World of Hidden Phoenixes 81-90.2

 81

หลังจากเมื่อคืนที่ผ่านมาด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสัตว์ร้าย ในที่สุดฮองเต้ก็จะต้องการที่จะเดินทางกลับไปที่ตำหนักฤดูร้อนในวันนี้ ตำหนักน่าจะอยู่ในความวุ่นว่ายไม่น้อย เมื่อฮวาจูอวี้กลับนางได้เห็นนางกำนัล และทหารองครักษ์ต่างก็รีบเร่งและเต็มไปด้วยการแสดงออกที่เคร่งขรึม ไม่มีใครพูดอะไรแม้แต่น้อย ตำหนักเต็มไปด้วยผู้คน แต่มันก็เงียบสงบว่าราวกับว่าพายุกำลังจะมา


นึกถึงคืนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฮวาจูอวี้ก็เป็นกังวลแทนหวงฝู่ อู๋ ซวง แล้วจู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงเจือด้วยการหยอกล้อดังขึ้น “เป่ากงกง เกิดอะไรขึ้นหรือ? ท่านไม่จำเป็นต้องไปสอนองค์รัชทายาทเสี่ยวหยินรำดาบในวันนี้หรือ ”


ในขณะที่จมอยู่ในความคิด ฮวาจูอวี้ก็ตกใจโดยเสียงและหันไปรอบ ๆ ก่อนจะเห็นคนสองคนยืนอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย หนึ่งอยู่ในชุดสีแดงและอีกหนึ่งเป็นสีฟ้า มันเป็นจี่เฟิงหลี่ และหลานปิง


คนที่เพิ่งจะพูดก็คือหลานปิงนั่นเอง


บนพื้นผิวหลานปิงดูสง่างามและอ่อนโยน เขาอยู่ในชุดของขุนนางด้วยท่าทางที่ภูมิฐาน แต่เมื่อไหร่ก็ตาม ด้วยเหตุผลบางอย่างเมื่อเขาเห็นฮวาจูอวี้แม้แต่เมื่อเขาพูดคุยกับนาง เขาจะดูเหมือนกำลังพยายามเก็บเสียงหัวเราะเอาไว้ สิ่งนี้ทำให้ฮวาจูอวี้ คิดกลับไปในคืนนั้นที่จี่เฟิงหลี่ เปลือยเปล่าอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนว่าหลานปิงผู้นี้จะรู้เห็นในเรื่องของคืนนั้นมากอยู่


ฮวาจูอวิ้กัดฟันของนาง ทำตัวเองให้สงบและหันกลับไปช้าๆพร้อมกับรอยยิ้ม แต่ดวงตาที่เยือกเย็นของนางนั้นเห็นได้ชัดเจน ในขณะที่นางเผชิญหน้ากับพวกเขา “ท่านหลานปิง รู้วิธีพูดเรื่องตลกขบขันเสียจริงๆ องค์รัชทายาทเสี่ยวหยินได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์เมื่อวานนี้ เขาจะสามารถทำการเรียนรำดาบได้อย่างไร แต่ถึงแม้ว่าองค์รัชทายาทเสี่ยวหยินจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่หลังจากเหตุการณ์นั้น ข้าก็ไม่มีหัวใจในการสอนรำดาบได้แม้แต่น้อย”


“มันก็จริง แต่เป่ากงกงดูเหมือนจะเต็มไปด้วยเสน่ห์อย่างแท้จริง หลังจากทำการสอนองค์รัชทายาทเสี่ยวกหยินรำดาบเพียงสองวันของเขาก็ทราบซึ้งขนาดนี้แล้ว เมื่อคืนในช่วงเวลาที่สำคัญเขาไม่สนใจความปลอดภัยของเขาและตรงเข้าไปปกป้องท่าน ทำให้ข้าทราบซึ้งอย่างแท้จริง! “หลานปิงพูดขึ้นอย่างไม่สนใจด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่เขากวาดผมไม่กี่เส้นที่ตกลงมาข้างแก้มของเขาออกไป


จู่ๆ หัวใจของฮวาจูอวี้ก็เต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว


คำกล่าวของหลานปิง เต็มไปด้วยความหมายที่ซ่อนอยู่


เสี่ยวหยินเป็นทายาทของราชบัลลังก์ อย่างไรก็ตามในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของเมื่อคืนที่ผ่านมา เขาได้ทำการปกป้องนาง โดยไม่สนใจความปลอดภัยของตัวเอง คนอื่นคงจะคิดว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นโดยเฉพาะกับคนเจ้าเล่ห์เพทุบายอย่างจี่เฟิงหลี่


เขาจะไม่คิดว่านางเป็นสายลับที่ถูกส่งมาจากอาณาจักรเหนือใช่ไหม?


หัวใจของฮวาจูอวี้อยู่ในความวุ่นวาย นางเงยหน้าขึ้นมองจี่เฟิงหลี่ และเห็นเพียงเขายืนอยู่ตรงนั้นเงียบ ๆ ในขณะที่กางพัดของเขาออกและไม่สนใจนางอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่เขาจ้องมองไปที่ดอกไม้ข้างหน้า และเมื่อได้ยินคำพูดของหลานปิง หัวคิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นและหันกลับไปมามองที่ฮวาจูอวี้กับรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนที่เขาจะจ้องมองไปที่หลานปิง “ทุกวันเจ้าก็ยิ่งประหลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ ”


“เป่ากงกงอย่างได้เก็บคำพูดเขาไปใส่ใจ!” จี่เฟิงหลี่พูดขึ้นรอยยิ้ม ในขณะหันหน้าไปทางฮวาจูอวี้


“เป็นธรรมชาติอยู่แล้วที่ข้าจะไม่ ข้าเป็นเพียงแค่คนรับใช้จะกล้าที่จะเอาคำพูดขุนนางสูงส่งไปใส่ใจได้อย่างไร!” ฮวาจูอวี้ ตอบขึ้นด้วยรอยยิ้มอย่างไม่แยแสขึ้น “ถ้าไม่มีอะไรอื่นแล้ว คนรับใช้ผู้นี้ขอตัว!”


ฮวาจูอวี้ทำเคารพและเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว โดยมุ่งหน้าไปยังตำหนักฉิงหยวน ที่พักของหวงฝู่ อู๋ ซวง


จากด้านข้างจี่เฟิงหลี่รู้สึกว่ามีสายลมพัดผ่านไปและในทันทีเขาก็ไม่สามารถมองเห็นภาพลักษณ์ของฮวาจูอวี้ได้อีกแล้ว เขายังคงจ้องมองไปในทิศทางที่ฮวาจูอวี้พึ่งจะจากไป ดวงตาของเขาค่อยๆเปลี่ยนเป็นความสับสนขึ้น


“ท่านเสนาจี่ ท่านคิดว่าเป่ากงกงเป็นคนขององค์รัชทายาทเสี่ยวหยินหรือไม่?” หลานปิงถามขึ้นด้วยเสียงต่ำ


ในขณะที่เขาสะบัดพัดในมือของเขาไปมาเบาๆ เขาก็ตอบขึ้นด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย”เจ้าจะเสี่ยงชีวิตของเจ้าเพื่อช่วยคนที่เจ้าเพิ่งได้พบเพียงสองวันหรือไม่?”


หลานปิงส่ายหัว แน่นอนว่าเขาจะไม่มีวันทำอย่างนั้นและเขาก็ไม่คิดว่าคนที่มีเหตุมีผลทุกคนจะทำเช่นนั้นและองค์รัชทายาทเสี่ยวหยินเองก็เป็นคนมีเหตุมีผลมาก มีปัญหาเกี่ยวกับเป่ากงกงคนนี้อย่างแน่นอน!


ตำหนักฉิงหยวน


นี่เป็นครั้งที่สองที่ฮวาจูอวี้ได้เห็นการกระทำที่เผด็จการของหวงฝู่ อู๋ ซวง


ครั้งแรกที่ตอนไปเที่ยวทะเลสาบ เมื่อเขาได้เห็นเหวินว่าน และจี่เฟิงหลี่ ในเวลานั้นหวงฝู่ อู๋ ซวง ได้ลงความโกรธของเขาไปที่คนรับใช้ของเขา และวันนี้เมื่อฮวาจูอวี้เข้ามาในตำหนักฉิงหยวน นางก็เห็นคนรับใช้ที่มีใบหน้าบวมแดง บางคนก็มีรอยนิ้วมือที่แตกต่างกันไปอยู่บนแก้มของพวกเขา พวกเขาถูกทำร้ายอย่างไม่เป็นธรรมโดยหวงฝู่ อู๋ ซวง แม้แต่จี่เสี่ยง ก็ดูเหมือนจะไม่ดีไปมากเท่าไหร่ แม้ว่าใบหน้าของเขาจะไม่ได้บวม แต่การเคลื่อนไหวของเขาดูเหมือนจะค่อนข้างเฉื่อยชา อาการบาดเจ็บของเขาอาจจะไม่เบานัก


เมื่อเห็นการกลับมาของฮวาจูอวี้ ดวงตาของจี่เสี่ยง ก็สว่างขึ้นราวกับว่าเขาได้เห็นผู้ช่วยชีวิตของเขา


“หยวนเป่า รีบเข้าไปข้างในและไปดูองค์รัชทายาท ตั้งแต่เมื่อคืนองค์รัชทายาทก็ยังไม่ได้รับอะไรเลย ถ้าพระองค์ยังคงทำเช่นนี้ต่อไป เขาจะผ่านมันไปได้อย่างไร! องค์รัชทายาททรงโปรดปรานเจ้ามากที่สุดและจะฟังเจ้าอย่างแน่นอน เข้าไปข้างในและโน้มน้าวฝ่าบาทเร็วเข้า “เมื่อจี่เสี่ยง พูดจบแล้ว ก็ดูเหมือนว่าเขาจะระเบิดน้ำตาออกมาได้ทุกเมื่อ


หวงฝู่ อู๋ ซวง ชอบนางมากที่สุดหรือ? ทำไมทุกครั้งที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือ พวกเขาจะต้องพูดแบบนี้? ฮวาจูอวี้ ไม่คิดว่าหวงฝู่ อู๋ ซวง   ชอบนางจริงๆ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็ยังคงต้องไปในและโน้มน้าวหวงฝู่ อู๋ ซวง อยู่ดี


ฮวาจูอวี้ยกม่านขึ้น ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง ตอนนี้ก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว แต่กลับไม่มีม่านหน้าต่างถูกเปิดออก จึงทำให้ภายในดูมืดมัวและมีอากาศที่ไม่ถ่ายเท นางเดินตรงเข้าไปที่หน้าต่าง ก่อนจะดึงผ้าม่านขึ้นและดวงอาทิตย์ก็ส่องผ่านฉากกั้นห้องเข้ามา ทำให้ความมืดมัวที่อยู่ภายในจางหายไปทันที


“บังอาจ!” เสียงแหบพร่าตะโกนขึ้น ในขณะที่มีวัตถุที่ถูกส่งมาตามทางของนาง ฮวาจูอวี้มีหน้าตาที่จริงจังขึ้น ในขณะที่นางยกมือขึ้นจับแจกันดอกไม้เอาไว้


ดูเหมือนว่าจี่เสียงคงจะได้รับบาดเจ็บอย่างมากจากสิ่งเหล่านี้ ในขณะที่นางคิด ตอนนี้พื้นต่างก็เต็มไปด้วยแจกันดอกไม้ ถ้วยชาและแม้แต่หมอนหยกดูเหมือนหวงฝู่ อู๋ ซวง จะทำลายทุกอย่างที่อยู่ใกล้มือเขา


“ในช่วงวิกฤติเช่นนี้ ฝ่าบาทจะทรงยอมรับความพ่ายแพ้อย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” ฮวาจูอวี้วางแจกันดอกไม้ลง และค่อยๆเดินเข้าไปด้านในและพูดขึ้น เสียงของนางเยือกเย็นและจริงจัง ทุกคนที่ฟังจะต้องรู้สึกสั่นอย่างช่วยไม่ได้


นี่เป็นครั้งแรกที่ฮวาจูอวี้ ได้แสดงด้านที่รุนแรงของนางต่อหน้าหวงฝู่ อู๋ ซวง


ตอนที่นางยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆอยู่ นางได้ติดตามบิดาของนางและเรียนศิลปะการต่อสู้ เมื่อไม่สามารถทนต่อการฝึกฝนอย่างเข้มงวดของบิดาและอาจารย์ของนางได้ตลอดทั้งวัน นางก็แอบเก็บข้าวของของนางอย่างเงียบ ๆ และพยายามหลบหนีไปในคืนหนึ่ง ในเวลานั้นนางรู้สึกอย่างแท้จริงว่านางไม่สามารถทนต่อไปได้อีกแล้ว นางคิดว่าคงจะดีกว่าที่จะกลับไปที่เมืองหยู และเป็นเพียงคุณหนูธรรมดาเท่านั้น แต่ไม่เพียงนางไม่สามารถหลบหนีไปได้ นางกลับพูดพบเข้า จนถึงวันนี้นางยังคงนึกถึงดวงตามืดมนของบิดาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังในตัวนาง ที่ไม่ได้ทำตามความคาดหวังของเขาได้


ความรู้สึกของนางต่อหวงฝู่ อู๋ ซวง แทบจะเหมือนกับบิดาของนางในเวลานั้น ตอนนี้นางถึงได้เข้าใจว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรบ้าง


เตียงที่เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง เต็มไปด้วยผ้าไหมที่ฉูดฉาดทุกชนิดสี ขณะที่หวงฝู่ อู๋ ซวง นอนอยู่ในชุดที่งดงามและประณีตของเขา มันยากที่จะแยกแยะออกได้ ถ้าไม่ใช่เพราะใบหน้าที่ขาวซีดของเขา


สายตาของเขาปิดสนิท แต่เมื่อเขาได้ยินเสียงของฮวาจูอวี้ ขนตาของเขาก็สั่นขึ้น ในขณะที่ดวงตาของเขาลืมขึ้นในทันที และเมื่อเห็นฮวาจูอวี้ ดวงตาของเขาก็กระพริบด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะพูดขึ้น “หยวนเป่า เจ้ากลับมาแล้วหรือ เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บจากเมื่อวานใช่ไหม? เจ้าทำให้ข้ากังวลแทบตาย แต่เมื่อคืนที่ผ่านมาเสด็จพ่อได้สั่งห้ามไม่ให้ข้าออกไปไหน ถ้าไม่เช่นนั้นข้าคงไปพบเจ้าแล้ว” เมื่อพูดจบ เขาก็ลดสายตาลง ในขณะที่น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาสีเข้มที่งดงามของเขา “พูดมาว่าข้าควรทำอย่างไร? เสด็จพ่อสงสัยว่าข้าเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีของสัตว์ร้ายที่ทำร้ายเขา ข้าจะทำร้ายเสด็จพ่อได้อย่างไร? ข้าจะมีความสามารถไปจับสัตว์เหล่านั้นมาได้อย่างไร? ”


“ถ้าไม่ใช่พระองค์ พระองค์ก็ต้องไปกราบทูลฮ่องเต้ ฮ่องเต้จะทรงเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของพระองค์หรือ ถ้าพระองค์ยังคงนอนอยู่ที่นี่เช่นนี้? “ฮวาจูอวี้ถามอย่างเย็นชาขึ้น


“เมื่อคืนนี้ องค์ชายผู้นี้ไปเยี่ยมเสด็จพ่อ แต่เสด็จพ่อกลับไม่ต้องการเห็นหน้าข้าและไม่ต้องการฟังสิ่งที่ข้าต้องการจะพูด แล้วข้าควรจะทำอย่างไร?” หวงฝู่ อู๋ ซวงพูดในขณะที่คอตก แต่เขาก็ยังคงปฏิบัติตามคำของฮวาจูอวี้และค่อยๆลุกขึ้นนั่ง


ฮวาจูอวี้เดินไปที่ตู้ ด้านในและหยิบชุดสีดำและโยนมันลงไปบนเตียง ฮ่องเต้กำลังป่วยหนักในขณะนี้ แต่หวงฝู่ อู๋ ซวงกลับกล้าที่จะใส่เสื้อผ้าที่มีชีวิตชีวาเช่นนี้ โชคดีเท่าไหร่แล้วที่ฮ่องเต้ไม่ได้พบเขา ถ้าไม่เช่นนั้นเขาคงจะโกรธแทบตาย หวงฝู่ อู๋ ซวงไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีกและรีบไปเปลี่ยนชุดเท่านั้น


“ฝ่าบาท ท่านรู้หรือไม่ว่าสัตว์สองตัวนั้นถูกจัดการอย่างไร?” ฮวาจูอวี้ ถามขึ้นอย่างจริงจัง


“สัตว์เหล่านั้นนะหรือ?” เขาคิดเล็กน้อย ในขณะที่เขาตอบขึ้น”เสด็จพ่อได้ออกคำสั่งให้จี่เฟิงหลี่ จัดการกับเรื่องในคืนนั้น ข้าได้ยินเขาสั่งให้คนนำสัตว์ทั้งสองตัวกลับมาที่นี่ ”


“แล้วฝ่าบาททรงทราบหรือไม่ว่าร่างของพวกมันอยู่ที่ไหน?” ฮวาจูอวี้ถามด้วยความตกใจ ถ้าเรื่องนี้ให้จี่เฟิงหลี่ จัดการ นางก็ไม่แน่ใจว่านางจะมีโอกาสชนะหรือไม่


“พวกมันควรจะอยู่ในคอกม้าใกล้ตำหนัก หยวนเป่า เจ้าค้นพบอะไรหรือ? “หวงฝู่ อู๋ ซวงถามด้วยสายตาที่เปิดกว้าง


“เมื่อคืนนี้ ตอนที่กระหม่อมแทงลูกศรไปที่คางของสัตว์ร้าย กระหม่อมรู้สึกว่ามีบางอย่างฝังอยู่ที่นั่นซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีคนอื่นได้ลงมือช่วยคังหวาง ก่อนที่กระหม่อมจะลงมือ ฮ่องเต้ทรงไม่สงสัยคังหวางเพราะเขาไม่คิดว่าคัวหวางจะกล้าเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อใส่ร้ายพระองค์ แต่ถ้ามันเป็นความจริงที่ว่ามีคนอื่นหยุดสัตว์ร้ายเอาไว้ ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีคนปกป้องคังหวางและเขาก็ไม่ต้องการให้ชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตราย ถ้าเป็นกรณีนี้จริง เขาก็น่าจะเป็นผู้ต้องสงสัยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมื่อคืนนี้มากที่สุด “ฮวาจูอวี้ อธิบายขึ้นช้าๆ


“ถ้าเรามีหลักฐานว่ามีใครบางคนปกป้องเขาเมื่อคืนนี้ เราก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือ” หวงฝู่ อู๋ ซวงถามขึ้นอย่างสงสัย


“เราไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่ เพียงแค่มีหลักฐานว่ามีคนปกป้องเขา แต่ถ้าคนผู้นั้นไม่กล้าเปิดเผยตัวเองและรวมถึงศิลปินการต่อสู้ของเขาด้วยแล้ว ฝ่าบาทคิดว่ามันน่าสงสัยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ”


คางของสัตว์ร้ายเป็นจุดที่อ่อนแอที่สุด แต่ก็ไม่สามารถเข้าถึงได้ง่าย นางสามารถแทงมันได้ด้วยลูกศร เพราะอยู่ในระยะใกล้ ๆ กับสัตว์ร้ายในเวลานั้น แต่คนที่ซ่อนอยู่นั้นสามารถฆ่าสัตว์ร้ายด้วยอาวุธลับของเขาในช่วงเวลาสำคัญ เช่นนั้นอย่างลับๆ จนแม้แต่นางก็ยังไม่สังเกตเห็น หนึ่งสามารถเพียงแค่จินตนาการได้ว่าศิลปะการต่อสู้ของบุคคลผู้นั้นสูงมาก แต่ถ้าคนผู้นั้นมีศิลปะการต่อสู้ที่ดีเยี่ยมเช่นนั้น ทำไมเขาถึงไม่ก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อหยุดสัตว์ร้ายตั้งแต่แรก? นี้แสดงให้เห็นว่าต้องมีบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในการทำนี้


“สำหรับเรื่องเร่งด่วนนี้ เราควรไปตรวจดูสัตว์ร้ายเหล่านั้นก่อนและดูว่ามีอาวุธลับฝังอยู่ในคางของมันหรือไม่” ฮวาจูอวี้รีบพูดขึ้นด้วยความสัตย์จริง แต่นางมั่นใจว่าฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ทำลายหลักฐานไปแล้ว แต่สิ่งที่นางต้องการคือการตรวจสอบแผลที่มันทิ้งไว้เบื้องหลังต่างหาก


เมื่อมาถึงคอกม้าฮวาจูอวี้และหวงฝู่ อู๋ ซวง ก็ได้ค้นพบว่ามันถูกล้อมรอบไปด้วยกองทัพหลวงและรองผู้บัญชาการทหารซึ่งก็คืออันเสี่ยวเอ้อร์ ถ้าไม่ใช่เพราะอันเสี่ยวเอ้อร์ ฮวาจูอวี้ก็กลัวว่าพวกเขาจะไม่สามารถเข้าไปในสถานที่ได้แม้กระทั่งครึ่งก้าว


แต่ท่ามกลางความตื่นตระหนกของทุกคนที่มีอยู่ในเวลานี้ อันเสี่ยวเอ้อร์ ไม่กล้าแสดงว่าอยู่ฝ่ายฮวาจูอวี้ มากจนเกินไป เขาจึงสามารถแสดงให้นางเห็นแผลของสัตว์ร้ายผ่านหน้าต่างเท่านั้น เมื่อเห็นบาดแผลฮวาจูอวี้ ก็รู้สึกตกใจที่ได้พบว่านอกเหนือจากบาดแผลที่เกิดขึ้นแล้วยังมีอีกอันหนึ่งที่เกิดจากกริช


ดูเหมือนว่าในช่วงเวลาแห่งความสับสนวุ่นวาย อาวุธลับได้ถูกดึงออกไปโดยอีกฝ่ายและทิ้งบาดแผลที่เกิดจากกริชเอาไว้โดยเจตนา อีกฝ่ายคงติดสินบนกองทัพหลวงเพื่อลบล้างร่องรอยทั้งหมดโดยการแทงลงไปที่แผลด้วยกริชอีกที


คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ทั้งหมดจัดการทุกอย่างอย่างละเอียด ไม่ทิ้งที่ว่างสำหรับให้แม้แต่น้ำสักหยดที่จะรั่วไหลออกมาได้


วิธีที่ดีที่สุดในการทำลายหลักฐานคือการกำจัดซากศพของสัตว์ร้ายให้หมดสิ้น เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถหาอะไรได้ แม้ว่าฮ่องเต้จะสงสัยหวงฝู่ อู๋ ซวง ในเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรม แต่ถ้าพวกเขาอยากจะกำจัดซากศพของสัตว์ร้าย พวกเขาอาจจะต้องรอจนถึงค่ำเท่านั้น ฮวาจูอวี้ ยังคงหวาดกลัวอยู่ว่าศัตรูอาจจะสร้างหลักฐานเพิ่มเติมนับจากตอนนี้ไปถึงค่ำหรือไม่


บ่อยครั้งที่คนที่ต้องการให้ท้องฟ้ามืดลง ท้องฟ้ากลับสดใสขึ้น ดูเหมือนว่าดวงอาทิตย์กำลังเกาะอยู่ในจุดๆ หนึ่งและไม่ขยับไปไหนแม้แต่นิ้วเดียว


เมื่อดวงอาทิตย์ตกลง และเมื่ออีกฝ่ายก็ยังไม่ได้ทำการเคลื่อนไหวใดๆ ในที่สุดฮวาจูอวี้ ก็สามารถทำให้จิตใจของนางผ่อนคลายลงได้


แต่ในทันทีทันใด ฮุยเซวีย ก็มาที่ตำหนักฉิงหยวนเพื่อตามหานาง


“เกิดอะไรขึ้น?” ใบหน้าของฮุยเซวีย ซึ่งมักจะแสดงออกอย่างสงบอยู่เสมอ ในตอนนี้ค่อนข้างกระวนกระวายซึ่งทำให้ฮวาจูอวี้ กระวนกระวายใจขึ้นอีกครั้ง ไม่น่าจะเป็นไปได้ว่าบาดแผลของเสี่ยวหยินกลับมาแย่ลงหลังจากที่นางไม่ได้ไปพบเขาแค่วันเดียวใช่ไหม?


ฮุยเซวียอตอบขึ้นเงียบ ๆ “องค์หญิง ฝ่าบาทเพิ่งได้รับข่าววันนี้ว่าสุขภาพของฮ่องเต้ไม่สู้ดีนัก ฝ่าบาทจึงต้องกลับไปในทันที ดังนั้นฝ่าบาทจะกลับไปในคืนนี้เพคะ! ”


ได้ยินข่าวนี้ใบหน้าของฮวาจูอวี้ก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น เมื่อนางได้พบฮ่องเต้เหนือในเทศกาลก่อนหน้านี้ เขาก็ยังคงมีสุขภาพที่ดีไม่น้อย ถ้ามันเป็นเพียงความเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ เขาจะไม่ส่งข่าวดังกล่าวมาหลายพันลี่เช่นนี้ นางรู้สึกผิดถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับฮ่องเต้เหนือและเสี่ยวหมินก็พลาดโอกาสที่จะได้อำลาเขาด้วยตัวเอง


“เขาอยู่ที่ไหน?” ฮวาจูอวี้ถามขึ้น ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็จะต้องไปส่งเขา


“ฝ่าบาททรงไปอำลาฮ่องเต้อาณาจักรใต้ พระองค์กลัวว่าฮ่องเต้จะมีงานเลี้ยงอำลา ดังนั้นรถม้าของเราจึงกำลังรออยู่ที่ประตูทางออกของตำหนักเรียบร้อยแล้วเพคะ องค์หญิงมากับข้าไปรอที่ประตูทางออกเถิดเพคะ!”


“เจ้ามุ่งหน้าไปก่อน ข้าจะรอพวกเจ้าอยู่ที่ถนนบนเขา “จี่เฟิงหลี่ เริ่มสงสัยนางแล้ว นางไม่สามารถถูกพบพร้อมกับฮุยเซวียได้


ฮุยเซวีย พยักหน้าและรีบออกไปทันที


พระอาทิตย์ตกดินเป็นสีแดงเลือดจาง ๆ ผสานกับแสงสีทอง ขอบฟ้าทางตะวันตกเต็มไปด้วยเมฆอันสดใสเหมือนกับชั้นของแสงสีแดง สดใสและแพรวพราวเป็นประกาย สายลมของภูเขาทำให้อากาศหนาวเย็นลงเล็กน้อยเนื่องจากนี้ยังมีกลิ่นอายของดอกไม้ป่าที่เกิดขึ้นตามแนวถนนอีกด้วย


หลิวเฟิง ฮุยเสวีย ฉิงอวี้น และปี้เอวี้ย และทหารองครักษ์คนอื่น ๆ ของเสี่ยวหยิน ขี่ม้าในขณะที่พวกเขาค่อยๆพารถม้าไปอย่างช้าๆ เนื่องจากเสี่ยวหยินได้รับบาดเจ็บเมื่อเร็ว ๆ นี้ เขาจึงไม่สามารถเดินทางบนหลังม้าได้


ด้วยความเจ็บป่วยของฮ่องเต้ เสี่ยวหยิน จึงไม่ได้มีงานเลี้ยงอำลาที่ยิ่งใหญ่ ฮ่องเต้เพียงสั่งให้ขุนนางสองคนเดินทางมาส่งเขา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือท่านราชครูเหวิน


หลังจากแลกเปลี่ยนคำอำลากับเสี่ยวหยินแล้ว ขุนนางอีกคนก็ลากลับไปทันที แต่ท่านราชครูเหวิน ยังคงอยู่ต่อไป ฮวาจูอวี้คนที่ซ่อนตัวอยู่ในต้นไม้ไม่รู้ว่าพวกเขาพูดอะไร แต่นางเริ่มหงุดหงิดที่ต้องรอนาน


อีกนานหลังจากนั้น อาจจะเนื่องมาจากความอดทนที่น้อยนิดของเสี่ยวหยิน เขาจึงสั่งให้ทหารออกเดินทาง แม้กระทั่งหลังจากที่ขบวนของเสี่ยวหยินจากไปนานแล้ว แต่ท่านราชครูเหวิน ก็ยังคงยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบ ๆ จ้องมองไปในทิศทางของรถม้าที่ออกเดินทางออกไป


ฮวาจูอวี้รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป แต่นางก็รอจนรถม้าผ่านตำแหน่งของนางไป ก่อนที่นางจะกระโดดลงไปบนรถม้าและเปิดม่านเข้ามา


ท้องฟ้าดำมืดและไข่มุกกลางคืนที่ให้แสงสว่างอยู่ที่มุมด้านบนของรถม้าก็เริ่มสว่างขึ้น


นั่งผิงอยู่กับเบาะนั่ง ผิวของเสี่ยวยินก็ยังขาวซีดและเส้นผมของเขามันยุ่งเหยิง เพียงแค่มองครั้งเดียวก็ดูออกว่าเขาดูเหนือยล่าและโดดเดี่ยว มีเพียงดวงตาสีม่วงเข้มที่ยังสดใสเหมือนเหล้าองุ่นชั้นดีในแก้วคริสตัล ในขณะที่เขาจ้องมาที่ฮวาจูอวี้ พร้อมกับคำใบ้ของความไม่พอใจ ดูเหมือนเขาจะรอนางอยู่


แต่เสี่ยวหยินไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ในรถม้า ข้างๆเขามีหญิงสาวอีกหนึ่งคน หลังของนางหันไปทางเสี่ยวหยิน ในขณะที่นางจ้องมองที่มุมของรถม้าเต็มไปด้วยน้ำตา ผมยาวถึงเอวของนางพาดผ่านอยู่กับเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนๆ ของนาง ในขณะที่ปิ่นปักผมหยกประดับอยู่ด้านบนของศีรษะของนาง


มุมมองด้านหลังของนางนั้นมีเสน่ห์และงดงาม


เมื่อได้ยินเสียงรบกวน นางก็รีบหันกลับมามอง ใบหน้าที่มีเสน่ห์ของนางเต็มไปด้วยน้ำตาสองสายราวกับน้ำฝนบนดอกแพรว ดึงดูดผู้อื่นให้นึกน่าสงสาร


การได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของฮวาจูอวี้ยิ่งทำให้นางสับสน


ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเหวินว่าน


ทำไมเหวินว่านถึงได้มานั่งอยู่ในรถม้าของเสี่ยวหยิน


82.1

เนื่องจากในสถารณ์ปัจจุบัน นางสามารถใช้ตัวตนของหวงฝู่ อู๋ ซวง เพื่อเป็นข้ออ้างในการมาปรากฏตัวอยู่ในรถม้าในตอนนี้ได้เท่านั้น


เมื่อได้ยินแบบนี้เสี่ยวหยินก็ได้แต่หายใจลึกๆ ขึ้นเท่านั้น มือที่เรียวยาวของเขาเอื้อมออกไปเพื่อที่จะสัมผัสฮวาจูอวี้ ราวกับว่าเขาต้องการที่จะถ่ายทอดความรู้สึกที่ไม่ได้พูดทั้งหมดในใจของเขาผ่านการสัมผัสในครั้งนี้


“ฮึม! ใครจะคิดว่าองค์รัชทายาทเสี่ยวหยินจริงๆจะตัดแขนเสื้อ และถึงขนาดที่จะสนใจในตัวขันทีต่ำต้อย  ฮ่าฮ่า … “นั่งอยู่ด้านข้างคำพูดที่เยือกเย็นของเหวินว่าน เต็มไปด้วยความเยาะเย้ย


ฮวาจูอวี้ตื่นตระหนก ก่อนที่จะผลักมือของเสี่ยวหยินไปด้านข้าง สายตาที่เย็นชาของนางมองไปที่เหวินว่าน ขณะที่นางพูดขึ้น “แม่นางว่าน ท่านเข้าใจผิดแล้ว!”


“เข้าใจผิดหรือ?” ในขณะนี้เหวินว่าน ยกศีรษะของนางขึ้นสูง น้ำตาของนางก็ถูกทำความสะอาดไปหมดแล้ว แม้ว่าผมของนางจะกระเซิงเล็กน้อย แต่นางก็ยังคงมีท่าทางที่งดงาม มุมปากของนางโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อนางหันไปเผชิญหน้ากับเสี่ยวหยินช้าๆและถามขึ้น “องค์รัชทายาทเสี่ยวหยิน คิดว่าหม่อมฉันเข้าใจผิดหรือไม่เพคะ?”


หัวคิ้วที่เรียวขึ้นเล็กน้อยของเขาขมวดขึ้น ในขณะที่เขาหันไปเผชิญหน้ากับเหวินว่าน ด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกัน ดวงตาสีม่วงของเขาส่องประกายและลึกล้ำ ริมฝีปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย คนที่ไม่ค่อยยิ้มบ่อยๆเมื่อมีรอยยิ้มกลับร้ายแรงถึงตาย


แต่เมื่อใดก็ตามที่เสี่ยวหยิน แสดงรอยยิ้มเช่นนั้น ฮวาจูอวี้ รู้ว่าจะมีบางสิ่งเกิดขึ้น นางไม่เคยลืมเวลาที่เขามีคำสั่งให้โยนนางเข้าไปในกระโจมแดง เมื่อเขามีรอยยิ้มที่งดงามแค่ไหนในตอนนั้น ตามที่คาดไว้เหวินว่าน เองก็แทบจะไม่ได้สติไปกับรอยยิ้มของเสี่ยวหยิน ก่อนที่เขาจะตอบขึ้น “ใช่ เจ้าเข้าใจผิดอย่างที่สุด!” เมื่อเขาพูดมือของเขาโจมตีออกมา ตีไปที่ท้ายทอยของเหวินว่านทำให้นางหมดสติไปทันที


“ข้ารู้ว่าแม้ว่าแสด็จพ่อจะไม่สบาย แต่เจ้าก็จะยังไม่กลับไปพร้อมกับข้าใช่ไหม?” เขาจ้องมองนางด้วยท่าทางที่ซับซ้อน ราวกับว่าเขารู้คำตอบของนางอยู่แล้ว “ข้าบอกว่าข้าจะไม่บังคับให้เจ้าต้องกลับไปพร้อมกับข้า เพราะเจ้าตั้งใจจะอยู่ที่นี่ อย่างไรก็ตามสถานะปัจจุบันของอาณาจักรใต้ไม่สามารถคาดเดาได้และเป็นอันตรายอย่างมาก ข้ารู้สึกไม่สบายใจที่จะปล่อยให้เจ้าอยู่ที่นี่ สำหรับคนผู้นี้ … ”


เหลือบมองไปที่เหวินว่านอย่างไร้ความรู้สึก ในขณะที่เสี่ยวหยินพูดอย่างเงียบ ๆ ขึ้น “นางจะเป็นประโยชน์ แม้ว่าพวกเขาจะสงสัยเรื่องที่ข้าได้ช่วยเจ้าเอาไว้ในคืนนั้น แต่การที่มีนางเอาไว้เป็นตัวต่อรอง พวกเขาจะไม่กล้าทำอะไรเจ้าอย่างแน่นอน!”


คลื่นแห่งความอบอุ่นได้ห่อหุ้มนางเอาไว้ นางไม่เคยคาดหวังว่านางจะเป็นเหตุผลที่เสี่ยวหยินนำเหวินว่านกลับไปพร้อมกับเขาด้วย


“ฮ่องเต้ยินยอมให้นางไปกับท่านได้อย่างไร?” ฮวาจูอวี้ยังจำวันแต่งงานของนางได้ เพียงเพราะพวกเขาไม่สามารถทนที่จะปล่อยให้เหวินว่านต้องไป แต่งงานได้ พวกเขาถึงได้เลือกให้นางไปเป็นตัวแทน นอกจากนี้เหวินว่านยังเป็นหญิงสาวที่ผ่านการคัดเลือดแล้ว


“ในปัจจุบัน ความไม่ลงรอยกันในอาณาจักรใต้มีความวุ่นวายมากขึ้น และก็ยังไม่แม่ทัพคนไหนที่มีความสามารถในการป้องกันพรมแดนได้อย่างฮวามู่ ดังนั้นพวกเขาจึงเกิดความวิตกกังวล นอกจากนี้ฮ่องเต้ยังได้ตกลงเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วที่งานเลี้ยง ว่าจะมอบใครก็ตามที่ข้าต้องการจะแต่งงานด้วยให้กับอาณาจักรเหนือ แม้ว่าเขาจะไม่ต้องการก็ตาม แต่เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ อย่าพูดถึงหญิงสาวที่พึ่งจะผ่านการคัดเลือดตัวเล็ก ๆ แม้ว่าข้าจะต้องการพระสนม เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมยกให้ “เสี่ยวหยินพูดขึ้น


เสี่ยวหยิน พูดถูก ในสถานการณ์เร่งด่วนในปัจจุบัน ฮ่องเต้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเหนือจากการยอตกลง


“แล้วท่านตั้งใจที่จะทำให้นางกลายเป็นองค์หญิงรัชทายาทหรือ?” จู่ๆ ก็ถามขึ้น


“องค์หญิงรัชทายาทหรือ?” ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่บางเบา ขณะที่เขาพูดขึ้น “หยาโถว ข้ากลัวว่าในชีวิตนี้ข้าจะไม่มีองค์หญิงรัชทายาท หรือแม้แต่นางสนม ข้าก็จะไม่มี” ในขณะที่เขาพูดเสียงของเขาค่อยๆกลายเป็นดังสายลมผสมกับความเศร้าโศกที่ไม่ได้บรรยายได้


ความหงุดหงิดห้อมล้อมหัวใจของฮวาจูอวี้ ทำให้นางหายใจไม่ออก หลังจากความเงียบอันยาวนาน นางก็เงยหน้าขึ้นมองและพยายามทำให้อารมณ์ดีขึ้น “พี่ใหญ่ ไม่ใช่เพราะได้รับผลประทบมาจากอาการเจ็บป่วยของท่านหรือ? ท่านถึงไม่สนใจผู้หญิงแล้ว? ”


“ความเจ็บป่วยหรือ? ถูกต้องแล้ว ข้าป่วย บางทีมันอาจจะเป็นความเจ็บป่วยที่ไม่เคยได้รับการรักษา แต่ถึงแม้จะมีการรักษาข้าก็ไม่อยากรักษาให้หายขาด “เขาตอบด้วยรอยยิ้มพร้อมกับดวงตาที่กลมกลืนไปด้วยความเศร้าโศก แต่ความเศร้าโศกแบบนั้นคือสิ่งที่เขาต้องปิดบังเอาไว้ในสายตาของเขา เขาไม่ต้องการให้นางได้เห็นมัน


บางทีถ้านางไม่เคยฟังคำพูดในขณะที่มึนเมาของเขาในคืนนั้น นางจะไม่เข้าใจเหตุผลของความเศร้าที่ปกคลุมอยู่ในดวงตาของเขาและความเจ็บป่วยที่เขาพูดถึง


จากหน้าต่างรถม้า สายลมกวาดผ่านไป อิสระและไร้ข้อจำกัด ถือได้ว่ามันเย็นสบายเล็กน้อยในตอนกลางคืนเช่นนี้ มันดูราวกับว่าเวลาหยุดลง ดวงตาของนางมองไปที่มุมหนึ่งของรถม้าและนางก็ได้เห็นพิณเหย่าเหลียงที่นางเคยเล่นในวันนั้นเมื่อตัวตนของนางคือทาสหญิง ความโดดเด่นของกรอบสีดำทำให้เกิดรู้สึกสงบและโดดเดี่ยวภายใต้แสงที่มืดครึ้มภายในรถม้า


“ท่านถึงกับนำเหย่าเหลียงมาด้วยหรือ?” ฮวาจูอวี้ ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล


“ถูกต้อง ข้าอยากจะฟังเจ้าเล่นมันอีกสักครั้ง” เสี่ยวหยินตอบด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย


“ท่านควรจะพูดให้เร็วกว่านี้ เช่นนั้นข้าจะเล่นมันเพื่อเป็นการอำลา” ฮวาจูอวี้ยิ้มและมือของนางก็เอื้อมออกไป ก่อนจะวางเหย่าเหลียงลงไปบนพื้นพรมนิ้วมือเคลื่อนไหวไปตามสายพิณ แล้วเสียงของพิณก็กระเพื่อมขึ้นภายในรถม้าทันที เพลงที่นางเล่นไม่ได้มีจิตวิญญาณของการสังหารอยู่แม้แต่น้อย แต่มันกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกแตกต่าง หัวใจที่ปวดร้าวและทราบซึ้ง ทำนองเป็นที่น่าพอใจต่อหูและแตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับบทเพลงที่นางเคยเล่นในสนามรบ


พร้อมกับเสียงของพิณ นางท่องบทกวีขึ้นเบา ๆ “เหนือศาลา ยังมีถนนเส้นเก่าๆ ทะเลสาบสีฟ้าที่มีกลิ่นหอมไปถึงท้องฟ้า เมื่อลมยามเย็นผ่านไปพร้อมกับเสียงพิณ พระอาทิตย์ก็ขึ้นที่เนินเขา ที่ขอบของท้องฟ้าและไกลสุดปลายฟ้า เพื่อนที่รักของข้าต่างต้องกระจัดกระจาย ถ้วยเหล้าที่ได้แสดงถึงความสุขเล็กน้อย คืนนี้แยกจาก แต่ความฝันยังคงอยู่”


เสี่ยวหยินสั่นเล็กน้อยเมื่อนรับฟังนาง ในขณะเอนตัวลงบนที่เบาะนั่ง เมื่อเพลงจบลงฮวาจูอวี้ก็วางนิ้วมือลงไปเบา ๆ ไว้ที่สายพิณ ทำให้เกิดความเงียบและห่อหุ้มทั้งสองเอาไว้


ฮวาจูอวี้หันหน้ามาหาเขา แล้วในที่สุดก็พูดขึ้น “เดินทางด้วยความรื่นรมย์! สำหรับแม่นางเหวินว่าน ข้าขอให้ท่านอย่าได้ทำสิ่งที่ยากเกินไปสำหรับนาง “ไม่ว่าจะอย่างไร มันก็เป็นเพราะนาง นางจึงถูกบังคับให้ไปทางที่อาณาจักรเหนือ


“เอาล่ะ” เสี่ยวหยินเห็นด้วย ก่อนจะเหลือบไปที่เหวินว่าน เขาถอนหายใจและพูดขึ้น “ไม่ใช่ว่านางนั้นอ่อนแอและเจ็บป่วยหรือ? มองไปที่นางตอนนี้อากาศที่หนาวเย็นที่อาณาจักรเหนือคงจะไม่เพียงพอที่จะทำลายนางได้ เจ้าไม่เกลียดนางหรือ? ถ้าไม่ใช่เพราะนาง เจ้าก็จะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานมากมายเช่นนั้น ”


“ข้าจะไม่เกลียดนางได้อย่างไร?” ฮวาจูอวี้ตอบขึ้นอย่างสงบ ถ้าไม่ใช่เพราะนางจินเซ่อ ก็คงไม่ตาย แต่นางไม่ได้เป็นผู้ร้ายที่แท้จริงและฮวาจูอวี้เองก็เป็นคนที่เห็นได้ชัดระหว่างความผิดและถูก การบังคับให้นางไปอาณาจักรเหนือในคราวนี้อาจถือได้ว่าเป็นการลงโทษนางแล้ว


เมื่อยกม่านขึ้น ฮวาจูอวี้ตั้งใจที่จะจากไป แต่สายตาที่เผาไหม้อยู่ข้างหลังของนางหยุดการเคลื่อนไหวของนางเอาไว้ หลังจากคิดอยู่ชั่วครู่ นางก็ลดศีรษะลงและพูดขึ้น “ตอนอยู่ที่อาณาจักรเหนือข้าได้ทำผิดต่อท่าน เมื่อท่านกลับไปก็ไปถามแม่นมไป๋ นางรู้เรื่องราวทั้งหมด “เมื่อพูดจบ นางก็ไม่กล้ามองย้อนกลับไปที่เสี่ยวหยินอีก หรือไม่ได้ให้ความสนใจว่าเขาจะได้ยินมากน้อยแค่ไหนในขณะที่นางรีบกระโดดลงมาจากรถม้า นางไม่ได้มีความกล้าที่จะพูดถึงเรื่องนั้น นางไม่รู้ว่าเขาจะตอบสนองอย่างไร


ยืนอยู่ข้างใต้ต้นไม้ นางยังคงเฝ้ามองตามขบวนของเสี่ยวหยินที่วิ่งออกไปตามถนนที่คดเคี้ยวบนภูเขา ซึ่งค่อยๆเลือนหายไปออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงจุดที่ไกลจนไม่สามารถมองเห็นได้อีกแล้ว


เมื่อดวงอาทิตย์ลดลง ม่านของยามค่ำคืนก็ผุดขึ้นมาอย่างช้าๆ ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าและแผ่นดินเอาไว้ในความมืด กลุ่มนกกระพือปีกของพวกมัน ในขณะที่พวกมันบินไปทางป่า มุ่งหน้าไปยังรังของพวกมัน นางไม่สามารถเทียบได้กับนกตัวเล็ก ๆ เพราะนางไม่ได้มีบ้านที่จะกลับไปหรือที่หลบภัยของนางเอง


หลังจากมุ่งหน้ากลับไปที่ตำหนักฉิงเจียง ฮวาจูอวี้ไปที่คอกม้าก่อน ซึ่งเป็นที่กักขังของศพของสัตว์ร้ายเอาไว้ นางสั่งให้อันเสี่ยวเอ้อร์ ส่งใครบางคนเพื่อจุดไฟในคอกม้าทันทีที่มันมืด แต่ก่อนที่จะมืด นางก็ได้รับข่าวจากเขาว่าคอกม้าได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาและเสนาจากกรมยุติธรรม ฉางฉิง ได้เดินทางมาตรวจสอบสัตว์ร้ายด้วยตัวเอง


เสนาจากกรมยุติธรรม เดิมยังคงอยู่ในเมืองหยู เขาไม่ได้เป็นหนึ่งในขุนนางที่เข้าร่วมการเดินทางมายังตำหนักฤดูร้อน ถ้าใครจะเดินทางจากเมืองหยู มายังตำหนักฤดูร้อน จะใช้เวลาอย่างน้อย 2 วันโดยทางน้ำและอย่างน้อย 1 คืนโดยทางบกซึ่งเป็นทางที่เร็วที่สุดแล้ว เหตุการณ์นี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้และเสนาจากกรมยุติธรรม ก็มาถึงที่นี่แล้ว ฮวาจูอวี้ มีข้อสรุปว่าบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น นางวางแผนที่จะจุดไฟของค้อกม้าให้มันสว่างขึ้น แต่อีกฝ่ายไม่ได้ปล่อยให้นางมีโอกาสทำเช่นนั้น นางจึงตกอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ แต่แล้วจู่ๆ นางก็หันหลังกลับและรีบวิ่งไปฉิงหยวน


แต่หวงฝู่ อู๋ ซวงกลับไม่ได้อยู่ที่ตำหนักฉิงหยวนแล้ว ทหารบอกว่าเขาไปพร้อมกับจี่เสี่ยง เพื่อไปพบฮองเฮาเนีย ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ว่าเขาอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายแค่ไหน ดังนั้นไม่ว่าจะมีความเกลียดชังที่เขาเก็บเอาไว้ในหัวใจของเขามากแค่ไหนต่อฮองเฮา เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเหนือจากการไปขอความช่วยเหลือจากนาง


“นี่ มานี่ รีบค้นในตำหนักขององค์รัชทายาทเพื่อหาวัตถุที่น่าสงสัย!” ฮวาจูอวี้สั่งขึ้น แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใดที่ทำให้สัตว์ร้ายทำร้ายฮ่องเต้และคังหวาง แต่นางก็แน่ใจได้ว่าสิ่งนั้นจะอยู่ในห้องของหวงฝู่ อู๋ ซวง


ทำตามคำสั่งของนาง ทหารต่างก็เริ่มค้นหาพร้อมกับฮวาจูอวี้ อย่างรวดเร็ว หลังจากค้นไปทั่วทุกสถานที่ พวกเขาก็ยังไม่พบสิ่งที่น่าสงสัย ต้องมีอะไรบางอย่าง แต่ทำไมนางถึงไม่พบมัน? ทันใดนั้นเสียงของสุนัขก็เห่ามาจากด้านนอก


ฮวาจูอวี้ตื่นตระหนก ก่อนจะรีบออกไปนอกตำหนัก


เดินผ่านประตูเข้ามาเป็นเสนากรมยุติธรรมพร้อมกับกลุ่มผู้คุ้มกันของฮ่องเต้และสุนัขล่าสัตว์อีกหลายตัว


“ท่านเสนาจาง ท่านกำลังทำอะไรอยู่?” แม้ว่าฮวาจูอวี้ รู้สึกวิตกอยู่ข้างใน แต่ใบหน้าของนางก็แสดงออกเพียงแค่ความสงบเท่านั้น


เขาสวมเสื้อผ้าที่อย่างเป็นทางการของเขา เขามองมาที่ฮวาจูอวี้อย่างเยือกเย็นและถามขึ้น “เป่ากงก องค์รัชทายาทอยู่ข้างในหรือไม่?”


“ฝ่าบาทเสด็จไปพบฮองเฮา แล้วนี่มันเรื่องอะไรท่านเสนาจาง? “ฮวาจูอวี้ถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม


เขาถึงราชโองการออกมา “ตามคำสั่งฮ่องเต้ ข้ามาที่นี่เพื่อทำการค้นตำหนักฉิงหยวน!” จากนั้นเขาก็มองไปที่องครักษ์ของฮ่องเต้และสั่งให้พวกเขาเริ่มการค้นหาทันที


ภายในหัวใจของฮวาจูอวี้ซึ่งเดิมมีความวุ่นวายอยู่แล้วกลับเริ่มสงบสติอารมณ์ลง ดูเหมือนว่าในท้ายที่สุดแล้วหวงฝู่ อู๋ ซวง จะไม่สามารถหลบหนีภัยพิบัติในครั้งนี้ได้ และก็แน่นอนที่สุดไม่นานทหารองครักษ์ก็ออกมาพร้อมกับกล่อง ก่อนจะพูดขึ้น “ท่านเสนาจาง ข้าพบสิ่งนี้ขอรับ”


“เอาล่ะ นำมันกลับไป” จางฉิง ไม่แม้แต่จะเปิดกล่องและรีบออกจากตำหนักฉิงหยวนไปพร้อมกับองครักษ์ของฮ่องเต้


หวงฝู่ อู๋ ซวง ถูกคุมขัง


ในกล่องที่นำมาจากฉิงหยวน เป็นภาพเขียนที่เหวินว่านได้วาดขึ้นในวันนั้นในป่าไผ่ ในภาพวาดนั้นมีกลิ่นหอมที่พิเศษคล้ายกับในชุดของฮ่องเต้และคังหวางใส่ในตอนที่ถูกทำร้าย ตามที่นักชันสูตรสัตว์บอก ว่าสัตว์ร้ายต้องได้รับการกระตุ้นโดยกลิ่นนี้และจึงโจมตีเฉพาะพวกเขาทั้งสองเท่านั้น


กลิ่นนี้มาจากกุหลาบที่เป็นเอกลักษณ์ กลิ่นเบามากจึงเป็นเรื่องยากสำหรับคนธรรมดาที่จะตรวจพบได้ แต่สัตว์เหล่านั้นอ่อนไหวต่อกลิ่นนี้และมันก็คงจะได้กลิ่นจากระยะไกลๆ แล้ว จึงทำให้มันเกิดบ้าคลั่งเช่นนี้ หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาได้ตรวจพบผงหอมและเครื่องหอมต่างๆ ที่อยู่ในห้องหวงฝู่ อู๋ และภาพวาดนี้เขาก็ได้รับจากเหวินว่าน เขาก็ไม่ต้องการที่จะให้นางเข้ามามีส่วนร่วมด้วยและท้ายที่สุดมันก็เป็นหลักฐานที่ใช้ในการลงโทษเขา


หลังจากฟังคำเบิกความนี้แล้ว ฮวาจูอวี้ ก็ยังค่อนข้างมั่นใจ ถ้ามีผงหอมปรากฏอยู่ในห้องของหวงฝู่ อู๋ ซวง คนจะเชื่อว่าเขาได้รับการจัดฉากขึ้น ใครจะเป็นคนเขลาพอที่จะทิ้งหลักฐานดังกล่าวไว้เบื้องหลัง? ภาพวาดนี้ต่างกัน กลิ่นหอมของมันเบามาก บางทีหวงฝู่ อู๋ ซวง ไม่รู้ว่าเขาทิ้งมันลงบนภาพวาดหรือบางทีเขาอาจจะรู้ แต่ก็ไม่สามารถทิ้งมันไปได้เพราะเป็นของขวัญจากคนรักของเขา


แม้ว่ามันจะถูกวาดโดยเหวินว่าน แต่นางก็ไม่เคยถูกสงสัย นี่เป็นเพราะนางวาดรูปไว้ต่อหน้าคนจำนวนมากและหมึกและกระดาษเองก็ได้รับการจัดหาให้โดยหวงฝู่ อู๋ ซวง


เมื่อได้ยินคำแถลงของเสนากรมยุติธรรม ฮ่องเต้ก็เต็มไปด้วยความโกรธแม้แต่คำพูดของฮองเฮาก็ไม่มีประโยชน์ ฮ่องเต้ได้สั่งให้กักขังหวงฝู่ อู๋ ซวง และขังเขาไว้เมื่อเขากลับไปถึงเมืองหยูแลว ขณะที่คนรับใช้ของเขาอย่างฮวาจูอวี้และจี่เสี่ยง ไม่สามารถหลบหนีการลงโทษได้


เดินทางกลับมายังเมืองหยู การเดินทางบนน้ำใช้เวลาสองวันสองคืน การเดินทางกลับของพวกเขาให้ความรู้สึกแตกต่างไปมาก บรรยากาศสบาย ๆ ที่พวกเขามีตอนมาและตอนนี้มันเต็มไปด้วยความกดดันเป็นอย่างมาก แม้ว่าหวงฝู่ อู๋ ซวง จะยังไม่ได้ถูกปลดจากตำแหน่งองค์รักชทายาท แต่ด้วยอาญาที่ร้ายแรงดังกล่าวแขวนอยู่เหนือศีรษะของเขา ทหารหลายคนจึงถูกส่งมาให้คุ้มกันเขากลับ


ในที่สุด ในเย็นของวันที่สาม พวกเขามาถึงเมืองหยู


ตลอดการเดินทางอวาจูอวี้ จะอยู่เคียงข้างหวงฝู่ อู๋ ซวง คนที่ก้มหน้าของเขาอยู่ตลอดเวลา หลังจากเผชิญหน้ากับอุปสรรคดังกล่าวดูเหมือนว่าเขาจะโตขึ้นแล้ว หรือบางทีอาจเป็นเพราะเขาได้หลั่งน้ำตามากเกินไปต่อหน้าฮ่องเต้จนเขาไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว เหมือนนางในเวลานั้น น้ำตาแห้งหายไปจนสนิท


รถม้ากลับตรงไปที่พระราชวัง แล้วก็มาถึงหลังจากผ่านไป 2 ชั่วยาม


แต่พวกเขาไม่ได้กลับไปที่พระราชวังตะวันออก แต่ถูกพาไปทางตะวันตกไปยังพื้นที่ห่างไกลออกไปมากที่สุดภายในพระราชวัง คุกหลวง


มันเป็นพื้นที่ที่หนาวที่สุดในพระราชวัง เนื่องจากเป็นเรือนจำที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมสมาชิกของราชวงศ์ที่ก่ออาญาร้ายแรง เมื่อเทียบกับตำหนักเย็นในทางเหนือมันมีความมืดมิดและน่ากลัวมากกว่า ทำให้ผู้คนรู้สึกท้อแท้และหมดหวังในทันทีที่ได้เห็น


เมื่อพวกเขามาถึง มันก็เป็นตอนเที่ยงคืนแล้ว เมื่อลงมาจากรถม้าสิ่งแรกที่พวกเขาเห็นคือต้นไม้นับไม่ถ้วนที่สูงตระหง่านและเก่าแก่ มีกิ่งก้านของมันพาดผ่านไปมา มันดูรกร้างอย่างสมบูรณ์ ทำให้รู้สึกหวาดกลัวต่อวิญญาณชั่วร้ายที่อยู่ภายใน ใกล้กับยอดของต้นไม้อาจได้ยินเสียงร้องของนกกาเหว่าดำทำให้คนกลัวจนตัวสั่น


ไกลออกไปจากป่าไม้ ผู้คนสามารถมองเห็นคุกที่มีการสร้างที่แปลกประหลาด ดูเก่ามาก เป็นครั้งคราวจะมีเสียงกรีดร้องของความทุกข์ทรมานดังออกมาจากข้างใน ใครจะคิดว่าสถานที่ดังกล่าวมีอยู่ภายในพระราชวังอันงดงาม?


82.2

เมื่อหวงฝู่ อู๋ ซวง ถูกนำตัวลงมาจากรถม้า ฮวาจูอวี้และจี่เสี่ยง ก็ถูกบังคับให้ลงมาด้วย หัวหน้าคุกหลวงหนี่เฉิงหยวน ก้าวออกมาต้อนรับพวกเขา


เขามีใบหน้าที่นิ่งสงบ ไม่มีร่องรอยของความเมตตาแม้แต่น้อย บางทีเขาอาจเป็นหัวหน้าคุกหลวงแห่งนี้นานเกินไปและได้พบปะกับคนที่โดดเด่นมากจนเกินไป เพราะเมื่อเขาเห็นองค์รัชทายาทหนุ่มถูกพาออกจากรถม้า ใบหน้าของเขาก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย


เขาเดินนำกลุ่มผู้คุมเข้าไปหาหวงฝู่ อู๋ ซวง และพูดด้วยเสียงเบา ๆ ขึ้น “กระหม่อมเป็นผู้แลคุกหลวงแห่งนี้ หวังว่าฝ่าบาทจะให้อภัยกับความหยาบคายของกระหม่อม แต่เมื่อท่านก้าวผ่านประตูเข้าไป ท่านก็จะถูกมองว่าเป็นคนร้ายและถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้มีอาญาในการลอบสังหารฮ่องเต้ กระหม่อมจะไม่ให้ความเคารพกับพระองค์อีกต่อจากนี้ไป ไม่ใช่ว่ากระหม่อมไม่สนใจในกฎระเบียบและประเพณี แต่นี่เป็นคำสั่งของฮ่องเต้ ไม่ว่าท่านจะเป็นองค์รัชทายาท องค์ชายหรือองค์หญิงเมื่ออยู่ที่นี่ พระองค์จะเป็นเพียงคนร้าย พระองค์เข้าใจหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ”


“เจ้าพูดอย่างชัดเจนขนาดนี้ ข้าจะไม่เข้าใจได้อย่างไร”หวงฝู่ อู๋ ซวง มองเขาโดยปราศจากความโกรธแม้แต่เล็กน้อย ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาจะมอบลูกเตะให้กับเขาแทน เขาเป็นถึงองค์รัชทายาท เขาจะทนกับคำพูดที่ไม่สุภาพเช่นนี้ได้อย่างไร?


อย่างไรก็ตามเขายอมรับ แต่อวาจูอวี้ก็สามารถมองเห็นมือที่สั่นเล็กน้อยอยู่ใต้แขนเสื้อของเขาได้ เมื่อไม่นานมานี้เขาเคยเป็นองค์รัชทายาทที่สง่างาม หยิ่งผยอง แต่คืนนี้สิ่งที่เขาทำได้ก็คือต้องอดทนเท่านั้น


ตั้งแต่เกิดมา เขายังไม่เคยได้รับความคับข้องใจใด ๆ เมื่ออายุได้ 5 ขวบเขาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาท บางทีการผ่านอุปสรรคในครั้งนี้อาจจะไม่เลวร้ายนัก เพราะมันจะทำให้เขาโตขึ้นอย่างเต็มที่ ไม่แน่ว่าเขาจะสามารถเอาชนะความเจ็บปวดในครั้งนี้ไปได้ อาญาที่ตรึงอยู่กับเขาเป็นเหมือนหลุมฝังศพและยากที่จะล้างออกไปได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมหนี่เฉิงหยวนจึงไม่มีความสุภาพแม้แต่น้อย


“กระหม่อมดีใจที่พระองค์เข้าใจ ดี โปรดใส่โซ่ตรวนด้วยฝ่าบาท นั่นคือกฎ! “เมื่อเขาพูดจบ สองผู้คุมก็ก้าวไปข้างหน้า


เขากัดฟันกรามเขา ก่อนจะค่อยๆยกมือขึ้น ด้วยเสียงที่คมชัด โซ่ตรวนก็ยึดความเป็นอิสระของเขาเอาไว้ทันที


ฮวาจูอวี้ก็ไม่สามารถหลบหนีโซ่ตรวนไปได้เช่นกัน


เนื่องจากหวงฝู่ อู๋ ซวง นางถึงได้ประสบกับการถูกล่ามโซ่เช่นนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตของนาง ห่วงที่ติดอยู่บนข้อมือของนาง เต็มไปด้วยความเยือกเย็นของโลหะ ทำร้ายผิวหนังของนาง ทำให้เกิดการรุกล้ำเข้าไปถึงในหัวใจของนาง


ในการเดินทางมาที่นี่ของพวกเขา ความคิดของการพาหวงฝู่ อู๋ ซวงหลบหนีไปได้เกิดขึ้นในหัวใจของนาง นางคือผู้ลี้ภัยอยู่แล้ว แต่ถ้านางหนีไป พวกเขาก็ไม่มีโอกาสที่จะเปลี่ยนสถานการณ์นี้ได้


ขึ้นอยู่กับศิลปะการต่อสู้ของนางและความช่วยเหลือจากอันเสี่ยวเอ้อร์มันจะไม่ยากที่จะหนีออกไปจากคุกหลวงแห่งนี้


เดินตามทหารคุ้มกันไป พวกเขาก็เข้ามาในคุกหลวง


แม้ว่าหนี่เฉิงหยวน จะเป็นผู้ดูแลคุกหลวงที่ถูกออกแบบมาเพื่อกักขังสมาชิกราชวงศ์ แต่ห้องขังยังไงก็ยังเป็นห้องขัง ทันทีที่พวกเขาเดินเข้ามา พวกเขาก็รู้สึกถึงความโดดเดี่ยวและความเยือกเย็นมาจากภายใน ตรงทางเดินยาวมีเป็นเพียงโคมไฟน้ำมันสองสามดวงที่แทบจะไม่เพียงพอที่จะส่องให้เห็นใบหน้าของพวกเขาด้วยซ้ำ


หวงฝู่ อู๋ ซวง ฮวาจูอวี้และจี่เสี่ยง ถูกแยกและคุมขังอยู่ในห้องขังแยกออกไปต่างหาก


ห้องขังของหวงฝู่ อู๋ ซวงได้รับการตกแต่งด้วยโต๊ะเก้าอี้และเตียง สำหรับฮวาจูอวี้ มีเพียงกองหญ้าที่ทำหน้าที่เป็นเตียงของนาง แต่นางก็ไม่ค่อยสนใจเพราะนางเคยต้องทนทุกข์ทรมานมากที่สุดแล้วในสนามรบ


เมื่อสำรวจไปรอบๆ นางก็สังเกตเห็นโคมไฟน้ำมันขนาดเล็กติดอยู่ที่ผนังด้วยแสงสลัวๆ ดูเหมือนว่าจะดับไปในทุกเมื่อ กำแพงหินที่ถูกปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำได้ซึมซับเอาความชุ่มชื่นจากรอบๆ และกลั่นตัวเป็นหยดน้ำที่หยดลงมาทีละเล็กทีละน้อย


นี่เป็นสถานที่เหมาะสำหรับการหลีกเลี่ยงความร้อนในช่วงฤดูร้อน ทำไมพวกเขาต้องไปถึงพระราชวังฤดูร้อน อวาจูอวี้ หัวเราะกับตัวเอง


“เจ้ากำลังหัวเราะอะไรอยู่? ถ้าไม่ใช่เพราะองค์รัชทายาท ขันทีต่ำต้อยเช่นเจ้าจะได้อยู่ในห้องขังที่ดีเช่นนี้หรือ? นักโทษที่มีอาญาร้ายแรงได้เปิดประตูรออยู่เสมอ ถ้าเจ้าไม่ประพฤติตัวดีๆ เจ้าก็จะถูกย้ายไปที่นั่น! “หัวหน้าทหารคุ้มกันพูดขึ้นอย่างเย็นชาเมื่อเห็นนางหัวเราะ


รอยยิ้มบนริมฝีปากของนางค่อย ๆ แข็งตัวขึ้น ในขณะที่นางหันไปรอบ ๆ เพื่อมองไปที่เขาอย่างรวดเร็วและเยาะเย้ยขึ้น “ขันทีผู้นี้ไม่รู้ว่าทหารเฝ้าห้องขังตัวเล็กๆ จะมีอำนาจขนาดนั้น!”


ทหารเฝ้าห้องขังไม่คาดคิดว่าขันทีเล็ก ๆ จะกล้าพูดคุยกับเขาในลักษณะดังกล่าว แม้แต่องค์รัชทายาทก็ยังมีท่าทางที่อ่อนลงในขณะที่เขาก้าวเข้ามาในคุกหลวง แล้วผู้คุมห้องขังก็สำรวจฮวาจูอวี้ขึ้นลงอย่างระมัดระวังและเมื่อเห็นลักษณะที่งดงามของนาง เขาก็หัวเราะขึ้น “โอ้ เจ้าคงไม่ใช่บ่าวต่ำต้อยที่ทำให้เจ้านายหลงใหลหยวนเป่าหรอกนะ? แม้แต่ในที่ห่างไกลเช่นนี้พวกเรายังเคยได้ยินชื่อเสียงที่น่าอับอายของเจ้า บิดาผู้นี้ได้ยินมาว่าเจ้ามีฝีปากที่แหลมคม แต่ให้ข้าบอกเจ้าสักเล็กน้อย ในเรือนจำแห่งนี้มีองค์ชายที่มีหัวรุนแรงชื่นชอบเด็กชายที่บอบบางอายุประมาณ 16-17 ปี มีผิวพรรณนุ่มนวลเช่นเจ้า สถานที่แห่งนี้เป็นที่สำหรับสมาชิกของราชวงศ์ ไม่แน่ใจว่าองค์รัชทายาทจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหน ใครจะรู้บางทีเขาอาจถูกส่งตัวไปพบราชาแห่งนรกในอีกไม่กี่วัน ถ้าเจ้าตกลงที่จะรับใช้ข้า บิดาผู้นี้จะปล่อยให้เจ้าได้มีชีวิตอยู่นานขึ้นอีกหน่อย แต่ถ้าไม่ บิดาผู้นี้ จะเอาเจ้าไปเสนอให้กับองค์ชายหัวรุ่นแรงผู้นั้น บิดาผู้นี้ได้ยินมาว่าเมื่อเขาชอบพอใครสักคน เขาจะเล่นกับพวกเขาได้ตลอดทั้งคืน เมื่อพวกเขาเริ่มหมดสติลง เขาก็จะปลุกพวกเขาและเล่นต่อไปจนกว่าพวกเขาจะหมดอากาศหายใจไปเอง สำหรับบิดาผู้นี้สามารถที่จะนุ่มนวลกับเจ้าได้ ตกตงตามข้าเป็นอย่างไร?”


ไม่ว่าจะอย่างไรที่นี่ก็คือคุก


การเผชิญหน้ากับความอัปยศอดสูเช่นนี้เป็นครั้งแรกสำหรับฮวาจูอวี้ ห้องขังเป็นสถานที่ที่ถูกกดขี่และนางเป็นขันทีเล็กๆ ที่นายของเขาถูกตราหน้าว่าเป็นคนร้ายและไม่สามารถปกป้องนางได้ ถ้ามีขันทีเพียงคนเดียวที่จะต้องตายในห้องขังแห่งนี้มันก็ไม่เป็นเรื่องใหญ่อะไร


ฮวาจูอวี้ ไม่เคยต้องทนกับคำหยาบคายดังกล่าว ถ้านี่เป็นอดีตนางก็คงไม่ต้องทำอะไร องครักษ์ทั้งสี่ของนางจะจัดการเขาไปเรียบร้อยแล้ว


นางโกรธ แต่นางก็ทำได้เพียงอดทนเท่านั้น นางรู้ว่าเขาไม่ได้บอกเพียงเพื่อที่จะทำให้นางตกใจเล่นๆ และทุกอย่างก็เป็นไปได้ในห้องขังที่มืดมิดแห่งนี้


ด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย ฮวาจูอวี้ตอบขึ้น”ท่านผู้คุ้มขัง ท่านพูดถูกแล้วขันทีผู้นี้อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่เนื่องจากความหนักหนาของอาญาที่องค์รัชทายาทเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง แน่นอนว่ามันจะต้องมีการพิจารณาคดีขึ้น ในกรณีนี้ขันทีผู้นี้จะต้องให้การเป็นพยานอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นจนกว่าจะถึงตอนนั้นจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับข้า! ”


“เอาล่ะๆ!” เมื่อถูกยั่วยวนด้วยรอยยิ้มของฮวาจูอวี้ ผู้คุ้มกันเอื้อมมือออกไปเพื่อสัมผัสใบหน้าของนาง


นางรีบหันศีรษะไปด้านข้างหลีกเลี่ยงเขา แต่เขาก็ยังคงพอใจในขณะที่เขาสูดกลิ่นจากปลายนิ้วมือของเขา เขายิ้มก่อนจะพูดขึ้น “โอ้ช่างมีใบหน้าที่ละเอียดบอบบางยิ่งนัก ข้าช่วยไม่ได้ที่จะต้องการสัมผัสมัน เช่นนั้นข้าคงต้องรอไปก่อน ฮ่าๆ … ”


เขาออกไปด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ แต่ยังคงสังเกตเห็นทหารคนอื่น ๆ ที่ยังคงเฝ้าดูฮวาจูอวี้อยู่ เขาตบหน้าของเขา ก่อนจะพูดขึ้น “เจ้ากำลังมองอะไรอยู่ คนนี้เป็นของข้า เจ้าห้ามดูเด็ดขาด! ”


ทหารคุ้มขังจับใบหน้าเล็กๆ ของเขาด้วยมือ ก่อนจะรีบตอบขึ้น “ขอรับๆ หัวหน้าจ๋าว!”


ดวงตาของนางส่องประกายระยิบระยับขึ้น ในขณะที่นางคิด ‘หัวหน้าจ๋าว ข้าจะจดจำสิ่งนี้เอาไว้’


คำคืนก็เลยเวลาไปมากแล้ว และโคมไฟน้ำมันได้ในที่สุดกินน้ำมันหยุดสุดท้ายไป ก่อนจะดับลงอย่างช้าๆ ห้องถูกห่อหุ้มไปด้วยความมืดมิด จนไม่สามารถแม้แต่จะมองเห็นมือของนางเอง เป็นธรรมชาติที่จะไม่มีใครจะมาเติมน้ำมันสำหรับโคมไฟนี้ นางเดินตรงไปที่กองหญ้าใกล้กับกำแพง ก่อนจะค่อยๆนั่งเอนกายลงไปบนพื้น


ใช้กำลังภายในของนาง ทำให้พันธนาการที่ข้อมือและข้อเท้าของนางหลวมขึ้นในทันทีและนางก็เอาพวกมันออกได้อย่างง่ายดาย ต้องนอนกับห่วงเหล่านี้นางรู้สึกอึดอัดมาก ก่อนจะโยนไปด้านข้าง นางเอนพิงหลังไปกับผนังและหลับตาลง


หลังจากใช้เวลา 2 วันและหนึ่งคืนอยู่ในห้องขัง ฮวาจูอวี้ก็ถึงกับหมดเรียวแรง


คราวนี้นางหลับไปสักพัก เมื่อเปิดตาของนางขึ้น นางก็สังเกตเห็นว่าแม้ว่าห้องขังยังคงมืดอยู่ แต่ก็มีแสงเล็กน้อย ทะลุจากกระเบื้องตรงมุงหลังคา


เมื่อนางได้ยินเสียงฝีเท้า นางก็รีบใส่โซ่ตรวนกลับอย่างรวดเร็ว


เมื่อมีการเปิดประตูห้องขัง หัวหน้าผู้คุ้มขังจากเมื่อวานก็เดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มที่ฉาบอยู่บนใบหน้า ในมือมีชุดนักโทษอยู่ เมื่อพวกเขามาถึงเมื่อว่านมันก็ดึกแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้รับเครื่องแบบ แต่นางไม่คาดคิดว่าหัวหน้าจ๋าวผู้นี้จะมาด้วยตัวเองเพื่อส่งมอบมันในตรู่ของวันนี้


“คนงามน้อย ข้ามาแล้ว เนื่องจากมีโซ่ตรวนอยู่เช่นนี้อาจจะทำให้เจ้าไม่สะดวกที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้า ข้าจะให้เจ้ายืมมือของข้าเอง? “รอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยความตั้งใจอันชั่วร้าย ในขณะที่ดวงตาของเขาจ้องมองอย่างมุ่งร้ายไปบนใบหน้าของนาง สายตาของเขาค่อยๆขยับลงไปที่เอวของนาง แล้วก็ต่ำลงไป มันดูราวกับว่าจ้องมองเพียงอย่างเดียวของเขาก็อาจจะทะลุผ่านเสื้อผ้าของนางไปได้แล้ว ถ้าดวงตาสามารถทำให้คนที่มีมลทินได้ ดูเหมือนว่านางถูกละเมิดไปเป็นพัน ๆ ครั้งแล้ว


ความโกรธของนางติดไฟและนางต้องยับยั้งตัวเองจากการขุดดวงตาของเขาออกมา เขาไม่รู้จริงๆว่าอะไรดีอะไรชั่วสำหรับตัวเอง ฮวาจูอวี้ คิด ก่อนจะเดินเข้าไปหาเสื้อผ้าของนางอย่างช้าๆ


ด้วยการบิดเพียงเล็กน้อยของร่างกาย นางก็หลีกเลี่ยงการจับของเขาเอาไว้ได้และพูดขึ้นเบา ๆ ด้วยเสียงที่พยายามข่มความโกรธเอาไว้”หัวหน้าจ๋าว ข้าสามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเองได้ ข้าไม่กล้ารบกวนท่านแม้แต่น้อย ”


แต่เขาก็หลงใหลไปกับนางมากเกินกว่าที่จะสังเกตเห็นไอสังหารในดวงตาของนาง เมื่อคืนนี้ภายใต้แสงสลัวของโคมไฟน้ำมัน เขาเพียงแค่คิดว่า ฮวาจูอวี้ มีเสน่ห์ เขาไม่ได้ค้นพบว่านางงดงามจนกระทั้งวันนี้ เช้านี้เขาวางแผนที่จะช่วยนางเปลี่ยนเสื้อผ้าของนางและหาประโยชน์จากนางเล็กน้อย แต่ใครจะคิดว่าคนที่อยู่ข้างหน้าเขาในวันนี้จะงดงามมากขนาดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างกายนี้ แม้จะมีเสื้อผ้าอยู่บนร่างก็ยังคงมีเสน่ห์มากเช่นนี้


เมื่อเขามาในวันนี้ เขาไม่ได้นำองครักษ์คนอื่นมาพร้อม ๆ กับเขา


ในเวลานี้เขารีบปิดประตูห้องขังและโยนความระมัดระวังไปกับสายลม ก่อนจะโยนชุดนักโทษไปด้านข้าง และเริ่มถอดเสื้อผ้าออกอย่างรวดเร็วเคลื่อนไหวของเขา อย่างไม่คาดคิดว่าจะรวดเร็วและว่องไวเช่นนี้ แต่โชคดีที่เขายังคงรู้สึกอับอายอยู่บ้างและไม่ได้เอาทุกอย่างออกไปจนหมด มิฉะนั้นฮวาจูอวี้ ก็ไม่รู้ว่าจะเอาสายตาไปไว้ที่ไหนจริงๆ


ความรู้สึกของความหวาดหวั่นเริ่มเกิดขึ้นภายในตัวของนาง นางไม่รู้จริงๆว่านางควรจะตัดลูกอัณฑะของคนผู้นี้หรือเพียงแค่ฆ่าเขาดี การแต่ตัดอัณฑะของเขาอย่างแน่นอนจะทำให้มือของนางสกปรก ในขณะที่ฆ่าเขาไม่ต้องสงสัยจะทำให้เกิดปัญหา


นางควรทำอย่างไร


ขณะที่นางกำลังใคร่ครวญถึงเรื่องนี้อยู่นั้น หัวหน้าจ๋าวก็เดินมาทางนาง


ด้วยการบิดตัวเบา ๆ ร่างของนางก็สามารถหลีกเลี่ยงสัตว์ร้ายที่หิวกระหายไปยังผนังได้แล้ว เขาไม่ได้คาดหวังว่าฮวาจูอวี้จะสามารถเคลื่อนไหวไปได้อย่างสง่างามและคล่องตัวเช่นนี้ แต่ แทนที่จะโกรธเขากลับหัวเราะและพูดขึ้น “เต็มไปด้วยความแข็งแรงจริงๆ บิดาผู้นี้ชอบยิ่งนัก!” เมื่อเขาพูดจบ เขาก็หันกลับมาและเดินไปหานางอีกครั้งในขณะที่แขนกางออก


ฮวาจูอวี้รู้สึกผิดหวัง นางคิดว่าด้วยตัวตนของขันทีนางจะปลอดภัยจากความอัปยศอดสู แต่นางก็คิดผิด


คราวนี้นางไม่ได้หลีกเลี่ยงเขา


เขากดนางไว้กับกำแพง มือข้างหนึ่งเอื้อมออกไปฉีกเสื้อผ้าที่หัวไหล่ของนาง เผยให้เห็นกระดูกหัวไหล่ของนางที่ละเอียดอ่อน ในขณะที่อีกข้างหนึ่งกำลังดึงแถบหยกที่อยู่รอบเอวของนางออก


หัวหน้าจ๋าวผู้นี้ เป็นคนที่โหดเหี้ยมเหมือนกับสัตว์เดรัจฉานที่มีดวงตากระหายเลือด ส่องประกายขึ้นด้วยความตื่นเต้นเหมือนที่เขากำลังจะกลืนกินนางไปทั้งตัว


ฮวาจูอวี้ถอนหายใจ นางรังเกียจที่จะให้มือของนางสกปรกด้วยการฆ่าคนเช่นนี้ แต่เขาก็ทำเกินไปจริงๆ นางเพิ่งจะมุ่งเป้าไปที่จุดสำคัญของเขาแต่แล้วเสียงก็ดังขึ้น


“ใครอยู่ข้างใน?” เสียงเย็น ๆ ไหลออกมาจากทางเข้าห้องขัง ทำให้หัวหน้าจ๋าวหวาดกลัวจนเขาไม่รู้ว่าจะเคลื่อนไหวอย่างไร


ประตูห้องขังถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง ฮวาจูอวี้หดมือกลับเข้าไปอย่างรวดเร็วและลอบใส่เข้าไปในโซ่ตรวนอีกครั้ง ก่อนที่จะยกศีรษะขึ้นเพื่อดูว่าเป็นใคร


หลายคนยืนอยู่นอกประตู ในหมู่พวกเขามีผู้ดูแลคุกหลวงจางหยวน และทหารประมาณสิบคน พวกเขายืนอยู่รอบ ๆ ชายคนหนึ่งซึ่งก็คือจี่เฟิงหลี่


ไม่มีใครคาดคิดว่าเมื่อเขากลับจากตำหนักฤดูร้อน สิ่งแรกที่เขาทำก็คือมุ่งหน้าไปคุกหลวงเพื่อเป็นผู้นำในการพิจารณาคดี


เขาอยู่ในชุดขุนนางสีแดงอย่างเป็นทางการ ซึ่งปักไปด้วยหมู่เมฆนับไม่ถ้วนบนแขนเสื้อของเขาและสวมหมวกไว้บนศีรษะอย่างเป็นทางการ เขายืนอยู่ที่นั่นอย่างสง่างามและสูงส่ง บางทีเขาอาจไม่ได้คาดหวังที่จะได้เห็นฉากเช่นนี้ในขณะที่ดวงตาของเขากระพริบขึ้นด้วยความประหลาดใจ


ฮวาจูอวี้ ถอนหายใจอยู่ข้างใน ดวงตาที่ชัดเจนของนางค่อยๆเปลี่ยนเย็นชาขึ้น


ทำไมนางถึงได้โชคร้ายขนาดนี้!


สถานะที่น่าสังเวชในปัจจุบันของนาง ได้ถูกพบเห็นจากศัตรูของนางซึ่งก็คือจี่เฟิงหลี่  เขาคงจะมีความสุขมากที่ได้เห็นนางอยู่ในสภาพแบบนี้!


แช่แข็งไปด้วยความน่ากลัวหัวหน้าจ๋าว ยังคงอยู่ในตำแหน่งของการตรึง ฮวาจูอวี้ เอาไว้กับกำแพง จางหยวน ผู้ที่ได้เป็นพยานในฉากนี้ถึงกับเต็มไปด้วยความตกใจ เขาลอบมองไปที่จี่เฟิงหลี่อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะตอนตะโกนเสียงดังขึ้น “จ๋าวซื่อ เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”


เมื่อเห็นจี่เฟิงหลี่ปรากฏตัวขึ้น จ่าวซื่อ ก็เริ่มแขนขาสั่นเทาและทรุดตัวลงไปบนพื้น ก่อนจะคำนับลงอย่างต่อเนื่องและพูดขึ้น “ท่านเสนา โปรดเมตตา ท่านเสนา โปรดเมตตา ข้าผู้น้อยเพียงนำเครื่องแต่งกายมาให้นักโทษ ใครจะคิดว่านักโทษผู้นี้เขา .. ล่อลวงข้าผู้น้อย เขาเป็นปีศาจ เขาทำให้ข้าผู้น้อยสับสน ทำให้ข้าผู้น้อยไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ โชคดีที่ท่านเสนาจี่มาในเวลาที่เหมาะสม มิฉะนั้นข้าผู้น้อยคงจะถูกปีศาจตนนี้กระทำในสิ่งที่ผิดปาบไปแล้ว”


ได้ยินเรื่องไร้สาระของหัวหน้าจ๋าวซื่อ ฮวาจูอวี้ก็ช่วยไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา


ขาวและดำ ถูกทำให้กลับด้านโดยผู้ชายอย่างจ๋าวซื่อผู้นี้


เสียงหัวเราะของนางเป็นการผสมผสานระหว่างการดูถูกและการช่วยไม่ได้


แล้วจู่ๆ นางก็ตระหนักได้ว่าตอนนี้เสื้อผ้าของนางกำลังยุ่งเหยิงและกระดูกหัวไหล่ของนางกำลังถูกเปิดเผยออกมา ดังนั้นนางจึงรีบจับเสื้อผ้าของเอาด้วยกันในทันที พยายามปกปิดมันเอาไว้ ในขณะที่นางเดินไปที่มุมผนัง นางไม่ได้มองไปที่ด้านนอกประตูและไม่ได้ให้คำอธิบายถึงสถานการณ์ในปัจจุบัน ขนตาของนางลดลงและปกปิดสายตาของนางเอาไว้


นางรู้ว่าทุกคนที่มีสายตาสามารถมองเห็นความจริงของสถานการณ์ได้ แต่เป็นธรรมชาติแม้ว่าจี่เฟิงหลี่จะมีตา แต่เขาก็จะบิดจากดำเป็นขาว


“จางหยวน ข้าไม่อยากเห็นบุคคลผู้นี้อีกต่อไป!” เสียงของเขาเย็นชาแต่ก็ยังสงบและโดยไม่มีร่องรอยของความโกรธใดๆ แต่จางหยวนก็ยังคงหวาดกลัวกับคำสั่งของเขา


เขารีบออกคำสั่งให้กับผู้คุมคุกหลวง ก่อนจะพูดขึ้น”เร็วเข้า ลากเขาออกไป”


“ขอรับ!” พวกเขาตอบขึ้นอย่างรีบร้อนและก้าวไปหาฮวาจูอวี้และตั้งใจจะพานางออกไป


“ข้าไม่ได้หมายถึงเขา” เขาพูดขึ้นด้วยเสียงที่เบาเหมือนสายลม


“อา!” จางหยวน ร้องออกมาด้วยปากที่เปิดกว้าง หลังจากนั้นไม่นานในที่สุดเขาก็ดึงสติของเขากลับมาและพูดเสียงดังขึ้นอีก”เจ้าทำอะไรอยู่เจ้าพวกโง่! ข้าหมายถึงจ๋าวซื่อ! พาเขาออกไป!”


ผู้คุมคุกหลวงหันไปหาจ๋าวซื่อ และลากเขาออกจากห้องขัง


ท่าทางที่ดูถูกคนอื่นและหยิ่งทะนงของจ๋าวซื่อ ได้หายไปนานแล้วและเขาก็ร้องออกมาเสียงดัง “ท่านเสนาโปรดเมตตาๆ … . “เสียงของเขาค่อยๆจางหายไปในระยะไกล


ฮวาจูอวี้ลืมตาขึ้นช้าๆ นางไม่คาดคิดว่าจี่เฟิงหลี่ จะลงโทษทหารคุ้มกันคุกหลวงในนามของนาง


ยืนอยู่ที่ประตูห้องขังอย่างสงบ ริมฝีปากของจี่เฟิงหลี่ โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มอันสง่างาม ดวงตาของเขากวาดผ่านชุดเครื่องแบบของนักโทษที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นและเสื้อผ้าที่จ๋าวซื่อถอดทิ้งไว้


“จางหยวน พาเขาไปพบข้าหลังจากนี้สักครู่!” จี่เฟิงหลี่พูดขึ้นอย่างไม่แยแสและหันหลังจากไป


ผ่านประตูห้องขัง ร่างเขาสามารถมองเห็นได้ในระยะที่ไกลออกไปเรื่อยๆ


ตามทางเดินที่มืดครึ้ม เปลวเพลิงของไฟที่ถูกจุดขึ้นในทุกๆสิบก้าวจะทำให้เกิดแสงสลัวลงไปบนเสื้อผ้าของเขา ด้วยแขนเสื้อที่สะบัดไปมาในแต่ละครั้งราวกับทำให้เกิดไฟลุกโชติช่วงขึ้น


ในทุกวัยและทุกเวลา จะมีคนที่ส่องสว่างเป็นดาวที่โดดเด่น ถ้าพวกเขาไม่ได้เป็นสมบัติอันเป็นที่รักของสวรรค์ พวกเขาก็จะมีพรสวรรค์หรือเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้


จี่เฟิงหลี่ ผู้ซึ่งทำให้ชื่อของเขากลายเป็นที่รู้จักตั้งแต่ตอนอายุ 15 ปีก็คือคนผู้นั้นอย่างไม่ต้องสงสัย


เสื้อคลุมของเขาแกว่งไปมาทุกย่างก้าว ความสดใสของภาพเงาที่ค่อยๆจางหายไปของเขาทำให้ดวงตาของฮวาจูอวี้ ปิดลงและนางก็พยายามปกปิดความเกลียดชังที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจของนาง


นางยืนขึ้น ก่อนจะค่อยๆเดินไปปิดประตูและเปลี่ยนเสื้อผ้าของนาง เสื้อผ้าของนางฉีกขาดไปหมดแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่สามารถสวมใส่มันได้แม้ว่านางจะต้องการก็ตาม อย่างไรก็ตามเครื่องแบบของนักโทษก็มีขนาดใหญ่เกินไปทำให้นางดูผอมลงมาก


หลังจากนั้นไม่นาน ทหารสองคนก็มาพานางไปยังห้องขนาดใหญ่ เมื่อเข้าไปข้างในพวกเขาก็ผลักนา งทำให้นางล้มลงไปกับพื้น


ความหนาวเย็นของพื้นดินตรงเข้าไปในร่างกายของนาง ด้วยโซ่ตรวนอยู่ที่รอบคอของนาง นางจึงอยู่ในตำแหน่งของการคุกเข่า


นางรู้สึกว่ามันค่อนข้างน่าขัน ฮ่องเต้ได้ส่งลูกชายของเขาไปยังคุกหลวง ดังนั้นความต้องการของการพิจารณาคดีคืออะไร? กับจี่เฟิงหลี่เป็นผู้นำในการพิจารณาคดีแล้วหวงฝู่ อู๋ ซว จะยังคงมีโอกาสอีกหรือ?


นางเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ภายในห้องนี้มีหน้าต่างสองบาน แสงแดดส่องลงมาครึ่งหนึ่งของห้องพักที่กว้างขวาง เหลือความมืดมิดเอาไว้อีกครึ่งหนึ่ง


ที่แผนกการสอบปากคำคือท่านเสนากรมยุติธรรมจางฉิง ข้างๆเขามีคนสองคน เสนาฝ่ายซ้ายจี่เฟิงหลี่และเสนาฝ่ายขวาหนี่หยวนเฉียว


83 

ฮวาจูอวี้พยายามใจเลยลง บางทีกับเสนาบดีฝ่ายขวาหนี่หยวนเฉียว ตอนนี้หวงฝู่ อู๋ ซวน  อาจจะยังคงมีโอกาสอยู่ก็ได้


ผู้มีอิทธิพลในราชสำนักเสนาฝ่ายขวาเนีย เป็นพี่ชายของฮองเฮาเนีย แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่มีใครรู้ ความสัมพันธ์ของพวกเขาค่อนข้างตึงเครียดราวกับว่าพวกเขาต้องการที่จะไม่ต้องพบกันและกันอีกในตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของพวกเขา ดังนั้นแม้ว่าเขาจะเป็นลุงของหวงฝู่ อู๋ ซวน แต่พวกเขาแทบไม่เคยพบกัน พวกเขาไม่ต่างกับคนแปลกหน้า ดังนั้นฮวาจูอวี้จึงไม่คิดว่าเขาจะช่วยหวงฝู่ อู๋ ซวน แต่นี่เป็นปัญหาเกี่ยวกับชีวิตและความตาย ดังนั้นนางจึงคิดว่ามันอาจจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่เสนาเนีย จะยืนอยู่ด้านของหลานชายของเขา


จางฉิง มองไปที่เสนา ทั้งสองคน ก่อนจะพูดขึ้น “ท่านเสนา ให้เริ่มกันเถอะ”


จี่เฟิงหลี่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะสอบปากคำ สวมใส่ในขุนนางอย่างเป็นทางการของเขา ดูเหมือเขาจะสูญเสียความสง่างามบางอย่าง ในขณะที่เขาดูเด็ดเดี่ยวและน่าแกรงขามมากขึ้น เขานั่งเอนหลังลงไปกับที่นั่ง ในขณะที่เขานิ่งเงียบๆและเฝ้าดูฮวาจูอวี้ถูกผลักเข้ามาในห้อง


แล้วเสนาเนียก็พูดขึ้น “เริ่มได้!”


จางฉิง ไอขึ้นเบาๆและเคาะบนโต๊ะของเขา ก่อนจะพูดขึ้นสอบถาม”เดือนที่แล้วเมื่อเจ้าไปกับองค์รัชทายาทที่เจียงไป๋ เพื่อแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาภัยพิบัติ เขาได้ส่งคนเข้าไปในภูเขาเพื่อจับสัตว์ร้ายเหล่านั้นหรือไม่?”


“ไม่!” ฮวาจูอวี้ตอบขึ้นทันที


จางฉิง ไม่ได้แสดงความโกรธแม้แต่เล็กน้อย เขาเกิดมาพร้อมกับใบที่หน้า ปราศจากการแสดงออกที่ไม่เคยทรยศต่ออารมณ์ของเขา


“ตามแผนการเดินทาง เจ้าควรกลับมาที่เมืองหลวงในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม แต่ทำไมเจ้าถึงกลับมาเมื่อต้นเดือนมิถุนายน  สิบวันหลังจากที่คาดไว้ เจ้าทำอะไรอยู่ในช่วงเวลานั้น? “จางฉิงถามขึ้นอย่างจริงจัง


ฮวาจูอวี้เงียบสักครู่หนึ่ง


เรื่องนี้เป็นที่รู้กันเฉพาะกับขุนนางเพียงไม่กี่คนในขณะที่ฮ่องเต้ยังคงปกป้องหวงฝู่ อู๋ ซวน อยู่ในเวลานั้น


แต่นางไม่สามารถปกปิดเรื่องนี้ได้ เนื่องจากการกลับมาของพวกเขาล่าช้ามันจึงกลายเป็นเรื่องที่น่าสงสัยในสายตาของคนอื่น ดังนั้นฮวาจูอวี้จึงเริ่มตั้งเล่าเรื่องที่เงินบรรเทาภัยพิบัติถูกปล้นไปอย่างไร พวกเขาจึงต้องเดินทางไปหอเจียงซูเย่ เพื่อยืมเงินและแม้แต่การร้านค้า ในเจียงหลิง


เมื่อได้ยินเช่นนี้หัวคิ้วของจางฉิงก็ขมวดขึ้นและถามด้วยเสียงต่ำขึ้น “นั่นเป็นความจริงหรือ? ที่องค์รัชทายาททำเงินช่วยเหลือหายไป?”


ด้วยรอยยิ้มอันเย็นชา นางตอบขึ้น “ข้าผู้น้อยไม่กล้าพูดคำเท็จ ท่านเสนาจาง สามารถส่งคนไปที่โรงเตี๊ยมซีไหลเพื่อตรวจสอบได้! นอกจากนี้ท่านยังสามารถสอบถามองค์รัชทายาทได้”


แม้ว่ามันจะยังคงเป็นความผิดทางอาญาที่ทำเงินช่วยเหลือหายไป แต่ก็ยังเป็นอาญาที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับการจับสัตว์ร้ายเหล่านั้น


จางฉิง พยักหน้าและไม่ได้สอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ด้านข้างเจ้าหน้ากำลังจดบันทึกคำตอบของฮวาจูอวี้


“แล้วเช่นนั้น ให้ข้าถามเจ้าในเรื่องนี้ มีขุนนางคนไหนเป็นพิเศษได้ไปติดต่อกับองค์รัชทายาทบ่อยครั้งหรือไม่? พวกเขาแลกเปลี่ยนจดหมายลับหรือไม่? “จางฉิง จ้องมองที่ฮวาจูอวี้ และถามคำถามออกมาอย่างเยือกเย็น


ดูเหมือนว่าพวกเขาต้องการที่จะกดดันขุนนางที่สนับสนุนหวงฝู่ อู๋ ซวน มันก็ไม่แตกต่างจากการทำการหักปีกของเขาอย่างนั้นหรือ? ไม่เพียงแต่หวงฝู่ อู๋ ซวน ที่ล้มแต่จะทำให้ผู้สนับสนุนเขาล้มด้วยเช่นกัน


“ท่านเสนาจาง ข้าผู้น้อยได้คอยรับใช้องค์รัชทายาทอยู่ทุกวันและนอกจากเขาจะไปพบกับฮ่องเต้และท่านอาจารย์เพื่อร่ำเรียนแล้ว นอกจากนี้องค์รัชทายาทก็ไม่มีการติดต่อกับขุนนางคนอื่นๆอีก! “ฮวาจูอวี้ตอบอย่างเป็นธรรมชาติ


นี่เป็นความจริงที่สุด นางอยู่ในพระราชวังมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ยังไม่เคยเห็นหวงฝู่ อู๋ ซวน มีการติดต่อกับใครเลย เขาไม่ได้แม้แต่จะไปเคารพแม่ของเขาด้วยซ้ำ


“เจ้าไม่รู้อย่างนั้นหรือ?”เสนาจางตบโต๊ะและส่งเสียงเย็นขึ้น “ดูเหมือนว่าเจ้าจะชัดเจนเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ร้าย เจ้าจะไม่พูดความจริงใช่ไหม? ”


“ท่านเสนาจาง องค์รัชทายาท ไม่ได้เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีของสัตว์ร้าย ทหารได้ค้นพบภาพวาดในห้องขององค์รัชทายาท ที่มีกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ แต่ข้าผู้น้อยคิดว่ามันถูกดัดแปลงตั้งแต่ที่มีการวาดภาพแล้ว ถ้ากลิ่นหอมของมันผสมอยู่ในหมึก เมื่อใช้ในวาดภาพมันก็จะมีกลิ่นของดอกกุหลาบอยู่”ฮวาจูอวี้พูดขึ้นช้าๆ


“คำพูดของเจ้าก็เป็นไปได้ ถ้ามีกลิ่นหอมอยู่ในหมึก ก็ต้องมีคนต้องการที่จะใส่ร้ายองค์รัชทายาท!” เสนาเนียพูดขึ้นช้าๆ ในขณะที่เขาจับเคราของเขา


“ใช่ แต่กระดาษและหมึกเป็นองค์รัชทายาทที่สั่งให้นำมา!” เสนาจางฉิง พูดขึ้นอย่างไร้อารมณ์


“ใช่ แต่คนวาดภาพเองก็ต้องมีการสัมผัสกับหมึกและกระดาษ นางอาจแอบผสมมันลงไปก็ได้ “ฮวาจูอวี้พูดขึ้น


ดวงตาของจางฉิงหรี่ลงและตั้งคำถามขึ้น “แต่เหวินว่านได้วาดภาพต่อต่อหน้าคนมากมาย ถ้านางทำอะไรเช่นนั้น ทำไมไม่มีใครสังเกตเห็น?”


ฮวาจูอวี้ถึงกับไร้คำพูด


ในเวลานั้นนางรู้สึกเบื่อและไม่ได้เฝ้าดูเหวินว่าน นางกำลังมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและโดยบังเอิญได้สังเกตเห็นนกพิราบของเสี่ยวหยินเข้า ดังนั้นนางจึงไม่สามารถระบุได้ว่าเหวินว่าน ทำอะไรในขณะที่วาดภาพหรือไม่


หวงฝู่ อู๋ ซวน กำลังเฝ้าดูเหวินว่านอยู่ แต่เขาก็หลงใหลไปกับนางอย่างหมดสิ้น ดังนั้นเขาน่าจะไม่สังเกตเห็นแม้กระทั่งว่านางทำอะไรบางอย่าง


“ในเวลานั้น ข้าผู้น้อยจิตใจไม่อยู่กับที่และไม่ได้ให้ความสนใจ!” ฮวาจูอวี้ ตอบขึ้นอย่างช้าๆอย่างตรงไปตรงมา ตอนนี้นางเสียใจจริงๆที่รู้สึกเบื่อและจ้องมองไปที่ท้องฟ้าในวันนั้น


แต่ใครจะคิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะเริ่มต้นแผนการในเวลานั้นและภาพวาดนั้นจะสามารถส่งหวงฝู่ อู๋ ซวน ที่สูงส่งและยิ่งใหญ่ ไปยังคุกหลวงได้! แม้ว่าคนผู้หนึ่งจะมีความระมัดระวัง แต่มันก็ค่อนข้างยาก


“ไม่ได้ให้ความสนใจหรือ?” จางฉิง ย้ำคำด้วยการแสดงออกของไม้ จากนั้นเขาก็เคาะโต๊ะอย่างหนักและพูดขึ้น”นักโทษ เงยหน้าขึ้นและดูมัน!”


นางยกศีรษะขึ้นมาและมองตามสายตาของจางฉิงไปทางผนัง


บนผนังแขวนเครื่องมือทรมานเอาไว้มากมาย ซึ่งดูเหมือนจะดูน่าขนลุกและดำคล้ำ เครื่องมือต่าง ๆ ปกคลุมไปด้วยชั้นของเลือดแห้งๆ ไม่รู้ว่าเลือดของคนจำนวนมากเท่าไหร่ที่ถูกชุบลงไป


จางฉิง ชี้ไปที่กำแพงและพูดขึ้น “เครื่องมือทรมานเหล่านี้ ถูกใช้เพื่อทรมานเฉพาะสมาชิกของราชวงศ์ที่ฝ่าฝืนกฎหมายเท่านั้น สำหรับขันทีตัวเล็ก ๆ เช่นเจ้า การที่จะได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ได้ถือว่าเป็นบุญของเจ้าแล้ว ทหารเข้ามา! ”


ฮวาจูอวี้เติบโตขึ้นมาในสนามรบ ไม่มีอะไรที่นางไม่ได้เห็น แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นเครื่องมือทรมานที่น่ากลัวเหล่านี้


แต่นางจะกลัวสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร ดวงตาของนางกวาดไปทั่วเครื่องมือต่าง ๆ บนผนังอย่างเฉยเมย ในขณะที่รอยยิ้มเบาบางปรากฏบนริมฝีปากของนาง


“ข้าผู้น้อยไม่รู้ว่านี่เป็นวิธีการที่ท่านเสนาแห่งกรมยุติธรรมสอบสวน! ในเมื่อท่านต้องการให้ข้าผู้น้อยรับสารภาพภายใต้การถูกทรมาน แล้วทำไมยังต้องถามให้เสียเวลา ทำไมไม่ทรมานไปเสียแต่เนินๆ! “นางพูดขึ้นอย่างไม่แยแส ดวงตาที่ชัดเจนของนางส่องประแวววาวของการเยาะเย้ยขึ้น


การแสดงออกของจางฉิง ค่อยๆดำมืดลง ในขณะที่พวกทหารทั้งสองก้าวไปข้างหน้า แต่ละคนจับแขนของฮวาจูอวี้และลากนางไปที่เครื่องมือทรมาน


จี่เฟิงหลี่ นั่งอยู่กับที่นั่งของเขา ดวงตาดำมืดราวกับน้ำหมึกของเขาหันไปทางนาง ก่อนจะกวาดไปทั่วใบหน้าของนาง อาจจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจเขาจ้องมองไปที่เครื่องทรมานนานกว่าปกติ ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงในขณะยิ้มที่เหมือนกับไม่ยิ้มขึ้น


ฮวาจูอวี้สามารถจินตนาการได้แค่ว่าจี่เฟิงหลี่ต้องรู้สึกดีแค่ไหนที่ได้เป็นพยานถึงความทุกข์ยากของนาง นี่อาจจะเป็นการแก้แค้นสำหรับนางในการทำร้ายเขาครั้งก่อน ๆ ในการละเล่นและสำหรับการขโมยเสื้อผ้าของเขาในวันนั้น


เครื่องดนตรีแปลก ๆ ถูกออกแบบมาเพื่อดึงขาให้แยกออกจากกัน มันดูเหมือนจะดึงขาให้ออกจากกันมากเกินไป จนพื้นผิวของมันย้อมไปสีเลือดมากจนสีเดิมไม่สามารถมองเห็นได้อีกต่อไป


เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนผลักฮวาจูอวี้ ลงไปบนพื้น หนึ่งในพวกเขาจับเครื่องทรมานไว้กับขาของนาง อันหนึ่งอยู่ทางด้านขวาและอีกอันอยู่ทางด้านซ้ายและใช้ความแข็งแรงทั้งหมดของพวกเขา เพื่อดึงโซ่ไปในทิศทางที่ตรงกับข้าม


นอนบนพื้นน้ำแข็งที่เยือกเย็น ฮวาจูอวี้รู้สึกถึงความเย็นที่ซึมผ่านฝ่ามือเกือบจะเคลือบไปที่หัวใจของนาง ช่วงเวลาที่ทหารทั้งสองดึง ความเจ็บปวดก็จู่โจมมาที่นางอย่างรุ่นแรงและนางก็กัดริมฝีปากของนางเอาไว้ ไม่มีอะไรที่นางสามารถทำได้ แค่ต้องทนอยู่ในความเงียบเท่านั้น พวกเขาสามารถทรมานนางได้แต่พวกเขาไม่กล้าฆ่านาง


“พอได้แล้ว!” เสียงของจี่เฟิงหลี่เบาเหมือกับสายลมที่เหน็บหนาวและเยือกเย็นเหมือนน้ำแข็ง


“ปล่อยตัวนักโทษ!” เขายังคงนั่งพิงหลังอยู่กับที่นั่งของเขาด้วยท่าทางที่ไม่แยแส ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาดูเยือกเย็นเล็กน้อย


เมื่อยินเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่ทั้งสองก็รีบเอาเครื่องมือทรมานออกอย่างรวดเร็วและตั้งใจจะลากนางออกไป


“ปล่อย! ข้าสามารถเดินด้วยตัวเองได้! “ฮวาจูอวี้พูดขึ้นอย่างช้าๆและสะบัดแขนเสื้อขึ้นทำให้ทหารทั้งสองถึงกับถอยหลังไปสองก้าว นางเหลือบมองพวกเขาด้วยความรังเกียจ ก่อนที่จะมองขึ้นไปที่จี่เฟิงหลี่ ที่นั่งอยู่สูงในตำแหน่งของเขา “ท่านเสนาจี่ คนที่กระทำชั่ว ไม่ช้าหรือเร็วก็จะต้องทนทุกข์ทรมานจากสวรรค์!”


พูดจบนางก็ระงับความเจ็บปวดและเดินออกไป


เมื่อนางออกจากห้องตรวจสอบ นางก็ชะลอตัวลง ขาของนางเจ็บปวดมาก สิ่งเหล่านี้สมควรแล้วที่จะถูกเรียกว่าเครื่องมือทรมาน มันทรมานนางเพียงไม่นาน แต่มันเจ็บปวดมากแล้ว ถ้านางต้องทนอีกต่อไปนางก็ไม่แน่ใจว่านางจะสามารถทนต่อมันได้หรือไม่


ถ้าคนเหล่านี้ใช้เครื่องมือเดียวกันกับหวงฝู่ อู๋ ซวน นางกลัวว่าเขาจะไม่สามารถรับความเจ็บปวดและสารภาพผิดออกไปได้ นางได้ยินมาว่าเครื่องมือเหล่านี้ถูกใช้โดยฮ่องเต้พระองค์ก่อนหน้า เพื่อลงโทษสมาชิกในราชวงศ์ที่ก่ออาญาต่างๆ


เมื่อนางกลับมาที่ห้องขัง นางเห็นทหารไม่กี่คนกวาดพื้น ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีนำเตียง ผ้าห่มและแม้แต่โต๊ะและเก้าอี้เล็ก ๆ เข้ามา


ตอนนี้ห้องขังของนางเทียบได้กับห้องขังของหวงฝู่ อู๋ ซวน แล้ว เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้นางงงงงงวยเป็นอย่างมาก


84.1

หลังจากที่ติดสินบนผู้คุ้มห้องขังนักโทษไม่กี่คน อันเสี่ยวเอ้อร์ก็สามารถติดต่อฮวาจูอวี้ ได้ เมื่อคิดอย่างรอบคอบ นางรู้สึกว่าท้ายที่สุดแล้วมันจะเป็นการดีที่สุดที่จะไม่ทำตัวพลีพลามและออกจากคุกไป มันมีความเสี่ยงมากเกินไป คุกหลวงอยู่ในบริเวณของพระราชวังและได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา การหลบหนีไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากนี้ถ้านางจะออกไปเสียอย่างนั้น ไม่เพียงแต่นางจะเปิดเผยทักษะการต่อสู้ที่สูงของนางแล้ว แต่นางก็จะทำให้หวงฝู่ อู๋ ซวน เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เนื่องจากนางเป็นขันทีส่วนตัวของเขา ทุกการกระทำของนางจะมีผลต่อเขา ไม่ต้องพูดถึงการคดีของเขากำลังเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญ


ฮวาจูอวี้จึงต้องอดทน


อาหารในคุกที่คับแคบ ความมืดทึบ แม้แต่กลิ่นเหม็นสาบที่นางจะต้องอดทนกับมัน


โชคดี ที่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นกับจ๋าวซื่อ ผู้คุมคนอื่น ๆ จึงระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาไม่กล้าที่จะจ้องมองนางอีกต่อไป


แม้ว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างที่นางทนได้ แต่ก็มีบางอย่างที่นางไม่สามารถทำได้ ตัวอย่างเช่น การมาถึงของช่วงเวลานั้นของเดือน


นางมีช่วงเวลานั้นครั้งแรกเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นนางเป็นแม่ทัพนางมีกระโจมส่วนตัวของนางเอง มันทำให้นางมีความเป็นส่วนตัวเพื่อจัดการกับมันได้อย่างง่ายดาย หลังจากที่เข้ามาในวังและกลายเป็นขันที นางก็ไม่ได้มีปัญหาใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะนางมีอิสรภาพมาก แต่ตอนนี้นางถูกขังอยู่ในห้องขัง แล้วนางจะทำอย่างไร?


อันเสี่ยวเอ้อร์ไม่ได้ตระหนักถึงตัวตนที่เป็นผู้หญิงของนาง นางไม่มีทางที่จะขอให้เขาไปซื้อสิ่งเหล่านี้ได้ ยกเว้นเสียแต่ว่าถ้านางไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ แต่นางก็ยังไม่อยากเปิดเผยตัวเอง นอกจากนั้นนางจะสามารถใช้สิ่งเหล่านั้นในห้องขังนี้ได้อย่างไร? ขันทีที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของผู้หญิงก็จะเหมือนกับการประกาศไปทั่วโลกว่านางเป็นผู้หญิง


ฮวาจูอวี้ รู้สึกเป็นกังวลแทบตาย! เมื่อเทียบกับช่วงเวลานั้นของนางบาดแผลในปัจจุบันของนางถือเป็นเรื่องที่เล็กน้อยมาก เพราะในที่สุดเลือดก็จะหยุดไหลออกมา คืนนี้นางเสียใจและคิดถึงสิ่งที่นางควรทำ แต่แล้วจู่ๆ ประตูห้องขังก็เปิดออกทันที และตรงทางเข้าก็มีเงาของมนุษย์ยืนอยู่


นางหรี่ตาลงและเห็นว่าเป็นหลานปิง ที่เดินเข้ามา ภายในห้องขังที่มืดสนิท นางสามารถมองเห็นเสื้อคลุมสีฟ้าและตัวตนที่สง่างามของเขา ในขณะที่เขามองมาที่นางด้วยดวงตาเป็นประกายแวววาวขึ้น


นางไม่ค่อยมีความประทับใจในตัวเขาตั้งแต่แรกแล้ว เพราะเขาเป็นหนึ่งในคนของจี่เฟิงหลี่ นอกจากนี้เขายังเคยมีรอยยิ้มที่มีความหมายอยู่บนใบหน้าของเขาทุกครั้งที่พบนาง มันเป็นตอนกลางดึกแล้วทำไมเขาถึงมาที่นี่อีก?


“ท่านคุ้นเคยกับที่นี่แล้วหรือยังเป่ากงกง?” หลานปิงยิ้มและเดินเข้ามา


นางรู้ว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่เขามีความตั้งใจดี ๆ มุมปากของนางโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มในขณะที่นางพูดขึ้น “ข้าจะไม่คุ้นเคยได้อย่างไร ข้ารู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้ค่อนข้างผ่อนคลาย เป็นสถานที่ที่ดีในการหลีกเลี่ยงความร้อนในช่วงฤดูร้อน ถ้าท่านหลานปิง รู้สึกว่ามันร้อนเกินไปที่นั่น ท่านก็สามารถมาพักที่นี่ได้! ”


นี่คือห้องขัง ใครที่ไหนจะสามารถคุ้นเคยกับมันได้? มีกลิ่นเหม็นอับและอาหารก็น่าสมเพช เห็นได้ชัดว่าหลานปิงมาเยาะเย้ยนาง แต่นางจะไม่ให้โอกาสนั้นกับเขา


หลานปิง ยิ้มและกวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้อง พร้อมกับลูบคางของเขาแล้วอุทานขึ้น “เจ้าพูดถูกแล้ว ที่นี่ไม่เลวจริงๆ! ข้าก็อยากจะอยู่ที่นี่นะ แต่โชคร้ายที่ข้าไม่มีโชคลาภ “เขายักไหล่ของเขาและพูดต่อขึ้น ” และข้าก็เกรงว่าเป่ากงกงจะไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีกแล้ว ”


นางตื่นตระหนกและสงสัยว่าหลานปิงจะมาเพื่อส่งนางไปสวรรค์หรือไม่ หัวคิ้วของนางขมวดขึ้นพร้อมกับปล่อยกลิ่นอายที่เยือกเย็นออกไป นางรู้ดีว่าจี่เฟิงหลี่ ไม่ใช่คนที่จะทำการอันใดที่ไม่จำเป็น หรือว่าเขาจะส่งหลานปิง มาที่นี่เพื่อกำจัดนาง? ถ้าอย่างนั้นนางต้องหนีในคืนนี้


“ท่านหลานปิง ท่านคงไม่ได้วางแผนที่จะให้ข้ากลายเป็นผีที่หิวโหยหรอกนะ? เสนาจี่โหดร้ายถึงขนาดที่จะไม่อนุญาตให้ข้าได้กินอาหารเป็นครั้งสุดท้ายเชียวหรือ? “นางถามเขาอย่างสงบและใช้กำลังภายในของนางอย่างลวก ๆ เพื่อที่นางจะได้หลุดพ้นจากโซ่ของนางได้ในทุกเมื่อ


หลานปิงหรี่ตงลงและพูดขึ้น “เป่ากงกคงเข้าใจผิดแล้ว ข้ามาคราวนี้ไม่ได้เพื่อมาส่งเจ้าไป แต่ต้องการไปพาเจ้าไปยังที่พักของเสนาจี่ ทหารเข้ามาปลดโซ่ให้เป่ากงกง ” ทหารคุ้มกันเข้ามาพร้อมกุญแจและถอดโซ่ที่ผูกมัดนางเอาไว้ออก


ฮวาจูอวี้ถึงกับตกใจ เขาต้องการพานางไปยังที่พักของเสนาจี่อย่างนั้นหรือ?อะไรคือแผนการของจี่เฟิงหลี่? เขามีอำนาจมากพอที่จะสามารถเคลื่อนย้ายนักโทษในคุกหลวงได้เชียวหรือ? ถ้าเป็นเช่นนี้หวงฝู่ อู๋ ซวน ก็คงไม่มีความหวังเหลืออยู่แล้ว


“ท่านหลานปิงช่างรู้วิธีที่จะล้อเล่นอย่างแท้จริง ข้าเป็นนักโทษ ข้าจะไปที่พักของท่านเสนาจี่ได้อย่างไร ถ้าฝ่าบาททรงทราบเข้ามันคงจะไม่ดีแน่ “นางตอบอย่างสงบขึ้น


“เป่ากงกงไม่จำเป็นต้องเป็นกังวงในเรื่องนั้น ถ้าท่านเสนาจี่มีความสามารถที่จะทำให้ท่านเป็นอิสระได้ เขาก็มีอำนาจที่จะไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ในอนาคตคเจ้าจะไม่ใช่เป่ากงกงอีกต่อไป แต่เป็นองครักษ์ในจวนของท่านเสนาแทน “หลานปิง ตอบขึ้นราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา


หัวคิ้วของนางขมวดขึ้น ตระหนักได้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่นางจะไม่ออกจากสถานที่แห่งนี้ในคืนนี้ และไปที่จวนของท่านเสนาจี่เพื่อเป็นองครักษ์ในจวนของเขา นางไม่เข้าใจจริงๆว่าจี่เฟิงหลี่ กำลังวางแผนอะไรอยู่ แต่ถ้านางต้องอยู่ในคุก นางก็คงจะไม่มีโอกาสได้ต่อสู้กับจี่เฟิงหลี่ ถ้านางเป็นองครักษ์ในจวนของเขา นางก็จะมีโอกาสแทงข้างหลังของเขาได้ตลอดเวลา ถ้าเจ้าไม่เข้าไปในถ้ำของเสือโคร่งแล้วจะจับตัวเสือโคร่งได้อย่างไร? นางไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว


นางใช้กำแพงทำให้ตัวเองมั่นคงและค่อยๆลุกขึ้นยืน แต่แล้วก็รู้สึกร้อนๆที่ส่วนล่างของนาง นางรู้สึกเสียใจอยู่ในใจ นางเกือบจะลืมช่วงเวลานั้นของนางไปแล้ว ก่อนจะหนีบขาเข้าด้วยกันและก้มหน้าเดินออกไป


เมื่อเดินผ่านห้องขังของหวงฝู่ อู๋ ซวน นางก็ช่วยไม่ได้ที่จะถอยหายใจออกมา ไม่กี่วันก่อนนางได้ยินจากอันเสี่ยวเอ้อร์ว่าจี่เฟิงหลี่ ไม่ได้ทรมานหวงฝู่ อู๋ ซวน และคนอื่นๆ ก็ไม่ได้สารภาพอะไรเช่นกัน แต่หลักฐานทั้งหมดชี้ไปที่เขาดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะคว่ำคดีนี้ได้ บางทีเขาอาจจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในคุกหลวงแห่งนี้ก็ได้ แต่ปัจจุบันฮ่องเต้ชราไม่สบายและคังหวางก็กุมอำนาจทั้งหมดเอาไว้ แล้วหวงฝู่ อู๋ ซวน จะอยู่ในห้องขังแห่งนี้ได้อย่างปลอดภัยได้อย่างไร?


“ข้าผู้น้อยไม่รู้ว่า คังหวางจะได้ขึ้นครองราชย์ในเร็วๆ นี้หรือไม่ แล้วข้าผู้น้อยก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหวงฝู่ อู๋ ซวน? “ฮวาจูอวี้ถามขึ้น


หลานปิงที่นำทางไปหันกลับมาด้วยรอยยิ้มและพูดขึ้น “ข้าเคยบอกเป่ากงกงเป็นคนฉลาด เรื่องแรกคัวหวางจะได้ขึ้นครองราชย์และท่านเสนาจี่จะคอยช่วยเหลือเขา เป่ากงกง นกที่ฉลาดรู้ว่ากิ่งก้านไหนที่มันควรจะเกาะ! สำหรับเรื่องขององค์รัชทายาทหวงฝู่ ทุกสิ่งทุกอย่างจะได้รับการจัดการตามการตัดสินใจของฮ่องเต้ ”


“หลานปิง คิดว่าข้าผู้น้อยคนนี้คือนกที่ฉลาดหรือ?” นางถามด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย


“มันไม่เกี่ยวกับข้า ตราบเท่าที่ท่านเสนาจี่ คิดว่าเจ้าเป็น เจ้าก็เป็น อีกอย่างเจ้าไม่จำเป็นต้องแทนตัวเองว่าข้าผู้น้อยอีกต่อไป มันเป็นเรื่องยากที่จะฟัง “หลานปิงพูดขึ้นในขณะที่เขาเดินหน้าต่อไป


“หลานปิง รู้วิธีที่จะล้อเล่นจริงๆ แม้ว่าข้าจะไปจากองค์รัชทายาทและราชวังและกลายเป็นผู้คุ้มกันที่จวนของท่านเสนาจี่ มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่าข้าเป็นขันทีไปได้!”


หลานปิง เงียบและไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมอีก เขาเพียงถอนหายใจลึก ๆ และเดินต่อไปเรื่อย ๆ หัวหน้าคุกหลวงจางหยวนมาส่งพวกเขา


ด้านนอกของคุกหลวง มีรถม้ากำลังรออยู่และหลานปิงก็ส่งสัญญาณให้ ฮวาจูอวี้ ขึ้นไป


รถม้าเดินทางไปตามถนนที่เงียบสงบและออกจากวังโดยไม่มีปัญหาใดๆ เมื่อพวกเขามาถึงสี่แยกในเมืองหยู ฮวาจูอวี้ก็ยกผ้าม่านรถม้าขึ้นและมองออกไปข้างนอก


ตั้งแต่กลับมาจากตำหนักฤดูร้อน นางก็ถูกขังอยู่ในคุกหลวงทันที เป็นเวลานานแล้วที่นางไม่ได้เห็นถนนของเมืองหยู มันยังคงเป็นฉากที่คึกคักเหมือนเดิม แม้ว่าทุกสิ่งจะยังคงเหมือนเดิม แต่คนก็เปลี่ยนไป


เมื่อผ่านตลาด ฮวาจูอวี้ ก็มองเห็นร้านขายเสื้อผ้าอยู่ด้านหลังและพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว “หลานปิง ข้าต้องการเปลี่ยนจากชุดนักโทษนี้ ข้าอยากจะไปซื้อชุดใหม่ได้หรือไม่? ถ้าข้าจะเข้าไปจวนของท่านเสนาจี่ในสภาพนี้ มันจะเป็นการไม่สุภาพกับท่านเสนาจี่ได้ ”


สายตาของเขากวาดไปทั่วเสื้อผ้าของฮวาจูอวี้ และหัวคิ้วของเขาก็ขมวดขึ้น ก่อนจะพูดขึ้น “ที่จวนของท่านเสนาจี่ไม่ขาดเสื้อผ้า และก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปซื้อใหม่ เมื่อเรากลับไปถึงที่จวน เจ้าก็สามารถเข้าไปเปลี่ยนก่อนได้! ใครจะรู้ว่าเจ้าอาจจจะใช้โอกาสนี้เพื่อหลบหนีหรือไม่ ”


ฮวาจูอวี้บังคับให้มีรอยยิ้มและพูดขึ้น “หลานปิงในเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้านี้ ข้าถือว่าเป็นฝ่ายผิด แต่ไม่ใช่ทุกคนต่างก็ต้องทำเพื่อเจ้านายของพวกเขาหรอกหรือ? ตอนนี้นายข้าคือเสนาจี่ แล้วข้าจะหนีไปได้อย่างไร? ถ้าท่านต้องการ ท่านสามารถสั่งให้คนติดตามข้าไปข้างในได้ ข้าจะมีความสามารถในการหลบหนีสายตาของท่านไปได้อย่างไร? ข้าแค่ไม่ต้องการเข้าไปในจวนของท่านเสนาจี่ในชุดนี้ มันไม่เป็นมงคล ”


หลานปิงขมวดคิ้วขึ้นพร้อมกับพูดขึ้น “เจ้าอยากไปซื้อเสื้อผ้าหรือ? แล้วเจ้ามีเงินหรือไม่ “ฮวาจูอวี้รู้สึกอับอายจริง ๆ นางไม่มีเหรียญแม้แต่เหรียญเดียวในร่างกายของนาง นางไม่จำเป็นต้องมีเงินเมื่อนางเป็นขันทีและอยู่กับหวงฝู่ อู๋ ซวน และเมื่อตอนที่อยู่ในห้องขังนางก็ไม่มีเงินเมื่อนางต้องการมัน


เมื่อเห็นท่าทางที่อับอายของนาง หลานปิงก็หยิบเอาเหรียญเงินออกมาสองเหรียญและโยนมันลงไปในมือของนาง ก่อนจะพูดขึ้น “รีบไปและซื้อของที่เจ้าต้องการ ถ้าเสนาจี่กลับมาและไม่เห็นเรา ข้าจะเป็นคนแรกที่ถูกลงโทษ ดังนั้นรีบไปซะ! “


 

 

 


ตอนที่ 84.2

 

ฮวาจูอวี้รับเงินและลงจากรถม้าไป นางตั้งใจจะมุ่งหน้าไปยังร้านขายเสื้อผ้า แต่แล้วจู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงวุ่นวายดังออกมาจากข้างหน้าและสังเกตเห็นว่าเป็นกองกำลังทหารกำลังเดินเข้ามาใกล้ ทหารพร้อมอาวุธขี่ม้านำหน้าไป ด้านหลังของเขาเป็นรถม้าและทหารองครักษ์ที่ตามหลังอยู่ในรูปแบบเรียงสองแถวกำลังเดินตามไปรถม้ามา


คืนนี้ยังไม่ดึกมากนักและยังมีคนอีกหลายคนสัญจรไปมาตามท้องถนน แต่พวกเขาทั้งหมดต่างก็อยู่ในความเงียบ ดวงตาของพวกเขามีความเกร่งกลัวและความชื่นชมในขณะที่พวกเขาจ้องมองไปที่รถม้าที่กำลังเดินเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ


หลานปิง ลงมาจากรถม้าหลังจากฮวาจูอวี้ เมื่อเห็นฉากนี้เขาก็ยิ้มและพูดขึ้น “ข้าไม่คิดว่าเสนาจี่จะกลับมาเร็วขนาดนี้”


เมื่อมองอย่างระมัดระวังอีกครั้ง นางก็รู้ว่าชายที่ดูมีกำลังวังชาที่เป็นผู้ผู้นำทางคือถงโจว ดังนั้นคนที่อยู่ในรถต้องเป็นจี่เฟิงหลี่อย่างแน่นอน ฮวาจูอวี้ส่งเสียงเย็นขึ้นลำคอ ก่อนจะรีบเดินเข้าไปในร้านค้าเมื่อเห็นว่าหลานปิง เดินตามนางมา แต่นางก็ก้าวไปได้เพียงสองก้าวเท่านั้น นางก็ได้ยินเสียงหลานปิงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “หยวนเป่า ทำไมเจ้าถึงเดินแบบนั้น?”


ใบหน้าของนางช่วยไม่ได้ที่จะขึ้นสีเล็กน้อย คืนนี้มืดและไม่มีใครสังเกตเห็น นางจึงก้มหน้าและกัดฟันพูดขึ้น “ทุกอย่างต้องขอบคุณท่านเสนาจี่ เพราะเมื่อข้าถูกทรมานในครั้งนั้นจนถึงตอนนี้ขาของข้าก็ยังคงเจ็บอยู่! ”


ถ้าจี่เฟิงหลี่ รู้ว่านางบอกขอบคุณเขาที่ช่วงเวลานั้นของนางมาเพราะเขา ไม่รู้ว่าเขาจะโกรธถึงตายหรือไม่ นางเหลือบมองไปที่รถม้าที่สวยงามอีกครั้งอย่างเงียบๆ ในขณะที่ดวงตาของนางกระพริบด้วยความเยือกเย็น ช่วงเวลาที่น่าอับอายที่สุดในชีวิตของนางไม่ใช่วันที่นางถูกบังคับให้แต่งงานหรือตอนที่นางถูกโยนเข้าไปในกระโจมแดง แต่มันคือคืนนี้


ตกลงไปในหลุมของคำโกหกของนาง หลานปิงที่ยังคงตามนางไปก็กระซิบขึ้น “โอ้ มันเป็นเช่นนี้เองหรือ ถ้าเป็นกรณีนี้เจ้าควรจะขอบคุณท่านเสนาจี่ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่มีขาให้เดินอีกต่อไป ”


ถึงแม้ว่าเขาจะแสดงความเมตตา ก็ไม่ใช่เขาหรอกหรือที่ต้องรับผิดชอบในการที่นางถูกคุมขังตั้งแต่แรกแล้ว


“ท่านหลานปิงพูดถูกต้องแล้ว!”ฮวาจูอวี้ตอบขึ้นอย่างใจเย็น แต่มือของนางกำเอาไว้แน่นอยู่ใต้แขนเสื้อของนาง เล็บของนางแทงเข้าไปในผิวของนาง จี่เฟิงหลี่ รอไปก่อน รอชั่วขณะที่เจ้าถูกคุมขังและถูกทรมานจนตาย เราจะดูกันว่าเจ้าจะรู้สึกขอบคุณสำหรับความเมตตาที่ข้าจะทำในตอนนั้นหรือไม่!


โชคดีที่ร้านที่นางเข้าไปนั้นขายเสื้อผ้าทั้งชายและหญิง ถ้าขายเสื้อผ้าผู้หญิงก็ต้องขายสินค้าผู้หญิงด้วย แต่การที่มีหลานปิง อยู่ด้านหลังนาง การที่จะซื้อมันอาจจะเป็นเรื่องยาก ภายในร้านมีเจ้าของร้านและผู้ช่วยชาย บางทีอาจเป็นเพราะตอนนี้ดึกแล้ว ผู้ช่วยหญิงจึงกลับบ้านแล้ว นางจึงไม่สามารถถามพวกเขาถึงสิ่งเหล่านั้นออกไปได้โดยตรง


สุ่มหยิบเสื้อผ้าผู้ชายมาไม่กี่อย่าง แล้วนางก็เดินเข้าไปในห้องแต่งตัวเพื่อเปลี่ยน หลังจากนั้นนางก็มองออกไปข้างนอกและสังเกตเห็นเจ้าของร้านและผู้ช่วยชายที่คอยดูแลหลานปิงอยู่ ด้านนอกห้องแต่งตัวมีเสื้อผ้ามากมาย นางค้นหาผ่านพวกมันและในที่สุดก็พบสิ่งที่นางกำลังมองหา นางรีบคว้ามันมาและวางเงินเหรียญลงไปในที่ที่นางหยิบของมา ถ้านางไม่ทำเช่นนั้นและเจ้าของร้านเกิดตระหนักว่ามีสินค้าบางชิ้นหายไป เขาอาจจะคิดว่านางเป็นหัวขโมยก็ได้


เมื่อสวมเสื้อผ้าผู้ชายเรียบร้อยแล้ว นางก็เดินออกไป “เสื้อผ้าพวกนี้ใส่ได้พอดี ตกลงข้าเอาชุดนี้” นางบอกหลานปิง ก่อนที่จะวางเงินเหรียญลงไปและออกจากร้านไปอย่างรีบร้อน


รถม้าของเสนาจี่ที่กำลังจะเดินผ่านไปแต่แล้ว แต่ก็มาหยุดอยู่ที่หน้าร้านขายเสื้อผ้า ในขณะนี้มือเรียวยื่นออกมาเพื่อยกม่านขึ้น เผยให้ใบหน้าที่ราวกับได้สวรรค์สร้างมาที่ไม่มีใครเทียบได้ของจี่เฟิงหลี่ หลานปิง รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อให้ทำความเคารพแล้ว จี่เฟิงหลี่ ก็กระซิบบางคำกับหลานปิง ก่อนที่หลานปิงจะรีบเดินกลับมาที่ด้านข้างของนางและพูดขึ้น “หยวนเป่า ท่านเสนาจี่บอกให้เจ้านั่งรถม้าไปพร้อมกับเขาได้”


ฮวาจูอวี้ที่ยืนอยู่บนถนนอย่างเงียบ ๆ จ้องมองไปที่เขาอย่างเย็นชา


ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้สนใจสายตาของนางเลยแม้แต่น้อยและยังมีรอยยิ้มอยู่ลึกๆ ในดวงตาของเขาอีกด้วย มันแผ่กระจายออกมาอย่างกระจ่างใสเหมือนดวงดาวที่สุกใสบนท้องฟ้า บนท้องถนนมีผู้คนเดินผ่านไปมาสองสามคนต่างก็ตกตะลึงไปกับรอยยิ้มของเขา แต่ฮวาจูอวี้กลับไม่มีความรู้สึกใดๆ นางเพียงค่อยๆ เดินเข้าไปหารถม้าเท่านั้น


รถม้ามีขนาดใหญ่มาก ข้างในจี่เฟิงหลี่แต่งตัวสบาย ๆ ในขณะที่เขาเอนตัวลงบนเบาะนั่งของเขาด้วยท่าทางที่ดูเฉื่อยชาเล็กน้อย ในมือของเขาถือหนังสือเอาไว้ ในขณะที่ดวงตาของเขาลดลง เมื่อเขาได้ยินเสียงฮวาจูอวี้ เข้ามา เขาก็ไม่ได้เคลื่อนไหวแต่อย่างใด ดวงตาหงส์ของเขาเปิดออกเล็กน้อยเมื่อพวกมันเหลือบมองไปยังทิศทางของนาง ก่อนจะมองย้อนกลับไปที่หนังสือเช่นเดิม


ฮวาจูอวี้ขมวดคิ้วของนางขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะจับชุดเอาไว้แน่นและนั่งลงไปตรงข้ามกับเขา แม้ว่านางจะพยายามอย่างสุดความสามารถในการปราบปรามอารมณ์ของนาง แต่เมื่อใดก็ตามที่นางได้พบกับจี่เฟิงหลี่ นางก็ยังอดแสดงความโกรธออกมาเล็กน้อยไม่ได้ นางคุ้นเคยกับพฤติกรรมที่หยาบกร้านและไร้มารยาทของทหารและแทบไม่เคยที่นางจะได้พบกับคนที่เก่งและสงบเหมือนจี่เฟิงหลี่มาก่อน นางสงสัยว่าเขาจะยังคงประพฤติตัวอย่างสง่างามเช่นนี้เมื่อเขาต้องฆ่าใครหรือไม่ นางคิดย้อนกลับไปในวันนั้นและจำได้ว่าเขาสงบและสง่างามแค่ไหนในขณะที่เขานั่งอยู่ที่โต๊ะสอบปากคำ ฮวาจูอวี้ สงสัยว่ามีอะไรในโลกนี้หรือไม่ที่จะทำให้เขาไม่สบายใจ เนื่องจากที่จี่เฟิงหลี่ไม่สนใจนาง นางก็ไม่มีอะไรจะพูด นางเพียงแค่มองเขาต่อไป นางรู้ว่าคนที่อยู่ข้างหน้านางเป็นคนเข้าใจได้ยากและยากที่จะรับมือด้วย วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับเขาคือการพูดให้น้อยและสงบเข้าไว้


แต่ยิ่งมองเขามากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรู้สึกว่าสวรรค์ช่างไม่เป็นธรรมเอาเสียเลย


ศีรษะของเขาลดลงเล็กน้อย ในขณะที่ดวงตาน้ำหมึกของเขาเปิดขึ้นเล็กน้อย เส้นผมของเขาหลุดลงมาบางส่วนและตกลงมาอยู่ที่หน้าผากของเขา ทำให้ภาพของเขากลายเป็นภาพแห่งความหรูหราและความสง่างาม น่าหลงใหลแค่สายตาเป็นอย่างมาก


ถ้าวันหนึ่งเขาตกมาอยู่ในมือของนาง สิ่งแรกที่นางจะทำคือการแกะสลักเครื่องหมายไว้บนใบหน้าของเขาด้วยมีด คนใจร้ายเช่นเขาควรมีลักษณะที่น่ารังเกียจ


ตามความคิดของนางไปเรื่อยๆ จนนางเองก็ไม่ได้ตระหนักว่าสายตาของจี่เฟิงหลี่เปลี่ยนจากหนังสือของเขามาหานางแทน ดวงตาของเขาจ้องมองมาด้วยความสนใจในขณะที่เขาถามขึ้นอย่างสงบ “เป่ากงกง ได้พบกับความเดือดร้อนไม่กี่วันที่ผ่านมา! ข้าได้ยินมาว่าบาดแผลของเจ้ายังไม่หายดี รับยาขวดนี้ไปเสีย “จากแขนเสื้อที่ยาวของเขา เขาหยิบเอาขวดยาออกมาและโยนมันไปในมือของนาง ทำให้กลิ่นของยาเต็มไปในอากาศทันที


เมื่อจี่เฟิงหลี่ กล่าวถึงบาดแผลของนาง นางก็รู้สึกว่าใบหน้าของนางขึ้นสีเล็กน้อย แต่โชคดีที่แสงภายในรถม้ามืดสลัว นางจึงรีบลดศีรษะลงโดยพยายามปราบปรามความอับอายในใจเอาไว้


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางก็ยิ้มอย่างเยือกเย็นให้กับจี่เฟิงหลี่ และพูดขึ้น “ขอบคุณท่านเสนาจี่ สำหรับความห่วงใยของท่าน แต่ยาที่มีค่าเช่นนี้ไม่ควรจะเสียเปล่ากับคนรับใช้ที่มีความผิดเช่นข้า ท่านเสนาจี่ ควรจะรับมันกลับไป! “จากนั้นนางก็โยนขวดไปที่ใบหน้าของเขา แม้ว่าการเคลื่อนไหวของนางอ่อนโยนแต่นางก็ใช้กำลังภายในอยู่เล็กน้อย นางอยากจะเช็ดรอยยิ้มปลอมๆออกไปจากใบหน้าของเขา


แต่น่าเสียดายที่ความปรารถนาของนางไม่เป็นจริง จี่เฟิงหลี่หยิบหนังสือของเขาขึ้นมาในขณะที่ขวดตีมาที่มันก่อนที่จะตกลงไปและกลิ้งไปที่มุมของรถม้า เขาวางหนังสือลงก่อนจะมองไปที่ฮวาจูอวี้ ด้วยดวงตาที่หรี่ลง ก่อนจะถามขึ้นอย่างเงียบ ๆ “เป่ากงกง ระหว่างเรามีความเกลียดชังที่ลึกซึ้งอยู่ด้วยหรือ?”


นางสูญเสียการควบคุมตัวเองต่อหน้าเขาอีกครั้งแล้ว หลังจากที่สงบตัวเองลง นางก็พูดขึ้นอย่างเกลียดชัง “แล้วท่านเสนาจี่คิดอย่างไร? ท่านใช้สัตว์ร้ายไปทำร้ายองค์รัชทายาทและคุมขังเขา ตอนนี้เขาจะไม่สามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้แล้ว ข้าควรหรือไม่ควรเกลียดท่าน? ” ก่อนหน้านี้นางไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้นางมั่นใจว่าสัตว์ร้ายสองตัวนั้นเป็นจี่เฟิงหลี่ที่อยู่เบื้องหลัง เขาต้องการช่วยคัวหวาง เมื่อคังหวางขึ้นสู่บัลลังก์อำนางของอาณาจักรใต้ก็จะตกไปอยู่ในมือของเขา


จี่เฟิงหลี่ ตกใจเล็กน้อยก่อนที่จะยิ้มขึ้น “เป่ากงกงเป็นคนที่มีความฉลาดจริงๆ มันเป็นความจริงที่ทั้งหมดข้าเป็นคนทำ” เขาเป็นคนตรงไปตรงมาไม่เคยพยายามที่จะซ่อนมันอยู่แล้ว “แม้ว่าเจ้าจะฉลาด แต่เจ้าก็ไม่ได้มีสายตาเอาไว้เพื่อมองผู้คน หวงฝู่ อู๋ ซวง ไม่เหมาะที่จะเป็นฮ่องเต้ มันหายากมากที่จะหาคนที่หลงใหลไปกับเจ้านายของพวกเขาได้และก็มีคนที่ตัดแขนเสื้ออยู่ในโลกนี้จริงๆ! ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเจ้าที่จะติดตามข้าด้วยจริงใจ”

 

 

 


ตอนที่ 85

 

ฮวาจูอวี้กำกำปั้นเอาไว้แน่น ในขณะที่ระงับความอยากที่จะตรงเข้าไปชกเขาให้น่วมไปทั้งตัว นางเงยหน้าขึ้นมองเขาและยิ้มอย่างมีเสน่ห์ ก่อนจะพูดขึ้น “ข้ารู้ว่าองค์รัชทายาทอาจจะไม่ดีมากนัก แม้ว่าระหว่างเราจะมีความเสน่หา แต่ก็ไม่ได้ลึกซึ้งมากจนข้าต้องไปลงนรกกับเขา ในเมื่อตอนนี้ท่านเสนาจี่ได้แสดงความสนใจในตัวข้า คนที่ตัดแขนเสื้อเช่นตัวข้าก็ไม่รังเกียจท่านเสนาจี่… ”


จี่เฟิงหลี่ ไม่ได้คาดคิดว่านางจะพูดแบบนี้ เขาลุกขึ้นนั่งตัวตรงและวางข้อศอกลงไปบนโต๊ะ มุมปากของเขาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มอันเหยียดหยาม ดวงตาของเขามีแววของความเยือกเย็นก่อนที่จะพูดขึ้น “โชคร้ายที่ตัวข้าผู้นี้ไม่ได้ตัดแขนเสื้อ! เมื่อเห็นว่าเจ้าเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์ ข้าจึงได้ปล่อยเจ้าออกมาจากคุก ในอนาคตเจ้าควรอยู่ในจวนของข้าอย่างเชื่อฟัง อย่าคิดว่าจะก่อให้เกิดปัญหาใด ๆ เด็ดขาด! ”


“หยวนเป่าเป็นหนี้ท่านเสนาจี่และจะจดจำเอาไว้!” ฮวาจูอวี้ตอบขึ้นอย่างสงบและเกือบจะกัดลิ้นของนางเอง นางไม่สามารถพึ่งพาหวงฝู่ อู๋ ซวง ได้เนื่องจากเขาถูกขังอยู่ในคุกหลวง นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้าไปในจวนของจี่เฟิงหลี่ ดังนั้นไม่ว่านางจะเกลียดชังจี่เฟิงหลี่ มากแค่ไหน นางก็ต้องอดทนต่อไป


“เป็นเช่นนั้นก็ดี! เสี่ยวเป่าเอ้อร์ (สมบัติน้อย) เป็นคนที่ฉลาดมากจริง ๆ “หัวคิ้วของจี่เฟิงหลี่ยกขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่ดวงตาของเขามองไปที่ห่อผ้าที่อยู่ในมือของนาง” เสี่ยวเป่าเอ้อร์ซื้ออะไรจากร้านค้าหรือ? ”


การได้ยินเขาเรียกนางว่าเสี่ยวเป่าเอ้อร์ทำให้นางรู้สึกรังเกียจมาก แต่การได้ยินเขาพูดถึงร้านค้า นางก็ช่วยไม่ได้ที่จะกระชับห่อผ้ามากขึ้นอีก ก่อนจะตอบขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เพียงแค่เสื้อผ้าสองชุด อย่าบอกข้าว่าท่านเสนาจี่สนใจพวกมัน? ถ้าท่านต้องการจะดู ข้าก็ไม่รังเกียจ ”


จี่เฟิงหลี่ เหลือบมองไปที่ห่อผ้าที่อยู่ในมือของนางและตอบขึ้นอย่างไม่แยแส “ข้าไม่สนใจ”


เมื่อได้ยินเช่นนี้ นางก็คลายการจับที่ห่อผ้าของนางลง แต่แล้วในทันทีก็เกิดแสงสีขาวลางๆ ขึ้นต่อสายตาของนางและห่อผ้าของนางก็ไปอยู่ภายในมือจี่เฟิงหลี่แล้ว


“ไม่ได้สนใจ ไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่ดู  เสี่ยวเป่าเอ้อร์เจ้าประมาทเกินไปแล้ว” จี่เฟิงหลี่ พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ริมฝีปากของเขาเล็กน้อย ในขณะที่เขาเอนหลังพิงกับเก้าอี้พร้อมกับห่อผ้าที่อยู่ในมือ


ฮวาจูอวี้ตกใจ นางลืมไปได้อย่างไรว่าเขาเป็นคนหลอกลวงแค่ไหน? นางกลัวว่านางคงจะทำให้เขาระแวงสงสัยเมื่อนางกอดห่อผ้าเอาไว้แน่นเกินไป นางต้องการที่จะยึดมันกลับมาในทันที แต่นางรู้ว่านางไม่น่าจะใช่ฝ่ายตรงข้ามของเขา แต่นางได้ซ่อนผลิตภัณฑ์ของผู้หญิงเอาไว้ในเสื้อผ้า ถ้าเขาเห็นพวกมันนางจะให้คำอธิบายว่าอย่างไร? นางกำลังใช้สมองของนางและยังไม่ได้ข้อแก้ตัวที่เป็นไปได้ แต่ก็ได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัยดังขึ้น “เจ้าซื้อเสื้อผ้าจริงๆด้วย เสี่ยวเป่าเอ้อร์ ไม่ได้โกหก แต่ … สิ่งเหล่านี้ล่ะ? ”


นางเงยหน้าขึ้นและเห็นเขาเอนกายอยู่บนเก้าอี้ของเขา ในขณะที่มองไปที่ผ้าใช้สำหรับปกปิดประจำเดือนในมือ ใบหน้าของนางก็แดงขึ้นทันทีและนางเกลียดที่นางไม่สามารถหารูเพื่อที่จะคลานเข้าไปได้ แต่เนื่องจากการเป็นแม่ทัพมานานหลายปี นางรีบปกปิดอารมณ์ของนางด้วยการทำเป็นสงบและใจเย็น นางมองสำรวจจี่เฟิงหลี่ด้วยดวงตาที่หรี่ลง เมื่อมองเห็นสีหน้าของเขาที่ทั้งงงงวยและดูน่าสงสัยในดวงตาดำมืดคลายหมึกของเขา นางก็คิดขึ้นมาได้ว่าเขาไม่น่าจะรู้ว่าผ้าชนิดนี้เอามาใช้เพื่ออะไร


นางกังวลว่าจะให้คำอธิบายว่าอย่างไร แต่การได้เห็นเขาแบบนี้ทำให้นางสามารถสงบใจที่ไม่มั่นคงลงได้บ้าง นางมองไปที่เขาด้วยหัวคิ้วที่ยกขึ้นและพูดอย่างใจเย็นขึ้น “ท่านเสนาจี่ไม่รู้หรือ? ยอมเป็นธรรมชาติที่จะใช้มันเพื่อพันแผล ถ้าท่านเสนาจี่ ต้องการมันท่านก็สามารถใช้เอามันไปได้ ”


เขายิ้มและพูดขึ้น “มันดูแปลก ๆ แต่ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บ แล้วข้าจะนำมันไปเพื่ออะไร?” เขาวางมันลงไปในห่อผ้าแล้วส่งกลับไปให้นาง


“มันดีที่จะเตรียมเอาไว้ ท่านไม่จำเป็นต้องทำใช้จริงหรือๆ?” นางถามอย่างใจเย็นขึ้นอีก


“ไม่ต้อง!” จี่เฟิงหลี่วางคางไว้ที่มือของเขาและพูดขึ้น “ถ้าแผลของเจ้ายังไม่หายเป็นปกติก็แค่เอายาขวดนี้ไป การพันแผลโดยไม่ต้องใช้ยาใด ๆ จะไม่มีประโยชน์ ”


ฮวาจูอวี้ ไม่กล้าที่จะปฏิเสธอีกต่อไป นางรีบหยิบเอาขวดยามาจากพื้นแล้ววางไว้ในห่อผ้าของนาง ก่อนจะเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก นางไม่ค่อยคาดหวังว่าเสนาบดีแห่งอาณาจักรใต้ผู้ยิ่งใหญ่คนที่สามารถปกปิดท้องฟ้าได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว และยังเป็นที่รักของหญิงสาวนับไม่ถ้วนและยังมีแนวโน้มว่าจะมีผู้หญิงหลายคนได้สนิทสนมด้วย เขากลับไม่รู้จักผ้าที่ใช้ปกปิดประจำเดือน แต่ตราบใดที่เขาไม่รู้ นางสบายใจได้


รถม้าเดินทางไปค่อนข้างไกล ก่อนที่จะมาถึงจวนของเสนาจี่ คนรับใช้รีบวิ่งเข้ามาเพื่อยกม่านรถม้าขึ้นและฮวาจูอวี้ก็กระโดดลงไปก่อนพร้อมกับห่อผ้าของนาง นางมองไปข้างหน้าและได้เห็นประตูหินอ่อนสีขาวขนาด 18 ก้าวและรูปปั้นสิงโตสองตัวที่ตั้งอยู่ที่ด้านข้างของประตูทั้งสองด้าน สง่างามและยิ่งใหญ่


หลานปิง พานางไปที่เรือนนอนของนาง ซึ่งตั้งอยู่ในลานอันเงียบสงบที่เรียกว่าซินหยวน จี่เฟิงหลี่ไม่ได้ให้นางอยู่กับทหารคนอื่น ๆ แต่กลับให้อยู่กับหลานปิง การที่ได้อยู่กับหนึ่งในสามคนของผู้ใต้บังคับบัญชาที่น่าเชื่อถือของเขา นางควรจะรู้สึกเป็นเกียรติใช่ไหม?


มันเป็นเวลาที่ดึกมาแล้ว ดวงจันทร์ก็ส่องแสงสว่างในท้องฟ้ายามค่ำคืน


จวนของเสนาจี่เป็นที่รู้จักกันดีในเมืองหลวง ตั้งอยู่หลังจวนเป็นภูเขาขนาดเล็กที่มีทัศนียภาพที่งดงาม ถ้าใครยืนอยู่ที่หน้าต่างทางด้านหลังของเฟิงหยวน เรือนนอนของจี่เฟิงหลี่ จะสามารถเห็นทะเลสาบหยกและเนินเขานับไม่ถ้วนในระยะไกลออกไป


ในช่วงเวลานี้ จี่เฟิงหลี่ ยืนอยู่ใกล้หน้าต่างทางด้านหลัง มองไปที่ดอกบัวที่กระจัดกระจายอยู่บริเวณผิวของทะเลสาบ อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกบัวแม้ว่าจะยังไม่บานเต็มที่ก็ตาม


“ท่านเสนาเราแพ้ให้กับทางนั้น!” ถงโจวก้าวไปข้างหน้าและรายงานอย่างระมัดระวังขึ้น “เสี่ยวหยิน ได้พาแม่นางเหวินวาน ไปที่อาณาจักรเหนือแล้ว ข้ากลัวว่าจะเป็นการยากที่จะช่วยนางในตอนนี้”


ทันใดนั้นจี่เฟิงหลี่ก็หันร่างที่เรียวยาวของเขากลับมา มันถูกอาบด้วยแสงจันทร์แสง ความพร่ามัวค่อยๆตกลงมาบนหน้าตาอันหล่อเหลาของเขา


“ทำไม?” เสียงของเขาเบา แต่ดูเหมือนว่าจะมีร่องรอยของความโกรธที่ไม่สามารถปกปิดได้


“เราจะประสบความสำเร็จอยู่แล้ว แต่ข้าได้ยินมาว่าจู่ๆ รุ่นหวางของตะวันตกหยันโตนเฉียนจิน ก็ได้ปรากฏตัวขึ้น คนของเรากลัวที่จะเปิดเผยตัวตนของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกเหนือจากการหลบหนีมา! “ถงโจวพูดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ” ข้ากลัวว่าแม่นางเหวินว่านจะต้องทนทุกข์ทรมานแล้ว ”


จี่เฟิงหลี่ไม่ได้พูดอะไรแต่กับยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสายตาที่หรี่ลงและไม่สามารถอ่านได้ ในขณะที่แสงจันทร์กวาดผ่านไปทั่วใบหน้าของเขา


“ท่านเสนาจี่ ท่านจำเป็นต้องให้หยวนเป่าอยู่ในจวนด้วยหรือ? ไม่สามารถพูดได้ว่าเขาเป็นสายลับของอาณาจักรเหนือหรือไม่ แต่ตอนที่ทำการล่าสัตว์ในคืนนั้น เสี่ยวหยินช่วยชีวิตเขาไว้โดยไม่คิดถึงความปลอดภัยของตัวเอง แน่นอนว่าเขาต้องมีความสัมพันธ์บางอย่างกับอาณาจักรเหนือ “ถงโจวพูดขึ้นอย่างสงสัย


หลานปิงที่ยืนอยู่ข้างๆ หัวเราะและพูดขึ้น “ถงโจว เป็นเพราะว่าเสี่ยวหยินได้ช่วยเขาเอาไว้โดยไม่คำนึงถึงอันตราย ท่านเสนาจี่ถึงได้ยอมให้เขาอยู่ในจวนแห่งนี้ ข้ากลัวว่าสายลับคนนี้จะไม่ใช่สายลับธรรมดา ดูเหมือนว่าอาการตัดแขนเสื้อนี้ได้แผ่ขยายออกไปทางอาณาจักรเหนือด้วยแล้ว ข้าได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้ฮ่องเต้เหนือก็เก็บเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ เอาไว้เป็นของเล่น”


จี่เฟิงหลี่หรี่ตางลงและนึกถึงคำพูดของฮวาจูอวี้ตอนที่อยู่ในรถม้า “ถ้าท่านเสนาจี่ สนใจในตัวข้า คนตัดแขนเสื้อเช่นข้าก็ไม่รังเกียท่านเสนาจี่ … ” จี่เฟิงหลี่ ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะมีความสามารถในการสร้างปัญหามากเช่นนี้


“หลานปิง เจ้าต้องไม่ปล่อยให้เขารอดพ้นสายตาของเจ้าไปได้ อย่าเปิดโอกาสให้เขาได้ทำอะไรคนเดียว มันจะดีที่สุดถ้าเจ้าจะอยู่เคียงข้างเขาในทุกคืนด้วย “ถงโจวพูดกับหลานปิงขึ้น


หลานปิงเปิดตาของเขากว้างขึ้น เมื่อเขาได้ยินเช่นนี้เขาก็รีบโบกมือไปรอบ ๆ “ถ้าเจ้าต้องการให้ใครสักคนนอนกับเขา เจ้าก็นอนกับเขาเอง ข้าจะทำอย่างไรถ้าเขากลายเป็นสัตว์ร้ายในชั่วข้ามคืน? ”


“เจ้าจะกลัวอะไร? เขาสูญเสียสิ่งที่อยู่ด้านล่างนั่นไปแล้ว เขาจะทำอะไรได้? “ถงโจวหัวเราะเยาะหลานปิง


“นั่นไม่ใช่ความจริงเลย!” หลานปิงส่ายหัว “เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเขายังคงมีมันอยู่ตรงนั่นหรือไม่?”


“เจ้าจะรู้ได้ทันทีเพียงแค่มองครั้งเดียว!” ถงโจว จ้องมองไปที่เขา


“เงียบ!” จี่เฟิงหลี่ พูดออกมาอย่างเย็นชา “ที่จวนได้รับการคุ้มกันอย่างหนาแน่น เขาจะมีบีกและหลบหนีไปหรือ? หลานปิงเจ้าเพียงแค่ต้องระมัดระวังให้มากขึ้นเท่านั้น” ทั้งหมดแม้ว่าจะมองไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่เสียงของเขามีน้ำหนักและมีความรู้สึกเยือกเย็นมาก


ถงโจวและหลานปิง รีบปิดปากของพวกเขา พวกเขาไม่แน่ใจว่าทำไม เสนาจี่ จึงโกรธมากขนาดนี้ แต่พวกเขารู้ว่าควรจะเงียบและหลบไปอย่างไร


จี่เฟิงหลี่ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ปล่อยให้สายลมตอนกลางคืนกระพือผ่านเสื้อคลุมของเขา สร้างเป็นเงาหมอกในแสงจันทร์ขึ้น

 

 

 


ตอนที่ 86.1

 

ซินหยวนเป็นสถานที่ที่เงียบสงบ ห้องพักของฮวาจูอวี้ มีข่าวของตกแต่งที่เรียบง่าย แต่ก็มีของใช้ที่จำเป็นทุกอย่างในชีวิตประจำวัน ความแตกต่างราวกับกลางวันและกลางคืนเมื่อเปรียบเทียบกับคุกหลวง ถ้าคนอื่นปฏิบัติต่อนางด้วยวิธีนี้ นางจะคงซาบซึ้งใจมาก แต่นี่คือจี่เฟิงหลี่ และความเกลียดชังที่ลึกซึ้งที่นางมีต่อเขาก็ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกขอบคุณเขาแม้แต่น้อย


หลังจากล้างหน้าและเปลี่ยนเสื้อผ้าของนางแล้ว ฮวาจูอวี้ก็กำลังจะเข้านอนแต่ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น นางก็เดินไปเปิดประตูและได้รับการต้อนรับด้วยสายตาของหลานปิง ที่เดินเข้ามาอย่างไม่เต็มใจ


ฮวาจูอวี้ ขมวดคิ้ว “ท่านหลานปิง มีเรื่องสำคัญหรือ? นี่มันก็ดึกมากแล้วและท่านยังไม่กลับไปพักผ่อนอีกหรือ? ”


หลานปิง เหลือบไปที่ฮวาจูอวี้ ด้วยท่าทางที่เตรียมพร้อม “ฟังนะ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นพวกตัดแขนเสื้อ แต่อย่ากล้าแม้แต่ที่จะมีสายตาให้กับข้าผู้นี้ ข้าไม่ชอบผู้ชายและมีผู้หญิงที่ข้าชื่นชอบอยู่แล้ว ดังนั้นมันจะดีที่สุดถ้าเจ้าจะอยู่ให้ห่างๆ จากข้าเอาไว้? “หลานปิงเดินไปที่เตียงและปีนขึ้นไป ก่อนจะขยับไปทางมุมที่ไกลที่สุด


สิ่งนี้ทำให้ฮวาจูอวี้ตกใจมาก นางคิดว่านางจะมีห้องพักเป็นของนางคนเดียว ถึงแม้ว่านางจะอยู่กับผู้ชายมาก่อนหน้านี้กับจี่เสี่ยง แต่หน้าที่ของพวกเขาในการอยู่รับใช้องค์รัชทายาทก็แตกต่างกัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ค่อยจะได้นอนในห้องในเวลาเดียวกันเลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้นางจะต้องนอนบนเตียงเดียวกับหลางปิงอย่างนั้นหรือ?


นางมาที่จวนของเสนาจี่ เพื่อเป็นองครักษ์เพื่อดูแลความปลอดภัย ดังนั้นการนอนแบบนี้จึงเป็นเรื่องปกติ นางเห็นได้ชัดจากท่าทางของหลานปิง ว่าเขากลัวที่จะสูญเสียความบริสุทธิ์ของเขา ดังนั้นดูเหมือนจะยังมีวิธีที่จะทำให้นางได้ห้องพักมาเป็นของนางเอง เมื่อเห็นท่าทางของเขาก็ทำให้นางมีความคิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเป่าเทียนให้ดับลงทันที


“หยวนเป่า จุดไฟเอาไว้ ข้าชอบนอนในขณะที่มีแสงไฟ!” หลานปิงบ่นขึ้น


ฮวาจูอวี้ยิ้มอย่างนุ่มนวลขึ้น “ท่านหลานปิงกลัวความมืดหรือ? เช่นนั้นข้าก็จะจุดเทียน ไม่ว่าอะไรที่ท่านหลานปิงต้องการข้าก็จะทำตาม”หลังจากจุดเทียนแล้ว นางก็ดึงผ้าห่มออกและปีนขึ้นไปบนเตียง


หลานปิง ขยับไปด้านหลังอีก เมื่อเขาเห็นว่าฮวาจูอวี้ หันหน้าไปยังทิศทางตรงกันข้ามและไม่นานก็หลับไปอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ยังไม่สามารถพักผ่อนได้อยู่ดี


ความคิดของเขาเริ่มเปิดกว้างขึ้น


ถ้าคนผู้นี้เป็นสัตว์เลี้ยงตัวเมีย แล้วในสายตาของผู้คนเขาก็ไม่ต่างกับผู้หญิง ถ้าเป็นเช่นนั้น การหลับนอนร่วมกับคนตัดแขนเสื้อในคืนนี้เหมือนกับนอนกับผู้หญิงใช่ไหม? แล้วเขาจะขัดเกลาชื่อเสียงของเขาหรือไม่?


ความคิดเหล่านี้ทำให้เขาตื้นขึ้น จู่ๆ ก็ทำให้เขายากที่จะพักผ่อน มือข้างหนึ่งจับอยู่ที่ลำคอและทำให้เขารู้สึกแย่ลง ภายใต้แสงสลัวๆ เขาสามาถมองเห็นคนอีกผู้หนึ่ง ที่ดวงตาของเขากำลังปิดลงพร้อมกับรอยยิ้มที่น่ารื่นรมย์บนริมฝีปากของเขา ราวกับว่าเขากำลังเพลิดเพลินกับความฝันที่งดงาม ในระหว่างที่เขานอนหลับ เขาก็พึมพำคำไม่กี่คำที่น่ากลัวต่อหลานปิงขึ้น “คุณชายที่งดงาม ยิ้มให้ชายชราผู้นี้หน่อย มาให้ชายชราผู้นี้จูบเสียดีๆ ”


เจ้าถงโจว สารเลวนั้นพูดเอาไว้ว่าหยวนเป่า เป็นพวกตัดแขนเสื้อที่ไม่มีอะไรอยู่ด้านล่างแล้ว แต่ทำไมเขาถึงทำตัวเหมือนพวกตัดแขนเสื้อที่อุกอาจเช่นนี้? ถ้าเขานอนหลับไปกับคนตักแขนเสื้อผู้นี้ คนอื่นจะเห็นเขาเป็นชายเก็บของเขาหรือไม่? เขากลัวว่ารอยเปื้อนจากสิ่งนี้จะเลวร้ายยิ่งกว่าการนอนกับผู้หญิงเสียอีก


หลานปิง ผลักฮวาจูอวี้และพูดขึ้น “คนตัดแขนเสื้อหยวน ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้!”


ฮวาจูอวี้ยังคงหลับตาแน่นและพร้อมกับแสดงต่อไป “คนงาม ริมฝีปากของเจ้าช่างอ่อนนุ่มและน่ารักเหมือนกลิ่นน้ำผึ้ง”


หลานปิงทนมาพอแล้ว ใครก็ตามที่อยากจะจับตาดูเขา ก็มาทำเองเถิด เขาจะไม่ทำมันอีกต่อไป โชคดีที่เสนาจี่ ไม่ได้ระบุว่าเขาต้องนอนในห้องเดียวกันกับเพื่อนคนนี้ การนอนอยู่ในห้องที่อยู่ติดกันเขาก็น่าจะยังคงสามารถตรวจสอบการเคลื่อนไหวใด ๆ ในห้องนี้ได้อยู่ หลังจากที่มาถึงข้อสรุปนี้แล้ว เขาก็รีบเดินข้ามฮวาจูอวี้และกระโดดลงไปจากเตียงและรีบวิ่งออกไปทันที

เมื่อเห็นเขาออกไปอย่างรวดเร็ว ฮวาจูอวี้ก็ยืนขึ้นและเป่าเทียนให้ดับลง นางนอนหลับอยู่ในความมืดสนิทจน และรู้สึกว่าหน้าทองของนางบีบรัดขึ้นก่อนจะมีน้ำตาหลุดออกมาจากหางตาของนาง ในขณะที่ความเศร้าโศกอย่างท่วมท้นจับอยู่ที่หัวใจของนาง ครั้งหนึ่งนางเคยเป็นแม่ทัพที่มีอำนาจ แต่ตอนนี้นางต้องทำให้คนอื่นดูหมิ่นนางว่าเป็นพวกตัดแขนเสื้อ แต่นางก็สามารถใช้เอกลักษณ์ของการตัดแขนเสื้อนี้เพื่อปกป้องตัวเองได้


ความทรงจำที่กระพริบอยู่ในความคิดของนาง ตั้งแต่ยังเยาว์วัยนางก็มีชีวิตที่ยากลำบาก เมื่อเทียบกับเด็กที่อายุเฉลี่ยกันแล้ว เมื่อเด็กผู้หญิงคนอื่น ๆ ยังคงถูกกอดเอาไว้ในอกของมารดา บิดาของนางได้ส่งนางไปที่ภูเขาเพื่อรับการฝึกฝนที่หนักหน่วงร่วมกับเด็กกำพร้าคนอื่น ๆ นางต้องเรียนรู้การยิงธนู ขี่ม้าและวิธีการควงดาบและหอก นางฝึกหนักกว่าเด็กผู้ชายคนไหนๆ ด้วยซ้ำ แต่นางก็ไม่เคยบ่น หวังว่าบิดาของนางจะมีความสุข


เมื่อหญิงสาวคนอื่น ๆ กำลังเย็บปักหรือท่องบทกวีในจวนของพวกเขานางไปกับบิดาของนางในสนามรบเพื่อป้องกันศัตรูที่เข้ามารุกราน นางไม่อยากทำให้บิดาของนางผิดหวัง นางจึงเริ่มมีส่วนร่วมในการต่อสู้และช่วยบิดาของนางนำชัยชนะมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า นางคิดว่าเมื่อสงครามในตะวันตก เจียงจบลง วันที่ผ่านมาก็จะผ่านไปอย่างสงบ นางคิดว่าในที่สุดนางก็จะสามารถกลับไปที่เมืองหลวงเพื่อเป็นบุตรสาวธรรมดา ที่ได้สวมชุดแต่งงานและแต่งงานกับผู้ชายที่นางรัก


แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความปรารถนาเท่านั้น ไม่ว่าความฝันจะสุกใสและงดงามแค่ไหน แต่มันก็จะแตกสลายไปได้ในค่ำคืนเดียวที่ผ่านไปกลายเป็นว่างเปล่าที่ไม่เคยมีอยู่จริง ตอนนี้นางกำลังนอนอยู่บนเตียงที่เย็น หลังจากเพิ่งหัวเราะเยาะตัวเอง นางก็ระลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นที่ลานประหารแล้วดวงตาของนางก็กระพริบเป็นประกายเยือกเย็นขึ้น วันหนึ่งหนี้เลือดในครั้งนั้นจะต้องได้รับการชำระคืน


หลังจากที่หลานปิง ตกใจกลัวและจากไป ก็ไม่มีใครมาเรียกร้องเพื่อที่จะแบ่งปันเตียงกับนางอีก วันแรกของนางในจวนอาจจะเรียกได้ว่าดี จี่เฟิงหลี่ ได้บอกว่าเขาเห็นค่าในความสามารถของนางและต้องการให้นางเป็นองครักษ์ของเขา แต่จริงๆวัตถุประสงค์หลักของเขาคือเพียงเพื่อวางนางไว้ภายใต้การจับตาดูของเขา เขาไม่ไว้ใจนาง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้จัดสรรงานใด ๆ ให้นาง และเมื่อใดก็ตามที่หลายปิง ไม่อยู่รอบ ๆ ก็จะมีผู้คุ้มกันสองคนคือจี่สุย  และจี่ เยวี่ย ถูกส่งมาอยู่เป็นเพื่อนนาง แต่ในความเป็นจริงคือส่งมาคอยเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของนาง


นางไม่มีอะไรต้องกลัว เพราะนางไม่มีเจตนาที่จะทำให้เกิดปัญหาใดๆ ในจวนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว นางไม่เห็นจี่เฟิงหลี่ มาหลายวัน ฟังจากที่จี่สุย และจี่เยวี่ยสนทนากัน นางได้เรียนรู้ว่าองค์รัชทายาทหวงฝู่ อู๋ ซวง ถูกปลดจากตำแหน่งและคังหวาง ก็ได้ขึ้นครองราชย์แล้วกลายเป็นฮ่องเต้คังและปีที่ครองราชย์ได้เปลี่ยนเป็นฉิ่งคัง


หลังจากที่คังหวาง ได้เสด็จขึ้นครองบัลลังก์ จี่เฟิงหลี่ ก็ยุ่งมากกว่าเดิม ในฐานะเสนาผู้ช่วย เขามีหลายเรื่องที่จะต้องดูแล รอยยิ้มที่จาง ๆ ผุดขึ้นมาบนริมฝีปากของนาง ฮ่องเต้คังเป็นคนไร้เดียงสามาก เขาไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราชสำนัก ในบรรดา 3 เสนาดีที่เป็นผู้ช่วยของเขา อาจกล่าวได้ว่าราชครูเหวินเองก็เป็นผู้สนับสนุนของจี่เฟิงหลี่ สำหรับเสนาบดีเนียหยวนเฉียว แม้ว่าเขาจะดูเป็นปริศนาและความคิดของเขาก็ยากที่จะเข้าใจได้ และเมื่อหวงฝู่ อู๋ ซวง พบกับปัญหาเขาก็ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือแม้แต่น้อย นางกลัวเวลานี้มันก็จะไม่แตกต่างกันมาก อาจกล่าวได้ว่าพลังอำนาจของอาณาจักรใต้ทั้งหมดอยู่ในฝ่ามือของเสนาจี่เฟิงหลี่แล้ว


แม้ว่าตอนนี้นางกำลังอาศัยอยู่ในที่จวนของเสนาจี่ แต่นางไม่เคยเห็นจี่เฟิงหลี่ มาตั้งแต่คืนแรกแล้ว ไม่มีอะไรที่นางสามารถทำได้ในระหว่างวันที่อยู่ในจวนและนางก็ไม่สามารถติดต่อกับอันเสี่ยวเอ้อร์ ได้ นางแทบไม่แตกต่างจากคนตาบอดและหูหนวก ดูเหมือนว่านางจะไม่มีโอกาสตรวจสอบอะไรเลย นางไม่สามารถทำเช่นนี้ต่อไปได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นนางก็ต้องไปคุยกับจี่เฟิงหลี่ให้ได้


ช่วงสองสามวันที่ผ่านมาจี่สุยและจี่เยวี่ย ตามติดราวกับเป็นหางของนาง พวกเขาไม่ค่อยประทับใจนางตั้งแต่คืนนั้นในภูเขาฉิงเฉิงเมื่อพวกเขาถูกขังอยู่ในค่ายกลของนางและไม่สามารถหาเสนาจี่ ได้ และเพราะนาง พวกเขาถึงถูกลงโทษโดยเสนาจี่ และยังถูกบังคับให้เรียนรู้การสร้างค่ายกลซึ่งไม่เพียง แต่เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจได้ แต่ยังทำให้พวกเขาปวดหัวอีกด้วย


“หยวนเป่า ให้ข้าบอกบางสิ่งบางอย่างกับเจ้า ท่านเสนาจี่ ไปเข้าไปที่วังทุกวันและจะไม่กลับมาจนดึก มันเพียงผ่านไปไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น (11: 00-1: 00), ท่านเสนาจี่ จะไม่อยู่ที่จวนอย่างแน่นอน “จี่สุยพูดขึ้น


“เจ้าคิดว่ามันง่ายที่จะได้พบท่านเสนาอย่างนั้นหรือ?” จี่เหยี่ยเยาะเย้ยขึ้น


ฮวาจูอวี้ไม่สนใจพวกเขาและเดินต่อไปบนเส้นทางที่ปูเป็นทางหินไปทางประตูใหญ่ จี่สุยและจี่เยวี่ย ขวางทางของนางเอาไว้อย่างรวดเร็ว นางส่งรอยยิ้มที่มีประกายเยือกเย็นก่อนจะพูดขึ้น “ข้าไม่ได้จะจากไป คงไม่ใช่ว่าข้าจะยืนอยู่ใกล้ประตูก็ไม่ได้นะ? ”


“ไม่ได้!” ทั้งสองพูดขึ้นอย่างเด็ดขาด


ในขณะที่พวกเขาอยู่ในการเผชิญหน้ากัน รถม้าที่หรูหราก็เข้ามาในจวน จากท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม สายของหยกที่แขวนอยู่ทั้งสี่ทิศทางของรถม้าได้ปิดบังผู้โดยสารที่อยู่ภายในเอาไว้ รถม้าถูกดึงโดยม้าสีขาวราวกับหิมะอย่างดีและมีขนาดใหญ่พอที่จะรองรับคนได้ถึง 8 คนอย่างสบายๆ มันแสดงให้เห็นว่าคนที่อยู่ข้างในเป็นพิเศษแค่ไหน และมันคงเป็นใครอื่นไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่จี่เฟิงหลี่


จี่สุยและจี่เยวี่ย รีบก้าวไปข้างหน้าโดยลดศีรษะลง ฮวาจูอวี้ก็ทำเช่นกันปล่อยให้รถม้าผ่านไปก่อน ก่อนจะเดินตามไป เมื่อมันหยุดอยู่ตรงเรือนของจี่เฟิงหลี่ ม่านก็ถูกยกขึ้นและจี่เฟิงหลี่ก็ก้าวออกมา


ฮวาจูอวี้เดินตามหลังเขาไปอย่างเงียบ ๆ เขามองมาที่นางก่อนที่จะมองไปที่จี่สุยและจี่เยวี่ย ก่อนที่หัวคิ้วของเขาจะขมวดขึ้นเล็กน้อย


“หยวนเป่า เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” ถงโจว หัวเราะเยาะขึ้น


ฮวาจูอวี้ สงสัยว่าถงโจวเป็นราชาแห่งนรกที่กลับชาติมาเกิดขึ้นหรือไม่ ไม่เพียงแต่รูปร่างหน้าตาของเขาเท่านั้น แต่เสียงของเขาก็ดำมืดและหนัก


“แน่นอนเพื่อมารับคำสั่งของข้า ข้ามาอยู่ที่จวนท่านเสนา เพื่อทำงานให้กับท่านเสนาจี่ ดังนั้นท่านเสนามีงานใดๆ จะมอบหมายให้ข้าทำหรือไม่? “ฮวาจูอวี้ ถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม


ยืนอยู่ข้างหน้ารถม้า จี่เฟิงหลี่ ยังคงมียิ้มอย่างเห็นได้ชัดเช่นเดิม ในขณะที่เขามองอย่างไม่สนใจไปที่นาง ก่อนจะพูดขึ้น “เอาล่ะข้าตั้งใจจะออกไปข้างนอก เจ้าสามารถไปเป็นเพื่อนข้าได้ ”


เขาเดินเข้าไปในห้องของเขาเพื่อเปลี่ยนจากเสื้อคลุมของขุนนางที่เป็นทางการออกและสวมชุดสีดำแบบสบาย ๆ ทำให้เขามีลักษณะของบัณฑิต  พวกเขาออกไปพร้อมกับถงโจวด้วยรถม้าธรรมดาแทนรถม้าที่หรูหราก่อนหน้านี้ รถม้าเดินทางไปตามถนนเป็นเวลานาน ก่อนที่จะหยุดที่ประตูหลังบ้านหลังหนึ่ง


จี่เฟิงหลี่ยกม่านขึ้นก่อนจะสำรวจรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างดูปกติ เขาก็ลงจากรถม้าและเดินไปที่หน้าประตู ก่อนจะเคาะเบา ๆ ฮวาจูอวี้ก็ออกมาจากรถม้าในเวลาเดียวกัน เมื่อดูจากสถานการณ์มันเหมือนกับว่าจี่เฟิงหลี่มาหาคนรักอย่างลับๆ แต่เมื่อประตูหลังเปิดออก คนรับใช้หนุ่มคนหนึ่งก็ออมาทักทายจี่เฟิงหลี่ด้วยความเคารพและยินดีต้อนรับเขาเข้าไป

 

 

 


ตอนที่ 86.2

 

เดินผ่านประตูหลังเข้าไป พวกเขาถูกนำทางผ่านสวนดอกไม้ที่เต็มไปด้วยดอกไม้ทุกชนิดที่บานอยู่ภายใต้แสงแดด จากมุมมองนี้เราสามารถสรุปได้ว่าบ้านหลังนี้ถูกดูแลเป็นอย่างดี ใครจะรู้ บางทีอาจจะมีหญิงสาวคนหนึ่งรอจี่เฟิงหลี่อยู่จริงๆ ก็ได้


พวกเขาเดินตามไปตามโถงทางเดินยาว ก่อนจะขึ้นบันไดขึ้นไปที่ชั้นสองในที่สุดก็หยุดอยู่หน้าประตู สาวใช้ที่ดูดีคนหนึ่งกำลังเปิดประตูออกมา เมื่อเห็น จี่เฟิงหลี่ ใบหน้าของนางก็สว่างขึ้นและนางก็มีรอยยิ้มสดใส ก่อนจะตะโกนขึ้น “พี่สาวหยู หยวน ท่านเสนาจี่ มาถึงแล้วเจ้าค่ะ!”


ฮวาจูอวี้ เดินตามจี่เฟิงหลี่ เข้าไปในห้อง ตอนที่นางก้าวเข้ามานางก็รู้ว่านางอยู่ที่ไหน ความสงสัยแรกของนางคือกลิ่นของเหล้าที่อยู่ในทางเดินซึ่งทำให้นางสงสัยว่านี่เป็นที่พักของขุนนางหรือไม่ ตอนนี้เมื่อมองไปรอบ ๆ ห้องมันก็ยิ่งชัดเจน จากการตกแต่งที่คลุมเครือ เช่นฉากที่มีลวดลายของดอกไม้สองดอกที่ห้อยลงมาจากก้านหนึ่ง ซึ่งเป็นประเพณีที่ใช้เพื่อเป็นตัวแทนของคู่แต่งงาน ไปจนถึงผ้ามัสลินสีแดงที่แขวนอยู่ทุกหนทุกแห่ง เพิ่มไปด้วยกลิ่นหอมที่รุนแรงของเครื่องหอม แสงเลือนรางภายในห้องและปิดเอาไว้อย่างแน่นหนาและเต็มไปด้วยผ้าม่านแม้ว่ามันจะเป็นช่วงกลางของวัน


ที่นี่เป็นหอนางโลม!


จี่เฟิงหลี่ พานางมาที่หอนางโลมหรือ!


นางรู้สึกประหลาดใจ เพราะนางไม่คิดว่าจี่เฟิงหลี่จะมายังสถานที่ดังกล่าว


คำตอบที่นุ่มนวลดังมาจากด้านหลังฉาก ก่อนที่จะถูกเปิดออก เผยให้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้ากระจก จากรูปลักษณ์ของนางเห็นได้ชัดว่านางเพิ่งตื่น ทั้งสถานที่เต็มไปด้วยความเงียบ เรื่องนี้เกิดขึ้นเนื่องจากหญิงสาวที่ทำงานในหอนางโลมมักจะทำงานล่วงเวลาและนอนหลับในระหว่างวัน หญิงสาวเสนอภาพที่น่าสนใจมาก กับผมของนางในทรงขนมปังต่ำ เสื้อผ้าของนางบางส่วนพาดไปทั่วร่างกายของนางและปิ่นปักผมหยกที่อยู่ในมือของนางพร้อมที่จะติดมันกับผมของนาง


จี่เฟิงหลี่ เดินเข้าไปและวางข้อศอกของเขาไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง ด้วยมืออีกข้างหนึ่ง เขายกคางของนางขึ้นและยิ้ม ในขณะที่พูดขึ้นเบาๆ “อาหยวน งดงามขึ้นทุกวันจริงๆ!”


หยู หยวน มองไปที่เขาท่าทางน่ารัก พร้อมกับกัดริมฝีปากของนาง ก่อนจะพูดขึ้น “ท่านเสนาจี่ เพียงแต่รู้วิธีหยอกล้อคนอื่น ๆ ถ้าอาหยวนงดงามขึ้นทุกวันจริงๆ แล้วทำไมท่านเสนาจี่ ไม่มาหาอาหยวนเป็นเวลานานเช่นนี้? ถ้าอาหยวนไม่ส่งคำพูดบอกว่ามีเรื่องสำคัญต้องการจะพูดคุยด้วย บางทีท่านเสนาจี่อาจจะไม่มาเลยด้วยซ้ำ ใช่ไหมเจ้าค่ะ? ”


“ข้าก็อยู่ที่นี่แล้วไม่ใช่หรือ? อาหยวนต้องการพบข้าด้วยเรื่องอันใดหรือ “จี่เฟิงหลี่ ยิ้มให้ ดวงตาสีดำที่หรี่ลงของเขาสะท้อนแสงจากโคมไฟ ส่องสว่างไปพร้อม ๆ กับความเฉลียวฉลาดที่อยู่ภายใน


“ความปรารถนาของอาหยวน ท่านเสนาจี่ไม่ทราบหรือไม่เจ้าค่ะ?” หยู หยวน มองไปที่เขาด้วยท่าทางที่มีความหมาย


“นั่นคือสิ่งที่อาหยวน ต้องการจริงๆหรือ?” เสียงของเขาฟังดูเฉื่อยชาเล็กน้อย แต่นอกเหนือจากนั้นก็ยังไม่ได้เปิดเผยความรู้สึกใด ๆ มือของเขาเอื้อมออกไปจับใบหน้าของนางและนางก็ใช้มือกอดไปที่คอของเขาในทันที


เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะจ้องมองไปที่โฉมงามที่อยู่ภายในอ้อมแขนของเขา โคมไฟส่องแสงอ่อน ๆ ลงไปบนใบหน้าของเขา ดวงตาของเขาลดลง ในขณะที่ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย นิ้วเรียวยาวของเขาเอื้อมมือออกไปดึงปิ่นปักผมที่ปักอยู่ในทรงผมขนมปังออก แล้วในทันทีผมของนางคลายตัวออก ก่อนจะตกลงไปที่ด้านหลังและด้านข้างของนาง ทำให้เสื้อคลุมสีแดงของนางตกลงไป เผยให้เห็นชุดชั้นในสีชมพูของนางขึ้นทันที


เหลือบไปที่ชุดชั้นใน เขาก็ยิ้มและเอนตัวลงไปก่อนจะวางริมฝีปากของลงไปที่ลำคอของนางอย่างนุ่มนวล ทำให้นางสั่นสะเทือนขึ้นโดยไม่รู้ตัว นางหายใจเข้าแรงๆ ก่อนจะดึงชุดชั้นในของนางทิ้งไปที่พื้น ก่อนจะเอนตัวลงไปและยึดจี่เฟิงหลี่เอาไว้แน่น วางหน้าอกที่ไม่ยุติธรรมของนางไปที่เขา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่มีเสน่ห์เป็นประกายด้วยความรักอันอ่อนหวาน


เขายิ้มขึ้นเล็กน้อย แต่ก็เพียงพอที่จะสะกดจิตวิญญาณของนางทั้งหมดได้แล้ว


ฮวาจูอวี้ถึงกับตกตะลึงกับฉากที่เกิดขึ้นตรงหน้าของนาง จี่เฟิงหลี่ คงไม่ได้วางแผนที่จะทำอย่างนั้นต่อหน้านางใช่ไหม? เขาเป็นคนไร้ยางอายจริงๆ และผู้หญิงคนนั้นด้วย ยังมีคนนอกอยู่ในห้อง พวกเขาไม่มีความรู้สึกอับอาย แม้แต่น้อย


นางรีบหันหลังจากไป นางควรจะใช้โอกาสนี้เพื่อหลบหนีไป แต่ใครจะรู้ทันทีที่นางเปิดประตูออก ก็มีคนเฝ้าประตูอยู่ที่นั่นแล้ว ถงโจวมาถึงเมื่อไหร่กัน?


ฮวาจูอวี้ยิ้มและถามขึ้นทันที “ถงโจว พวกเราเปลี่ยนสถานที่กันได้ไหม?”


ถงโจวสมชื่อของเขาจริงๆ เหมือนกับว่าร่างกายของเขาถูกทำมาจากทองแดง (ถง) เขาไม่ได้แม้แต่จะเหลือบมองมาที่นาง เห็นได้ชัดว่าเขาพบว่านางน่าขยะแขยง เขาผลักฮวาจูอวี้ กลับเข้าไปด้านในและกระแทกประตูปิดลง


ฮวาจูอวี้ ไม่มีทางเลือกอื่น นางจึงทำได้เพียงหาเก้าอี้นั่ง ในขณะที่นางวางแก้มลงไปบนฝ่ามือของนางเท่านั้น


ครึ่งบนของหยู หยวน ถูกถอดออกหมดแล้วอย่างเปลือยเปล่า ตอนนี้นางกำลังพยายามถอดเสื้อผ้าของจี่เฟิงหลี่ออก การเคลื่อนไหวของนางคล่องแคล่วและว่องไว และหลังจากเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยนางก็ถอดเสื้อนอกออกได้แล้ว


หัวคิ้วของจี่เฟิงหลี่ขมวดขึ้น มือของเขาวางไว้บนเอวของนางก่อนจะหยิกนางขึ้นเบาๆ หยู หยวน ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะคร่ำครวญขึ้น “ท่านเสนาจี่ ท่านร้ายกาจมาก!”


“ข้าร้ายกาจอย่างไรหรือ?” จี่เฟิงหลี่ ผลักหยู หยวนออกไปด้านข้าง ก่อนจะค่อยๆพิงหลังกับเบาะนั่งอย่างช้าๆ และถามขึ้นอย่างเฉื่อยชา


“แม้ว่าข้าจะรู้ว่าท่านเสนาจี่ กำลังล้อเล่นกับข้าอยู่ แต่ดู ข้าได้ทำเพื่อท่านมากแค่ไหน ข้าไม่มีความปรารถนาอื่นใด ข้าเพียงต้องการใช้ค่ำคืนร่วมกับท่านเพียงคืนเดียวเท่านั้น มันจะเป็นไปไม่ได้เลยหรือ? “หยู เหยาถามขึ้น เสียงของนางเต็มไปด้วยความคับข้องใจ ในขณะที่หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาใส่


“อาหยวน ไม่ใช่ข้าไม่อยากเล่นกับเจ้า เพียงแค่ว่า… ” จู่ๆ สายตาของจี่เฟิงหลี่ ก็มองไปที่ฮวาจูอวี้ ด้วยรอยยิ้มที่มีเสน่หาจนทำให้คนหายใจไม่ออก


ฮวาจูอวี้ถึงกับตกตะลึง จี่เฟิงหลี่ ต้องการทำอะไรกันแน่?


ใบหน้าของหยู หยวนกลายเป็นสีซีดราวกับคนตาย


“ท่านเสนาจี่ คงไม่ใช่ว่าท่าน ท่านสนใจเขาจริงๆใช่ไหมเจ้าค่ะ” หยู หยวนยกมือขึ้นและชี้ตรงไปที่ฮวาจูอวี้


จี่เฟิงหลี่ไม่ได้ตอบ แต่ดวงตาของเขาก็จ้องมองไปที่ฮวาจูอวี้ราวกับเขามีความรักมากมาย เหมือนกับว่าเขาอยากจะดึงนางเข้าไปในส่วนลึกในดวงตาของเขา ถ้านางไม่รู้อะไรเลย นางก็คิดว่านางอาจจะถูกดึงดูดด้วยสายตาของเขา


มือของหยู หยวน เริ่มสั่น แม้แต่ขาของนางก็ดูเหมือนจะไม่มีกำลังที่จะยืนขึ้น นางใช้โต๊ะที่อยู่ข้างหลังของนางเพื่อพยุงตัวเองขึ้น  ดวงตาที่มีเสน่ห์ของนางเริ่มดำมืดขึ้น ในไม่ช้านางก็เริ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ไม่แปลกใจเลย ไม่แปลกใจเลย!”


ฮวาจูอวี้ที่นั่งเงียบ ๆ อยู่ที่เก้าอี้ของนาง ทำได้เพียงแค่ยิ้มอย่างเดียว ชื่อเสียงของนางมันก็ไม่ดีอยู่แล้ว นางกลัวว่าความประพฤติไม่ดีเรื่องตัดแขนเสื้อของนางได้แผ่กระจายไปทั่วอาณาจักรใต้แล้ว แต่แล้วจี่เฟิงหลี่เล่า? ทำไมเขาถึงทำแบบนี้? เขาไม่กลัวเรื่องนี้จะทำลายชื่อเสียงของเขาหรือ


ฮวาจูอวี้ รู้สึกปวดหัวมาก แม้แต่การที่ปลอมตัวเป็นผู้ชาย นางยังคงต้องอยู่ภายใต้การเป็นปฏิปักษ์กับผู้หญิงในเมืองหลวงอีกหรือ? จี่เฟิงหลี่ เจ้ากำลังเล่นอะไรอยู่?

 

 

 


ตอนที่ 87.1

 

ฮวาจูอวี้ และจี่เฟิงหลี่ ได้ปะทะกันมาสองสามรอบแล้ว นอกจากนี้เพื่อที่จะรู้จักเขามากขึ้น นางได้ส่งคนไปตรวจสอบเขาอย่างลับๆ ถ้าเขาเป็นเพียงคนธรรมดานางก็จะได้พบจุดอ่อนของเขา แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่ได้ค้นพบมันแม้แต่ข้อเดียว


พื้นหลังครอบครัวของเขาสะอาดและเรียบง่าย บิดาของเขาเป็นอาจารย์สอนสถาบันของราชสำนักและมารดาของเขาเป็นผู้หญิงที่ทำไร้ทำนา ทั้งสองตายไปแล้ว เมื่อจี่เฟิงหลี่ ได้สอบจอหงวนและผ่านกลายเป็นบัณฑิตตั้งแต่เด็กมีขุนนางเป็นจำนวนมากที่มาพร้อมกับเงินและผู้หญิง เพื่อประจบสอพลอเขา แต่เขาก็ยังคงไม่ไหวติง เมื่อถึงเวลาที่เขากลายเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้าย เขาก็ยังคงเป็นบุคคลที่ขาวสะอาดเหมือนเดิม เขาไม่แม้แต่จะนำอนุสักคนเข้ามาในจวนของเขา


เสนาบดีฝ่ายซ้ายที่ไม่มีการผ่อนปรนแม้แต่เล็กน้อย ทำให้เกิดความรู้สึกกลัวอยู่ลึก ๆ ภายในจิตใจของขุนนางคนอื่น ๆ


แต่คืนนี้ จี่เฟิงหลี่กำลังคลอเคลียอยู่กับหญิงนางโลม ต่อหน้าต่อตาของนางและแม้กระทั่งมองนางด้วยสายตาเช่นนั้นอีก ถ้ามีคนบอกว่านี่คือจุดอ่อนของเขา บางทีคนอื่นอาจจะเชื่อ แต่ฮวาจูอวี้ไม่อาจลืมความรังเกียจที่มีอยู่ในดวงตาของเขาเมื่อเขาพูดคำว่าตัดแขนเสื้อขึ้นได้ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ไม่มีทางที่เขาจะเป็นหนึ่งในคนพวกนั้น นอกจากนี้ยังเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมีความชอบพอต่อนาง


มีเหตุผลพอสมควรที่จะบอกว่าหลังจากที่ได้พูดคุยกับเขาหลายครั้งและได้สอบสวนเขาอย่างลับๆแล้ว นางก็ควรจะรู้จักเขาดีขึ้นในขณะนี้ แต่ฮวาจูอวี้ยังไม่เข้าใจผู้ชายคนนี้ กับฝ่ายตรงข้ามที่มีตัวตนที่ไม่สามารถอ่านได้ นางรู้สึกว่าติดอยู่ในสถานะของการตั้งรับเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตามมันไม่ได้อยู่ในธรรมชาติของนางที่จะถูกจูงจมูกโดยคนอื่น


นางแสร้งยิ้มและพูดขึ้น “ท่านเสนาจี่ ช่างรู้วิธีที่จะล้อเล่นจริงๆ ท่านเสนาจี่จะสามารถมาสนใจผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้ได้อย่างไร ถ้าท่านเสนาจี่ สนใจในตัวผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้อย่างแท้จริง แล้วเหตุใดท่านถึงได้แสดงความสนใจต่อแม่นางหยู หยวนต่อหน้าข้าผู้น้อยเช่นนี้เล่า ”


จี่เฟิงหลี่ ไม่ได้โกรธแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามเขาหัวเราะอย่างรื่นเริงและชี้ไปที่ฮวาจูอวี้ ก่อนจะพูดขึ้น “เขาโกรธ!” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความสุขที่เกินจะพูดออกมาได้


ฮวาจูอวี้ถึงกับตัวสั่นเทา แทบทะลุขนลุกขึ้นในทันที


“ถ้า อาหยวน ไม่มีอะไรจะหารืออีก ข้าคงจะต้องขอตัว!” จี่เฟิงหลี่ พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มบางเบา ในขณะที่เขายืนขึ้น


“ท่านเสนาจี่ หยู หยวน มีข่าวที่จะรายงาน เมื่อคืน … . “หยู หยวนก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมกับยืนด้วยปลายเท้าของนาง ก่อนจะกระซิบคำไม่กี่คำในหูของเขา ฮวาจูอวี้ ยืนอยู่ห่างเกินไปจึงได้ยินเพียงคำพูดอย่าง เสนาเนียและขุนนางคนอื่น ๆ เห็นได้ชัดว่าผู้ชายจากจวนตระกูลเนีย ก็มาเยี่ยมหอนางโลมแห่งนี้ และเมื่ออยู่ในอาการมึนเมา หยู หยวน คงจะประสบความสำเร็จในการจับหาข้อมูลบางอย่าง


จี่เฟิงหลี่ ฟังอย่างเงียบ ๆ ดวงตาหงส์ของเขาหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะกระพริบด้วยแสงสว่างขึ้นภายในห้องที่มีแสงสลัวๆ เมื่อพูดจบหยู หยวน ก็มองเขาด้วยท่าทางไม่เต็มใจ ไม่เต็มใจที่จะปล่อยเขาไป แล้วนางก็พูดขึ้น “ถ้าท่านเสนาจี่ ไม่สามารถให้ช่วงเวลาแห่งความอ่อนโยนกับหยู หยวนได้ อย่างน้อยท่านก็น่าจะให้ข้าได้จูบท่าน?”


จี่เฟิงหลี่ เอียงศีรษะลงเล็กน้อยและหยู หยวน ก็จูบลงไปที่มุมของริมฝีปากของเขา เขายกมือขึ้นเพื่อจับแก้มของนางและพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “อาหยวน ข้าทำให้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมาน เมื่อไหร่ที่เจ้ารู้สึกเบื่อที่จะทำเช่นนี้ ข้าผู้นี้จะช่วยหาสามีที่ดีให้กับเจ้า ข้าต้องไปแล้ว”


คนสามคนเดินผ่านประตูหลังและขึ้นรถม้าออกไป ฮวาจูอวี้ นั่งอยู่ด้านหนึ่งของรถม้าและจี่เฟิงหลี่ก็นั่งอยู่อีกด้าน ถงโจวถูกทิ้งให้เป็นคนถือบังเหียนรถม้า


ในเวลานี้ จี่เฟิงหลี่ ไม่ได้อยู่ในท่าทางที่อ่อนโยน แต่ดูเหมือนจะเหน็ดเหนื่อย ฮวาจูอวี้ รู้สึกสงสัย เห็นได้ชัดว่าจี่เฟิงหลี่ ไม่ได้ทำอะไรเลย ทำไมเขาถึงดูเหนื่อยเช่นนี้


ถงโจว ยกม่านรถม้าขึ้นและมองเข้าไปด้านใน เขาถามด้วยเสียงต่ำ ๆ ขึ้น “ท่านเสนาจี่ หยู หยวนคนนี้ .. ” จากนั้นเขาก็เหลือบมองไปที่ฮวาจูอวี้


จี่เฟิงหลี่ที่นั่งเอนกายลงไปบนที่นั่งในรถม้า  กำลังนวดหน้าผากของเขา เมื่อมองไปที่ฮวาจูอวี้ เขาก็ยิ้มและพูดขึ้น “ถ้าเจ้ามีเรื่องที่จะพูดก็ให้พูด ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับเป่าเอ้อร์! ”


ฮวาจูอวี้ขมวดคิ้วขึ้นทันที จี่เฟิงหลี่กำลังพูดถึงนางอย่างสนิทสนมราวกับว่านางเป็นสัตว์เลี้ยงของเขาจริงๆ!


“หยู หยวนเริ่มมีความกล้าหาญมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่สามารถเก็บไว้ได้!” ถงโจวพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำ


“ไม่จำเป็น เรายังคงต้องการความช่วยเหลือจากนางในการเผยแพร่ข่าวออกไป นอกจากนี้ก็ไม่คุ้มค่ากับการที่เราจะต้องลงมือ! “จี่เฟิงหลี่พูดขึ้นเบา ๆ อย่างไม่รีบร้อน


หัวคิ้วของฮวาจูอวี้ขมวดขึ้นอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเปลือกนอกหยู หยวนผู้นี้กำลังแสดงละครเพื่อจี่เฟิงหลี่ แต่ที่จริงแล้วก็คือเบี้ยของคนอื่น


นางเชื่อว่าข่าวที่จี่เฟิงหลี่ หมายถึงต้องเกี่ยวข้องกับนาง ดังนั้นนางจึงถามขึ้น “จี่เฟิงหลี่ สุดท้ายแล้วท่านต้องการจะทำอะไรกันแน่?”


จี่เฟิงหลี่ ไม่ตอบ แต่กลับยิ้มขึ้นแทน “ข้าเหนื่อยและจะงีบหลับ สิ่งที่ต้องพูดก็เอาไว้พูดคุยในภายหลัง ” พูดเสร็จแล้วเขาก็เอนตัวลงไปบนที่นอน ก่อนจะหลับตาลง หลังจากครู่หนึ่ง เขาก็ดูเหมือนจะหลับไปอย่างรวดเร็ว เส้นผมสองสามเส้นตกลงมาบนหน้าผากของเขา ปกคลุมใบหน้าที่งดงามครึ่งหนึ่งของเขาเอาไว้ หัวคิ้วที่เผยออกมาของเขาดูเรียบเนียนและขนตาที่ราวกับน้ำหมึกที่ยาวและหนาของเขาทำให้เกิดเป็นเงารางๆ ลงไปบนใบหน้าของเขา


เมื่อตระหนักถึงผิวของจี่เฟิงหลี่ ค่อนข้างซีด นางก็ไม่สามารถช่วยได้ที่จะรู้สึกงงงงวย เขาสบายดีก่อนหน้านี้ ดังนั้นทำไมจู่ๆ เขาถึงได้อ่อนล้าขึ้นมาเช่นนี้?


ระหว่างการเดินทางกลับ ฮวาจูอวี้ ก็หายเข้าไปในความคิดของตัวเองขณะที่จี่เฟิงหลี่ ก็หลับตลอดทาง ก่อนที่จะตื่นขึ้นมาเมื่อพวกเขากลับมายังจวนแล้วเท่านั้น


“ท่านเสนาจี่ ท่านหลับเป็นอย่างไรบ้าง? ทำไมท่านถึงได้ดูเหนื่อยมากก่อนหน้านี้? “ฮวาจูอวี้ยิ้มขึ้นเล็กน้อย นางต้องการให้เขาอธิบายเหตุผลที่นางอยากรู้


จี่เฟิงหลี่เหลือบมองไปที่อวาจูอวี้และพูดด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยล้าขึ้น “ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เป่าเอ้อร์เริ่มเป็นกังวลเกี่ยวกับข้า? คงไม่ใช่ว่าเป่าเอ้อร์สนใจในตัวข้า และต้องการจะกลายเป็นสัตว์เลี้ยงตัวผู้ของข้าหรอกนะ? “

 

 

 


ตอนที่ 87.2

 

ฮวาจูอวี้แข็งค้างไปชั่วครู่ แต่หลังจากนั้นไม่นาน นางก็เผยให้เห็นรอยยิ้มที่สดใสของนาง “ท่านเสนาจี่ ท่านบอกว่าท่านสนใจในตัวข้าต่อหน้าคนอื่น แต่ตอนนี้ท่านกลับทำเป็นไม่รู้ในเรื่องนี้หรือ? ท่านเสนาจี่ชื่นชอบในตัวข้า ต้องเป็นธรรมชาติที่ข้าจะรู้สึกยินดี ”


ไม่ใช่ว่าเจ้าหรอกหรือที่อยากจะเล่นละคร เช่นนั้นก็เล่นละครต่อไป มาดูซิว่าใครจะสามารถเล่นไปได้จงถึงตอนสุดท้าย ใครสนใจ นางรู้อยู่แล้วว่าจี่เฟิงหลี่จะไม่สนใจในผู้ชาย


“เมื่อไหร่ที่ข้าทำเป็นไม่รู้เรื่องนั้น! ข้าแค่กลัวว่าเป่าเอ้อร์จะไม่ชอบข้าคนนี้! ถ้าเป็นเช่นนั้น มันก็ดีจริงๆ! “แม้ว่าจี่เฟิงหลี่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและอ่อนหวาน แต่สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน


ในขณะที่มือไขว่หลัง เขาก็ลงไปจากรถม้าและฮวาจูอวี้ก็รีบตามลงไป


ท้องฟ้าค่อยๆมืดขึ้นเรื่อยๆ


จี่เฟิงหลี่เอนกายลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ใต้ต้นหอมหมื่นลี้ในเรือนเฟิงหยวน เขากำลังเพลิดเพลินไปกับชาของเขา วางอยู่บนโต๊ะข้างหน้าของเขาเป็นอาหารเบา ๆสองสามอย่าง


หลายปิง รีบเข้ามาและนั่งลงตรงหน้า จี่เฟิงหลี่ ก่อนจะถามอย่างระมัดระวังขึ้น “ท่านเสนาจี่ ถงโจว พูดความจริงหรือ?”


“แล้วถงโจว พูดว่าอย่างไร?”จี่เฟิงหลี่ ถามขึ้นช้า ๆ


ใบหน้าของหลานปิง บิดเบี้ยวและไม่นานหลังจากนั้นเขาก็มีความกล้าที่จะพูดด้วยน้ำเสียงหนัก ๆขึ้น “เขาบอกว่าท่านเสนาจี่ ชื่นชอบหยวนเป่า”


หัวคิ้วของจี่เฟิงหลี่ขมวดขึ้น ก่อนที่เขาจะถามขึ้น “แล้วความคิดของเจ้าเล่าเป็นอย่างไร?”


หลานปิง อยู่ในความเงียบไปสักครู่ ก่อนที่จะตอบขึ้น “ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้ไม่แน่ใจ แต่ท่านเสนาจี่ ไม่ได้แสดงความสนใจในตัวแม่นางเหวินว่านหรือองค์หญิงสาม ดังนั้นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาคนนี้จึงสงสัยว่าท่านเสนาจี่ตัดแขนเสื้อหรือไม่! ”


จี่เฟิงหลี่ กำลังเอื้อมมือออกไปที่จานถั่วลิสงและเมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้การเคลื่อนไหวของเขาก็หยุดลง หัวคิ้วของเขาขมวดขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะพูดขึ้น “ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้ตัดแขนเสื้อ!”


“ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้ยังได้ยินจากถงโจวอีกว่า หยู หยวน จากหอเมามาย กล้าที่จะใช้เสน่ห์จากความงามกับท่านในวันนี้ ถ้าท่านเป็นชายธรรมดาทั่วไป ทำไมท่านถึงไม่หลงไปกับเสน่ห์ของนาง? “หลานปิง รู้สึกว่ามันยากที่จะเข้าใจ


จี่เฟิงหลี่มองไปที่เขาอย่างเยือกเย็น “มันเป็นเพียงเสน่ห์ของความงาม ไม่เพียงพอที่จะทำให้ข้ามีช่วงเวลาที่ยากลำบาก ข้าเพียงแค่ต้องใช้กำลังภายในของข้าเพื่อต่อต้านมันเท่านั้น ”


หลานปิง หัวเราะ “เช่นนั้นท่านคงต้องเสียพลังงานไปไม่น้อย แต่โดยการทำเช่นนั้นหยู หยวน จะไม่สังเกตเห็นว่าท่านเสนาจี่ รู้จักศิลปะการต่อสู้หรือ? ”


จี่เฟิงหลี่ ตอบขึ้น”เสน่ห์ของความงามไม่ได้ผลกับผู้หญิงหรือผู้ชายที่ตัดแขนเสื้อ”


“มันเป็นแบบนี้นี่เอง!” แล้วหลานปิงก็ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ “ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้รู้ว่าท่านเสนาจี่ ทำเพราะมีจุดประสงค์ แต่ท่านเสนา ท่านทำให้ข้าตกใจจริงๆ ถ้าท่านเกิดตัดแขนเสื้อและหลานปิงต้องติดตามท่านทุกวัน ข้าคงจะต้องระมัดระวังและกังวลในการสูญเสียความบริสุทธิ์ของข้า” ทันทีที่คำพูดออกมาจากปากของเขา เขาก็รู้สึกว่ากระแสลมกำลังตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขารีบปิดปากของเขาลงทันที โชคดีที่ฟันของเขาได้หยุดวัตถุบางอย่างซึ่งมันก็กลายเป็นถั่วลิสงเอาไว้ได้ทันเวลาพอดี


หลานปิง กลืนมันลงไปอย่างรวดเร็วและยังคงถามขึ้น “ท่านเสนาจี่ ท่านจะปล่อยให้หยวน เป่า ทำลายชื่อเสียงของท่านจริงๆ หรือ?”


“นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการ ถ้าไม่ใช่เช่นนั้น ข้าก็คงจะไม่พาเขาไปที่หอนางโลมตั้งแต่แรกแล้ว” จี่เฟิงหลี่เอนตัวลงไปบนที่นั่ง ไอน้ำได้ระเหยออมาจากถ้วยน้ำชาของเขา สะท้อนให้เห็นถึงสายตาที่ราวกับน้ำหมึกของเขาที่มีความอ่อนโยนและสดใสอยู่ภายใน


ข่าวลือเริ่มแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วกว่าความคิดของคน หลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ข่าวก็แผ่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง ว่าเสนาบดีฝ่ายซ้ายชอบฮวาจูอวี้ นี่เป็นครั้งที่สองที่ ฮวาจูอวี้ กลายเป็นที่รู้จักและเป็นที่กล่าวถึงในหัวข้อของการสนทนาของผู้คนในอาณาจักรใต้


ในเดือนที่หกของปีนั้นเขื่อนซองเจียงถล่มและเสนาบดีจี่เฟิงหลี่ก็ได้รับมอบหมายให้ไปแก้ไขปัญหาดังกล่าว ในระหว่างการเดินทาง เขาไม่ลืมที่จะพาฮวาจูอวี้ไปด้วย เพื่อตอกย้ำความถูกต้องของข่าวลือ


ฮวาจูอวี้ ไม่เข้าใจว่าทำไมจี่เฟิงหลี่ ถึงต้องพานางมาด้วย นอกจากนี้นางไม่สามารถเข้าใจเหตุผลว่าทำไมจี่เฟิงหลี่ ผู้ซึ่งถืออำนาจอยู่ในมือของเขาถึงได้ตัดสินใจที่จะรับมือกับปัญหาน้ำท่วมในครั้งนี้ เมื่อเขาสามารถเพียงมอบหมายภารกิจนี้ให้กับขุนนางคนอื่น ๆ เพื่อให้ไปแก้ไขได้


ในช่วงเย็นของวันที่สองของการเดินทาง รถม้าของเขาหยุดลงที่เชิงเขา จี่เฟิงหลี่ อยู่ในเสื้อคลุมสีดำของเขา ก่อนจะลงมาจากรถม้า


ฮวาจูอวี้ต้องตกตะลึงกับฉากของการถูกทำลายโดยพายุและมันก็ได้ทำลายเขื่อนซองเจียงลงไปกว่าครึ่ง ถ้าไม่มีการซ่อมในเร็ว ๆ นี้ สามเมืองที่อยู่ใกล้ ๆ ก็จะถูกน้ำท่วม พวกเขาได้รับข่าวร้ายจากเหตุอุทกภัยในมณฑลเซวียนโจวเมื่อพวกเขามาถึงก่อนหน้านี้ นั่นคือเหตุผลที่จี่เฟิงหลี่ ได้ เปลี่ยนเส้นทางและพาทุกคนมาที่นี่


เมืองเซวียนโจวกำลังถูกทิ้งระเบิดโดยฝนที่ตกอย่างไม่หยุดหย่อน บางครั้งจะมีฟ้าแลบและวิ่งผ่านกลุ่มเมฆไป ส่องประกายอยู่ในท้องฟ้าที่มืดมน ก่อนจะตามมาด้วยเสียงฟ้าร้อง ทำให้ผู้คนเกิดความหวาดกลัว


ยืนอยู่บนเนินเขาสูงชัน จี่เฟิงหลี่จ้องมองไปข้างหน้า ครึ่งหนึ่งของใบหน้าของเขาถูกบดบังไปด้วยสายฝนที่ดำมืดทำให้มองเห็นไม่ค่อนชัดเจน มีเพียงคู่ของดวงตาหงส์ที่กระพริบด้วยประกายที่เฉียดคม


ฮวาจูอวี้ ไม่เคยเห็นการแสดงออกดังกล่าวในตัวของจี่เฟิงหลี่ ผู้ที่เคยมีท่าทีที่อ่อนโยนและสง่างาม


 

 

 


ตอนที่ 88.1

 

เนื่องจากไม่มีใครรู้ถึงสถานการณ์ในปัจจุบันที่เซวียนโจว จี่เฟิงหลี่จึงได้ส่งทหารไปตรวจสอบหลายคน พวกเขามุ่งหน้าออกไปและตระเวนไปตามเมืองก่อนจะกลับมาในอีกสองชั่วยามต่อมา พวกเขารายงานว่า “น้ำเพิ่มขึ้น 1 เมตรทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ปีนขึ้นไปบนหลังคาเพื่อหลบหนี หลายคนมีอาการป่วยในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่สามารถได้รับยาหรืออาหาร บรรดาผู้ที่สามารถว่ายน้ำได้ต่างก็ว่ายน้ำหลบหนีไปแล้วและกำลังชุมนุมกันอยู่ที่วัดร้างนอกเมืองขอรับ ”


จี่เฟิงหลี่ เงยหน้าขึ้นและมองไปที่ท้องฟ้า ดวงตาของเขาเยือกเย็นขึ้นทันที เขารู้ว่าถ้าน้ำท่วมไม่ได้รับการควบคุมและความเสียหายไม่ได้รับการบรรเทาในไม่ช้าก็เป็นได้ว่าทั้งเมืองของเซวียนโจวจะจมอยู่ใต้น้ำ


“มันจะใช้เวลาอย่างน้อยอีกสองวัน ก่อนที่เสบียงหลวงจะมาถึง ไปที่จังหวัดใกล้เคียง ใช้ชื่อของราชสำนักเพื่อรวบรวมเสบียงที่จำเป็นและยา คิดหาหนทางที่จะขนส่งทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปในเมือง อีกอย่างนำคนบางส่วนไปและตั้งกระโจมสำหรับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อที่วัดร้าง ไป รีบไป! “จี่เฟิงหลี่ ออกคำสั่งของเขาอย่างชัดเจนและเยือกเย็น ทหารรู้สึกถึงความกดดันได้ทันที ก่อนจะแยกตัวออกไปเพื่อดำเนินการคำสั่งของเขา


กระโจมของจี่เฟิงหลี่ ถูกจัดตั้งขึ้นก่อนหน้านี้แล้ว เขาเข้าไปและถอดเสื้อคลุมออก เสื้อผ้าของเขาเปียกโชกและคลุมเสื้อของเขาก็เต็มไปด้วยโคลน เมื่อเห็นเช่นนี้ ทหารก็นำเสื้อผ้ามาให้เขาเปลี่ยน แต่เขาก็โบกมือขึ้น “ไม่จำเป็น อีกสักครู่ข้าก็จะออกไปแล้ว! เพียงแค่นำแผนที่ของเมืองเซวียนโจวมาก็พอ “เมื่อแผนที่มาถึง เขาก็ยืนอยู่ตรงหน้ามันในขณะที่กอดแขนตัวเอง ดูเจริงจังและเต็มไปด้วยความเคร่งครึมบนใบหน้าของเขา เป็นเวลานานหลังจากนั้นเขาก็จึงได้ตะโกนขึ้น “เตรียมม้า!”


ทหารได้นำม้ามาอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาเดินออกมา จี่เฟิงหลี่ก็ขึ้นไปบนหลังม้า ก่อนจะดึงสายบังเหียนและจากไปอย่างรวดเร็ว ฮวาจูอวี้และกลุ่มของทหารรีบวิ่งขึ้นม้าและตามเขาไปทันที


ปะทะกับลมแรงเสื้อคลุมของพวกเขาก็สั่นสะเทือนไปในอากาศ ด้านหน้าของพวกเขา พวกเขาสามารถมองเห็นสีขาวอันกว้างใหญ่ของฝนที่ตกหนัก ในขณะที่บริเวณพื้นด้านล่างไม่เรียบและเต็มไปด้วยน้ำโคลน ต้องเดินทางไปท่ามกลางสภาพเหล่านี้ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเขตชานเมืองของเมืองเซวียนโจวและได้เห็นน้ำท่วมอย่างหนัก คนถูกขังอยู่ภายในกำแพงเมืองโดยไม่มีทางออก ด้วยน้ำที่สูงขึ้นมาก การจะหาเรือขนาดใหญ่เพื่อเข้าเมืองจะไม่เป็นสิ่งที่ดี พวกเขาสามารถใช้เรือขนาดเล็กเพื่อเข้าและช่วยผู้คนจำนวนออกมาได้ ถ้าเหตุการณ์น้ำท่วมไม่ได้ถูกรับมือในทันทีทันใด ผู้เสียชีวิตก็จะบานปลายมากขึ้นไปอีก


ฟ้าผ่ากระพริบอยู่ในท้องฟ้า


ด้านหน้าของพวกเขา พวกเขาได้เห็นชายชรากับเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ประมาณ 8- 9 ปี กำลังหลบภัยอยู่ใต้ต้นไม้ขนาดใหญ่


แสงจากฟ้าผ่าเป็นเหมือนดาบที่เจาะเข้าไปในต้นไม้


ฮวาจูอวี้ ร้องเตือนขึ้น ท่ามกลางฟ้าแลบของฟ้าผ่าและการโจมตีอย่างหนักของสายฝน จู่ๆ เงาดำที่มีความเร็วราวกับฟ้าผ่าก็ตรงไปที่ต้นไม้ เสื้อคลุมสีดำของเขาถูกพัดออกไปข้างหลัง ทำให้ผ้าคลุมศีรษะของเขาเปิดออก ก่อนจะเผยให้เห็นผมสีดำของเขา สายฟ้าผ่าลงมาไม่ไกลจากที่ซึ่งเขาอยู่มากนัก เสียงที่กึกก้องและการผ่าลงมาอย่างหนัก ราวกับว่ามันต้องการทำลายทุกสิ่งทุอย่างที่อยู่ในเส้นทางของมัน แต่เมื่อมันอยู่ตรงหน้าเขา มันกลับดูราวกับไม่มีอะไร กลายเป็นเพียงฉากหลังของเขาเท่านั้น


ด้วยมือข้างหนึ่งเขาดึงเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ มาไว้ในอ้อมกอดของเขาและผลักชายชราออกไปจากเส้นทางอันตรายด้วยมืออีกข้าง


ในขณะที่เสียงฟ้าร้องดังก้อง และแบ่งต้นไม้ออกเป็นสองส่วน ก่อนจะล้มลงไปยังจุดที่ชายชราเคยยืนอยู่เพียงไม่กี่วินาที ชายคนนั้นยืนโงนเงนอยู่กับพื้นโคลน กลัวจนไม่มีสติ เด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่อยู่ในอ้อมแขนของจี่เฟิงหลี่ เองก็ตกใจกลัวเต็มไปด้วยน้ำตา


ฮวาจูอวี้ถึงกับเต็มไปด้วยความตกใจ นางไม่แน่ใจว่านางตกใจเมื่อได้ยินเสียงฟ้าร้องหรือเพราะการกระทำของจี่เฟิงหลี่


“ขอบคุณที่ช่วยชีวิตของพวกเรานายท่าน” ชายชรากล่าวขึ้น ในขณะที่เขาคุกเข่าลงไปบนพื้นโคลนและคำนับให้กับจี่เฟิงหลี่ อย่างต่อเนื่อง


จี่เฟิงหลี่ปล่อยเด็กหญิงที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา ก่อนจะพูดขึ้น “อย่าไปหลบอยู่ใต้ต้นไม้อีก ทางราชสำนักได้จัดตั้งกระโจมที่พักอยู่ใกล้วัดร้างเพื่อหลบหนีฝนชั่วคราว รีบลุกขึ้นก่อน ข้ามีคำถามที่จะถามเจ้า ”


ชายชราลุกขึ้นยืนในขณะที่ถามขึ้น “นายท่านต้องการถามอะไรข้าน้อยหรือขอรับ?”


“เจ้าออกจากเมืองได้อย่างไร? เมื่อเจ้าออกมา สถานการณ์ภายในเป็นอย่างไรบ้าง? มีคนตายหรือไม่ “จี่เฟิงหลี่ ถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล


เมื่อได้ยินคำถามของเขา ชายชราก็ตาแดงขึ้น แล้วน้ำตาก็ไหลลงมาบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยโคลนของเขา “ข้าว่ายน้ำออกจากเมือง ภรรยาและลูกชายอายุ 1 ขวบของข้าน้อยหมดแรงและหายไปกับน้ำแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ในครอบครัวของข้าน้อยก็คือข้าและเด็กคนนี้ หลายคนได้เสียชีวิตไปในเมืองแล้ว “เขากล่าวขึ้นในขณะที่เช็ดน้ำตา เมื่อจู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ว่าชายคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าเขาอาจจะเป็นขุนนาง ดวงตาของเขาก็สว่างขึ้น ในขณะที่เขาถามขึ้นทันที “นายท่านเป็นขุนนางระดับสูงจากเมืองหลวงหรือไม่ขอรับ? นายท่านต้องช่วยพวกเราเอาผิดกับท่านเจ้าเมืองหวาง ที่ยักยอกเงินที่ราชสำนักส่งมาเพื่อซ่อมแซมเขื่อน เมื่อปีที่แล้วราชสำนักได้ส่งเงินจำนวนหนึ่งแสนมาเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของเขื่อน แต่เขากลับเก็บเงินทั้งหมดไว้เพื่อตัวเอง ไม่ได้ทำอะไร ไม่เช่นนั้นเขื่อนจะพังได้อย่างรวดเร็วและน้ำก็ท่วมเมืองเซวียนโจวทั้งเมืองได้อย่างไรขอรับ! ”


จี่เฟิงหลี่ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ อาภรณ์ของเขาสั่นไหวในสายลม ประกายแห่งความเยือกเย็นพระพริบขึ้นจาง ๆ ในสายตาเรียวยาวและหรี่ลงของเขา


“เรื่องนี้ ข้าจะสืบสวนให้ลงไปถึงด้านล่างของมันอย่างแน่นอน เจ้าควรยืนขึ้นก่อน ให้ข้าถามเจ้าในเรื่องนี้ก่อน นอกกำแพงเมืองของเซวียนโจว มีสถานที่ที่น้ำจากน้ำท่วมสามารถไหลลงไปได้หรือไม่?” จี่เฟิงหลี่โน้มตัวลงไปช่วยชายชราและถามด้วยท่าทางเคร่งขรึมขึ้น


“เซวียนโจวล้อมรอบไปด้วยสามเมืองเล็ก ๆ ซึ่งทั้งหมดต่างก็มีน้ำท่วมไปแล้ว มีเพียงหนึ่งแห่งเท่านั้นที่อยู่ไกลจากแม่น้ำฉิงเจี้ยง ที่ไม่มีใครอาศัยอยู่ เราเคยขอให้ท่านเจ้าเมืองไปดูว่าสถานที่ดังกล่าวสามารถรื้อถอนเพื่อให้น้ำสามารถถ่ายเถไปที่นั่นได้หรือไม่ แต่ท่านเจ้าเมืองบอกว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ “ชายชราพูดขึ้นด้วยความทุกข์ในขณะที่กอดลูกสาวของเขา


“สถานที่แห่งนั่นอยู่ที่ไหน? “จี่เฟิงหลี่ ถามขึ้นด้วยความสงสัย


ชายชราค่อยๆตอบขึ้น “เป็นตำหนักฉิงเฉิงของราชวงศ์”


การแสดงออกของฮวาจูอวี้ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น ราชวงศ์ได้สร้างตำหนักฉิงเฉิงใกล้กับแม่น้ำฉิงเจี้ยง ซึ่งมีพื้นที่กว่าพันไร่ ต่อมาราชวงศ์ได้สร้างตำหนักฉิงเจียงขึ้นที่ภูเขาฉิงเฉิง ดังนั้นตำหนักดังกล่าวจึงว่างเปล่าไม่ได้ใช้งานอีกต่อไป


“ตำหนักฉิงเฉิงหรือ?” ดวงตาของจี่เฟิงหลี่ สว่างขึ้นขึ้นทันที เขาขอบคุณชายชราแล้วก็ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ของเขาพาพวกเขาไปที่กระโจม ก่อนจะสั่งให้คนอื่นนำแผนที่ของแม่น้ำฉิงเจี้ยงออกมา


เมื่อฝนตกลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน เสื้อผ้าของพวกเขาก็เปียกโชกอย่างสมบูรณ์ เมื่อพวกเขากลับมาที่กระโจมของพวกเขา แต่แทนที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าของเขา เขากลับให้ความสนใจกับแผนที่แทน


ในขณะที่พับแผนที่ เขาเรียกถงโจวมาเข้า “นำทหาร 300 คนขึ้นไปที่แม่น้ำชิงเจี้ยง อพยพผู้คนที่ยังคงอยู่ภายในตำหนักฉิงเฉิง จากนั้นก็ให้ทำลายกำแพงตำหนักและปล่อยให้น้ำท่วมไหลเข้าไปภายใน”


ดวงตาของถงโจว เปิดกว้างขึ้น ก่อนจะถามขึ้นด้วยความกังวล “ท่านเสนา ท่านวางแผนที่จะใช้ตำหนักฉิงเฉิง เป็นที่ระบายน้ำจริงๆหรือขอรับ? ท่านไม่ควรขอความเห็นชอบจากฝ่าบาทก่อนหรือขอรับ? ”


ริมฝีปากของจี่เฟิงหลี่โค้งเป็นรอยยิ้มขึ้น แต่ดวงตาของเขายังคงเยือกเย็น “ตำหนักแห่งนี้ไม่ควรสร้างขึ้นมาตั้งแต่แรกแล้ว รีบเข้า ราชโองการของฮ่องเต้สามารถจัดการได้ในภายหลัง ตอนนี้ไม่มีเวลาที่จะล่าช้า”


ถงโจว พยักหน้าและรีบจากไปทำตามคำสั่ง

 

 

 


ตอนที่ 88.2

 

“หลานปิง พาคนไปสอบสวนท่านเจ้าเมืองของเซวียนโจว หวางฟูกุ้ย”จี่เฟิงหลี่ สั่งขึ้นในขณะที่เขานั่งอยู่ที่โต๊ะ หลังจากที่หลานปิงจากไป จี่เฟิงหลี่ก็เอนหลังลงไปบนเบาะ ก่อนที่จะมองไปที่แผนที่บนโต๊ะอีกครั้งหนึ่ง


ฮวาจูอวี้ยืน อยู่ในกระโจมอย่างเงียบๆ นางไม่ได้คาดหวังว่าจี่เฟิงหลี่จะ กล้าที่จะใช้ตำหนักของราชวงศ์เป็นที่ระบายน้ำ หากเจ้าหน้าที่คนอื่นถูกปล่อยให้จัดการกับกับปัญหานี้ พวกเขาก็จะเรียงลำดับความสำคัญในการปกป้องหมวกในฐานะขุนนางของพวกเขาก่อน ถ้ามันขึ้นอยู่กับนาง นางก็จะไม่ลังเลที่จะใช้ตำหนักแห่งนี้เช่นกัน แต่นี่คือจี่เฟิงหลี่ นางรู้สึกว่ามันยากที่จะยอมรับได้


หรือว่าเขาจะเป็นขุนนางที่ดี? นางไม่เชื่อ เขาคงกำลังเล่นละครอยู่? มันอาจจะเป็นไปได้ที่เขาอยากจะแสดงความแข็งแกร่งและความไม่สนใจของเขาต่อฮ่องเต้น้อย


ไม่ว่าในกรณีใด ๆ เขาก็จะเป็นคนไม่ซือ ต่ำช้าในสายตาของนางเสมอ!


ความสนใจของจี่เฟิงหลี่ จดจ่ออยู่กับแผนที่มานานแล้วและไม่นานหลังจากนั้น การจ้องมองของเขาก็เปลี่ยนไปที่ฮวาจูอวี้ ราวกับว่าเขาตระหนักได้ว่ายังมีอีกคนหนึ่งอยู่ในกระโจม เขานวดหน้าผากของเขาและยิ้มอย่างอ่อนโยนในขณะที่พูดขึ้น “เป่าเอ้อร์ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าของเจ้าเสีย ดูเจ้า เปียกโชกไปหมดแล้ว อย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นหวัดเอาได้ ”


ในเวลานี้ฮวาจูอวี้ ถึงได้รู้ว่าตัวเองอยู่ในสภาพไหน แต่โชคดีที่เสื้อคลุมที่นางสวมนั้นค่อนข้างหนาและไม่เปิดเผยอะไรเลย


“ท่านเสนา แล้วข้าจะสามารถไปเปลี่ยนที่ไหนได้?”ฮวาจูอวี้มองไปรอบ ๆ กระโจมซึ่งเป็นของจี่เฟิงหลี่ พวกเขามาเพื่อรับมือกับปัญหาน้ำท่วมและนางไม่มีสิทธิ์ที่จะมีกระโจมเป็นของตัวเอง


จี่เฟิงหลี่ ขมวดคิ้ว ดวงตาของเขาเย็นชาและไม่แยแส แต่รอยยิ้มอ่อนโยนยังคงอ้อยอิ่งอยู่บนริมฝีปากของเขา “เจ้าอยู่ในกระโจมเดียวกับข้าเป็นธรรมชาติที่เจ้าจะเปลี่ยนที่นี่! ”


ฮวาจูอวี้ คาดหวังคำตอบเช่นนี้อยู่แล้ว การเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยผู้ชาย ดังนั้นถ้านางไม่ได้อยู่กับจี่เฟิงหลี่ นางก็คงจะต้องอยู่กับชายคนอื่นอยู่ดี แม้ว่าจะมีผู้หญิงอยู่ที่นี่ แต่นางก็ยังคงไม่สามารถอยู่ในกระโจมเดียวกับพวกนางได้อยู่ดี


นางถอดเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มออก เมื่อเห็นว่าจี่เฟิงหลี่ ยังคงจดจ่ออยู่กับแผนที่ นางก็รีบเดินไปหลังฉากและถอดเสื้อคลุมที่เปียกโชกออก ชุดด้านในของนางก็ไม่ต่างกัน ดังนั้นนางจึงรีบเปลี่ยนออกและใส่ชุดใหม่ลงไป นี่เป็นครั้งแรกที่นางเปลี่ยนเสื้อผ้าได้อย่างรวดเร็วที่สุดในชีวิตของนาง


หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว นางก็มองออกไปข้างนอก เมื่อเห็นว่าจี่เฟิงหลี่ ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะของเขา นางก็แก้ผมของนางออกและใช้ผ้าเช็ดผมของนางเพื่อให้มันแห้ง ผมของนางเปียกมาก ถ้ามันไม่แห้ง มันก็ยากที่จะไม่เป็นหวัด


ผ้าม่านของค่ำคืนค่อยๆตกลงมา ฝนก็เริ่มรุนแรงขึ้นพร้อมลมพัดกรรโชกแรง อยู่นอกกระโจม


ฮวาจูอวี้กำลังแปรงผมอยู่ แล้วจู่ๆเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้าใกล้ ๆ นางก็ตื่นตกใจ ก่อนจะรีบรวบผมขึ้นอีกครั้ง ผมของนางยาวมาก ถ้าจี่เฟิงหลี่เห็น เขาอาจะสงสัยเรื่องเพศของนาง


“หยวนเป่า” ทันทีที่เขาพูด เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้านางแล้ว


หัวใจของนางเต้นขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่นางยกมือขึ้นเพื่อจัดการกับผมของนาง พยายามที่จะทำตัวให้สงบ ในขณะที่นางถามขึ้น “ท่านเสนา ท่านมาทำอะไรอยู่ตรงนี้?”


ด้วยรอยยิ้มที่จาง ๆ เขาเดินตรงไปที่เตียงและถอดเสื้อคลุมออก “เป็นธรรมชาติอยู่แล้วที่จะมาเปลี่ยนเสื้อผ้า หยวนเป่าเอ้อร์ นำเสื้อผ้าของข้ามา ”


ฮวาจูอวี้ ขมวดคิ้วขึ้น เขาไม่ได้พาหญิงรับใช้มาพร้อมกับเขาในการเดินทางครั้งนี้และมองว่านางเป็นคนรับใช้ของเขาที่จะสั่งอะไรก็ได้ นางลุกขึ้นยืนและเดินไปที่หีบเดินทางของเขา ก่อนจะหยิบชุดเสื้อคลุมสีดำแขนยาวและส่งมอบมันให้กับเขา


ด้านนอกกระโจมสามารถได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินเข้ามา ฮวาจูอวี้รีบเดินออกไปและได้ยินข่าวแจ้งขึ้น “ท่านเสนา ท่านเจ้าเมืองหวางมาขอพบขอรับ!”


“ให้เขาเข้ามา” จี่เฟิงหลี่ พูดขึ้นในขณะที่เขาก้าวออกมา


เจ้าหน้าที่ใส่เสื้อคลุมเดินเข้ามา ทันทีที่เขาเห็นจี่เฟิงหลี่ เขาก็รีบทรุดตัวลงไปคุกเข่า ไม่รู้ว่าเกิดจากพายุข้างนอกหรือสิ่งอื่นใด แต่ใบหน้าของเขาซีดมาก


“ขุนนางระดับต่ำผู้นี้ไม่ทราบว่าท่านเสนาจี่จะมาถึงที่นี่ ข้าผู้น้อยมาต้อนรับท่านช้าไป ข้าผู้น้อยหวังว่าท่านเสนาจะให้อภัยข้าผู้น้อยด้วยขอรับ!” ท่านเจ้าเมืองหวางพูดขึ้นอย่างจริงจัง เขาไม่ได้คาดหวังว่าจี่เฟิงหลี่ จะมาด้วยตัวเองและไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะมาถึงได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้


“หวางฝูกุ้ย ท่านมาจากที่ไหนกัน? ก่อนหน้านี้เมื่อคนของข้า เข้าไปในเมืองเพื่อสอบสวน พวกเขาไม่ได้เห็นท่านกำลังคอยสั่งให้ประชาชนหลบหนีออกไปจากน้ำท่วม “จี่เฟิงหลี่ เดินไปหาหวางฝูกุ้ย และจ้องมองไปที่เขาด้วยดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อย


หวางฝูถุ้ยถึงกับเหงื่อแตก แต่เขาไม่กล้าที่จะเช็ดพวกมันออกไป เขาพูดด้วยความหวาดกลัวและความกังวลใจในน้ำเสียงของเขาขึ้น “ขุนนางระดับต่ำผู้นี้ ผู้นี้ … ”


“ให้ข้าถามท่าน มีคนจำนวนมากเท่าไหร่ที่เสียชีวิตอยู่ในเมือง?” จี่เฟิงหลี่ถามขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มอันอ่อนโยนที่คุ้นเคยยังคงอยู่บนริมฝีปากของเขา


หวางฝูกุ้ยเคยได้ยินมาว่าเมื่อใดก็ตามที่ท่านเสนาจี่เฟิงหลี่คนนี้โกรธ เขามีรอยยิ้มที่สดใสอยู่บนใบหน้าเสมอ เขาเหลือบมองที่จี่เฟิงหลี่ด้วยความหวาดกลัว และสังเกตเห็นรอยยิ้มอันลึกซึ้งของเขา


ร่างกายของเขาจมอยู่ในความหนาวเย็น ในขณะที่เขาตอบด้วยเสียงที่สั่นขึ้น “ประมาณ 100 คนขอรับ!”


“100 คนหรือ” จี่เฟิงหลี่ ย้ำด้วยตาที่หรี่ลงของเขา


หัวใจของหวางฝูกุ้ย สั่นขึ้นอย่างรุนแรง ก่อนจะตอบขึ้นอีกครั้ง “200 คนขอรับ !!”


“ท่านแน่ใจหรือ?” ด้วยมือทั้งสองไขว่หลัง จี่เฟิงหลี่เดินไปที่โต๊ะและนั่งลงไปที่เบาะ


“ข้า .. ข้าแน่ใจ!” หวางฝูกุ้ยพูดขึ้นในขณะที่กัดฟัน  “ท่านเสนาจี่ ขุนนางที่ต่ำต้อยผู้นี้อยู่ในเมืองทุกวัน คอยกำชับให้เหล่าทหารทำการเสริมความแข็งแกร่งใก้กับกำแพง เช้านี้ขุนนางผู้นี้ไปขอความช่วยเหลือในจังหวัดใกล้เคียง แต่ขุนนางคนอื่นๆ ไม่ต้องการให้ความช่วยเหลือ ดังนั้นขุนนางที่ต่ำต้อยผู้นี้จึงต้องกลับมาอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ขุนนางที่ต่ำต้อยผู้นี้กลับมา ก็ได้ยินว่าท่านเสนาจี่ มาถึงแล้ว ขุนนางที่ต่ำต้อยผู้นี้จึงรีบมาที่นี่อย่างรวดเร็ว ท่านเสนาจี่ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ท่านต้องการ ขุนนางที่ต่ำต้อยผู้นี้ยินดีมาที่นี่เพื่อคอยรับใช้และจะดำเนินการตามคำสั่งของท่านให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ”


ในเวลานี้หลานปิง ก็เข้ามาในกระโจมและเดินเข้าไปหาจี่เฟิงหลี่ ก่อนจะ กระซิบคำพูดไม่กี่คำที่หูเขา เมื่อได้ยินในสิ่งที่เขาต้องการจะพูด จี่เฟิงหลี่ก็จ้องมองไปที่หวางฝูกุ้ยและยิ้มขึ้นอย่างสดใส “เมื่อพูดเช่นนี้ข้าก็คงจะต้องให้รางวัลหวางฝูกุ้ย สำหรับการทำงานหนักและทุ่มเทให้กับประชาชนของเมืองเซวียนโจวของท่าน”


หวางฝูกุ้ยรีบคำนับลงและพูดขึ้นกู “ท่านเสนาจี่ ขุนนางที่ต่ำต้อยผู้นี้ไม่ต้องการรางวัล ขุนนางที่ต่ำต้อยผู้นี้ทำได้ไม่ดีนักและยินดีที่จะรับลงโทษขอรับ ”


รอยยิ้มบนริมฝีปากของจี่เฟิงหลี่ ยิ่งลึกซึ้งขึ้นไปอีกๆ ในขณะที่เขาพูดขึ้น “ถ้าท่านเจ้าเมืองหวางไม่ต้องการรางวัล ก็คงต้องแล้วแต่ท่านแล้ว ถ้าท่านต้องการถูกลงโทษ มันก็ง่ายดายเช่นกัน ทหารนำตัวท่านเจ้าเมืองหวางผู้ที่ได้ก่ออาญา ออกไปตัดหัวในทันที! “

 

 

 


ตอนที่ 89.1

 

“หลานปิง พาคนไปสอบสวนท่านเจ้าเมืองของเซวียนโจว หวางฟูกุ้ย”จี่เฟิงหลี่ สั่งขึ้นในขณะที่เขานั่งอยู่ที่โต๊ะ หลังจากที่หลานปิงจากไป จี่เฟิงหลี่ก็เอนหลังลงไปบนเบาะ ก่อนที่จะมองไปที่แผนที่บนโต๊ะอีกครั้งหนึ่ง


ฮวาจูอวี้ยืน อยู่ในกระโจมอย่างเงียบๆ นางไม่ได้คาดหวังว่าจี่เฟิงหลี่จะ กล้าที่จะใช้ตำหนักของราชวงศ์เป็นที่ระบายน้ำ หากเจ้าหน้าที่คนอื่นถูกปล่อยให้จัดการกับกับปัญหานี้ พวกเขาก็จะเรียงลำดับความสำคัญในการปกป้องหมวกในฐานะขุนนางของพวกเขาก่อน ถ้ามันขึ้นอยู่กับนาง นางก็จะไม่ลังเลที่จะใช้ตำหนักแห่งนี้เช่นกัน แต่นี่คือจี่เฟิงหลี่ นางรู้สึกว่ามันยากที่จะยอมรับได้


หรือว่าเขาจะเป็นขุนนางที่ดี? นางไม่เชื่อ เขาคงกำลังเล่นละครอยู่? มันอาจจะเป็นไปได้ที่เขาอยากจะแสดงความแข็งแกร่งและความไม่สนใจของเขาต่อฮ่องเต้น้อย


ไม่ว่าในกรณีใด ๆ เขาก็จะเป็นคนไม่ซือ ต่ำช้าในสายตาของนางเสมอ!


ความสนใจของจี่เฟิงหลี่ จดจ่ออยู่กับแผนที่มานานแล้วและไม่นานหลังจากนั้น การจ้องมองของเขาก็เปลี่ยนไปที่ฮวาจูอวี้ ราวกับว่าเขาตระหนักได้ว่ายังมีอีกคนหนึ่งอยู่ในกระโจม เขานวดหน้าผากของเขาและยิ้มอย่างอ่อนโยนในขณะที่พูดขึ้น “เป่าเอ้อร์ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าของเจ้าเสีย ดูเจ้า เปียกโชกไปหมดแล้ว อย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นหวัดเอาได้ ”


ในเวลานี้ฮวาจูอวี้ ถึงได้รู้ว่าตัวเองอยู่ในสภาพไหน แต่โชคดีที่เสื้อคลุมที่นางสวมนั้นค่อนข้างหนาและไม่เปิดเผยอะไรเลย


“ท่านเสนา แล้วข้าจะสามารถไปเปลี่ยนที่ไหนได้?”ฮวาจูอวี้มองไปรอบ ๆ กระโจมซึ่งเป็นของจี่เฟิงหลี่ พวกเขามาเพื่อรับมือกับปัญหาน้ำท่วมและนางไม่มีสิทธิ์ที่จะมีกระโจมเป็นของตัวเอง


จี่เฟิงหลี่ ขมวดคิ้ว ดวงตาของเขาเย็นชาและไม่แยแส แต่รอยยิ้มอ่อนโยนยังคงอ้อยอิ่งอยู่บนริมฝีปากของเขา “เจ้าอยู่ในกระโจมเดียวกับข้าเป็นธรรมชาติที่เจ้าจะเปลี่ยนที่นี่! ”


ฮวาจูอวี้ คาดหวังคำตอบเช่นนี้อยู่แล้ว การเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยผู้ชาย ดังนั้นถ้านางไม่ได้อยู่กับจี่เฟิงหลี่ นางก็คงจะต้องอยู่กับชายคนอื่นอยู่ดี แม้ว่าจะมีผู้หญิงอยู่ที่นี่ แต่นางก็ยังคงไม่สามารถอยู่ในกระโจมเดียวกับพวกนางได้อยู่ดี


นางถอดเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มออก เมื่อเห็นว่าจี่เฟิงหลี่ ยังคงจดจ่ออยู่กับแผนที่ นางก็รีบเดินไปหลังฉากและถอดเสื้อคลุมที่เปียกโชกออก ชุดด้านในของนางก็ไม่ต่างกัน ดังนั้นนางจึงรีบเปลี่ยนออกและใส่ชุดใหม่ลงไป นี่เป็นครั้งแรกที่นางเปลี่ยนเสื้อผ้าได้อย่างรวดเร็วที่สุดในชีวิตของนาง


หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว นางก็มองออกไปข้างนอก เมื่อเห็นว่าจี่เฟิงหลี่ ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะของเขา นางก็แก้ผมของนางออกและใช้ผ้าเช็ดผมของนางเพื่อให้มันแห้ง ผมของนางเปียกมาก ถ้ามันไม่แห้ง มันก็ยากที่จะไม่เป็นหวัด


ผ้าม่านของค่ำคืนค่อยๆตกลงมา ฝนก็เริ่มรุนแรงขึ้นพร้อมลมพัดกรรโชกแรง อยู่นอกกระโจม


ฮวาจูอวี้กำลังแปรงผมอยู่ แล้วจู่ๆเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้าใกล้ ๆ นางก็ตื่นตกใจ ก่อนจะรีบรวบผมขึ้นอีกครั้ง ผมของนางยาวมาก ถ้าจี่เฟิงหลี่เห็น เขาอาจะสงสัยเรื่องเพศของนาง


“หยวนเป่า” ทันทีที่เขาพูด เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้านางแล้ว


หัวใจของนางเต้นขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่นางยกมือขึ้นเพื่อจัดการกับผมของนาง พยายามที่จะทำตัวให้สงบ ในขณะที่นางถามขึ้น “ท่านเสนา ท่านมาทำอะไรอยู่ตรงนี้?”


ด้วยรอยยิ้มที่จาง ๆ เขาเดินตรงไปที่เตียงและถอดเสื้อคลุมออก “เป็นธรรมชาติอยู่แล้วที่จะมาเปลี่ยนเสื้อผ้า หยวนเป่าเอ้อร์ นำเสื้อผ้าของข้ามา ”


ฮวาจูอวี้ ขมวดคิ้วขึ้น เขาไม่ได้พาหญิงรับใช้มาพร้อมกับเขาในการเดินทางครั้งนี้และมองว่านางเป็นคนรับใช้ของเขาที่จะสั่งอะไรก็ได้ นางลุกขึ้นยืนและเดินไปที่หีบเดินทางของเขา ก่อนจะหยิบชุดเสื้อคลุมสีดำแขนยาวและส่งมอบมันให้กับเขา


ด้านนอกกระโจมสามารถได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินเข้ามา ฮวาจูอวี้รีบเดินออกไปและได้ยินข่าวแจ้งขึ้น “ท่านเสนา ท่านเจ้าเมืองหวางมาขอพบขอรับ!”


“ให้เขาเข้ามา” จี่เฟิงหลี่ พูดขึ้นในขณะที่เขาก้าวออกมา


เจ้าหน้าที่ใส่เสื้อคลุมเดินเข้ามา ทันทีที่เขาเห็นจี่เฟิงหลี่ เขาก็รีบทรุดตัวลงไปคุกเข่า ไม่รู้ว่าเกิดจากพายุข้างนอกหรือสิ่งอื่นใด แต่ใบหน้าของเขาซีดมาก


“ขุนนางระดับต่ำผู้นี้ไม่ทราบว่าท่านเสนาจี่จะมาถึงที่นี่ ข้าผู้น้อยมาต้อนรับท่านช้าไป ข้าผู้น้อยหวังว่าท่านเสนาจะให้อภัยข้าผู้น้อยด้วยขอรับ!” ท่านเจ้าเมืองหวางพูดขึ้นอย่างจริงจัง เขาไม่ได้คาดหวังว่าจี่เฟิงหลี่ จะมาด้วยตัวเองและไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะมาถึงได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้


“หวางฝูกุ้ย ท่านมาจากที่ไหนกัน? ก่อนหน้านี้เมื่อคนของข้า เข้าไปในเมืองเพื่อสอบสวน พวกเขาไม่ได้เห็นท่านกำลังคอยสั่งให้ประชาชนหลบหนีออกไปจากน้ำท่วม “จี่เฟิงหลี่ เดินไปหาหวางฝูกุ้ย และจ้องมองไปที่เขาด้วยดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อย


หวางฝูถุ้ยถึงกับเหงื่อแตก แต่เขาไม่กล้าที่จะเช็ดพวกมันออกไป เขาพูดด้วยความหวาดกลัวและความกังวลใจในน้ำเสียงของเขาขึ้น “ขุนนางระดับต่ำผู้นี้ ผู้นี้ … ”


“ให้ข้าถามท่าน มีคนจำนวนมากเท่าไหร่ที่เสียชีวิตอยู่ในเมือง?” จี่เฟิงหลี่ถามขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มอันอ่อนโยนที่คุ้นเคยยังคงอยู่บนริมฝีปากของเขา


หวางฝูกุ้ยเคยได้ยินมาว่าเมื่อใดก็ตามที่ท่านเสนาจี่เฟิงหลี่คนนี้โกรธ เขามีรอยยิ้มที่สดใสอยู่บนใบหน้าเสมอ เขาเหลือบมองที่จี่เฟิงหลี่ด้วยความหวาดกลัว และสังเกตเห็นรอยยิ้มอันลึกซึ้งของเขา


ร่างกายของเขาจมอยู่ในความหนาวเย็น ในขณะที่เขาตอบด้วยเสียงที่สั่นขึ้น “ประมาณ 100 คนขอรับ!”


“100 คนหรือ” จี่เฟิงหลี่ ย้ำด้วยตาที่หรี่ลงของเขา


หัวใจของหวางฝูกุ้ย สั่นขึ้นอย่างรุนแรง ก่อนจะตอบขึ้นอีกครั้ง “200 คนขอรับ !!”


“ท่านแน่ใจหรือ?” ด้วยมือทั้งสองไขว่หลัง จี่เฟิงหลี่เดินไปที่โต๊ะและนั่งลงไปที่เบาะ


“ข้า .. ข้าแน่ใจ!” หวางฝูกุ้ยพูดขึ้นในขณะที่กัดฟัน  “ท่านเสนาจี่ ขุนนางที่ต่ำต้อยผู้นี้อยู่ในเมืองทุกวัน คอยกำชับให้เหล่าทหารทำการเสริมความแข็งแกร่งใก้กับกำแพง เช้านี้ขุนนางผู้นี้ไปขอความช่วยเหลือในจังหวัดใกล้เคียง แต่ขุนนางคนอื่นๆ ไม่ต้องการให้ความช่วยเหลือ ดังนั้นขุนนางที่ต่ำต้อยผู้นี้จึงต้องกลับมาอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ขุนนางที่ต่ำต้อยผู้นี้กลับมา ก็ได้ยินว่าท่านเสนาจี่ มาถึงแล้ว ขุนนางที่ต่ำต้อยผู้นี้จึงรีบมาที่นี่อย่างรวดเร็ว ท่านเสนาจี่ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ท่านต้องการ ขุนนางที่ต่ำต้อยผู้นี้ยินดีมาที่นี่เพื่อคอยรับใช้และจะดำเนินการตามคำสั่งของท่านให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ”


ในเวลานี้หลานปิง ก็เข้ามาในกระโจมและเดินเข้าไปหาจี่เฟิงหลี่ ก่อนจะ กระซิบคำพูดไม่กี่คำที่หูเขา เมื่อได้ยินในสิ่งที่เขาต้องการจะพูด จี่เฟิงหลี่ก็จ้องมองไปที่หวางฝูกุ้ยและยิ้มขึ้นอย่างสดใส “เมื่อพูดเช่นนี้ข้าก็คงจะต้องให้รางวัลหวางฝูกุ้ย สำหรับการทำงานหนักและทุ่มเทให้กับประชาชนของเมืองเซวียนโจวของท่าน”


หวางฝูกุ้ยรีบคำนับลงและพูดขึ้นกู “ท่านเสนาจี่ ขุนนางที่ต่ำต้อยผู้นี้ไม่ต้องการรางวัล ขุนนางที่ต่ำต้อยผู้นี้ทำได้ไม่ดีนักและยินดีที่จะรับลงโทษขอรับ ”


รอยยิ้มบนริมฝีปากของจี่เฟิงหลี่ ยิ่งลึกซึ้งขึ้นไปอีกๆ ในขณะที่เขาพูดขึ้น “ถ้าท่านเจ้าเมืองหวางไม่ต้องการรางวัล ก็คงต้องแล้วแต่ท่านแล้ว ถ้าท่านต้องการถูกลงโทษ มันก็ง่ายดายเช่นกัน ทหารนำตัวท่านเจ้าเมืองหวางผู้ที่ได้ก่ออาญา ออกไปตัดหัวในทันที! “

 

 

 


ตอนที่ 89.2

 

ฮวาจูอวี้ เห็นด้วยและทำตามคำสั่ง เมื่อส่งใบสั่งยาไปให้หลานปิงแล้วนางก็พูดขึ้น “นี่เป็นใบสั่งยาสำหรับผู้ที่ป่วย นอกจากนี้ต้องเตรียมน้ำที่ต้มแล้ว ให้กับผู้ที่ยังไม่ได้ติดเชื้อได้บริโภคเพื่อเป็นการกันป้องกันด้วย”


หลานปิง ฟังอย่างตั้งใจก่อนที่จะหันไปส่งให้คนไปเตรียมยา หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามยาก็พร้อมแล้ว แต่จี่เฟิงหลี่และหลานปิง ไม่ได้อยู่ในกระโจมอีกต่อไป หมอหลวงซาน เหลือบมองไปที่ยาด้วยความรังเกียจไม่ได้เคลื่อนไหวแม้แต่น้อยจากจุดที่เขาอยู่ ฮวาจูอวี้รับยามาและจากไปพร้อมกับทหาร หมอที่รักษานางในตอนนั้นบอกว่าถ้านางสามารถเอาชนะความเจ็บป่วยครั้งนี้ไปได้นางจะไม่ได้รับอีกเลย ดังนั้นนางจึงกล้าที่จะมุ่งหน้าไปที่หมู่บ้าน การระบาดของโรคครั้งนี้ต้องได้รับการจัดการอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ไม่อย่างนั้นใครจะรู้ว่าจะมีคนตายมากขึ้นแค่ไหน


ทหารที่มาพร้อมกับนางเริ่มตื่นตระหนก ผิวของพวกเขาซีดด้วยความตกใจ หนึ่งในพวกเขาดึงแขนของนางก่อนจะพูดขึ้น “ท่านหยวนเป่า ท่านไม่สามารถเข้าไปภายในได้! จะเกิดอะไรขึ้นถ้าท่านเจ็บป่วย? ”


ฮวาจูอวี้หันกลับไปมองเขาด้วยยิ้มก่อนจะพูดขึ้น “ถึงแม้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับข้า ข้าก็ยังจะเข้าไป!” นางหันกลับมาและเดินเข้าไปในหมู่บ้าน


หมู่บ้านเต็มไปด้วยผู้ป่วย เมื่อเข้ามานางเห็นทหารสองสามคนกำลังเผาศพและความหนักหน่วงก็พองขึ้นในหัวใจของนาง แม้ว่านี่จะเป็นภัยธรรมชาติ แต่ก็เป็นเรื่องที่มนุษย์สร้างขึ้น ถ้าหวางฝูกุ้ย มีความตั้งใจในการดูแลประชาชนและจัดการกับศพอย่างทันท่วงทีมันก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางเดินนำทางเข้าไปและพบห้องครัวเล็ก ๆ และเริ่มอุ่นยาทันที


ทหารพานางไปที่ห้องที่ถูกปิดเอาไว้ พร้อมกับชี้ไปที่ห้องแล้วพูดขึ้น “มีผู้ป่วยที่ป่วยอยู่ข้างใน” จากนั้นเขารีบเดินไปทางด้านข้าง หลังจากบอกให้นางรู้แล้ว


เมื่อเปิดประตู นางก็เห็นภาพของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ อายุ 10 ขวบนอนอยู่บนเตียง เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ แทบจะไม่มีสติ ดังนั้นฮวาจูอวี้จึงเข้าไปช่วยพยุงนางขึ้น นางพยายามที่จะป้อนยาให้กับคนนี้ แต่บางทีอาจเป็นเพราะเด็กหญิงคนนี้ป่วยหนักมาก นางจึงเริ่มอาเจียนออกมา ฮวาจูอวี้จึงทำได้เพียงลองอีกครั้งเมื่อนางหยุดอาเจียนแล้วเท่านั้น


รอจนกระทั่งดึกดื่นอาการไข้ของเด็กหญิงตัวน้อยถึงได้มีสัญญาณว่าจะลดลงบ้าง เด็กหญิงตัวน้อยไม่อาเจียนอีกต่อไปและดูเหมือนจะนอนหลับสบายขึ้น


ฮวาจูอวี้ออกจากห้องไป ตอนนี้นางมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าความเจ็บป่วยนี้เป็นเช่นเดียวกับที่นางเคยเจอเมื่อครั้งในอดีต ถ้าเด็กหญิงตัวน้อยมีอาการดีขึ้นในวันพรุ่งนี้ นางก็สามารถบอกให้จี่เฟิงหลี่ ซื้อสมุนไพรมามากขึ้นได้เพื่อรักษาคนอื่น ๆ


ในคืนนี้ฝนตกอย่างไม่หยุดยั้งและก็คงเป็นอยู่เป็นเวลาหลายวันติดต่อกันจนในที่สุดมันก็หยุดนิ่ง ดวงจันทร์สว่างจ้าโผล่ออกมาจากเมฆที่กระจัดกระจายอยู่สูงขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ให้แสงสว่างแก่แผ่นดินด้วยแสงที่อบอุ่น สำหรับชาวเมืองเซวียนโจว ที่ไม่ได้เห็นดวงจันทร์เป็นเวลานานดวงจันทร์คืนนี้จึงมีความงดงามเป็นพิเศษ


แสงจันทร์ตกลงมาที่ฮวาจูอวี้ ทำให้เกิดเป็นหมอกควันขึ้นมาบนร่างของนาง นางถูไหล่ของนางเนื่องจากรู้สึกหนาวและง่วงนอน แล้วนางจะไปนอนที่ไหนคืนนี้?


เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้นางอย่างรวดเร็วพร้อมกับทหารที่ก้มหน้าลงก่อนจะพูดขึ้นาอย่างระมัดระวัง “ท่านหยวนเป่า เสนาบสั่งให้ท่านรีบกลับทันทีขอรับ”


ฮวาจูอวี้หาวก่อนจะพูดขึ้น “ข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อคอยเฝ้าดูคนป่วย ถ้าเด็กน้อยคนนั้นดีขึ้นในวันพรุ่งนี้ ข้าก็สามารถต้มยาสำหรับคนอื่นๆ ได้ด้วย ”


การแสดงออกของทหารเปลี่ยนไปทันที “ท่านหยวนเป่า โปรดอย่าทำให้ข้าผู้น้อยต้องลำบากเลยขอรับ ท่านเสนาบดีสั่งให้ท่านออกจากที่นี่ในทันที ถ้าท่านยังอยู่ที่นี่ท่านอาจจะติดเชื้อได้โดยง่าย ข้าขอร้องท่านได้โปรดกลับไปเถอะขอรับ มิฉะนั้นข้าจะถูกลงโทษ ”


ฮวาจูอวี้อยู่ในอารมณ์ล้อเล่น ดังนั้นนางจึงเรียกตัวทหารด้วยมือของนางและพูดขึ้น”มานี่ ข้าจะบอกเจ้าว่าจะพูดอย่างไรกับท่านเสนาเพื่อที่เจ้าจะได้ไม่ถูกลงโทษ”


ทหารเดินเข้ามาใกล้ ๆ อีกสองก้าว ฮวาจูอวี้ยิ้มแล้วก็พูดขึ้น “บอกท่านเสนาว่าข้ากำลังไอและถ้าข้ากลับไปท่านเสนาอาจจะติดเชื้อได้ บอกว่าข้าหยวนเป่า เพื่อประโยชน์ของท่านเสนาจี่ แม้ว่าข้าจะตายข้าก็จะไม่กลับไป! “ช่วงสองสามวันที่ผ่านมานางอยู่ในกระโจมเดียวกับจี่เฟิงหลี่ แม้ว่าเตียงของพวกเขาจะถูกคั่นและมีระยะทางค่อนข้างมาก แต่นางก็คอยระวังตัวอยู่เสมอ นางกลัวว่าเขาจะรู้ว่านางเป็นผู้หญิง แต่ดูเหมือนคืนนี้นางจะสามารถพักผ่อนได้อย่างสงบสุขแล้ว


เมื่อได้ยินเรื่องนี้ทหารเองก็กลัวคิดว่าฮวาจูอวี้ ติดเชื้อจริงๆ ดังนั้นเขาจึงรีบหนีไปอย่างรวดเร็ว มองไปที่ร่างที่หายตัวไปในระยะไกล ฮวาจูอวี้ก็ช่วยไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้น


“เจ้าเพิ่งจะพูดอะไร? พูดซ้ำอีกครั้ง “เมื่อได้ยินข่าวของทหารดวงตาของหงส์ของจี่เฟิงหลี่ก็หรี่ลงเล็กน้อย ร่องรอยของความไม่เชื่อปรากฏบนใบหน้าของเขา


ทหารเต็มไปด้วยความกลัว เจ้าจึงไม่กล้าที่จะโกหกและเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นออกมา “ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้ได้ไปขอให้ท่านหยวนเป่ากลับมา แต่เขาบอกว่าเขาจะต้องอยู่ที่นั่นคืนนี้เพื่อคอยเฝ้าดูผู้ป่วย เขาบอกว่าถ้าผู้ป่วยดีขึ้นเขาจะสามารถต้มยาสำหรับคนป่วยคนอื่นๆได้ด้วย ท่านหยวนเป่า ยังบอกให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้รายงานว่าเขากำลังไออยู่และถ้าเขากลับมาเขากลัวว่าท่านเสนาจะได้ป่วยไป ดังนั้นเพื่อประโยชน์ของท่านเสนา แม้ว่าเขาจะตายเขาก็จะไม่กลับมาขอรับ ”


ความเงียบลอยอยู่ในอากาศทำให้กระโจมเกิดความเงียบอย่างน่ากลัว มีเพียงสิ่งที่ขัดจังหวะขึ้นในไม่กี่นาทีต่อมาคือเสียงหัวเราะที่ต่ำที่เต็มไปด้วยการดูถูกและเยาะเย้ย


หลานปิงและถงโจวที่ยืนอยู่ทางด้านข้างต่างก็ตกตะลึง พวกเขาสงสัยว่าหยวนเป่า คนนี้เป็นคนโง่หรือเพียงแค่งี่เง่ากันแน่ เขาไม่ได้เป็นหมอ แต่เขาอยากจะอยู่ในหมู่บ้านเพื่อดูแลคนป่วย


จี่เฟิงหลี่ หันกลับมาพร้อมกับเสื้อคลุมสีขาวของเขาที่เคลื่อนไหวด้วยความสง่างามและความเยือกเย็นที่ไม่อาจอธิบายออกมาได้ เขารีบเดินไปที่เตียงของเขาและนั่งลงก่อนจะสั่งขึ้น “ถ้าเขาประสงค์ที่จะตาย ข้าก็จะปล่อยให้เขาทำเช่นนั้น! ถงโจว นำคนไปและเฝ้าที่หน้าประตูหมู่บ้าน แม้แต่แมลงตัวเดียวก็ไม่ได้รับอนุญาตให้บินออกมา! ”


“ขอรับ!” ถงโจว ตอบขึ้น


นั่งอยู่บนเตียง มือของเขากำเป็นกำปั้นขึ้นโดยไม่ได้รู้ตัว รูปลักษณ์ที่ซับซ้อนส่องประกายลึกลงไปในส่วนลึกของดวงตาหงส์ของเขา

 

 

 


ตอนที่ 90.1

 

ฮวาจูอวี้ เฝ้าดูเด็กหญิงตัวน้อยอยู่ตลอดทั้งคืน นางให้อาหารเพิ่มอีกสองชาม เช้าวันรุ่งขึ้นเด็กหญิงตัวน้อยก็ตื่นขึ้น อาการไข้ของนางลดลงและนางไม่อาเจียน นางสามารถดื่มยาและดูดีขึ้นมาก


ดูเหมือนใบสั่งยานี้มีความถูกต้องแน่นอน ดังนั้นฮวาจูอวี้จึงรีบสั่งให้ทหารให้ไปหาสมุนไพรมาเพิ่มขึ้น


ได้ยินว่ายาของฮวาจูอวี้ มีประสิทธิภาพ หมอหลวงซานก็ไม่กล้าที่จะประมาทการรักษาของหมอทั่วไปอีก เขาได้เตรียมยาพร้อมกับนางและช่วยแจกจ่ายให้แก่ผู้ป่วยเหล่านั้น


แม้ว่าจะมียาเพื่อต่อสู้กับความเจ็บป่วย แต่ผู้คนก็ยังคงตายอยู่และจำนวนผู้ติดเชื้อก็เพิ่มมากขึ้น ทั้งหมู่บ้านถูกห้อมล้อมไปด้วยบรรยากาศที่หนักอึ้ง ทหารปิดบังใบหน้าของพวกเขาให้แน่นหนาด้วยผ้า ไม่สนใจที่จะพูดคุยแม้เพียงเล็กน้อย ทุกคนพยายามจะอยู่ห่างจากคนอื่นเพราะกลัวว่าจะเจ็บป่วย


การระบาดครั้งนี้ทำให้ทุกคนตื่นตระหนกและหวาดกลัว


หลังจากผ่านไป 2 วันทหารที่อยู่ในครัวที่ช่วยเรื่องยาทั้งหมดต่างก็ไม่สบายแม้แต่หมอหลวงซานก็ไม่มีข้อยกเว้นและก็เป็นอีกครั้งที่มันปลุกระดมความตื่นตระหนกไปทั่วทั้งหมู่บ้าน


ไม่มีแม้แต่ผู้ป่วยรายเดียวที่หายอย่างสมบูรณ์ แต่ถึงกระนั้นกลับมีคนป่วยเพิ่งเข้ามาใหม่เรื่อยๆ ฮวาจูอวี้ ถูกทิ้งให้ทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวนางเองแม้ว่าจะมีการส่งเสบียงมายังหมู่บ้าน นางก็ต้องออกไปรับพวกมันเอง นางต้องการป้องกันไม่ให้คนอื่นเข้ามาและล้มป่วยอีก


จงกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน ฮวาจูอวี้ก็ยังคงเตรียมยาไว้ซึ่งต่อไปนางก็จะต้องแจกจ่ายพวกมันด้วยตัวเอง นางยังต้องช่วยให้อาหารแก่ผู้ที่ป่วยหนัก การต้องทำเช่นนี้อยู่ทุกวันทำให้นางหมดแรง นางรู้สึกว่ามันเหนื่อยกว่าการต่อสู้ในสนามรบเสียอีก


ฮวาจูอวี้กำลังเพิ่มไม้ลงไปในกองไฟ เมื่อนางหันกลับโดยไม่ได้ตั้งใจนางก็สังเกตเห็นเงาที่ยืนอยู่อย่างเงียบ ๆ ในระยะไกลออกไป


เนื่องจากเกิดน้ำท่วมหมู่บ้านจึงเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง แต่ก็ไม่มีใครมีเวลาหรือพลังงานพอที่จะไปทำความสะอาดและกวาดพื้น ระหว่างฉากที่ยุ่งเหยิงนี้ จี่เฟิงหลี่ ยังคงยืนอยู่ที่นั่นราวกับผู้เป็นอมตะด้วยมือที่ไขว่หลังของเขา เขาหันหน้ามาทางฮวาจูอวี้ แต่ดวงตาของเขาไม่สามารถมองเห็นได้มีเพียงหัวคิ้วที่ขมวดขึ้นเล็กน้อย


นางไม่คาดหวังว่าเขาจะมาที่นี่ แต่นางก็ไม่มีเวลาที่จะไปสนใจเขา นางต้องเตรียมยาอย่างระมัดระวัง ถ้าไฟอ่อนเกินไปยาจะไม่ได้ผลดี หลังจากเพิ่มฟืนอีกสองสามครั้งแล้วนางก็เปิดฝาขึ้นเพื่อดู เมื่อเห็นชั้นฟองสีขาวบนพื้นผิวของของเหลวที่เป็นสมุนไพรนางรีบดับไฟ


จี่เฟิงหลี่ ยืนนิ่งอยู่ที่นั่น ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มที่เบาบาง


“ท่านเสนา ทำไมท่านถึงได้มาที่นี่?” ฮวาจูอวี้ สงสัยว่าจี่เฟิงหลี่ไม่กลัวตายหรืออย่างไร ทำไมเขาถึงมาที่นี่?


“ข้าไม่ได้เห็นเป่าเอ้อร์ ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ดังนั้นข้าจึงมาถึงวันนี้หรือว่าเป่าเอ้อร์ไม่อยากพบหน้าข้า? “เขาพูดด้วยการแสดงออกที่อบอุ่นและผ่อนคลาย


“เป็นเช่นนั้นเองหรือ? ดูเหมือนว่าท่านเสนาจะคิดถึงเป่าเอ้อร์? “นางยกศีรษะขึ้นเพื่อถาม พร้อมกับรอยยิ้มที่งดงามอยู่บนริมฝีปากของนาง


เมื่อได้เห็นสิ่งนี้จี่เฟิงหลี่ก็ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่ไม่ค่อยเหมือนยิ้ม ก่อนจะขึ้น “ถูกต้องแล้ว ข้าตั้งใจจะพักที่นี่สักพักหนึ่งไม่ทราบว่ายังมีที่ว่างอยู่หรือไม่? ข้าหวังว่าเป่าเอ้อร์สามารถจัดหาห้องพักได้ ”


ฮวาจูอวี้ตื่นตระหนก และสังเกตเห็นผิวหน้าของเขาที่ซีดมากกว่าก่อนมาก


“ท่านป่วยหรือ?” นางถามด้วยความไม่เชื่อ บรรดาผู้ที่ติดเชื้อทุกคนมาพร้อมกับความเสียใจและหัวคิ้วที่ขมวดบนใบหน้าของพวกเขา หลายคนพยายามที่จะปิดบังความเจ็บป่วยของตนเอาไว้ เพื่อที่คนอื่นจะได้ไม่จับพวกเขามา มีเพียงแค่ตอนที่พวกเขาล้มเจ็บอย่างหนัก พวกเขาถึงได้ยอมรับและถูกบังคับให้เข้ามาในหมู่บ้านเพื่อแยกตัวออกจากคนอื่น การที่จะเข้ามาพร้อมกับความสงบและใจเย็น มีเพียงจี่เฟิงหลี่ ที่เป็นคนแรก


จี่เฟิงหลี่ยังคงยิ้มอย่างสดใส เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยและถามขึ้น “ถูกแล้วหรือว่าเป่าเอ้อร์ ไม่ยินดีต้อนรับข้า”


“ยินดี แน่นอนว่าต้องยินดี” นางตอบด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะรู้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะยินดี


นางยังคงไม่เชื่อ ในฐานะเสนาบดี จี่เฟิงหลี่ ควรจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีแล้วเขาจะติดเชื้อได้อย่างไร? ถึงแม้ว่าเขาจะติดเชื้อ แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ เขาอาจจะแยกตัวอยู่แต่ในที่ของเขามันก็ได้แล้ว


ฮวาจูอวี้เดินนำทางออกไปจากห้องครัว นางและจี่เฟิงหลี่ เดินตามเส้นทางเล็ก ๆ ไปยังเรือนหลังอื่น “ไม่มีใครอยู่ที่นี่ดังนั้นท่านก็สามารถอยู่ที่นี่และพักผ่อนได้ ข้าต้องไปส่งยาไปให้ผู้ป่วยและจะกลับมาในภายหลัง ”


เมื่อนางเสร็จสิ้นการแจกจ่ายยามันก็เข้าสู่ช่วงดึกแล้ว นางถือโคมไฟที่มีแสงเล็กน้อย พร้อมกับเดินกลับไปที่ห้องของนาง เมื่อนางกลับมาถึง นางก็นึกถึงผู้ป่วยรายใหม่ของนางจี่เฟิงหลี่ นางลืมที่จะให้ยาเขา


ฮวาจูอวี้ กลิ้งไปมาบนเตียงพร้อมกับไตร่ตรอง เมื่อนางเห็นเขาในระหว่างวัน เขาไม่ได้ดูเหมือนกับว่าป่วยหนัก แม้ว่าเขาจะไม่ได้กินยาสักคืนเขาก็คงจะไม่เป็นอะไร นอกจากนี้นางยังไม่ต้องการที่จะรักษาเขาด้วย ถ้านางปล่อยให้จี่เฟิงหลี่ พ่ายแพ้ต่อความเจ็บป่วยนี้ นางก็จะไม่ต้องเสียเวลาและความพยายามที่จะแก้แค้นเขา


แม้ว่านางจะไม่มีหลักฐานว่าจี่เฟิงหลี่ ได้สมทบกับฮ่องเต้พระองค์ก่อนเกี่ยวกับแต่งงานของนาง แต่มือของเขาก็ยังคงเปื้อนเลือดของความตายที่ไม่ถูกต้องของจินเซ่อ ถ้าไม่ใช่เพราะนางได้ดื่มเหล้าที่มีพิษของเขาที่ทำให้นางอ่อนแอและไร้กำลัง จินเซ่อก็คงไม่ต้องได้รับความอัปยศอดสูและถูกฆ่าโดยคนเหล่านั้น


จิตใจของนางกระพริบไปกับภาพของคืนที่มีพายุในฤดูหนาวและภาพเสียงร้องไห้ที่โศกเศร้าของจินเซ่อ พร้อมกับสีแดงเข้มที่ส่องสว่างไปทั่วหิมะ


ระลึกถึงเหตุการณ์เหล่านี้ นางก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะไปดูจี่เฟิงหลี่  นางเกลียดเขา!


ในขณะที่นางกำลังจะหลับไปก็มีเสียงเคาะเบา ๆ ดังออกมาจากประตู นางเดาว่าจะต้องเป็นจี่เฟิงหลี่ ดังนั้นนางจึงหันหน้าไปอีกด้านหนึ่งแกล้งทำเป็นนอนหลับ แต่เสียงเคาะประตูยังคงดำเนินต่อไป


ดังนั้นนางจึงต้องลุกขึ้นจากเตียงและไปเปิดประตู


อาบไปด้วยแสดงของดวงจันทร์ที่จาง ๆ ชายคนหนึ่งยืนอยู่ในลานเล็ก ๆ เขาไม่ใช่จี่เฟิงหลี่ แต่เป็นหลานปิง ที่อยู่ในชุดสีฟ้าพร้อมกับใบหน้าของเขาถูกปกคลุมไปด้วยผ้า เผยให้เห็นดวงตาลึก ๆ ที่กำลังจ้องมาที่ฮวาจูอวี้ด้วยรูปลักษณ์ที่เคร่งขรึม


“หยวนเป่า เจ้าต้องช่วยรักษาท่านเสนา” หลานปิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ต่ำและเบา ไม่เหมือนน้ำเสียงปกติของเขา


ฮวาจูอวี้ขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะพูดขึ้น “ข้าเพียงโชคดีที่จำรายละเอียดในใบสั่งยาและวิธีเตรียมมันเท่านั้น แต่ข้าไม่ใช่หมอ ข้าสามารถพูดได้ว่าข้าจะพยายามอย่างดีที่สุด แต่ข้าไม่สามารถรับประกันได้ว่าข้าจะสามารถรักษาเขาได้หรือไม่”


หลานปิง จ้องมองนางด้วยความหวาดระแวงและพูดอย่างเย็นชาขึ้น “ไม่ใช่ว่าไม่มีใครที่มีไข้แล้วไม่ลดลงเมื่อพวกเขาได้ดื่มยาของเจ้าหรอกหรือ?”


“เพียงเพราะมันสามารถรักษาคนคนหนึ่งได้ ไม่จำเป็นต้องหมายความว่ามันสามารถรักษาทุกคนได้ ท่านไม่เห็นหรือว่ายังมีคนตายอยู่ ท่านหลานปิง ข้าไม่สามารถทำสัญญาใด ๆ ได้ “นางพูดขึ้นในขณะที่หัวคิ้วยังขมวดอยู่


“ไม่สามารถมีอะไรเกิดขึ้นกับท่านเสนาได้ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นที่ชายแดนทางเหนือ? ทหารสองสามคนของเราที่กำลังเฝ้าอยู่ที่นั่นได้ตายไปอย่างลึกลับแล้ว ในแผ่นดินทั้งหมดในอาณาจักรใต้ มีใครมีความสามารถในการรับผิดชอบสถานการณ์ปัจจุบันได้ หวงฝู่ อู๋ ซวง คัวหวางหรือแม้กระทั่งว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่ป่วยก็ไม่สามารถทำอะไรได้ อย่าพูดถึงเรื่องที่ว่าถ้าเกิดเรื่องที่เลวร้ายขึ้นกับท่านเสนาเลย หากเพียงแค่มีข่าวรั่วไหลออกไปว่าเขากำลังล้มป่วย อาณาจักรของเราจะถูกพาให้เข้าไปสู่ความสับสนวุ่นวาย ความจริงที่ว่าท่านเสนาล้มป่วยมีเพียงพวกเราสองคนที่รู้ หยวนเป่าข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนที่มีพรสวรรค์ ท่านเสนา ยังให้ความสำคัญกับความสามารถของเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจความสำคัญของสถานการณ์และรักษาท่านเสนา ท่านเสนาไม่ยอมให้ข้ามาอยู่ที่นี่ ดังนั้นข้าจึงต้องแอบมาเยี่ยมเขาเท่านั้น ข้าหวังว่าเจ้าจะพยายามอย่างดีที่สุด “เมื่อพูดจบ หลานปิงก็ จ้องมองไปที่ฮวาจูอวี้อยู่ เป็นเวลานานก่อนจะจากไป


ฮวาจูอวี้ถูกครอบงำด้วยคำเคร่งขรึมของหลานปิง และการจ้องมองที่จริงจังของเขา เมื่อเขาจากไป นางก็เดินกลับไปที่ห้องของนางช้าๆ หลังจากที่ใคร่ครวญนางก็ตัดสินใจว่าจะช่วยเขา นางไม่ใช่คนเลวทรามต่ำช้าเช่นเขาดังนั้นนางจึงต้องการเอาชนะเขาด้วยวิธีที่ยุติธรรมและน่านับถือ ตอนนี้นางจะช่วยเขาให้รอด แต่นางก็ยังคงต้องการให้เขาทนทุกข์ทรมาน ดังนั้นนางจึงตัดสินใจที่จะลดปริมาณของยาลงและรักษาเขาในภายหลังเมื่ออาการของเขาแย่ลง


มีการเคลื่อนไหวทางชายแดนทางเหนือหรือ?เสี่ยวหยินกำลังทำอะไรอยู่? เสี่ยวหยินตั้งใจจะบุกอาณาจักรใต้หรือ? หลังจากสงครามครั้งสุดท้ายแล้วอาณาจักรเหนือและอาณาจักรใต้ ไม่ได้ลงนามในสนธิสัญญาเพื่อยุติสงครามอย่างนั้นหรือ?

 

 

 


ตอนที่ 90.2

 

แม้ว่าฮวาจูอวี้จะเป็นแม่ทัพ แต่นางก็ไม่ต้องการทำสงคราม


จิตใจของนางถูกทิ้งให้หมกมุ่นอยู่ตลอดทั้งคืนและนางก็ไม่สามารถนอนหลับลงได้ นางลุกขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้นและไปรับเสบียงจากภายนอก จากนั้นนางก็ไปยุ่งอยู่กับงานประจำของนาง เตรียมยาและแจกจ่ายออกไป เมื่อมียาเหลืออยู่เพียงถ้วยเดียวเท่านั้นนางถึงได้มุ่งหน้าไปยังห้องของจี่เฟิงหลี่


แม้ว่าจะเป็นตอนเช้าแล้ว หมู่บ้านก็เงียบสงบเป็นพิเศษ มีเพียงอาการไอเป็นครั้งคราวแล้วก็ไม่มีเสียงอื่น ๆอีกเลย เมื่อนางผลักให้ประตูเปิดออก ห้องภายในทั้งมืดและอับ นางเดินขึ้นไปที่หน้าต่างก่อนจะเปิดผ้าม่านออก ทำให้รังสีของแสงแดงส่องลงไปบนร่างที่นั่งอยู่บนเตียง


เขาสวมเสื้อคลุมสีขาวราวกับหิมะ เขากำลังจ้องเขม็งไปที่บางสิ่งบางอย่างบนเตียง ดูเหมือนเขาจะยังไม่ได้ล้างหน้าหรือแปรงผมที่ร่วงลงอย่างเป็นอิสระที่ด้านหลังของเขา อยู่ภายใต้แสงแดด นางไม่แน่ใจว่าเขาป่วยหรือไม่ ดูเหมือนเขาจะยังดูดีอยู่แม้ว่าเขาจะไม่ดื่มยาวันนี้ก็ตาม ความคิดของนางถูกขัดจังหวะโดยจี่เฟิงหลี่ ที่กำลังปิดปากและไอจนตัวงอ เขายังคงไม่หยุดจนกมันดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะหายใจ


รอจนกว่าอาการไอลดลงแล้ว นางจึงเดินไปและพูดขึ้น “ท่านเสนา ท่านควรกินยาของท่านก่อน” นางวางชามไว้บนเตียงและมองภาพที่กางออกบนเตียงของเขา น้ำท่วมในเมืองเซวียนโจว ได้รับการแก้ไขไปแล้วเหตุใดเขาจึงยังคงสำรวจแผนที่เหล่านี้อยู่อีก หลังจากการตรวจสอบอย่างใกล้ชิดนางก็ตระหนักว่ามันไม่ใช่แผนที่ของเมืองเซวียนโจว แต่เป็นแผนที่ของชายแดนทางเหนือ ทำให้นางนึกถึงสิ่งที่หลานปิงได้พูดเอาไว้เมื่อคืนนี้


หรืออาจจะเป็นเพราะอาณาจักรทางเหนือเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง?


จี่เฟิงหลี่ เงยหน้าขึ้นมองไปที่นาง ในขณะที่เขาดื่มยาในชาม


“หยวนเป่า ทำไมข้าไม่เห็นเจ้ามาส่งยาเมื่อคืนนี้?” จี่เฟิงหลี่ถามขณะที่สายตาของเขากลับมายังแผนที่ตรงหน้าของเขา


เมื่อสังเกตเขาตอนนี้ นางจึงได้เห็นสีผิวที่ซีดและใบหน้าที่อ่อนล้าของเขา ความเจ็บป่วยในครั้งนี้เป็นสิ่งที่น่ากลัวจริงๆ แม้แต่คนที่มีทักษะการต่อสู้สูงอย่างเช่นจี่เฟิงหลี่ ก็ต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้


“เมื่อคืนนี้มียาไม่พอ ดังนั้นข้าจึงให้ความสำคัญกับผู้ป่วยที่ป่วยหนักมากกว่าท่าน ” ฮวาจูอวี้พูดขึ้น


เขามองไปที่ฮวาจูอวี้ก่อนจะถามขึ้น “หยวนเป่า เจ้าหวังจะให้ข้าตายหรือ?”


ดวงตาของฮวาจูอวี้ หดลงในขณะที่นางยิ้มและพูดขึ้น “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? ถึงแม้ว่าข้าจะเกลียดท่าน แต่ตอนนี้เมื่อข้าติดตามท่านแล้ว ข้าจะหวังให้ท่านตายได้อย่างไร ”


“เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ? หยวนเป่า ทำไมเจ้าไม่กลัวที่จะเจ็บป่วย เจ้าอยู่ในหมู่บ้านนี้มานานแล้วและเจ้าก็ไม่ได้ใช้มาตรการป้องกันใด ๆ ดังนั้นทำไมเจ้าถึงไม่ล้มป่วย? “จี่เฟิงหลี่ ยกศีรษะขึ้นในขณะที่เขาถาม


นางรู้ว่าเขากำลังสงสัยนาง แต่นางก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังเรื่องนี้ นางจึงตอบขึ้น “เป็นเพราะข้าเคยเจ็บป่วยด้วยโรคนี้มาแล้วและจะไม่ติดเชื้ออีกเป็นครั้งที่สอง”


“เป็นเช่นนั้นหรือ” เขาพิงหลังไปกับหัวเตียง ดวงตาที่ลึกที่ไม่สามารถอ่านได้ของเขาหรี่ลงเล็กน้อย


“ท่านเสนา ทำไมท่านต้องใช้เวลามากมายในการจ้องมองแผนที่เหล่านั้นด้วย?” ฮวาจูอวี้ ถามขึ้น ไม่ว่าจะอย่างไร จี่เฟิงหลี่ก็ไม่ได้เป็นผู้บัญชาการทหารเขา เขาเป็นเพียงเสนาบดีกรมพลเรือนเท่านั้น ดังนั้นมันจะมีประโยชน์อะไรที่จะมาดูแผนที่เหล่านี้


ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะตอบขึ้น “แน่นอนว่าข้าต้องศึกษาพวกมัน ถ้าสงครามปะทุขึ้นกับอาณาจักรเหนือ ข้าจะต้องกำหนดกลยุทธ์ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถตายที่นี่ได้.. ” ก่อนที่จะทันได้พูดจบในสิ่งที่เขาต้องการจะพูด เสียงไอก็ขัดจังหวะเขาขึ้นอีกครั้ง ถ้าเขาเป็นผู้ป่วยรายอื่นๆ นางจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อลูบหลังเขา แต่นี่คือจี่เฟิงหลี่ นางไม่ต้องการช่วยเขา


เขาใช้มือข้างหนึ่งเพื่อพยุงให้ตัวเองมั่นคงอยู่บนเตียง ในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งจับที่หน้าอกขณะที่เขาไอออกมา เขาไออย่างไม่ลดละจนเขาหมดแรงและเอนตัวลงไปกับเตียง ฮวาจูอวี้ไม่แน่ใจและตัดสินใจที่จะทำหน้าที่ของนางด้วยการสัมผัสกับหน้าผากของเขา


นางตกใจทันทีที่นางสัมผัสมัน หน้าผากของเขาร้อนมาก แต่เขาก็ยังนั่งอยู่ที่นี่เพื่อตรวจสอบแผนที่เพื่อที่จะกำหนดกลยุทธ์


นางช่วยเขานอนลงและพูดขึ้น “ท่านเสนาควรพักผ่อนก่อน ข้าจะไปเตรียมยา “คราวนี้นางไม่กล้าที่จะลดปริมาณลงอีก หลังจากที่จี่เฟิงหลี่ดื่มยาเขาก็หลับไปลึกทันที


การรับดื่มยาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งวันและหนึ่งคืนของเขา มันไม่ได้แสดงอาการของดีขึ้นเลย และอาการไข้ของเขาก็ไม่ลดลงแม้แต่น้อย


ฮวาจูอวี้เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ไม่ว่าใครป่วยแค่ไหนเมื่อเขาดื่มยาที่นางเตรียมไว้ อาการไข้ก็จะลดลงหลังจากหนึ่งคืน ด้วยทักษะการต่อสู้ที่สูงอย่างจี่เฟิงหลี่ เขาต้องแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปมาก ดังนั้นทำไมยาจึงไม่มีประสิทธิภาพกับเขา


คืนนั้นหลานปิง ไม่ได้แวะไปเยี่ยมจี่เฟิงหลี่ แต่เมื่อได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้นจากฮวาจูอวี้แล้วเขาก็ตื่นตระหนกและมุ่งหน้าไปดูเขา นอกจากนี้เขายังมีคำสั่งให้ทหารของเขาไปพาหมอหลวงซานมาด้วย หลังจากที่ได้จับชีพจรของจี่เฟิงหลี่แล้ว หมอหลวงซาน ก็ถอนหายใจออกมายาวๆ ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความเศร้าโศก


“ท่านเสนาไม่เพียงแค่ป่วย แต่เขายังถูกวางยาพิษอีกด้วย เป็นเรื่องยากที่จะรักษาทั้งสองอย่างนี้ในเวลาเดียวกัน “หมอหลวงซวนรายงานอย่างระมัดระวัง ก่อนที่เขาจะไออย่างไม่หยุดหย่อน


“อะไรนะ?” หลานปิงเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย ทันใดนั้นความรู้สึกหนาวสั่นจากร่างกายของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นไอสังหาร


“หยวนเป่า เป็นเจ้าใช่ไหม? ท่านเสนาเห็นว่าเจ้ามีพรสวรรค์และไม่สามารถที่จะทนฆ่าเจ้าได้ แต่เจ้ากลับวางยาพิษเขา! “หลานปิง ตะโกนขึ้นในขณะที่มองมาที่นางพร้อมด้วยไอสังหาร


ฮวาจูอวี้ยิ้มก่อนจะพูดขึ้น “ท่านหลานปิง  ถ้าข้าอยากจะฆ่าเขา ข้าไม่จำเป็นต้องเสียเวลาที่จะต้องวางยาพิษเขา ข้าไม่ได้เลวทรามต่ำช้าขนาดที่จะใช้วิธีการดังกล่าว”


“ท่านหลานปิง ดูเหมือนว่าท่านเสนาจะถูกวางยาพิษก่อนที่เขาจะติดเชื้อ ท่านหยวนเป่า อยู่ในหมู่บ้านตลอดเวลา เขาไม่ได้เป็นผู้ร้ายอย่างแน่นอน “หมอหลวงซวนพูดขึ้น


ฮวาจูอวี้มองไปที่หมอหลวงซาน ด้วยสายตาที่ขอบคุณ นางไม่ได้คาดหวังว่าชายปากแข็งคนนี้จะพูดแทนนาง


หลานปิงขมวดคิ้ว ก่อนจะถามขึ้นอย่างรวดเร็ว “แล้วเราจะช่วยท่านเสนาได้อย่างไร?”


“ข้าสามารถทำยาแก้พิษได้ แต่ถ้าอาการป่วยไม่หายเป็นปกติเสียก่อนการกินยาแก้พิษก็จะไร้ประโยชน์ เราต้องพยายามรักษาเจ็บป่วยของท่านเสนาก่อนที่จะถอนพิษออกไปได้ แต่เนื่องจากเพราะเขาถูกพิษ ยาที่ใช้ในการรักษาอาการป่วยจึงไม่ได้ผล นี่เป็นเรื่องยากจริงๆ! ”


จี่เฟิงหลี่ที่นอนอยู่บนเตียง ก็มีอาการไอขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เขากำลังไอออกมาเป็นเลือด ซึ่งไหลลงมาจากมุมปากของเขาด้วย


แม้แต่ฮวาจูอวี้ก็ต้องตกใจ นางกลัวว่าเขาจะไม่สามารถผ่านคืนนี้ไปได้


หลานปิงเดินไปที่เตียงด้วยก้าวที่หนัก ๆ เขาหยิบผ้าขึ้นมาและเช็ดริมฝีปากของจี่เฟิงหลี่ ก่อนจะหันกลับมาตะโกนขึ้น “พวกท่านทั้งสองรีบคิดหาวิธีแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด ท่านหมอหลวงซานมันจะดีที่สุดที่ท่านจะคิดหาวิธีช่วยเขา ส่วนเจ้าก็ไปเตรียมยาและนำมันมา!”


นางพยักหน้าด้วยความยินยอม ก่อนที่จะออกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่นางเดินผ่านประตูไป นางก็หันกลับไปและเห็นหลานปิง ช่วยพยุงจี่เฟิงหลี่ ขึ้น เขาใช้ผ้าเปียกเพื่อเช็ดใบหน้าของจี่เฟิงหลี่ และใช้นิ้วมือของเขาแทนหวีเพื่อแปรงผมของจี่เฟิงหลี่


มุมมองที่อ้างว้างของหลานปิง ในขณะที่เขาจ้องมองไปที่จี่เฟิงหลี่ที่ได้มีสติ ที่กำลังนอนอยู่บนเตียง ทำให้เกิดน้ำหนักที่หนักอึ้งอยู่ในหัวใจของนาง แล้วจู่ๆ นางก็รู้สึกท้อแท้และเกือบจะเป็นว่างเปล่า


บางครั้งการสูญเสียของศัตรูก็ไม่ได้แตกต่างกันมากกับการสูญเสียของเพื่อน หากปราศจากคนที่จะต่อสู้และต่อต้าน บางทีความรู้สึกเหงาและเวิ้งว้างก็เกิดขึ้นได้


           ด้วยหัวใจที่หนักหน่วง นางเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อเตรียมยา แต่ลึกลงไปนางรู้ว่ายานี้ไม่มีประโยชน์อะไรกับจี่เฟิงหลี่ เขาได้ดื่มยานี้ไปหลายครั้งแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ผลแม้แต่น้อย


ค่ำคืนค่อยๆดึกดื่นขึ้นไปเรื่อยๆ


ดวงจันทร์ค่อย ๆ พุ่งขึ้นไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้มืดมนและเต็มไปด้วยผู้ป่วย นอกเหนือจากเสียงไอเป็นครั้งคราวก็ไม่มีเสียงอื่นรบกวนอีก มันเงียบสนิทราวกับความตาย คล้ายกับความเงียบของเมืองร้างที่ไม่มีสัญญาณชีวิตชีวาอยู่เลย


ฮวาจูอวี้เพิ่มไม้ลงไปในกองไฟและดับลงหลังจากที่ยาต้มได้ทีแล้ว


ทันใดนั้น เสียงก็ดังมาจากภายนอก นางตกใจและสงสัยว่ามีอะไรเกิดขึ้นก่อนจะออกไปดูแล้วก็ได้เห็นผู้คนจำนวนมากมายืนอยู่ที่นั่น พวกเขาเป็นผู้ป่วยทั้งหมดที่ได้รับการรักษาในหมู่บ้านแห่งนี้ บางคนเจ็บป่วยเล็กน้อยขณะที่คนอื่นๆ เจ็บป่วยหนักจนต้องได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่นในการยืนอยู่กับที่ แม้ว่าพวกเขากำลังไอ พวกเขาก็ตะแบงที่จะยืนอยู่ที่นั่น เมื่อเห็นฮวาจูอวี้ โผล่ออกมาจากห้องครัว พวกเขาทั้งหมดต่างก็คุกเข่าลงไป


“ท่านหยวนเป่า ท่านต้องช่วยท่านเสนาบดีนะขอรับ! ท่านเสนาบดีเป็นขุนนางที่ดี ท่านต้องรักษาเขา! ได้โปรดด้วยเถิด! ไม่ใช่ว่ายาของท่านมีประสิทธิภาพดีมากหรอกหรือ คนจำนวนมากต่างก็รู้สึกดีขึ้นหลังจากที่ดื่มมันแล้ว ท่านได้โปรดช่วยท่านเสนาบดีด้วยเถิด ได้โปรดช่วยเขาด้วย! “

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม