World of Warcraft ราชันต่างภพ 470-485

 470

“โจมตี!” นิโคลัสตะโกนสุดเสียง

เดิมทีการปรากฏตัวของฮอรัสทำให้คนทั้งหมดรู้สึกสิ้นหวัง หากแต่ตอนนี้ ด้วยการตื่นขึ้นของอิลิดันและคาเอล กระแสของสงครามก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น และเซียวอวี๋ก็ทำให้เห็นแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ศัตรูที่ไร้เทียมทาน

นิโคลัสกัดฟันและล้วงหยิบเอาหอกระดับห้าใส่แทนกระสุนของปืนใหญ่เวท จากนั้นจึงหมุนปืนใหญ่เล็งไปทางฮอรัส

นิโคลัสตื่นเต้นตึงเครียด อาจเป็นเพราะการกระทำก่อนหน้านี้ของเซียวอวี๋หรืออาจจะเป็นเพราะต้องการแสดงแสนยานุภาพของตระกูล

ความเร็วการยิงของปืนใหญ่เวทนั้นสูงอย่างมาก แม้ฮอรัสต้องการจะหลบหลีกเพียงใด มันก็ยังยากจะหลบพ้นอยู่ดี

จากประสบการณ์ในโลกเก่าของเขาแล้ว เซียวอวี๋รู้ว่าปืนใหญ่มีความเร็วในการยิงแทบจะจะเทียบเท่าความเร็วแสง หรือก็คือ มันเป็นปืนเลเซอร์กลายๆ

ฮอรัสเองก็ตระหนักถึงความอันตรายของมันได้ หากแต่มันยังติดพันอยู่กับเซียวอวี๋และอิลิดัน ดังนั้นจึงยากจะหลีกพ้น ในห้วงวิกฤต มันทำให้ได้เพียงยกหอกในมือขึ้นต้านทาน

เคร้ง!…

เกิดประกายแสงจากการเสียดสีส่องแยงตา พลังงานอันรุนแรงปะทุขึ้นเบื้องหน้าของฮอรัส

ร่างกายอันใหญ่โตของฮอรัสลอยกระแทกเข้ากับแท่นบูชาอย่างรุนแรงจนทำให้แท่นบูชาส่วนนั้นพังทลายลงมา

กะโหลกของกูดาลที่อยู่ด้านบนถึงกับสั่นอย่างรุนแรง ครานี้มันมีโทสะจริงๆแล้ว

เจ้าโง่ฮอรัสนี่โผล่มาทำลายแผนการของมันจนพัง ตอนนี้ยังมาทำลายแท่นบูชาของมันอีก นี่จะไม่ให้มันมีโทสะได้อย่างไร?

โฮก….

ฮอรัสคำราม ขณะที่แววตาเดือดดาลจับจ้องอยู่ที่ขบวนทัพของนิโคลัส

แม้แต่ปืนใหญ่เวทยังไม่อาจสังหารมันได้ในครั้งเดียว นี่แสดงให้เห็นว่าฮอรัสแข็งแกร่งเพียงใด

“พวกเจ้ารนหาที่ตาย!” ฮอรัสครางต่ำในลำคอ

ความเสียหายจากปืนใหญ่เวทนั้นไม่เบาเลย ทำให้ฮอรัสบาดเจ็บไม่น้อย เดิมที หลังรับการโจมตีจากมังกรน้อยไป มันก็หงุดหงิดมากอยู่แล้ว และตอนนี้การโจมตีของนิโคลัสก็ทำให้มันสติขาดผึง

เดิมทีแล้ว มันคิดว่าภายในโลกใบนี้ ด้วยความแข็งแกร่งระดับมันสมควรไม่มีสิ่งใดทำอย่างไรกับมันได้ ทว่าความเป็นจริงกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง

ยิ่งมองดู กูดาลก็ยิ่งเดือดดาลมากขึ้น มันต้องการจะมอบบทเรียนให้ฮอรัส แต่ตอนนี้มันยังต้องพึ่งพาพลังของฮอรัสจัดการกับอิลิดันเพื่อยึดร่างมา ดังนั้นมันจึงทำได้เพียงข่มกลั้นโทสะเอาไว้ก่อน

“ไอ้พวกมนุษย์โสโครก ตายไปซะ!” กูดาลคำรามด้วยความโกรธ กะโหลกของมันพลันถูกห่อหุ้มด้วยเพลิงเขียว

“เพลิงปีศาจ!” กูดาลตะโกน ขณะที่วงเวทเปล่งแสงและปลดปล่อยเพลิงปีศาจอันทรงพลังออกมาเป็นรูปทรงคล้ายเคียวประหลาด

เมื่อเปิดฉากโจมตี ก็ลงมือด้วยความอำมหิต ครั้งหนึ่ง กูดาลเคยเป็นวอร์ล็อคชั่วร้ายที่ทรงพลังมากที่สุด มีหรือที่การโจมตีของมันจะออมรั้งยั้งมือ?

อย่างไรก็ตาม เมื่อกูดาลเริ่มลงมือ คาเอลเองก็ไม่นิ่งเฉย

คาเอลตะโกนด้วยเสียงอันดัง “ข้ากลับมาแล้ว สายเลือดแห่งบลัดเอลฟ์จะรุ่งโรจน์อีกครั้งด้วยมือข้า อืม…ดูเหมือนข้าจะเคยหลอมคทาซินแดร์ที่นี่…ใช่ยังอยู่หรือไม่?”

ได้ยินคำกล่าวของคาเอล รีลัสก็สะดุ้ง นั่นเพราะสิ่งที่อยู่ในมือของเขาตอนนี้ก็คือ คทาทองคำซินแดร์

แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่เขาก็ตระหนักได้ว่า คาเอลที่เบื้องหน้าของเขาตอนนี้ก็คือ เจ้าชายแห่งบลัดเอลฟ์เมื่อครั้งโบราณตัวจริง

หากให้ชาวบลัดเอลฟ์คนอื่นๆทราบเรื่องนี้ เกรงว่าคนอื่นๆที่กระจัดกระจายกันไปจะต้องรีบเดินทางมารวมตัวกันอีกครั้งเป็นแน่

ความกลัวปรากฏขึ้นในใจของรีลัสโดยสัญชาตญาณ

อย่างไรเสีย ที่เบื้องหน้าของเขาก็คือ บลัดเอลฟ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากครั้งโบราณ ผู้ที่ได้รับความเคารพบูชาจากชาวบลัดเอลฟ์ดุจเทพเจ้า แต่ไม่เพียงเท่านั้น เทพเจ้าผู้นี้ยังปลุกความทรงจำและพลังจากครั้งอดีตขึ้นมาพร้อมกันด้วย

ต่อหน้าคาเอลแล้ว รีลัสก็ไม่ต่างอะไรกับปุถุชนคนธรรมดา

ไม่มีผู้ใดทราบอำนาจแห่งเวทของบลัดเอลฟ์ดีไปกว่าเขา และไม่มีผู้ใดตระหนักถึงความแข็งแกร่งของคาเอลดีไปกว่าเขาอีกแล้ว

“อืม? คทาซินแดร์นั่นเคยเป็นของข้า ดังนั้นจงคืนมันให้ข้าเสีย”

คาเอลหันไปมองรีลัสและหงายมือออก คทาซินแดร์สั่นสะท้านก่อนจะลอยไปหาคาเอล

เผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้ รีลัสก็นิ่งตะลึงงัน เขาเปิดปากราวกับจะกล่าวบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ปิดปากเงียบ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่กล้าทัดทานคาเอล สุดท้ายแล้ว คาเอลก็ถือเป็นเทพเจ้าของชาวบลัดเอลฟ์

ในใจของนิโคลัสพลันเดือดดาล นั่นเป็นของตกทอดต่อกันมาประจำตระกูลของเขา ตอนนี้กลับถูกคาเอลชิงไปดื้อๆ กระนั้นคิดก็ได้แต่คิด ตอนนี้เขาย่อมไม่กล้าเผชิญหน้ากับคาเอล

ด้วยคทาซินแดร์ในมือ คาเอลในตอนนี้ถึงสมเป็นคาเอลจริงๆแล้ว

ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็งัดของดีออกมา พวกออร์คปีศาจออกวิ่งไปทางเหล่านักผจญภัย ทางฝั่งพวกนักผจญภัยก็เริ่มตั้งแนวรับเตรียมประจัญบานกับพวกออร์คปีศาจ

กองกำลังของเซียวอวี๋ยังแข็งแกร่งดุจเดิม และยิ่งมาพวกเขาก็ยิ่งเข้าขากันมากขึ้น และนั่นลดภาระการสั่งการของเซียวอวี๋ไปได้มาก

เวลานี้เอง กะโหลกของกูดาลพุ่งทะยานออก คาเอลพลันยกมือเรียกฟีนิกซ์เพลิงออกมาพุ่งเข้าปะทะกับการโจมตีจากกูดาล

ฟีนิกซ์ที่ถูกเรียกออกมาในเวลานี้แข็งแกร่งกว่าเดิมมาก มันร้องเสียงสูงขณะที่เพลิงอันร้อนแรงปะทุขึ้นท่วมร่าง

เปรี้ยง…

ฟีนิกซ์เพลิงพุ่งปะทะกับกะโหลกของกูดาลอย่างรุนแรงและส่งกะโหลกของกูดาลลอยกระเด็นกลับไป

ด้วยการหนุนเสริมของคทาซินแดร์ พลังมานาของคาเอลจึงพุ่งสูงเสียดฟ้า แม้พลังฝีมือจะยังฟื้นคืนไม่กี่ส่วน แต่มานาของคาเอลในเวลานี้กระทั่งยังสูงกว่าของกูดาลอีก

กูดาลคำราม ครั้งหนึ่งมันเป็นถึงวอร์ล็อคที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ถูกฟีนิกซ์เพลิงโจมตีใส่เช่นนี้ ในใจย่อมเดือดดาลเพราะรู้สึกเสียหน้า

กูดาลอ้าปากก่อนจะร่ายเวทลึกลับบทหนึ่ง เสียงร่ายเวทที่ดังขึ้นทำให้ทุกคนที่ได้ยินต่างสะท้านไปถึงวิญญาณ

กูดาลเชี่ยวชาญการอัญเชิญและการโจมตีด้วยวิญญาณ

เมื่อร่ายเวทจบ ทุกคนก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะ คนที่อ่อนแอบางคนก็กรีดร้องโหยหวนและวิ่งพล่านไปทั่ว

“วิญญาณโหยหวน”

เซียวอวี๋จดจำได้ทันที พวกวอร์ล็อคต่างก็ถนัดการโจมตีทางวิญญาณ หากได้รับการโจมตีนี้นานไป คนที่จิตวิญญาณอ่อนแอก็อาจตกตายได้

คาเอลที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศเองก็ได้รับผลกระทบจนต้องลอยถอยไปหลายเมตร….


471

คาเอลเริ่มสัปประยุทธ์กลางอากาศกับกูดาล ขณะที่ฮอรัสซึ่งฟื้นตัวแล้วก็เข้าสู่สนามรบอีกครั้ง


อิลิดันกวัดแกว่งดาบจันทร์เสี้ยวที่ห่อหุ้มด้วยเพลิงสังเวยพลางกู่ร้องสุดเสียง

ครั้งหนึ่ง อิลิดันเคยถูกเมอีฟตามล่าและถูกเหล่าผู้เล่นสังหารที่แท่นบูชาแห่งนี้ และตอนนี้เขาก็เขาได้กลับมาที่นี่อีกครั้งและยืนอยู่ ณ จุดสูงสุด

ครึกๆ….

ร่างกายของอิลิดันพลันขยายใหญ่ขึ้นจนเกือบจะเท่ากับฮอรัส จากนั้นเขาก็พุ่งไปทางฮอรัส

เซียวอวี๋ต้องการจะช่วยสู้ แต่เมื่อเห็นการต่อสู้ของอิลิดันแล้วเขาก็เปลี่ยนใจ ปล่อยให้อิลิดันสะสางด้วยตนเอง

“ฆ่าออกุสตุส!” เซียวอวี๋ชี้ขวานไปยังออกุสตุส ตอนนี้ออกุสตุสคือผู้นำของพวกออร์คปีศาจ หากไม่สังหารมันเสีย พวกออร์คปีศาจก็จะไม่หยุด

หากออกุสตุสถูกสังหาร พวกออร์คปีศาจย่อมกลายเป็นมังกรไร้เศียร

ได้ยินคำสั่งจากเซียวอวี๋แล้ว มังกรน้อยและคาร์นก็ขยับลงมือ

ตอนนี้สีหน้าของออกุสตุสแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด แผนการที่วางเอาไว้พังทลาย ความพยายามทั้งหมดกลายเป็นสูญเปล่า

ออกุสตุสเริ่มร่ายเวท จากนั้นไม่นาน ที่เบื้องหน้าก็ปรากฏผู้ส่งสารแห่งหายนะขึ้นสี่ตัว

เซียวอวี๋เคยลิ้มรสความร้ายกาจของมันมาแล้ว ดังนั้นจึงเตรียมพร้อมรับมือกับพวกมันไว้ก่อน แต่เวลากลับมีพวกมันถึงสี่ตัว สถานการณ์จึงนับว่าตึงมือไม่น้อย

ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่มีวิธีอื่นนอกจากต้องจัดการกับพวกมันทั้งสี่ มิเช่นนั้นคงยากจะเข้าถึงตัวของออกุสตุส

ครั้งสุดท้ายที่ออกุสตุสอัญเชิญผู้ส่งสารแห่งหายนะออกมา ตอนนั้นเขายังต้องลำบากไม่น้อย ทว่าตอนนี้กลับเรียกมาถึงสี่ตัวอย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดว่าต้องใช้วิธีการพิเศษบางอย่าง

ปัง!…

มังกรน้อยเปิดฉากโจมตีใส่ผู้ส่งสารแห่งหายนะตัวหนึ่งด้วยทอนฟา ครั้งสุดท้ายนั่น เป็นเพราะความแตกต่างด้านพละกำลัง มันจึงต่อสู้อย่างยากลำบาก แต่ตอนนี้ย่อมไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว

อีกด้านหนึ่ง คาร์นหยิบโล่แอสซินโนวซี่ออกมาฟาดผู้ส่งสารแห่งหายนะอีกตัวหนึ่ง แม้จะสร้างความเสียหายไม่ได้มากนัก แต่เมื่อมีโล่ขนาดใหญ่นี้อยู่กับตัว ผู้ส่งสารแห่งหายนะก็ยากจะจัดการเขาได้ ส่วนเรื่องการโจมตี เขายกให้เป็นหน้าที่ของเหล่าผู้ใช้มนตราทางด้านหลัง

อย่างไรเสียที่นี่ก็มีผู้ใช้มนตราอยู่มาก แม้ผู้ส่งสารแห่งหายนะจะแข็งแกร่ง กระนั้นก็ยังไม่อาจรับมือกับผู้ใช้มนตราจำนวนมากได้

นิโคลัสส่งพลเกราะหนักไปรับมือกับผู้ส่งสารแห่งหายนะอีกตัว

ตอนนี้เหลือผู้ส่งสารแห่งหายนะเพียงตัวเดียวที่ยังไม่มีคนเข้าไปจัดการ ทว่าพวกเขาไม่เหลือยอดฝีมือที่สามารถต่อกรมันแล้ว

ทันใดนั้น นักรบร่างสูงคนหนึ่งก็เดินออกมาจากกลุ่มภาคีอาชาเหล็ก ร่างกายของเขาสวมทับไว้ด้วยเกราะมิดชิดราวกับหอคอยเหล็ก บุรุษผู้นั้นมุ่งหน้าเข้าหาผู้ส่งสารแห่งหายนะตัวสุดท้ายพลางส่งแรงกดดันออกมา และโจมตีใส่ผู้ส่งสารแห่งหายนะทันที

ยอดฝีมือขั้นที่หก!

ทั้งหมดพอคาดเดาความแข็งแกร่งของนักรบร่างสูงผู้นี้ได้แล้ว

ในเวลานี้เอง ยอดฝีมือที่ปกปิดตัวตนบางคนก็เริ่มแสดงตัวลงมือ นั่นทำให้พวกออร์คปีศาจล้มตายอย่างรวดเร็ว

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาย่อมตระหนักได้แล้วว่า พวกออร์คปีศาจมีแผนการใหญ่บางอย่าง เป็นแผนการที่เป็นภัยต่อมนุษยชาติ

ในฐานะมนุษย์แล้ว พวกเขาย่อมไม่อาจทำตัววางเฉยไม่ยับยั้งได้

เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง…

แม้นักรบร่างสูงนิรนามนั้นจะอ่อนด้อยกว่าผู้ส่งสารแห่งหายนะอยู่บ้าง กระนั้นก็ไม่เป็นปัญหาในการรับมือกับผู้ส่งสารแห่งหายนะ ความจริงข้อนี้ได้พิสูจน์แล้วว่า ความแข็งแกร่งของเขาต้องไม่ต่ำกว่าขั้นหก

ภายใต้การร่วมมือของมนุษย์ทุกคน ประกอบกับการตื่นขึ้นของอิลิดันและคาเอล ฝ่ายมนุษย์จึงไม่เสียเปรียบอีกต่อไป

“เหอะ…อาศัยเจ้าเพียงลำพังก็ต้องการสังหารข้างั้นหรือ? ใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าไม่ได้ช่วยให้เจ้าเก่งขึ้นในการต่อสุ้หรอกนะ”

กูดาลยกยิ้มลี้ลับ จากนั้นกะโหลกของมันก็พลันหมุนอย่างรวดเร็ว เพลิงสีน้ำเงินลุกโชนปกคลุมทั่วกะโหลก ก่อนที่มันจะยิงลูกเพลิงขนาดใหญ่ใส่คาเอล

แกร๊ก!

กะโหลกของกูดาลส่งเสียงก่อนจะพุ่งเข้าหาคาเอล คาเอลจึงร่ายเวทโล่อาคมขึ้นป้องกัน แต่การโจมตีนี้ของกูดาลเห็นชัดว่ารุนแรงยิ่ง มันจึงพุ่งทะลวงโล่อาคม

“ตายซะ ไอ้หนู!” กูดาลกู่ร้อง ขณะที่กะโหลกของมันยังคงพุ่งมาทางคาเอล คาเอลไม่อาจต้านทานการลงมืออันแสนชั่วร้ายนี้ก็พลันตกเป็นรอง

“ทิรันด้า ยิง!” เซียวอวี่มองดูคาเอลอย่างวิตกและตะโกนสั่งการทันที

แม้กูดาลจะไม่มีร่างกาย แต่ด้วยยาบำรุงที่ได้จากออกุสตุส ความแข็งแกร่งของมันจึงไม่ได้อ่อนแอดังรูปลักษณ์

ครืน…..

กะโหลกของกูดาลพุ่งเร็วขึ้นจนคล้ายดาวตก แม้คาเอลจะสั่งฟีนิกซ์เพลิงไปสกัดยับยั้งการโจมตีของกูดาลแล้ว กระนั้นความเร็วในการพุ่งเข้ามากลับแทบไม่ลดลงเลย

ขณะที่ทิรันด้าได้รับคำสั่งจากเซียวอวี๋ นางก็พาดศรแล้วยิงใส่กูดาลทันที แต่ลูกศรของนางกลับสร้างความเสียหายไม่ได้มากนัก ตอนนี้นางไม่เหลือลูกธนูเพลิงมังกรแล้ว ดังนั้นช่องว่างความแข็งแกร่งนี้จึงไม่อาจถมให้ลดลงได้

“นิโคลัส แจกระเบิดให้มันหน่อย!” เซียวอวี๋หันไปบอกนิโคลัส หากเป็นปืนใหญ่เวท แน่นอนว่าย่อมสร้างความเสียหายให้กูดาลได้

นิโคลัสผายมืออย่างอับจน “เจ้านั่นเร็วเกินไป ข้าเล็งไม่ได้”

ขณะที่เซียวอวี๋จะตอบกลับนั้น หางตาก็พลันเหลือบเห็นทิรันด้ากำลังถูกแสงจันทร์เข้าห่อหุ้ม

ดารามากมายปรากฏขึ้นล้อมร่างนาง และก่อตัวขึ้นเป็นอักขระรูนแปลกตา จากนั้นแสงจันทร์ก็ค่อยๆรวมตัวขึ้นรูปเป็นลูกธนู

ทิรันด้าที่ง้างคันธนูรออยู่ก่อนแล้วพลันปล่อยสายยิงธนูดอกนั้นออกไป….


472

“ศรแสงจันทร์!” เซียวอวี๋รำพึงขณะมองดูลูกธนูที่พุ่งออกไป ในที่สุดทักษะเฉพาะตัวของนางก็ถูกปลุกขึ้นแล้ว


ศรดอกนี้ถูกอาบไล้ด้วยแสงจันทร์ เพียงจับจ้องก็ทำให้ผู้ที่ตกเป็นเป้าของมันรู้สึกวิตก

เปรี้ยง!….

บังเกิดเสียงดังกึกก้อง กูดาลถูกยิงเข้าเต็มๆ มันสังเกตเห็นศรสุดอันตรายนี้ที่มุมหางตา แต่นั่นกลับสายเกินไปแล้ว ลูกศรจึงพุ่งเข้าเป้าเข้าอย่างจัง

กูดาลกระเด็นลอยไปชนเข้ากับผนังอย่างรุนแรง

เวลานี้ทิรันด้าเพียงอยู่ในขั้นที่ห้า แต่พลังของทักษะยังรุนแรงเพียงนี้ หากนางไปถึงขั้นที่หกได้ ความรุนแรงของมันจะเป็นอย่างไร?

“เยี่ยม ทำดีมาก!” เซียวอวี๋หัวเราะร่า จากนั้นจึงหันไปกระซิบถามทิรันด้า “ระยะคูลดาวน์เท่าไร?”

ทิรันด้าลูบคันศรอย่างเบามือพลางตอบว่า “หนึ่งวัน”

“วันนึง!” ความยินดีพลันหดหายอย่างรวดเร็ว แม้ทักษะจะทรงพลัง แต่เวลาคูลดาวน์กลับนานไปแล้ว ใช้ได้เพียงหนึ่งครั้งต่อวัน ช่างยุ่งยากจริงๆ

ในเวลาเดียวกัน คาเอลที่สลัดหลุดจากการโจมตีของกูดาลแล้วก็มองกูดาลอย่างขุ่นเคือง จากนั้นจึงเริ่มต้นร่ายเวท

พร้อมกับที่คาเอลร่ายเวท อากาศรอบตัวของเขาเริ่มบิดเบี้ยว ผู้คนโดยรอบพลันรู้สึกราวกับอยู่ในถังน้ำใบใหญ่ที่ถูกเขย่า

เวทบทนี้ทรงพลังมากจนทำให้มิติโดยรอบเกิดการบิดเบี้ยว นี่ยิ่งแสดงให้เห็นว่าพลังเวทของคาเอลนั้นแข็งแกร่งเพียงใด

“มิติลี้ลับ” คาเอลพึมพำ ทันใดนั้นบอลแสงขนาดใหญ่หลายลูกก็พลันล้อมอยู่รอบกูดาล ลูกบอลเหล่านั้นมีสภาพคล้ายบอลลูนที่โป่งพอง พวกมันขยายตัวและสร้างบอลลูกใหม่ขึ้นอย่างรวดเร็ว บอลทุกลูกเชื่อมต่อกันจนมีสภาพคล้ายปราการพลัง

เวทบทนี้สามารถใช้ในการป้องกัน แต่ในขณะเดียวกันมันก็ยังสามารถกักขังศัตรูเอาไว้ภายในได้

กูดาลที่บาดเจ็บจากการโจมตีของทิรันด้ากำลังคิดหาทางแก้แค้น ทว่าจู่ๆมันก็ถูกกลุ่มบอลพลังล้อมกักเอาไว้ จากนั้นมันก็สัมผัสได้ว่าตัวมันกำลังลอยขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม

ทางด้านพวกออร์คปีศาจที่ด้านล่างเองก็มีหลายตัวถูกบอลพลังยกลอยขึ้นกลางอากาศ

พวกที่ถูกจับพยายามดิ้นรนจะออกมา แต่ในพื้นที่ที่ไร้แรงโน้มถ่วงนั้นกลับทำได้ยากเย็นยิ่ง พวกมันได้แต่ติดอยู่ข้างใน

และเมื่อพวกมันเผลอไปสัมผัสที่รอยต่อของบอลพลัง สายฟ้าก็จะปรากฏออกมาช็อตพวกมันจนร่างไหม้เกรียม

กูดาลเริ่มวิตกกังวล สภาพที่ไร้น้ำหนักเช่นนี้ทำให้มันยากจะรับมือ ขณะที่คาเอลก็ยังคงลงมือควบคุมบอลพลังพวกนี้ นั่นทำให้มันไม่อาจบุกทะลวงออกไป

“ไอ้สารเลว!” กูดาลร่ำร้องอย่างเดือดดาล มันยังหาทางหลุดจากสภาพที่เป็นอยู่ไม่ได้

แต่แม้มันจะเคลื่อนไหวไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะโจมตีไม่ได้ เมื่อเห็นว่ายากจะออกไป มันก็ตัดสินใจจะร่ายเวทสังหารคาเอลก่อน

หากสังหารคาเอลได้ มันก็จะออกไปได้

พร้อมเสียงคำรามของกูดาล ลูกไฟสีเขียวหลายสิบลูกพลันพุ่งออกจากปากของมัน จากนั้นก็ถูกมันควบคุมก่อเป็นรูปขบวนพุ่งเข้าใส่คาเอล

บึ้ม ครืน….

เกิดการระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงที่ด้านของคาเอล และแรงระเบิดนี้ก็สามารถคุกคามคาเอลได้อย่างดี

เมื่อทุกคนหันไปจับจ้องอย่างละเอียด พวกเขาก็พบว่าลูกไฟสีเขียวเหล่านั้นแปรเปลี่ยนเป็นเหล่าอสูรเพลิงโจมตีคาเอลอย่างต่อเนื่อง

“พายุเพลิง!” คาเอลรีบแก้สถานการณ์ เขายกคทาซินแดร์ร่ายเวทเรียกพายุเพลิงออกมา ความร้อนแรงของพายุเพลิงลูกนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเพลิงจากมังกรแม้แต่น้อย

พวกอสูรเพลิงกรีดร้องตกใจ พวกมันเร่งล่าถอยหลบหนี กระนั้นก็ยังเห็นได้ชัดว่าพวกมันได้รับบาดเจ็บไม่เบา

“อืม…เซียวอวี๋ คทาซินแดร์นั้นเป็นของข้า เจ้าจะ…” คทาซินแดร์ถูกคาเอลฉกชิงไป นิโคลัสย่อมต้องการกลับคืน ของสิ่งนั้นมีความสำคัญยิ่ง

เซียวอวี๋พลันหัวเราะขึ้นขัดและกล่าวว่า “ตั้งแต่เริ่มมันก็เป็นของคาเอลมาตลอด ในเมื่อตอนนี้กลับคืนสู่มือเจ้าของแล้ว เจ้ายังคิดจะทวงมันอีกหรือ? หากเจ้าต้องการจริงๆ เช่นนั้นก็ไปทวงถามจากคาเอลเองเถอะ”

นิโคลัสคาดไว้แล้วว่าเซียวอวี๋ต้องตอบอย่างไร้ยางอายเช่นนี้ เขาจึงแค่นเสียงอย่างเย็นชา “อย่าได้คิดว่าข้าเกรงกลัวคาเอลธาส ต่อให้เขาจะเป็นวีรบุรุษจากครั้งโบราณจริง เขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งไร้เทียมทาน ข้ายังมีปืนใหญ่เวทอีกหลายกระบอก เกรงว่าถึงตอนนั้น เขาจะเหลือเพียงแต่ซาก”

เซียวอวี๋พลันตอบว่า “ท่านย่ามันเถอะ! เจ้ายังมีปืนใหญ่เวทอยู่อีกหรือ?”

นิโคลัสแค่นเสียง “หากไม่มีดีอยู่บ้าง พวกเรายังจะสมชื่อตระกูลเอิร์นหรือ? อย่าคิดว่าลูกน้องของเจ้าแข็งแกร่งไร้เทียมทาน พวกเขาไม่ได้เป็นอมตะ หากแข็งแกร่งมากพอก็สามารถสังหารพวกเขาได้ แสนยานุภาพที่เจ้าได้เห้นตอนนี้เป็นเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งอันลึกล้ำ หากการศึกที่แท้จริงปะทุขึ้นมา คนของเจ้าก็ยากจะมีชีวิตรอด”

เซียวอวี๋กล่าวตอบย่างไม่แยแส “คิดว่าข้ามีไพ่ลับเพียงเท่านี้? บอกตามตรง ยังมีที่เจ้าไม่รู้อีกมาก หากเผยออกมา ตระกูลใหญ่แล้วจะเป็นไร ในสายตาข้า จะใหญ่จะเล็กก็ไม่ต่างกัน”

“งั้นหรือ?” เห็นได้ชัดว่านิโคลัสย่อมไม่เชื่อคำคุยโตของเซียวอวี๋

ด้านศึกบนฟ้านั้น กูดาลแข็งแกร่งสมราคา แม้เวลานี้กูดาลจะถูกกักขังกูดาลไว้ด้วยบอลพลังของคาเอล แต่การโจมตีตอบโต้ของกูดาลก็ยังรุนแรงและไม่มีทีท่าจะอ่อนโทรม….


473

กูดาลแทบระงับโทสะไว้ไม่อยู่ มันต้องการจัดการคาเอลให้ได้โดยเร็ว ดังนั้นมันจึงโจมตีไม่หยุดยั้ง กลุ่มหมอกดำทะมึนล่องลอยออกมาจากกะโหลกของกูดาล


“ไม่ดีแน่ คาเอลระวังด้วย” เห็นกูดาลลงมือ เขาก็เอ่ยปากกระตุ้นเตือนคาเอล

คาเอลย่อมทราบว่าเมฆดำกลุ่มนี้จัดการไม่ง่าย แม้เขาจะมีกลุ่มบอลพลังคอยสนับสนุนอยู่ก็ตาม

“นิโคลัส รีบบรรจุกระสุนปืนใหญ่เร็ว ข้าอยากจะรู้นักว่าหลังกินกระสุนปืนใหญ่ไปแล้ว มันยังจะควบคุมหมอกบ้านั่นได้อีกหรือไม่” เซียวอวี๋เร่งเร้า

เดิมนิโคลัสคิดจะถ่วงเวลาให้คาเอลได้รับบาดเจ็บก่อน แต่เมื่อเซียวอวี๋กล่าวย้ำเขาหลายเที่ยว เขาก็จำต้องทำตาม

เขาสั่งให้ลูกน้องบรรจุกระสุนและปรับองศาการยิงของปืนปืนใหญ่ ลึกๆในใจของเขาเองก็อยากจะทราบว่าปืนใหญ่เวทกระบอกนี้จะสร้างความเสียหายให้กูดาลได้เพียงใด

ตู้ม!

ปืนใหญ่เวทยิงกระสุนออกไปอย่างรุนแรง เส้นแสงสายหนึ่งพุ่งเข้าหากูดาลอย่างรวดเร็ว

กูดาลที่ได้รับผลจากบอลพลังของคาเอลก็ยากจะขยับหลบหลีก แต่จู่ๆมันก็ระเบิดพลังสูงสุดเพื่อสลัดหลุดจากสภาพตอนนี้

หลังหลุดออกจากมิติลี้ลับได้แล้ว กูดาลก็พุ่งหลบออกจากวิถียิงของปืนใหญ่เวทไปได้ นับว่ากูดาลยังมีโชคไม่เลว

“เพ้ย เจ้าทำอะไรของเจ้า?” เซียวอวี๋โวยวาย

“ยังโทษข้าได้หรือ? วิถีที่ยิงมันถูกต้องแล้ว มันไม่ใช่ความผิดข้า” นิโคลัสตอบเสียงเรียบก่อนจะแบมือขอน้ำยาฟื้นฟูมานาจากเซียวอวี่

เซียวอวี๋เมินนิโคลัสและหันไปมองดูกลุ่มหมอกดำที่ใกล้จะไปถึงตัวของคาเอลแล้ว จากนั้นเขาพลันหันไปตะโกนสั่งการต่อพวกดรูอิด “เป่าไอ้หมอกบ้านั่นด้วยพายุหมุน!”

พวกดรูอิดไม่รอช้า เริ่มร่ายเวทยิงเข้าใส่กลุ่มเมฆจนมันลอยถอยออกไป

เมื่อพายุหมุนลูกแรกปะทะกับหมอกดำ หมอกดำก็หยุดชะงักเล็กน้อย และเมื่อชนปะทะกับพายุลูกต่อๆมา ในที่มันก็หยุดนิ่ง

หลังจากถูกพายุนับสิบลูกกระหน่ำชน สุดท้ายมันก็ถูกผลักกลับไปในทิศทางที่จากมา

กูดาลหลุดออกจากกลุ่มบอลพลังไปแล้ว คาเอลจึงไม่จำเป็นต้องควบคุมกลุ่มบอลพลังต่อ เขาพลันสลายพลังไป

ภายใต้การโจมตีอย่างต่อเนื่องของพวกดรูอิด หมอกดำก็ถูกผลักไปปกคลุมเหนือกองทัพพวกออร์คปีศาจ และเมื่อมันสัมผัสถูกน้ำ มันก็เริ่มควบแน่นก่อนจะตกลงมาเป็นฝนในที่สุด

ร่างของพวกออร์คปีศาจที่ถูกฝนห่านี้ตกใส่พลันมีควันลอยพร้อมเสียงซี่ซี่ราวกับถูกน้ำกรดรด

เกิดเสียงเสียงโหยหวนดังขึ้นระงม ผู้ที่กระทบถูกฝนหยาดนี้ล้วนถูกเปลี่ยนเป็นเถ้ากระดูกในเวลาไม่นาน

การต่อสู้ทางด้านอิลิดันและฮอรัสยิ่งมายิ่งดุเดือด ดาบคู่จันทร์เสี้ยวของอิลิดันปะทะเข้ากับหอกของฮอรัสหลายครั้งครา ทุกครั้งที่ปะทะก็จะเกิดคลื่นกระแทกสาดกระจายใส่ผู้ที่อยู่โดยรอบ

“จงตายเสียให้หมด เป็นกระดูกผุเฝ้าที่นี่ไปซะ” ขณะที่ทั้งหมดต่างก็รบติดพันกันอยู่นั้นเอง ออกุสตุสก็พึมพำออกมาด้วยแววตาเย็นเยียบ

ไม่มีผู้ใดทันสังเกตว่าออกุสตุสถอยไปยังพื้นที่ถูกปูเป็นตารางตั้งแต่เมื่อใด ออกุสวางมือลงไปยังตำแหน่งหนึ่ง

เห็นได้ชัดว่าพื้นเหล่านี้กลไกบางอย่าง เมื่อใช้น้ำหนักกดทับลงไปก็จะเป็นการเริ่มกลไก

เมื่อออกุสตุสกดลงไปแล้ว บริเวรแถบนั้นก็สั่นสะเทือนเบาๆ แต่เป็นเพราะทุกคนต่างจดจ่อกับการต่อสู้ของตน ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดทันสังเกตพบการสั่นสะเทือนเล็กน้อยนี้

ครืน…

ไม่นานพื้นดินก็สั่นสะเทือนแรงขึ้นเรื่อยๆจนทุกคนรู้สึกได้ กระนั้นกลับสายไปเสียแล้ว

ที่บนฟ้าปรากฏม่านแสงขนาดใหญ่คลอบคุลมลงมา

“นั่น…นั่นมันอะไร?” ฝ่ายมนุษย์เริ่มหวาดวิตก พวกเขามาอยู่ต่างถิ่นต่างแดน หากประมาทเลินเล่อก็อาจต้องทิ้งสังขารไว้ที่นี่

เห็นม่านแสงปรากฏขึ้น กะโหลกกูดาลก็พุ่งขึ้นฟ้าก่อนจะตะคอกใส่ออกุสตุส “นั่นเจ้ากำลังทำอะไร?”

ได้ยินเสียงตะโกนของกูดาล ทั้งหมดก็พลันจับจ้องไปยังออกุสตุส ดูเหมือนสองออร์คนี่จะทะเลาะกันเองเสียแล้ว

ออกุสตุสพลันโค้งตัวก่อนจะกล่าวอย่างนอบน้อม “ข้าเพียงใช้กลไกเวทเพื่อกักขังมนุษย์โสโครกพวกนี้ขอรับ”

กูดาลแค่นเสียงเย็น “อย่างนั้นหรือ? แต่ใยข้าจึงรู้สึกว่าวงเวทพวกนั้นคล้ายมีเป้าหมายอยู่ที่ข้าด้วย?”

แม้ออกุสตุสจะตกใจ หากแต่ยังคงรักษาสีหน้าไว้ได้ “นายท่านผู้สูงส่ง ข้าภักดีต่อท่านสุดหัวใจ ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”

“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้อุบายชั้นต่ำนั่น เจ้าคงวางแผนคิดควบคุมข้าไว้นานแล้ว หากควบคุมข้าได้ พวกออร์คปีศาจก็จะเชื่อฟังเจ้า จากนั้นเจ้าคงคิดครองทวีปเสียเอง”

“นายท่าน ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าจะคิดคดทรยศต่อท่านได้อย่างไร? ข้าภักดีต่อท่านเสมอ!” ออกุสตุสกล่าวตอบอย่างระมัดระวัง หากแต่ร่างกายกลับค่อยๆถอยร่นไปยังมุมหนึ่ง

กูดาลไม่ตอบคำ มันพลันร่ายเวทเพื่อสะกดออกุสตุสเอาไว้

“เอ๊ะ…..” เมื่อเห็นออกุสตุสสลัดหลุดจากเวทของตนได้ กูดาลก็พลันพุ่งกะโหลกของมันไปกระแทกออกุสตุส

เปรี้ยง!….

ในแววตาของออกุสตุสฉายแววหวาดหวั่น ทว่าพริบตาถัดมาแววตาของมันก็เปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง นิ่งจนน่ากลัว…

“ได้ร่างแล้ว!” รอยยิ้มลี้ลับปรากฏขึ้นบนใบหน้าของออกุสตุส


 

 

 


ตอนที่ 474

 

ได้เห็นรอยยิ้มชั่วร้ายนั่น ทุกคนก็พลันตระหนักได้ว่าตอนนี้กูดาลได้เข้ายึดร่างของออกุสตุสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


เดิมทีมันต้องการใช้ร่างของอิลิดันเพื่อฟื้นคืนกำลังทั้งหมด แต่ในเมื่อมันยังครองร่างของอิลิดันไม่ได้ อีกทั้งออกุสตุสยังแปรพักต์ เช่นนั้นมันก็มีเพียงต้องยึดร่างของออกุสตุสมาใช้ก่อน

แม้จะสู้ร่างของอิลิดันไม่ได้ แต่ร่างนี้ก็ยังครอบครองพลังของวอร์ล็อคชั้นสูง หากใช้ดีๆก็ยังไม่เลวร้ายนัก

เมื่อออกุสตุสถูกกูดาลยึดร่างไป พวกนักผจญภัยก็ไม่มีเป้าหมาย

ตอนนั้นเอง วิหารทั้งหลังก็ถูกม่านแสงครอบคลุมไว้ทั้งหมด

ทุกคนเริ่มโจมตีม่านแสงเพื่อหวังสลัดหลุดออกไป ตอนนี้ที่พวกเขากระวนกระวายจะออกไปจากที่แห่งนี้ กระนั้นเซียวอวี๋กลับไม่กังวลแต่อย่างใด นั่นก็เพราะกูดาลเองก็ยังอยู่ที่นี่ หากม่านแสงล้อมกักพวกเขาทั้งหมดไว้ เช่นนั้นกูดาลเองก็ย่อมติดร่างแหนี้ไปด้วย

เมื่อกูดาลล่วงรู้อยู่แล้วว่าออกุสตุสจะหักหลังมัน เช่นนั้นมันย่อมต้องทราบวิธีออกจากที่นี่

ดังนั้นเซียวอวี๋จึงเฝ้าดูกูดาลไม่ยอมคาดสายตา

กูดาลย่อมมองความคิดของเซียวอวี๋และคนอื่นๆออก แม้มันจะต้องการสังหารมนุษย์ทุกคนที่นี่ แต่อิลิดันและคาเอลกลับเป็นขวากหนามชิ้นใหญ่จนยากจะลงมือได้

กูดาลไม่ได้ลงมือใส่ฝ่ายมนุษย์ หากแต่หันไปสั่งรวมพลพวกออร์คปีศาจ

“พวกมนุษย์เล็กจ้อย นับว่าวันนี้พวกเจ้าโชคดี แต่ครั้งต่อหน้าจะเป็นวันตายของพวกเจ้า เมื่อกองทัพของข้ายาตราสู่แผ่นดินใหญ่ ทวีปแห่งนี้จะต้องมาศิโรราบต่อข้า ฮ่าฮ่าฮ่า….”

กูดาลเริ่มท่องมนต์ลึกลับ พร้อมกับเสียงร่าย วงเวทขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าคนทั้งหมด พลังมิติอันรุนแรงเริ่มทะลักจากวงเวทแล้วก่อตัวเป็นประตูมิติ

“วงเวทเคลื่อนย้าย!” เซียวอวี๋ร้องโพล่งออกมา กูดาลคิดจะใช้ประตูมิติหลบหนีนี่เอง

เดิมวิธีนี้ไม่ได้อยู่ในแผนการของกูดาล หากแต่เป็นออกุสตุสที่เตรียมทางหนีทีไล่นี้ไว้

เมื่อประตูมิติมั่นคง กูดาลก็พุ่งเข้าไป เกิดแสงสว่างวาบ ร่างของกูดาลพลันหายไป

เมื่อทุกคนเห็นพวกกูดาลหลบหนีด้วยประตูมิติ พวกเขาก็ไม่รู้ว่านั่นเป็นหนทางเดียวหรือไม่ ดังนั้นผู้คนพลันกรูกันไปทางประตูมิติ

อย่างไรก็ตาม เนื่องเพราะที่นี่มีคนมากเกินไป ดังนั้นจึงไม่อาจเข้าไปได้พร้อมกัน

สถานการณ์เช่นนี้จำต้องมีใครบางคนลุกขึ้นมาเป็นผู้นำ

“ทั้งหมดหยุด! หากใครยังกล้าก้าวไปข้างหน้า บิดาจะให้อิลิดันเป่ามันให้กระจุย!” เซียวอวี๋ยืนจังก้าอยู่หน้าประตูมิติ สองข้างขนาบด้วยอิลิดันและคาเอล

ตอนนี้กูดาลไม่อยู่แล้ว ฮอรัสเองก็ฉวยโอกาสที่ทุกคนมุ่งความสนใจไปที่กูดาลหลบหนีกลับแดนนรก ดังนั้นตอนนี้อิลิดันและคาเอลจึงกลายเป็นสองผู้ที่เข้มแข็งที่สุด ณ ที่นี่

มีสองคนนี้ขวางหน้าประตู ผู้ใดยังจะกล้า?

เซียวอวี๋กล่าวด้วยเสียงอันดัง “ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนมีโอกาสออกจากที่นี่ แต่นั่นจะต้องเป็นไปอย่างมีระเบียบ ยื้อแย่งกันไปก็มีแต่ทำให้ช้าลง เข้าแถวตามการจัดของข้า และหากมีใครกล้าละเมิด เช่นนั้นก็อย่าได้ตำหนิข้าเหี้ยมโหด”

มองดูเซียวอวี๋ตะโกนบอก ที่ข้างกายยืนไว้ด้วยสองขุนพลแกร่ง ทุกคนก็เงียบลงอย่างเชื่อฟัง

เมื่อเห็นทุกคนสงบลงแล้ว เซียวอวี๋ก็พยักหน้าก่อนจะชี้ไปยังกลุ่มภาคีอาชาเหล็ก “พวกเจ้าไปก่อน”

ได้ยินดังนั้นสมาชิกของกลุ่มอาชาเหล็กก็มีสีหน้ายินดี ภายใต้การนำของยอดฝีมือผู้หนึ่ง พวกเขาก็เดินไปยังประตูมิติไป

ก่อนจะออกไป ยอดฝีมือผู้นำกลุ่มก็หันมากล่าวกับเซียวอวี๋ “นามข้าคือ คาโซ่”

เซียวอวี๋พยักหน้ารับ

คาโซ่นำกลุ่มของเขาผ่านประตูมิติไป จากนั้นเซียวอวี๋ก็ให้พวกนักผจญภัย ต่อด้วยกลุ่มหัตถ์เงินของอลอนโซ่ ดังนั้นที่นี่จึงเหลือพียงกลุ่มของเซียวอวี๋ ลีโอนาโด นิโคลัสและโรเบิร์ต

เซียวอวี๋จงใจรั้งพวกโรเบิร์ตไว้ที่นี่ โรเบิร์ตต้องการจะโวยวาย แต่ก็จำต้องปิดปากเงียบเมื่อมองไปยังอิลิดันและคาเอล อีกทั้งทุกคนที่นี่ต่างก็ยอมทำตามกฏของเซียวอวี๋ หากว่าเขาเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่มีปัญหา เช่นนั้นเขาก็จะกลายเป็นศัตรูของส่วนรวม ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงข่มกลั้น

มองม่านแสงที่กำลังครอบคลุมลงมาจากฟ้า เซียวอวี๋ก็ยิ้มกล่าวกับโรเบิร์ต “หึหึ…ลอร์ดโรเบิร์ต เชิญท่านสนุกอยู่ที่นี่ให้เต็มอิ่ม ข้าไม่ส่งนะ”

กล่าวจบเซียวอวี๋ก็นำกองกำลังของเขาผ่านประตูมิติไปตามด้วยอิลิดันและคาเอล พวกนิโคลัสและลีโอนาโดเองก็รีบตามไปติดๆ

“ไอ้ชาติชั่ว!” โรเบิร์ตคำราม ตอนนี้ม่านแสงใกล้มาถึงพวกเขาแล้ว โรเบิร์ตรีบวิ่งไปยังประตู พวกลูกน้องที่อยู่ด้านหลังก็รีบวิ่งตามไป

“พาข้าไปจากที่นี่!” โรเบิร์ตตะคอกใส่จอมมนตราขั้นที่หกที่ชื่อ บรอน

บรอนรวบคว้าแขนเสื้อของโรเบิร์ตและพุ่งไปยังประตูมิติสุดกำลัง

แต่ขณะที่ไพร่พลที่เหลือกำลังจะวิ่งผ่านประตูมิติ ประตูมิติก็พลันส่งเสียงเสียดหูและพังครืนลงมา

…………………..

แสงสว่างส่องแยงตา เซียวอวี๋พบว่าตัวเขาพลันมาอยู่ในเมืองทรุดโทรม กวาดสายตามองรอบข้างแล้ว เขาก็ไม่พบร่องรอยของสิ่งมีชีวิตแต่อย่างใด

“นี่ไม่ใช่ประตูมิติแบบเจาะจง ตอนนี้เรามาโผล่ที่ไหนก็ไม่รู้” เซียวอวี๋กระโดดขึ้นไปบนกำแพงที่พังทลายพลางป้องตากวาดมองโดยรอบ

เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับ เซียวอวี๋ก็หันไปมองอิลิดันกับคาเอล แต่เขาก็พบว่าสองคนนั้นหย่อนก้นนั่งกับพื้นไปเรียบร้อย พลังงานภายในร่างของทั้งสองยังปั่นป่วน ดูเหมือนทั้งสองจะพยายามควบคุมมันอยู่

เซียวอวี๋พลันเข้าใจสถานการณ์ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะดูดซับพลังเกินตัวไปหน่อย และเพื่อปรับตัวพวกเขาจำต้องสงบใจควบคุม

ด้วยเหตุนี้เซียวอวี๋จึงจำต้องทำหน้าที่คอยคุ้มกัน เขาเอนกายพิงกำแพงพลางเฝ้ามองดูทั้งสอง ในระหว่างนั้นเซียวอวี๋ก็เริ่มนับคำนวณการเก็บเกี่ยวครั้งนี้ แม้จะเกิดการสูญเสียอยู่บ้าง มีไพร่พลนักรบล้มตายไปกว่าครึ่ง กระนั้นก็ยังถือว่าเขาได้กำไรมากโขอยู่

เมื่อเซียวอวี๋หันไปมองทั้งสองอีกครั้ง เขาก็พบว่าอิลิดันและคาเอลได้ตื่นขึ้นแล้วพร้อมกับพลังที่เสถียรมั่นคง

แต่เมื่อหรี่ตาสำรวจอย่างละเอียด เซียวอวี๋ก็ร้องสุดเสียง นั่นเพราะพลังของทั้งอิลิดันและคาเอลได้ย้อนกลับไปอยุ่ในขั้นที่ห้าเช่นเดิมแล้ว

ชัดเจนว่าเป็นเพราะพลังจากมรดกที่ตกทอดทิ้งไว้ทำให้ความแข็งแกร่งของพวกเขาทะยานพุ่งพรวดอย่างชั่วคราว แต่หากต้องการให้คงอยู่แบบถาวร เช่นนั้นก็ได้แต่ต้องก้มหน้าก้มตาเก็บระดับไป

“เจ้าระบบเฮงซวย ต้องยิบย่อยวุ่นวายขนาดนี้เชียว?”

 

 

 


ตอนที่ 475

 

หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เซียวอวี๋ก็ลุกขึ้นและเริ่มออกตามหาคนอื่นๆภายในบึงตะวันลับ


ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน แต่พิจารณาดูแล้ว เขาก็ตัดสินใจจะเดินทางเป็นเส้นตรง ตอนนี้พวกเขาอยู่ในเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง ไม่ใช่พื้นที่ลุ่มน้ำหรือบึง และนั่นหมายความว่าที่ที่พวกเขาอยู่ตอนนี้ไม่ใช่บึงตะวันลับ

หลังจากเดินทางเป็นเวลากว่าหนึ่งวัน เซียวอวี๋ก็ยังไม่ทราบว่าตัวเขาอยู่ที่ใดกันแน่ สุดท้ายเขาก็เลือกเดินทางไปอีกทิศหนึ่ง

ผ่านไปสองวัน ในที่สุดเขาก็ได้เห็นควันไฟ เบื้องหน้าเป็นเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง หากแต่ผู้คนภายในเมืองสวมเครื่องแต่งกายแปลกตา ไม่คล้ายเป็นชาวเถียนสื่อ หากแต่คล้ายชาวหยุนเมิ่ง

“นี่เราถูกส่งมาที่อีกด้านของบึงตะวันลับ? ทำไมเราถึงถูกส่งมาเมืองแปลกๆนี่ได้?” เซียวอวี๋พูดไม่ออก ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเขาเท่าไร

เมืองแห่งนี้มีคนอยู่ไม่มากนัก เซียวอวี๋เดินเข้าเมืองไปพร้อมกับอิลิดันและคาเอล

อิลิดันและคาเอลได้สวมผ้าคลุมปกปิดตัวตนไว้แล้ว มิเช่นนั้นด้วยรูปลักษณ์อันมีเอกลักษณ์ของทั้งสองย่อมนำมาซึ่งเรื่องยุ่งยาก เซียวอวี๋ไม่ต้องการมีปัญหา ดังนั้นการทำตัวไม่เป็นจุดสนใจย่อมดีกว่า

เซียวอวี๋เดินทอดน่องอยู่พักหนึ่งก่อนจะพบกับร้านเหล้าขนาดเล็ก

ทั้งสามเข้าไปด้านในและสั่งไวน์กับอาหารมาสองสามอย่าง พวกเขาตัดสินใจเติมท้องให้เต็มก่อน จากนั้นค่อยสอบถามสถานการณ์ของที่นี่

เซียวอวี๋เดินทางมานานโดยไม่มีของกินดีๆตกถึงท้อง ดังนั้นเมื่อมาถึงร้านอาหารทั้งที เขาย่อมต้องกินให้อิ่มหนำสำราญ

สำหรับอิลิดันและคาเอล อาหารไม่ได้ดึงดูดพวกเขา ดังนั้นจึงยืนอยู่ด้านหลังของเซียวอวี๋ราวผู้คุ้มกัน อิลิดันนั้นเพียงดูดซับพลังธาตุก็พอแล้ว อาหารไม่ค่อยมีผลเท่าใด ขณะที่คาเอลเองก็รับประทานแต่อาหารเอลฟ์ที่สร้างโดยฐานทัพเอลฟ์ ต่อให้มันจะจืดชืดไร้รสชาติ แต่คาเอลบอกว่าอาหารพวกนั้นมีอารยะกว่า

ในเรื่องนี้ เซียวอวี๋เพียงกลอกตาแต่ไม่พูดอะไร อย่างไรเสีย ทั้งสองก็เป็นลูกน้องของเขา เขาย่อมเคารพประเพณีและนิสัยของพวกเขา

ขณะที่เซียวอวี๋ลงมือจัดการอาหารอยู่นั้น คนกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาภายในร้านพลางส่งเสียงเอะอะ หลายคนกุมด้ามดาบที่บั้นเอวและวิ่งขึ้นมาบนชั้นสองที่เซียวอวี๋อยู่ ชายที่คล้ายเป็นหัวหน้ายกขวานขึ้นพาดบ่าเดินไปหยุดกลางห้อง “คุณหนูของเราต้องการรับประทานอาหารที่นี่ พวกเจ้าจงไสหัวไปซะ ไม่งั้นอย่าหาว่าข้าหยาบคาย”

เหล่าผู้ที่นั่งกินอาหารอยู่เมื่อได้ยินเช่นนั้นต่างก็ไม่ต้องการมีปัญหา ดังนั้นจึงรีบลุกลงไปยังชั้นล่าง มีแต่เซียวอวี๋ที่ยังตักอาหารกินอย่างไม่แยแสใดๆ

โต๊ะอื่นๆลงจากชั้นสองไปหมดแล้ว มีเพียงกลุ่มของเซียวอวี๋ที่ยังอยู่ ชายที่เป็นหัวหน้าเห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้ว ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นดุร้าย

มันคุ้นเคยกับการอยู่เหนือกว่ามาตลอด แต่วันนี้กลับมีคนกล้าขัดคำสั่งของเขา นี่จะไม่ให้มันโมโหได้อย่างไร?

“หูหนวกเรอะ?” ชายที่เป็นหัวหน้าเดินไปทางเซียวอวี๋และจามขวานเข้าที่โต๊ะ ตอนที่ชายผู้นี้ก้าวเดิน พื้นไม้ก็ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนทรงพลังผู้หนึ่ง

เซียวอวี๋จิ้มชิ้นเนื้อส่งเข้าปาก จากนั้นก็หยิบเหยือกน้ำผลไม้เทรินใส่แก้วพลางพึมพำ “เสียงหมาเห่านี่มันน่ารำคาญจริงๆ”

ชายผู้เป็นหัวหน้าพลันเดือดดาล มันไม่คิดจะต่อปากต่อคำ หากแต่พุ่งหมัดไปยังเซียวอวี๋ทันที

แม้มันจะสังเกตุเห็นอิลิดันและคาเอล กระนั้นกลับไม่ใส่ใจใดๆ สองคนนี้คงเป็นผู้คุ้มกันของไอ้หนุ่มหน้าขาวนี่ แต่แล้วจะอย่างไร?

ตัวมันเป็นนักรบขั้นที่สี่ระดับสุดยอด ดังนั้นย่อมมีคุณสมบัติเย่อหยิ่งต่อหน้าคนส่วนใหญ่ในทวีปนี้

ดังนั้นมันจึงตัดสินใจจะมอบบทเรียนให้แก่เซียวอวี๋ กระทั่งทุบตีให้พิการ

อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่ามันประเมินเซียวอวี๋ต่ำทรามไปแล้ว สายตาของมันช่างคับแคบ ยังมีคนอีกมากในโลกที่แข็งแกร่งกว่ามัน

และวันนี้มันก็บังเอิญมาเตะเจอแผ่นเหล็กเข้าให้แล้ว

ฝ่ามือของมันพลันเปลี่ยนเป็นสีเทาและบวมพองจนไม่คล้ายเป็นมือของมนุษย์

จากนั้นฝ่ามืออันแข็งแกร่งราวกับคีมเหล็กก็คว้าหมัดของมันไว้จนไม่อาจขยับแม้สักนิ้ว

ยังไม่จบเพียงเท่านั้น มือที่ยื่นมาจับหมัดของมันไว้พลันมีเปลวเพลิงสีเขียวลุกโชนขึ้นมา เพลิงเขียวไม่มีผลต่อมือข้างนั้น แต่ไม่ใช่กับหมัดของชายที่เป็นหัวหน้า หมัดที่ต่อยออกไปจึงถูกเผาจนไหม้เกรียมทันที

“อ๊ากกกกก…..” ชายที่เป็นหัวหน้าร้องโหยหวนพลันชักมือกลับและพยายามจะตัดมือข้างนั้นทิ้งโดยเร็ว กระนั้นมันกลับขยับร่างไม่ได้ ดูเหมือนมันจะถูกเวทบางอย่างสะกดตรึงเอาไว้

จู่ๆก็มีร่างของปีศาจขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในห้วงสมองของชายผู้เป็นหัวหน้า เป็นปีศาจที่น่าหวาดกลัวที่สุดที่มันเคยพบเห็นในชีวิต ร่างของปีศาจตนนั้นห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงขณะที่ส่งเสียงหัวเราะเขย่าขวัญ

ชายผู้เป็นหัวหน้ารู้สึกราวกับร่างกายถูกเผาทั้งเป็น จากนั้นก็ถูกสับเป็นชิ้นๆ

“หัวหน้า เกิดอะไรขึ้น?” เห็นบุรุษร่างใหญ่มีท่าทางไม่สู้ดี เหล่าผู้ติดตามก็พากันชักดาบโถมเข้ามา

อย่างไรก็ตาม ขณะที่จวนจะถึงตัวของหัวหน้าผู้นั้น พวกมันก็พลันรู้สึกตัวเบาหวิว ร่างกายของพวกมันเริ่มลอยเคว้งในอากาศ

คาเอลไม่ได้เรียกคทาออกมาด้วยซ้ำ แค่เพียงกระดิกนิ้วก็สามารถจัดการคนทั้งหมดได้

หลังจากบรรลุถึงขั้นที่ห้าแล้ว ความชำนาญด้านเวทมนตร์ของคาเอลก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก เขาสามารถควบคุมองค์ประกอบเวทมนตร์ถึงขั้นน่าสะพรึง ดังนั้นเขาจึงใช้เวทมิติได้ตามต้องการ

“โปรดยั้งมือไว้ไมตรี” ตอนนี้เอง เสียงนุ่มนวลชวนฟังเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

ได้ยินเสียงนี้ เซียวอวี๋ที่ตักอาหารกินไม่สนใจสิ่งใดก็พลันหยุดมือทันที สายตาจับจ้องไปยังที่มาของเสียง

เส้นผมสีทองยาวสลวยพร้อมรอยยิ้มหวานและเรือนร่างร้อนแรงพลันปรากฏขึ้นในสายตา

“อะแฮ่ม..ไม่ทราบว่าคุณหนูท่านนี้มีนามว่ากระไร?” เซียวอวี๋ปั้นยิ้มสง่าพลางเอ่ยปากถาม สาวงามผู้นี้ถึงกลับมีเสน่ห์เสียยิ่งกว่าพี่สะใภ้สามของเขาอีก

เป็นเพราะติดพันอยู่กับการต่อสู้มานาน เซียวอวี๋จึงมีความเครียดสะสมมหาศาล ดูผิวเผินเขาอาจจะมีท่าทีไม่แยแสต่อสิ่งใด แต่ในความจริงตัวเขาต้องแบกรับความกดดันเอาไว้มากมายนัก

และครั้งนี้ตัวเขาก็ได้รับการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่จากวิหารดำ สถานการณ์ก็ไม่ได้จำเป็นต้องรีบร้อนอะไรนัก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้มาพบพานกับสาวงามเช่นนี้

“ข้าชื่อสกาเล็ต ไม่ทราบว่าคุณชาย…” สกาเล็ตกล่าวพลางเดินมายังโต๊ะของเซียวอวี๋ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้นั่งลง นางจ้องมองเซียวอวี๋ราวกับกำลังจ้องมองคนรัก

“ท่านปลดปล่อยคนของข้าได้หรือไม่? ข้าต้องขออภัยแทนเขาด้วย ข้าจะชดเชยให้คุณชายในภายหลัง” สกาเล็ตกล่าวเชิงขอร้อง เสียงอันนุ่มนวลของนางทำให้ผู้คนรู้คันยิบที่หัวใจ

เซียวอวี๋หัวเราะพลางตอบ “เขาเพิ่งจะหยาบคายต่อข้า คงไม่อาจปล่อยไปโดยง่าย”

อย่างไรเสียที่ข้างกายก็มีอิลิดันกับคาเอลอยู่ เขาย่อมไม่เกรงกลัวสิ่งใด ขณะที่อีกฝ่ายเองก็กริ่งเกรงต่อพวกเขา เรียกว่าตอนนี้เขาได้เปรียบเต็มประตู

“ข้าจะชดเชยให้คุณชายได้อย่างไร?” สกาเล็ตจ้องตาเซียวอวี๋พลางถามเสียงนุ่ม

เซียวอวี๋ที่ได้ฟังก็ไม่ทราบจะทำอย่างไร ตอนนี้สกาเล็ตยอมถอยให้เขาตั้งแต่เริ่ม อีกทั้งเขาเองยังเป็นคนที่ผู้อื่นดีมาก็ดีตอบ

“อิลิดัน ปล่อยเขา” เซียวอวี๋โบกมือ

ได้ยินคำสั่งจากเซียวอวี๋ อิลิดันก็ยกเลิกเวท ชายผู้เป็นหัวหน้าพลันได้สติคืนมา ในแววตาของมันสะท้อนความกลัวอันไร้ก้นบึ้งออกมา มันเป็นฝันที่แปลกมาก ร่างกายของมันถูกเผาทั้งเป็น แต่ฝ่ามือของมันก็ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ

“การโจมตีทางวิญญาณ?” สกาเล็ตมองแววตาของชายผู้เป็นหัวหน้า นางสนิทกับเขาดี เขาคงถูกจู่โจมใส่วิญญาณเป็นแน่ มิเช่นนั้นต่อให้เขาถูกมีดกรีดเป็นชิ้นๆ แววตาของเขาก็ยังไม่แสดงออกถึงความกลัวเพียงนี้

เซียวอวี๋ยิ้มกล่าว “ท่านเพิ่งบอกว่าท่านจะชดเชยให้ข้า ไม่ทราบว่าท่านจะชดเชยข้าอย่างไร?”

สกาเล็ตมองอิลิดันและคาเอลอย่างสนใจ นางยกมือลูบคางพลางกล่าวว่า “ข้าต้องการแลกเปลี่ยนกับนายน้อยท่าน ไม่ทราบว่าท่านสนใจหรือไม่?”

 

 

 


ตอนที่ 476

 

ได้ยินคำถามของสกาเล็ต เซียวอวี๋ก็เข้าใจแล้วว่าสาวงามนางนี้เป็นกุหลาบที่มีหนาม


มองจากภายนอกอาจจะเห็นดอกไม้อันงามงด ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ นางเห็นทุกสิ่งที่เกิด แต่ไม่ได้เข้ามาห้ามปรามลูกน้องตนเองแต่อย่างใด เมื่อได้เห็นความแข็งแกร่งของอิลิดันและคาเอล นางก็พลันเปลี่ยนวิธีการและเริ่มโปรยเสน่ห์ต่อเซียวอวี๋เพื่อหวังใช้ขุมกำลังของเซียวอวี๋ในการบรรลุเป้าหมาย

สตรีนางนี้ไม่เรียบง่ายเลยจริงๆ

“หืม? แลกเปลี่ยนงั้นหรือ? ไม่ทราบว่าท่านจะตอบแทนข้าด้วยสิ่งใด? ข้าขอบอกไว้ก่อนว่าในโลกนี้ยากจะมีสิ่งใดพึงตาต้องใจข้าได้” ที่เซียวอวี๋กล่าวนั้นไม่ได้เกินจริงแม้แต่น้อย ภายในวิหารดำนั้น เขาเคยเห็นสมบัติผ่านตามานับไม่ถ้วน

หากอีกฝ่ายเพียงต้องการแลกเปลี่ยนด้วยเงิน เช่นนั้นก็คงต้องยุติแต่เพียงนี้

“นายน้อยยังไม่ได้บอกนามของท่านเลย” สกาเล็ตกลับถามกลับมาแทน

เซียวอวี๋กล่าวตอบ “ข้าชื่อเซียวอวี๋ ไม่ใช่คนที่นี่”

สกาเล็ตพยักหน้าและกล่าวว่า “เรื่องนั้นข้าทราบแล้ว เสื้อผ้าของนายน้อยท่านไม่ได้เหมือนกับที่พวกเราสวมใส่ สำเนียงการพูดเองก็แตกต่างอย่างมาก ให้ข้าเดา….ท่านคงเป็นชนชั้นสูงจากอาณาจักรพยัคฆ์เมฆา?”

เซียวอวี๋ไม่ประหลาดใจที่นางสามารถคาดเดาออก เขากล่าวรับเสียงเรียบ “ถูกแล้ว ข้ามาจากพยัคฆ์เมฆา ข้ามาที่นี่ด้วยเรื่องบางอย่าง แต่ข้าหลงทางจนมาถึงที่นี่”

“ข้าเดาถูกจริงๆด้วย นายน้อยต้องการกลับไปยังอาณาจักรพยัคฆ์เมฆาหรือ?” สกาเล็ตชายตามอง

เซียวอวี๋เอนหลังพิงเก้าอี้พล่างกล่าวว่า “นั่นก็ใช่ ที่นี่ไม่เห็นสนุกแม้แต่น้อย หากที่นี่มีสิ่งใดสามารถดึดดูดข้าได้ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะอยู่ต่ออีกช่วงหนึ่ง”

ได้ยินดังนั้น สกาเล็ตก็แย้มยิ้มแะลกล่าวว่า “พวกเราไปพูดคุยกันในห้องส่วนตัวดีกว่า บางที…ข้าอาจจะมีบางสิ่งที่ทำให้ท่านรู้สึกสนใจ”

เซียวอวี๋ยิ้ม “หากมีบางสิ่งที่ทำให้ข้าสนใจได้ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะแลกเปลี่ยนกับท่าน ข้าคงต้องขอพิจาณาดูก่อน”

เห็นเซียวอวี๋มีทีท่าจะตกลง นางก็สั่งให้บริกรของร้านให้จัดเตรียมห้องส่วนตัวที่ดีที่สุด

เซียวอวี๋และสกาเล็ตเดินเข้าไปก่อน จากนั้นจึงเป็นอิลิดันและคาเอลที่ตามเข้าไป ขณะที่ผู้ติดตามคนอื่นๆของสกาเล้ตถูกสั่งให้รอข้างนอก

สกาเล็ตชายตามองเซียวอวี๋ “นายน้อย ท่านกลัวว่าอิสตรีอ่อนแอเช่นข้าจะทำร้ายท่านหรือ?”

เซียวอวี๋ส่ายศีรษะและตอบกลับอย่างจริงจัง “แน่นอนว่าไม่ใช่ ต่อให้ไม่มีพวกเขา ข้าก็มั่นใจว่ามีคนไม่มากภายในทวีปแห่งนี้ที่สามารถทำร้ายข้าได้ แต่พวกเขาเป็นพี่น้องของข้า ข้าไม่จำเป็นต้องปกปิดต่อพวกเขา”

สกาเล็ตมองอิลิดันและคาเอลด้วยความประหลาดใจ แต่นางก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใด

ในบางตระกูลนั้น พวกเขาจะชุบเลี้ยงนักรบเดนตายเอาไว้ คนเหล่านี้เป็นนักรบที่ถูกชุบเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กเพื่อให้ภักดีต่อตระกูล สามารถไว้ใจได้

สกาเล็ตก็คิดว่าอิลิดันและคาเอลเป็นคนประเภทนั้น

ส่วนเซียวอวี๋นั้น แน่นอนว่าเขาจะต้องเป็นชนชั้นสูงจากอาณาจักรพยัคฆ์เมฆาอย่างไม่ต้องสงสัย

“การแลกเปลี่ยนที่ท่านกล่าวถึงเป็นแบบใดหรือ คุณหนูสกาเล็ต?” ภายในห้องส่วนตัว เซียวอวี๋นั่งอยู่หัวโต๊ะขณะใช้สายตาสำรวจเรือนร่างของสกาเล็ต

ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าร่างของสกาเลตนั้นร้อนแรงมาก มากซะจนมีคนไม่มากที่สามารถต้านทานได้

สกาเล็ตมองดูเซียวอวี๋ที่จ้องมองตัวเองพลางแย้มยิ้ม “ไม่ทราบว่าท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับหอการค้าฝูลู่แห่งจักรวรรดิแลนซ์หรือไม่?”

“หอการค้าฝูลู่?” เซียวอวี๋ขมวดคิ้ว หรือตอนนี้พวกเขาอยู่ในจักรวรรดิแลนซ์?

น่าเสียดายที่สิ่งที่เซียวอวี๋คาดนั้นไม่เป็นจริง แม้ว่าเขาจะได้ถูกส่งไปที่อีกด้านของบึงตะวันลับ แต่นั่นก็ยังอยู่ห่างไกลจากอาณาจักรพยัคฆ์เมฆาอย่างมาก จักรวรรดิแลนซ์นั้นตั้งอยู่ทางตะวันออกของบึงตะวันลับ และมีเขตแดนติดกับอาณาจักรพยัคฆ์เมฆา

ทั้งสองอาณาจักรเคยมีข้อพิพาททางทหารนับครั้งไม่ถ้วน

“ดูเหมือนนายน้อยจะทราบข้อมูลเกี่ยวกับจักรวรรดิแลนซ์ไม่น้อย” สกาเล็ตคิดว่าเซียวอวี๋จะประหลาดใจเมื่อได้ยินเกี่ยวกับหอการค้าฝูลู่ แต่นางกลับคาดไม่ถึงว่าเซียวอวี๋จะมีท่าทีเช่นนี้

“แน่นอนว่าข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับหอการค้าฝูลู่นี้มาบ้าง ข้าเพียงไม่ทราบว่าหอการค้าแห่งนี้ทำสิ่งใดให้แก่ท่าน?” ตอนนี้เซียวอวี๋เริ่มสนใจสกาเล็ตขึ้นมาแล้ว

แม้เขาจะไม่ทราบเกี่ยวกับจักรวรรดิแลนซ์มากนัก แต่เขาก็ยังเคยได้ยินชื่อเสียงของหอการค้าฝูลู่ ดูเหมือนหอการค้าฝูลู่จะเป็นหอการค้าใหญ่โตหอหนึ่ง ภายในอาณาจักรพยัคฆ์เมฆาเองก็มีสาขาอยู่มากมาย

บนแผ่นดินใหญ่ อิทธิพลของตระกูล สมาคมการค้าและหอการค้าขนาดใหญ่นั้นไม่อาจมองข้ามได้ พวกเขาเหล่านี้ส่งต่อความมั่งคั่งมานานนับพันปีจนถึงหลายพันปี พวกเขาจึงมีขุมกำลังแข็งแกร่งมาก

เคยมีหลายครั้งที่ตระกูลผู้ปกครองของอาณาจักรนั้นมาจากขุมอำนาจเหล่านี้

จักรวรรดิแทบทั้งหมดล้วนรังเกียจเดียดฉันท์พวกหอการค้า กระทั่งเคยคิดกำจัดให้หมดสิ้นไป หากแต่ในความจริงมันกลับยากเย็นกว่าที่คิดไว้มาก

ได้ยินคำกล่าวของเซียวอวี๋ สกาเล็ตก็ถอนหายใจก่อนจะกล่าวว่า “ข้าคือผู้สืบทอดของหอการค้าฝูลู่”

“ในเมื่อนายน้อยรู้จักจักรวรรดิแลนซ์ เช่นนั้นท่านคงทราบว่าหอการค้าฝูลู่ของเรานั้นมีอิทธิพลมาก….หากว่าข้าขอส่งมอบมันต่อท่าน ไม่ทราบว่าท่านสนใจจะรับไว้หรือไม่?”

กล่าวจบก็มองเซียวอวี๋ด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ

เซียวอวี่เลิกคิ้ว หลังจากนั้นครู่หนึ่งจึงตอบว่า “หมายความว่าอย่างไร? จู่ๆท่านก็จะยกหอการค้าฝูลู่ให้ข้า? เพราะความหล่อเหลาของข้า?”

ประโยคสุดท้าย เซียวอวี๋ดันเผลอปล่อยนิสัยเก่าโดยไม่ได้ตั้งใจ

“ข้ากล่าวว่าจะยกหอการค้าให้ท่าน แน่นอนว่าข้าไม่ได้ยกทรัพย์สินทั้งหมดให้ แต่ข้าตั้งใจจะนำหอการค้าฝูลู่ของข้าทำงานให้กับตระกูลของนายน้อย”

“พวกเราสามารถพึ่งพิงอำนาจของท่านคุ้มครองหอการค้าเรา ในขณะเดียวกัน ความมั่งคั่งที่พวกเรานำออกจากจักรวรรดิแลนซ์สามารถสร้างผลกำไรมหาศาล พวกเราตั้งใจจะส่งมอบผลประโยชน์ครึ่งหนึ่งให้กับท่านทุกปี ท่านว่าอย่างไร?” สกาเล็ตนิ่งรอคำตอบจากเซียวอวี๋

เซียวอวี๋ไม่ได้ตอบรับในทันที หากแต่ถามต่อ “ท่านตั้งใจจะย้ายไปอาณาจักรพยัคฆ์เมฆาหรือ? เพราะอะไร? หรือท่านไปสร้างความไม่พอใจให้กับจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิแลนซ์?”

หากไม่ใช่เช่นนั้น เซียวอวี๋ก็คิดไม่ออกว่าเหตุใดนางจึงยอมจ่ายหนักเช่นนี้

สกาเล็ตถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะตอบด้วยท่าทางน่าสงสาร “เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะการช่วงชิงภายในตระกูล อีกเหตุผลก็เป็นดังเช่นที่ท่านกล่าว เดิมทีข้าควรจะได้รับมรดกทั้งหมดของหอการค้าฝูลู่ ทว่าพวกผู้อาวุโสกลับคัดค้าน ทั้งยังต้องการให้ข้าตกตายและฮุบเอากิจการไป”

เซียวอวี๋ฟังพลางพยักหน้าเล็กน้อย เขาพอคาดการณ์ได้

การแก่งแย่งชิงดีภายในตระกูลนั้นถือเป็นเรื่องปกติภายในทวีปแห่งนี้

“หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะลองใคร่ครวญดู แต่ตอนนี้ข้าต้องการทราบว่าทรัพย์เท่าใดที่ท่านนำมาด้วย? และท่านสามารถสร้างกำไรให้ข้าต่อปีได้เท่าไร?” เซียวอวี๋กล่าวพลางยักไหล่

สกาเล็ตยิ้มบาง “ตราบเท่าที่ท่านสามารถช่วยให้พวกเราตั้งตัวอยู่ในอาณาจักรพยัคฆ์เมฆาได้ สกาเล้ตผู้นี้จะไม่ทำให้นายน้อยต้องผิดหวัง”

 

 

 


ตอนที่ 477

 

สกาเล็ตบอกเล่าสถานการณ์ต่อเซียวอวี๋ กลับกลายเป็นว่า สกาเล็ตคือบุตรีของหัวหน้าหอการค้าฝูลู่


บิดาของนางมีลูกสาวอยู่สองคน ไม่มีบุตรชาย ในตระกูลใหญ่เช่นนี้ การไร้บุตรชายสืบทอดจึงนำมาซึ่งการแย่งชิงภายในตระกูล

จะมีสักกี่คนที่ไม่คิดครอบครองทรัพย์สมบัติมหาศาลของหอการค้าขนาดใหญ่เช่นนี้?

หลังจากบิดาของสกาเล็ตเสียขีวิตลง พวกคนโลภเหล่านั้นก็เริ่มสุมหัวกัน พวกมันเริ่มจะเข้าควบคุมหอการค้าฝูลู่อย่างเปิดเผย

นอกจากนี้ ยังมีสมาชิกของตระกูลบางส่วนที่ลอบติดต่อกับขุมกำลังทรงอิทธิพลอย่างจักรวรรดิแลนซ์ให้ช่วยพวกเขาได้ครอบครองหอการค้า โดยเสนอส่วนแบ่งเป็นการตอบแทน

แม้สกาเล็ตจะมีความสามารถเพียงพอในการนำหอการค้าไปสู่ความรุ่งเรือง หากแต่คนเหล่านั้นก็ไม่สนใจ ในสายตาของพวกเขา สกาเล็ตเป็นเพียงเด็กน้อยอ่อนแอ เป็นเพียงแกะอ้วนพีรอการเชือดเฉือนเท่านั้น

สกาเล็ตเป็นคนฉลาด นางทราบว่าเจรจากับคนพวกนี้ไปก็ไม่ได้อะไร อีกฝ่ายลับมีดเตรียมเชือดนางทิ้งแล้ว

ตอนนี้ที่นางต้องการก็คือการยื้อเวลาเพื่อให้พวกนางได้หลบหนี

ตอนนี้มือดีของตระกูลต่างก็ถูกอีกฝ่ายซื้อตัวไปแล้ว มีนักรบไม่มากที่ยังจงรักภักดีต่อนาง ดังนั้น เมื่อนางได้เห็นความแข็งแกร่งของอิลิดันและคาเอล นางก็ทำได้เพียงทดลองขอให้เซียวอวี๋มอบความคุ้มครองให้ ช่วยพวกนางผ่านพ้นช่วงเวลาอันแสนกล้ำกลืนนี้ไป

อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างกลับอยู่เหนือความคาดหมายของนาง เซียวอวี๋นั้นแข็งแกร่งมาก และบางที เซียวอวี๋ก็อาจไม่เห็นสมบัติของนางอยู่ในสายตาเสียด้วยซ้ำ นั่นทำให้การขอความช่วยเหลือกลายเป็นยากลำบากขึ้นหลายเท่าตัว

แต่ในขณะเดียวกัน นางก็ทราบว่านี่เป็นโอกาสดี หากว่านางต้องการไปสร้างรากฐานที่อาณาจักรพยัคฆ์เมฆา หากไม่มีที่พึ่งพิงไว้ มังกรพลัดถิ่นก็ยังยากจะรับมืองูเจ้าถิ่น

เซียวอวี๋แน่นอนว่าสนใจในข้อเสนอของสกาเล็ต นั่นเพราะเห็นความสำคัญของพลังทางการเงินและศักยภาพของหอการค้าฝูลู่

ที่สกาเล็ตไม่ทราบก็คือ เซียวอวี๋นั้นให้ความสำคัญกับความสามารถของสกาเล็ตและรากฐานของหอการค้าฝูลู่มากกว่าความมั่งคั่งที่พวกนางจะมอบให้เสียอีก

เซียวอวี๋ตระหนักดี แม้ตอนนี้ตัวเขาจะถือว่ามั่งคั่งไม่น้อย แต่ระหว่างเขากับพวกตระกูลเก่าแก่ก็ยังคงมีช่องว่างขนาดใหญ่อยู่

ตระกูลเหล่านั้นหยั่งรากฝังลึกอยู่ในแผ่นดินหลักมานาน ทุนรอนของพวกเขาย่อมเกินกว่าที่ใครจะคิดฝัน

แม้ตอนนี้เขาจะไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง แต่เงินที่ใช้ไปก็ยังยากจะหามาใหม่ ขณะที่ตระกูลเก่าแก่พวกนั้นสามารถถลุงเงินเล่นได้ไม่หมดไม่สิ้น

เป็นช่องว่างที่ใหญ่เหลือเกิน….

ทว่า ความสามารถ!

ตอนนี้สิ่งที่เซียวอวี๋ขาดแคลนที่สุดก็คือผู้มีความสามารถ ตอนนี้ดินแดนไลอ้อนมีนายทหารอยู่ไม่กี่คน ในช่วงระหว่างการสำรวจนครใต้พิภพ เขาดึงตัวศิษย์จากสถาบันอัศวินและสถาบันเวทมนตร์มาได้ไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ดินแดนของเขายังขาดแคลนนักบริหารและนักการเงินที่มีความสามารถอีกมาก

และหอการค้าฝูลู่ก็เต็มไปด้วยบุคลากรเหล่านั้น หากเซียวอวี๋ได้ตัวพวกเขามา เขาก็จะมั่งคั่งอย่างแท้จริง

ด้วยเหตุนี้ เมื่อสกาเล็ตยิ่งเล่ารายละเอียดออกมา เซียวอวี๋ก็ตัดสินใจจะรับข้อเสนอของนาง ต่อให้นางจะไม่ได้นำทรัพย์สมบัติมาให้ นางก็ยังนำผู้มีความสามารถมา

หลังจากนั้น เซียวอวี๋และสกาเล็ตก์หารือกันอยู่พักใหญ่ก่อนจะเริ่มเจรจาข้อตกลง เซียวอวี๋จะช่วยสกาเล็ตย้ายหอการค้าฝูลู่ไปวางรากฐานในอาณาจักรพยัคฆ์เมฆา และสกาเล็ตก็จะช่วยสร้างความมั่งคั่งให้กับเซียวอวี๋เป็นการตอบแทน

สกาเล็ตมีความเชื่อมั่นในขุมกำลังของเซียวอวี๋ เมื่อมีเซียวอวี๋คอยช่วยเหลือ เช่นนั้นการวางรากฐานในอาณาจักรพยัคฆ์เมฆาก็มีหนทางแล้ว

หลังจากพูดคุยเรื่องธุระเสร็จสิ้น เซียวอวี๋ก็กวาดสายตามองเรือนร่างอันเร่าร้อนของสกาเล็ตอย่างหลงใหล หุ่นนางน่าดึงดูดมาก สกาเล็ตนั้นชินชากับสายตาของเหล่าบุรุษอยู่แล้ว ดังนั้นสายตาของเซียวอวี๋จึงไม่มีผลอะไร อีกทั้งบางทีนางยังแสร้งบิดเอวอ้อนแอ้นด้วยท่าทางดูยั่วยวนอีกด้วย สตรีทรงอำนาจต่างก็ต้องรู้จักวิธีใช้เรือนร่างให้เป็นประโยชน์

สกาเล็ตนั้นยินดีที่เห็นเซียวอวี๋ลุ่มหลงในความงามของนาง ดังนั้นนางจึงใช้สายตาชม้ายมองเซียวอวี๋เป็นเชิงเชิญชวน ทำให้เซียวอวี๋รู้สึกว่าร่างท่อนล่างร้อนผ่าวขึ้นมา

เซียวอวี๋เลือดลมพลุ่งพล่านจนแทบจะควบคุมไม่อยู่ เขาได้แต่แค่นเสียงอยู่ในใจ ‘มารดาท่าน กล้ายั่วยวนบิดา ระวังบิดาจะเสกเด็กเข้าท้อง’

……………………..

เซียวอวี๋ร่วมทางกับสกาเล็ตมุ่งหน้าสู่เมืองขนาดใหญ่ทางตะวันตกของจักรวรรดิแลนซ์ เมืองเม็ก

หากพูดถึงเมืองเม็ก มันเป็นหนึ่งในเมืองสำคัญของจักรวรรดิแลนซ์ที่มีประชากรราวหนึ่งล้านคน เนื่องด้วยอยู่ใกล้กับอาณาจักรพยัคฆ์เมฆา จึงทำให้มีพ่อค้าผ่านไปผ่านมามากมายและทำให้เมืองแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองตามไปด้วย

หอการค้าฝูลู่ไม่ได้ตั้งอยู่ภายในเมืองเม็กแห่งนี้ สำนักงานใหญ่ของหอการค้าฝูลู่นั้นตั้งอยู่ที่เมืองโมรา นครหลวงแห่งจักรวรรดิแลนซ์ อย่างไรก็ตาม สกาเล็ตทราบว่าในเวลานี้นางไม่อาจไปที่สำนักงานใหญ่ มิเช่นนั้นหากปรากฏตัวไปที่นั่น นางก็คงกลับออกมาไม่ได้

นางได้เตรียมการล่วงหน้าไว้ก่อนแล้วโดยการให้คนที่ไว้ใจได้ขนย้ายเงินมาที่เมืองเม็ก

รถม้าของสกาเล็ตนั้นตกแต่งอย่างสวยหรูเกือบจะเทียบได้กับรถม้าของเซียวอวี๋ ขาดก็แต่จำนวนของม้า ซึ่งเซียวอวี๋ก็นั่งอยู่ในรถม้านี้พร้อมด้วยสาวใช้หน้าตางามงดสองนาง เซียวอวี๋ดื่มไวน์พลางพูดคุยกับสาวงามทั้งสาม เป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขอย่างยิ่ง

พวกเขาเริ่มออกเดินทางไปยังเมืองเม็ก เซียวอวี๋กวาดมองแผนที่ที่สกาเล็๋ตมอบให้เพื่อตรวจสอบเส้นทางหลบหนี

ทว่าทันใดนั้นเอง เสียงปะทะกันของอาวุธก็ทำลายบรรยากาศสุนทรีย์นี้ไป ดูเหมือนจะมีคนมาสร้างปัญหาแล้ว….

 

 

 


ตอนที่ 478

 

“บัดซบ! ใครบังอาจมารบกวนข้า?” เซียวอวี๋โมโห เขากำลังเพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาอันแสนสุข ทว่ากลับมีคนเข้ามาขัด


เซียวอวี๋เปิดประตูลงจากรถ และเขาก็ได้เห็นกลุ่มชายฉกรรจ์สวมเกราะหนังกำลังโรมรันอยู่กับกองทหารคุ้มกันขบวน

คนกลุ่มนี้แข็งแกร่งมาก ทั้งการลงมือยังสอดรับกันเป็นอย่างดี ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีผู้บาดเจ็บเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เซียวอวี๋ทราบอยู่ว่าการเดินทางพร้อมกับสกาเล็ตจะต้องพบเจอเรื่องยุ่งยาก และเขาไม่อาจปล่อยให้คนของนางตกตายมากไป มิเช่นนั้นจะยุ่งยากแล้ว

เซียวอวี๋โบกมือสั่งการให้อิลิดันและคาเอลลงมือ สกาเล็ตเองก็ลงจากลงม้ามาแล้ว ความเกลียดชังอย่างลึกล้ำได้ฉายชัดอยู่ในแววตาของนางขณะที่จ้องมองไปยังชายฉกรรจ์กลุ่มนี้

“หยุด! ตอเรส ข้ารู้ว่าเป็นเจ้า เจ้าต้องการฆ่าข้าให้ได้จริงๆ?” สกาเล็ตตะโกน

“โฮ่…สกาเล็ต ญาติผู้งามงดของข้า ไม่ต้องกังวลไป ด้วยรูปโฉมของเจ้าแล้ว ข้าย่อมไม่ฆ่าเจ้า หลังจากเสพสุขกับเจ้าแล้ว ข้าจะส่งเจ้าไปให้องค์ชายมิรันด้า เขาใฝ่ฝันอยากครอบครองเจ้ามาเนิ่นนานแล้ว ฮ่าฮ่า…”

ชายผิวดำหันมาหาสกาเล็ต เขาสวมเกราะหนังขณะที่ในมือของเขาถือดาบเวทมนตร์เปื้อนเลือดเอาไว้ เขายกมือข้างที่ว่างขึ้นปลดหน้ากากและเผยใบหน้าอัปลักษณ์ที่สอดรับกับเสียงแหบพร่าของมันออกมา

“ตอเรส เจ้าไม่ได้รับรู้ถึงความรักที่ท่านพอมอบให้กับเจ้าเลยหรือ? ตอนที่ท่านพ่อยังอยู่ เขาดีต่อเจ้ามาก” สกาเล็ตจ้องตาตอเรส ในแววตาไม่ได้หลงเหลือความโกรธอีก มีเพียงแววตาที่สงบนิ่ง

เห็นท่าทีของสกาเล็ต ความประทับใจที่เซียวอวี๋มีต่อนางก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อย สามารถควบคุมอารมณ์ในสถานการณ์เช่นนี้ได้ นางย่อมไม่ใช่สตรีธรรมดา

นี่เป็นคุณสมบัติของผู้ยิ่งใหญ่

“อ่าใช่ เขาดีต่อข้าจริงๆนั่นล่ะ ดังนั้นข้าจึงต้องดีต่อเจ้า ข้าจะช่วยให้เจ้าลิ้มรสความสุขของการเป็นสตรีเอง ฮ่าฮ่าฮ่า….”

ตอเรสแสยะยิ้มชั่วร้าย ขณะที่สายตากวาดมองเรือนร่างของสกาเล็ตอย่างหื่นกระหาย

“ได้ ตอเรส ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก แม้ข้าจะเป็นสตรี แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะต้องทำตามเจ้า จงตายเพื่อชดเชยที่หมิ่นเกียรติของข้า” แววตาของสกาเล็ตสายประกายเย็นชาขณะที่มีดสั้นอันปราณีตสองเล่มปรากฏขึ้นในมือทั้งสอง

‘หืม นางเป็นมือสังหาร? เอ มีดสั้นนี้ดูคุ้นๆแฮะ….เอ๊ะ มีดสั้นราตรี? ของโบราณแบบนี้ ไม่คิดว่านางจะมีด้วย’ เซียวอวี๋ไม่ประหลาดใจเท่าใดนัก อย่างไรเสียนางก็เป็นทายาทของหอการค้าฝูลู่ผู้มั่งคั่ง แน่นอนว่าตระกูลของนางย่อมต้องมีของดีตกทอดมา

มีดสั้นราตรีปลดปล่อยประกายหมองหม่นออกมา แม้มันจะไม่ใช่มีดสั้นระดับดีเลิศอะไร กระนั้นก็นับว่าเป็นของดีสำหรับพวกมือสังหาร

“หึหึ…สกาเล็ต เจ้านี่ช่างร้อนแรงจริงๆ พูดตามตรง ข้าแทบไม่อาจหักใจยกเจ้าให้องค์ชายมิรันด้า แต่น่าเสียดาย หากไม่มีการหนุนหลังจากพระองค์ พวกเราคงไม่อาจฮุบกลืนหอการค้าฝูลู่ได้สมบูรณ์”

“แต่วางใจเถอะ ต่อให้ไม่มีเจ้า น้องสาวของเจ้าก็จะทำหน้าที่นี้เอง แม้นางจะเพิ่งอายุสิบห้าก็เถอะ แต่หลังจากนี้สักสองสามปี นางก็อาจจะเร่าร้อนได้เหมือนเจ้า ฮ่าฮ่าฮ่า ถึงเวลานั้น นางก็เป็นของข้าแล้ว”

ตอเรสกล่าวพลางหัวเราะอย่างชั่วร้าย

“เกิดอะไรขึ้นกับน้องและแม่ของข้า?” มือของสกาเล็ตสั่นเทาขณะเอ่ยถาม

“ฮ่าฮ่า ทั้งสองล้วนอยู่กับพวกเรา คิดว่าพวกเราจะไม่รู้ว่าเจ้าวางแผนหลบหนีหรือ? คนของเจ้าถูกพวกเราจับไว้หมดแล้ว” ตอเรสแสยะยิ้ม

ไม่ว่าต้องจ่ายด้วยอะไร นางจะต้องพาครอบครัวของนางกลับมาให้ได้ แต่ลำพังตัวนางตอนนี้ยังย่ำแย่ แล้วนางจะช่วยแม่กับน้องได้อย่างไร?

เวลานี้ นางทำได้เพียงพึ่งพาเซียวอวี๋

หากเซียวอวี๋ใช้อิทธิพลจากตระกูลของเขา บางทีมันอาจจะช่วยมารดาและน้องของนางได้ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้คนของนางรวมถึงทรัพย์สินนั้นไม่หลงเหลืออยู่อีก นางสูญเสียเบี้ยที่ใช้เจรจากับเซียวอวี๋ไปทั้งหมด

ความกระหายของเซียวอวี๋นั้นไม่น้อย แล้วนางจะทำให้เขาพอใจได้อย่างไร?

สกาเล็ตหันไปมองเซียวอวี๋ และพบว่าเซียวอวี๋กำลังยกขวานพาดบ่าขณะจ้องไปที่ตอเรส

“นายน้อย ตัวข้า สกาเล็ตขอสาบานต่อฟ้า หากท่านช่วยเหลือท่านแม่และน้องสาวของข้าได้ ข้ายินดีเป็นทาสรับใช้ของท่าน โปรดช่วยข้าด้วยเถอะ ตอนนี้มีเพียงท่านที่ช่วยข้าได้…” สกาเล็ตหันไปวิงวอนเซียวอวี๋ด้วยน้ำตา แววตาของนางฉายแววมุ่งมั่น ชัดเจนว่านางตัดสินใจเดิมพันด้วยทุกสิ่งอย่าง

“นี่….” ข้อเสนอนี้ดึงดูดใจมาก บุรุษทุกผู้ย่อมไม่รังเกียจสาวงาม เซียวอวี๋ประหลาดใจ อย่างไรเสียตัวเขาก็ไม่ได้เกรงกลัวเจ้าตอเรสอะไรนี่อยู่แล้ว

เดิมที หลังจากได้ทราบสถานการณ์ของสกาเล็ต เขาก็ไม่ได้คิดจะนำนางมาเป็นสตรีของตน เซียวอวี๋เพียงคิดนำนางมาเป็นลูกน้อง

แต่ตอนนี้สกาเล็ตกลับเสนอตัวมาเอง เขารู้สึกว่ามันยากยิ่งที่จะปฏิเสธ ตัวเขาก็เป็นบุรุษผู้หนึ่ง หากปฏิเสธ ตัวเขาก็ไม่ใช่บุรุษแล้ว

ได้เห็นสีหน้าท่าทีของเซียวอวี๋ สกาเล็ตก็คิดว่าเขากำลังลังเล อย่างไรเสีย การเผชิญหน้ากับองค์ชายมิรันด้าก็ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถ

นี่เทียบได้กับการประกาศสงครามกับจักรวรรดิแลนซ์ทั้งจักรวรรดิ

ต่อให้ตระกูลของเซียวอวี๋จะเข้มแข็ง เขาก็คงไม่บุ่มบ่ามก่อสงครามเพียงเพราะสตรีนางเดียว นั่นเป็นการกระทำที่ไม่คุ้มเอาเสียเลย

“นายน้อยเซียว ข้าวิงวอนท่าน โปรดช่วยท่านแม่และน้องข้าด้วย” สกาเล็ตกุมมือเซียวอวี๋ด้วยใบหน้าอ้อนวอน

“เหอเหอ…สกาเล็ต คิดว่าผู้อื่นจะยื่นมือช่วยเหลือเจ้าได้หรือ? ไอ้นั่นมันเป็นใคร? มันต่อต้านพวกข้าได้หรือ? หรือมันกล้าเป็นศัตรูกับองค์ชายมิรันด้า? ฮ่าฮ่าฮ่า…..” ตอเรสกล่าวเยาะเย้ย

“หุบปาก ไม่เห็นหรือว่าบิดากำลังคุยอยู่กับนาง กล้าเข้ามาสอดเช่นนี้ หรือเจ้าเบื่อหน่ายชีวิตแล้ว?” เซียวอวี๋แค่นเสียง

คำพูดและท่าทางเย่อหยิ่งของเซียวอวี๋ถึงกับทำให้ตอเรสโกรธจนตัวสั่น

“เจ้าเป็นใคร? กล้ามาอวดเบ่งต่อหน้าข้า ข้าจะตัดขาทั้งสองของเจ้า จากนั้นค่อยฆ่าเจ้าทิ้ง” ตอเรสกล่าวอย่างเดือดดาล

ตอนนี้ตัวมันผูกติดอยู่กับองค์ชายมิรันด้า เมื่อมีคนใหญ่คนโตเช่นนี้หนุนหลัง ตระกูลใดก็ไม่อยู่ในสายตามัน

“อิลิดัน คาเอล เก็บพวกมันซะ” เซียวอวี๋คร้านจะใส่ใจคนประเภทนี้ เขาเพียงสั่งให้ทั้งสองลงมือจัดการ

“ข้าจะดูว่าเจ้ามีดีอะไร อาศัยพวกเจ้าไม่กี่คนก็ต้องการฆ่าข้าหรือ? ไอ้โง่เอ๊ย” เห็นด้านหลังของเซียวอวี๋มีคนเพียงสองคน มันก็ไม่เชื่อว่านักรบขั้นที่สี่กว่าสิบคนของมันจะสู้อีกฝ่ายไม่ได้

แต่ไม่นาน มันก็รู้ว่าตนนั้นคิดผิดมหันต์

อิลิดันกระโดดขึ้นฟ้าก่อนจะพุ่งเข้าใส่ตอเรส ขณะที่ลอยอยู่กลางอากาศ ร่างกายของอิลิดันก็มีเปลวเพลิงลุกท่วม ผ้าคลุมสีดำที่คลุมร่างอยู่พลันถูกเผ้าเป็นขี้เถ้าและเผยรูปร่างแท้จริงของเขาออกมา

“เอ๊ะ…ปีศาจ! เป็นปีศาจได้อย่างไร?” เมื่อได้เห็นใบหน้าแท้จริงของอิลิดัน พวกลูกน้องของตอเรสก็กรีดร้องอย่างตกตะลึง

ในเวลาเดียวกัน คาเอลสะบัดคทาซินแดร์พลางร่ายเวท พริบตาถัดมา พายุเพลิงลูกใหญ่ก็ปรากฏขึ้นพัดไปทางกลุ่มของตอเรส….

 

 

 


ตอนที่ 479

 

พายุเพลิงกวาดพัดไปทางพวกลูกน้องของตอเรส เมื่อสัมผัสได้ถึงอันตราย พวกเขาก็พยายามจะหลบหนี แต่ก็ยังมีบางคนที่เร็วไม่พอ พริบตาเดียวคนพวกนั้นก็กลายเป็นเถ้ากระดูก


พายุเพลิงที่คาเอลใช้ออกเวลานี้นั้นรุนแรงกว่าก่อนมาก

การลงมือนี้ทำให้ผู้คนล้วนอ้าปากตาค้าง พลังเวทของจอมมนตราขั้นที่หก?

เวทมนตร์ของคาเอลสร้างความพรั่นพรึงให้กับคนทั้งหมด ในสนามรบแล้ว ตัวตนที่ควรหลีกให้ห่างก็คือ เหล่าผู้ใช้มนตรา

หลังพายุเพลิงพัดผ่านไป อิลิดันก็ลอยตัวขึ้นพลางสะบัดฟาดฟันด้วยดาบจันทร์เสี้ยว

เพียงการสะบัดฟันไม่กี่ครั้ง ลูกน้องของตอเรสก็แทบตกตายทั้งหมด คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นนักรบขั้นที่สี่ ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าอิลิดันแล้ว พวกเขาก็ไม่ต่างไปจากก้อนเต้าหู้

หลังจากดูดซับพลังตกทอดมา ความแข็งแกร่งของอิลิดันก็อยู่ในระดับที่น่าสะพรึง เพลิงที่ห่อหุ้มร่างกายของเขายังสามารถเผาคู่ต่อสู้ที่เข้าใกล้ได้

คล้ายกับพยัคฆ์กระโจนเข้าฝูงแกะ ทุกคราที่ดาบคู่ในมือถูกสะบัด หนึ่งชีวิตก็จะถูกปลิดปลงไป ตอนนี้อิลิดันสังหารคนของตอเรสไปเกือบสองร้อยคนแล้ว

การโจมตีของอิลิดันยังแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่านักรบยอดฝีมือขั้นที่หก และเมื่อใช้ออกพร้อมกับทักษะต่างๆ อิลิดันแน่นอนว่าสามารถต่อกรกับนักรบขั้นที่หก

เมื่อเห็นศัตรูบางส่วนเริ่มหนีเอาตัวรอด เซียวอวี๋ก็ตะโกนใส่พวกทหารคุ้มกันของสกาเล็ต “มัวรออะไร? ไปจัดการพวกมัน!”

ได้ยินเซียวอวี๋กระตุ้นเตือน พวกเขาก็ได้สติ คนที่เหลือต่างชักอาวุธโถมออกไป

เดิมที พวกทหารคุ้มกันขบวนนั้นไม่อาจต้านทานกองกำลังของตอเรสได้ หากปะทะกันซึ่งหน้า แน่นอนว่าย่อมต้องเกิดการสูญเสียอย่างหนัก

ทว่าตอนนี้ ศัตรูส่วนใหญ่ถูกอิลิดันและคาเอลจัดการไปแล้ว ฝ่ายทหารคุ้มกันจึงพลิกกลับมามีเปรียบ

กองกำลังของตอเรสเริ่มหมดกำลังใจ มีบางส่วนทิ้งอาวุธไว้และวิ่งหนีไป เมื่อตอเรสเห็นดังนั้น มันก็รู้สึกตัวและตระหนักว่าตัวมันเองก็ต้องหลบหนีเช่นกัน

แต่มีหรือที่เซียวอวี๋จะปล่อยมันไป เซียวอวี๋พลันใช้เทเลพอตไปดักหน้าตอเรสเอาไว้

เมื่อระดับของเซียวอวี๋เพิ่มขึ้น ระยะเทเลพอตเองก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

พบเห็นเซียวอวี๋ ตอเรสก็พลันกรีดร้องตกใจ จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นมาเช่นนี้ หรือว่ามันจะเป็นผี?

เมื่อครู่เพิ่งตกใจจากการลงมือของอิลิดันและคาเอล ตอนนี้เซียวอวี๋จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นข้างหน้าอีก ตอนนี้ตอเรสรู้สึกขวัญหนีดีฝ่อหมดแล้ว

ยิ่งเวลาผ่านไปตอเรสก็ยิ่งเครียด ดังนั้นมันจึงกู่ร้องก่อนจะชักดาบเวทที่เอวฟันเข้าใส่เซียวอวี๋

เซียวอวี๋ยิ้มเยาะ เขาพลันใช้ทักษะย่างก้าวหลบหลีกอย่างง่ายดาย ก่อนจะยกขวานใส่ตอเรส

เคร้ง เคร้ง เคร้ง…..

ตอเรสยกดาบขึ้นต้าน แม้จะป้องกันไว้ได้ กระนั้นมันกลับรู้สึกชาหนึบไปทั้งมือ

ช่วงหลังมานี้ เซียวอวี๋นั้นเลือกเพิ่มไปที่พละกำลัง ดังนั้นร่างกายของเขาจึงทั้งแข็งแกร่งและคล่องแคล่ว ขณะที่ตอเรสเพิ่งจะทะลวงมาขั้นห้าได้ไม่นาน แล้วเขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของเซียวอวี๋ได้อย่างไร?

หลังจากโจมตีจนตอเรสรู้สึกเหนื่อย เซียวอวี๋ก็เก็บขวานไปก่อนจะเริ่มโจมตีด้วยมือเปล่า

แม้ความแข็งแกร่งของเซียวอวี๋ตอนนี้จะเทียบกับคาร์นไม่ได้ กระนั้นมันก็ยังสูงกว่าคนทั่วไปมาก ตอเรสรู้สึกทั้งมึนทั้งเจ็บปวด

ไม่มีสิ่งที่เหนือความคาดหมายเกิดขึ้น กองกำลังของตอเรสทั้งหมดไม่มีผู้ใดสามารถหลบหนีการไล่ล่าจากอิลิดันไปได้ คำสั่งของเซียวอวี๋คือสังหารคนทั้งหมด ห้ามปล่อยให้หนีรอดไปได้ มิเช่นนั้น มารดาและน้องสาวของสกาเล็ตก็คงยากจะช่วยเหลือแล้ว

ตอเรสถูกจับมัดอย่างแน่นหนา

หลังจากจบงานที่ได้รับ อิลิดันก็ล้วงหยิบเอาผ้าคลุมอีกผืนออกมาคลุมร่างและกลับมายืนอยู่ทางด้านหลังของเซียวอวี๋

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้สายตาของทุกคนที่มองมายังอิลิดันและคาเอลกลับเต็มไปด้วยความยำเกรง โชคดีที่ทั้งสองไม่ได้อยู่ฝ่ายศัตรู

“ตอเรส เจ้าคงคิดไม่ถึงสินะว่าเรื่องจะจบลงเช่นนี้” สกาเล็ตกล่าวพลางจ้องมองตอเรสอย่างเย็นชา บุรุษผู้นี้ชั่วร้ายอย่างแท้จริง เขาไม่ปล่อยแม้แต่มารดาและน้องสาวของนาง

“ฮ่าฮ่าฮ่า….” ได้ยินคำพูดของสกาเล็ต ตอเรสก็หัวเราะออกมา ท่าทีของมันดูผ่อนคลายอย่างมาก

“สกาเล็ตเอ๋ย สกาเล็ต เจ้าจับข้าไว้แล้วอย่างไรต่อ? คิดจริงหรือว่าเจ้าจะสามารถต่อต้านองค์ชายมิรันด้าและช่วยแม่และน้องของเจ้าได้? ฮ่าฮ่า…งั้นข้าจะบอกให้ แม้ว่าเจ้าหนุ่มนี่จะแข็งแกร่งอยู่บ้าง แต่หากมีเพียงแค่นี้ล่ะก็ ความคิดของเจ้าก็ช่างไร้เดียงสานัก ฮ่าฮ่าฮ่า….”

แม้กระทั่งตอนนี้ ตอเรสก็ยังวางท่า

เมื่อเห็นตอเรสยังหยิ่งผยองได้อยู่ เซียวอวี๋ก็อดหงุดหงิดไม่ได้ สวะเอ๊ย แม้แต่ตอนนี้ก็ยังไม่รู้จักวางตัวอีก ช่างหาที่ตายเก่งจริงๆ

เซียวอวี๋ยกมือตบหน้าตอเรสอย่างต่อเนื่อง หลังจากถูกเซียวอวี๋ตบไป ใบหน้าของตอเรสก็บวมเบ่งราวสุกร กระนั้นเซียวอวี๋ก็ยังไม่หยุดมือ กระทั่งดูเหมือนจะเริ่มติดใจเสียด้วย เมื่อตอเรสอยู่ในสภาพที่กระทั่งมารดาของมันก็ยังจดจำไม่ออก เซียวอวี๋จึงหยุดมือลง

จากนั้นเซียวอวี๋ก็เริ่มทรมาณตอเรสด้วยวิธีต่างๆ ผู้คนโดยรอบต่างขนลุก ความกลัวที่พวกเขามีต่อเซียวอวี๋ยิ่งมายิ่งมาก…….


 

 

 


ตอนที่ 480

 

“สกาเล็ต โปรดช่วยข้าด้วย….” เมื่อรู้ว่าเปล่าประโยชน์ที่จะอ้อนวอนต่อเซียวอวี๋ ตอเรสก็คร่ำครวญขอร้องกับสกาเล็ต


สกาเล็ตมองอย่างเย็นชา นางไม่ใช่ผู้หญิงใจอ่อน นางทราบดีว่า หากไม่ใช่เพราะเซียวอวี๋อยู่ที่นี่ด้วย ตัวนางคงเผชิญชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่านี้

นางจ้องมองตอเรสก่อนจะกล่าวเสียงเบา “ตอนนี้เจ้าเป็นเชลยของเขา ไม่ใช่ของข้า ผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจคือเขา อีกอย่าง ตอนนี้ข้าเป็นทาสของเขาแล้ว แล้วข้าจะขอร้องแทนเจ้าได้อย่างไร?”

ตอนนี้สกาเล็ตรู้สึกดีที่เห็นตอเรสตกอยู่ในสภาพนี้ ในใจเกิดเป็นความสุขที่อธิบายด้วยคำพูดไม่ได้ เป็นความสุขอย่างแท้จริง

“อั่ก….สกาเล็ต ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ดีเอง…ข้าจะทำทุกสิ่งตามที่เจ้าต้องการ ได้โปรด…บอกให้เขาปล่อยข้าเถอะ ข้าจะช่วยน้องสาวและแม่ของเจ้า…” ตอเรสกล่าวอ้อนวอนด้วยน้ำตา

“พวกเจ้ากำลังวางแผนทำอะไร? บอกมาให้หมด” เซียวอวี๋กระชากหัวของตอเรสขึ้นก่อนจะตบไปที่ใบหน้า

“ได้…ได้…ข้าจะบอกทุกเรื่อง!” ตอเรสไม่กล้าขัดขืนแม้จะเสี้ยว มันทราบว่าหากทำให้เซียวอวี๋โกรธขึ้นมา มันจะต้องเผชิญชะตากรรมยิ่งกว่าตายไม่รู้จบ

เซียวอวี๋นำเก้าอี้ออกมาจากแหวนมิติก่อนจะนั่งลง จากนั้นจึงเริ่มทรมาณตอเรสอีกครั้ง

หลังจากผ่านการทรมาณกว่าชั่วโมง เซียวอวี๋ก็เค้นข้อมูลสำคัญจากปากตอเรสได้ทั้งหมด นั่นยังรวมถึงตำแหน่งที่อยู่ของมารดาและน้องสาวของสกาเล็ต ซึ่งตอนนี้ ทั้งคู่ถูกจับอยู่ที่เมืองเม็ก

ได้ยินคำสารภาพของตอเรส เซียวอวี๋ก็เลิกคิ้ว ขณะที่สกาเล็ตพลันรู้สึกสิ้นหวัง เมื่อเป็นเช่นนี้ มิรันด้าคงจัดเตรียมกองทัพไว้ที่เมืองเม็กแล้ว

อันที่จริง แผนการทั้งหมดที่เตรียมไว้นั้นไม่ได้มีไว้เพื่อจัดการกับสกาเล็ต แต่สกาเล็ตยังรู้ว่ามิรันด้าเองยังต้องแก่งยิงชิงตำแหน่งรัชทยาทกับองค์ชายองค์อื่นๆ ที่เขาลงมือจัดการกับหอการค้าฝูลู่ก็เพื่อเตรียมรับมือกับองค์ชายที่เหลือ

“เกิดชาติหน้าก็อย่าได้เป็นสวะเช่นนี้อีก จงเป็นคนดี…ลาก่อน”

หลังได้สิ่งที่ต้องการแล้ว เซียวอวี๋ก็กล่าวเบาๆก่อนจะยกไวน์ขึ้นจิบ

ขวานในมือพลันสับลง ศีรษะของตอเรสกระเด็นหลุดจากร่างจนทำให้ผู้คนที่เฝ้าดูอยู่ถึงกับสั่นเทา

ในใจของพวกเขายิ่งปักใจเชื่อว่าเซียวอวี๋นั้นเป็นปีศาจ

สกาเล็ตชื่มชนกับการตัดสินใจของเซียวอวี๋ แม้เขาจะดูคล้ายอันธพาลเจ้าอารมณ์ ทว่าการตัดสินใจทุกย่างก้าวของเขากลับเป็นไปด้วยความระมัดระวัง เขาไม่ทิ้งตัวแปรที่อาจจะสร้างปัญหาในภายภาคหน้าเอาไว้และเพียงลงมือตัดไฟแต่ต้นลม

บางที การเลทือกติดตามเขาอาจจะเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของนาง

อันที่จริง นอกจากการพึ่งพิงเซียวอวี๋แล้ว สกาเล็ตก็ไม่เหลือหนทางอื่น ผู้หญิงตัวคนเดียวในสถานการณ์เช่นนี้ นางทำได้เพียงพึ่งพาบุรุษ

หลังจากตอเรสถูกกำจัดไปแล้ว สกาเล็ตก็ยืนอยู่ด้านหลังของเซียวอวี๋อย่างนอบน้อมก่อนจะเอ่ยปากถาม “นายน้อย พวกเราควรทำอย่างไรต่อ?”

สกาเล็ตเป็นคนฉลาด นางไม่ได้เรียกเซียวอวี๋ว่าคุณชายอีกต่อไป น้ำเสียงที่ใช้ก็เปลี่ยนเป็นเคารพ แสดงให้เห็นว่าตอนนี้ตัวนางเปลี่ยนฐานะของตัวเองเป็นบ่าวรับใช้ของเซียวอวี๋แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็เท่ากับผลักดันให้เซียวอวี๋ต้องช่วยมารดาและน้องสาวของนาง

เป็นสตรีที่หัวไวนัก!

เซียวอวี๋ชื่นชอบผู้หญิงฉลาด หากแต่ในตอนนี้มันออกจะมีปัญหาเล็กน้อย ตามคำกล่าวของตอเรสนั้น เมืองเม็กในตอนนี้ประจำการด้วยทหารหลายหมื่นนาย นั่นยังรวมถึงพวกผู้ใช้มนตราและนักรบทรงพลัง ขณะที่มารดาและน้องสาวของสกาเล็ตถูกขังไว้ที่คุกใต้ดิน มันจึงเป็นการยากที่จะช่วยทั้งคู่ออกมา

เซียวอวี๋รู้สึกปวดหัว กองกำลังที่เรียกใช้ได้ตอนนี้ก็มีเพียงสองคน หากมีคนอื่นๆอยู่ที่นี่ด้วย เช่นนั้นมันก็ไม่ยากที่จะเปิดฉากโจมตีใส่เมืองโดยตรง หากแต่ในเวลานี้ การพิชิตเมืองเม็กกลับยากเย็นดุจปีนป่ายขึ้นสวรรค์

ในอดีต บิดาของเขาเคยพิชิตเมืองเม็กมาครั้งหนึ่งแล้ว เขาย่อมไม่กลัวว่าจะยึดมันอีกครั้งไม่ได้

เมื่อสกาเล็ตเอ่ยถามเช่นนี้ เซียวอวี๋ก็จำต้องตอบนาง

“อะแฮ่ม….ตอนนี้ข้ายังไม่มีแผนเจาะจงอะไร แต่ข้ารับรองได้ว่าข้าจะช่วยแม่และน้องสาวของเจ้า รวมทั้งบ่าวไพร่ที่จงรักภักดีต่อเจ้าออกมา กองทหารของข้านั้นตั้งทัพอยู่ทางตะวันตกของเมืองเม็ก ข้าต้องติดต่อพวกเขาก่อน จากนั้นพวกเราจะโจมตีเมืองเม็ก…ข้าจะบอกความลับของข้าต่อเจ้า เจ้าคงสงสัยสินะว่าข้านั้นเป็นใคร ตอนนี้ข้าจะบอกเจ้า ข้าคือเซียวอวี๋ ลอร์ดแห่งดินแดนไลอ้อน บิดาของข้าคือ เซียวซานเทียน ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยยึดเมืองเม็กมาแล้ว”

ตอนนี้ สกาเล็ตได้แต่ต้องพึ่งพาเขา ดังนั้นเซียวอวี๋จึงไม่จำเป็นต้องปกปิดตัวตน

ทั้งยังหยิบยกชื่อเสียงของบิดามาใช้หากิน

เซียวอวี๋รู้ว่าผู้คนของจักรวรรดิแลนซ์นั้นเกรงกลัวเซียวซานเทียนมาก

เป็นไปดังคาด เมื่อได้ยินนามของเซียวซานเทียน ไม่เพียงแต่สกาเล็ตเท่านั้น กระทั่งเหล่าคนที่ยืนฟังโดยรอบก็ยังกลืนน้ำอึกหนึ่ง

“เซียว…เซียวซานเทียน….ท่านเป็นทายาทของเซียวซานเทียน….” สกาเล็ตกล่าวเสียงสั่นเครือ นางร้อยคิดพันคำนวณก็คาดไม่ถึงว่าตัวนางจะมีที่พึ่งพิงเป็นทายาทของเซียวซานเทียนผู้โด่งดัง

นามของเซียวซานเทียนนั้นประดุจฟ้าร้องดังกรอกหูผู้คนในจักรวรรดิแลนซ์ ครั้งเมื่อจักรวรรดิแลนซ์เคยยกทัพรุกรานเข้าสู่อาณาจักรพยัคฆ์เมฆา พวกเขาเคยเกือบจะยาตราทัพเข้าสู่นครหลวงของอาณาจักรพยัคฆ์เมฆาได้แล้ว ทว่าช่วงวิกฤตินั้นเอง พวกเขาก็ถูกกองทัพของเซียวซานเทียนไล่ตีจนแตกพ่าย เซียวซานเทียนยังได้บังคับให้จักรพรรดิของจักรวรรดิแลนซ์ต้องยกร่างสัญญาสงบศึก

เมื่อเวลาผ่านไป นามของเซียวซานเทียนก็กลายเป็นนามอันยิ่งใหญ่ประทับในหัวใจของผู้คนจากจักรวรรดิแลนซ์

ตอนนี้ ทุกคนต่างรู้สึกเชื่อมั่นเต็มหัวใจ ในสายตาของพวกเขาแล้ว เซียวซานเทียนนั้นคือเทพผู้ไร้พ่าย และทายาทของเทพสงครามผู้นั้นแน่นอนว่าต้องเป็นเทพสงครามไร้พ่ายอย่างแน่นอน!

“ใช่แล้ว ข้าคือบุตรชายคนเล็กของเซียวซานเทียน พี่น้องของข้าตกตายในสงคราม ตอนนี้จึงเหลือเพียงข้าที่เป็นผู้สืบทอด ตัวข้านั้นอาศัยอยู่ที่ดินแดนไลอ้อน แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าดินแดนไลอ้อนนั้นใหญ่เพียงใด? เหอเหอ บอกต่อเจ้า ทั้งเทือกเขาอัลคาเกนนั้นเป็นของข้า!”

พวกคนใกล้ชิดของเขานั้นไม่ได้อยู่ที่นี่ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกอายที่จะใส่สีตีไข่เสียใหญ่โต

“ดินแดนไลอ้อน…ใช่ดินแดนที่มีพวกโจรชุกชุมหรือไม่?” สกาเล็ตถามอย่างประหลาดใจ

ด้วยความยิ่งใหญ่ของหอการค้าฝูลู่แล้ว แน่นอนว่าพวกเขาย่อมมีเส้นทางสินค้าไปยังจักรวรรดิเมฆาตะวันออก และระหว่างที่ผ่านดินแดนไลอ้อน พวกเขาก็จะประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก ถูกกองโจรเข้าปล้นชิงสินค้าจนบางทีก็ไม่หลงเหลือสิ่งใด

แต่เพราะเพื่อผลประโยชน์ก้อนโต พวกเขาก็ต้องกัดฟันเดินทางผ่านเส้นทางนั้นต่อ อย่างไรก็ตาม สกาเล็ตนั้นรู้ว่า ในปีที่ผ่านมา กองโจรที่เคยชุกชุมนั้นแทบถูกกวาดล้างไปทั้งหมด ตอนนี้ดินไลอ้อนกลายเป็นดินแดนที่มีกฏระเบียบเรียบร้อยแล้ว

แม้ลอร์ดของดินแดนจะได้ชื่อว่าโลภมากและเรียกเก็บภาษีอัตราสูง แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ได้อันตรายเหมือนแต่ก่อน

ด้วยเหตุนี้ จักรวรรดิเมฆาตะวันออกจึงกลายเป็นแหล่งลงทุนสำคัญของหอการค้าฝูลู่ สกาเล็ตนั้นคาดไม่ถึงว่านางจะได้พบกับลอร์ดของดินแดนไลอ้อนที่นี่

“แค่กๆ….ใช่แล้ว แต่โจรพวกนั้นถูกข้ากำจัดไม่มีเหลือ อีกทั้งข้ายังได้สร้างไมตรีกับจักรวรรดิเมฆาตะวันออก ตอนนี้จักรพรรดิองค์ใหม่ของพวกเขาโถวปาหงนั้นเป็นสหายสนิทของข้า ข้ามีความตั้งใจที่จะร่วมมือกับพวกเขาทางการค้า แต่ข้านั้นขาดแคลนบุคคลากรทางด้านนี้ เมื่อเจ้าร่วมมือกับข้า ข้าสัญญาว่าหอการค้าฝูลู่ของเจ้าจะต้องยิ่งใหญ่กว่าตอนนี้หลายเท่า”

เซียวอวี๋กระอักกระอ่วน แต่เรื่องแบบนี้เขาชำนาญอยู่แล้ว ดังนั้นจึงโม้ต่อได้อย่างไม่ติดขัด

สกาเล็ตนั้นเคารพเซียวซานเทียน แน่นอนว่านางย่อมต้องชื่นชมทายาทของเขา ดังนั้นนางจึงให้เคารพต่อเซียวอวี๋มากขึ้น

เมื่อนางสามารถผูกติดกับบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ได้เช่นนี้ อนาคตของนางย่อมกว้างไกลไม่มีสิ้นสุด…….

 

 

 


ตอนที่ 481

 

เมื่อเซียวอวี๋เห็นแววตาชื่นชมของสกาเล็ต ในใจก็เอ่อล้นด้วยความยินดี ความรู้สึกที่ได้รับการยอมรับจากสตรีนั้น แน่นอนว่าไม่มีบุรุษใดรู้สึกแย่


ขณะที่ทุกคนตรวจสอบความพร้อมเตรียมออกเดินทาง ทหารหลายนายก็วิ่งเข้าพลางตะโกนไปด้วย “พวกสัตว์อสูร!”

ได้ยินเสียงตะโกน ทุกคนก็ตกตะลึงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พวกเขาเพิ่งเผชิญกับการซุ่มโจมตีจากตอเรสมา ดังนั้นจึงตื่นตัวเป็นพิเศษ

เซียวอวี๋เองก็เงยหน้ามองตาม แต่เมื่อเห็นเหล่าสัตว์อสูรบินได้กลุ่มนั้น เซียวอวี๋ก็แทบจะโห่ร้องออกมาด้วยความยินดี สัตว์อสูรกลุ่มนั้นย่อมไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นทัพอัศวินกริฟฟ่อน

“หรือพวกเขาก็ถูกส่งมาที่นี่?…แล้วคนอื่นๆเล่า?”

เซียวอวี๋สั่งให้คาเอลจุดไฟสัญญาณดึงดูดความสนใจจากพวกกริฟฟ่อน ซึ่งอันที่จริง พวกกริฟฟ่อนนั้นมองเห็นเซียวอวี๋แต่ไกลแล้ว

อย่างไรเสีย บนหลังของพวกกริฟฟ่อนก็คือพวกเอลฟ์ สายตาของพวกเอลฟ์นั้นเฉียบคมประดุจเหยี่ยว มีหรือที่พวกเขาจะไม่เห็นเซียวอวี๋?

“คำนับนายท่าน!” พวกเอลฟ์พลิกตัวลงจากหลังกริฟฟ่อนและโค้งคำนับเซียวอวี๋

ฉากที่ปรากฏทำให้สกาเล็ตและพวกลูกน้องของนางนิ่งตะลึง พวกเอลฟ์? พวกเอลฟ์ที่ขี่กริฟฟ่อน? เซียวอวี๋มีความลับแบบใดอยู่กันแน่? เขากระทั่งมีพวกเอลฟ์เป็นข้ารับใช้!

ด้วยเหตุนี้ คนทั้งหมดจึงรู้สึกยำเกรงเซียวอวี๋ยิ่งกว่าเดิม

เซียวอวี่พยักหน้าและถามว่า “พวกเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร? คนอื่นๆเล่า?”

นักรบเอลฟ์นายหนึ่งก้าวออกมาตอบ “ทัพกริฟฟ่อนได้กระจายกำลังกันออกค้นหานายท่าน จากนั้นพวกเราสอบถามผู้คนและพบว่านายท่านอยู่ในจักรวรรดิแลนซ์ ดังนั้นพวกเราจึงมุ่งหน้ามาที่นี่ ไม่คิดว่าจะพบกับนายท่านโดยบังเอิญ”

เซียวอวี๋พยักหน้า “เจ้ามาได้เวลาพอดี ข้ามีภารกิจให้พวกเจ้า”

“นายท่านโปรดสั่งการ” เอลฟ์นายนั้นยืดหลังตรง

เซียวอวี๋กล่าวว่า “บอกให้ทุกคนไปรวมตัวกันที่เมืองเล็กๆตรงทางเข้าบึงตะวันลับ หากว่าพวกเขามาถึงแล้ว ก็บอกให้พวกเขาไปตั้งทัพใกล้ๆกับเมืองเม็ก พวกเราจะโจมตีเมืองเม็ก”

หลังได้รับคำสั่งจากเซียวอวี๋ หลายคนก็พลิกตัวขึ้นกริฟฟ่อนบินจากไป ขณะที่กำลังบางส่วนคอยอยู่อารักษ์ขาเซียวอวี๋

เซียวอวี๋สั่งการ “คนที่อยู่ให้ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัย”

“ขอรับ!” พวกเอลฟ์ขานรับ

จากนั้นเซียวอวี๋จึงหันมาหาสกาเล็ต “พวกนั้นบินเร็วมาก หากไม่มีอะไรติดขัด ไม่นานกองทัพของข้าก็จะมาถึงเมืองเม็ก มันคงใช้เวลาไม่เกินสิบวัน จนกว่าจะถึงตอนนั้น พวกเราจะรวบรวมข้อมูลและสืบสถานกาณ์ปัจจุบัน”

ด้วยคำสัญญาของเซียวอวี๋ โอกาสที่สกาเล็ตจะช่วยมารดาและน้องสาวกลับมาก็เพิ่มขึ้นมาก

เดิมที นางอับจนหนทาง แต่แล้วผุ้ใดจะรู้ว่าสถานการณ์จะพลิกกลับเป็นเช่นนี้ นางตระหนักดีว่านางต้องคว้ากุมโอกาสนี้เอาไว้ให้ได้ มิเช่นนั้น นางก็จะไม่เหลือโอกาสใดอีก

นี่เป็นเพราะนางไม่เหลือเบี้ยต่อรองใดๆอีกแล้ว แล้วผู้ใดยังจะเสี่ยงภัยเพื่อช่วยนาง?

ทั้งหมดออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองเม็ก เซียวอวี๋และสกาเล็ตนั่งอยู่ในรถม้าคันเดียวกัน การได้ดื่มด่ำไวน์รสเลิศพร้อมสาวงามอยู่เคียงคู่นั้นช่างดีจริงๆ

สกาเล็ตสั่งให้บ่าวรับใช้ออกจากรถม้าไป ดังนั้นในรถม้าจึงเหลือเพียงแค่นางกับเซียวอวี๋

เซียวอวี๋พลันสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ หลังจากสกาเล็ตดื่มไวน์ไปสองสามแก้ว ใบหน้าของนางก็แดงก่ำ ขณะที่เอวอ้อนแอ้นก็ถูกบิดไปมา ดูมีเสน่ห์ดึดดูดอย่างมาก

ในตอนนี้ เป็นเพราะพวกเขาอยู่ในรถม้า สกาเล็ตจึงถอดรองเท้าหนังออก เท้าคู่เปลือยเปล่าไร้ตำหนิดุจหยกเหยียดยาวอยู่บนพื้นรถ สายตาอันร้อนแรงของเซียวอวี่จับจ้องเท้าคู่นั้นเขม็งพลางกลืนน้ำลาย

อาจเป็นเพราะอากาศร้อน สกาเล็ตจึงคลายสายรัดเกราะบางส่วน จนเผยให้เห็นร่องอกงดงาม ภาพนี้ถึงกลับทำให้เซียวอวี๋ไม่อาจละสายตาไปที่อื่นอีก

คล้ายกับไม่ตั้งใจ สกาเล็ตยกมือดึงปิดผ้าม่านที่หน้าต่าง ภายในรถม้าจึงเหลือเพียงแสงสลัว แสงบางส่วนที่ลอดผ่านผ้าม่านมาได้ตกกระทบลงบนเรือนร่างของสกาเล็ต

เซียวอวี๋รู้สึกปากคอแห้งผาก ดังนั้นจึงยกไวน์ขึ้นจิบเพื่อดับกระหาย และด้วยเหตุนั้น ร่างกายของเขาจึงเริ่มร้อนขึ้นมา กลุ่มความร้อนแล่นผ่านท้องน้อยก่อนจะกระจายไปทั่วร่าง

สกาเล็ตในเวลานี้ดูอ่อนหวานน่ามอง สายตาปรือของนางชำเลืองมองเซียวอวี๋อย่างเอียงอายจนเซียวอวี่แทบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่

ทันใดนั้น รถม้าก็กระเด้งขึ้นคล้ายวิ่งตกหลุม ร่างกายอันหอมกรุ่นของสกาเล็ตจึงสั่นตามแรงและถลาเข้าอ้อมอกของเซียวอวี๋

เอวอ้อนแอ้นของนางเกิดเสียดสีกับต้นขาของเซียวอวี๋ก่อนจะชนเข้ากับส่วนนั้นของเขาจนเซียวอวี๋แทบจะสะกดอดกลั้นไม่ไหว

อาจเป็นเพราะสัมผัสที่ได้นั้นมีขนาดใหญ่ สกาเล็ตจึงหน้าแดงฉาน ร่างกายของนางคล้ายไร้เรี่ยวแรง ดังนั้นเอนลงซบร่างของเซียวอวี๋ นี่คงเป็นผลจากฤทธิ์ไวน์

เมื่อศีรษะของสกาเล็ตพิงซบบนบ่าของเซียวอวี๋ เซียวอวี๋ก็เบนสายมองต่ำ ภูเขาหิมะอันงดงามสองลูกจึงปรากฏแก่สายตา

เสื้อที่สกาเล็ตสวมใส่นั้นขยับเคลื่อนราวกับจะปริแตก เซียวอวี๋ทำได้เพียงมองจนตาค้าง

เซียวอวี๋เลียริมฝีปาก ขณะที่มือค่อยๆเคลื่อนไปที่ต้นขาวขาวนวลและเค้นคลึงอย่างเต็มไม้เต็มมือ

ไม่ช้า ไม่ทราบว่าฝ่ายใดเป็นคนเริ่ม เซียวอวี๋และสกาเล็ตเริ่มกอดก่ายกันอย่างเร่าร้อน

แม้สกาเล็ตจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน กระนั้นกลับเห็นได้ชัดว่านางไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ ดังนั้นจึงได้แต่คล้อยตามการนำของเซียวอวี๋ และแม้ประสบการณ์ของเซียวอวี๋จะไม่มาก กระนั้นการศึกษาจากคลิปตามเน็ตในชีวิตก่อนก็ช่วยเขาได้มาก

ถึงตอนนี้ เซียวอวี๋ก็ไม่อาจอดกลั้นได้อีก เขาลงมือถอดชุดของสกาเล็ตออก เรือนร่างอันเปลือยเปล่าไร้ตำหนิพลันปรากฏแก่สายตา

มองดูสกาเล็ตที่ท่าทางเขินอายแล้ว เซียวอวี๋ก็เลทือดลมพลุ่งพล่าน เขาราวกับเป็นสัตว์ป่าที่หิวโหยพุ่งเข้าตะปบเหยื่อ

สกาเล็ตตัวสั่นคล้ายหวาดกลัว ร่างที่สั่นน้อยๆของนางถึงกับทำให้เซียวอวี๋ตาค้าง จนเมื่อสิ่งนั้นสอดใส่เข้าสู่ส่วนลับ นางก็ระบายลมหายใจอย่างแผ่วเบา สายตาเหม่อมองเพดานรถ นางรู้สึกราวกับมีบางสิ่งถูกฉีกขาด

วินาทีนั้น นางทราบนางได้กลายเป็นสตรีเต็มสาวแล้ว….

…………………….

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด เซียวอวี๋ได้เปิดประตูลงม้าและพบว่าท้องฟ้าเบื้องนอกนั้นเต็มไปด้วยดวงดาว

“เวลาผ่านไปเท่าไรแล้ว?” เซียวอวี๋รู้สึกว่าเวลานั้นผ่านไปเร็วยิ่ง

“หกขั่วโมงขอรับ นายท่านต้องการให้จัดอาหารหรือไม่?” นักรบเอลฟ์กล่าวตอบอย่างนอบน้อม

“หกชั่วโมง!” เซียวอวี๋รู้สึกตกตะลึงกับความอึดของตน

“ใช่ขอรับ ตอนนี้พวกเราพวกเราตั้งค่ายเสร็จแล้ว”

เซียวอวี๋พยักหน้า “จัดอาหารมา”

นักรบเอลฟ์ก้มศีรษะก่อนจะไปนำอาหารมาให้เซียวอวี๋ เซียวอวี่จึงกลับเข้าไปทานอาหารพร้อมกับสกาเล็ต

สกาเล็ตไม่ต้องการลงจากรถม้า นางรู้สึกอายที่จะปรากฏตัวต่อหน้าบริวารของนาง

ตอนนี้เซียวอวี๋อารมณ์ดีมาก ไม่เพียงแต่ได้ครอบครองสาวงามเช่นสกาเล็ต ครั้งแรกของนางทำให้เขารู้สึกดีมากจริงๆ

เซียวอวี๋นั้นทราบว่าสกาเล็ตต้องการผูกติดกับเขา ตอนนี้ทั้งคู่ต่างก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว อีกทั้งนางยังเป็นผู้หญิงของเขา

ข้อตกลงในตอนแรกก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป ตอนนี้นางเป็นผู้หญิงของเขา แน่นอนว่าเขาย่อมต้องช่วยนาง นี่เป็นสิ่งที่เขายึดถือมาตลอด

ตอนนี้สกาเล็ตสวมชุดไว้หลวมๆเผยให้เห็นร่างกายวับๆแวมๆ ผมเงางามแผ่สยายเต็มแผ่นหลัง เซียวอวี๋รู้สึกร้อนรุ่มที่ท้องน้อยขึ้นอีกครั้ง เขารีบกดน้องชายที่กำลังผงาดขึ้นอย่างรวดเร็ว

หากว่าหิวเช่นนั้นก็ต้องกินอะไรเสียก่อน

สกาเล็ตนิ่งเงียบอย่างเขินอาย เซียวอวี๋จึงเล่าเรื่องตลกเพื่อทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย

เห็นความตั้งใจของเซียวอวี๋แล้วสกาเล็ตก็รู้สึกวาบหวามใจ อย่างน้อยเซียวอวี๋ก็ไม่ใช่ผู้ชายที่ไร้ความรับผิดชอบ

บางที การตัดสินใจครั้งนี้นั้นถูกต้องแล้ว

ในยามเย็น คนทั้งสองก็เริ่มบรรเลงเพลงรักกันอีกรอบ ผ่านไปหลายวัน เซียวอวี๋ก็อารมณ์ดีอยู่ตลอด ทว่าน่าเสียดาย สิ่งดีๆมักคงอยู่ได้ไม่นาน ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเมืองเม็กแล้ว……

 

 

 


ตอนที่ 482

 

“มารดามัน ทำไมจึงถึงไวนัก?” เซียวอวี๋รู้สึกเซ็ง แต่ก็นั่นล่ะ ความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ


“หลังจากมีความสุขอยู่หลายวัน ถึงเวลาต้องทำงานแล้ว”

เดิมที เซียวอวี๋คิดว่ามันเป็นเพียงข้อตกลงทางธุรกิจ เขายื่นมือช่วยเหลือเพื่อรับตัวผู้มีความสามารถทางด้านการเงิน แต่เขาก็คาดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะลงเอยเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงจริงจังกับมันมากขึ้น

ตอนนี้ กองทัพของเขายังมาไม่ถึง ต่อให้ทราบตำแหน่งที่แม่และน้องสาวของสกาเล็ตถูกขังไว้ เขาก็ยังเข้าไปช่วยเหลือไม่ได้

เมื่อมาถึงเมืองเม็ก สกาเล็ตก็ตาแดงก่อนจะร้องไห้ออกมา เซียวอวี๋โอบกอดสกาเล็ตไว้ “ที่รักเจ้าเป็นไรแล้ว?”

หากเป็นเซียวอวี๋ในอดีต ตัวเขาคงรู้สึกกระอักกระอ่วนที่จะพูดคำหวานหูเช่นนี้ แม้แต่กับหลินมู่เสวี่ย เขาเองไม่ได้เรียกนางแบบนี้ แต่ไม่รู้ทำไม เขาจึงเรียกนางได้อย่างไม่ติดขัด

บางที…มันอาจจะเป็นเพราะช่วงเวลาที่ใช้ร่วมกันหลายวันมานี้

“ข้ากังวลเรื่องท่านแม่กับน้องสาวของข้า อยู่ที่นั่นพวกนางต้องทรมาณมากแน่ๆ ขณะที่ข้ามีความสุขดี ข้ารู้สึกผิด…” สกาเล็ตสะอื้นขณะซบหน้าลงบนบ่าของเซียวอวี๋

“โอ๋ๆ…ที่รัก สามีอยู่นี่ทั้งคน เจ้าจะกังวลไปใย? วางใจเถอะ ต่อให้พวกนางถูกจับอยู่ในนรก สามีของเจ้าก็จะช่วยพวกนางออกมาให้ได้…เจ้าควรหาที่ซ่อนตัวก่อน ข้าจะเข้าเมืองไปตรวจสอบสถานการณ์ ไม่กี่วันคงช่วยพวกนางออกมาได้ ไม่ต้องกังวล….” เซียวอวี๋รู้สึกหลงตัวไปบ้าง แต่เขาก็รู้สึกดี คนที่ตกอยู่ในห้วงรักมักจะมีความหลงตัวเองเป็นธรรมดา

ฟังคำปลอบโยนของเซียวอวี๋แล้ว นางก็มุ่ยปากก่อนจะพยักหน้า ท่าทีที่ดูน่ารักนี้ถึงกับทำให้เขารู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมา

แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา เซียวอวี๋สงบจิตใจลงเพื่อเตรียมตัวเข้าเมือง

เซียวอวี๋ลงจากรถม้า เขาตัดสินใจจะนำอิลิดันไปด้วย ขณะที่ทิ้งคาเอลไว้ที่นี่เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุไม่คาดฝัน

ตราบที่ไม่มีตัวตนขั้นที่หกโผล่มา คาเอลเพียงคนเดียวก็สามารถถล่มราบทั้งกองทัพ

เดิมทีสกาเล็ตต้องการจะไปด้วย แต่เซียวอวี๋ก็ยืนกรานปฏิเสธ เขาไม่ต้องการให้ผู้หญิงของตนไปเสี่ยงอันตรายหรือบาดเจ็บใดๆ

นอกจากนี้ หากนางไปด้วยกันแล้วมีคนจดจำนางได้ นั่นก็แย่แล้ว

อย่างไรเสีย ที่เมืองแห่งนี้ก็ไม่มีใครรู้จักเขา เขาจะลงมือได้สะดวกกว่า

เซียวอวี๋พลิกตัวขึ้นม้าก่อนจะควบเข้าเมืองอย่างวางท่า โดยมีอิลิดันติดตามอยู่ด้านหลัง

หลังจากนั้นประมาณสิบนาที เซียวอวี๋ก็มองเห็นกำแพงสูงใหญ่ของเมืองเม็ก ตั้งแต่ที่เซียวซานเทียนเข้าพิชิตมันได้ เมืองนี้ก็ปรับปรุงกำแพงให้สูงกว่าเดิม

เซียวอวี๋มองตัวเมืองที่ตั้งอยู่บนเนินเขาอย่างชื่นชม กำแพงเมืองที่เบื้องหน้านับเป็นกำแพงที่สูงที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา

นอกจากนี้ บนกำแพงยังติดตั้งเครื่องมือป้องกันหลากหลายอย่างจนแน่นขนัด

เซียวอวี๋ละสายตาจากกำแพงเมืองก่อนจะกระตุ้นม้าเข้าไปในเมือง ที่ทางเข้าเมือง เซียวอวี๋ล้วงเอาเหรียญตราออกมาให้ทหารยามดู ทหารยามนายนั้นเพ่งตามองก่อนที่จะแสดงสีหน้ายำเกรง เขารีบเปิดทางให้เซียวอวี๋เข้าไปด้วยความเคารพ

เหรียญตรานี้เป็นสกาเล็ตมอบให้เขา เซียวอวี๋ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่มันก็ได้ผล

เซียวอวี๋เข้าไปในเมืองและพบว่ามันเจริญรุ่งเรืองมาก มันไม่ได้ด้อยกว่าเมืองเบนกาซีที่เขาเคยไปเลย นี่เป็นเมืองการค้าขนาดใหญ่

เซียวอวี๋ขี่ม้าชมเมืองอย่างสบายอารมณ์ ขณะที่สายตากวาดเมืองโดยรอบเพื่อทำความเข้าใจกับโครงสร้างของเมือง

ในใจคิดหาทางสืบข่าวเรื่องแม่และน้องของสกาเล็ต เขายังไม่คุ้นกับเมืองนี้ ดังนั้นย่อมไม่อาจบุกตรงไปยังคุกคุมขัง

แม้เซียวอวี๋จะล่องหนได้ แต่แน่นอนว่าคุกนั้นย่อมต้องมีวิธีรับมือกับพวกมือสังหาร การช่วยคนออกมาจึงไม่ง่ายเลย

ขณะที่เซียวอวี๋ขบคิดอยู่นั้น ทหารกลุ่มหนึ่งก็ขี่ม้าตรงมาทางเขา คนที่ดูเหมือนหัวหน้านั้นอายุราวยี่สิบปี และมีใบหน้าเย่อหยิ่ง แม้ถนนเส้นนี้จะมีคนอยู่พลุกพล่าน เขาก็ยังควบม้าอย่างรวดเร็วโดยไม่กลัวว่าจะชนใครเข้า ม้าที่เขาขี่เองก็เป็นม้าพันธุ์เหลียงซูซึ่งเป็นม้าพันธุ์ดีของจักรวรรดิเมฆาตะวันออก

เหล่าผู้ที่เดินอยู่ เมื่อเห็นชายหนุ่มคนนี้ควบม้าพุ่งมาก็พากันหลบ พ่อค้าบางคนกระทั่งไม่เก็บของก็หลบอย่างรวดเร็ว ชัดเจนว่าเหตุการณ์เช่นนี้คงเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง

เห็นเซียวอวี๋ยังนิ่งไม่หลบหลีก เขาก็สะบัดแส้เร่งม้า พริบตาเดียวก็อยู่ห่างจากเซียวอวี๋เพียงสามสิบเมตร

“เจ้าหนุ่มนั่นตาบอดหรือ? ยังไม่รีบหลีกทางให้คุณชายอีก” ฝูงชนเริ่มซุบซิบพูดคุย

เมื่อเห็นว่าเซียวอวี๋ไม่มีทีท่าจะขยับหลบ ชายหนุ่มก็โมโห เขาสะบัดแส้ฟาดใส่เซียวอวี๋ทันที

เพี๊ยะ…..

แส้ที่ฟาดไปไม่อาจสัมผัสถูกตัวเซียวอวี๋ กลับกัน ชายหนุ่มกลับถูกตบหน้าจนลอยไปกระแทกเข้าอาคารไม้ข้างทาง

อาคารไม้หลังนั้นถล่มพังลงมาและฝังชายหนุ่มคนนั้นไว้ใต้ซาก

“นายน้อย นายน้อย!” พวกผู้คุ้มกันที่ติดตามมาต่างตกตะลึง พวกเขารีบพุ่งเข้าไปช่วยชายหนุ่มคนนั้น

พวกติดตามต่างเดือดดาลที่เซียวอวี๋ทำร้ายนายน้อยของพวกมัน บางส่วนพากันชักดาบเวทพุ่งโถมเข้าใส่พวกเซียวอวี๋

ผู้ที่โจมตีใส่ชายหนุ่มก็คืออิลิดัน ตอนนี้อิลิดันอยู่ในขั้นที่ห้า ดังนั้นจึงรวดเร็วยิ่ง วินาทีที่ชายหนุ่มผู้นั้นฟาดแส้มา เขาก็พุ่งไปตบชายหนุ่มจนลอยกระเด็น ก่อนจะกลับมาที่ข้างกายเซียวอวี๋โดยไม่มีผู้ใดทราบว่าเขาลงมืออย่างไร

อย่างไรก็ตาม เมื่ออิลิดันลงมือต่อนายน้อยของพวกมัน แน่นอนว่าพวกมันย่อมปล่อยไปไม่ได้ หลายคนปลดคันธนูจากบนหลังก่อนจะพาดศรเล็งยิงไปที่เซียวอวี๋และอิลิดัน

เซียวอวี๋ไม่แม้แต่จะชำเลืองมองลูกธนูเหล่านั้น อันที่จริงเขาไม่ได้สนใจพวกที่เข้ามาหาตั้งแต่แรก

ขณะที่ลูกธนูกำลังจะปักเข้าที่ร่างของเซียวอวี๋นั้นเอง อิลิดันพุ่งออกมาพลางกวัดแกว่งดาบจันทร์เสี้ยว พริบตาถัดมาลูกธนูก็ถูกฟันหักทั้งหมด

จากนั้นพวกผู้คุ้มกันก็ลอยกระเด็นทีละคนโดยไม่ทันมีเวลาตอบโต้ใดๆ

การลงมือของอิลิดันราวกับพยัคฆ์กระโจนเข้าฝูงแกะ เพียงการโจมตีก็ส่งพวกผู้คุ้มกันร่วงไปกองกับพื้น

อิลิดันเพียงใช้กำปั้นชกออก ทั้งยังใช้ด้วยแรงไม่ถึงครึ่ง เซียวอวี๋ไม่ได้สั่งให้ฆ่า หากแต่เพียงสั่งสอนคนพวกนี้

“ขะ…แข็งแกร่งนัก…อย่างน้อยเขาต้องเป็นนักรบขั้นที่สี่ เร็ว! รีบไปรายงานต่อนายท่าน บอกว่านายน้อยถูกคนทุบตี” ผู้คุ้มกันหลายคนร่ำร้องก่อนจะวิ่งหนีหายไป

เซียวอวี๋ยังคงไม่แยแสต่อสิ่งใด เขากระตุ้นม้าให้ออกเดินต่อ เหล่าชาวเมืองที่มุงดูต่างก้มองเซียวอวี๋อย่างเกรงกลัว ไม่มีผู้ใดกล้าไปหยุดยั้งเขา

ขี่มาได้ครู่หนึ่ง เซียวอวี๋ก็มองเห็นร้านอาหาร เขาลงจากหลังม้าและใส่สายจูงให้พนักงานดูแล จากนั้นก็เดินเข้าไปอย่างสบายใจ

ผู้คนด้านนอกต่างมองตามด้วยความประหลาดใจเพราะเซียวอวี๋ไม่ได้หลบหนี หากแต่เดินเข้าร้านอาหารอย่างสบายอารมณ์

คนผู้นี้เป็นใครกัน? ยังมีอารมณ์ดื่มกินอีกหรือ?

เซียวอวี๋เดินขึ้นไปชั้นบน บริกรมองดูเซียวอวี๋ด้วยความสนใจ ยังไม่ต้องกล่าวถึงสิ่งอื่น เพียงท่าทางเดินกร่างและสายตาที่เย่อหยิ่งนั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา

พวกคนรวยนั้นไม่อาจตอแยได้ ดังนั้นบริกรจึงเข้าหาเซียวอวี๋อย่างสุภาพและกระตือรือร้น พวกเขารีบจัดหาโต๊ะที่ดีที่สุดให้เซียวอวี๋

เซียวอวี๋พยักหน้าอย่างเฉื่อยชา หลังจากนั่งลงแล้วเขาก็สั่ง “นำไวน์และอาหารที่ดีที่สุดในร้านมาให้นายน้อยผู้นี้ทดลองชิมดู”

พวกบริกรที่ได้ยินก็ไม่ชักช้า พวกเขารีบไม่จัดการทันที ไม่นาน อาหารก็ถูกยกมา เถ้าแก่ของที่นี่ถึงกลับก็นำไวน์มาส่งด้วยตนเอง

เซียวอวี๋เริ่มลงมือจัดการอาหาร อืม….รสชาติดี

ทว่าไม่นาน เสียงฝีเท้าจำนวนมากก็ดังขึ้น ร้านอาหารแห่งนี้พลันถูกกลุ่มทหารเข้าโอบล้อม…..

 

 

 


ตอนที่ 483

 

ทั้งพนักทั้งเถ้าแก่ต่างก็ตกตะลึงเพราะไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ทราบเพียงแต่พวกทหารทำการล้อมที่นี่เอาไว้ เป้าหมายย่อมต้องอยู่ที่นี่


กองทหารที่โอบล้อมพวกเขาอยู่นี้ไม่เพียงแต่เป็นกองพันทหารม้าที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองเม็ก หากแต่เป็นทัพทหารม้าที่เก่งที่สุดของจักรวรรดิแลนซ์ บรรพบุรุษเหล่านี้ใยจึงมาที่นี่

เถ้าแก่ของร้านไม่คิดว่าตนจะมีคุณสมบัติชักนำคนเหล่านี้มา อย่างนั้นก็มีอีกเพียงสาเหตุเดียวแล้ว แขกบางคนของเขาได้ไปตอแยใครเข้า

“ท่านแม่ทัพเบรุต นี่….เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ?” ในที่สุดเถ้าแก่ก็มองเห็นคนคุ้นเคย คนผู้นี้เป็นแม่ทัพของค่าย ลูกค้าขาประจำของร้าน

เบรุตจ้องมองเถ้าแก่ก่อนจะกล่าว “ก็ไม่มีอะไรมาก มีไอ้งั่งคนหนึ่งทำร้ายลูกชายของท่านเจ้าเมือง พวกเราจึงมาจับกุมเขา”

เถ้าแก่ระบายลมหายใจ ตอนนี้ค่อยรู้สึกดีขึ้นบ้าง เป้าหมายของพวกทหารไม่ใช่เขา

เถ้าแก่ผงกศีรษะและรู้สึกประหลาดใจ ใครกันถึงขั้นกล้าไปตอแยคนระดับนั้นได้?

สำหรับลูกชายของเจ้าเมือง เดรอส เถ้าแก่นั้นรู้นิสัยของเขาดี ทั่วทั้งเมืองเม็กแห่งนี้ไม่มีผู้ใดไม่เกลียดชังเขา แต่ใครใช้ให้บิดาของเขาเป็นเจ้าเมืองกันเล่า?

ฮาดริน ผู้เป็นเจ้าเมืองนั้นได้รับการแต่งตั้งจากทางการ ถือเป็นหนึ่งในเจ้าเมืองทรงอำนาจของจักรวรรดิ

หลังจากคุยกันสักพัก เบรุตก็นำลูกน้องเข้าไปในร้าน เมื่อเห็นว่าเซียวอวี๋กำลังดื่มกินพลางชมทิวทัศน์อย่างสบายใจ ทีแรกก็ไม่ใส่ใจนัก แต่วินาทีถัดมาหัวใจของเขาก็เต้นแรง

โดยเฉพาะตอนที่เขาหันไปมองอิลิดันที่ยืนอยู่ด้านหลังของเซียวอวี๋ หัวใจของเขาก็บีบรัด มองปราดเดียวก็ทราบได้ว่าเซียวอวี๋มีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา

ผู้ที่ยังสามารถวางเฉยอยู่ได้ตอนถูกโอบล้อมด้วยกองทหารจำนวนมาก คนผู้นั้นแน่นอนว่าย่อมไม่ใช่คนธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น อิลิดันยังให้ความรู้สึกอันตรายตั้งแต่แรกเห็น บางทีความแข็งแกร่งของเขาคงอยู่ในระดับที่น่ากลัว

ตัวเบรุตนั้นเป็นนักรบขั้นที่ห้า เขาจึงมีความภาคภูมิในตนเอง แต่ต่อหน้าอิลิดันแล้ว เขากระทั่งไม่มีความกล้าที่จะโจมตีเข้าใส่

เขารู้สึกได้ว่า หากอิลิดันต้องการเด็ดหัวของเขา เขาคงต้านได้ไม่ถึงนาที

บุคคลผู้นี้เป็นใครกัน เขากระทั่งกล้าทำร้ายลูกชายของเจ้าเมือง

เบรุตส่งสัญญาณมือให้ลูกน้องลดอาวุธ พวกเขาจึงสอดดาบคืนฝัก

เบรุตเดินใกล้เข้าไปก่อนจะกล่าวว่า “คุณชาย ท่านมาจากที่ใด? มีเป้าหมายอะไรในเมืองเม็กของพวกเราหรือ?”

เบรุตไม่เพียงแต่เก่งด้านบัญชาการ เขายังมีความสามารถด้านการเจรจา เขามีประสบการณ์ในการรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้

เขาทราบว่าไม่อาจใช้ไม้แข็งกับเซียวอวี๋ มิเช่นนั้นคงเป็นการสร้างปัญหาใหญ่จนอาจถึงขั้นตำแหน่งสั่นคลอน

เซียวอวี๋แค่นเสียงพลางชำเลืองมองเบรุต จากนั้นจึงกล่าวว่า “ข้ามาจากอาณาจักรพยัคฆ์เมฆา”

ได้ยินดังนั้น เบรุตก็พยักหน้า เขาเดาถูก ตั้งแต่ที่เห็นการแต่งกายของเซียวอวี๋ เขาก็ทราบว่าเซียวอวี๋ไม่ใช่คนของจักรวรรดิแลนซ์

ในจักรวรรดิแลนซ์นั้น เขารู้จักผู้มีอำนาจทุกคนที่กล้าทำร้ายบุตรชายของเจ้าเมืองกลางท้องถนน

เมื่อครั้งยังหนุ่ม เบรุตเคยออกเดินทางไปทั่วเพื่อทำความเข้าใจกับประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ และเขาก็ทราบสถานการณ์ของอาณาจักรพยัคฆ์เมฆาดี

เขาทราบว่ามีเพียงบุตรหลานที่มาจากตระกูลใหญ่ของอาณาจักรพยัคฆ์เมฆาเท่านั้นที่กล้าวางท่าในจักรวรรดิแลนซ์ ยิ่งไปกว่านั้น ลูกหลานเหล่านั้นล้วนแต่เป็นบุคคลที่ไม่อาจตอแยได้

ครั้งนั้น สงครามระหว่างจักรวรรดิทั้งสองจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของจักรวรรดิแลนซ์ หรือกล่าวอย่างเจาะจง พวกเขาพ่ายแพ้ต่อความสามารถทางทหารอันยอดเยี่ยมของเซียวซานเทียน หรือหากกล่าวลงไปอีก อีกฝ่ายมีตระกูลใหญ่คอยหนุนหลัง

ด้วยเหตุนั้น แม้ตอนนี้เซียวอวี๋จะอยู่ภายในจักรวรรดิแลนซ์ เบรุตก็ไม่กล้าแตกหักกับเซียวอวี๋ หากว่าเขาพลั้งมือทำร้ายเซียวอวี๋ที่นี่ เช่นนั้นเขาก็คงต้องเผชิญกับโทสะของเหล่าตระกูลใหญ่

หลังจากได้ยินว่าเซียวอวี๋มาจากอาณาจักรพยัคฆ์เมฆา ท่าทีของเบรุตก็ดูอ่อนลง

“เป็นว่าคุณชายท่านมาจากอาณาจักรพยัคฆ์เมฆา ข้าไม่ทราบว่าคุณชายมีนามว่ากระไร?” แม้จะถูกรายล้อมด้วยทหารมากมาย น้ำเสียงของเซียวอวี๋ก็ยังมั่นคง ขณะที่ทางฝั่งเบรุตกลับพูดจาอย่างสุภาพนอบน้อม

อันที่จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลก แม้แม่ทัพคุมกำลังจะดูมีอำนาจมาก แต่หากไปเจอผู้ที่สูงส่งกว่า ตำแหน่งของพวกเขาก็แทบไม่นับเป็นอย่างไร

“ข้าแซ่เซียว” เซียวอวี๋จิบไวน์ก่อนจะกล่าวอย่างเฉื่อยชา เขาทราบว่าตอนนี้ยิ่งมั่นใจเท่าใด ตัวเขาก็จะยิ่งมีเบี้ยต่อรอง

“อา..คุณชายเซียวนี่เอง” เบรุตไล่นึกหาตระกูลใหญ่ที่ใช้แซ่เซียว

“ไอ้เวรนั่นอยู่ไหนแล้ว? หากบิดาผู้นี้ไม่ถลกหนังมันออก ข้าก็ไม่ขอใช้ชื่อเดรอสอีก!”

มีเสียงตวาดดังขึ้นมาจากทางชั้นล่าง ได้ยินเสียงนี้ ทุกคนก็ทราบถึงตัวตนของเจ้าของเสียง

เบรุตถึงกับขมวดคิ้ว ผู้มาย่อมไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นนายน้อยเจ้าสำราญ ตัวเบรุตเองไม่ได้ชื่นชอบคนผู้นี้ แต่ทำอย่างไรได้ ใครใช้ให้เขาเป็นลูกเจ้าเมืองเล่า?

เขาไม่มีความสามารถไปหยุดยั้ง จะเข้าข้างฝ่ายใดมากไปก็ไม่ได้ และหากว่าทั้งคู่ต่อสู้กัน ตัวเขาก็ยังต้องซวยอยู่ดี นี่มันวันโชคร้ายอะไรกัน?

ครู่ถัดมา นายน้อยที่ถูกอิลิดันตบหน้าก็ขึ้นบันไดมาพร้อมกับใบหน้าที่บิดเบี้ยว

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องเจ็บตัวถึงเพียงนี้ แล้วจะไม่ให้เขามาระบายโทสะได้อย่างไร?

“เบรุต มัวชักช้าอะไรอยู่? รีบๆลากคอมันไปได้แล้ว!” เดรอสจ้องเบรุตอย่างโมโห

เบรุตรีบเดินเข้าหาเดรอส ก่อนที่เขาจะกระซิบที่ข้างหู “นายน้อย คนพวกนั้นอันตรายมาก เกรงว่าทหารของเราคงไม่อาจจัดการได้ ข้าจะไปเรียกคนที่แข็งแกร่งมา ท่านต้องรีบออกจากที่นี่โดยเร็ว หากอีกฝ่ายลงมือทำร้ายท่าน ผู้น้อยคงไม่อาจปกป้อง”

เดรอสยิ่งฟังก็ยิ่งสั่น นึกย้อนถึงตอนโดนอิลิดันตบ ในใจก็กลัวแทบฉี่ราด ตอนนี้เขารู้แล้วว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเพียงใด

เหลือบมองอิลิดันที่ยืนนิ่งอยู่ทางด้านหลังของเซียวอวี๋ เดรอสก็เผลอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

“พานายน้อยออกไปจากที่นี่” เบรุตสั่งพวกทหารให้คุ้มกันเดรอสออกไป ซึ่งเขาก็ทราบดี หากอิลิดันต้องการลงมือขึ้นมาจริงๆ ลำพังทหารกลุ่มนั้นย่อมไม่อาจขัดขวางได้

เขาเดาว่าอิลิดันคงเป็นนักรบขั้นที่หก ไม่อย่างนั้น ด้วยความแข็งแกร่งขั้นที่ห้าของเขาแล้ว เขาคงไม่รู้สึกอันตรายยามมองอิลิดันถึงเพียงนี้

เดรอสฮึดฮัดและกำลังจะออกไป แต่ในตอนนั้นเอง สายตาของเขาก็สบประสานกับอิลิดันที่จ้องมองมา ร่างกายของเดรอสพลันสั่นเทาจนแทบจะพลัดตกบันได

หลังมองส่งเดรอสจากไปแล้ว เบรุตก็ถอนหายใจก่อนจะเดินเข้าเซียวอวี๋ “คุณชายเซียว ไม่ทราบว่าคุณชายมีธุระใดในเมืองเม็กหรือ?”

เบรุตใคร่ครวญดู บุคคลเช่นเซียวอวี๋คงไม่เพียงแต่มาเดินเล่นในเมือง เขาจะต้องมีเป้าหมายในการมายังเมืองแห่งนี้

เซียวอวี๋กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้ามีนัดกับเซี่ยชาน ผู้จัดการทั่วไปของหอการค้าฝูลู่เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับข้อตกลง ข้าเพียงแต่มารอเขา”

“อะไรนะ?” ได้ยินคำตอบของเซียวอวี๋ เบรุตก็ผงะ

“นี่….เป็นข้อตกลงแบบใดหรือ?” เบรุตลองเลียบเคียง

เซียวอวี๋ยกไวน์ขึ้นจิบ ก่อนจะกล่าวสบายๆ “เป็นข้อตกลงที่จะทำให้หอการค้าฝูลู่ได้รับผลประโยชน์เพิ่มขึ้นเท่าตัว”

“หือ? สองเท่า?” เบรุตตกตะลึง

 

 

 


ตอนที่ 484

 

เซียวอวี๋ยังคงกินอาหารอย่างสบายใจ ขณะที่เบรุตรีบกลับไปรายงานต่อเบื้องบน สถานการณ์ของหอการค้าฝูลู่ตอนนี้ เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร?


ผู้จัดการเซี่ยชานนั้นเป็นมือขวาของสกาเล็ต หากแต่ตอนนี้เขาถูกขังไว้ตามคำสั่งขององค์ชายมิรันด้า

เซียวอวี๋มาที่นี่เพื่อเจรจาข้อตกลง นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับผลประโยชนืขององค์ชายมิรันด้า มีหรือที่เบรุตจะกล้าชักช้า?

ตอนนี้เซี่ยชานถูกคุมขังอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างจึงถูกจัดการโดยมิรันด้า หากเขานำเรื่องนี้กลับไปรายงานต่อองค์ชายมิรันด้าได้ นั่นไม่เพียงแต่จะนำผลประโยชน์ก้อนโตมาให้มิรันด้าเท่านั้น แต่มันยังสามารถคลี่คลายสถานการณ์ตอนนี้ได้ด้วย

ด้วยเหตุนี้ เบรุตปรารถนาใคร่ติดปีกโบยบินกลับไปรายงาน

เซียวอวี๋ยังกินอาหารต่อ จากนั้นจึงตามตัวเถ้าแก่และสั่งให้จัดนางระบำมา เพียงลงมือกินอาหาร มันออกจะไร้รสชาติไปแล้ว

ก่อนจากไป เบรุตยังได้กำชับให้เถ้าแก่คอยลากถ่วงเซียวอวี๋ไว้ แน่นอนว่าเถ้าแก่ย่อมต้องรับคำ เขาออกจะยินดีที่จะต้อนรับคนใหญ่คนโตเช่นนี้ด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงเรียกลุกสาวของตนเองมา

ปฏิเสธไม่ได้ว่าลูกสาวของเถ้าแก่นั้นมีหน้าตาหมดจด อายุราวสิบเจ็ดสิบแปด เห็นสายตาที่ใช้กวาดมองเซียวอวี๋แล้ว นางก็เขินอายจนหน้าร้อนผ่าว เซียวอวี๋ที่ชมดูก็รู้สึกคันยิบที่หัวใจ

เซียวอวี๋ได้ดื่มด่ำไปกับเสียงเพลงและอาหารอย่างเพลิดเพลิน

หลังจากนั้นราวหนึ่งชั่วโมง เสียงเอะอะก็ดังมาจากทางถนน มีขบวนรถม้าจำนวนมากกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ แต่ละคันล้วนแต่ดูสวยงาม โดยเฉพาะรถม้าที่นำขบวนซึ่งถูกตกแต่งอย่างเลิศหรู

เซียวอวี๋ไม่แม้แต่ชายตามอง เขายังคงจดจ่อกับเสียงเพลงและเครื่องดื่ม ไม่นานก็ปรากฏทหารขบวนหนึ่งวิ่งขึ้นมาตั้งแถวอย่างเคร่งขรึม จากนั้นชายหนุ่มที่สวมชุดจีนก็เดินขึ้นบันไดมา

เห็นเซียวอวี๋ยังคงจดจ่ออยู่กับนางระบำโดยไม่สนใจทางด้านนี้ ชายหนุ่มที่เดินขึ้นมาก็เพียงเผยรอยยิ้ม เขาค่อยๆเดินมาที่โต๊ะของเซียวอวี๋ก่อนจะนั่งลง “คุณชายเซียวช่างสง่างามจริงๆ”

เซียวอวี๋หันมามองชายหนุ่มก่อนจะเอ่ยถาม “ท่านคือ?”

ชายหนุ่มยิ้มก่อนจะเอ่ยตอบ “ข้าคือมิรันด้า บุตรชายคนที่แปดของจักรพรรดิแห่งแลนซ์”

“อ้อ? ท่านคือองค์ชายมิรันด้านี่เอง” ได้ยินคำตอบของมิรันด้า เซียวอวี๋ก็แสร้งประหลาดใจ ซึ่งอันที่จริงเขาทราบอยู่ก่อนแล้ว

เซี่ยซานนั้นถูกจับอยู่ ดังนั้นคนที่ควบคุมหอการค้าฝูลู่ในตอนนี้ก็คือ มิรันด้า แล้วมิรันด้ายังจะปล่อยลูกค้ารายใหญ่เช่นนี้ให้หลุดมือหรือ?

มิรันด้าไม่ใช่คนเขลา เขาเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานและเจ้าแผนการ คนเช่นนี้ย่อมไม่ยอมปล่อยโอกาสที่จะเพิ่มพูนอำนาจตนเองให้หลุดมือไป

สาเหตุที่เขาต้องฮุบกลืนหอการค้าฝูลู่ก็เพื่อเพิ่มอำนาจให้กับตนเอง และหอการค้าฝูลู่จะกลายเป็นรากฐานสำคัญต่อจักรวรรดิของเขาในอนาคต

ตอนนี้ เซียวอวี๋ซึ่งเป็นทายาทตระกูลใหญ่จากอาณาจักรพยัคฆ์เมฆามาเจรจาการค้าด้วย เขาจะไม่สนใจได้หรือ?

“ได้ยินว่าคุณชายเซียวมาจากพยัคฆ์เมฆาหรือ?” มิรันด้าถามด้วยรอยยิ้ม

เซียวอวี๋พยักหน้า “ถูกแล้ว ข้ามาเพื่อติดต่อกับเซี่ยชานแห่งหอการค้าฝูลู่ พวกเรามีข้อตกลงต่อกัน”

มิรันด้ารินไวน์ให้ตนเองก่อนจะยกขึ้นจิบ “คุณชายเซียวอาจยังไม่ทราบ ตอนนี้ผู้ที่ดูแลหอการค้าฝูลู่อยู่นั้นไม่ใช่เซี่ยชาน”

“โฮ่? มีเรื่องเช่นนี้ด้วย?” เซียวอวี๋แสร้งประหลาดใจก่อนจะเอ่ยถาม “น่าเสียดายๆ เดิมทีเซี่ยชานต้องการให้ข้าช่วยเรื่องการตั้งสาขาในอาณาจักรพยัคฆ์เมฆา ดูเหมือนตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้แล้ว”

“อ้อ เป็นว่าพวกท่านมีการตกลงเช่นนี้ ตอนนี้หอการค้าฝูลู่อยู่ในการดูแลของข้า คุณชายเซียว ข้านั้นสนใจที่จะทำธุรกิจกับท่าน พวกเราสามารถพูดคุยกันได้หรือไม่?”

ที่เซียวอวี๋กล่าวว่าหอการค้าฝูลู่ต้องการจะตั้งสาขาที่อาณาจักรพยัคฆ์เมฆานั้น แน่นอนว่าเป็นการแสร้งเปิดเผยว่าสกาเล็ตนั้นมีความคิดที่จะหลบหนีไปยังอาณาจักรพยัคฆ์เมฆา ซึ่งนี่จะทำให้คำพูดของเขาไม่มีพิรุธ

ขณะที่มิรันด้านั้นกระตือรื้นที่จะทำธุรกิจกับเซียวอวี๋จริงๆ โดยเฉพาะหลังได้ยินเรื่องเพิ่มผลกำไรเป็นเท่าตัว

เซียวอวี๋ขมวดคิ้ว ก่อนจะเอ่ยว่า “ที่นี่มีคนมาก ไม่เหมาะจะคุยเรื่องนี้”

ได้ยินคำพูดของเซียวอวี๋ มิรันด้าโบกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนออกไป เบรุตกับพวกทหารจึงออกไปทันที

แน่นอน นอกจากมิรันด้าแล้ว ที่ด้านหลังของเขาก็ยังมีคนสองคนยืนอยู่กับที่ ในสองคนนั้น หนึ่งเป็นบุรุษร่างสูงที่มีบรรยากาศอึมครึม อีกคนเป็นบุรุษหน้าลิงร่างผอมท่าทางชั่วร้าย

เห็นได้ชัดว่าชายสองคนนี้เป็นยอดฝีมือชั้นสูง ทั้งสองเพียงพอรับรองความปลอดภัยให้กับมิรันด้า หากไม่มียอดฝีมือทั้งสองอยู่ด้วย จะทำอย่างไรหากจู่ๆก็มีมือสังหารโผล่มา?

 

 

 


ตอนที่ 485

 

เซียวอวี๋ไม่ได้ใส่ใจคนทั้งสอง เพียงชำเลืองมองคราหนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ในเมื่อไม่มีคนอื่นอยู่ที่นี่แล้ว เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจของข้า ข้าจะไม่ปิดบังตัวตนอีก ขอองค์ชายไม่ต้องตกใจไป”


มิรันด้าเผยยิ้ม “ข้าใคร่อยากทราบตัวตนของท่านนัก”

เซียวอวี๋ไม่ได้กล่าวอะไรอีก เขาเพียงสะบัดมือก่อนจะนำธงผืนหนึ่งออกมาจากแหวนมิติ จากนั้นจึงคลี่กางลงบนโต๊ะ “องค์ชายมิรันด้า ท่านเคยเห็นธงเช่นนี้มาก่อนหรือไม่?”

ตอนเห็นเซียวอวี่นำธงผืนหนึ่งออกมา มิรันด้าก็ไม่ทราบว่าเซียวอวี๋กำลังทำอะไร แต่เมื่อได้มองธงอย่างละเอียด มิรันด้าก็นิ่งตะลึง

“ธงของดินแดนไลอ้อน!?” มิรันด้าโพล่งออกมาก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก

สัญลักษณ์ตระกูลเซียวอันเป็นเอกลักษณ์ปรากฏอยู่บนผืนธง เซียวอวี๋นำมันออกมาก็เพื่อบ่งบอกถึงตัวตนของเขา

“ท่าน…ท่านเป็นทายาทของเซียวซานเทียน?” มิรันด้ามองเซียวอวี๋อย่างตกตะลึง ไม่แปลกใจว่าเหตุใดเซียวอวี๋ถึงต้องการให้คนอื่นๆออกไปก่อน หากคนอื่นๆได้ทราบตัวตนของเขา เมืองทั้งเมืองจะต้องปั่นป่วนวุ่นวายเป็นแน่

มิรันด้าสงบใจลง เขาเผยรอยยิ้มก่อนจะกล่าวว่า “คุณชายเซียวเป็นทายาทของจอมทัพเซียวซานเทียนนี่เอง บิดาพยัคฆ์ย่อมไม่มีบุตรสุนัขจริงๆ”

เซียวอวี๋ยิ้มก่อนจะกล่าวว่า “องค์ชายมิรันด้า ท่านยังต้องการทำธุรกิจกับข้าหรือไม่? หากว่าท่านสนใจจริงๆ ข้าเชื่อว่าพวกเราจะต้องได้ผลประโยชน์ก้อนโตกันทั้งสองฝ่าย”

มิรันด้ายิ้มพลางหรี่ตาลง “ตกลง พวกเราจะรับผลประโยชน์ร่วมกัน ตอนนี้คุณชายเซียวช่วยบ่งบอกรายละเอียดของข้อตกลงได้หรือไม่?”

เซียวอวี๋ยกไวน์ขึ้นจิบ “พวกเราเพียงต้องใช้ทรัพยากรของแต่ละฝ่าย ข้อได้เปรียบของหอการค้าฝูลู่ก็คือมีเครือข่ายขนาดใหญ่ในจักรวรรดิแลนซ์ ดังนั้นจึงสามารถรับซื้อสิ่งของหายากของจักรวรรดิได้ในราคาต่ำ และขนไปขายในอาณาจักรพยัคฆ์เมฆาในราคาสูง”

“เป็นอันตกลง!”

มิรันดารู้สึกว่านี่เป็นโอกาสอันดีในการขยายหอการค้า หากเขาสามารถทำข้อตกลงกับเซียวอวี๋ได้ เช่นนั้นเขาก็จะรับทรัพย์ก้อนโตในไม่กี่ปี ด้วยวิธีนี้ อำนาจของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นทบทวี

การร่วมมือกับเซียวอวี๋จะทำให้เขาได้ประโยชน์หลายอย่าง ในแง่หนึ่ง เขาได้พันธมิตรอันแข็งแกร่ง อีกแง่หนึ่ง อำนาจของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

นี่แน่นอนว่าเป็นข้อตกลงอันยอดเยี่ยม

เป็นแผนการระยะยาวที่ส่งผลมหาศาล

“อย่างไรก็ตาม ข้าได้ติดต่อกับเซี่ยชานอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นจึงวางใจต่อเขามาก ไม่ทราบว่าองค์ชายมีค่าให้เชื่อใจหรือไม่?” เซียวอวี๋ตาลงมองมิรันด้า

เป้าหมายจริงๆของเขาคือการล่วงรู้สภาพการณ์ปัจจุบันของเซี่ยชานเพื่อขยายผลต่อไป

มิรันด้าหัวเราะ “คุณชายเซียวกังวลไปแล้ว คุณชายคงต้องการทราบเกี่ยวกับข้าและจักวรรดิให้มากขึ้นใช่หรือไม่?”

เซียวอวี๋หยักหน้า “องค์ชาย อันที่จริง ระหว่างที่ข้าเดินทางมา ข้าก็ได้ยินข่าวลือว่าหอการค้าฝูลู่เกิดความวุ่นวายภายใน ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”

เมื่อเซียวอวี๋พูดถึงเรื่องนี้ มิรันด้าก็หรี่ตาลงเล็กน้อย หากแต่ไม่มีท่าทีตื่นตระหนกแต่อย่างใด “เป็นดังเช่นที่คุณชายกล่าว ก่อนหน้านี้หอการค้าฝูลู่เกิดปัญหาขึ้นจริงๆ แต่ตอนนี้ปัญหานั้นถูกคลี่คลายแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หอการค้ายังเข้มแข็งกว่าเก่าเสียอีก นี่คงทำให้คุณชายสบายใจขึ้นกระมัง”

เซียวอวี๋ยิ้ม “เป็นว่าเซี่ยชานยังไม่ตาย แต่คงพบเจออุบัติเหตุ?”

มิรันด้าหัวเราะ “คุณชายท่านปราดเปรื่องจริงๆ ท่านกลับคาดเดาออก”

เซียวอวี๋กล่าวอย่างเรียบเฉย “หากข้าไม่เตรียมการมาบ้าง ข้ายังจะกล้าเข้ามาทำธุรกิจภายในจักรวรรดิแลนซ์หรือ?”

มิรันด้ายิ้มพลางมองเซียวอวี๋ “ท่านต้องการช่วยเซี่ยชาน?”

เซียวอวี๋ส่ายหน้า “ไม่ เขาไม่จำเป็น แม้ข้าจะมีความสัมพันธ์อันดีกับเขา แต่ข้าก็คงไม่เป็นศัตรูกับท่านเพียงเพราะเขาหรอก อย่างไรเสียท่านก็เป็นคู่ค้าที่ดีได้เช่นกัน”

“ฮ่าฮ่า….คุณชายเซียวนับเป็นมังกรในมวลมนุษย์จริงๆ” คำตอบของเซียวอวี๋คลี่คลายความสงสัยของมิรันด้าไป ไม่ว่าผู้ใดก็คงไม่เลือกเป็นศัตรูกับผู้แข็งแกร่งเพราะคนไร้ประโยชน์

เซียวอวี๋ยิ้มก่อนจะกล่าวว่า “องค์ชายมิรันด้าเองก็สติปัญญาสูงส่ง ข้าเชื่อว่าการร่วมมือของพวกเราจะต้องประสบความสำเร็จอย่างงดงาม อย่างไรก็ตาม ครั้งสุดท้ายที่ข้าได้ติดต่อกับเซี่ยชานนั้น ข้าได้ให้เหรียญตราของข้าเป็นเครื่องติดต่อ ตอนนี้ข้าได้ร่วมมือกับองค์ชายแล้ว ข้าก็ต้องการของสิ่งนั้นคืนมาเพราะมันเป็นสิ่งของของตระกูลข้า”

ได้ยินดังนั้น มิรันด้ายืดอกก่อนจะให้สัญญา “ไม่มีปัญหา ข้าจะสั่งให้บริวารไปนำกลับมา”

เซียวอวี๋พยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าคงต้องหาที่พักก่อน จกานั้นพวกเราค่อยคุยกันเรื่องรายละเอียดอื่นๆ”

มิรันด้ารีบกล่าวว่า “หากคุณชายเซียวไม่รังเกียจ ข้ามีบ้านพักอยู่ที่นี่ มันสะอาดและสะดวกสบาย คุณชายพักที่นั่นเถอะ”

เซียวอวี๋พยักหน้า “ขอบคุณองค์ชาย”

เมื่อเห็นว่าเซียวอวี๋ไม่ปฏิเสธ ในใจมิรันด้าก็รู้สึกยินดี หากเขาสามารถเป็นพันธมิตรกับคนแข็งแกร่งเช่นนี้ได้ เขาก็จะได้สินค้าที่ส่งมาจากจักรวรรดิเมฆาตะวันออกผ่านทางเซียวอวี๋ นี่แน่นอนว่าต้องเป็นกำไรก้อนโต

ดังนั้นหลังจากพูดคุยกันอีกพักหนึ่ง มิรันด้าก็ส่งคนนำทางเซียวอวี๋ไปยังคฤหาสน์หลังโต

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม