World of Hidden Phoenixes 91.1-101.1
ตอนที่ 91.1
ฮวาจูอวี้ตกใจถึงกับไร้คำพูด นางไม่รู้ว่าพวกเขารู้ถึงอาการเจ็บป่วยของจี่เฟิงหลี่ได้อย่างไง แต่พวกเขาทั้งหมดเองต่างก็ป่วย แต่พวกเขาก็ยังคงอยู่ที่นี่ในสายลมยามค่ำคืนที่หนาวเย็น อาการเจ็บป่วยของพวกเขาอาจเปลี่ยนไปเลวร้ายได้ พวกเขารู้ถึงอันตรายแต่ก็ยังคงมาเพื่อขอร้องแทนเขา
แต่นางจะบอกได้อย่างไรว่าเขาเป็นมากกว่าอาการเจ็บป่วยธรรมดา?
“โปรดลุกขึ้นก่อน อย่าคุกเข่าที่นี่” ฮวาจูอวี้ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรได้อีกและทำได้เพียงก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยพวกเขาขึ้นเท่านั้น
“ท่านหยวนเป่า ถ้าท่านไม่ตกลงที่จะช่วยท่านเสนาบดี เราจะคุกเข่าอยู่ที่นี่ตลอดทั้งคืน”
คนเหล่านี้ต่างก็เป็นคนป่วยทั้งหมด แล้วทำไมพวกเขาจึงหัวแข็งเช่นนี้?
เพียงเพื่อจะช่วยชีวิตของจี่เฟิงหลี่ พวกเขาจะละทิ้งชีวิตของตัวเองเลยหรือ? มันเป็นไปได้หรือที่หัวใจของประชาชนชาวเซวียนโจว จะให้ความสำคัญกับจี่เฟิงหลี่มากเช่นนี้ ถึงแม้จะเป็นขุนนางที่มีอำนาจและเฝ้าดูบังลังก์อยู่ตลอดเวลา แต่ประชาชนก็ยังคงเลือกที่จะสนับสนุนเขา แน่นอนว่าฮวาจูอวี้ยังตระหนักดีว่าพวกเขาไม่สนใจว่าใครจะเป็นฮ่องเต้ ในสายตาของพวกเขาฮ่องเต้ที่ดีคือคนที่ทำทุกอย่างในนามของประชาชนและนั่นคือทั้งหมดที่พวกเขาต้องการ
“ข้าขอร้องท่านได้โปรดช่วยท่านเสนาบดีด้วยขอรับ !” ผู้ป่วยอ้อนวอนระหว่างไอออกมา
“ท่านจะช่วยท่านเสนาบดีได้ใช่ไหมท่านหยวนเป่า?
เมื่อฮวาจูอวี้ กวาดมองไปทั่งฝูงชน นางก็เห็นใบหน้าที่ผอมบางและขาวซีดของพวกเขา เมื่อนางได้พบกับสายตาที่โศกเศร้าของพวกเขา หัวใจนางก็อ่อนลง
หัวของนางอยู่ในความสับสน
นางจะต้องช่วยเขาจริงๆหรือ
ท่ามกลางคำวิงวอนของพวกเขา ฮวาจูอวี้ ก็เดินกลับเข้าไปในห้องครัว แล้วถือถ้วยยาออกมา จากนั้นนางก็เดินกลับออกมาและยกมันให้พวกเขาดู “นี่คือยาที่ข้าตั้งใจจะมอบให้กับท่านเสนา ถ้าพวกเจ้ายังคงคุกเข่าอยู่เช่นนี้ข้าจะไปส่งยานี้ได้อย่างไร? พวกเจ้าทั้งหมดควรจะกลับไปพักผ่อน ข้ามีวิธีการของตัวเองในการช่วยท่านเสนาจี่”
คำพูดของนางมีประสิทธิภาพมาก ทุกคนต่างก็ยืนขึ้นและต่างก็เดินเปิดทางให้นางเมื่อพวกเขาเห็นนางถือถ้วยยา
ขณะที่นางเดินออกไป เสื้อคลุมสีฟ้าของนางก็กระเพื่อมขึ้นไปพร้อมกับสายลมยามค่ำคืน สะท้อนความรู้สึกของนางในปัจจุบันออกมา
ระลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องเจ้าสาวในคืนนั้น นางจำได้ว่าถ้วยหยกชั้นดีของเหล้ามงคลหลุดจากมือของนางและแตกเป็นชิ้นๆ บนพื้น นางนึกถึงอาการปวดเมื่อยตามร่างกายแล้วร่างกายของนางก็กลายเป็นอัมพาตและทรุดตัวลงไป คำพูดของเขาสะท้อนอยู่ในหูของนาง “ทำไมยังจะต้องถาม? แม้แต่ถ้วยหยกยังไม่ถามว่าทำไมเจ้าถึงทำมันแตก “แล้วในหัวของนางก็กระพริบขึ้นเป็นเหตุการณ์ที่เหลียงโจวที่นางต่อสู้และล้างเส้นทางไปเลือดในการพยายามที่จะช่วยบิดาของนาง เขานั่งอยู่บนเวทีสูงเพื่อเฝ้าดูการต่อสู้ของนางด้านล่าง ค่ำคืนที่หนาวเหน็บยังมาปรากฏขึ้นในหัวของนาง เสียงร้องที่น่าเวทนาของจินเซ่อ
จู่ๆ ทุกอย่างก็จู่โจมเข้ามา พร้อมกับคำว่า
ช่วยเขา! อย่าช่วยเขา!
ช่วยเขา! อย่าช่วยเขา!
สายลมพัดผ่านแก้มของนาง นำพาความรู้สึกเยือกเย็นมาพร้อมกับมันด้วย
ทันใดนั้นนางก็ตระหนักได้ว่านางได้มาหยุดอยู่ที่บันไดประตูของจี่เฟิงหลี่แล้ว ลานของเขาเงียบมาก คนที่ตามหลังนางมาก็หยุดลงเช่นกัน พวกเขายืนอยู่ที่นั่นจ้องมองนางด้วยความคาดหวังในสายตาของพวกเขา
นางหันกลับไป พร้อมกับส่งรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและสดไปให้พวกเขา
“พวกเจ้าทุกคนควรจะกลับไปได้แล้ว ข้าจะช่วยเขาอย่างแน่นอน!” เสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย แต่ก็ยังถือถ้วยยาเดินเข้าไปในห้องอย่างใจเย็น โดยที่ไม่หันไปมองพวกเขาอีก
ภายในบรรยากาศเต็มไปด้วยความหนักอึ้ง
หลานปิง นั่งอยู่ข้างเตียงด้วยมือปิดหน้าของเขา แม้ว่านางจะไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้ แต่นางก็สังเกตเห็นนิ้วมือของเขาสั่นเล็กน้อย หมอหลวงซานยืนอยู่ข้างๆ กำลังลูบไหล่ของเขาด้วยท่าทางเศร้าโศก
ฮวาจูอวี้เดินเข้าไปที่เตียงและวางถ้วยยาลงบนโต๊ะ “ท่านหลานปิงและท่านหมอหลวงซาน พวกท่านทั้งคู่ควรออกไปรอข้างนอกก่อน”
ทั้งสองตกใจและต่างก็เงยหน้าขึ้นจ้องมองมาที่นางอย่างงงงวย
“หยวนเป่าเจ้าตั้งใจจะทำอะไร?” เส้นแห่งความหวังที่โผล่ขึ้นมาในดวงตาที่เศร้าสร้อยของหลานปิง เป็นเรื่องยากที่จะปิดบัง
“ก็ต้องช่วยท่านเสนาแน่นอนอยู่แล้ว พวกท่านทั้งสองควรออกไปก่อน กลับมาเมื่อข้าบอกเท่านั้น มิฉะนั้นข้าไม่สามารถรับประกันว่าเขาจะอยู่รอดพ้นคืนไปได้หรือไม่! อะไร? ท่านยังไม่ไว้วางใจข้าอีกหรือ?” ฮวาจูอวี้ถามอย่างเย็นชาในขณะที่นางขมวดคิ้วขึ้น
หลานปิงและหมอหลงงซาน จ้องมองไปที่ฮวาจูอวี้ ด้วยความไม่เชื่อ ในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังนี้ พวกเขาไม่ได้คาดหวังให้ขันทีตัวเล็กๆ คนนี้มาบอกว่าเขาจะช่วยชีวิตท่านเสนาจี่
“ข้าเชื่อใจเจ้า!” พวกเขากล่าวขึ้นในขณะที่พวกเขาพยักหน้าและเดินออกไป ก่อนจะปิดประตูลงอย่างเงียบๆตามหลังพวกเขาไป
ห้องถูกทิ้งไว้ในความเงียบ ฮวาจูอวี้นั่งลงช้าๆข้างเตียง แล้วก็มองไปที่จี่เฟิงหลี่ เขานอนอยู่ที่นั่นอย่างไร้มีชีวิตชีวา ด้วยดวงตาที่ปิดสนิท ผิวของเขาซีด เกือบจะกลายเป็นโปร่งใส นำพาความโดดเด่นมาให้กับคิ้วสีดำที่โดดเด่นของเขาเป็นอย่างมาก
นางลุกขึ้นยืนและเดินไปที่โต๊ะเพื่อเอาถ้วยชามา พร้อมกับดึงกริชเล็ก ๆ ออกมาก่อนจะกรีดแขนของตัวเอง เลือดสีแดงสดไหลลงไปมายังข้อมือที่ขาวราวกับหิมะของนาง ก่อนจะลงมารวมตัวกันอยู่ในถ้วยทีละหยดๆ
เมื่อมีการระบาดของโรคในตะวันตกเหลียงในปีนั้น มียาที่ใช้ในการต่อสู้และควบคุมการระบาดของโรค แต่ก็มีผู้ป่วยหนักมากจนทำให้ยาไม่ได้ผล แล้วในที่สุดหมอผู้รักษาได้ใช้วิธีการนำเลือดของผู้ที่หายแล้วมาเป็นยา วิธีการนี้เป็นสิ่งที่หมอได้บอกกับนางอย่างลับๆ
ฮวาจูอวี้ ไม่เคยคิดว่าวันนี้นางจะต้องใช้วิธีนี้ นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาและใช้เป็นผ้าพันแผล ก่อนจะค่อยๆหยิบถ้วยชาและเดินไปที่เตียง
นางจ้องมองไปในถ้วยชาที่มีน้ำสีแดงที่เป็นเลือดของตัวนางเองอยู่ นางไม่เคยคาดคิดว่าวันหนึ่งจะต้องใช้เลือดของนางเพื่อช่วยศัตรูของนาง!
นางช่วยจับจี่เฟิงหลี่ให้เอนหลังพิงไปที่หัวเตียงและป้อนเลือดให้ของเขาด้วยช้อน แต่เนื่องจากที่เขาหมดสติ เลือดที่นางป้อนเขาจึงได้ไหลออกจากมุมปากของเขา
ฮวาจูอวี้ถึงกับไม่พอใจ นี่คือเลือดของนางและนางก็ไม่ต้องการที่จะกรีดมันออกมาเพื่อที่จะใช้ไปอย่างเปล่าประโยชน์เช่นนี้
หลังจากจ้องมองไปที่เลือดอยู่ชั่วครู่ นางก็ตัดสินใจได้ นางกัดฟันของนางก่อนจะเททุกหยดของเลือดจากถ้วยลงไปในปากของนาง จากนั้นนางก็ลดระดับริมฝีปากของนางลงไปหาจี่เฟิงหลี่
ตอนที่ 91.2
ริมฝีปากที่แห้งและเยือกเย็นของเขาทำให้หัวใจของนางกระโดดขึ้น นางพยายามที่จะปราบปรามอารมณ์ในปัจจุบันของนาง ก่อนจะจดจ่ออยู่กับการป้อนยาให้แก่เขาอย่างช้าๆ
แล้วริมฝีปากของพวกเขาก็ยอมไปด้วยสีแดง
การกระทำก่อนหน้านี้ของนาง ทำให้นางเริ่มงงงวยและสงสัยว่านางกำลังตัดสินใจเลือกวิธีการที่เหมาะสมในการช่วยชีวิตเขาหรือไม่? นางจะเสียใจที่ตัดสินไปแบบนี้ในภายหน้าหรือไม่?
ด้วยริมฝีปากที่ย้อมไปด้วยสีแดงและดวงตาที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็นนางไม่ได้ดูเหมือนจะช่วยเขา แต่กลับกลายเป็นกัดเขาแทน
นางตัดสินใจที่จะช่วยเขาเพราะคนเหล่านั้นได้ขอร้องนาง แต่ลึกๆ ลงไปนางรู้ว่ามันเป็นเพราะความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวของนางเอง
การตายด้วยวิธีนี้เป็นเรื่องที่ดีและง่ายเกินไปสำหรับจี่เฟิงหลี่ นางยังคงต้องการเอาชนะเขาและเป็นพยานในความทุกข์ทรมานของเขา ในขณะที่เขาล้มลงจากความยิ่งใหญ่ของเขา
ไม่นานเลือดทั้งหมดก็ถูกป้อนลงไป
นางผ้าเช็ดทำความสะอาดริมฝีปากและวางเขานอนลงไปบนเตียง
นางเพียงแค่เคยได้ยินวิธีการนี้ แต่ไม่เคยทดลองใช้มาก่อน เนื่องจากนางไม่แน่ใจว่าจะมันจะได้ผลหรือไม่ นางจึงยังไม่กล้าออกไป นางวางผ้าเปียกไว้บนหน้าผากของเขาและยังคงอยู่ที่นั่น หลังจากผ่านไปสองชั่วยามอาการไข้ของเขาก็ดูเหมือนจะลดลงบ้างและการหายใจก็สงบลง นางจึงตัดสินใจที่จะป้อนเลือดของนางให้กับเขามากขึ้นอีก ดังนั้นนางจึงเอากริชขนาดเล็กออกมาและกรีดไปที่ข้อมือของนางอีกครั้ง
ใกล้รุ่งอรุณ นางตรวจดูหน้าผากของเขาอีกครั้งและพบว่าไข้หายไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ตราบใดที่ไข้ของเขาลดลง อาการเจ็บป่วยของเขาอาจกล่าวได้ว่าหายขาดไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว ฮวาจูอวี้ ถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางไม่คาดหวังว่าวิธีนี้จะมีประสิทธิภาพมากเช่นนี้
นางลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะออกไป แต่ทันทีที่ข้อมือของนางถูกจับเอาไว้โดยจี่เฟิงหลี่
“อย่าไป … อย่าจากข้าไป … “ขนตาของเขาสั่น ในขณะที่คิ้วของเขาถักเข้าด้วยกัน ให้ความรู้สึกไม่สบายราวกับว่าเขากำลังฝันร้ายอยู่
อย่าจากข้าไปหรือ? เขาคิดว่านางเป็นใคร? ฮวาจูอวี้ยิ้มเยาะ จี่เฟิงหลี่ คว้าที่แผลของนางทำให้หัวคิ้วของนางขมวดขึ้นเนื่องจากความเจ็บ นางจึงรีบดึงมือของนางออก
“อย่าไป … ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ในขณะที่มือของเขายื่นออกมาอีกครั้งเพื่อจับข้อมือของนางเอาไว้ คราวนี้เขาจับเอาไว้แน่นราวกับคนที่กำลังจมน้ำ “อย่าไป … อย่าจากข้าไปเลย … ท่านมะ … ”
นางไม่สามารถจับคำพูดสุดท้ายของเขาได้ เพราะเขาพึมพำอยู่ใต้ลมหายใจของเขาอย่างไม่ต่อเนื่อง
เขาไม่อยากให้ใครจากไปนั้น นางเองก็ไม่รู้
คำวิงวอนที่อ่อนโยนของเขาก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ทำให้คนแทบจะไม่อยากฟังมัน
โดยที่ไม่รู้ ความรู้สึกของความเจ็บปวดทุบตีมาที่หัวใจนาง
จี่เฟิงหลี่ มาจากพื้นหลังที่ด้อยโอกาส การที่จะกลายมาเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายอย่างที่เขาเป็นในวันนี้ แน่นอนเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานนับไม่ถ้วน ในตอนแรกนางได้ตกลงที่จะแต่งานกับเขาเพราะเหตุผลนี้ ภายในเมืองหลวงมีขุนนางหลายคนที่โดดเด่นและรู้เพียงแค่ว่าจะพึ่งพาการสนับสนุนจากครอบครัวของพวกเขาได้อย่างไรอย่างเช่นหวงฝู่ อู๋ ซวง นางคิดว่ามันน่าชื่นชมที่จี่เฟิงหลี่ อาศัยเพียงตัวเองและความสามารถของเขาเท่านั้น
แต่ความชื่นชมนี้ได้หายไปกับสายลมแล้ว นางมีเพียงแค่ความเกลียดชังให้กับเขาในตอนนี้!
นางจ้องมองไปที่เขาอย่างเย็นชา ก่อนจะวางถ้วยลงไปบนโต๊ะ ด้วยมือที่เป็นอิสระของนาง นางพยายามที่จะแกะมือของเขาออก ทันใดนั้นในตอนนี้ขนตาของเขาก็วูบวาบและดวงตาของเขาลืมขึ้น ทั้งเยือกเย็นและชัดเจน ในขณะที่เขาจ้องมองนางอย่างเงียบ ๆ
แน่นอนว่าจี่เฟิงหลี่เป็นหนึ่งในนั้นคนประเภทที่ว่า ขอเพียงไข้ของเขาลดลงสติของเขาก็จะฟื้นขึ้นมาทันที
นางไม่ได้คาดหวังอะไรเช่นนี้ นางจึงแข็งค้างไปด้วยความประหลาดใจและทั้งสองต่างก็ตกอยู่ในตำแหน่งที่แปลก ๆ
จี่เฟิงหลี่ จับอยู่ที่มือนางของนาง ในขณะที่มือของนางจับอยู่ที่มือของเขา
แล้วทันใดนั้นทั้งสองต่างก็รีบปล่อยมัน
รูปลักษณ์ที่ซับซ้อนโผล่ขึ้นมาในดวงตาของเขา ในขณะที่เขาหันไปมองทางอื่น
นางเดินกลับไปสองก้าวและพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ดีจริงๆ ที่ท่านเสนาจี่ฟื้นแล้ว เช่นนั้นข้าต้องขอตัวไปเตรียมยาก่อน “
“ช้าก่อน!” ดวงตาที่ไม่สามารถมองเห็นได้ของเขาหรี่ลง ในขณะที่เขาจ้องมองที่นางอย่างเย็นชา ก่อนที่จะพูดขึ้น “ช่างมันเถอะ ตามหลานปิงเข้ามา”
ฮวาจูอวี้ ฟังอย่างเชื่อฟัง ก่อนที่จะออกไปนางได้เอาถ้วยที่มีเลือดติดตัวไปด้วย ถ้ามีคนเห็นพวกเขาจะรู้ได้ว่านางช่วยชีวิตเขาไว้อย่างไรและนางไม่ต้องการให้เขารู้ว่านางใช้เลือดของตัวเองเพื่อช่วยชีวิตเขา
นางรีบออกจากห้องไปทันที
หลานปิงและทหารอีกหลายคนกำลังรออยู่ข้างนอก เมื่อเห็นนาง หลานปิงก็รีบวิ่งเข้าไปและถามขึ้น “ท่านเสนาเป็นอย่างไรบ้าง?” ด้วยสายตาที่น่ากลัว เขาดูเหมือนว่าเขาจะทำให้นางสำลักได้ทุกเมื่อ ถ้านางไม่ให้คำตอบที่เขาต้องการ
“ท่านเสนาต้องการพบท่าน” ฮวาจูอวี้ ตอบ ก่อนจะเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
จี่เฟิงหลี่ที่นอนบนเตียงเขามอง เขามองไปที่หลานปิงด้วยดวงตาที่หรี่ลงของเขา ก่อนจะถามขึ้น “หยวนเป่าอยู่ที่นี่เมื่อคืนนี้หรือ? แล้วไม่มีใครอื่นอีกหรือ? ”
หลานปิง ตอบด้วยรอยยิ้มขึ้นทันที “ใช่ท่านเสนา ไม่เพียงแค่ท่านป่วยท่านยังถูกวางยาพิษอีกด้วย ท่านหมอหลวงยังไม่มีวิธีที่จะช่วยท่าน แต่หยวนเป่าก็บอกว่าเขามีวิธีที่จะช่วยท่าน ดังนั้นข้าจึงปล่อยให้เขาอยู่ที่นี่เพื่อดูแลท่านแต่ข้าไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีไหน มันช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ “
จี่เฟิงหลี่หัวคิ้วขมวดขึ้นทันที ในขณะที่ความหนาวเย็นส่องประกายอยู่ในส่วนลึกของดวงตาสีเข้มของเขา
เมื่อคืนที่เขาหมดสติไป เขารู้สึกได้ถึงมือที่เยือกเย็นคู่หนึ่งที่เยือกเย็นที่จะสัมผัสเหมือนหิมะในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิที่ปรากฏในเวลากลางคืน ค่อย ๆ ลากเส้นอยู่ที่หน้าผากของเขา ถึงแม้ปลายนิ้วจะเยือกเย็นแต่ฝ่ามือกลับอบอุ่น เมื่อมันวางอยู่บนหน้าผากของเขา มันนำความรู้สึกของความอบอุ่นที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนมาให้ เขายังรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่อ่อนนุ่มและละเอียดอ่อนเหมือนกลีบดอกไม้ตกลงมาบนริมฝีปากของเขา เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่อะไรที่อยู่บนโลกใบนี้จะนุ่มนวลได้เช่นนั้นถ้าไม่ใช่ …
จู่ ๆ จี่เฟิงหลี่ก็หลับตาและไม่กล้าที่จะคิดต่อ
“หลานปิง ตามทหารสองคนมาให้ข้า สำหรับหยวนเป่า ให้เขาไปดูแลผู้ป่วยคนอื่น ๆ !” จี่เฟิงหลี่ สั่งขึ้นอย่างช้าๆ
หลานปิง ไม่เข้าใจเหตุผล ดังนั้นเขาจึงรีบถามขึ้น “ทำไมหรือ? ไม่ใช่ว่าหยวนเป่าดูแลท่านเป็นอย่างดีหรือ? ถ้าไม่ใช่เพราะเขา … ”
จู่ ๆ จี่เฟิงหลี่ ก็จ้องมองไปที่หลานปิง “ไม่มีเหตุผล! แค่ทำตามก็พอ! “
หลานปิงพยักหน้าด้วยความยินยอม เมื่อเห็นใบหน้าที่เยือกเย็นราวกับน้ำแข็งของจี่เฟิงหลี่ เขาก็ไม่กล้าถามคำถามอีกต่อไป
“เจ้าพบอะไรที่เกี่ยวกับยาพิษหรือไม่” จี่เฟิงหลี่ถามขึ้นอย่างเย็นชา
“ถงโจว ค้นพบว่ายาพิษถูกซ่อนไว้ในเทียนหอม เมื่อจุด สารพิษจะระเหยไปในอากาศ มันเป็นสารพิษที่ไม่มีกลิ่นและขนาดของมันมีขนาดเล็กมาก แต่ถ้าใครสูดดมเป็นเวลานานจะกลายเป็นพิษ ท่านหมอหลวงซานกล่าวว่าเมื่ออาการเจ็บป่วยของท่านถูกกำจัดไปแล้ว เขาจะทำยาแก้พิษเพื่อล้างสารพิษออกไป ในช่วงเวลานี้ มีคนมาและไปจากกระโจมของท่านมากมาย พวกเขาอาจผสมผสานอยู่กับผู้ป่วยก็ได้ ” หลานปิง พูดขึ้นด้วยเสียงต่ำ “อย่ากังวลในเรื่องเหล่านี้เลยท่านเสนา มีอะไรที่ท่านอยากกินหรือไม่ก็พักผ่อนให้มากขึ้นดีหรือไม่? ”
จี่เฟิงหลี่พยักหน้า “ข้าอยากจะนอนพักอีกสักระยะหนึ่ง”
ตอนที่ 92.1
เมื่อฮวาจูอวี้ ออกจากห้องของจี่้ฟิงหลี่ไป ท้องฟ้าก็สว่างขึ้นแล้ว หลังจากที่ตื่นอยู่ตลอดทั้งคืนนางรู้สึกเหนื่อยมาก
แต่เหตุผลหลักที่ทำให้นางเหนื่อยล้าก็คือการเสียเลือดไป 2 ถ้วย แม้ว่านางจะมีศิลปะการต่อสู้และมีกำลังภายใน นางก็ยังไม่สามารถรับมือกับการสูญเสียเลือดไปมากเช่นนี้ได้ นางเดินตรงที่ห้องของนางด้วยย่างก้าวที่เบาและเร็ว ก่อนจะล้มตัวลงไปทันทีที่นางพบเตียงของนาง
เมื่อตื่นขึ้นมา นางก็รู้สึกดีขึ้นมาก นางกินอาหารของนางอย่างรวดเร็วและมุ่งหน้าไปเพื่อเตรียมยา หลังจากส่งยาไปให้ผู้ป่วยรายอื่นๆเสร็จ ในที่สุดนางก็มุ่งหน้าไปที่ห้องของจี่เฟิงหลี่ นางประหลาดใจเมื่อเห็นว่าที่หน้าประตูของเขามีคนเฝ้าอยู่สองคนคือจี่สุย และจี่ คนที่หลงอยู่ในค่ายกลของนางที่ภูเขาฉิ่งเฉิง จู่ๆ จี่สุยก็ยกมือขึ้นเพื่อปิดกั้นทางของนาง ก่อนจะรับชามยาไปและพูดขึ้น “ท่านเสนา มีคำสั่ง เขาอยากจะพักผ่อนและอย่าปล่อยให้บุคคลภายนอกเข้าไปรบกวนเขา เนื่องจากท่านเสนามีเราอยู่แล้ว หยวนเป๋าเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องมาคอยดูแลเขาและสามารถทำงานอื่นๆของเจ้าได้ “
หัวคิ้วของฮวาจูอวี้ขมวดขึ้น ก่อนจะหัวเราะเยาะความไร้สาระในฉากปัจจุบันนี้
นางเพิ่งลากเขาออกจากประตูนรก ตอนนี้นางกลับถูกมองว่าเป็นคนนอก นาง ‘ไม่ต้องมาคอยดูแลเขา’? เขาคิดว่านางชอบที่จะมาดูแลเขาหรืออย่างไร? ไม่ว่าจะอย่างไรมันก็ให้ความสะดวกมากขึ้นสำหรับนาง นางยิ้มขึ้นพร้อมกับส่งชามยาไปและหันหลังจากไป
จี่เฟิงหลี่ที่ผิงอยู่กับหัวเตียงของเขา มองผ่านฉากประตูเห็นเป็นภาพเงาของฮวาจูอวี้ ค่อยๆจางหายออกไปเรื่อยๆ
จี่สุยเข้าไปพร้อมกับยา จี่เฟิงหลี่จ้องมองไปที่ชามยาก่อนจะเห็นของเหลวสีน้ำตาลเข้มที่ยังร้อนอยู่ จากกลิ่นจองมันเขาสามารถบอกได้ว่ามันจะขมมาก ในขณะที่จิบยาลงไป เขาก็ช่วยไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นจากความขมของมัน
เมื่อได้เห็นหัวคิ้วที่ขมวดของเขา จี่สุย รีบนำจานของหวานที่เตรียมไว้มาอย่างรวดเร็ว “ท่านเสนา เนื่องจากยานั้นมีรสขมมาก ลองของหวานหน่อยไหมขอรับ”
“ไม่จำเป็น” จี่เฟิงหลี่ตอบ
จี่เฟิงหลี่นั่งอยู่บนเตียงของเขาและใช้เวลาจิบยาไปทีละนิด ๆ ในแต่ละครั้ง แม้ว่าเขาจะขมมากเขาก็ยังคงดื่มแบบนี้ต่อไป เมื่อเห็นแบบนี้ หัวคิ้วก็จี่สุยก็ยิ่งขมวดมากขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะพูดขึ้น “ท่านเสนา ยาเป็นสิ่งที่แตกต่างจากการเพลิดเพลินไปกับชา ท่านควรจะบีบจมูกของท่านและดื่มมันลงไปในครั้งเดียว ถ้าท่านยังคงดื่นอยู่เช่นนี้มันก็จะยิ่งขมมากขึ้น “
จี่เฟิงหลี่มองลงไปที่ชามยาของเขา ก่อนจะพูดขึ้น “เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ? ข้าไม่รู้”
แม้ว่าเขาจะไม่ได้บีบจมูกของเขา เขาก็ยกชามยาขึ้นแล้วดื่มมันลงไปในครั้งเดียว จากนั้นก็ตามด้วยของหวาน
จี่สุย และจี่เยวี่ย ออกไปจากห้องอย่างเงียบๆ ทั้งสองต่างรู้สึกงงงวยเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าท่านเสนาไม่เคยดื่มยามาก่อน ในอดีตเขาก็ดื่มมันลงไปในครั้งเดียว ทำไมเขาถึงบอกว่าเขาไม่รู้ พวกเขารู้สึกสงสัยมาก
ห้าวันต่อมาก็มีเพียงไม่กี่คนที่ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ สภาพของจี่เฟิงหลี่ ก็คงตัวขึ้นและหมอหลวงซ่านก็อยู่ในระหว่างการรักษาพิษของเขา
ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาฮวาจูอวี้ไม่เคยเห็นจี่เฟิงหลี่เลย จี่สุย และจี่ เยวี่ย ยังยืนเฝ้าอยู่ข้างนอกประตู เมื่อใดก็ตามที่นางนำยาไปให้ พวกเขาก็จะรับมันไปและบอกว่าจี่เฟิงหลี่ี่กำลังพักอยู่และไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะได้พบใคร ไม่ใช่ว่านางอยากเจอเขาเสียหน่อย นางคิดกับตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ในวันหนึ่งนางก็ต้องการที่จะพบเขาเพื่อแนะนำให้เขาเคลื่อนทหารที่ประจำการอยู่นอกหมู่บ้านออกไปประมาณหนึ่งเมตรและมอบงานส่งยาให้กับทหารที่ฟื้นตัวแล้ว การทำเช่นนี้การติดต่อระหว่างทหารด้านนอกกับผู้ป่วยจะลดลงและช่วยลดการแพร่กระจายของโรคได้มากขึ้นอีกด้วย
แต่จี่เฟิงหลี่ ไม่ได้พบนาง เขาเพียงแค่บอกให้จี่สุย ส่งผ่านข้อความที่ว่าคำขอของนางได้รับอนุมัติแล้วเท่านั้น
ฮวาจูอวี้รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ตอนแรกเมื่อนางได้เห็นจี่เฟิงหลี่ ทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อที่จะรับมือกับน้ำท่วม ความคิดที่ว่าเขาไม่ได้เลวทรามเกินกว่าการจะเยียวยาได้ก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของนาง แต่จะมีใครในโลกนี้จะปฏิบัตกับผู้ช่วยชีวิตของพวกเขาในแบบที่เขากำลังปฏิบัติกับนางอยู่หรือไม่? ถ้าไม่ใช่เพราะนางเขาคงจะตายไปนานแล้ว
แต่บอกตามตรง การที่เขาไม่ต้องการที่จะพบนางก็ทำให้นางลดปัญหาในการคิดวิธีที่จะจัดการกับเขาไปได้มาก มันน่าพอใจและสะดวกสบายไม่น้อย ดังนั้นนางจึงมุ่งเน้นไปที่การเตรียมยาสำหรับผู้ป่วยรายอื่นๆ ต่อไป
ในหมู่บ้านคนถือว่านางเป็นหมอในฐานะผู้ช่วยชีวิตของพวกเขา พวกเขาปัฏบัติกับนางด้วยความเคารพมากกว่าหมอหลวงซานเสียอีก ถ้าไม่ใช่นางที่เป็นคนเตรียมยาด้วยตัวเอง ประชาชนก็จะไปไกลถึงขนาดปฏิเสธที่จะดื่มมัน
ในพริบตาเวลาก็ผ่านไปสิบวัน จำนวนผู้ที่ฟื้นตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ผู้ป่วยเข้ามาในหมู่บ้านก็น้อยลง การระบาดของโรคก็ค่อยๆที่จะเริ่มควบคุมได้
อยู่มาวันหนึ่งในกลุ่มผู้ป่วยรายใหม่ที่เข้ามามีเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ อายุแค่ 1 ขวบและยังคงต้องป้อนนมอยู่ แม่ของนางป่วยและไม่สามารถดูแลนางได้ ดังนั้นฮูหยิน ที่เพิ่งฟื้นตัวจึงตัดสินใจที่จะดูแลนางชั่วคราว ผู้หญิงคนนี้มีประสบการณ์ในการเลี้ยงดูเด็ก แต่นางเริ่มกังวลเพราะเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้ไม่ยอมดื่มยา
ยานั้นขมมาก แม้แต่ผู้ใหญ่ก็พบว่ามันยากที่จะกลืนมันลงไป ไม่ต้องพูดถึงเด็กตัวเล็กๆ ที่จะปฏิเสธที่จะดื่มมัน เด็กจะอาเจียนทุกครั้งที่ถูกบังคับให้ดื่มมัน ฮูหยินพาเด็กไปหาฮวาจูอวี้ และอธิบายถึงสถานการณ์นี้อย่างเศร้าใจ
“ท่านหยวนเป่า เด็กคนนี้ปฏิเสธที่จะดื่มยา นางจะดีขึ้นได้อย่างไรถ้ายังคงเป็นเช่นนี้อยู่?”
ฮวาจูอวี้อยู่ในระหว่างการเตรียมยาเมื่อฮูหยินเข้ามา นางก็ขอให้ใครบางคนคอยดูไฟให้นาง ก่อนจะไปดูเด็กที่กำลังไอระหว่างเสียงร้องและหน้าผากของนางก็กำลังร้องเป็นไฟด้วยอาการไข้
“ฮูหยิน ข้ายังคงมีวิธี แต่ข้าไม่รู้ว่าฮูหยินจะยินดีที่จะลองใช้มันหรือไม่” ฮวาจูอวี้ พูดขึ้นด้วยเสียงที่เบา
“ฮูหยิน เมื่อท่านป่วย ท่านได้รับยาค่อนข้างมาก ถูกต้องหรือไม่? ยานี้ได้รวมกันอยู่ในเลือดของท่านแล้ว ดังนั้นท่านควรจะแทงนิ้วของท่านและปล่อยให้เด็กดื่มเลือดของท่านและดูว่านางจะดื่มหรือไม่ “ฮวาจูอวี้พูดขึ้นอย่างสุภาพ
ฮูหยินผู้นี้เพิ่งฟื้นตัว ดังนั้นเลือดของนางน่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่าของฮวาจูอวี้
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ฮูหยินก็พยักหน้าและพูดขึ้น “เด็กคนนี้เป็นทุกข์มาก ถ้าข้าสามารถช่วยนางได้ ด้วยการทำเช่นนั้นข้ายินดีที่จะลองดู! ขอบคุณท่านหยวนเป่า! “
ฮูหยิน พาเด็กออกไปและฮวาจูอวี้ก็ กำลังจะกลับไปเตรียมยา
แต่เมื่อนางหันกลับมา นางก็ได้เห็นการแสดงออกที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจบนใบหน้าของทุกคน ในขณะที่พวกเขาร้องตะโกนขึ้นด้วยความนับถือ “ท่านเสนา!”
นางตกใจ ก่อนจะก็หันไปมองดูจี่เฟิงหลี่ที่ประตูห้องครัว
จี่เฟิงหลี่ยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะพยักหน้าขึ้นเล็กน้อยเป็นการรับคำทักทาย รอยยิ้มที่คุ้นเคยอยู่บนริมฝีปากของเขา ในขณะที่ดวงตาที่ลึกและมืดของเขามีความสงบตามปกติ แม้ว่ามือที่ไขว่อยู่ข้างหลังของเขาสั่นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ก็ตาม
ฮวาจูอวี้เหลือบมองไปที่จี่เฟิงหลี่ เนื่องจากที่ไม่ได้พบเขาหลายวัน นางจึงได้สังเกตเห็นว่าผิวของเขาดูดีขึ้นกว่าเดิมมาก ดูเหมือนว่าเขาฟื้นตัวขึ้นมาอย่างเต็มที่แล้วจึงออกมาข้างนอก แต่เมื่อมองไปที่ชายที่เย็นชาและไร้ความปรานีคนนี้ นางอยากหันกลับไปมองดูหมอยาขมแทนมากกว่า
ยืนอยู่ที่นั่นอย่างสงบ จี่เฟิงหลี่มองผ่านๆไปที่ฮวาจูอวี้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะหันหลังจากไป เขาก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว แขนเสื้อของเขากระเพื่อมไปตามสายลม เขารู้สึกราวกับว่ามีเสียงกรีดร้องดังออกมาส่วนลึก ๆ ในตัวเขาและคล้ายคลึงกับราวกับว่าเขาถูกน้ำท่วมที่ไหลออกมาจากเขื่อนที่ทรงพลังกระแทกเข้า ทำให้ถึงกับหอบหายใจขึ้น
ตอนที่ 92.2
สิบวันต่อมาน้ำในเมืองเซวียนโจวก็ได้ลดลงและการระบาดของโรคก็ได้หมดไปแล้ว ฮวาจูอวี้กับจี่เฟิงหลี่ และกลุ่มผู้ติดตามของเขาพร้อมที่จะมุ่งหน้ากลับไปที่เมืองหยูแล้ว
เมื่อพวกเขาเดินทางมาในครั้งแรก ฮวาจูอวี้เดินทางมาด้วยรถม้าคันเดียวกันกับจี่เฟิงหลี่ คราวนี้ฮวาจูอวี้ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปด้วยม้าพร้อมกลุ่มผู้คุ้มกันอื่นๆ การเปลี่ยนแปลงในการกปัฏบัตินี้ทำให้ ฮวาจูอวี้รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จี่เฟิงหลี่ไม่ถือว่านางเป็นสัตว์เลี้ยงชายของเขา แต่เป็นหนึ่งในผู้คุมกันของเขา
แต่สภาพอากาศนั้นกลับแปลกประหลาดอย่างมาก มันพึ่งจะมีฝนตกอย่างไม่เอื้ออำนวยเพียงไม่กี่วันก่อน แต่ตอนนี้ท้องฟ้าแจ่มใส แม้ว่าจะเป็นช่วงปลายฤดูร้อน แต่ดวงอาทิตย์ในช่วงบ่ายก็ยังรุนแรงมาก การเดินทางบนหลังม้าเกือบจะทำผิวของเจ้าหลุดหลอกออกมา
โชคดีที่จี่เฟิงหลี่ ให้ความสำคัญต่อผู้ที่อยู่ภายใต้เขา เขาจึงสั่งให้ทุกคนพักผ่อนในระหว่างวันและออกเดินทางเมื่อค่ำคืนมาถึง ด้วยการเดินทางด้วยวิธีนี้พวกเขาจึงมาถึงเมืองหยู ในกลางเดือนกรกฎาคม
หลังจากชีวิตและความตาย และยังได้มีประสบการณ์กับน้ำท่วมและการระบาดของโรค เหล่าทหารโดยเฉพาะผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการเจ็บป่วยรู้สึกราวกับว่าพวกเขาได้รับโอกาสอีกครั้งในการมีชีวิตอยู่ ทุกคนอยู่ในอารมณ์ดีอย่างที่สุด พวกเขาเห็นถนนที่คึกคักของเมืองหยู และยังมีไม่กี่คนที่พูดขึ้นเบาๆว่าอยากจะไปที่หอนางโลมเพื่อหาความสนุกสนานและความบันเทิง
ฮวาจูอวี้มีการแสดงออกด้วยความรังเกียจต่อคำพูดของพวกเขา ก่อนจะคิดว่าผู้ชายคิดด้วยครึ่งล่างของพวกเขาบ่อยเกินไป ย้อนกลับไปในเหลียงโจวหลังจากกลับมารับชัยชนะจากการรบ นายทหารหลายคนเข้าไปเยี่ยมเยียนหอนางโลมเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง บางครั้งพวกเขาก็จะบังคับให้นางไปด้วย เพราะกลัวว่าพวกเขาอาจสงสัยในตัวตนของนางถ้านางปฏิเสธนางก็ไปกับพวกเขา
ฮวาจูอวี้อาจถือได้ว่าเป็นแขกประจำของหอนางโลมฉิ่งโหลว ของเหลียงโจว เลยก็ว่าได้ แม้ว่านางจะอยู่กับสุภาพสตรีพร้อมกับเหล้าและดนตรี แต่สถานที่แห่งนั้นก็เป็นที่ที่นางได้พบกับตงหงเป็นครั้งแรก
ในเวลานั้นตงหงกำลังถูกทำร้ายภายใต้คำสั่งของแม่เล้า นอกเหนือจากใบหน้าของนางแล้วต่างก็มีแผลไปทั่วร่างกายของนาง ตงหงไม่เต็มใจที่จะรับแขกที่เข้าพักและถูกลงโทษ บังเอิญฮวาจูอวี้ กำลังมองหาผู้หญิงแบบนี้อยู่ ต่อจากนั้นเป็นต้นมานางจึงจัดหาเงินเพื่อซื้อเวลาของตงหง เมื่อใดก็ตามที่นางไปที่หอนางโลม นางก็จะเรียกให้ตงหงมาเล่นดนตรีให้ฟัง หลังจากนั้นตงหง ก็ตั้งใจที่จะติดตามนางและเนื่องจากที่ฮวาจูอวี้รู้สึกสงสารตงหงที่ยังเด็กอยู่แต่กลับต้องขายตัวในหอนางโลม ฮวาจูอวี้จึงตัดสิ้นใจที่จะชื้อตัวตงหงจากแม่เล้า แต่ฮวาจูอวี้ไม่เคยคาดคิดว่าตงหงจะร่วมอยู่กับนางในสนามรบ และตอนนี้ก็ต้องอยู่อย่างเดียวดายในส่วนที่ลึกที่สุดของวังหลวง
ตอนนี้คังหวาง ได้กลายเป็นฮ่องเต้แล้ว เหล่าหญิงงามที่ผ่านการคัดเลือดทั้งหลายก่อนหน้านี้ก็ได้กลายเป็นสนมของฮ่องเต้ไปแล้ว ฮวาจูอวี้สงสัยว่าตงหงจะเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อนางยังกับอยู่หวงฝู่ อู๋ ซวง นางพยายามอย่างดีที่สุดในการคิดหาทางที่จะให้ทำให้ตงหง ได้อยู่ข้างหวงฝู่ อู๋ ซวง เพื่อที่นางจะสามารถรักษาความบริสุทธิ์ของนางเอาไว้ได้ แต่นั่นเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป
ฮวาจูอวี้ช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้า เมื่อรับรู้ได้ว่าการแสดงออกของนางดูไม่ดี ทหารต่างก็เงียบลง
ในช่วงเวลาที่อยู่ในเซวียนโจว ฮวาจูอวี้ได้ช่วยชีวิตผู้คนเอาไว้มากมายด้วยยาที่นางเตรียมเอง ดังนั้นทหารเหล่านี้ทั้งหมดต่างก็มองนางต่างไป ไม่ได้ดูถูกนางเหมือนก่อนอีก เมื่อระลึกได้ว่านางเป็นขันทีและอาจคิดว่านางรู้สึกไม่สบายใจ พวกเขาจึงไม่ได้พูดถึงการไปหอนางโลมอีก
หลังจากกลับมาถึงที่พักของจวนท่านเสนา ฮวาจูอวี้ก็ยังคงอยู่ที่ซินหยวน แต่ดูเหมือนหลางปิง ได้ย้ายไปที่อื่นแล้ว ซินหยวนที่กว้างขวางจึงเป็นของนางเพียงผู้เดียว ไม่มีหลางปิง คอยเฝ้าดูนางในเวลากลางคืนจากห้องด้านข้างหรือไม่ก็มีจี่สุยและจี่เยวีน คอยติดตามนางในระหว่างวัน เมื่อเทียบกับก่อนนี้ ฮวาจูอวี้มีอิสระมากขึ้น
เย็นวันหนึ่งฮวาจูอวี้รู้สึกเบื่อหน่ายมากกับการต้องอยู่ในห้องของนางตลอดทั้งวันและจึงตัดสินใจเดินลัดเลาะไปตามสวนหลังจวนของจี่เฟิงหลี่โดยไม่ได้ตั้งใจ
ดวงอาทิตย์ตอนเย็นที่ยังไม่ได้ตกดิน ยังสว่างเรืองรองอยู่ไกลจากขอบฟ้า รังสีทองพาดลงมาบนทะเลสาบที่สะท้อนคลื่นของแสงสีแปลก ๆออกมา
ศาลาหลายแห่งตั้งอยู่เหนือน้ำ แต่ละแห่งมีทางเดินทอดยาวไปถึงฝั่ง ตั้งอยู่ในสถานที่ที่ต่างกันออกไป ศาลามีรูปแบบคล้ายดอกบัวเมื่อมองดูโดยรวม
ฮวาจูอวี้ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นทัศนียภาพอันงดงามเช่นนี้ นางเดินเล่นไปตามฝั่งทะเลสาบ ก่อนจะได้ยินเสียงขลุ่ยดังขึ้นเบาๆมาจากทางทะเลสาบ
นางหยุดก้าวเดินและฟัง นางรู้สึกว่าเพลงนี้ค่อนข้างคุ้นเคย หลังจากฟังอยู่สักครู่นางก็ตระหนักว่าเป็นบทเพลงที่จี่เฟิงหลี่ เล่นในช่วงงานเลี้ยงที่ที่พักของคังหวาง – โยว่สุย
ตามที่เหวิ่นวาน ได้พูดเอาไว้ บทเพลงนี้จี่เฟิงหลี่แต่งขึ้นเอง คืนนั้นที่งานเลี้ยง ฮวาจูอวี้ไม่ได้ฟังอย่างตั้งใจและรู้สึกว่ามันเป็นเพลงที่น่าฟัง และเมื่อได้ฟังมันอีกครั้งในวันนี้ใน พร้อมกับเหล่าดอกไม้ที่เฟื่องฟูและทะเลสาบที่ส่องประกาย นางรู้สึกราวกับว่าภายใต้เสียงนี้มีความรู้สึกของความโดดเดี่ยวอยู่
ในฐานะที่เป็นคนรักในเสียงเพลงอยู่แล้ว นางจึงช่วยไม่ได้ที่จะนั่งลงไปบนหินใกล้ ๆ และฟังอย่างเงียบ ๆ แต่หลังจากฟังนิ้วมือของนางเริ่มคัน ถ้ามีคนอื่นกำลังเล่นบทเพลงนี้ิอยู่ นางก็จะเข้าร่วมและเริ่มกลมกลืนไปกับพวกเขา แต่จำได้ว่าคนเล่นในครั้งนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจี่เฟิงหลี่ ความสนใจของนางก็หายไปอย่างสิ้นเชิง
นางจ้องมองไปทางศาลาและเห็นจี่เฟิงหลี่ กำลังยืนอยู่ใกล้กับราวบันไดหันหน้าไปทางน้ำพร้อมกับขลุ่ยหยกอยู่ในมือของเขา หลานปิงอยู่ข้างๆเขาดูเบื่อมาก ในขณะที่เขาพิงราวบันไดและมองไปข้างหน้า
เมื่อกลัวว่ากลานปิงอาจจะพบนางเข้า ฮวาจูอวี้จึงยืนขึ้นและหันหลังกลับเข้าไปในดงดอกไม้โดยตั้งใจจะมุ่งหน้ากลับ แต่หลังจากเพียงไม่กี่ก้าวนางก็ได้ยินเสียงของหลานปิงเรียกขึ้น “หยวนเป่า มานี่ๆ เจ้ากำลังวิ่งไปที่ไหน? ”
หัวคิ้วของฮวาจูอวี้ขมวดขึ้น ดวงตาของเขาคมชัดอย่างน่ารำคาญจริงๅ เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นนางจึงต้องหมุนกลับและค่อยๆเดินเข้าไป
“ท่านหลานปิง ท่านเรียกหยวนเป่า ด้วยเรื่องอันใดหรือ “ฮวาจูอวี้ถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม
เขายกหัวคิ้วก่อนจะตอบ”เป็นธรรมชาติอยู่แล้วที่จะมีเรื่องที่ควรจะพูดคุย เจ้าได้ฟังท่านเสนา เล่นขลุ่ยแล้ว เจ้าก็ต้องเล่นพิณเป็นการตอบแทน ข้าได้ยินมาว่าทักษะการเล่นพิณของเจ้าไม่ธรรมดาและเจ้าก็เล่นพิณในการประทังชีวิตมาก่อน ดังนั้นเล่นพิณให้ท่านเสนา และตัวข้าผู้ที่ต่ำต้อยเพื่อให้เราได้เปิดความรู้ของเราด้วย”
ฮวาจูอวี้รู้สึกหดหู่คำร้องขอของเขา แต่นางก็ยิ้มและตอบขึ้น “ท่านหลานปิง ทักษะการเล่นของขลุ่ยท่านเสนานั้นหาที่เปรียบไม่ได้ คนต่ำต้อยอย่างข้าจะกล้าแสดงทักษะเล็กน้อยของข้าต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญเช่นท่านเสนาได้อย่างไร”
เมื่อดวงอาทิตย์ตกอยู่ในขอบฟ้าที่ไกลออกไป จี่เฟิงหลี่ก็ยังคงยืนอยู่ใกล้กับราวของศาลา และไม่สนใจบทสนทนาข้างหลังเขาแม้แต่น้อย
หลานปิงยกคิ้วของเขาขึ้นในท่ารำคาญเล็กน้อยและพูดขึ้น”หยวนเป่า ตามจริงแล้วข้าไม่เคยได้ยินใครเล่นโยว่สุย ดีกว่าท่านเสนา ดังนั้นแม้ว่าทักษะของเจ้าจะด้อยกว่า เราก็จะไม่ทำให้เจ้ามีช่วงเวลาที่ยากลำบาก “
“การแต่งบทเพลงของท่านเสนาเป็นเรื่องที่อยู่เหนือโลกใบนี้ ข้ายอมรับว่าทักษะของข้าด้อยกว่าและไม่ต้องการเสียหน้า ถ้าไม่มีอะไรอื่นแล้วข้าขอลา “ฮวาจูอวี้ ตอบขึ้น
เขาส่ายศีรษะของเขา จากนั้นนิ้วของหลานปิง ลื่นไหลไปตามสายของพิณและเสียงที่สวยงามและชัดเจนก็สะท้อนออกมา
แล้วจู่ ๆฮวาจูอวี้ก็หันกลับมาและจ้องมองไปที่เครื่องดนตรีที่อยู่ใต้มือของหลานปิง ร่างของมันทำด้วยหยกขาวซีดคล้ายกับหิมะ ส่องสว่างและเงางาม นางรู้สึกประหลาดใจและช่วยไม่ได้ที่จะถามขึ้น “ฉิ่งเหลียนหรือ?”
หลานปิงตื่นตระหนก ก่อนจะถามขึ้น”เจ้ารู้จักฉิ่งเหลียนด้วยหรือ?”
นางรู้ว่านางมีลิ้นที่ไหลลื่น ก่อนจะมีรอยยิ้มอันที่อ่อนโยนและตอบขึ้น “มันไม่อาจถือได้ว่าเป็นการรู้จัก ข้าเพียงเคยได้ยินมาครั้งหนึ่ง พิณนี้ดูค่อนข้างคล้ายกับคำอธิบายของฉิ่งเหลียน ใช่หรือไม่ “ฉิ่งเหลียน เป็นหนึ่งในหลายๆ พิณที่มีชื่อเสียง ชัดเจนและไพเราะ
“เจ้าพูดถูกแล้ว นี่คือฉิ่งเหลียน จริงๆ” หลานปิงพูดพร้อมกับหัวเราะขึ้น “ข้าไม่คิดว่าหยวนเป่าจะสามารถบอกได้ว่านี่คือฉิ่งเหลียน ในตอนนี้เจ้าคงจะยินดีที่จะเล่นมันแล้วใช่? ไม่ใช่ว่าใครก็จะมีโชคชะตาที่จะได้พบกับฉิ่งเหลียนได้ รู้หรือไม่”
ฮวาจูอวี้เริ่มลังเลใจ มันเป็นโอกาสที่หาได้ยากที่จะได้พบกับพิณที่มีชื่อเสียง นางจ้องมองไปที่มัน ตอนนี้หัวใจของนางเริ่มสั่นคลอน แต่จริงๆแล้วนางไม่อยากเล่นเพื่อจี่เฟิงหลี่ นางตั้งใจจะปฏิเสธ ก่อนจะได้ยินเสียงที่เบาและสงบของจี่เฟิงหลี่ดังขึ้น “หลานปิงฉิ่งเหลียน เป็นบางสิ่งบางอย่างที่ทุกคนสามารถเล่นได้ตามที่พวกเขาต้องการหรือ? ถ้าพวกเขาต้องการเล่น เราก็ยังคงต้องดูว่าบทเพลงที่พวกเขาจะเล่นนั้นคุ้มค่ากับฉิ่งเหลียนหรือไม่ “แม้ว่าเสียงของเขาจะฟังดูน่ารื่นรมย์และอ่อนโยน แต่ก็ไม่อาจละเลยการเหยียดหยามในคำพูดของเขาได้
นางหันไปมองที่จี่เฟิงหลี่ ก่อนที่จะตัดสินใจที่จะนั่งหน้าฉิ่งเหลียน
ในขณะที่หลังของเขาเผชิญหน้ากับฮวาจูอวี้ จี่เฟิงหลี่เห็นนางนั่งอยู่หน้าฉิ่งเหลียน จากหางตาของเขาและริมฝีปากของเขาก็โคงขึ้นเป็นรูปแบบของรอยยิ้มขึ้น
ตอนที่ 92.3
“ท่านเสนา แล้วเพลงอะไรหรือที่ถือว่าคู่ควรกับฉิ่งเหลียน ?” ฮวาจูอวี้ ถามขึ้นอย่างเย็นชา
ในขณะที่ขลุยหยกอยู่ในมือ จี่เฟิงหลี่ก็ตอบขึ้น “ถ้าเจ้าสามารถบรรเลง โย่วสุ่ย ไปพร้อมกับข้าได้ ฉิ่งเหลียนก็จะเป็นของเจ้า”
ด้วยการแสดงออกอย่างเคร่งขรึมนางคิด ‘ดีจริงๆ จี่เฟิงหลี่ที่หยิ่งยโส เลือกที่จะเดิมพันด้วยพิณที่หาได้ยากที่สุดเช่นนี้ เขาคงต้องมั่นใจว่านางจะไม่สามารถที่จะประสานไปกับเขาได้ ดูเหมือนว่าพิณตัวนี้จะเป็นของนางในคืนนี้อย่างแน่นอน นางได้เล่นพิณต่อหน้าฮองเต้และหวงฝู่ อู๋ ซวงมาแล้ว ดังนั้นทักษะของนางจึงไม่ได้เป็นความลับ นางจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องอ้อมมือ
“เช่นนั้นก็ตามนี้ ท่านเสนาโปรดเริ่มได้”นางกล่าวขึ้นในขณะที่นางวางมือทั้งสองข้างของนางไว้บนสายพิณ
ปาศจากคำพูดใดๆ จี่เฟิงหลี่ ก็ยกขลุ่ยหยกขึ้นมาที่ริมฝีปากของเขาและเริ่มเล่นมัน
นิ้วของฮวาจูอวี้ก็ลื่นไหลไปทั่วพิณ สร้างเสียงที่เหมือนน้ำไหลและความรู้สึกของกลีบดอกไม้ลอยไปในสายลม เสียงที่สดใสสะท้อนอยู่ในศาลา ภายใต้แสงของพระอาทิตย์ตกดิน เสียงของพิณและขลุ่ยไล่ลื่นตามกันและกัน หมุนวนและกลมกลืนไปด้วยกัน เพื่อสร้างจังหวะที่สวยงามที่อ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ
และในที่สุดก็มาถึงเวลาที่เพลงหยุดลง
ฮวาจูอวี้เดิมทีคิดว่ามันเป็นบทเพลงคู่ที่ควรจะเรียบง่ายเท่านั้น นางไม่ได้คาดคิดว่าพวกเขาจะเล่นเข้ากันได้อย่างกลมกลืนและลงตัวเช่นนี้ แม้ว่าการเล่นของพวกเขาจะประทับใจนางเล็กน้อย แต่นางก็จะไม่ยอมปล่อยให้มันแสดงออกมา นางเพียงแค่มีรอยยิ้มที่อ่อนโยน ก่อนจะพูดขึ้น”ท่านเสนา ท่านคงจะไม่มีข้อคัดค้านถ้าข้าจะรับฉิ่งเหลียนไป”
ยืนอยู่ที่ทางเดิน จี่เฟิงหลี่หันหน้ามาทางฮวาจูอวี้ เนื่องจากดวงอาทิตย์ที่อยู่เบื้องหลังเขา จึงเกิดเงาบนใบหน้าของเขา ทำให้ดวงตาหงส์มีความโดดเด่นเป็นพิเศษและสว่างไสวมาก
หลานปิงกระโดดลงมาจากราวด้วยความรู้สึกตกใจ “อย่าบอกข้านะว่านี่คือสิ่งที่พวกเขาเรียกกันว่าเป็นตำนานที่ไร้ที่ติราวกับเสียงแห่งสวรรค์ นี่ …. นี่ … นี่ช่างเป็นการจับคู่ของสวรรค์ เป็นธรรมชาติและสมบูรณ์แบบ ราวกับคู่รักวัยเด็ก…. “
ฮวาจูอวี้ถึงกับตกตะลึงกับคำพูดของหลานปิง ฮวาจูอวี้กำลังจะพูดขึ้นและหยุดเขา ก่อนที่จะได้ยินเสียงเย็นชาของจี่เฟิงหลี่ดังขึ้น “ไร้สาระ! ถ้าเจ้าไม่รู้จักบทกวีบทนี้ก็อย่าใช้มัน! ”
ริมฝีปากของฮวาจูอวี้โค้งขึ้นเล็กน้อย นางรู้สึกชื่นชมหลานปิงอย่างมากที่สามารถทำให้จี่เฟิงหลี่ที่สงบและเก็บอารมณ์อย่างสม่ำเสมอถึงกับพูดคำว่า ‘ไร้สาระ’ออกมา มันไม่ง่ายเลยจริงๆ
จี่เฟิงหลี่ก้าวเข้าไปในศาลาและดูเหมือนจะเป็นคนแปลกหน้าสำหรับนาง ทั้งร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายเย็น เมื่อสายลมเย็นพัดผ่านเขาก็ดูเหมือนมันจะเปลี่ยนให้กลายเป็นความเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง ทำให้นางรู้สึกราวกับกำลังโดนลมกระโชกเข้ามาอย่างแรง
เมื่อเขาสบตากับนางแล้วเขาก็พูดขึ้นอย่างช้า ๆ ทีล่ะคำๆ “พิณนี้เป็นของเจ้า!”
จากนั้นเขาก็หันหลังและจากไปอย่างรวดเร็ว อาภรณ์สีขาวของเขาสะบัดอยู่ข้างหลังเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่เยือกเย็นที่ทำให้อากาศโดยรอบลดลงไปทันที
เมื่อเห็นเขาจากไปอย่างรีบร้อน หลานปิงก็รีบไล่ตามเขาไปพร้อมกับตะโกนขึ้น “ท่านเสนา มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ?”
จู่ๆ จี่เฟิงหลี่ก็หยุดลง ทำให้หลานปิง แทบจะชนเขาเข้าให้ เขาเหลือบมองมาที่หลานปิง ก่อนจะพูดขึ้นเบา ๆ “หลานปิงเดินทางไปที่หอนางโลม”
“อ่า?” หลานปิงเต็มไปด้วยความงงงวยเมื่อฟังคำพูดของเขาจบ ก่อนจะจ้องมองไปด้วยสายตาที่เปิดกว้าง
“อะไรนะ? ท่านเสนาบดี ทำไมท่านถึงต้องการให้ข้าไปที่หอนางโลม ผู้ใต้บังคับบัญชานี้เป็นคนดี ข้าไม่เคยไปที่หอนางโลม ในหัวใจของข้ามีเพียง … ”
“ซื้อผู้หญิง!” จี่เฟิงหลี่จู่ๆ ก็ขัดจังหวะขึ้น ก่อนที่จะเอามือไขว่หลังและก้าวไปข้างหน้าสู่ด้านข้างของทะเลสาบ
“อะ … อะไรนะ? ซื้ออะไรนะ? “หลานปิงถามขึ้นด้วยความขึ้นสับสน
จี่เฟิงหลี่หยุดเดินและหันกลับมา พร้อมกับร่องรอยของแสงของพระอาทิตย์ตกส่องลงมาบนครึ่งหนึ่งของใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา เขาหรี่ดวงตาหงส์และพูดขึ้นอย่างเย็นชา “ข้าอยากกินเนื้อสัตว์!”
หลานปิงถึงกับแข็งค้างและยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนกับคนโง่
ฮวาจูอวี้ยังคงนั่งอยู่ในศาลา เฝ้าดูพวกเขา ในขณะที่พวกเขารีบเร่งจากไป สายลมพัดเย็นๆและดวงอาทิตย์ค่อยๆจมลงไปใต้เส้นขอบฟ้าเพื่อเตือนถึงการมาถึงของพลบค่ำ
นางไม่ได้คาดหวังว่าจี่เฟิงหลี่ จะส่งมอบฉิ่งเหลียน ให้กับนางจริงๆ แม้ว่านางจะชนะการเดิมพัน ฉิ่งเหลียนก็มีค่ามาก มันจะดูไม่เหมาะที่นางจะเอาไปแบบนี้หรือไม่?
เนื่องจากตอนนี้มันก็มืดแล้วและนางก็ไม่สามารถทิ้งฉิ่งเหลียนไว้เช่นนี้ได้เพราะฉะนั้นนางจึงตัดสินใจที่จะนำมันกลับไปก่อน ระหว่างทางนางนึกถึงสีหน้าอันเย็นชาของจี่เฟิงหลี่ ก่อนที่เขาจะจากไปและรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก
นางไม่เคยเห็นการแสดงออกที่ไม่น่าดูบนใบหน้าของจี่เฟิงหลี่ มาก่อนเอาจริงๆแม้ว่าจะไม่มีใครสามารถทนฟังคำพูดของหลานปิงได้ แต่นางเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้จี่เฟิงหลี่หงุดหงิด มากที่สุดคือความจริงที่ว่าเขาได้พ่ายแพ้ให้กับนาง
ระหว่างทางกลับนางดีดไปที่สายพิณสองสามครั้งโดยไม่ตั้งใจ เนื่องจากมันไม่ใช่พิณของนาง นางจะเพียงแค่เล่นกับมันไปสักสองสามวันก่อนที่จะส่งมันกลับ ใครจะไปต้องการพิณนี้จริงๆกัน
ตอนที่ 93.1
ในอดีตที่ผ่านมา เมื่อไหร่ก็ตามที่จี่เฟิงหลี่มอบคำสั่งให้หลานปิง หลานปิงจะทำภารกิจให้เสร็จสมบูรณ์โดยไม่มีข้อบกพร่อง ดังนั้นจึงเป็นธรรมชาติที่ครั้งนี้ก็จะไม่มีข้อยกเว้นด้วยเช่นกัน ภายในช่วง 5 วันเขาได้เลือกผู้หญิงอย่างระมัดระวังจากในหมู่คนในหอนางโลมของเมืองหยู หลานปิงรู้อย่างชัดเจนว่าจี่เฟิงหลี่ เกลียดผู้ชายที่ขาดความรับผิดชอบ ดังนั้นเขาจึงไม่เคยพาผู้หญิงคนใดไหนเข้ามาในจวนของเขา ถ้าท่านเสนาจี่ ไม่ชอบใครสักคนเขาจะไม่ต้องการนาง แต่มาตรฐานของท่านเสนาจี่นั้นอยู่ในระดับที่สูงมากแม้แต่ผู้หญิงที่มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งของเมืองหลวงอย่างเหวินว่าน และองค์หญิงสามหวงฝู่ เยียน ก็ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของเขาได้
ดังนั้นหลานปิง จึงมีความสนใจเป็นอย่างยิ่งในการเลือกผู้หญิงมาให้จี่เฟิงหลี่ แม้ว่าผู้หญิงที่เขาเลือกไม่ได้ถือว่างดงามพอที่จะทำลายแคว้นได้ แต่นางก็ยังคงมีความงามที่โดดเด่นเป็นอย่างมาก
ความเงียบสงบในเวลากลางคืนก็เหมือนน้ำ ดวงจันทร์ที่โค้งเหมือนหัวคิ้วของหญิงสาว วางอยู่บนผืนผ้าใบสีดำของท้องฟ้ายามค่ำคืนพร้อมกับดวงดาวนับไม่ถ้วน เรืองแสงเหมือนดวงตาที่แจ่มชัดของความงามที่มีเสน่ห์
ในห้องที่ได้รับการตกแต่งอย่างเรียบง่าย จี่เฟิงหลี่นั่งอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือ แล้วจู่ๆ นอกห้องหลานปิง ก็พูดขึ้น “ท่านเสนา คนมาถึงแล้ว ท่านต้องการจะดูหรือไม่ขอรับ? ”
จี่เฟิงหลี่ เงยหน้าขึ้นมองและส่งเสียงเพื่อเป็นการรับรู้
หลานปิงยิ้มขึ้นเมื่อรับรู้ ก่อนจะจากไปและทิ้งให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ข้างหลังเขาเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับถือเครื่องดนตรีผีผา นางอยู่ในชุดปักสีเหลืองอ่อนที่ช่วยเสริมผิวอันอ่อนนุ่มของนาง ทำให้นางดูบอบบางและสง่างาม นางดูเหมือนจะเป็นคนสงบและมีหัวคิ้วที่งดงาม เป็นความงามที่หาได้ยากไม่น้อย
ทันทีที่นางเดินเข้าไป นางก็ทำความเคารพจี่เฟิงหลี่ ก่อนจะพูดด้วยเสียงนุ่ม ๆขึ้น “ข้าน้อย อันรุ่ยคารวะท่านเสนา ท่านเสนาต้องการฟังเพลงหรือต้องการดูการเต้นรำหรือไม่เจ้าค่ะ”
จี่เฟิงหลี่วางหนังสือลงไปบนโต๊ะ ก่อนจะค่อยๆยกถ้วยเหล้าเพื่อลิ้มรสของมัน ดวงตาที่ดำมืดของเขาหรี่ลงในขณะที่กวาดไปมองผู้หญิงคนนั้นและตอบขึ้น “ไม่จำเป็น” เขาวางถ้วยเหล้าลง ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินไปที่เตียง
หญิงสาวตกใจเล็กน้อย ตอนแรกนางไม่รู้ว่าใครเป็นลูกค้าของนาง นางได้ยินมาจากแม่เล้าว่าเขาได้มอบเงินจำนวนมากเพื่อซื้อเวลาของนางและให้นางรับใช้เขาในคืนนี้ นางตื่นเต้นมากและนางก็ได้เตรียมบทเพลงมาหลายเพลงเพื่อที่จะทำให้ผู้ซื้อของนางพอใจ แต่นางไม่ได้คาดหวังว่าลูกค้าของนางจะกลายเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้าย
ในเมืองหลวง มีเจ้าหน้าที่มากมายเท่าไหร่ที่ได้พยายามหาทางที่จะส่งผู้หญิงมายังที่จวนของท่านเสนา? ลูกหลานของเหล่าขุนนางกี่คนในเมืองหยูที่ต้องการจะเป็นอนุของเขา? แม้แต่ในหอนางโลมก็มีผู้หญิงหลายคนฝันที่จะได้นอนบนเตียงของเขา แม้ว่าจะเป็นเพียงคืนเดียวเท่านั้น แต่คืนนี้ท่านเสนาจี่กลับได้เรียกตัวนางมา ถ้าข่าวนี้ไปถึงหูของผู้หญิงในเมืองหยู จะมีกี่คนที่จะต้องหัวใจแตกละสาย นางมีความสุขจริงๆ แต่นางไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะไม่ต้องการฟังเพลงหรือดูการเต้นรำก่อน เขาเพียงแค่เดินตรงไปที่เตียงโดยไม่มีคำพูดใดๆ เลยด้วยซ้ำ
หลังจากอยู่ในหอนางโลมมานาน นางก็ตระหนักดีถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างชายกับหญิง ดังนั้นแม้ว่านางจะอยู่ในวงการค้าขายทักษะของนางไม่ใช่ร่างกายของนาง แต่นางก็ไม่ได้โง่เขลาที่จะไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านเสนาจี่ต้องการ มันเป็นเพียงแค่ทุกสิ่งดูเหมือนจะเดินไปอย่างรวดเร็วจนทำให้นางรู้สึกตกใจ
นางมองไปที่จี่เฟิงหลี่ ที่นั่งอยู่ใกล้หน้าต่างและรู้สึกเหมือนกับว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านางเหมือนดอกไม้ ที่แปลกใหม่ และกำลังบานสะพรั่งอยู่ในยามค่ำคืน นางได้พบกับผู้ชายมานับไม่ถ้วนในชีวิตของนางและหลายคนก็หล่อเหลามาก แต่นางไม่เคยเห็นความงามแบบนี้มาก่อน มันทำให้นางกระวนกระวายและหายใจแทบจะไม่ออก
นางวางเครื่องดนตรีผีผาลงไปบนพื้นและเดินไปที่เตียงทีละก้าวๆ นางยกศีรษะของนางขึ้นและจ้องมองไปที่ใบหน้าที่อยู่ตรงหน้าของนาง ที่มันดูหล่อเหลามากนางทำให้จิตวิญญาณของนางหลงอยู่ข้างใน
ด้วยการแสดงออกอย่างเคร่งขรึม จี่เฟิงหลี่ก็พูดขึ้น “เจ้าจะยืนอยู่ตรงไหนเพื่ออะไร? ปลดเปลื้องเสื้อผ้าออก! “น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนเหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิแต่ก็ยังมีความเยือกเย็นมาพร้อมกับมัน
นางยกมือขึ้นเช็ดเม็ดที่เหงื่อที่อยู่บนหน้าผากของนางออกเบาๆ ก่อนจะเริ่มเปลื้องผ้า จากกระโปรงสีเหลืองของนาง ชุดสีขาวที่อยู่ด้านในและในที่สุดก็มีเพียงชุดชั้นในสีแดงที่เหลืออยู่ในร่างกายของนาง ในขณะที่นางยืนอยู่อย่างเงียบๆ ตรงหน้าของจี่เฟิงหลี่
แสงจางๆ ส่องลงมาบนผิวที่อ่อนนุ่มของนาง เอวคอด หน้าอกสูงตระหง่านและมีเส้นโค้งที่มีเสน่ห์ ร่างกายของนางเป็นสิ่งที่งดงามและน่าหลงใหล
จี่เฟิงหลี่จ้องมองไปทั่วร่างของนาง แต่กลับไม่มีร่องรอยของอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ปรากฏขึ้นในสายตาที่ดำมืดของเขา
ด้วยเท้าเปล่า นางค่อยๆคลานขึ้นไปบทเตียง ก่อนจะพาตัวเองเข้าไปหาจี่เฟิงหลี่ นางใช้แขนกอดไปรอบๆ ตัวเขาและเปิดปากของนางขึ้นเล็กน้อยเพื่อปลดที่คาดเอวหยกออก แม้ว่านางจะประหม่า แต่นางก็ไม่ได้ละเลยสิ่งเหล่านี้ เมื่อที่คาดเอวหยกหลุด อาภรณ์ของเขาหลวมและก็ตกลงไปบนพื้นในทันที
แสงที่ไม่สามารถอ่านได้ส่องประกายขึ้นมาในดวงตาของเขา แล้วเขาก็เอนตัวลงไปกับหัวเตียง ตามหลังเขามาเหมือนเงา นางเอนตัวลงไปและจูบข้อเท้าของเขาและยังคงจูบเขาต่อไปและในแต่ละครั้งก็จะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
เอนกายลงไปบนเตียง เขารู้สึกได้ถึงริมฝีปากนุ่ม ๆ บนต้นขาของเขา ความอบอุ่นและความนุ่มนวลของริมฝีปาก ทำให้เขาระลึกถึงริมฝีปากของคนอื่น ริมฝีปากนั้นนุ่มนวลและร้อนกว่าที่อยู่ต่อหน้าเขาตอนนี้ มันเหมือนกลีบดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิที่ค่อยๆตกลงมาบนริมฝีปากของเขา บังคับให้เลือดไหลเข้ามาในปากของเขา ตอนแรกเขาคิดว่ามันเป็นยา แต่หลังจากที่ได้ยินคนผู้นั้นบอกฮูหยินว่าให้ป้อนเลือดของนางให้เด็กดื่ม ในที่สุดเขาก็สามารถประติดประต่อทุกอย่างเข้าด้วยกันได้ กลิ่นลึกลับที่แทรกซึมไปทั่วห้องภายในคืนจริงๆ แล้วมันเป็นกลิ่นของเลือด และยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นเลือดของคนผู้นั้น
คนผู้นั้นที่ใช้เลือดของตัวเองเพื่อช่วยเขา!
หลังจากจูบเขามาระยะหนึ่ง หญิงสาวก็ไม่รู้สึกถึงปฏิกิริยาใด ๆ จากจี่เฟิงหลี่ ดังนั้นนางจึงเงยหน้าขึ้นมองเขา ในเวลานี้นางตระหนักได้ว่าแม้ว่าดวงตาเหล่านั้นจะกำลังจ้องมองนางอย่างเห็นได้ชัด แต่พวกมันก็ดูเหมือนกำลังจ้องมองไปยังที่ที่ห่างไกลออกไป ดวงตาของนางก็เปลี่ยนเป็นความเศร้าก่อนจะเหยียดขาที่เรียวของนางลงไปที่ขาของเขา พร้อมกับสายตาที่น่าหลงใหล นางได้เรียกชื่อเขาด้วยเสียงอันอ่อนหวานและไร้เดียงสาออกไป “ท่านเสนา”
เขามองลงไปที่ผู้หญิงที่อยู่ต่อหน้าเขา แต่ความคิดของเขากลับถูกยึดครองโดยภาพของคนอื่น เขานึกค่ำคืนที่ทั้งสองเปลือยเปล่าและต่อสู้กันในทะเลสาบ เมื่อผู้หญิงที่อยู่ต่อหน้าเขา เอนกายลงมาและจูบบนหน้าอกของเขา
ดวงตาของเขาไม่สามารถอ่านได้ ในขณะที่ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่จาง ๆ ภายใต้แสงที่บางเบา รอยยิ้มของเขาดูเฉื่อยชาเป็นอย่างยิ่ง นิ้วที่เรียวยาวยื่นออกมาเพื่อจับแก้มของผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าของเขา มือของเขาค่อย ๆ เลือนลงไปบนคอของนาง และลงไปที่สายรัดของชุดชั้นในของนาง เขาปลดมันออก และราวกับกลีบของดอกไม้สีแดง มันค่อยๆตกลงไปกับพื้น
แม้ว่าหน้าอกที่สูงตระหง่านของนางจะอยู่ตรงนั้นต่อหน้าของเขา แต่ดวงตาของเขากลับเห็นเพียงแค่ภาพของบุคคลในคืนนั้นที่ทะเลสาบ ในขณะที่คนผู้นั้นรีบกลับลงไปในทะเลสาบเมื่อเขาปรากฏตัวขึ้น ถ้าคนคนนั้นจะมีหน้าอกที่สูงตระหง่านเหมือนคนที่อยู่ข้างหน้าของเขาในตอนนี้… แต่น่าเสียดายที่หน้าอกของคนผู้นั้นค่อนข้างจะแบน
ตอนที่ 93.2
จี่เฟิงหลี่ถึงกับตกตะลึงไปกับความคิดของเขา ดวงตาของเขาดำมืดลงและเขารู้สึกหงุดหงิดอย่างไม่มีเหตุผล ทันใดนั้นเขาก็ยืนขึ้นและคว้าข้อมือของผู้หญิงคนนั้น ก่อนจะพลิกตัวของนางและกดนางไว้ใต้ร่างของเขา เขาลูบไล้หน้าอกของนางเบา ๆ ภายใต้การสัมผัสของเขา ร่างกายของนางสั่นและลมหายใจของนางก็เร็วขึ้น นางหายใจเข้าออกอยู่ข้างๆ หูของเขา ยิ่งกว่านั้นเมื่อนางจ้องมองไปที่ชายที่อยู่ตรงหน้านางมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดมากขึ้นและไม่สามารถผ่อนคลายตัวเองได้
การหายใจของพวกเขาค่อยๆหนักขึ้นเรื่อยๆ เมื่อจี่เฟิงหลี่จูบกระดูกไหปลาร้าของนางเบา ๆ ก่อนที่จะไล่ลงมาบนร่างของนาง
ริมฝีปากสีแดงของนางจูบมาที่แก้มและมาที่ริมฝีปากของเขา เมื่อริมฝีปากของนางมาประจบกับริมฝีปากของเขา การสัมผัสที่นุ่มนวลทำให้จี่เฟิงหลี่ถึงกับแข็งค้างไปทันที จากนั้นเขาก็กดนางลง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความปรารถนาที่คลุมเครือแต่คำพูดที่เขาพูดออกมากลับไม่สอดคล้องกัน “ออกไป!”
หญิงสาวเต็มไปด้วยความตกใจ แต่มือสีขาวราวกับหิมะของนางก็ยึดอยู่กับลำคอของเขา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานขึ้น “เสนาบดี …… ให้อันรุ่ย รับใช้ท่านในคืนนี้ ท่านเสนา หย่าให้อันรุ่ยไปเลยนะเจ้าค่ะ “เสียงของนางเปลี่ยนเป็นความเศร้าและผิดหวัง นางไม่เข้าใจ เห็นได้ว่าท่านเสนาก็คล้อยตาม แต่ทำไมเขาถึงได้หยุด?
*****
สองสามวันนี้จี่เฟิงหลี่ยุ่งมาก นางได้ยินมาว่าเขาหมกมุ่นอยู่กับการเตรียมพร้อมสำหรับการสอบศิลปะการต่อสู้ ดังนั้นฮวาจูอวี้จึงไม่ได้พบเขาเลย นางได้เล่นกับฉิ่งเหลียนเป็นเวลาสองสามวันแล้วและตัดสินใจว่าถึงเวลาที่จะคืนมันแล้ว นอกจากนี้นางต้องการหาโอกาสที่จะทำให้เขายอมปล่อยให้นางทำงานและเดินตามเขายังราชสำนัก อยู่แต่ที่จวนเสนา ทำให้นางขาดการติดต่อสื่อสารจากภายนอก
นางถือพิณและมุ่งหน้าไปที่เฟิงหยวน ก่อนจะเห็นหลานปิง เดินกลับไปกลับมาที่ประตู เมื่อเขาเห็นนาง เขาก็ถามขึ้น “หยวนเป่า เจ้ามาทำไมที่นี่หรือ?” เขารีบเดินเข้ามาหานางและปิดกั้นเส้นทางของนาง พร้อมกับหน้าตาอันหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ฮวาจูอวี้ช่วยไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้น “ข้านำพิณมาคืน ข้าไม่ใช่มือสังหารท่านหลานปิงท่านจะตื่นตระหนกอะไรขนาดนี้?”
เมื่อเห็นนางหัวเราะเขาก็นิ่งงันไป ทันใดนั้นเองเขาก็ชี้ไปที่ใบหน้าของนางพร้อมกับพูดขึ้น “เจ้าๆ เจ้ามันจริงๆเลย … ” เขาพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะยับยั้งตัวเองไม่ให้พ่นคำว่า ‘ชั่วร้าย’ ออกมา ชายที่เกิดมาพร้อมกับใบหน้าที่งดงามเช่นนี้ ถ้าเขาไม่ใช่คนชั่วร้ายแล้วเขาจะเป็นอะไร? คิดย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นที่ศาลา จู่ๆ มันก็ทำให้เขาตะขิดตะขวงใจและเขาก็สงสัยว่าที่ท่านเสนา ต้องการหาเพื่อนหญิง เพราะหยวนเป่าหรือไม่
“ข้าอะไร?” หัวคิ้วของฮวาจูอวี้ขมวดขึ้นในขณะที่ถามออกไป
“ไม่มีอะไร รออยู่ตรงนี้สักครู่ ข้าจะไปแจ้งก่อน! “หลานปิงพูดขึ้น ก่อนจะเข้าไปในเรือนเฟิงหยวน เขาเดินไปรอบ ๆ ลานและเดินกลับออกไป เป็นธรรมชาติที่เขาจะไม่แจ้ง เขาต้องการให้คนตัดแขนเสื้อหยวนเป่าผู้นี้ได้เห็นท่านเสนากำลังแสวงหาความสุข เพื่อที่เขาจะได้เข้าใจว่าท่านเสนาชอบผู้หญิงและไม่ได้สับสนไปกับจินตนาการแปลกๆของเขา
หลังจากนั้นสักครู่ หลานปิงก็มาปรากฏตัวที่ข้างหน้าของนาง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเข้าไปได้ ท่านเสนากำลังรอเจ้าอยู่ที่ห้องนอนด้านใน”
หัวคิ้วของฮวาจูอวี้ขมวดขึ้น “ห้องนอนหรือ? ท่านเสนากำลังหลับอยู่หรือ? ”
หลานปิงยิ้ม ก่อนจะพูดขึ้น “ไม่ ไม่ เขายังตื่นอยู่และกำลังอ่านหนังสืออยู่ หยวนเป่า เจ้าเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิงที่จะต้องมีความกังวลเกี่ยวกับการเข้าไปในห้องนอนท่านเสนา? ”
ฮวาจูอวี้ยิ้มและตอบขึ้น “ข้าเพียงแค่กลัวว่าข้าจะไปรบกวนท่านเสนาก็เท่านั้น!” เมื่อพูดจบ นางก็ผลักประตูให้เปิดออก ก่อนจะเดินเข้าไปภายในพร้อมกับพิณ
ห้องพักที่กว้างขวาง สว่างไสวไปด้วยโคมไฟขนาดเล็กเพียงแห่งเดียว ทำให้เกิดแสงเพียงเล็กน้อย ฮวาจูอวี้ กำลังใคร่ครวญว่านางควรจะกลับไปหรือไม่ เมื่อนางนึกถึงคำพูดของหลานปิง แต่ในขณะนี้ตัวตนของนางคือผู้ชาย ถ้านางระมัดระวังตัวเกินไป คนอื่นอาจจะสงสัยถึงตัวเองของนางหรือไม่? เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นางก็ตัดสินใจที่จะเดินไปข้างหน้าช้าๆ
“ท่านเสนา ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้มาที่นี่เพื่อส่งฉิ่งเหลียนคืน” เสียงของนางสะท้อนอยู่ในห้องที่มีแสงสว่างเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อพูดคำของนางหลุดออกไป นางก็แข็งค้างอยู่กับที่ทันที
เพิ่งจะหัวใจแตกสะลายไปเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา จากการถูกไล่ของจี่เฟิงหลี่ หญิงสาวคนนี้ก็เต็มไปด้วยความสุขอีกครั้ง เมื่อมือของเขากระชับที่เอวของนางและดึงนางกลับเข้ามาในอ้อมกอดของเขา นางสงสัยว่าเขาเสียใจกับการตัดสินใจของเขาหรือไม่ ในขณะที่นางใช้โอกาสนี้เพื่อที่จะยึดที่คอของเขาด้วยแขนของนาง
ฮวาจูอวี้ตกใจกับฉากที่เกิดขึ้น ถึงกับยืนอยู่กับที่ จี่เฟิงหลี่ เอนกายอยู่บนเตียงกับหญิงสาวที่เปลือยกายกำลังนอนอยู่บนหน้าอกของเขา ภายใต้แสงจ้าและอากาศที่คลุมเครือ ทั้งสองคนต่างก็โอบกอดกันและกัน ไม่ว่าจะมองอย่างไร มันก็มีข้อสรุปเพียงอย่างเดียวที่จะดึงออกมาจากฉากดังกล่าวได้
นางเก็บคำสาปแชงที่มีต่อหลานปิงลงไป ก่อนจะมีรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าของนางพร้อมกับพูดขึ้น “ท่านเสนา โปรดตามสบาย ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้ขอตัวก่อน”
นางวางพิณไว้บนพื้น ก่อนจะหันหลังและเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
“ช้าก่อน!” เสียงที่ฟังสบายๆ ของจี่เฟิงหลี่ดังขึ้นมาจากเตียง “เจ้าต้องการที่จะทำลายพิณโดยการวางมันไว้อย่างนั้นหรือ?”
หัวคิ้วของฮวาจูอวี้ขมวดขึ้น ในเมื่อเขาไม่มีความละอายที่จะเปิดเผยฉากเช่นนี้ มันก็ไม่มีเหตุผลที่นางควรจะอับอายด้วยเช่นกัน นางหยิบมันขึ้นมาและวางมันลงไปบนโต๊ะข้างเตียง “แล้วตรงนี่ใช่ได้หรือไม่ท่านเสนา?”
จี่เฟิงหลี่ไม่แม้แต่จะเหลือบมองมาที่นาง ก่อนจะยิ้มและพูดขึ้น “อืม วางมันไว้ตรงนั้น หยวนเป่านั่น ข้ามีเรื่องที่จะพูดคุยกับเจ้า”
ฮวาจูอวี้รู้สึกตกใจเล็กน้อย เอาจริงๆ นางไม่ต้องการที่จะเฝ้าดูฉากที่อยู่ตรงหน้าของนางต่อ แต่เนื่องจากเจ้านายพูดออกมาเช่นนี้ นางก็ไม่สามารถปฏิเสธได้
ฮวาจูอวี้นั่งอยู่ที่โต๊ะและวางคางลงไปบนมือ ด้วยท่าทางเบื่อๆ
จี่เฟิงหลี่ กวาดสายตากลับมาที่ผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา ก่อนจะเหลือบมองไปที่คนที่เพิ่งจะนั่งลง เมื่อช่วงเวลาที่ผ่านมา จี่เฟิงหลี่มีแรงกระตุ้นที่แปลกประหลาดที่ทำให้เขาผลักผู้หญิงคนนี้ที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาออกไป
ตอนที่ 94.1
กลิ่นกุหลาบจากถ้วยเหล้าที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง ยังคงวางอยู่บนโต๊ะไม้ซึ่งนางคิดว่าเป็นของจี่เฟิงหลี่
นางรู้สึกเบื่อ นางจึงเอื้อมมือออกไปและเทเหล้าให้ตัวเองถ้วยใหม่ นางกลับมานั่งอยู่ในที่นั่งของนางและกำลังจะจิบมัน เมื่อหน่วยความจำที่ไม่พึงประสงค์กลับเข้ามาในหัวใจของนาง ทำให้นางหยุดและหัวคิ้วก็ขมวดขึ้น ต้องทนทุกข์ทรมานในงานแต่งงานในห้องเจ้าสาวอย่างมาก นางจึงตัดสินใจที่จะไม่ดื่มเหล้าของจี่เฟิงหลี่ เพื่อมิให้นางต้องตกเป็นเหยื่อของแผนการของเขาอีกครั้ง
เหลือบมองไปที่ศีรษะของหญิงสาวในอ้อมแขนของเขา จี่เฟิงหลี่ ก็เห็นฮวาจูอวี้ นั่งสบาย ๆ อยู่ที่โต๊ะด้วยถ้วยเหล้าที่อยู่ในมือ เขาหรี่ตาหงส์ของเขาลงพร้อมกับคิด เหยาเป่า ดีจริงๆ! เจ้าต้องการดูการแสดงใช่ไหม? ทันใดนั้นเขาหงุดหงิดก่อนจะคว้าข้อมือของผู้หญิงเอาไว้แล้วผลักนางออกไป
“ท่านเสนา .. ” ผู้หญิงร้องออกมาด้วยความคับข้องใจ ในขณะมองขึ้นไปที่จี่เฟิงหลี่
“ออกไป!” จี่เฟิงหลี่สั่งขึ้นด้วยเสียงต่ำและคำใบ้ของควาอดทนที่กำลังจะหมดลงของเขา
หญิงสาวไม่กล้าที่จะส่งเสียงออกมาอีกครั้ง ก่อนจะรีบใส่เสื้อผ้าของนาง หลังจากที่ทำความเคารพต่อจี่เฟิงหลี่ นางก็พาตัวเองออกไปอย่างเงียบ ๆ
ฮวาจูอวี้ เตรียมตัวให้พร้อมที่จะเฝ้าดูและเรียนรู้ แต่คาดไม่ถึงว่าจี่เฟิงหลี่ จะหยุด นางยังคงเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ดังนั้นการหยุดของเขาจึงทำให้นางรู้สึกโล่งอกไม่น้อย ถ้าจี่เฟิงหลี่ ยังคงทำไปจนจบ นางก็ไม่รู้ว่านางจะสามารถทนดูให้จบได้หรือไม่ มันแตกต่างจากการศึกษาสงครามและการสังเกตการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ นางไม่ต้องการเรียนรู้สิ่งต่างๆจากคนอื่น นางต้องการให้สามีในอนาคตของนางสอนนางเท่านั้น
หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นเดินออกไป ห้องก็เงียบลงทันที
จี่เฟิงหลี่ นั่งพิงกับเตียง ไม่ทำการเคลื่อนไหวใดๆ แม้แต่เพียงครั้งเดียวเป็นเวลานาน ส่วนฮวาจูอวี้ นางยังคงถือถ้วยเหล้าที่ไม่กล้าที่จะดื่มเอาไว้
“ท่านเสนา คุณต้องการสั่งอะไรหรือไม่?” ฮวาจูอวี้ถามขึ้นในขณะที่นางยกศีรษะขึ้นด้วยรอยยิ้ม นางอยากจะรู้ว่าเขาต้องการจะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องอะไร
จี่เฟิงหลี่ จ้องมองนางด้วยดวงตาหงส์ที่ลึกซึ้งของเขาพร้อมกับร่องรอยของชั่วร้าย
“มานี่!” เขาสั่งอย่างเยือกเย็นขึ้น
ฮวาจูอวี้รู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่นางก็วางถ้วยไว้บนโต๊ะและค่อยๆเดินไป
จี่เฟิงหลี่ ยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม ครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเตียง เสื้อคลุมด้านในของเขาเปิดออก เผยให้หน้าอกที่แข็งแกร่ง และกางเกงสีขาวของเขาก็ถูกดึงลงเล็กน้อย พร้อมกับผมหมึกสีดำที่พาดทับบนไหล่ของเขา ความงดงามของเขายิ่งน่าหลงใหลเข้าไปอีก
ภาพนี้อาจทำให้นางหลงรักในอดีต แต่ปัจจุบันนางไม่รู้สึกสะทกสะท้านแม้แต่น้อย สำหรับนางเขาเป็นเหมือนภัยพิบัติบางอย่างที่นางต้องหลีกเลี่ยงและอยู่ให้ห่างไกลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“ท่านเสนา ท่านเรียกผู้ใต้บังคับบัญชามาที่นี่ด้วยเรื่องอะไรหรือ?” ฮวาจูอวี้ ถามในขณะที่หัวคิ้วขมวดขึ้น
“ช่วยข้าแต่งตัว” จี่เฟิงหลี่สั่งขึ้น ในขณะที่ดวงตาหงส์ที่งดงามของเขากวาดมาที่นาง
ฮวาจูอวี้ ยืนอยู่ในกับเนื่องด้วยความตกตะลึง สถานการณ์นี้คืออะไร? ยิ่งคิดเรื่องนี้ก็ยิ่งทำให้นางสับสนมากขึ้น
ดวงตาดำมืดของเขายังคงอยู่บนใบหน้าของนางแล้วริมฝีปากของเขาก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม “เจ้าก็ต้องรอปฏิบัติกับหวงฝู่ อู๋ ซวง เช่นนี้ไม่ใช่หรือ?”
มันเป็นความจริงที่นางได้ต้องช่วยหวงฝู่ อู๋ ซวง ด้วยเรื่องดังกล่าว แต่นางเป็นขันทีส่วนตัวของเขาและนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งในหน้าที่ของนาง สำหรับจี่เฟิงหลี่ เขาเป็นใครที่นางจะต้องมาทำเช่นนี้กับเขา?
“อะไร? เจ้าไม่ต้องการทำหรือ? ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากเป็นผู้คุ้มกันส่วนตัวของข้าหรอกหรือ? ตั้งแต่ที่เจ้าก็มาถึงที่นี่อยู่ในจวนของข้า เมื่อไหร่กันที่เจ้าเคยทำงานของเจ้า? “เขาถามด้วยน้ำเสียงที่สบายๆ ไม่ได้เปิดเผยร่องรอยของอารมณ์ใดๆ
ฮวาจูอวี้ยิ้มเป็นการตอบและมองไปรอบ ๆ ห้อง เมื่อนางเห็นตู้เสื้อผ้า นางก็เดินตรงเข้าไปและเลือกผ่านพวกมัน ก่อนที่หยิบเสื้อคลุมสีขาวและนำมันไปให้จี่เฟิงหลี่
เขาพูดถูก วัตถุประสงค์ของนางในการมาที่นี่คือการสอดแนมข้อมูลเพื่อที่นางจะได้พบกับโอกาสเช่นในคืนนี้ ถ้าวิธีเดียวที่จะอยู่เคียงข้างเขาก็คือช่วยเขาทำหน้าที่ดังกล่าว นางก็จะทำมัน
นางค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้และปรับเสื้อชั้นในของเขา ก่อนที่จะช่วยเขาใส่เสื้อคลุมสีขาว นางหยิบสายรัดหยกที่อยู่บนพื้นขึ้นมาและผูกไว้รอบเอวของเขา
จี่เฟิงหลี่ ยืนอยู่ที่นั่นเงียบ ๆ หันหน้าไปข้างหน้าอย่างไม่แยแส และปล่อยให้นางแต่งกายให้เขา ลมหายใจของเขาอยู่ข้างหูของนางพร้อมด้วยกลิ่นหอมอ่อน ๆ ถึงแม้ว่านางจะระมัดระวังแค่ไหน แต่นิ้วมือของนางก็ยังคงสัมผัสผิวพรรณที่เปลือยเปล่าของเขาเป็นครั้งคราว การสัมผัสนี้ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นไม่เหมือนก่อน และเขาก็ช่วยไม่ได้ที่จะก้มลงไปมองที่นาง เมื่อดวงตาของเขาตกลงไปบนริมฝีปากสีแดงของนาง เขาก็รู้สึกราวกับว่าเขาโดนโจมตีเข้าให้โดยสายฟ้าผ่าและรีบหันสายตาของเขาไปทางอื่นทันที
“ท่านเสนา มีอะไรอย่างอื่นอีกหรือไม่” ฮวาจูอวี้ถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม
จี่เฟิงหลี่ หรี่ตาของเขาลง อากาศที่หนาวจัดออกมาจากร่างกายของเขาในขณะที่เขาพูดว่า “ไสหัวไป!”
ฮวาจูอวี้ สงสัยว่านางได้ยินเรื่องนี้ผิดไปหรือไม่
จี่เฟิงหลี่ มักจะเป็นคนที่เต็มไปด้วยความสงบและเยือกเย็นอยู่เสมอ อย่างไรก็ตามภายในไม่กี่วัน คำพูดเหล่านี้กลับหลุดออกมาจากปากของเขาได้ถึงสองครั้ง ครั้งแรกก็กับหลานปิงและตอนนี้ก็กับนาง
มันเป็นการยากสำหรับนางที่จะเข้าใจผู้ชายคนนี้ ปกติเขาสุภาพเรียบร้อยราวกับหยกชั้นดี แต่ตอนนี้เขาทำตัวเหมือนปีศาจที่มีอากาศหนาวเย็นอยู่รอบๆ ตัวเขา
แม้ว่าสถานะตอนนี้นางจะอยู่ภายใต้เขา เป็นผู้คุ้มกันส่วนตัวของเขา แต่นางไม่สามารถทนกับทัศนคติของเขาในการเรียกและไล่ นางเมื่อใดก็ตามที่เขารู้สึกเช่นนี้ได้
“ท่านเสนา หยวนเป่าทำอะไรผิดพลาดไปหรือไม่?” ฮวาจูอวี้ถามขึ้นทันที “ถ้าข้าทำอะไรผิดพลาดไป โปรดบอกกับข้าด้วย เพื่อที่ว่าในอนาคตข้าจะไม่ทำผิดพลาดอีก”
คำพูดเพิ่งจะออกจากริมฝีปากของนางไม่ทันไร เขาก็เอื้อมมือออกมายึดคางของนางเอาไว้ การเคลื่อนไหวของเขามีความรวดเร็วเป็นพิเศษ ทำให้นางไม่สามารถตอบโต้ได้ทัน นิ้วมือของเขาบังคับให้นางเงยหน้าขึ้นมองเขา เมื่อสายตาของพวกเขาพบกัน นางก็สังเกตเห็นความดุเดือดและเยือกเย็นที่อยู่ลึกภายในดวงตาของเขา ทำให้นางสั่นขึ้นเล็กน้อย
เป็นไปได้ไหมที่นางอาจจะทำผิดพลาดจนทำให้เขารู้ถึงตัวตนของนาง? ทำไมนางรู้สึกราวกับว่ามีความเกลียดชังอยู่เบื้องหลังดวงตาคู่นี้ นางไม่กลัวว่าเขาจะได้เห็นการปลอมตัวเป็นชายของนาง แต่กลัวว่าเขาจะพบว่านางคืออิงซู่เซี่ย ถ้าเป็นเช่นนั้นนางตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย
ฮวาจูอวี้พยายามสงบตัวเองลงได้อย่างรวดเร็ว และต้องทนกับความเจ็บปวดจากความกดดันที่เกิดขึ้นบนขากรรไกรของนาง นางจ้องมองไปที่จี่เฟิงหลี่ ด้วยความสงบและความมุ่งมั่น ไม่มีความกลัวแม้แต่น้อยที่จะปรากฏขึ้นในสายตาของนาง
“ฟังให้ดี ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าจะยอมให้เจ้าทำงานอยู่เคียงข้างข้าได้ แต่เจ้าต้องจดจำสิ่งต่างๆอย่างระมัดระวัง เมื่อเจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเสร็จแล้ว เจ้าก็จะต้องออกไปทันทีโดยไม่ต้องถาม! ตอนนี้ก็ออกไปได้แล้ว! ” จู่ๆ เขาปล่อยและหันกลับไป เขาเดินไปและนั่งลงที่โต๊ะด้วยท่าทางหยิ่งทะนง เขาส่งกลิ่นอายที่หนาวเย็นเพื่อข่มขู่คนอื่นจากการเข้าใกล้เข้าออกมา
ฮวาจูอวี้มองเขาก่อนจะรีบหันหลังจากไป นางกลัวว่านางจะไม่สามารถทนเข้าไปบีบคอเขาได้ถ้านางยังอยู่นานกว่านี้อีก เมื่อเดินออกมาแล้วอารมณ์ของนางก็ดีขึ้น ถึงแม้ว่านางก็ไม่ได้เป็นแม่ทัพที่หัวร้อนเหมือนเดิมอีกแล้ว แต่เขาก็ยังคงทดสอบความอดทนของนางอยู่เสมอ
หลานปิง รีบตรงเข้ามาทันทีเมื่อเขาเห็นนางออกจากเรือนเฟิงหยวน “หยวนเป่า ทำไมเจ้าถึงได้อยู่ข้างในเป็นเวลานานเช่นนี้?” เนื่องจากที่นางยังคงโกรธอยู่ นางจึงตอบขึ้นอย่างห้วน ๆ “ข้าก็ต้องคอยรับใช้ท่านเสนา มันจะมีอะไรอีก?”
การแสดงออกที่เต็มไปด้วยความตกใจเกิดขึ้นบนใบหน้าของเขา ในขณะที่เขาจ้องมองนางด้วยนัยน์ตาที่เปิดกว้างและริมฝีปากที่สั่นสะเทือน ก่อนจะชี้ไปที่ใบหน้าของนาง และพูดติดอ่างขึ้น “เจ้า เจ้า เจ้า … ทำได้อย่างไร… “
ฮวาจอวี้ ไม่มีความอดทนมากพอที่จะมาฟังคำพูดติดอ่างของเขา ดังนั้นนางจึงหันหลังและจากไปทันที
เขารีบตามหลังนางมาเหมือนเงา ก่อนจะเขาพูดขึ้นอีก “เจ้า เจ้า เจ้า .. “
“ข้าอะไร?” ฮวาจูอวี้ถามด้วยรอยยิ้มอันเยือกเย็น “หลานปิง ข้ายังไม่ได้ให้ท่านรับผิดชอบในสิ่งที่ท่านเพิ่งจะได้ทำลงไป ท่านรู้อย่างชัดเจนว่าท่านเสนาอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ยังจงใจส่งข้าเข้าไป ท่านมีความตั้งใจอะไรกันแน่? ”
หลานปิงตื่นตระหนก และจู่ๆก็นึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นคนส่งหยวนเป่า เข้าไปในห้องของท่านเสนา ถ้าเขารู้ว่าหยวนเป่าจะเป็นคนชั่วร้ายถึงขนาดนี้ แม้ว่าจะฆ่าเขาก็ตาม เขาก็จะไม่ยอมให้เขาเข้าไป อย่างไรก็ตามมันก็สายเกินไปสำหรับความเสียใจของเขา เสนาบดีกินเนื้อเป็นครั้งแรกและยังกินกับคนตัดแขนเสื้อคนนี้ แม้ว่าหยานปิง จะรู้สึกว่าท่านเสนาและหยวนเป่าเหมาะสมกันมาก แต่พวกเขาก็ยังคงเป็นชายทั้งสอง
ตอนที่ 94.2
หลานปิง ยืนแข็งค้างอยู่ในความเงียบ ด้วยความรู้สึกที่ผสมกันไปหมดอยู่ภายใน
ฮวาจูอวี้ส่งเสียงเย็นขึ้น ก่อนจะหันหลังและจากไปที่เรือนซินหยวนของนาง
เช้าตรู่หลานปิง มาแจ้งฮวาจูอวี้ ว่านางต้องตามจี่เฟิงหลี่ ไปที่ราชสำนัก เนื่องจากที่เขายังคงมองนางด้วยความแปลกประหลาดในสายตาของเขา นางจึงรู้สึกรำคาญอย่างมาก
จี่เฟิงหลี่ นั่งอยู่ในรถม้า ในขณะที่ฮวาจูอวี้ขี่ม้ากับทหารคุ้มกันคนอื่น ๆ ในขณะเดินตรงไปยังพระราชวัง
พระราชวังยังคงงดงามและยิ่งใหญ่ แต่คนนั่งบนบัลลังก์ทองกลับถูกแทนที่ไปเป็นคนอื่นแล้ว
สองสามวันนี้จี่เฟิงหลี่ก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันการต่อสู้ ในเดือนที่ 8 ของทุกปีในอาณาจักรใต้จะมีการจัดแข่งขันการต่อสู้เพื่อคัดเลือกแม่ทัพจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันตัว แต่เนื่องจากฮ่องเต้ก่อนหน้านี้ไม่ต้องการปล่อยให้คนจาก เจี้ยงหู และวิธีที่หยาบคายของพวกเขาเข้าสู่ราชสำนัก ดังนั้นการแข่งขันจึงถูกยกเลิกไปเกือบทศวรรษแล้ว แม่ทัพคนปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นคนที่ได้รับการเสนอชื่อจากเจ้าหน้าที่หรือไม่ก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง
ฮ่องเต้หวงฝู่ อู๋ ฉาง ตัดสินใจที่จะคืนสถานะของการแข่งขันในการค้นหาผู้ที่มีพรสวรรค์ใหม่ ๆ แต่คราวนี้จะมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยคือให้มีการตรวจสอบสภาพพลเรือน และมีเพียง 500 คนเท่านั้นที่ผ่านการตรวจสอบ การแข่งขันที่จะเกิดขึ้นจะลดรายชื่อลงให้เหลือเพียง 100 รายชื่อเท่านั้น
จี่เฟิงหลี่ และผู้ตรวจสอบรายอื่น ๆ มุ่งหน้าไปที่เวทีสำหรับการแข่งขันการต่อสู้ จึงธรรมชาติที่ผู้คุ้มกันส่วนตัวของเขา อย่างฮวาจูอวี้จะไปกับจี่เฟิงหลี่ด้วย
การแข่งขันการต่อสู้ในวงกว้างเต็มไปด้วยผู้เข้าร่วมการแข่งขันที่มาจากทุกประเภทของพื้นหลังของการต่อสู้ เป็นการเปิดหูเปิดเปิดตาของฮวาจูอวี้ไม่น้อย ในขณะที่นางกำลังเฝ้าดูการแข่งขันอยู่ จู่ๆ นางก็ได้ยินผู้ตรวจสอบคนอื่นเรียกชื่อของนาง หยวนเป่า แต่นางคิดว่านางได้ยินผิดไป แต่ผู้ตรวจสอบก็เรียกชื่อของนางขึ้นอีกครั้ง
นางรู้สึกตกตะลึงไปเล็กน้อยเมื่อถังโจวพูดขึ้น “หยวนเป่า เร็วเข้ารีบขึ้นบนเวที เนื่องจากเจ้าเป็นหนึ่งในคนของท่านเสนาแล้ว เขาจะไม่ปล่อยให้พรสวรรค์ของเจ้าเสียไปเปล่าๆ “
“ท่านหมายถึงท่านเสนาลงชื่อของข้าลงไปในการแข่งขันด้วยหรือ” อวาจูอวี้ถามขึ้นด้วยท่าทางที่จริงจัง
“ถูกต้องแล้ว” ถังโจว ตอบโดยไม่ได้มองไปทางนางแม้แต่น้อย เพียงแค่มองไปข้างหน้ายังผู้ตรวจสอบที่อยู่บนเวที
ฮวาจูอวี้ยังคงยืนอยู่ด้านหลังของจี่เฟิงหลี่
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะเปิดเผยทักษะของนาง แต่นางเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจี่เฟิงหลี่ ถ้านางปฏิเสธมันอาจจะทำให้เขาสงสัย นางลังเลใจและหลังจากคิดได้แล้ว นางก็เดินไปหาจี่เฟิงหลี่และพูดขึ้น “ท่านเสนาทักษะการต่อสู้ของข้ามีขีดจำกัด ข้ากลัวว่าข้าจะไม่สามารถแข่งขันได้ “ในตอนท้ายนางก็รู้สึกมันจะว่าเป็นการดีที่สุดที่จะไม่เข้าร่วม
จี่เฟิงหลี่ ไม่โกรธและเพียงแค่กวาดสายตามาที่นาง ก่อนที่จะพูดขึ้น “ทำตามที่เจ้าต้องการ”
เมื่อผู้ตรวจสอบทวนชื่อของนางเป็นครั้งที่สาม ถังโจวก็สั่งให้ใครบางคนส่งคำไปให้ผู้ตรวจสอบ ก่อนที่เขาจะเรียกผู้เข้าร่วมรายอื่นๆ ต่อไป
ยืนอยู่ข้างหลังจี่เฟิงหลี่ ฮวาจูอวี้ ยังคงรู้สึกไม่สงบสักเท่าไหร่ นางไม่เข้าใจว่าทำไมจี่เฟิงหลี่ ถึงยอมให้นางเข้าร่วมการแข่งขัน เป็นไปได้ไหมที่เขาได้ให้ความสำคัญกับความสามารถของนางจริงๆ? เขามีความจริงใจอย่างแท้จริงในการที่จะให้นางทำงานให้เขาหรือ?
หลังจากผ่านไปสองวัน รายชื่อก็ลดลงเหลือน้อยกว่า 100 คนและการแข่งขันครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นภายใน 3 วัน
บ่ายวันนั้น จี่เฟิงหลี่ได้เรียกฮวาจูอวี้เข้าไปที่ห้องของเขา
นับตั้งแต่วันนั้นฮวาจูอวี้ ก็หลีกเลี่ยงจี่เฟิงหลี่ เว้นเสียแต่นางจะถูกเรียกตัวและโชคดีที่เขาไม่ค่อยเรียกนาง
ดังนั้นนางจึงสงสัยว่าทำไมเขาถึงเรียกนางในวันนี้
ทันทีที่นางเดินเข้าไปในห้อง จี่เฟิงหลี่ ก็ได้โยนรายงานทางทหารลงไปบนโต๊ะและส่งสัญญาณให้ ฮวาจูอวี้ ดูมัน
นางเต็มไปด้วยความงงงวย ก่อนจะหยิบรายงานทางทหารขึ้นมาและมองดูมันแล้วหัวใจที่สงบของนางก็กระวนกระวายขึ้นทันที
ภาคเหนือของราชอาณาจักรใต้ถูกรุกราน!
นางคิดว่าหลานปิง เพียงแค่พยายามที่จะทำให้นางกลัวตอนที่อยู่ที่เซวียนโจว เมื่อเขาเล่าให้นางฟังเกี่ยวกับอาณาจักรเหนือและการเคลื่อนไหวที่ชายแดน ไม่ถึงเดือนที่ผ่านมา ทางตอนเหนือของราชอาณาจักรใต้ก็มีกองกำลังติดอาวุธอยู่ในพรมแดนของอาณาจักรใต้แล้ว
อาณาจักรทั้งสองได้ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพเป็นเวลา 5 ปี แต่ไม่ถึงครึ่งปีและเสี่ยวหยิน ก็กำลังทำลายมัน เกิดอะไรขึ้น?
เมื่อฮวาจูอวี้ต้องอยู่ในราชอาณาจักรเหนือ นางได้ช่วยเสี่ยวหยิน เพื่อนำสันติสุขมากลับอาณาจักรและปราบปราม 3 เผ่าที่สำคัญ นี่เป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับกองทัพของอาณาจักรเหนือ ทำให้พวกเขามีอำนาจในการโจมตีอาณาจักรใต้ได้
ด้วยความพยายามอย่างมาก นางได้ระงับความตกใจของนางเอาไว้และค่อยๆวางรายงานลงไปบนโต๊ะ เมื่อนางเงยหน้าขึ้นและพบกับสายตาที่จริงจังของจี่เฟิงหลี่ นางก็เห็นเพียงว่าดวงตาที่ดำมืดและมืดกว่าค่ำคืนที่ไร้แสงจันทร์ด้วยซ้ำ
“ท่านเสนา สถานการณ์ในปัจจุบันคือสงครามหรือ?” ฮวาจูอวี้ ถามขึ้นอย่างจริงจัง
จี่เฟิงหลี่ตอบด้วยรอยยิ้มที่เลือนราง “แม่ทัพผู้รักษาชายแดนทางเหนือได้นำทหาร 30,000 คนเข้าต่อสู้กับกองทัพของเสี่ยวหยินที่ริมฝั่งแม่น้ำ กองทัพของเราถูกซุ่มโจมตีและแม่ทัพแนวหน้าก็ถูกสังหาร ทหาร 30,000 รอดชีวิตเพียง 5,000 คน ก่อนที่จะหนีไปยังเมืองหยางกวนซึ่งพวกเขากำลังปกป้องอยู่ ”
ฮวาจูอวี้ถึงกับสั่นขึ้น นางไม่ได้คาดคิดว่าเสี่ยวหยินจะสามารถเข้าถึงหยางกวน ได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ระหว่างอาณาจักรใต้และอาณาจักรเหนือจะกลายเป็นสงครามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแท้จริงหรือ?
ตอนที่ 95
จี่เฟิงหลี่พิงหลังกับเบาะนั่งสบาย ๆ ขณะที่นั่งไขว่ขา ไม่มีความตื่นตระหนกใดๆ บนใบหน้าของเขาแม้แต่
ฮวาจูอวี้คิดย้อนกลับไปในวันที่เขาป่วย แต่ก็ยังคงยืนหยัดที่จะมองดูแผนที่และการกำหนดกลยุทธ์ ถึงกระนั้นตอนนี้เขาก็ยังคงดูสงบนิ่งราวกับว่าเขาไม่ได้เป็นห่วงในเรื่องของสงครามครั้งนี้แม้แต่น้อย
“หยวนเป่า เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับการที่อาณาจักรเหนือบุกรุกเราในคราวนี้?” จี่เฟิงหลี่ถามขณะที่เขาเฝ้าดูฮวาจูอวี้
“ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้รู้สึกตกใจมาก” ฮวาจูอวี้ตอบ สงครามไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ถ้าประชาชนทั่วไปได้ตระหนักถึงเรื่องนี้มันจะน่ากลัวแค่ไหน
“เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร ทำไมจู่ๆ เสี่ยวหยินถึงต้องการบุกรุกเรา?” จี่เฟิงหลี่ถามขึ้นในขณะที่เขาหยิบรายงานทางทหารออกจากโต๊ะ
แม้ว่าฮวาจูอวี้จะเต็มไปด้วยความคิดมากมายในใจของนาง แต่นางยังคงสงบและตอบขึ้น “ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้มีหัวคิดที่เชื่องช้าและไม่รู้ว่าทำไม”
“เมื่อข้าปล่อยให้เจ้าเป็นอิสระจากคุกหลวง ข้าจำได้อย่างชัดเจนว่าเจ้าบอกว่าเจ้าจะติดตามข้าและนำความสามารถของเจ้าออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์ การแข่งขันการต่อสู้เป็นโอกาสอันดีที่จะทำเช่นนั้น ทำไมเจ้าถึงไม่เข้าร่วม? “จี่เฟิงหลี่ถามขึ้นด้วยหัวคิ้วที่หมวด
“ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้ไม่ได้คิดให้รอบคอบและสงสัยว่าจะยังมีโอกาสทำเช่นนั้นอยู่หรือไม่?” ฮวาจูอวี้เงยหน้าขึ้นและถาม นางได้เกี่ยวกับเรื่องนี้และตัดสินใจว่าไม่ว่าเหตุผลอะไรก็ตามที่เสี่ยวหยินตัดสินใจที่จะทำสงคราม นางก็ต้องไปพบเขา แม้ว่านางจะไม่แน่ใจว่านางจะยังคงใช้ตัวตนของน้องสาวของเขาเพื่อโน้มน้าวให้เขายุติการต่อสู้ได้หรือไม่ แต่นางก็ยังต้องการลองดู อย่างน้อยก็ไม่มีใครรู้ดีไปกว่านางว่าความสงครามจะนำความทุกข์ทรมานมาสู่ผู้นำแค่ไหน
นางรู้ว่าวัตถุประสงค์ของการแข่งขันการต่อสู้ในครั้งนี้คือการเลือกแม่ทัพที่จะสามารถนำทัพไปสู้รบกับอาณาจักรเหนือ ดังนั้นถ้านางเข้าร่วมนางก็จะมีโอกาสที่จะก้าวเข้าสู่สนามรบ นางตัดสินใจว่านางจะยกเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของนางไปให้อันเสี่นวเอ้อร์จัดการก่อนชั่วคราว เพื่อที่จะได้พบกับเสี่ยวหยิน นางจะต้องไปที่แนวหน้า ถ้านางยังคงอยู่เคียงข้างจี่เฟิงหลี่ นางคงจะไม่มีโอกาสนั้น
“โอ้?” จี่เฟิงหลี่ขมวดคิ้วของเขาขึ้น “เช่นนั้น เจ้าไปได้และเตรียมพร้อมเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ได้”
หลังจากทำความเคารพแล้ว นางก็หันหลังและจากไป
จี่เฟิงหลี่ยังพิงเก้าอี้ของเขาด้วยรูปลักษณ์ที่สลับซับซ้อนกระพริบขึ้นในดวงตาของเขา ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่อย่างเงียบ ๆ
หลานปิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “ท่านเสนา ท่านคิดว่าหยวนเป่า ยังคิดถึงเสี่ยวหยินอยู่หรือไม่? ถ้าไม่เช่นนั้นทำไมเขาถึงตกลงที่จะเข้าร่วมการแข่งขันทันทีที่ได้ยินว่าเสี่ยวหยินกำลังจะบุกมาที่นี่? นอกจากนี้ท่านคิดว่าเป็นเพราะหยวนเป่าหรือไม่ที่ทำให้เสี่ยวหยินเคลื่อนไหว?”
ตอนนี้หลานปิงต้องระมัดระวังทุกครั้งที่เขากล่าวถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฮวาจูอวี้ เพราะเขาเชื่อในใจว่า จี่เฟิงหลี่และฮวาจูอวี้ กำลังมีส่วนร่วมในความสัมพันธ์บางอย่างในเรื่องนี้
ได้ยินคำถามของหลานปิง ใบหน้าที่หล่อเหลาของจี่เฟิงหลี่ ก็ดำมืดลงและเขาก็พูดขึ้นด้วยเสียงอันเคร่งขรึมขึ้น “หลานปิงเจ้าช่วยคิดอะไรให้เหมือนคนที่มีเหตุผลคิดหน่อยได้หรือไม่?”
“ท่านเสนาบดี เสี่ยวหยินเสี่ยงชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยเขาให้พ้นจากเงื้อมมือของสัตว์ร้าย นั่นเป็นหลักฐานที่เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ใช่เรื่องธรรมดา “หลานปิงพูดขึ้นด้วยความระมัดระวังและด้วยเสียงที่เบา
จี่เฟิงหลี่ลุกขึ้นจากที่นั่งและเอามือไขว่หลังในขณะที่เดินออกไปอีกด้านของห้องและพูดขึ้น “มันไม่ชัดเจนว่าพวกเขามีความสัมพันธ์กันหรือไม่ แต่จะเป็นแบบไหน เมื่อไหร่ที่พวกเราไปที่สนามรบ พวกเราก็จะได้เห็นมัน”
เนื่องจากคำแนะนำของจี่เฟิงหลี่ ฮวาจูอวี่ก็สามารถเข้าร่วมในรอบที่สองของการแข่งขันได้ เป็นธรรมชาติที่นางไม่ได้เปิดเผยความแรงแข็งแกร่งที่แท้จริงของนาง แต่ก็ยังสามารถที่จะผ่านไปรอบที่สามได้อย่างสบายๆ
รอบที่สามเกิดขึ้นที่สนามแข่งขันหลักและนับเป็นรอบสุดท้าย และฮ่องเต้หวงฝู่ อู๋ จาง ก็มาดูพร้อมกับกองกำลังทหารองครักษ์หลวงหลายสิบคน มีเจ้าหน้าที่จำนวนมากเข้าร่วมด้วยเช่นกันรวมถึงฮวาจูอวี้ด้วย
เมื่อถึงเวลา (7-9 นาฬิกา) ฮ่องเต้คังก็มาถึงและขันทีนำขบวนก็ประกาศว่า “ฮ่องเต้เสด็จ”
เจ้าหน้าที่ทุกคนคุกเข่าลงไปอย่างพร้อมเพรียงรวมถึงฮวาจูอวี้และผู้เข้าร่วมแข่งขันคนอื่น ๆ แล้ว ทุกคนต่างก็พูดขึ้น “ถวายบังคมฝ่าบาท ขอให้พระองค์อายุยื่นหมื่นปีหมื่นๆปีพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อทุกคนลุกขึ้นยืนอีกครั้งฮวาจูอวี้ก็เหลือบมองไปทางหวงฝู่ อู๋ จาง และเห็นเขานั่งลงไปที่บัลลังก์ เขาไม่ได้แตกต่างจากองค์ชายที่ซีดและอ่อนแอเหมือนที่เขาเคยเป็นมากนัก เมื่ออยู่ในชุดมังกรทองคำ เขายิ่งดูอ่อนโยนและอ่อนแอมากขึ้น เด็กคนนี้ไม่เหมาะที่จะเกิดมาในราชวงศ์ เขามีดวงตาขลาดเขลา แม้ว่าเขาจะจะกลายเป็นฮ่องเต้แล้วก็ตาม
มองไปที่หวงฝู่ อู๋ จาง ฮวาจูอวี้ก็นึกถึงหวงฝู่ อู๋ ซวง ที่ยังคงถูกคุมขังอยู่ เมื่อเร็ว ๆ นี้นางได้ติดต่อกับอันเสี่ยวเอ้อร์ และได้รับแจ้งว่าสภาพความเป็นอยู่ของหวงฝู่ อู๋ ซวง ในเรือนจำไม่ได้เลวร้ายนัก พวกเขายังไม่ได้ทำอะไรกับเขา ทำให้นางเชื่อว่าพวกเขาจะดำเนินการไปอย่างช้าๆ เนื่องจากฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่กำลังป่วยอยู่
รอบที่สามของการแข่งขันการต่อสู้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการและเนื่องจากเป็นการแข่งขันต่อหน้าฮ่องเต้ ทุกสิ่งทุกอย่างจึงได้รับการดูแลอย่างเป็นพิเศษและด้วยความระมัดระวัง ผู้เข้าร่วมทั้งหมดได้เลือกอาวุธที่ตนเลือกและขึ้นไปแสดงฝีมือบนเวที
ฮวาจูอวี้และผู้เข้าร่วมคนอื่นๆที่ยังไม่ถึงคราวของพวกเขา พวกเขาทั้งหมดจะยืนอยู่ด้านล่างเพื่อดูการแข่งขัน ผู้เข้าร่วมการแข่งขันที่สามารถเข้าถึงรอบที่สามคือผู้มีพรสวรรค์ด้านการต่อสู้ด้วยเทคนิคที่แตกต่างกันไป ในหมู่พวกเขาไม่มีปัญหาการขาดแคลนแม่ทัพแม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เข้าร่วมที่คนที่ 10 ถังยวี และ คนที่ 51 หนานกง เจี๋ย
ถังยวี มาจากครอบครัวที่เป็นที่รู้จักกันดีในเจียงหู ในเรื่องอาวุธลับที่ซ่อนอยู่ในตัวของพวกเขาที่เรียกว่าถังเมิน ดังนั้นมันจึงทำให้ ฮวาจูอวี้ประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อได้พบว่าฝีมือดาบของเขาก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน จากการปรากฏตัวของเขา เขาควรจะมีอายุประมาณ 20 ปี แม้ว่าเขาจะมีรูปร่างคลายนักวิชาการที่บอบบาง แต่ฝีมือดาบของเขาก็คมและประณีต ไม่มีใครสามารถนึกภาพออกได้จากรูปร่างของเขาที่มันถูกบดบังอยู่เบื้องหลังความสามารถในการเคลื่อนไหวของดาบของเขาที่รวดเร็วราวกับกระพริบตา
หนานกง เจี๋ย มีอายุประมาณเดียวกัน ด้วยร่างกายที่สูงใหญ่และหล่อเหลา การเคลื่อนไหวทุกครั้งของเขามีพลังมากและแสดงถึงความกล้าหาญของเขา เขาทำการต่อสู้ด้วยหอกของเขาบนหลังม้า ราวกับว่าเขาและหอกเป็นหนึ่งเดีนวกัน การเคลื่อนไหวทุกอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมาก
ดูไปพร้อมกับฝูงชนฮวาจูอวี้ ช่วยไม่ได้ที่จะชื่นชมทักษะของพวกเขา ดูเหมือนว่าจะมีมังกรและเสือโคร่งซ่อนอยู่ในหมู่ประชาชน การจัดการแข่งขันการต่อสู้เพื่อค้นหาคนที่มีพรสวรรค์ในหมู่ประชาชนทั่วไปและคนจากเจียงหู เป็นความคิดที่ดีมาก และเนื่องจากการแข่งขันครั้งนี้จัดขึ้นโดยจี่เฟิงหลี่ ดูเหมือนว่าเขาต้องอยากใช้โอกาสนี้เพื่อส่งคนของเขาเข้าสู่กองทัพ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้เข้าร่วมการแข่งขันบางคนเป็นคนของจี่เฟิงหลี่อย่างแน่นอน
เนื่องจากนางไม่ต้องการดึงดูดความสนใจมาที่ตัวเอง นางจึงเลือกที่จะเข้าร่วมการแข่งขันยิงธนูซึ่งมีผู้คนจำนวนมากเข้าร่วมด้วยเช่นกัน กฎของการแข่งขันนี้คือการยิงไปที่เป้าหมายจากช่วงระยะห่างหนึ่ง ๆ โดยเริ่มจากที่ 60 ฟุต, 80 ฟุต, 100 ฟุตและสุดท้าย 120 ฟุต
เมื่อมาถึงช่วง 100 จำนวนของผู้เข้าร่วมแข่งขันก็ลดลงไม่เหลือถึงสิบคนรวมฮวาจูอวี้ด้วยแล้ว เมื่อนางยิงออกไปในครั้งนี้ นางตั้งใจยิงให้มันพลาดเป้าหมายของนางและยิงได้เพียง 3 ใน 5 เท่านั้นและกำจัดตัวเองออกจากรอบต่อไป
ในช่วงท้ายของการแข่งขันฮ่องเต้คัง ได้ประกาศชัยชนะสามอันดับสุดท้าย ได้แก่ถังยวี หนานกง เจี๋ย และหลู หยาง เป็นผู้ชนะในการแข่งขันยิงธนู
ขณะที่เขาคุกเข่าลงไปต่อหน้ฮ่องเต้และกล่าวถวายบังคม ก็มีเสียงดังขึ้นก่อน “การรายงานต่อฝ่าบาท มีข่าวเร่งด่วนมาจากระยะทาง 800 ลี้เพื่อมารายงานพ่ะย่ะค่ะ!”
การแสดงออกของฮ่องเต้คังกลายเป็นขี้เถ้าและเขาก็ยืนขึ้นทันทีและเดินไปข้างหน้าทหารรายงาน “เร็วเข้ารีบรายงานมา! สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง? ”
เต็มไปด้วยผู้คนกว่าพันคนในเวทีการแข่งขันแห่งนี้ ทุกคนต่างก็จมลงไปสู่ความเงียบอย่างแท้จริง เสียงเพียงเสียงเดียวที่ได้ยินก็คือเสียงของการรายงานข่าวด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง “กองทัพของอาณาจักรเหนือตีฝ่าหย่างกวนมาแล้ว และแม่ทัพเสินไป๋ ก็ถูกสังหารในสงคราม กองทัพของอาณาจักรเหนือยังได้ยึดซูโจวเอาไว้แล้ว รองแม่ทัพของเรากำลังนำกองทัพของเราจำนวน 3,000 คนเพื่อไปสู้กับกองทัพของอาณาจักรเหนือ อย่างไรก็ตามกองทัพของอาณาจักรเหนือมีกำลังมากและกล้าหาญ อีกทั้งกองกำลังของเราได้รับความเดือดร้อนจากการสู้รบอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถรต้านไว้ได้นาน ดังนั้นจึงได้มีการส่งรายงานจาก 800 ลี้มาเพื่อขอให้ฝ่าบาทส่งกองกำลังไปช่วยเหลือด้วยพ่ะย่ะค่ะ! “
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ฮ่องเต้คังก็ถึงกับนวดหน้าผากของเขา เขาแทบจะไม่สามารถยืนอยู่ได้และใบหน้าของเขาก็ซีดลงทันที
ฮวาจูอวี้เคยได้ยินว่าแม่ทัพ เสินไป๋ ที่ได้ทำหน้าที่ปกป้องชายแดนทางเหนือ แม้ว่าเขาจะยังไม่เป็นที่รู้จักกันดีเหมือนบิดาของนาง ฮวามู่ แต่เขาก็ดุร้ายและเป็นแม่ทัพที่กล้าหาญ คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินว่าเขาเสียชีวิตในสนามรบหลังจากปกป้องชายแดนมาเป็นเวลานาน
อากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่รู้สึกระทึกและให้ความรู้สึกหนักใจอึ้งอยู่ในหัวใจของทุกคน
คืนนั้นจี่เฟิงหลี่ ไม่ได้กลับไปที่จวนของเขาและอยู่ในวัง เพื่อหารือเกี่ยวกับมาตรการตอบโต้กับเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ
สองวันต่อมา
ในวันที่อากาศแจ่มใสไม่มีเมฆฝน ก็ได้มีทหารสองหมื่นคนประจำการอยู่ที่ประตูทางด้านเหนือของเมืองหลวง ภายใต้การบัญชาการของแม่ทัพถังยวี ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งและกองทัพจะออกเดินทัพไปทางเหนือโดยเร็วที่สุด
ฮวาจูอวี้ก็เป็นหนึ่งในทหารที่ประจำการอยู่ที่ประตู ผู้เข้าร่วมการแข่งขันคนอื่น ๆ ที่ผ่านรอบที่สามของการแข่งขันก็อยู่ที่นี่ด้วยและเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ มีเพียงถังยวี และหนานกง เจี๋ย เท่านั้นที่ได้รับการแต่งตั้งให้มีตำแหน่งทางทหารอยู่ในระดับ 4 เนื่องจากฝีมือที่ยอดเยี่ยมในการแข่งขัน
หลังจากมีเสียงแตรดังขึ้น ทหารสองหมื่นคนก็เดินทางออกไปทางเหนือ ฮวาจูอวี้เหลือบมองกลับไปที่เมืองหลวงเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันกลับมาดึงบังเหียนและตามกองทัพไป
ออกจากเมืองหลวงไปในครั้งนี้ นางสงสัยว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เมื่อได้ยินข่าวในวันนั้นในที่สุดนางก็ตระหนักว่าสงครามระหว่างอาณาจักรใต้และอาณาจักรเหนือเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ บางทีความพยายามของนางอาจจะไร้ผล แต่อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยที่สุดนางก็ต้องพยายาม
ทิ้งเมืองหลวงไว้ด้านหลัง กองทัพก็มุ่งหน้าไปทางตอนเหนือ
ฮวาจูอวี้ได้ยินเสียงกีบม้าดังจากข้างหลัง เมื่อหันไปมองนางก็เห็นกลุ่มของม้ากำลังวิ่งออกมาจากเมืองหยูด้วยความรวดเร็ว
“มีกลุ่มอื่นด้วยหรือ? ข้าคิดว่าเราเป็นกลุ่มเดียวที่ไปเสียอีก? “ทหารคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ฮวาจูอวี้แสดงความคิดเห็น
เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้ง ในที่สุดนางก็จำได้ว่าคนที่กำลังอยู่บนหลังม้าสีดำนั้นเป็นคนของจี่เฟิงหลี่
นางไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะนำทัพเข้าสู่สนามรบ ถ้านางรู้ นางคงจะไม่สนใจที่จะเข้าร่วมการแข่งขันและเพียงแค่ขอตามเขาไปเท่านั้น
นางไม่คิดว่าจี่เฟิงหลี่ จะออกจากเมืองหยูจริงๆ เขาไม่กลัวว่ากระแสน้ำจะพลิกกลับถ้าเขาจากไปและกลับมาหรือ? เขาไม่กลัวการสูญเสียอำนาจและการควบคุมของเขาที่มีต่อราชสำนักหรือ? ฮวาจูอวี้รู้สึกว่านางเข้าใจเขาน้อยลงทุกวัน
นอกจากนี้เขายังไม่ได้เอารถม้ามาด้วยและเพียงแค่ขี่ม้าเหมือนทหารคนอื่นๆ เท่านั้น แต่ด้วยความเร็วที่จำกัดของรถม้าถ้าเขาจะใช้มัน นางก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะไปทางทิศเหนือเมื่อไหร่
ฮวาจูอวี้รู้ว่าจี่เฟิงหลี่ ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มา ดังนั้นนางจึงไม่รู้สึกประหลาดใจกับความเร็วของเขา แต่ทหารอื่น ๆ ต่างก็ไม่รู้ความจริงข้อนี้ ดังนั้นพวกเขาจะต้องเต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัดที่สุด เมื่อพวกเขาเห็นขุนนางที่ดูงดงามเช่นนั้นนั่งอยู่บนหลังม้าด้วยความเร็วดังกล่าว
กองทัพเดินทางต่อไปในระหว่างวัน พักผ่อนเพียงครึ่งชั่วยามในตอนเที่ยงก่อนจะออกเดินทางต่ออีกครั้ง และในตอนเที่ยงคืนพวกเขาก็จะหยุดเพื่อที่จะตั้งค่ายพักและออกเดินทางในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น
แม้ว่าฮวาจูอวี้จะเคยเป็นแม่ทัพและได้เห็นความโหดร้ายและความทุกข์ทรมานจากสงคราม แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางต้องเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทัพที่อย่างรวดเร็วและเร่งด่วนเช่นนี้ นอกจากนี้นางยังต้องอยู่รวมกับผู้ชายในระยะประชิด อย่างไรก็ตามมันก็ยังคงเป็นเรื่องที่พอจะอดทนได้ เพราะเมื่อ 3 ปีที่แล้วเมื่อนางได้เริ่มอาชีพทหารของนางในฐานะนายทหารชั้นต่ำ นางก็ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
ตอนที่ 96.1
ในคืนนั้นกองทัพของอาณาจักรใต้ก็ได้ทำการตั้งค่ายใกล้กับป่าและสร้างกองไฟเพื่อพวกเขาจะได้ปรุงและรับประทานอาหาร หลังอาหารค่ำทุกคนก็กลับไปพักผ่อนในกระโจมของพวกเขา หลังจากเดินทางมาหลายวันแล้วทุกคนต่างก็หมดแรง
ฮวาจูอวี้รอจนกระทั่งทหารทุกคนหลับไป ก่อนออกจากกระโจมไปอย่างเงียบ ๆ
ใกล้ค่ายทหารเป็นลำธารขนาดเล็กที่ทหารใช้ล้างเนื้อตัวก่อนมื้อเย็น ฮวาจูอวี้เป็นคนเดียวที่ไม่ได้ไปในเวลานั้นและต้องรอจนถึงตอนกลางคืน ก่อนจะมุ่งหน้าไปที่นั่น
หลบอยู่ในท้องฟ้ายามราตรี ดวงจันทร์และดวงดาวต่างก็สว่างไสว ฮวาจูอวี้หลีกเลี่ยงการเดินลาดตระเวนของทหารในช่วงกลางคืนและเดินไปตามลำธารสายเล็กๆ หลังจากเดินไปได้สักระยะหนึ่ง นางก็ยังไม่ได้ออกจากบริเวณใกล้เคียงของค่ายนัก เนื่องจากปัจจุบันมีทหารตั้งกระโจมอยู่มากกว่า 20,000 คน ดังนั้นนางจึงลังเลใจก่อนจะตัดสิ้นใจที่จะลงไปในน้ำพร้อมด้วยเสื้อผ้าทั้งชุด เมื่อนางอยู่ในน้ำที่เต็มไปด้วยหมอกลึกมากพอแล้วและมันยังสามารถปกปิดร่างกายของนางได้ นางก็เริ่มถอดเสื้อผ้าออกและล้างตัวในขณะที่เพลิดเพลินไปกับดวงดาวในท้องฟ้ายามค่ำคืน ด้วยการถอนหายใจนางล้างชุดของนาง ก่อนออกจากลำธารไป
ร่างกายของนางเปียกโชก แต่เหงื่อและสิ่งสกปรกที่สะสมในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาถูกล้างให้สะอาดจนหมดไปแล้ว นางคว้าเครื่องแบบชุดใหม่ที่นางถือมาด้วยจากบนฝั่งและไปหาที่กำบังเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าของนาง
นางข้ามสะพานไม้ไปยังอีกฟากหนึ่งของลำธารและสังเกตเห็นภูเขาที่อยู่ห่างไกลออกไปจากด้านหน้าของนาง พร้อมกับได้ยินเสียงนกที่ไม่คุ้นเคยได้ขึ้น นางเดินตรงไปอีกและพบที่ซ่อนที่ดี นางจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าของนางอย่างรวดเร็ว แต่ทันทีที่นางเปลี่ยนเสร็จ นางก็ได้ยินเสียงดังใกล้เข้ามา
นางตกตะลึงและหลบซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของต้นไม้ นางเก็บผมยาวของนางขึ้นในทรงขนมปังและมองผ่านช่องว่างของกิ่งไม้ไป นางเห็นชายสามคนเข้ามาใกล้ในขณะที่พูดขึ้นอย่างรวดเร็วและจำได้ว่าสำเนียงของพวกเขาเป็นคนของราชอาณาจักรเหนือ
ดูเหมือนกองทัพของอาณาจักรใต้ตั้งค่ายอยู่ใกล้ชายแดนทางเหนือ ถ้าพวกเขาเดินทางไปอีกหนึ่งวันก็จะไปถึงซูโจว ใครจะรู้ว่าพวกเขาอาจจะมีส่วนร่วมในการรบในเช้าของวันพรุ่งนี้ก็ได้
แต่คนเหล่านี้เป็นคนสอดแนมที่อาณาจักรเหนือส่งมาหรือไม่?
เมื่อคิดขึ้นมาได้เช่นนี้ จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงคนวิ่งออกมาจากป่า คนที่นำหน้ามีร่างกายที่สูงใหญ่และแข็งแรง นางได้ยินเสียงของดาบและทั้งสองกลุ่มก็เริ่มการต่อสู้
แม้ว่าทักษะการต่อสู้ของสายลับจะไม่เลวนัก และกลุ่มที่พวกเขาพบก็ไม่ได้เป็นทหารธรรมดา 3 สายลับได้รับการจับคุมและไม่นานหนึ่งในนั้นก็ถูกสังหารและถูกจับเป็นอีกสอง
ภายใต้แสงจันทร์ ฮวาจูอวี้ สังเกตเห็นผู้ชายสองคนที่เพิ่งจะมาถึงและสังเกตเห็นชุดที่พวกเขาสวมอยู่ว่าเป็นชุดของอาณาจักรใต้ หลังจากได้ตรวจสอบอย่างละเอียด นางก็ได้รู้ว่าพวกเขาก็คือถังยวี และหนานกง เจี๋ย
ทั้งสองคนนี้เป็นทหารระดับสูง ดังนั้นทั้ง 3 สายลับจึงต้องเผชิญกับความโชคร้ายที่ถูกจับในคืนนี้โดยพวกเขา ในขณะที่พวกเขาออกลาดตระเวน
และพวกเขาก็ได้ส่งสายลับไปยังทหารที่อยู่ข้างหลังของพวกเขา เพื่อให้พวกเขาจัดการต่อ และในทันทีพวกเขาก็กระโดดขึ้นมาบนต้นไม้ที่ฮวาจูอวี้ กำลังซ่อนตัวอยู่ในขณะนี้
ฮวาจูอวี้ตกใจขณะที่นางไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะสังเกตเห็นนาง บางทีพวกเขาอาจจะสันนิษฐานเอาไว้ก่อนแล้วว่านางอาจจะเป็นสายลับของอาณาจักรเหนือ ฮวาจูอวี้รีบกระโดดลงไปอย่างรวดเร็วและพูดขึ้น “ช้าก่อน!”
แม้ว่าพวกเขาจะได้ยินนาง แต่การเคลื่อนไหวของพวกเขาก็ไม่ได้ลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนานกง เจี๋ย ที่ดาบของเขากำลังมุ่งตรงมาที่หน้าอกของนาง
นางหลบการโจมตีและพูดว่า “ข้าไม่ใช่คนสอดแนม พวกเจ้าจับผิดคนแล้ว” จากประสบการณ์หลายปีของนาง นางรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะขจัดข้อสงสัยของพวกเขาเกี่ยวกับนางไปได้
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นสายลับหรือไม่ นั้นก็เป็นเรื่องที่ท่านแม่ทัพจะเป็นตัดสินใจ! ตอนนี้เชื่อฟังและตามเราไป! “หนานกง เจี๋ยพูดขึ้นอย่างเย็นชา
“ตกลง” นางพูดในขณะหลบเลี่ยงการโจมตีของหนานกง อีกครั้งหนึ่ง “หยุดและข้าจะตามเจ้าไป”
หนานกง เจี๋ย ดึงดาบกลับมาและชี้ไปที่ทหารที่อยู่ข้างหลังเขา เพื่อจับกุมตัวฮวาจูอวี้ และพานางกลับไปที่ค่าย
ในค่ายของเขา แม่ทัพหวังอวี้ได้กำลังประเมินฮวาจูอวี้และสายลับอยู่ ก่อนจะสั่งให้ทหารไปสอบปากคำผู้สอดแนมและได้พบว่าพวกเขาเป็นผู้สอดแนมของอาณาจักรเหนือจริงๆ พวกเขามีหน้าที่ส่งข่าวเกี่ยวกับกองทัพของอาณาจักรใต้
ฮวาจูอวี้ไม่คิดว่าการที่นางแอบไปล้างตัวในตอนกลางดึก จะทำให้นางต้องกลายมาเป็นผู้ต้องสงสัยในการสอดแนม นอกจากนี้หวังอวี้ยังไม่ได้ล่าช้าแม้แต่น้อย ทันทีที่ได้ยินผลของการสืบสวน เขาก็สั่งตัดหัวสายลับ รวดเร็วและเด็ดขาด
ด้วยใบหน้าที่จริงจังฮวาจูอวี้พูดขึ้น “แม่ทัพหวัง ข้าต้องการพบท่านเสนา” นางไม่มีเจตนาที่จะหลบหนีหรือจะตายที่นี่ด้วยเช่นกัน นางต้องไปพบจี่เฟิงหลี่ เขาเป็นผู้ควบคุมดูแลกองทัพอย่างเป็นทางการ ดังนั้นสิทธิ์และอำนาจของเขาในกองทัพจึงไม่ได้เล็กแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นหวังอวี้ยังเป็นคนของเขา ไม่อย่างนั้นจี่เฟิงหลี่จะปล่อยให้เขาเป็นผู้นำกองทัพได้อย่างไร
หวังอวี้ประเมินฮวาจูอวี้อยู่สักครู่แล้วพูดอย่างเย็นชาขึ้น “เจ้าไม่มีอะไรนอกจากทหารตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ทำไมท่านเสนาถึงจะพบเจ้า? ”
“ข้าเป็นคนในจวนของท่านเสนา” ฮวาจูอวี้ ตอบ นางไม่ได้คิดว่าวันหนึ่งนางจะต้องหวังให้จี่เฟิงหลี่เข้ามาช่วยเหลือนาง
เมื่อได้ยินแบบนี้ หวังอวี้ก็ต้องประเมินนางอีกครั้ง ก่อนที่จะออกคำสั่งให้ทหารพาตัวนางไปที่กระโจมของจี่เฟิงหลี่ เมื่อพวกเขามาถึงกระโจมของเขา ทหารก็เข้าไปข้างในเพื่อแจ้งและช่วงเวลาต่อมา นางก็ถูกนำตัวเข้าไปด้านใน
เมื่อจี่เฟิงหลี่ยกศีรษะขึ้นและเห็นฮวาจูอวี้เดินเข้ามา ริมฝีปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เขาโบกมือและทหารทั้งหมดก็ออกไป เหลือเพียงพวกเขาเท่านั้น
ภายในกระโจมเทียนหอมกำลังสุกสว่างอยู่และจี่เฟิงหลี่ก็ยืนอยู่ตรงกลาง เขาสวมเสื้อคลุมสีขาว ดูผ่อนคลายและสบายๆ นางไม่เคยได้พบเขาเลยในระหว่างการเดินทาง แต่เห็นได้ชัดว่าเขาก็ยังคงสุขุมเหมือนเดิม
เขามองไปที่ฮวาจูอวี้และยิ้ม ก่อนจะพูดขึ้น “เจ้าแทบจะรอไม่ไหวที่จะส่งข้อความไปยังฮ่องเต้ของอาณาจักรเหนือเลยหรือ” แม้ว่าเสียงของเขายังคงเบา และรอยยิ้มของเขาก็ยังคงอ่อนโยน แต่นางก็รู้สึกถึงความกดดันอย่างมากที่มุ่งเป้ามาที่นาง
นางรู้ดีว่าจี่เฟิงหลี่ มักจะสงสัยว่านางเป็นคนของเสี่ยวหยิน และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนี้จะช่วยเพิ่มความสงสัยเหล่านั้นเข้าไปอีก บางทีอาจเป็นเพราะความสงสัยเหล่านั้นที่เขาอนุญาตให้นางเข้าไปในกองทัพได้ในตอนแรก แต่ฮวาจูอวี้ก็กล้าท้าพนันว่าจี่เฟิงหลี่จะไม่ฆ่านาง อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนนี้ ไม่ใช่เพราะเขาไม่ต้องการ แต่เพราะเขารู้ดีกว่าหวังอวี้ ว่าตำแหน่งของนางในหัวใจของเสี่ยวหยินเป็นอย่างไร เขาได้เห็นเสี่ยวหยิน ช่วยชีวิตนางจากสัตว์ร้าย ฮวาจูอวี้ยังคงจำได้อย่างชัดเจนในวันนั้น เมื่อเสี่ยวหยินออกเดินทางไปกับเหวินว่าน เขาบอกว่าเขาจะใช้เหวินว่าน เป็นตัวต่อรองเพื่อให้แน่ใจว่านางจะปลอดภัย
“ความรู้สึกที่เจ้ามีต่อเขานั้นลึกซึ้งจริงๆ แต่ข้าสงสัยว่าเขาจะปฏิบัติต่อเจ้าได้ดีแค่ใด” จี่เฟิงหลี่ พูดขึ้นอย่างช้าๆในขณะที่ดวงตาหงส์กระพริบขึ้นอย่างซับซ้อน
“เจ้าต้องการจะทำอย่างไร?” ฮวาจูอวี้ยกศีรษะและมองไปที่เขาอย่างเย็นชา
“ตั้งแต่สมัยโบราณ ข้าเคยได้ยินมาว่าผู้ชายมักจะโกรธเกรี้ยวเนื่องจากผู้หญิงงามคนหนึ่ง แต่ไม่เคยได้ยินว่าจะมีผู้ชายคนหนึ่งโกรธเกรี้ยวเพราะสัตว์เลี้ยงตัวผู้! ข้าคิดว่าบางทีสงครามครั้งนี้อาจจะมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเจ้า เจ้าคิดว่าอย่างไร? ถ้าข้าส่งเจ้าออกไป เสี่ยวหยินจะยกกองทัพของเขากลับหรือไม่? “จี่เฟิงหลี่พูดด้วยรอยยิ้มที่บางเบา
ฮวาจูอวี้รู้สึกไม่พอใจ นางจ้องมองตรงเข้าไปในดวงตาที่มืดดำของจี่เฟิงหลี่ ในขณะที่คลื่นเย็น ๆ กำลังพุ่งขึ้นมาภายในตัวนาง ครู่ต่อมานางก็หัวเราะออกมา พร้อมกับกำกำปั้นเอาไว้แน่นและมุ่งตรงไปที่ใบหน้าของจี่เฟิงหลี่เนื่องจากต้องการที่จะชกเขา แม้ว่านางไม่ใช่ผู้ชาย แต่นางก็ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงตัวผู้ของใครด้วยเช่นกัน เมื่อได้ยินคำนั้นบ่อยครั้ง นางก็รู้สึกราวกับว่ากำลังถูกดูถูกมากเกินไป
จี่เฟิงหลี่ ไม่คิดว่าฮวาจูอวี้ จู่ๆ ก็จะเคลื่อนไหวและดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความเยือกเย็น เขาค่อยๆพลิกร่างของเขาและหลบการโจมตีของนาง ในขณะที่เขาคว้าข้อมือนางเอาไว้แน่น ฮวาจูอวี้บิดตัวไปด้านข้าง ก่อนจะโจมตีด้วยอีกมือที่เป็นอิสระ โดยกำหนดเป้าหมายไปที่คอของเขา
เขาเอนหลังและหลีกเลี่ยงการโจมตีของนาง ก่อนจะถามขึ้นด้วยรอยยิ้มอันเยือกเย็น “เจ้าต้องการจะกำจัดข้าเพื่อเสี่ยวหยินหรือ” แล้วเขาก็ยกแขนเสื้อขึ้นและใบพัดที่ซ่อนอยู่ก็ปรากฏขึ้น เขาเปิดใบพัดออกพร้อมกับกลิ่นอายที่เยือกเย็นที่กระจายออกมา ในขณะที่เขาโจมตีไปที่นาง
ฮวาจูอวี้ รู้ว่าพัดเป็นอาวุธของเขา แต่นางไม่รู้ว่าเขาเก็บมันไว้ที่ไหน นางไม่เคยเห็นเขาใช้มันตั้งแต่คืนนั้นที่บ้านของหลิวโม่
นางไม่ได้คิดว่าจู่ๆ เขาจะเอามันออกมาใช้ นางรู้สึกหงุดหงิดและอยากจะสอนบทเรียนให้เขา ไม่ได้อย่าเอาชีวิตของเขา อย่างไรก็ตามในขณะที่จี่เฟิงหลี่ เองก็มีความคิด แม้ว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจที่จะฆ่านาง แต่เขาก็อยากจะสั่งสอนนางและไม่ได้สนใจเรื่องการเปิดเผยความสามารถทางศิลปะการต่อสู้ของเขากับนางเลยด้วยซ้ำ
ฮวาจูอวี้ถูกโจมตีในขณะที่ไม่ทันระวังและนางก็ไม่มีอาวุธอยู่ในมือ การได้เห็นพัดที่กำลังมุ่งตรงเข้ามาต่อหน้าของนาง ทำให้นางสามารถเอนไปด้านหลังเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกโจมตีได้เท่านั้น แต่ถึงแม้ว่านางจะสามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีของพัดได้ แต่นางก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงนิ้วมือที่โจมตีมาพร้อมกันและปิดผนึกจุดของนางเอาไว้ได้
ร่างกายของฮวาจูอวี้ เริ่มอ่อนปวกเปียกและล้มลงไป แต่โชคดีที่อยู่ข้างหลังนางของมีโต๊ะไม้จันทน์ที่สามารถรับตัวนางไว้ได้
“ทักษะการต่อสู้ของท่านเสนา เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมและไม่คาดคิดอย่างแท้จริง! ข้าควรจะรู้สึกเป็นเกียรติที่สามารถบังคับให้ท่านเสนา เปิดเผยทักษะเหล่านี้ออกมาหรือไม่? ท่านไม่กลัวว่าข้าจะทำให้พวกมันรั่วไหลออกไปหรือ?”ฮวาจูอวี้ยิ้มเยาะในขณะที่นางพิงกับโต๊ะ
จี่เฟิงหลี่ยืนสง่าอยู่ที่นั่น ในขณะที่เขาจ้องมองไปที่นาง พร้อมกับเสียง ‘พึบ’ เขาเปิดพัดของเขาและเผยให้เห็นภาพวาดที่งดงามอยู่บนนั้น
“สิ่งนี้ไม่มีความสำคัญอะไร ข้าไม่สนใจแม้แต่น้อย แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ารังเกียจอะไรมากที่สุด? สิ่งที่ข้าไม่สามารถทนได้ก็คือการทรยศ! “เสียงของเขาหนาวและเฉียดคม มันทะลุผ่านหูของนางไป “เห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นคนในอาณาจักรใต้ แต่กลับขายตัวเองให้อาณาจักรเหนือและเจ้าก็ห่วงใยพวกเขาเป็นอย่างมาก พูดมาว่าข้าควรจะจัดการกับเจ้าอย่างไร? ”
“ทรยศหรือ?” ฮวาจูอวี้หัวเราะอย่างขมขื่น พร้อมกับความเยือกเย็นที่พุ่งขึ้นมาในดวงตาของนาง เพื่ออาณาจักรนางใต้นางต้องเดินผ่านไฟและน้ำ และตอนนี้นางก็เป็นคนน่ารังเกียจ มีความผิดเนื่องจากการเป็นคนทรยศ
“ข้าสงสัยว่าท่านเสนาตั้งใจจะลงโทษข้าในข้อหาทรยศอย่างไร? ความตายโดยการสับเป็นพันๆ ครั้งหรือ? การตัดหัวหรือ? หรือตายด้วยลูกศร”นางก้มหัวลงและถามด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่น
ภายในกระโจมจู่ๆ แสงเทียนก็หรี่ลงและสถานที่ก็ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดไปชั่วขณะ การแสดงออกบนใบหน้าของจี่เฟิงหลี่ ไม่สามารถอ่านได้อย่างชัดเจน มีเพียงเฉพาะสายตาของเขาเท่านั้นที่จ้องมองด้วยความดุเดือนอย่างเห็นได้ชัด
“มั่นใจได้ ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า อย่างไรก็ตามเจ้าก็ได้ช่วยชีวิตของข้าเอาไว้ครั้งหนึ่ง แต่อย่าเพิ่งกระโดดไปด้วยความดีใจ พรุ่งนี้ข้าจะให้เจ้าได้เป็นพยานว่าข้าทำให้เสี่ยวหยินพ่ายแพ้ไปอย่างสิ้นเชิงได้อย่างไร “เขาประกาศขึ้นอย่างเย็นชาและไม่ได้มองไปที่นางอีก ในขณะที่เขาเป่าเทียนให้ดับลง
ตอนที่ 96.2
บางทีเขาอาจจะรู้สึกไม่สบายใจที่ปล่อยให้ทหารเฝ้าดูนาง ดังนั้นเขาจึงให้นางอยู่ที่นี่และอยู่ในกระโจมของเขา
ท่ามกลางความมืด ฮวาจูอวี้พิงอยู่ที่โต๊ะ นางได้ยินจิ่เฟิงหลี่ เดินขึ้นไปที่เตียงนอน ก่อนจะถอดชุดชั้นนอกออกและหลับไป มันเป็นเวลาไม่ถึงเดือนที่ผ่านมาที่พวกเขาได้ใช้กระโจมร่วมกัน แต่ละคนต่างก็มีเตียงนอนของตัวเอง แต่ตอนนี้นางกลายเป็นนักโทษอีกครั้ง ร่างกายของนางรู้สึกเหนื่อยมากล้ามาตลอดทั้งคืนและแทบจะไม่สามารถเคลื่อนไหวได นางสามารถขดตัวลงไปเหมือนสัตว์เล็กตัว ๆ ที่ตกอยู่ในกับดักเพื่อรอโชคร้ายที่จะมาถึงต่อไปเท่านั้น
เช้าวันรุ่งขึ้นกองทัพออกเดินทางอีกครั้งและมาถึงซูโจวใกล้พลบค่ำ ทหารที่คอยรักษาเมืองซูโจวต่างก็ปกคลุมไปด้วยรอยฟกช้ำ มองดูราวกับว่าพวกเขากำลังจะล้มทั้งยืน แต่พวกเขายังคงก็รวบรวมพลังมาต้อนรับจี่เฟิงหลี่และหวังอวี้
สถานการณ์ในซูโจวดูล่อแหลมมาก ถ้ากองทัพมาถึงหนึ่งชั่วยามต่อจากนี้ บางทีเมืองซูโจวอาจจะถูกยึดไปแล้ว กองกำลังไม่มีเวลามากและต่างก็ออกไปปกป้องเมืองในทันที
ฮวาจูอวี้ ยังคงถูกสกัดจุดและถูกคุ้มกันโดยทหาร พวกเขาเดินตามหลังจี่เฟิงหลี่ขึ้นไปยังหอประตูเมืองของซูโจว มองลงมาจากหอคอยนางก็เห็นเงาของสงครามอีกครั้ง
ฉากเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายอยู่ตรงหน้าประตูเมือง พร้อมกับร่างกายที่ตายแล้ว แขนขากระจัดกระจายและดาบที่หักอยู่บนดินที่ปกคลุมด้วยสีแดงเข้ม ทำให้เกิดความรู้สึกถึงความหดหู่ใจอย่างสิ้นเชิง
ตรงเส้นของขอบฟ้าดวงอาทิตย์กำลังตกดิน ทำให้เกิดเป็นภาพวาดของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยสีแดงของเลือด
ภายใต้แสงจ้าล่าสุดของแสงแดด กองกำลังของอาณาจักรเหนือและอาณาจักรใต้กำลังโจมตีกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สายตาของทุกคนเต็มไปด้วยความกระหายเลือดและแสงที่กระพริบขึ้นของดาบและชุดเกราะสะท้อนให้เห็นถึงความหนาวเย็นในหัวใจของพวกเขา
ด้านหลังท่ามกลางเสียงกระพือปีกของธง เสียงเป่าแตรและเสียงกลองที่ดังสนั่นไปทั่ว มีผู้ชายที่ล้อมรอบไปด้วยทหารนับพัน ๆ คนของทั้งสองฝ่ายอยู่ที่นั่น
เขาคือเสี่ยวหยิน
เขาไม่ใช่องค์รัชทายาทแห่งอาณาจักรเหนืออีกต่อไป แต่เป็นฮ่องเต้ของอาณาจักรเหนือที่เป็นคนนำทัพเข้าสู่สงครามด้วยตัวเอง ฮ่องเต้แห่งอาณาจักรเหนือเสี่ยวหยิน
ขี่ม้าทหารที่สูงตระหง่าน เขานั่งตัวตรงและสง่างาม อาภรณ์สีม่วงเข้มของเขาวูบวาบไปในสายลม ในขณะที่ผมของเขากระพือขึ้นอย่างงดงามอยู่เบื้องหลังไหล่ของเขา นกพิราบของเขาบินวนไปมาสองครั้งเหนือเขา ก่อนที่จะค่อย ๆ ลงไปเกาะบนไหล่ของเขาและเหมือนเจ้านายของมันก็ดูเต็มไปด้วยความดุร้าย
***วันนี้มาน้อยมาก เสียดาย เวอร์อิงลงครึ่งบทแรกป็นเนื้อหาเก่าของเมื่อวานผูัแปลเลยตัดเอาเฉพาะเนื้อหาใหม่มานะคะ อยากให้เสี่ยวหยินเป็นพระเอก
ตอนที่ 97.1
เสื้อคลุมสีม่วง ตาสีม่วง ผมสีม่วง
ผมสีม่วงหรือ?
ฮวาจูอวี้ต้องตกใจเมื่อมองเห็นเส้นผมที่ไหลผ่านหลังของเสี่ยวหยิน เป็นสีม่วงอันงดงามเรียงรายอยู่ข้างหลังของเขาเหมือนน้ำตก สีม่วงส่องประกายอย่างน่าทึ่งภายใต้ดวงอาทิตย์ตอนเย็น ทำให้ใบหน้าของเขาดูเย็นชาลงอย่างเห็นได้ชัด
เส้นผมของเสี่ยวหยิน เป็นสีดำ แล้วจู่ๆ มันเปลี่ยนเป็นสีม่วงได้อย่างไร?
เขารู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้ากับผมสีม่วงของเขา ท่าทางสง่างามของเขาทำให้นางรู้สึกวิตกเล็กน้อย เพียงแค่กลิ่นอายของเขาเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะกดดันทหารทั้งหมด นี่ยังไม่นับกองทัพที่น่าทึ่งนับพัน ๆ ที่อยู่ข้างหลังของเขาอีก
เสี่ยวหยินดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นฮวาจูอวี้ ในขณะที่นางเฝ้าดูเขาจากหอประตูเมือง
ด้วยรอยยิ้มที่เยือกเย็นที่กำลังปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเขา สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่จี่เฟิงหลี่เท่านั้น
ด้วยการยกมือขึ้นอย่างกะทันหันของเขา ทำให้เสียงกลองและแตรหยุดลงในทันที ความสงบที่ลึกลับห่อหุบอยู่รอบๆตัวเขา ท้องฟ้าและแผ่นดินทำให้เหลือเพียงเสียงกระหึ่มที่น่าเศร้าของสายลมพัดเท่านั้นที่พอจะได้ยิน
แสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ได้ตกดินและหายไปเหนือเส้นขอบฟ้า มีเพียงประกายแสงในสายตาของทหารที่เต็มไปด้วยไอสังหารที่ทำให้อากาศแทบจะหายใจไม่ออก
ฮวาจูอวี้ไม่ใช่คนแปลกหน้ากับฉากแบบนี้ แต่นางไม่เคยรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดที่สูงเท่าในวันนี้มาก่อน เหตุผลหลักคือการที่นางไม่ได้เผชิญหน้ากับกองกำลังของตะวันตกเหลียง แต่เป็นอาณาจักรเหนือที่นำโดยเสี่ยวหยินซึ่งเป็นผู้ชายที่เคยอ้างว่าเขารักนางและจะปกป้องนางตลอดไป
เสี่ยวหยินไม่ได้มีคำสั่งให้โจมตีในทันที แต่พูดขึ้นอย่างดุเดือด “จี่เฟิงหลี่ในเมื่อเจ้ามาถึงแล้วก็อย่าหนีและซ่อนตัว รีบส่งคนของเจ้าเข้าสู่สนามรบเสีย!”
ด้วยมือที่ไขว่หลัง เขายืนตรงและสง่างาม จี่เฟิงหลี่แสดงท่าทางหยิ่งยโสและสูงส่งออกมา เนื่องจากแขนเสื้อสีขาวของเขาสะบัดไปตามสายลม ดวงตาหงส์ ของเขาซึ่งดูเหมือนจะสามารถมองผ่านทุกอย่างได้ส่องประกายสว่างไสวขึ้น ด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนเขาพูดขึ้น “ฮ่องเต้เหนือมีท่าทีที่น่าประทับใจจริงๆ ข้าไม่รู้จริงๆว่าควรจะส่งใครไปเพื่อเอาชนะท่าน หรือว่าข้าควรจะส่งเขาไปดี? ”
จี่เฟิงหลี่ไม่ได้ตะโกนแม้แต่น้อย แต่เสี่ยวหยิน ก็ยังสามารถได้ยินคำพูดของเขาได้ทุกอย่าง
ฮวาจูอวี้รู้สึกประหลาดใจเมื่อในที่สุดนางก็ตระหนักได้ว่า “เขา” ที่จี่เฟิงหลี่หมายถึงคือนาง
เสี่ยวหยินมองตามทิศทางที่จี่เฟิงหลี่ ชี้และมองไปที่ฮวาจูอวี้ หลังจากมองนางอย่างผ่านๆแล้ว เขาก็หันกลับมาและหัวเราะอย่างเยือกเย็นและดูถูกขึ้น “เสนาบดีฝ่ายซ้าย อาณาจักรใต้ของเจ้าขาดคนแล้วหรือ ถึงขนาดจะส่งทหารตัวเล็กๆ เช่นนั้นมาเผชิญกับผู้นำศัตรู? เจ้ากำลังดูถูกกองทัพของอาณาจักรเหนือของข้าอยู่หรือ! ”
ฮวาจูอวี้ รู้ว่าจี่เฟิงหลี่ ไม่ได้ตั้งใจที่จะส่งนางไปต่อสู้จริงๆ แต่พูดเช่นนี้เพื่อที่จะดึงความสนใจของเสี่ยวหยิน มาที่นาง เขามั่นใจว่านางเป็นหนึ่งในคนของเสี่ยวหยิน ถ้าเขาปล่อยนางไปก็ไม่เท่ากับการส่งนางกลับไปหรือ
แต่สิ่งที่ฮวาจูอวี้ไม่คาดคิดคือการได้ยินคำพูดดังกล่าวจากเสี่ยวหยิน ราวกับว่าเขาไม่รู้จักนางเลย
จี่เฟิงหลี่ถึงกับประหลาดใจเล็กน้อยกับการตอบสนองที่เขาได้รับ เขาหันกลับมาและมองดูฮวาจูอวี้และพูดขึ้นอย่างเย็นชา “ข้านึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้เหนือกำลังแกล้งทำเป็นว่าไม่รู้จักเจ้า เขาคิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าเป็นอิสระหรือถ้าเขาทำเช่นนั้น? ”
นางยิ้มและตอบขึ้น “ท่านเสนา โปรดให้ข้าไปพบกับผู้นำของศัตรูด้วย! ข้าไม่ใช่สายลับที่ส่งมาจากอาณาจักรเหนือ ข้ามีเชื้อสายของอาณาจักรใต้ ถ้าท่านไม่ไว้ใจข้าและคิดว่าข้าจะหลบหนี ท่านก็สามารถยิงข้าด้วยลูกธนูได้ในทันที “นางตัดสินใจว่าต้องพบกับเสี่ยวหยิน ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็ต้องรู้ว่าทำไมเขาถึงก่อสงครามในครั้งนี้ ถ้า … ถ้ามีความเป็นไปได้เพียงเล็กน้อยว่ามันอาจจะเป็นเพราะนาง นางคงจะไม่กลายเป็นคนบาปแห่งศตวรรษไปหรอกหรือ? นางต้องโน้มน้าวให้เขาถอนกองกำลังและยุติสงครามในครั้งนี้
จี่เฟิงหลี่จ้องมองที่นาง ก่อนที่จะพูดว่า “ดี! ข้าจะให้เจ้าได้พบเขา แต่ถ้าเจ้าวางแผนที่จะหลบหนีมันจะไม่ง่ายเช่นนั้น “
ฮวาจูอวี้ถูกพาไปที่ประตูเมืองโดยกลุ่มทหาร โดยมีถังยวี และหนานกง เจี๋ย อยู่ประคบทั้งสองด้าน
ฮวาจูอวี้ตระหนักถึงความแข็งแกร่งของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถงยวีผู้ซึ่งมาจากถังเมน ที่มีความสามารถในเรื่องของยาพิษ ถ้านางจะหลบหนีแม้ว่าจะไม่มีการลงมือของจี่เฟิงหลี่ ทั้งสองก็จะพยายามหยุดนาง อย่างไรก็ตามจี่เฟิงหลี่ยังประเมินความสามารถของนางสูงอยู่ เพราะถ้านางอยากหนีไปอย่างแท้จริง ทั้งสองจะไม่สามารถหยุดนางได้ แต่นางไม่มีแผนที่จะหลบหนี เพื่ออาณาจักรใต้ครอบครัวฮวาของนางได้เสี่ยงชีวิตอยู่หลายปีในสนามรบ ถ้าไม่ใช่เพราะราชสำนักก็เพื่อคนธรรมดาทั่วไป แม้ว่าบิดาของนางจะถูกตัดสินว่าเป็นกบฏ แต่นางก็ยังเชื่อในความบริสุทธิ์ของเขา และนางก็ไม่เคยคิดที่จะทรยศต่ออาณาจักรของนางเอง
ที่ประตูเมืองซูโจว นางขี่ม้าออกไปพร้อมกับถังยวี และหนานกง เจี๋ยที่เดินตามมาอย่างใกล้ชิดทั้งทางด้านซ้ายและทางขวา เสียงกีบม้าทำลายความเงียบและดังขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนหัวใจของนาง
ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
ทีละก้าวๆ
เมื่อออกจากประตูเมืองผ่านหมอกเย็นในตอนเย็น ในที่สุดนางก็เข้าใกล้เสี่ยวหยิน และสามารถมองเห็นใบหน้าของเขาภายใต้ธงของอาณาจักรเหนือได้
แต่เสี่ยวหยิน ตรงหน้านางไม่คุ้นเคยกับสายตาของนางเลยแม้แต่น้อย
ไม่ใช่เพราะผมสีม่วง แต่เป็นดวงตาสีม่วงของเขาและการแสดงออกที่รุนแรงที่เขามี เขาสวมชุดสีม่วงพราวแพรวและมีสัญญลักษณ์ของราชอาณาจักรเหนือพร้อมกับมังกรสีทองที่มีดวงตาอันวาวแวมและมีมีดปลายแหลมคมปักอยู่ด้านหน้า เนื่องจากคำสั่งของเสี่ยวหยิน ทุกคนสามารถรู้สึกได้ถึงแรงกดดัน
ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเขามีกลิ่นอายของกษัตริย์ผู้ปกครองอย่างแท้จริง
ด้วยเหตุผลที่ไม่รู้สาเหตุ ฮวาจูอวี้ รู้สึกถึงความรู้สึกไม่สบายแปลก ๆ ที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ
นางนั่งอยู่บนม้าและมองไปที่เขาเพียงเพื่อจะได้พบกับสายตาที่เฉียดและดุเดือด ซึ่งดูเหมือนจะมองทะลุผ่านนางได้
ด้วยดวงตาสีม่วงเข้มที่เขาจ้องมองมาที่นาง ไม่มีร่องรอยของความรู้สึกใด้ๆ แม้แต่น้อย มีเพียงความรู้สึกเยือกเย็นไปถึงกระดูกเท่านั้น เสี่ยวหยินยิ้มให้นาง แต่รอยยิ้มดังกล่าวมีแต่กลิ่นไอสังหารพร้อมกับพูดขึ้น “ข้าไม่ได้คาดหวังว่าจี่เฟิงหลี่จะส่งทหารตัวๆเล็กออกมา ถ้าเจ้ากำลังปรารถนาความตายฮ่องเต้ผู้นี้ก็จะตอบสนองความต้องการของเจ้า! “
ตอนที่ 97.2
ในช่วงเวลานั้นดูเหมือนว่าหัวใจของฮวาจูอวี้จะแข็งค้างไป
ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าของนาง ใช่เสี่ยวหยินจริงๆหรือไม่?
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นเสี่ยวหยินจริงๆ แต่ด้วยวิธีที่เขาแสดง มันก็เหมือนกับช่วงเวลาที่พวกเขาได้พบกันเป็นครั้งแรก ไม่ เขายิ่งเหี้ยมโหดมากกว่าในเวลานั้นเสียอีก
นางรู้สึกขมขื่นในส่วนลึกในหัวใจของนาง ราวกับว่ามันกำลังถูกบีบโดยใครบางคน เสี่ยวหยินไม่รู้จักนางจริงๆหรือ? นางสงบนิ่งเมื่อพบกับการจ้องมองของเขา ในขณะที่ความรู้สึกมากมายไหลผ่านเข้ามา
“โจมตี!” เสี่ยวหยินบัญชาการด้วยเสียงน้ำแข็งขึ้น
หลังจากนั้นแม่ทัพผู้ที่อยู่เบื้องหลังเขาก็พุ่งไปข้างหน้าบนหลังม้าของเขส
คนส่วนใหญ่ในกองทัพของอาณาจักรเหนือ ไม่ได้ตระหนักถึงรูปร่างหน้าตาของนาง เพราะนางจะปกปิดใบหน้าของนางหรือใส่เครื่องสำอางค์เมื่อนางถูกคุมขังในฐานะนางโลมที่ค่ายทหาร
แม่ทัพนั่งอยู่บนหลังม้าของเขาเมื่อเข้าใกล้ ๆ และชี้หอกไปที่ฮวาจูอวี้ก่อนจะพูดขึ้น “แม่ทัพผู้นี้จะส่งเจ้าไปเอง!”
โดยไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย สายตาของฮวาจูอวี้ยังคงจ้องไปที่เสี่ยวหยิน ด้วยสายตาที่ชัดเจนของนางในขณะที่นางพูดขึ้น “ไม่จำเป็นต้องต่อสู้ เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า และข้าก็ไม่ต้องการที่จะต่อสู้ด้วยเช่นกัน ข้ามาเพียงเพื่อจะพูดสองสามคำกับฝ่าบาทของเจ้า “
หัวคิ้วของเสี่ยวหยินขมวดคิ้วและพูดด้วยรอยยิ้มที่เย็นชาขึ้น “เด็กน้อย ความกล้าหาญของเจ้าไม่เล็กเลยจริงๆ เจ้าต้องการจะพูดอะไร? พูดมา”
เด็กน้อยหรือ
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกคิดถึงวิธีที่เขามักจะเรียกนางว่ายาโถว
นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเวลาที่พวกเขาแยกจากกัน แต่ผมสีม่วงและสายตาของเขาก็เพียงพอแล้วสำหรับนางที่จะรู้ว่าเขาลืมนางไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ทำให้หัวใจนางรู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย
“ท่านไม่รู้จริงๆหรือว่าข้าเป็นใคร?” ฮวาจูอวี้ถามขึ้นช้าๆ ในขณะที่นางระงับความเจ็บปวดที่สั่นไหวอยู่ภายในเอาไว้
“เจ้าหรือ?” เสี่ยวหยินทำการประเมินนางอีกครั้งและด้วยสายตาที่คมชัดเขาก็ถามขึ้น “เจ้าเป็นใคร?”
นางเป็นใครนะหรือ
นางตกใจเล็กน้อย นางไม่รู้ว่าตอบอย่างไร นางควรจะบอกว่านางเป็นอิงซู่เซี่ย หรือหยวนเป่า? หรือว่านางคือฮวาจูอวี้หรือน้องสาวของเขา?
ในตัวตนทั้งสี่ของนางมีเพียง 2 คนเท่านั้นที่เป็นตัวจริงของนาง แต่ก็ไม่สามารถใช้เพื่อตอบคำถามของเขาได้ นางสามารถพูดได้เพียงว่านางคือหยวนเป่า ที่เป็นขันทีของหวงฝู่ อู๋ ซวง ได้เท่านั้น
“ข้าคือหยวนเป่า ที่ฝ่าบาททรงช่วยให้ข้ารอดพ้นจากเงื้อมมือของสัตว์ร้าย เป็นไปได้ไหมว่าฝ่าบาทจะทรงจำไม่ได้แล้ว? “ฮวาจูอวี้ถามขึ้น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความคาดหวัง นางไม่อยากเชื่อว่าเขาจะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้
เสี่ยวกยินยิ้มให้กับนาง “ข้าจำสัตว์ร้ายได้ แต่ข้าจำไม่ได้ว่าเคยช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ เจ้ามาที่นี่เพียงเพื่อที่จะพูดเรื่องนี้หรือ? ถ้าเราพูดเสร็จแล้วสิ่งที่เหลือก็คือการสู้รบ ใช่หรือไม่? ”
สายตาของนางที่จ้องมองเขาเต็มไปด้วยความเสียใจ ถ้าเสี่ยวหยินจำนางไม่ได้แล้ว มันก็จะไร้ผลที่จะพูด
“ข้าแค่อยากจะถามว่าทำไมท่านต้องทำสงครามในครั้งนี้และนำความเดือดร้อนไปให้กับประชาชนทั่วไป” ฮวาจูอวี้ระงับความรู้สึกขมขื่นในใจและค่อยๆถามขึ้น
“สงครามหรือ? ข้อตกลงระหว่างอาณาจักรใต้และอาณาจักรเหนือเกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว การรวมประเทศเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น อาณาจักรใต้มีความเสียหายที่เกิดจากฮ่องเต้ ที่รู้ว่าจะสะสมอำนาจอย่างไรเท่านั่น เจ้ามีฮ่องเต้หนุ่มคนใหม่ที่้เพิ่งจะได้รับการสวมมงกุฎไม่ใช่หรือ แต่อำนาจที่แท้จริงยังคงอยู่ในมือของเจ้าหน้าที่ที่เลือกเขา ด้วยเหตุนี้อาณาจักรใต้จึงตกอยู่ในความทุกข์ยาก และอาณาจักรเหนือของข้าไม่ได้พึ่งพาเพียงความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว ในช่วงหลายปีที่เราได้เรียนรู้วิธีขงจื้อ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่อำนาจของเรากจะกำลังเพิ่มขึ้นทุกวัน” เสี่ยวหยินพูดขึ้นอย่างสงบ
ฮวาจูอวี้ถึงกับเต็มไปด้วยความงงงวย
เหตุผลที่น่าหัวเราะที่ทำให้เกิดสงครามคือ ‘ความเป็นอันเดียวกัน’ แต่ราคาที่ต้องจ่ายคือความทุกข์ทรมานและความโชคร้าย เป็นการยากที่จะมีชีวิตที่เงียบสงบและมั่นคงได้
“เจ้าอยากจะพูดอะไรอีกไม่?” เสี่ยวหยินมองไปที่นางและถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาลงอย่างไม่น่าเชื่อ
ฮวาจูอวี้มีอีกมากมายที่จะอยากพูด แต่คำพูดติดอยู่ในลำคอของนาง เพราะไม่ว่านางจะพูดอะไรก็ตาม เสี่ยวหยินก็จะไม่ยอมฟังนาง
“ถ้าไม่มีอะไรอื่นแล้วก็มาเริ่มการต่อสู้ได้เลย!” เสี่ยวหยินหรี่ตาลงและพูดขึ้นอย่างช้าๆและเยือกเย็น “เจ้ากล้าที่จะออกจากประตูเมืองและมาพบกับผู้นำศึก และบนพื้นฐานความจริงเพียงอย่างเดียวนี้ ฮ่องเต้ผู้นี้ชื่นชมความกล้าหาญของเจ้า แต่ข้ากลัวว่ามันจะเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าที่จะกลับไป “
ด้วยคลื่นฝ่ามือของเขา กลุ่มทหารก็ล้อมรอบนางและเริ่มโจมตีทันที นางมีหอกเล็กๆเพียงอย่างเดียวที่อยู่ในมือ นางดึงบังเหียนและขี่ม้ากลับไป ราวกับสายฟ้าพุ่งลงมากลางวงล้อม แม้ว่ามันจะเป็นแค่หอกธรรมดาๆ แต่เมื่อมันอยู่ในมือของนางมันก็กลายเป็นอาวุธที่แหลมคมที่ไล่ล่าศัตรูและสะท้อนอยู่ในสนามรบราวกับเสือป่าคำรามและทำให้ศัตรูกระจัดกระจายไปออก ด้วยความเร็วราวกับฟ้าแลบนางสังหารทหารสองคน หลังจากนั้นสักครู่นางก็เปิดเส้นทางที่เต็มไปด้วยเลือดและศพ ก่อนที่จะรีบกลับไปที่ประตูเมืองพร้อมกับถังยวีและหนานกง เจี๋ย
*** เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวหยิน อ่าาาาาาา ข้ารับไม่ได้ดดดดดดด
ตอนที่ 98
กองกำลังทหารของอาณาจักรเหนือไล่ตามหลังฮวาจูอวี้มาอย่างติดๆ แต่แล้วจู่ๆ ของพิณก็ดังขึ้นมาจากข้างหลัง
บทเพลงเริ่มแรกดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเศร้า แต่แล้วก็ค่อยๆเพิ่มความรุ่นแรงขึ้น
เพลงนี้สำหรับฮวาจูอวี้มันคุ้นมาก เพราะมันคือ ซาโปลาง (ฆ่าหมาป่าที่บาดเจ็บ)
ซาโปลางหรือ!
นี่คือเพลงที่นางแต่งขึ้นมาเองสำหรับทหารของนางซึ่งเป็นเพลงที่มีความสำคัญอย่างมาก เป็นเพลงที่แสดงถึงความทุกข์ทรมานและความยากลำบากที่นางและกองทัพของนางได้ผ่านมันมา
นอกจากนางแล้ว ก็มีเพียงตงหงที่รู้จักเพลงนี้
ตงหง ออกจากพระราชวังของอาณาจักรใต้มาหรือ?
หัวใจของฮวาจูอวี้ บีบรัดขึ้นทันทีและนางก็ดึงบังเหียนเพื่อหยุดม้า ก่อนจะหันไปเผชิญกับฉากที่เข้ามาทักทายกับดวงตาของนาง คือกองทัพที่ยิ่งใหญ่ของเสี่ยวยินกำลังแยกตัวออกจากศูนย์กลาง เพื่อเปิดทางสำหรับรถม้าที่เดินเข้ามาอย่างช้าๆ ผ้าม่านสีแดงแขวนอยู่ด้านหน้าของรถม้า ในความมืดของตอนพลบค่ำ สีแดงที่ฉูดฉาดเด่นชัดอย่างไม่น่าเชื่อและมันก็เป็นสีเดียวกับสีแดงที่ตงหงจะสวมใส่เมื่อนางอยู่ในสนามรบ และเสียงพิณก็ดังมาจากที่นั่น
มือของฮวาจูอวี้ สั่นขึ้นเล็กน้อย สายตาที่ชัดเจนของนางหรี่ลง ในขณะที่นางพยายามจะมองไปที่คนที่อยู่ข้างหลังผ้าม่านสีแดง ภายในรถม้าเป็นภาพเงาของหญิงสาวนางหนึ่ง นั่นจะเป็นตงหงจริงๆหรือ? ในชีวิตทั้งหมดของนางนอกจากจินเซ่อ คนที่นางทำให้ผิดหวังมากที่สุดอีกคนก็คือตงหง ตงหงได้ทำอะไรหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อนาง ถ้าคนผู้นั้นเป็นตงหงจริง ๆ นางก็จะต้องช่วยนางให้ได้ ไม่ว่าจะต้องเสียอะไรก็ตาม
เมื่อจู่ๆ ก็เห็นว่าฮวาจูอวี้ หยุดอยู่ลง ถังยวีและหนานกง เจี๋ย ก็หยุดม้าของพวกเขาด้วยเช่นกัน ท่านเสนาได้มีคำสั่งให้พวกเขาช่วยพาคนผู้นี้กลับไปอย่างราบรื่น ยกเว้นถ้าเขาตัดสิ้นใจที่จะกลับไปยังกองทัพของอาณาจักรเหนือ ครู่ต่อมาพวกเขาประหลาดใจเมื่อเขาเปิดเส้นทางเลือดด้วยตัวเองและขี่ม้ากลับไปที่ประตูเมืองตามลำพัง แต่การหยุดชะงักอย่างกระทันหันของเขา ทำให้พวกเขาต้องระมัดระวังตัวขึ้นอีกครั้ง
“เร็วเขารีบไป ถ้าพวกเรายังล่าช้าอีกต่อไป พวกเราจะไม่มีโอกาสได้กลับไป!” ถังยวี ตะโกนอย่างเย็นชาขึ้น ประตูเมืองจะไม่เปิดอยู่เช่นนี้นานนัก
หนานกง เจี๋ย ก็หันม้ากลับมาด้วยเช่นกัน เขาชี้หอกมาที่หน้าอกของนางและพูดขึ้น “หยุดฝันได้แล้ว พวกเราจะไม่ยอมให้เจ้าหนีกลับไปยังอาณาจักรเหนือ เร็วเข้ารีบกลับไป ถ้าไม่อย่างนั้น ข้าจะไม่สุภาพอีกต่อไป”
ราวกับไม่ได้ยินคำพูดของเขา ฮวาจูอวี้ยังคงนิ่งอยู่ในขณะที่กองกำลังอาณาจักรเหนือกำลังเดินหน้าเข้ามา
ฮวาจูอวี้ตั้งใจฟัง ซาโปลาง ที่ดังอยู่ในสนามรบขนาดใหญ่ นางรู้สึกว่าบางครั้งมันก็ไม่เป็นระเบียบ แม้ว่าความสามารถในการเล่นพิณของผู้หญิงคนนี้จะพิเศษมาก มันก็ยังด้อยกว่าเมื่อเทียบกับตงหง แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะเล่นเพลงให้เต็มไปด้วยความเศร้าแต่มันก็ยังขาดบางอย่างไป เฉพาะคนที่เคยประสบกับความทุกข์ทรมานและความยากลำบากรวมทั้งกองทัพเท่านั้น ถึงจะตระหนักถึงความเศร้าที่ลึกลงไปในเพลงนี้ได้
คนผู้นี้ไม่ใช่ตงหง!
แต่แล้วจะเป็นใคร? นอกจากตงหง แล้วยังจะมีใครอีกที่จะรู้จักเพลงนี้บ้าง?
เมื่อเพลงจบลง มือที่เรียบและเรียวก็ยื่นออกมาเพื่อยกผ้าม่านสีแดงขึ้น เมื่อผู้หญิงคนนั้นเดินออกมา หัวใจของฮวาจูอวี้ก็แข็งค้างไปทันที
ผู้หญิงคนนั้นแต่งตัวอยู่ในชุดสีแดงที่เน้นรูปทรงอันเพรียวบางและสง่างามของนาง ผมของนางถูกจัดไว้ในทรงขนมปังสูง นางมีคู่คิ้วที่งดงามและดวงตาที่เปราะบางแวววาวเหมือนทะเลสาบในฤดูใบไม้ร่วง
แม้ว่านี่ไม่ใช่ตงหง แต่ก็ยังคงเป็นคนที่นางไม่ได้คาดหวังที่จะได้เห็น : เหวิ่นวาน
ฮวาจูอวี้ยังคงระลึกถึงความเกลียดชังและความไม่พอใจที่ฝังอยู่ในดวงตาของเหวิ่นวานในวันนั้น เมื่อเสี่ยวหยินพานางไปกับเขายังอาณาจักรเหนือได้ แต่ตอนนี้นางแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ด้วยรอยยิ้มที่เลื่อนลางบนริมฝีปากของนาง นางมองมาที่ฮวาจูอวี้อย่างหยิ่งยโสด้วยสายตาอันหนาวเย็น ก่อนจะกวาดไปที่หอประตูเมืองที่ที่จี่เฟิงหลี่ ก็ยืนอยู่ที่นั่น ในขณะที่เสื้อคลุมยาวของเขาสะบัดอยู่กลางสายลม
ร่องรอยแห่งความเสียใจกระพริบอยู่ในดวงตาของนาง ก่อนที่นางจะยกกระโปรงของนางขึ้นเพื่อลงจากรถม้าและเดินไปทางเสี่ยวหยิน หัวคิ้วของเขาขมวดขึ้นในขณะที่เขามองเห็นนาง แต่ริมฝีปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ในขณะที่มือของเขาเอื้อมออกไปจับเอวของนางและยกนางขึ้นมาบนม้าของเขา
พวกเขานั่งอยู่บนม้าด้วยกัน กลายเป็นฉากที่สนิทสนมกันอย่างไม่อาจอธิบายได้
หัวใจของฮวาจูอวี้ จมดิ่งลงเล็กน้อย
นางยังจำคำพูดของเสี่ยวหยินได้ มันสะท้อนอยู่ในหูของนางราวกับว่ามันเป็นเพียงแค่เมื่อวานนี้
เขาบอกว่าเขายินดีที่จะกลายเป็นโสเภณีชาย ถ้าหากทำเช่นนั้นแล้วจะทำให้ความเกลียดชังของนางลดลงบ้าง
เขาบอกว่า หลังจากที่ได้รับบาดเจ็บจากกรงเล็บของสัตว์ร้ายแล้ว ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่ามันจะเจ็บปวดมากแค่ไหนที่นางต้องถูกยิงด้วยลูกศรของเขา
เขาบอกว่า หยาโถว อาณาจักรใต้อันตรายมาก ตอนนี้ข้าจะไม่กังวลได้อย่างไรที่จะปล่อยให้เจ้าอยู่ที่นี่ ผู้หญิงคนนี้เป็นหมากในการเจรจาต่อรองของข้า ตราบใดที่นางอยู่ในกำมือของข้า พวกเขาจะไม่กล้าทำอะไรเจ้า
เขาบอก หยาโถว ข้าเกรงว่าในชีวิตนี้ข้าจะไม่มีชายา หรือแม้แต่สนม ข้ายอมที่จะอยู่โดยปราศจากพวกมัน
มันเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ และคำพูดเหล่านี้ก็เป็นคำพูดสุดท้ายของพวกเขา แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปมากมายนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
กองกำลังของอาณาจักรเหนือรอคำสั่งเพิ่มเติมจากเสี่ยวหยิน หลังจากที่ตามมาทันและประสบความสำเร็จในการขัดขวางเส้นทางของพวกเขาที่จะกลับไปซูโจว
แม้ว่าใบหน้าของเหวิ่นวานจะไม่มีการแสดงออกใดๆ แต่สายตาที่นางมองฮวาจูอวี้ก็เยือกเย็นและแหลมคม นางหันกลับไปและกระซิบอะไรบางอย่างในหูของเสี่ยวหยิน เสี่ยวหยินฟังนาง แล้วจู่ๆเขาก็หรี่ตาลึกลง จนไม่สามารถมองเห็นได้เมื่อมองมาที่ฮวาจูอวี้
เมื่อเหวิ่นวานพูดจบ ริมฝีปากของเสี่ยวหยินก็โค้งเป็นรอยยิ้มขึ้น เขาพานางกลับไปที่รถม้า ก่อนจะหยิบคันธนูขนาดใหญ่ที่ห้อยอยู่ข้างอานของเขาขึ้นมา จากนั้นเขาก็ไปดึงเอาลูกศรหลายลูกออกมาและวางไว้บนคันธนู
เขายกคันธนูขึ้นและดึงเชือกไปด้านหลัง
ในสนามรบและอยู่ในกลุ่มของทหารหลายพันคน ฮวาจูอวี้สามารถได้ยินเสียงคันธนูของเขาถูกดึงไปด้านหลังอย่างชัดเจนและราวกับเชือก หัวใจของนางบีบรัดขึ้นทันที
อาการชาไหลผ่านไปทั่วร่างของนางและนางก็ไม่กล้าเชื่อว่าเสี่ยวหยิน กำลังเล็งเป้ามาที่นาง นางไม่สามารถแม้แต่จะเปล่งเสียงออกมาได้ ทำได้เพียงแค่สบสายตาของเขาเท่านั้น
จากนั้นนางก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนเช่นดอกไม้บานอย่างโง่เขลาขึ้น
“ฝ่าบาท อย่า!”ฮุยเสวียและหลิวเฟิง ก็ร้องขึ้น แต่พวกเขาก็มาช้าไปก้าวหนึ่ง เสียงของพวกเขาถูกแทนไปด้วยเสียงหวีดของลูกศรที่ปล่อยออกมาที่ ถังยวี หนานกง เจี๋ย และฮวาจูอวี้
ลูกศรพุ่งผ่านอากาศมาด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์ ทำให้ยากที่จะหลีกเลี่ยง ฮวาจูอวี้ทำได้เพียงแค่ยกหอกของนางและใช้กำลังภายลงไปเพื่อป้องกันลูกธนู เนื่องจากหอกทำจากไม้ ถ้านางไม่ได้ใช้กำลังภายในของนางนางกลัวว่าลูกศรจะแทงผ่านหอกและแทงหน้าอกของนาง แม้ว่านางจะปิดกั้นลูกศร แต่ผลกระทบจากมันก็มีพลังมากพอที่จะทำร้ายแขนของนางและนางก็รู้สึกว่ามีรสขมขึ้นในลำคอ ก่อนที่นางกระอักเลือดออกมา
มองไปที่เลือดที่อยู่ตรงหน้านาง นางเพียงแค่รู้สึกเศร้ามาก
นางรู้สึกได้ถึงความสุขที่อยู่ตรงหน้าของนาง แต่ในเวลาเดียวกันมันก็ค่อนข้างห่างไกลออกไป ถูกคั่นด้วยช่วงวางของภูเขาและท้องทะเล ไม่มีทางที่นางจะสัมผัสมันได้
นางเคยคิดว่านางจะกลับไปเป็นผู้หญิงธรรมดาและแต่งงานกับผู้ชายที่ดี แต่ถ้วยเหล้าองุ่นที่เป็นพิษก็ได้ทำให้ความฝันนั้นกลายเป็นฝันร้าย
เมื่อนางคิดว่าในที่สุด นางก็พบใครสักคนที่จะปกป้องนาง ลูกศรเดียวของเขาก็ทำให้ความฝันนั้นแตกสลายกลายเป็นชิ้น ๆ
ทำไมความสุขจึงห่างไกลเหลือเกิน?
จู่ๆ เหยี่ยวก็กางปีกขึ้นและบินออกจากไหล่ของเสี่ยวยหยินไปที่ฮวาจูอวี้ นางไม่แน่ใจว่าม้าของนางกลัวลูกศรของเสี่ยวหยิน หรือการปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของเหยี่ยวหรือไม่ แต่จู่ๆ มันก็ยกข้าขึ้นและเอียงไปด้านหลัง ทำให้ฮวาจูอวี้ตกลงไปบนพื้น
ตอนที่นางอยู่กลางอากาศ นางเห็นเสี่ยวหยิน ดึงบังเหียนขึ้นและขี่ม้าตรงมาที่นางจากมุมห่างตาของนาง นางบิดตัวและเสียบหอกลงไปบนพื้นเพื่อทำให้ตัวเองมั่นคง ฮ่องเต้ของอาณาจักรเหนือกำลังจะมาส่งนางไปด้วยตัวเอง นางช่างได้รับพรอย่างแท้จริง!
ดวงตาของเสี่ยวหยิน กระพริบขึ้นด้วยความเยือกเย็นในขณะที่ใช้หอกของเขาปะทะกับนาง ภายใต้ความแรงของเขา นางถูกบังคับให้ถอยหลังกลับไป
แม้ว่านางจะไม่เคยต่อสู้กับเสี่ยวหยิน อย่างจริงจัง แต่นางก็เห็นเขาต่อสู้กับโตนเฉียนจิน ดังนั้นนางจึงตระหนักถึงพลังของเขา แต่การต่อสู้กับเขาในวันนี้ทำให้นางตระหนักว่าทักษะการต่อสู้ของเสี่ยวหยินและกำลังภายในของเขาได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เดือนที่ผ่านมากำลังภายในของเขาแทบจะเทียบได้กับนาง แต่ตอนนี้มันเกินกว่านางและนางก็ไม่สามารถไล่ตามได้ทัน
ถังยวีและหนานกง เจี๋ยหลบลูกศรของเสี่ยวหยินได้ แต่ก็ยังคงล้อมรอบไปด้วยกองกำลังของเขา
ลูกศรของเสี่ยวหยิน ได้ทำให้แขนของนางบาดเจ็บและหอกในมือของนางก็ธรรมดา เป็นแบบนี้แล้วนางจะสามารถเผชิญหน้ากับใครบางคนที่มีกำลังภายในเช่นนี้ได้อย่างไร
การปะทะครั้งที่หนึ่ง
การปะทะครั้งที่สอง
การปะทะครั้งที่สาม
การปะทะกันครั้งที่ 18 ต่อมา เสี่ยวหยินก็ได้แทงหัวไหล่ของนาง
ฮวาจูอวี้ทรุดลงไปกับพื้น เสียงของการสังหารและเสียงของม้า ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องและหมุนอยู่รอบๆ ตัวนาง
ลมพัดกระหน่ำเหมือนเสียงของวิญญาณกรีดร้อง เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
เมื่อค่ำคืนเข้ามาถึง กองทัพทั้งสองต่างก็จุดไฟขึ้น เสื้อเกราะของเขาที่ส่องประกายเป็นแสงสีเงินสะท้อนเข้าไปในดวงตาของนางและใบมีคมของหอกของเขาก็ทำให้เกิดแสงแวววาว ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงใบหน้าที่เยือกเย็นและงดงามของฮวาจูอวี้
ริมฝีปากของเสี่ยวหยินอยู่ในรูปลักษณ์ที่น่ากลัวและดวงตาสีม่วงของเขาก็ค่อยๆหรี่ลงเมื่อพวกเขาจ้องมองฮวาจูอว้ อย่างเงียบ ๆ
จู่ๆ ประตูเมืองของซูโจวก็ได้เปิดออก แล้วกองกำลังของทหารของอาณาจักรใต้ก็วิ่งออกมาพร้อมด้วยแม่ทัพหวังอวี้ ที่เป็นคนนำทัพ ตามมาด้วยท่านเสนาบดีฝ่าย ซ้ายจี่เฟิงหลี่ที่อยู่ข้างๆ
เสี่ยวหยิน โบกมือขึ้นและทหารจำนวนหนึ่งก็ชี้อาวุธไปที่ฮวาจูอวี้ ในขณะที่อีกคนออกมาข้างหน้าและผูกนางไว้ ดวงตาสีม่วงของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายของปีศาจ
เมื่อเห็นแบบนี้ ถังยวีและหนานกง เจี๋ยก็ตรงเข้าไปข้างหน้าทันที ถังยวีสะบัดแขนเสื้อของเขาและเข็มที่แหลมคมจำนวนมากก็ถูกยิงออกไปที่บริเวณรอบๆ ของฮวาจูอวี้ และคนที่ถูกโจมตีก็ล้มลงไปทันที
จู่ๆ เสี่ยวหยินก็หันกลับไปและยกฮวาจูอวี้ขึ้นมาบนม้าของเขาและรีบหันกลับไปหากองทัพของเขาทันที
ทั้งสองกองทัพต่อสู้กันอยู่หน้าประตูเมือง แต่ฮวาจูอวี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมันอีกต่อไป นางกลายเป็นนักโทษของสงคราม ในขณะที่นางถูกจับโดย เสี่ยวหยิน อย่างมันไม่คาดฝันและนางก็มั่นใจว่ามันจะช่วยเพิ่มความเชื่อของ จี่เฟิงหลี่ที่ว่านางเป็นสายลับของอาณาจักรเหนือเข้าไปอีก เมื่อคิดได้แบบนี้รอยยิ้มที่ขมขื่นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็จะต้องไปที่อาณาจักรเหนือและหาสาเหตุว่าทำไมเสี่ยวหยินถึงมีพฤติกรรมแปลก ๆ
การรบเกิดขึ้นจนถึงเที่ยงคืน ทหารของอาณาจักรใต้ได้ประสบความสำเร็จในการผลักดันให้ทหารของทางอาณาจักรเหนือถอยกลับไปได้ถึง 50 ลี้ ทำให้กองทัพของอาณาจักรเหนือต้องถอยกลับไปที่เมืองหยางกวน
สองวันต่อมา
ทุกคนที่อาศัยอยู่ในหยางกวน หนีไปทันทีที่กองทัพของอาณาจักรเหนือเข้ายึดครองเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผลที่ตามมาก็คือเมืองเต็มไปด้วยความว่างเปล่า นอกเหนือจากกองกำลังที่กำลังครอบครองมันอยู่
ฮวาจูอวี้ถูกส่งไปยังบ้านชั่วคราวของเสี่ยวหยินในรถม้าธรรมดา สถานที่ที่เขาอ้างว่ามีความเสียหายน้อยที่สุดและในความเป็นจริงมันคือที่อยู่ของท่านเจ้าเมือง
นางถูกนำตัวไปที่คุกใต้ดินในบ้านพักและถูกคุมขังอยู่ที่นั่น ความอับชื้นและความมืดของสถานที่ ทำให้นางรู้สึกหายใจไม่ออกและอาการบาดเจ็บที่ไหล่ของนางก็ยิ่งทำให้นางขมวดคิ้วมากขึ้น
นางนั่งลงบนพื้นและคิดเกี่ยวกับเสี่ยวหยิน ภาพของเขาในสนามรบกระพริบผ่านในใจของนาง นางพยายามจดจำว่ามีอะไรแปลก ๆ เกี่ยวกับพฤติกรรมของเขาหรือไม่ แต่ท้ายที่สุดนางก็หาอะไรแปลก ๆ ไม่ได้นอกเหนือจากที่เขาลืมเรื่องเกี่ยวกับนางไป เขาเป็นตัวตนปกติของเขา นี่เป็นความจริงที่นางต้องยอมรับ
เขาไม่ได้ถูกใครบังคับ เขาเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวและเป็นตัวของตัวเอง เช่นนั้นแล้ว … เกิดอะไรขึ้น? นางต้องไปหาคำตอบ
นางใช้กำลังภายในของนางเพื่อตัดเชือกที่ผูกนางไว้ออก ก่อนที่จะเดินช้า ๆ ไปที่ประตู เรือนจำแข็งแรงมาก แต่ไม่มีทหาร นี่เป็นเพราะหยางกวนตั้งอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์และมีการป้องกันที่แข็งแกร่ง กองทัพของอาณาจักรเหนือไม่ได้กังวลกับกองกำลังของอาณาจักรใต้ที่ทะลุแนวป้องกันมาได้ ดังนั้นเสี่ยวหยินจึงไม่คิดว่าจะมีการช่วยเหลือเกิดขึ้น
ฮวาจูวี้รู้ว่าเร็ว ๆ นี้จะมีใครบางคนมาแน่ ดังนั้นนางจึงยืนอยู่ข้างประตูเพื่อรอ แน่นอนที่สุดไม่นานเสียงฝีเท้าที่เบามากก็สะท้อนอยู่ในความมืดทีละก้าวทีละก้าว
มันเป็นองครักษ์ส่วนตัวของเสี่ยวหยิน ฮุยเสวีย ที่ยืนอยู่ตรงหน้าของนางในขณะที่ถือโคมไฟ
ในสนามรบฮวาจูอวี้เห็นว่านางพยายามที่จะหยุดเสี่ยวหยินและนางก็รู้ว่าฮุยเสวียจะมาหานาง
ตอนที่ 99
ภายในคุกใต้ดินที่มืดสนิท ฮุยเสวียยืนอยู่ตรงหน้าห้องขังในขณะที่จ้องมองมาที่ฮวาจูอวี้พร้อมกับความรู้สึกสงบบนใบหน้าของนาง โคมไฟอยู่ในมือของนางเปล่งแสงออมาเพียงเล็กน้อย และไม่ได้ทำให้อะไรภายในห้องขังสว่างขึ้นเลย ไม่แม้แต่จะไปถึงใบหน้าของฮุยเสวีย แต่ฮุยเสวียก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักในเวลาที่พวกเขาแยกกัน นางยังคงแสดงออกถึงความเยือกเย็นของนางอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือรูปลักษณ์ที่ซับซ้อนในสายตาของนางเมื่อนางจ้องมองมาที่ฮวาจูอวี้
“เจ้าเป็นใครกันแน่? ทำไมเจ้าต้องแสร้งทำเป็นองค์หญิงโจวย่า?” ฮุยเสวียมองตรงไปที่ฮวาจูอวี้ในขณะที่ถามขึ้น
จู่ๆ ฮวาจูอวี้ก็ต้องประหลาดใจเมื่อถูกถามคำถามนี้ออกมาเช่นนี้ เห็นได้ชัดจากคำถามนี้ว่าฮุยเสวีย รู้ว่านางไม่ใช่น้องสาวของเสี่ยวหยิน ซึ่งหมายความว่าเสี่ยวหยิน ก็อาจรู้ด้วยเช่นกัน นางไม่แน่ใจว่าเขาจะได้ยินนางในวันนั้นหรือไม่ เมื่อนางบอกให้เขากลับไปถามแม่นมไป๋ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะได้ยิน
“ฮุยเสวีย ข้าจะเป็นใครก็ตามแต่มันก็ไม่ได้สำคัญอะไร วันนั้นข้ามาถึงอาณาจักรเหนือเพื่อลี้ภัย ข้าไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดี “ในขณะนี้นางยังคงซ่อนตัวตนของนางอยู่
“แล้วเช่นนั้นเจ้ารู้จักองค์หญิงโจวย่าได้อย่างไร? เจ้าถึงขนาดมีสร้อยคออยู่กับตัวเจ้า ตอนนี้องค์หญิงโจวย่าอยู่ที่ไหน? “ฮุยเสวียคิดว่าฮวาจูอวี้ เป็นคนรับใช้จากตระกูลฮวาที่ถูกส่งมาแทน นางคงจะไม่เคยสงสัยว่าฮวาจูอวี้จะเป็นคุณหนูของตระกูลฮวา และนางก็ไม่รู้ว่าฮวาจูอวี้ก็คืออิงซู่เซี่ย คนเดียวที่รู้มีเพียงเสี่ยวหยินเท่านั้น
เมื่อฮุยเสวีย ถามเกี่ยวกับองค์หญิงโจวย่า ฮวาจูอวี้ก็หยุดนิ่งลง
การตายของจินเซ่อ ทำให้เกิดเป็นแผลเป็นที่เจ็บปวดในหัวใจของนาง การพูดถึงเรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกเหมือนมีคนเอามีดมาแทงหัวใจของนางและเปิดแผลออกอีกครั้ง
หลังจากความเงียบที่ยาวนาน ฮวาจูอวี้ก็ตอบขึ้น”นางล่วงลับไปแล้ว สร้อยคอนั้นเป็นสิ่งที่นางทิ้งไว้ให้ข้า “
ดวงตาของฮุยเสวีย เต็มไปด้วยความเศร้าโศกและมือที่นางใช้ในการถือโคมไฟก็สั่นขึ้นเล็กน้อย นางรู้ว่าสร้อยคอที่สำคัญดังกล่าวจะไม่ถูกถอดออกอย่างง่ายดาย เว้นเสียแต่ว่า …
“มันยากที่จะอธิบายด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ แต่ฮุยเสวียมันเกิดอะไรขึ้นกับฮ่องเต้ของเจ้า? ทำไมเขาถึงได้บุกรุกอาณาจักรใต้? ทำไมผมของเขาถึงเป็นสีม่วง? “ฮวาจูอวี้ถามด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม
ใบหน้าของฮุยเสวีย เริ่มดำมืดลง และนางก็ปฏิเสธที่จะตอบ ตรงกันข้ามนางเงยหน้าขึ้นและจ้องเขม็งไปที่ฮวาจูอวี้ ก่อนที่จะปลดล็อกประตูและพูดขึ้น “ฮ่องเต้ต้องการจะเจ้า ตามข้ามา!”
ฮุยเสวียจับโคมไฟและเดินนำทาง ข้อเท็จจริงที่ว่านางไม่ได้ตอบคำถามของนาง ทำให้ฮวาจูอวี้ยิ่งรู้สึกสงสัย เกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวหยิน ที่ทำให้ฮุยเสวีย มองนางด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างมากเช่นนั้น นางคิดว่าฮุยเสวีย จะมาบอกอะไรบางอย่างกับนาง แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น
ฮวาจูอวี้ รู้ว่าเสี่ยวหยิน จะต้องเรียกหานาง สิ่งที่เหวินว่านได้กระซิบกับเขาในสนามรบคงจะน่าสนใจมากพอที่ทำให้เขาจับตัวนางกลับมา เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่าเขาลืมเรื่องเกี่ยวกับนางไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ทำไมเขาถึงต้องมาสนใจกับทหารตัวเล็กๆ อย่างนางด้วย?
ขณะที่ฮวาจูอวี้ ลังเล ฮุยเสวียก็พูดขึ้น “รีบไปกันเถอะ ฝ่าบาทไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่ดีที่สุดในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ถ้าเจ้าไปช้า เจ้าก็จะต้องพบกับความทุกข์ทรมานเท่านั้น”
ฮวาจูอวี้ตามฮุยเสวีย ออกจากคุกใต้ดินไป ในขณะที่หลิวเฟิง กำลังรออยู่ข้างนอกและเดินนำหน้าพวกนางไปยังสถานที่ของเสี่ยวหยิน ตามเส้นทางเดิน
“ฝ่าบาท ผู้ใต้บังคับบัญชาได้พานักโทษมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลิวเฟิง ประกาศขึ้นเมื่อเขาเข้าไปด้านใน
ฮวาจูอวี้ก็เดินตามเขาเข้าไป
เมื่อพวกเขาแยกทางกันครั้งสุดท้าย พวกเขาต่างก็ลังเลใจ เมื่อได้พบกันอีกครั้ง พวกเขาก็กลายเป็นคนแปลกหน้า ในเวลาเพียงไม่กี่วัน ทะเลสีฟ้าได้กลายเป็นทุ่งของต้นหม่อน (มีการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่) เขายังเป็นเขาอยู่ นางก็ยังเป็นนาง แต่เมื่อสายตาของพวกเขาได้พบกัน นางก็ไม่ใช่นางเป็นอีกต่อไปในสายตาของเขาและเขาก็ไม่ใช่เขาในสายตาของนางอีกต่อไป
ตั้งอยู่บนพรมหนาคือโต๊ะไม้มะเกลือ ที่มีเตาเผาขนาดเล็กตั้งอยู่ด้านบนในขณะที่ธูปหอมถูกจุดขึ้นและกำลังเผาไหม้พร้อมกับส่งกลิ่นอ่อนๆ ไปทั่วห้อง
ด้านหนึ่งของห้องเหวินว่านกำลังนั่งเล่นพิณอยู่ ในขณะที่มีจำนวนของผู้หญิงที่งดงามกำลังเต้นรำไปพร้อมกับบทเพลงบนพรมแดง การเคลื่อนไหวของพวกนางงดงามและเย้ายวนใจ แต่สายตาของพวกนางไม่เข้ากับการเต้นของพวกนางแม้แต่น้อย ในขณะที่มันยึดติดอยู่กับร่างกายของเสี่ยวหยินที่กำลังส่องสว่างเหมือนน้ำพุร้อนในฤดูใบไม้ผลิ
เสี่ยวหยิน เฝ้าดูการเต้นด้วยมือที่ท้าวใต้คางของเขา ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยใส่ใจแม้จะเพิ่งพ่ายแพ้ในสงครามที่ทำให้เขาต้องถอยทัพกลับมาอยู่ที่นี่ ในขณะที่เขากำลังนั่งอยู่ที่นั่น พิงหมอนดูผ่อนคลายและสบายใจ
ผมสีม่วงของเขาถูกปล่อยทิ้งไว้ข้างหลัง ส่องประกายภายใต้แสงเทียนภายในห้อง บวกกับดวงตาสีม่วงเข้มของเขา ทำให้ร่างกายของเขามีเสน่ห์น่าหลงใหลและประทับใจมากกว่าที่เขาเคยมีมากในอดีต แต่เขากลับยิ่งดูเย็นชาลงไปมากกว่าเดิม
เมื่อได้เห็นฮวาจูอวี้ เขาก็หรี่ตาลงเล็กน้อย ดวงตาที่ดำมืดซึ่งไม่สามารถอ่านได้กำลังเปล่งประกายขึ้นด้วยความไม่พอใจ
“ทำไมเจ้าถึงมาช้านัก?” เขาถามขึ้นอย่างเย็นชา
“รายงานต่อฝ่าบาท เนื่องจากนักโทษผู้นี้ได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาอยู่เล็กน้อยเพคะ” ฮุยเสวียตอบหลังจากที่นางก้าวไปข้างหน้าและทำความเคารพแล้ว
เสี่ยวหยิน ส่งเสียงเย็นขึ้นแล้วโบกมือให้ฮวาจูอวี้ก่อนจะพูดขึ้น”มานี่”
ฮวาจูอวี้ไขว่มือของนางไว้ข้างหลังของนางและค่อยๆตรงเข้าไป ก่อนจะหยุดเมื่อนางอยู่ห่างจากเขาประมาณ 5 ก้าว ในระยะใกล้ๆ เช่นนี้นางรู้สึกว่าผมสีม่วงของเขาเข้ากับใบหน้าของเขาได้เป็นอย่างดี มันเยือกเย็น แต่ก็งดงามอย่างไม่อาจจะอธิบายได้
นางมองเขาและพยายามจะพูดอย่างสงบขึ้น “ฝ่าบาทมีเรื่องอันใดถึงต้องให้นายทหารชั้นต่ำเช่นกระหม่อมมาเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ?”
เขาจ้องมองไปที่ใบหน้าของนางอย่างไม่แยแสและตอบขึ้น “ทหารชั้นต่ำที่มีทักษะการต่อสู้ในระดับสูงเช่นนี้เป็นธรรมดาที่จะเป็นที่สนใจต่อฮ่องเต้ผู้นี้ นอกจากนี้ข้ายังได้ยินมาว่าจี่เฟิงหลี่ให้ความสำคัญกับเจ้าเป็นอย่างยิ่ง มันทำให้ฮ่องเต้ผู้นี้สงสัยว่าขอบเขตของมันอยู่ตรงไหน “
จี่เฟิงหลี่ให้ความสำคัญกับนางมากอย่างนั้นหรือ? บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่เขาได้ยินจากเหวินว่านก็ได้
“ฝ่าบาททรงเชื่อเช่นนั้นหรือ? กระหม่อมเป็นเพียงทหารตัวเล็กๆ เท่านั้น”ฮวาจูอวี้พูดขึ้น เสี่ยวหยินมองนางด้วยสายตาอันเย็นชา เขาจำนางไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“มันก็จริง” เขาพูดขึ้นเบา ๆ ดวงตาที่ลึกล้ำของเขาได้ตรวจสอบนางเป็นเวลานาน ก่อนที่หัวคิ้วของเขาจะขมวดขึ้นเล็กน้อย และเนื่องจากความอยากรู้อยากเห็นเขาจึงถามขึ้น “เจ้าชื่ออะไร?”
“ฝ่าบาท!” เหวินว่านเรียกขึ้นทันที นางหยุดเล่นและเดินไปนั่งข้างๆ เสี่ยวหยิน อย่างสง่างาม นางเทเหล้าองุ่นและมอบให้กับเขาก่อนจะพูดขึ้น “อีกถ้วยไหมเพคะ”
เสี่ยวหยิน ยกมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณให้นักเต้นหยุดลง จากนั้นเขาก็หันไปหาเหวินว่านพร้อมด้วยรอยยิ้มอันสดใส ก่อนจะพูดขึ้น “ว่านเอ้อร์ ทำไมถึงได้หยุด? ฮ่องเต้ชอบที่จะฟังเจ้าเล่น “
เหวินว่านยิ้มและตอบขึ้น “ตราบเท่าที่ฝ่าบาทประสงค์จะฟังว่านเอ้อร์ก็จะเล่นต่อไปเพคะ” จากนั้นนางก็ยืนขึ้นและเดินไปหาพิณของนาง เมื่อนางเดินผ่านฮวาจูอวี้ นางก็หยุดลงชั่วคราวและเหลือบไปที่ฮวาจูอวี้พร้อมกับดวงตาที่งดงามของนางที่กระพริบรอยยิ้มที่มีความหมายบางอย่างขึ้น
ฮวาจูอวี้ รู้ว่าเหวินว่าน เกลียดนาง
ในวันที่เสี่ยวหยินพาเหวินว่าน จากไปเขาบอกว่าเพื่อปกป้องนาง แม้ว่าเหวินว่านจะหมดสติไปในเวลานั้นและไม่ได้ยิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่รู้ คนที่มีความหยิ่งเช่นเหวินว่าน รู้ว่านางถูกนำตัวไปยังอาณาจักรเหนือเพื่อความปลอดภัยของขันทีตัวเล็กๆ คนหนึ่ง นางจะเงียบอยู่ได้อย่างไร?
ฮวาจูอวี้ยิ้มอย่างขมขื่น ความสัมพันธ์ระหว่างนางและเหวินว่าน นั้นซับซ้อนเกินไป
เหวินว่านกลับไปนั่งและเริ่มเล่นอีกครั้ง นางกำลังเล่นซาโปลาง บนราวเหลียงของเสี่ยวหยิน ที่ฮวาจูอวี้ เคยเล่นมาก่อน
ฮวาจูอวี้ ไม่เข้าใจว่าทำไมเหวินว่าน ถึงได้เลือกเล่นเพลงนี้ มันเป็นเพลงโปรดของเสี่ยวหยินหรือ?
บางทีอาจจะเป็นเพลงที่เสี่ยวหยินสอนนางด้วยตัวเองก็ได้
ฮวาจูอวี้ได้เล่นบทเพลงนี้ในสนามรบ หลังจากที่เสี่ยวหยิน เข้าใจผิดว่านางเป็นน้องสาวของเขา เขาก็บอกให้นางเล่นเพลงนี้อีกสองสามครั้ง ตอนแรกนางคิดว่าเขาไม่เข้าใจในดนตรี แต่ดูเหมือนว่าเขาได้ส่งบทเพลงนี้ไปยังหน่วยความจำของเขาและยังได้สอนมันให้กับเหวินว่านอีกด้วย
ฮวาจูอวี้ยืนอยู่เงียบ ๆ ภายในห้องและใคร่ครวญ
“ฝ่าบาท กระหม่อมต้องการจะพูดคำที่เป็นส่วนตัวสักสองสามคำ กระหม่อมหวังว่าฝ่าบาทจะทรงสั่งให้คนอื่นออกไปก่อน “จุดประสงค์ของนางในการมาที่นี่คือการพูดคุยกับเสี่ยวหยิน ไม่ใช่การมาฟังเพลง แต่ทันทีที่นางพูดจบ การเล่นของเหวินว่านก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยและหลังจากนั้นเมื่อเล่นไปได้ไม่กี่ท่อน เหวินว่านก็ร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวดและจับมือของนางเอาไว้ ก่อนจะมีเลือดไหลออกจากนิ้วชี้ขวาของนาง นางขมวดคิ้วราวกับว่านางกำลังมีอาการเจ็บปวดมาก
หัวคิ้วของเสี่ยวหยินขมวดขึ้นและเขาก็รีบเดินไปทางเหวินว่านทันที ก่อนจะจับมือของนางและตรวจดูอาการบาดเจ็บ จากนั้นก็เอนตัวลงและจับนิ้วของนางเข้ามาในปากของเขา ก่อนจะดูดเลือดออกไป
ฮวาจูอวี้ถึงกับแข็งค้างไป นางไม่คิดว่าเสี่ยวหยิน จะมีความอ่อนโยนอยู่ในตัวเขาของเขาด้วย
เมื่อครั้งแรกที่เขามาถึงอาณาจักรใต้เพื่อเป็นพันธมิตร เขาก็ตกหลุมรักทันทีที่เห็นภาพของเหวินว่าน บางทีนั่นอาจจะเป็นความรักที่แท้จริงและความรู้สึกที่เขามีต่อนางก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าความรักในครอบครัว
ความรักเป็นสิ่งที่ยากที่จะเข้าใจ แม้กระทั่งตัวนางเองก็ไม่รู้ว่านางมีความรู้สึกแบบไหนต่อเขา
ดูฉากที่ใกล้ชิดนี้ที่อยู่ตรงหน้าของนาง หัวใจของนางก็รู้สึกว่ามันเจ็บปวดขึ้นเล็กน้อย บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่ดีที่เสี่ยวหยินและเหวินว่านอยู่ด้วยกัน พวกเขาเหมาะสมกับเป็นอย่างมาก ถ้าเสี่ยวหยินยินยอมที่จะถอนกองกำลังของเขากลับไปและหยุดสงครามทุกอย่างก็จะจบลงด้วยดี
ฮวาจูอวี้จมอยู่ในความคิดเหล่านี้ เมื่อแสงสีม่วงกระพริบอยู่ตรงหน้าของนางและเสียงของแขนยาว ๆ ที่กำลังส่งกำปั้นที่แข็งแกร่งที่เต็มไปด้วยไอสังหารตรงเข้ามาที่ใบหน้าของนาง ร่างกายของนางก็ก้าวหลบไปโดยธรรมชาติทันที
“ฝ่าบาท พระองค์กำลังทำอะไรเพคะ พระองค์ไม่สามารถตำหนิเขาได้ นี่เป็นความผิดของหม่อมฉันที่เล่นได้ไม่ดี? อย่าฆ่าเขานะเพคะ! “เหวินว่าน รีบวิ่งไปข้างหน้าและจับเสี่ยวหยินเอาไว้
ดวงตาของเสี่ยวหยินหรี่ลง จากนั้นเขาก็ลดกลิ่นไอสังหารของเขาลง ก่อนจะตอบขึ้นรอยยิ้ม “ใครบอกว่าข้าอยากจะฆ่าเขา? ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้า เจ้าควรกลับไปก่อน พวกเจ้าทุกคนด้วย “
ทหารและนักเต้นทุกคนต่างก็ถอยออกไป เหวินว่านทำความเคารพต่อเสี่ยวหยิน ก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาทอย่าทรงโกรธนะเพคะ มันจะส่งผลต่อสุขภาพของท่าน “จากนั้นนางก็หันกลับไปและเหลือบไปมองที่ฮวาจูอวี้ก่อนที่จะจากไป
ฮวาจูอวี้ยังคงหงุดหงิดเล็กน้อย นางไม่คิดว่าจู่ๆ เสี่ยวหยินก็จะโจมตีมาที่นางอย่างฉับพลันเช่นนั้น เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่ดีที่สุดอย่างที่ฮุยเสวียพูดเอาไว้จริงๆ ด้วย ฮวาจูอวี้ พูดเพียงไม่กี่คำก็ส่งผลต่อการเล่นของ เหวินว่าน และมันก็ทำให้เขาโกรธมากถึงระดับนี้
เพียงครู่เดียว ก็เหลือเพียงแค่พวกเขาอยู่ในห้อง
“สิ่งที่เจ้าต้องการจะพูดก็พูดออกมาอย่างรวดเร็ว ฮ่องเต้ผู้นี้ไม่มีเวลามาฟังเรื่องไร้สาระของเจ้า ถ้าเจ้าพูดอย่างชาญฉลาดฮ่องเต้ผู้นี้ก็จะไว้ชีวิตเล็ก ๆ ของเจ้า ถ้าพูดอย่างหยาบคายฮ่องเต้ผู้นี้ก็จะฆ่าเจ้า! “เขาเดินไปที่โต๊ะและนั่งลงบนเบาะนั่ง
ฮวาจูอวี้ดึงสร้อยคอที่อยู่ที่คอของนางออก นางรู้ว่าเสี่ยวหยินจำนางไม่ได้แล้วถ้านางไม่มีสร้อยคอนี้นางก็คงไม่กล้าที่จะมาที่นี่
นางเดินสองก้าวไปข้างหน้าและวางสร้อยคอไว้บนโต๊ะก่อนจะพูดขึ้น “ฝ่าบาท ทรงยังจำสร้อยคอเส้นนี้ได้หรือไม่?”
เมื่อจ้องมองไปที่สร้อยคอแล้ว ดวงตาของเขาก็หรี่ลงทันที เขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกในขณะที่เขาจับสร้อยคอและถามขึ้น”ทำไมเจ้าถึงมีมัน? เจ้าเป็นใคร?”
ดูเหมือนเสี่ยวหยินจะไม่ได้ลืมเรื่องสร้อยคอนี้ไป เห็นได้ชัดเขาไม่ได้ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ฮวาจูอวี้ยิ้มละห้อย นางไม่ได้คาดหวังว่านางจะต้องพึ่งสร้อยคอของจินเซ่อ เพื่อช่วยชีวิตของนางอีกครั้ง
“สร้อยคอนี้เป็นของเพื่อนสนิทของกระหม่อม นางให้กระหม่อมมาและบอกว่ามันเป็นสิ่งเดียวที่ทิ้งไว้โดยครอบครัวของนางและขอให้กระหม่อมช่วยตามหาครอบครัวของนางแทนนางด้วย “
“แล้วนางอยู่ที่ไหน?” เขาจับสร้อยคอ ในขณะที่เขาเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าของฮวาจูอวี้ ในสายตาที่จ้องไปที่นางมีทั้งความสุขและความคาดหวัง
“นางล่วงลับไปแล้ว” ฮวาจูอวี้พูดขึ้นด้วยความยากลำบาก การพูดคำดังกล่าวดังๆ ทำให้หัวใจนางเจ็บปวด นางรู้ว่าเสี่ยวหยิน เองก็จะเสียใจเช่นกัน แต่นางก็ต้องบอกเขาในที่สุด
“เจ้าเพิ่งจะพูดว่าอย่างไร?” เสี่ยวหยิน ถามด้วยเสียงสูงขึ้น “เจ้ากล้าที่จะบอกว่านางตายแล้วหรือ?”
“นางจากไปแล้ว เพื่อที่จะช่วยกระหม่อม นางเสี่ยงชีวิตและตอนนี้นางก็หายไปแล้ว “ฮวาจูอวี้ตอบขึ้น
ภาพของคืนที่เต็มไปด้วยหิมะที่เปื้อนไปด้วยเลือด ฝังอยู่ตลอดเวลาในความทรงจำของนาง
ดวงตาของเขาวูบวาบขึ้นด้วยความกระหายเลือดและมือของเขาก็ยื่นออกไปคว้าคอของนางเอาไว้
ฮวาจูอวี้ ไม่ได้ขยับ นางรู้ว่าวันดังกล่าวในที่สุดก็จะมาถึง นางเป็นหนี้ชีวิตของจินเซ่อ ดังนั้นถ้าเสี่ยวหยิน ต้องการที่จะเอาชีวิตของนาง นางก็จะไม่ต่อสู้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลานั้น และนางก็ยังมีเรื่องอีกมากมายที่จะต้องทำ
นิ้วของเสี่ยวหยินรัดคอนางมากขึ้น ฮวาจูอวี้ยกหัวของนางและจ้องเขม็งไปที่เขาเงียบๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความยากลำบาก “รอก่อน ในวันข้างหน้าพระองค์ค่อยฆ่ากระหม่อม “นางยังคงมีหลายสิ่งที่ยังรอให้ไปจัดการ นางยังไม่ได้แก้แค้นให้จินเซ่อด้วยซ้ำ
เสี่ยวหยินจ้องมองคนที่อยู่ข้างหน้าเขาผ่านสายตาที่หรี่ลงของเขา มองเข้าไปในดวงตาที่ดื้อรั้นและดื้อดึงของคนคนนั้น เขาไม่รู้ว่าทำไม แต่เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่สุดในหัวใจของเขา
จู่ ๆ เขาก็ปล่อยฮวาจูอวี้และก้าวถอยหลังลงไปที่เก้าอี้ของเขา ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า เขาจ้องมองไปที่สร้อยคอและค่อยๆลูบไล้มันด้วยมือที่ตัวสั่นและไม่ได้พูดอยู่เป็นนาน
ห้องเต็มไปด้วยเงียบเป็นอย่างมาก
ในที่สุดเขาก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา “ข้าไม่สามารถฆ่าเจ้าได้ ถ้านางเสี่ยงชีวิตของนางเพื่อช่วยเจ้า ข้าก็จะไม่ฆ่าเจ้า พูด อะไรคือจุดประสงค์ของเจ้าในการมาที่นี่? ข้ารู้ว่าถ้าเจ้าต่อสู้อย่างจริงจัง ข้าก็คงจะไม่สามารถจับกุมตัวเจ้าในวันนั้น “
ฮวาจูอวี้ยังอยู่ตรงกลางห้องด้วยความเงียบ นางเงยหน้าขึ้นก่อนที่จะถามออกไป “กระหม่อมเพียงแค่อยากจะถามฝ่าบาท ทำไมพระองค์ต้องการที่จะก่อสงครามในครั้งนี้? ทำเช่นนี้ท่านไม่รู้สึกเสียใจแทนประชาชนทั่วไปหรือ? ”
เสี่ยวหยินหัวเราะเยาะขึ้น “รู้สึกเสียใจแทนประชาชนทั่วไปหรือ? เป็นเพราะฮ่องเต้ผู้นี้ต้องการให้ประชาชนมีอนาคตที่มั่นคง ข้าจึงต้องการรวมแผ่นดินนี้เข้าด้วยกัน เจ้าไม่เห็นหรือ? ถ้าแผ่นดินนี้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวแล้วโลกจะมั่นคงและสงบสุขขึ้นแค่ไหน? ”
“ใช่ ความคิดของพระองค์อาจจะถูกต้อง แต่โลกตอนนี้สงบดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีสงคราม” การรวมกันของโลกเป็นผลมาจากความสับสนอลหม่านและสงคราม อย่างไรก็ตามสภาพทางการเมืองในปัจจุบันค่อนข้างคงที่ ไม่จำเป็นต้องมีการรวมกลุ่มแบบบังคับของเสี่ยวหยิน “ตอนนี้ประชาชนต้องการมีชีวิตที่เงียบสงบ &
ตอนที่ 100.1
ฮวาจูอวี้รู้สึกหมดหนทาง นางนั่งอยู่ในคุกใต้ดินที่มืดสนิทตามลำพัง ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจที่จะไปที่แนวหน้าหรือตามเสี่ยวหยินกลับไปยังอาณาจักรเหนือ ในตอนสุดท้ายนางก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
ฮุยเสวียบอกว่าเสี่ยวหยิน ไม่ได้ถูถพิษหรือถูกบังคับ ในเมื่อมันเป็นแบบนั้นนางก็ต้องจากไป ยิ่งนางอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ นางก็จะยิ่งเป็นอันตรายมากขึ้นเท่านั้น เพียงแค่ว่านางไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน
ในขณะนี้เสี่ยวหยินได้ดึงกองกำลังของเขากลับมาที่เมืองหยางกั่ว จากที่นางรู้หยางกั่วอาจจะถูกล้อมไปด้วยกองทัพของอาณาจักรใต้แล้วก็ได้ ถ้านางไปตอนนี้ก็ไม่มีที่อื่นนอกจากค่ายทหารของอาณาจักรใต้เท่านั้น นางไม่แน่ใจว่าการลงโทษแบบไหนจะรอนางอยู่ที่นั่น
เมื่อนางออกจากเมืองหลวง นางบอกจี่เฟิงหลี่ ว่านางไม่ใช่สายลับของอาณาจักรเหนือ นางยังได้สาบานว่าจะไม่ตามเสี่ยวหยินกลับไป ในที่สุดนางก็ต้องล้มเหลวที่จะรักษาคำพูดของนาง
นางมั่นใจว่าในความคิดของ จี่เฟิงหลี่ อย่างไม่ต้องสงสัย นางต้องเป็นสายลับของอาณาจักรเหนืออย่างแน่นอน ถ้านางกลับไป จี่เฟิงหลี่ ก็คงจะไม่ยอมปล่อยนางไป แต่ถ้านางไม่กลับไปก็จะเทียบเท่ากับการยอมรับว่านางเป็นสายลับ เรื่องนี้นางจะไม่ยอมปล่อยให้มันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ฮวาจูอวี้ลุกขึ้นและเดินไปที่ประตูห้องขัง ด้วยดาบขนาดเล็กของนางประตูก็เปิดออก ฮุยเสวียได้เปิดประตูทิ้งไว้โดยเจตนาและไม่มีทหารที่มาคอยลาดตระเวนในห้องโถง พวกเขาถูกส่งไปประจำที่ข้างนอก นางเดินออกจากห้องขังไปเงียบๆและเดินขึ้นบันไดช้า ๆ ตรงออกไปข้างหน้า
ด้านนอกคุกใต้ดินมีทหารไม่กี่คนนั่งอยู่ ฮวาจูอวี้ใช้กำลังภายในของนางขยับไปข้างหลังของพวกเขาอย่างรวดเร็วและสกัดจุดของพวกเขาเอาไว้ จากนั้นนางก็รีบถอดเครื่องแบบของชายคนหนึ่งและถอยกลับเข้าไปในมุมมืดของคุกใต้ดินเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากที่นางทำเสร็จแล้วนางก็เอาดาบของชายคนนั้นและจากไปอย่างรวดเร็ว
ที่อยู่ของเจ้าเมืองไม่ได้มีขนาดเล็กๆ คุกใต้ดินตั้งอยู่ที่สวนด้านหลัง ฮวาจูอวี้ต้องแอบอยู่ในเงามืดของต้นไม้และเดินไปข้างหน้าอย่างไม่เต็มใจ เมื่อนางพบกลุ่มทหารลาดตระเวนที่ใกล้เข้ามานางก็รีบกระโดดขึ้นไปบนหลังคา
สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านนำพาความเย็นมาด้วยเล็กน้อย มันเป็นช่วงดึกและท้องฟ้าด้านบนก็มืดสนิท แม้ว่าจะไม่มีดวงจันทร์แต่ก็ยังสามารถมองเห็นดวงดาวได้บ้าง ถ้าใครจะมองดีๆ ถ้าไม่มีสงครามใด ๆ เกิดขึ้นในคืนนี้ก็คงจะเป็นภาพที่สวยงามมาก
นางยังคงซ่อนตัวอยู่บนดาดฟ้ามาเป็นเวลานานและไม่กล้าเดินหน้าจนกว่าทหารลาดตระเวนทั้งหมดจะหายไป ในที่สุดนางก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกับความคิดที่ว่าเสี่ยวหยิน ช่างระมัดระวังจริงๆ อาณาจักรเหนือได้เข้ายึดเมืองหยางกั่วและไม่มีใครอยู่ในเรือนของพวกเขา นอกจากกองกำลังของเขา แต่สถานที่แห่งนี้ยังคงมีการรักษาความสงบเอาไว้อย่างหนาแน่น
มองไปข้างหน้า นางก็เริ่มมองเห็นว่ามีหลังคาเพิ่มมากขึ้น ก่อนที่จะกำลังหลบหนีไป ทันใดนั้นก็มีเสียงต่ำดังขึ้น “เจ้าควรจะได้รับอากาศบริสุทธิ์เพียงพอแล้ว หลังจากอยู่ที่นั่นมานาน”
ร่างกายของฮวาจูอวี้ แข็งขึ้นและนางก็มองลงไป แล้วนางก็ได้ตระหนักว่านางได้หลบซ่อนตัวอยู่บนหลังคาของเรือนที่อยู่ภายในลานเล็ก ๆ และยืนอยู่ใต้ต้นไม้ในลานคือฮ่องเต้ของอาณาจักรเหนือ เสี่ยวหยิน เขายืนอยู่ที่นั่นในขณะที่มือไขว่หลัง แสงของโคมไฟกรองผ่านใบไม้และทำให้เห็นบางส่วนของใบหน้าของเขา ทำให้เขามีกลิ่นอายที่เย็นชาและมีท่าทางที่จริงจังมาก
เห็นเขา ฮวาจูอวี้ก็ต้องการที่จะแกล้งยิ้ม แต่นางก็ไม่มีพลังที่จะทำเช่นนั้น
ดูเหมือนว่าแผนการของนางที่จะหลบหนีไปในคืนนี้คงจะล้มเหลวแล้ว “ลงมา เจ้าไม่สามารถหลบหนีไปได้ “อาภรณ์ของเสี่ยวหยินสะบัดอยู่ในสายลมในขณะที่เขาก้าวออกมาจากเงามืด
นางรู้ว่าตอนที่เสี่ยวหยินพบนางแล้ว นางจะไม่สามารถออกไปได้ ที่อยู่นอกจวนเป็นกองกำลังของเขา แม้ว่านางจะออกจากจวนไปได้สำเร็จ นางก็จะไม่สามารถออกจากเมืองหยางกั่วไปได้
หัวคิ้วของฮวาจูอวี้ ขมวดขึ้นและตัดสินใจที่จะกระโดดลงไป
“ฝ่าบาทช่างอยู่ในอารมณ์สุนทรีย์จริงๆ!” ฮวาจูอวี้แสดงความคิดเห็นขณะที่นางยกมือขึ้นทำความเคารพ มันดึกขนาดนี้แต่เขาไม่อยู่บนเตียง แต่กลับยืนอยู่ใต้ต้นไม้โดยที่ไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่ นางไม่เชื่อว่าเขาจะยืนอยู่ที่นั่นเพื่อที่จะรอจับนางเท่านั้น
ริมฝีปากของเสี่ยวหยินยกขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่จาง ๆ “ฮ่องเต้ผู้นี้ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่ดีเท่ากับเจ้า มันดึกมากแล้วแต่เจ้าก็โฉบเฉี่ยวอยู่เหนือหลังคา ทิวทัศน์บทนั่นเป็นอย่างไรบาง? ”
” ดวงจันทร์ถูกซ่อนไว้อย่างสมบูรณ์อยู่หลังเมฆมืด ฝ่าบาทไม่คิดว่ามันงดงามหรือ? “ฮวาจูอวี้ถามขึ้นอย่างเย็นชา ไม่ว่าทิวทัศน์และบรรยากาศจะงดงามแค่ไหน สงครามก็จะทำลายทุกอย่างลง
เสี่ยวหยินไม่ได้โกรธในข้อเท็จจริงที่ว่าฮวาจูอวี้ หนีออกจากคุกใต้ดิน เขาชี้ไปที่โต๊ะหินและม้านั่ง ก่อนจะพูดขึ้น “นั่ง ฮ่องเต้ผู้แห่งนี้มีบางสิ่งที่จะถามเจ้า”เสียงของเขาหนาวจัดโดยไม่มีร่องรอยของความอบอุ่นอยู่แม้แต่น้อย
ฮวาจูอวี้มองเขาและค่อยๆเดินไปนั่งที่ม้านั่งหิน
“คนที่ให้สร้อยคอเส้นนี้กับเจ้าคือน้องสาวของฮ่องเต้ผู้นี้” เสี่ยวหยินค่อยๆพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าเมื่อมองไปที่นาง
“ใช่” ฮวาจูอวี้พยักหน้าและพูดขึ้น “กระหม่อมเดาว่า สร้อยคอเส้นนี้เป็นของที่พี่ที่ชายของนางทิ้งไว้ให้นาง “
“ทำไมนางถึงตาย?” เสี่ยวหยิน ยกเสื้อคลุมของเขาขึ้นและนั่งลงที่ม้านั่งหินในขณะที่หันหน้าไปทางนาง
หัวใจของฮวาจูอวี้เจ็บปวดเกิดขึ้นทันที นางรู้ว่าเขามีคำถามมากมายเกี่ยวกับจินเซ่อ พวกเขาแยกจากกันตั้งแต่วัยเด็ก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้นางมีหน้าตาแบบไหน
“นางงดงามมาก นางมีคิ้วเรียวยาว เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ นางมีดวงตาที่สดใสและชาญฉลาด นางไม่ค่อยยิ้มเพราะอาจเป็นเพราะอดีตอันไม่พึงประสงค์ของนาง นางมีวัยเด็กที่ยากลำบากและต้องทนทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก แม้แต่จะเป็นเช่นนั้นนางก็มีจิตใจดีและซื่อสัตย์ สำหรับข้าแล้วนางถึงกับ … “เสียงของฮวาจูอวี้ค่อยๆลดลง นางไม่กล้าพูดให้จบประโยค ถ้าเสี่ยวหยินรู้ว่าจินเซ่อถูกทำให้อัปยศอดสูจนถึงแก่ความตายและถ้าหากคืนนั้นเขามาถึงเร็วอีกหน่อย เขาก็อาจจะช่วยจินเซ่อได้และถ้าเขาฟังคำร้องของนางเขาก็จะได้พบซากศพของจินเซ่อ ถ้าเขารู้สิ่งเหล่านี้เขาจะรู้สึกผิดแค่ไหน
“เจ้าบอกว่านางเสียชีวิตเพราะนางพยายามที่จะช่วยเจ้า แล้วใครฆ่านาง? “เสี่ยวหยินถามขึ้นในขณะที่สายตาที่เฉียดคมจ้องมองที่ใบหน้าของนางอย่างแผดเผา
ฮวาจูอวี้ตกอยู่ในความเงียบ
“เรื่องนั้นกระหม่อมยังคงสืบสวนอยู่” ตอนแรกนางคิดว่าจิ่เฟิงหลี่ ได้ว่าจ้างคนตามทำคำสั่งจากฮ่องเต้พระองค์ก่อน แต่ถึงกระนั้นนางยังไม่พบหลักฐานที่แน่ชัด
ดวงตาสีม่วงของเขาแวบวาบขึ้นในขณะที่เขาหรี่ตาลง “เอาล่ะในอนาคตข้าจะสืบสวนมันกับเจ้า ให้ข้าถามเจ้าแบบนี้ ถ้าโจวย่าเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยชีวิตของเจ้า เจ้าคงเป็นคนรักของนาง? เจ้าทั้งสองแต่งงานกันหรือยัง? ”
ฮวาจูอวี้รู้สึกอายเล็กน้อย
“จริงๆแล้วกระหม่อม… .. ” จริงๆแล้วข้าเป็นผู้หญิง ฮวาจูอวี้ลังเลที่จะบอกเขาเรื่องนี้ ถ้าเขาลืมนางไปแล้ว ก็ควรปล่อยให้เป็นเช่นนั้น มิฉะนั้นก็จะนำแต่ปัญหามาเท่านั้นถ้าพูดถึงมัน นางไม่รู้จะตอบคำถามของเขาได้อย่างไร
เสี่ยวหยินมองไปที่คนที่อยู่ข้างหน้าเขาและรู้สึกว่าแม้ว่าเขาจะสวมเครื่องแบบธรรมดา แต่ก็แทบจะไม่สามารถซ่อนรูปลักษณ์ที่ดีของเขาเอาไว้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายตาที่ชัดเจนและสว่างของเขาซึ่งดูเหมือนจะมีพลังบางอย่างที่ทำให้เขาไม่สามารถหันสายตาไปที่อื่นได้
ทำไมเขาถึงรู้สึกคุ้นเคยเช่นนี้?
สายตาของเขาค่อยๆจดจ่ออยู่ที่ฮวาจูอวี้ จู่ๆเขารู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาในส่วนลึกของหัวใจของเขา เขารีบจับหน้าอกของเขา ในขณะที่ใบหน้าของเขาซีดลง
เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว
“เจ้าเป็นใครกันแน่?” เขาถามขึ้นด้วยหัวคิ้วที่ขมวด
ในขณะนี้คนรับใช้ก็วิ่งออกจากห้องและตรงเข้ามา ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าของเสี่ยวหยิน “ฝ่าบาท แม่นางเหวินว่านกำลังมีอาการไอขึ้นมาอีกครั้งและไม่สามารถดื่มยาได้ หม่อมฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีเพคะ “
เมื่อได้ยินแบบนี้เสี่ยวหยินก็ขมวดคิ้วและถามขึ้น “ไม่ใช่เมื่อครู่ที่ผ่านมานางยังดีๆอยู่หรือ?”
“อาจเป็นไปได้ว่าสุขภาพของนางได้แย่ลงจากการติดตามฝ่าบาทมาในครั้งนี้ และเนื่องจากร่างกายแม่นางเหวินว่านก็ยังไม่คุ้นเคยกับภูมิอากาศของอาณาจักรเหนือ หม่อมฉันไม่รู้ว่านางจะทนต่อความหนาวที่กำลังจะมาถึงได้หรือไม่” นางกำนัลบอกขึ้นด้วยความกังวลใจ
เหวินว่านป่วยหรือ? ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมเสี่ยวหยินถึงยังไม่นอน เขาคงกังวลเกี่ยวกับอาการของเหวินว่าน ดูเหมือนว่าลานเล็ก ๆ แห่งนี้เป็นของเหวิ่นวาน ฮวาจูอวี้ โชคร้ายอย่างแท้จริง ที่นี่มีหลังคาจำนวนมากแต่นางกลับมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่!
ร่องรอยของความกังวลกระพริบขึ้นในดวงตาของเสี่ยวหยิน ในขณะที่เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นจากม้านั่งหินและพูดขึ้นเบา ๆ”ไม่ต้องเป็นกังวล เมื่อฤดูหนาวมาถึงเราอาจจะไม่ได้อยู่ในอาณาจักรเหนืออีกต่อไปแล้ว”
แสงที่จาง ๆ ส่องลงมาบนหน้าตาอันหล่อเหลาของเขา จู่ ๆ เขาก็หันหลังกลับและจ้องมองไปที่ฮวาจูอวี้ “เจ้าอยู่ที่นี่ เนื่องจากที่น้องสาวของฮ่องเต้ผู้นี้โปรดปรานเจ้า ฮ่องเต้ผู้ก็จะไม่ทำให้เจ้าต้องลำบาก แต่ก็จะไม่ปล่อยให้เจ้าเป็นอิสระด้วยเช่นกัน เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ฮ่องเต้ผู้นี้จะพาเจ้ากลับไปยังอาณาจักรเหนือด้วย แล้วเจ้าค่อยบอกข้าเกี่ยวกับน้องสาวของข้าได้อย่างช้าๆ พักอยู่ในคุกใต้ดินไปชั่วคราวก่อนและอย่าคิดถึงการหลบหนีอีกต่อไป “น้ำเสียงที่โดดเด่นของเขาทำให้ยากที่คนจะปฏิเสธ เขาสั่งให้ ฉิงอวี้น และปี้เอวี้ย พานางกลับไปที่คุกใต้ดิน ก่อนที่เขาจะก้าวเข้าไปในห้อง
นั่งอยู่ที่นั่น เฝ้าดูรูปร่างที่หายไปของเขาจากทางด้านหลัง เป็นเวลาสองเพียงไม่นานที่นางรู้สึกว่าลมตอนกลางคืนเยือกเย็นอย่างไม่น่าเชื่อและม้านั่งหินก็เย็นเข้ากับถึงกระดูก
ไม่ต้องกังวล เมื่อฤดูหนาวมาถึงเราอาจจะไม่ได้อยู่ในอาณาจักรเหนืออีกต่อไปแล้ว
ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจที่จะครองโลก
ฮวาจูอวี้รู้สึกว่าหัวใจของนางจมดิ่งลงและความหนาวเย็นก็ทำให้นางสั่นขึ้น นางค่อยๆยืนขึ้นและถูกพาตัวกลับไปที่คุกใต้ดินโดย ฉิงอวี้น และปี้เอวี้ย
ภายใต้คำสั่งที่เคร่งครัดของเสี่ยวหยิน ฉิงอวี้น และปี้เอวี้ย ได้ล็อคประตูห้องขังอย่างแน่นหนาและสั่งให้มีทหารอีกหลายคนเฝ้าระวังอยู่ด้านนอก
นั่งอยู่บนกองหญ้าแห้งบนพื้นห้อง ฮวาจูอวี้ กอดเข่าของนางเอาไว้ โคมไฟที่ฮุยเสวียทิ้งไว้ให้ได้ดับไปนานแล้วและนางถูกล้อมรอบไปด้วยความมืดสนิทที่สมบูรณ์แบบ จู่ๆก็มีอาการฉีกขาดอย่างฉับพลันบนบาดแผลที่หัวไหล่ของนาง มันเตือนให้นางรู้ว่านางลืมที่จะใส่ยา นางหยิบขวดยาของฮวาจูอวี้ ออกมาก่อนจะเปิดมันออกและกวาดไปในความมืด พยายามที่จะใส่ยา นางต้องทนทุกข์ทรมานกับความรู้สึกแสบร้อน ก่อนจะฉีกเสื้อผ้าของนางเพื่อพันแผล การที่ต้องใช้เวลาหลายปีในสนามรบและได้รับบาดเจ็บเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยๆดังนั้นนางจึงมีทักษะในการพันแผลให้ตัวเอง
อยู่คนเดียวในคุกใต้ดินอย่างเงียบๆ ฮวาจูอวี้รู้สึกเหมือนสัตว์ที่บาดเจ็บตอนกลางดึกซ่อนตัวอยู่ในความมืดที่ไม่มีใครอยู่ เพื่อเลียแผลของนางในความเงียบ ไม่ว่านางจะแข็งแกร่งแค่ไหนนางก็ไม่สามารถช่วยได้ที่จะรู้สึกเศร้า นางอยากจะร้องไห้ แต่นี่ไม่ใช่เวลาหรือสถานที่ที่เหมาะ
คืนที่เงียบสงบและนางก็ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ก่อนที่นางจะเริ่มรู้สึกเหนื่อย โชคร้ายที่คุกใต้ดินเย็นเกินไปและการนอนหลับจึงไม่เกิดขึ้น นางกอดเข่าของนางและกำลังจะนั่งสมาธิ ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าผ่านไปเหนือศีรษะของนาง เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหวนางก็เริ่มตื่นตัวขึ้น นางลุกขึ้นยืนและเดินที่ประตูห้องขังและถามทหารด้านนอกขึ้น “เกิดอะไรขึ้น?”
เสี่ยวหยินกลายเป็นคนระมัดระวังมากขึ้นและไม่เพียงแต่เพิ่มจำนวนของทหารด้านนอก แต่ยังให้คนมาเฝ้าหน้าห้องขังของนางอีกด้วย
เมื่อได้ยินการสอบถามของนางทหารก็ตอบขึ้นอย่างเย็นชา “จะมีอะไรเสียอื่น นอกจากกองทัพของอาณาจักรใต้ได้โจมตีกำแพงเมือง ฮ่องเต้ของเรากำลังออกไปเผชิญหน้ากับศัตรูอยู่! “
ฮวาจูอวี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย กองทัพของอาณาจักรใต้โจมตีกำแพงเมืองแล้วหรือ?
พวกเขาเดินขบวนมาอย่างหนักเพื่อมายังทางเหนือ หลังจากที่ได้รับชัยชนะในการรบแล้ว พวกเขาก็ควรจะพักและเก็บกำลังเอาไว้ ไม่ควรเดินกำลังต่อเช่นนี้ หากเกิดความล้มเหลวจะทำให้เสี่ยวหยินได้รับโอกาสทองในการเปิดการตีโต้ บางทีอาจทำให้เขามีโอกาสที่จะจับซูโจวด้วยก็ได้ ทำไมจี่เฟิงหลี่ถึงได้เลือดร้อนเช่นนี้? เขาไม่ใช่คนสายตาสั้นและใจร้อนที่จะเอาแต่ชัยชนะอย่างรวดเร็วเท่านั้น สงครามกับอาณาจักรเหนือไม่ใช่อะไรที่จะเสร็จสิ้นภายในคืนเดียว
ตอนที่ 100.2
ฮวาจูอวี้ ไม่เข้าใจถึงการกระทำของจี่เฟิงหลี่แม้แต่น้อย ในขณะที่นางกำลังคิด ประตูคุกใต้ดินก็เปิดออก ดึงความสนใจของทั้งนางและทหารไปที่นั่นทันที
มีคนกำลังใกล้เข้ามา
คนที่เดินเข้ามาสวมชุดสีดำสนิทและฮวาจูอวี้ก็จำเขาได้ในทันที มันคือ ถังยวีจากอาณาจักรใต้ ในทางตรงกันข้ามกับคนที่เพิ่งจะลงจากบันไดที่อยู่ด้านหลังเขา เขากลับสวมชุดขาวทั้งตัว
แสงระยิบระยับของโคมไฟที่แขวนอยู่บนผนังด้านข้างได้ส่องแสงบางส่วนลงไปบนใบหน้าของเขา ในขณะที่เดินลงมา
แม้ว่าการแสดงออกของเขาจะไม่สามารถมองเห็นได้ชัด แต่ดวงตาที่ลึกล้ำของเขาก็ส่องประกายออกมาเป็นพิเศษ ในขณะที่พวกเขาเดินเข้ามาหานางอย่างเงียบ ๆ
นางตกใจและไม่กล้าที่จะเชื่อว่าจี่เฟิงหลี่ มาอยู่ที่นี่จริงๆ
ภายในคุกใต้ดินมีเจ้าหน้าที่อยู่ประมาณสิบกว่าคน เมื่อเห็นเขาทุกคนก็มาหาอาวุธของพวกเขาและวิ่งไปข้างหน้า แต่ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะมีโอกาสที่จะได้สัมผัสเสื้อของเขาได้ เพราะถังยวี ได้ก้าวไปข้างหน้าเพื่อสกัดกั้นเส้นทางของพวกเขาเอาไว้ ด้วยการสะบัดแขนเสื้อของเขาราวกับกลีบดอกไม้สีชมพูที่นับไม่ถ้วนต่างก็ถูกปล่อยออกมา
ลักษณะที่ปรากฏอย่างฉับพลันของกลีบดอกไม้พวกนี้ ทำให้ภายในคุกใต้ดินเต็มไปด้วยกลิ่นที่หอมหวานและความมึนเมา
หลังจากได้รับการฝึกฝนมาเป็นเวลาหลายปีในสนามรบ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทุกคนต่างก็คิดว่ากลิ่นพวกนี้เป็นพิษจึงต่างก็กลั้นหายใจ แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็ล้มลงไปที่พื้น สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือพิษของถังแมน นั้นไม่มีสีและไม่มีกลิ่น ถ้ากลิ่นที่สามารถพบได้พวกมันก็จะไม่เป็นพิษ ทหารถูกวางยาพิษโดยหยดน้ำที่เกาะติดอยู่กับกลีบดอกไม้ เมื่อกลีบดอกไม้ถูกปล่อยออกไป หยดน้ำก็ถูกยิงออกไปและสัมผัสเข้ากับผิวของพวกเขาและซึมเข้าไปในร่างกายของพวกเขาเรียบร้อยแล้ว
ยืนอยู่ด้านหลังของห้องขัง ฮวาจูอวี้ก็ยังคงอยู่ในสภาพที่ไม่เชื่อ ทำไมจี่เฟิงหลี่และถังยวีถึงมาอยู่ที่นี่? เพื่อที่จะมากำจัดนางที่เป็นสายลับของอาณาจักรเหนือหรือ? นางคิดไม่ออกจริงๆ และยังคงจ้องมองไปในทิศทางของ จี่เฟิงหลี่ คนที่เปล่งประกายด้วยรัศมีบางอย่างออกมาในขณะที่เขาเดินผ่านกรีบดอกไม้เพื่อที่จะมายืนอยู่ข้างหน้าของนาง
ฉากนี้กลับส่องเป็นประกายอย่างแท้จริง!
มันส่องประกายแพรวพราวจนฮวาจูอวี้ รู้สึกว่ามันเป็นภาพที่นางต้องฝันไปอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามแต่ความเจ็บปวดที่หัวไหล่ของนางเป็นความรู้สึกที่ชัดเจนที่ทำให้รู้ว่านางกำลังตื่นอยู่
จี่เฟิงหลี่ อยู่ที่นี่จริงๆ!
หรือว่าเขาได้โจมตีเมืองหยางกั่วและบุกเข้ามาในคุกใต้ดิน เพื่อให้เขาสามารถพบนางและฆ่านางใช่ไหม? นางคิดไปถึงขนาดนั้นแต่เมื่อมองเห็นริมฝีปากของเขาที่โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่สวยงาม จนทำให้ไม่สามารถที่จะมองไปที่อื่นได้
นางกลับไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงยิ้ม แต่เมื่อเขาเห็นนางการแสดงออกของเขากลับดูมีความสุขและความโล่งอก
มีประตูห้องขังที่ปิดกั้นอยู่ระหว่างพวกเขา ภายในห้องขังนางมองเขาด้วยความสงสัยในสายตาของนาง ในขณะที่เขายังคงยิ้มขึ้นเล็กน้อย แล้วหัวคิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่สายตาของเขามองไปที่หัวไหล่ที่บาดเจ็บของนาง
ถังยวี เอากุญแจจากทหารคนหนึ่งมาแล้วรีบเดินไปที่ประตู
“ตามข้ามา” จี่เฟิงหลี่พูดขึ้นในขณะที่ยังยิ้มอยู่
“อืม” ฮวาจูอวี้ตอบขึ้นเบา ๆ นางไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอีก เพราะเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเป็นอย่างมาก และนางเองก็วางแผนที่จะออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้อยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงไม่มีเจตนาที่จะปฏิเสธ
ถังยวีเป็นผู้นำทางในขณะที่ฮวาจูอวี้และจี่เฟิงหลี่ตามหลังเขาไป
ถังยวี ได้กำจัดเจ้าหน้าที่ที่อยู่ด้านนอกของคุกใต้ดินไปแล้ว กลีบดอกไม้ถูกทิ้งไว้ข้างหลังเพื่อให้มันลอยไปกับสายลม
ในช่วงค่ำคืนที่มืดครึ้ม เงาของทั้งสามเดินไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยวและแคบเพื่อเดินไปยังเส้นทางเข้าทางด้านหลังของที่พัก ระหว่างทางพวกเขาได้พบเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนเพียงไม่กี่คน พวกเขาหลีเลี่ยงได้สองสามครั้งและถังยวีก็ใช้ยาพิษของเขาเพื่อจัดการกับส่วนที่เหลือ
ฮวาจูอวี้แอบสงสัยว่ามีกลีบดอกไม้ที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของเขามากแค่ไหน นางรู้สึกว่าวิธีจบชีวิตของศัตรูเช่นนี้ค่อนข้างสวยงาม
ในที่สุดพวกเขาก็เดินเข้าไปในประตูทางเข้าด้านหลัง แต่แล้วก็มีเสียงรบกวนผ่านค่ำคืนที่เงียบสงบดังขึ้น ตามด้วยเสียงฝีเท้าหนักๆ ทหารของอาณาจักรเหนือติดอาวุธครบมือได้ยืนขวางทางและนำด้วยฮ่องเต้ของอาณาจักรเหนือเสี่ยวหยิน
สวมชุดสีม่วง เขาดูสูงตระหง่านและยิ่งใหญ่ ผมสีม่วงของเขาอยู่ในทรงตั้งสูงอยู่บนศีรษะของเขาและท่ามกลางแสงไฟที่ส่องสว่างจากไฟนับสิบ ๆ ดวง ใบหน้าของเขาจึงดูงดงามเป็นอย่างมาก
“ช่างไม่คาดฝันอะไรเช่นนี้ ที่เสนาบดีจี่จะมาช่วยทหารตัวเล็กๆ ด้วยตัวเอง ฮ่องเต้ผู้นี้รู้สึกประหลาดใจจริงๆ! นอกจากนี้เพื่อประโยชน์ของทหารตัวเล็กๆ เจ้าถึงกลับใช้กลยุทธ์คุกคามทิศตะวันออก สร้างความสนใจในทางทิศตะวันตก แผนการนี้ไม่เลวจริงๆ ถ้าฮ่องเต้ผู้นี้ไม่รู้สึกว่าการโจมตีของเจ้านั้นมันฉับพลันเกินไป ข้าก็คงจะนำกองกำลังของข้าออกไปปกป้องกำแพงเมืองแล้ว “เสี่ยวหยินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เฉียดคมและกดขี่
ฮวาจูอวี้ตกใจและไม่กล้าที่จะเชื่อในสิ่งที่นางเพิ่งจะได้ยิน
การปรากฏตัวอย่างฉับพลันของเสี่ยวหยินนั้นทำให้นางตกใจ แต่คำพูดของเขายิ่งน่ากลัวมากกว่า เขาบอกว่าการโจมตีอย่างกระทันหันของกองทัพของอาณาจักรใต้เป็นการเบี่ยงเบนความสนใจเพื่อที่จะช่วยเหลือนางหรือ!
นางไม่เชื่อ!
นางจะเชื่อได้อย่างไร?!
จี่เฟิงหลี่ ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำทุกอย่างเช่นนั้นเพื่อที่จะช่วยเหลือนาง! แต่นางก็ไม่สามารถละเลยความจริงที่ว่าเขาเพิ่งจะได้ช่วยเหลือนางออกมาจากคุกใต้ดินเมื่อไม่นานมานี้เอง
ยังคงตกอยู่ในภาวะตกใจ นางมองไปที่จี่เฟิงหลี่ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจนางแม้แต่น้อย เขากำลังมองไปที่เสี่ยวหยิน ด้วยสายตาที่หรี่ลงของเขาเท่านั้น
จู่ๆ กลิ่นอายที่รุนแรงก็กระจายออกไปในอากาศ ในขณะที่ชายสองคนจ้องมองกันและกัน ทำให้บรรยากาศรอบๆตัวพวกเขาตึงเครียดและแทบจะหายใจไม่ออก
ในช่วงนั้นจี่เฟิงหลี่ คว้าไปที่พัดที่อยู่ที่เอวของเขาและเปิดมันออก “ถ้าฮ่องเต้ของอาณาจักรเหนือรู้สึกว่ามันแปลก ๆ เช่นนั้นเสนาผู้นี้ก็คงจะต้องอธิบาย คนผู้นี้ทำงานอยู่ในจวนของข้า เขามีบางสิ่งที่สำคัญอยู่ในความครอบครองของเขา เสนาผู้นี้ช่วยเขาเพื่อที่จะเอามันคืน แต่ในเมื่อถูกพบเช่นนั้น บุคคลผู้นี้ก็ไม่มีความสำคัญอีกต่อไป ถ้าฮ่องเต้ต้องการจะเก็บเขาไว้ เช่นนั้นเสนาผู้นี้ก็จะทิ้งเขาไว้เบื้องหลัง “เขาพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่สดใสที่ช่วยบรรเทาความตึงเครียลงได้บ้าง
ฮวาจูอวี้ ถึงกับหาคำพูดไม่พบ ทำไมนางถึงไม่รู้ว่านางมีส่วนเกี่ยวข้องในการครอบครองสิ่งที่สำคัญต่อจี่เฟิงหลี่? นางรู้สึกว่าจี่เฟิงหลี่เพียงแค่พูดแบบนี้เพื่อที่จะโน้มน้าวให้เสี่ยวหยินรู้ว่านางไม่มีความสำคัญกับอาณาจักรใต้ แต่จริงๆแล้วเขาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย เพราะนางไม่มีความสำคัญใดๆ กับใครทั้งนั้น
เสี่ยวหยินหัวเราะพร้อมกับเงยหน้าขึ้น “จะทิ้งเขาไว้หรือ? เสนาบดีฝ่ายซ้าย เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเจ้าจะสามารถออกไปได้? ไม่เพียงแค่เขา แต่ทุกคนจะไม่มีใครออกไปจากที่นี่ได้ในคืนนี้! ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ถังยวีก็สะบัดแขนเสื้อของเขาและกรีบของดอกไม้ก็ถูกปล่อยออกมาราวกับสายฝน และมุ่งไปยังทิศทางของเสี่ยวหยิน
เสี่ยวหยินดึงดาบของเขาออกมาและแกว่งดาบของเขาเพื่อส่งกลีบของดอกไม้กลับไปที่จี่เฟิงหลี่
ริมฝีปากของจี่เฟิงหลี่โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม ในขณะที่เขาขยับพัดของเขาทำให้ดอกไม้ที่กำลังตรงเข้ามาตกลงไปบนพื้นทันที
“ดูเหมือนว่าเสนาจี่ จริงๆ แล้วจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ที่ซ่อนตัวอยู่ เนื่องจากเจ้าก็มาอยู่ที่นี่ แล้วเราควรแลกเปลี่ยนคำแนะนำกันเสียหน่อย “เสี่ยวหยินท้าทายขึ้นอย่างเย็นชา ในขณะที่เขาชี้ดาบของเขาไปที่จี่เฟิงหลี่
ฮวาจูอวี้ ตระหนักดีว่าจี่เฟิงหลี่ ไม่ได้มีเจตนาที่จะปิดบังทักษะการต่อสู้ของเขาอีกต่อไป
“เสนาผู้นี้ไม่สนใจที่จะแลกเปลี่ยนคำแนะนำ แต่ถ้ามีรางวัล เสนาผู้นี้ก็ ย่อมยินดี” จี่เฟิงหลี่พูดขึ้นอย่างช้าๆด้วยรอยยิ้ม
ความหยิ่งของจี่เฟิงหลี่ ทำให้เสี่ยวหยินเกิดความสนใจ ประกายที่เยือกเย็นกระพริบขึ้นในดวงตาที่หรี่ของเขา ก่อนจะพูดขึ้น “ได้ ถ้าเสนาจี่เอาชนะข้าได้ในคืนนี้ ฮ่องเต้ผู้นี้ก็จะปล่อยให้ทุกคนออกจากเมืองได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เช่นนี้เป็นอย่างไร?”
“ฮ่องเต้เหนือช่างเป็นผู้กล้าหาญอย่างแท้จริง เช่นนั้นก็ตกลง! “จี่เฟิงหลี่จัดพัดของเขาและพูดขึ้น
“ตามนั้น!” เสี่ยวหยินย้ำขึ้นอีกครั้ง ในขณะที่เขาเช็ดใบมีดของเขาเบา ๆ
หัวใจของฮวาจูอวี้ กำลังเต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนี้เกินความคาดหมายของนางจริงๆ
นางไม่ได้คาดหวังว่าจี่เฟิงหลี่จะมาที่เมืองหยวนกั่ว และก็ไม่ได้คาดหวังว่าเสี่ยวหยินจะพบกับจี่เฟิงหลี่ และมีการท้าประลองกันเช่นนี้
นางรู้ว่าทักษะการต่อสู้ของจี่เฟิงหลี่ นั้นสูงและไม่สามารถถึงได้ แต่ทักษะของเสี่ยวหยิน ก็ไม่ได้ด้อยเช่นกัน และยังพัฒนาขึ้นเมื่อเมื่อเร็ว ๆ นี้ หากมีการประลองกันขึ้น มันก็น่าตื่นเต้นที่ได้เห็นจริงๆ
คนที่อยู่ในปัจจุบันต่างก็มีความคิดเช่นเดียวกัน ทหารทุกคนก้าวถอยหลังและเปิดเส้นทางให้พวกเขารวมทั้งฮวาจูอวี้และถังยวี
สนามหลังบ้านที่กว้างใหญ่ เหลือเพียงชายสองคนเท่านั้นที่ยังอยู่
ท้องฟ้าในตอนค่ำคืนมืดเหมือนน้ำหมึก ในขณะที่ไฟจากคบไฟสองแสงสว่างจ้า
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นศัตรูในสนามรบ แต่ในการต่อสู้แบบนี้ พวกเขาจะปฏิบัติด้วยความสุภาพ และทำความเคารพซึ่งกันและกัน ก่อนที่จะก้าวกลับมา
เสี่ยวหยินยึดดาบของเขาเอาไว้แน่น ในขณะที่เส้นผมสีม่วงของเขาพลิ้วไหวไปกับสายลม
จี่เฟิงหลี่ยืนนิ่งยืนอยู่ที่นั่น แขนเสื้อคลุมยาวของเขาสะบัดอยู่ในสายลม เขาจับพัดพร้อมกับเปิดมันออก ก่อนจะจ้องมองไปที่เสี่ยวหยิน ด้วยรอยยิ้ม แต่ดวงตาของเขาเฉียดคมราวกับเป็นใบมีด
มือของเสี่ยวหยิน สั่นขึ้นด้วยแรงกำลังในขณะที่เขาโจมตีไปที่จี่เฟิงหลี่ พร้อมกับดาบของเขา
จี่เฟิงหลี่ สร้างระยะห่างระหว่างพวกเขาและกระโดดกลับไป กำลังภายในดูน่ากลัวมากและร่างกายของเขาเบาราวกับเมฆ เขาใช้พัดของเขาเพื่อป้องกันการโจมตีจากดาบของเสี่ยวหยินได้อย่างรวดเร็ว
เสียงของการปะทะดังขึ้น ฮวาจูอวี้สงสัยว่าพัดของเขาทำจากอะไรถึงสามารถต้านทานดาบของเสี่ยวหยินได้ ถ้าเป็นพัดปกติมันก็คงจะถูกแบ่งครึ่งออกไปแล้ว
จี่เฟิงหลี่ กระโจนไปด้านหลัง แต่เสี่ยวหยิน ก็ไล่ตามมาอย่างใกล้ชิดเหมือนเงาและโจมตีจี่เฟิงหลี่ต่อไป จี่เฟิงหลี่ หมุ่นกลับร่างกายของเขาและหลีกเลี่ยงการโจมตีของเสี่ยวหยิน ได้อย่างง่ายดาย เมื่อเขาเห็นโอกาสเขารีบยิ่งพัดของเขาไปทางจุดที่ด้านหลังของเสี่ยวหยิน
ร่างทั้งสองหมุนไปรอบ ๆ กันและกัน หนึ่งอยู่ในเสื้อคลุมสีขาวที่เคลื่อนไหวราวกับแสงและอีกชุดหนึ่งในเสื้อคลุมสีม่วงที่เคลื่อนไหวราวกับสายฟ้าผ่า จังหวะดาบของเสี่ยวหยิน เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมและเขาก็มีกำลังภายในที่อันน่าอัศจรรย์ การรับและการโจมตีทุกครั้งของเขาเต็มไปด้วยพลังทำให้เป็นเรื่องยากที่จะไล่ตามได้ทัน สำหรับจี่เฟิงหลี่ ทักษะของเขาก็เหมือนกับนิสัยของเขาที่สงบและมั่นคง ไม่ว่าการโจมตีของเสี่ยวหยิน จะรุนแรงแค่ไหน จี่เฟิงหลี่ ก็สามารถสกัดกั้นพวกมันเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย
การประเมินการต่อสู้ครั้งนี้ ฮวาจูอวี้รู้สึกว่าเป็นการยากที่จะตัดสินว่าใครเหนือกว่าใคร
ทันใดนั้นจี่เฟิงหลี่ ก็กระโดดลงไปบนดาบของเสี่ยวหยิน และใช้มันเป็นกระดานเพื่อที่จะผลักให้ตัวเองขึ้นไปในอากาศ เสื้อคลุมสีขาวหมุนวนอยู่รอบๆ ตัวเขา ในขณะที่เขาคลี่พัดของเขาออกอย่างสมบูรณ์ ก่อนที่จะเปลี่ยนทิศทางและพลิกตัวลงมาอย่างฉับพลัน
ความเร็วของเขานั้นรวดเร็วมาก จนมันสร้างภาพลวงตาต่อร่างกายของเขาขึ้น ทำให้ยากที่จะมองเห็นภาพที่แท้จริงของเขาได้ ทักษะของเขาน่าอัศจรรย์มากจนทำให้ฮวาจูอวี้รู้สึกกลัว นางไม่ได้คาดหวังว่าศิลปะการต่อสู้ของเขาจะมีความสามารถสูงเช่นนี้ พัดของเขาเล็งไปที่ด้านหลังของเสี่ยวหยิน นางรู้ว่า เสี่ยวหยิน จะไม่สามารถหลบมันได้ในขณะที่เขาไม่ทันระวังตัว
“ระวัง!” ฮวาจูอวี้ช่วยไม่ได้ที่จะอุทานขึ้น
หัวคิ้วของจี่เฟิงหลี่ ขมวดขึ้นและมือที่จับพัดที่กำลังจะจู่โจมก็หยุดไปชั่วคราวและปล่อยให้เสี่ยวหยินหลบเลี่ยงการโจมตีของเขาไปได้ เขาหมุนตัวไปข้างหน้าแล้วหันไปรอบ ๆ ก่อนจะแทงดาบของเขาไปที่ด้านซ้ายของจี่เฟิงหลี่ในทันที
ฮวาจูอวี้ตกใจและปิดปากของนางด้วยมือของนางขึ้นทันที จี่เฟิงหลี่หันกลับมาดวงตาที่สว่างไสวของเขากำลังเผาไหม้ ในขณะที่มันมองตรงไปที่ฮวาจูอวี้
เสี่ยวหยิน ค่อยๆดึงดาบของเขาออกและฮวาจูอวี้ก็สามารถมองเห็นการไหลเวียนของเลือดที่มันกระจายตัวออกไป ย้อมเสื้อคลุมสีขาวให้กลายเป็นสีแดงเข้มในทันที ฮวาจูอวี้มองดูจี่เฟิงหลี่ อย่างใจจดใจจ่อ แต่สายตาของเขาก็ได้หันไปที่อื่นแล้ว
ถังยวีมองไปที่ฮวาจูอวี้ด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะถามขึ้น “เจ้าโง่หรือเพียงแค่ไม่ต้องการออกไปจากสถานที่แห่งนี้?” จากนั้นเขาก็เดินไปทางด้านของจี่เฟิงหลี่อย่างรวดเร็ว
ฮวาจูอวี้ ค่อยๆตามหลังถังยวีไป
จี่เฟิงหลี่ จับบาดแผลของเขาด้วยมือข้างหนึ่ง ริมฝีปากของเขามีรอยยิ้มที่เบาบางปรากฏขึ้น “ข้าไม่รู้ว่าฮ่องเต้เหนือยังต้องการจะแลกเปลี่ยนคำแนะนำต่อไปหรือไม่?”
เสี่ยวหยินมองเขาแล้วก็ส่ายหัวพร้อมกับพูดขึ้น “ฮ่องเต้ผู้นี้คงต้องยอมรับความพ่ายแพ้ ถ้าไม่ใช่เพราะคำเตือน บางทีคนที่พ่ายแพ้ตั้งแต่แรกก็คงจะเป็นข้า พวกเจ้าควรจะรีบออกไป พรุ่งนี้เราจะได้พบกันอีกครั้งในสนามรบ “
“ได้” จี่เฟิงหลี่ ตอบและจากไปด้วยความช่วยเหลือของถังยวี
ตอนที่ 101.1
ฮวาจูอวี้จ้องมองไปที่เสี่ยวหยินเงียบๆ
แขนเสื้อสีม่วงของเขาพลิ้วไหวอยู่ในสายลม ในขณะที่เขายืนอยู่ที่นั่น พร้อมกับการแสดงออกที่เคร่งขรึมบนใบหน้าของเขา เมื่อเขามองเห็นสายตาของนาง ริมฝีปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มในขณะที่เขาพูดขึ้น “เด็กน้อย เราจะได้พบกันอีกครั้งในสนามรบ วันหนึ่งฮ่องเต้ผู้นี้จะพาเจ้ากลับมาที่นี่ “
ฮวาจูอวี้ตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น ก่อนจะหันหลังและตามจี่เฟิงหลี่และะถังยวีไป
เสี่ยวหยินพูดถูกต้อง พวกเขาจะได้เห็นอีกครั้งในสนามรบ
จะไม่มีพี่น้อง เพื่อนหรือคนรักในสนามรบ จะมีเพียงสองกองกำลังที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกันเทานั้น
ถ้านางบอกว่านางไม่รู้สึกเศร้ากับเรื่องนี้ นางก็คงจะโกหก อย่างไรก็ตามเขาเคยรักและปกป้องนางมาก่อน นางยังคิดว่าอาณาจักรใต้และอาณาจักรเหนือยังสามารถอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนได้และนางและเสี่ยวหยิน ก็อาจจะกลายเป็นเพื่อนกันได้ เนื่องจากพวกเขาได้เชื่อมโยงกันทางจินเซ่อ แต่หลังจากคืนนี้ความฝันนั้นก็คงจะแตกสลายไป
ทันทีที่พวกเขาออกจากที่พัก คนชุดดำหลายคนก็โผล่ออกมาจากที่ซ่อนของพวกเขา ในขณะที่พวกเขาขี่ม้าตรงเข้ามา เห็นชัดเจนว่าพวกเขาเป็นผู้คนของจี่เฟิงหลี่
ม้าสีน้ำตาลแดงผสมทองตรงเข้ามาหาจี่เฟิหลี่ ดวงตาของมันสว่างและส่องเป็นประกายขึ้น มันเป็นม้าพันธุ์ฮวาที่หายากมาก
ไม่มีใครจะรู้ดีไปกว่าฮวาจูอวี้ว่ามันมีความสำคัญมากน้อยแค่ไหนที่แม่ทัพคนหนึ่งจะมีม้าที่ดีเยี่ยมในสนามรบ ทันทีที่นางเห็นม้า ฮวาจูอวี้ก็รู้สึกชอบมัน ในอดีตนางขี่ม้าชื่อ จุยเตี้ยน (สายฟ้า) ร่างของมันขาวและมีขนสีแดงขนาดใหญ่ที่หน้าอกของมัน จากระยะไกลๆ ขนสีแดงดูเหมือนการโจมตีของสายฟ้า เมื่อนางกลับมายังเมืองหยู นางก็ได้มอบม้าของนางไว้ให้คังเสี่ยวซื่อดูแล ทันทีที่นางเห็นม้าฮวา ที่สูงตระหง่านตัวนี้ นางก็นึกถึงจุยเตี้ยนขึ้นมาทันที
ม้าฮวาตัวนี้ฉลาดมาก มันผลักเบาๆไปที่จี่เฟิงหลี่และคุกเข่าหน้าของมันลงไปราวกับมันรู้ว่าจี่เฟิงหลี่ได้รับบาดเจ็บ จี่เฟิงหลี่ฉีกเสื้อของเขาและใช้มันเพื่อพันบาดแผลของเขา ก่อนที่จะค่อยๆขึ้นไปบนม้า จากนั้นม้าก็ม้าก็ลุกขึ้นยืน
ม้าทุกตัวต่างก็มีคนขี่อยู่บนหลังของพวกมัน และก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีตัวอื่นเหลือให้นางขี่อีก ฮวาจูอวี่ลังเลไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไร แต่แล้วเสียงของเขาก็ดังขึ้นจากด้านบน “ส่งมือมา”
เสียงของเขานุ่มนวลเหมือนสายลมและบริสุทธิ์เหมือนเหล้า
ท่อนไม้ลอยสูงขึ้นในท้องฟ้ายามกลางคืนก่อนที่จะตกลงไปยังหลังคาบ้านที่ของข้างหลังของพวกเขา แต่ละท่อนต่างก็ผูกไปด้วยผ้าที่แช่ในน้ำมันซึ่งกำลังติดไฟอยู่
ฮวาจูอวี้มองไปที่จี่เฟิงหลี่ ที่อยู่ด้านหน้าของฉากของไฟไหม้นี้ ใบหน้าของเขาซีดลงและเขาก็จ้องมองมาที่นางอย่างลึกซึ้ง มือข้างหนึ่งของเขาอยู่บนบังเหียนและอีกข้างหนึ่งยื่นออกมาหานาง แขนเสื้อคลุมสีขาวของเขาพลิ้วไหวไปตามสายลมเหมือนก้อนเมฆ
แม้ว่าความบาดหมางระหว่างพวกเขาจะลึกไปเหมือนกับทะเลที่ไม่มีที่สิ้นสุด แต่เมื่อนางได้ยินคำพูดของจี่เฟิงหลี่ นางก็ช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึง
นางค่อยๆยกมือขึ้น แต่ก่อนที่นางวางมันไว้บนมือของเขา นางก็หยุดลงทันที ความสนใจของนางถูกลากไปยังผ้าพันแผลที่เปียกโชกไปด้วยสีแดงเข้ม
การโจมตีของเสี่ยวหยินไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นางสามารถมองเห็นได้ว่าใบหน้าของเขาซีดลงมากแค่ไหนภายใต้แสงไฟ บาดแผลของเขาหนักมากจนนางกลัวว่าเขาจะเสียเลือดมากเกินไปถ้าเขาเป็นคนขวบม้า มันก็จะเลวร้ายต่ออาการบาดเจ็บของเขาและอาจจะทำให้เขาตายได้ นางเกลียดเขา แต่นางรู้ว่าเขายังไม่สามารถที่จะตายได้
หัวคิ้วของฮวาจูอวี้ขมวดขึ้นและปฏิเสธที่จะให้จับมือของเขา ตรงกันข้ามนางกระโดดขึ้นไปเองและนั่งลงอยู่ข้างหน้าของเขา ก่อนจะคว้าบังเหียนและแตะไปที่ด้านข้างของม้ากับขาของนางเพื่อสั่งให้มันเคลื่อนที่ ม้าเชื่อฟังและวิ่งออกไปข้างหน้าในทันที
ฮวาจูอวี้รู้สึกได้ว่าจี่เฟิงหลี่ กำลังผิงอยู่กับหลังของนางจากด้านหลัง นางรู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที นางหุนหันพลันแล่นเกินไปก่อนหน้านี้! คนสองคนขี่ม้าตัวเดียวกัน … แน่นอนพวกเขาจะมีการสัมผัสกันทางร่างกาย แล้วนางก็ตะโกนขึ้นอย่างเย็นชา “หยุดผิงมาที่ข้าได้แล้วไม่อย่างนั้นข้าจะเตะท่านลงไปจากหลังม้า!”
เสียงของนางเยือกเย็นและเฉียดคมมาก
ร่างกายที่อยู่ด้านหลังของนางแข็งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะออกห่างไป
ดูเหมือนว่าม้าจะไม่ชอบน้ำเสียงของนางและหลังจากที่มันไม่พอใจมันก็เริ่มชะลอตัวลง แล้วฮวาจูอวี้ก็ตระหนักได้ว่านางไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ไม่ว่าจะอย่างไรจี่เฟิงหลี่ก็ไม่ใช่ลูกน้องของนาง ไม่ต้องพูดถึงว่าม้ายังเป็นม้าของเขาอีกด้วย
จี่เฟิงหลี่ดูเหมือนจะไม่สนใจในขณะที่ริมฝีปากของเขามีรอยยิ้มปรากฏขึ้น เขาลูบด้านข้างของม้าและกระซิบขึ้น “ซุ่ยหยางจงเชื่อฟัง!” ฮวาจูอวี้ปล่อยลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจเมื่อม้ากลับมาสู่ความเร็วเดิม
ด้วยความเร็วที่รวดเร็วของซู่ยหยาง พวกเขาก็ออกจากเมืองหยางกั่ว ได้ในเวลาเพียงไม่นานและมันก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าม้าตัวนี้มีค่าแค่ไหน
กองทัพของอาณาจักรใต้ยังคงปิดล้อมเมือง ผู้คนสามารถได้ยินเสียงของแตรและเสียงกลอง นอกเหนือจากเสียงของแผ่นดินไหวที่เกิดจากการสู้รบ
พวกเขาได้เห็นภาพสะท้อนของไฟส่องประกายขึ้นในท้องฟ้า ในขณะที่พวกเขาออกจากประตูเมืองและกองทัพของอาณาจักรใต้ก็อยู่ไม่ไกลออกไป
ทันใดนั้นมีเสียงของธนู จำนวนนับไม่ถ้วนก็ดังไปทั่วท้องฟ้าและตกลงมาราวกับฝนตกจากด้านบน
ฮวาจูอวี้มองกลับไปที่เสากำแพงเมือง ผ่านสายฝนของลูกศร นางสามารถมองเห็นแนวของทหารเหนือกำลังมุ่งเป้ามาที่พวกเขา เสี่ยวหยินยืนอยู่ในชุดเกราะสีดำของเขาพร้อมกับมองลงมาที่พวกเขา การแสดงออกของเขาถูกซ่อนไว้อย่างสมบูรณ์โดยความวุ่นวายที่เกิดขึ้น เขาดูเหมือนจะเป็นฮ่องเต้เหนืออย่างแท้จริง เพื่อที่จะปฏิบัติตามสัญญาของเขา เขาไม่ได้แตะต้องพวกเขาในขณะที่พวกเขาอยู่ในเมือง แต่มันก็เป็นการเดินหมากที่ยุติธรรมในขณะที่พวกเขาออกจากประตูเมืองแล้ว
ไม่คิดว่าพวกเขาจะได้พบกันในสนามรบอีกครั้งโดยเร็วเช่นนี้ แม้ว่าจะมีกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังเพื่อป้องกันพวกเขาจากการโจมตีที่กำลังจะมาถึง นางก็รู้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถปิดกั้นลูกศรได้ทั้งหมด ลูกศรที่เล็งมาที่นางและจี่เฟิงหลี่ นั้นมีความรวดเร็วและทรงพลังมาก เสียงหวีดดังขึ้นจากทางด้านหลังและจี่เฟิงหลี่ก็ยกพัดของเขาขึ้นเพื่อสกัดมันไว้
ฮวาจูอวี้ พยายามที่จะเร่งความเร็วขึ้นและอีกเพียงนิดเดียวพวกเขาก็จะสามารถหลบหนีการไล่ล่าของเสี่ยวหยิน และพบกับกองทัพของอาณาจักรใต้ได้แล้ว ในขณะที่ทหารของกองทัพของอาณาจักรใต้กำลังเดินหน้าขึ้นมาเพื่อพบกับพวกเขา น้ำหนักที่หนักอึ้งก็ตกลงมาที่หลังของนาง บางสิ่งบางอย่างอบอุ่นไหลผ่านเครื่องแบบของนาง ทำให้หัวคิ้วของนางขมวดขึ้น กำลังภายในที่จี่เฟิงหลี่ใช้เพื่อสกัดลูกธนูก่อนหน้านี้คงจะเปิดแผลของเขาขึ้นอีก ศีรษะของเขาผิงอยู่บนบ่าของนางจากทางด้านหลัง ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาทำให้นางรู้สึกอึดอัด ดังนั้นนางจึงขยับไหล่ของนางและมันก็ทำให้จี่เฟิงหลี่ล้มลงไปทางด้านหลัง เมื่อเห็นเช่นนี้ หลานปิง ก็กระโจมเข้ามารับตัวจี่เฟิงหลี่เอาไว้ทันที
และเนื่องจากแสดงของคบไฟ ฮวาจูอวี้สามารถมองเห็นว่าอาภรณ์ของ จี่เฟิงหลี่นั้นถูกแช่ไปด้วยเลือดสีแดงเข้ม
แม้ว่าตอนที่นางคุ้นเคยกับฉากของการนองเลือดในสนามรบ แต่ฮวาจูอวี้ก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยในขณะนี้
บางทีความแตกต่างของเลือดกับเสื้อคลุมสีขาวของเขามันจึงทำให้มันเกิดเป็นภาพที่น่าตกใจมากขึ้น ใบหน้าของเขาซีดมากและจากทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันก็เป็นความผิดของนางที่เขาได้รับบาดเจ็บ แล้วในระยะสั้นๆ ฮวายูอวี้ก็รู้สึกไม่สบายใจมาก!
เมื่อเห็นเจ้านายของเขาตกลงไป ซู่ยหยาง ก็ไม่พอใจและยกสองขาหน้าของมันขึ้น ทำให้ฮวาจูอวี้เสียหลัก นางรีบกระโดดลงไป ในขณะที่หลายปิง ตะโกนขึ้น “ท่านเสนา ทำไมท่านถึงได้รับบาดเจ็บมากเช่นนี้!”
ขนตาของจี่เฟิงหลี่ ขยับเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินเสียงของหลายปิง แต่ดวงตาของเขาก็ไม่ได้ลืมขึ้น มีเพียงรอยยิ้มขมขื่นปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเขาเท่านั้น
ถังยวี เองก็รีบตรงเข้ามา เขารีบฉีกผ้าพันแผลออกและใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความตกใจ “เร็วเข้ารีบนำแคร่หามมาให้เร็วที่สุด!” ถังยวี หันไปและสั่งทหารด้วยที่เสียงต่ำและสั่นเล็กน้อย
แม้ว่าถังยวี จะไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมอีก แต่ฮวาจูอวี้ก็ รู้ว่าสภาพของเขาคงไม่ดีแน่
ทหารสองคนนำแคร่หามออกมาในทันทีทันใด หลายปิงช่วยพาจี่เฟิงหลี่ขึ้นไปและพวกเขาก็รีบพาเขาออกไปพร้อมกับถังยวี
ก่อนออกเดินทาง หลานปิง ก็ไม่ลืมที่จะมองไปที่ฮวาจูอวี้อย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาเยือกเย็นอย่างไม่น่าเชื่อและไม่ปิดบังลักษณะที่ซับซ้อนที่อยู่ข้างใน
ถังยวีเองก็มองไปที่นางอย่างเย็นชา ก่อนจะพูดขึ้น“ท่านเสนาได้รับบาดเจ็บเนื่องจากเจ้า แต่เจ้าก็ยังผลักเขาลงจากม้าอีก”
เนื่องจากทั้งสายตาของหลานปิง และคำพูดที่หนักหนวงของถังยวี ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ นางทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากตามหลังไปอย่างเงียบ ๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น