The Second Coming of Gluttony 234-236

 บทที่ 234 – ตามมา ฉันแบกเอง (1)


“ผมได้ยินมาว่าคุณเพิ่งกลับมาจากปฏิบัติการที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก”


“ใช่ครับ หากว่าคุณดูในกระเป๋าใบนี้…”


การตรวจสอบเงินทุนของทีมในการจัดตั้งองค์กร และรักษาสภาพองค์กรเอาไว้


“มีคนทั้งหมดสิบคน… ก็มาสำหรับทีมอยู่นะ แต่ว่ามันก็น้อยเกินไปสำหรับองค์กร คุณได้คิดจะรับสมาชิกเข้ามาเพิ่มในเร็วๆนี้ไหม?”


ผู้ดูแลราชวงศ์ได้ถามว่าคาเพเดี่ยมได้มีแผนที่จะเสริมกำลังที่ขาดอยู่หรือไหม


คิมฮันนาห์เป็นคนที่ตอบกลับไปตามปกติ


“มันก็จริงที่คนสิบคนก็น้อยไปบ้าง แต่ว่าคุณจะต้องคำนึงถึงมาตราฐานของทีมด้วย ไม่ว่าจะเป็นดาวรุ่งหรือทหารผ่านศึกที่มีชื่อเสียง คาเพเดี่ยมต่างก็แสดงว่ากองกำลังขนาดเล็กประสิทธิภาพสูงที่สร้างขึ้นมาจากชาวโลกที่มีคุณภาพ


“แต่ว่าสิบคนก็ยังน้อยไปหน่อยนะ”


“ฉันไม่เห็นด้วย เราก็ไม่ใช่องค์กรแรกที่จะเป็นองค์กรที่สร้างจากกลุ่มองค์กรระดับสูงขนาดเล็กนี่นา”


“คุณคงจะพูดถึงเรื่องบัลแฮสินะ คุณก็น่าจะรู้ว่าไม่มีองค์กรนั้นอยู่อีกแล้ว นอกไปจากนี้พวกเขาก็ยังก่อตั้งองค์กรด้วยคนจำนวนยี่สิบคน ที่สำคัญไปกว่านั้นบัลแฮก็เป็นองค์กรในเครือของโกกูเรียวที่ประกอบด้วยคนระดับสูงที่ทรงพลังที่สุด”


“นั่นก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง แต่ว่าที่นัวร์ก็ยังมีองค์กรแม่มดผมขาวอยู่นี่”


“นั่นมันที่นัวร์ ผมเป็นผู้ดูแลของอีวา”


“แม้กระทั่งในอีวา-“


ขณะที่คิมฮันนาห์กำลังจะเริ่มตอบกลับไป ผู้ดูแลราชวงศ์ก็ส่ายหัวออกมา


“พอเถอะ พอแล้วล่ะ ผมเข้าใจในมาตราฐานที่สูงของคาเพเดี่ยม ผมก็แค่อยากจะรู้ว่าพวกคุณคิดที่จะหาสมาชิกเพิ่มอีกไหม”


“แน่นอนว่าเราต้องหาเพิ่มอยู่แล้ว”


คิมฮันนาห์ได้ตอบกลับไปอย่างสงบโดยที่ยังคงยิ้มอยู่ตลอดเวลา


“ในทันทีที่คาเพเดี่ยมกลายเป็นองค์กร คาเพเดี่ยมจะเข้าร่วมการประมูลเขตพื้นที่เป็นกลางในเดือนมีนาคม”


“หืมม… คุณคงจะมั่นใจมากเลย”


“มั่นใจหีอ? ขาวโลกที่เป็นคนฆ่าผู้บัญชาการที่หนึ่งของปรสิตอยู่ที่นี่เชียวนะ นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีชาวโลกคนไหนทำได้นับตั้งแต่ที่พาราไดซ์ถูกเปิดขึ้นมา จริงๆแล้วกระทั่งสหพันธรัฐก็ยังทำอะไรแบบนั้นไม่ได้เลย”


คิมฮันนาห์ได้เสริมขึ้นด้วยการบอกว่าไม่ว่าจะมีองค์กรเข้าร่วมมากขนาดไหนเขตพื้นที่เป็นกลางก็จะต้องเป็นของพวกเขาอย่างแน่นอน จากนั้นซอกกูนีร์ถึงได้พยักหน้าออกมา


หลังจากทั้งสองฝ่ายต่างไม่ยอมกันและกัน จู่ๆซอกกูนีร์ก็วางเอกสารลง


“…มีเรื่องบางอย่างที่ผมอยากจะรู้เป็นการส่วนตัวอยู่”


เขาได้ประสานมือเข้าด้วยกัน และมองมาที่ซอลจีฮู


“อย่างที่คุณคิมฮันนาห์ได้พูดเอาไว้ ชาวโลกซอลจีฮูคือวีรบุรุษสงครามของฮารามาร์ค”


“…”


“นับตั้งแต่แรกฮารามาร์คคือที่ตั้งสำนักงานของเขา ผมจะขอพูดตรงๆเลยนะ การทำองค์กรภายในฮารามาร์คของพวกคุณจะเป็นเรื่องที่ง่ายมาก เพราะงั้นเหตุผลอะไรกันที่ทำให้คุณอยากจะไปที่อีวากันล่ะ?”


ในที่สุดคำถามที่ซอลจีฮูรออยู่ก็มาถึงแล้ว


คิมฮันนาห์ได้บอกกับเขาไว้แล้วว่าผู้ดูแลราชวงศ์จะต้องถามคำถามนี้กับเขาอย่างแน่นอน


หลังจากนั้นครู่หนึ่งคิมฮันนาห์ก็เป็นคนแรกที่ตอบกลับมา


“คำถามนี้เกี่ยวข้องกับเอกสารที่เราส่งไปไหม?”


“ในทางเทคนิคแล้วฉันขอยอมรับเลยว่าไม่ แต่ว่าสำหรับฉันและอีวาล้ว นี่คือคำถามที่สำคัญมากๆ”


น้ำเสียงของเขาหนักแน่นมากว่าเขาจะต้องได้ยินคำตอบ


คิมฮันนาห์ได้ใช้เวลาอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ


“นี่เป็นคำถามที่ดูจะไม่ตรงประเด็นนะ… แต่ว่าฉันก็พอจะเข้าใจในสิ่งที่คุณกังวล ฉันยังจำได้ถึงสถานการณ์ของอีวา”


“สถานการณ์?”


คิ้วของซอกกูนีร์ได้ขมวดขึ้นมา


“ใช่แล้ว สถานการณ์”


เธอได้พูดออกมาโดยไม่หลบสายตาเขา


“ฉันเข้าใจสิ่งที่คุณกังวลจริงๆ แต่ว่าหากว่าคุณต้องการสิ่งที่ดีที่สุดให้อีวาจริงๆ มันก็ไม่ใช่ว่าการลงทุนกับซอลจีฮูมันคุ้มค่าหรอกหรอ? ฉันมั่นใจว่าคุณก็คงจะได้ยินข่าวลือบ้างนะ”


ซอกกูนีร์ได้เงียบลงไปเป็นครั้งแรก และนั่งฟังคิมฮันนาห์


“ฉันจะไม่พูดในสิ่งที่คุณอาจจะรู้อยู่แล้วซ้ำอีก หากว่าคุณคำนึงถึงความสำเร็จของซอลจีฮู ไม่ใช่ในสงครามเท่านั้น แต่ยังเป็นในฮารามาร์ค…”


คิมฮันนาห์ได้ตั้งใจเว้นช่องว่างเอาไว้ให้เขาเติมด้วยตัวเองมันจะเป็นผลดีมากกว่า


หลังจากเงียบอยู่สั้นๆ ซอกกูนีร์ก็ได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง


“…ในฐานะผู้ประเมินแล้ว ฉันก็มักจะได้ยินในสิ่งดีๆอยู่เสมอ พวกเขาจะทำให้ฉันฝันถึงอนาคตอันสดใสอยู่ทุกครั้งไป แต่ว่าในความเป็นจริงมันกลับตรงกันข้ามอยู่เสมอ”


“ฉันไม่ได้ขอให้คุณเชื่อฉัน”


คิมฮันนาห์ส่ายหัวออกมา


“ฉันกำลังขอให้คุณดูซอลจีฮูกับเส้นทางที่เขาได้เดินมาตลอดจนถึงตอนนี้ เพราะมันก็คือความจริงที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้เลย”


ซอกกูนีร์ได้ก้มหัวลงไปราวกับเขาไม่รู้จะตอบอะไรกลับไป


ในตอนนั้นเองจางมัลดงก็เริ่มพูดออกมา


“กูนีร์ นายรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงเลิกเกษียณ?”


เขาได้ใช้ไม้เท้าชี้ไปที่ซอลจีฮู


“มันก็เพราะเจ้าหนูนี่ การหลอกล่อของเอียนก็ส่วนหนึ่ง แต่เหตุผลจริงๆที่ทำให้ฉันกลับมาที่พาราไดซ์ก็เพราะเจ้าหนุ่มนี่”


จางมัลดงได้สนับสนุนในคำอธิบายของคิมฮันนาห์อย่างชัดเจน


เมื่อได้ยินการสนับสนุนในจังหวะพอเหมาะ ซอกกูนีร์ก็พยักหน้าออกมาก่อนจะหันไปมองซอยูฮุย


เขากำลังถามว่าเธอมีข้อมูลอะไรจะเสริมให้เขานำไปคิดด้วยไหม


ซอยูฮุยได้ประสานมือเข้าด้วยกันและยิ้มออกมาอย่างสดใส


“จีฮูของเรา… เป็นเด็กดีจริงๆ”


“…ว่ายังไงนะครับ?”


ซอกกูนีร์ได้กระพริบตา


จากนั้นเขาก็ไอแห้งๆออกมา


“อะแฮ่ม ผมเข้าใจในส่งที่พวกคุณจะบอกนะ ผมก็ยังได้ยินเรื่องของคุณซอลจีฮูมามากมาย และราชินีก็สนใจในตัวเขาอย่างมากเช่นกัน”


รอยยิ้มบนใบหน้าของคิมฮันนาห์ได้กว้างยิ่งขึ้น


“ผมไม่ได้พยายามจะหาข้อบกพร่อง ที่ผมถามมันเป็นเพราะความสงสัยส่วนตัวล้วนๆเลย ผมอยากจะขอคุยกับหัวหน้าคาเพเดี่ยมเป็นการส่วนตัวจะได้ไหม?”


นี่เป็นคำขอที่กระทันหัน แต่ว่าคิมฮันนาห์กลับลุกขึ้นในทันที


“แน่นอนสิ พวกเราจะออกไปเอง เพราะงั้นเชิญคุยกันได้ตามสบายเลย”


หลังจากลูบหลังซอลจีฮูแล้ว เธอก็ได้มุ่งหน้าไปที่ประตู สมาชิกคนอื่นๆก็ได้ค่อยๆตามเธอออกไปจนภายในห้องเหลือแค่ซอลจีฮูกับซอกกูนีร์เท่านั้นเอง


ซอกกูนีร์ได้เริ่มพูดออกมา


“ทำไมคุณไม่พูดอะไรเลยล่ะ?”


“อะไรนะครับ?”


“คุณเป็นหัวหน้าคาเพเดี่ยม ผมอยากคุยกับคุณ แต่ว่าคุณเอาแต่ให้ตัวแทนคุยกับผมแทน”


ซอลจีฮูได้หัวเราะออกมา


“จริงๆแล้วฮันนาห์ค่อนข้างจะมีไฟกับเรื่องอะไรแบบนี้”


“มีไฟงั้นหรอ? ก็นะ เธอค่อนข้างจะดุดันจริงๆแหละ”


ซอกกูนีร์ได้ยิ้มออกมา


“ทุกๆครั้งที่ผมพยายามจะขุดคุ้ยอะไรให้ลึกลงไปด้วยตรรกะที่น่าเชื่อถือ เธอก็จะเบี่ยงประเด็นออกไปเสมอ เธอกระทั่งหาทางตอบกลับมาในทุกๆครั้งและทำให้ผมต้องเงียบลงไป วิธีการที่เธอได้เตรียมคำตอบและค่อยๆหลอกล่อผมให้ไปตามทางที่เธอกำหนดไว้ก็ด้วย นี่มันเหมือนกับผมถูกจิ้งจอกหลอกล่ออยู่จริงๆเลย มันนานมากแล้วที่ผมไม่ได้รู้สึกเหนื่อยจากการที่ต้องพูดคุย”


ซอกกูนีร์ได้ส่ายหัวออกมาด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย


เมื่อเห็นสายตาที่อ่อนล้าของเขายังคงจับจ้องไปที่แก้วชา ซอลจีฮูก็ดันแก้วชาไปข้างหน้า


“ทำไมคุณไม่พักหายใจสักหน่อยล่ะ? ดื่มชาสักหน่อยก็ได้นะครับ”


“ไม่เป็นไรหรอก แค่คุณจิ้งจอกคนนั้นไม่ได้อยู่ก็ทำให้ผมดีขึ้นมากแล้วล่ะ”


เขาได้พ่นลมออกจากจมูกก่อนที่จะส่ายหัว และเอียงคางออกมา


“ยังไงก็ตามผมมีเรื่องอยากจะถามคุณ”


‘อีกแล้ว?’


ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา


“เหตุผลอะไรทำให้คุณมาที่อีวา?”


“ไม่ใช่ว่าพวกเราเพิ่งจะ-“


“นั่นมันเป็นคำตอบของคุณจิ้งจอกคนนั้น มันไม่ใช่ของคุณ”


ซอกกูนีร์ได้พูดออกมาเรียบๆ


“นี่อาจจะหยาบคายไปหน่อย แต่ว่าผมได้ติดต่อกับราชวงศ์ฮารามาร์คก่อนจะมาที่นี่ และได้ถามคำถามกับพวกเขาอยู่มากมาย”


“…”


“หากว่าคุณเป็นชาวโลกจากข่าวลือมันก็ไม่มีทางที่ฮารามาร์คจะปล่อยคุณไป อย่างน้อยพวกเขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อดึงตัวคุณเอาไว้ แต่ว่าการที่คุณจะมาที่อีวา… บางทีมันอาจจะมีปัญหาบางอย่างที่สาธารณะชนไม่ได้รับรู้อยู่ แต่ยังไงนี่ก็เป็นแค่ในความคิดของผม”


ซอลจีฮูได้หัวเราะออกมา


“ผมสงสัยจังเลยว่าคุณจะได้เจอกับคำพูดแบบไหน”


ซอกกูนีร์ก็ยังหัวเราะออกมา


“ฟุฟุ มันค่อนข้างจะยุ่งเหยิงไปหมดเลย โดยเฉพาะคำพูดจากเจ้าหญิงเทเรซ่า นายมันแมวขโมย นายคิดว่าจะมาที่นี่โดยไม่ได้รับอนุญาตได้งั้นหรอ หากว่านายกล้าพอเขาไป อีวาจะต้องถูกลบไปจากแผนที อะไรทำนองนี้แหละครับ”


“นะ นั่นมันโหดร้ายไปหน่อยมั้ง”


“โดยรวมก็ไม่เป็นไรหรอกครับ เจ้าหญิงเทเรซ่ามักจะทะเลาะกับราชินีของอีวาอยู่บ่อยๆ ผมรู้ดีว่าเธอก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง”


ใช่แล้ว เทเรซ่าไม่ได้หมายความแบบนั้นจริงๆ แล้วนี่ก็น่าจะเป็นเหตุผลทำให้ซอกกูนีร์เอามาพูดเล่น


“ยังไงก็ตามผมรู้ว่าเหตุผลที่คุณมาที่อีวาไม่ใช่เพราะปัญหาบางอย่างแล้ว และนี่ก็ยิ่งทำให้ผมต้องสงสัยขึ้นไปอีก”


“หากว่าผมบอกคุณว่าทำเพื่อทั้งพาราไดซ์… นี่จะพอไหมครับ?”


“ผมเกลียดคำตอบที่คลุมเครือแบบนี้ที่สุดเลย”


นี่คือสิ่งที่ซอลจีฮูก็เห็นด้วยเช่นกัน


เขาได้เกาหัวออกมา


ตามปกติแล้วเขาจะตอบออกไปว่า ‘เพราะผมไม่อยากจะสู้กับซิซิเลีย’


แต่ว่านั่นดูเหมือนจะไม่ใช่คำตอบที่ซอกกูนีร์ยินดีเลย


เพราะงั้นเขาจึงตัดสินใจจะเลือกอีกคำตอบหนึ่ง


“ถ้าคุณสัญญาว่าจะไม่ขำ ผมจะบอกคุณ”


“ตราบเท่าที่ผมรู้สึกว่าคุณจริงใจ ผมจะไม่หลุดยิ้มออกมาเลย”


ซอกกูนีร์ได้ยื่นหน้ามาอย่างช้าๆด้วยความสนใจ


“ผมยังไม่เคยบอกใครมาก่อน แต่ว่า…”


ในที่สุดซอลจีฮูก็เผยอีกหนึ่งเป้าหมายที่เขาต้องทำให้สำเร็จในอีวาออกมา


“นั่นก็เพราะสหพันธรัฐ”


“สหพันธรัฐ?”


ดวงตาของซอกกูนีร์ได้เบิกกว้างขึ้นมากับคำถามที่คาดไม่ถึง


“ใช่แล้ว ผมมั่นใจว่าคุณก็น่าจะรู้เรื่องของสหพันธรัฐอยู่มากมาย เรื่องความสำคัญของสหพันธรัฐต่อพาราไดซ์ และเรื่องความสัมพันธ์กับมนุษยชาติ”


“ไม่มีอะไรต้องพูดเลย สหพันธรัฐกับมนุษยชาตได้ร่วมชะตากรรมเดียวกันอยู่ แม้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเราจะห่างเหินกันมากก็ตาม”


ซอลจีฮูกังวลว่าซอกกูนีร์จะพูดอะไรอย่างเช่นสหพันธรัฐเป็นการร่วมตัวกับเผ่าพันธุ์ต่างดาว และเป็นคนนอก แต่ว่าดูเหมือนว่าเขาจะไม่คนประเภทยึดติดอะไรแบบนั้น


ตัดสินจากสิ่งที่เขาพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างสหพันธรัฐกับมนุษยชาติแล้ว มันดูเหมือนว่าเขาขะรู้ถึงสถานะของสถานการณ์ปัจจุบันอยู่


เมื่อคิดได้แล้วว่าซอกกูนีร์เป็นคนที่เขาคุยด้วยได้ ซอลจีฮูจึงพูดต่อ


“หนึ่งในเหตุผลที่ผมพยายามจะย้ายไปที่อีวาก็เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษยชาติกับสหพันธรัฐ การก้าวข้ามความสัมพันธ์ในอดีตที่คลุมเครือเพื่อมุ่งหน้าไปสู่พันธมิตรกัน ผมหวังว่าพวกเราจะสามารถร่วมมือกันได้มากยิ่งกว่านี้”


“อืมม แต่ว่าคุณก็ทำเรื่องนี้ในฮารามาร์คได้เหมือนกันไม่ใช่หรอ? แน่นอนว่าถึงแม้อีวาจะอยู่ติดกับสหพันธรัฐที่สุด และมีความขัดแย้งกันอยู่เล็กน้อย แต่ว่า-“


“แน่นอนว่านั่นคือเหตุผล”


ซอลจีฮูได้พูดออกมานิ่งๆ


“ความขัดแย้งระหว่างสหพันธรัฐกับอีวาไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลย ผมเพิ่งจะได้เจอเข้ากับปัญหานั้นด้วยตัวเองด้วยซ้ำไป”


สีหน้าของซอกกูนีร์ได้มืดมนลงไปเมื่อซอลจีฮูได้จี้จุดถึงความชั่วร้ายที่หยั่งรากลึกอยู่ในอีวา


“หากว่าความขัดแย้งพวกนี้ยังไม่ถูกคลี่คลาย การพัฒนาความสัมพันธ์กับสหพันธรัฐก็เป็นได้แค่ฝันเท่านั้น”


“…”


“ต่อให้จัดการปัญหาความขัดแย้งไปได้แล้ว แต่พวกเราก็ยังต้องจัดการกับปัญหาสะสมที่มีกับพันธมิตรมนุษย์สัตว์อีกด้วย…”


ซอลจีฮูได้ถอนหายใจออกมา


ซอกกูนีร์ได้เงียบไปและหลับตาลงไป


“สหพันธรัฐ เขาบอกว่าสหพันธรัฐ…”


เขาได้พูดคำเดิมซ้ำๆอยู่นานก่อนที่ในที่สุดจะผุดรอยยิ้มออกมา


“นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้ยินอะไรแบบนี้”


“ว่าไงนะครับ?”


“พวกเราจะจะทำให้เห็นอีวามากมาย พวกเราจะปกป้องอีวา นี่คือคำพูดที่ผมมักจะได้ยินในการประเมิน แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้เห็นชาวโลกหวังว่าจะมาอีวาเพื่อแก้ไขความขัดแย้งระหว่างเรากับสหพันธรัฐ”


เมื่อได้เห็นรอยยิ้มบางๆแล้ว มันดูเหมือนว่าซอกกูนีร์จะไม่ได้ไม่พอใจ


“ก็ได้ หากว่าคุณพูดความจริง ถ้างั้นผมมีอีกคำถามที่อยากจะถามคุณ”


ซอลจีฮูไม่ได้แสดงอะไรออกมา แต่ว่าเขาก็คิดว่าซอกกูนีร์ค่อนข้างจะเข้มงวดไปหน่อย


ต่อมาซอกกูนีร์ได้ยื่นหมัดออกมาตรงหน้าซอลจีฮู


“มีความชั่วร้ายอยู่สองฝ่าย”


เขาได้ยกแขนซ้ายขึ้นมา


“ฝ่ายหนึ่งคือควบคุม และดูจะเป็นฝ่ายดี แต่ว่าธาตุแท้ก็คือความชั่วร้าย”


ต่อมาเขาได้ยกแขนขวาขึ้น


“อีกฝ่ายหนึ่งก็เป็นความชั่วร้ายเช่นเดียวกัน แต่ว่าฝ่ายนี้เป็นความชั่วร้ายทั้งหมดทั้งมวล กลุ่มนักเลงและนักต้มตุ๋นที่ไม่สนใจใครทั้งนั้น พวกมันเอาแต่ทำแต่งานที่สกปรกอยู่ทุกประเภท”


จากนั้นเขาก็ประกบมือซ้ายและขวาเข้าด้วยกัน


“สิ่งสำคัญก็คือความชั่วร้ายทั้งสองฝ่ายนี้กำลังป้องกันกันและกันไม่ให้บ้าคลั่งและทำให้สิ่งที่พวกเขาต้องการ หรือก้คือพวกเขากำลังคานอำนาจกันอยู่นั่นเอง”


ซอกกูนีร์ได้ถามซอลจีฮูออกมา


“หากว่าคุณต้องเลือกระหว่างความชั่วร้ายสักฝ่ายหนึ่ง คุณจะเลือกฝ่ายหนึ่ง?”


ซอลจีฮูได้หรี่ตาออกมา


นี่ดูเหมือนกับจะเป็นคำถามผ่านๆ แต่ว่าในเมื่อมันออกมาจากปากของผู้ดูแลราชวงศ์อีวาจึงไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้ามไปได้ นี่จะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอิทธิพลภายในอีวาอย่างแน่นอน


หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ซอลจีฮูก็ตัดสินใจจะตอบกลับไปตรงๆ นี่มันดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ซอกกูนีร์ต้องการ


เมื่อเขาจัดระเบียบความคิดได้แล้ว เขาก็ยิ้มออกมา


“ผมไม่คิดเลยว่าจะถูกถามแบบนี้”


“หืมม? เคยมีคนถามคุณมาก่อนงั้นหรอ?”


“ไม่หรอก แต่ว่าผมเคยเห็นมันมาก่อนภายในเกม”


“เกม?”


“อ่า อย่าได้คิดว่ามันเป็นแค่ความบันเทิงธรรมดาๆหรอกนะ เพราะว่ามันเกิดขึ้นในโลกเสมือน”


ซอลจีฮูได้พูดต่อ


“ตัวละครหลักของเกมได้บอกเอาไว้ว่า ความชั่วร้ายก็คือความชั่วร้าย”


ดวงตาของซอกกูนีร์ได้กลายเป็นเฉียบคม


“จะมากหรือจะน้อย… มันก็ไม่ต่าง ความชั่วไม่ว่ายังไงก็คือความชั่ว หากว่าผมต้องเลือกสักฝ่าย ผมก็ขอไม่เลือกมันเลยจะดีกว่า”


ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมา


“มันตราตรึงใจผมมากๆเลย คุณเป็นคนที่ทำให้ผมนึกถึงประโยคนี้”


“…ผมขอถามให้แน่ใจนะ”


ซอกกูนีร์ได้พูดขึ้นหลังจากฟังคำตอบของซอลจีฮูเงียบๆ


“การไม่เลือกนั่นมันหมายความว่าคุณจะเป็นแค่ผู้ชม?”


“ไม่ครับ”


ซอลจีฮูส่ายหัวออกมา


“มันหมายความว่าผมจะไม่ปล่อยทั้งสองฝ่ายไป อย่างน้อยนี่ก็คือสิ่งที่ผมจะบอก”


เมื่อได้ยินแบบนี้ซอกกูนีร์ก็ครางออกมา


“เพื่อประโยชน์กับสหพันธรัฐ… ความชั่วร้ายก็คือความชั่วร้าย…”


เขาได้ทิ้งตัวลงไปบนโซฟา และถอนหายใจยาวออกมา


เตาะ เตาะ เขานั่งครุ่นคิดพร้อมเคาะโต๊ะออกมา จากนั้นก็มองไปที่แก้วชาก่อนจะยกมันขึ้นมา


เขาได้ค่อยๆยกมันขึ้นดื่มอย่างช้าๆ


มันราวกับว่าเขากำลังลิ้มรสคำตอบของซอลจีฮู


“คุณจะไม่ปล่อยทั้งสองฝ่ายไป…”


หลังจากผ่านไปหลายนาทีเขาถึงได้วางแก้วชาลงและพูดออกมา


“พูดตรงๆเลยนะ ระดับของเรื่องในมือมันเกินกว่าที่ผมจะทำความเข้าใจได้ชัดเจน”


ปากของเขาได้ขยับเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนราวกับกำลังฝันดี”


“แต่ว่าการที่คำพูดมันมาจากชายที่ฆ่าความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ผู้มีชื่อเสียง มันคงไม่ใช่คำพูดปากเปล่าอย่างแน่นอน”


ก็เป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ


หากว่าเป็นโชฮงหรือฟีโซราที่เป็นคนพูดคำเหล่านี้ล่ะ?


ซอกกูนีร์ก็อาจจะเคารพในความกล้าของพวกเธอ แต่ว่ามันคงไม่ได้ทำให้เขาประทับใจมากขนาดนี้


แต่ว่าซอลจีฮูต่างออกไป


นับตั้งแต่ที่เขาได้เอาตัวเองเป็นเหยื่อล่อในหุบเขาอาร์เดนไปจนถึงสงครามครั้งล่าสุด เขาได้ก้าวออกไปข้างหน้าเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง และส่องประกายออกมาในท้ายที่สุด


“พูดตามตรงเลยนะ ความรู้สึกของผมได้ตัดสินใจแล้วนับตั้งแต่ที่ได้รับเอกสาร คุณจะเรียกมันว่าความหวังของคนแก่ก็ได้”


“คุณหมายความว่า…”


“แต่ว่านะ-“


ซอกกูนีร์ได้เม้มปาก และค่อยๆพูดออกมา


“ในการประเมินนี้มีปัญหาอยู่เล็กน้อย…”


เมื่อรู้สึกความลำบากใจในน้ำเสียงของผู้ดูแลราชวงศ์ ซอลจีฮูก็เอียงหัวออกมา ซอกกูนีร์ได้รีบปฏิเสธทันที


“อย่าเข้าใจผิดไป ปัญหามันไม่ใช่เพราะคาเพเดี่ยม แต่ว่ามันเป็นเรื่องภายในของอีวา”


ซอลจีฮูได้กระพริบตาออกมาอย่างสับสน


***


เมื่อคุยกับจบ ซอกกูนีร์ก็ได้กลับไปที่อีวาหลังจากทิ้งคริสตัลสื่อสารเอาไว้ และบอกให้เขาติดต่อมาหากแก้ปัญหาเรียบร้อยแล้ว


สมาชิกคนอื่นๆของคาเพเดี่ยมได้รีบเข้ามาในห้องทันทีที่การประเมินจบลงไป แต่ว่าซอลจีฮูก็ยังคงนั่งเงียบอยู่บนโซฟา


ในตอนนี้เขากำลังสับสน


จากคำอธิบายของซอกกูนีร์มีปัญหาอยู่สองอย่าง


อย่างแรก


[ในตอนนี้อีวาไม่มีที่ดินเหลืออยู่เลย]


[พวกเราไม่มีที่ดินไว้ให้คาเพเดี่ยมเช่าเลยเนื่องจากกลุ่มพันธมิตรในอีวาได้ขโมยที่ดินไปหมดแล้ว นี่รวมกระทั่งที่ดินพระราชวังของอีวาด้วย…!]


[พวกเราได้พยายามปกป้องสิทธิในที่ดินเอาไว้เต็มที่แล้ว แต่ว่าพวกเราก็จะต่อต้านอย่างรุนแรงหากว่าพวกเราพยายามบังคับไล่พวกเขาออกไป ผมไม่อาจจะรับประกันได้ว่าราชินีจะเห็นด้วย]


[คุณพอจะสามารถหาที่ดินด้วยตัวเองได้ไหม? พวกเราไม่ขออะไรมากหรอกนะ ตราบใดที่อย่างน้อยที่ดินตรงความต้องการขั้นต่ำไป ผมก็จะใช้อำนาจของผมเป็นคนรับรองให้เอง]


อย่างที่น้อย


[แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ คุณก็ควรจะรับนักบวชเข้าร่วมทีมด้วยเช่นกัน]


[คาเพเดี่ยมมีความสมดุลระหว่างนักธนูกับนักรบอันยอดเยี่ยมอยู่แล้ว แต่ว่าจุดอ่อนใหญ่ที่สุดเลยก็คือการไม่มีนักบวชอยู่เลย]


[แน่นอนว่าบุตรแห่งลูซูเรียก็เป็นนักบวช แต่ว่าทุกๆคนต่างก็รู้ว่าในปัจจุบันเธอไม่อาจจะทำหน้าที่ในฐานะนักบวชได้]


[ถึงคุณจะชอบหรือไม่ก็ตาม แต่ว่าอีกไม่นานข่าวลือเรื่องการย้ายไปที่อีวาของคาเพเดี่ยมก็จะกระจายออกไป และผมก็ไม่มั่นใจว่าองค์กรในอีวาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร]


[พวกเขาอาจจะพยายามกดดันพวกคุณ หากว่ามันเกิดขึ้นก็มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะยกความผิดเรื่องสมาชิกของคาเพเดี่ยม]


[หากว่าคาเพเดี่ยมได้นักบวชที่มีทักษะมาสักคน มันก็จะมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น และผมก็จะช่วยพูดด้วยอีกแรงได้]


จากสิ่งที่เขาพูดก็สรุปออกมาสั้นๆได้ว่า


พวกเขาจะต้องหาที่ดินด้วยตัวเอง และถ้าเป็นไปได้ก็ให้หานักบวชเข้าร่วมทีมด้วย


“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเขาถึงจากไปโดยไม่พูดเรื่องที่ดินเลยล่ะ?”


เมื่อคิมฮันนาห์กลับมาหลังจากส่งซอกกูนีร์กลับไปแล้ว ซอลจีฮูก็บอกกับเธอถึงปัญหาทั้งสองอย่าง


หลังจากได้ยินคำอธิบายแล้ว คิมฮันนาห์ก็แค่นเสียงขึ้น


“นี่มันไม่นับเป็นปัญหาเลย”


“จริงหรอ?”


“มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ราชวงศ์จะให้เช่าที่ดินไปหมดแล้ว ทำให้เราต้องไปหาซื้อที่ดินมาจากองค์กรอื่น สำหรับการหานักบวชก็แค่ต้องดูว่าในทีมเรามีใครบ้าง แล้วก็มีเงินอยู่เท่าไหร่ นายคิดว่าการจะหานักบวชมาทำสัญญาระยะสั้นมันจะเป็นเรื่องยากงั้นหรอ?”


จากท่าทางการพูดของคิมฮันนาห์ดูเหมือนว่านี่ไม่ใช่ปัญหาที่ควรจะหนักใจเลยสักนิด


“ลูกพี่ฮันนาห์…!”


“นายพูดบ้าอะไรเนี้ย”


ซอลจีฮูได้พุ่งเข้าไปกอดเธอ ในขณะที่คิมฮันนาห์ใช้เท้ายันเขาออกไป


“เอาล่ะ มาทำงานกันเถอะ ฉันจะไปติดต่อหาคนๆหนึ่งสักหน่อย”


“ใครหรอ?”


“นายจะหาที่ดินไม่ใช่หรอ? ถ้างั้นมันก็แน่นอนว่าฉันจะต้องติดต่อไปหาองค์กรในอีวาไงล่ะ”


“เธอมีเส้นสายอยู่ที่นั่นด้วยหรอ?”


“ก็นะ ถึงฉันจะได้ทิ้งหมายเลขติดต่อที่เคยทำไว้กับซินยองทั้งหมดไปแล้ว แต่ว่า…”


มุมปากของคิมฮันนาห์ได้ยกยิ้มขึ้นมา


“นายคิดว่าฉันจะไม่เก็บอะไรเอาไว้หน่อยเลยหรอกหรอ? หลังจากได้ยินว่านายกำลังจะไปอีวา ฉันก็ได้พกมาด้วยสักสองสามเบอร์ก่อนจะลาออกไป ยังไงก็ตามรอก่อนนะ”


คิมฮันนาห์ได้หายเข้าไปในห้องของเธอ และในเวลาไม่ถึง 20 นาที เธอก็ได้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง


จากนั้นเธอก็พูดขึ้น


“นัดหมายเรียบร้อยแล้ว”


บทที่ 235 – ตามมา ฉันแบกเอง (1)


“เราได้นัดกันไว้ช่วงเย็นๆ ฉันบอกเขาไปว่าฉันอยากจะไปเจอเขาเป็นการส่วนตัว แต่ว่านายจะมากับฉันก็ได้”


“ฉันไปได้หรอ?”


“ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ก่อนจะเจอกับเขาจำกัดข้อมูลเอาไว้ให้มากที่สุดจะดีกว่า หมอนั่นมันเป็นคนเจ้าเล่ห์คนนึงเลย”


ในเมื่อคำๆนี้ออกมาจากปากของคิมฮันนาห์ ซอลจีฮูจึงประเมินฝ่ายตรงข้ามไว้สูงในทันที


“ยังไงก็ตามนี่ก็เป็นโอกาสดีที่เราจะรับนักบวชเข้ามาในทีม… นายมีใครในใจไหม?”


คนๆหนึ่งได้โผล่เข้ามาในหัวของเขาทันที


“คุณมาเรีย”


“ฉันก็คิดไว้แล้วว่านายจะต้องพูดแบบนี้ ถ้างั้นก็รอก่อนแล้วกัน ให้ฉันหว่านแหก่อนจะไปอีวา”


‘แห?’


คิมฮันนาห์ได้หายเข้าไปในห้องอีกครั้งหนึ่ง


แต่ในคราวนี้ซอลจีฮูได้ตามเธอไป


เมื่อเขาเข้าไป เขาก็เห็นคิมฮันนาห์กำลังใช้คริสตัลสื่อสารในมือกำลังติดต่อหาใครสักคนอยู่


ไม่นานนักแสงสว่างก็ส่องออกมา


-โอ้? นี่ใครกันล่ะนี่!?


เสียงพูดของมาเรียได้ดังออกมา


-ยัยคนที่ถูกซินยองไล่ออกมาเหมือนกับหมาหัวเน่านี่นา!?


“เธออยากจะตายงั้นหรอ?”


เมื่อคิมฮันนาห์ได้คำรามออกมาอย่างรุนแรง มาเรียก็นิ่งไป


-ขอโทษ…


“ช่างมันเถอะ”


คิมฮันนาห์ได้มองไปที่คริสตัล และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย


“วิ่งมาที่คาเพเดี่ยมเดี๋ยวนี้”


-อะไรนะ? ตอนนี้พี่สาวอยู่ที่ไหน?


“ฉันจะให้เวลาเธอสิบนาที”


คิมฮันนาห์ได้ตัดสายไปหลังจากที่ส่งข้อความออกไปฝ่ายเดียว


ซอลจีฮูรู้สึกเหมือนกับเขาได้ยินคำว่า ‘เชี้ย’ ก่อนที่สายจะตัดไปอีกด้วย


***


หลังจากเรียกตัวมาเรียมาแล้ว


“เธออยากจะเข้าร่วมทีมของเราไหม?”


คิมฮันนาห์ได้เข้าประเด็นก่อนที่มาเรียจะได้นั่งลงซะอีก


มาเรียที่ก้นเพิ่งจะถึงโซฟาได้ชะงักไปทันที เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ว่าสีหน้าของเธอมันแสดงอย่างชัดเจนว่า ‘นี่พี่สาวพล่ามเรื่องไร้สาระอะไรออกมาเนี้ย?’


“ระวังเรื่องใบหน้าด้วยนะ”


มาเรียได้รีบเปลี่ยนสีหน้าในทันทีที่คิมฮันนาห์เตือนออกมา แต่ว่าเธอยังคงแสดงสีหน้าสงสัยออกมาอยู่


“จู่ๆพี่สาวพูดอะไรกัน? นี่มันยังเที่ยงอยู่เลยนะ พี่สาวเมาไปแล้วงั้นหรอ? นี่ว่ามันเป็นเพราะพี่สาวจมอยู่กับความทุกข์กันนะ?”


“ฉันปกติ เพราะงั้นแค่ตอบคำถามฉันมา”


“อืมม อย่างน้อยก็ช่วยอธิบาย…”


“เร็วๆนี้คาเพเดี่ยมจะย้ายไปที่อีวาเพื่อกลายเป็นองค์กร พวกเราต้องการนักบวช นี่แหละคำอธิบาย”


คิมฮันนาห์ได้พูดออกมาอย่างรวดเร็วก่อนจะยกมือขึ้นเท้าคาง


“คำตอบล่ะ?”


“องค์กร? คาเพเดี่ยมกำลังจะออกไปจากฮารามาร์ค?”


มาเรียได้ตอบสมองในเวลาต่อมาด้วยสีหน้าขยะแขยง


ไม่นานนักเธอก็พยักหน้าตอบรับ


“มันก็จริง… คาเพเดี่ยมมีแรงค์เกอร์ระดับสูงอยู่ตั้งเยอะ แล้วก็เงินมากมาย…”


“ฉันไม่ได้เรียกเธอมาขอความเห็น ถ้าฉันถามเธออีกครั้ง เธอก็รู้ว่ามันเป็นครั้งที่สามแล้วใช่ไหม?”


มาเรียได้ขนลุกซู่ขึ้นมา ก่อนที่จะผงะถอยไป


“ฉันขอโทษ… เมตตาฉันเถอะนะ… อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เงิน…”


เธอกระทั่งรวบมือเข้าด้วยกันและขอร้องออกมา


มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างทั้งคู่กันนะถึงได้ทำให้มาเรียแสดงท่าทีแบบนี้ออกมา? โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม้กระทั่งแอ็กเนส มาเรียก็ยังไม่ได้แสดงความกลัวออกมาเลย


ขณะที่ซอลจีฮูกำลังสงสัย มาเรียก็แทบจะสลัดความกลัวออกไปไม่ได้ เธอได้ใช้นิ้วปัดปอยผมและพึมพำเบาๆ


“พี่สาวก็รู้อยู่แล้วนี่ ฉันไม่ชอบการที่จะต้องสังกัดกลุ่มไหน นอกไปจากนี้…”


“ฉันรู้ๆ ฉันตอบมาว่าตกลงหรือไม่ตกลงก็พอ”


มาเรียได้เหลือบมองซอลจีฮูก่อนจะตอบกลับไป


“…ไม่”


“โอเค เราเข้าใจ ถ้างั้นเธอก็ไปได้แล้วล่ะ”


คิมฮันนาห์ได้ไล่มาเรียออกมาราวกับว่าเธอกำลังรำคาญ


ดวงตามาเรียได้เบิกกว้างขึ้น ตัดสินจากสีไหน้าเธอแล้ว เธอเหมือนจะกำลังคิดว่า ‘นี่เธอจะปล่อยฉันไปง่ายๆเลย?’


“ฉะ ฉันไปได้จริงๆนะ?”


“ชิ เธอคิดว่าฉันจะฆ่าเธอหรือไงกัน?”


“เชี้ย ถ้าพี่สาวมีจิตสำนึก พี่สาวก็ไม่ควรจะ… อะ โอเค ฉันจะไปแล้ว ฉันจะไปเดี๋ยวนี้เลย”


มาเรียได้รีบลุกขึ้นจากโซฟา


“ถ้าพี่สาวต้องการ ฉันจะแนะนำคนอื่นให้ก็ได้นะ”


“ไม่ต้องล่ะ การรับคนที่เธอแนะนำมามีแต่จะทำให้เราแย่ลง ช่างเถอะ ถ้าไปแล้วก็ช่วยปิดประตูให้ด้วยนะ”


มาเรียได้แอบมองคิมฮันนาห์ในระหว่างที่กำลังเดินออกไปจากห้อง


ขณะที่ประตูกำลังจะปิดลงไป


“อ่า จีฮู”


ทันใดนั้นคิมฮันนาห์ก็พูดขึ้นมา


“ปฏิบัติการณ์ที่นายพึ่งจะไปมาน่ะ ฉันอยากจะถามบางอย่างเรื่องมรดกกับวิญญาณที่อยู่ในจี้”


“มรดกของตระกูลรอชเชอร์งั้นหรอ?”


“ใช่แล้ว นายบอกว่ายังมีเหลืออยู่อีกสองสามที่ใช่ไหมล่ะ?”


ซอลจีฮูได้ยอมรับออกมาในทันที


“ใช่แล้ว ครั้งก่อนพวกเราได้เจอกับเทคนิคลับของตระกูลรอชเชอร์ นับรวมเครื่องเซ่น สมุดบัญชี ทรัพย์สิน แล้วก็ที่ที่โฟลนยังไม่มั่นใจแล้วก็มีเหลืออยู่อีกสี่ที่”


“โอ้~ พวกเขาแยกหมวดหมู่เอาไว้ด้วยหรอ?”


คิมฮันนาห์ได้อุทานออกมาด้วยเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อย


“ถ้างั้นนายจะบอกว่ามรดกที่นายเจอในครั้งนี้เป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งงั้นสิ?”


“นั่นเป็นสิ่งที่ผมได้ยินมา…”


ซอลจีฮูได้มองไปที่คิมฮันนาห์แปลกๆ ทำไมจู่ๆเธอถึงถามคำถามพวกนี้กับเขาล่ะ?


‘อ่อ’


เมื่อมองย้อนกลับไปที่ประตู ซอลจีฮูก็ผงะไปทันที


ประตูดูเหมือนจะถูกปิดสนิทแล้ว แต่มันก็แค่เหมือนเท่านั้น หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่ามีช่องว่างเล็กๆถูกเปิดเอาไว้อยู่


นอกประตูไปก็ยังมีเสียงหายใจถี่ๆของมาเรียอยู่อีกด้วย


ไม่ว่าใครก็สามารถจะเดาออกได้เลยว่านอกประตูนั้นมีใครยืนอยู่ บวกกับยิ่งมีเส้นผมสีบลอนด์เล็ดลอดออกมาอีกด้วย


“ไอหย๊าาา~ แค่ได้ยินก็ทำให้ฉันคิดไม่ถึงแล้ว สำหรับปฏิบัติการต่อไปของเรา เราก็ควรจะมุ่งเป้าไปที่ทรัพย์สินของตระกูลรอชเชอร์ พวกเราต้องการเงินมาใช้สร้างองค์กร ยังไงก็ตาม… อ่า อากาศเย็นน่าขนลุกนี่มาจากไหนกันนะ? จู่ๆทำไมถึงรู้สึกหนาวขึ้นมาล่ะ?”


จากนั้นคิมฮันนาห์ก็ยกนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว


3 2 1… เธอได้ค่อยๆหุบนิ้วลงราวกับกำลังนับเวลาถอยหลังอยู่


หลังจากนิ้วสุดท้ายของเธอหุบลงไป


ตึง ตึง ตึง


เสียงฝีเท้าได้ดังออกมาเหมือนกับกำลังมีคนวิ่งขึ้นบันได จากนั้นประตูก็ถูกเปิดออกมา


ซอลจีฮูมองเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเบื้องหลังสีหน้าประหลาดใจแล้ว คิมฮันนาห์ได้แค่นเสียงออกมา


“อะไรกัน? ทำไมเธอถึงกลับมาล่ะ?”


คิมฮันนาห์ได้ถามออกมาอย่างไม่ใส่ใจ


“ฮ๋าห์… ฮ่าห์… ฉันเผลอลืมของเอาไว้”


มาเรียได้พยายามหอบหายใจ


“เธอลืมของไว้? อะไรล่ะ?”


“อ่า… จริงด้วย… อะ อะไรกันนะ?”


เธอได้มองซ้ายขวาด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะเดินไปรอบๆห้อง


“อะไรกันเนี้ย? ฉันคิดว่าฉันทำตกเอาไว้แถวนี้นะ…”


เธอได้ขมวดคิ้ว ย่อตัวลง และเริ่มมองดูรอบๆอย่างตั้งใจ


“บอกฉันมาก็ได้ ถ้ามันไม่ได้สำคัญเธอก็ไปเถอะ ไว้ฉันจะหาให้”


“ไม่ได้ มันเป็นของแพงมาก”


เธอยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเธอทำอะไรหายไป แต่เธอกลับบอกมาว่าแพง


ซอลจีฮูได้จ้องไปที่มาเรียด้วยสีหน้าตกตะลึง คิมฮันนาห์ที่เห็นแบบนี้ก็กระแอ่มขึ้นและทำท่าให้เขาพูดต่อ


“ใช่แล้วล่ะ ฉันเห็นด้วย สมุดบัญชีถูกฝังไว้ในจักรวรรดิ เพราะงั้นเราไม่น่าจะไปเอามาได้ แต่ว่าทรัพย์สิน-“


“เฮ้ เฮ้!”


คิมฮันนาห์ได้ประหลาดใจและรีบหยุดเขาเอาไว้


“นี่นายบ้าไปแล้วหรอ? ทำไมนายถึงพูดตรงนี้?”


‘เธอเป็นคนบอกให้ฉันพูดนะ’


ซอลจีฮูได้หัวเราะอยู่ในใจ


ทันใดนั้นเขาก็มองกลับไปที่มาเรียด้วยความสงสัย เธอได้หยุดหาของที่ไม่มีอยู่จริงเอาไว้ และหูผึ่งขึ้นมาซึ่งมันได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเธอกำลังพยายามฟังอยู่


ไม่นานนักเธอก็แอบหันหน้ามาด้านข้าง และทำสีหน้าเจ้าเล่ห์


“นายกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่?”


คิมฮันนาห์ได้ไล่เธอออกไป


“มันไม่ใช่สิ่งที่คนนอกควรจะรู้”


“เอ๋ คนนอก?”


มาเรียได้คลานเข้ามาหาพวกเขาก่อนที่จะแทรกตัวเข้ามาระหว่างคิมฮันนาห์กับซอลจีฮู เธอได้มองสลับไปมาระหว่างสองคนและพูดขึ้น


“พี่สาว พี่ชาย ทำไมถึงต้องไล่ฉันออกไปแบบนี้ล่ะ? นี่มันทำให้ฉันเศร้าจริงๆนะ?”


“ไสหัวไป”


“อย่าทำแบบนี้สิ~ พี่สาวไม่รู้หรอว่าฉันเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ของทีมนี้น่ะ? แล้วนี่กำลังพูดถึงปฏิบัติการอะไรกันอยู่น้า~”


เมื่อมาเรียได้ถามออกมาโดยไม่ยอมถอย คิมฮันนาห์ก็ปัดผม และถอนหายใจออกมา


“ก็ไม่มีอะไรหรอก เราไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะมีอยู่จริงหรือเปล่า หรือต่อให้มีจริงของที่อยู่ในนั้นก็น่าจะมีอยู่ไม่ถึงหนึ่งในสี่ของผลลัพธ์ที่ได้มาจากเจดีย์แห่งความฝันด้วยซ้ำไป”


คิ้วข้างหนึ่งของมาเรียได้เลิกขึ้น ความสงสัยได้ฉายชัดอยู่บนใบหน้าของเธอ


จากนั้นเอง


[ไม่!]


ทันใดนั้นโฟลนก็พุ่งออกมาจากจี้ของซอลจีฮู


“เชี้ยยยยยย!”


มาเรียได้ตกใจจนล้มลงไปกับพื้น แต่ว่าโฟลนก็ได้ตะโกนออกมาโดยไม่สนใจเธอเลยสักนิด


[เราบอกเธอไปแล้วว่ามันมีอยู่! เธออาจจะไม่รู้เพราะว่าเธอไม่ได้ไป แต่ว่าคนอื่นๆได้เห็นมันแล้ว!]


เมื่อได้ยินเสียงนี้คิมฮันนาห์ก็ผงะไปอย่างรุนแรง


“คุณโฟลน ฉันไม่ได้พูดเพราะฉันไม่เชื่อใจคุณหรอกนะ”


เธอได้เหลือบมองมาเรีย และพยายามหยุดโฟลนเอาไว้ แต่ว่าโฟลนก็ยังไม่ยอมหยุดพูด


[แล้วที่ว่ามีไม่ถึงหนึ่งในสี่นั้นมันอะไรกัน? นั่นมันไม่ถูกเหมือนกัน ที่นั่นก็มีภูเขาทรัพย์สินอยู่! นี่เธอกำลังดูถูกตระกูลดยุคแห่งจักรวรรดิ อย่างตระกูลรอชเชอร์งั้นหรอ?]


ในตอนนี้เองได้มีประกายแสงปรากฏขึ้นในดวงตาของมาเรีย


“อ่า…”


คิมฮันนาห์ได้กดหน้าผากและครางออกมาอย่างไม่พอใจ


“…เฮ้”


เมื่อเธอลดเสียงต่ำลง มาเรียก็รีบลุกขึ้นมา


คิมฮันนาห์ได้พูดขึ้นพร้อมกับส่งสายตาที่เย็นชาออกมา


“ฉันกำลังเตือนเธออยู่นะ หากว่าเธอพูดเรื่องปฏิบัติการนี้ออกไป…”


“พี่สาวคิดว่าฉันเป็นใครกัน!?”


มาเรียได้กระโดดขึ้นด้วยความตกใจ


“แล้วเธอหาของเจอยัง?”


“หืม? โอ้ อ่า เจอแล้ว”


“ถ้างั้นก็ออกไป”


“โอเคๆ ฉันจะไปแล้ว แต่ว่า…”


มาเรียได้แอบเหลือบมองมาที่โฟลน จากนั้นก็ค่อยๆพูดออกมาเพื่อไม่ให้ไปกระตุ้นความโกรธของคิมฮันนาห์


“พี่สาวช่วยนับรวมฉันเข้าไปในปฏิบัติการนั้นได้ไหม?”


คิมฮันนาห์ได้หันกลับมาจ้องเธอทันที


“นี่เธอกำลังล้อเล่นอะไรอยู่? พวกเรากำลังเตรียมการลงทะเบียนเป็นองค์กรนะ เพราะงั้นเราจะต้องใช้เงินจำนวนมาก และเรายังต้องดูแลสมาชิกทีมของเราอีกด้วย ทำไมเราต้องเอาคนนอกอย่างเธอไปกับเราด้วยล่ะ?”


“ไม่ใช่ว่าพี่สาวต้องการนักบวชหรอ?”


“พวกเราต้องการ แต่ว่าเราจะพาเฉพาะคนในไปเท่านั้น”


“ถ้างั้นฉันก็แค่ต้องกลายเป็นคนในเท่านั้นเอง”


“อะไรนะ?”


คิมฮันนาห์เป็นผู้เชี่ยวชาญจริงๆ เธอไม่ได้งับเหยื่อแต่เลือกเยาะเย้ยออกไปแทน


“ไม่ใช่ว่าเธอเพิ่งจะปฏิเสธไปหรอ?”


“ฉันปฏิเสธไปตอนไหนกัน?”


มาเรียได้ตะโกนออกมาอย่างประหลาดใจ


“ที่ฉันพูดไปคือ อืมม ฉันขอเวลาคิดดูก่อน ใช่แล้วล่ะ ฉันพูดไปแบบนั้น!”


เธอได้พูดขึ้นพร้อมโบกมือไปมา


ซอลจีฮูค่อนข้างจะประทับใจในความสามารถการกลับคำของเธอจริงๆเลย


คิมฮันนาห์ก็ดูจะรำคาญเหมือนกัน ใบหน้าของเธอได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ‘ต่อให้ไม่มีเธอ เราก็หานักบวชดีๆได้’


“แล้วเธอจะเข้าร่วมองค์กรเรางั้นหรอ?”


“ไม่- ชิ ทำไมทุกๆคนถึงรีบแบบนี้ล่ะ?”


มาเรียได้กระแอ่มออกมา


“อืมม… พี่สาวมีสัญญาไหม…?”


คิมฮันนาห์ได้พึมพำออกมาว่าแน่นอนพร้อมทั้งล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า


หลังจากอ่านสัญญาแล้ว ใบหน้าของมาเรียก็เริ่มหยุดหงิดขึ้นมา


“สี่ปี? แล้วแบบสามเดือน หกเดือน หรือปีหนึ่งล่ะ?”


“ยัยบ้านี่ เธอเสียสติไปแล้วงั้นหรอ?”


คิมฮันนาห์ได้พูดออกมาอย่างไม่พอใจก่อนที่จะบ่นใส่มาเรีย


“เธอคงจะบ้าไปแล้วแน่ๆ พวกเราจะพาเธอไปในปฏิบัติการระดับนั้น แล้วนี่เธอคิดจะมารีดทรัพย์เราไปจนหมด แล้วก็หนีออกไปในเวลาไม่กี่เดือนงั้นหรอ?”


“แต่ว่าสี่ปีมันก็ยังนานไปหน่อย…”


“เงียบไปเลย จีฮูไม่เคยตั้งเงื่อนไขอะไรก็เพราะว่าเขาเป็นคนหัวอ่อน แต่ว่าตราบใดที่ฉันอยู่ที่นี่ ฉันจะไม่มีวันอยู่เฉยๆมองดูเขาถูกเอาเปรียบ”


คิมฮันนาห์ได้พูดนิ่งๆ และเชิดคางขึ้น


“คนเราสามารถจะจูงม้าไปที่บ่อน้ำได้ แต่ไม่อาจจะทำให้ม้าดื่มน้ำได้ หากว่าเธอไม่ต้องการ ถ้างั้นก็ไม่ต้องเข้าร่วม”


มาเรียได้กัดริมฝีปากโดยที่ไม่อาจจะพูดอะไรออกมา


เธอดูจะยังไม่เต็มใจแต่ว่าก็เก็บสัญญาเอาไว้


“พี่สาวจะออกไปจากฮารามาร์คเมื่อไหร่?”


“เร็วๆนี้แหละ พวกเรากำลังจะออกไปดูที่ดินในวันนี้”


นั่นมันหมายความว่าคาเพเดี่ยมได้ผ่านขั้นตอนการคัดกรองของอีวาไปแล้ว


มาเรียได้เม้มปากอยู่นาน


“…โอเค…”


ในท้ายที่สุดเธอก็หันหน้าไปพร้อมความขัดแย้งในใจที่ชัดเจนก่อนที่จะเดินออกไปจากประตู


คราวนี้เธอดูเหมือนจะไปจริงๆแล้ว


“เย้”


[เย้]


คิมฮันนาห์กับโฟลนที่มองไปที่ประตูได้ยิ้มออกมา


‘หืม?’


เขาเข้าใจว่าทำไมคิมฮันนาห์ถึงยิ้ม แต่ว่าทำไมโฟลน?


ไม่นานนักหญิงสาวทั้งสองคนก็มองกันและยิ้มออกมา


คิมฮันนาห์ได้ยื่นมือออกมาก่อน


“เยี่ยม”


[เย้!]


แปะ! โฟลนกับคิมฮันนาห์ได้ปรบมือกัน


“คุณนี่ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ดีจริงๆ ฉันประทับใจมาก”


[ฮึ่ม ถึงฉันจะดูเป็นแบบนี้ก็เถอะนะ แต่ในตอนฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันก็เคยปกครองแวดวงสังคมชนชั้นสูงด้วยกระสุนที่มองไม่เห็นมาก่อน อย่าได้ดูถูกฉันเชียวล่ะ]


จากน้ำเสียงแล้วโฟลนคงจะชอบในแผนของคิมฮันนาห์และยื่นมือเข้ามาช่วย


ซอลจีฮูได้แต่เกาหัวออกมา


“เธอคิดว่าคุณมาเรียจะตกหลุมพรางหรอ?”


“ถ้าเป็นเมื่อก่อนมันก็คงจะไม่ได้ผลเลยสักนิด แต่ว่าเธอเพิ่งจะได้ลิ้มรสเงินก้อนใหญ่มาเพราะนาย แล้วเธอจะปล่อยนายไปได้ยังไงกันล่ะ?”


[ฟุฟุฟุ ถึงในใจเธอจะพูดว่า ‘ไม่’ แต่ว่าร่างกายเธอน่าจะซื่อตรงมากกว่า]


“ฮ่าฮ่า! ก็ทำนองนั้นแหละ!”


โฮ่โฮ่! ฮ่าฮ่า!


เมื่อเห็นทั้งคู่หัวเราะออกมา ซอลจีฮูก็เริ่มจะรู้สึกผิดกับมาเรีย


“พวกเราได้หว่านแหออกไปแล้ว เพราะงั้นตอนนี้ก็แค่รอเท่านั้น เอาล่ะ เราไปที่อีวากันเถอะ ตามฉันมา”


คิมฮันนาห์ได้เดินนำทางเข้าไปที่ประตูอย่างร่าเริง


ซอลจีฮูได้รีบไล่ตามเธอไปทันที


“ลูกพี่ฮันนาห์…!”


“อ่า ชิ!”


***


คิมฮันนาห์กับซอลจีฮูได้ขึ้นไปในรถม้าในวันนั้น และมาถึงอีวาในเวลาไม่กี่วันต่อมา คิมฮันนาห์ได้นำทางซอลจีฮูอย่างเชี่ยวชาญเนื่องจากว่าเธอเคยมาที่นี่แล้วหลายครั้ง


จุดหมายปลายทางของพวกเขาก็คืออาคารดูดีที่ตั้งอยู่บนถนนเส้นหลักของอีวา


มันก็คือสำนักงานพ่อค้าวสันต์แห่งตะวันออก หนึ่งในองค์กรของอีวา


เมื่อเดินเข้าไปภายในและถูกนำทางไปที่ห้องแล้ว พวกเขาก็ได้เจอเข้ากับชายหนุ่มลงพุง


เขาได้มองมาที่คิมฮันนาห์ด้วยรอยยิ้มกว้าง


“ไอหย๊า~ ใครจะคิดว่าคุณจิ้งจอกที่ทุกๆคนจะติดต่อไปก่อนจะ…?”


เขาได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหย่อหยิ่ง แต่แล้วเมื่อเห็นชายหนุ่มที่เดินมากับเธอ เขาก็ต้องชะงักไป


ซอลจีฮูก็เป็นเช่นเดียวกัน เขาได้มองสำรวจดูชายตรงหน้าก่อนจะพูดออกมา


“อ่า นายจาก…!”


หากว่าเขาจำไม่ผิด คนๆนี้ก็คือหัวหน้าของทีมลักลอบที่ทีมเขาเจอในระหว่างปฏิบัติการล่าสุด


หัวหน้าคนนั้นก็ยังจำซอลจีฮูได้ และอ้าปากค้างออกมา


“เฮือกกก!”


บทที่ 236 – ธาตุแท้ของโฟลน


หัวหน้าได้ร้องออกมาทันที


“ทะ ทะ ทำไมคุณถึงมาที่นี้…? โอ้ ผมล้างมือจากวงการนั้นแล้วนะ! หลังจากเหตุการณ์นั้น ผมได้ล้างมือกับทุกๆเรื่อง แล้วก็ไม่ได้เข้าไปใกล้สหพันธรัฐเลยแม้แต่นิด…!”


“…เขาพูดบ้าอะไรเนี้ย?”


ชายตรงหน้าได้ทำตัวอ่อนน้อมขึ้นมาทันที เขาได้โค้งตัว และสารภาพออกมาแม้ว่าจะไม่มีใครถามก็ตาม


คิมฮันนาห์ได้เหลือบมามองซอลจีฮูพร้อมทั้งเดินไปหาชายพุงพลุ้ยตรงหน้า


“นายรู้จักหมอนี่หรอ?”


“ก็นิดหน่อย”


“น่าสนใจ”


คิมฮันนาห์ได้พูดขึ้นราวกับว่านี่เป็นเรื่องเล็กๆ และนั่งลงไปบนเก้าอี้


“หยุดทำตัวขายหน้าได้แล้ว นั่งลงเถอะ นายกำลังทำให้ฉันจะบ้านะ”


แม้ว่าคิมฮันนาห์จะพูดแบบนี้ แต่ชายพุงพลุ้ยตรงหน้าก็ไม่อาจจะละสายตาไปจากชายที่กำลังเดินเข้ามาได้ และเพียงเมื่อซอลจีฮูนั่งลงไปเท่านั้น เขาถึงจะตั้งสติกลับมาได้


“นายยังไม่ตายสินะ”


ขณะที่ซอลจีฮูพูดขึ้น เขาก็ได้ตอบกลับมา “อ่า ใช่แล้ว ใช่เลย” ก่อนที่จะค่อยๆนั่งลงไป


“ในตอนนั้นผมตกใจมากๆเลย ผมพยายามที่จะนอนหลังจากวิ่งมาทั้งวัน แต่ว่าพวกคนที่หลับไปก่อนจู่ๆก็กรีดร้องออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัว… อ่า!”


เขาได้ตัวสั่นขึ้นมาราวกับแค่นึกถึงก็ทำให้เขาหวาดกลัวแล้ว ไขมันทั้งร่างของเขาได้สั่นกระเพื่อมพร้อมๆกับดวงตาที่ดูไม่สบายใจของเขา


“ไม่ว่าจะคิดยังไงมันก็แปลกมาก การที่เห็นคนที่สบายดีจู่ๆก็ล้มลงตายลงไปเหมือนแมงเม่า ผมก็คิดว่าฉันกำลังเสียสติไปแล้ว”


ซอลจีฮูได้พยักหน้าออกมา


“ฉันเข้าใจนาย พวกเราก็เจอกับเรื่องนี้เหมือนกัน”


“ใช่ครับ พอฉันคิดถึงสถานการณ์อันน่าตกใจนี้แล้ว จู่ๆผมก็นึกถึงเด็กมนุษย์จิ้งจอก แล้วก็คิดว่า ‘อ่า ทั้งสองคนติดคำสาป หากว่าเราหลับไปเราก็จะต้องตาย’”


ซอลจีฮูอดไม่ได้ที่จะรู้สึกทึ่งขึ้นมา ชายพุงพลุ้ยไม่เพียงแต่จะได้รับคำตอบที่ถูกต้องเท่านั้น แต่เขาก็ยังเข้าใจถึงสถานการณ์ได้อย่างน่าทึ่งอย่างที่คาซุกิบอกเอาไว้จริงๆด้วย


ซอลจีฮูรู้สึกเหมือนกับว่าชายพุงพลุ้ยคนนี้คงจะมีความฉลาดที่สูงมากจริงๆ


“เพราะงั้นผมก็เลยไม่ยอมนอน และวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากวิหารอินวิเดียในอีวา… ฮ่าฮ่า!”


ชายพุ่งพลุ้ยได้หัวเราะออกมาก่อนที่จะแสดงสีหน้าเคร่งขรึม นี่ไม่ใช่ความทรงจำที่น่านึกถึงเลยสักนิด


“ว่าแต่ว่า… ทำไมคุณทั้งคู่ถึงมาด้วยกันหรอ…?”


“อ่า ไม่ใช่ว่าฉันบอกนายไปแล้วหรอกหรอ?”


คิมฮันนาห์ได้พูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ


“ฉันได้เข้าร่วมคาเพเดี่ยมแล้ว”


ชายพุงพลุ้ยได้อ้าปากค้างออกมา


“อะ อะไรกัน? ทำไมคุณถึงเพิ่งมาบอกผมตอนนี้?”


“ฉันบอกนายไปแล้วนี่ว่าพวกเรามาดูอสังหาริมทรัพย์ ฉันคิดว่าด้วยไหวพริบของคุณปาร์คดงชุนก็น่าจะเข้าใจแล้วนะ”


“ฮ่าห์…”


ชายพุงพลุ้ย ไม่สิปาร์คดงชุนได้แต่พูดอะไรไม่ออก นี่มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ


ในทันทีที่คิมฮันนาห์ได้ยื่นจดหมายลาออก เธอก็ได้เดินทางไปที่ฮารามาร์ค และขังตัวเองไว้ภายในสำนักงานมาตลอด


เธอได้ใช้ชีวิตอยู่ภายในสำนักงายโดยไม่ได้ออกไปด้านนอกสำนักงานเลยแม้แต่นิด กว่าเธอจะเริ่มออกมาด้านนอกก็เมื่อไม่นานนี้เอง


เพราะงั้นนี่จึงเป็ฯธรรมดาที่ข่าวเรื่องของเธอยังมาไม่ถึงอีวา


‘พวกเขาคงจะค่อนข้างสนิทกันแน่เลย…’


ซอลจีฮูที่ฟังทั้งคู่คุยกันอยู่ได้ถามออกมาด้วยความสงสัย


“แล้วชื่อของนาย…”


“ใช่แล้ว ผมชื่อปาร์คดงชุน ผมเป็นหัวหน้าขององค์กรพ่อค้าดงชุนที่ไม่ได้เด่นดังอะไรหรอก”


“นายเป็นคนเกาหลี? ฉันคิดว่านายเป็นคนญี่ปุ่นซะอีก”


“อ่า ใช่แล้วครับ คุณพูดถูกเลย ผมได้ใช้ชีวิตอยู่ในญี่ปุ่นเพราะครอบครัว… แต่ว่าผมไม่เคยลืมบ้านเกิดเลย”


ปาร์คดงชุนได้พูดออกมาพร้อมกับหัวเราะอย่างอึดอัดใจ ซอลจีฮูก็ยังยิ้มขึ้นและยื่นมือออกไป


“ฉันซอลจีฮู”


“โอ้ ผมรู้จักคุณเป็นอย่างดีเลยครับ! ผมจะไม่รู้จักวีรบุรุษสงครามผู้ยิ่งใหญ่ได้ยังไงกัน… เป็นเกียรติมากที่ได้พบคุณ!”


ปาร์คดงชุนได้จับมือซอลจีฮูเอาไว้และก้มหัวลง


ขณะที่ซอลจีฮูกำลังรู้สึกอึดอัดใจ ปาร์คดงชุนก็เงยหน้าขึ้นมาและถามเขาด้วยความเคารพ


“ถ้างั้นคาเพเดี่ยมมาที่นี่เพื่อซื้อที่ดิน?”


“ตาลุง”


คิมฮันนาห์ได้ขัดเขาขึ้นทันที


“ทำไมถึงได้อยากรู้อะไรไปหมดเลยล่ะ? พวกเราไม่ใช่อาชญากรสักหน่อยนะ”


“โอ้ ไม่ใช่แบบนั้นหรอก”


“ถ้าว่าเรามาที่นี่เพื่อทำธุรกิจ ถ้างั้นก็แค่ทำธุรกิจเท่านั้น การแส่เรื่องของคนอื่นมันไม่ใช่เรื่องที่ดีหรอกนะ”


เธอได้พูดเข้าประเด็นทันที เนื่องจากว่านี่ก็เป็นหนึ่งในความเชื่อของเขาเช่นกันปาร์คดงชุนจึงเงียบไป


“นายก็รู้นิสัยของฉันใช่ไหม? เรามาทำธุรกิจกันอย่างใสสะอาดเถอะนะ เอาที่ดินมาให้เราดูหน่อยสิ”


คิมฮันนาห์ได้ลุกขึ้นจากที่นั่งพร้อมทั้งสะบัดหน้าให้เขานำทางไป


“ใสสะอาด… เธอที่เป็นคนใช้วิธีสกปรกและน่ารังเกียจทุกประเภทเนี้ยนะ…”


ปาร์คดงชุนได้บ่นกับตัวเองก่อนที่จะยกร่างกายขึ้นอย่างไม่เต็มใจ


เขาไม่รู้ว่าทำไม แต่เขาคิดว่าหากเขาไม่ลุกขึ้นเขาจะต้องถูกโกงแน่


***


‘อะไรกันนะ?’


ปาร์คดงชุนได้ใช้สมองตลอดเวลาที่นำพวกเขาเดินไปยังที่ดินที่เขาได้เลือกเอาไว้ก่อนแล้ว


คาเพเดี่ยม ทีมที่เก่าแก่และยอดเยี่ยมในฮารามาร์คกำลังจะมาที่ฮารามาร์ค นี่มันเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญมาก


แต่ปัญหาคือเขาไม่รู้ว่าทำไม


หากว่าพวกเขาซื้อที่ดิน นั่นก็เป็นไปได้สูงว่าพวกเขากำลังวางแผนที่จะตั้งองค์กร แต่ว่านั่นก็ไม่มีเหตุผลให้พวกเขาต้องออกมาจากฮารามาร์คเลยนี่


‘ฉันจะบ้าตาย…’


ต่อให้เขาจะปล่อยความคิดเรื่องอื่นไป และตั้งสมาธิไปกับการทำธุรกิจ แต่ว่ามันก็มีแต่ทำให้เขารู้สึกซับซ้อนขึ้นมา


นี่มันเป็นความรู้สึกเหมือนกับการกำลังยืนอยู่ต่อหน้าพายุใหญ่งั้นหรอ?


เขารู้สึกว่าควรจะขายที่ดิน แต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่ควรขายออกไปเช่นกัน


นี่มันเป็นครั้งแรกเลยที่ปาร์คดงชุนรู้สึกแบบนี้


‘…นี่มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเลย ในเมื่อเป็นแบบนี้…”


หลังจากคิดอยู่นานปาร์คดงชุนก็หยุดเดินไป ที่ที่พวกเขาได้มาถึงคือใจกลางของเมือง


คิมฮันนาห์ได้มองไปรอบๆ และพูดขึ้นราวกับว่าเธอเจออะไรที่น่าตกใจ


“มันดีกว่าที่ฉันคิดอีกนะ ที่ดินค่อนข้างใหญ่…”


“ฮึ่ม มันก็แน่นอนอยู่แล้ว ในแง่ที่ตั้งก็ไม่มีไหนในอีวาที่ดีกว่าตรงนี้แล้ว แค่สถานที่ตั้งที่อยู่ใจกลางเมืองก็แสดงให้เห็นถึงคุณค่าของมันแล้ว”


ปาร์คดงชุนได้กระแอ่มออกมาก่อนจะพูดต่อ


“ราชวงศ์มีสิทธิ์ในที่ดิน แต่ว่ามันได้ถูกปล่อยเช่าเอาไว้เป็นเวลาหลายสิบปี เพราะงั้นไม่ต้องห่วงเรื่องการถูกเรียกคืนไปได้เลย แล้วก็อย่างที่เห็นไม่มีอาคารอะไรที่ถูกก่อสร้างรอบๆ ทุกๆอย่างต่างก็อยู่ห่างออกไปอย่างน้อยหนึ่งช่วงตึก เพราะงั้นหากว่าจะสร้างอาคารอะไรขึ้นมาก็ไม่มีปัญหาเลย”


หลังจากพูดแบบนี้ปาร์คดงชุนก็แอบมองดูปฏิกิริยาของพวกเขา


“เอาเถอะนะ… ถึงจะมีข้อเสียที่ไม่ได้รับการซ่อมบำรุง แต่ว่าในเมื่อเธอต้องการจะสร้างอาคารใหม่อยู่แล้วมันก็ไม่น่าจะมีปัญหาใช่ไหมล่ะ?”


จริงๆแล้วอาคารมันเก่ามาและทรุดโทรมจนเหมือนซากอาคารไปแล้วด้วย มันถึงขนาดที่พวกเขารู้สึกเหมือนกับมองดูบ้านผีสิงที่ผีจะโผล่ออกมาได้ตลอดเวลา


“ยังไม่หมดเท่านี้นะ ชั้นใต้ดิน-“


“โอเคๆ ฉันเข้าใจแล้ว แต่ว่า-“


คิมฮันนาห์ได้ยกมือดันแว่นและขัดขึ้นมา


“เข้าเรื่องเลยเถอะ”


“…หืม?”


“นายคิดว่าฉันโง่งั้นหรอ? มันไม่มีทางที่นายจะปล่อยที่ดินขนาดใหญ่ที่อยู่ในศูนย์กลางไว้เฉยๆหรอกนะ”


มีบางอย่างเกี่ยวกับที่นี่แปลกๆอย่างแน่นอน แม้ว่ามันจะอยู่ย่านใจกลางเมือง แต่ว่ามันค่อนข้างจะปลีกวิเวกอยู่จากส่วนอื่นๆ


“ฉันก็กำลังจะพูดอยู่เลย.. ชิ ใจร้อยซะจริง”


ปาร์คดงชุนได้ยิ้มแห้งๆก่อนจะอธิบายต่อ


สรุปแล้วก็คือบ้านตรงหน้าพวกเขาถูกเรียกกันว่า ‘บ้านผีสิง’ และนับได้ว่าเป็นสถานที่ต้องสาป


เหตุผลก็เพราะว่าทุกๆคนที่ย้ายเข้ามาจะตายอย่างน่ากลัวหลังจากที่อาศัยอยู่เพียง 3-4 เดือนโดยไม่มีข้อยกเว้น


สาเหตุการตายก็มีหลากหลายอีกด้วย


คนสุขภาพดีจู่ๆก็ล้มป่วยอย่างไร้สาเหตุจนกระทั่งตายไป คนๆหนึ่งถูกฆ่าสังหารโหดจากแค่การทะเลาะเรื่องเล็กๆ คนๆหนึ่งจู่ๆก็สิ้นหวังและผูกคอตาย… มีกระทั่งการตายอย่างกระทันหันได้โดยไร้สาเหตุ…


หลังจากมีคนนับสิบตายไปแบบนี้ก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้แถวนี้อีก


“อ่อ~”


คิมฮันนาห์ได้อุทานออกมาหลังจากได้ยินเรื่องนี้


“เพราะงั้นนายก็เลยจะบอกว่าที่ดินที่นายใช้เงินจำนวนมากซื้อมากลายเป็นไร้ค่า เพราะงั้นนายก็เลยจะโยนมันมาให้เราเพราะว่าเขาโผล่มาพอดีงั้นหรอ?”


“ไม่ ไม่เลย ชิ ทำไมเธอถึงได้พูดแบบนั้นล่ะ? เราไม่ได้รู้จักกันแค่ไม่กี่วันนะ ฉันแค่เอาที่นี่มาให้เธอดูเพราะจะขายเท่านั้นเอง ถ้าเธอไม่ชอบที่นี่ เราก็ไปดูที่อื่นก็ได้”


ปาร์คดงชุนได้รีบหาข้ออ้างออกมา แต่ว่าเขาได้เหลือบไปมองซอลจีฮูราวกับไม่อยากจะพลาดโอกาสดีนี้ไป


“แล้วมันก็ยังเพราะฉันคิดว่าท่านซอลจีฮูต่างไปจากคนอื่นๆ วีรบุรุษที่ได้เอาชนะผู้บัญชาการกองทัพที่หนึ่ง… ฮิฮิ!”


ในสองสามครั้งแรกมันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ว่าในครั้งที่สามมันจะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน ซอลจีฮูได้เริ่มจ้องไปที่อาคารตรงหน้า


“นายได้ลองขอให้นักบวชอินวิเดียมาชำระล้างดูยัง?”


“อันที่จริง… ผมก็เคยจ้างนักบวชระดับสูงมาด้วยเงื่อนไขให้เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ครึ่งปีโดยจ่ายแค่ครึ่งราคาหากว่าเขาแก้ไขปัญหาได้ แต่ว่าเมื่อผมกลับมาหลังจากผ่านไปแค่เดือนเดียว ผมก็ต้องมาเจอเขาท้องแตกตาย และเครื่องในกระจายไปทั่ว…”


“…คงจะมีตัวเลือกที่ทำลายที่นี่ทั้งหมดสินะ”


“ผมก็พยายามแล้ว แต่ว่าคนงานต่างก็เริ่มป่วยทีล่ะคน…”


ปาร์คดงชุนได้เสียงอ่อยไปในช่วงท้าย


ซอลจีฮูได้เริ่มครุ่นคิดทันที


‘มันจะต้องมีอะไรอยู่ที่นี่แน่ๆ มันอาจจะเป็นวิญญาณ… เดี๋ยวนะ วิญญาณ?’


ซอลจีฮูได้มองลงไปที่จี้ของเขา เขาเพิ่งจะคิดอะไรดีๆได้แล้ว


“ฉันขอเข้าไปดูข้างในสักหน่อยได้ไหม?”


“หืม? ได้สิครับ! ดูได้เต็มที่เลย! หากว่าคุณอยากจะซื้อล่ะก็ ผมจะลดราคาให้ต่ำกว่าราคาตลาดเลย… ผมก็คิดว่าที่นี่มันก็ค่อนข้างจะน่าอึดอัดอยู่หน่อยเหมือนกัน”


เมื่อเห็นซอลจีฮูดูจะสนใจ ปาร์คดงชุนก็ได้ยิ้มกว้างและรีบพยักหน้าออกมา


แต่ว่าเขาดูจะไม่ได้จะเข้าไปกับซอลจีฮูเลย


“เฮ้ นายคงไม่คิดว่านายจะซื้อที่นี่จริงๆหรอกนะ?”


ทันใดนั้นน้ำเสียงเฉียบคมก็ดังขึ้นมา


ซอลจีฮูได้หยุดลงก่อนจะอธิบายออกมา นั่นมันก็เพราะว่าเขาเห็นคิมฮันนาห์ขยิบตาและมองมาที่จี้ของเขา


ซอลจีฮูที่เข้าใจเจตนาของเธอได้ยิ้มแห้งๆออกมา


‘เธอเห็นทั้งโลกเป็นเป้าหมายให้ต้มตุ๋นงั้นหรอ?’


ในตอนนี้เขาคิดว่าเขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมคนอื่นๆที่ได้ยินชื่อของเธอถึงกัดฟันขึ้นมา


“ฉันก็แค่จะดูเฉยๆ”


“นี่นายบ้าหรือเปล่า? ทำไมนายถึงต้องไปดูบ้านน่าขนลุกแบบนั้นด้วย? ไปดูที่อื่นเถอะน่า”


“อ๊าา โลกนี้มันไม่มีผีอยู่จริงๆหรอกนะ ทั้งหมดนั่นก็แค่ข่าวลือ”


[เอ๋? แต่ว่าก็มีฉันอยู่นะ?]


เขาได้ยินเสียงพึมพำของโฟลนดังออกมา แต่ว่าซอลจีฮูก็ไม่ได้สนใจเธอและพูดต่อ


“ไม่ว่าจะยังไงฉันก็จะลองไปดูก่อน แล้วเขาก็บอกว่าเขาจะให้ราคาต่ำกับเราด้วยนี่ ยังไงเราก็ไม่ได้มีเงินเยอะอยู่แล้วนะ”


“ว้าว นี่นายทำตามใจไปแล้วนะ”


เมื่อได้ยินคำตำหนิ ซอลจีฮูก็เดินไปข้างหน้า เมื่อมายืนอยู่หน้าทางเข้าแล้ว ซอลจีฮูก็กระซิบเบาๆ


“โฟลน”


[ได้เลย! รอสักเดี๋ยวนะ!]


โฟลนได้ลอยหายเข้าไปในบ้านราวกับเธอฟังมาตั้งแต่แรกแล้ว


ซอลจีฮูได้เดินไปรอบๆบ้านโดยแกล้งทำเป็นสำรวจดูในระหว่างที่รอโฟลน


‘เป็นที่ดินที่ดีจริงๆเลย’


มีแสงแดดส่องมาถึงทุกจุด และยิ่งไปกว่านั้นก็คือขนาดของมัน สำนักงานของเขาก็เป็นตัวอย่างที่ดี เมื่อมีสมาชิกเพิ่มขึ้นจึงทำให้เขารู้สึกแออัดอยู่เล็กน้อย


มันก็คงดีที่จะที่จะสร้างอาคารขนาดใหญ่สักสองสามหลัง และใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข


‘โว้วว~’


รอยยิ้มได้เบ่งบานขึ้นมาบนใบหน้าของซอลจีฮูราวกับว่าเขากำลังฝันหวานอยู่


ยังไงก็ตามไม่นานนักฝันหวานของเขาก็สลายหายไปเพราะไม่ว่าเขาจะรอนานแค่ไหนโฟลนก็ยังไม่กลับมา


‘เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ?’


แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับโฟลน แต่ว่ามันก็ยังมีโอกาสอยู่หนึ่งในพันที่จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ได้


‘ไม่มีอันตรายแหะ’


หลังจากใช้นพเนตรแล้ว ซอลจีฮูก็ได้ตัดสินใจที่จะเข้าไป


การเดินวนไปรอบๆบ้านมันทำให้เขารู้สึกแปลกๆ และที่สำคัญไปกว่านั้นคือเขาเริ่มเป็นห่วงโฟลน


เอี๊ยดดด…


ในทันทีที่เขาเปิดประตูที่เต็มไปด้วยฝุ่นก็ได้มีเสียงสนิมดังออกมา ภาพตรงหน้าของเขาได้กลายเป็นพร่ามัวไปในทันทีที่ประตูด้านหลังถูกปิดลง


แปลก


ข้างนอกยังกลางวันอยู่เลย แถมในบ้านนี้ก็มีหน้าต่างอยู่ด้วย แต่ว่าภายในบ้านกลับมืดสนิทเลย


ไม่เพียงเท่านั้น


ภายในห้องยังมีความเย็นน่าขนลุกอยู่อีกด้วย เขารู้สึกเหมือนกับว่าเข้ามาในบ้านที่อยู่ท่ามกลางพายุหิมะเลย


“แค่กๆ”


ฝุ่นฟุ้งมากจนแค่สูดหายใจก็ทำให้เขาต้องไอออกมาแล้ว จากความตรึงเครียดอย่างกระทันหันได้ทำให้เขาโคจรมานาภายในร่างขึ้นมา


ต่อให้จะเป็นวิญญาณ แต่อย่างมากสุดก็คงเป็นแค่วิญญาณร้ายเท่านั้น


ด้วยพลังโซม่าที่ซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายความชั่วร้ายจึงทำให้เขาไม่มีอะไรให้ต้องกลัว หลังจากโคจรมานาพอแล้ว ซอลจีฮูก็ค่อยๆเดินไปข้างหน้า


เอี๊ยดดด เอี๊ยดดด


ทุกครั้งๆที่เขาก้าวเท้าก็จะมีเสียงแปลกๆดังออกมา


‘แปลก มันแปลกเกินไป’


ยิ่งเขาเดินเข้าไป เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น


แค่การหายใจเอาอากาศชื้นๆเข้าปอดก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบาย และกลิ่นความอาฆาตที่ปะปนอยู่ในอากาศก็ได้ทำลายประสาทของเขาอีกด้วย


มันรู้สึกเหมือนกับว่าหากเขาหันหลังกับไปก็จะเจอกับอะไรบางอย่างที่ยืนอยู่ข้างหลัง


มันรู้สึกเหมือนกับว่าเขาจะเจอใครบางคนจ้องเขาอยู่หากเขามองขึ้นไป


ซอลจีฮูได้มั่นใจแล้ว


บ้านหลังนี้ไม่เหมาะให้คนใช้ชีวิตอยู่


‘โฟลน…’


ขณะที่เขาหันกลับไปเพื่อที่จะออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เขาก็มองเห็นบันไดขึ้นไปสู่ชั้นสอง


และเมื่อซอลจีฮูมองดูราวจับ…


“!”


…เขาก็ชะงักไป


ความน่าขนลุกได้พวยพุ่งออกมา


มันหนาวมากจนทำให้เขาขนลุกขึ้นทั้งร่าง


มีบางอย่างอยู่ตรงนั้น


สิ่งที่อยู่เหนือหัวเขามันไม่ใช่มนุษย์ ถึงเขาจะไม่ได้รู้อะไรอีกเลย แต่ว่านี่ก็เป็นสิ่งเดียวที่เขามั่นใจ


ซอลจีฮูได้จับหอกพิสุทธิ์เอาไว้แน่นตามสัญชาตญาณ เขายังใช้มันไม่ได้เลย แต่ว่าเขาก็ได้พยายามสูดหายใจและโคจรมานาออกมา


‘อันตราย’


ในตอนที่เขายกมือขึ้น และเงยหน้ากลับขึ้นไปมอง!


ซอลจีฮูก็เบิกตากว้างขึ้นมา


“เฮือก!”


เขาเกือบจะร้องออกมา สายตาของเขาได้จับจ้องไปที่สิ่งที่อยู่เหนือบันไดไปชั้นที่สอง


ดวงตาทั้งสองข้างของมันถูกเย็บเข้าด้วยกันเหมือนกับตะเข็บลูกเบสบอล จมูกของมันกำลังเน่า และปากของมันก็ถูกเย็บปิดเอาไว้


มันกำลังคุกเข่าอยู่พร้อมทั้งแขน…


“?”


ซอลจีฮูได้กระพริบตาออกมาอยู่หลายครั้ง


มันยกแขนอยู่? เหมือนกับเด็กถูกลงโทษ?


เมื่อซอลจีฮูได้แสดงความสงสัยออกมาจากทางสายตา…


เพี๊ยย!


ทันใดนั้นเสียงตบก็ได้ดังออกมา ใบหน้าของมันได้สะบัดออกไปด้านข้างทนที


[นี่แกบ้าไปแล้วหรอ?]


น้ำเสียงที่คุ้นเคยได้ดังออกมา เมื่อมองขึ้นไปอีกหน่อยในที่สุดแล้วเขาก็ได้เห็นโฟลน


[นี่แกคงจะเสียสติไปจริงๆสินะ?]


โฟลนที่ปรากฏร่างออกมากำลังจ้องไปที่วิญญาณหลังจากเพิ่งตบมันลงไป


[เฮ้ การเป็นผีมันเป็นเรื่องตลกงั้นหรอ?]


วิญญาณที่กำลังคุกเข่าอยู่ได้สะดุ้งออกมา


[พระเจ้า! ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย]


โฟลนได้พูดต่อราวกับว่าเธอคิดว่ามันไร้สาระมากจริงๆ


[ก็ได้ ถ้างั้นฉันขอถามอะไรแกหน่อยแล้วกัน แกกลายมาเป็นผีนานแค่ไหนแล้ว?]


[สองทศวรรษ? ศตวรรษ? นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้แกทำตัวดื้องั้นหรอ?]


[โอ้ นี่เมินกันแล้ว?]


[ก็ได้ แกคงจะกำลังดูถูกคำพูดงั้นสิ?]


วิญญาณตะเข็บได้รีบส่ายหัวออกมา


[เฮ้! แกคิดว่าฉันไร้สาระใช่ไหม? หา?]


[พูดมาสิ แกกำลังดูถูกฉันเพราะว่าฉันถูกสร้างขึ้นมาจากความแค้นที่ถูกจองจำเอาไว้นับร้อยปีใช่ไหม?]


ซอลจีฮูที่กำลังมองขึ้นไปด้วยสีหน้าสับสนได้เรียนรู้เป็นครั้งแรกว่าวิญญาณก็ถูกกล่าวหากันได้


[นี่แกยังจะเมินฉันอีกใช่ไหม? หากว่าแกเป็นผีจริงๆ ถ้างั้นอย่างน้อยในตอนที่คุยกันก็ควรจะสบตากันสิ!]


มันได้ผงะไปก่อนจะเงยหน้าขึ้น จากนั้น…


[หา? นี่แกจ้องฉันหาอะไรกัน? แกมีปัญหางั้นหรอ? ไอ้เจ้าลูกหมา?]


เมื่อเห็นโฟลนยกมือขึ้นมา มันก็รีบก้มหน้าลงไปอีกครั้ง วิญญาณตะเข็บได้ร้องออกมาด้วยความกลัว และความเศร้าเสียใจ


[นี่แกกำลังร้องไห้? น้ำตาพวกนั้นมันอะไรกัน? ว้าว ไม่อยากจะเชื่อเลย เฮ้ ลุกขึ้นมา]


[สนใจกันหน่อย ทำใจให้สบาย แล้วก็มองทางนี้]


[ไอ้สารเลว แกเสียสติไปแล้วหรอ?]


[กลิ้งซ้าย กลิ้งขวา ซ้าย ขวา คลานหน้า คลานหลัง]


ตึง ตึง ปัง ปัง!


โฟลนได้ออกคำสั่งลงโทษวิญญาณทางวินัยออกมา มันไม่มีอะไรจะแปลกไปกว่านี้ได้อีกแล้ว


ในท้ายที่สุดวิญญาณก็ได้นอนแผ่ไปกับพื้นพร้อมทั้งมองขึ้นไปที่โฟลนทั้งๆที่มันยังคงสะอื้นอยู่


งึมงำ งึมงำ!


เมื่อได้ยินมันพูดอะไรบางอย่าง โฟลนก็กอดยกโน้มตัวไปด้านหน้า


[อะไรนะ? แกขอโทษงั้นหรอ? แกจะจากไปเงียบๆเพราะงั้นช่วยปล่อยแกไปงั้นหรอ?]


โฟลนได้แค่นเสียงออกมา


เธอได้ล้วงมือลงไปในกระเป๋า และถามออกมาด้วยท่าทีหยิ่งผยอง


[เมื่อไหร่ที่แกขอโทษ ชีวิตวิญญาณของแกมันก็จบลงไปแล้ว]


งึมงำ งึมงำ!


[ว้าว แกนี่มันไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ระดับชั้นของที่นี่มันน่าสนใจจริงๆเลย]


โฟลนได้ยืดตัวและสะบัดคอไปมา หลังจากหมุนไหล่แล้ว เธอก็เริ่มเตะวิญญาณตะเข็บ


[ลุกขึ้นมา แกไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวใช่ไหม?]


[ตั้งใจฟังสิ่งที่ฉันจะพูดให้ดีนะ]


ทุกๆคนที่อยู่ต่ำกว่าแกแล้วก็สูงกว่าแกด้วย ฉันต้องการให้พวกมันทั้งหมดมาที่นี่]


[แกมีเวลาสามสิบวินาที ถ้าแกทำไม่ทัน ฉันจะทำลายความหวังทั้งหมดของแกทิ้งซะ แกได้ยินใช่ไหม?]


จากนั้น


[เริ่มได้]


ทันทีที่คำพูดของเธอดังออกมาวิญญาณตะเข็บก็พุ่งออกมา


เมื่อเห็นว่ามันได้รีบคลายไปตามกำแพงเหมือนกับแมงมุมอย่างรวดเร็ว ซอลจีฮูก็มั่นใจว่ามันกำลังตั้งใจทำตามคำสั่งของโฟลนอย่างเต็มกำลัง


[หืม? ทำไมนายถึงมาที่นี่ล่ะ?]


โฟลนได้ลอยลงมาจากบันไดราวกับว่าเธอเพิ่งจะเห็นซอลจีฮู ออร่าดุร้ายของเธอจากก่อนหน้านี้ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย และมีใบหน้าของเด็กสาวไร้เดียงสาเข้ามาแทนที่


[มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?]


เธอได้เข้ามาเกาะเอวซอลจีฮู และเริ่มทำตัวน่ารัก ซอลจีฮูแทบจะพูดอะไรไม่ออก และฝืนหัวเราะออกมา


“พะ พึ่งมาถึง เพราะเธอหายไปนาน ฉันก็เลยเป็นห่วง…”


[อ่อ เพราะแบบนี้นี่เอง]


“เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม…?”


[ใช่แล้วๆ ที่นี่มีวิญญาณอยู่ แต่ว่าก็ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงหรอกนะ~ เมื่อเทียบกับวิญญาณในคฤหาสน์จักรพรรดิโบราณแล้ว เจ้าพวกลูกหมานี่ก็แค่ปลายแถว]


โฟลนได้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสดใส จากนั้นก็ยกนิ้วขึ้นมา


[จริงๆแล้วตอนแรกฉันก็พยายามทำตัวดีนะ แต่ว่าก็มีบางคนที่ไม่รู้ถึงจุดยืนของตัวเอง อารมณ์เก่าๆของฉันก็เลยออกมาน่ะ]


‘อารมณ์?’


จริงหรอ?


เขารู้ดีว่าพฤติกรรมของเธอต่อหน้าเพื่อนร่วมทีมของเขาเป็นการเสแสร้ง แต่ว่าเธอก็เสแสร้งต่อหน้าเขาด้วยหรอ?


นั่นมันหมายความว่าสิ่งที่เขาเพิ่งเห็นเมื่อกี้นี้คือธาตุแท้ของเธอ


ขณะที่เขากำลังเต็มไปด้วยความคิดมากมายในหัว โฟลนก็ดันหลังเขา


[ตอนนี้แค่ออกไปรอด้านนอกเถอะนะ เดี๋ยวฉันจะรีบจัดการเรื่องที่นี่ให้เรียบร้อยเอง]


เขารู้สึกเหมือนกับว่าเธอจะกำลังบังคับให้เขาออกไปเพราะเหตุผลบางอย่าง แต่ว่าซอลจีฮูก็ปล่อยให้ตัวเองถูกดันออกมาโดยไม่พูดอะไร


ตึง


หลังจากที่เขาพิงกับกำแพง ทั้งร่างเขาก็สั่นขึ้นมา


จากนั้นเขาก็ได้รู้ถึงสิ่งที่คาดไม่ถึง ในอดีตของเธอ โฟลนไม่ใช่ดอกไม้ของสังคมชนชั้นสูงอย่างแน่นอน


‘เธอนจะต้องเป็นนักเลงของสังคมชนชั้นสูงแน่ๆ’


ซอลจีฮูได้พยักหน้ากับตัวเอง และถอนหายใจยาวออกมา

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม