World of Hidden Phoenixes 101.2-107.2

ตอนที่ 101.2

 

       จี่เฟิงหลี่ถูกพาไปที่ค่ายทหารที่ประจำอยู่หลังสนามรบ ก่อนจะถูกนำตัวเข้าไปในกระโจมทันที ฮวาจูอวี้ไม่ได้ตามหมอทหารเข้าไป แต่รออยู่ข้างทางนอก เฝ้าดูพวกเขาวิ่งเข้าและออกพร้อมกับผ้าพันแผลที่แช่ไปเลือดเท่านั้น  


       สภาพที่ไม่แน่นอนของจี่เฟิงหลี่ ทำให้นางไม่สบายใจ นางรู้ว่าความตายของเขาจะทำให้อาณาจักร​เสียเปรียบ แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงขุนนาง​ผู้ที่ไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวกับทหาร​โดยตรง แต่ความสำคัญของเขาก็ไม่สามารถพูดออกมาตรงๆ ได้ ทุกคนเข้าใจถึงผลกระทบต่อสภาพของเขาที่จะมีต่อสงคราม ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าเปิดเผยเรื่องนี้ ผลที่ตามมาก็คือฮวาจูอวี้ไม่สามารถหาคนที่เต็มใจที่จะพูดคุยและปล่อยให้นางอยู่ในที่มืดเกี่ยวกับสภาพของเขาต่อไปเท่านั้น


       ถึงแม้ว่านางอยากจะรู้ว่าเขาเป็นอย่างไรก็ตาม แต่การยืนอยู่ในท่ามกลางสายลมหนาวก็ไม่ได้ทำอะไรให้อะไรดีขึ้น จนกระทั่ง​ครึ่งชั่วยามต่อมาเมื่อนางเห็นหมอทหารก้าวออกมา หลังจากความวุ่นวายจบลงแล้วนางก็เข้าใจว่าจี่เฟิงหลี่ คงจะมีสภาพ​ที่ดีขึ้นแล้ว เพราะไม่อย่างนั้นหมอจะไม่ห่างกายเขา


       ในขณะที่​นางกำลังจะหันและจากไป ใครบางคนก็เรียกนางขึ้น “หยวนเป่ามานี่! ท่านเสนาต้องการพบเจ้า! “


       หัวคิ้วของฮวาจูอวี้ขมวดขึ้นและค่อยๆก้าวเข้าไปข้างใน นางตำหนิตัวเองที่ทำอะไรช้าเกินไป มันคงจะดีกว่าถ้านางจะจากไปเร็วกว่านี้ จี่เฟิงหลี่ต้องการพบนางด้วยเรื่องอะไร?


       หลานปิงหรี่ตาลงในขณะที่​เขาเฝ้าดูฮวาจูอวี้เดินเข้ามาใกล้ เขาลดศีรษะของเขาต่ำลงก่อนจะพูดขึ้น “ถ้าดาบแทงเข้าไปดึกกว่านี้อีกเพียงเล็กน้อยชีวิตของท่านเสนาก็คงจะตกอยู่ในอัตราย ทั้งหมด​นี้ต้องขอบใจเจ้าจริงๆหยวนเป่า”


       ฮวาจูอวี้หยุดเดิน ในขณะที่​หลังของนางแข้ง​ค้างขึ้น


       ทุกอย่างเป็นเพราะนาง


       หลานปิงกำลังตำหนินางแบบเดียว​กับที่ถังยวีพูดก่อนหน้านี้! นางยอมรับว่ามันเป็นความจริงและนางก็รู้สึกขอบคุณจี่เฟิงหลี่ แต่การได้ยินจากปากคนอื่นทำให้นางรู้สึกราวกับว่านางเป็นหนี้เขา! นางเป็นหนี้อะไรเขา?


       นางเคยใช้เลือดของตัวเองเพื่อช่วยชีวิต​จี่เฟิงหลี่ไม่ใช่หรือ? การที่เขาช่วยให้นางรอดมาในเวลานี้ก็ถือว่าเป็นการตอบแทนที่ยุติธรรมแล้วไม่ใช่หรือ


       ดังนั้นนางจึงไม่ได้เป็นหนี้เขาเลย! ในทางตรงกันข้ามเมื่อพิจารณาถึงการกระทำที่ผ่านมา เขาเป็นหนี้นาง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ยังมีชีวิตของจินเซ๋อรวมอยู่ในบัญชีด้วย​!


       ในขณะที่นางเดินเข้าไปในกระโจม เธอก็สังเกตเห็นยาที่ต้มอยู่ในกาต้มน้ำเหนือกองไฟ ทำให้อากาศเต็ม​ไปด้วยด้วยควันที่หนาและกลิ่นฉุนของยา


       เสียงของฝีเท้าของนางทำให้จี่เฟิงหลี่ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงลืมตาขึ้นและสบสายตากับนาง สายตาของเขาไม่สามารถอ่านได้เช่นเดียวกับค่ำคืนที่มืดมนที่สุด ทำให้นางรู้สึกราวกับว่านางอาจจะตกลงไปในความลึกของความมืดได้ตลอดเวลา


       หลังจากที่ฮวาจูอวี้ปรับสภาพตัวเองแล้ว นางก็ได้สำตรวจจี่เฟิงหลี่ เขาไม่ได้เปียกไปด้วยเลือดอีกต่อไป เสื้อคลุมสีขาวที่เคยเปียกโชกไปด้วยเลือดสีแดงได้เปลี่ยนและบาดแผลก็ถูกพันแผลแล้ว


       ฮวาจูอวี้เดินเข้าไปที่เตียงอย่างช้าๆ “ท่านเสนา ท่านทำให้หยวนเป่าตกใจกลัวจริงๆ ตอนนี้ร่างกาย​ของท่านดีขึ้นแล้วหรือไม่? ”


       ฮวาจูอวี้เต็มไปด้วยความสงสัย นางไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงช่วยนาง


       ในขณะที่ถูกคุมขัง นางสงสัยว่าจี่เฟิงหลี่จะลงโทษนางที่เป็นสายลับของอาณาจักร​เหนืออย่างไร ถ้านางกลับมาที่ค่าย ใครจะคาดหวังว่าเขาจะไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตนาง แต่ยังได้รับบาดเจ็บสาหัสเนื่องจากเรื่องนี้อีกด้วย?


       ไม่มีใครสามารถเข้าใจเหตุการณ์เช่นนี้ได้!


       จี่เฟิงหลี่เงยหน้าขึ้น ในขณะที่ดวงตาสีเข้มของเขากระพริบด้วยแสงจาง ๆ “ดูเหมือนมันจะเป็นเพราะเจ้ากลัว ข้าก็คิดอย่างนั้น มิฉะนั้นแล้วหยวนเป่าคงจะไม่ผลักเสนาผู้นี้ลงจากหลังม้า “


       “เป็นเช่นนั้น​ๆ!” ฮวาจูอวี้เห็นด้วยอย่างงุ่มง่ามขึ้นทันที


       จี่เฟิงหลี่กำลังประเมินฮวาจูอี้ด้วยดวงตาที่ไม่สามารถอ่านได้พร้อมกับความเยือกเย็นของเขา ทำให้นางไม่สามารถอ่านความคิดของเขาได้


       “หลานปิ่งแจ้งคำสั่งลงไปให้เริ่มถอยกำลัง!” เขาสั่งหลานปิง ที่ยืนอยู่ตรงทางเข้ากระโจมขึ้น​


       “ขอรับ!” หลานปิงรับคำและโค้งคำนับก่อนที่จะออกไป


       ฮวาจูอวี้คิดเกี่ยวกับตำแหน่งของเมือหยางกั่ว มันเป็นป้อมปราการที่มั่นคงมาก เนื่องจากหุบเขาอยู่ด้านข้าง  ทำให้เป็นพื้นที่อันตรายสำหรับศัตรูที่จะบุกรุก อย่างที่เห็น ดูเหมือนว่าเสี่ยวหยินจะใช้เวลาอยู่ไม่น้อยกว่าที่จะยึดเมืองหยวนกั่วเอาไว้ได้ พวกเขาจะไม่สามารถเอามันกลับจากเขาได้ภายในข้ามคืน จี่เฟิงหลี่คงจะตระหนักถึงเรื่องนี้เนื่องจากที่เขาได้สั่งให้กองกำลังถอยกำลัง อย่างไรก็ตามถ้าเขารู้เรื่องนี้แล้ว ทำไมเขาถึงสั่งให้มีการโจมตีเมืองก่อนหน้านี้? หรือเพียงเพื่อที่จะช่วยนางเท่านั้น?


“ท่านเสนา ทำไมท่านถึงช่วยข้าในคืนนี้? นายเสนาไม่คิดว่าข้าเป็นสายลับของอาณาจักรเหนือแล้วหรือ”ฮวาจูอวี้ช่วยไม่ได้ที่จะถามขึ้น


       เมื่อได้ยินคำถามของนาง เขาก็จ้องมองไปที่นาง มุมปากของเขาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มราวกับกำลังเยาะเย้ยตัวเอง ในขณะที่เขาตอบขึ้น “ข้าเพียงแค่คิดว่ามันน่าจะสนุกเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมาก”


       เพื่อความสนุกหรือ? บางทีเขาอาจจะพูดความจริงก็ได้ เพราะนอกจากเหตุผลนี้แล้ว นางก็ไม่สามารถหาคำอธิบายที่เป็นไปได้อื่น ๆ ได้


“ท่านเสนา มีจะอะไรจะสั่งอีกหรือไม่? ถ้าไม่ข้าผู้น้อยต้องขอตัวก่อน “ฮวาจูอวี้พูดขึ้น


“ยาเสร็จแล้ว” จี่เฟิงหลี่พูดขึ้นอย่างชัดเจน เขาไม่ได้ตอบคำถามของนางเขายังคงนอนอยู่บนเตียงและหยิบหนังสือขึ้นมา ก่อนที่จะเปิดมัน


       หัวคิ้วของฮวาจูอวี้ขมวดขึ้น และมองไปรอบ ๆ กระโจมก่อนที่จะเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบ ๆ หม้อกำลังเดือดอย่างแรงและนางก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดินไปและเอามันออกจากกองไฟเท่านั้น


“มีชามอยู่บนโต๊ะ” เขาพูดด้วยเสียงเบาๆ ขึ้น


       ในฐานะที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ฮวาจูอวี้ก็ทำได้เพียงแค่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งเท่านั้น นางเทยาลงในชามและพูดขึ้น “ท่านเสนา ยาวางอยู่ตรงนี่ ผู้น้อยคงต้องขอตัว”


       “นำมันมานี่” จี่เฟิงหลี่สั่งขึ้นอย่างไม่แยแสและดวงตาก็ยังติดอยู่กับหนังสือ


       ฮวาจูอวี้หัวคิ้วขมวดขึ้นด้วยความรำคาญและสงสัยว่าทำไมดาบของ เสี่ยวหยิน ไม่แทงลงไปลึกอีกสักหน่อยเพื่อที่เขาจะได้หมดสติไปสักสองสามวัน ถ้าเป็นแบบนั้นมันจะดีมากแค่ไหน


       อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นว่าเขาช่วยนางจากอาณาจักรเหนือ นางบอกกับตัวเองให้อดทนกับมันไปก่อนในเวลานี้


       แม้ว่านางจะนำชามไปหาเขา มันก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่มีเจตนาที่จะรับมันไปและยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม


       ฮวาจูอวี้หรี่ตาของนางลง


       เมื่อเขาไม่ได้ขยับ นางก็ไม่ได้ขยับด้วยเช่นกัน


       เขาไม่ได้พูด นางก็เงียบ


       ความสนใจของเขาตกอยู่ในหนังสือ ในขณะที่นางยังคงจ้องไปที่ชามยาที่อยู่ในมือของนาง


       ไม่แน่ใจว่าใครกำลังทดสอบความอดทนของใคร แต่โชคดีที่นางใช้ผ้าเช็ดเพื่อรองชามนี้เพื่อไม่ให้มือของนางถูกลวก


       บรรยากาศหยุดนิ่งลงไปทันที ราวกับมีบางอย่างที่ไม่ปกติ


       หลังจากนั้นไม่นาน จี่เฟิงหลี่ก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขาวางหนังสือเล่มนั้นลงและมองไปที่นาง


       เมื่อพบกับสายตาของเขา ฮวาจูอวี้กระพริบตาขึ้นพร้อมกับยิ้ม


       รอยยิ้มของนาง พร้อมด้วยดวงตาที่ส่องประกายเหมือนความสดใสของดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้หัวใจของจี่เฟิงหลี่ เต้นเร็วขึ้น มันเป็นรอยยิ้มที่งดงามที่อาจทำให้อาณาจักรล้มได้


“หยวนเป่า เจ้าไม่รู้หรือว่าจะต้องดูแลผู้ป่วยอย่างไร?” ดวงตาที่เย็นชาซึ่งดูเหมือนจะจุดประกายไปด้วยประกายไฟกำลังเฝ้ามองนางอย่างใกล้ชิด


       ดูเหมือนว่าเขาต้องการให้นางป้อนยาเขา! ฮึ! ไม่ใช่ว่าทุกคนสามารถได้รับการบริการของนางได้


“ทำไมท่านเสนาไม่พูดให้เร็วกว่านี้!” ครึ่งนั่ง ครึ่งคุกเข่าอยู่บนพรม ฮวาจูอวี้ตัดยาขึ้นมาหนึ่งช้อนเต็ม แล้วนำมันไปที่ริมฝีปากของเขา


       เมื่อดื่มยา หัวคิ้วของจี่เฟิงหลี่ก็ย่นขึ้นเล็กน้อย ทุกคนสามารถบอกได้ว่าชามยานี้ขมแค่ไหนจากเพียงแค่กลิ่นของมัน นอกจากนี้ยาเพิ่งจะถูกนำออกจากกองไฟและยังร้อนอยู่ แต่โชคร้ายที่ชามนี้มีขนาดเล็กมาก อย่างไรก็ตามฮวาจูอวี้ยังคงป้อนยาแก่เขาอย่างเต็มที่และเนื่องจากเขาไม่ได้ปฏิเสธ ยาจึงหมดไปในที่สุด


       นางไม่คิดว่าจี่เฟิงหลี่จะชอบดื่มยาขมมากนัก กลิ่นของมันทำให้ฮวาจูอวี้ ต้องเบือนหน้า ไม่ต้องพูดถึงการที่จะดื่มมัน


       ฮวาจูอวี้ยืนตัวตรงขึ้น ตั้งใจจะวางชามลงไปบนโต๊ะ ก่อนที่นางรู้สึกว่ามีผมของนางติดอยู่กับอะไรบางอย่าง ทำให้นางหยุดชะงักไปในทันที ตั้งแต่แต่งตัวเป็นผู้ชายนางก็ผูกผมตั้งสูงขึ้นเสมอพร้อมกับปัดด้วยปิ่นที่ทำจากไม้ มือของนางเอื้อมออกไปเพื่อสำรวจและดูเหมือนว่าปิ่นของนางจะติดอยู่บนผ้าม่านของเตียง


       นางพยายามที่จะปลดผมด้วยมือข้างเดียว ในขณะที่พยายามปรับสมดุลให้กับชามที่อยู่ในมืออีกข้างหนึ่ง การกระทำของนางกลายเป็นเรื่องที่น่าขบขันและช่วยไม่ได้ ทำให้ดวงตาของจี่เฟิงหลี่ เต็มไปด้วยความเพลิดเพลิน เขาขยับผ้าห่มออกและเอนตัวลงไปกับเสาเตียง ในขณะที่เขาค่อยๆเคลื่อนไปทางนาง


“ให้ข้าช่วย” เขาพูดด้วยเสียงที่เบา ในขณะที่ยื่นมือของเขาออกไปเพื่อช่วยนาง


       เขายืนอยู่ใกล้กับนางมาก จนทำให้นางได้กลิ่นยาที่ผสมอยู่ในลมหายใจของเขา เมื่อนางเงยหน้าขึ้น นางก็เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาและความคร่งขรึมในดวงตาที่ลึกล้ำแต่ก็ดูอ่อนโยนของเขา


       ฮวาจูอวี้รู้สึกกังวลว่าเขาจะรู้ว่านางเป็นผู้หญิงหากเขาดึงปิ่นออกและเห็นว่าผมของนางยาวแค่ไหน


“ท่านเสนา ไม่จำเป็น ข้าสามารถทำมันได้!” นางลดศีรษะของนางลงก่อนจะผลักเขาออกไป อย่างไรก็ตามนางไม่คาดคิดว่านางจะผลักไปโดนบนแผลที่ถูกพันใหม่ๆ ของเขา


       เหนือตัวนางขึ้นไป นางได้ยินเสียงลมหายใจที่หนักๆ ของเขา จี่เฟิงหลี่ ถึงกับสะดุดไปและร่างของเขาก็เอนลงไปข้างหลัง ฮวาจูอวี้เอื้อมมือออกไปคว้าเอวเขาเอาไว้ จี่เฟิงหลี่แข็งค้างไปทันที ก่อนจะรีบปัดมือของนางออก ราวกับว่าเขาไม่ต้องการให้นางแตะต้องตัวเขา ดังนั้นเนื่องจากแรงล้มของเขาทำให้ทั้งสองคนล้มลงกับพื้นด้วยกัน


       ชามหล่นจากมือของนางและผ้าม่านถูกดึงลงมาทำให้เกิดเสียงดังขึ้น ในขณะที่ปิ่นของนางยังคงติดอยู่ ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจึงตกลงมาพร้อมกับนางเมื่อนางล้มลงไปและพวกเขาก็ถูกปกคลุมอยู่ใต้ผ้าม่านทันที


       ฮวาจูอวี้ ล้มลงไปอยู่บนหน้าอกของจี่เฟิงหลี่ ริมฝีปากของสัมผัสกับบางอย่างที่นุ่มและอ่อนโยนคลายกับริมฝีปากอีกคู่หนึ่ง ….

 

 

 


ตอนที่ 101.3

 

 ร่างกายของนางไม่เพียงแค่กดลงไปบนตัวเขาเท่านั้น แต่ริมฝีปากของพวกเขาก็ยังสัมผัสกันอย่างใกล้ชิดอีกด้วย!


       นางรีบพยายามขยับออกไป แต่เสียงของจี่เฟิงหลี่ก็ดังขึ้น “อย่าขยับ”


       ฮวาจูอวี้จู่ ๆ ก็ตัวแข็งค้างไป ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นได้ว่านางกำลังนอนอยู่บนบาดแผลของเขาและอยู่ใต้ปลายนิ้วของนางคือหัวใจที่เต้นเร้าอยู่ของเขา


       แล้วชั่วครู่ ใบหน้าของนางก็แดงขึ้น โชคดีที่ทั้งคู่ถูกคลุมอยู่ภายใต้ผ้าม่านที่หนาพอที่จะปกปิดการแสดงออกของนางได้


       ในขณะที่นางกำลังจะลุกออกไปอย่างช้าๆ นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นอย่างรวดเร็ว


“ท่านเสนา … เกิดอะไรขึ้น?” คนผู้นั้นเข้ามาและดึงผ้าออกจากพวกเขาอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเขาก็ปล่อยเสียงร้องที่ฟังดูน่าตกใจออกมาพร้อมกับจ้องมองไปที่ฮวาจูอวี้


       นางหันกลับไปและเห็นว่าเป็นถังโจว การแสดงออกของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึงและมันทำให้ใบหน้าของเขาดูน่าขบขันมาก ราวกับว่าเขากำลังพยายามอย่างดีที่สุดที่จะเข้าใจฉากตรงหน้าของเขา


       นางรู้ดีว่าท่าทางของนางที่กำลังใกล้ชิดอยู่กับจี่เฟิงหลี่ในตอนนี้มันดูค่อนข้างคลุมเครือ


       และเนื่องจากที่เขาเพิ่งจะพันผ้าพันแผลเสร็จใหม่ๆ เสื้อคลุมด้านนอกของเขาจึงไม่แน่นหนา เมื่อเขาล้มลงไปเสื้อคลุมของเขาจึงเปิดเผยหน้าอกที่แข็งแกร่งของเขาพร้อมกับมือของนางที่วางอยู่ด้านบน


       ฮวาจูอวี้ ขยับออกห่างจากจี่เฟิงหลี่ และจบลงด้วยการดึงเส้นผมของนางออกไปสองสามเส้น ในขณะที่พยายามพาตัวเองออกมาผ้าม่าน


       แม้ว่าทรงผมของนางจะไม่เป็นระเบียบ แต่ก็โชคดีที่มันยังคงอยู่ในสภาพเดิม


“ท่านเสนา ข้าน้อยขอตัวก่อน” นางก้มลงไปอย่างรวดเร็ว ปกปิดรูปลักษณ์ที่ดูตื่นตระหนกในสายตาของนางเอาไว้


       จี่เฟิงหลี่ ยังคงนอนอยู่บนพรม เขามองนางด้วยดวงตาหงส์ของเขา พร้อมกับไฟบางอย่างที่กำลังไหม้อยู่ข้างในอย่างลับๆ


       ถึงแม้จะตื่นตระหนกจากสายตาของเขา นางก็ไม่ได้รอให้เขาพูด ก่อนที่จะรีบออกไปทันที ในขณะที่นางเดินผ่านถังโจว นางก็สังเกตเห็นผิวหน้าที่ดำมืดของเขา นางได้ยินเสียงพึมพำขึ้น “ตัด … ตัด … ตัด … ” เขารู้สึกตกตะลึงมากจนไม่สามารถที่จะจบประโยคของเขาให้สมบูรณ์ได้ หรือเป็นเพราะท่าทางของจี่เฟิงหลี่ในตอนนี้?


“ตัดแขนเสื้อ?” ฮวาจูอวี้ไม่สามารถเก็บความโกรธเอาไว้ได้และพูดอย่างเย็นชาขึ้น “ถ้าข้าเป็น เจ้าจะไม่สามารถที่จะหลบหนีไปได้! ลองดูตัวเจ้าเองก่อน ทั้งสูงและแข็งแรง ช่างสมกับที่เป็นชายชาตินักรบ”ใบหน้าของถังโจวขึ้นสีและเขาก็รีบถอยห่างออกไปทันที


       โอ้สวรรค์ช่วยลูกด้วย!


       เขาถึงกับพูดไม่ออก เขายังคงมีภรรยาและบุตรรออยู่ที่บ้านของเขา! ในวันต่อมาถังโจวก็พยายามหลีกเลี่ยงฮวาจูอวี้ แม้แต่หลีกเลี่ยงการมองนางด้วยสายตาเหมือนนางเป็นสัตว์ร้ายที่หิวโหยบางอย่าง


       ในยามค่ำคืน หลานปิง กำลังยืนอยู่ข้างนอกกระโจมของนาง เมื่อนางก้าวออกมา การจ้องมองของเขาก็เล็งไปที่นางในขณะที่มันเป็นแบบเดียวกับที่เขาเคยมองนางในคืนนั้น เมื่อเขาหลอกให้นางเข้าไปในห้องของจี่เฟิงหลี่ บางทีเขาอาจจะคิดว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขาสองคนในคืนนั้น อย่างไรก็ตามนางขี้เกียจเกินไปที่จะอธิบายตัวเองและเพียงแค่เดินต่อไปเท่านั้น


“เจ้ากำลังจะไปไหน ท่านเสนามีคำสั่งให้เจ้าไปดูแลเขานับแต่นี้ต่อไป! “หลานปิงพูดขึ้นอย่างเย็นชา เขาไม่ได้ต้องการให้นางไปดูแลจี่เฟิงหลี่ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่สามารถฝ่าฝืนคำสั่งได้


       ฮวาจูอวี้ หยุดกลางคันและไม่เข้าใจว่าทำไม เมื่อก่อนจี่เฟิงหลี่ ปฏิเสธที่จะให้นางดูแลเขาเมื่อตอนที่เขาล้มป่วยที่เสวียนโจว ทำไมจู่ๆ ถึงได้เปลี่ยนใจ?


“ทำไมข้าต้องไปคอยดูแลเขา?” ฮวาจูอวี้ถามด้วยดวงตาที่หรี่ลง


“ไม่มีผู้หญิงในกองทัพและเจ้า … . ไม่ใช่ว่าเจ้ามีประสบการณ์กับการรับใช้คนหรือ? นอกจากนี้มันควรจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับเจ้า “หลานปิงพูดขึ้น


“ข้าได้เข้าร่วมกองทัพแล้วและเป็นทหารไม่ใช่คนรับใช้” ฮวาจูอวี้พูดขึ้น


“เนื่องจากนี่เป็นกองทัพและมันก็เป็นคำสั่งทางทหาร หรือเจ้าต้องการที่จะต่อต้านคำสั่งของทหาร? “หลานปิงถามขึ้น


       คำสั่งของทหารคือสิ่งที่นางไม่กล้าฝ่าฝืน ดังนั้นนางจึงเดินตามหลังหลานปิงไป  


       ภายในกระโจม จี่เฟิงหลี่นั่งอยู่พร้อมกับดวงตาที่หรี่ลง เต็มไปด้วยบรรยากาศที่เยือกเย็นและกดขี่


“ถังโจว เอาเป็นว่าข้าจะมอบกระโจมนี้ให้กับเจ้า ฟังเป็นอย่างไร? “จี่เฟิงหลี่พูดขึ้น เสียงที่เบาของเขาฟังดูเหมือนไม่แยแส


       การแสดงออกของถังโจวซีดลงเล็กน้อย ก่อนจะเกาหัวตัวเองและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ต่ำ “ท่านเสนา ในอนาคตเมื่อจะเข้ามา ข้าจะประกาศการมาถึงของข้าก่อน  แต่…. ข้ามีบางอย่างในใจของข้าที่ข้าไม่แน่ใจว่าจะพูดอย่างไร “


“พูด” จี่เฟิงหลี่พูดขึ้น


“ท่านเสนา หยวนเป่าเป็นผู้ชาย ท่านไม่สามารถ … ” ถังโจวไม่รู้ว่าจะพูดถึงหัวข้อนี้อย่างไร


       การแสดงออกของจี่เฟิงหลี่ เปลี่ยนเป็นเย็นจัดในขณะที่เขาตะโกนขึ้น”ออกไป!” ก่อนที่จะนอนลงไปบนพรมและปิดตาของเจ้า


“ท่านถังโจว รู้วิธีที่จะล้อเล่นอย่างแท้จริงๆ ก่อนหน้านี้ข้าไม่ทันระวังและล้มลงไปที่ด้านบนของท่านเสนา โปรดอย่าได้เข้าใจผิด “ฮวาจูอวี้พูดขึ้นในขณะที่นางเดินเข้ามาในกระโจม


       ดวงตาของจี่เฟิงหลี่ กระพริบเปิดขึ้นในขณะที่เขาจ้องมองไปที่ฮวาจูอวี้ ราวกับว่าเขากำลังพยายามมองผ่านนาง เมื่อเขาตระหนักได้ถึงการจ้องมองของเขา เขาก็หันสายตาของเขากลับไปและพูดขึ้น “ถังโจว เจ้ามีอะไรต้องรายงาน?”


       ถังโจวนั้นหัวช้าเกินไปและไม่สามารถเปลี่ยนไปตามหัวข้อได้ทัน โชคดีที่ หลานปิงเดินเข้ามาก่อน


“ท่านเสนา เมืองหยวนกั่ว มีการป้องกันที่แข็งแกร่งและอุดมสมบูรณ์ ไม่น่าจะเป็นไปได้ว่าเราจะสามารถยึดมันคืนมาได้ แม้ว่าเราจะล้อมไว้เป็นเวลาหนึ่งหรือครึ่งปี และถ้ารอให้เรื่องนี้ยืดยาวออกไปมันจะเป็นอันตรายต่อเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูหนาว เราจะเสียเปรียบเพราะกองกำลังของเราไม่คุ้นเคยกับความหนาวเย็น แน่นอนเราจะสูญเสียเมืองมากขึ้นหากเสี่ยวหยิน ใช้โอกาสนี้เพื่อบุกไปทางใต้ ”


       รอยยิ้มของจี่เฟิงหลี่เยือกเย็นในขณะที่เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เบา “หยวนกั่ว แน่นอนต้องได้กลับคืนมา แต่ข้าได้รับบาดเจ็บในขณะนี้ ถ้าพวกเขาจะไม่โจมตี เราก็จะไม่ทำเช่นกันในเวลานี้  สำหรับเสบียงของพวกเขานั่นไม่ใช่ปัญหา เราสามารถลดพวกมันลงได้”


“แต่ท่านเสนา ถ้าเราไม่สามารถยึดหยวนกั่วมาได้ แล้วเราจะทำอย่างไรกับอาหารของพวกเขา?” ถังโจว ถามขึ้นอย่างสับสน


“ลดอาหารของพวกเขาไม่ใช่ทางเลือกเดียวของเรา ยังมีสิ่งอื่น ๆ ที่เราสามารถเข้าไปวุ่นวายได้ “จี่เฟิงหลี่พูดขึ้นช้าๆ ในขณะที่เขาลดสายตาลง


       ฮวาจูอวี้ คิดถึงความคิดเห็นของเขา


       แม้ว่านางจะคุ้นเคยกับภูมิประเทศของตะวันตกเจียง แต่นางก็รู้เรื่องดินแดนทางตอนเหนือจากข้อมูลที่บันทึกไว้ในหนังสือ นางจำได้ว่ามีภูเขาล้อมรอบด้านหนึ่งของเมืองหยวนกั่วและเมืองนี้ถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่แห้งแล้ง และครั้งหนึ่งอาณาจักรใต้ได้ขุดผ่านภูเขาแห่งนี้เพื่อที่จะเปลี่ยนเส้นทางของแม่น้ำที่อยู่ใกล้ ๆ ให้ไปยังเมือง การตัดน้ำของเสี่ยวหยินร้ายแรงกว่าการตัดอาหารของเขา หลังจากที่ทหารทุกคนสามารถทนต่อความหิวได้ถึงสามวัน แต่ไม่อาจพูดได้ว่าสามารถทนความกระหายได้เช่นเดียวกัน


“เจ้ามีแผนหรือไม่?” ฮวาจูอวี้ยังคงหลงอยู่ในความคิดของตัวเอง ในขณะที่จี่เฟิงหลี่ถามขึ้น


       นางมองไปที่เขา เพียงเพื่อที่จะพบว่าเขากำลังจ้องมองนางอย่างตั้งใจ


       ฮวาจูอวี้ตอบขึ้นอย่างสงบ “ข้าได้ยินมาว่าหยวนกั่วมีแม่น้ำไหลผ่านและยังเป็นแหล่งน้ำเพียงแหล่งเดียวที่สามารถหาได้” การใช้แม่น้ำจะเป็นการวางแผนที่ดีที่สุดหากพวกเขาต้องการที่จะยึดเมืองคืนโดยไม่ต้องสู้รบ


       หลานปิงตบมือของเขาและพูดขึ้น “ข้าลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร?! ช่างเป็นแผนการที่ชาญฉลาดจริงๆ! เสี่ยวหยิน เข้าใจความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของน้ำดังนั้นมันควรจะทำให้ง่ายขึ้นสำหรับเรา ”


       จี่เฟิงหลี่จ้องมองไปที่ฮวาจูอวี้ ในขณะที่บางอย่างวูบวาบอยู่ในสายตาส่วนลึกของเขา

 

 

 


ตอนที่ 102.1

 


       ริมฝีปากของจี่เฟิงหลี่กลายเป็นเส้นตรง ในขณะที่​มองไปที่ฮวาจูอวี้


       นางไม่เข้าใจสิ่งที่จี่เฟิงหลี่กำลังคิด แต่สายตาของเขาทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจราวกับว่าเขาสามารถมองผ่านนางได้


       ความคิดที่ยุ่งเหยิง​เริ่มเกิดขึ้นและฮวาจูอวี้ ก็สงสัยว่าจี่เฟิงหลี่ กำลังเริ่มสงสัยในตัวตนของนางหรือไม่


       เมื่อนางออกไปจากกำแพงเมืองในวันนั้นเพื่อที่จะขี่ม้าและไปพบกับเสี่ยวหยิน นางไม่เคยคิดเลยว่านางจะต้องแลกดาบกับเขา และใครจะคาดคิดว่าเสี่ยวหยินจะลืมการมีอยู่ของนางไปอย่างสิ้นเชิง นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการป้องกันตัวเองจากการโจมตีของเขา นางมั่นใจว่าการเผชิญหน้าของนางไม่ได้หลุดพ้น​ไปจากข้อสังเกตของจี่เฟิงหลี่ เขาต้องเฝ้าดูจากกำแพงเมืองอย่างแน่นอน​


       ในเวลานั้นนางได้ถือหอกซึ่งเป็นอาวุธที่ชาวเจียงฮู ไม่ค่อยใช้ มีเพียงเฉพาะผู้ที่ทำสงครามเท่านั้นที่จะมีความเชี่ยวชาญในการใช้หอก แต่ผลรวมของคนที่เข้าร่วมในกองทัพของแต่ละปีก็ไม่สำคัญอะไร หลายคนนอกเหนือจาก อิงซู่เซี่ย ก็สามารถใช้หอกได้ นอกจากนี้ไทเสี่ยวซือ ยังปลอมตัวเป็น อิงซู่เซี่ย ก่อนหน้านี้ ดังนั้นจี่เฟิงหลี่ จึงไม่น่าจะสงสัยในตัวนาง


       ฮวาจูอวี้พยายาม​สงบตัวเองลง บางทีนางอาจจะเป็นคนที่หวาดระแวงมากไปเอง


       อิงซู่เซี่ยเป็นผู้หลบหนีของทางอาณาจักร​ใต้ ถ้าจี่เฟิงหลี่ สงสัยนาง นางก็น่าจะจับตัวนางไว้ ทำไมเขาถึงจะยังมาช่วยนางจากกองทัพ​ของอาณาจักรเหนือ?


       มันไม่มีเหตุผล​เอาเสียเลย


       “หยวนเป่า เจ้าอ่านแผนการ​ได้ดีราวกับคุ้นเคยกับพื้นที่ของที่นี่จริงๆ” หลานปิงเหลือบมองไปที่ฮวาจูอวี้ ดวงตาของเขากระพริบดขึ้น้วยความประหลาดใจ


       “ข้าเพิ่งแค่อ่านหนังสือมากเท่านั่น” ฮวาจูอวี้แก้ตัว​ขึ้นอย่างไม่แยแส ในขณะที่นางมองตรงไปที่สายตาของหลานปิงอย่างสงบ


       “หยวนเป่า เจ้าเคยอยู่ในสนามรบมาก่อนหรือไม่? ข้าเห็นเจ้าจับหอกด้วยความคล่องแคล่วเช่นนั้น กล่าวตามตรงมันเกินความคาดหมายของข้าจริงๆ “หลานปิงแสดงความคิดเห็นออกมา


       ฮวาจูอวี้ประเมินหลานปิง แต่เขาไม่ใช่คนที่สามารถ​อ่านได้ง่ายๆ ด้านหลังเขา คือถังโจวที่ยืนอยู่พร้อม​กับหัวคิ้วที่ขมวดและมองมาที่ฮวาจูอวี้ด้วยอยากรู้อยากเห็น หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหลานปิง ดวงตาของเขาก็มีประกายบางอย่าง แต่ถ้าเขาสงสัยว่านางคือ อิงซู่เซี่ย เขาจะไม่มีท่าทีแบบนั้น


       ฮวาจูอวี้เหลือบไปมองที่จี่เฟิงหลี่ ก่อนจะเห็นเพียงแค่เขานอนอยู่ที่นั่นบนแขนของเขา ราวกับว่ากำลังนอนหลับสนิทและไม่ได้สนใจกับบทสนทนระหว่างนางและหลานปิงแม้แต่น้อย


       นางเงยหน้าขึ้นและพบกับสายตาของหลานปิง ด้วยรอยยิ้มอันขมขื่นบนริมฝีปากของนาง นางพูดอย่างช่วยไม่ได้​ขึ้น “เจ้าพูดถูก ข้าเคยอยู่ในสนามรบอย่างสนามรบในเจียงฮู แต่น่าเสียดายที่แม้ว่าก่อนหน้านี้ข้าจะมีส่วนร่วมในการปกป้อง​อาณาจักร​ แต่ชีวิตของข้าก็ถูก​ผลักดันให้ต้องเข้าไปเป็นขันทีในวัง อย่างไรก็ตามข้าคิดว่าข้ายังสามารถทำอะไรบางอย่างได้จาก​ความสามารถของข้า แต่ก็อย่างที่เห็นมันคือความล้มเหลวอย่างสมบูรณ์แบบ “


       ถังโจงถอนหายใจหนักๆ ออกมา คิดในใจว่าจะมีใครที่จะสมัครใจไปเป็นขันที


       หลานปิงเองก็ถอนหายใจออกมาและพูดขึ้น “มันเป็นความอัปยศสำหรับคนที่มีพรสวรรค์เช่นเจ้าที่จะกลายไปเป็นขันที เจ้าไม่ต้องคอยเฝ้าท่านเสนาในคืนนี้ ข้าได้สั่งคนให้สร้างกระโจมเอาไว้ใกล้ ๆ แล้ว ถ้าเจ้าเหนื่อยเจ้าก็สามารถไปพักผ่อนได้”


       ฮวาจูอวี้ยิ้มขึ้นเล็กน้อยและออกไปอย่างรวดเร็ว


       ข้างนอก ท้องฟ้ายามค่ำนั้นมืดสนิท​ ไฟที่เปล่งประกายเป็นเพียงแหล่งกำเนิดของแสงเพียงแห่งเดียวที่ส่องให้เห็นค่ายทหารที่ประจำการอยู่พร้อมกับกระโจมที่มีอยู่ทั่วทุกแห่ง ทหารบางคนพักผ่อน​ ในขณะที่คนอื่น ๆ ได้รับมอบหมายให้ออกไปลาดตระเวน


       ทั้งสองฝ่ายไม่มีการเคลื่อนไหวที่ก้าวร้าวใด ๆ ต่อจะก่อให้เกิดการโจมตีกันและกัน ดังนั้นคืนนี้จึงเงียบสงบ มีเพียงเสียงฝีเท้าของทหารลาดตระเวนและเสียงธงที่สะบัดอยู่ในสายลมเท่านั้น​


       ที่ด้านขวาของกระโจมของจี่เฟิงหลี่เป็นกระโจมที่มีขนาดเล็ก ๆ เมื่อ​ก้าวเข้ามาภายในฮวาจูอวี้ก็ได้เห็นว่ามันได้รับการตกแต่งอย่างเรียบง่าย แต่ก็มีสิ่งจำเป็นที่ใช้ในทุกๆ วัน


       ตั้งแต่ออกจากอาณาจักรทางใต้ ฮวาจูอวี้ก็อยู่กระโจมร่วมกับทหารคนอื่น ๆ อยู่เสมอ คืนนี้เป็นครั้งแรกที่นางมีสถานที่เป็นของตัวเอง นางถอดรองเท้าออก ก่อนจะนอนลงบนเตียงอย่างช้าๆ


       แม้ว่านางจะเหนื่อยล้าแต่ก็มีหลายอย่างกำลังวิ่งผ่านอยู่ในหัวใจนางทำให้นางนอนไม่หลับ


       นางได้ระมัดระวังและปกปิดความสามารถของนางตั้งแต่การแข่งขันการต่อสู้แล้ว แต่หลังจากการต่อสู้กับเสี่ยวหยิน ทุกคนรู้ก็ว่านางเป็นนักฆ่าที่มีฝีมือ ถ้าพิจารณาสถานการณ์มันก็จะเป็นเรื่องที่น่าสงสัยหากนางยังพยายามปกปิดมันต่อไป นางอาจใช้ตัวตนของนักสู้แห่งเจียงฮู ต่อจากนี้ได้


       ภายใน​กระโจมของจี่เฟิงหลี่


       จี่เฟิงหลี่ค่อยๆลืมตาของเขาขึ้น ก่อนจะมองอย่างเย็นชาไปที่หลานปิงและถังโจว


“ท่านเสนา หยวนเป่า แท้จริงคือคนที่มีพรสวรรค์ที่หาได้ยาก ท่านผ่าอันตราย​ไปช่วยเขาให้พ้นจากการจับกุม​ของอาณาจักรเหนือเพราะท่านเห็นว่าเขามีประโยชน์​ใช่ไหมขอรับ? “หลานปิงถามดขึ้นรอยยิ้ม


“มีข่าวของ อิงซู่เซี่ย เมื่อเร็ว ๆ นี้หรือไม่?” จี่เฟิงหลี่ถามขึ้นโดยไม่สนใจคำถามของหลานปิง


“ขอรับ นี่คือการรายงานล่าสุดจากเมืองหลวง” หลานปิงพูดขึ้นในขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้าและส่งจดหมายไปให้จี่เฟิงหลี่


       หลังจากที่อ่านข้อความ​อย่างรวดเร็ว ดวงตาหงส์ของเขาก็หรี่ลง ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย”อิงซู่เซี่ยปรากฏตัวที่เมืองหยูอย่างนั้นหรือ?”


       หลานปิงพยักหน้าและถามอย่างระมัดระวัง​ขึ้น”ท่านเสนา อิงซู่เซี่ย ปรากฏในเมืองหยู ท่านคิดว่าเขาจะเข้าไปในพระราชวังและลอบสังหารฮ่องเต้​หรือไม่ขอรับ?”


“เขาจะไม่ทำเช่น​นั้น” จี่เฟิงหลี่ส่าย​หัวและมองดูเนื้อหาของจดหมายอีกครั้ง ก่อนที่จะโยนเข้าไปในกองไฟ ก่อนจะกลายเป็นขี้เถ้า


“หน้ากากเงิน  หอกเงิน ดาบเทียนหย่าหมิงเหย่ (ดวงจันทร์สว่างไสวที่ปลายสุดขอบโลก) ม้าจุยเตี่ยน (สายฟ้า) …. ” จี่เฟิงหลี่เอนไปทางด้านข้างและใช้มือเท้าคาง ริมฝีปากบางของเขาโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน แต่ก็มีความซุกซนเล็กน้อย


       ยิ่งมีการปรากฏตัวที่สมบูรณ์แบบเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีแนวโน้มว่ามันเป็นอุบายมากเท่านั้นเพื่อที่จะเก็บซ่อนบางอย่างไว้ เป็นไปได้ไหมว่าอิงซู่เซี่ย จริงๆจะเป็น …


       จี่เฟิงหลี่หรี่ดวงตาของเขาลง ดูเหมือนว่าเขาได้มีการคาดเดาเอาไว้แล้ว อิงซู่เซี่ย อิงซู่เซี่ย เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถหลอกข้าได้ถึงสองครั้งหรือ?


“ท่านเสนา … ” ถังโจวยังตามไม่ค่อยทันและมองไปที่จี่เฟิงหลี่


“หลานปิง ข้าเคยสั่งให้เจ้าไปตรวจสอบพื้นหลังของหยวนเป่า ก่อนหน้านี้ แล้วเจ้าพบอะไรหรือไม่” จี่เฟิงหลี่ถามขึ้น


       “หยวนเป่า ปรากฏตัวครั้งแรกที่หอสุราจุ้ยเซียนฟาง แล้วเขาก็ทำงานเป็นนักดนตรีอยู่เป็นระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนจะถูกจับด้วยโดยหวงฝู่ อู๋ ซวง และถูกส่งไปยังพระราชวังเพื่อเป็นขันที เพราะเขาปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลันในเมืองหลวงจึงไม่สามารถสืบสวนเรื่องอื่น ๆ ได้ โดยปกติแล้วคนที่มีรูปร่างหน้าตาดังกล่าวจะสร้างความประทับใจให้กับคนที่เห็นเป็นอย่างดี แต่มันกลับไม่มีอะไรที่สามารถพบได้เลย! “หลานปิงเองยังพบว่ามันแปลก เมื่อเขาส่งภาพของหยวนเป่าไปให้คนสืบสวนแต่พวกเขากลับไม่พบอะไรมากนัก ไม่มีใครเคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน


“มันไม่มีอะไรแปลกใหม่ บางทีในอดีตที่ผ่านมาเขาอาจจะไม่เคยเปิดเผยใบหน้าของเขามาก่อน” จี่เฟิงหลี่พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม


       เมื่อไม่สามารถหาหัวหรือหางของสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ถังโจวจึงเกาศีรษะของเขา ก่อนจะถามขึ้น “ทำไมเขาถึงไม่เคยเปิดเผยใบหน้าของเขามาก่อน?”


       จี่เฟิงหลี่ เหลือบมองไปที่ถังโจว แล้วพูดขึ้นอย่างเฉื่อยชา “เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะได้รับการฝึกฝนมาอย่างลึกซึ้งในภูเขา”


“เป็นเช่นนั้นเองหรือ!” ถังโจวพูดขึ้นด้วยคิ้วที่ขมวดพร้อมกับเก็บคำพูดของจี่เฟิงหลี่เป็นจริงเป็นจัง


       มีเพียงหลานฟิงที่ไม่เชื่อจี่เฟิงหลี่ เขารู้สึกเหมือนกับว่าจี่เฟิงหลี่รู้อะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่เต็มใจที่จะบอกพวกเขา


       ใบหน้าของถังโจวดำมืดลง ในขณะที่เขาฟังพวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับ หยวนเป่า ในที่สุดเขาก็แทรกขึ้น”หยวนเป่า น่าสงสารมาก สำหรับคนที่มีพรสวรรค์ที่หาได้ยากเช่นนั้นจะถูกทำให้กลายเป็นขันทีและถูกบังคับให้มีชีวิตอย่างชายก็ไม่ใช่หญิงก็ไม่เชิง ข้าไปสืบมาด้วยตัวเองและพบว่าเก้อกงกงเป็นคนลงมีดด้วยตัวเอง เก้อกงกงได้กระทำแบบนี้มาตลอดชีวิตของเขาและเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับทักษะมีดของเขา อย่างไรก็ตามข้าก็ยังได้ยินมาว่าหยวนเป่า สูญเสียเลือดไปมาก … “


       เนื่องจากแสงที่สว่างจ้าทำให้ใบหน้าของจี่เฟิงหลี่ ค่อนข้างซีดลงแม้แต่ริมฝีปากของเขาก็ราวกับเป็นสีของขี้เถ้า อาจเป็นเพราะการสูญเสียเลือดไปมากหรือบางทีอาจเป็นเพราะเขาไม่อยู่ในอารมณ์ที่ดีเท่าไหร่ นิ้วมือของเขาที่วางอยู่บนพรมสั่นเล็กน้อย ในขณะที่ดวงตาของเขากระพริบขึ้นราวกับเขาอยู่ในช่วงเวลาแห่งความเศร้าโศก


       หลานปิงลดสายตาของเขาลงอย่างเงียบ ๆ มันเป็นเรื่องที่น่าสงสารอย่างแท้จริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีความภาคภูมิใจเช่นหยวนเป่าแม้หยวนเป่าจะถูกเก้อกงกงลงมีดด้วยตัวเอง แต่เขาก็ไม่อาจปล่อยให้ท่านเสนาเดินไปบนถนนที่ผิดได้


       หลานปิงมองอย่างเย็นชาไปที่ถังโจว ส่งสัญญาณบอกให้เขาปิดปากของเขาลง


“ท่านเสนา สงครามครั้งนี้ควรได้รับการจัดการอย่างไร? ข้าควรจะเรียกหวางหยูมาที่นี่เพื่อปรึกษาหารือหรือไม่? “หลานปิงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที


“ไม่จำเป็น ข้าแน่ใจว่าเขาคงจะเหนื่อยแล้วในวันนี้ หลานปิงส่งจดหมายไปซีเจียง เหย่ สั่งให้เขาเตรียมอาวุธทหารและเสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาวเอาไว้อย่างเงียบๆ ในกรณีฉุกเฉิน “จี่เฟิงหลี่หลับตาลงเพราะความเหนื่อย ก่อนจะพูดขึ้น “พวกเจ้าทุกคนสามารถออกไปได้”


       หลานปิง ดับเทียนในกระโจมและเดินออกไปพร้อมกับถังโจว


“หลานปิง อาวุธของเราไม่เพียงพอหรือ” ถังโจวถามขึ้นด้วยหัวคิ้วที่ขมวด


        หลานปิง ถอนหายใจและพูดขึ้น “ท่านเสนาเพียงแค่ระมัดระวังไว้เท่านั้น เรื่องในราชสำนักเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาได้ “


       กองทัพอาณาจักรใต้และอาณาจักรเหนือยังคงอยู่ที่หยางกั่ว


       ตามแผนการของฮวาจูอวี้ จี่เฟิงหลี่ ได้ส่งทหารไปตัดแม่น้ำที่ไหลลงสู่ หยางกั่ว ซึ่งเป็นแหล่งน้ำเพียงแหล่งเดียวเท่านั้นและเสี่ยวหยินก็ได้ทิ้งเมืองหยางกั่วและถอยทัพกลับไปทางทิศเหนือสู่แม่น้ำฉิงหมิงในสามวันต่อมา


       ทำให้สามารถยึดหยางกั่วกลับมาได้โดยที่ไม่ต้องสูญเสียชีวิตคนเดียวแม้แต่คนเดียว ทำให้ขวัญและกำลังใจของทุกคนดีขึ้นมาก แต่ฮวาจูอวี้คงวิตกกังวล นางรู้สึกว่าคนอย่างเสี่ยวหยินจะไม่ละทิ้งเป้าหมายของเขาอย่างง่ายดายเช่นนั้น


       กองทัพของราชอาณาจักรใต้เข้ายึดเมืองหยางกั่วและตั้งค่ายทหารสิบลี้ออกไปทางทิศเหนือ


       อาการบาดเจ็บของจี่เฟิงหลี่ ดีขึ้นและเขาก็สามารถเคลื่อนไหวไปมาได้แล้ว วันนี้ฮวาจูอวี้ต้องกลายมาเป็นองคกรักษ์ส่วนตัวของเขา ดูแลเรื่องยาและพัลแผลให้เขา


       อย่างไรก็ตาม วันที่เงียบสงบก็อยู่ได้ไม่นาน ความสงบพังทลายลงไปเมื่อจดหมายมารายงานว่ามีการเคลื่อนไหวอยู่ใกล้ๆ กับตะวันตกเหลียง


       บรรยากาศที่เยือกเย็นและความตึงเครียดต่างก็ปกคลุมไปด้วยค่าย


       ฮวาจูอวี้รู้ว่าเสี่ยวหยินจะไม่ปล่อยมือไปอย่างง่ายๆและแน่นอนที่สุดว่าเขากำลังรอการมาถึงกองทัพของตะวันตกเหลียง ก่อนหน้านี้นางได้นำทัพเข้าต่อสู่และได้รับชัยชนะต่อตะวันตกเหลียง และยังได้บังคับให้พวกเขายอมจำนนและให้ทำสัญญาสงบศึก การบังคับให้พวกเขาทำเช่นนี้ทำให้พวกเขารู้สึกไม่พอใจ


       บางทีตะวันตกเหลียงอาจจะอยากเป็นพันธมิตรกับอาณาจักรภาคเหนือมานานแล้ว พวกเขาพยายามที่จะสร้างพันธมิตรด้วยการแต่งงานมาก่อน เมื่อฮ่องเต้แห่งตะวันตกเหลียงได้ขอนางแต่งงานเพราะเชื่อว่านางคือองค์หญิงโจวหย่า แต่นางก็ทำให้เขาผิดหวังโดยการหันไปหาโตนเฉียนจินแทน


       การร่วมมือระหว่างตะวันตกเหลียงกับอาณาจักรเหนือ ทำให้อาณาจักใต้เหมือนคนตาบอด


        ขณะนี้มีกองกำลังประจำการอยู่เพียง 20,000 นายที่เมืองเหลียงโจว เนื่องจากมีสนธิสัญญาสงบศึก พวกเขาไม่แข็งแรงเท่ากับกองทัพของตระกูลฮวาและไม่เพียงพอที่จะปกป้องการโจมตีจากตะวันตกเหลียงได้ เมืองหยู จะต้องได้รับการปกป้องจากทหารจำนวน 100,000 นายในการปฏิบัติหน้าที่ แต่พวกเขาก็อยู่ไกลเกินไป

 

 

 


ตอนที่ 102.2

 

 กองทัพของพวกเขาที่หยวงกั่ว อยู่ใกล้เหลียงจง มากกว่ากองกำลังที่ประจำการอยู่ที่เมืองหยู อย่างไรก็ตามหากพวกเขาให้กำลังเสริมกับเหลียงจง กองทัพของอาณาจักรเหนือก็จะใช้โอกาสนี้โจมตีหยวงกั่ว และทำลายประตูหลักของจงหย่วน เมื่อมันถูกทำลายลง พวกเขาจะสามารถเข้าถึงเส้นทางที่ไม่มีอะไรขัดขวางได้ในการโจมตีเข้าไปยังอาณาจักรใต้โดยตรง ในทางตรงกันข้ามหากพวกเขาไม่ได้ให้กำลังเสริม ตะวันตกเหลียง จะเอาชนะกองกำลังของพวกเขาและยึดเหลียงจงได้ สงครามจะหลีกเลี่ยงไม่ได้และคนที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากความสับสนวุ่นวายที่ตามมาก็จะเป็นประชาชาทั่วไป

       เนื่องจากการบาดเจ็บของเขา จี่เฟิงหลี่ จึงได้เรียกแม่ทัพนายพลและเจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งหมดมาหารือเกี่ยวกับแผนการเพื่อดำเนินการ แม้ว่าตอนนี้ฮวาจูอวี้จะเป็นเพียงผู้คุ้มกันของเขา แต่จี่เฟิงหลี่ก็อนุญาตให้นางเข้าหารือกับเขาได้


       ภายในกระโจม จี่เฟิงหลี่และหวางหยู นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะเพื่อเป็นประธานในการอภิปราย


“เราต้องให้กำลังใจมิฉะนั้นตะวันตกเหลียงก็จะเข้ายึดเหลียงจง!”


       “แต่จำนวนกองกำลังที่เรามีอยู่ก็เปรียบได้กับกองทัพของอาณาจักรเหนือเท่านั้น ถ้าเราให้การสนับสนุนต่อเหลียงจง กองทัพของเราจะเสียเปรียบทันที! “


       “เราสามารถโจมตีกองทัพของอาณาจักรเหนือก่อน เมื่อเราเอาชนะพวกเราได้ จากนั้นเราก็สามารถให้กำลังเสริมกับเหลียงจง “


       “เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นคนพูด! ถ้ามันเป็นเรื่องง่ายเช่นนั้น แล้วเราจะมานั่งอยู่ที่นี่และถกเถียงกันเพื่ออะไร?”


       “ดูเหมือนว่าเราจะไม่สามารถยึดเหลียงจงและหยวงกั่วไว้ได้ในเวลาเดียวกัน “


       ปัญหาหลักคือไม่ว่าจะให้กำลังเสริมหรือไม่ ก็จะมีกองกำลังไม่เพียงพออยู่ดี และในท้ายที่สุดทุกคนเห็นพ้องกันว่าการเสริมกำลังเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ประเด็นที่ว่าจะเอากองกำลังจากไป ยังมีการถกเถียงกันอยู่บ้าง


       กองทัพอาณาจักรใต้และกองทัพอาณาจักรเหนือมีกองทหาร 200,000 คน  ในขณะที่กองกำลังของตะวันตกเหลียงมีกองกำลัง 100,000 คน


       หากพวกเขาต้องการที่จะเอาชนะตะวันตกเหลียง พวกเขาจะต้องส่งกองกำลังอย่างน้อย 100,000 คนไปเพื่อสนับสนุนเหลียงจง และจะเหลือทหารเพียง 100,000 คนเพื่อต่อสู้กับเสี่ยวหยินที่เมืองหยางกั่ว ชัยชนะของพวกเขาจะไม่แน่นอน ในทางกลับกันการไม่ส่งกองกำลังไปมากพอก็จะทำให้ เหลียงจง ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลม ตอนนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อยข้างลำบากมาก


       แม้จะมีช่วงเวลาที่เครียด จี่เฟิงหลี่ ก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในขณะที่เขานั่งอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางที่สงบนิ่ง


       กองทัพจะสูญเสียและอาณาจักรจะถูกทำลาย หากเกิดความผิดพลาดขึ้นเพียงครั้งเดียว ฮวาจูอวี้ พบว่ายากที่จะความเข้าใจได้ว่าจี่เฟิงหลี่ ยังคงสงบอยู่ได้อย่างไร


       เป็นไปได้ไหมว่าเขามีแผนอยู่แล้ว?


       ใบหน้าของฮวาจูอวี้ ดำมืดลง เมื่อนางรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป


       กองทัพของตะวันตกเหลียง เติบโตขึ้นจนมีทหารจำนวน 100,000 คนตั้งแต่ตอนไหน?


       จากประสบการณ์ของนางในการติดต่อกับตะวันตกเหลียงเป็นเวลาหลายปี ตะวันตกเหลียงประสบความพ่ายแพ้ต่อกองทัพของฮวาจูอวี้ คิดถึงการสู้รบในปีที่แล้ว พวกเขาสูญเสียกองกำลังไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง ในระยะเวลาเพียงสั้น ๆ นี้จะเป็นไปได้ไหมที่พวกเขาจะสามารถสร้างกองทัพได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้? และแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่มาสมัครใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ในการสู้รบ แม้ว่าจะมีกองทัพขนาดใหญ่ แต่ก็จะประกอบไปด้วยเด็กหนุ่มส่วนใหญ่ที่ไม่มีประสบการณ์และที่ไม่เคยฆ่ามาก่อน


       หากเป็นกรณีนี้ ตะวันตกเหลียง จะไม่ก่อให้เกิดภัยคุกคามขนาดใหญ่แก่พวกเขา กองทัพของพวกเขาที่อยู่ที่เหลียงจงก็จะสามารถที่จะจัดการกับตะวันตกเหลียงได้ ไม่จำเป็นต้องมีการเสริมกำลัง ทำไมตะวันตกเหลียงจึงมีความกระตือรือร้นที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีทหารจำนวน 100,000 คนพร้อมที่จะโจมตีเหลียงจง?


       มันอาจจะเป็น..?


       จู่ๆ ฮวาจูอวี้ก็นึกขึ้นมาได้


       ในสนามรบ ยุทธวิธีทางทหารเป็นสิ่งสำคัญที่สุด จากประสบการณ์ของนาง นางเชื่อว่าเป้าหมายหลักของกองทัพของอาณาจักรเหนือคือการแยกกองทัพของอาณาจักรใต้ออก


“พวกเจ้าทั้งหมดออกไปได้ หวางหยูเจ้าอยู่ก่อน”จู่ๆ จี่เฟิงหลี่ก็สั่งขึ้น


       ตามคำสั่ง พวกเขาทั้งหมดจึงออกไปรวมทั้งฮวาจูอวี้ด้วย


“หยวนเป่า เจ้ามาตรงนี้” จี่เฟิงหลี่พูดขึ้นในขณะที่เขาเหลือบไปที่ฮวาจูอวี้


       ฮวาจูอวี้หยุดก้าวเท้าของนางและกลับไปยังตำแหน่งเดิมของนาง


       เมื่อเห็นว่าจี่เฟิงหลี่ ได้ปล่อยให้ทหารตัวเล็กๆ อยู่ หวางหยู ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “แม่ทัพหวาง ท่านจะพูดว่าทหารจำนวนเท่าไรจะเป็นตัวเลขที่เหมาะสมในการเสริมกองกำลังแนวชายแดนทางตะวันตกของเราใช่หรือไม่?”


“ท่านเสนา นี่เป็นเรื่องยากที่จะพูดได้อย่างแน่นชัด ข้ากลัวว่าเหลียงจงและหยางกั่ว ทั้งสองจะไม่สามารถรักษาเอาไว้ ข้าคิดว่ามันจะดีกว่าที่จะส่งกองกำลังเสริมไปยังเมืองเหลียงจงจำนวน 80,000 คน แบบนี้ถึงจะสามารถรักษาเหลียงจงและหยางกั่ว เอาไว้ได้ชั่วคราว ในขณะเดียวกันเราควรจะส่งจดหมายถึงฮ่องเต้ ขอให้เขาส่งกองทัพมาช่วยที่เมืองหยูอีกแรง”แม่ทัพหวางหยูพูดขึ้นด้วยความเชื่อมั่น


       ดวงตาของจี่เฟิงหลี่หรี่ลงและพูดขึ้น “ฝ่าบาทจะไม่ส่งกองทัพมา เมืองหลวงไม่สามารถล้มได้ แม้ว่าทหารจะถูกส่งไป ก็ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนกว่าที่พวกเขาจะเดินทางไปถึงชายแดนด้านทางตะวันตก เราไม่สามารถคาดหวังว่าจะมีกองกำลังเสริมจากเมืองหลวงได้ “


“หยวนเป่า เจ้าคิดว่าอย่างไร? เราควรจะส่งทหารจำนวนเท่าไหร่เพื่อเป็นกำลังเสริม “จี่เฟิงหลี่ถามฮวาจูอวี้ด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย


       หัวคิ้วของฮวาจูอวี้ขมวดขึ้น  ในขณะที่นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบขึ้น “เนื่องจากที่ท่านเสนาได้ถาม ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้ก็จะแสดงความเห็นของเขา ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้คิดว่าควรส่งทหารจำนวน 180,000 คนไปยังเมืองเหลียงจง”


       เสียงหัวเราะของหวางหยู ระเบิดขึ้นภายในกระโจม “ทหารน้อยคนนี้เพียงแค่พูดโดยที่ไม่ทันคิด ปัจจุบันมีกองกำลังประจำการอยู่ที่เมืองเหลียงจงจำนวน 20,000 คน การส่งกองกำลังจำนวน 180,000 คนไปก็จะหมายถึงจะมีจำนวนทั้งสิ้น 200,000 คนที่จะประจำการอยู่ที่เมืองเหลียงจง มีทหาร 200,000 คนต่อสู้กับกองทัพตะวันตกของเหลียงจำนวน 100,000 คน ไม่ใช่ว่าจะเป็นการเสียทรัพยากรไปอย่างสมบูรณ์หรือ? ในขณะเดียวกันหยางกั่ว  จะเหลือเพียงทหาร 20,000 คน เพื่อป้องกันกองทัพของอาณาจักรเหนือจำนวน 200,000 คน ไม่แตกต่างจากการเปิดประตูกว้างและยินดีต้อนรับพวกเขาให้เข้ามาโจมตีพวกเราหรอกหรือ เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าไม่ใช่คนของอาณาจักรเหนือ? ”


       เมื่อเผชิญหน้ากับการเย้ยหยันของหวางหยู ฮวาจูอวี้ยังคงสงบและยังคงมีรอยยิ้มอยู่เช่นเดิม


       แทนที่จะหัวเราะ จี่เฟิงหลี่ มีรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อยบนริมฝีปากของเขาในขณะที่เขาจ้องมองไปที่ฮวาจูอวี้ “หยวนเป่า พูด ทำไมเราถึงต้องส่งทหารจำนวน 180,000 คนไป?”


       ฮวาจูอวี้คิดว่าจี่เฟิงหลี่ก็คงจะเยาะเย้ยนางเช่นกัน นางไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะยังคงสงบและจริงจังเช่นนี้ นางอธิบายขึ้นอย่างช้าๆ “กองทัพของอาณาจักรเหนือมีความสามารถและมีทักษะในการสู้รบทั้งหมด อย่างไรก็ตามในเรื่องเกี่ยวกับการปิดล้อมเมืองพวกเขาคิดผิด ดังนั้นพวกเขาจะไม่สามารถทำลายที่มั่นของเราได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ปัจจุบันกองทัพของอาณาจักรเหนือต้องการใช้ประโยชน์จากการที่เราจะส่งกองกำลังเสริมไปและต่อสู้ในสนาม ลองนึกภาพว่าถ้าเราส่งทหารจำนวน 100,000 คนและเสี่ยวหยินได้ส่งกองกำลังหลักของเขาไปที่ภูเขาที่จะผ่านไปยังเมืองเหลียงจงและซุ่มโจมตี ในเวลานั้นกองกำลังของเราจะต้องต่อสู้กับทหารหลักของอาณาจักรเหนือ เราไม่สามารถเปรียบเทียบกับความแรงและความเร็วของพวกเขาได้ นอกจากนี้กองทัพของพวกเราก็จะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ข้ากล้าที่จะขอถามท่านแม่ทัพ ถ้ากองกำลังของเราถูกพบกับการซุ่มโจมตีจะมีผลอย่างไร? ”


ใบหน้าของหวางหยู ก็ดำมืดลง สักครู่เขาก็ตอบขึ้น “กองทัพจะต้องถูกทำลาย!”


       ฮวาจูอวี้ ได้ตั้งคำถามต่อไป “แล้วถ้ากองทัพเสริมถูกทำลาย แล้วเราจะหากองกำลังเสริมเพื่อเสริมกำลังได้จากไหน?”


       หวางหยูส่ายศีรษะและพูดขึ้น “แต่ถ้าเราส่งกองกำลังไป 180,000 คนไป เราจะทำอย่างไรถ้ากองทัพของอาณาจักรเหนือตัดสินใจที่จะโจมตีเมืองหยางกั่ว?”


“ท่านแม่ทัพยังไม่เข้าใจ กองทัพของอาณาจักรเหนือไม่ได้มีเจตนาในการโจมตีเมืองหยางกั่ว ความแข็งแรงของกองทัพตะวันตกเหลียงไม่สามารถแข่งขันกับเราได้ เป้าหมายของกองทัพของอาณาจักรเหนือคือกองทัพจำนวนจำนวน 200,000 คนของเรา เป้าหมายของพวกเขาคือการทำให้กองกำลังของเราอ่อนแอลง “ฮวาจูอวี้พูดขึ้น ด้วยเสียงที่ชัดเจนและเด็ดเดี่ยวเล็กน้อย


       หยางหยูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตบหน้าโต๊ะและพูดขึ้น”ไม่ได้คาดหวังว่าทหารตัวเล็กๆ จะมีความเข้าใจในกลยุทธ์ดังกล่าว ข้ารู้สึกอับอายยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ที่ข้าดูถูกเจ้า ขออย่าได้เก็บไปใส่ใจ “หยางหยูเป็นแม่ทัพที่ดีเยี่ยมและได้เข้าใจความคิดฮวาจูอวี้ เขาชื่นชมความฉลาดของนางจริงๆ


       ใบหน้าของจี่เฟิงหลี่ ผ่อนคลายในขณะที่เขานั่งอยู่ที่นั่นด้วยรอยยิ้มบนริมฝีปากของเขา ราวกับว่าเขาจะไม่ได้รับผลกระทบแม้ว่าท้องฟ้าจะทลายลง


“ท่านเสนา ข้าจะไปจัดการกับทหารจำนวน 180,000 คน” เขาหันไปและพูดกับจี่เฟิงหลี่ หวางหยูเป็นผู้บัญชาการทหารโดยทั่วไป แต่เนื่องจากเขาถูกส่งไปประจำการเพื่อปกป้องเมืองหลวงเป็นเวลานาน เขาจึงขาดประสบการณ์ในการเป็นผู้นำต่อการสู้รบ


“แม่ทัพหยางไม่ควรกังวล เราต้องโอนถ่ายกองกำลัง 180,000 คนไป แต่ไม่ใช่ทั้งหมดในครั้งเดียว มิฉะนั้นเราจะพ่ายแพ้ หากอาณาจักรเหนือส่งทหารไป 200,000 นายเพื่อซุ่มโจมตี “ฮวาจูอวี้พูดขึ้นด้วยหัวคิ้วที่ขมวด


       ดวงตาของจี่เฟิงหลี่ จดจ่ออยู่กับฮวาจูอวี้ ก่อนจะยกย่องนางขึ้น “หยวนเป่าพูดถูกแล้ว แต่บอกข้ามา ถ้าข้าขอให้เจ้านำกองกำลังจำนวน 80,000 คน เจ้าจะเต็มใจหรือไม่”


“ข้าหรือ?” ฮวาจูอวี้ถามไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงจะให้นางนำทหารจำนวนมากเช่นนั้น “ท่านเสนารู้วิธีที่จะล้อข้าเล่นอย่างแท้จริง แม้ว่าหยวนเป่า จะทุ่มเทเพื่อปกป้องอาณาจักรของเรา หยวนเป่า ก็เป็นเพียงทหารตัวเล็กๆ ข้าจะสามารถสั่งกองทัพได้อย่างไร”


       จี่เฟิงหลี่เหลือบมองไปที่หวางหยู อย่างรวดเร็ว เขาเข้าใจความหมายที่อยู่ข้างหลังมันทันที ก่อนจะพูดขึ้น “แม่ทัพทุกคนเริ่มมาจากทหารตัวเล็กๆและลุกขึ้นยืนตามลำดับ เอาเป็นว่าข้าสั่งให้เจ้าดูแลกองทัพที่มีขนาดใหญ่ก่อนเป็นอย่างไร?”


       ตามคำสั่งทางทหารที่จัดตั้งขึ้น โดยมีผู้นำทหาร 8 คน ผู้บัญชาการทหาร 1,200 คน เพิ่มที่ลูกเรือสนับสนุนและรองหัวหน้าและตัวเจ้าเอง รวมแล้วมีมากกว่า 10,000 คน โดยปกติแล้วนางจะกระโดดจากการเป็นทหารตัวเล็กที่ไม่ได้ดูแลใคร กลายเป็นผู้บัญชาการของทั้งกองทัพ


“หยวนเป่า เจ้าไม่อยากช่วยเหลืออาณาจักรใต้หรือ? ขณะนี้อาณาจักรใต้อยู่ในสถานะคนตาบอด มันถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะก้าวขึ้นมา พรสวรรค์ของเจ้าไม่ควรถูกฝังเอาไว้”จี่เฟิงหลี่พูดขึ้นช้าๆ


       ฮวาจูอวี้ยังคงเงียบ


       ในความเงียบ หวางหยูก็พูดขึ้น “หยวนเป่า รับคำสั่ง ตอนนี้เจ้าเป็นผู้บัญชาการกองทัพฮู เจ้าและอีกเจ็ดทัพจะออกเดินทางไป 50 ลี้ในเวลากลางคืน หากเจ้าพบกับกองทัพของอาณาจักรเหนือ เจ้าจะต้องนำทัพตามที่เห็นจำเป็น เจ้าเข้าใจหรือไม่?”


“หยวนเป่ารับคำสั่ง!” นางจะไม่ยอมรับคำสั่งทหารได้อย่างไร?


       วันรุ่งขึ้นฮวาจูอวี้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ 8 นายที่อยู่ใต้นางและหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทหารตัวเล็กจู่ๆ ก็ได้กลายมาเป็นผู้บัญชาการของพวกเขา? ใครในหมู่พวกเขาจะยอมรับสิ่งนั้นได้? ผลก็คือ ไม่มีใครคิดกับนางอย่างจริงจัง


       นางยิ้มและพูดขึ้น “ผู้บัญชาการคนนี้ต้องการแลกเปลี่ยนคำแนะนำกับเจ้าหน้าที่ทหารทุกท่าน พวกท่านคิดว่าอย่างไร?”

 

“ดี ช่างเป็นเวลาที่ดีอย่างแท้จริง พวกเราเองก็ต้องการแลกเปลี่ยนคำแนะนำกับผู้บัญชาการเช่นกัน!” เจ้าหน้าที่ 8 คนเห็นด้วย


       ทหารชุมนุมกันอยู่รอบ ๆ พื้นที่โล่งใกล้กับแม่น้ำสายเล็ก ๆ เพื่อคอยเฝ้าดูการต่อสู้ระหว่างผู้บัญชาการที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่และเจ้าหน้าที่ทหารคนอื่นๆ


       ในช่วงแสงแดดจ้า ฮวาจูอวี้ถือหอกและมองไปที่ชาย 8 คน ผ่านสายตาที่หรี่ลงของนาง “เข้ามาพร้อมกันทั้งหมดได้เลย!”


       ผู้ชายกำลังถกเถียงกันว่าใครจะเข้าไปก่อน แล้วนางก็ขัดจังหวะพวกเขาด้วยคำสั่งของนางขึ้น ความคิดเช่นเดียวกันเดินผ่านจิตใจของพวกเขา: นางคิดว่านางแข็งแรงกว่าชายทั้ง 8 คนรวมกันหรือ? พวกเขามองไปที่แต่ละคนและโจมตีอย่างรุนแรงพร้อมกันจาก 8 มุมที่แตกต่างกันโดยใช้ 8 อาวุธที่แตกต่างกัน


       ฮวาจูอวี้ถือหอกไว้ในมือและเฝ้าดูพวกเขาอย่างใกล้ชิด เมื่อถึงระยะทางหนึ่งแล้วนางหมุนร่างของนางไปรอบ ๆ โดยหมุนเป็นวงกลมพร้อมกับหอกของนาง สิ่งนี้สร้างวงกลมของแสงที่เต็มไปด้วยกำลังภายในที่บังคับให้ชายเหล่าหนั้นกระจายออกไป  เสียงคำรามหลายเสียงดังก้องกังวานจากหนึ่งไปเรื่อยๆ หลังจากที่ทั้ง 8 คนสูญเสียอาวุธของพวกเขา


       เสียงร้องก็ดังตามมา ในขณะที่ฮวาจูอวี้ได้โจมตีแต่ละคนอย่างรวดเร็วและปล่อยให้พวกเขาต้องพบกับความพ่ายแพ้อยู่แทบเท้าของนาง นางมองพวกเขาด้วยยิ้ม ก่อนจะพูดขึ้น “ยังมีคนอื่น ไม่พอใจอยู่หรือไม่?”


       ถ้าผู้ชายเหล่านี้ไม่แข็งแรงพอ พวกเขาจะก้าวขึ้นมา แต่นางทำให้พวกเขาพบกับความพ่ายแพ้ก่อนที่พวกเขาจะได้สัมผัสตัวนางด้วยซ้ำ แล้วใครจะกล้าที่จะสงสัยในความสามารถของนางได้? พวกเขายืนขึ้นและพูดขึ้นพร้อมกับ “ผู้บัญชาการ มีความชำนาญอย่างแท้จริง ”


       ดวงอาทิตย์ตกดินได้ย้อมสีแดงไปทั่วท้องฟ้า ภายใต้แสงแดดนี้ทหารกองทัพฮูคุกเข่าลงไปพร้อมกับอาวุธในมือของพวกเขาอย่างเคร่งขรึม


       จี่เฟิงหลี่ ขี่ม้าไปที่ด้านหน้าของกลุ่มและกวาดสายตาไปทั่วฝูงชน ก่อนที่จะพูดขึ้น “ทหารทุกคน ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าคงจะได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้ว ตะวันตกเหลียงได้บุกรุกเหลียงจง และกองกำลังของพวกเขาก็มีจำวนวน 100,000 คน ในขณะที่เรามีเพียง 20,000 คน ไม่สามารถที่จะเทียบกับพวกเขาได้แม้แต่น้อย นอกจากนี้ยังมีกองทัพของอาณาจักรเหนือที่ยังต้องต่อต้านอีก แม้แต่ข้อผิดพลาดเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ จากความประมาทก็จะทำให้ข้าศึกเดินผ่านประตู เข้าไปในอาณาจักรของเรา เข้าไปในเมืองของเรา เมืองของเราที่มีเพื่อนร่วมชาติ ผู้สูงอายุ ภรรยาและลูกๆ ของเราอยู่ที่นั่น ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกทำลายโดยพวกเขา ทุกคนจะถูกสังหารภายใต้ดาบและหอกของพวกเขา พวกเราจะยอมปล่อยให้พวกเขาทำลายบ้านและครอบครัวของเราหรือไม่ ”


       เสียงของเขาไม่ดังมาก แต่อารมณ์ของเขาถูกถ่ายทอดมาถึงหูของทุกคน


“ไม่เด็ดขาด!” ทหาร 80,000 คน โห่ร้องขึ้นพร้อมเพรียง


“เราเป็นผู้ชาย เราจะสามารถปล่อยให้ภัยพิบัติดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร!”


“เราจะไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้น!”


“ภารกิจของเราในวันนี้คือการไปเป็นกำลังเสริมให้กับเหลียงจง มันเป็นงานที่ยากลำบากและเราอาจเจอกับศัตรู บางคนอาจจะเสียเลือดของเจ้าทั้งหมดในสงครามเหล่านี้ แต่สวรรค์จะเป็นพยานว่าเราไม่กลัว! เราไม่กลัวที่จะหลั่งเลือดทุกหยดในการป้องกันอาณาจักรและคนที่เรารัก! คนที่กล้าโจมตีอาณาจักรของเราจะต้องเผชิญกับความตาย ไม่ว่าจะแข็งแรงแค่ไหนพวกเขาจะต้องถูกสังหาร คนที่กล้าทำร้ายครอบครัวของเราจะต้องตาย! “จี่เฟิงหลี่หอกขึ้นฟ้า


       ทหาร 80,000 คนยกดาบของพวกเขาขึ้นและตะโกนขึ้นว่าบรรดาผู้ที่กล้าโจมตีอาณาจักรของข้าจะต้องเผชิญกับความตาย ไม่ว่าจะแข็งแรงแค่ไหนพวกเขาจะต้องถูกสังหาร คนที่กล้าทำร้ายครอบครัวข้าจะต้องตาย!


       เจ้าหน้าที่และทหารยกอาวุธขึ้นสาบานให้สวรรค์เป็นพยานของพวกเขา


       ฮวาจูอวี้อยู่ที่ด้านหน้าของกองทพ แต่นางก็ช่วยไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับไปที่ทหาร สายตาของพวกเขาสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ของพวกเขา สายตาได้สัมผัสหัวใจของนางและทำให้เลือดของนางเดือดขึ้นทันที


       นางเคยเป็นแม่ทัพมาก่อน ดังนั้นนางจึงรู้ว่าอารมณ์ความรู้สึกของทหารเป็นอย่างไรและผลกระทบที่มีต่อสนามรบเป็นอย่างไร


       นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกชื่นชมกับรูปร่างที่นั่งอยู่บนหลังม้า


       หลังจากคำสัตย์สาบานเสร็จสิ้นแล้วกองทัพก็ออกเดินทาง


       ฮวาจูอวี้นำกองทัพฮู และพร้อมกับอีก 7 กองทัพ พวกเขาเริ่มออกเดินทาง แล้วทันใดนั้นเสียงกีบม้าก็ดังเข้ามาจากด้านข้างของนาง จี่เฟิงหลี่ได้ขี่ม้าและปิดกั้นทางของนางเอาไว้


       “ท่านเสนา มีอะไรอื่นที่ท่านอยากจะกับชับหรือ?” หัวคิ้วของฮวาจูอวี้ ขมวดเมื่อเห็นเขาหยุดม้าของนาง


       จี่เฟิงหลี่เอนมาข้างหน้าและลูบม้าของเขา เขากระซิบเพียงไม่กี่คำจากนั้นก็ลงจากหลังของมัน “ผู้บัญชาการเป่า ข้าจะให้เจ้ายืมม้าของข้า แต่เจ้าต้องจำไว้ว่าเจ้าจะต้องคืนนางโดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ มิฉะนั้นเจ้า&

 

 

 


ตอนที่ 103.1

 

ใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ลมหนาวทำให้อากาศหนาวเย็นเล็กน้อยเมื่อมันพัดผ่านใบหน้าของพวกเขาราวกับความคมชัดของดาบบนผิวของพวกเขา ในอดีตที่ผ่านมาฮวาจูอวี้เคยสวมหน้ากากเงิน ดังนั้นแม้ว่านางจะอยู่ในสนามรบเป็นเวลาหลายปี แต่ใบหน้าของนางยังคงเรียบเนียนและบอบบาง ถ้านางไม่ปลอมตัวเป็นขันที จะมีเพียงไม่กี่คนที่จะเชื่อว่านางเป็นผู้ชาย ตอนนี้มันแตกต่างกัน การขี่ม้าในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาทำให้นางรู้สึกว่าผิวของนางหมองคล้ำลงเนื่องจากแสงจ้าของแสงแดด ทรายและฝุ่นละอองที่พัดมากับสายลมเหนือ นอกจากนี้นางได้ปลอมตัวเป็นผู้ชายเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นจึงเป็นธรรมชาติที่ลักษณะของนางจะเหมือนกับผู้ชายทั่วไป


       ตอนกลางคืน ท้องฟ้าทางตอนเหนือดูสงบเหมือนน้ำ แสงจันทร์ส่องลงมาในขณะที่ทหารต่างก็เดินหน้าต่อไปพร้อม ๆ กัน เนื่องจากการประทะของสายลม ทำให้ธงกระพืออย่างมีชีวิตชีวา กองกำลังเหล่านี้ได้นำสบียงมาเพื่อที่จะอยู่ได้ภายใน 4 วันเท่านั้น พวกเขาเดินทางด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอตลอดทั้งคืน เพื่อรักษาความแข็งแรงและความตื่นตัวต่อการโจมตีที่อาจจะเกิดขึ้นได้


       ฮวาจูอวี้ดึงบังเหียนมาอยู่ด้านหน้ากองทัพฮู ข้างๆนางเป็นผู้ถือธง ธงของกองทัพฮู สะบัดไปพร้อมกับสายลม ทำให้เกิดอาการสั่นไหวขึ้นในหัวใจของนาง


       นางไม่เคยคิดว่านางจะได้เข้าสู่สงครามและสวมเกราะอีกครั้ง บิดาของนางอาศัยอยู่ในสนามรบเกือบจะตลอดชีวิต เพียงเพื่อที่จะได้รับการกล่าวหา และถูกประหารชีวิตด้วยข้อหากบฏ คนของกองทัพฮวาของนางถูกไล่ออกจากตำแหน่ง


       หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นแล้ว นางก็ตัดสินใจที่จะไม่ยอมยกชีวิตของนางให้กับอาณาจักรใต้อีกต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม นางไม่สามารถทำเป็นมองไม่เห็นสถานการณ์ในปัจจุบันและยอมให้อาณาจักรเหนือบุกเข้ามาได้ นางไม่ต้องการให้คนถูกสังหารและพบกับความอัปยศอดสู ในฐานะแม่ทัพ นางเคยอาศัยอยู่ด้วยความเชื่อที่ว่า: ปกป้องประชาชน ปกป้องอาณาจักร แม้ครอบครัวของนางจะไม่อยู่แล้ว แต่ก็ยังมีครอบครัวอื่น ๆ นับไม่ถ้วนให้ปกป้อง อาณาจักรไม่ใช่แค่ราชวงศ์เท่านั้น


       นางยังสามารถแยกแยะความแตกต่างของทั้งสองเรื่องได้


       กองกำลังขี่ม้าออกมากว่า 50 ลี้ก่อนที่จะตั้งค่ายพักและพักผ่อนในเช้าวันรุ่งขึ้น ฮวาจูอวี้ แนะนำให้เดินทางในเวลากลางคืนและพักผ่อนในเวลากลางวันเพื่อป้องกันการโจมตียามค่ำคืนที่อาจจะเป็นไปได้จากกองทัพของอาณาจักรเหนือ เพราะแบบนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาสามารถเดินทางไปทางทิศตะวันตกได้มากกว่า 200 ลี้แล้ว


       ค่ำคืนนั้นมืดและมีเพียงแสงเลือนลางจากดวงจันทร์เท่านั้น


“รายงานผู้บัญชาการเป่า 10 ลี้ข้างหน้าเป็นหุบเขาลึกขอรับ” ทหารของกองทัพฮู รายงานขึ้น


       ฮวาจูอวี้ หยุดม้าของนางและหัวคิ้วของนางก็ขมวดขึ้น ในขณะที่นางพูดขึ้น”หุบเขาลึกหรือ?” ”


“ใช่ขอรับ! มันมืดและข้าก็ไม่กล้าจะเข้าไปข้างใน ”


“เราสามารถไปถึงตะวันตกเหลียงได้โดยไม่ต้องผ่านหุบเขาลึกหรือไม่?” ฮวาจูอวี้ถามขึ้น


“ได้ขอรับ แต่มันเป็นเส้นทางที่ยาว การข้ามหุบเขาลึกเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุดแล้วขอรับ “นายทหารพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำ


       ฮวาจูอวี้ ครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ หากกองทัพอาณาจักรใต้กำลังรีบเดินทาง การผ่านหุบเขาลึกจะเป็นเส้นทางที่ดีที่สุด บางทีกองทัพอาณาจักรเหนือได้พิจารณาแล้วว่ามันเป็นสถานที่ที่เป็นไปได้สำหรับการซุ่มโจมตี


       ฮวาจูอวี้สั่งให้กองทัพฮูหยุดและพักผ่อน อีก 7 กองพันก็หยุดลงและผู้บัญชาการแปดคนก็มารวมกันเพื่อหารือเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องทำต่อไป


       นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้บัญชาการทั้งแปดคนได้มารวมกัน ถังยวี่ และหนานกง เสวีย ก็เป็นผู้บัญชาการทหารด้วยเช่นกัน ซึ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากนายทหาร


“ด้านหน้าเป็นหุบเขาลึก ข้ารู้สึกไม่สบายใจ ใครจะรู้ว่ากองทัพของอาณาจักรเหนือกำลังรออยู่ที่นั่นหรือไม่ เราไม่ควรข้ามไป “หนานกง เสวีย ยกคำคัดค้านของเขาขึ้นมาในฐานะผู้บัญชาการสูงสุด


“เราต้องรอที่นี่หรือ? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าไม่มีการซุ่มโจมตี? “ผู้บัญชาการคนอื่นๆ ถามขึ้น


“ถ้าเช่นนั้นเราก็ปล่อยให้ทหารม้า 1,000 คน ขี่ม้าข้ามไปสำรวจก่อนและทหารที่เหลือก็รออยู่ข้างนอก ถ้ามีการซุ่มโจมตีเราก็จะรู้อย่างแน่นอน “ฮวาจูอวี้ กล่าวขึ้นอย่างช้าๆ


       ผู้บัญชาการอีกเจ็ดคน ต่างก็มองไปที่ฮวาจูอวี้ ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วพูดขึ้น”ลองใช้ความคิดของผู้บัญชาการเป่าดู”


       ฮวาจูอวี้รู้สึกประหลาดใจที่พวกเขาเห็นด้วยอย่างง่ายดาย นางคาดหวังว่าจะได้รับแรงกดดันจากความคิดของนางมากกว่านี้


       กองทัพเดินทางต่อไปและครึ่งชั่วยามต่อมาก็มาถึงทางเข้าสู่หุบเขา มีม้าพันตัว แต่ละตัวมีกระบองไฟติดอยู่ที่ศีรษะและกิ่งไม้ติดอยู่ที่หางของมัน เมื่อม้าถูกปล่อยเข้าสู่หุบเขาหางของพวกเขาก็จะสะบัดไปมาทำให้เกิดฝุ่นละอองฟุ้งไปทั่ว จากระยะไกลๆ มันก็ยากที่จะเห็นว่าไม่ใช่ทหารคนเดียวกำลังขี่ม้าผ่านหุบเขาไป


       หลังจากไปผ่านประมาณหนึ่งกานธูป เสียงของก้อนหินที่กำลังตกลงมาจากทั้งสองด้านของหน้าผาก็ดังขึ้นและทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน ตามมาด้วยลูกศรและเสียงกรีดร้องของม้าหลายร้อยตัวก็ค่อยๆจางหายไป


       ใบหน้าของผู้บัญชาการดำมืดขึ้นทันที หนานกง เสวีย สั่งให้ทหารเตรียมพร้อมและรอฟังคำสั่ง


       ฮวาจูอวี้ ก้มศีรษะลงและถอนหายใจออกมา มีการซุ่มโจมตีจริงๆ ช่างเป็นเรื่องที่น่าสงสารสำหรับม้าเหล่านั้นจริงๆ ดูเหมือนการต่อสู้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วในคืนนี้


       มองไปรอบ ๆ ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นแนวราบ มีเนินเขาสูงชันบางแห่ง ไม่ใช่ภูมิประเทศที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาที่จะใช้ประโยชน์ได้


       ในตอนกลางคืนนั้นมืดมาก ดวงจันทร์เลืองลางในท้องฟ้าล้อมรอบไปด้วยดาวเพียงไม่กี่ดวงเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้ ลมในตอนกลางคืนพัดมาสู่ร่างกายทำให้รู้สึกหนาวเย็นขึ้น


       ไม่เหมือนนาง ฮวาจูอวี้ก้มลงไปยังที่เก็บของและดึงขวดเหล้าองุ่นออกมา ก่อนที่จะเข้าสู่สงคราม นางมักจะดื่มเหล้าสองสามอึก มีเพียงรสชาติที่เข้มข้นของเหล้าที่สามารถระงับความเมตตาในหัวใจของนางลงได้ นางยังไม่ลืมความสยดสยองครั้งแรกที่นางเห็นสนามรบที่เต็มไปด้วยเลือด มันทำให้นางต้องอาเจียนหนักๆ ออกมาหลายครั้ง ในที่สุดนางก็สามารถที่จะสงบสติอารมณ์ของตัวเองลงได้หลังจากดื่มเหล้าองุ่นไปแล้ว ตอนนี้นางมีความแน่วแน่นมากขึ้น แต่การดื่มเหล้าก่อนที่จะเข้าสู่สงครามก็กลายเป็นนิสัยของนางไปแล้ว


       แต่นางไม่เคยเตรียมมันด้วยตัวเอง นางเพียงแค่ต้องเอนหลังลงไปคว้าขวดเหล้ามาจากผิง เหลาต้า ตอนนี้ ผิง อัน คัง ไท่ ไม่ได้อยู่เคียงข้างนางอีกแล้ว อันเสี่ยวเอ้อร์ก็อยู่ในวัง ไท่เสี่ยวซื่อก็ปลอมตัวเป็น อิงซู่เซี่ย อยู่ในเมืองหยู ในขณะที่ผิง เหลาต้า และคัง เหลาซาน ก็อยู่ในมืองหยู เพื่อช่วยนางในการสืบสวนของนาง


       มันเหงาจริงๆ ที่ต้องเดินไปบนเส้นทางสายนี้เพียงพำลัง แต่นางรู้ว่าต้องทำมันต่อไป 


       นางเอื้อมมือลงไปที่ม้า ก่อนจะมีมือหนึ่งยื่นออกมาทางนาง ในมือคือไอเหล้าที่เปิดแล้ว ; กลิ่นที่เข้มข้นของเหล้าลอยมาตามลมมาถึงนาง


       ฮวาจูอวี้ตกใจว่าทำไมถึงมีใครบางคนในกองทัพฮู รู้ถึงนิสัยของนาง?


       นางเงยหน้าขึ้นและยิ้มให้กับคนที่ส่งเหล้าให้กับนาง


       ริมฝีที่เป็นเส้นตรง พร้อมกับสายตาที่นิ่งสงบที่ดูมีภูมิปัญญาและคู่ของหัวคิ้วคมชัด หน้าที่คุ้นเคยนี้ทำให้ใบหน้าของฮวาจูอวี้ดูอบอุ่นขึ้น นางรับเหล้ามา ก่อนจะเอียงศีรษะของนางกลับไปข้างหลังและดื่มเหล้าองุ่น


       มันยังเป็นเหล้าที่นางชื่อชอบที่จะดื่มมันเป็นประจำ และมันยังคงให้ความรู้สึกที่ร้อนแรงเช่นเคย ความรู้สึกเหมือนลำคอของนางกำลังลุกไหม้ นางอยากจะดื่มมากขึ้น แต่เหล้าก็เกือบจะว่างเปล่าหลังจากที่นางดื่มไปเพียงไม่กี่อึก จู่ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมาและคว้าไหเหล้ากลับไป ก่อนที่นางจะเทมันทั้งหมดลงในปากของนาง


“ห้าอึกเท่านั้น! ไม่มากไปกว่านี้! “เสียงต่ำที่จริงจังของเขาออกคำสั่งขึ้น


       ผิง เหลาต้าเป็นผู้ชายที่พูดน้อย แต่เมื่อเขาพูด เขาจะเป็นคนหนึ่งที่จะรักษาคำพูดเสมอ


       ริมฝีปากของฮวาจูอวี้โค้งขึ้น “ผิงทำไมถึงมาอยู่ที่นี่? แล้วคังอยู่ที่ไหน? “โชคดีที่มันมีเสียงดังมากและความสนใจของทุกคนก็คือการซุ่มโจมตีในหุบเขา ดังนั้นจึงไม่มีใครให้ความสนใจกับพวกเขา


       ผิง เหลาต้ามองไปที่ฮวาจูอวี้ด้วยดวงตาที่หรี่ลงของเขาอยู่เป็นเวลานานโดยที่ไม่ได้พูดอะไร


       ฮวาจูอวี้ เข้าใจ ผิง เหลาต้าไม่เคยเห็นรูปร่างหน้าตาของนางมาก่อน บางทีเขาอาจจะตกใจ แต่นางรู้ว่าผิง เหลาต้าจะไม่เยาะเย้ยนางเหมือน อัน เสี่ยวเอ้อร์  


แต่ถ้าเขาไม่เคยเห็นใบหน้าของนาง แล้วเขารู้จักนางอย่างไร?


“ข้าได้ซ่อนตัวอยู่ในกองทัพมานานแล้ว ส่วนคังก็กลับไปที่เมืองหยูแล้ว” ผิง เหลาต้า กลับคืนสู่ความสงบและดึงสายตาของเขาออกไปจากใบหน้าของฮวาจูอวี้ ในขณะที่หัวคิ้วของเขาขมวดขึ้น


“เจ้ารู้ว่าเป็นข้าได้อย่างไร?” ฮวาจูอวี้ ถามขึ้นด้วยเสียงต่ำ


       ก่อนที่นางจะออกจากชายแดนทางเหนือ นางได้ส่งข้อความถึงอัน เสี่ยวเอ้อร์ นางไม่ได้คิดที่จะปล่อยให้พวกเขามากับนาง แต่การที่ผิง เหลาต้าตามนางมาถือว่าเป็นความประหลาดใจที่นางไม่คาดคิด อีกอย่างเขาก็ซ่อนตัวได้ดีจริงๆ ถ้าเป็นคัง เหลาซานเขาจะถูกจับได้และถูกเปิดเผยตัวตนของเขาไปแล้ว


“ข้าได้ยินจากอัน” ผิง เหลาต้า ตอบ


       ในระหว่าง ผิง อัน คัง และไท่ มีเพียงอัน เสี่ยวเอ้อร์ ที่รู้ว่านางเข้าไปในพระราชวังและกลายเป็นขันที และมีเพียงเขาที่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนาง นาง นางให้เขาสาบานว่าจะไม่บอกคนอื่นดังนั้นนางจึงได้ส่งข้อความของนางผ่านเขาไปถึงคนอื่นๆ อยู่ตลอด


       “อย่าตำหนิเขาเลย เราทุกคนกังวลเรื่องความปลอดภัยของท่าน ที่จริงอันก็ไม่เคยบอกข้าตรงๆ ข้าเพียงแต่คาดเดาเอาเท่านั้น “ผิง เหลาต้าพูดขึ้นเบา ๆ


       เขาจำได้ว่าเมื่ออัน เสี่ยวเอ้อร์ บรรยายลักษณะของท่านแม่ทัพของเขาเขาก็พูดประโยคนี้ขึ้น “งดงามมาก ๆ ” ไม่มีใครคิดว่าแม่ทัพของพวกเขาจะมีลักษณะเช่นนั้นจากท่าทางของเขา


       ผิง เหลาต้ารู้ว่าอันเสี่ยวเอ้อร์มีปากที่เป็นพิษ เขาจะใช้คำว่า “งดงาม” เพื่ออธิบายถึงลักษณะของท่านแม่ทัพได้อย่างไร? แต่เมื่อเขาติดตามกองทัพไปยังเมืองหยางกั่วและเห็นชายคนหนึ่งต่อสู้กับฮ่องเต้ของอาณาจักรเหนือเสี่ยวหยิน เขาก็จดจำการเคลื่อนไหวของเขาได้ และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นด้วยกับมุมมองของอัน เสี่ยวเอ้อร์


       อัน เสี่ยวเอ้อร์ถูกไม่ผิด


       ฮวาจูอวี้ พยักหน้า แน่นอนนางไม่ได้ตำหนิพวกเขา


       เสียงคำรามในหุบเขา เดินหน้าต่อไปเป็นเวลานาน ก่อนที่จะหยุดลง


       กองทัพของอาณาจักรเหนือมีแผนจะทำลายกองทัพของอาณาจักรใต้โดยการซุ่มโจมตี แต่ตรงกันข้าม พวกเขากลับพบกับความล้มเหลวและถูกหลอกให้เปิดเผยตำแหน่งของตัวเอง แต่พวกเขาก็ไม่สนใจ พวกเขามีความมั่นใจในความรุ่นแรงในการต่อสู้ของพวกเขา ผู้บัญชาการของพวกเขาสั่งให้โจมตีและหน่วยทหารราบก็รีบวิ่งไปข้างหน้า และการสู้รบก็เริ่มขึ้น


       ทหารของอาณาจักรภาคเหนือแข็งแรงและใช้อาวุธที่มีน้ำหนักอย่างกระบอง เมื่อทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน ทหารของอาณาจักรใต้ ก็กินความสูญเสียเล็กน้อย และอาณาจักรเหนือก็ไม่ได้รับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ แต่กลับประสบกับความสูญเสียอย่างหนักแทน


       ทหารแนวหน้าของอาณาจักรใต้ใช้หอก สิ่งนี้ทำให้พวกเขาได้เปรียบในเรื่องของระยะทาง เพราะหอกของพวกเขามีความยาวมันช่วยทำให้พวกเขาสามารถกำจัดกระบองของอาณาจักรใต้ลงได้ และเมื่อกระบองหลุดออกไป ทหารจากอาณาจักรใต้ก็ใช้ดาบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อโจมตี ก่อนที่จะถอยออกมาให้โจมตีด้วยหอกอีกครั้ง


       ผู้บัญชาการกองทัพของอาณาจักรเหนือคือมือซ้ายและขวาของเสี่ยวหยิน เหว่ย จ้าวและ เหว่ย ต้าจี้ ดวงตาที่ราวกับเสือของเหว่ย ต้าจี้ จ้องมองอย่างรุนแรงจนเส้นเลือดบนหน้าผากของเขาปรากฏขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาควรใช้กลยุทธ์แบบไหน? แม้แต่การโจมตีครั้งที่สองพวกเขาก็ล้มเหลว! อาณาจักรใต้มีฝีมืออย่างแท้จริง เขาคิด


       เหว่ย จ้าง ดูการต่อสู้ก่อนจะพูดขึ้น “ต้าจี้ นี้เป็นชั้นเชิงทางทหารที่ชายแดนตะวันตกใช้ ไม่คาดคิดว่ากองกำลังจากเมืองหลวงจะรู้จักมันด้วยเช่นกัน พวกเราจำเป็นต้องเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างรวดเร็ว!”


       ยุทธวิธีหอกและดาบ คือยุทธวิธีที่ฮวาจูอวี้หยิบขึ้นมาเมื่อผู้บัญชาการทั้งหมดหารือเรื่องการสู้รบ


       กองกำลังทหารของอาณาจักรเหนือ ต่างก็วิ่งขึ้นมาจากหุบเขาคล้ายคลื่นที่น่ากลัวและรุนแรง มันเป็นส่วนที่รวดเร็วและมีความคล่องตัวอย่างมากซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะป้องกันได้ พวกเขาเหมาะสมแล้วที่ได้รับการกล่าวขานว่ามีฝีมือดีที่สุดในสนามรบ


       ใบหน้าของฮวาจูอวี้ ดำมืดลง ในขณะที่นางมองไปข้างหน้า หากการต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้ อาณาจักรเหนือจะพ่ายแพ้ นางต้องคิดหาหนทางที่จะปราบปรามทหารของอาณาจักรเหนือ เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฮวาจูอวี้ก็สั่งให้เป่าแตรสามครั้งเพื่อถึงความสนใจของทุกคน นางยกเสียงของนางและใช้กำลังภายในในการพูดเพื่อให้ทุกคนได้ยิน “ทหารม้าห้าแถวมาอยู่ด้านหน้ากองทัพฮูและลงจากหลังม้าโดยเร็วที่สุด แล้วให้แทงดาบลงไปที่ด้านข้างของม้าและสั่งให้พวกเขาวิ่งไปทางทหารของอาณาจักรเหนือ เร็วเข้า!”

 

 

 


ตอนที่ 103.2

 

หลังจากลงจากหลังม้าแล้ว ทหารก็รีบดำเนินการแทงดาบลงไปที่ม้า แม้ว่าพวกเขาจะไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำใจและทำตามคำสั่ง


       เสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาดังปะทุขึ้นท่ามกลางสนามรบ ในขณะที่ม้าวิ่งพล่านไปข้างหน้าอย่างโกลาหล ตรงไปยังกองทัพของอาณาจักรเหนือ เนื่องจากความประหลาดใจ ทหารม้าของอาณาจักรเหนือจึงถูกกระแทกจากการโจมตีที่ตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทหารของอาณาจักรใต้ใช้ผลประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ พวกเขาเริ่มโจมตีออกไปอย่างไม่เกรงกลัว


       ฮวาจูอวี้ขี่ม้าไปข้างหน้า กวาดหอกของนางไปในอากาศ บังคับให้ทหารม้าของอาณาจักรเหนือลงไปจากม้าของพวกเขา


       ไกลออกไปเหว่ย จาง จับจ้องอยู่ที่ผู้บัญชาการผู้หนุ่มที่กำลังพุ่งไปข้างหน้า เขาไม่รู้ว่าทำไม แต่มันเตือนให้เขาระลึกถึงเวลาที่ผ่านมาแล้ว ที่ภูเขาเนียงซี ของแม่ทัพชุดขาวอิงซู่เซี่ย ในเวลานั้นแม่ทัพหนุ่มคนนั้นอยู่ในชุดเกราะที่ทำด้วยเงินพร้อมดาบเทียนหยาหมิงเยวี่ย ที่วางอยู่บนหลังของเขา ในขณะที่หอกสีเงินวางแนบอยู่ที่ด้านข้างของอาน กับลักษณะที่ดื้อรั้นของเขา ประกอบกับท่าทางที่สง่างามทำให้เขายากที่จะลืมได้ เหว่ย จางไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะได้เห็นคนหนุ่มที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้อีกครั้ง และด้วยความประหลาดใจ เขายังสามารถได้พบคนหนุ่มที่สามารถเปรียบเทียบได้กับอิงซู่เซี่ย อีกด้วยในคืนนี้


       อาณาจักรใต้มีคนที่มีความสามารถมากมายจริงๆ!


       การต่อสู้โหมกระหน่ำไปอย่างดุเดือด เดิมทีกองทัพของอาณาจักรเหนือคิดว่าพวกเขาสามารถซุ่มโจมตีศัตรูได้อย่างง่ายดายและเอาชนะพวกเขาได้ในคราวเดียว แต่นั่นไม่ได้เกิดขึ้น 


       ฮวาจูอวี้และผู้บัญชาการคนอื่นๆ ทราบว่าพวกเขาจะเสียเปรียบเมื่อการต่อสู้ครั้งนี้ยาวนานขึ้น จำนวนคนไม่ได้อยู่ข้างพวกเขา พวกเขามีทหารเพียง 80,000 นายและไม่มีทางเอาชนะกองทัพของอาณาจักรเหนือได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีความตั้งใจที่จะชนะการต่อสู้ครั้งนี้และไม่ได้ต่อสู้อย่างสุดเหวี่ยง หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็เริ่มล่าถอยหลับไป


       อย่างไรก็ตาม กองทัพของอาณาจักรเหนือจะไม่ปล่อยโอกาสนี้และไล่ตามพวกเขาไปอย่างใกล้ชิด


       ฮวาจูอวี้นำทัพของนางมุ่งหน้าไปยังถนนบนภูเขา เนื่องจากกองทัพของอาณาจักรใต้ไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ในพื้นที่โล่ง พวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศที่เป็นภูเขาเพื่อป้องกันศัตรูและรอกำลังเสริม และทำเช่นนี้ต่อไป ไม่ชาเวลาประมาณรุ่งเช้าก็มาถึง พวกเขาต่อสู้ตลอดเวลาในขณะที่ถอยกลับไปที่เชิงเขาเหลียนหยู เมื่อมองขึ้นไปก็มีเทือกเขาสูงตระหง่านและสันเขาสูงชัน ในขณะที่ตรงไปข้างหน้าคือหุบเขา


       ฮวาจูอวี้ สั่งทัพของหนานกง เจี๋ย ไปพร้อมกับทหาร 20,000 นายให้อยู่ด้านหลังเพื่อขัดขวางศัตรู ถังยวี ไม่ได้นำทัพที่เหลือหลบหนีผ่านหุบเขาไป แต่ยังคงอยู่ข้างหลังพร้อมกับพวกเขาเพื่อสู้กับกองทัพของอาณาจักรเหนือ


       ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่กว้างใหญ่ถูกปกคลุมอยู่ในผ้าห่มแห่งความมืด โดยปราศจากดวงดาวหรือดวงจันทร์ใด ๆ


       เมื่อถึงยอดเขาสูงชัน ฮวาจูอวี้ก็ดึงบังเหียนเพื่อหยุดม้าของนาง ตามหลังมาใกล้ๆ นางก็คือผิง เหลาต้า


       ร่างของนางส่องแสงจากเปลวไฟจากคบเพลิง ท่ามกลางความมืด เกราะของนางส่องประกายแวววาวเยือกเย็นราวกับเส้นผมสีดำของนางที่ถูกลมพัดไปตามหลังของนาง มีร่องรอยของรอยยิ้มปรากฏอยู่บนริมฝีปากของนาง นางนั่งอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางที่เยือกเย็น พร้อมกับหอกในมือในขณะที่เฝ้าดูกองทัพของอาณาจักรเหนือค่อยๆ เข้ามาใกล้


       เหว่ย จางจู่ ๆ ก็สั่งให้กองทัพของเขาหยุดและสั่งให้พวกเขาปล่อยลูกธนูออกไป ซึ่งเป็นเหมือนสายฝนที่ตกลงมาในกองทัพอาณาจักรใต้


       ฮวาจูอวี้ ดึงสายบังเหียนของนางพุ่งไปข้างหน้า ในขณะที่นางนำทัพเข้าสู่สนามรบ พร้อมกับหนางกง เจี๋ยและถังยวี พวกเขาพุ่งเข้าไปจากสามทิศทางที่แตกต่างกัน พวกเขาสามคนเป็นเหมือนเสือที่เข้าถ้ำของหมาป่า อาวุธพุ่งตรงไปทั่วทุกทาง เพื่อฆ่าและทำลายล้าง


       ต้าจี้เป็นแม่ทัพที่น่าชื่นชมและมีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ขวานของเขาเคลื่อนไหวอย่างมีพลังในอากาศ โดยการกระแทกทหารทั้งซ้ายและขวาด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว


       ต้าจี้พุ่งไปข้างหน้าและต่อสู้กับฮวาจูอวี้


       ฮวาจูอวี้ รู้ว่าถ้านางเอาชนะ ต้าจี้ ได้ นางจะลดขวัญกำลังใจของกองทัพของอาณาจักรหนือลง


       หอกเปล่งประกายขึ้นเมื่อขวานและหอกของนางปะทำเข้าด้วยกัน ต้าจี้จับไปที่ขวานและสั่นขึ้นเล็กน้อย เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้บัญชาการทหารหนุ่มคนนี้จะมีกำลังภายในที่แข็งแกร่งอย่างลึกซึ้งเช่นนี้


       หลังจากการแลกเปลี่ยนเพลงดาบกันอย่างยาวนาน ฮวาจูอวี้ก็สามารถเอาชนะต้าจี้ได้ในที่สุด จากนั้นนางก็สามารถเปิดทางผ่านกองกำลังทหารของอาณาจักรเหนือไปได้ในขณะที่นางใช้หอกของนางกวาดต้อนออกไปอย่างรุนแรง เพื่อมาพบกับหนานกง เจี๋ยและถังยวี จากนั้นพวกเขาก็ตัดสินใจถอนกำลังทหารออกไป หลังจากสังเกตเห็นว่ากองทัพส่วนใหญ่ของพวกเขา ผ่านเข้าไปในหุบเขาแล้ว


       หลังจากที่ได้พบเห็นว่าฮวาจูอวี้ได้ทำร้ายหัวหน้าของพวกเขา กองทหารของอาณาจักรเหนือก็โกรธแค้นและไล่ล่าไปอย่างไม่พอใจเข้าไปในหุบเขา


       ที่ด้านหลังของกองทัพอาณาจักรใต้มีทหารที่สูญเสียม้าและบาดเจ็บสาหัสอยู่ เมื่อทหารม้าพุ่งเข้ามายังทิศทางนี้ ทหารของอาณาจักรใต้ที่อยู่ด้านหลังก็ต้องตายภายใต้กีบม้าที่แตกตื่นเหล่านี้ แสงแห่งความตายปรากฏบนหัวของพวกเขาและบางคนก็หลับตาลง แล้วบอกลาชะตากรรมของพวกเขา


       ในช่วงเวลานี้ ฮวาจูอวี้ได้ดึงม้าของนางและพุ่งเข้าหากองกำลังของทางเหนือต่อสู้กับศัตรูจำนวนมากด้วยตามลำพัง ผิง เหลาต้า เริ่มกังวลเมื่อเห็นว่าพวกเขามีจำนวนมากกว่า เขาไม่เร็วพอที่จะหยุดนางได้ ดังนั้นเขาจึงต้องหันหลังกลับไปและไล่ตามนางไปได้เท่านั้น


       ฮวาจูอวี้ตวัดหอกในมือของนาง กองกำลังที่เยือกเย็นพุ่งผ่านไปในอากาศ บังคับให้กองทหารของอาณาจักรเหนือล้มลงจากหลังม้าของพวกเขา


       การใช้กำลังภายในจากคนเพียงคนเดียวในการต่อสู้กับคนหมู่มาก ทำให้ฮวาจูอวี้ใช้พลังเกินตัวไปมาก และนางก็ถูกบังคับให้ต้องถอยหลังกลับไป นางรู้สึกว่ามีกระแสน้ำปั่นป่วนอยู่ข้างในและในไม่ช้าร่างของนางก็อ่อนลง พลังที่พุ่งสูงขึ้นจากลำคอของนางทำให้นางต้องกระอักเลือดออกมา นางรู้สึกได้ถึงพลังภายในของนางที่ลดลงและรู้ว่านางได้รับบาดเจ็บภายใน


       อย่างไรก็ตาม นางยังคงสงบและบังคับตัวเองให้นิ่งอยู่ นางเช็ดเลือดด้วยแขนเสื้อของนางและกวาดสายตาที่เย็นชาของนางไปทางทหารม้าของอาณาจักรเหนือ


       หลังจากเป็นสักขีพยานในความพ่ายแพ้ของพวกผู้ชายหลายสิบคน ในไม่ช้าก็ไม่มีใครจากกองทัพของอาณาจักรเหนือก้าวไปข้างหน้า


“ผู้บัญชาการเป่า!” ทหารทางอาณาจักรใต้ที่นอนราบอยู่บนพื้นตะโกนขึ้นอย่างคร่ำครวญและทำให้กองทัพของอาณาจักรเหนือกลับมามีสติอีกครั้ง


       อย่างไรก็ตาม หนานกง เจี๋ยและถังยวี ก็ได้รีบไปที่ด้านข้างของนางพร้อมกับกองกำลังของพวกเขาและกองกำลังของทัพฮู แต่ผิง เหลาต้า ก็มาถึงก่อนและดึงฮวาจูอวี้ไปบนหลังม้าของเขา จากนั้นทั้งคู่ก็ถอยกลับเข้าไปในหุบเขาอย่างรวดเร็ว ม้าของนางก็ได้รับบาดเจ็บและตามมาด้วย พวกเขาถูกนำไปโดยทหารอีกคน


“โง่เขลา! ท่านคิดว่าพวกเขาเป็นกองทัพฮวาของพวกเราหรือ  พวกเขาควรค่าที่จะให้ท่านต้องเสี่ยงเช่นนี้หรือ”ผิง เหลาต้า ถามขึ้นด้วยความโกรธ


“ตอนนี้พวกเขาเป็นลูกน้องของข้า” ฮวาจูอวี้ตอบด้วยผิวที่ขาวซีด


       อิงซู่เซี่ย ได้รับการยกย่องอย่างดีในกองทัพ เนื่องจากความจริงที่ว่านางใช้มาตรการที่ดีเพื่อความปลอดภัยของทหารของนาง และนางก็จะทำให้แน่ใจว่าจะลดการบาดเจ็บล้มตายให้ได้มากที่สุด


       กองทัพของอาณาจักรใต้ถอยกลับเข้าไปในหุบเขาและแม้ว่าทางเข้าสู่หุบเขาจะถูกปิดกั้น กองทัพของอาณาจักรเหนือก็ไม่ยอมลดละและอ้อมไปแทน พวกเขาไล่ตามอย่างไม่หยุดหย่อน เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวหยินได้มีคำสั่งอย่างเข้มงวดเพื่อให้ทำลายกองทัพของอาณาจักรใต้อย่างสมบูรณ์


       รุ่งอรุณใกล้เข้ามา มันส่องสว่างเส้นทางภายในหุบเขา เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นอย่างสมบูรณ์ มันก็จะง่ายขึ้นสำหรับกองทัพของอาณาจักรเหนือที่จะเห็นร่องรอยของกองทัพของอาณาจักรใต้


       ฮวาจูอวี้ กำลังนั่งพิงอยู่ใต้ต้นไม้ ทัพฮูรีบเข้ามาและล้อมรอบนางเพื่อสอบถามเกี่ยวกับสภาพของนาง เมื่อมองไปที่ดวงตาที่จริงจังของพวกเขาที่เต็มไปด้วยความกังวล นางนึกถึงกองทัพฮวาของนาง นางสงสัยว่าพวกเขาจะดำเนินชีวิตอยู่อย่างไรในขณะที่กองทัพฮวาถูกหยุดลง บางทีพวกเขาทั้งหมดอาจเป็นชาวบ้านทั่วไป


       แม้ว่าผิง เหลาต้า จะเป็นห่วงนาง แต่เขาก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้เกินไป เขาได้แอบเข้ามาในหมู่ทหารแล้ว ดังนั้นเขาจึงกลัวที่จะถูกทหารคนอื่นๆ จับได้


“ข้าสบายดี ไม่ต้องกังวล” ฮวาจูอวี้พูดขึ้นด้วยความมั่นใจ


“ จริงๆ หรือ?” พวกเขาถามขึ้นอย่างไม่เชื่อ


“แน่นอน  ทุกคนควรเตรียมการอย่างรวดเร็วเพื่อเผชิญหน้ากับศัตรูในภายหลัง “แล้วฮวาจูอวี้ก็สั่งขึ้น


       นางอดทนไว้รอจนกว่าทหารทั้งหมดจะจากไป ก่อนที่จะไอเป็นเลือดออกมาอีกครั้ง นางรู้ว่านางต้องใช้เวลาในการรักษาตัวเอง ดังนั้นนางจึงหลับตาลงและเริ่มเดินพลังของนาง


       เมื่อท้องฟ้าแจ่มใส กองทัพของอาณาจักรเหนือก็เริ่มทำการโจมตี


       อวาจูอวี้ ที่พิงอยู่กับลำต้นของต้นไม้ และได้สรุปยุทธศาสตร์การป้องกันกองทัพของอาณาจักรเหนือขึ้น เนื่องจากกองทัพฮูไม่ใช่กองทัพฮวาและนางก็ไม่เคยฝึกฝนพวกเขามาก่อน พวกเขาจึงไม่สามารถทำตามกฎการต่อสู้ทุกรูปแบบที่นางสอนได้ อย่างไรก็ตาม พวกเขายังคงสามารถป้องกันกองทัพของอาณาจักรเหนือได้ในเวลานี้


       พวกเขายึดพื้นที่จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปเป็นช่วงสายของวัน ก่อนที่พวกเขาจะได้ยินเสียงรบกวนที่ปลายทาง ทางด้านหลังของกองทัพเหนือและเห็นประกายไฟสีแดงและควันลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า


       ในขณะที่จ้องมองไป จู่ๆ ก็ทำให้ฮวาจูอวี้ตระหนักได้ในที่สุดกำลังเสริมก็อยู่ที่นี่แล้ว


“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าต้องการที่จะไปที่นั่นด้วยกันหรืออยู่ที่นี่หรือ” ถังยวีเดินเข้ามาและถามขึ้น


“ข้าจะอยู่ที่นี่ มันจะปลอดภัยเพราะทหารทั้งหมดของเราก็อยู่ที่นี่” ฮวาจูอวี้ตอบขึ้น


       หัวคิ้วของถังยวีขมวดขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะยอมรับ“เจ้าพูดถูก เจ้าควรอยู่ที่นี่”


“ทำไมเจ้าถึงไม่ไปร่วมการต่อสู้” อวาจูอวี้ถามขึ้น


       เขามองมาที่นาง แต่ยังคงนิ่งเงียบ โดยธรรมชาติเขาต้องการเข้าร่วมการต่อสู้ แต่เขาต้องอยู่ที่นี่และปกป้องบุคคลผู้นี้ เนื่องจากท่านเสนาได้สั่งให้เขาทำเช่นนั้นก่อนที่จะออกเดินทางในครั้งนี้


       การต่อสู้ยืดเยื้อจนถึงเวลาม้าหลังเที่ยงวัน แล้วกองทัพเหนือก็พ่ายแพ้ในที่สุด ต้าจี้และเหว่ย จาง ถอนกลับไปพร้อมกับทหารที่เหลืออีก 30,000 คนโดยการสังหารเปิดเส้นทางออกไป เดิมทีเป้าหมายของพวกเขาคือการทำลายล้างกองทัพของอาณาจักรใต้ทั้งหมด แต่พวกเขาไม่คาดหวังว่าจะได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมากเช่นนี้


       เสียงการต่อสู้ค่อยๆหายไป ฮวาจูอวี้ ถอนหายใจขึ้นด้วยความโล่งอก ปัจจุบันอาการบาดเจ็บภายในของนางรุนแรงกว่าบาดแผลจากด้านนอก นางจึงต้องใช้เวลาในการพักฟื้นนานขึ้น


       ฮวาจูอวี้ จ้องมองขึ้นไปที่ท้องฟ้าและเห็นแสงอาทิตย์ที่อบอุ่นกระจายอยู่ทั่วกิ่งไม้ ในช่วงเวลานั่นเอง จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาและในทันใดนั้นกลิ่นของเลือดก็จู่โจมเข้ามา


       ดวงตาของฮวาจูอวี้เบิกกว้างและต่อมาก็หรี่ลงด้วยความระมัดระวัง


       รูปร่างที่สูงใหญ่ ยืนห่างอยู่จากนางประมาณสิบก้าว


       ฉากโดยรอบนั้นสงบและเงียบมาก จนทำให้สามารถได้ยินเสียงลมที่พัดผ่านต้นไม้บนภูเขา ทำให้เกิดเสียงครวญครางราวกับวิญญาณของผู้ตายไปใหม่ๆ


       ร่างที่อยู่ด้านหน้าของนาง สวมใส่ชุดเกราะสีเงินพร้อมด้วยชุดคลุมสีขาวในขณะที่มันสะบัดอยู่กลางสายลม อยู่ที่มือของเขาเป็นหอกธรรมดาที่มีเลือดหยดลงมาจากปลายของมัน อาบไปด้วยแสงของตะวัน เขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยความภาคภูมิใจและน่าเกรงขาม ราวกับว่าอยู่ระหว่างสวรรค์กับโลก


       หมวกที่มีม่านปิดบังใบหน้าของเขาไปจนหมดสิ้น แต่ฮวาจูอวี้ ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของเขาและการจ้องมองที่เฉียดคมของเขา นางสงสัยว่าเขาเป็นใคร


“เจ้าบาดเจ็บหรือ” เขาถามขึ้นด้วยเสียงที่เบาราวกับสายลมที่พัดผ่าน


       เขาแทงหอกของเขาลงไปที่พื้นดิน แล้วถอดเสื้อเกราะและเสื้อคลุมออก


       ฮวาจูอวี้มองขึ้นไปที่เขาด้วยดวงตาที่เปิดกว้าง ประหลาดใจที่นักรบผู้เต็มไปด้วยเลือดที่ยืนอยู่ตรงหน้านางไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ได้เปลี่ยนโฉมหน้าเป็นเสนาจี่ที่สุภาพและอ่อนโยน


       เขายืนอยู่ตรงนั้น สูงสง่าและมั่นคง ในขณะที่เสื้อคลุมสีขาวของเขาสะบัดอยู่ในสายลม หากเสื้อคลุมของเขาไม่เปื้อนเลือดสีแดง นางก็จะคิดว่าดวงตาของนางกำลังหลอกนาง


       ชายที่จ้องมองมาด้วยความรุนแรงและท่าทางที่น่าเกรงขามคือจี่เฟิ่งหลี่ แต่มันก็เป็นจี่เฟิ่งหลี่ ที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง


       แม้ว่านางจะรู้ดีว่าทักษะการต่อสู้ของเขานั้นเหนือสิ่งอื่นใด แต่นางไม่เคยจินตนาการถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอารมณ์เมื่อเขาสวมชุดเกราะและใช้อาวุธ นางไม่ได้คาดหวังว่าจี่เฟิ่งหลี่ จะเป็นผู้นำในการนำกำลังเสริมมาด้วยตัวเอง เขามักจะกลัวว่าตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผย เขาจึงใส่หมวกและม่านบังตา


       จริงๆแล้ว แม้ว่านางจะเห็นว่าเขาเปลี่ยนไปด้วยสายตาของนางเอง แต่มันก็ยังยากที่จะเชื่อว่าเป็นเขา


       “อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” จี่เฟิ่งหลี่ถามด้วยหัวคิ้วที่ขมวดขึ้นเล็กน้อย


       “ข้าจะไม่ตาย” ฮวาจูอวี้ ตอบอย่างเกียจคร้าน ในขณะที่นางเอนหลังพิงต้นไม้


       ใบหน้าของจี่เฟิ่งหลี่ ดำมืดลงราวกับว่าเขาโกรธเพราะคำตอบของนาง เขาหรี่ตาลงและพูดอย่างเย็นชาขึ้น“ ข้ารู้ว่าเจ้าจะไม่ตาย!”


       “ข้าสบายดี! มันไม่มีอะไรแม้แต่น้อย!” ฮวาจูอวี้ ตอบ


       เมื่อเห็นสถานการณ์ ถังยวีก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อพูดขึ้นแทน“ ท่านเสนา ผู้บัญชาการเป่าเพียงแค่ได้รับบาดเจ็บภายในเพียงเล็กน้อยและจะดีขึ้นหลังจากพักไม่กี่วันขอรับ”


       จี่เฟิ่งหลี่ไม่ได้พูดอะไรอีกและเดินไปที่ด้านข้างของนาง ก่อนจะยื่นฝ่ามือของเขาไปที่หลังของนาง


       ฮวาจูอวี้ตกใจ และพยายามจะหลบไปให้พ้นทาง แต่จี่เฟิ่งหลี่ก็สั่งขึ้น”อย่าขยับ!”


       จากนั้นนางก็รู้สึกถึงพลังพุ่งผ่านมาที่แผ่นหลังของนางอย่างรวดเร็ว จี่เฟิ่งหลี่ใช้กำลังภายในของเขาเพื่อช่วยนาง กำลังภายในของเขาลึกซึ้งอย่างแท้จริงและความเจ็บปวดที่นางรู้สึกเมื่อครู่ที่ผ่านมาก็โล่งขึ้นในทันที


       หลังจากนั้นประมาณเวลาหนึ่งก้านธูป จี่เฟิ่งหลี่ก็ดึงมือกลับมาและสั่ง ถังยวีขึ้น“ไปหาเปลหามมา ผู้บัญชาการเป่าจะไม่สามารถขี่ม้าได้ในขณะนี้”


       ถังยวี คำนับและจากไป ไม่กี่นาทีต่อมากลุ่มทหารก็มาพร้อมกับเปลหามและพานางออกไป


       แม้ว่าพวกเขาจะชนะการต่อสู้ แต่เสี่ยวหยินก็ยังไม่ได้ถอยกำลังของเขา จี่เฟิ่งหลี่กลัวว่าเสี่ยวหยินจะรู้ว่ากองกำลังทหารของกองทัพของอาณาจักรใต้ 180,000 นาย ในขณะนี้ไม่ได้อยู่ที่เมืองหยางกวนอีกต่อไป มันทำให้มันไม่ปลอดภัย และผลก็ทำให้จี่เฟิ่งหลี่ รีบออกคำสั่งให้พวกเขาเดินทางกลับไปที่ หยางกวน โดยไม่หยุดพัก เดินทัพทั้งกลางวันและกลางคืน

 

 

 


ตอนที่ 104.1

 

  ทหารของอาณาจักร​ใต้ถูกส่งออกไปจำนวน 180,000 นาย ในขณะที่​ที่นี่เหลือเพียง 20,000 ข่าวที่ว่ากองทัพของอาณาจักร​ใต้ได้ชนะทัพเหนือได้ไปถึงเสี่ยวหยินอย่างรวดเร็วและเขาก็นำทัพที่เหลือของเขาเพื่อไปโจมตีเมืองหยางกวนทันที


       จี่เฟิ่งหลี่รีบส่งกองกำลังของอาณาจักรใต้กลับไปและในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหยางกวน หลังจากเดินทางทั้งวันทั้งคืน เมื่อพวกเขามาถึงหยางกวนประตูเมืองก็กำลังจะถูกปุกรุก ก่อนที่จี่เฟิงหลี่จะออกเดินทางเขาได้สั่งให้หวังหยูดูยึดพื้นที่และปกป้องเมือง เขาสั่งให้เขาใช้แนวทางการป้องกันโดยเฉพาะและพึ่งพากำแพงสูงตระหง่านของประตูเมืองเพื่อยืดอายุการต่อสู้ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จนกระทั่งกองกำลังหลักจะกลับมา


       เมื่อพวกเขากลับมา พวกเขาก็รีบออกเดินทางออกไปปกป้องประตูเมืองและปกป้องหยางกวน


       ในสงครามครั้งนี้ อาณาจักรเหนือส่งทหาร 100,000 นายเพื่อทำลายล้างกองทัพของอาณาจักรใต้จำนวน 80,000 นาย แต่โดยไม่คาดคิด พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับทหารอีก 180,000 คนและในที่สุดพวกเขาก็ถอยหนีไปพร้อมกับทหารจำนวน 20,000 นายเท่านั้นและมีผู้บาดเจ็บอีกถึง 80,000 นาย สำหรับอาณาจักรใต้โดยก็มีผู้บาดเจ็บล้มตายที่เมืองหยางกวนเช่นกันและพวกเขาก็เหลือจำนวนทหารอยู่เพียง 30,000 นายเท่านั้น


       กองทัพของอาณาจักรเหนือถอยกลับไปทางเหนือของแม่น้ำชิงหมิง ที่ เหลียงโจว สถานการณ์เป็นดังเช่นที่ฮวาจูอวี้ได้ทำนายไว้ ตะวันตกเหลียงไม่ได้มีทหารจำนวน 100,000 นายและส่วนใหญ่ก็เป็นทหารใหม่ เหลียงโจวยังคงยึดมั่นอยู่และตะวันตกเหลียงก็ยังไม่ผ่านเข้ามาได้


       อาณาจักรใต้ผลักกองทัพของอาณาจักรเหนือออกจากดินแดนทางใต้และถือได้ว่าเป็นชัยชนะครั้งสำคัญแล้ว หวังหยูได้ส่งกองกำลังไปตั้งแนวป้องกันรอบ ๆ แม่น้ำชิงหมิง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายหากกองทัพของอาณาจักรเหนือจะพยายามบุกรุกอีก


       เนื่องจากฮวาจูอวี้ ได้รับบาดเจ็บ นางจึงไม่ได้กลับไปพร้อมกับทหารในทันทีและมาถึงหยางกวนใน 2 วันต่อมา จี่เฟิ่งหลี่ส่งหมอทหารไปพบฮวาจูอวี้เพื่อตรวจดูสุขภาพของนาง แต่นางปฏิเสธ นางไม่ต้องการเสี่ยงที่จะทำให้หมอค้นพบเพศที่แท้จริงของนาง แม้ว่าจะโชคดีที่จี่เฟิ่งหลี่ใช้ความกำลังภายในของเขามาช่วยในการรักษานาง แต่นางก็ต้องพักฟื้นสักพักเพื่อดูแลสุขภาพของนาง

แม้ว่าฮวาจูอวี้ จะเป็นผู้บัญชาการของกองทัพฮู นางก็ยังถูกจัดให้อยู่ในกระโจมข้างๆ จี่เฟิ่งหลี่ และตั้งแต่นางบาดเจ็บ เขายังสั่งให้หัวหน้ากองทัพส่งอาหารที่มีคุณค่ามาเพื่อดูแลสุขภาพของนางอีกด้วย


       จากการต่อสู้ครั้งนี้ชื่อเสียงของผู้บัญชาการเป่าพุ่งขึ้นสูงอย่างมาก กองทัพฮูเต็มไปด้วยความซาบซึ้งจากการกระทำของนาง ความจริงที่ว่านางเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องพวกเขาไม่เพียงแต่รวบรวมความชื่นชม แต่ยังได้รับความเคารพอย่างลึกซึ้งอีกด้วย


       แม้ว่าทหารบางคนจำได้ว่าผู้บัญชาการเป่าเป็นขันทีจากพระราชวัง พวกเขาก็ไม่เคยเยาะเย้ยหรือดูถูกนาง พวกเขารู้สึกแค่ว่ามันน่าเสียดายจริง ๆ นอกจากนี้พวกเขาก็ไม่อยากเชื่อว่านางเป็นคนชั่วที่น่าอับอายที่ล่อลวงองค์ชาย ชายหนุ่มที่กล้าหาญเช่นนี้ไม่สามารถเป็นผู้กระทำความผิดเช่นนั้นได้ หลังจากผ่านชีวิตและความตายไปแล้ว ในสนามรบความรู้สึกของความสนิทสนมกันในหมู่ทหารก็ยิ่งพัฒนาขึ้นและยากที่จะเมยเฉยได้


       สงครามระหว่างเหนือและใต้ก็มาถึงการหยุดชะงัก


       ไม่กี่วันที่ผ่านมา ทหารของทัพใต้กำลังฝึกซ้อมการซ้อมรบของทหาร ในขณะที่ฮวาจูอวี้ฟื้นตัวในกระโจมของนาง


       สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกหดหู่มากขึ้นคือจี่เฟิ่งหลี่ได้สั่งให้พ่อครัวปรุงอาหารเบา ๆ และเป็นโภชนาการตามคำสั่งของหมอที่กล่าวว่าเนื้อเป็นอันตรายต่อการฟื้นตัวของอาการบาดเจ็บภายใน นางรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้กินเนื้อมาเกือบครึ่งเดือนแล้วและนางก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป นี่ทำให้นางคิดถึงเสี่ยวเอ้อร์อย่างยิ่ง ถ้าเขามาที่นี่เขาจะต้องไปล่าสัตว์และคอยเล่นเป็นเพื่อนนาง นางไม่สามารถวางใจผิง เหลาต้า ได้ เพราะเขาจะปฏิบัติตามคำสั่งของหมออย่างเคร่งครัด


       บ่ายวันนั้น นางแอบไปพร้อมกับนายทหารสองนายและเข้าไปในป่า นางนั่งผิงอยู่ใต้ต้นไม้แล้วรอให้พวกเขากลับมา หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็กลับมาพร้อมกับกระต่ายตัวหนึ่งตัวและไก่ฟ้า ที่ทำความสะอาดมาแล้ว


       จากนั้นพวกเขาก็ไปหาฟืนเพื่อมาจุดไฟ ในขณะที่นางปรุงรสเนื้อด้วยเครื่องเทศบางอย่างที่นางนำมาจากครัว จากนั้นนางก็ย่างมันเหมือนที่นางเห็นอัน เสี่ยวเอ้อร์ ทำมาหลายครั้งแล้ว


       ครู่ต่อมาเนื้อเกือบเสร็จแล้วและปล่อยกลิ่นหอมออกมา ฮวาจูอวี้ก็ช่วยไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายของนางลง ในที่สุดนางก็สามารถที่จะได้กินเนื้อแล้ว!


“ผู้บัญชาการเป่า ท่านไม่สามารถกินได้มากเกินไป แค่ให้พอรู้รสนะขอรับ” ทหารคนหนึ่งแนะนำขึ้น


       ฮวาจูอวี้ ยิ้มขึ้นเล็กน้อยและพูดขึ้น “ ได้ แค่พอรู้รส” แค่พอรู้รสชาติของไก่ฟ้าทั้งตัว!


“ถ้าท่านเสนาจี่รู้เข้า พวกเราจะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน เขาน่ากลัวมากเวลาเขาโกรธ” ทหารอีกคนพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง


“น่ากลัวหรือ? อย่างไร ไหนลองบอกข้าที” เสียงที่เยือกเย็นดังขึ้นในความมืด


       มือของฮวาจูอวี้ สั่นเทาขึ้นเล็กน้อยและนางก็เกือบจะทิ้งเนื้อลงไปในกองไฟ


       ทหารทั้งสองคนรีบกระโดนขึ้นยืนด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะมองไปที่ร่างในชุดสีขาวในความมืดและพูดตะกุกตะกักขึ้น“ ทะ ท่านเสนา พวกเราไม่กล้า!”


“พวกเจ้าควรจะรีบออกไปจากที่นี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่พวกเจ้าจะถูกทำโทษ!” จี่เฟิ่งหลี่พูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นกว่าก่อน ทำให้เจ้าหน้าที่ทั้งสองวิ่งราวกับชีวิตของพวกเขาขึ้นอยู่กับมัน


       ฮวาจูอวี้ส่งเสียงเย็นขึ้นและมองไปที่จี่เฟิ่งหลี่ คนที่ยืนอยู่ในความมืด นางหมกมุ่นอยู่กับการย่างเนื้อมากเกินไปจนนางไม่ได้ยินเขาเข้ามา


“ จมูกของท่านเสนามีความรู้สึกไวอย่างแท้จริงมากยิ่งกว่า ช่างหยุน” ฮวาจูอวี้ เยาะเย้ยขึ้น


“ ใครคือช่างหยุน?” เขาถามในขณะยืนพิงต้นไม้พร้อมกับกอดแขนของเขา


“ มันเป็นสุนัขที่ข้าเคยเลี้ยงมาก่อนหน้านี้!” ฮวาจูอวี้พูดขึ้นอย่างซื่อสัตย์โดยไม่มีร่องรอยของมารยาทที่ดีอยู่แม้แต่น้อย ด้วยการมีจมูกที่มีความรู้สึกไว มันไม่สามารถเทียบได้กับสุนัขหรอกหรือ


       อย่างไรก็ตาม จี่เฟิ่งหลี่ก็ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของนาง ที่มุมปากของเขากลับถูกยกขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้มเล็กน้อย


       ฮวาจูอวี้ย่างไก่ฟ้าอย่างขยันขันแข็งและในที่สุดมันก็พร้อม นางดึงมันกลับออกมาเพื่อฉีกต้นขาและอ้าปากกว้างขึ้นเพื่อกัดมัน


       อย่างไรก็ตาม จี่เฟิ่งลี่ก็ยกแขนของเขาขึ้นและกิ่งไม้ก็พุ่งเข้ามาหามือของนาง ทำให้นางปล่อยต้นขาของมันลงและได้เห็นเนื้อสัตว์ที่เกลี้ยงเกลาตกลงไปที่พื้นกับตา


       ฮวาจูอวี้กำลังเดือดดาลด้วยความโกรธ จนนางแทบจะอยากแทงเขาให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย เขากำลังพยายามรังแกนางอยู่ในตอนนี้ที่ความแข็งแกร่งของนางยังไม่ฟื้นใช่ไหม นางระงับความโกรธของนางและฉีกต้นขาอีกข้าง และกิ่งไม้อีกกิ่งก็ตรงเข้ามาหานาง แต่คราวนี้นางได้ทำการป้องกันและหันร่างของนางเพื่อหลบมันอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามนางไม่ได้คาดหวังว่าจี่เฟิ่งหลี่ จะรู้ถึงทิศทางการเคลื่อนไหวของนาง ดังนั้นในครั้งนี้ก็เหมือนก่อนหน้านี้เนื้อสัตว์ก็ตกลงไปที่พื้น


“ จี่เฟิ่งหลี่ …. เจ้า….” ฮวาจูอวี้กัดฟันพูดขึ้น


       ทันใดนั้นนางก็ลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังไปพร้อมกับไก่ฟ้าที่เหลืออยู่


       จี่เฟิ่งหลี่เดินออกจากเงามืดอย่างสบาย ๆ และราวกับกระพริบตาเขาก็มาปรากฏตัวตรงหน้านาง เขายกแขนเสื้อขึ้นและเอื้อมมือไปหาไก่ฟ้าในอ้อมแขนของนาง


       อย่างไรก็ตาม นางโยนมันลงไปที่พื้นก่อนที่เขาจะมีโอกาสได้หยิบมันและพุ่งเข้าหาเขา


       ทั้งสองต่อสู้กับอยู่ในป่าที่เยือกเย็น เนื่องจากความกำลังภายในของนางยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่นางจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา อย่างไรก็ตามจี่เฟิ่งหลี่ก็ไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่เหมือนกันและดูราวกับว่าเขาล้อเล่นกับนางอยู่


       ยิ่งพวกเขาต่อสู้นานเท่าไหร่ นางก็ยิ่งไม่พอใจมากขึ้นและท่าทีของนางก็ยิ่งดุร้ายยิ่งกว่าเดิม แต่จี่เฟิ่งหลี่ก็ไม่ต้องการที่จะต่อสู้อีกต่อไป เมื่อนางพุ่งเข้าหาเขาอีกครั้งนางก็สะดุดและล้มไปด้านหลัง นางเตียมตัวไว้สำหรับการล้มที่จะเกิดขึ้น แต่จี่เฟิ่งหลี่ก็ได้เหยียดแขนออกไปและนางก็ตกลงไปในอ้อมกอดของเขาแทน


       มือที่จับอยู่ที่เอวของนางร้อนและแน่น ทำให้นางประหม่าจนไม่กล้าหายใจ นางพยายามรักษาความสงบและความตื่นเต้นเอาไว้ แต่ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มและเอนกายลงพร้อมกับกระซิบขึ้น“ เอาล่ะ พอแล้ว เจ้าไม่สามารถใช้กำลังภายในได้ในขณะนี้และไม่สามารถกินเนื้อสัตว์ได้ด้วย”


       ท้องฟ้ายามค่ำคืนเงียบสงบและดวงดาวก็เปล่งประกายอย่างสงบสุข คนที่เอนกายลงมาหานางนั้นเป็นรูปร่างที่หล่อเหลาที่ไม่มีใครเทียบได้ นางจ้องมองดวงตาหงส์ที่ยิ้มแย้มและจู่ๆ ก็ตะโกนขึ้น“เจ้าไม่ใช่บิดาของข้า เจ้าคิดว่าเจ้ามีสิทธิ์จะมาปกครองข้าหรือ ข้าอยากจะกิน! ข้าไม่สนใจเรื่องฟื้นฟูกำลังภายในอะไรนั้น!”


       ทันใดนั้นแขนที่เอวของนางก็แข็งทื่อและรอยยิ้มในดวงตาของเขาก็เย็นชาขึ้น เขาค่อย ๆ ปล่อย ก่อนจะหันหลังและจากไป เสื้อคลุมสีขาวของเขาค่อย ๆ หายไปในความมืด


       จี่เฟิ่งหลี่มีผิวที่หนาเช่นนี้ กลับได้รับผลกระทบจากคำพูดของนางหรือ? นางลุกขึ้นและเดินไปที่กองไฟ นางเอากระต่ายออกจากกิ่งไม้แล้วดับไฟ จากนั้นนางก็ไล่ตามจี่เฟิ่งหลี่ไป นางไล่ตามเขาไปครู่หนึ่งแล้วโยนกระต่ายให้เขา “ ลืมมันไปเถอะ ข้าจะไม่กินมัน ข้าจะมอบให้ท่าน” หลังจากทั้งหมดนี้นางไม่อยากกินเนื้อสัตว์อีกต่อไป


       จี่เฟิ่งหลี่รับกระต่ายมาและฉีกเนื้อออกเป็นชิ้น ๆ แล้วก็กัดกินมันอย่างช้าๆ


“เนื้อย่างเป็นอย่างไรบ้าง” ฮวาจูอวี้ถามขึ้นด้วยดวงตาที่หรี่ลง


       จี่เฟิ่งหลี่ยิ้มขึ้นเล็กน้อย“อร่อย เป็นเรื่องที่ค่อนข้างคาดไม่ถึงว่าเป่าเอ้อร์ จะมีทักษะเช่นนี้!”


“มันเป็นสิ่งที่ได้รับมา!” นางพูดด้วยความภาคภูมิใจ ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็เป็นเด็กฝึกหัดของเสี่ยวเอ้อร์


       ยืนอยู่ตรงนั้น การแสดงออกของจี่เฟิงหลี่ นั้นค่อนข้างแปลก หลังจากนั้นไม่นานเขาก็สามารถกลืนเนื้อกระต่ายแสนอร่อยลงไปได้ 

 

 


ตอนที่ 104.2

 

บ่ายวันรุ่งขึ้น จี่เฟิ่งหลี่ ส่งคำเชิญไปให้ฮวาจูอวี้ เพื่อเชิญนางมาเล่นหมากรุกด้วย และเนื่องจากที่นางเบื่อนางจึงเห็นด้วย เมื่อนางมาถึงจี่เฟิ่งหลี่ ก็อยู่ในระหว่างการแข่งขันหมากรุกกับหลานปิง ซึ่งในปัจจุบันก็กำลังแพ้อยู่ หลานปิง รู้สึกตื่นเต้นที่ฮวาจูอวี้ มาที่นี่เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องเล่นหมากรุกต่อไป เขาย้ายออกจากที่นั่งเพื่อให้นางเข้ามา แต่โดยไม่คาดคิดนางกลับต้องการที่จะเล่นกับเขาแทน จี่เฟิ่งหลี่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นและย้ายไปด้านข้างเพื่อสังเกตแทน โดยธรรมชาติแล้วมันไม่ได้ใช้เวลานานสำหรับฮวาจูอวี้ที่จะเอาชนะและหลังจากนั้นนางก็เริ่มเล่นเกมกับจี่เฟิ่งหลี่ พวกเขาทั้งสองจมอยู่ในเกมซึ่งกินเวลาไปจนดึก ทักษะของพวกเขาไม่ต่างกันมากและไม่สามารถตัดสินถึงผู้ชนะได้ และเนื่องจากมันจะดึกเกินไป จี่เฟิ่งหลี่ จึงตัดสินใจว่าพวกเขาควรจะหยุดการแข่งขัน โดยให้เหตุผลว่าฮวาจูอวี้ ยังคงต้องพักฟื้นและควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว หลังจากที่ฮวาจูอวี้กลับไปก็เหลือเพียงหลานปิงและจี่เฟิ่งหลี่เท่านั้น


“วางกระดานหมากรุกไว้ข้างๆ อย่าทำให้ชิ้นส่วนมันยุ่งเหยิง” จี่เฟิ่งหลี่สั่ง ในขณะที่เขาจิบน้ำชา รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเขา ในขณะที่จ้องมองไปที่กระดานหมากรุก


       เมื่อเห็นอย่างนี้ หัวใจของหลานปิง ก็ดำดิ่งลง


       มันจบแล้ว!


       มันไม่ได้เป็นเพียงแค่ท่านเสนาเท่านั้น แต่เขายังสามารถรู้สึกว่าได้หยวนเป่าเองก็เข้ากันได้กับท่านเสนาได้เป็นอย่างดี ยิ่งเขามองมากเท่าไหร่ มันน่าเสียดายที่….


       เขาไม่ควรคิดอย่างนี้ เขาจะต้องไม่ปล่อยให้ท่านเสนาเดินไปในทางที่ผิด


       แล้วถังโจว ก็เข้ามาในกระโจมและรายงานขึ้น “ท่านเสนาเสบียงของกองทัพที่ได้ขนส่งโดย ซี เจียงเยวี่ย เดินทางผ่านมาถึงเขาเสี่ยวยวี่ แล้วและจะมาถึงที่นี่ในอีกสองสามวันขอรับ”


       เมื่อได้ยินเช่นนี้จี่เฟิ่งหลี่ก็สั่งขึ้น “ถังโจวนำทหารจำนวน 20,000 นายออกไปพบพวกเขา เราไม่สามารถพึ่งพาธัญพืชและอาหารจากในวังหลวงได้เท่านั้น ฤดูหนาวกำลังจะมา เสบียงเหล่านี้และของใช้ในช่วงฤดูหนาวมีความสำคัญมาก”


       ถังโจวรับคำสั่งและออกไป  


       จี่เฟิ่งหลี่นั่งอยู่ที่โต๊ะของเขาและพูดขึ้นด้วยเสียงที่เบา“ หลานปิง บอกกับหวังหยู ให้ระงับข่าวชัยชนะของกองทัพของเรา แล้วส่งจดหมายไปยังราชสำนักเพื่อแจ้งให้พวกเขาทราบว่าสงครามนั้นน่าหวาดกลัวและยุ่งยากมาก บอกพวกเขาว่าเรากำลังประสบความสูญเสียอย่างต่อเนื่อง”


       หลานปิง ตอบอย่างเคร่งขรึมขึ้น “ท่านเสนามีความรอบครอบอย่างแท้จริง เนื่องจากเราได้จัดการกับพวกสอดแนมเหล่านั้นไปแล้ว และผู้ที่อยู่ในราชสำนักต่างก็ไม่รู้เรื่องของสงคราม แม้แต่ฮ่องเต้ตัวน้อยนั้นก็ยังมีชีวิตอยู่ในความกลัวอยู่ในแต่ละวัน!”


       จี่เฟิ่งหลี่ยิ้ม“ ฮ่องเต้อาจจะไม่บอบบางอย่างที่เจ้าคิด อย่างไรก็ตามการทำให้เขากังวลนั้นก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน หากคนเหล่านั้นรู้ว่าเรากำลังชนะ เมืองหลวงอาจจะตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย” โดยเฉพาะเมื่อสถานการณ์เลวร้ายและในขณะที่อาณาจักรเหนือบุกรุกเข้าไป พวกเขาอาจจจะไม่เคลื่อนไหว


       “ท่านเสนา เช่นนั้นข้าต้องขอตัวก่อน” หลานปิง ออกจากกระโจมของจี่เฟิ่งหลี่ไป หลังจากนั้นเขาก็ไปแจ้งกับหวังหยูแล้วไปหาผู้บัญชาการถังยวี่  


       มันผ่านมาเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งและการฝึกซ้อมทางทหารก็เสร็จสิ้นลงในคืนเดียวมันเงียบและสงบมาก ถังยวี่ กำลังนั่งอยู่ในที่นั่งของเขา ต่อหน้าเขาจะมีขวดอยู่หลายรูปแบบ ไม่แน่ใจว่าเขากำลังศึกษาพิษชนิดใดอยู่ แต่เมื่อเขาเห็นหลานปิง เข้ามาในกระโจมของเขา เขาก็หันกลับไปทำที่สิ่งที่เขากำลังทำอยู่


       แล้วหลานปิงก็บ่น “เจ้ายังมีกะใจที่จะนั่งอยู่ที่นี่และทำอย่างนั้นอยู่อีกหรือ? ภัยพิบัติกำลังจะเกิดขึ้นกับท่านเสนาได้ทุกเวลาแล้ว!”


       ถังยวี่ หยุดสิ่งที่เขาทำและถามขึ้น “ เกิดอะไรขึ้นกับท่านเสนาหรือ?”


       หลานปิง ตบไหล่ของถังยวี่และพูดด้วยสายตาที่มีความหมายขึ้น “ท่านเสนากำลังจะจบแล้ว!”


       ถังยวี่ขมวดคิ้ว แต่ทันใดนั้นเขาก็ลูบไหล่เขา


       “ ก่อนอื่น เขาไม่สนใจคำเตือนของเราและไปที่อาณาจักรเหนือเพื่อช่วยหยวนเป่า และเนื่องจากเรื่องนั้นทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและเกือบเอาชีวิตไม่รอด และตอนนี้เขาก็นำทหาร 100,000 นายเข้าสู่สนามรบ เจ้าเคยเห็นเขาทำเช่นนี้มาก่อนหรือ? หากสิ่งต่างๆดำเนินต่อไปเช่นนี้ แล้วสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเล่า?”หลานปิงถามขึ้น


       “แต่เราจะทำอะไรได้?” ถังยวี่ ถาม แต่ไม่เข้าใจว่าหลานปิง กำลังต้องการอะไรจากในเรื่องนี้


       “ข้ามีวิธี แต่ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า!” หลานปิง โน้มตัวไปที่ ถังยวี่ และกระซิบคำสองสามคำขึ้น


       หลังจากได้ยินแผนของหลานปิง ถังยวี่ ก็โบกมือแล้วพูดขึ้นทันที “ข้าทำไม่ได้!”


       “เจ้าต้องการให้ชีวิตของท่านเสนาจบลงแบบนั้นหรือ” หลานปิง อุทานขึ้น


       ถังยวี่ ถอนหายใจยาวๆ ออกมา หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดอย่างหงุดหงิดขึ้น “ ก็ได้ๆ!”


ท้องฟ้ายามค่ำคืนทางเหนือนั้นเงียบสงบราวกับทะเล ดวงจันทร์ส่องแสงสลัว ๆ เหนือค่ายทหาร ทำให้มันดูเหมือนว่ามีชั้นน้ำแข็งปกคลุมอยู่


       จี่เฟิ่งหลี่เพิ่งกลับมาที่กระโจมของเขา ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะของเขาดื่มเหล้าลงไปสองสามอึก แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าร่างกายของเขากระฉับกระเฉงและรู้สึกว่ามันเริ่มร้อนขึ้น ความรู้สึกที่ไหลพุ่งออกมาจากในอกของเขาและแผ่ออกเหมือนไฟป่า ผ่านแขนขาของเขาไป ในคืนในฤดูหนาวที่หนาวเหน็บนี้ เขายกมือขึ้นและพัดให้ตัวเอง แต่ความร้อนที่เหลือทนก็ไม่ได้ลดลง เขาเอื้อมมือไปที่ปลอกคอของเขาและคลายมันออก แต่เมื่อสัมผัสไปที่ผิวของเขา เขากลับรู้สึกว่มันร้อนอย่างน่าอัศจรรย์ ร่างกายทั้งหมดของเขาราวกับถูกไฟไหม้อย่างรุนแรง


       อย่างไรก็ตาม ดวงตาที่ลึกของเขากลับเต็มไปด้วยความเย็นจัด เขาคิดว่าเขาถูกพิษให้แล้ว เขารีบเรียกหาจี่สุ่ยและจี่เยวีย สั่งให้พวกเขาไปพาถังยวี่ มาอย่างรวดเร็ว


       เมื่อถังยวี่ มาถึงเขาก็ตกใจเมื่อเห็นจี่เฟิ่งหลี่ เขาเอื้อมมือไปที่ข้อมือของ จี่เฟิ่งหลี่ เพื่อตรวจชีพจรของเขา หลังจากนั้นครู่หนึ่ง การแสดงออกของเขาก็ดูไม่ดี


“มันคือพิษอะไร?” จี่เฟิงหลี่ ถามอย่างเย็นชาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง


“ฉิงซื่อหลาว!” ถังยวี่ตอบ “ พิษนี้เป็นยาปลุกกำหนัดที่มีการทำให้ประสาทหลอนและจะต้องได้รับยาเป็นเวลา 49 วัน หลังจากนั้นการสะสมของพิษก็จะเริ่มเห็นผล เมื่อพิษกำเริบมันจะไม่สามารถทำให้เงียบลงได้”


“ 49 วันหรือ?” จี่เฟิงหลี่ พูดซ้ำขึ้น ดวงตาของเขาหรี่ลงและกระพริบขึ้นอย่างเย็นชาภายใต้แสงเทียน ใครวางยาพิษเขา ใครที่ซ่อนตัวอยู่เคียงข้างเขามานานเช่นนั้น


“ พิษนี้มียาแก้พิษหรือไม่” เขาถามขึ้น


       ถังยวี่ตอบอย่างจริงจัง “มีเพียงผู้หญิงที่สามารถแก้พิษได้ ไม่มีวิธีอื่น และมันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทน อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้หญิงในค่ายทหารในขณะนี้ ใครบางคนคงต้องมีชีวิตของท่านเสนา ท่านเสนาต้องพยายามทนกับมันในขณะนี้ ข้าจะสั่งหลานปิงให้ไปยังเมืองใกล้เคียงและหาผู้หญิงมาให้ท่าน จี่สุ่ยและจี่เยวีย พวกเจ้าดูแลท่านเสนา ข้าจะดูหนังสือยาของข้าและดูว่าข้าจะสามารถหาอะไรที่สามารถระงับพิษนี้ได้ชั่วคราวหรือไม่”


       หลังจากนั้น ถังยวี่ก็จากไปอย่างรวดเร็ว


       ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ฮวาจูอวี้ ได้ไตร่ตรองเกี่ยวกับการแข่งขันหมากรุกและสิ่งที่นางควรจะทำต่อไป แต่ไม่ว่านางจะใช้สมองของนางมากแค่ไหนนางก็ไม่สามารถคิดกลยุทธ์ที่จะเอาชนะจี่เฟิ่งหลี่ได้ เป็นเวลานานแล้วที่นางได้เล่นกับคนที่มีทักษะ ดังนั้นมันจึงทำให้นางมีความปรารถนาที่จะเอาชนะ และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อใดก็ตามที่นางนึกถึงท่าทางที่สงบและผ่อนคลายของเขาในขณะที่เขาเล่น นางก็มีความต้องการเป็นอย่างมากที่จะทำให้เขาพ่ายแพ้อย่างหมดท่า


       หลังอาหารเย็นฮวาจูอวี้ก็แอบออกไปจากกระโจมอย่างเงียบ ๆ นางเดินผ่านป่าไปทางด้านหลังของภูเขา หลังจากนั้นไม่นานนางก็มาถึงน้ำพุร้อนขนาดเล็กซึ่งนางค้นพบโดยบังเอิญ จุดนี้ถูกซ่อนไว้อย่างดีและไม่ชัดเจน ดังนั้นทุกสองสามวันนางจะมาที่นี่เพื่ออาบน้ำ หลังจากเหตุการณ์ที่ภูเขา ฉิงเฉิง นางก็ดำเนินการทุกอย่างด้วยความระมัดระวังมากขึ้นและใช้กลยุทธ์ที่ยากขึ้นเพื่อที่จะทำให้คนมองไม่เห็น


       นางเดินไปที่ริมน้ำและเริ่มถอดเสื้อผ้าและผ้าผูกหน้าอกของนางออก นางลงไปในน่านน้ำและในที่สุดก็สามารถผ่อนคลายได้เล็กน้อย หลังจากล้างเนื้อล้างตัว นางก็กลับไปที่ฝั่งก่อนที่จะพบว่าผ้าผูกหน้าอกของนางถูกน้ำพัดหายไปแล้ว


       สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกหวั่นวิตกและรำคาญเล็กน้อย อย่างไรก็ตามมันคงยากที่จะค้นหาในตอนนี้เนื่องจากมันมืดแล้ว แต่เนื่องจากมันมืดคนส่วนใหญ่จะไม่สังเกตเห็นหน้าอกที่ผิดปกติของนาง ดังนั้นนางจึงแต่งตัวและนั่งลงไปพร้อมกับแช่ขาลงไปในบ่อน้ำพุร้อน ผมสีดำยาวของนางถูกปล่อยลงไปอย่างหลวมๆอยู่ที่ด้านหลังของนางเพื่อปล่อยให้แห้งไปกับสายลมในตอนกลางคืน


       เนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ลมยามค่ำคืนจึงมีอากาศเย็นสบายเล็กน้อย นางรอจนกระทั่งผมของนางแห้ง ก่อนที่จะจัดทรงเดิมอีกครั้ง หลังจากนั้นนางก็ตัดสินใจที่จะฝึกกำลังภายใน หลังจากพักสักในสองสามวันที่ผ่านมา นางรู้สึกได้ว่ากำลังภายในของนางฟื้นตัวแล้ว แม้ว่ามันอาจจะใช้เวลาอีกครึ่งเดือนก่อนที่นางจะหายสนิทก็ตาม


       ในที่สุดนางก็ลุกขึ้นและยกเลิกการตั้งค่ายกลของนาง ก่อนที่จะเดินออกไป นางจงใจที่จะไม่ได้ผูกเอวของนาง เพื่อให้เสื้อผ้าของนางหลวมขึ้นป้องกันไม่ให้หน้าอกของนางถูกสังเกตเห็นได้ชัดเจนจนเกินไป


       คืนนั้นสงบและเงียบ มีดวงจันทร์ส่องแสงอยู่เหนือศีรษะเท่านั้น ตามทางกลับไปที่กระโจมของนาง นางยังคงไตร่ตรองเรื่องการแข่งขันหมากรุก ทันใดนั้นรอยเท้าของนางก็หยุดลงเมื่อนางคิดออก จากนั้นนางก็นึกถึงการเคลื่อนไหวของจี่เฟิ่งหลี่ และพิจารณากลยุทธ์ของนาง หลังจากที่คิดได้แล้วนางก็เชื่อว่านางสามารถนำชัยชนะกลับมาได้อย่างแน่นอนด้วยกลยุทธ์นี้และปล่อยให้เขาประสบกับความพ่ายแพ้อย่างสิ้นท่า ด้วยความคิดนี้ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้น ก่อนที่จะรีบกลับไปที่กระโจมด้วยความเร็ว


       หลังจากนั้นไม่นาน นางก็กลับมาที่ค่ายทหาร เมื่อนางเดินผ่านกระโจมของจี่เฟิ่งหลี่ นางก็เห็นว่าไฟยังคงติดอยู่ข้างใน นางรีบเดินไปที่ประตูและยกมือขึ้นเคาะเสา แล้วนางก็ได้ยินเสียงของเขาดังขึ้นอย่างแผ่วเบาออกจากภายในดังนั้นนางจึงดึงผ้าม่านออกแล้วเข้าไป ถ้านางทำได้นางต้องการเอาชนะจี่เฟิ่งหลี่ในตอนนี้เลย การได้เห็นความพ่ายแพ้ของจี่เฟิ่งหลี่ ก็ยิ่งทำให้นางพอใจมากกว่าการเป็นผู้นำทัพในสนามรบเสียอีก


       มีเทียนเพียงเล่มเดียวเท่านั้นที่อยู่ในกระโจมของเขา ภายใต้แสงสลัวๆ นางสามารถเห็นกระดานหมากรุกบนโต๊ะไม้ได้


       ดูเหมือนว่าจี่เฟิ่งหลี่จะนอนไม่หลับและยังคงศึกษากระดานหมากรุกอยู่ดังนั้นเขาน่าจะยังไม่สามารถหาทางเอาชนะนางได้เช่นกัน


       ในที่สุดฮวาจูอวี้ก็มองไปที่จี่เฟิ่งหลี่


       รูปร่างหน้าตาของเขาทำให้นางตกใจเล็กน้อย นางไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน เขามักจะมีลักษณะที่อ่อนโยนหรือสงบและบางครั้งก็จะมีความเกียจคร้านอยู่บ้าง แต่ในขณะนี้ไม่มีความอ่อนโยน ไม่มีความสงบหรือความเกียจคร้านอยู่เลย


       เขายืนอยู่ถัดจากโต๊ะด้วยมือทั้งสองที่จับอยู่ที่ด้านบนของมัน ผมสีเข้มของเขาหลุดออกมาเหนือไหล่และบดบังด้านข้างของใบหน้าของเขา เสื้อคลุมของเขาเป็นสีขาวของหิมะ ในขณะที่ผมของเขาเป็นสีดำเหมือนหมึก ความคมชัดของสีดำกับสีขาวนั้นแตกต่างกันมาก


       สายลมยามค่ำคืนไม่มีทางเข้ามาในกระโจมได้ แต่เสื้อคลุมสีขาวและผมสีเข้มของเขากำลังสั่นสะเทือนอย่างมีชีวิตชีวา เห็นได้ชัดว่ามันเกิดจากกำลังภายในของเขาความ


“ ท่านเสนา? ….” ฮวาจูอวี้งงเล็กน้อย ในขณะที่นางเดินเข้ามาหาเขา อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงไม่กี่ก้าวก่อนที่นางจะหยุดอยู่กับที


       โต๊ะใต้แขนของเขาเริ่มสั่นเทาเล็กน้อยและรุนแรงขึ้น ชิ้นหมากรุกบนโต๊ะสั่นพร้อมกับเสียงที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่ถ้วยเหล้าก็สั่นสะเทือน ทำให้เหล้าสีแดงเข้มกระเด็นออกมาบนโต๊ะ ราวกับน้ำตาสีแดงที่กำลังไหลออกมา


       เห็นได้ชัดว่าโต๊ะไม่ได้สั่นคลอนเพราะตัวมันเอง แขนของจี่เฟิ่งหลี่ สั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้


       ความเย็นที่หนาวเหน็บเกิดขึ้นที่กระดูกสันหลังของนางและทันใดนั้นนางก็ก้าวถอยหลังกลับไปสองก้าว


       แล้วในช่วงเวลาที่ จี่เฟิ่งหลี่ ก็หันหลังกลับ


       เขามองนางด้วยดวงตาหงส์ที่สับสนวุ่นวาย รูม่านตาของเขาเปิดกว้างขึ้นและดวงตาของเขาก็ไม่ชัดเจน เขากำลังจ้องมองมาที่นาง แต่ดูเหมือนจะจำนางไม่ได้ด้วยซ้ำ


“ใคร? ออกไปซะ!” เขาตะโกนขึ้น ในขณะที่ดวงตาหงส์ของเขาหรี่ลงและสะบัดแขนเสื้อของเขาขึ้นอย่างรุนแรงราวกับกำลังงุนงงอย่างเต็มที่ ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและหายใจหอบขึ้นอย่างรุ่นแรง


“ออกไป!” จี่เฟิ่งหลี่ จู่ๆก็ก้มลงแล้วคว้าพรมและเหวี่ยงมันไปที่ฮวาจูอวี้ นางก้มลงอย่างรวดเร็วและพรมก็ลอยไปมาเหนือศีรษะของนางและกระแทกปิ่นปักผมของนาง ทำให้นางถอยหลังกลับไปสองขั้นก้าวเนื่องจากความแรงและความเร็วของพรม ก่อนจะสะดุดบางสิ่งบางอย่างและเดินโซเซแล้วล้มลงไปกองอยู่กับพื้น


       ฮวาจูอวี้มองลงไปที่พื้นและเห็นมันปกคลุมไปด้วยสิ่งของที่ถูกโยนทิ้งไปรวมถึงพรม ผ้าและถ้วยชาขนาดเล็ก อย่างไรก็ตามพื้นปูด้วยพรม ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จึงไม่แตกกระจายอยู่บนพื้น ทันใดนั้นนางก็จำได้ว่าเมื่อนางเข้ามาไม่มีทหารเฝ้าอยู่ พวกเขาน่าจะถูกไล่ออกไปโดยจี่เฟิ่งหลี่ด้วยเช่นกัน  


       ในขณะนี้ฮวาจูอวี้เห็นได้ชัดว่าจี่เฟิ่งหลี่ กำลังอยู่ภายใต้อิทธิพลของยาปลุกกำหนัด / พิษบางชนิด นางเคยสัมผัสกับยาชนิดนี้มาแล้วครั้งหนึ่งในอาณาจักรเหนือและตระหนักได้ถึงธรรมชาติของมันได้อย่างชัดเจน


       นางจะเป็นคนโง่ ถ้านางไม่ออกไปทันที นางลุกขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็วและรีบไปที่ประตู แต่เมื่อนางเคลื่อนไหวเร็วเกินไป ปิ่นปักผมของนางก็หลุดและผมของนางก็เทลงมาเหมือนน้ำตก


       ดวงตาที่ปกคลุมไปด้วยหมอกของจี่เฟิ่งหลี่ ก็เริ่มสับสนมากขึ้นเรื่อย ๆ หัวคิ้วของเขาขมวดขึ้นอย่างลึกซึ้ง ในขณะที่จ้องมองไปที่ผมที่ยุ่งเหยิงของฮวาจูอวี้ ทันใดนั้นร่องรอยของความกระจ่างชัดก็ปรากฏขึ้นในแววตาของเขาและแขนเสื้อของเขาก็ถูกสะบัดออกไปและดับแสงเทียนลง


       ทันใดนั้นกระโจมก็ถูกห่อหุ้มไปด้วยความมืดและฮวาจูอวี้ก็ได้ยินเสียงแขนเสื้อของเขาดังอยู่ข้างหลังนาง ในพริบตาเขาก็คว้าไหล่ของนาง นางไม่คิดว่าจี่เฟิ่งหลี่จะยังสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้


       ฮวาจูอวี้ ตื่นตระหนก ลมหายใจหนักของเขาอยู่เหนือนางและมือของเขาจับกรามของนางเอาไว้อย่างรวดเร็ว เขาถามอย่างเยือกเย็นขึ้น “เจ้าคือคนที่หลานปิงส่งมาใช่ไหม” แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะเยือกเย็น แต่เสียงของเขาก็แหบแห้ง ฮวาจูอวี้ก็รับรู้ตามธรรมชาติว่าเป็นเพราะผลกระทบของยา


“ไม่ เขาไม่ได้ส่งข้ามา!” ฮวาจูอวี้ตอบขึ้นด้วยน้ำเสียงของผู้หญิงของนางโดยเจตนา เห็นได้ชัดเจนว่าตอนนี้จี่เฟิ่งหลี่มีสติที่มั่นคงขึ้น เมื่อเห็นผมที่กระจัดกระจายและยาวของนาง เขาก็คิดว่านางเป็นผู้หญิงดังนั้นนางจะต้องไม่ปล่อยให้เขารู้ว่านางคือหยวนเป่า


“ ไม่หรือ?” เขาเย้ยหยันอย่างเยือกเย็นขึ้น “ ไม่มีผู้หญิงอยู่ในกองทัพ!”


“ข้า…ข้า….” อวาจูอวี้พูดขึ้นด้วยเสียงต่ำ เมื่อคิดมาครู่หนึ่ง นางก็ยกมือขึ้นและมุ่งไปที่หน้าอกของจี่เฟิ่งหลี่ แม้ว่านางจะยังไม่ฟื้นความแข็งแกร่งของกำลังภายในของนางอย่างเต็มที่ แต่นางก็เชื่อว่าถ้านางได้โจมตีเขาในระยะใกล้ชิดเช่นนี้ มันคงจะยังทำร้ายเขาอยู่บ้าง


       อย่างไรก็ตาม มือของนางก็ถูกจับเอาไว้ในทันทีโดยเขา เสียงแหบแห้งของเขาดังขึ้นในหูของนาง“ ข้าไม่ได้คาดหวังว่าเจ้าจะมีทักษะการต่อสู้! ในเมื่อเจ้ามาแล้ว มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะจากไป เจ้าไม่ต้องเล่นลูกไม้ใด ๆ มั่นใจได้ ตราบใดที่เจ้าเป็นผู้หญิงไม่ว่าเจ้าจะเป็นคนน่าเกลียดแค่ไหน ข้าก็จะยังนอนกับเจ้า!”


       เสียงที่แหบแห้งที่มีเสน่ห์ของเขา เต็มไปด้วยแรงปรารถนาและความเสน่หา แต่น้ำเสียงของเขาก็เยือกเย็นราวกับว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ


       จี่เฟิ่งหลี่คว้าเอวของนางแล้วนางก็ต่อต้านอย่างรุนแรงขึ้น นางใช้กำลังทั้งหมดภายในตัวนาง แต่ก็ยังหนีไม่พ้นจากเงื้อมมือของเขา ทันใดนั้นเขาก็สกัดไปที่เอวของนางเพื่อปิดผนึกจุดของนางเอาไว้ แล้วร่างกายของนางก็ช่วยไม่ได้ที่จะอ่อนลงอย่างไร้ชีวิตชีวา ดูเหมือนว่าสวรรค์และโลกกำลังหมุนอยู่รอบๆ นาง ในขณะที่เขาอุ้มนางไปข้างใน


ตอนที่ 105.1

 

 นอนอยู่ในอ้อมแขนของเขา ในขณะที่เขากดนางลงไป นางเต็มไปด้วยความโกรธและความอับอาย สวรรค์อันเป็นที่รัก นางจะต้องทำอย่างไรในตอนนี้


       นางสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้านางบอกเขาว่านางคือหยวนเป่า  


       ในค่ายทหารนี้ไม่มีผู้หญิงคนอื่นนอกจากนาง


       เป็นไปได้ไหมที่นางจะต้องกินความพ่ายแพ้ในครั้งนี้? เห็นได้ชัดว่าจี่เฟิ่งหลี่ คิดว่านางเป็นผู้หญิงที่คนอื่นพาเข้ามา เนื่องจากเขายังค่อนข้างมีสติอยู่ ถ้านางบอกเขาว่านางคือหยวนเป่า นางอาจจะมีความหวังที่จะรอดไปได้


“ข้า…” ทันทีที่นางอ้าปาก คำพูดที่เหลือของนางก็ติดอยู่ในลำคอ เขาปิดผนึกจุดอื่นของนางอีกและทำให้พูดไม่ได้อีกต่อไป


“ไม่ต้องพูด ข้าเกลียดเสียงของเจ้าจริงๆ!” จี่เฟิ่งหลี่พูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งขึ้น


       เขาเหยียดแขนออกไปในความมืดและดึงผ้าห่มบนเตียงลงไปที่พื้น เขาจะไม่ปล่อยให้นางอยู่บนเตียงของเขา แต่ตั้งใจจะพานางไปที่พื้นแทน


       นางถูกวางลงไปบนพื้นและยังคงนอนอยู่ที่นั่นสักพัก


       ในความมืด จี่เฟิ่งลี่นั่งอยู่ข้างนางโดยไม่ทำอะไรเลย ร่างกายของเขาปล่อยความเย็นชาออกมา ดูเหมือนว่าเขากำลังพยายามต่อต้านมัน นางทำได้เพียงหวังว่าเขาจะมีความตั้งใจที่แน่วแน่และมั่นคง ยืนหยัดให้ได้นานกว่านั้น บางทีใครบางคนอาจมาช่วยนางก็ได้


       คืนนั้นเงียบสงบมาก ข้างในกระโจมนั้นก็เงียบลงราวกับความตายมีเพียงเสียงลมหายใจที่หนักๆ ของจี่เฟิ่งหลี่เท่านั้น  


       การหายใจของเขาไม่มั่นคง เสียงดังขึ้นในคืนที่เงียบสงบ นางได้ยินเสียงลมหายใจทุกครั้งของเขาอย่างชัดเจน


       เมื่อพิจารณาจากการหายใจของเขา ฮวาจูอวี้ก็สามารถบอกได้ว่ายาจะต้องรุ่นแรงมาก เมื่อได้ยินการหายใจของเขาที่หนักขึ้นและหนักขึ้นเรื่อยๆ นางก็รู้สึกท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง ทันใดนั้นนางก็ได้กลิ่นจาง ๆ ของเลือด นางคิดว่าจี่เฟิ่งหลี่ ต้องกัดแขนของเขาเนื่องจากความพยายามที่จะรักษาความมีสติของเขาเอาไว้


       ความกลัวในใจนางจางหายไปเล็กน้อย อาจจะยังมีโอกาสที่จะรักษาความบริสุทธิ์ของนางเอาไว้ได้ในคืนนี้


       ดูเหมือนว่าจี่เฟิ่งหลี่ จะไม่ต้องการสัมผัสนางอย่างแท้จริง นางเคยอยู่ในเหตุการณ์อันรื่นเริงของเขากับผู้หญิงคนหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ ดังนั้นนางจึงไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงใช้ความพยายามอย่างมากในการยับยั้งชั่งใจในขณะนี้ ไม่ว่าจะในกรณีใด นางก็รู้สึกโชคดี อย่างน้อยที่สุดก็ยังมีแสงแห่งความหวังเพื่อความอยู่รอดได้บ้าง


       อย่างไรก็ตาม สิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามที่นางต้องการ แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บที่แขน แต่ก็ดูเหมือนจะไม่สามารถลดความแรงของยาลงได้ ลมหายใจของเขาหนักขึ้นและรุนแรงขึ้นทุกวินาทีที่ผ่านไป


       ในความมืด นางรู้สึกถึงลมหายใจของผู้ชายในขณะที่เขากดลงมาช้าๆ


       เขาเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ


       จนสุดเอื้อมมือของเขา


       จนร่างกายของพวกเขาถูกกดทับไปด้วยกัน


       จนกระทั่งลมหายใจของเขาอยู่บนแก้มของนาง บังคับให้นางรู้สึกถึงความร้อนแรงที่เกิดขึ้น


       ไม่เพียง แต่ใบหน้าของนางที่ถูกเผาไหม้ แต่ลึกๆ ภายในยังมีความสิ้นหวังและความเศร้าที่ได้ไหลล้นอยู่ภายในและไหลออกมาเหมือนการไหลของเลือด


       เขาเริ่มถอดเสื้อผ้าของนาง แต่ก็มีปัญหากับมัน ดังนั้นเขาจึงดึงพวกมันออกโดยปล่อยให้นางสัมผัสกับความมืดมิดอย่างสมบูรณ์


       นางรู้สึกถึงความเย็นบนผิวที่เปลือยเปล่าของนาง แต่หัวใจของนางก็รู้สึกเย็นชายิ่งกว่าเดิม


       วันนั้น นางนั่งอยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวและมาถึงที่จวนของเสนาบดี นางรอเขาอยู่บนเตียงเจ้าสาว ภายใต้ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว ในขณะนั้นนางตั้งใจจะมอบตัวเองให้กับเขา แต่โชคชะตาก็ชอบหยอกล้อกับคนอื่น หลังจากหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น หลังจากที่นางดูถูกเขา นางก็ยังคงยุ่งอยู่กับเขา ไม่ว่านางจะต่อต้านยังไงก็ไม่มีทางหลบหนีไปได้พ้น


       รอยยิ้มอันขมขื่น เต็มไปด้วยความสิ้นหนทางปรากฏอยู่บนริมฝีปากของนาง ในขณะที่นางนอนอยู่บนพื้น


       ในความมืด นางสามารถรู้สึกได้ถึงการจ้องมองของเขา


       จี่เฟิ่งหลี่ทนไม่ไหวอีกต่อไป ก่อนจะถอดเสื้อผ้าของเขาออกอย่างรวดเร็ว ร่างกายที่ถูกเผาไหม้ของเขากดทับลงมาที่นาง โดยไม่มีการกอดรัดใดๆ เขารีบตรงเข้าไปในทันที


       ความเจ็บปวดที่ท่วมท้นโจมตีนางในทันทีและนางก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากหายใจเข้าแรงๆ เมื่อได้ยินเสียงของนาง จี่เฟิ่งหลี่ ก็หยุดและพูดขึ้นด้วยเสียงที่แหบแห้ง “ ทนกับมัน ข้าก็ต้องเจ็บปวดด้วยเช่นกัน”


       เขาว่างมือของเขาไว้เหนือหัวของนางและไม่ได้ขยับอยู่เป็นเวลานาน


       ออกไป! ฮวาจูอวี้ ตะโกนขึ้นอย่างไม่พอใจ แต่ไม่มีเสียงพูดออกมาจากปากของนาง


       ข้างนอกลมหนาวกำลังพัดโหมกระหน่ำ เสียงสะท้อนดังกึกก้องขึ้น ในขณะเดียวกันภายในกระโจมความเร่าร้อนคือฉากของฤดูใบไม้ผลิ


       ฮวาจูอวี้ กัดลงอย่างแรงบนไหล่ของเขา นางสามารถลิ้มรสเลือดของเขา แต่นางปฏิเสธที่จะปล่อยเขาไป เหมือนหมาป่าที่กระหายเลือด


       ในความมืดกลิ่นของเลือดและความปรารถนารวมอยู่ด้วยกัน


       มือของจิ่เฟิ่งหลี่นั้นยังวางอยู่เหนือศีรษะของนางเสมอ เพื่อไม่ให้มีการสัมผัสที่ไม่จำเป็นระหว่างพวกเขา


       ไม่แน่ใจว่ามันผ่านมานานแค่ไหน แต่การเคลื่อนไหวของจี่เฟิ่งหลี่ ก็สงบลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดูเหมือนเขาจะมีสติและนางก็รู้สึกว่าเขากำลังมองดูนางอยู่


       ในความมืด ดวงตาของพวกเขาประสานกัน


       ดวงตาที่เฉียบคมและเย็นชามองประสานกันอย่างสับสนงงงวย


       ไม่มีหน้าต่างในกระโจมนี้ ในความมืดมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นใบหน้าของอีกฝ่าย แต่นางยังคงจ้องมองเขาอย่างตั้งใจ


       ทันใดนั้นเขาก็หยุด นางรู้สึกถึงความเย็นที่ไหลออกมาจากตัวเขา เห็นได้ชัดว่าในที่สุดเขาก็ได้รับการปลดปล่อย ดังนั้นพิษก็ควรจะได้รับการรักษาแล้ว ในที่สุดมันก็จบลง แต่หนี้ระหว่างพวกเขายังไม่ได้รับการชำระ


       จี่เฟิ่งหลี่ ข้าจะฆ่าเจ้า!


       วันหนึ่ง! แค่รอไปก่อน!


       นางสาบานขึ้นอย่างเงียบ ๆ


       ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงพึมพำอยู่เหนือศีรษะของนาง


“เป่าเอ้อร์…”


       เสียงเบามาก ราวกับเป็นคำที่รั่วไหลออกมาจากส่วนลึกของหัวใจดวงหนึ่งโดยไม่รู้ตัว


       ฮวาจูอวี้ตกใจ เป็นไปได้ไหมที่จี่เฟิ่งหลี่ จะรู้ว่านางคือหยวนเป่า? แต่ดูเหมือนจะไม่ถูกต้อง เสียงของเขาถูกแต่งแต้มไปด้วยความเศร้าและความปวดร้าว


       ทำไมเขาถึงเรียกชื่อนาง มันเพื่ออะไรกัน?


ทันใดนั้น หยดน้ำก็ไหลลงมาบนใบหน้าของนาง มันร้อนและแผดเผา 


       ในช่วงเวลานี้ ความคิดของนางยุ่งเหยิง แต่ทันใดนั้นก็มีอะไรบางอย่างพุ่งเข้ามาในหัวของนาง แต่นางไม่อยากจะเชื่อ


       ความโกรธในหัวใจของนางโตขึ้นทันที


“เจ้าสามารถอยู่ที่นี่ได้ซักพัก สิ่งที่เจ้าต้องการเพียงแค่บอกให้คนของข้ารู้แล้วพวกเขาจะตอบสนองต่อความต้องการของเจ้า!” เขาพูดด้วยเสียงเบา ๆ ในขณะที่เขาหันออกไปและนั่งข้างๆ นาง


       นางนอนอยู่บนพื้น โดยไม่พูดอะไรสักคำ


       ในเวลานี้เขาดูเหมือนจะรู้ว่าเขาได้ปิดผนึกจุดของนางเอาไว้ ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะที่เอวของนางเบา ๆ เพื่อคลายจุดทั้งหมด จากนั้นเขาก็เดินไปที่เตียงอย่างช้าๆและนอนลงไปด้วยความอ่อนเพลีย


       ฮวาจูอวี้นอนอยู่บนพื้น ร่างกายของนางเจ็บราวกับว่ากระดูกของนางแตกหัก ความรู้สึกเจ็บปวดไม่รู้สึกเหมือนจริงอีกต่อไป ถ้าเป็นไปได้นางอยากจะหลับตาลงและนอนหลับให้ความเจ็บปวดมันหายไป แต่นางจะทำเช่นนั้นได้อย่างไรในเมื่อหัวใจของนางเต็มไปด้วยความโกรธ นางจะนอนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?


       นางพยายามที่จะระงับความเจ็บปวดและค่อยๆลุกขึ้น ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิงของนางมาใส่


       จิตใจของนางว่างเปล่าในขณะที่นางเดินออกไปโดยไม่รู้ตัว เท้าของนางรู้สึกอ่อนปวกเปียกและนุ่มราวกับว่านางกำลังเดินอยู่บนผ้าฝ้าย 

 

 


ตอนที่ 105.2

 

   ข้างนอกในตอนกลางคืนนั้นเงียบสงบและว่างเปล่ามีเพียงลมหนาวพัดมาจากทางเหนือ นางกลับไปที่กระโจมด้วยก้าวเท้าที่หนักอึ้ง ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ฉีกขาดและพันหน้าอกด้วยผ้าอีกครั้ง


       ภายใต้แสงเทียนสลัวๆ นางมองไปรอบๆ กระโจม ก่อนจะเห็นหอกเงินของนาง แต่มันก็ไม่เหมาะ น่าเสียดายที่นางไม่มีดาบ


       นางจึงออกจากกระโจมและเดินไปรอบ ๆ ค่ายทหาร หลังจากเดินไปสองสามหัวมุม นางก็เห็นทหารหลายคนเฝ้ายามอยู่ในตอนกลางคืน พวกเขาทักทายนางด้วยรอยยิ้มและมีคนหนึ่งถามขึ้น “ผู้บัญชาการเป่า มันดึกมากแล้ว ท่านจะไปไหนหรือ”


       นางไม่ได้ตอบ เพียงแต่เข้าหาทหารที่อยู่ใกล้นางมากที่สุดและเอื้อมมือไปหาดาบที่เอวของเขา


       ดาบยาวขนาดใหญ่ส่องแสงปะทะแสงจันทร์ และสะท้อนสายตาอันเย็นชาของนางออกมา


       เมื่อได้ดาบ นางก็หันหลังแล้วเดินจากไป ทหารที่อยู่ข้างหลังนางร้องถามขึ้นทันที “ผู้บัญชาการเป่า ท่านกำลังจะทำอะไร นั่นมันดาบของข้านะ!”


“ให้ข้ายืมหน่อย!” ฮวาจูอวี้พูดขึ้นโดยไม่หันหลังกลับไป ย่างก้าวของนางรวดเร็วและด้วยความโกรธ นางจึงลืมความเจ็บปวดไปชั่วครู่ ในไม่ช้านางก็มาถึงกระโจมของจี่เฟิ่งหลี่


       ทางเข้าสู่กระโจมของจี่เฟิ่งหลี่ นั้นเปิดกว้าง ไฟภายในก็ส่องสว่างผ่านประตูออกมา


       ร่างในชุดสีน้ำเงินพุ่งออกมาจากกระโจมและทรุดตัวลงไปบนพื้นดิน ก่อนจะพ่นเลือดออกมาเต็มปาก 


       ฮวาจูอวี้ลดสายตาของนางลงและมุมปากของนางกลายเป็นร้อยยิ้มที่เย้ยหยันขึ้น ตอนนี้มันไม่ใช่แค่จี่เฟิ่งหลี่เท่านั้น แม้แต่ลูกน้องของเขาก็ยังระคายเคืองต่อดวงตาของนาง


       เขาก็คือหลานปิง และเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ลอยออกไปด้วยความตั้งใจของตัวเอง แต่ถูกจี่เฟิ่งหลี่ เตะออกมา


       หลานปิง คุกเข่าอยู่บนพื้นและกำลังจะลุกขึ้น แต่แล้วก็มีเงาลอยออกมาและตกลงมาที่เขา


“อ่า!” หลานปิง ร้องออกมาเหมือนสัตว์ตัวเล็กๆ ทีได้รับบาดเจ็บ


       คนที่ลอยออกมาในครั้งนี้คือถังยวี แม้ว่าหลานปิง จะรองรับการตกลงมาของเขา แต่ถัง ยวี ก็ยังไม่สามารถลุกขึ้นได้อย่างง่ายดาย


       ฮวาจูอวี้มองดูพวกเขาอย่างเยือกเย็นจากด้านข้างของหางตา ก่อนจะเดินตรงเข้าไปในกระโจม


“พวกเจ้าไม่สามารถทำเช่นนี้ได้! เจ้ายังไม่ได้ให้เงินกับข้าด้วยซ้ำ! “ผู้หญิงอีกคนหนึ่งตะโกนในขณะที่วิ่งออกมา


       ฮวาจูอวี้ หยุดอยู่กับที่ในขณะที่นางเห็นหญิงสาวเดินออกมา แม้ว่านางจะแต่งตัวดี แต่ก็ยังเป็นที่ชัดเจนว่านางเป็นผู้หญิงจากหอนางโลมในลักษณะท่าทางที่นางแสดงออก


“เอา รับไป!” ถัง ยวี หยิบเงินมาจากเสื้อคลุมของเขาแล้วโยนมันลงไปบนพื้น


       เมื่อก้มลงไป ผู้หญิงก็คว้าเงินขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หลังจากนับแล้วนางก็วางมันลงในกระเป๋าของนาง เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมามองและเห็นฮวาจูอวี้อยู่ที่นั่นพร้อมกับดาบ ดวงตาของนางก็เปล่งประกายขึ้น ก่อนจะถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม “นายท่าน ท่านต้องการสิ่งใดหรือไม่ ค่าธรรมเนียมของข้านั้นถูกมากนะเจ้าค่ะ”


       หลานปิง คนที่กำลังนอนอยู่ที่พื้นก็ไม่ได้รอคำตอบของนาง ก่อนจะหัวเราะอย่างเย้ยหยันแล้วพูดขึ้น“เขาจะปรารถนาเจ้าได้ยังไง! เจ้าไม่มีความละอายใด ๆเลยหรือ ! ทำไมเจ้าถึงมีใบหน้าที่หนาเช่นนี้?”


“ข้าไม่ได้มีใบหน้าที่หนา ท่านทั้งคู่สั่งให้ข้ามารับใช้ใครบางคน แต่ทันใดนั้นก็เปลี่ยนใจ พวกท่านคือคนที่ไม่รักษาคำพูด!” ผู้หญิงคนนั้นตอบขึ้น จากนั้นนางก็รีบไปยืนอยู่ต่อหน้าฮวาจูอวี้ นางโอบแขนของนางไปรอบคอของฮวาจูอวี้แล้วพูดขึ้น “นายท่านด้วยรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาของท่าน แม้ว่าท่านจะไม่ได้จ่ายเงิน ข้าก็ยังอยากจะรับใช้ท่านอยู่ดี”


       ในที่สุดนางก็เข้าใจ


       หลานปิงคงต้องหาผู้หญิงคนนี้มาเพื่อจี่เฟิ่งหลี่ เพื่อแก้พิษของเขา แต่นางก็กลายเป็นตัวแทนของผู้หญิงคนนี้


       เสียงหัวเราะที่ช่วยไม่ได้ก็หลุดออกมาจากปากของนาง แม้ว่านางต้องการหยุดนางก็ไม่สามารถทำได้ นางไม่ได้หัวเราะผู้หญิงคนนี้ แต่หัวเราะให้กับตัวเอง


       ผู้หญิงคนนี้เป็นยาแก้พิษที่หลานปิงและถัง ยวี เตรียมเอาไว้ แต่นางกลับกลายเป็นผู้หญิงคนนี้ไปโดยไม่ได้ตั้งใจ


       สถานการณ์ทำให้นางพูดไม่ออกจริงๆ!


       เสียงหัวเราะของนางดังก้องอยู่ในค่ายทหาร แม้แต่นางก็เริ่มรู้สึกกลัว


       มันนานมากแล้ว ตั้งแต่ที่นางได้หัวเราะแบบนี้ นานมาจนนางลืมไปแล้วว่ามันรู้สึกอย่างไรที่จะหัวเราะ


       แต่คืนนี้นางหัวเราะหนักมากจนนางหายใจไม่ออก จนกระทั่งดวงตาของนางเป็นประกายไปด้วยแสงแห่งการเยาะเย้ย


       เมื่อเผชิญหน้ากับท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงตาของนางก็เย็นยะเยือกและหัวใจของนางก็อัดแน่นในขณะที่นางหัวเราะต่อไป


       เสียงหัวเราะที่บ้าคลั่งของนางทำให้ผู้หญิงรีบดึงแขนของนางกลับไปอย่างรวดเร็ว นางก้าวถอยหลังไปไม่กี่ก้าวและพูดขึ้น “บ้า ท่านบ้าไปแล้ว!” ก่อนจะหันหลังจากไป


       ในขณะที่หัวเราะ การยึดดาบของนางก็คลายลงและตกลงไปที่พื้น จากนั้นนางก็หันหลังและจากไป พร้อมกับแขนเสื้อที่สะบัดไปตามสายลม


       ในขณะนี้นางยังไม่ได้จัดการกับจี่เฟิ่งหลี่ สำหรับคนที่ต้องการแก้แค้นแน่นอนว่าแม้แต่สิบปีก็ยังไม่สายเกินไป หลังจากสงบสติอารมณ์ลง นางก็รู้ว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะเปิดเผยตัวตนของนาง อย่างไรก็ตามหนี้ในครั้งนี้นางจะฝังแน่นลงไปในใจของนาง


       นางเห็นจี่เฟิ่งหลี่ยืนพิงเสาของกระโจมอยู่ แล้วนางก็ส่งเสียงเยือกเย็นขึ้น ก่อนจะจากไป


       จี่เฟิ่งหลี่ กำลังยืนพิงเสาอยู่ในขณะที่แขนเสื้อของเขาสะบัดไปตามสายลม ผิวของเขาซีดและเย็น สายตาของเขาสงบนิ่งเหมือนเคย แต่ความลึกที่อยู่ลึกลงไปทำให้เขาเจ็บปวด สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่หลังของนางจนในที่สุดนางก็หายไปในความมืด เขาหลับตาของเขาลง ขนตายาวๆ ของเขาบดบังความรู้สึกวูบวาบที่อยู่ข้างในเอาไว้ ก่อนที่เขาหันหลังและเดินกลับเข้าไปข้างใน


       หลานปิงและถัง ยวี ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นดิน พวกเขายังคงจ้องมองไปในทิศทางของฮวาจูอวี้ จนกระทั่งนางหายไป พวกเขาถึงกลับมามีสติอีกครั้ง


       หลานปิง ลูบแผลที่หน้าอกและถามขึ้น “ถังยวีเป็นไปได้ไหมที่หยวนเป่าเป็นคนแก้พิษของท่านเสนา”


       ถังยวี ส่ายหัวแล้วตอบขึ้น “ไม่ เจ้าคิดว่าข้าโง่เหมือนเจ้าหรืออย่างไร มีเพียงผู้หญิงเท่านั้นที่สามารถแก้พิษนี้ได้”


“แต่แล้วทำไมหยวนเป่าถึงหัวเราะเช่นนั้น” หลานปิง ถามด้วยความสับสน “ทำไมข้าถึงรู้สึกว่ามันฟังดูค่อนข้างน่ากลัว”


“นั่นคือเสียงหัวเราะแห่งความสิ้นหวัง ข้าคิดว่าหยวนเป่าต้องมีความรู้สึกต่อท่านเสนาด้วยเช่นกัน เมื่อเห็นท่านเสนาอยู่กับผู้หญิง เขาคงจะต้องรู้สึกอกหัก!” ถังยวี ตอบด้วยเสียงที่เบาลง


“ฟังสมเหตุสมผลมาก เช่นนั้นก็ถือว่าเรื่องนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว เนื่องจากพิษของท่านเสนาได้รับการดูแลแล้ว ข้าแค่คิดว่ามันมีแต่ท่านเสนาที่มีความรู้สึกต่อเขา แต่ข้าไม่ได้คาดหวังว่าหยวนเป่าจะมีความรู้สึกต่อท่านเสนาด้วยเช่นกัน” หลานปิงพูดขึ้น


“แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ใครที่เป็นคนแก้พิษของท่านเสนา? นอกจากผู้หญิงคนนั้นที่เราพามาเพื่อท่านเสนาแล้วก็ไม่มีผู้หญิงคนอื่นอยู่ในกองทัพ แล้วมันจะเป็นใครไปเป็นได้” ถังยวี ถามขึ้นอย่างสงสัย


“ถูกต้อง แล้วจะมีผู้หญิงอีกคนในกองทัพได้อย่างไร” หลานปิง พูดขึ้นในขณะที่เขาขมวดคิ้วด้วยความสับสน


“ใครบอกว่าไม่มีผู้หญิงอยู่ในกองทัพ มีอยู่ที่นี่แล้วในขณะนี้” จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้น


       พวกเขาทั้งสองเงยหน้าขึ้นและเห็นถังโจวเดินเข้ามา ถังโจวไม่ได้อยู่ในค่ายเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา เขาพาคนไปรับเสบียงที่ส่งโดยซี เจียงเยวี่ย  


“ ถังโจว เจ้ากลับมาแล้วหรือ? การจัดการกับเสบียงเป็นอย่างไรบ้าง” ถังยวีถามขึ้น


“ข้าจัดการทุกอย่างตามคำสั่ง ทำไมพวกเจ้าสองคนถึงมานอนอยู่ที่นี่? นับมดกันอยู่หรือ” ถังโจวถามขึ้น


“เจ้านะสินับมด! ถังโจว เจ้าคิดว่าเราต้องการมานอนอยู่ที่นี่หรือ เราได้รับบาดเจ็บ รีบเรียกทหารพร้อมกับเปลหามมาพาพวกเรากลับไป” หลานปิง พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “ท่านเสนาในเวลานี้เลวร้ายจริงๆ ข้าคิดว่าจะใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนในการจัดการกับอาการบาดเจ็บของข้า”


“พวกเจ้าสองคนน่าจะทำอะไรที่ยกโทษให้ไม่ได้ แม้ว่าท่านเสนาจะลงโทษพวกเจ้ามันก็สมควรแล้ว ข้าจะไม่ไปยุ่งกับพวกเจ้าสองคนแล้ว “ถังโจวพูดขึ้น


“ยกโทษให้ไม่ได้อะไรกัน? เราแค่อยากจะทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับท่านเสนาก็เท่านั้น”หลานปิงพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ


“ ถังโจว เจ้าบอกว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในค่ายหรือ ใครกัน” ถังยวีถามและลูบหน้าอกที่บาดเจ็บของเขา ในขณะที่เขาลุกขึ้นอย่างช้าๆ


“เจ้าไม่รู้หรือ เมื่อข้าไปรับเสบียง ข้าได้ยินมาว่าคุณหนูสี่ ก็ตามมาด้วย หลังจากที่ข้าไปตรวจสอบเสบียง นางก็ตรงมาที่นี่ก่อน พวกเจ้าไม่ได้อยู่ในค่ายหรอกหรือ?” ถังโจวถามขึ้นอย่างงงงวย


“ นาง …. นางมาจริงๆ หรือ” หลานปิง ถามขึ้นในขณะที่ลูบหน้าอกของเขา เขายืนขึ้นและดึงแขนเสื้อของถังโจว อย่างเร่งรีบ “นางมาที่นี่จริงๆ หรือ?”


“ทำไมข้าถึงต้องโกหกเจ้า? นางควรจะมาถึงก่อนข้าแล้ว อาจจะเป็นเพราะพวกเจ้าไม่ได้อยู่ในค่ายหรือบางทีนางอาจจะประสบอุบัติเหตุบางอย่างที่ทำให้การมาถึงล่าช้าลง” ถังโจวพูดขึ้น


“ ไป ส่งทหารไปตรวจสอบอย่างรวดเร็ว” หลานปิงพูดขึ้นอย่างใจจดใจจ่อ


       ถังโจว จากไปและกลับมาอีกครั้งในภายหลัง “ข้าส่งทหารไปสอบถามและพวกเขาก็รายงานว่าคุณหนูสี่ มาถึงก่อนหน้านี้แล้ว นางบอกว่านางไม่ต้องการรบกวนท่านเสนา ดังนั้นหนานกง เจี๋ย จึงได้จัดกระโจมให้นางพัก แล้วนางก็พักผ่อนไปแต่หัวค่ำแล้ว” 

 

 


ตอนที่ 105.3

 

“ นางมาจริง ๆ ถ้าเช่นนั้น ถ้าเช่นงั้น……” ริมฝีปากของหลานปิง สั่นเทาเล็กน้อยและเขาก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก ก่อนจะล้มลงไปกับพื้น


“ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ดีใจมากที่ได้พบนางหรือ?” ถังโจว เอนกายลงและดึงหลานปิง ขึ้นมาและช่วยเขาให้นานลงไปบนเปลหาม จากนั้นเขาก็หันไปหาถังยวีและพูดขึ้น“ ไปกันเถอะ ข้าจะพาพวกเจ้าไปหาหมอทหาร”


“ไม่จำเป็น” ถังยวี ยืนนิ่งเหมือนก้อนหิน ดวงตาของเขาไร้ชีวิตชีวา อีกไม่นานเขาก็พูดขึ้น “ข้าได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่เป็นไรถ้าข้าจะไปรับการรักษาในภายหลัง ข้าจะไปดูท่านเสนา เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน”


       ถังยวีรวบรวมความกล้าของเขาและก้าวเท้าเข้าไปในกระโจมอีกครั้ง


       จี่เฟิ่งหลี่ยืนอยู่ข้างโต๊ะมองลงไปที่กระดานหมากรุก นิ้วเรียวของเขาค่อยๆวางหมากลงไปบนกระดานอย่างช้าๆ


       ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาถูกบดบังในความมืด อีกครึ่งหนึ่งส่องประกายจากแสงเทียน ร่างทั้งหมดของเขาแสดงความไม่แยแสอย่างเยือกเย็นออกมา


“ ท่านเสนา” ถังยวี ยังคงจับหน้าอกของเขา ในขณะที่เขาเดินเข้ามาใกล้


“ ออกไป อย่าให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีก!” จี่เฟิ่งหลี่พูดด้วยความโกรธโดยไม่หันมามอง ในมือของเขาเป็นชิ้นหมากรุกสีดำที่เขาจับเอาไว้แน่น


“ คุณหนูสี่มาถึงแล้ว! ถังโจวกล่าวว่านางมาถึงก่อนหน้านี้แล้ว หลังจากส่งผู้คนไปสอบสวนข้าได้ยินว่าหนานกง เจี๋ย ได้จัดกระโจมให้นางและนางก็พักผ่อนแต่หัวค่ำแล้วขอรับ” ถังยวี พูดขึ้นช้าๆ


       จู่ๆ จี่เฟิ่งหลี่ก็เงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยความเย็นจัด เขาจ้องมองไปที่ถังยวี และถามขึ้นอย่างเงียบ ๆ “เจ้ากำลังพูดอะไรออกมา?”


“คุณหนูสี่ มาถึงแล้วขอรับ!”ถังยวี ตอบขึ้น


“ตั้งแต่เมื่อไหร่”จี่เฟิ่งหลี่ ถามมือของเขาสั่นเล็กน้อย


“ ตั้งแต่เมื่อเย็นแล้วขอรับ” ถังยวีตอบขึ้นอย่างเงียบ ๆ


       เติ้ง …


       ชิ้นหมากรุกในมือของจี่เฟิ่งหลี่ ตกลง ทำให้เกิดเสียงดังเล็กน้อย


       ทันใดนั้น เขาก็เลื่อนลงไปกองอยู่กับพื้นพร้อมกับเขย่าโต๊ะ เหยือกของเหล้าถูกกระแทกล้มลงและเหล้าองุ่นสีแดงสดก็ไหลออกมาเปื้อนดิน


       สีแดงแจ่มใสนี้ทำให้เขาระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้


       เมื่อเขาจุดเทียน ทันใดนั้นเขาก็เห็นเลือดบนผ้าห่ม มีอยู่มากมาย มันเป็นสีแดงสดมาก เขาไม่รู้ว่าจะมีเลือดมากเช่นนั้นในคืนแรกของผู้หญิง


       การมองดูเลือดทำให้เขารู้สึกผิดอย่างมาก แม้ว่าเขาจะสันนิษฐานว่านางเป็นหญิงจากหอนางโลมที่หลานปิง ส่งมา ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงเรื่องทางกายภาพ แม้ว่าเขาจะมองผู้หญิงจากหอนางโลมอย่างดูถูกเหยียดหยามก็ตาม แต่เขาก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง


       แต่จริงๆแล้ว นางไม่ใช่ผู้หญิงจากหอนางโลม นางกลายเป็น …


“ ท่านเสนา…” ถังยวีเรียกอย่างเป็นห่วงขึ้น


“ ออกไป! ไม่อย่างนั้นข้าอาจจะฆ่าเจ้า!” จี่เฟิ่งหลี่ตะโกนขึ้น เสียงของเขาเย็นชาและหนักหน่วงมาก


       ถังยวี คุกเข่าลง “ ผู้ใต้บัญชาผู้นี้ยินดีรับการลงโทษ!”


       จี่เฟิ่งหลี่ เงยหน้ามองดูถังยวี ดวงตาสีเข้มของเขากำลังโกรธแค้น เขาเหวี่ยงแขนของเขาและตีไปที่ใบหน้าของถังยวี เลือดไหลออกจากแผลทันที


“ ผู้คุม! พาเขาออกไป!” จี่เฟิ่งหลี่ สั่งขึ้น


       ถังโจว ที่กำลังรออยู่ข้างนอกอย่างอดทนก็รีบเข้ามาอย่างรวดเร็วและดึง ถังยวี ออกไป


       ในขณะที่ฮวาจูอวี้รู้สึกไม่สบาย


       นางตื่นแต่เช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น ในขณะที่นางกำลังก้าวเท้าออกจากเตียงแขนขาของนางก็รู้สึกอ่อนแรงและนางก็ทรุดตัวลงไปบนเตียง หน้าผากของนางร้อนจัดและมีไข้


       ในชีวิตของนาง ฮวาจูอวี้ ได้รับบาดเจ็บหลายครั้ง แต่นางไม่ค่อยป่วย แม้ว่านางจะป่วย แต่มันก็เพียงความเจ็บป่วยเล็กน้อยที่ไม่ได้กันนางจากการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้หรือการเป็นผู้นำทัพ อย่างไรก็ตามคราวนี้แตกต่างกันนางแทบจะไม่ลุกขึ้นเลย


       ความเจ็บปวดที่ปะทุปะทุขึ้นในอกของนางและความหวานอันขมขื่นก็ไหลขึ้นมาที่คอของนาง นางช่วยไม่ได้ที่จะไอ้เป็นเลือดออกมาและย้อมสีเสื้อผ้าของนางไปทันที


       นางหายใจอย่างยากลำบาก ก่อนจะจ้องมองไปที่เลือดสีแดง หัวใจของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความรู้สึกเจ็บปวดก็ครอบงำนางไปทั่วร่างกาย นางไม่สามารถทนมันได้อีกและน้ำตาก็ไหลลงมา


“ ท่านพ่อ ข้าไม่สามารถทนได้นานกว่านี้แล้ว” นางกระซิบด้วยเสียงแหบแห้ง ในขณะที่นางเอนกายลงบนเตียง น้ำตาไหลรินอย่างไม่สามารถควบคุมได้


       มีเสียงฝีเท้าอยู่ข้างนอกกระโจมของนาง ตามด้วยเสียงเคาะประตู “ ผู้บัญชาการเป่าคุณตื่นหรือยัง ได้เวลาทานอาหารเช้าแล้ว”


       มันเป็นพ่อครัวชราที่รับผิดชอบส่งอาหารให้นางทุกวัน เนื่องจากอาการบาดเจ็บภายในของนาง อาหารของนางจึงถูกเตรียมมาเป็นพิเศษและส่งมายังกระโจมของนาง


“ ช้าก่อน!” ฮวาจูอวี้พูดด้วยเสียงแหบแห้งในลำคอของนาง นางรู้สึกอึดอัดมาก นางพยายามยืนและชำระเลือดให้สะอาดก่อนจะเปิดประตู


       พ่อครัวเข้ามาพร้อมกับอาหารของนางและวางลงไปบนโต๊ะ หลังจากหันไปมองนาง เขาก็ตกใจเล็กน้อยแล้วถามขึ้น “ผู้บัญชาการเป่า ท่านไม่สบายหรือไม่”


       ฮวาจูอวี้ ไอขึ้นเบา ๆ “คงจะจับไข้เล็กน้อย ท่านช่วยไปหาหมอและรับยาแก้ไข้มาให้ข้าทีได้หรือไม่ แต่อย่าบอกใคร?”


“เรื่องนี้…. ผู้บัญชาการเป่า ถ้าท่านไม่สบายก็ให้หมอมาตรวจดูก่อน การทานยาตามสั่งโดยพลการนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดี” พ่อครัวชราเป็นคนซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา


“ไม่มีอะไรสำคัญ เนื่องจากข้ารู้เรื่องยาอยู่เล็กน้อย ข้าจึงรู้ว่าตัวเองป่วยเป็นอะไร ท่านควรรีบไป ขอบคุณมาก” ฮวาจูอวี้พูดขึ้นช้าๆ ก่อนจะเอนกายลงบนเตียง


       เมื่อเห็นอย่างนี้ พ่อครัวชราจึงรีบออกไป


       นอนพิงอยู่กับเตียง ฮวาจูอวี้นั้นหายใจอย่างแรง ทั้งร่างของนางนั้นเต็มไปด้วยความร้อนจัด แม้ว่านางจะไม่ใช่หมอ แต่อยู่ในกองทัพมาตลอดชีวิตของนางนางยังสามารถระบุอาการเจ็บป่วยทั่วไปได้ นางรู้ว่านางเป็นไข้หวัด นอกจากนี้นางยังโมโหอย่างบ้าคลั่งเมื่อวาน ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพของนาง


       พ่อครัวกลับมาในไม่ช้า “ผู้บัญชาการเป่า เนื่องจากท่านรู้สึกไม่สบาย ข้าจึงนำยามาให้ท่าน ท่านควรบอกท่านเสนาให้เขาส่งผู้คุมอีกสองสามคนมาดูแลท่าน”


“ ขอบคุณมาก แต่อย่าบอกท่านเสนา ไม่จำเป็นต้องรบกวนเขาด้วยสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ ข้าสามารถดูแลตัวเองได้” นางตอบด้วยรอยยิ้มที่อ่อนแรง


       พ่อครัวถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้และเริ่มชงยา หลังจากยาถึงจุดเดือดเขาก็ลดไฟลง เขาหันกลับมาด้วยรอยยิ้มและพูดขึ้น“ ผู้บัญชาการเป่า ยาเสร็จสิ้นแล้ว หลังจากเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูปมันก็น่าจะเย็นลง ข้าจะกลับไปก่อน และข้าจะมาพบท่านเมื่อข้ามาส่งอาหารมื้อต่อไป”


       ฮวาจูอวี้ พยักหน้าและพ่อครัวชราก็ออกไป


       หลังจากนั้นครู่หนึ่งฮวาจูอวี้ก็พยายามลุกขึ้นจากเตียงและเดินช้า ๆ เพื่อไปรับยา นางยกชามยาขึ้น แต่ทันใดนั้นหัวของนางก็หมุนและมือของนางก็เสียการควบคุม ทำให้ยาร้อนๆ หล่นลงไปบนขาของนางและนางก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด


       ร่างกายของนางอ่อนแอและขาของนางก็ยอมแพ้ แต่แล้วจู่ๆ ก็มีคนเข้ามาและรีบเข้าไปช่วยนาง เขาขมวดคิ้วและพูดขึ้น “ท่านแม่ทัพ ท่านเป็นอะไรไป ท่านไม่สบายหรือ?”


       นางพยายามเปิดเปลือกตาที่หนักๆ ขึ้นและเห็นว่าเป็นผิง เหลาต้า ด้วยเสียงที่แหบแห้งนางจึงตอบขึ้น “ใช่แล้ว ช่วยเทยาอีกชามมาให้ข้าที”


       ผิง เหลาต้า ช่วยพาฮวาจูอวี้ไปนอนบนเตียง เขาหยิบผ้าขึ้นมาแล้วแช่ในน้ำก่อนที่จะวางลงบนหน้าผากของนาง จากนั้นเขาก็เริ่มเทยาอีกชาม หลังจากนั้นไม่นานเขาก็นำยาไปให้ฮวาจูอวี้ “ท่านกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? ทำไมถึงไม่มีใครดูแลท่าน วันก่อนไม่ใช่ว่าจี่เฟิ่งหลี่ยังดูแลท่านเป็นอย่างดีอยู่หรือ เขายังจัดให้พ่อครัวเตรียมอาหารมาให้ท่านเป็นพิเศษอีกด้วยไม่ใช่หรือ”


       ฮวาจูอวี้รับชามยาและดื่มมันทันที หลังจากหายใจเข้าลึก ๆ นางก็พูดขึ้น“ ผิงข้าจะหลับไปซักพัก เจ้าอยู่ที่นี่อย่าให้ใครเข้ามา” ตอนนี้สิ่งเดียวที่นางอยากทำคือนอนหลับ ด้วยการมีผิง เหลาต้า อยู่ที่นี่คอยปกป้องนาง นางจะสามารถพักผ่อนได้อย่างสงบสุข


       นางไม่รู้ว่านางหลับไปนานแค่ไหน แต่เมื่อนางตื่นขึ้นมา นางเห็นผิงนั่งอยู่ข้างเตียง เมื่อเห็นว่านางตื่นเขาก็ยิ้มให้นาง มันดีจริงๆที่มีคนคอยดูแลนาง


“ผิง ตอนนี้ข้ารู้สึกดีขึ้นมาก เจ้าควรกลับไปก่อน อย่าให้คนอื่นค้นพบ ไม่ว่าจะอย่างไร สถานที่นี้ก็อยู่ใกล้กับกระโจมของจี่เฟิ่งหลี่ มันจะไม่ดีหากมีคนพบเจ้า” ฮวาจูอวี้พูดขึ้นด้วยเสียงที่เบาลง


“ข้ารู้ ข้ากำลังจะไปแล้ว ท่านควรหาวิธีกลับไปอยู่ค่ายทหารฮูอย่างรวดเร็ว เนื่องจากข้าเป็นทหารของกองทัพฮูข้าจึงสะดวกกว่าที่จะมาหาท่านและดูแลท่านที่นั่น “ผิง เหลาต้า พูดขึ้นด้วยคิ้วที่ขมวด


       ฮวาจูอวี้ พยักหน้า“ได้”


“ อีกอย่าง ข้าพบว่ามีชุดทหารส่งมาที่ค่าย แต่มันไม่ได้มาจากราชสำนัก แต่มาจากเจียงซูเย่” ผิงรายงานขึ้น


“เจียงซูเย่? เจียงซูเย่ของน่านไป๋เฟิ่งยงลั่วนะหรือ?”ฮวาจูอวี้ ถามด้วยหัวคิ้วที่ขมวด


       ยงลั่ว ในสายตาของโลกเป็นคนลึกลับมาก ฮวาจูอวี้ไม่ค่อยรู้เรื่องเขามากนัก นางเคยได้ยินตงหงเคยกล่าวว่าเขาได้สร้างหอที่เรียกว่า“เจียงซูเย่” ขึ้นและในวันที่ 6 ของแต่ละเดือน ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือสามารถส่งจดหมายที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาจะเป็นคนรวบรวม ทุกคนที่พบกับโชคร้ายหรือความอยุติธรรมสามารถส่งจดหมายไปได้ และตราบใดที่สิ่งนั้นอยู่ในอำนาจของเขา เขาจะได้รับจดหมายและให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่


       เมื่อตงหงเอ่ยถึงชายผู้ติดอันดับสี่คนแรกของอาณาจักร นางก็จำได้ว่านางมีรอยยิ้มที่เกียจคร้านและถามขึ้น“น่านไป๋เฟิ่งยงลั่ว นับจากสิ่งในการจัดอันดับหนึ่งให้เขา แม้ว่าข้าจะไม่เก่งกาจ แต่ข้า เพื่อประเทศและผู้คน ข้าก็ปกป้องเขตแดนและต่อสู้กับศัตรูอย่างกล้าหาญ ทำไมข้าถึงอยู่อันดับล่างของเขา? ไม่ยุติธรรมอย่างแท้จริง!”


       ตงหง ตอบขึ้นทันที “ แม้ว่าน่านไป๋เฟิ่งยงลั่ว จะไม่ได้ป้องกันชายแดน แต่เขาก็ทำอะไรมากมายเพื่อช่วยเหลือคนทั่วไป เขาเป็นห่วงสวัสดิการของพวกเขาและช่วยเหลือพวกเขาในประเด็นเร่งด่วน มันใช้งานได้จริงและทำให้เขาอยู่ในความโปรดปรานมากกว่าท่านที่ปกป้องชายแดน”


“ความกังวลหลักของเจียงซูเย่ คือสวัสดิการของคนทั่วไป ไม่แปลกใจถ้าพวกเขาตัดสินใจที่จะบริจาคข้าวของ ยิ่งไปกว่านั้นเจียงซูเย่ ยังมีความมั่งคั่งและมีการสนับสนุนที่หนาแน่น สำหรับเจียงซูเย่ อาวุธของกองทัพเหล่านั้นราวกับหยุดน้ำจากมหาสมุทร”ฮวาจูอวี้พูดขึ้นอย่างแผ่วเบา


“ข้าได้ยินมาว่า มันถูกส่งมาโดยน่านไป๋เฟิ่งยงลั่วเอง ข้าได้สอบถามอย่างรอบคอบแล้ว ทหารในค่ายต่างก็ไม่รู้เรื่องนี้ ข้าคิดว่าท่านเสนาน่าจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจียงซูเย่ ไม่เช่นนั้นทำไมน่านไป๋เฟิ่งยงลั่ว จึงต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง?”ผิง เหล้าตาพูดขึ้นอย่างเงียบ ๆ


“ น่านไป๋เฟิ่งยงลั่วมาเองหรือ” ฮวาจูอวี้นั้นตกใจเล็กน้อย นี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงอย่างแท้จริง น่านไป๋เฟิ่งยงลั่ว ถึงขนาดมาที่ค่ายทหารอย่างลับๆ


“ เอาล่ะข้ารู้แล้ว เจ้าควรกลับไปได้แล้ว”ฮวาจูอวี้พูดและโบกมือของนางขึ้น


       ผิง เหล้าตา ลุกขึ้น แต่ก่อนที่เขาจะจากไป เขาหันกลับมาและพูดขึ้น”อย่าลืม รีบหาทางกลับไปที่ค่ายทหารฮูอย่างรวดเร็ว ถ้าข้าไม่มาหาท่านในวันนี้ก็คงไม่มีใครรู้ถ้าท่านหมดสติอยู่ที่นี่”


       ฮวาจูอวี้ พยักหน้า ปิงถอนหายใจลึก ๆ แล้วหันหลังและจากไป


       ฮวาจูอวี้พิงหัวเตียงและตกอยู่ในความคิด ไม่นาน นางก็รู้สึกหิวและลงจากเตียงเพื่อไปกินอาหารที่เหลืออยู่บนโต๊ะ เมื่อจำได้ว่าอาหารเหล่านี้ถูกส่งไปตามคำสั่งของจี่เฟิ่งหลี่ นางก็รู้สึกเบื่ออาหารขึ้นมาทันที ร่างกายของนางรู้สึกเย็น แต่อาการไข้ของนางยังคงทำงานอยู่ ดังนั้นนางจึงกลับไปนอนเพื่อพักอีกสักครู่


       แต่นางมีความคิดที่มากมายเกิดขึ้น ข่าวที่ว่าน่านไป๋เฟิ่งยงลั่ว มาที่นี่ทำให้นางรู้สึกหวั่นกลัวเล็กน้อย 

 

 


ตอนที่ 106.1

 

   ท้องฟ้าสดใสและชัดเจน ไม่มีเมฆแม้แต่ก้อนเดียวที่จะสามารถมองเห็นได้ แต่ท่ามกลางสภาพอากาศที่สวยงามเช่นนั้น หนานกง เจี๋ย กลับรู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก


       ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นเมื่อคืนนี้โดยที่เขาไม่รู้ ถังยวีและหลานปิง ต่างก็ถูกท่านเสนาทำร้าย เมื่อเขาถามพวกเขาว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็ยังคงนิ่งและปิดปากเงียบ ไม่ว่าเขาจะถามอะไร พวกเขาก็ไม่พูดอะไรสักคำ


       วันนี้กระโจมของจี่เฟิ่งหลี่ ดูรกร้าง แถมทหารเฝ้าทั้งหมดต่างก็ยืนห่างออกไปมาก เมื่อหนานกง เจี๋ย เห็นสิ่งนี้ เขาก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างแปลก แต่ก็เคาะประตูแล้วเข้าไป


“ มีอะไรจะรายงานหรือไม่” เสียงที่ชัดเจนและเย็นชาถามขึ้น


       หนานกง เจี๋ยมองไปยังทิศทางของเสียงและพบกับท่าทางที่เย็นชาของจี่เฟิ่งหลี่ มันยากที่จะเชื่อว่าหลังจากผ่านไปคืนเดียว ท่าทางที่อ่อนโยนของท่านเสนาจะกลายเป็นเย็นชาและยังมีน้ำเสียงที่เหินห่างอีกด้วย“หากเจ้ามีธุรอันใด ก็จงรีบพูดออกมา” จี่เฟิ่งหลี่พูดอย่างหงุดหงิดพร้อมกับหัวคิ้วที่ขมวดขึ้น


“ไม่มีอะไรขอรับ  ผู้ใต้บัญชาแค่อยากจะถามท่านเสนาว่า ท่านได้ไปพบคุณหนูสี่หรือยังขอรับ”หนานกง เจี๋ยถามขึ้น


“ยัง” จี่เฟิ่งหลี่พยายามให้ความร่วมมือเล็กน้อย


“เมื่อคืน หลังจากที่นางมาถึง นางก็มาหาผู้ใต้บัญชาคนนี้และผู้ใต้บัญชาคนนี้ก็ตั้งใจจะไปรายงานการมาถึงของนางแก่ท่านเสนา แต่นางบอกว่านางต้องการทำให้ท่านประหลาดใจ นางยังไม่ได้มาหรือขอรับ” หนานกง เจี๋ย ถามขึ้ยอย่างงงงวย “ถ้าอย่างนั้นผู้ใต้บัญชาจะไปหานางเองขอรับ”


“ช้าก่อน!” จี่เฟิ่งหลี่พูดอย่างลังเล“ ข้าจะ…. ข้าจะไป.”


       หลังจากนั้นไม่นาน จี่เฟิ่งหลี่ ก็ยืนขึ้นแล้วก็เดินออกไป หลังจากผ่านกระโจมไปมาหลายลัง ในที่สุดเขาก็มาถึงหน้าประตูกระโจมขนาดเล็กลังหนึ่ง เขายืนอยู่ตรงนั้นสักพักและไม่ได้เข้าไป มีคนแบกน้ำออกมาและเห็นจี่เฟิ่งหลี่ยืนอยู่เงียบ ๆ คนรับใช้ก็รีบคำนับและพูดขึ้น “บ่าวคารวะท่านเสนาเจ้าค่ะ” จากการที่ “เขาพูด” ก็เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวเป็นชาย


       จี่เฟิ่งหลี่ พยักหน้ารับทราบอย่างเย็นชา ก่อนจะถามขึ้น “นางอยู่ที่ไหน?”


“ คุณหนูอยู่ข้างในเจ้าค่ะ” คนรับใช้ลังเลสักครู่ ก่อนจะพูดขึ้นอีก“ท่านเสนา บ่าวไม่รู้ว่าคุณหนูไปเจออะไรมาเมื่อคืน แต่ตั้งแต่นางกลับมา นางก็ยังไม่หลับไม่นอนและเอาแต่ร้องไห้ ไม่ว่าบ่าวจะถามอะไร คุณหนูก็ไม่พูดเจ้าค่ะ “คนใช้รายงานขึ้นอย่างเงียบ ๆ


       จี่เฟิ่งหลี่พยักหน้าอย่างไม่แยแส แต่หมัดที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อของเขาสั่นเล็กน้อย เขาเข้าไปในกระโจมโดยไม่พูดอะไรอีก รูปร่างที่แต่งตัวด้วยเสื้อคลุมของผู้ชายสามารถมองเห็นได้ว่ากำลังนั่งอยู่ข้างๆ โต๊ะเล็ก ๆ ผมสีดำหมึกของนางนั้นยาวและหลวม มันตกลงมาด้านหลังของนาง ส่องแสงอยู่ภายในกระโจมที่มีแสงสลัวๆ


       จี่เฟิ่งหลี่หรี่ตาลง ความทรงจำของเขาเมื่อคืนที่ผ่านมา มันยุ่งเหยิงและปวดร้าว แต่เขาสามารถจำผมสีดำนี้ได้อย่างชัดเจน หัวใจของเขาสั่นเล็กน้อยและรู้สึกราวกับว่าขาของเขาทำมาจากเหล็ก มันหนักมากจนเขาไม่สามารถก้าวออกไปได้อีก


       เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา หญิงสาวก็หันกลับมา ภายใต้ผมสีดำนั้นเป็นใบหน้าที่ดูค่อนข้างซีดและเศร้าหมอง แม้ว่าสิ่งนี้จะไม่ได้ทำให้ความงามของนางหายไป นางมีหัวคิ้วโค้งยาว จมูกตั้งตรง และดวงตาที่ลึกล้ำ นี่คือผู้หญิงที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณที่กล้าหาญ เพียงแค่ในขณะนี้ ดวงตาที่ส่องสว่างของนางนั้นชุ่มไปด้วยน้ำตา ทำให้คนรู้สึกสงสารและเกิดความรู้สึกอยากจะอ่อนโยนต่อนาง


       นางถือเหล้าหนึ่งถ้วยอยู่ในมือของนาง เมื่อนางเห็นจี่เฟิ่งหลี่ ผิวของนางก็ซีดลงอีก นางเริ่มมีน้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและดื่มเหล้าลงไปทันที นางเอื้อมมือไปที่เหยือกเหล้า แล้วเทมันลงไปในถ้วยอีกครั้ง ในขณะที่นางกำลังจะเทเหล้าเข้าปาก เขาก็ยื่นมือออกมาหยิบถ้วยไปจากนาง เขามองนางด้วยตาที่หรี่ลงและถามขึ้น“ทำไมต้องดื่ม?”


       หญิงสาวมองกลับไปด้วยรอยยิ้มที่น่าเศร้าและตอบขึ้น“ ข้าอยากมึนเมาเพื่อที่ข้าจะได้ลืมสิ่งที่ข้าไม่ต้องการจดจำ”


       มือของจี่เฟิ่งหลี่สั่นเล็กน้อย และถ้วยเหล้าก็แตกจากมือที่จับเอาไว้แน่นของเขา ชิ้นส่วนที่แตกต่างก็ตกลงไปกับพื้นพร้อมกับเหล้า


“ เมื่อคืนนี้…มันเป็นเจ้าหรือ?” ในที่สุดเขาก็เอ่ยออกมา หลังจากสงบสติอารมณ์ลง


       หญิงสาวมองดูเขาด้วยสายตาที่ซับซ้อน ด้วยเสียงที่เบาลง นางก็พูดขึ้น“ ในตอนแรกข้าต้องการสร้างความประหลาดใจให้กับท่าน ข้าไม่คาดหวังว่า… .. ”


       น้ำตาไหลลงมาตามแก้มของนางอย่างช้าๆ


“ซื่อเอ้อร์….” จี่เฟิ่งหลี่ ลังเลอยู่นาน ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือออกไปและเช็ดน้ำตาของนาง จากนั้นเขาก็ดึงนางเข้าไปในอ้อมแขนของเขา แล้วลูบไหล่ของนางเบา ๆ “ทุกอย่างจะจบลงด้วยดี”


       เขายืนอยู่ที่นั่นพร้อมกับกอดนางไว้และรู้สึกถึงความหวังทั้งหมดของเขาที่หายไป ร่างกายทั้งหมดของเขารู้สึกหมดกำลังและรู้สึกเศร้า เต็มไปด้วยความสิ้นหวังที่เพิ่มขึ้นอยู่ภายใน มันขึ้นมาถึงหน้าอกของเขา มันเป็นความรู้สึกที่เย็นยะเยือกไปถึงกระดูก


       ราวกับว่านางจำบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้ รงซื่อก็รีบผลักจี่เฟิ่งหลี่ออกไปและพูดขึ้น“ ท่านเสนา ท่านไม่ต้องมาใส่ใจข้า ท่านควรกลับไป “


       รงซื่อหันกลับมาแล้วเดินไปที่เตียง หัวใจของนางปกคลุมไปด้วยความเศร้าอยู่ลึกๆ ในขณะที่นางนอนลงไป


       เมื่อคืน นางต้องการทำให้เขาประหลาดใจ แต่นางก็ไม่คิดว่าเมื่อนางไปถึงกระโจมของเขามันก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น นางได้ยินเสียงเหล่านั้นข้างใน นางปิดปากและซ่อนตัวอยู่นอกกระโจม หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางก็เห็นชายคนหนึ่งในชุดทหารเดินออกมา แม้ว่านางจะไม่เห็นหน้าเขา แต่นางก็ยังเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเสื้อผ้าที่ไม่เป็นระเบียบของเขา


       มันเหมือนเสียงคำรามของฟ้าร้องในวันที่ฟ้าสดใส นางเกือบจะเป็นลม นางไม่เคยคาดหวังว่าเขาซึ่งสูงส่งและสดใสเหมือนดวงจันทร์ จะอยู่ร่วมกับผู้ชายคนหนึ่งจริง ๆ


       ในขณะนั้น นางหวังว่านางจะไม่มาที่ค่ายทหารแห่งนี้ และไม่ได้เป็นพยานในฉากนั้น นางอยากจะลืมช่วงเวลานั้น แต่ไม่ว่านางจะอยู่กับเหล้ามากแค่ไหน นางก็ยังจำได้อย่างชัดเจน นางไม่สามารถหยุดจินตนาการถึงเขากับผู้ชายคนนั้นได้ มันเกือบจะทำให้นางเป็นบ้า


       นางรู้ว่าเขาไม่ได้มีความรู้สึกใด ๆ ต่อนาง แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ช่วยไม่ได้ที่จะชอบเขา นางมักจะรอเขาอยู่เสมอ แต่ตอนนี้ ความหวังทั้งหมดของนางก็กระจายไปในอากาศหลังจากผ่านไปเพียงคืนเดียว


       เขาชอบผู้ชาย เขาจะไม่ชอบนาง


       การค้นพบนี้ ทำให้นางสั่นสะเทือนอย่างแท้จริง ทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างมาก


       จี่เฟิ่งหลี่ ยืนอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน ก่อนที่จะค่อย ๆ เดินไปที่เตียง ด้วยเสียงที่ลดลง เขาจึงถามขึ้น“ ซื่อเอ้อร์ เจ้าจะเต็มใจไหม…. เต็มใจเป็นภรรยาของข้า เจ้าจะยกโทษให้ข้าได้หรือไม่”


       รงซื่อถึงกับพูดไม่ออก หลังจากนั้นไม่นาน นางก็มองไปที่จี่เฟิ่งหลี่  


       สิ่งนี้น่าตกใจยิ่งกว่าสิ่งที่นางเห็นเมื่อคืนนี้


       จี่เฟิ่งหลี่ เขาต้องการแต่งงานกับนางหรือ? นางไม่เคยปิดบังความรักที่มีต่อเขาและเขาก็รู้ดี แต่เขาก็ปฏิเสธนางอย่างแน่วแน่มาตลอด แล้วทำไม ทำไมจู่ๆ เขาถึงถามนางในเรื่องนี้?


       รงซื่อลุกขึ้นนั่ง แล้วมองไปที่จี่เฟิ่งหลี่พร้อมกับความสับสนเล็กน้อย เมื่อเห็นความเศร้าโศกที่อยู่ลึกๆ ในดวงตาของเขา ในที่สุดนางก็ตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง บางทีเขาอาจจะไม่ต้องการตกหลุมที่ลึกไปกว่านี้ ในเรื่องของความรักต้องห้ามนี้ที่จะไม่เกิดผลดีอะไร


“ ข้า …. ข้าทำได้หรือ” นางถามออกไปอย่างไม่เชื่อ


       จี่เฟิ่งลี่ยิ้มเล็กน้อย ดวงตาหงส์ของเขาอ่อนโยน ในขณะที่เขาถามออกไป“ ทำไม หรือว่าซื่อเอ้อร์ไม่เต็มใจ”


       ใบหน้าของรงซื่อกลายเป็นสีแดงก่ำ นางก้มหัวลงก่อนจะเช็ดน้ำตาออกไป จากนั้นนางก็ซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขาและตอบขึ้นเบา ๆ “ข้ายินดี”


       ในขณะที่กอดนาง จี่เฟิ่งหลี่ก็รู้สึกว่าหัวใจของเขากำลังตกอยู่ในเหวลึกที่เย็นชาและรกร้าง

 

 

 


ตอนที่ 107.1

 

เมื่อเวลาผ่านไป ลมก็ยิ่งแรงขึ้นเรื่อย ๆ ยืนมองหน้าผาที่สูงชันมองไปทางทิศใต้กับภาพของภูเขาที่สูงตระหง่านท่ามกลางสายลมที่โหมกระหน่ำ เมื่อหันไปในทิศทางตรงกันข้าม กลับเห็นภูมิทัศน์ทางตอนเหนือที่เป็นทุ่งกว้างใหญ่และยังคงมีท้องฟ้าที่สดใส


       ฮวาจูอวี้ยังคงอยู่ในชุดเกราะของนาง ในขณะที่ขี้ม้าของนางกลับไปที่ค่ายฝึก เมื่อนางมาถึงที่ทางเข้า นางก็ลงจากหลังม้าแล้วลูบหลังม้าของนางอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะยกม่านกระโจมขึ้นและเข้าไปข้างใน


       นางอยู่ในระหวางการฝึกทหารเมื่อนางถูกเรียกตัวกลับมา เมื่อสองวันก่อนหวังหยูได้ส่งถังยวีเพื่อให้นำกองกำลังจำนวน 50,000 นายไปยังเซียงหยูกวนเพื่อสกัดกั้นกองทัพของอาณาจักรเหนือ โดยทิ้งกองกำลังไว้เพียง 13,000 นาย เพื่อให้ฝึกซ้อมต่อไป ดังนั้นจึงเป็นธรรมชาติที่มันจะไม่ใช่แค่กองทัพฮูที่ฝึกซ้อมเท่านั้น นางยังได้ยินมาว่าจี่เฟิ่งหลี่ยังได้ฝึกซ้อมกองกำลังในสถานที่ลับอีกด้วย


       เมื่อออกจากสนามฝึกแล้ว เสื้อผ้าของนางนั้นก็ยังเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เป็นผลให้นางรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่ไหลเข้ามาด้านหลังพร้อมกับลมกระโชกแรง นางยกแขนของนางขึ้นเพื่อเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของนางและตามผู้ใต้บังคับบัญชาที่นำหน้านางเข้าไปในกระโจม


       ข้างในนั้นจี่เฟิ่งหลี่และหวังหยูกำลังรออยู่ก่อนแล้ว นอกเหนือจากหลานปิงและผู้บังคับการคนอื่น ๆ ยังมีหนานกง เจี๋ยอีกด้วย  


       จี่เฟิ่งหลี่นั่งอยู่ที่นั่นในขณะที่ศึกษาแผนที่ไป เมื่อเขาได้ยินผู้รายงานบอกว่าผู้บัญชาการเป่ามาถึงแล้ว มือที่จับแผนที่ก็สั่นเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นแต่อย่างไร


       เมื่อเห็นว่าฮวาจูอวี้เดินทางมาถึงแล้ว หวังหยูก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น“ผู้บัญชาการเป่า ลำบากเจ้าแล้วที่จะต้องฝึกทหารในทุกวันนี้”


ฮวาจูอวี้กวาดสายตาผ่านไปทางจี่เฟิ่งหลี่ ก่อนที่นางจะยิ้มแล้วตอบขึ้น“ ท่านแม่ทัพกล่าวเกินไปแล้ว”


“ในเมื่อทุกคนมาอยู่ที่นี่แล้ว ข้าก็จะขอเข้าเรื่องที่ข้าและท่านเสนาได้ตัดสินใจเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติ สำหรับการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึงและมันเป็นแผนที่ค่อนข้างเสี่ยง ในปัจจุบันอาณาจักรเหนือได้เป็นพันธมิตรกับเหลียงตะวันตก และพวกเราก็ได้รับการยืนยันว่า พวกเขามีความตั้งใจที่จะโจมตี เซียงหย่างกวน เราได้ต่อสู้กับกองทัพของอาณาจักรเหนือแล้วสองสามครั้ง ท่านเสนาบดีจึงมีความตั้งใจที่จะส่งกองกำลังพิเศษไป เพื่อแอบตามหลังกองทัพของอาณาจักรเหนือไปอย่างลับๆ เพื่อปิดกั้นเส้นทางการหลบหนีของพวกเขา และโจมตีพวกเขาจากแนวรุกทั้งสองแนว เราจะเอาชนะกองทัพอาณาจักรเหนือได้อย่างแน่นอน” หวังหยูประกาศด้วยน้ำเสียงที่ลึกของเขา


       ฮวาจูอวี้ ลดสายตาของนางลง นางคิดว่านี่ไม่ใช่แผนการที่ไม่ดี แม้ว่ามันจะเสี่ยงมาก หากสำเร็จ กองทัพของอาณาจักรใต้จะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน หากไม่สำเร็จทั้งกองกำลังพิเศษก็อาจจะถูกล้างออกไปโดยสิ้นเชิง เนื่องจากกองกำลังนี้จะรุกล้ำเข้าไปในชายแดนของทางเหนือและหากพวกเขาถูกศัตรูจับได้ พวกเขาจะไม่มีทางหนีรอดออกมาได้ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันยังไม่มีแผนการที่ดีกว่านี้


“ถ้าเราสามารถคิดแผนการนี้ได้ กองทัพของอาณาจักรเหนือก็ทำได้เช่นกัน พวกเขาจะต้องระวังตัวมากและเต็มไปด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างมาก เราจะประสบความสำเร็จได้อย่างไรจากการแอบตามหลังพวกเขาไป?” หนานกง เจี๋ยถามขึ้น


       ทุกคนหันไปหาจี่เฟิ่งหลี่


       จี่เฟิ่งหลี่ยืนขึ้นและให้สัญญาณแก่หลานปิงและหนานกง เจี๋ย เพื่อให้ยกแผนที่ขึ้น จากนั้นเขาก็เดินไปข้างหน้านิ้วของเขาขยับจากหย่างกวนไปยังภูเขาแห่งหนึ่ง แล้วก็ไปที่เหลียนหยุน จากนั้นก็ไปทางตะวันออกของทะเลทรายโกบี “ถ้าเราต้องการไปถึงด้านหลังของกองทัพของอาณาจักรเหนือโดยไม่ถูกตรวจจับได้ เราจะต้องข้ามภูเขาเหลียนหยุน นี่คือเส้นทางที่ใกล้ที่สุดและตรงที่สุด เพื่อที่จะเจาะทะลุชายแดนของอาณาจักรเหนือ แน่นอน การป้องกันบริเวณนี้จะเข้มงวดมากที่สุดและเราจะถูกค้นพบได้ง่าย ดังนั้นเราจะสามารถใช้เส้นทางของตะวันออกของภูเขาได้เท่านั้น จากเหลียนหยุนข้ามทะเลทรายทางตะวันออกเยียน จากนั้นก็เลี้ยวกลับมา แล้วมุ่งหน้ากลับไปยังอาณาจักรเหนือ”


       ทันทีที่เขาพูดจบ ทุกคนต่างก็เกิดความโกลาหล


“ ท่านเสนา ถ้าเราข้ามไปทางตะวันออกเยียน ข้ากลัวว่ามันจะยากขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะอย่างไร เราก็ไม่คุ้นเคยกับเส้นทางของตะวันออกเยียนยิ่งกว่านั้น นั่นคือทะเลทรายโกบี เราจะไม่มีสิทธิ์เข้าถึงเสบียงได้เลย หากเราต้องข้ามมันไปจริงๆ นอกจากนี้ เราต้องระวังการถูกพบโดยตะวันออกเยียนและอาณาจักรเหนือ” ผู้บัญชาการคนอื่นพูดขึ้น


       จี่เฟิ่งหลี่ลดตาลง “ดังนั้นเราจึงต้องฝึกทหารอย่างรอบคอบ กองกำลังที่จะส่งไป ไม่สามารถมีขนาดใหญ่เกินไป มิฉะนั้นพวกเขาจะถูกตรวจพบได้ง่าย”


“ จากที่กล่าวมา ข้ารู้สึกว่าผู้บัญชาการเป่าจะเป็นผู้สมัครที่เหมาะสมที่สุด กองทัพฮูได้ฝึกการต่อสู้ เพื่อให้ผู้คนที่มีจำนวนน้อยสามารถใช้การโจมตีและการป้องกันสูงสุดได้อย่างดี “หวังหยูพูดขึ้น


“ ไม่อย่างแน่นอน” จู่ๆ จี่เฟิ่งหลี่ก็เงยหน้าขึ้น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความซับซ้อน


       ทั้งกระโจมเต็มไปด้วยความเงียบงัน หวังหยูกวาดสายตาของเขาไปยังผู้บังคับบัญชาคืนอื่นๆ และขมวดคิ้ว “ถ้าเราส่งกองทัพอื่นไป เราอาจต้องระดมกำลังทหารเพิ่มขึ้น และถ้าเราส่งผู้บังคับการคนอื่นไป ข้ากลัวว่าการฝึกซ้อมจะไม่ถูกใช้อย่างเต็มกำลัง”


       ฮวาจูอวี้ได้ฝึกทหารของนางในหลานวันที่ผ่านมา เพื่อให้การพัฒนาเป็นไปอย่างสมบูรณ์ ตำแหน่งของนางมีความสำคัญมาก หากมีคนอื่นมาแทนที่นาง มันเป็นความจริงที่ว่าการฝึกซ้อมที่ทำมาอาจไม่ดำเนินการไปด้วยดีเท่าที่ควร ความโกลาหลจะตามมาและผลลัพธ์คงจะเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดการณ์ได้


       “ ท่านเสนา โปรดพิจารณาอีกครั้ง ผู้บัญชาการเป่ามีความเข้าใจลึกซึ้งและกล้าหาญ เขาเป็นผู้สมัครที่เหมาะสมที่สุดสำหรับงานนี้” หวังหยูกล่าวขึ้นในขณะที่เขายกมือขึ้น


       หัวคิ้วของจี่เฟิ่งหลี่ขมวดเป็นปมขึ้นทันที หวังหยูพูดถูก หากพวกเขาต้องการผู้สมัครที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีใครที่จะดีไปกว่าเขาอีกแล้ว แต่ภารกิจนี้ไม่ต้องสงสัยเลยมันจะมีอันตรายแค่ไหน


       “ โปรดพิจารณาอีกครั้งท่านเสนา” ผู้บัญชาการคนอื่นๆ ต่างก็พูดพร้อมเพรียงกันขึ้น


       ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฮวาจูอวี้ รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก สถานการณ์แบบนี้มันคืออะไรกัน ทำไมนางถึงรู้สึกเหมือนกับว่าจี่เฟิ่งหลี่ กำลังปกป้องนางอยู่? เขาคิดว่านางต้องการความคุ้มครองจากเขาหรือ?


       ในเวลานี้ จี่เฟิ่งหลี่ยืนอยู่ที่นั่น ในขณะที่หันหลังให้กับผู้คน ร่างของเขาเยือกเย็นและเต็มไปด้วยความไม่แยแส


“ ผู้บังคับบัญชาเป่า เจ้าคิดว่าอย่างไร?” แล้วจี่เฟิ่งหลี่ก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นทางการ


       ฮวาจูอวี้ ประสานมือของนางแล้วยกมันขึ้น ขณะที่นางก้าวไปข้างหน้า “ ข้า ผู้บัญชาการเป่า เต็มใจที่จะเป็นผู้นำกองทัพขอรับ”


       นางพูดด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ จากความสามารถของนาง นางมั่นใจว่านางสามารถทำงานนี้ได้สำเร็จ ยิ่งกว่านั้น นางไม่ต้องการให้เขาปกป้องนาง


       จี่เฟิ่งหลี่ไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็หันหลังกลับมา ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาเย็นชาและดวงตาที่แหลมคมของเขาจ้องตรงมาที่นาง


       นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เผชิญหน้ากับเขา ในระยะใกล้เช่นนี้ ตั้งแต่คืนนั้น นางพยายามระงับอารมณ์ที่กำลังเดือดอยู่ภายในตัวนางเอาไว้ ดวงตาของนางสงบและเย็นชา ในขณะที่นางมองสายตาที่เย็นชาของเขาอย่างไม่สนใจ


“ ถ้าเป็นเช่นนั้น ทุกอย่างก็จะถูกตัดสินแล้ว” เขากล่าวขึ้นอย่างช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงหนักๆ


       หลังจากนั้น ผู้บังคับการยังคงหารือเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติต่อไป ก่อนจะแยกย้ายกันออกไป


       จี่เฟิ่งหลี่ออกจากกระโจมไป ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง เมื่อเห็นเขา ทหารต่างก็หวาดกลัวและวิตกกังวล หวาดกลัวที่จะก้าวไปข้างหน้าและทักทายเขา


       เขามุ่งตรงไปที่กระโจมของเขาและยกม่านขึ้น ก่อนจะเข้า


       หรงซื่อ ก้มๆ เงยๆ อยู่ที่โต๊ะทำงานเพื่อทำความสะอาด เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า นางก็เงยหน้าขึ้นมาและเห็นสีหน้าท่าทางเย็นชาของเขา นางก็ตกใจเล็กน้อย ก่อนจะพยายามยิ้มออกมา


“ ท่านเสนา เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าค่ะ? กองทัพของอาณาจักรเหนือโจมตีอีกครั้งหรือเจ้าค่ะ? ” หรงซื่อถามอย่างเป็นห่วง


       จี่เฟิ่งหลี่สงบลง ก่อนที่จะมองนางและตอบขึ้น“ ไม่”


       หลังจากนั้นสักครู่ เขาก็พูดต่อขึ้น “ การต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นอันตรายมาก เจ้าควรออกไปจากที่นี่ ข้าจะให้ทหารคุ้มกันเจ้ากลับไป”


       หรงซื่อวางสิ่งของในมือนางลง แล้วส่ายหัว “ ข้าจะไม่กลับไป ไม่ว่าท่านจะไปที่ไหน ข้าก็จะขอติดตามไปด้วย! ข้าอยากจะอยู่เคียงข้างท่าน ทั้งในชีวิตนี้และหลังความตาย!”


“ไม่ได้!” จี่เฟิ่งหลี่พูดอย่างเยือกเย็น ในขณะที่เขาเดินไปที่โต๊ะของเขาอย่างรวดเร็วและนั่งลง


“ ท่านเสนา ได้โปรดให้ข้าอยู่ที่นี่! ข้าไม่ต้องการไปจากท่าน!” หรงซื่อเดินไปที่ด้านข้างของเขาและขอร้องขึ้น


“ศิลปะการต่อสู้ของเจ้าไม่ได้ดีแต่อย่างใด และข้าก็ไม่มีเวลามาดูแลเจ้าสถานที่แห่งนี้จะนองไปด้วยเลือดในไม่ช้า เจ้าควรกลับไปที่ซีเจียงเยี่ยโดยเร็ว ในอนาคตเจ้าจะไม่ต้องแต่งตัวเหมือนหรงเหลาอีกต่อไป จงกลับไปที่ซีเจียงเยี่ย โดยเร็วที่สุด”


“ ได้ ข้าจะไป ข้าจะกลับไปที่ซีเจียงเยี่ยและรอท่าน รอการกลับมาของท่าน…” หรงซื่อ พูดขณะที่นางเดินเข้าไปในอ้อมกอดของเขา


“ ท่านเสนา ท่านจะต้องดูแลตัวเองให้ดี” หรงซื่อ ยกศีรษะนางขึ้นในขณะที่พูด


       มีโฉมงานอยู่ในอ้อมแขนของเขา แต่จี่เฟิ่งหลี่กลับแข็งทื่อ มือของเขายื่นออกไปเพื่อผลักนางออก แต่เขาก็ห้ามตัวเองเอาไว้ เขาวางมือไปบนไหล่ของนางแล้วพูดขึ้นแทน “ เอาล่ะ รีบไปเก็บของได้แล้ว”


       หรงซื่อพยักหน้าและออกจากกระโจมไปทันที


       จี่เฟิ่งหลี่จ้องมองไปที่โต๊ะตรงหน้าเขาและสายตาของเขาก็ลดลงไปที่ กระดานหมากรุกที่ยังเล่นไม่จบ มันได้ถูกหรงซื่อจัดเป็นระเบียบอย่างสมบูรณ์ การแข่งขันที่ยังไม่เสร็จสิ้นและมันจะไม่มีวันได้เสร็จสิ้นตลอดกาล เขากลัวว่าจะไม่มีโอกาสใด ๆ ที่จะจบการแข่งขันนี้อีกในชีวิตนี้ของเขา

 

 

 


ตอนที่ 107.2

 

 ยามค่ำคืน


       ดวงจันทร์เลือนราง แต่ก็มีดาวเพียงไม่กี่ดวงที่จะอยู่เป็นเพื่อนมัน


       ท่ามกลางเสียงของสายลมที่คำราม ฮวาจูอวี้ นำทหารของนางด้วยทหารจำนวน 3,000 นาย เดินทางไปยังทางตะวันออกของภูเขาเหลียนหยุน ในคำคืนที่เงียบสงบ เทือกเขายังเป็นเหมือนสัตว์ป่าที่สามารถจะตื่นขึ้นมาได้ทุกเวลาและกลืนกินพวกเขา ถนนบนภูเขาขรุขระนั้นเต็มไปด้วยอันตราย การเดินผิดครั้งเดียว พวกเขาจะตกลงไปสู่หน้าผาและพบเจอกับความตาย


       ในเช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาผ่านภูเขาเหลียนหยุนและกำลังจะเข้าสู่ดินแดนของตะวันออกเยียน


       ข้างหน้าเป็นทะเลทรายที่กว้างใหญ่ มันเป็นช่วงกลางเดือนตุลาคมและลมแรงและรุนแรงมาก ในขณะที่หิมะยังคงตกลงมา สภาพอากาศที่เลวร้ายทำให้ถนนกลายเป็นความเลวร้ายที่สุด หลังจากเดินทางไปในหิมะมาได้ระยะหนึ่ง พวกเขาก็เห็นฝูงเนื้อทรายฝูงหนึ่งเข้า


       ทหารระเบิดขึ้นด้วยความดีใจและเอื้อมมือไปหยิบคันธนูและลูกธนูขึ้นทันที


       หลังจากการล่าสัตว์ พวกเขาก็เดินทางต่อไป เมื่อพระอาทิตย์เริ่มตกพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะหยุดพัก แล้วจุดไฟย่างเนื้อทรายที่พวกเขาจับได้เมื่อเช้านี้ เรื่องนี้ทำให้หัวคิ้วของฮวาจูอวี้ขมวดขึ้น นางสั่งให้ทหารดับไฟอย่างรวดเร็ว พวกเขาอาจจะอยู่ห่างจากเมืองทางตะวันออกที่ใกล้ที่สุดอย่างน้อยก็ร้อยลี้ แต่พวกเขายังคงต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด


       นางพูดอย่างใจเย็นขึ้น“นี่คือกลางทะเลทราย ไฟจะดึงดูดความสนใจได้อย่างแน่นอน ครั้งนี้เราไม่สามารถพึ่งโชคได้ เราต้องระมัดระวังและรอบคอบในทุกย่างก้าวที่เราทำ”


       ทหารรีบดับไฟอย่างรวดเร็ว เขาถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้น“แล้วเราจะกินเนื้อนี้ได้อย่างไร มันน่าเสียดายที่จะทิ้งมันไป”


       เนื้อสัตว์หายากและพวกเขาก็จัดการล่ามันมากับมือ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถอิ่มเอมกับมันได้


“ กินมันดิบ ๆ !” ฮวาจูอวี้กล่าวอย่างเย็นชาขึ้น ผู้ชายเหล่านี้ล้วนมาจากเมืองหลวง แน่นอนว่าพวกเขาไม่เคยกินเนื้อดิบมาก่อน ถ้าเป็นกองทัพฮวาของนาง นางคงจะไม่ต้องกังวลกับสิ่งเหล่านี้


“ กินมันดิบๆ หรือ?” ทหารพูดซ้ำขึ้น “ เนื้อนี้สามารถกินดิบๆ ได้ด้วยหรือ?”


       ฮวาจูอวี้ ลุกขึ้นแล้วดึงมีดที่เอวออกมา ก่อนจะส่งสัญญาณให้เขาก้าวถอยหลังไป ในเวลาพลบค่ำที่มืดมิด มือของนางนั้นขยับอย่างรวดเร็วและมีดก็ส่งประกายเย็น ๆ ออกมา


       ทุกคนดูเมื่อเนื้อถูกหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ในสถานที่ที่หนาวเย็นเช่นนี้ ทันทีที่ชิ้นเนื้อถูกตัดออกมา มันจะแข็งตัวทันที ทหารหยิบชิ้นหนึ่งขึ้นมาแล้ววางมันไว้ในปากของเขา หลังจากเคี้ยวเสร็จแล้ว เขาก็รู้สึกว่ารสชาติมันไม่เลวนัก ทหารที่เหลือก็ลองทำเช่นเดียวกัน จากนั้นพวกเขาก็เริ่มเตรียมเนื้อสัตว์ตามแบบที่ฮวาจูอวี้แสดงให้เห็น


       หลังจากทานอาหารเสร็จพวกเขาก็เดินทางต่อ ฮวาจูอวี้ได้รับจดหมายจากนกพิราบบอกนางว่าเสี่ยวหยินกำลังนำทัพของเขามาโจมตีเมืองหยางกวน ข่าวนี้ทำให้พวกเขารีบเดินทางต่อไปทางเหนือทันที แต่เมื่อพวกเขากำลังจะออกจากชายแดนตะวันออกเยียน พวกเขาก็ได้พบกับกลุ่มของทหารม้า


       ฮวาจูอวี้รีบสั่งให้ทุกคนเตรียมพร้อม เพราะกลัวว่าจะเป็นกลุ่มซุ่มโจมตีที่ถูกส่งมาจากอาณาจักรเหนือ


       ครู่ต่อมา กลุ่มของทหารม้าก็มาหยุดอยู่ต่อหน้าพวกเขา ผู้นำกลุ่มคือชายในชุดคลุมสีแดงที่งดงาม เสื้อคลุมของเขากระพืออยู่ในสายลม ในขณะที่ลวดลายสีเหลืองที่ปักเอาไว้บนนั้นส่องประกายอยู่ภายใต้เปลวไฟของคบเพลิง


       นอกจากโตนเฉียนจินรุ่ยหวางของตะวันออกเยียนแล้วจะยังเป็นใครไปได้อีก  


       โตนเฉียนจิน ขี้ม้าของเขาและกวาดสายตามาทางพวกเขา เขายิ้มด้วยรอยยิ้มอันชั่วร้าย ก่อนจะถามขึ้น“ที่นี่ใครคือผู้นำ?”


       ฮวาจูอวี้สงบตัวเองลง นางไม่ได้คาดหวังว่าไฟขนาดเล็กจะเพียงพอที่จะเรียกความสนใจของโตนเฉียนจินได้ ความระมัดระวังของตะวันออกเยียนนั้นสูงมาก


       ในบรรดา 4 อาณาจักร ตะวันออกเยียนสนับสนุนสันติภาพมากที่สุดและมีความสัมพันธ์ฉันมิตรกับส่วนที่เหลือทั้ง 3 นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงกล้าเสี่ยงเข้ามาในอาณาเขตของตะวันออกเยียน อย่างไรก็ตาม พวกเขายังอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลม โตนเฉียนจินเคยเสนอพันธมิตรการแต่งงานกับอาณาจักรเหนือ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้ไปกับเสี่ยวหยินที่อาณาจักรใต้เพื่อค้นหาอิงซู่เซี่ย ฮวาจูอวี้รู้ว่าเขาไม่ใช่คนเรียบง่ายอย่างที่เห็น


       หากเขาอยู่ใกล้กับอาณาจักรเหนือ เขาจะต้องเอนเอียงไปทางเสี่ยวหยินอย่างแน่นอน นางกระตุกม้าแล้วขี่ไปข้างหน้า นางมักจะรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยทุกครั้งที่เจอโตนเฉียนจิน  ไม่ว่าในกรณีใดๆ นางก็เป็นเจ้าสาวที่หลบหนีของเขา แต่โชคดีที่เขาไม่เคยเห็นหน้านางมาก่อน


“ เจ้า?” โตนเฉียนจินมองดูฮวาจูอวี้ ด้วยความประหลาดใจ


“เจ้า…” เขาชี้ไปที่ฮวาจูอวี้ แล้วพูดขึ้น“ เจ้าไม่ได้เป็นขันทีส่วนตัวของ หวงฝู่ อู๋ ซวงหรอกหรือ เจ้ามาที่นี่เพื่อต่อสู้ในสงครามอย่างนั้นหรือ?”


       ฮวาจูอวี้ลดสายตาของนางลงและตอบอย่างเย็นชาขึ้น“เป็นขันทีแล้วอย่างไร? ในฐานะพลเมืองของอาณาจักรใต้ ข้าก็ยังยึดมั่นในความรับผิดชอบในการเป็นทหารและปราบปรามศัตรู ข้าขอให้รุ่ยหวาง เปิดทางให้เราด้วย”


“ช่างมีความคิดที่ยิ่งใหญ่เสียจริง!”โตนเฉียนจิน กล่าวในขณะที่มือยื่นเข้าไปในกระเป๋าด้านข้าง เขาหยิบเหรียญสองสามเหรียญออกมาแล้วโยนพวกมันขึ้นไปในอากาศโดยไม่ตั้งใจ


“แล้วถ้าองค์ชายผู้นี้ไม่เต็มใจเล่า?” เขาหรี่ดวงตาดอกท้อของเขาลงและยิ้มขึ้นอย่างสบาย ๆ ให้กับฮวาจูอวี้


       ฮวาจูอวี้จับหอกของนางแน่น ก่อนจะตอบขึ้นอย่างเร่งรีบ“เช่นนั้นก็อย่าโทษข้าที่ไม่สุภาพ” พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขาจะต้องผ่านไปและสกัดกั้นเส้นทางของเสี่ยวหยินเอาไว้ให้ได้อย่างรวดเร็ว


“ได้ ถ้าเจ้าสามารถผ่านคนของข้าไปได้ ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป” ทันทีที่เขาพูดจบ เหรียญในมือของเขาก็พุ่งไปที่ฮวาจูอวี้


       ฮวาจูอวี้ยกหอกของนางขึ้นเพื่อสกัดเอาไว้ แต่เหรียญที่หมุนมานั้นเต็มไปด้วยพลัง จนนางสูญเสียการจับที่หอกของนางไป


       นางตะโกนออกมาและใช้กำลังภายในเข้าในไปหอกของนาง ด้วยเสียงที่กึกก้อง นางสกัดเหรียญออกไปได้ แต่อาวุธที่ดูไม่เป็นอันตรายเหล่านี้ก็ค่อนข้างยากที่จะจัดการด้วยจริงๆ


       โตนเฉียนจิน เอื้อมมือออกไปและรับเหรียญมาพร้อมกับตรวจสอบด้วยความไม่พอใจ ฮวาจูอวี้ ไม่ได้คาดหวังว่าเหรียญเหล่านี้จะทำด้วยทองคำแท้ การปะทะที่แข็งแกร่งเช่นนี้ทำให้เกิดรอยขูดขนาดเล็กขึ้น


       นางรีบใช้ประโยชน์จากเวลาเหล่านั้น ฮวาจูอวี้ได้ส่งสัญญาณให้กองทัพของนางเข้าสู่ขบวน ภายใต้การแนะนำของนาง พวกเขาจึงรีบพุ่งตรงเข้าไป


       โตนเฉียนจิน ยกมือขึ้นและแสงสีทอง 3 แสงได้พุ่งทะลุผ่านอากาศขึ้นไป แล้วทหารสามนายก็ร่วงลงจากหลังม้าทันที แต่สิ่งนี้ก็ไร้ประโยชน์เมื่อทหารจากด้านหลังรีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อเติมเต็มตำแหน่งที่ว่างเปล่า


       ในการตั้งขบวนเช่นนี้ ทำให้พวกเขาวิ่งผ่านเข้าไปเหมือนพายุเฮอริเคน มุ่งตรงไปทางเหนือด้วยความเร็ว


“ฝ่าบาท พวกเราควรไล่ตามไปหรือไม่ขอรับ” ทหารที่ยืนถัดจากโตนเฉียนจิน ถามขึ้น


“ไม่จำเป็น ถ้าพวกเขาต้องการที่จะต่อสู้ เช่นนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาได้ต่อสู้!” โตนเฉียนจิน พูดขึ้นง่ายๆ ในขณะที่เขาเล่นกับเหรียญในมือของเขา


       เขาไม่เคยมีความตั้งใจที่จะหยุดพวกเขา เขาแค่ต้องการทดสอบความแข็งแกร่งของอาณาจักรใต้ โดยไม่คาดคิด เขาประเมินพวกเขาต่ำเกินไป


       เขาคงต้องมองขันทีตัวน้อยคนนั้นในมุมมองที่ต่างออกไป เขาโบกมือขึ้นแล้วทหารก็เข้ามาใกล้และกระซิบขึ้น“รีบไปตรวจสอบการเชื่อมต่อระหว่างเสี่ยวหยินกับขันทีน้อยผู้นั้นให้เร็วที่สุด”


“พ่ะย่ะค่ะ!” ถึงแม้ว่าทหารจะไม่รู้ว่าทำไมองค์ชายของพวกเขาถึงได้สนใจเรื่องของขันทีตัวเล็กๆ คนนั้น แต่เขาก็ยังคงทำตามคำสั่ง


       ฮวาจูอวี้ เป็นผู้นำกองกำลังทหารไปทางเหนือ ในเวลากลางคืน พวกเขาหาที่พักในภูเขาและพักแรมที่นั้น การคำนวณระยะทางของพวกเขา พวกเขาควรจะไปถึงในเช้าวันรุ่งขึ้น


       ในคืนที่เงียบสงบ เสียงของม้ากำลังดังเข้ามาใกล้ หรือว่าโตนเฉียนจิน ไล่ล่าพวกเขา ฮวาจูอวี้ สงสัยและใจจดใจจ่ออยู่กับมัน ทหารที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกรีบรายงานขึ้นทันที“ ผู้บัญชาการเป่า มีทหารของอาณาจักรเหนืออยู่ข้างหน้าขอรับ!”


       ทุกคนต่างก็เต็มไปด้วยความระมัดระวัง ไม่นานหลังจากได้ยินเสียงม้าพวกเขาก็พร้อมที่จะเข้าโจมตีอย่างรวดเร็ว


       ฮวาจูอวี้มองไปข้างหน้าผ่านดวงตาที่หรี่แคบ ภายใต้แสงจันทร์ กลุ่มของทหารม้ากำลังตรงเข้ามาใกล้ คาดเดาด้วยเสียงควบม้า มันน่าจะเป็นกลุ่มของทหารประมาณหนึ่งพันคน


       กลุ่มทหารเหล่านี้กำลังมาพร้อมกับรถม้า


       พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ราวกับอยากกลับไปยังอาณาจักรเหนือให้เร็วที่สุด


       ฮวาจูอวี้เริ่มสงสัย เหวินว่านจะอยู่ในรถม้านี้หรือไม่? เสี่ยวหยินส่งนางออกไปเพราะสงครามที่ใกล้เข้ามาหรือไม่?


       เมื่อระยะทางใกล้เข้ามามากขึ้น อีกฝ่ายก็พบการปรากฏตัวของพวกเขาและล้อมรอบรถม้าเอาไว้เพื่อป้องกันในทันที


“ใครอยู่ที่นั่น” เสียงสะท้อนดังขึ้น


“มีคำสั่งด้วย! เราถูกค้นพบแล้ว!” ผิง เหลาต้าผู้ที่หลบซ่อนตัวอยู่ในกองทัพฮู ดูเหมือนจะจำความลังเลของนางได้และกระซิบที่ข้างหูของนางขึ้น


       ฮวาจูอวี้ลดสายตาของนางลงและเป่านกหวีด ทหารจึงรีบขี่ม้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว


       “มันคือกองทัพของทางใต้!” ทหารของอาณาจักรเหนือตะโกนขึ้น


       ทันทีที่คำพูดหลุดออกมา คนเป่าแตรของกองทัพเหนือก็เป่าแตรของเขาขึ้นทันที ภายใต้แสงจันทร์ ฮวาจูอวี้ สังเกตเห็นสิ่งนี้ แต่ไม่มีเวลาที่จะไปหาธนูและลูกธนูมาได้ทัน นางพุ่งหอกในมือของนางออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันพุ่งออกไปด้วยแสงที่เยือกเย็กและพุ่งไปที่อกของคนเป่าแตรทันที


       สถานที่แห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากค่ายทหารของกองทัพเหนือมากนัก หากเสียงแตรดังขึ้น พวกเขาจะได้ยินมันทันที


“เร็วเข้า รีบจัดการกับทหารเหนือโดยเร็วที่สุด ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้หลบหนีไปได้!” อวาจูอวี้สั่งขึ้นอย่างเย็นชา


       นี่เป็นการต่อสู้ที่รวดเร็วและน่าเศร้าที่สุดที่ฮวาจูอวี้ เคยเข้าร่วม มันใช้เวลาน้อยกว่าครึ่งชั่วยามและผู้ชายหลายพันคนก็ถูกสังหารโดยพวกเขา


       กลิ่นของเลือดที่ล้นไปทั่วอากาศ


       เมื่อมองผ่านสนามรบที่โหดเหี้ยม ฮวาจูอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะมองหากระเป๋าเหล้าที่ห้อยลงมาจากคอม้าของนางแล้วดื่มมัน รสชาติที่รุนแรงของเหล้าไหลลงมาที่คอของนาง บางทีนางอาจจะดื่มเร็วเกินไปหรือบางทีอาจเป็นเพราะกลิ่นเลือดที่ท่วมท้นหรืออาจจะมีส่วนผสมของทั้งสองอย่าง ที่ทำให้นางรู้สึกมึนเมา


       ผิง เหลาต้า ถอนหายใจและตบไหล่ของนางขึ้นเบา ๆ


“ ผู้บัญชาการเป่า เราควรทำอย่างไรกับแม่นางเหวินว่านขอรับ” ทหารเข้าหาและถามขึ้น


       ฮวาจูอวี้นั่งอยู่บนหลังม้าของนาง ทำให้ดวงตาของนางแคบลง ในขณะที่ทหารเข้าหาและพาผู้หญิงคนหนึ่งมาด้วย คนที่อยู่ในรถม้านั้นคือเหวินว่านจริงๆ ทุกคนรู้ว่าเหวินว่านมาจากอาณาจักรใต้ อย่างไรก็ตาม ทุกคนเห็นนางเล่นพินอยู่นอกกำแพงประตูเมืองเพื่อเสี่ยวหยิน และทุกคนก็เข้าใจว่านางเข้าข้างอาณาจักรเหนือแล้ว


       ฮวาจูอวี้มองไปที่เหวินว่าน ผมของนางตั้งขึ้นสูงราวกับก้อนเมฆพร้อมปักปิ่นหยก คิ้วของนางดกดำและดวงตาก็สดใสเหมือนน้ำ แม้แต่ในสนามรบเหวินว่านก็ยังคงงดงาม สงบเสงี่ยมอยู่เสมอและสง่างามเหมือนชื่อของนาง


       นางยืนตัวตรงและตั้งสูง นางเบิกตากว้างจ้องมองมาที่ฮวาจูอวี้


“ มัดนางและพานางออกไป” ฮวาจูอวี้ตอบขึ้นในขณะที่พบกับการจ้องมองที่วางท่าของเหวินว่าน


“สารเวล!” เหวินว่านพูดขึ้น


“ ปิดปากของนาง!” ฮวาจูอวี้ดึงสายบังเหียนและสั่งขึ้นอย่างเย็นชา โดยไม่เหลียวมองมาที่เหวินว่านอีกครั้ง แล้วนางก็กระตุ้นม้าของนางจากไป


       ทหารถูกทิ้งให้สับสนเกี่ยวกับการทำให้เหวินว่านเงียบ


       เมื่อคิดว่าการสกัดจุดของนางนั้นง่ายเกินไปสำหรับนาง ทหารจึงฉีกเสื้อคลุมของเขาที่เปื้อนเลือดออกมาและยัดเข้าไปในปากของนาง กลิ่นเลือดปะปนกับเหงื่อท่วมอยู่ในปากของนางแล้วก็พุ่งไปที่หัวของนาง จนทำให้นางโกรธจนเป็นลม


       เมื่อถึงรุ่งเช้า ฮวาจูอวี้ก็ได้นำกองทัพของนางรอบอยู่ด้านหลังของกองทัพเหนือ จากระยะไกลๆ พวกเขาสามารถได้ยินเสียงกลองดังกึกก้องและความโกลาหลของการต่อสู้


       ฮวาจูอวี้ พากองทัพของนางไปจุดไฟเผาค่ายของกองทัพเหนือ วันนี้ลมเหนือนั้นดุเดือดและไฟก็ลุกลามอย่างรุนแรง ทำให้ค่ายทหารเต็มไปด้วยเพลิงที่ลุกลามขึ้น


       หลังจากจุดไฟแล้ว ฮวาจูอวี้ก็ได้นำกองทัพของนางออกไปเพื่อทำการโจมตี ทหารทุกคนตั้งขบวนและโจมตีกองทัพเหนือจากด้านหลัง ราวกับความตาย ราวกับลูกธนู พวกเขาทำการโจมตีผ่านใจกลางกองทัพเหนือทันที


       ในสนามรบความโกลาหลและความตายไม่สามารถบรรยายได้


       ควันที่พุ่งขึ้นอย่างฉับพลันจากด้านหลัง ดึงดูดความสนใจของเสี่ยวหยินได้ทันที เมื่อได้ยินเสียงแตรดังขึ้น เขาก็รู้ว่ามีการจู่โจมที่ไม่คาดคิดมาจากด้านหลังทันที


       เมื่อมองผ่านความโกลาหล เขาก็เห็นใครบางคนในชุดเกราะสีเงินเป็นผู้นำในการโจมตีครั้งนี้ บุคคลผู้นั้นถือหอกอยู่ในมือของเขาและไม่ว่ามันจะผ่านไปทางไหนต่างก็มีทหารเหนือล้มตัวลงกันทั่วหน้า


       เสี่ยวหยินสั่งการอย่างเย็นชาขึ้นทันที“ หยุดพวกเขา!” ในเวลานี้ กองทัพใต้ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ต่อสู้เพื่อป้องกันเท่านั้นก็เริ่มการโจมตีที่น่ารังเกียจขึ้น


       การต่อสู้ดำเนินต่อไป


       ลมกระโชก กลองดังสนั่น เสียงแตรที่อึกทึก เสียงกรีดร้องแห่งความเจ็บปวด ……


       เสียงของความโศกนาฏกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นมาจากสนามรบ


       หลังจากเวลาผ่านไป ขวัญกำลังใจของกองทัพเหนือก็ลดน้อยลง เมื่อถูกกระหน่ำด้วยการโจมตีจากสองแนวหน้า ทำให้พวกเขาเสียเปรียบอย่างมาก เสี่ยวหยินตระหนักดีว่าหากการต่อสู้นี้ยังดำเนินต่อไปในลักษณะนี้ กองทัพของเขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ไฟขนาดใหญ่เช่นนี้จะต้องทำลายเสบียงของกองทัพ แต่เขาไม่ยอมปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ จบลงเช่นนี้! ดูเหมือนว่าเขาจะต้องหันไปใช้ไพ่ใบสุดท้ายของเขา


       เขาจะไม่ใช้ประโยชน์จากไพ่ใบนี้ เพราะมันไม่ใช่การกระทำที่มีเกียรติ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น เขายินดีที่จะละทิ้งทุกสิ่งเพื่อความชนะ


       เขาส่งสัญญาณให้ผู้ถือธง เพื่อให้โบกธงและคนเป่าแตรเพื่อให้เป่าแตรต่อจากนั้นรถม้าก็ถูกนำเข้ามา


       รถม้าคันนี้คล้ายกับที่เหวินว่านนั่ง แต่คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ใช่เหวินว่านแต่เป็นผู้หญิงอีกคน


       ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ดูดีอย่างเหวินว่าน นางถูกมัด เสื้อผ้าของนางเปื้อนไปด้วยเลือดราวกับดอกไม้บาน ผมของนางยุ่งเหยิง มีบางเส้นตกลงมาจากไหล่ของนาง ผิวของนางซีดและดวงตาของนางเต็มไปด้วยความกลัว


       เสี่ยวหยินใช้กำลังภายใน ยกน้ำเสียงของเขาขึ้น ทำให้กองกำลังนับหมื่นในสนามรบได้ยิน “เสนาจี่ ข้าได้ยินมาว่าผู้หญิงคนนี้คือเจ้าสาวในอนาคตของเจ้า นางเป็นแขกรับเชิญของข้าเมื่อคืนนี้ ข้าสงสัยว่าชีวิตของนางมีความสำคัญพอที่เสนาจี่ จะเปิดประตูเมืองให้กองทัพของเราหรือไม่”


       สิ่งนี้ทำให้เกิดคลื่นข้ามสนามรบไป


       กองทัพใต้หยุดการโจมตีลงและจี่เฟิ่งหลี่ก็ขี่ม้าไปที่ด้านหน้าของกองทัพ ถังโจวอยู่ทางซ้าย ในขณะที่หนานกง เจี๋ย อยู่ทางขวามือ ผู้บังคับการที่เหลืออยู่ข้างหลังพวกเขา


        เขาดึงสายบังเหียนของม้าของเขาและมองไปที่เสี่ยวหยินอย่างเย็นชา ผมสีดำเข้มของเขาพริ่วไหวในสายลม ในขณะที่สายตาของเขามองไปที่ผู้หญิงในรถม้า ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยความโกรธ แต่เขากลับยิ้มแล้วถามขึ้น“ ฮ่องเต้แห่งอาณาจักรเหนือผู้ยิ่งใหญ่ ปรารถนาที่จะชนะด้วยวิธีนี้หรือ?”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม