The Second Coming of Gluttony 231-233

 บทที่ 231 – กฎเกณฑ์ (2)


ทั้งกลุ่มได้เดินทางมาถึงฮารามาร์ค พวกเขาไม่ได้ตรงไปที่สำนักงานคาเพเดี่ยมเลย แต่เลือกไปที่วิหารก่อน


คิมฮันนาห์ที่ได้เร้งเร้าจะดูกล่องเก็บสมบัติขององค์กรได้แต่อ้าปากค้างออกมา


“นี่มัน… แค่ส่วนหนึ่ง? ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกหรอ?”


[ไม่ใช่!]


โฟลนได้โผล่ออกมาอย่างกระทันหัน


คิมฮันนาห์ได้ผงะไป แต่ว่าเธอก็ไม่ได้ตกใจมากนัก นั่นก็เพราะว่าซอลจีฮูได้แนะนำโฟลนให้กับเธอตั้งแต่อยู่บนรถม้ากันแล้ว


ในตอนแรกที่เห็นวิญญาณเป็นหนึ่งในทีมเธอก็ตกใจอยู่ แต่ไม่นานนักเธอก็ชินกับมันอย่างรวดเร็วด้วยการบอกว่าในพาราไดซ์มันไม่มีอะไรปกติอยู่แล้ว


[คุณคิดว่าตระกูลรอชเชอร์ใช้ชีวิตกันด้วยแค่ไม่กี่ร้อยเหรียญทองงั้นหรอ? ตระกูลของเราน่ะคือชั้นหนึ่ง พวกเขาได้ทำธุรกิจหลายหมื่นเหรียญทองต่างหาก!]


แต่ว่าเมื่อคิมฮันนาห์ยังคงมองมาอย่างสงสัยอยู่ ซอลจีฮูก็พูดขึ้น


“เราต้องไปยืนยันที่นั่นอีกที่ แต่ฉันคิดว่ามันมีความเป็นไปได้สูง หากว่าข้อมูลผิด ถ้างั้นพวกเราก็คงไม่เจอมรดกแม้แต่ส่วนเดียวหรอกนะ”


“…ก็จริง”


คิมฮันนาห์ได้ยอมรับออกมา จากนั้นก็หยิบเอาสมุดพกเล็กๆและปากกาออกมาจากเสื้อเชิ้ต เธอได้ค่อยๆเปิดกระเป๋าพร้อมฮัมเพลงอย่างสนุกสนาน


“เธอกำลังจะทำอะไรน่ะ?”


“ทำหน้าที่ของฉันในฐานะผู้จัดการบัญชีไงล่ะ”


คิมฮันนาห์ได้พูดออกมาทั้งๆที่จดลงไปในสมุดพกเล็กๆของเธอ


“นับตั้งแต่ตอนนี้พวกเราได้กลายเป็นอกกรแล้ว หากว่าเรามาจัดการสิ่งต่างๆทีหลังมันจะทำให้เรื่องมันยุ่งยากขึ้น”


“ฉันก็ให้เธอดูลิสต์รายการที่คุณคาซุกิเขียนแล้วนี่นา?”


ซอลจีฮูได้หยิบกระดาษออกมายื่นให้กับคิมฮันนาห์ แต่ว่าเธอก็ส่ายหัวออกมา


“ฉันเชื่อในการทำงานของเขานะ แต่ว่าลิสต์รายการมันไม่ได้รวมถึงทรัพย์สินทั้งหมดของนาย ตั้งแต่รายการที่ 4 ลงไปยังไม่ถูกประเมินค่าเลย”


เมื่อคิมฮันนาห์ได้เริ่มพูดอธิบาย ซอลจีฮูก็เก็บกระดาษกลับไปเงียบๆ


“แต่ว่ามากขนาดนี้…”


“ไม่ต้องห่วงหรอก เกือบเสร็จแล้ว”


คิมฮันนาห์ได้พูดเหมือนกับนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ในตอนนี้ความสงสัยได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซอลจีฮู


“จากปฏิบัติการล่าสุดนายได้อัญมณีมา 1,200 ก้อน… นี่มันมากจริงๆ แต่ล่ะก้อนต่างก็มีขนาดที่สม่ำเสมอและมีคุณภาพ เพราะงั้นมันน่าจะ…”


เขาได้ค่อยๆแอบเดินเข้าไปหาคิมฮันนาห์ และชะโงกหน้ามองดูกระดาษในมือเธอทำให้เขาได้เห็นว่ามีรายการต่างๆถูกเขียนเอาไว้จนเกือบหมดแล้ว


ความเร็วในการคำนวณของเธอนี่มันน่ากลัวจริงๆเลย


“นายจะทำยังไงกับอัญมณีพวกนี้ล่ะ?”


คิมฮันนาห์ได้หันกลับมามอง และถามขึ้น


“ถึงแม้ว่านายจะมีอัญมณีอยู่จำนวนมาก แต่ว่าหากนายต้องการ การจะหาคนมาซื้อก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย”


“โอ้? ที่ไหนหรอ?”


“ที่ไหนก็ได้ที่มีนักเวทย์ นายจะเดินเอาไปขายที่สมาคมนักเวทย์เลยก็ได้ พวกเขาจะให้ราคาดีๆกับนาย”


“ทำไมนักเวทย์ถึงต้องการอัญมณีมากขนาดนี้ล่ะ?”


เมื่อได้ยินแบบนี้ คิมฮันนาห์ก็แสดงหน้าตกตะลึงออกมา


“แน่นอนสิ ก็อัญมณีในพาราไดซ์ได้กักเก็บมานาเอาไว้ นอกเหนือจากเป็นสื่อสำคัญในการแปรธาตุแล้ว ยังจำเป็นต้องเอามาใช้ในศาสตร์อื่นๆอีกหก ไม่สิ อีกสามศาสตร์”


“ระบบ?”


“นี่นาย… ในพาราไดซ์น่ะเวทมนต์จะแบ่งประเภทออกเป็นเจ็ดศาสตร์ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้และการศึกษา สำแดงวิญญาณ ต่อต้านปีศาจ อัญเชิญ แปรธาตุ พลังธาตุ เวทมนต์ขาว เวทมนต์ดำ ท่ามกลางวิ่งเหล่านี้เวทมนต์ขาวกับเวทมนต์ดำได้สูญหายไปตามการล่มสลายของจักรพรรดิ มรดกเวทมนต์ต่อต้านปีศาจได้หายไปเป็นเวลานานแล้วหลังจากที่พ่ายแพ้ให้กับเหล่าสาวกแห่งเวทมนต์ดำ”


คิมฮันนาห์ได้ค่อยๆอธิบายออกมาอย่างชัดเจน ทำให้ซอลจีฮูได้แต่เกาหัว ก่อนจะพูดออกมา


“โอ้ ถ้างั้นอัญมณีพวกนี้ก็เพราะที่จะใช้หานักเวทย์แล้วก็สนับสนุนพวกเขาเลยนี่นา”


คิมฮันนาห์ได้ยิ้มแห้งๆออกมา


ในพาราไดซ์นักเวทย์เป็นเหมือนกับดวงดาวในท้องฟ้ายามราตรี แค่หาได้สักคนก็ยากพออยู่แล้ว ยิ่งเป็นกลุ่มอย่างที่พูดถึงอย่าได้ฝันถึงเลย


สิ่งที่ซอลจีฮูเพิ่งจะพูดไปก็ไม่ต่างไปจากการนับไก่ก่อนไข่จะฝัก แต่ว่าเธอก็ไม่กล้าพูดออกไปว่ามันไร้สาระ


นั่นก็เพราะว่าหากเป็นเขาแล้ว เธอคิดจริงๆว่าเขาก็อาจจะทำมันสำเร็จได้เหมือนกัน


***


หลังจากคำนวณทรัพสิทย์เรียบร้อย ซอลจีฮูก็ได้พาคิมฮันนาห์เดินทางไปที่สำนักงานคาเพเดี่ยม


“เข้ามาสิ ถึงมันจะดูซอมซ่อหน่อยก็เถอะนะ”


“…ก็จริง”


คิมฮันนาห์ได้แสดงความเห็นออกมาตรงๆ ที่เป็นแบบนี้ก็อย่างที่เขาคิดไว้เนื่องจากว่ามันเหมือนกับเธอเคยใช้ชีวิตอยู่ในห้างสุดหรู และในตอนนี้ต้องย้ายมาอยู่ในอาคารเก่าๆทรุดโทรม


“นับจากนี้นี่จะเป็นห้องของเธอนะ ถึงเธอจะอึดอัดสักหน่อย แต่ก็ช่วยทนเอาไว้จนกว่าเราจะย้ายออกก็แล้วกัน”


ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมาหลังจากที่แนะนำห้องให้กับคิมฮันนาห์ ด้วยเหตุผลบางอย่างการได้เห็นคิมฮันนาห์เริ่มเก็บของได้ทำให้เขาหัวเราะขึ้นมา


จากนี้ซอลจีฮูจะเริ่มยุ่งแล้ว


ในที่สุดช่วงเวลาที่เขารอคอยก็มาถึงแล้ว


ทีมของเขาในตอนนี้มีฝ่ายบริหารผู้เชี่ยวชาญแล้ว เพราะงั้นจะไม่มีใครมาหยุดเขาได้อีก


“…นายกำลังทำอะไรอยู่?”


คิมฮันนาห์ได้ถามออกมาเมื่อเธอเห็นซอลจีฮูกำลังเก็บข้าวของทีล่ะชิ้น


“โอ้ ฉันกำลังจะไปภูเขาหินยักษ์”


“ภูเขาหินยักษ์? นายจะไปที่นั่นทำไม?”


“ยังไม่ชัดอีกหรอ? ก็ไปฝึกไงล่ะ?”


“ฝึก?”


คิมฮันนาห์ได้ลากเสียงยาวออกมา


คิ้วของเธอก็ยังขมวดขึ้น แต่ว่าซอลจีฮูก็ยังยุ่งกับการเก็บของจนไม่ได้สังเกตเห็นเรื่องนี้


“ใช่แล้ว ฉันกลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงแล้ว แต่ว่าหน้าต่างสถานะของฉันยังเหมือนกับในตอนฉันอยู่ระดับ 4 เลย การไม่ได้ฝึกนี่มันแทบจะทำให้ฉันบ้าไปแล้ว”


ซอลจีฮูได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มสดใส่


หลังจากเก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เขาก็ได้วางมือลงบนบ่าของคิมฮันนาห์ และตะโกนขึ้นว่า “ฝากด้วยนะ! ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็บอกฉันด้วย!”


คิมฮันนาห์ได้จิตหลุดไปกับคำพูดไร้สาระของซอลจีฮูไปแล้ว แต่ว่าซอลจีฮูได้หันหน้าไปด้วยรอยยิ้มสดใส


แต่แน่นอนว่าคิมฮันนาห์ได้คว้าคอเขาเอาไว้ก่อนที่เขาจะได้ก้าวไปไหนสักก้าวเดียว


“อะไรหรอ?”


“อะไรงั้นหรอ? นายพูดว่าอะไรงั้นหรอ!?”


อารมณ์ของคิมฮันนาห์ได้เดือดขึ้นมาในทันที


“เฮ้ นี่นายบ้า-“


อึก


แต่ทันใดนั้นเธอก็กลืนน้ำลายลงไป ใบหน้าของเธอกำลังสั่นด้วยความโกรธ แต่ว่าเธอก็ฝืนยิ้มออกมา


เธอได้พูดออกมาด้วยสีหน้าที่บอกชัดเจนว่า ‘ตอนนี้ฉันกำลังโกรธ แต่จะปล่อยไปก่อนแล้วกัน’


“จีฮู”


“ว่าไง”


“นายบอกว่านายกำลังจะตั้งองค์กรขึ้นมา นี่คือเหตุผลที่นายพาฉันมาด้วย”


“ใช่แล้วล่ะ!”


“แล้วนี่ฉันเพิ่งจะมาถึง นี่มันเป็นวันแรกที่ฉันอยู่ที่นี่”


“ใช่?”


ซอลจีฮูได้ตอบกลับด้วยสีหน้าเหมือนกับว่า ‘แล้วทำไมหรอ?’


“ถ้างั้นอย่างน้อยนายก็- กรอด!”


คิมฮันนาห์ได้ครางออกมาก่อนจะพูดจบประโยค เส้นเลือดบนหน้าผากของเธอได้ปูดนูนขึ้นมาทันที


ฉันได้ตามนายมาจนถึงฮารามาร์ค…


เสียงพึมพำด้วยความโกรธของคิมฮันนาห์ได้ดังออกมา


“ฟังนะไอ้เวร”


ในท้ายที่สุดเธอก็ถอดหน้ากากคนดี และจับคอเสื้อของซอลจีฮูเอาไว้


“อึก-“


“นี่นายบ้าไปแล้วหรอ? อะไรนะ? ฝึกงั้นหรอ? เรียกสามัญสำนึกปกติของนายกลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!”


“จะ จู่ๆเกิดอะไรขึ้นกับเธอเนี้ย-“


“นี่มันเป็นวันแรกที่ฉันมาที่นี่ นายเรียกตัวเองว่าหัวหน้า แล้วนายถึงขนาดไม่รู้จักการชั่งน้ำหนักสิ่งสำคัญเลยงั้นหรอ? ทำไมนายถึงไม่แนะนำฉันกับทีมของนายอย่างเป็นทางการ บอกฉันถึงเรื่องเกี่ยวกับคาเพเดี่ยม แล้วก็คุยกันเรื่องการจัดตั้งองค์กรเป็นอย่างแรก? เรื่องพวกนี้มันหายไปไหนกันหมด ห๊ะ?”


คิมฮันนาห์ได้สะบัดเขาอย่างรุนแรงโดยที่เธอไม่อาจจะคุมความโกรธได้แล้ว


“สิ่งเดียวที่นายรู้คือพูดเป็นอย่างเดียวงั้นหรอ? นายจะทำให้ฉันมีความสุข? คำพูดแปลกๆนั่นมันอะไรกัน!?”


“อ๊วกกกก-“


หัวของซอลจีฮูได้สะบัดไปมา…


[โอ้ววว-]


จี้ของเขาก็ด้วยเช่นกัน


***


ในท้ายที่สุดซอลจีฮูก็ถูกบังคับให้เอาของออกมาเก็บตามเดิม และอธิบายบายทุกๆเรื่องเกี่ยวกับแผนของคาเพเดี่ยมให้คิมฮันนาห์ฟัง


‘เธอค่อยๆเรียนรู้ไปก็ได้นี่…’


ทำไมเธอถึงได้มีคำถามเยอะจังเลยนะ?


คิมฮันนาห์ได้ซักถามเขาทุกๆอย่างที่เขาพูด และจนกระทั่งรุ่งเช้าวันถัดไปเขาถึงได้เป็นอิสระ


ในอีกด้านหนึ่ง เขาเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย


เมื่อเขาเล่าเรื่องอันยาวเหยียดจบไป สายตาของคิมฮันนาห์ก็เป็นประกายเหมือนกับว่า ‘ไอ๊หย๊า~ ถ้างั้นเราก็มีที่ให้รีดไถเงินเพิ่มขึ้นแล้วสิ เยี่ยม เรามาหาเงินทุนกันก่อนดีกว่า’


ซอลจีฮูไม่เข้าใจว่าเธอคิดจะไปไถเงินมาจากใคร แต่ว่าเขาก็ตัดสินใจจะคอยดูเธอแทน


ในเช้าวันนั้น ซอลจีฮูได้เรียกทุกๆคนมาที่สำนักงาน


นั่นก็เพื่อแนะนำตัวสมาชิกคนใหม่อย่างเป็นทางการ


“ฉันคิมฮันนาห์ หัวหน้าทีมซอลจีฮูได้เสนอโอกาสให้ฉันเข้ามาในทีม นับจากนี้ขอฝากตัวด้วยนะ”


คิมฮันนาห์ที่แต่งกายด้วยชุดทางกายเหมือนอย่างเคยได้แนะนำตัวออกมาสั้นๆ


ทุกๆคนต่างก็มีท่าทีในแบบเดียวกัน


นั่นคือสีหน้าที่พูดว่า ‘เธอมาทำไมกัน?’


จางมัลดงที่ได้ยินเรื่องเมื่อวานมาแล้ว ได้พูดขึ้นอย่างสงบ


“ยินดีที่ได้เจอกันนะ ฉันไม่คิดเลยว่าแมวมองที่มีชื่อเสียงของซินยองจะมา เพราะงั้นฉันก็เลยตกใจอยู่สักหน่อย”


“พูดตรงๆแล้วฉันก็รู้สึกเหมือนกัน เป็นเกียรติที่ได้พบคุณค่ะ อาจารย์จาง”


“ในเมื่อฉันได้เจอเธอหลายครั้ง เพราะงั้นไว้ค่อยทักทายกันนะ พอจะอธิบายได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น…?”


“อย่างที่ฉันพูดไปก่อนหน้านี้ ฉันก็แค่ยอมรับในข้อเสนอของซอลจีฮู แน่นอนว่ายังมีเรื่องภายในอยู่อีก แต่ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว ฉันหวังว่าคุณจะเข้าใจ…”


“อืมม ขออภัยด้วย”


จางมัลดงได้หยักหน้าออกมา และไม่ได้ซักไซ้อะไรอีก


“ฉันมั่นใจว่าพวกคุณทุกๆคนสงสัยว่าฉันมาทำไมสินะ”


คิมฮันนาห์ได้กระแอ่มขึ้น และเริ่มพูดถึงหน้าที่ของเธอ


“นั่นก็ง่ายมาก หัวหน้าทีมซอลจีฮูอยากจะพัฒนาคาเพเดี่ยมให้เป็นองค์กร และเขาได้มาขอให้ฉันช่วย”


ไม่มีใครมีท่าทีรุนแรงอะไรออกมา ซอลจีฮูได้อธิบายเรื่องนี้ไปแล้วในระหว่างนั่งรถม้า และพวกเขาก็ได้บอกพี่น้องยี่ถึงเรื่องนี้แล้วด้วยเช่นกัน


จางมัลดงก็รู้อยู่ก่อนแล้ว


“เพราะงั้นในขณะที่ช่วยคาเพเดี่ยมลงทะเบียนเป็นองค์กร…”


คิมฮันนาห์ได้ค่อยๆอธิบายออกมาทีล่ะคำอย่างชัดเจนเหมือนคนที่กำลังนำเสนออยู่ในห้องประชุม


“ฉันมีแผนที่จะรับหน้าที่บริหารคาเพเดี่ยมในอนาคต ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยไปตลอดจนถึงทำหน้าที่เป็นตัวแทนหัวหน้าทีมในตอนที่เขาไม่อยู่”


เธอได้ร่างภาพในอนาคตออกมาแล้ว


ตัวแทนหัวหน้าทีม พูดได้เลยว่านี่ไม่ใช่ตำแหน่งที่จะมอบให้กับใครก็ได้


“มีใครมีคำถามอะไรไหม?”


เธอพูดว่าคำถาม แต่จริงๆแล้วเธอกำลังถามว่ามีใครคัดค้านอะไรไหม


สมาชิกทีมทุกๆคนต่างก็แสดงสีหน้าซับซ้อนออกมา


ด้วยบุคคลิกของโชฮงแล้ว เธอก็คงจะยกมือขึ้นแน่หากว่ามีใครเขามาพูดอะไรหยิ่งผยองแบบนี้


แต่ว่าคนที่กำลังพูดนี้ก็คือจิ้งจอกสาว คิมฮันนาห์


คนที่เป็นที่รู้จักกันดีในความเชี่ยวชาญเรื่องงานบริหาร


โชฮงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเปลี่ยนใจ พูดตรงๆแล้วด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของคาเพเดี่ยม เธอก็ควรจะหลั่งน้ำตาและพูดว่า ‘ไชโย~ ยินดีต้อนรับๆ ขอบคุณที่มานะ’ ด้วยซ้ำไป


และเพราะงั้นโชฮงจึงปรบมือออกมาเบาๆ


แปะ ๆ ๆ ๆ…


เมื่อเธอได้เริ่มปรบมือ สมาชิกคนอื่นๆก็ค่อยปรบมือตามเธอทีล่ะคน


คิมฮันนาห์ได้โค้งคำนับออกมาด้วยรอยยิ้ม


แต่ว่านั่นก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น


“แต่ว่ายังมีบางเรื่องที่ฉันจะต้องจัดการก่อนหน้านั้น งานเลี้ยงต้อนรับเอาไว้ก่อนก็ได้ใช่ไหม?”


“บางอย่างที่ต้องจัดการงั้นหรอ? ตอนนี้เลย?”


“ใช่แล้วล่ะ ตอนนี้ทุกๆคนก็อยู่แล้ว เพราะงั้นก็เหมาะเลย อย่างแรกพวกคุณลองดูสิ่งนี้กันก่อน”


เธอได้สวมหน้ากากนักธุรกิจ และหยิบเอาแผ่นกระดาษออกมาก่อนที่จะยื่นมันออกไปให้แต่ล่ะคน


“…สัญญา?”


โชฮงได้ขมวดคิ้วขึ้นมาหลังจากรับกระดาษไป


“เธออยากจะให้เราเซ็นต์สัญญาใหม่หรอ?”


“ทุกๆองค์กรต่างก็จำเป็นต้องมีสัญญาอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะในตอนที่จ้างสมาชิกใหม่เข้ามา”


คิมฮันนาห์ได้พูดต่อด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ


“แต่ว่าเนื่องจากทุกๆคนถือเป็นสมาชิกก่อตั้ง ฉันคิดว่าพวกคุณจึงไม่จำเป็นต้องเซ็นต์สัญญา”


สังกัดถาวร นี่เป็นสิทธิพิเศษที่มีไว้เฉพาะสมาชิกผู้ก่อตั้งเท่านั้น


“ใช่แล้ว”


โชฮงได้หยักหน้าออกมา


แต่ว่าทีนี้คิมฮันนาห์ก็เสริมขึ้นอีกเล็กน้อย


“นี่มันไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่นะเพราะทุกๆคนไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างองค์กรมทั้งหมดน่ะ?”


เมื่อได้ยินแบบนี้ใบหน้าบางคนได้แข็งทื่อไป พวกเขาเข้าใจถึงสิ่งที่เธอกำลังจะบอก


“…เธออยากจะให้พวกเราจ่าย”


โชฮงได้หัวเราะแห้งๆออกมา


“มันคือการลงทุน ในสายตาของฉันคาเพเดี่ยมมีศักยภาพในการพัฒนาที่ไม่มีขีดจำกัด”


คิมฮันนาห์ได้ตอบกลับอย่างฉะฉาน


“มาลองคิดดูสิ พวกคุณทุกคนต่างก็เพิ่จะได้รายได้มาจำนวนมหาศาลจากปฏิบัติการครั้งก่อน…”


เธอได้เลียริมฝีปากออกมาเหมือนกับเหยี่ยวที่มองดูเหยื่อ


“ฉันก็ไม่ได้ขออะไรมากหรอก นับรวมค่าใช้จ่ายซื้อที่ดิน การก่อสร้าง และการบำรุงรักษาแล้ว… พวกคุณก็แค่จ่าย 20% ของรายได้ที่ได้มาจากเจดีย์แห่งความฝันเท่านั้นเอง”


เสียงครวญครางได้ดังออกมาจากแต่ล่ะมุมห้อง แต่ว่านี่ก็เป็นความจริงที่พวกเขาไม่อาจจะบ่นได้


คำขอของคิมฮันนาห์มีเหตุผลที่หนักแน่นจริงๆ และมันชัดเจนว่าซอลจีฮูเป็นคนที่แบกรับรายจ่ายมากที่สุดแล้ว เมื่อเทียบกับพวกเขาที่จ่ายเพียงแค่ 20% จึงฟังดูเข้าท่าและสมเหตุสมผล


“นั่น อืมม… ฉันต้องจ่ายไหมล่ะ?”


ฮิวโก้ได้ค่อยๆถามออกมา


“ไม่หรอก ฉันไม่ได้บังคับคุณ”


ดวงตาของฮิวโก้ได้เป็นประกายขึ้นมาจากคำตอบของคิมฮันนาห์ จากนั้น…


“แต่ว่าคุณจะต้องเซ็นต์สัญญาฉบับใหม่ที่ฉันจะร่างขึ้นมา”


ใบหน้าของเขาได้กลับเป็นบูดบึ้งอย่างรวดเร็ว


สิ่งที่คิมฮันนาห์กำลังบอกก็ง่ายมาก-


ในท้ายที่สุดคาเพเดี่ยมจะพัฒนาขึ้นเป็นองค์กรขนาดใหญ่ ดังนั้นหากอย่างจะมีสิทธิ์เป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งก็ควรที่จะให้ความช่วยเหลือบ้าง หากว่าไม่อยากจะช่วย ถ้างั้นก็อย่าได้ฝันที่จะมาอ้างสิทธิ์อะไรในตอนที่คาเพเดี่ยมรุ่งเรือง


คนที่ไม่ทำงานก็อย่างหวังจะได้รับเงิน


ไม่มีใครจะโต้แย้งกับตรรกะทุนนิยมนี้ได้


แน่นอนว่าพวกเขาจะได้รับสิทธิบางอย่างบ้างเช่นกันหากว่าพวกเขาเซ็นต์สัญญา แต่ก็เท่านั้นแหละ


พวกเขาจะเป็นแค่ลูกจ้างชั่วคราวเท่านั้นเอง มันไม่มีอะไรมาการันตรีว่าจะเกิดอะไรขึ้นในตอนที่สัญญาหมดอายุ


อย่างน้อยที่สุดก็ตราบเท่าคิมฮันนาห์อยู่ที่นี่


“เอาล่ะ ฉันเข้าใจที่เธอจะบอกแล้ว…”


โชฮงได้เม้มริมฝีปาก และถามออกมา


“แต่ว่าถึงจะแค่ 20% แต่ว่ามันก็มากอยู่นะหากเธอได้จากทุกๆคน เราจะรู้ได้ยังไงว่าเธอใช้มันได้อย่างถูกต้อง?”


“ไม่ต้องห่วง หัวหน้าจะรับหน้าที่ในการจัดการเงินทุน และฉันจะดำเนินตามขั้นตอนตามเหมาะสมเพื่อขอเงินทุน”


ในเมื่อเธอพูดถึงขนาดนี้แล้ว มันก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาจะพูดได้อีก


โชฮงได้หัวเราะออกมาเบาๆ


“ฉันเข้าใจว่าพวกเราต้องใช้เงินเป็นทุนสำหรับการก่อตั้ง แต่ว่าพวกเรายังจะต้องหักผลกำไรแล้วก็แต้มคุณูปการด้วยไหม?”


“แน่นอนสิ”


คิมฮันนาห์ได้ยอมรับออกมาโดยไม่หลบตา


“แต่ว่ามันยังเร็วเกินไปที่จะคุยถึงปัญหาในจุดนั้น ในเมื่อทุกๆคนต่างก็ช่วยกัน องค์กรก็จะจัดเตรียมระบบที่จะตอบแทนความมุ่งมั่นของพวกคุณ จากนั้นปัญหานี้เราก็จะคุยกันได้”


“ชิ ถ้างั้นฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”


โชฮงได้ยกมือขึ้นพร้อมทั้งส่ายหัวไปมา


ซอลจีฮูอดไม่ได้ที่จะซ่อนความตกใจเอาไว้ ในเวลาแค่ไม่กี่นาทีคิมฮันนาห์ก็ได้เงินทุนจำนวนมหาศาลมาแล้ว


เนื่องจากว่าเธอได้พิสูจน์แล้วจึงไม่มีใครคัดค้านอะไรอีก ถึงแม้ว่าภายในใจจะรู้สึกขมขื่นเล็กน้อยก็ตาม


“โอเค ต่อไป”


พรึบ คิมฮันนาห์ได้เปิดสมุดจดไปหน้าถัดไป และหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง


“คุณฟีโซรา?”


“…ฉัน?”


ฟีโซราที่ฟังอยู่เงียบๆได้เบิกตากว้างขึ้นมา


“ดาบยาว โล่ ชุดเกราะ… ตอนนี้อุปกรณ์ทั้งหมดนั่นคุณยืมอยู่ใช่ไหม?”


ฟีโซราได้ก้มมองร่างกายเธอโดยไม่รู้ตัว


“ฉันได้ยินมาว่าคุณได้ยืมอุปกรณ์ไปสำหรับสงคราม”


“ของพวกนี้เป็นของฉัน”


ฟีโซราได้พูดขึ้นโดยไม่ยอมคืนอุปกรณ์กลับมาง่ายๆ


คิมฮันนาห์ได้เอียงหัวออกมา


“ของคุณ?”


“ใช่แล้วล่ะ เขาบอกว่าของพวกนี้เป็นของฉัน…”


ทั้งสองคนได้จ้องมองไปยังจุดเดียวกัน


ซอลจีฮูได้รีบส่ายหัวออกมา


จากนั้นคิมฮันนาห์ก็หันกลับไปจ้องฟีโซรา


“ฉันเชื่อว่าอุปกรณ์ที่คุณกำลังใส่อยู่ในตอนนี้เป็นของที่ซอลจีฮูได้รับมาจากงานจัดเลี้ยง ฉันอยากจะรู้จังเลยว่าทำไมคุณถึงได้บอกว่าของพวกนั้นเป็นของคุณ”


ฟีโซราได้กัดริมฝีปากแน่นก่อนจะก้มหัวลง


‘เพราะซอลจีฮูแกล้งฉัน’ มันฟังดูทึ่มมากจนเธอไม่กล้าพูดออกมา


“ครั้งก่อนฉันช่วยเขาไว้ แล้วเขาสัญญาว่าจะเพิ่มระยะเวลายืม…”


“โอเคๆ ฉันได้ยินมาแล้ว แต่ว่าสิ่งสำคัญก็คือระยะเวลายังไม่ได้ถูกกำหนดแน่ชัด”


คิมฮันนาห์ได้แค่นเสียงออกมาเบาๆ


“คุณกับฉันสามารถจะมาคุยเรื่องนี้อีกทีได้ อ่า คุณก็เหมือนกันนะ คุณมาแชล จิโอเนีย”


“ผมมีคำขอ”


มาแชล จิโอเนียได้พูดขึ้นราวกับเขารออยู่แล้ว


“ผมจะขอซื้ออุปกรณ์นี้จะได้ไหม? ผมชอบหน้าไม้นี่มากๆ”


คิมฮันนาห์ได้ยิ้มขึ้น


“คุรจะต้องเจรจากับเจ้าของด้วยตัวเอง สำหรับฉันทำได้แค่กำหนดเวลายืมให้คุณเพียงเท่านั้น”


มาแชล จิโอเนียได้หยักหน้าออกมา


จากนั้นเธอก็พลิกหน้าสมุดพกอีกครั้ง


“สุดท้ายนี้… คุณยี่ซอลอากับคุณยี่ซังจิน”


“คะ ค่ะ?”


ยี่ซอลอาได้ถามออกมาด้วยความตกใจ


“คุณทั้งคู่ก็ต้องมาคุยกับฉันด้วยเหมือนกัน”


ยี่ซอลอาดูจะไม่รู้เลยว่าทำไมคิมฮันนาห์ถึงได้อยากจะคุยกับเธอ ในอีกด้านหนึ่งยี่ซังจินดูจะพอคิดออกทำให้เขาหยักหน้าเงียบๆ


“ก็เท่านี้แหละ”


ตึก คิมฮันนาห์ได้ปิดสมุดพกลงไป และยิ้มขึ้นอย่างร่าเริง


“อย่างแรกคุณฟีโซรากับคุณมาแชล จิโอเนีย เราควรจะไปคุยกันในที่ส่วนตัวดีไหม?”


เพราะแบบนี้เธอจึงหันไปทางส่วนห้องนอน


ตึก ตึก เสียงรองเท้าส้นสูงได้ดังออกไป


มาแชล จิโอนียได้ยืนขึ้นและเดินตามหลังเธอไป ในขณะที่ฟีโซราได้รีบวิ่งไล่ตามไปหลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้


ซอลจีฮูอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาเห็นฟีโซราไม่พูดอะไรออกมาเหมือนกับลูกแกะเชื่องๆ


พูดตรงๆเขาไม่มั่นใจเลยว่านี่คือความฝันหรือความจริง


‘ว้าว…’


คิมฮันนาห์ได้ตั้งคาเพเดี่ยมให้เป็นรูปเป็นร่างภายในวันเดียว


เธอได้แข็งกร้าวมากในตอนแรกจนเขากลัวว่าจะมีคนลุกขึ้นมาต่อต้านเธอ


แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามสิ่งสำคัญก็คือในที่สุดสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงก็เริ่มพัดมาที่คาเพเดี่ยมแล้ว


แม้ว่ามันจะเป็นลมพายุ และไม่ใช่สายลมอันอ่อนโยน แต่ว่าทุกๆคนก็จะต้องเลือกว่าจะยืนหยัดหรือจะถูกพัดหายไป


‘ฟู่ววว….’


ซอลจีฮูได้ถอนหายใจออกมาก่อนจะเบิกตากว้างขึ้น พร้อมทั้งทุกๆคนยังคงอยู่อย่างเงียบงัน


“…”


มีเพียงแค่จางมัลดงเท่านั้นที่ยิ้มบางๆออกมา


บทที่ 232 – สายใยที่ถักทอเข้าด้วยกัน (1)


“สมกับชื่อของเธอจริงๆเลย ช่างเป็นหญิงสาวที่ทะเยอทะยาน และกล้าหาญจริงๆ”


หลังจากการประชุมจบลงจางมัลดงก็ได้พูดกับตัวเองเบาๆ เขาดูเหมือนจะพอใจขึ้นมาเป็นครั้งแรกหลังจากผ่านมานานแล้ว ไม่ว่าใครมองมาก็ชัดเจนมากว่าเขาบอกใจในสิ่งที่เกิดขึ้น


ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆออกมา


“จริงๆแล้วผมกังวลกับการที่เธอแข็งกร้าวเกินไปในการประชุมครั้งแรก”


“อย่าโง่ไปหน่อยเลย”


จางมัลดงได้แค่นเสียงออกมา


“เราไม่ได้กำลังอยู่บ้านนะ ใครก็ถามที่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เธอบอกก็ควรจะออกไปซะเดี๋ยวนี้เลย”


“…”


“จากที่ฉันได้ยินมา เธอไม่ได้พูดอะไรผิดเลย ที่ทุกๆคนไม่พูดอะไรก็เพราะทุกๆคนต่างก็ยอมรับในสิ่งที่เธอพูด และนั่นก็ลืมถึงโชฮงเองด้วย นายก็เห็นแล้วไม่ใช่หรอ?”


“แต่ว่า-“


“แต่? แต่อะไร?”


จางมัลดงได้ขัดเขาอย่างไม่แยแส


“ที่พวกเขาได้มีความสุขอิสระภาพมาจนถึงตอนนี้นั่นก็เพราะพวกเขาทำงานภายใต้ร่มธงของคาเพเดี่ยมที่ซึ่งใช้ชีวิตอยู่กับวันนี้ นายยังคิดจะใช้ชื่อคาเพเดี่ยมต่อไปอีกงั้นหรอ?”


“…ไม่ครับ”


“ใช่แล้ว นายไม่ใช้มัน สำหรับถังไวน์ใหม่ก็ต้องมีการชงไวน์ใหม่ด้วยเช่นกัน แต่ล่ะทีมต่างก็ต้องมีกฎพื้นฐานที่จำเป็นต้องรักษาไว้แต่แรกแล้ว คาเพเดี่ยมน่ะแค่พิเศษเท่านั้นเอง”


เมื่อเห็นว่าซอลจีฮูไม่ได้ขัดขึ้นหรือไม่เห็นด้วย จางมัลดงก็พูดต่อ


“จีฮู การเป็นสมาชิกขององค์กรนั่นมันหมายถึงการต้องใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นสังคมที่สมาชิกต้องมีคุณค่าและความสนใจในสิ่งเดียวกัน”


“ใช่ครับ”


“ในตอนนี้อาจจะมีแค่สิบคนเท่านั้น แต่ว่าจำนวนสมาชิกก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นตามองค์กรที่ขยายขนาดขึ้นไป บางทีจำนวนคนอาจจะเกินสองหลักขึ้นไปสามหลักเลยก็ได้”


จางมัลดงได้มองไปรอบๆสำนักงานเพื่อดูว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ซอลจีฮู


เขาได้ลดเสียงลง และกระซิบออกมา


“เมื่อจำนวนคนเพิ่มขึ้นก็จะมีโอกาสในการแตกหักกันขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ความขัดแย้งมันอาจจะเกิดขึ้นเหมือนกับยี่ซอลอาและโซรา”


ซอลจีฮูเข้าใจในทันทีเมื่อจางมัลดงได้พูดถึงยี่ซอลอากับฟีโซราเป็นตัวอย่าง


“นี่คือข้อจำกัดที่ทำให้นายต้องมีกฎเอาไว้รับมือกับปัญหานี้ นายจะต้องปล่อยให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขสถานการณ์นี้เอง แต่แน่นอนว่านายจะต้องไม่ให้อิสระพวกเขามากเกินไป หากไม่เช่นนั้นองค์กรของนายก็จะกลายเป็นวุ่นวาย ฉันเคยเห็นองค์กรมากมายต้องพังลงเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว”


“…”


“นี่คือเหตุผลที่นายต้องมีกฎข้อบังคับ มันคือพื้นฐานที่จะทำให้ทุกๆอย่างยุติธรรม คุณคิมฮันนาห์ก็รู้เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน”


จากนั้นจางมัลดงก็ถอนหน้ากลับไป และนั่งลงบนโซฟา


“ฉันแค่พูดเพื่อเอาไว้เท่านั้นแหละ อย่าได้ดูถูกเธอเชียวนะ”


“ครับ?”


“อย่างน้อยก็ไม่ใช่สำหรับในตอนนี้ ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนมีความสามารถอย่างเธอถึงมาช่วยเรา…”


จางมัลดงได้ยิ้มแห้งๆออกมา


“แต่ว่าจากสายตาที่เต็มไปด้วยไฟของเธอ ถึงฉันจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าความตั้งใจของเธอเป็นของจริง ภายในใจเธอคงกำลังกัดฟันอยู่แน่”


“…ครับ ผมเข้าใจแล้ว”


ซอลจีฮูค่อยๆพยักหน้าออกมา


หลังจากพาคิมฮันนาห์เข้ามาแล้ว


พวกเขาก็ยังจะต้องผ่านขั้นตอนอันซับซ้อนมากมายเพื่อลงทะเบียนเป็นองค์กรอย่างเป็นทางการ และคิมฮันนาห์ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้เพียงคนเดียวในคาเพเดี่ยม


ผลก็คือนับตั้งแต่วันแรกที่มาถึงฮารามาร์ค เธอก็ต้องเริ่มยุ่งอยู่กับงานหนัก


ซอลจีฮูได้ตามคิมฮันนาห์ไปทั่วเพื่อช่วยให้เธอได้เรียนรู้สิ่งต่างๆเกี่ยวกับพวกเขา ในระหว่างนี้ก็มีสิ่งหนึ่งที่เขาได้รู้ก็คือคิมฮันนาห์จะรักษาตารางเวลาตามปกติไว้ให้ได้ไม่ว่าเธอจะยุ่งแค่ไหน


นับตามนาฬิกา คิมฮันนาห์จะเข้านอนในตอนตี 2 และจะตื่นขึ้นมาในตอน 6 โมงเช้าโดยไม่มีข้อยกเว้น


เธอจะเริ่มต้นด้วยการล่างหน้า และออกกำลังกายเบาๆ จากนั้นหลังจากที่กินอาหารเช้าแล้ว เธอก็จะเริ่มงานทันที


นอกเหนือจากช่วงพักกลางวันกับเย็นสองครั้งสั้นๆแล้ว เธอจะใช้เวลาทั้งหมดของตัวเองไปกับการทำงาน


ซอลจีฮูอดรู้สึกแย่ขึ้นมาไม่ได้เพราะเธอเป็นเหมือนกับพนักงานบริษัทที่ทำงานล่วงเวลาในทุกๆวัน


ผลจากการมุ่งมั่นทำหน้าที่บริหารโดยไม่ยอมเสียเวลาไปแม้แต่นาทีเดียวทำให้คิมฮันนาห์ได้เริ่มแสดงผลลัพธ์ออกมาในเวลาแค่ไม่กี่วัน


ครั้งแรกที่มันเกิดขึ้นเลยก็คือโชฮง มาแชล จิโอเนีย ฟีโซรา และฮิวโก้ต่างก็คายเงิน 55 เหรียญทอง และอัญมณี 120 ก้อนออกมา


ซอลจีฮูได้แต่มองไปที่เหรียญทองที่ถูกส่งมอบให้กับคิมฮันนาห์อย่างเหม่อลอย ทั้งหมดรวมแล้ว 220 เหรียญ และอัญมณี 480 ก้อน… นี่มันเป็นจำนวนที่มหาศาลมากจริงๆ


“…ฉันรู้สึกเหมือนการรับรู้เรื่องเงินของฉันจะแปลกไปแล้วสิ”


“ทำไมล่ะ?”


“เมื่อก่อนไม่ต้องคิดเรื่องเหรียญทองเลย แค่ไม่กี่สิบเหรียญเงินฉันก็คิดว่ามันมากแล้ว…”


การใช้เหรียญเงินไม่กี่สิบเหรียญล่อลวงมาเรียนั่นมันรู้สึกเหมือนกับความฝันเลย


“เอาเถอะนะ ฉันไม่โทษนายหรอก ในตอนนายเปิดกระเป๋าให้ฉันดู ฉันก็แทบจะกรี๊ดออกมาเหมือนกัน”


คิมฮันนาห์ได้พูดออกมาขำๆ


“อ่า จีฮูนายก็ต้องเอา 20% ออกมาจากส่วนแบ่งของนายเหมือนกัน”


“?”


“แค่ได้ 20% มาจากสมาชิกผู้ก่อตั้งก็มากพอสำหรับการเริ่มต้นแล้ว นายไม่จำเป็นต้องแบกรับภาระแค่เพราะนายเป็นหัวหน้าหรอกนะ สิ่งสำคัญมันคือการแยกแยะทรัพย์สินส่วนตัวกับขององค์กรออกจากกัน”


เธอต้องถูกเลี้ยงดูมาในครอบครัวแบบไหนกันนะถึงฉลาดแบบนี้?


ซอลจีฮูได้เตรียมตัวรับมือกับรายจ่ายจำนวนมหาศาลเอาไว้แล้ว เพราะงั้นเขาจึงอดที่จะประหลาดใจไม่ได้เมื่อได้ยินแบบนี้


เขาได้ส่งเหรียญทองออกไป 110 เหรียญทอง และอัญมณี 240 ก้อนอย่างมีความสุข ซึ่งในจำนวนนี้ได้นับรวมส่วนแบ่งของโฟลนด้วย


แต่ว่าเขาก็ได้เหรียญทองคืนมาส่วนหนึ่งเมื่อมาแชล จิโอเนียได้มาขอซื้อหน้าไม้ของเขาอย่างเป้นทางการ


หลังจากเจรจาต่อรองราคากันสักหน่อยแล้ว พวกเขาก็ได้ตั้งราคาเอาไว้ที่ 20 เหรียญทอง แม้ว่าหน้าไม้นี่จะเป็นของชั้นยอดจากงานจัดเลี้ยงที่ซึ่งทำราคาได้ถึง 30 เหรียญทอง แต่ซอลจีฮูก็ให้ส่วนลดพิเศษเนื่องจากว่าพวกเขาเป็นสมาชิกทีมเดียวกัน


แม้ว่าเรื่องเล็กๆน้อยนี่ก็ทำให้มาแชล จิโอเนียรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก


สำหรับซอลจีฮูที่นับว่าหน้าไม้เป็นของขวัญ และไม่ได้คิดจะเอาคืนกลับมาจนกระทั่งคิมฮันนาห์พูดถึง เขาจึงเห็นว่านี่เป็นรายรับที่คาดไม่ถึงเลย


ที่ยิ่งทำให้เขามีความสุขขึ้นไปอีกก็คือนี่นับเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของเขา ไม่ใช่เงินทุนขององค์กร


ในอีกด้านหนึ่งฟีโซราได้ปล่อยเรื่องนี้เอาไว้ก่อน เธอเกือบจะถูกส่วนลดจำนวนมากล่อลวง แต่แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะตัดสินใจซื้อชุดเกราะทั้งตัวบวกกับอาวุธไปด้วย


ในพาราไดซ์แล้วอุปกรณ์ที่เหมาะสำหรับชาวโลกที่เป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงนั้นจะมีราคาที่สูงมากเป็นพิเศษ


ยิ่งในเมื่อมันเป็นอุปกรณ์ที่มาจากงานจัดเลี้ยงด้วยแล้ว ราคาของมันจึงมหาศาลมาจนทำให้ฟีโซราลังเลที่จะซื้อมันทั้งหมดมา


ในท้ายที่สุดฟีโซราก็ได้กลืนน้ำตาคืนอุปกรณ์กลับมา จากนั้นเธอก็ได้ตกลงจะเซ็นต์สัญญาเช่ายืมเป็นระยะเวลาสี่เดือนโดยเริ่มนับจากวันที่คาเพเดี่ยมได้ลงทะเบียนเป็นองค์กรอย่างเป็นทางการ


ระบบขององค์กรได้ค่อยๆเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาจากเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้


***


“เรียบร้อยแล้ว”


คิมฮันนาห์ได้บิดตัวออกมาหลังจากที่วางแผ่นกระดาษเอาไว้บนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ


“ไว้ฉันจะดูอีกครั้งแล้วส่งไปให้นายในวันพรุ่งนี้นะ สิ่งที่นายต้องทำก็มีแค่ส่งมันให้กับราชวงศ์อีวาผ่านทางจดหมาย เขียนชื่อของนายเป็นผู้ส่ง แล้วก็ให้ผู้รับเป็นราชวงศ์ ฉันจะบอกที่อยู่กับนายเอง”


ซอลจีฮูได้ถามออกมาในขณะที่พลิกเอกสานร


“เธอบอกว่านี่เป็นก้าวแรกหรอ?”


“ใช่แล้ว โดยพื้นฐานเรากำลังขอความเห็นจากราชวงศ์อีวา ทีมของเราอยากจะตั้งถิ่นฐานและทำงานให้เมืองของพวกเขา นายคิดว่ายังไงล่ะ? ตอนนี้นายจำสิ่งที่ฉันบอกเกี่ยวกับการตอบสนองของพวกเขาได้ใช่ไหม?”


นี่เป็นคำถามที่กระทันหัน แต่ซอลจีฮูก็ตอบกลับไปในทันทีราวกับรู้อยู่แล้ว


“เอกสารที่เธอส่งคือ…”


“อ่า นายไม่ต้องลงรายละเอียดหรอก แค่เข้าเรื่องไปเลย”


“จดหมายนี่เริ่มต้นจากจักรวรรดิเมื่อ 500 ปีก่อน-“


“เฮ้!”


เมื่อคิมฮันนาห์เปลี่ยน้ำเสียงไป ซอลจีฮูก็หัวเราะออกมา และพูดใหม่


“การตอบสนองของพวกเขาตามปกติแล้วจะมีหนึ่งในสองอย่างนี้ อนุญาตให้พวกเราอยู่อย่างเป็นทางการ หรือนัดพูดคุยกับเรา”


คิมฮันนาห์ได้เดาะลิ้นขึ้น และถอนหายใจออกมา


“อย่าเอาแต่ทำเป็นเล่นจะได้ไหม… ยังไงก็ตามอย่างแรกนั่นคือการปฏิเสธเราอ้อมๆ หากว่าการเข้าไปในอีวาเป็นเรื่องง่ายๆ งั้นคนอื่นก็ทำไปแล้วใช่ไหมล่ะ? เว้นก็แต่ว่านายจะมีประวัติอาชญากรร้ายแรงที่ติดประกาศจับแหละนะ”


“ใช่แล้ว”


“อย่างหลังนั่นหมายความว่าอีวาสนใจแล้ว พวกเขาจะมาหาพวกเรา ซึ่งนั่นคือตอนที่การคัดกรองเริ่มต้นขึ้น”


“พวกเขาจะมาหาเรา? ที่สำนักงานคาเพเดี่ยมหรอ?”


“แล้วจะมีวิธีอื่นที่พวกเขาจะได้เจอเราด้วยตาตัวเองอีกไหมล่ะ? ไม่ว่าเอกสารที่เราส่งไปจะจริงหรือเท็จ พวกเราก็ยังต้องคุยเรื่องกันอีก พวกเขาจะถามว่าทำไมนายถึงออกจากฮารามาร์คไปอีวา เพราะงั้นเตรียมคำตอบเอาไว้ด้วยล่ะ”


คิมฮันนาห์ได้บอกว่าหลังจากขั้นตอนนี้พวกเขาก็จะทำสำเร็จไปแล้ว 80% ก่อนที่เธอจะอธิบายต่อ


“หากว่าการพูดคุยเป็นไปด้วยดี อีวาก็จะยกเรื่องที่ดินขึ้นมาพูด นับจากจุดนี้นายสามารถจะปล่อยให้ฉันจัดการได้”


เพียงหลังจากขั้นตอนทั้งหมดนี้จบลงเท่านั้นพวกเขาถึงจะสามารถใช้ชื่อว่าองค์กรในพาราไดซ์อย่างเป็นทางการได้


ในด้านหนึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้เหมือนกับการขอวีซ่าสำหรับนักเดินทาง ตรวจสอบประวัติและการเงิน ดูว่าพวกเขาจะสามารถมีส่วนพัฒนาและปลอดภัยต่ออีว่าไหม….


“การจัดการเอกสารพวกนี้ต้องมาก่อน บอกไว้ก่อนเลยนะกว่า 80% ได้จบอยู่ที่ขั้นตอนนี้เท่านั้น”


“มากขนาดนั้นเลย?”


“ไม่ว่านายจะเป็นทีมที่มีชื่อเสียงยังไง สุดท้ายก็เป็นแค่ทีมเท่านั้น หากว่าทีมเป็นขนนก ถ้างั้นองค์กรก็คือก้อนหิน


นั่นมันหมายความว่าน้ำหนักของทั้งสองอย่างนั้นต่างกัน


ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา


“พูดตรงๆนะฉันยังสับสนอยู่หน่อย ฉันไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงได้ทำให้กระบวนการซับซ้อนแบบนี้”


“คือเมื่อก่อนมันก็ไม่ได้เป็นแบบนี้หรอกนะ”


คิมฮันนาห์ได้มองมาที่ซอลจีฮูก่อนจะไอแห้งๆออกมา


เธอได้กลืนคำพูดที่ว่า ‘ในตอนที่พาราไดซ์เปิดขึ้นครั้งแรก อาณาจักรยินดีต้อนรับองค์กรใหม่ที่ถูกสร้างขึ้น’


การพูดแบบนั้นมันเหมือนการถ่มน้ำลายใส่หน้าชาวโลกรวมถึงตัวเธอเอง


“นั่นมันก็เพราะว่าพื้นที่ใช้งานของพาราไดซ์ขยายรวดเร็วเกินไป… ถึงนายจะไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไรก็เถอะนะ”


จากสองสามวันก่อนคิมฮันนาห์ได้รู้แล้วว่าถึงซอลจีฮูจะเป็นคนมีชื่อเสียงและความสามารถ แต่หากเป็นความรู้ในเรื่องพาราไดซ์ เขาก็แทบจะไม่มีเลย


“ยกตัวอย่างง่ายๆนะ นายจะได้รับการยอมรับเป็นชาวพาราไดซ์ นายจะไม่ใช่พลเมืองปกติอีก แต่เป็นขุนนาง”


พูดตรงๆคือชาวโลกเป็นคนนอกสำหรับพาราไดซ์ เพราะพวกเขาถูกอัญเชิญมาจากเทพทั้งเจ็ด พวกเขาจึงแทบจะไม่เคยถูกจัดการเลย แต่ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็มีจำนวนและความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น และที่สำคัญที่สุดเลยก็คือชาวโลกจะไม่ได้ถูกกฎหมายของพาราไดซ์ผูกมัด


“การกลายเป็นชาวพาราไดซ์จะทำให้นายได้รับการคุ้มครองจากฎหมาย ถ้านายกลายเป็นขุนนางนายคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกันล่ะ?”


คำตอบนั้นง่ายมาก – กลายเป็นคนใน


ซอลจีฮูได้พึมพำกับตัวเองในใจ แต่ว่าความจริงเรื่องของขุนนางมันเป็นแนวคิดล้าสมัย และว่างเปล่ามากแล้ว


ขุนนางของพาราไดซ์ส่วนใหญ่ได้ตายไปจากสงครามอันยาวนานหรือไม่ก็หลบหนีไปแล้ว พูดตรงๆคือแทบจะไม่มีเหลือในพาราไดซ์ปัจจุบันแล้ว


‘ที่มันกลายเป็นแบบนี้ก็เพราะตระกูลราชวงศ์พยายามจะใช้ชาวโลกเข้าไปแทนที่ขุนนางพวกนั้นหรอ?’


ซอลจีฮูได้มีความคิดนี้ขึ้นมา แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ถามคิมฮันนาห์เพื่อยืนยันในข้อสงสัยของเขา


ไม่ใช่ว่าคิมฮันนาห์จะรู้ไปทุกเรื่องเกี่ยวกับพาราไดซ์ นอกไปจากนี้เขาก็ยังคิดว่าการถามเธอในทุกๆเรื่องมันจะทำให้เขาเกิดนิสัยติดตัวแย่ๆขึ้นมา


การหาคำตอบด้วยตัวเองจะทำให้เขาตอบอยู่ในหัวเขานานกว่า


“ยังไงก็ตามนี่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ว่า… มันก็ไม่มีค่าอะไรให้นายเสียเวลานานหรอกนะ”


คิมฮันนาห์ได้หาวออกมา และลุกขึ้นจากที่นั่ง


“มันไม่ใช่อะไรที่ฉันต้องกังวลเลย ทีมนี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวงที่สามารถจะปกปิดข้อบกพร่องได้ง่ายๆเลย”


“บุญคุญใหญ่หลวง?”


“ใช่แล้ว มันก็เหมือนกุญแจผีนั่นแหละ แล้วทีมนี้ก็มีอยู่ถึงสองคนด้วยนะ”


“อะไรล่ะนั่น?”


เธอได้ใช้มือที่ปิดปากหาวชี้ออกมาที่ซอลจีฮู


“นาย”


จากนั้นก็ชี้ไปที่ประตูถัดไป


“แล้วก็อาจารย์จาง”


***


เช้าวันรุ่งขึ้นซอลจีฮูได้ออกไปจากสำนักงานประมาณเที่ยง


นี่คือการส่งเอกสารที่คิมฮันนาห์ให้กับเขาไปส่งจดหมาย


ยังไงก็ตามเขาก็ต้องหยุดก้าวลงไปก่อนที่จะได้ลงจากบันได


นั่นมันก็เพราะว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่ขอบบันได


“โชฮง?”


“หืม?”


โชฮงได้เอียงหัวกลับมาอย่างประหลาดใจ แต่ไม่นานนักเธอก็เปลี่ยนสีหน้า และพ่นบุหรี่ออกมา


“โอ้ นายจะไปไหนงั้นหรอ?”


“ไปส่งจดหมายน่ะ”


“จดหมาย”


“ใช่แล้ว ฉันจะส่งเอกสารไปให้ราชวงศ์อีวา”


ซอลจีฮูได้ยกซองขึ้นมาและส่ายไปมา


โชฮงได้หยักหน้าเงียบๆก่อนจะยืนขึ้น


เพราะท่าทีของเธอดูบูดบึ้งเล็กน้อยทำให้ซอลจีฮูอดไม่ได้ที่จะถามออกมา


“มีอะไรหรอ? ไม่สมกับเป็นเธอเลยนะ เกิดอะไรขึ้นล่ะ?”


“ไม่… ไม่มีอะไรหรอก…”


โชฮงได้ถูเท้าไปมาจนในท้ายที่สุดก็พึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงเหงาหงอย


“มันก็แค่ว่า… ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคาเพเดี่ยมจะกลายเป็นองค์กร”


“พวกเรายังไม่ได้รับการตอบกลับจากอีวาเลยนะ”


“ฉันรู้ แต่ว่าทั้งชีวิตนี้ฉันไม่เคยคิดอะไรเรื่ององค์กรเลยสักนิด”


โชฮงได้เม้มปากออกมา


“จะว่ายังไงดีล่ะ… ฉันร้อนใจอยู่หน่อยๆล่ะมั้ง”


ซอลจีฮูได้ค่อยๆเดินลงบันไดลงไป และถามออกมา


“เธอคงไม่ได้คิดจะจากไปใช่ไหม?”


โชฮงได้หัวเราะออกมา


“หาา ทำไมฉันต้องออกไปด้วยล่ะ? ฉันเป็นคนที่อยู่ในคาเพเดี่ยมนานที่สุดแล้วนะ นายคิดว่าฉันจะพลาดโอกาสนี้งั้นหรอ?”


หลังจากที่ตะโกนออกมาอย่างร่าเริง เธอก็หันหลังไป


“ไว้เจอกันนะ ฉันว่าจะไปดื่มอะไรสักหน่อย”


แต่ว่าก่อนที่โชฮงจะได้ก้าวออกไป มือของซอลจีฮูก็จับไหล่ของเธอเอาไว้


โชฮงได้ผงะไป


“เธอคิดว่าเธอกำลังจะหนีไปไหนกัน?”


มุมปากของซอลจีฮูได้ยกยิ้มขึ้นมา


“อะ อะไรล่ะ? ฉันก็บอกว่าจะไปบาร์ไง! ปะ ปล่อยนะ!”


โชฮงได้สะบัดตัวไปมา แต่ว่าซอลจีฮูไม่ใช่คนที่จะปล่อยเธอไปง่ายๆ โดยเฉพาะในตอนที่เขามีอะไรที่เหนือกว่าเธอด้วย


“ไอหย๊าาา~ หัวหน้าโชฮง ไปบาร์มันก็ฟังดูดีนะ แต่ว่ามันมีเรื่องต้องทำอยู่ก่อนไม่ใช่หรอ?”


“ระ เรื่องอะไร?”


โชฮงได้ค่อยๆหันหน้ากลับมา


ซอลจีฮูได้ยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้น


“เธออยากจะเรียกว่าพี่ชายหรือสามีดีล่ะ?”


ดวงตาโชฮงได้เริ่มสั่นขึ้นมา เธอดูเหมือนจะกำลังพูดว่า ‘นายยังจำได้อีกหรอ?’


“หรือว่าจะเป็นนายท่านดีล่ะ?”


โชฮงได้กระโดดขึ้นมา


“ไม่ ฉัน-“


“โอ้ เธอทำไมน่ะหรอ?”


“ไม่ ฉันหมายถึง-“


“โอเคๆ ฉันฟังเธอแล้ว เพราะงั้นใจเย็นๆนะ”


“ม่ายยยยยย!”


“เอาเลยสิ”


ใบหน้าของโชฮงได้แดงขึ้น และซอลจีฮูก็หัวเราะออกมาอย่างไม่อาจควบคุม


การที่มีความรู้สึกมากมายเกี่ยวกับคาเพเดี่ยมกลายเป็นองค์กรนั่นอาจจะเป็นข้ออ้าง สิ่งที่เธอกังวลจริงๆน่าจะเป็นเรื่องที่เธอได้พนันกับซอลจีฮูเอาไว้


เธอได้พยายามหาทางออกด้วยข้ออ้างต่างๆมากมาย แต่ว่าการแสดงของเธอนั้นต่างก็ไร้ความหมายต่อหน้าคนขี้แกล้ง


“เธอไม่มีอะไรจะพูดใช่ไหม?”


คอโชฮงได้สั่นขึ้นมา


“เธอสัญญาแล้วนะ คิมฮันนาห์กับพี่สาวยูฮุย เธอบอกว่าหากฉันดึงใครสักคนเข้ามาร่วมทีมได้ เธอก็จะเรียกฉันตามที่ฉันต้องการเลย แถมเธอยังพูดด้วยว่าจะพูดอย่างสุภาพแล้วก็มีมารยาทนะ”


“ฉะ ฉันพูดแบบนั้นไปหรอ?”


ในท้ายที่สุดเธอก็เลือกทำเป็นโง่


ซอลจีฮูได้ร้องโฮ่ออกมา และมองดูโชฮงกำลังพยายามแสร้งเป็นไม่รู้เรื่อง


“นี่เธอจะแกล้งโง่งั้นหรอ?”


“นายหมายความว่ายังไงกัน?”


“โอ้วว แล้วคำปฏิญาณของนักบวชมันไม่มีความหมายอะไรเลยสินะ?”


เสียง ‘กึก!’ ได้ดังออกมา


“เดี๋ยวก่อนนะพวก ฉันจำได้แล้วว่าฉันเคยพูด แต่ไม่ใช่ว่าฉันบอกว่าต้องดึงตัวทั้งสองคนมาหรอกหรอ”


“ไม่ใช่”


“ไม่ ไม่ ฉันจำได้ชัดๆว่าฉันบอกว่าทั้งสองคน”


“โอ้~นี่เธอกำลังจะสร้างเรื่องบิดเบือนความจริงเพื่อเอาชนะงั้นหรอ? เธออยากไปยืนยันเรื่องนี้ที่วิหารอินวิเดียไหมล่ะ?”


โชฮงได้เม้มปากและขมวดคิ้วขึ้นมา


เธอได้สาบานด้วยพลังของเธอในฐานะนักบวชโดยมีอินวิเดียเป็นพยาน หากว่าซอลจีฮูยังคงซักไซ้เรื่องนี้ไม่หยุด เธอก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว


‘เวรเอ้ย… ทำไมฉันถึงพูดแบบนั้นออกไปนะ?’


เธอจำได้ว่าดีแลนด์เคยแนะนำเธอว่าให้คิดสามครั้งก่อนจะพูดอะไรออกไป


เมื่อเห็นโชฮงกำลังจะร้องไห้ออกมา ซอลจีฮูก็หัวเราะขึ้น


หลังจากแกล้งเธอจนแก้เบื่อพอแล้ว สำหรับวันนี้เขาก็เลือกจะพอแค่นี้ก่อน ด้วยวิธีนี้เขาจะได้หาอะไรมาเล่นได้อีกในตอนอื่น


“หืมม… บางทีเธออาจจะพูดว่าทั้งคู่ก็ได้นะ”


เมื่อเขาเอียงหัวพร้อมกับลูบคางออกมา สีหน้าของโชฮงก็สดใสขึ้นทันที


“ชะ ใช่แล้ว! ฉันจำได้ว่าฉันบอกว่าทั้งคู่!”


“ไม่รู้สิ… เอาเถอะๆ ไว้เราไปเช็คให้มั่นใจที่วิหารก็ได้นี่นา อยากจะไปไหมล่ะ?”


“อ่า เฮ้ ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ อย่าทำตัวจุกจิกไปเลย”


โชฮงได้พยายามหยุดเขาเอาไว้ด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกที่หาได้ยาก


ซอลจีฮูได้ยักไหล่ออกมา


“โอเค งั้นเธอก็บอกว่าทั้งคู่งั้นสิ?”


“ใช่แล้ว”


“ก็ได้ เอาเถอะนะ งั้นในตอนที่ฉันดึงตัวพี่สาวยูฮุยเข้าทีมได้ เธอก็จะไม่คัดค้านอะไรแล้วใช่ไหม?”


โชฮงได้พยักหน้ารัวๆ


“แน่นอนสิ! ฉันจะไม่เถียงนายเลย ถ้าฉันกลับคำนะ ฉันมันก็คงเป็นยัยสารเลวจริงๆนั่นแหละ พูดเลยนะว่าถ้าฉันกลับคำมันก็หมาดีๆนี่เอง ฉันพูดจริงๆนะ!”


“โฮ่”


ซอลจีฮูได้แอบหัวเราะภายในใจขึ้นมา


“ฉันไม่รู้สิ… ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนกับว่าเธอกำลังแก้ตัวเลยนะ…”


“ป่าวนะ โอเค ถ้างั้นเอาแบบนี้แล้วกัน คราวนี้เรามาเซ็นต์สัญญากันเลยดีกว่านะ”


เธอได้รีบวิ่งออกไปหยิบปากกากับกระดาษมาเริ่มเขียนสัญญาขึ้นในทันที


“ฉัน โชฮง… หากว่าซอลจีฮูดึงตัวคิมฮันนาห์กับซอยูฮุยมาได้สำเร็จ… จะทำสิ่งที่เขาต้องการ… สาบานกับเทพธิดาอินวิเดีย…”


“อย่าได้ลืมส่วนที่ว่าเธอเป็นสุนัขด้วยนะ”


“ได้เลยๆ”


เธอกระทั่งปั้มลายนิ้วมือลงไปอีกด้วย


“นี่ โอเคแล้วล่ะ รับไปสิ รับไปเลยไอ้สารเลวเอ้ย”


โชฮงได้ยื่นสัญญาออกมาพร้อมกับบ่นด้วยสีหน้าโล่งใจ


“นายจะไม่พูดอะไรที่หลังแล้วนะ?”


ซอลจีฮูได้ยิ้มขึ้น และรับสัญญามา


“นี่เธอไม่ชอบมันขนาดนั้นเลย?”


“ฉันไม่เห็นรู้เลยว่านายกำลังพูดเรื่องอะไร ยังไงก็เถอะเงื่อนไขสัญญาถือเป็นอันสิ้นสุดแล้วนะ”


“ว้าว นี่เธอเอาความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไปทิ้งไวไหนกันนะ?”


“ช่างหัวความรู้สึกผิดชอบชั่วดีสิ! รับไปซะ!”


“ก็ได้ๆ”


เมื่อซอลจีฮูได้รับสัญญาไปอย่างไม่เต็มไป โชฮงก็ตะโกนขึ้นอย่างดีใจ


หากว่าพวกเขาไปวิหารกันเธอก็คงจะไม่มีทางออกแล้ว แต่ว่าในท้ายที่สุดเธอก็พลิกสถานการณ์กลับมาได้แล้ว


จะไม่ให้เธอมีความสุขได้ยังไงกัน?


จริงๆแล้วโชฮงได้ทำการคำนวณบางอย่างเพื่อดึงเอาผลลัพธ์นี้ออกมา


การที่คิมฮันนาห์เข้าร่วมคาเพเดี่ยมก็มากพออยู่แล้ว แต่ว่ามันก็ยังพอจะเป็นไปได้เพราะซอลจีฮูรู้จักกับคิมฮันนาห์อยู่แล้วในฐานะผู้เชิญกับผู้ถูกเชิญ


แต่ว่าการดึงตัวคนที่เหลืออยู่อีกคนให้สำเร็จมันเป็นไปไม่ได้เลยจริงๆ


ความเป็นไปได้มันคือศูนย์


ซอยูฮุยคือใครกันล่ะ?


ตำนานแห่งพาราไดซ์!


ชาวโลกได้รู้จักเธอในนามกำแพงเหล็กผู้ที่ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมองค์กรมาตลอด แล้วนี่เธอจะมาเข้าคาเพเดี่ยมอันซอมซ่องั้นหรองั้นหรอ?


เพราะโชฮงรู้เรื่องนี้ เธอจึงสบายใจขึ้นมาได้ในทันที


“ฮ่าฮ่า นายนี่มันไอ้ตัวแสบจริงๆเลย นายอยากจะให้พี่สาวคนนี้เรียกนายว่าพี่ชายขนาดนั้นเลย? หึ ฝันไปเถอะ!”


“อ๊าาา เธอคงอยู่ความฝันแน่ๆเลย”


เมื่อเห็นซอลจีฮูสายหัวออกมา โชฮงก็หัวเราะเยาะเย้ย


***


อีกด้านหนึ่งในเวลาเดียวกัน


อาคารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับที่ทั้งคู่ทะเลาะกันก็ยังดูเงียบสงบจากภายนอก แต่ว่าภายในนั้นเต็มได้ด้วยความวุ่นวาย


นั่นก็เพราะว่าเจ้าของกำลังเตรียมการย้ายอยู่


“อ่า ในที่สุดก็เสร็จแล้ว”


เมื่อนักบวชทิ้งตัวลงนั่ง ซอยูฮุยก็ปรบมือเข้าด้วยกันและยิ้มออกมา


“ขอบคุณนะ ฉันรู้สึกผิดจริงๆที่ขอให้เธอมาช่วยอีกแล้ว”


“ไม่หรอก อืมม ฉันก็ช่วยได้อยู่หรอก แต่ว่า…”


นักบวชได้มองมาที่ซอยูฮุยอย่างไม่พอใจ


“แต่นี่พี่สาวจะทำถึงขนาดนี้เลย? พี่สาวเพิ่งจะย้ายมาฮารามาร์คได้ไม่นาน แล้วนี่ก็จะย้ายออกไปอีกแล้วหรอ? แถมคราวนี้เป็นที่อีวาอีกด้วยหรอ?”


“ขอโทษนะ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าลูกของฉันจะย้ายไปที่อีวา”


“ชิ”


นักบวชได้ถอนหายใจยาวออกมาก่อนที่จะมองไปทางถุงที่บรรจุของเอาไว้เต็มด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า


“ถ้าเขาย้ายอีก พี่จะไม่ตามเขาครั้งแล้วครั้งเล่าเลยหรอ?”


“ก็ใช่แหละ แต่ว่านับจากนี้ไปฉันจะไม่เรียกเธอเรื่องการขนของอีกแล้ว”


นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?


เมื่อนักบวชได้มองไปที่ซอยูฮุย เธอก็ได้เอียงหัวเล็กน้อย และรวบมือไว้ที่แก้มของเธอ


“คือ เอ่อ… เด็กคนนั้น…”


กรี๊ดดด


เธอได้หลับตาลง และกรีดร้องออกมาเบาๆเหมือนกับเด็กสาวที่ในที่สุดก็ได้เจอกับอัศวินในชุดเกราะรูปงาน


“เขาบอกว่าเขาอยากจะปกป้องฉันล่ะ~”


ติ๋ง! หยดน้ำลายได้ไหลออกมาจากปากของนักบวชที่อ้ากว้างด้วยความมึนงง


บทที่ 233 – สายใยที่ถักทอเข้าด้วยกัน (2)


ในคืนนั้นได้มีการจัดปาร์ตี้เล็กๆขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองให้กับคิมฮันนาห์ที่เข้ามาร่วมทีม


“ฉันจ่ายเอง เพราะงั้นเอาให้เต็มที่เลย”


โชฮงได้ยกแก้วขึ้นพูดออกมา


เธอที่คิดว่าได้รอดพ้นจากเงื้อมมือปีศาจของซอลจีฮูแล้วได้วางแผนจัดงานนี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง


สมาชิกคนอื่นๆต่างก็ส่งเสียงเชียร์ออกมาอย่างยินดี


ไม่ว่าคนเราจะร่ำรวยยังไง แต่ของฟรีนั่นคือสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว


ทุกๆคนต่างก็กินดื่มอย่างบ้าคลั่งจนกระทั่งจบงานเลี้ยง


น่าแปลกที่คิมฮันนาห์ไม่ได้ปฏิเสธในความหวังดีของโชฮงเลย


ไม่สิ ไม่ใช่แค่ไม่ปฏิเสธเท่านั้น แต่เธอยังได้เข้าร่วมงานจัดเลี้ยงอย่างสนุกสนานไปพร้อมทุกๆคน ท่าทีที่เป็นทางการของเธอได้หายไปอย่างสิ้นเชิง


“คาดไม่ถึงเลยนะ ฉันคิดว่าเธอจะไม่ชอบงานเลี้ยงแบบนี้ซะอีก”


เมื่อซอลจีฮูยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด คิมฮันนาห์ที่จมูกแดงแล้วก็ลดแก้วออกจากปาก


“บริษัทก็คือการทำงานร่วมกัน ในเมื่อพวกเขาจัดงานเลี้ยงเพื่อให้ฉัน แล้วหากฉันไม่ร่วมงานเลี้ยงพวกเขาจะคิดยังไงกันล่ะ?”


คิมฮันนาห์ได้พูดว่าการเข้าร่วมงานเลี้ยงแบบนี้ก็เป็นส่วนสำคัญในการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนร่วมงาน


ในแง่มุมนี้ได้แสดงให้เห็นแบบว่าเธอได้กลายเป็นหัวหน้าคุมงานของบริษัทอย่างซินยองได้ยังไงกันในเมื่อเธอยังอายุไม่ถึง 30 ปีด้วยซ้ำไป


จากนั้นเอง


ขณะที่บรรยากาศกำลังเป็นไปด้วยดี จู่ๆก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาเบาๆ


ด้วยเสียงโห่ร้องจากงานจัดเลี้ยงทำให้แทบไม่มีใครได้ยินเสียงเคาะประตูนี้ จะมีก็แต่ฟีโซราที่อยู่ใกล้ประตูเท่านั้นที่ได้ยิน


“ดูเหมือนจะมีคนมานะ ใครล่ะ? เข้ามาสิ”


เสียงประตูเปิดได้ดังขึ้น และหญิงสาวงดงามก็ได้โผล่ออกมา


ดวงตาของทุกๆคนได้เบิกกว้างขึ้น


นั่นก็เพราะซอยูฮุยกำลังยืนอยู่พร้อมแบกกระเป๋าอยู่บนหลัง แถมยังมีถุงใส่ของอยู่เต็มมือไปหมดอีกด้วย


ซอยูฮุยได้ค่อยๆเดินมาก่อนที่จะมองดูงานเลี้ยงด้วยสายตาประหลาดใจ


“เอ่อ… สวัสดีค่ะ”


จางมัลดงได้กลายเป็นสับสนจนลืมเคี้ยวแพนเค้กในปาก


ความสนใจนี้อาจจะทำให้ซอยูฮุยอายขึ้นมาจนหน้าเธอแดงขึ้น เธอได้ค่อยๆวางสัมภาระลงไป และพูดขึ้น


“อืมม… คือจีฮูบอกให้ฉันมา…”


เมื่อได้ยินแบบนี้พวกเขาก็มองสลับไปมาระหว่างสองคน ก่อนจะพยักหน้าออกมา


มันไม่ใช่ว่าทีมพวกเขาไม่ได้ไม่รู้จักเธอเลย ด้วยนิสัยของซอลจีฮูแล้ว มันก็เป็นไปได้ที่ซอลจีฮูจะชวนเธอมางานเลี้ยงด้วย


แต่ทำไมเธอถึงแบกสัมภาระพวกนั้นมาด้วยล่ะ?


เธอเอาอาหารมาด้วยหรอ?


ในตอนนั้นเองซอลจีฮูที่เป็นคนเสนอให้เธอเข้าร่วมคาเพเดี่ยมก็ได้ลุกขึ้นยืน


“พี่สาวหมายความว่า…!”


ซอยูฮุยได้ยิ้มอ่อนๆออกมาพร้อมทั้งรวบผมไปไว้ข้างหู


“ใช่แล้ว…”


คำพูดต่อมาของเธอได้ทำให้เกิดความตกตะลึงครั้งใหญ่


“ฉันได้ไปคิดมาดีแล้ว… ฉันตัดสินใจว่าจะพึ่งคาเพเดี่ยมสักหน่อย…”


ความเงียบได้เข้าปกคลุมสำนักงานในทันที


“พรืดดดด!”


ต่อมาคิมฮันนาห์ได้ถึงกับพ่นเครื่องดื่มออกมา และมาแชล จิโอเนียก็สะอึกไป แพนเค้กในปากของจางมัลดงก็หล่นลงไปกับพื้น


“ยินดีต้อนรับครับ!”


จะมีก็แต่ซอลจีฮูที่วิ่งออกไปอ้าแขนต้อนรับเธอ


“เข้ามาสิครับ อ๊าา โอเคเลย พี่สาวมาได้ถูกเวลาพอดีเลย”


เมื่อเขาได้นำทางและถือกระเป๋าให้เธอ เธอก็ค่อยๆเดินเข้ามาอย่างสุภาพ


เพียงเท่านี้งานเลี้ยงต้อนรับคิมฮันนาห์ก็ได้กลายเป็นการแนะนำตัวของซอยูฮุยไปแทน


หลังจากได้เผชิญหน้ากับความตกตะลึงครั้งใหญ่ สมาชิกคนอื่นๆของคาเพเดี่ยมก็พอจะยอมรับความจริงตรงหน้ากันได้บ้างแล้ว


“ไม่มีทาง… นี่คุณจะเข้าร่วมกับพวกเราจริงๆหรอ?”


“นี่มันบ้าไปแล้ว ฉันโชคดีจริงๆเลยที่เข้าทีมนี้มา การมีบุตรแห่งลูซูเรียอยู่ด้วย ทีมๆนี้จะต้องมีอนาคตอันสดใสรออยู่อย่างแน่นอน”


โชฮงได้พึมพำออกมาด้วยความสับสน ในขณะที่ฟีโซราหัวเราะออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ


ขณะที่เห็นแต่ล่ะคนพึมพำกับตัวเอง ซอลจีฮูก็ได้รีบพูดขึ้นเพื่อชี้แจงสถานการณ์ใหม่


“ไม่หรอก มันไม่ใช่แบบนั้น”


เขาจะต้องอธิบายทุกอย่างตั้งแต่ตอนเพื่อที่จะได้ไม่มีความเข้าใจผิดกันทีหลัง


“พี่สาวยูฮุยจะไม่เข้าร่วมงานใดๆภายนอกของคาเพเดี่ยม พี่สาวยูฮุยจะแค่ตั้งใจอยู่กับการฟื้นตัว และผมจะช่วยพี่สาวให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้เท่านั้น นี่แหละคือเงื่อนไขที่พี่สาวยูฮุยเข้าร่วมกับพวกเรา”


ซอยูฮุยได้พยักหน้าออกมาเมื่อคนอื่นๆได้มองมาที่เธอเพื่อยืนยันให้มั่นใจ


“…ใช่แล้ว”


นี่เป็นการเผยความลับเรื่องความสามารถส่วนใหญ่ในฐานะนักบวชของซอยูฮุยได้หายไป พูดง่ายๆก็คือในปัจจุบันเธอแบกรับหนี้ก้อนใช้ที่ต้องชดใช้จากการที่เธอได้ฝืนดึงเอาพลังศักดิ์สิทธิ์ในอนาคตออกมาใช้


แม้ว่าเธอจะฟื้นตัวมาได้เล็กน้อยจากการภาวนาและเครื่องรางที่ซอลจีฮูให้ไป แต่ว่าเธอก็ยังห่างไกลเกินกว่าที่จะหายดี


ข้อจำกัดความสามารถของเธออาจจะสามารถค่อยๆฟื้นตัวกลับมาเองได้ แต่ว่าความจริงที่เธอเป็นหนี้อยู่ก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง


และในทุกๆครั้งที่เธอใช้เวทย์ก็มีแต่จะเพิ่มหนี้มาขึ้นเท่านั้น


ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือการไม่ให้เธอใช้ความสามารถจนกว่าเธอจะชดใช้หนี้พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ยืมมาได้หมด


“สิ่งที่จีฮูพูดยังคงฝังอยู่ในใจของฉัน… เพราะงั้นฉันก็เลยตัดสินใจมาอย่างหน้าไม่อาย ฉันจะพยายามไม่รบกวนทุกๆคนนะคะ ฝากตัวด้วยค่ะ”


ซอยูฮุยได้โค้งให้กับทุกๆคนด้วยสีหน้าขอโทษ


บนใบหน้าของแต่ล่ะคนต่างก็มีร่องรอยความผิดหวังปรากฏขึ้นมา แต่ว่าก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาโดยไม่ระวัง


พวกเขารู้ว่าเธอเสียพลังไปก็เพราะซอลจีฮูผู้เป็นหัวหน้าของพวกเขา เพราะงั้นพวกเขายังจะพูดอะไรได้อีกล่ะ?


นอกไปจากนี้มันก็ชัดเจนว่าหากพูดออกไปอย่างคำว่า ‘อ่อ~ งั้นเธอก็มาอยู่เฉยๆสินะ’ มันก็มีแต่จะทำให้จางมัลดงตะโกนขึ้น และซอลจีฮูไม่พอใจพวกเขาเท่านั้น


จางมัลดงได้รีบลุกขึ้นตามมาทันที


“ยินดีต้อนรับนะ! โอ้ ขอบคุณมากนะที่มา คิดดซะว่าที่นี่เป็นบ้านของคุณก็แล้วกันนะ จีฮู ทำได้ดีมาก!”


จางมัลดงได้แสดงสีหน้าคึกครื้นขึ้นมาต่างไปจากปกติ


ไม่ว่าซอยูฮุยจะมาเข้าร่วมอย่างเป็นทางการหรือเข้ามาอยู่เฉยๆ แต่แค่การมาของเธอก็ทำให้จางมัลดงต้องตกตะลึงมากแล้ว


นอกไปจากนี้คาเพเดี่ยมก็ไม่ได้จะเสียเปรียบอะไรต่อให้ซอยูฮุยจะไม่ทำอะไรเลยจริงๆ ถึงพลังของเธอจะถูกผนึกอยู่ แต่ชื่อ ‘ซอยูฮุย’ ก็เป็นสัญลักษณ์ในพาราไดซ์ที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้อยู่ดี


แม้ว่าเธอจะเคยทำงานในทีมที่เธอตั้งขึ้นมาชั่วคราว แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่บุตรแห่งลูซูเรียได้เลือกเข้าสังกัดทีม


แค่ข้อจริงเพียงข้อเดียวนี้ก็มากพอจะดึงความสนใจจากสาธารณะชนกันแล้ว และพวกเขาก็จะได้รับผลประโยชน์ที่ยากจะประเมินด้วยเช่นกัน


ยกตัวอย่างเช่น…


“…เฮ้”


คิมฮันนาห์ได้เรียกซอลจีฮูด้วยรอยยิ้มมีความสุข


“นี่นายส่งเอกสารไปหรือยังล่ะ?”


ซอลจีฮูร้อง “อ่า” ออกมาทันที


เขาวางแผนไว้ว่าจะเอาไปส่งตอนเช้า แต่หลังจากแก้โชฮงแล้ว เขาก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย


“ฉันลืม…”


ซอลจีฮูได้หยิบเอาซองเอกสารออกมาจากกระเป๋า และมองไปที่คิมฮันนาห์ เขาคิดว่าเธอจะตะโกนใส่เขาในทันที…


“ดีมาก!”


แต่น่าแปลกที่เธอกลับชมเขาก่อนที่จะดึงซองเอกสารไปจากมือเขา


“กุญแจผี! นายมีกุญแจผีอยู่ตั้งสามอัน!”


เธอได้พูดในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจออกมา ก่อนที่จะลุกขึ้นจากที่นั่ง


ซอลจีฮูได้แต่มองดูคิมฮันนาห์วิ่งออกไปจากห้องอย่างสับสน


ในเวลาเดียวกัน…


“อ่า… ไม่นะ.. เวรเอ้ย ทำไมกัน…”


โชฮงได้ยกมือก่ายหน้าผากด้วยความสิ้นหวัง


***


“มากินข้าวกัน”


ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ซอยูฮุยได้ปลุกทุกๆคนด้วยน้ำเสียงใจดี


แต่ว่าเธอก็ได้ยิ้มแห้งๆในเวลาต่อมาเนื่องจากว่าเธอรู้สึกว่ามีคนแอบมองเธออยู่อย่างลับๆ


แม้ว่าจะผ่านไปวันหนึ่งแล้ว แต่ตวามตกตะลึงของเมื่อวานก็ยังไม่ได้จางหายไปจนหมด


นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา


สิ่งที่เกิดขึ้นนี้มันก็เหมือนกับดาราดังระดับโลกได้เข้ามาอยู่ในครอบครัวชนชั้นกลางธรรมดาๆ


ซอลจีฮูที่้เป็นคนชวนเธอเข้ามากำลังนั่งมองซอยูฮุยด้วยรอยยิ้ม


ซอยูฮุยที่รู้สึกได้ถึงสายตาของเจาจึงหันกลับมาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน


“ทำไมถึงยิ้มแบบนั้นล่ะจีฮู?”


“ไม่มีอะไรครับ”


“หืมม?”


“ก็แค่ผมชอบแบบนี้”


ซอลจีฮูตอบกลับพร้อมมองไปมา แม้กระทั่งขาของเขาก็ยังแกว่งไปมา มันชัดเจนมากว่าตอนนี้เขากำลังเต็มไปด้วยความสุข


“ทำไมนายถึงมีความสุขแบบนี้ล่ะ?”


ซอยูฮุยได้หัวเราะ และบีบแก้มซอลจีฮูเบาๆ


“ไปกินข้าวเถอะ รีบกินก่อนมันจะเย็นนะ”


“โอเคครับ”


“ตอนเที่ยงนายอยากจะกินอะไรล่ะ? ฉันทำได้หมดเลยนะ ขอแค่บอกมาก็พอ”


“ไม่ครับ”


ทันใดนั้นซอลจีฮูก็จับมือซอยูฮุยเอาไว้


“พี่สาวไม่ใช่แม่ครัว ผมไม่ได้ชวนพี่สาวเข้าทีมให้มาทำอาหารให้เรานะครับ”


ซอลจีฮูได้มองไปที่เธอ และพูดออกมาด้วยสายตาครุ่นคิด


“พี่สาวไม่ต้องกังวลอะไรเลยนะตอนที่อยู่ที่นี่ แล้วก็หากต้องการอะไรก็แค่บอกผมมา”


“โอ้ จริงหรอ? ดีจังเลยนะที่ได้ยินแบบนี้”


“แน่นอนสิครับ!”


ซอลจีฮูไม่ได้แค่พูดให้ดูเท่เท่านั้น


ระดับความนึกคิดส่วนที่สามของเขาคือบัญญัติทองคำ


ซอลจีฮูจะตอบแทนน้ำใจที่เธอมอบให้เขากลับคืนไป


ใช่แล้ว นี่คือความตั้งใจดีของเขา… แต่ปัญหานั่นก็คือวิธีการ


“ถ้าพี่สาวต้องการต่อให้เป็นดวงดาวหรือดวงจันทร์บนท้องฟ้าผมก็จะเอามาให้ได้ นับจากนี้ไปผมจะไม่ปล่อยให้มือพี่สาวต้องสกปรกเลย “


ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของซอยูฮุยได้กลายเป็นผงะไป


“ดะ ได้เลย ฉันดีใจมากเลยนะที่นายทำให้ฉันถึงขนาดนี้”


“จริงๆนะครับ ผมพูดจริงๆ”


“งะ งั้นสินะ แต่ว่านะจีฮู นายรู้ไหมว่านั่นมันหมายความว่ายังไง…?”


“แน่นอนสิว่าผมรู้ ผมจะไม่ปล่อยให้มีใครมาแตะต้องตัวพี่สาวได้แม้แต่ปลายนิ้ว แม้กระทั่งราชินีปรสิตก็ไม่มีวัน”


เมื่อซอลจีฮูเผยความตั้งใจออกมาตรงๆ ซอยูฮุยก็ได้มองเขาในมุมใหม่ เธอได้ยิ้มออกมาจากความสุขและความรู้สึกที่เธอไม่คุ้นเคย


‘พระเจ้า…’


“จีฮู”


“ครับ?”


“มานี่สิ”


ในท้ายที่สุดซอยูฮุยก็ทนไม่ไหว และกอดซอลจีฮูเอาไว้”


“นาบเป็นคนที่แล้วก็จริงใจ… ช่างน่าอายจริงๆเลย!”


เธอได้ถูแก้มกับหัวของซอลจีฮูด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข


ซอลจีฮูก็มีความสุขเหมือนกันแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าต้องอายอะไรก็ตาม


จากนั้นเอง


แกร๊ก คิมฮันนาห์ที่กลับมาหลังจากออกกำลังกายยามเช้าได้ตัวแข็งทื่อทันทีที่เข้ามาในสำนักงาน


“…อะไรเนี้ย?”


ซอยูุยกำลังโอ๋ซอลจีฮู


เขาได้รับการดูแลเหมือนราชาทั้งๆที่ยังไม่มีอะไรเลย


ลมเย็นๆได้พัดเข้ามาตามซอกประตูจนทำให้ตัวเธอหนาวขึ้นมา


“นี่พวกนายกำลังทำอะไรกันอยู่…”


เธอได้พึมพำออกมาราวกับกำลังพูดกับตัวเอง ก่อนจะแค่นเสียง และเดินผ่านพวกเขาไป


บอกไว้ก่อนเลยว่าคิมฮันนาห์คือสาวโสดอายุ 28 ปีที่ไม่เคยมีประสบการณ์การออกเดทมาก่อนเลย


ด้วยเหตุผลบางอย่างจู่ๆเธอก็นึกถึงแม่ของเธอที่เอาแต่ถามเธอว่าเมื่อไหร่เธอจะแต่งงาน เพราะน้องสาวของเธอได้แต่งงานกับผู้ชายที่ดีไปแล้ว


ในวันนี้ความคับข้องใจของคิมฮันนาห์ได้ยิ่งเพิ่มมากขึ้นอีก


***


หลังจากส่งเอกสารใหม่ไป การตอบกลับก็ได้ถูกส่งกลับมาหลังจากผ่านไปสิบวันพอดี


ผู้ส่งเป็นผู้ดูแลราชวงศ์อีวา ซอกกูนีร์


ซอลจีฮูได้ค่อยๆแกะซองเอกสารออกมาเหมือนกับนักเรียนกำลังเปิดผลคะแนนสอบเข้า


จดหมายนี้ได้ถูกเขียนด้วยลายมืออย่างสละสลวยงดงาม แม้ว่าเนื้อหาภายในจะค่อนข้างยาย แต่สรุปแล้วก็คือการตอบว่า ‘ใช่’


พร้อมด้วยคำว่า ‘ยินดีต้อนรับสู่อีวา’ แถมยังมีข้อความแสดงถึงความต้องการอยากจะเจอกับคาเพเดี่ยมเป็นการส่วนตัวอีกด้วย พวกเขาได้สอบถามกระทั่งเวลาเหมาะที่สุดที่พวกเขาจะมาเยี่ยมชมอีกด้วย


ซอลจีฮูได้กำหมัดออกมา


ตามปกติแล้วจะต้องมีการส่งจดหมายตอบกลับกันอยู่หลายฉบับก่อนที่จะมีการนัดแนะเวลาพบเจอกัน เพราะงั้นคิมฮันนาห์จึงประหลาดใจกับการที่พวกเขาได้รับคำตอบแบบนี้ในครั้งแรก


มันชัดเจนมากว่าอีวาก็สนใจในการเคลื่อนไหวของพวกเขา


เนื่องจากว่าในความคิดของเขามันไม่ใช่เรื่องแย่เลย เขาจึงคัดลอกข้อความของคิมฮันนาห์ตอบกลับไป


เนื้อหาสาระสำคัญก็คือพวกเขาสามารถจะมาเยี่ยมพวกเขาได้ตามต้องการ


และไม่กี่วันต่อมาก็ได้มีเรื่องที่ยิ่งน่าตกตะลึงเกิดขึ้น


อีวาได้ตอบกลับมาโดยบอกไว้ว่าจะมาเยี่ยมโดยเร็วที่สุด ซอกกูนีรี์เป็นคนกล่าวว่าจะมาด้วยตัวเอง


ผู้ดูแลราชของทางวงศ์ที่ดูแลทั้งพระราชวังอีวาได้เผยความตั้งใจที่จะมาเยี่ยมของเขาออกมา


“ว้าว… ตามปกติแล้ว แม้ว่าจะถึงขั้นตอนการซื้อที่ดินแล้ว นายก็จะมีโอกาสเจอกับผู้ดูแลราชวงศ์แค่เล็กน้อยเองนะ…”


คิมฮันนาห์ได้เน้นย้ำว่าผู้ดูแลของราชวงศ์คือเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ปกติแล้วจะเพียงแค่รับรายงานจากลูกน้องเขาเท่านั้น จากนั้นเธอก็ได้อ่านจดหมายซ้ำแล้วซ้ำเล่า


“กุญแจผี”


ในท้ายที่สุดเธอก็ชูมือตะโกนออกมา


ซอลจีฮูได้หัวเราะขึ้นในใจ


***


รุ่งเช้าของวันนัดพบได้มาถึงแล้ว


ในวันนี้สมาชิกคาเพเดี่ยมทุกๆคนมีงานยุ่งกันหมด พวกเขาได้ทำความสะอาดทุกๆซอกมุมของสำนักงาย ระบายกลิ่นแอลกอฮอล์ และซ่อมแซรอยผุพังตามกาลเวลา


พวกเขาได้ทำทุกๆอย่างเพื่อที่จะทำให้ที่นี่สะอาดและดูเป็นมืออาชีพ


และเพื่อความปลอดภัยซอลจีฮูได้เริ่มการเตรียมสอบครั้งสุดท้ายในระหว่างที่คิมฮันนาห์ออกไปต้อนรับผู้ดูแลของราชวงศ์อีวา


“เฮ้ เจ้าไข่”


เขาได้เรียกไข่ก้อนกลมๆที่กำลังกินข้าวอยู่ ไข่ได้หยุดชะงัก และหันหลังกลับมา 45 องศา


“วันนี้พวกเรามีแขกคนสำคัญมา เพราะงั้นช่วยอยู่เงียบๆหน่อยนะ ยังไงงานของนายก็คือกินจนอิ่มแล้วก็นอนหลับไปใช่ไหมล่ะ?”


ซอลจีฮูได้ขอร้องออกมาอย่างจริงจังพร้อมทั้งหยิบเมล็ดข้าวที่ติดอยู่บนผิวไข่


ไข่ได้หันกลับไปกินต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“เฮ้ อย่างน้อยก็ตอบฉันหน่อยสิ… อ่า นายไม่มีปากนี้นา”


ซอลจีฮูได้ถอนหายใจ และจิ้มไข่ที่กำลังยุ่งอยู่กับการกลิ่น


ไข่ได้ผงะไป และเด้งตัวขึ้นมาอยางไม่พอใจ


“โอ้ นี่คงเป็นวิธีตอบเขาของนายสินะ”


ซอลจีฮูได้พูดออกมาราวกับเขาคิดอะไรดีๆออก


“โอเค ถ้าใช้ก็เด้งหนึ่งครั้ง ถ้าไม่ใช่ก็เด้งห้าพันครั้งแล้วกันนะ”


“เด้ง…!?


ไข่ได้ชะงักไปในระหว่างที่กำลังเด้งอยู่


“ไอ้เจ้านี่ นายจะตอบว่าไม่ไม่ใช่หรอกหรอ?”


หลังจากจั๊กจี้บนผิวไข่แล้ว ซอลจีฮูก็รวบมือเข้าด้วยกัน และขอร้องออกมา


“ยังไงก็ขอเถอะนะ! ถ้าจู่ๆนายเด้งไปรอบห้อง พวกเขาได้ตกใจตายแน่เลย”


ไข่ได้หันไปด้านข้างราวกับว่ามันกำลังไม่พอใจ


จากนั้นมันก็กลับไปกินต่อ


“อย่าลืมที่ฉันบอกไปนะ! ถ้านายเอาแต่ใจ ถ้างั้นฉันจะเอานายไปทำเป็นไข่ดาวเลย”


หลังจากข่มขู่อย่างรุนแรงแล้ว ซอลจีฮูก็กลับไปนั่งบนโซฟา และรอให้คิมฮันนาห์กลับมาพร้อมกับคนที่เหลือ


และเมื่อผ่านไปประมาณ 10 นาที ประตูก็เปิดขึ้นพร้อมเสียงพูดคุย


“ค่อนข้างจะโทรมหน่อยนะคะ แต่เชิญเลยค่ะ”


“อืมม”


ชายคนหนึ่งได้เดินตามคิมฮันนาห์เข้ามาด้านใน


ซอลจีฮูได้ยืนขึ้นจากโซฟา และมองไปที่เขา


คนๆนี้มีส่วนสูงอยู่ประมาณ 175 ซม. ผมตรงกลางส่วนใหญ่ของเขาได้ล่วงไปแล้วทำให้เขาดูค่อนข้างจะหัวล้าน


‘เขา.. น่าจะอายุ 50 หรือ 60 สินะ?’


แม้ว่าร่างกายเขาจะถูกชุดคลุมปกปิดไว้อยู่ แต่จากรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าได้แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้ยังเด็กเลย นอกไปจากนี้ผมที่อยู่ตรงขมับของเขาได้ถูกย้อมไปด้วยสีขาว และจากลักษณะผมที่ชี้ตั้งของเขาได้ทำให้ซอลจีฮูนึกไปถึงหนึ่งในตัวหลักของเทคเค็น


‘คนๆนี้…’


ผู้ดูแลของราชวงศ์อีวา ซอกกูนีร์


จากแว่นตาและท่าเดินอันโอ่อ่าของเขาได้ทำให้เขาดูเหมือนชายชราแข็งแรง อย่างน้อยที่สุดนี้คือความประทับใจแรกที่ซอลจีฮูมีต่อเขา


แต่ว่าทันใดนั้นเขาก็หยุดเท้าลง และคำนับให้กับจางมัลดงด้วยความเคารพ


“ผมได้ยินว่าคุณเกษียรไปแล้ว.. ผมดีใจนะครับที่คุณเลือกจะกลับมา”


น้ำเสียงสูงวัยได้ดังออกมา


“นี่เป็นข่าวเก่าไปแล้ว ขอบคุณคุณมากนะที่เดินทางมาที่นี่”


จางมัลดงก็ยังตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม ต่อมาเมื่อซอยูฮุยได้ลุกขึ้นโดยบอกว่าเธอจะเอาชามาเสิร์ฟ ผู้ดูแลราชวงศ์ก็ยังโค้งคำนับให้เธอ


“ไม่เจอกันนานเลยนะครับคุณซอยูฮุย”


“ค่ะ สุขภาพราชินีเป็นยังไงบ้างคะ?”


ซอยูฮุยได้ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน


“ก็เหมือนเดิมครับ จริงๆแล้วท่านก็ค่อนข้างอ่อนแรงอยู่หน่อยๆ… แต่ยังไงก็ตามในตอนเห็นเอกสารผมก็สงสัยในสิ่งที่ได้เห็นอยู่ ผมไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าจะมีชื่อของบุตรแห่งลูซูเรียถูกเขียนเอาไว้…”


“ฉันมีเหตุผลอยู่น่ะค่ะ ฟุฟุ”


“ผมรู้ข่าวแล้วครับ ผมไม่รู้เลยว่าจะพูดอะไร…”


“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ช่วงนี้ฉันมีความสุขมากๆเลย บางทีมันอาจจะเป็นพรก็ได้นะ”


“ค่อยโล่งใจหน่อยที่ได้ยินว่าคุณสบายดี”


ซอลจีฮูได้มองดูผู้ดูแลราชวงศ์พูดคุยอย่างสุภาพด้วยแววตาสงสัย


ในครั้งแรกซอกกูนีร์ดูจะเป็นคนที่เถรตรง แต่เขาคงไม่ควรจะตัดสินใจใครจากหน้าปกจริงๆ


ขณะที่ซอลจีฮูได้เปิดใช้นพเนตรด้วยความสงสัย ผู้ดูแลราชวงศ์ก็ได้หันสายตามา สีหน้าของเขาได้กลายเป็นดุดันขึ้นมาทันทีก่อนที่จะเปิดปากพูดขึ้นมา


“ยินดีที่ได้พบกัน ผมชื่อซอกกูนีร์”


น้ำเสียงของเขาค่อนข้างจะดุดัน


“ยินดีต้อนรับครับ! ขอบคุณที่เดินทางมาที่นี่นะครับ”


“ไม่เลยสักนิด นี่เป็นการเดินทางไกลที่คุ้มค่าที่สุดแล้ว”


ต่อมาซอลจีฮูก็ได้แนะนำให้ซอกกูนีร์นั่งลง


“ชาค่ะ”


ซอยูฮุยได้ส่งชาที่เธอชงเองให้กับเขา


ซอกกูนีร์ได้รับไปด้วยความขอบคุณ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ดื่มมั่นลงไป เขาวางแก้วเอาไว้บนโต๊ะ และพลักออกไปด้านข้างเล็กน้อย


“อย่างแรกเลย… มีอยู่หลายอย่างที่ผมอยากจะยืนยัน”


เขาได้พูดออกมาพร้อมกับหยิบเอกสารออกมาจากกระเป๋า


เขาได้เข้าเรื่องทันที ซอกกูนีร์ได้มองตรงไปที่เอกสารจากนั้นจู่ๆก็หันไปด้านข้าง


“คุณคือชาวโลกที่มีชื่อว่าฟีโซราผู้ที่เคยเป็นสมาชิกหลักของกุหลาบขาวใช่ไหม?”


“ใช่ ฉันเอง”


ฟีโซราได้ตอบกลับไปอย่างไม่แยแส เธอไม่ได้ดูจะยินดีเลยสักนิดที่ถูกเอาข่าวเก่ามาพูด


แต่ว่าเมื่อคิมฮันนาห์ส่งสายตาเฉียบแหลมไปให้กับเธอ เธอก็ยิ้มหวานออกมา


“ใช่ค่าาา~ ฉันเอง~”


“หืม… ถ้างั้นคุณคนข้างๆคุณก็คงเป็นนักบวชนักรบ จองโชฮง”


“เทมพลาร์ต่างหาก ฉันไม่ชอบคำพูดที่ว่า ‘นักบวชนักรบ’ เลยสักนิด มันฟังดูไม่ดีเลย”


โชฮงได้ตอบกลับไปพร้อมกอดอกขึ้นมา


“ขออภัยด้วย”


ซอกกูนีร์ได้ตอบกลับอย่างสงบ จากนั้นก็ขยับสายตาอีกครั้ง


ฮิวโก้ได้นั่งตัวตรงด้วยสีหน้าประหม่า แต่แล้วสายตาซอกกูนีร์ก็เลื่อนผ่านเขาไป


“และคุณคงจะเป็นนักธนูเหล็กกล้า…”


“มาแชล จิโอเนีย”


“อืมม ผมมีคำถามจะถามคุณ ผมได้ยินมาว่ามีหลายองค์กรได้ยื่นข้อเสนอให้คุณหลังจากคุณกลับมา เหตุผลอะไรกันที่ทำให้คุณปฏิเสธข้อเสนอทั้งหมด และเลือกเข้าร่วมคาเพเดี่ยม?”


“ผมมีอยู่สองเหตุผล”


นี่เป็นคำถามที่กระทันหัน แต่ว่ามาแชล จิโอเนียก็ได้ตอบกลับอย่างราบรื่น


“อย่างแรกคือเพราะหัวหน้าซอลจีฮูช่วยชีวิตผมไว้ สองคือเขาสามารถทำตามความต้องการของผมได้”


“ความต้องการ?”


มาแชล จิโอเนียได้เงียบไป และหรี่ตาลง


“…เพื่อที่จะทำลายล้างความบริสุทธิ์อันโสมม”


“อ่า นักเวทย์โฟตอน มาริก้า ลาริซ่… ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณที่บอกนะ”


ซอกกูนีร์ได้เลือกสายตาไปทางขวาอีก มันดูเหมือนเขาจะเข้าใจเหตุผลของมาแชล จิโอเนียแล้วจริงๆ


เมื่อเห็นผู้ดูแลราชวงศ์ค่อยๆพลิกหน้าเอกสารอย่างช้าๆ ในที่สุดซอลจีฮูก็รู้ตัว


การประเมินได้เริ่มต้นไปแล้ว

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม