The Second Coming of Gluttony 269-276

 บทที่ 269 – พิธีเปิดอันงดงาม (6)


มนุษยชาติได้สูญสิ้นไปแล้ว


ไม่สิ พูดให้ถูกต้องบอกว่ามันใกล้ที่จะสูญพันธุ์แล้ว แต่ในทางปฏิบัติก็สูญสิ้นไปแล้วจริงๆ


ราชินีปรสิตได้หันมาลงดาบมนุษยชาติในทันทีที่สหพันธรัฐล่มสลาย


ในตอนที่ป้อมปราการไทกอลยังคงอยู่ เธอแทบจะไม่แตะต้องมนุษยชาติเลย แต่ว่าสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปเมื่อสหพันธรัฐล่มสลาย


เมื่อกองทัพปรสิตได้เริ่มการโจมตี พวกมันก็ได้กระจายไปทั่วทั้งทวีปโดยที่ไม่มีใครหยุดเอาไว้ได้


มนุษชาติได้พยายามรวบรวมกองกำลังเพื่อต่อต้านกลับไป แต่ว่ามนุษยชาติก็ถูกปรสิตจัดการลงได้อย่างง่ายดายเหมือนเป็นเพียงกิ่งไม้ที่รอวันถูกหักเพียงเท่านั้น


ฮารามาร์ค เมืองที่เป็นแนวรบหน้าสุดของทางใต้ได้ถูกทำลายจนยับเยินภายใต้การบุกรุกของปรสิต


เทเรซ่า ฮัสเซย์ได้รวบรวมกองกำลังทหารที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดจะเอามาเรียกว่ากองกำลังไมได้ และพยายามที่จะยึดเมืองคืน แต่ว่าเพราะจำนวนอันไม่สิ้นสุดของศัตรูได้บังคับให้พวกเธอต้องถอยแทบจะในทันที


อีวาก็เป็นเช่นเดียวกัน


อีวาเกลีน โรส และบุคคลอื่นๆที่เหลืออยู่ต่างก็พยายามต่อสู้อย่างสุดกำลังโดยเอาชีวิตเข้าแรก แต่ว่าในท้ายที่สุดทั้งเมืองก็ถูกยึดไป


และในวันนี้เมืองหลวงของมนุษยชาติก็ได้ลุกเป็นไฟ


นี่มันเป็นเรื่องธรรมดา


เมื่อฮารามาร์คล่มสลาย สกีเฮราซาร์ดก็ไม่ได้เป็นเมืองที่ปลอดภัยอีกต่อไป นี่เป็นสิ่งที่ถูกคาดการณ์เอาไว้นับตั้งแต่ที่อาณาจักรภูติล่มสลายไปจนทำให้ป้อมปราการไทกอลต้องถูกรื้อตามมาด้วยเมืองอีวา


สำหรับเมืองที่ยังคงอยู่คงเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นที่จะกลายเป็นเท่านั้น


พวกเขาคิดตื้นกันเกินไป


ใครจะไปรู้ว่าวิหารที่อยู่ใกล้เมือง และประตูมิติจะถูกทำลายไปในทันทีที่มีการปิดล้อม?


ไม่มีใครคิดเลยว่าจะมีคนทรยศอยู่มากขนาดนี้ พวกคนทรยศเพียงแต่ไม่ได้ลงมือมาตลอดเท่านั้นเอง


กว่ามนุษชาติจะรู้ตัวมันก็สายเกินกว่าจะทำอะไรได้แล้ว


และในตอนนี้ก็ถึงเวลาที่พวกเขาต้องตอบแทนสิ่งนั้นกลับไป


***


ไกลออกไปในทางของสกีเฮราซาร์ดได้มีควันดำลอยขึ้นมาให้เห็น มันไม่จำเป็นต้องจินตนาการเลยว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น หากให้พูดก็คือมันได้กลายเป็นนรกอันน่าสยดสยองไปแล้ว


ยุนซอฮุยก็อทบจะถูกลากเข้าไปในนรกนั่นเช่นกัน หากว่าไม่ใช่เพราะชายตรงหน้าเธอเข้ามาแทรกแซง และใช้รอยเลือดของเธอแกะรอยตามมาจนเกือบจะฆ่าความบริสุทธิ์อันโสมมไปได้ เธอก็คงต้องเจอกับชะตากรรมอันน่าเลวร้ายเป็นแน่


ยุนซอฮุยที่มองดูภาพหมอกควันอันเลวร้ายลอยอยู่ทั่วเมืองได้พูดออกมาอย่างสงบ


“ขอบคุณ”


เธอได้พูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า


“ฉันรอดก็เพราะคุณ”


“เธอพูดมากเกินไปนะ…”


น้ำเสียงแหบแห้งได้ดังเข้าหูของเธอ นี่มันเป็นเสียงที่เย็นชาเหมือนกับน้ำแข็ง


“สำหรับคนทรยศ”


ม่านตาของเธอได้สั่นไหว ยุนซอฮุยได้ก้มหน้าลงและจ้องเขม็งไปที่ชายตรงหน้า


เขาเป็นมนุษยชาติเพียงคนเดียวที่ได้รับการยอมรับจากสหพันธรัฐ ชายผู้ที่ทำผู้บัญชาการกองทัพปรสิตต้องหวาดกลัว และเป็นชายผู้ที่ไม่ได้ถูกเทพองค์ใดเลือกแม้ว่าเขาจะทรงพลังมากก็ตามที


เขาคือปีศาจหอกระดับ 8 ซอลจีฮู


“คุณ”


ยุนซอฮุยได้กัดฟันออกมา


“หุบปาก”


ยังไงก็ตาม


“ทำไมไม่ทำตามฉันที่ฉันไป?”


…ร่างกายของเธอได้ผงะเมื่อเห็นดวงตาและใบหน้าที่ว่างเปล่าขาดซึ่งสิ่งที่คนปกติควรจะมี


“…ฉันไม่มีทางเลือก”


“…”


“มันไม่ใช่ว่าฉันไม่ได้ทำ แต่ฉันทำไม่ได้ ฉันไม่อาจจะสร้างสถานการณ์แบบที่คุณต้องการได้ และฉันก็ไม่ได้มีพลังในการทำแบบนั้น”


“น่าตกใจนะ ฉันก็ไม่คิดว่าฉันขออะไรยากๆไปนี่”


“ให้ตายสิ! เส้นทางหนีของเราได้หายไปในทันทีที่มีการปิดล้อมขึ้น ฉันจะทำอะไรได้ในเมื่อเราถูกโจมตีทั้งจากภายในแล้วก็ภายนอก?”


“ไม่ใช่ว่าฉันเตือนเธอล่วงหน้าแล้วหรอ?”


“ฉันคิดว่าคนทรยศถูกกำจัดไปหมดแล้ว ใครกันจะไปคิดว่าที่เรากำจัดไปเป็นแค่ส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น?”


“ในตอนอดีตดวงดาวแห่งความโลภตะโกนบอกเธอทีละคำ เธอไม่สนใจจะฟังเลยด้วยซ้ำ เธอก็สมควรแล้วล่ะ”


ซอลจีฮูได้ส่งเสียงหัวเราะออกมา


“แล้วเธอก็กำลังจะบอกฉันว่าเธอพยายามแล้ว แต่ก็ล้มเหลวเพราะไร้พลัง?”


“…”


“คนเราเป็นสัตว์ที่ถูกหล่อหลอมขึ้นมาด้วยสภาพแวดล้อม ในตอนที่ฉันเป็นทาสอยู่ที่ที่หนึ่ง มีคนบางคนที่โบกสัญญาแล้วบังคับโยนฉันออกไปทั้งๆที่ตอนนั้นฉันบาดเจ็บ และรู้สึกเหมือนกับกำลังจะตาย”


“ฉัน-!”


“แน่นอนว่า เมื่อไหร่ที่เซ็นต์สัญญาไปแล้วก็ต้องรับผลที่ตามมาต่อให้ต้องตายก็ตาม เธอทำถูก”


ซอลจีฮูได้ส่ายหัวอย่างช้าๆ และพูดออกมา


“ก็เหมือนอย่างที่ผู้หญิงคิมคนนั้นชอบพูดเสมอ คนที่ขัดต่อสัญญาเป็นการกระทำที่ทรยศต่อความศรัทธา และความเชื่อใจ”


ยุนซอฮุยได้กัดริมฝีปากล่าง


“แต่ว่าหากเธอทำงานแบบนี้ มันสมควรแล้วหรอที่จะมาคาดคั้นอะไรกับฉัน?”


ใบหน้าของยุนซอฮุยได้เต็มไปด้วยความโกรธ


“ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหนหรือเหตุผลอะไร ผลที่ออกมามันทำให้เธอเป็นคนทรยศ”


“ถ้างั้นตามคำพูดคุณแล้ว ไม่ใช่ว่าคุณก็เป็นคนทรยศหรอ?”


“หยุดไร้สาระได้แล้ว เป็นเธอนั่นแหละ”


“ไม่ คุณต่างหาก”


มันเป็นภาพที่ดูแปลกตา ทั้งคู่ต่างก็เอาแต่โทษกันไปมาทั้งๆที่คนทรยศจริงๆไม่ได้อยู่ตรงนี้เลย


ยุนซอฮุยได้ตอบโต้ไปพร้อมกัดฟันแน่น


“ใครจะไปคิดว่าที่พึ่งสุดท้ายของมนุษยชาติจะถูกใช้เป็นเหยื่อล่อ? ฉันพนันได้เลยว่าแม้กระทั่งปรสิตก็ไม่รู้”


“โอ้ ขอล่ะ พูดเหมือนกับเธอสนใจพาราไดซ์งั้นแหละ”


ซอลจีฮูได้แค่นเสียงออกมา


“แล้วก็หยุดไร้สาระได้แล้ว ตอนนี้เรากำลังคุยกันเรื่องสัญญาของเราอยู่”


ยุนซอฮุยได้กัดฟันของเธอ เธอรู้สึกทรมานจนเหมือนจะหายใจไม่ออก หากว่าเธอไม่ได้พูดอะไรกลับไปเธอรู้สึกเหมือนตัวเธอจะระเบิดออกมา


“ตอนนี้ฉันรู้แล้ว”


“?”


“ฉันรู้แล้วว่าทำไมเทพทั้งเจ็ดถึงไม่มีใครเลือกคุณ แค่เพราะผู้หญิงคนเดียว… คุณไม่ลังเลเลยสักนิดแม้ว่าจะต้องลากมนุษยชาติทั้งหมดไปสู่เกมการพนันของตัวเอง”


แต่ด้วยคมหอกที่กดเข้ามาที่เนื้อตรงคอของเธอทำให้เธอไม่อาจจะพูดจนจบได้ เลือดได้ไหลออกมาเป็นทางยาวไปจนถึงไหปลาร้าของเธอ เธอรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา แต่เธอก็ยังกัดฟันทนเอาไว้


“เอาเลย ฆ่าฉันเลยสิ!”


“…”


“ฉันบอกให้ฆ่าฉัน!”


ความเงียบได้เกิดขึ้นหลังจากเสียงตะโกนนี้


“ไปที่นัวร์”


“อะไรนะ?”


“อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำสอง อึนยูริกับโอเดลเล็ต เดลฟีนได้บอกว่าพวกเธอเตรียมไพ่ตายสุดท้ายเอาไว้แล้ว ผู้รอดชีวิตจากสหพันธรัฐก็ยังรวมตัวกันอยู่ที่นั่น เพราะงั้นเธอก็ควรจะไปด้วยเหมือนกัน ไปเตรียมตัวอีกครั้งซะ หากว่าเป็นเธอ ฉันมั่นใจว่าเธอจะต้องทำหน้าที่สำคัญได้แน่”


“ทำไมฉันต้องไป? ฉันจบแล้ว”


“เพราะสัญญาของเรามันยังไม่จบ”


สีหน้าของยุนซอฮุยได้มืดลงไป


“นาย… นี่คือเหตุผลที่นายช่วยฉันงั้นหรอ?”


ทันใดนั้นเธอก็ระเบิดหัวเราะออกมา แม้กระทั่งยุนซอฮุยก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมเธอถึงหัวเราะ


“ฮ่าฮ่าฮ่า…”


เธอได้หัวเราะก่อนที่จะหยุดอย่างกระทันหัน และถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“นายมีเหตุผลอะไร?”


“เหตุผล?”


“ทำไมปีศาจหอกผู้ยิ่งใหญ่ของเรา- ทำไมเขาถึงเกลียดฉันขนาดนี้?”


“นี่เธอพล่ามอะไร?”


ซอลจีฮูได้ขมวดคิ้วขึ้นมา


“พล่าม? ฉันรู้นะว่านายแค้นซินยอง แต่ว่าฉันยังช่วยนายไม่พอหรอ?”


“เธอทำมันมากเกินกว่าที่จำเป็นซะอีก”


ซอลจีฮูได้พยักหน้ายอมรับในคำพูดของเธอ


“แต่ว่าทั้งหมดนั่นมันเป็นการกระทำตามใจของเธอทั้งนั้น ฉันไม่เคยจำได้เลยว่าขอให้เธอช่วย”


เขาได้ค่อยๆถอนหอกออกมาในขณะที่ยุนซอฮุยมองเขาโดยไร้คำพูด จากนั้นเขาก็หันหน้าไปราวกับเธอไม่มีค่าให้คุยด้วยอีก ธุระของเขามันหมดลงแล้ว


“นายรู้ไหมว่าฉันพยายามมากแค่ไหนเพื่อนายกัน!?”


แต่ว่ายุนซอฮุยก็ยังไม่หยุด


“มันไม่ใช่ฉัน แต่เป็นคิมฮันนาห์! ฉันได้ไล่เธอออกไปเพื่อนาย! นายรู้ไหมว่าฉันว่าฉันพยายามมากแค่ไหนเพื่อให้นายสบายใจ!”


“นี่เธอเป็นบ้าไปแล้วงั้นหรอ?”


ซอลจีฮูได้ถามออกมาอย่างจริงจัง


“อย่างน้อยฉันก็คิดว่าเธอมันเป็นคนที่รู้จักแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ อ่า นี่มันเป็นเพราะซินยองที่ทำให้เธอไม่ลังเลแม้กระทั่งฆ่าครอบครัวตัวเอง หายไปงั้นหรอ? นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้อารมณ์เธอปะทุขึ้นสิน?”


ใบหน้าของยุนซอฮุยได้บิดเบี้ยวไปเมื่อได้ยินเสียงเยาะเย้ย ลมหายใจของเธอได้หนักหน่วงมากยิ่งขึ้นอีก


“…นายทำแบบนี้กับฉันได้ยังไงกัน?”


เธอได้ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงเหมือนกับจะร้องไห้


“เฮ้ ฉันไม่ใช่ซึงชิฮยอนนะ ฉันคือซอลจีฮู เข้าใจไหม?”


ซอลจีฮูพูดเหมือนกับว่าเขาได้ยินเรื่องน่าตลกมาก


“แล้วก็พูดตามตรงเลยนะ เธอไม่ได้ทำอะไรให้ฉันเลย มันเพื่อซินยองต่างหาก นี่คือเหตุผลที่เธอยอมทิ้งทุกๆอย่างและยื้อตัวฉันเอาไว้ไม่ใช่หรอ?”


ดวงตาของยุนซอฮุยได้เบิกกว้างขึ้นมา


“อย่าเข้าใจผิดซะล่ะ ฉันไม่ได้บอกว่ามันแย่ เธอได้ใช้พลังของฉันเพื่อปกป้องบริษัทของเธอ และฉันก็ใช้เธอเพื่อบรรลุเป้าหมาย มันเป็นข้อตกลงที่ดี เพียงแต่ว่าปัญหามันอยู่ที่การดำเนินการ”


ริมฝีปากของเธอซีดและใบหน้าก็สั่นเทา


“โอ้ ก่อนเขาจะตายด้วยมือฉัน ซึงชิฮยอนได้บอกฉันว่าเธอมันเป็นยัยบ้า เขาพูดถูกจริงๆด้วย”


ซอลจีฮูได้เดาะลิ้น


“ก็นะ มันคงไม่เป็นไรหรอก จะไปหรือไม่ไปก็แล้วแต่เธอเลย”


“ฆ่าฉันสิ แค่ฆ่าฉันซะ!”


ยุนซอฮุยได้กรีดร้องท้าทายออกมา


“หากว่าอยากจะตายนัก ถ้างั้นทำไมไม่ฆ่าตัวตายไปซะล่ะ”


ซอลจีฮูได้เอียงหัวพูดออกมา


“…แม้ว่าฉันจะคิดว่ามันไม่มีอะไรน่าสมเพชไปกว่าการฆ่าตัวตายหลังจากจนมุมก็นะ… แต่ว่าหากเธอยังคงมีจิตสำนึกเหลืออยู่ก็ไปที่นัวร์ซะ”


หลังจากพูดแบบนี้ซอลจีฮูก็จากไปโดยไม่หันกลับมามอง


ยุนซอฮุยที่จู่ๆก็ถูกทิ้งเอาไว้ได้ทรุดตัวอยู่กับพื้นสักพักหนึ่ง


“ฮ่าาห์”


จากนั้นเธอก็หัวเราะออกมา


“ฮ่าฮ่า…. ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”


เธอได้หัวเราะออกมา


“ฮืออ- ฮือออ-“


และร้องไห้


เธอได้สลับไปมาระหว่างหัวเราะกับร้องไห้เหมือนคนบ้า และหลังจากเวลาผ่านไปนาน…


“…ก็ได้”


เมื่อน้ำตาของเธอเหือดแห้ง…


“จนท้ายที่สุดนายก็จะทำแบบนี้สินะ…”


ยุนซอฮุยได้ลุกขึ้นยืนด้วยความไม่พอใจ


“ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด”


หลังจากมองไปที่ซอลจีฮูจากไปด้วยสายตาไม่ยอมแพ้ เธอก็บังคับตัวเองหันร่างไป


“ทั้งหมดมันเป็นความผิดของนาย”


เธอได้เริ่มเดินโซเซไปพร้อมทั้งพึมพำอยู่กับตัวเอง มันเหมือนกับว่าเธอได้เสียสติไปแล้ว


สิ่งที่น่ากลัวเกินกว่าจะพูดได้เกิดขึ้นกับสกีเฮราซาร์ดอย่างที่คาดเอาไว้


เปลวเพลิงได้สร้างควันฉุนเสียดแทงเข้ามาในจมูก และมีเสียงคำรามของมอนสเตอร์ เสียงกรีดร้อง และเสียงครวญครางดังออกมาทั่ว


ฝูงปรสิตที่กำลังปล้นสะดมเมืองอยู่ได้หันมาจ้องหญิงสาวที่เดินอยู่ในเมืองที่ล่มสลายเหมือนกับว่าเป็นบ้ายของเธอ พวกมันไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนเดินเข้ามาหาพวกมันด้วยตัวเอง


ยังไงก็ตามหลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง พวกมันก็พุ่งเข้าใส่เธออย่างรวดเร็ว และกดเธอเอาไว้กับพื้น ยุนซอฮุยไม่ได้ต่อต้าน และคุกเข่าลงไปอย่างอ่อนโยน


จากนั้นเอง


“โอ้ นี่มันอะไรกันเนี้ย?”


น้ำเสียงยินดีได้ดังออกมา ดวงตาที่ตายไปแล้วของยุนซอฮุยได้เปิดขึ้นเล็กน้อย


“เธอไม่ได้หนีไปกับปีศาจหอกหรอกหรอ?”


หญิงสาวสวมใส่ชุดเปิดเผยแทบทุกส่วนของร่างกายกำลังกระพือปีกค้างคาวบินอยู่ เธอคนนั้นก็คือคิมฮันนาห์ที่ได้เปลี่ยนไปเป็นซัคคิวบัส


“นี่เธอกลับมางั้นหรอ? นี่เธอบ้าไปแล้วจริงๆ?”


“ไม่ใช่ว่าเธอควรจะยินดีหรอ?”


ยุนซอฮุยได้ยิ้มออกมา


“เป้าหมายที่ต้องแก้แค้นได้กลับมาหาเธอ เอาเลย ขอบคุณฉันสิ”


คิมฮันนาห์ได้มองสังเกตดูยุนซอฮุยอย่างไม่เข้าใจ ไม่ว่าจะมองยังไงเธอก็ดูจะแทบไม่มีสติอยู่แล้ว


แม้ว่าเธอจะพอเข้าใจความรู้สึกของยุนซอฮุยได้บ้างเนื่องจากซินยองได้ล่มสลายไปแล้ว แต่สถานการณ์ก็ยังแปลกเกินไป ยุนซอฮุยมีสายตาที่อาฆาตแค้นไม่เหมือนกับคนที่กำลังสิ้นหวังเลยสักนิด


คิมฮันนาห์ได้หยักหน้าออกมาครั้งหนึ่งเพื่อบ่งบอกว่าเธอจะลองฟังสิ่งที่ยุนซอฮุยพูดก่อน


“พูดสิ”


“ให้ฉันได้เจอความบริสุทธิ์อันโสมม”


“ไม่ล่ะ หลังจากถูกปีศาจหอกหักเขาแล้วก็ตัดปีกไป เธอกำลังระเบิดความไม่พอใจอยู่”


“ถ้างั้นก็ผู้บัญชาการกองทัพคนไหนก็ได้ ฉันรู้ว่าอย่างน้อยเธอก็ทำมันได้”


“ฉันเข้าใจนะ แต่ช่วยบอกเหตุผลหน่อยได้ไหม?”


“ฉันต้องเจอกับพวกเขา”


คิมฮันนาห์ได้เลิกคิ้วขึ้นมา


“ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ฉันก็แค่อยากจะเห็นใบหน้าของไอ้คนไร้ปราณีต้องสิ้นหวัง ฉันอยากจะเห็นเขาคุกเข่าด้วยความเสียใจ


“อ่า”


ในที่สุดคิมฮันนาห์ก็เข้าใจสถานการณ์แล้ว


“เธอ เธอถูกทิ้งแล้วสินะ?”


“ฟู่”


“ฉันบอกแล้ว แย่จริงๆ ฉันก็คิดไว้แล้วว่าเธอทลายกำแพงของเขาไม่ได้~”


เธอได้บินลงมาหัวเราะพร้อมทั้งลูบหัวของยุนซอฮุย


“ฉันเคยบอกเธอไปแล้วนี่ โดยพื้นฐานแล้วหมอนั่นมันต่างไปจากซึงชิฮยอน ฉันบอกแล้วว่าเขาเป็นคนบ้าที่ควบคุมไม่ได้”


“…”


“จะยังไงหากว่าควบคุมไม่ได้ เธอก็อยากจะทำลายมันงั้นสินะ?”


“เธอจะยอมรับไหม?”


ยุนซอฮุยได้ถ่มน้ำลายออกมาทั้งๆที่กัดฟันแน่น


“ก็ไม่รู้สิ้~”


จู่ๆคิมฮันนาห์ก็แสดงทีท่าหยิ่งผยอง และจับคางขึ้นมา


“การที่เธอไม่ได้ไปที่นัวร์ และกลับมาที่นี่เพียงลำพังเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง…”


“…”


“และฉันก็เพิ่งจะคิดแผนที่น่าสนใจได้ด้วยสิ… มันก็เยี่ยมนะ แต่ว่า…”


คิมฮันนาห์ได้ยิ้มออกมา


“ความอัปยศที่เธอทำไว้กับฉันมันยังคงไม่หายไปเลย ฉันควรจะทำยังไงดีล่ะ?”


คิมฮันนาห์ได้วางมือไว้บนอก และแสดงสีหน้าลำบากใจออกมา นี่มันเป็นการเสแสร้ง


“ฉันต้องทำยังไง?”


“หืมมม”


คิมฮันนาห์ได้ส่งเสียงออกมาก่อนที่จะหันกลับไปมองด้านหลัง


ไกลออกไปมีเสาสูงเฉียดฟ้าอยู่ ที่ปลายเสามีร่างเปลือยเปล่าถูกมัดเอาไว้


ดวงตาของยุนซอฮุยได้สั่นเทา


อีวาเกลีน โรสที่ครั้งหนึ่งเคยถูกเคารพในฐานผู้พิทักษ์แห่งอีวา และราชินีชาล็อต อาเรีย ผู้ปกครองที่ซ่อนตัวอยู่ในวังตลอดเวลา


เธอเคยได้ยินข่าวมาว่าพวกเธอได้ถูกจับไปเป็นเชลย และถูกใช้ในการยั่วยุมนุษยชาติ ในที่สุดวันนี้เธอก็ได้ยืนยันมันด้วยตาตัวเองแล้ว


“หากว่าเธอแสดงให้ฉันเห็นว่าเธอทนได้สักครึ่งหนึ่งของความอัปยศและความเจ็บปวดที่ฉันได้เจอมาล่ะก็… ฉันก็อาจจะใจดีพอที่จะให้อภัยกับความผิดที่เธอเคยทำให้ฉันมาก็ได้นะ”


คิมฮันนาห์ได้เลียริมฝีปากพร้อมเหล่มองไปที่ร่างทั้งสองที่แขวนอยู่บนเสา


มุมปากของยุนซอฮุยได้กระตุกออกมา


“ฮ่าห์!”


เธอได้หลุดจากการจับของปรสิตที่จับแขนเธอเอาไว้ และพูดออกมาด้วยความอาฆาตแค้น


“ก็ได้ ทำตามต้องการเลย”


เธอได้จับเสื้อของเธอ และฉีกมันโดยไม่ลังเล


และทันทีที่เสื้อของเธอถูกฉีก ฝูงปรสิตก็ได้กระโจนเข้าใส่เธอ


ต่อจากนั้นเสียงร้องครวญครางก็ได้ดังออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะของคิมฮันนาห์ที่ดังไปทั่วทั้งเมือง


***


วันรุ่งขึ้นหลังจากพิธีเปิดตัว


ยุนซอฮุยได้ปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เช้า เธอได้กล่าวขอบคุณการต้อนรับพวกเขา และกล่าวลาโดยบอกว่ามีงานตะไปสะสาง เธอไม่ได้ขออะไรหรือพูดอะไรที่ผิดปกติเลย


เธอแค่จากไปหลังจากกล่าวแสดงความยินดี


“โอ้ จริงสิ คุณจีฮู เมื่อวานสนุกมากเลยค่ะ”


“ทั้งคู่ดูจะเริ่มสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่งั้นหรอ?”


คิมฮันนาห์ได้ถามออกมาอย่างสงสัย


“ฉันเชื่อในจีฮูของเรา”


ซอยูฮุยก็ยังเสริมขึ้นมา


ซอลจีฮูไม่ได้ตอบกลับไป เขาไม่มีแรงที่จะทำแบบนั้น นิมิตที่เขาได้เห็นเมื่อวานมันน่าตกใจจนทำให้เขานอนไม่หลับเลย


มันก็ช่วยไม่ได้


เดิมซอลจีฮูคิดไว้ว่าเหตุผลที่ทำให้ตัวเขาเองเสียใจจนต้องพูดว่า ‘ฉันอยากเริ่มใหม่อีกครั้ง’ นั่นก็เพราะชะตากรรมของพาราไดซ์ แต่ยังไงก็ตามเมื่อได้เห็นนิมิตเมื่อวาน ทุกๆอย่างก็ได้เปลี่ยนไป


เขาก็ไม่มั่นใจ แต่เขารู้สึกสังหรใจว่ามันมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ซับซ้อนมากกว่านั้น


‘ฉัน… เป็นชาวโลกประเภทไหนกัน?’


ยังไม่หมดเท่านั้น


นิมิตนี้ดูจะเหมือนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนสงครามสุดท้าย…


‘ทำไม…’


ถึงแม้ว่าเขาจะได้ใช้เวลาช่วงหนึ่งตกเป็นทาสของซินยอง แต่ความสัมพันธ์แบบไหนกันที่ทำให้ยุนซอฮุยตอบสนองรุนแรงแบบนั้น?


ซอลจีฮูไม่ได้รู้จักยุนซอฮุยดู แต่ว่าตัดสินจากสิ่งที่เขาได้เห็นและได้ยิน การกระทำของเธอในนิมิตมันเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะคาดเดาได้เลย


ซอลจีฮูได้สะบัดหัวอย่างแรงเมื่อความคิดได้กลายมาเป็นซับซ้อนอีกครั้ง เขารู้สึกเหมือนเขาตื่นขึ้นจากฝันร้าย แต่ว่านั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้อะไรเลย


ซอลจีฮูได้เริ่มจดสิ่งต่างๆลงไปก่อนที่เขาจะลืม


-อึนยูริ เตรียมแผนกับโอเดลเล็ต เดลฟีนในสงครามสุดท้าย ไม่เคยมีใครพูดถึงเธอมาก่อน แต่สันนิษฐานได้ว่าเธอเป็นนักเวทย์


“เขียนอะไรอยู่งั้นหรอ?


เมื่อคิมฮันนาห์แอบยื่นหน้าเข้ามามอง ซอลจีฮูก็รีบปิดสมุดจดลงไป


คิมฮันนาห์”


และเขาได้พูดออกมา


“กว่าจะถึงเขตพื้นที่เป็นกลางเดือนมีนาคม เราเหลือเวลาอีกนานแค่ไหน?”


คิมฮันนาห์ได้เบิกตากว้างขึ้นมา


***


ในช่วงนี้ราชินีอีวา ชาล็อต อาเรียเริ่มปวดหัวเป็นอย่างนัก นี่ไม่ใช่เพราะใครอื่นแต่เป็นซอกกูนีร์ที่เข้าเฝ้าเธอทุกๆวัน


“องค์ราชินี”


ซอกกูนีร์ได้ปรากฏตัวออกมาด้วยสีหน้าหนักแน่น


“อีวาเกลีนอาจจะเคยเป็นพันธมิตรกับราชวงศ์มาก่อน แต่ว่าในตอนนี้พวกเขาเป็นองค์กรที่เต็มไปด้วยเหล่านักเลง ไม่ต่างไปจากสหพันธรัฐเลย ทำไมท่านถึงเอาแต่ชะลอการตัดสินใจทั้งหมดทั้งๆที่มีหลักฐานและพยานสนับสนุนเรื่องนี้เป็นจำนวนมาก?”


ชาล็อต อาเรียได้มองดูผู้ดูแลราชวงศ์ด้วยสีหน้าที่บอกว่าเธอเหนื่อยกับเขามาก


เธอคิดว่าเขาจะหยุดเข้าเฝ้าหากเธอไม่สนใจเขาเหมือนกับที่เคยทำมาตอน แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างทำให้เขาเอาแต่เข้าเฝ้าเพื่อยื่นคำร้องอยู่เสมอ


ชาล็อต อาเรียได้หลับตาลง


“ไม่ใช่ว่าพวกเขาบอกว่าทั้งหมดเป็นการเข้าใจผิดกันหรอกหรอ?”


“เข้าใจผิดอะไรกันครับ? พวกเขาโกหกทั้งเพ ได้โปรดอย่าได้หลงคำลวงของพวกเขานะครับ”


“พอได้แล้ว”


ชาล็อต อาเรียได้ขัดคำของเขาเอาไว้โดยที่ไม่ยอมทนฟังอีก แต่ซอกกูนีร์ก็ยังไม่ยอมถอย


“องค์ราชินี ท่านต้องการจะให้เขาต้องเจอจุดจบแห่งหายนะจากเหล่าปรสิตหรอครับ?”


“อะไรนะ?”


ชาล็อต อาเรียได้ขมวดคิ้วเรียวยาวออกมา เธอเริ่มโกรธขึ้นแล้ว


“ท่านคิดว่าพวกเราจะช่วยเราในตอนอีวาตกอยู่ในอันตรายหรอครรับ? ได้โปรดช่วยคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนเรียกตัวชาวโลกเมื่อคราวก่อนด้วยครับ”


“ชาวโลกตามปกติก็เป็นแบบนี้กันอยู่แล้ว ยังไงก็ตามอีวาเกลีน… จองซูต่างออกไป”


“ตัวแทนจองซูก็ไม่ได้ตอบรับการเรียกตัวเช่นกันครับ”


“เธอบอกว่าเธอไม่รู้เรื่อง”


ชาล็อต อาเรียได้เดาะลิ้นออกมา


“เธอเป็นหญิงสาวที่สูญเสียครอบครัวไปตั้งแต่ยังเด็กเหมือนกับฉัน เธอบอกว่าเธอต้องอยู่กับน้องชายที่นอนนิ่งอยู่บนตัวโดยกำลังอยู่ระหว่างเป็นและตาย ฉันเข้าใจความรู้สึกนั้นดี”


ชาล็อต อาเรียได้กัดฟันแน่น


“ถึงแม้ว่าเธอจะมาสาย แต่เธอก็กลับมาไม่ใช่หรอ?”


“มันไม่ใช่สายแค่เล็กน้อยนะครับ เธอกลับมาหลังจากที่ปรสิตถอนกำลังไปแล้ว”


“สำหรับฉันแล้วคุณดูเหมือนกับกำลังพยายามจับผิดจองซูเลยนะ”


“ผมก็แค่พูดความจริงเท่านั้น”


ซอกกูนีร์ได้ก้มหัวให้กับชาล็อต อาเรียที่คำรามออกมา


“องค์ราชินี”


“พอได้แล้ว! ฉันบอกให้คุณหยุดไม่ใช่หรอ? นี่คุณเข้าใจสิ่งที่ฉันบอกไหม?”


ชาล็อค อาเรียได้โบกมือออกมาด้วยสีหน้าที่บอกอย่างชัดเจนว่าเธอเหนื่อยหน่ายเต็มทีแล้ว


“ฉันจะไปเจอกับหัวหน้าคาเพเดี่ยมเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดนี้ด้วยตัวเอง คุณออกไปได้แล้ว”


ซอกกูนีร์ได้หลับตาลงไป


การที่เธอบอกว่า ‘หัวหน้าคาเพเดี่ยม’ ทั้งๆที่พวกเขาได้ยื่นเอกสารลงทะเบียนเป็นองค์กรด้วยชื่อวัลฮาลาแล้วนี่มัน…


มันพิสูจน์เป็นอย่างดีว่าชาล็อต อาเรียให้ความสนใจกับเมืองนี้แค่ไหนกัน


มันถึงขนาดทำให้เขาสงสัยว่าเธอใช่บุตรของราชาผู้ที่ถูกเรียกว่าจักรพรรดิสายฟ้าจริงๆหรือเปล่า และกระทั่งองค์ชายทั้งสองคนก็ยังได้แสดงถึงพรสวรรค์ด้านการศึกษา และวิถีดาบอันยอดเยี่ยมออกมาเช่นกัน


“…นี่คือโอกาสสุดท้ายของเราแล้ว”


ซอกกูนีร์ไม่เคยลืมว่ากษัตริย์คนก่อนได้ช่วยเขาเอาไว้ด้วยความเมตตา นี่เป็นเหตุผลที่เขายังไม่ทิ้งเธอไป


“อีวาเน่าเฟะยิ่งกว่าที่องค์ราชินีคิดเอาไว้ กำลังทหารได้ปลดประจำการออกไป และผู้คนก็ยากจนข้มแค้น เมืองนี้ได้รับความเสียหายอย่างมากจนแทบจะฟื้นตัวกลับมาไม่ได้ เพราะงั้นเราต้องคว้าทุกๆโอกาสที่มีไว้ให้ได้”


และดังนั้นข้ารับใช้เก่าแก่ผู้ซื่อสัตย์…


“ความหวังสุดท้ายได้มาที่นี่แล้ว เขาคือคนที่ทิ้งฮารามาร์คมาเพื่อทำตามเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ เขาอยู่ในจุดที่ต่อให้เขาทำทุกวิธีเพื่อขอร้องอ้อนวอนให้เขาช่วยก็ยังไม่พอให้เขามาช่วยเลย เพราะงั้นแล้วทำไมท่านถึงไม่ยอมละทิ้งกิ่งไม้เน่าๆที่ท่านถือเอาไว้สักหน่อยล่ะ?”


…เขาไม่ยอมแพ้ และพยายามอ้อนวอนเธออย่างหนัก


“องค์ราชินี นี่เป็นคำขอสุดท้ายของข้ารับใช้ชราคนนี้ ได้โปรดเบิกเนตรเถอะนะครับ!”


บทที่ 270 – แจ็คพ็อต (1)


ต้องใช้เวลากว่าสองชั่วโมงชาล็อค อาเรียถึงจะหลบหนีจากซอกกูนีร์ได้สำเร็จ


“ฮ่าาาาาห์”


นี่คือเหตุผลที่เธอไม่อยากจะเจอเขาที่ท้องพระโรง นับตั้งแต่ที่พี่คนรองแคมเบล อาเรียตายไป เขาก็จะจู้จี้กับเธอในทุกๆครั้งที่เจอเธอ


หลังจากที่มีประสบการณ์มาหลายปี แค่ได้เห็นหน้าเขาก็ทำให้เธอซึม และมวนท้องขึ้นมาแล้ว บางครั้งชาล็อต อาเรียก็เก็บอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ และระบายมันออกไป เมื่อไหร่ก็ตามที่มันเกิดขึ้นความต้องการที่จะไล่ซอกกูนีร์ออกไปก็จะเพิ่มขึ้นด้วย


แน่นอนว่าแค่คิดเพียงเท่านั้นมันก็จะหยุดลงเสมอ และเธอก็ไม่เคยจะไล่เขาออกไปจริงๆ


สำหรับฐานะราชินีแล้ว ชาล็อต อาเรียเป็นคนที่เด็กและไม่บรรลุนิติภาวะ แต่มันก็ยากที่จะนับเธอเป็นคน ‘แย่’ เธอไม่ได้ไล่หัวใจถึงขนาดไล่ข้ารับใช้อันซื่อสัตย์ต่อราชวงศ์ที่ทำงานมานับสิบๆปีได้ได้


ในแง่ดีเธอไร้เดียวสา แต่ในแง่ร้ายเธอไม่เด็ดขาด และใจอ่อน


การจะเป็นคนใจร้ายจะต้องมีจิตใจที่แน่วแน่ แต่ในแง่นี้การไม่ได้เป็นผู้ปกครองที่เลวร้ายก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องดีเช่นกัน


“ฟู่วว…”


ชาล็อต อาเรียได้ถอนหายใจออกมาอีกครั้งหนึ่งก่อนจะมองไปรอบตัว ท้องพระโรงอันยิ่งใหญ่นั้นเงียบ และเปล่าเปลี่ยว


“…”


พอมาคิดดูแล้วนอกเหนือจากจองซูกับซอกกูนีร์ก็ไม่มีใครอื่นอีกแล้ว ไม่มีใครเข้าหาเธอ ไม่มีใครขออะไรกับเธอ พูดตามตรงก็มีอีกคนหนึ่ง แต่ว่าคนๆนั้นมักจะทำให้เธอหมดแรงอยู่เสมอ


ในท้ายที่สุดเธอก็จะต้องอยู่ในวังแบบนี้ไปในทุกๆวัน


พอเป็นแบบนี้ความรู้สึกว่างเปล่า และเหงาก็พวยพุ่งขึ้นมาอยู่ภายในตัวเธอ


เธอได้ส่งจองซูออกไปแล้วหลังจากที่ทำการปลอบเธอ และก็ไล่ซอกกูนีร์ออกไปหลังจากตะโกนใส่เขา เธออยากที่จะระบายความอึดอัดกับใครสักคน ใครสักคนที่จะช่วยทำให้เธอหลุดพ้นจากสภาพอันน่าเศร้านี้ และปลอบใจเธอ


หลังจากเดินไปรอบๆท้องพระโรงอย่างไร้จุดหมาย ชาล็อต อาเรียก็ได้รีบเดินไปที่ห้องนอนของเธอ


“ให้ตายสิ ฉันเก็บเอาไว้ที่ไหนกันนะ?”


หลังจากค้นทั้งห้องอยู่นาน ในที่สุดเธอก็เจอของที่เธอหาอยู่ คริสตัลสื่อสาร


เมื่อเห็นคริสตัลสื่อสารได้มีประกายความลังเลปรากฏขึ้น แต่ว่าไม่นานนักเธอก็ตั้งมั่น และนั่งลงที่ขอบเตียง


เธอได้วางมือลงบนลูกคริสตัลอย่างอ่อนโยน แม้ว่าเธอจะไม่ได้พยายามฝึกอะไรมาก่อน แต่ราชวงศ์ก็คือราชวงศ์ นอกไปจากนี้ชาล็อต อาเรียก็ยังเป็นบุตรเชื้อสายตรงของจักรพรรดิสายฟ้า และตระกูลอาเรียที่รู้จักกันดีในด้านความเชี่ยวชาญเวทมนต์


อย่างน้อยที่สุดเธอก็มีความสามารถในการใช้งานคริสตัลสื่อสารได้ แม้ว่ามันจะเป็นทักษะที่พื้นฐานที่สุดก็ตามที


เมื่อเธอมองดูคริสตัลที่เปล่งแสงริบหรี่ด้วยความกังวล จู่ๆมันก็ส่องแสงจ้าออกมา หลังจากเห็นภาพคนสะท้อนอยู่ในคริสตัล สีหน้าของชาล็อต อาเรียก็สดใสขึ้นทันที


“พะ พี่สาว…”


-โอ้? อะไรทำให้ราชินีขี้แยติดต่อมาหาฉันล่ะ?


เมื่อน้ำเสียงเนือยๆดังออกมา ชาล็อต อาเรียก็กลายเป็นซึมลงไปอย่างรวดเร็ว


“ฉันไม่ได้ขี้แยนะ…”


-ทำไมถึงติดต่อมาล่ะ?


“ฉันอยากจะขอคำแนะนำบางเรื่อง…”


-คำแนะนำ? หา ไม่ใช่ว่าคราวก่อนเธอพูดอย่างยิ่งใหญ่ว่าจะไม่ติดต่อมาหาฉันอีกหรอกหรอ? อะไรที่มันทำให้จู่ๆเธอเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาล่ะ?


หญิงสาวได้ม้วนผมของเธอเล่น และพูดออกมาอย่างเฉยเมยนั่นก็คือเทเรซ่า ฮัสเซย์


อีวากับฮารามาร์ค ทั้งสองราชวงศ์ได้มีสัมพันธ์อันสนิทชิดเชื้อกันมาตั้งแต่รุ่นแรงๆ และคงสัมพันธ์ฉันท์มิตรเอาไว้เสมอ


แม้ว่าในสถานการณ์ปัจจุบันพวกเขาก็ยังคงความสัมพันธ์เอาไว้ด้วยการแต่งงานของโซล อาเรียกับโอลิเวีย ฮัสเซย์ ส่วนทางชาล็อต อาเรียกับเทเรซ่าก็ยังพัฒนาความสัมพันธ์จนเป็นเหมือนกับพี่น้องกันตั้งแต่เล็กๆแล้ว


มันจนกระทั่งสงครามปะทุขึ้น


ในตอนแรกเทเรซ่าได้พยายามทำความเข้าใจในชาล็อต อาเรียอย่างเต็มกำลัง ในตอนปรสิตปรากฏตัวขึ้น น้องสาวต่างสายเลือดคนนี้เพิ่งมีอายุแค่สี่ขวบเท่านั้นเอง และจักรวรรดิที่เธอเชื่อมั่นก็ได้ล่มสลายลงในตอนเธออายุได้แปดวขวบ


เนื่องจากเธอได้สูญเสียครอบครัวไปตั้งแต่ยังเด็กขนาดนั้น และต้องบังคับให้ใช้ชีวิตแบบหลบๆซ่อนๆ มันก็เข้าใจได้เลยว่าเธอจะต้องประสบกับแผลใจรุนแรงขนาดไหน


แต่ทุกๆอย่างมันก็มีขีดจำกัดอยู่


หากว่าเอาแต่คร่ำครวญโศกเศร้าไปกับโชคชะตา ความเป็นจริงมันจะเปลี่ยนแปลงไปงั้นหรอ? ไม่เลย!


เทเรซ่ารู้ถึงเรื่องนี้ก่อนใคร ดังนั้นเธอจึงได้ใช้คำสัตย์ราชวงศ์เพื่อให้ได้รับในพลังแบบเดียวกับชาวโลก และกระโจนเข้าสู่สนามรบ


ย้อนกลับไปในตอนนั้นเธอยุ่งจนแทบจะไม่มีเวลาให้ได้พักผ่อนด้วยซ้ำไป แค่การปะทะกับปรสิต รับมือกับชาวโลก และดูแลกิจการของราชวงศ์ก็เป็นงานที่ท่วมมือเธออยู่แล้ว


ด้วยตารางเวลาอันยุ่งเหยิงของเธอนี้ ยังมีชาล็อต อาเรียที่เอาแต่บ่นและร้องไห้อีกจนทำให้เธอเกิดความเครียดขึ้นมา แม้ว่าเวลาจะผ่านไป และเธอได้ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว เธอก็ยังเอาแต่พูดว่า “พี่สาว พี่สาว~” และคอยพึ่งตัวเธอเหมือนเป็นเด็กอยู่เสมอ นี่มันเป็นธรรมดาที่เทเรซ่าจะเริ่มหมดความอดทน และเหนื่อยหน่ายกับชาล็อต อาเรีย


ในท้ายที่สุดเทเรซ่าก็ระเบิดออกมา ทั้งสองคนได้ทะเลาะกันอย่างหนักก่อนที่จะตัดความสัมพันธ์กันไป


นับตั้งแต่นั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย จนกระทั่งชาล็อต อาเรียติดต่อมาอีกครั้งในวันนี้


-หากว่าเธอทำเหมือนกับฉันเป็นที่ระบายอารมณ์อีก ฉันก็ขอปฏินะ


“ที่ระบายอารมณ์?”


-ถ้าเธอไม่รู้ก็ยังมันเถอะนะ แต่ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญฉันจะวางสายนะ


“นี่พี่สาวยังโกรธเรื่องนั้น… อ่า พี่สาว!”


เมื่อเทเรซ่ากำลังจะวางสายไปจริงๆ ชาล็อต อาเรียก็ได้รีบตะโกนออกมา


“คราวนี้เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ!”


-ขอให้โชคดีนะ อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังจะพูดเรื่องที่ทำให้เธอลำบาก?


“ไม่ใช่แบบนั้น! อืม ใครกันนะ… ซอล… ใช่แล้วชาวโลกคนที่เป็นหัวหน้าของคาเพเดี่ยม!”


-หืมม?


ดวงตาของเทเรซ่าได้เบิกกว้างอย่างตกใจ


-โอ้ ซอลของฉันงั้นหรอ?


“ของฉัน?”


-ไม่ใช่ว่าเธอกำลังพูดถึงคุณซอลจีฮูงั้นหรอ? เขาไม่ใช่หัวหน้าของคาเพเดี่ยมนะ แต่เป็นตัวแทนของวัลฮาลาต่างหาก


“งะ งั้นหรอ?”


-น่าตกใจนะ ฉันไม่คิดเลยว่าชื่อของที่รักจะออกมาจากปากของเธอ


ชาล็อต อาเรียตกใจกับคำพูดว่า ‘ที่รัก’ อยู่เล็กน้อย แต่ว่าเมื่อเห็นว่าเทเรซ่ากำลังสนใจในสิ่งที่เธอพูดอยู่ เธอก็เลยรีบพูดออกมา


“ช่วงนี้ที่วังกำลังวุ่นวาย ชัดเจนว่าชาวโลกที่ชื่อซอลจีฮูคนนั้นข”


-งั้นหรอ? ถ้างั้นก็ไล่เขาออกมาเลย


เทเรซ่าได้ขัดเธอก่อนที่เธอจะได้พูดจบซะอีก


“หะ หือ?”


ชาล็อต อาเรียได้ผงะไป


-น่าตลกจังเลยนะ! ฉันคิดไม่ออกเลยว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ฉันทั้งได้ยินและได้เห็นทุกๆอย่าง เธอไม่พอใจอะไรตรงไหนกัน? เขาได้เก็บกวาดทำความสะอาดพวกปลิงที่คอยดูดผลประโยชน์ไปจากเมือง และช่วยเหลือผู้คนที่กำลังจะอดตาย เขาได้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยให้เมืองเดินหน้าต่อไปได้ ถึงขนาดต้องใช้เงินของตัวเองเลยด้วยซ้ำ


เทเรซ่าได้แค่นเสียงออกมา


-ต่อให้เธอจะคำนับให้เขาเป็นร้อยครั้งก็ยังไม่พอ แล้วนี่เธอยังจะมาบ่นเขาแค่เพราะความวุ่นวายเล็กๆเนี้ยนะ?


“ฟะ ฟังฉันก่อน…”


-อ่า ไม่ ฉันไม่อยากจะฟัง ไล่เขาออกมาก็พอแล้ว เธอเป็นราชินีเพราะงั้นเธอก็น่าจะมีอำนาจที่จะทำแบบนั้น พอเขาหายไปมันก็จะกลับไปเงียบอีกครั้งหนึ่ง ใช่แล้วล่ะ นี่คือวิธีแก้ของเธอ


“…”


-ฉันไม่เข้าใจเลย ไม่ใช่แค่ฮารามาร์คนะ ทั้งกราเซีย นัวร์ สกีเฮราซาร์ด โอดอร์ แล้วก็คาลิโก้ ราชวงส์ทั้งหกนี้ต่างก็อยากจะเชิญตัวเขาไปที่เมืองให้ได้ แต่ทำไมถึงเป็นอีวาล่ะ…? อ๊า นี่เธอไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่าโชคดีขนาดไหน


เทเรซ่าได้พูดทั้งหมดนี้ออกมาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของชาล็อต อาเรียได้ปรากฏเป็นความสับสนออกมา เธอรู้ว่าเทเรซ่าได้เปลี่ยนไปมากนับตั้งแต่ที่เธอได้เริ่มรู้จักกับชาวโลก แต่ว่าเธอก็ยังไม่ชินกับด้านนี้ของเทเรซ่าอยู่ดี


-โอ้ ถ้าทำได้ก็ไล่ให้เขามาที่ฮารามาร์คนะ เธอรู้ไหมว่าฉันต้องนอนซมร้องไห้อยู่กี่วันในตอนที่เขาจากไป? นี่มันยอดไปเลย ส่งเขากลับมา ถ้าเธอไล่เขากลับมาที่ฮารามาร์คได้นะ ฉันจะยอมฟังเธอบ่นเป็นสิบปีเลย นี่ฉันพูดจริงนะ


คำพูดได้หลุดออกมาจากปากของเทเรซ่าอย่างต่อเนื่อง และชาล็อค อาเรียก็คิดตามแทบจะไม่ทัน


“พี่สาว อย่าทำแบบนี้สิ ฟังฉันก่อน ผู้ดูแลราชวงศ์ของฉัน-“


-จริงด้วยสิ ไล่เขาออกมาด้วย


ไม่ว่าราชินีจะพูดอะไร เทเรซ่าก็ยังคงพูดแบบเดิม


-อาเบอร์ มูโต้งานท่วมหัวจนจะตายอยู่แล้ว สำหรับในตอนนี้ทุกๆคนที่มีศักยภาพต่างก็มีค่า ซอกกูนีร์จะช่วยได้มากเลยล่ะ ใช่แล้ว ไล่เขามาที่ฮารามาร์คด้วยสิ เมื่อไหร่ที่ไม่มีเขาคอยจู้จี้จุกจิก เธอก็น่าจะมีความสุขแล้วนี่นา แถมฉันก็จะมีความสุขด้วย เป็นยังไงล่ะ?


ชาล็อต อาเรียได้อ้าปากออกมาอย่างสับสน แน่นอนว่าเธอก็ไม่ได้โง่ เธอเข้าใจว่าเทเรซ่าพูดแบบนี้เพราะจะประชดเธอ


“พี่สาว แล้วหัวหน้าอีวาเกลีน จองซูล่ะ?”


เมื่อเธอถามเผื่อเอาไว้…


-นี่เธอบ้าไปแล้วหรอ?


คำตอบในเชิงลบได้ถูกส่งกลับมาในทันที


-เธอเก็บยัยไว้เถอะ อย่าได้ปล่อยยัยสวะนั่นมาที่อื่นเชียวนะ


“สวะ?”


-นี่ไม่ตลกเลยนะ อย่าได้กล้าโยนถังขึ้ให้คนอื่นเชียวล่ะ


‘ถังขี้’ ชาล็อค อาเรียตกตะลึงกับคำดูถูกของเทเรซ่าเป็นอย่างมา


เธอได้หรี่ตาจ้องไปที่คริสตัล


“ทำไมพี่สาวถึงได้เอาคนไปเปรียบกับอุจาระแบบนี้ล่ะ?”


-ฉันพูดมากกว่านั้นก็ได้นะ ยัยนั่นมันได้ทำลายน้องสาวแสนน่ารักของฉันไป


ชาล็อต อาเรียดูจะโกรธจริงๆแล้ว แต่จู่ๆเธอก็รู้สึกดีขึ้นเมื่อได้ยินคำว่า ‘น้องสาวแสนน่ารัก’


“อะแฮ่ม นั่นก็เพราะพี่สาวยังไม่รู้จักเธอ เธอน่ะ…”


-จะยังไงก็เถอะ ฉันรู้ถึงสถานการณ์เป็นอย่างดี เธอไม่ต้องอธิบายอะไรแล้ว


เทเรซ่าได้พูดออกมาอย่างหนักแน่นก่อนที่จะกอดอก


-ในตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว ไม่ใช่ว่าเราก็เคยคุยกันทำนองนี้มาก่อนหรอ?


เมื่อเทเรซ่าได้เปลี่ยนเป็นจริงจัง ชาล็อต อาเรียก็ค่อยๆพยักหน้าออกมา


-ฉันไม่รู้หรอกว่านะว่าหวังอะไรถึงติดต่อมาหาฉันอีก แต่ว่าคำตอบของฉันจะไม่ต่างไปจากคราวที่แล้ว


“ไม่ ฉันแค่…”


-ฉันเหนื่อยที่จะปลอบเธอแล้ว ยิ่งเธอไม่ยอมรับฟังคำแนะนำของฉัน มันก็ยิ่งทำให้ฉันไม่มีอะไรจะพูดอีก


เมื่อเทเรซ่าพูดอย่างเย็นชา ชาล็อต อาเรียก็เม้มปากออกมา


“พี่สาวโหดร้ายไปแล้ว!”


เทเรซ่าได้กดขมับ และส่ายหัวออกมา แต่ว่านี่มีแต่ทำให้ชาล็อต อาเรียโกรธยิ่งขึ้น


“พี่สาวก็เหมือนกับผู้ดูแลราชวงศ์เลย! พี่ไม่เคยลองทำความเข้าใจความรู้สึกของฉัน! ไม่ค่อยยอมฟังฉันอยู่เรื่อย-“


-นั่นก็เพราะคำขอของเธอมันไร้สาระ


“มันไม่ได้ไร้สาระ!”


-หยุดพูดทุกๆอย่างออกมา และใช้ความคิดให้มากขึ้น อาชญากรมักจะบอกว่าพวกเขาได้รับความไม่เป็นธรรม จะมีอาชญากรคนไหนที่พูดว่า ‘ใช่แล้ว! ฉันเป็นคนทำ!’? แต่เธอกลับเชื่ออาชญากร แล้วเอาแต่พูดว่า ‘มันไม่ใช่เรื่องไร้สาระ!’ มันไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอกำลังจะทำให้ผู้ดูแลราชวงศ์คลั่ง


“อย่ามาล้อเลียนฉันนะ! ฉันไม่เคยพูดอะไรแบบนั้น!”


-ฟู่วว


เทเรซ่ารู้สึกว่ายิ่งพูดกับชาล็อต อาเรียก็ยิ่งเสียเวลาเปล่า แต่ว่าเธอก็ยังพูดสิ่งที่คิดออกมาอย่างใจกว้าง


-เธออยากจะให้ฉันลองเดาดูไหมล่ะ? เธออยากที่จะเก็บถังขี้นั่นไว้กับเธอถูกไหม?


“อย่าเรียกเธอแบบนั้นนะ! เธอมีชื่อ!”


ชาล็อต อาเรียได้ตะโกนออกมาด้วยอารมณ์โกรธ แต่เทเรซ่าก็ยังพูดต่อ


-เธอไม่สนหรอกว่าถังขี้นั่นจะถูกหรือผิด เธอจะปิดหูปิดตา และปิดปากแค่เพราะเธอไม่อยากจะเชื่อ


ชาล็อต อาเรียที่กำลังจะแผดเสียงร้องได้ผงะไปเล็กน้อย


-‘แต่ราชินี~ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดเลย~’ เธอถูกคำพูดไร้สาระพวกนี้ทำให้สั่นคลอนทั้งๆที่มีหลักฐานอยู่ทุกอย่างแล้ว


“ฮึ่ม… แล้วนี่พี่สาวจะบอกว่าทั้งหมดเป็นความผิดของฉันหรอ? ฉันเป็นราชินีนะ แต่ว่าฉันควรที่จะเอาแต่ทำตามที่ซอกกูนีร์พูดงั้นหรอ?”


-โอ้ ขอล่ะ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าราชินีเป็นยังไง


เทเรซ่าได้ก้มหน้าลง เธอได้ถอนหายใจยาวจนชาล็อต อาเรียได้ยินอย่างชัดเจน จากนั้นเธอก็ยิ้มเยาะออกมา


-ฉันจะพูดแบบนี้ไปเพื่ออะไรกันนะ? จะยังไงเธอก็เอาแต่เลือกสิ่งที่อยากจะได้ยิน และเห็นอยู่แล้ว


“อีกแล้วนะ!”


-ฉันมั่นใจเลยว่ากษัตริย์องค์กรคงกำลังเศร้าหมองอยู่แน่ พี่ชายทั้งสองคนของเธอก็คงเป็นเหมือนกัน เธอควรจะละอายใจบ้างนะ


ในตอนนี้เองสีหน้าของชาล็อต อาเรียก็ได้เปลี่ยนแปลงไป เธอเกลียดการเปรียบเทียบกับครอบครัวของเธอที่สุด


“กึก!”


เธออยากจะเถียง แต่เธอก็พูดไม่ออก ใบหน้าของเธอได้แดงขึ้นพร้อมๆกับที่ดวงตาของเทเรซ่ามีประกายขึ้น


-ทำไมล่ะ? ฉันพูดผิดงั้นหรอ?


“พี่สาวพูดผิด!”


-ถ้างั้นก็แสดงให้ฉันเห็นสิ


ชาล็อต อาเรียได้ขมวดคิ้วขึ้น


-ใช่แล้ว ซอกกูนีร์ไม่ได้ถูกอยู่ตลอด เขาอาจจะเข้าใจผิดอย่างที่เธอพูดจริงๆก็ได้


“ใช่แล้ว! นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันอยากจะบอก”


-หากว่าเธออยากจะโน้มน้าวฉัน หรือใครก็ตาม อย่างน้อยก็ต้องมีหลักฐาน


“?”


-ไปตัดสินด้วยตาตัวเอง ‘ฉันได้เห็น และได้ยินด้วยตาตัวเองแล้ว นี่คือสิ่งที่เป็นอยู่ เพราะงั้นฉันคิดว่าการทำแบบนี้มันจะดีกว่า’ หากว่าเธอมีเหตุผลแบบนี้ เธอคิดหรอว่าซอกกูนีร์จะยังคงเอาแต่พูดิ่งเดิมๆ? เธอไม่คิดงั้นหรอ?


“…แล้วถ้าเขายังพูดเรื่องเดิมอยู่ล่ะ?”


ชาล็อต อาเรียได้ค่อยๆถามออกมา เทเรซ่าได้ขมวดคิ้วอย่างหนัก


-แค่ลองทำดูก่อน


พรึบ! แสงบนคริสตัลได้ดับลงไป เทเรซ่าได้ตัดสายไปแล้ว


“พี่สาว? พี่สาว!”


ชาล็อต อาเรียได้รีบหยิบคริสตัลสื่อสารขึ้นมา เธอได้ใส่มานาเข้าไปอีกครั้ง แต่ว่าก็ไม่มีการตอบรับกลับมา


มันชัดเจนว่าเทเรซ่าตั้งใจที่จะไม่รับสาย


“ฟู่วววว!”


ชาล็อต อาเรียที่ไม่อาจจะระบายอะไรออกไปได้อีกก็ได้แต่กลิ้งไปมาอยู่แต่บนเตียงของเธอ เธอได้ระบายความโกรธอยู่กับตัวเอง และพยายามจะทำตัวใจเย็น แต่ว่าคำพูดของเทเรซ่าก็ยังคงกวนใจเธออยู่ดี


ต่อให้เป็นเรื่องโกหกมันก็จะดูเหมือนเรื่องจริงได้หากมีคนพูดเหมือนกันมากพอ


ไม่ใช่แค่ซอกกูนีร์ที่อยู่กับเธอมานาเท่านั้น แม้กระทั่งเทเรซ่าที่เป็นเหมือนกับพี่สาวของเธอก็ยังพูดแบบเดียวกัน ในตอนนี้ชาล็อต อาเรียกำลังรู้สึกซับซ้อนอยู่


ในอีกด้านหนึ่งความสงสัยได้เริ่มเบ่งบานขึ้นจากในตัวของเธอ


‘ที่รัก?’


แม้ว่านี่จะเป็นการพูดนอกเรื่อง แต่เทเรซ่าเป็นคนที่ช่างเลือกคู่ครองของตัวเองเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งพี่ชายของเธอทั้งสองคนที่ชาล็อต อาเรียชื่นชนก็ยังถูกเทเรซ่าประเมินแค่ว่า ‘งั้นๆ’


ถึงมันจะเป็นแค่ความทรงจำจากในวัยเด็ก แต่เมื่อไหร่ก็ตามเมื่อไหร่ที่พวกเธอสองคนอยู่ด้วยกัน เทเรซ่าก็มักจะบอกเธอเสมอว่าจะเลือกคู่ครองด้วยตัวเอง และเลือกที่จะหนีจากราชวงศ์มากกว่าการต้องยอมแต่งงานทางการเมือง


มีความสามารถ ชื่อเสียง วีรบุรุษ จิตใจดี รูปหล่อ และมีความคิด หากว่าขาดไปสักอย่าง เทเรซ่าก็จะบอกว่าเธอจะไม่มีวันแต่งงานต่อให้ถูกเอามีดจ่อคอก็ตาม


นอกไปจากนี้คนๆนั้นยังเป็นชาวโลกที่เป็นที่ต้องการของอีกหกราชวงศ์อีกด้วย


‘ฉันคิดว่าฉันเคยได้ยินข่าวลือมาก่อน…’


ไม่ว่าจะยังไงจากสิ่งที่เทเรซ่าได้พูดเกี่ยวกับซอลจีฮูให้ฟังก็ได้ทำให้ชาล็อตอาเรียไม่อาจจะเก็บความสงสัยเอาไว้ได้


[แค่ลองดูก่อน]


“…ฮึ่ม”


เมื่อนึกถึงเทเรซ่า ความรู้สึกต่อต้านที่เธอจัดการหยุดเอาไว้ก็พุ่งขึ้นอีกครั้งจนทำให้ชาล็อต อาเรียหน้ามุ๋ยขึ้นมา


‘พี่สาวคิดว่าฉันทำไม่ได้งั้นหรอ!? ก็ได้ ฉันจะไปตัดสินด้วยตาตัวเอง!’


ชาล็อต อาเรียได้บังคับร่างกายตัวเองให้ลุกขึ้นด้วยจากทั้งความรู้สึกต่อต้าน และความสงสัย จากนั้นเธอก็นึกอะไรขึ้นได้ และครุ่นคิดกับตัวเอง


‘เดี๋ยวก่อนนะ หากฉันบอกซอกกูนีร์ก่อนจะไป เขาก็อาจจะแสดงแค่ด้านดีออกมาให้เห็น…’


ธาตุแท้ของคนเราจะแสดงออกมาในตอนที่พวกเขาเปลือยเปล่าเท่านั้น ทันใดนั้นเธอก็คิดขึ้นได้ว่า ‘ฉันควรจะแอบออกไป?’


ไม่นานนักความลังเลของชาล็อต อาเรียก็หายไป และมุมปากของเธอก็ยกขึ้น


ในตอนนี้เธอต้องลงมือทำอะไรบางอย่างแล้ว


ด้วยเหตุผลบางอย่างก็ได้ทำให้เธอเริ่มสนุกขึ้นมา


***


เฮ้อ ซอลจีฮูได้ถอนหายใจยาวออกมาหลัจากพลิกกระดาษเอกสารหน้าสุดท้าย


รายงานที่ยุนซอฮุยทิ้งเอาไว้เป็นของขวัญ มันมีความหนามากพอๆกับข้อมูลมหาศาลที่ถูกเขียนไว้ภายใน


เริ่มต้นจากชีวิตของชาล็อต อาเรียไปจนขึ้นการเข้ามาของจองซู ทุกอย่างถูกบันทึกเอาไว้อย่างละเอียด


ซอลจีฮูได้แต่รู้สึกตกใจว่าซินยองไปหาข้อมูลจากเมื่อสิบปีก่อนได้ยังไงกัน


ไม่ว่าจะยังไงภายในรายงานก็มีข้อมูลถูกเขียนเอาไว้จำนวนมาก


‘แต่ว่าหากให้ต้องพูดถึงชาล็อต อาเรียออกมาด้วยหนึ่งประโยค…’


รายงานได้เขียนเอาไว้แบบนี้


-ราชินีอีวาเป็นโครตตัวตลก


และหากให้เขาเสริมเข้าไปอีกประโยค


-เป็นความลึกลับแบบไหนกันถึงได้ทำให้มีเด็กปัญญาอ่อนแบบนี้เกิดมา ทั้งๆที่บุตรคนแรกกับคนที่สองต่างก็โดดเด่น


ซอลจีฮูไม่ได้พูดเกินจริงเลย นี่มันเป็นสิ่งที่รายงานเขียนครอบคลุมเอาไว้อย่างชัดเจน


เขาสามารถจะบอกได้เลยว่าคนที่เขียนรายงานนี้รู้สึกตกตะลึงมากจนถึงขนาดเผลอแสดงความเห็นส่วนตัวลงไปเล็กน้อย


‘หากว่าผู้ปกครองแห่งอีวาไม่ใช่ชาล็อต อาเรีย แต่เป็นคนแบบกษัตริย์คนก่อน…’


ตามรายงานนี้พ่อของชาล็อต อาเรียเป็นนักเวทย์ทรงพลังที่มีฉายาว่า ‘จักรพรรดิสายฟ้า’


ซอลจีฮูอดที่จะคิดไม่ได้ว่ามันจะดีขนาดไหนกันหากว่ากษัตริย์คนก่อนยังคงมีชีวิตอยู่เหมือนกษัตริย์ฟีไฮ


‘ไม่ใช่ว่าฉันไม่เข้าใจถึงชะตากรรมอันน่าสงสารของเธอที่ต้องมาเจอเข้ากับสงครามตั้งแต่ยังเด็ก..’


แต่ว่าการอยู่ในจุดเดิมมากว่าสิบปีมันก็เกินไปอยู่ดี


มันง่ายมาก มีคนอย่างเทเรซ่า ฮัสเซย์ที่เลือกเผชิญหน้ากับความจริงและชักดาบออกมา แต่ว่าก็มีคนแบบชาล็อต อาเรียที่เลือกหลบหนีความจริง


ในท้ายที่สุดแล้วสมาชิกราชวงศ์ก็คือมนุษย์


มันไม่ใช่แค่ชาล็อต อาเรียเท่านั้น


‘คิมฮันนาห์พูดถูก’


หลังจากที่ได้อ่านเรื่องของจองซูแล้ว ซอลจีฮูก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้น เธอไม่ได้มีทักษะการต่อสู้หรือบริหารเหมือนอย่างคิมฮันนาห์เลย


การแสดง


เธอได้ใช้แค่การแสดงไต่เต้าขึ้นมาจนอยู่ในตำแหน่งปัจจุบัน แน่นอนว่าชาล็อต อเรียมีส่วนสำคัญในการทำให้คนอ่อนแอมาถึงจุดนี้ได้ แต่ว่าการจะคว้าโอกาสนั้นได้ต้องด้วยทักษะของตัวเอง


ขณะนั้นเองที่ซอลจีฮูกำลังคิดอยู่กับตัวเอง คริสตัลสื่อสารก็ส่องแสงขึ้นมา


ผู้ที่ติดต่อเข้ามาก็คือเทเรซ่า ฮัสเซย์


“เจ้าหญิง?”


-ฟุฟุ สบายดีไหม?


‘เธอติดต่อมาเรื่องอะไรงั้นหรอ?’


ซอลจีฮูได้พยายามเก็บความกังวลเอาไว้ในใจ และถามออกมา จากนั้นเมื่อเขาได้ยินคำอธิบายของเทเรซ่า เขาก็ต้องเบิกตากว้าง


“ว่ายังไงนะ?”


-ฉันคิดว่ามีโอกาสประมาณ 70 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ อย่างเร็วสุดก็วันนี้ อย่างช้าสุดก็พรุ่งนี้


เทเรซ่าได้หยักไหล่ออกมา


-เธอเป็นคนแบบนี้แหละ เธอน่ะมีปมด้อยอยู่นิดหน่อย ก็นะ ฉันเอาเรื่องครอบครัวเธอมาพูด แล้วก็พูดเรื่องโหดร้ายออกไป แต่ก็ต้องทำแบบนี้เท่านั้นเธอถึงจะยอมทำอะไรซะบ้าง


“…”


-พูดตามตรง นี่กำลังทำให้นายอารมณ์เสียใช่ไหมล่ะ?


เทเรซ่าได้ปิดปากหัวเราะออกมา


-ฉันเข้าใจ เธอเป็นคนที่ไม่รู้จักแยกแยะความแตกต่างระหว่างอุจาระกับปัสสาวะด้วยซ้ำไป


ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆออกมา หากจะบอกว่าเขาไม่เคยอารมณ์เสียเลยก็คงจะไม่จริง


จากมุมมองของราชวงศ์อีวาแล้ว ซอลจีฮูเป็นชาวโลกที่ได้สร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำเพื่อหวังรางวัล แต่ว่าเขาก็รู้สึกไม่ค่อยดีเมื่อได้ยินว่าราชินีเข้าข้างจองซู


-แต่ว่าปกติแล้วเธอก็ไม่ใช่เด็กไม่ดีหรอกนะ นี่มันเป็นจุดอ่อนของเธอ เมื่อไหร่ที่เธอเชื่อใจใคร เธอก็จะกลายเป็นผู้ให้ เธอจะกลายเป็นมิตรที่ไร้เงื่อนไขใดๆตามแต่ที่นายปฏิบัติต่อเธอ


ไม่ดีเลิศ ไม่ทุ่มเท แต่เป็นพันธมิตรที่ไร้ซึ่งเงื่อนไข


ซอลจีฮูได้ตัดสินใจเก็บคำแนะนำนี้เอาไว้ในใจ


-ไม่ว่าจะยังไงก็ลองคว้าโอกาสนี้เอาไว้นะ ด้วยเสน่ห์ของนาย ฉันมั่นใจว่านายจะต้องจับเธอเอาไว้ได้แน่


ซอลจีฮูได้มองเทเรซ่าด้วยสีหน้าแปลกๆ ตอนแรกเขาคิดว่าเธอจะโทรมาบ่นเขาเรื่องที่เขาไม่ค่อยติดต่อไปซะอีก


-อ่า หากฉันไม่ควรเข้าไปยุ่งก็ขอโทษด้วยนะ มันก็แค่รู้สึกอึดอัดเมื่อเห็นว่าทั้งๆแค่อีกไม่กี่ก้าวก็จะสำเร็จแล้ว แต่มันกลับชะงักไป…


แต่ว่ากลับไม่ใช่แบบนั้น กลับกันเลยเธอได้ช่วยเขาเป็นอย่างมาก


“ไม่เลยสักนิด ฉันก็รู้สึกอึดอัดเหมือนกัน ขอบคุณที่ช่วยนะเจ้าหญิง”


การสนับสนุนของเธอดีเทียบเท่ากับซอยูฮุยกับโฟลนเลย


‘เดี๋ยวก่อนนะ ยุนซอฮุยก็ด้วยสินะ?’


รายงานบนโต๊ะได้ดึงดูดสายตาเขาไป แต่จากนั้นเขาก็ส่ายหัวสลัดความคิดนี้ออกไป


หลังจากแสดงความขอบคุณกับเทเรซ่าแล้ว เขาก็ได้ลุกขึ้นยืน ในเมื่อเรื่องนี้มาถึงจุดเปลี่ยน เขาก็จะต้องคุยแผนกันกับคิมฮันนาห์


***


มีคนนับร้อยมารวมตัวกันอยู่ตรงหน้าสำนักงานคาเพเดี่ยมเหมือนอย่างเคย นี่เป็นการแจกจายอาหารอย่างอิสระเสรี


เนื่องจากว่าพันธมิตรอีวาล่มสลายไปแล้ว มันก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินแผนนี้ต่อไปก็ได้ แต่ว่าการหยุดในทันทีมันจะชัดเจนเกินไปทำให้คิมฮันนาห์ได้แนะนำให้พวกเขาทำการแจกอาหารต่อไปอีกประมาณสองสัปดาห์ และซอลจีฮูก็ตอบตกลงในทันที


มีคำกล่าวไว้ว่าหากนานเกินไปจะทำให้ผู้คนสับสนระหว่างความปรารถนาดีกับสิทธิพิเศษ แต่ว่าผู้คนในอีวาไม่ใช่แบบนั้น จริงๆแล้วความซาบซึ้งของพวกเขามีแต่จะเพิ่มขึ้นไปในทุกๆวัน


นี่มันก็เพราะว่าวัลฮาลาได้ยึดหนี้ของพันธมิตรอีวามาเป็นของตัวเองภายใต้หน้ากากของการชดเชยความเสียหาย และสร้างสัญญาใหม่ให้กับผู้คนด้วยเงื่อนไขที่สมเหตุสมผล


คิมฮันนาห์ได้จัดการเรื่องนี้เพื่อไม่ให้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นมาอีก ด้วยเหตุนี้ทำให้ประชาชนของอีวาเริ่มคิดกับวัลฮาลาว่าไม่ใช่แค่พวกเขาเป็นพันธมิตรกับราชวงศ์เท่านั้น แต่ยังเป็นองค์กรตัวแทนของทั้งพาราไดซ์อีกด้วย


ในวันนี้คิมฮันนาห์ก็ได้เฝ้าดูแลการแจกจ่ายอาหารเหมือนอย่างเคย


ซอลจีฮูที่เห็นเธอจากไกลๆได้เดินเข้าไปหา


“คิมฮันนาห์!”


“หืมมม? ทำไมนายมาที่นี่ล่ะ?”


“ฉันมีเรื่องด่วนที่ต้องคุยกับเธอ”


คิมฮันนาห์ได้หันกลับมามองด้วยสีหน้าสับสน จากนั้นเธอก็ขมวดคิ้วขึ้นมา


“อะไรล่ะ?”


“คือว่านะ…”


“ไม่หรอก ฉันเข้าใจ งั้นเธอกำลังจะเชิญตัวเราหรือไม่ก็มาเยี่ยมเราอย่างเป็นทางการใช่ไหม? หรือว่า-“


หลังจากหันหน้าไปมา…


“…”


คิมฮันนาห์ก็ต้องเงียบลงไปโดยไม่อาจจะพูดจบประโยคได้ เมื่อเธอได้จ้องไปที่จุดๆหนึ่ง ดวงตาเธอก็เบิกกว้างขึ้น


มันอดไม่ได้จริงๆ แม้ว่าจะมีมวลชนนับร้อยคนมารวมตัวกัน แต่ก็มีคนๆหนึ่งที่รูปลักษณ์และเสื้อผ้าโดดเด่นอยู่ท่ามกลางชาวบ้านธรรมดา


แน่นอนว่าเธอคงคิดว่าเธอซ่อนตัวและปลอมตัวได้อย่างแนบเนียนแล้ว แต่การปลอมตัวจอมปลอมแบบนี้ไม่อาจจะหลอกสายตาของคิมฮันนาห์ได้เลย


หากว่าคิมฮันนาห์ไม่เจอตัวเธอก็คงจะเป็นคนละเรื่อง แต่ว่าเมื่อเธอเจอตัวแล้ว เธอก็อดไม่ได้ที่จะต้องให้ความสนใจ


เมื่อพูดถึงเธอ ราชินีอีวาก็ได้มาแล้ว และตัดสินจากการที่เธอมาเพียงลำพังมันดูเหมือนกับว่าเธอจะแอบมา


คิมฮันนาห์ได้มองอยู่อย่างสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเธอนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่ซอลจีฮูบอกกับเธอ…


“…เฮ้”


คิมฮันนาห์ได้ลดสายตาลงต่ำในทันที สมองของเธอกำลังทำงานอย่างต่อเนื่องพร้อมกับพูดออกมาเบาๆ


“ตั้งใจฟังสิ่งที่ฉันจะพูดให้ดี”


ดวงตาของคิมฮันนาห์ได้เป็นประกายขึ้นเหมือนกับจิ้งจอกที่จ้องเหยื่อ


บทที่ 271 – แจ็คพ็อต (2)


เธอจะออกจากวังทั้งแบบนี้ไม่ได้ เมื่อเธอได้เปลี่ยนไปใส่ชุดของคนใช้ สวมฮูดคลุมหัว และทำให้ชุดตัวเองสกปรกสักหน่อยแล้ว ระหว่างแอบออกจากวังทางประตูหลัง หัวใจของเธอก็ได้เต้นแรงด้วยความตื่นเต้น


แต่ว่าในทันทีที่เธอเดินผ่านถนนหลัก และเข้ามาในตรอกที่ไม่คุ้น อารมณ์ของเธอก็ได้ดิ่งลงก้นโลกอย่างรวดเร็ว


หลังจากการตายของแคมเบล อาเรีย ชาล็อต อาเรียก็แทบไม่เคยออกมาจากวังอีกเลย


แม้ว่าเธอจะไม่ได้อยู่ในวังตลอดทั้งปี แต่ว่าเธอก็แค่ไปดูรอบๆวัง หรือไม่ก็เดินไปหาจองซูที่สำนักงานของอีวาเกลีนผ่านทางถนนหลักเท่านั้น


จองซูบอกว่าทุกๆอย่างปกติดี มันไม่มีอะไรที่แย่


ถึงแม้ว่าผู้คนจะยากจนจากสงคราม จองซูก็บอกว่าสถานการณ์ของอีวาดีกว่าเมืองอื่นๆ นี่คือสิ่งที่เธอถูกบอกมา


ดังนั้นเมื่อเธอได้เผชิญหน้ากับความจริงของอีวา ชาล็อต อาเรียก็กลายเป็นหมดคำพูดไป เธอตกตะลึง และไม่กล้าจะมองจนลืมหายใจไปเลย


ถนนทั้งสกปรก และมีกลิ่นเหม็นเน่า มีชาวบ้านนั่งนิ่งๆอยู่ตามมุมต่างๆ มีเด็กผอมเหลือแต่กระดูกกำลังรื้อถังขยะ และมีซากศพที่ถูกทับถมด้วยสิ่งสกปรกอยู่ในซอยหนึ่ง


เมื่อเห็นถึงภาพนี้ด้วยตาตัวเอง ม่านตาของชาล็อต อาเรียได้สั่นไหวอย่างรุนแรง


แม้กระทั่งกษัตริย์ก็ไม่อาจจะดูแลคนจนทั้งหมดได้ วัลลาฮาได้ทุ่มเงินจำนวนมหาศาลทุกๆวันเพื่อสนับสนุนมวลชน แต่ว่ามันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะช่วยทั้งอีวา


นี่เป็นภาพที่เกิดขึ้นหลังจากการหายไปของพันธมิตรอีวา และถนนก็ได้ดีขึ้นหน่อยจากการช่วยเหลือของวัลฮาลาแล้วด้วย


“อึก!”


ชาล็อต อาเรียรู้สึกคลื่นไส้ออกมาโดยไม่รู้ตัว หากว่าเธอได้เห็นภาพยามค่ำคืนเดียวกันกับที่ซอลจีฮูได้เห็นในคืนแรกที่มาอีกวา เธอก็อาจจะเป็นลมไปแล้วด้วยซ้ำไป


ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่ากำลังถูกหลายสายตาจ้องมองจากทุกๆทาง


“!”


ชาล็อต อาเรียที่ฝืนเงยหน้าขึ้นมาได้ผงะไป มีสายตาแปลกๆกำลังมองมาทางเธอ


ดวงตาที่หมดความหวังที่จะมีชีวิต ชาล็อต อาเรียที่รู้สึกได้ถึงความแค้นของพวกเขาได้รีบส่ายหัวออกมา


‘ไม่’


ที่นี่ไม่ใช่อีวา มันไม่ใช่เมืองที่ชาล็อต อาเรียรู้จัก ไม่สิ มันไม่ใช่เมืองที่เธอเคยได้ยินมา


ความตื่นเต้นในใจของเธอได้หายไปราวกับไม่เคยมีอยู่มาก่อน และถูกแทนที่ด้วยความหวาดหวั่นแทน ชาล็อต อาเรียได้รีบหันหน้าไปตามสัญชาตญาณของเธอ


‘ไม่!’


เธอได้ออกวิ่งไปตามถนนอย่างไร้จุดหมาย เธอรู้สึกเหมือนกับว่าหากเธอยังยืนอยู่ที่นี่ต่อ เธอก็คงจะได้เป็นลมไปแน่


และเพราะงั้นเธอต้องวิ่งหนีไป


แต่ว่าก่อนที่เธอจะได้หนีไปไกล ลมหายใจที่ขาดห้วงก็ได้หยุดเอาไว้ก่อน เมื่อเธอเห็นถนนสายหลักอีกครั้ง ขาของเธอก็หยุดลงเองโดยอัตโนมัติ


เธอที่ยืนพิงกำลังเพื่อพักหายไปได้ยินเสียงพึมพำดังออกมาจากไกลๆ เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น เธอก็ต้องเบิกตากว้าง


ตรงหน้าอาคารหรูหราได้มีผู้คนนับร้อยรวมตัวกันอยู่เหมือนฝูงมด ถนนได้เต็มไปด้วยชีวิตชีวาพร้อมเสียงดัง


ทุกๆคนต่างก็ยืนเรียงแถวกันเป็นระเบียน และเดินออกมาพร้อมกับกล่องในมือด้วยรอยยิ้มสดใส ดวงตาของพวกเขาไม่ได้ไร้ชีวิตเหมือนปลาตาย หากแต่เป็นพลังในการเดินหน้าต่อไป


การที่มันต่างกันถึงขนาดนี้


ภาพที่เธอเห็นก่อนหน้านี้กับภาพนี้มันต่างกันเกินไป จริงๆแล้วมันแทบจะทำให้เธอรู้สึกเหมือนอยู่กันคนละโลกเลยด้วยซ้ำ


ชาล็อค อาเรียได้มองดูภาพตรงหน้าด้วยความสับสน


“แบบนี้เราก็จะอยู่ไปได้อีกสัปดาห์หนึ่ง”


“หากว่ากินประหยัดหน่อยนายก็อยู่ได้ถึงสิบวัน”


ในตอนนั้นเองชายหนุ่มกับหญิงสาวที่ดูเหมือนชาวบ้านก็เดินมาทางชาล็อต อาเรีย


ชาล็อต อาเรียได้รีบก้มหน้าลง


“แต่ว่าการที่ของยังชีพถูกส่งมาจากราชินีนี่มัน ฉันไม่รู้สิ”


“ฉันก็ตกใจเหมือนกัน”


ชาล็อต อาเรียก็ยังตกตะลึงเหมือนกัน


“ฉันคิดว่าราชินีไม่ได้สนใจเราแล้วซะอีก มันดูเหมือนว่าท่านจะยังไม่ได้ลืมเรานะ”


“ฉันคิดว่ามันไม่ใช่แบบนั้นหรอก”


“นายหมายความว่ายังไง?”


“ฟังฉันนะ ในตอนที่อีวาเกลีนกับพันธมิตรอีวาปกครองอยู่ ราชินีไม่อาจจะทำอะไรได้ แต่ในตอนนี้วัลฮาลาอยู่ที่นี่แล้ว เธอจึงเริ่มกลับมาทำงานได้อีกครั้ง”


“งั้นนายจะบอกว่าไม่ใช่ว่าเธอลืม แต่เธอทำอะไรไม่ได้งั้นหรอ?”


“ใช่แล้ว อีวาเกลีนกับพันธมิตรอีวาคงจะกดดันให้ท่านอยู่เฉยๆ แต่ว่าในตอนนี้เรามีวัลฮาลาอยู่แล้ว”


ชาล็อต อาเรียได้ขมวดคิ้วขึ้นเมื่อเธอแอบฟังบทสนทนานี้ มันฟังดูเหมือนกับว่าวัลฮาลากำลังใส่ร้ายจองซู บางทีมันอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาแจกจ่างของยังชีพก็ได้


“ถูกแล้ว ยัยจองซูนั่นเอาแต่ปิดตาราชินีอยู่ตลอด”


“ชู่ววว ระวังคำพูดนายไว้ด้วย”


แต่ว่าเมื่อเธอได้ยินถึงคำต่อมา เธอก็ต้องสงสัยในสิ่งที่ได้ยิน


อยู่ตลอด? วัลฮาลาไม่ได้กระจายข่าวลือนี้ แต่ว่าพวกเขารู้เรื่องนี้มาตลอด?


“ทำไมล่ะ? มันก็เป็นความลับที่รู้กันดีอยุ่แล้วนี่”


“แต่ก็นะ…”


“ยังไงฉันก็มีสิทธิ์พูดนะ ฉันคิดว่าฉันไม่ควรจะว่าร้ายราชินีได้มากนักในเมื่อเธอไม่ได้รับรู้ถึงสถานการณ์”


“จองซูคนนี้ชั่วร้ายมาก เธอคิดว่าเราจะไม่รู้งั้นหรอหากว่าเธอใช้ราชินีเป็นแพะรับบาปน่ะ? ฉันสงสัยจริงๆว่าการได้ทำงานเบื้องหลังราชินีมันทำให้เธอร่ำรวยแค่ไหน?”


“เฮ้อ ฉันรู้สึกแย่แทนราชินีจริงๆเลย”


“ใช่ไหมล่ะ? โชคดีนะที่ในตอนนี้เรามีวัลฮาลาแล้ว…”


เสียงได้ค่อยๆเบาลงเมื่อทั้งคู่ได้เดินไปไกล


ชาล็อต อาเรียยังคงไม่อาจจะเงยหน้าขึ้นมาไม่ได้ ไม่สิ แค่คิดเธอยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ


เธอคิดว่าผู้ดูแลราชวงศ์ได้แต่งเรื่องขึ้น แต่นี่กระทั่วชาวบ้านธรรมดาของอีวาก็ยังพูดสิ่งเดียวกัน


ชาล็อต อาเรียไม่รู้เลย


‘จองซูบอกว่า…’


เมื่อสีหน้าของชาล็อต อาเรียได้กลายเป็นซับซ้อน


“พูดตามตลกแล้วองค์กรวัลฮาลานี่ก็น่าตลกเหมือนกันนะ”


น้ำเสียงจิกกัดได้ดังเข้าหูของเธอ คนทั้งสองคนกำลังสวมใส่ชุดคลุมนักบวชสีขาวอยู่ ตัดสินจากเครื่องแบบแล้ว พวกเขาดูเหมือนจะเป็นนักบวชที่มาจากวิหารลูซูเรียเพื่อเป็นอาสาสมัคร


“ตั้งแต่ที่พวกเขาทำแบบนี้มันก็หลายสัปดาห์แล้วนะ พวกเขามีเงินมากขนาดไหนกัน?”


“เอาเถอะ พวกเขาบอกว่ามันใกล้จะจบแล้วล่ะ มันชัดเจนมากว่าพวกเขาไม่เหลือเงินแล้ว”


“ฉันคิดว่าพวกเขากำลังพยายามเอาชนะใจสาธารณะชนนะ แต่พวกเขากลับโกหก และบอกว่าเป็นของยังชีพจากราชินี ฉันล่ะอยากรู้เหตุผลจริงๆ?”


“อ่า ฉันก็ได้ยินมาเหมือนกัน”


‘โกหก?’


พอมาคิดดูแล้ว ชาล็อต อาเรียก็ไม่เคยจำได้เลยว่ามีคำสั่งเรื่องการแจกจ่ายของยังชีพออกไป แม้ว่าซอกกูนีร์จะเคยขอร้องเข้ามาอยู่หลายครั้ง แต่ว่าจองซูก็จะปฏิเสธเนื่องจากปัญหาด้านงบประมาณ


ชาล็อต อาเรียได้สงสัยในสิ่งที่ได้ยินพร้อมทั้งแอบหันไปมอง นักบวชทั้งคู่ที่กำลังคุยกันอยู่ไม่ได้สนใจเธอเลยสักนิด


“ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมพวกเขาถึงได้ใช้เงินของตัวเองเพื่อราชินีกัน?”


“ไม่ใช่แค่นั้นนะ การพยายามกำจัดพันธมิตรอีวาออกไปมันได้อะไรกัน? มีใครรับรู้ถึงผลงานที่พวกเขาทำบ้างไหมล่ะ?”


“แน่สิ หากว่าราชินีฉลาดนะ เธอก็ควรที่จะเรียกตัวแทนวัลฮาลาไปชื่นชม แต่นี่เธอกลับแกล้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น!”


“ฉันไม่เข้าใจตั้งแต่แรกแล้วว่าพวกเขาจะมาที่อีวาทำไม ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนพวกเขาก็จะถูกดูแลเหมือนกับเป็นแขกคนพิเศษ ถ้างั้นแล้วทำไมต้องเป็นที่อีวา?”


ก่อนที่ความตกตะลึงเก่าจะได้หายไป ก็มีความตกตะลึงในเรื่องใหม่เข้ามาอีก เธอคิดว่าเทเรซ่าพูดเกินจริงไป แต่ชาวโลกพวกนี้ก็ยังพูดคำพูดในทำนองเดียวกันด้วย


“จองซูนี่ดีจังเลยนะที่ดึงตัวราชินีแบบนั้นมาเป็นพวกได้เร็ว ฉันล่ะอิจฉาจริง~”


“ใช่ ฉันก็อิจฉาเหมือนกัน~”


ยิ่งนักบวชทั้งสองคุยกันไปเท่าไหร่ สีหน้าของชาล็อต อาเรียก็ยิ่งมืดมนลงไป


***


การแจกจ่ายของยังชีพในวันนี้ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว ผู้คนทั้งหมดที่มารับของยังชีพได้จากไปหมดแล้ว และนักบวชที่มาเป็นอาสาสมัครก็ได้เริ่มกลับไปทีละคน ในตอนนี้บนถนนที่สะอาดเหลือคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นเอง


“ฮึมฮืมมม~ ฮึมฮึมมม~”


คิมฮันนาห์ได้ฮัมเพลงอย่างมีความสุขพร้อมกับทำความสะอาดพื้นที่ แน่นอนว่าเธอก็ไม่รีบแอบจับตามองที่ตรอกหนึ่งเป็นระยะ


หลังจากเดินเข้าไปใกล้ เมื่อเธอกำลังจะหันหลังกลับเธอก็ยืดหลังตรง เบิกตากว้างขึ้นราวกับมันเป็นเรื่องบังเอิญ


ดวงตาของทั้งคู่ได้สบกัน ชาล็อต อาเรียได้ผงะไปเหมือนกับถูกจับตัวได้


คิมฮันนาห์ได้มองเธออยู่สักพัก ไม่นานนักเธอก็ยิ้มหวานออกมาจากภายนอก


“หนูน้อย!”


ชาล็อต อาเรียได้ขมวดคิ้วขึ้น


‘หนูน้อย?’


เธอกำลังจะโมโห แต่แล้วเธอก็ต้องห้ามตัวเองเอาไว้หลังจากที่นึกขึ้นได้ถึงตำแหน่งในปัจจุบันของเธอ ชาล็อต อาเรียที่อยู่ตรงนี้ไม่ใช่ราชินี เธอกำลังปลอมตัวเป็นชาวบ้านธรรมดาอยู่


“ทำไมถึงมายืนตรงนี้ล่ะ? มานี่สิ!”


คิมฮันนาห์ได้ทำท่าทางให้เธอเดินมาข้างหน้า ชาล็อต อาเรียที่ไม่คิดว่าจะถูกพูดด้วยได้ทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา เธอพยายามจะหนีไป แต่ว่าคิมฮันนาห์ก็ไม่ปล่อยให้เธอได้ทำแบบนั้นง่ายๆ เธอได้จับแขนชาล็อต อาเรียเอาไว้ และดึงเธอเข้ามาหา


“มานี่สิ ทำไมต้องหนีด้วยล่ะ?”


“ปล่อยนะ”


“ไม่เป็นไรๆ เธอมาเอาของยังชีพใช่ไหมล่ะ?”


“ไม่นะ ไม่ใช่!”


ชาล็อต อาเรียได้บิดแขนพยายามหลบหนี แต่ว่ามันก็เปล่าประโยชน์ คิมฮันนาห์ได้ตะโกนขึ้นด้วยรอยยิ้มสดใส


“หัวหน้า! เรามีของยังชีพเหลืออยู่ไหม?”


“ของยังชีพงั้รหรอ? รอเดี๋ยวนะ!”


ซอลจีฮูที่กำลังพับกล่องได้ขยับตัวราวกับกำลังรออยู่แล้ว ต่อมาเขาก็ได้เดินมาพร้อมกล่องใบใหญ่


“เรามีเหลืออยู่กล่องหนึ่ง”


“เยี่ยมไปเลย ให้เด็กคนนี้หน่อยสิ”


“เข้าใจแล้ว รับไปสิ”


เมื่อซอลจีฮูยื่นกล่องมาให้กับชาล็อต อาเรีย เธอก็ได้รับกล่องมาโดยไม่รู้ตัว ไม่สิ เธอพยายามจะรับมา


“อึก!”


ตึง กล่องได้ตกลงไป นั่นก็เพราะแขนที่อ่อนแรงปวกเปียกของเธอได้ทำให้กล่องตกลง


“อ่า เธอไม่เป็นอะไรนะ? เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”


เมื่อซอลจีฮูได้ถามอย่างตกใจ ชาล็อต อาเรียก็ส่ายหัวอย่างแรก


“มะ ไม่เป็นไร”


“โอ้ อ่า นี่เธออยู่ที่ไหนหรอ? เดี๋ยวฉันจะช่วยยกกล่องไปที่บ้านให้เอง”


“มะ ไม่! ฉันไม่ต้องการ”


ชาล็อต อาเรียได้สะดุ้งขึ้นมา เธอได้ซ่อนตัวตนเอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว แต่ว่าตอนนี้เธอกำลังเสี่ยงจะถูกจับได้ เมื่อเห็นว่าคิมฮันนาห์กับซอลจีฮูกำลังจ้องมาที่เธอ เธอก็ผงะไปและรีบพูดต่อ


“ครอบครัวของฉันรับไปแล้ว… ฉันรับไปอีกไม่ได้”


“อ่อ แบบนี้นี่เอง…”


เมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้าใจสถานการณ์แล้ว ชาล็อต อาเรียก็แอบถอนหายใจโล่งอกออกมา จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่กำลังพยักหน้า


‘นี่คือเขาสินะ…’


ซอลจีฮูก็ยังมองลงมาที่ดวงตากลมโตของเด็กสาวผมบลอนด์ที่มัดเป็นทวินเทล


‘นี่ก็คือเธอ…’


ราชินีคนปัจจุบันของอีวา ชาล็อต อาเรีย


เธอตัวเตี้ยจนน่าตกใจ ดูแล้วน่าจะสูงไม่ถึง 155 ซม. ด้วยซ้ำไป เธอมีใบหน้าที่บอบบาง ผิวสีขาวซีดที่สะท้อนกับแสงอาทิตย์ และริมฝีปากสีชมพูอ่อน แม้ว่าลักษณะโดยรวมนี้จะทำให้เธอดูเหมือนเด็ก แต่ว่าร่างกายของเธอเป็นของผู้ใหญ่อย่างแน่นอน


นอกจากนี้เมื่อได้เห็นดวงตาสีน้ำเงินที่สงบนิ่งราวกับมหาสมุทร ซอลจีฮูก็รู้สึกเคารพเธอเองโดยไม่รู้ตัว


จริงๆแล้วเขาก็รู้สึกได้นับตั้งแต่ที่คิมฮันนาห์ลากเธอออกมาแล้ว แม้ว่าราชินีจะพยายามปลอมตัว แต่ว่าภาพลักษณ์และบรรยากาศรอบตัวเธอไม่อาจจะซ่อนไว้ได้


บางทีอาจจะเพราะเธอเป็นราชวงศ์ทำให้ทั้งท่วงท่าต่างๆ และการก้าวเท้าของเธอเต็มไปด้วยความสง่างาม


“คุณคือตัวแทนของวัลฮาลางั้นหรอ?”


จู่ๆชาล็อต อาเรียก็ถามออกมา


“ใช่แล้วล่ะ ฉันเอง”


ซอลจีฮูได้ยิ้มสดใสออกมา


“รู้จักฉันด้วยหรอ?”


“จะไม่รู้จักได้ยังไงล่ะ?”


น้ำเสียงของเธอดูจะค่อนข้างห้วนๆ


“ฉันได้ยินชื่อของคุณมาจากหลายที่เลย”


“โอ้?”


“แล้วคุณตั้งใจมาทำอะไรที่นี่กันล่ะ?”


ซอลจีฮูได้กระพริบตาออกมาอย่างสับสน การที่จู่ๆตั้งคำถามแบบนี้ออกมา…


“คุณหวังอะไร?”


ด้วยคำถามเหล่านี้ชาล็อต อาเรียก็กำลังประกาศเผยตัวตนของตัวเองออกมาแล้ว จะมีก็แต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ไม่รู้ทั้งๆที่เธอกำลังร้องออกมาว่า ‘ฉันคือคนพิเศษ!’ อย่างชัดเจน


ซอลจีฮูบอกไม่ได้ว่าเธอกำลังเผยตัวตนแบบอ้อมๆเพื่อใบ้ให้เขารู้ถึงตัวตนของเธอ หรือว่าเธอไม่ได้สนอะไรเลยกันแน่


แม้กระทั่งคิมฮันนาห์ก็ยังลำบากใจกับเรื่องนี้


ยังไงก็ตามซอลจีฮูเคยเป็นนักพนันมาก่อน เขาเคยมีประสบการณ์กับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงมานับไม่ถ้วน


“มีคำกล่าวเอาไว้ว่าเข้าเมืองตาหลิวต้องหลิวตาตาม”


“หืมม?”


ชาล็อต อาเรียได้เอียงหัวออกมา


“นี่คือเมืองอีวาใช่ไหมล่ะ?”


“อืมม”


ชาล็อต อาเรียได้พยักหน้าออกมาเหมือนลูกสุนัขเชื่องๆ ซอลจีฮูได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“ฉันไม่อาจจะทำอะไรที่ผิดกฎหมายได้ และฉันก็ยังทนไม่ได้ที่เห็นคนอื่นทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย การที่ผู้ชมไม่ยอมทำอะไรมันไม่ใช่อาชญากรรม แต่มันเป็นความอยุติธรรม”


“งะ งั้นหรอ?”


“มันก็เรียบง่าย ฉันอยู่ในอีวา เพราะงั้นตราบใดที่ฉันอยู่ในอีวาฉันก็จะทำตามกฎของอีวา และคนที่ตัดสินกฏของอีวาก็คือราชินี ฉันเพียงแค่ทำตามเจตจำนงของราชินีก็เท่านั้น”


หมายความว่าเขาไม่ได้มีแรงจูงใจซ่อนเร้นใดๆ


“หืมมม…”


แม้ว่าเธอจะไม่ได้เข้าใจทั้งหมด ชาล็อต อาเรียก็พยักหน้าออกมา มันดูเหมือนว่าเธอจะพอเข้าใจอะไรอยู่บ้าง


“ใช่แล้ว นี่คือเมืองอีวา เมื่ออยู่ในอีวาก็ต้องทำตามกฎของอีวา คุณพูดถูกแล้ว”


“ใช่ไหมล่ะ?”


ซอลจีฮูได้ถามออกมาด้วยรอยยิ้ม


“นี่พอจะตอบคำถามของเธอได้ไหม?”


“…ฉันยังมีอีกคำถาม”


“?”


“ฉันเข้าใจที่ว่าคุณตั้งใจจะทำตามกฎของอีวา… แต่ว่า…”


ชาล็อต อาเรียได้ลังเลอยู่นานก่อนจะพูดต่อ


“ราชินีของอีวา… จริงๆแล้วเธอไม่ได้สนใจกฎหรือเมืองเลยใช่ไหมล่ะ?”


ซอลจีฮูได้เงียบลงไป เขารู้ได้เลยว่าเขาไม่ควรจะรีบตอบคำถามนี้ออกไป


จากนั้นเองคิมฮันนาห์ก็งอนิ้วดีดลงบนหน้าผากของชาล็อต อาเรีย


“โอ๊ย!”


“เธอพูดว่ายังไงนะเจ้าหนู?”


“คุณกล้า?”


“ราชินีไม่ได้สนใจเมือง? ใครเป็นคนสอนให้เด็กอย่างเธอพูดแบบนี้?”


เมื่อคิมฮันนาห์แสดงสีหน้าไม่พอใจ ชาล็อต อาเรียก็ผงะไป


“ฉะ ฉันไม่ใช่เด็กน้อยนะ…”


เธอได้ลูบหน้าผากและหน้ามุ๋ยขึ้นมา คิมฮันนาห์ได้เท้าเอวและใช้มืออีกข้างชี้ไปที่กล่อง


“ราชินีไม่สนใจงั้นหรอ? เธอพูดแบบนั้นได้ยังไง? เธอรู้ไหมว่าราชินีเป็นคนส่งของยังชีพน่ะ?”


“กะ โกหก นั่นมันเป็นเรื่องโกหก”


“โอ้? แล้วใครกันที่บอกว่านี่เป็นเรื่องโกหกน่ะ?”


“มีคนบอกเอาไว้ว่าราชินีอีวาเป็นยัยโง่”


ชาล็อต อาเรียได้เบะปากออกมาแล้ว


“พวกเขาบอกว่าเธอเป็นหุ่นเชิดที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย!”


ซอลจีฮูแทบจะห้ามตัวเองไม่ให้พูดไปว่า ‘ใช่แล้ว เธอพูดถูก’ ไม่ไหว


เขาไม่คิดเลยว่าเธอจะดูถูกตัวเอง จากสีหน้าแล้วเธอดูจะค่อนข้างสิ้นหวัง


‘พวกเธอได้พูดอะไรไปกันนะ?’


เนื่องจากว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน คิมฮันนาห์จึงเรียกตัวมาเรียกับฟีโซรามา พวกเธอได้พูดอะไรโหดร้ายไปกันแน่ถึงได้ทำให้ชาล็อต อาเรียหดหู่ใจแบบนี้? เธอเหมือนกับลูกสุนัขที่ยืนเปียกโชกท่ามกลางสายฝน


พูดตามตรงสีหน้าของเธอได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเธออยากได้รับคำตอบแบบไหน จนมาถึงตอนนี้การกระทำของคิมฮันนาห์คงต้องเป็นแนวทางให้กับคำตอบของเขา


ซอลจีฮูได้ตอบกลับมาอย่างอ่อนโยน


“ไม่หรอก ราชินีเป็นคนที่ยอดเยี่ยม”


“คุณเคยเจอราชินีหรอ?”


ซอลจีฮูได้ผงะไปกับคำถามนี้ เขาคิดว่าเธอจะหัวเราะเยาะเมื่อเขาชมเธอ แต่ว่าความเจ็บปวดของเธอมันน่าจะไม่ใช่น้อยๆเลย


‘แทนที่จะเข้าข้างเธอ…’


นี่เป็นโอกาสสำคัญอย่างที่คิมฮันนาห์พูด แทนที่จะใช้การคุยเรื่อยเปื่อยทำให้เสียโอกาสนี้ไป เขาจะต้องสร้างคุณค่าให้กับวัลฮาลา


“…ไม่หรอก น่าเสียดายที่ฉันยังไม่มีโอกาสได้เจอเธอเลย”


ชาล็อต อาเรียได้มองขึ้นมาที่ซอลจีฮูด้วยสีหน้าเป็นกังวล


“แต่ฉันก็คิดว่าเธอน่าจะเป็นคนที่ยอดเยี่ยม”


“ทำไมล่ะ? คุณยังไม่เคยเจอ-“


ซอลจีฮูได้ตัดสินใจที่จะลองเสี่ยงดูตรงนี้


“นั่นก็เพราะว่าราชินีเป็นคนของตระกูลอาเรียที่ปกครองอีวา”


ชาล็อต อาเรียได้เบิกตากว้างขึ้นเพราะคิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องของตระกูลมาเกี่ยวข้อง


“คุณรู้จักตระกูลอาเรียด้วยหรอ?”


“แน่นอนสิว่าผมต้องรู้จัก”


ซอลจีฮูได้พูดต่อราวกับรอเวลานี้อยู่


“เริ่มจากจักรพรรดิสายฟ้าที่มีความชำนาญในเวทมนต์สายฟ้าไปจนถึงบุตรคนแรกโซล อาเรีย…”


ซอลจีฮูได้พูดทุกๆอย่างที่รู้เกี่ยวกับตระกูลราชวงศ์ออกมา คุณค่าของของขวัญที่ยุนซอฮุยได้ให้เขาไว้กำลังแสดงคุณค่าของมันออกมา


“แล้วก็ยังมีองค์ชายแคมเบล อาเรียที่ไม่ยอมแพ้ และปกป้องเมืองจนวาระสุดท้าย! พวกเขาเหล่านั้นต่างก็เป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำเพื่อพาราไดซ์กันทั้งนั้น”


“ใช่แล้ว คุณพูดถูก”


ชาล็อต อาเรียได้พยักหน้าอย่างกระตือรือร้นราวกับว่าเธอไม่เคยหดหู่มาก่อนเลย เทเรซ่าบอกว่าเธอมีปมด้อยอยู่หน่อย แต่ว่าตัดสินจากการมีความสุขกับแค่คำชมแบบนี้ มันก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้เกลียดในครอบครัวของเธอ


“เพราะงั้นราชินีชาล็อต อาเรียก็ต้องเป็นเจ้าเมืองที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน หลักฐานก็คือการที่เธอยังกลับลุกกขึ้นยืนได้ท่ามกลางสงครามทั้งๆที่ไม่มีใครคอยช่วยเหลือเธอ! ต่อให้ฉันจะไม่เคยเจอเธอมาก่อน แต่นี่ก็คือสิ่งที่ฉันคิด”


หากว่าซอกกูนีร์มาได้ยินเรื่องนี้ เขาก็คงจะร้องลั่นแน่ว่า ‘นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน!?’ ยังไงก็ตามร่างกายของชาล็อต อาเรียได้บิดไปมาแล้ว


“คุณคิดแบบนั้นจริงๆหรอ?”


“แน่นอนสิ นี่ก็คือเหตุผลที่ผมมาที่อีวา”


ดวงตาของชาล็อต อาเรียได้เป็นประกาย


“คุณมาที่อีวาก็เพราะคุณเชื่อในราชวงศ์อาเรีย?”


“ใช่แล้ว”


“จริงๆหรอ? มันเป็นเรื่องจริงใช่ไหม?”


“แน่นอนสิว่ามันเป็นเรื่องจริง”


สีหน้าของชาล็อต อาเรียได้สดใสขึ้นมา


“อ่อ นี่คือเหตุผลสินะ… อืมมม ฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณที่ตอบคำถามนะ”


เธอได้ประสานมือเข้าด้วยกัน และมองขึ้นมาที่ซอลจีฮู


“คุณชื่ออะไร?”


เธอได้พูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง และแก้มที่แดงเล็กน้อย


“ฉันชื่อซอลจีฮู


“ซอลจีฮู ซอลจีฮู”


ชาล็อต อาเรียได้ยิ้มอย่างไร้เดียงสา


“เข้าใจแล้ว ซอลจีฮู ฉันจะจำชื่อของนายเอาไว้!”


จากนั้นเธอก็หันหลังวิ่งหายไปในเส้นทางมุ่งสู่วัง


“อ่า!”


ซอลจีฮูพยายามจะหยุดชาล็อต อาเรียเอาไว้ แต่ว่าเขาก็ยื่นมือออกไปไม่ได้ นั่นก็เพราะคิมฮันนาห์ได้หยุดเขาไว้ก่อน จากท่าทีที่ขยิบตาให้เขา มันดูเหมือนว่าเขาจะทำงานสำเร็จอย่างดีเยี่ยม


จนกระทั่งเมื่อชาล็อต อาเรียได้หายลับสายตาไป คิมฮันนาห์ก็ยิ้ม และลูบก้นของซอลจีฮู


“ว้าว~ เด็กดี ทำได้เยี่ยมมาก ฉันประทับใจมากเลยที่นายพูดถึงเรื่องกฎกับราชวงศ์”


“ฉันไม่มั่นใจเลยว่าจะโอเคไหม?”


ซอลจีฮูได้เม้มปากออกมาด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับเขาไปล้อเล่นกับความไร้เดียวสาของเด็กสาว คิมฮันนาห์ได้หยักไหล่ออกมา


“ก็แน่นอนสิ เราก็ไม่ได้คิดร้ายอะไรกับราชินีนี่นา เราก็แค่จะจัดการวายร้ายที่ชื่อจองซูเท่านั้นเอง”


“เอาเถอะนะ แล้วแผนต่อไปคืออะไรล่ะ?”


“โอ้ แผนต่อไปงั้นหรอ? ฟุฟุฟุ”


คิมฮันนาห์ได้หัวเราะก่อนจะแลบลิ้นออกมา เมื่อเห็นแบบนี้แล้วซอลจีฮูก็รู้ได้ว่าการเจอกันเล็กๆนี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น


ช่วงสำคัญมันยังคงมาไม่ถึง


***


ในทันทีที่กลับถึงวัง ชาล็อต อาเรียก็ได้เรียกตัวซอกกูนีร์เข้ามาพบ ซอกกูนีร์ที่จำแทบไม่ได้แล้วว่าราชินีได้เรียกเขาพบครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ จนทำให้เขารีบกดความกังวล และเข้าไปที่ท้องพระโรงทันที


“ผู้ดูแลราชวงศ์กูนีย์ ในช่วงนี้ได้มีของยังชีพถูกส่งออกไปในนามของราชวงศ์บ้างไหม?”


“?”


“ทำไมถึงมองฉันแบบนั้น? ฉันพึ่งจะถามคุณนะ?”


“…มะ ไม่ครับ ราชวงศ์ไม่ได้ส่งของยังชีพออกไปเลย”


“เข้าใจแล้ว”


ชาล็อต อาเรียได้พยักหน้าออกมา


“จากการหายไปของพันธมิตรอีวา การดูแลพื้นที่ต่างๆของเมืองคงจะหละหลวมอยู่ มันเป็นแบบนี้หรือไม่?”


“ว่ายังไงนะครับ?”


เนื่องจากว่าเธอเพิ่งจะกลับมาจากการตรวจสอบเมือง ชาล็อต อาเรียจึงใช้โอกาสนี้เพื่อรับมีกับทัศนคติ


“นี่คุณไม่รู้งั้นหรอ? ฮึ่ม คนที่ไม่ได้สนใจเรื่องของเมืองมาถูกเรียกว่าผู้ดูแลราชวงศ์ได้ยังไงกัน?”


“ว่ายังไงนะครับ?”


“ลองคิดดูสิ องค์กรที่ชื่อว่าวัลฮาลานั่นน่ะ”


“ว่ายังไงนะครับ?”


“ฉันได้ไปตัดสินด้วยตาและหูของตัวเองมาแล้ว และนั่นเป็นคนองค์กรที่ค่อนข้างยอดเยี่ยม”


“ว่ายังไงนะครับ?”


“ความเข้าใจผิดก็คือเรื่องความเข้าใจผิด แต่ว่าผลงานก็คือผลงาน นอกไปจากนี้ชาวโลกที่ชื่อว่าซอลจีฮูก็เป็นคนที่น่าไว้วางใจมากๆ เขามีบุคลิกที่ดูมีศักยภาพและยอดเยี่ยมมาก คุณพูดถูก”


“ว่ายังไงนะครับ?”


ซอกกูนีร์ได้กระพริบตาอย่างสับสนราวกับว่าเขาสมองตายไปแล้ว ชาล็อต อาเรียได้หน้าบึ้งออกมา


“คุณจะถามซ้ำอะไรขนาดนั้น? นี่คุณหูหนวกงั้นหรอ?”


ซอกกูนีร์ได้แตะหู และลูบตาของเขา เขาถึงขนาดส่ายหัวออกมาอย่างรุนแรงราวกับมันยังคงไม่พอ


“ฉันจะไม่พูดซ้ำแล้วนะ เชิญตัวแทนของวัลฮาลามา ฉันจะเชิญตัวเขามาภายใต้ชื่อของฉัน และมอบรางวัลให้กับผลงานของเขา”


ซอกกูนีร์ได้อ้าปากค้างราวกับโลกได้แตกเป็นเสี่ยงๆไป


นี่เขากำลังฝันอยู่งั้นหรอ? หรือว่าจู่ๆเขาก็ถูกฟ้าผ่ากลางแจ้ง?


ไม่ว่าจะแบบไหนคำตอบก็คือ


“ครับองค์ราชินี!”


ซอกกูนีร์ได้รีบโค้งคำนับออกมา


“ข้ารับใช้ผู้ต่ำต้อยคนนี้จะขอปฏิบัติตามคำสั่งของท่าน!”


***


ในคืนนั้นราชวงศ์ก็ได้ติดต่อหาวัลฮาลาเพื่อขอให้พวกเขาไปเข้าวังตอนเช้าวันรุ่งขึ้น


“กรอด เธอคงจะรู้ตัวแล้ว”


“ก็มีแค่คนไร้สมองเท่านั้นแหละที่ยังจะไม่รู้ตัวหากเราพูดไปถึงขนาดนั้น”


ฟีโซรากับมาเรียได้หัวเราะออกมาขณะที่ชมในทักษะการแสดงของพวกเธอเอง


ซอลจีฮูได้นั่งคุยเรื่องช่วงสำคัญกับคิมฮันนาห์ก่อนที่จะลากร่างกายอันเหนื่อยล้ากลับไปนอน และเมื่อเขาลืมตาขึ้นมา…


“…”


เขาได้เห็นกับภาพที่ไม่คุ้น


ซอลจีฮูกำลังนอนอยู่ท่ามกลางสวนอันงดงามที่เต็มไปด้วยกรีบดอกไม้ลอยอยู่ เขารู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในความฝัน


‘นี่คือ…’


เมื่อเขายกตัวขึ้นมาด้วยสีหน้าสับสน


“คุณซอลจีฮู!!!”


ไกลออกไปเขาได้ยินเสียงคนเรียกเขา เมื่อหันไปมอง เขาก็เห็นคนๆหนึ่งที่สวมใส่ชุดโกธิคโลลิสีดำกำลังวิ่งเข้ามา


เธอได้หยุดชะงักก่อนที่จะโดดพุ่งกอดซอลจีฮู เพราะแบบนี้ทำให้ซอลจีฮูต้องล้มลงไปนอนอีกครั้ง


เมื่อมองขึ้นมาอย่างสับสนเขาก็มองเห็นเด็กสาวผมสีน้ำเงินที่ถูกปัดไปข้างหลังอย่างเรียบร้อยนั่งทับเขาเอาไว้อยู่


“อ่า”


ซอลจีฮูได้อ้าปากกว้างออกมา เขาก็คิดว่าเธอดูคุ้นๆ และในตอนนี้เขาก็นึกออกแล้ว


โรเซร่า ลา กราเซีย แม่มดแห่งความฝันจากเจดีย์แห่งความฝัน


‘เดี๋ยวนะ’


ได้ยังไง? ทำไมล่ะ?


ซอลจีฮูได้นอนหลับลงไปในห้องที่อยู่ในสำนักงานวัลฮาลาโดยที่คิดว่าในที่สุดเขาก็จะได้กลายเป็นราชาแห่งอีวาแล้วในวันรุ่งขึ้น


แล้วทำไมจู่ๆเขามาตื่นที่นี่ล่ะ?


ซอลจีฮูได้มองไปรอบตัวอย่างลนลาน ยังไงก็ตามโรเซร่ากลับพูดสิ่งที่คิดออกมาด้วยความตื่นเต้นยิ่งกว่า


“คุณบอกว่ามันจะต้องใช้เวลานาน! ใจร้าย~!”


อย่างคำกล่างที่ว่าชีวิตมักจะเต็มไปด้วยเรื่องน่าตกใจอยู่เสมอ


“ใครจะไปคิดว่าคุณจะรักษาสัญญาเร็วแบบนี้ หญิงสาวอับจนคนนี้จะตอบแทนบุญคุณนี้อย่างไร้ดีนะ?”


แต่วลีที่ว่า ‘เต็มไปด้วยเรื่องน่าตกใจ’…


“แค่พรสวรรค์เหนือกว่าค่าเฉลี่ยหน่อยฉันก็พอใจแล้ว แต่ดูที่คุณทำสิ การที่ยังมีคนแบบนี้รอดอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยไฟสงคราม… ฉันประทับใจมากจริงๆ”


…ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเรื่องแย่เสมอไป


“ได้โปรดอย่าปฏิเสธเลย ในวันนี้ฉันรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน”


ท่ามกลางเรื่องน่าตกใจก็มีหลายครั้งที่จะนำไปสู่เรื่องดีด้วยความบังเอิญ หรือผิดคาดอยู่เสมอ


“ฉันมีความสุขมากจริงๆ สมาชิกของตระกูลอาเรียมีชื่อเสียงในเรื่องเวทมนต์สายเลือดที่เฉพาะทางในด้านสายฟ้า และฟ้าผ่า ในตัวของเธอคงนั้นก็มีสายเลือดอันทรงพลังจนน่ากลัวนี้อยู่ด้วยเช่นกัน…”


และในบรรดาสิ่งเหล่านี้…


“ฉันมั่นใจว่าเธอจะต้องสามารถรับมือกับแสงนิรันดร์แห่งปัญญาได้แน่นอน!”


สิ่งที่เรียกว่าแจ็ตพ็อตมันจะโผล่ออกมาเป็นครั้งคราว


บทที่ 272 – ผู้กอบกู้แห่งอีวา (1)


เขาได้กระพริบตาอย่างโง่งมอยู่นานก่อนที่จะได้ยินคำอธิบายจากโรเซร่า และในที่สุดก็เข้าใจสถานการณ์แล้ว


แต่ว่านั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขารู้สึกอึดอัดเลยสักนิด


“นักเวทย์? ราชินีคนนั้นน่ะหรอ?”


“ใช่แล้วล่ะ! เธอมีคุณสมบัติที่จะกลายเป็นนักเวทย์ที่ทรงพลังได้! แค่ในแง่พรสวรรค์เธอก็มีล้นเหลือแล้ว”


ใบหน้าของซอลจีฮูได้มีประกายความสงสัยขึ้นมา ชาล็อต อาเรียเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องคนโง่เขลา และเกลียดคร้าน กลับมีคุณสมบัติที่จะกลายเป็นนักเวทย์ที่มีชาวโลกเพียงส่วนน้อยมากๆที่เป็นได้งั้นหรอ?


นี่มันค่อนข้างยากจะเชื่อได้เลย


“ดูเหมือนว่าคุณจะเข้าใจอะไรผิดอยู่หน่อยนะ”


โรเซร่าได้ยิ้มสดใสออกมา


“การเป็นคนมีพรสวรรค์ไม่ได้หมายความว่าจะฉลาดหรือมีสติปัญญาที่ดีอะไร นอกจากนี้มันยังไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการกระทำตามปกติด้วย”


ซอลจีฮูได้ผงะไปเมื่อความคิดของเขาถูกอ่านออกมา แต่ว่าเขาก็ยอมรับได้อย่างรวดเร็ว เขายังจำได้ดีถึงความสามารถในการอ่านใจของโรเซร่า


“พรสวรรค์มันหมายถึงความถนัดแต่กำเนิด และความสามารถที่จำเป็นในการทำบางอย่างให้สำเร็จ หากให้จำกัดความล่ะก็ความถนัด และความสามารถที่จำเป็นสำหรับการกลายเป็นนักเวทย์นั่นก็คือแค่มานา”


ซอลจีฮูได้พยักหน้าออกมาโดยไม่รู้ตัว พอมาคิดดูแล้ว แม้กระทั่งชาวโลกเงื่อนไขแรกในการเป็นนักเวทย์ก็คือระดับมานา


“มานาแต่กำเนิดที่มหาศาล แน่นอนว่ามันก็มีข้อยกเว้น และฉันก็ไม่ได้จะบอกว่าคนที่พยายามสร้างรากฐานของตัวเองทั้งชีวิตมันแย่หรอกนะ มันก็แค่ว่าสายเลือดมันมีบทบาทสำคัญในการกำหนดมานาของคนๆหนึ่ง”


นั่นมันหมายความว่าชาล็อต อาเรียมีพรสวรรค์แต่กำเนิด


ความจริงแล้วซอลจีฮูก็ค่อนข้างจะคล้ายคลึงกัน ถึงมานาโดยกำนิดของเขาจะสูงมาก แต่นั่นไม่ใช่เพราะสายเลือด เขาได้ผ่านการฝึกมานาโดยไม่รู้ตัวตั้งแต่ที่ยังเล็กเพราะเขาเกิดมาพร้อมกับนพเนตร เขาเป็นหนึ่งในข้อยกเว้นที่โรเซร่าหมายถึงอย่างแน่นอน


ซอลจีฮูได้เม้มปากออกมา


“ถึงผมจะไม่ค่อยเข้าใจ… แต่ว่าหากเธอมีมานามากขนาดนั้นล่ะก็ ถ้างั้นทำไมเธอถึงไม่ถูกฝึกตั้งแต่ยังเด็กล่ะ?”


“คำถามนี่คงมาจากการที่คุณไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับพาราไดซ์สินะ”


โรเซร่าได้ตอบกลับมาอย่างหนักแน่น


“พาราไดซ์เป็นที่ที่มีการแบ่งสถานะชนชั้นกันอย่างเคร่งครัด ต่อให้จะเป็นหญิงสาวที่อยู่ในชนชั้นสูง แต่ว่าที่ต่างก็เป็นเพียงแค่วิธีการใช้งาน และบรรทัดฐานทางสังคมนี้ก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ต่อให้จะเป็นบุตรสาวคนสุดท้องของสมาชิกราชวงศ์ก็เป็นได้เพียงลูกที่ถูกเลี้ยงดูเพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำหรับกระชับความสัมพันธ์ของประเทศเท่านั้นเอง”


“…”


“เมื่อไหร่ที่พวกเธอโตขึ้น พวกเธอก็จะต้องขายออกไปอย่างแน่นอน นี่จึงเป็นธรรมดาที่ราชวงศ์จะไม่อยากให้ตัวประกันของพวกเขารู้เรื่องเวทมนต์”


“คุณกำลังหมายถึง…”


“การแต่งงานทางการเมืองเป็นเพียงแค่หลักประกันเท่านั้นเอง ลูกสะใภ้ควรที่จะเชื่อฟัง และไม่สร้างปัญหาใดๆ เพราะงั้นแล้วเหล่าราชวงศ์หรือชนชั้นสูงจะคิดยังไงล่ะหากว่าตัวประกันของพวกเขาได้เรียนรู้พลังลึกลับอย่างเวทมนต์? พวกเขาจะเป็นกังวล โดยเฉพาะตัวประกันคนนั้นมาจากตระกูลอาเรียด้วยยิ่งแล้วใหญ่”


ซอลจีฮูไม่อาจจะพูดอะไรออกมาได้อีก เขารู้สึกเหมือนกับโรเซร่ากำลังบอกอ้อมๆว่า ‘อย่าได้ด่วนสรุปอะไร’


“ก็นะ.. ฉันเป็นกรณีที่ค่อนข้างจะพิเศษ”


โรเซร่าได้ยิ้มแห้งออกมา


“แล้วก็ไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะ คุณต้องคิดถึงสถานการณ์ที่เด็กคนนั้นอยู่ด้วย คุณก็ได้ยินไม่ใช่หรอว่าสงครามกับปรสิตเกิดขึ้นก่อนที่เธอจะรู้ถึงตำแหน่งของเธอซะอีกน่ะ?”


โรเซร่าได้โน้มน้าวซอลจีฮูอย่างกระตือรือร้นราวกับเธอไม่อยากจะพลาดโอกาสนี้ไป


‘เธอพูดถูก’


ตามรายงานแล้ว ปรสิตได้บุกเข้ามาในตอนที่เธออายุแค่สี่ขวบ และเธอได้หนีออกมาจากเมืองในตอนอายุแปดขวบ


ซอลจีฮูได้ฝืนพยักหน้าออกมา ในเมื่อแม่มดแห่งความฝันที่เคนกดดันให้จักรวรรดิต้องหวาดกลัวได้ยืนยันด้วยตัวเอง ซอลจีฮูจะไปปฏิเสธเธอได้ยังไงกัน


ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเวทมนต์ เขาก็ยิ่งไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องไปสงสัยในตัวโรเซร่า ลา กราเซียเลยด้วย


“ผมเข้าใจแล้ว ผมคงจะเผลอตั้งมาตราฐานสูงเกินไปเพราะคิดว่าผมจำเป็นต้องหานักเวทย์ที่มีศักยภาพที่ตองสืบทอดแสงนิรันดร์แห่งปัญญา”


“อ่า คุณก็พูดถูก”


โรเซร่าได้ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขเมื่อซอลจีฮูชมถึงความสำเร็จของเธอ


“แต่ไม่ต้องห่วงหรอก! อาจารย์อัจฉริยะคนนี้จะไม่มีทางมีศิษย์ที่ไร้ความสามารถแน่!”


โรเซร่าได้กล่าวชมตัวเองก่อนที่จะแอบมองซอลจีฮู


“แต่เนื่องจากว่ามันมีโอกาสที่เธอจะยังไม่ใช่ผู้ที่เหมาะสมที่สุดอยู่… ฉันก็จะยินดีมากหากว่าคุณพอจะช่วยแนะนำเด็กๆที่มีพรสวรรค์ได้อีกสักสองสามคน…”


ซอลจีฮูได้หรี่ตาลง ตอนแรกเขาคิดว่าแค่หาผู้สืบทอดที่มีพรสวรรค์สักคนก็พอแล้วซะอีก


[แน่นอนว่าหากเขาหรือเธอเป็นคนที่มีพรสวรรค์โดยกำเนิดจะดีมาก แต่ว่าฉันก็ชอบคนที่มีความพยายาม และมีระเบียบวินัยกับตัวเอง]


นี่เธอพูดอะไรกันเนี้ย?


“อ๊ะ ในเมื่อฉันพูดแบบนี้แล้ว มาตราฐานของพรสวรรค์ก็ต้องเป็นแบบฉัน”


โรเซร่าได้ใช้กำปั้นเล็กๆของเธอทุบอกของซอลจีฮู ก่อนจะยืดหน้าอกอันน้อยนิดออกมา


“ถูกสอนหนึ่งอย่าง และเข้าใจได้สิบอย่าง จากนั้นก็ใช้ทั้งสิบอย่างที่เรียนรู้ไปเป็นรากฐานต่อยอดเป็นนับร้อย นับพัน หรือกระทั่งนับล้าน คนที่มีพรสวรรค์แบบนี้ต่อให้พันปีก็ใช่ว่าจะมีสักคน เพราะงั้นแล้วฉันก็ไม่ได้เพ้อฝันขอให้คุณแนะนำคนแบบนั้นให้ฉันหรอกนะ”


ซอลจีฮูเริ่มรู้สึกขมขื่นขึ้นมาเล็กน้อย แต่โรเซร่าก็ยังพูดต่อไปอย่างไหลลื่น


“แต่ฉันก็ไม่ได้หมายความว่า ‘หากคนๆนั้นไม่มีพรสวรรค์ก็ไม่เป็นไร’ หรอกนะ มันจะยอดเยี่ยมหากว่าพวกเขามีทั้งพรสวรรค์และความพยายาม มันต้องเป็นแบบนี้แหละ ฟุฟุ”


โรเซร่าที่หัวเราะซุกซนได้หันมาเหลือบมองอยู่แวบหนึ่ง


“แต่ว่าฉันก็ไม่ได้ทำแค่เพื่อตัวเองหรอกนะ เราต่างก็ได้ประโยชน์กันทั้งคู่ แค่การพาตัวผู้มีความสามารถมาคุณก็ไม่ได้เสียอะไรอยู่แล้ว”


ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมาอย่างสงสัย โรเซร่าได้ยกมือขวาขึ้นทาบหัวใจ และกางแขนซ้ายออกมาก่อนที่จะพูดต่ออย่างยิ่งใหญ่


“ฉันก็ไม่ได้อยากจะยกยอตัวเองอะไรหรอกนะ แต่ว่าโลกแห่งความฝันใบนี้ถูกฉันสร้างออกมาด้วยความพยายามอย่างมหาศาลเพื่อให้เป็นสภาพแวดล้อมสำหรับการวิจัยเวทมนต์ คุณสามารถจะสร้างอะไรที่จินตนาการออกมาก็ได้ เพราะงั้นแม้กระทั่งผู้เริ่มต้นก็สามารถจะฝึกเวทมนต์ได้อย่างง่ายดาย และยังสามารถจะเพลิดเพลินไปกับมันได้อีกด้วย”


“อ่า”


จากนั้นซอลจีฮูก็รู้ถึงโชคลาภที่เขาได้รับมา


ไม่สิ เขารู้อยู่แล้ว มันก็แค่เขาไม่คิดว่ามันจะยอดเยี่ยมถึงขนาดนี้


“คุณพูดถูก โอเค ผมจะลองไปคุยกับราชินีดู”


“ไม่หรอก ไม่เป็นไร”


โรเซร่าได้ส่ายหัวออกมา


“ฉันซาบซึ้งในข้อเสนอของคุณ แต่ว่าฉันแค่ขอให้คุณหาผู้มีศักยภาพมาให้เท่านั้นเอง การโน้มน้าวพวกเขาเหล่านั้นคือหน้าที่ของฉัน ฉันคงไม่กล้ารบกวนอะไรคุณไปมากกว่านี้แล้ว”


ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมา ในเมื่อโรเซร่าบอกว่าเธอจะจัดการเรื่องนี้เอง มันก็ไม่มีเหตุผลให้เขาต้องไปแทรกแซง


“เข้าใจแล้ว ถ้างั้นผมควรจะทำยังไงล่ะ?”


ซอลจีฮูได้ถามออกมาพร้อมกับจับจี้เอาไว้ โรเซร่าได้ยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มซุกซนเหมือนเด็ก


“ก็ไม่ยากหรอก”


เธอได้เข้ามากระซิบข้างหูของซอลจีฮูเบาๆ


***


แปะ เมื่อเทเรซ่าปรบมือ ซอลจีฮูก็ลืมตาขึ้น เขาก็ยกร่างขึ้นและพบว่าตัวเองอยู่ในที่ที่คุ้นเคยดี


“แกว๊ก?”


เตียงที่ใหญ่จนเกินพอดี และห้องที่ขนาดใหญ่พอๆกันมันทำให้เขารู้สึกอ้างว้าง


“แกว๊ก แกว๊ก!”


ขณะที่เขากำลังสับสนอยู่ เสียงร้องก็ดังเรียกเขากลับมา ซอลจีฮูได้มองลงไปเห็นลูกเจี๊ยบที่กำลังโกรธอยู่


จากวิธีกระพือปีกเล็กๆของมันพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างแล้ว มันดูเหมือนกับว่าลูกเจี๊ยบกำลังประท้วงอยู่อย่างไม่พอใจ นี่มันก็เพราะว่ามันนอนอยู่บนหน้าผากของซอลจีฮูก่อนที่จู่ๆเขาจะดีดตัวขึ้นมาทำให้ลูกเจี๊ยบกระเด็นตกไป


“ทะ โทษที”


“แกว๊กกกก!”


ซอลจีฮูได้ขอโทษออกมาแล้ว แต่ว่าความโกรธของลูกเจี๊ยบก็ไม่ได้มีทีท่าจะลดลงเลยสักนิด


“หากว่านายเอาแต่ร้อง ระวังเสียงจะแหบเอานะเจ้าตัวน้อย”


ทั้งๆที่ยังเกิดมาไม่ถึงเดือน แต่มันจะร้องดังขนาดนี้ไปเพื่ออะไรล่ะ? ซอลจีฮูได้บ่นขึ้นอยู่ในใจ


“ก็ได้ๆ ฉันจะให้นายกลับมานอนบนหัวนะ พอใจไหม?”


ลูกเจี๊ยบดูจะชอบบนหัวของซอลจีฮูที่สุด เมื่อเขาได้จับลูกเจี๊ยบไปวางลงบนหัว เสียงร้องก็เงียบลงไปในทันที


“ฟี๊…”


ตัดจากเสียงครางและการบิดไปมาแล้ว มันดูเหมือนจะพอใจ


‘ไม่ใช่เวลามาทำแบบนี้แล้วสิ’


ในตอนนี้เขาตื่นขึ้นมาแล้ว ซอลจีฮูได้กระโดดออกจากเตียง และเดินตรงไปที่ห้องโถงอย่างรวดเร็ว


แผนเมื่อคืนที่เขาได้วางเอาไว้กับคิมฮันนาห์นั้นถูกสร้างขึ้นภายใต้สมมติฐานที่ว่าชาล็อต อาเรียไร้ความสามารถ ในเมื่อมันไม่ใช่แบบนั้นอีกแล้ว มันก็ชัดเจนว่าต้องเปลี่ยนแผน


แล้วต่อให้เขาจะยังทำตามแผนเดิมอยู่ แต่อย่างน้อยเขาก็จะต้องบอกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ ซอลจีฮูได้เคาะประตูเบาๆอยู่สองครั้ง ก่อนจะเปิดเข้าไป


เมื่อเห็นคิมฮันนาห์ยังคงหลับอยู่ เขาจึงทุบเตียงอย่างแรง


“คิมฮันนาห์! คิมฮันนาห์!”


ทุบซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อปลุกให้เธอตื่นขึ้นมา


“?!”


เมื่อจู่ๆเหมือนมีแผ่นดินไหวกลางดึก คิมฮันนาห์ได้ดิ้นไปมาด้วยความตกใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาเห็นซอลจีฮูที่กำลังทุบเตียงโดยที่มีลูกเจี๊ยบนั่งอยู่บนหัว เธอได้หยุดนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะ…


“นี่นายบ้าไปแล้วหรอ!?”


…กรีดร้องลั่นออกมา


“เฮ้! นี่นายรู้ไหมว่ามันกี่โมงแล้ว! นี่มันห้องของสาวโสดนะ! ในที่สุดนายก็เสียสติ…!”


เธอคงจะตกใจมากจนยังคิดคำพูดไม่เสร็จเลยด้วยซ้ำ


“ฉันมีเรื่องที่ต้องบอกกับเธอ”


ยังไงก็ตามสีหน้าของซอลจีฮูดูจริงจังมาก สีหน้าของคิมฮันนาห์ได้คลายลงไปแม้จะแค่นิดเดียวก็ตาม


“…เรื่องด่วนงั้นหรอ?”


“ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าด่วนไหม แต่ว่าฉันคิดว่าฉันควรบอกกับเธอก่อนเที่ยง”


คิมฮันนาห์ขมวดคิ้วขึ้น เธอรู้ว่า ‘ตอนเที่ยง’ คือเวลาที่พวกเขาจะไปที่วัง นั่นคือเวลาที่พวกเขาจะไปทานอาหารกลางวันกับราชินี


“ว่ามาสิ”


คิมฮันนาห์ได้ปรับท่าทางใหม่


“คิมฮันนาห์ มันจะดีไหมหากว่ามีคนที่มีตำแหน่งที่มั่นคงในพาราไดซ์ปลุกพลังขึ้นมาในฐานะนักเวทย์ และกลายเป็นมิตรที่น่าไว้ใจ? ที่จะบอกคือคนแบบเจ้าหญิงเทเรซ่า”


นี่มันเป็นคำถามแปลกจริงๆ คิมฮันนาห์ได้รีบกระพริบตาออกมาก่อนที่จะก้มหน้าลง


“จีฮู…”


“ว่าไง?”


“ฉันก็สงสัยอยู่ว่ามันเรื่องเร่งด่วนอะไร… ไม่ใช่ว่าฉันเคยบอกนายไปแล้วหรอ? นักเวทย์น่ะคือดวงดาวท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน”


เธอได้พูดต่อพร้อมถอนหายใจ


“ในพาราไดซ์ คลาสนักเวทย์เป็นเหมือนกับบัตร VIP นายยังจำขั้นตอนการลงทะเบียนองค์กรได้ไหม? หากว่าคาเพเดี่ยมมีนักเวทย์ เราก็ไม่จำเป็นต้องเตรียมการอะไรมากขนาดนั้น หากว่าไม่มีเหตุผลร้ายแรงให้ถูกตัดสิทธิ์ ไม่ว่าเมืองไหนก็ให้ผ่านทั้งนั้น ทำไมน่ะหรอ? ก็เพราะมีนักเวทย์ยังไงล่ะ”


คิมฮันนาห์เงยหน้าขึ้นอย่างอ่อนแรง


“นายพูดถูก การมีนักเวทย์นั้นจะได้รับอภิสิทธิ์อย่างมาก แต่ว่าการหาตัวนักเวทย์เป็นเหมือนกับการเด็ดดาวจากท้องฟ้า”


“ไม่ ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น”


เมื่อสัมผัสได้ถึงความเข้ามใจผิด ซอลจีฮูได้รีบอธิบายออกมา


“อะไรนะ?”


หลังจากคำอธิบายสั้นๆได้จบลง น้ำเสียงของคิมฮันนาห์ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปในทันที


“เชี้ย นั่นมันหมายความว่ายังไงกันนะ? ยัยโง่คนนั้นมีพรสวรรค์ที่จะกลายเป็นนักเวทย์?”


“เธออยากจะเชื่อเลยใช่ไหมล่ะ? ฉันก็เป็นเหมือนกัน ฉันอยากจะบอกว่าไม่ แต่ว่าคุณโรเซร่ายังคงเน้นย้ำว่าเธอมีศักยภาพนั้น”


ซอลจีฮูได้แตะที่จี้ และพูดออกมา


[หาววววว….]


และน้ำเสียงง่วงนอนก็ดังออกมา


[อย่าตีฉันสิ… อย่าทำร้ายฉัน…]


“อ่า ขอโทษนะ”


หลังจากขอโทษโฟลนที่นอนละเมอแล้ว ซอลจีฮูก็จ้องคิมฮันนาห์ที่กำลังทำสีหน้าบิดเบี้ยวอย่างหนัก


จากทุกๆอย่างที่ได้ยินมาทำให้เธอกำลังหัวหมุน คุณค่าของนักเวทย์นั้นไม่จำเป็นต้องให้พูดถึงเลย


แต่เรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับนักเวทย์ที่ล้ำค่าอยู่แล้วเท่านั้น แต่เป็นถึงคลาสใหม่ที่มีชื่อว่าผู้ใช้มนตรา? ผู้ใช้มนตรานี้เป็นถึงราชินีของเมือง และพันธมิตรที่ไว้ใจได้งั้นหรอ? แถมราชินีคนนี้ก็ไม่ได้ละเอียดอ่อนเหมือนกับเทเรซ่า แต่ว่าจะเป็นคนที่ทำทุกๆอย่างให้กับคนที่ใจดีกับตัวเธอ?


หากว่าที่ซอลจีฮูบอกเป็นความจริง การมาที่อีวาก็คงจะเป็นตัวเลือดที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว


มันดีมากเกินไปจนถึงขนาดทำให้เธอสงสัย


แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่ซอลจีฮูจะมาพูดเรื่องไร้สาระกลางดึกแบบนี้ ไม่ว่าเขาจะติดเล่นยังไง เขาก็คงไม่ทำถึงขนาดนี้


ในท้ายที่สุดแล้วคิมฮันนาห์ก็ได้แค่พูดออกมาด้วยความสงสัย


“อธิบายรายละเอียดมาอีกหน่อย”


***


จองซูได้เดินทางไปที่วังในทันทีที่รุ่งเช้ามาถึง การมาที่วังแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยเนื่องจากว่าเธอสนิทกับชาล็อต อาเรีย จนที่วังเป็นเหมือนกับบ้านหลังที่สองของเธอ ยังไงก็ตามวันนี้เธอมีเป้าหมายที่ต่างไปจากปกติ


เธอได้รับข่าวมาว่าวันนี้ราชินีจะนัดเจอกันกับตัวแทนวัลฮาลา


เมื่อเธอได้เจอกับราชินี และกินมื้อเช้าด้วยกัน เธอก็นำเรื่องนี้ขึ้นมาพูด


“ไม่ต้องห่วงหรอกนะ”


ชาล็อต อาเรียได้เอียงหัวออกมาอย่างเคร่งขรึม พร้อมกับกดซ้อมลงไป


“ฉันจะเจอเขาในวันนี้ และคุยกับเขาให้เอง”


จองซูขมวดคิ้วขึ้น ท่าทีการพูดของราชินีได้เปลี่ยนแปลงไป ตามปกติแล้วเธอจะพูดเหมือนเธอจะเข้าข้างจองซู และพร้อมช่วยจองซูสู้ แต่คราวนี้น้ำเสียงเธออ่อนลงมาก มันแทบจะเหมือนกับว่าเธอแค่จะคุยกับซอลจีฮูเท่านั้นเอง


“เขาเป็นคนที่ดีกว่าที่ฉันคิด เอ่อ ฉันชอบเขา ฉันมั่นใจว่าเขาจะต้องฟังคำขอของฉันแน่”


‘คำขอ..’ จองซูหรี่ตาลง


“ท่านเจอเขาแล้ว?”


ชาล็อต อาเรียได้เบิกตากว้างขึ้น


“ทำไมล่ะ? ไปเจอไม่ได้หรอ?”


“ไม่หรอก ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น”


จองซูได้ปรับสีหน้า และยิ้มสดใสออกมาในทันที เธอได้ขยับแขนขึ้นมาและพูดเหมือนกับเป็นเรื่องเล็กๆ


“ฉันแค่เป็นห่วง”


“ไม่ต้องห่วงอะไรหรอกนะ ฉันบอกไปแล้วนี่? ตัวแทนของวัลฮาลาต่างไปจากนักเลงพวกนั้น”


“…”


“เขาเป็นชาวโลกที่มีความชอบธรรม พี่สาวเทเรซ่าพูดถูก”


มือที่จับช้อนของจองซูได้กำแน่น จากสิ่งที่ชาล็อต อาเรียพูดมาได้ทำให้เธอมั่นใจแล้ว เธอก็รู้เหตุผลแล้วด้วย


‘เทเรซ่า ฮัสเซย์’


การที่เธอได้รับการแทรกแซงจากอีกราชวงศ์


‘นี่มันไม่ดีเลย’


จองซูรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ไม่เป็นใจ และพูดออกมา


“องค์ราชินี”


“หืม?”


“ฉันขอเข้าร่วมการนัดพบกันในวันนี้ได้ไหม?”


“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ… แต่ว่าถ้าเธอไม่มาก็ได้นะ เธอไม่รู้สึกอึดอัดหรอ?”


“สำหรับฉันแล้ว การโยนภาระทั้งหมดไว้ให้กับท่านนั่นมันทำให้ฉันอึดอัดยิ่งกว่าซะอีก เพราะงั้นได้โปรดให้ฉันเข้าร่วมด้วยเถอะนะคะ”


แม้ว่าจองซูจะพูดเหมือนอยากช่วยราชินี แต่น้ำเสียงของเธอออกไปทางแนวเชิงบังคับมากกว่า มันเหมือนกับเธอกำลังบอกว่า ‘ฉันพูดขนาดนี้แล้วท่านจะยังไม่ฟังฉันอีกงั้นหรอ?’


แต่ว่าเมื่อชาล็อต อาเรียได้คิดแบบนี้ เธอก็ตกใจกับตัวเอง เธอไม่เคยจินตนาการเลยว่าเธอจะคิดว่าเธอมองจองซูในมุมมองแบบนี้


ไม่ว่าซอกกูนีร์กับเทเรซ่า ฮัสเซย์จะโน้มน้าวเธอยังไง มันก็ไม่มีสักครั้งเลยที่เธอจะมีความคิดในเชิงลบกับจองซู


“พูดตามตรงแล้วฉันกำลังสงสัยอยู่”


เมื่อเห็นชาล็อต อาเรียเงียบไป จองซูเสริมขึ้นอย่างฉะฉาน


“ตัวแทนของวัลฮาลาก็เรื่องหนึ่ง แต่ที่ฉันสงสัยจริงๆก็คือเรื่องชาวโลกที่ถูกเรียกว่าจิ้งจอก”


“จิ้งจอกหรอ?”


“ใช่แล้ว ชื่อจริงของเธอคือคิมฮันนาห์ เดิมทีแล้วเธอเป็นสมาชิกของซินยอง แต่ว่าก็เพิ่งจะย้ายมาอยู่ที่วัลฮาลา เธอเป็นนักต้มตุ๋นที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ เพราะงั้นแล้วฉันก็อยากจะเจอเธอสักครั้ง”


“งะ งั้นหรอ ฉันเข้าใจแล้ว”


ชาล็อต อาเรียได้ตอบตกลงกับคำขอของจองซูอย่างไม่ตั้งใจ จากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมทั้งคู่


หลังจากเงียบอยู่นานชาล็อต อาเรียที่กำลังขยับซ้อมกินอาหารตรงหน้าก็ค่อยๆพูดขึ้น


“อืมมม…”


“คะองค์ราชินี?”


“เรื่องเมืองน่ะ”


ดวงตาของจองซูได้เบิกกว้างขึ้น เธอตกใจมากที่ราชินีพูดถึงเรื่องของประเทศด้วยตัวเธอเอง


ชาล็อต อาเรียได้รีบพูดต่อ


“ซอกกูนีร์บอกว่าประชาชนกำลังยากไร้ และต้องการความช่วยเหลือในชีวิตประจำวันอย่างเร่งด่วน…”


“อ่า ท่านถูกเซ้าซี้อีกแล้ว”


จองซูได้แสดงสีหน้าเห็นใจออกมา


“ผู้ดูแลราชวงศ์ช่างโหดร้ายจริงๆ เขาไม่รู้เลยหรอว่าองค์ราชินีก็ลำบากอยู่แล้วน่ะ?”


เธอชินกับการต้องฟังคำบ่นของราชินีอยู่แล้ว สิ่งที่เธอต้องทำมีแค่ต้องแสดงความเห็นใจและปลอบเธอสักหน่อยก็พอแล้ว


“ถูกเลย เขาเอาเรื่องพวกนี้มาพูดกับฉันอีกแล้ว”


ชาล็อต อาเรียได้เล่นตามน้ำไป


“เขาบอกว่าประชาชนกำลังยากไร้ และสาปแช่งราชวงศ์ที่ไร้การช่วยเหลือใดๆ จากนั้นเขาก็ถามฉันว่าฉันจะนิ่งเฉยไปจนถึงเมื่อไหร่…”


“โอ้ คราวนี้เขาทำเกินไปหน่อยแล้ว”


จองซูได้แสดงสีหน้าเสียใจออกมา


“องค์ราชินี อย่างที่ฉันเคยพูดไปแล้วหลายครั้ง มันไม่ใช่ความผิดของท่านที่กลายมาเป็นแบบนี้ มันเป็นความผิดของปรสิต ท่านเป็นเพียงแค่เหยื่อเท่านั้นเอง”


“ชะ ใช่แล้ว”


“แล้วเหยื่อจะมาถูกวิจารณ์ได้ยังไงกัน? ประชาชนไม่ได้ทึ่ม พวกเขาต่างก็หวาดกลัวและไม่พอใจกับปรสิต ทำไมพวกเขาถึงจะเกลียดท่านล่ะ?”


“แต่ว่าผู้ดูแลราชวงศ์บอกว่า…”


“แน่นอนว่ามันคือเรื่องจริงที่พวกเขายากจน และความเป็นอยู่แย่กว่าเมื่อก่อน แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ทุกๆเมืองต่างก็เป็นเช่นนี้มานานแล้ว เมื่อเทียบกับที่อื่น อีวาอยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่ามาก”


ตามปกติแล้วชาล็อต อาเรียจะถอนหายใจอย่างโล่งอก และพูดว่า ‘ฉันเข้าใจแล้ว ฉันก็คิดแบบนั้น’


แต่ว่าหลังจากที่ได้เห็นทุกอย่างด้วยสายตาตัวเอง ความผิดของเธอก็ได้เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าเธอจะพยายามสลัดมันออกไปจากหัวแค่ไหน คำพูดของประชาชน และบทสนทนาระหว่างนักบวชทั้งสองคนก็ยังคงดังก้องอยู่ในหัวของเธอ


นอกไปจากนี้ความตกตะลึงที่เธอได้รับตอนที่เธอในตรอกเล็กๆยังคงฝังลึกอยู่ในใจของเธอ


ความตกตะลึงได้ทำให้เกิดความสงสัย และเพราะงั้นเธอจึงถามออกมา


“เธอกำลังจะบอกว่าผู้ดูแลราชวงศ์โกหกงั้นหรอ?”


จองซูได้หัวเราะออกมา


“หากท่านอยากเรียกแบบนั้นก็ได้ค่ะ เขาอาจจะพูดเกินจริงไปหน่อยเพื่อขอคำอนุมัติจากองค์ราชินี”


สีหน้าของชาล็อต อาเรียได้กลายเป็นมืดมนลงไปเล็กน้อย แต่ว่าจองซูก็ยังคงพูดต่อโดยไม่คิดอะไรมาก


“อย่าคิดร้ายกับเขาเลยค่ะ เขาอาจจะหัวโบราณไปหน่อย แต่ว่าก็มีไม่กี่คนหรอกที่จะคิดถึงประเทศได้เท่ากับผู้ดูแลกูนีร์”


จองซูได้พูดแบบนี้โดยที่รู้ว่าซอกกูนีร์ได้ให้คำปรึกษากับชาล็อต อาเรียมานานแค่ไหน


ราชินีตรงหน้าเธอเพียงแค่ต้องการขอความเห็นใจจากใครสักคนเท่านั้น เธอไม่ได้เป็นคนที่หัวใจด้านชา และชั่วร้าย


หากว่าจองซูได้บอกให้เธอไล่ที่ปรึกษาชราออกไป ชาล็อต อาเรียก็อาจจะรู้สึกหนักใจกับความคิดนี้ เพราะงั้นแล้วแบบนี้จองซูก็จะรักษาระยะห่างออกมาจากซอกกูนีร์


แน่นอนว่าเธอก็ไม่ลืมที่จะเสริมขึ้นว่า “แต่ว่าการเอาแต่คิดถึงประชาชนมันไม่ยุติธรรมเลย หากว่าเขาคิดถึงความรู้สึกขององค์ราชินีบ้างก็คงดี”


เมื่อเห็นจองวูยิ้มบางๆออกมา ชาล็อต อาเรียก็พยักหน้าเบาๆ


เมื่อมื้อเช้าจบลง สีหน้าของเธอก็ไม่ได้สดใสมากนัก เธอเป็นชาวโลกที่ใช้เมืองแค่การเมืองจนกระทั่งก้าวขึ้นมาถึงจุดนี้


จากทักษะในการสังเกตและคาดเดาอารมณ์ของผู้คน เธอบอกได้เป็นอย่างดีว่าในตอนนี้ตัวราชินีแตกต่างไปจากปกติ


‘น่ารำคาญ’


จริงๆแล้วผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับจองซูคือกลบเรื่องราวนี้เหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้น


ถึงราชินีจะให้คำยืนยันกับเธอว่าไม่ต้องห่วง แต่ว่าเธอก็ไม่อาจจะทำแบบนั้นได้ ด้วยเหตุผลบางอย่างเธอดูจะต้องทำอะไรสักอย่าง


จากสิ่งที่ราชินีทำที่ผิดปกติทำให้จองซูรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา มันเป็นความรู้สึกเหมือนกับมีก้างปลาติดอยู่ที่คอของเธอ


‘จิ้งจอกสินะ’


เหตุการณ์นี้จะต้องเป็นฝีมือของคิมฮันนาห์ ถึงแม้ว่าตัวแทนของวัลฮาลาจะเป็นซอลจีฮู แต่เธอคนนั้นน่าจะอยู่ในตำแหน่งที่ควบคุมหางเสืออยู่


มันไม่ต้องสงสัยเลยสักนิด พวกเขาได้จัดการกับความเห็นของสาธารณะชนอย่างไร้ที่ติต่างไปจากตอนอยู่ที่ฮารามาร์คอย่างสิ้นเชิง


จองซูได้สะบัดหัวอย่างแรง


‘คงไม่มีทางเลือกแล้ว’


แทนที่จะปล่อยให้เรื่องราวมันดำเนินไปตามทางของมันเอง และเกิดเรื่องใหญ่เกินกว่าจะรับมือได้ เธอจำเป็นจะต้องลงมือในทางเลือกที่ดูจะดีที่สุด


นี่คือเหตุผลที่ทำให้เธอขอเข้าร่วมการนัดพบในวันนี้


ในท้ายที่สุดแล้วชาวโลกทุกคนก็เหมือนๆกัน


พวกเขาต้องต้อนเธอจนจนมุมก็เพราะพวกเขามองว่าเธอเป็นกองกำลังที่เหลืออยู่ของกลุ่มพันธมิตร เมื่อเธอได้อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างอีวาเกลีน และกลุ่มพันธมิตร พร้อมทั้งสัญญาว่าจะมอบผลประโยชน์ทั้งหมดที่กลุ่มพันธมิตรมีให้ พวกเขาก็จะต้องเริ่มเปลี่ยนน้ำเสียงไปอย่างสิ้นเชิงแน่ๆ


‘มันไม่ยากหรอก’


เพียงก็แค่ให้ซันเหอกับวัลฮาลาแทนที่กลุ่มพันธมิตรอีวาเท่านั้นเอง


ต่อให้พวกเขาไม่ยอมรับในข้อเสนอของเธอก็ไม่มีปัญหา จองซูมีความมั่นใจในศึกยืดยื้อนี้จนกระทั่งศัตรูของเธอจะยอมถอยเพราะเหนื่อยล้าไปเอง


ถึงชาล็อต อาเรียจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เธอคนนั้นก็ยังเชื่อใจเธออยู่ ตราบใดที่มีการคุ้มครองจากราชินี เธอก็มั่นใจว่าต่อให้เป็นซินยองก็ไม่อาจจะแตะต้องเธอได้


***


“นี่นายกำลังทำอะไรอยู่?”


“หืมม?”


“ทำไมนายถึงเอาจี้ไปถูกับกิ๊บติดผมนั่นล่ะ?”


“อ่อ”


เมื่อได้ยินคำถามของคิมฮันนาห์ ซอลจีฮูก็หยุดเอาจี้ถูกับกิ๊บติดผม และพูดขึ้น


“เธอเคยได้ยินเรื่องการติดเชื้อไหมล่ะ?”


“?”


“เชื้อความฝัน ฉันไม่รู้หรอกว่าเธอดึงตัวฉันเข้าไปในความฝันได้ไง แต่ว่าฉันได้เจอว่าเธอได้ส่งมานาของเธอเข้ามาในเจ้านี่อยู่เล็กน้อย”


ซอลจีฮูได้ชูจี้ขึ้น และคิมฮันนาห์ก็ขมวดคิ้วออกมา


“เดี๋ยวก่อนนะ ถ้างั้นฉันก็-“


“ไม่”


ซอลจีฮูได้ยิ้มบางออกมา


“อย่าคิดว่ามันเป็นคำสาปสิ ให้คิดว่ามันเป็นเครื่องมือสื่อสาร มันเป็นสื่อกลางในการเชื่อมต่อกันระหว่างความฝันของคุณโรเซร่ากับฉัน”


“งั้นแล้วมันจะไม่ส่งผลต่อฉันด้วยหรอ?”


“ไม่หรอก ฉันได้ถามเธอมาแล้ว และเธอก็บอกว่าเธอได้ตั้งเงื่อนไขให้มันตอบสนองต่อมานาของฉันเท่านั้น เพราะงั้นไม่ต้องกังวลหรอก”


ซอลจีฮูได้พูดออกมาราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่


คิมฮันนาห์อยากจะถามว่า ‘มันเป็นไปได้ด้วยหรอ?’ แต่ว่าเธอก็หยุดตัวเองไว้ จากที่เธอได้ยินมา โรเซร่าคนนี้คือแม่มดที่อุทิศตัวเองให้กับมนตรานับร้อยปี


คิมฮันนาห์ที่ไม่ใช่นักเวทย์จึงไม่กล้าที่จะไปตัดสินความสำเร็จของคนอื่นที่อยู่ในด้านนี้


“เพราะงั้นแล้วนายก็กำลังจะให้กิ๊บติดผมเป็นของขวัญกับราชินี และแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกัน”


“ถูกแล้วล่ะ ฉันยังต้องให้คำอธิบายกับเธอด้วยเหมือนกัน”


คิมฮันนาห์ได้เท้าคางมองเขาด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ


“ฉันก็ยังเชื่อไม่ลงอยู่ดีว่ายัยราชินีคนนั้นเป็นนักเวทย์…”


“เธอยังไม่ได้เป็น พวกเราต้องรอดูก่อน”


การมีความถนัดในการกลายเป็นนักเวทย์ต่างไปจากการเป็นนักเวทย์ อย่างคำกล่าวที่ว่าหากไร้ความมุ่งมั่น พรสวรรค์ก็ไร้ค่า คำถามคือชาล็อต อาเรียมีความต้องการที่จะศึกษาในศาสตร์มนตราหรือเปล่า


ซอลจีฮูได้ใช้จี้ถูทุกๆส่วนของกิ๊บติดผมเพื่อให้มั่นใจ


“ยังไงก็ตาม ฉันไม่รู้สิว่าแผนจะได้ผลไหม”


“มันได้ผลแน่”


คิมฮันนาห์ได้พูดออกมาอย่างมั่นใจ


“เธอมั่นใจได้ยังไงกัน”


“เพราะฉันคือคนวางแผน”


ช่างเป็นคำตอบที่สมกับเป็นคิมฮันนาห์จริงๆ


“ฉันแค่ล้อเล่น คำตอบจริงๆคือการทำลายความสัมพันธ์มันไม่ยากหรอก ทั้งหมดที่นายต้องทำก็คือการเผยถึงอดีต และสถานการณ์ที่สร้างความเชื่อใจระหว่างพวกเธอ และทำลายมันซะ”


“ก็ถูกของเธอ”


ซอลจีฮูได้อ่านรายงานมาหลายครั้งแล้ว เพราะงั้นเขาจึงเข้าใจถึงสิ่งที่คิมฮันนาห์บอกได้อย่างรวดเร็ว


ในตอนเช้านี้คิมฮันนาห์ได้เปลี่ยนแผนไปหลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน


แผนเดิมของพวกเขามันจะใช้เวลายาวนานเกินไป พวกเขาวางแผนจะทำให้ความกังขาที่ชาล็อต อาเรียมีต่อจองซูเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พร้อมทั้งส่งซอลจีฮูไปตีสนิทเธอให้เหมือนกับพี่ชายจนทำให้เขาเป็นตัวแทนของแคมเบล อาเรียเพื่อสร้างความเชื่อใจ และไว้วางใจอย่างช้าๆ


แต่ว่าราชินีไม่ใช่หุ่นเชิดธรรมดาๆอีกต่อไปแล้ว ในตอนนี้พวกเขามีสิ่งที่คาดหวังในตัวเธออยู่


จองซูไม่ใช่ปัญหา เมื่อไหร่ที่ชาล็อต อาเรียได้กลายเป็นผู้ใช้มนตราคนแรกของมนุษยชาติ มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่องค์กรอื่นๆจะมองเห็นศักยภาพนี้ และเข้าหาเธอ


เพราะงั้นการที่วัลฮาลาได้เข้าไปยึดตำแหน่งนั้นไว้ก่อนที่ทุกๆอย่างจะซับซ้อนมันจะดีกว่ามาก


พูดตามตรงแล้วพวกเขาก็สามารถจะลองไปสร้างข้อตกลงกับจองซูในตอนที่เธอถูกต้อนจนจนมุมก็ได้


แน่นอนว่าพวกเขาก็สามารถจะชะลอการนัดพบระหว่างชาล็อต อาเรียกับโรเซร่าได้ด้วยเช่นกัน แต่ว่าพวกเขาก็จำเป็นต้องพิจารณาถึงระยะเวลาที่เธอใช้ในการพัฒนาตัวเองขึ้นมาด้วย


‘ต่อให้เราจะเสี่ยง แต่มันก็คุ้มค่า’


ซอลจีฮูไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธในแผนจู่โจมทันที


เขามีเส้นทางอีกยาวไกลที่ต้องเดิน เขาไม่มีเวลามาให้เสียเปล่ากับชาวโลกไร้ค่าที่เอาแต่เล่นสวมบทบาทโง่ๆอยู่ได้


หลังจากคิดกับตัวเองแล้ว ซอลจีฮูก็ใส่จี้กลับลงไป


“นายพร้อมนะ?”


ในตอนนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา


“อ่า เพิ่งเสร็จเอง”


“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น”


มุมปากของคิมฮันนาห์ได้ขยับยิ้มออกมา


“ฉันกำลังถามว่านายพร้อมสำหรับขึ้นสู่ตำแหน่งราชาไหม”


ซอลจีฮูได้ชะงักไปทันที


‘ราชาสินะ’


อีกไม่นานซอลจีฮูก็จะกลายเป็นราชาแล้ว


นั่นมันหมายความว่าเขาจะมีอิทธิพลในการควบคุมชาวโลกทุกๆคนที่อยู่ภายในเมืองอีวา ในแง่ตำแหน่งทางการเมืองแล้ว เขาจะอยู่ในระดับเดียวกันกับทาเซียน่า ซินเซีย


เขาจะกลายเป็นตัวตนที่ทรงอิทธิพลอย่างมากในโลกพาราไดซ์แห่งนี้


ในตอนแรกที่เข้ามาในพาราไดซ์ ใครกันจะไปคิดว่าเขาจะพัฒนามาได้ถึงระดับนี้?


“…ไม่รู้สิ”


ซอลจีฮูได้หยักไหล่ออกมา


“ไปกันเถอะ”


คิมฮันนาห์ได้หัวเราะเบาๆก่อนจะลุกขึ้น


“ไม่ต้องกังวลหรอกนะ นายก็แค่ต้องจัดฉากเท่านั้นแหละ ไม่สิ นายก็แค่พูดถึงหัวเรื่อง ส่วนที่เหลือซอกกูนีร์จะจัดการให้เอง”


“เข้าใจแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก”


ซอลจีฮูได้หัวเราะออกมาก่อนจะเดินคู่กันกับคิมฮันนาห์


คู่หูนักต้มตุ๋นกำลังเริ่มปฏิบัติงานกันแล้ว


***


ซอลจีฮูกับคิมฮันนาห์ได้เดินตามซอกกูนีร์เข้าไปในท้องพระโรงในทันทีที่มาถึงวัง


ชาล็อต อาเรียกำลังนั่งรอพวกเขาอยู่บนบัลลังก์


แม้ว่านี่จะเป็นการเจอกันครั้งแรกอย่างเป็นทางการของพวกเขา แต่เพราะพวกเขาเคยเจอเธอมาก่อนแล้ว พวกเขาจึงไม่ได้รู้สึกพิเศษใดๆ


เมื่อเทียบกับการเจอกันครั้งแรกแล้ว มันมีความแตกต่างกันอยู่สองอย่าง หนึ่งคือพวกเขาต้องแสดงท่าทีอันเหมาะสมกับฐานะของเธอ และอีกหนึ่งคือหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆราชินีก็คงจะเป็นจองซู


แต่เพราะนี่เป็นสิ่งที่พวกเขาคาดเดาเอาไว้แล้ว ซอลจีฮูจึงเล่นตามบทบาทต่อไป


เขาได้คุกเข่าลง และแสดงสีหน้าประหลาดใจเมื่อราชินีได้พูดว่า “เงยหน้าขึ้น”


แต่ในวินาทีต่อมาซอลจีฮูก็กลายเป็นพูดไม่ออกจริงๆ


“ฟุฟุ เป็นสีหน้าที่น่าสนใจ”


ชาล็อต อาเรียได้เผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมาเหมือนกับว่าเธอชอบปฏิกิริยาของเขา


“จากเรื่องราวมากมายที่ฉันได้ยินเกี่ยวกับคุณทำให้ฉันอดกลั้นความสงสัยเอาไว้ไม่ได้ อย่าโกรธกันเลยนะ”


มันไม่ใช่เพราะว่าเรื่องที่ชาล็อต อาเรียพูดออกมาหรอกนะ


ที่ซอลจีฮูตกใจนั่นก็เพราะเขาได้เปิดใช้ความสามารถโดยกำเนิดของเขาในทันทีที่เงยหน้าขึ้นมา


สีของชาล็อต อาเรียเป็นสีน้ำเงิน ทางเลือกแห่งโชคชะตา


ภาพตรงหน้าที่ฉายให้เขาเห็นเป็นอย่างที่เขาคาดเอาไว้ มันมีลักษณะที่คล้ายกันกับยุนซอฮุย เธอได้เผชิญหน้ากับความอัปยศจากการกระทำของปรสิตมากมายนับไม่ถ้วน


สหพันธรัฐ และมนุษยชาติได้ล่มสลาย ชาล็อต อาเรียได้ถูกเลี้ยงดูเป็นเหมือนกับปศุสัตว์ นี่คือปลายทางของอนาคนหากว่ามันยังคงเป็นไปแบบเดิม


ยังไม่หมดเท่านั้น ข้อมูลทั่วไปของชาล็อต อาเรียที่นพเนตรได้แสดงให้เขาเห็นก็เกินกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้มาก


[หน้าต่างสถานะของชาล็อต อาเรีย]


[1.ข้อมูลทั่วไป]

เพศ/อายุ: หญิง/22

ส่วนสูง/น้ำหนัก: 154.6 ซม./45.1 กก.

สภาพร่างกาย: สุขภาพดี


[2.คุณลักษณะ]

1.อารมณ์

-ภาวะซึมเศร้า (ถูกความรู้สึกโศกเศร้าทรมาน และจากนั้นก็รู้สึกยินดีที่ได้พึ่งพาผู้อื่นหรือได้รับความเห็นใจ)

-ไร้ความเด็ดขาด (ขาดความมั่นใจ และไม่อาจจะตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด)

-เด็กอมมือ (สภาพจิตใจยังเด็ก และมีการกระทำที่เหมือนกับเป็นเด็ก)


2.ความถนัด

-อัจฉริยะ (มีพรสวรรค์ที่หาได้ยากในโลกนี้)

-จดจ่อ (มีความสามารถในสิ่งๆหนึ่งรอบตัว หรือตัวเอง)


[5.ระดับความตระหนักรู้]

หัวอ่อน (เป็นคนที่ง่ายต่อการถูกชักจูง) / กังวล / เซื่องซึม (เฉื่อยชา และไม่แย่แส ไร้ซึ่งพลังงานที่จะทำสิ่งใด)


‘อย่างที่คิดเลย…’


มีอยู่หลายจุดที่เขาคิดว่ามันน่าสนใจ ระดับความตระหนักรู้ของเธอก็เรื่องหนึ่ง แต่สภาพอารมณ์ของเธอมันน่าขำมากจริงๆ


ด้วยสถานะแบบนี้มันก็ง่ายมากที่จะระบุว่าเธอได้ประสบกับโรคทางจิตอย่างรุนแรง


‘เธอจะทำได้จริงๆหรอ…?’


แม้ว่าจะมีความคิดแบบนี้เข้ามาในหัวของเขา-


“คุณตกใจงั้นหรอ?”


เขาได้หลุดออกมาอย่างสับสน


คำถามไม่ใช่ว่าเธอจะทำได้ไหม แต่เธอต้องทำมัน


อย่างน้อยที่สุดเขาจะต้องลองดู ถึงจะมีคำกล่าวไว้ว่าการจะเปลี่ยนนิสัยมันทำได้ยาก


แต่เขาก็เชื่อว่าผู้คนมันเปลี่ยนกันได้ ถ้าไม่เช่นนั้นมันก็คงเป็นกาปฏิเสธตัวเองเช่นเดียวกัน


นอกไปจากนี้หากมีเรื่องไหนที่เขาได้เรียนรู้ระหว่างเหตุการณ์ในอดีต และการได้พูดคุยกับโรเซร่า นั่นก็คือความรุนแรงไม่ใช่ทางออกของทุกๆอย่าง


แม้ว่ามันจะเป็นวิธีที่ง่าย และสะดวกที่สุดในการแก้ไขปัญหา แต่ว่ามันก็ไม่ได้ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดอยู่เสมอ


หรือก็คือแทนที่จะตัดสินใจไปเอง และบังคับให้เธอปรับตัว สู้ค่อยๆแนะนำให้เธอเปลี่ยนตัวเองจากภายในมันคงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า


แน่นอนว่าความยากมันอยู่ที่ว่าจะใช้วิธีไหนให้ได้ผลดีที่สุดในสถานการณ์นี้


แต่ซอลจีฮูก็มีวิธีมาตราฐานในการทำให้เขาตัดสินใจอยู่ บัญญัติทองคำ


แต่ชาล็อต อาเรียถูกแม่มดแห่งความฝันให้การรับประกันว่าเธอมีพรสวรรค์ และนพเนตรของเขาก็ยังบอกว่าเธอเป็นอัจฉริยะ ถึงจะไม่ใช่อัจฉริยะในรอบพันปี แต่เธอก็เป็นคนประเภทที่หาได้ยากอย่างแน่นอน


เพราะงั้นแค่ครั้งนี้ เขาได้ตัดสินใจจะเก็บบัญญัติทองคำเอาไว้ และเชื่อในศักยภาพของเธอเพียงเท่านั้น


คงจะมีแค่ ‘เทพ’ เท่านั้นที่รู้ว่านี่มันเป็นตัวเลือกที่ถูกหรือผิดกันแน่


“…ขออภัยด้วยครับ”


ซอลจีฮูยิ้มออกมา


“ผมรู้สึกตกใจมากที่ว่านี่ไม่ใช่การเจอกันครั้งแรกของเขา แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือผมถูกความงดงามของท่านทำให้ไม่อาจจะใช้ความคิดได้เลย”


เขาได้พูดออกมาอย่างอ่อนโยน


“ได้โปรดให้อภัยกับชายผู้ที่หลงเสน่ห์ของท่านจนเงียบอยู่นานด้วยนะครับ”


จากนั้นเขาก็โค้งคำนับด้วยความเคารพ


“หะ หืมม?”


ชาล็อต อาเรียได้ผงะไป ภายนอกเธอพยายามทำเป็นใจเย็น แต่ภายในใจเธอรู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก แต่ว่าหลังจากได้ยินถึงสิ่งที่คาดไม่ถึงนี้ เธอก็รีบกระพริบตาออกมา


“จู่ๆคุณพูดอะไรกัน…”


ชาล็อต อาเรียได้ถอยไปเล็กน้อยก่อนจะถูจมูกออกมา


“อะ โอหัง!”


และ…


[หุหุ]


กู่ลาที่เฝ้ามองฉากนี้อยู่เงียบๆได้ยิ้มออกมา


สำหรับในตอนนี้อีกหนึ่งอนาคตได้เปิดม่านขึ้นแล้ว


บทที่ 273 – ผู้กอบกู้แห่งอีวา (2)


ความเงียบได้เข้าปกคลุม


ชาล็อต อาเรียได้มองลงไปที่ชายหนุ่มด้วยสีหน้าอึดอัดใจ เมื่อดูจากต้นคอที่แดงของเธอแล้ว เธอดูจะอายมาก


หลังจากเงียบอยู่สักพักชาล็อต อาเรียก็ลูบคอออกมา


“คุณกล้าดียังไงมาพูดแบบนี้ต่อหน้าฉัน?”


เธอพูดด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ ซึ่งมันกลับดูน่ารักมากกว่าน่าเกรงขาม แต่ซอลจีฮูก็ไม่ได้เผยความคิดออกมา


“ขออภัยด้วยองค์ราชินี”


“ไม่เป็นไร ชาวโลกก็เป็นกันซะแบบนี้ ในเมื่อคุณเคยอยู่ในฮารามาร์คอีกด้วย มันก็ไม่ใช่ว่าฉันไม่เข้าใจหรอกนะ”


เธอได้แอบเหน็บราชวงศ์ฮารามาร์คที่ยกเลิกธรรมเนียมปฏิบัติไปเบาๆ


ซอลจีฮูยังคงไม่หยุดยิ้ม เขาอยากจะบอกว่าฮารามาร์คดีกว่าที่ฮารามาร์คเป็นพันเท่า แต่ว่าเขาก็ไม่อาจจะพลิกโต๊ะทั้งๆที่อาหารยังไม่ถูกวางไม่ได้


“นี่ก็เป็นสิ่งที่ฉันทำเหมือนกัน… อ๊ะ”


ชาล็อต อาเรียได้รีบถามออกมาพร้อมทั้งใช้มือพัดตัวเอง


“ฉันได้ยินมาว่าคุณสนิทกับเทเรซ่า ฮัสเซย์มาก”


“เธอได้ช่วยผมเอาไว้ในหลายๆด้าน”


“จากที่ฉันได้ยินมา เทเรซ่า ฮัสเซย์ได้ให้การดูแลคุณเป็นพิเศษ…”


ซอลจีฮูที่คิดว่าเธอจะถามว่า ‘ทำไมคุณถึงมาที่อีวา?’ ได้เตรียมคำตอบเอาไว้แล้ว แต่ยังไงก็ตามสิ่งที่เธอถามนี้มันต่างจากที่เขาคาดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง


“ในเมื่อคุณพูดถึงความงดงามแล้ว ฉันก็เริ่มสงสัยในความคิดของคุณแล้วสิ จริงด้วย ในตอนคุณเห็นเทเรซ่า ฮัสเซย์คุณคิดยังไงล่ะ?”


“…อะไรนะครับ?”


“คุณไม่ได้บอกว่าหลงเสน่ห์ในความงดงามของฉันหรอ? ในตอนคุณเจอเทเรซ่า ฮัสเซย์ได้เป็นแบบเดียวกันไหม?”


ซอลจีฮูแทบจะหลุดโพล่งออกมาว่า ‘อะไรว่ะเนี้ย?’ นี่มันแทบไม่ต่างจากการที่เธอถามว่า ‘คุณคิดว่าฉันกับเทเรซ่า ฮัสเซย์ ใครสวยกว่ากัน?’ เลยสักนิด


ยังไงก็ตาม ซอลจีฮูก็ไม่ได้สะทกสะท้านกับคำถามนี้ และให้คำตอบออกมาอย่างไม่ลังเล


“ในตอนแรกที่ผมเจอกับเจ้าหญิงเทเรซ่า ฮัสเซย์ที่ฮารามาร์ค ผผมไม่เชื่อว่าผมจะพูดคำเหล่านั้นออกมา”


เขาไม่ได้โกหก ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่จะพูดอะไรแบบนั้นทั้งๆที่เจอเธอครั้งแรกอย่างแน่นอน เขาแค่รู้สึกถึงแรงดึงดูดอย่างรุนแรงจากเธอเท่านั้นเอง


“จริงหรอ?”


ยังไงก็ตามชาล็อต อาเรียที่ไม่ได้รู้ถึงสถานการณ์การพบกันระหว่างพวกเขาได้ตาเป็นประกายขึ้นมา


“ผมต้องขออภัยด้วย แต่ว่ามันเป็นเรื่องจริง”


“จริงนะ? มันเป็นเรื่องจริงแน่นะ?”


ท่าทางการพูดของเธอได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างกระทันหัน น้ำเสียงของเธอก็ยังสูงขึ้นอีกด้วย ถึงแม้ว่าปฏิกิริยาของซอลจีฮูจะไม่ได้เป็นไปตามที่เธอหวัง แต่การตอบกลับโดยไม่ลังเลของเขาก็ทำให้เธอมีความสุข


“คุณรู้ไหมว่าฉันไปถามพี่สาวได้นะ~”


“ด้วยความยินดีครับ”


แม้ว่าเขาจะรู้สึกเหมือนขุดหลุมฝังตัวเอง แต่ว่าเมื่อพูดมันออกไปแล้ว เขาก็ไม่อาจจะคืนคำได้


“ผมก็แค่พูดความจริงเท่านั้น”


“อืมมม เข้าใจแล้ว ดูเหมือนว่าชื่อเสียงของคุณจะไม่ได้เกินจริงนะ คุณเป็นชายที่มีเอกลักษณ์มากจริงๆ”


‘พระเจ้า’


เธอเรียกเขาว่าชายที่มีเอกลักษณ์กับแค่เพราะเขาบอกว่าเธอสวยกว่าเทเรซ่างั้นหรอ?


‘ช่างเป็นเด็กจริงๆ’


นี่ได้แสดงเห็นถึงธาตุแท้ของชาล็อต อาเรีย หากว่าไม่มีมงกุฎอยุ่แล้ว เธอก็คงไม่ต่างไปจากเด็กสาวทั่วไปเลย


“โอ้ หากว่าเจ้าหญิงเทเรซ่าได้ยินเข้า เธอคงเสียใจแน่”


จากนั้นเองจู่ๆแขกไม่รับเชิญก็แทรกขึ้นมาในบรรยากาศอันกลมเกลียวกัน เมื่อซอลจีฮูหันไปมอง ฝ่ายตรงข้ามก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม


“ต้องขออภัยด้วย ฉันคือ-“


เธอได้หยุดจากนั้นก็หันกลับไปมองที่ราชินี ชาล็อต อาเรียได้พยักหน้าออกมา


“อ่า ฉันให้เธอมายืนข้างๆฉัน แล้วก็ลืมแนะนำตัวเธอไปเลย คุณทั้งคู่ลุกขึ้นได้แล้วล่ะ”


ซอลจีฮูกับคิมฮันนาห์ได้ลุกขึ้นยืนจากท่าชันเข่า


“นี่จองซู ตัวแทนของอีวาเกลีน รู้จักกันไว้นะ”


“สวัสดี!”


จองซูได้ทักทายออกมาด้วยน้ำเสียงร่าเริง ซอลจีฮูก็ยังตอบกลับไป


“ยินดีที่ได้รู้จัก ผมซอลจีฮู”


“ค่ะ ฉันรู้อยู่แล้ว ฉันได้ยินถึงตำนานของตัวแทนจากวัลฮาลามานับครั้งไม่ถ้วนเลย ส่วนคนข้างๆคุณคือ…”


“คิมฮันนาห์”


คิมฮันนาห์ได้ตอบกลับด้วยรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ


“อ่า ยินดีที่ได้รู้จักนะ ฉันก็เคยได้ยินชื่อเสียงของคุณคิมฮันนาห์เหมือนกัน ฉันอยากจะพบคุณมาตลอดเลย”


จองซูรวบมือเข้าด้วยกัน และทำสายตาเป็ฯประกายออกมา แต่ซอลจีฮูกลับรู้สึกว่าการกระทำของเธอมันดูน่าขยะแขยงมาก


ชาล็อต อาเรียได้มองสลับไปมาระหว่างจองซูกับคู่ชายหนุ่มก่อนจะไอแห้งๆออกมา


“อ่า เอาล่ะ ฉันได้ยินมาว่าคุณทั้งสองคนมีความเข้าใจผิดกันอยู่เล็กน้อย”


“…”


“จองซูบอกว่าเธออยากจะเข้าร่วมการพบกันนี้เพื่อแก้ไขความเข้าใจผิด ฉันเป็นคนอนุญาติเธอเอง เพราะงั้นอย่าถือสาเลยนะ”


“ชิ องค์ราชินี ท่านเอาเรื่องนี้มาพูดเร็วไปหรือเปล่า?”


“หืมม? อ่า พอมาคิดดูแล้ว พวกเรานัดมากินมื้อกลางวันกันนี้นา เราควรที่จะไปห้องอาหารกันก่อนสินะ”


“ไม่หรอก ไม่เป็นไรค่ะ”


จองซูได้ส่ายหัวออกมาด้วยรอยยิ้ม


“ฉันก็อยากจะใช้เวลาพูดคุยกันไปเรื่อยๆก่อนเหมือนกัน แต่ในเมื่อท่านพูดขึ้นมาแล้ว การคุยให้จบเลยมันคงจะดีกว่า”


“เธอบอกว่าเธออยากจะคุยกับพวกเขาเป็นการส่วนตัวสินะ?”


“ค่ะ อย่างที่ฉันบอกเมื่อเช้า หากว่าท่านอนุญาติมันคงจะดีกว่า แค่ชั่วครู่ก็ได้แล้วค่ะ…”


เนื่องจากชาล็อต อาเรียได้รับคำอธิบายตั้งแต่เช้าแล้ว เธอจึงตอบตกลงอย่างง่ายดาย


“ในตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว ตัวแทนจองสนใจอยากจะคุยกับคุณทั้งคู่มากๆ โดยเฉพาะ… อ่า คุณจิ้งจอกสินะ? ฉายาคุณค่อนข้างจะมีชื่อเสียงเลย”


“นั่นก็แค่ชื่อเล่นทั่วไปเท่านั้นเองค่ะ”


คิมฮันนาห์ได้ตอบกลับอย่างสุภาพ


“งั้นหรอ? เอาเถอะนะ จองซูกำลังอยากจะคุยกับพวกคุณ คุณอยากจะคุยกับเธอก่อนทานมื้อเที่ยงไหมล่ะ?”


‘ว้าว…’


คิมฮันนาห์รู้สึกประทับใจมาก ทั้งๆที่เป็นคนเรียกพวกเธอให้มาที่นี่ แต่คนที่เรียกตัวเองว่าราชินีกลับกำลังบอกให้พวกเขาจัดการปัญหากับจองซูเองงั้นหรอ?


นี่มันไม่ใช่สิ่งที่ราชินีสมควรจะพูดเลย ยังไงก็ตามคิมฮันนาห์เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เธอก็พอจะคิดเอาไว้ตั้งแต่ที่เห็นจองซูอยู่ด้วยแล้ว


จองซูคงจะรู้สึกกดดันที่ท่าทีของราชินีที่มีต่อวัลฮาลาได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไป การที่เธอเข้าร่วมการนัดพบกันครั้งนี้ก็เพื่อขจัดความกังวลออกไป


ความตั้งใจของเธอมันชัดเจนมาตั้งแต่การกระทำก่อนหน้านี้แล้ว จู่ๆก็แทรกการสนทนาระหว่างราชินีกับซอลจีฮู และยังพยายามที่จะขอนัดคุยกับคิมฮันนาห์เป็นการส่วนตัว ทั้งสองอย่างนี้ก็ต่างก็เป็นการบอกว่า ‘ดูสิ นี่แหละคือตำแหน่งของฉัน ลองดูสิว่าราชินีคิดยังไงกับฉัน’


‘แต่ก็คงไม่สำคัญหรอกนะ’


จริงๆแล้วคิมฮันนาห์อยากจะอ้าแขนรับอย่างยินดีด้วยซ้ำไป เดิมทีเธอวางแผนที่จะจัดการนัดคุยลับๆขึ้นด้วยอำนาจของซอกกูนีร์ แต่ว่าคนร้ายที่ถูกความรู้สึกผิดกัดกล่อนจิตใจกลับพาตัวเองกลับมาที่เกิดเหตุซะเอง


ในเมื่อเธออยากจะเข้ามาในปากจิ้งจอกมากขนาดนี้ ถ้างั้นก็มีแต่ต้องกลืนกินเธอเข้าไปทั้งตัวซะแล้ว


คิมฮันนาห์ได้ยิ้มกว้างออกมา


“ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ปฏิเสธค่ะ ฉันก็อยากจะคุยกับตัวแทนจองเช่นกัน”


สีหน้าของชาล็อต อาเรียได้สดใสขึ้นมา แม้ว่าเธอจะทำคุยบอกให้จองซูไม่ต้องห่วง แต่ว่าเธอก็ไม่คุ้นเคยกับการเข้าแทรกแซงเรื่องแบบนี้เลย แค่การพูดเริ่มบทสนทนาก็ยากสำหรับเธอแล้ว เพราะงั้นเมื่อได้รู้ว่าปัญหาคลี่คลายแล้วจะไม่ให้เธอมีความสุขได้ยังไงกัน


“เยี่ยม ถ้างั้นฉันจะคุยกับตัวแทนซอลรอนะ”


“ขอบคุณที่ฟังคำขอของฉันนะคะองค์ราชินี”


“เธอมีความสุขสินะ? ฉันเห็นเธอมีแต่รอยยิ้มเลย”


“ค่ะ ฉันมีความสุขมาก”


จองซูได้เดินออกไปด้วยรอยยิ้มสดใส หลังจากแอบส่งรอยยิ้มให้ซอลจีฮูแล้ว เธอก็เดินผ่านเขา และไปหยุดอยู่ตรงหน้าคิมฮันนาห์


“ขอบคุณที่ตอบรับข้อเสนอนะคะ ฉันเกรงว่าคุณจะปฏิเสธมันซะอีก”


“ในเมื่อคุณอยากจะเจอฉันมานานแล้วฉันจะไปปฏิเสธได้ยังไงกัน? นอกไปจากนี้ฉันก็อยากจะคุยกับคุณด้วยเหมือนกัน”


ชาล็อต อาเรียได้แสดงสีหน้าร่าเริงออกมา มันดูเหมือนว่าเธอจะมีความสุขที่หญิงสาวทั้งสองคนเข้ากันได้ดี


“อย่าคุยกันนานนะ รีบมาที่ห้องอาหารก่อนที่อาหารจะเย็นด้วยล่ะ”


“ค่ะ องค์ราชินี”


หญิงสาวทั้งสองคนได้คุยกันอย่างสุภาพ


“ตามฉันมาได้เลยค่ะ ฉันรู้จักที่เงียบๆอยู่”


“ยอดเยี่ยม ฉันก็หวังว่าจะคุยในที่เงียบๆเช่นเดียวกัน”


ซอลจีฮูได้ฝืนกลืนน้ำลายลงไป


‘ทั้งสองคนต่างก็ยิ้ม… แต่ว่าดวงตาทั้งคู่มันไม่ใช่เลย’


มันเป็นความรู้สึกสงบก่อนพายุจะเข้าสินะ? ซอลจีฮูรู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ไหลออกมาจากแผ่นหลัง


มันเหมือนกับหญิงสาวทั้งสองคนกำลังซ่อนมีดไว้ที่หลัง และกำลังหัวเราะกันอยู่ เมื่อทั้งคู่ได้จากไป ทั้งท้องพระโรงก็ได้ตกสู่ความเงียบ


“เอ่อ… คุณบอกว่าชื่ออะไรนะ?”


“ซอลจีฮู”


“ใช่แล้ว ซอลจีฮู แล้วก็ตัวแทนของ…”


“วัลฮาลา”


บทสนทนาถามตอบอันไร้แก่นสารได้เริ่มขึ้น ในตอนนี้พอเหลือกันอยู่เพียงสองคนแล้ว ชาล็อต อาเรียก็ทำอะไรไม่ถูก เธอได้พยายามอย่างมากที่จะหาเรื่องคุย


‘ไม่สิ’


พูดให้ถูกก็คือ เธออาจจะไม่อยากพูดในเรื่องที่จะทำให้อึดอัด ตอนนี้เธอคงกำลังเค้นสมองหาเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายอยากฟัง และจบการนัดพบนี้ให้สบายใจมากที่สุดอยู่ก็ได้


แต่ว่าซอลจีฮูจะไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้น ในเมื่อคิมฮันนาห์ได้เดินขึ้นเวทีไปก่อน ตอนนี้มันก็ถึงตาเขาแล้ว


แต่ว่าก่อนหน้านั้น เขาจะต้องสร้างเวทีขึ้นมาก่อน


“ขอบคุณที่เชิญผมมาในวันนี้นะครับ”


ซอลจีฮูได้พูดออกมาหลังจากจัดการกับความคิดของเขา


“ผมควรที่จะมาพบท่านก่อนเพื่อส่งรายงานการเสร็จสิ้นภารกิจของราชวงศ์”


“อ่า”


ชาล็อต อาเรียได้กลายเป็นร่าเริง ความเงียบอันน่าอึดอัดมันกำลังจะฆ่าเธอ แต่ว่ากลับมีหัวข้อที่น่าสนใจถูกพูดขึ้นมาแล้ว


“ตอนนี้พอคุณพูดเรื่องนี้แล้ว ฉันได้ยินมาว่าคุณได้พาสมาชิกสหพันธรัฐกลับพาได้สำเร็จเป็นอย่างดีเลย”


“มันไม่ใช่งานที่ยากอะไรเลยครับ ต้องขออภัยด้วยที่ผมรายงานล่าช้า”


“ไม่หรอก ไม่ มันเกิดขึ้นไปแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษเลย”


ชาล็อต อาเรียได้โบกมือออกมาราวกับมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ


“คุณมีเรื่องยุ่งอยู่งั้นหรอ?”


เธอได้งับเหยื่อเร็วกว่าที่เขาคิดไว้ซะอีก


“แทนที่จะพูดว่ายุ่ง มันมีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นมากกว่าครับ”


“หืมม? เรื่องที่ไม่คาดคิดหรอ?”


“ครับ ในระหว่างที่ผมไม่อยู่ พันธมิตรอีวาได้เข้าโจมตีสำนักงานเรา”


ซอลจีฮูไม่ยอมให้โอกาสเธอได้พูด


“โชคดีที่เรามีซันเหอคอยช่วยสนับสนุนอยู่ทำให้แก้ไขสถานการณ์มาได้…”


สั้นและเรียบง่าย


“จากที่ผมรู้มา ชาวโลกคนที่ยุยงให้กลุ่มพันธมิตรเข้าโจมตีเรายังไม่ได้รับการลงโทษใดๆเลย”


ดวงตาของชาล็อต อาเรียได้เบิกกว้างขึ้น


“มะ ไม่ใช่นะ”


“องค์ราชินี ทำไมนายถึงกำลังปกป้องจองซูอยู่ล่ะ?”


จากการจู่โจมที่กระทันหันนี้ได้ทำให้สีหน้าชาล็อต อาเรียแข็งทื่อไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน เธอก็แทบจะส่งเสียงอะไรออกมาไม่ได้เลย


“นะ นั่นมันเป็นการเข้าใจผิด”


“ไม่ครับ นั่นมันถูกแล้ว”


ซอลจีฮูได้ปฏิเสธออกมาอย่างหนักแน่น


“คะ คุณคิดผิด มันเป็นการเข้าใจผิด”


“ส่วนไหนหรอครับที่ท่านบอกว่ามันเป็นการเข้าใจผิด?”


“จองซูบอกว่า-“


“นั่นมันคือคำพูดของผู้กระทำผิด เธอไม่มีกระทั่งหลักฐานหรือพยานมายืนยันความบริสุทธิ์เลย เธอเพียงแค่ใช้ความใกล้ชิดกับท่านเพื่ออ้างถึงความบริสุทธิ์เท่านั้นเอง”


ถึงเสียงของเขาจะไม่ดัง แต่มันก็ชัดเจน


“อีกด้านหนึ่งหลักฐานทั้งหมดที่เรามีต่างก็ชี้มาที่ตัวจองซู แบบนี้แล้วผมจึงไม่เข้าใจเลยว่าทำไมท่านถึงพยายามที่จะปกป้องตัวแทนจองกันแน่”


ชาล็อต อาเรียได้เงียบลงไป เธอได้มองซอลจีฮูอย่างทำอะไรไม่ถูก เธอดูจะพึมพำบางอย่างออกมาโดยไร้เสียง แต่ว่าซอลจีฮูก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเช่นกัน


ซอลจีฮูได้หลับตาลง หน้าต่างสถานะไม่ได้โกหก


ราชินี ชาล็อต อาเรียคนนี้ อ่อนแอ อ่อนแอมากจนเกินไป


ในกรณีแบบนี้แล้วซอลจีฮูเหลือเพียงแค่ทางเลือกเดียว นั่นคือการให้เธอได้เห็นและได้ยินถึงความจริง ต่อให้ความจริงนั้นมันจะทำให้เธอตกใจมากขนาดไหนก็ตาม


“ราชินี”


“…”


“ตัวแทนจองโกหก”


“จองซูคือ…!”


ชาล็อต อาเรียกำลังจะตะโกนอะไรบางอย่างออกมา แต่เธอก็ต้องเงียบลงไป เธอได้กัดริมฝีปากงดงามของเธอ


ดวงตาของซอลจีฮูได้เป็นประกาย จริงๆแล้วเขาคิดว่าชาล็อต อาเรียจะโกรธเมื่อเขาพูดให้ร้ายจ้องซู เขาคิดไว้ว่าเธอจะเข้าข้างฝ่ายที่ผิดสุดตัวหรือไม่ก็ไล่เขาออกจากวัง แต่ปฏิกิริยาของเธอค่อนข้างจะอ่อนลงไป


เขาควรจะคิดว่าเขาโชคดีได้ไหมนะฦ


‘บางที…’


บางทีลึกๆแล้วชาล็อต อาเรียก็น่าจะรู้ดีว่าจองซูกำลังใช้งานเธอถ้าแบบนี้ที่เธอยังคงเข้าข้างจองซูคงเพราะว่าจองซูเป็นคนเดียวที่เข้าใจ และยอมรองรับอารมณ์ของเธอ


แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น


ซอลจีฮูได้ถอนหายใจออกมา เขาไม่ได้คิดจะคุยให้มันยืดยาวนัก หากว่าคำพูดมันใช้ได้ผล ซอกกูนีร์ก็คงทำหน้าที่นี้สำเร็จไปนานแล้ว


ที่สิ่งต่างๆมาถึงขนาดนี้นั่นก็เพราะเธอไม่อาจจะใช้คำพูดโน้มน้าวอะไรได้ สำหรับในตอนนี้คิมฮันนาห์คงกำลังทำตามแผนของเธออยู่


ซอลจีฮูได้เดินไปข้างหน้าโดยไม่ขออนุญาติใดๆ ชาล็อต อาเรียได้หดตัวหลบอยู่บนบัลลังก์จนเหมือนกับว่าเธอจะเข้าสิงที่นั่ง


“ยะ อย่าเข้ามานะ คะ คุณกำลังทำให้ฉันกลัว”


เธอคงจะกลัวมากจริงๆเพราะไหล่เล็กๆเธอกำลังสั่นเทา ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา


“อย่ากลัวเลยครับ ผมมาเพื่อช่วยท่าน”


“ช่วยฉัน?”


“เพื่อบอกความจริงกับคุณตามที่ผมได้ถูกขอร้องให้มาที่นี่ เพื่อช่วยให้ท่านได้ลืมตาขึ้น”


“มีคนขอให้คุณมาที่นี่?”


ชาล็อต อาเรียได้ขมวดคิ้วขึ้นพร้อมทวนถึงสิ่งที่ซอลจีฮูพูดออกมา


“ใครกัน… อย่าบอกนะว่า คุณกำลังพูดถึงพี่สาวเทเรซ่า?”


ซอลจีฮูไม่ได้ตอบกลับไป เขาได้เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าบัลลังก์


“ท่านอาจจะไม่รู้ ตัวว่าจองซูได้หลอกท่านมาตลอดตั้งแต่แรกแล้ว”


“มะ มันไม่ใช่แบบนั้น”


“ท่านอาจจะยังคงไม่รู้ ไม่สิ ต่อให้ท่านรู้ ท่านก็จะไม่อยากเชื่อมัน”


เมื่อซอลจีฮูได้จี้ปมในใจของเธอ สีหน้าของชาล็อต อาเรียก็ยิ่งกลายเป็นกังวลหนักกว่าเดิม น้ำตาได้เริ่มเอ่อร้นออกมาจากรอบดวงตาเธอเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมา


“เพราะงั้นผมจะแสดงให้ท่านได้เห็น”


ซอลจีฮูได้ยิ้มบางออกมา


“ไม่ว่าตัวแทนจองซูจะโกหกหรืออะไรก็ตาม ท่านได้โปรดตัดสินมันหลังจากได้ดูและฟังมันดูด้วยเอง”


***


ในเวลาเดียวกันบรรยากาศระหว่างคิมฮันนาห์กับจองซูก็เต็มไปด้วยความเย็นชาห่างเหิน


จองซูได้จ้องคิมฮันนาห์ด้วยความตกตะลึง เธอได้เข้าการนัดพบลับนี้โดยเตรียมตัวส่งต่อผลประโยชน์ออกไปให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้แล้ว


ถึงที่นี่จะเป็นสถานที่ที่เธอเรียกได้ว่าเป็นบ้านหลังที่สอง เป็นสถานที่ของเธอก็ตาม แต่เธอได้เตรียมตัวรับมือกับความเอาแต่ใจของฝ่ายตรงข้ามเอาไว้แล้วด้วยซ้ำ


แต่แล้วเธอก็ต้องพูดไม่ออกเมื่อเจอการปฏิเสธที่จะเจรจาทุกๆเรื่องของคิมฮันนาห์


“ฉันไม่ชอบพูดอะไรซ้ำๆนะ”


คิมฮันนาห์ได้พูดขึ้นในขณะที่เขี่ยเล็บเล่น สีหน้าของเธอได้แสดงถึงความไม่แยแสใดๆ


“แค่รีบเลือกมาซะ”


จองซูยิ้มออกมา


“คุณโลภจังเลยนะ”


“ฉันรู้ว่าฉันมันเต็มไปด้วยความโลภ เพราะงั้นคุณไม่ต้องพูดมันหรอก ในตอนนี้ฉันจะพูดมันอีกแค่ครั้งเดียว”


“ว่ายังไงนะ”


“คุณอยากจะออกไปจากที่นี่เงียบๆด้วยตัวเองในตอนนี้ หรือว่าอยากจะถูกลากออกไปทั้งน้ำตาหลังจากที่ต้องเจอกับความทรมานทุกรูปแบบแล้วกันล่ะ?”


จองซูได้กัดฟันแน่น เธอได้บีบมือที่ประสานกันไว้ และแสร้งยิ้มออกมา


“ฉันเคยได้ยินชื่อเสียงคุณมาหลายครั้งแล้วนะ เพราะงั้นฉันก็เลยแปลกใจที่หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าจิ้งจอกแยกแยะระหว่างนรกกับสวรรค์ไม่ได้”


“ฉันแยกแยะนรกกับสวรรค์ไม่ได้งั้นหรอ?”


“ถูกแล้วล่ะ ถ้าฉันบอกว่าไม่เลือกทั้งสองอย่างจะเป็นยังไงล่ะ?”


จองซูได้เชิดคางขึ้น


“ถ้างั้นแล้วคุณจะทำอะไร?”


คิมฮันนาห์ได้เลิกคิ้วออกมา จองซูได้ถามซ้ำอีกครั้ง


“พูดตามตรงเลยนะ คุณจะทำอะไรได้?”


“คุณนี่หน้าด้านกว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะ”


“คุณคิมฮันนาห์”


จองซูได้พูดต่อเบาๆ


“มันดูเหมือนคุณจะเข้าใจอะไรผิดอย่างแรงนะ ที่นี่มันไม่ใช่สกีเฮราซาร์ด แล้วก็วัลฮาลาไม่ใช่ซินยอง”


“…”


“ฉันไม่คิดว่าคุณจะแย่ถึงขนาดไม่เข้าใจสถานการณ์เลยนะ ฉันก็สงสัยอยู่ว่าทำไมคุณถึงถูกเตะออกมาจากซินยอง ตอนนี้ฉันเริ่มจะเข้าใจแล้วสิ”


“กรอด”


คิมฮันนาห์ได้ก้มหน้าลง ร่างกายเธอสั่นออกมาในขณะที่เธอยังคงแค่นเสียงต่อ


จองซูได้พูดออกมาตรงๆ


“คุณจำเป็นต้องอวดขนาดนี้ด้วยงั้นหรอ? คุณคิดว่าการทำตัวหยาบช้าจะทำให้ฉันกลัวงั้นหรอ?”


“อวดงั้นหรอ?”


คิมฮันนาห์ได้ฝืนเงยหน้าขึ้นมา และพูดขึ้นด้วยเสียงหัวเราะเยาะ


“คุณจองซู ฉันจะบอกอะไรให้นะ”


“ไม่ ฉันไม่อยากจะรู้เลย”


“ในตอนที่คุณยั่วยุใคร คุณต้องรู้ด้วยว่าฝ่ายตรงข้ามคือใคร ฉันนับจำนวนคนที่ทำตัวโอหังต่อหน้าฉันโดยไม่รู้ตำแหน่งของตัวเอง และต้องจบลงในนรกไม่ได้แล้วนะ”


“อ่อ~ ฉันเข้าใจแล้ว นี่มันชัดมากๆเลยล่ะ แบบปกติมันคงจะพูดว่า ‘คุณรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?’ งั้นสินะ”


จองวูได้ตอบโต้กลับมาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าไปสักนิด


“เอาเลย อยากจะทำตัวเก่งนักก็ทำไปเลย”


คิมฮันนาห์ได้พยักหน้าออกมา


“พวกเขามักจะพูดไปเรื่อยโดยทำเป็นไม่มีอะไรให้ต้องกลัวในโลกใบนี้ แต่สุดท้ายแล้วก็จบลงเหมือนๆกันโดยที่ต้องหลั่งเลือดและน้ำตาออกมา คุกเข่าขอร้องให้ฉันให้อภัยสักครั้ง นี่มันเป็นภาพที่ค่อนข้างคุ้นตาเลยล่ะ”


“ฉันไม่ได้มาเพื่อฟังงานอดิเรกน่าสมเพชของคุณหรอกนะ”


จองซูได้เย้ยหยันออกมา


คิมฮันนาห์ได้ลูบต่างหูคริสตัลโปร่งแสงที่หูซ้ายพร้อมหัวเราะออกมา และหยิบเอากระดาษหนาออกมาจากกระเป๋า


“คุณคิดว่านี่คืออะไรกันล่ะ?”


เธอได้ถามขึ้นพร้อมกับโบกแผ่นกระดาษไปมา จองซูไม่ได้ตอบกลับ เธอเพียงแต่มองคิมฮันนาห์ด้วยสีหน้าสบายอารมณ์


“มันเป็นเอกสารเกี่ยวกับคุณ ทุกๆอย่างเกี่ยวกับคุณจองซูได้ถูกเขียนเอาไว้ เริ่มตั้งแต่วันเกิดของขึ้นจนกระทั่งวิธีที่คุณไต้เต้ามาจนถึงตำแหน่งปัจจุบัน”


จองซูได้ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย


“…อะไรนะ?”


คิมฮันนาห์ได้ยื่นส่งปึกกระดาษให้กับจองซู และพูดต่อ


“เกิดปี 1994 ในโรงพยาบาลดงจินที่กุนซาน คุณมีพี่น้องสองคน ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง คุณได้เข้าเรียนประถมที่โรงเรียนซุนโดจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่สอง และจากนั้นก็ย้ายไปที่โซลเพื่อย้ายไปเรียนที่โรงเรียนประถมซัมซิล ต่อจากนั้น….”


ยิ่งคิมฮันนาห์อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตเธอ รอยย่นบนหน้าผากของจองซูก็ยิ่งชัดเจนขึ้น


“คุณตรวจสอบประวัติของฉัน?”


“อ่า มันชัดเจนว่าฉันไม่ได้ทำ แล้วฉันก็ไม่เคยขอให้ทำด้วย”


“แล้วนี่มันบ้าอะไรกัน? มันจะมีวิธีไหนอีก-“


“โอ้ เชื่อฉันสิ มันเป็นไปแล้ว นี่คือของขวัญที่ซินยองมอบให้เราในพิธีเปิดตัว”


คิมฮันนาห์ยิ้มหวานออกมา


“ซินยอง?”


“สำหรับคนที่คว้าโอกาสได้ค่อนข้างเร็วแล้ว คุณนี่โง่มาก ฉันจะขอแก้ไขสิ่งที่คุณพูดมาก่อนหน้านี้แล้วกันนะ แตอะไรกันที่ทำให้คุณคิดว่าฉันถูกไล่ออกมาจากซินยอง?”


คิมฮันนาห์เดาะลิ้นออกมาราวกับว่าเธอสงสารจองซู


“ซอลจีฮูถูกฉันเชิญเข้ามาในระหว่างที่ฉันอยู่กับซินยอง และหลังจากมาที่อีวา เขาก็ได้สร้างองค์กรขึ้นอย่างรวดเร็ว นี่มันยังไม่ชัดอีกหรอ?”


คิมมฮันนาห์ได้สะบัดกองกระดาษ


“แล้วก็เอกสารนี้ มันมาจากตัวผู้อำนวยการยุนเองด้วย เธอกระทั่งส่งมันมาด้วยตัวเอง”


จองซูได้ผงะไป


“ฉันมั่นใจว่าคุณคงได้ยินเรื่องที่ผู้อำนวยการยุนมาที่พิธีเปิดตัวได้ คุณคิดว่าเธอจะแค่มาที่อีวาแค่เพื่อมาเยี่ยมอดีตเพื่อนร่วมงาน ทั้งๆที่เธอเต็มไปด้วยงานยุ่งงั้นหรอ?”


ในที่สุดรอยยิ้มบนใบหน้าจองซูก็ได้เริ่มจางหายไป


“ก็นะ ฉันไม่เคยได้ยินอะไรไร้สาระแบบนี้มาก่อนเลย ฉันหมายถึงฉันเข้าใจนะว่าคุณเชื่อราชินีสุดหัวใจ และมันก็จริงที่เรายากจะแตะต้องคุณหรืออีวาเกลีน แต่นั่นก็ไม่ใช่แค่วิธีเดียวที่จะใช้งานได้หรอกนะ”


คิมฮันนาห์ได้สะบัดกระดาษไปมา


“ดูนี่สิ พ่อของคุณชื่อจองฮวันซุง เขายังคงมีชีวิตอยู่ดีโดยทำงานเป็นวิศวกรให้กับซินยองเป็นเวลา 24 ปี…ว้าว โลกใบนี้มันเล็กจังเลยนะ เขาเป็นพนักงานของบริษัทในเครือเราสินะ?”


เมื่อคิมฮันนาห์เอาเรื่องครอบครัวของเธอมาพูด ประกายไฟได้พุ่งออกมาจากตาจองซู


“คุณคิดว่านี่จะทำให้ฉันกลัวงั้นหรอ?!”


ปัง! เธอได้ทุบโต๊ะ และตะโกนออกมา


“เอาจริง ถ้าต้องการก็ไล่เขาเลย! พ่อของฉันก็ใกล้จะเกษียรออกมาอยู่แล้ว เธอคิดว่าฉันจะไม่มีความกตัญญูเลยงั้นหรอ?”


“โอ้ ฉันไม่รู้ว่าคุณจะไร้เดียวสาแบบนี้เลยนะ”


จองซูได้ผงะไป มุมปากของคิมฮันนาห์ได้โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มอันโสมม


“การเลิกจ้างเป็นวิธีสกปรกที่สุดที่คุณคิดได้แล้วงั้นหรอ?”


คิ้วของจองซูได้ขมวดออกมา


“ว่ายังไงล่ะคุณจองซู?”


คิมฮันนาห์ได้เอียงตัวออกมาข้างหน้า


“คุณคงยังเด็กเกินกว่าที่จะรู้สินะ”


เธอได้ลดเสียงต่ำลง และพูดต่อด้วยเสียงกระซิบ


“ในเกาหลีใต้แล้ว การที่คนที่มีสุขภาพดีทั้งกายและใจจะพิการไปมันไม่ใช่เรื่องยากเลยนะ”


“อะไรนะ-“


“มีอีกหลายร้อยวิธีที่สามารถจะทำให้คนๆหนึ่งถูกตราหน้าเป็นอาชญากร และถูกสังคมรังเกียจ”


ใบหน้าของจองซูได้สั่นเทาออกมา


“ทะ ทำไมเธอถึงทำแบบนี้”


“ฉันคิดว่าคุณก็รู้คำตอบนะ”


“ฉันบอกว่าฉันบริสุทธิ์!”


“ใช่แล้ว แน่สิว่าคุณบริสุทธิ์~”


คิมฮันนาห์ได้แคะหูของเธอ


“มาดูกันสิ แม่ของคุณ ชินชุนจาเป็นคุณครูโรงเรียนมัธยมต้น โอ้? เธอก็เกือบจะเกษียรด้วยแล้วเหมือนกัน ฉันหวังว่าเธคงไม่เจอกับปัญหาใดๆ ดังนั้นเธอก็น่าจะเกษียรได้ด้วยดีนะ”


“หยุด! หยุดได้แล้ว! เธอรู้ไหมว่าแม่ฉันทำงานหนักมาขนาดไหน-“


จองซูได้กรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ


“ลูกชายคือคุณจองซึงกิ? เภสัชกรรมฮวาดง? ชื่อนี้มันก็คุ้นๆนะ ตอนนี้ซินยองคือราชาแห่งสาขาเภสัชกรรมที่ไม่มีใครเทียบได้ เพราะงั้นมันก็คงไม่ยากเลย มาดูลูกสาวคนแรกกันบ้าง คุณจองชียอนเป็นนักศึกษาปริญญาโทของมหาวิทยาลัยกุนจุง คุณครูสอนพิเศษดูเหมาะกับเธอดีนะ”


คิมฮันนาห์ได้พลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆ อย่างไม่แยแส


“คุณเป็นน้องเล็กสุดสินะคุณจองซู? ช่างน่าเสียดายที่คุณไม่มีน้องเลย หากว่าคุณมีน้องสักคนที่กำลังเรียนอยู่ ฉันมั่นใจได้เลยว่าชีวิตวัยเรียนจะกลายเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์แน่นอน”


แม้ว่าเธอจะรู้ว่ามันไม่ได้ผล แต่จองซูก็ตะโกนออกมาอย่างเดือดดาล


“เธอถึงขนาดจะยุ่งกับครอบครัวฉันเลยงั้นหรอ!? เพราะกับแค่พาราไดซ์…!”


“แค่พาราไดซ์?”


คิมฮันนาห์ได้หัวเราะออกมา


“ว้าว คุณได้ยุยงปลุกปั่นให้มีคนลงมือทำการฆาตกรรม และดูที่คุณพูดเข้าสิ? ก็นะ ฉันเข้าใจว่าคุณอยากจะทำตัวเป็นลูกสาวคนดีเป็นแบบอย่าง… แต่ว่าจริงๆแล้วคุณมันก็ไอ้ชั่วไม่ใช่หรอ?”


ในที่สุดคิมฮันนาห์ก็ได้เผยธาตุแท้ออกมา เมื่อได้ยินคำดูถูกตรงๆ สีหน้าจองซูก็กลายเป็นเย็นชาไป


“…ยัยสารเลว”


“โอ้?”


“ยัยโสโครก น่าขยะแขยง”


“อืมม… ฉันจะเสริมเข้าให้ด้วยแล้วกันว่าฉันมันเป็นยัยสารเลว ชั่วร้ายไร้หัวใจ และต่ำช้า ก็นะ ฉันยอมรับมันนั่นแหละ อย่างน้อยฉันก็เคยได้ยินคำพูดทั้งหมดนี้มาแล้วสักครั้งหนึ่ง แล้วคุณมีคำพูดไหนอีกไหมล่ะ?”


คิมฮันนาห์ได้ตอบกลับอย่างหน้าไม่อาย


“แก…!”


“อย่าคิดว่าฉันโหดร้ายเลยนะ คติประจำตัวฉันคือตาต่อตา ฟันต่อฟัน คุณกล้าแตะต้องวัลฮาลาที่ซึ่งเป็นเหมือนกับครอบครัวของฉัน ในทางเทคนิคแล้วฉันก็ควรที่จะเข้าทำลายอีวาเกลีนเลยด้วย แต่ว่านะ…”


คิมฮันนาห์ได้หยุดเล็กน้อย และหันไปมองด้านข้าง


“เพราะงั้นแล้ว…” จองซูได้กัดฟันแน่น “ไม่ว่ายังไงเธอก็กำลังบอกว่าเธอจะทำลายครอบครัวของฉันงั้นหรอ”


“ถูกต้อง นั่นเพราะในด้านนี้ฉันทำอะไรกับครอบครัวของคุณไม่ได้ เพราะงั้นแล้วอย่างน้อยฉันก็จะโจมตีครอบครัวคุณที่อยู่อีกด้านหนึ่ง พ่อ แม่ พี่ชาย พี่สาว แน่นอนว่าทุกๆคนเลยนั่นแหละ”


จองซูไม่อาจจะทนฟังได้อีกต่อไปแล้ว


ครืดด! หลังจากเธอรีบลุกขึ้นยืนแล้ว เธอก็พ่นลมหายใจอย่างไม่พอใจอยู่นาน ก่อนจะพูดขึ้น


“เธอทำพลาดแล้ว”


“พลาดงั้นหรอ? พวกเขาแกร่งมากบนโลก คุณจะทำยังไงล่ะ?”


คิมฮันนาห์ได้ใช้คำพูดก่อนหน้านี้ที่จองซูพูดกับเธอย้อนกลับไป ปากของจองซูได้บิดเบี้ยวออกมา


“ฉันบอกเธอไปแล้วนี่? ที่นี่ไม่ใช่สกีเฮราซาร์ด ที่นี่คือพระราชวังของราชวงศ์อีวา”


“ฉันรู้ว่าฉันอยู่ไหน ฉันแค่สงสัยว่าคุณจะทำอะไรเท่านั้นเอง”


คิมฮันนาห์ได้ประสานมือเท้าคาง และหยักไหล่ออกมา


สีหน้าของจองซูได้บิดเบี้ยวไป


“เธอคิดว่าฉันจะยอมแพ้กับการข่มขู่แบบนี้งั้นหรอ?”


“เมื่อก่อนมันก็ได้ผลเป็นอย่างดีนะ ทุกๆคนต่างก็พูดแบบเธอแหละ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องยอมแพ้”


“…โอ้ งั้นหรอ?”


จองซูได้หันหน้าออกไปราวกับไม่มีอะไรให้พูดต่อแล้ว


“เธอหาเรื่องผิดคนแล้ว”


“หาวววววววว”


คิมฮันนาห์ได้ยกมือปิดปาก และหาวกว้างออกมา จองซูได้จ้องเธอเหมือนกับจะฆ่ากันให้ได้ก่อนที่จะกระทืบเท้าเดินจากไป


ขณะที่เธอเดินมาที่ท้องพระโรงน้ำตาก็เริ่มไหลออกมา ความอัปยศครั้งใหญ่นี้ที่เธอได้เผชิญมันได้กระตุ้นให้เธอต้องร้องไห้ออกมา


จองซูที่ร้องไห้อยู่เงียบๆได้ค่อยๆมุ่งหน้าไปที่ท้องพระโรง


“องค์ราชินี!”


เมื่อเธอได้เห็นราชินี เธอก็ได้วิ่งตรงเข้าไปหาชาล็อต อาเรียในทันที เธอได้ร้องไห้ระบายถึงสิ่งที่คิมฮันนาห์เพิ่งพูดออกมาจนหมด


“งั้นเธอกำลังจะบอกว่า…”


ชาล็อต อาเรียได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา


“คิมฮันนาห์ข่มขู่เธองั้นหรอ?”


“ใช่แล้ว!”


เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของราชินี จองซูได้พยักหน้าออกมาราวกับรอเวลานี้อยู่


“เธอบอกให้ฉันจากไปเงียบๆ! หากไม่เช่นนั้นเธอจะทำลายครอบครัวของฉัน!”


“ครอบครัวงั้นหรอ?”


ชาล็อต อาเรียได้ถามขัดเธอขึ้น


“ครอบครัวที่เธอหมายถึงคือน้องสาวที่เหลือเพียงคนเดียวน่ะหรอ?”


“คะ ค่ะ!”


ในทันทีที่เธอได้ยอมรับนี้ จองซูก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างแปลกๆ


ท่าทีของราชินีดูต่างไปจากปกติ แทนที่เธอจะเอะอะโวยวายถามเรื่องต่างๆ เธอกลับนิ่งสงบมาก


ดวงตาที่มองมาของเธอเหมือนกับจะเต็มไปด้วยความโศกเศร้า


“นี่มัน… ดีใจที่ได้ยินนะ”


“…อะไรนะคะ?”


“เธอบอกว่าพ่อแม่ได้จากเธอไปตั้งแต่ยังเด็ก และเพราะการแก่งแย่งมรดกทำให้คุณตัดขาดสายสัมพันธ์กับญาติทั้งหมดไป”


จองซูได้กระพริบตาออกมาอย่างสับสน


“เนื่องจากว่าคุณไม่มีพี่ชายหรือพี่สาวเลย คุณจึงได้แต่ต้องดูแลน้องสาวที่ยังเล็กอยู่ ด้วยความสามารถของคุณการดูแลคนๆหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”


นี่มันอะไรกัน? ทำไมจู่ๆเธอเป็นแบบนี้?


ไม่นานนักคำตอบก็ได้เผยออกมา ซอลจีฮูที่ยืนอยู่ข้างๆชาล็อต อาเรียได้ยกแขนขึ้น ในมือขวาของเขามีคริสตัลที่ส่องแสงจางๆออกมาอยู่


‘คริสตัลสื่อสาร?’


เมื่อมองดูดีๆแล้วภาพที่สะท้อนออกมาก็คุ้นมาก


เมื่อจองซูจำได้ถึงห้องที่เธอเพิ่งจะกระทืบเท้าออกมา ม่านตาของเธอก็ได้สั่นไหวขึ้น


หลังจากนั้นไม่นานภาพภายในคริสตัลก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ คิมฮันนาห์ได้โบกมือออกมาด้วยรอยยิ้มสดใส-


“อ่า”


ดวงตาของจองซูได้เบิกโพล่ง และความคิดของเธอกลายเป็นว่างเปล่าไป


บทที่ 274 – ผู้กอบกู้แห่งอีวา (3)


ใบหน้าของจองซูได้กลายเป็นไม่น่ามอง


ตัวเธอกำลังสั่นเทาเหมือนกับคนที่พึ่งจะรู้ตัวว่าก้าวลงหน้าผาไปแล้ว


“เธอบอกว่าสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเด็กไม่ใช่หรอ? เธอไม่ได้บอกว่าเป็นแบบเดียวกับฉันหรอ?”


“อะ องค์ราชินี”


“แล้วเรื่องน้องสาวของเธอล่ะ? ไม่ใช่ว่าเธอบอกว่าน้องสาวอยู่ในอาการโคม่าจนทำให้เธอมาไม่ได้ตอนที่การเกณฑ์คนหรอ?”


“มันไม่ใช่นะ! นี่มันไม่ถูกองค์ราชินี”


“ถ้างั้นแล้วอะไรล่ะ?”


ชาล็อต อาเรียได้ถามออกมาราวกับเธอยังอยากจะเชื่อจองซูอยู่


“ถ้าไม่ใช่แบบนั้น แล้วถ้างั้น…”


เธอได้ถามออกมาเป็นครั้งที่สอง ยังไงก็ตามจองซูได้แต่อ้ำอึ้ง


“ถ้างั้นแล้วอะไร!?”


จากการระเบิดเสียงออกมาอย่างกระทันหันได้ทำให้จองซูต้องล้มลงไป ขาของเธอได้อ่อนแรง


‘พูดมาสิ บอกข้อแก้ตัวที่น่าเชื่อถือออกมา’ ชาล็อต อาเรียได้กระตุ้นจองซู และถามย้ำถึงสสามครั้ง แต่ว่าจองซูก็ไม่อาจจะทำตามที่ราชินีหวังได้


พวกเธอทั้งคู่ต่างก็รู้ว่าต่อให้พยายามปิดบังไปก็ไม่มีความหมายแล้ว


จองซูไม่มีอะไรจะพูดได้อีก ในตอนนี้เธอยอมรับทุกๆอย่างด้วยตัวเอง เธอรู้ดีว่าหากหาข้ออ้างไปก็ไร้ความหมาย


“เธอ…”


สายตาอันโศกเศร้าได้เปลี่ยนเป็นเย็นชาอย่างช้าๆ


“โกหก”


ในที่สุดคำตัดสินก็ออกมาแล้ว


ในจุกๆนี้น้ำตาของจองซูก็แห้งไป และเธอก็พยายามอย่างมากที่จะลุกขึ้นยืน


ความพยายามทั้งหมดที่เธอได้ลงแรงไปนับสิบปีจู่ๆก็พังทลายลงในเวลาแค่สิบนาที


กับการแค่พลั้งปากไปเพียงครั้งเดียวได้เกิดเป็นผลลัพธ์อันโหดร้าย แต่ว่าเธอก็ดูจะไม่ได้ตกใจกับสิ่งที่ออกมามากนัก มีเพียงแค่ความรู้สึกรีบร้อน และทรนงเท่านั้นที่สลักเอาไว้บนใบหน้าของเธอ


จองซูก็ยังไม่อาจจะสบตากับราชินีได้ นี่เป็นสิ่งที่ยิ่งทำให้ชาล็อต อาเรียต้องเจ็บปวด


“คนโกหก”


จองซูได้ชะงักไป ใบหน้าของเธอได้เริ่มสั่นเทาอย่างชัดเจน


-คุณคงยังมีจิตสำนึกหลงเหลืออยู่สินะ?


เสียงได้ดังออกมาจากคริสตัล


-ฉันคิดว่าเธอจะพยายามเกาะติดหนึบเธอต่อไปโดยไม่สนใจอะไรซะอีก


คำพูดสุดท้ายได้ถูกส่งออกมาแล้ว


จองซูได้เบิกตากว้าง เธอได้รีบพยุงตัวลุกขึ้นจากพื้น และกวาดตามองไปรอบๆ


ในตอนนี้มันชัดเจนแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ


หากว่าเธอร้องไห้อ้อนวอน ราชินีใจอ่อนก็จะไม่ฆ่าเธอ แต่ว่าเธอจะต้องถูกทอดทิ้งอย่างแน่นอน


[หรือว่าอยากจะถูกลากออกไปทั้งน้ำตาหลังจากที่ต้องเจอกับความทรมานทุกรูปแบบแล้วกันล่ะ?]


[ฉันนับจำนวนคนที่ทำตัวโอหังต่อหน้าฉันโดยไม่รู้ตำแหน่งของตัวเอง และต้องจบลงในนรกไม่ได้แล้วนะ]


ในที่สุดเธอก็เข้าใจถึงสิ่งที่คิมฮันนาห์จะบอก ทุกๆอย่างได้หลุดออกมาจากการควบคุมของเธอ และมันย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว


ในฐานะคนโกหกที่ไม่เหลือทางเลือก ไพ่ตายสุดท้ายของเธอก็คือ…


“อ่า”


…การหนี เธอได้หันหน้ารีบวิ่งหนีออกไป


“คนโกหก!”


ชาล็อต อาเรียได้กรีดร้องออกมา


แต่ว่าจองซูก็ไม่ได้สนใจ และหายไปเหมือนกับสายลม เธอได้เลือกละทิ้งทุกๆอย่าง และหลบหนีไปดีกว่าต้องเจอกับความอัปยศต่างๆ


อย่างน้อยที่สุดทักษะการตัดสินใจอันรวดเร็วของเธอมันยอดเยี่ยมมาก


ชาล็อต อาเรียได้น้ำตาเอ่อร้น และริมฝีปากสั่นเทาก็ไม่อาจจะอดกลั้นเอาไว้ได้อีก


“ฮืออออออ”


ซอลจีฮูได้เม้มปากด้วยความขมขื่น


เขาก็คิดไว้แล้วว่าเธอจะต้องตกใจ แต่การได้เห็นเธอร้องไห้มันก็ทำให้เขารู้สึกแย่ไปด้วย


“คนโกหก… คนโกหก…”


ชาล็อต อาเรียที่ร้องไห้เอาแต่พูดคำเดิมซ้ำๆออกมา


***


นอกไปจากนี้การนัดพบก็พังลงไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาไม่อาจจะกินมื้อเที่ยงกันอย่างเป็นมิตรได้ในสถานการณ์แบบนี้


ส่วนทางซอกกูนีร์ที่รออยู่ด้านนอกก็ได้จัดการกับสถานการณ์นี้ ขณะที่ซอลจีฮูกับคิมฮันนาห์ออกไปจากวังเงียบๆ


ในท้ายที่สุดจองซูก็ไม่อาจจะหลบหนีไปได้ จริงๆแล้วไม่ว่าเธอจะเลือกแบบไหน มันก็ไม่ต่างกับการวิ่งอยู่ในเขาวงกตเลย


ในเมื่อคิมฮันนาห์ได้บอกแผนไว้กับซอกกูนีร์แล้ว จองซูจึงถูกทหารของซอกกูนีร์ที่อยู่รอบวังจับตัวเอาไว้


ซอลจีฮูกับคิมฮันนาห์ได้หันหลังไปหลังจากที่เห็นจองซูดิ้นรนกรีดร้องก่อนจะถูกจับโยนเข้าห้องขัง


“ในท้ายที่สุดเธอก็แค่ผู้หญิงเลวคนหนึ่ง”


คิมฮันนาห์ได้เริ่มพูดขึ้นเมื่อพวกเขาออกมาจากวัง


“นี่คือเหตุผลที่ผู้คนพูดกันว่าเหล่าคนที่ใช้ชีวิตกับสงคราม ก็ตายไปเพราะสงครามแหละนะ”


เธอพูดถูก คนที่ใช้การเมือง ก็ต้องตายด้วยการเมือง


เหตุผลเดียวที่จองซูมาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะเธอไม่พลาดโอกาสที่จะสร้างสายสัมพันธ์ความเห็นใจกับชาล็อต อาเรีย


แต่ถึงแม้ว่าเธอจะมีความสามารถยังไง ที่เธอทำได้ถึงขนาดนี้มันก็เพราะช่องว่างที่อีวาเกลีน โรสเหลือไว้ และเป้าหมายของเธอ ชาล็อต อาเรียเป็นคนที่หัวอ่อน และไร้เดียงสาเท่านั้น


เมื่อไหร่ที่สายสัมพันธ์อันเป็นรากฐานนั้นพังทลายลง จองซูก็จะไม่อาจทำอะไรได้อีก


“โอ้ จริงสิ ฉันมีเรื่องจะขอหน่อย”


จู่ๆคิมฮันนาห์ก็ถามออกมา


“จองซูนั่นนะ ให้ฉันจะการกับเธอได้ไหม?”


ซอลจีฮูได้แสดงสีหน้าสับสนออกมา


“มันก็ไม่สำคัญหรอก แต่ว่านักโทษจะอยู่ในการดูแลของราชวงศ์ไม่ใช่หรอ?”


“ฉันถามซอกกูนีร์มาแล้ว เขาบอกให้ฉันทำตามใจได้”


“แล้วราชินีล่ะ?”


“เราจะไม่บอกเธอ”


“?”


“ซอกกูนีร์กับฉันตัดสินใจจะบอกเธอว่าจองซูได้หนีไปที่โลก และจะไม่กลับมาอีกแล้ว ยังไงสุดท้ายราชินีของเราก็เป็นคนใจอ่อนอยู่แล้ว”


ใช่แล้ว มันมีความเป็นไปได้สูงที่ชาล็อต อาเรียจะปล่อยจองซูเป็นอิสระ


“แล้วเธอวางแผนอะไรไว้งั้นหรอ? แล้วถ้าราชินีไปเจอจองซูที่คุกล่ะ?”


“ราชินีไม่ได้สนใจการดูแลเมืองของตัวเองเลยด้วย เพราะงั้นแล้วทำไมเธอจะต้องสนใจเรื่องคุกด้วยล่ะ? พวกเราก็แค่ต้องปิดเงียบไว้ก็เท่านั้น”


คิมฮันนาห์ได้ยิ้มออกมา


“ต่อให้ถูกจับได้ก็ไม่เป็นไรหรอก พวกเราก็แค่บอกว่าจองซูถูกจับได้ในตอนที่เธอแอบเข้ามาในพาราไดซ์อีกครั้งก็ได้ ยังไงเราก็กำลังจะออกหมายจับเธอวันนี้อยู่แล้ว”


ซอลจีฮูรู้สึกประหลาดใจกับคิมฮันนาห์ คิมฮันนาห์ไม่ใช่คนครึ่งๆกลางๆแบบนี้ เธอเป็นคนประเภทที่ว่าเมื่อเริ่มแล้วต้องทำให้จบ ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ตาม


‘ดูเหมือนจะต้องมีเหตุผลที่ปรสิตยอมรับเธอสินะ’


ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกสงสัย และถามออกมา


“แล้วเธอจะทำอะไรกับจองซูงั้นหรอ?”


“…”


จู่ๆคิมฮันนาห์ก็ปิดปากเงียบไป


“คิมฮันนาห์?”


“ฉันจะต้องบอกจริงๆหรอ?”


นี่เป็นการตอบกลับที่เขาคาดไม่ถึงเลย


“หากว่านายอยากจะรู้ฉันจะบอกก็ได้… แต่ว่านี่มันไม่ใช่เรื่องที่น่าฟังเท่าไหร่?”


“น่าฟังกับไม่น่าฟังมันเกี่ยวตรงไหนล่ะ?”


“ตามปกติแล้วฉันจะหลอกใช้งานคนอื่นเพื่อทำตามเป้าหมายที่มีเอาไว้ในใจ แต่ในคราวนี้ฉันกำลังจะใช้เธอเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง”


“ความต้องการของตัวเอง?”


“ฉันก็เป็นมนุษย์คนนึงนะ”


คิมฮันนาห์ได้พูดต่อด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง


“ตราบใดที่ฉันเป็นมนุษย์ ฉันก็จะมีความเครียด และงานอดิเรกก็จะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่จะระบายมันออกไป”


“นี่ยิ่งทำให้ฉันสงสัยนะ”


ซอลจีฮูได้จิ้มสีข้างของคิมฮันนาห์


“อธิบายสั้นๆสักหน่อยได้ไหม?”


“มันก็แค่…”


คิมฮันนาห์เม้มปากออกมา


“ฉันกำลังทำให้เธอโชกเลือด”


ใบหน้าของซอลจีฮูบูดบึ้งไป


“จากนั้นฉันถึงจะรู้สึกพอใจ นิสัยของฉันมันพังไปนิดหน่อยน่ะ”


หลังจากพูดแบบนี้ออกมาแล้ว เธอก็เหลือบมองไปด้านข้าง


“ทำไมล่ะ มันแปลกงั้นสิ?”


“…ก็นิดหน่อย?”


“นี่เป็นความชอบของฉัน เพราะงั้นเคารพกันด้วย นายมันก็บ้าหน้าอกเหมือนกันนี่”


“ไม่ ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น แต่ว่าฉันกำลังพูดถึงการพูดของเธอ”


“การพูดของฉัน?”


คิมฮันนาห์ได้ขมวดคิ้วออกมา


“เมื่อไหร่ที่อธิบายถึงศัตรูเธอจะพูดถึงในลักษณะที่เลวร้ายอยู่เสมอ…”


“งั้นหรอ?”


“ใช่แล้ว”


ซอลจีฮูได้พยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง


“ฉันทำแบบนั้นไปจริงหรอ? ฉันไม่เห็นรู้เลย”


คิมฮันนาห์ได้เอียงหัวก่อนจะหัวเราะออกมา


‘นี่คงติดเป็นนิสัยแล้วจริงๆสินะ’


จากนั้นเธอก็ยืดแขนขึ้นไปบนท้องฟ้า


“เรายังไม่ได้กินมื้อเที่ยงกันเลยนี่นา ไปซื้อเนื้อก่อนกลับกันดีกว่า ฉันหิวมาทั้งวันแล้ว”


เธอได้บดเอว และเดินแกว่งแขนไปข้างหน้า


***


ในวันนี้ก็มีประกาศจับจองซูออกมาอย่างที่คิมฮันนาห์ได้พูดเอาไว้


จากนั้นอีกไม่กี่วันต่อมาซอลจีฮูก็ได้ไปที่วังอีกครั้งหนึ่ง เหตุผลสำคัญคือซอกกูนีร์ได้ขอความช่วยเหลือจากเขา แต่คิมฮันนาห์ก็ยังผลักดันให้เขาไปอีกด้วยโดยบอกว่านี่คือเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว


‘ตอนอยู่ฮารามาร์คฉันไม่เห็นต้องไปที่วังบ่อยแบบนี้เลย’


ซอลจีฮูที่กำลังจับกิ๊บติดผมในกระเป๋าเล่นได้เดินมาจนถึงที่วัง


น่าแปลกที่สถานที่ที่ผู้ดูแลราชวงศ์ได้นำทางเขาไปไม่ใช่ที่ท้องพระโรง แต่เป็นห้องนอน


เขารู้สึกสงสัยว่าการไปที่ห้องนอนของราชินีโดยไม่อนุญาติจะไม่มีปัญหาอะไรหรอ แต่ซอกกูนีร์ก็แค่ตอบกลับมาว่า ‘ไม่เป็นไรหรอก’ และประกาศการมาถึงของเขา


บรรยากาศภายในห้องได้เต็มไปด้วยความหดหู่ มันอึดอัดจนทำให้เขารู้สึกหายจแทบไม่ออก


ซอลจีฮูได้ค่อยๆ เข้าไปในห้อง และไม่นานนักก็เห็นชาล็อต อาเรียกำลังนอนทิ้งตัวอยู่บนเตียง


แม้ว่าจะได้ยินเสียงประกาศอย่างเป็นทางการแล้ว เธอก็ไม่ได้ขยับตัวอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว


“องค์ราชินี”


“…”


“ท่านหลับอยู่หรอ? ถ้าแบบนั้น…”


“ปะ ไปให้พ้น”


ก่อนที่เขาจะได้พูดว่าจะมาคราวหน้า เสียงตอบกลับของเธอก็ดังขึ้น


“เจ้าคนหยาบช้า คุณกล้าเข้ามาที่นี่โดยไม่ได้รับอนุญาตได้ยังไงกัน!”


“ผู้ดูแลราชวงศ์พาผมเข้ามา”


“…ฮึ่ม”


ชาล็อต อาเรียได้ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหัว


เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ว่าร่างกายกับบรรยากาศรอบตัวเธอกำลังบอกว่า ‘ฉันกำลังหดหู่ รีบๆเข้ามาปลอบฉันได้แล้ว’


‘เชื่อในตัวซอกกูนีร์เถอะนะ’


ซอลจีฮูได้คิดกับตัวเอง และก้าวไปข้างหน้าอย่างหนักแน่น


“ในเมื่อผมทำตัวหยาบคายไปแล้ว ถ้างั้นขออนุญาติทำตัวหยาบคายอีกครั้งแล้วกันนะครับ”


ซอลจีฮูได้จับผ้าห่มและดึงออกมาอย่างอ่อนโยน


“อื้อออ!”


ชาล็อต อาเรียได้พยายามยื้อผ้าห่มเอาไว้สุดกำลัง แต่ว่าเธอก็ไม่อาจจสู้แรงของซอลจีฮูได้


“คุณกำลังทำอะไรอยู่!? อย่ามารังแกฉันนะ!”


ก่อนหน้านี้เขาก็เคยรู้สึกมาหลายครั้งแล้ว ชาล็อต อาเรียไม่ใช่องค์หญิงแบบเทเรซ่า เธอเป็นราชินีที่ล้มเหลว


ยังไงก็ตามซอลจีฮูได้ตัดสินใจจะไม่สนใจเรื่องนี้เอาไว้ก่อน มันคงจะดีกว่าที่เขาจะมองราชินีจอมเอาแต่ใจคนนี้เหมือนกับน้องสาวซอลจินฮีของเขา


“องค์ราชินี”


ชาล็อต อาเรียดูผอมแห้งเหมือนกับว่าเธอได้อดอาหารมาหลายวัน ดวงตาของเธอก็ยังบวมขึ้นจากการร้องไห้อยู่นาน


“ได้โปรดคุยกับผมสักหน่อยเถอะนะ”


และชาล็อต อาเรียก็ได้ลุกขึ้นจากเตียงราวกับรอคำพูดนี้อย่างที่คิดไว้ เธอได้เริ่มพูดทั้งๆที่จมูกแดงขึ้น


“ฉันจะไม่ขัดขืนก็ได้ในเมื่อผู้ดูแลส่งคุณมา”


เธอได้เงยหน้าขึ้นทั้งน้ำตา และพึมพำออกมา


“แต่ว่าฉันอยากอยู่คนเดียว ไม่สิ ฉันไม่อยากจะเจอใครอีกแล้ว”


ซอลจีฮูได้หลับตาลงไป


เขาจะไม่พูดว่า ‘ได้สิ งั้นผมไปแล้ว’ จากประสบการณ์ของเขากับเทเรซ่า นั่นเป็นทางเลือกที่เขาจะไม่มีวันทำเด็ดขาด


ซอลจีฮูได้คุกเข่าลงไปอยู่ในระดับสายตาเดียวกันกับเธอ เขาได้แสดงความมุ่นมั่นว่าจะไม่ออกไปจากที่นี่


ชาล็อต อาเรียได้หน้ามุ่ยขึ้น


“ฉันเหนื่อย ฉันไม่มั่นใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่โหดร้ายอีกต่อไปแล้ว”


ซอลจีฮูแทบจะห้ามตัวเองไม่ให้เงยหน้ามองเพดานไม่อยู่


“ทำไมล่ะ? ทำไมจองซูต้องหลอกฉันด้วย? มันมีเหตุผลอะไรที่เธอต้องทำขนาดนั้น”


“มีครับ”


“เพราะฉันเป็นราชินีงั้นหรอ?”


“ท่านก็รู้… ใช่แล้วครับ มันก็เพราะว่าท่านชาล็อต อาเรียคือราชินี”


“แต่ฉันเป็นราชินีที่ไร้พลังนะ”


“แต่ท่านก็ยังเป็นราชินี”


ซอลจีฮูได้พูดอย่างสงบ


“ราชินีคือตัวตนที่เป็นที่เคารพบูชาของผู้คน แค่เพียงคำว่าราชินีก็มีอิทธิพลต่อโลกอย่างมหาศาลแล้ว และใครก็ตามที่ยืนเคียงข้างราชินีก็จะได้หยิบยืมอำนาจของเธอมาใช้ได้ จองซูเข้าหาท่านก็เพื่อใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้”


เขาได้พูดถึงสิ่งที่เธอรู้อยู่แล้วออกมา บางทีนี่อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เธออยากจะได้ยิน


“…นั่นมันแย่มาก”


เธอบอกว่าจองซูแย่ที่หลอกเธอ หรือว่าเธอกำลังบอกว่าเขาแย่ที่ปลอบเธอไม่สำเร็จกันนะ? หากตัดสินจากสีหน้าหงอยของเธอแล้ว มันมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นอย่างหลัง


“ท่านจะต้องสู้นะ”


เมื่อเขาได้พูดออกมาหลังจากถอนหายใจสั้นๆ…


“ไม่”


เขาก็ได้ยินเสียงไม่ยินยอมของเธอ


“อะไรนะครับ”


“ฉันบอกว่าไม่”


น้ำเสียงของเธอชัดเจน เขาก็ไม่รู้ว่าจู่ๆมันเกิดอะไรขึ้นกับเธอ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาปิดปากแน่น


ชาล็อต อาเรียได้จ้องซอลจีฮูอยู่สักพักก่อนที่จะแค่นเสียงออกมา


“แน่นอนสิว่ามันพูดง่าย แต่ทำมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น?”


เธอยังคงมีน้ำเสียงแหบแห้ง แต่ก็เต็มไปด้วยความโกรธ


“หากว่าคุณเป็นฉัน จู่ๆคนจะมีแรงสู้ขึ้นมาเหมือนกับที่คุณพูดได้ไหม?”


“องค์ราชินี”


“ยิ้มสิ สู้ๆนะ ฉันเกลียดสองคำนี้ที่สุดเลย รู้ไหมว่าทำไม? ก็เพราะว่าความตั้งใจเบื้องหลังคำพูดเหล่านี้คือความหลอกลวง”


“หลอกลวง?”


“ทำไมล่ะ คุณไม่คิดแบบนั้นงั้นหรอ? คำพูดที่พูดออกไปเฉยๆโดยที่ไปเข้ามาช่วยอะไรเลย ไม่แม้กระทั่งจะเห็นใจคนๆนั้น หากไม่ใช่การหลอกลวงแล้วจะเป็นอะไรได้อีก?”


ซอลจีฮูได้กลายเป็นพูดไม่ออกไป


“แน่นอน อย่างที่คุณบอก ฉันคือราชินี แล้วยังไงล่ะ?”


“…”


“สู้ๆนะราชินี ถ้าฉันสู้ไม่ไหวจะทำยังไงล่ะ? ลุกขึ้นสิราชินี แล้วแบบนี้ฉันจะไปหายดีได้ยังไง?”


“…”


ราชินีเป็นเทพองค์หนึ่งงั้นหรอ? ฉันเป็นพวกเหนือมนุษย์ที่จะมีกำลังใจและรู้สึกดีได้ตามต้องการงั้นหรอ?”


ชาล็อต อาเรียได้ระบายคำพูดออกมาอย่างรวดเร็ว


“มันไม่ใช่เลย ราชินีก็ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ฉันยังเป็นมนุษย์นะ!”


ดวงตาของเธอได้เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาตามความโศกเศร้าของเธอ


“ฉันเหนื่อย! ฉันเหนื่อยจนอยากจะแค่ตายไปซะตอนนี้เลย! ฉันไม่ได้อยากจะยืนอยู่ในจุดๆนี้ตั้งแต่แรกแล้วด้วย…!”


เธอได้เค้นเสียงบ่นออกมาก่อนที่จะทิ้งตัวลงไปบนเตียง จากนั้นก็คว้าผ้าห่ม และเริ่มกรีดร้องออกมา


ซอลจีฮูได้มองดูเด็กสาวที่กำลังร้องไห้ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เขาได้ก้มหัวลูบคาง เขาไม่คิดเลยว่าจะเห็นใจกับประโยคสุดท้ายของเธอ


“ท่านพูดถูก”


เมื่อได้รับคำยืนยันอย่างจริงใจได้ทำให้ร่างกายชาล็อต อาเรียผงะไป


“ใช่แล้วล่ะ อารมณ์ของมนุษย์มันยากที่จะควบคุม ผมก็เป็นเช่นเดียวกัน ผมบอกให้ใจเย็นและผ่อนคลาย แต่ว่าการกระทำมันยากกว่าการพูด”


เขาได้พูดออกมาพร้อมกับนึกถึงในตอนที่เขาติดอยู่ในศูนย์วิจัยเดลฟิเนี่ยนดัชชี่ เขายังจำได้ถึงความตกตะลึงที่ได้เห็นคาซุกิเชือดคอน้องสาวตัวเองโดยไม่ลังเล


ชาล็อต อาเรียได้ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา


“คุณก็รู้นี่ว่ามันยาก?”


ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมา


นี่คือการตอบสนองกลับมาเพียงแค่เขาเข้าข้างเธอแค่ครั้งเดียว… หากว่าเขาไม่ได้ดูหน้าต่างสถานะของเธอมาก่อน เขาก็จะไม่เข้าใจเลย


นี่มันเป็นโอกาสดี


“ใช่แล้ว”


ซอลจีฮูได้พูดพร้อมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า


“ถ้างั้นลองดูนี่นะ”


“หืม?”


“ในเมื่อท่านบอกว่าท่านรู้สึกไม่ดี ถ้างั้นผมจะทำให้ท่านรู้สึกดีเอง”


ชาล็อต อาเรียได้เบิกตากว้าง


“ยังไงล่ะ?”


ดวงตาเธอเป็นประกาย


ซอลจีฮูได้หยิบเอากิ๊บติดผมออกมามอบให้เธอ


“ของขวัญครับ”


ใบหน้าของชาล็อต อาเรียได้เศร้าลงไปอีกครั้งหนึ่ง แต่เธอก็รับของขวัญไปแต่โดยดี


“ถึงฉันจะดีใจก็เถอะนะ แต่ฉันคิดว่าฉันเลยวัยที่จะดีใจกับการได้รับของขวัญแล้ว”


‘โกหก เมื่อกี้เธอยังแสดงสีหน้าคาดหวังออกมาอยู่เลย’ ซอลจีฮูได้ส่ายหัว


“มันไม่ใช่แค่กิ๊บติดผมทั่วไปนะ กิ๊บติดผมนี่มีพลังวิเศษมากๆอยู่”


“พลังวิเศษ?”


“ใช่แล้วล่ะ เรื่องมันยาว แต่ว่า…”


ซอลจีฮูได้คิดหาคำอธิบายให้เธอก่อนที่จะตัดสินใจพูดออกมาในแบบของเธอ


“ท่านไม่อยากจะมีเพื่อนลับหรอ?”


“เพื่อนลับ?”


“หากว่าท่านเก็บกิ๊บติดผมเอาไว้ ท่านจะได้เจอกับเพื่อน”


ชาล็อต อาเรียได้มองซอลจีฮูโดยไม่พูดอะไร สีหน้าเธอเหมือนกับกำลังถามว่าเขากำลังพยายามพูดไร้สาระอะไรกัน


“จริงๆนะครับ ผมบอกท่านแล้วนี่ ผมมาช่วยท่านในนามของเพื่อนอีกทีหนึ่ง”


“อ่า”


เมื่อเธอนึกขึ้นได้ ชาล็อต อาเรียก็ถามออกมา


“นี่คุณกำลังพูดถึงพี่สาวเทเรซ่า?”


“ไม่ใช่ครับ”


“ถ้างั้นก็คุณ”


“ไม่ใช่ผมเหมือนกัน”


ชาล็อต อาเรียได้เอียงหัวออกมา


“ถ้างั้นก็ไม่มีคนที่ฉันเรียกว่าเพื่อนอีกแล้ว…”


ซอลจีฮูก็อยากจะถามว่า ‘แล้วผมไปเป็นเพื่อนท่านตั้งแต่เมื่อไหร่?’ แต่เขาก็ห้ามตัวเองเอาไว้เพราะนั่นดูจะทำให้เธอเศร้า


“ทั้งผมและเทเรซ่าต่างก็ไม่อาจจะเป็นเพื่อนของท่านได้ นั่นเพราะในมุมมองของเราแล้วท่านคือราชินี ยังไงก็ตามคนๆนี้จะกลายเป็นเพื่อนของท่านได้”


“ทำไมล่ะ?”


“ก็เพราะว่าคนๆนี้ไม่ได้เฝ้ารอท่านชาล็อต อาเรียในฐานะราชินีไงล่ะ นี่คือเหตุผลที่ท่านจะเป็นเพื่อนกันได้”


ความสงสัยของชาล็อต อาเรียได้ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นมา


“แล้วใครกันล่ะ…? ทำไมคุณไม่พาคนๆนั้นมาที่นี่? ไม่สิ พาคนๆนั้นมาที่นี่เลยนะ ฉันอยากจะให้หน้าของคนๆนั้น”


ในเมื่อเธอไม่ได้ปฏิเสธ แสดงว่าเธอกำลังสนใจ


“ผมทำไม่ได้ครับ เธอไม่อาจจะมาที่นี่ได้”


“ทำไมล่ะ?”


“หากว่าท่านได้ไปรับฟังคำตอบด้วยตัวเองมันคงจะดีกว่า”


“ฉันไม่เข้าใจคุณเลยจริงๆ คุณเอาแต่บอกว่าเธอมาปรากฏตัวไม่ได้ แต่หากว่าฉันเก็บกิ๊บติดผมเอาไว้ เธอก็จะโผล่ออกมา?”


ชาล็อต อาเรียได้หรี่ตาลง


“โกหก”


“ถ้าท่านยังไม่ได้รอดู ท่านจะรู้ได้ยังไงว่าผมโกหก เอาเถอะนะ หากว่านายไม่ต้องการ ถ้างั้นก็ช่วยส่งกิ๊บติดผมคืนมาด้วย”


ชาล็อต อาเรียได้รีบซ่อนกิ๊บติดผมเอาไว้ในทันทีที่ซอลจีฮูยื่นแขนออกมา


“คะ ใครบอกว่าฉันไม่ต้องการ? ฉันก็แค่สงสัยนิดหน่อยเท่านั้นเอง”


เธอได้เม้มปาก และทำหน้ามุ่ย


“แล้วฉันก็ยังสงสัยว่าเธอคือคนแบบไหน…”


ซอลจีฮูได้หัวเราะก่อนจะพูดออกมา


“หากท่านสงสัยก็ไปเจอเธอก่อนสักครั้ง ฟังสิ่งที่เธอบอก เธอจะบอกว่าทำไมเธอถึงได้อยากจะให้ผมช่วยท่าน และทำไมเธอถึงอยากจะเป็นเพื่อนของท่าน หากว่าท่านได้เจอและได้ฟัง ท่านก็จะเข้าใจเอง”


“หากว่าได้เห็น และได้ยินด้วยตัวเอง…”


ชาล็อต อาเรียได้พึมพำออกมาพร้อมเล่นกับกิ๊บติดผม เธอได้ถามออกมาอีกครั้งราวกับยังคงสงสัยถึงเพื่อนลึกลับคนนี้อยู่


“ฉันแค่ต้องเก็บกิ๊บติดผมนี่เอาไว้หรอ?”


ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมา


หลังจากที่ทำตามคำขอของโรเซร่าสำเร็จแล้ว ซอลจีฮูก็ได้กลับไปที่สำนักงานวัลฮาลา เมื่อเขาได้ออกมาข้างนอกก็มืดไปแล้ว นั่นเพราะเขาต้องใช้เวลาเถียงกับชาล็อต อาเรียอยู่นานกว่าที่จะได้มอบกิ๊บติดผมให้เธอ


หลังจากได้กินมื้อเย็นง่ายๆลงไปแล้ว เขาก็ได้ไปคุยกับคิมฮันนาห์อยู่สักพักก่อนที่จะไปนอน


ในคืนนั้นซอลจีฮูก็ฝัน


บทที่ 275 – ผู้กอบกู้แห่งอีวา (5)


เขาได้เห็นฉากที่คุ้นเคย โลกความฝันของโรเซร่า


นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่เขาได้มาที่นี่ ทำให้เขาไม่ได้ตกใจเลย จะมีก็แค่เขาสงสัยว่าเธอเรียกตัวเขามาทำไม


โรเซร่ากำลังนั่งดื่มชาอยู่บนโต๊ะกลางสวย ฝั่งตรงข้ามของเธอมีเค้กที่ถูกกินไปครึ่งหนึ่งและแก้วชาอยู่ มันชัดเจนมากว่าก่อนหน้านี้มีคนอื่นอยู่ด้วย และซอลจีฮูก็รู้ว่าใคร


“ในที่สุดเธอก็กลับไปแล้ว”


โรเซร่าได้จิบชาก่อนจะพูดอย่างสงบ จากบางอย่างน้ำเสียงของเธอดูจะสั่นเทาเล็กน้อย


“เป็นยังไงบ้างครับ?”


“เป็นยังไงงั้นหรอ?”


กริ๊ง เธอได้วางแก้วชาลงบนแผ่นรองอย่างแรง


“ฉันต้องนั่งฟังเรื่องของเธอตั้งยี่สิบชั่วโมง เราไม่ได้พูดอะไรกันเลย ฉันได้แค่ฟัง”


โรเซร่าได้สูดหายใจลึกจนทำให้หน้าอกเธอพองขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเธอก็พูดขึ้นอย่างอ่อนแรง


“จะพูดยังไงดีล่ะ… ฉันคงจะประเมินเด็กคนนั้นต่ำเกินไปหน่อย”


เธอได้พูดต่อด้วยสีหน้าซีดเซียว


“ฉันก็คิดเอาไว้แล้วในตอนที่คุณบอกว่าเธอมีนิสัยที่น่าโมโห อ่า บ้าเอ้ย แค่คิดถึงมันก็ทำให้ฉันจะบ้าแล้ว”


“อะไรนะครับ?”


ซอลจีฮูรู้สึกเหมือนฟังผิดไป


“เมื่อกี้คุณสบถ?”


“ไม่ ฉันไม่ได้ทำ”


โรเซร่าได้ตอบกลับหน้าตาย


“ไม่ คุณทำแน่ๆ มันแย่ขนาดนั้นเลยหรอ?”


“อ่า ดูกลีบดอกไม้ที่ลอยไปกำลังพูดสิ มันต้องน่าอึดอัดขนาดไหนกันพวกเขาถึงได้โพล่งแบบนั้นออกมา”


“กลีบดอกไม้พูดได้ยังไงกันครับ?”


“ในโลกแห่งความฝันอะไรก็พูดได้ทั้งนั้นแหละ ใช่ไหมล่ะกลีบดอกไม้?”


[ค่ะ ท่านโรเซร่า]


หนึ่งในกลีบดอกไม้ที่ลอยไปมาได้พูดจริงๆ ซอลจีฮูถึงกลับตกใจตัวโยน


[แต่ว่าฉันก็ทำอะไรไม่ได้ค่ะ ฉันเป็นแค่กลีบดอกไม้เล็กๆ จะสบถสักหน่อยไม่ได้หรอ!?]


จู่ๆระหว่างพูดกลีบร้องไม้ก็กรีดร้องออกมา และลอยหายไป


[อ๊ากกกกก อ๊ากกกกกก แข็งแกร่งเกินไป!]


ซอลจีฮูได้มองดูกลีบดอกไม้ที่ถูกฉีกเป้นชิ้นๆท่ามกลางสายลม จากนั้นเขาก็หลุดจากความสับสนเมื่อได้ยินเสียงกระแอ่มของโรเซร่า


“อะแฮ่ม ยังไงก็ตามมันก็ไม่ได้แย่นักหรอก”


เขารู้สึกเหมือนกับโรเซร่าพยายามจะเปลี่ยนเรื่อง และเขาก็ยินดีที่จะทำตามนั้น


“หากว่าฉันมีชีวิตอยู่ในยุคเดียวกับเด็กนั่น ฉันก็คงไม่มีเวลาไปทำความรู้จักกับเธอ พรสวรรค์ของเธอเป็นอย่างที่ฉันคิดเอาไว้ และเมื่อตัดสินจากความพูดมากของเธอแล้ว เธอดูจะมีสมาธิดีเหมือนกัน”


‘นี่มันไม่ใช่การดูถูกหรอกหรอ…’ ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆออกมา


“แล้วคุยกันเป็นไปด้วยดีไหมครับ?”


“หากว่ามันเป็นไปด้วยดีฉันจะพูดแบบนี้ไหมล่ะ?”


น้ำเสียงเธอฟังดูเป็นศัตรูแปลกๆ โรเซร่าได้กดหน้าผาก จากนั้นก็ส่ายหัวออกมา


“ขออภัยด้วย ฉันไม่ควรมาโกรธคุณซอลจีฮูแบบนี้เลย แต่ก็แค่การคิดเรื่องเธอมันทำให้ฉันจะบ้า…”


ในอีกด้านหนึ่งซอลจีฮูก็รู้สึกถึงชาล็อต อาเรีย ในเมื่อโรเซร่าได้ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมาเป็นร้อยปี เธอก็ควรที่จะกระหายอยากพูดคุยกับมนุษย์เช่นกัน เพราะงั้นแล้วการทำให้เธอเสียการควบคุม และมีท่าทีแบบนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะยกย่องในพลังของชาล็อต อาเรีย


‘ก็นะ คุณโรเซร่ามีพลังในการอ่านใจคนอื่น เพราะงั้นคงจะต้องทรมานเป็นหลายเท่าเลย’


“ยังไงก็ตามสิ่งที่ฉันบอกคุณได้ก็คือการจะให้เด็กคนนี้เติบโตขึ้นจะต้องมีการดูแลอย่างเข้มงวด”


“ดูแลหรอครับ?”


“ฉันไม่ได้บอกว่าเธอเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ดี มีผู้คนอยู่มากมายที่ไม่อาจจะกลายมาเป็นอะไรได้ทั้งๆที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะยังไงเด็กคนนี้ก็มีพรสวรรค์”


“ผมก็เห็นด้วยครับ”


ซอลจีฮูยอมรับออกมาง่ายๆ


“ขอบคุณที่เข้าใจฉัน”


จากนั้นโรเซร่าก็เผยรอยยิ้มบางออกมา


“และเพราะแบบนี้ฉันก็อยากจะขอความร่วมมือกันคุณสักหน่อย”


“ความร่วมมือ?”


จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นซอลจีฮูถึงได้เข้าใจถึงสิ่งที่เธอจะบอก


***


“ซอลจีฮู!!!”


ที่ล็อบบี้ได้เต็มไปด้วยเสียงดังวุ่นวายแต่เช้า


ซอลจีฮูได้มองลงไปจากชั้นที่ 6 ด้วยความรู้สึกไม่ค่อยดี และที่ตรงนั้นเขาก็ได้เห็นเด็กสาวคนหนึ่งกำลังวิ่งอยู่ที่ล็อบบี้


เขาได้รับข้อความจากซอกกูนีร์แล้วว่า ‘ราชินีออกไปแล้ว ผมขออภัยด้วย’ ในตอนแรกเขาก็ไม่รู้ว่าซอกกูนีร์ขอโทษเรื่องอะไร แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว


เขาไม่คิดเลยว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้


“อะไรเนี้ย? เจ้าหนูนี่เป็นใคร?”


โชฮงที่เพิ่งกินมื้อเช้าและลงมาจากโรงอาหารได้ถามขึ้นหลังจากมองลงไป ซอลจีฮูได้ตอบกลับอย่างสงบ


“ราชินีอีวา”


“ฮ่าฮ่า ขำตายล่ะ เธอเป็นใคร?”


โชฮงดูจะไม่เชื่อเขาง่ายๆ ซอลจีฮูต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่งกว่าจะทำให้เธอยอมเชื่อได้


“ว้าว เธอเป็นราชินีจริงดิ?”


เมื่อมองดูชาล็อต อาเรียที่เอาแต่ถามว่า ‘เขาอยู่ไหน? ซอลจีฮูอยู่ไหน? และเขย่าคิมฮันนาห์ที่ลงไปหาเธอ โชฮงก็แทบไม่ซ่อนความตกใจเอาไว้ไม่ได้เลย


“นี่มันเหมือนฉันกลับไปที่ฮารามาร์คเลย ไม่สิ แม้กระทั่งเทเรซ่ากับกษัตริย์ชราก็ไม่ได้แย่ขนาดนี้”


เธอได้ส่ายหัวออกมา จากนั้นก็ลูบหลังซอลจีฮูก่อนจะจากไป


“โชคดีนะคุณนักสะสมเจ้าหญิง ไม่สิ ควรจะพูดว่านักสะสมราชินีแล้วสินะ? ไม่สิ ต้องทั้งสองอย่างเลย”


“อะไรวะเนี้ย… เธอจะไปไหน?”


“กลับห้องสิ”


“มากับฉัน ราชินีอยู่นี่ มันเป็นโอกาสดีที่จะแนะนำตัวเองนะ”


“สมาชิกธรรมดาอย่างฉันเนี้ยนะ? อ๊าาา ให้พวกระดับบนจัดการเอาเองสิ”


โชฮงได้รีบถอยไปราวกับว่าเธอจะรำคาญมากๆ


“นอกไปจากนี้ความรู้สึกของฉันกำลังบอกว่าอย่าเข้าไปยุ่ง”


“นี่เธอมีจมูกสุนัขหรือไงกัน?”


“ใช่แล้ว อะไรแบบนั้นแหละ”


โชฮงได้รีบหายไป ซอลจีฮูถอนหายใจขึ้น จากนั้นก็เดินไปรอราชินีที่ห้องรับรอง


ขณะที่เขากำลังนับเลขในหัว ประตูก็ถูกเปิดขึ้น และชาล็อต อาเรียก็วิ่งเข้ามา


“ซอลจีฮู!!”


“อ่า ท่านมาทำไมหรอครับ?”


ชาล็อต อาเรียได้กางแขนพุ่งเข้ามาก่อนที่ซอลจีฮูจะได้ลุกจากที่นั่งซะอีก


“คุณพูดถูก! คุณพูดความจริง!”


เธอได้คว้าชายเสื้อของเขา และกระโดดอย่างตื่นเต้น


“ท่านคงได้เจอกับคุณโรเซร่าแล้วสินะ”


“อื้อๆ! ฉันไม่เคยมีประสบการณ์น่าทึ่งแบบนั้นมาก่อนเลย! พระเจ้า โลกแห่งความฝันที่ทำให้จินตนาการทุกๆอย่างเป็นไปได้!”


ซอลจีฮูได้พยายามทำให้ชาล็อต อาเรียใจเย็นลง และให้เธอนั่ง แต่ว่าเธอก็เอาแต่พูดออกมาโดยไม่สนใจจะขยับเลยสักนิด ในท้ายที่สุดแล้วซอลจีฮูก็ได้แต่ยอมแพ้ และถามออกมาอย่างอ่อนแรง


“ละ แล้วท่านได้เป็นเพื่อนกับเธอแล้วใช่ไหม?”


“อื้อ! คุณพูดถูก เธอเข้ามใจฉันเป็นอย่างดี”


‘ก็แน่สิ คุณโรเซร่าเธออ่านใจได้ เพราะงั้นเธอคงจะพูดแต่สิ่งที่ราชินีอยากจะได้ยิน’


“เธอเป็นคนดีจริงๆ!”


สีหน้าสิ้นหวังของเมื่อวันก่อนได้หายไปราวกับไม่เคยมีอยู่เลย จากแก้มที่แดงเปล่งปลั่งจากความตื่นเต้นและดวงตาเป็นประกายเหมือนแสงดาวแล้ว มันเหมือนกับว่าเธอจะพูดจนตาย


“อ่า จริงด้วย มันเป็นความจริงหรอ?”


“อะไรหรอครับ?”


“โลกแห่งความฝันไม่อาจจะคงอยู่ตลอดไปได้”


ชาล็อต อาเรียได้เล่าเรื่องว่า โรเซร่าได้ใช้แสงนิรันร์แห่งปัญญาก่อนตายเพื่อสร้างโลกแห่งความฝัน แต่ว่ามานาเป็นทรัพยกรที่มีจำกัด เมื่อไหร่ที่มานาในโลกแห่งความฝันหมดลง ทั้งโรเซร่ากับโลกแห่งความฝันก็จะหายไปตลอดกาล


ถึงแม้ว่าเธอจะพบกับซอลจีฮูโดยบังเอิญ และยังคงสภาพโลกแห่งความฝันไว้ได้อยู่ แต่นี่ก็เป็นการแก้ปัญหาชั่วคราวที่ยังไม่ได้กำจัดต้นตอของปัญหาออกไป เพราะวงั้นเพื่อที่จะแก้ปัญหานี้ เธอต้องการคนมาช่วยเธอค้นคว้า


โรเซร่าดูเหมือนจะใช้เรื่องแบบนี้หลอกชาล็อต อาเรีย


‘เป็นไอเดียที่บรรเจิดมาก!’


เทเรซ่าได้อธิบายว่าชาล็อต อาเรียเป็นมิตรที่ไร้เงื่อนไข


แม้ว่าเธอจะไม่ได้สิ้นคิดจนทำอะไรโดยไร้หลักการ แต่ว่าหากใช้บุคลิกนี้ของเธอมาเป็นตัวชี้นำการเรียนรู้เวทย์ล่ะ?


โรเซร่าอาจจะโกหกออกมาด้วยความคิดแบบนี้ ยังไงแล้วชาล็อต อาเรียก็จะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้เพื่อนของเธอหายไป


‘สมกับเป็นคุณโรเซร่า’


ซอลจีฮูได้พยักหน้าเห็นด้วย จากการเจอกันแค่ครั้งเดียว โรเซร่าก็ได้สังเกตเห็นถึงบุคลิกอันแปลกประหลาดของชาล็อต อาเรีย และคิดวิธีการแบบนี้ออกมาได้ นี่คืออัจฉริยภาพสมกับที่เป็นแม่มดที่อยู่มาหลายร้อยปีจริงๆ


“ถูกแล้วครับ”


ซอลจีฮูได้ตัดสินใจเล่นตามน้ำไป


“อ่า! ฉันรู้แล้ว”


ชาล็อต อาเรียดูจะเสียใจ


“ปัญหาก็คือมนตรา ศาสตร์ที่ได้ใช้สร้างโลกแห่งความฝันขึ้นมามันเป็นสิ่งที่มีเอกลักษณ์ และพิเศษมากๆ”


“อื้อๆ ฉันก็ได้ยินมาแบบนี้เหมือนกัน”


“ในตอนนี้ นักเวทย์ก็หาได้ยากอยู่แล้ว และแม้กระทั่งพวกเขาก็ยังไม่อาจจะเข้าใจในศาสตร์ของคุณโรเซร่าได้ อย่างที่ท่านรู้ เมื่อก่อนเคยมีการปลูกฝังความคิดที่ว่าศาสตร์มนตราเป็นสิ่งนอกรีตอยู่”


“จักรวรรดิก็เป็นแบบนั้น พวกเขาปฏิเสธการใช้มานารูปแบบอื่นที่นอกเหนือจากเวทมนต์ พวกเขาจะเข้มงวดเป็นพิศษกับคาถาเวทย์ ฉันคิดว่านี่มันช่างน่าเสียใจ”


แม้ว่าเนื่องจากจักรวรรดิล่มสลายไปแล้ว เรื่องนี้จึงไม่มีความสำคัญอีก แต่ชาล็อต อาเรียก็ได้ตอบกลับในแง่ดีถึงทุกๆเรื่อง เธอรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ได้ค่อนข้างง่าย


“เพราะงั้นแล้วคุณโรเซร่าจึงต้องการนักเวทย์ที่จะเข้าใจในศาสตร์ของเธอได้ ในตอนนี้ท่านชาล็อต อาเรียคือผ้าขาวที่ซึ่งยังไม่ได้รับอิทธิพลจากศาสตร์ใดๆทั้งสิ้น ยิ่งเนื่องจากท่านเป็นคนที่มีพรสวรรค์ คุณโรเซร่าจึงบอกว่าท่านจะสามารถดูดซับเทคนิคของเธอได้เป็นอย่างดี”


เมื่อซอลจีฮูเริ่มชมเธอ ชาล็อต อาเรียก็เริ่มหัวเราะอย่างไร้เดียงสา จากนั้นซอลจีฮูก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม


“ผมขอร้องล่ะครับ เพราะผมไม่ใช่นักเวทย์ ผมจึงไม่อาจจะช่วยเธอได้มากนัก แต่ท่านต่างออกไป ได้โปรดช่วยให้โลกแห่งความฝันไม่หายไปเถอะนะครับ”


“ฉันจะช่วยคุณเอง!”


ชาล็อต อาเรียได้ปล่อยมือออกมาจากชายเสื้อของซอลจีฮู


“คุณได้พยายามแล้ว ฉันจะอยู่เฉยๆทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ยังไงกันล่ะ? ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ฉันจะเรียนมนตรานี้ และไม่ให้โรเซร่าถูกกำจัดไปอย่างแน่นอน!”


เธอได้กำหมัดสาบานอย่างหนักแน่น ตัดสินจากท่าทีที่เต็มไปด้วยพลังของเธอแล้ว เธอดูจะตั้งใจกับมันจริงๆ


ภายในใจซอลจีฮูได้ยิ้มออกมอย่างพอใจ


“ขอบคุณครับ ทั้งผมและคุณโรเซร่าต่างก็คาดหวังในตัวท่าน”


“ได้เลย โอ้ จริงสิ พอมาคิดดูแล้ว…”


ชาล็อต อาเรียได้มองไปรอบๆห้องก่อนที่ท้ายที่สุดจะนั่งลง


ซอลจีฮูได้กระพริบตาอย่างสับสน มีเรื่องอะไรให้พูดอีกล่ะ? คงไม่ใช่พูดเรื่อยเปื่อยหรอกนะ?


“มานั่งข้างๆฉันสิ ฉันมีอะไรจะเล่าให้ฟัง”


ชาล็อต อาเรียได้พูดพร้อมแตะเก้าอี่ข้างๆเธอ เธอพูดเหมือนมันเพิ่งจะเริ่มเท่านั้น


และเพราะแบบนี้สี่ชั่วโมงก็ได้ผ่านพ้นไป หลังจากดึงดันส่งตัวชาล็อต อาเรียออกไปได้แล้ว ซอลจีฮูก็เดินโซเซออกมาจากห้องก่อนจะพิงกำแพง


‘ให้ตายสิ…’


เขาได้เผลอสบถออกมา


ปีศาจนั่นเอาแต่พูดไม่หยุดเลย เขาได้แอบถามออกมาว่า “ท่านจะไม่กลับไปเตรียมตัวเรียนมนตรากับคุณโรเซร่าหรอ?”


แต่เขาก็ได้รับคำตอบมาว่า “ไม่ ฉันจะตั้งใจศึกษาเฉพาะในโลกความฝัน เพราะงั้นแล้วในโลกความจริง ฉันจะพูดคุยให้เต็มที่”


เมื่อเธอปฏิเสธที่จะกลับไปแบบนี้ ซอลจีฮูก็แทบจะกระโดดขึ้นจากที่นั่งด้วยความตกตะลึง


‘บ้าเอ้ย เธอหมายความแบบนี้สินะ?’


ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าโรเซร่าหมายความว่ายังไงในตอนที่เธอบอกว่าขอความร่วมมือจากเขา


‘เหมือนจะทรุดเลยแหะ’


ซอลจีฮูได้เดินโซเซกลับไปที่ห้อง หลังจากทิ้งตัวลงไปกับเตียงแล้ว เขาก็บังคับให้ตัวเองนอนหลับไป เขาวางแผนไว้ว่าจะไปเจอกับโรเซร่าในความฝัน และคุยกับเธอสักหน่อย


แต่แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วซอลจีฮูก็ไม่ได้เข้าไปในโลกความฝัน ในตอนนี้เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว โรเซร่าก็ไม่ได้เชิญตัวเขาไป


‘คุณคิดว่าผมจะยอมจบแค่นี้งั้นหรอ?’


หลังจากตื่นขึ้นจากการงีบหลับ ซอลจีฮูก็ได้สาบานว่าจะต้องแก้แค้นให้ได้


***


เมื่อเรื่องราวการหลบหนีของจองซูกระจายออกไป ซอกกูนีร์ก็ต้องทำงานอยากหนัก


เขาได้บอกว่าจองซูหลบหนีไปโดยที่ยังไม่ได้มีการสอบสวนทำให้เกิดเป็นการสารภาพในตัวเองว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ส่วนหนึ่ง


และพร้อมด้วยข้อหาที่ดูหมิ่นเชื้อพระวงศ์ ทำให้เขาได้ประกาศว่าอีว่าจะไม่มีองค์กรที่ชื่อว่าอีวาเกลีนอีกต่อไป หรือก็คือเขาได้ทำการขับไล่อีวาเกลีนออกไปจากเมือง และห้ามเข้าเมืองมาอีก


อีวาเกลีนก็ไม่ได้เป็นองค์กรพันธมิตรกับราชวงศ์อีวาอีกแล้วด้วย แม้ว่าจะมีสมาชิกของอีวาเกลีนพยายามจะท้วงออกมาโดยบอกว่าการกระทำของตัวแทนไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเขา แต่ซอกกูนีร์ก็มุ่งความผิดทั้งหมดไปที่จองซู


การที่เธอเป็นตัวแทนมีส่วนสำคัญในเรื่องนี้ หากว่าเธอเป็นแค่สมาชิกธรรมดามันก็คงจะต่างออกไป แต่ว่าเพราะตัวแทนขององค์กรได้สร้างความผิดร้ายแรงทำให้มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมองผ่านมัน


เหมือนกันกับที่บคจองซิกได้หนีไป และทำให้กุหลาบขาวต้องสลายไป


ดังนั้นแล้วองค์กรอีวาเกลีนก็ได้สลายตัวลง มีสิ่งหนึ่งที่หน้าแปลกใจที่สมาชิกไม่ได้ร่วมกลุ่มกัน และสลายตัวกันไปเอง


แต่พอคิดให้ดูแล้วมันก็ควรจะเป็นแบบนี้ หากว่าอยากจะคงสภาพองค์กรเอาไว้พวกเขาก็ต้องออกจากองค์กร แต่การจะไปเมืองอื่นมันก็ไม่ง่ายเลย


ไม่เพียงแค่ว่าจะไม่มีการรับประกันว่าเมืองอื่นจะต้อนรับพวกเขาหรือไม่เท่านั้น แต่พวกเขาก็ยังไม่มีหัวหน้าที่รับผิดชอบดูแลในระหว่างกระบวนการทั้งหมดอีกด้วย


จริงๆแล้วนับตั้งแต่อีวาเกลีน โรสตายลงไปในงานจัดเลี้ยง องค์กรก็ระส่ำระส่ายมานานแล้ว


และดังนั้นตำแหน่งพันธมิตรกับราชวงศ์ก็ได้ว่างลง ยังไงก็ตามทุกๆคนรู้ดีว่าองค์กรไหนที่จะเข้ามาแทนในตำแหน่งนี้


การกระทำของราชินีชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดใดๆ


“ซอลจีฮู!”


วันนี้เธอก็ได้มาที่อีวาเกลีนเช่นเดียวกัน ในช่วงนี้ชาล็อต อาเรียจะมาที่วัลฮาลาในทุกๆสองวัน


เรียนรู้มนตรากับโรเซร่าในระห่างที่หลับ ตื่นสายขึ้นมาและทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้จนกระทั่ถึงช่วงเย็น จากนั้นก็มุ่งตรงมาที่วัลฮาลา เธอจะมาหาซอลจีฮู และเริ่มพูดคุยทุกๆอย่างออกมา


เธอเป็นเหมือนกับลูกสาวตัวน้อยที่เกาะแกะพ่อที่เพิ่งกลับมาจากทำงาน และพูดถึงสิ่งที่ได้เผชิญในวันนี้อย่างตื่นเต้น


หากว่าซอกกูนีร์ไม่ได้ห้ามเธอไว้แล้ว มันก็เป็นไปได้ว่าเธออาจจะมาที่วัลฮาลาในทุกๆวัน


“อ๊ากกกกกก!”


หลังจากถูกชาล็อต อาเรียเซ้าซี้อย่างหนัก ซอลจีฮูก็ได้คลานอยู่กับพื้นอย่างเคย เขาเพิ่งจะส่งราชินีที่ถูกความง่วงนอนรุมเร้ากลับไปได้เมื่อตะกี้เอง


ซอกกูนีร์ได้พูดออกมาเรียบๆ


“ขอบคุณมากนะครับ ผมไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้วจริงๆ”


“คุณช่วยดูแลเธอหน่อยไม่ได้หรอ?”


ซอกกูนีร์หัวเราะเหมือนกับไม่ได้ยินคำถามนี้ของเขา


“ผมได้รับคำอธิบายคร่าวๆมาบ้างแล้ว มันดูเหมือนราชินีจะมองว่าการมาพบกับคุณเป็นรางวัล”


“รางวัล?”


“ตัวแทนซอล มีแค่คุณเท่านั้นที่รู้เรื่องแม่มดคนนั้นเหมือนกับเธอ ยกตัวอย่างง่ายๆคือเธอกำลังพูดว่า ‘ฉันพยายามแล้ว เชิญชมฉันสิ’”


ซอลจีฮูได้ก้มหน้าพูดไม่ออก


“…เธอตั้งใจเรียนรู้มากเลยหรอครับ?”


“ใช่ครับ เธอได้พยายามอย่างเต็มที่ ในตอนเธอมีสมาธิมันมากจนถึงขนาดทำให้ผมกลัวเลย มันเหมือนกับว่าเธอจะสนใจในสิ่งที่เธอเรียนรู้ แต่ว่าแรงผลักดันจริงๆแล้วมันดูเหมือนจะเป็นการได้ช่วยเพื่อนของเธอ”


เมื่อได้ยินแบบนี้ซอลจีฮูก็เงยหน้าขึ้นมา


“อย่างน้อยก็ดีใจที่ได้ยินแบบนี้นะครับ”


“ผมไม่มั่นใจว่าคุณรู้สึกยังไง แต่ว่าผมมีความสุขกับมันนะครับ”


ซอกกูนีร์ได้หัวเราะ และหันกลับไปมองที่ประตู


“ผมรู้นะครับว่าคุณเหนื่อย แต่ว่าคืนนี้อยากไปทานมื้อเย็นกับผมหน่อยไหมครับ?”


ซอลจีฮูเบิกตากว้างขึ้นมา เขาไม่คิดเลยว่าตาแก่ที่เคร่งขัดคนนี้จะชวนเขาไปทานมื้อเย็น


“ได้สิครับ”


“งั้นไปกันเถอะ ผมรู้จักที่ดีๆอยู่”


ซอลจีฮูได้ตอบรับ และลุกขึ้นยืน จากนั้นซอกกูนีร์ก็ได้พาเขาไปที่ร้านอาหารเก่าๆในตรอกที่ห่างไกล


“ต้องขออภัยด้วย ที่นี่ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสิ่งที่คุณทำให้กับราชวงศ์แล้วด้วย”


“ไม่เป็นไรหรอก ผมชอบร้านอาหารแบบนี้เหมือนกัน มันรู้สึกเหมือนกับจะได้เจอกับสุดยอดเชฟ”


“ฟุฟุ เขาอาจจะไม่ใช่ยอดเชฟ แต่ว่าเขาก็รู้วิธีกลั่นไวน์ที่ดี ในตอนลำบากผมมักจะมาที่นี่อยู่บ่อยๆ”


ซอกกูนีร์ได้เดินเข้าไปในร้านอาหารโดยบอกว่าเขาจะเลี้ยงเอง จากนั้นก็สั่งอาหารและเครื่องดื่มโดยไม่ลังเลเลย


ไวน์ที่นี่ยอดเยี่ยมจริงๆ แม้ว่าซอลจีฮูจะเป็นคนกินจุ แต่ซอกกูนีร์ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเลย ชายชราได้กิน และดื่มจนทำให้ซอลจีฮูเริ่มกังวลว่าร่างกายของอีกฝ่ายจะรับได้ไหวไหม


“รู้สึกเหมือนกับฝันเลยนะครับ”


หลังจากกินไวน์หมดไปแล้วหกแก้ว ซอกกูนีร์ก็เริ่มพูด


“คุณเชื่อมันหรอครับ? ผมทำไม่ได้เลย ในทุกๆครั้งที่ตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่ผมทำคือหยิกแก้มตัวเองอยู่ซ้ำๆ”


เขาคงจะเริ่มเมาหนักจนทำให้พูดมากขึ้น


“คุณรู้ไหมว่าวันนี้ราชินีพูดอะไรกับผม? เธอบอกว่าเธอกำลังยุ่งอยู่กับการค้นคว้า เพราะงั้นผมควรที่จะจัดการงานบริหารด้วยตัวเอง เธอบอกว่าผมเป็นคนเดียวที่เธอไว้ใจได้”


“นั่นมันโหดร้ายนะครับ”


“ใช่ครับ มันโหดร้ายจริงๆ!”


ซอกกูนีร์ได้พยักหน้าออกมาอย่างหนัก


“แต่ว่านี่เป็นความโหดร้ายที่ผมรับไหว จริงๆแล้วผมยินดีอ้าแขนรับไว้ด้วยซ้ำไป!”


เขาได้หัวเราะออกมาก่อนจะพูดต่อ


“ผมไม่เคยคิดฝันเลยว่าราชินีจะบอกว่าเธอเรียนรู้เวทมนต์ โฮะๆ มันเยี่ยมไปเลยนะครับ การเรียนรู้เวทมนต์ในโลกที่อันตรายแบบนี้ เมื่อไหร่ที่ผมเห็นเธอนั่งใช้สมาธิอยู่ มันทำให้ผมนึกย้อนไปถึงกษัตริย์คนก่อน…”


ซอลจีฮูได้นั่งฟังอยู่เงียบๆ


“สิ่งที่ผมมั่นใจได้เลยคือวันนี้อีวาดีขึ้นกว่าเมื่อวาน และพรุ่งนี้อีวาก็จะดียิ่งขึ้นกว่าวันนี้อีก!”


ซอกกูนีร์ได้ดื่มลงไปอีกแก้ว และจ้องเขม็งมาที่ซอลจีฮู


“ทั้งหมดนี้ก็เพราะคุณ”


ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา


“ต่อให้ไม่มีผม ก็จะมีใครสักคนที่ทำมันอยู่แล้ว ถึงจะน่าเสียดายที่เธอตายไปก่อนก็ตาม”


“ผมมั่นใจว่าผมรู้ว่าคุณกำลังพูดถึงใครอยู่”


ซอกกูนีร์ได้พยักหน้าออกมาอย่างเคร่งขรึม


“อีวาเกลีน โรส เธอเป็นคนที่โดดเด่นจริงๆ แต่พูดตามตรง ผมไม่ได้ชอบเธอขนาดนั้น”


“อะไรนะครับ?”


“อย่าเข้าใจผิดไปนะครับ อีวาเกลีน โรสเป็นชาวโลกที่มีหลักการ และความสามารถ ผมรู้ว่าเธอยอดเยี่ยมยิ่งกว่าคนแบบจองซูเป็นพันเท่า เพราะงั้นผมจึงไม่อยากจะเอาทั้งคู่มาเทียบกัน”


“…”


“แต่ว่าเธอ… จะพูดยังไงดีล่ะ…”


“แต่ว่าเธอไม่ได้มีความคาดหวังอะไรเลย แทนที่จะส่งต่อให้พวกคุณได้จัดการ ผมต้องดูแลจัดการเองซะมากกว่า เธอเป็นแบบนี้อยู่เสมอ”


ซอกกูนีร์ได้ยิ้มแห้ง


“ก็นะ จริงๆแล้วด้วยสภาพตอนนั้นของรัฐผมก็ไม่อาจจะโทษเธอได้ แต่ผมก็คิดว่าเธอก็มีส่วนผิดที่แยกทางกับนักเวทย์คนหนึ่งเพียงแค่เพราะเธอไม่ได้เห็นด้วยกับเขา”


จากนั้นเขาก็ดื่มหมดไปอีกแก้ว


“แต่ว่าคุณต่างออกไป”


เขาได้เช็ดปาก และยิ้มออกมา


“อีวาเกลีน โรสจะสามารถมาเป็นผู้พิทักษ์แห่งอีวาได้ แต่ว่านะ เธอไม่อาจจะสามารถทำให้เมืองที่กำลังกลับมาหายใจได้ และไม่อาจจะมอบมุมมองใหม่ๆให้กับผมกับราชินีได้”


ซอกกูนีร์ที่พูดแบบนี้ได้สูดหายใจลึก และพูดออกมา


“คุณคือผู้กอบกู้ที่แท้จริงของอีวา”


ซอลจีฮูยิ้มเขินขึน้


“ขอบคุณนะครับที่ชมผมแบบนี้ แต่ว่ามันก็น่าอายอยู่หน่อย”


“ทำไมล่ะ? มันดีไม่เท่ากับวีรบุรุษแห่งฮารามาร์คงั้นหรอ?”


ซอลจีฮูกับซอกกูนีร์ได้ระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน


“โอ้ จริงด้วย พรุ่งนี้คุณช่วยมาที่วังจะได้ไหม?”


“อีกแล้วหรอครับ?”


“แค่นี้คุณก็จะร้องแล้วหรอครับ? นับจากนี้คุณยังต้องมาอีกบ่อยๆเลยนะครับ”


ซอกกูนีร์ได้หัวเราะอย่างร่าเริงก่อนจะหยิบแก้วที่ซอลจีฮูส่งมาให้


“อย่าเล่นตัวไปเลยครับ ผมเพิ่งจะได้รับอำนาจในการบริหารอย่างเต็มที่ ผมคิดว่าจะคุยกับคุณเรื่องเขตต่างๆของเมือง”


‘เขตต่างๆของเมือง?’ ซอลจีฮูขมวดคิ้วขึ้น


“กลุ่มพ่อค้าดงชุนกับเรดฮวารูต่างก็มีอยู่คนละเขต พวกเราก็จะส่งให้ซันเหอหนึ่งเขตเช่นกัน แต่ว่าจากทั้งหมดแปดเขตแล้ว ก็จะเหลืออยู่อีกห้าเขต”


ซอกกูนีร์ได้ยิ้มออกมา


“คุณไม่ต้องการได้รับใบรับรองการเช่าเขตเหล่านี้หรอครับ?”


ซอลจีฮูได้อ้าปากค้าง ซอกกูนีร์กำลังจะบอกว่าเขาจะให้วัลฮาลารับผิดชอบทั้งห้าเขต


“คุณจะใช้มันยังไงก็ไม่ได้เกี่ยวกับผม วัลฮาลาจะจัดการดูแลเขตเหล่านั้นโดยตรง หรือจะจ้างให้ภายนอกเข้ามาช่วยก็ได้”


สิ่งนี้ได้บ่งบอกออกมาอย่างชัดเจน


“แต่หากว่าคุณคิดที่จะจ้างการช่วยเหลือจากภายนอก ผมก็หวังว่าคนที่คุณเลือกเข้ามาจะไม่ก่อปัญหาใดๆขึ้น”


ซอกกูนีร์ได้ส่งแก้วของซอลจีฮูกลับไป และขยิบตา


“ผมหวังว่าจะได้ร่วมงานกับคุณในฐานะพันธมิตรนะครับ”


“เหมือนกันครับ”


ซอลจีฮูได้รับแก้วมาโดยไม่ลังเล


“ผมก็หวังว่าจะได้ร่วมงานกับคุณเช่นกัน”


“ยอดเยี่ยม”


ซอกกูนีร์ได้ยกแก้วขึ้น และซอลจีฮูก็ยกแก้วชนกับเขาด้วยรอยยิ้มสดใส


“ขอให้คุณทั้งคู่มีอนาคตที่มีความสุขนะครับ”


“แด่พาราไดซ์… หืม?”


เมื่อได้ยินคำพูดแปลกๆของซอกกูนีร์ ซอลจีฮูก็ตกใจจนต้องวางแก้วลง


ยังไงก็ตามซอกกูนีร์ได้ดื่มไวน์ลงไปอย่างไม่ใสใจ แถมเขายังดูจะสนุกอีกด้วย


บทที่ 276 – ผจญฤดูหนาว (1)


-นอกเหนือจากการก่อตั้งองค์กรแล้ว วัลฮาลายังได้ยกระดับขึ้นเป็นองค์กรพันธมิตรกับราชวงศ์อีวาในระยะเวลาสั้นๆ


ข่าวนี้ได้กระจายออกไปทั่วทั้งอาณาเขตของมนุษย์ในเวลาแค่สี่วัน วัลฮาลาได้รับความสนใจอย่างมากนับตั้งแต่ที่เขาโค่นยักษ์ใหญ่อย่างพันธมิตรอีวาไป


วัลฮาลาที่นำโดยวีรบุรุษสงครามซอลจีฮู พวกเขาไม่ได้หยุดแค่นั้น และโค่นอีวาเกลีนได้สำเร็จ จากนั้นก็นั่งลงไปในตำแหน่งพันธมิตรของราชวงศ์ที่ว่างอยู่


เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องใหญ่มากจนทำให้ชาวโลกทุกคนต่างก็หันมาสนใจ แน่นอนว่านี่รวมไปถึงองค์กรทรงอิทธิพลตามภูมิภาคต่างๆอีกด้วย


***


เมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือ คาลิโก้


“หืมมม”


หญิงสาวสีหน้าเคร่งขรึมได้ส่งเสียงขึ้นจมูกออกมาเมื่อได้อ่านข่าวที่กระจายอยู่ตามถนน


“ตอนที่ฉันเจอเขาระหว่างงานจัดเลี้ยง ฉันก็คิดว่าเขาเป็นคนที่น่าสนใจอยู่หน่อยนะ…”


หลังจากอ่านข่าวอยู่นาน เธอก็พึมพำออกมา


“แต่มันกลายเป็นว่าเขาช่างน่าสนใจจริงๆ”


ริมฝีปากของเธอได้โค้งขึ้น และใบหน้าจริงจังของเธอก็เต็มไปด้วยความสนใจ


“เยี่ยม”


หลังจากพึมพำกับตัวเองแล้ว เธอก็โยนหนังสือพิมพ์ทิ้ง และมองไปรอบๆ


***


เมืองทางเหนือ กราเซีย


“อ่า เอาจริงดิ?”


หญิงสาวที่กำลังพูดคุยอยู่ในบาร์ได้ร้องออกมาด้วยความตกใจ


“ไอ้เจ้าหมอนั่นกลายเป็นตัวแทนขององค์กรไปแล้ว?”


“ก็ตามที่พวกเขาพูดกันนั่นแหละ”


“อ่า เวรล่ะ! ตอนนี้เราก็ไปหาเรื่องเขาไม่ได้แล้วสิ”


“เธอหมายความว่ายังไงกัน?”


“อ๊าา นี่มันกำลังทำให้ฉันจะบ้า”


“อ่อ ฟันของเธอน่ะหรอ?”


เมื่อเห็นหญิงสาวถูกกรามของเธอ พรรคพวกของเธอก็หัวเราะออกมา


“หยุดฝันไปเลย ลองดูตัวแทนคนนี้สิ แถมเขายังมียัยพวกบ้าอยู่รอบตัวไปหมดอีก เธอได้กระดูกป่นก่อนที่จะได้เข้าใกล้เขาซะอีก”


“อ๊าาา~ โอกาสแก้แค้นได้หลุดลอยออกไปแล้ว~”


“แก้แค้นที่หน้าแกสิ ฉันไม่คิดจะแก้แค้นอะไรอยู่แล้ว”


“แล้วเรื่องฟันอันน่าสงสารของเธอล่ะ?”


“มันก็ชัดแล้วนี่ มันไม่มีอะไร ไม่มีอะไรทั้งนั้น หรือถ้าแกต้องการก็ไปถามหาความรับผิดชอบกับเขาแล้วกัน”


เมื่อได้ยินแบบนี้เสียงหัวเราะก็ดังออกมาอีกครั้ง


“ฮ่าฮ่าฮ่า! นี่จะไปขอให้เขารับผิดชอบที่ทำให้ฟันเธอหักงั้นหรอ!? นี่เธอบ้าไปแล้วหรือเปล่า!?”


แม้กระทั่งหญิงสาวที่ฟันหายไปก็ยังหัวเราะออกมา


***


เมืองทางตะวันตก โอดอร์


“…จากที่นี่ไปอีวาใช้เวลานานแค่ไหน?”


ชายหนุ่มที่กำลังนั่งไขว้ห้างจิบชาได้ถามออกมา คนรักของเขาได้มองมาด้วยความสงสัย


“ทำไมล่ะ? นายจะไปที่นั่น?”


“ใช่แล้ว”


ชายหนุ่มได้ยืนยันออกมาพร้อมกับค่อยๆอ่านหนังสือพิมพ์


“อะไรล่ะนั่น? ฉันไม่คิดเลยนะว่าคำนี้จะมาจากคนที่ควรจะกลายเป็นดวงดาวแห่งความเกียจคร้าน”


“นั่นก็เพราะฉันไม่ได้เลือกอสิเดีย”


ชายหนุ่มได้ตอบกลับเบาๆ และพูดต่อ


“นอกไปจากนี้ฉันยังสนใจเขา”


“ตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ?”


“นับตั้งแต่ที่เห็นเขาไล่ล่า และฆ่าความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ลงไป จากนั้นเขาก็ไล่ตามผู้บัญชาการอีกสองคนไปอย่างบ้าคลั่งจนคล้ายกับเป็นปีศาจ”


“อ๊าา ฉันก็เห็นมันเหมือนกัน เขาก็น่ากลัวอยู่หน่อยนะ”


“แทนที่จะบอกว่าน่ากลัว…”


ชายหนุ่มได้ชะงักไป และมองขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับคิดย้อนไปถึงในตอนนั้น


“เขาแปลก”


“แปลก แปลกยังไงล่ะ?”


“เขาทำให้ฉันนึกถึงซึงชิฮยอน”


หญิงสาวได้ขมวดขึ้นออกมา


“ไอ้เจ้าเวรนั่น?”


“เขาอาจจะหยิ่งผยอง แต่ว่าเขาก็มีทักษะจริงๆ”


ชายหนุ่มได้พูดอย่างสงบ


“นี่เป็นสิ่งที่จะต้องยอมรับ ต่อให้จะสู้กันกี่ครั้งฉันก็จะไม่มีวันชนะได้เลย”


“แล้วนายกำลังบอกว่าเขาคนนั้นเป็นคนประเภทเดียวกันงั้นหรอ?”


ชายหนุ่มได้เงียบลงไปเมื่อได้ยินน้ำเสียงไม่พอใจของคนรัก จากนั้นเขาก็ส่ายหัวด้วยความลังเล


“ไม่หรอก มันยากที่จะพูดแบบนั้น เขาต่างออกไปแน่ๆ”


“?”


“ถึงแม้ว่าเขากับซึงชิฮยอนจะให้ความรู้สึกคล้ายกัน แต่ก็ต่างกันในมุมที่ลึกซึ้งอยู่…”


เขาได้ชะงักอยู่นานก่อนจะพูดต่อ


“จะว่ายังไงดีล่ะ… ยอดเยี่ยมที่สุด? แข็งแกร่งที่สุด? ฉันรู้สึกเหมือนฉันกำลังมองจุดสูงสุดอยู่”


“หาาา นั่นมันหมายความว่ายังไงกัน?”


“ไม่รู้สิ มันยากที่จะอธิบาย ในจุดๆนี้เขาน่าจะยังอยู่ในพาราไดซ์ได้ไม่ถึงปีเลยด้วยซ้ำ แต่เขาเหมือนกับคนที่ตรากตรำในโลกนี้มานับสิบปี”


ชายหนุ่มได้ส่ายหัวออกมาเหมือนกับเขาเพิ่งจะพูดเรื่องที่เขาไม่เข้าใจออกมา


“นี่คือเหตุผลที่ฉันอยากจะไป เพราะงั้นฉันอยากจะไปดูและสัมผัสเขาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น”


“แล้วนายกำลังบอกว่านายอยากจะคลายความสงสัยของตัวเองสินะ ก็สมกับเป็นนายดี”


“นี่ก็ส่วนหนึ่ง การที่เขาออกไปจากฮารามาร์ค เขาจะต้องมีเป้าหมายที่กำลังพยายามทำให้สำเร็จอยู่ ฉันมีอยู่หลายคำถามที่อยากจะถามเขา”


ชายหนุ่มได้ค่อยๆลุกขึ้นยืน


“แล้วจะมุ่งหน้าไปเมื่อไหร่ล่ะ?”


“ในเมื่อพวกเขาได้กลายเป็นตัวแทนของอีวาไปแล้ว ฉันมั่นใจว่าพวกเราก็จะได้รับการติดต่อจากพวกเขาในไม่ช้า โอ้ แบบนี้-“


ชายหนุ่มได้ดันแว่น และหันกลับไปมองหญิงสาว


“โอเดลโล่ เดลฟีน ดาวรุ่งของเราก็เป็นคนรู้จักกับเขาจากเขตพื้นที่เป็นกลางไม่ใช่หรอ?”


“..โอเดลเล็ต เดลฟีนต่างหากล่ะ”


หญิงสาวได้หลับตาถอนหายใจออกมา


“อย่างน้อยก็จำชื่อศิษย์ของตัวเองสักหน่อยสิ”


***


ท้องฟ้าของอีวาปลอดโปร่ง และเงียบสงบ แต่ที่สำนักงานคาเพเดี่ยมกลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย


ซอลจีฮูต้องวิ่งหัวหมุนนับตั้งแต่เช้า มีสายจำนวนมากจากทุกๆที่ของอาณาเขตมนุษย์ติดต่อเข้ามาโดยเริ่มจากซันเหอ กลุ่มพ่อค้าดงชุน ไปจนถึงซิซิเรีย และต่างๆอีกมากมาย


พวกเขาได้ติดต่อมาแสดงความยินดีกับวัลฮาลาที่กลายเป็นองค์กรพันธมิตรกับราชวงศ์อีวา แม้ว่าการถูกเรียกว่า ‘ตัวแทนวัลฮาลา’ และไม่ใช่ ‘ซอลจีฮู’ จะทำให้เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่มันก็ช่วยให้เขาเข้าใจถึงจุดยืนทางสังคมใหม่ของเขา


หลังจากที่ใช้เวลาวุ่นช่วงชาวอยู่นาน ในที่สุดช่วงเที่ยงเขาก็ได้มีเวลาพัก


“ฉันตรงนี้”


“ถ้างั้นฉันตรงนั้น”


“แกว๊ก”


“อะไรล่ะ แกก็อยากจะได้ด้วย”


“ฟี๊”


“แกรู้ไหมว่าแกนี่มันเป็นลูกเจี๊ยบที่หน้าทนจริงๆ”


สมาชิกวัลฮาลาต่างก็กำลังเล่นเกมกัน พวกเขาได้กางแผนที่เมือง และเริ่มแบ่งพื้นที่กันก่อนที่จะเป็นเจ้าของซะอีก


ซอลจีฮูได้แอบมองไปรอบๆพวกเขา และหลบหนีไปที่ห้องประชุมใหญ่ หลังจากที่ได้นั่งหัวโต๊ะแล้ว เขาก็หลับตาถอนหายใจออกมา


จากทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ได้ทำให้เขารู้สึกเหนื่อย แต่ว่ามันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกแย่ จริงๆแล้วเขารู้สึกเหมือนภาระอันหนักอึ้งได้ถูกยกออกไปด้วยซ้ำ


เช้านี้ เขาได้ไปที่วัง และได้รับอำนาจเหนือเขตทั้งห้าของอีวามา ในที่สุดเขาก็ทำหนึ่งในสามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ในตอนมาที่อีวาสำเร็จไปแล้ว


เขาได้ตั้งเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ที่เขาไม่มั่นใจเลยว่าจะทำสำเร็จได้ไหม แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ทำตามเป้าหมายแรกได้สำเร็จอย่างงดงาม


สำหรับซอลจีฮูแล้วความสำเร็จนี้ได้ทำให้เขารู้สึกยินดี เขาได้ลืมตาขึ้นและถอนหายใจออกมา


เมื่อมองไปรอบๆห้องประชุมที่ว่างเปล่า ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยภาพฝัน


เขาได้ทำบางอย่างที่ยิ่งใหญ่สำเร็จไป แต่ว่ามันเพิ่งจะเริ่มเท่านั้น


เขาจะต้องใช้ความสำเร็จนี้เป็นแท่นเหยียบต่อไป เพื่อทำตามเป้าหมายที่สองให้สำเร็จ และก่อนที่เขาจะทำแบบนั้น-


แกร๊ก ความคิดของเขาได้ถูกขัด และเขาก็ต้องหันไปมองที่ทางเข้า


เมื่อประตูค่อยๆถูกเปิดออกมา หญิงสาวผมหางม้าในชุดนักธุรกิจก็ได้เดินเข้ามา แน่นอนว่าคือคิมฮันนาห์


“ยินดีด้วยนะ”


เมื่อเดินเข้ามากลางห้องประชุมแล้ว เธอก็ยิ้มขึ้น


“ขอบคุณนะ”


ซอลจีฮูได้แสดงความขอบคุณออกไปเช่นกัน คิมฮันนาห์ไม่ได้ตอบอะไรกลับ เธอได้เดินเข้ามาหาเขาเวงียบๆ จากนั้นก็ทิ้งตัวนั่งลงบนโต๊ะตรงหน้าซอลจีฮู


เธอได้ถามเขาออกมาด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์


“แล้ว?”


“?”


“รู้สึกยังไงบ้างล่ะ? ในตอนนี้นายอยู่ในตำแหน่งที่มีเพียงแค่เจ็ดคนในพาราไดซ์ที่จะนั่งได้นะ”


“ถามอะไรแปลกๆน่ะ?”


“บอกมาสิ ฉันสงสัยจริงๆนะ”


เธอดูจะไม่ได้พูดเล่นเลยสักนิด จริงๆแล้วไม่ว่าจะเป็นอะไรเธอก็ดูจะอยากได้ยินคำตอบมาก


“ก็ดีนะ”


ซอลจีฮูได้ตอบกลับมาสั้นๆ


“มันก็ดี แต่ว่า…”


จากนั้นเขาก็ถอนหายใจ และเผยความคิดออกมา


“พูดตามตรงฉันก็รู้สึกกังวลอยู่หน่อย แล้วก็ร้อนรนด้วย”


“กังวลงั้นหรอ?”


คิมฮันนาห์ได้ถามกลับราวกับเธอไม่เคยคิดมาก่อนเลย


“กังวลเรื่องอะไรล่ะ? หากคิดดูแล้วมันก็น่าจะมีอยู่นะ”


“ฉันหมายถึงเรื่องปรสิต”


ซอลจีฮูได้เม้มปาก


“พวกนั้นเงียบไป เงียบสงบจนน่ากลัว ฉันคิดว่าพวกเขาจะตอบโต้กับความพ่ายแพ้ในหุบเขาอาร์เดน แต่ว่านี่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย”


พวกนั้นกำลังวางแผนอะไรกันถึงได้เงียบแบบนี้?


“…ก็คงงั้นแหละ ถึงแม้ว่าฝ่ายนั้นก็ไม่ได้มีข่าวดีเช่นกัน แต่มันก็ไมได้ส่งผลอะไรต่อราชินีปรสิต”


คิมฮันนาห์ได้หยักหน้าเข้าใจ


“แล้วเรื่องที่นายร้อนรนล่ะ?”


“เป้าหมายที่สอง”


ซอลจีฮูได้พูดเสียงต่ำออกมา


“มันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ฉันเพิ่งบอกออกไป ฉันรู้สึกว่าฉันจะต้องทำตามเป้าหมายที่สองให้สำเร็จก่อน ฉันถึงจะมีเวลาได้พักหายใจ…”


ซอลจีฮูได้ชะงักไป จากนั้นก็พยักไหล่ออกมา


“มันก็นะ ฉันไม่รู้ว่าเธอคิดยังไงกับเรื่องนี้ แต่ว่า…”


เขาได้เงยหน้ามองคิมฮันนาห์ที่จ้องเขาอยู่นิ่งๆ ก่อนจะพูดต่อ


“ฉันรู้สึกว่าฉันจำเป็นต้องรีบทำตามเป้าหมายที่สองให้สำเร็จ นี่เป็นสิ่งเดียวที่อยู่ในหัวของฉัน”


คิมฮันนาห์ยิ้มบาง


“นายรู้ไหมว่าบางครั้งฉันรู้สึกยังไง?”


คิมฮันนาห์ได้หยิบแผ่นกระดาษออกมาจากกระเป๋า จากนั้นก็วางลงตรงหน้าซอลจีฮู


“ฉันรู้สึกเหมือนว่านายมันไม่มีความพอดี”


“อะไรนะ?”


“ฉันชื่นชมนายนะ ฉันชอบคนที่รักษาสัญญา”


หลังพูดสิ่งที่ยากจะเข้าใจได้จบ คิมฮันนาห์ก็ดันแผ่นกระดาษออกมา ซอลจีฮูได้มองดูคิมฮันนาห์ที่เดินออกไปไกล


“คิมฮันนาห์?”


“รายงาน…”


น้ำเสียงเป็นเอกลักษณ์ของเธอได้ดังขึ้นในห้องประชุม


“…ที่เป็นการสรุปทิศทางของวัลฮาลานับจากนี้”


ดวงตาซอลลจีฮูได้เป็นประกายขึ้น การพูดของคิมฮันนาห์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง รวมไปถึงบรรยากาศรอบตัวเธออีกด้วย


ตึก ตึก หลังจากก้าวไปได้สิบก้าวเป๊ะๆ คิมฮันนาห์ก็หันกลับมา


“ฉันวางแผนนี้เอาไว้นานแล้วนะ แต่ว่า…”


เธอได้ยืดตัวประสานมือเข้าด้วยกัน และพูดออกมา


“นับจากวันนี้ไป ทุกๆเรื่องที่เป็นทางการดิฉันจะคุยกับตัวแทนซอลด้วยความเคารพ”


การพูดอันสุภาพของเธอได้ทำให้ซอลจีฮูได้แต่สับสนไป เขาได้มองดูรายงานตรงหน้า จากนั้นก็โบกมือออกมา


“อ๊า ไม่เป็นไรหรอก ทำตามตัวปกติดีกว่านะ”


“…”


“พอเธอพูดเป็นทางการแล้วมันอึดอัด”


ซอลจีฮูได้พยายามใช้รอยยิ้มผ่อนคลายทำลายบรรยากาศนี้ แต่ว่าต่อมาเขาก็ได้แต่ต้องหยุดยิ้ม


นั่นเพราะคิมฮันนาห์ไม่ได้มีท่าทีที่เหมือนจะเล่นกับเขาเลย


ซอลจีฮูได้แต่เกาหัวด้วยความอึดอัดใจ


“จำเป็นด้วยหรอ?”


“ค่ะ”


คิมฮันนาห์ได้ตอบกลับโดยไม่ลังเล


“ต้องทำ นั่นเพราะว่าคุณ ตัวแทนซอลไม่ใช่หัวหน้าของทีมเล็กๆที่พบเห็นได้ทั่วไปอีกแล้ว”


เธอกำลังบอกให้เขาแบกรับศักดิ์ศรีให้สมกับตำแหน่งของตัวเอง


ซอลจีฮูเม้มปาก พูดตามตรงเขาไม่ชอบมันเลยจริงๆ แทนที่จะทำตัวห่างเหินเย็นชาเพราะตำแหน่งที่สูง เขารู้สึกอยากจะคงนิสัยที่หัวเราะและสนุกไปด้วยกันซะมากกว่า


แต่เขาก็เข้าใจว่าทำไมคิมฮันนาห์ถึงพูดแบบนี้ เธอคงจะคิดว่ามันจำเป็นสำหรับแผนในอนาคต


ซอลจีฮูเข้าใจดี ในเมื่อกองกำลังของพวกเขาจะยิ่งเติบโต และเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ความสัมพันธ์ต่างๆของแต่ละคนก็จะยิ่งกลายเป็นซับซ้อน


เมื่อไหร่ที่มันเกิดขึ้นปัญหามากมายก็อาจจะมีได้ และบางอย่างอาจจะทำให้เกิดการพังทลายได้


ในแง่ของความซับซ้อนจากความสัมพันธ์แล้ว องค์กรจำเป็นจะต้องมีรากฐานที่หนักแน่นในการยืนหยัดไม่ไปสั่นคลอนกับคลื่นกระแทกเหล่านั้น


[ฉันคิดว่ามันก็คงไม่แย่หรอกนะที่จะทำงานกับหัวหน้าที่มีคุณธรรมในการจัดการกับเรื่องส่วนตัว]


เขาได้นึกถึงคำพูดที่คาซุกิเคยพูดกับเขาเมื่อนานมาแล้ว


ตัวแทนขององค์กรจะต้องมีความยุติธรรม แม้ว่าการทำตัวสบายๆกับสมาชิกทั่วไปจะไม่ใช่เรื่องแย่ แต่มันก็มีช่วงเวลาที่พวกเขาต้องทำตัวหนักแน่นไม่สั่นคลอนด้วยเช่นกัน


เพื่อไม่ให้ถูกพัดพาไป


คิมฮันนาห์คงจะเอาเรื่องนี้มาพูดเพราะแบบนี้


“ในปัจจุบันเรื่องภายในของวัลฮาลายังทำได้ไม่ดี”


เธอได้ตีความการเงียบของซอลจีฮูเป็นการยอมรับ และพูดต่อไป


“ดิฉันไม่ได้กำลังพูดถึงบรรยากาศ แม้ว่าวัลฮาลาจะกลายเป็นองค์กรตัวแทนของเมือง แต่ว่ามันก็ไม่ใช่กลุ่มที่เหมาะสมกับตำแหน่งพันธมิตรราชวงศ์ พูดตามตรงก็เช่นนั้นแหละ”


ซอลจีฮูได้พยักหน้าออกมา มองย้อนกลับไปแล้วพวกเขาได้มาอยู่ในตำแหน่งนี้ผ่านสงคราม พลัง และกลยุทธ์ พวกเขาได้ข้ามขั้นตอนส่วนกลางทั้งหมดที่องค์กรใหม่ๆจำเป็นต้องเผชิญ


อย่างคำกล่าวที่ว่าคนที่ใช้การเมืองต้องตายด้วยการเมือง คนที่รุ่งเรืองจากสงครามก็จะล่มจมจากสงคราม


นี่คงจะเป็นสิ่งที่คิมฮันนาห์กังวล


“ดิฉันเข้าใจถึงความกังวลในเป้าหมายของคุณ แต่ว่าในตอนนี้มันไม่ใช่เวลามารีบร้อน แทนที่จะเริ่มสิ่งใหม่ๆ เราควรที่จะใช้เวลาทำสิ่งที่ควรจะทำดีกว่า”


ไม่ใช่การเริ่มต้นสิ่งใหม่ แต่เป็นการรวมกันของภายใน และเสริมสร้างรากฐาน


ซอลจีฮูได้ถามออกมาในขณะที่จับรายงาน


“แล้วเธอคิดว่าอะไรคือสิ่งที่ควรจะทำให้เร็วที่สุด?”


“มีอยู่หลายอย่าง รับสมัครสมาชิกใหม่ เรียกกองกำลังที่มีความเห็นตรงกันกับเรา และก่อตั้งพันธมิตรขึ้น ทั้งสองอย่างนี้ต่างก็เป็นสิ่งสำคัญ…”


คิมฮันนาห์ได้หยุดพักหายใจสั้นๆ ก่อนจะพูดต่อ


“แต่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการจัดตั้งโครงสร้างภายในให้เหมาะสม”


“…”


“และดิฉันกำลังพูดถึงเรื่องการแก้ไขโครงสร้างในปัจจุบันใหม่หมด มันก็ช้ามากแล้ว ยิ่งเราปล่อยไว้นานกว่านี้มันก็ยิ่งยากจะแก้ไข”


ซอลจีฮูได้ฟังอยู่เงียบๆเพราะเขาก็เคยพูดเรื่องนี้มาก่อนหลายครั้งแล้ว


“ในโลกใบนี้ไม่มีองค์กรไหนที่ไร้โครงสร้าง กองทัพมีโครงสร้างลำดับชั้น บริษัทมีโครงสร้างแบ่งหน้าที่ดูแล และแม้กระทั่งชมรมและกลุ่มคนก็ยังมีการแบ่งหัวหน้าหรือผู้ดูแล”


คิมฮันนาห์ได้กระแอ่มออกมา


“สิ่งสำคัญในตอนนี้ก็คือการหาโครงสร้างที่วัลฮาลาอยากที่จะนำมาใช้ โครงสร้างคือสิ่งที่เราจะใช้ตัดสินในทิศทางและธรรมชาติขององค์กร”


และโครงสร้างนี้ก็จะต้องเป็นไปตามเป้าหมายของตัวแทน องค์กรที่มุ่งเป้าไปกับการหาเงินก็จะนำโครงสร้างของกลุ่มการค้าเข้ามาใช้ และองค์กรที่จะสร้างกำไรเชิงพานิชก็จะนำโครงสร้างของบริษัทมาใช้


ถ้างั้นแล้ววัลฮาลาล่ะ?


“ตามเป้าหมายของตัวแทนซอลแล้ว โครงสร้างทางทหารเหมาะที่สุด…”


คิมฮันนาห์ได้เสนอความเห็นออกมา ซอลจีฮูรู้สึกไม่พอใจอยู่เล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกมา เขารู้อยู่แล้วว่าคิมฮันนาห์ไม่ได้หมายความว่าให้จำกัดอิสรภาพของสมาชิกทุกๆคนเหมือนกองทัพ แต่เป็นแค่การนำโครงสร้างของมันมาปรับใช้เพียงเท่านั้น


“ฉันเข้าใจที่เธอกำลังบอกนะ แต่มันต้องทำแบบนี้ในตอนนี้จริงๆน่ะหรอ?”


“ค่ะ แม้กระทั่งเรารับสมาชิกใหม่ พวกเราก็มีแต่จะแกร่งขึ้นโดยไร้แบบแผน องค์กรจำเป็นต้องมีระบบการทำงานให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เพียงเท่านั้นสมาชิกใหม่จะได้ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างรวดเร็ว และมันเป็นพลังที่จำเป็นในการยอมรับพวกเขาเข้ามา”


“เพราะงั้นแล้วเธอจะบอกให้รับสมัครคนเข้ามาหบลังจากนั้น”


“ค่ะ… นี่คือสิ่งที่ดิฉันอยากจะบอก”


คิมฮันนาห์ได้ยิ้มขมขื่นออกมา


“น่าเสียดายที่เรามีเวลาน้อยมาก ดูเหมือนกับว่าพวกเราจะต้องปรับโครงสร้างภายใน และรับสมาชิกเข้ามาพร้อมๆกัน”


ซอลจีฮูอยากจะถามว่าทำไม แต่จากนั้นเขาก็นึกไปถึงเหตุการณ์สำคัญที่กำลังมาถึง


“เขตพื้นที่เป็นกลางเดือนมีนาคม”


“ถูกต้อง มามาลองคิดดู-“


คิมฮันนาห์ได้ถามออกมาราวกับเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้


“ไม่ใช่ว่าคุณบอกว่ามีเรื่องที่อยากจะคุยกับฉันเกี่ยวกับเขตพื้นที่เป็นกลางเดือนมีนาคมหรอ?”


“ใช่แล้ว รอเดี๋ยวนะ”


เขาได้ค้นกระเป๋า และหยิบเอาสมุดจดเล่มเล็กๆออกมา


-อึนยูริ กับโอเดลเล็ต เดลฟีนได้เตรียมไพ่ตายสุดท้ายเอาไว้


นี่คือสิ่งที่ตัวซอลจีฮูเป็นคนพูดออกมา


เขาไม่รู้ว่าอึนยูริคนนี้เป็นใคร แต่ว่าการที่เธอรอดไปได้จนถึงสงครามสุดท้าย และเตรียมการโต้กลับ เธอจะต้องเป็นคนที่พิเศษแน่ๆ


“ชื่อของเธอ…”


เขารู้สึกลักเลว่าหากถามไปแล้วคิมฮันนาห์จะถามว่าเขาไปได้ชื่อนี้มาจากไหน


‘แต่ก็ไม่สำคัญหรอก’


จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเขาเพิ่งจะสร้างเหตุผลขึ้นมา


เขาได้หยุดกังวล และถามขึ้น


“อึนยูริ”


“อึนยูริ?”


น้ำเสียงของคิมฮันนาห์ได้สูงขึ้นราวกับได้ยินชื่อที่คาดไม่ถึง


‘เดี๋ยวนะ’


ซอลจีฮูคิดว่าอึนยูริยังไม่ได้กลายเป็นชาวโลก นี่มันก็เพราะว่าเขาไม่เคยเห็นชื่อของเธอในบันทึกของเอียนเลย


ในเมื่อตัวเขาในอดีตได้พูดถึงเธอ เธอก็น่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่หากชื่อของเธอไม่ได้อยู่ในบันทึกของเอียน ซอลจีฮูจึงคิดว่าเธอยังไม่ได้เข้ามาในพาราไดซ์


ซอลจีฮูได้ละสายตาจากสมุดจด และมองไปข้างหน้า


“อึนยูริ… นานแล้วนะที่ดิฉันไม่ได้ยินชื่อนี้”


คิมฮันนาห์ได้เอียงหัวด้วยสีหน้าประหลาดใจ


“ใช่แล้ว ดิฉันรู้จักเธอ รู้จักเป็นอย่างดี”


ซอลจีฮูได้หรี่ตาลง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม