The Second Coming of Gluttony 255-260
บทที่ 255 – จิ้งจอกก็คือจิ้งจอก (1)
การประชุมได้ข้อสรุปออกมาแล้ว
ในทันทีที่การพูดคุยได้จบลง ซอลจีฮูก็ได้มุ่งหน้าไปที่วิหารเพื่อถอนเงินออกมาจากคลังเก็บของ
ในตอนแรกเขาได้บอกให้คิมฮันนาห์เอาเงินออกไปได้ตามต้องการเลย แต่ว่าเธอก็ได้แค่นเสียงตอบกลับมา
ส่วนสำคัญของแผนนี้ก็คือการโจมตีด้วยเงิน ยิ่งมีเงินเท่าไหร่ โอกาสสำเร็จก็มากเท่านั้น
แต่ว่าคิมฮันนาห์ได้บอกว่าพวกเขาควรจะใช้จ่ายให้พอควร และวิจารณ์ซอลจีฮูที่พยายามจะใช้เงินทั้งหมดขององค์กรออกไปโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
เธอยังไม่ลืมที่จะเตือนให้เขาเอากลับมาแค่พอดีเท่านั้นอีกด้วย หลังจากได้ฟังอยู่นานในที่สุดซอลจีฮูก็สำนึกได้ว่า คิมฮันนาห์ไม่ได้พยายามจะช่วยชาวพาราไดซ์ด้วยปรารถนาดี
เธอได้บอกแล้วว่าแผนของเธอจะสั่นคลอนรายได้หลักขององค์กรในอีวา ธุรกิจสถานบันเทิง แต่ว่าดูแล้วนี่ก็ไม่น่าใช่เป้าหมายสุดท้ายของเธอ
ในตอนเธอคุยกับซอยูฮุย คำพูดแต่ล่ะคำของเธอมันทำให้รู้สึกเหมือนกับจะพุ่งเป้าไปที่องค์กรซะมากกว่า
แม้ว่าซอลจีฮูจะไม่ได้เข้าใจภาพใหญ่ที่คิมฮันนาห์วาดหวังเอาไว้ แต่เขาก็ได้ตัดสินใจคอยดูสิ่งที่เรียกว่ามายากลของจิ้งจอก
ยังไงสุดท้ายแล้วการเชื่อฟังคุณแม่ก็ไม่ผิด
หลังจากมาถึงวิหาร ซอลจีฮูก็ได้เอาเหรียญทองออกมา 20 เหรียญตามคำขอของคิมฮันนาห์ และเพิ่มแท่งทองคำไปอีกหนึ่งแท่งโดยไม่ลังเล
แท่งทองคำมีมูลค่าเท่ากับ 21 เหรียญทอง หรือ 21,000 เหรียญเงิน หากเป็นบนโลกมันก็จะเท่ากับร้อยล้านวอน!
ในเมื่อแต่ละครัวเรือนมีหนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 87 เหรียญเงิน ด้วยแท่งทองคำนี้ก็จะสามารถใช้หนี้ได้ถึง 241 คนหากไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ
คิมฮันนาห์กำลังยุ่งอยู่กับการจัดเอกสารอยู่ในห้อง เธอได้ขยับมืออย่างคล่องแคล่วด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนที่จะวางปากกาลงเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู
“กลับมาแล้วหรอ?”
ซอลจีฮูได้ค่อยๆวางถุงเงินลงไป หลังจากดูจำนวนข้างในแล้ว คิมฮันนาห์ก็ได้ยิ้มพึงพอใจออกมา
“นี่มันน่าจะมากพอแล้วล่ะ ช่างร่ำรวยจริงๆเลยนะ”
“ก็แน่นอนสิ ใครจไม่ชอบเงิน? ลองดูที่คุณมาเรียสิ”
“ไม่ เจ้าโง่ ฉันหมายถึงเงินทำให้เรามีทางเลือกมากขึ้น”
ยกตัวอย่างง่ายๆคือที่พวกเราสามารถใช้แผนแบบนี้ได้ก็เพราะพวกเขามีความมั่งคั่งมากพอที่จะใช้จ่ายออกไปบ้างได้ง่ายๆ หากไม่เช่นนั้นแล้วมันก็คงเป็นได้แค่ฝัน
ซอลจีฮูได้ยิ้มเรียบๆออกมา
“ก็จริงนะ ฉันไม่คิดว่าเลยว่าเธอจะใช้เงินสู้กับพวกนั้น”
“มันก็ไม่ได้มีกฎที่ว่าต้องใช้อาวุธต่อสู้กันเท่านั้นนี้ นายจะใช้คำพูด เงิน หรือกระทั่งกฎหมาย ศาสนา ปากกา หรืออะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ”
คิมฮันนาห์ได้ร่ายยาวก่อนที่จะมองมาที่ซอลจีฮูอย่างกระทันหัน
“แต่พูดไปแล้วก็นะ นี่มันยากที่จะเรียกว่าเป็นสงคราม เพราะว่าเราจะเป็นฝ่ายทำลายล้างอยู่ฝ่ายเดียว”
“ฝ่ายเดียว?”
“ก็ลองคิดดูสิ แผนของเรามันได้ละเมิดกฎหมายตรงไหนไหมล่ะ?”
ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา
“ไม่เลยใช่ไหมล่ะ? พวกเราได้ให้เงินชาวพาราไดซ์ไปเพื่อชดใช้หนี้สิน ใครจะมาว่าเราได้ล่ะ? แน่นอนพวกนั้นอาจจะคิดว่าเราสร้างภาพ แต่ก็แค่นั้นแหละ”
“ก็จริงนะ แผนของเราไม่ได้ผิดกฎหมายเลย แต่ถ้ามองในแง่ผลลัพธ์แล้ว เงินของเราก็ไปจบอยู่ที่มือศัตรูนะ”
สิ่งที่ซอลจีฮูพูดก็ไม่ผิด แต่มุมปากของคิมฮันนาห์ได้ขยับยิ้มออกมา
“นายยังไม่เคยเห็นสถานบันเทิงของที่นี่สินะ”
“หมายความว่ายังไงกัน? เราก็ไปด้วยกันมาแล้วนี่”
“ฉันหมายถึงสถานบันเทิงสำหรับผู้ใหญ่ หรือที่เรียกว่าค้าประเวณีนั่นแหละ”
คิมฮันนาห์ได้พูดต่อด้วยรอยแสยะยิ้ม
“สินค้าทุกอย่างต่างก็มีราคาขาย และนั่นก็หมายความว่ามันมีความต่างระหว่างราคาขายกับต้นทุนซึ่งเรียกกันว่าส่วนต่าง ในพาราไดซ์นี้สถานบันเทิงสำหรับผู้ใหญ่จะมีราคาขายที่ได้กำไรสูงมาก นี่แหละเป็นเหตุผลที่ทำให้องค์กรส่วนใหญ่เลือกอุตสาหกรรมนี้เป็นธุรกิจหลัก”
นี่ก็ถูก หากว่าธุรกิจนี้ทำเงินได้ไม่มาก ถ้างั้นมันก็ไม่มีเหตุผลที่ทำให้องค์กรหันมาสนใจลงทุนกับมันอยู่เป็นเวลาหลายปี
“มันไม่ใช่เรื่องกำไรเท่านั้นนะ เหตุผลที่ทำให้ธุรกิจสถานบันเทิงสำหรับผู้ใหญ่เป็นที่นิยมในพาราไดซ์ก็คือการรักษาโครงสร้างปริมาณกำไรไว้ต่ำอยู่เล็กน้อย”
“จะบอกว่าพวกเขาตั้งใจทำกำไรน้องหรอ?”
“ใช่แล้ว สำหรับธุรกิจสถานบันเทิงสำหรับผู้ใหญ่แล้ว ลูกค้ามากมายก็จะเข้ามาใช้บริการต่อให้ราคาจะสูงขึ้นเล็กน้อยก็ตาม แค่ราคาเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยพวกเขาไม่ลังเลกันหรอก”
ซอลจีฮูได้พยักหน้าออกมา
“แต่ว่าการทำแบบนั้นมันก็มีความเสี่ยง ยิ่งได้เงินเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องจ่ายสาวๆมากเท่านั้น ลองคิดดูสิ ถ้าเกิดว่าพวกเธอทำงานได้วันล่ะหลายสิบเหรียญเงินล่ะ? พวกเธอก็คงจะมีเงินพอจ่ายหนี้ และจากไปในไม่นานอย่างแน่นอน”
“เพราะงั้นถึงได้…”
“พวกมันได้พาหญิงสาวเข้าไปด้วยการที่พวกเธอติดหนี้ เพราะงั้นพวกมันจึงให้พวกเธอทำงานในราคาถูก ควบคุมราคาจนแทบจะทำให้พวกเธอไม่มีพอมาใช้จ่าย ด้วยวิธีนี้ทำให้หญิงสาวต้องทำงานไปตลอด สุดท้ายแล้วในแง่ระยะยาวมันจะได้กำไรมากยิ่งกว่า”
เมื่อคำอธิบายอันยาวนานได้สิ้นสุดลงไป ซอลจีฮูก็รู้สึกคอแห้งผาก
“บางครั้งฉันก็รู้สึกสับสนระหว่างพาราไดซ์กับโลก”
“ก็แน่นอนสิ ธุรกิจพวกนี้มันถูกดำเนินการด้วยคนจากโลกไงล่ะ”
คิมฮันนาห์ได้แค่นเสียงออกมา ในตอนนั้นเองประตูก็ถูกเปิดขึ้น และชายผมเทาก็ได้เดินเข้ามา คิมฮันนาห์ได้สวมรอยยิ้มของนักธุรกิจจนทำให้ใบหน้าสดใสขึ้นทันที
“เข้ามาสิ~”
“…ขอรบกวนด้วยนะ”
มาแชล จิโอเนียได้เดินเข้ามาพร้อมกระเป๋าใบใหม่ในมือขวาด้วยสีหน้าสับสนอยู่เล็กน้อย
“กลับมาจากวิหารหรอ?”
“ใช่แล้ว เมื่อกี้นี้เอง”
“เป็นไงมั้งล่ะ? ได้ยืนยันหรือยัง?”
มาแชล จิโอเนียถอนหายใจออกมาก่อนจะพยักหน้า
“สุเปอร์เบียพูดว่ายังไงล่ะ?”
“อีกไม่นาน”
“ว้าว~”
คิมฮันนาห์ได้ปรบมือออกมา
“ยินดีด้วย! นายก็ด้วยนะจีฮู อีกไม่นานเราก็จะได้มีแรงค์เกอร์ระดับสูงอีกคนแล้ว”
“ฉันฝันมาตลอดถึงการไประดับ 5… ในที่สุดตอนนี้ฉันก็ได้อยู่ที่หน้าประตูแล้ว…”
มาแชล จิโอเนียดูจะสับสน แต่ก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไร
“ฉันคิดไม่ถึงเลยจริงๆ การที่ได้คะแนนคุณูปการด้วยวิธีแบบนี้…”
ถูกแล้ว ผลประโยชน์ที่สองที่คิมฮันนาห์บอกไว้ก็คือคะแนนคุณูปการ
ในตอนแรกที่ได้ยินสมาชิกทีมของพวกเขาก็ไม่ค่อยเชื่อกัน แต่ว่าซอยูฮุยได้ยืนยันด้วยตัวเองจากประสบการณ์ของเธอ
“คะแนนคุณูปการเป็นจำนวนเลขที่แสดงถึงอิทธิพลของบุคคลต่อสังคม เนื่องจากวัตถุประสงค์หลักของชาวโลกคือการกำจัดปรสิต สงครามคือวิธีหลักในการได้รับคะแนนคุณูปการมา แต่ว่าหากตั้งใจดูให้ดี คุณก็จะรู้ว่าเราสามารถจะหาคะแนนนี้ได้จากวิธีอื่นด้วยเช่นกัน”
“การได้รับคะแนนคุณูปการจากงานอาสาสมัคร… ฉันคิดว่ามันใช้ได้แค่กับนักบวชเท่านั้น”
“นี่ก็ได้แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ในอีวามันน่าสิ้นหวังขนาดไหน ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษยชาติกับสหพันธรัฐมันก็เหมือนฟันกับเหงือกที่ต้องพึ่งพิงกัน โรงประมูลกับรอยัลพัทยาเป็นสิ่งที่อันตรายต่อความสัมพันธ์อันล้ำค่านี้”
คิมฮันนาห์ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน
“เราไม่เพียงแค่จะกำจัดส่วนที่อันตรายนี้ออกไป แต่เราก็ยังเตรียมตัวที่จะฟื้นคืนรากฐานของความสัมพันธ์นี้ขึ้นมาอีกด้วย ในภาพใหญ่แล้ว มันไม่มีเหตุผลเลยที่เทพทั้งเจ็ดจะไม่เห็นด้วยกับผลงานนี้”
คิมฮันนาห์ได้อธิบายสั้นกระชับก่อนที่จะมองลงไป มาแชล จิโอเนียได้ส่งถุงเงินออกมาโดยไม่ลังเล คิมฮันนาห์ได้มองดูตรวจสอบจำนวนเงินข้างใน ก่อนที่จะเบิกตากว้างขึ้นมา
“มากขนาดนี้เลย?”
“ฉันโลภอยู่หน่อยน่ะ”
มาแชล จิโอเนียได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเคอะเขิน
“การกลายเป็นระดับ 5 คือความฝันของทุกๆคน สำหรับฉันมันก็เหมือนกัน หากว่าฉันได้รับคะแนนคุณูปการด้วยการโจมตีองค์กรในอีวา ฉันก็ไม่รู้สึกว่าการใช้เงินออกไปมันจะเสียเปล่า”
“ขอบคุณมาก”
มาแชล จิโอเนียได้ก้มหัวให้ก่อนจะเดินจากไป ซอลจีฮูได้มองดูเขาจากไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
‘คุณจิโอเนียสมควรจะเป็นระดับ 5 อย่างแน่นอน’
นักธนูเหล็กกล้าามีชื่อเสียงในเรื่องกำลังรบมากอยู่แล้ว องค์กรต่างๆมากมายต่างก็รู้ว่าเขาใกล้จะเป็นระดับ 5 แล้วจึงพยายามจะดึงตัวเขาไปร่วมทีมในทันทีที่เขากลับมา
ซอลจีฮูรู้ดีแก่ใจว่าอีกไม่นานคาเพเดี่ยมก็จะมีแรงค์เกอร์ระดับสูงอีกคนหนึ่ง และก่อนที่ความสุขเขาจะได้ลดลงไป ประตูก็ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้เป็นโชฮง
เธอได้มาพร้อมกับถุงเงิน
“ฉันมาซื้อคะแนนคุณูปการ”
เธอไม่ใช่แค่คนเดียว
“นายก็ด้วยหรอฮิวโก้?”
“ใช่…”
“เธอว่ายังไงมาบ้างล่ะ?”
“เธอบอกว่าฉันทำได้ดี แล้วควรจะพยายามมากกว่านี้สักหน่อย…”
ฮิวโก้ได้พูดออกมาเบาๆด้วยแก้มแดงๆ
“ไอร่าได้พูดเสมอว่า ‘เจ้าคิดว่าเจ้าดีพอจะเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงแล้วงั้นหรอ?’ พอมานึกว่าถึงวันที่เธอได้ให้กำลังใจฉัน…”
ฮิวโก้ได้เข้ามาหลังจากโชฮงออกไป และวางถุงเงินลง ภายในนั้นก็มีเงินอยู่จำนวนมากเช่นกัน
ต่อจากนั้นก็เป็นฟีโซรา ตามมาด้วยจางมัลดง และซอยูฮุยด้วยเช่นกัน
โอกาสในการได้รับคะแนนคุณูปการแบบปลอดภัยไม่ได้มีมาบ่อยๆ ดังนั้นทุกๆคนต่างก็กระตือรือร้นกันทั้งนั้น แม้กระทั่งปีศาจขี้งกก็ยังถูกคิมฮันนาห์ล่อลวงมาได้
“คะ คุณก็ด้วยหรอ คุณมาเรีย?”
“สีหน้าแบบนั้นมันอะไรกัน? ต้องตกใจขนาดนั้นเลยหรอ?”
มาเรียได้บ่นเสียงอู้อี้ออกมา
“หน้าที่ของนักบวชก็คือเยี่ยวยาผู้คน ความเจ็บปวดมันไม่จำเป็นต้องเป็นบาดแผลทางร่างกายเท่านั้นหรอกนะ หากว่าเงินของฉันสามารถจะช่วยให้ชาวพาราไดซ์หลุดพ้นจากความเจ็บปวดทั้งมวลได้ ฉันก็จะไม่เสียดายมันเลย”
โกหก มันชัดเจนมากๆว่าเธอโกหก
แม้ว่าเธอจะบ่นพึมพำออกมาเหมือนกับเป็นบุคคลทรงคุณธรรม แต่ว่ามือที่ส่งเงินออกมาของเธอกำลังสั่นอยู่อย่างรุนแรง
มันชัดเจนมากว่าเธอได้คำนวณมาอย่างหนักก่อนที่จะยอมเจ็บปวดส่งเงินออกมา ยังไงสุดท้ายแล้วรายได้เธอก็จะพุ่งกระฉูดเมื่อเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูง
“พี่สาว อย่าทำหายนะ”
“ได้สิๆ ได้ ปล่อยมือได้แล้ว”
“ฉันเอามาเพื่อทำประโยชน์จริงๆนะ ถ้าหากว่านายไปแม้แต่เหรียญทองแดง ถ้างั้นพี่สาวก็จะกลายเป็นสุดยอดยัยสารเลวเลยนะ”
“ฉันเข้าใจแล้ว เพราะงั้นปล่อยซะ! ทำไมเธอถึงได้จับแน่นแบบนี้ล่ะ?”
“พี่สาวเห็นชื่อตรงนี้ใช่ไหม? ดูให้ดีนะ”
ที่ถุงเงินมีชื่อ ‘มาเรีย เยเรล’ ถูกเขียนเอาไว้อย่างที่เธอบอกจริงๆด้วย จากการที่มาเรียจับถุงเงินเอาไว้แน่นได้เริ่มทำให้คิมฮันนาห์รำคาญแล้ว
“ถ้างั้นเก็บไว้เองเถอะ ถ้าเธอไม่เชื่อใจฉัน ถ้างั้นเธอก็ไปจัดการเอาเองเลย เธอคิดว่าฉันเป็นขอทานงั้นหรอ?”
“มะ ไม่ ฉันก็แค่อยากจะมั่นใจเท่านั้นเอง”
ในที่สุดมาเรียก็ยอมปล่อยมือ คิมฮันนาห์ได้เดาะลิ้นออกมา
“เธอเอามาเท่าไหร่เนี้ย?”
“เอาล่ะ เจอกันนะ!”
ขณะที่คิมฮันนาห์มองเข้าไปข้างใน มาเรียก็รีบวิ่งออกไปด้วยความเร็วที่ซอลจีฮูมองตามแทบไม่ทัน
หลังจากตรวจดูจำนวนเงินแล้ว คิมฮันนาห์ก็ถึงกับระเบิดหัวเราะออกมา
“ยัยบ้า”
จากนั้นจู่ๆเธอก็ทำสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา
“ฉันก็สงสัยอยู่ว่าทำไมมันหนักจัง ช่างน่าตลก!”
“?”
“ยัยนี่มางานแต่งงานคนอื่นที่ลงทุนจัดเลี้ยงเป็นแสนวอนต่อคน กินจนอิ่ม แล้วก็หนีไปหลังจากทิ้งซองเงินห้าพันวอนที่มีแต่เหรียญสิบวอนเท่านั้น”
คิมฮันนาห์ได้สบถด่ามาเรียก่อนจะส่ายหัว
“ฉันจะไม่มีวันเชิญเธอมางานแต่งแน่ๆ”
เท่านี้คาเพเดี่ยมก็ได้รวบเงินไว้บริจาคมาได้ทั้งหมดแล้ว หลังจากนับจำนวนเงิน คิมฮันนาห์ก็ถึงกับประหลาดใจ
“ว้าว… พวกเราช่วยได้เป็นพันๆคนเลย…”
จากนั้นเธอก็คำนวณเงินทุนสำหรับสนับสนุนการยังชีพ ซื้ออาหาร และจ่ายหนี้
ซอลจีฮูได้เดินวนไปมาเพื่อหาทางช่วย แต่เมื่อได้ยินว่า ‘ไปข้างนอกไป อย่ามากวน’ เขาก็ต้องกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงของคิมฮันนาห์
“สมบูรณ์แบบ เท่านี้ก็พอแล้ว”
ไม่นานนักคิมฮันนาห์ก็วางปากกาลง และลุกขึ้นยืน เมื่อมอวงเห็นซอลจีฮูฟุบหน้าอยู่ที่เตียงของเธอ เธอก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
“นายกำลังทำอะไรอยู่”
“กลิ่นหอมดี”
“นายเป็นโรคจิตงั้นหรอ?”
“ไม่ พูดจริงๆนะกลิ่นมันหอกดี เตียงฉันไม่เห็นมีกลิ่นแบบนี้เลย”
“ฟังนะนายโรคจิต หยุดดมกลิ่นฉัน แล้วมาช่วยแบกถุงพวกนี้หน่อย พวกเราต้องไปที่วังกัน”
ซอลจีฮูได้เงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย
“วัง? ไปทำไมล่ะ?”
“เพื่อบอกว่า ‘เรามาบอกข่าวดี’ ยังไงล่ะ”
ใช่แล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่คิมฮันนาห์จะทำได้เพียงลำพัง และซอกกูนีร์จะต้องอ้าแขนรับเข้าช่วยเหลืออย่างเต็มใจแน่ๆ
ซอลจีฮูได้กระโดดขึ้นจากเตียงไปหยิบทุกคนที่คิมฮันนาห์แยกเอาไว้ จากนั้นก็พูดขึ้น
“โอ้ จริงสิ ฉันมีเรื่องที่สงสัยอยู่ อ่า อย่าเข้าใจผิดนะ ฉันสงสัยจริงๆ”
“ในที่สุดก็ถามแล้วสินะ”
คิมฮันนาห์ได้สวมเสื้อนอกพร้อมพูดออกมาเหมือนเธอรู้ว่าเขาจะถามอะไร
“ด้วยจำนวนเงินก้อนนี้ อย่างแรกเราจะ-“
“บอกเพิ่งบอกว่างานแต่งใช่ไหม?”
มือที่จับชุดนอกของเธอได้แน่นขึ้น
“เธอมีแฟนที่จะแต่งงานด้วยแล้วหรอ?”
คิมฮันนาห์ได้หมุนตัวเตะเข้าที่ขาของซอลจีฮูทันที
***
สถานบันเทิงยามค่ำคืนของอีวาก็ยังคงคึกครื้นเหมือนอย่างเคย มีอยู่หลายสาเหตุที่ทำให้ชาวโลกนิยมสถานบันเทิงของอีวา แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือพาราไดซ์
ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกใดๆเหมือนกับบนโลก สำหรับโลกใหม่นี้ วัฒนธรรม และสินค้าต่างๆของพาราไดซ์มักจะดึงดูดความสนใจของชาวโลกที่เพิ่งเข้ามาใหม่อยู่เสมอ
แต่มันก็เหมือนกับที่โลก สิ่งใหม่ๆมักจะหมดความน่าสนใจไปอย่างรวดเร็วเมื่อเราคุ้นเคยกับมันแล้ว ไม่เพียงแค่การเพิ่มเลเวลจะยากมากๆในแต่ล่ะระดับเท่านั้น แต่ราคาของเครื่องสวมใส่ดีๆก็ยังสูงมากเช่นกัน
เป็นธรรมดาความดึงดูดที่พาราไดซ์สร้างต่อชาวโลกมีขีดจำกัด
พวกเขาก็ยังต้องตึงเครียดกับการต่อสู้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่มีทางได้บรรเทาความเครียดนี้ออกไป วิธีเดียวจริงๆเลยก็คือการมารวมตัวดื่มด้วยกันที่บาร์
สำหรับสถานบันเทิงสำหรับผู้ใหญ่ก็เป็นสิ่งที่ต่อยอดขึ้นมาจากจุดๆนั้น ไม่เพียงแต่จะให้ชาวโลกได้ดื่มแอลกอฮอล์กัน แต่ยังให้พวกเขาได้เพลิดเพลินปลดปล่อยความต้องการออกไปได้
นี่เป็นธุรกิจที่ชาวโลกคุ้นเคยกันอยู่แล้ว เพียงแค่เพิ่มเติมหญิงสาวต่างเผ่าพันธุ์ และราคาที่ถูก นี่เป็นเหมือนกับเหมืองทองที่คอยดึงความสนใจของชาวโลกไม่รู้จบ
คิงโคโรน่า
นี่คือชื่อสถานบันเทิงสำหรับผู้ใหญ่อันมีชื่อเสียงในอีวา สำหรับธุรกิจที่มีหญิงสาวชาวพาราไดซ์มากกว่าห้าสิบคนก็นับได้ว่าเป็นธุรกิจบันเทิงสำหรับผู้ใหญ่ขนาดกลางได้แล้ว
ยังไงก็ตามในวันนี้ผู้จัดการที่คอยรับผิดชอบดูแลจัดการคิงโคโรน่ากำลังเดินไปมาด้วยความกระวนกระวาย หญิงสาว 52 คนได้หยุดงานไปพร้อมๆกันราวกับคุยกันไว้ก่อน
แม้ว่าในตอนแรกเขาจะมีความสุขที่จะสามารถรีดไถเงินจากการมาสายได้ แต่หลังจากผ่านไปสองสามชั่วโมง เขาก็ต้องหน้าซีด
ลูกค้าได้เข้ามาไม่หยุด แต่ว่าเขาก็ต้องส่งลูกค้ากลับออกไปเพราะมีหญิงสาวไม่พอ
‘ยัยพวกนั้นมันหายหัวไปไหนกันหมด?’
ในที่สุดแล้ว เขาก็ต้องส่งคนออกไปตาม
เพื่อที่จะลากพวกเธอกลับมา ต่อให้จะต้องมีการใช้กำลังก็ตามที
ผู้จัดการคนหนึ่งได้เดินตามถนนไปที่บ้านของหญิงสาวคนหนึ่งได้บ่นพึมพำออกมา
‘เชี้ยเอ้ย นี่พวกมันฆ่าตัวตายหมู่กันหรือเปล่านะ? ถ้าไม่ใช่แบบนั้นแล้วจู่ๆทำไมถึงหายไปกันหมด?’
ในสายงานนี้สิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว หญิงสาวชาวพาราไดซ์ที่ทนกับความอัปยศ และการตรากตรำลำบากไม่ไหวก็จะเกิดการฆ่าตัวตายอยู่บ่อยครั้ง
แต่ว่าเมื่อเขามาถึงหน้าบ้านที่ทรุดโทรม ความกังวลของเขาก็ได้หายไป เขาได้เห็นหญิงสาวกำลังกินอาหารเย็นกับลูกสองคนพร้อมเสียงหัวเราะผ่านทางหน้าต่างที่แตกร้าว
ผู้จัดการได้รีบเดินเข้าไปด้วยความไม่พอใจ
“ยัยนี่!”
ปัง! เมื่อเขาได้ถีบประตูเข้าไป ทั้งสามคนข้างในก็หันกลับมามองด้วยความตกใจ
“คุณกำลังทำอะไร? มาพังประตูบ้านคนอื่นทำไม?”
“คนอื่น?”
ผู้จัดการได้ยเย้ยหยันออกมา
“ในที่สุดแกก็บ้าไปแล้วงั้นสิ? ทำไมถึงไม่มาทำงาน?”
“ฉันจะไปหลังจากกินอาหารเย็นกับเด็กๆแล้ว”
เด็กทั้งสองคนได้มองขึ้นมาด้วยสีหน้ากังวล ผู้จัดการได้ส่ายหัว และกวักมือเรียกเธอเข้าไปหา
“ไม่ว่าจะยังไงก็รีบไปใส่เสื้อซะ หัวหน้าผู้จัดการกำลังโกรธมาก”
“ไม่”
“อะไรนะ?”
“ฉันจะไม่ไปทำงานในที่น่ารังเกียจนั่นอีก”
“…ฟู่ว”
ผู้จัดการได้ถอนหายใจออกมา นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยๆ หญิงสาวที่ไม่รู้จุดยืนของตัวเอง และพูดออกมาด้วยความมั่นใจอย่างการฆ่าฉันไปเลยสิ สำหรับผู้จัดการที่เคยมีประสบการณ์เรื่องนี้มาแล้วหลายครั้ง เขาไม่ได้กังวลเลยสักนิด
“ฉันจะพูดอีกแค่ครั้งเดียวนะ ไปใส่เสื้อมาได้แล้ว”
“ฉันบอกว่าไม่”
“โอ้ งั้นหรอ?”
ผู้จัดการได้ตะคอก เดินย้ำเท้าตรงเข้าไปจับผมของหญิงสาว แต่จากนั้น
“อึก!”
เขาก็ต้องเซถอยกลับไป หญิงสาวได้ผลักเขาออกมาเมื่อเขาจับผมของเธอ
“แก…!”
ดวงตาของผู้จัดการได้เบิกกว้างขึ้น ปกติเธอควรจะหมอบคลานเมื่อถูกคุกคามสิ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
“นี่แกบ้าไปแล้วจริงๆ?”
“ออกไป”
หญิงสาวได้จ้องชายหนุ่มด้วยความเกลียดชัง
“ถ้าคุณยังไม่ออกไป ฉันจะเรียกยามแล้วนะ”
“ยาม?”
ผู้จัดการได้หัวเราะออกมาด้วยความตกตะลึง
“ว้าวว~ ไปเอาความกล้ามาจากไหนกัน ยามงั้นหรอ? ก็ได้ เรียกมาเดี๋ยวนี้เลยสิ”
“…”
“ดูเหมือนแกจะยังไม่รู้ที่ของตัวเองนะ ฟังให้ดี แกเป็นหนี้อยู่เข้าใจไหม?”
“…ฉันรู้”
“พวกเรารอให้แกใช้หนี้มาเป็นปี แต่แกก็ทำไม่ได้ ถ้างั้นไม่ใช่ว่าแกต้องทำงานชดใช้หนี้หรอกหรอ?”
“…”
เสียงกัดฟันอันน่ากลัวได้ดังออกมา
“การเรียกยามมีแต่จะสร้างเรื่องลำบากให้กับตัวแกเองเท่านั้น มาดูกัน หนี้ของแกคือ…”
ชายหนุ่มได้ล้วงมือไปหยิบสัญญาออกมาจากกระเป๋า แต่จากนั้น
ปึก มีบางอย่างกระแทกหน้าอกของเขาเบาๆ
ผู้จัดการได้รีบคว้าสิ่งที่กระแทกอกของเขาเอาไว้ทันทีด้วยความสับสน ตัดสินจากเสียงแล้ว มันดูเหมือนกับจะเป็นถุงเงิน
“…เงิน”
เมื่อดูภายในถุง ผู้จัดการก็ต้องอ้าปากค้างออกมา มีเหรียญเงินสีขาวอยู่เจ็ดเหรียญ และเหรียญทองแดงอีกกำมือหนึ่ง นี่คือจำนวนที่หญิงสาวเป็นหนี้
“แก…”
“เอาไป ฉันใช้หนี้แล้ว”
“ดะ ได้ยังไงกัน…?”
“ส่งนั่นมา”
เธอได้คว้าสัญญาไปจากมือของผู้จัดการ และฉีกมันเป็นชิ้นๆ เธอคงจะเก็บงำความแค้นเอาไว้มากจนทำให้เธอฉีกกระดาษซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเป็นเศษเล็กๆ
จากนั้นเธอก็โยนมันเข้าใส่ใบหน้าของผู้จัดการที่ยังสับสนอยู่
“มีความสุขไหมล่ะ? ออกไปพร้อมเงินของคุณเดี๋ยวนี้เลย”
“กะ แก…”
“อย่ามาเรียกฉันแบบนั้นนะ! ตอนนี้ฉันไม่ได้เป็นหนี้คุณ ฉันไม่ได้ติดค้างอะไรคุณอีกแล้ว!”
เธอได้แผดเสียงร้องออกมาอย่างไม่พอใจ หญิงสาวได้สูดหายใจเข้าลึกๆ และพึมพำออกมา
“อยากจะให้ฉันเรียกยามไหม?”
“แก ไม่ เฮ้ นับจากนี้แกจะเอายังไงต่อ-“
“นั่นมันไม่ใช่ธุระของคุณ! ออกไปซะ ฉันไม่อยากจะเห็นหน้าคุณอีก!”
ผู้จัดการโดนไล่ออกมาจากบ้านโดยไม่อาจจะพูดอะไรออกมาได้เลย
ตูม! เสียงประตูถูกปิดได้ดังไล่หลังซ้ำขึ้นอีก
“นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น…?”
ในท้ายที่สุดเขาก็ได้แต่จากไปทั้งๆที่ใจว้าวุ้นอยู่ ยังไม่หมดเท่านั้น
เมื่อเขาได้กับไปที่ร้าน เขาก็ได้เห็นเพื่อนร่วมงานที่กลับมาจากอีกฝั่งถนน อีกฝ่ายก็ยังถือถุงเงินกลับมาด้วยสีหน้าตกตะลึงเช่นเดียว
ในตอนนั้นเองไกลออกไปเสียงระเบิดก็ดังออกมาจาก ก่อนที่กลุ่มยามจะวิ่งตัดถนนไป ผู้จัดการทั้งสองคนได้ยืนมองดูยามอย่างไร้คำพูด
แต่เรื่องในวันนี้มันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น หลังจากมีคนจ่ายหนี้และออกไป 52 คนแล้ว ก็มีหญิงสาวอีก 106 คนที่ทำแบบเดียวกัน วันต่อมาก็มีอีก 214 คน และวันถัดจากนั้นก็มีอีก 436 คน จากนั้นจัดการสถานบันเทิงก็ต้องตกใจที่มีหญิงสาวจ่ายหนี้ลาออกไปอีก 873 คนในวันที่ห้า
ภายในเวลาแค่ห้าวันได้มีหญิงสาว 1681 คนจ่ายหนี้ และกลายเป็นอิสระไป
และยิ่งวันเวลาผ่านไปก็จะหญิงมีหญิงสาวลาออกไปเพิ่มอีกเรื่อยๆราวกับยังคงไม่พอ
ผู้จัดการทุกๆคน และเจ้าของสถานบันเทิงแต่ล่ะคนต่างก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกับพวกเขาตกอยู่ในความฝัน แต่ไม่นานนักพวกเขาก็ตระหนักได้ว่ามันคือความจริง
เมื่อก่อนพวกเขาจะเมินหน้าหนีลูกค้าที่มาสาย แต่ในวันนี้จำนวนลูกค้าได้ลดลงไปแล้ว หากไม่มีโสเภณี มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะทำธุรกิจต่อไป
จากภาพสถานบันเทิงอันคึกคักได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นความเปล่าเปลี่ยวที่มีเพียงแมงวันบินวนไปมา
มีหัวหน้าผู้จัดการบางคนที่ตัดสินใจอดทนรอ แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าหญิงสาวเอาเงินกันมากจากไหน แต่ว่าพวกเขาก็ยังมั่นใจว่าพวกเธอต้องกลับมาในตอนที่พวกเธอหิว
พวกเขามั่นใจว่าหญิงสาวจะต้องกลับมายืมเงินไปอีกแน่ๆ
จนกระทั่งข่าวลือแปลกๆได้เริ่มกระจายออกเป็นวงกว้าง
บทที่ 256 – จิ้งจอกก็คือจิ้งจอก (2)
ในช่วงนี้ที่สำนักงานคาเพเดี่ยมได้มีแขกเข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย เหตุผลก็ง่ายมาก ด้วยการแจกจ่ายเงินและอาหารออกไปทำให้มีชาวพาราไดซ์แวะมาที่นี่ในทุกๆวัน
“ต่อแถวๆ! ไม่ต้องห่วงนะ พวกเขามีอาหารไว้ให้พอสำหรับทุกคน!”
เด็กสาววัยรุ่นสวมชุดคลุมนักบวชได้ตะโกนให้ฝูงชนรวมตัวกันอยู่ที่ตรงหน้าสำนักงาน
คิมฮันนาห์ได้ขอให้ซอยูฮุยรับผิดชอบทำหน้าที่นี้ และเธอก็ได้แสดงความสามารถออกมาได้เหนือยิ่งกว่าที่คิมฮันนาห์หวังเอาไว้
ในฐานะผู้มีประสบการณ์ทำงานอาสาสมัครมาก่อน เธอได้ทำการซื้อวัตถุดิบอาหารราคาถูกมาเป็นจำนวนมาก และไปขอการสนับสนุนกำลังคนจากวิหารของอีวาฃ
เพราะเธอนี้เองได้ทำให้ด้านหน้าสำนักงานเต็มไปด้วยเสียงดัง แต่ก็เป็นระเบียบเรียบร้อย
“สมกับที่เป็นวีรบุรษแห่งฮารามาร์ค! เขาต่างไปจากพวกที่เหลือจริงๆ!”
ชายคนหนึ่งได้ยิ้มออกมาในขณะที่ถือกล่องอาหาร
“มีคนบอกไว้ว่าเขาได้ฆ่าผู้บัญชาการกองทัพที่หนึ่งอันน่ากลัว! นายจะเอาเขาไปเทียบกับชาวโลกธรรมดาไม่ได้นะ!”
หญิงสาวที่พาลูกมาด้วยได้พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ภาพลักษณ์ของซอลจีฮูกับคาเพเดี่ยมได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากจากการทำกุศลครั้งนี้ พวกเขาไม่เพียงแต่จะแจกอาหาร และเงินยังชีพเท่านั้น แต่พวกเขายังช่วยจ่ายหนี้ให้กับคนอื่นด้วยเช่นกัน
แม้ว่าหนี้จะไม่ได้หายไปทั้งหมด แต่การแทนมาด้วยการต้องชดใช้หนี้ให้กับคาเพเดี่ยมในอัตราดอกเบี้ย 9.63% ในระยะเวลาสิบปีก็เป็นอะไรที่น่ายกย่อง
“”เอาล่ะ คาเพเดี่ยมจงเจริญ! ฉันอยากจะให้หัวหน้าของพวกเขาเป็นราชาจังเลย”
“เฮ้ เดี๋ยวคนอื่นได้ยินนะ”
“แล้วทำไมล่ะ เขาดีกว่าราชินีที่แม้กระทั่งในเวลาแบบนี้ยังไม่โผล่หัวออกมาอีกเป็นล้านเท่า!”
“ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นชาวโลกก็ตามเถอะ…”
หญิงสาว และชายหนุ่มที่ต่างก็ถือกล่องในมือได้เดินออกไปพร้อมพูดคุยไปด้วย
ซอลจีฮูได้มองดูเรื่องทั้งหมดนี้จากระยะไกลด้วยรอยยิ้มพึงพอใจบนใบหน้า เขารู้สึกดี อารมณ์โกรธที่เขาได้เห็นอีวายามค่ำคืน กับโรงประมูลได้ลดน้อยลงไปหน่อยแล้ว
แม้ว่าค่าใช้จ่ายสำหรับคนนับร้อยที่มาในทุกๆวันจะไม่ใช่น้อยๆ แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะพวกเขามีเงินมากพอให้ใช้จ่ายได้
คิมฮันนาห์ได้บอกว่าเงินที่เขาเบิกออกมาเมื่อครั้งก่อนก็มากพอแล้ว แต่ว่าต่อให้เงินนั้นหมดลง พวกเขาก็แค่ไปเอาเพิ่มมาจากคลังเก็บของเท่านั้นเอง
ที่น่าแปลกไปกว่านั้น เขาไม่ได้รู้สึกว่ามันเสียเปล่าเลย
จะเป็นเพราะว่าตอนนี้เขารวยขึ้นมา หรือเพราะมรดกที่เหลืออยู่ของตระกูลรอชเชอร์ก็ก็ตามแต่ ซอลจีฮูก็ยังคงรู้สึกว่าสบายใจอยู่ดี ย้อนกลับไปในตอนเขาติดการพนัน การเสียเงินสักเหรียญเดียวก็ทำให้เขารู้สึกแย่แล้ว
เขาได้คิดกับตัวเอง และยิ้มออกมา จากนั้นเขาก็เห็นใบหน้าคุ้นเคย และเดินเข้าไปหาคนๆนั้น
“เธอก็ดูอยู่ด้วยหรอ?”
เขาได้เดินไปยืนข้างๆเธอ และถามออกมา แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับ คิมฮันนาห์ที่ยืนมองดูภาพการกุศลโดยไร้ซึ่งคำพูดใดๆ ซอลจีฮูหยักไหล่ และถามออกมา
“ยังไงก็เถอะนะ เรายังไม่ได้ลงทะเบียนองค์กรกันเลยใช่ไหม?”
“…ฉันก็กำลังจะพูดถึงมันในเร็วๆนี้แหละ”
ในที่สุดคิมฮันนาห์ก็เริ่มพูดขึ้นมา
“ฉันคิดว่าถ้าเรายังไม่ลงทะเบียนไปสักพักมันคงจะดีกว่า นายคิดยังไงหรอ?”
ซอลจีฮูได้กระพริบตาออกมาด้วยความตกใจ
“ทำไมล่ะ?”
“ด้วยวิธีนี้พวกเราจะก่อกวนพวกนั้นได้มากยิ่งขึ้น”
คิมฮันนาห์ได้พูดต่อโดยไม่ขยับสายตา
“ตราบใดยังไม่ได้รับการลงทะเบียนก็จะยังไม่นับว่าเป็นองค์กร นั่นมันหมายความว่าคาเพเดี่ยมก็ยังเป็นทีมอยู่”
“โอเค”
“ลองคิดดูสิ องค์กรอย่างเป็นทางการไม่ใช่แค่องค์กรสององค์กรเท่านั้น แต่เป็นถึงพันธมิตรเจ็ดองค์กรอันยิ่งใหญ่กลับถูกทำลายลงด้วยทีมเล็กๆที่มีคนเพียงไม่กี่คน น่าขำไหมล่ะ? พวกเขาคงจะต้องกำลังเป็นลมกันอยู่แน่”
ซอลจีฮูได้ค่อยๆคิดตามคำพูดของคิมฮันนาห์อย่างช้าๆ
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาก็คงจะยอมรับง่ายโดยพูดออกไปว่า ‘เข้าใจแล้ว’ แต่ว่าเมื่อสังเกตดูจากสถานการณ์เมื่อไม่กี่วันก่อน เขาก็รู้สึกตระหงิดใจ แต่นั่นก็แค่การคาดเดาเท่านั้นเอง…
“ในช่วงสองสามวันมานี้ฉันกำลังอ่านประมวลกฎหมายของอีวา”
เมื่อได้ยินเรื่องกฎหมายถูกพูดถึงอีกครั้งได้ทำให้คิมฮันนาห์หันมองออกไปด้านข้าง
“มีกฎอยู่หลายข้อที่เกี่ยวกับชาวโลก หนึ่งในนั้นก็คือห้ามไม่ให้ใช้ความรุนแรงหรือใช้กำลังภายในเมือง”
“มันเป็นแค่กฎหมายในนามเท่านั้นแหละ”
คิมฮันนาห์ได้เย้ยหยันออกมา
“วันๆหนึ่งมีการต่อสู้เกิดขึ้นอยู่หลายครั้งทั้งจากฝ่ายชาวพาราไดซ์และฝ่ายชาวโลก”
“ก็ใช่ แต่ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องการชกต่อยที่เกิดมาจากความขัดแย้งเล็กๆน้อยๆ”
“ถ้างั้นแล้วอะไรล่ะ?”
“กฎหมายนี้ได้มีกรณียกเว้นไว้อยู่ เหมือนกันกับที่ห้ามใช้กำลังมากเกินไปในเขตพรมแดนสหพันธรัฐ”
คิมฮันนาห์ได้เชิดคางขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะค่อยๆมองลงมาที่เขาด้วยสีหน้าแปลกๆ
“…ฉันเข้าใจนะว่านายอยากจะพูดอะไร”
จากนั้นเธอก็หัวเราะเยาะเย้ยออกมา
“แต่ถึงเราจะทำแบบนี้ พวกนั้นก็ยังคงจะไม่ทำอะไรอยู่อีกสักพัก”
“พวกเขาก็ยังจะไม่ทำอะไรอีกงั้นหรอ?”
“ก็น่าจะ”
ซอลจีฮูได้หรี่ตาออกมา
“ทำไมเธอถึงคิดแบบนั้นล่ะ?”
“เพราะนาย”
คิมฮันนาห์ได้ชี้มาที่ซอลจีฮู
“แล้วก็ฉัน”
จากนั้นเธอก็ชี้มาที่ตัวเอง
“ทำไมล่ะ? ฉันเป็นแค่แรงค์เกอร์ระดับสูงเองนะ”
“ไม่ใช่แค่แรงค์เกอร์ระดับสูง”
“ในพาราไดซ์มีแรงค์เกอร์ระดับพิเศษไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ หากไม่นับรวมผู้บริหารที่ถูกเรียกกันว่าเป็นอัครสาวกของเทพแล้ว จำนวนคนก็จะน้อยลงไปอีก แต่พวกเขาเหล่านั้นมีโอกาสในการเอาชนะเมื่อต่อสู้กับผู้บัญชาการกองทัพของปรสิตไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำไป ชัยชนะของพวกเขาไม่มีอะไรแน่นอนเลย”
“…”
“แต่ดูนี่สิ แรงค์เกอร์ระดับสูงตรงหน้าฉันได้ฆ่าผู้บัญชาการกองทัพปรสิตที่ซึ่งแม้กระทั่งผู้บริหารก็ยังทำกันไม่ได้มาก่อนเลย!”
ซอลจีฮูที่ได้มีประสบการณ์กับสงครามก่อนหน้านี้ได้ยอมรับว่าคำพูดของเธอเป็นเรื่องจริงๆ
“พวกเขาคงจะกำลังคิดว่า ‘หืม? เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าพวกนี้? ทำไมอยู่ๆถึงได้ทำมากขนาดนี้ล่ะ? พวกมันบ้าไปแล้วงั้นหรอ? ไม่ เดี๋ยวก่อน พวกมันกำลังร้องขอการต่อสู้อันเรียบง่าย แต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยเว้นก็แต่ว่าจิ้งจอกจะบ้าไปแล้ว เดี๋ยวนะ-“
คิมฮันนาห์ได้หยุดแค่ตรงนี้ และหันหน้ามามองซอลจีฮู
“…พวกเขาจะอยู่เฉยๆเพราะกลัวฉันหรอ?”
“นายบอกว่านายได้พึ่งทักษะปลุกพลังหลายอย่างเพื่อฆ่าความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ แต่ว่านายไม่เคยประกาศมันออกไปอย่างเป็นทางการ คนส่วนใหญ่ยังไม่ได้รู้ความจริงกัน นี่แหละคือเหตุผลที่ทำให้องค์กรพวกนั้นกัดฟันอยู่นิ่งๆในตอนนี้ นั่นเพราะว่าหากทำพลาดไปสักครั้ง พวกเขาก็จะต้องเผชิญหน้ากับชาวโลกผู้ใช้หอกอันลึกลับที่ได้ฆ่าผู้บัญชาการกองทัพที่หนึ่งของพาราไดซ์”
ใช่แล้วล่ะ แต่ว่าซอลจีฮูก็ยังมีคำถามอยู่อีก จากนั้นเอง
“จีฮู”
จู่ๆเสียงของคิมฮันนาห์ก็เบาลงไป เธอได้หันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้งหนี่ง
“นายรู้ไหมว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในตอนที่นักต้มตุ๋นกำลังเตรียมจะจู่โจม?”
ซอลจีฮูได้เลิกคิ้วขึ้นมา คิมฮันนาห์ได้พูดต่อโดยไม่สนใจหันกลับมามอง
“มันง่ายมาก นั่นคือการทำให้มั่นใจว่าคนที่ถูกหลอกไม่รู้ตัวว่าถูกหลอกไงล่ะ”
“…”
“พวกเขาจะรู้ตัวว่าถูกหลอกก็ต้องเมื่อการต้มตุ๋นมันจบลงแล้วเท่านั้น มันจะสายเกินไปที่จะแก้ไขอะไรได้อีก”
ซอลจีฮูเข้าใจได้ทันทีว่าเธอกำลังพูดอะไรอยู่
“ฉันเข้าใจ นักต้มตุ๋นตามบ่อนพนันมักจะไม่ได้ทำเงินก้อนใหญ่ไปในทันที พวกเขาจะรอคอยกาส ยอมสูญเสียเงินไปก้อนหนึ่ง ก่อนที่จะเอาทุกๆอย่างคืนมา”
“อะไรนะ?”
“ฉันได้ยินมาว่าพวกเขาจะค่อยๆใช้เวลารอโอกาสจัดการในทีเดียว ชัดเจนว่าสิ่งสำคัญคือทำให้เหยื่อหลงไปตามการชักจูงของพวกเขา”
คิมฮันนาห์ได้เบิกตากว้างขึ้นมาเหมือนกับตกใจเป็นอย่างมาก แต่ไม่นานนักเธอก็กลับมารักษาท่าทีได้เหมือนเดิม และยิ้มบางออกมา จากท่าทางที่เอียงหัวลงพร้อมปิดปากแน่นของเธอแล้ว เธอดูเหมือนจะพยายามกลั้นขำเอาไว้อยู่
“อะไรล่ะ? มีอะไรน่าขำ?”
“ไม่-“
เมื่อซอลจีฮูได้รีบถามออกมา คิมฮันนาห์ก็ปิดปากหัวเราะออกมา
“ฉันก็แค่ตกใจ มันเป็นการเปรียบเทียบที่เยี่ยมมาก”
“แต่ฉันไม่คิดว่านั่นเป็นเหตุผลที่เธอหัวเราะนะ”
“นายพูดถูก ฉันก็แค่คิดว่ามันตลกที่ได้ยินอดีตคนติดพนันพูดแบบนี้”
คิมฮันนาห์ยิ้มออกมาก่อนที่จะหันหน้ากลับไป
“เธอจะไปที่ไหนล่ะ?”
ซอลจีฮูได้ถามออกมาอย่างบูดบึ้ง
“ฉันมีคนต้องไปเจออยู่~”
คิมฮันนาห์ได้โบกมือออกมาพร้อมเดินจากไปอย่างมีความสุข ซอลจีฮูที่เห็นเธอค่อยๆเดินไกลออกไปได้บ่นกับตัวเองในใจ ‘เธอน่าจะบอกอะไรกันหน่อยนะ’
เธอไม่ได้ซ่อนทุกๆอย่าง แต่ว่าจากการที่เธอพยายามเลี่ยงประเด็นอย่างชำนาญมันทำให้ซอลจีฮูรู้สึกเหมือนกับถูกจิ้งจอกปั่นหัวอยู่
‘เธอกำลังคิดอะไรอยู่นะ?’
ซอลจีฮูได้ถอนหายใจ และสะบัดหัวไปมา
***
หัวหน้าของแก๊งโอชัวร์ โอมาร์ กราเซียกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ ไม่เพียงแค่เขาจะสูญเสียหนึ่งในธุรกิจสำคัญไปเท่านั้น แต่ว่าเมื่อเขาได้พยายามชดเชยความเสียหายด้วยการเข้าควบคุมธุรกิจสถานบันเทิงสำหรับผู้ใหญ่ของรอยัลพัทยา คาเพเดี่ยมก็ได้พลิกกระดานใส่ราวกับรอจังหวะนี้อยู่แล้ว
เงินเก็บของเขาได้หายไปภายในพริบตาเดียว
‘ไอ้พวกเชี้ย…’
แม้ว่าภายนอกเขาจะทำเป็นสงบ แต่ภายในใจของเขาตอนนี้มันแทบจะระเบิดออกมาแล้ว
‘ให้ตายสิ ฉันกำลังพยายามทำตัวดีอยู่เหมือนกัน… อยากจะทำแบบนี้ใช่ไหม?’
มันชัดเจนมากว่าคิมฮันนาห์เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ นี่แหละคือปัญหา
โอมาร์ กราเซียเป็นทหารผ่านศึกในพาราไดซ์อย่างแท้จริง มันเป็นธรรมดาที่เขาจะเคยได้ยินชื่อเสียงอันอื้อฉาวของจิ้งจอกสาว
เขาไม่อาจจะเรียกตัวเองว่าเป็นคนมีคุณธรรมได้ แต่ว่าเมื่อเอาตัวเองมาเทียบกับคิมฮันนาห์ เขาก็คิดว่าสิ่งที่เขากระทำชั่วไปได้ลดน้อยลงไปอย่างมาก
ตามข่าวลือแล้วกระทั่งความขัดแย้งภายในอันมีชื่อเสียงโด่งดังในฮารามาร์คก็ยังเป็นฝีมือของเธอ
ปีศาจจอมโหดเหี้ยมที่จะไม่ลังเลเลยที่จะหลอกลวงผู้อื่นจนตายเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง นี่แหละคือคิมฮันนาห์
และก็เป็นเหตุผลที่ทำให้โอมาร์ กราเซียรู้สึกสงสัย เธอไม่มีทางจะทำอะไรโดยไม่มีแผน เว้นก็แต่ว่าเธอจะบ้าไปแล้วเท่านั้น
ตัดสินจากการกระทำล่าสุดของเธอ มันชัดเจนมากว่าเธอกำลังต้องการที่จะสู้กับองค์กรต่างๆ แต่ไม่ว่าเขาจะคิดมากยังไง เขาก็คิดไม่ออกเลยว่าอะไรที่ทำให้เธอมั่นใจกล้าถึงขนาดนี้
‘ซินยองงั้นหรอ? ไม่สิ ซินยองไล่เธอออกมาเหมือนกับสุนัขล่าเนื้อที่กัดมือนายแล้ว ถ้างั้นแล้วทำไมเธอถึงมาที่อีวา…?’
ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรในพาราไดซ์ค่อนข้างที่จะซับซ้อนอยู่
ซิซิเลียได้เรียกตัวเองว่าพิชิตทางใต้ แต่ว่าหากมองอีกมุมหนึ่งก็พูดได้ว่าพวกเขาได้ถูกกดดันให้ต้องไปอยู่ที่ฮารามาร์ค เนื่องจากข้อตกลงที่พวกเขาได้ทำเอาไว้ในตอนท้ายของความขัดแย้งในฮารามาร์คทำให้พวกเขาไม่มีอิทธิพลในเมืองอื่นๆ โอมาร์ กราเซียไม่ต้องกังวลว่าคาเพเดี่ยมจะมีซิซิเลียคุ้มครองอยู่เลยสักนิด
หากว่าซิซิเลียขัดต่อข้อตกลงนี้ องค์กรอันดับหนึ่งในพาราไดซ์ที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงจะไม่มีวันเมินเฉย และเข้ามาเอี่ยวด้วยแน่
ดังนั้นโอมาร์ กราเซียจึงสามารถจะตัดความเป็นไปได้นี้ทิ้งไปได้เลย แม้กระทั่งเรื่องราชวงศ์ฮารามาร์คอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ก็อยากจะเชื่อได้เช่นกัน
ขณะที่เขากำลังไตร่ตรองปัญหากับตัวเองอยู่นานนี้เอง คริสตัลที่อยู่ข้างๆเขาจู่ๆก็เปล่งแสงสว่างขึ้นมา
โอมาร์ กราเซียได้เงยหน้าขึ้นมอง นี่เป็นการติดต่อที่เขากำลังรออยู่
“ว่าไง นี่ผมเอง ได้ๆ แล้ว…”
เขาได้วางมือลงบนคริสตัล และตั้งใจฟังทันที
“…ว่ายังไงนะ?”
หลังจากฟังอยู่สักพัก เขาก็ขมวดคิ้วขึ้น แต่ในไม่ช้าเขาก็ตอบกลับไป
“อ่า งั้นหรอ… เป็นเรื่องจริงสินะ?”
มุมปากของเขาได้โค้งเป็นรอยยิ้มขึ้นมา
“ได้สิ ได้ ไม่มีปัญหาเลย พวกเราจะอยู่เฉยๆ โดยเฉพาะในช่วงนี้พวกเราจะไม่ไปแตะต้องสหพันรัฐเด็ดขาด”
-อย่าหาว่าฉันไม่เตือนแล้วกัน
“แน่นอนๆ ผมเข้าใจ ขอบคุณสำหรับข่าวนะครับ”
-ฉันไม่รู้หรอกนะว่าคุณขอบคุณฉันเพื่ออะไร แต่ว่าคิดเรื่องนี้ให้ดีล่ะ
จากนั้นสายก็ได้ตัดไป เมื่อเห็นแสงในคริสตัลดับลง โอมาร์ กราเซียก็ระเบิดหัวเราะออกมา
“ฮ่าห์ ยัยจอมชักใยนี่น่ากลัวจริงๆเลย”
เขาได้พึมพำกับตัวเองก่อนจะปรบมือเข้าด้วยกัน
“เข้าใจแล้ว เป็นแบบนี้เองสินะ… ถ้าแบบนี้…”
หลังจากคิดกับตัวเองอยู่สักพัก เขาก็ได้ติดต่อไปหาคนๆหนึ่ง ไม่นานนักชายหนุ่มกับหญิงสาวก็ได้เดินเข้ามา
“เรียกพวกเราหรอครับท่าน?”
“ฉันมาแล้ว~”
ฝ่ายชายมีหน้าชัดได้รูปสวมเกราะเหล็กเต็มตัว ในขณะที่ฝ่ายหญิงสาวผมสีเงินได้สวมใส่เกราะโซ่ที่มีขนาดเบา
โอลิเวอร์ โรเจอร์ กับโนอา เฟรย่า ทั้งคู่คือนักรบแรงค์เกอร์ระดับสูง และเป็นหัวหอกของแก๊งโอชัวร์ อย่างน้อยที่สุดพวกเขาทั้งคู่ก็สามารถจะเอาชนะจิรายุ แมทธิวได้ง่ายๆ
“นานแล้วนะที่ท่านไม่ได้เรียกเราสองคนมาพร้อมกัน”
หญิงสาวผู้เผยผิวสีพีชอันเย้ายวนได้ถามออกมาด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ โอมาร์ กราเซียได้อธิบายให้เธอฟังในทันที
“ผมมีคำถามที่อยากจะถามทั้งคู่”
“อะไรหรอครับ?”
“เกี่ยวกับคาเพเดี่ยม”
“อืมม… อย่างที่คิดเลย”
โนอา เฟรย่าได้วางมือลงบนเอวเพรียวบางพร้อมเอียงหัวออกมาอย่างสงสัย
“แต่ว่าถ้าเป็นเรื่องคาเพเดี่ยม…”
“คุณเคยได้ยินเรื่องชาวโลก ฟีโซราไหม?”
“อ่า แน่นอนสิ ถ้าเราไม่รู้จักพวกเราก็คงโง่แล้วล่ะ”
โนอา เฟรย่าได้ตอบกลับมาในทันที โอมาร์ กราเซียได้หันไปมองฝ่ายชายที่ยังคงเงียบอยู่
“คุณล่ะ?”
“ผมพอได้ยินมาบ้าง”
เป็นคำตอบที่คลุมเครือ แต่ดูแล้วทั้งคู่ต่างก็รู้จักเธอคนนั้น
“พอจะรู้ไหมว่าเธอแกร่งแค่ไหน? ยกตัวอย่างหากว่าสู้กันแบบหนึ่งต่อหนึ่ง…”
“ฉันจะแพ้”
“ไม่มีโอกาสเลย”
โอลิเวอร์ โรเจอร์กับโนอา เฟรย่าได้ตอบกลับมาทันที
“บอกก่อนเลยนะต่อให้โรเจอร์กับฉันสู้ร่วมกัน พวกเราก็ขยับกันได้ไม่กี่ครั้งก่อนจะถูกบั่นหัว”
คำพูดที่บอกว่าถูกฆ่าแน่ๆของโนอา เฟรย่าได้ทำให้โอมาร์ กราเซียกลายเป็นสับสน
“เธอแข็งแกร่งขนาดนั้นเลย?”
“แค่เพราะเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงมันไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ในระดับเดียวกัน จะว่ายังไงดีล่ะ… อืม เธออยู่คนละชั้นออกไปจากเรา”
“ผมคิดมาเสมอว่าพวกคุณทั้งคู่เป็นแถวหน้าในหมู่แรงค์เกอร์ระดับสูง”
โอลิเวอร์ โรเจอร์ได้เผยความไม่พอใจออกมา แต่ว่าโนอา เฟรย่าได้หยักไหล่อย่างไม่แยแส
“หากว่าเราอยู่แถวหน้า ถ้างั้นผู้หญิงฟีโซราคนนั้นก็อยู่บนฟ้าแล้ว เธอได้เลื่อนขั้นไปสู่ระดับ 6 ด้วยทักษะพันดาบ…. นอกจากนี้เธอยังเชี่ยวชาญการชักดาบไว และในหมู่ระดับ 5 เธอก็ยังอยู่ในระดับท็อปสิบอย่างแน่นอน เรื่องนี้สามารถจะบอกได้จากการที่เธอเอาชนะโอราฮีได้ง่ายๆ”
“…ถ้างั้นแล้วจองโชฮงล่ะ?”
“หืม ฉันต้องลองสู้กับเธอก่อนถึงจะรู้ แต่ว่าฉันก็ไม่กล้าพูดว่ามั่นใจได้…”
โอมาร์ กราเซียได้อ้าปากค้างออกมา เขาก็พอจะคิดเอาไว้แล้ว แต่แรงค์เกอร์ระดับสูงของคาเพเดี่ยมดูจะเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง
“ท่านเรียกเรามาแค่เพื่อถามเรื่องนี้หรอ?”
โอลิเวอร์ได้ถามออกมาสั้นๆ โอมาร์ กราเซียได้ส่ายหัวออกมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก
“…ผมก็อยากจะถามเรื่องซอลจีฮูเหมือนกัน เพื่อประเมินพลังของเขา”
“ซอลจีฮู… คงหมายถึงหัวหน้าคาเพเดี่ยมสินะ”
โนอา เฟรย่าได้ลูบคางของเธอ
“ไม่มีเบาะแสเลย ทุกๆอย่างเกี่ยวกับคนๆนี้ได้เต็มไปด้วยความลึกลับ…”
“ผมคิดว่าข่าวลือเกี่ยวกับเขามันพูดเกินเลยไปหน่อยไหม?”
“ก็ไม่เชิง”
โอลิเวอร์ โรเจอร์ได้เสริมขึ้นมา
“แม้ว่าจะมีเรื่องไร้สาระอยู่มากมาย แต่ว่าเรื่องที่ซอลจีฮูฆ่าความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ก็เป็นเรื่องจริง มีพยานรู้เห็นเรื่องนี้อยู่นับไม่ถ้วน”
โอมาร์ กราเซียได้ขมวดคิ้วขึ้นมา
“แต่ว่านั่นมันเป็นไปได้ยังไงกัน!? หากว่าผู้บัญชาการกองทัพที่หนึ่งบุกอีวา เมืองนี้ก็จะถูกทำลายไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว!”
“ฉันไม่เห็นด้วยนะ ยังไงแล้วอีวาก็ไม่ได้มีผู้บริหาร อ่า บุตรแห่งลูซูเรียอยู่ที่นี่แล้วนี่นา”
“ผมรู้ แต่ว่าที่ผมอยากรู้คือซอลจีฮูอยู่เหนือความหมั่นเพียรอันนิรันดร์จริงหรือเปล่ามากกว่า”
“อ่า ถ้างั้นก็คงไม่อย่างแน่นอน”
ด้วยคำรับรองจากโอลิเวอร์ โรเจอร์ได้ทำให้ดวงตาของโอมาร์ กราเซียเป็นประกาย
“ผมสนใจสงครามนั้นก็เลยไปศึกษามาด้วยตัวเอง ซอลจีฮูได้ปรากฎตัวควบคุมสนามรบเหมือนกับปีศาจ แต่ว่าพวกเขาก็บอกว่าซอลจีฮูได้รับการช่วยเหลือจากผู้บริหารจำนวนมาก”
“โอ้ งั้นหรอ?”
“อัตตา ความเกลียดคร้าน ราคะ ความโกรธ ความโลภ… ที่นั่นมีผู้บริหารอยู่ทั้งหมดห้าคน แล้วถึงแม้เธอจะไม่ใช่ผู้บริหาร แต่ก็ยังมีจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ร่วมด้วยอีกคน”
“ถ้างั้นแล้วก็มีชาวโลกในระดับผู้บริหารถึงหกคน”
“ใช่แล้วล่ะ รายงานได้บอกไว้ว่าบุตรแห่งลูซูเรียกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ได้ให้การช่วยเหลือซอลจีฮูอย่างเต็มที่ นี่คือเหตุผลที่ทำให้เขาฆ่าความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ลงไปได้ บ้างก็บอกว่าข่าวลือที่เขากดดันผู้บัญชาการกองทัพสามคนอยู่ฝ่ายเดียวเป็นข่าวเท็จ”
“ใช่แล้ว มันต้องแบบนี้แหละนะ”
“หลังจากจบสงครามเขาก็ยังอยู่ในอาการบาดเจ็บสาหัสอยู่หลายสัปดาห์ และเมื่อคำนึงว่าสหพันธรัฐได้ทำการรักษาให้ขา มันก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาได้ใช้ความสามารถที่สร้างภาระให้กับร่างกาย”
“เยี่ยม!”
ในที่สุดเขาก็ได้ยินในสิ่งที่อยากจะได้ยินสักที
“คุณมั่นใจเรื่องนั้นใช่ไหม?”
“?”
“ที่ผมหมายถึงก็คือเหตุผลที่ทำให้คาเพเดี่ยมกล้าแสดงออกมามากขนาดนี้ก็เพราะพวกเขามั่นใจในทีมของพวกเขา กับพลังของซอลจีฮู”
“มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นแบบนั้น”
โอลิเวอร์ได้ตอบกลับมาอย่างาสงบ ก่อนที่จะแสดงสีหน้าสงสัยออกมา
“หากว่าท่านยังสงสัยอยู่ ท่านก็สามารถจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เองได้เสมอ… แต่ว่าทำไมถึงถามเรื่องนี้กันล่ะ?”
โอมาร์ กราเซียได้ยิ้มออกมา
“ก็เพราะว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมากยังไงล่ะ”
“?”
“ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เราอาจจะต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังหลักของคาเพเดี่ยม หากว่าพวกเขาอยู่ในระดับที่เหนือกว่าผู้บัญชาการกองทัพปรสิต มันก็คงไม่สำคัญต่อให้องค์กรทั้งเจ็ดร่วมมือกันสู้ก็ตาม”
“นั่นก็จริง… แต่ว่าพวกเขาก็ยังเป็นมนุษย์ หากเผชิญหน้ากับจำนวนที่เหนือกว่า พวกเขาก็ต้องแพ้อยู่ดี”
โนอา เฟรย่าก็ยังพยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน
“ตอนนี้หากว่าเราระดมกองทัพของอาณาจักรมาได้ พวกเขาก็มีแต่ต้องยอมแพ้ใช่ไหม?”
“แน่นอน แต่ว่าท่านระดมพลได้ด้วยหรอ?”
“มันมีวิธีอยู่ แต่ว่าก่อนหน้านั้น-“
โอมาร์ กราเซียได้ลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง
“ผมคงต้องไปเยี่ยมซันเหอสักหน่อย”
“ซันเหอ?”
“อ่า ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก ก็แค่ยืนยันสิ่งที่คุณพูด…”
เขาได้เดินออกไปด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก
“แล้วก็ตามว่าเจตนาของพวกเขาคืออะไร”
***
ในเวลาเดียวกัน
งานปาร์ตี้ได้ถูกจัดขึ้นภายในห้องที่อยู่ในสำนักงานคาเพเดี่ยม
บทที่ 257 – จิ้งจอกก็คือจิ้งจอก (3)
มีเงาดำได้ลอยไปทั่ว และกินอาหารที่ถูกเตรียมเอาไว้ ซึ่งนั่นก็คือวิญญาณเจ้าถิ่น
พวกเขาก็คือฝูงผีพเนจรที่ถูกโฟลนจัดการเอาไว้
พูดให้ชัดก็คือถูกบังคับยึดบ้านไป แต่ว่าในปัจจุบันพวกเขาก็ดูจะพอใจกับชีวิตใหม่นี้
นั่นก็เพราะว่าคิมฮันนาห์ได้ยอมรับคำขอของโฟลน และสร้างสถานที่ให้พวกเขาได้อยู่อาศัยกัน
ไม่เพียงแค่จะสร้างป้ายหลุมศพให้พวกเขาแต่ละคนเท่านั้น แต่ยังมีนักบวชสาวคอยมาจุดธูปอธิษฐาน และเอาอาหารอร่อยๆมาเซ่นไหว้ให้กับพวกเขาอยู่เสมอ แล้วนี่จะไม่ให้พวกเขาพอใจได้ยังไงกันล่ะ?
จริงๆแล้วชีวิตของพวกเขาดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับบ้านร้างที่พวกเขาเคยอยู่
แต่แน่นอนนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่มีอะไรให้ต้องกังวล
ฝูงวิญญาณที่กำลังมีความสุขกันอยู่จู่ๆก็นิ่งงันไป- พวกเขารู้สึกได้ถึงวิญญาณชั่วร้ายขนาดใหญ่กำลังเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
มันเป็นความแค้นที่ทำให้วิญญาณอาฆาตยังต้องตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ความต่างของความแค้นมันมหาศาลมากจนเหมือนกับเทียนไข และดวงอาทิตย์
วิญญาณที่รู้ตัวได้ช้ารีบขยับตัวอย่างรวดเร็ว แต่ยังไงก็ตาม…
[โอ้?]
โฟลนได้เข้ามาในห้องแล้ว
[เอาล่ะ ดูสภาพห้องนี้สิ]
เมื่อเสียงแหลมสูงดังออกมา วิญญาณก็ได้รีบประจำตำแหน่งของตัวเอง พวกเขาแต่ละคนต่างก็ไปยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าป้ายหลุมศพของตัวเอง โดยไม่ขยับกล้ามเนื้อแม้แต่นิดเดียว
[เฮ้อ]
เมื่อเห็นสภาพห้องที่มีอาหารเกลื่อนไปทั่วได้ทำให้โฟลนรู้สึกท้อแท้จริงมา แต่ว่าเธอก็ได้เลือกหลับตาอดทนกับมันอยู่สักพัก
[ฟู่… มาเริ่มนับคนกันก่อนแล้วกัน]
[เอาล่ะ มีทั้งหมดสิบสี่คน แล้วตอนนี้มีอยู่สิบสอง… อะไรนะ หายไปไหนสองคน? ทำไมฉันไม่เห็นอีกสองคน?]
[อะไร? ไปห้องน้ำงั้นหรอ?]
[อย่ามาล้อฉันเล่นนะ? นี่พวกแกยังคิดว่าเป็นมนุษย์อยู่อีกหรอ?]
วิญญาณที่มีโครงร่างใหญ่สุดในที่แห่งทำอะไรไม่ถูกทันทีที่ถูกโฟลนตะโกนใส่
[ว้าว… นี่มันแย่มาก!]
โฟลนได้ก้มหน้าลง และส่ายหัวอย่างไม่พอใจ
วิญญาณได้สะดุ้งเฮือกขึ้น
พวกเขารู้นับตั้งแต่ที่เจอกันครั้งแรกแล้ว เมื่อไหร่ที่เธอพูดว่า “แย่มาก’ เธอก็จะไม่มีวันปล่อยให้พวกเขาได้สบาย
และโฟลนได้ยกมือเท้าเอวทั้งๆที่ก้มหัวอยู่อยางที่คาดไว้ จากนั้นเธอก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน
[วันนี้ฉันโฟลนรู้สึกผิดหวังกับพวกแกมากๆ]
[ฉันรู้ว่าพวกแกไม่อยากจะได้ยินคำนี้ แต่ว่าแค่รักษามารยาทพื้นฐานกันก็ไม่ได้งั้นหรอ? พวกแกทุกคนไม่มีศักยภาพในการทำแบบนี้เลยหรอ?]
[ฉันก็ไม่ได้หวังอะไรมากเลยนะ แค่รายงานตัวกับฉัน แล้วก็อยู่นิ่งๆ ฉันไม่ได้หวังให้พวกแกพัฒนาตัวเอง แต่ว่าอย่างน้อยก็แค่มาเจอฉันตรงกลางเท่านั้นเอง นี่ฉันผิดงั้นหรอ?]
[ไม่เลย ฉันไม่ได้บอกว่าไม่ให้พวกแกเล่นกัน แต่ถ้าพวกแกกินอะไรอย่างน้อยก็ช่วยทำความสะอาด แล้วก็เปิดหน้าต่างระบายอากาศสักหน่อยไม่ได้เลยหรอ? ค่อยพักหลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็ได้นี่]
เธอได้คุยโม้เรื่องการเปลี่ยนทัศนียภาพ และบอกว่าเธอไม่อาจจะไว้ใจพวกเขาได้ทั้งๆที่เธออยากจะไว้ใจก็ตาม หลังจากบ่นพวกเขาอยู่นาน โฟลนก็กอดอก และกวาดมองดูวิญญาณที่ยืนเรียงแถวก้มหน้ากันอยู่
[ตอนนี้ทำให้ดีขึ้นกันได้ไหม?]
[ได้ครับ!]
วิญญาณได้ส่งเสียงตะโกนออกมาพร้อมๆกัน
[ฉันเชื่อใจพวกแกได้ใช่ไหม? อย่างน้อยที่สุดพวกแกคงต้องใช้เวลาสักสองสามวันก่อนจะทำให้มันเละเทะอีกได้ใช่ไหม?]
[ครับ/ค่ะ!]
[…เยี่ยมมาก]
โฟลนได้เม้มริมฝีปาก แต่ก็ยังพูดออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
[ถ้างั้นฉันจะแกล้งทำเป็นไม่เห็นสักครั้งแล้วกัน]
หลังจากย้ำเตือนให้พวกเขาระวังเรื่องพฤติกรรมแล้ว โฟลนก็หันหลังเดินออกไปจากห้อง หลังจากตัวตนของเธอได้หายไปไกลแล้ว วิญญาณก็ได้เริ่มบ่นกันเองขึ้นมา
[ชู่ววว ทุกครั้งที่เห็นเราผู้หญิงคนนี้เอาแต่บอกว่าเธอผิดหวังอยู่เสมอเลย]
[นี่ครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะ?]
[ครั้งที่ยี่สิบเอ็ดแล้ว]
[เฮ้ เฮ้ ไม่เป็นไรหรอกน่า เธอไปแล้วใช่ไหม? แค่ทำให้เหมือนเราทำความสะอาดก็พอแล้ว]
วิญญาณได้บ่นออกมา และเริ่มนินทาโฟลนด้วยกัน
***
ปาร์คดงชุนได้มาที่สำนักงานคาเพเดี่ยมตามคำขอของโอมาร์ กราเซีย เขาได้บอกว่าจะลองเสี่ยงโชคด้วยข้ออ้างในเรื่องข้อตกลงอสังหาริมทรัพย์ แต่ว่าพูดตรงๆแล้วมันไม่ใช่เลยสักนิด
เมื่อสถานการณ์บานปลายมาจนถึงจุดๆนี้มันก็ชัดเจนแล้วว่าฝ่ายตรงข้ามก็รู้จุดประสงค์ของการมานี้เป็นอย่างดี การพูดตรงๆจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
“นี่เธอจะทำแบบนี้กันจริงๆหรอ?”
“ฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลยว่านายกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่~”
แต่แน่นอนว่านั่นก็เป็นแค่ในทางปฏิบัติเพียงเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดไว้อยู่แล้วว่าเขาจะได้สิ่งที่ต้องการโดยไม่เสียอะไรไป
“หยุดทำแบบนี้แล้วพูดมาเถอะ ทำไมเธอถึงทำกับฉันแบบนี้?”
“แปลกๆนะ ทำไมล่ะ? เราทำอะไรที่ไม่ควรทำลงไปงั้นหรอ?”
ปาร์คดงชุนได้จ้องคิมฮันนาห์ที่ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
มันเป็นอย่างที่เขาคิดไว้เลย แต่ว่าเขาก็ยังไม่ยอมถอย
“ลองคิดถึงจุดยืนของฉันสักหน่อยสิ เธอรู้ไหมว่าช่วงนี้ฉันต้องเจอกับปัญหามากแค่ไหน?”
“ก็นะถ้าเป็นนายก็คงมีแผนสำรองไว้อยู่แล้วล่ะนะ”
“แผนสำรอง?”
“ก็คุณได้ส่งสัญญาหลังจากคำนวณเรื่องทั้งหมดไว้ตั้งแต่แรกแล้วนี่”
ปาร์คดงชุนได้แสดงสีหน้าขมขื่นออกมา คิมฮันนาห์ได้ส่ายหัวก่อนจะหยิบเอาเอกสารออกมาจากเสื้อ
“นายนี่น่าทึ่งจริงๆเลยนะ”
“ตอนนี้อะไรอีกล่ะ?”
คิมฮันนาห์ได้หยิบกระดาษขึ้นมาโบกไปมา
“นายคิดว่าเอกสารนี่คืออะไรล่ะ?”
“…อะไรนะ?”
“เป็นรายงานเกี่ยวกับองค์กรในอีวา”
“?”
“ตัวแทนของเราได้บอกให้ฉันส่งรายงานโดยละเอียดเกี่ยวกับองค์กรในอีวา”
คิ้วของปาร์คดงชุนได้ขมวดขึ้นมาเมื่อเธอเน้นย้ำคำเดิม
“แล้วในระหว่างที่ฉันกำลังเขียนรายงานขึ้นมา… องค์กรพ่อค้าดงชุนกับหมดจดกว่าที่ฉันคิดไว้”
“…”
“ฉันคิดว่าจังหวะที่นายล้างมือมันเหมาะมากเลยล่ะ จู่ๆทำไมนายถึงทำแบบนี้ล่ะ?”
“ก็นะ… ฉันแค่คิดว่าฉันน่าจะใช้ชีวิตให้ดีขึ้น”
ปาร์คดงชุนได้หัวเราะแหะๆออกมา แต่ว่าภายในหัวของเขากำลังแล่นอยู่อย่างเต็มกำลัง
‘ทำไมเธอถึงเปลี่ยนเรื่องล่ะ?’
คิมฮันนาห์ได้บอกเขาถึงเรื่องรายงานโดยละเอียด แต่เขาคิดว่าเขาเพิ่งจะได้ยินรายชื่อการสังหารหรือเปล่านะ?
ไม่สิ นั่นไม่ถูก หากจะมีอะไรที่คิมฮันนาห์จะบอกก็มีแค่อย่างเดียวเท่านั้น
คาเพเดี่ยมจะไม่หยุด
มันจะต้องมีสักฝ่ายที่จะถูกจัดการ และก้าวเท้าออกไปจากอีวาไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม
‘ไม่มีทาง’
ปาร์คดงชุนที่เพิ่งจะสรุปได้ก็เข้าใจขึ้นมาแล้ว
คิมฮันนาห์ได้ให้โอกาสให้เขาได้เลือก จะอยู่กับพันธมิตรอีวาต่อหรือย้ายฝ่าย ไม่ว่าจะฝ่ายไหนมันก็มีโอกาสอยู่ 50% การเลือกโดยไม่คิดมีแต่จะทำให้เป็นอันตรายขึ้นมา
“…นี่เธอมีกำลังเสริมอยู่อีกงั้นหรอ?”
เขาได้ถามออกมาเสียงต่ำเพื่อพยายามจะหาคำใบ้ให้ได้ แต่ว่าคิมฮันนาห์ก็ไม่ได้ตอบกลับ เธอเพียงแค่เผยรอยยิ้มอ่อน นี่มันหมายความว่าหากเขาอยากจะรู้ เขาจะต้องใช้บางสิ่งที่เท่าเทียมกันแลกเปลี่ยน
‘ฉันอยากจะบ้า’
เมื่อเขาได้เผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่จะกำหนดชะตากรรมขององค์กรสีหน้าปาร์คดงชุนได้กลายเป็นจริงจังมากขึ้น
อึก เขาได้ถูมือตามความเคยชิน ฝ่ามือของเขาได้เปียกโชกไปด้วยเหงื่อโดยไม่รู้ตัว
“อ่า…”
ปาร์คดงชุนได้ติดอยู่ระหว่างทางแยกทั้งสองทางอยู่นาน
“ระวังให้ดี”
คิมฮันนาห์ได้เลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
“หลังจากพวกเธอสร้างความวุ่นวายได้มีการประชุมฉุกเฉินจัดขึ้น”
“บอกเฉพาะข้อเท็จจริงที่สำคัญก็พอแล้ว”
“พวกเขาบอกว่าราชวงศ์จะติดต่อไปหาแก๊งโอชัวร์ในเร็วๆนี้ บางทีตอนนี้อาจจะติดต่อไปแล้วก็ได้”
“ติดต่อ?”
“ฉันก็ไม่รู้รายละเอียดเหมือนกัน”
ปาร์คดงชุนได้โบกมือถี่ๆเมื่อเห็นคิมฮันนาห์แค่นเสียง
“ฟังนะ จริงๆแล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อะไรแบบนี้เกิดขึ้น แต่แน่นอนว่าเหตุการณ์มันไม่ได้ใหญ่เท่าครั้งนี้”
“ก็นะ ซอกกูนีร์คนนั้นไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป”
“ซอกกูนีร์ก็ด้วยเหมือนกัน แต่ว่าเขาก็ได้รับผลกระทบอย่างมหาศาลจากแรงค์เกอร์ระดับสูงที่ชื่ออีวาเจลีน โรส ด้วยแบบนี้ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ที่คุกคามต่อพันธมิตรมากแค่ไหนก็ตาม แต่พวกเขาก็จะผ่านพ้นวิกฤติไปได้อย่างปลอดภัย”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ล่ะ?”
“ฟังฉันนะ ที่ฉันจะบอกก็คือเมื่อไหร่ก็ตามที่พันธมิตรอีวาเจอกับเรื่องที่รับมือไม่ไหว ทางราชวงศ์ก็จะเคลื่อนไหว ฉันกำลังจะบอกว่าพวกเขาร่วมมือกันกับราชวงศ์”
ปาร์คดงชุนได้ลดเสียงลงจนเหมือนกระซิบแม้ว่าภายในห้องจะมีกันแค่สองคนก็ตาม
ในที่สุดแล้วคิมฮันนาห์ก็แสดงความสนใจออกมาบ้าง
“แล้ว?”
“ฉันก็อยากจะบอกมากกว่านี้นะ แต่ว่านี่คือทั้งหมดที่ฉันรู้แล้ว แก๊งโอชัวร์ได้เป็นคนควบคุมความร่วมมือกับราชวงศ์เอาไว้ทั้งหมด แล้วเราก็ได้แต่ทำตามที่เขาบอกเท่านั้น”
เมื่อได้เห็นเขาพยายามจะปกป้องตัวเอง คิมฮันนาห์ก็ส่ายหัวออกมาเบาๆ
“งั้นที่นายจะบอกก็คือในทุกๆครั้งที่มีวิกฤติ พันธมิตรที่อยู่ในราชวงศ์ก็จะช่วยจัดการสถานการณ์ ในขณะที่แก๊งโอชัวร์ก็จะหาทางแก้สินะ”
“โดยทั่วไปก็ใช่แล้วล่ะ มันจะมีบางอย่างที่เกิดขึ้นกับพวกเธออย่างชัดเจนเช่นกัน พอถึงตอนนั้นให้ระวังการกระทำให้ดีล่ะ”
ขณะที่เขาพูดแบบนี้ออกมา คิมฮันนาห์ที่กอดอกเคาะนิ้วอยู่ก็ขยับยิ้มออกมา
“ว้าว เมืองนี่มันน่าสนใจจังเลยนะ มันเหมือนกับป่ามากกว่าเมืองซะอีก”
“ก็แบบนี้แหละ”
“แต่ไม่ว่าจะยังไงฉันก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาแล้ว เพราะงั้นการตอบแทนมันคงจะไม่มากหรอกนะ…”
ดวงตาปาร์คดงชุนได้สว่างขึ้นเมื่อได้ยินคำว่า ‘ตอบแทน’
“ในเมื่อนายพูดถึงเรื่องการเลือกแล้วล่ะก็นะ ฉันก็อยากจะบอกบางอย่างที่คล้ายกันกลับไป”
คิมฮันนาห์ได้เผยรอยยิ้มเป็นประกายออกมา
“นายก็ระวังตัวไว้ด้วยนะตาลุง”
“หืม?”
“นายจะต้องเจอเข้ากับตัวเลือง ในตอนที่เวลานั้นมาถึง-“
คิมฮันนาห์ได้วางเอกสารลงด้วยรอยยิ้ม
“แค่อยู่เฉยๆ”
“อยู่เฉยๆ?”
เขาคาดไม่ถึงเลยสักนิด เขาคิดว่าเธอจะขอให้เขาช่วยในทุกๆวิธีที่ทำได้ซะอีก
“ตัวแทนของเรา ซอลน่ะ แม้ว่าเขาจะพยายามไม่แสดงมันออกมา แต่ว่าความใจเย็นของเขามันเตลิดไปหมดแล้ว”
“…”
“ที่ฉันกำลังจะบอกก็คือ หากว่ายังไม่อยากตาย ถ้างั้นก็อยู่เฉยๆไม่ต้องทำอะไร อย่าเข้ามายุ่งย่ามให้เจ็บตัว บางทีหลังจากนั้นเขาอาจจะได้สติกลับมาก็ได้นะ”
คิมฮันนาห์ได้พยักไหล่ในตอนท้ายของประโยชน์ เธอคงจะหมายความว่าไม่มีอะไรที่เธอจะบอกเขาอีกแล้ว
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ข้อมูลสำคัญ แต่การเดินทางมาของเขาก็ไม่ได้เสียเปล่า
เขาเข้าใจผิดไปตั้งแต่แรกเลย คิมฮันนาห์ไม่ได้พยายามชักจูงให้เขาเข้าช่วย และกลับกันเธอแค่ให้ข้อมูลเขาอยู่ฝ่ายเดียว
นี่มันหมายความว่าพวกเธอมีความมั่นใจมากต่อให้จะไม่มีความช่วยเหลือจากพ่อค้าดงชุนก็ตาม
เมื่อได้ข้อสรุปแบบนี้ออกมาเขาก็ถึงกับต้องตัวสั่น เขาคิดไม่ออกเลยว่าคิมฮันนาห์กำลังซ่อนอะไรเอาไว้อยู่ แต่ว่าปาร์คดงชุนก็ไม่ได้ถามต่อแล้ว นั่นก็เพราะว่าการอยู่เฉยๆไม่ทำอะไรเป็นสิ่งที่เขาต้องการตั้งแต่แรก
“…โอเค เข้าใจแล้ว”
ปาร์คดงชุนได้ลุกขึ้นจากที่นั่งเงียบๆ
บ่ายวันนี้คาเพเดี่ยมได้รับการติดต่อมาจากราชวงศ์ เนื้อหาคือเรื่องการมอบงานให้ ในตอนนี้สถานการณ์ได้คลี่คลายออกมาแล้ว และเหลือเพียงแค่ส่งตัวคนกลับไปที่สหพันธรัฐเท่านั้นเอง
แต่ปัญหาก็คือคนต่างเผ่าพันธุ์ส่วนใหญ่ได้ปฏิเสธการคุ้มกันจากมนุษย์ และอยากจะกลับบ้านด้วยตัวเอง
ที่พวกเขาให้ความร่วมมือกันการสืบสวนนั่นก็แค่เพราะว่าพวกเขาเห็นแก่มนุษย์ที่ช่วยพวกเขาไว้ และเพราะว่าพวกเขาอยากจะแก้แค้นพวกชั่วที่ทำเหมือนกับพวกเขาเป็นของเล่นเท่านั้นเอง ความแค้นและความเกลียดชังต่อมนุษย์ที่ฝังรากลึกอยู่ในใจของพวกเขายังคงไม่ได้หายไปไหน
ยังไงแล้วพวกเขาก็จะไม่มีทางยอมรับการคุ้มกันจากชาวโลกที่จับพวกเขามา และทรมานพวกเขาสารพัดแน่ๆ
ดังนั้นราชวงศ์จึงตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะดูถูกพลังของต่างเผ่าพันธุ์ แต่ว่าพวกเขาส่วนใหญ่ต่างก็เพิ่งจะหายจากอากาศบาดเจ็บ ยิ่งกว่านั้นนี่ก็คือพื้นที่ของมนุษย์
มันไม่มีใครรับประกันเลยว่าพันธมิตรอีวาจะสามารถกล้ำกลืนความโกรธลงไปได้ และจะไม่มีเหล่าผู้ลักลอบตาบอดเพราะเงิน
นอกจากนี้พวกเขายังไม่มีความมั่นใจว่ากองทหารที่พวกเขาส่งไปคุ้มกันจะสามารถคุ้มกันการโจมตีของชาวโลกได้
หลังจากคิดอยู่นาน ซอกกูนีร์ก็ได้เสนอให้ติดต่อไปหาสหพันธรัฐให้ส่งทีมคุ้มกันมา แต่ว่าก็มีบางคนที่คัดค้านหัวชนฝา และเอาเรื่องคาเพเดี่ยมขึ้นมาพูด
เหตุผลก็คือคนต่างเผ่าพันธุ์จะรู้สึกเกลียดชังต่อชาวโลกที่ช่วยเอาไว้น้อยกว่า และยังเพราะไม่มีชาวโลกปกติคนใดกล้าไปหาเรื่องคาเพเดี่ยมอีกด้วย นี่คือเหตุผลที่ทำให้พวกเขาติดต่อมาหาคาเพเดี่ยมหลังจากสอบถามสมาชิกของสหพันธรัฐแล้ว
ซอลจีฮูได้ตอบตกลงโดยไม่คิดอะไรมาก เขาให้เหตุผลว่าระยะห่างระหว่างพรมแดนไม่ได้อยู่ไกลมาก และยังเป็นโอกาสดีในการทำความรู้จักเรื่องของต่างเผ่าพันธุ์อีกด้วย
นอกไปจากนี้เขายังรู้สึกว่าการได้ส่งพวกเขากลับไปด้วยตัวเองมันจะทำให้เขารู้สึกสบายใจยิ่งกว่า ในที่สุดแล้วพวกเขาก็จะได้เริ่มก้าวแรกในการแก้ไขความสัมพันธ์ แต่หากว่าสมาชิกต่างเผ่าพันธุ์ถูกล่าในระหว่างกลับไป ทุกๆอย่างก็จะต้องกลับไปยังจุดเดิมแน่ๆ
ซอลจีฮูได้สั่งเพื่อนร่วมทีมเตรียมตัวสำหรับทำภารกิจจากราชวงศ์ในทันที
น่าแปลกที่คิมฮันนาห์ไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอเพียงแค่บอกว่ามีสมาชิกบางคนรวมถึงตัวเธอที่ตามพวกเขาไปไม่ได้
“พวกเรามีงานเยอะตั้งแต่แรกแล้ว หากว่าไปกันหมดแล้วใครจะทำงานกันล่ะ?”
“หยุดพักงานไปสักสองสามวันไม่ได้หรอ?”
“นี่ นายไม่ใช่หรอที่เป็นคนบอกว่าการยอมแพ้กลางคันมันแย่ยิ่งกว่าการเริ่มต้นบางอย่างน่ะ?”
“ฉันไม่ได้บอกว่าควรหยุดงานสักหน่อยนี่ แค่พักไว้เท่านั้นเอง”
ซอลจีฮูได้เกาหัวออกมา
“ฉันก็แค่เป็นห่วง หากว่าเราแยกกันมันจะกลายเป็นอันตราย แล้วฉันก็ไม่อาจจะคุ้มกันทุกคนได้”
“โอ้ นายเอาแต่กังวลไปหมดเลยนะ”
คิมฮันนาห์ได้ประชดเขา และส่ายหัวออกมา
“ถ้างั้นก็ไปเถอะนะ นายบอกว่านายรับภารกิจไปแล้วนี่ เพราะงั้นมันย้อนกลับไม่ได้แล้ว”
“แต่ว่า-“
“ไปเถอะน่า ที่นี่ยังมีซันเหออยู่อีก เพราะงั้นไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอก”
ยังไงแล้วพันธมิตรอีวาก็คงไม่ด่วนทำอะไรต่อหน้าองค์กรที่ครั้งหนึ่งเคยแย่งฮารามาร์คกับซิซิเลียอย่างแน่นอน
“ก็นะ หากว่านายกังวลขนาดนั้นก็ช่วยฟังคำขอเล็กๆของฉันหน่อยแล้วกัน”
“คำขอ?”
“ใช่แล้วล่ะ ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก”
คิมฮันนาห์ได้พูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ แต่ว่าจากการเลียริมฝีปากของเธอมันทำให้เธอดูเจ้าเล่ห์แปลกๆ
บทที่ 258 – จิ้งจอกก็คือจิ้งจอก (4)
หยางหยาง
เขาคือหัวหน้าของหนึ่งในองค์กรของพันธมิตรอีวาซึ่งเป็นกองกำลังในระดับอ่อนแอ และยังเป็นเพื่อนสนิทกับโอมาร์ กราเซีย นี่ก็เพราะว่าหยางหยางจะยอมทำทุกอย่างหากมีค่าตอบแทน และความสนใจของพวกเขามักจะตรงกัน
จริงๆแล้วจะบอกว่าโอมาร์ กราเซียเป็นคนอุ้มชูให้อิทธิพลของหยางหยางยกระดับขึ้นมาเป็นหนึ่งในตัวแทนสี่องค์กรอ่อนแอก็ไม่ได้ผิดนัก
ในวันนี้โอมาร์ กราเซียก็ได้ติดต่อมาหาเขาด้วยเหตุผลคล้ายๆกัน
“ฉันก็ไม่ได้อยากจะทำถึงขนาดนี้หรอกนะ”
โอมาร์ กราเซียได้พูดออกมาอย่างสงบ
“คาเพเดี่ยม ซอลจีฮู แล้วก็ซันเหอ มันดูเหมือนว่าการดึงพวกเขาเข้ามาในกลุ่มพันธมิตรจะไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย ฉันเคยคิดที่จะลืมเรื่องในอดีต และกระทั่งกัดฟันมอบของขวัญให้พวกเขาด้วยอาณาเขตของรอยัลพัทยา แต่มันดูเหมือนว่านี่จะเป็นแค่ความฝันเท่านั้นแหละ”
หยางหยางยิ้มออกมา
“คุณใจกว้างเกินไป”
“ที่ฉันคิดการมีหุ่นเชิดมันก็ไม่ได้แย่เลย แต่เมื่อไม่นานนี้ฉันเพิ่งจะมีความคิดใหม่”
“พวกเขาสร้างความวุ่นวายขึ้นมากเกินไป ที่พันธมิตรอีวาต้องเผชิญปัญหาก็เพราะพวกเขา”
“ทุกๆอย่างต่างก็มีขีดจำกัด พูดตรงๆพวกเขาคงจะมองพวกเราว่าอ่อนแอสินะ หากไม่แล้วล่ะก็… ชิ”
โอมาร์ กราเซียเดาะลิ้นและพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เบาลง
“นายคิดยังไงล่ะ?”
“คุณได้วางแผนไล่พวกมันไว้หรอครับ?”
“พูดให้ถูกคือแก้แค้นพวกเขา แต่ยังไงแล้วดูเหมือนว่าคราวนี้ฉันจะต้องให้นายช่วย นายจะต้องไม่ผิดหวังกับค่าตอบแทนอย่างแน่นอน”
“ผมคงต้องปฏิเสธครับท่าน”
หยางหยางได้ตัดสินใจออกมาโดยไม่ยอมฟังโอมาร์ กราเซียพูดให้จบจนทำให้โอมาร์ กราเซียคิ้วกระตุก
“ฉันยังพูดไม่จบ”
“ได้โปรดอย่ามอบคำขอที่ไร้สาระมาเลยครับ ผมจะไม่มีทางเอาตัวเองเดินเข้าหลุมศพแน่”
“หยางหยาง ฉันไม่ได้ขอให้นายประกาศสงครามกับพวกเขา นายแค่ต้องให้พวกเขาได้รับอะไรตอบแทนกลับไปบ้างเท่านั้นเอง”
“นั่นมันก็ดูไม่ต่างกันเลยนะครับ คุณคาดหวังอะไรกับผมกันในเมื่อทั้งกลุ่มพันธมิตรก็ยังไม่อาจทำอะไรพวกเขาได้..”
“แล้วถ้าซอลจีฮูออกไปจากอีวาล่ะ?”
หยางหยางๆได้หรี่ตาลง
“…อะไรนะครับ?”
“ราชวงศ์ได้ยื่นมือช่วยเรา คาเพเดี่ยมกำลังจะส่งสมาชิกจำนวนมากออกไปเพื่อทำภารกิจส่งสมาชิกของสหพันธรัฐกลับบ้าน”
“หรือก็คือ…”
หยางหยางๆได้ถามออกมาอย่างสงสัย
“คุณอยากจะให้ผมลอบโจมตีพวกเขาในตอนที่สมาชิกหลักไม่อยู่งั้นหรอ?”
“ฉันกำลังพูดอยู่”
โอมาร์ กราเซียได้ยิ้มพร้อมพูดต่อ
“นายไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก แค่แอบลอบเข้าไปโจมตีพวกเขาในตอนเช้าตรู่ จากนั้นก็ถอยกลับมาเงียบๆหลังจากทำสำเร็จแล้ว เผาทุกอย่างทิ้งให้หมด อย่าให้เหลือหลักฐานทิ้งเอาไว้”
“นี่เป็นสิ่งที่เราทำมาตลอดนะ แต่ว่า…”
หยางหยางได้ครุ่นคิดกับตัวเอง ในทางทฤษฎีแล้วนี่มันเป็นงานที่เป็นไปไม่ได้
ถึงจะเหลือแค่แรงค์เกอร์ระดับสูงที่ไม่ใช่สายต่อสู้หากสมาชิกหลักของคาเพเดี่ยมออกไป มันก็จริงว่ามีคนระดับผู้บริหารอยู่ แต่ว่าความลับเรื่องที่ซอยูฮุยสูญเสียพลังไปหลังจากสงครามก็ถูกเผยออกมาแล้วด้วย…
ในตอนแรกเขาไม่ได้สนใจความคิดไร้สาระอะไร แต่ว่าหลังจากที่คิดมาถึงจุดนี้ ความคิดวิปริตก็ได้เกิดขึ้นมา
‘บุตรแห่งลูซูเรีย…’
ดอกไม้ที่กระทั่งซึงชิฮยอนก็ยังไม่อาจจะเด็ดมาได้ หากจะบอกว่าเขาไม่สนใจเลยมันก็คงไม่จริง
“ผมยังมีคำถามที่อยากจะถาม”
“เอาสิ”
“แล้วเราจะจัดการกับซันเหอยังไง? หากพวกเขาไม่โง่ พวกเขาก็จะต้องขอให้ซันเหอช่วยคุ้มครองอย่างแน่นอน”
“ฉันรู้ว่านายจะถามแบบนี้ จริงๆแล้วเมื่อไม่นานมานี้ฉันเพิ่งจะไปแอบเจอกับซันเหอมา”
โอมาร์ กราเซียได้พูดราวกับว่าทุกๆอย่างอยู่ในการคำนวณ
ฉันสังเกตว่าซันเหอมักจะเฝ้าคอยอยู่นิ่งๆเสมอ ดังนั้นฉันเลยออกไปพูดกับเขาตรงๆ และฉันก็คิดถูก”
“มันจริงงั้นหรอ?”
“พอเห็นแล้วนายจะรู้เอง”
“อย่าทำแบบนี้สิ บอกมาเถอะครับ คงไม่ใช่ผมแค่คนเดียวที่ทำงานนี้ใช่ไหม? ผมจำเป็นต้องรู้สถานการณ์ก่อนที่จะวางแผนอะไรได้”
เมื่อเห็นหยางหยางแสดงความนใจ โอมาร์ กราเซียก็ยอมและอธิบายออกมา
“มันก็ง่ายมาก ซันเหอได้ยอมตกลงที่จะจ้างนักเลงสี่ห้าคน”
“ทำไมถึงเป็นนักเลงล่ะ…”
“ฟังก่อน สิ่งที่เราจะทำก็คือ…”
แผนของโอมาร์ กราเซียมีดังนี้
ฮ่าวอวิ่นจะให้นักเลงที่จ้างมาสวมใส่ชุดเหมือนกับสมาชิกซันเหอ และส่งพวกเขาไปทะเลาะกับสมาชิกของแก๊งโอชัวร์ที่บาร์
“การทะเลาะกันที่บาร์มันก็เป็นเรื่องปกตินี่ครับ?”
“แน่นอน”
“ในตอนแรกมันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ยังไงก็ตามเมื่อมีใครสักคนชักอาวุธออกมา มันก็จะไม่ใช่การทะเลาะเล็กๆน้อยๆอีกต่อไป”
“คุณตั้งใจจะจัดฉากขึ้น?”
“ใช่แล้วล่ะ พวกเราจะส่งสมาชิกของแก๊งเรากับกลุ่มพ่อค้าดงชุนไป แน่นอนว่ารวมถึงสมาชิกองค์กรของนายด้วย ส่งไปแค่พอพิสูจน์ว่านายอยู่ในเหตุการณ์นั้นก็พอแล้ว”
ด้วยแบบนี้องค์กรทั้งหมดในพันธมิตรอีวาก็จะรีบเร่งไปที่บาร์ ตามมาด้วยสมาชิกของซันเหอที่คุ้มครองสำนักงานคาเพเดี่ยมอยู่
หยางหยางได้เยาะเย้ยออกมาเมื่อได้ยินแบบนี้
“นี่เราต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรอครับ?”
“หมอนั่นน่ะ เราต้องคิดถึงจุดยืนของซันเหอด้วย ชื่อเสียงเป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยสำหรับองค์กร”
หากว่าจู่ๆซันเหอถอนสมาชิกทั้งหมดออกมาจากสำนักงานคาเพเดี่ยมโดยไร้เหตุผลมันจะน่าสงสัยเกินไป นี่จึงเป็นเหตุผลให้พวกเขาสร้างสถานการณ์เพื่อ ‘บังคับ’ ให้พวกเขาถอนกำลังออกมา
ยังไม่หมดเท่านั้น
พันธมิตรอีวาจะเป็นกลุ่มแรกที่ถูกสงสัยหากว่ามีการโจมตีคาเพเดี่ยม ยังไงก็ตามหากว่าพวกเขาสร้างภาพที่ต่อสู้กับซันเหอ พวกเขาก็จะมีข้อแก้ตัวด้วยเช่นกัน นอกไปจากนี้มันก็ยากที่จะระบุว่าใครเป็นใครในตอนที่การทะเลาะกันเกิดขึ้น
“พอสถานการณ์คลี่คลายแล้ว ความสนใจจากทางราชวงศ์ก็จะมาอยู่ที่บาร์ นายจะต้องใช้จังหวะนั้นลอบโจมตีคาเพเดี่ยม พอเสร็จงานแล้วก็แค่ติดต่อมาหาฉันก็พอ”
“จากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ?”
“ฮ๋าวอวิ่นกับฉันจะไปปรากฏตัวในตอนที่สถานการณ์บานปลายสุดขีด จากนั้นฉันก็จะเป็นฝ่ายขอโทษก่อนเพื่อยุติสถานการณ์ แล้วเราก็จะกลับบ้าน”
“ผมเข้าใจที่คุณจะบอกนะ แต่เราจะทำยังไงในตอนที่สมาชิกหลักของคาเพเดี่ยมกลับมาล่ะ? พวกเขาจะอยู่เฉยงั้นหรอ?”
“หากว่าพวกเขาไม่มีหลักฐานจะทำอะไรได้ล่ะ? มีชาวโลกมากมายที่ไม่พอใจกับการที่พวกเขาทำลายย่านโคมแดง เราก็แค่โยนความผิดทุกๆอย่างก็คลี่คลายแล้ว”
“อืม… ตัดสินจากการกระทำของพวกเขาจนถึงตอนนี้ พวกเขาอาจจะพุ่งเข้าใส่เราเลย…”
“ถ้างั้นเราก็ควรจะขอบคุณพวกเขาด้วยซ้ำไป พวกเขาได้ให้เหตุผลในการเคลื่อนไหวกับเรา ยังไงแล้วความขัดแย้งภายในโดยไม่มีเหตุผลรองรับก็เป็นข้อห้ามของเมือง หากมันเกิดขึ้นไม่ใช่แค่พันธมิตรอีวานะ แต่กระทั่งราชวงศ์ก็จะเคลื่อนไหวเช่นกัน เรื่องนี้พวกเราก็ได้คุยกันเอาไว้แล้วด้วย”
หยางหยางอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจกับความละเอียดอ่อนของโอมาร์ กราเซียที่สามารถจะตอบสิ่งที่เขากังวลได้อย่างลื่นไหล
“ในเมื่อคุณทำขนาดนี้แล้ว คราวนี้คุณคงจะเอาจริงแล้วสินะ?”
“ความอดทนของฉันมีจำกัด ฉันได้แสดงความเมตตาออกไปแล้ว ในตอนนี้มันถึงเวลาที่จะแสดงให้พวกเขาเห็นแล้วว่าฉันคนนี้ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะมาหาเรื่องด้วยได้”
หยางหยางได้พยักหน้าเห็นด้วยกับเขา
“แล้วเอายังไงล่ะ? ตอนนี้นายมั่นใจหรือยัง?”
“ก็นะ… หากว่าทุกๆอย่างเป็นแบบที่คุณพูด ถ้างั้นมันก็เป็นไปได้ คุณได้เตรียมทุกอย่างไว้ให้ผมแล้ว”
“เยี่ยม! ถ้างั้น-“
“แต่”
หยางหยางได้ขัดเอาไว้ และชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว
“ผมจะเอาด้วยหากคุณยอมฟังคำขอผมสามอย่าง”
“…จริๆงเลยนะ นายนี่”
“การทำทุกอย่างให้ชัดเจนแต่แรกดีที่สุดแล้วครับ”
หยางหยางได้แสยะยิ้มเมื่อได้ยินเสียงบ่นของโอมาร์ กราเซีย
“อย่างแรกผมจะรับภารกิจก็ต่อเมื่อยืนยันว่าซอลจีฮูออกไปจากอีวาแล้วเท่านั้น หรือก็คือผมจะเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะเริ่มแผนเมื่อไหร่”
“ตามสบาย”
“อย่างที่สองก็คล้ายๆกัน ผมจะดำเนินการก็ต้องเมื่อซันเหอออกไปจากสำนักงาน”
“ได้สิ”
“แล้วก็อย่างที่สาม… ผมอยากจะขอยืมตัวแรงค์เกอร์ระดับสูง”
โอมาร์ กราเซียได้จ้องมาที่เขาแทนที่จะตอบกลับในทันที ความโกรธได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขาก่อนที่จะหายไปอย่างรวดเร็ว
“…นายก็เปลี่ยนไปมากนะ ความกล้าที่จะทำทุกๆอย่างเพื่อเงินมันหายไปไหนแล้วล่ะ?”
“ผมไม่อยากจะตาย แน่นอนว่าผมจะเลือกแต่สมาชิกระดับสูงขององค์กรผมไปด้วย แต่ว่าผมก็จำเป็นต้องส่งคนไปที่บาร์เพื่อสร้างภาพด้วยนี่ นอกจากนี้ก็ยังไม่มีอะไรรับประกันว่าสมาชิกหลักของคาเพเดี่ยมจะออกไปกันหมด”
“นายต้องการหลักประกันสินะ ก็ดี ฉันจะส่งโอลิเวอร์ โรเจอร์ไปกับนาย”
“ไม่ ผมอย่างได้คุณโนอาร์ เฟรย่ามากกว่า”
“อะไรนะ?”
“หากว่าคุณโอลิเวอร์ โรเจอร์มาด้วย… เราก็จะต้องแบ่งกัน”
“แบ่งกัน?”
ใบหน้าของโอมาร์ กราเซียได้แสดงความสงสัยออกมา แต่ไม่นานนักเขาก็ส่งสายตาแปลกๆออกมา
“ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว…”
“ผมได้ศึกษามาเองอยู่สักหน่อย แล้วที่นั่นก็มีจิ้งจอก แล้วก็สาวน้อยอีกคน ยิ่งไปกว่านั้นคือบุตรแห่งลูซูเรีย…”
หยางหยางได้เว้นช่วงพูด และหัวเราะออกมา มันเป็นเสียงหัวเราะอันสกปรกและโรคจิต
“อย่าปฏิเสธเลย โอกาสมันไม่ได้มาบ่อยๆนะครับ”
“ชิ ก็ไ ทำตามใจนายเถอะ”
โอมาร์ กราเซียได้หัวเราะเบาๆ
“มันก็ดีที่นายจะได้สนุกก่อนฆ่าพวกเธอ แต่ว่าอย่าได้ทำพลาดล่ะ”
“ไม่ต้องห่วง ผมรู้ตัวเองดี ผมจะรีบฆ่าทุกๆคนที่จำเป็นต้องฆ่าให้หมด และรีบออกมาหลังจากเผาที่นั่น จากนั้นก็ลากเธอออกมาแล้วก็… ฮ่าฮ่า!”
ใบหน้าของหยางหยางได้เต็มไปด้วยความหื่นกระหายราวกับว่าแค่คิดก็ทำให้เขาตื่นเต้นแล้ว ดวงตาของโอมาร์ กราเซียก็ยังเป็นประกายขึ้น
“จู่ๆฉันก็เริ่มอิจฉานายแล้วสิ”
“พอเสร็จงานแล้วก็แวะมาหาเราก็ได้ครับ พวกเราอาจจะยังอยู่ที่ชั้นใต้ดินเพื่อแบ่งปันช่วงเวลาอันร้อนแรงอยู่… คุณอาจจะต้องต่อแถวรอด้วยซ้ำไป!”
“ดูที่นายพูดเข้าสิ เยี่ยม! มันเป็นภาพที่คุ้มค่าให้ไปดู”
“ผมชักจะตื่นเต้นแล้วสิ มีจิ้งจอกอีกด้วย การได้ทำอะไรกับตำนานแห่งพาราไดซ์ด้วยมือตัวเองนี่มัน… ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เสียงหัวเราะได้ดังลั่นภายในห้องอยู่เป็นเวลานาน
***
ในเวลาเดียวกันมีการประชุมสามฝ่ายที่สำนักงานคาเพเดี่ยม
มีสองประเด็นที่น่าสังเกต
หนี่งซอลจีฮูไม่อยู่ และมีฝ่ายหนึ่งที่เข้าร่วมการประชุมผ่านทางคริสตัลสื่อสาร
มันไม่มีทางที่ซอลจีฮูจะรู้เรื่องนี้ได้เลยในเมื่อคิมฮันนาห์ได้แอบทำการประชุมอย่างลับๆในตอนที่เขากำลังยุ่งกับการเตรียมภารกิจส่งตัวสมาชิกสหพันธรัฐ
“หืมม…”
จางมัลดงได้พึมพำกับตัวเองในระหว่างที่นั่งบนโซฟาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“อาจารย์”
คิมฮันนาห์ได้พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ฉันรูเว้าคุณคิดยังไงกับเรื่องนี้ แต่ว่าจีฮูจะต้องถูกลงโทษสักครั้ง”
“…”
“หมอนั่นไม่ได้รู้เลยด้วยซ้ำว่าคราวนี้เขาทำอะไรพลาดไป”
“…ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเราต้องทำถึงขนาดนี้”
จางมัลดงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
“จีฮูเป็นเด็กที่ไม่ได้คิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่นเลย คุณไม่อาจจะเข้าใจได้ถึงความยอดเยี่ยมของเขาได้เลยว่ามันมากแค่ไหนในตอนที่เขาจัดการล้มความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ “
“ฉันรู้ เขาไม่ได้เป็นคนไม่ดี”
คิมฮันนาห์ได้พูดต่อ
“แต่ก็อย่างที่คุณพูด เขาไม่ได้คิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น แต่ว่าเขามีนิสัยเห็นใจเหยื่อ”
“เห็นใจเหยื่อ?”
สายตาของจางมัลดงได้กลายเป็นเฉียบแหลมขึ้น สีหน้าของเขามันเรียบนิ่งเหมือนกับจะถามว่าเธอพูดจบหรือยัง
ยังไงก็ตามคิมฮันนาห์ก็ไม่ได้สะดุด และพูดต่ออย่างมั่นใจ
“เนื่องจากพวกคุณอยู่กับเขามานาน คุณก็คงจะรู้ว่าซอลจีฮูติดอยู่กับพาราไดซ์มากเกินไป หากจะบอกว่าเขาทำเหมือนกับที่นี่คือทั้งชีวิตของเขาก็ไม่ได้ผิดเลย
“…”
“ในตอนที่มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นจู่ๆเขาจะกลายเป็นคนละคนไปเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เผชิญหน้ากับมันด้วยตัวเอง แต่ว่าสำหรับพวกคุณคงเคยเห็นกันมาหลายครั้งแล้วแน่ๆ”
จางมัลดงยังคงเงียบอยู่เช่นเดิม
เขาให้ความสำคัญกับซอลจีฮู เขาอยากที่จะปกป้องซอลจีฮูเหมือนปกติ แต่ว่า… เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาง่ายๆ
นั่นก็เพราะว่าจางมัลดงก็เคยเห็น และรู้สึกอะไรแบบนี้มาหลายครั้ง
“เขาถล้ำลึกเกินไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากมาถึงที่อีวา… จีฮูอาจจะกำลังคิดว่าชาวโลกทุกๆคนนอกจากตัวเองเป็นภัยคุกคามต่อพาราไดซ์”
“แต่ถึงเขาจะคิดแบบนั้น มันก็ไม่ได้ผิดนะ”
“คุณพูดถูก เขาไม่ได้ผิด แต่ว่าไม่ใช่ทุกๆคนจะเป็นแบบนั้น เอาแค่ทีมเราก็ได้ มีทั้งคุณ แล้วก็คุณซอยูฮุย”
-ผมคิดว่าการทำตามความคิดของคุณจิ้งจอกสักครั้งก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่อะไรนะ
ฮ่าวอวิ่นที่ฟังอยู่เงียบๆมาตลอดได้เสนอความเห็นขึ้นมา
-ซอลเขาหลงมัวเมาไปแล้ว เขาอาจจะไม่รู้ตัว แต่ว่าเขาไม่ได้มองคนรอบตัวเขาเลย หากว่าเขายังเป็นแบบนี้ต่อไป มันก็แน่นอนว่าเขาอาจจะไม่มองดูตัวเองด้วยซ้ำไป
ฮ่าวอวิ่นได้สรุปคำพูดออกมาโดยเน้นย้ำในช่วงท้าย
“…ฉันเข้าใจว่าคุณกำลังพูดอะไรอยู่ แต่ว่าหัวหน้าทีมนี้ก็คือซอลจีฮู”
จางมัลดงได้พูดออกมาอย่างยากลำบาก
“สิ่งที่คุณคิมฮันนาห์กำลังจะทำมันชัดเจนมากว่าเป็นการทำเกินอำนาจของตัวเอง ฉันกังวลในเรื่องนี้”
“แน่นอนว่าฉันรู้เรื่องนี้ดี”
คิมฮันนาห์ได้ยอมรับออกมาตรงๆ
“ฉันทำแบบนี้โดยที่เตรียมตัวเผชิญหน้ากับผลที่ตามมาแล้ว แต่ว่าที่สำคัญกว่านั้นคือซอลจีฮูได้สัญญากับฉันเอาไว้”
“สัญญา?”
“ใช่แล้ว ที่โรงแรมในสกีเฮราซาร์ด ซอลจีฮูอยากจะให้ฉันเข้าร่วมทีม และฉันได้ยอมเข้าร่วมด้วยเงื่อนไขสามอย่าง หนึ่งในเงื่อนไขทั้งสามอย่างคือฉันจะไม่ดูแลเขาเหมือนเป็นพี่เลี้ยงเด็ก
“…”
“พูดให้ชัดก็คือฉันได้ขออำนาจในการกระทำในฐานะตัวแทนหัวหน้า และซอลจีฮูก็ยอมรับ ฉันรู้ว่าจีฮูจะไม่มีทางผิดสัญญา”
จางมัลดงได้หลับตาลงไป เขาได้เอนหลัง และฟุบหน้าไปกับโซฟาก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา
“หากว่าคุณพูดแบบนั้น ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วล่ะ”
ในท้ายที่สุดเขาก็พยักหน้าออกมา เขาได้ลุกขึ้นยืน และเดินออกไปจากห้องโดยไม่พูดอะไรอีก
เมื่อมีคนลุกออกไปได้ทำให้เกิดความเงียบอันน่าอึดอัดขึ้นมา
-คงเป็นเพราะเขาแก่แล้วสินะ เขาถึงได้ดื้อดึงจนน่าแปลกใจ
ฮ่าวอวิ่นได้ล้อเล่นออกมา คิมฮันนาห์ได้ถอนหายใจออกมาสั้นๆ และวางมือลงบนคริสตัล
“ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือมากนะ เพราะคุณทำให้ทุกๆอย่างมันง่ายขึ้นมา”
-ฉันก็ไม่รู้ว่ามันจะกลายมาเป็นแบบนี้เลย ฉันแค่ฉวยโอกาสเหมาะที่ถูกนำมาเสนอต่อหน้าเท่านั้นเอง
“การไม่พลาดโอกาสก็นับเป็นความสามารถ”
-ฉันแค่จะขอบคุณ
ฮ่าวอวิ่นได้หัวเราะออกมา
-ในที่สุดฉันก็จะได้เต้น PPAP ที่เตรียมตัวไว้หลายวันสักที
คิมฮันนาห์ได้ขมวดคิ้วกับคำพูดนี้ของเขาทันที
“PPAP?”
-โอ้ ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็แค่พูดกับตัวเอง ทุกๆอย่างจะเป็นไปตามที่วางแผนไว้ พวกเราเตรียมพร้อมไว้แล้ว”
“ถ้างั้นฝากด้วยนะ”
-ได้เลย
รอยยิ้มของฮ่าวอวิ่นได้ปรากฏออกมาจากคริสตัลสื่อสาร
-ในที่สุดก็ถึงเวลาสำหรับสุดยอดวิดีโอตลกแล้ว
***
เช้าวันถัดมาซอลจีฮูได้นำทีมส่วนหนึ่งไปทำภารกิจส่งตัวสมาชิกสหพันธรัฐกลับบ้าน เขาได้ขอให้ซันเหอช่วยคุ้มกันไว้แล้ว แต่ว่าเขาก็ยังปล่อยให้โชฮงคอยเฝ้าไว้อีกแรงด้วย
หลังจากได้รับความไว้วางใจจากคนของสหพันธรัฐแล้ว ซอลจีฮูก็รีบมุ่งตรงไปที่เขตพรมแดนในทันที
ในวันนั้นไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น วันที่สองก็เช่นกัน
และเมื่อผ่านพ้นวันไปจนผ่านเลยยามค่ำคืนไป… ความวุ่นวายเล็กๆก็ได้เกิดขึ้นที่บาร์ริมถนน
มันเป็นการมีปากเสียงกันที่พบเห็นได้บ่อยๆ จะมีเพียงก็แค่ว่านี่เป็นการทะเลาะกันระหว่างคนที่ดูเหมือนจะเป็นคนจากพันธมิตรอีวา กับชายในชุดสูทดำที่เป็นเครื่องหมายการค้าของซันเหอจนทำให้เกิดบรรยากาศไม่น่าไว้วางใจขึ้นมา
และความไม่น่าไว้วางใจนั้นก็ได้เกิดขึ้นจริง
เสียงได้ค่อยๆดังขึ้นก่อนที่ผู้คนจะเริ่มตะโกน และปล่อยจิตสังหารออกมา เมื่อเห็นบรรยากาศได้กลายเป็นหนักหน่วงขึ้น เหล่าคนมุงก็ได้รีบถอยสร้างระหว่างห่างระหว่างกลุ่มคนทั้งสองฝ่าย
ในระหว่างที่ความสนใจของผู้คนถูกดึงดูดไปด้วยความวุ่นวายที่เกิดขึ้นที่บาร์ ช่วงเช้าตรู่นั้นก็ได้มีกลุ่มคนได้เริ่มเคลื่อนไหว
ผ่านใต้การปกคลุมของความมืดมน พวกเขาได้เคลื่อนไหวไปล้อมสถานที่เป้าหมายโดยไร้สุ่มเสียง ซึ่งที่นั่นก็คือสำนักงานคาเพเดี่ยม
***
ในเวลาเดียวกันสมาธิทั้งหมดของซอลจีฮูก็มุ่งอยู่แต่กับภารกิจโดยไม่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในอีวาเลยสักนิด เนื่องจากว่าเขาไม่อาจจะเดินทางทั้งวันได้เนื่องจากสมาชิกของสหพันธรัฐกำลังพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บอยู่ ทำให้เขาจะต้องตั้งแคมป์พักในตอนพระอาทิตย์ตกดิน และเตรียมอาหารเย็น
และในระหว่างค่ำคืนที่ทุกๆคนหลับไหล
“หืมมมม เยี่ยมมาก~”
“ถ้างั้นฉันไปนอนแล้วนะ ฝากดูแลต่อด้วย”
“ได้สิ หลับให้สบายนะ”
ซอลจีฮูที่เฝ้ายามกะกลางคืนเสร็จแล้วได้สลับเวรยามกับฟีโซรา
มีอยู่หนึ่งจุดที่แปลกตา นั่นคือจี้ที่ปกติเขาจะสวมใส่เอาไว้เสมอได้หายไป
บทที่ 259 – จิ้งจอกก็คือจิ้งจอก (5)
ทั้งเมืองได้ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมน หยางหยางที่ถูกล้อมด้วยแสงสลัวๆได้ค่อยๆมองสังเกตดูประตูหน้าของสำนักงานคาเพเดี่ยม
มีคนที่ดูเหมือนกับสมาชิกของซันเหอกำลังยืนเฝ้าระวังอยู่ที่หน้าประตู
‘สิบสองคนที่หน้าประตู แปดคนบนหลังคา…’
เมื่อนับจำนวนคนที่คอยคุ้มกันพื้นที่นี้แล้ว หยางหยางก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมา
‘แค่นี้เองหรอ?’
เขาได้พาสมาชิกระดับสูงของทั้งสามองค์กรมาเพื่อให้มั่นใจ แต่ว่านี่มันเริ่มทำให้เขารู้สึกพูดไม่ออก หยางหยางได้ถอนสายตากลับมา ข้างหลังเขามีคนนับสิบกำลังรอคำสั่งจากเขาอยู่
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่แค่คนที่เขามาพาด้วย ยังมีคนที่หยางหยางได้สั่งให้ออกไปล้อมสำนักงานคาเพเดี่ยมจากทุกทางอีกด้วย
หยางหยางได้ถามขึ้นเบาๆ
“คุณโนอาร์ เฟรย่าอยู่ไหน?”
“กำลังเตรียมพร้อมครับท่าน”
“เรดฮวารูยังไม่มาอีกหรอ?”
“ใช่ครับ ดูเหมือนคนๆนั้นจะไม่เอาด้วย”
“ฮึ่ม”
หยางหยางเดาะลิ้นออกมา แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
‘ก็ไม่ได้สำคัญหรอก ยังไงฉันก็คิดว่าฉันพาคนมามากไปอยู่ดี’
แก๊งโอชัวร์ได้กำลังดึงความสนใจอยู่ แต่ว่านั่นไม่ได้หมายความว่าหยางหยางจะไร้กังวลไปซะหมด เรดฮวารูที่เป็นกำลังสนับสนุนของปาร์คดงชุนใกล้เคียงกับองค์กรข่าวกรองมากกว่าองค์กรทางการทหาร ดังนั้นสำหรับการต่อสู้แล้วเขาคนนั้นก็ไม่ได้สำคัญมากนัก
หยางหยางได้รวบรวมความคิด และจากนั้นก็มองไปที่สำนักงานอีกครั้งหนึ่ง เขาได้ยินว่านักรบระดับ 5 ของคาเพเดี่ยม จองโชฮงถูกทิ้งเอาไว้ แต่ว่าพวกเขาก็มีโนอาร์ เฟรย่าอยู่ด้วย
ตราบใดที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน และซันเหอถอนกำลังออกไป หยางหยางก็มั่นใจในชัยชนะของเขา
‘ขอให้พวกเขานอนกันให้หมดแล้วกัน’
ขณะเฝ้ารออย่างตื่นเต้น ร่างกายของเขาก็ร้อนระอุขึ้นมา อีกไม่นานบุตรแห่งลูซูเรียก็จะมาอยู่ในกำมือเขาแล้ว เมื่อคิดว่าเขาจะได้แตะต้องตำนานอันยั่วยวนคนนั้นช่วงล่างของเขาก็ตั้งชันขึ้นมา
‘เร็วเข้า เร็วเข้า…’
ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ? ในที่สุดแล้วเวลาที่เขารอคอยก็ได้มาถึง…
ชายตรงหน้าประตูได้เริ่มพึมพำ ไม่นานนักประตูสำนักงานก็ถูกเปิดกว้าง และคนที่ดูเหมือนสมาชิกของซันเหอก็ได้รีบวิ่งออกไป
คนที่คอยเฝ้าระวังจากบนหลังคาก็ลงมาเชนกัน
‘อย่างที่คิดเลย! มากกว่านี้อีก’
แม้ว่าเขาจะได้รับคำอธิบายมาก่อนแล้ว เขาก็ยังมีเศษเสี้ยวความสงสัยอยู่ แต่ว่าเมื่อได้เห็นคนนับสิบวิ่งออกไป ความสงสัยก็ได้ค่อยๆหายไป
ไม่นานนักสมาชิกทุกๆคนของซันเหอก็ได้วิ่งไปที่บาร์
‘เยี่ยม’
ถ้าแบบนี้หยางหยางก็แค่ต้องรออีกหน่อย ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ได้ข่าวว่าสมาชิกที่เพิ่งออกไปได้ไปถึงบาร์แล้ว
เพียงเท่านี้หยางหยางก็ได้ออกคำสั่งบุก
ซันเหอคงจะต้องรีบมากจนเปิดประตูทิ้งเอาไว้ แม้กระทั่งหน้าทางเข้าสำนักงานก็ยังถูกแง้มเอาไว้เล็กน้อย
หลังจากตรวจสอบว่าทุกๆคนได้มาถึงแล้ว หยางหยางก็เปิดประตูกว้างโดยไม่ลังเล
ข้างในมันมืดมาก แต่ว่าเขาก็เคยมีประสบการณ์กับอะไรแบบนี้มาแล้วหลายสิบครั้ง หยางหยางกับคนอื่นๆได้กระจายตัวเริ่มค้นหาอย่างรวดเร็ว
“ไม่มีคนอยู่ชั้นหนึ่ง”
นักธนูคนหนึ่งได้กลับมารายงาน ในขณะที่โนอาร์ เฟรย่าเม้มปากออกมา เธอดูจะไม่สบายใจกับสถานการณ์นี้
“เงียบเกินไป…”
ทั้งสำนักงานเงียบกริบอย่างที่เธอบอกจริงๆ พวกเขาถึงขนาดได้ยินแค่เสียงหายใจกับเสียงกลืนน้ำลายของพวกเดียวกันเองเท่านั้น
‘พวกซันเหอจากไปโดยไม่พูดอะไรเลยหรอ?’
ก็นะ ในเมื่อซันเหอได้ทรยศคาเพเดี่ยมมันก็ถูกแล้วล่ะ ขณะที่หยางหยางได้คิดว่ามันเป็นไปตามแผน เขาก็มองเห็นจุดที่มีแสงจางๆออกมา
มันมาจากชั้นที่หก
‘นั่นไง แต่สำนักงานมันจะใหญ่อะไรแบบนี้’
หยางหยางได้บ่นกับตัวเองก่อนจะออกคำสั่งออกมา กองกำลังผู้บุกรุกส่วนหนึ่งได้คอยคุ้มกันที่หน้าทางเข้า ในขณะที่ส่วนที่เหลือได้กระจายตัวไปค้นชั้นต่างๆ
“คนส่วนใหญ่ไม่ใช่สายต่อสู้หรือไม่ก็มีระดับต่ำ แต่ว่าระวังจองโชฮงให้ดี หากว่าเจอเธออย่าเข้าสู้ ให้ติดต่อขอความช่วยเหลือในทันที”
จากนั้นหยางหยางก็หันกลับหลัง
“สำหรับคุณโนอาร์ เฟรย่า…”
“ฉันรู้ นายอยากจะให้ฉันรออยู่ที่หน้าทางเข้า แล้วจัดการกับจองโชฮงใช่ไหม?”
“ครับ ขอบคุณมาก”
หยางหยางได้โค้งคำนับ จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดไป เขาได้ส่งสัญญาณมือออกมาให้คนของเขาลดเสียงเท้า และเดินขึ้นบันไดไป
ทีมของหยางได้รับผิดชอบจัดการชั้นที่หกที่ซึ่งเป็นที่มาของแสงสลัวๆที่ลอดมาจากประตู
‘นี่เป็นส่วนที่ตื่นเต้นที่สุดเสมอเลย’
ใครอยู่ข้างในกันนะ? พวกเขาจะทำสีหน้าแบบไหนกัน?
หยางหยางได้เอื้อมมือไปที่ลูกบิดประตูด้วยความรู้สึกตื่นเต้นเหมือนเด็กที่กำลังเปิดของขวัญวันเกิด
แกร๊ก- เสียงประตูเปิดได้ดังขึ้น และภาพภายในห้องก็เผยออกมา
หยางหยางได้หยุดชะงักไปในทันที ไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่ว่ามีอยู่สี่คนนั่งรวมกันอยู่ในห้อง
‘พวกเขามีประชุมกันตอนดึกงั้นหรอ? ไม่ใช่ว่าซันเหอออกไปโดยไม่พูดอะไรกับเขาหรอ?”
สายตาหยางหยางได้มองสำรวจไปทั่วห้องจนเกิดความสงสัยเข้ามาในหัว
ชายแก่กับเด็กหนุ่มกำลังมองมาที่เขาอย่างสงบ หญิงสาววัยรุ่นอีกคนก็มองเขาไม่ละสายตา แล้วก็…
‘โอ้?’
เมื่อหยางหยางบอกเห็นหญิงสาวที่ลุกขึ้นนั่งจากบนเตียง เขาก็อ้าปากค้างออกมา
‘น่าเหลือเชื่อ’
เส้นผมดำยาว และม่านตาที่สงบนิ่งเหมือนทะเลสาบ แม้ว่าเขาจะเคยได้ยินข่าวลือมาแล้ว แต่ว่าหน้าตาของซอยูฮุยก็ยังเกินกว่าจินตนาการของเขาไปมาก
“คุณเป็นใคร?”
เธอได้ถามออกมาเบาๆด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า หยางหยางที่แทบจะรักษาท่าทีไม่ได้ได้ฝืนยิ้มออกมา
เทพธิดาแห่งโชคคงจะเข้าข้างเขาเพราะจองโชฮงไม่ได้อยู่ในห้องนี้
“ฉันมาเด็ดดอกไม้ไงล่ะ”
หยางหยางได้แนะนำตัวอย่าง ‘สุภาพบุรุษ’ จนทำให้หญิงสาววัยรุ่งที่พิงกำแพงอยู่หัวเราะออกมา เธอก้มหัวลงและตังวั่ย แม้ว่าหยางหยางจะไม่เคยเห็นหน้าของเธอมาก่อน แต่เขาก็เดาว่าเธอคงจะเป็นจิ้งจอกสาว
หยางหยางได้หันสายตากลับไปมองที่หญิงสาวบนเตียง
‘งั้นยัยนี่คงเป็นบุตรแห่งลูซูเรีย’
แม้ว่าเธอจะอยู่ในชุดนอนหลวมๆ แต่หน้าอกอันยั่วยวนของเธอก็อวบอิ่มยั่วยวนเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นแบบนี้แล้วหยางหยางก็ฝืนกลืนน้ำลายลงไป แต่แล้วเมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาขยะแขยงของเขา สีหน้าซอยูฮุยก็กระด้างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
หยางหยางได้ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มอันหยาบช้า เขาไม่ได้สนเรื่องการเปลี่ยนสีหน้าของซอยูฮุยเลย ในใจของเขาสีหน้าของเธอจะต้องเปลี่ยนแปลงไปอยู่แล้ว…
‘เดี๋ยวก่อนนะ’
จากนั้นจู่ๆเขาก็รู้สึกแปลกๆขึ้นมา แม้ว่าซอยูฮุยจะถามว่าเขาเป็นใคร แต่เธอก็ใจเย็นกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก
นอกเหนือจากหญิงสาววัยรุ่นที่มองเขาด้วยความกังวลแล้ว สมาชิกที่เหลือของคาเพเดี่ยมต่างก็จ้องมองเขานิ่งๆ พอมาคิดดูแล้วแม้กระทั่งซอยูฮุยก็ดูจะยิ้มแปลกๆ
มันไม่ได้ดูจะอบอุ่นอีกแล้ว แต่มันเย็นชามาก มันแทบจะเหมือนกับว่าเธอกำลังเยาะเย้ยเขาอย่างเย็นชา
จากนั้นเธอก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้าอกพร้อมจ้องหยางหยางอย่างสมเพช
“ดูเหมือนจะไม่มีอะไรให้ดูแล้วนะ”
เสียงหัวเราะได้ทำลายความเงียบออกมา คิมฮันนาห์ได้เงยหน้าขึ้นทั้งๆที่มือกำลังปิดปากอยู่ และสายตาของเธอก็มองไปที่จุดๆหนึ่ง
“จัดการเลยโฟลน”
หยางหยางได้รีบมองตามขึ้นไปทันที
“!”
จากนั้นเองลมหายใจของเขาก็ชะงักไปโดยไม่รู้ตัว ควันสีดำได้ล้อมรอบตัวเขาก็ที่จะเปลี่ยนเป็นรูปร่างมนุษย์
[ไอ้ชั่ว]
ร่างนั้นได้กอดอกมองลงมาที่เขาด้วยดวงตาที่มีสีขาวล้วน
หยางหยางรู้สึกพูดไม่ออกขึ้นมาเมื่อได้เห็นภาพอันแปลกประหลาดนี้ ขณะที่้เขากำลังยืนอยู่อย่างสับสน จู่ๆเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจขึ้นอีก
เขาไม่ได้เข้ามาในห้องนี้เพียงลำพัง มันน่าจะมีพรรคพวกของเขาอยู่ข้างหลังอีกนับสิบคน หากว่าพวกเขาได้เห็นแบบเดียวกัน พวกเขาก็น่าจะพูดอะไรออกมาบ้างสิ แต่ว่านี่มันเงียบเกินไป
“…”
ทันใดนั้นบรรยากาศก็กลายเป็นเย็นชา
เขาอยากที่จะหันกลับไปมอง แต่ว่าสมองของเขากำลังส่งสัญญาณเตือนทุกประเภทออกมา ความรู้สึกอันตรายค่อยๆคืบคลานเข้ามาในตัวของเขาจนทำให้เขาสับสนเล็กน้อย
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าไม่ควร แต่หยางหยางก็ค่อยๆหันกลับไปมอง
จากนั้นเขาก็ได้เห็นภาพอันแปลกประหลาด หัวของพวกเขาก้มลง และแขนขาบิดงอ
เมื่อมองดูให้ดีแล้วขาของพวกเขาก็ยังลอยเหนือพื้นอยู่เล็กน้อย มันเหมือนกับว่าเขากำลังมองดูหุ่นเชิดอยู่
“อะไรกัน…”
หยางหยางได้พึมพำออกมาอย่างสับสน
“อะ อะไรกัน… ทำไมทุกๆคน…”
เขาได้พูดตะกุกตะกักออกมา
[พวกแกจะสิงร่างเจ้าพวกนี้ไปอีกนานแค่ไหน?]
หยางหยางได้ผงะไปก่อนที่จะค่อยๆเปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนก
[ฉันไม่สนหรอกนะว่าจะฆ่าด้วยวิธีไหน แต่รีบออกมาได้แล้ว]
น้ำเสียงเย็นชาได้ดังขึ้นในหัวของเขา
[จากนั้นสำหรับพวกคนที่อยู่ระหว่างชั้นสองกับชั้นแปด…]
[ฉันจะให้เวลาพวกแกฆ่าพวกมันให้หมด ไปซะ!]
และด้วยแบบนี้หัวที่ก้มอยู่ของพรรคพวกของหยางหยางก็หักลง ในทันทีที่มันเกิดขึ้นหยางหยางก็ได้หันกลับมามองด้านหน้า ดวงตาของพรรคพวกของเขาได้เปล่งประกายด้วยแสงสีน้ำเงินน่าขนลุก
***
ในอีกด้านหนึ่ง…
“อ๊าาากกก…!”
หนึ่งในสมาชิกทีมที่กำลังค้นชั้นที่ห้าอยู่ได้ชะงักไป
“…เสียงร้อง?”
แม้ว่าเสียงจะหายไปกลางคัน แต่ว่าเขาก็ได้ยินไม่ผิดแน่ มันเป็นเสียงร้องอย่างชัดเจน สมาชิกทีมได้มองขึ้นไปบนเพดานก่อนจะหยุดการค้นหา และรีบออกจากห้องห
พวกเขาได้วิ่งผ่านความมืดภายในโถงทางเดิน หากว่าพวกเขาไม่ได้ฟังผิดไป มันก็ควรจะมีพรรคพวกของเขาสักคนหรือสองคนวิ่งอยู่ที่โถงทางเดินไม่ใช่หรอกหรอ?
“นี่ฉันได้ยินผิดไปงั้นหรอ?”
เขาได้มองไปรอบๆเพื่อหาคนให้ถาม จากนั้นเองเขาก็เพิ่งเห็นประตูที่เปิดแง้มเอาไว้ และเดินเข้าไป
เมื่อเขาเข้าไปข้างใน เขาก็เห็นพรรคพวกของเขาตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ
“นายก็ได้ยินใช่ไหม?”
หัวของพรรคพวกเขาได้บิดออกมาด้านข้างเล็กน้อย
“เสียงร้องนั่นน่ะ ไม่ใช่ว่าเราควรไปชั้นบนกันหรอ?”
ในตอนนี้เองมันก็ได้บิดไปอีกฝั่งหนึ่ง
“เฮ้? ทำไมนายไม่พูดอะไรหน่อยล่ะ?”
จากนั้นเองมันก็เริ่มบิดไปมาซ้ำๆเหมือนลูกตุ้ม สมาชิกทีมคนนี้ได้ขมวดคิ้วขึ้น
“นี่นายเป็นบ้าอะไรเนี้ย? นี่มันไม่ใช่เวลามาเล่นนะ…”
เสียงของเขาได้สะดุดไป เขาไม่ได้รู้ตัวมาจนถึงตอนนี้ก็เพราะความมืด แต่ว่าในตอนนี้เขาได้เห็นใบหน้า และแผ่นหลังของพรรคพวกเขากำลังหันไปในทางเดียวกันอยู่
มันไม่ควรจะเป็นไปได้เลยเว้นแต่ว่าคอของเขาจะบิดกลับหลังมา
แต่ที่น่าแปลกไปกว่านั้นก็คือใบหน้าของเขาหันไปมาแม้ว่าคอจะสั่นอย่างรุนแรง และปากของเขาก็ได้ค่อยๆเปิดกว้างจนกระที่งฉีกไปถึงหูจนเกิดเป็นรอยยิ้มน่าขนลุก
คิคิคิค!
เสียงหัวเราะอันน่าขยะแขยงได้ดังออกมาก่อนที่จู่ๆเขาจะชักกระตุกไปเหมือนถูกไฟดูด จากนั้น…
โพล๊ะ! จู่ๆตัวเขาก็ระเบิดจนเลือดเนื้อกระจายไปทั่ว รวมถึงติดอยู่บนใบหน้าของสมาชิกทีมอีกคนด้วย
เมื่อเห็นภาพน่าขนลุกเช่นนี้ สมาชิกทีมก็ไม่อาจจะควบคุมสติได้อีกต่อไป
“เฮือก-“
แต่เพราะความตกใจ ทำให้แม้กระทั่งแค่ร้องออกมาเขายังทำไม่ได้ เสียงของเขาได้ติดอยู่ที่ลำคอ จากนั้นเขาก็ได้หันกลับวิ่งหนีไปตามสัญชาตญาณ
เขาได้วิ่งผ่านโถงทางเดินโดยไม่มีความคิดในหัวเลยแม้แต่นิด เขาได้ถูกสัญชาตญาณควบคุมให้หนีไปจากสถานที่อันน่ากลัวนี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เขาได้รีบวิ่งลงบันไดเพื่อไปรวมตัวกับคนที่เหลือบนชั้นหนึ่ง แต่ว่าเขาก็ต้องหยุดไปเพราะมีร่างมืดๆขวางบันไดเอาไว้อยู่
จากสภาพตื่นตระหนกของเขาทำให้เขามองไม่ชัด แต่ว่าเขาก็บอกได้ว่าร่างๆนี้สูงมากพอจะแตะเพดานได้เลย นอกไปจากนี้ยังมีกลิ่นอายความชั่วร้ายเล็ดรอดออกมาจากร่างนี้จนทำให้เขาคิดว่ามันไม่ใช่มนุษย์แน่ๆ
“แก… แกเป็นตัวอะไร….”
เขาได้ถูกขวางทั้งสองทาง ไม่อาจจะไปต่อหรือถอยได้ สมาชิกทีมคนนี้ได้เดินโซเซถอยไปก่อนที่จะสะดุดล้มลง
ซ่าาห์ ร่างมืดได้เข้ามาใกล้เขาในทันที และกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมา ร่างกายเขาได้ค่อยๆถูกยกลอยขึ้นฟ้าอย่างช้าๆ
กร๊อบ! ตัวเขาได้รอยขึ้นพร้อมกับเสียงแตกดังลั่น เท่านั้นเองร่างกายของเขาก็อ่อนลงเหมือนกับผ้าเปียก
“ดูเหมือนชั้นห้าจะไม่เหลือแล้ว…”
ในตอนนั้นเองหญิงสาวก็ได้เดินออกมาจากประตูที่อยู่สุดโถงทางเดิน เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงสายตาแอบมอง เธอก็หยุดชะงักลงไป
ความกังวลใจบางอย่างได้พวยพุ่งขึ้นมา สัญชาตญาณของมนุษย์นั้นดีกว่าที่คนเราคิดไว้ เธอได้รีบมองสำรวจรอบตามแทบจะทันที
และเมื่อเธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นไปมองเพดาน…
“อ่า?”
ร่างหนึ่งได้อ้าปากทิ้งตัวลงมาเหมือนกับเป็นจระเข้
หญิงสาวได้ถูกกลืนลงไปทั้งตัวก่อนที่จะมองเห็นได้ชัดซะอีก
กรี๊ดดดดดดดดด!
***
มาถึงตอนนี้โนอาร์ เฟรย่าก็รู้ตัวแล้ว ยิ่งรวมเข้ากับเสียงร้องก่อนหน้านี้ เธอก็ยิ่งมั่นใจ
มีอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น
‘เป็นจองโชฮงงั้นหรอ?’
นี่เป็นทฤษฎีที่เป็นไปได้มากที่สุดที่เธอคิดขึ้นได้
“ให้ตายสิ ฉันไม่รู้หรอกนะว่ายัยนั่นเป็นใคร แต่เธอก็ร้องได้แน่นอน”
“เจ้าพวกนั้นมันรู้ตัวงั้นหรอ?”
โนอาร์ เฟรย่าได้มองดูพรรคพวกหัวราะกับตัวเองด้วยความสมเพช ก่อนที่จะจับดาบเดินไปข้างหน้า ไม่นานนักเธอก็รู้ว่าเธอไม่จำเป็นต้องขึ้นบันไดไปเลย
แผละ! มีคนตกลงมาจากบันไดชั้นหนึ่งพร้อมคราบโคลน อวัยวะภายในได้ไหลออกมาจากศพ คอได้ถูกตัดไปครึ่งหนึ่ง
ต่อมาศพที่ไม่มีส่วนบนก็ได้กลิ้งตามลงมา มันได้กลิ้งลงมาเรื่อยๆจนเลือดเปรอะเปื้อนไปหมด ก่อนที่จะหยุดลง
กลิ่นเหม็นเลือดได้โชยเข้ามาในจมูกของโนอาร์ เฟรย่า เสียงขำขันได้หยุดลงไปทันที และเปลี่ยนไปเป็นความเงียบ
แต่ว่าสองศพแรกก็เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ก่อนที่จะมีใครได้มีอะไรอีก ศพจำนวนมากก็ได้เริ่มตกลงมาจากชั้นบน
ซากศพได้กองทับถมกันเรื่อยๆจนกระทั่งสมาชิกทั้งหมดที่ขึ้นไปได้ถูกส่งกลับมา
ในเวลาแค่ไม่ถึงสิบนาทีศพนับสิบก็ได้สร้างแอ่งเลือดขึ้นทั่วทั้งล็อบบี้
ตึก ศพสุดท้ายได้กลิ้งตกลงมาจากกองภูเขาซากศพ และกระแทกเท้าของโนอาร์ เฟรย่า
“…หยางหยาง?”
แม้ว่าตาของศพจะถูกคลัก และแขนขาถูกกระชากไป แต่นี่เป็นหยางหยางอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
“ฮึก… ฮึก…”
เสียงหายใจแหบแห้งได้ดังออกมาก่อนจะหยุดลงไป
เมื่อเห็นสภาพการตายอันน่าอดสู ใบหน้าของโนอาร์ เฟรย่าก็นิ่งงันไป เธอไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่ชั้นบน แต่ความกลัวได้ฉายชัดจากบนใบหน้าไร้ชีวิตของหยางหยาง
‘ไม่ใช่จองโชฮง’
โนอาร์ เฟรย่าไม่ได้ยินเสียงใครสู้กันเลย ไม่สิ เธอไม่ได้ยินอะไรเลยนอกไปจากเสียงกรีดร้อง
“…”
มีบางอย่างแปลกๆ มันแปลกมาก
ขณะที่ทุกๆคนยืนพูดไม่ออก โนอาร์ เฟรย่าที่อยู่ระดับ 5 ก็ได้รีบเคลื่อนไหว เธอได้ชักดาบยาว ถือโล่ และคอยๆเดินถอยกลับไป
แม้ว่าเธอจะมีทางเลือกให้นำสมาชิกที่เหลือบุกเข้าไปต่อ แต่สิ่งที่เดียวที่เข้ามาในัวของเธอคือออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้
หลังจากนั้นแล้วเธอถึงจะได้รู้สึกว่าเธอรอด
ขณะที่เธอกำลังจะใช้พรรคพวกเป็นโล่มนุษย์เพื่อหนีเอาตัวรอด…
“อ่า”
โนอาร์ เฟรย่าก็ไม่อาจจะทำตามเป้าหมายได้สำเร็จอีกต่อไป
นั่นเพราะประตูทางเข้าถูกเปิดเอง
กลุ่มคมที่ยืนอยู่อีกฝั่งได้ค่อยๆเปิดประตูขึ้น
ปากของโนอาร์ เฟรย่าได้อ้าค้างทันที
บทที่ 260 – จิ้งจอกก็คือจิ้งจอก (6)
กลุ่มที่นำโดยชายสวมชุดสูทดำได้เดินเข้ามาในสำนักงาน
“สวัสดี”
ชายหนุ่มได้ยกมือขึ้นทักทายพร้อมคาบบุหรี่
“หน้านั่นมันอะไรกัน? เหมือนกับเห็นผีเลยนะ”
ชายหนุ่มได้ล้อเล่นออกมาเมื่อเห็นหญิงสาวตัวแข็งทื่อกับที่ โนอาร์ เฟรย่าได้พูดตะกุกตะกักออกมา
“นะ นาย…”
“ซันเหอ ฮ่าวอวิ่น”
คำตอบที่ชัดเจนนี้ได้ทำให้โนอาร์ เฟรย่าสงสัยในสิ่งที่ได้ยิน
“…ไม่มีทาง คนคุ้มกัน…!”
“อ่อ เจ้าพวกนั้นน่ะหรอ?”
ฮ่าวอวิ่นได้ยิ้มออกมาพร้อมยกนิ้วขึ้นมาแคะหู
“พวกเขาไม่ใช่คนของซันเหอหรอก”
“?”
“ก็แค่พวกคนจรจัด”
“อะ อะไรนะ?”
“นี่แหละปัญหา คนอื่นๆเอาแต่คิดว่าคนที่ใส่ชุดสูทต่างก็เป็นคนจากซันเหอ”
ฮ่าวอวิ่นได้พูดแบบนี้ออกมาแม้ว่าเขาจะใส่ชุดสูทดำด้วยเช่นกันก็ตาม
“จะมีชาวโลกไร้สมองคนไหนใส่ชุดสูทสู้กันล่ะ? ลองใช้เหตุผลคิดดูหน่อยสิ”
โนอาร์ เฟรย่าได้สับสนจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว
“หยางหยางนั่น… ฉันยกย่องที่พวกเธอเคลื่อนไหวกันหลังจากพวกคนจรจัดไปที่บาร์แล้วนะ แต่ว่า…”
มุมปากของฮ่าวอวิ่นได้ขยับยิ้มขึ้นมา
“แต่ว่าเธอคงไม่คิดหรอกนะว่าคนที่กำลังทะเลาะกันในบาร์เป็นคนจากซันเหอจริงๆน่ะ”
โนอาร์ เฟรย่าได้หลุดอุทานออกมาหลังจากขมวดคิ้ว ด้วยสติปัญญาของเธอ ทำให้เธอเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
“มันก็ค่อนข้างวุ่นวายล่ะนะ พวกเขาเรียกคนจรจัดมาตั้ง 200 กว่าคนเลย”
ใบหน้าของโนอาร์ เฟรย่าได้กลายเป็นบิดเบี้ยวไป พวกเขาไม่ได้หาคนจรจัดมาใช้งานแค่สามสี่คน แต่จริงๆแล้วเป็น 200 คนเลยงั้นหรอ? เป้าหมายของซันเหอมันชัดเจนมาก
“เป็นไม่ได้ได้”
“ไม่หรอก มันเป็นไปแล้ว”
ฮ่าวอวิ่นได้หัวเราะออกมา
ใบหน้าของโนอาร์ เฟรย่าได้สูญเสียสีสันไป
“เอาเถอะนะ นี่เรียกกันว่าแกล้งในแกล้งไงล่ะ”
ฮ่าวอวิ่นได้พูดพร้อมหยิบเอาบุหรี่ออกมาจากปาก
“ฉันก็อยากจะแกล้งเธออยู่อีกสักหน่อยนะ แต่ว่า…”
ควันสีขาวได้ถูกพ่นออกมาจากจมูกของเขา
“น่าเศร้าที่ฉันกำลังยุ่งอยู่ หลังจากนี้ฉันก็ต้องตรงไปที่บาร์แล้ว”
ฮ่าวอวิ่นได้หยักไหล่ และโยนบุหรี่ออกไป บุหรี่ที่ยังมีรอยไหม้ได้ลอยออกไป และทิ้งลอยไม้ไว้บนพื้น
จากนั้น
ปัง!
“อ๊ากกก!”
เสียงกรีดร้องที่คาดไม่ถึงได้ดังก้องไปทั้งล็อบบี้ โนอาร์ เฟรย่าได้หยุดกัดฟัน และหันไปมอง
ชายคนหนึ่งที่เตรียมพร้อมไว้อยู่ได้โซเซก่อนจะล้มลงไป มีลูกธนูดอกหนึ่งปักคาอยู่ที่คอของเขา โนอาร์ เฟรย่าได้มองตามขึ้นไปก่อนที่จะมีสีหน้าทำอะไรไม่ถูก
แม้ว่าเธอจะมองไม่ชัด แต่เธอก็เห็นแสงไฟจำนวนมากที่ส่องประกายอยู่ที่ชั้นบน
เป็นอย่างที่ฮ่าวอวิ่นบอกไว้ คนจรจัดได้แกล้งทำเป็นออกไป และซ่อนตัวอยู่ที่ชั้นบน
หรือก็คือทั่วทั้งเมืองอีวานี้อยู่ภายใต้การควบคุมของฮ่าวอวิ่นหรือไม่ก็จิ้งจอก บางทีอาจจะทั้งคู่ก็ได้ แต่ว่าพวกเธอรู้ตัวช้าเกินไป
ฟื้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!
เสียงกรีดผ่านสายลมได้ดังออกมาพร้อมๆกับเสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดจากทั่วทุกทาง นักธนูที่ขึ้นไปชั้นบนเพื่อสำรวจได้ถูกกวาดล้างไปหมดแล้ว และตอนนี้พวกเธอก็เหลือแค่นักรบเท่านั้น
มันไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะไม่อาจทำอะไรกับศัตรูที่ยิงธนูมาจากชั้นสิบได้ อีกด้านหนึ่งนักธนูที่อยู่ชั้นบนก็สามารถจะยิงลูกธนูลงมาโดยไม่ต้องกังวลอะไรเลย
ยังไม่หมดเท่านั้น ตัวเลือกในการหลบหนีก็ถูกปิดไปเพราะคนที่ทางเข้าก็เริ่มยิงธนูมาด้วยเช่นกัน
แต่แม้กระทั่งในสถานการณ์แบบนี้โนอาร์ เฟรย่าก็ยังรีบเคลื่อนไหว เธอได้หยิบเอาศพของพรรคพวกตัวเองมาเป็นโล่เพื่อค้นหาพื้นที่ให้ซ่อนตัว แต่น่าเสียดายที่ล็อบบี้มันเปิดโล่งมากจนไม่มีจุดบอดให้หลบเลย
ขณะที่ลูกธนูลอยลงมาอย่างต่อเนื่อง จำนานร่างไร้ชีวิตก็ยิ่งเพิ่มขึ้นทำให้โนอาร์ เฟรย่ายิ่งกดดันมากขึ้นไปอีก มันเห็นได้ชัดว่าเป้ายิงได้กำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง
เมื่อทุกๆคนล้มลงไปจนเกือบหมดแล้ว เธอก็จะต้องกลายเป็นเป้ายิงอย่างแน่นอน เมื่อไหร่ที่มันเกิดขึ้นการหลบหนีไปจากที่นี่ก็จะเป็นไปไม่ได้อีก เธอจะต้องหาทางออกให้ได้ก่อนที่จะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น
“!”
ขณะที่เธอกำลังจะเริ่มแผนหลบหนี จู่ๆเธอก็รีบสะบัดหน้าหลบ เลือดได้ไหลออกมาจากแก้มของเธอ หนึ่งในนักธนูคงจะต้องยิงเข้าใส่เธอเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวแน่ๆ เธอได้กัดฟันแน่นขึ้นมา
‘ให้ตายสิ…!’
ไม่มีเวลามาให้ลังเลอีกแล้ว
แม้กระทั่งในตอนนี้เธอก็กำลังเสียโล่มนุษย์ไปแล้ว เธอจะต้องลองเสี่ยงในระหว่างที่เป้าของศัตรูยังมีมากอยู่
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว โนอาร์ เฟรย่าก็ได้โยนศพออกไป จากนั้นเธอก็ยกโล่ป้องกันช่วงหัวเอาไว้ และมุ่งตรงไปที่ทางเข้า ไม่ว่าจะมีโอกาสสำเร็จน้อยแค่ไหน เธอก็ตัดสินใจที่จะฝ่าออกไป หากว่าแค่เธอเข้าไปใกล้ประตูได้สำเร็จ นักธนูที่ชั้นบนก็จะไม่กล้ายิงลงมาเว้นก็แต่จะมั่นใจในความสามารถมากๆ
โนอาร์ เฟรย่าได้จับดาบวิ่งออกไปเหมือนกระทิงคลั่ง
และเพราะงั้นเธอจึงไม่เห็นลูกธนูที่เพิ่งพุ่งผ่านเธอไปย้อนศรกลับมาพุ่งใส่เธอเหมือนมีชีวิต
ในท้ายที่สุดแล้วมันก็ปักทะลุขาของเธออย่างแม่นยำ
ในตอนแรกมันเป็นความเจ็บปวดเล็กน้อย แต่ไม่นานนักมันก็เหมือนกับเป็นเปลวไฟแผดเผาขาของเธอ
“อ๊าา…!”
โนอาร์ เฟรย่าได้หยุดวิ่ง และล้มลงไปคุกเข่าโดยไม่รู้ตัว เธอได้พยายามกัดฟันพยุงตัวเองกลับขึ้นมา
“อ่า…”
จากนั้นเมื่อเธอมองขึ้นมา นักรบที่ไม่พลาดโอกาสก็ได้กำลังกระโจนเข้าใส่เธอ สีหน้าของโนอาร์ เฟรย่าได้กลายเป็นสิ้นหวังไปเมื่อเธอเห็นนักรบสาวผมปลิวไสวเหวี่ยงไม้กระบองเข้าใส่เธอ
“ลาก่อนนะ”
ตูมม! หัวของโนอาร์ เฟรย่าได้ระเบิดออกพร้อมๆกับเสียงลูกโป่งแตก เศษสมองของเธอได้กระจายออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนทั่ว และร่างกายของเธอก็ล้มลงไปกับพื้น
นักรบแรงค์เกอร์ระดับสูงได้ตายลงไปอย่างน่าอดสู
ไม่นานนักทั้งล็อบบี้ก็ได้ปกคลุมไปด้วยความเงียบสงบ
เหล่าคนที่ยืนเตรียมพร้อมพูดคุยเล่นกันเมื่อครู่ได้กลายเป็นเหมือนกับเม่นนอนอยู่ที่พื้น
“ฉันได้ยินมาว่าโนอาร์ เฟรย่ามีทักษะอยู่บ้างนะ”
ฮ่าวอวิ่นได้ปรบมือออกมาในระหว่างที่จองโชฮงกำลังสะบัดเลือดออกไปจากไม้กระบอง
“ดีจริงๆเลยที่มีแรงค์เกอร์ระดับสูงอยู่สองคน”
“ต่อให้เป็นหนึ่งต่อหนึ่งก็เป็นงานง่ายๆอยู่ดีนั่นแหละ”
“แน่นอน ยังไงก็ตามฉันคงจะต้องไปแล้วล่ะ”
“ไปเถอะ อีกเดี๋ยวฉันจะตามนายไป”
แม้ว่าโชฮงจะหัวเราะอย่างดูถูก แต่ว่านักธนูที่ชั้นบนได้สร้างโอกาสเหมาะให้กับเธอจริงๆ ถึงเธอจะบอกเห็นเขาได้ไม่ชัด แต่เธอก็ยกมือแสดงความขอบคุณออกมา
จากนั้น
“…ช่างเป็นอาวุธที่เรียบง่าย”
คาซุกิที่ชั้น 10 ได้ยกมือตอบรับ
***
โอมาร์ กราเซียกำลังมุ่งหน้าไปที่บาร์ อีกไม่นานก็จะถึงเวลานัดเจอที่พวกเขาตัดสินใจเอาไว้ก่อนแล้ว
‘ทำไมฉันถึงไม่ได้รับข้อความอะไรเลยล่ะ?’
มันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยที่เขาไม่ได้รับการติดต่อกลับมาจากหยางหยาง เพราะงั้นเขาจึงไม่ได้กังวลอะไรมาก
ยังไงแล้วการที่ต้องลบร่องรอยทั้งหมดในพื้นที่มันก็ไม่ใช่งานง่ายๆอยู่แล้ว ตอนนี้หยางหยางอาจจะกำลังสนุกกับราคะที่ห้ามไม่ไหวก็ได้
ไม่ว่าจะแบบไหนโอมาร์ กราเซียก็ไม่เคยคิดเลยว่าแผนจะล้มเหลว
“แกมันเป็นแค่ลูกหมาที่แพ้ซิซิเลีย แล้วถูกเตะออกมาเท่านั้นแหละ!”
“แกพูดว่าอะไรนะ?”
ข้อสันนิษฐานของโอมาร์ กราเซียยิ่งกลายเป็นมั่นใจมากขึ้นเมื่อเขาเห็นฉากตรงหน้า ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังล้อมบาร์จากด้านนอกราวกับว่าไม่มีอะไรตื่นเต้นไปมากกว่านี้อีกแล้ว
ยิ่งเห็นฝูงชนรวมตัวกันเป็นจำนวนมากก็ยิ่งทำให้โอมาร์ กราเซียพึงพอใจ
‘มีพยานจำนวนมากที่นี่’
เขาได้หยุดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปีนหลังคาอาคารใกล้ๆเพื่อสังเกตสถานการณ์
ที่ตรงกลางฝูงชนมีเสียงสบถด่าทุกประเภทถูกพูดออกมา
มีกระทั่งบางคนที่ข้ามเส้นด้วยการกระทำ เช่นผลักอีกฝ่าย หรือขว้างปาของบนโต๊ะใส่กัน
บรรยากาศได้ร้อนระอุขึ้นมา ผู้ปลุกปั่นจากแต่ล่ะฝ่ายได้ทำหน้าที่สำเร็จเป็นอย่างดีเยี่ยมจนทำให้บรรยากาศรุนแรงมาก หากจะพูดว่าอีกไม่นานพวกเขาก็คงชักอาวุธเข้าใส่กันมันก็คงไม่ผิดนัก
“นี่ นี่ ทำไมเราทั้งสองฝ่ายไม่ใจเย็น แล้วปล่อยผ่านมันไปล่ะ? ใจเย็นกันหน่อยสิ”
เมื่อการโต้เถียงได้กลายเป็นความรุนแรงยิ่งขึ้น ชายในแว่นกันแดดได้พยายามคลี่คลายสถานการณ์ แต่ยังไงก็ตามเขาก็ถูกดูถูกเหยียดหยาม
“ปล่อยผ่านหลังจากพวกแกทำแบบนี้กันเนี้ยนะ!?”
“ช่างหัวมันเถอะน่า! จะไปหวังอะไรจากพวกขี้ขลาดที่วิ่งหนีจากฮารามาร์คกันล่ะ?”
ขณะที่พวกเขาส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ย สีหน้าของชายในแว่นกันแดดก็มืดลง
“คุณคงจะเมาแล้วนะ การไม่หาเรื่องคนบ้าก็เพราะสงสาร มันไม่ใช่เพราะความกลัวหรอกนะ”
“คนบ้า? แกเรียกใครว่าคนบ้า? พวกแกได้ยินกันไหม?”
“แกอยากจะโดนเราซ้อมจนพูดไม่ได้งั้นหรอ?”
ชายในแว่นกันแดดได้เฝ้ามองดูเสียงตะโกนดังลั่นอยู่เงียบๆก่อนจะหันหน้าไป ไม่สิ เขากำลังจะหันหน้าไป
“เฮ้ แกจะไปแบบนี้ไม่ได้”
ชายคนหนึ่งได้ยื่นแขนออกมาคว้าไหล่ชายสวมแว่นกันแดดเอาไว้อย่างรุนแรง
“…เอามือของแกออกไปในตอนที่ฉันยังพูดดีด้วยซะ”
“ช่างแม่งสิ แกจะไปโดยที่ยังไม่แก้ไขสถานการณ์แบบนี้ไม่ได้”
“แก้ไข? นี่มันก็แค่การทะเลาะกันระหว่างคนเมาเท่านั้นเอง”
“ใช่ ใช่ จะยังไงก็แล้วแต่แก แต่ถ้าแกอยากจะออกไปให้ได้ล่ะก็นะ…”
ชายที่อยู่ฝ่ายพันธมิตรอีวาได้กางขาออกมา
“คลานไปสิ”
“…อะไรนะ?”
“ถ้าแกคลานสี่ขาขอโทษ ฉันก็จะปล่อยแกไป”
ใบหน้าของชายสวมแว่นกันแดดได้เต็มไปด้วยความโกรธเล็กน้อย
“ถอยไปซะ”
“ทำไมฉันต้องถอยล่ะ?”
ชายจากฝ่ายพันธมิตรได้หัวเราะออกมา
“ทำไมต้องรู้สึกแย่ด้วยล่ะ? พวกแกแค่โดนเอาคืนที่ทำกับคนบนโลกไว้ไงล่ะ”
ชายสวมแว่นกันแดดได้หันกลับมามองอย่างดุดัน
“โอ้ มันจ้องฉันเขม็งเลยล่ะ?”
ชายจากฝ่ายพันธมิตรยิ้มออกมาก่อนที่จะเดินมาหยุดลงตรงหน้าของชายสวมแว่นกันแดด
“ตัดสินใจซะ คลานสี่ขาเหมือนหมาเพื่อขอโทษหรือจะวิ่งหนีไป”
ชายสวมแว่นกันแดดได้จ้องชายจากฝ่ายพันธมิตร ก่อนจะแค่นเสียงออกมา
“หนีงั้นหรอ?”
เขาได้พูดเสียงต่ำออกมา
“ไม่คิดเลยนะว่าจะมาได้ยินคำนี้จากปากของคนที่ตัวสั่นเพราะกลัวแค่ทีมๆหนึ่ง”
สีหน้าของฝ่ายพันธมิตรอีวาได้แข็งทื่อไป
“…ฮ่าห์!”
จากนั้นเขาก็หัวเราะแห้งๆออกมา ช่วงนี้เขารู้สึกไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้จริงๆ ชายสวมแว่นกันแดดได้จี้จุดเขาอย่างแรง
และราคาของการจี้จุดนี้ก็คือ- ผั๊วะ
“อึก!”
กำปั้น
หมัดได้กระแทกเข้าที่ใบหน้าอย่างรุนแรงจนทำให้ชายสวมแว่นกันแดดต้องโซเซถอยไปอยู่หลายก้าว เสียงโห่ร้องได้ดังออกมาจากฝูงชนที่เฝ้ามองอยู่ทันที
การโจมตีมันไม่ได้จบลงแค่หมัดเดียวเท่านั้น
ชายจากฝ่ายพันธมิตรอีวาได้ใช้ทั้งหมดและเท้าโจมตีเข้าใส่คนของซันเหออย่างโหดเหี้ยม
“ยะ หยุด…!”
ชายสวมแว่นกันแดดได้ล้มกระแทกพื้นด้วยท่าทีไม่น่ามองก่อนจะไอออกมา ดวงตาของเขากำลังร้องถึงความไม่ยุติธรรมราวกับจะบอกว่าการใช้หมัดมันมากเกินไปแล้ว
ยังไงก็ตามเศษแว่นกันแดดที่แตกอยู่กับพื้นได้สะท้อนให้เห็นภาพของชายที่ต่อยหน้าของเขา
ชายจากพันธมิตรอีวากำลังดูถูกซันเหออยู่จริงๆ หรือพูดไม่ถูกคือกำลังดูถูกคนที่แกล้งทำเป็นคนของซันเหอ
แต่แน่นอนว่าชายจากพันธมิตรอีวาได้ใช้วิธีรับมือฝ่ายตรงข้ามที่หยาบช้าไปหน่อย ในเมื่อเขาถึงขนาดใช้มานาในจังหวะที่รุนแรงทำให้พูดได้ว่านี่เป็นการเริ่มต้นการต่อสู้
แต่ว่านี่มันก็ไม่ได้สำคัญ ยังไงแล้วพวกเขาก็ไม่ใช่ซันเหอจริงๆ แต่เป็นแค่คนจรจัดเท่านั้นเอง พวกเขาคงจะคิดว่าที่พวกเขาต้องทำมีแค่สู้แล้วก็จากไปเท่านั้น แต่จริงๆแล้วพวกเขาก็อาจตายที่นี่ได้เช่นกัน
พูดตรงๆการที่พันธมิตรอีวาจะฆ่าพวกเขาไปจริงๆมันก็ไม่ได้สำคัญเลยด้วย
เพื่อชักจูงสถานการณ์ให้รุนแรง เขากระทั่งได้รับสิทธิ์ให้ฆ่าฝ่ายตรงข้ามได้คนสองคนอีกด้วย หากมันเกิดขึ้นเขาก็จะแค่ถูกจัดการซ้อมแค่เล็กน้อยเท่านั้นเอง
และหลังจากนั้นก่อนที่แต่ละกลุ่มจะพุ่งตรงเข้าไปฆ่ากัน หัวหน้าของแต่ละฝ่ายก็จะปรากฏตัวออกมา โอมาร์ กราเซียจะออกมาขอโทษก่อนอย่างจริงใจ และสัญญาว่าจะชดใช้ในเรื่องนี้อย่างเหมาะสม
การฆาตกรรมภายในเมืองเป็นคดีร้ายแรง แต่หากว่าทั้งสองฝ่ายยอมยุติเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ทางราชวงศ์ก็จะไม่มีเหตุผลในการเข้าแทรกแซง มันไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาไม่มีพลังในการเข้าแทรกแซงเท่านั้น แต่พวกเขายังเต็มใจไม่เข้ามาแทรกแซงอีกด้วย
“ลุกขึ้น นี่มันยังไม่จบ”
ด้วยการที่มีแผนสนับสนุนเอาไว้แล้ว ชายผู้ที่เป็นฝ่ายริเริ่มการต่อสู้จึงแสดงความผ่อนคลายต่อหน้าสมาชิกปลอมของซันเหอ
ในตอนแรกเขาก็ไม่ได้คิดว่าจะฆ่าคนจรจัด ยังไงแล้วพวกเขาก็เป็นสหายน่าสงสารที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย แต่ว่าเมื่อเขาถูกฝ่ายตรงข้ามจี้จุดจึงทำให้เขาเปลี่ยนใจไป
“นี่มันมากไปแล้วนะ?!”
ชายคนนั้นได้ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทา แต่ว่าสมาชิกพันธมิตรก็ไม่ได้สนใจ
“ลุกขึ้น ฉันจะซวยหากว่าปล่อยให้แกได้เดินกลับบ้าน ในเมื่อพวกแกมากวนตีนฉัน นี่มันก็เป็นโอกาสดีเลยที่จะฆ่าพวกแกทุกคน!”
ชายสวมแว่นกันแดดได้คำรามออกมาอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นสมาชิกพันธมิตรอีวาแสดงท่าทีสูงส่ง และยิ่งใหญ่
“เชี้ย! พวกแกอยากจะทำแบบนี้จริงๆงั้นหรอ? ต้องการแบบนี้ใช่ไหม?”
“โอ้? ก็ใช่น่ะสิ ถ้าทำอะไรได้ก็เข้ามา”
ชายฝ่ายพันธมิตรอีวาไม่พลาดโอกาสที่จะเยาะเย้ยศัตรูอีกครั้ง เขาได้หันหลังกลับไปตะโกนออกมา
“พวกนายได้ยินที่หมอนี่พูดไหม!? คุณซันเหออยากจะมีเรื่องกับเราว่ะ!”
“โอ้ งั้นสินะ?”
“ถ้างั้นพวกเขาก็จะได้ตามต้องการเลยสิ!”
สมาชิกพันธมิตรอีวาได้ส่งเสียงโห่ร้องออกมาราวกับรอจังหวะนี้อยู่ บางคนกระทั่งชักอาวุธออกมาชี้หรือไม่ก็ง้างสายธนู
แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าสถานการณ์ทั้งหมดถูกจัดฉากขึ้นมา แต่พวกเขาก็ถูกบรรยากาศที่พุ่งถึงขีดสุดนำพาไป
จากนั้นชายที่บาดเจ็บบนพื้นก็ยิ้มบางออกมา แม้ว่ามันจะแค่เสี้ยววินาทีเดียว แต่มุมปากของเขาก็กระตุกขึ้นมา
“ฟังฉันนะทุกคน!”
ต่อจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนตะโกนออกมา
“ไม่ใช่แค่พันธมิตรอีวาจะยั่วยุซันเหอก่อน แต่ว่าพวกเขายังปฏิเสธสันติภาพที่เราสร้างขึ้นด้วยข้อเรียกร้องที่ยอมรับไม่ได้! นี่ยังไม่พอ พวกเขากระทั่งโจมตีเราก่อนอีกด้วย!”
แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะต่างยั่วยุกัน แต่ส่วนที่เหลือที่ชายคนนี้พูดคือความจริง
ฝ่ายทีชักอาวุธขึ้นมาก่อนก็คือพันธมิตรอีวา และพวกเขาก็ยังเป็นฝ่ายที่เผยจิตสังหารออกมาใส่ฝ่ายตรงข้ามอีกด้วย
ในเวลาเดียวกันโอมาร์ กราเซียที่คอยจังหวะเข้าไปแทรกก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
แม้ว่ามันจะดูเหมือนเป็นไปตามแผน แต่เขาก็รู้สึกแปลกๆ มันเหมือนกับว่าสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรจะถูกลากลงไปในนรกเพราะพวกเขาเล่นสวมบทบาทมากเกินไป
“ฮ่าห์”
สมาชิกกลุ่มพันธมิตรได้โยนมีดเล่นอยู่ซ้ำๆ
“พวกแกกำลังพูดบ้าอะไรกัน มันจะทำไมห๊ะ?”
ชายที่นอนอยู่บนพื้น หรือผู้บริหารของซันเหอ หมิงเจี่ยไม่ได้พูดอะไรอีก กลับกันเขาได้ยกมือส่งสัญญาณออกมา
จากนั้นนักบวชที่ร่ายเวทย์อยู่เงียบๆก็ปล่อยพลังออกมาในคราวเดียว โล่ทึบแสงได้ปรากฏขึ้นครอบคลุมสมาชิกทุกๆคนของซันเหอเป็นชั้น และคนที่เหลือก็หยิบหน้าไม้ขึ้นมาในทันที
ในที่สุดแล้วสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ โอมาร์ กราเซียก็มองออกแล้วเช่นกัน
ความเป็นไปนี้ไม่ได้เป็นไปตามแผนที่ตกลงกันไว้ ปัญหาคือเรื่องราวนี้ได้ถวีความรุนแรงขึ้นมาแล้ว
“ไม่ เดี๋ยวก่อน นี่พวกเขาโกรธจริงๆ…?”
ก่อนที่โอมาร์ กราเซียจะได้จัดการความคิดเสร็จ หมิงเจี่ยก็คำรามออกมาแล้ว
“กำจัด-“
นี่คือวินาทีที่พันธมิตรอีวาผู้ยิ่งใหญ่…
“ไอ้พวกชั่วนี่!”
…ติดกับดักของจิ้งจอก
ไม่นานนักทั้งพื้นที่ก็เต็มไปด้วยเสียงยิงธนู และเสียงกรีดร้องของสมาชิกพันธมิตรที่ถูกแทงด้วยลูกศรหน้าไม้อย่างกระทันหัน
***
ภารกิจคุ้มกันได้สิ้นสุดลงไปแล้ว ระหว่างภารกิจซอลจีฮูได้พยายามที่จะคุยกับสมาชิกต่างเผ่าพันธุ์ให้มากที่สุแล้ว แต่ว่าเขาก็ได้รีบแต่การตอบกลับอันแสนเย็นชากลับมาเท่านั้น
ไม่ว่าเขาจะพยายามเข้าหาเท่าไหร่ พวกเขาก็มีแต่ตอบกลับสั้นๆ โดยเฉพาะมนุษย์สัตว์ที่เอาแต่ระวังตัว คำราม และชูหางกับหูใส่ในทันทีที่ซอลจีฮูเข้าไปใกล้สักนิด
นี่มันเป็นสัญญาณการระวังตัวเป็นอย่างมาก
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เมินเฉยหรือแสดงความเป็นศัตรูกับซอลจีฮู แต่มันก็ชัดเจนมากว่าพวกเขารู้สึกไม่สบายใจที่ซอลจีฮูเข้าไปใกล้
มีสิ่งหนึ่งที่เขาสังเกตเห็นระหว่างภารกิจนี้ก็คือความเกลียดชังที่สมาชิกสหพันธรัฐมีต่อมนุษย์นั้นมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้
สถานการร์มันไม่ควรจะเอามาเทียบกับในตอนที่เขาเจอแฟรี่ถ้ำยูเรล แต่ว่า… ซอลจีฮูก็รู้ตัวแล้วว่าความฝันที่อยากจะร่วมมือกับสมาชิกสหพันธรัฐมันยิ่งใหญ่มากแค่ไหน
จนกระทั่วในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็มาถึงเขตพรมแดนโดยไร้ปัญหาใดๆ
มนุษย์สัตว์ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่สำหรับคนอื่นๆแล้วตรงกันข้ามกับที่ซอลจีฮูคิดไว้ พวกเขาไม่ได้จากไปในทันที และรอซอลจีฮูอยู่
“เรามีบางอย่างอยากจะพูด”
หนึ่งในสมาชิกสหพันธรัฐได้เดินออกมาพูดกับเขา คนๆนั้นก็คือแฟรี่ท้องฟ้า
“ฉันจะขอพูดตรงๆ คุณคิดยังไงกับการย้ายมาที่สหพันธรัฐ?”
ดวงตาของซอลจีฮูได้เบิกกว้างกับคำพูดที่คิดไม่ถึงนี้ ยิ่งเขาคิดตาม คำแนะนำของพวกเขายิ่งน่าประหลาดใจ
“เราไม่ได้ขอให้คุณมาทันทีหรอกนะ”
แฟรี่ท้องฟ้าได้เสริมออกมา
“คุณไม่จำเป็นต้องมาคนเดียวก็ได้ คุณสามารถจะพาเพื่อนๆมาด้วยได้เหมือนกัน”
“พวกคุณนี่เอาจริงหรอ?”
ซอลจีฮูได้ถามออกมาอย่างสงสัย
“ดอกไม้ไม่อาจจะบานได้ในถังขยะ”
แฟรี่ท้องฟ้าได้พูดต่อ
“แน่นอนว่าโลกนี้มันไม่มีอะไรแน่นอน แต่ต่อให้ดอกไม้จะเบ่งบานขึ้นมาได้ มันก็จะเหี่ยวเฉาร่วงโรยลงไปอย่างรวดเร็ว นี่มันจะไม่น่าสงสารและโหดร้ายไปหน่อยหรอ?”
ซอลจีฮูเข้าใจว่าดอกไม้ที่แฟรี่ท้องฟ้าหมายถึงก็คือตัวเขาเอง
“แม้ว่าสหพันธรัฐจะประกอบไปด้วยหลายเผ่าพันธุ์ พวกกเขาต่างมีความขัดแย้งกันเอง แต่ว่าเมื่อไหร่ที่เป็นการสู้กับปรสิต พวกเราก็จะร่วมมือกัน ทุกๆคนต่างก็มีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว”
นี่คือแดนสวรรค์ที่ซอลจีฮูใฝ่ฝัน เป็นสวรรค์แท้จริงที่อยู่ไม่ไกล
“คุณอาจจะยังไม่เคยได้ยินเรื่อนี้ แต่ว่าเรามีสภาพแวดล้อมให้การสนับสนุนกับฮีโร่ที่ฆ่าความหมั่นเพียรอันนิรันดร์อย่างเต็มที่ มนุษย์สัตว์อาจจะไม่ยินดีนัก แต่ว่าการใช้เวลาก็สามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้…”
‘งั้นพวกเขาก็รู้..’
ที่พวกเขาพูดก็ไม่ได้ผิด สหพันธรัฐมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับให้ซอลจีฮูได้พัฒนาตัวเองจริงๆ
นี่เป็นความรู้สึกที่ต่างไปจากในตอนที่ความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ยื่นข้อเสนอให้เขาอย่างสิ้นเชิง
หากว่าเขรับข้อเสนอของแฟรี่ท้องฟ้า และย้ายไปอยู่ที่สหพันธรัฐ เขาจะพัฒนาได้มากขนาดไหนกันนะ? ด้วยการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสหพันธรัฐ ในอนาคตเขาจะประสบความสำเร็จอันน่าเหลือเชื่อขนาดไหนกัน?
หากจะบอกว่าเขาไม่สนใจเลยก็คงเป็นการโกหก
แต่น่าเสียดายที่ในตอนนี้เขายังไม่มีความคิดที่จะยอมรับข้อเสนอ
“ขอบคุณสำหรับข้อเสนอนะครับ แต่ว่า…”
“นี่คาดไม่ถึงเลย คุณคงจะมีประสบการณ์กับมันมาแล้ว”
แฟรี่ท้องฟ้าได้ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆเมื่อแฟรี่ท้องฟ้าพูดเหมือนกับเธอรู้ทุกอย่าง
“หากว่าพรรคพวกผม และผมสามารถจะเอาชนะปรสิตได้ด้วยการย้ายไปสหพันธรัฐ พวกเราก็จะไม่ไปทันทีโดยไม่คิดอะไรเลย แต่ว่าด้วยแค่พลังของสหพันธรัฐ”
ซอลจีฮูได้เว้นช่วงเอาไว้ เขากำลังแนะนำให้สหพันธรัฐและมนุษยชาติร่วมมือกัน
ปฏิกิริยาของแฟรี่ท้องฟ้านั้นยากที่จะเข้าใจ
“ฉันเข้าใจนะว่าคุณกำลังพยายามจะพูดอะไร แต่นั่นมันก็แค่เรื่องเพ้อฝัน แม้ว่าจำนวนของทหารอาจจะสำคัญในเวลาสงคราม แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือความสามัคคีกัน มันไม่มีอะไรจะน่ากลัวไปกว่าผู้นำหรือพันธมิตรที่ไร้ความสามารถอีกแล้ว”
เธอพูดเหมือนกับเธอแทบจะยอมแพ้ลงไปแล้ว
“ฉันเข้าใจดีในเมื่อคุณยังเข้ามาในพาราไดซ์ได้ไม่นาน แต่ว่าความเป็นจริงกับความฝันมันต่างกันมาก”
“…”
“ฉันเข้าใจถึงความตั้งใจของคุณ แต่ไม่ว่ายังไงเราก็คิดไว้ว่าจะรายงานทุกๆอย่างกับเบื้องบน แน่นอนว่ารวมถึงทุกๆอย่างที่คุณทำให้เราด้วยเช่นกัน”
ซอลจีฮูอยากจะบอกเธอว่าไม่ต้องทำแบบนั้น อยากให้เธอให้อภัยมนุษย์สักครั้ง แต่ไม่นานนักเขาก็รู้ตัวว่าความคิดของเขามันเห็นแก่ตัวแค่ไหน และเลือกที่จะเงียบแทน
“…เอาล่ะ ถ้างั้นก็”
แฟรี่ท้องฟ้าได้พยักหน้า และหันหน้าไป
สมาชิกส่วนที่เหลือของพวกเธอก็เริ่มจากไปกันทีละคน ขณะที่เขากำลังมองพวกเธอจากไป หญิงสาวคนหนึ่งก็หันกลับมา
ลาเซียงั้นหรอ? เธอเป็นหญิงสาวที่ขอให้เขาช่วยหาลูกชายของเธอ
เธอได้มองมาที่ซอลจีฮูด้วยสายตาเป็นกังวลเล็กน้อยก่อนจะโค้งคำนับ เด็กในอ้อมแขนของเธอก็ทำเช่นเดียวกัน
ซอลจีฮูได้ยิ้มและโบกมือให้พวกเธอ
จากนั้นเมื่อพวกเธอจากไป เขาก็ได้ถอนหายใจยาวออกมา ภารกิจของเขายังอีกยาวไกล
‘ถังขยะสินะ’
เป็นคำที่เจ็บแสบ แต่ว่ามันก็อธิบายได้ตรงจริงๆ
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะหมดทางแก้ไข แม้ว่ามันจะต้องใช้เวลาอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็สามารถจะทำความสะอาด และใส่ดินเข้าไปในที่ว่างได้
‘ทุกๆอย่างคงจะปกติดีใช่ไหม?’
ซอลจีฮูได้หมุนคริสตัลสื่อสารเล่นก่อนจะหันหน้าไป
เขาจะต้องพาเพื่อนร่วมทีมเดินทางกลับ แต่ว่ามีบางสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงเกิดขึ้น ไม่สิ ไม่ใช่แค่ ‘บางสิ่ง’ แต่เป็นทั่วทั้งเมืองโกลาหล
ในตอนที่ซอลจีฮูกลับมาหลังจากทำภารกิจสำเร็จ ถังขยะที่เต็มไปด้วยขยะในชื่อของอีวาได้ถูกเก็บกวาดจนเกือบโล่ง
ทั้งหมดนี้ได้เกิดขึ้นในเวลาแค่ไม่กี่วัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น