The Second Coming of Gluttony 241-245

 บทที่ 241 – ความลับของนพเนตร


ซอลจีฮูได้ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยความโล่งกายสบายใจ


แม้ว่าเมื่อวานเขาจะเหนื่อยมากจนถึงจุดที่ยืนแทบไม่ไหวแล้ว แต่หลังจากได้นอนหลับไปหนึ่งคืน ความเหนื่อยล้าเหล่านั้นก็ได้หายไปเป็นปลิดทิ้ง


เขากระทั่งตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น


ที่เป็นแบบนี้มันอาจจะเป็นเพราะพลังงานที่ไหลเวียนอยู่ในหุบเขานี้ก็ได้


ขณะบิดตัวไปมา ซอลจีฮูก็มองไปรอบๆแล้วยิ้มขึ้น


จางมัลดงรวมไปถึงยี่ซังจิน ฟีโซรา และฮิวโก้ยังคงหลับไหลกันอยู่


แต่ว่าเขามองไม่เห็นซอยูฮุยเลย


‘พี่สาวไปภาวนาแล้วงั้นหรอ?’


เนื่องจากว่าทุกๆคนต่างก็ยุ่งกับการฝึกทำให้มีเพียงซอยูฮุยเท่านั้นที่มีเวลาว่าง


แต่ว่านี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะอยู่เฉยๆโดยไม่ทำอะไรเลย


เมื่อคำนึงถึงการฝึกอันแสนโหดร้ายของแต่ล่ะคนแล้ว เธอจึงทำหน้าที่จัดเตรียมอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการให้พวกเขาในทุกๆวัน แล้วก็ยังซักผ้าที่เปียกไปด้วยเหงื่อของพวกเขาอีก พูดได้เลยว่าเธอเป็นคนที่ทำหน้าที่งานบ้านเป็นส่วนใหญ่


แถมตอนที่เธอว่างเธอก็ยังจะมาเล่นกับซอลจีฮู และใช้เวลาที่เหลือไปกับการภาวนาเพื่อฟื้นฟูพลังอีกด้วย


พลังงานศักดิ์สิทธิ์ได้ถูกรวบรวมมาทีล่ะคิดเพื่อชดเชยสิ่งที่เธอได้ใช้เกินไป แต่ถึงแม้ว่ามันจะเล็กน้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย


ซอลจีฮูได้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกเต็นท์ให้จิตใจโล่งขึ้น จากนั้นเขาก็นั่งไขว่ห้างกับพื้น


หนึ่งในนิสัยที่เขาพัฒนามาในระหว่างการฝึกเทคนิคนั่นก็คือกรให้ความสำคัญกับการโคจรมานาเป็นอย่างมาก


ไม่สิ บางทีตอนนี้มันอาจจะเรียกได้ว่าการบ่มเพาะมานาแล้ว


มันเป็นผลมาจากการที่เขาใช้เวลาทุ่มเทไปกับเทคนิคจิตใจอันชอบธรรมทำให้ซอลจีฮูได้มีประสบการณ์กับความหมายของคำว่า ‘มานาที่บริสุทธิ์จะทำให้เกิดความแข็งแกร่งที่มากขึ้น’


เขาไม่เคยให้ความสนใจมาก่อนเลย และเมื่อได้สัมผัสกับมันแล้วก็เป็นธรรมดาที่เขาจะฝึกมัน


ถึงแม้ว่าเขาจะใช้มานาในปริมาณเท่านั้น แต่เขาจะใช้ก้าวพริบตาไปได้ไกลกว่า แถมพลังงานในการแทง ฟาด และฟันของเขาก็ยังทรงพลังขึ้นอีกด้วย


มานาของเขาจะยิ่งบริสุทธิ์มากขึ้นตามระดับที่เพิ่มขึ้นของหัวใจอันชอบธรรมอย่างที่จางมัลดงบอกเอาไว้จริงๆ นอกไปจากนี้เมื่อเทคนิคหัวใจอันชอบธรรมไปถึงขีดสุดแล้ว มานาของเขาก็จะบริสุทธิ์ไร้ซึ่งสิ่งเจือปนใดๆทั้งสิ้น


แค่คิดแบบนี้มันก็ทำให้เขาตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว


ใช่แล้ว มันมีอยู่หลายวิธีที่จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น และเขาก็มีวิธีการหลายอย่างนั้นอยู่แล้วด้วย มันก็แค่เขาไม่เคยใช้มันมาจนถึงตอนนี้เท่านั้นเอง


‘ดีล่ะ’


หลังจากบ่มเพาะมานาของเขาอยู่สองชั่วโมงด้วยการใช้เทคนิคหัวใจอันชอบธรรมแล้ว ซอลจีฮูก็ลุกขึ้นยืนอย่างสดชื่น


ในตอนนี้มันถึงเวลาที่เขาจะต้องเริ่มการฝึกโดยใส่กระสอบทรายวิ่่งแล้ว


แต่ว่าด้วยเหตุผลบางอย่างซอลจีฮูได้หยิบเอาหอกขว้างและตั้งท่าเตรียมต่อสู้ เขาได้ดึงพลังมานาออกมา ก่อนจะค่อยๆหลับตาลง และเพ่งสมาธิอยู่ภายในจุดตันเถียน


เขาได้ทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ของเขาไปกับการฝึกแล้ว มันมากจนถึงขนาดที่แทบจะหาช่วงเวลาที่เขาไม่ฝึกไม่ได้เลย แต่ว่าความโลภของคนนั้นไร้ซึ่งขีดจำกัด


มีอยู่หนึ่งเป้าหมายที่ซอลจีฮูอยากจะทำให้สำเร็จในระหว่างการฝึกนี้


ปราณดาบ


มันเป็นความสามารถที่อยู่กันคนล่ะระดับกับออร่าที่ดึงพลังงานมาอัดลงไปในอาวุธอย่างสิ้นเชิง


นอกจากนี้ปราณดาบยังเป็นสิ่งที่แยกนักรบระดับ 4 กับนักรบระดับสูงออกจากกัน


เพียงแค่การสร้างปราณดาบได้ก็จะเสริมความทนทานและความคมให้กับอาวุธ นอกจากนี้ยังเพิ่มพลังทำลายที่ออร่าเทียบไม่ติดอีกด้วย


‘การอัดมานาลงไปไม่ใช่คำตอบ’


ในตอนแรก เขาคิดว่าปราณดาบจะคล้ายๆกันกับออร่าที่เขาต้องทำแค่อัดมานาเข้าไปจนกระทั่งมันมองเห็นได้จากภายนอก


แต่ว่านี่สิ่งหนึ่งที่ซอลจีฮูได้มองข้ามไป นั่นก็คือหอกของเขาซื้อมาจากร้านค้าทั่วไป ไม่ใช่หอกน้ำแข็ง


หลังจากที่เขาทำหอกขว้างพังไปสี่เล่ม เขาถึงได้รู้ตัวว่านี่ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง


มันไม่มีทางที่หอกธรรมดาจะทนมานาในระดับที่สูงมากจนน่ากลัวได้


ถ้างั้นเขาควรจะเรียนปราณดาบยังไงกันล่ะ?


หลังจากใช้เวลาคิดอยู่นาน เขาก็คิดไม่ออกเลย ดังนั้นเขาจึงไปขอคำแนะนำจากฟีโซรา แต่ว่าเธอก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้มากนัก


มันอาจจะต่างออกไปหากว่าเธอเรียนรู้เทคนิคนี้ด้วยแต้มคุณูปการ แต่ว่าเหล่าคนที่เรียนรู้ทักษะระดับสูงแบบนี้ด้วยตัวเองจะมีวิธีการแสดงปราณดาบที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ล่ะคน ฟีโซราได้บอกว่าเธอสามารถจะใช้มันได้หลังจากที่สำเร็จเป็นหนึ่งเดียวกับดาบ


เมื่อซอลจีฮูได้ขอให้เธออธิบายรายละเอียดเพิ่มเติม เธอก็โกรธขึ้นมาโดยบอกว่า เธอได้เรียนรู้มันได้เองจากการที่ความรู้สึกเธอกลายเป็นหนึ่งเดียวกับดาบ สำหรับซอลจีฮูแล้ว นี่มันคลุมเครือเอามากๆ


ในท้ายที่สุดเขาก็เหลือแค่ทางเลือกเดียว


‘ฉันน่าจะยังจำความรู้สึกได้’


นั่นคือการพึ่งพาความทรงจำจากร่างกาย


ในตอนที่เขาทำสิ่งใดซ้ำๆร่างกายก็จะจดจำมันเอาไว้โดยสัญชาตญาณ มันก็เหมือนกับที่กล้ามเนื้อจะหดตัวหลังจากถูกเผาก่อนที่สมองจะได้ประเมินความเสียหาย


เทคนิคกับมานาก็เป็นเช่นเดียวกัน ยิ่งใช้มันมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งจะนำกลับมาใช้ใหม่ได้มากเท่านั้น


และในพาราไดซ์ นี่ก็เป็นสิ่งที่สะท้อนออกมาผ่านการเพิ่มระดับ


ตามที่พรรคพวกของเขาได้บอกออกมา ซอลจีฮูได้แสดงพลังการต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวที่เหนือยิ่งกว่าจินตนาการ


แค่เพียงปล่อยมานาออกมา เขาก็จะทำให้อากาศโดยรอบถูกฉีกกระชาก สวรรค์และปฐพีแยกและสั่นสะเทือน แถมเขายังปล่อยคลื่นปราณดาบออกมานับสิบเหมือนกับเป็นของเล่นอีกด้วย


แม้ว่าเขาจะไม่อยากจะเชื่อตัวเอง แต่ว่าก็มีพยานรู้เห็นอยู่มากมาย


ในกรณีนี้ ซอลจีฮูคิดว่าอย่างน้อยร่างกายของเขาก็น่าจะจดจำมันได้


ยังไงสุดท้ายแล้วต่อให้จิตใจเขาจะจำไม่ได้ แต่ว่านิมิตก็ได้ใช้ร่างกายของเขาแสดงทักษะเหล่านี้ออกมา


‘ฉันรู้สึกเหมือนกับฉันพอจะเข้าใจเคล็ดลับ…’


ซอลจีฮูได้ปล่อยใจให้ผ่อนคลาย และว่างเปล่า


10 นาทีได้ผ่านไป


30 นาทีได้ผ่านไป


จากนั้นก็ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมง


เขาได้มาถึงในระดับที่ปราศจากซึ่งสติและความคิด


สมาธิของเขาได้พุ่งขึ้นไปถึงจุดสูงสุด และเขาได้อยู่ในสภาพที่ไร้ซึ่งอัตตา และลบความคิดที่ไม่ได้ใช้งานไปทั้งหมด


ระบบประสาททั้งหมดของเขาได้ไปรวบกันอยู่ที่การไหลเวียนของมานาเพื่อย้อนรอยความทรงจำของเขา


“…”


ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ?


ยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาให้เห็น แต่ว่าซอลจีฮูก็ยังไม่ขยับสักนิด มันแทบจะเหมือนกับว่าเขากำลังหลับอยู่


จากนั้นเอง ตึก มานาของเขาที่ซึ่งไหลผ่านวงจรจู่ๆก็เปลี่ยนแปลงไป


‘มานาของฉัน…!’


ในช่วงเวลาสั้นๆมันได้กระเพื่อมออกมาเหมือนกับมังกรน้ำที่เตรียมตัวกำเนิดใหม่เป็นมังกรที่แท้จริง จากนั้นจู่ๆมานาก็พุ่งขึ้นมาก่อนที่จะก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างอย่างช้าๆ


ในตอนนั้นซอลจีฮูสัมผัสได้ถึงรูปร่างของสายฟ้าที่พุ่งตรงไปที่หอกของเขา เขาก็ลืมตัวขึ้นมา


“อึก!”


ภาพตรงหน้าของเขาได้ถูกย้อมไปด้วยแสงสว่างสีขาว ซอลจีฮูได้หลับตาลงไปตามสัญชาตญาณ และแสดงสีหน้าตกตะลึงในทันทีที่ลืมตากลับขึ้นมาอีกครั้ง


‘แสงสว่างสีทองเพิ่งจะสว่างวาบตรงหน้าฉันหรอ?’


เขาไม่มั่นใจว่าเขาได้เห็นมันจริงไหม บางทีเขาอาจจะคิดผิดไปเองก็ได้


แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามกระบวนกันอันฉับพลันนั้นก็ยังคงอยู่ในใจของเขาอย่างชัดเจน


ซอลจีฮูได้กดขมับและครุ่นคิดกับตัวเอง แทนที่จะไปสนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาได้เลือกสนใจว่า ‘ทำไม’ มันถึงเกิดขึ้นดีกว่า


‘อย่าคิดลึกเกินไป’


หอกของเขาพักก็เพราะมันไม่อาจจะทนกับพลังงานของเขาได้


หอกน้ำแข็งใช้งานได้ง่ายก็เพราะได้รับการเสริมพลังจากเวทมนต์ทำให้สามารถจะทนต่อพลังงานจำนวนมากได้ แต่ว่าหากได้รับพลังงานเกินกว่าขีดจำกัดมันก็พังลงได้เช่นเดียวกัน


เขาอาจจะแก้ปัญหาหอกพังได้ด้วยการซื้ออาวุธที่มีความทนทานสูง แต่ว่าเขาไม่คิดที่จะพัฒนาออร่าด้วยวิธีแบบนี้


นั่นมันหมายความว่าเขาจะต้องแก้ปัญหาที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่


พลังงานที่สามารถจะเปลี่ยนอาวุธธรรมดาให้ไปเป็นอาวุธที่ทรงพลังได้ นี่แหละคือสิ่งที่ปราณดาบเป็น


หรือก็คือเขาต้องไปถึงในระดับที่ต่อให้จะอัดมานาอันแข็งแกร่งเข้าไป หอกที่ซื้อมาจากร้านค้าก็จะต้องไม่พังลง


‘ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว… ทำไมเมื่อตะกี้มานาถึงได้รวมตัวเป็นรูปร่าง…?’


ความรู้สึกเสี้ยววินาทีที่เขารู้สึกในตอนอยู่ในสภาวะไร้อัตตาได้กลายเป็นเข็มทิศนำทาง และชี้เขาไปในทิศทางใหม่


ไม่นานนักซอลจีฮูก็เบิกตากว้างขึ้นมา


‘อ่า!’


ตอนนี้พอมาคิดดูแล้วร่างกายของเขากักเก็บพลังงานที่ทรงพลังแบบนี้ได้ยังไงกัน? ไม่ว่าจะยังไงเหล็กมันก็ควรที่จะแข็งแกร่งกว่าร่างกายของเขาอยู่แล้ว


คำตอบก็คือวงจรมานา มานาของเขาอยู่ในร่างของเขาได้ก็เพราะว่ามันไหลเวียนผ่านวงจรมานา


หลังจากได้ข้อสรุปนี้มาแล้ว ซอลจีฮูก็รีบจับหอกขว้างขึ้นมา


ก่อนที่ความรู้สึกนี้จะหายไป เขาได้รีบเคลื่อนไหวมานาตามที่เขาเพิ่งจะรู้สึกมา


อย่างแรกเขาได้รวบรวมมานาขึ้นมา มันได้ค่อยๆเพิ่มขนาดนี้เหมือนกับลูกบอลหิมะ ก่อนที่จะปรากฏขึ้นเป็นรูปร่างเหมือนก้อนดิน


‘นี่มันยากกว่าที่ฉันคิดอีก…’


ในตอนนี้พอมาลองทำมันทั้งๆที่มีสติอยู่ มันก็ค่อนข้างที่จะยากมาก


การปล่อยมานาออกมาภายนอก และขึ้นรูปเป็นหอกขว้างก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่การขึ้นรูปมันภายในร่างก็ยากไม่ต่างกัน


หลังจากที่พยายามอยู่นาน ในที่สุดแล้วซอลจีฮูก็ขึ้นรูปมานาให้กลายเป็นรูปวงแหวนได้


ซอลจีฮูได้จับหอกขว้างเอาไว้แน่น


‘จากตรงนี้…’


เขาได้ปล่อยวงแหวนที่สร้างขึ้นมาไปทางหอกขว้างเหมือนกับเหวี่ยงแส้ออกไป


วงแหวนได้แทรกเข้าไปในหอกก่อนที่จะไปถึงปลายคมหอก และวนย้อนกลับมาที่จุดเดิม


ทั้งหมดนี้ได้เป็นไปตามความต้องการของซอลจีฮู


และเมื่อวงแหวนมานาย้อนกลับมาที่วงจรมานาของซอลจีฮูหลังจากสร้างวงกลมภายในหอกขว้างแล้ว…


วูม


มีแรงสั่นสะเทือนเบาๆย้อนกลับมาที่มือของเขาด้วยความรู้สึกแปลกๆ


ซอลจีฮูได้เผลอจับหอกแน่นโดยไม่รู้ตัว


นั่นเพราะเขารู้สึกได้


วิธีที่ซอลจีฮูได้คิดขึ้นโดยบังเอิญนั้นเรียบง่ายมาก หากว่าร่างกายของเขาทนต่อมานาได้เพราะวงจรมานา ถ้างั้นเขาก็แค่สร้างวงจรมานาขึ้นมาภายในหอกซะสิ


แน่นอนว่าเขาไม่อาจจะสร้างวงจรมานาจริงๆได้ เพราะงั้นเขาจึงได้พยายามสร้างเส้นทางที่มานาไหลผ่านขึ้นมา


จากวงจรของเขาไปที่หอก จากนั้นจากหอกก็กลับมาที่วงจรของเขา เมื่อเขาได้สร้างการเชื่อมต่อแล้ว เขาก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน


‘ความรู้สึกนี้…’


เขาไม่อาจจะพูดได้ว่าเขากลายเป็นหนึ่งเดียวกับหอก เพราะเขาแค่รู้สึกว่าเขากำลังแบ่งวงจรกับหอกเท่านั้น


แต่ในที่สุดเขาก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมฟีโซราถึงได้ขยายความความรู้สึกของการเป็นหนึ่งเดียวกับดาบ


ในเมื่อเขาได้สร้างการเชื่อมต่อขึ้นมาได้สำเร็จ ตอนนี้มันก็ถึงเวลาทดสอบผลลัพธ์แล้ว


ขณะที่เขาค่อยๆส่งมานาไปที่หอกอย่างระมัดระวัง รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา แม้ว่าหอกจะใช้มานาจำนวนมากขึ้นในการคงสภาพ แต่ว่ามันก็ทนกับมานาไว้ได้โดยไม่ถูกทำลาย


นี่มันก็เพราะว่ามานาได้สร้างภาระให้กับหอกโดยการเข้าไปอยู่ด้านใน แต่มานาได้โคจรผ่านเส้นทางภายในหอกแทน


เส้นทางนั้นได้รับมือกับความกดดันส่วนมากเอาไว้ และซอลจีฮูก็ได้คงสภาพระดับพลังงานเอาไว้ในระดับหนึ่งทำให้หอกได้รับแรงกดดันน้อยลงกว่าเดิมอย่างมาก


ซอลจีฮูยังไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น เขาได้ค่อยๆเพิ่มปริมาณมานาเอาไว้โดยที่เร่งความเร็วของการโคจรไปด้วย


หอกได้เริ่มสั่นรุนแรงมากขึ้น


ติ้ง!


และภาพที่เขาเห็นก็ชัดเจนขึ้นพร้อมเสียงเตือนสั้นๆ


“…”


ซอลจีฮูได้มองไปที่หอกโดยที่พูดอะไรไม่ออก


แสงสีทองสดใสได้ปรากฏเป็นลูกคลื่นอยู่ที่ปลายหอก มันไม่ได้ส่ายไปมาเหมือนกับออร่า แต่ว่ามันพุ่งขึ้นเป็นรูปร่างเหมือนกับใบหอก


นี่คือ… ปราณดาบ


“ฉันทำได้…”


ซอลจีฮูได้พึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว


เหตุผลเดียวที่เขาใช้วิธีนี้ได้สำเร็จนั่นก็เพราะว่าเขาได้ใช้มานามาอย่างสม่ำเสมอนับตั้งแต่เขตพื้นที่เป็นกลาง


ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่


แต่ในเวลาต่อจากนั้นใบหอกก็แตกพังลงไป


“อ่า!”


ซอลจีฮูได้ตะโกนออกมาอย่างผิดหวัง แต่ไม่นานนักเขาก็ยอมรับได้


เขาเพียงแค่คลายแรงกดดันกับหอกได้เท่านั้น ความทนทานของมันยังคงเดิม เพราะงั้นมันก็ยังมีขีดจำกัดที่จะรับมานาไหวอยู่ดี


มันก็เหมือนกับวงจรมานา


ในตอนที่มานาปั่นป่วน มันก็จะเริ่มทำให้วงจรมานาละลายลงไป นี่เป็นสิ่งที่ได้เกิดขึ้นในระหว่างสงคราม


เมื่อคิดตามแนวคิดนี้มันก็ไม่ยากเลยที่จะทำความเข้าใจว่าทำไมหอกถึงได้พังลงไป สิ่งสำคัญก็คือข้อความที่กระพริบอยู่กลางอากาศ


[ความสามารถคลาส ‘ออร่า (ปานกลาง)’ ได้พัฒนาเป็น ‘ปราณดาบ (ต่ำสุด)’]


[ความสามารถโดยกำเนิด ‘นพเนตรแห่งการทำนาย’ ได้ตอบสนองต่อการพัฒนาของความสามารถใหม่!]


[ความสามารถคลาส ‘ปราณดาบ (ต่ำสุด)’ ได้พัฒนาเป็น ‘ปราณดาบ [ปานกลาง (ต่ำ)]’]


[โปรดตรวจสอบหน้าต่างสถานะ


ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมาเมื่อได้อ่านหน้าต่างนี้


เพราะแบบนี้หนึ่งคำถามที่เขามีในตอนกลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงก็ได้รับคำตอบ


‘นิมิตไม่ได้หายไป’


มันก็แค่รวมเข้ากับนพเนตรเท่านั้นเอง


ซอลจีฮูได้ลดแขนลง และเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า


ดวงอาทิตย์ได้โผล่พ้นขอบฟ้าก่อนที่เขาจะสังเกตซะอีก และโลกก็ได้สว่างขึ้นมา สายลมยาวเช้าที่พัดมาเบาๆได้ทำให้รู้สึกสดชื่นยิ่งกว่าที่เคย


“มากินข้าวกันเถอะ!”


ซอยูฮุยได้ส่งเสียงออกมาในเวลาเหมาะพอดี


ซอลจีฮูได้หันหน้าไปด้วยรอยยิ้มสดใส


***


อึก อึก


“ฟู่ววว!”


น้ำได้ไหลออกมาจากปากของซอลจีฮู


ในทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมา เขาก็ได้ก้มหน้ากลับลงไปอีกครั้งหนึ่ง ตัดสินจากลูกกระเดือกของเขาที่กำลังขยับขึ้นลงคือเขากำลังดื่มน้ำอยู่


ซอลจีฮูได้ดื่มน้ำเย็นจากลำธารจนกระทั่งฟันของเขาเจ็บเพราะความเย็น จากนั้นเขาถึงได้เงยหน้าขึ้นมา


หยดเหงื่อและน้ำได้ไหลลงมาจากใบหน้าของเขา


‘แค่ 30 นาทีเท่านั้นเอง…’


ซอลจีฮูได้เพิ่มการฝึกใหม่เข้าไปในตารางการฝึกของเขา


และนั่นก็คือการฝึกปราณดาบ


เนื่องจากว่าไม่มีศัตรูคนไหนจะรอเราในระหว่างการต่อสู้ เขาจึงต้องฝึกสร้างวงแหวนมานา เชื่อมต่ออาวุธกับวงจร และขึ้นรูปเป็นปราณดาบให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น


ปัญหาที่เขามีก็คือการลงสภาพปราณดาบเอาไว้ ไม่ใช่แค่การขึ้นรูปเท่านั้น


นอกเหนือจากการที่มันต้องใช้มานาจำนวนมหาศาลแล้ว การจะเคลื่อนไหวในระหว่างการใช้ปราณดาบก็ไม่ง่ายเช่นกัน


‘อีกแล้ว’


ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆออกมาเมื่อเขาทำหอกพังไปแล้วแปดอัน หากว่าเขาเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงสักคิด การไหลของมานาก็จะกลายเป็นรุนแรง และทำให้หอกระเบิดออกมา


‘ในที่สุดฉันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมอาวุธระดับสูงถึงได้มีราคาสูงขนาดนั้น’


อาวุธที่ระดับสูงและอาวุธที่มีสติปัญญาจะช่วยลดภาระให้กับผู้ใช้งานด้วยการกำจัดปัญหานี้ทิ้งไป


แต่ว่าซอลจีฮูไม่ต้องมากังวลเรื่องนี้เลยเพราะว่าเขาสามารถจะใช้หอกพิสุทธิ์ได้ในทันทีที่จิตวิญญาณอาคัสยอมรับเรา ด้วยสถานะอาวุธเทพ เขาไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะทนกับมานาได้หรือไม่


ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมาก่อนจะลุกขึ้นยืน


เขายังคงมีข้อผิดพลาดอยู่มากมาย แต่ว่าเขาก็ยังดีใจอยู่เล็กน้อยที่เห็นว่าเขาพัฒนาขึ้นในทุกๆวัน


‘มันให้ความรู้สึกเหมือนฉันได้เข้าใจสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำเร็จจริงๆ…’


จู่ๆก็ได้รู้แจ้งในระหว่างการทำสมาธิ และยกระดับศิลปะการต่อสู้ขึ้นไปเหมือนอย่างในนิยาย


แน่นอนว่าซอลจีฮูไม่ได้คิดว่าเขาจะประสบความสำเร็จในระดับนั้นจริงๆ เขาก็แค่คิดว่าเขาโชคดี


ไม่สิ บางทีเขาคิดว่ามันน่าจะเป็นเพราะนพเนตร


ย้อนกลับไปการพัฒนาของเขาได้เป็นไปตามเส้นทางแห่งโชคเสมอนับตั้งแต่ที่เขาได้เข้าพิธีปลุกพลังในเขตพื้นที่เป็นกลาง


แม้แต่ความสามารถที่เราได้เรียนรู้เป็นครั้งแรก นิมิตก็จะตอบสนองและยกระดับความสามารถนั้นขึ้นไปสู่ระดับสูง


สิ่งเดียวที่มันต่างออกไปในตอนนี้ก็คือมันได้ช่วยให้เขาได้เรียนรู้ในความสามารถโดยตรง


ซอลจีฮูสามารถจะหาเหตุผลของปรากฏการณ์นี้ได้จากคำอธิบายของความสามารถ


[ผู้ที่มีประสบการณ์ในโลกหน้าได้เปลี่ยนแปลงจิตสำนึกให้เป็นอารมณ์ และเก็บมันเอาไว้ในจิตใต้สำนึก ความสามารถที่จดจำในสิ่งที่ ‘เกิดขึ้นแล้ว’ มันก็จะใกล้เคียงกับ ‘การทำนาย’]


อารมณ์เป็นการจดจำเรื่องในอนาคตเอาไว้อย่างแม่นยำได้ถูกเก็บไว้ในตัวเขาจะตอบสนองต่อสิ่งต่างๆอย่างรุนแรง


ซอลจีฮูสงสัยว่าการเปลี่ยนแปลงอันลี้ลับนี้เกิดขึ้นมาจากการที่นิมิตผสมเข้ากับนพเนตร


หรือบางทีเขาอาจจะแค่ได้รับเคล็ดลับมาจากประสบการณ์ที่ใช้ปราณดาบในระหว่างสงครามก็ได้


ไม่ว่าจะแบบนั้น หากว่าการคาดเดานี้เป็นเรื่องจริง ซอลจีฮูก็จะได้รับตัวช่วยอย่างมหาศาล นังไงแล้วการได้เรียนรู้ความสามารถที่ตัวเขาในอนาคตได้เรียนรู้มันจะรวดเร็วกว่ามาก


แน่นอนว่านี่มันก็เป็นการคาดเดาเท่านั้น และเขายังจำเป็นต้องมีกรณีศึกษาให้มากขึ้นเพื่อให้มั่นใจ


‘ฉันมั่นใจว่านิมิตจะช่วยฉันเรียนรู้ทักษะที่ฉันเคยเรียนรู้มาก่อน ยกตัวอย่างเช่นการใช้ประกายสายฟ้า…’


คลาสของตัวเขาในความฝันคืออะไรนะ?


ผู้ใช้หอก? หรือว่าผู้ใช้หอกมานา?


ซอลจีฮูได้คิดกับตัวเองสักพักก่อนที่จะหันหลับกลับเดินออกไป หลังจากผ่านไปประมาณ 10 นาที เขาก็เริ่มได้ยินเสียงตะโกนของจางมัลดง


นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเขาได้เข้าใกล้ที่ตั้งแคมป์แล้ว


ไม่นานนักซอลจีฮูก็เห็นจางมัลดงยกมือแสดงสัญญาณบางอย่าง


ต่อจากนั้นฟีโวราที่กำลังยืนอยู่บนเนินเขาเล็กๆก็ได้ดันก้อนหินขนาดใหญ่ลงมา


คลื่นนน…!


ก้อนหินได้เริ่มไหลลงมาตามแนวลาดชัน ยี่ซังจินที่กำลังยืนอยู่ตีนเขาได้จับโล่ที่มีขนาดเท่าตัวเขาเอาไว้แน่น


ตูม! ก้อนหินกับโล่ได้ปะทะเข้าด้วยกัน


ก้อนหินไม่ได้เร็วมาก แต่ว่าซอลจีฮูก็พอจะจินตนาการได้เลยว่าแรงปะทะมันจะมากขนาดไหน


“อ๊ากกกก!”


ยี่ซังจินได้กัดฟันดันก้อนหินกลับไป


“ทางซ้าย!”


เมื่อจางมัลดงตะโกนออกมา เขาก็บิดสะโพกและปัดหินไปทางด้านซ้าย ก้อนหินค่อยๆไหลผ่านด้านข้างยี่ซังจินไปอย่างช้าๆ


“พักได้!”


ยี่ซังจินได้ล้มก้นจ้ำเบ้ากับพื้นทันที ซอลจีฮูพอจะเดาได้เลยว่าการฝึกของยี่ซังจินยากขนาดไหนจากการดูสภาพกางเกงและเสียงหอบหายใจของเขา แต่ว่าดูจากประกายไฟในดวงตาแล้ว ยี่ซังจินคงจะพยายามอดทนกับมันอย่างเต็มที่อย่างแน่นอน


‘เขาพยายามหนักมาก’


ซอลจีฮูได้คิดกับตัวเองว่าจะให้โล่ดีๆกับยี่ซังจินในตอนที่เขากลับไป ก่อนจะตะโกนขึ้นมา


“คุณฟีโซรา!”


ฟีโซราที่กำลังโยนหินเล่นได้เหลือบมามอง


“อะไรล่ะ?”


“คุรช่วยผมฝึกสัญชาตญาณได้ไหม?”


“นายไม่เห็นหรอว่าฉันกำลังช่วยเขาอยู่?”


ฟีโซราได้แสดงสีหน้าไม่พอใจทันที ยังไงแล้วเธอได้ถูกบังคับลากมาที่นี่ แล้วยังถูกบังคับให้ต้องช่วยพวกเขาฝึกในทุกวันอีกด้วย ซอลจีฮูไม่อาจจะโทษเธอที่ไม่พอใจได้เลยจริงๆ


“ไปช่วยเขาซะ! ฉันจะฝึกซังจินเอง”


แต่ถึงแบบนั้นเมื่อจางมัลดงได้บอกให้เขาทำอะไรสักอย่าง ฟีโซราก็จะทำตามอย่างไม่พอใจ


ฟีโซราได้เดินมาพร้อมตะกร้าที่เต็มไปด้วยหิน


“ให้ตายสิ เฮ้ พวกเราพักกันสักสิบนาทีได้ไหม? ฉันยังต้องเดิมสีลงบนหินอยู่”


ซอลจีฮูได้หยักไหล่ออกมาโดยไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ


หลังจากเงียบอยู่พักหนึ่ง ฟีโซราที่กำลังโรยสีเขียวลงไปในหินอยู่ก็ได้ถามออกมา


“เมื่อกี้นายไปวิ่งที่ไหนมาล่ะ?”


“ว่าไงนะครับ?”


“อย่ามาแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจนะ ฉันรู้นะว่านายจะหายไปสองสามชั่วโมงในทุกๆเช้า”


‘ช่วงนั้นมันกวนใจเธอหรอ?’


ซอลจีฮูยังไม่ได้เผยออกไปว่าเขาได้เรียนรู้ปราณดาบแล้ว แน่นอนว่าเขาก็มีเหตุผลอยู่


“ก็ไม่เป็นไรนี่นา อาจารย์ก็ไม่ได้ว่าอะไรเลย”


“…”


ฟีโซราได้เงียบลงไปเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรให้ต้องตอบกลับไป แต่ว่าเธอก็ยังสงสัยอยู่หน่อยๆ


เธอได้อัดเขาอย่างหนัก แต่ว่าซอลจีฮูก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าคิดอะไรเลยแม้แต่นิด


ท่าทีไม่คิดเล็กคิดน้อยของเขามันน่ายกย่องจริงๆ แต่ว่าเมื่อเห็นความเร็วในพัฒนาการช่วงนี้ของเขา ฟีโซราก็เริ่มกังวลว่าเขาจะไล่ตามเธอทันในไม่ช้า


แต่ไม่ว่าใครๆที่ได้เห็นว่าซอลจีฮูฝึกหนักขนาดไหนในทุกๆวัน ต่างก็ต้องคิดเช่นเดียวกันกับเธอ


“ฉันแค่ไปฝึกเองน่ะ”


“ขี้โกงนี่ บอกฉันหน่อยไม่ได้หรอ?”


ฟีโซราได้หน้าบึ้งออกมา แต่ว่าซอลจีฮูก็แค่ยิ้มกว้างกลับไป


ฟีโซราจะตกใจมากขนาดไหนกันนะหากเขาบอกเธอไปว่าเขาได้เรียนรู้ปราณดาบก่อนที่จะกลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงที่แท้จริง


แต่ว่าเขาก็วางแผนจะเก็บเรื่องนี้เอาไว้ก่อน


ทั้งหมดนี่ก็เพื่อวันสำหรับการแก้แค้นของเขา


***


ในกลางดึก


-แล้วนายคิดว่ายังไงล่ะ?


“อื้อ…”


-นายได้คิดเรื่องที่เราคุยกันครั้งก่อนหรือยัง?


“อื้อ…”


หงึกๆ


คิมฮันนาห์ได้เห็นซอลจีฮูหลับในผ่านทางคริสตัลสื่อสาร และหัวเราะออกมา เธอได้ติดต่อมาหาเขาเพื่อคุยกันเรื่องเร่งด่วน แต่ว่าคนที่้เธอเรียกว่าหัวหน้ากำลังหลับไปแล้ว


-ชิ นี่นายขี้เซาไปไหมเนี้ย?


ซอลจีฮูได้เงยหน้าขึ้นมา จากนั้นเขาก็โบกมือออกมาด้วยดวงตาปรือๆ


“ขอโทษทีๆ ตอนนี้ฉันง่วงมากจริงๆ…”


ซอลจีฮูจำได้ว่าเขาได้ยินอะไรมาอยู่อย่างเรื่องการหาคนงานมาได้ยากเพราะเรื่องข่าวลือของคำสาป และคนงานก็ยังปฏิเสธที่จะทำงานในตอนกลางคืนแม้ว่าคิมฮันนาห์จะจ่ายเพิ่มให้แล้วก็ตาม


แต่ว่าหลังจากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้เลยสักนิด หัวของเขาได้อยู่ในสภาพกึ่งหลับไปแล้ว


-อืม นายดูเหนื่อยนะ


คิมฮันนาห์ได้ยิ้มออกมา เธอไม่อาจจะโทษเขาได้เลยสักนิด เพราะเธอก็รู้ว่าที่เขาเหนื่อยมาจากการฝึกหนัก


-นายดูอยากจะนอนแล้วสิ งั้นฉันจะรีบสรุปให้แล้วกันนะ การสร้างห้องฝึกใต้ดินของนายมันเป็นไปได้ยาก ขณะที่เขากำลังขุดขยายพื้นที่ได้มีน้ำพุร้อนพุ่งออกมา


ซอลจีฮูได้พยักหน้าออกมาพร้อมทั้งหาวออกมา


มันเป็นเรื่องน่าเสียดายที่พวกเขาสร้างห้องฝึกใต้ดินไม่ได้ แต่ว่าในตอนนี้สิ่งที่ซอลจีฮูต้องการที่สุดคือหลับลงไปในถุงนอน


-นายรู้ใช่ไหมว่ามีภูเขาไฟอยู่รอบอีวามากมาย? ฉันคิดว่ามันน่าจะเพราะเหตุผลนี่แหละ ยังไงก็ตามในเมื่อมันกลายเป็นแบบนี้แล้ว ฉันก็เลยคิดว่าการใช้ห้องใต้ดินที่บ่อน้ำพุร้อนก็ดีนะ นายคิดว่ายังไงล่ะ? มันดีเลยใช่ไหม? มันจะช่วยให้นายหลับได้เหมือนกันนะ


ดูเหมือนว่าคิมฮันนาห์จะกำลังล่อลวงเขาอยู่ ซอลจีฮูได้พยักหน้าออกมา


“ทำตามต้องการเลย…”


จากนั้นหัวของเขาก็ได้ค่อยๆลดต่ำลงไป


ไม่นานนักเสียงกรนก็ดังออกมา


ซอยูฮุยที่มองอยู่เงียบๆจากด้านร่างได้รีบเข้ามาพร้อมถุงนอนของซอลจีฮูทันที


“ขอโทษแทนเขาด้วยนะ ทุกๆวันเขาฝึกอยู่เกือบ 20 ชั่วโมงแล้ว…”


-โอ้ 20 ชั่วโมง?


“ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าการฝึกเขาหนักขนาดไหน แต่ว่าการที่เขาฝึกจนเสร็จโดยไม่บ่นอะไรสักคำ… มันน่าชื่นชมจริงๆ ฉันภูมิใจมาก…”


ซอยูฮุยได้ลูบหัวซอลจีฮูอย่างอ่อนโยน


คิมฮันนาห์ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


-เอาเถอะนะ เขาก็อยากจะฝึกมานานแล้ว ฉันก็ดีใจที่เขามีความสุขไปกับมัน เขาพยายามหนักจริงๆ


“ฟุฟุ วันนี้ฉันไปที่ลำธาร แล้วเขาก็กำลังเปลือยเล่นน้ำอยู่กับซังจินด้วยนะ คุณไม่รู้หรอกว่าฉันตกใจมากขนาดไหน”


-โอ้ นี่เขาไม่รู้จักอายเลยงั้นหรอ? เขาโตแล้วนะ


“อ๊า ก้นจีฮูของเราน่ารักมาจริงๆ มันอวบ.. อ่า จีฮู เข้ามานี่มา เด็กดี~”


ซอยูฮุยได้เกลี้ยกล่อมให้ซอลจีฮูเข้าไปในนอนในถุงนอน จากนั้นก็หันกลับมาขยิบตาให้กับคริสตัลสื่อสาร


“ยังไงก็ตามเรื่องน้ำพุร้อนสินะ มันจริงหรอ?”


-ใช่แล้ว! มันก็แน่สิ! ในตอนมีน้ำพุพุ่งขึ้นมาฉันก็ตกใจเหมือนกัน


“น้ำพุร้อน… เยี่ยมไปเลย~”


-ใช่ไหมล่? ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ฉันจะทำให้มันเป็นน้ำพุร้อนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในพาราไดซ์ไปเลย…


ภายในค่ำคืนมืดสนิทนี้หญิงสาวทั้งสองคนได้คุยกันไม่หยุด


ในเวลาเดียวกันซอลจีฮูก็นอนหายใจรดต้นขาของซอยูฮุย


อืมม อืมม เขาได้พึมพำพร้อมเผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา มันเหมือนกับว่าเขากำลังฝันหวานอยู่


และเขาก็กำลังฝันอยู่จริงๆ


ความฝันที่เขาได้กลายเป็นเทพหอกระดับ 10 และกวาดล้างผู้บัญชาการกองทัพพร้อมทั้งทำให้ราชินีปรสิตต้องยอมรับความพ่ายแพ้


***


กาลเวลาได้ไหลผ่านไปเหมือนกับสายน้ำ และเวลาสามเดือนกับอีกสิบวันก็ได้ผ่านพ้นไป


วันที่ทั้งกลุ่มได้กลับไปที่ฮารามาร์คได้มาถึงแล้ว


คิมฮันนาห์ได้ติดต่อมาหาพวกเขาเมื่อวานในระหว่างที่พวกเขากำลังฝึกอยู่ เธอได้บอกพวกเขาว่าการก่อสร้างใช้เวลาอีกแค่สิบวันก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว


เธออยากจะให้พวกเขากลับไปเก็บของที่ฮารามาร์ค และเริ่มทำการย้ายฐาน


แน่นอนว่าแม้จะผ่านไปสามเดือนทัศนียภาพของหุบเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปสักนิดเลย ทุกๆคนยังคงฝึกต่อไปจนกระทั่งรถม้ามารับพวกเขากลับ


“หืมมม”


หญิงสาวสวมแวนกันแดดได้มาถึงที่หุบเขา และส่งเสียงฮัมเพลงออกมา เธอได้มาถึงจุดนัดพบกันแล้ว


ไม่นานนักคิมฮันนาห์ก็มองเห็นเต็นท์ที่อยู่ไกล และเริ่มเดินเข้าไปหา


และขณะที่เธอเริ่มเข้าใกล้ที่ตั้งแคมป์…


“…”


คิมฮันนาห์ก็หรี่ตาออกมาด้วยความสงสัย


บทที่ 242 – ผ่าสายน้ำ


ที่ตั้งแคมป์เงียบมากจนน่าประหลาดใจ และรอบๆต่างก็เต็มไปด้วยบรรยากาศอันดุดันเหมือนกับว่าตัวเธอจะถูกผ่าได้ตลอดเวลา


“ออกมาจากตรงนั้น”


คิมฮันนาห์ที่ได้ยินเสียงได้หันหน้าออกไปมอง และได้เห็นฟีโซราที่กำลังถือตะกร้าอยู่


“คุณฟีโซรา?”


คิมฮันนาห์ได้พูดชื่อเธอออกมา แต่ว่าฟีโซราก็ไม่แม้แต่จะเหลือบมามองเลยสักนิด ฟีโซราเอาแต่มองตรงไปด้วยสายตาที่เฉียบแหลม


“คุณกำลังมองอะไรอยู่? อยู่ไหน-“


“เงียบ”


น้ำเสียงเฉียบแหลมได้ขัดเธอไว้ จากนั้นฟีโซราก็พูดออกมาโดยที่ยังคงมองไปที่จุดเดิม


“เกือบเสร็จแล้ว เพราะงั้นอยู่ตรงนั้นเดี๋ยวนะ ถ้าทำได้ก็ขยับออกมาหน่อย”


“…ว่ายังไงนะ?”


ขณะที่คิมฮันนาห์กำลังถามว่านี่มันเรื่องอะไรกัน…


ฟุบ! ประกายสายฟ้าสีทองพร้อมกับพายุรุนแรงได้พุ่งผ่านหน้าเธอไป


ซ่าาาห์! เสียงกระแสสายฟ้าได้ดังชัดขึ้นที่หูของคิมฮันนาห์


พร้อมๆกันนั้นสายลมก็ได้พัดให้กระโปร่งกับผมของเธอพลิวขึ้น ในเวลาเดียวกันฟีโซราก็ได้โยนของที่อยู่ในตะกร้าที่เธอถือเอาไว้ออกมา


ขณะที่คิมฮันนาห์หันไปมองด้วยสายตาเบิกกว้าง


“สีน้ำเงิน!”


เธอได้เห็นซอลจีฮูที่ถูกห่อหุ้มไปด้วยกระแสสายฟ้าเหวี่ยงหอกเข้าใส่กลุ่มก้อนหินที่กำลังร่วงลงมาใส่ตัวเขา


ตูม ตูม ตูม ตูม! ทุกๆครั้งที่หอกตัดผ่านอากาศจะทำให้เกิดเสียงระเบิดรุนแรงขึ้นมา


คิมฮันนาห์ได้เห็นชายหนุ่มแสดงภาพอันน่าอัศจรรย์ที่แทงเฉพาะหินสีฟ้าจากหินหลากสีนับสิบก้อน แต่ทันใดนั้นเธอก็ขมวดคิ้วขึ้น


เธอเห็นก้อนหินสีน้ำเงินกำลังหล่นอยู่ด้านหลังเขาในตอนที่ถอนหอกกลับมา


ขณะที่เธอกำลังคิดว่า ‘เขามองไม่เห็นใช่ไหม?’ ซอลจีฮูก็เหวี่ยงหอกกลับหลัง


หอกมานาได้พุ่งจากมือของเขาไปแทงทะลุก้อนหิน เขาไม่ได้หันไม่บอกด้วยซ้ำ แต่ว่าเมื่อหินสลายกลายเป็นฝุ่นไป ซอลจีฮูก็เผยรอยยิ้มออกมา


จางมัลดงได้ปิดปากลงไปและก้มหน้าลงเล็กน้อย นี่เป็นนิสัยติดตัวที่เขาจะแสดงออกมาในตอนที่ไม่มีอะไรให้ติ


“…”


เมื่อรู้สึกว่าสายฟ้าอ่อนๆได้หยุดลงไป คิมฮันนาห์ก็อ้าปากค้างเล็กน้อย เธอได้รับรู้ถึงทุกๆอย่างที่เธอเพิ่งเห็นในพริบตาเดียวก่อนที่กระโปรงของเธอจะตกลง


***


“แล้ว? เป็นไปด้วยดีไหม?”


การฝึกนรกได้จบลงไปแล้ว ทีมฝึกได้เก็บแคมป์ และกระโดดขึ้นรถม้าที่คิมฮันนาห์นั่งมาพาพวกเขากลับไปที่ฮารามาร์ค


“ดูเหมือนนายจะแกร่งขึ้นเยอะเลยนี่”


คิมฮันนาห์ได้กระทุ้งซอกใส่ซอลจีฮูก่อนจะถามออกมา


ซอลจีฮูที่ดูเหนื่อยเล็กน้อยก็แค่เผยรอยยิ้มบางๆออกมา ทั้งร่างของเขากำลังกรีดร้องอยากจะพักเพราะการฝึกหนักจนถึงวินาทีสุดท้ายของเขา


แต่ว่าเขาก็ยังรู้สึกสดชื่นอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่เพียงแค่เขาได้เติมเต็มความต้องการที่ได้ฝึก แต่ว่าเขายังประสบความสำเร็จอยู่เล็กน้อยอีกด้วย


ยิ่งเมื่อมองหน้าต่างสถานะรอยยิ้มของเขาก็ยิ่งกว้างขึ้น


[หน้าต่างสถานะของคุณ]

[1.ข้อมูลทั่วไป]

วันที่ถูกอัญเชิญ: 16 มีนาคม 2017

ระดับตราประทับ: ทองคำ

เพศ/อายุ: ชาย/26

น้ำหนัก/ส่วนสูง: 180.5 ซม./72.8 กก.

สถานภาพในปัจจุบัน: ดี

คลาส: Lv.5 ผู้ใช้หอกแห่งเนเมซิส

สัญชาติ: สาธารณรัฐเกาหลี (พื้นที่ที่ 1)

สังกัด: N/A

นามแฝง: อันดับหนึ่งในการฝึก, ดาวดวงแรง, น่าปวดหัว, เด็กขี้แย, คนขี้แกล้ง, คลั่งการฝึก,วีรบุรุษสงครามแห่งฮารามาร์ค


[3.ระดับร่างกาย]

พละกำลัง: ปานกลาง(ปานกลาง)

ความทนทาน: ปานกลาง(ต่ำ)

ความคล่องแคล่ว: ปานกลาง (สูง)↑1

เรี่ยวแรง: ปานกลาง(สูง)↑1

มานา: สูง (สูง)

โชค: ปานกลาง (ปานกลาง)


แต้มความสามารถที่มีอยู่: 6


[4.ความสามารถ]

1.ความสามารถโดยกำเนิด (1)

-นิมิตแห่งการทำนาย (ไม่สามารถระบุระดับได้)


2.ความสามารถเกี่ยวข้องกับคลาส (2)

-ปราณดาบ (ปานกลาง)

-เทคนิคหอกพื้นฐาน: แทง(สูง) ฟาด(สูง) ฟัน(สูง)

-หอกมานา – ทวีคูณ(สูง)

-ประกายสายฟ้า(ปานกลาง(สูง))

-หัวใจอันชอบธรรม(ปานกลาง)


3.ความสามารถอื่นๆ (2)

-วงจรมานาเสริมสร้าง(สูง)

-สัญชาตญาณ(ปานกลาง(สูง))


หน้าต่างสถานะของเขาให้ความรู้สิ่งเต็มมากขึ้นกว่าเดิม เหมือนกับถุงขนมที่ในตอนนี้มีขนมเต็มถุง


เท่านี้เขาถึงได้รู้สึกเหมือนกับแรงค์เกอร์ระดับสูงจริงๆ


“แล้ว นายคิดว่าตอนนี้นายเรียกตัวเองว่าแรงค์เกอร์ระดับสูงได้หรือยัง?”


คิมฮันนาห์ที่ยังไม่ยอมแพ้ได้ถามออกมาต่อ ซอลจีฮูก็ได้คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา


“อืมม… ไม่หรอก”


“ไม่?”


“ใช่แล้วล่ะ ฉันคิดว่าฉัน… 4.6?”


คิมฮันนาห์ได้แสดงสีหน้าตกตะลึงกับการประเมินตัวเองของซอลจีฮู


“ไม่ใช่ 4 หรือ 5 แล้วก็ยังไม่ใช่ 4.5 ด้วย ตัวเลขทศนิยมแบบนั้นมันอะไรกัน?”


จางมัลดงที่นั่งอยู่ฝั่งรงข้ามได้หัวเราะออกมาเบาๆ


‘เขาประเมินตัวเองเป็นระดับ 4.6 งั้นหรอ?’


หากว่าทุกๆคนมีมาตราฐานแบบนี้ ถ้างั้นชาวโลกส่วนใหญ่ต่างก็มีระดับเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 1 กันแล้ว


จางมัลดงอย่างจะบอกไม่ให้เขาทำเป็นเล่น แต่ว่าเขาก็เลือกที่จะดูเงียบๆแทน สิ่งที่น่ากังวลมันควรจะเป็นการที่คนประเมินตัวเองสูงกว่าตัวเองมากกว่า


นอกจากนี้เขาก็ยังรู้ดีว่าซอลจีฮูยังมีพื้นที่ให้พัฒนาขึ้นอีกมาก


แม้ว่าชายหนุ่มจะกลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงไปแล้ว แต่จางมัลดงก็ยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของเขาอยู่ดี


***


ก่อนที่จะกลับไปฮารามาร์ค ทีมคาเพเดี่ยมได้ไปแวะหยุดตรวจสอบอาคารสำนักงานของเขาที่กำลังก่อสร้างในอีวาก่อน


เมื่อซอลจีฮูเดินไปถึงที่ดินที่เขาได้ซื้อเอาไว้ เขาก็ต้องถึงกับพูดไม่ออก


เขาได้บอกให้คิมฮันนาห์สร้างฐานทัพขององค์กร แต่นอกเหนือไปจากขนาดของมันแล้ว เธอยังได้สร้างอาคารยุคกลางขึ้นมา


เธอได้บอกไว้ว่ามันเป็นการผสานเข้าด้วยกันระหว่างสถาปัตยกรรมสไตล์โรมาเนสก์กับบาร็อค


‘ตอนนี้มีคนอยู่แค่สิบคนเอง… ทำไมขนาดมันถึงใหญ่แบบนี้ล่ะ…?’


เขาไม่อาจจะอธิบายได้เลยว่ามันตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่ท่ามกลางพื้นที่ว่างเปล่าอย่างไร และมันยังมีรวมถึง 10 ชั้นด้วยกัน


[มีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นระหว่างก่อสร้างไหม?]


“ไม่มีเลยสักนิด คนงานต่างก็ประหลาดใจกันหมด”


[ฟุฟุ เจ้าเด็กพวกนั้น เดี๋ยวฉันต้องไปให้รางวัลแล้วสิ]


ซอลจีฮูได้มองดูอาคารอย่างสับสนก่อนที่จะถามคิมฮันนาห์ที่กำลังคุยกับโฟลนอยู่


“ฉันเข้าไปได้ไหม?”


“ก็ได้แหละ แต่ว่ามันยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างอยู่ ทำไมเราไม่ไว้ค่อยมาดูหลังจากสร้างเสร็จแล้วล่ะ?”


“ได้สิ แล้วนี่หมดค่าก่อสร้างไปเท่าไหร่?”


“…”


“คิมฮันนาห์?”


คิมฮันนาห์ได้รีบหลบคำถามอย่างชำนาญด้วยการบอกว่าเธอจะส่งรายงานงบประมาณไปให้เขาทีหลัง


มันจนกระทั่งซอลจีฮูกลับไปถึงฮารามาร์คเขาถึงได้รู้ความจริง และเมื่อเขาได้รู้มันทำให้เขาเกือบตาถลนออกจากเบ้า


พระเจ้า คิมฮันนาห์ได้ใช้หกเหรียญทองไปกับแค่การก่อสร้าง!


“เธอเอาหกเหรียญทองไปทำอะไรกัน?”


“ก็แค่ทำให้ที่นี่สมบูรณ์แบบเท่านั้นเอง ฉันได้ซื้อวัตถุดิบที่ดีที่สุด และใช้เงินไปเช่าพื้นที่เก็บของของวิหาร หรือใช้คะแนนคุณูปการแลกห้องเก็บของ…”


“แต่ว่าก็ยัง!”


“แล้วฉันจะบอกความจริงให้นะ ฉันได้เชิญนักแปรธาตุมาด้วย..”


“นักแปรธาตุ? นี่เธอจ้างนักเวทย์มาทำไมล่ะ?”


“ก็เพื่อช่วยงานก่อสร้างแล้วก็สร้างน้ำพุร้อน…”


คิมฮันนาห์ได้เว้นช่วงท้ายของประโยคเอาไว้พร้อมกับม้วนผมเล่น เธอได้หลบสายตาของซอลจีฮูเพราะเธอก็รู้ดีว่าใช้เงินมากไปหน่อย


ซอลจีฮูได้รู้สึกเหมือนกับสิ่งต่างๆจะหลุดมือไปในตอนที่เธอเอาแต่ทำพิมพ์เขียวไม่ยอมกินข้าว แล้วดูนี่สิ คิมฮันนาห์ได้สร้างปัญหาขึ้นมาซะแล้ว


‘แต่ก็นะ คงไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอก’


เมื่อคำนึงถึงจำนวนเงินที่พวกเขาประหยัดไปได้ในตอนซื้อที่ดิน ซอลจีฮูก็ตัดสินใจจะมองข้ามเรื่องนี้ไป ยังไงสุดท้ายแล้วคิมฮันนาห์ก็ไม่ได้เอาเงินไปใช้ส่วนตัวสักหน่อย


“แต่คราวหน้าช่วยบอกฉันก่อนนะ”


“ฉันบอกไปแล้ว”


“ตอนไหน?”


“ตอนที่นายกำลังจะนอนไง”


คิมฮันนาห์ได้เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา


***


ในตอนนี้พวกเขาได้กลับมาจากการฝึกแล้ว คาเพเดี่ยมก็ได้เตรียมตัวสำหรับการย้ายในวันต่อมา


‘ไม่ว่าพวกเราจะรีบแค่ไหน อย่างน้อยมันก็ต้องใช้เวลาสามถึงสี่วันในการไปอีว่า’


ซอลจีฮูอยากจะอยากที่จะออกไปในทันทีเพื่อให้พวกเขาสามารถจะไปถึงอีวาในช่วงที่การก่อสร้างเสร็จพอดี


แต่จริงๆแล้วพวกเขาก็ไม่ได้มีสัมภาระอะไรมากมาย และเพราะคิมฮันนาห์ได้ซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่มาทั้งหมด ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาต้องขนไปก็มีแค่ของส่วนตัวกันเท่านั้นเอง


ซอลจีฮูได้ตัดสินใจเอาของส่วนตัว และสิ่งที่เขาเก็บเอาไว้ในวิหารในวันสุดท้าย


ส่วนที่สำนักงานคาเพเดี่ยมทั้งกลุ่มได้ตัดสินใจปล่อยเอาไว้เหมือนเดิม


จากนิสัยส่วนตัวของคิมฮันนาห์แล้ว ซอลจีฮูคิดเอาไว้ว่าเธอคงจะแนะนำให้พวกเขาขายอาคารเพื่อหาเงินทุนเพิ่ม แต่ว่าน่าแปลกที่เธอบอกว่าเธอมีแผนอื่นอยู่


เมื่อซอลจีฮูได้ถามรายละเอียด เธอก็บอกกับเขาว่าไม่มีอะไร และบอกว่าอาจารย์จางจะบอกเขาเองทีหลัง


นอกไปจากนั้นยังมีเรื่องที่ซอลจีฮูได้ไปตัดสินใจต่อสัญญาระยะยาวกับสมาคมนักฆ่าอีกด้วย


การเก็บค่อยได้ค่อยๆเรียบร้อยไปทีล่ะอย่าง และเมื่อเขาได้ทำสัญญากับรถม้า ในที่สุดเขาก็รู้สึกเหมือนกับจะจากฮารามาร์คไปจริงๆซะแล้ว


***


ซอลจีฮูได้ผ่อนคลายไปกับความสงบสุขเป็นครั้งแรกหลังจากผ่านมานานแล้ว การเตรียมการสำหรับการย้ายออกส่วนใหญ่ได้เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว เพราะงั้นจึงไม่มีอะไรให้เขาต้องทำอีก


ในวันนี้เขาได้ตื่นขึ้นมาเพื่อฝึกหัวใจอันชอบธรรมเหมือนอย่างเคย จากนั้นเขาก็ดื่มชาที่ซอยูฮุยชงให้เขา พร้อมทั้งอ่านข่าวที่สมาคมนักฆ่าส่งมาให้


มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เขาได้เรียนรู้หลังจากกลับมา นั่นก็คือข่าวการย้ายออกไปของคาเพเดี่ยมได้รับความสนใจจากสาธารณะชนค่อนข้างมาก


ข่าวลือเรื่องการก่อสร้างสำนักงานกลางอีวาของคาเพเดี่ยม และการลงทะเบียนองค์กรได้กระจ่ายออกไป ดังนั้นจึงมีบทความเกี่ยวกับเรื่องการเก็งกำไรถูกเขียนออกมาในทุกรูปแบบ


ยังไงแล้วเนื่องจากซันเหอก็ยังย้ายไปกับคาเพเดี่ยมด้วย มันจึงไม่แปลกใจเลยที่จะเป็นข่าวขนาดนี้


ยังไม่หมดเท่านั้น


นับตั้งแต่ที่ซอลจีฮูกลับมาที่ฮารามาร์ค เขาก็รู้สึกกังวลแปลกๆ มันเหมือนกับว่าเขาได้ลืมเรื่องอะไรที่สำคัญมากๆไป แต่ว่าเขากลับนึกไม่ออกเลย


พอมาคิดดูแล้วในวันแรกที่เขากลับมา…


-โง่! บ้า! ตายไปซะ… ไม่สิ อย่าตายนะ ยังไงก็ตามฉันขอให้นายพังทลายไปในระหว่างการฝึกเลย!


เขาได้เห็นโน๊ตที่มีข้อความเหล่านี้ถูกเขียนเอาไว้ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้สนใจมันเพราะคิดว่าคงเป็นคนบ้าที่ไหนสักคิดมาล้อเล่นเท่านั้นเอง


จนกระทั่งไม่นานนักเขาก็รู้ตัวว่าความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้นี้มาจากนั้น


นั่นก็เพราะในช่วงเย็นได้มีชายคนหนุ่มมาที่สำนักงานคาเพเดี่ยม


“ผมได้ยินมาว่าคุณกลับมาเมื่อสองวันที่แล้ว”


น้ำเสียงนิ่งสงบได้ดังออกมา


ผู้มาเยือนคนนั้นก็คือแจนแซงตัส แต่ว่าสีหน้าของเขากลับดูไม่ดีเลยสักนิด


โดยปกติแล้วสีหน้าเขาจะนิ่งเฉยไม่ว่าจะถูกมีดแทงหรืออะไรก็ตาม แต่ในตอนนี้สีหน้านิ่งเฉยได้หายไป และถูกแทนที่ด้วยความโรยราแทน


“ผู้บัญชาการแซงตัส มีอะไรหรอครับ…?”


“ช่วงนี้บรรยากาศที่วังแย่มากเลย ไม่สิ ผมขอพูดตรงๆ มันน่ากลัว”


เมื่อได้ยินแบบนี้ซอลจีฮูก็ถึงกลับแสดงสีหน้าหนักใจออกมา


“คงมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นสินะครับ”


“พูดแบบนั้นก็ถูกครับ ต้องขออภัยด้วยนะครับ แต่ว่าคุณช่วยไปที่วังโดยไม่ถามอะไรจะได้ไหม? ขอล่ะครับ?”


เนื่องจากซอลจีฮูไม่เคยเห็นสีหน้าขอร้องแบบนี้ของแจนแซงตัสมาก่อนเลย ดังนั้นเขาจึงรีบลุกขึ้นทันที จากที่ดูแล้วพระราชวังฮารามาร์คดูจะตกอยู่ในอันตราย


‘ใช่แล้ว ช่วงนี้ปรสิตอยู่เงียบเกินไป’


แม้ว่าเขาจะกำลังไปจากฮารามาร์ค เขาก็ไม่คิดที่จะเมินเฉยอันตรายที่มีต่อฮารามาร์ค


มันจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆเพราะที่หน้าทางเข้าวังดูเงียบมาก


เมื่อก่อนที่วังจะสดใสขึ้นเพียงแค่เทเรซ่ากระโดดออกมาทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม


ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมานี้ที่วังได้เปลี่ยนเป็นมืดมน และเย็นยะเยือกเหมือนกับบ้านผีสิง เมื่อแจงแซงตัสได้แจ้งว่าซอลจีฮูมาแล้ว ในเวลาไม่ถึงนาทีราชาฟีไอก็ได้ออกมาทักทายเขาเป็นการส่วนตัว


เขารีบร้อนมาจนกระทั่งไม่ได้สวมรองเท้าด้วยซ้ำไป


“โอ้ ลูกชาย! ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้ล่ะ?”


ราชาฟีไฮที่มีถุงใต้ตาดำได้จับมือซอลจีฮูเอาไว้แน่น


“นายเย็นชาขนาดนี้ได้ยังไงกัน? นายน่าจะรีบมาให้เร็วกว่านี้นะ”


“โทษนะครับ? ไม่ อืมม ผมเพิ่งจะกลับมาจากการฝึก”


“แต่ก็เถอะนะ มันก็ผ่านมาสามเดือนแล้วนับตั้งแต่ที่กลับมาจากปฏิบัติการน่ะ”


ฟีโฮได้นำซอลจีฮูเข้าไปข้างในพร้อมตำหนิเขาไปด้วย หลังจากลากเขาไปได้สักพักหนึ่ง


“เร็วเข้าๆ ในตอนนี้มีแค่นายเท่านั้นที่แก้ปัญหานี้ได้ ช่วงนี้พื้นวังได้กลายเป็นแผ่นน้ำแข็งไปแล้ว”


ซอลจีฮูได้ถูกผลักให้เข้าไปในสำนักงานบริหาร


ขณะที่ซอลจีฮูกำลังสับสนอยู่ เขาก็เห็นเทเรซ่ากำลังนั่งเขียนเอกสารอยู่บนโต๊ะทำงานที่อยู่ใกล้ๆ


เธอคงจะได้ยินเสียงวุ่นวาย แต่ว่าเธอก็ยังคงมองดูเอกสารโดยไม่เหลือบมามองซอลจีฮูเลย


ซอลจีฮูได้รีบพูดออกมา


“เอ่อ… เจ้าหญิง?”


“ว่าไง”


เทเรซ่าได้ตอบกลับมาโดยไม่ละสายตาจากเอกสาร


ซอลจีฮูได้ถามขึ้นด้วยสีหน้าสับสน


“จู่ๆราชาก็ลากผมมา…”


“ทำไมนายถึงมาถามฉันล่ะ?”


น้ำเสียงของเธอเย็นชามาก


“ก็อย่างที่เห็น ฉันกำลังทำงานอยู่ นายยังไม่ได้ทำการนัดล่วงหน้าเลยด้วยนะ”


และน้ำเสียงของเธอก็ดูจะเป็นทางการมากๆด้วย


ซอลจีฮูได้นิ่งงันไป กิริยาท่าทางของเทเรซ่าต่างไปจากปกติอยู่เล็นน้อย เพราะแบบนี้ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย


ไม่ใช่ว่าพวกเขาเป็นเพื่อนที่ต้องผ่านการต่อสู้ที่หุบเขาอาร์เดน และหลบหนีมาจากศูนย์วิจัยด้วยกันหรอกหรอ?


‘หรือว่าเธอเป็นแบบนี้เพราะฉันกำลังย้ายไปที่อีวา..?’


เมื่อคิดแบบนี้เขาก็กลายเป็นขมขื่นไปเล็กน้อย


“ฉันไม่รู้นะว่านายมาที่นี่ทำไม แต่ว่าตอนนี้ฉันกำลังยุ่งมาก ถ้านายอยากจะพูดกับฉัน ก็ช่วยทำตามขั้นตอนให้ถูกด้วย”


แต่ก็เป็นอีกครั้งที่เทเรซ่าไม่ได้พูดผิดเลย ซอลจีฮูพยายามไม่แสดงความผิดหวัง และเลือกเดินไปเงียบๆ


“โอเค ขอโทษที่รบกวนนะ อภัยให้ด้วย”


เขาได้โค้งคำนับและค่อนๆหันหน้าไป แต่ว่าเขาก็ไม่อาจจะก้าวออกไปได้ นั่นเพราะในตอนที่เขากำลังจะก้าวสายตาเฉียบแหลมก็จ้องมาที่หลังของเขา


ในตอนที่เขาแอบหันกลับมา ในที่สุดเทเรซ่าก็ละสายตาออกมาจากเอกสารแล้ว ในตอนนี้เธอกำลังจ้องมาที่เขาอย่างดุดัน สีหน้าของเธออธิบายได้เพียงแค่ว่า ‘อย่าได้ก้าวออกไปจากห้องแม้แต่ก้าวเดียว’


“…เจ้าหญิง?”


เทเรซ่ากัดฟันแน่น และลุกขึ้นยืน หลังจากย่ำเท้าออกมา เธอก็มานั่งลงที่เก้าอี้ข้างซ้ายของเธอ ตึง! เธอได้ยกมือและฟาดลงบนโต๊ะตรงหน้า


“มานั่งนี่สิ”


ซอลจีฮูได้ผงะไป


“มาคุยกัน”


ซอลจีฮูได้กลืนน้ำลายลงไป เขาค่อนข้างจะคุ้นเคยกับคำพูดแบบนี้เป็นอย่างมาก


เขามักจะได้ยินประโยคนี้มาจากยูซอนฮวาในตอนก่อนที่เธอจะดุเขาอยู่บ่อยครั้ง


ยังไงก็ตามซอลจีฮูที่รู้สึกว่าการวิ่งหนีไม่ใช่ทางแก้ เขาจึงค่อยๆเดินมาและนั่งลงตรงหน้ากับเทเรซ่า


…พูดตามตรงแล้ว เขาก็รู้สึกผิดอยู่


เขาได้ประกาศอย่างมั่นใจว่าจะโน้มน้ามเธอ แต่แล้วเขาก็หายตัวไปหลายเดือนโดยไม่พูดอะไรออกมา แน่นอนว่าเขาก็มีเหตุผล แต่ว่านั่นก็ไม่ใช่ข้ออ้างอยู่ดี


ไม่ว่าจะแบบไหน ซอลจีฮูที่คิดว่าเขาควรที่จะต้องขอโทษก่อนจึงพูดออกมา


“เอ่อ… เจ้าหญิง”


“ว่าไง”


เทเรซ่าได้ประสานมือเข้าด้วยกัน และเอียงหัวออกมาเล็กน้อย เธอดูเหมือนจะพูดว่า ‘ก็ได้ มาดูกันว่านายจะพูดอะไร’


“ขอ-“


“ขอโทษเรื่องอะไรล่ะ?”


เธอได้ขัดเขาขึ้นก่อนที่เขาจะได้ทันพูดจบซะอีก


“บอกมาสิ นายขอโทษฉันเรื่องอะไร?”


ใบหน้าซอลจีฮูได้เผยแววลุกลี้ลุกลนขึ้นมา


“ดูสิ นายก็ไม่ได้คิดว่านายผิดอะไรนี่ นายก็แค่ขอโทษไปงั้นๆเองนี่”


เทเรซ่าได้แค่นเสียง และมองไปด้านข้าง ซอลจีฮูได้พยายามสงบใจแล้วตอบกลับไป


“ฉันขอโทษที่ติดต่อเธอช้าไป”


“โอ้ รู้แล้วหรอ?”


น้ำเสียงของเธอไม่ได้แสดงความเป็นมิตรออกมาแม้แต่นิด จริงๆแล้วเหมือนกับอยากจะเลือกปะทะกันด้วยซ้ำไป


“ฉันขออะไรที่มันมากเกินไปหรอ? แค่ใส่มานาลงไปในคริสตัลสื่อสารมันยากหรอ?”


ในตอนนี้พอมาเป็นแบบนี้แล้ว ซอลจีฮูได้รู้สึกไม่สบายใจออกมา เขารีบมาที่นี่ด้วยความเป็นห่วง แต่แล้วพอมาถึงเทเรซ่าก็ทำเหมือนกับเขาเป็นคนร้าย เขากลัวมากจนพูดไม่ออกเลย


“เจ้าหยิง”


เพราะแบบนี้เขาจึงรีบโพล่งออกมาโดยไม่รู้ตัว


“ใช่ ใช่สิ ผมขอโทษเรื่องนั้นจริงๆ”


เมื่อได้ยินแบบนี้ เทเรซ่าได้เบิกตากว้างและกระพริบตาออกมาอย่างรวดเร็ว


“นี่นายโกรธฉันหรอ?”


“ฉันไม่ได้โกรธ ฉันก็แค่มัวแต่ยุ่งกับเรื่ององค์กรต่างๆ ฉันไม่ได้เที่ยวเล่นหรอกนะ”


“นายกำลังโกรธฉัน ฮ่าห์!”


“ฉันบอกแล้วนี่ว่าไม่ได้โกรธ แล้วก็ถ้าเธอมีเรื่องด่วนจริงๆ เธอก็ติดต่อมาหาฉันก่อน-“


“แล้วใครกันที่เป็นคนตะโกนออกมาอย่างมั่นใจว่าจะโน้มน้าวฉันล่ะ?”


เมื่อพวกเขาผลัดกันพูด จู่ๆซอลจีฮูก็กลายเป็นพูดไม่ออก


‘เธอยังไม่ลืมเรื่องนั้น…’


“ฉะ ฉันก็มาที่นี่แล้วนี่!?”


ซอลจีฮูได้ติดอ่างไปจากการโต้กลับที่คาดไม่ถึง


“อ่า ก็ใช่ นายมาแล้ว มาหลังจากผ่านไปสองวันนับตั้งแต่กลับมาที่ฮารามาร์ค แต่ว่าฉันดีใจจังเลยนะที่ในที่สุดนายก็ตัดสินใจจะมา”


ตัดสินจากสีหน้าและน้ำเสียงของเธอ เขาคงจะไปจี้จุดและทำให้เธอโกรธขึ้นมาแล้ว


ซอลจีฮูได้แต่เลียริมฝีปากออกมา เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาต้องมาคุยเรื่องนี้ ซอลจีฮูที่รู้สึกสับสนได้กดหน้าผากและถอนหายใจออกมา


“โอ้ ให้ตายสิ…”


“อะไรล่ะ? นายเพิ่งจะพูดอะไรนะ? ‘โอ้ ให้ตายสิ?’”


เทเรซ่าได้ขมวดคิ้วขึ้นมาจนทำให้เขารู้สึกกลัว แต่ว่าซอลจีฮูก็ไม่ได้ยอมถอยไป


“หลังจากกลับมาฉันยุ่งอยู่กับการเตรียมการย้ายออกอยู่ตลอด”


“ว้าว~ ช่างเป็นคนงานยุ่งซะเหลือเกิน”


“ทำไมเธอถึงต้องมาถากถางกันด้วยล่ะ? ฉันไม่ได้เที่ยวเล่นจริงๆนะ ฉันเพิ่งจะกลับมาจากการฝึกนรก!”


“โอ้ นายกำลังพูดอะไรกันล่ะ? นี่ฉันกำลังดุด่าอะไรนายงั้นหรอ? ทั้งหมดที่ฉันกำลังพูดก็คือ-“


“ฉันได้พยายามอย่างหนัก หนักมากจริงๆ! มันไม่ใช่ว่าฉันมีแค่เรื่องสองเรื่องที่ต้องจัดการนะ ทำไมเธอต้องมีเรื่องมาให้ฉันคิดมากขนาดนี้ล่ะ?”


ซอลจีฮูได้โพล่งออกมาด้วยความโกรธ ก่อนจะร้องอ๊ะออกมา แต่ว่าเขาก็หลุดพูดออกไปแล้ว


เทเรซ่าได้มองมาที่ซอลจีฮูอย่างสับสนด้วยความตกใจอย่างมาก ขนตาและริมฝีปากของเธอกำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง


หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง… ฮ่าห์ เสียงถอนหายใจเบาๆก็ดังออกมา


ลำคอของเทเรซ่าได้กลืนน้ำลายลงไป ก่อนที่เธอจะกอดอกหันหน้าหนีไป


“ฉันไม่รู้”


“จะ เจ้าหญิง”


“ก็ได้ นายก็เป็นแบบนี้อยู่เสมอ”


ซอลจีฮูได้แต่กัดริมฝีปากออกมา เขาอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็กลายเป็นพูดไม่ออกเมื่อเขาเห็นเทเรซ่ากำลังจะร้องไห้


“ฉันเสียใจมาก”


เธอได้สะอื้นและใช้หลังมือเช็ดน้ำตาออกไป


“ฉันหมายถึงว่าสิ่งที่ฉันขอมันใหญ่ไปหรอ? แค่ให้นายติดต่อมาหาฉันทุกๆวันน่ะ แค่ติดต่อมาหาฉันสักครั้งหนึ่งมันยากหรอ?”


เธอได้พึมพำออกมาไม่หยุดพร้อมยังเช็ดนน้ำตาไปด้วย


‘ฉันอยากจะเผชิญหน้ากับความหมั่นเพียรอันนิรันดร์มากกว่าซะอีก…’


ซอลจีฮูได้แต่เกาหัว ถอนหายใจออกมา จากนั้นก็พยักหน้า


“..ขอโทษ ฉันผิดเอง”


“นายขอโทษเรื่องอะไร?”


ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ย้อนกลับมาเรื่องเดิม


ซอลจีฮูได้หลับตาลงไป


‘พระเจ้า’


หลังจากที่เข้ามาในพาราไดซ์นี่ก็เป็นครั้งที่สองแล้วที่ซอลจีฮูได้ร้องเรียกหาพระเจ้า


***


ในอีกด้านหนึ่ง เทพที่ซอลจีฮูกำลังเรียกหา…


[น่ารักจริงๆเลย~]


…กำลังเฝ้ามองดูคู่ชายหญิงทะเลาะกันด้วยสีหน้าสนใจ


[ช่างเป็นการปะทะที่น่ารักจริงๆ… บรรยากาศที่ทุกๆอย่างร้อนระอุขึ้น… อ่า ช่างเป็นความสุขวัยเยาว์]


สุเปอร์เบียได้ร้อง ‘หย๊าาา~’ ออกมาพร้อมทั้งใช้สองมือปิดแก้มที่แดงขึ้น


[เจ้าหนูนี่ ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงโกรธ]


[ฉันก็เข้าใจเขานะ มันก็ไม่ใช่ว่าเขาเอาแต่เที่ยวเล่น เขาจะไปโดนตำหนิที่หลงลืมได้ยังไงกัน? สุดท้ายเขาก็เป็นมนุษย์เหมืนกันนะ]


[มันก็มีหลายอย่างที่ลืมได้แล้วก็สิ่งที่ลืมไม่ได้ ฉันเคยบอกเขาหลายรอบแล้วให้ดูแลเธอให้ดี เขาควรที่จะคุกเข่าขอให้เธออภัย แต่นี่… ชิ]


[โอ้? ท่านกูลาพูดเรื่องที่น่าสนใจจังเลยนะ คุกเข่าขอร้องงั้นหรอ? ลูกของฉันได้ทำบาปร้ายแรงไปงั้นหรอ?]


ในเวลาเดียวกันกู่ลากับลูซูเรียก็เถียงกันอยู่ที่มุมหนึ่ง


[เขาเป็นลูกของฉัน]


กู่ลาได้แค่นเสียงออกมา พร้อมทั้งพูดอย่างเคร่งขรึม


[ฉันจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไว้อีกแล้ว ฉันจะต้องเรียกตัวเขามาสั่งสอนให้รู้เรื่อง…]


ลูซูเรียได้เท้าเอวและประท้วงออกมาอย่างไม่พอใจ


[โอ้ ขอล่ะนะ- ลูกของฉันก็ยุ่งอยู่แล้ว! ทำไมเธอถึงพยายามที่จะทำลาบแรงใจเขาอีก?]


บทที่ 243 – ลาก่อนฮารามาร์ค


ในท้ายที่สุดซอลจีฮูก็กลืนศักดิ์ศรีลงไปและขอโทษออกมา ในตอนนี้เทเรซ่ากำลังก้มหัวอยู่บนโต๊ะโดยไม่ตอบอะไรกลับมาอีก ซอลจีฮูที่นั่งอยู่ข้างๆก็ได้แต่ขยับเข้าไปปลอบเธอใกล้ๆ


“อ๊า เจ้าหญิงอย่าทำแบบนั้นสิ ดูมองฉันหน่อยนะ”


“ฉันไม่เป็นไร”


“ขอโทษจริงๆนะ”


“ฉันบอกว่าไม่เป็นไรไง”


น้ำเสียงหดหู่ได้ดังออกมาจากช่องว่างระหว่างใบหน้ากับแขน


“ไปเถอะ นายไม่ต้องมาเกรงใจคนแบบฉันอีก หยุดห่วงฉัน แล้วก็ไปทำตามใจนายเถอะนะ”


“เจ้าหญิง…”


ซอลจีฮูได้วางมือลงบนแขนซอลเทเรซ่าด้วยสีหน้าลำบากใจ


“อย่ามาแตะฉัน”


ซอลจีฮูได้ค่อยๆขยับมือลูบเส้นผมโรสโกลด์ของเธอช้าๆ โดยไม่สนใจสิ่งที่เธอพูด


“ไปซะ”


คำพูดของเธอไม่ได้ตรงกันกับการกระทำของเธอที่ขยับหน้ามาแนบหน้าอกของซอลจีฮูเลยสักนิด


“ฉันขอโทษ นับจากนี้ไปฉันจะไม่ลืมที่จะติดต่อมาหาเธออีก”


“…นับจากนี้?”


“ใช่แล้ว”


“ไม่เอาอีกแล้วนะ?”


มีคำกล่าวไว้ว่าหากไม่อาจจะรักษาสัญญาได้ก็อย่าได้สัญญา แต่ว่าซอลจีฮูมุ่งมั่นไปกับการทำให้เทเรซ่าดีขึ้นโดยไม่คำนึงถึงเรื่องอื่นแล้ว


“ใช่แล้ว จะไม่มีอีกแล้ว”


คำพูดของเขาได้ผลเป็นอย่างมากจนทำให้บรรยากาศรอบตัวเทเรซ่าดูอ่อนลงไป


“ถ้างั้นนายจะไม่ไปใช่ไหม?”


คำถามเบาๆได้ดังออกมา มันแทบจะเหมือนกับว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทั้งหมดเป็นการเตรียมการมาสู่ตอนนี้ ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆออกมา


“ฉันทำแบบนั้นไม่ได้”


“ทำไมล่ะ…”


น้ำเสียงหมดหนทางได้ดังออกมา เทเรซ่าได้เคยถามคำถามเดียวกันนี้มาก่อนแล้ว


ซอลจีฮูได้กระแอ่มออกมา เขากำลังจะเอามือออกมาประสานกัน แต่ว่าเทเรซ่าก็รีบคว้ามือของเขาไปวางไว้บนหัวของเธอ


ซอลจีฮูได้แต่หัวเราะและกลับมาลูบผมเธอเหมือนเดิม


“เมื่อหลายเดือนก่อน อาจารย์จางได้มอบสมุดบันทึกของอาจารย์เอียนให้ฉัน”


ซอลจีฮูรู้สึกได้ว่าเทเรซ่าผงะไปเมื่อเขาพูดถึงเอียน


“สมุดบันทึกมีชื่อของชาวโลกที่ตายหรือเกษียรไปอย่างลึกลับ มีกระทั่งชื่อของชาวโลกที่ติดเชื้อของพวกปรสิตด้วย”


น้ำเสียงของเขาได้กลายเป็นขมขื่น และทึ่งกับสิ่งที่เขาเคยได้อ่านมาจากบันทึก


ไม่ใช่ว่าชาวโลกทุกคนจะเป็นสวะ


นี่เป็นเรื่องจริงมาตลอด ในเมืองทั้งเจ็ดยังคงมีชาวโลกที่ทำเพื่อประโยชน์ของพาราไดซ์อย่างเต็มกำลังอยู่อย่างไม่ต้องสงสัยเลย


มันก็แค่ว่าพวกสวะมีจำนวนที่มากกว่าเท่านั้นเอง


แต่ว่าสิ่งสำคัญกับซอลจีฮูก็คือไม่ว่าจะอดีต ปัจจุบัน และอนาคตก็ยังจะมีชาวโลกที่เต็มใจจะเสียสละตัวเองเพื่อพาราไดซ์อยู่


“ฉันอยากที่จะดูแล สนับสนุน และปกป้องชาวโลกที่มุ่งมั่นจะทำให้พาราไดซ์ดีขึ้นอย่างจริงใจ ฉันจะต้องสร้างองค์กรก็เพราะว่าฉันทำมันคนเดียวไม่ได้”


แน่นอนว่าถ้าแค่นี้แล้ว เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องย้ายออกไปจากฮารามาร์คเลย แต่ว่าเป้าหมายของซอลจีฮูไกลกว่านั้นมาก


“อีกเหตุผลหนึ่งก็คือการปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสหพันธรัฐ”


เขาเคยพูดมาก่อนแล้ว เพราะงั้นเขาจึงลงรายละเอียดเพิ่มเติม


“ฉันได้รู้เรื่องนี้ในระหว่างปฏิบัติการณ์เจดีย์แห่งความฝัน นั่นคือมันเป็นไปไม่ได้เลยที่สหพันธรัฐกับมนุษยชาติจะปรองดองกัน และนี่เป็นสิ่งที่เราต้องทำหากว่าต้องการจะเอาชนะพวกปรสิต”


“…”


“ฉันจะต้องไปเจ้าหญิง ฉันจะต้องไปอีวา และกลายเป็นองค์กรตัวแทนของเมือง”


เขาได้พูดออกมาด้วยความเชื่อมั่น


“ฉันจะต้องกวาดล้างความชั่วร้ายที่หยั่งรากลึกอยู่ในอีวา และเป็นฝ่ายยื่นมือออกไปขออภัยสหพันธรัฐ จากนั้นก็กลายเป็นพันธมิตรกับพวกเขาอย่างเป็นทางการ”


เทเรซ่าได้เงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย แต่ว่าซอลจีฮูก็ยังพูดต่อไป


“ไม่ใช่แค่พันธมิตรในนามเท่านั้น แต่ตราบใดที่สหพันธรัฐต้องการ ฉันก็จะยอมรับพวกเขาเข้าสู่อีวาและทำการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกัน”


ในที่สุดเทเรซ่าก็กลับมานั่งลงไป ขณะที่เธอค่อยๆมองกลับมาที่วอลจีฮูก็มีสีหน้าสับสนอยู่เต็มใบหน้าของเธอ


“นายจะยอมรับพวกเขา… แล้วก็ทำอะไรนะ?”


“ฉันจะเปลี่ยนอีวาให้เป็นเมืองปราการ เหมือนอย่างที่เธอทำนั่นแหละ”


ซอลจีฮูได้พูดต่อโดยไม่หยุดพักสักนิด


“แน่นอนว่าภูมิประเทศของอีวาไม่ได้เป็นเหมือนป้อมปราการหุบเขาอาร์เดนที่จะใช้ประโยชน์จากธรรมชาติได้ แต่ว่าด้วยเทคโนโลยีของสหพันธรัฐที่ซึ่งสร้างป้อมปราการไทกอลขึ้นมา มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”


“นี่นายวางแผนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”


“ตั้งแต่ที่สงครามจบลง ในตอนที่พวกปรสิตได้ยกกองทัพใหญ่ที่มากพอจะปิดล้อมเมืองส่วนใหญ่ของมนุษย์ได้”


มันได้ส่งผลให้มนุษย์ต้องตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวที่รู้สึกว่าในที่สุดปรสิตก็จะลงดาบพวกเขาแล้ว แต่ในท้ายที่สุดเป้าหมายของราชินีปรสิตก็ต่างออกไป


เธอได้หลอกทุกๆคนโดยซ่อนเป้าหมายที่แท้จริงเอาไว้ไม่ให้พวกเขาได้ส่งกำลังเสริมไปไหนได้


“จากสิ่งที่เกิดขึ้นนั่น… ฉันได้คิดเกี่ยวกับมันมากมายจนกระทั่งได้รับคำตอบ นั่นมันก็เพราะว่าป้อมปราการไทกอลโดนยึดไป”


เทเรซ่าได้แสดงสีหน้าซับซ้อนออกมา แต่ถึงแบบนั้นเธอก็ดูเหมือนจะเข้าใจ


“สหพันธรัฐจะยอมรับในข้อเสนอของนายง่ายๆงั้นหรอ?”


“อีวามีพรมแดนที่ติดกับสหพันธรัฐ และเป็นเมืองมนุษย์ที่ใกล้กับป้อมปราการไทกอลที่สุด นี่เป็นตำแหน่งที่ตั้งที่เหมาะที่จะช่วยสนับสนุนพวกเขาในตอนที่มีอะไรเกิดขึ้นที่สุดแล้ว ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าสหพันธรัฐจะปฏิเสธในความจริงข้อนี้”


เทเรซ่าได้หลับตาลงไป ในที่สุดแล้วเธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากมองดูภาพใหญ่ที่ซอลจีฮูได้วาดหวังเอาไว้


“นั่นมันฟังดูเหมือนฝันเลยนะ…”


เธอได้ยิ้มแห้งๆออกมาโดยเว้นช่วงคำพูดไว้


“นายทำให้ฉันนึกถึงชาวโลกคนหนึ่ง”


“?”


“โจชัวร์ คาร์ฟลิน เขาเป็นดวงดาวแห่งความเกียจคร้านคนเก่า”


เทเรซ่าได้ถอนาหยใจยาวออกมา


“เขาเป็นชาวโลกที่ยืนกรานว่ามนุษย์ควรที่จะร่วมมือกันกับพันธมิตรมนุษย์สัตว์ เขาเป็นวีรบุรุษที่พิชิตอาณาจักรคาปี้ชานที่ถูกปรสิตยึดไป และยังได้ทำลายแผนของราชินีปรสิตได้อีกด้วย”


ซอลจีฮูจำได้ดีว่าเขาเคยได้ยินชื่อนี้จากสมุดบันทึกของเอียน ในตอนที่พันธมิตรมนุษย์สัตว์เสี่ยงที่จะถูกกวาดล้างออกไป เขาได้นำกองกำลังระดับสูงขนาดเล็กไปเป็นกำลังเสริมให้พันธมิตรมนุษย์สัตว์ แต่แล้วเขาก็ถูกความหมั่นเพียรอันอัปลักษณ์ลอบซุ่มโจมตี


“หลังจากเหตุการณ์นั้น ฉันได้สาบานซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าฉันจะไม่นั่งดูอยู่นิ่งๆอีก… ฉันเกือบจะทำพลาดแบบเดียวกับในตอนนั้นไปแล้ว มันเพราะความโลภของฉัน”


ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างออกมาเมื่อเขาได้ยินคำพูดที่เหมือนจะยอมแพ้ของเทเรซ่า


“งั้นเธอเข้าใจแล้วาสินะ?”


“ตอนนี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่”


ตอนนั้นฉันควรที่จะอยู่ฟังเขาก่อน เทเรซ่ารู้สึกละอายใจกับตัวเองพร้อมทั้งประหลาดใจในเวลาเดียวกัน


ไม่ว่าจะยังไงเธอก็มั่นใจในเรื่องหนึ่ง ซอลจีฮูมีความทะเยอทะยานที่ไม่มีใครฝันถึงมาก่อนเลย


เมื่อได้ยินแบบนี้ในที่สุดเธอก็เข้าใจในสิ่งที่เขาบอกว่า ‘เพื่อประโยชน์ของพาราไดซ์’ แล้ว เธออาจจะช่วยเขาไม่ได้ แต่ว่าเธอจะต้องไม่ไปขัดแข้งขัดขาของเขา


“นี่มันเป็นครั้งแรกเลย”


ซอลจีฮูได้พูดออกมาเบาๆ


“เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันบอกรายละเอียดแผนการของฉันกับคนอื่น”


เขาได้เกาหัวหัวเราะแห้งๆออกมา


“ฉันรู้ว่ามันเป็นความฝันที่บ้ามาก มันไม่น่าเป็นไปได้เลย มันเหมือนกับว่าฉันคิดไปก่อนแล้ว แต่ว่านะ…”


“ไม่หรอก”


เทเรซ่าได้ปฏิเสธออกมาอย่างหนักแน่นพร้อมทั้งมองชายหนุ่มตรงหน้าเธออย่างอ่อนโยน


“ฉันเชื่อว่านายทำมันได้”


เขาได้ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่า


เธอเชื่อในตัวเขา และอยากจะเชื่อแบบนั้น


หากว่าเขาทำตามเป้าหมายของเขาสำเร็จจริงๆ…


รอยยิ้มได้เบ่งบานออกมาจากใบหน้าของซอลจีฮู บางทีอาจจะเพราะเทเรซ่าได้ให้กำลังใจเขา เขาถึงได้รู้สึกมีพลังขึ้นมา


“ขอบคุณนะ”


เขาไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ หลังจากขอบคุณสั้นๆแล้ว ซอลจีฮูก็ได้ยืนขึ้นนิ่งๆก่อนจะถามออกมา


“ยังไงก็เถอะนะ มันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นที่วังใช่ไหม?”


“หืม? อ่อ ใช่สิ”


“อ่า ขอบคุณพระเจ้า”


“…ทำไมหรอ?”


เทเรซ่าได้เอียงหัวออกมา เมื่อซอลจีฮูได้ลูบหน้าอกและอธิบายว่าทำไมเขารีบมาที่วัง เทเรซ่าก็ยิ้มแห้งๆออกมา


แต่ว่าก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น ดวงตาสีชมพูของเธอได้เป็นประกายขึ้นทันที


“ฉันตกใจมากจริงๆ ผู้บัญชาการแซงตัสพูดเหมือนกับมีเรื่องด่วนที่ต้องจัดการ ฉันคิดว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น…”


“ก็นะ มันก็มีปัญหาอยู่จริงๆ”


“ว่ายังไงนะ?”


“อืม ตอนนี้มันก็ไม่ใช่ปัญหาหรอก แต่ว่าสำหรับอนาคตแล้วมันเป็นสิ่งที่อาณาจักรต้องเป็นกังวล”


เทเรซ่าได้พูดออกมาอย่างไร้เดียงสาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าไปเลยสักนิด ซอลจีฮูได้กลายเป็นจริงจังขึ้นมา


“อะไรงั้นหรอ? พอจะบอกฉันได้ไหม?”


“ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่ว่า…”


“ถึงฉันจะไม่ได้อยู่ฮารามาร์คแล้ว แต่ว่าฉันก็อยากจะช่วยนะ”


เทเรซ่าได้มองมาที่ซอลจีฮูอย่างเขินอาย และรีบกลับมานั่งลง


หลังจากนั้นสิ่งที่เทเรซ่าบอกก็นับว่าเป็นปัญหาจริงๆ ชัดเจนมากว่าฮารามาร์คได้สูญเสียกองกำลังทหารไปอย่างมากในระหว่างสงครามทำให้กำลังรบของพวกเขาหายไปอย่างมหาศาล


พวกเขาจำเป็นต้องเสริมกำลังพลที่ขาดหายไป แต่เนื่องจากจำนวนประชากรที่น้อยอยู่แล้วทำให้พวกเขาอยู่ในจุดเสี่ยง


“ยังไม่หมดเท่านั้นนะ นอกจากทหารแล้ว เราก็ยังขาดฝ่ายบริหารอย่างมากอีกด้วย การที่จะหาผู้ที่ที่มีประสบการณ์มันยากมากๆ…”


นี่ก็นับเป็นปัญหาเช่นเดียวกัน กองทัพจะแสดงคุณค่าที่แท้จริงออกมาได้ก็ต่อเมื่อเคลื่อนไหวกันเป็นกลุ่ม แต่ปัญหาก็คือฮารามาร์คไม่ค่อยมีทหารมีประสบการณ์ และการฝึกพวกเขาก็เป็นไปได้ยาก ซอลจีฮูสามารถจะประเมินสถานการณ์ของฮารามาร์คได้อย่างดี


“พวกเรากำลังตรวจสอบเรื่องนี้จากหลายๆแง่มุม เริ่มต้นจากวิธีการระยะสั้นอย่างการลดอายุขั้นต่ำรวมไปถึงวิธีการระยะยาวอย่างการให้กำเนิดบุตร…”


เทเรซ่าได้ถอนหายใจออกมาโดยไม่อาจจะพูดได้จบ จริงๆแล้วอายุขั้นต่ำก็ไม่อาจจะลดลงไปได้อีก แล้วพวกเขาก็ไม่ได้มีข้อมูลที่จะให้การสนับสนุนการกำเนิดบุตรใดๆเลยด้วย


จะมีพ่อแม่ไหนกันที่อยากจะคลอดลูกออกมาในโลกที่สามารถจะตายได้ในตลอดเวลา?


“มีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้ไหม?”


ซอลจีฮูได้ถามออกมาโดยที่ไม่อาจจะคิดหาทางแก้ได้เลย เทเรซ่าได้แกล้งทำเป็นสับสนอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะค่อยๆชักนำเขาไปสู่บทสนทนาหนึ่ง


“เดิมทีนี่เป็นปัญหาที่อาณาจักรควรจะกังวล แต่ว่า… จริงๆแล้วฉันก็อยากจะขอให้นายช่วย…”


“อะไรหรอ? บอกมาได้เลย”


ซอลจีฮูดีใจขึ้นมา เทเรซ่าได้ดังเลอยู่นานเหมือนกับจะอายที่ต้องขอให้เขาช่วยอีกแล้ว แต่ว่าด้วยการคะยั้นคะยอของซอลจีฮูทำให้เธอค่อยๆพูดออกมา


“เราไปคุยกันที่อื่นก่อนดีไหม?”


“ได้สิ”


ซอลจีฮูได้เดินตามเทเรซ่าออกไปจากห้องบริหาร แต่ว่าทันใดนั้นเขาก็รู้สึกแปลกๆเมื่อเดินผ่านห้องอาหารไปถึงมุมที่คุ้นเคย


“เข้ามาสิ”


ที่ๆพวกเขามาถึงก็คือหน้าห้องนอนของเทเรซ่า เนื่องจากว่าเขาเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง เขาจึงจำมันได้อย่างชัดเจน


“ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ? ไม่ใช่ว่าเรากำลังคุยกันเรื่องการเสริมกำลังทหารหรอกหรอ?”


“อ๊า แผนเสริมกำลังทหารอะไรกัน?”


เทเรซ่าได้สะบัดมือและยิ้มหวานออกมา


“ฉันหมายถึงแผนเสริมฝ่ายบริหารต่างหาก มันจะต้องใช้เวลา แต่ว่ารีบเข้ามาสิ”


จากนั้นเมื่อเธอเข้ามาใกล้ซอลจีฮูเหมือนกับจะดึงเขาเข้าไป


‘แผนเสริมฝ่ายบริหาร?’


ซอลจีฮูได้กรอกตาอย่างตกใจก่อนจะหยุดหายใจ และหน้าแดงขึ้นมาทันที


ต่อจากนั้นซอลจีฮูได้รีบหันหน้าหนีไป แต่ในเวลาเดียวกันเทเรซ่าก็ยื่นมือออกมาคว้าเสื้อของเขาเอาไว้


“อ่า!”


ซอลจีฮูได้รีบวิ่งหนีเต็มกำลังทันที เขาได้ยินเสียงไม่พอใจอย่าง “ให้ตายสิ! เกือบแล้วเชียว!” ดังออกมาไล่หลัง แต่ว่าเขาก็ไม่ได้หยุดลง เพราะแทนที่เธอจะยอมแพ้ เขากลับรู้สึกได้ว่าเธอกำลังไล่ตามเขามาด้วยความเร็วที่น่ากลัว


แต่ว่าซอลจีฮูก็ไม่ใช่คนที่จะถูกไล่ทันได้ง่ายๆ เนื่องจากว่าค่าความคล่องตัวของซอลจีฮูได้เพิ่มขึ้นมาขั้นหนึ่ง หากว่าเขาวิ่งเต็มกำลังจริงๆ แม้กระทั่งเทเรซ่าก็ยากที่จะย่นระยะห่างเข้ามาได้


ดังนั้นเขาจึงวิ่งหนีออกไปจากวัง และพุ่งผ่านมาจนถึงหน้าประตูหลัก…


“ซอลลลล!”


เสียงของเทเรซ่าได้ดังยืดยาวออกมาก่อนที่จะหยุดลงกระทันหัน


ซอลจีฮูได้เหลือบกลับไปมองก่อนที่จะค่อยๆลดความเร็วลง และหันหน้ากลับไปมอง เทเรซ่าได้ก้มหน้าลงสูดหายใจยาวอยู่


ใบหน้าของเธอได้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะราวกับว่าเธอเพิ่งจะเล่นสนุกอะไรออกมา


“ฟู่วว-“


หลังจากนั้นสั้นๆเทเรซ่าก็ยืดหลังขึ้นมามองตรงที่ซอลจีฮู จากนั้นเธอก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“โชคดีนะ”


“เจ้าหญิง?”


“ฉันจะเป็นกำลังใจให้นาย ถ้านายเจอปัญหาก็โทรมาหาฉันนะ ในตอนนั้นฉันจะช่วยนายเอง”


…จริงๆแล้วนี่เป็นสิ่งที่ซอลจีฮูอยากจะได้ยินมาตลอด การมีคนเข้าใจความรู้สึกของเขามันช่างน่ายินดีจริงๆ


ซอลจีฮูได้ยิ้มตอบกลับไป จากนั้นก็เดินจากไป ในระหว่างเดินผ่านท้องถนนที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ใบหน้าของเขาก็แน่วหน้าขึ้นมา


ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องทำตามแผนในอีวาให้สำเร็จ


***


แสงอาทิตย์ยามเช้าได้สาดส่องสลัวลงมาที่เมือง วันนี้เป็นวันที่คาเพเดี่ยมกำลังจะเดินทางไปที่อีวาแล้ว


รถม้าได้รอพวกเขาอยู่ที่ด้านนอก หลังจากขนสัมภาระใส่รถม้าแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ก็แค่ทรัพย์สินส่วนตัวของพวกเขาที่อยู่ที่วิหาร


เมื่อคืนก่อนซอลจีฮูได้เก็บของของเขามาแล้ว แต่ว่าโชฮง ฮิวโก้ แล้วก็ฟีโซราเป็นคนที่จะเก็บเอาไว้จนถึงนาทีสุดท้ายเท่านั้นถึงจะรีบวิ่งไปเอาของที่วิหาร


‘พวกเขาน่าจะไปเอามาก่อนนะ… มันไม่ใช่จำนวนน้อยๆเลย’


ซอลจีฮูได้บ่นภายในใจ และบอกกับคนขับรถม้า หลังจากผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงทั้งสามคนก็ได้กลับมา หลังจากเก็บใส่กระเป๋าและนำขึ้นรถม้าแล้ว ซอลจีฮูก็ได้เสร็จสิ้นขั้นตอนสุดท้ายแล้ว


“ทุกคน… ไม่มีใครลืมอะไรนะ ของทุกอย่างอยู่ในกระเป๋าแล้วใช่ไหม?”


และเมื่อเขากำลังจะกระโดดขึ้นไปบนรถม้า และปิดประตู จู่ๆเขาก็คิดอะไรขึ้นมาได้และหันกลับไปมองที่สำนักงานคาเพเดี่ยม


จากนั้นเอ


“เดี๋ยวก่อนนนนน!”


พร้อมๆกันกับเสียงคำราม มือเล็กๆก็ได้คว้าประตูเอาไว้


เมื่อซอลจีฮูตกใจมองออกไป เขาก็เห็นหญิงสาวผมสีบลอนด์กำลังยืนหอบหายใจอย่างหนัก บนแผ่นหลังของเธอแบกกระเป๋าไว้อยู่หลายใบ


“คุณมาเรีย”


“ก่อนอื่น- เอานี่ไป-“


มาเรียได้ส่งกระเป๋าออกมาพร้อมเสียงฮึดฮัด หลังจากที่ซอลจีฮูเก็บกระเป๋าใส่รถม้าแล้ว เธอก็ได้พ่นลมหายใจออกมา


“คนนอกมาทำอะไรที่นี่กัน?”


คิมฮันนาห์ที่นั่งมองภาพนี้อยู่ภายในรถม้าได้ถามเยาะเย้ยออกมา


มาเรียได้แค่นเสียงขึ้นก่อนจะหรี่ตาและตอบกลับไป


“คนนอก? ตอนนี้ฉันกลายเป็นคนในแล้ว”


“อะไรนะ?”


โชฮงได้ถามขึ้นด้วยความสงสัย นี่มันเป็นครั้งแรกเลยที่เธอได้ยินว่ามาเรียกำลังจะเข้าร่วมทีมพวกเขา


“‘อะไรนะ’ อะไรกัน ตอนนี้ฉันเป็นสมาชิกคาเพเดี่ยมไปแล้ว”


“หลักฐานล่ะ?”


คิมฮันนาหได้ยื่นมือเรียวยาวออกมา


มาเรียได้แค่นเสียงขึ้นและล้วงมือลงไปในกระเป๋า แต่ว่าสิ่งที่ออกมากลับไม่ใช่สัญญา…


“รับไปสิ”


มันคือถุงเงิน


มาเรียได้ทุบถุงเงินลงไปบนฝ่ามือของคิมฮันนาห์ราวกับจะทุบมือเธอให้แหลก คิมฮันนาห์ได้เหลือบมองภายในถุงก่อนที่จะผิวปากออกมาอย่างประหลาดใจ


“นี่มันน่าตกใจจริงๆเลย หากว่าเธอเลือกเซ็นต์สัญญา เธอก็น่าจะได้รับโบนัสสักหน่อยนะ แต่อะไรกันที่ทำให้ยัยหน้าเงินแบบเธอเลือกตัวเลือกนี้ล่ะ?”


“อย่ามาดูถูกนะ เธอคิดว่าฉันจะยอมกลายเป็นทาสกันเรอะ?”


“โอ้?”


“ไม่ว่าจะยังไง ตอนนี้ฉันก็กลายเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งแล้วสินะ อย่างได้ลืมซะล่ะ”


มาเรียได้คำรามออกมาก่อนที่จะรีบกระโดดเข้ามาในรถม้า


ขณะที่ทุกๆคนนอกจากมาเรีย คิมฮันนาห์ และมาเรียเอียงหัวออกมา ซอลจีฮูก็ยื่นมืออกไปด้วยรอยยิ้ม


“ยินดีต้อนรับนะคุณมาเรีย ผมกำลังรออยู่เลย”


มาเรียได้จับมือเขาและบ่นออกมาเบาๆ


“เชอะ นั่นนายกำลังจะออกรถไปโดยที่ไม่มีฉันอยู่แล้ว”


“ถ้างั้นคุณก็ควรจะมาให้เร็วกว่านี้หรืออย่างน้อยก็ติดต่อเขาก่อนสิ”


“ฉันไม่มีทางเลือก ฉันไตร่ตรองตัวเรื่องจนดึก นี่มันเป็นตัวเลือกที่ยากที่สุดในชีวิตของฉันแล้ว”


มาเรียได้ส่ายหัวออกมา เมื่อตัดสินจากถุงใต้ตาของเธอ เธอคงจะคิดหนักมาจริงๆ


ยังไงก็ตามใจหนึ่งซอลจีฮูก็สงสัย อีกใจหนึ่งก็ดีใจ เขาไม่รู้เลยว่าอะไรที่กดดันให้มาเรียจนมุมขนาดนี้ แต่ว่าเธอก็เลือกเข้าร่วมคาเพเดี่ยม ในที่สุดทีมของเขาก็มีนักบวชสายรักษาแล้ว


“ว้าว… ยัยสันโดษนี่รู้จักเข้าทีมด้วยงั้นหรอ?”


โชฮงได้หัวเราะออกมาเมื่อเข้าใจสิ่งต่างๆจากบทสนทนาของพวกเขา มาเรียได้หันกลับมาพูดอย่างภูมิใจ


“เธอควรจะยินดีนะ เธอคิดว่ามันง่ายหรอที่จะหานักบวชที่มีความสามารถในการเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงแบบนั้นได้… เอ๊ะ?”


เธอได้ชะงักไปก่อนจะพูดได้จบประโยคพร้อมทั้งเปลี่ยนสีหน้าเป็นตกตะลึง นั่นก็เพราะว่าซอยูฮุยที่นั่งอยู่ตรงข้ามกำลังยิ้มให้กับเธออย่างอ่อนโยน


“เอ่อ อืม.. มันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว… คาเพเดี่ยมมีมาตราฐานที่สูงมาก… เพราะงั้นฉันก็เลยสนใจ…”


มาเรียได้บ่นพึมพำก่อนจะหยักไหล่ออกมา


ไม่นานนักรถม้าก็เคลื่อนตัว ความเร็วได้ค่อยๆเพิ่มขึ้นจนพวกเขาผ่านตัวเมืองไปจนถึงหน้าประตูทางออก


ภาพฮารามาร์คได้ค่อยๆห่างไกลออกไป


“นายดูจะเสียใจนะ”


น้ำเสียงของโชฮงได้ดังออกมาในระหว่างที่ซอลจีฮูกำลังจ้องอยู่ที่เมืองที่ในตอนนี้กลายเป็นแค่จุดเล็กๆไปแล้ว ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา


“มันไม่มีอะไรให้ฉันต้องเสียใจ”


มันก็แค่เขากำลังคิดเรื่องอะไรมากมาย


การได้เจออเล็กซ์กับฮิวโก้ระหว่างทางมาฮารามาร์ค


นอนคืนแรกในพาราไดซ์ที่โรงแรมที่อเล็กซ์แนะนำให้กับเขา


เจอกับดีแลนด์ เข้าร่วมปฏิบัติการของซามูเอลในฐานะคนแบกของ และเข้าร่วมทีมกับคาเพเดี่ยม


และ และ… สิ่งต่างๆมากมายที่ได้เกิดขึ้น


มันมากจนเขานับไม่ไหว ยังไม่หมดเท่านั้น


‘ตอนนี้เจ้าหญิงเทเรซ่ากำลังทำอะไรอยู่นะ?’


เธอคงจะต้องทำงานอยู่แน่ แล้วคุณแอ็กเนสกับคุณซินเซียล่ะ? พอมาคิดดูแล้ว เขาก็ยังไม่ได้กล่าวลากับหัวหน้าหมู่บ้านอาเบอร์ มูโต้เลย อ่อ แล้วคุณมิเกลกับคุณเวโรนิก้ายังสบายดีไหมนะ?


ความคิดมากมายได้เข้ามาในหัวของเขา ในด้านหนึ่งการออกจากฮารามาร์คมันให้ความรู้สึกเหมือนกับเขตพื้นที่เป็นกลาง


มันเป็นที่ที่เขาเติบโตขึ้น


มันเป็นที่ที่เขาได้เจอกับผู้คนมากมาย


มันคือฮารามาร์ค


แต่ว่าสิ่งที่เขารู้สึกกับอีวามันต่างไปเล็กน้อย หากว่าเขาตื่นเต้นและมีความคาดหวังกับการไปฮารามาร์ค ถ้างั้นตอนนี้เขาก็กำลังรู้สึกมวลท้องและตื่นเต้น


นี่มันเป็นเรื่องธรรมดา


หากว่าเขตพื้นที่เป็นกลางกับฮารามาร์คเป็นที่ที่เขา ‘พัฒนา’ ถ้างั้นอีวาก็คือสถานที่ที่เขาจะแสดงผลลัพธ์นั้นออกมา


ซอลจีฮูไม่ใช่ชาวโลกหน้าใหม่แล้ว ในตอนนี้เขาอยู่ระดับ 5 เป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงที่ได้รับการยอมรับและเคารพในทุกๆที่


ในตอนนี้เขาอยู่ในจุดที่ต่างออกไป และความคิดก็ต่างไปแล้วด้วย


“…”


เมื่อฮารามาร์คได้หายไปจนลับสายตา อารมณ์เหล่านี้ภายในใจของเขาก็ค่อยๆลดลงไป


จากนั้นเมื่อซอลจีฮูหลับตาลง อารมณ์ที่คั่งค้างก็ได้ค่อยๆหายไปจนหมดสิ้น


ลาก่อนฮารามาร์ค!


บทที่ 244 – เมืองแห่งอนาธิปไตย (1)


สภาสูงคือแปดองค์กรที่ควบคุมอีวาเอาไว้ มันน่าตลกตรงที่สภาสูงนี้ไม่ได้มีราชวงศ์เข้าเกี่ยวข้องเลยสักนิด แต่ว่าคนที่รู้ก็ไม่อาจจะหัวเราะกับมันได้เลย


นั่นก็เพราะว่าการตัดสินใจของสภาสูงนี้จะส่งผลกระทบต่อสถานะการปกครองอยู่หลายต่อหลายครั้ง


ในวันนี้ภายในห้องลับที่อีวาสภาสูงก็กำลังทำงานกันอยู่เช่นเคย ตอนนี้มีเพียงแค่ตัวแทนเจ็ดคนเท่านั้น แต่ว่านี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาเนื่องจากว่าคนที่หายไปเป็นคนที่จะแสดงตัวออกมาเฉพาะเรื่องที่สำคัญเท่านั้น


เป็นธรรมดาที่หัวข้อการประชุมในวันนี้คือเรื่องการเคลื่อนไหวของคาเพเดี่ยม


แน่นอนว่าในฐานะสภาสูงที่เป็นเหมือนกับราชาแห่งฮารามาร์ค การที่พวกเขาจะเมินเฉยต่อคาเพเดี่ยมที่เป็นทีมเล็กๆก็ไม่ได้แปลกเลย สุดท้ายแล้วไม่ว่าทีมคาเพเดี่ยมจะมีมาตราฐานที่สูงขนาดไหน พวกเขาก็ไม่น่าที่จะต่อกรกับองค์กรทั้งแปดได้


แต่ปัญหามันอยู่ที่ซันเหอ


เนื่องจากว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่ทีมคาเพเดี่ยมกับซันเหอจะเคลื่อนไหวพร้อมๆกันเพราะความบังเอิญเท่านั้น มันเป็นไปได้สูงว่าพวกเขากำลังร่วมมือกันอยู่


และหากว่าทั้งสองนั้นร่วมมือกัน เรื่องราวก็จะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง


“พวกเขาจะมาแล้ว”


ใครบางคนได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ


“ซันเหอได้ย้ายมาเรียบร้อยแล้ว”


อีกฝ่ายหนึ่งได้เคาะโต๊ะเสริมขึ้นมา


“ในตอนนี้คาเพเดี่ยมก็กำลังเดินทางมาที่นี่… ให้ตายสิ ทำไมพวกเขาถึงไม่อยู่ที่ฮารามาร์คกันล่ะ? ที่นี่มันมีอะไรที่ทำให้พวกเขาต้องเดินทางไกลมางั้นหรอ?”


น้ำเสียงไม่พอใจได้ดังออกมา และอีกหกคน ไม่สิอีกห้าคนก็เห็นด้วยเช่นเดียวกัน จะมีก็แต่ปาร์คดงชุนที่แกล้งทำเป็นพยักหน้าเพราะบรรยากาศที่พาไป


ในฐานักหัวหน้าองค์กรพ่อค้าดงชุนแล้ว ปาร์คดงชุนก็เป็นสมาชิกของสภาสูงเช่นเดียวกัน ในแง่ตำแหน่งและอำนาจแล้ว เขาก็เป็นหนึ่งในสาม ‘ระดับปานกลาง’


สภาสูงก็มีการแบ่งลำดับชั้นคล้ายกันกับลำดับชั้นภายในองค์กรเช่นเดียวกัน


1 แข็งแกร่ง 3 ปานกลาง 4 อ่อนแอ


จริงๆแล้วมันมีเรื่องน่าตลกที่อยู่เบื้องหลังลำดับชั้นนี้อยู่เช่นเดียวกัน


องค์ประกอบแต่เดิมนั้นคือ 4 ปานกลาง และ 4 อ่อนแอ แต่ว่าในระหว่างที่สององค์กรระดับปานกลาง และสี่องค์กรระดับอ่อนแอได้ก่อตั้งพันธมิตรขึ้นเพื่อคานอำนาจ หนึ่งองค์กรระดับกลางที่เฝ้ามองอยู่เงียบๆก็ได้แอบเอื้อมมือไปทางราชวงศ์เพื่อก้าวไปสู่องค์กรระดับแข็งแกร่งเพียงหนึ่งเดียว


ด้วยการสนับสนุนจากราชินี องค์กรระดับแข็งแกร่งก็ได้เริ่มใช้อำนาจที่ทรงพลังนี้ทำให้สององค์กรระดับกลาง และสี่องค์กรระดับอ่อนแอต้องรู้สึกถูกคุกคาม และผนึกกำลังเข้าด้วยกัน


หลังจากที่จับตากันอยู่นาน ในที่สุดพวกเขาก็มาได้ข้อสรุปที่จะแบ่งอีวากัน


ท่ามกลางองค์กรเหล่านี้ องค์กรพ่อค้าดงชุนได้อยู่ในตำแหน่งที่คลุมเครือ พวกเขาเป็นหนึ่งในสององค์กรระดับกลางที่จับตาดูความขัดแย้ง แต่ว่าเมื่อพวกเขากำลังจะแสดงสัญญาณจะเข้าร่วม และต่อต้านองค์กรระดับแข็งแกร่ง องค์กรพ่อค้าดงชุนถูกบังคับให้ไปเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตร


และผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือพวกเขาไม่มีทั้งความสัมพันธ์อันดีหรือความสัมพันธ์แย่ๆกับองค์กรไหนเลย


ประเด็นสำคัญก็คือทั้งแปดองค์กรที่ซึ่งเคยกัดกันได้แบ่งผลประโยชน์ออกเป็นแปดส่วน และไม่แทรกแซงพื้นที่ของกันและกัน


แต่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีการแทรกแซงเข้ามาจากภายนอก พวกเขาก็จะร่วมแรงกันต่อต้าน


‘พวกเราได้ทำแบบนั้นมาตลอด แต่ว่าตอนนี้…’


แม้ว่าทั้งแปดองค์กรจะมีความไม่ลงรอยกันอยู่เล็กน้อย แต่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามา พวกเขาก็จะร่วมมือกันได้เป็นอย่างดีมาตลอด


ซันเหอกับคาเพเดี่ยม


“อืม… เรามองในแง่ดีหน่อยก็ได้นี่นา ซอลจีฮูจากคาเพเดี่ยมคือชาวโลกที่มีความสำเร็จอันน่าทึ่งเชียวนะ มันไม่มีอะไรรับประกันว่าป้อมปราการไทกอลจะไม่ล่มสลายไปอีก เพราะงั้นการที่คนอย่างซอลจีฮูมาที่นี่มันไม่ควรจะเป็นสิ่งที่เรากังวลที่สุด…”


“แล้วถ้าซันเหอมาที่นี่ล่ะ? ที่นี่ไม่ใช่โลก แต่คือพาราไดซ์ เจ้าพวกนั้นมันก็แค่สุนัขที่หลบหนีมาหลังจากพ่ายแพ้ให้กับซิซิเลียเท่านั้นแหละ…”


ทั้งสองคนได้แสดงความเห็นออกมาในแง่ดี


“มันไม่ได้เรียบง่ายแบบนั้นสิ”


แต่ว่าชายชราคนหนึ่งได้ปฏิเสธออกมาด้วยน้ำเสียงหดหู่ เขาคือคนแรกที่พูดขึ้นมา


“กำลังรบของคาเพเดี่ยมก็เรื่องหนึ่ง แต่ว่าซอลจีฮูคนนี้ก็ยังมีเส้นสายที่ซับซ้อนมากเช่นกัน เริ่มจากบุตรแห่งลูซูเรียไปจนถึงผู้อาวุโสจาง แล้วก็มีกระทั่งยัยคิมคนนั้น…”


น้ำเสียงหม่นหมองได้ดังออกมาจนทำให้ปาร์คดงชุนต้องหันไปมองคนพูด


‘โอมาร์ กราเซีย’


เขาเป็นหัวหน้าของแก๊งโอชัวร์ หนึ่งในองค์กรระดับปานกลาง เขาเป็นคนเม็กซิโกที่มาจากพื้นที่ที่ 4


“แน่นอนว่าในตอนนี้บุตรแห่งลูซูเรียเป็นแค่สัญลักษณ์ที่ไม่มีพลังรบเท่านั้น อาจารย์จางก็ได้เกษียรไปแล้วครั้งหนึ่ง แล้วก็ยัยจิ้งจอกนั่นก็ถูกไล่ออกจากถ้ำแล้ว… แต่ว่าเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกนั้นก็เป็นภัยเช่นเดียวกัน!”


ภายนอกเขาทำตัวเหมือนกับนักธุรกิจผู้อ่อนโยน แต่ว่าธาตุแท้ของเขาคือปีศาจ


แหล่งรายได้หลักของเขามาจากการค้าทาสที่ปลอมแปลงเป็นธุรกิจ เขาเป็นตัวการสำคัญในการออกคำสั่งจับสมาชิกของสหพันธรัฐโดยที่จะทำตามเป้าหมายให้สำเร็จโดยไม่สนใจวิธีการ


แน่นอนว่าเป้าหมายของเขาก็รวมถึงชาวโลกกับชาวพาราไดซ์ด้วยเช่นเดียวกัน


“เราจะมองข้ามซันเหอไปไม่ได้เหมือนกัน ใช่แล้ว ทุกคนก็รู้ดีนี่ว่าไอ้องค์กรนั่นมันบ้าขนาดไหน”


ปาร์คดงชุนได้กรอกตาหันไปมองชายล้ำบึ้กที่ตัดผมเหมือนกับทหารเรือ


‘สมบัติ ละอองมณี’


เขาคือหัวหน้าของรอยัลพัทยา เป็นอีกหนึ่งในองค์กรระดับกลาง เขาเป็นคนสัญชาติไทยที่มาจากพื้นที่ที่ 5


ละอองมณีเป็นไอ้ชั่วไม่ได้แพ้กับกราเซียเลยสักนิด ในช่วงแรกๆเขาได้ขยายอิทธิพลโดยการให้ชาวพาราไดซ์ที่ยากจนยืมเงิน และเมื่อชาวพาราไดซ์ไม่อาจจะจ่ายหนี้ได้ เขาก็จะเอาชาวพาราไดซ์คนนั้นมาเป็นทาสหรือไม่ก็ลากไปค้ากาม


เขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงในเรื่องคนรักเพศเดียวกันพร้อมทั้งมีนิสัยโหดร้ายที่ชอบทรมาณเด็กหนุ่มที่เป็นคู่เซ็กด้วย ยังไงก็ตามความจริงเรื่องนี้ก็ยังไม่ได้รับการยืนยันใดๆ


แต่ว่าสุดท้ายแล้วทั้งกราเซีย และละอองมณีต่างก็เป็นไอ้ชั่วอย่างแท้จริง ถึงขนาดว่าเมื่อเทียบกันแล้วปาร์คดงชุนก็จะกลายเป็นนักบุญไปได้เลย


“เราหยุดไม่ให้พวกมันลงทะเบียนเป็นองค์กรไม่ได้หรอ?”


“เราพยายามแล้ว แต่ว่าไอ้เจ้าซอกกูนีร์ได้จัดการเรื่องต่างๆด้วยตัวเอง…”


ขณะที่การสนทนาได้ดำเนินไปจนกระทั่งปาร์คดงชุนสังเกตว่าสายตาของทุกๆคนตกลงมาที่เขา ละอองมณีกำลังจ้องมาที่เขาจากตรงข้ามของโต๊ะ


“ทำไมนายถึงขายที่ดินผืนนั้นให้พวกมันไป!?”


เมื่อพวกเขาได้สบสายตากัน ละอองมณีก็ระเบิดอารมณ์ออกมา


‘ไอ้เวรนี่…’


มันชัดเจนมากว่าละอองมณีกำลังจะทำอะไร เขากำลังพยายามที่จะโยนความผิดให้ใครสักคนหนึ่ง


แน่นอนว่าเนื่องจากว่าพวกเขาไม่ได้รับผลกระทบอะไรโดยตรง พวกเขาจึงไม่ได้จะทำอะไรกับปาร์คดงชุน แต่ว่าในกรณีที่มีอะไรเกิดขึ้น ละอองมณีก็กำลังแสดงความเห็นให้สภาสูงเปลี่ยนให้เขากลายเป็นแกะบูชายัญ


“คุณจะให้ผมทำยังไงล่ะ? ซอลจีฮูได้เดินเข้ามาที่สำนักงานของฉันพร้อมกับยัยจิ้งจอกนั่นโดยบอกว่าจะซื้อที่ดินของฉัน พูดตามตรงนะนายคิดว่าฉันจะปฏิเสธได้งั้นหรอ?”


ปาร์คดงชุนได้แสดงสีหน้าไม่พอใจ และประท้วงออกมา พ่อค้าดงชุนเป็นหนึ่งในสามองค์กรระดับกลาง เขามีสิทธิ์ที่จะพูดออกมาได้


“นายจะทำอะไรได้งั้นหรอ? ก็หาข้ออ้างไงล่ะ นายถนัดอยู่แล้วนี่”


“ฮ่าห์ คุณก็พูดง่ายนะ ก็ได้สมมติว่าผมปฏิเสธพวกเขาไป คุณคิดว่าคุณจะทำแบบเดียวกันได้งั้นหรอ?”


“เจ้าโง่! อะไรจะมาบังคับให้เราขายที่ดินออกไปได้!?”


ละอองมณีได้ระเบิดอารมณ์ออกมาจนทำให้ปาร์คดงชุนต้องไอแห้งๆก่อนพูดขึ้น


“ก่อนที่จะมา ยัยจิ้งจอกนั่นรู้อยู่แล้วว่าผมมีที่ดินไว้ขาย”


“พระเจ้า ฉันพนันได้เยว่านายขายมันออกไปเพราะถูกเงินบังตา แล้วที่นี้จะเอายังไงล่ะ?”


ปาร์คดงชุนได้เม้มปากออกมา


“เอาเถอะ ในเมื่อมันกลายเป็นแบบนี้… ทำไมเราไม่รอดูก่อนล่ะ? พวกเราไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับแผนพวกเขาเลยนะ”


“อะไรนะ?”


ละอองมณีที่กำลังจะระบายความโกรธไปที่อื่นได้หันหน้าขวับกลับมาทันที อีกห้าคนที่เหลือรวมถึงตัวปาร์คดงชุนก็พยักหน้าออกมา


รอยยิ้มบางๆได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของปาร์คดงชุน


ละอองมณีที่กำลังไม่พอใจก็เอียงหัวออกมา สำหรับซันเหออาจจะปล่อยไว้ก่อนได้เพราะพวกนั้นได้เข้ามาในอีวาแล้ว แต่ว่าทำไมทุกๆคนถึงได้ไม่รู้สึกกดดันถึงการเข้ามาของคาเพเดี่ยมเลยล่ะ?


ในตอนนั้นเองหญิงสาวเพียงคนเดียวในสภาสูงก็ได้หัวเราะเยาะออกมา


“คิคิ พอมาคิดดูแล้ว นายนี่ก็ชั่วเหมือนกันนะ คุณดงชุน”


“อ๊า นั่นมันเป็นการค้าที่ยุติธรรม ไม่ใช่ว่าทุกคนก็พอใจหรอกหรอ?”


“แต่ก็นะ นายคิดยังไงถึงขายที่ดินนั่นออกไปให้พวกเขา ฉันแทบจะรู้สึกผิดแทนเลยนะ”


“พอมาคิดดูแล้ว นายขายมันออกไปได้ยังไงกัน? นี่มันไม่สมกับเป็นยัยจิ้งจอกเลยนะ”


กราเซียก็ยังพูดเสริมขึ้นมาด้วยสีหน้าสนใจอีกคน ละอองมณีที่เริ่มสับสนได้มองสลับไปมาก่อนจะรีบพูดขึ้น


“ดะ เดี๋ยวก่อนสิ นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ฉันรู้สึกเหมือนเป็นคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องเลย”


“นายไม่เคยได้ยินข่าวลือเรื่องที่ดินนั่นหรอ?”


เมื่อหญิงสาวได้ถามออกมาด้วยน้ำเสียงยินดี ละอองมณีก็ถามออกมา


“ที่ดินต้องสาปนั่นน่ะ รู้ไวเลยนะว่าทุกๆคนที่เข้าไปจะต้องตาย”


“อะไรนะ? ที่ดินต้องสาม…? โอ้ ที่นั่น! มันไม่ใช่ข่าวลือหรอกหรอ?”


“ไม่ใช่เลยสักนิด มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นนับสิบครั้ง และมีคนนับสิบต้องตายไป ที่นั่นมันไม่มีใครกล้าผ่านมาสี่เดือนล้ว”


เมื่อหญิงสาวได้พูดออกมาอย่างมั่นใจ ละอองมณีก็ได้แต่นิ่งไป ครั้งแรกมันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญได้ แต่ว่านับตั้งแต่ครั้งที่สามขึ้นไปมันก็จะไม่ใช่เรื่องบังเอิญอีก


“แต่ว่า… พวกเขาต่างออกไป…”


“ฉันก็สงสัยเหมือนกัน แม้กระทั่งนักบวชระดับสุงจากวิหารอินวิเดียก็ยังถูกฉีกท้องไปถึงปากเลยนะ”


“โอ้ จริงเหรอ?”


“มันแย่มากที่คุณปีศาจหน้าเงินนั่นพยายามยกที่นั่นให้ฉัน! เขาได้เสนอขายให้ฉันในราคาถูก ฉันก็สสงสัยแล้วก็ค้นคว้าอยู่นาน และก็ได้ข้อสรุปมาว่าที่นั่นไม่ใช่ที่ที่ดีเลยสักนิด”


เมื่อหญิงสาวได้เหลือบมองไปข้างๆ ปาร์คดงชุนก็แอบหลบสายตาออกไป และละอองมณีก็มองปาร์คดงชุนแบบใหม่


“นายขายมันออกไปจริงๆงั้นหรอ?”


“ก็แน่นอนสิ คุณคิดว่าผมจะพูดว่าขายมันออกไปโดยที่ไม่ได้ขายมันได้งั้นหรอ?”


ปาร์คดงชุนได้ตอบกลับไปสั้นๆก่อนที่จะโยนกระดาษออกไป เมื่อละอองมณีได้เห็นสัญญาซื้อขายอย่างถูกต้องก็ถึงกับเบิกตากว้างขึ้นมา


“ว้าว~ นายก็ไม่ได้เสียเปรียบเลยนี่”


“ไม่เสียเปรียบงั้นหรอ? คุณรู้ไหมว่าผมต้องเสียไปกี่เหรียญทองกัน?”


“ถ้าข่าวลือมันเป็นเรื่องจริง ถ้างั้นก็ไม่น่าจะมีใครซื้อที่นั่นใช่ไหมล่ะ?”


ละอองมณีได้หัวเราะออกมาก่อนจะโยนกระดาษกลับไป


“แล้วนายขายไปได้ยังไงล่ะ? ขายให้กับยัยจิ้งจอกนั่นน่ะ”


“อ่า ก็นะ มันก็ไม่ได้ยากนักหรอก”


ปาร์คดงชุนได้ผิวปากและพูดขึ้น


“เธอเพิ่งจะถูกเตะออกมาจากซินยองได้ไม่นาน เพราะงั้นแล้วเธอจะมีอำนาจภายในคาเพเดี่ยมได้ยังไงกันล่ะ? มันดูเหมือนกับว่าเธอแค่กำลังมองหาโล่คุ้มกันเท่านั้นแหละ เพราะงั้นผมก็เลยใช้ซอลจีฮูเอาชนะไงล่ะ?”


“ซอลจีฮู?”


“ถูกแล้วล่ะ ก็แค่ยกยอเขาสักหน่อยก็เรียบร้อยแล้ว ผมอยากจะให้พวกคุณได้เห็นหน้ายัยจิ้งจอกซะจริง”


ปาร์คดงชุนได้กางมือออกมาและหุบลงจนทำให้ละอองมณีระเบิดหัวเราะออกมา คนรอบๆข้างก็เช่นเดียวกัน


“เชี้ย นายมันขี้โกงจริงๆเลย! นายนี่มันน่ากลัวที่สุดในหมู่พวกเราแล้ว”


ละอองมณีได้หัวเราะออกมา และมองไปรอบๆห้อง สีหน้าของพวกเขาดูสดใสกว่าก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก


“อ่า พวกนายควรจะบอกฉันก่อนนะ! ทุกๆคนดูหดหู่มากจนฉันคิดว่าเราแย่แล้วซะอีก!”


“แต่ว่าเรื่องที่พวกเขามาที่นี่ก็ยังเป็นความจริง”


นี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ หลังจากที่ได้ดื่มน้ำผึ้งอยู่นาน หากว่ามีคนอื่นมาขอแบ่งก็จะทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ


“ยังไงในเมื่อมันไม่มีอะไรที่เราทำได้เลย เพราะงั้นการจับตาดูพวกเขาก่อนก็ไม่ได้แย่นะ… อย่างน้อยก็สักสองสามเดือน”


ปาร์คดงชุนได้แนะนำออกมาพร้อมเหลือบมองไปรอบๆห้อง จากนั้นริมฝีปากของเขาก็โค้งขึ้นเป็นรอยแสยะยิ้มน่ากลัว


“…พวกนายคิดยังไงล่ะ?”


“ถ้ามันแค่สามเดือน…”


ละอองมณีได้ตอบกลับไปพร้อมทั้งลุกขึ้นยืน เขาได้ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าและเดินออกไปจากห้อง


“ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ เรายังไม่มีเหตุผลอะไรไปขัดขวางพวกเขา เพราะงั้นตอนนี้แค่จับตาไว้ก็พอ”


กราเซียก็ยังลุกขึ้นยืน เมื่อการประชุมได้ปิดตัวลง ปาร์คดงชุนก็แอบยิ้มพอใจอยู่กับตัวเอง


***


ในเวลาเดียวกัน


“ดูสิ พวกเราเกือบจะเสร็จแล้ว… หืม?”


คนงานพาร์ทไทม์ที่กำลังยืดหลังและเช็ดเหงื่ออยู่ จู่ๆก็เบิกตากว้าขึ้น


ฟุบ ฟุบ! ไม้กวาดกำลังขยับกวาดสวนด้วยตัวมันเองอยู่


“เอ๋!?!?!”


คนงานตกใจมากจนขยี้ตาและเพ่งมองอีกครั้งหนึ่ง


“?”


และไม้กวาดก็กำลังพิงกำแพงราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น


“อะไรกัน? นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”


เมื่อได้ยินเสียงร้องของเขา เพื่อนร่วมงานคนอื่นก็รีบวิ่งเข้ามา


“นะ นั่น…”


“ไม้กวาด? ไม้กวาดทำไม?”


เขาได้พึมพำกับตัวเองว่า “ฉันตาฝาดไป?” และเอียงหัวออกมา


“ไม่หรอก… ฉันเห็นมันจริงๆ…”


“ชิ จู่ๆนายมาพูดอะไรกัน…”


เพื่อนร่วมงานได้เดาะลิ้น และลูบหลังของเขา


“ถ้านายเหนื่อยก็ไปพักซะ เราเกือบจะเสร็จงานแล้ว เพราะงั้นอย่ามากวนเรา”


“อืมม”


“การก่อสร้างใกล้จะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันไม่ควรจะพูดแบบนี้ในเมื่อฉันเป็นคนที่สร้างมันขึ้นมา แต่ฉันก็สงสัยว่าพวกเขาจะอยู่ได้นานแค่ไหนกัน….”


เพื่อนร่วมงานได้เดินจากไปโดยทิ้งคำเหล่านี้เอาไว้


‘นี่ฉันตาฝาดเพราะเหนื่อยงั้นหรอ? บางทีฉันควรจะออกไปพักบ้างสินะ’


คนงานได้ยืดตัวตรงพร้อมทั้งเตรียมจะเดินจากไป จากนั้นเองเขาก็ได้รีบหันกลับมาอย่างกระทันหัน


ไม้กวาดยังคงอยู่ที่เดิม


***


คาเพเดี่ยมได้มาถึงอีวาในตอนที่พลบค่ำมากแล้ว


เมืองใหม่ ถนนใหม่ และผู้คนใหม่ๆ ในที่สุดแล้วซอลจีฮูก็ได้มาถึงฐานใหม่ของพวกเขาแล้ว


‘ฮ่าห์…’


ไม่ว่าจะมองดูกี่ครั้ง มันก็ไม่เคยทำให้เขาหายประทับใจเลยสักนิด


จริงๆแล้วเขาได้จินตนาการถึงอาคารสมัยใหม่พอสมควร แต่ว่าคิมฮันนาห์ได้สร้างปราสาทในยุคกลางขึ้นอยู่กลางเมื่อ


คิมฮันนาห์ได้พูดออกมาอย่างภาคภูมิใจเมื่อเธอเห็นว่าเพื่อนร่วมทีมของเขาดูจะตกใจกัน


“นี่คือบ้านหลังใหม่ของคาเพเดี่ยม”


คำว่า ‘บ้านใหม่’ ได้ทำให้ซอลจีฮูขยับตัว ไม่นานนักทุกๆคนก็รีบวิ่งเข้าไปข้างใน คิมฮันนาห์ได้รีบไล่ตามพวกเขาไปพร้อมทั้งส่งกระดาษโดยพูดว่า ‘พวกนายต้องการมัน’


ชัดเจนว่านี่คือแผนที่สำนักงาน


ประตูทางเข้าอันงดงามได้ทำขึ้นจากเหล็กที่เหมือนกับซุ้มประตูของยุคโรมัน เมื่อทีมพวกเขาได้เปิดประตูออก ภาพด้านในก็ได้เผยออกมาให้เห็น


ทางเดินสีขาวที่เชื่อมต่อเข้ากับทางเข้าสำนักงาน สวยสีเขียวดานซ้ายที่ให้ความรู้สึกสดชื่น และทะเลสาบสีน้ำเงินอันงดงามที่ด้านขวาซึ่งถูกรายล้อมไปด้วยต้นไม้และพุ่มไม้เขียวชอุ่ม


ที่สุดทางเดินได้มีบันไดแยกเป็นสองทางนำทางไปที่ทางเข้าสำนักงาน โดยที่มีต้นบอนไซที่ให้ความสดชื่นขนาดใหญ่ถูกปลูกเอาไว้ตรงกลาง


‘ว้าว…’


แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ย่านกลางเมือง แต่ที่นี่ได้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของะรรมชาติ ซอลจีฮูที่ได้กลิ่นหอมอบอวลได้เชิดคางขึ้น


นี่มันคือตึกสิบชั้นแน่หรอ?


หน้าต่างโค้งแนวโรมันที่เรียงแถวได้สะท้อนแสงจนทำให้อาคารให้ความรู้สึกที่งดงามน่าเกรงขาม


แต่ตกแต่งภายในกลับโอ่อ่าอลังการยิ่งกว่าซะอีก ในทันทีที่ซอลจีฮูก้าวเข้าประตูสำนักงานเข้าไป เขาก็คิดว่าเขาอยู่ในห้องเต้นรำโดยไม่รู้ตัว


เมื่อเห็นเพื่อนร่วมทีมของพวกเขาได้เตร่ไปมาเหมือนกับคนเมา ซอลจีฮูก็มองลงไปที่แผนที่


‘ชั้นใต้ดินชั้นที่หนึ่งกับชั้นที่สองเป็นบ่อน้ำพุร้อน ชั้นที่หนึ่งเป็นล็อบบี้…’


หลังจากไปถึงโรงอาหารที่ชั้นสิบ ซอลจีฮูก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความตกใจ


‘ต้องใช้เวลากี่วันกันถึงจะเดินได้ทั่ว’


ซอลจีฮูได้ค่อยๆเดินออกไปพร้อมศึกษาแผนที่ไปด้วย


ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ?


หลังจากเดินดูทั่วทั้งสิบชั้น ซอลจีฮูก็ได้เดินกลับไปที่ชั้นหนึ่งด้วยสีหน้าอ่อนล้าเล็กน้อย


ความประทับใจแรกที่เขามีต่อบ้านใหม่ก็คือ… เอาเถอะ เขาไม่อาจจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้เลย ทางเดินมันซับซ้อนเกินกว่าจะเดินได้ทั่ว และมีห้องอยู่เยอะเกินไป มันดูจะเป็นที่ที่หลงทางเอาได้ง่ายๆเลย


“เป็นยังไงล่ะ?”


เมื่อเขาเดินกลับมานั่งอยุ่ที่บันไดประตูหน้าเพื่อให้สงบใจเล็ก น้ำเสียงพึงพอใจก็ดังออกมา คิมฮันนาห์ได้เดินออกมาด้วยรอยยิ้มร่าเริงจนซอลจีฮูต้องถอนหายใจออกมา


“ไม่รู้สึก ฉันยังหลงทางอยู่เลย”


“ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวอยู่ไปนานก็จะชินเอง”


คิมฮันนาห์ได้หัวเราะออกมาก่อนที่จะนั่งลงข้างๆซอลจีฮู


“ยังไงก็ตามพวกเราก็มาที่อีวาแล้วจริงๆ”


“ใช่แล้วล่ะ”


“นายจะทำอะไรก่อนล่ะ?”


มันเป็นคำถามที่เรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยคำถามมากมาย


ซอลจีฮูได้เล่นกับไข่น้อยในกระเป๋า เขามีเป้าหมายอยู่อย่างชัดเจน แต่ปัญหาคือมีอยู่หลายเส้นทางและหลายความหมายในการไปให้ถึงเป้าหมายนี้


พูดตรงๆแล้วหากว่าเขาไปเดินตามถนนและตะโกนว่า ‘นับจากนี้ฉันคือราชาแห่งอีวา’ เขาก็มีแต่จะถูกมองว่าเป็นคนบ้า


เพื่อจะเป็นตัวแทนของอีวา เขาควรจะทำอะไรล่ะ?


แน่นอนว่านี่ก็คือสิ่งที่คิมฮันนาห์ถามออกมา


“ไม่รู้สิ เธอคิดยังไงล่ะ?”


ไม่ใช่ว่าซอลจีฮูไม่รู้อะไรเลย แต่ว่าเขาเลือกถามเธอกลับไปแทน เขาอยากจะได้ยินในความคิดของเธอ


คิมฮันนาห์ได้หัวเราะออกมา จากนั้นก็พูดขึ้น


“เรียนรู้”


“หืมมม?”


“การได้เห็นแค่ครั้งเดียวมันดีกว่าการได้ยินพันครั้งเป็นไหนๆ มากับฉันสิ”


คิมฮันนาห์ได้ลุกขึ้นและเดินออกไป ซอลจีฮูที่มองดูเธออยู่ได้รีบวิ่งตามไปทันที


***


คิมฮันนาห์ที่กำลังพาเขาเดินอยู่รอบย่านกลางเมือง จู่ๆก็ถามออกมา


“นายรู้จักอีวามากแค่ไหน?”


ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา


“ไม่รู้สิ ที่นี่คงเป็นเมืองของนักบวชล่ะมั้ง?”


“อืมม… ผิดแล้วล่ะ”


คิมฮันนาห์ได้พยักหน้าและเริ่มเดินต่อ


“นายรู้อะไรไหม?”


“อะไรงั้นหรอ?”


“ที่ว่าพาราไดซ์มีราชินีมากกว่าราชาน่ะ”


ซอลจีฮูได้หรี่ตาเล็กลง คิมฮันนาห์ได้พูดถึงสิ่งที่เขาไม่เข้าใจมากสักพักแล้ว แต่ว่ามันจะต้องมีความสำคัญแน่หากว่าออกมาจากปากของเธอ


“นอกเลือจากที่คาลิโก้กับฮารามาร์คแล้ว เมืองอื่นๆอีกห้าเมืองล้านถูกปกครองด้วยราชินี นายคิดว่ามันเพราะอะไรกันล่ะ?”


“…เพราะสงคราม?”


“ถูกแล้ว”


คิมฮันนาห์ได้ปรบมือออกมา


“สงครามที่ยาวนานไม่เพียงจะลดจำนวนประชากรเท่านั้น แต่ว่ายังส่งผลต่ออัตราส่วนของเพศด้วย มันไม่ใช่แค่เฉพาะสามัญชน แต่ยังรวมถึงชนชั้นสูงและราชวงศ์อีกด้วย”


คิมฮันนาห์ได้เอียงหัวออกมาเล็กน้อย


“อืมม- อย่างดีที่สุดอัตราผู้ชายต่อผู้หญิงก็น่าจะเป็น 3.5 ถึง 6.5 แล้วก็คนเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจะถูกนำไปเกณฑ์เป็นทหาร”


คิมฮันนาห์ได้หันหน้าเหลือบไปมองซอลจีฮู


“อีวาก็เป็นเหมือนกัน”


“…”


“ราชินีคนปัจจุบัน ชาร์ล็อตต์ อาเรีย เป็นลูกคนกลางของพี่น้องทั้งสามคน เธอได้สูญเสียพ่อแม่ และน้องชายไปจากการโจมตีของพาราไดซ์ แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ต้องเสียพี่ชายไปอีกครั้งจากสงครามกับสหพันธรัฐ ชนชั้นสูงส่วนใหญ่ของอีวาก็ยังตายไป หรือไม่ก็ละทิ้งชื่อและหนีไป”


ก่อนที่เขาจะสังเกต ซอลจีฮูก็ถูกเรื่องเล่าของคิมฮันนาห์ดึงดูดไป


“แน่นอนว่าก็ยังมีชนชั้นสูงที่ยังคงรักษาความภักดีของราชวงศ์จนถึงที่สุดอยู่เหมือนกัน…”


ซอลจีฮูเข้าใจทันทีว่าเธอกำลังพูดถึงซอกกูนีร์


“ลองคิดดูสิ เมื่อเห็นว่าราชินีวัยเยาว์ถูกทิ้งให้ปกครองเมืองทั้งเมืองเพียงลำพัง ชาวโลกจะคิดว่ายังไงกันล่ะ?”


ซอลจีฮูไม่ได้ตอบกลับไป แต่ว่าจากสิ่งที่เขาได้ประสบพบเจอมาตลอดทำให้เขาพอจะเดาคำตอบได้แล้ว


คิมฮันนาห์ลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ในท้ายที่สุดเธอก็เล่าเรื่องราวต่อไปด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น


“พูดตามตรงแล้ว… ฉันอยากจะบอกอะไรบางอย่างกับนายหลังจากที่เรามาที่อีวา”


เธอได้หมุนตัวกลับมาจ้องหน้าซอลจีฮู ก่อนจะก้าวถอยไปและถามออกมา


“ฮารามาร์คเป็นยังไงล่ะ?”


นี่มันหมายความว่ายังไง?


“ฮารามาร์คถูกรู้จักกันในชื่อเมืองแห่งอาชญากรรม แต่ว่านายรู้สึกแบบนั้นไหมล่ะ?”


ซอลจีฮูได้ขมวดคิ้วออกมาก่อนจะส่ายหัว


ฮารามาร์คครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองที่เลวร้ายที่สุด ขาวพาราไดซ์กับชาวโลกได้ปะทะกัน และชาวโลกก็มีส่วนร่วมในการฆาตกรรมชาวโลกคนอื่น


แต่ว่านี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนซอลจีฮูจะเข้ามาในพาราไดซ์


หลังจากความขัดแย้งภายในสิ้นสุดลง ฮารามาร์คได้รีบสร้างเสถียรภาพขึ้นมา ราชวงศ์ได้ทำการเจรจากับกลุ่มกบฏ และซิซิเลียได้กลายเป็นคู่ค้ากับราชวงศ์เพื่อช่วยควบคุมชาวโลกทั้งหมดในเมือง มันถึงขนาดที่ชาวโลกจะวิ่งหนีไปในทันทีที่เห็นแอ็กเนส และซันเหอถูกกดดันให้ย้ายออกมา


หรือก็คือราชวงศ์ได้ควบคุมสถานการณ์อย่างเชี่ยวชาญ โดยที่ความเป็นไปได้นี้เกิดขึ้นได้เพราะซิซิเลียได้รักษาเกียรติตามข้อตกลงกับราชวงศ์


“มันไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสงครามชั่วนิรันดร์ สงครามจะต้องสิ้นสุดลง ไม่ว่าจะเป็นการทำลายล้างหรือการสร้างสรรค์ก็ตาม”


พอมาคิดแบบนี้ดูแล้วก็พูดได้ว่าสงครามความขัดแย้งภายในฮารามาร์คได้จบลงอย่างสร้างสรรค์


แล้วถ้างั้นอีวาล่ะ?


“แล้วสิ่งที่ฉันอยากจะบอกก็คือ…”


คิมฮันนาห์ได้หันกลับไปข้างหน้าก่อนจะพูดต่อ


“มันไม่ใช่ว่าทุกๆราชวงศ์จะมีอำนาจเหมือนกับเจ้าหญิงเทเรซ่าและราชาฟีไฮ”


น้ำเสียงของเธอได้เย็นชายิ่งขึ้น


จากนั้นเธอก็หยุดลงอย่างกระทันหัน ซอลจีฮูได้ขมวดคิ้วขึ้น ก่อนที่จะรู้สึกตัวขึ้น


ผู้คนโดยรอบๆ สภาพแวดล้อมรอบๆ ไม่สิ…


“ดูให้ดีนะ”


สภาพแวดล้อมของซอลจีฮูได้เปลี่ยนแปลงไปในทันทีราวกับเป็นเรื่องโกหก


เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้เดินไปไหนไกลเลย แต่ว่า…


“ภาพๆนี้…”


เมื่อมองไปรอบๆอย่างสับสน…


“…คือโฉมหน้าที่แท้จริงของเมืองที่นายอยากจะกลายมาเป็นราชานั่นแหละ”


ซอลจีฮูก็ถึงกับพูดไม่ออก


บทที่ 245 – เมืองแห่งอนาธิปไตย (2)


ท่ามกลางท้องฟ้าที่ถูกย้อมไปด้วยสีของดวงอาทิตย์ได้หายไป และถูกความมืดมิดเข้าปกคลุมจนกลายเป็นกลางคืน


ซอลจีฮูได้มองดูส่วนของเมืองที่ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดจากแสงอาทิตย์ที่หายไป


‘ที่นี่…’


มันที่ไหนกัน? ทำไมมันถึงเละเทะแบบนี้?


ซอลจีฮูได้ยืนนิ่งกับที่อยู่นานก่อนจะเดินออกไปข้างหน้าอย่างโซเซราวกับเขาเป็นคนเมาค้าง


ภาพมากมายได้ผ่านเข้ามาในสายตาของเขา คู่แม่ลูกตัวสกปรกที่นั่งอยู่ข้างถนนพร้อมกับกระป๋องใบเล็กๆตรงหน้า และชาวโลกที่เดินผ่านพวกเขาไปอย่างไม่แยแส


ผู้เป็นแม่ได้เงยหน้ามองดูชาวโลกที่เดินผ่านไป เด็กชายที่กำลังคุกเข่าอ้อนวอนให้ชายคนหนึ่งคืนของเขากลับมา และชาวโลกที่เตะเด็กชายไปอย่างขยะแขยง


หญิงชราที่สะบัดแขนไปมาในระหว่างที่ถูกชาวโลกจิ๊กผมดึงไป


ชาวโลกที่คำรามใส่หญิงสาวให้ชำระหนี้ของเขามา ชาวโลกที่ทำร้ายหญิงสาวชาวพาราไดซ์ที่ร้องเรียกหาแม่ของเธอ


ชาวโลกที่ยืนตรงหน้าตู้กระจกโดยไม่สนใจความวุ่นวายโดยรอบ และมองดูร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวภายในตู้กระจก


หญิงสาวชาวพาราไดซ์ที่ขายตัวเองให้กับลูกค้าจนต้องทนกับสายน่าสกปรกและการลูบคลำอันน่าขยะแขยง


“!”


จู่ๆซอลจีฮูก็นิ่งไปกับที่ เขาได้หันไปมองที่ตรอกมืดๆมุมหนึ่ง จากนั้นดวงตาของเขาก็ได้เต็มไปด้วยความสงสัยในทันที


มีร่างเล็กๆที่เป็นศพไหลออกมาจากถังขยะจนตกลงไปที่พื้น


สายตาของซอลจีฮูได้สั่นไหวออกมา ไม่ว่าเขาจะมองมันยังไง นั่นก็เป็นศพที่ตายมานากว่าสองสามเดือนไปแล้ว


ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังออกมาพร้อมๆกับเสียงตบดังสนั่น แต่ว่าก็ไม่ได้มีใครให้ความสนใจกับเสียงอันน่าหวาดกลัวนี้เลย


กลับกันมีแต่เสียงหัวเราะเท่านั้นที่ดังยิ่งขึ้นกว่าเดิม พวกเขาไม่สนแม้กระทั่งกลิ่นของศพที่เหม็นเน่า และเพลิดเพลินไปกับชีวิตยามค่ำคืนอันบ้าคลั่ง


ซอลจีฮูรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังฝันไปอยู่


‘อันไรกัน?’


ที่นี่ไม่มีทั้งศีลธรรมและสิทธิมนุษยชน


‘นี่ฉันกำลังดูอะไรอยู่?’


มีเพียงแค่การกระทำตามอำเภอใจที่สวมหน้ากากคำว่าอิสรภาพเท่านั้นเอง


“นี่มันบ้าอะไรกัน…!”


ซอลจีฮูได้ส่งเสียงออกมาก่อนที่จะเงียบลงไปโดยไม่รู้ตัว นั่นก็เพราะว่าเข้าจำได้ว่าคิมฮันนาห์ได้บอกกับเขาว่าไม่ใช่ว่าทุกราชวงศ์จะมีอำนาจ


เขาเอาแต่มองดูความสำเร็จของชาวโลกที่เข้ามาเท่านั้น เขาไม่เคยดูความล้มเหลวที่ชาวโลกไดด้ทำอะไรเลย เขามันทึ่มสิ้นดี


นี่มันไม่ควรที่จะเป็นเหตุผลที่พวกเขาสร้างองค์กร นี่มันไม่ควรเป็นเหตุผลที่พวกเขาเข้ามาในพาราไดซ์ แต่ว่า… เรื่องพวกนี้มันได้เกิดขึ้นตรงหน้าเขาแล้ว


“นี่คือเหตุผลง่ายๆที่ทำให้อีวาเป็นเมืองที่นิยมสำหรับชาวโลก”


เสียงของคิมฮันนาห์ได้ดังออกมา


“นั่นเพราะที่นี่เป็นเมืองที่ค่อนข้างจะปลอดภัย มันอยู่ห่างไกลจากเขตแดนของปรสิต และยังมีป้อมปราการไทกอลอันมีชื่อเสียงเป็นด่านหน้า ถึงแม้ว่าป้อมปราการนั่นจะเคยถูกพิชิตมาแล้วครั้งหนึ่งก็ตาม”


“…”


“ที่นี่มีภัยคุกคามที่น้อยมาก เพราะงั้นแล้วชาวโลกจึงแห่กันมาที่นี่เป็นรองจากสกีเฮราซาร์ด ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังจะได้เห็นสหพันธรัฐอีกด้วย”


ซอลจีฮูได้เงียบลงไป แต่ว่าคิมฮันนาห์ก็ยังพูดออกมาต่อด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ


“ที่นี่คืออีวา เมืองที่มีองค์กรมากมายทำงานร่วมกันเพื่อปิดตาราชินีที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ และรีดเค้นผลประโยชน์ออกมาให้มากที่สุด”


“…คนพวกนี้”


ซอลจีฮูได้กัดฟันแน่น


“ทำไม… ทำไมพวกเขาถึงได้เข้ามาในพาราไดซ์…?”


น้ำเสียงของเขาได้เต็มไปด้วยความสั่นเทา


คิมฮันนาห์ได้หันสายตาออกไปมองดูเด็กชายที่คลานอยู่บนพื้น…


“นายจะไถเงินได้”


…มองดูหญิงชราที่กรีดร้องอยู่กับพื้น


“นายจะขโมยเงินได้”


…และมองดูหญิงสาวชาวพราไดซ์ที่ถูกดึงผม


“และนายก็หาเงินได้”


ต่อจากนั้นเธอก็หันมามองซอลจีฮู และหยักไหล่ออกมา


“แล้วก็นะคนส่วนใหญ่ที่นี่จะวิ่งหนีไปในทันทีที่ราชวงศ์ได้มีโองการเกณฑ์ทหารมาทำสงคราม”


“หากว่าพวกเขาเข้ามาในพาราไดซ์-!”


ซอลจีฮูได้ตะโกนออกมา ประกายไฟได้ปรากฏขึ้นที่สายตาของคิมฮันนาห์ แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น


จริงๆแล้วคำตอบที่เธอหวังไว้ก็คือ ‘มันไม่มีเหตุผลให้ทำถึงขนาดนี้เลย!’ แต่การตอบกลับของซอลจีฮูต่างจากที่เธอคาดไว้มาก


‘…หากว่าพวกเขาเข้ามาในพาราไดซ์’


นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ซอลจีฮู ชาวโลกที่กำลังละทิ้งหน้าที่ ละทิ้งชาวพาราไดซ์ที่น่าสงสาร และทำให้เมืองอันน่าอัศจรรย์ต้องกลายสภาพไป


‘ก็ไม่สำคัญหรอกนะ’


คิมฮันนาห์ได้ทำตามเป้าหมายสำเร็จแล้ว


นี่คือเหตุผลที่เธอพาซอลจีฮูมาที่นี่ในวันแรก เมืองแห่งอนาธิปไตยนี้ได้เต็มไปด้วยความครื้นเครงและความบันเทิงที่ทุเรศ เมืองที่อยู่ภายใต้การควบคุมขององค์กรในอีวาทั้งแปด มันได้แสดงให้ชัดว่าไม่มีพื้นที่เหลือไว้ให้สำหรับซอลจีฮู


แต่แน่นอนว่าซอลจีฮูก็ไม่ได้มาที่อีวาเพื่อขอที่นั่ง ไม่เลย เขามาเพื่อกลืนกินทุกอย่างลงไป และเพื่อจะทำแบบนั้น เขาจะต้องผลักดันองค์กรทั้งแปดออกไป


นั่นมันหมายความว่าเขาจะต้องคิดว่าองค์กรทั้งแปดคือศัตรู


‘นี่ก็น่าจะพอแล้วล่ะ แต่ว่า…’


คิมฮันนาห์ได้ตัดสินใจจะกระตุ้นเขาอีกหน่อย เธอรู้ที่ที่มีความขัดแย้งกับสิ่งที่ซอลจีฮูอยากจะทำให้สำเร็จอย่างชัดเจนอยู่ ไม่มีที่ไหนจะดีไปกว่าที่นี่ที่จะกระตุ้นเขาอีกแล้ว


“ไปกันเถอะนะ”


เมื่อได้ยินแบบนี้ซอลจีฮูก็หันไปจ้องคิมฮันนาห์ สีหน้าของเขาแข็งกระด้างอย่างน่าหวาดกลัว


“เรามีของที่ต้องซื้อเหมือนกัน”


“คิมฮันนาห์”


“ใครจะไปรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกกัน?”


คิมฮันนาห์ได้มองสำรวจซอลจีฮูจากบนลงล่าง


“อย่างน้อยนายก็ต้องมีชุดเกราะดีๆไม่ใช่หรอกหรอ?”


เมื่อได้ยินถึงความตั้งใจของเธอ ซอลจีฮูก็กลืนคำพูดลงไป


“นายไม่ต้องห่วงเรื่องเงินหรอกนะ ด้วยชื่อของฉันแล้วการมัดจำเอาไว้ก่อนก็ไม่มีปัญหาหรอก พวกเราแค่ไปเลือกของที่ต้องการก็พอแล้ว”


คิมฮันนาห์ได้เหวี่ยงกระเป๋า และยิ้มหวานออกมา


“นายยังจำเรื่องที่ฉันบอกนายในสกีเฮราซาร์ดได้ไหม?”


***


คิมฮันนาห์ได้เดินตัดผ่านถนนยามค่ำคืนเพื่อนำทางซอลจีฮูไปอาคารซอมซ่อในเขตชานเมือง


ภายนอกที่แห่งนี้ดูเหมือนคฤหาสน์ล้าง แต่ว่าจริงๆแล้วมันคือโรงประมูล มันไม่ใช่โรงประมูลเป็นทางการ แต่ว่าเป็นโรงประมูลสำหรับ VIP ที่ใช้สำหรับเป็นตลาดมืด


เมื่อคิมฮันนาห์ได้เดินมาถึงอาคาร ยามทั้งสองคนที่ยืนอยู่ที่ทางเข้าก็เดินออกมา


“ต้องขออภัยด้วย แต่ว่าวันนี้ทางเข้าถูกปิดแล้ว การประมูลได้กำลังดำเนินการอยู่”


“ฉันรู้”


คิมฮันนาห์ได้ยิ้มขึ้นพร้อมตอบกลับไปว่า “พวกเราไม่ได้มาเข้าร่วมการประมูล แต่มาเจอคนๆหนึ่ง”


จากนั้นเธอก็สอดมือเข้าไปในกระเป๋า และหยิบมันออกมา เธอได้แสดงบางอย่างให้ยามเห็น แต่ว่าซอลจีฮูที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอมองไม่ชัดเลย


สิ่งที่เขาเห็นก็คือท่าทีของยามได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง


“ต้องขออภัย ผมควรจะบอกว่าใครมาครับ?”


“บอกเขาไปว่าจิ้งจอกมาแล้ว”


ยามทั้งสองคนได้ผงะไป แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น


“คุณมาทำอะไร…”


คิมฮันนาห์ได้กระซิบเบาๆ


“…ได้โปรดรอสักครู่”


ยามคนหนึ่งได้เดินออกไปไกลเพื่อใช้คริสตัลสื่อสารติดต่อหาใครบางคนก่อนจะพยักหน้าออกมา


เขาได้เดินกลับมา และพูดขึ้น


“เขาบอกว่าเขาจะพบคุณครับ”


“ฉันต้องไปที่ไหน?”


“อ่า ถ้าคุณไม่ว่าอะไรช่วยรอสักครึ่งชั่วโมงได้ไหมครับ? เขากำลังอยู่ระหว่างการฝึก”


“การฝึกงั้นสินะ”


คิมฮันนาห์ได้แค่นเสียงออกมา


“ก็ได้นะ อ่า พวกเราขอไปดูการประมูลสักเดี๋ยวได้ไหม? การยืนเฉยๆตั้งครึ่งชั่วโมงมันน่าเบื่อตายชัก”


“หากว่าแค่ดูก็ได้ครับ ให้ผมนำทางไหม?”


“ไม่เป็นเลย ฉันเคยมาก่อนหน้านี้สักสองสามครั้งแล้ว”


“ถ้างั้นผมจะกลับมาในอีกยี่สิบนาทีนะครับ”


ยามได้โค้งคำนับออกมา คิมฮันนาห์ได้จับมือของซอลจีฮูที่กำลังสับสน และดึงมือเขาเข้าไปข้างใน


ภายในอาคารได้เต็มไปด้วยบรรยากาศร้อนอบอ้าว ทุกๆครั้งที่เขาหายใจเขาจะรู้สึกถึงความร้อนแสบจมูกแปลกๆ


ไม่นานนักพวกเขาก็ได้ดึงม่านสีดำและเดินเข้าไปในแหล่งที่มีความร้อนออกมา


มีคนนับสิบนั่งอยู่บนบันไดอัฒจันทร์หน้าเวที พวกเขากำลังดื่มไวน์ กินอาหาร หรือไม่ก็ส่งเสียงเชียร์ออกมาเบาๆ ทุกๆคนต่างก็ใส่หน้ากากและสวมฮูดเป็นอย่างดี


การประมูลกำลังดำเนินงานอยู่เหมือนอย่างที่ยามได้บอกเอาไว้จริงๆ


“นี่คือของชิ้นต่อไป-!”


พิธีกรได้ยืนอยู่บนเวทีได้ยกแขนพร้อมทั้งส่งเสียงดังกังวาลออกมา


ต่อจากนั้น…


“มันคือ- แฟรี่ท้องฟ้า!”


ซอลจีฮูถึงกับสงสัยในสิ่งที่เขาได้ยิน เขาเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเมื่อได้เห็น ‘สิ่งของ’ ที่ถูกเอามาตรงหน้าเวที


“ผมจะขออธิบายสั้นๆนะครับ แฟรี่ท้องฟ้าเพศช้าจะหาได้ยากมากๆ ผมมั่นใจมากว่าทุกคนต่างก็รู้ดีว่าแฟรี่ท้องฟ้าเพศชายในวัยรุ่นนั้นจะเป็นเหมือนกับสมบัติแม้ว่าจะอยู่ในเผ่าพันธุ์ของตัวเองก็ตาม!”


คำพูดของพิธีกรไม่ได้เข้าหูซอลจีฮูเลยสักนิด สายตาของเขาได้จับจ้องอยู่ที่แฟรี่ท้องฟ้าหนุ่มที่กำลังร้องไห้ พร้อมทั้งถูกโซ่ล่ามขากับคอเอาไว้


คนๆหนึ่งได้ชูมือขึ้นมา จากแขนเรียวบางแล้ว คนๆนี้จะต้องเป็นผู้หญิงอย่างแน่นอน


เมื่อเธอได้ใช้นิ้วชี้กวักมือ พิธีกรก็ได้ผลักแฟรี่ท้องฟ้ามาด้านหน้า มือของหญิงสาวได้ค่อยๆลูบไล้ตามร่างกายของแฟรี่จนทำให้เขายิ่งตัวสั่นมากขึ้น


ยิ่ง ‘สิ่งของ’ ได้แสดงปฏิกิริยาขยะแขยง หญิงสาวก็ยิ่งกลายเป็นหัวเราะตื่นเต้นและรุนแรงขึ้นเท่านั้น


ในตอนนั้นเองชายอ้วนเตี้ยก็ได้ยกมือขึ้นมา


เสียงหัวเราะได้หยุดลงไป จากนั้นพวกเขาก็ได้เสนอราคาแข่งกันอย่างดุเดือดก่อนที่พิธีกรจะพาแฟรี่ท้องฟ้าออกไป


หญิงสาวได้ถ่มน้ำลายลงพื้น และนั่งกลับลงไปอย่างไม่พอใจ


การได้เห็นฉากทั้งหมดนี้ได้ทำให้ซอลจีฮูอ้าปากค้างออกมา วิญญาณของเขาดูจะหลุดจากร่างไปแล้ว


นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้เห็นการค้าทาส


“คิมฮัน-“


“ผมมานำทางแล้วครับ”


คำพูดของซอลจีฮูได้ถูกยามที่กลับมาอย่างพอดีขัดเอาไว้


“ได้ ไปกันเลย”


คิมฮันนาห์ได้ยิ้มขึ้น และคล้องแขนกับซอลจีฮู


ซอลจีฮูรู้สึกได้ถึงแรงกดที่แขนของเขา ซึ่งสื่อว่าคิมฮันนาห์กำลังบอกให้เขาอยู่เฉยๆ


ซอลจีฮูไม่อาจจะละสายตาไปจากเวทีได้เลย แต่ว่าเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจากไปพร้อมกับคิมฮันนาห์


เมื่อเขาได้เดินผ่านม่านดำอีกครั้ง เขาก็รู้สึกตัวว่าลมหายใจของเขามันยากยิ่งกว่าเดิม หัวใจของเขาก็ยังเต้นเร็วกว่าปกติอยู่หลายเท่า


ซอลจีฮูได้กัดฟันแน่นพร้อมทั้งพยายามสูดหายใจ ในตอนนี้เขาคิดได้แล้วว่าอีวาเป็นสถานที่แบบไหน เขาคิดว่ามันไม่มีอะไรให้เขาตกใจไปกว่านี้อีกแล้ว


ยังไงก็ตามความคิดของเขาก็ต้องพังลงเมื่อเขาได้มาถึงชั้นใต้ดินจากการนำของยาม


“หลังจากที่ใส่เสื้อแล้วเขาจะออกมาครับ การฝึกเพิ่งจะจบลง”


ยามได้โค้งคำนับก่อนที่จะจากไป ยังไงก็ตามซอลจีฮูไม่ได้มองเขาเลยสักนิด


กลิ่นของดอกเกาลัด กลิ่นเหม็นหื่น กลิ่นเลือด และกลิ่นเนื้อเน่า กลิ่นเหม็นทุกชนิดได้อบอวนอยู่ทั้งห้อง


…ไม่สิ กลิ่นเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อเขาน้อยที่สุดเลยด้วยซ้ำไป


มีกรงทรงลูกบาศก์อยู่หลายสิบกรง แต่ล่ะกรงต่างก็มีเผ่าพันธุ์ต่างถิ่นถูกขังเอาไว้อยู่


ยังไม่หมดเท่านั้น การได้เห็นโซ่ที่ห้อยออกมาจากกลางเพดานก็ได้ทำให้ซอลจีฮูต้องหยุดหายใจ และเมื่อเขาเห็นก้อนเนื้อที่ห้อยอยู่บนตะขอ เขาก็ตาถลนออกมา


ไม่ว่าเขาจะมองยังไง นั่นมันก็คือศพของแฟรี่ท้องฟ้าที่ถูกจัดการให้เป็นก้อนเนื้ออย่าง ‘เชี่ยวชาญ’


“…”


มันไม่มีคำไหนหลุดออกมาจากปากของเขาอีกแล้ว


ซอลจีฮูรู้สึกคุ้นๆกับฉากนี้มาก่อน มันเป็นในตอนที่เขาแทรกซึมเข้าไปในศูนย์วิจัยเดลฟิเนี่ยนดัชชี่ย์หรือเปล่านะ? ตอนนั้นเขาก็เจอฮิวโก้ถูกแขวนเอาไว้แบบนี้เหมือนกัน


“นายเคยได้ยินเรื่องแคปซูลเนื้อมนุษย์ไหมล่ะ?”


แม้กระทั่งในสถานการณ์แบบนี้ น้ำเสียงของคิมฮันนาห์ก็ยังคงนิ่งสงบ


“ในพาราไดซ์ก็เป็นเช่นเดียวกัน ฉันควรจะพูดว่ายังไงดีล่ะ… ชาวโลกค่อนข้างมีจิตนการกับเผ่าพันธุ์แฟรี่น่ะ”


คิมฮันนาห์ได้หยักไหล่ออกมา


มันอาจจะไม่ถึงขนาดที่เป็นอมตะ แต่ว่าก็มีบางคนที่เชื่ออย่างไร้มูลเหตุว่าเนื้อแฟรี่จะช่วยให้พวกเขาสุขภาพดี หรือกระทั่งมีค่าสถานะพิเศษด้วย แต่คนประเภทนี้ก็มีไม่ค่อยเยอะหรอก”


ซอลจีฮูได้กำหมัดแน่นเพื่อควบคุมความขยะแขยงที่พวยพุ่งออกมา ในอีกด้านหนึ่งอาการคลื่นไส้รุนแรงก็ได้ตีขึ้นมาที่คอของเขา


มนุษย์ไม่ได้อยู่ในจุดที่จะไปว่าปรสิตได้เลยสักนิด


แค่มองดูการทำงานของมนุษย์ในอาคารนี้แล้ว ไม่ว่าใครก็จะเห็นได้ชัดว่าพวกเขาทำเหมือนกับคนต่างเผ่าพันธุ์เหมือนกับปศุสัตว์ชัดๆ มันไม่ได้ต่างไปจากที่ออร์คกลายพันธุ์ทำกับมนุษย์เลยสักนิด


ทันใดนั้นเสียงครางเบาๆก็ดังออกมา มันฟังดูเหมือนกับเสียงกระซิบ


ซอลจีฮูได้เดินไปข้างหน้าและขมวดคิ้วขึ้นมาทันที


ภายในกรงนั้นได้เต็มไปด้วยความน่ากลัวที่ไม่อาจจะอธิบาย เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะทนมองได้เลยสักนิด


แฟรี่ท้องฟ้าเพศหญิงกำลังนอนเกือบหมดสติด้วยสภาพที่เปลือยเปล่า แค่มองที่เธอก็พอจะบอกได้เลยว่าเธอจะเผชิญกับความทรมาณขนาดไหน และ ‘การฝึก’ ที่ยามหมายถึงคืออะไร


ซอลจีฮูได้เผลอจับไปที่กรงโดยไม่รู้ตัว หากเป็นไปได้เขาก็อยากจะช่วยเธอออกไป


ถึงมันจะสายเกินไปแล้ว แต่ว่าเขาก็อยากจะส่งเธอกลับสหพันธรัฐ


แต่ยังไงล่ะ?


เขาไม่ได้เอาเงินมาด้วยเลย กระทั่งหอกก็ยังไม่มี


“คุณโอเคไหม?”


ในท้ายที่สุดแล้วเขาก็ได้แต่ถามคำถามโง่ๆออกไป


แฟรี่ท้องฟ้าได้แต่ร้องพึมพำออกมาอย่างตะกุกตะกัก


“ลูก…”


‘ลูก?’


“ลูก… ลูกของฉัน…”


เธอได้มองหาลูกแม้กระทั่งในตอนที่ร้องไห้ไม่หยุด


หากว่าสหพันธรัฐได้มาเห็นแบบนี้ พวกเขาจะคิดว่ายังไงกัน?


“มนุษย์สารเลว”


น้ำเสียงไม่พอใจได้เสียดแทงเข้ามาจากด้านหลังของเขา ที่กรงด้านหลังซอลจีฮูได้เห็นมนุษย์สัตว์กำลังจ้องมาที่เขาด้วยความอาฆาต ตัดสินดูจากหางจิ้งจอกของเธอแล้ว เธอดูเหมือนจะเป็นมนุษย์จิ้งจอก


“เผ่าพันธุ์อันดุร้ายที่เอาแต่แสวงหาความโลภที่ไม่สิ้นสุดของตัวเองทั้งๆที่ยังคงมีภัยคุกคามจากปรสิตปกคลุมอยู่ก็ตาม”


เมื่อซอลจีฮูได้หันไปจบสายตากับมนุษย์จิ้งจอก คำสบถด่ามากมายก็ได้ไหลออกมาราวกับว่าเธอรอเวลานี้มาตลอด ซอลจีฮูอยากที่จะปฏิเสธมัน แต่ว่าเขาก็ต้องเงียบไปเมื่อเห็นร่องรอยการทรมานอยู่ทั่วร่างของเธอ


“รอก่อนเถอะ ถึงฉันจะตายกลายเป็นวิญญาณร้าย ฉันก็จะ-“


“ไอหย๊าา ยัยบ้านี่เอาอีกแล้ว”


หญิงสาวมนุษย์จิ้งจอกที่กำลังสบถด่าได้สะดุ้งและก้มหน้าลงไป ชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วมได้ค่อยๆเดินออกมา ดวงตาของหญิงสาวมนุษย์จิ้งจอกได้ฉายแววดุดันออกมา


“แก…!”


“หุบปากได้ไหม? เรามีแค่นะ อยากจะได้รับการฝึกอีกงั้นหรอ?”


“ลองแตะมาที่ตัวฉันสิ! เดี๋ยวนี้เลย!”


“ถ้าอยากจะตายก็เอาเลยสิ แต่ว่าเด็กๆมนุษย์จิ้งจอกตรงนั้นก็จะต้องลำบากแทนเธอ”


ชายวัยกลางคนได้เหลือบมองไปที่กรงใกล้ๆเธอพร้อมทั้งพูดเยาะเย้ยออกมา หญิงสาวมนุษย์จิ้งจอกได้สูดหายใจยาว และเงียบลงไปในระหว่างที่ชายวัยกลางคนหัวเราะออกมา ตัดสินจากการรับมือของเขาแล้ว เขาดูจะเชี่ยวชาญเอามากๆ


คิมฮันนาห์ที่ได้ยินเสียงขบฟันอย่างรุนแรงดังขึ้นก็ถอนหายใจออกมา


“ทำไมนายถึงอยากเจอเราที่นี่ล่ะ? แค่เจอกันที่ห้องก็ได้นี่”


ชายวัยกลางคนได้เบิกตากว้างขึ้นมา


“เธอกำลังพูดอะไรอยู่? เธอบอกว่า-“


ชายวัยกลางคนได้หยุดชะงักไป และหรี่ตาออกมา เขาได้กระพริบตามองดูชายหนุ่มเกาะกรงจ้องอยู่ที่ทาสของเขา


“เขาคือใคร?”


“ผู้ซื้อ”


“โอ้? เขาดูยังเด็กนะ ยังไงก็ตามทำไมเขา-“


ซอลจีฮูได้หันหน้ามาจ้องชายวัยกลางคนอย่างรุนแรง


ชายวัยกลางคนได้สะดุ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นชายหนุ่มจับกรงแน่น


“ไอหย๊า~ ตาดีนะนี่พ่อหนุ่ม แต่เสียใจด้วยนะ ยัยนี่ไม่ได้มีไว้ขาย เธอเป็นสินค้าชั้นดีเลยนะ มีคนมากมายต่างก็ต่อแถวแย่งเธอกันทั้งนั้น”


‘อะไรนะ?’


“แฟรี่ท้องฟ้าถูกจับได้ง่ายขึ้นในตอนที่พวกเขาสูญเสียพลังภูติ(แก้จากจิตวิญญาณ) ไป เพราะงั้นในช่วงนี้จึงมีแฟรี่ท้องฟ้ามาบ่อยขึ้น แต่ว่ามนุษย์จิ้งจอกน่ะหายากอยู่ตลอดเลย ถ้าอยากจะได้เธอจริงๆล่ะก็ให้มาเข้าร่วมการประมูลคืนพรุ่งนี้สิ”


ซอลจีฮูเข้าใจได้ในทันทีว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เพราะเหตุผลบางอย่างชายวัยกลางคนกำลังคิดว่าเขาเป็นเหมือนกับคนพวกนั้น


“เอาล่ะๆ อย่าพึ่งอารมณ์เสียไป นายเป็นแขกของจิ้งจอก เพราะงั้นฉันก็อยากจะสร้างสัมพันธ์อันดีกับนายเหมือนกัน”


ชายวัยกลางคนได้เลียริมฝีปากและพูดต่อมา


“แล้วมีอะไรที่นายสนใจอีกไหมล่ะ? อยากจะได้กลับบ้านหรือทำเป็นยาดีล่ะ? ถ้าต้องการฉันจัดให้ได้เลยนะ”


ชายวัยกลางคนได้พูดออกมาพร้อมชี้ไปที่เนื้อที่ถูกแขวนเอาไว้อยู่


คิ้วซอลจีฮูได้กระตุกขึ้นมา เขาได้จับเอวตามสัญชาตญาณแต่ว่าก็ไม่มีหอกอยู่ เมื่อเขาล้วงมือไปในกระเป๋าก็มีแต่ไข่เท่านั้นเอง


ชายวัยกลางคนได้เดาะลิ้นออกมา


“ฉันบอกแล้วนี่ว่ายัยนี่ไม่ได้มีไว้ขาย ต่อให้จะเสนอเป็นล้านเหรียญทองก็ไม่ขายหรอก ไม่ได้เด็ดขาด เพราะนี่เป็นเรื่องของเครดิตน่ะ”


“…”


“ยังไงก็ตามนอกจากมนุษย์จิ้งจอกแล้วจะเอาอะไรไปก็ได้เลย”


ซอลจีฮูได้หันกลับไปมองกรงด้วยความยากลำบาก


เขาได้มาถึงขีดสุดแล้ว


ขีดสุดของสายในที่ดึงรั้งสติของเขาเอาไว้ได้ตึงขึ้นนับตั้งแต่ที่เขาได้เห็นสิ่งต่างๆในถนนยามค่ำคืน หากว่ายังคงดึงมันอีกสักนิด มันก็จะต้องขาดลงไป


คิมฮันนาห์ได้รีบส่งสัญญาณทางสายตาให้เขารีบกลับมา จากนั้นเธอก็รีบพูดขึ้น-


“เฮ้”


“ฉันไม่ใช่ผู้ซื้อ”


คำพูดของซอลจีฮูที่กลั้นเอาไว้ได้ระเบิดออกมา


สายตาชายวัยกลางคนได้เบิกกว้างขึ้น


“อะไรนะ”


“ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อซื้ออะไร ไม่ว่าพวกเขาจะยอดเยี่ยมแค่ไหน มันก็สกปรกเกินไปสำหรับรสนิยมของฉัน”


ซอลจีฮูได้พูดออกมาทั้งๆที่กัดฟันอยู่ จากนั้นเขาก็รีบเดินผ่านพวกเขา และออกไปจากชั้นใต้ดิน


ชายวัยกลางคนได้หัวเราะแห้งๆออกมาเมื่อเห็นชายหนุ่มหายไป


“ฮ่าฮ่า ช่างเป็นเด็กหนุ่มขี้หงุดหงิดซะจริง”


“อ่า เฮ้!”


คิมฮันนาห์ได้เรียกเขาหลายต่อหลายครั้ง แต่ว่าซอลจีฮูก็ไม่ได้สนใจเธอ เขาไม่ได้หันกลับมามองด้วยซ้ำไป


‘เจ้าพวกเศษสวะพวกนี้…!’


ซอลจีฮูได้เดินออกไปอย่างโกรธเกรี้ยว เขาอยากที่จะออกไปจากอาคารอันน่าขยะแขยงนี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำไดด้


นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่ได้รู้ตัวเลย


ไข่ที่เขาจับมันเอาไว้ได้บิดตัวยื่นหัวออกมาจากกระเป๋า


จากนั้นมันก็เด้งตัวออกมาอยู่บนไหล่ของเขาอย่างอ่อนโยน และเอียงออกไปข้างหน้า


มันราวกับว่ามันกำลังโน้มตัวมาข้างหน้าเพื่อค่อยๆสังเกตดูใบหน้าที่โกรธแค้นของซอลจีฮู

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม