The Second Coming of Gluttony 237-240

 บทที่ 237 – คู่หูนักต้มตุ๋น


เขาได้เฝ้ารออย่างเหม่อลอยอยู่ประมาณ 20 นาที


[ฮึ่ม เจ้าพวกหน้ามึนพวกนั้น]


ในที่สุดโฟลนก็ออกมา… พร้อมทั้งกำลังสะบัดเลือดในมือ


“เรียบร้อยนะ?”


[เรียบร้อยแล้ว ถึงจะมีปัญหาหน่อยๆ แต่ก็ไม่มีอะไรมากหรอก]


ซอลจีฮูได้กลืนน้ำลายลงไป


ลองจินตนาการคำว่า ‘ไม่มีอะไรมาก’ ของโฟลนมันน่าจะเกิดขึ้นใหญ่ขนาดไหนกันนะ?


[เดิมทีแล้วฉันกะว่าจะจัดการพวกนั้นให้หมดโดยไม่เหลือไว้เลย แต่ว่าเจ้าพวกนั้นก็เอาแต่คร่ำครวญถึงสถานการณ์ของพวกเขาอยู่ได้ เพราะงั้นฉันก็เลยทำสัตย์สาบานวิญญาณกับเจ้าพวกนั้น แล้วก็นับจากนี้เจ้าพวกนั้นก็ตัดสินใจที่จะรับใช้ฉัน]


ไม่ว่าจะสัตย์สาบานวิญญาณหรือข้อตกลงอะไรต่างก็เป็นสิ่งที่ซอลจีฮูสงสัย แต่ว่าเขาก็เลือกที่จะไม่ถามออกไป


…นี่เพราะว่าหากเขาถามออกไปมันจะทำให้เขาต้องเจ็บปวด


โฟลนได้ยิ้มและพึมพำออกมาอีกครั้งหนึ่ง


[ปัญหามันอยู่ที่ฉันเป็นคนใจอ่อนนี่แหละ]


หากว่ากลุ่มวิญญาณที่ในตอนนี้กำลังกอดคร่ำครวญกันอยู่มาได้ยินเข้า พวกมันก็คงจะน้ำลายฟูมปากหมดสติไปแน่ๆ


ยังไงก็ตามซอลจีฮูก็ได้เดินออกไปโดยพูดกับตัวเองซ้ำๆว่า ‘ฉันไม่เห็นอะไรทั้งนั้น’


“เป็นยังไงบ้างล่ะ?”


คิมฮันนาห์ได้ขยิบตาและถามออกมา เธออาจจะหมายความว่าให้เขาควรจะส่งสัญญาณผลลัพธ์ให้กับเธอ


ซอลจีฮูได้ทำนิ้วสัญญาณอยู่บริเวณจี้ จากนั้นก็พูดออกมา


“ไม่รู้สิ มันไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ว่าบรรยากาศข้างในมันน่าขนลุก… รู้สึกไม่ดีเอาซะเลย”


“เห็นไหมล่ะ? ฉันก็บอกนายไปแล้ว หยุดเสียเวลาแล้วไปดูที่อื่นกันดีกว่า”


“เฮ้อ จากภายนอกมันก็ดูดีจริบงๆนะ…”


“โอ้ ภายในมันดูน่ากลัวหน่อยๆหรอครับ? นั่นมันก็เพราะไม่ได้มีใครอยู่มานานล่ะมั้ง… ฮ่าฮ่าฮ่า!”


ปาร์คดงชุนได้รีบพูดแทรกขึ้นมาหลังจากเห็นความลังเลของซอลจีฮู เขายังคงเป็นพ่อค้าอยู่ดีต่อให้เขาจะสงสัยอยู่บ้างก็ตาม


ในที่สุดเขาก็ได้มีโอกาสกำจัดพื้นที่ว่างเปล่าที่ใช้งานไม่ได้ออกไปแล้ว เขาจะพลาดโอกาสทองนี้ไปได้ยังไงกันล่ะ


จากที่ดูแล้วดูเหมือนว่าข่าวลือยังกระจายไปไม่ถึงฮารามาร์ค เขาเห็นว่านี่เป็นโอกาสดีมาก


ปาร์คดงชุนได้ยิ้มออกมา และถูมือเข้าด้วยกันตามนิสัยติดตัว


“ไม่ใช่ว่าบรรยากาศข้างในมันจะเปลี่ยนแปลงไปตามการตกแต่งภายในหรอกหรอครับ? ที่นี่ก็แค่ไม่ได้รับการดูแลมานาน หากว่าท่านตกแต่งมันใหม่สักหน่อย ถ้างั้นก็จะยอดไปเลยนะ! ทุกๆอย่างมันจะต่างออกไป ดูสิครับ! แสงแดดที่สาดส่องเข้ามาก็เยี่ยมไปเลยนะ”


เมื่อปาร์คดงชุนได้เห็นซอลจีฮูลังเลขึ้นมาอีกครั้ง ความหวังของเขาก็ได้พุ่งขึ้นมา


“ตาลุง พอได้แล้ว”


แน่นอนว่าเขารู้ว่าคิมฮันนาห์จะไม่ปล่อยซอลจีฮูไว้แน่


“นายคิดว่าฉันไม่รู้หรอกหรอว่านายกำลังจะโยนขี้มาให้คนอื่น? หยุดเสแสร้งได้แล้วนะ”


“โฮ่ ‘ขี้’ อะไรกัน? ที่ดินทุกวันนี้มันไม่ได้หาได้ง่ายๆนะ ต่อให้เธอจะต้องการ เธอก็ไม่มีทางที่จะหาที่ดินดีๆแบบนี้ได้เลย”


หลังจากกระแอ่มออกมา ปาร์คดงชุนก็หันไปมองซอลจีฮูและยิ้มออกมา


มันชัดเจนแล้วว่าเขาไม่อาจจะหลอกจิ้งจอกได้ เพราะงั้นเขาจึงต้องมาโน้มน้าวชายหนุ่มตรงหน้าแทน


“หากว่าผมคิดจะหลอกท่าน ผมก็คงไม่บอกความจริงตั้งแต่แรกแล้ว”


หลังจากบอกว่าตัวเขาบริสุทธิ์แล้ว…


“แล้วก็พูดตรงๆเลยนะผมไม่ได้ให้ทุกๆคนมาดูที่ดินตรงนี้ แต่ว่านะ! ใครกันล่ะที่อยู่ตรงหน้าผม? ไม่ใช่ว่าเขาคือวีรบุรุษสงครามที่เอาชนะผู้บัญชาการที่หนึ่งอันน่ากลัวได้หรอกหรอ?”


เขาได้ชมซอลจีฮูออกมาตรงๆจนทำให้ซอลจีฮูรู้สึกเขินขึ้นมา


ปาร์คดงชุนได้แสร้งยิ้มต่อ และพูดต่ออย่างร่าเริง


“ต่อให้มันจะมีอะไรอยู่จริงๆ แต่นั่นก็แค่วิญญาณร้ายตัวเล็กๆเท่านั้นเองนี่นา มันจะมาแตะต้องท่านซอลจีฮูผู้ที่กำลังความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ได้ยังไงกัน?”


“ใช่แล้ว ถ้ามันเป็นแค่วิญญาณร้ายไม่กี่ตัว…”


ยิ่งซอลจีฮูเริ่มตัวลอยมากยิ่งขึ้นเท่าไหร่ รอยยิ้มของปาร์คดงชุนก็กว้างยิ่งขึ้นเท่านั้น


ในตอนนี้ถึงเวลาปิดฉากแล้ว


“นั่นแหละ! นี่มันยอดมากเลย ผมมักจะได้เปรียบเสมอในข้อตกลงต่างๆ แต่ว่ากับท่านซอลจีฮูคือข้อยกเว้น เพื่อเป็นการต้อนรับการมาอันยิ่งใหญ่ของท่าน ผมจะขอมอบส่วนลดพิเศษให้ท่านเลย!”


คราวนี้ปาร์คดงชุนได้เล็งเป้าหมายเอาไว้สองอย่าง


อย่างแรกคือการชักจูงให้ซอลจีฮูซื้อที่ดิน พร้อมทั้งแอบใช้คำว่า ‘ต้อนรับ’ เป็นการสอดแนมเป้าหมายในการมาอีวาของพวกเขาอีกด้วย


คิมฮันนาห์ได้มองสลับไปมาระหว่างทั้งสองคนอยู่ครู่หนึ่ง


“นี่นายจะบ้าไปแล้วหรอ? นายคิดจะซื้อที่นี่จริงหรอ? นายเป็นคนพูดเองนะว่ามันแปลกๆ!”


“อ๊า ไม่ใช่ว่านั่นมันเพราะที่นี่มันเก่าหรอกหรอ หากว่ามันได้รับการปรับปรุงใหม่ก็น่าจะดีขึ้น แล้วก็ดูที่ตั้งมันสิ! มันไม่มีที่ไหนจะดีไปกว่าที่นี่อีกแล้ว… ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขาจะขายให้เราในราคาถูกอีกด้วยนะ”


“นายนี่กำลังทำให้ฉันบ้าไปแล้ว เฮ้ หยุดคิดสักหน่อยเถอะนะ นายไม่รู้จริงๆหรอว่าทำไมที่ดินดีๆแบบนี้ถึงยังไม่ถูกขายไปน่ะ?”


“มันก็อาจจะแค่บังเอิญก็ได้ แล้วก็ฉันน่ะต่างออกไปนะ”


“จีฮู อย่าทำแบบนี้ แล้วไปดูที่อื่นกันสักหน่อยเถอะ เรามาดูที่บ้านนะ แต่นี่เราเพิ่งจะดูได้ที่เดียว แล้วจะซื้อมันทันทีเลยหรอ? ไปดูที่อื่นแล้วค่อยตัดสินใจซื้อมันก็ยังไม่ได้สายไปหรอกนะ?”


“หากว่าฉันไม่ชอบที่ดินนี่ ฉันก็จะเห็นด้วยกับเธอนะ แต่ว่าเราไม่ได้มาดูบ้านไม่ใช่หรอกหรอ? เรามาดูที่ดินกันต่างหาก”


“ซอลจีฮู! นี่นายจะซื้อมันจริงๆงั้นหรอ?”


“พอได้แล้ว ฉันเป็นคนตัดสินใจนะ นี่เธอเป็นหัวหน้าคาเพเดี่ยมงั้นหรอ?”


เมื่อได้ยินน้ำเสียงไม่พอใจของซอลจีฮู คิมฮันนาห์ก็ได้แต่ต้องเงียบลงไป


ปาร์คดงชุนรู้สึกสดชื่นขึ้นทันทีที่ได้เห็นจิ้งจอกคิมฮันนาห์ต้องพูดไม่ออก


‘ใช่แล้วล่ะ ดูเหมือนเธอจะต้องขอการคุ้มครองหลังจากถูกเตะออกมาจากซินยอง… หรือก็คือเธอไม่มีสิทธิ์จะพูดอะไร’


“นี่มันเป็นที่ที่เราต้องจ่ายเงินเพื่อใช้ชีวิตอยู่นะ!”


เมื่อได้ยินคิมฮันนาห์ตะโกนออกมาอีกครั้งหนึ่ง ปาร์คดงชุนที่ฟังอยู่เงียบๆก็ขัดขึ้นมา


“อ๊า! นี่มันเป็นการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ เพราะงั้นฉันไม่อาจจะให้ย้ายเข้ามาก่อนจ่ายเงินได้ เอาเถอะนะ หากว่าเป็นการเช่า ฉันอาจจะลองให้อยู่ฟรีก่อนหากเป็นการเช่าระยะยาว แต่ว่าสำหรับการขายนั้น ช่วยคิดถึงเรื่องจุดยืนของฉันด้วย…”


นี่มันเป็นไปไม่ได้


โฟลนได้จัดการกับเรื่องวุ่นวายข้างในเรียบร้อยไปแล้ว แต่จะให้อยู่ที่นี่แค่สองสามเดือนเป็นการทดลองฟรีงั้นหรอ? หากว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่ปาร์คดงชุนจะเปลี่ยนใจ


ไม่ว่าจะยังไงปาร์คดงชุนก็เป็นคนที่มีกรรมสิทธิ์ของที่ดินในปัจจุบัน


“ไม่ว่าจะยังไงฉันก็จะซื้อมัน หากว่าเธอไม่อยากจะยอมรับ ถ้างั้นก็ไม่มีอะไรต้องพูดต่อแล้ว”


และเพราะแบบนี้ซอลจีฮูจึงตัดสินใจที่จะดื้อรั้น ปาร์คดงชุนได้แอบยิ้มอย่างพึงพอใจออกมา


“เฮ้ๆ! จีฮู! ก็ได้ เราจะซื้อมันก็ได้!”


ในท้ายที่สุดคิมฮันนาห์ก็ขอร้องซอลจีฮูให้ปล่อยเธอเป็นคนต่อรอง โดยบอกไว้ว่าเธอจะไม่ยอมอ่อนข้อในส่วนนี้แน่


ปาร์คดงชุนรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาดุดันของจิ้งจอกมองมาที่ตัวเขา แต่ว่าเขาก็ยังคงกอดอกแสดงสีหน้าผ่อนคลายออกมา


“หืมม… ในเมื่อเราซื้อมันมาตั้งแต่สามปีก่อนแล้ว เวลาก่อนจะหมดสัญญาก็เลยเหลืออีก 47 ปี… แล้วก็ในเมื่อเราได้ชนะการประมูลโฉลดที่ดินมาได้ในราคา 102 เหรียญทอง..”


เขาได้เว้นช่วงคำพูดเอาไว้


แน่นอนว่ามันก็เพียงพอทำให้ดวงตาคิมฮันนาห์ลุกเป็นไฟขึ้นมา เธอดูเหมือนกับจะกัดลิ้นตายมากกว่าที่จะซื้อที่ดินในราคานั้นซะอีก


ปาร์คดงชุนที่เห็นแบบนี้ได้แต่กระแอ่มออกมา และแกล้งทำเป็นพูดสิ่งที่คิดออกมา


“ดังนั้นพอคำนึงถึงสิ่งนั้นแล้วราคา 92 เหรียญทองก็น่าจะ…”


ฟู่ววว!


เปลงเพลิงในตาของเธอได้ยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก ปาร์คดงชุนได้รียเปลี่ยนคำพูดทันที


“…เป็นราคาพื้นฐาน ในเมื่อฉันบอกจะลดราคาให้… 75 เหรียญทอง…?”


คิมฮันนาห์ก็ยังไม่ตอบสนอง


ปาร์คดงชุนได้กลืนน้ำลายด้วยความเป็นกังวล มันเหมือนกับว่าเขากำลังมองไปที่สัตว์ร้ายที่จนมุม


โดยทั่วไปแล้วการเจรจาต่อรองจะเป็นขั้นตอนของการประนีประนอมกัน โดยที่ผู้ซื้อจะค่อยๆเพิ่มข้อเสนอ และผู้ขายก็จะค่อยๆลดราคาลงไป


แต่ว่าจะมีคำพูดหนึ่งที่กล่าวกันเอาไว้ในหมู่พ่อค้าที่อยู่ในพาราไดซ์


ในการต่อรองกับจิ้งจอกคุณจะมีโอกาสแค่สามครั้งเท่านั้น หากว่าคุณทำให้เธอพอใจไม่ได้ในสามครั้ง การจู่โจมที่ไร้ปราณีก็จะเริ่มโหมกระหน่ำเข้ามาภายใต้ข้ออ้างที่ว่าการเจรจา


พูดให้ชัดก็คือคิมฮันนาห์จะเริ่มลดราคาลงไปเป็นราคาต่ำที่สุดที่เธอตั้งเอาไว้ มีนักธุรกิจหลายคนที่ต้องเผชิญหน้ากับความลำบากใจเหล่านี้


‘ละ เหลือแค่โอกาสเดียว’


หลังจากที่ต้องลำบากมาหลายต่อหลายครั้ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นขึ้นด้วยความกลัวแม้ว่าซอลจีฮูจะอยู่ตรงนี้ก็ตาม


“อ่า… 60… 58?”


หลังจากคิดอยู่นาน เขาก็พูดราคาสุดท้ายออกมา


นี่มันแทบจะครึ่งหนึ่งของราคาตั้งต้น


แต่ว่าสีหน้าของคิมฮันนาห์ก็ยังคงเย็นชาเช่นเดิม


“จีฮู”


ทันใดนั้นเธอก็หันหน้ากลับไปเรียกซอลจีฮู


“เอาแบบนี้แล้วกันนะ เรามาจ่ายมัดจำที่ดินเอาไว้ก่อน จากนั้นก็ไปดูที่อื่นกันต่อ”


ดวงตาของปาร์คดงชุนได้เบิกกว้างขึ้นทันที


‘ยัยนี่’


เจตนาของเธอมันชัดเจนมา


เธอพยายามที่จะลดความเสียหายให้น้อยที่สุดด้วยการจ่ายแค่เงินมัดจำพร้อมทั้งใช้เวลาที่เหลือชักจูงซอลจีฮูไปด้วย


“นี่มันไม่ใช่จำนวนน้อยๆนะ องค์กรอื่นๆอาจจะมีที่ดินที่ดีกว่าก็ได้ เรามาลองดูกันอีกสักวันหน่อยไหม?”


เธอพูดถูก เพราะงั้นซอลจีฮูจึงเม้มปากออกมา


เขาดูจะไม่เต็มใจ แต่ว่าเมื่อได้ยินว่าองค์กรอื่นอาจจะมีที่ดินที่ดีกว่า เขาก็ถูกชักจูงไปแล้ว


“ถ้าแบบนั้นก็ได้”


ความคิดปาร์คดงชุนได้แล่นขึ้นทันที ไม่มีโอกาสอีกแล้ว เขาเหลือแค่ซอลจีฮูเท่านั้น


‘ไม่มีใครในอีวาจะซื้อที่ดินนี้อีกแล้ว!’


ในท้ายที่สุดเขาก็หลับตาลงและตะโกนออกมา


“หากว่าท่านเซ็นต์สัญญาตอนนี้ ถ้างั้นก็แค่ 29 เหรียญทอง!”


ราคาได้ลดลงไปกว่าครึ่งอีกครั้งหนึ่ง นี่มันเป็นการลดราคาลงไปอย่างมหาศาล มันมากจนถึงขนาดที่คิมฮันนาห์ก็ยังต้องตกใจ


“ยะ ยี่สิบเก้าเหรียญทอง? จริงหรอ?”


ซอลจีฮูได้อ้าปากค้างออกมา


“ผมบอกไปแล้วไงครับว่าผมจะลดราคาให้”


ปาร์คดงชุนได้พูดออกมาด้วยสีหน้าจริงใจ


“ผมคือปาร์คดงชุน ในฐานะพ่อค้าแล้ว ผมรักษาสัญญาเสมอ นี้เป็นกฎเหล็กของผม และเป็นความเชื่อมันของพ่อค้าดงชุน!”


เขาได้พูดออกมาอย่างภาคภูมิใจเหมือนกับเป็นคนทรงคุณธรรม


ซอลจีฮูถึงขนาดแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา


“ไม่ นี่มันน้อยเกินไป…”


“อ๊า ไม่น้อยหรอก จะยังไงเหตุผลที่ผมยังไม่ตาย และยังทำธุรกิจต่อไปได้ก็เพราะท่านซอลจีฮู ดังนั้นแล้วขาดทุนสักหน่อยจะเป็นอะไรไป? กลับกันการได้ตอบแทนท่านทำให้ผมสบายใจกว่ามาก”


เมื่อได้ยิมแบบนี้ ซอลจีฮูก็ยิ้มออกมา


“เยี่ยม ฉันจะซื้อมัน!”


“อย่างที่คิดเลย! ท่านเป็นชายที่สุดอย่างจริงๆ”


ปาร์คดงชุนได้รีบพาพวกเขากลับไปที่สำนักงานพ่อค้าดงชุนทันที และเริ่มเร่งให้พวกเขาเซ็นต์สัญญา


ทุกๆอย่างได้เป็นไปอย่างรวดเร็ว… จนกระทั่งคิมฮันนาห์ที่นั่งอยู่แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา


“นี่มันอะไรกันตาลุง? นายบอกว่าจะขายให้เราในราคา 29 เหรียญทอง แล้วทำไมในสัญญาเขียนเอาไว้ว่า 75 เหรียญทองล่ะ?”


“เฮ้ เธอต้องคิดถึงจุดยืนฉันด้วยนะ ฉันไม่อยากจะให้มีข่าวลือที่ว่าฉันขายที่ดินออกไปในราคาถูก… เธอแค่ให้ฉันแค่ 29 เหรียญทองก็พอแล้ว!”


“นายรู้ไหมว่านี่เป็นการปลอมแปลงเอกสารนะ?”


“ปลอมแปลงเอกสารอะไรกัน?”


ปาร์คดงชุนได้แค่นเสียงออกมา


มันดูเหมือนกับว่าเขากำลังหาผู้สมรู้ร่วมคิด แต่อีกฝ่ายดูจะไม่เอาด้วยกับเขา


“ถ้างั้นเอาแบบนี้แล้วกัน โอ้! ฉันเพิ่งจะเจอเหรียญทองตกอยู่ บางทีอาจจะเป็นของท่านซอลจีฮูก็ได้นะ”


ปาร์คดงชุนได้หยิบเหรียญทองออกมา 46 เหรียญและส่งมันให้กับซอลจีฮู


“อ่า จริงสิ ฉันก็กำลังคิดอยู่เลยว่าเอาเงินไปไว้ไหน”


ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมา และเพิ่มเงินเข้าไปอีก 29 เหรียญทองก่อนจะส่งมันคืนให้ปาร์คดงชุน


และหลังจากเซ็นต์สัญญากันแล้ว เอกสารเจ้าของก็ตกลงสู่มือของซอลจีฮู


“ยินดีที่ได้ทำธุรกิจด้วยกันครับ! เดินทางปลอดภัยนะครับ!”


ปาร์คดงชุนได้ยิ้มเจิดจ้าก่อนจะกล่าวลา


การได้เอาขยะไร้ค่าไปทิ้งได้เป็นอะไรที่น่าโล่งใจที่สุดสำหรับเขาแล้ว


แถมในเมื่อเขายังพอได้เงินคืนกลับมาบ้างด้วยจะไม่ให้เขาดีใจได้ยังไงกันล่ะ?


แน่นอนพูดตรงๆเขาก็ขาดทุนไปอย่างมาก แต่ว่าราคาตลอดของสิ่งต่างๆก็มักจะผันผวนไปตามมูลค่าของมันเสมอ


เดิมทีแล้วเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องใช้เงินกำจัดที่นั่นอย่างที่คิมฮันนาห์พูดด้วยซ้ำไป แต่ว่าการได้ขายมันออกไปจึงเป็นโชคลาภที่คาดไม่ถึงจริงๆ


เพราะงั้นการได้เงินคืนมา 29 เหรียญทองจึงเป็นอะไรที่เขาพอใจมากแล้ว


‘ฟุฟุฟุ ฉันส่งโฉลดไปแล้ว เพราะงั้นตอนนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรอีก’


‘อ่า ไม่ใช่ของฉันแล้วว~’


หลังจากทั้งสองคนออกไปแล้ว ปาร์คดงชุนก็ไม่อาจจะอดกลั้นความสุขไว้ได้ และลุกขึ้นมาเต้นระบำ


***


ในเวลาเดียวกัน


ซอลจีฮู คิมฮันนาห์ และโฟลนที่พึ่งจะออกมาจากสำนักงานพ่อค้าดงชุน…


“คิคิคิคิคิ-!”


“ฮิฮิฮิฮิฮิ-!”


[ฟุฟุฟุฟุ-!]


ในทันทีที่พวกเขาออกมาพ้นประตู ทั้งสามคนก็ระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมๆกันราวกับตกลงกันไว้แล้ว


“ทำไมทั้งสองคนถึงหัวเราะ- ฟุฮ่าฮ่าฮ่า!?”


“หัวเราะอะไรกัน- ฮ่าฮ่าฮ่า!?”


[หยุดหัวเราะนะ- เฮะๆๆ!]


ทั้งสามคนได้ระเบิดหัวเราะออกมาเหมือนคนบ้า


โดยเฉพาะอย่างยิ่งคิมฮันนาห์ได้หัวเราะหนักมากจนคนที่เดินผ่านไปมาต้องหันมามองด้วยสีหน้าแปลกๆ


“ฉันไม่รู้เลยว่าเรามีสิทธิ์จะทำแบบนี้ไหม”


ซอลจีฮูฝืนหยุดหัวเราะก่อนที่จะขึ้นไปบนรถม้า และพูดออกมา


“มีปัญหาอะไรล่ะ? ถ้าทั้งสองฝ่ายพอใจก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว”


คิมฮันนาห์ได้เช็ดน้ำตาออกไป และพูดออกมาอย่างสงบ จริงๆแล้วการมีบ้านนั้นมีความหมายมากในพาราไดซ์


เหมือนอย่างที่ซอลจีฮูเคยมีประสบการณ์มาก่อนในเขตพื้นที่เป็นกลาง นั่นเพราะ ‘การนอน’


หากว่าการนอนเฉยๆ ถ้างั้นคนเราก็สามารถที่จะเดินทางไปกลับพาราไดซ์ได้ต่อให้จะยุ่งยากหน่อยก็ตาม


ยังไงก็ตามการนอนในพาราไดซ์มีความแตกต่างไปจากบนโลกอย่างมาก


เหมือนอย่างที่ตัวละครจะฟื้นฟูพลังงานกลับมาเต็มหลังจากที่นอนหลับไปในเกม RPG พาราไดซ์ก็ยังมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูพลังงานจากแค่การนอนเช่นเดียวกัน


และเป็นธรรมดาว่ายิ่งสภาพแวดล้อมดีเท่าไหร่ก็ยิ่งส่งผลมากขึ้นเท่านั้น


ในทางกลับกันห่างว่านอนด้านนอกก็จะได้รับผลเสีย


หรือก็คือนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ชาวเลือกเลือกนอนโรงแรมหรือตั้งแคมป์นอนในระหว่างปฏิบัติการอยู่เสมอ


ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ก็ทำให้บางคนพยายามซื้อมันเป็นของตัวเอง แต่แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ไม่อาจจะฝันเรื่องการมีบ้านได้เนื่่องจากว่าราคาที่สูงขึ้นจากการผูกขาดขององค์กร


จากการได้ประหยัดไปกว่า 70 เหรียญทอง คิมฮันนาห์ไม่อาจจะลบรอยยิ้มไปจากใบหน้าได้เลย และนี่ก็นับเป็นหนึ่งใน 3 สิ่งยอดเยี่ยมในชีวิตของเธอที่พาราไดซ์


ระหว่างทางกลับคิมฮันนาห์ก็ได้ขอบางอย่างแปลกๆออกมา


“เฮ้! เรื่องการออกแบบกับก่อสร้างให้ฉันจัดการได้ไหม? ทุกๆอย่างรวดไปถึงการตกแต่งภายในด้วย”


ซอลจีฮูได้หยักหน้าอย่างเต็มใจเนื่องจากว่าเขาไม่มีใครให้จัดการด้านนี้อีกแล้ว


“ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณเธอ แต่ว่าเธอรู้เรื่องการออกแบบอาคารด้วยหรอ?”


“ฉันขอก็เพราะฉันรู้ไง ถึงจะเห็นแบบนี้ แต่ว่าฉันก็จบสถาปัตยกรรมมาจากมหาวิทยาลัยยอนจูนะ นายก็รู้ใช้ไหมว่าที่นั่นเป็นมหาลัยที่มีชื่อเสียงในเรื่องหลักสูตรที่ยาก”


ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้นมา


“ยอนจูมหาลัยที่ติด 20 อันดับมหาลัยของโลกน่ะหรอ!?”


“ถึงจะเป็นแค่อันดับ 3 ของประเทศก็เถอะนะ ยังไงก็ให้ฉันจัดการเอง งบประมาณของเราก็มีเหลือกว่าที่คิดเอาไว้ซะอีก- ฮ่าฮ่า!”


เนื่องจากว่าต้นทุนในการซื้อที่ดินลดลงไป จึงทำให้ต้นทุนสำหรับการก่อสร้างเหลืออยู่อีกมากมาย


“ได้เลยๆ ทำตามใจเธอไปเลย ยังไงเธอก็คงเก่งในด้านนี้อยู่แล้ว สาขาสถาปัตยกรรมของยอนจูก็ไม่ใช่เล่นๆเลยนะ”


“ก็นะ ครอบครัวของฉันค่อนข้างจะเคร่งเรื่องวิชาการ พ่อแม่กับน้องสาวของฉันก็เป็นศิษย์เก่ายอนจูเเหมือนกัน”


“อ่อ แบบนี้นี่เอง…”


“แต่ก็นะ นายก็จบมาวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโซยัง มหาวิทยาลัยที่เป็นอันดับ 1 ของประเทศ… อ่า เมื่อปีที่แล้วมหาวิทยาลัยเฮซอได้อันดับ 1 ไปหรือเปล่านะ?”


“ก็ใช่แหละ มันก็ไม่น่าแปลกใจหรอกนะ สาขาฟิสิกส์ ชีวะ แล้วก็เคมีของที่นั่นดีเกินไปแล้ว”


[ฉันด้วยๆ! ฉันจบมาจากโรงเรียนราชวงศ์นะ!]


โฟลนก็ยังเข้ามาพูดด้วย และเพราะงั้นทั้งสามคนก็ได้พูดคุยกันอย่างตื่นเต้นเพื่อเฉลิมฉลองในความสำเร็จของการต้มตุ๋น


***


เมื่อกลับมาถึงฮารามาร์ค ซอลจีฮูก็ได้ติดต่อไปหาซอกกูนีร์ในทันที


-คุณประสบความสำเร็จในการซื้อที่ดินแล้ว… ภาระใหญ่ได้ถูกจัดการไปแล้ว


“ผมคิดว่าผมก็น่าจะจัดการเรื่องนักบวชได้แล้วเหมือนกัน


-นั่นก็ดีเลย ดีมาก การหาที่ดินคืออุปสรรคใหญ่สุดแล้ว สำหรับนักบวชแค่สัญญาจ้างชั่วคราวก็ไม่น่ากังวลอะไร


“ถูกแล้วครับ ไว้เดี๋ยวผมจะติดต่อไปอีกนะครับ”


-ได้เลย คุณแค่ต้องเตรียมเอกสารในตอนมาลงทะเบียนเท่านั้น ขั้นตอนที่เหลือเดี๋ยวผมใช้อำนาจจัดการให้เอง


เมื่ออัพเดทสถานการณ์กับซอกกูนีร์เรียบร้อยแล้ว เขาก็ยังติดต่อไปหาซันเหอกับคาซุกิอีกด้วย


ฮ่าวอวิ่นได้เตรียมการย้ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าคาซุกิดูเหมือนจะมีปัญหาในการหาที่ดินเหมาะๆ


หลังจากได้รับเงินไปแล้ว คาซุกิได้พยายามสร้างทีมขึ้นมาใหม่ และมองหาที่อยู่ แต่ว่าดูเหมือนว่าสมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่นจะยังคงเข้ามาแทรกแซงอยู่


เมื่อซอลจีฮูได้บอกว่าจะให้ห้องกับคาซุกิหากว่าเขาหาไม่ได้ คาซุกิก็ได้หัวเราะออกมาและบอกว่าจะเก็บไว้คิดดู


หลังจากติดต่อกับพวกเขาเสร็จแล้ว ในที่สุดซอลจีฮูก็บอกกับเพื่อนร่วมทีมว่าการตัดสินใจย้ายของพวกเขาได้สิ้นสุดลงไปแล้ว


สิ่งที่เหลืออยู่ก็แค่การก่อสร้างกับลงทะเบียนเป็นองค์กรเท่านั้น


คิมฮันนาห์ได้แสดงถึงความกระตือรือร้นในการก่อสร้างสำนักงานใหม่แทบจะในทันที


ซอลจีฮูได้แอบมองดูเธอ แต่ว่าพิมพ์เขียวที่เธอทำมันทั้งซับซ้อนและเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ที่เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด


ที่สำคัญไปกว่านั้นคิมฮันนาห์ได้อดกินหรือดื่มอยู่หลายวันเพื่อทำพิมพ์เขียวให้เสร็จ


“ใครมันกล้าทิ้งฉันไป? ก็ได้ ฉันจะแสดงให้ดูเอง ฉันจะแสดงให้ดูว่าฉันมีชีวิตดีแค่ไหน… ฮ่าฮ่าฮ่า!”


เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาได้ยินเสียงพึมพำจากเธอเป็นระยะๆ บรรยากาศน่าขนลุกก็จะลอยออกมาจากห้องของเธอ


แน่นอนว่าคิมฮันนาห์ก็ไม่ได้เป็นคนตัดสินใจทุกๆอย่างเกี่ยวกับสำนักงานพวกเขา


สมาชิกทีมที่เหลือต่างก็แสดงความสนใจในการออกแบบสำนักงานใหม่ และพวกเขาแต่ล่ะคนต่างก็บอกสิ่งที่ต้องการออกไป


ตัวอย่างเช่นในกรณีของซอลจีฮู


“ฉันได้ยินมาว่ามันมีชั้นใต้ยินอยู่ด้วย ถ้าใช้ที่นั่นเป็นสนามฝึกซ้อมได้ก็จะเยี่ยมไปเลยนะ…”


เขาอยากที่จะเปลี่ยนชั้นใต้ดินให้กลายเป็นที่ฝึก


“ผมก็อยากจะได้ที่ฝึกไว้ยิงธนู อย่างระยะยิงด้วย”


มาแชล จิโอเนียก็ยังแสดงความเห็นออกมา


“ทำบาร์ที่ชั้นหนึ่งดีไหมล่ะ? ถ้าแบบนั้นเราจะได้ไม่ต้องไปบาร์ไง นั่นมันฟังดูเจ๋งไปเลยใช่ไหมล่ะ?”


“มีห้องหมักไวน์ด้วยก็เยี่ยมไปเลยนะ!”


โชฮงกับฮิวโก้ก็ยังแสดงความต้องการส่วนตัวออกมา


[ฉันอยากได้ที่ส่วนตัวของฉันด้วย]


โฟลนก็ยังบอกคำขอออกมาอย่างคาดไม่ถึง


[พอได้ยินเรื่องราวของเด็กๆ ฉันก็รู้สึกสงสารพวกเขาเหมือนกัน ถึงจะเป็นมุมเล็กๆก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะงั้นเป็นที่สำหรับอนุสรณ์ก็ดีเหมือนกัน นั่นจะทำให้ฉันจัดการพวกเขาได้ง่ายเหมือนกัน]


ในตอนท้ายดูเหมือนกับเธอจะเผลอหลุดความตั้งใจจริงออกมา แต่ว่าคิมฮันนาห์ก็ได้ยอมรับในคำขอของเธออย่างเต็มใจ


แน่นอนว่าสำรหับคนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมอะไร แต่อยากจะได้สิ่งที่ต้องการ เธอก็ได้ยื่นมือออกมา


“ส่งเงินมา”


หากว่าพวกเขาอยากจะได้พื้นที่พิเศษเพื่อตัวเอง พวกเขาจะต้องจ่ายเงินเพิ่ม


สมาชิกแต่ล่ะคนต่างก็แย่งกันจ่ายเงินกันออกไป สุดท้ายแล้วยังไงมูลค่าที่มากสุดก็แค่เหรียญทองเหรียญเดียวเท่านั้นเอง


ซอยูฮุยก็ยังยืนมองดูทุกๆคนอยู่ไกลออกไป


“พี่สาวอยากจะได้อะไรไหม?”


เมื่อซอลจีฮูหลอกถามเธอออกมา เธอก็ใช้นิ้วแตะคาง และคิดอยู่ครู่หนึ่ง


“หืมม… ก็คือ ฉันอยากจะได้ห้องอาหารที่เชื่อมกับห้องครัว ฉันอยากได้ห้องครัวหลายๆห้องเหมือนกัน”


“คิมฮันนาห์! ทำห้องครัวกับห้องอาหารติดกันให้มันยิ่งใหญ่ที่สุดเลยนะ!”


“แล้วก็ถ้ามีแปลงดอกไม้ด้วยก็ดีนะ ฉันชอบทำสวนเป็นงานอธิบาย แล้วก็จะได้ปลูกดอกไม้ที่ช่วยให้นอนหลับ แล้วก็ใบชา…”


“เอาทุกๆอย่างที่ออกแบบไว้ในสวนออกไป แล้วก็ทำให้มันเป็นทุ่งดอกไม้”


“นายว่ายังไงนะไอ้เวรนี่?”


“มะ ไม่ต้องหรอกจีฮู ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้…”


หลังจากได้ความคิดเห็นเสริมเข้ามามากมายพิมพ์เขียวก็ได้กลายเป็นเสร็จสมบูรณ์


คิมฮันาห์ได้บอกว่าเธอจะซื้อผืนผ้าใบที่กว้างที่สุดเพื่อที่จะได้สร้างสำนักงานที่ดีที่สุด


เมื่อได้เห็นคิมฮันนาห์ประกาศออกมาอย่างทะเยอทะยาน ในที่สุดซอลจีฮูก็รู้สึกว่าการย้ายไปที่อีวาที่ซึ่งดูเหมือนจะยายนานใกล้จะเป็นจริงแล้ว


ในตอนนี้พวกเขากำลังจะออกไปจากฮารามาร์คจริงๆแล้ว


พวกเขาได้ยุ่งอยู่กับการย้ายสำนักงานจนลืมเรื่องของปรสิตไปสนิทเลย


นี่คือสาเหตุที่ทำให้พวกเขาไม่รู้ พวกเขาไม่ได้รู้เลยว่า…


…มีแรงกระเพื่อมขนาดใหญ่มาจากจักรวรรดิที่ซึ่งบ่งบอกถึงการกำเนิดของเทพองค์ใหม่


***


“พูดตามตรงฉันไม่เข้าใจเหตุผลที่ท่านเรียกฉันมาเลย”


น้ำเสียงนิ่งเฉยได้ดังกังวาลไปทั่วทั้งวัง


ราชินีปรสิตยังคงนั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างเคย และน่าแปลกที่ฝ่ายตรงหน้าที่อยู่ตรงหน้าเธอกำลังยืนอยู่


แม้กระทั่งความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ก็จะต้องตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวเมื่ออยู่ต่อหน้าราชินี เพราะงั้นใครกันที่กล้ายืนกอดอกอยู่ต่อหน้าราชินี?


“หากว่าเราโจมตีต่อไปอีกหน่อย เราก็จะยึดอาณาจักรจิตวิญญาณได้แล้ว ทำไมท่านถึง…”


แถมยังถึงขนาดแสดงความเห็นต่อคำสั่งของราชินีอย่างไม่ลังเล


[ฉันก็คิดว่ามันน่าเสียใจเช่นเดียวกัน]


แต่ว่าสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือท่าทีของราชินี


[แต่ว่ามันก็ช่วยไม่ได้ ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงได้ถอยออกจากแนวหน้า และความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ก็ถูกกำจัดไปแล้ว ฉันจำเป็นจะต้องเติมช่องว่างนั้น]


“ฉันก็ได้ยินมาคร่าวๆถึงการตายของหัวหน้าแวมไพร์แล้ว แต่ว่า…”


ตัวตนที่ยืนอยู่ตรงหน้าราชินีได้ส่ายหัวออกมา


“แต่ไม่ว่าจะมองดูยังไง ฉันก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมท่านถึงได้ส่งความอดทนอันบ้าคลั่งไปแทนฉัน หรือว่าท่านไม่ได้รู้ถึงความสัมพันธ์ในอดีตระหว่างจิตวิญญาณกับสัตว์โบราณ-?”


[เธอไม่ต้องห่วงหรอก]


ราชินีปรสิตได้โบกมือออกมาและยิ้มบางๆ มันเหมือนกับว่าเธอกำลังคุยกับเพื่อนสนิทอยู่


[ถึงแม้ว่าจะมีบางช่วงที่เขาต้องลำบาก แต่ความอดทนอันบ้าคลั่งก็ได้สวามิภักดิ์ไปแล้ว ที่สำคัญไปกว่านั้นกองทัพของเขาก็ใหญ่มากจริงๆ เพราะงั้นไม่ต้องห่วงว่าเขาจะทำเสียเรื่องหรอกนะ กลับกันเขาเป็นคนที่เหมาะที่สุดในสถานการณ์นี้แล้ว]


“หากว่าเขาไม่อาจจะกินอาหารที่เตรียมเอาไว้เสร็จสรรพแล้วได้ ถ้างั้นก็เท่ากับเขาได้พิสูจน์แล้วว่าเขาไม่เหมาะกับการเป็นผู้บัญชาการ”


ตัวตนอันน่าภาคภูมิใจได้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ และพูดต่อ


“ถ้างั้นเหตุผลที่ท่านเรียกฉันกลับมาก็คือ…”


[พายุใหญ่กำลังใกล้จะไปถึงอีวาในไม่ช้า]


ทันใดนั้นน้ำเสียงของราชินีปรสิตก็ได้กลายเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา


บทที่ 238 – ยามหญิงสามทนต่อไปไม่ไหว ต่อให้จะเป็นฤดูร้อนหิมะก็ตกลงมาได้


ตัวตนที่ยืนอยู่ตรงหน้าราชินีปรสิตได้หรี่ตาลงเพราะน้ำเสียงจริงจังของราชินี


“นั่นมันดูไม่ดีสำหรับเราเลยนะ”


[ถูกแล้วล่ะ หากเราปล่อยไว้แบบนี้ต่อไป อนาคตก็จะยิ่งบิดเบี้ยวไป และอีวาก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของความบิดเบี้ยวนี้]


“ท่านพูดว่าพายุสินะ ท่านไม่ประเมินสถานการณ์สูงเกินไปหน่อยหรอกหรอ?”


[ตอนนี้มันยังเป็นแค่สายลมเท่านั้น แน่นอนว่าหากมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นในตอนนี้ มันก็มีโอกาสที่สายลมจะหยุดลง แต่ว่า…]


ราชินีปรสิตได้เว้นช่วงเอาไว้เพื่อสังเกตกลุ่มดาว


เมื่อเห็นด้ายสีทองกำลังสัมผัสดวงดาวอยู่ เธอก็ขมวดคิ้วขึ้นมา


[มีองค์ประกอบหลายอย่างที่ทำให้เกิดการหมุนเวียนของดวงดาว]


“ฉันไม่รู้สิ ถึงเขาจะฆ่าความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ไป-“


[เมื่อขนนกสัมผัสผิวน้ำ มันจะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมแค่เพียงเล็กน้อย]


ราชินีปรสิตได้พูดต่ออย่างสงบ


[แต่ว่าด้วยหนึ่งก้าวของยักษาก็จะทำให้เกิดคลื่นยักษ์ได้]


ตัวตนตรงหน้าราชินีได้แสดงสีหน้าเคร่งขรึมออกมา


[ถึงจะแค่เพียงก้าวเดียวก็ทำให้เกิดคลื่นได้แล้ว… เพราะงั้นหากว่าเขากัดฟันและเริ่มวิ่ง…]


มันมีความเป็นไปได้สูงที่จะทำให้เกิดหายนะ และพายุลูกเห็บได้


“…เราจะทำยังไงดีล่ะ?”


ตัวตนตรงหน้าราชินีได้กอดอกออกมาเมื่อได้ยินเสียงคร่ำครวญจากราชินี


“ถ้าท่านต้องการ ฉันสามารถจะบุกไปที่อีวาได้เดี๋ยวนี้เลย แค่ให้ฉันมาสองกองทัพก็พอแล้ว”


[นั่นไม่ใช่แผนที่แย่]


ราชินีปรสิตได้เท้าคางด้วยสีหน้าผ่อนคลาย


[แต่ว่าเราได้ล้มเหลวมาแล้วครั้งหนึ่ง เราจะทำพลาดแบบเดิมไม่ได้]


การรีบเร่งส่งกองทัพไปที่หุบเขาได้กลายเป็นความผิดพลาดร้ายแรง


มันไม่ใช่แค่เธอสูญเสียกองกำลังไปเท่านั้น สิ่งที่ทำให้ราชินีปรสิตขมขื่นที่สุดนั่นก็คือการที่เธอเป็นส่วนช่วยทำให้ดวงดาวที่ตายไปแล้วฟื้นคืนกลับมา และกระทั่งเร่งการเติบโตของมันขึ้นอีกด้วย


และผลลัพธ์ที่ได้ออกมาทำให้อนาคตส่วนสำคัญที่ราชินีปรสิตวาดหวังไว้บิดเบี้ยวไป


“ท่านกำลังจะบอกให้เรารอดูความเป็นไปก่อนงั้นหรอ?”


[ฉันไม่ได้บอกว่าเราจะไม่ทำอะไรเลย]


ราชินีปรสิตได้แสยะยิ้มบางๆออกมา


[ราคะกับความโลภดูจะได้เตรียมการเอาไว้มากมาย เพราะงั้นนี่ถึงเวลาที่จะจั่วการ์ดในตอนที่พวกเธอไม่ระวังตัวแล้ว ฉันจะต้องค่อยๆทำอย่างรอบคอบ]


“ตอนไม่ระวัง นั่นหมายความว่า…”


[มันคือเวลา]


“เวลา…?”


ตัวตนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอได้เงยหน้าขึ้นมาด้วยความสงสัย


ราชินีปรสิตก็ยังคงทำเช่นเดิม เธอได้เอียงหัวออกมาและมองขึ้นไปบนเพดาน


มันมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อยู่ แต่ว่าก็ไม่มีการสั่นสะเทือนหรือพลังงานที่ทรงพลังหลั่งไหลออกมาเลย


แต่ว่าทั้งสองคนก็ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน


บนท้องฟ้าเหนือเพดานสูงตระหง่านออกไปมีเมฆพายุน่ากลัวกำลังโหมกระหน่ำอยู่


มันเร็วและรุนแรง แต่มั่นคง


[ให้ฉันแนะนำตัวเขาก่อนแล้วกันนะล


ราชินีปรสิตยิ้มออกมา


[เทพคนใหม่ที่จะเป็นคู่หูของเธอ]


“คู่หู?”


[เธอกับเขาจะเป็นคู่ที่ดี]


ราชินีปรสิตพูดออกมาอย่างมั่นใจ


[นั่นเพราะเด็กคนนี้เป็นอีกคนหนึ่งนอกเหนือไปจากเธอที่สามารถจะย่อยพลังแห่งเทพได้ด้วยตัวเอง]


“โฮ่!”


ดวงตาของตัวตนตรงหน้ายิ้มออกมา


ใช่แล้ว คนที่เพิ่งจะอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นคือตัวตนเพียงหนึ่งเดียวในผู้บัญชาการกองทีพที่สามารถจะยอมรับในพลังแห่งเทพได้ด้วยตัวเอง


เธอคือผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายของเผ่าพันธุ์ที่ได้สูญพันธุ์ไปนานแล้ว ผู้บัญชาการกองทัพที่มีพลังทำลายล้างที่เทียบเท่ากับกองทัพกองทัพหนึ่ง มังกรตนสุดท้าย ‘ความกรุณาอันบิดเบี้ยว’


ความกรุณาอันบิดเบี้ยวได้สำรวจร่างกายของเธอทันที ปีกขนาดใหญ่ที่ยื่นออกมาจากหลังของเธอกำลังหุบอยู่ และหางยาวที่ยื่นออกมาจากบริเวณก้นของเธอ


แค่มองดูปรากฏการณ์บนท้องฟ้าก็ทำให้ร่างกายเธอมีปฏิกิริยาขึ้นมา


“ตอนนี้…”


ฮ่าาห์ ความกรุณาอันบิดเบี้ยวได้สูดหายใจยาวก่อนจะเสยผมสีเทาขึ้น จนเผยให้เห็นดวงตาสีแดงที่เหมือนสัตว์เลื้อยคลานของเธอ


“นี่มันช่างน่าสนใจ”


มังกรตนสุดท้ายได้เผยรอยยิ้มออกมา


***


คิมฮันนาห์ได้ตัดสินใจจะไปที่อีวาอีกครั้งหนึ่งเนื่องจากว่าเธอต้องไปหาคนมาทำการก่อสร้าง


เธอได้วางแผนที่จะไปหาโรงแรมพักใกล้ๆพร้อมทั้งคนหาคนมาก่อสร้างไปด้วย


ซอลจีฮูได้อาสาตัวเองไปเป็นคนคุ้มกันให้เธอ แค่ว่าน่าแปลกที่คิมฮันนาห์ได้ปฏิเสธออกมา ไม่ใช่ว่าเธอไม่ต้องการคนคุ้มกัน เพียงแต่ว่าเธอปฏิเสธซอลจีฮูเท่านั้น


เธอมีคำขอหนึ่งที่จะต้องให้เขาทำ


“จงแกร่งขึ้น”


“?”


“อย่างน้อยต้องใช้เวลา 3 เดือนกว่าการก่อสร้างจะเสร็จ มันอาจจะใช้เวลานานกว่านั้นด้วยซ้ำไป”


จากนั้นคิมฮันนาห์ก็หันมาจ้องซอลจีฮู


“นายเป็นคนพูดเองไม่ใชหรอ? ที่ว่านายเป็นระดับ 5 แล้วแต่ว่าทักษะของนายยังไม่สมกับระดับของนายเลย”


ซอลจีฮูได้พยักหน้าออกมา มันเป็นเรื่องจริงที่ว่านับตั้งแต่ที่เขาเลื่อนระดับขึ้น เขายังไม่ได้ฝึกเลย


“หากว่าพลังอันน่ากลัวที่นายแสดงออกมาในระหว่างสงครามเป็นผลมาจากทักษะปลุกพลังที่จะเพิ่มพลังที่แท้จริงของนายขึ้นไป ถ้างั้นอย่างน้อยนายก็จำเป็นต้องแกร่งกว่าในตอนนี้สัก 4-5 เท่า”


“มากขนาดนั้นเลย?”


“อย่างน้อยแรงค์เกอร์ระดับสูงทั่วไปก็จะแข็งแกร่งแบบนั้น”


เมื่อเขาคิดถึงเรื่องฟีโซราผู้ที่เป็นนักรบระดับสูงระดับ 5 ที่มีเพียง 0.1% เท่านั้น เขาก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว


“เรากำลังจะย้ายไปที่อีวา แต่ว่าเขาไม่รู้เลยว่าองค์กรอื่นๆจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ไม่ว่าจะยังไงพวกเราก็อาจจะต้องปะทะกับพวกเขาอย่างแน่นอน ในตอนที่มันเกิดขึ้นมีแต่พลังเท่านั้นที่เราจะพึ่งพาได้”


นี่ก็คือสิ่งที่ซอกกูนีร์ได้กังวลเช่นเดียวกัน


ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือมีโอกาสที่คาเพเดี่ยมจะเปิดสงครามกับองค์กรอื่น


ไม่ว่าจะยังไงเขาก็รอการฝึกอยู่แล้ว และในเมื่อปรสิตสามารถจะบุกมาได้อีกตลอดเวลา การฝึกฝนอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งที่เขาต้องการ


ซอลจีฮูได้พยักหน้าออกมาอย่างยินดี


“โอเค ฉันจะกลับมาพร้อมกับพลังที่แกร่งกว่าตอนนี้ รอฉันก่อนนะ”


“เฮ้ ถ้านายพูดแบบนี้ มันฟังเหมือนกับเราเป็นคู่รักดราม่าที่ถูกบังคับให้ต้องแยกทางกันเลยนะ”


คิมฮันนาห์ได้บ่นออกมาพร้อมทั้งหัวเราะขึ้น


เพราะแบบนี้พวกเขาจึงแบ่งออกเป็นสองทีม


คิมฮันนาห์มุ่งหน้าไปอีวา โชฮงกับมาแชล จิโอเนียจะไปกับเธอด้วย การที่คิมฮันนาห์มีศัตรูอยู่มากมายทำให้เธอต้องมีคนคุ้มกัน และการมีนักรบระดับสูงกับนักธนูเหล็กกล้าไปด้วยถึงจะทำให้ซอลจีฮูสบายใจ


แน่นอนว่าจางมัลดงจะต้องไปกับซอลจีฮูเพื่อฝึกเขา รวมถึงตัวโฟลนก็ด้วย


สำหรับคนที่เหลือซอลจีฮูได้ให้พวกเขาได้ตัดสินใจจากต้องการ


“ผมอยากจะไปฝึกด้วย”


ยี่ซังจินเป็นคนแรกที่ยกมือขึ้นมา


“ฉันด้วย”


และน่าแปลกที่ฮิวโก้ก็เสนอตัวเองขึ้นมาเช่นเดียวกัน


“ฉันเข้าใจซังจินนะ แต่ว่านายด้วยหรอฮิวโก้?”


“นี่นายกินอะไรแปลกๆมางั้นหรอ?”


แม้กระทั่งจางมัลดงกับฮิวโก้ก็ยังประหลาดใจ


“ไม่…”


ฮิวโก้ได้มองไปที่แรงค์เกอร์ระดับสูงแต่ล่ะคนภายในห้อง ก่อนที่จะหยุดที่ซอลจีฮู และหลบตาไป


“ฉันจะไปอีวา-!”


ฟีโซราได้ตะโกนออกมาพร้อมกับยกมือขึ้น


“ไม่ได้”


แต่ว่าเธอก็ต้องอ้าปากค้างกับคำปฏิเสธอันหนักแน่นของจางมัลดง


“ทะ ทำไมล่ะ!? ปู่บอกให้เราเป็นคนเลือกนี่!”


“ช่วยไม่ได้แหละนะ เราต้องการให้เธอไปช่วยการฝึก”


ฟีโซราได้หยุดประท้วงและกระพริบตาออกมา


“ปู่ อย่าบอกนะว่า…”


“หยุด ไว้ค่อยคุยทีหลัง แต่ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องการให้เธอช่วย”


เมื่อได้ยินแบบนี้ฟีโซราก็เงียบลงไป จากสายตาที่เธอเอาแต่จ้องมองซอลจีฮู มันดูเหมือนกับว่าเธอจะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับการฝึกที่กำลังมาถึงอย่างแน่นอน


จางมัลดงได้เมินสายตาของเธอ และพูดต่อ


“แล้วที่เหลือล่ะ?”


“อืม ฉัน…”


ยี่ซอลอาได้ค่อยๆพูดออกมาพร้อมกลอกตา


“ฉันอยากจะไปอีวา… ฉันอยากจะรู้ว่าที่นั่นเป็นแบบไหน…”


“ไปเลยสิ เธอกับซังจินไม่ได้ออกไปไหนมานานแล้ว”


จางมัลดงได้เห็นด้วยกับเธอทันที จากนั้นเขาก็หันหน้าไปหายี่ซังจินและถามออกมา


“ซังจิน นายอยากจะมากับเราจริงๆงั้นหรอ? นายจะใช้โอกาสนี้พักผ่อนก็ได้นะ พูดตรงๆคราวนี้ฉันไม่ค่อยมีเวลาไปดูการฝึกของนายมากนัก”


เขาได้บอกตรงๆว่าเขาจะเน้นไปที่การฝึกให้กับซอลจีฮู


“ไม่เป็นไรครับ”


แต่ว่ายี่ซังจินได้ตอบกลับมาอย่างหนักแน่น


“ผมยังมีหน้าที่ที่ต้องย่อยในสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปแล้วอีกมากครับ”


จางมัลดงได้หัวเราะออกมา


“โอเค ตามใจนาย”


ขณะที่จางมัลดงกำลังบอกให้พวกเขาเริ่มเก็บของ-


“คืออาจารย์จาง”


ซอยูฮุยได้พูดออกมาเบาๆ


“อาจารย์จางคิดจะไปที่อื่นนอกจากภูเขาหินยักษ์หรือเปล่าคะ?”


คำขอที่คาดไม่ถึงได้ทำให้จางมัลดงต้องตกใจ


“แน่นอนว่าภูเขาหินยักษ์ก็เป็นที่ที่ดีค่ะ…”


“คุณมีสถานที่ในใจหรือเปล่าล่ะคุณซอยูฮุย?”


“ค่ะ มันก็ไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัย แต่วว่าเป็นที่ที่ใกล้กับอีวาที่ฉันจะไปสวดภาวนาเป็นบางครั้ง”


จางมัลดงได้เบิกตากว้างขึ้นมา


มันไม่ได้มีกฎให้ต้องไปภาวนาในวิหาร


ตราบใดที่สถานที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยพลังงานก็สามารถจะทำการภาวนาได้ทุกเมื่อ


แต่ปกติแล้วจะมีแค่นักบวชเท่านั้นที่รู้จักสถานที่แบบนี้


ซอยูฮุยตั้งใจที่จะเผยถึงสถานที่ลับแบบนั้นออกมา


“จะไม่เป็นไรหรอกหรอ? หากว่าไม่ได้อยู่ที่วิหาร พลังงานก็เป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างจำกัด…”


“แน่นอนว่าไม่เป็นไรค่ะ”


ซอยูฮุยได้ปรบมือเข้าด้วยกัน และยิ้มสดใสออกมา


“มันจะมีประโยชน์กับการฝึกเป็นอย่างมากเหมือนกันค่ะ”


***


พระราชวังฮารามาร์ค


“พ่อ”


เทเรซ่าได้เรียกกษัตริย์ด้วยความเป็นกังวล


“ผู้ดูแลราชวงศ์อีวาออกไปแล้ว”


“อืม”


ฟีไฮได้พยักหน้าออกมาพร้อมกับยกแก้วชาขึ้น


“ท่านพ่อจะนั่งนิ่งๆจริงๆงั้นหรอ?”


“หืม”


ฟีไฮที่กำลังลิ้มรสชาได้ตอบกลับไปโดยไม่รู้ตัว


“ท่านพ่อ?”


“ชานี่มันเยี่ยมยอดไปเลย ฟุฟุ…”


เทเรซ่าได้จ้องไปที่ฟีไฮก่อนที่จะยกนิ้วขึ้นพร้อมกับ “อ๊ากกก”


ฟีไฮได้ร้องลั่นออกมา


“ให้ตายสิ นี่ท่านพ่อกำลังคิดอะไรอยู่…”


วีรบุรุษสงครามของฮารามาร์คกำลังจะไปเมืองอื่น เทเรซ่าที่ไม่เข้าใจว่าพ่อของเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ได้แต่มุ่งหน้าไปที่สำนักงานคาเพเดี่ยม


จากเรื่องคราวก่อนที่แยกกันยังคงกวนใจเธออยู่เสมอมา เธออยากจะไปขอโทษและฟังสิ่งที่ซอลจีฮูจะพูด


หลังจากมาถึงสำนักงานแล้ว เทเรซ่าได้หยุดสูดหายใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินขึ้นบันไดไป


หลังจากกระแอ่มขึ้นมา เธอก็เคาะประตูทางเข้า


“ฉันมาแล้ว”


ยังไงก็ตามไม่มีเสียงตอบกลับมา


“สวัสดี?”


เธอได้เคาะประตูอีกครั้งหนึ่ง


เทเรซ่าได้เอียงหัวออกมาและแนบหูเข้ากับกำแพง


สำนักงานเงียบสนิท เธอไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยสักนิด


‘ไม่มีทาง’


ดวงตาเทเรซ่าได้เบิกกว้างขึ้นมาพร้อมทั้งจิตใจที่สั่นไหวอย่างไม่อยากจะเชื่อ


“ซอล! ซอล!”


ตึง ตึง ตึง


แม้ว่าเธอจะทุบประตูอย่างบ้าคลั่งก็ไม่มีใครตอบกลับมา


‘ไม่’


เทเรซ่าได้รีบวิ่งลงไปบันไดไปด้วยความตกใจ


“ซอล! ซอลลลล!”


เธอได้เรียกชื่อคนที่เธอคิดถึง พร้อมกับวิ่งอย่างบ้าคลั่ง


เธอได้ไปที่ประตูทางทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตก และทิศเหนือตามลำดับ แต่ว่าเธอก็ไม่เห็นร่องรอยของซอลจีฮูเลย


เธอกระทั่งไปดูที่คอกม้า และก็เป็นอย่างที่เธอคิดไว้ สมาชิกทุกๆคนของคาเพเดี่ยมได้ออกเดินทางไปอีวาแล้ว


เมื่อเทเรซ่าได้ยินข่าวนี้ เธอก็แทบจะทรุดตัวลงกับพื้น และต้องฝืนเดินโซเซออกไปจากคอกม้า


‘เขา… ไปแล้วจริงๆ? โดยไม่บอกอะไรเลย?’


เธอคิดว่าอย่างน้อยเขาจะมาหาเธอสักครั้งก่อนที่จะไป


‘ไม่ใช่ว่านายบอกว่าจะมาโน้มน้าวฉันหรอกหรอ!?’


เทเรซ่าไม่พอใจซอลจีฮูพร้อมทั้งโทษตัวเธอเองเช่นเดียวกัน


ย้อนไปตอนนั้นฉันไม่ควรปล่อยเอาไว้เลย นั่นมันคงจะทำให้เขาเสียใจแน่ๆ ฉันไม่ควรจะทำแบบนั้นเลย


เธอได้เดินไปตามถนนอย่างไร้จุดหมายพร้อมกับพึมพำกับตัวเองไปด้วย


ในท้ายที่สุดเธอก็ได้กลับมายืนอยู่ตรงหน้าสำนักงานคาเพเดี่ยมอีกครั้งหนึ่ง


‘เขา… จากไปแล้ว…’


เทเรซ่าได้มองไปรอบๆด้วยดวงตาที่เปียกชื้น


จากนั้นเอง เธอก็เหลือบมองไปเห็นกระดาษที่มุมๆหนึ่ง


ลมคงจะปัดมันหลุดออกมาจากประตูอย่างแน่นอน


เธอได้รีบเข้าไปหยิบอย่างสับสน และได้เห็นข้อความที่ถูกเขียนเอาไว้ในกระดาษ-


-พวกเรากำลังจะไปฝึก! ถ้ามีอะไรก็ใช้คริสตัลสื่อสารคติดต่อเราได้เลย! 😀


“…”


เทเรซ่าได้หยุดหายใจพร้อมกับใบหน้าที่ค่อยๆแข็งขึ้นมา


ตุ๊บ


เธอได้ทิ้งตัวลงไปบนพื้น


“นาย…!”


ยิ่งได้เห็น ‘:D’ ก็ยิ่งทำให้เธอโกรธขึ้นอีก


หลังจากสะอื้นอยู่สักพัก…


“ฉันขอให้ระหว่างการฝึกนายแหลกสลายไปเลย!”


เทเรซ่าได้หลับตาแน่น และตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ


***


ซอลจีฮูที่ตื่นเต้นกับการจะได้ฝึกจนลืมเรื่องเทเรซ่าไปหมดได้นำสมาชิกคาเพเดี่ยมเดินทางไปที่อีวา


ที่นั่นเขาได้ยแกทางกับคิมฮันนาห์ โชฮง ยี่ซอลอา และมาแชล จิโอเนียก่อนที่จะเดินทางต่อทันที


ซอลจีฮูรู้สึกตัวสั่นไปทั้งตัว


ความตื่นเต้นส่วนหนึ่งมาจากการได้ฝึกในที่ใหม่ แต่เหตุผลสำคัญที่สุขก็คือการที่ในที่สุดเขาก็ได้ฝึกแล้วหลังจากที่ต้องรอมานาน


“อีวาเป็นเมืองที่สร้างขึ้นที่เชิงภูเขาใหญ่ขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่าภูเขาเพลเอี่ยม หากว่าผ่านภูเขาไฟนั่น…”


ขณะที่ซอยูฮุยกำลังอธิบาย ทั้งกลุ่มก็ได้ผ่านภูเขาที่สูงเชิดฟ้าไป และหลังจากนั้นสักพัก พวกเขาก็ได้เห็นสันเขาที่กระจายตามที่ราบกว้างใหญ่


หลังลงจากรถม้าแล้ว ซอยูฮุยก็ได้นำทางทั้งทีมเข้าไปในหุบเขา


ภูมิประเทศไม่ได้มีความขรุขระเหมือนกับที่ภูเขาหินยักษ์ แต่ว่าความลึกของมันเทียบกันไม่ติดเลยสักนิด


หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง… หลังจากเดินตามซอยูฮุยเดินลึกเข้าไปในหุบเขา ในที่สุดทั้งกลุ่มก็ได้มาถึงจุดหมายและต้องพูดไม่ออก


ภาพตรงหน้าได้แสดงให้เห็นถึงความลงตัวกันของธรรมชาติ และไม่มีร่องรอยของมนุษย์ให้เห็นเลยแม้แต่นิด


แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ได้อยู่บนยอดเขา แต่หมอกสีขาวอันศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ปกคลุมไปทั่วพื้นที่ กระแสน้ำใสที่ไหลลงมา และต้นไม้ที่เต็มไปด้วยผลไม้สุกมากมายอัดแน่นไปหมด มันดูเหมือนกับว่าที่นี่คือสรวงสวรรค์สำหรับเหล่านักปราชญ์อย่างแท้จริง


“เหลือเชื่อ!”


จางมัลดงได้อุทานออกมาอย่างประหลาดใจ


ซอลจีฮูได้สูดหายใจเข้า และไม่อาจจะซ่อนความตกตะลึงเอาไว้ได้เลย


“น่าทึ่ง! การฝึกที่นี่จะต้องได้ผลดีกว่าการฝึกที่ภูเขาหินยักษ์หลายเท่าแน่ๆ ด้วยพลังงานชีวิตที่มีตามชั้นบรรยากาศ การฟื้นฟูของการนอนหลับก็น่าจะเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ฉันจะได้ฝึกเขาได้อย่างเต็มที่ไปเลย!”


ช่วงท้ายมีส่วนที่ทำให้ซอลจีฮูต้องกังวลอยู่สักหน่อย แต่ว่าเขาก็ยังคงแน่วแน่ นี่มันคือสิ่งที่เขาหวังเอาไว้นานแล้ว


‘อืม.. มันหนาวอยู่หน่อยนะ’


ซอลจีฮูได้ตัวสั่นอยู่เล็กน้อย เขารู้สึกเหมือนกับมีน้ำแข็งเกาะอยู่บนตัว


แต่ว่าต่อจากนั้นเขาก็แค่หัวเราะออกมากับจินตนาการของเขาที่มากเกินไปของเขา


บทที่ 239 – สายลมกลายเป็นพายุ (1)


หลังจากตั้งแคมป์แล้ว ซอลจีฮูที่กำลังยืดกล้ามเนื้ออยู่ก็ได้นั่งลงตามคำขอของจางมัลดง


เทคนิคไหนควรจะเรียนก่อน ควรจะฝึกอะไรเป็นอย่างแรก


ความคิดเหล่านี้ได้วนเวียนอยู่ในหัวของเขาไปมาจนทำให้เขาตื่นเต้น


“โซรา มาตรงนี้ด้วย”


จนกระทั่งจางมัลดงได้พูดแบบนี้


“เรากำลังจะเริ่มมันแล้วใช่ไหม?”


“แค่มาตรงนี้ก็พอ”


ฟีโซราได้ค่อยๆก้าวเท้าเข้ามาอย่างไม่เต็มใจ


“ไม่ว่าฉันจะบอกเขากี่ครั้งก็ไม่มีทางที่เขาจะเข้าใจได้ เพราะงั้นเราจะต้องแก้นิสัยเขาด้วยวิธีนี้”


ซอลจีฮูไม่เข้าใจเลยว่าจางมัลดงกำลังหมายถึงอะไร


แต่ว่าเขาก็รู้ว่านี่คือคติของจางมัลดง ‘ถ้าสมองไม่เข้าใจ ถ้างั้นก็ให้ร่างกายได้เรียนรู้’


“ทั้งคู่เตรียมประลอง”


เขาได้ทิ้งคำประกาศออกมา


“ประลอง?”


“อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำสอง”


หลังจากพูดออกมาอย่างหนักแน่น เขาก็เสริมออกมาอีกว่า “แต่”


“ทั้งคู่ห้ามใช้มานา”


มันเป็นเงื่อนไขที่ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด โดยเฉพาะกับซอลจีฮู


“ไม่ใช่แค่มานานะ แต่ก็ห้ามใช้พลังจากอุปกรณ์ด้วยเหมือนกัน”


นี่มันก็หมายความว่าซอลจีฮูกับฟีโซราจะประลองกันด้วยร่างกายและเทคนิคเพียงเท่านั้น


จางมัลดงได้ก้าวถอยไป และให้พื้นที่ทั้งสองคน


‘…อะไรนะ?’


ซอลจีฮูได้ผงะไป แต่ว่าเขาก็หยิบหอกขว้างออกมาจากเข็มขัดแต่โดยดี สิ่งที่จางมัลดงบอกกับเขาจะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน


ฟีโซราได้มองไปรอบๆ และหยิบกิ่งไม้ขึ้นมา แต่ว่า…


“ตั้งใจ เธออยากจะแพ้อีกงั้นหรอ?”


จากคำเตือนของจางมัลดงทำให้เธอต้องเปลี่ยนไปหยิบเอาดาบยาวที่ซื้อมาจากร้านขายของ


“… อ๊า นี่มันทำให้ฉันนึกถึงในตอนนั้นเลย”


เธอได้บ่นออกมาก่อนจะเล็งดาบยาวใส่ซอลจีฮู


เมื่อเห็นชายหนุ่มกำลังมองมาที่เธอ ฟีโซราก็ถอนหายใจออกมา


“อย่ามาเกลียดฉันแล้วกัน”


“ว่ายังไงนะครับ?”


“ไม่มีมานา ไม่มีพลังของอุปกรณ์ นายรู้ตัวไหมว่าข้อจำกัดพวกนี้มันทำให้นายเสียเปรียบขนาดไหนกัน?”


“?”


“ยกตัวอย่างนะ ปู่ไม่ได้แค่บอกให้นายเอารถถังกับปืนใหญ่ออกไปเท่านั้น แต่ปู่ยังบอกให้นายเอาดาบไปสู่กับรถถัง”


หากว่านี่เป็นเรื่องจริง ถ้างั้นจางมัลดงไม่ได้ต้องการให้พวกเขาประลองเลย เขาแค่อยากจะให้ซอลจีฮูถูกอัดฝ่ายเดียว


“แต่ว่าคุณก็ถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขเดียวกันไม่ใช่หรอ?”


“ฉันน่ะต่างออกไป”


ฟีโซราได้ส่ายหัวออกมา


“ต่อให้ไม่มีมานา อย่างน้อยฉันก็ยังมีรถถังอยู่ ร่างกายของฉันน่ะยังจำทักษะได้อยู่ คิดซะว่ามันเป็นทักษะติดตัวไปแล้วก็ได้”


ซอลจีฮูเข้าใจได้ในทันที เธอคงจะกำลังพูดถึง ‘หนึ่งเดียวกับดาบ’


“ยังไงก็ตาม-“


“มัวแต่พึมพำอะไรกันอยู่?”


เมื่อจางมัลดงได้คำรามออกมาอย่างไม่พอใจ ฟีโซราก็เงียบลงไป


‘หืม’


พอมาคิดดูแล้ว ซอลจีฮูก็สงสัยเหมือนกับว่าหากเทียบกันแค่เทคนิคอย่างเดียวฟีโซราจะแกร่งขนาดไหน เขารู้ว่าเธอแกร่งกว่าโอราฮีที่เป็นผู้เชี่ยวชาญการชักดาบ และเขาก็เคยได้ยินมาหลายครั้งว่าเมื่อเทียบกับแรงค์เกอร์ระดับสูงคนอื่นๆแล้ว เธอไม่ด้อยไปกว่าใครเลย


ซอลจีฮูได้หยุดดูถูกเธอ และตั้งสมาธิ


การไม่ใช่มานาในการต่อสู้มันทำให้เขารู้สึกแปลกๆ แต่ว่าเขาก็ตั้งท่าที่คุ้นเคย และจับหอกแน่น


ฟีโซรายังคงยืนนิ่งเล็งดาบมาที่เขาเหมือนอย่างเคย


‘อย่างแรก…’


ซอลจีฮูได้พุ่งตัววิ่งออกไปด้านหน้าในทันที


เมื่อเขาแทงหอกออกไปข้างหน้า คมหอกก็ตัดผ่านอากาศไปจนเกิดเสียงดังขึ้นมา


นี่เป็นการแทงที่หมดจด


ในเวลานั้นเองฟีโซราก็แค่นเสียงออกมา และยอมรับการท้าทาย เธอได้หมุนตัวปล่อยให้คมหอกผ่านตัวไป และพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างกระทันหันจนระยะห่างของพวกเขาสั้นลงไปในพริบตาเดียว


หลังจากปล่อยให้เธอเข้ามาประชิดตัวแล้ว ซอลจีฮูก็ได้ตอบโต้ด้วยการตวัดด้ามหอกฟาดเธอ จากนั้นเอง-


“จบแล้ว”


เขาได้ชะงักไปเพราะคมดาบได้จ่อที่คอเขาแล้ว


หลังจากยื่นมันมาตรงหน้าเขาแล้ว ฟีโซราก็ถอนดาบยาวกลับไปด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย


“นายยังไม่ยอมรับผลใช่ไหมล่ะ? มาลองอีกครั้ง”


ฟีโซราได้ถอยหลังกลับไป


ซอลจีฮูได้แต่กระพริบตามองนิ่งๆ


ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเห็นการเคลื่อนไหวของฟีโซราอย่างชัดเจน เธอได้พุ่งมาอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งหลบหอกของเขานิ่มๆ


อ่อนนอก แข็งใน นี่คือวิธีที่เขาใช้ในการอธิบายการเคลื่อนไหวของเธอ


เขาเห็นเธอ แต่ว่าเขาก็ยังถูกจัดการ นั่นเพราะว่าเธอเคลื่อนไหวเหมือนรู้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยายังไง เขาถูกเอาชนะก่อนที่จะได้ทำอะไรซะอีก


ฟีโซราได้กระดิกดาบออกมา


“เข้ามาสิ มาลองอีกครั้ง”


ซอลจีฮูได้สะบัดหัว และตั้งท่าใหม่อีกครั้งหนึ่ง


เขาได้พุ่งตัวออกไปเป็นครั้งที่สอง คราวนี้เขาได้ใช้เทคนิคต่างๆออกไปอย่างต่อเนื่อง


เขาวางแผนที่จะหลอกแทงก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นฟัน แต่ว่าต่างไปจากคราวก่อน ฟีโซราก็ใช้คมดาบผลักด้ามหอกของเขาออกไป


ซอลจีฮูที่ตกใจได้พยายามที่จะฟาดเธอด้วยหอก แต่แล้ว…


“อึก!”


ฟีโซราได้จับด้ามหอกของเขาเอาไว้อย่างรวดเร็ว และฟาดเขาลงกับพื้น


เมื่อซอลจีฮูเงยหน้าขึ้นมามอง เขาก็ได้เห็นดวงตาเฉยเมยของฟีโซรา


หลังจากเสียสมดุลไปชั่วขณะหนึ่ง ซอลจีฮูก็รู้สึกเดจาวูอย่างคาดไม่ถึง


‘พอมาคิดดูแล้ว…’


ไม่ใช่ว่าในระหว่างสงครามเขาก็เคยมีประสบการณ์คล้ายๆกันนี้มาก่อนหรอกหรอ?


เขาได้คิดกับตัวเองก่อนที่จะฝืนรักษาสมดุลเอาไว้ได้


และจากนั้นการต่อสู้ก็ได้จบลง เพราะเขารู้สึกได้ถึงสัมผัสของเหล็กเย็นชาที่จ่อหัวเขาอยู่


“ฉันก็คิดมาสักพักแล้วนะ นายนี่มันกล้ามากจริงๆ”


“นี่ก็น่าจะพอแล้วใช่ไหมล่ะ?”


ฟีโซราได้ถามออกมาหลังจากหันไปมองจางมัลดง เมื่อเห็นจางมัลดงพยักหน้า เธอก็เก็บดาบกลับเข้าไปในฝัก


“เป็นยังไงล่ะ?”


ซอลจีฮูได้ค่อยๆเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินคำถามของจางมัลดง


เขารู้สึกสับสนอยู่เล็กน้อย ในความเป็นจริงแล้ว เขาก็ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นเลย เขารู้สึกอย่างรุนแรงว่าฟีโซรายังอ่อนให้เขาอีกด้วย


“เมื่อตะกี้นั่นแหละคือรากฐานพลังของนาย”


คำว่ารากฐานได้ดังก้องกังวาลอยู่ภายในหูของเขา


“ผมควรจะทำยังไง?”


ซอลจีฮูได้พูดออกมาราวกับต้องมนต์


“ประเมิน”


จางมัลดงได้พูดอย่างหนักแน่น


“ประเมินตัวเอง และแยกแยะถึงสภาพรากฐานของนายในปัจจุบันให้ถูกต้อง นี่คือสิ่งที่นายต้องเริ่ม”


ก่อนที่จะพัฒนาขึ้นก็ต้องมองหาข้อบกพร่องก่อน


นี่คือสิ่งที่จางมัลดงกำลังจะบอกกับเขา


จางมัลดงได้ชี้ไปที่เต็นท์โดยที่ไม่พูดอะไรออกมา


ซอลจีฮูได้หันหน้าและเดินโซเซออกไป เขาได้เดินผ่านเต็นท์จนหายเข้าไปในป่า


“…ฮึ่ม นี่ปู่จะทำให้ฉันเป็นคนเลวนะ”


ฟีโซราหน้ามุ่ยขึ้นมา


“ถ้าเขาเริ่มเกลียดฉันเพราะเรื่องนี้ ปู่ต้องรับผิดชอบนะ”


จางมัลดงได้ขมวดคิ้วขึ้นมา


“นี่เธอคิดว่าจีฮูจะใจแคบเหมือนเธองั้นหรอ? เขาจะเกลียดเธอแค่เพราะแพ้ครั้งเดียวหรอ?”


จางมัลดงได้โต้กลับมา


ฟีโซราที่รู้สึกผิดได้หันไปมองทางที่ซอลจีฮูหายไป


“จะยังไงเราก็ต้องทำแบบนี้จริงๆงั้นหรอ? เขาก็ไม่ได้หยิ่งยโสอะไรแบบนั้นนี่นา”


“ฉันรู้”


จางมัลดงได้พยักหน้าออกมาอย่างเคร่งขรึม


“เขาไม่ได้หยิ่งผยอง แล้วก็ไม่ได้ยกย่องตัวเองเลย ฉันรู้ดี…”


จางมัลดงได้เว้นช่วงไปพักหนึ่งพร้อมทั้งมองไปทางที่ซอลจีฮูหายไปด้วยความเป็นกังวล


ฟีโซราได้ยิ้มออกมา


“ทำไมปู่ถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ?”


“อะไรนะ?”


“ก็แบบว่าในตอนที่ยัยราฮีทำลายฉันในการประลอง ปู่ก็บอกว่า ‘เธอมั่นใจในตัวเองเกินไป ในที่สุดก็รู้จุดยืนของตัวเองแล้วใช่ไหม’”


“นั่น… นั่นมันก็เพราะเธอดื้อด้านเกินไป”


จางมัลดงได้หัวเราะออกมาก่อนที่จู่ๆจะเงียบลงไป หลังจากก้มหน้าต่ำลงไปเล็กน้อย…


“ฉันจะพูดอะไรแบบนั้นได้ยังไงกัน…”


เขาได้พึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงหดหู่อย่างไม่เคยมีมาก่อน


“ในเมื่อเขาพยายามอย่างเต็มที่แล้ว”


***


ซอลจีฮูได้เอนหลังพิงต้นไม้ครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง เมื่อเห็นหน้าต่างสถานะของเขา เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขารู้ว่าจางมัลดงอยากจะพูดอะไร


‘ฉัน…’


ฉันไม่ได้แกร่งเหมือนอย่างที่คนทั่วไปคิด


สิ่งที่เห็นคนอื่นๆเห็นคือเขาที่อยู่ภายใต้ผลของนิมิตและทักษะปลุกพลังหลายต่อหลายอย่างที่ทับซ้อนกันจนระเบิดพลังออกมาอย่างรุนแรง


เมื่อตระหนักได้ถึงความเป็นจริงของสถานการณ์นี้ ซอลจีฮูก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น


เทคนิคของเขาเป็นสิ่งที่น่ากลุ้มใจจนพูดไม่ออกเลย


ทั้งๆที่อยู่ระดับ 5 เขาก็ยังไม่ได้เรียนรู้ทักษะที่ควรจะเรียนในระดับ 3 กับ 4 เลยด้วยซ้ำไป


มันก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่มีข้อแก้ตัวเลย เขากำลังพยายามที่จะเรียนรู้ทักษะนั้นด้วยตัวเอง ความก้าวหน้าที่ล่าช้า และเขาก็ต้องยุ่งกับการสร้างองค์กรหลังจากสงคราม


แต่ว่าในท้ายที่สุดแล้วข้อแก้ตัวต่างๆเหล่านั้นมันก็ไร้ค่า


จะเกิดอะไรขึ้นหากว่าศัตรูตรงหน้าเขาไม่ใช่ฟีโซรา แต่เป็นความหมั่นเพียรอันนิรันดร์?


ข้อแก้ตัวมันจะช่วยชีวิตเขาได้งั้นหรอ?


“หืม”


เสียงไอแห้งๆได้ดังขึ้นจนทำให้ซอลจีฮูหลุดออกมาจากห้วงความคิด พร้อมๆกันนั้นจางมัลดงก็ได้เดินออกมาจากหญ้า


ซอลจีฮูได้รีบลุกขึ้นมา


“นายกำลังทำอะไรอยู่?”


“อ่อ ผมแค่กำลังคิดอยู่ครับ”


“แล้วนายกำลังคิดอะไรอยู่ล่ะ?”


“เอ่อ…”


ซอลจีฮูได้เกาแก้มออกมา


“อย่างแรก ผมกำลังสงสัยว่าผมควรจะเรียนรู้เทคนิคหอกให้หลากหลายกว่านี้หรือเปล่า แค่การแทง ฟาด แล้วก็ฟันมันคาดเดาได้ง่ายเกินไป”


นี่มันไม่ใช่คำตอบที่เขาได้รับมาหลังจากไตร่ตรองอยู่นาน แต่ว่านี่เป็นสิ่งแรกที่เขาคิดขึ้นมา


จางมัลดงได้หยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัวออกมา


“ฉันไม่อาจจะพูดว่ามันเป็นคำตอบที่ผิดได้ไหม แต่ว่ามันก็ไม่ใช่คำตอบที่ถูกเหมือนกัน”


“ถ้างั้น-“


“ทำไมนายถึงเลือกเป็นนักรบล่ะ? แล้วก็ผู้ใช้หอกนั่นด้วย?”


จากคำถามที่กระทันหันทำให้ซอลจีฮูต้องเงียบไป


“ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ นายอาจจะคิดว่ามันไม่ยุติธรรม มานากับอุปกรณ์เวทย์คือส่วนหนึ่งของพาราไดซ์อย่างแน่นอน เพราะงั้นทำไมเขาถึงไม่ให้ฉันใช้ในการประลองล่ะ? ฉันมั่นใจว่านายกำลังคิดแบบนั้น”


ซอลจีฮูได้นั่งฟังอยู่อย่างเงียบๆ


“ฉันเห็นด้วยนะ แต่ว่าทำไมนายถึงไม่เป็นนักเวทย์ไปเลยซะล่ะ?”


“…”


“ฉันเคยพูดมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่ภูเขาหินยักษ์แล้วนะ นายพึ่งพามานาในการต่อสู้มากเกินไป จะพูดว่ามันเป็น 80%-90% ในพลังต่อสู้ของนายก็ไม่ได้ผิดเลย”


ซอลจีฮูได้กลายเป็นพูดไม่ออก เขาไม่กล้าจะปฏิเสธเลยสักนิด


“แต่ว่าถ้านายจะใช้มานาเป็นส่วนสำคัญในการต่อสู้ขนาดนั้น ถ้างั้นการเป็นนักเวทย์มันจะไม่ดีกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่าหรอกหรอ?”


ในที่สุดซอลจีฮูก็เข้าใจในสิ่งที่จางมัลดงกำลังจะบอกแล้ว


นักรบ หรือก็คือผู้ใช้หอกจำเป็นต้องรู้วิธีใช้หอก


“ถ้าฉันอนุญาตให้นายใช้มานา แน่นอนว่าการต่อสู้ก็จะกลายเป็นอีกแบบหนึ่งไปเลย ยังไงสุดท้ายแล้วความเร็วและพลังของการแทง ฟาด แล้วก็ฟันก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อผสานมานาเข้าไป”


จางมัลดงได้สูดหายใจก่อนจะพูดต่อ


“แต่ว่าหากนายเจอเข้ากับศัตรูที่ใช้มานาสู้ด้วยไม่ได้ นายจะทำยังไงกันล่ะ?”


ในตอนนั้นเองซอลจีฮูก็รู้สึกเหมือนค้อนกระแทกเข้าที่หัวอย่างจัง


ในที่สุดความรู้สึกเดจาวูก็ค่อยๆชัดเจนขึ้นมา


ในตอนแรกที่เขาเจอกับความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ที่ป้อมปราการ เขาได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลังแล้ว แต่ว่าเขาก็พ่ายแพ้แบบน่าอนาถ


เขายังจำได้ชัดเจนว่าแค่นิ้วเดียวของความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ก็หยุดหอกของเขาไว้ได้ และผู้บัญชาการกองทัพก็โยนเขาออกไปเหมือนกับแมลงวัน


“นายมัวแต่สนใจอยู่กับจิตใจ เทคนิค ร่างกาย และการกลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงมากเกินไปจนนายได้ลืมสิ่งสำคัญ”


จางมัลดงได้พูดออกมาอย่างหนักแน่น


“นายจำเป็นจะต้องรู้วิธีต่อสู้”


ซอลจีฮูไม่ได้ตอบกลับมา เขาได้ยืนนิ่ง และครุ่นคิดตามคำพูดของจางมัลดง


เมื่อซอลจีฮูไม่ได้พูดอะไรออกมา จางมัลดงก็ไอแห้งๆ และถามขึ้น


“นายหงุดหงิดงั้นหรอ?”


“…ว่าไงนะครับ”


“มันคงจะน่าหงุดหงิดแน่ๆ”


“มะ ไม่เลยครับ…”


ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา มันแทบจะดูเหมือนจางมัลดงอยากจะให้เขารู้สึกไม่พอใจ


“นายไม่หงุดหงิดงั้นหรอ?”


“พวกเราได้ต่อสู้ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน ผมแพ้ก็เพราะผมด้อยกว่า”


ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมา


“แล้วก็จริงๆแล้วผมโล่งใจมากกว่า”


“โล่งใจ?”


จางมัลดงได้ขมวดคิ้วขึ้นมา


“ครับ เส้นทางในการกลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงมันดูจะคลุมเครือมากเกินไป…”


ดวงตาซอลจีฮูเป็นประกายขึ้นมา


“แต่ว่าในตอนนี้ ถึงผมจะผสานจิตใจ เทคนิค และร่างกายเข้าด้วยกันไม่ได้ แต่ว่าผมก็รู้ว่าแค่การก้าวข้ามจุดอ่อนในปัจจุบันไปได้ ผมก็จะแข็งแกร่งขึ้น”


จางมัลดงได้จ้องซอลจีฮูด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป เขาได้มองสำรวจชายหนุ่มอย่างตั้งใจราวกับจะยืนยันว่าสิ่งที่ชายหนุ่มพูดจริงใจหรือเปล่า


เมื่อเขาได้ช่วยให้ชาวโลกได้เผชิญหน้ากับความจริงอันโหดร้าย พวกเขาก็มักจะแสดงปฏิกิริยาออกมาในสองรูปแบบ


อย่างแรกคือความสิ้นหวังที่เกิดจากการผิดหวังและหดหู่ใจ


อย่างที่สองคือเปลี่ยนแปลงความอัปยศให้กลายเป็นความปรารถนาที่จะเอาชนะอย่างน่ากลัว


คนที่เป็นอย่างแรกนั้นไม่มีค่าให้พูดถึงเลย สำหรับอย่างหลังนั้นอย่างน้อยก็น่าที่จะยกย่อง ท้ายที่สุดแล้วการมีแรงกระตุ้นนั่นหมายความว่าจะทำให้พวกเขาพยายามให้มากขึ้น


แต่ว่าสำหรับปฏิกิริยาของซอลจีฮูไม่ได้เป็นไปตามแบบอย่างข้างต้นนั้น


มันไม่ใช่เขาจะดูหัวอ่อนเลยสักนิด


ดวงตาที่ใสกระจ่างของเขาได้แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาในการแสวงหาศิลปะการต่อสู้อันบริสุทธิ์ และความปรารถาในการพัฒนาตัวเองให้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่สิ้นสุด


นี่เป็นกรณีที่หาได้ยากยิ่ง


‘เอาเถอะนะ จริงๆแล้วเขาก็แค่หลงไหลในการต่อสู้กับปรสิตเท่านั้นเอง… มันคงไม่ใช่เรื่องแย่หรอกนะ’


จางมัลดงได้มาปลอบใจเขาสักหน่อย แต่แล้วเขาก็ต้องเปลี่ยนใจ


“นายเพียงจะก้าวมาได้แค่ก้าวเดียวเท่านั้น ไม่สิ แค่ครึ่งก้าวเท่านั้นเอง คนที่ปีนขึ้นมาอย่างง่ายดายด้วยคะแนนคุณูปการ กับคนที่กัดฟันพยายามอย่างเต็มเพื่อเรียนรู้สิ่งที่ดีที่สุดด้วยกำลังของตัวเอง ระดับชั้นของแรงค์เกอร์ระดับสูงระหว่างทั้งสองอย่างนี้จะเริ่มแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน”


ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้นมา


จากนั้นจางมัลดงก็พูดเสริมขึ้นมา “นายได้อยู่ระดับ 5 แล้ว เพราะงั้นอีกไม่นานหรอกนะ”


“นายอยากจะอยู่ไหมล่ะว่าทั้งสองประเภทนั้นต่างกันขนาดไหน?”


ซอลจีฮูได้ค่อยๆพยักหน้าออกมา


“เอาชนะจุดอ่อนของนาย และค้นหามันด้วยตัวเองซะ”


จากนั้นจางมัลดงก็ชี้ไม้เท้าไปที่ทางซ้ายมือ


“อย่างแรกไปหาฮิวโก้ซะ”


“ทำไมถึงเป็นฮิวโก้…?”


“ฮิวโก้มีค่าสถานะมานาที่ต่ำมาก เขาเป็นนักรบที่ฝึกเพียงแค่ร่างกายเท่านั้น”


จางมัลดงได้ยิ้มออกมา


“นายน่าจะได้เรียนรู้อะไรสักสองสามอย่างจากเขาได้”


“ถ้างั้นผมจะไปเดี๋ยวนี้เลย”


ซอลจีฮูได้เริ่มวิ่งออกไปก่อนที่จะหยุดหันหน้ากลับมามองจางมัลดง


“อาจารย์จาง”


“อืมม?”


“คำถามนี่เป็นแค่สมมติฐานเท่านั้นนะครับ”


ซอลจีฮูได้กระแอ่มออกมา


“แต่ว่าถ้าผมเอาชนะคุณฟีโซราได้แค่ด้วยเทคนิคเท่านั้น… ถ้างั้นแล้วผมจะกลายเป็นแข็งแกร่งขนาดไหนกัน?”


“หืมม”


จางมัลดงได้ลูบคางออกมา


“หากว่านายเสริมสร้างรากฐานจนเหนือกว่าของฟีโซราได้ แล้วหากบวกมานาเข้าไปด้วย…”


เขาได้หยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างหนักแน่น


“ถ้างั้นหากจะพูดว่านายเป็นชาวโลกที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่คนที่มีระดับต่ำกว่าระดับ 7 ก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย”


นั่นมันหมายความว่าแม้กระทั่งแคลร์ แอ็กเนสก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา


‘ในที่สุด’


ในที่สุดเขาก็เริ่มไล่ตามแอ็กเนสทันแล้ว


เขาได้ตั้งเป้าหมายใหม่อีกครั้งหนึ่ง


***


ฮิวโก้เขากำลังอยู่ระหว่างการฝึกอย่างเข้มข้น


เขาได้แขวนขอนไม้เอาไว้ และพยายามหลบขอนไม้เหล่านี้ด้วยท่าทีที่แตกต่างไปจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง


ซอลจีฮูที่เห็นการฝึกของฮิวโก้ได้ประหลาดใจขึ้นมา เขาไม่เคยคิดว่าฮิวโก้อ่อนแอเลย แต่ว่าเมื่อได้เห็นแบบนี้ ฮิวโก้ก็ดีกว่าที่เขาคิดจริงๆ


มันเป็นครั้งแรกเลยที่ซอลจีฮูได้เห็นฮิวโก้พยายามอย่างหนัก


การหลบของฮิวโก้ได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเขาถูกขอนไม้อันที่แปดร้อยฟาดเข้าใส่


“อ๊า เวรเอ้ย!”


หลังจากสบถออกมา เขาก็ลุกขึ้นยืนจากพื้น หลังจากที่เห็นซอลจีฮูกำลังแอบมองอยู่อย่างเงียบๆ เขาก็กระพริบตาออกมาอย่างสับสน


“หืม? นี่นายดูมานานแค่ไหนแล้ว?”


“ก็ไม่ได้นานหรอก”


ซอลจีฮูได้ตอบกลับมาสั้นๆ ทันใดนั้นฮิวโก้ก็ยืดหลังออกมา


“อะไรล่ะ นายอยากจะให้ฉันให้กำลังใจนายงั้นหรอ?”


“กำลังใจ?”


“อย่ามาทำเป็นไม่เข้าใจนะว่าฉันกำลังพูดอะไร ฟีโซราเพิ่งจะทำลายนายมานะ”


น้ำเสียงของเขาได้เต็มไปด้วยความล้อเล่น ซอลจีฮูรู้ดีว่าฮิวโก้ไม่ได้เจตนาร้าย แต่ว่าเขาก็ยิ้มแห้งๆออกมา


“อาจารย์จางได้บอกให้ฉันมาหานาย อาจารย์บอกว่าฉันจะได้เรียนรู้บางอย่างจากการมาดูนาย”


“อะไรนะ? ตาแก่บอกนายว่าจะได้เรียนรู้จากฉันหรอ?”


ฮิวโก้ได้พูดออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ


“…ก็นะ ข้อบกพร่องของนายมันชัดเจนมากเลยซอล เพราะงั้นฉันก็พอเข้าใจแหละ…”


แต่แล้วจากนั้นเขาก็พยักหน้าออกมาราวกับว่าเขาเข้าใจได้ในทันทีว่าทำไม เมื่อเห็นแบบนี้ซอลจีฮูก็กลายเป็นเศร้าไปเล็กน้อย


ฮิวโก้ได้ถามออกมาอีกครั้งด้วยความยินดี


“ยังไงก็เถอะนะ ตาแก่พูดแบบนั้นจริงๆงั้นหรอ?”


“ใช่แล้ว”


“จริงๆงั้นหรอ?”


“ใช่สิ”


ด้วยเหตุผลบางอย่างฮิวโก้ได้ถามคำถามเดิมซ้ำๆออกมาอย่างดีใจ


“ฮิฮิ ตาแก่ยังตาแหลมเหมือนเดิมเลย! ดีกว่าตาลุงเยอะเลย”


ไม่นานนักซอลจีฮูก็รู้ว่า ‘ตาลุง’ ที่ฮิวโก้หมายถึงนั่นคือผู้ดูแลราชวงศ์อีวา


“ฮุฮุฮุ เอาเถอะนะ ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ แต่ว่าฉันก็ยังยุ่งกับการฝึกอยู่ เพราะงั้นฉันไม่อาจจะใช้เวลาของฉันไปช่วยนายได้นะ ฉันก็แค่จะบอกคำตอบกับนาย”


ซอลจีฮูไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธ มันหาได้ยากที่ฮิวโก้จะแสดงความกระตือรือร้นแบบนี้ เพราะงั้นซอลจีฮูก็ไม่อยากจะขัดเขา


“โอเค-“


ฮิวโก้ได้ไอออกมา จากนั้นขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา เขาก็แสดงสีหน้าทึ่มๆออกมา


“แล้วฉันบอกว่าจะพูดเรื่องอะไรนะ?”


ซอลจีฮูหัวเราะออกมา


“นายบอกว่าข้อบกพร่องของฉันมันชัดเจน”


“โอ้ โอ้ ใช่แล้ว การได้เห็นสักครั้งมันคงดีกว่าการได้ยินเป็นร้อยครั้ง ส่งหอกนายมาให้ฉันสิ”


เมื่อซอลจีฮูส่งหอกของเขาออกไป ฮิวโก้ก็ตั้งท่า และพูดออกมา


“ตั้งใจดูให้ดีนะ ฉันกำลังจะเลียนแบบวิธีการต่อสู้ของนาย”


จากนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้าก่อนจะแทง ฟัน และฟาดหอกออกมา


เขาได้พึมพำออกมาว่า “เรียบร้อย”


เขาได้ถอยกลับ และส่งหอกคืนมา


“นี่แหละ ทั้งสามอย่างนี้ และเนื่องจากว่ามันคือเทคนิคพื้นฐานจึงสามารถจะมองออกได้ง่ายๆ…”


ฮิวโก้ได้มองมาที่ซอลจีฮูก่อนที่จะค่อยๆพูดต่อ


“อืมม… ซอล อย่ากดดันเกินไปนักล่ะ”


“แน่นอนสิ”


“ถ้างั้นฉันจะพูดตรงๆนะ มันไม่ใช่แค่ฟีโซราเท่านั้น หากสู้ในเงื่อนไขเดียวกัน ไม่ว่าจะโชฮง มาแชล จิโอเนีย หรือฉันก็จะไม่แพ้นาย”


“อืมม…”


“แน่นอนสิ มันอาจจะต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงหากว่านายใช้งานมานาที่สูงผิดปกติของนาย แต่ในแนวเดียวกันพลังของนายก็จะหายไปอย่างมากหากไร้ซึ่งมานา”


การประเมินที่ตรงไปตรงมาของฮิวโก้ได้กระแทกใจเขาอย่างแรง แต่ว่าเขาก็พยายามอย่างมากที่จะไม่แสดงมันออกมาจากภายนอก


“อาจารย์จางบอกว่าฉันไม่รู้วิธีการต่อสู้”


“ถูกแล้วล่ะ นั่นมันตรงจุดมากจริงๆ ในตอนที่ฉันดูนายต่อสู้นะ… จะพูดว่ายังไงดีล่ะ มันเหมือนกับว่านายไม่มีแผนอะไรที่มันชัดเจนเลย”


“ช่วยอธิบายให้ชัดหน่อยได้ไหม?”


เมื่อได้ยินแบบนี้ฮิวโก้ก็จ้องไปที่ซอลจีฮู


เขาได้แสดงสีหน้าจริงจังออกมา


“ฉันขอถามนายหน่อยได้ไหม?”


เขาได้ถามออกมาก่อนที่ซอลจีฮูจะตอบว่าใช่ซะอีก


“ทำไมนายถึงพุ่งออกไปในทันทีที่การตอสู้เริ่มต้นขึ้นล่ะ?”


“นั่นก็เพราะ-“


“หอกเป็นอาวุธที่ดีกว่าดาบ ทำไมล่ะ? นั่นมันก็เพราะว่ามันมีระยะที่ยาวกว่าดาบเป็นสองเท่า ผู้ใช้หอกทุกๆคนจะรู้จักการต่อสู้พร้อมทั้งรักษาระยะห่างไปด้วย มันไม่มีเหตุผลอะไรให้นายต้องพุ่งเข้าใสตั้งแต่แรกเลย”


ซอลจีฮูพูดไม่ออกทันที


“ยังไม่หมดเท่านั้นนะ การแทง ทำไมนายถึงแทงไปข้างหน้าอยู่เสมอล่ะ? นายสามารถจะแทงไปในหลายๆทางได้พร้อมๆกัน การเขย่าหอกเล็กน้อยเพื่อก่อกวนการมองเห็นของฝ่ายตรงข้าม หรือใช้เล่ห์เหลี่ยมเล็กๆน้อยๆใส่คู่ต่อสู้ด้วย”


“…”


“สำหรับการฟันกับฟาดก็เป็นเช่นเดียวกัน นายสามารถจะฟันได้หลายๆทาง แต่ว่านายก็เอาแต่ฟันในแนวนอนหรือแทยงมุมอยู่เสมอ นายเอาแต่ฟาดด้วยการใช้คมหอก แต่ว่านายก็สามารถจะบิดหอกแล้วก็ใช้ด้ามหอกฟาดเหมือนคทาก็ได้ ทำไมนายไม่ทำแบบนั้นล่ะ?”


ฮิวโก้ได้สูดหายใจอยู่นาน หลังจากสังเกตถึงสีหน้าของซอลจีฮู เขาก็พูดต่อเงียบๆ


“ฉันรู้ว่านายก็เคยคิดเรื่องนี้เหมือนกันนะ แต่ว่าซอล นายพึ่งพามานามากเกินไป นั่นมันเพราะว่าแค่นายใช้มานามันก็ทำให้คนอื่นสู้กับนายได้ยากแล้ว”


ซอลจีฮูได้ค่อยๆหลับตาลง ในที่สุดเขาก็รู้ถึงน้ำหนักของสถานการณ์แล้ว


“ให้ฉันให้คำแนะนำสุดท้ายกับนายแล้วกันนะ นายคิดว่าอะไรที่ทำให้นายพ่ายแพ้ฟีโซราอย่างง่ายดาย?”


“…”


“มันง่ายมาก ยกตัวอย่างเช่น… ฮ่าห์”


ฮิวโก้ได้เดินเข้าไปซ่อนตัวในพุ่มไม้


“สมมติว่าฉันซ่อนตัวอยู่ที่นี่ แล้วนายก็เดินมา หากว่าฉันลอบโจมตีนาย นายจะทำยังไง?”


“ฉันจะปัดป้องหรือสวนกลับกลับไป”


“ก็ใช่แล้วล่ะ แต่ว่าถ้าหากว่านายไม่รู้ว่าฉันกำลังซ่อนอยู่ตรงนี้ล่ะ?”


ทันใดนั้นฮิวโก้ก็ลุกขึ้นมา


“ถ้างั้นนายจะทำยังไงล่ะ?”


สีหน้าของซอลจีฮูได้แข็งทื่อไป


ฮิวโก้ได้พูดออกมาเบาๆหลังจากที่ออกมาจากพุ่มไม้


“หากว่านายเห็นว่าอะไรกำลังเข้ามา นายก็จะมีปฏิกิริยา แต่ว่าหากนายไม่รู้ นายก็จะตายได้ง่ายๆเลย นี่มันต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยใช่ไหมล่ะ?”


‘อ่า’


ในที่สุดซอลจีฮูก็เข้าใจถึงสิ่งที่เขาจะบอกแล้ว


เหตุผลที่ฟีโวราเอาชนะเขาได้ง่ายๆก็เพราะเธอได้คาดเดาถึงการเคลื่อนไหวของซอลจีฮูไว้แล้ว


ในอีกด้านหนึ่งซอลจีฮูไม่ได้คาดเดาถึงการเคลื่อนไหวของฟีโซราเลยสักนิด


‘ฉัน…’


เขาได้ต่อสู้โดยที่ไม่รู้กระทั่งพื้นฐานของการต่อสู้เลยด้วยซ้ำไป


ในตอนนี้เขาอดไม่ได้ที่จะคิดว่าตัวเองโชคดีมากแล้วที่รอดชีวิตมาจนถึงตอนนี้


ฮิวโก้ได้กำหมัดแน่น และเขกหัวของเขา


“สิ่งสำคัญก็คือต้องคิด”


หรือก็คือตลอดมาซอลจีฮูได้ต่อสู้โดยไม่คิดอะไรเลย


เขาเอาแต่พึ่งพามานา


และข้อบกพร่องนี้ก็ได้เผยออกมาในระหว่างสงครามสุดท้าย


“ยังไงก็ตามเมื่อนักสู้ที่มีทักษะสองคนสู้กัน พวกเขาก็จะใช้เวลาสักพักหนึ่งในการตรวจสอบกันและกัน การปะทะกันไม่กี่ครั้งจะมีข้อมูลที่ไม่อาจจะประเมินได้ถูกส่งไปมาอยู่ตลอดเวลา อะไรจำพวกเทคนิคที่ฝ่ายตรงข้ามใช้ ลักษณะนิสัยเฉพาะตัว”


“…มันไม่ใช่ง่ายๆสินะ”


ซอลจีฮูได้ถอนหายใจออกมา


“การที่จะคิดเรื่องทั้งหมดนี่ในการต่อสู้ที่กดดัน…”


“นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญ!”


ฮิวโก้ได้หัวเราะออกมาอย่างสดชื่น


“ร่างกายของนายจะตอบสนองไปโดยอัตโนมัติตามประสบการณ์การต่อสู้ของนาย! ฉันคิดว่านายจะพูดว่าร่างกายมันรู้ได้เองโดยสัญชาตญาณก็ได้”


ฮิวโก้ได้ขยิบตาออกมาก่อนจะตบหลังซอลจีฮู


“ทำไมนายถึงกงัวลล่ะ? นายยังมีเวลาให้ฝึกอีกมาก!”


“ฉันหรอ? ไม่หรอก ฉัน-“


“เอาเถอะน่า!”


ฮิวโก้ได้ชี้นิ้วไปที่ต้นไม้


“ลองคิดให้ดีสิว่าทำไมตาแก่ถึงให้นายฝึกแบบนั้น”


ซอลจีฮูได้มองไปที่ขอนไม้ที่ยังแกว่งอยู่บนต้มไม้ และร้องอ่อออกมา


‘ลองคิดดูสิ-‘


[ฟังนะเจ้าหนู ฉันอาจจะช่วยนายฝึกได้ แต่ว่านายจะต้องเป็นคนที่ทำมัน! หากว่านายรู้ว่าความตั้งใจที่ฉันให้นายฝึกแบบนี้คืออะไร และทำให้มันสำเร็จได้ในระดับหนึ่ง นายก็จะมีอาวุธที่ยอดเยี่ยมอยู่ภายในมือ]


[เอาล่ะ… มันจะเป็นพื้นฐานในการแก้ไขจิตใจ เทคนิค และร่างกายที่บิดเบี้ยวของนาย]


นี่คือสิ่งที่ซอลจีฮูได้ยินในระหว่างการฝึกหลบขอนไม้ครั้งแรก


และจากการฝึกนี้ ซอลจีฮูก็ได้รับทักษะหายากที่มีชื่อว่าสัญชาตญาณ


ใช่แล้ว เขามีคำตอบอยู่ภายในมือแล้ว เขาก็แค่ไม่รู้วิธีใช้งานมันเท่านั้นเอง


[ครึ่งก้าว]


ในตอนนี้เขาเห็นยอดเขาแล้ว


ทันทีที่ซอลจีฮูรู้เรื่องนี้ ดวงตาของเขาก็ได้เริ่มลุกโชนขึ้นมาอย่างรุนแรง


“ขอบคุณฮิวโก้”


“อืมม! การเอาชนะกับแพ้จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทุกๆคนเติบโต! จากนั้นก็จัดการยัยฟีโซราซะเลย”


ฮิวโก้ได้ยื่นหมัดออกมา


และซอลจีฮูก็ยื่นหมัดกลับไปชนด้วยรอยยิ้ม


บทที่ 240 – สายลมกลายเป็นพายุ (2)


การฝึกนรกแตกได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว


ในพาราไดซ์ ‘จิตใจ’ หมายถึงสติปัญญา ความคิด พรสวรรค์


‘เทคนิค’ หมายถึงทักษะและความสามารถ และ ‘ร่างกาย’ หมายถึงสภาพร่างกายและสรีระ รวมไปถึงมานาด้วย


สภาพจิตใจของซอลจีฮูจะขึ้นอยู่กับการควบคุมทั้งหมด และเขาได้ใช้เวลาไปกับการฝึกฝนร่างกายมาพอสมควรแล้ว


ปัญหาก็คือเทคนิคของเขา เติมดีเทคนิคเป็นส่วนที่มีระดับสูงที่สุดในองค์ประกอบทั้งสามอย่าง


แต่นั่นมันก็แค่สิ่งที่เขาคิด และมันก็ไม่ได้ผิดนัก ยังไงสุดท้ายแล้วเทคนิคหอกพื้นฐานของเขาต่างก็อยู่ในระดับสูงทั้งหมด


ปัญหามันไม่ใช่ว่าเทคนิคของเขาอยู่ในระดับไหน แต่ปัญหาก็คือเขาใช้มันได้ไม่ถูกต้องนั่นเอง


หลังจากได้รู้ถึงข้อบกพร่องของตัวเขาเองแล้ว ซอลจีฮูก็อดจะคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าเทคนิคของเขาล้าหลังที่สุดในองค์ประกอบทั้งสามอย่าง


ดังนั้นการฝึกนี้ เขาจึงตั้งเป้าหมายเอาไว้ที่การตรวจสอบในเทคนิคที่เขาละเลยเอาไว้


ซอลจีฮูได้วิ่ง ในขณะที่วิ่งออกไปสุดกำลัง เขาก็จะกระขายมานาออกไปทุกๆส่วนของร่างกาย จากนั้นก็ระเบิดมันออกมาทันที


ตูม! พร้อมๆกับเสียงระเบิด ร่างกายของซอลจีฮูก็พุ่งออกไปข้างหน้าเหมือนกับลูกธนู


ความสามารถที่ได้รับการปลดล็อคในแต่ล่ะการเพิ่มระดับจะแบ่งออกเป็นสองหมวดหมู่ มีการวิวัฒนาการความสามารถที่มีอยู่แล้ว และความสามารถใหม่ไปเลย


เขาได้เรียนรู้ก้าวพริบตาในระดับ 3 และประกายสายฟ้าที่พึ่งจะปลดล็อคในระดับ 4 ก็คือการวิวัฒนาการของก้าวพริบตานั่นเอง


นั่นก็หมายความว่าการใช้ก้าวพริบตาให้เชี่ยวชาญจะเป็นทางลัดในการได้รับประกายสายฟ้า


แน่นอนว่าด้วยนิสัยของจางมัลดงแล้ว ซอลจีฮูจึงแทบไม่ได้ฝึกลงลึกไปที่ทักษะใดทักษะหนึ่งเลย


ตึง! ขณะที่ซอลจีฮูกำลังใช้ก้าวพริบตาอีกครั้ง…


“ตอนนี้แหละ!”


เสียงตะโกนของจางมัลดงได้ดังออกมา


ในเวลาเดียวกันฟีโซราที่ยืนรออยู่แล้วได้เหวี่ยงตะกร้าในมือออกไป ทำให้หินหลากสีที่อยู่ภายในตะกร้าได้พุ่งโค้งเข้าใส่ซอลจีฮู


เมื่อระยะห่างระหว่างซอลจีฮูกับหินได้สั้นลงไปในพริบตาเดียว จางมัลดงก็ได้ตะโกนขึ้น


“สีเหลือง!”


ในมุมมองของซอลจีฮูมีหินอยู่นับสิบ สีแดง สีส้ม สีเหลือง และสีเขียว ในหมู่สีที่ต่างกันสี่สีนี้ เขาจะต้องแทงแค่หินสีเหลืองเท่านั้น


โดยที่ยังใช้ก้าวพริบตาแบบเต็มกำลังอีกด้วย


เขาได้เห็นบางอย่างสีเหลืองอยู่มุมสายตา และยื่นแขนออกมา


ตึก! หอกของเขาได้กระแทกกับหินสีเหลืองจนทำให้ก้อนหินกระเด็นออกไปไกว


แต่ว่ามันไม่ได้มีแค่ก้อนเดียวเท่านั้น


ก่อนที่เขาจะทันได้เช็คดูว่าเขาแทงถูกเป้าหมายหรือเปล่า ซอลจีฮูก็รีบมอบดูกลุ่มหินที่ลอยเข้ามาในทันที


หอกของเขาได้ถูกสะบัดออกไปอย่างรวดเร็ว และจัดการกระแทกกับก้อนหินไปอีกสองก้อน โดยที่ทั้งสองก้อนต่างก็เป็นสีเหลือง


แต่ว่าก้อนหินที่เหลืออยู่ก็กลิ้งลงไปบนพื้นพร้อมเสียงดัง จากนั้นซอลจีฮูก็ร้องอะออกมา


ก้อนหินสีเหลืองที่เขาไม่ทันมองตกอยู่ที่เท้าของเขาแล้ว


“เก็บมาให้หมด!”


น้ำเสียงไม่พอใจได้ดังออกมาทันที


“มันเกิดอะไรขึ้นกับการฝึกหลบขอนไม้ของนายกัน!? นายลืมไปแล้วงั้นหรอ? ฉันบอกแล้วนี่ว่าอย่าโจมตีหลังจากที่เห็น และคิดแล้ว! ให้โจมตีในทันทีที่เห็น! ใช้สัญชาตญาณของนายซะ!”


นี่มันฟังดูไม่ใช่เรื่องง่ายเลย


“ผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงจะโจมตีออกไปก่อนที่จะรับรู้ซะอีก ในตอนที่นายเคลื่อนไหว หัวของนายก็ขาดไปแล้ว!”


นั่นมันหมายความว่ากระบวนการคิดของเขาต้องเกิดขึ้นไปพร้อมๆกันกับการเคลื่อนไหวร่างกายก่อน


จริงๆแล้วการแทงถูกหินสามในสี่ก้อนก็น่าประทับใจแล้ว แต่ว่าซอลจีฮูก็ได้กลับไปประจำตำแหน่งโดยไม่พูดอะไร และเตรียมตัววิ่งอีกครั้งหนึ่ง


ด้วยแบบนี้จะทำให้เขาถูกตำหนิน้อยลง นอกไปจากนี้เขาก็รู้สึกถึงผลของการฝึกนี้ด้วย


ทักษะสัญชาตญาณของเขาที่ซึ่งอยู่ในระดับเดิมมานากำลังเติบโตขึ้นในทุกๆวัน


***


ด้วยสถานที่แห่งใหม่ทำให้เนื้อหาการฝึกจึงเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเช่นเดียวกัน


การฝึกอีกอย่างที่จางมัลดงสั่งให้เขาทำก็คือการสู้กับเงา มันคือการสร้างศัตรูในจินตนาการขึ้นมา และศึกษาวิธีการต่อสู้และป้องกันด้วยตัวเอง


หลังจากลองคิดดูแล้ว ซอลจีฮูก็ได้เลือกฟีโซราให้เป็นศัตรูในจินตนาการของเขา แน่นอนว่าเขาก็สามารถสู้กันจริงๆได้ แต่ว่าเป้าหมายหลักของการฝึกนี้คือ ‘การคิด’


หลังจากได้จำถึงสิ่งที่ฮิวโก้บอกลึกลงไปในใจแล้ว ซอลจีฮูก็ได้หลับตาลง และเค้นสมองคิดในทันที


[ฉันคิดมานานแล้วนะ นายนี่มันกล้าจริงๆ]


สิ่งที่ฟีโซราบอกมันไม่ใช่คำชม กลับกันเลยมันคือการประชด


‘ฮิวโก้พูดถูก อาวุธของเขาคือหอก ระยะของมันคือข้อได้เปรียบ มันไม่มีเหตุให้ฉันต้องพุ่งเข้าใส่เลยสักนิด’


โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากว่าศัตรูคือผู้เชี่ยวชาญ


ถ้างั้นการยืนนิ่งๆคือคำตอบที่ถูกต้องงั้นหรอ?


หากเขาเอาแต่รอ เธอจะทำอะไรกัน?


เธอจะต้องพุ่งเข้ามาแน่ๆใช่ไหม?


ถ้างั้นแล้วฉันควรจะทำยังไง?


เมื่อเขาได้เริ่มคิดเรื่องการต่อสู้ ความคิดมากมายก็ได้วนเวียนอยู่ภายในหัวของเขา


‘การเคลื่อนไหวของคุณฟีโซรา… เธอได้พุ่งเข้ามาอย่างลื่นไหลเหมือนกับสายตา แต่ว่าเมื่อเธอใช้ดาบยาวโจมตีออกมา มันก็ได้เปลี่ยนเป็นคลื่นรุนแรง’


ซอลจีฮูได้ใช้ด้ามหอกของเขารับเอาไว้ แต่ว่าฟีโซราก็ดันดาบของเธอเข้ามาหยุดที่คอของเขาก่อนแล้ว


นั่นหมายความว่าเธอได้เข้ามาถึงตัวเขาอย่างรวดเร็ว


‘แล้วถ้าฉันไม่ให้โอกาสเธอเข้าใกล้มาล่ะ?’


ซอลจีฮูได้คิดย้อนกลับไปที่ตอนเริ่มต้นต่อสู้ และแทงหอกออกไปในทนัทีที่ฟีโซราพุ่งเข้ามา


เขาไม่ได้แทงออกไปเป็นเส้นตรง แต่ว่าเขาแทงหอกออกไปสุ่มๆเพื่อไม่ให้เธอเข้ามาใกล้ได้


แต่ว่าฟีโซราในจินตนาการของเขาก็ไม่ได้ถอยกลับไป


เธอได้ใช้คมดาบของเธอปัดป้องการแทงทั้งหมดของเขา ก่อนที่จะจับด้ามหอกที่ถูกปัดเอาไว้ และเหวี่ยงมันลงไปเพื่อที่จะทำให้ซอลจีฮูเสียสมดุล


‘นี่แหละ’


ซอลจีฮูได้ใช้แรงเหวี่ยงของฟีโซราเป็นประโยชน์โดยการหมุนด้ามหอก 180 องศา จากนั้นก็ใช้ด้ามหอกเล็งไปที่เข่าของเธอ


ตามการคำนวณของเขาแล้ว เขาก็น่าจะฟาดถูกหัวหรือไม่ก็ไหปลาร้าของเธอ-


ผั๊วะ!


“หือ!?”


แต่ว่าด้ามหอกกลับฟาดเข้าที่ขมับของซอลจีฮูอย่างรุนแรงแทน นั่นมันเพราะว่าเขาหลับตาอยู่ทำให้เขาไม่อาจจะคำนวณองศาของหอกได้


“อ๊าาาา-“


ซอลจีฮูได้ทรุดตัวลงไปนวดขมับแน่น


ในนานนักเขาก็หยุดร้องลงไป


เขาได้ลดมือลงมากอดอก และครุ่นคิด


‘มันต้องมีวิธีการรักษาระยะห่างระหว่างเราที่ดีกว่านี้…’


ซอลจีฮูได้คว้าหอกที่ตกอยู่ขึ้นมา และลุกขึ้น


หลังจากหลับตาลงไปอีกครั้ง เขาก็ได้เริ่มแกว่งหอกก่อนที่จู่ๆด้ามหอกจะเด้งขึ้นมากระแทกปลายคางของเขา


“อึก!”


ซอลจีฮูได้กลิ้งไปกับพื้นพร้อมจับคางเอาไว้ก่อนที่จะเด้งตัวกลับขึ้นมา


เขาได้กัดฟันแน่น


“ให้ตายสิ อย่างน้อยวันนี้ฉันต้องลจัดการให้ได้สักครั้ง!”


เสียงตะโกนของเขาได้ดังกังวาลออกไป


ซอยูฮุยที่เพิ่งจะเก็บผลไม้จากต้นไม้อยู่จู่ๆก็ตกใจขึ้นมา


‘จะ จัดการให้ได้?’


เธอเกือบจะเผลอโพล่งออกมาว่า ‘ใครกัน?’


‘ฉันเอาเสื้อมาด้วยไม่มากด้วยสิ… โชคดีนะที่ชุดชั้นในที่ฉันเอามาด้วยเหมาะกับโอกาสนี้…’


ในคืนนันซอยูฮุยได้แอบไปอาบน้ำ หลังจากทำความสะอาดตัวแล้ว เธอก็ได้เฝ้ารอเขาด้วยหัวใจที่เต้นแรง


แต่แน่นอนว่าในคืนนั้นก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น ซอยูฮุยได้ไปเจอซอลกำลังนอนหลับอยู่ด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า


“…”


และเธอก็ได้เผยสีหน้าไม่พอใจออกมาเป็นครั้งแรก


“เจ้าอันธพาลตัวจ้อย”


ในท้ายที่สุดเธอก็ได้จิ้มแก้มซอลจีฮูอย่างอ่อนโยน ก่อนที่จะหยิบถุงนอนของเธอเดินออกไปไกล


จากนั้นเธอก็กระชับเชือกไว้แน่นโดยไม่ยอมให้ใครเข้ามา


มันเป็นการการแก้แค้นและลงโทษที่แปลกประหลาดมากจริงๆ


***


“นายบอกว่าหลังจากกลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูง นายได้ปลดล็อคความสามารถใหม่มาสามอย่างงั้นหรอ?”


ในระหว่างช่วงพักจางมัลดงก็ได้ถามซอลจีฮูที่กำลังดื่มน้ำอยู่ขึ้นมา


“ปราณดาบ หอกคำสาปอวมงคล หอกอาฆาตลงทัณฑ์”


เมื่อจางมัลดงได้ค่อยๆท่องความสามารถของเขาออกมาทีล่ะอย่าง ซอลจีฮูก็ได้รีบกลืนน้ำและพยักหน้าออกมา


“ใช้แต้มคุณูปการของนายเรียนรู้หอกต้องสาปอวมงคลเถอะ”


“อะไรนะครับ?”


ซอลจีฮูอดจะพูดแบบนี้ออกมาไม่ได้ นั่นมันเพราะว่าตอนแรกเขาไม่เข้าใจเลยสักนิด เขาไม่เชื่อเลยว่าเขาจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากจางมัลดง


“มันช่วยไม่ได้หรอกนะ ตัดสินจากคำอธิบายของนายแล้ว หอกคำสาปอวมงคลมันดูเหมือนกับเวทมนต์มากกว่าเทคนิคหอก แล้วก็เป็นเวทมนต์ในระดับสูงมากๆอีกด้วย การจะฝึกมันแค่อย่างเดียวก็ยากพออยู่แล้ว เพราะงั้นการใช้แต้มคุณูปการเรียนรู้มันไปคงจะดีกว่าการต้องเอาเวลาอันล้ำค่าไปเสีย”


เนื่องจากว่าเขาได้พัฒนานิสัยการฝึกทักษะต่างๆออกมาด้วยตัวเองตั้งแต่เขตพื้นที่เป็นกลาง ซอลจีฮูจึงเกลียดการที่จะได้รับความสามารถมากง่ายๆ แต่ว่าเขาก็ยอมรับอยู่ดีเนื่องจากว่าเขาเคยจำได้ว่าแอ็กเนสก็เคยพูดอะไรคล้ายๆกันนี้มาก่อน


นั่นคือการใช้แต้มคุณูปการเรียนรู้ความสามารถที่ยากมากจนเกินไปจะเป็นประโยชน์กว่า


“แล้วเรื่องหอกอาฆาตลงทัณฑ์ล่ะครับ?”


“หืม สำหรับหอกลงทัณฑ์…”


จางมัลดงได้เม้มปากขึ้น เทคนิคหอกทั้งสองอย่างนี้ทำให้เขาปวดหัวมากจริงๆ


ทั้งคนที่พยายามเรียนรู้และคนที่พยายามจะสอนต่างก็ทำอะไรไม่ถูก


มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ความสามารถในระดับสูงจะออกมาจากคนที่มีระดับสูง แต่ว่าความสามารถทั้งสองอย่างนี่มันก็ยากเกินไป


“พูดตรงๆเลยนะ ปราณดาบน่ะไม่มีปัญหา แต่ฉันไม่คิดว่าหอกคำสาปกับหอกลงทัณฑ์จะเป็นอะไรที่นายจะเรียนรู้ได้ในระดับ 5”


“?”


“คำถามน่ะเอาไว้ก่อนเลย คำอธิบายความสามารถของมันก็ยิ่งทำให้ความสามารถพวกนี้มันดูน่าสับสนขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเจ้าหอกลงทัณฑ์นั่น”


เรื่องนี้ซอลจีฮูก็เห็นด้วยเช่นกัน การส่งการโจมตีกลับไปตามความเสียหายที่ได้รับอย่าง ‘สมบูรณ์’ ไม่ว่าจะมองยังไงนี่มันก็เป็นเหมือนกับความสามารถที่โกงมากจริงๆ


“มันดูเหมือนจะเป็นความสามารถที่นายจะต้องเป็นแรงค์เกอร์ระดับพิเศษหรืออย่างน้อยต้องระดับ 6 เท่านั้นถึงจะเรียนได้”


จางมัลดงได้ค่อยๆแสดงความเห็นออกมา


“ฉันก็ไม่มั่นใจหรอกว่าทำไม แต่ว่ามันดูเหมือนกับว่านายจะปลดล็อคความสามารถที่เกินกว่าระดับของนายในทุกๆครั้งที่นายเลื่อนระดับขึ้นไป…”


เขาได้หยุดพูดไปด้วยความไม่มั่นใจ แต่ว่านี่ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เขาพูดมันไร้มูล


แค่ดูจากชื่อคลาสของซอลจีฮูมันก็บอกใบ้เป็นนัยๆเอาไว้แล้ว


ยกเว้นกรณีพิเศษอย่างคิมฮันนาห์ ในหมู่คลาสปกติทั่วไปแล้ว ชื่อคลาสอย่าง ‘ผู้ใช้หอกแห่งเนเมซิส’ เป็นสิ่งที่จะมีเพียงระดับ 6 ที่จะได้รับ และเป็นคนกลุ่มน้อยมากๆเท่านั้นอีกด้วย


แต่ว่าซอลจีฮูยังอยู่ในระดับ 5 เท่านั้นเอง


ไม่ว่าจะมองยังไง มันก็มีจุดที่น่าสงสัยอยู่มากมาย


“อย่างน้อยก็ปล่อยหอกลงทัณฑ์เอาไว้ก่อน มันก็ไม่ใช่ว่าเราไม่ได้มีเบาะแสอะไรเลย”


“เบาะแสหรอครับ…”


“นายก็บอกเองนี่ นี่มันเป็นเทคนิคที่พัฒนาขึ้นมาจากการเรียนแบบเทคนิคการผลัดเปลี่ยนดอก”


“การผลัดเปลี่ยนดอก…”


ปากของซอลจีฮูได้ขยับออกมาเล็กน้อย


เขาเคยได้ยินชื่อนี้มาอยู่สองสามครั้ง แต่ว่าเมื่อเขาพยายามนึกว่ามันคืออะไร ก็นึกไม่ออกเลย


“พูดให้ชัดคือการผลัดเปลี่ยนดอกเป็นสิ่งที่เหนือไปกว่าเทคนิคต่างๆที่นายเคยได้รับมาอย่างสิ้นเชิง มันอาจจะยากยิ่งกว่าปราณดาบด้วยซ้ำไป”


ปราณดาบเป็นยอดสัญลักษณ์ของเหล่านักรบระดับสูง


เนื่องจากว่านี่เป็นตัวแทนของเทคนิคที่ไม่อาจจะได้รับมาง่ายๆ คนๆนั้นต้องผ่านความพยายามอย่างหนักมาเท่านั้นถึงจะได้รับมันมา


แม้กระทั่งฟีโซราก็ยังได้รับปราณดาบหลังจากที่เธอได้รับเป็นหนึ่งเดียวกับดาบแล้ว


ในเมื่อจางมัลดงบอกว่าเทคนิคผลัดดอกยากยิ่งกว่าปราณดาบซะอีก เพราะงั้นซอลจีฮูก็พอจะจินตนาการได้แล้วว่ามันยากที่จะเรียนรู้ขนาดไหน


“การผลัดเปลี่ยนดอก (移花接木). การย้าย (移), ดอกไม้ (花), เชื่อมต่อ (接), ต้นไม้ (木) หรือแปลตรงตัวคือการนำต้นไม้ที่กำลังออกดอกไปเชื่อมต่อเข้ากับอีกต้นหนึ่ง”


จางมัลดงได้เริ่มอธิบายออกมา


“เทคนิคโดยทั่วไปแล้วจำเป็นต้องใช้มานา แต่ว่ามานาได้ไหลผ่านอยู่ในวงจรมานาของนาย นี่คือความเป็นจริง”


“ครับ”


“การผลัดเปลี่ยนดอกจะเป็นการปลูกถ่ายมานาของนายเข้าไปในมานาของคนอื่น และเปลี่ยนแปลงการไหลของมัน จะเรียกว่ามันเป็นการทดแทนชนิดหนึ่งก็ได้”


จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ซอลจีฮูด้วยมือซ้าย และใช้มือขวาชี้มาที่ตัวเอง


“การควบคุมการไหลมานาของศัตรู และควบคุมมัน หรือใช้พลังที่เหลือกว่าทวนกระแสมัน ด้วยวิธีนี้จะเป็นการย้อนศรเทคนิคของศัตรูกลับคืนไป การผลัดเปลี่ยนดอกก็เป็นอะไรทำนองนี้นั่นแหละ และการที่จะทำอะไรแบบนี้ให้ได้ นายจำเป็นจะต้องเข้าใจในเทคนิคของศัตรู และการไหลของมานาของอีกฝ่ายก่อน”


“…”


ซอลจีฮูได้เงียบลงไป


“ตอนนี้นายพอจะคิดอะไรออกไหมล่ะ?”


กับคำถามนี้ได้ทำให้ซอลจีฮูแสดงสีหน้าอุดอัดใจออกมา


“หรือว่าผมก็ควรจะใช้แต้มคุณูปการในการเรียนรู้เทคนิคนี้เหมือนกันครับ?”


จางมัลดงได้หัวเราะออกมา


“ก่อนอื่นก็ลองพยายามดูก่อนแล้วกัน การเรียนรู้ผ่านการใช้คะแนนแบบเรียบง่าย กับการเรียนรู้มันหลังจากผ่านความพยายามมาแล้วมันน่าจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างชิ้นเชิง”


จางมัลดงได้ถอนหายใจก่อนจะหยิบเอาหนังสือออกมาจากกระเป๋า


“แล้วก็นะ…”


เขาได้ถือหนังสือสีซีดที่บนปกถูกเขียนไว้ว่าเทคนิคหอกจันทร์เสี้ยวเอาไว้


“เราก็ต้องเลื่อนเทคนิคนี้ไปเหมือนกัน ไม่ว่าฉันจะศึกษามันยังไง ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดี นายจำเป็นต้องมีผู้ใช้หอกระดับปรมาจารย์มาสอน และคนๆนั้นต้องไม่ใช่แค่ผู้เชี่ยวชาญทั่วๆไปด้วย”


ซอลจีฮูได้ยอมรับออกมาอย่างรวดเร็ว เขาก็ได้อ่านเทคนิคหอกจันทร์เสี้ยวมาแล้ว และจากที่เขาสรุปมาได้ เทคนิคหอกจันทร์เสี้ยวจะมีสุดยอดเทคนิคถึงเจ็ดชนิดที่เป็นพื้นฐานของมัน


ยกตัวอย่างเช่นเทคนิคแรกเลยก็คือเป็นหนึ่งเดียวกับหอก เทคนิคที่สองคือหอกบิน เทคนิคที่สามหอกไร้รูป และเทคนิคที่สี่สำนึกหอก


ส่วนเทคนิคที่ห้ากับหกเป็นเทคนิคที่มีความซับซ้อนอย่างมหาศาลจนเขาไม่รู้เลยว่าจะต้องเริ่มต้นจากตรงไหน


‘เทคนิคที่เจ็ดคือหอกแห่งเทพ…’


“แต่อย่างน้อยนายก็เรียนเจ้านี่ได้”


จางมัลดงได้หยิบเอาหนังสือหัวใจอันชอบธรรมออกมา


“ฉันอยากจะอธิบายแค่แนวคิดพื้นฐาน แล้วให้นายเรียนรู้ด้วยตัวเองอยู่นะ… แต่ว่าถ้าแบบนั้นเส้นทางตรงหน้าสำหรับนายมันจะยาวเกินไป”


หลังจากพูดแบบนี้จู่ๆจางมัลดงก็แสดงสีหน้าเคร่งขรึมออกมา


“ฉันรู้ว่าตอนนี้นายมีงานมากมาย ฉันรู้ว่านายพยายามเต็มที่แล้ว แต่ก็อย่าได้ลืมสิ่งที่ฉันเคยบอกไปนะ นั่นคือนายได้เลือกเดินในเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนาม”


ผสานจิตใจ เทคนิค และร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกันโดยไม่หยุดการพัฒนาของเทคนิค


ซอลจีฮูได้พยักหน้าออกมาอย่างหนักแน่น


“ตั้งใจฝึกทักษะสัญชาตญาณของนาย แต่ว่าอย่าได้ละเลยการฝึกอื่นๆ”


“ครับผม”


“ดีมาก ตอนนี้นั่งไขว่ห้างซะ”


ซอลจีฮูได้นั่งลงไปในทันที


“มันก็ไม่ได้ยากหรอก แค่ทำตามการนำมานาของฉัน”


จางมัลดงไม่ได้อยู่เฉยๆในระหว่างที่ซอลจีฮูวิ่งวุ่นอยู่กับคิมฮันนาห์ เขาได้ตั้งใจศึกษาในเทคนิคต่างๆอย่างเต็มที่เพื่อเติมเต็มสัญญา


เพื่อที่จะทำให้ซอลจีฮูเติบโตได้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้


ซอลจีฮูที่รู้สึกได้ถึงมือที่แตะหลังได้หลับตาลงไป ทันใดนั้นพลังงานก็ถูกส่งเข้ามาและไหลไปตามส่วนต่างๆของร่างกายเขา


***


[ความสามารถคลาส ‘วงจรมานา [ปานกลาง (สูง)]’ พัฒนาเป็น ‘หัวใจอันชอบธรรม (ต่ำ)’]


[โปรดเช็คหน้าต่างสถานะ]


แม้ว่าเขาจะฝึกฝนเทคนิคเป็นหลัก แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ละเลยอีกสององค์ประกอบเลย อย่างคำที่ว่า ‘เรี่ยวแรงคือพลังโดยรวม’ ซอลจีฮูจึงจะแบ่งเวลาออกไปฝึกร่างกายในช่วงเย็นเสมอ


ยกตัวอย่างเช่นที่เขาวิ่งอยู่ในวันนี้


“ฮึก ฮึก!”


เขาได้วิ่งไปกลับจากที่ตั้งแคมป์ไปยอดเขาซ้ำๆ


ในตอนที่นั่งรถม้าระยะทางมันก็ไม่ได้ดูไกลนัก แต่ว่าเมื่อได้ว่าวิ่งเองมันให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ยาวไกลไร้ที่สิ้นสุด


หลังจากวิ่งไปอยู่หลายสิบนาทีตามสันเขา ในที่สุดเขาก็ได้เห็นภูเขาไฟ


และภูมิประเทศมันก็ขรุขระมากเหมือนกับภูเขาไฟส่วนใหญ่ การตกตะกอนของลาวา และหลุมอุกกาบาตที่ภูเขาไฟสร้างขึ้นมาได้ทำให้สภาพพื้นดินขรุขระเป็นอย่างมาก


บวกเขาไปกับความสูงชันของภูเขาก็ยิ่งเพิ่มความอันตรายขึ้นไปอีก แต่ว่านี่กมีแต่ทำให้ซอลจีฮูยิ้มเบิกบานออกมาอย่างมีความสุข


เขาได้ผ่านส่วนที่จะบ่นเรื่องความยากของการฝึกไปนานแล้ว เขารู้ว่ายิ่งมันเจ็บปวด และหนักหน่วงเท่าไหร่ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะยิ่งยอดเยี่ยมเท่านั้น


ยังไม่หมดเท่านั้น


[ฉันเคยบอกเรื่องผลของการฝังเข็มของฉันไปแล้วนะ]


[นายจะต้องรู้ว่าขีดจำกัดร่างกายของนายได้เพิ่มขึ้นไปแล้ว]


[สรีระร่างกายนายก็น่าจะเปลี่ยนไปเหมือนกัน นายเคยได้ยินเรื่องการชะล้างไขกระดูก กับผลัดเปลี่ยนกระดูกไหม?]


[การชะล้างไขกระดูกับการผลัดเปลี่ยนกระดูกจริงๆมันอาจจะเป็นตำนาน แต่ว่าเมื่อพูดในแง่ของพาราไดซ์แล้ว สภาพร่างกายของนายก็น่าจะช่วยสนับสนุนต่อการพัฒนาเทคนิคของนาย]


เพียงแค่การเพิ่มขึ้นของศักยภาพโดยกำเนิดก็น่าทึ่งแล้ว แต่เทคนิคการฝังเข็มของจางมัลดงก็ยังช่วยเร่งการพัฒนาของเทคนิคอีกด้วย


แล้วเมื่อได้รับการเตรียมการอันยอดเยี่ยมแบบนี้ไปแล้ว ซอลจีฮูจะไม่กระตือร้นกับการฝึกได้ยังไงกัน?


ในตอนนั้นเองเขาก็เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาบูดบึ้งกำลังวิ่งมาทางเขาจากอีกฝั่งหนึ่ง


คนๆนั้นก็คือซังจิน


ซอลจีฮูที่เห็นเขาได้ตะโกนขึ้นทันที


“ไปกลับกี่รอบแล้ว!?”


“นี่คือ…! รอบสอง…!”


เขาได้พูดออกมาอย่างตะกุกตะกักราวกับไม่อาจจะพูดออกมาได้ง่ายๆ


ซอลจีฮูได้ถีบตัวออกไป และถามออกมา


“ไปถึงยอดเขามาแล้วหรอ!?”


ชายหนุ่มกับเด็กหนุ่มได้วิ่งสวนกันไป ซอลจีฮูก็อดที่จะเห็นยี่ซังจินกัดฟันวิ่งไม่ได้ พอมาคิดดูแล้วเขาก็เห็นน้ำตาของเด็กหนุ่มอีกด้วย


‘ซังจิน…’


เมื่อเห็นยี่ซังจินค่อยๆวิ่งหายไปไกล ซอลจีฮูก็ยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น


‘เมื่อก่อนฉันก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน’


พอมาคิดดูแล้ว เขาได้มาไกลมาจริงๆ


ย้อนกลับไปในเขตพื้นที่เป็นกลาง เขาได้ร้องไห้ออกมาจากแค่การวิ่งรอบสนาม แต่ในตอนนี้เขาสามารถวิ่งในพื้นที่ที่ขรุขระแบบนี้ได้หลายต่อหลายรอบแล้ว


ความคุ้นเคยที่เกิดขึ้นนี้มันหมายความว่าเขาได้โตขึ้นมา


แต่ในทางกลับกันนั่นก็หมายความว่าพัฒนาการของเขาได้ชะงักไป


ถ้าเขาพอใจกับตำแหน่งที่อยู่ในตอนนี้ เขาก็คงจะไปไหนต่อไม่ได้


‘ฉันอยากจะแกร่งขึ้น แกร่งขึ้นยิ่งกว่าตอนนี้อีก…!’


ขณะที่เขากำลังจะถีบพื้นออกไปอีกครั้งหลังจากตั้งมั่น…


“?”


ดวงตาของซอลจีฮูได้เบิกกว้างขึ้นก่อนที่เขาจะหันกลับไปมองด้านหน้า


เขาไม่เคยรู้ตัวเลยมาจนถึงตอนนี้ แต่ว่ามันมีไข่สีแดงกำลังเด้งขึ้นเด้งลงไล่ตามเขามาอยู่


“เกิดอะไรขึ้นเนี้ย?”


ซอลจีฮูได้ถามออกมาด้วยความตกตะลึง?”


ซอลจีฮูได้ถามออกมาด้วยสีหน้าตกตะลึง


“ทำไมนายถึงตามฉันมาล่ะ? แล้วตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว?”


แต่ว่าไข่ก็ไม่ได้ตอบเขากลับมาเหมือนอย่างเคย แม้ว่าในขณะที่เขาวิ่งต่อไป มันก็ยังกระเด้งไล่ตามเขามาอย่างสบายๆ


“นี่นายหิวหรอ? นี่เป็นเหตุผลที่นายตามฉันมาสินะ?”


ดึ่ง! ดึ่ง!


“หรือว่านายแค่อยากจะวิ่งกับฉัน?”


ดึ่ง! ดึ่ง!


“นายปล่อยให้ฉันใช้หอกพิสุทธิ์ไม่ได้หรอ?”


“ฉันทำไม่ได้”


“ทำไมถึงไม่ได้ล่ะ? หยุดเล่นตัว… หือ?”


ซอลจีฮูได้ชะงักนิ่งไป ในขณะที่ไข่ยังคงเด้งไปข้างหน้าอย่างรุนแรง


มันได้เด้งอย่างรวดเร็วจนแซงซอลจีฮูไปในทันที


“นาย… เพิ่งจะพูด?”


‘หรือว่าฉันหูฝาดฟังเสียงลมผิดไป? หรือฉันหลอนไปเอง?’


ซอลจีฮูได้มองไปข้างหน้าอย่างสับสน ก่อนจะตะโกนออกมา


“เจ้าไข่! เดี๋ยวก่อน!”


เขาได้ดึงพลังมานาออกมาอย่างรวดเร็ว และเตรียมใช้ก้าวพริบตาอย่างเต็มกำลัง


แต่เพราะสายตาที่จ้องอยู่กับไข่ทำให้เขาไม่ได้รู้ตัวเลย


มีประกายสายฟ้าสีทองกระจายออกมารอบๆข้อเท้าของเขา


นี่มันคือเอกลักษณ์ของประกายสายฟ้าอย่างแน่นอน


ไม่นานนักกระแสไฟฟ้าบ้าคลั่งก็ได้พุ่งจากเท้าของเขาไปจนถึงน่อง จากน่องไปร่างกาย จากร่างกายไปสู่ส่วนหนึ่ง…


“เดี๋ยวก่อน…!”


ซ่าาาาาห์!


พร้อมๆกับเสียงฟ้าผ่า ร่างกายของซอลจีฮูก็ได้พุ่งไปข้างหน้าเหมือนกับพายุ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม