคือ เมอีฟ นางค่อยๆก้าวออกมาจากมุมมืดก่อนจะโค้งคำนับเซียวอวี๋

“นายท่าน เมอีฟมาถึงแล้ว”

เมื่อสองแม่ลูกมองเห็นเมอีฟ พวกนางก็ก้าวถอยหลังอย่างตกใจ แม้เมอีฟจะสวมหน้ากากอยู่ แต่เพราะใบหูแหลมยาว เรือนร่างแบบบางผิวกายสีม่วง พวกนางก็ทราบว่าอีกฝ่ายเป็นเอลฟ์

ทว่า เอล์ฟนางนี้เรียกเซียวอวี๋ว่านายท่าน?

เซียวอวี๋เป็นผู้ทรงอำนาจ?

“คนอื่นๆล่ะ?” เซียวอวี๋มองเมอีฟ เขาทราบว่าพวกกริฟฟ่อนคงไปแจ้งต่อคนอื่นๆแล้ว

“ยังไม่มา ข้านำคนบางส่วนมาเพื่ออารักษ์ขาท่านก่อน กองทัพกำลังเดินทางมา หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝัน ไม่นาพวกเขาคงมาถึง”

เซียวอวี๋พยักหน้ารับ

ด้วยกองทัพที่เข้มแข็งของเขา เขาจะสามารถบุกยึดเมืองได้โดยตรง

“เป็นอย่างไร? ข้าไม่ได้คุยโม้ใช่หรือไม่? ไม่ต้องกังวลนะไค่เอ๋อร์ และ…แค่กๆ….ท่านน้า ข้าจะช่วยเซี่ยชานและชำระแค้นกับมิรันด้าให้เอง”

เซียวอวี๋หรี่ตาลงขณะครุ่นคิดว่าจะจัดการกับมิรันด้าและเหล่าผู้ทรยศของหอการค้าฝูลู่อย่างไร…..

 

 

 


ตอนที่ 489

 

ในที่สุดไค่เอ๋อร์และมารดาก็เกิดความเชื่อมั่นว่าเซียวอวี๋จะสามารถบุกยึดเมืองเม็กได้ ทั้งสองจึงกอดกันร้องไห้ด้วยความยินดี ในที่สุดพวกนางแม่ลูกก็จะสามารถหลุดพ้นชะตากรรมอันเลวร้ายได้แล้ว


เซียวอวี๋เอ่ยปลอบทั้งสอง “ไม่ต้องกังวล มันจะต้องสำเร็จ จากนั้นพวกท่านก็ติดตามข้ากลับดินแดนไลอ้อน ที่นั่นพวกท่านจะมีอิสระ”

หลังจากสตรีทั้งสองหยุดร่ำไห้ พวกนางก็เริ่มไต่ถามสถานการณ์ของสกาเล็ต เซียวอวี๋จึงเล่าเรื่องราวทั้งหมด เว้นก็แต่เรื่องที่เขากับสกาเล็ตมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน….

เซียวอวี๋ค่อยข้างอายที่จะเอ่ยเรื่องนี้ เขากลับหลับนอนกับพวกนางสองพี่น้อง

เซียวอวี๋เรียกเจ้าหน้าที่หญิงประจำคฤหาสน์ให้จัดอาหารมา ทั้งสามนั่งร่วมโต๊ะด้วยกันพลางเพลิดเพลินกับอาหาร ไค่เอ๋อร์และมารดาไม่ได้รู้สึกสงบเช่นนี้ตั้งนานแล้ว

รับประทานอาหารไปได้พักหนึ่ง ไค่เอ๋อร์ก็เอ่ยถามขึ้น “คุณชายเซียว ท่านวางแผนจะช่วยผู้จัดการเซี่ยอย่างไรหรือ?”

เนื่องเพราะได้รับการดูแลจากเซี่ยชานตั้งแต่เด็ก ไค่เอ๋อรืจึงกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเซี่ยชาน

เซียวอวี๋นิ่งคิดครู่หนึ่งจึงกล่าวตอบ “ข้ายังคิดไม่ออก เอาไว้พรุ่งนี้ข้าจะลองไปเลียบเคียงจากมิรันด้าดูก่อน และต่อให้มันไม่สำเร็จ ข้าก็ยังมีกองทัพ ข้าไม่หวั่นเกรงเจ้าพวกนั้นแม้แต่น้อย”

ไค่เอ๋อร์ผงกศีรษะและกำลังจะกล่าวบางอย่าง ตอนนั้นเอง เสียงระเบิดอันรุนแรงพลันดังขึ้น คฤหาสน์ทั้งหลังพลันสั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหว

เซียวอวี๋ลุกขึ้นพรวด “อิลิดัน เกิดอะไรขึ้น?”

“เซียวอวี๋ ไอ้ลูกเต่า! หากวันนี้ข้าไม่ฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ เช่นนั้นข้าจะไม่ขอใช้ชื่อมิรันด้า!” เสียงคำรามพลันดังขึ้นจากด้านนอก เจ้าของเสียงไม่ใช่ใครอื่น เป็นมิรันด้าเอง

เซียวอวี๋ขมวดคิ้ว ไฉนมิรันด้าจึงมาที่นี่? ฟังจากน้ำเสียงแล้ว เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายต้องล่วงรู้บางสิ่ง หรือความตั้งใจของเขาถูกอีกฝ่ายมองออกแล้ว?

เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

เมื่อเกิดเรื่องขึ้น เซียวอวี๋ก็ไม่อาจนั่งเพลิดเพลินมื้ออาหารอยู่ในคฤหาสน์อีก เขานำชุดเกราะออกมาสวมใส่ จากนัน้จึงหันไปสบตากับเมอีฟ

เมอีฟเข้าใจความต้องการของเซียวอวี๋ ร่างของนางพลันเลือนลาง

เซียวอวี๋เปิดประตู เขากวาดมองผู้คนที่โอบล้อมอยู่พลางเอ่ยถาม “มิรันด้า เจ้าจะทำอะไร? หรือไม่อยากทำธุรกิจกันแล้ว?”

เวลานี้ มิรันด้านั่งอยู่บนหลังม้าขาวปลอด เขาจ้องมองเซียวอวี๋เขม็ง แววตาทั้งคู่อัดแน่นไปด้วยเพลิงแค้น “เซียวอวี๋ เจ้ากลับกล้ามาปั่นหัวข้าเล่น เจ้าได้ร่วมมือกับสกาเล็ตอยู่ก่อนแล้ว กระนั้นกลับกล้ามาหลอกใช้ข้า หากวันนี้ไม่ฆ่าเจ้า ข้าก็ไม่ใช่บุรุษแล้ว!”

เซียวอวี๋แค่นเสียง “ต้องการฆ่าข้าหรือ? ฝันไปเถอะ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าไปล่วงรู้ว่าจากที่ใด เหอ ดูเหมือนว่าเจ้าคงติดตั้งบางสิ่งไว้สอดแนมข้าสินะ ข้าจะบอกให้เจ้าฟัง ตอนนี้กองทัพอันเกรียงไกรของข้าจ่อประชิดชายแดนของเมืองเม็กแล้ว หากยังอยากมีลมหายใจอยู่ เจ้าก็ควรทำตัวว่านอนสอนง่าย รีบส่งมอบเซี่ยชานและคนอื่นๆออกมา มิเช่นนั้นก็อย่าได้ตำหนิที่ข้าจะถล่มเมืองนี้เช่นเดียวกับที่บิดาข้าเคยกระทำ!”

ได้ยินคำพูดของเซียวอวี๋ ปอดของมิรันด้าก็แทบจะมอดไหม้ด้วยเพลิงโทสะ เขาวางแผนเอาไว้มากมาย คิดว่าจะตักตวงผลประโยชนืผ่านทางเซียวอวี๋อย่างไร เขากระทั่งวางแผนพึ่งพากำลังของเซียวอวี๋เสริมสร้างอำนาจของเขา

โชคดีที่เขาเป็นคนระมัดระวัง ดังนั้น ตอนที่ส่งมารดาของไค่เอ๋อร์มาที่นี่ เขาก็ลอบติดตั้งมณีสอดแนมเอาไว้ แม้ราคาจะแพงโข แต่มันก็สามารถช่วยเขาทำความเข้าใจกับอุปนิสัยใจคอของเซียวอวี๋ได้

แต่คาดไม่ถึงว่า เขาจะได้เห็นธาตุแท้ของเซียวอวี๋ ตั้งแต่เด็ก เขาเคยแต่วางแผนบงการผู้อื่น หลอกใช้ผู้อื่น เขาไม่เคยถูกหลอกใช้เช่นนี้มาก่อน ดังนั้นความโกรธของเขาในเวลานี้จึงสูงเทียมฟ้า

เขาจะไม่ยอมปล่อยเซียวอวี๋ให้รอดไปได้ เซียวอวี๋จะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่

ด้วยเหตุนี้ หลังจากได้เห็นธาตุแท้ของเซียวอวี๋ เขาก็รีบส่งกองทหารชั้นสูงมาโอบล้อมคฤหาสน์เอาไว้

หลังจากมิรันด้าดีดนิ้ว กองทหารก็พุ่งเข้าหาเซียวอวี่จากสี่ทิศแปดทาง อิลิดันพลันกระโดดลงมารับมือกับพวกทหาร

ขณะที่พวกทหารกำลังจะถึงตัวเซียวอวี๋ อิลิดันก็ปลดปล่อยพลังโจมตีเต็มกำลังใส่พวกทหาร

หากจะมีผู้ใดสามารถต้านทานเขาได้ คนผู้นั้นจะต้องอยู่ในขั้นที่หกเป็นอย่างน้อย มิเช่นนั้น ต่อให้เป็นตัวตนขั้นที่ห้าก็เพียงต้านรับอย่างเต็มฝืน ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการจู่โจม

เมื่อไค่เอ๋อร์สองแม่ลูกเห็นเซียวอวี๋ถูกทหารจำนวนมากโอบล้อมเอาไว้ พวกนั่นก็ตัวสั่นด้วยความกลัว ไค่เอ๋อร์รวบรวมสติก่อนจะตะโกนบอกเซียวอวี๋ “คุณชาย ท่านรีบหนี ท่านช่วยพี่สาวก็เพียงพอแล้ว พวกเราไม่เป็นไร”

ภายใต้การล้อมกรอบจากเหล่าศัตรู เซียวอวี๋ยืนนิ่งเฉยชา เขายกมือลูบแหวนมิติและเอาระเบิดออกมา จากนั้นพลันขว้างระเบิดเข้าไปในกลุ่มพวกทหาร

บึ้ม บึ้ม บึ้ม….

เสียงระเบิดดังขึ้นหลายครั้ง พริบตาเดียว คฤหาสน์ทั้งหลังก็ลุกเป็นไฟ พวกทหารเหล่านั้นยังไม่ทันมีปฏิกริยาใดก็ถูกระเบิดเป็นเศษเนื้อ

“กล้าตอแยลูกพี่หรือ?” เซียวอวี๋ตบปัดฝุ่นพลางยิ้มเยาะ

“ดี ดี ยิงเวทถล่มมันเลย!” มิรันด้าโกรธแค้นถึงขีดสุด เขาหันไปตวาดสั่งพวกผู้ใช้มนตรา

วิธีที่ดีที่สุดในการเผชิญหน้ากับยอดฝีมือคือถล่มด้วยเวทมนตร์ ด้วยวิธีนี้ เวทมนตร์หลายสายจะพุ่งถล่มใส่จุดเดียว พลังอำนาจของมันแน่นอนว่าน่าพรั่นพรึงเกินจินตนาการ

เพื่อที่จะบดขยี้เซียวอวี๋แล้ว มิรันด้าแน่นอนว่าต้องเตรียมตัวมา

เวทมนตร์หลากหลายชนิดพุ่งเข้าหาเซียวอวี๋ เซียวอวี๋แสยะยิ้มโบกมือก่อนจะใช้เทเลพอตไปอยู่ข้างกายของสองแม่ลูก ดังนั้นกลุ่มเวทมนตร์จุึงถล่มใส่พื้นที่ว่าง

ครืน ครืน……

ความรุนแรงของมันถึงกับทำให้ทั่วทั้งบริเวณสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

“มันอยู่นั่น!” มีบางคนสังเกตเห็นเซียวอวี๋ พวกเขารีบพาดศรยิงออกไป

เซียวอวี๋นำพรากวิญญาณออกมาปัดป้องลูกธนูเหล่านั้น

“ไม่ต้องกังวล ข้าจะพาพวกท่านออกไปเดี๋ยวนี้” เซียวอวี๋ยิ้มให้สตรีทั้งสอง จากนั้นจึงกางมือโอบเอวทั้งสองเอาไว้ก่อนจะเรียกใช้ทักษะก้าวทะยาน พวกเขาพลันกระโดดข้ามศีรษะพวกทหารไปยังอีกฝั่งหนึ่ง

เวลานี้ ความแข็งแกร่งของเซียวอวี่เพิ่มขึ้นจากเดิมมาก ระยะทางของทักษะเองก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ด้วยทักษะนี้ เซียวอวี๋จึงพุ่งทะยานอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้า ลูกธนูและเวทที่ยิงมาจึงพลาดเป้าไปทั้งหมด

“จับมัน! จับตัวพวกมันมาให้ข้า!” มิรันด้าคาดไม่ถึงว่าเซียวอวี๋จะมีทักษะประหลาดเช่นนี้ ทีแรกเป็นเทเลพอต ตอนนี้ยังมีกระโดดสูงอีก

แน่นอนว่าพวกทหารทั่วไปย่อมไม่อาจทำอย่างไรกับเซียวอวี๋ มีเพียงเหล่ายอดฝีมือที่สามารถ ดังนั้น ยอดฝีมือร้อยกว่าคนจึงพุ่งติดตามเซียวอวี๋ไป

ในเวลาเดียวกันนั้น ยอดฝีมือเชิงธนูบางคนก็พาดศรเตรียมยิงสกัดเซียวอวี๋

อย่างไรก็ตาม หลังจากเซียวอวี๋กระโดดถึงพื้น เขาก็ไม่ได้กระโดต่อ หากแต่ใช้ทักษะท่าเท้าทะยานหลบหลีกไปตามบ้านเรือนภายในเมืองเม็ก

เซียวอวี๋ทราบว่าหากมีเพียงเขา เขาย่อมหลบหนีได้ไม่ยาก กระทั่งตัวตนขั้นที่หกก็ยังยากจะตามจับเขาทัน

ตอนนี้เมอีฟถูกส่งไปตามกองหนุนแล้ว เมื่อนางกลับมาพร้อมกับกองทัพ พวกเขาก็จะสามารถหลบหนีอย่างง่ายดาย

ในขณะนั้น อิลิดันยังคอยช่วยเซียวอวี๋รับมือกับพวกยอดฝีมือขั้นที่หกไม่ให้ติดตามเซียวอวี๋ไป มิเช่นนั้น เซียวอวี๋คงไม่อาจหลบหนีอย่างสะดวกถึงเพียงนี้….

 

 

 


ตอนที่ 490

 

มิรันด้าย่อมมีที่ถือดีพอให้หยิ่งผยอง เขามียอดฝีมือขั้นที่หกอยู่ในสังกัดถึงสองคน หนึ่งเป็นจอมยุทธ์ อีกหนึ่งเป็นนักฆ่า


จอมยุทธ์ขั้นที่หกเป็นบุรุษหัวล้านซึ่งมีอาวุธคู่กายเป็นขวานยักษ์ที่เปล่งแสงสีฟ้าจางๆออกมาและทำให้บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยละอองเวท ชายผู้นี้เป็นคนที่มีชื่อเสียงภายในจักรวรรดิ

ฉายาของเขาคือ โล้นมหากาฬ เมื่อตอนยังเด็ก โล้นมหากาฬนั้นใช้ชีวิตอยู่ในป่าเขาเพียงลำพัง เขาเอาชีวิตรอดโดยการล่าพวกสัตว์อสูรประทังชีวิต ด้วยเหตุนั้นเจาจึงมีพละกำลังมากและเชี่ยวชาญการฆ่า

ต่อมาก็มีแม่ทัพผู้หนึ่งได้พบกับเขา และชักนำเขาเข้าสู่กองทัพ เขาหมั่นฝึกฝนทักษะการต่อสู้ที่เขาคิดขึ้นมาเองจนสุดท้ายก็สามารถบรรลุขั้นที่หก

กล่าวได้ว่าทักษะของเขานั้นมีไว้เพื่อการเข่นฆ่าโดยเฉพาะ เมื่ออยู่ในสนามรบ ตัวเขาก็ไม่ต่างจากเทพสังหาร

ในเวลานี้ ขวานของโล้นมหากาฬกวัดแกว่งปะทะกับดาบคู่จันทร์เสี้ยวของอิลิดัน หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น คนผู้นั้นคงไม่แคล้วถูกขวานของโล้นมหากาฬผ่าเป็นสองซีกไปนานแล้ว

สิ่งที่ทำให้โล้นมหากาฬประหลาดใจที่สุดก็คือ เปลวเพลิงที่ลุกโชนอยู่บนร่างของอิลิดัน ทุกคราที่แตะสัมผัส เขาก็สั่นสะท้านไปถึงวิญญาณ

จิตวิญญาณของเขาเข้มแข็งมาแต่ไหนแต่ไร ต้องมานะบากบั่นปีนป่ายขึ้นภูเขาซากศพตั้งเท่าไร เขามั่นใจว่ากระทั่งเวทมนตร์ที่โจมตีทางจิตใจก็ไม่อาจส่งผลกับตัวเขา

อย่างไรก็ตาม เพลิงประหลาดของอิลิดันกลับทำให้จิตใจของเขาสะท้าน นี่ทำให้เขาตกตะลึงถึงขีดสุด

ปกติแล้ว การโจมตีที่ส่งผลต่อจิตวิญญาณมักมาจากผู้ใช้มนตรา แต่เห็นได้ชัดว่าอิลิดันเป็นนักสู้ระยะประชิด แล้วไฉนจึงมีการโจมตีแปลกๆนี่ได้?

ด้วยเพราะถูกโจมตีใส่จิตวิญญาณตลอดเวลา จิตใจที่ชอบความรุนแรงของโล้นมหากาฬก็ถูกกระตุ้น เขาคำรามราวสัตว์ป่าพลางยกชูขวานขึ้น ละอองเวทโดยรอบพลันหลั่งไหลไปรวมกันที่ขวานจนเปล่งแสงสีฟ้าขึ้นมา จากนั้นพลังเวทก็กระจายออกก่อเป็นดาบสีฟ้าเล็กๆจำนวนนับไม่ถ้วน

ดาบสีฟ้าทุกเล่มบินเข้าโอบล้อมอิลิดันจากทุกทิศทาง เป็นเพราะระยะห่างที่ไม่มาก การโจมตีของโล้นมหากาฬจึงแทบส่งผลในทันที ตอนนี้อิลิดันไม่อาจหลบหลีกได้แน่

ดังนั้น อิลิดันจึงทำได้เพียงต้านรับไว้

อิลิดันระเบิดพลังเต็มกำลัง เพลิงที่ครอบคลุมร่างพลันลุกโหมกระพือจนเผาชุดคลุมที่ปกปิดกายเป็นเถ้าถ่าน

ทุกคนนิ่งตะลึงงัน รูปลักษณ์ของอิลดันสร้างความตกตะลึงแก่ทุกสายตาที่มองมา พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าอิลิดันจะเป็นปีศาจ

ดยุคเซียวถึงกลับมีปีศาจอยู่ใต้บัญชา?

นี่มันน่าตกตะลึงไปแล้ว!

มิรันด้าอ้าปากค้าง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้พิสูจน์แล้วว่าขุมกำลังของเซียวอวี่น่ากลัวเพียงใด คนธรรมดาจะไปมีปีศาจเป็นสมุนได้อย่างไร?

มีเพียงเหล่าตระกูลใหญ่ในตำนานทั้งหลายเท่านั้นที่มีบริวารหลากหลายเผ่าพันธ์ุ แล้วนี่ไม่ใช่สัญลักษณ์ของการเป็นตระกูลใหญ่หรอกหรือ?

แต่แม้อิลิดันจะระเบิดพลังเต็มความสามารถ เขาก็ยังได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นถึงตัวตนขั้นที่หกแท้จริง ขอบเขตช่องว่างนี้ย่อมยากจะถมให้เต็ม

อิลิดันกวาดสายตามองกองกำลังจำนวนมาที่กำลังโอบล้อมเข้ามา เขาก็กางปีกบินขึ้นไปกลางอากาศ จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังทิศที่เซียวอวี๋หลบหนีไป

เวลานี้ ภารกิจของเขาไม่ใช่การกำจัดศัตรูให้สิ้นซาก หากแต่เป็นอารักษ์ขาเซียวอวี่ถอยร่นไป

ตอนที่เลื่อนระดับมาขั้นที่ห้า อิลิดันยังไม่ฟื้นคืนสติอย่างสมบูรณ์ กระนั้นสติปัญญาของเขาก็เทียบได้กับผู้คนทั่วไปแล้ว เขาไม่ใช่เอ็นพีซีที่แข็งทื่ออีกต่อไป

…………………….

การพาคนสองคนหลบหนีไปพร้อมกันแน่นอนว่าสร้างความลำบากให้กับเซียวอวี๋ โดยเฉพาะตอนที่หลบหนีการไล่ล่าจากพวกยอดฝีมืออีกโขยง

โชคดีที่เซียวอวี๋หาได้ไม่เคยเผชิญสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงจุดไฟเผาและทำลายสิ่งก่อสร้างไปตลอดทาง อีกฝ่ายจึงติดตามมาด้วยความยากลำบาก

เซียวอวี๋อับอายอย่างมาก รสชาติของการเป็นสุนัขที่ถูกไล่ล่านั้นแน่นอนว่าเขาย่อมทนไม่ได้

“มารดามัน! กล้าไล่ล่าลูกพี่อย่างนั้นหรือ คอยดูว่าลุกพี่จะจัดการพวกเอ็งอย่างไร!”

เซียวอวี๋หยิบเอาระเบิดออกมาขว้างออกไม่หยุดมือคล้ายกับตั้งใจจะระเบิดทั้งเมืองให้เป็นจุล

ตอนนั้นเอง จู่ๆเซียวอวี๋ก็รู้สึกไม่สบายใจ เขาพลันเรียกใช้ทักษะหัตถ์คุ้มภัยอย่างไม่ลังเล

เอ๊ะ?

มีดสั้นเล่มหนึ่งพุ่งเข้าปักบนร่างของเซียวอวี๋ กระนั้นมันกลับไม่สร้างความเสียหายเท่าใดนัก

“เอ๊ะ?” มือสังหารอุทานออกมา ในความคิดของเขาแล้ว มีดสั้นสมควรปลิดชีพเซียวอวี๋ได้ในทันที ทว่าตอนนี้เซียวอวี๋กลับดูเหมือนไม่สะดุ้งสะเทือนแต่อย่างใด

มือสังหารไม่กล้าเสียเวลา นี่ไม่น่าประหลาดใจเท่าใด ผู้คนจากตระกูลใหญ่ๆล้วนพกพาสมบัติป้องกันติดตัวอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงถอนดึงมีดสั้นก่อนจะปักลงไปอีกครั้ง สิ่งที่ทำให้เขาตกใจก็คือ ไม่ว่าจะปักมีดลงไปกี่ครั้ง มันก็ไม่ได้ผลแม้แต่น้อย

มือสังหารนิ่งตะลึงงัน โดยปกติแล้ว สมบัติป้องกันมักใช้ได้เพียงสองสามครั้ง มันย่อมไม่อาจปกป้องเจ้าของได้ตลอดไป ตราบใดที่โจมตีซ้ำเข้าไป ไม่นานมันจะต้องแตกสลาย

ทักาะหัตถ์คุ้มภัยสามารถต้านทานการโจมตีทางกายภาพได้โดยสมบูรณ์ ดังนั้นมือสังหารผู้นี้ย่อมไม่อาจทำอย่างไรกับเซียวอวี๋

“มีปัญญาแทงก็แทงเข้ามา! ลูกพี่ยืดอกรออยู่ เจ้าใช่ไร้ความสามารถไปหรือไม่?” เซียวอวี่หัวเราะอย่างได้ใจ

“เอ๊ะ? โลกช่างกลมนัก!” ในตอนนั้นเอง สุ่มเสียงของสตรีก็ดังขึ้น เซียวอวี๋พลันหันไปตามเสียงและตกตะลึง…..

นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?


ตอนที่ 491

 

สาเหตุที่เซียวอวี๋ประหลาดใจก็เพราะได้เจอกับคนที่ไม่คาดคิดว่าจะพบได้ที่นี่ที่สุด นางเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและลึกซึ้งกับเขา แต่เขาและนางต่างก็แทบไม่เคยพูดคุยกัน


ในสถานการณ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้กลับพบกัน โลกมันช่างกลมเสียจริง เป็นอารมณ์ความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย

สตรีนางนี้เป็นที่มีความสำคัญต่อเขามาก นั่นก็เพราะว่านางได้พรากครั้งแรกของเขาไป

ใช่แล้ว นางคือหญิงสาวที่จับได้โดยบังเอิญตอนกวาดล้างพวกโจร นางคือ ‘เคราแดง’

ไฉนนางจึงมาอยู่ที่นี่ได้? ไม่ใช่ว่านางอยู่ในจักรวรรดิเมฆาตะวันออกหรือ?

เซียวอวี๋ประหลาดใจมาก ขณะเดียวกันก็รู้สึกแปลกๆในอก อย่างไรเสียนางก็เป็นสตรีคนแรกที่ทำให้เขากลายเป็นบุรุษเต็มตัว

เมื่อเคราแดงมองเห็นเซียวอวี๋ ใบหน้าของนางก็แดงฉานพานนึกไปถึงเหตุการณ์เก่าก่อนระหว่างพวกเขา ทว่าไม่นาน จากอับอายก็กลายเป็นโทสะ นางแทบอยากจะฉีกร่างเซียวอวี๋เป็นชิ้นๆเสียตรงนี้ ร่างแบบบางพลันพุ่งเข้าหาเซียวอวี๋

เคราแดงเป็นมือสังหาร ทั้งยังเป็นมือสังหารชั้นสูง ทว่าตอนนี้ช่องว่างระหว่างฝีมือของนางกับเซียวอวี๋หดสั้นจนใกล้เคียงกันแล้ว อย่างไรเสีย ครั้งสุดท้ายที่เผชิญหน้ากัน เซียวอวี๋ไม่อาจต้านทานนางได้แม้แต่น้อย ทว่าตอนนี้เซียวอวี๋กลับมีฝีมือรุดหน้าจนบรรลุขั้นที่ห้า แม้จะยังไม่ใช่ระดับสุดยอด แต่เมื่อรวมกับทักษะประหลาดๆของเขาแล้ว แม้นางแต่นางก็ยังไม่แน่ใจว่าจะชนะได้

“เจ้าสารเลว! มอบชีวิตมา!” เห็นเซียวอวี๋พุ่งทะยานพร้อมกับสาวงามสองนางในอ้อมอกซึ่งเห็นชัดว่าพวกเขาต้องมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันแล้ว นางก็เข้าใจว่าเซียวอวี๋คงมาที่นี่เพื่อฉุดคร่าสตรี

ตอนนี้ไม่เพียงมีมือสังหารขั้นที่หกเท่านั้น ยังมีเคราร่วมไล่ล่าเขาด้วย เซียวอวี๋รู้สึกอับจนปัญญา มือทั้งคู่ก็ไม่ว่าง ยังจะให้ไปสู้กับอีกฝ่ายหรือ?

อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นเอง เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นเข้าโจมตีใส่เคราแดง

ฟุบ!

เสียงของมีคมแหวกฝ่าอากาศมา เคราแดงก็ไม่กล้าประมาท ดังนั้นจึงหันไปปัดป้อง สายตาของนางจ้องมองไปยังผู้ลงมือที่อยู่ในชุดคลุมสีดำ บุคคลนั้นไม่ใช่ใครอื่น เป็นเมอีฟเอง

เมอีฟทราบว่าสถานการณ์รีบร้อนคับขัน หลังจากยิงพลุสัญญาออกไปนอกเมือง นางก็รีบกลับมา พื้นที่แถบนี้เสียงดังที่สุด จึงเป็นเรื่องง่ายที่นางจะหาตัวเซียวอวี๋พบ

“หืม?” เมื่อได้เห็นเมอีฟ เคราแดงก็ขมวดคิ้ว ด้วยสัญชาตญาณมือสังหารของนาง น่าจึงรับรู้ได้ถึงความน่าพรั่นพรึงของเมอีฟ

บรรยากาศชวนขนหัวลุกแผ่กำจายออกมาจากร่างของเมอีฟ กลิ่นอายเช่นนี้ มีเพียงมือสังหารชั้นยอดเท่านั้นที่มีได้

เร้นกายอย่างสมบูรณ์โดยไม่มีผู้ใดระแคะระคาย และสังหารเป้าหมายในอึดใจเดียว

นี่ล่ะ คือบัญญัติแห่งมือสังหาร

เคราแดงไม่กล้าเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า นางเพียงจับตามองเมอีฟเขม็ง นางตระหนักได้ว่าหากเคลื่อนไหวผิดพลาดแม้เพียงคืบ นางคงไม่แคล้วดับดิ้นในพริบตา

กระทั่งนักฆ่าขั้นที่หกผู้ลงมือต่อเซียวอวี๋ก็ยังสัมผัสได้ถึงอันตรายจากเมอีฟ

โครม!

ในเวลานั้นเอง บ้านหลังที่อยู่ใกล้กับเซียวอวี๋ก้พังทลายลง ขณะที่อิลิดันร่อนลงมาอยู่ข้างเซียวอวี๋ โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ดาบคู่จันทร์เสี้ยวในมือพลันกวัดแกว่งฟาดฟันเข้าใส่นักฆ่าขั้นที่หก

นักฆ่าผู้นั้นถูกบีบให้ถอยร่นไปหลายก้าว แม้อิลิดันจะเพียงอยู่ในขั้นที่ห้า ทว่าพละกำลังของเขาก็ทัดเทียมกับผู้ที่อยู่ขั้นที่หกบางส่วน

โครม!

เกิดเสียงดังขึ้นอีกครา บ้านอีกหลังถูกป่นเป็นเศษหิน เงาร่างหนึ่งพลันก้าวออกมา เป็นโล้นมหากาฬที่ไล่ตามอิลิดันเอง

ใบหน้าของโล้นมหากาฬฉายแววโหดเหี้ยม การโจมตีของอิลดันได้ปลุกกระตุ้นความบ้าคลั่งในตัวของเขาขึ้นมา โลหิตในกายของโล้นมหากาฬกำลังเดือดพล่าน

ย้ากกกกก!

โล้นมหากาฬคำรามพลางระเบิดพลังจากภายใน กลิ่นอายที่ห่อหุ้มเขาส่งเสริมให้เขาดูราวกับเทพสังหาร

“เซียวอวี๋ วันนี้เจ้าหนีไม่รอดหรอก!” มิรันด้าที่ติดตามตะโกนอย่างเดือดดาล

“คิดว่าหยุดข้าได้หรือ? เหอะ ข้าจะคลายความเขลาของเจ้าให้ ตอนนี้กองทัพของข้ามาถึงนอกเมืองแล้ว ทางที่ดีเจ้าควรน้อมส่งข้าออกไป มิเช่นนั้นข้าจะนำทัพเข้าถล่มเมืองแห่งนี้ให้ราบ เจ้าเชื่อหรือไม่?” เซียวอวี๋ตาลงจ้องมองมิรันด้า

มิรันด้าขบฟันแน่น “งั้นหรือ? เช่นนั้นก็ลองดู รอดูว่าข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆอย่างไร!”

ในเวลานี้ เพื่อที่จะจัดการกับเซียวอวี๋ ทหารทั้งหมดจึงสวมใส่ยุทธภัณฑ์เวทและศรเวทมนตร์หลากหลายชนิด มิรันด้าทุ่มออกสุดตัว เขาจะปล่อยให้เซียวอวี๋หนีรอดไปได้

เซียวอวี๋ไม่ได้วิตกแม้จะอยู่ในสถานการณ์หน้าสิวหน้าขวานเช่นนี้ เขาพลันหันหน้าไปกล่าวกับเคราแดง “นี่ ไฉนเจ้าจึงอยู่ที่นี่ได้? เจ้าคือเคราแดงแห่งจักรวรรดิเมฆาตะวันออกไม่ใช่หรือ? มายังจักรวรรดิแลนซ์แห่งนี้ หรือมีแผนก่อการร้ายใดอีก? ….เฺฮ้ย มิรันด้า! ดูเหมือนจะมีคนอยากได้หัวเจ้ามากกว่าข้าซะอีก ต่อให้ข้าไม่ฆ่าเจ้าวันนี้ เจ้าก็คงถูกปลิดปลงลงอยู่ดี”

ได้ยินคำกล่าวของเซียวอวี๋ มิรันด้าก็หรี่ตาลง เขายกมือสั่งให้กองทหารหยุดนิ่ง มิรันด้าขมวดคิ้ว “คุณหนูหยินเค่อ ใยท่านจึงมาที่นี่?”

เห็นได้ชัดว่ามิรันด้านั้นรู้จักกับเคราแดง ได้ยินเช่นนี้ ก็เดาออกว่าเคราแดงเป็นเพียงชื่อปลอม ชื่อจริงของนางคือ หยินเค่อ

เซียวอวี๋สงสัยว่านั่นจะเป็นชื่อจริงหรือไม่ แม้จะร่วมรักด้วยกันแล้ว ทว่าเขากลับไม่ทราบแม้แต่ชื่อของนางเลย

เมื่อเคราแดงเห็นมิรันด้า นางก็ยิ้มพลางเอ่ยว่า “องค์ชายมิรันด้า ข้ามาเพื่อจะพบกับท่านด้วยเรื่องธุรกิจ ไม่คาดว่าจะถูกชายผู้นี้ก่อกวนเสียได้ เขาเองก็เป็นศัตรูของข้าเช่นกัน จะดีกว่าหรือไม่หากพวกเราร่วมมือกันจับเขาและมอบตัวเขามาให้ข้า ข้าสามารถมอบทรัพย์สมบัติตอบแทนในระดับที่ท่านก็คิดไม่ถึง”

“โฮ่? คุณหนูหยินเค่อ ท่านก็มาที่นี่ได้สักพักแล้ว หากท่านต้องการร่วมมือกับข้าจริงๆ ท่านก็สามารถบอกต่อข้าตั้งแต่ก่อนหน้า ใยจึงเพิ่งมากล่าวเอาตอนนี้?” มิรันด้าย่อมไม่โง่ สตรีนางนี้ทั้งลึกลับทั้งแปลกประหลาด อีกทั้งความสัมพันธ์ของนางกับเซียวอวี๋ดูก็รู้ว่าไม่ชอบมาพากล ดังนั้นเขาจึงตระหนักว่านางคงไม่เรียบง่ายดังที่แสดงออก

“นั่นเพราะยังไม่มีโอกาสเหมาะ องค์ชายและข้าต่างก้มีความสนใจเดียวกัน พวกเราสามารถร่วมมือกันได้ ข้าให้สัญญาได้ว่าเมื่อท่านได้รับผลประโยชน์ก้อนนี้ ข้าก็สามารถหนุนส่งท่านขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งแลนซ์”

“เป็นความจริง?” มิรันด้าท่าทีนิ่งเฉย หากแต่แววตากลับเผยความปรารถนาออกมา

มิรันด้าเป็นคนทะเยอทะยาน ทั้งยังทะเยอทะยานมากเสียด้วย เขาต้องการจะเป็นใหญ่ในโลกหล้า ดังนั้นเขาย่อมไม่ปล่อยให้โอกาสใดๆที่จะทำให้เขามีอำนาจมากขึ้นหลุดลอยไป แม้จะต้องขี่หลังเสือก็ตาม

มิรันด้าไม่ใช่แกะ หากแต่เป็นหมาป่าจอมตะกละ

“ย่อมแน่นอน ไม่ช้าท่านจะทราบได้เอง ข้าจะไม่พูดมากความ แต่จะแสดงเบี้ยสำหรับต่อรองให้ท่านประจักษ์ แต่ตอนนี้ พวกเรามีศัตรูคนเดียวกัน คือบุรุษไร้ยางอายผู้นั้น” เคราแดงหันไปจ้องเซียวอวี๋อย่างโกรธเกรี้ยว

เซียวอวี๋กลอกตามองบน “สองคนนี้คือภรรยาและแม่ยายของข้า เจ้าจะฆ่าสามีและพี่น้องของเจ้าหรือไร? อืม…เจ้ากับข้าก็เป็นสามีภรรยากัน หรือเรียกว่าคู่นอนคืนเดียวดี เหอเหอ เป็นสามีวันเดียวก็เท่ากับเป็นสามีชั่วชีวิต การปองร้ายต่อสามีนั้นผิดมหันต์ นี่ มิรันด้า! นางเป็นภรรยาที่คิดฆ่ากระทั่งสามี เจ้ายังจะไว้ใจนางได้หรือ?”

เซียวอวี๋เชิดหน้าวางท่าอย่างสูงส่ง ที่ทำไปนี้ก็เพื่อถ่วงเวลาให้กองทัพของเขามาถึง

ประโยคนี้ทำให้เคราแดงที่โกรธเกรี้ยวอยู่หน้าแดงก่ำ “เจ้าคนไร้ยางอาย! เจ้ายังกล้าพูดถึงเรื่องนั้น….องค์ชายมิรันด้า อย่าได้ใส่ใจ ข้าถูกเจ้าคนชั่วนั่นทำให้แปดเปื้อน ดังนั้นข้าย่อมต้องการล้างแค้น”

เคราแดงกล่าวพลางร่ำไห้ นางเสมือนบุปผางามที่ต้องฝน ช่างน่าเวทนาจับจิต ผู้คนที่ได้เห็นฉากนี้ต่างก็โกรธแค้นต่อเซียวอวี๋

“ผู้ใดทำเจ้าแปดเปื้อนกัน? ไม่ใช่เจ้าหรอกหรือที่ข่มเหงรังแกข้าจนข้าต้องเสียความบริสุทธื์ไป เป็นเจ้าที่ขึ้นคร่อม ไม่ใช่ข้าเสียหน่อย เรื่องนี้เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง!” เซียวอวี๋ตะโกนแย้ง

“ข้าไม่สนเรื่องไร้สาระของเจ้า แต่เซียวอวี๋ นางพูดถูกแล้ว เจ้าจะต้องตายที่นี่!” มิรันด้าแค่นเสียงเมื่อตระหนักได้ว่าเซียวอวี๋กำลังถ่วงเวลา เขาส่งสัญญาณมือให้พลธนูระดมยิงทันที

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เอง เสียงบางอย่างแหวกฝ่าอากาศพลันดังขึ้น สายฟ้านับไม่ถ้วนพลันพุ่งลงจากฟ้าถล่มใส่เหล่าผู้ที่กำลังโอบล้อมเซียวอวี๋

กองกำลังอัศวินกริฟฟ่อนมาถึงแล้ว!

เซียวอวี๋พลันยินดี เขารีบขว้างระเบิดที่เหลือในแหวนมิติไปยังตำแหน่งที่มิรันด้าอยู่

บึ้ม บึ้ม บึ้ม……

เสียงระเบิดดังขึ้นกึกก้อง แรงระเบิดได้ทำลายสถานที่ทั้งแถบจนราบคาบ เกิดฝุ่นควันขึ้นคละคลุ้ง คนทั้งหมดต่างก็ไม่อาจเห็นเหตุการณ์ด้านใน

ท่ามกลางความโกลาหลนั้น ไค่เอ๋อร์และมารดาพลันรู้สึกว่าร่างกายถูกโอบกอด รู้สึกตัวอีกที พวกนางก็กำลังอยู่บนหลังของสัตว์อสูรบินได้

ไค่เอ่อร์รีบกวาดตามอง และนางก็เห็นว่าเซียวอวี๋นั่งอยู่ห่างไปไม่ไกลพลางกำลังส่งยิ้มให้นาง ได้เห็นรอยยิ้มของเขา นางก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ เมื่อมีเซียวอวี๋อยู่ข้างๆ นางรู้สึกปลอดภัยยิ่ง…… 

 

 


ตอนที่ 492

 

ไม่นาน เซียวอวี๋ก็มาถึงสถานที่ซึ่งกองทัพของเขากำลังรวมพลกันอยู่ หลังจากที่ร่อนลงพื้น เซียวอวี๋ก็กวาดมองไพร่พลของเขาอย่างพึงพอใจ


มีกองทัพเช่นนี้อยู่ ไม่ว่าไปที่ใด ตัวเขาก็รู้สึกอุ่นใจเสมอ

เซียวอวี๋ประหลาดใจเมื่อพบว่า ไม่เพียงแต่กองทัพของเขาเท่านั้นที่มา กระทั่งบุรุษผู้นำกลุ่มภาคีอาชาเหล็กก็มาพร้อมกันด้วย

บุรุษผู้นั้นส่งยิ้มทักทาย “ท่านดยุคเซียว”

เซียวอวี๋รีบกล่าวตอบ “พี่ชายคาสโซ่นี่เอง ไฉนท่านจึงมาอยู่ที่นี่?”

เซียวอวี๋กระตือรือร้น เพราะพวกเขาเป็นกลุ่มบุคคลากรอันมีค่า ทั้งพวกเขายังแข็งแกร่ง

เมื่อเห็นท่าทีของเซียวอวี๋ ใบหน้าของคาสโซ่ก็ฉายแววยินดี “ได้ยินว่าท่านกำลังลำบาก พวกเราจึงมาดูว่าพอจะช่วยอะไรได้บ้างหรือไม่”

เซียวอวี๋ทราบได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงมีเรื่องร้องขอ ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นฝ่ายยื่นมือเข้าช่วยก่อน

อย่างไรก็ตาม เซียวอวี๋ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เนื่องเพราะเวลานี้เขาต้องการกำลังพลเพิ่มจริงๆ หากอีกฝ่ายมีคำร้องขอ เขาก็จะพยายามช่วยเท่าที่กระทำได้

เมื่อได้คนกลุ่มนี้มาเสริม ความมั่นใจว่าจะสามารถบุกยึดเมืองเม็กก็เพิ่มขึ้นมาก ครั้งนี้ ภาคีอาชาเหล็กพาพี่น้องมาร้อยกว่าคน ซึ่งแต่ละคนก็ค่อนข้างแข็งแกร่งทีเดียว

“ประเสริฐ ข้ากำลังต้องการคนอยู่พอดี การยื่นมือเข้าช่วยของท่านครั้งนี้ไม่ต่างจากฝนในยามแล้งเลยจริงๆ”

“นี่….ก็ดี” คาสโซ่ยังไม่ได้เอ่ยปากถึงเรื่องที่จะร้องขอ ตัวเขาเป็นฝ่ายมาขอความช่วยเหลือผู้อื่น ดังนั้นเขาก็ควรจะหยิบยื่นให้อีกฝ่ายก่อน

ดังนั้น เซียวอวี๋และคาสโซ่จึงเดินพลางคุยพลางไปยังกลางค่าย และในระหว่างทาง เซียวอวี๋ก็ได้พบกับเหล่าฮีโร่และสอบถามถึงสถานการณ์

จากนั้น เซียวอวี๋ก็เห็นไค่เอ๋อร์และมารดากำลังกอดกับสกาเล็ตอย่างอบอุ่น

สกาเล็ตหลั่งน้ำตา นางไม่คิดว่าเซียวอวี๋จะสามารถพามารดาและน้องสาวของนางกลับมาได้อย่างปลอดภัย มองดูไพร่พลกองทัพของเซียวอวี๋ที่อยู่โดยรอบแล้ว สกาเล็ตก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก นางยิ่งเชื่อมั่นว่าการตัดสินของนางเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว

หลังจากนางมาพึ่งพิงเซียวอวี๋ ต่อให้ไม่อาจฟื้นฟูหอการค้าฝูลู่กลับมาได้ อย่างน้อยพวกนางก็ยังมีที่พึ่งพิงอันปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นเอง เซียวอวี๋ก็รู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลัง ในใจสัมผัสถึงความหนาวเหน็บอันเกินบรรยาย ร่างกายเริ่มแข็งทื่อเพราะได้ยินสุ่มเสียงหนึ่ง เสียงนั้นคือเสียงของมู่เสวี่ย คู่หมั้นสุดน่ารักของเขาเอง…..

“อา…นี่….เสี่ยวเสวี่ย…จะ…เจ้าฟื้นแล้วหรือ? เจ้าสบายดีหรือไม่ ข้าคิดถึงเจ้าสุดหัวใจเลยนะ” เซียวอวี๋ร้อนลน เขาไม่พูดเปล่าหากแต่รีบเข้าไปกอดนางไว้

“ไป” สิ้นเสียง เซียวอวี๋ก็ลอยไปชนกับต้นไม้หลายต้น โชคดีที่เขามีร่างกายแข็งแรง มิเช่นนั้นคงมีเลือดตกยางออกหรือกระทั่งสิ้นชีวีเลยก็เป็นได้

“แค่กๆ…เมียจ๋า ไม่ต้องอารมณ์พลุ่งพล่านถึงเพียงนี้ก็ได้” เซียวอวี๋เหลือบมองพลางกล่าวเสียงอ่อน

“ดูให้ชัดๆ ข้าใช่ภรรยาของเจ้าหรือ?” หลินมู่เสวี่ยมองเซียวอวี๋อย่างเย็นชา ทั้งสายตาของนางยังเย่อหยิ่งประดุจกำลังมองมดปลวก

“เป็นเจ้า เอกวินน์ เจ้ายังอยู่อีกหรือ? เมียข้าล่ะ? หากวันนี้เจ้าไม่เล่าโดยละเอียด บิดาจะไม่เลิกราเด็ดขาด!” เซียวอวี๋เพ่งตามองดู เขาก็เข้าใจแล้วว่าตอนนี้เอกวินน์กำลังควบคุมร่างของมู่เสวี่ยอยู่

“เจ้าช่างเป็นบุรุษโสโครกเสียจริง มีภรรยาอยู่แล้วกลับยังออกไปเที่ยวแทะโลมสตรีอื่น ทั้งยังพากลับมาด้วยถึงสองคน” เอกวินน์ยืนเชิดหน้ามองเซียวอวี๋ ใบหน้าสวยซึ้งของนางดูเย็นชาจนผู้อื่นไม่กล้ามองตรงๆ

“นี่…ดูเหมือนไม่ใช่ธุระกงการของเจ้ากระมัง?” ได้ยินแบบนั้น เซียวอวี๋ก็คร่ำครวญ มันเป็นเพียงเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ตัวเขาไม่เคยคิดจะออกไปเด็ดดมดอกไม้ริมทางเลยจริงๆ(?)

“หึ ตอนนี้ร่างนี้ถูกใช้ร่วมกันโดยนางและข้า แล้วบุรุษเยี่ยงเจ้าคิดว่าตนเองคู่ควรกับข้าหรือ?” เอกวินน์กล่าวอย่างถือดีราวเทพธิดาพบปะปุถุชน

ซึ่งอันที่จริง เอกวินน์นั้นเป็นเทพธิดาจริงๆ ตอนนี้เทพธิดานางนี้และมู่เสวี่ยกำลังใช้ร่างร่วมกัน ดูเหมือนนางจะไม่มีหนทางกำจัดวิญญาณของมู่เสวี่ยโดยสมบูรณ์ เมื่อเป็นเช่นนี้ มันอาจจะใช้เวลาอีกพักใหญ่ที่พวกนางทั้งสองจะต้องอยู่ร่วมกัน

“นี่…ข้าไม่สนว่าเจ้าคิดอย่างไร เสี่ยวเสวี่ยเป็นภรรยาของข้า แน่นอนว่าข้าย่อมต้องกังวลสนใจนาง แล้วเจ้าจะเข้ามายุ่งกับความรักของพวกเราได้อย่างไร นักบวชแยกจากวัดไม่ได้ฉันใด เจ้าก็แยกพวกเราสองคนออกจากกันไม่ได้ฉันนั้น เจ้าเคยได้ยินหรือไม่? หากว่าเจ้าทำเช่นนี้ เจ้าจะต้องถูกประณาม!” เซียวอวี๋จับแพะชนแกะปะติดปะต่อคำขึ้นเอง

“เหอะ ใยข้าจะไม่มีสิทธิ์ ร่างกายนี้เป็นของข้าครึ่งหนึ่ง หากว่าข้าไม่เห็นด้วย เจ้าก็ไม่อาจแต่งนางเป็นเมีย” กล่าวจบ แววตาของเอกวินน์ก็ปรากฏแสงขึ้นวูบหนึ่ง จากนั้นจึงสะบัดหน้าเดินจากไป

“นี่…นี่…เกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเสี่ยวเสวี่ยของข้าจะต้องถูกนางควบคุมตอลดไป?” เซียวอวี๋หันไปถามอลอนโซ่ที่ด้านข้าง

อลอนโซ่ตอบอย่างจนปัญญา “ไม่หรอก ไม่กี่วันก่อน คุณหนูเสวี่ยและเอกวินน์ผลัดกันควบคุมร่าง แม้นางจะเป็นเอกวินน์ แต่นางก็ยังคงเป็นคุณหนูเสวี่ยด้วย”

“หา? เรื่องบ้าอะไรกัน?” เซียวอวี๋เงยหน้าคร่ำครวญต่อฟ้า นี่จะดีได้อย่างไร? ตอนนี้วิญญาณครึ่งหนึ่งของภรรยาของเขาถูกเปลี่ยนเป็นของเอกวินน์ไปแล้ว?

เทพธิดานางนี้ไม่เหมือนกับเหล่าฮีโร่ของเขา ฮีโร่เหล่านั้นล้วนอยู่ใต้บัญชาของเขา ดังนั้นจึงเชื่อฟังคำสั่ง ทว่าเอกวินน์นั้นไม่ใช่

นางคือเอกวินน์ มารดาของเมดีฟที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นจ้าวมนตราที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษย์

ตอนนั้นเอง สกาเล็ตก็เดินเข้ามาหา ร่องรอยหยาดน้ำตายังคงประดับอยู่บนใบหน้าของนาง “นายน้อยเซียว ขอบคุณท่าน ขอบคุณท่านจริงๆ พระคุณนี้ใหญ่ลลวงนัก ข้าไม่ทราบจะตอบแทนท่านได้อย่างไร ข้าไม่รู้ว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้ ท่านไม่ต้องกังวล ข้าทราบว่าท่านมีภรรยาอยู่แล้ว ข้าจะไม่เป็นตัวถ่วงของท่าน ข้าจะอธิบายต่อนางเอง”

“อา…นี่…แค่กๆ…จริงๆแล้ว เสี่ยวเสวี่ยไม่ใช่สตรีไร้เหตุผล เมื่อครู่นี้ไม่ใช่นาง นางเป็นเทพธิดา ดังนั้นจึงแสดงท่าทีเช่นนั้น สกาเล็ตน้อยอย่างได้กังวล ข้าเป็นบุรุษ เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง สิ่งที่ทำลงไปแล้วข้าย่อมต้องรับผิดชอบ” เห็นสกาเล็ตมีจิตใจดีเช่นนี้ ในใจของเซียวอวี๋ก็ยิ่งรู้สึกดีต่อนาง

ได้ยินคำพูดของเซียวอวี๋ ใบหน้าของนางก็เริ่มแดง นางทราบแล้วว่าเซียวอวี๋กับน้องสาวของนางหลับนอนร่วมกันแล้ว กระนั้นนางก็ไม่คิดตำหนิแต่อย่างใด หากไม่ใช่เซียวอวี๋นางก็คงถูกยกให้ผู้อื่น อย่างนั้นไม่สู้ยกให้เซียวอวี๋จะดีกว่าหรือ บุรุษเช่นนี้ย่อมคู่ควรแล้ว

“นายน้อยเซียว ตอนนี้น้องสาวและมารดาของข้าก็ปลอดภัยแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็จากไปเถอะ ขอเพียงสถานที่พักอาศัยเล็กๆในอาณาจักรพยัฆ์เมฆาสำหรับพวกเราก็พอ” สกาเล็ตกล่าวเสียงเบา เซียวอวี๋ได้ช่วยเหลือน้องสาวและมารดาของนาง นางพอใจแล้วและไม่กล้าคาดหวังไปมากกว่านี้ อย่างไรเสียทีนี่ก็คือเมืองเม็กที่มีทหารประจำการมากมาย การจะช่วยเหลือคนที่เหลือจึงไม่ยากดุจปีนป่ายขึ้นสวรรค์

ได้ยินเช่นนั้นเซียวอวี๋ก็รีบโบกไม้โบกมือ “นี่จะได้อย่างไร? ข้าสัญญาแล้วว่าจะช่วยคนของเจ้าออกมาทั้งหมด อีกทั้งข้ายังต้องการบุคคลากรด้านธุรกิจไว้ช่วยงานในอนาคตอีกด้วย ทั้งเซี่ยชานและคนอื่นๆ ข้าล้วนต้องการ”

ได้ยินเช่นนี้ แม้ในใจจะนึกยินดี ทว่าสีหน้าของนางยังฉายแววกังวล “แต่นั่นยากเย็นยิ่ง”

เซียวอวี๋เผยรอยยิ้ม “สำหรับผู้อื่นอาจจะยาก แต่ไม่ใช่สำหรับข้า เจ้าก็ทราบว่าข้านั้นเป็นใคร ข้าคือบุตรชายของเซียวซานเทียน ปีนั้นบิดาของข้าเคยบุกตีเมืองนี้เสียยับเยิน แล้วใยข้าจะทำบ้างไม่ได้?”

ได้ยินดังนั้น สกาเล็ตก็คุกเข่าและพลางกล่าวเสียงสะอื้น “นายน้อยเซียว สกาเล็ตไม่ทราบจะทดแทนคุณท่านได้อย่างไรแล้ว”

เซียวอวี๋รีบโอบกอดนางพลางกล่าวปลอบโยน “พูดเรื่องอะไรกัน? เจ้าเป็นสตรีของข้า ไม่จำเป็นต้องตอบแทนแต่อย่างใด แต่หากจะตอบแทนจริงๆ เช่นนั้นตอนขึ้นเตียงก็ทำตัวน่ารักๆเถอะ ฮี่ฮี่…..”

ได้ยินคำพูดของเซียวอวี๋ สกาเล็ตก็พยักหน้าอย่างเอียงอาย

“หึ พอข้าไม่อยู่ ท่านก็เจ้าชู้ไปทั่ว” เสียงหวานเสียงหนึ่งก็พลันแทรกเข้ามา

เซียวอวี๋หันกลับไป และพบว่าหลินมู่เสวี่ยคนงามกำลังยืนอยู่ห่างไปไม่ไกล แววตาที่ลุกโชนด้วยเพลิงโทสะของนางจับจ้องมองเซียวอวี๋เขม็ง

ฟังจากน้ำเสียงของนางแล้ว เซียวอวี๋ก็ทราบว่าครั้งนี้นางคือหลินมู่เสวี่ย ไม่ใช่เอกวินน์ เซียวอวี๋ไม่ได้พบกับนางมานาน ในใจจึงรู้สึกโหยหา เขารีบใช้เทเลพอตไปข้างนางและรั้งนางเข้าสู่อ้อมกอด

“เสี่ยวเสวี่ย ข้าคิดถึงเจ้าแทบตายแล้ว” เซียวอวี๋ทราบว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาอธิบาย อธิบายมากไปก็รังแต่จะสร้างความไม่สบายใจให้กับนาง ตอนนี้ เพียงแสดงท่าทีหวานซึ้งแสดงความรักอย่างเต็มเปี่ยมก็พอ

“หึ ยังคิดถึงข้าด้วยหรือ? ถ้าข้าไม่อยู่ด้วย ท่านก็ไปหยอกเย้ากับสตรีอื่น” แม้ปากจะว่าไปอย่างนั้น แต่ชัดเจนว่านางไม่ได้โกรธจริงๆ เพียงตำหนิไปอย่างนั้นเอง

เซียวอวี๋ยิ้มพลางกล่าวว่า “เรื่องมันยาว อย่าเพิ่งคิดมากเลย ตอนนี้มาให้ข้าจูบให้หายคิดถึงหน่อย”

ได้ยินดังนั้น มู่เสวี่ยก็แค่นเสียง กระนั้นก็ยังยอมให้เซียวอวี๋จูบอยู่ดี คนทั้งสองพลอดรักกันกลางค่าย เหล่าผู้ที่อยู่โดยรอบต่างก็เบนสายตาเสมองไปทางอื่น

 

 

 


ตอนที่ 493

 

เซียวอวี๋และหลินมู่เสวี่ยตัวติดกันราวกับเงา พวกเขาไม่ได้คุยกันเรื่องสกาเล็ต เมื่อเพลิงรักถูกจุดขึ้นแล้ว ยังจะคำนึงถึงเรื่องอื่นไปใย?


ทั้งสองขึ้นไปบนรถม้า พวกเขายิ่งตัวติดกันกว่าเดิม สำหรับเซียวอวี๋ที่เคยลิ้มรสชาติระหว่างชายหญิงแล้ว แล้วตอนนี้เขายังจะทนได้อีกหรือ?

ครั้งนี้ หลินมู่เสวี่ยไม่ได้ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง นางเพียงแข็งขืนแต่พอประมาณจนทำให้เซียวอวี๋ร้อนรุ่มกว่าขึ้นมา หลินมู่เสวี่ยเป็นคนฉลาด นางทราบว่าเมื่อใดควรมัดใจบุรุษ

ตอนนี้ เซียวอวี๋เคยหลับนอนกับสกาเล็ตและสตรีอื่นแล้ว หากว่านางยังปฏิเสธอยู่อีก เช่นนั้นอีกฝ่ายจะไม่เบื่อนางเอาหรือ?

นางทราบดีว่าเซียวอวี๋ไม่เหมือนกับบุรุษอื่น ในภายภาคหน้า เขาจะเป็นมังกรในหมู่มวลมนุษย์ แล้วนางจะปล่อยให้บุรุษเช่นนี้หลุดมือไปได้หรือ?

ด้วยเหตุนั้นทั้งสองจึงปล่อยตัวปล่อยใจ แน่นอนว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ เซียวอวี๋ย่อมยินดี เขายื่นมือออกไปปลดเปลื้องเสื้อนอกของมู่เสวี่ยออก หลงเหลือชั้นในเพียงสองชิ้น ผิวขาวราวหิมะปรากฏแก่สายตา นั่นยิ่งทำให้เซียวอวี๋ร้อนรุ่มดั่งถูกเพลิงเผา เซียวอวี๋พลันยื่นหน้าไปประกบปิดริมฝีปาก

เซียวอวี๋เริ่มเข้าคลอเคลีย มือหนึ่งลูบไล้ไปตามสะโพก ขณะที่อีกมือค่อยๆปลดสายรั้งชั้นในออก แต่ขณะที่เขากำลังจะฝ่าปราการขั้นสุดท้าย จู่ๆแววตาของมู่เสวี่ยก็ฉายประกายเย็นชา นางกรีดร้องเสียงแหว “ทำอะไรของเจ้า?”

หลังจากนั้น เซียวอวี๋เพียงสัมผัสได้ถึงพลังอันรุนแรง เสียงโครมดังขึ้นคราหนึ่ง ร่างของพลันลอยละลิ่วออกจากรถม้าอย่างอเน็จอนาถ

“เพ้ย เอกวินน์ นี่ไม่มากไปหรือ?” เซียวอวี๋นอนตัวงออยู่ที่พื้น เหล่าองค์รักษ์ที่ได้ยินเสียงพลันกรูกันออกมาเพื่อตรวจสอบสถานการณ์

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นสภาพของเซียวอวี๋และได้ยินเสียงกรีดร้องของมู่เสวี่ยจากภายในรถม้า พวกเขาก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น คงเป็นเพราะทั้งสองกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม จากนั้นเอกวินน์ก็โผล่ออกมาควบคุมร่างพอดีกระมัง?

ตอนนี้เอกวินน์และมู่เสวี่ยใช้ร่างกายร่วมกันอยู่ แล้วเอกวินน์จะยอมให้เซียวอวี่ครอบครองเรือนร่างของนางได้อย่างไร?

“นี่….นายท่าน ข้าคงทำอย่างไรนางไม่ได้ ท่านจัดการเองได้หรือไม่?” กรอมที่จงรักภักดีที่สุด เห็นเช่นนี้เขาก็ได้แต่เกาหัวอย่างกระอักกระอ่วน ไม่ทราบสมควรจะทำอย่างไร

“นายท่าน เด็กหญิงนี้พลังแกร่งกล้านัก บ่าวเฒ่าไม่อาจต่อกร ท่านคงต้องพึ่งตัวเองแล้ว” คาร์นเหลือบมองรถม้าอย่างหวาดกลัว จากนั้นจึงรีบเปิดแนบหนีไป

ฟังคำพูดคำจาของคาร์นแล้ว นี่ไม่ใช่ว่าเขาเลี้ยงมันเปลืองข้าวสุกหรือ?

“พี่ชาย ข้าเองก็สู้ไม่ได้ ท่านคงรับมือไหวนะ?” แม้แต่มังกรน้อย หลังจากกล่าวไม่กี่คำก็รีบหลบลี้หนีหน้า

“มารดามันเถอะ พึ่งพาไม่ได้สักคนเดียว” เซียวอวี๋สบถอย่างขุ่นเคือง

ไม่มีทางอื่น เซียวอวี๋มองรถม้าแล้วมองรถม้าอีก เขาคงอยู่ไม่ได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงบ่ายไปหาสกาเล็ต ลูกพี่อึดอัดขนาดนี้ ยังจะยอมเลิกราไปง่ายๆหรือ?

สำหรับเอกวินน์ เขาจำต้องยอมนางเช่นนี้เสมอไปหรือ? หรือเขาจะเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้เลย?

………………………………

วันต่อมา เซียวอวี๋ตื่นแต่เช้าและเริ่มประชุมวางแผนเกี่ยวกับการโจมตีเมืองเม็ก จากนั้นเมอีฟก็เข้ามารายงาน บอกว่าเมื่อคืน ค่ายแห่งนี้ถูกโจมตีอยู่หลายครั้ง แต่ก็เป็นเพียงกลุ่มเล็กๆเท่านั้น

เซียวอวี๋คาดการณ์ไว้แล้ว เขารู้ว่ามิรันด้าคงไม่ปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ แต่การโจมตีเช่นนี้นั้นไร้ประโยชน์ ตอนนี้เหล่าฮีโร่ของเขาเติบโตขึ้นมาก พวกเขาสมารถจัดการปัญหานี้ได้ด้วยตนเอง

เซียวอวี๋นั่งรับประทานอาหารพร้อมคนอื่นๆ ตอนนั้นเอง หลินมู่เสวี่ยที่กลับมาควบคุมร่างได้แล้วก็เข้ามานั่งที่ด้านข้างของเซียวอวี๋ ใบหน้าของนางฉายแววขุ่นเคือง นางกล่าวขอโทษเซียวอวี๋อยู่หลายครั้ง

เห็นมู่เสวี่ยเอาแต่โทษตัวเอง เซียวอวี๋ก็ใจอ่อนและปลอบโยนนาง เขาสรรหาเรื่องตลกมาเล่าให้นางสบายใจ จนท้ายที่สุดก็ทำให้นางลงมือทานอาหารอย่างอารมณ์ดี

หลินมู่เสวี่ยเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามกฏหมายของเขา หน้าที่ของสามีไม่ใช่ดูแลนางหรือ?

อีกอย่าง นี่ก็ไม่ใช่ความผิดของนาง เขาจะไปโกรธนางได้อย่างไร?

หลังจากได้รับการปลอบประโลมจากเซียวอวี๋ ในที่สุดนางก็หัวเราะออก ทั้งสองกินพลางพูดคุยพลางอย่างมีความสุข เมื่อพวกสกาเล็ตทั้งสามเข้ามาเห็นเช่นนั้น พวกนางสามแม่ลูกก็เกร็งจนไม่กล้านั่งลง

หลินมู่เสวี่ยเผยรอยยิ้มพลางกล่าวเชื้อเชิญ เรียกหาเป็นพี่สาวน้องสาวอย่างเป็นกันเองจนทำให้สกาเล็ตและไค่เอ๋อร์รู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้าง

สกาเล็ตนั้นทราบว่าหลินมู่เสวี่ยเป็นคู่หมั้นของเซียวอวี๋ ภายภาคหน้านางจะเป็นนายหญิงแห่งดินแดนไลอ้อน

อย่างไรก็ตาม มู่เสวี่ยใจดีกับพวกนางสองพี่น้องมากจนสกาเล็ตและไค่เอ๋อร์คิดขึ้นในใจ บางที การตัดสินใจเลือกมาพักพิงอยู่กับเซียวอวี๋นั้นอาจจะถูกต้องที่สุดแล้ว

“ท่านดยุคเซียว ท่านจะโจมตีเมืองเม็กอย่างไรหรือ?” ขระที่รับประทานอาหารร่วมกัน คาสโซ่ก็เปิดปากถามขึ้น

ได้ยินคำถามนั้น เซียวอวี๋ก็ยิ้มตอบ “ข้าเองก็ไม่ทราบ”

คำตอบที่ได้ทำเอาคาสโซ่นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ผู้บัญชาการจำต้องมีกลยุทธ์ไว้จัดการกับศัตรู ในฐานะผู้บัญชาการแล้ว หากไม่มีแผนการแล้วจะเอาชนะสงครามได้อย่างไร?

สงครามไม่ใช่เกมเดินหมาก หากไม่ระวัง พวกเขาก็อาจย่อยยับจนยากกอบกู้

ทว่าเมื่อมองไปยังสีหน้าท่าทางของเซียวอวี๋ ทั้งยังทราบว่าเซียวอวี๋นั้นไม่ใช่บุคคลที่จะประมาทต่อศัตรู ดังนั้น หลังจากถามออกไปแล้ว คาสโซ่ก็ไม่ได้ถามเพิ่มอีก เขาเพียงแต่รอดูว่าเซียวอวี่จะจัดการกับสงครามนี้อย่างไร

จากนั้น เซียวอวี๋และคาสโซ่ก็เพลิดเพลินไปกับมื้ออาหาร ทั้งสองไม่พูดถึงเรื่องสงครามอีก หลังจากรับประทานเสร็จสิ้น เซียวอวี๋ก็ลุกขึ้นกวาดมองเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาจากนั้นจึงกล่าวด้วยเสียงอันดัง “พี่น้องทั้งหลาย! เตรียมตัวลุย!”

ได้ยินคำสั่งของเซียวอวี๋ ทั้งหมดก็เริ่มตรวจเช็คอาวุธและตระเตรียมตัวบุกตีเมือง ได้เห็นฉากนี้ คาสโซ่ก็อึ้ง กินจนอิ่มหนำแล้วไปทำสงคราม? อย่างนี้ยังจะทำสงครามได้หรือ?

คาสโซ่อดประหลาดใจไม่ได้ ไม่เพียงแต่เซียวอวี๋ แม้แต่ไพร่พลของเขาก็น่าประหลาดพอกัน พวกเขาดูไม่กังวลอะไรคล้ายกับกำลังจะออกไปเดินเล่นก็มิปาน ไม่มีผู้ใดแสดงอาการลังเลหรือกังวลแม้แต่น้อย

คาสโซ่เดาไม่ออกว่ากองทัพเช่นนี้ถูกฝึกมาอย่างไรกัน?

ไม่มีทางอื่น คาสโซ่หันไปมองกลุ่มของเขาและพบว่าแต่ละคนต่างก็กระสับส่ายตึงเครียด

เซียวอวี๋ไม่ได้ใช้รถม้าอีก เขาปีนขึ้นม้าตัวหนึ่งบังคับมันเดินไปพร้อมคาสโซ่ ขณะที่ขี่อยู่นั้น เซียวอวี๋ก็หันไปถาม “คาสโซ่ พวกท่านเป็นผู้สืบทอดของภาคีอาชาเหล็ก?”

คาสโซ่ไม่ได้ประหลาดใจกับคำถาม “พี่ชายเซียว ท่านกล่าวถูกแล้ว พวกเราเป็นลูกหลานกลุ่มสุดท้ายของภาคีอาชาเหล็ก หลายปีมานี้พวกเราเผชิญพบเรื่องราวมากมาย ทั้งยังเดินทางท่องไปหลายที่ อย่างไรก็ตาม พวกเรายังคงยึดถือวิถีแห่งอัศวินของกลุ่มอาชาเหล็ก”

เซียวอวี๋พยักหน้า “อืม พวกท่านสมกับเป็นอัศวินที่แท้จริง นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าประทับใจในตัวพวกท่าน”

“อันที่จริง ผู้คนในทวีปนั้นแทบจะลืมเลือนเรื่องราวของพวกเราไปแล้ว ภายในวิหารดำ พวกเราได้ยินพี่ชายเซียวเล่าเรื่องราวในประวัติศาสตร์ ดังนั้นพวกเราก็หวังว่าพี่ชายเซียวจะบอกเล่าเรื่องราวบางส่วนของภาคีอาชาเหล็กของพวกเราให้ฟังบ้าง” คาสโซ่กล่าว

เซียวอวี๋ยกมือลูบคาง “แม้ประวัติศาสตร์นั้นแทบจะถูกลืมเลือนไป มันก็ไม่สำคัญ หากว่ามรดกยังคงถูกสืบทอดต่อกันมา หากพวกท่านยังคงยึดถือวิพีแห่งอัศวินสืบไป นั่นก็เพียงพอแล้ว”

เซียวอวี๋พูดคุยแลกเปลี่ยนกับคาสโซ่หลายเรื่อง เขายังบอกเล่าความเป็นมาและเรื่องราวกับภาคีอาชาเหล็กให้คาสโซ่ฟัง

คาสโซ่ตั้งใจรับฟังทุกคำของเซียวอวี๋อย่างตัง้ใจราวกับกำลังฟังคัมภีร์ไบเบิ้ล เขากระทั่งอยากจะจดบันทึกเรื่องราวเหล่านี้เอาไว้ใช้สืบทอดต่อกันไปในกลุ่ม

หลังจากนั้นซักพัก เซียวอวี๋ก็อธิบายแผนการต่อคาสโซ่ หลังจากได้ฟังแล้ว คาสโซ่ก็อดเลื่อมใสต่อเซียวอวี๋เพิ่มขึ้นไม่ได้

 

 

 


ตอนที่ 494

 

ในเวลาเดียวกับที่เซียวอวี๋กำลังรับประทานอาหารอย่างสบายใจ มิรันด้าที่รอรายงานอยู่บนกำแพงเมืองก็นิ่งตะลึง เขาได้ส่งทหารกลุ่มย่อยไปติดตามความเคลื่อนไหวของเซียวอวี๋ เมื่อทราบว่าเซียวอวี๋จะนำกำลังบุกมาจริงๆเขาก็ตื่นตัวขึ้นมา แม้ว่าเขาจะไม่กลัว หากแต่เขาก็ทราบว่าเซียวอวี๋ย่อมไม่ใช่บุคคลไร้สามารถ เมื่อเซียวอวี๋กล้าเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตี เช่นนั้นย่อมต้องมีไพ่ตายอยู่


ด้วยเหตุนั้น มิรันด้าจึงตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อเตรียมการให้พร้อมสรรพ รอคอยรับมือกับการโจมตีจากเซียวอวี๋

อย่างไรก็ตาม เขากลับคิดไม่ถึงว่าแม้กองทัพของเซียวอวี่จะมาถึงแล้ว เซียวอวี๋ก็ยังไม่เริ่มโจมตี กลับกัน อีกฝ่ายกลับตั้งค่ายเริ่มหุงหาอาหาร

กลิ่นเนื้อย่างลอยคละคลุ้งในอากาศ ไพร่พลที่ประจำอยู่บนกำแพงเมืองเลียปากแห้งผากพลางกลืนน้ำลาย

มิรันด้าเองก็แทบทานทนไม่ได้

เขาคิดว่านี่เป็นแผนการของเซียวอวี๋ เซียวอวี๋จะต้องซุ่มทหารไว้คอยท่าอย่างแน่นอน ดังนั้นมิรันด้าจึงสั่งให้ฝ่ายเขารอ และดูว่าเซียวอวี๋จะทำอย่างไร

เหล่าผู้ที่อยู่บนกำแพงต่างก็เฝ้ามองค่ายของเซียวอวี๋พลางกลืนน้ำอึก ขณะที่ไพร่พลอีกฝ่ายต่างก็นั่งล้อมวงกินอาหาร

เซียวอวี๋เมื่อเห้นว่ามิรันด้าไม่ได้ส่งกำลังออกมา ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มลี้ลับ ตัวเขาก็ดื่มด่ำกับอาหารต่อไป ไม่พูดถึงการทำสงครามแม้แต่น้อย

วันต่อมา เซียวอวี๋ก็ส่งพวกกริฟฟ่อนไปทิ้งระเบิดในเมือง เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นจากหลายแห่ง เมืองทั้งเมืองพลันปั่นป่วนวุ่นวาย พวกทหารเร่งรีบมาประจำการบนกำแพง พาดเล็งศรไปทางค่ายของพวกเซียวอวี๋เพื่อเตรียมรับการโจมตี

กระนั้น แม้จะผ่านไปครู่ใหญ่ ค่ายนั้นก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ยิ่งไม่มีกองทัพบุกมาโจมตี

คืนนั้นมิรันด้าไม่อาจข่มตาหลับได้ลง เขากลัวว่าเซียวอวี๋จะยกทัพบุกมาตอนกลางคืน จู่ๆ เขาก็ได้เสียงย่ำกลอง มิรันด้าลุกขึ้นพรวดพลางเร่งไปยังกำแพงเมือง กระนั้นเมื่อขึ้นไปแล้วก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใด

มิรันด้าเป็นคนฉลาด เขาย่อมทราบว่าเซียวอวี๋ต้องการให้เขาเป็นฝ่ายโจมตีโดยการยั่วยุ มิรันด้าทำได้เพียงสะกดข่มโทสะ ไม่ยอมเป็นปลาที่งับเหยื่อล่อของอีกฝ่าย

มิรันด้าขบฟันแน่น เขาตัดสินใจแล้วว่าคืนนี้จะไปกลับไปนอน เขาจะนั่งเฝ้าอยู่บนกำแพงนี้รอให้เซียวอวี๋เป็นฝ่ายมาหา อย่างไรก็ตาม เซียวอวี๋ไม่มา ไม่นานท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสี แสงอรุณเริ่มผุดขึ้นจากเส้นขอบฟ้า ทันใดนั้น เสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นจากสี่ทิศแปดทาง เสียงระเบิดพลันดังขึ้นจากภายในเมือง ฟีนิกซ์เพลิงขนาดใหญ่พุ่งโถมเข้าใส่กำแพงเมืองแถบหนึ่งจนตัวกำแพงพังทลายลงมาทั้งแถบ

จากนั้นเงาร่างหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นสังหารทหารยามไปสองนาย

“มือสังหาร! ระวัง!” ทหารยามคนหนึ่งตะโกนขึ้นพลางชี้ไม้ชี้มือไปยังร่างของมือสังหารนั้น อย่างไรก็ตาม มือสังหารนั้นเมื่อลงมือแล้วก็กระโดดลงจากกำแพงไป เพียงพริบตาเดียวก็กลืนหายไปกับความมืดอย่างไร้ร่องรอย

แน่นอนว่ามือสังหารผู้นั้นย่อมต้องเป็นเมอีฟ

“สารเลวเอ๊ย!” มิรันด้าโกรธแค้น เขาทราบว่าตนถูกปั่นหัวเล่นอีกแล้ว

ในเวลากลางวัน มิรันด้าไม่กล้าประมาท เพราะเขาเชื่อว่าเซียวอวี๋จะต้องลงมือยามที่พวกเขาเหนื่อยล้าถึงขีดสุดเป็นแน่

ทว่าเรื่องราวกับเหนือความคาดหมาย เซียวอวี๋ไม่ได้โจมตีและเพียงหุงหาอาหารภายในค่าย ค่ายทั้งค่ายครื้นเครงราวกับไม่ได้จะทำสงคราม ไม่เพียงเท่านั้น บางเวลา เซียวอวี๋ยังหันมาหยอกล้อกับมิรันด้าที่อยู่บนกำแพง

“มิรันด้า เจ้ามาดื่มด้วยกันสิ เห็นหรือไม่ ข้ามีไวน์ชั้นเลิศอยู่ ทั้งยังมีสาวงามในอ้อมกอด ช่างสุขสบายดีแท้ ฮ่าฮ่าฮ่า…..” เซียวอวี๋หอมแก้มสกาเล็ตและไค่เอ๋อร์ในอ้อมแขนคนละฟอดพลางหัวเราะร่า

“เซียวอวี๋!….” มิรันด้าเค้นเสียงรอดไรฟัน ดวงตาแดงก่ำอย่างเคียดแค้น แต่เขาก็ทำอย่างไรไม่ได้นอกจากต้องอดกลั้น

“องค์ชาย คนผู้นั้นโอหังนัก ให้ข้าไปฆ่ามันเถอะ” แม่ทัพแห่งเมืองเม็ก อัสวานพลันกล่าวขึ้น

สำหรับอัสวานแล้ว นิสัยของเซียวอวี๋นั้นสุดจะรับได้จริงๆ คนผู้นั้นเอาแต่เยาะเย้ยถากถางพวกเขาไม่หยุดหย่อน

“ฮึ่ม นั่นเป็นสิ่งที่มันต้องการ หากเราออกไปตอนนี้ ใยมิใช่ตกลงสู่หลุมพรางของมัน” มิรันด้ากล่าวอย่างใจเย็น

อัสวานทำได้เพียงผงกศีรษะรับ

คืนนั้น เซียวอวี๋ก็ยังคงส่งคนมาก่อกวนและเผาเมืองอีก จนทำให้ทหารในเมืองวิ่งวุ่นไปมาจนแทบหมดแรง

มิรันด้าย่อมไม่อาจหลับได้สนิทใจ ดวงตาของเขาเบิกโพรง แทบทนรอจะฉีกเซียวอวี๋เป็นหมื่นชิ้นไม่ไหว

“ฝ่าบาท หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ทหารของเราคงไม่แคล้วถูกบั่นทอนแรงกายแรงใจจนสิ้น หากตอนนั้นพวกมันโจมตีมา เราก็ยากจะต้านทานแล้วนะพะย่ะค่ะ” อัสวานกล่าวอย่างร้อนใจ

“อัสตู นำพลเกราะหนักห้าพัน ทหารม้าห้าพันไปหยั่งเชิงพวกมัน” ในที่สุดมิรันด้าก็ออกคำสั่ง

ทหารภายในเมืองเม็กล้วนแต่เป็นไพร่พลชั้นดี ทหารห้าพันนายนี้ ที่อื่นอาจจะหามาได้อย่างอย่างลำบาก ทว่าไม่ใช่กับที่นี่

“พะย่ะค่ะ” เมื่อได้ยิน อัสตูก็รับคำก่อนจะหันไปสบตากับอัสวาน อัสวานนั้นเป็นพี่ชายของอัสตู เป็นแม่ทัพชั้นยอด ฝีมือก็อยู่ในขั้นที่ห้าระดับสุดยอด อัสวานไม่พูดอะไร เพียงพยักหน้าเบาๆ อัสตูจึงเดินออกไปตระเตรียมทัพ

ไม่นานนัก ประตูเมืองก็เปิดออก ไพร่พลที่สวมเกราะหนักเต็มกำลังห้าพันนายก็ตบเท้าเดินออกจากเมือง

เห็นดังนั้น คาสโซ่ที่กำลังเล่นหมากรุกอยู่กับเซียวอวี๋หลายวันมานี้ก็หยิบอาวุธออกมาพลางจ้องมองไปยังกองทัพศัตรู แววตาของเขาฉายประกายเย็นเยียบ

เซียวอวี๋ยิ้มพลางกล่าวกับคาสโซ่ “พี่คาสโซ่อย่ากังวลไป เพียงนั่งดูก็พอ”

คาสโซ่เคยผ่านศึกน้อยศึกใหญ่มาแล้วมากมาย ได้ยินเซียวอวี๋กล่าวเช่นนั้น ตัวเขาก็เลิกคิ้วพลางเอ่ยถาม “พี่ชายเซียว พวกเรายังจะทำเป็นเล่นต่อไปหรือ หลายวันมานี้พวกเราไม่ได้ทำอะไรเลย หากปล่อยให้พวกมันบุกมา พวกเราจะเป็นปัญหาเอานะ”

เซียวอวี๋คลี่ยิ้มพลางกล่าวว่า “วางใจเถอะ ข้ามีแผนอยู่แล้ว”

กล่าวจบ เซียวอวี๋ก็สั่งให้ทั้งหมดลุกขึ้นและเริ่มเก็บข้าวของ เตรียมตัวล่าถอย

สิ่งของจำเป็นและมีค่าล้วนแต่ถูกเก็บอยู่ในแหวนมิติ ดังนั้นเซียวอวี๋จึงไม่ต้องเก็บอะไรมาก แต่เขาจะไม่ยอมทิ้งตะแกรงปิ้งย่างหรือเครื่องมือทำอาหารเอาไว้ ดังนั้นจึงสั่งให้พวกทหารเก็บกลับมา จากนั้นก็รอคอยกองทัพอีกฝ่าย

กองทัพทหารเกราะหนักก้าวเท้าอย่างเป็นระบบระเบียบ เสียงย่ำเท้าดังสะเทือนปานสายฟ้าคำรน แผ่เป็นสภาวะอันแข็งแกร่งเป็นปึกแผ่น

“ให้ข้าลงมือเอง ข้ามั่นใจว่าจะทลายทัพพวกมันได้” คาสโซ่กล่าวเสียงเรียบ

เซียวอวี๋ยิ้ม “เรื่องนั้นไม่ต้องหรอก ท่านต้องมีเวทีแสดงออกแน่ แต่ตอนนี้พวกเราต้องถอยกันก่อน”

เห็นกองทัพพลเกราะหนักมุ่งหน้าเข้ามา เซียวอวี๋ก็นำคนของเขาถอยห่างออกไป

เห็นฉากนี้ มิรันด้าที่อยู่บนกำแพงรวมทั้งไพร่พลที่อยู่ด้านล่างต่างก็นิ่งตะลึง เดิมทีพวกเขาคิดว่าจะเกิดสงครามนองเลือด โรมรันกันอย่างดุเดือดเสียอีก

ทว่า เซียวอวี๋เพียงยกทัพถอยออกไป….

อัสตูเองก็ตกตะลึงเช่นกัน เขาหันมองไปทางกำแพงอย่างช่วยไม่ได้ เพื่อขอความเห็นจากมิรันด้าว่าจะไล่ตามไปหรือไม่

มิรันด้าขมวดคิ้ว จากนั้นจึงออกคำสั่งเสียงเย็น “ตามไป แต่อย่าไกลนัก”

 

 

 


ตอนที่ 495

 

ได้รับคำสั่งจากมิรันด้า ไพร่พลเกราะหนักก็เคลื่อนทัพติดตามเซียวอวี๋ไป อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเกราะที่หนักอึ้ง พวกเขาจึงเคลื่อนที่ได้ช้า มันจึงยากที่จะไล่ติดตามพวกเซียวอวี๋ได้ทัน


พวกทหารม้าก็ไม่กล้ารุดหน้าไปโจมตี ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงเว้นระยะติดตาม

เซียวอวี๋ไม่ได้ถอยรวดเร็วนัก กระบวนทัพก็ดูสับสนวุ่นวาย ไม่เป็นระเบียบ ดังนั้นความเร็วจึงมีไม่มาก ดังนั้น ฝ่ายหนึ่งไล่ตาม ฝ่ายหนึ่งถอยหนี เป็นเช่นนี้กว่าสองสามไมล์แล้ว

เป็นเพราะใช้แถบนี้ตั้งค่ายมาหลายวัน หลุมบ่อมากมายจึงถูกขุดไว้เพื่อหุงหาอาหารและอื่นๆมากมาย นี่เป็นอุปสรรคทำให้ทัพพลเกราะหนักเคลื่อนพลได้อย่างเชื่องช้า

เซียวอวี๋นำกองทัพวิ่งไประยะหนึ่ง ก่อนจะหยุดยั้งลง

“ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้พวกลูกเต่าเอ๊ย! ตามมาดูดก้นบิดามา ฮ่าฮ่าฮ่า….” นักรบออร์คหลายตนตบก้นยั่วยุใส่อีกฝ่ายที่กำลังติดตามมา

เมื่อถูกยั่วยุซึ่งหน้าเช่นนี้ ไพร่พลจากเมืองเม็กก็เดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ กระเหี้ยนกระหือรือจะเข้าไปประเคนให้สักดาบสองดาบ พวกมันใช่เป็นทหารที่ถูกฝึกแน่หรือ? แน่ใจนะว่านั่นไม่ใช่เพียงพวกกากเดนที่มารวมตัวกัน?

อัสตูไม่กล้าติดตามไกลไป เขาได้ส่งหน่วยลาดตระเวนออกไปตรวจตราพื้นที่แล้ว แต่สภาพแวดล้อมเช่นนี้ยากจะคงไว้ซึ่งกระบวนทัพ ดังนั้นไพร่พลของเขาจึงถูกบีบให้แตกออกเป็นกลุ่มย่อยๆจนไม่อาจรักษากระบวนทัพไว้ได้

ด้านทัพม้าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน พวกม้าเกิดชนปะทะกันเพราะความสับสนในสภาพพื้นที่

ในเวลานั้นเอง แววตาของเซียวอวี๋ก็มีแสงไหววูบ เขาพลันตะโกนขึ้น “ระเบิดเลย!”

บึ้ม บึ้ม……

พร้อมกับเสียงกัมปนาท แรงระเบิดทำให้พวกทหารบางส่วนตกตาย บางส่วนชุลมุนไม่รู้เหนือรู้ใต้

“พี่คาสโซ่ ตาท่านแล้ว” เซียวอวี๋หันไปมองคาสโซ่

คาสโซ่เห็นว่าเซียวอวี๋นั้นมักมีทีท่าแปลกประหลาดเสมอ อย่างไรก็ตาม เขากลับไม่ทราบว่าเหตุใดจึงรู้สึกเชื่อมั่นในตัวอีกฝ่ายอย่างมาก

ตอนนี้ ได้เห็นสถานการณ์ที่เบื้องหน้า เขาก็เข้าใจแผนการของเซียวอวี๋แล้ว ในใจพลันฮึกเหิม เขาเงยหน้าขึ้นตะโกนว่า “ตามข้ามา!”

เหล่าอัศวินแห่งภาคีอาชาเหล็กพลันโถมพุ่งลงไปโจมตีศัตรูโดยไม่แม้แต่จะจัดรูปขบวน นั่นเพราะอีกฝ่ายไร้รูปขบวน พวกเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องใช้รูปขบวนเช่นกัน

หากเป็นการปะทะซึ่งหน้า แน่นอนว่าพวกเขาอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย เพราะทัพเกราะหนักนี้สมควรรับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี การประสานงานย่อมสมบูรณ์พร้อม ทว่าเมื่อสถานการณ์กลายเป็นเช่นนี้ นั่นก็อีกเรื่องแล้ว ตอนนี้อีกฝ่ายสับสนกับสภาพแวดล้อมและกับระเบิด ความชุลมุนตอนนี้บีบบังคับให้ต่างฝ่ายต่างก็ต้องพึ่งพากำลังของตน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เข้าทางพวกเขาแล้ว

โฮก……

คาร์นกู่ร้องคำราม เขายกชูขวานในมือขึ้นพลางนำพวกออร์คโถมลงเนินไป เขาชื่นชอบการต่อสู้เป็นชีวิตจิตใจ

กรอมเองก็ไม่รอช้า เขาใช้ทักษะเรียกร่างแยกออกมาพุ่งโถมเข้าไปในกลุ่มคน ก่อนจะปลิดปลงศีรษะข้าศึกไปหลายสิบในคราวเดียว

เห็นเหตุการณ์ชุลมุนที่เบื้องหน้า อัสตูก็ตื่นตระหนัก เขาพลันตะโกนสุดเสียง “ถอยก่อน! ถอย….”

เพิ่งกล่าวได้เพียงไม่กี่คำ เขาก็รู้สึกเย็นวาบที่ลำคอ เขาค่อยๆฝืนหันกลับไปทางด้านหลัง บนหลังม้าของเขา ร่างที่สวมผ้าคลุมสีดำหลงเหลือเพียงช่องดวงตากำลังจับจ้องมาที่เขา สายของเขาสบประสานกำลังดวงตาสีม่วงคู่สวยที่ชืดชานั้น ก่อนที่ร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของเขาจะตกร่วงหลังม้าไป

ร่างนั้นคือ เมอีฟ

ตั้งแต่ผสานพลังของเทพไป ความแข็งแกร่งของเมอีฟก็แทบทพยานเหินขึ้นฟ้า กลายเป็นมือสังหารที่น่าหวาดหวั่นอย่างที่สุด

เมื่อไร้ซึ่งผู้นำ ไพร่พลก็ทำอะไรไม่ถูก พวกเขาต้องการจะหลบหนี ทว่าพื้นที่แถบนี้ซับซ้อนอย่างยิ่ง ระหว่างทางยังเหยียบกับระเบิดเข้าหลายครั้งจนไม่ทราบว่าต้องมุ่งไปทางใด

ทหารหลายนายต้องการจะมุ่งไปยังทิศทางที่เซียวอวี๋และพวกใช้มา ทว่าทางสายนั้นมีพวกดรูอิดตั้งแนวรบสกัดอยู่

พายุหมุนหลายลูกโหมพัดไพร่พลผู้โชคร้ายลอยหวือขึ้นฟ้าไป

ขณะที่บนฟ้าก็ปรากฏฝูงบินกริฟฟ่อนขึ้นปลดปล่อยสายฟ้าถล่มใส่ไพร่พลที่หนีตายอยู่เบื้องล่างอย่างถนัดถี่

เป็นเพราะสวมใส่เกราะหนักชั้นดีซึ่งนำไฟฟ้า ดังนั้นผู้ที่โดนสายฟ้าวิ่งเข้าใส่ย่อมมีแต่ทางตายสถานเดียว

ในการจัดการกับศัตรูประเภทนี้ พวกกริฟฟ่อนนับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

พลเกราะหนักห้าพัน ทหารม้าห้าพัน ไม่ว่าอยู่ที่ใดก็ถือเป็นกองทัพชั้นยอด โดยเฉพาะกับกองทัพที่คัดเอายอดฝีมือเข้ามาทัพนี้ด้วยแล้ว การรับมือกับศัตรูที่มีมากกว่าสามเท่าก็ไม่นับเป็นอย่างไร

แต่ตอนนี้ เซียวอวี๋ไม่ได้ทุ่มกำลังออกมาทั้งหมด เขาใช้คนเพียงพันเศษเท่านั้น ซึ่งในทัพก็มีพวกอัศวินหัตถ์เงินอยู่ด้วย

เดิมทีทัพอัศวินหัตถ์เงินก็แข็งแกร่งพออยู่แล้ว ตอนนี้ยังได้รับบัฟจากอูเธอร์ไป แน่นอนว่าความน่ากลัวยิ่งเพิ่มขึ้นทวีคูณ

ขณะที่กองกำลังอัศวินสีชาดมีพลังศรัทธาเป็นที่ตั้งนั้น ยิ่งได้รับบัฟพร้อมออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับอูเธอร์ก็ยิ่งต่อสู้ถวายหัว

ภายใต้บัฟหลากหลายสาย ความแข็งแกร่งของพวกเขาอย่างน้อยที่สุดต่างก็อยู่ในขั้นที่สองระดับสุดยอด ขณะที่พวกพาลาดินระดับสูงพุ่งขึ้นไปอยู่ในขั้นสาม ขั้นสี่ระดับสุดยอดเลยทีเดียว

ถึงจุดนี้ พวกเขาก็แทบจะไร้คู่ต่อกร เพราะเดิมเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากสนามรบตอนที่อยู่ในกองกำลังอัศวินสีชาดอยู่แล้ว ดังนั้น พวกเขาจึงสามารถระเบิดพลังอันแข็งแกร่งออกมาในสนามรบแห่งนี้ เห็นได้เห็นเลือด โ,หิตในกายก็ยิ่งพลุ่งพล่าน

เซียวอวี๋นำเก้าอี้ออกมาจากแหวน นั่งมองดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสบายใจ ซ้ายขวามีสกาเล็ตและไค่เอ๋อร์คอยบีบนวดปรนนิบัติ

ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าคาสโซ่และภาคีอาชาเหล็กนั้นทรงพลังอย่างแท้จริง

อัศวินกลุ่มนี้ไม่มีผู้ใดที่ต่ำกว่าขั้นสามเลย ภายใต้บัฟของอูเธอร์ พวกเขาก็ยิ่งกลายเป็นทัพแกร่งที่ยากต้านทาน

โดยเฉพาะกับตัวคาสโซ่ เขาเป็นนักรบขั้นที่หก เขาบุกตะลุยไปในทัพศัตรูราวกับพยัคฆ์กระโจนใส่ฝูงแกะ

เกราะหนักเหล่านั้นไม่อาจต้านทานการโจมตีจากคาสโซ่ ทั้งคาสโซ่เองยังมีโล่แกร่ง ดังนั้นไพร่พลทั่วไปย่อมไม่อาจจัดการกับเขา

เซียวอวี๋ครุ่นคิด รอไว้กลับไป เขาจะจัดชุดเกราะเซ็ตทีห้าเพื่อเสริมแกร่งทัพของเขา

พลเกราะหนักห้าพันและทัพม้าห้าพันกลับกลายเป็นแกะที่รอโดนเชือด

ไม่ถึงสิบนาที ไพร่พลก็ล้มตายไปกว่าครึ่ง แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของฝ่ายเซียวอวี๋

คาสโซ่เลือดเดือดพล่าน เพราะได้รับบัฟจากอูเธอร์ พลังงานที่ไหลเวียนอยู่ในร่างทำให้เขารู้สึกถึงพลังอันเต็มเปี่ยมคล้ายถูกฉีดเลือดไก่เข้าไป

นักสู้ทุกคนต่างก็ปรารถนาให้ตนแข็งแกร่งขึ้น อย่างไรก็ตาม หลังจากไปถึงขั้นที่หก การจะก้าวหน้าก้ยากเย็นดุจปีนป่ายขึ้นสวรรค์ เขาคิดมาตลอดว่าชีวิตนี้คงไม่อาจแข็งแกร่งไปได้กว่านี้แล้ว

อย่างไรก็ตาม ด้วยบัฟของอูเธอร์ เขารู้สึกว่าพลังของตนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจนราวกับพุ่งทะลวงไปจ่ออยู่ที่ประตูอีกระดับหนึ่ง

ที่บนกำแพงเมือง เมื่อโล้นมหากาฬเห็นคาสโซ่ เขาก็ไม่อาจละสายตาจากไป เขาย่อมสัมผัสได้ถึงพลังของคาสโซ่

เขาต้องการจะไปต่อสู้กับคาสโซ่ แต่เมื่อเห็นพลังที่เพิ่มขึ้นจากบัฟของอูเธอร์แล้ว เขาก็ทราบว่าตนไม่อาจเป็นคู่มือของอีกฝ่าย

หากเกิดการต่อสู้ขึ้นมาจริงๆ ตัวเขาคงพ่ายแพ้ในไม่กี่กระบวน

เซียวอวี๋ผู้นี้เป็นใครกัน? ไฉนจึงมีกลุ่มยอดฝีมือติดตามมากมายถึงเพียงนี้ ไม่แปลกใจที่เขาจะกล้าบุกโจมตีเมืองเม็กด้วยกำลังคนอันน้อยนิด…..

 

 

 


ตอนที่ 496

 

“สารเลว! เกิดอะไรขึ้น? หรือพวกเราจะเสียคนตั้งมากไปง่ายๆเช่นนี้?” มิรันด้าใบหน้าเขียวคล้ำ ซึ่งอันที่จริง กระทั่งหลังจากนั้นเขาก็ยังไม่ทราบว่ากองทัพมากเพียงนั้นกลับพ่ายแพ้ยับเยินได้อย่างไร หรือกองมทัพอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งจนไร้ผู้ต้าน?


ไม่มีผู้ใดทำความเข้าใจได้ว่า เหตุใดความแข็งแกร่งของสองทัพจึงแตกต่างกันถึงเพียงนี้

อัสวานแทบคลุ้มคลั่ง น้องชายของเขาอัสตูถูกสังหารไปต่อหน้าต่อตา แต่เขากลับทำอะไรไม่ได้ การลงมือของเมอีฟหมดจดจนน่ากลัวเกินไป

การสังหารคนในเงามืดหรือในสนามรบที่วุ่นวาย เมอีฟสามารถกระทำได้โดยง่าย นางสามารถซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางผู้คนนับพัน นี่แสดงให้เห็นถึงทักษะลอบเร้นอันน่าสะพรึง

“พวกมันต้องตาย” อัสวานคั่งแค้น เขาหันไปมองมิรันด้าก่อนจะกล่าวว่า “ฝ่าบาท คนผู้นี้หมิ่นเกียรติกองทัพแห่งแลนซ์ของพวกเรา กระหม่อมขอเสนอว่าพวกเราควรส่งขุมกำลังจริงๆออกไปกวาดล้างพวกมันในคราเดียว ตามที่หน่วยสอดแนมรายงานมา พื้นที่โดยรอบไร้ซึ่งวี่แววของกองทัพอื่นๆ หรือก็คือ พวกมันมีเพียงเท่าที่เห็น หากเรามีท่าทีกลัวเกรงพวกมันเช่นนี้แล้ว เราจะไปสู้หน้าชาวจักรวรรดิแลนซ์ได้อย่างไร?”

มิรันด้าแทบจะอดใจรอฉีกทึ้งเซียวอวี๋ไม่ไหว แต่เขาเป็นคนขี้ระแวง ไม่บุ่มบ่ามกระทำสิ่งใด เขาตระหนักดีว่าหากกระทำผิดพลาดเพียงครั้งเดียว เขาก็อาจจะต้องสูญเสียทุกอย่างไป

“ไม่มีกองทัพอื่นๆอีกแล้ว?” มิรันด้าถามย้ำ

เหตุผลที่เขาไม่กล้าทุ่มกำลังบดขยี้เซียวอวี๋ในทันทีก็เพราะระแวงว่าเซียวอวี๋จะมีกองทัพหรือไพ่ตายเก็บซ่อนเอาไว้ เพื่อขจัดข้อสงสัยนี้ เขาได้ส่งหน่วยลาดตระเวนออกไปตรวจสอบพื้นโดยรอบ จากคำรายงานของหน่วยลาดตระเวน พื้นที่ในแถบนี้ไม่มีร่องรอยการเดินทัพใดปรากฏขึ้น

หรือก็คือ กองทัพของเซียวอวี๋ทั้งหมดก็มีเพียงที่อยู่เบื้องหน้านี้ แม้จะแข็งแกร่งอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังสามารถใช้จำนวนที่มากกว่าถมช่องว่างส่วนนี้ไป

“ฝ่าบาท กระหม่อมรับรองได้ว่าพื้นที่โดยรอบปราศจากกองทัพใดๆ กระหม่อมคิดว่าเซียวอวี๋ผู้นี้เพียงต้องการใช้การรบที่เบื้องหน้าข่มขวัญพวกเรา กระหม่อมเสนอให้เร่งกวาดล้างพวกมันโดยเร็ว หากกองหนุนของพวกมันมาถึง นั่นก็จะทำให้พวกเราเสียเปรียบได้นะพะยะค่ะ” อัสวานวิเคราะห์

มิรันด้าขบคิดครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวว่า “อืม จับเป็นนังแพศยาสองพี่น้องนั่นมา ที่เหลือให้กำจัดฆ่าสิ้น”

“พะย่ะค่ะ กระหม่อมขอกองมนตราและอาวุธเวทบางส่วน อีกฝ่ายมีนักรบเข้มแข็งอยู่หลายคน เช่นนั้น กระหม่อมทูลขอยืมตัว ท่านโล้นมหากาฬและท่านมอดเดิลพะย่ะค่ะ” อัสวานร้องขอกำลัง

มิรันด้าโบกมือ “ข้าอนุญาต ขอเพียงเข่นฆ่าพวกมันได้”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” อัสวานเผยยิ้มเหี้ยมเกรียม

เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องราวที่เมืองเม็กโดนถล่มจนย่อยเกิดขึ้นอีก อาวุธเวทมากมายจึงถูกเก็บรักษาไว้ที่นี่ ด้วยเวทอาวุธเหล่านี้ มันจะช่วยเสริมพลังให้ผู้ใช้มนตราได้มาก

ครืน……

หลังผ่านการต่อสู้ กองทัพฝ่ายเซียวอวี๋ก็เอนกายลงพักราวกับที่นี่ไม่ใช่สนามรบ กระทั่งกองกำลังอัศวินสีชาดที่เดิมทีมีชื่อเสียงว่ามีรัเบียบเคร่งครัด เมื่อมาอยู่ภายใต้การบัญชาของเซียวอวี๋ก็ยังแยกย้ายกันพัก ซึ่งภาคีหัตถ์เงินเองก็ไม่ต่างกัน พวกเขานั่งพักนอนพักกันเอกขเนกราวกับมาพักผ่อน

หากเป็นเมื่อก่อน อลอนโซ่คงหน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่ต้องกล่าวถึงการนั่งไร้ระเบียบเช่นนี้ กระทั่งเสื้อเกราะไม่เข้าที่หรือตัวดาบไม่คม ทหารนายนั้นก็คงโดนอลอนโซ่เทศน์จนหูชาไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม สภาพของกองทัพตอนนี้แทบดูไม่ต่างจากกองโจรภูเขาแม้แต่น้อย

ทั้งคาสโซ่และอลอนโซ่ต่างก็ทำได้เพียงส่ายศีรษะอย่างหน่ายใจ พวกเขาก็ไม่กล้าตำหนิเซียวอวี๋ เพราะอย่างไรเสีย เซียวอวี๋ก็เป็นผู้บัญชาการที่ไม่เคยพ่ายแพ้แม้แต่ครั้งเดียว

หลังจากอยู่ด้วยกันมาพักหนึ่ง พวกนักรบออร์คก็บอกเล่าเรื่องราวการรบอันยิ่งใหญ่ของเซียวอวี๋ ยิ่งได้ฟังเรื่องเหล่านั้นมากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งตกตะลึงอ้าปากค้าง

ด้วยการสูญเสียเพียงเล็กน้อย พวกเขาสามารถได้รับชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ที่สมควรถูกจารึก พวกเขารบชนะทุกสมรภูมิ การทำสงครามสำหรับพวกเขาก็แทบไม่ต่างจากการเดินหมากบนกระดาน

คาสโซ่และอลอนโซ่กวาดมองทั่วสนามรบ พวกเขาพบว่า แม้กองทัพของเซียวอวี๋จะมีท่าทีเกียจคร้าน แต่หากถึงคราวรบขึ้นมาจริงๆ ทั้งหมดต่างก็กลายเป็นนักรบอันมีวินัยสูงส่ง สิ่งนี้ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกเชื่อมั่น

ซึ่งที่จริง หลังจากได้อยู่ด้วยกันกับเซียวอวี๋มาพักหนึ่ง พวกเขาก็พบว่าเซียวอวี๋นั้นเป็นอันธพาลจริงแท้ ไม่ได้เพียงเสแสร้งแกล้งทำ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะทำตัวหยาบช้าไปบ้าง แต่คนหยาบช้าผู้นี้ก็ยังเป็นคนหยาบช้าที่แข็งแกร่งและตรงไปตรงมา เขาไม่ได้ดำเนินชีวิตตามขนบธรรมเนียมและมักมีความคิดแปลกใหม่อยู่เสมอ ซึ่งความคิดเหล่านั้นก็ล้วนแล้วแต่มีประสิทธิผลอย่างเหลือเชื่อ

แม้เซียวอวี๋จะไม่ได้มีท่าทางของสุภาพบุรุษ แต่คาสโซ่ก็เชื่อว่ากลุยุทธ์ของเซียวอวี๋นั้นสามารถผ่อนคลายความตึงเครียดในทัพได้อย่างดี ทั้งยังสามารถป่วนประสาทศัตรูไปพร้อมกัน

บางที นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่กองทัพของเขาไม่เคยรบแพ้

‘หากครั้งนี้พวกเรายึดเมืองเม็กมาได้จริงๆ เช่นนั้นข้าก็จะขอติดตามเขา บุคคลที่แสนวิเศษเช่นนี้ไม่ได้หาเจอโดยง่ายจริงๆ’ คาสโซ่นึกขึ้นในใจ


ตอนที่ 497

 

อัสวานมองเซียวอวี๋ด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม หลังจากรวบรวมไพร่พลได้แล้ว กองทัพของเขาก็มุ่งหน้าไปทางค่ายของเซียวอวี๋ แน่นอนว่าทางฝั่งเซียวอวี๋ก็เริ่มถอยร่นอีกครั้ง


อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้เขาไม่ได้ไล่ติดตามเซียวอวี๋อย่างหน้ามืดตามัวเช่นอัสตู เขาแบ่งกำลังออกเป็นสองส่วน ซึ่งแม้จะทำให้ความเร็วในการเดินทัพลดลง แต่นั่นก็เพื่อให้ง่ายต่อการสั่งการ

เขาทราบดีว่ารี้พลแต่ละคนของเซียวอวี๋แล้วแต่แข็งแกร่ง หากเป็นการเผชิญซึ่งหน้า ทัพของเขาคงไม่อาจต้านทาน

อย่างไรก็ตาม ฝั่งเขามีข้อได้เปรียบด้านจำนวนและอาวุธเวทที่พรั่งพร้อม

ด้วยคนมากมายเพียงนี้ หากยังพ่ายแพ้ เขาก็คงกลายเป็นตัวตลกแห่งจักรวรรดิแลนซ์ไป ขณะที่ไล่ล่านั้น อัสวานก็สั่งให้กองทัพโจมตีด้วยอาวุธเวทมนตร์

พร้อมกับเสียงปะทุของเปลวเพลิง ลูกไฟหลายลูกบินพาดผ่านท้องฟ้าและตกลงบริเวณค่ายของเซียวอวี๋จนเกิดการระเบิดขึ้นหลายครา

นี่คือปืนใหญ่เวทมนตร์ระดับต่ำ ตัวปืนถูกสลักอาคมเวทเพลิงเอาไว้และใช้แก่นของสัตว์อสูรธาตุไฟในการยิง

เทคโนโลยีนี้เป็นการค้นพบที่ภาคภูมิใจที่สุดของพวกโนมส์ในตำนาน ตอนนี้วัตถุดิบก็หาได้ไม่ง่ายนัก ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงกระบวนการผลิตที่แทบจะสูญหายไป ดังนั้นอานุภาพของปืนใหญ่เวทยุคนี้ย่อมสู้ของยุคก่อนๆไม่ได้

แน่นอนว่าอานุภาพของปืนใหญ่เวทนี้ย่อมไม่อาจนำไปเทียบกับปืนใหญ่เวทของนิโคลัส

แม้กระนั้น ความรุนแรงของมันก็ไม่อาจประมาทได้เลย

หากปืนใหญ่ยังยิงถล่มค่ายของเซียวอวี๋ต่อไป มันจะเป็นหายนะต่อเซียวอวี๋แล้ว

“มารดามันเถอะ พวกมันถึงกลับมีของเช่นนี้” แววตาของเซียวอวี๋เป็นประกาย เขารู้ว่ามิรันด้าต้องมีไพ่ตายอยู่บ้าง กระนั้นกลับไม่คิดว่าจะเป็นปืนใหญ่เวท

“กระจายกำลัง!” เซียวอวี๋ไม่ได้สั่งให้หน่วยรบกริฟฟ่อนเข้าทำลายกองปืนใหญ่ เพราะเขาทราบดีว่า ในเมื่ออีกฝ่ายกล้านำปืนใหญ่ออกมาใช้ เช่นนั้นก็คงมีความมั่นใจว่าจะรับมือกองทัพของเขาได้

บางทีอีกฝ่ายอาจจะมีเวทอาวุธที่สามารถรับมือกับกองทัพอากาศของเขา ครั้งเมื่อเขาต่อสู้กับตระกูลเคเนดี้ กองทัพของเซียวอวี๋ก็เคยประสบกับความสูญเสียอย่างหนักจากเวทอาวุธบางอย่างคล้ายปืนใหญ่เวทมาแล้ว

เวลานี้ เซียวอวี๋ยังไม่มีแผนการดีๆ เขาทำได้เพียงสั่งให้กระจายกำลังออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสีย อันที่จริง ฝ่ายเขาก็มีกันน้อยอยู่แล้ว เมื่อกระจายกำลังออกไป ภัยคุกคามจากปืนใหญ่เวทมนตร์ก็ไม่สูงนัก

เซียวอวี๋มีคนเพียงพันเศษ ทั้งแต่ละคนยังแข็งแกร่ง เซียวอวี๋จึงสั่งใก้คนกระจายออกไปและรอคอยให้กระสุนของอีกฝ่ายร่อยหรอลง จากนั้นการโจมตีด้วยปืนใหญ่ก็จะสิ้นเขี้ยวเล็บ และอัสวานเองก็ย่อมไม่กล้าใช้กระสุนอย่างสิ้นเปลือง แม้ปืนใหญ่เวทจะมีอานุภาพมาก ทว่าค่าใช้จ่ายเองก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว

การยิงแต่ละครั้งล้วนใช้แก่นของสัตว์อสูร ซึ่งไม่ต่างจากการผลาญเงินเล่น หากไม่ได้รับอนุญาตจากมิรันด้าแล้ว อัสวานก็คงไม่กล้าใช้ปืนใหญ่เวท

“เดินหน้า!” เห็นฝ่ายศัตรูกระจายตัวแยกย้ายกันไป อัสวานก็ออกคำสั่งเคลื่อนพล เขาย่อมไม่เปิดโอกาสให้เซียวอวี๋ได้ตอบโต้ใดๆ

“ให้ทัพม้าเร่งติดตามไป!” อัสวานย่อมทราบว่าทัพพลเกราะหนักนั้นแทบจะไม่มีโอกาสจับตัวเซียวอวี๋มา

เขามองแผนการของเซียวอวี๋ออกแล้ว ดังนั้นครานี้จึงไม่ได้นำทัพพลเกราะหนักมาด้วยมากนักและเน้นหนักไปที่ทัพม้า

ภายใต้การสั่งการของอัสวาน ทัพม้าก็ไล่ติดตามเซียวอวี๋ไป ทัพม้าชุดนี้ล้วนแต่พกพาอุปกรณ์เวท ในมือยังถืออาวุธเวทมนตร์คนละชิ้น อีกทั้งพวกเขายังเป็นกองทหารชั้นสูงในหมู่ทหารชั้นสูง

เซียวอวี๋มองสำรวจทัพม้าพลางคิดขึ้นในใจ ‘หากมีอุปกรณ์พวกนั้น ทหารของเราก็จะ…..’

พวกนักรบที่ถูกอัญเชิญออกมาล้วนมีอุปกรณ์สวมใส่ติดตัวของฐานทัพ ทว่าไพร่พลทั่วไปที่เกณฑ์มาย่อมไม่มีข้อได้เปรียบเช่นนั้น เขาได้จำใจควักเงินซื้อหาเอง

เขาซื้ออาวุธและอุปกรณ์สวมใส่หลายอย่าง แต่เขาก็พบว่าการซื้อขายเช่นนี้สิ้นเปลืองเงินมากเกินไป ด้วยฐานะในตอนนี้ เขาย่อมมีเงินไม่พอซื้อให้ทหารทุกนายสวมใส่

และเมื่อเป็นเช่นนั้น การปล้นชิงจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

เซียวอวี๋สะกดความโลภลงชั่วขณะพลางพิจารณากองทัพศัตรู เขากำลังคิดหาทางถอยโดยปลอดภัย ความคิดบุกชิงเมืองเม็กก็จำต้องเลื่อนไปก่อน

กองทัพของเซียวอวี๋ยังไม่พอรับมือทัพศัตรู แม้ทั้งหมดจะเข้มแข็ง ทว่าก็ยังพ่ายแพ้ด้านจำนวน

สถานการณ์กลายเป็นยุ่งเหยิง ระยะห่างระหว่างทัพม้าที่ไล่ตามมากับทัพของเซียวอวี๋เริ่มหดสั้นลง หากอีกฝ่ายไล่ตามทัน เช่นนั้นพวกเขาก็มีปัญหาแล้ว

เห็นสถานการณ์เป็นไปเช่นนี้ เซียวอวี๋ก็แค่นเสียงก่อนจะออกคำสั่ง “เข้าไปในป่า!”

ได้ยินคำสั่งของเซียวอวี๋ กองทัพของเซียวอวี๋ก็เร่งรีบเข้าป่า โชคดีที่พื้นที่ใกล้กับเมืองเม็กนั้นเป็นภูเขาและป่า

เห็นพวกเซียวอวี๋ผลุบหายเข้าป่าไป ผู้นำทัพม้าก็สั่งหยุดไม่กล้าติดตามต่อ สภาพแวดล้อมของป่าย่อมไม่มีที่ให้ทัพม้าได้แสดงออก เป็นไปได้มากว่าพวกเขาจะถูกซุ่มโจมตี

เมื่ออัสวานเห็นเช่นนั้น เขาก็ตะโกนด้วยเสียงอันดัง “มัวทำอะไรอยู่? รีบตามเข้าไป! ข้าส่งหน่วยลาดตระเวนไปตรวจสอบล่วงหน้าแล้ว แถวนี้ไม่มีการซุ่มโจมตี”

ได้ยินดังนั้น ทัพม้าก็เร่งติดตามเข้าป่า

อย่างไรก็ตาม เนื่องเพราะในป่ามีต้นไม้อยู่มาก ทัพม้าจึงไม่อาจรักษารูปขบวนไว้ได้อีก พวกเขาถูกบังคับให้กระจายเป็นกลุ่มเล็กๆหลายกลุ่ม กระนั้นพวกเขาก็ไม่รู้สึกหวั่นเกรงแต่อย่างใด อย่างไรเสีย พวกเขาก็สวมใส่อุปกรณ์เวทมนตร์อยู่แล้ว

โฮก…….

ขณะที่พวกเขาไล่ติดตามลึกเข้าไปนั้น พวกเขาก็พบเห็นมังกรแดงพุ่งโถมเข้าใส่

“เอ๊ะ? มังกร? ที่นี่มีมังกรได้อย่างไร?” พวกทหารต่างตกตะลึง เผ่าพันธุ์มังกรแทบจะสาบสูญไปจากทวีปนี้แล้ว

ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องตะลึงยังไม่ใช่เพียงเท่านั้น

“นั่นมันเรื่องบ้าอะไร? มังกรมันใช้อาวุธด้วยหรือ?” ทั้งหมดปากอ้าตาค้าง แต่มังกรน้อยย่อมไม่ใส่ใจ มันกวัดแกว่งทอนฟาพุ่งเข้าถล่มทัพม้าทันที……

 

 

 


ตอนที่ 498

 

พร้อมกับความตายของไพร่พลกลุ่มนั้น สงครามกองโจรก็เปิดม่านขึ้นอย่างเป็นทางการ


เซียวอวี๋สั่งให้พวกนักรบโจมตีและล่าถอย ในสมรภูมิป่าไพรเช่นนี้ การรบแบบกองโจรนับว่ามีประสิทธิภาพที่สุด

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทัพม้าของจักรวรรดิแลนซ์นั้นแข็งแกร่ง กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่อาจต้านทานการโ๗มตีจากมังกรน้อยและพวกอัศวินกริฟฟ่อน

ฝ่ายเซียวอวี๋จะโจมตีก่อนล่าถอย กองทัพของพวกเขาจะไม่ปักหลักอยู่กับที่ หากแต่เปลี่ยนย้ายตำแหน่งตลอดเวลา

อีกด้านหนึ่ง เมอีฟและเหล่าฮีโร่คนอื่นๆก่อนเริ่มกลยุทธ์โจมตีด้วยระเบิด

อย่างไรก็ตาม ไม่นานนัก พวกศัตรูชุดใหม่ก็ทยอยติดตามเข้ามาในป่า พวกเขาได้นำปืนใหญ่เวทเข้ามา เป้าหมายของกระบอกปืนคือกองกำลังกริฟฟ่อนที่บินอยู่บนท้องฟ้า

“ถอย!” รับรู้ถึงภัยคุกคามจากปืนใหญ่ เซียวอวี๋ก็สั่งให้กองกำลังล่าถอยในทันที

ข้อห้ามของการรบแบบกองโจรคือห้ามปะทะซึ่งหน้า

อัสวานยังค่อยส่งหน่วยสอดแนมลงพื้นที่ แม้ส่วนใหญ่จะถูกสังหารไปในระหว่างทาง กระนั้นก็ยังมีบางส่วนที่สามารถกลับมารายงานได้สำเร็จ หน่วยสอดแนมได้รายงานว่า หากออกไปไม่ไกล ที่นั่นเป็นน้ำตก

หากรุดหน้าต่อไปเช่นนี้ เซียวอวี๋ก็จะถูกต้อนจนมุม ไม่มีหนทางให้หนีได้อีก

เมื่อได้ยินดังนั้น อัสวานก็รู้สึกยินดี เขาทราบว่าเซียวอวี๋ที่เป็นคนต่างถิ่นย่อมไม่คุ้นเคยกับพื้นที่แถบนี้ ดังนั้นจึงเลือกถอยเข้ามาในป่า เป็นไปได้มากว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ว่าข้างหน้านั่นเป็นน้ำตก

ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายนัยน์ตาสูงจนละเลยรายละเอียดเล็กๆเช่นนี้ไปหรอกนะ?

อัสวานไม่รอช้า เขาเร่งส่งคำสั่งออกไปหลายชุด

เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีกำลังเหนือกว่าอีกฝ่ายมาก กลยุทธ์โอบล้อมก็จะสามารถเปล่งประสิทธิภาพออกมา

กองทัพของเซียวอวี๋ถอยไปจนถึงหน้าผา ขณะที่อีกด้านหนึ่ง อัสวานก็สั่งให้คนของเขาเตรียมโจมตีปิดฉากด้วยปืนใหญ่เวท

เขารู้ว่าอีกฝ่ายมีคนอยู่ไม่มาก ทว่าไพร่พลแต่ละคนล้วนแล้วแต่แข็งแกร่ง เขาตระหนักดีว่ากองทัพของเขาไม่อาจจัดการกับพวกเซียวอวี๋ได้ง่ายๆ ดังนั้นพวกเขาจำต้องพึ่งพาการระดมยิงด้วยปืนใหญ่เวทมนตร์

“ฮ่าฮ่า พวกเจ้าก็นับว่ามีความสามารถอยู่บ้างนี่” เซียวอวี๋ตะโกนเย้ยหยัน

“เหอะ เซียวอวี๋เอ๋ย หมดลูกไม้แล้วหรือ? แต่ถึงเจ้าจะยังมีอยู่ ต่อหน้าพลังอันยิ่งใหญ่แล้ว เจ้าก็ไม่แคล้วต้องมอดม้วยอยู่ที่นี่”

“เจ้าเห็นอาวุธเวทเหล่านี้หรือไม่? ขอเพียงข้าออกคำสั่งโจมตี พวกเจ้าก็จะถูกบดขยี้เป็นชิ้นๆ ขอเพียงเจ้าคุกเข่ายอมจำนนเสียตอนนี้ ข้าขอรับรองว่าเจ้าจะปลอดภัย….” อัสวานกล่าวเสียงเรียบ แม้จะกล่าวออกไปเช่นนั้น หากแต่อัสวานก็ไม่คิดจะรักษาคำพูดอยู่แล้ว เขาเพียงต้องการให้เซียวอวี๋ลดการป้องกันลงเพื่อที่จะสามารถกวาดล้างกองทัพของเซียวอวี๋ได้อย่างสิ้นซาก

อย่างไรก็ตาม เซียวอวี๋จะมองอุบายเล็กน้อยนี้ไม่ออกหรือ?

เซียวอวี๋กล่าวเยาะเย้ย “คิดว่าเจ้าชนะแล้วหรือ? คิดจริงๆว่าข้าไร้ซึ่งหนทาง? หรือเจ้าไม่เห็นระเบิดที่ข้าใช้? หากเจ้ากล้าเข้ามา ข้าจะถล่มพวกเจ้าด้วยระเบิด ต่อให้ปืนใหญ่ของพวกเจ้าจะทรงพลัง แต่มันก็ต้องสิ้นเปลืองมาก แล้วพวกเจ้ามีแก่นสัตว์อสูรอยุ่เท่าไรเล่า? ฝั่งของข้าสามารถชดเชยคุณภาพด้วยปริมาณ ลองมาดูกันว่าระหว่างปืนใหญ่ของเจ้ากับระเบิดของข้า ผู้ใดจะได้หัวเราะเป็นคนสุดท้าย”

“เหอะ ข้ามีแก่นอสูรอยู่เท่าใดไม่ใช่ธุระกงการของเจ้า แต่ข้ามั่นใจว่ามันเพียงสังหารพวกเจ้าจนสิ้น” อัสวานแค่นเสียง

ขวัญกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ ในสงคราม แม่ทัพจะต้องไม่ปล่อยให้ขวัญกำลังใจของไพร่พลตกต่ำลง มิเช่นนั้น กองทัพของก็จะสู้รบได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และอัสวานก็ทราบกฏข้อนี้ดี เพื่อจัดการกับเซียวอวี๋ที่มีกำลังพลเพียงพันเศษ พวกเขาจึงยกกำลังพลออกมาหนึ่งหมื่นนาย ซึ่งรายละเอียดเล็กๆข้อนี้ก็มีผลกระทบอย่างมากต่อขวัญและกำลังใจของกองทัพ

ก่อนหน้านี้ เขาไม่คิดไม่ฝันว่าเซียวอวี๋จะมีมังกรอยู่ด้วย

เมื่อกล่าวถึงมังกร บนโลกนี้ยังเหลืออยู่มากเท่าใดเชียว พวกอัศวินมังกรก็มีตัวตนอยู่แต่ในตำนาน กระนั้น ครั้งนี้เขากับได้พบเห็นมังกรตัวเป็นๆ

การปรากฏตัวขึ้นของมังกรได้ทำลายขวัญกำลังใจของกองทัพจักรวรรดิอย่างมาก

แม้จะมีนักรบบางส่วนที่กระเหี้ยนกระหือรืออยากจะเป็นผู้พิชิตมังกร แต่เมื่อต้องมาเผชิญหน้าเข้าจริงๆ มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เผ่าพันธุ์มังกรคือเผ่าพันธุ์ที่อยู่บนจุดสูงสุดของโลกใบนี้ ด้วยพลังเวทอันเหลือล้นและกายาอันแข็งแกร่ง พวกมันก็แทบจะไร้เทียมทาน

ครืน…….

ในตอนนั้นเอง จู่ๆก็ปรากฏสายฟ้านับไม่ถ้วนฟาดผ่าลงมาจากท้องฟ้า

“ฟ้าโปร่งเช่นนี้ ใยจึงมีสายฟ้า?” ทั้งสองฝ่ายต่างก็มึนงง

มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน?

นี่ไม่ใช่วสันตฤดู ทั้งท้องฟ้ายังแจ่มใส จู่ๆจะบังเกิดสายฟ้าขึ้นได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สายฟ้าที่ผ่าลงมายังรุนแรงจนป่นศิลาเป็นผุยผง

ครืน…..

สายฟ้าแลบแปลบปลาบ พวกทหารที่สวมเกราะหนักพลันถูกเผาจนไหม้เกรียม

สายฟ้าจากพวกอัศวินกริฟฟ่อนนั้นก่อขึ้นจากเวทมนตร์ ทว่าสายฟ้าที่ฟาดผ่านี้เป็นสายฟ้าจริงๆ

“รีบถอดเกราะเหล็กออก!” เซียวอวี๋เร่งสั่งการ

ในสถานการณ์เช่นนี้ หากยังสวมใส่เกราะโลหะต่อไปก็ไม่ต่างจากรนหาที่ตาย ฝ่ายเซียวอวี๋เริ่มปลดเกราะออก ขณะที่อีกด้านหนึ่ง อัสวานยังไม่ทันตอบสนองใดๆ

วินาทีถัดมา สายฟ้าก็ผ่าลงมาอีก

“บัดซบ เกิดอะไรขึ้น?” เซียวอวี๋สบถ เดิมทีเขาเตรียมแผนการจัดการอัสวานเสียที่นี่ กระนั้นสายฟ้าที่เกิดขึ้นกลับทำให้ปั่นป่วนวุ่นวายไปหมด

ครืน……

เกิดเสียงครืนครืนดังขึ้นอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ไม่ใช่ฟ้าผ่า แต่เป็นภูเขาทั้งลูกที่ค่อยๆพังทลาย เศษหินนับไม่ถ้วนกำลังกลิ้งมาทางหน้าผาที่คนทั้งประจันหน้ากันอยู่!

 

 

 


ตอนที่ 499

 

“บัดซบ!” เซียวอวี๋หงุดหงิด เช่นนี้แผนการของเขาก็ใช้ไม่ได้แล้ว เขาวางแผนจะล่ออีกฝ่ายเข้ามาและระเิบดยอดเขาเพื่อให้หินถล่มทับอีกฝ่ายให้ย่อยยับไป


แต่ผู้ใดจะทราบได้เล่าว่าเหตุการณ์จะออกมาเป็นเช่นนี้ เหตุการณ์แปลกๆที่เกิดแทรกขึ้นนี้ทำให้แผนการของเขาพังทลายไม่มีชิ้นดี เดิมที เซียวอวี๋นั้นคำนวณเอาไว้แล้วว่าต้องให้อีกฝ่ายอยู่ตำแหน่งใดจึงจะโดนหินถล่มอย่างสมบูรณ์ ทว่าตอนนี้มันกลับเกิดขึ้นก่อนกำหนด แม้หินถล่มครั้งนี้จะคร่าชีวิตอีกฝ่ายไปได้จำนวนหนึ่ง กระนั้นมันก็ยังไม่ถึงจุดที่เขาคาดหวังเอาไว้

ครึ่ก……

เศษหินจำนวนนับไม่ถ้วนกลิ้งถล่มไปทางกองทัพของอัสวาน ยิ่งเมื่อหินเหล่านี้กลิ้งจากที่สูงลงที่ต่ำด้วยแล้ว แน่นอนว่าอานุภาพของมันย่อมสะท้านสะเทือนไม่ต่างจากเวทระดับหก

ที่สำคัญก็คือ มันครอบคลุมพื้นที่เป็นวงกว้าง ต่อให้เป็นธีโอดอร์มาเอง การร่ายเวทถล่มพื้นที่กว้างขนาดนี้ก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย

อัสวานใบหน้าเขียวคล้ำ เขาคาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นด้วย

“ถอย! ถอยทัพ!” โชคดีที่กองทัพพลเกราะหนักยังเดินทางมาไม่ครบ มิเช่นนั้น หากเผชิญหน้ากับหินกลิ้งเหล่านี้ กองทัพของคงถูกทำลายจนสิ้นซาก

แต่ต่อให้เริ่มถอยทัพตอนนี้ มันก็ยังสายไปบ้าง

ด้วยเหตุนั้น ไพร่พลเกราะหนักบางส่วนจึงถูกหินทับร่างจนแหลกเละ กระทั่งพลม้าเองก็ยังถูกทับไปทั้งคนทั้งม้า

อย่างไรก็ตาม หลังจากกลิ้งลงมาพักหนึ่ง ก้อนหินก็ไปติดกับต้นไม้สูงใหญ่

กระนั้น ยอดผู้สูญเสียจากกองทัพของอัสวานก็ยังสูงมากอยู่ดี

ในเวลานั้นเอง สายฟ้าเริ่มแปลบปลาบอีกครั้งบนท้องฟ้า ทันใดนั้น ตำแหน่งที่ก้อนหินกลิ้งตกลงมาก็เปล่งแสง ราวกับมีไฟฉายขนาดยักษ์แหงนส่องขึ้นฟ้า

“กลิ่นอายเวทมนตร์ที่ทรงพลังนัก!” ร่างหนึ่งเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาเหลือเชื่อ

คนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น เอกวินน์

“มีอะไรหรือ?” เซียวอวี๋ตระหนักได้ทันทีว่าเอกวินน์ล่วงรู้บางสิ่ง อย่างไรเสียนางก็มีชีวิตอยู่มากว่าหมื่นปีแล้ว

“พลังขุมนี้ให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยนัก เหมือนข้าเคยพบเห็นมาก่อน” เอกวินน์มองแสงพลางครุ่นคิด

“ที่ใด? ลองนึกดูให้ดีๆ” เซียวอวี๋เบิกตากว้าง มันจะต้องเป็นสถานที่โบราณไม่ผิดแน่ และที่เหล่านั้นก็ล้วนแต่มีสมบัติล้ำค่า

ครืน…….

สายฟ้าผ่าลงยอดเขาอีกครั้ง ทำให้เศษหินปลิวกระจายและเผยให้เห็นเค้าโครงหลังคาของสิ่งก่อสร้างหลังหนึ่ง

เซียวอวี๋รู้สึกคุ้นเคยกับมันเช่นกัน ทว่าในเกมวอร์คราฟนั้นเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างอันตระการตา ดังนั้นในเวลาอันสั้นจึงยากจะนึกออก

ขณะที่เอกวินน์กำลังจมลึกอยู่ในภวังค์ สายฟ้าก็ยังคงผ่าลงจุดเดิม แต่ไม่หนาแน่นเท่าเก่า

หลังคาของสิ่งก่อสร้างโบราณนั้นมีม่านอาคมกางป้องกันอยู่ ตัวสายฟ้าจึงไม่อาจสร้างความเสียหายต่อตัวสิ่งก่อสร้าง

เป็นที่ใดกัน? เป็นผู้ใดที่สร้างม่านอาคมครอบคลุมสิ่งก่อสร้างหลังนี้ไว้?

ยิ่งหินปลิวกระจาย เซียวอวี๋ก็ค่อยๆได้เห็นรูปลักษณ์ของสิ่งก่อสร้าง

“นี่…นี่มัน สโคโลแมนซ์….” เซียวอวี๋โพร่งออกมา

“อะไรนะ? มันคือ สโคโลแมนซ์ที่เป็นโรงเรียนของพวกเนโครแมนเซอร์น่ะหรือ?” ลีอามาถึงข้างกายของเซัยวอวี๋พลางอุทานด้วยความตกตะลึง

เซียวอวี๋พยักหน้า “ไม่ผิดแน่ นี่คือ สโคโลแมนซ์ แต่ไฉนมันจึงมาอยู่ที่นี่ได้?”

“ทวีปแห่งนี้ยังมีหลายสิ่งที่เจ้าไม่อาจจินตนาการ ต่อให้สโกโลแมนซ์ปรากฏขึ้นที่นี่ก็ไม่แปลก” เอกวินน์กล่าวตอบ

“เช่นอะไรบ้าง?” เซียวอวี๋ตกตะลึง ดูเหมือนว่าเอกวินน์จะล่วงรู้บางสิ่ง

เอกวินน์หันไปมองเซียวอวี๋อย่างเย้ยหยัน “ด้วยกำลังของเจ้าแล้ว เจ้ายังไม่มีคุณสมบัติจะล่วงรู้”

เซียวอวี๋มุ่นคิ้วมองเอกวินน์อย่างไม่พอใจ

ระยะนี้เซียวอวี๋และเอกวินน์มักจะปะทะคารมกันอยู่บ่อยครั้ง ตัวเขาต้องการใกล้ชิดสนิทสนมกับมู่เสวี่ย แต่ทุกครั้งที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม เอกวินน์ก็จะโผล่ออกมาขัดขวางความสุขของเขาอยู่ร่ำไป

เซียวอวี๋ไม่มีวิธีจัดการกับนาง ไม่รู้ว่าพลังของนางฟื้นฟูกลับมามากน้อยเท่าใด แต่ในเวลานี้ กระทั่งพวกคาสโซ่ก็ยังต้านทานนางไม่ได้แม้แต่การโจมตีเดียว การจัดการกับพวกเขา เอกวินน์ลำบากเพียงยกมือเท่านั้น

กระนั้นเอกวินน์ก็ไม่ได้ทำร้ายพวกเขาอย่างจริงจัง อย่างมากก็ทำให้พวกเขานอนรักษาตัวไปหลายวัน ไม่ได้สร้างแผลร้ายแรงหรือตั้งใจสังหารแต่อย่างใด ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่เซียวอวี๋อดกลั้นเอาไว้

เขารับรู้ได้ว่าตัวเอกวินน์ไม่ได้เป็นภัยคุกคามในเวลานี้ มิเช่นนั้น ด้วยพลังอันล้นเหลือของนางแล้ว การสังหารทุกคนย่อมไม่ได้ยากเย็นอะไรมาก

ช่างเป็นจอมมนตราที่น่าพรั่นพรึงโดยแท้ กระทั่งธีโอดอร์ก็ยังไม่อาจต่อกรกับทั้งประเทศ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนเอกวินน์จะเหนือล้ำกว่าธีโอดอร์มาก ไม่มีผู้ใดทราบว่าที่แท้นางแข็งแกร่งถึงระดับใดกันแน่

ตอนนี้เอง ก้อนหินก้อนดินที่ปกคลุมสิ่งก่อสร้างเอาไว้ก็ค่อยๆหมดไปและเผยให้คนทั้งหมดมองเห็นสิ่งก่อสร้าง

เมื่อมองดูบานประตูอันแสนคุ้นเคยแล้ว เซียวอวี๋ก็ทอดถอนใจ ครั้งหนึ่ง ที่นี่เคยเป็นที่ตั้งของตระกูลบารอฟ เคลธูซาดและคนอื่นๆมากมาย

ตั้งแต่ที่โรงเรียนสโคโลแมนซ์ตั้งอยู่ที่นี่ เช่นนั้น….มันก็สมควรมีสิ่งก่อสร้างสำคัญอีกหลายแห่งอยู่ใกล้ๆ

อย่างเช่น….หลุมฝังศพของอูเธอร์!

 

 

 


ตอนที่ 500

 

ไม่นาน ทุกคนก็มองเห็นสิ่งก่อสร้าง ความใหญ่โตของมันถึงกับทำให้คนทั้งหมดนิ่งตะลึง ครั้งหนึ่งที่นี่เคยเป็นที่ตั้งของตระกูลบารอฟ ต่อมาจึงค่อยถูกเปลี่ยนเป็นโรงเรียนของพวกเนโครแมนเซอร์


เซียวอวี๋หันไปมองพวกอัสวานที่หลบหินกลิ้งออกไปอีกด้าน จากนั้นจึงออกคำสั่ง “เตรียมบุกเข้าไปด้านใน!”

“นี่ น้องชายเซียว พวกเราจะเข้าไปจริงๆ? ที่นั่นดูอันตรายมากนะ” คาสโซ่เอ่ยถาม

เซียวอวี๋ยิ้มตอบ “พี่ชายคาสโซ่ ท่านลืมไปแล้วหรือว่าข้าน่ะคุ้นเคยกับสิ่งก่อสร้างโบราณมาก ที่นี่ไม่อันตรายหรอก”

“งั้นหรือ?” คาสโซ่ถามอย่างไม่แน่ใจนัก

“เพียงติดตามข้ามา ที่นั่นไม่มีอันตรายใด อย่างมากก็แค่พวกอันเดด กองทัพข้ามีทั้งอูเธอร์และพวกพาลาดิน ท่านจะยังกังวลอะไร?”

ตอนนี้ เซียวอวี๋มีทัพอัศวินหัตถ์เงินที่นำโดยอลอนโซ่อยู่ นี่ทำให้เขามั่นใจอย่างมาก อย่างไรเสีย พาลาดินก็เป็นดาวข่มของพวกอันเดด

ได้ยินเช่นนั้น คาสโซ่ก็ยิ้มเจื่อนและติดตามเซียวอวี๋เข้าไปโดยไม่พูดอะไรอีก

เขาเองก็ทราบแผนเดิมของเซียวอวี๋ที่จะหินถล่มทำลายทัพของอัสวาน เขาทราบดีว่าเซียวอวี๋ที่ดูไม่อินังขังขอบผู้นี้ มักระวังตัวและมีแผนการในใจเสมอ

ในเมื่อเซียวอวี๋กล้ารับรอง เช่นนั้นมันก็คงไม่มีปัญหาจริงๆ

ดังนั้นพวกเขาจึงเดินทัพเข้าไปในโรงเรียนสโคโลแมนซ์ เมื่อเข้าไปได้ระยะหนึ่ง เซียวอวี๋ก็ให้ทิรันด้าจัดแจงวางกับดักไว้ที่ปากทางเข้า

ซึ่งหลังจากที่ทิรันด้ามีระดับสูงขึ้น กับดักเองก็มีอานุภาพเพิ่มขึ้นตามระดับ

หากสุ่มสี่สุ่มห้าเดินเข้ามาโดยไม่ระวังและโดนกับดักเข้า แม้ไม่ตายก็ยังต้องเสียเลือดเนื้อกันบ้าง

เมื่อพวกเขาค่อยๆเดินเข้าไปตามอุโมงค์ได้ระยะหนึ่งจนถึงสะพาน นักรบโครงกระดูกขนาดใหญ่สองตัวก็พุ่งเข้าใส่พวกเขา นักรบโครงกระดูกทั้งสองสูงราวสี่ถึงห้าเมตร พวกเซียวอวี๋เลือกพุ่งหลบออกทางด้านข้าง ดังนั้นพวกมันจึงพุ่งชนเข้ากับผนังจนเกิดหลุมขนาดใหญ่

โครม…..

อลอนโซ่ก้าวออกพร้อมด้วยคบเพลิงต้องสาปก่อนจะสะบัดโจมตีด้วยเวทไปทางนักรบโครงกระดูกตัวหนึ่ง

กระดูกที่หนาราวกับถังน้ำพลันถูกฟาดจนแตกหักทันที

อลอนโซ่รีบโจมตีซ้ำไปอีกครั้ง ร่างกายของนักรบโครงกระดูกพลันมีควันสีฟ้าลอยขึ้นพร้อมเสียงแตกหักอย่างรุนแรงจนทำให้มันถึงกับร้องโหยหวน

เอาศัยช่วงที่นักรบโครงกระดูกกำลังปั่นป่วน อลอนโซ่พลันฟาดคบเพลิงต้องสาปไปที่น่องของมัน

พร้อมเสียงดังปัง นักรบโครงกระดูกก็ล้มลง ร่างกายของมันมีเปลวเพลิงลุกโชนขึ้น มันกรีดร้องเป็นครั้งสุดท้ายก็จะกลายเป็นเถ้ากระดูกในที่สุด

ชัดเจนว่าไฟวิญญาณนี้มีผลต่อพวกมันอย่างมาก

ขระที่อีกด้านหนึ่ง คาสโซ่กำลังต่อสู้กับนักรบโครงกระดูกอีกตัวด้วยโล่ในมือ คาสโซ่เป็นนักรบขั้นที่หก เมื่อมีโล่อยู่ในมือ ตัวเขาก็แทบจะกลายเป็นรถถังหุ้มเกราะ ด้วยการป้องกันของเขา การบาดเจ็บล้มตายที่ไม่จำเป็นก็ไม่เกิดขึ้น ดังนั้นตั้งแต่ที่เห็นพวกนักรบโครงกระดูกพุ่งเข้ามา เซียวอวี๋ก็อนุญาตให้เขาออกไปปะทะ

คาสโซ่ใช้โล่กระแทกโจมตี จากนั้นเขาก็พุ่งอ้อมไปด้านหลังของนักรบโครงกระดูกก่อนจะชักดาบฟันใส่อย่างรุนแรง

เมื่อเผชิญกับดาบนี้ กระดูกของนักรบโครงกระดูกก็ถูกฟาดจนหักไป ทั้งที่ความจริงแล้ว ผิวกระดูกของมันแข็งแกร่งแทบจะไม่ต่างไปจากเหล็กกล้า

แต่ถึงถูกฟันดาบนี้ไป นักรบโครงกระดูกก็ยังไม่ตาย ถึงอย่างไรมันก็จัดอยู่ในจำพวกของอันเดด เว้นเสียแต่วิญญาณของมันจะมอดดับ มิเช่นนั้นก็ยากจะสังหารมันลง

อลอนโซ่ที่เสร็จศึกอีด้านแล้วจึงใช้โอกาสนี้พุ่งเข้ามาและใช้คบเพลิงต้องสาปฟาดเข้าใส่จากอีกทางหนึ่งและสังหารมันไป เพียงเวลาไม่กี่นาที นักรบโครงกระดูกทั้งสองก็ถูกกำจัด

การปรากฏตัวของนักรบโครงกระดูกทั้งสองทำให้พวกเซียวอวี๋เพิ่มความระมัดระวังมากกว่าเดิม

เซียวอวี๋ยังคงนิ่งเฉย ขนาดวิหารดำเขายังผ่านมาได้ นับประสาอะไรกับที่แห่งนี้? ทั้งสถานการณ์ตอนนี้ยังดีกว่าครั้งนั้น เนื่องเพราะในเวลานี้เขามีเอกวินน์อยู่ด้วย ผู้ใดยังจะทำร้ายพวกเขาได้?

ในสมัยนั้น เอกวินน์เคยเป็นผู้พิทักษ์ของทวีปแห่งนี้ ทั้งนางยังมีชื่อเลื่องลือในด้านการกำจัดพวกปีศาจและอันเดด

นี่จึงเป็นเหตุผลที่เซียวอวี๋กล้าเข้ามาที่นี่

แม้การเกลี้ยมกล่อมเอกวินน์ให้ช่วยเหลือเรื่องยึดเมืองเม็กจะยากอย่างมาก แต่หากว่าพวกเขาตกอยู่ในอันตราย อีกฝ่ายก็คงไม่นิ่งดูดายกระมัง?

ไม่ช้า พวกเขาก็เดินทางมาถึงพื้นที่ชั้นในของโรงเรียนสโคโลแมนซ์

ภายในห้องโถงกว้างใหญ่ ที่นั่นมีพวกอันเดดเดินป้วนเปี้ยนอยู่นับไม่ถ้วน

หากว่าพวกมันเป็นเพียงอันเดดธรรมดาทั่วไป เช่นนั้นก็คงไม่น่ากังวลเท่าใด เพราะในนครใต้พิภพ พวกเขาก็เคยพบเห็นอันเดดจำนวนมากมาแล้ว ทว่าอันเดดกลุ่มนี้กลับไม่เหมือนกัน พวกมันที่นี่ล้วนแต่สวมใส่ชุดคลุมสีดำซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของพวกเนโครแมนเซอร์

พวกเนโครแมนเซอร์นั้นจัดการได้ไม่ง่ายเลย

เมื่อพวกอันเดดสังเกตเห็นการมาถึงของพวกเซียวอวี๋ พวกมันก็คำรามก่อนจะพุ่งเข้าใส่พวกเขา

“น้องชายเซียว ให้พวกเรารับมืออย่างไร?” มองดูพวกอันเดดที่วิ่งโถมเข้ามา คาสโซ่ก็เอ่ยถาม

เซียวอวี๋ยิ้มกล่าว “อย่างไรน่ะหรือ? ลุยมันตรงๆไปเลย!”

หลังจากนั้นเซียวอวี๋ก็เรียกดาบออกมาก่อนจะพุ่งเข้าใส่พวกอันเดด ทิ้งให้คาสโซ่นิ่งตะลึงอยู่กับที่

 

 

 


ตอนที่ 501

 

ทั้งสองฝ่ายต่างพุ่งเข้าโรมรัน อาศัยกำลังส่วนบุคคลที่เหนือกว่าอีกฝ่าย กองทัพของเซียวอวี๋จึงมีเปรียบอยู่บ้าง

บึ้ม บึ้ม…..

เปลวเพลิงสายแล้วสายเล่าถูกคาเอลปล่อยออกไปแผดเผาพวกอันเดดเป็นเถ้าถ่าน ตั้งแต่ที่ได้คทาคู่มือกลับมา ความแข็งแกร่งของบเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นทวี

แม้เวลานี้จะยังไม่บรรลุถึงระดับสมบูรณ์พร้อมเช่นอดีตกาล กระนั้นพลังระดับนี้ก็ยังจัดอยู่ในชนชั้นแนวหน้า

พวกอัศวินกลุ่มภาคีอาชาเหล็กต่างมองดูพลังของคาเอลอย่างตกตะลึง เวทมนตร์ที่ปลดปล่อยโดยจอมมนตราขั้นที่หกถึงกับมีอานุภาพยิ่งใหญ่เพียงนี้

สมแล้วที่เผ่าบลัดเอลฟ์ถูกยกย่องว่าเป็นเป็นเผ่าพันธุ์เอกอุด้านเวทมนตร์

“ฮึ่ม! เจ้าพวกมนุษย์โสโครก กล้ารุกล้ำเข้ามาในดินแดนของตระกูลบารอฟ พวกเจ้ากำลังรนหาที่ตาย” จู่ๆเสียงแหบต่ำที่ราวกับดังจากขุมนรกก็สะท้อนก้องทั่วบริเวณ

แผ่นดินเริ่มสั่นสะเทือน ไม่นานก็มีฝูงแมลงสาบจำนวนนับไม่ถ้วนแทรกขึ้นมาตามร่องบนพื้น พวกมันไม่ได้พุ่งเข้ามาโจมตีพวกเซียวอวี๋ในทันที หากแต่วิ่งไปรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มใหญ่

ฝูงแมลงสาบรวมตัวกันแน่นขนัดดุจคลื่นสมุทร แมลงสาบแต่ละตัวต่างก็ปลดปล่อยก๊าซสีเขียวออกมาคล้ายหมอกมรณะ

หมอกเหล่านี้เคลื่อนตัวกระจายออกและก่อตัวขึ้นเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ที่ดูแปลกพิสดาร

“นั่นมันอะไร?” เซียวอวี๋สบถออกมาเมื่อได้เห็น ไม่ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เพียงมองก็ทราบว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดี

“นั่นคือเวทอันเดดที่ชั่วร้ายที่สุด ครั้งเมื่อสโคโลแมนซ์ยังเป็นโรงเรียนเวท นี่ก็เวทที่สร้างชื่อให้กับพวกมัน” เอกวินน์กล่าวเสียงเรียบ

“มันมีจุดอ่อนหรือไม่?” เซียวอวี๋รีบถาม อย่างไรที่นี่ก็มีเอกวินน์อยู่ สถานการณ์คงไม่เลวร้ายสักเท่าใดกระมัง?

“เวทอันเดด ที่ค้ำจุนมันอยู่ก็คือไฟวิญญาณ ตราบที่ไฟวิญญาณมอดดับไป มันก็ย่อมดับสูญตามไปด้วย” เอกวินน์จ้องมองค่ายกลเวทก่อนจะกล่าวตอบ

“จะทำลายไฟวิญญาณได้อย่างไร?” เซียวอวี๋ถามต่อ

“เหมือนอันเดดทั่วไป ทำลายตำแหน่งที่มีไฟวิญญาณสถิตย์อยู่ เมื่อสูญเสียสิ่งป้องกัน ไฟวิญญาณก็จะถูกทำลายได้โดยง่าย มิเช่นนั้นก็ใช้การโจมตีทางวิญญาณ ทำลายไฟวิญญาณของมันโดยตรง หากเป็นอันเดดที่ทรงพลัง ไฟวิญญาณของมันจะมีอาคมปกป้องเอาไว้ อย่างนั้นพวกเราก็ต้องทำลายกฏแล้ว”

“ทำลายกฏ?” เซียวอวี๋มึน

“หากทราบถึงการเรียงอักขระเวทของมัน เจ้าก็สามารถทำลายมันทิ้งด้วยเวทมนตร์” เอกวินน์เชิดหน้าตอบ

“หากไม่ทราบเล่า?” เซียวอวี๋ฉีกยิ้ม

“เช่นนั้นก็บดขยี้มันตรงๆ” เอกวินน์ตอบ

“บัดซบ นี่จะต่างอะไรกับไม่ได้กล่าว? เจ้าจัดการมันไม่ได้หรือ เจ้าคือเอกวินน์มารดาของเมดีฟไม่ใช่หรือ? อย่าบอกนะว่าแค่นี้ก็จัดการไม่ได้?”

เอกวินน์แค่นเสียงพลางถลึงตามองเซียวอวี๋ “ข้ามองไม่ออก”

“มารดามันเถอะ!” เซียวอวี๋ปวดหัว ไม่ใช่ว่าพวกเขาต้องจบสิ้นอยู่ที่นี่หรอกนะ?

จู่ๆอากาศโดยรอบก็เกิดการเปลี่ยนแปลง หมอกเขียวที่เบื้องหน้าคล้ายกับถูกบางสิ่งดูดกลืนเข้าไป เมื่อหมอกจางลง ปีศาจขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นในสายตาของทั้งหมด เป็นปีศาจที่ประกอบขึ้นจากโครงกระดูกจนสูงกว่าสิบเมตร

“ท่านย่ามัน ตัวมันใหญ่จริงๆ” เซียวอวี๋สบถ

ครืน…….

ในเวลาเดียวกัน แมลงสาบที่รวมตัวกันเป็นปีศาจขนาดยักษ์ก็เริ่มพุ่งมาทางเซียวอวี๋ ที่บนศีรษะของมันมีเนโครแมนเซอร์นั่งอยู่

ปีศาจยักษ์ พร้อมทั้งเนโครแมนเซอร์ สถานการณ์ตอนนี้เรียกได้ว่าตึงมือแล้ว

“บัดซบ จัดการมันให้ข้า!” เซียวอวี๋ตะโกนไปในกลุ่มกองทัพของเขา

คาสโซ่เป็นคนแรกที่ออกมา ด้วยความแข็งแกร่งขั้นที่หกและโล่ในมือแล้ว เขาเหมาะสมที่จะอยู่ป้องกันด้าหน้าทัพ

เซียวอวี๋หันไปเรียกมังกรน้อยออกมา เขาตระหนักว่าคู่ต่อสู้นั้นไม่ธรรมดา และคาสโซ่คงจัดการไม่ไหว

มังกรน้อยผละจากกลุ่มทอันเดดอย่างเสียดาย จากนั้นมันจึงนำทอนฟาออกมาพุ่งเข้าตีปีศาจยักษ์

โฮก…..

เมื่อถูกตี ปีศาจยังก็มึนงง การโจมตีด้วยทอนฟาของมังกรน้อยแน่นอนว่าทรงพลังอย่างมาก

“มารดามันเถอะ บิดาจะเป็นเพื่อนเล่นใหเ้เจ้าเอง!” มังกรน้อยคำราม โลหิตในกายพลุ่งพล่านอย่างตื่นเต้น

ร่างกายของมันใหญ่โตเกินไปเมื่อต้องสู้กับศัตรูรูปร่างมนุษย์ มันจึงไม่สะดวกเท่าไร การได้เจอคู่ต่อสู้ที่ขนาดใกล้เคียงกันเช่นนี้ทำให้มันตื่นเต้นยินดี ครั้งก่อนมันเคยปะทะกับผู้นำกอล็อกที่ร่างกายใหญ่โต แต่อีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไป มันจึงพ่ายแพ้กลับมา

วันนี้ อีกฝ่ายอ่อนแอกว่าผู้นำกอล็อกมาก ดังนั้นมันจึงมั่นใจยิ่ง

โฮก……

ปีศาจยักษ์ที่หายมึนงงก็เดือดดาลผู้ที่โจมตีใส่มัน มันพลันอ้าปากพ่นเปลวเพลิงอันร้อนแรงออกมา

มังกรน้อยที่เป็นศิษย์ก้นกุฏิของบเซียวอวี๋มีหรือจะโง่รับ ดังนั้นมันจึงม้วนตัวหลบออกไปหลายตลบ

“ต้องใช้หัวเสียบ้าง เพียงความแข็งแกร่งไม่สามารถจัดการได้ทุกเรื่อง” มังกรน้อยกล่าวกับตนเอง

ครืน….เปรี้ยง……

ที่อีกด้าน เวทมนตร์ของคาเอลและสายฟ้าของพวกอัศวินกริฟฟ่อนก็เริ่มพุ่งถล่มใส่ปีศาจยักษ์

ตอนนี้ กองทัพที่ติดตามเซียวอวี๋มาบึงตะวันลับกว่าครึ่งต่างก็มีระดับเกินสิบไปแล้ว

การต่อสู้อันหลากหลายได้เคี่ยวกรำพวกเขาจนแข็งแกร่ง

ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งผ่านการต่อสู้มามาก พวกนักรบออร์คก็ยิ่งแข็งแกร่งและมีระบบระเบียบ พวกมันล้วนสุ้ตามที่เซียวอวี๋เคยสอน เล็งไปที่เท้า เตะไปที่เป้า ทิ่มไปที่ดวงตา เหล่านี้ล้วนเป็นท่าโจมตีที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง

คาสโซ่มองดูเหล่าไพร่พลของเซียวอวี๋ที่จัดการกับศัตรูด้วยวิธีไร้ยางอายก็อดหลั่งเหงื่อเย็นไม่ได้ คราวที่สู้กับไพร่พลเมืองเม็กที่ด้านนอก เขาเองก็ได้เห็นพฤติกรรมชั่วร้ายเหล่านี้มาบ้าง และครั้งนี้ก็ทำให้เขาเข้าใจกองทัพของเซียวอวี๋มากขึ้น

กอ่นที่เขาจะมาเป็นผู้นำของกลุ่มอาชาเหล็ก เขาคิดว่าสมาชิกกลุ่มของเขาสามารถบดขยี้นักรบออร์คได้ไม่ยากและคงเกิดความาสูญเสียค่อนข้างต่ำ แต่ตอนนี้เขาก็พบแล้วว่า ความคิดนั้นช่างตื้นเขินนัก สิ่งที่นักรบออร์คของกองทัพเซียวอวี๋ยึดเป็นมั่นเหมาะคือการปรับสภาพ หากสู้ไม่ได้ พวกมันก็จะแสร้งยอมแพ้หรือหลอกล่อด้วยวิธีการต่างๆอย่างลื่นไหล ดูไปแล้วแทบไม่ต่างอะไรจากกองโจร ที่ต่างก็แค่เพียง พวกนี้เป็นกองโจรที่แข็งแกร่งจนน่ากลัว

คาสโซ่อดคิดขึ้นไม่ได้ว่า ระหว่างการรักษาเกียรติกับรักษาชีวิตไพร่พลแล้ว สิ่งใดดีกว่ากัน แต่เมื่อได้เห็นจากกองทัพของเซียวอวี๋ เขาก็ทราบคำตอบ การรักษาชีวิตเอาไว้ได้ย่อมประเสิรฐที่สุดแล้ว

“ฮึ่ม ไอ้พวกตัวตนชั้นต่ำ จนดับสูยไปเสีย” ปีศาจยักษ์ระเบิดพลังออกมาจนเกิดพายุพัดออกรอบทิศทาง

ครืน…..

พื้นดินเริ่มสั่นสะเทือนและยุบตัว จากนั้นกลุ่มก้อนดินก้ผุดขึ้นพุ่งเข้าใส่กองทัพของเซียวอวี๋จนปั่นป่วนโกลาหล

“วิ่ง วิ่ง!” ทุกคนตะโกนและต่างก็รีบวิ่งกระจายเข้ามุมที่ใกล้ตัวเองที่สุด เซียวอวี๋เคยสอนการต่อสู้กับบอสใหญ่ไว้ให้พวกเขาแล้ว ต่อให้อีกฝ่ายร้ายกาจเพียงใด การโ๗มตีนั้นก็ไม่อาจครอบคลุมทุกทิศทาง

ดังนั้น หากมีไหวพริบดีๆ การหลบหลีกมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก

เวทอันทรงพลังของปีศาจยักษ์ทำให้เกิดพายุก้อนหินขึ้นมา หากถูกมันดูดเข้าไปแล้วล่ะก็ แม้แต่ตัวตนขั้นที่ห้าก็ยังต้องเจ็บหนักหรือกระทั่งตกตาย ดังนัน้การวิ่งให้ไวจึงเป็นการลดอัตราสูญเสียที่ดีที่สุด

เทียบกับกองทัพของเซียวอวี๋ที่รู้หน้าที่แล้ว ภาคีอาชาเหล็กและภาคีหัตถืเงินต่างก็สูญเสียมากกว่า นั่นก็เพราะพวกเขาไม่ทราบวิธีรับมือและออกวิ่งช้าเกินไป

 

 

 


ตอนที่ 502

 

“วิ่งต่อไป!” เห็นอำนาจของเวทมนตร์แล้ว เซียวอวี๋ยกแอชเชสขึ้นพาดบ่าพลางตะโกนสั่งการ

ได้ยินเช่นนั้น ไพร่พลก็วิ่งพลางโจมตีพลาง

การโจมตีหลากหลายแบบสาดเข้าใส่ร่างขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง แม้กระนั้น มันก็ยังยากที่จะสร้างบาดแผลร้ายแรงใด

โครงกระดูกยักษ์แข็งแกร่งเกินไป

ครืน……

เกิดเสียงดังขึ้นอีกครั้ง เวทมนตร์อีกสายพลันกวาดออก

“บัดซบ! มันไม่ได้ผล เจ้าฆ่ามันได้หรือไม่?” เซียวอวี๋ตะโกนถาม แม้จะไม่ระบุชื่อ แต่เอกวินน์ก็ทราบว่าอีกฝ่ายกำลังถามตน

ในสถานการณ์เช่นนี้ ความเห็นจากจอมมนตราผู้ยิ่งใหญ่นับว่าสำคัญอย่างยิ่ง

เอกวินน์ชำเลืองมองเซียวอวี๋ นางจิบไวน์จากแก้วในมือเข้าเข้าไปอึกหนึ่ง ท่าทางไม่คล้ายผู้ที่มีส่วนร่วมในสงครามกลับเหมือนว่ามาชมดูเรื่องสนุกเสียมากกว่า

ขณะที่พวกเซียวอวี๋ต่อสู้ดิ้นรนแทบตาย เอกวินน์กลับไม่ใส่ใจ นางเพียงเฝ้ามองอย่างเงียบๆ

ขณะที่เซียวอวี๋กำลังจะหัวเสีย เอกวินน์ก็หันมามองเซียวอวี๋แล้วกล่าวว่า “เจ้าเอาชนะมันไม่ได้หรอก”

เซียวอวี๋กลอกตาก่อนจะกล่าวว่า “แน่นอนว่าเทียบยายแก่เช่นเจ้าไม่ได้ หากเจ้าลงมือมันก็ต้องตายแน่”

เอกวินน์สะบัดมือพลางร่ายเวทไปทางเซียวอวี๋ พริบตาถัดมาร่างกายของเขาก็เปียกปอนไปด้วยไวน์

“ข้าดูแก่นักหรือ?” เอกวินน์แค่นเสียงเย็น

‘เพ้ย พวกผู้หญิงก็เป็นซะแบบนี้ ห้ามพูดถึงอายุ ห้ามพูดถึงน้ำหนัก แค่นี้ก็เดือดดาลซะแล้ว’ เซียวอวี๋ได้แต่บ่นอุบอยู่ในใจ การลงมือของเอกวินน์นั้น เซียวอวี๋ไม่มีแม้แต่เวลาตั้งตัว เขาไม่มีโอกาสจะหลบหลีกใดๆ

นี่ก็คือช่องว่างของความแข็งแกร่งระหว่างพวกเขา

ย้อนถึงตอนเผชิญหน้ากับนักรบขั้นที่หก เซียวอวี๋ยังมีโอกาสได้ใช้เทเลพอตหลบหลีกไป แต่เมื่อถึงคราวเอกวินน์ลงมือ เซียวอวี๋กลับตอบสนองไม่ทันแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าเขาจะต้องระวังในข้อนี้ให้มาก ทักษะเทเลพอตไม่สามารถช่วยได้ทุกเรื่อง

“อะแฮ่ม นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร ท่านคือโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งทวีป ไม่ว่าจะในอดีตหรือตอนนี้ก็ไม่มีใครกล้าพูดว่างดงามไปกว่าท่าน ข้าเองก็ชื่นชมมากๆ ท่านเป็นดั่งเทพะิดาในใจข้าเสมอมา”

เทียบกับด้านอื่นๆแล้ว ความหน้าด้านหน้าทนนับว่าเป็นเอกอุไม่มีใครเกิน

รับมือกับอิสตรี ก็มีแต่ต้องประสบสอพลอนี่ล่ะ!

ได้ยินคำพูดชะเลียของเซียวอวี๋ สีหน้าของเอกวินน์ก็ผ่อนคลายลง แม้ในใจจะทราบว่าเซียวอวี๋เพียงกล่าวชะเลีย แต่ในใจก็รู้สึกดีขึ้นบ้าง ในทวีปแห่งนี้มีสาวงามปรากฏขึ้นมากมาย แม้ว่าตัวนางจะเป็นจอมมนตราที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีป แต่เมื่อกล่าวถึงด้านรูปร่างหน้าตาแล้ว นางตระหนักดีว่าตนเองย่อมไม่ใช่อันดับหนึ่ง

“เจ้ายักษ์นี่ดูเหมือนแข็งแกร่งจนยากจะเอาชัย กระนั้นอักขระเวทของมันกลับไม่สมบูรณ์ มันมีช่องโหว่ขนาดใหญ่อยู่” เอกวินน์กล่าวเสียงเรียบ

ได้ยินเช่นนั้น เซียวอวี๋ก็หันไปมองโครงกระดูกยักษ์อย่างละเอียด เซียวอวี๋ก็สังเกตเห้นว่า ตั้งแต่เริ่ม เจ้ายักษ์นี่ไม่ได้เคลื่อนออกไปไหนเลย หากแต่รั้งอยู่ที่เดิมตลอด

เมื่อตัวใหญ่ก็ยากที่จะเคลื่อนที่ ดูเหมือนว่าจุดอ่อนของมันคือความคล่องตัว

ยิ่งตัวใหญ่ก็ยิ่งต้องใช้พลังงานมากในการขยับเคลื่อนไหว ซึ่งแน่นอนว่าอันเดดเนโครแมนเซอร์ย่อมไม่มีพลังเวทให้ล้างผลาญมากนัก

“ทั้งหมดหยุด! พวกเราจะใช้วิธีรบแบบกองโจร!” เซียวอวี๋พลันตะโกนสั่งการ

ได้ยินคำสั่ง ไพร่พลทั้งหมดก็ถอยร่นออกมาจนพ้นระยะโจมตีของโครงกระดูกยักษ์

โฮก!…

เห็นศัตรูล่าถอยออกไป โครงกระดูกยักษ์ก็คำราม มันมองไปรอบๆด้วยความระมัดระวัง ระแวงว่าศัตรูจะโจมตีจากทิศทางที่มันคาดไม่ถึง

สุดท้ายมันก็ไม่ได้บุ่มบ่ามติดตามโจมตี มันเพียงปักหลักอยู่กับที่ เฝ้ารอดูการเคลื่อนไหวของพวกเซียวอวี๋

“เจ้านี่ฉลาดไม่เบา มันรู้ว่าเวลาไหนควรลงมือ แต่แล้วอย่างไรเล่า เห็นลูกพี่รังแกได้ง่ายนักหรือ?” เซียวอวี๋แค่นเสียง จากนั้นจึงหันไปสั่งการกับกรอม “เจ้าเข้าไปหลอกล่อมัน แต่ไม่ต้องสู้จริงๆ”

กรอมพยักหน้ารับ จากนั้นจึงแยกร่างและโถมพุ่งเข้าใส่โครงกระดูกยักษ์

ฟุบ!

เงาร่างของกรอมประดุจวิญญาณลอยล่อง ดาบในมีดกรีดใส่รอยต่อกระดูกจนเศษผงกระดูกร่วงกรูลงมา

กรอมยิ่งมาก็ยิ่งแข็งแกร่ง แม้การโจมตีนี้ของเขาจะทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้มาก กระนั้นก้ยังทำให้กระดูกยักษ์โมโหขึ้นมา

โครงกระดูกยักษ์คำรามก่อนจะพุ่งเข้าหากรอม กรอมที่เตรียมตัวอยู่แล้วก็พลันกลับหลังหันพุ่งถอยไปอย่างเร็ว

โครงกระดูกยักษ์ก้มหยิบก้อนหินขึ้นมาก่อนจะซัดขว้างตามหลังกรอมไป กระนั้นกรอมก็ยังหลบได้อย่างหมดจด

ตึง..

ในที่สุดโครงกระดูกยักษ์ก็ขยับเคลื่อนไหว มันก้าวเท้าเดินตามกรอมไป แม้แต่ละย่างก้าวจะเชื่องช้า แต่ด้วยขนาดตัวอันใหญ่โตของมัน เพียงไม่กี่ก้าวก็แทบจะไล่ตามกรอมได้ทัน

ขณะเดียวกัน เซียวอวี๋ก็หันไปสั่งการต่อเมอีฟ “เมอีฟ เจ้าไปล่อมันมา”

เมื่อได้รับคำสั่ง เมอีฟก็พุ่งกายออกไป มีดสั้นในมือสะบัดฟันเข้าใส่ส่วนหัวของโครงกระดูกยักษ์จนมันชะงัก

ชัดเจนว่าพลังโจมตีของเมอีฟย่อมไม่ธรรมดา

โฮก…..

โครงกระดูกยักษ์คำรามก่อนจะหันมาไล่ล่าเมอีฟ เห็นดังนั้น เมอีฟก็รั้งมีดสั้นกลับและถอยไปยังตำแหน่งที่กำหนดอย่างรวดเร็ว

ด้วยระดับความเร็วของเมอีฟแล้ว โครงกระดูกยักษ์ย่อมไม่อาจติดตามทัน

เวลาเดียวกันนั้น เซียวอวี๋ก็ให้มังกรน้อยเข้าลงมือ มังกรน้อยควงทอนฟาพุ่งเข้าตีโครงกระดูกยักษ์สองสามครั้งก่อนจะเร่งถอยห่าง

แน่นอนว่าคราวนี้ความสนใจของโครงกระดูกยักษ์ย่อมต้องถ่ายไปที่มังกรน้อย อาจด้วยพลังโจมตีที่รุนแรง มันจึงถูกกระตุ้นโทสะกว่าครั้งไหนๆและเบนเป้าหมายไปติดตามมังกรน้อยทันที

“วิ่งต่อไป! มันจับเจ้าไม่ทันหรอก!” จากนั้นเซียวอวี๋จึงส่งคนออกไปดึงดูดความสนใจของโครงกระดูกยักษ์ กระนั้นมันกลับไม่หันมาสนใจเสียอย่างนั้น

ดูเหมือนว่าโครงกระดูกยักษ์จะโกรธแค้นมังกรน้อยอย่างมาก ดังนั้นเซียวอวี๋จึงจำใจต้องให้มังกรน้อยรับมือกับมันพลางบั่นทอนกำลังของมันต่อไป

แน่นอนว่าด้วยร่างอันใหญ่โตของมัน ผ่านไปพักหนึ่งก็ยังไม่อาจจับตัวมังกรน้อยได้ การเคลื่อนไหวของมันเชื่องช้าเกินไป

อันเดดเนโครแมนเซอร์ที่อยู่บนหัวของโครงกระดูกยักษ์รีบพยายามควบคุมไม่ให้โครงกระดูกยักษ์ไล่ตามมังกรน้อยไป อย่างไรก็ตาม โครงกระดูกยักษ์เดือดดาลจนสติขาดผึงไปแล้ว อีกทั้งตัวอันเดดเนโครแมนเซอร์เองยังไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์

ดังนั้น อันเดดเนโครแมนเซอร์จึงจนปัญญาและทำได้เพียงวิตกกังวลอยู่บนนั้น แต่ยิ่งมันปล่อยให้โครงกระดูกยักษ์เคลื่อนไหวมากเท่าไร มานาที่ต้องจ่ายเป็นพลังงานให้มันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น….

 

 

 


ตอนที่ 503

 

สถานการณ์เป็นไปตามที่เซียวอวี๋คาด ยิ่งโครงกระดูกยักษ์เดินไกลขึ้นเท่าไร มานาที่ใช้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ไม่ช้า พวกมันจะเป็นฝ่ายอ่อนกำลังไปเอง


โครงกระดูกยักษ์ถูกสร้างขึ้นจากการผสมผสานเวทมนตร์ของอันเดดเนโครแมนเซอร์ มันยังไม่ใช่อันเดดที่สมบูรณ์

เทียบกับการอัญเชิญจากต่างมิติของออกุสตุสแล้ว กรณีนั้นไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับปัญหาข้อนี้ เพราะนั่นเป็นสิ่งมีชีวิตอันสมบูรณ์

แต่โครงกระดูกยักษ์นั้นไม่ใช่ มันกลับคล้ายฟีนิกซ์เพลิงของคาเอลเสียมากกว่า

หรือก็คือ มันต้องการพลังเวทในการคงสภาพเอาไว้

ตู้ม…..

เมื่อเห็นว่าการเคลื่อนไหวของโครงกระดูกยักษ์ยิ่งมายิ่งเชื่องช้า อันเดดเนโครแมนเซอร์ที่อยู่ด้านบนก็ยิ่งวิตก ขณะที่ทางฝั่งของเซียวอวี๋นั้นกำลังนำไวน์ออกมาดื่มอย่างผ่อนคลาย

“เอกวินน์ เจ้าใช่มีความสัมพันธ์อันดีกับไจน่าหรือไม่?” เซียวอวี๋เอ่ยถามเอกวินน์

เอกวินน์ชำเลืองมองเซียวอวี๋ “ถามทำไม?”

“ไม่มีใด เพียงสงสัย ข้าอยากรู้ว่านางกับอัลแซคพัฒนาไปถึงไหนแล้ว ถึงขั้น….หรือยัง?” เซียวอวี๋ถาม

เขาทราบว่าชื่อของไจน่านั้นแสลงหูสำหรับคาเอล ดังนั้นจึงลดเสียงลง

เอกวินน์จ้องเซียวอวี๋ก็จะถอนหายใจ “ข้าจะทราบได้อย่างไร?”

“หือ เจ้าไม่รู้? พวกเจ้าไม่ใช่สนิทสนมกันยิ่งหรอกหรือ? หรือไม่รู้แม้กระทั่งเรื่องบนเตีย…?” เซียวอวี๋อมยิ้ม

“……” เอกวินน์พลันสะบัดมือ เวทมนตร์แล่นวาบและส่งเซียวอวี๋ลอยกระเด็นไปไกล

“บัดซบ! อูย…” พักหนึ่งเซียวอวี๋จึงตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา

กระนั้นใบหน้าของเซียวอวี๋กลับไม่แสดงอาการโกรธมากนัก เป้าหมายที่ถามเช่นนี้ก็เพื่อยั่วยุให้เอกวินน์โมโห ดูว่านางจะลงมือกับเขาจริงๆหรือไม่

สุดท้ายแล้ว การจะนำนางที่เปรียบได้กับระเบิดเวลาไปไหนมาไหนด้วยนั้น เขาจำเป็นต้องเข้าใจความคิดจริงๆของนางก่อน จากนั้นจึงค่อยเก็บรวบรวมข้อมูลจากนางทีละน้อย

หลังจากนั้นพักหนึ่ง โครงกระดูกยักษ์ก็ยิ่งมายิ่งช้าลง เซียวอวี๋จึงสั่งรวมพลโจมตีเข้าใส่โครงกระดูกยักษ์

ไม่นาน โครงกระดูกยักษ์ที่พลังลดลงมากก็ถูกล้อมโจมตีจากทุกทิศทาง และสุดท้ายไฟวิญญาณของมันก้มอดลง

เมื่อเห็นท่าไม่ดี อันเดดเนโครแมนเซอร์ก็พยายามจะหนี แต่แน่นอนว่าเมอีฟย่อมไม่ปล่อยมันไป นางพุ่งเข้าประชิดตัวของมันก่อนฟันศีรษะมันลงมา

การต่อสู้จบลงแล้ว….

“รวบรวมกระดูกนั่นมาให้ข้า” เซียวอวี๋จ้องมองกระดูกของโครงกระดูกยักษ์ตาเป็นมัน เขาตระหนักดีว่ากระดูกพวกนี้นับเป็นวัตถุดิบที่หายากสำหรับการแปรธาตุ

หลังจากตรวจตาทั่วทุกมุมของห้อง พวกเซียวอวี๋ก็ออกเดินทางกันต่อ

ในอดีต ที่นี่จะต้องมีของดีอยู่มากแน่ๆ กระนั้นเซียวอวี๋กลับไม่เจอ นั่นทำให้เขาเศร้าไปพักหนึ่ง

สถานที่แห่งนี้เคยเป็นโรงเรียนของพวกเนโครแมนเซอร์มาก่อน ดังนั้นที่ห้องของบอสย่อมต้องมีของดีอยู่แน่

ที่เขากังวลก็คือ บอสนั่นจะยังอยู่ที่นี่หรือเปล่า

ในระหว่างทาง พวกเขาพบเจออันเดดทรงพลังมากมาย มีกระทั่งพวกโครงกระดูกโลหิต แต่แน่นอนว่าพวกมันย่อมไม่อาจต้านทานกองทัพของเซียวอวี๋

เพื่อที่จะกำจัดพวกโครงกระดูกโลหิต คาสโซ่ได้แบกรับการโจมตีของพวกมันเอาไว้และให้คนอื่นๆทำหน้าที่สังหารพวกมัน

การโจมตีด้วยหอกกระดูกของพวกโครงกระดูกนั้นรุนแรงมาก คนทั่วไปย่อมไม่อาจต้านทาน

แม้กระทั่งตัวคาสโซ่ก็ยังรับมืออย่างยากลำบาก สุด้ทายังต้องสูญเสียโล่คู่กายไป เซียวอวี๋ที่เห็นดังนั้นจึงโยนโล่แอสซินอสให้เขา

คาสโซ่จับจ้องแอสซินอสด้วยความตื่นเต้น โล่ที่เซียวอวี๋โยนมาให้นี้ย่อมเป็นยอดแห่งโล่ป้องกัน นี่จะไม่ให้เขาตื่นเต้นยินดีได้อย่างไร?

เมื่อมีแอสซินอสอยู่ในมือ เขาก็ไม่หวั่นเกรงอันตรายอีกและตรงเข้ากำจัดพวกโครงกระดูกโลหิตจนเกลี้ยง

หลังจากนั้นเขาก็นำโล่แอสซินอสมาคืน แต่เซียวอวี๋โบกมือกล่าวว่า “อานดีคู่ม้าดี ยอดศัสตราย่อมต้องคู่ควรกับยอดนักรบ ไม่มีผู้ใดเหมาะกับมันเท่าท่านแล้ว”

จากนั้นเซียวอวี๋ก็เดินจากไป ทิ้งคาสโซ่เอาไว้ ลอร์ดเซียวผู้นี้ใช่ใจกว้างไปหรือไม่?

ของสิ่งนี้คืออะไรน่ัหรือ? มันคือโล่แอสซินอสเลยนะ!

มันคือโล่ที่คาสโซ่ทำได้แค่ฝันจะครอบครอง กระนั้นเซียวอวี๋กลับยกมันให้เขาง่ายๆเช่นนี้

“เจ้า…เจ้ายกให้ข้าหรือ?” คาสโซ่วิ่งตามเซียวอวี๋ไปก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ไม่เพียงเท่านั้น นี่ก็ให้ท่าน” เซียวอวี๋โยนจี้แห่งไททันให้คาสโซ่

จี้แห่งไททันกับโล่แห่งแอสซินอส การจับคู่อันสมบูรณ์แบบนี้ถึงกับทำให้คาสโซ่นิ่งตะลึงงัน

สำหรับเซียวอวี๋แล้ว เมื่อเขาตัดสินใจจะดึงคนผู้นี้มาเข้าร่วม แน่นอนว่าเขาย่อมต้องจ่ายออกบ้าง และเขาก็ไม่กลัวที่จะลงทุน

ในเมื่อต้องการบางสิ่ง ท่านก็ต้องจ่ายออกด้วยบ้างสิ่งอยู่แล้ว

หากว่าในอนาคตคาสโซ่กลายเป็นคนของเขาแล้ว นั่นไม่ใช่ว่าของเหล่านี้ก็จะกลับมาด้วยหรอกหรือ? ซึ่งแน่นอนว่านั่นก็คงไม่นานเกินรอ เซียวอวี๋ตั้งใจจะรวบรวมเหล่าผู้มีศักยภาพมาเข้าร่วมกับเขา และเมื่อถึงตอนนั้น คาสโซ่ย่อมต้องนำเหตุการณ์ครั้งนี้มาร่วมพิจารณา

หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง คาสโซ่ก็เก็บทั้งสองชิ้นไป จากนั้นจึงกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าติดหนี้เจ้าแล้ว”

เซียวอวี๋พยักหน้า “อืม”

ตอนนี้ พลโล่คนเดียวที่อยู่ในสังกัดของเซียวอวี๋ก็คือ เดรอน ทว่าเดรอนนั้นไม่อยู่ที่นี่ ซึ่งการดำรงอยู่ของคาสโซ่ก็สามารถเข้ามาดำเนินหน้าที่ป้องกันให้กองทัพของเขาได้เป็นอย่างดี

โล่ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ย่อมเป็นที่ต้องการของทุกกองทัพ

เซียวอวี๋สังเกตเห็นว่าอาวุธและเครื่องป้องกันของกลุ่มอาชาเหล็กนั้นไม่ค่อยดีสักเท่าไร แทบทุกชิ้นล้วนมีรอยเลือดแห้งกรังติดอยู่

การรับมือกับพวกอันเดดย่อมต้องหลีกเลี่ยงการใช้อาวุธที่เปื้อนโลหิต นั่นก็เพราะโลหิตที่ติดบนอาวุธนั้นสามารถเพิ่มพลังชีวิตให้กับพวกอันเดดได้

คาสโซ่มองเซียวอวี๋อย่างตื้นตันและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา หลายปีแล้วที่เขาและสหายในกลุ่มอาชาเหล็กต่อสู้เพื่อธำรงเกียรติแห่งบรรพชน

ในช่วงเวลานั้น มีผู้คนมากมายที่มาหาพวกเขาเพราะต้องการใช้เป็นเครื่องมือ

ทว่าเซียวอวี๋กลับปฏิบัติกับพวกเขาราวกับสหาย เขาทราบว่าเซียวอวี๋นั้นต้องการชักชวนพวกเขาให้เข้าร่วม แต่วิธีที่เขาใช้นั้นไม่ใช่การใช้เงินเข้าล่อ แต่เป็นการปฏิบัติอย่างจริงใจ

ในยุคสมัยเช่นนี้ สิ่งที่หายากก็คือความจริงใจนี่เอง

สมาชิกคนอื่นๆในกลุ่มอาชาเหล็กเองก็มีความประทับใจในตัวเซียวอวี๋และกองทัพออร์คของเขา การได้พอเจอเรื่องราวดีๆเช่นนี้ติดต่อกันทุกวันก็ค่อยๆหลอมรวมพวกเขาจนแทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพของเซียวอวี๋

หลังจากเก็บกวาดสิ่งของเสร็จสิ้น พวกเขาก็มุ่งหน้าต่อจนในที่สุดก็มาถึงห้องของคณบดี

ที่เบื้องหน้าของพวกเขา ชายชราที่สวมหมวกสูงและชุดคลุมสีดำก็ปรากฏแก่สายตา ท่าทางของชายชราเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส เขานั่งอยู่บนเก้าอี้และจ้องมองพวกเซียวอวี๋อย่างสงบ

อย่างไรก็ตาม เปลวเพลิงในแววตาของเขากลับทรยศท่าทางที่แสดงออก เพียงสบตาก็ทราบทันทีว่าชายชราผู้นี้เป็นเนโครแมนเซอร์ที่ทรงพลัง

คณบดีมืด เกรดิ้ง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม