The Second Coming of Gluttony 246-249

 บทที่ 246 – อีวายามค่ำคืน (1)


ซอลจีฮูไม่ได้กลับไปที่บ้านในทันที


เขาได้เดิน เดินไปเรื่อยๆโดยไร้จุดหมาย


เขาอยากที่จะทำให้ตัวเองใจเย็นลง แต่ยิ่งเขาเดินได้ทั่วมากเท่าไหร่ ไฟภายในใจของเขามีแต่ใหญ่มากยิ่งขึ้น


ซอลจีฮูได้เดินไปทั่วเมือง และสลักภาพที่ได้เห็นเอาไว้ในความทรงจำ


จากนั้นการก้าวเดินที่ไร้จุดหมายของเขาก็ได้มาหยุดลงที่ตรงหน้าวิหาร


วิหารกู่ลา


ซอลจีฮูได้ค่อยๆเดินขึ้นบันไดไป แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีธุระอะไรให้มาที่นี่ แต่ว่าเขาก็ได้เดินเข้าไปราวกับต้องมนต์


บางทีอาจจะเพราะตอนนี้เป็นช่วงกลางดึกทำให้ที่วิหารว่างเปล่า


ในทันทีที่เขามองเห็นรูปปั้นหนึ่ง ซอลจีฮูก็หยุดลงและโค้งคำนับทันที


เขาได้ทำให้จิดใจของเขาว่างเปล่า ไม่สิ เขาอยากจะทำแบบนั้น


กู่ลาก็ไม่ได้เป็นคนเริ่มพูดก่อน เธอได้ค่อยๆยื่นมือมาลูบหัวของซอลจีฮูอย่างแผ่นเบา


ภายในค่ำคืนอันงดงามนักรบได้ยืนคำนับอยู่หน้ารูปปั้น และเทพธิดาก็ได้ลูบหัวของเขา


ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ? จากสัมผัสอันอ่อนโยนได้ค่อยๆทำให้หัวใจที่เต้นแรงของเขาช้าลง


ในที่สุดเขาก็ใจเย็นลง


[ไม่ใช่ว่าเราอยากจะเมินมันหรอกนะ]


เมื่อผ่านไปประมาณหนึ่งเสียงของกู่ลาก็ได้ดังออกมา


[มันก็เหมือนกับมนุษย์ที่ถูกผูกมัดได้สัตย์สาบาน พวกเทพอย่างเราก็ถูกผูกมัดด้วยกฏแห่งกรรมที่สร้างโลกขึ้นมา การกระทำอะไรที่มากเกินไปก็ไม่ต่างไปจากการยื่นดาบให้ราชินีปรสิตเลย]


‘…’


[แน่นอนว่าในตอนที่เราทำอะไรได้เราก็ทำไปแล้ว อย่างการกำจัดพวกเขาผ่านงานจัดเลี้ยง หรือว่า…]


กู่ลาได้หยุดอยู่ครู่หนึ่ง…


[ใช้หอกของเจ้าซะ]


ก่อนที่เธอจะพูดจบประโยคอย่างใจเย็น


[เจ้าคิดไหมว่าทำไมลูซูเรียถึงได้มอบชื่อคลาสนั้นให้กับเจ้า?]


เนเมซิส เทพธิดาแห่งการล้างแค้นที่จะลงทัณฑ์ผู้ที่ล้ำเส้นไม่ว่าจะเป็นความดีหรือความชั่วร้ายก็ตามที


ชาวโลกได้ล้ำเส้นมานานแล้ว และซอลจีฮูก็คือหอกของกู่ลา


[ลูกข้า เรามีเวลาไม่มากแล้ว ราชินีปรสิตกำลังวางแผนอีกครั้ง]


[แผนที่น่าสะพรึงยิ่งกว่าสงครามหุบเขาอาร์เดน…]


ตามปกติแล้วซอลจีฮูจะไม่เข้าใจในถ้อยคำอันคลุมเครือของกู่ลาเลย แต่ว่าในคราวนี้เขาได้เข้าใจมันอย่างถ่องแท้


‘พวกเรามีเวลาไม่มากแล้ว’


มันชัดเจนมากว่าภัยของปรสิตได้เข้ามาประชิดตัวพวกเขาแล้ว สิ่งที่เขากำลังกังวลอยู่ในตอนนี้มันไม่ควรค่าให้ไปเสียเวลาคิดเลย


[เจ้ากำลังรออะไรอยู่อีกล่ะ?]


ซอลจีฮูได้หลับตาลง และส่ายหัวออกมา


[ขนนกสามารถสร้างแรงกระเพื่อมได้เล็กน้อย]


น้ำเสียงกู่ลาได้ดังออกมาอย่างสงบ…


[แต่ว่าแค่การยกเท้าของยักษ์สามารถที่จะสร้างสึนามิขึ้นได้…!]


ทันใดนั้นน้ำเสียงของเธอก็กลายเป็นดุดันขึ้น


[ไปซะ!]


น้ำเสียงของกู่ลาได้ดังก้องอยู่ในหัวของเขา และซอลจีฮูก็ตัวสั่นขึ้นด้วยความตื่นเต้น เลือดที่ไหลอยู่ภายในตัวของเขาได้กลายเป็นเดือดพล่านขึ้นมา


[ไป…]


ในท้ายที่สุด…


[และทำตามประสงค์ของนามเนเมซิส!]


ยักษ์ที่หลับไหลได้ตื่นขึ้นมาแล้ว


***


คิมฮันนาห์ที่กำลังนั่งอยู่ที่ล็อบบี้ได้เงยหน้าขึ้นในทันทีที่ได้ยินเสียงเท้าดังมาจากทางเข้า


“เฮ้!”


ทันทีที่เธอเห็นซอลจีฮูเดินเข้ามาแต่ไกล เธอก็พุ่งออกจากเก้าอี้ทันที


“นายไปอยู่ไหนมา!?”


“ห้องสมุดกับร้านค้า”


“ถ้างั้นก็บอกกันก่อนสิ การไปคนเดียว…”


“คิมฮันนาห์”


ซอลจีฮูได้ขัดเธอ ก่อนจะพูดต่อทันที


“เธอรู้เรื่องเกี่ยวกับเมืองนี้อยู่ใช่ไหม?”


คิมฮันนาห์ได้ผงะไปกับน้ำเสียงอันนิ่งสงบของเขา


“เตรียมจัดทำรายงานทั้งหมดเกี่ยวกับองค์กรที่ทำให้อีวาวุ่นวาย อย่าได้พลาดรายละเอียดไปแม้แต่นิดล่ะ”


“…หืม?”


“แล้วก็นอกจากอาจารย์จางกับพี่สาวยูฮุยแล้ว ช่วยเรียกตัวทุกๆคนที่มีระดับ 4 หรือสูงกว่านั้นมาเดี๋ยวนี้เลยด้วย”


ซอลจีฮูได้ทิ้งคำพูดเหล่านี้ไว้ และเดินขึ้นบันไดไป


“อ่า”


คิมฮันนาห์ที่ตกตะลึงจู่ๆก็รู้สึกว่าเธอพลาดอะไรไป เธอได้คิดขึ้นทันทีว่า ‘ไม่มีทาง’ และรีบไล่ตามเข้า แต่ว่าก็เป็นอย่างที่คาดไว้ ซอลจีฮูได้เข้าไปสวมเกราะในห้องซึ่งเป็นของราคาถูกที่หาได้ง่ายๆตามร้านค้า


เมื่อมั่นใจถึงข้อสงสัย คิมฮันนาห์ก็ได้รีบพุ่งมาข้างหน้าทันที


“ฮะ เฮ้! นี่นายบ้าไปแล้วหรอ? นายกำลังทำอะไรอยู่?”


ซอลจีฮูไม่ได้ตอบกลับ และกระชับสายหนังให้แน่นขึ้น


“เฮ้!”


เมื่อคิมฮันนาห์กำลังโวยวายอยู่…


“มีเรื่องเล่ามาจากตำนานสามก๊ก”


ในที่สุดเขาก็ได้พูดออกมา


“ในตอนที่โจโฉอยู่ในกองทัพสวนตะวันตกในฐานะพันเอกคอยจัดการกองทัพ ลุงของเกนหวนขันทีผู้มีอิทธิพลได้ทำผิดกฏหมาย โจโฉได้จัดการเฆี่ยนเขาจนตาย และนับแต่นั้นมาก็ไม่มีใครที่กล้าแหกกฎอีกต่อไป”


คิมฮันนาห์ได้แค่นเสียงออกมา แต่ไม่นานเธอก็กลับมารักษาท่าที และสงบสติอารมณ์ลงไป


“นั่นมันคือเรื่องสามก๊กที่เป็นนวนิยาย แต่ที่นี่คือพาราไดซ์”


แทนที่จะตอบเธอ ซอลจีฮูได้โบกมือออกมาเบาๆ พร้อมทั้งมีหนังสือเล่มหนาตกลงที่แทบเท้าคิมฮันนาห์


หนังสือกฎหมายของอีวา


คิมฮันนาห์ได้หรี่ตาลง


“กฎหมายสงครามเกี่ยวข้องกับสหพันธรัฐ มาตรา 22 วรรคที่ 1 ชาวโลกไม่ควรที่จะใช้กำลังรบมากเกินไปในเขตพรมแขนของสหพันธรัฐ เว้นแต่ว่าจะเป็นเพื่อการทหารหรือการปกป้องตัวเอง มิเช่นนั้นหากว่าพวกเขาสร้างความเสียหายมากเกินไปจากการใช้พลังเกินขอบเขต พวกเขาก็จะถูกจับกุม”


ซอลจีฮูได้พูดต่อ


“เกี่ยวเนื่องกับมาตรา 22 วรรคที่ 1 หากว่าเชลยศึกที่มาจากการต่อสู้ ราชวงศ์อีวาจะเป็นผู้ชี้ขาดในการดำเนินงานต่อไปทั้งหมด ชาวโลกจะต้องไม่ใช้ความรุนแรงทางร่ายกายและจิตใจกับเชลย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ความรุนแรงเพื่อวัตถุประสงค์ใดๆก็ห้ามเด็ดขาด หากพบเห็นผู้ละเมิดจะถูกจับกุมโดยทันที”


คิมฮันนาห์ได้เงียบลงไปเมื่อซอลจีฮูได้เน้นคำว่า ‘ห้าม’ เธอแทบจะพูดอะไรไม่ออกเลย


“เธอก็รู้ว่าฉันไม่ได้พูดถึงกฎหมายที่ไม่ได้มีอยู่จริง”


ซอลจีฮูได้หันสายตาไป และสอดหอกขว้างเข้าไปในเข็มขัด คิมฮันนาห์ได้สงบลงหายใจก่อนที่จะฝืนยิ้มเข้าไปหาซอลจีฮู


“จีฮู ฉันเข้าใจนะว่านายรู้สึกยังไง ฉันเข้าใจจริงๆ แต่ว่านายต้องใช้เวลาคิดให้มากกว่านี้”


“…”


“นายก็รู้นี่ว่าการกระทำของนายมันจะทำให้เกิดผลแบบไหนออกมา”


ซอลจีฮูได้แค่นเสียงขึ้น


“นี่มันเป็นเรื่องที่ยังไม่คิด”


“อะไรนะ?”


“ไม่ใช่ว่านี่คือสิ่งที่เธอต้องการหรอ?”


ลมหายใจของคิมฮันนาห์ได้ชะงักลงไป


“ภาพยามค่ำคืนก็เรื่องหนึ่ง แต่ว่าเราไม่จำเป็นถึงกับขนาดต้องลงไปถึงชั้นใต้ดินของโรงประมูลเลยนี่”


น้ำเสียงของซอลจีฮูนั้นนิ่งสงบ แต่ว่ามันก็ให้ความรู้สึกเย็นชาเหมือนกับคมมีด


“เธอพาฉันไปที่นั่น แสดงให้ฉันเห็นมัน”


ในที่สุดคิมฮันนาห์ก็รู้แล้วว่าอะไรที่แปลกไป


ซอลจีฮูตรงหน้าเธอไม่ใช่ซอลจีฮูที่เธอรู้จัก ท่าทีไร้กังวลตามปกติของเขาได้หายไป และถูกแทนที่ด้วยออร่าปีศาจร้ายอันเย็นชา


มันแทบจะเหมือนกับว่าเขาถูกครอบงำ


เธอได้ทำพลาดไปแล้ว เธออยากที่จะกระตุ้นความโกรธของซอลจีฮู และทำให้เขามุ่งเป้าความโกรธลงไปที่องค์กรทั้งแปดที่ควบคุมอีวา


แต่ปัญหาก็คือเธอคำนวณพลาดไปมาก


เธอไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะชักดาบออกมาในวันแรกที่มาถึงที่นี่


ในความเป็นจริงนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นซอลจีฮูตอนถูก ‘สับสวิต’ หากว่าเธอเคยเห็นเขาอยู่ในสภาพนี้มาก่อนสักครั้ง หรือหากว่าเธอเคยได้ยินที่ฟีโซรามักจะเรียกเขา เธอก็คงจะหยุดลงอย่างเหมาะสมก่อนที่สวิตจะถูกสับไป


“…คิดมากกว่านี้หน่อยนะ”


ถึงเธอจะรู้ว่ามันสายเกินแก้ไปแล้ว แต่เธอก็ยังพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทา


“พวกเราสามารถจะขยายกองกำลัง และค่อยๆกดดันพวกเขาอย่างช้าๆก็ได้นะ ในตอนที่มันถึงเวลา พวกเขาก็จะคลานเข้ามาหาเราด้วยตัวเอง ในตอนนี้เราควรที่จะใช้เวลาตั้งตัวซะก่อน”


แผนของเธอไม่ผิด แต่แค่มันต่างกัน


นอกไปจากนี้พวกเขาไม่มีเวลาแล้ว


ซอลจีฮูได้หยุดสนใจเธอโดยหันไปแกะห่อผ้าสีน้ำเงินที่คลุมหอกพิสุทธิ์เอาไว้ หอกยังคงหนักอยู่ และเขาก็ยังรู้สึกว่ามันต่อต้านเขา


ซอลจีฮูได้ถอนหายใจ และวางหอกลงไป จากนั้นขณะที่เขากำลังไปเรียกพรรคพวก… เขาก็เห็นไข่สีแดงกำลังนั่งอยู่ตรงกลางประตู


มันมาทำอะไรที่นี่? ในตอนที่เขาคิดแบบนี้…


วูมม! พลังงานไร้รูปร่างได้ระเบิดออกมาจากไข่พร้อมๆกับเสียงดัง


แม้ว่าตาเขาจะมองไม่เห็นไข่ไปแล้ว แต่การไหลของพลังงานก็ได้กระจายออกมาเป็นระลอกคลื่น มันได้ผ่านซอลจีฮูไปสัมผัสกับหอกพิสุทธิ์


วูมมมมมมม! จังหวะนั้นเองก็ได้เกิดปรากฏการณ์แปลกๆขึ้นในตอนที่พลังงานสัมผัสกัน หอกโปร่งใสได้เริ่มมีสีสันขึ้นมา


เพียงแค่ไม่กี่วินาทีแสงสีขาวเงินก็ได้กระจายไปทั่วตัวหอกเหมือนกับสีน้ำ


หอกที่ดูเหมือนกับถูกแกะสลักมาจากน้ำแข็งได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นหอกที่เหมือนกับสร้างมาจากหิมะแทนแล้ว


ซอลจีฮูได้จับหอกพิสุทธิ์ที่กำลังเปล่งแสงสีเงินออกมาโดยไม่รู้ตัว และเขาก็ต้องเบิกตากว้างขึ้นทันที


น้ำหนักและการต่อต้านได้หายไปอย่างสิ้นเชิง หอกมันเบาเหมือนกับเขาถือเส้นก๋วยเตี๋ยว และเขาสามารถจะขยับหอกได้อย่างอิสระตามต้องการ


นอกเหนือจากนี้เขาก็ไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอะไรอีก แต่ว่าสิ่งสำคัญก็คือในตอนนี้เขาใช้หอกพิสุทธิ์ได้แล้ว


ซอลจีฮูได้จ้องไปที่ไข่สีแดง


จนถึงตอนนี้ไม่ใช่ว่ามันแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเขามาตลอดหรอกหรอ แล้วถ้างั้นทำไมมันมาอนุญาตให้เขาใช้หอกเอาตอนนี้ล่ะ?


คำตอบนั่นก็ง่ายมา ภูติอาคัสเป็นผู้ตรวจสอบที่คอยตรวจสอบการกระทำของเจ้าของ และอนุญาตให้ใช้หอกได้ตามความเหมาะสม


‘เข้าใจแล้ว’


ดวงตาของซอลจีฮูเป็นประกายออกมา นี่มันคงจะหมายความว่าภูติอาคัสเห็นด้วยกับเขา


“อะไรกัน? เราจะไปสู้กับใครงั้นหรอ?”


“เกิดอะไรขึ้น?”


เพื่อนร่วมทีมของเขาได้รีบวิ่งขึ้นมาก่อนที่จะถูกเรียกเพราะเสียงการกระเพื่อมของพลังอันรุนแรง


“ฉันมีบางอย่างอยากจะพูด”


ซอลจีฮูได้พูดออกมาอย่างสงบ


ทุกๆคนที่รู้ถึงบรรยากาศได้เงียบลงไป ยี่ซอลอาก็ได้มองซอลจีฮูด้วยสีหน้าเป็นกังวล


“พวกนาย… เชื่อฉันแล้วตามฉันมาสักครั้งได้ไหม?”


นี่เป็นคำพูดที่กระทันหน โชฮงกับฮิวโก้ได้แสดงสีหน้าประมาณว่า ‘นี่นายพูดบ้าอะไร?’


แต่นั่นก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น หลังจากพวกเขาเห็นชุดเกราะกับหอกในมือของซอลจีฮู พวกเขาก็หันไปสบตากัน


และจากนั้นก็เดินหายไปพร้อมๆกัน


ไม่นานนักพวกเขาก็ได้กลับมาพร้อมชุดเกราะ และอาวุธเต็มตัว


“…เอาล่ะ”


โชฮงได้ยกแท่งเหล็กหนามพาดบ่า และพยักหน้าออกมา


“ไปกันเถอะ”


เธอได้ตอบตกลง


“ฉันไม่รู้นะว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ว่านายต้องมีเหตุผล ไปกันเถอะ ไว้ค่อยมาอธิบายทีหลัง”


ฮิวโก้ก็ยังบิดคอพยักหน้าเห็นด้วยออกมา


ซอลจีฮูได้สร้างความเชื่อมั่นขึ้นมานับตั้งแต่ที่ป่าแห่งการปฏิเสธแล้ว


มาแชล จิโอเนียที่ยืนกอดอกอยู่ก็ยังพยักหน้าและเดินหายไป เขาคงจะไปเตรียมอุปกรณ์เช่นเดียวกัน


“มันเพิ่งจะวันแรกเองนะ… หาววว”


มาเรียได้หาวออกมาราวกับเธอไม่ได้สนเลย


“เจ้าหมอนี่มันเอาอีกแล้ว…”


จะมีก็แค่ฟีโซราที่แสดงสายตาสงสัยออกมา


ซอลจีฮูได้เดินไปข้างหน้า ขณะที่เขากำลังจะออกไป เขาก็เห็นจางมัลดงยืนอยู่เงียบๆ และหยุดลง


“นายจะไปจริงๆงั้นหรอ?”


“…ไม่ได้หรอครับ?”


“ชาวโลกจะมองนายเป็นคนบ้า”


น้ำเสียงของเขาฟังดูหนักหนา มันเหมือนกับว่าจางมัลดงกำลังห้ามปรามเขา


‘ฉันบ้างั้นหรอ?’


ซอลจีฮูรู้ดี


[โลกที่ผู้คนใฝ่หาเพียงแต่อิสระภาพและความสำเร็จของตัวเอง ล่ะทิ้งซึ่งศีลธรรมและความรับผิดชอบ โลกที่เป็นพิษร้ายจากการเอาแต่ใจ]


พาราไดซ์จะไม่เปลี่ยนไปเพราะแบบนี้


สิ่งที่องค์กรทั้งแปดทำ วิธีการที่ราชวงศ์ตอบสนอง และมุมมองของชาวโลกในเรื่องนี้ ทั้งหมดนี่มันชัดเจนอยู่แล้ว


บางคนอาจจะบอกว่าเขาแสร้งทำ บางคนก็อาจจะประนามในสิ่งที่เขากระทำลงไป


แต่ว่า…


[มันเป็นเรื่องดีที่นายโกรธกับการสูญเสีย การดูถูกตัวเองและมองย้อนดูการกระทำของตัวเองมันไม่ใช่เรื่องผิด ทั้งหมดนี่เป็นสิ่งที่ดี แต่ว่า-]


[แต่ว่า… นี่คือทั้งหมดแล้วหรอ?]


โลกนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงหากว่าเขาอยู่นิ่ง


ทำกับคนอื่นเหมือนกับที่เขาทำกับคุณ นี่คือสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มาที่งานจัดเลี้ยง


เขาได้บอกกับซอกกูนีร์แล้ว เขาจะไม่อยู่เฉย


ในระหว่างสงครามตอนที่เขากำลังจะยอมแพ้กับความสิ้นหวัง เขาได้ละทิ้งทุกๆอย่างและตัดสินใจออกมา นั่นคือเขาจะไม่ทนมันอีกต่อไป


สำหรับซอลจีฮู ชาวโลกคือคนบ้า


สำหรับชาวโลก ซอลจีฮูก็ควรจะเป็นคนบ้า


พาราไดซ์ก็บ้าเหมือนกัน


และมันมีแต่จะจมดิ่งลงไปในความบ้าคลั่งเท่านั้น


ถ้างั้นก็ได้เลย ให้มันเป็นแบบนั้นแหละ ต่อให้เขาจะกลายเป็นคนบ้า-


[พวกชั่วที่ละทิ้งหน้าที่ และไม่แม้กระทั่งจะร่วมสงคราม การเห็นพวกเขาเชิดหน้าชูตามันไม่ทำให้นายขยะแขยงเลยหรอ?]


[พวกสารเลวที่แอบวางแผนทำลายคนอื่นเพื่อความสนใจของตัวเอง นายไม่อยากจะจับพวกมันมาฆ่าทิ้งให้หมดหรอ?]


เขาจะเผชิญหน้ากับพวกมันโดยไม่หลบเลี่ยงอีกต่อไปแล้ว


[นายไม่คิดจะกลายเป็นราชาบ้างหรอ?]


ในตอนนี้มันถึงเวลารักษาสัญญาที่เขาได้ทำไว้กับตัวเอง และคนอื่นๆได้แล้ว


“…ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมกำลังทำนี้มันถูกไหม”


เขาได้พูดออกมาอย่างสงบ


“แต่ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่จะต้องทำ”


“นายบอกว่าสิ่งที่จะต้องทำสินะ…”


จางมัลดงได้เน้นย้ำในสิ่งที่ซอลจีฮูพูด และก้าวถอยไป


“ระวังตัวด้วย”


เมื่อได้ยินแบบนี้ ซอลจีฮูได้โค้งตัว และเดินก้าวออกไป ความหวังของคิมฮันนาห์ที่หวังให้จางมัลดงหยุดซอลจีฮูได้พังทลายลงไปแล้ว


“อ่า… นี่เธอไปทำบ้าอะไรกับเขากัน…”


ฟีโซราได้เกาหัวอย่างแรงก่อนจะหันไปสะกิดคิมฮันนาห์ที่กำลังสับสน


“ว่ายังไงล่ะ? ฉันขอเอาอุปกรณ์คืนได้ไหม? เร็วเข้าสิ”


คิมฮันนาห์ไม่ได้ตอบกลับมา ในตอนนี้เธอกำลังมองออกไปที่บันไดอย่างเหม่อลอย


ซอลจีฮูกำลังมุ่งหน้าไปที่โลกที่ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตัวเขาเอง


ไม่นานนักเมื่อเขาเดินผ่านประตูออกไป คิมฮันนาห์ก็ได้หลับตาแน่น


ความตายได้ถูกกำหนดแล้ว


***


สมาชิกปาร์ตี้ทั้งหกคนได้เดินตัดผ่านความอันอ้างว้าง ผ่านถนนยามราตรีมุ่งหน้าไปสู่เขตชานเมืองที่ที่โรงประมูลตั้งอยู่


อาคารซอมซ่อได้ปรากฏให้เห็นจากไกลๆ


โชฮงกับฮิวโก้ได้เดินอยู่อย่างเงียบๆ มาแชล จิโอเนียได้ใส่กระสุนหน้าไม้ และมาเรียได้รีบร่ายเวทย์ออกมา


“นายจะเอาจริงๆสินะ?”


ฟีโซราได้ถามอีกครั้งด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ นี่มันเป็นครั้งที่แปดแล้ว


“นายแน่ใจนะ?”


ครั้งที่เก้า


“นายรู้ใช่ไหมว่าการทำแบบนี้คือการประกาศสงครามกับองค์กรทั้งหมดในอีวา? นายมั่นใจว่านายรับมือ-“


ฟีโซรายังไม่ทันได้พูดจบประโยคเลย นั่นเพราะสายตาของซอลจีฮูได้มองมาที่เธออย่างไม่พอใจ


แม้ว่าเขาจะไม่พูดอะไรออกมา แต่ว่าเจตนาของเขาได้ถูกส่งมาแล้ว


ถ้าถามออกก็ออกไปซะ


“ฮึ่ม ฉันก็แค่เป็นห่วงนายเท่านั้นเอง”


ฟีโซราได้บ่นออกมาอย่างไม่พอใจ และเธอก็ได้เปลี่ยนเป้าความโกรธไปลงที่อาคารซอมซ่อตรงหน้าแทน


ก่อนจะรู้ตัวพวกเขาก็ได้มาอยู่ตรงหน้าอาคารแล้ว เพราะการที่พวกเขาเดินมาตรงๆโดยไม่หลบซ่อนใดๆทำให้ยามที่เฝ้าอยู่ที่หน้าทางเข้าหันมามองในทันที


แทนที่จะถามอีกเป็นครั้งที่สิบ ฟีโซราที่กำลังบ่นได้ชักดาบยาวออกมาจากฝักแทน


“ก็ได้ แต่บอกไว้ก่อนเลยนะ นายเป็นคนต้องการแบบนี้เอง”


ซอลจีฮูได้ค่อยๆพยักหน้าออกมา


ต่อจากนั้นบรรยากาศรอบตัวเธอก็ได้เปลี่ยนแปลงไปในทันที เธอได้หยุดและงอเข่าลงไป


ในอีกด้านหนึ่ง


“เจ้าพวกนี้เป็นใคร?”


หนึ่งในยามที่เห็นถึงความเป็นปรปักษ์ได้ก้าวออกมา


“ตรงนั้นน่ะ-“


ฟุบ! แต่ว่าก่อนที่เขาจะได้พูดจบก็เกิดลมรุนแรงพัดออกมา ยามได้มองไปตามสัญชาตญาณ และเห็นดาบยาวในมือของหญิงสาวกำลังลอยอยู่อย่างสง่างาม


ฉั๊วะ! คมดาบได้ตัดผ่านเป้าหมายเหมือนกับเต้าหู้ และในเวลาเดียวกันเลือดก็ได้ไหลออกมา


“…”


ภายในแค่พริบตาเดียวร่างกายของยามก็ตกลงไปบนพื้น ยามที่อยู่ด้านหลังได้อ้าปากค้างออกมา


“อะไร-“


ตูม! ใบหน้าของเขาได้ถูกระเบิดไปก่อนจะรู้ตัว สิ่งสกปรกที่ผสมด้วยเลือดกับสมองได้กระจายออกไปทั่ว เหลือยามเพียงแค่สองคนเท่านั้นที่มองมาอย่างสับสน


ตรงนั้นมีชาวหนุ่มกำลังสะบัดแขนอยู่ และกลุ่มของพวกเขาที่กำลังใกล้เข้ามา


พวกเขาก็ยังเห็นหอกมานาสองเล่มลอยเข้าใส่พวกเขาด้วยความเร็วอันน่ากลัวอีกด้วย


ตูม ตูม!


ด้วยเวลาที่ต่างกันเพียงเสี้ยววินาที หัวของพวกเขาก็ระเบิดออกเหมือนกับลูกโป่ง ทันทีที่เสียหัวไป ร่างกายของพวกเขาก็ล้มลงไปกับพื้นทีล่ะคน


จุดเริ่มต้นพายุอันน่ากลัวได้โหมกระหน่ำออกมาจากร่างของซอลจีฮู จิตสังหารอันรุนแรงที่ถูกยับยั้งเอาไว้มาตลอดได้ถูกปลดปล่อยออกมาเป็นอิสระ


และเพราะแบบนี้…


“เราจะทำการฝังกลบ”


ในค่ำคืนแรกที่มาถึงอีวาของพวกเขา…


“ทุกคน”


คาเพเดี่ยมภายในคำสั่งของซอลจีฮู…


“กำจัดพวกมันให้หมด”


…ได้เปิดฉากปะทะกับองค์กรทั้งแปดในอีวา


บทที่ 247 – อีวายามค่ำคืน (2)


โรงประมูล Vip เป็นสถานที่ที่เรียกว่าที่เก็บสมบัติ


มีสินค้าล้ำค่าที่คนทั่วไปไม่อาจเอื้อมได้ถูกนำมาจัดแสดงมากมาย และด้วยความจริงข้อนี้ผู้จัดการโรงประมูลจึงต้องลงแรงไปกับการเฝ้าระวังภัยที่แห่งนี้เป็นอย่างมาก


นี่เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนเลยจากการที่ชาวโลกได้กระโดดออกมาเต็มไปหมด และนักธนูก็ได้ประจำตำแหน่งบนหลังคาในทันทีที่เกิดความวุ่นวายที่หน้าทางเข้าโรงประมูล


“หืม? เจ้าพวกนี้มันอะไรกัน?”


อีกฝ่ายมีคนแค่ครึ่งโหลเท่านั้นเอง


นักธนูคนหนึ่งกำลังใช้ธนูเล็งออกไปอย่างไม่แยแส


แต่แล้วในตอนที่เขาพาดลูกธนู และเปิดใช้งานสายตาพันไมล์ เขาก็ได้เห็นมันอย่างชัดเจน


…ชายผมเทากำลังเล็งหน้าไม้สีขาวมาที่ตัวเขาอย่างแม่มยำ


ทันทีที่เขาตระหนักถึงความผิดพลาด-


ฉึก!


ร่างกายของนักธนูได้สั่นออกมา ทั้งธนูและลูกธนูไปหลุดจากมือเขาไป จากนั้นร่างกายของเขาก็โซเซไปมาก่อนที่ท้ายที่สุดจะเสียการทรงตัวและตกลงไปจากหลังคาเหมือนกับหุ่นไม้… พร้อมด้วยลูกศรที่ปักอยู่หว่างคิ้ว


นักธนูอีกคนที่หยิบเอาคริสตัลสื่อสารออกมาหลังจากเห็นความวุ่นวายได้แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา


และในวินาทีต่อมาที่หน้าผากของเขาก็ได้ถูกปักเอาไว้ด้วยลูกศพเช่นเดียวกัน


นี่คือจุดเริ่มต้นเพียงเท่านั้น


ฉึก ฉึก! ร่างกายได้ตกลงมาจากหลังคาในทุกๆครั้งที่มีเสียงลมแหวกผ่านอากาศดังออกมา


ด้วยทักษะการซุ่มยิง และการเติมกระสุนที่รวดเร็ว มันจึงใช้เวลาไม่นานนักก่อนที่ทุกๆคนที่อยู่บนหลังคาจะถูกจัดการ


“คนที่อยู่บนหลังคาทั้งหมดถูกกำจัดแล้ว”


มาแชล จิโอเนียที่ลดหน้าไม้ลงได้พูดออกมา


“โอเค ถ้างั้นเราก็ไม่ต้องกลังเรื่องการถูกยิงแล้วใช่ไหม?”


ฟีโซราได้พูดออกมาอย่างมั่นใจ และหยิบโล่ออกมาตั้งด้านหน้า จากนั้นเธอก็ย่อตัวตั้งท่า


พลังงานความร้อนแปลกประหลาดได้ไหลออกมาจากทั่วร่างของเธอเหมือนกับเธอกำลังโคจรมานา


“ไม่ต้องช่วยนะ!”


หลังจากทิ้งคำเหล่านี้ไว้ ฟีโซราก็ได้พุ่งเข้าไปใส่ฝูงชนตรงหน้าโดยไม่แยแสสักนิด


เธอได้เร่งความเร็วในทันที และเริ่มการปะทะด้วยพลังอันมหาศาลจนราวกับว่าแค่กระทืบพื้นก็ทำให้พื้นร้าวออกมาได้เลย


สภาพของเธอในตอนนี้เหมือนกับกระทิงคลั่งที่พุ่งออกไปจนทำให้อีกฝ่ายที่กำลังวิ่งเข้ามาหาเธอต้องผงะ และลดความเร็วลงไป


แต่ว่าก่อนที่ฝูงชนจะได้แยกตัวหลบเธอ ฟีโซราก็กระทืบเท้าถีบตัวออกไปด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม


“ย่าห์!”


ตูม!


“อ๊ากกก!”


ชาวโลกได้กระเด็นลอยออกไปพร้อมกับเลือดทั่วร่างทันที


ยังไม่หมดเท่านั้น


คลื่นกระแทกของการปะทะได้กระจายออกมาจนถึงขนาดทำให้หลายคนต้องเสียสมดุล และลมลงไป


และหญิงสาวผมสีแดงก็ได้กระโจนเข้าใส่ฝูงชน


“อย่า~!”


ดาบยาวอันงดงามของเธอได้ตัดผ่านคอของคนที่อยู่ตรงหน้า


“มาโทษฉัน~!”


และกระทืบใบหน้าของคนที่ล้มอยู่…


“ที่เป็นคนไร้ปราณี~!”


ปัง!


เธอได้ใช้โล่กระแทกเข้าใส่ใบหน้าอีกคนหนึ่งที่พยายามรักษาสมดุลเอาไว้


ฟู่!


ต่อมาเปลวเพลิงสว่างก็ได้ถูกจุดขึ้นจากดาบยาวของเธอ ฟีโซราได้เหลือบมองซ้ายขวาด้วยรอยยิ้มพึงพอใจก่อนจะส่งเสียงออกมา


“ฉันแค่จะเปิดทางเท้านั้นเอง~!”


ฝูงชนรอบๆตัวเธอได้รีบแยกกันออกไปด้านข้างในทันที สายตาของพวกเขาดูเหมือนกับกำลังมองไปที่คนบ้า


ฟีโซราได้ยิ้มออกมา และเปลี่ยนท่าจับดาบใหม่ ซอลจีฮูที่มองดูสถานการณ์อยู่ได้ค่อยๆเดินต่อไป


ไม่มีอะไรให้ต้องพูดถึงทักษะของฟีโซราสักนิดเลย เธอคือแรงค์เกอร์ระดับสูงที่แท้จริงซึ่งได้รับการยอมรับจากจางมัลดง ที่เธอบอกให้เขาไปก่อนนั่นคงจะเพราะเธอมั่นใจ


ซอลจีฮูได้ผลักประตูเข้าไปข้างในอาคารโดยไม่ลังเลเลยสักนิด


ภายในนั้นยังคงมืดสนิท ที่สุดทางเดินก็มีบันไดนำไปสู่ชั้นที่สองอยู่


มาแชล จิโอเนียได้พูดขึ้น


“ดูจากภายนอกแล้วที่นี่เหมือนจะมีสามชั้น หากว่าผู้จัดการอยู่ข้างในมันก็เป็นไปได้สูงที่เขาจะอยู่ชั้นบนสุด”


แน่นอนว่านี่มันไม่ได้หมายความว่าไม่ได้มีคนอยู่ที่ชั้นหนึ่งเลย


เมื่อตัดสินจากความวุ่นวายที่ด้านนอก มันก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาจะมีปฏิกิริยากันยังไงแม้ว่าจะสายหน่อยก็ตาม


“ผมจะจัดการตรงนี้เอง”


มาแชล จิโอเนียได้หันหน้ากลับไป และคุกเข่าลงข้างหนึ่งในทันทีที่มาถึงตรงกลางบันได


ความตั้งใจของเขาก็คือจะคอยขัดศัตรูที่จะตามพวกเขาไป เนื่องจากการถูกล้อมสองฝั่งมันไม่ใช่เรื่องดีเลย


ซอลจีฮูไม่ได้พูดอะไรเลยสักนิด และเดินขึ้นบันไดต่อไป


จะมีก็แต่มาเรียหยุดลง และไม่ได้ตามซอลจีฮูไปหลังจากสบตากับเขา เธอได้จับอาร์ติแฟคไม้กางเขนเอาไว้ และหมุนคอกลับมา


“ผมไม่ต้องการให้ช่วยหรอกนะ”


มาแชล จิโอเนียได้พูดออกมาตรงๆโดยไม่กระทั่งจะสบสายตาของเธอ


มาเรียได้หัวเราะออกมา


“นายคงจะมั่นใจมากเลยสินะ?”


มาแชล จิโอเนียได้ยกหน้าไม้ขึ้น และเล็งลงไปที่ทางลงบันได เขาได้ยิ้มยิงฟัน และใช้มานาเสริมพลังให้กับหน้าไม้


“ผมรับมือไหว”


“ฉัน…”


เขาได้เล็งหน้าไม้จากซ้ายไปขวา


ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!


ลูกศรหน้าไม้ได้พุ่งออกไปเป็นชุดพร้อมๆกันกับที่ศัตรูเผยตัวออกมาจากทางเดิน


“ใครมัน…อั๊ก!”


ในทันทีที่คนๆนั้นตะโกนออกมา เขาก็ถูกลูกศรหน้าไม้ปักเข้าที่อกกับน่องขาไปแล้ว แรงปะทะของหน้าไม้มันมากพอที่จะทำให้คนถูกยิงต้องตัวสะบัดก่อนจะทรุดลงไปกับพื้นได้เลย


ทุกๆคนต่างก็จบลงด้วยการทรุดลงไปกับพื้นในทันทีที่โผล่ออกมา


มาเรียได้ผิวปากขึ้น


“ว้าว สมกับเป็นนักธนูเหล็กกล้าซะจริง นายนี่ส่งพวกเขาไปโลกหลังความตายพร้อมๆกันเลยนี่”


“ผมไม่ต้องการความช่วยเหลือ ขึ้นไปเถอะ”


มาแชล จิโอเนียได้พูดออกมาพร้อมหยิบลูกศรหน้าไม้ออกมาหนึ่งกำมือ เขาได้ใส่ลูกศรลงไปอย่างชำนาญก่นอที่จู่ๆจะมองจ้องไปทางด้านหน้า


“ฉันก็คิดงั้นนะ”


มาเรียได้ยิ้มออกมา จากนั้นก็ชูอาร์ติแฟคไม้กางเขนขึ้นพร้อมร่ายเวทย์


“ลูซู ลู ลูซูร่า”


ในเวลาเดียวกันกับที่บาเรียสีขาวได้ถูกสร้างขึ้นก็มีลูกธนูจำนวนมากมายยิงมาจากทางหน้าประตู และปะทะเข้ากับบาเรีย


“เจ้าโง่ นายคิดว่าศัตรูมีแค่นักรบงั้นหรอ?”


“…”


“เอาเถอะนะ ยัยบ้าพวกนั้นคงเอาแต่เล่นจนปล่อยเจ้าพวกนี้หลุดมานั่นแหละ”


มาแชล จิโอเนียได้หัวเราะออกมาเบาๆ


“ก็จริง ผมก็คิดว่าเธอก็น่ากลัวอยู่หน่อยนะ”


เขาได้ยอมรับนิ่งๆ และจัดการกับศัตรูตรงหน้าไปทีละคน


มันยังไม่จบ ทางเดินได้เริ่มวุ่นวายมากยิ่งขึ้นเมื่อฝ่ายศัตรูได้เห็นซากศพของพวกเดียวกันเอง


มาแชล จิโอเนียก็ได้เล็งหน้าไม้ออกไปอีกครั้งหนึ่ง มาเรียก็ยังคงรักษาสภาพบาเรียเอาไว้ และพูดออกมาอย่างชัดเจน


“นายก็รู้ไหมว่าแค่ฆ่าเจ้าพวกนี้มันไม่สนุกเลยสักนิด เพราะงั้นเรามาพนันกันสักหน่อยไหม? นายก็มีเงินอยู่ตั้งเยอะ เพราะงั้นเรามาตั้งเดิมพันสูงๆกันหน่อยดีกว่านะ”


“พนัน”


“ทุกๆครั้งที่มีคนมาถึงบาเรียของฉัน นายจะต้องให้เงินฉัน 200 เหรียญเงินต่อคน”


“แล้วถ้าผมไม่ปล่อยให้มีใครสักคนมาถึงมาเรียล่ะ?”


“ถ้างั้นฉันก็จะให้ไข่ทองคำกับนายแล้วกัน”


“นั่นมัน…”


มาแชล จิโอเนียได้ยกหน้าไม้ขึ้นกระชับระดับไหล่ เมื่อเขาปรับสายตาให้เข้ากับศูนย์เล็งที่เขาปรับแต่งมาด้วยตัวเองแล้ว เขาก็เผยเขี้ยวออกมา


“…ก็ไม่ได้แย่อะไร”


และพร้อมๆกับคำพูดนั้นลูกศรหน้าไม้อันน่ากลัวก็ได้พุ่งออกไป และเสียงร้องดังสนั่นก็ได้ดังไปทั่วทั้งชั้นหนึ่ง


ในเวลาเดียวกัน


ซอลจีฮู โชฮง และฮิวโก้ก็ได้เดินขึ้นบันไดไปอีกชั้นหนึ่ง


“ผู้บุกรุก!”


พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับกลุ่มศัตรูที่กรูกันออกมาจากประตูทางด้านซ้ายขวาราวกับรออยู่แล้ว


บันไดไปสู่ชั้นสามอยู่ที่สุดทางเดินตรงกลาง พวกเขาจะต้องเดินผ่านทางนี้เพื่อขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง


“จากที่ดูเจ้าพวกนี้มันก็แค่กลุ่มก้อนแมลงเม่าเท่านั้นเอง”


โชฮงได้ถูมือเข้าด้วยกันและเดินไปทางเดินทางซ้าย


“ฉันจัดการทางซ้ายเอง”


“ถ้างั้นฉันจัดการทางขวา”


ฮิวโก้ก็ยังก้าวออกไปทางขวาในทันที


พวกเขาได้จับอาวุธแน่น และบิดคอไปมา


“ซอล พวกเราจะเปิดทางให้ เพราะงั้นนายตรงขึ้นไปชั้นสามได้เลย”


หลังจากพูดแบบนี้โชฮงก็หันไปมองฮิวโก้


“อยากจะพนันกันหน่อยไหมว่าใครจะปล่อยคนไปหาซอลได้น้อยที่สุด?”


“ฉันเอาด้วยถ้าเธอไม่ใช่ความสามารถของแรงค์เกอร์ระดับสูง”


“ขี้ขลาด”


“ใช่แล้ว ฉันมันขี้ขลาด”


พวกเขาได้ล้อกันเล่นขำๆ แต่ว่าการเคลื่อนไหวของพวกเขามันอันตรายเป็นอย่างมาก นี่คือวิธีในการคลายความเครียดของพวกเขาก่อนที่จะเริ่มการต่อสู้


“อะ ไอ้เจ้าพวกนี้มันอะไรกัน?”


ชาวโลกที่อยู่ใกล้พวกเขาที่สุดสามารถจะสัมผัสได้ถึงอันตราย และถอยกลับไปด้วยความกลัว


ด้วยแบบนี้ราวกับจะเป็นสวิต ดวงตาของโชฮงและฮิวโก้ได้เปลี่ยนแปลงไป


พวกเขาทั้งคู่ได้พุ่งไปข้างหน้าอย่างดุดันพร้อมๆกัน


โชฮงได้เหวี่ยงแท่งเหล็กหนามเข้าใส่ชาวโลกที่กำลังถอยไปอย่างเต็มแรง


ผั๊วะ!


มันได้กระแทกเข้าใส่ซี่โครงของคนๆนั้นจนทำให้ร่างกายของเขางอ และกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างรุนแรง


“อ๊ากกกกกก!”


เขาได้กรีดร้องลั่นออกมา


“น่ารำคาญ”


เมื่อโชฮงยกไม้กระบองขึ้นมาอีกครั้งก็มีเศษเนื้อติดขึ้นมาด้วย ร่างกายชายที่ติดอยู่กับกำแพงในที่สุดแล้วก็ไหลลงมา


“พวกนายคิดอะไรอยู่ถึงเอาแต่ดู แล้วไม่ยอมเข้ามากันล่ะ?”


ฮิวโก้ได้ชี้ไปข้างหน้า และเยาะเย้ยพวกเขาออกมา ชายคนหนึ่งได้พุ่งเข้ามาด้วยความโกรธ และตะโกนออกมา


“เชี้ย จัดการพวกมัน!”


ด้วยคำพูดนี้ได้ทำให้คนนับยี่สิบได้พุ่งเข้ามาพร้อมๆกัน ถึงด้วยพื้นที่ทางเดินที่แคบทำให้ไม่เหมาะกับการต่อสู้เป็นกลุ่มเลย แต่พวกเขาก็เสียเปรียบทางด้านจำนวนอย่างสิ้นเชิงอยู่ดี


ถึงแบบนั้นโชฮงกับฮิวโก้ก็เคยต่อสู้กับศัตรูที่มากกว่าตัวเองเป็นสิบเท่ามาแล้วหลายต่อหลายครั้ง และครั้งหนึ่งยังเคยต้องปะทะกับกองทัพที่หนึ่งอันเกรียงไกรของเหล่าปรสิตอีกด้วย


“ฮ่าห์”


โชฮงได้แค่นเสียง และก้าวออกไปข้างหน้า


เธอได้ใช้ไม้กระบองฟาดเข้าใส่หน้าของชายที่พุ่งเข้ามาโดยไม่คิดเหมือนกับเป็นนักเบสบอลที่ตีลูกโฮมรัน


ในทันทีที่ชายคนนั้นถูกฟาดออกไป เธอก็ได้บิดแขนกลับ และฟาดเข้าขมับคนที่อยู่ด้านหลังของเธออย่างเต็มแรง


ผั๊วะ!


เธอรู้สึกได้เลยถึงความรู้สึกที่หัวของศัตรูแตกออกมาเหมือนกับเป็นลูกแตงโม


สำหรับฮิวโก้ก็เป็นเช่นเดียวกัน


“โฮ่”


เขาได้เอียงหัวหลบดาบยาวที่ถูกเหวี่ยงออกมามั่วๆ และจับแขนของเจ้าของดาบเอาไว้


“ย่ะห์!”


เมื่อฮิวโก้ก็แรงบิดแขนนิดหน่อย แขนของชายคนนั้นก็บิดผิดรูปไปทำให้ดาบยาวหลุดออกจากมือเขา


ไม่ว่าชายคนนี้จะร้องหรือไม่ก็ตาม ฮิวโก้ก็ได้จับคอของชายคนนี้ และยกขึ้นมาไว้ตัวหน้าของตัวเอง


ฮิวโก้กำลังใช้เขาเป็นโล่มนุษย์ และในมืออีกข้างก็ยื่นง้าวเปล่งประกายออกมา หัวหอกที่แหลมคมได้แทงทะลุคนตรงหน้า….


“อืมมมม!”


และในขณะที่ฮิวโก้เบิกตากว้าง พร้อมกับงอแขน หัวหอกก็ได้แทงทะลุร่างของชายคนนั้นจนมิด และทะลุไปโดนคนข้างหลังอีกคนหนึ่ง


แนวศัตรูที่พุ่งเข้ามาไม่หยุดค่อยๆล้มลงไปทีละคน


ภาพนี่มันค่อนข้างจะแปลกตามาก


ผู้คนนับสิบพยายามที่จะกดดันพวกเขา แต่ฝ่ายคนนับสิบกลับถูกกดดันกลับไปด้วยคนเพียงแค่สองคนเท่านั้นเอง


“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? นี่พวกเขาเป็นสมาชิกขององค์กรจริงดิ? ไม่ใช่ว่าเจ้าพวกนี้เป็นแค่ยามทั่วๆไปหรอกหรอ?”


พวกเขากระทั่งมีเวลามาพูดคุยสบายๆในระหว่างต่อสู้ด้วยซ้ำไป


นี่มันก็เป็นเรื่องธรรมดา


คนเหล่านี้อย่างมากก็แค่เข้าร่วมปฏิบัติการหรือการสำรวจที่ค่อนข้างปลอดภัยของเมืองอีวาเท่านั้น อย่างที่อันตรายที่สุดที่พวกเขาทำก็เป็นแค่การออกล่าคนจากสหพันธรัฐกลุ่มเล็กๆ


มันเป็นธรรมดามากที่ชาวโลกที่ใช้ชีวิตไปวันๆเหมือนกับเล่นเกม จะไม่มีวันเอาชนะนักรบจากฮารามาร์คที่ต่อสู้กับพวกปรสิตโดยเอาชีวิตเข้าแลกได้


เพราะแบบนี้ทำให้ซอลจีฮูสามารถจะเดินผ่านทางเดินไปได้สบายๆโดยไม่ต้องเหวี่ยงหอกเลยสักครั้ง แต่ทันใดนั้นเองคิ้วของเขาก็กระตุกขึ้นมา


เขามองเห็นนักธนูสองคนที่กำลังจะยิงธนูใส่เขาจากสุดทางเดิน


ในทันทีที่เขายกแขนซ้าย และโคจรมานาออกมา หอกสีน้ำเงินสี่เล่มก็ได้พุ่งออกไปจากฝ่ามือของเขา


การพัฒนาความสามารถขึ้นทำให้ในตอนนี้เขาสามารถจะขว้างหอกออกไปได้อย่างแม่นยำ และทรงพลังโดยไม่ต้องตั้งท่าอะไรแล้ว


นักธนูดูเหมือนจะตกใจกับหอกมานาที่พุ่งทะลวงผ่านอากาศมา แต่ว่าพวกเขาก็ไม่ได้ขยับเลยสักนิด


นั่นก็เพราะว่ามีแผ่นแสงสีขาวปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขาแทบจะทันที


ตึง ตึง ตึง


บาเรียได้ป้องกันหอกเอาไว้ได้สามเล่ม แต่ก็ไม่อาจจะทนเล่มที่สี่ได้ และหายไปหลังจากถูกฉีกขาดเหมือนกระดาษ


ซอลจีฮูได้หรี่ตาลง


‘นักบวช?’


ด้วยการเสริมสร้างสายตาของเขาให้พัฒนาขึ้นไปมากหลังจากกินฟินิกซ์สายลมทองคำทำให้เขาสามารถจะมองเห็นชาวโลกที่สวมใส่ชุดคลุมสีขาวได้ทันที


เขาได้แค่นเสียงออกมาก่อนจะยิงหอกมานาออกไปด้วยสีหน้าที่พูดว่า ‘ลองกันอีกอันสิ’


“อึก!”


นักบวชที่กำลังโซเซได้เริ่มกระอักเลือดออกมา…


‘นี่มันเป็นไปไม่ได้…!’


… และเธอก็ต้องตกใจอย่างหนักเมื่อเห็นหอกมานาอีกอันกำลังลอยเข้ามาหาเธอ


‘มานาของฉันคือปานกลาง (ต่ำ) นะ…!’


เนื่องจากว่าเธอยังอยู่แค่ระดับ 3 มันจึงไม่ได้ต่ำเลย แต่ว่ามานาของซอลจีฮูคือ สูง (สูง)


มันเป็นความแตกต่างที่มากจนไม่อาจจะเอามาเทียบกันได้เลย


แถมเธอก็ไม่ได้มีอาร์ติแฟคไม้กางเขนหรือมีเวลาให้ร่ายเวทย์ใหม่อีก ในตอนนี้มันไม่มีอะไรที่เธอทำได้อีกนอกจากค่อยๆมองดูหอกมานาลอยเข้ามาหาเธอด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ


“นี่มัน…!”


ฉึก


นักบวชได้ถูกหอกปักเข้าที่กลางท้อง


“โกง-“


แรงปะทะของหอกได้ส่งให้เธอลอยออกไปจนกระแทกเข้ากับบันได


ซอลจีฮูได้ลดแขนซ้ายลงก่อนจะลังเลออกมา


ชายคนหนึ่งที่ผ่านโชฮงกับฮิวโก้มาได้โดยบังเอิญกำลังมองไปรอบๆอย่างสับสน


ซอลจีฮูได้หันกลับไปมองด้วยสายตาสมเพช ชายคนนี้ทำอะไรไม่ถูกในระหว่างการต่อสู้ เขากำลังลังเลอยู่ มันชัดเจนมากว่าเขาขาดประสบการณ์การต่อสู้จริง


ขณะที่เขากำลังลังเล คอของเขาก็ถูกหอกมานาเป่าจนหายไปแล้ว


ซอลจีฮูได้ผลักซากศพไร้หัวออกไป และค่อยๆเดินหน้าต่อ


จำนวนของศัตรูได้ลดลงไปกว่าครึ่งในพริบตาเดียว


ซอลจีฮูได้เดินผ่านทางเดินที่เต็มไปด้วยการสังหารอย่างราบรื่น เขาได้ผ่านซากศพของนักธนูสองคน และในที่สุดก็มาถึงจุดที่นักบวชที่มีอยู่อยู่ตรงท้องกำลังนอนอยู่


เธอดูเหมือนกับจะไม่ได้ตายไปในทันที แต่ตัดสินจากอาการชักของเธอ เธอคงกำลังตกอยู่ในอาการช็อคอยู่


ซอลจีฮูได้ยกเท้าขึ้นอย่างเฉยเมย


กร๊อบบ!


เขาได้บดขยี้หน้าอกของนักบวชก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปด้วยเท้าที่โชกไปด้วยเลือด


ไม่นานนักซอลจีฮูก็ได้ขึ้นมาถึงชั้นที่ 3 แล้ว


บทที่ 248 – อีวายามค่ำคืน (3)


ฮิวจ์ โรดริโก้


เขาเป็นชาวโลกที่รับผิดชอบในการดูแลจัดการโรงประมูล Vip ในตอนนี้เขากำลังนอนกอดมนุษย์สัตว์ไร้สติหลับอยู่


ในตอนที่เขาได้มานอนหลังจากจัดการมนุษย์หมาป่าดื้อรั้นจนเกือบตายแล้ว เขาก็ไม่ได้คิดเลยว่าในคืนนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นอีก ในความคิดของเขาแล้ว เขาคงจะตื่นมาในตอนเช้าด้วยความสดชื่น และยิ้มออกมาหลังจากได้เห็นมนุษย์หมาป่าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา เขารู้สึกขอบคุณในพระเจ้ามากที่ทำให้เขาได้มาในโลกที่เหมือนขุมทรัพย์นี้


เขาไม่คิดเลยสักนิดว่าคืนนี้จะต่างไปจากคืนอื่นๆ


มันจนกระทั่งเขาต้องตื่นขึ้นมาจากความวุ่นวายที่ชั้นล่าง


โรดริโก้ได้เบิกตากว้าง และรีบลุกขึ้นในทันทีที่ได้ยินเสียงวุ่นวาย แต่ว่าเนื่องจากนี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรือครั้งที่สองที่เกิดเรื่องอะไรแบบนี้ขึ้นทำให้ไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกเลย


ปัญหาเพียงอย่างเดียวคือเสียงวุ่นวายได้ดังเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว นี่มันหมายความว่าการรักษาความปลอดภัยที่ด้านนอกได้ถูกทะลวงผ่านเข้ามาแล้ว


นี่มันเป็นกรณีที่หาได้ยากมากที่จะมีใครบุกทะลวงเข้ามาในข้างได้ ทำให้โรดริโก้ไม่กล้าจะเมินเฉยอีกต่อไป


“หลี่! หมิน!”


เขาได้ลุกขึ้นจากเตียง และคำรามออกมา ประตูได้ถูกเปิดขึ้นทันทีราวกับตอบสนองต่อเสียงเรียก แต่แทนที่จะมีสองเงาปรากฏ กลับมีแค่เงาเดียวเดินเข้ามาเท่านั้น


“ท่านรู้ตัวช้าไปหน่อยนะ”


เสียงหัวเราะได้ดังออกมาจนทำให้โรดริโก้ถามกลับไปอย่างสับสน


“นาย…”


“อ่า อย่าเข้าใจกันผิดนะ ผมก็เพิ่งจะตื่นขึ้นมาเหมือนกัน”


ชายคนนี้ได้หยักไหล่ออกมา และมองกลับไปที่ประตู


“แต่ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะมาถึงที่ชั้นสองกันแล้ว… ค่อนข้างจะมีฝีมือเลยล่ะ”


ท่าทีเมินเฉยของชายคนนี้ได้ทำให้โรดริโก้สงบลง


‘ฉันคงจะโชคดีงั้นสินะ?’ โรดริโก้ได้คิดกับตัวเอง


ชายหนุ่มตรงหน้าเขาคนนี้คือคนที่จะมาในทุกๆครั้งที่มีการประมูล และจะเรียกร้องอะไรที่ไร้สาระอย่างข้ออ้างที่ว่า ‘ตรวจสอบสินค้า’ แต่สถานการณ์ในวันนี้มันต่างออกไป


โรดริโก้ได้รีบพูดทันที


“นายจะช่วยไหม?”


“แน่นอนสิ แค่ท่านอย่าลืมผมก็พอแล้ว”


ชายคนนี้ได้พูดออกมาพร้อมกับส่งสายตาให้โรดริโก้อย่างดุร้าย แน่นอนว่าโรดริโก้ก็ไม่ใช่คนที่จะไม่เข้าใจอะไร


“เยี่ยม ถ้างั้นก็ช่วยด้วย ฉันจะให้รางวัลอย่างงามเลย”


“พูดถึงรางวัลแล้ว…”


“ฉันไม่อาจจะให้สินค้าไปฟรีๆได้ แต่ว่าจะเป็นราคาที่ถูกมากๆแทน ฉันจะคัดแบบที่นายชอบไว้ให้เลย แบบคนที่นายนอนด้วยคืนนี้เป็นยังไงล่ะ?”


“ผมก็ไม่ได้หวังอะไรฟรีๆหรอก แต่ว่าผมเป็นคนที่ไม่ชอบกินอะไรซ้ำๆด้วยสิ”


เขาได้เลียริมฝีปากออกมา


“พอมาคิดดูแล้วที่ชั้นใต้ดิน…”


โรดริโก้ได้สบถในใจ แต่ว่าเขาก็พยักหน้าออกมาอย่างหมดทางเลือก


“ตราบเท่าที่ไม่ใช่มนุษย์จิ้งจอกก็ไม่มีปัญหา นายไปเลือกเอาได้เลย”


“เยี่ยม!”


ชายคนนี้ได้ระเบิดหัวเราะออกมา


“ท่านช่างเป็นคนใจกว้างซะจริง! เยี่ยม เยี่ยมมาก ผมจะออกไปทำงานเดี๋ยวนี้แหละ เชิญกลับไปพักผ่อนได้ตามสลายเลย”


เมื่อได้ยินคำตอบของเขา โรดริโก้ก็ดูจะผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าตามปกติแล้วชายคนนี้จะน่ารำคาญ แต่ว่าเขาก็คือจิรายุ แมทธิว ตัวหลักและเป็นนักรบระดับ 5 ขององค์กรรอยัลพัทยา นั่นมันหมายความว่าเขาเป็นหนึ่งในชาวโลกที่แข็งแกร่งที่สุดในอีวา


โรดริโก้ได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ว่าเขาก็ได้สติกลับมาได้ในทันที การได้นักรบระดับสูงมาช่วยก็เป็นเรื่องดี แต่ว่าก็คงจะมีแค่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะหวังพึ่งเอาแค่กับชายคนเดียว


“ไม่ ฉันก็มีงานต้องทำเหมือนกัน ยังไงก็ช่วยรีบจัดการกับสถานการณ์นี้ทีนะ”


จากนั้นโรดริโก้ก็ออกไปหยิบคริสตัลสื่อสารมา


จิรายุ แมทธิวก็ยังหันมามอง


“ถึงจะไม่รู้ว่าใครบุกมา แต่ก็ขอบคุณจริงๆนะ”


เพราะผู้บุกรุกทำให้ในตอนนี้เขาสามารถจะได้ทาสต่างเผ่าพันธุ์มาอยู่ในมือได้ในราคาถูกๆ เขาถึงขนาดสามารถจะเลือกทาสได้ตามต้องการอีกด้วย!


พอมาคิดแบบนี้แล้วจิรายุ แมทธิวก็ได้เดินผิวปากออกไปจากห้อง


ที่โถงทางเดินมีหญิงสาวผมยาวหน้าเหมือนกันสองคนกำลังรออยู่


หวังหลี่กับหวังหมิน


พี่น้องฝาแฝดคือองครักษ์ส่วนตัวของโรดิโก้ และจิรายุ แมทธิวก็รู้จักกับพวกเธอเป็นอย่างดี


“ถึงนี่จะเป็นงานของพวกเธอ แต่ให้ฉันจัดการ และสาวๆก็ไปพักดื่มชาเถอะนะ”


จิรายุ แมทธิวได้หัวเราะออกมา


“หรือหากว่าอยากจะแสดงความขอบคุณก็เชิญไปรอฉันที่เตียงก็ได้นะ”


เขาได้พูดล้อเล่น แต่ว่าสองพี่น้องไม่ได้ตอบกลับเลยสักนิด คนหนึ่งได้มองออกไปด้วยสีหน้าเคอะเขิน ในขณะที่อีกคนไม่ได้สนใจเลยสักนิด


จากนั้นเอง เคร๊ง เคร๊ง! เสียงโลหะปะทะกันได้ดังออกมาที่ทางเดินอันเงียบสงบ คิ้วของจิรายุ แมทธิวได้ขมวดขึ้น


“เอาล่ะ ถ้างั้นก็”


เขาได้หันไปมองบันไดพร้อมหยิบขวานมือเดียวกับโล่ขึ้นมา


“มาดูโฉมหน้าฮีโร่ผู้กล้าหาญกันดีกว่า”


ไม่นานนักผู้บุกรุกก็ได้มาถึงชั้นบนของบันได และเผยตัวออกมา จิรายุ แมทธิวที่กำลังตั้งใจยืนมองถึงกลับหลุดหัวเราะออกมา


เขาคิดว่าผู้บุกรุกจะเป็นคนที่มีทักษะอย่างบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ขึ้นมาได้ถึงชั้นสาม แต่ว่าตัดสินจากชุดเกราะซอมซ่อของอีกฝ่ายแล้ว อีกฝ่ายดูเหมือนจะเป็นแค่คนโง่ที่กล้าหาญเท่านั้นเอง


ถึงแน่นอนว่าชุดเกราะมันไม่จำเป็นต้องสะท้อนถึงความสามารถเสมอไป แต่เรื่องที่ว่าพาราไดซ์นี้การมีอุปกรณ์ที่ดีมันหมายถึงพลังก็เป็นความจริงที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้


จิรายุ แมทธิวได้ก้าวเท้าออกไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างร่าเริง


“เฮ้! สหาย!”


เขาได้ทักทายออกมาอย่างเป็นมิตร พร้อมทั้งยกขวานที่มีประกายแสงเย็นชาขึ้น


“ขอบคุณ! ขอบคุณมาก! ขอบคุณที่นาย….?”


สายตาของเขาได้เปลี่ยนไปก่อนที่จะได้ทันพูดจบ นั่นก็เพราะหอกสีน้ำเงินที่ปรากฏขึ้นบนมือซ้ายของผู้บุกรุก และหอกเล่มนั้นกำลังพุ่งเข้ามาหาเขา


จิรายุ แมทธิวได้ยื่นโล่ออกไปรับไว้ทันที ตึง! หลังจากกันหอกมานาแล้ว จิรายุ แมทธิวถึงกับร้องออกมา


เขาป้องกันมันได้แน่ๆ แต่ว่าแขนของเขากลับชาขึ้นมาจนน่าตกใจ


‘เชี้ย ผู้บุกรุกเป็นนักเวทย์?’


แต่ว่าก่อนที่อาการชาจะได้หายไป จิรายุ แมทธิก็ต้องรีบบิดโล่ขึ้นมา


นั่นก็เพราะมีหอกมานาอีกเล่มกำลังพุ่งเข้ามา


“กรอดดด!”


จิรายุ แมทธิวที่ทนรับแรงกระแทกไม่ไหวต้องก้าวเท้าถอยกลับไป แม้ว่าเขาจะพยายามปัดป้องการโจมตีอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ก็ยังมีพลังอันน่าสะพรึงกลัวส่งตรงมาถึงมือของเขา


มันถึงขนาดที่ทำให้เขาต้องปวดข้อมือ


‘บ้าเอ้ย เขาไม่ใช่นักเวทย์ แต่เป็นนักรบที่เพิ่มค่ามานางั้นหรอ?’


ถ้าแบบนี้มันก็เข้าใจได้ว่าทำไมเกราะของเขาถึงอยู่ในสภาพแบบนั้น นั่นเพราะการใช้เกราะหนักจะสร้างภาระให้กับค่าสถานะพละกำลังอันน้อยนิดของเขา


‘อย่างน้อยสุดก็ปานกลาง (ปานกลาง) หรือไม่ก็ ปานกลาง (สูง) ก็ได้’


จิรายุ แมทธิวได้กัดฟันฝืนทนความเจ็บปวดเพื่อวิเคราะห์ศัตรู ระดับสมรรถภาพร่างกายของศัตรูน่าจะต่ำกว่าตัวเขา เขาจะเสียเปรียบในการต่อสู้ระยะไกล และจำเป็นต้องผลักดันให้เกิดการต่อสู้ระยะประชิดขึ้น


จิรายุ แมทธิวได้ทิ้งอาวุธลง และคลำไปที่รอบเอว ในทันทีที่เขาจับที่จับที่อยู่บนเข็มขัดได้ เขาก็เหวี่ยงมันออกไปข้างหน้าสุดแรง


ฟิ้ววว ขวานมือขนาดเล็กได้ลอยคว้างเข้าไปใส่ศัตรู


ยังไงก็ตามศัตรูได้หมุนแขนซ้ายอย่างสงบ โล่ทรงกลมได้ที่ถูกสร้างขึ้นจากข้อมือเขาได้บังคับให้ขวานมือต้องกระเด็นออกไป


‘เชี้ย ถึงขนาดมีอาร์ติแฟคด้วย?’


สีหน้าของจิรายุ แมทธิวได้กลายเป็นบิดเบี้ยวไป แต่ว่าเขาก็ยังไม่หยุดขว้างขวานมือ


ถึงมันจะเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่เขาก็เชื่อว่าเขาสามารถจะจัดการศัตรูได้ง่ายๆหากเขาเข้าไปใกล้ศัตรูได้


เล่มที่สอง เล่มที่สาม… ขวานทุกๆเล่มที่เขาขว้างออกไปต่างก็ถูกป้องกันเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย แต่ว่าเขาก็ยังไม่หยุด


และเมื่อเขาได้ขว้างขวานเล่มที่สีออกไป เขาก็ได้หยิบอาวุธขึ้นมาอีกครั้ง และถือโล่พุ่งไปข้างหน้า


พลังงานได้พุ่งขึ้นมาจากโล่ของเขา เขาได้วางแผนเอาไว้ว่าจะสร้างช่องว่างขึ้นด้วยขวานมือที่ขว้างออกไป และจากนั้นก็จะพุ่งไปใช้โล่ที่เต็มไปด้วยพลังมานากระแทกเข้าใส่ศัตรู


แต่กลับผิดไปจากที่เขาคาดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง ศัตรูไม่ได้ป้องกันการพุ่งเข้าใส่ของเขาด้วยหอกมานาเลย


ถึงแบบนั้นยังไงเขาก็เข้ามาประชิดศัตรูได้สำเร็จแล้ว


“ย๊ากกก!”


จิรายุ แมทธิวได้เหวี่่ยงอาวุธในมือขวาออกไปในทันทีที่เห็นศัตรูยังคงยืนนิ่ง จากนั้นเองทันทีที่เขาฟาดอาวุธลงไป หอกของศัตรูก็เริ่มเคลื่อนไหว


เคร๊ง! คมขวานได้ปะทะเข้ากับด้ามหอกจนทำให้เกิดประกายไฟกระจายไปทั่ว


จิรายุ แมทธิได้รีบดึงขวานกลับไป และเริ่มทุบกระหน่ำขวานออกไปอย่างบ้าคลั่ง เขาได้วางแผนที่จะใช้พละกำลังเอาชนะศัตรู


ในตอนแรกจิรายุ แมทธิวได้คิดว่าทุกๆอย่างได้เป็นไปตามแผน เขาเป็นคนที่โจมตีอยู่ฝ่ายเดียว ในขณะที่ศัตรูจะต้องคอยพะวงไปกับการรับการโจมตี


แต่จู่ๆสถานการณ์ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างกระทันหันหลังจากที่ขวานมือเล่มที่หกที่เขาขว้างออกไปถูกกันเอาไว้


นั่นคือในตอนที่เขาได้เห็นหอกของศัตรูเป็นครั้งแรก และยังเป็นตอนที่เขาได้รู้ตัวว่านับตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ ศัตรูยังไม่ได้ขยับไปไหนเลยแม้แต่ก้าวเดียว


จากนั้นจิรายุ แมทธิวที่กำลังจะโจมตีครั้งที่เจ็ดออกไปได้ร้อง ‘อ๊ะ’ ออกมา นั่นมันเพราะหอกของศัตรูได้เปลี่ยนจากป้องกันเป็นโจมตี


ขณะที่คมขวานของเขากำลังฟันลงไป คมหอกสีขาวก็ได้แทงสวนเข้ามาใส่เขา


เคร๊ง!


“เฮือก!”


ปากของจิรายุ แมทธิวได้อ้าค้างออกมา แค่การโจมตีเพียงครั้งเดียวขวานที่เขาต้องใช้เงินมหาศาลซื้อมาก็กระจายออกเป็นชิ้นๆ


จิรายุ แมทธิวได้รีบบดตัวเพื่อหลบหอกออกไป แต่ระหว่างนั้นเขาก็ต้องเสียสมดุลไป เขาพยายามที่จะด้ามหอกที่ผ่านตัวเขาไปเพื่อรักษาสมดุล แต่แล้วเขาก็ถูกเตะเข้าที่ท้องอย่างแรง


“อั๊ก-!”


เขาได้ถูกส่งลอยออกไปกระแทกพื้นด้วยสภาพไม่น่ามอง


เขาพยายามที่จะตั้งท่าใหม่ และลุกขึ้นอยู่ แต่จู่ๆเขาก็ต้องกระอักเลือดออกมา ดวงตาของเขาได้เบิกกว้างขึ้น


เขารู้สึกได้ถึงลมที่กระทบท้องของเขา เมื่อเขาก้มลงไปมองโดยไม่รู้ตัว เขาก็ได้เห็นเกราะหนาถูกบดขยี้เข้ามา


ฝ่ามือของเขาฉีดขาดจนเลือดหยุดลงพื้น ส่วนขวานที่เขาเคยถือก็ตกลงอยู่ที่ไหนสักจุดไปแล้ว


ตอนนี้เองดวงตาของจิรายุ แมทธิวถึงได้เริ่มสั่นเทาขึ้นมา


‘มานาอะไรกัน…!’


ตึก ตึก เสียงฝีเท้าได้ดังกังวาลไปทั่วโถงทางเดิน


เมื่อจิรายุ แมทธิวได้เงยหน้ามองขึ้นไปสบกับสายตาไม่แยแสของศัตรู เขาก็ต้องสะอึกออกมา


“พวกเธอกำลังทำบ้าอะไรกันอยู่!?”


เขาได้ตะคอกใส่หวังหลี่ กับหวังหมินอย่างไม่พอใจ


‘ไม่ใช่ว่านายบอกว่าจะจัดการเองหรอกหรอ?’ หวังหลี่ได้แค่นเสียงออกมา เธออยากจะสบถด่าชายหนุ่มดังๆ แต่เธอก็รู้ดีว่าการทะเลาะกันในระหว่างการต่อสู้มันไม่มีอะไรดีเลย


หวังหลี่ได้โยนดาบยาวสำรองไปให้กับจิรายุ แมทธิว และพึมพำมออกมาอย่างเย็นชา


“รีบขึ้นลุกซะ”


จากนั้นเธอก็ค่อยๆหันไปมองทางศัตรู


ชิ้ง! สองฝาแฝดได้พาดดาบเข้าด้วยกัน จากนั้นก็พุ่งแยกกันออกไปทางซ้าย และขวา


จิรายุ แมทธิวก็รีบลุกขึ้นยืน และชักดาบยาวที่เพิ่งจะได้รับมา จากนั้นเองขณะที่เขากำลังจะแสดงพลังใช้ปราณดาบออกไป จู่ๆเขาก็กลายเป็นสับสน


“ดะ เดี๋ยวก่อน!”


สองฝาแฝดอยู่ในระดับ 4 ที่ทรงพลังกันทั้งคู่ แต่ว่านี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ มีอยู่สิ่งหนึ่งที่จิรายุ แมทธิวได้เรียนรู้มาจากการต่อสู้เมื่อครู่นี้


มานา สมรรถภาพร่างกาย อุปกรณ์ เขาด้อยกว่าศัตรูในทุกๆด้าน


ศัตรูจะต้องเป็นระดับ 5 หรือบางทีอาจจะระดับ 6 ด้วยซ้ำไป


นี่คือสิ่งที่จิรายุ แมทธิวเชื่อ


ต่อให้พวกเขาสามคนจะร่วมมือกันก็อาจจะยังไม่พอเอาชนะผู้บุกรุกได้เลย ยิ่งเมื่อเห็นตำแหน่งของสองฝาแฝด จิรายุ แมทธิวก็ต้องรีบตะโกนออกมา


“เฮ้! เจ้าพวกปัญญาอ่อน!”


ในเวลาต่อมาหวังหลี่กับหวังหมินก็ได้ถีบตัวพุ่งเข้าใส่พร้อมๆกัน คนหนึ่งลอยเข้าใส่ ในขณะที่อีกคนย่อตัวพุ่งเข้าใส่ พวกเธอได้เสียดแทงดาบยาวออกไปพร้อมๆกัน


แต่แม้ว่าทั้งคู่จะแสดงการผสานงานอันยอดเยี่ยม และเฉียบแหลมออกมา ผู้บุกรุก ซอลจีฮูก็ยังคงนิ่งสงบ


จากการปะทะกับนักรบผู้ใช้ขวานก่อนหน้านี้ได้ทำให้ซอลจีฮูรู้แล้วว่าทำไมจางมัลดงถึงได้บอกว่ามีความแตกต่างระหว่างแรงค์เกอร์ระดับสูงที่แท้จริง กับแรงค์เกอร์ระดับสูงเทียม


เขายังรู้อีกด้วยว่าทำไมในตอนนั้นฟีโซราถึงได้เอาชนะเขาได้ง่ายนัก


ศัตรูของเขาไม่รู้วิธีต่อสู้ พวกเขารู้ก็แต่ใช้พลัง และความสามารถพุ่งเข้าใส่ตรงๆโดยพึ่งแค่เพียงหน้าต่างสถานะ


มันแทบจะเหมือนกับการคลิ๊กแค่เมาส์ซ้าย โดยไม่สนใจควบคุมตัวละครในเกมสักนิด


และกระทั่งตอนนี้มันก็ยังเป็นอยู่ แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกเลยที่ซอลจีฮูได้เผชิญหน้ากับรูปแบบการผสานการโจมตี แต่ว่าเขาก็มองการเคลื่อนไหวของศัตรูออกอย่างชัดเจน ทั้งคู่กำลังพุ่งเข้ามาโดยเล็งที่คอกับเอวของเขาอย่างชัดเจน


เมื่อรู้การเคลื่อนไหวของศัตรูแล้ว การจะจัดการก็เป็นเพียงเรื่องง่ายดาย ซอลจีฮูได้บิดตัวก่อกวนการโจมตีของฝ่ายตรงช้าม และแทงหอกเข้าใส่ดาบยาวที่เล็งใส่คอของเขา


หวังหมินได้รีบตวัดดาบลงทันทีเพื่อโต้กลับ แต่ซอลจีฮูก็ได้กระจายมานาออกไปทั่วร่าง และกระทืบเท้า


คลื่นนน! หวังหวินได้ผงะไปกับแรงกระแทก ก่อนที่จะคลื่นปราณพัดกระเด็นจากแรงระเบิดของปราณที่ปะทะกันของอาวุธทั้งสอง


ในเวลาเดียวกันกระแสไฟฟ้าสีทองที่ถูกจุดขึ้นจากปลายเท้าของซอลจีฮูก็ได้ปกคลุมร่างของเขาทันที


‘จบได้แล้ว’


เมื่อเขาคิดแบบนี้ ซอลจีฮูก็พุ่งออกไปเหมือนกับสายฟ้าผ่านคู่ฝาแฝดไป


จิรายุ แมทธิวที่กำลังเตรียมการโจมตีครั้งถัดไปได้เบิกตากว้างขึ้นมา


หลังจากทิ้งภาพติดตาสีทองเอาไว้ ซอลจีฮูที่ลอยอยู่กลางอากาศก็ดึงหอกกลับมา ไม่ต้องเป็นอัจฉริยะก็คิดออกมาเมื่อไหร่ที่หอกพุ่งลงมาร่างของจิรายุ แมทธิวก็จะต้องขาดครึ่งอย่างแน่นอน


จิรายุ แมทธิวที่ตอนแรกไม่รู้ว่ามอนสเตอร์อันน่ากลัวจะมาหาเขาก่อนได้รีบแทงดาบออกไปด้านหน้าทันที แม้ว่าเขาจะตกใจเกินกว่าจะคิดอะไรได้ทัน แต่เขาก็ได้โจมตีโดยพนันทุกๆอย่างเอาไว้กับการเคลื่อนไหวสุดท้ายนี้แล้ว


แต่ว่าเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรจากดาบเลยสักนิด ไม่มีแม้กระทั่งแรงปะทะอะไรเลยสักนิด


ขณะที่ดาบของเขาทะลวงผ่านความว่างเปล่าไป จิรายุ แมทธิวก็ได้เห็นหอกค่อยๆถูกดึงกลับไปอย่างชัดเจน


เหตุผลที่เขาไม่เห็นการโจมตีก็เพราะว่าปลายหอกได้ฟาดเข้าที่คางของเขาแล้ว


หลังจากที่คางถูกกระแทก จิรายุ แมทธิวก็ได้ตัวลอยขึ้นมา


และหลังจากเขาตกถึงพื้น คมหอกก็ได้แทงทะลุชุดเกราะที่ทรุดโทรมของขาจนมาถึงท้อง


“อั๊ก!”


ตึก แขนของจิรายุ แมทธิวได้ตกลงกับพื้น เคร๊ง และเสียงกระแทกของดาบตกลงพื้นก็ดังออกมา


ซอลจีฮูได้บิดใบหอก ก่อนที่จะตวัดขึ้นเต็มแรง คมหอกได้ตัดผ่านหน้าอก ลำคอ จมูก และหัวของเขาจนขาดครึ่ง


ซากศพของนักรบระดับ 5 ได้ถูกตัดแบ่งครึ่่งอย่างหมดจด


ยังไม่หมดเท่านั้น ซอลจีฮูรู้สึกเสียวขึ้นที่คอ


เมื่อเขาได้ดึงหอกกลับมา เขาก็เหวี่ยงมันออกไปในแนวนอนทันที ฉั๊วะ! ความรู้สึกของการตัดเฉือนเนื้อได้ถูกส่งกลับมาที่มือของเขา


และเมื่อเขาหันกลับไปมอง เขาก็ได้เห็นหัวที่ถูกตัดกำลังลอยอยู่


“หลี่!”


ซอลจีฮูได้ยื่นมือซ้ายออกไปหาหวังหมินที่กำลังร้องไห้ หอกมานาได้พุ่งเข้าไปปักหวังหมินไว้กับกำลังแพงทันที


จากนั้นซอลจีฮูก็ใช้ประกายสายฟ้าพุ่งตามเข้าไปแทงเข้าที่หน้าอกของเธออย่างรวดเร็วอีกครั้งหนึ่ง


“อ๊ากกก!”


การถูกหอกปักไว้กับกำแพงได้ทำให้หวังหมินสำลักเลือดออกมากองโต


ขณะที่เธอจ้องมองศัตรูด้วยสายตาที่สั่นเทา ซอลจีฮูก็ถามขึ้นอย่างสงบ


“ผู้จัดการอยู่ที่ไหน?”


แทนที่จะตอบกลับ หวังหมินได้วางมือเอาไว้บนกระเป๋าแทน จากนั้นเมื่อเธอกำลังดึงมันออกมาก็ต้องเบิกตากว้าง-


ตูม! หมัดของเธอได้บดขยี้ใบหน้าของเธอโดยตรง


เนื่องจากว่าหมัดของเขาได้เต็มไปด้วยพลังมานาอันน่ากลัวจึงส่งผลให้นอกจากหัวของเธอถูกบดขยี้ ยังทำให้กำแพงด้านหลังถูกทำลายไปอีกด้วย


เลือดได้กระจายออกไปจนทั่ว และรูที่หัวก็ได้ถูกสร้างขึ้นมา


แม้ว่าซอลจีฮูจะค่อยๆลดมือลงอย่างช้าๆ แต่ว่าร่างกายของเธอก็ยังไม่ตกลงมา กล่องเสียงของเธอได้ส่งเสียงอู้อี้ออกมาสองสามวินาทีก่อนที่จะเงียบง่ายไป


ร่างกายของเธอได้ทรุดลงไป


เธอได้เสียชีวิตลงไปแล้ว


ซอลจีฮูได้สูดหายใจเข้าปอดเอาไว้โดยที่หอกพิสุทธิ์ยังคงแทงเข้าไปในศพอยู่ เขาได้มองกลับไปที่ศพของศัตรูทั้งสามคน


ผู้เชี่ยวชาญทั้งสามคนซึ่งมีนักรบระดับ 5 อยู่หนึ่งในนั้นได้ถูกทำลายลงไปด้วยมือของเขา


บทที่ 249 – อีวายามค่ำคืน (4)


ซอลจีฮูได้ถอนหอกกลับมา และพึมพำเงียบๆ


“…อ่อนแอ”


นอกจากสองฝาแฝดแล้ว เขาก็ไม่เข้าใจเลยว่าชายคนนี้กลายมาเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงได้ยังไงกัน แต่ว่าในตอนนี้เขาได้วางคำถามที่ไร้คำตอบเอาไว้ก่อน และเดินไปที่ห้องในชั้นนี้แทน


แต่ถึงแม้ว่าเขาจะค้นทุกๆห้องจนละเอียดแล้ว เขาก็ไม่เห็นตัวผู้จัดการเลย จะเห็นก็มีแต่มนุษย์สัตว์สองคนที่นอนเป็นศพอยู่เท่านั้นเอง


จากนั้นเมื่อเขาได้พิจารณาถึงความวุ่นวายที่ก่อขึ้นมาแล้ว การที่ผู้จัดการไม่แสดงตัวออกมาจนถึงตอนนี้มีความหมายได้เพียงแค่หนึ่งในสองทางเท่านั้น หนึ่งคือผู้จัดการกำลังซ่อนตัวอยู่ หรือไม่ก็หนีไปแล้ว


ในตอนนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเท้าดังมาจากบันได


โชฮง ฮิวโก้ และมาเรียได้ปรากฏตัวออกมาทีล่ะคน


ในหมู่พวกเขาไม่มีใครดูจะบาดเจ็บเลยสักนิด จะมีก็แต่แก้มมาเรียที่แดงเหมือนกับเธอจะโกรธอยู่มากๆ


โชฮงได้ยกแท่งเหล็กหนามขึ้นมา และสะบัดไปมา


“โอ้ จับตัวหัวหน้าได้แล้วหรอ?”


“ฉันหาเขาไม่เจอ”


“เขาคงซ่อนอยู่แน่ อีกไม่นานเดี๋ยวก็เจอเองแหละ ที่ทางเข้ามียัยบ้าคนหนึ่งเฝ้าอยู่นี่นา”


“แล้วคุณมาแชล จิโอเนียไปไหนแล้วล่ะ?”


“ค้นอาคารอยู่ เขาบอกว่าเขาจะไปตรวจดูว่ามีใครซ่อนอยู่ไหม”


ซอลจีฮูได้คิดกับตัวเองก่อนจะก้าวเดินออกไป ยังไงเขาก็ต้องไปที่นั่น


เขาได้เดินลงไปที่ชั้นหนึ่ง จากนั้นก็เดินต่อไปที่ชั้นใต้ดิน และมันก็เป็นอย่างที่เขาคิด


“เยี่ยม เยี่ยม พวกกลุ่มคนบ้า… ยังดีที่สินค้าไม่เป็นไร แน่นอนว่าสินค้าที่สำคัญที่สุดก็ยัง…”


ผู้ชัดเจนที่เขาเคยเห็นมาก่อนกำลังถือคริสตัลสื่อสารเอาไว้อยู่ โดยที่ยังใช้มืออีกข้างบีบแขนมนุษย์จิ้งจอกเอาไว้อีกด้วย


เขารู้สึกถึงสายตาของซอลจีฮูไหมนะ? ผู้จัดการได้หันกลับมาก่อนจะสะดุ้งตัวใจ


“มะ ไม่มีทาง! จิรายุ แมทธิวไปไหน…!?”


เมื่อซอลจีฮูได้ก้าวออกไปข้างหน้า ผู้จัดการก็รีบทิ้งคริสตัลสื่อสารลง


“แก..!”


ในที่สุดเมื่อจำซอลจีฮูได้ ฮิวจ์ โรดริโก้ก็ได้ก้าวโซเซถอยไป จากนั้นดวงตาเขาก็เป็นประกาย และรีบยกแขนมนุษย์จิ้งจอกวัยรุ่นขึ้นมา


“ถะ ถอยไปนะ!”


เมื่อเห็นลมหายใจอ่อนแรงของมนุษย์จิ้งจอก สายตาของซอลจีฮูได้กลายเป็นประกายขึ้นทันที


“แกคงจะมาเพื่อสินค้านี่ใช่ไหม?”


ปุ๊ ปุ๊ ปุ๊! ซอลจีฮูได้เปิดใช้งานต่างหูเฟสติน่าสามครั้งโดยไม่ลังเลสักนิด


“แกคิดว่าฉันจะส่งให้แกง่ายๆงั้นหรอ!? ฉันจะฆ่าพวกมันทั้งหมด แล้วก็…!”


ฟิ้ว! สายลมรุนแรงได้พัดออกมา และโรดริโก้ก็หรี่ตาลง


มีแรงกดบางอย่างกดลงมาที่อกของเขา แต่ว่าเขาก็สบัดหัวและพูดต่อ


“สร้างคุณค่า…?”


ก่อนที่จะหยุดพูดลงด้วยสีหน้าสับสน


“…”


เขาได้ลดสายตาลง และหามนุษย์จิ้งจอกไม่เจอ


เมื่อเขาแอบกรอกตากลับขึ้นมา เขาก็ได้เห็นซอลจีฮูอีกครั้งหนึ่ง ซอลจีฮูกำลังอุ้มมนุษย์จิ้งจอกเอาไว้ในอ้อมแขนก่อนที่โรดริโก้จะได้ทันสังเกต


โรดริโก้ตกใจมาก เขายังไม่เห็นชายหนุ่มขยับเลยด้วยซ้ำ


แม้กระทั่งมนุษย์จิ้งจอกก็ยังเงยหน้ามองด้วยความประหลาดใจเช่นกัน


ปากของโรดริโก้ได้อ้ากว้างค้าง


“โชฮง ฮิวโก้”


ซอลจีฮูได้พูดขึ้นพร้อมทั้งค่อยๆวางมนุษย์จิ้งจอกลงไป


“อย่าได้ให้เขาหนีรอดไปได้ ถ้าเขาพล่ามเรื่องไร้สาระก็จัดการตามเห็นสมควรได้เลย”


“ครับผม!”


ฮิวโก้ได้ตะโกนออกมาพร้อมหมุนแขนเป็นวงกลม


ซอลจีฮูได้มองกลับไปที่กรงเหล็ก และยกหอกพิสุทธิ์ขึ้นมา ความโกลาหลที่กระทันหันได้ดึงความสนใจของเผ่าพันธุ์ต่างๆที่ถูกจับเอาไว้


ซอลจีฮูได้เหวี่ยงหอกใส่กรงที่ใกล้ที่สุดก่อน ฟิ้ว หอกพิสุทธิ์ได้ตัดผ่านโลหะเหมือนกับเต้าหู้ดังคาดไว้


เมื่อกรงเหล็กได้ถูกตัดขาดครึ่งก็ได้ทำให้เกิดรูโหล่ขนาดใหญ่ขึ้นที่ด้านบน ตรงนั้นเขาเห็นมนุษย์จิ้งจอกที่แขนขาถูกล่ามไว้ด้วยโซ่


เธอคงจะคาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ทำให้เธอผงะถอยไป หูสีซีดของเธอได้ตั้งชันขึ้น และหางของเธอก็กำลังส่ายไหวอย่างอ่อนโยน


ซอลจีฮูได้เดินเข้าไปช่วยตัดโซ่ปล่อยให้เธอกลายเป็นอิสระ


มนุษย์จิ้งจอกที่เป็นอิสระได้บิดตัวส่ายไปมาอย่างรุนแรงราวกับว่าไม่คุ้นชินกับอิสระภาพ


เธอได้ค่อยๆพยุงตัวขึ้นโดยจับกำแพงเอาไว้ และถามออกมาด้วยสีหน้าสงสัย


“… มนุษย์ นายต้องการอะไร?”


ซอลจีฮูได้พูดออกมาอย่างสงบ


“เรามาช่วยพวกคุณ”


“?”


“พวกเราจะส่งพวกคุณกลับสหพันธรัฐ มันอาจจะยาก แต่ว่าช่วยร่วมมือกับเราด้วย”


การได้รับความช่วยเหลือมันเกินกว่าที่เธอคาดคิดงั้นหรอ? บนใบหน้าของเธอได้เต็มไปด้วยความสงสัยอย่างขัดเจน


แต่ว่าซอลจีฮูก็ไม่ได้มีเวลามาโน้มน้าวเธอ เขาได้ค้นหยิบเอาน้ำยารักษาออกมาจากกระเป๋า และเทมันใส่ปากของมนุษย์จิ้งจอก


“อึก!”


ดวงตาของมนุษย์จิ้งจอกได้เบิกกว้างขึ้น หลังจากที่แทบจะยืนไม่ไหวจากสารพัดการทรมาน ร่างกายของเธอก็ค่อยๆฟื้นคืนกำลังกลับมา


ซอลจีฮูได้หันมองไปรอบๆตัว ภายในชั้นใต้ดินนี้มีกรงอยู่นับสิบที่รอให้เขาจัดการอยู่


“ฮะ เฮ้! เอาไปซะไอ้สารเลว!”


โรดริโก้ได้ตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ


“หุบปาก!”


ผั๊วะ! แต่ว่ามาเรียได้ตบแก้มเขา และตะโกนออกมา


“แกเป็นผู้จัดการใช่ไหม? แกนี่มันเศษสวะจริงๆเลย แกกล้าเรียกว่าการรักษาความปลอดภัยงั้นหรอ? สมองของแกมันมีปัญหาหรือยังไงกัน?”


“อะ อะไรนะ?”


“ไม่มีแม้กระทั่งยามสักคนเข้ามาถึงบาเรียของฉันได้ยังไงกัน? ทำไมแกถึงได้เอาแต่พวกไร้สมองนั่นมาเป็นยามล่ะ? ที่ฉันต้องเสียไข่ทองคำไปก็เพราะแกคนเดียวเลย!”


มาเรียได้ต้มแก้มของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า พร้อมทั้งสบถคำด่าออกมามากมาย โดยไม่ได้สนใจโรดริโก้ที่เต็มไปด้วยน้ำตาเลยสักนิด


ซอลจีฮูได้หันกลับไปยุ่งอยู่กลับการปล่อยตัวเผ่าพันธุ์ต่างๆต่อโดยไม่ได้สนใจพวกเขาอีก เขาได้รีบตัดกรง และตัดโซ่ให้กับแฟรี่ท้องฟ้าที่ตัวสั่นอยู่ตรงมุมกรงทันที


“คุณไม่เป็นไรนะ?”


“อ่า!”


ทันทีที่เขาเข้าไปหาเธอ แฟรี่ท้องฟ้าก็ยกมือกุมหัวหลบเขา ปากของเธอได้อ้าขึ้น แต่ว่าก็ไร้ซึ่งเสียงใดๆดังออกมา เธอดูเหมือนจะกำลังทรมานอยู่กับบาดแผลทางจิตใจที่ได้เผชิญมา


เมื่อมองดูดีๆแล้วเธอก็เป็นคนที่อยู่ในสภาพที่เลวร้ายมากๆ เธอคงจะถูกทุบตีอยู่หลายครั้งจนสภาพเลวร้ายมากเหมอนกับเป็นนักโทษที่ถูกขังไว้ใต้ดิน


ขณะที่ซอลจีฮูกำลังหมดคำพูด แฟรี่ท้องฟ้าอีกคนก็ได้เข้ามาใกล้เธอ และโอบกอดแฟรี่ท้องฟ้าที่กำลังตัวสั่นเอาไว้อย่างอ่อนโยน


“ไม่เป็นไรนะ ทุกๆอย่างจบแล้วลาเซีย พวกเราถูกช่วยไว้แล้ว ตอนนี้พวกเขากลับบ้านได้แล้ว”


ด้วยการปลอบโยนจากเพื่อนเผ่าพันธุ์เดียวกันได้ทำให้อาการตัวสั่นของเธอค่อยๆลดลงไป แฟรี่ท้องฟ้าที่เพิ่งเดินเข้ามาได้ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง


“คุณช่วยรักษาเธอได้ไหม?”


ซอลจีฮูได้หลุดจากความสับสน และเรียกมาเรียเข้ามา นักบวชที่กำลังยุ่งอยู่กับการตบหน้าโรดริโก้ไม่จบไม่สิ้นได้สูดลมหายใจ และตอบกลับคำเรียก


เมื่อเธอได้เห็นสภาพของแฟรี่ท้องฟ้า เธอก็ถึงกับเดาะลิ้นออกมา


“พระเจ้า… ฉันคิดว่าแค่เวทย์ธรรมดาคงไม่พอ ไอ้โรคจิตนั่นมันทำกับเธอขนาดนี้เลยงั้นหรอ?”


“ช่วยทำเท่าที่ทำได้ที”


“ได้ๆ”


เธอได้ค่อยๆร่ายเวทย์ออกมา


ซอลจีฮูได้หันกลับไปช่วยปลดปล่อยนักโทษต่อ คนต่างเผ่าพันธุ์ที่ค่อยๆถูกปลดปล่อยจากกรงได้ค่อยๆเดินโซเซไปล้อมรอบผู้จัดการ


โรดริโก้ที่รู้สึกถึงอันตรายได้รีบพยายามดิ้นรนหลบหนี แต่แล้วก็ต้องนิ่งเงียบไปเมื่อเจอกับหมัดนับสิบของฮิวโก้


เมื่อซอลจีฮูได้ปล่อยทุกๆคนเป็นอิสระ คนต่างเผ่าพันธุ์ส่วนใหญ่ต่างก็ส่งสายตาอันร้อนแรงให้กับซอลจีฮู


พวกเขาไม่ได้โง่ ไม่เพียงแค่ชายหนุ่มจะจัดการไอ้สารเลวที่จับพวกเขาไว้ แต่ชายหนุ่มก็ยังรักษาพวกเขาอีกด้วย พวกเขารู้ว่าซอลจีฮูมาช่วยพวกเขาจริงๆ


แต่ว่าก็มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขาต้องการอย่างมาก


หลังจากได้รับข้อความอันเต็มไปด้วยความปรารถนาอันรุนแรง ซอลจีฮูก็ผงะไป เขาได้เอนหัวมาข้างหน้า และยื่นมือออกมาแสดงท่าทางให้พวกเขาทำตามต้องการ


จิตสังหารอันรุนแรงจากสายตานับสิบได้จ้องลงไปที่จุดๆหนึ่ง มันรุนแรงถึงขนาดที่ทำให้ฮิวโก้ที่กำลังจับคอโรดริโก้อยู่ต้องผงะ


“ฮ่าห์… แกทำร้ายพวกเขาขนาดไหนกันเนี้ย?”


ฮิวโก้ได้ส่ายหัว และโยนโรดริโก้ลงไปที่พื้น


ชายร่างอ้วนได้กลิ้งไปกับพื้น และร้องโหยหวนดังลั่นออกมา เนื่องจากคนต่างเผ่าพันธุ์ได้กระโจนเข้าใส่เขาแทบจะทันที


หนึ่ง สอง สี่ แปด… โรดริโก้ได้ถูกปกคลุมไปด้วยคนต่างเผ่าพันธุ์ที่กระโดดพุ่งเข้าใส่จากทุกทาง มนุษย์สัตว์ได้กระชากผม ควักลูกตา และผ่าท้องเพื่อระบายความโกรธออกไป มันแทบจะเหมือนกับกลุ่มซอมบี้กำลังลุมกินสิ่งมีชีวิต


ซอลจีฮูที่มองอยู่เงียบๆจู่ก็รู้สึกถึงคนที่เข้ามาหาเขา คนๆนั้นก็คือแฟรี่ท้องฟ้าที่แสดงอาการสาหัสก่อนหน้านี้


เธอไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการระบายความแค้น กลับกันเธอได้เดินโซเซเข้ามาหาซอลจีฮู และจับชายเสื้อของเขาเอาไว้เบาๆ


เธอได้คุกเข่ากับพื้นจนแทบจะหมอบคลาย และเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาเธอยังคงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด และสิ้นหวัง แฟรี่ท้องฟ้าได้ค่อยๆรวบรวบความกล้าทั้งหมดพูดออกมา


“ละ ลูก…”


‘ลูก?’


“ลูก… ลูกของฉัน… ได้โปรด…”


เธอได้ร้องไห้ออกมาด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร


‘อย่าบอกนะว่า’


ทันใดนั้นซอลจีฮูก็นึกไปถึงแฟรี่ท้องฟ้าวัยรุ่นที่ถูกนำไปประมูลก่อนหน้านี้


“ลูกของคุณ… เด็กหนุ่ม?”


ซอลจีฮูได้ถามออกมาเพื่อให้มั่นใจ และแสงสว่างภายในดวงตาอันดำมือของแฟรี่ท้องฟ้าก็ได้หวนกลับมา เธอได้พยักหน้าพร้อมกับจับชายเสื้อซอลจีฮูเอาไว้แน่น


แต่ว่าทุกๆคนที่เข้าร่วมการประมูลต่างก็สวมหน้ากากกับผ้าคลุมทำให้ซอลจีฮูไม่รู้ว่าใครเป็นคนสู้ และทำอะไรไม่ถูก จากนั้นเอง


“นี่ครับ”


มาแชล จิโอเนียได้เปิดประตูชั้นใต้ดิน และเดินลงมาพร้อมลากชายหมดสภาพเอาไว้ในมือ คนๆนี้คือคนที่จัดการการประมูล


ดวงตาของซอลจีฮูได้เป็นประกายขึ้นทันที


“เขากำลังซ่อนอยู่ ผมได้ลองสอบสวนดูแล้ว แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่ผู้จัดการ”


“เยี่ยมมาก”


ซอลจีฮูได้รีบตอบกลับ และจับชายคนนั้นขึ้นมา คนๆนี้ดูเหมือนจะถูกอัดอยู่หลายครั้งจนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ


“ถ้ายังไม่อยากตายก็ตอบมา”


น้ำเสียงของเขาเย็นชามากจนซอลจีฮูยังกลัวตัวเอง ชายคนนี้ได้พยักหน้ารัวๆด้วยดวงตาที่เปียกชื้น มาแชล จิโอเนียคงจะจัดการเขาอย่างหนักจนเขาให้ความร่วมมือแน่ๆ


“นายยังจำแฟรี่ท้องฟ้าในการประมูลวันนี้ได้ใช่ไหม? คนที่เป็นเด็กหนุ่ม”


“คะ ครับ! ผมจำได้!”


“ใครเป็นคนซื้อไป? นายรู้จักเขาไหม?”


“ครับ ผมรู้จัก!”


“นายรู้จักสินะ?”


“ครับ! ผมมั่นใจว่าเขาคือสมบัติ ละอองมณี!”


ซอลจีฮูได้ขมวดคิ้วขึ้นมา ชายคนนี้ได้รีบพูดต่อ


“ผมไม่ได้โกหกนะครับ! เขาเป็นแขกของโรงประมูลมานาน แล้วเราก็มีลูกค้าเก่าอยู่มาก! สินค้ารอบนี้ตรงกับรสนิยมคนๆนั้น! ผมคิดว่าแบบนั้นครับ!”


มันดูเหมือนกับเขาจะไม่ได้โกหก ซอลจีฮูได้โยนคนๆนี้ออกไป และเสียงกรีดร้องน่ากลัวก็ดังออกมา


‘สมบัติ ละอองมณี? ฉันไม่เห็นเคยได้ยินชื่อมาก่อน…’


เขาไม่อาจจะไปหาถามชื่อชาวโลกมั่วๆได้เลย เมื่อตระหนักได้ว่าเขาต้องการข้อมูลเกี่ยวกับคนๆนี้ ซอลจีฮูก็ล้วงมือเข้าไปหยิบเอาคริสตัลสื่อสารออกมา และจากนั้น-


“สมบัติ ละอองมณี หัวหน้าหนึ่งในแปดองค์กรของอีวา องค์กรรอยัลพัทยา ธุรกิจหลักของพวกเขาคือการปล่อยเงินกู้กับค้าเกย์ แถมเขายังมีชื่อเสียงในเรื่องการชอบเพศเดียวกันที่เป็นเด็กหนุ่มก่อนที่จะฆ่าหลังจากทำการทรมานแล้วด้วย”


ทันใดนั้นน้ำเสียงอันคุ้นเคยก็ดังออกมาจากด้านหลังเขา เมื่อหันกลับไปมองซอลจีฮูก็ต้องเบิกตากว้าง คิมฮันนาห์เธอกำลังเดินลงบันไดมาด้วยสีหน้าเขินอาย


“รอยัลพัทยามีสมาชิกทั้งหมด 76 คน เป็นระดับ 2 11 คน ระดับ 3 36 คน ระดับ 4 28 คน และระดับ 5 1 คน ระดับโดยเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 3.25 มีนักบวชสองคน ไม่มีนักเวทย์ แกนหลักของพวกเขาคือแรงค์เกอร์ระดับสูง จิรายุ แมทธิว”


เธอค่อยๆเดินลงมาหาซอลจีฮูพร้อมรายงานข้อมูลเกี่ยวกับรอยัลพัทยา หลังจากมองไปรอบๆชั้นใต้ดินแล้ว เธอก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็ถามขึ้นอย่างมุ่งมั่น


“นายจะไปต่อใช่ไหม?”


ซอลจีฮูได้กระพริบตาออกมาอย่างตกใจก่อนจะพยักหน้า คิมฮันนาห์ได้เม้มฝีปากอยู่เล็กน้อย และหยิบเอาสมุดจดออกมาจากกระเป๋า เธอได้ขีดเขียนอะไรบางอย่างลงไป ก่อนจะฉีกมัน และยื่นออกมา มันก็คือแผนที่ไปรอยัลพัทยา


ซอลจีฮูได้มองแผนที่ด้วยสีหน้าแปลกใจ เขายังจำได้ว่าก่อนหน้านี้คิมฮันนาห์ยังขัดเขาอยู่เลย แต่มาตอนนี้เธอก็เปลี่ยนท่าทีไปซะแล้ว


แน่นอนว่ามันก็มีเหตุผลที่ทำให้คิมฮันนาห์ต้องเปลี่ยนท่าทีไป เธอคิดผิดตั้งแต่แรกแล้ว เธอวางแผนไว้ว่าจะนำทางซอลจีฮูไปในทางที่เฉพาะเจาะจง แต่เขาก็ได้ไปผิดทางเรียบร้อยแล้ว


โดยหลักคือซอลจีฮูเป็นคนที่ไม่มีใครควบคุมได้


เพราะงั้นเธอก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องไปทางอื่น คิมฮันนาห์จะต้องเปลี่ยนเป็นปรับตัวตามซอลจีฮู


เรื่องนี้มันได้เกิดขึ้นไปแล้ว และไม่มีทางย้อนกลับ การยุติลงกลางคันจะเป็นตัวเลือกที่เลวร้ายที่สุดที่เธอจะทำ


การทำอะไรสักอย่างมันดีกว่าอยู่เฉยๆ ในตอนนี้เมื่อทุกๆอย่างได้เริ่มวุ่นวายขึ้นมาแล้ว พวกเขาก็จะต้องไปต่อให้จบ มันไม่เพียงแต่จะเป็นสิ่งทีถูกต้องเท่านั้น แต่มันก็ยังเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้


“องค์กรในอีวามีโครงสร้างที่ประกอบด้วย 1 องค์กรแข็งแกร่ง 3 องค์กรระดับปานกลาง และ 4 องค์กรระดับอ่อนแอ รอยัลพัทยาเป็นองค์กรระดับปานกลาง”


น้ำเสียงนิ่งสงบของคิมฮันนาห์…


“ไปซะ ที่นี่ให้ฉันจัดการเอง”


…ได้กลายเป็นเฉียบคมขึ้น


“ก่อนรุ่งเช้านายจะต้องทำลายให้ได้อย่างน้อยหนึ่งองค์กร ทำให้พวกเขาหมดหวังที่จะฟื้นฟูกลับมา จากนั้นเราค่อยมากังวลกันว่าจะเอายังไงต่อ”


“รอยัลพัทยาสินะ”


มาแชล จิโอเนียได้พูดออกมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล


“มันฟังดูไม่ง่ายเลย โรงประมูลก็เรื่องหนึ่ง แต่ว่าการไปโจมตีสำนักงานขององค์กรตรงๆมันน่าจะยากกว่ามาก”


“ไม่เลย มันน่าจะเป็นไปได้อยู่”


คิมฮันนาห์ได้สะบัดผมออกมา


“ไม่ใช่ว่าทุกๆองค์กรได้เริ่มต้นลงทะเบียนกับอีวาตั้งแต่แรก”


นี่มันชัดเจนมาก


“พวกเขาได้ยกกองกำลังต่อสู้กันเพื่อผลประโยชน์ก่อนที่จะได้รับการยอมรับเป็นองค์กร รอยัลพัทยาก็นับเป็นหนึ่งในนั้น”


“มันเป็นไปได้ด้วยหรอ?”


“ย้อนกลับไปแล้วการสร้างองค์กรมันไม่ใช่เรื่องยากเลย จริงๆแล้วอาณาจักรก็ให้การสนับสนุนอีกด้วย แต่แล้วมาตราฐานก็ได้ถูกยกระดับขึ้นมาหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอีวานี่แหละ”


[พูดตามตรงฉันก็ยังสบสนอยู่ ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกเขาถึงทำให้ขั้นตอนซับซ้อนนัก]


[ก็นะ เมื่อก่อนมันไม่ได้เป้นแบบนี้…]


‘อ่า’


ในที่สุดซอลจีฮูก็เข้าใจว่าทำไมคิมฮันนาห์ถึงมั่นใจนัก และทำไมฮ่าวอวิ่นถึงอยากจะมาอีวา


มีความเป็นไปได้สูงว่าแปดองค์กรในอีวาส่วนใหญ่ไม่ได้ทำตามขั้นตอนแบบคาเพเดี่ยม


“จากมาตราฐานของฉันแล้ว ในหมู่องค์กรปัจจุบันในอีวามีแค่สอง หรือสามองค์กรเท่านั้นที่แข็งแกร่งพอจะได้รับการยอมรับเป็นองค์กรในสกีเฮราซาร์ดหรือในฮารามาร์ค”


แปดองค์กรจะน่ากลัวหากว่าพวกเขาร่วมมือกัน แต่ว่าหากเป็นการจัดการกับพวกเขาทีละองค์กรก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้


โชฮงได้พยักหน้าเห็นด้วย


“ใช่แล้ว เจ้าพวกนี้มันก็แค่พวกกุ้งฝอย หากว่าพวกเขาถูกบังคับให้ร่วมสงคราม เข้าพวกนี้ก็จะตายก่อนได้ทำอะไรซะอีก”


“ไม่สิ ฉันพนันได้เลยว่าจะไม่มีใครสักคนตาย”


“?”


“เพราะว่าเจ้าพวกนี้จะวิ่งหนีไปก่อนจะสู้ซะอีก”


โชฮงได้หัวเราะออกมากับคำประชดประชันของคิมฮันนาห์ ในเวลาเดียวกันซอลจีฮูก็ตรวจสอบสถานที่ตั้งในแผนที่ ขณะที่เขากำลังจะเดินออกไป…


“ซอลจีฮู”


คิมฮันนาห์ได้หยุดเขาไว้ด้วยน้ำเสียงเย็นชา


“ถ้านายจะทำมัน ก็ทำมันให้เรียบร้อย”


แม้ว่าเธอจะพูดแบบนี้ เธอก็มั่นใจแล้วว่ามันเป็นชัยชนะของพวกเขา หัวหน้าที่เธอคิดว่าจะเดินไปตามเส้นทางของการเจรจาต่อรอง ได้เลือกเดินไปในเส้นทางผู้พิชิตแทน


นี่มันก็ไม่ได้แย่อะไร


หลังจากได้ไตร่ตรองเรื่องนี้แล้ว เธอตัดสินใจว่าซอลจีฮูสามารถจะเดินไปในเส้นทางนี้ได้อย่างง่ายดาย ยังไงแล้วคาเพเดี่ยมก็ยังมีอาวุธลับที่ยังไม่เปิดเผยต่อโลกอยู่


เว้นแต่ว่าศัตรูจะเอานักบวชแรงค์เกอร์ระดับพิเศษมาก โอกาสชนะส่วนใหญ่ก็จะเป็นของคาเพเดี่ยม


“ฆ่าพวกมันให้แหลก ฉันไม่อยากจะเห็นความปราณีครึ่งๆกลาง”


ซอลจีฮูได้หัวเราะออกมาเบาๆ เขาได้ขยำแผนที่และเริ่มเดินออกไป


“ไปกันเถอะ”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม