The Second Coming of Gluttony 261-268

 บทที่ 261 – มุ่งหน้า (1)


มีหนังสือพิมพ์หลายฉบับถูกวางไว้เกลื่อนถนน


ซอลจีฮูเพิ่งจะกลับมาที่เมือง แต่ว่าเขารู้สึกเหมือนกับมีสายตาจำนวนนับไม่ถ้วนแอบจับจ้องมาที่เขา ทั่วทั้งเมืองเหมือนกับกำลังกรีดร้องถึงความผิดปกติออกมา


ซอลจีฮูได้เลือกหยิบหนังสือพิมพ์เล่มหนึ่งที่ถูกวางไว้บนพื้นขึ้นมา


ไม่นานนักดวงตาเขาก็ต้องเบิกกว้างก่อนจะหรี่ลง หนังสือพิมพ์ได้อธิบายไว้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนที่เขาไม่อยู่


-ในระหว่างที่กำลังหลักของคาเพเดี่ยมได้ออกไปทำภารกิจตามการมอบหมายของราชวงศ์ กลุ่มพันธมิตรอีวาได้ส่งนักรบระดับ 5 ของแก๊งโอชัวร์ ‘โนอาร์ เฟรย่า’ และนักรบระดับ 5 ตัวแทนของพันธมิตรอีวา ‘หยางหยาง’ เพื่อไปโจมตีฐานทัพของคาเพเดี่ยม แต่คาเพเดี่ยมที่ได้รับการช่วยเหลือจากซันเหอที่ส่ง ‘อายาเสะ คาซุกิ’ และคนอื่นๆไปได้กำจัดพันธมิตรอีวาที่บุกคาเพเดี่ยมได้สำเร็จ


น่าบังเอิญที่ในเวลาเดียวกันแก๊งโอชัวร์กับองค์กรอื่นๆได้เลือกต่อสู้กับสมาชิกของซันเหอที่บาร์ แม้ว่าในตอนแรกจะเป็นการมีปากเสียงกันเล็กน้อย แต่ก็บานปลายอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นการปะทะกันอย่างเต็มรูปแบบ


ผู้บริหารของซันเหอ ‘หมิงเจี่ย’ ได้เข้าใจถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ และพยายามที่จะหยุดความขัดแย้ง แต่ว่าพันธมิตรอีวากลับยกอาวุธขึ้นมาอย่างไม่แยแส แม้ว่าหมิงเจี่ยจะพยายามทำให้สถานการณ์สงบลงแล้วก็ตาม ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ได้เริ่มโจมตีกองกำลังของซันเหอก่อน


ซันเหอจึงได้ตอบกลับด้วยการกระหน่ำยิงคืนไปเป็นสงครามซึ่งจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของกลุ่มพันธมิตรอีวา


หัวหน้าของแก๊งโอชัวร์ ‘โอมาร์ กราเซีย’ ได้โผล่เข้ามาในที่เกิดเหตุ ขณะที่เขากำลังหลบหนี เขาก็ได้ถูกสมาชิกของคาเพเดี่ยมที่เดินทางมาด้วยกันกับกำลังเสริมของซันเหอจับเอาไว้ได้ เมื่อถูกจับกุมและสอบสวน เขาก็ได้เผยออกมาว่าเขาร่วมมือกับจองชู ตัวแทนขององค์กรที่เป็นพันธมิตรกับราชวงศ์ อีวาเกลีน


จองซูได้อ้างว่าตัวเองบริสุทธิ์โดยไม่รับรู้ถึงแผนอะไรของโอมาร์ กราเซียเลย แต่ว่าเรื่องการที่พันธมิตรอีวาได้พยายามโจมตีคาเพเดี่ยมกับซันเหอหลังจากต้องประสบการสูญเสียธุรกิจผิดกฎหมายเมื่อเร็วๆนี้ก็เป็นเรื่องแน่ชัดแล้ว


ด้วยความที่จองซูเป็นหนึ่งในคนที่แนะนำภารกิจให้กับคาเพเดี่ยม คำพูดของเธอจึงขาดซึ่งความน่าเชื่อถือ


ผลที่ออกมาก็คือกลุ่มพันธมิตรอีวาได้ถูกกำจัดจนสิ้น หลงเหลือไว้เพียงแค่กลุ่มพ่อค้าดงชุนกับเรดฮวารุเท่านั้น ยังไงก็ตามซันเหอกับคาเพเดี่ยมก็ประสบความสูญเสียอย่างหนักเช่นกัน


ที่คาเพเดี่ยมรอดพ้นจากสถานการณ์ที่เลวร้ายถึงขีดสุดได้ก็เพราะการสนับสนุนอย่างทันเวลาของซันเหอ แต่ว่าสองตำนาแห่งพาราไดซ์ ซอยูฮุยกับจางมัลดงได้บาดเจ็บสาหัสจนทำให้เกิดเป็นความโกรธแค้นของชาวโลกจำนวนมาก…


‘อะไรนะ?’


ซอลจีฮูไม่ได้สนใจประเด็นสุดท้ายที่เขียนเอาไว้ว่า ‘ทุกๆคนกำลังเฝ้ารอการตัดสินใจของราชินีอีวา ชาล็อต อาเรีย’ เลยสักนิด


ซอยูฮุยกับจางมัลดงได้รับบาดเจ็บสาหัส?


หัวของเขาได้ขาวโพลนขึ้นมา


“โอ้? อะไรหรอ? มีเรื่องบ้าอะไรเกิดขึ้น?”


ฟีโซราก็คงจะหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านเช่นกันทำให้เธอพึมพำอย่างตกตะลึง ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น ทุกๆคนก็ตกใจเช่นเดียวกัน


จากนั้นซอลจีฮูก็วิ่งออกไป


ตอนแรกเขาวางผ่านที่จะไปรายงานภารกิจที่วังก่อน แต่ความคิดนั้นก็ได้หายไปในทันทีทำให้เขารีบวิ่งไปที่สำนักงานคาเพเดี่ยมเต็มกำลัง


เขาได้วิ่งผ่านประตูใหญ่ และตรงเข้าไปที่ทางเข้า ก่อนจะได้ยินเสียงร้องตามหลังมา


เป็นโชฮง


“อ่า เฮ้! นี่แก-“


โชฮงที่กำลังจะโกรธได้เงียบลงไปเมื่อเห็นซอลจีฮู


“โอ้ นายมาแล้ว…”


เธอได้เปลี่ยนท่าทีมาต้อนรับเขาก่อนที่จะชะงักไป เมื่อเห็นใบหน้าของเขา เธอก็ได้แต่ค่อยๆพูดออกมา


“นะ นายมาถึงเมื่อไหร่ล่ะ?”


“เมื่อกี้นี้เอง อาจารย์จางกับพี่สาวยูฮุยอยู่ไหน?”


ซอลจีฮูมีคำถามมากมายที่อยากจะถาม แต่ว่าเขาได้เลือกสิ่งสำคัญที่สุดก่อน


“โอ้ ตาแก่กำลังแช่น้ำพุร้อน… พี่สาวยูฮุย ฉันคิดว่าเธอคงกำลังพักอยู่ที่ห้องล่ะมั้ง”


ดวงตาซอลจีฮูได้หรี่ลง จากผู้บาดเจ็บทั้งสองคน คนหนึ่งกำลังแช่น้ำพุร้อน แล้วอีกคนก็กำลังพักอยู่ที่ห้องงั้นหรอ?


“พวกเขากลับมาหลังจากทำการรักษาฉุกเฉินที่ห้องแล้วงั้นหรอ?”


“อ่า เรื่องนั้น…”


โชฮงได้หลบตาของซอลจีฮู เธอดูจะรู้สึกผิดบางอย่างอยู่


“ฉันเพิ่งจะได้ยินหลังจากนายออกไปแล้ว… แล้วก็ตาแก่ก็เห็นด้วยอย่างไม่เต็มใจเหมือนกัน…”


เธอได้พึมพำในสิ่งที่ซอลจีฮูไม่เข้าใจออกมา เขารีบวิ่งขึ้นบันไดโดยไม่รอฟังคำตอบจากเธออีก เขาอยากจะเช็คสภาพทั้งสองคนด้วยสายตาของตัวเอง


ประตูได้ถูกเปิดขึ้น และซอยูฮุยกำลังพักอยู่ที่ห้องอย่างที่โชฮงบอกเอาไว้ พูดให้ชัดคือเธอกำลังนอนเล่นกับไข่สีแดงอยู่บนเตียง


‘เจ้านี่มาทำอะไรที่นี่?’


ซอลจีฮูคิดไม่ออกเลยว่าไข่มาทำอะไรที่นี่ แต่ว่าเขาได้เก็บคำถามนี้เอาไว้ก่อน ยังไงมันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น


สิ่งสำคัญคือสภาพร่างกายของซอยูฮุย


แต่ว่าจากรอยยิ้ม และการจั๊กจี้ไข่ของเธอแล้ว เธอดูจะไม่ได้บาดเจ็บอะไรเลยสักนิด


ซอลจีฮูได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะเคาะประตู


ซอยูฮุยได้รีบหันหน้ามามอง


“จีฮู?”


“…พี่สาว”


“มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”


“เมื่อตะกี้ครับ”


ซอลจีฮูได้พูดออกมาพร้อมกับเดินเข้าไปในห้อง


“พี่สาวไม่เป็นอะไรนะ”


“ใช่ ฉันสบายดี ไม่มีปัญหาอะไรเลยสักนิด อ่า เว้นก็แต่ปัญหาที่กำลังเป็นอยู่ล่ะก็นะ”


“พี่สาวไม่ได้เป็นอะไรจริงๆใช่ไหมครับ?”


เมื่อซอลจีฮูได้ถามย้ำอีกครั้ง ซอยูฮุยก็ยิ้มแห้งๆออกมา


“นายเห็นหนังสือพิมพ์แล้วสิน?”


ซอลจีฮูมั่นใจแล้ว เรื่องที่สาธารณะชนรู้เป็นเรื่องโกหก


คำพูดสามารถจะปรับแต่งได้ง่ายเพื่อปลูกฝังความคิดที่ต่างออกไปให้กับผู้คน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็มีใครบางคนได้ชักใยสร้างเรื่องหลอกหลวงนี้ออกมา


และในคาเพเดี่ยมแล้วมีแค่คนเดียวเท่านั้นที่คิดอะไรแบบนี้


ก่อนที่ซอลจีฮูจะเอ่ยชื่อนั้น เขาก็ได้ถามออกมา


“เกิดอะไรขึ้นครับ?”


“อื้อ… เราแกล้งทำเป็นเจ็บ คุณฮันนาห์ได้บอกว่ามันจะง่ายต่อการชักจูงความเห็นของสาธารณะ”


ซอยูฮุยได้พูดออกมาด้วยความขวยเขินเล็กน้อย


‘อย่างที่คิดเลย’


หลังจากความสงสัยของเขาคลี่คลายไปแล้ว ซอลจีฮูที่รู้สึกอึดอัดก็ได้รีบถามออกมา


“ช่วยอธิบายให้ผมฟังได้ไหมครับ?”


***


จากเหตุการณ์ครั้งล่าสุดได้ทำให้คิมฮันนาห์ต้องวิ่งทำงานไปทั่ว แม้กระทั่งในวันนี้เธอก็ต้องออกไปจากสำนักงานตั้งแต่เช้า และยังไม่ได้กลับมาเลย


ซอลจีฮูได้นั่งอยู่ในห้องทำงานหลังจากที่ได้ยินคำอธิบายของซอยูฮุยแล้ว เขาได้นั่งสูบบุหรี่อยู่บนโต๊ะไปเรื่อย ๆ หากไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะรู้สึกไม่สบายใจ


แม้ว่าเขาจะพยายามแสดงว่าเขาปกติดี แต่ภายในของเขามันได้ร้อนระอุขึ้นมาเหมือนกับเตาหลอม


ควันสีขาวได้ไหลออกมาจากจมูกและปากของเขาเหมือนกับไอน้ำที่ไหลออกมาจากหม้อน้ำ จนกระทั่งเมื่อบุหรี่ใกล้ที่จะหมดมวน เสียงรองเท้าส้นสูงก็ดังออกมาจากโถงทางเดิน


ไม่นานนักเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงประตูกำลังถูกเปิด


“กลับมาแล้วหรอ? เยี่ยมมาก แล้วภารกิจเป็นไปด้วยดีไหม?”


แม้ไม่มองเขาก็บอกได้เลยว่าเป็นใคร


ซอลจีฮูได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย


“…นั่งสิ”


“อะไรล่ะ ทำไม? ทำไมนายถึงต้องทำเป็นเคร่งขรึมขนาดนั้น?”


ซอลจีฮูได้ส่ายหัวเบาๆ คิมฮันนาห์คงจะรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร ยิ่งการได้มาเห็นเธอทำแบบนี้ยิ่งทำให้เขาโกรธ


ซอลจีฮูได้สูดหายใจลึก


“เธอไม่มีอะไรจะบอกฉันหน่อยหรอ?”


“ช่วงนี้ฉันกำลังยุ่งอยู่หน่อย…”


“เธอไม่มีเวลาจะมาคุยกันแม้แต่นิดเดียวเลยหรอ?”


“…ก็ได้ ฉันจะอยู่คุยกับนายเอง”


“นั่งสิ”


แม้กระทั่งซอลจีฮูก็ยังตกใจกับน้ำเสียงเย็นชาของตัวเอง คิมฮันนาห์ได้มองซอลจีฮูด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไป จากนั้นเธอก็ได้เดินเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้เงียบๆ


ซอลจีฮูได้ยินถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นจนมาถึงตอนนี้ไปแล้ว


หลังจากเงียบอยู่สักพัก เขาก็ถามออกมา


“นี่คือเหตุผลที่ทำให้เธอยืมจี้ของฉันงั้นหรอ?”


“ใช่แล้ว เผื่อไว้ว่าจะมีคนเข้ามาโจมตี… การมีจี้ได้ช่วยเราเอาไว้”


ซอลจีฮูได้หัวเราะเยาะเย้ยออกมา


“ไม่หรอก เธอได้ยืมจี้ไปก็เพื่อพลิกสถานการณ์หากว่าพันธมิตรอีวาบุก และกลืนกินพวกเขาแทน”


“นายพูดถูกแล้ว ในเมื่อโฟลนอยู่ด้วย ฉันก็ไม่คิดว่าเราจะแพ้”


คิมฮันนาห์ได้ยอมรับออกมาง่ายๆ


“แต่ว่าฉันก็ไม่ได้คิดจะพึ่งจี้มากขนาดนั้นหรอก ความแข็งแกร่งของโฟลนก็เรื่องหนึ่ง แต่ข้อได้เปรียบสำคัญของเราก็คือตัวตนของเธอยังไม่ได้ถูกเปิดเผยในพาราไดซ์ ฉันจะต้องวางแผนโดยใช้ข้อได้เปรียบนี้ และนี่คือที่มาของแผนนี้”


สิ่งที่เธอพูดไม่ได้ผิดเลย


“แต่ว่าอย่างที่ฉันเคยพูดไป ความสำเร็จและล้มเหลวของแผนมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับนาย พวกเขาได้กระตุ้นกลุ่มพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง แต่พวกเขาก็ยังอยู่นิ่งเฉย จนกระทั่งในตอนสุดท้ายที่นายออกไปจากเมืองเพื่อล่อพวกเขาออกมา”


ซอลจีฮูเข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไร


“ยังไงก็ตามทุกๆอย่างเป็นไปด้วยดี ด้วยการเข้าโจมตีก่อนของพันธมิตรอีวา พวกเราก็มีสิทธิที่จะตอบโต้กลับไป พวกเรายังได้ซ่อนตัวตนของโฟลน และด้วยหลักฐานที่ชัดเจนจึงทำให้สาธารณะชนสนับสนุนพวกเราด้วยเช่นกัน กลุ่มพันธมิตรอีวาจบสิ้นแล้วล่ะ”


ถูกต้อง ผลลัพธ์ของแผนนี้สำเร็จจนไม่อาจจะปฏิเสธได้เลย ยังไงแล้วห้าในเจ็ดองค์กรที่เหลืออยู่ของพันธมิตรอีวาได้ล่มสลายไป


….แต่นั่นก็แค่เฉพาะในแง่ของผลลัพธ์เท่านั้น


สิ่งที่ซอลจีฮูรู้สึกไม่พอใจมันไม่ใช่เรื่องนั้น


“เธอก็รู้นี่ว่าฉันไม่ได้กำลังจะพูดถึงเรื่องนั้น”


“…”


“ตั้งแต่เมื่อไหร่-“


ซอลจีฮูได้หยุดชะงักไปกลางคันเมื่อรู้สึกว่าน้ำเสียงของเขามีความดุดันเกินจำเป็น ยังไงก็ตามเสียงของเขาได้ดังออกมาไปแล้ว


“ตาลุงปาร์ดงชุนได้ให้ข้อมูลกับเขา เขาบอกว่าพันธมิตรของราชวงศ์จะเผยความลับบางอย่างออกมา”


คิมฮันนาห์ได้เผยความจริง


“และหลังจากนั้นสั้นๆฉันก็ได้รับข้อความจากซอกกูนีร์ที่บอกว่าจองซูที่เป็นตัวแทนของอีวาเกลีนได้เสนอความคิดในการให้คาเพเดี่ยมรับภารกิจคุ้มกันสมาชิกสหพันธรัฐ เขาได้ชะลอการตัดสินใจนี้เอาไว้ และต้องการข้อมูลจากเราเพิ่มเติมในเรื่องนี้ ฉันคิดว่านี่เป็นโอกาสเหมาะ เพราะงั้น-“


“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันได้ยินเรื่องนี้”


ซอลจีฮูได้ขัดเธอเอาไว้ และคิมฮันนาห์ก็ได้เงียบไป เมื่อเห็นว่าเธอกำลังจ้องเขาอยู่ ซอลจีฮูก็พูดต่อ


“เธอไม่ได้พูดอะไรกับฉันเลยหรอ? หรืออย่างน้อยเธอก็แค่ติดต่อไปหาฉันหลังจากแผนสำเร็จไปได้ด้วยดีก็ได้นะ เธอรู้ไหมว่าฉันตกใจมากแค่ไหนในตอนที่กลับมาน่ะ?”


คิมฮันนาห์ได้เกาหัวด้วยสีหน้าลำบากใจออกมา


“อ่า… นายล่ะ?”


“อะไรนะ? ฉันอะไร?”


“มันก็จริงนะที่ฉันไม่ได้บอกอะไรนาย… แต่ว่านี่มันผิดด้วยหรอ? ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย แล้วดูในแง่ผลลัพธ์มันยอดเยี่ยมไปเลยนะ”


ซอลจีฮูรู้สึกสงสัยในสิ่ที่ได้ยิน ในที่สุดเขาก็หันสายตาไปจ้องคิมฮันนาห์ คิมฮันนาห์ที่ถูกสายตาไม่พอใจของเขาจ้องได้ผงะไปโดยไม่รู้ตัว


เธออยากจะแกล้งทำเป็นสบายดี แต่ว่าร่างกายของเธอกลับหดตัวไปเอง ลำคอของเธอแห้งผาก ละเธอต้องเลียริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว


ใบหน้านี้ ท่าทีแบบนี้ ซอลจีฮูในตอนนี้เป็นด้านที่คิมฮันนาห์ได้เห็นเป็นครั้งแรก


ใครกันจะไปคิดว่าจะมีใบหน้าอันน่ากลัวซ่อนอยู่ภายใต้เสียงหัวเราะอันไร้เดียงสากัน


‘เข้าใจแล้ว’


ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้วว่าศัตรูของซอลจีฮูรู้สึกอย่างไร เธอได้ฝืนยกมือและหยักไหล่ออกมา


“หยาบคาย! ฉันคิดว่านายจะชมฉันซะอีกนะ ฉันยอมรับเลยว่าฉันตกใจกับความโกรธของนายอยู่หน่อยแล้ว”


เธอพูดเหมือนกับไม่ผิดและไม่แยแส ซอลจีฮูแทบจะตะคอกและปลดปล่อยความโกรธออกมา แต่ว่า-


“…”


เขาได้ห้ามตัวเองเอาไว้ในวินาทีสุดท้าย


เมื่อได้ใช้นพเนตรตรวจสอบเธอ เขาก็ยืนยันได้ว่าเธอยังคงเปล่งประกายสีทองอยู่


มันจะต้องมีเหตุผลที่บัญญัติทองคำปรากฏออกมาในสถานการณ์แบบนี้ มันจะต้องมีเหตุผลที่คิมฮันนาห์ทำกับเขาแบบนี้


ซอลจีฮูได้คำรามออกมา


“ทำไมเธอถึงทำแบบนี้?”


น้ำเสียงแผ่วเบาได้ดังออกมา มันเหมือนกับว่าเขากำลังห้ามตัวเองไว้แม้ว่าจะมีอะไรมากมายให้พูด


เนื่องจากคิมฮันนาห์เป็นคนที่จับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของฝ่ายตรงข้ามได้เป็นอย่างดี มันจึงไม่มีทางที่เธอจะไม่รู้เรื่องนี้


บางทีนี่อาจะเป็นโอกาสสุดท้าย


หลังจากที่มาถึงอีวาแล้ว คิมฮันนาห์ก็ได้เรียนรู้บางอย่าง นั่นคือซอลจีฮูจะไม่ลังเลเลยที่จะชักหอกชี้ไปที่คนที่เขาคิดว่าเป็นศัตรู


หากไม่คำนึงถึงเจตนาแล้วคิมฮันนาห์ได้หลอกซอลจีฮู


บางทีการจะพูดว่า ‘หลอก’ มันก็เกินไปหน่อย แต่ว่าคิมฮันนาห์ได้ดำเนินแผนการโดยที่ไม่บอกซอลจีฮูคือเรื่องจริง


โชคดีที่ความเชื่อใจที่พวกเขาสร้างกันมานานดูเหมือนจะบอกซอลจีฮูว่ามันมีเหตุผลที่ดีสำหรับการกระทำของเธอ


“…นายรู้อะไรไหม”


จากนั้นเธอก็ตัดสินใจพูดออกมาตรงๆ เธอได้ปรับท่าทางเป็นนั่งตัวตรง และอธิบายออกมา


“นายคงจะรู้สึกตกใจและสับสน นายอาจจะโกรธแล้วก็ผิดหวังด้วย”


“แต่ว่านะซอลจีฮู”


“…”


“สิ่งที่นายกำลังรู้สึกอยู่ก็คือสิ่งที่ฉันรู้สึกในตอนแรกที่เรามาถึงอีวา”


เมื่อซอลจีฮูได้ยินแบบนี้ เขาก็รู้สึกเหมือนกับถูกฟาดเข้าที่หัวอย่างจัง


สีหน้าของเขาได้กลายเป็นสับสน และปากเขาก็อ้าค้างเล็กน้อย


“ฉันไม่ได้บอกว่าฉันเป็นฝ่ายถูกหรอกนะ ยังไงแล้วฉันก็เป็นคนที่พานายไปทัวร์รอบเมืองเอง”


คิมฮันนาห์ได้เลิกกอดอก และลดสายตาต่ำลง


“แต่ว่าฉันก็ไม่ได้ขออะไรยากๆสักหน่อยนี้”


เธอได้ค่อยๆพูดออกมา


“จัดการประชุม ค่อยๆอธิบายถึงสถานการร์ ฟังความเห็นจากทุกๆคน และปรึกษาว่าใครมีความคิดที่ดีกว่านี้ไหม… อย่างน้อยที่สุดเราก็สามารถจะติดต่อเพื่อแจ้งแผนของเราให้กับซันเหอได้”


“…”


“นายจะคิดยังไงล่ะหากว่าอยู่ ๆ ก็ถูกลากไปสู้ด้วยคำพูดที่มีแค่คำว่าเชื่อฉันเถอะน่ะ?”


ซอลจีฮูยังคงอยู่เงียบๆ


“แล้วก็ไม่หมดเท่านั้นนะ นายได้ตอบรับภารกิจจากราชวงศ์ในทันที นายไม่เคยคิดที่จะหันกลับมามอง และปรึกษาพวกเราก่อนเลยสักนิด”


ในที่สุดซอลจีฮูก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคิมฮันนาห์ถึงทำทั้งหมดนี้


[เราต้องจัดการประชุมไหม? บอกฉันมาได้เลย]


และเขาก็รู้แล้วว่าทำไมคิมฮันนาห์ถึงจ้องกลับมาที่เขาในโรงอาหาร


“ฉันจะพูดตรงๆเลยนะ หากว่าฉันบอกว่าเราควรจะไปสกีเฮราซาร์ดและโจมตีซินยองเดี๋ยวนี้โดยไร้ซึ่งคำอธิบาย นายจะทำยังไงล่ะ? ก็อย่างที่นายรู้ว่าฉันไม่พอใจกับซินยอง และพวกเขาก็ไม่ใช่องค์กรที่ดีเช่นเดียวกัน”


ซอลจีฮูได้กัดฟันแน่น


“แน่นอนว่านายก็ต้องปฏิเสธ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ขอคำอธิบาย ฉันคงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำตามคำสั่งของนาย นั่นก็เพราะในท้ายที่สุดแล้วฉันก็เป็นสมาชิกของทีมนี้ แต่สำหรับนายมันไม่ใช่”


ฉันทำได้ แต่เธอทำไม่ได้


ซอลจีฮูเกลียดคำพูดทำนองนี้มาที่สุด แต่ว่าในตอนนี้มันกลับเป็นสิ่งที่เขาทำ


“หากว่านายกดดัน พวกเราก็หมดทางเลือกนอกจากต้องทำตาม ตราบใดที่เราเป็นส่วนหนึ่งของทีม เราก็จะไม่มีทางเลือก ทำไมล่ะ? นั่นก็เพราะมันชัดแล้วว่าพวกเราจะถูกมองข้ามไปในทันทีที่ปฏิเสธ จากนั้นเราก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องออกจากองค์กรไป”


แน่นอนว่าซอลจีฮูไม่เคยคิดจะทำแบบนั้น แต่ว่าที่เขาบังคับให้สมาชิกคาเพเดี่ยมตามเขาไปทำตามเป้าหมายของเขาให้สำเร็จก็เป็นเรื่องจริง


“นี่คือความหมายของคำว่าหัวหน้า นายมีอำนาจ และยืนอยู่ในจุดที่จะใช้อำนาจนั้น นี่คือที่นาย ทุกๆคน ไม่ควรจะทำแบบนั้น”


เขาเป็นผู้พิชิต แต่ในความจริงแล้วเขาคือเผด็จการ


อย่างน้อยที่สุดก็ในสถานการณ์ก่อนหน้านี้ ซอลจีฮูได้ทำตัวเป็นเหมือนเผด็จการ


“แน่นอนว่าจองโชฮงกับริชาร์ด ฮิวโก้อาจจะไม่ได้คิดแบบนี้ อาจารย์จางก็เหมือนกัน พวกเขาได้เฝ้าดูนายอยู่ข้างๆมานาน เพราะงั้นพวกเขาคงจะมีความเชื่อใจในตัวนายมาก”


แต่ว่านั่นไม่ใช่สำหรับคิมฮันนาห์หรือคนอื่นๆ


“ไม่ว่าจะยังไงฉันก็อยากจะให้นายได้รู้สักครั้งว่าในคืนนั้นทุกๆคนคิดยังไงกัน”


คิมฮันนาห์ได้ถอนหายใจออกมา


“และแบบนั้นฉันก็ยอมรับว่าฉันทำเกินหน้าที ฉันจะไม่บอกว่าฉันทำเพื่อนายหรอกนะ ฉันทำมันลงไปโดยที่เตรียมรับการลงโทษเอาไว้แล้ว”


ซอลจีฮูถึงกลับหลุดปล่อยลมหายใจที่กลั้นเอาไว้ออกมา จากนั้นขาก็มองขึ้นไปบนเพดาน


มุมมองของเขามันพร่ามัว และเขาก็รู้สึกเหมือนกับเห็นใบหน้าของเอียนสั่นไหวอยู่บนเพดาน


[ฉันได้เห็นศักยภาพของนายด้วยสายตาตัวเองแล้ว แต่ว่าฉันยังจำเป็นต้องถามนายอีกครั้งหนึ่ง”


[ในแง่นักวางกลยุทธ์แล้ว นายกำลังเอาชีวิตคนนับร้อยนับพันไปเสี่ยงหากเป็นความขัดแย้งขนาดเล็ก และหากเป็นความขัดแย้งขนาดใหญ่ก็จะเป็นนับแสนนับล้าน นายจะเสนอแผนโดยรับรู้ถึงผลกระทบที่ตามมาดีแล้วใช่ไหม?]


และสิ่งที่จางมัลดงพูดก็ยังเข้ามาในหัวของเขา


[จีฮู การเป็นสมาชิกองค์กรหมายถึงการใช้ชีวิตร่วมกัน มันเป็นชุมชนที่สมาชิกมีความสนใจและมุมมองที่เหมือนกัน]


[มันมีข้อจำกัดในการชี้ขาดและรับมือกับปัญหาอยู่ นายจะต้องปล่อยให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องจัดการกับสถานการณ์เอง แน่นอนว่านายจะต้องไม่ให้อิสระพวกเขามากเกินไป หรือไม่เช่นกันชุมชนก็จะปั่นป่วน ฉันเคยเห็นมาหลายองค์กรแล้วที่ล่มสลายไปเพราะอะไรแบบนี้]


[นี่คือเหตุผลที่นายต้องมีกฎข้อบังคับ นำเอาหลักการและกฎพื้นฐานมาตัดสินทุกๆอย่างอย่างยุติธรรม คุณคิมฮันนาห์ได้รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี]


คำแนะนำที่เขาเคยได้ยินในอดีตได้หวนกลับมาตอกย้ำเขา ยิ่งไปกว่านั้น


[ฉันจะจัดการเอง ฉันอยากจะทำมันด้วยพลังของฉัน]


[อย่างน้อยที่สุดฉันก็บอกนายไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรอ?]


ซอลจีฮูยังจำได้ว่าทำไมเขาถึงโกรธโชฮงมากในระหว่างเหตุการณ์ปฏิบัติการศูนย์วิจัยเดลฟิเนี่ยน


เขาไม่อาจจะซ่อนความอับอายได้ แน่นอนว่าสถานการณ์มันอาจจะต่างกัน แต่ก็อย่างที่คิมฮันนาห์พูด การแค่บอกให้เพื่อนร่วมทีมเชื่อใจมันไม่ใช่คำพูดที่น่าเชื่อถือเลยสักนิด


ใช่แล้ว เขายุ่ง แต่ว่าเขาไม่ได้มีเวลาติดต่อไปหาซันเหอเลยสักครั้งจริงๆน่ะหรอ?


ไม่เลย มันไม่ใช่เลยสักนิด


มันไม่ใช่ว่าเขาติดต่อไปหาซันเหอไม่ได้ แต่เขาไม่ทำต่างหาก


ไม่ว่าจะทำอะไรเราก็ควรที่จะรักษาหลักการและกฎพื้นฐานเอาไว้


ก่อนที่ซอลจีฮูจะรู้ตัวความโกรธและความผิดหวังของเขาก็หายไปจนหมดแล้ว สภาพจิตใจที่หลงมัวเมาของเขาได้กระจ่างชัดขึ้น และสมองเขาก็ดูเหมือนจะเฉียบคมขึ้นมา


ในตอนนี้เขาได้เริ่มมองรอบตัวแล้ว


นี่ฉันใช้อารมณ์มากเกินไปงั้นหรอ? ฉันถล้ำลึกเกินไปหรอ? ฉันรีบไปหรือเปล่านะ?


พอมาคิดดูแล้วเขาก็ติดอยู่ในความรู้สึกแปลกๆเหมือนเดจาวู


“…”


เขาคิดว่าเขาได้แก้ปัญหานี้ไปแล้วหลังจากที่ประสบการณ์สูญเสียครั้งใหญ่ในเขตพื้นที่เป็นกลาง


‘นี่ฉัน…’


แต่ก็อยากที่เขาพูดกันว่ามนุษย์มักจะทำความผิดพลาดเดิมซ้ำๆ เขาทำพลาดซ้ำเดิมแค่เพราะเขาเติบโตขึ้นมานิดหน่อยเท่านั้นเอง


‘ใจร้อนเกินไป…?’


ซอลจีฮูได้หลับตาลง


บทที่ 262 – มุ่งหน้า (2)


“…ฉันมีคำถาม”


หลังจากเงียบอยู่นานซอลจีฮูก็ถามออกมาทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่


“เธอตัดสินใจเรื่องนี้ตอนไหน?”


“ในตอนที่นายยอมรับภารกิจของราชวงศ์ด้วยตัวเอง และสั่งให้ทุกๆคนเก็บของ”


คิมฮันนาห์ได้ตอบกลับมาเบาๆ คำว่า ‘สั่ง’ ได้กระตุ้นมโนธรรมของซอลจีฮูจนเขาต้องกัดริมฝีปาก


“หากว่าฉันยังไม่ได้ตัดสินใจ และขอความเห็นจากทุกคน…”


คิมฮันนาห์ได้เม้มปาก


“ก็อยากที่ฉันพูดไป นายไม่ใช่สมาชิกธรรมดา แต่เป็นหัวหน้า นายมีสิทธิ์ขาดไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ภายในองค์กร นั่นมันหมายถึงตัวแทนขององค์กร”


หรือก็คือการข้ามเรื่องเล็กๆน้อยไปยอมรับภารกิจของราชวงศ์ก็ไม่ใช่สิ่งที่แย่


“มันก็แค่ว่า…”


ปัญหาก็คือวิธีการใช้อำนาจของเขา


“ฉันหวังว่าอย่างน้อยนายจะรักษาขั้นตอนการจัดประชุมเอาไว้”


แต่ซอลจีฮูก็ไม่ได้ทำมัน เขาได้สั่งให้พรรคพวกทำการเก็บของฝ่ายเดียวหลังจากที่รับภารกิจจากราชวงศ์


ตามปกติแล้วนี่มันไม่ควรจะมีปัญหาเลย แต่เมื่อคำนึงถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของคาเพเดี่ยม เขาก็ควรที่จะปรึกษากันก่อน


“การประชุมเป็นการรวมคนเข้ามาเพื่อถกเรื่องต่างๆกัน ต่อให้นายจะรับภารกิจจากราชวงศ์และตัดสินใจจะไปแล้ว แต่ว่าฉันก็ยังมีสิทธิ์ที่จะแสดงความเห็นของตัวเองต่อหน้าทุกๆคน”


แม้ว่าเธอจะอธิบายอ่อมๆ แต่เธอก็กำลังบอกว่าหากเขาจัดการประชุม เธอก็จะอธิบายแผนให้กับซอลจีฮูฟัง


ซอลจีฮูถอนหายใจออกมา เขารู้แล้วว่าคิมฮันนาห์ไม่ได้จะทำแบบนี้แค่เพราะสิ่งที่เขาทำในคืนแรกที่มาถึง มันเพราะว่าเธอได้ยอมถอยที่โรงอาหาร ความไม่พอใจของเธอคงจะระเบิดออกมาในท้ายที่สุด


จริงๆแล้วซอลจีฮูก็ยังไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปในวันแรกเลย


กู่ลาได้อนุมัติเขา ไข่ก็ยังสนับสนุน และตัวเขาเองก็คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องทำ


ความคิดของเขายังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป


และนั่นแหละคือปัญหา


มันไม่ใช่ว่าชาวโลกทุกๆคนจะเป็นแบบซอลจีฮู ทุกๆคนต่างก็มีความปรารถนาและความต้องการของตัวเอง เขาไม่ควรที่จะไปบังคับความเชื่อของคนอื่นแค่เพราะการกระทำอันชอบธรรมของเขา


ซอลจีฮูคิดว่า ‘อย่างน้อยเธอก็ควรจะบอกเรื่องแผนกับฉัน’ แต่สำหรับตัวซอลจีฮูเองก็เป็นเหมือนกัน


[…มันคงจะดีไม่น้อยหากว่านายติดต่อบอกให้ฉันรู้ก่อนผ่านคริสตัลสื่อสาร แบบนั้นฉันจะได้เตรียมตัวรับมือกับวันต่อมา หรืออาจจะช่วยนายได้ด้วยซ้ำไป ทั้งในฐานะของเพื่อนและพันธมิตร]


เขาน่าจะไตร่ตรองคำพูดของฮ่าวอวิ่นให้มากกว่านี้ จริงๆแล้วเขาควรที่จะคิดถึงพรรคพวกที่เชื่อใจเขามากขนาดนั้นก่อน


เขาไม่จำเป็นต้องโน้มน้ามคนอื่นๆเลย อย่างน้อยเขาก็แค่ต้องอธิบายสิ่งที่เขาวางแวนจะทำก็พอแล้ว


มันเป็นอย่างที่คิมฮันนาห์พูดเลย


ในตอนที่ทุกๆคนตามเขามาในคืนนั้น ทุกๆคนคิดอะไรกันอยู่นะ? หากสลับบทบาทกัน เขาจะรู้สึกยังไงนะหากเจอแบบเดียวกัน?


ความคิดมากมายได้เข้ามาภายในหัวของเขา


และไม่นานนัก…


“…ใช่แล้ว”


ท่ามกลางความเงียบอันเย็นยะเยือก…


“ฉันคิดว่าฉันทำพลาดไป”


ซอลจีฮูได้ลืมตาขึ้นมา


***


หลังจากการกลับมาของสมาชิกคาเพเดี่ยมที่ได้ไปทำภารกิจของราชวงศ์ก็ได้มีการประชุมถูกจัดขึ้น


มันไม่ได้มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ หรือมีเรื่องด่วนอะไรที่จำเป็นต้องปรึกษากัน ยังไงก็ตามสิ่งต่างๆก็ยังไม่ได้ถูกแก้ไขไปจนหมด เพราะงั้นมันยังเร็วเกินไปที่จะฉลอง


เพราะคิมฮันนาห์ได้ชี้ถึงการกระทำที่ไม่เหมาะสมของซอลจีฮูมันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่ผิด


นอกไปจากนี้ซอลจีฮูกับคิมฮันนาห์มีจุดยืนที่ต่างกัน


แม้ว่าพวกเขาจะทำแบบเดียวกัน แต่อย่างน้อยซอลจีฮูก็มีสิทธิ์ในฐานะของหัวหน้า พูดให้ชัดคือสมาชิกธรรมดาอย่างคิมฮันนาห์ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับตัวแทนองค์กร


ต่อให้พวกเขาจะผิดทั้งคู่ แต่ความเป็นจริงของพาราไดซ์ก็คือเธอจะถูกลงโทษหนักกว่าซอลจีฮู


ผลก็คือบรรยากาศภายในห้องประชุมได้เย็นชาและหนักหน่วง


สมาชิกทีมทั่วไปต่างก็มีสีหน้าซีด โดยเฉพาะโชฮงที่จ้องคิมฮันนาห์ตรงๆ ส่วนทางกล้ามเนื้อบนใบหน้าของฮิวโก้ก็กระตุกอยู่เช่นเดียวกัน


จางมัลดงก็แสดงทีท่าไม่สบายใจ แม้ว่าเขาจะเห็นด้วยกับแผนของคิมฮันนาห์ แต่นั่นก็เพราะคิมฮันนาห์บอกว่าเธอได้รับอำนาจในการทำหน้าที่ตัวแทนหัวหน้าต่างหาก มันไม่ใช่เพราะว่าเขาเห็นด้วยกับการกระทำของเธอ จริงๆแล้วเขายังแสดงความไม่พอใจด้วยการออกจากการประชุมลับกลางคันอีกด้วย


แต่ถึงแบบนี้ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา


มีเหตุผลอยู่สามประกาย คาเพเดี่ยมได้รับประโยชน์อย่างมากเพราะแผนของคิมฮันนาห์ ทุกๆคนรู้ว่าเธอไม่ได้ทำไปด้วยเจตนาร้าย และพวกเขายังจำสิ่งที่เธอได้ประกาศเอาไว้ในระหว่างปาร์ตี้ตอนรับถึงการทำหน้าที่เป็นตัวแทนหัวหน้าในยามฉุกเฉิน


ความจริงแล้วเพียงแค่เรื่องนี้ก็สามารถจะปกป้องในสิ่งที่คิมฮันนาห์ทำลงไปได้แล้ว


ขณะที่ทุกๆคนกำลังคิดอยู่กับตัวเอง ซอลจีฮูก็ค่อยๆพูดขึ้น


“หลังจากมาถึงอีวา…”


เมื่อเขาเริ่มพูด สายตานับสิบคู่ก็หันมามองเขา


“พวกเราผ่านเรื่องต่างๆมากมายมาในเวลาสั้นๆสินะ”


บางคนได้หัวเราะออกมา ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าสิ่งต่างๆจะกลายมาเป็นแบบนี้ในทันทีที่มาถึงอีวา


“หากว่ามองในแง่ผลลัพธ์มันยอดเยี่ยมมาก พันธมิตรอีวาได้ถูกทำลาย และความเสียหายของคาเพเดี่ยมก็แทบเป็นศูนย์”


ซอลจีฮูได้พูดออกมาอย่างสงบ


“ฉันก็อยากจะพูดว่าทำได้ดีมาก แต่ว่ามันก็ยังไม่จบ นอกไปจากนี้…”


เขาลงเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ


“ก่อนที่เราจะก้าวไปต่อ มีเรื่องหนึ่งที่เราต้องคุยกัน”


โชฮงได้ขมวดคิ้วขึ้นมา เมื่อมองซอลจีฮูแล้ว เธอก็รีบสายหัวออกมาเป็นสัญญาณว่าเขาไม่ต้องพูดอีกแล้ว


มันไม่ใช่ว่าซอลจีฮูมองไม่เห็นสัญญาณนี้ แต่ว่าในโลกใบนี้มันไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะสมบูรณ์แบบ จะมีก็แต่คนที่พยายามทำตัวเองให้สมบูรณ์แบบเท่านั้น


แต่เพื่อจะทำแบบนั้นคนเราจะต้องยอมรับในข้อบกพร่องของตัวเองก่อน หลังจากนั้นเขาถึงจะสามารถก้าวไปต่อได้


แม้ว่าจะเผชิญกับข้อบกพร่องตรงๆก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะแก้ไขได้ และดังนั้นการปกปิดหรือลบเลี่ยงจึงไม่มีทางแก้ได้อย่างแน่นอน


ซอลจีฮูที่รู้แบบนี้จึงพูดออกมาโดยไม่ลังเลอีกต่อไป


“สำหรับทุกๆคนที่นี่แล้ว การทำสงครามกับกลุ่มพันธมิตรอีวามันค่อนข้าง ไม่สิ มันกระทันหันเกินไป”


มาเรียกับฟีโซราได้พยักหน้าออกมา


“ฉันอยากจะขอบคุณทุกคนจริงๆที่ยอมตามฉันมาแม้กระทั่งในตอนฉันหัวรั้น และฉันก็ขอโทษด้วยเหมือนกัน”


ซอลจีฮูได้ยิ้มบางๆออกมา


“นับจากนี้ไปฉันจะติดให้มากขึ้น และฟังความเห็นของทุกๆคน”


เขาพูดเหมือนกับว่าภาระใหญ่ได้ถูกยกออกไปแล้ว หลังจากได้จัดการกับความผิดพลาดของตัวเอง เขาก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น


“นี่แหละคือสิ่งที่ฉันอยากจะบอกทุกๆคน”


ซอลจีฮูได้พูดจบเพียงเท่านี้


เมื่อต้องขอโทษในความผิดพลาด คนเราก็ไม่ควรที่จะถือตัวมากเกินไป แต่ก็ไม่ควรจะลดตัวเองให้ต่ำลงเกินจำเป็นเช่นเดียวกัน


ซอลจีฮูได้ขอบคุณทุกๆคนที่ให้การสนับสนุนเขาในเหตุการณ์เมื่อเร็วๆนี้ และบอกว่าเขาข้ามขั้นตอนตามที่ควรจะเป็นไป เขาได้ยอมรับความผิดพลาดของตัวเองออกมา


จางมัลดงได้ค่อยๆหยับตาลง


ในเวลาเดียวกันโชฮงได้กัดฟันจ้องคิมฮันนาห์ สำหรับเธอแล้วมันดูเหมือนซอลจีฮูจะต้องอับอายก็เพราะคิมฮันนาห์ เมื่อเธอที่กลั้นอารมณ์โมโหไม่ไหวและกำลังจะพูดอะไรออกมา-


“ยังไม่หมดนะ”


น้ำเสียงนิ่งสงบได้ดังออกมาในห้องประชุม น่าแปลกที่มาแชล จิโอเนียเป็นคนพูดออกมา เขาได้ยกมือขึ้นเชิงขออนุญาติ ก่อนที่ซอลจีฮูจะพยักหน้า


“คืนแรกมันน่าตกใจอย่างที่คุณบอกนั่นแหละครับ ผมรู้สึกสับสนอยู่เหมือนกัน แต่แน่นอนว่าเมื่อได้เห็นโรงประมูลผมก็เข้าใจ”


มาแชล จิโอเนียไดด้ลดมือลงและพูดต่อ


“เมื่อผมได้เข้าร่วมทีมนี้ ผมได้คุยเรื่องต่างๆมากมายกับหัวหน้า ท่ามกลางเรื่องเหล่านี้ก็มีเรื่องทิศทางที่เขาอยากจะให้คาเพเดี่ยมเป็นไป”


ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา สิ่งที่มาแชล จิโอเนียพูดก็ไม่ได้ผิด แต่ซอลจีฮูไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงเอาเรื่องนี้มาพูด


“สุดท้ายทั้งหัวหน้าและผมต่างก็มีเป้าหมายที่ต่างกัน แต่ว่าก็น่าบังเอิญที่เราต้องผ่านกระบวนการเดียวกัน นี่คือเหตุผลที่ทำให้ผมตัดสินใจเข้าทีมนี้ นี่ยังเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขด้วยเช่นกัน”


มาแชล จิโอเนียได้กระแอ่มออกมา


“เพราะงั้นผมจึงเข้าใจในการกระทำของหัวหน้า และสนับสนุนพวกเขา”


ในตอนนี้เองซอลจีฮูถึงได้รู้ว่ามาแชล จิโอเนียไม่ได้กำลังพูดกับเขาอยู่


“หัวหน้า คุรบอกว่าคุณมีเรื่องที่ต้องคุยกันก่อนจะไปก้าวต่อไปสินะครับ”


นั่นก็เพราะเขากำลังหันไปมองคิมฮันนาห์อย่างเย็นชา


“ผมต้องขออภัยด้วย แต่ผมเชื่อว่ามีอีกสองอย่างที่เราต้องคุยกัน แน่นอนว่าอาจจะมีหนึ่งในสองเรื่องที่ตรงกับเรื่องที่คุณอยากจะพูด แต่ว่าผมรู้สึกว่าผมจำเป็นต้องพูดก่อน”


ดวงตาสีเทาของเขาที่ดูคล้ายกับหมาป่าได้จ้องไปที่คิมฮันนาห์เหมือนเธอเป็นเหยื่อ


“ก่อนหน้านั้นผมมีหนึ่งสิ่งที่อยากจะถาม คุณคิมฮันนาห์มีอำนาจในการเป็นตัวแทนหัวหน้า แต่ว่านั่นไม่ใช่แค่เฉพาะตอนฉุกเฉินเท่านั้นหรอครับ?”


ในที่สุดก็มาแล้ว


สายตาที่รวมอยู่ตรงซอลจีฮูได้เปลี่ยนไปที่คิมฮันนาห์ คนส่วนใหญ่ต่างก็ส่งสายตาวิจารณ์เธอ แต่คิมฮันนาห์ก็ไม่ได้หลบสายตา


กลับกันเธอได้ยอมรับมันอย่างเต็มใจ


“ใช่ นั่นถูกแล้ว”


ในทันทีที่คิมฮันนาห์ยอมรับออกมา มาแชล จิโอเนียก็ได้ใช้โอกาสนี้บุกต่อ


“ผมคิดว่าสถานการณ์ที่มีทั้งการคาดเอาไว้และเตรียมพร้อมมันไม่น่าจะใช่สถานการณ์ฉุกเฉินนะครับ”


น้ำเสียงของเขากระทั่งมีความเป็นปรปักษ์อยู่เล็กน้อย


“ยกตัวอย่างเช่นคุณวิญญาณ จากที่ผมได้ยินมา คุณคิมฮันนาห์ได้คาดเดาถึงการโจมตี และยืมจี้เอาไว้ ต่อให้จะไม่มีหลักฐานชิ้นนี้ พวกเราก็ยังมั่นใจว่าเธอรู้เรื่องนี้จากข้อตกลงที่เธอทำกับซันเหอเอาไว้อีกด้วย


ปากของคิมฮันนาห์ได้กระตุกเล็กน้อย การโจมตีนี้มันรุนแรงกว่าที่เธอคิดเอาไว้


แต่ว่าเธอก็ได้เตรียมรับมือในกรณีที่แย่ที่สุดไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นในองค์กรหรือทีมมันต่างก็มีลำกับชั้นอยู่


แม้ว่าโครงสร้างลำดับชั้นของคาเพเดี่ยมจะดูอิสระและหละหลวม แต่มันจะเป็นคนละเรื่องเมื่อมีซอลจีฮูเข้ามาเกี่ยวข้อง


ไม่ว่าจะเป็นองค์กรไหนๆ ผู้นำที่ไร้ความสามารถจะถูกวิจารณ์ และผู้นำที่น่าเชื่อถือก็จะได้รับความเชื่อใจ ยิ่งสำหรับคาเพเดี่ยมที่เป็นทีมที่มีความใกล้ชิดกันก็ยิ่งแล้วใหย่


สิ่งนี้เห็นได้ชัดจากที่ไม่มีใครส่งเสียงบ่นอะไกับการที่ซอลจีฮูข้ามขั้นตอนที่ควรจะเป็นหลังจากมาที่อีวา


“คุณคิมฮันนาห์ได้คาดเดาและเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์นี้อย่างชัดเจน แบบนี้ยังจะมีใครเรียกว่าเป็นเหตุฉุกเฉินได้อีกหรอครับ?”


มาแชล จิโอเนียก็ยังเป็นตัวอย่างดีด้วยเช่นกัน เหตุผลที่เขาเมินเฉยต่อข้อเสนอจำนวนนับไม่ถ้วนจากหลายๆทีมและหลายๆองค์กร กลับมาเข้าร่วมคาเพเดี่ยมเพื่อชดใช้หนี้ชีวิตของเขา และเหตุผลที่เขาเลือกติดตามซอลจีฮูต่อเพราะเขาเชื่อว่าสักวันซอลจีฮูจะเป็นคนที่ช่วยทำความปรารถนาของเขาให้สำเร็จ


ยิ่งหลังจากสงครามความเชื่อของเขาก็มีแต่เพิ่มมากขึ้น


“อย่างน้อยที่สุดผมก็คิดแบบนั้นไม่ได้”


สำหรับมาแชล จิโอเนียที่เป็นหนี้บุญคุณและคาดหวังกับซอลจีฮูเอาไว้สูงแล้ว สิ่งที่คิมฮันนาห์ชี้ให้เห็นเป็นแค่ข้อผิดพลาด ‘เล็กน้อย’ เท่านั้นเอง


ที่สุดแล้วมันก็เป็นเรื่องของมุมมอง


คนประเภทเดียวกันก็จะดึงดูดกัน


แม้ว่าจะมีบางคนเข้าใจในเจตนาของคิมฮันนาห์ แต่ก็มีคนที่ไม่พอใจ และมองว่าการกระทำของเธอเป็นการก้าวก่ายหน้นาที่เช่นกัน


มาแชล จิโอเนียเป็นอย่างหลังกอย่างชัดเจน


ในฐานะคนที่ภักดีและยึดมั่นแล้ว มันไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้คนอื่นข้ามหัวคนที่เขานับถือไป ต่อให้คนที่เขานับถือจะผิดแบบสุดๆก็ตาม


หากไม่คำนึงถึงเจตนาแล้ว สิ่งที่คิมฮันนาห์ได้ทำลงไปนั้นผิด และมองได้ชัดเจนว่าเธอกำลังปั่นหัวซอลจีฮู


“สรุปอีกครั้งก็คือคาเพเดี่ยมได้เตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้อย่างเต็มกำลัง มันไม่อาจจะตีความว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินได้”


นอกไปจากนี้นักธนูเหล็กกล้าก็ได้มุ่งเป้าไปที่คิมฮันนาห์


“และผมมีความคิดส่วนตัวว่าเธอได้ใช้อำนาจในทางที่ผิด”


คิมฮันนาห์ได้ยิ้มแห้งๆออกมา เธอคิดไว้แล้วว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้นับตั้งแต่ที่เปิดเผยแผนให้จางมัลดงกับฮ่าวอวิ่นรู้


ซอลจีฮูคือหัวหน้าที่มีความสามารถ ในเมื่อคิมฮันนาห์บ่อนทำลายบุคคลที่เป็นศูนย์รวมใจของทีม ในตอนนี้เธอก็ต้องชดใช้


“…ใช่แล้ว”


เธอสามารถจะคัดค้านได้หากว่าเธอต้องการ คำพูดที่ว่า ‘ในกรณีฉุกเฉิน’ สามารถจะตีความได้กว้างมาก และเธอก็สามารถจะพูดได้ว่าเธอยืมจี้มาแค่ ‘เผื่อ’ เอาไว้สำหรับสถานการณ์แบบนี้ก็ได้


“ฉันเห็นด้วย”


ยังไงก็ตามคิมฮันนาห์ได้เลือกยอมรับตรงๆ แม้ว่าเธอจะขยับตัวหลบปัญหาได้หากต้องการ แต่เธอรู้ดีว่าการทำแบบนั้นจะทำให้คนกว่าครึ่งภายในห้องนี้กลายเป็นศัตรูกับเธอ


นี่มันชัดเจนมาก ในฐานะสมาชิกใหม่ของทีม สายสัมพันธ์ของเธอกับคนอื่นๆจึงยังไม่ได้แน่นแฟ้นนัก เว้นแต่ว่าเธอจะมีแรงดึงดูดที่เหนือกว่าจางมัลดง หากไม่แล้วเธอก็ไม่อาจจะหลบเลี่ยงการปั่นหัวของซอลจีฮูได้ ต่อให้มันจะเป็นปรารถนาดีก็ตาม


หากว่าเธอคัดค้านตรงนี้ คงอื่นๆก็จะเริ่มมองเธอเป็นศัตรู และคนส่วนใหญ่ภายในห้องนี้ก็คือสมาชิกผู้ก่อตั้งองค์กร การเป็นศัตรูกับพวกเขามีแต่จะทำให้เธอต้องลำบากมากขึ้นเท่านั้น


ในฐานะที่เธอมีความทะเยอทะยานต้องการทำให้คาเพเดี่ยมเป็นองค์กรที่ยอดเยี่ยมที่สุดในพาราไดซ์ การลงโทษจึงจับเป็นต้องรักาาเอาไว้ซึ่งตำแหน่ง และการสนับสนุนในอนาคตของเธอ


นี่เป็นเหตุผลที่เธอขอรับการลงโทษด้วยตัวเอง


“ฉันต้องขอโทษจริงๆที่เรื่องนี้สร้างปัญหาให้กับทุกคน”


คิมฮันนาห์ได้โค้งคำนับอย่างสุภาพ จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้น และพูดต่อ


“ในเรื่องนี้ฉันได้คุยกับหัวหน้าก่อนมาประชุมแล้ว และเขาก็ไดด้ตัดสินที่จะเอาอำนาจส่วนหนึ่งของฉันกลับคืนไปเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องนี้ซ้ำขึ้นอีก”


“ส่วนหนึ่งสินะ…”


ทุกๆคนได้หันกลับไปมองที่หัวโต๊ะอีกครั้ง


ซอลจีฮูได้ถอนหายใจออกมา พูดตามตรงเขาไม่ได้อยากจะลงโทษคิมฮันนาห์เลยจริงๆ เพราะรู้ว่าเธอเปล่งประกายสีทอง เขาจึงไม่ได้สงสัยในความตั้งใจของเธอเลย


ซอลจีฮูไม่ใช่ยอดมนุษย์ ถึงแม้ว่าเขาจะกลายมาเป็นตัวแทนองค์กรแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายๆเรื่องที่เขาไม่รู้


การประคบประหงมเหมือนที่ซอยูฮุยทำบ่อยๆนั่นมันไม่ถูก หากไม่มีคำพูดรุนแรง และแก้ไขในข้อผิดพลาด เด็กก็จะไม่มีวันโตมาโดยรู้ว่าอะไรถูกอะไรควร


มันจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีที่ปรึกษาคอยหยุดเอาไว้ในตอนที่จำเป็น


ยังไงก็ตามคิมฮันนาห์ได้ปฏิเสธเรื่องนี้อย่างหนัก


เธอได้ข้ามเส้นมาแล้ว หากว่าซอลจีฮูบอกว่า ‘ฉันทำผิด และคุณคิมฮันนาห์ก็ทำแบบนี้ด้วยความปรารถนาดี เพราะงั้นให้อภัยเธอเถอะนะ’ นี่มันจะเป็นตัวอย่างที่เลวร้ายสำหรับองค์กรในอนาคต


เขาไม่อาจจะสร้างความไม่เท่าเทียมโดยการอภัยให้คนหนึ่ง และไม่อภัยให้อีกคนได้ ตัวแทนองค์กรจะต้องมีความเที่ยงธรรม


“ใช่แล้ว”


ในท้ายที่สุดซอลจีฮูก็สูดหายใจลึกก่อนพูดออกมา


“ฉันจะเอาอำนาจในฐานะตัวแทนหัวหน้าในสถานการณ์ฉุกเฉินคืนมาจากคิมฮันนาห์ จนกว่าจะมีการแจ้งให้ทราบครั้งใหม่ หน้าที่ของเธอก็จะเป็นการบริหารเป็นหลัก”


เขาได้เผยเนื้อหาของการลงโทษออกมาตรงๆ


ดวงตาของมาแชล จิโอเนียได้เป็นประกายขึ้น ตัดสินจากคำพูดนี้เธอได้ถูกดึงลงมาจากตำแหน่งราชินีให้เป็นฝ่ายบริหารแล้ว แม้ว่าเธอยังสามารถให้คำแนะนำหัวหน้าได้โดยตรง แต่เธอก็ไม่อาจจะทำอะไรที่ขัดกับความต้องการกับหัวหน้าได้อีก


“ครับ ผมเข้าใจแล้ว”


ด้วยการตัดสินใจนี้เหตุการณ์แบบคร่าวก่อนก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นอีก และมาแชล จิโอเนียก็พอใจแล้วเช่นกัน


แน่นอนก็ยังมีสมาชิกหัวร้อนที่ยังคงไม่พอใจจนกว่าเธอจะถูกให้ออกจากทีม หรือถูกบังคับให้ต้องคุกเข่าขอโทษ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ดูจะพอใจกับการตัดสินใจนี้


ไม่ว่าจะยังไงพวกเขาก็รู้ว่าแผนของเธอได้กำจัดพันธมิตรอีวาออกไปได้จนหมด และคิมฮันนาห์ก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์เกินกว่าที่จะไล่ออกไปได้


“นี่เป็นการลงโทษที่เหมาะสมแล้ว”


จางมัลดงที่นั่งอยู่เงียบๆมาตลอดได้พูดขึ้น เขาได้หยุดพักหายใจครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ


“ฉันเห็นด้วยกับการลงโทษนี้นะในเมื่อมันจะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันขึ้นอีก อ่า พวกเราก็ควรจะติดต่อไปหาซันเหอด้วยเช่นกัน”


เขาได้พูดออกมาราวกับเขาเพิ่งจะคิดได้ แต่ทั้งซอลจีฮูกับคิมฮันนาห์ต่างก็รู้ว่าจางมัลดงตั้งใจเปลี่ยนเรื่อง ในตอนนี้สิ่งสำคัญคือการยุติสถานการณ์เพราะมันมีแต่จะทำให้ทุกๆคนต้องเหนื่อยล้า


“แน่นอน”


ซอลจีฮูได้รับความช่วยเหลือจากจางมัลดงในทันที


“ผมคิดว่าจะติดต่อไปหาพวกเขาในทันทีที่การประชุมจบลง”


ในเหตุการณ์ล่าสุดซันเหอได้ช่วยเหลือพวกเขาเป็นอย่างมาก แม้ว่าแผนดังกล่างจะประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่ง แต่มันก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่ได้มีการสูญเสียเลย ในเมื่อพวกเขาทำหน้าที่เป็นโล่ให้คาเพเดี่ยม คาเพเดี่ยมก็ควรที่จะขอบคุณพวกเขา


“อืมม”


เมื่อบรรยากาศอันหนักหน่วงได้คลายลงเล็กน้อย จางมัลดงก็พยักหน้าและมองกลับไป


“เอาล่ะ ถ้างั้นตอนนี้… หืม?”


ขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่างจู่ๆตาเขาก็เบิกกว้างขึ้นมา เขาได้กระพริบตาถี่ๆ ขมวดคิ้ว และเริ่มมองไปด้านข้าง


“นะ นั่นมันอะไรกัน?”


เมื่อจางมัลดงพึมพำอย่างตกตะลึง ทุกๆคนก็หันไปมองตามทันที ต่อมาในสายตาของแต่ละคนต่าก็เต็มไปด้วยความสงสัย


“…ไข่? มันใช่เจ้าไข่เมื่อตอนนั้นหรือเปล่า?”


ฟีโซราได้พูดออกมาอย่างตกตะลึง ซอลจีฮูก็ยังเบิกตากว้างขึ้นมา


‘เจ้าตัวเล็กมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?’


เขาได้เห็นไข่สีแดงอีกครั้งหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่ามันจะเป็นแค่ไข่ แต่ตัวมันก็นั่งหรือนอนอยู่บนโต๊ะตรงหน้าของทุกคน


ที่ยิ่งน่าตกใจไปอีกก็คือมันได้ขยับไปมาเหมือนกับกำลังลอยอยู่กลางอากาศ และพยักหน้าเห็นด้วย


แต่เมื่อรู้สึกถึงสายตาของทุกๆคนจู่ๆมันก็หยุดลง และหันมองซ้ายขวา


ฟีโซราได้อ้าปากค้างออกมา


“มันขยับหรอ? มันขยับเองใช่ไหม?”


ความวุ่นวายเล็กๆได้เกิดขึ้น แต่ว่าไข่ก็นอนลงไปบนโต๊ะราวกับไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับมันเลย มันได้กลิ้งผ่านตรงกลางโต๊ะไปหยุดอยู่ตรงหน้าซอลจีฮู


จากนั้นมันก็ปรับท่าทางยืดตัวขึ้นมา


“อ่า ฉันก็อยากจะถามมานานแล้ว”


ซอยูฮุยได้ถามออกมาด้วยสีหน้าสงสัย


“มันคืออะไรหรอ?”


“อ่า มันคือ…”


ซอลจีฮูได้แสดงสีหน้าลำบากใจเมื่อเขามองไปที่ไข่ที่จ้องกลับมาที่เขา เขาได้ตอบออกมา


“ไข่ไง”


ผั๊วะ!


ไข่ได้กระโดดโหม่งท้องซอลจีฮูทันที แม้ว่ามันจะไม่ได้เจ็บอะไร แต่ซอลจีฮูก็แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา


“อะไรล่ะ? ก็นายเป็นไข่นี่”


ผั๊วะ! หัวโหม่งอีกครั้ง


“..นายเป็นไข่…”


ซอลจีฮูได้ลูบท้องและพึมพำออกมา ซอยูฮุยก็ได้เอียงหัวของเธอ


“ฉันคิดว่ามันกำลังประท้วงว่ามันไม่ใช่ไข่นะ นายไม่รู้ชื่อของมันหรอ?”


ซอลจีฮูได้คิดกับตัวเอง เขาจำขึ้นได้ว่าเขาเคยอ่านเรื่องตำนานภูติมา แต่เขาก็จำไม่ได้ว่ามีอะไรที่มันสำคัญ


เมื่อเห็นไข่เด้งตัวไปมาด้วยความโกรธ เขาก็ค่อยๆพูดขึ้น


“ลูกเด้ง?”


ไข่ได้ผงะไป ซอยูฮุยได้ปิดปากของเธอ


“โอ้? เป็นชื่อที่น่ารักจัง”


“ผมเพิ่งคิดขึ้นมาเอง อาจจะไม่ใช่ชื่อจริงๆ…”


ซอลจีฮูได้ชะงักไปเมื่อเขาเห็นสีของไข่กลายเป็นสีแดงเข้ม มันถึงขนาดเริ่มกระตุกจนเห็นได้ชัด


ซอยูฮุยได้กระพริบตาออกมา


“…ฉันคิดว่ามันไม่ชอบชื่อนั้นนะ”


[ใช่แล้ว มันตัวสั่นเหมือนกับเด็กหนุ่มชนชั้นสูงถูกทำให้ต้องอายเลย]


โฟลนก็ยังเสริมขึ้นมา


จากนั้น แกร๊ก จู่ๆไข่ก็เริ่มร้าว


แกร๊กกกกกก! หลังจากรอยร้าวแรกก็ได้กระจายออกไปเหมือนกับใยแมงมุม ก่อนที่รอยร้าวจะกระจายไปทั่วผิวของไข่ก่อนที่จะมีใครได้ทันสังเกต


ทุกๆคนรวมถึงซอลจีฮูต่างก็อ้าปากค้าง บางคนก็ถึงขนาดลุกขึ้นมาจากที่นั่ง มันไม่ใครรู้เลยว่าจะต้องทำยังไงกับสถานการณ์แบบนี้


เทพธิดาลูซูเรียได้บอกเอาไว้ว่าไข่จะทำการทดสอบคู่หูสามด่าน


ด่านแรกจะเป็นการอนุมัติห้ใช้หอก สองคือตัดสินใจว่ามนุษย์ควรค่าให้เป็นคู่หูตลอดช่วงชีวิต และสามคือคู่หูมีคุณสมบัติที่จะใช้พลังลับของหอกพิสูจน์หรือเปล่า


เห็นได้ชัดว่าส่วนใหญ่แล้วหัวหน้าตระกูลรอชเชอร์ แทบจะผ่านไม่ได้แม้แต่ด่านแรก


‘ทำไมล่ะ?’


ยังไงก็ตามจู่ๆซอลจีฮูก็ได้ผ่านด่านที่สอง การฝักของไข่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงเรื่องนี้


ขณะที่ซอลจีฮูกำลังคิดกับตัวเองส่วนที่แตกของไข่ก็ไดด้ตกลงมา และไม่นานนักก็บางอย่างโผล่ออกมาจากรูนั้น


บทที่ 263 – มุ่งหน้า (3)


“แกว๊กกกกกกก!”


บางอย่างได้ส่งเสียงร้องลั่น และกระโดดออกมาจากไข่ที่แตกในพริบตาเดียว ความเร็วของมันเร็วจนเทียบได้กับกระสุข และต้องทำให้ทุกๆคนต้องรีบมองตาม


‘อ่า’


เป้าหมายของมันอยู่ที่หัวโต๊ะ


ซอลจีฮูได้รีบบิดตัวหลบด้วยความตกใจจนทำให้มันพุ่งผ่านเขาไปอย่างเฉียดฉิว ใบหน้าของซอลจีฮูได้มองไปรอบๆอย่างสับสน


‘เร็ว…!’


เขามองไม่ทันแม้กระทั่งเงาของมันด้วยซ้ำไป หากว่าเขาไม่ได้ใช้สัญชาตญาณหลบมัน เขาก็คงถูกกระแทกเขาล้ว ยังไงก็ตามความประหลาดใจยังไม่ได้จบแค่นั้น


สิ่งที่พถ้งผ่านเขาไปได้เด้งกลับมาในทันทีที่กระแทกเข้ากับกำแพง จากนั้นมันก็ตีลังกาหลายตลบก่อนที่จะกลับมาหยุดลงบนโต๊ะอย่างนิ่มนวล


ซอลจีฮูได้มองลงไปบนโต๊ะด้วยความสับสน


บางอย่างที่มีขนาดอ้วนเตี้ยกำลังจ้องกลับมาที่เขา


‘…โมจิ?’


ทันทีที่เขาเห็นมันนี่คือความคิดแรกที่เข้ามาในหัว นั่นก็เพราะทั้งร่างกายของมันได้เต็มไปด้วยขนปุยที่ดูอ่อนนุ่มมาก หากว่าเขาโยนมันเข้าไปเคี้ยวในปากก็คงจะมีรสชาติเหมือนโมจิแน่ๆ


‘ไม่สิ ไม่’


ซอลจีฮูรีบสะบัดหัวออกมาก่อนที่จะค่อยๆหันกลับไปมองอีกครั้ง


ก่อนอื่นเลยมันมีขนาดที่เล็กมาก จะพูดว่ามันมีขนาดเท่ากำปั้นเด็กเลยก็ได้


มันมีสองขา มีขนปุกปุยสีเหลืองปกคลุมทั้งร่าง และมีแทบสีแดงเฉพาะบริเวณรอบท้องเท่านั้น


ที่ด้านข้างลำตัวมีปีกเล็กๆ และบนใบหน้ากลมมีดวงตาสีทับทิมคู่หนึ่งเปล่งประกายอย่างงดงาม


และที่ปากก็มีจงอยปากเล็กๆอยู่ หากจะพูดถึงจุดเด่นที่ชัดเจนที่สุดก็คงจะเป็นเส้นขนสีเขียวอ่อนที่งอกอยู่กลางหน้าผากของมันเพียงเส้นเดียว


แทนที่จะพูดว่าเป็นโมจิ ตอนนี้พอดูดีๆแล้วมันเหมือนกับลูกเจี๊ยบที่พึ่งจะฟักซะมากกว่า


ทันใดนั้นมันก็อ้าจงอยปากเล็กๆ และ…


“แกว๊กกก!”


มันได้ร้องออกมา


“..ลูกเจี๊ยบนี่… มันอะไรวะเนี้ย?”


“แกว๊ก แกว๊ก!”


ลูกเจียบได้สะบัดหน้าหันไปหาโชฮงที่พูดคำนี้ออกมา มันกำลังแสดงความไม่พอใจ


ซอลจีฮูได้พูดออกมาด้วยสีหน้าพูดไม่ออก


“ไม่สิ เดี๋ยวก่อน ทำไมนายถึงโจมตีล่ะ?”


“แกว๊ก แกว๊ก แกว๊ก แกว๊ก!”


เสียงร้องของมันยิ่งดังขึ้นกว่าเดิม


“แกว๊ก แกว๊ก แกว๊ก แกว๊กแกว๊ก แกว๊ก แกว๊ก แกว๊ก!”


มันได้ส่งเสียงร้องด้วยความไม่พอใจและตีปีกเล็กๆของมันไม่หยุด เขาก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่มันดูจะไม่พอใจเอามากๆ


“โอ้! น่ารักจัง!”


ซอยูฮุยได้ทำสีหน้าฝันหวานพร้อมยกมือขึ้นมาจับแก้ม


“ว้าว…”


ฮิวโก้ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา เขาได้มองมาที่ลูกเจี๊ยบตัวน้อย และเลียริมฝีปากออกมา


มันได้ฟักออกมาในเวลาที่คาดไม่ถึงจริงๆ


ลูกเจี๊ยบยังคงเอาแต่จ้องซอลจีฮู ในขณะที่คนที่เหลือต่างก็มองโดยไม่พูดอะไร แทบจะเหมือนกับว่ามันเสียใจและผิดหวังมากๆจนทำให้มันใช้สายตาเล็กๆจ้องซอลจีฮู และส่งเสียงร้องออกมา


“เอ่อ… คุณพี่”


ยี่ซอลอาที่กำลังยืนอยู่ข้างๆด้วยสีหน้าตกตะลึงได้ค่อยๆเรียกซอลจีฮู


“คุณพี่เคยเอาไข่มากลิ้งเล่นหรือทำอะไรแบบการเล่นโบว์ลิ่งหรือเปล่าคะ?”


ใบหน้าของซอลจีฮูได้แข็งทื่อไปในทันที มันเป็นความลับที่มีแค่โฟลนเท่านั้นที่รู้ แล้วนี่ยี่ซอลอารู้ได้ยังไงกัน?


“หรือคุณพี่ได้ต้มไข่โดยบอกว่าอยากจะกินไข่ต้ม”


“…”


“หรือคุณพี่เล่นโยนเล่นแล้วก็… เล่นมายากล? ว้าว! คุณพี่ถึงขนาดเอาไข่มาเล่นมายากล?”


ความลับที่มีเพียงแต่ซอลจีฮูเท่านั้นที่รู้ได้ถูกเผยออกมา


“ธะ เธอรู้ได้ยังไงกัน?”


“ไม่ค่ะ มันไม่ใช่แบบนั้น…”


ยีซอลจีฮูได้เว้นช่วงและเอียงหัวออกมา เธอได้มองไปที่ลูกเจี๊ยบตัวน้อยด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ


“เกิดอะไรขึ้นหรอ?”


จางมัลดงที่ตั้งสติได้แล้วรีบถามขึ้นทันที


“อ่า จริงๆก็คือ…”


ซอลจีฮูได้ตั้งสติกลับมาและอธิบายออกไปทุกๆอย่างตั้งแต่ปฏิบัติการณ์เจดีย์แห่งความฝันจนไปถึงสิ่งที่เขาได้ยินจากเทพธิดาลูซูเรีย เขาต้องใช้เวลาอยู่สักพักกว่าจะได้อธิบายว่าเขาได้ไข่มายังไง และบอกพวกเขาถึงตัวตนของมัน


“งั้นนี่ก็คือภูติผู้พิทักษ์ที่เทพธิดาแห่งความบริสุทธิ์ หนึ่งในเจ็ดคุณธรรมได้มอบให้กับตระกูลรอชเชอร์งั้นสินะ?”


“ใช่ครับ ถูกแล้ว ชื่อของมันก็คือ…”


[ภูติสีรุ้ง อาคัส]


“อ่า ใช่แล้ว อาคัส ภูติอาคัสนั่นแหละ”


โชคดีที่ซอลจีฮูนึกชื่อออกหลังจากที่โฟลนเตือนเขาอย่างพอเหมาะ เมื่อเขาพูดออกมาแบบนี้สีหน้าของลูกเจี๊ยบก็คลายลง สายตาเสียดแทงได้อ่อนลง และความไม่พอใจก็ค่อยๆเริ่มลดน้อยลง


จางมัลดงที่สังเกตดูลูกเจี๊ยบจากหลายๆมุมได้เอียงหัวออกมา


“แต่ว่าทำไมมันถึงได้มาฟักเอาตอนนี้ล่ะ?”


เรื่องนี้ซอลจีฮูก็ไม่รู้เช่นเดียวกัน ไข่จะสังเกตดูทุกๆการเคลื่อนไหวของคู่หูก่อนจะทำการตัดสินใจออกมา แม้ว่าเขาจะเคยขอร้องมันก็ไม่มีการตอบสนองกลับมาแม้แต่นิด แล้วทำไมมันถึงได้เลือกเวลามาฟักเอาตอนนี้ล่ะ? เขาไม่เห็นเข้าใจเลยสักนิด


“แล้วทำไมมันถึงได้โจมตีนายในทันทีที่โผล่ออกมาด้วย”


“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ”


ซอลจีฮูได้มองลงไปที่ลูกเจี๊ยบด้วยสีหน้าซับซ้อน


“บอกมาหน่อยสิ คราวนี้นายมีปากแล้วนี่”t


เมื่อเขาถามออกไปด้วยสีหน้าคาดหวัง จู่ๆลูกเจี๊ยบก็ทำสีหน้าเคร่งขึ้น และเปิดปากขึ้น


“แกว๊ก”


“…”


มันก็ยังคงร้องออกมาในเสียงที่ไม่อาจจะเข้าใจได้อยู่ดี ดูเหมือนมันจะเข้าใจที่เขาพูด และกำลังบอกอะไรบางอย่าง แต่ว่า…


ซอลจีฮูกำลังจะถอนหายใจจู่ๆก็ต้องกระพริบตาออกมา ยี่ซอลอาที่อยู่ข้างๆลูกเจี๊ยบกำลังพยักหน้าเหมือนกับเธอเข้าใจที่มันพูด


“อ่า เพราะแบบนี้…”


ยี่ซอลอาได้มองไปที่ซอลจีฮู สายตาของทั้งห้องได้จับจ้องไปที่เธอ เธอได้แสดงสีหน้าเข้มและเลียนเสียงลูกเจี๊ยบออกมา


“นายทำให้ฉันต้องอับอาย”


ฟีโซราได้ระเบิดหัวออกมาออกมา เธอตัวสั่นอย่างหนักก่อนที่จะรีบปรับสีหน้ากลับมา


“ไม่ เดี๋ยวก่อน! ไม่ใช่ว่ามันตลกหรอกนะ! มันแค่ไร้สาระเกินไปแล้ว!”


ซอลจีฮูได้ขมวดคิ้ว


“ซอลอา อย่ามาล้อเล่นสิ แค่นี้มันก็ซับซ้อนพอแล้วนะ”


“ไม่ค่ะ! ฉันไม่ได้ล้อเล่น!”


ยี่ซอลอาได้แย้งออกมา


“…ไม่ได้ล้อเล่น?”


“ใช่ค่ะ! คุณพี่ไม่ได้ยินหรอ?”


เขาไม่เข้าใจเลยว่าเธอกำลังพูดเรื่องอะไร แต่ดูจากการที่เธอเถียงออกมามันดูเหมือนกับว่าเธอจะไม่ได้โกหก จริงๆแล้วเขาก็มีข้อสงสัยอยู่


“คุณซอลอา ขอโทษนะ”


ในตอนนั้นเองซอยูฮุยก็ได้ขัดขึ้นมา เธอได้ถามเสียงต่ำด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงและสงสัยเป็นอย่างมาก


“เมื่อตะกี้นี้คุณกำลังแปลสิ่งที่ลูกเจี๊ยบน่ารักตัวนี้พูดหรอ?”


“ไม่ค่ะ ฉันไม่ได้กำลังแปล”


ยี่ซอลอาได้กลอกตาก่อนจะพูดต่อเบาๆ


“แน่นอนว่าฉันได้ยินเสียงร้องด้วยเหมือนกัน แต่มันเหมือนกับว่ามีความคิดถูกส่งเข้ามาในหัวของฉันในเวลาเดียวกันด้วย… อ่า ถูกแล้วล่ะ เหมือนกับที่พี่สาวผีส่งเสียงไง”


ซอยูฮุยเผลอสูดหายใจเข้าโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเธอก็หันไปมองซอลจีฮูในทันที


“จีฮู นายบอกว่าสิ่งมีชีวิตในตำนานนี้คือภูติอาคัสใช่ไหม?”


“หืม? ใช่ครับ”


ซอลจีฮูได้ตอบกลับมาโดยไม่หยุดคิด จากนั้นจู่ๆเธอก็ถามเขาหลังจากพึมพำกับตัวเอง


“นายแน่ใจนะว่าเป็นภูติ?”


“ผมมั่นใจ มันมีเขียนเอาไว้ในบันทึก แล้วโฟลนก็ยังยืนยันเรื่องนี้ด้วย”


สีหน้าของซอยูฮุยได้กลายเป็นจริงจังขึ้น เธอที่มีสีหน้ากังวลได้มองไปที่ยี่ซอลอาด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ


“ไม่มีทาง ต่อให้คนๆนั้นจะมีความเป็นอัจฉริยะในบางเส้นทาง แต่ว่าหากไม่ได้ตรงกันจริงๆ… หากไม่ได้มีความเชี่ยวชาญหลากหลายด้านมันก็แทบจะ…”


เธอได้พึมพำในสิ่งที่ไม่อาจจะเข้าใจกับตัวเอง


“คุณซอลอา? เรามาคุยกันหน่อยได้ไหม?”


จากนั้นเธอก็ลากยี่ซอลอาออกไปจากห้องประชุม เมื่อทั้งสองคนออกไปจากห้อง ซอลจีฮูก็ได้แต่เลียริมฝีปากที่แห้งผาก


ไม่ว่ายังไงไข่ก็ฟักออกมาแล้ว งั้นตอนนี้เขาควรจะทำยังไงล่ะ?


ซอลจีฮูได้คิดกับตัวเองอยู่สักพักก่อนจะค่อยๆยื่นมือออกไป ขนของลูกเจี๊ยบดูนุ่มฟูมากจริงๆจนเขาอยากที่จะลองสัมผัสมันตั้งแต่วินาทีที่เห็นแล้ว


ลูกเจี๊ยบได้เอียงหัวออกมาเมื่อถูกฝ่ามือแตะลงบนหัวของมัน


ซอลจีฮูที่กำลังลูบมันอยู่รู้สึกเหมือนเขากำลังสัมผัสกับสำลี ลูกเจี๊ยบได้หมุนคอและบิดร่างไปมาอย่างไม่อาจจะอยู่นิ่ง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธไม่ให้เขาสัมผัสเลย


“โอ้ว…”


“ปะ เป็นยังไงบ้าง?”


เมื่อซอลจีฮูส่งเสียงอุทานออกมา ฟีโซราที่จ้องมองอยู่ด้านข้างก็ถามออกอมา


“นิ่มมาก… เหมือนกับจับผ้าไหมอยู่เลย… แล้วก็อุ่นด้วย เหมือนกับกำลังจับถ่านอยู่เลย”


ฟีโซราได้ครางออกมาเบาๆเมื่อลองคิดตาม


“ฉะ ฉันก็อยากลองจะด้วย”


เธอได้รีบยื่นแขนออกไปเหมือนกับไม่มีแรงต้านต่อสิ่งที่น่ารักเลย แต่ว่าเมื่อเธอทำแบบนั้นลูกเจี๊ยบก็สะดุ้งและหันไปจ้องเธอ


“แกว๊กกกกก”


ปีกเล็กๆของมันไได้กางขึ้นและคำรามออกมา มันบอกไม่ให้เธอแตะมัน


“โอ้ ดูเจ้าหนูนี่สิ ทีตอนที่รักแตะมันยังอยู่นิ่งเลยนี่ แล้วทำไมถึงต้องเลือกปฏิบัติกับคนอื่นด้วย? น่าขำซะจริง”


ฟีโซราได้หยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพึมพำกับตัวเอง และในท้ายที่สุดก็ยื่นมือออกไปต่อ ท่าทีของเธอเหมือนกับว่า ‘ถึงจะไม่ให้ฉันแตะ แล้วนายจะทำอะไรฉันได้ล่ะ?’


“แกว๊กกก!”


ลูกเจี๊ยบได้ใข้จงอยปากของมันจิกฝ่ามือของเธออย่างรวดเร็ว


“โอ๊ย มันเจ็บนะ!”


ฟีโซราได้ตะโกนและถอยกลับไป


“ไอ้เจ้านี่?”


ใบหน้าของเธอได้กลายเป็นเย็นชา และเธอได้สะบัดมือออกมาอีกครั้ง แต่ว่าลูกเจี๊ยบก็หลบเธอได้อย่างง่ายดาย


“หืม? อ่า? เจ้านี่? เชี้ย!”


เกมตีตุ่นได้ถูกเริ่มขึ้น


ความเร็วในการเหวี่ยงแขนของฟีโซรานั้นเร็วมาก แต่ว่าความเร็วของลูกเจี๊ยบก็มีมากยิ่งกว่าเธอ


ฟุบ ฟุบ ฟุบ ฟุบ


มันได้แสดงจังหวะเท้าอันน่าทึ่งออกมาพร้อมกับเสียงหวดอากาศ และหลบฝ่ามือของเธอได้จนหมด


“อ่า เอาจริงดิ! ให้ฉันจับสักครั้งเถอะน่า!”


ฟีโซราที่เริ่มไม่พอใจได้ปลดปล่อยมานาออกมา


ทันทีที่เธอทำแบบนี้ ลูกเจี๊ยบได้รีบกระโดดลงไปใต้โต๊ะ มันได้ใช้ขาเล็กๆของมันวิ่งไปหลบอยู่หลังขาของซอลจีฮู ยิ่งได้เห็นมันยื่นหน้าออกมามองเธอยิ่งทำให้ฟีโซราต้องพูดไม่ออก


เมื่อเขารู้สึกว่ามันจะใช้จงอยปากจิกขาของเขา ซอลจีฮูก็คอยๆใช้สองมือยกลูกเจี๊ยบขึ้นมา


“แกว๊ก!”


ลูกเจี๊ยบได้กระโดดขึ้นไปอยู่บนหัวของซอลจีฮู มันได้พับขาสองข้างนั่งลงไปอย่างพอใจราวกับเป็นรังของมัน และหลังจากหาวกว้างออกมามันก็ก้มหัวลง


“…เป็นเจ้าตัวน้อยที่ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลเลยนะ!”


จางมัลดงได้ปล่อยเสียงหัวเราะออกมา


“เจ้านี่มันคิดว่าซอลเป็นพ่อของมันงั้นหรอ?”


โชฮงก็ยังแสดงความเห็นออกมา


ซอลจีฮูได้เงยหน้าขึ้นไปมองเท่าที่ทำได้ก่อนที่จะยอมแพ้ และเม้มริมฝีปากออกมา


การที่มางีบหลับในทันทีหลังจากที่ฝักไข่ออกมา… มันเกินกว่าความเข้าใจของเขาไปแล้ว หลังจากพึมพำอยู่กับตัวเอง ซอลจีฮูก็มองไปรอบๆ และพูดออกมา


“จะยังไงเรามาสรุปการประชุมวันนี้กันดีกว่านะ”


เพราะแบบนี้ลูกเจี๊ยบจึงยังคงนอนอยู่บนหัวของเขา


***


เมื่อการประชุมจบลง ซอลจีฮูก็ติดต่อไปหาฮ่าวอวิ่นโดยที่ลูกเจี๊ยบยังคงอยู่บนหัวของเขา เขาอยากจะแสดงความขอบคุณที่ฮ่าวอวิ่นให้ความร่วมมือกับคาเพเดี่ยม และขอโทษกับการกระทำที่เอาแต่ใจของเขาเมื่อคราวก่อน


-ไม่เป็นไรหรอก


ยังไงก็ตาม ฮ่าวอวิ่นดูจะไม่ได้คิดอะไร


-ฉันก็บอกไปก่อนแล้วนี่ นายไม่ต้องขอโทษหรอกนะ ฉันก็ไม่ได้ทำเรื่องที่ถูกเหมือนกัน เพราะงั้นแค่ติดต่อมาก็พอแล้ว


เขาได้หัวเราะออกมาอย่างพอใจ


-จะยังไงแบบนี้เราก็ได้ข้ามเส้นไปแล้ว เพราะงั้นจนกว่าจะจบลงอย่างได้ประมาทล่ะ


“แน่นอนสิ แล้วฉันก็ขอสัญญาว่าจะไม่มีครั้งที่สองอีก”


-ฉันดีใจนะที่นายคิดได้แบบนั้น วิธีของจิ้งจอกคงจะได้ผลดีเลยสินะ


“คราวนี้ฉันได้เรียนรู้อะไรมาตั้งเยอะ และยังมีอีกหลายสิ่งที่ฉันต้องเรียนรู้ต่ออีกด้วย”


ซอลจีฮูได้พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา ฮ่าวอวิ่นได้หรี่ตามองดูเขาจากอีกฟากของคริสตัล


-…นี่แหละที่เป็นนิสัยที่น่ากลัวของนาย


มันเป็นคำพูดที่คาดไม่ถึงเลย


-นายจะเป็นชายที่น่ากลัวหากพูดแบบนี้อย่างตั้งใจ แต่หากว่านายพูดมันอย่างจริงใจ ถ้างั้นนายก็จะยิ่งเป็นคนที่น่ากลัวยิ่งกว่า


“หืม?”


-คนเราจะเปลี่ยนแปลงไปเมื่อมีความสำเร็จมากมาย และมีตำแหน่งที่สูงขึ้น พวกเขาจะคิดว่า ‘ฉันทำได้ถึงขนาดนี้ ฉันประสบความสำเร็จตั้งมากมาย แล้วนายล่ะมีอะไรบ้าง?’ พวกเขาจะรู้สึกลำพองใจไปเองโดยไม่รู้ตัว


ฮ่าวอวิ่นได้กอดอกพูดต่อด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย


-มันไม่ง่ายหรอกนะที่จะแก้ไขเรื่องนั้น ไม่แม้กระทั่งตัวฉันด้วย


ซอลจีฮูได้แต่ยิ้มตอบกลับไป


-ยังไงไว้จบเรื่องนี้แล้วเรามาดื่มกันนะ ไม่ว่าจะเป็นที่โลกหรือพาราไดซ์ก็ได้


“ได้สิ”


-ถ้างั้นก็… โอ้ จริงสิ


ฮ่าวอวิ่นได้ถามบางอย่างออกมาก่อนจะวางสาย


-ฉันก็อยากจะถามนายมาสักพักแล้วนะ แต่ว่าทำไมนายถึงเอาโมจิไว้บนหัวล่ะ?


“มันไม่ใช่โมจิหรอกนะ”


ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น


“มันเป็นสิ่งมีชีวิตในตำนาน แค่ตอนนี้ดูเหมือนกับลูกเจี๊ยบเท่านั้นเอง”


ลูกเจี๊ยบได้จิกหัวเขาอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นเขาพูดแบบนี้ ซอลจีฮูได้รีบแก้คำพูดทันที


“คู่หูของฉันเอง”


-คู่หู… สัตว์เลี้ยงน่ะหรอ? อะไรแบบนั้นสินะ?


แกว๊กก! ลูกเจี๊ยบได้บินลงมาจิกคริสตัลอย่างรุนแรงจนทำให้ฮ่าวอวิ่นหัวเราะออกมา


-ดูสิ เจ้าอารมณ์ซะด้วย


“ไม่หรอก… ไว้คราวหน้าฉันจะแนะนำให้นายรู้จักนะ”


-ฉันจะคอยเลยล่ะ


สายได้ตัดไป


ซอลจีฮูได้ส่ายหัวอย่างอดไม่ได้ก่อนที่จะรู้สึกสงสัยสายตาตัวเอง


ลูกเจี๊ยบได้หายไปแล้ว


ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกแปลกๆอยู่บนหัว มันขึ้นมาอีกแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…


“เฮ้! นายจะ…”


ซอลจีฮูได้พยายามดึงมันออกมาจากหัว แต่ว่า…


“แกว๊ก!”


มันได้จิกฝ่ามือของเขาจนต้องทำให้เขาลดแขนลงมาในทันี มันดูเหมือนในกรณีนี้แม้แต่เขาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ลูกเจี๊ยบคงจะชอบหัวของเขามากเพราะมันไม่คิดจะลงมาเลยสักนิด


“เฮ้! ในตอนนี้นายฟักออกมาแล้วนะ”


ไม่มีเสียงตอบกลับ


“ไม่ใช่ว่าพอตื่นแล้วนายก็ควรจะทำอะไรสักอย่างหรอกหรอ? อย่างน้อยก็คุยกัน… หรือแค่แสดงความสามารถของนายออกมาก็ได้”


ยังคงไม่มีคำตอบกลับ


ยิ่งเมื่อเขาสงสัยกว่าเดิม และมองภาพสะท้อนจากคริสตัล เขาก็เห็นลูกเจี๊ยบดูเหมือนจะหลับไปแล้ว


‘เจ้านี่?’


เขารู้สึกอยากจะดึงมันออกมาจากหัวมากๆ แต่ว่า…


“…ฟู่ว”


เขาก็ถอนหายใจ และลุกขึ้นจากที่นั่ง


***


ในตอนเย็นซอลจีฮูได้ออกมาจากสำนักงานพร้อมกับคิมฮันนาห์ ก่อนหน้านี้เขาทั้งสองคนได้สัญญาว่าจะไปกินมื้อเย็นด้วยกัน


มีภัตตาคารอยู่ในสำนักงาน แต่เมื่อคิดว่าคิมฮันนาห์คงมีเหตุผลของตัวเอง ซอลจีฮูจึงออกมาพร้อมกับเธอโดยไม่พูดอะไร


หลังจากที่เข้าไปในร้านอาคารริมถนน และสั่งอาหารกับแอลกอฮอล์แล้ว คิมฮันนาห์ก็พูดขึ้น


“ฉันมีเรื่องอย่างจะคุยกับนาย ฉันไม่อยากจะให้นายเข้าใจผิดเพราะงั้นแค่ฟังซะ”


‘อีกแล้ว?’


เมื่อได้ยินเธอพูดออกมาเสียงต่ำ ซอลจีฮูก็เตรียมใจทันที เขาไม่ได้คิดว่าพวกเขาจะเริ่มคุยกันรนับตั้งแต่ที่ได้นั่งลง แต่ว่าเขาก็ยังพร้อมอยู่แล้ว


“ไม่เป็นไรหรอก แต่ว่าฉันรู้ว่าจากมุมมองของเธอ เธอรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม การลงโทษลงเธอ…”


“นั่นน่ะ”


ยังไงก็ตามจู่ๆคิมฮันนาห์ก็ชี้มาที่ซอลจีฮู ไม่สิ เธอชี้มาที่หัวของเขา


“เอาออกมาไม่ได้หรอ? ทุกๆคนมองอยู่นะ มันน่าอาย”


“…”


ใบหน้าของซอลจีฮูได้แข็งทื่อไปก่อนที่จะห่อไหลออกมา


“ฉันก็อยากจะทำเหมือนกัน”


“ทำไมล่ะ? มันไม่ยอมลงมาหรอ?”


“ไม่ว่าจะทำยังไงมันก็ไม่ยอมลงมาเลย”


ซอลจีฮูได้บ่นออกมา


“หากว่าฉันไปแตะมันสักคิด มันก็เหมือนกับจะคลั่งไปเลย มันคงคิดว่าหัวของฉันเป็นรังของมัน”


คิมฮันนาห์ได้หัวเราะออกมา เธอได้พยายามจะแตะมันด้วยสีหน้าหลงใหล แต่ลูกเจี๊ยบได้สังเกตเห็นเธอก่อน และแยกเขี้ยวออกมา


จากนั้นมันก็ใช้ปีกตีหัวของซอลจีฮูราวกับกำลังจะบอกว่า ‘ทำไมถึงเอาแต่ดูแล้วไม่ยอมปกป้องฉันในตอนที่มีคนจะแตะฉันโดยไม่ได้รับอนุญาต?’


“เป็นเด็กที่น่าสนใจ”


คิมฮันนาห์ได้แต่ลดมือลงมาพร้อมส่ายหน้า จากนั้นเธอก็ถามขึ้น


“แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ?”


“?”


การประชุมน่ะ จองโชฮงพยาพยามที่จะบดขยี้ฉันเต็มที่เลย”


ซอลจีฮูได้แต่ฝืนยิ้มออกมา เธอคงจะถามเขาว่าคิดยังไงหลังจากที่เห็นปฏิกิริยาของเพื่อนร่วมทีมในระหว่างการประชุม การที่มีผู้คมยอมรับอำนาจของเขาในฐานะหัวหน้าเป็นสิ่งที่เขาควรจะยินดี แต่ว่ามันก็มีขีดจำกัดอยู่เช่นกัน


ตัวแทนอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุดอย่างแน่นอน แต่ว่ามันก็เป็นตำแหน่งที่ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เหนือสิ่งอื่นใดการขอโทษในสิ่งที่เขาทำพลาดลงไปมันไม่ใช่เรื่องน่าอาย


“แล้วเธอล่ะเป็นยังไงบ้าง?”


ซอลจีฮูได้ถามกลับไป


“ถ้าเรื่องอำนาจ ฉันไว้ค่อยเอากลับมาทีหลังก็ได้”


คิมฮันนาห์ได้ตอบกลับมาเรียบๆ


“จะยังไงฉันก็ยังคงรับหน้าที่บริหารอยู่”


แต่ถึงแบบนั้นอำนาจในฐานะฝ่ายบริหารเพียงคนเดียวก็เป็นสิ่งที่เมินเฉยไม่ได้


“นี่เป็นเรื่องที่ฉันได้เตรียมตัวถอดเครื่องแบบตั้งแต่แรกแล้ว ฉันพอใจกับมัน”


“เครื่องแบบงั้นสินะ”


ซอลจีฮูได้มองดูเสื้อคลุมที่คิมฮันนาห์แขวนไว้บนเก้าอี้ด้วยหางตา เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตามองจิก เขาก็หลบสายตาและเปลี่ยนเรื่อง


“ปล่อยกลุ่มพ่อค้าดงชุนกับเรดฮวารุไว้ก่อนนะ แต่เราจะเอายังไงต่อกับอีวาเกลีนงั้นหรอ?”


“พวกเขาแทบจะถูกทิ้งลงเหวไปนับตั้งแต่ทีมความสัมพันธ์ของพวกเขากับกลุ่มพันธมิตรอีวาถูกเผยออกมาแล้ว ตอนนี้พวกเขากำลังจับฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้อยู่”


“จริงหรอ?”


แต่มันดูเหมือนฟางเส้นสุดท้ายนี้จะทนมากเพราะพวกเขายังยื้อเอาไว้ได้อยู่ ในตอนนี้ราชินีผู้ยิ่งใหญ่ของเขาดูเหมือนจะกำลังปิดหูปิดตา”


“ฉันหวังว่าเรื่องจะไม่เงียบไปนะ”


“มันไม่น่าเป็นแบบนั้นหรอก ซอกกูนีร์ได้พยายามอย่างมากในคดีนี้”


คิมฮันนาห์ได้พูดต่อ


“ในทันทีที่มีเรื่องอะไรเราก็จะได้รับการติดต่อจากราชวงศ์ในทันที สำหรับตอนนี้การเฝ้ารอมันก็ไม่ได้แย่หรอกนะ ในที่สุดเราก็มีเวลาพักหายใจแล้วก็แก้ไขสิ่งที่เราพักไว้ก่อนแล้ว”


ซอลจีฮูได้เชือฟังคำพูดของคิมฮันนาห์โดยไม่รู้ตัว


“สิ่งที่เราพักเอาไว้นี่คิอ…?”


“เราควรที่จะทำงานที่เราเริ่มไว้ให้เสร็จ ฉันคิดว่าเราควรที่จะทำการลงทะเบียนองค์กร แล้วก็เรื่องพิธีเปิดตัวด้วย…”


คิมฮันนาห์ไม่ได้ใช้คำพูดในเชิงคำสั่งเมื่อพูดถึงทิศทางและแผนในอนาคตขององค์กร


เธอได้เลือกใช้คำอย่าง ‘ฉันคิดว่า’ หรือ ‘เราควร’ แทนที่จะเป็น ‘ทำไม’ และปล่อยการตัดสินใจสุดท้ายไว้กับเขา เธอกำลังให้คำแนะนำกับเขาในฐานะของสมาชิกคนหนึ่ง


“แล้วก็นาย”


“ฉัน?”


“นายควรที่จะคิดว่านายจะจัดตั้งองค์กรประของระบบองค์กรใหม่ ตำแหน่งภายในองค์กร แล้วก็เรื่องต่างๆ นายไม่คิดแบบนั้นหรอตัวแทนซอล?”


“ใช้ระบบของคาเพเดี่ยม… ไม่ได้ใช่ไหม?”


“หยุดไร้สาระได้แล้ว คาเพเดี่ยมเคยมีระบบด้วยงั้นหรอ? ทุกๆอย่างมันขึ้นอยู่กับอารมณ์นี่”


คิมฮันนาห์ได้แค่นเสียงขึ้นมา


“ยิ่งมีคนมากองค์กรก็จะใหญ่ขึ้น และผลที่ออกมาก็คือนายจะต้องแบกคนไปตามทีมที่ต่างกันตามแต่ละหน้าที่ จากนั้นมันก็เป็นธรรมที่นายจะต้องมีเจ้าหน้าที่หรือผู้จัดการคอยดูแลพวกเขา นายอย่าได้คิดว่านายจะเข้ากันได้กับทุกๆคนอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้เชียวนะ”


ซอลจีฮูได้เม้มปากออกมา


“ฉันจะต้องได้เจอกับมันด้วยตัวเองถึงจะได้รู้ แต่ว่า… นี่มันยาก นี่สินะคือการเป็นตัวแทน”


“เจ้าหนู ถ้างั้นนายคิดว่ามันง่ายหรอ?”


คิมฮันนาห์ยิ้มออกมา


“แต่ก็ไม่ต้องกังวลมากหรอกนะ”


“ทำไมล่ะ?”


“มีอยู่หลายปัจจุบันที่จะทำให้มันสำเร็จ ระดับเครือข่าย สมาชิก เงินทุน อันที่จริงแล้วมีองค์กรน้อยมากที่เริ่มต้นขึ้นมาพร้อมเงื่อนไขเหล่านี้”


“นายอาจจะไม่เชื่อฉันในสกีเฮราซาร์ด”


“ตอนนั้นฉันเป็นคนนอก แต่ตอนนี้ฉันเป็นคนในแล้ว”


หลังจากพูดแบบนี้ออกมา เธอก็เหลือบมองไปด้านข้าง


“แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้มีอะไรให้ต้องกังวลหรอกนะ…”


ในที่สุดอาหารและแอลกอฮอล์ที่พวกเขาสั่งเอาไว้ก็ได้มาถึง เพราะแบบนี้พวกเขาจึงหยุดพูดและเริ่มกินกันก่อน


“ดื่มอวยพรกันหน่อยไหม?”


คิมฮันนาห์ได้พูดออกมาพร้อมเทแอลกอฮอล์ ซอลจีฮูได้หยักไหล่


ต่อจากนั้น


“แด่องค์กรใหม่ของเรา!”


คิมฮันนาห์ไดยกแก้วขึ้นหลังจากส่งให้เขาแก้วหนึ่ง


“แด่พาราไดซ์!”


ซอลจีฮูก็ยกแก้วรับเช่นกัน


แก้วทั้งสองได้ชนกันจนเกิดเป็นเสียงดังออกมา


บทที่ 264 – พิธีเปิดอันงดงาม (1)


เมื่อเหตุการณ์รุนแรงได้ผ่านพ้นไป คาเพเดี่ยมก็ได้วันคืนอันแสนสงบสุขกลับมา


แต่ว่าสงครามไม่ได้จบลงเพียงแค่เพราะมีผู้ชนะ การจัดการปัญหาหลังสงครามก็เป็นสิ่งสำคัญกับผู้ชนะเช่นเดียวกัน


หากว่าคาเพเดี่ยมพอใจแค่กับการเอาชนะศัตรูได้ หลังจากวันนี้ไปมันก็คงจะไม่มีวันคืนอันสงบสุขอีกเหมือนกับที่ฮารามาร์ค มีคนมากมายนับไม่ถ้วนที่จะใช้วิธีการต่างๆมาขัดขวางพวกเขา


แต่คาเพเดี่ยมในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะพวกเขามีคิมฮันนาห์


ด้วยตัวตนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ คิมฮันนาห์รู้ดีว่าชาวโลกคนอื่นๆจะไม่พอใจกับการที่คาเพเดี่ยมได้กลืนกินเมืองอย่างอีวาแค่เพียงลำพังได้ง่ายๆแน่


นี่คือเหตุผลที่เธอชูให้ซันเหอเด่นออกมา ทำให้คาเพเดี่ยมตกเป็นเหยื่อ และกระทั่งสร้างข่าวลวงที่บอกว่าจางมัลดง กับซอยูฮุยผู้เป็นคนทรงอิทธิพลในพาราไดซ์ได้รับบาดเจ็บสาหัส


เหนือสิ่งอื่นใดเธอยังได้ใช้โอมาร์ กราเซียแห่งแก๊งโอชัวร์ และหัวหน้าองค์กรต่างๆมาใช้ประโยชน์เพื่อจัดการกับตัวแทนของอีวาเกลีน จองซู


ทางฝ่ายอีวาเกลีนรับมือได้ยากเนื่องจากพวกเขามีความใกล้ชิดกับราชวงศ์ แต่หากว่าทุกๆอย่างเป็นไปด้วยดี คาเพเดี่ยมก็จะจัดการพวกเขาได้โดยไม่ต้องออกแรงเองเลย


จริงๆแล้วจุดนี้ก็สามารถจะมั่นใจในชัยชนะได้แล้ว ผลของการสืบสวนได้เผยหลักฐานจำนวนมากของการสื่อสารกันระหว่างจองซูกับโอมาร์ กราเซียออกมา และยังมีคำให้การณ์จากกลุ่มพ่อค้าดงชุน และเรดฮวารุอีกด้วย


ผลที่ออกมาคือจองซูได้ถูกรายล้อมไปด้วยศัตรูจากทุกๆด้าน และสมาชิกขององค์กรอีวาเกลีนก็กำลังออกไปจากองค์กรในทุกๆวัน


แต่ปัญหาก็คือจองซูยังคงกัดฟันทนต่อไปในสถานการณ์แบบนี้


“ซอกกูนีร์กำลังพยายามกดดันจองซูให้จนมุมด้วยข้อเท็จจริงที่เธอให้ความช่วยเหลือพันธมิตรอีวาโจมตีคาเพเดี่ยม”


นิ้วของคิมฮันนาห์ได้เคาะอยู่กับพนักพิงของเก้าอี้


“ปัญหาเดียวก็คือมีแค่หลักฐานตามสถานการณ์เท่านั้นเอง”


ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา


“โอมาร์ กราเซียไม่ได้ให้คำสารภาพหรอ? เธอบอกว่ามีพยานอยู่นี่”


“แต่ว่าก็ไม่ได้มีหลักฐานที่เด่นชัด ในจุดๆนี้เธอควรที่จะยกธงขาวออกมาได้แล้ว แต่เธอกลับยังคงกัดฟันดิ้นรนจนถึงที่สุด เอาเถอะนะ เธอคงคิดว่ามันยังคงมีโอกาสรอดอยู่ตราบใดที่เธอเกาะราชินีน่ะ”


ซอลจีฮูได้คิดขึ้นกับตัวเอง


‘ราชินี’


ในตอนแรกที่เขามาอีวา เขาหวังเอาไว้สูงและอยากที่จะเจอกับเธอ แต่ยิ่งนานวันไปความสงสัยของเขาก็มีแต่เพิ่มยิ่งขึ้น ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจอยากจะเจอเธอเลยสักนิด


‘เธอดูเหมือนจะเป็นคนที่น่าหงุดหงิดจริงๆเลย’


ซอลจีฮูได้ยิ้มบางๆออกมาจนทำให้คิมฮันนาห์มองเขาแปลกๆ


“ทำไมนายยิ้มล่ะ?”


“อ่ ฉันเพิ่งนึกถึงเรื่องที่เธอเคยพูด”


“อะไรล่ะ?”


“มันไม่ใช่ว่าทุกๆราชวงศ์จะเป็นอย่างเจ้าหญิงเทเรซ่า หรือราชาฟีไฮ”


คิมฮันนาห์ได้พยักหน้าออกมา


“ก็ช่วยไม่ได้หรอกนะ หากว่าตัดสินจากความเป็นมนุษย์ และไม่ใช่เจ้าเมืองแล้ว ราชินีของอีวาก็เป็นคนน่าสงสารนะ”


“แล้วถ้าตัดสินเธอในฐานะเจ้าเมืองล่ะ?”


“มีแต่ความล้มเหลว หากว่าคนแบบเธอเป็นราชินีได้ ฉันก็คงจะทำมันได้ดีกว่าเป็นล้านเท่า ฉันยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายัยเด็กนี่จะมีสายเลือดเดียวกันกับพ่อและพี่ชายของเธอ”


คิมฮันนาห์ได้วิจารณ์ราชินีออกมาอย่างเด็ดขาด ความสงสัยของซอลจีฮูมีแต่จะเพิ่มขึ้นอีก


“แล้วจองซูเป็นคนแบบไหนล่ะ? เธอก็มาจากพื้นที่ที่ 1 ใช่ไหม?”


“เธอเป็นนักฉวยโอกาส แล้วก็ถ้าจะมีอะไรอีก-“


ดวงตาของคิมฮันนาห์ได้กลอกไปมา


“พอมาคิดดูแล้ว นายก็ได้เข้าร่วมงานจัดเลี้ยงครั้งล่าสุดใช่ไหม?”


“ใช่”


“ถ้างั้นนายก็น่าจะจำการเล่นสวมบทบาทได้นะ”


เล่นสวมบทบาท นี่เป็นคำที่เขาไม่ได้ยินมาสักพักแล้ว


ชายร่างใหญ่ที่ถูกเรียกด้วยชื่อดาวพิฆาตสวรรค์ และเด็กสาวสวมผ้าโผกหัวสีขาวแปลกๆก็ได้เข้ามาในความคิดของเขา แต่ว่าเขาก็เลือกไว้ค่อยถามถึงทีหลัง นี่มันยังไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องสนใจ


“จองซูได้หลงทางไปกับการสวมบทบาท และกำลังดิ้นรนอยู่กับความหลงผิดของเธอเอง เมื่อรวมเข้ากับนิสัยจอมฉวยโอกาสโดยธรรมชาติของเธอ ทำให้เธอเป็นคนประเภทแปลกๆที่นายอาจจะยังไม่เคยเจอมาก่อน”


“สวมบทบาทที่เธอหมายถึงนี่อะไรงั้นหรอ?”


“สวมบทบาทเป็นหัวหน้าของเธอเอง”


คิมฮันนาห์ได้ตอบกลับในทันที แต่ซอลจีฮูก็ยังแสดงสีหน้าสับสน


“ช่วยอธิบายรายละเอียดเพิ่มหน่อยได้ไหม?”


“อ่า- มันก็ซับซ้อนอยู่หน่อยนะ ฉันควรจะเริ่มตรงไหนดีล่ะ…”


คิมฮันนาห์คงจะเดาไว้แล้วว่าเขาจะต้องตอบกลับแบบนี้ทำให้เธอหลับตาลง และลูบหน้า


“อีวาเกลีนเป็นองค์กรที่ดี ฉันหมายถึงในมาตราฐานของฉันล่ะนะ”


“?”


“ฟังนะ นายรู้ใช่ไหมว่าในตอนนี้กำลังมีสมาชิกของอีวาเกลีนกำลังออกไปอย่างต่อเนื่อง?”


“ใช่ ฉันก็ได้ยินมา”


“นายคิดว่าทำไมพวกเขาถึงกำลังออกไปล่ะ? หรือนายคิดว่าพวกเขาจะได้อะไรจากเรื่องนี้?”


คิมฮันนาห์ได้พูดออกมาต่อ


“มันก็ง่ายมาก ความรักของพวกเขาได้หมดลงเมื่อรู้ว่าตัวแทนองค์กรที่พวกเขาคิดว่าหมดจดเที่ยงธรรมนั้นจริงๆแล้วโสโครก นั่นมันหมายความว่าจองซูไม่ได้บอกเรื่องความสัมพันธ์กับพันธมิตรอีวาให้คนที่เหลือในองค์กรรู้”


“เธอกำลังจะบอกว่าจองซูเคยเป็นชาวโลกที่เป็นห่วงในพาราไดซ์งั้นหรอ? แล้วตอนนี้เธอก็ได้เปลี่ยนไป?”


“ไม่หรอก”


คิมฮันนาห์ได้พูดออกมาอย่างหนักแน่น


“ฉันบอกนายแล้วไง จองซูเป็นนักฉวยโอกาสที่หลงใหลในการสวมบทบาท ตัวตนที่เธอสวมบทบาทเป็นก็คือหัวหน้าคนก่อน อีวาเกลีน โรส”


‘อีวาเกลีน โรส?’


“ก็นะ ถึงเธอจะตายไปในงานจัดเลี้ยงครั้งล่าสุดก็ตาม”


‘อ่า’


จากนั้นซอลจีฮูก็ได้รู้ถึงความจริง ชาวโลกที่อาสาเข้าไปในลานกว้างแห่งการเสียสละเป็นคนแรก และถูกฆ่า ครั้งหนึ่งกู่ลาเคยเสียใจกับการต้องตายของ ‘ผู้พิทักษ์แห่งอีวา’ เพื่อแลกกับการที่ ‘นักฆ่าฮีโร่’ ตายไปด้วย


ซอลจีฮูได้พูดออกมาหลังจากคิดอยู่นาน


“ไม่ใช่ว่าเมื่อก่อนอีวาเกลีนกับองค์กรอื่นเคยเหมือนกับเป็นหนึ่งเดียวกันหรอ?”


“ก็ใช่ แต่ว่ามีบางอย่างที่น่าสนใจได้เกิดขึ้นหลังจากอีวาเกลีน โรสตายไป”


“บางอย่างที่น่าสนใจ?”


“องค์กรทั้งเจ็ดได้จับสมาชิกบางส่วนของพวกเขามาฆ่าทิ้งไป”


มุมปากของคิมฮันนาห์ได้ขยับเป็นรอยยิ้ม


“กับเรื่องนี้มันมีอยู่หลายทฤษฎี แต่ฉันคิดว่าที่เป็นไปได้ที่สุดคืออีวาเกลีน โรสได้แอบฝังสายลับเข้าไปในองค์กรทั้งเจ็ด อย่างพวกสายลับสองหน้า พวกเขาจะแกล้งทำเป็นคนของฝั่งองค์กรทั้งเจ็ด คอยทำให้องค์กรทั้งเจ็ดลดความระวังตัวลงพร้อมทั้งแอบเก็บหลักฐานเพื่อจะจัดการพวกเขาในคราวเดียว”


จากนั้นคิมฮันนาห์ก็ได้เสริมว่า “อย่างที่พวกเราทำ”


“…แล้วเธอรู้เรื่องทั้งหมดนี่ได้ยังไง?”


ซอลจีฮูตกใจมาก


“อย่าดูถูกฉันนะ เครือข่ายข้อมูลของซินยองมันกว้างไกลกว่าที่นายคิด”


คิมฮันนาห์ได้พูดต่อ


“ยังไงก็เถอะจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ เธอได้เข้าร่วมงานจัดเลี้ยง และตายไปในด่านที่ 2 ความตายของเธอได้ส่งผลกระทบให้แผนที่เธอเตรียมการไว้อย่างหนักล้มเหลวลง”


“…”


“ตอนนั้นเองจองซูก็ได้ก้าวขึ้นมาในฐานะตัวแทนหัวหน้า เธอได้กลืนกินเก้าอี้ที่ว่างอยู่ของอีวาเกลีน โรส และกระทั่งชนะใจราชินีได้ หากว่าเธอหยุดอยู่แค่ตรงนี้ ฉันก็คงจะชื่นชมเธอมาก แต่ว่า…”


คิมฮันนาห์ได้ส่ายหัวออกมา


“เธอได้ใช้แผนของอีวาเกลีน โรสเป็นข้อตกลงลับร่วมกันกับองค์กรทั้งหมด เพราะงั้นจริงๆแล้วเธอมันก็แค่นักฉวยโอกาสน่าสมเพชที่ไม่อาจจะรักษาตำแหน่งไว้ได้ด้วยตัวเองจนต้องให้อีกเจ็ดองค์กรเข้าช่วย”


คิมฮันนาห์ได้พูดเหมือนกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่นี่เป็นรายละเอียดที่ยิ่งทำให้ความสนใจของซอลจีฮูที่มีต่ออีวาเกลีน โรสเพิ่มมากขึ้น


‘คิมฮันนาห์บอกว่านี่เป็นเพียงแค่ทฤษฎี แต่ว่ามันก็มีโอกาสเป็นความจริงสูงอยู่’


ยังไงแล้วนี่ก็เหมาะสมกับฉายาของอีวาเกลีน โรสที่ว่า ‘ผู้พิทักษ์แห่งอีวา’


แต่ว่าซอลจีฮูไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเธอถึงได้ตัดสินใจเข้าร่วมงานจัดเลี้ยง ทำไมเธอถึงได้ทำอะไรที่เสี่ยงในเมื่อมีโอกาสในการทำให้พันธมิตรอีวาจนมุมจนถูกทำลายได้เลย


เธอมีความต้องการอะไรอยู่กันแน่?


‘นี่มัน… แปลกๆ…’


“ยังไงก็ตาม ฉันมั่นใจว่าเราจะได้ยินเรื่องนี้จากจองซูในอีกไม่ช้า”


คิมฮันนาห์ได้พูดต่อ


“ก่อนที่จะถึงตอนนั้นเรามีสิ่งที่ต้องทำอยู่ อย่างที่นายรู้การลงทะเบียนเป็นองค์กรเหมือนอย่างที่เราได้คุยกันไว้เมื่อวาน พวกเรายังต้องจัดพิธีเปิดตัวอีกด้วย เราจะปล่อยให้มันช้ากว่านี้ไม่ได้”


ซอลจีฮูได้หยุดพยักหน้า และถามออกมา


“พิธีเปิดตัว?”


“ก็ไม่ได้มีอะไรมาก แค่เป็นการประกาศออกไปให้โลกรู้ว่าอีวาเป็นพื้นที่ของเรา และจะได้ไม่มีใครเข้ามายุ่งกับที่นี่โดยไม่ไตร่ตรองก่อน”


“แล้วเรื่องการลงทะเบียนองค์กรจะเป็นไปด้วยดีไหม?”


“นั่นก็แน่นอนอยู่แล้ว”


คิมฮันนาห์ได้ยืดแขนออกมาพร้อมบิดตัว


“เอกสารที่จำเป็นได้ถูกเตรียมเอาไว้หมดแล้ว ซอกกูนีร์ก็ยังบอกว่าเขาจะอนุมัติในทันทีที่เราส่งเอกสารให้เขา แต่ว่าขาดอยู่แค่อย่างเดียว~”


คิมฮันนาห์ได้หัวเราะออกมาเหมือนกับเธอกำลังพูดเรื่องที่เล่นๆ ซอลจีฮูขมวดคิ้วขึ้น


“ขาดอะไรหรอ?”


“ชื่อองค์กรใหม่ไงล่ะ”


คิมฮันนาห์ได้พูดอย่างฉะฉาน


“นายบอกว่านายกำลังคิดชื่อใหม่ ลืมไปแล้วหรอ?”


ซอลจีฮูได้ร้องอ่อออกมา


***


หลังจากทานอาหารเย็นแล้ว สมาชิกทีมคาเพเดี่ยมก็ได้มาร่วมตัวกันเพื่อตัดสินใจชื่อใหม่ขององค์กร


ชื่อขององค์กรควรจะต้องเรียบง่ายและรัดกุมเพื่อให้ผู้คนสามารถเข้าใจความหมายของมันได้ในทันที หากว่ามันฟังดูดีแล้วก็จะยิ่งดีไปใหญ่


การเลือกชื่อยาวและมีความซับซ้อนเพื่อทำเป็นเท่นั้นไม่ควรจะทำเพราะเมื่อลงทะเบียนไปแล้ว ชื่อขององค์กรก็จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีกง่ายๆ


ดังนั้นแล้วนี่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ทุกๆคนจะต้องมาร่วมกันเสนอความคิด


โชฮงได้เป็นคนแรกที่พูดออกมา


“ผู้แข็งแกร่ง”


เธอได้กอดอกเชิดคางขึ้น มันดูเหมือนเธอจะพอใจกับชื่อนี้มากๆ


“ผู้แข็งแกร่ง ใช้ผู้แข็งแกร่งกันเถอะ มันไม่มีชื่อไหนดีไปกว่านี้อีกแล้ว”


ซอลจีฮูได้ถามออกมาด้วยสีหน้าไม่เต็มใจ


“…ชื่อบ้านั่นมันหมายถึงอะไร”


“ยังไม่ชัดอีกหรอ? มันก็หมายความว่าเราจะยอมรับเฉพาะคนที่แข็งแกร่งเท่านั้นไงล่ะ? ผู้แข็งแกร่งน่ะ”


“หึหึหึ!”


ฟีโซราได้เอียงหัว และระเบิดหัวเราะออกมา


“ผู้แข็งแกร่งไม่ค่อยน่าสนใจนะ”


ฮิวโก้ก็ยังแสดงความเห็นออกมา


“อะไรนะ?”


โชฮงที่กำลังจ้องฟีโซราได้ขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่พอใจ


“ฉันชอบความหมายของมันนะ แต่มันฟังดูไม่ดีเท่านั้น เอาเป็นว่า-“


ฮิวโก้ได้กระแอ่มออกมา


“ผู้ยิ่งใหญ่ มันฟังดูดีกว่าใช่ไหมล่ะ? อ่า เราจะใช้ทรราชก็ได้นะ โอ้ จริงสิ ทรราชฟังดูดีไปเลย!”


“หึหึหึหึ!”


ในจุดๆนี้ฟีโซณาแทบจะกลั้นขำไว้ไม่อยู่ และเธอก็ไม่ใช่แค่คนเดียวเท่านั้น


“กึก!”


แม้กระทั่งจางมัลดงก็ถึงกับต้องก้มหน้าลง


“…”


และซอยูฮุยก็ดูจะตกใจอย่างมากเช่นกัน


“ฮิฮิ- ฮิฮิฮิ!”


แม้กระทั่งลูกเจี๊ยบก็ยังหลุดหัวเราะออกมา มันได้ใช้ปีกกุมท้องกลิ้งไปมาเหมือนกับกำลังจะหัวเราะจนตาย


ฮิวโก้ได้ขมวดคิ้วขึ้น


“แกหัวเราะทำไม!? มันน่าขำตรงไหนกัน?”


เขาไม่ได้โกรธจางมัลดงกับซอยูฮุย และการไปยั่วโมโหฟีโซราก็อาจจะทำให้เขาต้องจบลงด้วยการถูกซ้อม ดังนั้นเขาจึงตะโกนใส่ลูกเจี๊ยบแทน


แต่ว่าราวกับมันไม่ได้สำคัญ…


“แกว๊กกกกกแกว๊กแกว๊กแกว๊ก!”


ลูกเจี๊ยบได้หัวเราะหนักยิ่งกว่าเดิมอีก


ฮิวโก้ได้เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมไป


“ไอ้เจ้านี่!”


เขาได้จับขาของลูกเจี๊ยบขึ้นมา…


“แกว๊ก?”


จากนั้นก็ยกขึ้นเหนือปากที่อ้ากว้าง


“อยากจะให้ฉันกินแกใช่ไหม! ถ้าแกหัวเราะอีกสักครั้ง ฉันจะกินแกไปจริงๆด้วย!”


ลูกเจี๊ยบได้บิดขา และหลบออกมาจากระหว่างนิ้วของฮิวโก้ จากนั้นมันก็กระโดดขึ้นลอดเข้าไปจิกหวางขาของฮิวโก้เหมือนกับสายน้ำ


“อ๊ากกกก!”


ฮิวโก้ได้กุมพื้นที่สำคัญ และลงไปกลิ้งอยู่กับพื้น


ซอลจีฮูได้แต่ส่ายหัวออกมา


ปล่อยทั้งสองคนไว้ก่อน คงไม่มีใครจะมาทำเป็นเล่นกับการตั้งชื่ออันศักดิ์สิทธิ์นี้


“หืมม ชื่อใหม่สินะ”


มาแชล จิโอเนียได้คิดกับตัวเองอย่าวงเคร่งขรึมจนทำให้ซอลจีฮูต้องตาเป็นประหาย


ใช่แล้ว ถ้าเป็นมาแชล จิโอเนีย หากว่าเป็นนักธนูเหล็กกล้าคนนี้…!


“คาเพเดี่ยม 2 เป็นยังไงครับ?”


อาจจะแตกต่าง…


“ผมคิดว่าคาเพเดี่ยมใหม่ก็ดีเหมือนกัน”


“…”


ซอลจีฮูได้หันหน้าหนีไป เขาถึงขนาดไม่อยากจะตอบกลับเลย


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า-!”


ขณะที่เขาหันไปมองฟีโซราที่กำลังหัวเราะทุบพื้นอยู่…


“วัลฮาลา”


ยี่ซังจินได้พูดออกมาอย่างสงบ อย่างน้อยคำแนะนำของเขาก็ปกติสุดแล้ว


“วัลฮาลา?”


“ใช่ครับ มันเป็นชื่อพระราชวังจากตำนานเทพเจ้านอร์ส จะคิดว่ามันเป็นแดนสวรรค์ก็ได้ครับ”


“หืมม- อืมม- เอาล่ะ ฉันเห็นด้วยกับวัลฮาลา”


ฟีโซราได้พูดขึ้นพร้อมเช็ดน้ำตาออกมาดวงตา ซอลจีฮูได้ลูบคางของเขา


“แดนสวรรค์สินะ”


“อ๊า วัลฮาลา?”


ซอลจีฮูที่ก็ชอบชื่อนี้ได้เริ่มคิดอย่างจริงจัง แต่ว่ายี่ซอลอาตอบสนองกลับมาในทางลบ


“ทำไมล่ะ? ดูเหมือนพี่ชายจะชอบมันนะ”


“ชิ ชิ น้องไม่เห็นหรอว่าคุณพี่ยอมรับมันอย่างไม่เต็มใจ?”


ยี่ซอลอาได้เดาะลิ้นออกมาก่อนจะหันไปมองซอลจีฮู


“คุณพี่ ถ้าคุณพี่ไม่ว่าอะไรใช้คำลงท้ายเป็นตัว ‘โฮะ’ (會) ได้ไหม?”


“ก็ได้น ตัว ‘โฮะ’ (會) ที่หมายความว่ากลุ่มหรือชุมชนสินะ?”


“ใช่แล้วค่ะ ชื่อองค์กรจะต้องมีความหมายที่ชัดเจน และมันก็จะต้องเข้ากันกับเป้าหมายขององค์กรได้เป็นอย่างดี”


“ใช่แล้ว ถูกต้อง”


“เพราะงั้นฉันได้ค่อยๆคิดมันออกมา และคิดชื่อดีๆออกมาได้! ฉันมั่นใจว่าคุณพี่ต้องชอบแน่”


“โอเค แล้วอะไรล่ะ? หยุดหลอกล่อได้แล้วน่า”


เมื่อถูกซอลจีฮูเร่ง ยี่ซอลอาก็ได้กระแอ่มออกมา


“สำหรับว่าหนึ่งตามปกติแล้วจะสื่อถึงหมายเลข 1 แต่ว่ามันก็ยังหมายถึงความสามัคคี เป้าหมาย และความปรารถนาได้อีกด้วย”


“โฮ่ แล้ว?”


“งั้นถ้าจะพูดว่า ‘พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกัน’ ฮานาโฮะเป็นยังไงล่ะ?”


“อะไรนะ!? อะไรโฮะนะ?”


จางมัลดงได้หันหน้ามาร้องขึ้นทันที ยี่ซอลอาได้ผงะไปอย่างตกใจ


“ซอลอา ไม่ นั่นมันแค่… ไม่”


ซอลจีฮูรู้ถึงอีกความหมายหนึ่งและส่ายหัวออกมา ในอีกด้านหนึ่งฟีโวราก็แทบจะลืมตัวเอาหน้าผากกระแทกพื้นไปแล้ว


“แต่ฉันคิดว่ามันดีแล้วนะ…”


ยี่ซอลอาได้หน้าบึ้งออกมาเมื่อถูกปฏิเสธอย่างหนัก ซอลจีฮูถอนหายใจออกมา


“พวกเรามีคนกันตั้งเยอะ… ทำไมถึงไม่มีชื่อดีๆสักชื่อเลยล่ะ… โอ้ ของซังจินก็ไม่ได้แย่นะ”


“เฮ้ ถ้างั้นทำไมนายไม่คิดมาสักชื่อล่ะ? นายคิดไม่ออกงั้นหรอ?”


โชฮงได้ท้วงออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ


ซอลจีฮูได้แต่เม้มปาก เขาอยากจะตัดสินใจชื่อดีๆจากความเห็นของคนอื่น แต่ว่าชื่อส่วนใหญ่ที่เขาได้ยินต่างก็ไร้ประโยชน์


มันดูเหมือนเขาจะต้องสั่งสอนคนพวกนี้ซะแล้ว


“ฟังนะ นี่คือชื่อที่ฉันคิดขึ้นมาเอง


“เอาล่ะ พูดมาสิ”


“เวนิ เวดิ เวซิ เยี่ยมไปเลยใช่ไหม?”


“พรืดดด!”


ซอยูฮุยได้หลุดหัวเราะออกมาก่อนจะรีบปิดปากเอาไว้


“…พี่สาว?”


เมื่อซอลจีฮูหันไปมองเธอ เธอก็รีบโบกมือออกมา


“มะ ไม่ใช่นะจีฮู ฉันไม่ได้ขำ! มันแค่น่ารักเกินไป!”


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”


ฟีโซราไม่อาจจะกลั้นเอาไว้ได้ต่อ และระเบิดหัวเราะออกมา


“นายจะบอกว่าฉันมา ฉันเห็น ฉันพิชิตสินะ…!”


ที่มันน่าขำก็เพราะว่า…


“ดูสีหน้าจริงจังของเขาสิ! ฮ่าฮ่า! ฉันจะทำยังไงดีเนี้ย!? ฉันกำลังจะหัวเราะจนตายไปแล้ว! อ๊าาาา-!”


เสียงหัวเราะของเธอได้ดังข้ามขั้นไปจนเกือบจะเป็นเสียงร้องแล้ว


ใบหน้าของซอลจีฮูได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เขาได้คิดชื่อนี้อย่างตั้งใจและค่อนข้างที่จะภูมิใจกับมันเลย


“ยิ่งความที่เขาจริงจังมันยิ่งทำให้ตลก-!”


แต่ว่าปฏิกิริยาที่ได้รับกลับไม่ได้ต่างไปจากชื่นอื่นๆเลย นี่มันน่าตกใจเกินไปแล้ว


จางมัลดงได้หลับหน้าหลบออกไปก่อนที่เขาจะรู้ตัวแล้ว เพราะงั้นซอลจีฮูจึงหันไปมองคิมฮันนาห์ราวกับเป็นฟางเส้นสุดท้าย


“มะ มันแปลกหรอ?”


คิมฮันนาห์ยังคงกอดอกและแค่นเสียงออกมาด้วยสีหน้าที่อธิบายไม่ได้ แค่ลำพังสีหน้าของเธอมันก็เหมือนกับว่า ‘เจ้าพวกโง่’


“อ่า นั่นมันชื่อหรอ? ชิ ผู้แข็งแกร่งยังฟังดูดีกว่าชื่อของนายเป็นร้อยเท่าเลย ฉันมา ฉันเห็น ฉันพิชิตที่หน้านายสิ”


มาเรียก็ยังเยาะเย้ยเขาออกมาเช่นเดียวกัน เธอกระทั่งให้คะแนนต่ำกว่าชื่อของโชฮงซะอีก


ในฐานะที่ซอลจีฮูเคยบ่นเรื่องการตั้งชื่อของกู่ลาหลายครั้งแล้ว เขาไม่อาจจะทนฟังอะไรแบบนี้ได้


“ถ้างั้นทำไมคุณไม่เสนอชื่อมาล่ะคุณมาเรีย?”


ซอลจีฮูได้พึมพำด้วยน้ำเสียงเย็นชา


“ฉันหรอ? หืมมม-“


มาเรียได้เอียงหัวครุ่นคิดออกมา หลังจากนั้นสักพักเธอก็พูดขึ้น


“ทองคำ…”


มุมปากของซอลจีฮูได้โค้งออกมาแทบจะทันที แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด


“ฟู่ว”


“ฉันพนันได้เลยว่าคงเป็นทองคำสุดยอดหรืออะไรแบบนั้นแน่ ก็สมกับเป็นมาเรียล่ะนะ”


สมาชิกคนอื่นๆก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาในแง่ดีนัก มันเหมือนกับพวกเขากำลังบอกว่า ‘จะมาหวังอะไรกับมาเรียกันล่ะ?’


หากเป็นแบบนี้เธอก็จะถูกทำเหมือนกับคนโง่คนอื่นๆที่เอาแต่ตั้งชื่อบ้าๆ! โดยเฉพาะซอลจีฮูที่เหมือนจะคอยสรรหาคำมาดูถูกเธอด้วย


‘ฉันไม่ยอม!’


ในเวลาครู่เดียวมาเรียก็ได้เค้นสมองออกมา เธอได้ค้นหาคำภายในหัว และค่อยๆพูดออกมา


“สิงโต… ทองคำ?”


“?”


ซอลจีฮูได้ผงะไป เขาได้ชะงักหลังจากได้ยินคำว่า ‘ทองคำ’ มาเรียไม่ยอมพลาดโอกาสนี้ และพูดต่อไป


“สิงโตคือสัญลักษณ์ของความกล้าหาญ ใช่แล้วล่ะ สิงโตทองคำไง! เป็นยังไงล่ะ?”


บทที่ 265 – พิธีเปิดอันงดงาม (2)


“สิงโตทองคำงั้นหรอ?”


หลังจากเงียบอยู่สักพัก คิมฮันนาห์ก็ได้พูดออกมาเป็นครั้งแรก


“เป็นชื่อที่ดีนะ”


“ใช่ไหมล่ะๆ?”


มาเรียได้ดีใจขึ้นเมื่อคิมฮันนาห์ได้เข้าข้างเธอ จากนั้นเธอก็หันไปส่งรอยยิ้มพอใจให้ซอลจีฮู


“ขอถามอีกครั้งให้มั่นใจนะ…”


ตึก ตึก คิมฮันนาห์ได้เดินเข้าไปใกล้มาเรีย และวางมือลงบนหัวของเธอ


“ในตอนที่เธอพูดว่าสิงโตทองคำ เธอหมายถึงสิงโตที่เป็นสัตว์ใช่ไหม?”


“หืม?”


“เธอคงไม่ได้หมายถึงซื้อทองคำสินะ?”


มาเรียได้มองไปที่คิมฮันนาห์ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง มีอยู่เสี้ยววินาทีหนึ่งที่่ม่านตาของเธอสั่นไหว คิมฮันนาห์ก็ไม่ได้พลาดเช่นกัน


“ชิ”


“อ๊าาา!”


คิมฮันนาห์ได้ดันหัวมาเรียออกไปก่อนจะหันไปหาซอลจีฮู


“…แล้วนายคิดว่ายังไงล่ะ? ฉันควรจะบอกให้นายเลือกระหว่างวัลฮาลากับสิงโตทองคำ”


ซอลจีฮูได้ลังเล พูดตามตรงเขาก็ไม่มั่นใจว่าชื่อนี้มันดีไหม แต่ว่าเขาก็สนใจอยู่เช่นกัน


วัลฮาลา พระราชวังในตำนาน และแดนสวรรค์ที่มีแต่นักรบวีรบุรุษผู้ทรงเกียรติเท่านั้นที่จะเข้าไปได้ภายใต้การนำทางของวาลคีเรีย


สิงโตทองคำ ‘ทองคำ’ ก็สื่อได้ถึงบัญญัติทองคำ และ ‘สิงโต’ ก็ยังสื่อถึงความกล้าหาญและเจ้าแห่งสรรพสัตว์


“วัลฮาลาก็เป็นชื่อที่ดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป”


“สิงโตทองคำ ฉันก็ชอบในความเรียบง่ายของมัน สัญลักษณ์ประจำองค์กรก็น่าจะดูดีด้วยเหมือนกัน”


สมาชิกคนอื่นๆต่างก็มีท่าทีตอบรับในแง่บวกเช่นกัน


“อย่างน้อยที่สุดมันก็ดีกว่าผู้แข็งแกร่งหรือทรราช! ยิ่งกับฉันมา ฉันเห็น ฉันพิชิตแล้วล่ะก็…! อุฮุฮุฮุ!”


ซอลจีฮูได้หันไปจ้องฟีโซราที่กำลังหัวเราะ เขาอยากที่จะเลือกชื่อที่เขาชอบ แต่ในฐานะตัวแทนเขาจะต้องมีความยุติธรรม


“ถ้าพวกเราใช้ชื่อที่นายเลือกนะ ฉันก็คงอายจนไม่กล้าบอกว่าฉันมาจากองค์กรไหนเลยล่ะ!”


ฟีโซราคงจะเกลียดชื่อนั้นมา สำหรับคนที่ต้องลำบากอยู่หลายครั้งจากชื่อที่กู่ลาตั้ง เขาจึงไม่อาจจะทำแบบเดียวกันได้


“…โอเค”


ในท้ายที่สุดเขาก็ถอนหายใจ และพยักหน้าออกมา


“ก็ได้ วัลฮาลาหรือสิงโตทองคำดีล่ะ”


คิมฮันนาห์ได้เสนอให้ใส่ทั้งสองชื่อนี้มาทำการโหวตโดยไม่ระบุตัวตน แต่ว่าซอลจีฮูก็แนะนำให้เอาทุกๆชื่อไปใช้โหวตด้วยกัน


ดังนั้นการลงคะแนนลับจึงถูกจัดขึ้น ผลที่ได้คือวัลฮาลาได้รับห้าคะแนน และสิงโตทองคำได้ห้าคะแนน


และเวนิ เวดิ เวซิได้สองคะแนน


“…”


ทุกๆคนได้หันมามองซอลจีฮู


“ว้าว…”


ฟีโซราอดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มตกตะลึงออกมา เมื่อซอลจีฮูแอบหลบตามองไปด้านข้าง คิมฮันนาห์ก็ถอนหายใจออกมา


“ฉันรู้นะว่าหนึ่งคะแนนมาจากใคร แต่อีกคะแนนหนึ่งล่ะ?”


เมื่อได้ยินแบบนี้ซอยูฮุยก็ค่อยๆยกมือขึ้นมา


“ฉะ ฉันเอง”


“คุณเป็นตัวปัญหานี่เองพี่สาว!”


ฟีโซราได้ชี้มาที่ซอยูฮุย


“คุณเข้าข้างเขามากไปแล้ว! อย่างน้อยก็ช่วยเลือกชื่อให้มันถูกสามัญสำนักหน่อยสิ! ไม่สิ นี่มันเป็นเรื่องของมโนธรรม!”


‘สามัญสำนึก? มโนธรรม?’


“ที่เขาเป็นแบบนี้เพราะคุณทำกับเขาเป็นเหมือนเด็กอยู่ทุกวัน!”


ฟีโซราได้บ่นออกมาไม่หยุด


“ไม่นะ… ฉันก็แค่…”


ซอยูฮุยได้ก้มหัวพึมพำออกมา ซอลจีฮูได้ตัดสินใจจดชื่อของฟีโซราเอาไว้ทันที


“เอาล่ะ ถ้างั้นก็ห้าต่อห้าคะแนน…”


คิมฮันนาห์ได้ส่ายหัวออกมา


“จีฮู นายใส่ชื่อทั้งหมดเข้ามาเพื่อให้นายได้โหวตชื่อที่นายชอบใช่ไหม?”


“…”


“เลือกใหม่ คุณซอยูฮุยก็ด้วย”


“ทำไมล่ะ?”


ซอลจีฮูได้บ่นออกมา


“ฉันโหวตไปแล้วนี่ ทำไมล่ะ ฉันโหวตชื่อที่ฉันชอบไม่ได้หรอ?”


เขาไม่ได้พูดผิด เพราะงั้นคิมฮันนาห์ก็ไม่อาจจะพูดอะไรได้ จากนั้นเอง


“แกว๊ก!”


เสียงร้องอันคุ้นเคยได้ดังออกมาทำให้ทุกๆคนหันไปมองลูกเจี๊ยบ คิมฮันนาห์ได้พึมพำออกมา


“อ่า นายก็อยู่ด้วยนี่นา”


“แกว๊ก!”


ลูกเจี๊ยบได้ออกวิ่งไปหยุดอยู่ตรงหน้ายี่ซังจิน เมื่อมันได้ใช้จงอยปากจิกสีข้างของยี่ซังจิน ยี่ซังจินก็บิดตัวร้องออกมา


คิมฮันนาห์ได้ถามขึ้นทันที


“ลูกเจี๊ยบ- ไม่สิ อาคัส นายชอบวัลฮาลางั้นหรอ?”


“แกว๊ก แกว๊ก!”


ลูกเจี๊ยบได้ตีปีก และพยักหน้าอย่างรุนแรง


“เขาบอกว่าเขาชอบชื่อวัลฮาลามากกว่า สิงโตทองคำก็ไม่ได้แย่ แต่มันให้ความรู้สึกที่ไม่ดี”


“ความรู้สึกที่ไม่ดี?”


“ใช่แล้ว เขาบอกว่าชื่อนี้ เป็นชื่อของกลุ่มที่อยู่ในจุดสูงสุด แต่ตกลงไปในนรกหลังจากที่เลือกพลาดเพียงครั้งเดียว….”


ยี่ซอลอาได้แปลคำพูดของลูกเจี๊ยบให้คนในทีมฟัง คิมฮันนาห์ไม่เข้าใจเลยว่านั่นมันหมายความว่าอะไร แต่เธอก็พอใจกับคะแนนโหวตพิเศษนี้


“ยอดเยี่ยม งั้นวัลฮาลาก็ชนะไปด้วยหกคะแนน คงไม่มีใครบ่นอะไรใช่ไหม?”


ซอลจีฮูได้บ่นพึมพำกับตัวเอง แต่ว่าก็ไม่ได้คัดค้านอะไรออกมา ดังนั้นชื่อองค์กรใหม่ก็คือวัลฮาลา


มาเรียได้บ่นกับตัวเองอย่างเสียใจ “ฉันอุส่าห์คิดว่าจะได้ขอค่าธรรมเนียมการตั้งชื่อ-“


นี่ยังเป็นอีกเหตุผลที่ไม่ควรเลือกสิงโตทองคำสินะ


คิมฮันนาห์ได้เขียนชื่อวัลฮาลาด้วยลายมืออย่างงดงาม จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน


“ถ้างั้นฉันจะไปที่วังนะ คงไม่น่าจะนานหรอก”


จากนั้นธอก็กลับมาในเวลาแค่สองชั่วโมงเท่านั้นเอง ซอกกูนีร์ได้อนุมัติการลงทะเบียนอย่างรวดเร็วเหมือนกับที่สัญญาไว้


“นี่”


คิมฮันนาห์ได้ยื่นกระดาษที่ถูกประทับตราประจำราชวงศ์ออกมา


นี่คือเอกสารรับรองการลงทะเบียนองค์กร


ซอลจีฮูได้มองดูเอกสารรับรองอย่างมึนงง จากนั้นก็เช็คหน้าต่างสถานะของตัวเอง สังกัด…


[หน้าต่างสถานะของคุณ]

[1.ข้อมูลทั่วไป]

สังกัด: วัลฮาลา


…มันถูกเปลี่ยนไปก่อนเขาจะทันรู้ตัวซะอีก


“ยินดีด้วย!”


คิมฮันนาห์ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“ตอนนี้นายกลายเป็นตัวแทนขององค์กรแล้วจริงๆ ตัวแทนของวัลฮาลา”


คำพูดที่ว่าตัวแทนของวัลฮาลามันฟังดูแปลกๆ แต่เขาก็ได้สะบัดหัวสลัดความอึดอัดออกไป ในตอนนี้มันถึงเวลาละทิ้งฉายาหัวหน้าคาเพเดี่ยมทิ้งไปแล้ว


ซอลจีฮูได้กำหมัดแน่น


ในที่สุด ในที่สุดเขาก็ก่อตั้งองค์กรขึ้นมาแล้ว


และดังนี้…


“…ใช่แล้ว”


วันนี้…


“ขอบคุณนะ”


พาราไดซ์ได้มีองค์กรที่ 83 ปรากฏขึ้นอย่างเป้นทางการ


***


ชาล็อต อาเรีย เธอเป็นราชินีของอีวา และเป็นราชวงศ์ของชาวพาราไดซ์ที่ใช้ชีวิตอยู่ในที่หลบภัย


แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าราชินี และเมื่อคำนึงถึงสถานการณ์ของพาราไดซ์ การจะบอกว่าเธออยู่ในที่หลบภัยมันก็แปลกอยู่หน่อยๆเช่นกัน


นับตั้งแต่ที่สงครามปะทุขึ้นก็ผ่านมานับสิบปีแล้ว สภาพแวดล้อมของพาราไดซ์มันไม่มีที่ไหนจะเรียกได้ว่า ‘ที่หลบภัย’ แต่ก็มีเหตุผลที่ราชินีของอีวาถูกเรียกว่า ‘หลบภัย’ อยู่เช่นกัน


พูดให้ชัดก็คือในพาราไดซ์ หน้าที่ของหญิงสาวชนชั้นสูงเดิมทีแล้วคือการส่งต่อสายเลือดของเธอ ดังนั้นจึงมีการแต่งงานทางการเมืองเกิดขึ้นอยู่ในหลายครั้งในหมู่ขุนนางหญิง


นั่นมันหมายความว่าชาล็อต อาเรียไม่ใช่คนที่ควรจะกลายมาเป็นเจ้าเมืองเลย ในราชวงศ์เธอก็ยังีผู้ชายอยู่ด้วยเช่นกัน


ราชาองค์ก่อนมีลูกชายอยู่สองคน และลูกสาวอีกหนึ่งคน ลูกชายคนโตจะต้องเป็นคนสืบทอดราชบัลลังก์ทำให้ได้รับการศึกษาเพื่อเป็นราชาในอนาคต และลูกชายคนที่สองก็มีชีวิตอยู่ปกติดี


นี่มันเป็นเรื่องในอดีต และเป็นการใช้ชีวิตในวัยเด็กของเธอ


จนกระทั่งสงครามได้ปะทุขึ้นมา


ระหว่างที่เธอถูกเลี้ยงดูด้วยการตามใจจากพ่อแม่ และพี่ชายทั้งสองคน จู่ๆก็มีเผ่าพันธุ์ต่างดาวบุกรุกเข้ามาในพาราไดซ์ ราชา ราชินี และองค์ชายสืบราชบัลลังก์ได้ตายไปจากสงครามความวุ่นวายครั้งนี้ และเผ่าพันธุ์ต่างดาวก็ทรงพลังมากจนทำให้ชาล็อต อาเรียต้องทิ้งเมืองหลวงหลบหนีไปที่แนวป้องกันสุดท้ายของมนุษยชาติ


แม้กระทั่งจักรวรรดิที่เต็มไปด้วยวีรบุรุษจำนวนนับไม่ถ้วนก็ยังต้องพ่ายแพ้เผ่าพันธุ์ต่างดาวในเวลาไม่ถึง 4 ปี เพราะงั้นสำหรับเด็กสาวที่ไม่ได้รู้เรื่องทางการทหารอะไรแล้วก็ได้แต่หลบอยู่ภายในวังด้วยความหวาดกลัวเท่านั้น


โชคดีที่ลูกคนรอง แคมเบล อาเรียรอดชีวิตมาได้ และดูแลน้องสาวของเขาอย่างสุดกำลัง ยังไงก็ตามระหว่างสงครามกับสหพันธรัฐเขาก็ได้ถูกฆ่าไป


เมื่อสมาชิกครอบครัวคนสุดท้ายจากไปชาล็อต อาเรียก็ได้ตกสู่ภาวะซึมเศร้า และเมื่อเธอถูกบังคับให้ขึ้นรับบัลลังก์โดยไร้ซึ่งการเตรียมการก็อย่าได้หวังเลยที่เธอจะจัดการดูแลงานราชการได้อย่างถูกต้อง


ข้ารับใช้ของราชวงศ์ส่วนใหญ่ก็ตายไป และต่อให้จะยังมีบางคนที่รอดชีวิตมาได้ก็เหนื่อยหน่ายกับสงครามอันยาวนานจนต้องหายออกไปเลี้ยงชีพด้วยตัวเองทีละคน


จริงๆแล้วอีวาได้สูญสิ้นความหวังไปนับตั้งแต่ที่แคมเบลตาไปแล้ว หากว่าไม่ได้มีความทุ่มเทพยายามของซอกกูนีร์ อีวาก็คงล่มสลายไปแล้วแน่


น่าเสียดายที่ความสัมพันธ์ระหว่างอาเรีย กับซอกกูนีร์ได้ค่อยๆแย่ลงไปในระหว่างเรื่องราวอันยาวนานนี้


ซอกกูนีร์เป็นข้ารับใช้ของราชวงศ์ก่อนที่ชาล็อต อาเรียจะได้เกิดซะอีก และเขาก็ต้องลากสังขารออกมาช่วยราชวงศ์หลังจากที่สงครามปะทุขึ้น


นอกไปจากนี้เขาเป็นข้ารับใช้ของราชวงศ์เพียงคนเดียวที่อยู่กับราชวงศ์มาตลอดจนถึงบัดนี้


ชาล็อต อาเรียก็รู้เรื่องนี้ดี


แต่ว่าเธอได้ถูกให้รับตำแหน่งราชินีอย่างไม่เต็ม สงครามได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ที่เธอมีอายุเพียงแค่สี่ขวบเท่านั้น และเธอก็ได้ละทิ้งเมืองหลวงหนีเอาตัวรอดไปในตอนอายุแค่สิบขวบ นับตั้งแต่นั้นมาเธอก็ได้ใช้ชีวิตภายใต้การคุ้มครองจากแคมเบล อาเรียมาตลอด


เด็กสาวที่ถูกบังคับให้ต้องเผชิญหน้ากับความจริงอันโหดร้ายจะทำยังไงได้ล่ะ?


เธอต้องทุกข์ทรมานจากอาการซึมเศร้าที่ต้องเสียครอบครัวไปอยู่แล้ว ทุกๆครั้งที่ซอกกูนีร์บอกให้เธอคิดถึงตำแหน่งในฐานะราชินีหรือลองทำอะไรอย่างที่ราชาองค์ก่อน และองค์ชายคนรองทำ ความโศกเศร้าที่ไม่อาจจะอธิบายเป็นคำพูดก็จะพวยพุ่งขึ้นมา


เธอรู้ว่าข้ารับใช้ชราคนนี้ที่ขาดความยืดหยุ่นนั้นหวังดี และเธอก็รู้ว่าเขากำลังให้คำแนะนำที่มีค่ากับเธอ แต่ถึงแบบนั้นมันก็ซับซ้อนมากเกินไปและเป็นภาระกับเด็กสาวที่มีแต่คนตามใจมาทั้งชีวิตไม่อาจยอมรับได้


มีอยู่หลายต่อหลายครั้งที่เธออยากจะละทิ้งทุกๆอย่างและหนีออกไปให้ใกล้


และคนที่เข้ามาช่วยเธอเอาไว้ก็คือชาวโลก อีวาเกลีน โรส


ล็อตเต้ อาเรียเป็นคนแรกๆที่ไม่ไว้วางใจชาวโลก แต่ว่าเธอก็ค่อยๆเริ่มเปิดใจหลังจากได้เจอกับอีวาเกลีน โรส


แม้ว่าเธอจะไม่ใช่ชาวพาราไดซ์ แต่อีวาเกลีน โรสก็พยายามเต็มกำลังเพื่อทำประโยชน์ให้กับพาราไดซ์ และป้องป้องชาล็อต อาเรียจากอันตรายรอบตัว


ชาล็อต อาเรียได้คอยติดตามอีวาเกลีน โรสเหมือนกับเป็นน้องสาว มันถึงขนาดที่ทำให้เธอหลงลืมตำแหน่งราชินีไปบ่อยครั้ง และเมื่อเธอได้ยินข่าวการตายของอีวาเกลีน โรส เธอก็ยิ่งซึมเศร้าหนักกว่าเดิม


เธอไม่ยอมกินอาหารอยู่หลายวัน และเอาแต่ร้องไห้เหมือนตอนที่แคมเบล อาเรียได้จากไป


และจองซูก็เป็นคนต่อมาที่ปรากฏตัวขึ้น


ในระหว่างที่ติดตามอีวาเกลีน โรส เธอเคยเห็นชาล็อต อาเรียแค่ไม่กี่ครั้ง แต่ว่าทั้งคู่ก็ได้สนิทกันอย่างรวดเร็วด้วยการที่แต่ละคนต่างก็มีความเจ็บปวดของการสูญเสียคล้ายๆกัน


จองซูได้ให้การช่วยเหลือชาล็อต อาเรียอย่างเต็มกำลัง และชาล็อต อาเรียก็ไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีนี้เช่นกัน จริงๆแล้วเธอได้ยอมรับจองซูเข้ามาในชีวิตของเธอ


ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการเติมเต็มช่องว่างที่ว่างเปล่าและการสูญเสียที่เกิดจากการตายของอีวาเกลีน โรสแล้ว


เพราะแบบนี้จองซูก็ได้ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ของเธอเหมือนอย่างที่พ่อ แม่ พี่ชายคนรอง และอีวาเกลีนเคยทำ


แต่ว่าในตอนนี้…


“ฉันต้องขออภัยด้วยองค์ราชินี”


แม้กระทั่งจองซูก็กำลังจากไป


“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องจากไปแล้ว”


จองซูได้บอกกับราชินีหลังจากที่จัดการประชุมส่วนตัวขึ้น ชาล็อต อาเรียได้ค่อยๆหลับตาลง


“คุณพูดแบบนี้อีกแล้ว”


“ไม่ เรื่องคราวนี้มันจะไม่จบเว้นแต่ฉันจะจากไป”


“คุณบอกว่าคุณไม่ได้ทำ นั่นมันหมายความว่าคุณถูกใส่ความ”


“แต่ว่ามีเพียงท่านคนเดียวที่เชื่อในตัวฉัน ทุกๆคนต่างก็บอกว่าฉัน…”


จองซูได้ชะงักไป เธอได้เริ่มสะอื้นออกมา


“ฉันเหนื่อยแล้ว ฉันเหนื่อยกับทุกๆอย่าง”


“…”


“ฉันขอโทษองค์ราชินี ฉันอยากจะรับใช้ท่านจนถึงที่สุด แต่ว่า…”


จองซูได้พูดออกมาอย่างยากลำบาก


“ดูเหมือนว่าฉันจะกลายเป็นพี่สาวอีวาเกลีน โรสไม่ได้ ฉันรู้ตัวสายเกินไป”


จากนั้นเธอก็ยิ้มอย่างโศกเศร้า


“นี่มันน่าสนใจมาก”


น้ำเสียงเล็กๆได้ดังออกมาจากราชินี


“คุณพูดถูก คุณไม่ใช่อีวาเกลีน โรส”


จากนั้นเธอก็พูดด้วยรอยยิ้มคลุมเครือ


“เธอเป็น… เหมือนกับพี่สาวของฉัน นิสัยอันดีงาม และความจริงจังและนิ่งสงบเสมอ… สิ่งเหล่านี้ได้ทำให้ฉันนึกถึงพี่ชายคนโตของฉัน เธอเป็นคนที่ฉันเคารพจากก้นบึ้งของจิตใจ”


ดวงตาของราชินีได้หรี่ลงเมื่อเธอคิดถึงเรื่องในอดีต


“คุณก็เหมือนกัน”


“ฉัน?”


“ซู คุณกับฉันต่างก็เจ็บปวดคล้ายๆกัน”


ชาล็อต อาเรียได้ยิ้มอย่างไร้เดียงสา


“ฉันสูญเสียครอบครัวไปจากสงคราม คุณบอกว่าคุณก็สูญเสียครอบครัวไปตั้งแต่ยังเด็กใช่ไหมล่ะ?”


“…ค่ะ”


“เมื่อไหร่ที่ฉันได้ยินเรื่องของคุณ มันก็จะทำให้ฉันนึกถึงตอนฉันยังเด็ก”


“มะ ไม่ คนอย่างฉันไม่อาจจะเทียบกับสิ่งที่ท่านต้องเจอได้….”


จองซูได้ก้มหัวเราะอย่างทำอะไรไม่ถูกเหมือนเธอจะเสียใจอย่างมาก


รอยยิ้มบางๆได้ปรากฏอยู่บนใบหน้าของชาล็อต อาเรีย


“ก็จริงว่าสถานการณ์ของเรามันไม่ได้เหมือนกับเป๊ะๆ แต่ว่าฉันก็ไม่ได้อยากจะพูดว่าใครลำบากกว่ากันอยู่แล้ว สิ่งสำคัญคือไม่มีใครเข้าใจฉันแบบที่คุณเข้าใจ”


บทที่ 266 – พิธีเปิดอันงดงาม (3)


“นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ว่าซอกกูนีร์หรืออีวาเกลีน โรสก้ทำไม่ได้”


ม่านตาของจองซูได้สั่นไหวออกมา เธอดูจะปรับทับใจมากๆ


“ใช่แล้ว คุณไม่ใชอีวาเกลีน โรส แต่ว่าคุณเป็นเหมือนแม่ของฉัน”


“ราชินี…”


“มาใกล้ๆสิ”


ราชินีได้กางแขนออกไป และจองซูได้เดินเข้าไปกอดเธอราวกับรอคอยอยู่แล้ว


“หลังจากสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่เด็ก ฉันก็ต้องยืนด้วยตัวเองและเดินมาจนถึงจุดนี้ ฉันรู้สึกขอบคุณสำหรับเรื่องนี้อยู่เสมอ”


“องค์ราชินี ฉันสาบานเลยว่าฉันไม่ได้ร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตร”


“ฉันรู้ดี ฉันมั่นใจว่าคุณต้องมีเหตุผลที่ติดต่อไปหากุ๊ยพวกนั้น อีวาเกลีน โรสก็ทำเหมือนกัน ฉันรู้ว่าคุณทั้งคู่ทำเพื่อฉัน”


“ใช่แล้ว ฉันติดต่อหาพวกเขาเพื่อคอยจับตาดู และกระทั่งที่ฉันติดต่อไปหาพวกเขาเร็วๆนี้ก็เพื่อบอกให้พวกเขาอยู่นิ่งเฉยๆ”


จองวูได้ใช้โอกาสนี้อธิบายออกมา


“แต่ว่าสถานการณ์ของฉันมันซับซ้อนจนไม่มีใครเชื่อ”


ชาล็อต อาเรียได้ลูบหลังของจองซู


“ฉันมั่นใจว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด ฉันจะช่วยคุณเอง ไม่ต้องห่วงนะ”


“ฉันขอโทษ ทั้งหมดเป็นเพราะฉัน… ฉันคิดว่ามันจะง่ายกว่าหากว่า-“


“หยุด ฉันบอกให้คุณเชื่อฉัน ยังจำที่คุณทำตัวสูงส่งยิ่งใหญ่และบอกให้ฉันหยุดโศกเศร้าและพึ่งพาคุณได้ไหม? ตอนนี้มันถึงเวลาที่ฉันต้องทำเพื่อคุณบ้างแล้ว”


“ฉะ ฉันไปทำตัวสูงส่งยิ่งใหญ่ตอนไหนกัน?”


“ฉันแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง”


ชาล็อต อาเรียได้ปลอบจองซูอยู่สักพัก เมื่อฝ่ายหลังมีสีหน้าที่สดใสยิ่งขึ้น ราชินีก็ได้บอกให้เธอไปพัก และมองส่งเธอไป


หลังจากจองซูออกไปได้ไม่ถึงสิบนาทีก็มีเสียงดังขึ้นจากอีกฝั่งหนึ่งของประตู


“องค์เหนือหัว ผู้ดูแลราชวงศ์ซอกกูนีร์อยากจะเข้าเฝ้า”


เมื่อได้ยินแบบนี้สีหน้านิ่งสงบของชาล็อต อาเรียก็เปลี่ยนแปลงไป


“ฟู่วว…”


เธอได้ใช้มืออดงดงามกดหน้าผากเอาไว้ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา สีหน้าเธอดูจะไม่เต็มใจ แต่ยังไงเธอก็ต้องตอบกลับราวกับไม่มีทางเลือกอื่น


“ให้เขาเข้ามา”


***


วัลฮาลาได้จัดพิธีเปิดตัวขึ้นในทันทีที่ทำการลงทะเบียนองค์กรสำเร็จ


คิมฮันนาห์ได้บอกว่าจุดประสงค์ในพิธีนี้คือการประกาศออกไปว่า ‘อีวาเป็นของเรากับซันเหอ’ แต่ภายนอกแล้วมันเป็นเหตุการณ์เรียบง่ายที่บอกกับโลกว่า ‘พวกเราคือองค์กร’


แน่นอนว่ามันก็มีนัยยะสำคัญเช่นเดียวกัน พิธีนี้ก็เป็นโอกาสที่สมาชิกขององค์กรใหม่ได้เริ่มต้นด้วยกัน


แม้ว่ามันจะเป็นคำที่ดูยิ่งใหญ่ แต่จริงๆแล้วพิธีเปิดตัวเป็นการรวมตัวสมาชิกเพื่อพูดว่า ‘เรามาร่วมงานกันเถอะ’


ก่อนที่จะจัดพิธีเปิดตัว คิมฮันนาห์ก็ได้วาดสัญลักษณ์ประจำวัลฮาลา – เป็นภาพวาดที่มีหอกสีขาวและโล่ไขว้กันอยู่ ซึ่งซอลจีฮูชอบมันมาก


พูดตามตรงแล้วซอลจีฮูกังวลว่าคนอื่นๆจะไม่รู้เรื่องพิธีนี้ แต่ความกังวลของเขากลับเก้อไป


-ยินดีด้วย! ในที่สุดนายก็สร้างองค์กรแล้ว!


“ถึงมันจะสายไปหน่อย แต่ก็เกิดขึ้นแล้ว”


-ฉันได้ยินมานะ ฉันมีหลายคำถามที่อยากจะถามนายนะ แต่ว่าอย่างแรกเลยนายได้เจอกับชาล็อต อาเรียหรือยัง?


“ไม่ ยังไม่เจอเลย”


-ฟุฟุฟุ เธอเป็นคนที่รับมือได้ยากอยู่นะ


เขาได้รับการติดต่อมาจากเทเรซ่า ฮัสเซย์จากฮารามาร์คเป็นคนแรก


-ฉันได้ยินถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วนะ นี่นายก่อสงครามตั้งแต่วันแรกจริงๆหรอ?


“นั่นมันเกิดขึ้นไปแล้ว…”


-น่าเสียดาย ฉันน่าจะฟังแอ็กเนส เหยี่ยวสงครามแบบนายน่าจะมาอยู่กับเราจริงๆ


“คุณแอ็กเนสสบายดีไหมครับ?”


-เธอดูจะไม่ค่อยพอใจที่นายจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ


“อ่า”


ทาเซียน่า ซินเซียก็ยังติดต่อมาแสดงความยินดีกับเขาเช่นกัน


ฮ่าวอวิ่นจากซันเหอกับคาซุกิก็ยังมาหาเขาเป็นการส่วนตัวเพราะพวกเขาอยู่ในเมืองเดียวกัน และกระทั่งตัวแทนของกลุ่มพ่อค้าดงชุนก็ยังมาเยี่ยมพวกเขา


“ว่างาย~ สวัสดี”


“ยินดีต้อนรับ”


“โย่วๆ คนแบบผมเข้าไปได้ไหมเนี้ย….”


“ได้สิ เข้ามาเลย เอาอาหารหน่อยไหม”


“โอ้ ขอบคุณมาก ถ้างั้นก็ไม่เกรงใจแล้วนะ… ฮ่าฮ่า!”


ปาร์คดงชุนได้ถูมือเข้าด้วยกันพร้อมพูดคุยอย่างสุภาพ จากนั้นเขาก็เริ่มหอบหนักเพราะต้องขึ้นไปที่โรงอาหารชั้น 10


“ฮ่าห์ ฮ่าห์!”


หลังจากเดินขึ้นบันไดอย่างยากลำบากแล้ว เขาก็วางกระเป๋าใบใหญ่ลง และสูดหายใจลึก


“ขะ ขออภัยด้วย… เรี่ยวแรงของผมไม่ค่อยดี…”


เขาได้พยายามสงบลมหายใจก่อนจะถอนหายใจออกมา


“หืม… ไม่เป็นไร-“


อะแฮ่ม หลังจากกระแอ่มออกมา เขาก็ได้ปลดสายคล้องกระเปาที่เขามาด้วย จากนั้นเขาก็หยิบกล่องใบเล็กๆออกมาวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะส่งให้กับซอลจีฮูด้วยความเคารพ


“นี่เป็นของขวัญจากผมสำหรับตัวแทนซอลเพื่อแสดงความยินดีกับการก่อตั้งวัลฮาลา”


“ของขวัญ?”


“อ๊า ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรอกครับ มันก็แค่ของแสดงความจริงใจเล็กๆน้อยๆ มันไม่ได้มีอะไรมากจริงๆ เพราะงั้นผมหวังว่าคุณคงจะไม่รู้สึกไม่สบายใจนะ คุณลองดูก็ได้นะ ผมพูดจริง!”


ซอลจีฮูได้มองลงไปบนกล่องไม้หรูหราที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ


“บุหรี่?”


ภายในกล่องมีบุหรี่บรรจุเอาไว้หลายสิบมวน


“คุณคงเคยได้ยินว่ามีบุหรี่ที่ดีต่อสุขภาพด้วยใช่ไหม?”


ปาร์คดงชุนได้พูดออกมาอย่างมั่นใจ


“หุหุ บุหรี่พวกนี้เป็นความภาคภูมิใจของกลุ่มพ่อค้าดงชุนเลยล่ะ พวกเรายังไม่ได้เริ่มขายมัน แต่ว่าพวกเราก็มั่นใจว่าพวกมันจะต้องตีตลาดได้อย่างแน่นอน!”


“โอ้? มีบุหรี่ที่ดีกับร่างกายด้วยงั้นหรอ?”


“นี่เป็นเรื่องจริง คุณเห็นหญ้าแห้งข้างในไหม? มันจะเปล่งประกายแวววาวออกมาเมื่อต้องแสงจันทร์อ่อนๆ มันไม่ใช่ยาสูบหรกอนะครับ แต่เป็นใบแสงจันทร์ มันเป็นใบไม้หายากที่หาได้เฉพาะในพาราไดซ์เท่านั้น”


ปาร์คดงชุนได้อธิบายยาวออกมาจนทำให้ซอลจีฮูสนใจ


บุหรี่ที่ดีกับร่างกาย? สำหรับสิงควันบุหรี่แล้ว นี่มันคือบุหรี่ในฝันของพวกเขาเลย


“หากว่านายเอาของพวกนี้ไปที่โลก บุหรี่พวกนี้ตีตลาดแตกแน่ๆ ฉันมั่นใจได้เลยในทันที”


“ใช่ครับๆ แต่ว่าใบแสงจันทร์มันหาได้ยากในอาณาเขตของมนุษยชาติ…”


ปาร์คดงชุนได้เกาหัวพร้อมเม้มปาก มันดูเหมือนเขาจะอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่เลือกเงียบไว้


ซอลจีฮูได้ปิดกล่องลง ของขวัญแบบนี้น่าจะรับมาไว้ได้


“ขอบคุณมาก”


“โอ้~ ไม่เลยครับ ไว้ลองค่อยช่วยบอกให้ผมรู้หน่อยนะครับว่าคุณคิดยังไงกับมัน”


ปาร์คดงชุนได้หัวเราะแห้งๆออกมาก่อนที่จะหยิบของอีกอย่างพร้อมพูด “แล้วก็ยังมี-“


ในคราวนี้เป็นพัสดุขนาดใหญ่


“ช่วยรับสิ่งนี้เอาไว้ด้วย”


“?”


“มันก็ไม่ได้มากอะไร แต่เป็นแค่เครื่องเซ่นที่เต็มไปด้วยพลังแห่งเทพ”


ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้น


“เครื่องเซ่น?”


“คะ ครับ ผมได้ยินข่าวลือ… ผมหวังว่ามันจะช่วยได้… ฮิฮิ!”


ตอนแรกซอลจีฮูคิดที่จะปฏิเสธของขวัญนี้ แต่ว่ามันยากที่จะทำแบบนั้นเพราะสถานการณ์ของซอยูฮุย หากว่าเป็นเรื่องของเครื่องเซ่น เขาก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่จะเรื่องมากได้


‘คะ คนๆนี้… ค่อนข้างจะฉลาดเลย’


ยังไม่หมดเท่านั้น ปาร์คดงชุนพูดอยู่เสมอว่าไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่ว่าเขาก็ยังเอาของขวัญมาให้อีก เขาได้เอาของขวัญมาให้สมาชิกวัลฮาลาทุกๆคน ยกเว้นก็แต่โฟลนเท่านั้น เขาถึงขนาดเอาอาหารคุณภาพสูงมาให้กับลูกเจี๊ยบอีกด้วย


ซอลจีฮูได้หัวเราะออกมาโดยที่ไม่รู้ว่าควรจะมีความสุขหรืออึดอัดกันแน่ แน่นอนเขารู้ว่าทำไมปาร์คดงชุนถึงทำแบบนี้ ปาร์คดงชุนกำลังสร้างความประทับใจให้กับเขาอยู่


จากที่คิมฮันนาห์ได้บอกกับเขา ปาร์คดงชุนเป็นคนที่ให้คำใบ้เรื่องการลอบโจมตีของกลุ่มพันธมิตรอีวากับพวกเขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้บอกทุกๆอย่างออกมา แต่ว่าแค่คำใบ้ก็ชัดเจนบอกให้เข้าใจแล้ว


จะยังไงนี่ก็นับเป็นผลงาน


นอกไปจากนี้ในคืนเหตุการณ์ลอบโจมตี กลุ่มพ่อค้าดงชุนกับเรดฮวารุก็ได้ปฏิเสธที่จะเคลื่อนไหวตามคำขอของกลุ่มพันธมิตร และในตอนนี้กลุ่มพันธมิตรก็ไม่ได้มีอยู่อีกต่อไป และแม้กระทั่งองค์กรอีวาเกลีนก็กำลังอยู่ในกระบวนการทำลายตัวเอง


มีเพียงแค่กลุ่มพ่อค้าดงชุนกับเรดฮวารุเท่านั้นที่ยังปกติดี


‘เขาคงจะกังวลอยู่’


พูดตามตรงแล้ววัลฮาลาสามารถจะจัดการสององค์กรนี้ได้ง่ายๆด้วยการดึงพวกเขาไปรวมกับกลุ่มพันธมิตรที่เหลือ แต่ว่าคิมฮันนาห์ก็บอกว่าให้ปล่อยพวกเขาเอาไว้ก่อน


กลุ่มพ่อค้าภายในเมืองคือสิ่งสำคัญในเวลาฉุกเฉิน และเธอบอกว่าพ่อค้ามากพรสวรรค์อย่างปาร์คดงชุนนั้นหาได้ยาก


‘ตอนนี้มาคิดดูแล้ว คุณคาซุกิก็ชมปาร์คดงชุนด้วยเหมือนกัน’


พูดตามจริงแล้งซอลจีฮูก็ไม่ได้คิดจะทำลายอีกสององค์กรที่เหลือ แต่ว่านั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปล่อยสององค์กรไปเฉยๆ


หากว่าทั้งสององค์กรยอมละทิ้งผลประโยชน์ที่ได้รับ และยอมถอยกลับไปในที่ของตัวเอง เขาก็พร้อมที่จะปล่อยพวกเขาเอาไว้ แต่แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องสัญญาจะทำตามกฎของวัลฮาลาด้วย


“โอ้ จริงสิ ฉันได้ยินมาจากคิมฮันนาห์แล้วนะ”


“โอ้ โอ้ นั่นมันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยครับ… ยอดเยี่ยม! พวกคุณยอดเยี่ยมมากจริงๆ! ผมรู้สึกเกลียดเจ้าพวกเศษสวะนั่นมาตลอด คุณคงไม่รู้หรอกว่าผมยินดีแค่ไหนเมื่อได้ยินว่าพวกเขาทั้งหมดถูกจัดการลง!”


ปาร์คดงชุนได้ปรบมือพูดออกมาอย่างตื่นเต้น


นั่นไม่ใช่พันธมิตรของนายหรอกหรอ? ซอลจีฮูได้หัวเราะในใจก่อนจะพูดต่อ


“ฉันชอบคนที่รักษาสัญญา”


“อะไรนะครับ?”


ปาร์คดงชุนได้กระพริบตาออกมา


“ฉันเคยให้นายสัญญากับฉันตอนอยู่ที่เขตพรมแดนจำได้ไหม? ฉันเพิ่งได้อ่านรายงานจากคิมฮันนาห์ มันดูเหมือนว่านายได้รักษาสัญญาจริงๆ”


“อ่อ… ฮ่าฮ่า! แน่นอนสิครับ คุณคิดว่าผมคือใครกัน? ผมคือคนที่มีสมอง! ไม่สิ ผมเป็นคนที่เชื่อถือได้ ปาร์คผู้สัญญา! การจะเป็นพ่อค้าได้เราก็จะต้องรักษาสัญญากับลูกค้าอยู่เสมอ!”


ซอลจีฮูได้ยิ้มกับคำโม้ของปาร์คดงชุน จากนั้นก็พูดออกมา


“ฉันก็อยากจะคุยกับนายเร็วๆนะ แต่คงไม่ใช่วันนี้ แล้วก็อยากจะคุยกับคุณโร๊กจากเรดฮวารุด้วยเหมือนกัน เหตุการณ์ครั้งก่อนพวกนายทั้งคู่ได้ช่วยเราเอาไว้ ฉันอยากจะขอบคุณพวกนายทั้งคู่สักหน่อย”


ปาร์คดงชุนไม่ได้โง่จนไม่เข้าใจความหมายนี้ สีหน้าของเขาได้สดใสขึ้นในทันที


“ขอบคุณครับ! ขอบคุณมาก!”


เขาได้ก้มโค้งอยู่อย่างสุภาพก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาด้วยรอยยิ้มอบอุ่น


“อ่า พูดไปแล้ว… ผมขอพาอีกคนหนึ่งมาด้วยได้ไหม?”


“ใครหรอ?”


“หญิงสาวที่ชื่อชินซังอา คุณรู้จักเธอไหม?”


ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้น ในคราวนี้เขาตกใจจริงๆ เขาไม่คิดเลยว่าจะได้ยินชื่อนี้จากปาร์คดงชุน


ชินซังอา เธอกับซอลจีฮูเป็นคนจากพื้นที่เดียวกัน และพวกเขาก็ได้เจอกันระหว่างพื้นที่ฝึกสอน ซอลจีฮูได้รู้จักเธอผ่านการที่เขาได้หยุดคังซอกไม่ให้ทำร้ายเธอ


จากที่เขาจำได้หลังจากพิธีปลุกพลังเธอก็ได้กลายเป็นนักบวชจนนำไปสู่อนาคตที่สดใส


“ใช่ ฉันรู้จักเธอ เป็นคุณชินซังอาที่ฉันรู้จักจริงๆสินะ?”


“แน่นอนสิครับ เราก็คิดว่ามันบังเอิญมากเหมือนกัน นั่นเพราะลูกน้องของผมเอาแต่ขอร้องให้ผมทำอะไรกับปากของเธอ…”


“ปาก?”


“มะ ไม่มีอะไรหรอก ยังไงก็ตามหากคุณไม่ว่าอะไร ผมก็จะขอพาเธอมาด้วย… ซังอาเองก็อยากจะเจอคุณเหมือนกัน”


“ได้สิ ไม่มีปัญหา ฉันก็อยากจะเจอเธอเหมือนกัน”


เขากำลังสนใจเรื่องของเพื่อนจากเขตพื้นที่เป็นกลางอยู่เลย เพราะงั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ปฏิเสธ


“คุณซังอาสบายดีไหม?”


“ครับ เธอสบายดี สบายมากเลยด้วย เพียงแต่ว่าหากเราทำอะไรกับปากของเธอได้…”


“ก่อนหน้านี้นายก็พูดแบบนี้นี่ นั่นมันหมายถึงอะไรงั้นหรอ?”


“ตอนแรกผมก็สงสัยว่ามันแย่ขนาดไหนถึงทำให้คนอื่นต้องไม่พอใจ… เอาเถอะนะ การที่เธออธิบายรายละเอียดก็เป็นเรื่องดี มันดีเลยล่ะ แต่ว่าทุกๆครั้งที่มีคนถามอะไรกับเธอ เธอก็จะเอาแต่เริ่มพูดว่า ‘นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างการฝึกสอน…”


คำถามง่ายๆของซอลจีฮูได้เปลี่ยนให้ปาร์คดงชุนพูดจาโผงผ่างออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่ว่าบรรยากาศการพูดของเขาก็ดูสดใส


จากนั้นเอง ขณะที่ซอลจีฮูกำลังฟังเรื่องราวของชินซังอาอย่างมีความสุขก็ได้มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง


“หัวหน้า”


มาแชล จิโอเนียได้เดินเข้ามากระซิบหูเขา


“หัวหน้าต้องรีบลงไปข้างล่างเดี๋ยวนี้เลย”


“หืม? มีอะไรงั้นหรอ?”


“ที่ล็อบบี้มีปัญหาอยู่ครับ”


น้ำเสียงของมาแชล จิโอเนียดูจะค่อนข้างจริงจัง ซอลจีฮูได้แต่เอียงหัวออกมา ไม่ใช่ว่าคิมฮันนาห์อยู่ที่ล็อบบี้หรอ? ในเมื่อเธอเป็นคนคอยนำทางผู้ที่เข้าร่วมพิธีเปิดตัวก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่นา


ซอลจีฮูได้หันไปหาปาร์คดงชุน ฝ่ายหลังคงจะพอจับสัญญาณได้ทำให้เขาพยักหน้า และพูดออกมา


“โอ้ ผมคงต้องอยู่ที่นี่ไปอีกสักพัก ไม่เป็นไรหรอกครับ เชิญไปต้อนรับแขกคนอื่นได้เลย!”


“โอเค ระหว่างรอก็ทำตัวตามสบายเลยนะ”


“ครับๆ ไว้ระหว่างนั้นผมก็จะแนะนำตัวกับทุกๆคนด้วย…”


ปาร์คดงชุนได้มองซ้ายขวาด้วยดวงตาเป็นประกาย


ซอลจีฮูได้รีบลุกขึ้นยืน ในทันทีที่เขาเดินไปที่บันได มาแชล จิโอเนียก็ตามหลังเขามา


“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรอ?”


“ผมก็ไม่มั่นใจ แต่คุณคิมฮันนาห์ดูจะผงะไปเลย”


คิมฮันนาห์ผงะ? ไม่อยากจะเชื่อเลย


“ราชินีอีวามางั้นหรอ? หรือว่าเป็นตัวแทนของอีวาเกลีนกันล่ะ?”


“ไม่ใช่ทั้งคู่ครับ แต่ว่า…”


ในตอนนั้นเองพวกเขาก็ได้มาถึงที่ชั้นหนึ่ง หซอลจีฮูได้มองไปรอบๆที่ชั้นหนึ่งก่อนที่จะเดินลงไป


“…”


เขาเห็นผู้คนนับสิบกำลังยืนมองอยู่ที่ประตูทางเข้า


‘นั่น…’


ซอลจีฮูได้หรี่ตาลง เขารีบเดินลงไปทันทีที่เห็นแผ่นหลังของคิมฮันนาห์ ภายนอกของเธอดูปกติดี แต่ว่าตัวเธอแข็งทื่อเหมือนกับเป็นกบที่อยู่ต่อหน้างู


ไม่นานนะ…


“เอ๋?”


เมื่อเขาได้เดินไปหาเธอ เขาก็มองเห็นร่างที่อยู่เยื้องไปทางขวาของคิมฮันนาห์


“เขามาแล้ว”


หญิงสาวได้เอียงหน้ามาเล็กน้อยโดยที่ยังไขว้มืออยู่ด้านหลัง


ซอลจีฮูได้หยุดลงโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าของหญิงสาวดูคุ้นๆ


เธอมีความงดงามอันเปล่งประกายเจิดจ้า และหลังจากที่เห็นซอลจีฮู


“สวัสดีค่ะ!”


…เธอได้ยิ้มเบิกบานและตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงสดใสชัดเจน


บทที่ 267 – พิธีเปิดอันงดงาม (4)


ซอลจีฮูคิดว่าตัวเองมองผิดไปอยู่ครู่หนึ่ง


‘คนๆนี้’


เขารู้จักเธอ จริงๆแล้วเขาก็เคยเจอเธอและกระทั่งเคยคุยกันแล้วด้วย แต่ว่าเป็นบนโลกไม่ใช่ที่พาราไดซ์


“นี่เป็นครั้งที่สองแล้วใช่ไหม?”


หญิงสาวคนนี้คือคนที่จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นที่ร้านกาแฟในตอนที่เขานัดเจอกับพี่ชาย เธอคือผู้บริหารของซินยอง ยุนซอฮุย


‘อ่า’


ในที่สุดแล้วคิมฮันนาห์ที่ยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นก็ได้สติกลับมา


“โอ้ ฉันกำลังทำอะไรอยู่กัน? ต้องขออัยด้วย ฉันแค่ตกใจเกินไปหน่อย”


เธอได้รีบตั้งสติและแทรกขึ้นมา


“ไม่เจอกันนานเลยนะผู้จัดการคิม… อ่า ต้องขออภัย คุณคิมฮันนาห์”


ยุนซอฮุยได้ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน


“ฉันกำลังจะถามอยู่เลยว่าคุณสบายดีไหม แต่ดูจากสีหน้าคุณเหมือนฉันจะไม่ต้องห่วงแล้วสินะ ฉันเป็นห่วงคุณจริงๆนะ”


โอ้ งั้นหรอ?


“ต้องขออภัยที่ทำให้ผู้อำนวยการยุนต้องเป็นห่วง… ขอบคุณสำหรับความหวังดีนะคะ”


ยัยนี่ ฉันไม่หลงคารมของเธอหรอกนะ


“แต่ฉันตกใจมากเลยจริงๆ ฉันไม่เคยคิดว่าเลยซินยองจะมาในพิธีเปิดตัวของเรา”


เธอมาทำบ้าอะไรที่นี่?


“พูดตามตรงแล้ว ฉันก็คิดอยู่ว่าจะมาได้ไหม แต่ซอราก็เอาแต่ขออยู่ตลอด เพราะงั้นฉันถึงได้ตัดสินใจน่ะ”


บทสนทนาที่ควรจะเต็มไปด้วยคำสบถได้กลายเป็นภาษาอันงดงาม


คิมฮันนาห์ได้กัดริมฝีปากเบาๆ เธอคิดว่ายุนซอฮุยจะพูดถึงเรื่องที่ซอลจีฮูอยู่ในสังกัดซินยองบนโลก แต่เพราะเธอไม่คิดว่ายุนซอฮุยจะพูดถึงยุนซอราทำให้เธอไม่มั่นใจว่าจะพูดอะไรต่อดี


“อ่า แต่ว่าฉันไม่เห็นผู้จัดการยุนเลยนี่นา”


“เธอกำลังจะมากับฉัน แต่ก็มีเรื่องเกิดขึ้นก่อน คุณน่าจะได้เห็นว่าเธอเสียใจขนาดไหนกัน แม้แต่ฉันก็เริ่มรู้สึกแย่เลยล่ะ”


ยุนซอฮุยได้ใช้ข้ออ้างอันน่าเชื่อถือก่อนจะขออนุญาตตรงๆ


“ฉันเข้าไปได้ไหม?”


“ได้สิค่ะ”


ในตอนนี้เองซอลจีฮูก็แทรกเข้ามา


“ขอบคุณที่มานะครับ เชิญได้เลย”


“ขอบคุณมาก!”


ยุนซอฮุยได้ทักทายอย่างอ่อนหวานด้วยรอยยิ้มอันงดงาม จากนั้นเธอก็รีบเข้าไปข้างใน


ซอลจีฮูได้หลุดอุทานออกมา เธอได้ปล่อยให้ยุนซอฮุยยืนนานเกินไปแล้ว


ซินยองคือองค์กรอันดับหนึ่งในพาราไดซ์ที่ถูกยอมรับโดยสาธารณะชน หากว่าพวกเขาไม่ได้เป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน พวกเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะไล่เธอออกไปทั้งๆที่เธอเดินทางมาไกลถึงที่นี่


แน่นอนว่าเธอก็สามารถจะถามเหตุผลจากยุนซอฮุยได้เช่นกัน แต่ว่ายุนซอฮุยก็มีคำอธิบายที่ดี ความสัมพันธ์ในอดีตก็ยังเป็นความสัมพันธ์อยูู่ดี


หากว่าไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่ทำให้วัลฮาลากับซินยองขัดแย้งกันจริงๆ การจะรักษาความสัมพันธ์อันดีไว้จาก ‘ภายนอก’ มันก็ไม่ได้มีข้อเสียอะไร


ในปัจจุบันทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ใช่ทั้งมิตรหรือศัตรู นั่นก็เพราะว่าตัวแทนของวัลฮาลาคือซอลจีฮู ไม่ใช่คิมฮันนาห์


คิมฮันนาห์ก็ยอมรับ ในคราวนี้ซอลจีฮูตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว


คิมฮันนาห์ได้ฝากให้มาแชล จิโอเนียต้อนรับแขกที่ชั้นหนึ่งต่อ และตามซอลจีฮูกับยุนซอฮุยขึ้นไปที่ชั้นบน เมื่อทุกๆคนในงานได้เห็นแขกคนใหม่ก็ทำให้ทั้งโรงอาหารเงียบลงไปในทันที


มันไม่ใช่แค่โรงอาหารเท่านั้น ทั่วทั้งชั้นสิบได้เงียบกริบ สายตาของทุกๆคนได้จับจ้องมาที่ยุนซอฮุย แต่ว่าเธอก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแม้แต่นิด แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอมีความสุขกับการถูกบอก


“ฉันขอกล่าวทักทายได้ไหมคะ?”


หลังจากขออนุญาตกับซอลจีฮูแล้ว ยุนซอฮุยก็เดินตรงไปข้างหน้าระหว่างโต๊ะโรงอาหารอย่างสง่างาม ไม่นานนักเธอก็ได้ไปหยุดอยู่ตรงหน้าที่มีชายชรานั่งอยู่ ก่อนจะก้มหัวคำนับด้วยความเคารพ


เมื่อเธอโน้มตัวลง เส้นผมผิวไสวของเธอก็ไหลลงมาจากรอบคอทำให้เธอดูเหมือนหญิงงามที่ออกมาจากภาพวาด


“สวัสดีค่ะ เป็นเกียรติมากที่ได้พบคุณ”


จางมัลดงได้กระพริบตานิ่งๆออกมาอยู่หลายครั้ง ยุนซอฮุยได้ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาแนะนำตัวเอง


“ดิฉันคือยุนซอฮุยจากซินยองค่ะ”


เมื่อเธอเผยตัวตนออกมา คาซุกิที่นั่งออยู่บนโต๊ะเงียบๆก็ขมวดคิ้วออกมาราวกับสงสัยในสิ่งที่ได้ยิน


ปาร์คดงชุนที่กำลังทำความรู้จักกับฮ่าวอวิ่นอยู่ก็ยังหันมามองด้วยความตกตะลึง


นี่เป็นเรื่องธรรมดา ยุนซอฮุยเป็นผู้ถูกเลือกเป็นตัวแทนของซินยองคนถัดไป การที่คนในตำแหน่งแบบนี้ได้มาพิธีเปิดตัวของวัลฮาลาต้องไม่ใช่เรื่องเล่นๆอย่างแน่นอน


“อ่า งั้นนี่ก็คือตัวแทนในอนาคตของซินยองสินะ”


จางมัลดงได้ตอบกลับมาอย่างสงบ


“ถึงมันจะนานมาแล้ว แต่ฉันก็จำได้ว่าเคยได้ยินชื่อคุณจากยุนซอจินอยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็ได้เจอกันสักทีนะ”


“เป็นเกียรติที่คุณยังจำฉันได้ค่ะ ฉันเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับอาจารย์จางจากประธานของเรามาเยอะเลยค่ะ”


“ยุนซอจินพูดถึงฉันด้วยหรอ?”


“คุณพ่อไม่ได้เข้ามาที่นี่หลายปีแล้ว แต่ว่าช่วงนี้ท่านก็มักจะรำลึกถึงอดีตอยู่บ่อย”


น้ำเสียงของเธอแตกต่างไปจากตอนที่อยู่ชั้นที่หนึ่งอย่างสิ้นเชิง มันเป็นเสียงของหัวหน้า แต่ว่าก็ไม่ได้มีความยิ่งยโส และสุภาพแต่ก็ไม่อ่อนข้อ


ซอลจีฮูรู้สึกชื่นชมในความสามารถของการควบคุมอารมณ์ในคำพูดของเธอมากจริงๆ


“นี่มันยิ่งยากจะเชื่อนะ ตาเฒ่านั่นเกลียดการรำลึกถึงอดีต”


“คนเราเมื่อแก่ตัวไปก็เปลี่ยนแปลงกันได้ค่ะ แม้ว่าท่านจะยังสุภาพดีมากก็ตาม”


จางมัลดงได้พยักหน้าออกมา


“อืมม ยังไงก็ขอบคุณที่มานะ ในเมื่อคุณมาแล้วก็เชิญตามสบายนะ”


“ขอบคุณค่ะ ฉันรู้สึกยินดีมากที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณ”


“ฝากทักทายประธานยุนแทนฉันด้วยนะ”


“ได้เลยค่ะ คุณพ่อจะต้องมีความสุขมากแน่ๆ”


ยุนซอฮุยได้ตอบกลับอย่างสุภาพก่อนจะก้าวถอยออกมา และหันหน้าไป


จากนั้นซอลจีฮูก็ได้พาเธอไปที่ที่นั่ง ขณะที่เขากำลังคิดว่าจะพูดอะไร ยุนซอฮุยก็เป็นคนแรกที่ทำลายความอึดอัดออกมา


“ฉันมั่นใจว่าคุณคงเบื่อที่จะฟังแล้ว แต่ว่าฉันขอพูดอีกครั้งแล้วกัน ขอแสดงความยินดีด้วยที่ได้ก่อตั้งองค์กรอย่างเป็นทางการ”


“ขอบคุณครับ”


“ในตอนแรกที่ได้ยินข่าวฉันตกใจมาก คุณสามารถจะเปลี่ยนทีมให้กลายมาเป็นองค์กรในเวลาอันสั้นได้ยังไงกัน? ฉันรู้นะว่ามันหยาบคาย แต่ฉันอยากรู้มากจริงๆ”


“ก็นะ พวกเราได้เจอความลำบากมากมายตั้งแต่เริ่มเลย ผมคิดว่าความทุ่มเทของสมาชิกในทีมทุกๆคนทำให้มันเป็นไปได้ โดยเฉพาะคิมฮันนาห์เป็นส่วนสำคัญที่ขาดไปไมได้เลย”


ซอลจีฮูได้ตอบอย่างถ่อมตัว


“ฉันเข้าใจแล้ว ผู้จัดการคิมเป็นคนมีความสามารถ… อ่า ต้องขออภัย คุณคิมฮันนาห์น่ะ ฉันชินกับการเรียกเธอแบบนี้มานานหลายปี คุณก็น่าจะรู้ว่าการแก้นิสัยติดตัวมันยาก”


เธอได้ยกมือขึ้นปิดปากระหว่างพูด และจากนั้นก็ทำสีหน้าลำบากใจออกมา หากเป็นคนอื่นทำคงดูไม่เป็นธรรมชาติและหลอกลวง แต่ว่ากับยุนซอฮุยแล้วกลับดูสง่างามแปลกๆ


“ฉันได้ยินมาว่าองค์กรของคุณชื่อวัลฮาลา”


“ครับ”


“วัลฮาลาสินะ เป็นชื่อที่เพราะมาก มันมีความหมายยังไงงั้นหรอ?”


ยุนซอฮุยได้ถามออกมาพร้อมเหลือบมามองซอลจีฮูที่อยู่ด้านข้าง นี่เป็นคำถามตามปกติที่ดูไม่แปลกเลย แต่จู่ๆ…


[ก้มหัวเล็กน้อย แล้วก็อย่าเกร็งดวงตาด้วย พยายามอย่าแสดงสีหน้าออกมาให้มากที่สุด]


[ใบหน้า สีหน้า การมอง ท่าทาง รูปลักษณ์ และแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ… มันมีคนที่สามารถจะใช้ข้อมูลเล็กน้อยเหล่านี้ไปคาดเดาพฤติกรรมของคนเราได้อยู่]


คำแนะนำของแอ็กเนสได้หวนเข้ามาในหัวของเขา เขาได้เงียบอยู่พักหนึ่งก่อนพูดออกมา


“มันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรหรอกครับ จริงๆแล้วผมก็ถูกบังคับให้ต้องใช้ชื่อนี้”


“คุณถูกบังคับ?”


“ผมอยากจะใช้อีกชื่อหนึ่ง แต่ว่าคนอื่นเอาแต่ปฏิเสธอย่างหนักเลย”


ซอลจีฮูได้เม้มปากพร้อมทั้งแสดงสีหน้าโศกเศร้า


“ผมทำอะไรไม่ได้ แค่คิดก็ทำให้ผมเศร้าแล้ว”


“คุณคงจะเศร้ามากเลยสินะ แล้วชื่อที่คุณอยากจะใช้คืออะไรหรอ?”


ซอยูฮุยได้ปลอบเขาอย่างสุภาพก่อนจะถามออกมาด้วยดวงตาเป็นประกาย


ซอลจีฮูได้หยักไหล่พูดออกมา


“เวนิ เวดิ เวซิ”


“…อะไรนะคะ?”


หน้าผากของยุนซอฮุยได้ย่นออกมาเป็นครั้งแรก


“ข้ามา ข้าเห็น ข้าพิชิต นี่เป็นคำพูดของจูเรียส ซีซ่า”


“ฉันรู้ค่ะ แต่ว่า… คุณอยากจะใช้ชื่อนี้เป็นชื่อขององค์กรหรอคะ?”


“ใช่แล้ว ผมคิดว่ามันเป็นชื่อที่มีความหมายดีมากแท้ๆ แต่ทุกๆคนเอาแต่หัวเราะก่อนที่จะได้ฟังความหมายซะอีก”


“อ่า”


“มันก็ไม่ได้แย่เลยใช่ไหมครับ ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทุกๆคนถึงคิดว่ามันตลก”


ซอลจีฮูได้พูดออกมาเพื่อหาคนสนับสนุน


“…”


ในตอนแรกยุนซอฮุยคิดว่าเป็นเรื่องตลก แต่ว่ามันไม่ใช่ เธอก็อยากจะหัวเราะออกมาอย่างมีมารยาท แต่ยังไงก็ตาม…


“คุณคิดยังไงกับ?”


สีหน้าของซอลจีฮูเคร่งขรึมเอามากๆ ยุนซอฮุยได้แต่กระพริบตาออกมา


‘เอ๋?’ เธอดูจะลำบากใจกับอะไรสักอย่างอยู่นะ


“ค่ะ อืมม…”


เธออยากจะปฏิเสธที่จะยอมรับว่าเขาพูดเรื่องแบบนี้อย่างจริงจัง แต่ว่าตัดสินจากสีหน้าแล้วมันไม่ใช่เลย


ไม่ว่าเธอจะพยายามหาวิธีพูดให้ดียังไง เธอก็คิดได้แค่ว่า ‘ชื่อนั้นมันแปลกไปหน่อย…’ แต่เธอก็รู้สึกอย่างรุนแรงว่าหากพูดออกไปซอลจีฮูก็จะต้องรักษาระยะห่างไปจากเธอแน่


“ฉะ ฉันคิดว่ามันเป็นชื่อที่มีเอกลักษณ์มากๆเลย…”


เธอได้หัวเราะแหะๆออกมา และฝืนตอบกลับไป


“ใช่ไหมล่ะ? มันเยี่ยมไปเลยใช่ไหม?”


แต่ว่าซอลจีฮูก็ได้ถามออกมาอีกครั้ง เขาดูจะยืนกรานอยากได้ยินคำตอบชั้นๆ ยุนซอฮุยได้หลบสายตาออกไปโดยไม่รู้ตัว


‘ฉะ ฉันควรจะตอบกลับไปยังไงดีล่ะ?’


นี่มันเป็นครั้งที่สองในชีวิตเธอที่ได้ยินคำถามที่คลุมเครือแบบนี้ ครั้งแรกมันก็คือในตอนที่เธอได้เจอกับผู้บริหารของสถาบันวิจัยเฮซอล


“กึก”


ทันใดนั้นเองเสียงหัวเราะเบาๆได้ดังออกมา


มีใครมาช่วยฉันงั้นหรอ? เมื่อหันไปมองด้วยสีหน้าสดใส ใบหน้าของเธอก็ต้องกระตุกอยู่เบาๆ


ซอยูฮุยกำลังเดินเข้ามาพร้อมจานกลมในมือแต่ละข้าง สีหน้าของยุนซอฮุยได้มืดลง


“…เฮ้” ยุนซอฮุยได้กล่าวทักทายเธอออกมาก่อน “ไม่เจอกันนานนะ”


“อืม สวัสดี” ซอยูฮุยได้ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม แต่ก็ท่านั้น ซอยูฮุยได้วางจานลง จากนั้นก็หายเข้าไปในห้องครัวโดยไม่พูดอะไรอีก


ในเวลาสั้นๆซอลจีฮูสัมผัสได้ถึงสายลมอันเย็นชาระหว่างทั้งสองคน


‘พวกเธอรู้จักกัน?’


ถ้าไม่ใช่แบบนั้นแล้วพวกเธอก็คงไม่กล่าวทักทายกันอย่างเป็นกันเองแน่ แน่นอนว่าซอยูฮุยอาจจะอยากปล่อยให้ตัวแทนทั้งสองคนคุยกัน แต่การกระทำของเธอมันก็แปลกจริงๆ


ในตลอดเวลาระหว่างวางจานลงไป ซอยูฮุยไม่ได้มองมาที่ยุนซอฮุยเลยสักนิด ตอนที่ตอบคำทักทายก็เช่นเดียวกัน พวกเธอให้ความรู้สึกเหมือนสนิทกันมาก่อน แต่ก็ต้องหยุดเจอหน้ากันหลังจากทะเลาะกันครั้งใหญ่


ยังไงก็ตามยุนซอฮุยดูจะไม่ได้คิดอะไรมาก เธอได้หยิบผลไม้ที่ถูกหั่นไว้บนจาน พร้อมพูดคุยต่ออย่างไม่ใส่ใจ


ซอลจีฮูได้ตอบกลับไปอย่างใจลอยพร้อมทั้งพยายามชักจูงบทสนทนา นตอนนี้เขาให้ยุนซอฮุยเข้ามาแล้ว เขาต้องพยายามเต็มที่ให้รู้เหตุผลที่เธอมาให้ได้


แน่นอนว่าเขาไม่อาจจะเป็นฝ่ายฟังอยู่ข้างเดียวตลอดได้ เขาได้ถามถึงสิ่งที่เขาสนใจ หรือก็คือพยายามถามอะไรสักอย่างออกไป


“โอ้ จริงสิ! จู่ๆฉันก็นึกขึ้นได้ถึงเหตุการณ์ในอีวา!”


แต่ทุกๆครั้งยุนซอฮุยก็จะเปลี่ยนเรื่องไปในทันที


“อ่า ครับ”


“สิ่งที่คุณได้ทำลงไปมันน่าทึ่งมา”


ยุนซอฮุยได้ประสานมือเข้าด้วยกัน และพูดออกมา


“เหตุการณ์นั่นมันทำให้ฉันสนใจสุดๆไปเลย ฉันอาจจะมาช้าสักหน่อย แต่การมาพิธีเปิดตัวมือเปล่านี่มันทำให้รู้สึกไม่ดีเลย เพราะงั้นแล้ว…”


เธอได้มองไปที่พนักงานคนหนึ่งของเธอที่เดินขึ้นมาด้วยกัน และเขาก็ได้ส่งซองหนาออกมา


“นี่เป็นของขวัญ ฉันหวังว่าคุณจะชอบมันนะ”


ยุนซอฮุยได้ส่งซองเอกสารให้กับเราอย่างรวดเร็ว ซอลจีฮูที่รับซองเอกสารมาตามน้ำได้มองดูมัน


เมื่อเขามองลงไป ยุนซอฮุยก็ยิ้มออกมา และทำท่าให้เขาลองอ่านดู ซอลจีฮูได้เปิดซองเอกสารออกมาและต้องหรี่ตาลง หน้าแรกที่เขาได้อ่านคือ


-ประเด็นสำหรับเกี่ยวกับราชินีชาล็อค อาเรียกับจองซูแห่งอีวาเกลีน


‘ประเด็นสำคัญงั้นหรอ’


เอกสารค่อนข้างหน้าที่มีอยู่หลายสิบหน้าได้ถูกเขียนเอาไว้ว่าเป็นแค่สรุปประเด็นสำคัญ มันไม่ใช่จำนวนที่เขาจะอ่านได้ในตอนนี้เลย


งถึงจะเป็นการรวมประเด็นสำคัญในช่วงนี้ก็ไม่น่าจะทำให้เอกสารหนาขนาดนี้สิ…’


ซอลจีฮูอยากจะรู้ถึงข้อมูลที่อยู่ข้างใน แต่ว่าตอนนี้เขาก็ต้องเก็บซองเอกสารเอาไว้ก่อน


“ขอบคุณสำหรับของขวัญนะครับ”


“ไม่มีปัญหาค่ะ”


ยุนซอฮุยได้ตอบกลับอย่างชัดเจน ซอลจีฮูได้จ้องเธออยู่นาน


“โอ้ จริงสิ”


เมื่อมองยุนซอฮุยที่ดูจะโล่งใจอะไรบางอย่างอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ถามออกมา


“แล้วเรื่องชื่อองค์กรที่ผมพูดถึงก่อนหน้านี้…”


ยุนซอฮุยได้เงียบลงไป มีระลอกคลื่นเล็กๆปรากฏขึ้นที่ดวงตานิ่งสงยเหมือนสายน้ำของเธอ ไม่นานนัก…


“…ต้องขออภัย”


เธอได้หัลบตาลงราวกับเวียนหัว และกดหน้าผากเอาไว้


“ฉันขอห้องพักเงียบๆสักหน่อยได้ไหมคะ? ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเลย”


***


ยุนซอฮุยได้แยกตัวไปจริงๆโดยบอกไว้ว่าเธอมีอาการเมารถได้ง่าย และการนั่งรถม้าเป็นเวลานานทำให้เธอหมดแรก


ซอลจีฮูได้เสนอห้องให้เธอพักสักวัน และยุนซอฮุยก็ได้ยอมรับโดยแกล้งทำเป็นไม่เต็มใจ


แม้ว่ายุนซอฮุยจะไปที่ห้องแล้ว แต่ซอลจีฮูก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมตลอดเวลา จนกระทั่งถึงในที่สุดพิธีเปิดตัวใกล้จบลงทำให้เขสต้องเดินไปส่งทุกๆคนที่มางาน


หลังจากนั้นแล้วซอลจีฮูก็ได้ไปบริเวณห้องพักในทันที เขาได้เคาะประตูและเปิดเข้าไปเห็นคิมฮันนาห์กำลังยืนก้มมองโต๊ะอยู่ภายในห้อง


แน่นอนว่าบนโต๊ะเป็นของขวัญจากซินยอง


“จบงานแล้วล่ะ”


ซอลจีฮูได้พูดเป็นกันเองก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง


“ทำไมคนๆนั้นถึงมาที่นี่ล่ะ?”


เขาได้ทิ้งตัวนั่งลงที่มุมเตียง และถามออกมา แม้ว่าเขาจะพูดว่า ‘คนๆนั้น’ แต่ทั้งเขากับคิมฮันนาห์ต่างก็รู้ว่านี่หมายถึงยุนซอฮุย


“เธอออกมาสูดอากาศทำตัวทรงอิทธิพลงั้นหรอ?”


“เธอไม่ได้เด็กน้อยแบบนั้น”


คิมฮันนาห์ได้ตอบกลับมาโดยที่ยังไม่ละสายตาไปจากรายงาน


“แล้วหากว่าเธอตั้งใจแบบนั้น เธอก็คงพากองกำลังหลักของซินยองมาแล้ว”


“ถ้างั้นทำไม?”


คิมฮันนาห์ไม่ได้ตอบคำถามอยู่นาน หลังจากเงียบอยู่สักพักเสียงขยำกระดาษก็ดังออกมา


“…ฉันไม่รู้”


มือที่จับกระดาษอยู่ของคิมฮันนาห์ได้กำแน่นพร้อมๆกับมีเสียงกัดฟันดังออกมา


“ยุนซอฮุยมาที่วัลฮาลาในวันนี้เพื่ออะไร? แล้วทำไมกัน?”


เธอไม่อาจจะทำความเข้าใจได้เลย


“ไม่ต้องห่วงหรอกนะ”


เมื่อเห็นคิมฮันนาห์กำลังอารมณ์ไม่ดี ซอลจีฮูก็ได้พูดออกมาอย่างสงบ


“บางทีเธออาจจะมาโดยไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงอะไรก็ได้”


คิมฮันนาห์ได้เยาะเย้ยออกมา


“นายดูไม่ไร้กังวลเลยนะ”


“ฉันก็แค่จะบอกเธอว่าอย่าคิดว่าทุกๆอย่างมันบิดเบี้ยวเลย ไม่ใช่ว่าฉันไม่ได้บอกว่าเราไม่ควรทำแบบนั้นนะ แต่การแค่ยอมรับในผลลัพธ์ที่อยู่ตรงหน้ามันดีกว่าน่ะ”


คิมฮันนาห์ได้ละสายตามาจากรายงายด้วยการที่เห็นด้วยกับซอลจีฮูระดับหนึ่ง


“ยังไงก็ตามทำไมนายถึงทำแบบนั้นล่ะ?”


“หืมม?”


“อย่ามาทำเป็นเสแสร้ง ทำไมนายถึงถามเรื่องชื่อขององค์กรกับเธอขนาดนั้น?”


“อ่อ ฉันก็แค่สงสัยเท่านั้นเอง”


ซอลจีฮูได้ลูบคางตอบกลับมา


“ฉันจะถามเธอตรงๆว่าเธอมาที่นี่ทำไมก็ไม่ได้ เพราะงั้นฉันก็เลยถามออกไปโดยไมคิดมากความ และก็ได้ปฏิกิริยาที่คาดไม่ถึงออกมา”


“แค่เพราะปฏิกิริยาของเธองั้นหรอ?”


“อ่า ฉันก็รำคาญอยู่หน่อยเหมือนกัน”


“รำคาญ?”


“ฉันยอมให้เธอเข้ามาได้ แต่ว่าในตอนที่เราคุยกัน เธอก็จะเอาแต่ถามฉันราวกับว่าเธอมาที่นี่เพื่อแค่สนองต่อความสงสัยของเธอเท่านั้นเอง”


คิมฮันนาห์ได้พยักหน้าออกมา ในมุมมองของยุนซอฮุยแล้วการที่จู่ๆวัลฮาลาก็โผล่ออกมาเป็นเรื่องที่น่าตกใจจริงๆ ไม่ว่ายังไงการจะสร้างองค์กรขึ้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่ว่าพวกเขาเลือกสร้างองค์กรในอีวา แทนที่จะเป็นฮารามาร์คห


“เธอให้ความรู้สึกเจ้ากี้เจ้าการอยู่หน่อยโดยที่พยายามจะให้ฉันตอบทุกๆคำถามของเธอเหมือนเป็นงานของฉัน ฉันได้เจอโอกาสดีในการถามกลับไป เพราะงั้นฉันก็เลยทำมัน… แล้วสีหน้าเธอเป็นยังไงบ้างล่ะ?”


คิมฮันนาห์ได้มองมาที่ซอลจีฮูอย่างตกใจ


“นายนี่… ยอดเยี่ยมไปเลย นายรู้ดีกว่าที่ฉันคิดซะอีกนะ”


“ยังไงล่ะ?”


“ก็ที่บอกว่าเธอเจ้ากี้เจ้าการไง”


เพียงคำๆเดียวนี้ได้ครอบคลุมถึงตัวยุนซอฮุยอย่างชัดเจนในทุกๆด้าน คิมฮันนาห์ได้หัวเราะออกมาราวกับในที่สุดเธอก็ใจเย็นลงแล้ว


“ชิ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันเห็นอะไรแบบนี้”


“แบบไหนล่ะ?”


“การได้เห็นนายหญิงหมายเลขหนึ่งคนนั้นถูกจัดการระหว่างพูดคุยไงล่ะ ตามปกติแล้วเธอไม่ใช่คนที่จะพูดอะไรไม่ออกระหว่างการสนทนา”


ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมา เขาได้ลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปที่โต๊ะ เขาคิดว่าการคุยกันเรื่องปัญหาที่พวกเขาหาคำตอบยังไม่ได้มันไม่มีความหมายอะไรเลย


“แล้วรายงานเป็นยังไงล่ะ?”


“เป็นข้อมูลที่น่าทึ่ง”


“ขอรายละเอียดหน่อย”


“เป็นบันทึกประจำวันของชาล็อต อาเรีย และรายละเอียดว่าจองซูมาอยู่ในจุดนี้ได้อย่างไรโดยละเอียด รวมไปถึงเรื่องราวภูมิหลังของเธออีกด้วย มันเป็นข้อมูลที่มีคุณค่ามากจริงๆ”


อย่างที่คิดเลย นี่เป็นของขวัญที่เกินกว่าที่เขาคิดไว้มาก


ข้อมูลคือสิ่งสำคัญ มีคำกล่าวที่ว่ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งอยู่


“ใช้งานได้ไหม?”


“ไม่ใช่แค่ใช้งานได้หรอกนะ”


สถานการณ์ในตอนนี้กำลังนิ่งอยู่ แม้ว่าวัลฮาลาจะอยู่ที่จุดยอดแห่งชัยชนะแล้ว แต่จองซูก็ยังจับปราการสุดท้ายที่มีชื่อว่าราชินีอีวาเอาไว้อยู่


และในสถานการณ์แบบนี้ซินยองก็ได้มอบของขวัญให้กับวัลฮาลา เป็นถุงสารพัดประโยชน์ที่สามารถจะกลายมาเป็นอาวุธทำลายทรงพลังตามการใช้งาน


“มีหลายวิธีเลยล่ะ”


“?”


“วิธีในการทำลายความสัมพันธ์ของพวกเธอ”


คิมฮันนาห์ได้กอดอกด้วยสีหน้าลำบากใจ


“มีหลายวิธีมากจนฉันคิดไม่ออกเลยว่าจะเลือกวิธีไหนก่อน”


บทที่ 268 – พิธีเปิดอันงดงาม (5)


เวลาได้ผ่านไป และราตรีได้เข้ามาเยือน


ซอลจีฮูคิดว่าจะได้เจอกับยุนซอฮุยอีกครั้งในตอนมื้อเย็น แต่แล้วเขาก็ไม่ได้เจอเธอ ตามที่ผู้ดูแลเธอบอก อาการเมารถของเธอดูจะยังไม่ดีขึ้นทำให้เธอไม่ได้คิดจะลงมากินมื้อเย็น


ซอลจีฮูได้กินอย่างเต็มที่ และมุ่งหน้าไปแช่บ่อน้ำพุร้อนที่นักแปรธาตุได้สร้างเอาไว้เพื่อผ่อนคลายร่างกาย


‘ชั้นที่หนึ่งเป็นของผู้ชาย ชั้นที่สองเป็นของผู้หญิงสินะ?’


เขาได้ตรวจสอบดูชั้นอยู่หลายครั้งเพื่อป้องกันความผิดพลาด เมื่อเปิดประตูขึ้นภาพที่คุ้นตาก็ปรากฏออกมา


ที่ชั้นใต้ดินได้เต็มไปด้วยไอน้ำสีขาว เมื่อมองสำรวจซ้ายขวาแล้ว เขาก็ได้เห็นบ่อน้ำร้อนอยู่จนทำให้ที่นี่เหมือนเป็นโรงอาบน้ำสาธารณะ


‘เข้าใจแล้วว่าทำไมพี่สาวยูฮุยกับคุณฟีโซราถึงชอบมันนัก’


หลังจากใช้ผ้าเช็ดตัวพันช่วงล่างเอาไว้แล้ว ซอลจีฮูก็คิดว่าจะไปตรงไหนก่อนที่จะเลือกไปที่บ่อน้ำร้อนเทลงมาจากผาที่มนุษย์สร้างไว้


“อ่า…”


เมื่อได้นั่งแช่น้ำพุร้อนสีใส เขาก็ตัวสั่นขึ้นมาทันที เสียงครางได้หลุดออกมาจากปากเขาในทันทีที่ความร้อนน่าเหลื่อเชื่อสัมผัสถูกร่างกาย


“แกว๊ก…”


ลูกเจี๊ยบที่แอบตามเขามาโดยไม่รู้ตัวก็ยังส่งเสียงร้องออกมาอย่างมีความสุขเช่นกัน ซอลจีฮูได้หัวเราะออกมา


“นายก็ชอบสินะ?”


“แกว๊ก”


ลูกเจี๊ยบคงจะชอบบ่อน้ำพุร้อนมาจนทำให้มันลอยอยู่บนน้ำ และเริ่มว่ายไปมา


ซอลจีฮูได้คิดกับตัวเองโดยปล่อยให้ร่างกายผ่อนคลายไปกับน้ำที่กระทบร่าง แน่นอนว่าเป้าหมายที่เขาคิดถึงก็คือยุนซอฮุย


นอกเหนือจากเหตุผลที่เธอมาที่นี่ทำไมแล้ว เขาก็ยังมีอีกหลายคำถามที่อยากจะถาม เขาได้ถามคนอื่นๆถึงมุมมองที่พวกเขามีต่อเธอ และผิดคาดที่แต่ละคนต่างก็มีความประทับใจกับเธอในระดับหนึ่ง


มันดูเหมือนกับการแสดงความสุภาพที่เธอมีต่อจางมัลดงจะส่งผลเป็นอย่างดี


นี่มันช่างขัดกับภาพลักษณ์ที่พวกเขาวาดหวังเอาไว้สำหรับตัวแทนของซินยองในอนาคตอย่างสิ้นเชิง แทนที่จะทำตัวห่างเหิน เธอกลับพูดคุยกันอย่างเป็นกันเองจนทำให้ทุกๆคนประหลาดใจ ฟีโซราถึงขนาดบอกว่าเธอรู้สึกสนิทเหมือนกับเป็นญาติจากยุนซอฮุยเพราะเธอก็ถูกซอลจีฮูทำให้ลำบากเช่นเดียวกัน


‘แต่ว่านี่ใช่ตัวเธอจริงๆงั้นหรอ…?’


ระหว่างคิดแบบนี้เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมา


‘ฉันยังรู้จักยุนซอฮุยไม่พอที่จะตัดสินได้ว่าอะไรจริงหรืออะไรปลอม?’


แน่นอนว่าคิมฮันนาห์ก็เคยบอกเรื่องต่างๆเกี่ยวกับยุนซอฮุยกับเขา แต่ว่านั่นก็เป็นเพียงความคิดเห็นจากคนอื่นเท่านั้น


เขายังไม่อยากที่จะตัดสินอะไร จากสิ่งที่ยุนซอฮุยได้แสดงออกมาให้เห็นแล้ว มันยากที่จะจับผิดเธอ


เขาก็ยังได้ยินมาด้วยว่ายุนซอฮุยเป็นคนที่ชักชวนให้ผู้บริหารไปเป็นกำลังเสริมให้กับฮารามาร์คในสงครามครั้งก่อน


เมืองอื่นๆที่ร้องขอการสนับสนุนต่างก็ไม่พอใจกับการตัดสินใจของซินยอง และราชวงศ์สกีเฮราซาร์ด แต่ว่าในท้ายที่สุดแล้วการตัดสินใจของพวกเขาก็ได้นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด


หากมองจากในมุมนี้แล้ว ซอลจีฮูควรที่จะขอบคุณยุนซอฮุยต่างหาก ยิ่งไปกว่านั้นเธอก็ไม่ได้อยู่ในเป้าหมายสูงสุดของซอลจีฮูอีกด้วย


‘อย่างน้อยก็จากที่เธอแสดงออกมาให้เห็นแหละนะ’


ปัญหาเดียวก็คือมันยากที่จะเชื่อใจเธอได้อย่างหมดห่วง


ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ คำๆนี้เป็นคำที่เอาไว้ใช้กับคนที่พูดดีแต่ในเวลาเดียวกันก็ซ่อนมีดเอาไว้แทงอีกฝ่าย


มนุษย์ทุกๆคนต่างก็มีอารมณ์ แม้แต่ซอลจีฮูก็ไม่เว้น และเมื่อไหร่ที่เขาเห็นยุนซอฮุย สัญชาตญาณของซอลจีฮูก็จะเตือนเขาเสมอ


ย้อนกลับไปแล้วนี่มันก็เป็นเหมือนกันกับในตอนที่เขาเจอเทเรซ่า แม้ว่าพวกเขาจะเจอกันเป็นครั้งแรก แต่ว่าเขาก็รู้สึกว่าเธอดึงดูดแปลกๆ และตามเธอไปที่หุบเขาอาร์เดนทั้งๆที่ยังอยู่แค่ระดับ 1


มันก็แค่เพราะเขาถูกเทเรซ่าดึงดูดเท่านั้นเอง


สถานการณ์ของยุนซอฮุยก็ต่างกันอยู่หน่อย เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาพยายามจะสนิทกับเธอ บางอย่างภายในตัวเขาก็จะห้ามเขาเอาไว้ มันค่อนข้างจะคลุมเครือ แทนที่จะผลักไสเธอออกไป มันเหมือนกับจะทำให้เขารักษาระยะห่างกับเธอไว้มากกว่า


ซอลจีฮูก็ไม่รู้ว่าทำไม


‘เธอเป็นมิตรหรือศัตรูกันนะ?’


หรือเธอจะเป็นฝ่ายที่สามที่ไม่ใช่ทั้งมิตรหรือศัตรู?


“ไม่เข้าใจเลย…”


เมื่อเขาได้ถอนหายใจออกมา


“ไม่เข้าใจอะไรหรอ?”


ซอลจีฮูได้เงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ


จากนั้นเขาก็ต้องพููดไม่ออก ยุนซอฮุยกำลังยืนอยู่ด้านนอกบ่อน้ำพุร้อนด้วยรอยยิ้มงดงาม


‘อะไรกัน?’


หากนี่เป็นการโจมตีก็คงเป็นการลอบโจมตีที่ยอดเยี่ยมมาก


แต่โชคดีที่ยุนซอฮุยมีเพียงแค่ผ้าเช็ดตัวสีขาวที่ปกปิดท่อนบนกับท่อนล่างเอาไว้เท่านั้น แต่แน่นอนว่าไหล่เล็กๆ และผิวเรียบของเธอก็เผยออกมาให้เห็นจนหมด แต่ว่ามันก็ให้ความรู้สึกสง่างามมากกว่าความลามก


ยุนซอฮุยได้รวบมือเข้าด้วยกัน และทำสีหน้าลำบากใจออกมา


“ต้องขออภัย ฉันรู้ว่าห้องอาบน้ำของผู้หญิงอยู่ที่ชั้นสอง แต่ว่าฉันไม่มีทางเลือก”


“ไม่มีทางเลือก?”


“ค่ะ ที่นั่นมีคนอยู่ก่อนแล้ว ยูฮุยเอาแต่จ้องฉันเขม็งเลย ฮ่าฮ่า”


เธอได้พูดเหมือนกับว่าซอยูฮุยได้ไล่เธออกมา


“ฉันรู้สึกไม่สบาย แล้วก็อยากจะมาน้ำพุร้อนโดยหวังว่าการได้เหงื่อมันจะช่วยให้ฉันดีขึ้น ตอนนี้ฉันรู้สึกเศร้าแล้วสิ”


ซอลจีฮูได้พูดออกมาด้วยสีหน้าตกตะลึง


“พี่สาวยูฮุยไม่ใช่คนแบบนั้นนะครับ”


“โอ้ ตัวแทนซอล คุณคงยังไม่ได้รู้เรื่องบุตรแห่งลูซูเรียดีใช่ไหม?”


ยุนซอฮุยได้ยิ้มออกมา


“เธอเป็นคนที่สุดโต่งกว่าที่คุณคิดนะ เธอเป็นคนที่มีบุคลิกจิตใจดีมีเมตตาก็จริง แต่ว่าเมื่อไหร่ที่มีคนทำให้เธอไม่พอใจ เธอก็จะไม่มีวันหันกลับมามองคนๆนั้นอีกเลย”


ยุนซอฮุยดูเหมือนจะกำลังล้อเล่น แต่ว่าน้ำเสียงของเธอไม่ใช่เลยสักนิด


“ยังไงก็ตามอยู่ตรงนี้มันก็รู้สึกก็ไม่ถูก แต่ฉันก็ยังอยากจะขอแช่น้ำพุร้อน เพราะงั้น….”


ยุนซอฮุยได้พึมพำก่อนจะหันมองซอลจีฮู


“ฉันขอเข้าไปได้ไหมคะ?”


ซอลจีฮูได้กลับมาสู่ความเป็นจริงจากน้ำเสียงนี้ของเธอ ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกเดจาวูแปลกๆ หรือว่าเขาควรจะบอกว่าเขารู้สึกเหมือนเขาอยู่ผิดที่? บางทีอาจจะทั้งคู่ก็ได้


[ฉันขอเข้าไปได้ไหมคะ?]


ในวันนี้เขาก็รู้สึกแบบเดียวกันที่ทางเข้าชั้นหนึ่ง มันเป็นในตอนที่ยุนซอฮุยขอซอลจีฮูเข้ามาในสำนักงาน


“ได้ครับ ตามสบายเลย เดี๋ยวผมจะออกไป แล้วก็เพื่อไม่ให้เกิดอะไรขึ้น ผมจะไม่ใช่ใครเข้ามาในบ่อน้ำพุร้อนของผู้ชายสักพักนะครับ”


ซอลจีฮูได้รีบจัดแจงผ้าเช็ดตัวรอบเอว และลุกขึ้น


“ไม่หรอก ไม่เป็นไร แขกจะมาแย่งที่เจ้าของได้ยังไงกัน?”


แต่ว่าเมื่อเธอพูดแบบนี้ยุนซอฮุยก็ได้ก้าวเข้ามาในบ่อน้ำร้อน


“แต่ว่า-“


“อ่า ไม่เป็นไรหรอก พวกเราทั้งคู่ต่างก็มีผ้าเช็ดตัวอยู่”


หลังจากหัวเราะออกมาเธอก็หันหน้าไปครึ่งหนึ่งและค่อยๆนั่งลงไป ระยะห่างระหว่างเธอกับซอลจีฮูมีไม่มากเลย


“อ่า~ นี่มันเยี่ยมไปเลย”


ในท้ายที่สุดซอลจีฮูก็ยังกลับลงไปนั่ง


“น่าทึ่งมาก! ฉันอิจฉาจังเลยที่มีบ่อน้ำพุร้อนใต้ดิน…”


ซอลจีฮูได้ไปมองยุนซอฮุยเมื่อเห็นเธอเอนหลังลงไปลูบผม


ผมสีดำสลวย ผิวสีน้ำนม และใบหน้าที่ดูเปล่งประกาย ซอลจีฮูรู้สึกแบบเดียวกันในตอนที่อยู่ที่ร้านกาแฟ เธอเป็นคนที่มีเสน่ห์มากจริงๆ


แม้ว่าภาพลักษณ์ของเธอจะดูเย็นชา สูงส่งในตอนแรก แต่สีหน้าและรอยยิ้มของเธอที่มีอยู่เสมอก็ได้ทำให้บรรยากาศรอบตัวอ่อนโยนลง


ส่วนสูงกับรูปร่างของเธอก็เป็นเช่นเดียวกัน บนร่างกายของเธอไม่มีไขมันส่วนเกินอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว


ออร่าความห่างเหินและอ่อนโยนได้ถูกปล่อยออกมาพร้อมๆกัน มันเป็นความขัดแย้งอันงดงาม แม้ว่าในบางมุมเธอจะดูคล้ายกับยุนซอรา แต่คำพูดและการกระทำของเธอก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิงจนดูแทบจะไม่มีอะไรเหมือนกันเลย


ไม่ว่าจะแบบไหนการได้อาบน้ำกับหญิงสาวที่งดงามแบบนี้โดยที่มีแค่ผ้าเช็ดตัวปกปิดเอาไว้ มันก็คงจะไม่แปลกหากใจของซอลจีฮูจะเต็มแรงขึ้น แต่ยังไงก็ตามหัวใจของเขากลับเต้นช้าลงแทน


เขาเป็นกังวล ไม่ใช่หัวใจที่สั่นไหว แต่เป็นเพราะความระวังตัวที่พุ่งขึ้นมา ในแง่นี้แล้วมันลึกลับมากๆ


แม้กระทั่งในตอนนี้สมาธิทั้งหมดของซอลจีฮูก็ยังมุ่งไปที่สิ่งที่ยุนซอฮุยจะพูด และหาสาเหตุที่ว่าทำไมเธอถึงเข้ามาที่นี่


“โอ้ จริงสิ”


แปะ เสียงปรบมือได้ดังออกมา ยุนซอฮุยได้หันมามองซอลจีฮูราวกับเธอเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นได


“มีเรื่องที่ฉันอยากจะรู้อยู่มากเลยล่ะ”


มันเริ่มแล้ว


“คุณมีความสัมพันธ์อะไรกับซอรางั้นหรอ?”


แต่ว่านี่เป็นคำถามที่เขาคาดไม่ถึงเลยสักนิด เขาคิดว่าจะตอบกลับไปเล่นๆและถามเรื่องชื่อองค์กรอีกครั้ง แต่ว่าสมองเขาก็หยุดนิ่งไปแทบจะในทันที


“เพื่อนจาเขตพื้นที่เป็นกลาง… นี่อาจจะไม่ใช่คำตอบที่คุณต้องการ”


เมื่อเขาได้ตอบกลับไปนิ่งๆ ยุนซอฮุยก็แสดงสีหน้าแปลกใจออกมา


“ฉันคิดไม่ถึงเลย ฉันมั่นใจว่าคุณคงจะพูดว่า ‘อะไรนะครับ?’ ซะอีก”


“…อะไรนะครับ?”


“นั่นแหละ ถูกแล้ว”


ซอลจีฮูได้กลายเป็นสับสนก่อนจะส่ายหัวออกมา


“ผมเข้าใจนะว่าคุณอยากจะถามอะไร แต่ว่าความสัมพันธ์ของเรามันไม่ได้เป็นอะไรแบบนั้น”


“เอ๋~ ผู้หญิงกับผู้ชายเป็นแค่เพื่อนได้ยังไงกัน?”


“มันก็ยากที่จะบอกว่าเราเป็นเพื่อนกัน คิดซะว่าพวกเราเป็นเพื่อนร่วมงานกันในพาราไดซ์ก็ได้”


ยุนซอฮุยได้เม้มริมฝีปากและร้อง “โอ้ว~” ออกมา


“…ว้าว หากว่าคุณพูดแบบนั้น ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วล่ะ หากซอรารู้เขาเธอคงจะเศร้าแน่เลย ในตอนแรกแม้กระทั่งนอนหลับเธอยังทำได้ยากเลย”


ยุนซอฮุยได้หัวเราะออกมาพร้อมพูดขึ้นอย่างประหลาดใจ


“ยังไงก็ตามคุณไม่ตัดขาดเธอโหดร้ายไปหน้อยหรอ? หากเธอรู้เขาซอราของเราได้กลายเป็นเด็กน่าสงสารแน่เลย”


ซอลจีฮูก็พอจะเข้าใจซอยูฮุยบ้างแล้ว เขาได้หันไปมองยุนซอฮุยที่พูดเล่นออกมาตรงๆ


“ผมไม่รู้”


ซอลจีฮูไม่รู้ว่าทำไม…


“ในสายตาของคุณผู้บริหารยุนมันก็อาจจะเป็นแบบนั้น แต่ผมไม่คิดว่าเธอน่าสงสารเลยสักนิด”


แต่ว่าจู่ๆคำพูดนี้ก็ออกมาจากปากของเขา ดวงตาของยุนซอฮุยได้เบิกกว้าง และเธอก็เงียบลงไป


ความเงียบได้เกิดขึ้น ซอลจีฮูได้หลุด ‘อ๊ะ’ หลังจากที่พูดมันออกมา แต่ว่าเขาก็ได้พูดมันออกไปแล้ว


“อ่า…”


ยุนซอฮุยที่ทำอะไรไม่ถูกได้โบกมือออกมา


“มะ ไม่ ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น…”


เธอได้ลูบท้ายทอยอันน่าหลงไหลด้วยสีหน้าลำบากใจมากๆ


“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น… ขออภัยด้วย ฉันไม่ได้ตั้งใจจะสอบสวนหรืออะไรกับคุณเลย”


ซอลจีฮูอยากจะถามออกไปว่าถ้างั้นเธอคิดว่าเขาคิดว่าเธอหมายความว่ายังไงหรือว่าเธอมีเจตนาอะไรกันแน่ แต่เขาก็ห้ามตัวเองเอาไว้


“ไม่หรอก คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษ ผมก็ไม่ได้หมายความแบบนั้นเหมือนกัน ผมแค่พูดในสิ่งที่คิดออกมา”


“อ่า~ ฉันเข้าใจแล้ว ทำไมวันนี้ฉันถึงเป็นแบบนี้นะ?”


ยุนซอฮุยได้แลบลิ้นออกมาราวกับว่าเธออับอายเป็นอย่างมาก ซอลจีฮูได้หยุดหรี่ตาลง และค่อยๆพูดต่อ


“จะว่ายังไงดีล่ะ… ผมคิดมาเสมอว่าคุณยุนซอราเป็นคนที่เท่มากๆ เธอไม่รับกับสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวย และลุกขึ้นยืนกลับมา”


“ว้าว คุณพูดเหมือนกับที่ซอราพูดเลย”


“?”


“เธอบอกว่าคุณก็เป็นคนที่เท่มากเหมือนกัน คุณได้ยื่นมือไปหาเธอในตอนที่เธอจมอยู่ในก้นนรกพร้อมที่จะยอมแพ้และตายไปแล้ว


“…”


“นี่มัน… สัญชาตญาณของหญิงสาวกำลังตื่นเต้น~”


ยุนซอฮุยได้แสดงสีหน้าสงสัยออกมา เธอมีประสบการณ์ในการเปลี่ยนสีหน้าเหมือนกันกับคิมฮันนาห์


“คุณคิดอะไรงั้นหรอ?”


‘เดี๋ยวก่อนนะ’


ยิ่งเขาโต้ตอบกับเธอเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งสงสัย


‘ไม่ใช่ว่ามีช่องหนึ่งในหน้าต่างสถานะที่จะแสดงถึงอารมณ์ของคนๆนั้นหรอกหรอ?’


ซอลจีฮูได้ลังเลก่อนที่จะตัดสินใจออกมา เขารู้สึกผิดกับยุนซอฮุยอยู่เล็กน้อย แต่ว่ามันก็อดไม่ได้จริงๆ


ขณะที่ซอลจีฮูใช้งานนพเนตร…


“ฉันรู้ว่าคุณพูดชัดแล้ว แต่ว่า- ฟุฟุฟุ”


ยุนซอฮุยได้หัวเราะออกมาอย่างมีนัยยะก่อนที่จะยกช่วงบนขึ้นเล็กน้อย และลอยไปกับน้ำ ต่อจากนั้นเมื่อซอลจีฮูเงยหน้าขึ้นก็มีแสงเจิดจ้าออกมาจากยุนซอฮุย


ในทันทีที่เขาได้เห็นสีของเธอ เขาก็ต้องเบิกตากว้าง


นั่นก็เพราะยุนซอฮุยไม่ได้มีแค่สีเดียว


สีเขียว เหลือง น้ำเงิน คราม ม่วง! สีทั้งห้านี้ได้พันกันเป็นเกลียวคลื่นอยู่รอบๆตัวยุนซอฮุย


พูดตามตรงนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นหลายสีในคนๆเดียว แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้เห็นคงที่เปล่งประกายออกมาห้าสีพร้อมๆกัน


“ฉันสงสัยว่าอย่างน้อยซอราคงมีความหวังอยู่สักหน่อยล่ะนะ…”


‘อะไรกัน-!?’


ซอลจีฮูตกใจจนเอนหลังถอยไปแทบจะพร้อมๆกันกับที่ยุนซอฮุยหยุดหลังจากเข้ามาใกล้เขา


ต่อจากนั้น ภาพนิมิตก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าซอลจีฮู


บางทีอาจจะเพราะมีมากกว่าหนึ่งสี จึงมีอยู่หลายนิมิต นิมิตทั้งห้าได้เล่นออกมาพร้อมๆกัน


ซอลจีฮูรู้สึกสับสนอยู่แล้ว และด้วยฉากภายในนิมิตกำลังเคลื่อนไหวทับซ้อนกันด้วยทำให้เขาไม่อาจจะทำความเข้าใจได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น


จากนั้นในที่สุดเมื่อเขาแยกตัวออกมาได้ และตรวจสอบนิมิตหนึ่ง…


“!”


ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมเขาถึงรู้สึกแปลกๆในทุกๆครั้งที่เจอยุนซอฮุย


‘ไม่…’


ลมหายใจของซอลจีฮูได้นิ่งไป


‘มีทาง…’


ดวงตาเขาได้เบิกกว้างพร้อมปากที่อ้าค้าง


จากนั้นจู่ๆเขาก็เห็นยุนซอฮุยกำลังจ้องมาที่เขาอย่างสับสน สีหน้าของเธอต่างไปจากก่อนหน้านี้เล็กน้อย เมื่อเห็นดวงตาที่ไร้อารมณ์ของเธอกำลังจ้องมาที่เขานิ่งๆ ทั่วร่างเขาก็เกิดความรู้สึกหนาวขึ้นมา


แต่นั่นก็แค่ครู่เดียว เธอได้ละสายตาไปจากใบหน้าของซอลจีฮู และมองขึ้นไปในทันที


‘อ่า’


จากนั้นเมื่อหันกลับลงมา มันก็ไม่มีอะไรให้สังเกตเห็นจากเธออีก เธอได้มองตรงไปที่จุดที่ภาพนิมิตเคยแสดงอยู่ ในเวลาสั้นๆนั้น เธอสังเกตเห็นได้ว่าซอลจีฮูไม่ได้มองที่เธอ


“ขอโทษด้วย ผมตกใจที่จู่ๆคุณก็เข้ามา”


แม้ว่าซอลจีฮูจะรีบหาข้ออ้างออกมา แต่มันก็สายไปหน่อยแล้ว มุมปากของยุนซอฮุยได้โค้งขึ้น เธอได้แสดงสีหน้าประหลาดใจเหมือนจะกำลังพูดว่า ‘โอ้?’


ซอลจีฮูได้เม้มปาก ท่ามกลางนิมิตมากมาย เขาได้รีบตรวจสอบฉากที่รายล้อมไปด้วยเคร้าโครงสีเหลืองก่อนจะมองกลับไปที่ซอยูฮุย


จากทั้งห้าฉาก มีเพียงแค่นิมิตนี้เท่านั้นที่ค่อนข้างเงียบสนิท


ยุนซอฮุยกำลังนั่งอยู่กับพื้นด้วยสภาพไม่สู้ดี โดยที่มีปีศาจยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ไม่สิ มันไม่ใช่ปีศาจ


[ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…]


หากว่าเขามองไม่ผิด-


[…ทำไมล่ะ?]


ยุนซอฮุยได้หัวเราะออกมาก่อนที่จู่ๆเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง และชายที่กำลังชี้หอกไปที่คอของเธอ…


[ทำไมปีศาจหอกผู้ยิ่งใหญ่ของเรา- ทำไมเขาถึงเกลียดฉันมากขนาดนี้ล่ะ?]


…ไม่ใช่ใครอื่นนอกไปจากตัวซอลจีฮูเอง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม