The Second Coming of Gluttony 250-254

 บทที่ 250 – อีวายามค่ำคืน (5)


เขาไม่ได้เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้น ที่ทุกๆอย่างมันกลายมาเป็นแบบนี้ก็เพราะเหตุการณ์ที่เลี่ยงไม่ได้


มันเป็นในเขตพื้นที่เป็นกลางหรือเปล่านะ? ในตอนที่การล่าขุมทรัพย์ได้ใกล้เข้ามา ผู้คนได้แบ่งกันออกกเป็นสองกลุ่ม และจู่ๆอีกกลุ่มหนึ่งก็ได้เข้าโจมตีกลุ่มแรกอย่างกระทันหัน พวกเขาได้ถูกขโมยเหรียญจนมีไม่พอสำหรับผ่านด่าน


สมบัติ ละอองมณีได้อยู่ในกลุ่มของคนที่ถูกโจมตี ท่ามกลางความสับสนสมบัติ ละอองมณีได้ได้พยายามต่อสู้ขัดขืนกับชายหนุ่มที่พุ่งเข้าใส่เขา


เขาจำไม่ได้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาจำได้ก็แต่ว่าดวงตาอันเกรี้ยวกราดและอาฆาตของเด็กหนุ่มได้หายไป และถูกแทนที่ด้วยความขมขื่นเสียใจ และทำอะไรไม่ได้


เมื่อสถานการณ์จบลง สมบัติ ละอองมณีก็ได้สติขึ้นมาตอนที่เด็กหนุ่มกลายเป็นศพไปแล้ว


ดังนั้นสมบัติ ละอองมณีจึงได้ลงมือฆาตกรรมเป็นครั้งแรก ในตอนแรกเขาสับสนเกินกว่าจะคิดอะไรได้ ก่อนที่จะนึกถึงประตูมิติ และรีบไปจ่ายค่าผ่านทางเข้าไปสู่เขตพื้นที่เป็นกลาง


แต่ว่าความรู้สึกของการดิ้นรนขัดขืนของชายหนุ่มยังคงฝังแน่นอยู่ภายในมือของเขา คอยตามหลอกหลอนอยู่เรื่อยมา ไม่สิ การจะพูดว่ามันคอยตามหลอกหลอนก็ไม่ถูกสักหน่อย


มือของเขาสั่น ลมหายใจติดขัด และหัวใจก็เต้นแรงด้วยความตื่นเต้น มันแทบจะไม่มีสัญญาณของความรู้สึกผิดเลย


มันเหมือนกับเป็นความปิติยินดีซะมากกว่า


นอกไปจากนี้เมื่อไหร่ที่เขานึกถึงสายตาที่กรอกขึ้นไปด้านบนของเด็กหนุ่มในตอนท้าย หัวใจของเขาก็จะเต้นระรัว และอวัยวะช่วงล่างของเขาก็จะตั้งชันขึ้นมา


เมื่อละอองมณีรู้แบบนี้ เขาก็ได้เปิดโลกของสิ่งที่เรียกว่าอาชญากรรม


หลังจากที่ทำความคุ้นเคยกับพาราไดซ์ เขาก็ไปในเส้นทางที่ไขว้คว้าพลังของอีวา และทำการฆาตกรรมมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่ไม่ว่าเขาจะฆ่าไปกี่คน เขาก็ได้รับมาแค่ความรู้สึกที่่ว่างเปล่าเท่านั้นเอง เขาไม่อาจจะรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่เคยรู้สึกในครั้งแรกของการฆาตกรรมได้เลย


ละอองมณีได้หาเหตุผลในธรรมชาติของชาวโลก พูดให้ชัดก็คือเมื่อชาวโลกตายในพาราไดซ์ พวกเขาก็จะไม่ได้ตายจริงๆ


พวกเขาจะเพียงแค่สูญเสียความทรงจำ และย้อนกลับไปที่โลกเพียงเท่านั้น


แม้ว่าในหมู่คนเหล่านั้นจะมีหลายคนที่ฆ่าตัวตายเพราะทนกับช่องว่างความทรงจำ และความรู้สึกว่างเปล่าไม่ไหว แต่นั่นมันก็คนล่ะเรื่องกันอย่างสิ้นเชิง


ฆ่าด้วยมือตัวเอง และเฝ้ามองดูกระบวนการตาย นี่แหละคือสิ่งที่ละอองมณีต้องการจริงๆ


หรือพูดอีกอย่างก็คือเป้าหมายของเขาเป็นเหล่าคนที่นับว่าพาราไดซ์คือบ้าน


แน่นอนว่านั่นมันไม่ได้ทำให้เขาไปลักพาตัวชาวพาราไดซ์ เป้าหมายที่เหมาะสมมันมีอยู่แล้วก็คือเหล่าต่างเผ่าพันธุ์ เขาไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงโดยไม่จำเป็นเลยสักนิด


แม้ว่าการกระทำทั้งสองอย่างจะผิดกฎหมายทั้งคู่ แต่การเข้าไปยุ่งกับสหพันธรัฐก็อันตรายน้อยกว่ามาก นอกจากนี้เขายังทำได้ด้วยการซ้ำพวกต่างเผ่าพันธุ์ที่ถูกจับเอาไว้อยู่แล้วได้อีกด้วย


“ฟุฟุฟุฟุ”


ละอองมณีได้หัวเราะออกมาก่อนจะค่อยๆยืนมือออกไป และลูบไล้ตามตัวเด็กหนุ่มที่ถูกแขวนไว้กับกำแพง


แฟรี่ท้องฟ้าไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ แม้ว่าจะมีลมหายใจแผ่วๆดังออกมา แต่ร่างกายเขาคงอ่อนแรงเกินกว่าจะทำอะไรได้


“เยี่ยม เยี่ยมมาก”


ละอองมณีได้ค่อยๆลูบผิวขาวซีดที่ ก่อนจะหัวเราะ และพูดออกมา


“มาค่อยๆสนุกกันเถอะนะ เจ้าตัวน้อย”


และเขาก็ได้ยิ้มน่ายินดีออกมา


ภายในห้องทำงานลับของรอยัลพัทยา มีแค่ระดับบริหารขององค์กรไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ถึงที่นี่ และพวกเขาก็จะหลีกเลี่ยงที่นี่เพราะรู้ว่ามันมีไว้ใช้ทำอะไร


ใช่แล้ว ที่นี่นคือ ‘แกลเลอลี่’ ที่ละอองมณีสร้างเอาไว้เพื่อจัดเก็บ ‘งานศิลปะ’ ที่เขาจัดการแล้ว


ละอองมณีได้นั่งลงบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยเครื่องทรมาณพร้อมหยิบเอาบุหรี่ขึ้นมาสูบ จากนั้นก็มองกลับไปที่งานศิลปะที่เขาสลักเอาไว้ด้วยความพอใจ


ขณะที่เขากำลังจะถอดกางเกงออกเพื่อเพลิดเพลินไปกับความสุข… ปัง!


“ระ เรื่องใหญ่ครับ!”


มีคนได้เปิดประตูออกมา และล้มลงไปกับพื้นเพราะรีบวิ่งเข้ามา ละอองมณีที่กำลังถอยกางเกได้ขมวดคิ้วขึ้นมา


“ไอ้สารเลวตัวไหน…”


เมื่อเขาหันกลับไปมองก็ไม่อาจจะพูดต่อจนจบได้ ลูกน้องที่แขนขาด และน้ำตานองหน้าได้เงยหน้าขึ้นมา


“แก”


“ระ โรงประมูลถูกโจมตีครับ!”


ละอองมณีขมวดคิ้วขึ้นมา


“และ แล้วก็…!”


เมื่อเห็นชายหนุ่มพูดไม่ทันจบ ละอองมณีก็พอจะเดาได้แล้วว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น เขาได้รีบดึงกางเกงขึ้นมา และออกไปจากห้องลับ


เนื่องจากว่าห้องลับสร้างอยู่ลึกลงไปใต้ดินทำให้เขาต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะขึ้นมาถึงชั้นบน และยิ่งเขาเดินขึ้นไป เขาก็ยิ่งได้ยินเสียงวุ่นวายดังมาจากด้านนอก


จนกระทั่งในท้ายที่สุดเมื่อเขาออกมาจากชั้นใต้ดิน และเปิดประตูไปด้านนอก…


ตูมม! เสียงระเบิดรุนแรงได้ดังกระแทกหน้าเขาเข้ามา ละอองมณีได้หันหน้าหรี่ตาออกมาทันที


สิ่งแรกที่เขาได้เห็นเลยก็คือกลุ่มลูกน้องของเขากำลังวิ่งกระจายซ้ายขวารวมทั้งมีกลุ่มคนหกคนเดินตรงฝ่าวงล้อมเข้ามาด้านหน้า


การต่อสู้คงจะเกิดขึ้นไปแล้วรอบหนึ่งเนื่องจากว่ามีคนนับสิบนอนหมดสติอยู่กับพื้น


มันไม่มีอะไรให้ต้องถามอีกแล้ว พวกเขากำลังถูกโจมตีอยู่


ละอองมณีได้มองศึกษาสถานการณ์ และถามขึ้นเบาๆ


“เกิดอะไรขึ้น? พวกมันมีแค่หกคนเองนี่!”


“พวกเราไม่รู้ครับ!”


“อะไรนะ?”


“พวกเราไม่เข้าใจ! ไม่เข้าใจเลยจริงๆ! จู่ๆคนบ้าพวกนั้นก็บุกกันเข้ามา! แม้ว่าพวกเขาจะใช้จำนวนที่เหนือกว่าเข้าต่อต้านแล้วก็ตาม…!”


ลูกน้องที่วิ่งตามหลังได้สะอื้นออกมา มันยากที่จะเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด แต่ว่าก็ไม่อาจจะโทษเขาได้ด้วยเช่นกัน องค์กรที่มีจำนวนคนมากกว่าฝ่ายบุกรุกนับสิบเท่ากลับถูกโจมตีโดยไม่อาจทำอะไรได้


ที่ยิงแย่ไปกว่านั้นนักธนูที่คอยสนับสนุนอยู่ด้านหลังจู่ๆหัวก็จะถูกบิดหรือไม่ก็ถูกดึงออกไปจนกลายเป็นการตายอันน่าหวาดกลัว


หากไม่ใช่เรื่องเวทมนต์ที่พวกเขาไม่รู้จัก พวกเขาก็ไม่รู้จริงๆแล้วว่าจะอธิบายเหตุการณ์อันแปลกประหลาดนี้อย่างไร แม้ว่าจะมีควันดำลอยวนอยู่รอบๆ แต่ว่าในตอนนี้ก็ไม่ได้มีใครสนใจมันเลย


ละอองมณีได้กัดฟันพึพำออกมา


“…แล้วจิรายุ แมทธิวไปไหน?”


“ขะ เขาไม่รับสายครับ!”


“ไอ้เจ้าลาตัวนั้น…”


ละอองมณีได้กัดฟัน และสูดหายใจลึก


“ไปพาตัวไอ้เวรนั่นมาเดี๋ยวนี้! แล้วก็ติดต่อแก๊งโอชัวร์ด้วย!”


“ดะ ได้ครับท่าน”


ลูกน้องได้รีบวิ่งออกไปอย่างลนลาน


‘เวรเอ้ย กับอีแค่กลุ่มคนหกคน…’


ละอองมณีได้กรีดร้องใส่เหล่าลูกน้องที่โซซัดโซเซถอยมาด้วยความหวาดกลัว


“ไอ้พวกเศษสวะไร้ค่า!”


ได้เกิดอาการชะงักขึ้น ไม่ใช่แค่เหล่าลูกน้องเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสายตาของเหล่าผู้บุกรุกได้จ้องมาที่ละอองมณี


‘ชิ’


ละอองมณีเป็นชาวโลกที่ในช่วงแรกๆเคยได้มีประสบการณ์กับการต่อสู้ของแก๊ง และการต่อสู้บนถนนมาก่อน อย่างน้อยที่สุดเขาก็รู้ถึงความสำคัญของกำลังใจในการต่อสู้


หากเป็นแบบนี้รอยัลพัทยาได้พ่ายแพ้แน่ๆ


และเพราะแบบนี้เขาได้พยายามทำตัวใจเย้น และคอยๆเดินลงบันไดไป แม้ว่าสายตาของเขาจะเต็มไปด้วยจิตสังหาร แต่เขาก็ยังเดินออกไป และพูดขึ้นอย่างสงบ


จากนั้นเขาก็ได้หยุดอยู่ตรงหน้าของชายหนุ่มที่มีใบหน้าสีขาว เนื่องจากส่วนสูงที่ต่างกันเล็กน้อยทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นไป


สายตาของชายทั้งสองคนได้สบกัน หลังจากจ้องอยู่ครู่หนึ่ง ละอองมณีก็พูดขึ้นอย่างเป็นกันเอง


“เรามีแขก”


“…”


“แขกปัญญาอ่อนที่ไร้มารยาท แกกล้ามากเลยนะ รู้บ้างไหมว่าที่นี้ที่ไหน?”


“สมบัติ ละอองมณี”


ซอลจีฮูได้พูดออกมาอย่างสงบ


“นายน่าจะซื้อแฟรี่ท้องฟ้ามาในโรงประมูลวันนี้”


ละอองมณีได้ขมวดคิ้วขึ้น จากนั้นเขาก็หันไปเห็นแฟรี่ท้องฟ้าที่กำลังยืนอยู่เบื้องหลังชายหนุ่ม เขาได้ปรบมือเข้าด้วยกัน และแสดงสีหน้ากังวลออกมา


ทันทีที่เขาเห็นเธอ เข้าก็เข้าใจความเป็นมาเป็นไปแล้ว


“อ่อ~”


เขาได้เปิดตากว้างพร้อมยิ้มเยาะเย้ยออกมส


“เข้าใจแล้ว~”


“พาตัวเขามา”


ซอลจีฮูได้ขัดออกมาด้วยน้ำเสียงเชิงสั่งการ ละอองมณีได้แค่นเสียงขึ้น


“ทำแล้วจะได้อะไรล่ะ?”


“ถ้างั้นฉันก็จะให้นายได้ตายอย่างสงบ”


ละอองมณีได้อ้าปากกว้าง


“ฮ่าฮ่า… ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”


เขาได้ขมวดคิ้ว และหัวเราะออกมาดังลั่น เมื่อเขายกแขนขึ้น ฮิวโก้ก็ยังยกขวานขึ้นเช่นกันเป็นสัญญาณที่บอกว่าพร้อมจะฆ่าฝ่ายตรงข้ามได้ทุกเมื่อหากว่าละอองมณีเล่นตลก


“ท่านละอองมณี!”


“ระวัง…!”


ขณะที่รอบๆได้เกิดเสียงวุ่นวายขึ้น โชฮงก็ยิ้มเยาะออกมา ในเมื่อพวกเขาเป็นฝ่ายบุกอยู่ฝ่ายเดียว เธอก็เข้าใจแล้วว่าทำไมพวกลูกน้องเหล่านี้ถึงยืนอยู่แต่ด้านหลัง แต่ว่ามันก็ยังน่าขำที่เจ้าพวกนี้ทำเป็นเก่งในตอนหัวหน้าตกอยู่ในอันตราย


“หุบปาก! พวกแกมันน่าอับอาย!”


ละอองมณีได้หันกลับไปมอง และตะโกนขึ้นจนทำให้เสียงบ่นเงียบไปทันที หลังจากแสยะยิ้มออกมา เขาก็วางมือลงไปบนไหล่ของซอลจีฮู


“นายค่อนข้างจะดื้นเลยนะสหาย”


จากนั้นด้วยเสียงหัวเราะแปลกๆ เขาก็ได้พยักหน้าออกมาราวกับเห็นด้วยกับการกระทำของซอลจีฮู


“ใช่แล้วล่ะ นายควรจะเป็นแบบนี้ เพื่อที่จะใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่โหดร้าย นายต้องกล้าแบบนี้! ฉันชอบนาย”


เขาได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงดัง และตบบ่าซอลจีฮูอย่างแรง


“แต่นายรู้อะไรไหม…”


ทันใดนั้นเขาก็จับบ่าซอลจีฮูแน่น และเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึม


“นายต้องรู้ว่าเล่นกับใครด้วย นายจะเที่ยวเห่าไปทุกที่ไม่ได้หรอกนะ”


“…”


“อย่างน้อยที่สุด นายก็ควรจะมาคุยกับฉันก่อน บางทีฉันอาจจะส่งเขาคืนให้นายก็ได้นะ ในเมื่อนายทำกับฉันแบบนี้นายยังหวังให้ฉันทำดีด้วยอีกไหมล่ะ? ฉันพูดถูกไหม?”


ละอองมณีได้ลูบแก้มซอลจีฮู และเผยฝันสีเหลืองออกมา


“มีคำกล่าวไว้ว่าพวกโง่จะไม่รู้จักกลัวความยิ่งใหญ่… ฮ่าห์”


เขาได้เอามือออกมา และเท้าเอวขึ้น ก่อนจะถ่มน้ำลายลงบนพื้น และพูดออกมาเหมือนกับเป็นคนใจ้กว้าง


“ก็ได้! ฉันจะคืนเขาให้กับนาย! นายถึงขนาดเอาแฟรี่ท้องฟ้าอีกตัวมาขอความเห็นใจเลยนี่นา ฉันไม่ได้เป็นคนเย็นชาหรอกนะ ช่วยรอเดี๋ยวแล้วกัน”


ด้วยแบบนี้เขาได้หันกลับเดินเข้าไปในอาคาร ไม่นานนักเขาก็กลับออกมาพร้อมวัตถุทรงกลมที่แช่อยู่ในของเหลว


“เอ้า รับไปสิ”


เขาได้โยนออกมาทางชายหนุ่มเหมือนกับเป็นลูกบอล ลูกทรงกลมที่ถูกแช่ไว้ในของเหลวได้กลิ้งมาตามพื้นก่อนที่จะถึงเท้าของซอลจีฮู


ไม่ว่าจะมองยังไงก็ไม่ใช่แฟรี่ท้องฟ้าเลยสักนิด


“ไม่ใช่เขา? ถ้างั้นนี่มันอะไร?”


อีกชิ้นได้ถูกโยนออกมาข้างหน้า


เมื่อก้มมองดูที่เท้าแล้ว ซอลจีฮูก็หรี่ตาออกมา ตัดสินจากหูของสิ่งนี้แล้ว นี่คงจะเป็นแฟรี่ท้องฟ้า


ปัญหาคือเหลืออยู่เพียงแค่หัวเขาเท่านั้นเอง นอกไปจากนี้ยังได้รับความเสียหายมากจนยากที่จะแยกแยะได้ว่าเป็นใคร เมื่อเห็นว่ายังไม่ได้เน่าหรืออะไร ละอองมณีคงจะต้องเก็บเอาไว้ทำยาดองสูตรพิเศษอย่างแน่นอน


แม่แฟรี่ท้องฟ้าที่ตามซอลจีฮูมาจากโรงประมูลได้ทรุดตัวกับพื้นทันที จากนั้นถึงแม้ว่าร่างกายของเธอจะอ่อนแอ แต่ว่าเธอก็ยังคงพยายามคลานมาข้างหน้าด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง


“อ่า…”


งึกๆ เธอได้ค่อยๆโกยหัวไร้ร่างเข้าหาตัวเอง


“อ่า…. อ่า…”


เธอได้เปล่งเสียงไร้ซึ่งความหมาย พร้อมทั้งแสดงใบหน้าที่ทำอะไรไม่ถูกออกมาอย่างชัดเจน จริงๆแล้วหัวในมือของเธอมันแทบจะแยกแยะเผ่าพันธุ์ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นี่จึงไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคือหัวของใคร


“อ๊าาาาาาาาาาาาาาา!”


ในท้ายที่สุดเธอก็กอดหัวเอาไว้แน่น และโหยหวนออกมา


“ทำไมถึงร้องไห้ล่ะ?”


ละอองมณีได้มองดูแฟรี่ท้องฟ้าที่กำลังคร่ำครวญ และถามออกมาหน้าไม่อาย


“ลองดูใกล้ๆสิ อะไรนะ คิดว่าไม่ใช่เขาหรอกหรอ? ยังมีอีกนะ อยากให้ฉันเอามาเพิ่มไหมล่ะ? หรือว่าที่ร้องไห้ก็เพราะกำลังประทับใจน่ะ? ฮุฮุฮุ!”


เสียงหัวเราะมีความสุขสดชื่นได้ดังออกมาจากเขา


“พวกแกกำลังทำอะไรกันอยู่? ไม่ใช่ต้องปรบมือให้กับการได้กลับมาพบกันอันซาบซึ้งหรอกหรอ?”


เขาได้ปรบมือพร้อมกับหัวเราะออกมา จากนั้นเองทันใดนั้นเขาก็ต้องขมวดคิ้วนิ่งไป มันมีเหตุผลที่เขาทำแบบนี้อยู่ ในตอนนี้ลูกน้องของเขาน่าจะกลับมามีความมั่นใจ และกำลังใจจนทำให้พวกเขาปรบมือ และหัวเราะตามออกมาได้แล้วสิ


แต่แล้วเมื่อมองกลับไปมอง ใบหน้าละอองมณีก็ต้องเดือดดาลขึ้นมา ลูกน้องของเขาทั้งหมดได้ถอยหลังกลับไปอย่างหวดกลัวด้วยสีหน้าที่เหมือนกับจะบอกว่า ‘เราซวยแล้ว’


“แก…”


ในเวลาเดียวกัน น้ำเสียงเหมือนกับลาวาที่กำลังจะปะทุได้ดังก้องออกมาจากด้านหน้าของเขา


“ไอ้สารเลว…!”


ขณะที่ละอองมณีหันกลับไปมองชายหนุ่มก็รู้สึกถูกสายตาทิ่มแทง


“อึก!”


ประกายสายฟ้าได้สว่างวาบอยู่ตรงหน้าของเขา


เป็นการโจมตีอย่างกระทันหัน


เขายังไม่ทันได้เห็นเลยด้วยซ้ำว่าชายหนุ่มตรงหน้าทำอะไร


มีเพียงก็แต่จู่ๆตาของเขาก็ร้อนขึ้นมา


ขณะที่ละอองมณีกำลังเดินเซถอยหลับไป สิ่งเดียวที่เขาได้เห็นก็คือซอลจีฮูได้ดึงแขนกลับไปอย่างรุนแรง


“แก…!”


กร๊อบบ! ก่อนที่จะได้ทันพูดจบ ดั้งจมูกของละอองมณีก็ถูกบดขยี้ไปเรียบร้อยแล้ว มีเพียงแค่ความเจ็บปวดเท่านั้นที่พวยพุ่งขึ้นมา


“อ๊ากกกกกก!”


ละอองมณีได้ล้มทรุดลงไปตัวสั่นด้วยความเจ็บปวด เขาได้จับจมูกดิ้นพล่านไปมาเหมือนกับปลา


จากนั้นการเตะอันรุนแรงดุดันก็ได้ตามเข้ามา ทันทีที่เท้าของซอลจีฮูกระแทกใส่ท้องของละอองมณี ดวงตาของเขาก็ถลนออกมา


“อั๊ก! อ๊ากกก!”


เขาได้อ้วกออกมาพร้อมๆกับเสียงโหยหวนเหมือนคนกำลังตาย แต่ว่าการเตะไม่ได้จบลงแค่นั้น


ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม… และครั้งที่สี่คงจะเสริมมานาเข้ามาด้วยทำให้ร่างของละอองมณีลอยขึ้นไปจนกระแทกเข้ากับบันได


บทที่ 251 – อีวายามค่ำคืน (6)


“อ๊ากกกก!”


เลือดกองใหญ่ได้ไหลออกมาจากปากของละอองมณี เขาได้พยายามตะเกียดตะกายลุกจากพื้นด้วยความสับสน และตกตะลึง แต่เขาก็แทบไม่อาจจะควบคุมร่างกายได้เลย


ทั้งหมัด และเท้าที่อัดแน่นไปด้วยมานาได้เปลี่ยนให้ภายในร่างกายของเขายุ่งเหยิง


แม้กระทั่งในตอนที่ระดับมานาของซอลจีฮูอยู่ที่ ปานกลาง (สูง) ก็ยังสามารถจะตัดเมดูซัสที่อยู่ในจุดสูงสุดระดับกลางของพวกปรสิตได้เลย เพราะงั้นมันจึงไม่มีทางเลยที่ชาวโลกธรรมดาๆคนหนึ่งจะทนกับการโจมตีระดับ สูง (สูง) ได้


“อะ ไอ้สารเลว…!”


ละอองมณีได้พยายามเงยหน้าขึ้นมา ซอลจีฮูได้ยกเท้าขึ้นข้างหน้าทันที และเมื่อละอองมณีเห็นแบบนี้ก็ได้รีบตะโกนออกมา


“ไอ้สารเลว แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร!?”


เท้าได้ชะงักไป


“แกคิดว่าแกเป็นใคร…?”


ละอองมณีได้หยุดพูดไปกลางคันด้วยสีหน้าสับสน นั่นก็เพราะจู่ๆศัตรูก็ย่อตัวลงมาสบตากับเขา


เมื่อเขาได้สบตากับสายตาอันน่ากลัวของชายหนุ่ม และสัมผัสได้ถึงออร่าอันน่าหวาดผวา-


“…”


ลมหายใจของละอองมณีก็นิ่งไป


“นายเป็นใครล่ะ?”


น้ำเสียงนิ่งๆได้ดังออกมา เพียงแค่สายตามันก็เหมือนกับจะฆ่าเขาได้เลย การได้เผชิญหน้าเข้ากับสายตานี้ได้ทำให้สีหน้าโกรธแค้นของละอองมณีได้กระจายหายไปแทบจะทันที


เหงื่อได้ค่อยๆหยุดลงมาจากหน้าผากของเขาทีละหยด รูขุมขน ม่านตา และริมฝีปากที่โชกเลือดของเขาได้เปิดกว้างด้วยความกลัว


“แกเป็นใคร?”


คำถามน่าขนลุกได้ดังออกมาอีกครั้ง ละอองมณีได้พยายามฝืนกลืนน้ำลายลงไป เนื่องจากว่าเขาคุ้นเคยกับพฤติกรรมของฆาตกร เขาจึงไวต่อเรื่องของความเป็นตาย


เขาจะตาย ไม่ว่าเขาจะตอบอะไรไปเขาก็จะตาย


เขาต้องตายแน่ๆ สายตาของชายคนนี้บอกออกมาแบบนั้น


“มะ ไม่… ฉัน…”


“บอกมาสิ”


ซอลจีฮูได้ค่อยๆยื่นมือออกมาจับคอของละอองมณีเอาไว้


“แก-“


เมื่อเขาได้ยืนขึ้น ละอองมณีก็ถูกลากขึ้นมาด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มได้ยกแขนขึ้นพร้อมกับตะโกนดังลั่น


“เป็นใคร!?”


และกระแทกเข้าใส่ใบหน้ากระตุกของละอองมณี


ปัง!


หมัดจะต้องหนักมากๆจนถึงขนาดทำให้เกิดรอยแตกขนาดเล็กขึ้นที่พื้นจากการกระแทกของละอองมณี


มันได้แสดงให้เห็นถึงพละกำลังอันมหาศาล จากการโดนพละกำลังนี้เข้าไปทำให้ละอองมณีตัวงอลงเหมือนกุ้ง


มีสมาชิกองค์กรที่เฝ้าอยู่ดูบางคนได้พยายามจะเข้ามาช่วยหัวหน้า แต่ยังไงก็ตามพวกเขาก็ต้องเงียบไปเมื่อฟีโซราได้ก้าวออกมาจากทางขวา และโชฮงได้ก้าวออกมาจากทางซ้าย


อาวุธที่พวกเธอถือเอาไว้ต่างก็ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยปราณอย่างชัดเจน


“นะ นั่นมันปราณดาบ?”


“แรงค์เกอร์ระดับสูงสองคน… ถ้างั้นต่อให้ท่านจิรายุ แมทธิจะมา…”


พวกเขาทำได้แต่พึมพำกับตัวเองเท่านั้น


ดังนั้นซอลจีฮูจึงสามารถระบายความโกรธออกมาได้เต็มที่โดยไม่มีใครขัดขวาง


“ฉันไม่ปล่อยให้แกได้ตายง่ายๆแน่ จำคำนี้เอาไว้เลย”


เขาได้ตะคอกออกมา แต่ว่านี่มีแต่ทำให้ละอองมณีโกรธมากขึ้นเท่านั้น


ซอลจีฮูได้ค้นลงไปหยิบขวดยาออกมาจากเข็มขัดสีดำ นี่ก็คือน้ำยาแปรธาตุที่เขาได้เอามาจากที่ซ่อนตัวของอาเบอร์ มูโต้ในเทือกเขาหินยักษ์


สิ่งที่ซอลจีฮูหยิบออกมาก็คือขวดน้ำยาที่เต็มไปด้วยของเหลวสีส้มสดใส ซอลจีฮูได้เปิดฝาออก และจากนั้นก็เทราดใส่ละอองมณีโดยไม่พูดคำใด


ซ่าห์!


ทันทีที่ของเหลวได้ถูกร่างละอองมณี เปลวเพลิงรุนแรงก็ถูกจุดขึ้น และกระจายไปทั่วร่างละอองมณีในทันที นี่คือการเผาทั้งเป็น


ดวงตาละอองมณีได้เบิกกว้างขึ้น


“อ๊ากกกกกกกกก!”


เขาได้ดิ้นพล่านไปมาเหมือนกับแมลงถูกเผาก่อนที่จู่ๆจะกลายเป็นปลาที่ดิ้นไปมา


แต่ว่าซอลจีฮูก็ได้หยิบเอาหอกพิสุทธิ์ขึ้นมา และฟาดเข้าใส่ละอองมณีอย่างแรกงราวกับว่าเขาไม่สนใจเลยสักนิด


“อ๊าา!”


มันได้ดำเนินต่อไปปโดยที่การฟาดไม่ได้จบลงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น


หัว ไหล่ เข่า เท้า เข่า เท้า… ซอลจีฮูได้ใช้ด้ามหอกบดขยี้ร่างกายของละอองมณีโดยไม่หยุดพัก


“อ๊ากกก! อ๊าา! ฮ่าาาห์! อ๊ากกก!”


ละอองมณีกำลังจะกลายเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ ทุกๆการโจมตีจะทำให้กระดูก เนื้อฉีก และเลือดกระจายออกมา


ที่แย่ไปกว่านั้นเปลวเพลิงก็จะแผดเผาตามแผลของแทบจะทันที นี่เป็นความเจ็บปวดที่เกินกว่าจินตนาการของมนุษย์คนใดไปแล้ว


ฟ่อออ


ในท้ายที่สุดละอองมณีที่ทนไม่ไหวก็กลายเป็นลมน้ำลายฟูมปากไป


แต่นั่นก็แค่ทำให้ซอลจีฮูหยุดหายใจไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแทกหอกเข้าใส่ท้องของละอองมณี เขาได้ยกร่างละอองมณีขึ้นมาเหมือนกุ้งเสียบไม้


ซ่าาาห์! เมื่อเปลวเพลิงได้ดับลงไป ซอลจีฮูก็ถอนหอกออกจากละอองมณี และโยนร่างเขาลงไปกับพื้น มันยังไม่จบเท่านี้


“มาเรีย!”


ซอลจีฮูได้ตะโกนขึ้นพร้อมหยิบน้ำยารักษาออกมา


“รักษาเขา”


“…วะ ว่าไงนะ?”


“ฉันบอกให้รักษาเขา แค่ทำให้เขาได้สติมาก็พอ อย่าปล่อยให้เขาตาย”


“…”


มาเรียได้หยิบไม้กางเขนออกมาโดยไม่คิดอะไรอีก ริมฝีปากของเธอได้กระตุกอยู่เล็กน้อยขณะที่แสดงสีหน้างงงวยออกมา แต่ว่าเธอก็ไม่อาจจะพูดออกมาได้เพราะคำสั่งที่น่ากลัวของซอลจีฮู


เธอเพียงแค่ร่ายเวทย์ออกมาตามที่เขาบอก


ซอลจีฮูเองก็ยังสาดน้ำยารักษาใส่ละอองมณี และมองดูแสงเวทย์รักษาสีขาวค่อยๆลดลง


“ฮ่าาห์ ฮ่าาาห์!”


ละอองมณีค่อยๆฝืนลืมพร้อมไอเสียงแหบแห้งออกมา สีหน้าของเขาได้ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง


จากความทรมานก่อนหน้านี้ได้ทำให้เขาเข้าใจแล้ว เขายอมตายเสียดีกว่าต้องทรมานกับความเจ็บปวดเหมือนเก่า และในตอนนี้เมื่อเขาได้เผชิญมาเอง เขาก็รู้แล้วว่าซอลจีฮูหมายความว่ายังไงที่บอกว่าจะไม่ฆ่าเขาง่ายๆ


เขาได้เงยหน้าขึ้นไปมองดูแฟรี่ท้องฟ้า จากนั้นก็กระแทกหน้าผากลงทั้งน้ำตา


เขาดูเหมือนจะกำลังขอโทษอยู่ แต่ว่ามันดูจะสายเกินไปหน่อยแล้ว


ซอลจีฮูได้แค่นเสียง และโยนน้ำยาลุกไหม้ขวดที่สองลงไป แม้ว่าทั้งตัวละอองมณีจะเปียกโชกไปด้วยน้ำ แต่ว่าไฟก็ยังติดขึ้นได้อย่างง่ายดาย


ซอลจีฮูได้ใช้ด้ามหอกฟาดเขาต่อ ก่อนจะโยนลงบ่อน้ำเพื่อดับไฟ และจะรักษาเขาเมื่อเขาหมดสติไป


ซอลจีฮูได้ทำขั้นตอนเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายใต้การจ้องมองอันเงียบกริบของทุกๆคน


มีเพียงแต่เสียงกรีดร้องดังออกมาเท่านั้น


และไม่นานเสียงกรีดร้องก็ได้หายไป… ซอลจีฮูได้ใช้น้ำยาลุกไหม้ไปทั้งหมดหกขวดแล้ว


ขณะที่เขากำลังยกละอองมณีออกมาจากบ่อน้ำ สัมผัสที่เขารู้สึกได้ผ่านจากตัวหอกก็เหมือนกับยกขอนไม้ขึ้นมาเท่านั้น


ก้อนเนื้อรูปร่างมนุษย์ที่ถูกเผาจนไหม้กำลังลอยอยู่เหนือบ่อน้ำ ศพมันน่าสยดสยองมากเกินกว่าที่จะมองได้


ฮิวโก้ได้เดินเข้ามาดึงแขนซอลจีฮูเอาไว้ด้วยสีหน้าอ่อนล้า


“ซอล ซอล! หยุดเถอะ เขาตายไปแล้ว!”


“คุณควรจะหยุดได้แล้ว คุณกำลังจะกลายเป็นมอนสเตอร์หรอครับ?”


มาแชล จิโอเนียก็ยังแทรกขึ้นมา แม้กระทั่งแฟรี่ท้องฟ้าที่โหยหวนก็ยังหยุดร้องไห้ และมองดูภาพตรงหน้าราวกับต้องมนต์


ซอลจีฮูได้สะบัดฮิวโก้ออกไป และหอบหายใจอย่างหนัก คริสตัลที่อยู่ในกระเป่าของเขาก็ยังส่องแสงออกมาอย่างเหมาะเจาะ


ซอลจีฮูได้เช็ดเหงื่อออกจากหน้าผาก ก่อนจะหยิบเอาคริสตัลสื่อสารออกมา


-ฉันเอง เกิดอะไรขึ้น?


ซอลจีฮูได้จ้องคิมฮันนาห์


-…พอเข้าใจแล้ว


คิมฮันนาห์ได้ยิ้มแห้งๆ และพูดขึ้น


-ยามของอีวากำลังใกล้จะไปถึงที่นั่นแล้ว ฉันเรียกพวกเขาเอง


“อะไรนะ?”


-นายคิดว่านายจะทำเรื่องพวกนี้ และจากไปเงียบๆได้งั้นหรอ?


“…”


-ถ้านายจะทำอะไรสักอย่างก็รีบๆทำจะดีกว่านะ ยังไงเมื่อไหร่ที่ยามไปถึงก็ยอมให้พวกเขาจับตัวนายซะ อย่าได้ต่อต้านจนเรื่องกลายเป็นซับซ้อนกว่านี้อีก ฉันได้คุยกับซอกกูนีร์เรียบร้อยแล้ว แล้วก็…


เมื่อซอลจีฮูกำลังจะวางสาย คิมฮันนาห์ก็รีบพูดต่อ


-ไว้ชีวิตพวกมันไว้สักสิบคน


“…ไม่ใช่เธอบอกให้กวาดล้างให้หมดหรอกหรอ?”


-นี่เป็นคำขอจากราชวงศ์ ราชวงศ์อยากที่จะรักษาหน้าเอาไว้ พกเขาจะต้องขังนักโทษเอาไว้ก่อนที่จะเกิดการประหาร เพราะงั้นซอกกูนีร์เลยขอให้ช่วย


ซอลจีฮูได้วางสายลงไป


“เธอว่ายังไงบ้างล่ะ?”


ฟีโซราที่มองจับตาฝ่ายตรงข้ามอยู่ตลอดได้ถามออกมา แม้กระทั่งในตอนนี้สมาชิกของรอยัลพัทยาก็ยังไม่ได้ขยับแม้แต่นิด


พวกเขาถึงขนาดไม่พยายามหนีเลย


มันค่อนข้างน่าตลก แม้กระทั่งหนอนหากถูกเหยียบมันก็ยังดิ้นเลย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าการขยับมีผลลัพธ์เดียวคือความตาย พวกเขาทุกคนก็เอาแต่ดูเหมือนหน้าพวกเขาตายไปอย่างน่าสมเพช


พวกเขาได้อยู่ในสภาพแวดล้อมอันปลอดภัยตลอดเวลาในพาราไดซ์ สนุกไปกับชีวิตที่เหมือนเกม ดังนั้นเมื่อได้เห็นความบ้าคลั่งของซอลจีฮู พวกเขาจึงหมดกำลังใจในการต่อสู้ไปแล้ว


ในตอนนี้มันยากที่จะเรียกพวกเขาว่าศัตรูด้วยซ้ำไป พวกเขาเป็นเหมือนกับหุ่นไล่กาที่รอการถูกฟันซะมากกว่า


ซอลจีฮูได้พูดขึ้นเบาๆ


“ฆ่าให้หมด เหลือไว้แค่สิบคนพอ”


ฟีโซราได้ผิวปากออกมา


“ท่านสุภาพบุรุษ และสุภาพสตรีแห่งรอยัลพัทยาได้ยินกันแล้วใช่ไหม?”


ฟีโซราได้ชักดาบ เดินไปข้างหน้าพร้อมปรบมือออกมา


“หากไม่ทำอะไรพวกนายก็แพ้ ตอนนี้ถึงเวลาตายแล้วนะ”


เธอได้บิดคอไปมาพร้อมพูดขึ้นอย่างพึงพอใจ


“ไม่ว่าจะต่อต้านหรือวิ่งหนี พวกนายก็จะตายอยู่ดี แต่ว่าอย่าได้มาร้องขอชีวิตเชียวล่ะ! อย่ามาโทษเรานะ ในตอนพวกนายล่าคนต่างเผ่าพันธุ์ พวกนายก็ไม่คิดเห็นใจพวกเขาเหมือนกันนี่~? มาจบมันกันดีกว่านะ”


ฟีโซราได้พูดทั้งหมดออกมาอย่างรวดเร็ว


“ในตอนนี้ถ้าไม่อยากตายก็ทิ้งอาวุธยอมแพ้ซะ สิบคนแรกจะได้รับโอกาสรอดชีวิต พร้อมนะ? ถ้างั้นก็…”


แต่ว่าก่อนที่เธอจะได้ทันพูดจบ ฝ่ายตรงข้ามกว่าครึ่งก็ได้ทิ้งอาวุธลงไปคุกเข่ากว่าครึ่งแล้ว ส่วนคนที่เหลืออยู่ก็ยังแสดงความลังเลออกมา มันได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขาพร้อมจะยอมแพ้ทุกเมื่่อ


โชฮงได้ส่ายหัวออกมา ในตอนแรกเธอค่อนข้างจะกังวลที่ต้องมาโจมตีองค์กรระดับกลางในอีวา แต่แล้วเมื่อเห็นแบบนี้ สมาชิกขององค์กรนี้ทั้งหมดเทียบไม่ได้กับทีมระดับสูงด้วยซ้ำไป


แม้กระทั่งฟีโซราก็ยังคาดไม่ถึง เธอได้แอบหันกลับมามองซอลจีฮู


“…เอาไงดีล่ะ?”


“อย่าให้ฉันพูดซ้ำสอง”


ซอลจีฮูพูดออกมาอย่างเย็นชา ฟีโซราได้หยักไหล่ และมองไปรอบๆ ไม่มีเหยื่อไหนจะจัดการได้ง่ายไปกว่าคนที่สูญเสียจิตใจไปอีกแล้ว สายตาของเธอได้กลายเป็นเฉียบคมก่อนที่จะกระโจนไปข้างหน้าเหมือนเสือดำ


การสังหารหมู่ฝ่ายเดียวได้เกิดขึ้นแทบจะทันที


หัวได้ถูกตัด บดขยี้ และคนที่พยายามหนีก็จะถูกลูกศรหน้าไม้สอยร่วงอย่างรวดเร็ว


เสียงกรีดร้องได้ดังก้องกังวาลไปทั่วพื้นที่ ความเงียบได้คงอยู่แค่ครู่เดียวเท่านั้น และทั้งพื้นที่รอยัลพัทยาก็ได้กลายเป็นวุ่นวายอีกครั้ง


ฆ่า ฆ่า ฆ่า ฆ่า…


ขณะที่ซอลจีฮูกำลังจะเข้าร่วมการสังหารหมู่ เขาก็รู้สึกว่าถูกดึงชายเสื้อจนต้องหันกลับไปมอง


“…โฟลน?”


[ตรงนี้]


เธอได้ชี้ไปที่ทางเข้าอาคาร ซอลจีฮูได้หันมองตาม และขมวดคิ้วออกมา


มีร่างเล็กๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอยู่ถูกวางเอาไว้ที่บันได


[ฉันพาเขาออกมา]


“เธอหรอ?”


[อื้ม ฉันได้เข้าไปดูรอบๆให้มั่นใจ ระหว่างที่ฉันกำลังกลับหลังจากที่ฆ่าคนเรียกกองกำลังเสริมแล้ว ฉันก็ได้เจอห้องใต้ดิน ฉันเจอเขาอยู่ที่นั่นแหละ]


“เป็นไปได้ไหมว่า…”


[ไม่ เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ อ๊าา… นี่นั่นมันน่าขนลุกจริงๆ]


โฟลนได้ตัวสั่นออกมาซึ่งไม่สมกับเป็นเธอเลย


[เด็กหนุ่มแฟรี่ท้องฟ้า เป็นเขาใช่ไหมล่ะ?]


ซอลจีฮูได้ทำความเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งในอีวาการจะหาคนต่างเผ่าพันธุ์ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย มันจึงไม่น่าจะเป็นไปได้เลยที่ละอองมณีจะทำการฆ่า ‘ของเล่น’ อันล้ำค่าอย่างรวดเร็ว นั่นมันหมายความว่าหัวที่เขาโยนออกมาก่อนหน้านี้อาจจะเป็นแฟรี่ท้องฟ้าที่เขาได้ฆ่ามานานแล้ว


สุดท้ายแล้วการยั่วยุที่ไม่คิดหน้าคิดหลังนั่นได้ทำร้ายเขาเอง


ซอลจีฮูได้รีบวิ่งเข้าไปพาตัวเด็กชายมาหาแฟรี่ท้องฟ้าที่กำลังคุกเข่าอยู่ เป็นอย่างที่คาดไว้…


“ละ… ลูก…!”


แฟรี่ท้องฟ้าได้เบิกตากว้างพร้อมกอดเด็กชายเอาไว้แน่น


ซอลจีฮูได้ยิ้มอย่างอ่อนโยน นี่มันเป็นครั้งแรกเลยที่เขายิ้มออกมานับตั้งแต่มาถึงอีวา


“ดีใจด้วยครับ”


เมื่อซอลจีฮูได้ให้กำลังใจออกมา แฟรี่ท้องฟ้าก็ตัวสั่นขึ้นอย่างกระทันหัน เธอได้มองซอลจีฮูด้วยสีหน้าหวาดผวา


แต่นั่นก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น เธอได้ค่อยๆก้มหัวต่ำลงจนแทบจะติดพื้น


“ขอบคุณ… ขอบคุณมากๆ…”


ซอลจีฮูได้ยิ้มตอบกลับไป


เสียงกรีดร้องได้กำลังลดลงไปแล้ว และเขาก็รู้สึกว่าเขาเริ่มได้ยินเสียงฝีเท้าของยามแล้วด้วย


ซอลจีฮูได้ลดหอกลง และเงยหน้าขึ้น


ความมืดมนของยามค่ำคืนได้หายไป และดวงอาทิตย์กำลังโผล่สาดแสงลงมาที่เมืองจากเส้นขอบฟ้า


“…”


ค่ำคืนอันยาวนานของอีวาใกล้ที่จะถึงจุดจบแล้ว


บทที่ 252 – หากว่าออกวิ่งทั้งๆที่เมาอยู่ (1)


ที่วังราชวงศ์อีวาได้คึกคาตั้งแต่เช้าตรู่เนื่องจากทางราชวงศ์เพียงจะได้รับข่าวความขัดแย้งภายในหลังจากเงียบสงบมาเป็นปี


ซอกกูนีร์ได้รีบตื่นขึ้นตั้งแต่เช้าราวกับมีฟ้าผ่ากลางแจ้ง และเมื่อเขาเห็นกลุ่มชาวโลกถูกพามาแสดงตัวทีละคน เขาก็ถึงกับพูดไม่ออก


สมาชิกองรอยัลพัทยาได้ถูกมัดเอาไว้ และแสดงสีหน้าสับสน ที่ด้านหลังพวกเขาก็มีสมาชิกของสหพันธรัฐกำลังแสดงสีหน้าโกรธแค้น และด้านหลังสุดก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนอยู่เงียบๆท่ามกลางความวุ่นวาย


นี่มันเป็นเรื่องจริง


ในตอนแรกที่เขาได้ยินข่าว เขาก็ไม่อยากจะเชื่อเลย แต่ว่าในตอนนี้พอมาได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้ว ซอกกูนีร์ก็ตกอยู่ในความรู้สึกที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้


หากจะให้อธิบายให้ชัดที่สุด มันคงจะเป็น… ยินดี


‘ชาวโลกคนนี้…’


เขาเป็นของจริง


จากที่เขาประกาศออกมาว่าจะกำจัดความชั่วร้ายที่ฝังรากลึกในอีวาก็เพิ่งจะผ่านมาไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง ไม่มีใครกล้าที่จะไปแตะต้ององค์กรพันธมิตรในอีวา แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับกระชากคอพวกมันออกมาชกตรงๆ


“มาแล้วสินะ ท่านผู้ดูแล”


ซอกกูนีร์ได้พยายามตั้งสติเมื่อทหารได้พาหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามา เมื่อดูเธอแล้ว เขาก็เห็นได้อย่างชัดเจนถึงขอบตาแดงของเธอ


ซอกกูนีร์ได้จ้องไปที่หญิงสาวที่ถอดฮูดออกมา คิมฮันนาห์เธอได้โค้งคำนับออกมาด้วยความเคารพ


“เรารู้สึกอับอายมากที่สร้างปัญหาแบบนี้นับตั้งแต่วันแรกที่เราย้ายเข้ามา”


“คุณทำให้ผมทึ่งจริงๆ การบุกโจมตีตั้งแต่วันแรกนี่มัน…”


“พวกเรายอมรับว่าเราทำเกินไปหน่อย แต่ว่าทั้งหมดนี่เป็นไปตามประสงค์ของท่านราชินี และเพื่อปกป้องกฎของอีวา มันจะต้องถูกทำให้เรียบร้อย”


คิมฮันนาห์ได้อ้างถึงกฎเป็นข้อแก้ตัวของพวกเขา


เหตุการณ์มันได้เกิดขึ้นไปแล้ว การจะรับมือนับจากนี้อย่างไรจะเป็นตัวกำหมดความผลที่ตามมา คิมฮันนาห์ได้เตรียมหาที่พึ่งเอาไว้ก่อนแล้ว


ซอกกูนีร์ก็ไม่ได้โง่ เขาเข้าใจเจตนาของคิมฮันนาห์เป็นอย่างดี ผู้ดูแลของราชวงศ์มีอำนาจที่จะตอบสนองในความคาดหวังของเธอ


“ผมได้ยินเรื่องราวมาแล้ว”


ซอกกูนีร์ได้พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง


“ผมเชื่อว่าคุณคงมีหลักฐานสินะ?”


“พวกเราได้ไว้ชีวิต… ไม่สิ จับสมาชิกได้สิบคน เรายังได้ปล่อยสมาชิกจากต่างเผ่าพันธุ์ทั้งหมดที่ถูกจับเอาไว้ในโรงประมูล และพาพวกเขามาด้วย”


“อืมม…”


ในตอนนั้นเองทหารก็ได้ค่อยๆพูดแทรกเข้ามา


“พวกเราเพิ่งจะได้รับรายงานเรื่องชั้ตใต้ดินของอาคารองค์กรรอยัลพัทยา”


“ชั้นใต้ดิน”


“ใช่แล้ว อืมม… มีศพของสมาชิกต่างเผ่าพันธุ์ถูกตั้งโชว์เอาไว้อย่างชัดเจน…”


สีหน้าของซอกกูนีร์ได้บิดเบี้ยวไป แต่ไม่นานนักเขาก็รักษาท่าทีกลับมา และพยักหน้า


“ถ้างั้นก็ไม่มีอะไรต้องให้พูดแล้ว ความขัดแย้งภายในได้นำไปสู่ความรุนแรง และสิ่งต้องห้าม มันจะเป็นคนล่ะเรื่องหากสมาชิกต่างเผ่าพันธุ์ถูกจับเอาไว้ตามกฎหมาย แต่ว่านี่มัน…”


ขณะที่ซอกกูนีร์ได้พึมพำกับตัวเอง ดวงตาของคิมฮันนาห์ก็ได้เป็นประกายแสงออกมา


ซอกกูนีร์ได้เดินผ่านเธอไป และไปหยุดอยู่ตรงหน้าซอลจีฮูที่กำลังนั่งชันเข่าอยู่เงียบๆ


“ช่วยออกไปด้วยครับ”


จากคำพูดที่เหมือนพูดผ่านได้ทำให้ซอลจีฮูเงยหน้าขึ้นมองซอกกูนีร์


“ที่นี่เป็นสถานที่ของอาชญากร ไม่สมควรที่จะมีคนที่ไม่ใช่อาชญากรอยู่ที่นี่ พวกเราได้ฟังคำให้การของคุณแล้ว เพราะงั้นตอนนี้คุณไปได้แล้วล่ะ”


ซอกกูนีร์ได้จ้องเขาอยู่พักหนึ่ง


ซอลจีฮูที่เข้าใจความตั้งใจของอีกฝ่ายได้ลุกขึ้นมา เนื่องจากว่าเขาได้รับการดูแลในฐานะผู้ให้การ และไม่ใช่อาชญากร เขาจึงไม่ได้ถูกมัดเอาไว้อยู่แล้ว


หลังจากโค้งคำนับ ซอลจีฮูก็หันหน้าเดินตรงไปที่ประตู ซอกกูนีร์ได้แต่มองดูแผ่นหลังชายหนุ่มค่อยๆเดินจากไปนิ่งๆ


[หนึ่งในเหตุผลที่ผมพยายามจะไปที่อีวาก็เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ของมนุษยชาติกับสหพันธรัฐ]


[ตัวละครหลักของเกมนั้นได้บอกเอาไว้แบบนี้ ความชั่วคือความชั่ว]


[น้อยกว่า มากกว่า… มันก็ไม่ต่างกัน หากว่าให้ผมต้องเลือกสักอย่าง ผมขอไม่เลือกเลยซะดีกว่า]


[นั่นมันหมายความว่าผมจะไม่ปล่อยฝ่ายไหนไป]


ซอลจีฮูได้รักษาสัญญาของเขาเอาไว้


แม้ว่าซอกกูนีร์จะไม่เคยขอให้ชายหนุ่มสัญญา แต่เขาก็รู้ว่านี่เป็นสิ่งที่เขาต้องจัดการ


การพูดว่า ‘ทำได้ดี’ หรือ ‘เยี่ยมมาก’ มันไม่มีความหมายอะไรเลย เขาจะต้องต่อสู้ แบกรับความเสียหาย ปกป้อง และสนับสนุนชายหนุ่ม ซอกกูนีร์รู้เรื่องนี้ดียิ่งกว่าใครๆ


ความเน่าเฟะอันยาวนานที่ฝังรากลึกอยู่ในอีวาได้ค่อยๆถูกกำจัดออกไป และเผยความสง่างามออกมาให้เห็นแล้ว


หากว่าเขาพลาดโอกาสนี้ไป เขาก็คงจะต้องเสียใจไปทั้งชีวิต


ซอกกูนีร์ได้กำหมัดเอาแน่น


‘พอมาคิดดูแล้ว ระหว่างเหตุการณ์ในฮารามาร์ค…’


ซอกกูนีร์ได้เริ่มตรวจสอบรายงานของหน่วยข่าวกรองก่อนที่จะเรียกทหารเข้ามา


“ไปที่สมาคมนักฆ่ากันเถอะ”


***


แสงสว่างได้สาดส่องออกมาจากชั้นที่หนึ่งของสำนักงานใหม่คาเพเดี่ยม ซอยูฮุยกับจางมัลดงได้นั่งเฝ้ารอพวกเขาทั้งคืนโดยไม่นอน และคู่พี่น้องยี่ที่นอนอยู่บนโซฟาคงจะหลับไปจากความเหนื่อย


“ไม่นอนหรอครับ?”


“จะทำไงได้ล่ะในเมื่อสมองมันตื่นแล้ว?”


จางมัลดงได้ยิ้มแห้งๆ จากนั้นก็ถามออกมา


“เกิดอะไรขึ้นล่ะ?”


“ในตอนนี้เราจัดการเรียบร้อยแล้ว”


ในตอนนี้ นี่มันหมายความว่าพวกเขาเพิ่งทำขั้นตอนแรกในกระบวนการอันสำคัญเสร็จเท่านั้น


“พวกเราได้เข้าโจมตีโรงประมูล ปลดปล่อยสมาชิกสหพันธรัฐให้เป็นอิสระ และโจมตีรอยัลพัทยาเพื่อช่วยเหลือแฟรี่ท้องฟ้าที่ถูกขายออกไป”


“…เข้าใจแล้ว”


ทั้งสองคนที่ได้ยินแบบนี้ได้เงียบลงไป ทั้งคู่ต่างก็ดูเหมือนจะมีเรื่องมากมายที่อยากจะพูด และได้ฟัง แต่ว่าจางมัลดงก็ได้นวดจมูก และพยักหน้าออกมาอย่างสงบ


“มันคงจะหนักสินะ ไปพักก่อนเถอะ”


“…ครับ อาจารย์ก็ควรจะไปนอนเหมือนกันนะครับ”


ซอลจีฮูได้เดินขึ้นบันไดไปอย่างเงียบๆโดยไม่อธิบายอะไรเลยแม้แต่นิด เพราะแบบนี้สมาชิกคนอื่นๆก็ได้กระจายตัวออกไปทีละคน


โชฮงกับฮิวโก้ได้ตามซอลจีฮูไปพร้อมบ่นเรื่องนอนไม่พอ ส่วนมาเรียกับฟีโซราได้เดินลงชั้นใต้ดินไปโดยบอกว่าอยากจะไปดูน้ำพุร้อน


มีก็แต่มาแชล จิโอเนียเท่านั้นที่นั่งลงไปบนโซฟา เขาได้หันไปมองที่ทางเข้าพร้อมจับหน้าไม้สีขาวเอาไว้


จางมัลดงได้มองดูเขาแปลกๆเหมือนเขาพร้อมจะสู้ตลอดเวลา และมาแชล จิโอเนียที่รู้สึกว่าถูกมองก็พูดขึ้น


“ปลอดภัยไว้ก่อนครับ”


“?”


“พวกเราเพิ่งจะทำลายรอยัลพัทยาจนฟื้นตัวมาไม่ได้อีก แต่นั่นก็ยังมีองค์กรอื่นๆในอีวาอยู่อีก


จางมัลดงได้ร้องอ่อออกมา


ไม่ว่าจะเรื่องอะไรนักธนูจำเป็นจะต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดเผื่อเอาไว้ ในแง่นี้มาแชล จิโอเนียเหมาะสมกับฉายานักธนูเหล็กกล้าอย่างแท้จริง


“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมอยู่โดยไม่นอนได้สี่คืน เพราะงั้นคุณไปนอนเถอะครับ”


จางมัลดงได้ยิ้มออกมา


“ทำได้ดีมาก ถ้างั้นก็ฝากด้วยนะ”


มาแชล จิโอเนียได้เติมกระสุนหน้าไม้ และตอบกลับอย่างสงบ


“ไม่มีปัญหาครับ”


***


เมื่อซอลจีฮูลืมตาขึ้นพระอาทิตย์ก็ขึ้นอยู่กึ่งกลางท้องฟ้าแล้ว แต่แม้ว่าเขาจะตื่นขึ้นมา ซอลจีฮูก็ยังนอนอยู่ที่เตียงอยู่สักพัก


เขาได้นอนอยู่บนเตียงด้วยความสับสนโดยที่ภาพสิ่งต่างๆที่เขาได้ทำไปเมื่อคืนได้แล่นผ่านสมองเขาอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่ามันจะเพิ่งผ่านมาแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น แต่ความทรงจำเมื่อคืนมันให้ความรู้สึกเหมือนกับความฝัน


จากนั้นซอลจีฮูก็ลุกขึ้นมามองดูมือตัวเองอย่างกระทันหัน


เมื่อคืนนี้ เขาได้ฆ่าผู้คนไปด้วยมือของเขาเอง เป็นจำนวนมากอีกด้วย


‘…เหมือนเดิมเลย’


เขายังคงไม่รู้สึกอะไรแม้แต่นิด แม้ว่าเขาจะฆ่ามนุษย์คนอื่นไป แต่ว่ามันก็ไม่ได้มีร่องรอยความรู้สึกผิดหรือเจ็บปวดอะไรเลย


ทั้งกายและใจของเขาสงบนิ่งมาก มันมากจนเขารู้สึกแปลกๆ


แต่ว่าหากจะมีอะไรที่ยังคงคาใจเขาอยู่ มันก็คงเป็นสมบัติ ละอองมณี


แน่นอนว่าซอลจีฮูคิดว่าละอองมณีสมควรได้รับกับสิ่งที่ทำไปแล้ว แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้ว่าตัวเขาตามปกติจะไม่ทำถึงขนาดนั้น


มันมีบางอย่างภายในร่างของเขาถูกปลุกขึ้นมา แทบจะเหมือนกับว่าเขาถูกครอบงำ


‘นิมิตก็ไม่ได้ทำงานแน่ๆ’


ความสามารถนี้จะมีผลข้างเคียงทำให้เขาเสียความทรงจำในระหว่างที่ทักษะนี้ใช้งานอยู่ แต่ว่าความทรงจำเมื่อคืนยังคงอยู่ในหัวเขาอย่างชัดเจน


‘บางทีอาจจะเป็นอิทธิพลจากนิมิตก็ได้ล่ะมั้ง…?’


ฉันเป็นโรคไพโบลาร์หรือยังไงกันนะ? ซอลจีฮูได้พึมพำกับตัวเอง ก่อนจะถอนหายใจมองไปรอบๆ


จากนั้นเขาก็ต้องแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา เขาได้ตระหนักถึงเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนฝัน


นั่นก็เพราะห้องที่เขาอยู่มันต่างจากที่ฮารามาร์คเกินไป


‘กว่าจะชินคงต้องใช้เวลาพอสมควรสินะ’


ซอลจีฮูได้หัวเราะเบาๆก่อนจะกำหมัด จากนั้นเขาก็กระโดดขึ้นเตียงนุ่มๆ และเดินตรงไปตามพรมที่นุ่มยิ่งกว่า


แม้ว่าเขาจะเดินด้วยท่าทางที่สง่า แต่แล้วเขาก็ต้องสะดุดไปเมื่อเปิดประตู


สำนักงานใหม่มันซับซ้อนมาก โครงสร้างภายในของมันได้ทำให้เขารู้สึกสับสนมากจริงๆ ในสำนักงานเก่าสิ่งที่เขาทำก็มีแค่ออกมาจากห้อง และนั่งลงบนโซฟาเท่านั้นเอง


‘คิมฮันนาห์ เธอน่าจะสร้างที่นี่ให้มันพอประมาณพอแล้วนะ’


ซอลจีฮูได้มอบไปรอบๆจนในที่สุดก็เจอแผนที่ และเดินขึ้นไปที่โรงอาหารชั้นสิบ


น่าแปลกที่มีคนอื่นมาอยู่ก่อนแล้ว


คิมฮันนาห์กำลังอ่านรายงานพร้อมทั้งดื่มกาแฟด้วยมาดนักธุรกิจของเธอ


“เพิ่งตื่นหรอ?”


คิมฮันนาห์ได้ถามขึ้นโดยที่ยังไม่ละสายตาไปจากรายงาน ซอลจีฮูได้ชะงักครู่หนึ่ง จากนั้นก็เลียนเสียงของจางมัลดงออกมา


“หลับสบายดัไหมคุณคิมฮันนาห์?”


“โอ้ อาจารย์จาง”


“อืมม”


“เอาเถอะ หยุดเล่นไว้เท่านี้ก่อนเธอ ถ้านายตื่นก็รีบมานั่งได้แล้ว ไว้ค่อยเล่นทีหลังก็ได้”


คิมฮันนาห์ยังคงนั่งดื่มกาแฟด้วยกริยาท่าทางที่งดงามโดยที่ไม่เหลือบมองซอลจีฮูแม้แต่นิด


ซอลจีฮูได้หยักไหล่ และเดินเข้ามา จากนั้นคิมฮันนาห์ก็ได้ปล่อยกระดาษในมือลง และหันมามองหน้าเขา


“หลังตื่นขึ้นมาแล้ว นายจะทำแบบนี้จริงๆงั้นหรอ?”


“คือว่า… กำลังอ่านอะไรอยู่หรอ?”


ซอลจีฮูที่ไม่รู้จะตอบยังไงดีได้เลือกเปลี่ยนเรื่องไปแทน คิมฮันนาห์ได้ส่ายหัว จากนั้นก็มองลงไปที่กระดาษอีกครั้ง


“เป็นรายงานข่าวกรองจากสมาคมนักฆ่า”


รอยยิ้มพึงพอใจได้ปรากฏออกมาบนใบหน้าของเธอ


“ซอกกูนีร์ ตาแก่คนนั่นจัดการกับปัญหาได้อย่างดีเลยล่ะ ฉันแทบจะรู้สึกเหมือนกับได้ของขวัญเซอร์ไพร์เลยล่ะ”


“เขียนไว้ว่าอะไรงั้นหรอ?”


คิมฮันนาห์ได้ส่งกระดาษให้กับเขาแทนที่จะตอบ ซอลจีฮูได้รับมาทันที


หัวข้อเขียนเอาไว้ว่า:


-ศูนย์รวมอาชญากรรม และกิจกรรมผิดกฎหมาย โรงประมูล และรอยัลพัทยา


รายละเอียนของรายงานประกอบไปด้วยการกระทำที่ผิดกฎหมายของโรงประมูล และความโหดร้ายทารุณของหัวหน้ารอยัลพัทยา สมบัติ ละอองมณี


นอกจากนี้ยังมีข้อความจากตัวซอกกูนีร์เองว่า ‘ชาวโลกทั้งหมดที่เกี่ยวข้องได้ถูกจับกุม และจะได้รับโทษตามกฏหมายของอีวา ราชวงศ์อีวาจะไม่ยอมปล่อยให้มีการกระทำผิดกฎหมายใดๆที่ส่งผลเสียต่อเมืองหรือทั่วทั้งพาราไดซ์”


แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่น่าตกใจเลยก็คือไม่มีชื่อของคาเพเดี่ยมถูกเขียนเอาไว้


“ชื่อของเรา…”


“เขาตั้งใจละเว้นเอาไว้”


คิมฮันนาห์ได้อธิบายออกมา


“ความคิดเห็นของสาธารณะชนมักจะตัดสินกันจากบทความแรกที่เผยแพร่ออกมาอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าในรายงานจะมีคำโกหกยังไง แต่มันก็ง่ายที่จะทำให้ผู้คนเข้าใจกันว่าคนที่เริ่มก่อนเป็นฝ่ายผิด”


ซอลจีฮูเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งได้ในทันที


จะเกิดอะไรขึ้นหากมีการบอกว่าซอลจีฮูเป็นฮีโร่? จะเกิดอะไรขึ้นหากมีการรายงานถึงความจริงที่เกิดขึ้นตรงๆ


ชื่อเสียงของเขาอาจจะเพิ่มขึ้น แต่ในเวลาเดียวกันก็ยังจะมีคนที่มองเขาในแง่ร้ายด้วยเช่นกัน


‘ฉันได้เรียนรู้เรื่องนี้จากเหตุการณ์ในฮารามาร์คแล้ว”


มีโอกาสสูงมากที่เหตุการณ์แบบนั้นจะเกิดขึ้นอีก ย้อนกลับไปในตอนนี้ฝ่ายตรงข้ามได้พยายามทำให้เขาเสื่อมเสียทั้งๆที่เขาเพิ่งจะได้รับชัยชนะกลับมาจากสงครามครั้งใหญ่ที่ต่อสู้กับปรสิต แต่ในคราวนี้ซอลจีฮูได้โจมตีชาวโลก


คิมฮันนาห์ได้พูดต่อ


“ยกตัวอย่างง่ายๆ เขาได้ทำหน้าที่เป็นกระสอบทรายแทนนาย หากว่าราชวงศ์อีวาได้เผยต่อสาธารณะชนว่าพวกเขาได้ทำตามกฎ ใครจะมาคัดค้านได้อีกล่ะ?”


“ก็จริง… ฉันคงต้องขอบคุณซอกกูนีร์สินะ”


“นายจะขอบคุณเขาก็ได้นะ แต่ว่าหากคิดถึงสิ่งที่นายทำให้เขา ต่อให้เขาขอบคุณนายเป็นร้อยครั้งก็ยังไม่พอ แต่ถึงยังไงฉันก็ดีใจที่นายเข้าใจนะ ฉันกลัวว่านายจะโกรธที่ถูกขโมยความสำเร็จไปซะอีก”


ซอลจีฮูได้หัวเราะออกมา


“ขอเถอะนะ ความสำเร็จงั้นหรอ?”


คิมฮันนาห์ได้ยิ้มบางๆขึ้น


“ยังไงคนอื่นก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าเราอยู่เบื้องหลัง ฉันมั่นใจว่าองค์กรอื่นๆรู้แน่”


จากนั้นคิมฮันนาห์ก็หยิบกระดาษออกมาจากกระเป๋าหลายแผ่น


“อยากจะเห็นไหมล่ะ? นี่เป็นข่าวที่ออกมาตอนเที่ยงวันนี้ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับนายทั้งนั้นเลย”


ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา


“สำคัญงั้นหรอ?”


“โอ้? นายไม่สนใจเลยหรอ?”


“ทำไมต้องสนใจด้วยล่ะ?”


ซอลจีฮูได้หยักไหล่ออกมา


“ปล่อยให้พวกเขาเห่ากันไปเถอะ ฉันมีเรื่องต้องทำตั้งใจ และฉันก็ยุ่งอยู่กับการดูแลคนของฉันอยู่แล้ว ฉันไม่ได้มีเวลาไปสนใจพวกคนที่เกลียดฉันหรอกนะ”


“โอ้วว~”


“มันไม่ใช่ว่าฉันไปสร้างอาชญากรรมต่อมนุษยชาติหรือไปเชิดชูปรสิตสักหน่อยนี่ คนที่พูดไม่ดีกับฉันก็คงแค่ไม่ชอบฉันเท่านั้นแหละ ปล่อยพวกเขาไปเถอะ เรื่องของพวกเขาไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันเลย”


เมื่อเห็นซอลจีฮูพูดออกมาอย่างไม่แยแส คิมฮันนาห์ก็ยิ้มบางออกมา


หลังจากได้เจอกับบททดสอบมากมาย ซอลจีฮูก็ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เปลี่ยนไปเป็นหัวหน้าองค์กรที่กล้าหาญ และไม่สั่นคลอน


ถึงคิมฮันนาห์จะกังวล แต่เธอก็ชอบซอลจีฮูในตอนนี้มากกว่าซอลจีฮูคนเก่าที่ไม่รู้เรื่องอะไรเป็นร้อยเท่า


“ฉันอยากรู้จังเลยว่านายกำลังคิดอะไรอยู่”


“แน่นอนสิว่าเราจะจัดการพวกเขา”


ซอลจีฮูได้พูดออกมาเรียบๆ


“ฉันได้เห็นมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่าอีวาเละเทะแค่ไหน แล้วฮารามาร์คก็ค่อนข้างที่จะมีมาตราฐานสูง ถึงฉันจะไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่ตราบใดที่มีคุณฟีโซราอยู่ด้วยก็ไม่มีปัญหาหรอก”


“ก็นะ คุณฟีโซราคือผลงานชิ้นเอกของอาจารย์จาง และเคยเป็นหนึ่งแกนหลักขององค์กรในสกีเฮราซาร์ด พูดตามตรงนะ ฉันไม่เข้าใจเลยว่าเธอมาทำอะไรที่นี่”


ซอลจีฮูไม่ได้ตอบคำถามกลับไปเพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน


“ยังไงก็ตามนายก็พูดไม่ผิดหรอก แต่จะทำยังไงล่ะ?”


“ทำยังไงงั้นหรอ?”


เมื่อคิมฮันนาห์ได้ถามกลับมา ซอลจีฮูก็มองเธอตลกๆ


“จากความเละเทะที่พวกเขาทำไว้กับอีวา ฉันคิดว่าหากเราค้นดูพวกเขาก็คงจะเต็มไปด้วยความผิดเลยละ ตราบใดที่เราเจอความผิดสักอย่าง-“


“แล้วถ้าเราไม่เจอเลยล่ะ?”


คิมฮันนาห์ได้ขัดเขา และพูดขึ้นสบายๆ


“จีฮู มันก็จริงที่พวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นองค์กร แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาโง่หรอกนะ”


เธอได้วางแก้วกาแฟลง และใช้นิ้วเคาะลงที่รายงาน


“เพื่อคำนึงถึงสถานการณ์ภายในราชวงศ์อีวาแล้ว คราวนี้พวกเขาก็คงจะเตรียมตัวไว้แล้วแน่ ฉันพนันได้เลยว่าตาแก่ซอกกูนีร์นั่นได้ตัดสินใจเองโดยไม่ได้บอกราชินี เขาเตรียมที่จะถูกตำหนิเอาไว้แล้ว ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่สิ่งที่ควรจะถูกตำหนิก็ตามที”


“…”


“ลองคิดดูสิ นายได้สร้างหายนะขึ้นมาภายใต้ข้ออ้างของการทำตามกฎหมาย และในที่สุดผู้ดูแลราชวงศ์สูงที่สุดที่ซ่อนตัวมาตลอดก็ได้ลงมา องค์กรพวกนั้นก็คงจะไม่กล้าเสี่ยงโชคหรอกนะ”


“อืมม… ไม่รู้สิ ฉันรู้สึกเหมือนกับพวกเขาคงไม่แค่อยู่เฉยๆหรอก”


“ใครบอกว่าพวกเขาจะอยู่เฉยๆกันล่ะ? ฉันมั่นใจว่าพวกนั้นคงกำลังสับสนกันอยู่ แต่ในฐานะผู้ปกครองเมืองนี้แล้ว พวกเขาจะไม่เสี่ยงทำอะไรแบบนาย อย่างน้อยก็ในตอนนี้ล่ะนะ”


ซอลจีฮูได้พยักหน้าออกมา


“พวกเขาจะพยายามปกปิดร่องรอยความผิดพร้อมทั้งรวบรวมข้อมูลให้มากที่สุด นายคิดว่าพวกเขาจะยังทำอะไรที่ผิดกฎหมายราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกงั้นหรอ? ฉันไม่คิดแบบนั้นหรอกนะ พวกเขาคงจะแอบซ่อนให้มากขึ้น หรือไม่ก็หยุดชะงักไปสักพักเลยด้วยซ้ำ”


หรือก็คือพวกเขาไม่อาจจะทำแบบเมื่อคืนได้ตราบเท่าที่ไม่มีหลักฐาน หากฝ่ายตรงข้ามไม่ได้โง่ถึงขนาดขุดหลุมฝังศพตัวเอง หากว่ามันเป็นแบบนี้คาเพเดี่ยมก็อยู่ในจุดที่ลำบากเช่นกัน


ซอลจีฮูได้เม้มปากและกอดอกขึ้นมา


“มาคิดดูแล้ว ไม่ใช่เธอบอกว่าเราแค่ต้องกังวลเรื่องการเคลื่อนไหวต่อไปหลังจากถล่มรอยัลพัทยาหรอ?”


“น่าแปลกนะที่นายยังจำได้”


คิมฮันนาห์ได้ค่อยๆมองออกไป


“เอาเถอะนะ ทำไมนายไปกลับไปพักผ่อนสักหน่อยก่อนล่ะ?”


“เธอกำลังพูดเรื่องอะไรกัน? ฉันจะมีเวลาไปพักได้ยังไง? ฉันคือคนที่เริ่มการต่อสู้นี้ และจะไม่มีทางเป็นฝ่ายอยู่นิ่งแน่ เรื่องนี้เธอก็เป็นคนบอกฉันเองนี่”


ซอลจีฮูได้พูดออกมาราวกับเขาจะพักก็ต่อเมื่อทุกๆอย่างจบลงแล้ว


[…นาย นายต้องสัญญาแล้วนะ ฉันจะไม่มีทางให้อภัยนายแน่หากว่าจู่ๆนายยอมแพ้ไปกลางทาง หรือว่าตายไปเองทั้งๆที่ยังไม่ได้รับอนุญาต]


สัญญาที่พวกเขาได้ทำกันในโรงแรมสกีเฮราซาร์ด คิมฮันนาห์แค่ดูจะว่าเขาจำได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง แต่ไม่ว่าจะยังไงทัศนคติของเขาก็จะไม่มีวันเปลี่ยนไป


นี่คือสิ่งที่คิมฮันนาห์ชอบที่สุดแล้ว


“เยี่ยม ถ้านายคิดแบบนั้น ถ้างั้นเราจะไปทำงานกันเดี๋ยวนี้เลย”


“งาน? เธอคิดอะไรดีๆได้แล้วหรอ?”


เมื่อซอลจีฮูได้ถามกลับไป รอยยิ้มของคิมฮันนาห์ก็กลายเป็นกว้างยิ่งขึ้น


“ใช่สิ”


ดวงตาของเธอได้โค้งเป็นรอยยิ้มก่อนที่จะส่องประกายระยิบระยับสะท้อนกับแสงจันทร์ยามค่ำคืน


“องค์กรพวกนั้นไม่ได้มีแค่สองสามองค์กร การจัดการกับพวกนั้นทีล่ะองค์กรมันเป็นงานที่หนักเกินไป ในเมื่อเราจะทำแบบนี้กันแล้ว นายไม่คิดว่าการวางเหยื่อล่อ และจัดการกวาดล้างพวกเขาทิ้งไปให้หมดจะไม่ดีกว่าหรอ?”


ดวงตาของซอลีจฮูได้เป็นประกายขึ้นมา เขาได้ยื่นหน้าออกไปและถามขึ้นเบาๆ


“ยังไงล่ะ?”


บทที่ 253 – หากว่าออกวิ่งทั้งๆที่เมาอยู่ (2)


คิมฮันนาห์ได้พูดออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม


“รอก่อน”


“?”


“คนอื่นยังหลับกันอยู่ พอพวกเขาตื่นฉันจะเรียกพวกเขามาห้องประชุม นายค่อยมาในตอนนั้น นายรู้ใช่ไหมว่าห้องประชุมอยู่ไหน?”


“เราต้องประชุมกันหรอ? บอกมาเถอะน่า”


คิมฮันนาห์ได้หัวเราะขึ้น จากนั้นก็มองซอลจีฮูจนทำให้เขารู้สึกแปลกๆจนอธิบายไม่ถูก


เล่ห์เหลี่ยมของคิมฮันนาห์ที่ได้แสดงออกมาจัดการกับองค์กรอีวาดูเหมือนจะกดดันซอลจีฮูเอาไว้ จากสายตาที่เย็นชาของเธอทำให้ให้คิมฮันนาห์ให้ความรู้สึกที่น่ากลัว


“นาย”


“มะ มีอะไรหรอ?”


เมื่อซอลจีฮูได้พยายามถามออกมา


“…ไม่หรอก”


คิมฮันนาห์ได้ดึงสายตากลับไป และขมวดคิ้ว


“มันไม่มีอะไรหรอก ไว้ค่อนคุยกันทีหลังเถอะ ฉันคงต้องใช้เวลาอีกสักสองสามวันดูความเป็นไปของสิ่งต่างๆก่อน”


จากนั้นเธอก็หยิบแก้วกาแฟ และลุกขึ้น


***


ตึง ตึง


“ไอ้สารเลวพวกนั้น!”


ปาร์คดงชุนได้ทุบโต๊ะด้วยสีหน้าไม่พอใจ


“พวกมันคงจะคิดว่าตัวเองเป็นฮีโร่ผู้กล้างั้นหรอ!!?”


ปาร์คดงชุนได้แค่นเสียงอย่างแรง และแก้มของเขาก็สั่นระริกแสดงถึงความโกรธจัดอย่างชัดเจน


“แค่ทีมดาษๆกล้าท้าทายพวกเรา องค์กรพันธมิตรงั้นหรอ? เยี่ยม ถ้พวกมันอยากได้ขนาดนั้น พวกเราก็จะทำตามที่พวกมันต้องการ!”


“เงียบ”


หญิงสาวได้ขัดขึ้นมา แม้ว่าน้ำเสียงของเธอจะสงบนิ่ง แต่ก็มีร่องรอยความไม่พอใจเจือจางอยู่ ปาร์คดงชุนได้หันไปมองด้วยสายตาไม่พอใจ


สภาสูงมักที่จะมีผู้เข้าร่วมการประชุมอยู่เพียงเจ็ดคนอยู่บ่อยๆ เนื่องจากสมบัติ ละอองมณีผู้เป็นหัวหน้ารอยัลพัทยาได้ตายไปอย่างสมเพชแล้ว คนที่มาในวันนี้ก็ควรจะเป็นหกคน


แต่วันนี้กลับมีคนเข้าร่วมประชุมเจ็ดคนเหมือนแต่ก่อน


“คุณคิดว่าผมจะอยู่เงียบๆในสถานการณ์นี้ได้งั้นหรอ?”


ปาร์คดงชุนได้ลุกขึ้นตะโกนออกมา


“โรงประมูลถูกกวาดจนเกลี้ยง! ยามทั้งหมดถูกฆ่า แล้วกระทั่งรอยัลพัทยาก็ยังไม่รอดเลย!”


จากนั้นจู่ๆเขาก็จับหลังคอ และขมวดคิ้วอย่างหนัก


“พวกมันยั่วยุเราอย่างชัดเจน พวกมันอยากจะสู้! ดูสิว่าพวกมันดูถูกพวกเขาพันธมิตรแห่งอีวาขนาดไหนกัน!?”


ปาร์คดงชุนได้มองไปรอบๆเพื่อหาแนวร่วม ห้องประชุมเงียบกริบ ขณะที่ทุกๆคนแสดงสีหน้าเย็นชาอยู่ พวกเขาก็ดูจะลังเล


“ต่อสู้งั้นหรอ? ขอเถอะนะ”


หญิงสาวที่นั่งอยู่บนหัวเราะได้แสดงความเห็นอย่างไม่ใส่ใจ


“คุณไม่ควรจะเป็นคนพูดคำนี้เลยนะ คุณดงชุน”


ปาร์คดงชุนได้ผงะไป แต่จากนั้นเขาก็ยิงฟันคำรามออกมา


“คุณคิดว่าผมขายที่ดินแค่เพื่อทำกำไรงั้นหรอ? ผมก็มีควมคิดนะ! ใครจะไปคิดว่าแค่กลุ่มทีมเล็กๆที่ยังลงทะเบียนองค์กรไม่เสร็จจะมาทำอะไรแบบนี้ในวันแรกที่มาอีวากันล่ะ!?!”


นี่คือเรื่องจริง สภาสูงได้คาดเดาเอาไว้แล้วว่าการมาของคาเพเดี่ยมจะสั่นคลอนตำแหน่งเดิมของพวกเขา


แต่ปัญหาคือมันเร็วเกินไป


“แม้กระทั่งผู้ดูแลราชวงศ์ก็ยังวิ่งเต้นให้พวกเขาจนทำให้มันยุ่งเหยิงไปหมด… ให้ตายสิ!”


ปาร์คดงชุนได้สูดหายใจ จากนั้นก็พึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงยั่วยุ


“คุณจะไม่ทำอะไรหน่อยหรอ?”


“คุณหมายความว่ายังไงกัน?”


เมื่อมีน้ำเสียงเย็นชาตอบกลับมา ปาร์คดงชุนก็กัดฟันแน่น


“อย่ามาทำเป็นไม่รู้นะ ผมกำลังถามว่าคุณจะทำยังไงกับสถานการณ์นี้ ใช่แล้วล่ะ ผมกำลังขอให้คุณช่วย”


เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่แทบจะไร้ยางอายของปาร์คดงชุน หญิงสาวก็แค่นเสียงออกมาอย่างตกตะลึง


“แล้วคุณอยากจะให้ฉันทำอะไรในสถานการณ์แบบนี้ล่ะ?”


และคำตอบกลับในทันทีของเธอได้ทำให้ปาร์คดงชุนขมวดคิ้วขึ้นมา


“หือ งั้นคุณก็แค่จะดูอยู่เฉยๆ?”


น้ำเสียงประชดประชันได้ทำให้ดวงตาหญิงสาวหรี่ลง


“ฮึ่ม! ชัดเลยว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่! คุณกำลังจะ-“


“พอได้แล้ว หยุด”


ขณะที่บรรยากาศได้เริ่มระอุขึ้น ชายวัยกลางคนผิวสีเข้มก็ได้แทรกขึ้นอย่างเคารพ เขาก็คือหัวหน้าของแก๊งโอชัวร์ โอมาร์ กราเซีย


“ไม่ใช่ว่าเรามาถกกันเพื่อหาทางแก้ไขกันหรอกหรอ? ถ้าพวกเรามาสู้กันเองแบบนี้ก็มีแต่จะช่วยจิ้งจอกนะ”


จากนั้นเขาก็ได้หันไปหาปาร์คดงชุน และพูดขึ้น


“ช่วยใจเย็นลงก่อนหัวหน้าปาร์ค ผมเข้าใจว่าคุณรู้สึกยังไง แต่ว่าทุกๆคนที่นี่ก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน พวกเราทุกคนต่างก็กำลังอดกลั้นอยู่”


โอมาร์ กราเซียเป็นหนึ่งในคนที่สูญเสียมากที่สุดจากเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา เนื่องจากรายได้หลักของเขาคือการล่าและค้าทาสทำให้การที่โรงประมูลถูกทำลายส่งผลตรงถึงเขาเต็มๆ


ปาร์คดงชุนได้ไอแห้งๆออกมา และนั่งลงไปอย่างไม่พอใจ เมื่อปาร์คดงชุนใจเย็นลงแล้ว โอมาร์ กราเซียก็ได้ค่อยๆเริ่มการสนทนาขึ้นอีกครั้ง


“รอยัลพัทยาได้ติดต่อมาหาผมเมื่อคืน… มันว่ามันสายเกินไปแล้ว พอลูกน้องของผมไปถึง ทหารยามก็ได้ล้อมสำนักงานพวกเขาเอาไว้แล้ว ราชวงศ์รวดเร็วกว่าที่เราคิด”


“ฉันไม่สนหรอกนะว่าคุณจะทำอะไร แต่แค่อย่าถูกจับได้ก็พอ ฉันพูดเรื่องนี้ชัดแล้วนี่?”


หญิงสาวที่นั่งอยู่หัวโต๊ะได้พูดออกมาอย่างเฉียบคม


“ผู้ดูแลราชวงศ์ได้ทำเรื่องต่างๆด้วยตัวเอง และนี่มันทำให้เกิดปัญหา เขาจะต้องไปเข้าเฝ้าราชินี ก่อนเธอจะรู้ตัวมันก็แค่เรื่องของเวลาเท่านั้นแหละ และพอมาเกิดขึ้น ฉันก็มั่นใจว่าเธอจะเรียกฉันไปยืนยันความจริง”


เธอได้พอไปที่ตัวแทนในห้อง และวิจารณ์ออกมาอย่างไม่พอใจ


“พวกคุณเคยคิดไม่ว่าสิ่งที่พวกคุณทำมันสร้างความลำบากให้ฉันมากแค่ไหน? แม้ว่าอีวาจะสูญเสียความรุ่งเรืองในอดีต และกลายมาเป็นเมืองที่แร้นแค้นจากสงครามอันยาวนานยืดเยื้อ แต่ราชินีก็ยังคงคิดว่ามันสวยงาม เป็นเมืองที่ไร้อาชญากรรม คุณคิดว่าเธอจะพูดยังไงกันล่ะในตอนที่ได้รู้ความจริง? พวกคุณกล้าพูดแบบนี้ออกมาได้ยังไงในเมื่อพวกคุณเป็นคนสร้างปัญหาขึ้นมา?”


หญิงสาวได้จ้องไปที่คนๆหนึ่งโดยเฉพาะ ส่วนปาร์คดงชุนได้พยายามแอบหลบตาของเธอ


“จะยังไงฉันก็คิดไม่ออก ผู้ดูแลราชวงศ์ได้จัดการเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว โดยบอกว่าเขาทำหน้าที่แทนราชินี เราไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงกฎหมายได้ และผู้ดูแลราชวงศ์ก็ได้ฉกวิธีการเล็กๆที่เราอาจจะใช้งานได้ออกไป”


เมื่อได้ยินแบบนี้โอมาร์ กราเซียก็คร่ำครวญออกมา หญิงสาวได้พูดต่อ


“จากผลลัพธ์มันดูเหมือนเขาจะแก้ไขมันได้จริงๆ ในตอนนี้เราควรจะอยู่เงียบๆ และพยายามอย่าเป็นที่สนใจ ไม่สิ มันไม่ใช่ควรทำแบบนั้น แต่เราต้องทำแบบนั้น”


เธอได้เน้นย้ำในประเด็นสุดท้ายจนเป็นการตัดสินใจฝ่ายเดียว


“แล้วก็…”


จากนั้นเธอได้เว้นช่วงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเลียริมฝีปาก เธอได้มองไปรอบๆห้องสบตากับตัวแทนแต่ล่ะคนพร้อมพูดขึ้นด้วยความลังเล


“อีกไม่นานฉันจะติดต่อหาพวกคุณเกี่ยวกับทางแก้”


โอมาร์ กราเซียที่ดูขมขื่นมาตลอดเวลาได้เบิกตาโพล่งขึ้น ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว ตัวแทนคนอื่นๆก็ยังตกใจเช่นเดียวกัน


หญิงสาวที่นานๆทีจะปรากฏตัวยกเว้นจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นได้บอกว่าเธอจะติดต่อกับพวกเขาก่อน?


“‘เร็วๆนี้’ หมายถึงเมื่อไหร่กัน…?”


“อย่างเร็วที่สุดก็หนึ่งสัปดาห์ อย่างช้าสุดก็สองสัปดาห์”


หญิงสาวได้ตอบคำถามของโอมาร์ กราเซียสั้นๆ


“แล้วถ้างั้นเราจะเอายังไงกับสมาชิกของรอยัลพัทยาที่ถูกขังอยู่…”


หญิงสาวได้เม้มปากออกมาเหมือนกับมีบางอย่างที่จะพูดอีก แต่ว่าเธอก็เงียบและส่ายหัว เธอได้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าไว้ค่อยคุยเรื่องนี้ทีหลัง


จริงๆแล้วมันก็ชัดเจนมากว่าจะจัดการรับมือกับคนต่างเผ่าพันธุ์ และสมาชิกรอยัลพัทยาอย่างไร ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพวกเขาก็ไม่ได้หวังว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปอีกแล้ว


“…ดังนั้น”


ยังไงก็ตามโอมาร์ กราเซียได้ยิ้มออกมาพร้อมกับค่อยๆพยักหน้า


“ดังนั้นเราแค่ต้องทนไปอีกสองสัปดาห์”


“…”


“เข้าใจแล้ว ความประมาทของเราได้เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาจริงๆ แล้วเราก็จะต้องรอ และสังเกตการไปอีกสามเดือนด้วย”


“ฉันก็อยากจะแนะนำแบบนั้นเหมือนกัน”


“เยี่ยม ถ้างั้นโอมาร์ กราเซียก็จะพยายามระวังตัว และไม่สร้างปัญหาให้กับคุณ”


เอี๊ยดด เสียงลากเก้าอี้ได้ดังออกมา


หญิงสาวได้ลุกขึ้นจากหัวโต๊ะ และเดินจากไปพร้อมผมสีดำพริวไสว ขณะที่เธอกำลังจะเดินพ้นไปจากห้อง โอมาร์ กราเซียก็ได้แอบเหลือบมองก้นได้รูปของเธอ


“ผมจะรอคุณติดต่อมานะ”


หญิงสาวได้หยุดเดิน


“…ดูเหมือนคุณจะเข้าใจอะไรผิดไปอยู่นะ”


หญิงสาวได้เอียงหน้าหันกลับมามอง


“เหตุผลที่ฉันเข้าร่วมการประชุมเป็นครั้งคราวก็เพื่อจับตาดูพวกคุณ ในวันนี้ฉันมาเพื่อเตือนคุณทุกคน สำหรับสาเหตุที่ติดต่อพวกคุณทีหลังก็เป็นเรื่องเดียวกัน”


“แน่นอนๆ ผมเข้าใจดี”


โอมาร์ กราเซียได้ยิ้มสดใสออกมา ก่อนหน้านี้เธอพูดว่า ‘แค่อย่าถูกจับ’ แต่มาตอนนี้เธอมาพูดว่าจับตาดูพวกเขา โอมาร์ กราเซียก็คิดว่าความแตกต่างระหว่างสองความหมายนี้มันค่อนข้างจะตลกอยู่หน่อยๆ แต่เขาก็ไม่ได้เผยออกมาทางสีหน้า


เสียงเท้าได้ดังขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งประตูถูกปิดลง หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง โอมาร์ กราเซียก็ยืดแขนออกมา


“เราก็ควรจะไปด้วยเหมือนกันไม่ใช่หรอ?”


เขาได้พูดออกมาด้วยสีหน้าผ่อนคลายมากกว่าเก่า


“ผมมั่นใจว่าคงไม่ต้องให้เตือนกันแล้ว แต่ว่าช่วยอยู่เฉยๆกันสักสัปดาห์สองสัปดาห์นะ”


จากนั้นเขาก็หันไปมองปาร์คดงชุนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้ามืดมน


“อ่อ หัวหน้าปาร์ค คุณได้เจอกับหัวหน้าคาเพเดี่ยมในระหว่างซื้อที่ดินแล้วใช่ไหม? โอ้ ผมไม่ได้จะโทษอะไรคุณหรอกนะ ไม่ต้องห่วงหรอก”


โอมาร์ กราเซียได้พูดพร้อมโบกมือออกมา


“ผมก็แค่คิดว่าบางทีคุณน่าจะไปเจอเขาสักหน่อย ยังไงคุณก็คุ้นเคยกันแล้วนี่”


“ผมทำแบบนั้นไม่ได้ แค่คิดถึงใบหน้าอัปลักษณ์ของหมอนั่นก็ทำให้ผมโมโหแล้ว ผมมั่นใจเลยว่าถ้าได้เห็นเขา ผมของสบถด่าออกไปแน่”


“ไปเถอะน่า ถึงมันจะยังเร็วเกินไปที่จะเจรจ้าหรือทำการค้า แต่แค่ไปแสดงความคิดก็พอแล้ว”


“…ชิ”


ปาร์คดงชุนดูจะไม่เต็มใจ แต่เขาก็หยักหน้าออกมาเหมือนกับไม่มีทางเลือกอื่น


“เยี่ยม ถ้าคุณต้องการอะไร คุณสามารถจะร่วมมือกับไวท์ฮวารุได้เต็มที่เลย”


หญิงสาวอีกคนหนึ่งภายในห้องได้ถอนหายใจยาวออกมา


“เข้าใจแล้ว ในเมื่อมันเป็นความผิดของผม ผมจะทำเท่าที่ทำได้แล้วกัน ไว้เจอกันใหม่นะ”


ปาร์คดงชุนได้ลุกขึ้นนิ่งๆ ตึง เมื่อเขาได้ปิดประตูลงไปด้วยความโกรธ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจของเขาก็ได้หายไปอย่างสิ้นเชิง


หลังจากมองดูรอบๆแล้ว…


‘เยส! ยังไงฉันก็อยากจะเจอเขาอีกครั้งอยู่แล้ว!’


เขาได้ยินดีอยู่ในใจ และวิ่งออกไปอย่างตื่นเต้น


***


คิมฮันนาห์ได้จัดการขอประชุมอย่างเป็นทางการในอีกสองวันให้หลัง จากภายในโรงอาหารทัศนคติของเธอดูจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างกระทันหัน แต่ซอลจีฮูก็คิดแค่ว่าเขาคิดไปเอง และไม่ได้สนใจอะไรนัก


เนื่องจากว่าไม่ค่อยมีอะไรให้ทำ ส่วนใหญ่แล้วซอลจีฮูจึงอยู่ฝึกการบ่มเพาะมานาอยู่ภายในห้อง


ในตอนเริ่มปกติแล้วเขาจะต้องใช้เวลาเฉลี่ยอยู่ที่สี่ชั่วโมง แต่ในวันนี้เขาได้ย่นระยะการฝึกให้สั้นลง นั่นก็เพราะว่ามีแขกที่เขาคาดไม่ถึงมาเยี่ยม


“ว่าไง ฉันได้ข่าวลือมาแล้วนะ แต่ว่าที่นี่มันน่าประทับใจมากจริงๆ เราคิดว่าสำนักงานของเขาก็ดีแล้วนะ แต่พอมาตอนนี้ฉันอยากจะสร้างสำนักงานขึ้นใหม่เลย”


ชายคนนี้ได้พูดเล่นขึ้นมาในระหว่างที่มองดูโคมระย้าที่เป็นคริสตัลบนเพดาน เขาคือฮ่าวอวิ่น เขาได้ทักทายกับซอลจีฮูก่อนที่คิมฮันนาห์จะพาไปที่ห้องรับรอง


“ในตอนได้ยินข่าวตอนเช้า ฉันตกใจจริงๆเลยนะ”


ฮ่าวอวิ่นได้เข้าประดเนในทันทีที่เขาได้นั่งลงบนโซฟาหนัง


“ในเมื่อนายเป็นตัวตนเรื่อง นายก็คงรู้สินะว่าฉันพูดถึงเรื่องอะไร แต่นายรู้ไหม… จะว่ายังไงดีล่ะ… นายจะบ้าเกินไปหน่อยไป…? หรือว่า…”


ฮ่าวอวิ่นได้กลืนน้ำลายลงไป แต่ซอลจีฮูก็ยิ้มขึ้นโดยไม่พูดอะไรออกมา


“ฉันคิดว่านายก็คงมีเหตุผลอยู่ ถึงจะพูดเรื่องที่เกิดขึ้นไปมันก็ไม่ได้อะไรอยู่แล้ว”


ฮ่าวอวิ่นได้หยุดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอนหลังพิงโซฟา


“แต่ว่าฉันก็ค่อนข้างจะผิดหวังนะ”


ซอลจีฮูเบิกตากว้างขึ้นมา


“ในตอนนั้นฉันเป็นคนที่ชักชวนให้นายย้ายมาที่อีวา ที่ฉันเลือกมาที่อีวาก็เพราะฉันมีแผนอยู่”


ซอลจีฮูรู้ถึงความผิดพลาดของเขา


“คุณฮ่าวอวิ่น”


เขาอยากจะพูดอะไรสักอย่างออกมา แต่ฮ่าวอวิ่นก็ยกมือขึ้น


“แน่นอนว่านายก็ไม่จำเป็นต้องทำตามแผนของฉันหรอกนะซอล”


“…”


“แต่ว่าซอล นายยังจำเรื่องที่เราคุยกันในวังฮารามาร์คได้ไหม?”


ซอลจีฮูได้พยักหน้าเงียบๆ


“ฉันได้สาบานไว้ว่าจะทำให้นายเป็นราชา และนายก็ยอมรับมัน ในเขตพื้นที่เป็นกลางเราคือเพื่อนกัน แต่นับตั้งแต่ที่นายยอมรับข้อเสนอ ฉันก็คิดมาเสมอว่าฉันมีคุณสมบัติที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นคู่หูของนาย นั่นน่ะคือสิ่งที่ฉันคิด”


ฮ่าวอวิ่นได้เม้มปาก


“มันไม่ใช่แค่เราที่คิดแบบนี้นะ องค์กรในอีวาก็คงจะคิดเหมือนกัน ในเมื่อพวกเราย้ายมาที่นี่พร้อมกัน พวกเขาก็จะมองว่าพวกเราคือหน่วยงานเดียวกัน หรือก็คือการกระทำของนายมันจะส่งผลต่อซันเหอทั้งทางตรงแล้วก็ทางอ้อม”


“…”


“ตอนนี้ฉันได้พูดออกไปหมดแล้ว แต่ประเด็นสำคัญคือมันจะดีกว่านี้หากว่านายติดต่อมาบอกให้ฉันรู้ก่อนผ่านทางคริสตัลสื่อสาร แบบนั้นฉันจะได้สามารถเตรียมตัวรับมือ และบางทีอาจจะช่วยนายได้ด้วย ทั้งในฐานะเพื่อน และคู่หูของนาย”


แม้ว่าฮ่าวอวิ่นจะดูสงบนิ่ง แต่ซอลจีฮูก็รู้สึกได้ว่ามีความรู้สึกมากมายคุกรุ่นอยู่ภายในใจเขา ซอลจีฮูสามารถจะบอกได้เลยว่าเขาผิดหวังจริงๆ


“นายพูดถูก อย่างน้อยฉันก็ควรจะติดต่อไปหานาย ตอนนั้นฉัน…”


ซอลจีฮูได้ชะงักไปด้วยรอยยิ้มขมขื่น


“ฉันไม่ได้มาฟังคำขอโทษของนายหรอกนะ”


ฮ่าวอวิ่นได้ประสานนิ้วเข้าด้วยกัน


“ฉันก็แค่อยากจะให้นายเชื่อใจซันเหอสักหน่อย มันก็จริงที่ว่าเราถูกไล่ออกมาจากฮารามาร์ค แต่ว่าฉันก็ไม่พอใจแน่หากนายดูถูกพวกเราเกินไป”


ก๊อก ก๊อก


“ขอโทษนะ”


ซอยูฮุยได้เดินเข้ามาในห้องพร้อมน้ำชาได้ทำให้บรรยากาศอันหนักหน่วงภายในห้องลดน้อยลงไปเล็กน้อย ซอลจีฮูกับฮ่าวอวิ่นได้รีบหยุดพักด้วยการคุยกันเรื่องเล็กๆน้อยๆที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้านี้อีก จากนั้นจู่ๆซอลจีฮูก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา


“แล้วนายบอกว่านายมีแผนใช่ไหม?”


“อืมม ถึงฉันจะโยนแผนนี้ทิ้งไปเมื่อเช้าก็เถอะนะ”


“แล้วมันคืออะไรหรอ พอจะบอกฉันได้ไหม?”


“ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก”


ฮ่าวอวิ่นได้พูดออกมาเหมือนกับมันเป็นแค่เรื่องเล็กๆ


“ฉันวางแผนที่จะสร้างสุดยอดภาพยนตร์ที่จะดึงให้องค์กรทั้งแปดของอีวากลายมาเป็นตัวตลก ในตอนท้ายพวกเราจะออกมาเต้น PPAP กัน ให้ตายสิ นั่นมันเป็นสถานการณ์ที่ดีเลยนะ…W


เมื่อเห็นฮ่าวอวิ่นพูดออกมาอย่างเสียใจ…


“นั่นมันก็ฟังดูดีเหมือนกันนะ แต่นายคิดว่าจะใช้เวลาทำภาพยนตร์เรื่องนี้นานแค่ไหนล่ะ?”


“อย่างเร็วก็ครึ่งปี ช้าสุดก็ปีนึง”


“ถ้างั้นก็ 6 เดือนถึง 12 เดือน…”


ซอลจีฮูได้ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ก่อนจะส่ายหัวออกมา


“มันนานเกินไป”


“งั้นหรอ? ฉันคิดว่ามันสมบูรณ์แบบเลยนะ”


“ฉันคิดว่าพวกปรสิตคงจะไม่นั่งรอเฉยๆหรอก”


“ก็นะ เรื่องนี้ฉันก็ไม่เถียง”


ฮ่าวอวิ่นได้ยอมรับออกมาง่ายๆ จากนั้นก็พูดต่อ


“พอพูดเรื่องนี้แล้วฉันก็มีเรื่องที่อยากจะถาม นายจะเอายังไงต่อล่ะ?”


“พวกเรายังไม่มีแผนเป็นรูปธรรม แต่แน่นอนว่า…”


ซอลจีฮูได้เพิ่มน้ำเสียงขึ้น


“ฉันจะไปต่อให้สุดทาง”


“สุดทาง… นายหมายความว่าจะไม่มีการเจรจาหรือประนีประนอมหรอ?”


“ไม่ ฉันได้ตัดสินใจมันหลังจากได้เห็นอีวา”


ตึก ซอลจีฮูได้วางแก้วชา และยิ้มออกมา


“ฉันจะกวาดล้างแมลงทุกๆตัวที่กัดกินพาราไดซ์ ฉันจะไม่ปล่อยมันไว้แม้แต่ตัวเดียว”


ฮ่าวอวิ่นไม่ได้ตอบกลับมา เขาไม่ได้เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย


เขาก็แค่มองดูรอยยิ้มของซอลจีฮูด้วยแววตาที่เหมือนกับหุบเหว


บทที่ 254 – หากว่าออกวิ่งทั้งๆที่เมาอยู่ (3)


ซอลจีฮูได้เดินตามไปส่งฮ่าวอวิ่นที่ประตู และกล่าวอำลา เมื่อฮ่าวอวิ่นได้ไปแล้ว ผู้ดูแลส่วนตัวของเขาก็ได้เดินตามเขาออกไปจากสำนักงานคาเพเดี่ยม


ฮ่าวอวิ่นได้เดินตามพื้นถนนด้วยสีหน้านิ่งๆโดยไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว


ติ๋ง หยดน้ำฝนได้ตกลงมาจากฟ้าทำให้ฮ่าวอวิ่นหยุดชะงัก และเงยหน้าขึ้นมอง


ดวงอาทิตย์ยังคงอยู่กลางท้องฟ้า แต่ว่าท้องฟ้าก็มืดแล้ว เมฆหมอกได้เข้ามาปกคลุมก่อนที่เขาจะรู้ตัว และตอนนี้มันก็ดูเหมือนกับฝนจะตกลงมาได้ตลอดเวลา


ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง หยดน้ำฝนได้เริ่มตกลงมามากยิ่งขึ้นราวกับจะเป็นการพิสูจน์


ชายสวมแว่นสีดำข้างๆเขาได้เงยหน้าขึ้นมองก่อนจะกางเสื้อออกมา และเดินเข้าหาฮ่าวอวิ่น


“หมิงเจีย”


ชายที่เข้ามาสวมชุดคลุมให้กับฮ่าวอวิ่นได้ชะงักไป


“นายเคยถามฉันใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงเลือกหัวหน้าคาเพเดี่ยม?”


“…”


“มันง่ายมากเลย นั่นก็เพราะเขาเปล่งประกายยิ่งกว่าใคร”


ฮ่าวอวิ่นได้พูดต่อโดยที่ยังคงมองท้องฟ้า


“ชายผู้ที่ทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้สำเร็จ นักแก้ปัญหาอันชาญฉลาดที่แก้ไขในปัญหาที่ทุกๆคนหมดหนทาง และมีแผนการอันแยบยล นั่นแหละคือชาวโลก และผู้พิเศษ ซอลจีฮูแห่งฮารามาร์ค”


ฮ่าวอวิ่นได้ยิ้มบางออกมา


“ฉันได้เห็นมันอย่างเด่นชัดในงานจัดเลี้ยง เขาได้ไปหาคนกลุ่มน้อยเพื่อปลอบให้พวกเขามาร่วมมือกับตัวเอง เขาได้ชักจูงคนกลุ่มใหญ และจัดการกับคนที่พยายามจะทำลายความสามัคคีด้วยความรุนแรง ยิ่งในตอนที่เขาเสนอแผนการแลกเปลี่ยนความปรารถนาไม่สมบูรณ์… ฉันก็รู้สึกสะเทือนใจมาก เขาได้ใช้สิ่งต่างๆที่มีอยู่อย่างพอเหมาะ และฉันก็รู้ได้ทันทีเลยว่าฉันทำแบบเดียวกันไม่ได้”


หมิงเจียที่ฟังอยู่เงียบๆได้พูดออกมา


“หากท่านพยายามจะเปรียบเทียบกับการกระทำล่าสุดกับคาเพเดี่ยม ผมก็ถูกชี้ให้เห็นเหมือนกันว่าความรุนแรงก็เป็นวิธีที่ใช้งานได้เหมือนกัน”


“ฉันก็เห็นด้วย”


ฮ่าวอวิ่นได้ตอบรับทันที


“การหยุดยั้งศัตรูด้วยพลังคือวิธีการที่จำเป็น ฉันรู้ดี แต่ว่า…”


ฮ่าวอวิ่นได้พูดแบบนี้พร้อมมองกลับไปที่สำนักงานอันโอ่อ่า


“เขากำลังมัวเมา”


“…”


“เคยชิน… จนเหมือนกับจะไม่รู้ตัวเอง”


เขาได้พูดออกมาด้วยความเสียใจเล็กน้อย


“ยิ่งแสดงอำนาจออกไปเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเสพติดมันเท่านั้น ยิ่งหลงรักมันเท่าไหร่ ก็จะยิ่งติดใจกับมัน และยิ่งใช้พลังเท่าไหร่ ก็จะยิ่งหลงมัวเมาไปกับมัน”


“ในทำนองเดียวกัน ยิ่งตกอยู่ในความบ้าคลั่งเท่าไหร่ ก็จะยิ่งจมดิ่งลงไป มันแทบจะเหมือนกับเขาไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเขากำลังมัวเมา”


ละอองฝนโปรยปรายได้ทำให้ชุดของฮ่าวอวิ่นเปียกโชกขึ้นมาก่อนเขาจะสังเกต เขาได้ละสายตาไปจากสำนักงาน และถอนหายใจออกมา


เขาไม่ได้บอกว่าการลุยไปข้างหน้ามันไม่ดี มันมีเวลาที่จำเป็นต้องทำอยู่


ปัญหามันอยู่ที่สภาพจิตใจของคนที่มุ่งหน้าไป


ในระหว่างวิ่งเขาได้มองไปข้างหน้างั้น? หรือว่าเขาไม่ได้มองอย่างอื่นเลยงั้นหรอ?


ไม่ใช่เลยสักนิด เขาจะต้องค่อยๆก้าวออกไปแม้ว่าจะวิ่งอย่างสุดกำลังก็ตาม แต่ว่าในตอนนี้เขากำลังวิ่งไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว เขาไม่ได้หยุดมองกลับมาข้างหลัง ไม่กระทั่งมองดูคนรอบตัวที่กำลังวิ่งไปกับเขา


ฮ่าวอวิ่นได้เม้มปากอยู่นานก่อนที่จะหันกลับมา


“แล้วการเคลื่อนไหวของอีกเจ็ดองค์กรเป็นยังไงบ้าง?”


“ดูจะไม่ได้มีอะไรปิดปกติครับ”


“งั้นพวกเขาก็ตัดสินใจกบดานกันสินะ”


“อย่างน้อยก็สำหรับตอนนี้ครับ แต่ว่าด้วยนิสัยของพวกเขาแล้ว ผมคิดว่าคงอยู่ได้ไม่นานนัก”


จะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ อาจจะมีการลอบโจมตีลอยเข้ามาที่ด้านหลังเขาทุกเมื่อ ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด อีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าเขาอาจจะเจออุปสรรคแล้วก็ได้


ในทันทีที่ซอลจีฮูล้มลงไป เหล่าไฮยีน่าที่เฝ้ารอคอยอยู่ก็จะกระโจนเข้ามาตะคลุบเหยื่อทันที พวกมันจะจัดการเขาจนทำให้ไม่อาจจะยืนหยัดขึ้นมาได้อีก


ฮ่าวอวิ่นจะต้องทำให้ซอลจีฮูได้พัก แต่ว่าน้ำได้หกออกไปแล้ว อย่างที่ซอลจีฮูพูดไว้ พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่จะต้องไปจนสุดทางเท่านั้น


หากว่าพวกเขาหยุดกลางคัน มันจะแย่ยิ่งกว่าการไม่ทำอะไรซะอีก


นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ฮ่าวอวิ่นต้องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก


“ฉันคิดว่าการมีจิ้งจอกอยู่ด้วยจะไม่มีเรื่องแย่เกิดขึ้น แต่… คงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วสินะ”


ฮ่าวอวิ่นได้พึมพำออกมาเบาๆ ส่วนหมิงเจียในที่สุดเขาก็สวมชุดคลุมให้กับฮ่าวอวิ่นได้สำเร็จ และลดมือลง


“ท่านตัดสินใจแล้วใช่ไหมครับ?”


“ไม่ว่าจะยังไงเราก็ไม่มีทางเลือกแล้ว เราถูกบังคับให้เลือก”


มันก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายไร้ทางออก พวกเขาก็แค่ต้องช่วยซอลจีฮูให้เขาวิ่งต่อไปได้จนสุดทางเท่านั้น


หรือก็คือ…


“ซันเหอจะกลายเป็นโล่ให้กับคาเพเดี่ยมสักพัก”


หลังจากประกาศออกมาอย่างหนักแน่น ฮ่าวอวิ่นก็หันกลับไปมองหมิงเจีย


“นายมีเส้นสายพวกอันธพาลไหม?”


“พอมีอยู่บ้างครับ… แต่ผมขอทราบได้ไหมว่าทำไม?”


“ถึงจะเป็นโล่ แต่ฉันก็ไม่ใช่คนที่จะสูดหายใจทิ้งไปวันๆ โล่ก็ใช้โจมตีกลับไปได้เหมือนกันนะ”


ฮ่าวอวิ่นได้หัวเราะพร้อมหยิบเอาซองบุหรี่ออกมา หมิงเจียได้เอียงหัว แต่ว่าก็ไม่ได้ถามอะไรออกมาอีก


“ผมจะลองติดต่อให้ครับ”


“ไม่เอาพวกที่อยู่ในอีวานะ ใช้คนในฮารามาร์คแทน… ไม่สิ จะเป็นคนที่ไหนก็ได้ขอแค่ไม่ใช่คนอีวาก็พอแล้ว”


“เราต้องการสักกี่คนครับ?”


หมิงเจียได้ถามออกมาห้วนๆ


“เอาให้มากพอที่จะสังเกตการณ์องค์กรทั้งหมดในอีวาได้ พาพวกเขามาให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้”


ฮ่าวอวิ่นได้เผยรอยยิ้มออกมา


“มันคือสงคราม”


***


ที่สำนักงานได้มีห้องประชุมอยู่หลายห้องเนื่องจากว่าคิมฮันนาห์ได้สร้างแต่ละชั้นเอาไว้ด้วยความคิดที่จะสร้างทีมเล็กๆอีกมากมายในอนาคต


การประชุมในวันนี้ได้จัดขึ้นที่ห้องประชุมขนาดใหญ่ที่สามารถจุคนได้เป็น 100


“องค์กรในอีวาได้แบ่งเขตแดนกันเอาไว้เป็นอย่างดี แต่ว่านั่นก็แค่พื้นที่เท่านั้น สำหรับด้านธุรกิจ ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะร่วมมือกัน”


น้ำเสียงของคิมฮันนาห์ได้ดังมากพอทั้งห้อง


“ความแตกต่างเดียวคือเจ้าของที่ดินจะเป็นคนดูแล และเป็นคนที่ได้รับผลประโยชน์มากกว่า”


คิมฮันนาห์ได้มองกลับไปที่กระดานดำ


“องค์กรในอีวาได้สร้างรายได้ผ่านสามวิธีหลัก อย่างแรกคืออสังหาริมทรัพย์ สองคือการค้าทาส และสามคือการปล่อยเงินกู้ และค้าประเวณี”


จางมัลดงได้ขมวดคิ้วขึ้นมา


“ในบรรดาทั้งหมดนี้ หัวหน้าซอลจีฮูเพิ่งจะนำทีมไปจัดการทำลายการค้าทาส มันคงยากที่จะพูดว่าธุรกิจนี้ถูกหยุดลงไปหมดแล้ว แต่ว่าด้วยคำประกาศจากราชวงศ์ และการเสริมกำลังที่พรมแดนของราชวงศ์ องค์กรอื่นๆก็คงจะอยู่เงียบๆกันไปสักพัก”


จริงๆแล้ว ซอลจีฮูได้ทำมากยิ่งกว่าการทำลายการค้าทาสซะอีก เขาได้ทำให้ธุรกิจทุกอย่างแทบจะหยุดชะงักไป


ทุกๆคนต่างก็รู้ว่าองค์กรต่างๆได้สูญเสียผลประโญชน์ไปครั้งใหญ่ และในตอนนี้องค์กรเหล่านั้นก็ได้เลือกกบดานอยู่เฉยๆ แทนที่จะเคลื่อนไหว


แต่ว่านั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกนั้นจะปล่อยให้คาเพเดี่ยมทำตามต้องการได้ พวกนั้นจะต้องวางแผนชดเชยความสูญเสียนี้สักวิธีแน่ แต่เนื่องจากว่าอสังหาริมทรัพย์ได้เป็นทรัพย์สินที่มีเจ้าของอยู่เกือบหมดแล้ว พวกเขาจึงไม่อาจจะรีดเงินออกมาได้อีก


“เพราะงั้นเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะเบนเข็มไปที่การปล่อยเงินกู้และค้าประเวณี”


พวกเขาก็ได้รีดไถรายได้จากเส้นทางนี้เป็นหลักอยู่แล้ว แต่ในตอนนี้พวกเขาจะบีบเค้นหนักยิ่งกว่าเก่า


“คนที่ไม่คุ้นเคยกับอีวาต่างก็เรียกที่นี่ว่าเมืองแห่งนักบวช แต่ความเป็นจริงแล้วเมืองนี้มันใกล้เคียงกับคำว่าเมืองแห่งความหรูหรา และความสุขมากกว่าซะอีก”


คิมฮันนาห์ได้วางมือลงบนโต๊ะยาว และมองไปรอบๆ


“มีใครได้ออกไปข้างนอกตอนกลางคืนไหม?”


“อืม ฉันไง”


ฮิวโก้ได้พยักหน้าด้วยรอยยิ้มพอใจ


“สถานบันเทิงของอีวามีชื่อเสียงมาก นอกจากราคาถูกแล้วก็ยังมีให้เลือกสนุกได้ตามใจ…”


เขาได้หยุดชะงักไปจนพูดออกมาได้ไม่จบ เพราะซอลจีฮูหันมาจ้อง คิมฮันนาห์ได้ยิ้มขึ้นมา


“ถูกแล้วล่ะ สถานบันเทิงยามค่ำคืนของอีวาได้เต็มไปด้วยชาวพาราไดซ์ นายรู้ไหมว่าทำไมล่ะ?”


“ก็ชัดแล้วนี่? พวกเขาได้ยืมเงินกู้ และจ่ายคืนไม่ได้จนทำให้พวกเขาถูกดึงตัวไปค้าประเวณีไงล่ะ”


โชฮงได้พูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์


“ใช่ ถูกแล้วล่ะ ช่วยดูกระดาษที่ฉันส่งให้ไปหน่อยได้ไหม?”


คิมฮันนาห์ได้พูดขึ้นในขณะที่ยกแผ่นกระดาษก่อนหน้านี้ขึ้นมา หลังจากนั้นไม่นานเสียงของเธอก็ดังออกมาอีกครั้ง


“ฉันได้ออกไปรวบรวมข้อมูลเหล่านี้มาเป็นการส่วนตัว หญิงสาวคนหนึ่งไม่อาจจะทนต่อการหาเลี้ยงชีพอันยากลำบากในพาราไดซ์ได้ และต้องไปยืมเงินจากองค์กรในอีวาเป็นจำนวน 30 เหรียญเงิน นับตั้งแต่ตอนนั้นก็ผ่านมาสี่ปี และในตอนนี้…”


คิมฮันนาห์ได้ก้มลงไปมองกระดาษ และหยุดครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้ากลับขึ้นมา


“จำนวนเงินที่เธอเป็นหนี้อยู่คือ 70.8 เหรียญเงิน”


นี่คือจำนวนดอกเบี้ยปีล่ะ 34 เปอร์เซ็นต์ มันเทียบได้กับการยืมเงิน 15,150,00 วอนบนโลก และต้องคืนเงินกลับไป 35,743,000 วอนในอีกสี่ปีต่อมา


ซอลจีฮูได้อ้าปากค้างกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงมหาศาล


“แค่ 70 เหรียญเงิน…”


ยี่ซอลอาได้เอียงหัว และค่อยๆพึมพำออกมา


“แค่หรอคะ?”


“นี่ดูตัวเองหน่อยสิ นายก็ไม่ได้รวยนะ”


คิมฮันนาห์กับมาเรียได้จ้องมาที่เขาพร้อมๆกัน ซอลจีฮูได้ก้มหน้าลง


“ฟังนะ ผู้ายส่วนใหญ่ได้ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร และในเมืองก็เหลือแค่ผู้หญิงเท่านั้น พวกเธอไม่อาจจะทำงานเป็นคนขับรถม้าได้ แล้วก็ไม่มีใครจะจ้างพวกเธอเป็นคนแบกหาม หญิงสาวเหล่านี้ต่างก็มีครอบครัวที่ต้องดูแล นายยังจะพูดว่ามันเป็นแค่ 70 เหรียญเงินอีกหรอ?”


“ไม่ ฉัน-“


“ถ้านายยังไม่ได้ประสบกับตัวเองก็อย่าได้ปากพล่อยออกมมา”


ฟีโซราก็ยังพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด


พอมาคิดดูแล้วที่ซอลจีฮูกลายมาเป็นคนรวยก็เพราะปฏิบัติการเจดีย์แห่งความฝันเท่านั้น ก่อนหน้านี้ทั้งตัวเขามีเงินเก็บแค่ครึ่งเหรียญทอง เหรียญเงินร้อยกว่าเหรียญ และเครื่องประดับอีกสามสี่ชั้น


และส่วนใหญ่นั่นก็มาจากความสำเร็จในภารกิจต่างๆอันน่าทึ่งจนทำให้เขามีเงินด้วย


ที่สำคัญไปกว่านั้นชาวโลกกับชาวพาราไดซ์ต่างก็มีเส้นทางและวิธีการหารายได้ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ด้วยสงครามอันยาวนานที่ดำเนินมาหลายต่อหลายปีทำให้ชาวพาราไดซ์ที่นับเป็นคนชนชั้นต่ำแทบจะหาเหรียญเงินสักเหรียญไม่ได้ด้วยซ้ำไป


นี่คือเหตุผลที่ทำให้คนพูดว่าองค์กรคือชนชั้นสูง ชาวโลกคือชาวบ้าน และชาวพาราไดซ์คือทาส


โชฮงได้ประสานมือยืดออกมา


“อ๊าาา! แล้วนี่เธอกำลังจะพูดว่าการเก็บดอกเบี้ยที่สูงเกินไปมันผิดกฎหมาย แล้วเราควรจะไปจัดการพวกเขาด้วยเรื่องนี้หรอ?”


คิมฮันนาห์ได้ส่ายหัวออกมา


“ไม่เลย นั่นไม่ถูก”


“?”


“การให้ยืมเงิน และได้รับดอกเบี้ย นั่นไม่ได้ผิดกฎหมายเลยสักนิด”


โชฮงได้ชะงักไป และกระพริบตาอย่างสับสน


“ดอกเบี้ย 34 เปอร์เซ็นต์ นั่นเป็นจำนวนที่ได้รับการเห็นชอบจากราชวงศ์แล้ว พวกเขาไม่อาจจะทำอะไรที่ทำลายมันได้”


ซอลจีฮูได้หรี่ตาขึ้นมา


“แม้กระทั่งดอกเบี้ย 34 เปอร์เซ็นต์ก็น้อยกว่าตอนแรกมากแล้ว เดิมทีด้วยความที่เป็นเงินจำนวนมาก และเพิ่มขึ้นมาจนถึงสี่เท่า เมื่อชดใช้หนี้ไม่ได้ ฝ่ายเจ้าของเงินกู้ก็จะมีสิทธิ์ขาดในทรัพย์สิน และที่ดินของผู้กู้ ผู้ดูแลซอกกูนีร์ได้พยายามอย่างเต็มที่แล้วที่จะปกป้องในผลประโยชน์ของประชาชน แต่ถึงแม้ว่าเขาจะปกป้องสิทธิ์ในที่ดินได้ แต่ว่าเขาก็ไม่อาจจะทำอะไรกับจำนวนเงินจริงที่ต้องชำระได้”


หรือก็คือแม้แต่ดอกเบี้ย 34 เปอร์เซ็นต์บ้าๆนั่นก็เป็นสิ่งที่ยากจะเจรจาได้


“…หากว่าไม่ได้มีสหพันธรัฐกับป้อมปราการไทกอลจะเกิดอะไรขึ้นกับเมืองนี้กันนะ”


มาแชล จิโอเนียได้พึมพำกับตัวเอง


แต่ว่าสิ่งที่คิมฮันนาห์พูดต่อมาก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง


“แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะแก้ไม่ได้”


ซอลจีฮู และทุกๆคนต่างก็หันไปสนใจคิมฮันนาห์


“มันไม่ได้ยากอะไรเลย วิธีแก้มันทั้งสะดวก และเรียบง่าย”


“อะไรกันล่ะ? พูดมาสิ”


โชฮงได้แสดงสีหน้าหงุดหงิดออกมา และคิมฮันนาห์ก็เอียงคางเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมา


“เราก็แค่ต้องทำให้หนี้หมดไป พูดง่ายๆก็จ่ายหนี้ให้พวกเขานั่นแหละ จากนั้นหญิงสาวชาวพาราไดซ์ก็จะได้หลุดพ้นจากวงจรอันเจ็บปวดที่พวกเธอหลงเข้าไป ถูกไหมล่ะ?”


ทุกๆคนได้แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาแทบจะทันที


“แบบนี้เราก็จะสามารถสั่นคลอนรากฐานเหมืองทองคำขององค์กรที่ถูกสร้างมาหลายปีได้ หากไม่มีหญิงสาว พวกเขาก็ไม่อาจจะทำธุรกิจได้”


“อะไรนะ?”


คนแรกที่ตอบสนองออกมาก็คือมาเรีย


“นี่พี่สาวบ้าไปแล้วหรอ?”


“ไม่มีทาง นั่นมันไร้สาระ”


โชฮงก็ดูจะตกตะลึงเช่นเดียวกัน ไม่ใช่แค่พวกเธอเท่านั้น คนอื่นๆก็ยังแสดงสีหน้าประมาณว่า “นี่คือทั้งหมดที่เธอคิดได้แล้วหรอ?”


จะมีก็แต่ซอยูฮุยที่ยังคงหลับตาอยู่เงียบๆ แม้กระทั่งจางมัลดงยังผงะไปเล็กน้อยเลย


“อืมม ฉันเข้าใจถึงสิ่งที่คุณหมายถึงนะคุณคิมฮันนาห์ แต่ว่า…”


จางมัลดงได้ขมวดคิ้วออกมา และหยุดไปก่อนจะพูดจบ คิมฮันนาห์ได้กอดอกยิ้มให้กับทุกคนราวกับคิดไว้แล้ว


“คุณคิมฮันนาห์?”


ในตอนนี้เอง ซอยูฮุยก็พูดออกมา


“คุณคิดว่ามันเป็นไปได้หรอ?”


นี่เป็นคำถามที่ใช้การสมมติเพียงเท่านั้น แต่คิมฮันนาห์ก็ส่งเสียงโอ้ออกมาอย่างตกใจ


“ไม่เลย พวกเราต้องลองถึงจะได้รู้ แต่ว่ามันก็มีแนวโน้มที่จะล้มเหลว”


“ถ้างั้น-“


“มันเป็นเหยื่อล่อ มันไม่สำคัญว่าจะได้ผลหรือไม่ได้ผล แต่ว่ามันก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”


“คุณหมายความว่านี่คือแผนจริงๆ”


“มันยังคงอยู่ระหว่างดำเนินการ เมื่อไหร่ที่ยืนยันได้แล้ว ฉันจะมาบอกทุกๆคน”


ซอยูฮุยได้พยักหน้าออกมา คิมฮันนาห์ก็ได้หันไปมองคนอื่นต่อ


“มีข้อสงสัยอะไรอีกไหม?”


“…”


“พูดสิ่งที่รู้สึกออกมาได้เลย ฉันเข้าใจว่าพวกคุณยังคงเข้าใจเกี่ยวกับแผนผิดอยู่ หากว่าพวกคุณมีคำถามก็ถามตอนนี้ได้เลย ฉันไม่ชอบถูกพูดแทรกน่ะ”


น่าแปลกที่เสียงพึมพำได้เงียบลงไป จะมีก็แค่สายตากังขาที่เหลืออยู่เท่านั้น มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่นักต้มตุ๋นที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่จะเอาแผนแย่ๆมาพูด แต่โชฮงก็ยังคงไม่มั่นใจอยู่ดีเพราะเธอไม่เข้าใจแผนนี้เลยจริงๆ


“คือว่านะ… มันดีกว่าไม่ทำอะไรก็จริง แต่นี่มันไม่เข้าท่าเลย ถึงพวกเราจะมีฐานะดีขึ้นมาหน่อย แต่เราจะไปจ่ายหนี้ให้ทุกๆคนได้ยังไงกัน? หรือบางทีอาจจะแค่ส่วนหนึ่ง…”


“ใช่แล้ว แค่ส่วนหนึ่งก็พอแล้ว”


“อะไรนะ?”


“แม้แต่กษัตริย์ก็ไม่อาจจะมอบเงินให้ทุกๆคนได้ เพราะงั้นสำหรับแผนนี้เราต้องช่วยแค่ส่วนหนึ่ง แค่นี้มันก็พอแล้ว”


คิมฮันนาห์ได้หยิบเอากระดาษแผ่นใหม่ขึ้นมา


“เมื่อวานนี้ฉันได้ไปสำรวจมาประมาณ 40 ครัวเรือน กลุ่มตัวอย่างมีขนาดที่เล็ก แต่ว่าพวกเขาแต่ละคนต่างก็เป็นหนี้อยู่ประมาณ 87 เหรียญเงิน หากแค่บริจาคออกไปหนึ่งเหรียญเงิน พวกเราก็จะช่วยได้ประมาณ 11 คน สิบเหรียญเงินก็จะเท่ากับ 110 คน”


คิมฮันนาห์ได้ยิ้มหวาน


“และด้วยไข่ทองคำ เหรียญทอง ก้อนเงิน เหรียญเงิน อัญมณี และต่างๆอีกมากมาย รวมๆแล้วก็ช่วยได้หลายพันคน”


“ฉันมีคำถามเหมือนกัน”


จางมัลดงได้ยกมือขึ้นมา


“แม้ว่าเราจะใช้หนี้ทั้งหมดไปแล้ว แต่นี่ก็ยังไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาที่แท้จริงอยู่ดี หญิงสาวอาจจะต้องใช้เงินจำนวนมากจากการค้าประเวณีไปจ่ายดอกเบี้ย แต่มันไม่ใช่ว่าชาวพาราไดซ์ก็ได้เหรียญทองแดงกลับบ้านไปด้วยเหมือนกันหรอกหรอ? แน่นอนว่าองค์กรต่างๆได้แบ่งเงินเอาไว้ไม่ให้พวกเธอต้องอดได้ แต่ว่ามันก็เป็นความจริงที่วิธีพวกนั้นทำให้พวกเธออยู่รอดได้”


เขาพูดถูก เพียงแค่พวกเธอได้รับการปลดหนี้ นั่นมันไม่ได้หมายความว่าจะทำให้พวกเธอได้มีชีวิตอย่างมีความสุข หากพวกเธอยังคงไม่มีงานทำ สุดท้ายพวกเธอก็จะกลับไปยืมเงิน หรือไม่ก็ทำการค้าประเวณีต่อไป


“นั่นก็ถูก แต่ว่าปัญหานี้ก็สามารถแก้ได้ด้วยการบริจาคอาหารชั่วคราวเช่นกัน แน่นอนว่านั่นก็ด้วยเงินของเรา”


มาเรียได้เริ่มคร่ำครวญออกมาอีกครั้ง


‘หืม…’


ยังไงก็ตามซอลจีฮูก็คิดขึ้นได้ว่าทั้งสองแผนนี้ต่างก็ทำได้ทั้งหมดในระยะสั้นทั้งนั้น นอกเหนือจากที่ดิน และอุปกรณ์สำหรับแรงค์เกอร์ระดับสูงแล้ว ของที่เหลือต่างก็มีราคาปกติทั้งสิ้น


เมื่อก่อน แม้ว่าจะด้วยความช่วยเหลือของราชวงศ์ฮารามาร์ค แต่ซอลจีฮูก็เคยช่วยผู้คนจากหมู่บ้านแรมแมนเอาไว้นับร้อยคนด้วยแท่งทองแค่อันเดียว


โชฮงได้ส่งสายตาแหลมคมมา


“เธอคงไม่ได้บังคับเราใช่ไหม?”


“แน่นอนว่าไม่ พวกเรากำลังวางแผนที่จะใช้เงินทุนส่วนหนึ่งขององค์กร หากไม่ต้องการจะไม่จ่ายอะไรเลยก็ได้”


“ชิ เธอพูดเหมือนเธอเป็นคนดี แล้วให้โอกาสพวกเราได้ทำบุญเลยนะ”


“ก็นะ โอกาสแบบนี้มันหากันได้ยาก”


“ฮ่าฮ่า ก็ถูก โอกาสผลาญเงินแบบนี้มันหาได้ยากจริงๆนั่นแหละ”


ขณะที่โชฮงแสดงความคิดเห็นประชดประชัน มาเรียก็ได้ส่งเสียงให้กำลังใจอยู่ด้านข้าง ยังไงก็ตามคิมฮันนาห์ได้ยกนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว


“แต่พวกคุณจะได้รับผลประโยชน์ถึงสองอย่างจากการทำบุญครั้งนี้นะ”


โชฮงได้ขมวดคิ้วขึ้นมา


“เธอคงไม่พูดอะไรแบบว่า ‘โอ้~ เราจะได้เป็นที่รักของสาธารณะชน’ หรอกนะ”


“นั่นมันก็สำคัญกับเรา แต่ถ้าคุณไม่สนใจ…”


คิมฮันนาห์ได้หุบนิ้วลงไปนิ้วหนึ่ง แต่ยังไงก็ตามเธอยังคงชูอีกนิ้วหนึ่งเอาไว้อยู่

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม