The Second Coming of Gluttony 228-230

 บทที่ 228 – เจ้าหญิงจิ้งจอก และเจ้าชายกระต่าย (2)


เนื่องจากดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องใช้เวลาหลายวันทำธุระต่างๆที่นี่ ซอลจีฮูจึงตัดสินใจจะหาที่พักก่อน


พวกเขาได้หาห้องในโรงแรมสุดหรูเพื่อเก็บอุปกรณ์ตามที่โชฮงต้องการ ก่อนที่จะไปกินอาหารเย็นที่ร้านอาหารสุดหรูต่อ


จากนั้นพวกเขาก็ได้มุ่งหน้าไปที่โรงประมูล


ตลอดทางพวกเขาได้พูดคุยหัวเราะกันไปอย่างตื่นเต้น แต่ว่าซอลจีฮูกลับรู้สึกไม่สบายใจ เขาไม่รู้ว่าทำไม แต่ว่านับตั้งแต่เข้ามาในสกีเฮราซาร์ด เขาก็รู้สึกไม่สบายใจแล้ว


เขาได้พยายามใช้คริสตัลสื่อสารติดต่อไปหาคิมฮันนาห์อยู่หลายครั้ง แต่ว่าก็ไม่มีใครรับสายเลย


‘หรือว่าฉันควรจะไปที่ตึกซินยอง…?’


ขณะที่เขากำลังรู้สึกขัดแย้งอยู่ภายในใจ พวกเขาก็ได้มาถึงจุดหมายแล้ว


นี่มันเป็นครั้งแรกสำหรับเขาที่มาโรงประมูล แต่น่าแปลกที่เขาไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเลย


มันแออัดมากๆ มีคนจำนวนมากพอๆกับของที่นำมาขายจนถึงขนาดที่เขาบอกไม่ถูกว่าเขาอยู่ที่โรงประมูลหรือตลาดกันแน่


แต่ว่าสมาชิกคนอื่นๆในทีมต่างก็เดินไปมาอย่างอารมณ์ดีเหมือนกับพวกเขาคุ้นเคยกับมัน เมื่อพวกเขากลับมารวมตัวกันที่นอกโรงประมูลก็ตกเย็นไปแล้ว


โชฮง ฟีโซรา และมาเรียดูเหมือนจะแค่มาดูสินค้าเท่านั้นเพราะพวกเธอไม่ได้มีอะไรติดมือกลับมาเลย แม้ว่าจะเดินดูตลอดทั้งวัน


แม้กระทั่งมาแชล จิโอเนียก็ยังซื้อก้อนโลหะ และลูกธนูมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


ยังไงก็ตามฮิวโก้ได้แสดงให้พวกเขาได้เห็นว่าตัวเขาใช้เงินได้ฟุ่มเฟือยขนาดไหน


หากว่าเขาเดินดูประเมินราคาของสักหน่อยก็คงจะดี แต่ว่านี่เขากลับหยิบเอาทุกๆอย่างที่เขาสนใจมานี่สิ


ในการประมูลเขาได้ตบโต๊ะประมูลไม่หยุด และเสียเงินไปเกินกว่าที่จำเป็น


โชฮงได้บอกให้เขาใช้เงินให้ฉลาดขึ้น แต่ว่าฮิวโก้ก็แค่ยิ้มออกมาพร้อมทั้งใส่เกราะที่เพิ่งซื้อมาใหม่


ซอลจีฮูได้ซื้อของมาเช่นกัน เขาได้ซื้อชุดคลุมที่ช่วยป้องกันความหนาวเย็นมาในราคา 100 เหรียญเงิน


โชฮงได้ปรบมือออกมา


“เอาล่ะ วันนี้ก็จบแล้ว เราไปลองชิมเหล้าของสกีเฮราซาร์ดกันหน่อยดีไหม?”


“ฉันพอจะรู้จักบาร์ดีๆอยู่นะ”


เมื่อได้ยินคำแนะนำของฟีโซรา โชฮงก็พยักหน้าออกมา


“นำทางไปเลย!”


“ฮูเร่ห์!”


มาเรียได้กระโดดชูมือขึ้นอย่างยินดี โชฮงก็หัวเราะออกมา และหันหน้ากลับมา


“ซอล? นายมัวทำอะไรอยู่? รีบไปกันเถอะเร็วเข้า!”


“หืม? เอ่อ ฉัน…”


ซอลจีฮูได้สะดุดไป


ไปหรือไม่ไปดีนะ เขารู้สึกสับสน แต่ว่าเขาก็ไม่ได้คิดนานนัก


ตอนนี้มันก็ใกล้มืดแล้ว หากว่าเขาปล่อยไว้นานกว่านี้ เขาก็คงจะต้องไปในวันพรุ่งนี้ การทำอะไรให้เรียบร้อยในวันนี้มันคงจะทำให้เขารู้สึกดีกว่า


“ไปกันก่อนเลย ฉันยังมีเรื่องต้องทำ เดี๋ยวเสร็จธุระแล้วจะตามไปนะ”


“อะไรกัน? นายจะไปไหน?”


“ฉันต้องไปหาคนๆหนึ่งก่อน”


“มากับเราก่อนสิ เรื่องด่วนหรอ?”


“พวกเธอดื่มกันทั้งคืนอยู่แล้วนี้ อย่างช้าสุดฉันก็เสร็จธุระตอนเช้า แต่น่าจะเร็วกว่านั้นแหละ”


“อ่า ถ้างั้นก็ได้ เสร็จธุระก็บอกเรานะ”


และดังนั้นโชฮงกับกลุ่มจึงได้เดินไปตามการนำทางของฟีโซรา


เมื่อเหลือแค่ซอลจีฮูแล้ว เขาก็ได้หยิบเอาคริสตัลสื่อสารออกมาพร้อมออกเดิน ทางที่เขากำลังมุ่งหน้าไปก็คือที่ที่สำนักงานซินยองตั้งอยู่


แต่ว่าแค่เขาเดินไปได้สิบก้าว เขาก็ต้องหยุดลง


ช่างน่าบังเอิญที่จู่ๆคริสตัลก็เรืองแสงขึ้นมา


***


หลังจากวางสายไปแล้ว ซอลจีฮูก็รีบเดินไป


ที่นัดพบก็คือตัวเมือง เป็นถนนที่เขาได้เจอกับซอยูฮุยในตอนแรก


เมื่อเขาเห็นหญิงสาวยืนรออยู่ใต้โคมไฟ ซอลจีฮูก็ค่อยๆลดความเร็วลง


คิมฮันนาห์ได้มาถึงก่อนเขาแล้ว


เธออยู่ในชุดสูทสีเทา พร้อมด้วยกระเป๋าหนังใบเล็กๆ


เธอมักจะมารอซอลจีฮูในชุดเดียวกันนี้ตลอด


ดูเหมือนเธอจะรู้ว่าเขามาแล้วสินะ? คิมฮันนาห์ที่กำลังมองถนนโดยไร้สีหน้าจู่ๆก็หันมามอง


“…มาแล้วหรอ?”


ซอลจีฮูได้หยุดไป


“ฉันไม่เห็นรู้เลยว่านายมาที่สกีเฮราซาร์ด”


“ฉันมาหาเธอนั่นแหละ”


ซอลจีฮูได้บ่นออกมา


“เธอไม่ได้รับสายเลยนะ เกิดอะไรขึ้นกัน?”


“…”


“ทำไมไม่พูดอะไรหน่อยล่ะ? คงจะมีอะไรเกิดขึ้นจริงๆใช่ไหม?”


“ฉันขอโทษ”


คิมฮันนาห์ได้ขอโทษออกมา เธอได้เสยผมของเธอ และถอนหายใจยาวออกมา


“มีเรื่องต่างๆเกิดขึ้นมากมาย… ฉันไม่มีกระทั่งเวลาไปติดต่อนายเลย”


ซอลจีฮููได้เงียบลงไป สีหน้าคิมฮันนาห์เคร่งเครียดเป็นพิเศษ เธอดูไร้ชีวิตชีวาจนเหมือนกับไม่ได้อยู่ตรงนี้ แค่สายลมพัดมาก็น่าจะพัดเธอจนหายไปได้เลย


“…เกิดอะไรขึ้น?”


ซอลจีฮูได้ค่อยๆเลือกคำพูดพูดออกมา


คิมฮันนาห์ได้ยิ้มบางขึ้น


“เฮ้ ช่วยซื้ออะไรให้ฉันกินหน่อยได้ไหม?”


ซอลจีฮูได้ขยับคิ้วขึ้นกับคำขอที่กระทันหันนี้


“ฉันยังไม่ได้กินอะไรดีๆมาเป็นอาทิตย์แล้ว แถมพอเห็นนายจู่ๆก็ทำให้ฉันหิวขึ้นมา อ่า แล้วก็เหล้าด้วยนะ โอเคไหม?”


ไม่ใช่แค่ไม่กี่วัน แต่เป็นหลักอาทิตย์


เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูเหมือนจะล้มได้ตลอดเวลาของคิมฮันนาห์ ซอลจีฮูก็ได้แต่หยักหน้ารับ


ทั้งคู่ได้เข้าไปในร้านอาหารใกล้ๆ


ในทันทีที่จานอาหารมาเสิร์ฟ คิมฮันนาห์ก็กินลงไปโดยไม่พูดอะไรอย่างน่ากลัว


“กินเก่งจังเลยนะ”


ซอลจีฮูได้มองดูคิมฮันนาห์หั่นสเต็กที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งด้วยรอยยิ้ม


“บางครั้งฉันก็เป็นแบบนี้นะ”


คิมฮันนาห์ได้ส่ายหัวออกมาทั้งๆที่อาหารเต็มแก้ม


“ในตอนฉันยังเด็ก เมื่อไหร่ที่เครียดฉันก็จะกินกับดื่ม แล้วก็ไปช็อปปิ้ง แต่ว่าที่นี่มันเป็นไปไม่ได้แล้ว”


หากเป็นเรื่องกินซอลจีฮูก็ไม่ใช่คนที่จะแพ้ใคร แต่ว่าในวันนี้เขาได้ห้ามตัวเองเอาไว้


เขาถามเป็นช่วงๆว่า ‘สั่งเพิ่มไหม?’ ซึ่งเขาจะสั่งมาเพิ่มในทันทีที่คิมฮันนาห์พยักหน้า


จานได้ค่อยๆซ้อนกันจนสูงขึ้น แต่ว่าคิมฮันนาห์ยังไม่หยุดกิน ไม่นานนักเธอก็ดูเหมือนจะกลืนอาหารลงคอมาเกินไปราวกับเธออยากที่จะกินจนติดคอตายหรือกินมากเกินไปจนตาย


เธอได้กินไปเรื่อยๆไม่หยุดเป็นเวลากว่าสี่ชั่วโมงแล้ว


เมื่อด้านนอกมืดไปแล้วพวกเขาก็หยุดสั่งอาหาร แต่ว่าเธอก็ยังกินไม่หมด


“นายจะซื้อเหล้าให้ฉันด้วยใช่ไหม?”


เหล้าหลังจากมื้อเย็น คิมฮันนาห์ได้สั่งเหล้าจำนวนมหาศาลจนถึงขนาดที่ทำให้โชฮงกับมาเรียตกใจอ้าปากค้างได้เลย และเธอก็ได้ร่วมหยิบขวดเหล้ากระดกลงคอไป


หลังจากทั้งกินและดื่มจนพอใจแล้ว คิมฮันนาห์ก็เริ่มพูด และซอลจีฮูก็ได้รับรู้ถึงสถานการณ์คร่าวๆของเธอ


“ฉันคิดว่ามันมีความเป็นไปได้อยู่… ครึ่งต่อครึ่ง”


คิมฮันนาห์ได้มองไปที่แก้วด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ตัดสินใจจากแก้มสีแดงของเธอ เธอคงจะเมาหนักแล้ว


“มันก็เพราะพัฒนาการของนายมันมากเกินกว่าที่พวกเขาจะเมินเฉยได้อีกต่อไป หากเป็นแบบนี้มันชัดเจนแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้อีกที่จะซ่อนนายเอาไว้หลังจากสงคราม”


“…”


“ในท้ายที่สุดพวกเขาก็มีเหลือเพียงสองตัวเลือก เก็บฉันไว้ติดต่อกับนาย หรือโยนฉันทิ้งไป แล้วจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”


คิมฮันนาห์ได้หยุดพูด และยกทั้งแก้วขึ้นกระตก จากนั้นก็วางแก้วลงอย่างแรกจนโต๊ะไม้สั่นออกมา เธอได้เริ่มหัวเราะอย่างไร้จุดหมาย


“สิ่งเดียวที่ฉันทำได้ในตอนนี้คือรอการตัดสินใจจากเบื้องบน พูดตรงๆนะฉันก็คิดว่ามันมีโอกาสสูงที่จะเป็นแบบเดิม แต่ว่า…”


เธอได้หยุดพูดไป จากนั้นก็ขยับแก้วขึ้นมา ซอลจีฮูได้เติมเหล้าลงไปในแก้วอยู่เงียบๆ


เมื่อเห็นคิมฮันนาห์ยกแก้วจรดริมฝีปาก และกระดกขึ้นไป ซอลจีฮูก็พูดออกมาเบาๆ


“ฉันขอโทษ”


“อะไรล่ะ?”


คิมฮันนาห์ได้ยิ้มออกมา


“อ่อ จริงสิ นายก็มีส่วนผิด”


“…”


“ใครกันจะไปคิดล่ะ ผีพนันที่แม้กระทั่งตราประทับสีแดงยังไม่คู่ควรให้เสียจะกลายมาเป็นแบบนี้ในพาราไดซ์… ใครมันจะไปรู้วววว…”


หลังจากพูดจบร่างกายเธอก็ส่ายไปมา เธอดูเหมือนกับแค่ถูกแตะนิดเดียวก็ล้มไปได้แล้ว


“ไม่มีใคร… รู้…”


เสียงไฟที่ริบหรี่จางเทียนที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะได้ย้อมดวงตาคิมฮันนาห์ให้เป็นสีแดง แม้ว่าเธอจะเมาอยู่ แต่ดวงตาทั้งคู่ของเธอได้เต็มไปด้วยเปลวไฟ


คิมฮันนาห์ได้จ้องไปที่เทียนที่ดูท่าจะดับทั้งๆที่หัวจะห้อยลงอยู่


ทันใดนั้นคำพูดที่เธอได้ยินในตอนไปหาหัวหน้าฝ่ายบุคคลก็ย้อนกลับเข้ามาในหัวของเธอ


[ทำไมคุณถึงมาหาผมมาล่ะ? ในล็อบบี้คุณดูจะมั่นใจนะ]


[ส่งฉันไปทีมข้อมูล ฉันจะถอนตัวจากทีมจ้างงานเงียบๆเอง]


[ทีมข้อมูลงั้นหรอ? ทำไมผมต้องทำแบบนั้นล่ะ? ทุกๆอย่างได้ถูกตัดสินไปแล้ว แล้วก็อะไรนะ? ผมไม่ต้องการให้คุณถอนตัวไปเงียบๆ]


[…นี่มันไม่ยุติธรรม]


[ไม่ยุติธรรม?]


[คุณก็รู้ ตราประทับทองคำไม่ใช่ของซินยอง]


[นี่ เฮ้? หัวหน้าคิม? แล้วยังไงล่ะ? ช่วยพูดต่อสิ]


[คุณก็รู้มันเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของฉัน]


[งั้นคุณจะบอกผมว่าคุณจะใช้ทรัพย์สินนั่นยังไงก็เรื่องของคุณงั้นหรอ?]


[ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น… ฉันหมายถึงว่ามันไม่ใช่ว่าฉันต้องเป็นคนตัดสินใจหรอว่าจะใช้งานยังไง]


[ฮันนาห์]


น้ำเสียงของหัวหน้าฝ่ายบุคคลได้ดังในหัวเธออย่างชัดเจน


[เธอทำงานที่บริษัทมากี่ปี? มันคงยังไม่ถึงสิบปีใช่ไหม? เพราะแบบนี้มันถึงได้ทำให้เธอเป็นแบบนี้?]


[เธอเป็นคนที่อ่านบรรยากาศออกนี่ เธอคงจะรู้อยู่แล้วว่าทำไม]


[แต่เธอจะเข้าใจหรือไม่มันก็ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือมันมีผลประโยชน์กับบริษัทหรือไม่ก็เท่านั้น]


[แล้วก็หากว่าเธออยากจะอ้างสิทธิส่วนบุคคล ถ้างั้นเธอก็ควรจะดำเนินงานเองดีกว่านะ หากว่าเธอเผยเขี้ยวออกมาอย่างชัดเจน เธอคิดว่าเจ้าของจะยืนมองเฉยๆงั้นหรอ?]


คิมฮันนาห์ได้กัดฟันแน่น


[หัวหน้าฝ่ายบุคคล ได้โปรดพยายามเข้าใจฉันสักครั้ง-]


[เอาเถอะ คุณไม่ใช่คนดื้อรั้น อย่างน้อยผมก็คิดว่าคุณจะมีความภาคภูมิใจในตัวเองสักหน่อย การได้มาเห็นคุณแบบนี้มันทำให้ผมผิดหวังจริงๆ]


[แต่ว่า…]


[ผมบอกคุณหลายครั้งแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็อย่าเอาตัวเองไปทิ้ง คุณแพ้นับตั้งแต่ที่มาอ้อนวอนที่นี่แล้ว คุณได้ล่ะทิ้งตัวเองไปแล้ว]


[…]


[แล้วคุณน่าจอมหลอกหลวงที่สุดแล้วด้วย… ชิ]


หลังจากพูดแบบนั้นหัวหน้าฝ่ายบุคคลได้ยื่นขวดเล็กๆให้กับเธอก่อนกล่าวลา


มันคือยาพิษออกฤทธิ์เร็ว คนที่ดื่มลงไปจะตายโดยไม่เจ็บปวด นี่อาจจะนับได้ว่าเกรงใจากแล้ว


แต่ว่าการนึกถึงเหตุการณ์นี้ได้ทำให้หัวใจของเธอเย็นยะเยือกขึ้นมา


คิมฮันนาห์ได้ยกมือขึ้นโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่จะบังคับลดลง และหันหน้าหนีไป


มือของเธอกำลังสั่น แม้กระทั่งขาของเธอก็ยังสั่นจนเธอชนกับกำแพงซ้ำแล้วซ้ำเล่า


แม้กระทั่งในขณะที่ร่างเธอสั่น คิมฮันนาห์ก็ไม่เคยหันกลับไปมองแม้แต่ครั้งเดียว เพราะหากเธอทำแบบนั้น เธอจะรู้สึกเหมือนเธอจะกลับไป เธอรู้สึกเหมือนกับเธอจะกลับออกมาพร้อมยาพิษ…


ปัง!


ในท้ายที่สุดหัวของเธอก็กระแทกกับโต๊ะอย่างแรก


“…ไอ้สารเลว”


มือของเธอบนโต๊ะได้กำแน่นจนเห็นเส้นเลือดอย่างชัดเจน


“ไอ้ชั่วนั่น…”


เธอได้พึมพำกับตัวเองเงียบๆ และฟึดฟัดออกมา


ซอลจีฮูกลั้นหายใจนิ่งทันที


เธอกำลังร้องไห้ คิมฮันนาห์คนนั้นกำลังร้องไห้


เขามองไม่เห็นหน้าเธอ เพราะเธอกำลังก้มหน้าอยู่ แต่ว่าเขาบอกได้จากไหล่ที่กำลังสั่นอยู่ของเธอ


“ฮึก… ฮึก…”


เสียงสะอื้อได้ดังรอดออกมาจากฟันที่กัดแน่นของเธอ


ซอลจีฮูได้รู้สึกทำอะไรไม่พูดขึ้นมา


คนอื่นๆอาจจะมองมา และพูดว่า ‘มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร’


แต่ว่าคิมฮันนาห์…


[นายจะบอกว่าฉันเป็นพวกวัตถุนิยมก็ได้นะ ตราประทับทองคำนั่นเป็นกรรมสิทธิ์ของฉัน แล้วก็นอกจากนี้ฉันไม่อยากให้ใครขโมยนายไปจากฉัน]


อย่างน้อยที่สุดสำหรับเขาแล้ว คิมฮันนาห์คือ…


[ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรกับฉัน แต่หากว่านายไม่ได้เข้าร่วมและเติบโตขึ้นอยู่นอกบริษัทล่ะ? เติบโตขึ้นมาแข็งแกร่ง และทรงพลัง จากนั้นก็เริ่มสนับสนุนฉัน ถ้างั้นฉันก็จะได้มีสิทธิมีเสียงขึ้นในซินยอง นายเข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม? ฮ่าฮ่าฮ่า]


เขาไม่อาจจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้


คิมฮันนาห์เป็นชาวโลกทั่วไปที่ได้มาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในพาราไดซ์ โดยที่ตำแหน่งหน้าที่ในซินยองคือเป้าหมายชีวิตของเธอ


แต่แล้วจู่ๆเป้าหมายนั่นกลับหายไปตรงหน้าของเธอ


‘อ่า’


ในที่สุดแล้วซอลจีฮูก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงรู้สึกเดจาวูอยู่คลอดเวลา


ตัวซอลจีฮูเองก็รู้สึกเหมือนๆกันในตอนที่เขาถูกบังคับให้กลับไปที่โลกหลังสงคราม


หลังจากเดินเตร่ไปอย่างไร้จุดหมาย เขาก็ได้เข้าไปในร้านอาหารที่จางมัลดงแนะนำ และกินอาหารที่นั่นอย่างบ้าคลั่ง


เพราะเขารู้สึกเหมือนกับสูญเสียที่อยู่


เพราะเขาคิดว่าการเติมเต็มบางอยางเข้าไปจะทำให้ความว่างเปล่าภายในใจของเขาบรรเทาลงไปได้บ้าง


ซอลจีฮูได้ถอนหายใจออกมา


จริงๆแล้ว เขาไม่ได้เสียใจเลย หลังจากเข้ามาที่พาราไดซ์ เขาได้ผ่านอุปสรรคยากลำบากมามากมาย และเขาได้พยายามอย่างเต็มทุกในทุกๆครั้ง


นั่นแหละ


คิมฮันนาห์ก็เป็นเช่นเดียวกัน เธอได้รับตราประทับทองคำมาจากความบังเอิญ และพยายามที่จะใช้ซอลจีฮูเพื่อบรรลุเป้าหมายให้เร็วที่สุด จากมุมมองนี้แล้วเธอได้พนันกับซินยอง แต่สุดท้ายเธอก็แพ้


ก็นั่นแหละ


ใช่แล้ว มันก็เท่านั้น


เพียงแค่…


“…”


ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน เขาก็รู้สึกไม่ดีเลยที่ได้เห็นผู้หญิงคนที่พยายามปกป้องเขามาร้องไห้อยู่ตรงหน้าโดยที่เขาช่วยอะไรไม่ได้


ซอลจีฮูได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ และเอาเสื้อคลุมร่างของเธอเอาไว้ เมื่อเห็นหยดน้ำตาไหลลงจากบนโต๊ะไม่หยุด เขาก็ได้กลับไปนั่งอยู่เงียบๆ


หลังจากเงียบอยู่สักพัก จู่ๆเขาก็เปิดใช้งาน ‘นพเนตรแห่งการทำนาย’ เพื่อตรวจดูสถานะอารมณ์ของเธอ


ว่าไปแล้วนี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาเห็นหน้าต่างสถานะของคิมฮันนาห์


แต่ว่าก่อนที่หน้าต่างสถานะของคิมฮันนาห์จะปรากฏขึ้น ซอลจีฮูก็ได้เลิกคิ้วออกมาเมื่อเห็นสีของคิมฮันนาห์


แน่นอนว่ามันควรจะเป็นสีทอง


‘สีนี่มัน…?’


น้ำเงิน ทางเลือกแห่งโชึชะตา


เขาเคยเห็นกรณีที่ทิศเปลี่ยนจากเบื้องซ้ายไปเบื้องขวาอยู่ แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้เห็นอะไรแบบนี้


สีของฮ่าวอวิ่นได้เปลี่ยนไปในทันทีที่เขาตอบว่าเขาจะกลายเป็นกษัตริย์


เจาไม่รู้ว่าฮ่าวอวิ่นตีความคำพูดของเขาว่ายังไง แต่ว่ามันได้ส่งผลกับอนาคตอย่างแน่นอน


คิมฮันนาห์ก็เป็นเช่นเดียวกัน เพราะงั้นเขาก็ได้คิดถึงความเป็นไปได้หนึ่ง


การกระทำในช่วงนี้ของเขาจะส่งผลกระทบกับเธออย่างมากจนเกิดเป็นการตัดสินของโชะตา


และก่อนที่เขาจะได้สงบใจลงจากเรื่องน่าตกตะลึง


ซ่าห์!!!


นิมิตได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา


หลังจากเห็นนิมิตแล้ว ดวงตาของซอลจีฮูได้สั่นเทาขึ้นมาอย่างรุนแรง


‘อะไร…’


ในนิมิต


‘กันว่ะ…’


คิมฮันนาห์กำลังยิ้มด้วยสีหน้าหยิ่งผยอง…


‘เนี้ย…’


…และจ้องมองลงไปที่สกีเฮราซาร์ดที่พังพินาศ


บทที่ 229 – เจ้าหญิงจิ้งจอก และเจ้าชายกระต่าย (3)


นั่นไม่ใช่ส่วนที่สำคัญที่สุด


รูปลักษณ์ของคิมฮันนาห์ในนิมิตก็ต่างไปจากมนุษย์มาก


มีเขาแพะอยู่บนหัวของเธอ และปีกค้างคาวงอกออกมาจากแผ่นหลัง บวกกับเครื่องแต่งการที่เปิดเผยจนน่าทึ่ง และแทบจะไม่ได้ปิดส่วนไหนของร่างกายเอาไว้เลย…


คิมฮันนาห์ในนิมิตดูไม่ได้ต่างไปจากซัคคิวบัสเลยสักนิด


ซอลจีฮูรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในทันที


คิมฮันนาห์คงจะพ่ายแพ้ปรสิต และถูกความบริสุทธิ์อันโสมมล้างสมองเหมือนอย่างที่คู่มั่นของมาแชล จิโอเนียโดน


นี่มันเป็นไปได้แน่ๆ


คิมฮันนาห์ได้บอกไว้เองว่าเธอมีศัตรูอยู่มากมาย


เธอได้ทำงานได้อย่างอิสระภายใต้โล่ที่มีชื่อว่าซินยอง แต่ว่าเมื่อโล่นั่นได้ทอดทิ้งตัวเธอไป


คนที่ถูกซินยองข่มเหงและกล้ำกลืนฝืนทนเก็บความโกรธไว้จะไม่มีทางพลาดโอกาสนี้


และคิมฮันนาห์ที่ไม่มีจุดยืนก็จะถูกไล่ล่าไปเรื่อยๆจนกระทั่งในที่สุดแล้ว…


ในตอนนั้นเองการสังเกตทั่วไปของเขาก็ทำงาน และเปิดหน้าต่างสถานะของคิมฮันนาห์ขึ้นมา


[หน้าต่างสถานะของคิมฮันนาห์]


[1.ข้อมูลทั่วไป]

วันที่ถูกอัญเชิญ: 03/21/2014

ตราประทับ: เงิน

เพศ/อายุ: เพศหญิง/28

ส่วนสูง/น้ำหนัก: 169.8 ซม./56.5 กก.

สภาพร่างกาย: ดี

คลาส: จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ระดับ 5

สัญชาติ: สาธารณะรัฐเกาหลี (พื้นที่ที่ 1)

สังกัด: ซินยอง

ฉายา: โฆษกจอมเจ้าเล่ห์, ยัยจอมพยาบาท, จิ้งจอกสาว, นักต้มตุ๋น, ลำดับสอง


[2.คุณลักษณะ]

1.อารมณ์

-เลือดเย็น (ใช้เหตุผลและไม่เห็นอกเห็นใจ)

-มีวินัยในตัวเอง (มีข้อจำกัดที่เหมาะสมกับตัวเองอย่างชัดเจน)


2.ความเชี่ยวชาญ

-สัมผัสอารมณ์ (ไวต่อการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของผู้อื่น)

-ฉลาดหลักแหลม (มีสมองอันชาญฉลาดรวมไปถึงพรสวรรค์โดยรวมที่ดีเยี่ยม)

-ฝีปาก (มีพรสวรรค์ในการพูด)

-ปรับตัว (สามารถปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้อย่างรวดเร็ว)

-เปลี่ยนใบหน้า (มีทักษะในการเปลี่ยนแปลงสีหน้าไปตามสถานการณ์)


3.ระดับความนึกคิด

เลือดเหล็ก (ไม่หลั่งเลือดและน้ำตา) / ปีศาจ / ท้อแท้ (ทั้งหัวใจและจิตวิญญาณแตกสลาย)


ความตกใจในคุณลักษณะของเธอมีอยู่ครู่เดียวเท่านั้น ซอลจีฮูได้เม้มปากขึ้นในทันทีที่เห็นระดับความนึกคิดของเธอ


อารมณ์ของเธอเป็นเลือดเย็นกับมีวินัยในตัวเอง แต่ว่าในอย่างที่สามของความนึกคิดของเธอคือท้อแท้ที่ซึ่งแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง


[ยังไงก็ตามก็มีอยู่หลายกรณีที่ ‘ความนึกคิด’ กับ ‘อารมณ์’ ไม่ตรงกัน]


[ยกตัวอย่างเช่นหากว่านายมีความนึกคิดที่ดี แต่อารมณ์ของนายกลับไม่ดีล่ะ? ฉันกล้าพูดได้เลยว่า ความนึกคิดของนายก็จะค่อยๆเสื่อมถอยแย่ลงไป จนในที่สุดก็กลายเป็นตรงกันกับอารมณ์ของนาย]


คิมฮันนาห์กำลังอยู่ในสภาพสิ้นหวังไร้ซึ่งเรี่ยวแรงอย่างที่หน้าต่างสถานะบอกกับเขาจริงๆ


ยังมีอีกอย่างหนึ่งก็คือปีศาจ


แล้วถ้ามันเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะ? หากว่าในสักวันหนึ่งมีปรสิตมาล่อลวงเธอล่ะ? คิมฮันนาห์จะห้ามไม่ให้ตัวเองหวั่นไหวได้งั้นหรอ?


‘ฉันจะไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้น’


เพื่อตัวเขาและคิมฮันนาห์แล้ว มันจะต้องไม่เกิดขึ้น ชะตากรรมของคิมฮันนาห์จะต้องถูกเปลี่ยนแปลง


แต่ยังไงล่ะ?


เขารู้คำตอบอยู่แล้ว เขาจะมอบที่อยู่ให้กับเธอ


หรือก็คือต่อให้คิมฮันนาห์จะออกมาจากซินยองแล้ว เธอจะต้องมีที่อยู่รองรับสำหรับความทะเยอทะยานของเธอ


ก่อนที่เขาจะพูดออกมา ซอลจีฮูก็ได้ดื่มเหล้าในแก้วลงไป


ก่อนที่จะวางแก้วลง…


“ฉันมีเรื่องที่ลืมบอกเธอไป”


…เขาได้พูดออกมา


“ฉันเลื่อนระดับแล้ว”


“…”


“แต้มคุณูปการของฉันได้รับการยินยอม และระดับของฉันก็เลื่อนมาเป็นระดับ 5 ในตอนนี้ฉันกลายมาเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงเหมือนเธอแล้วล่ะ”


เสียงสะอื้นได้ค่อยๆหยุดลงไป


“ชื่อคลาสของฉันคือผู้ใช้หอกแห่งเนเมซิส ฉันไม่รู้นะว่าเธอคิดว่ายังไง แต่ว่าฉันค่อนข้างชอบชื่อนี้เลยล่ะ”


ซอลจีฮูได้พูดออกมาให้ดังขึ้นโดยที่ยังคงให้ความสนใจกับหน้าต่างสถานะของเธออยู่


“เพราะว่าเนเมซิสคือเทพธิดาแห่งการแก้แค้น เธอยังจำที่เธอพูดกับฉันในเขตพื้นที่เป็นกลางได้ไหม?”


คิมฮันนาห์ได้ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา


“เพราะฉะนั้นหากว่านายต้องการให้ใครทำอะไรให้นาย-“


“นายก็ควรจะทำให้พวกเขาก่อน นี่คือธรรมบัญญัติ… มัทธิว 7:12”


คิมฮันนาห์ได้พูดปิดท้ายประโยคออกมาเหมือนกับต้องมนต์


“ใช่แล้วล่ะ กฏทองคำ”


ซอลจีฮูได้ยิ้มบางออกมา


“นี่คือวิธีที่ฉันใช้ชีวิตในพาราไดซ์ ตาต่อตา ฟันต่อฉัน… แล้วเธอล่ะ?”


คิมฮันนาห์ไม่ได้ตอบกลับมา เธอแค่จ้องมาที่เขาด้วยดวงตาที่เปียกชื้น สีหน้าของเธอเรียบเฉยเหมือนกับกำลังถามว่า ‘จู่ๆนายมาพูดเรื่องอะไรเนี้ย แล้วนายต้องการจะพูดอะไรกันแน่?’


ซอลจีฮูได้ตัดสินใจเข้าเรื่องทันที


“ฉันกำลังคิดว่าจะไปจากฮารามาร์ค”


คิมฮันนาห์ได้หรี่ตาลง


“ฉันกำลังจะสร้างองค์กร”


“…อะไรนะ?”


ใบหน้าของเธอได้แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าเธอสงสัยว่าเธอได้ยินผิดไป


“องค์กร?”


“ใช่แล้วล่ะ องค์กร”


ซอลจีฮูไม่ได้ชะงักและพูดต่อไป


“เราได้คุยกันในทีมเรียบร้อยแล้ว พวกเรากำลังจะไปที่อีวาเพื่อสร้างองค์กรที่นั่น”


ริมฝีปากของคิมฮันนาห์ได้อ้าออกเล็กน้อย เธอดูจะพูดไม่ออกแล้ว ใบหน้าของเธอเหมือนกับว่า ‘นายเป็นบ้าอะไรของนายเนี้ย?’


หลังจากมองเขานิ่งๆอยู่สักพัก…


“ฮ่าฮ่า”


เธอได้เริ่มหัวเราะออกมา


“…ฮ่าฮ่าฮ่า”


หลังจากหัวเราะอยู่สักพัก เธอก็สูดหายใจยาว


“งั้นนายกำลังบอกให้ฉันเข้าองค์กรของนายงั้นหรอ?”


“ใช่แล้วล่ะ”


“ขอล่ะนะจีฮู”


น้ำเสียงของคิมฮันนาห์ได้กลายเป็นอ่อนโยนลง


“จีฮูตัวน้อยของเรารู้ไหมว่าการสร้างองค์กรขึ้นจริงๆแล้วนี่มันหมายความว่ายังไง?”


“…”


“นายรู้ไหมว่าในพาราไดซ์มีกี่กลุ่มที่นายจะเรียกว่าองค์กรได้น่ะ?”


ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมานิ่งๆ คิมฮันนาห์ก็ได้พูดขึ้นอย่างอ่อนล้า


“ที่ลงทะเบียนอย่างเป็นทางการมีไม่ถึงร้อยด้วยซ้ำ ตัวเลขชัดๆคือแปดสิบสององค์กร ถึงแม้ว่าพาราไดซ์จะเปิดให้ชาวโลกมานานแล้ว แต่ว่าตัวเลขยังไปไม่ถึงสามหลักเลย”


น้ำเสียงของเธอฟังดูไม่เป็นมิตรเลย แต่ว่าซอลจีฮูก็ยังฟังเงียบๆ อย่างแรกเขาเข้าใจว่านี่คือคำแนะนำ และอย่างที่สองน้ำเสียงของเธอมันดูเหมือนกับการสะอื้นมากกว่าอะไรทั้งนั้น


“เราต้องคำนวณอะไรเพิ่มอีกไหมล่ะ? ในสกีเฮราซาร์ดมีองค์กรอยู่ยี่สิบแปดองค์กร ถ้างั้นนั่นหมายความว่าในแต่ล่ะเมืองมีองค์กรอยู่เพียงแค่เก้าองค์กรเท่านั้น”


เธอได้หยุดพักหายใจก่อนจะทำสีหน้าขึงขังออกมา


“องค์กร… นายคิดว่าแค่อยากจะสร้างก็สร้างมันได้งั้นหรอ? นายรู้ถึงข้อกำหนดขั้นต่ำในการสร้างองค์กรไหม? นายได้รู้ถึงการประเมินพื้นฐานบ้างไหมล่ะ?”


“ฉันยังไม่รู้อะไรแน่ชัดเลย ฉันไม่ได้ศึกษาลงลึกไปในเรื่องนี้”


ซอลจีฮูได้ตอบกลับมาอย่างสงบ


“เพราะงั้นฉันถึงได้ดึงตัวเธอเข้าทีมไง”


คิมฮันนาห์ได้ยกมือขึ้นลูบหน้าทันที


“ฟู่ววว”


หลังจากถอนหายใจยาวและค่อยๆลดมือลงแล้ว เธอก็ได้แสดงสีหน้ายอมแพ้ราวกับจะบอกว่าเธอยอมแพ้แล้ว


“…ก็ได้ ถ้างั้นช่างเรื่องพวกนี้ไปแล้วกัน”


จากนั้นเธอก็พูดต่ออย่างอ่อนแรง


“แล้วนายมีเงินแล้วงั้นหรอ?”


“ใช่”


ซอลจีฮูได้ตอบรับอย่างหนักแน่น


“ฉันมีแล้ว”


“อย่างน้อยที่สุดฉันคิดว่านายจะต้องเงินซื้อที่ดิน การก่อสร้าง และการบำรุง.. หืม?”


คิมฮันนาห์ได้ชะงักไปราวกับเธอคิดว่าเขาไม่มีเงินในส่วนนั้น


“เมื่อเร็วๆนี้ฉันพึ่งจะได้เงินมาจำนวนหนึ่งจากการสำรวจน่ะ”


คิมฮันนาห์ได้เยาะเย้ยออกมา


“โอ้ งั้นหรอ? นายได้เหรียญทองมาบ้างงั้นสิ?”


“ใช่แล้วล่ะ”


“ฮ่าห์ ก็ได้ งั้นบอกฉันมาสิ ได้มากี่สิบเหรียญล่ะ? หรือว่ายี่สิบ? อย่างมากสุดก็ไม่น่าเกินสี่สิบเหรียญล่ะนะ”


“เป้นแท่งทองคำประมาณ 600 กรัม”


ในทันทีที่เขาพูดออกมา


“ถ้าแปลงเป็นเหรียญทอง… ถ้างั้นก็ประมาณ 86 เหรียญทองล่ะมั้งนะ?”


…ใบหน้าคิมฮันนาห์ได้แข็งทื่อไป เธอได้ขมวดคิ้วขึ้นพร้อมแสดงสีหน้าที่อธิบายออกมาไม่ถูก แต่มันชัดเจนมากว่าเธอไม่เชื่อเขา


ซอลจีฮูได้ยกกระเป๋าที่เอามาด้วยโดยไม่พูดอะไร และวางมันเอาไว้ตรงหน้าคิมฮันนาห์ เสียงตึง! ได้ดังออกมา


เมื่อซอลจีฮูหยักหน้า คิมฮันนาห์ก็ได้เปิดกระเป๋าขึ้นด้วยความสงสัย


เมื่อแสงสีทองเจิดจ้ากระทบกับใบหน้าของเธอ ความมึนเมาก็ได้หายไปในทันที


ซอลจีฮูได้หยิบเอาบุหรี่ขึ้นมาคาบก่อนจะพูดขึ้น


“ฉันเอามาแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ส่วนที่เหลือยังถูกเก็บเอาไว้ที่วิหารในฮารามาร์คอยู่”


คิมฮันนาห์ได้รีบปิดกระเป๋าลงไป หลังจากเหล่มองรอบตัวแล้ว เธอก็กอดกระเป๋าเอาไว้แน่น


“นะ นาย…”


“นอกจากแท่งทองคำ 600 กรัมแล้ว ก็ยังมีไข่ทองคำอีก 70 กรัม…”


ยิ่งซอลจีฮูพูดออกมา ดวงตาคิมฮันนาห์ก็ได้เบิกกว้างยิ่งขึ้น


“นะ นี่คือของที่ได้จากการปฏิบัติการงั้นหรอ?”


“ไม่หรอก นี่คือหลังจากหารเก้าแล้ว”


คิมฮันนาห์ได้อ้าปากค้างออกมา


“นี่มันเป็นแค่ส่วนแบ่งของฉันเท่านั้น”


หลังจากประเมินจำนวนเงินทั้งหมดแล้ว คิมฮันนาห์ก็ได้แต่อ้าปากค้างจริงๆ


“นี่… นายกำลังบอกว่าฉันต้องเชื่องั้นหรอ?”


“ทำไมฉันจะต้องโกหกด้วยล่ะในเมื่อเธอก็ไปเช็คในคลังที่ฮารามาร์คได้ตลอดเวลา?”


คิมฮันนาห์ได้แต่ต้องยอมรับในเมื่อเขาไม่ได้พูดผิดไปเลย


หลังจากพ่นควันออกมา ซอลจีฮูก็พูดอีกครั้งอย่างสงบ


“ก็อย่างที่ฉันบอกไป มีอยู่หลายอย่างที่ฉันยังไม่รู้ แต่ว่าฉันไม่ได้ทำมันไปโดยไม่คิดอะไรหรอกนะ อย่างน้อยที่สุดฉันก็รู้ถึงปัจจัยสำคัญที่สุดในการก่อตั้งองค์กรแหละนะ”


จากสิ่งที่ได้เห็นตรงหน้า คิมฮันนาห์ก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว


กลับกันเธอดูจะงุนงงมากๆ ยังไงแล้วเธอก็คงจะคิดว่าเขาพูดเล่น แต่จริงๆมันกลับไม่ใช่แบบนั้น


หลังจากได้ยืนยันแล้วว่าซอลจีฮูเอาจริง คิมฮันนาห์ก็ได้แต่ต้องเริ่มคิดใหม่เช่นกัน


เมื่อเขาสูบบุหรี่จนใกล้หมดแล้ว คิมฮันนาห์ก็หยุดมองสลับไปมาระหว่างซอลจีฮูกับกระเป๋า หลังจากที่สะบัดหัวแล้ว เธอก็มองตรงไปที่เขา


ถึงจะแค่เล็กน้อย แต่ว่าสายตาเธอก็กระจ่างชัดขึ้นมาแล้ว


“นี่… มีหนึ่งเรื่องที่ฉันอยากจะถาม”


ซอลจีฮูได้คีบบุหรี่และเอียงหัวออกมา


“ทำไมถึงไปอีวาล่ะ? อยู่ที่ฮารามาร์คมันจะไม่ง่ายกว่าหรอกหรอ?”


“เธอพูดถูก แต่ว่าฉันไม่ได้ไปแค่คนเดียวหรอกนะ”


“?”


“ซันเหอกับอุมิทัตสึบาเมะก็ตกลงจะไปด้วยกัน จริงๆแล้วอุมิทัตสึบาเมะถูกยุบไปแล้วล่ะ แค่ว่าในเมื่อคุณคาซุกิกำลัง…”


“อะ อะไรนะ?”


“นี่เป็นเงื่อนไขของอาจารย์จางตั้งแต่แรกแล้ว”


ซอลจีฮูได้พูดต่อนิ่งๆ


“เพื่อจัดการเรื่องภายใน เพื่อเอาชนะเหนือองค์กรอื่น และเพื่อเตรียมเงินทุนให้เพียงพอ”


จากนั้นเขาก็หยักไหล่ออกมา


“เอาเถอะนะ… เหตุผลใหญ่ที่สุดก็คือเพราะฮารามาร์คมีซิซิเลียอยู่แล้ว ฉันไม่อยากจะสู้กับซิซิเลีย”


คิมฮันนาห์ไม่มีแรงเหลือจะให้ตกใจแล้ว แต่ว่าเขาก็พอจะเดาได้ว่าเธอกำลังรู้สึกยังไง นี่มันก็เพราะว่าระดับความนึกคิดของเธอได้เปลี่ยนแปลงไปในทันทีที่เขาพูดจบ


จาก ‘ปีศาจ’ ไปเป็น ‘ตกตะลึง’


มันก็ช่วยไม่ได้ ด้วยความฉลาดของเธอ คิมฮันนาห์ก็รับรู้ถึงความทะเยอทะยานของซอลจีฮูได้ในทันทีที่เขาบอกว่าเขาไม่อยากจะสู้กับซิซิเลีย


ชายหนุ่มตรงหน้ากำลังบอกกับเธอว่าเขาจะปกครองเมืองและขึ้นเป็นกษัตริย์


“แล้วเอาไงล่ะ?”


ซอลจีฮูได้ถามออกมาเป็นครั้งที่สอง


“ฉันจะให้ห้องใหญ่ๆกับเธอเลย”


“มะ ไม่”


“เธออยากจะมาอยู่กับฉันไหม?”


หากว่าเป็นคนนอกมาได้ยินก็คงจะเข้าใจผิดไปแน่ๆ


คิมฮันนาห์ไม่ได้ตอบกลับในทันที


“ระ รอเดี๋ยวนะ”


เธอได้ยกมือลูบหน้าผาก


“ให้…”


เธอได้ฝืนลุกขึ้นยืนทั้งๆที่ยังแทบจะทรงตัวไม่ได้


“ให้เวลาฉันคิดหน่อยนะ…”


เธอได้เค้นคำขอออกมา


หลังจากเห็นความนึกคิดของเธอเปลี่ยนไปจาก ‘ตกตะลึง’ ไปเป็น ‘ไตร่ตรอง’ ซอลจีฮูก็ตอบตกลงทันที


“แน่นอน คิดได้เต็มที่เลย”


จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน


“แต่ว่าอย่าได้คิดจะออกไปนะ อยู่ข้างๆฉันเอาไว้”


เขาได้พูดคำเหล่านี้เผื่อเอาไว้


คิมฮันนาห์ได้หัวเราะออกมาเมื่อสังเกตได้ว่าซอลจีฮูกำลังเป็นห่วงเธอ


“ฉันไม่มีที่ให้ไปแล้วนี่ไอ้สารเลว”


***


ซอลจีฮูได้เข้าไปช่วยพยุงเธอ แต่ว่าคิมฮันนาห์ก็ได้ปฏิเสธเขาโดยบอกว่าเธอเดินเองได้


เธอไม่ได้พูดอะไรตลอดทาง เมื่อเห็นว่าเธอดูเหมือนจะกำลังคิดกับตัวเองอยู่ ซอลจีฮูจึงไม่ได้พูดอะไรออกไปเช่นกัน


แม้ว่ามันจะดึกมากแล้ว แต่ว่าก็ไม่มีเพื่อนรวมทีมของเขาอยู่ที่โรงแรมเลยสักนิด เขาไม่ต้องเดาก็รู้ได้เลยว่าพวกเขาคงยังอยู่ที่บาร์ที่ไหนสักแห่งตลอดทั้งคืนแน่ๆ


“ตอนนี้นอนก่อนเถอะ เราค่อยคุยกันต่อพรุ่งนี้”


ซอลจีฮูได้มาดูห้องของคิมฮันนาห์ก่อนที่จะกลับไปห้องของตัวเอง


เมื่อเขามาถึงห้องเขาก็ได้เจอเข้ากับไข่ที่กำลังนอนหลับสบายอยู่กลางเตียง โดยที่ไม่รู้เลยว่ามันตามเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน


‘เจ้านี่ตามฉันมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?’


เขาได้ใช้นิ้วเขี่ยไข่ออกไปก่อนที่จะทรุดตัวลงนอนบนเตียง จากนั้นเขาได้ลูบไข่ไปมาก่อนที่จะเริ่มมองไปบนเพดาน


การนอนหลับมันไม่ง่ายเลย นิมิตของคิมฮันนาห์ที่เขาได้เห็นยังคงเล่นซ้ำอยู่ในหัวเขา


‘คิมฮันนาห์…’


***


ในเวลาเดียวกัน


คิมฮันนาห์ก็ยังนอนไม่หลับเหมือนกันกับเขา


หัวของเธอทั้งวิงเวียน และร่างกายเธอก่อนอ่อนล้า แต่ว่าเธอยังคงนึกถึงคำพูดที่เธอเพิ่งจะได้ยินมา


[ฉันไม่อยากสู้กับซิซิเลีย]


เสียงแค่นได้ดังออกมาอย่างต่อเนื่อง เขาไม่อยากจะต่อสู้กับซิซิเลีย ไม่อยากจะเป็นศัตรูกับผู้บริหารแล้วก็แคร์ แอ็กเนส


ยิ่งคิดมันก็ยิ่งน่าขำ


แต่ว่าเธอจะรู้สึกยังไงกับความรู้สึกคาดหวังนี่ล่ะ?


มองย้อนไปแล้วซอลจีฮูก็เป็นแบบนี้อยู่เสมอ ทำในสิ่งที่คนอื่นคิดว่าเป็นไปไม่ได้และพยายามจะหยุดเขา แต่ไม่ว่าจะยังไงสุดท้ายผลลัพธ์มันก็จะปรากฏออกมาให้เห็นเสมอ


เหมือนอย่างที่เขาได้เอาชนะผู้บัญชาการกองทัพปรสิตในตอนที่เขายังมีระดับอยู่แค่เพียง 4


นั่นคือเหตุผล…


“…”


คิมฮันนาห์ได้เด้งตัวลุกขึ้นจากเตียง


***


ตึงๆ


ขณะที่เขากำลังจะหลับไป จู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงประตูถูกเปิดออกมา


และตามมาด้วยเสียงปิดประตู ได้มีคนๆหนึ่งค่อยๆเดินเข้ามาหาเขา เขารู้สึกได้ว่ามีคนกำลังนอนลงข้างๆเขา


“?”


เขาได้ตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ว่าเขาเพียงแค่ลืมตามองอย่างไร้เดียงสาเท่านั้น กลิ่นแอลกอฮอล์รุนแรงได้โชยเข้าจมูกเขาทันที


“ฉันรู้ว่านายยังไม่หลับ”


เป็นเสียงของคิมฮันนาห์


“อย่าเข้าใจผิดไปล่ะ ฉันมาก็เพราะว่าสมองฉันวุ่นไปหมด แล้วฉันก็ไม่อยากจะอยู่คนเดียว”


เธอได้บอกไม่ให้เขาเข้าใจผิด แต่ว่าเขาไม่ได้เข้าใจผิดเลยนี่ ฟังจากน้ำเสียงของเธอแล้วมันดูเหมือนว่าเธอยังคงเมาอยู่


“แล้วอะไรหรอ? เธอมาที่นี่ทำไม?”


เงียบๆ


หลังจากเงียบอยู่สักพักคิมฮันนาห์ก็พูดออกมา


“สัญญากับฉัน… สัญญากับฉันแค่สามอย่าง”


ร่างกายซอลจีฮูได้แข็งทื่อไปเมื่อได้ยินน้ำเสียงจริงจังนี้


“…สัญญาอะไร? เธออยากจะให้ฉันปกป้องใช่ไหม? แน่นอนอยู่แล้วว่าฉันจะปกป้องเธอ”


“นั่นมันแน่อยู่แล้ว”


คิมฮันนาห์ได้บ่นเขาก่อนกระแอ่มออกมา


“อย่างแรกให้อำนาจกับฉัน”


“อำนาจ?”


“นายคิดจะกลายเป็นกษัตริย์ใช่ไหม?”


“…”


“แน่นอนว่าหากเธอต้องการ ฉันก็ยินดีจะทำงานเหมือนกับสุนัขให้กับนาย แต่ว่าหากว่านายอยากจะได้พี่เลี้ยงคอยดูแล ฉันก็คงต้องปฏิเสธ”


ซอลจีฮูได้สงสัยในสิ่งที่เขาได้ยิน จางมัลดงเคยบอกกับเขาไว้แล้ว ทุกๆคนต่างก็มีสิ่งที่ตนเองต้องการ


และความต้องการของคิมฮันนาห์ก็คืออำนาจ ซอลจีฮูที่จับจุดได้แล้วได้ถามออกมา


“เธออยากได้ขนาดไหนล่ะ?”


“ราชินี”


“อะไรนะ?”


ซอลจีฮูได้รีบหันกลับมามอง คิมฮันนาห์กำลังนอนหันหลังให้เขาอยู่


“นี่เธอคิดจะแต่งงาน-“


ผั๊วะ


แต่ว่าก่อนที่เขาจะได้พูดจบ คิมฮันนาห์ก็เตะกลับหลังใส่เขา


“ฉันไม่มีอารมณ์มาล้อเล่นกับนายหรอกนะ เรื่องไร้สาระควรพอได้แล้ว สำหรับตำแหน่งราชินีน่ะ เมื่อพูดถึงในแง่ระดับชั้นของทีมแล้ว ฉันจะยอมอยู่ภายใต้นายคนเดียว และไม่ยอมให้ใครอยู่เหนือฉันอีก”


“เฮ้ มีอาจารย์จางด้วยนะ”


“แน่นอนว่าฉันเคารพเขา แต่ว่าอย่างน้อยเราต้องอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน ในเมื่อความเชี่ยวชาญของเราต่างกันมันจึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”


คิมฮันนาห์ไม่ได้ยอมถอยเลย ซอลจีฮูได้คิดกับตัวเองอยู่สักพักก่อนจะตอบกลับไป


“หากว่านั่นเป็นสิ่งที่เธอต้องการ งั้นก็ได้ แต่ว่าเธอจะต้องแสดงความสามารถและภาพลักษณ์ให้สมกับตำแหน่งนั้นด้วยนะ”


“ความสามารถน่ะได้ แต่ว่าภาพลักษณ์อะไรล่ะ?”


“ที่ฉันจะบอกก็คืออย่าได้ใช้อำนาจในทางที่ผิด ไม่ว่าคนๆหนึ่งจะมีความสามารถแค่ไหน แต่ฉันก็จะไม่ทำงานร่วมกันกับคนที่ทำอะไรตามใจตัวเอง


“นายคงยังรู้จักพาราไดซ์ได้ดีไม่พอสินะ ในพาราไดซ์น่ะความสามารถก็คือภาพลักษณ์”


คิมฮันนาห์ได้แค่นเสียงออกมา


“ฉันจะแสดงให้นายเห็นเอง อย่างน้อยที่สุดฉันจะไม่ทำอะไรโดยไร้เหตุผล เพราะงั้นไม่ต้องห่วงหรอก”


คิมฮันนาห์ได้ไอออกมา


“อย่างที่สอง จงกลายเป็นต้นไม้ใหญ่”


“ไม่ใช่ชายตัวโตหรอกหรอ?”


“แค่มนุษย์มันมีขีดจำกัดอยู่ ฉันกำลังบอกให้นายพัฒนาองค์กรให้เติบโตโดยมีนายเป็นศูนย์กลาง ทำให้มันใหญ่มากพอที่นายจะมองดูถูกซินยองได้ง่ายๆ”


ในปัจจุบันซินยองเป็นองค์กรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพาราไดซ์ แต่ว่าซอลจีฮูก็ได้ตอบกลับไปโดยไม่ลังเล


“แน่นอนสิ”


“…นาย นายสัญญาแล้วนะ ฉันจะไม่มีวันยกโทษให้นายหากว่าจู่ๆนายยอมแพ้กลางคัน หรือตายไปโดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาติ”


“ก็ได้ๆ แล้วข้อสามล่ะ?”


“อย่างที่สาม…”


คิมฮันนาห์ได้ชะงักไป ภาพลักษณ์ที่สง่างามของเธอได้หายไปอย่างกระทันหัน


“อย่าได้…”


เขาได้ยินเสียงพึมพำบางอย่าง แต่ว่าก็ได้ยินไม่ชัดเพราะมันเบาจนเกินไป


“เธอพูดว่าอะไรนะ?”


“อย่าได้…”


“คิมฮันนาห์?”


“…ทรยศฉัน… เด็ดขาด…”


น้ำเสียงของเธอสั่นเทา


ซอลจีฮูได้เม้มปากออกมา


“นั่นคือตราบใดเท่าที่เธอไม่ทรยศฉันก่อน”


หลังจากนั้นสักพักเขาก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว เธอคงจะหันกลับหลังมาเพราะเขารู้สึกได้ว่ากำลังถูกจ้องแผ่นหลังอยู่


ซอลจีฮูก็ค่อยๆหันกลับไปมองคิมฮันนาห์


“แล้วนี่การดึงเธอเข้าทีมเรียบร้อยแล้วสินะ?”


คิมฮันนาห์ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เธอเพียงแค่มองมาที่เขาด้วยสายตาเหมือนกับจิ้งจอก ก่อนที่จะถอนหายใจและค่อยๆหลับตาลงไป


ทันใดนั้นเอง เขาก็รู้สึกว่าขนตายาวของเธอมันงดงามมาก


“คิมฮันนาห์”


“อะไร…”


หลังจากได้รับคำตอบที่ชัดเจนเธอคงจะโล่งใจแล้วสินะ? น้ำเสียงเธอดูง่วงมากเหมือนกับความง่วงได้กวาดทั่วร่างเธอไปแล้ว ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมา


“ยินดีต้อนรับนะ”


“อืม…”


“ไม่ว่าจะยังไง ฉันจะทำให้เธอมีความสุข”


คิมฮันนาห์ได้หัวเราะออกมาเบาๆ


“หากว่ามีใครได้ยิน… พวกเขาจะคิดว่าเราแต่งงานกันนะ…”


จากนั้นลมหายใจแผ่วๆก็ดังออกมา


ซอลจีฮูได้เปิดใช้นพเนตรขึ้น


เลือดเหล็ก (ไม่หลั่งเลือดและน้ำตา) / มุ่งมั่น / ทะเยอทะยาน (เต็มไปด้วยความหวังที่จะทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่)


ความนึกคิดเธอได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว


สีของเธอยังเป็นสีน้ำเงิน ทางเลือกแห่งโชคชะตา


และซอลจีฮูที่เห็นนิมิตเล่นอยู่ตรงหน้าก็ได้กำหมัดแน่น


ในที่สุดเขาก็ผ่านอุปสรรคไปได้อย่างหนึ่งแล้ว


ซอลจีฮูได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นก็ค่อยๆหลับตาลงไป


และแน่นอนว่าด้วยนิสัยที่ยากจะแก้ไขของเขา ซอลจีฮูจึงค่อยๆซุกหน้าเข้าไปในหน้าอกของคิมฮันนาห์ และหลับลงไปด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ


’75C… ไม่สิ D’


“…เฮ้”


จากนั้นเอง


“นี่มันไร้สาระมากนะ ฉันจะถามนายก่อนที่จะตบนาย”


คิมฮันนาห์ที่เขาคิดว่าหลับไปแล้วได้พูดออกมาทั้งๆที่หลับตาอยู่


“นี่เป็นวิธีจีบสาวของนายงั้นหรอ?”


ซอลจีฮูได้รีบแกล้งทำเป็นหลับไป เขาได้เกร็งหน้าเตรียมถูกตบแล้ว


“ฟู่วว…”


ในตอนนั้นเองเขาก็รู้สึกว่ามีมือมาลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยน


“ฉันมันโง่เองที่เผลอคิดไปว่านายมันพึ่งพาได้…”


คิมฮันนาห์ได้เดาะลิ้น และบ่นออกมา


‘มันอบอุ่น’


ซอลจีฮูได้ยิ้มๆอ่อนๆก่อนจะหลับไป


“นายคิดจะทำอะไร…”


หลังจากยืนยันว่าเขาหวันไปแล้ว คิมฮันนาก็ยิ้มแห้งๆออกมา


“นายเป็นเพียงคนเดียว…”


เธอได้พูดเสียงต่ำๆออกมา


“เพียงคนเดียวที่เข้ามาในพาราไดซ์.. เพราะนายคิดถึงในกลิ่นของผู้คน”


บทที่ 230 – กฎเกณฑ์ (1)


แสงแดดเจิดจ้าได้ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง


เมื่อแสงแดดรุนแรงได้เข้ากระทบกับใบหน้า ซอลจีฮูก็ได้ลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย และรีบซุกเข้าไปในจุดที่อบอุ่นตามสัญชาตญาณ


“อ่า…”


เสียงครางเบาๆได้ดังขึ้นมา


“ฉันต้องตื่นไปทำงาน… ไม่สิ… ฉันยังนอนได้อีกหน่อย… แต่ฉันกลับตื่นขึ้นมาเองในตอนนี้…”


เขาได้พลิกตัวไปมาพร้อมลมหายใจแรง


“เฮ้ ถอยไปซะ”


คิมฮันนาห์ได้ผลักซอลจีฮูออกไป


“อื้อ…”


แน่นอนว่าเขาได้คลานกลับมาหาเธอในทันที


“พระเจ้า”


“ซอนฮวา… พี่สาวยูฮุย… ถ้าทำแบบนี้… ฉันหายใจไม่ออกนะ…”


“พระเจ้า”


คิมฮันนาห์ได้ถอนหายใจออกมา


ฝันแบบไหนกันถึงได้ทำให้เขาแสดงสีหน้ามีความสุขแบบนี้?


“ไอ้เจ้าเด็กน้อยนี่…”


หลังจากดันตัวซอลจีฮูออกไปได้แล้ว เธอก็รีบลุกขึ้นจากเตียงทันที


ซอลจีฮูได้เม้มปากแน่นและกลิ้งตัวไปมา เขาได้ซุกหน้าลงไปบนผ้าห่มอุ่นๆที่ยังมีความอบอุ่นของร่างกายคิมฮันนาห์อยู่


กลิ่นหอมอ่อนๆของเครื่องสำอางกับแอลกอฮอล์ได้โชยแตะจมูกซอลจีฮู


“ผมจะไปต้มน้ำให้นะครับ”


“ขอบคุณ”


“คุณต้องการรับประทานอะไรเป็นอาหารเช้า?”


“อะไรก็ได้ที่ช่วยแก้เมาค้าง ช่วยเสิร์ฟสองที่ด้วยนะ”


เสียงต่างๆมากมายได้ดังเข้าหูซอลจีฮูทำให้เขาค่อยๆตื่นขึ้นมา มีทั้งเสียงประตูถูกปิด เสียงน้ำไหล เสียงต้มน้ำ ต่างๆมากมาย…


เขากระทั่งได้กลิ่นหอมชวนน้ำลายสออีกด้วย


ขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้นมา ผ้าเช็ดตัวเปียกๆก็ถูกโยนลงมาบนใบหน้าของเขา


“…นั่นมันอะไรกัน?”


“ฉันกำลังเปลี่ยนเสื้ออยู่”


ซอลจีฮูได้บ่นกับตัวเองเบาๆเมื่อได้ยินเสียงเปลี่ยนเสื้อ


“ฉันหลับตาอยู่”


“จริงๆแล้วฉันโยนออกไปเพราะฉันโกรธอยู่”


ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมากับคำสารภาพของคิมฮันนาห์


“โกรธ? ทำไมล่ะ?”


“นายรู้ไหมว่าเพราะนายทำให้ฉันกว่าจะหลับไปได้มันยากแค่ไหนน่ะ?”


ซอลจีฮูได้ผงะไปจากคำพูดที่เต็มไปด้วยความรำคาญของเธอ


“ในพจนานุกรมของนายมีคำว่ายับยั้งชั่งใจอยู่บ้างไหม? นี่นายเป็นเด็กอายุ 12 ขวบหรือไงกัน?…”


“…”


“นายจะแกล้งหลับอีกเพื่อ? ลุกมากินข้าวเช้าได้แล้ว! ฉันสั่งซุปแก้เมาค้างมาให้นายไว้แล้วนะ!”


ในท้ายที่สุดซอลจีฮูก็คลานออกมาจากเตียงเหมือนกับเด็กที่ถูกคุณแม่ดุ


เมื่อเขายกผ้าขนหนูที่ปิดตาเอาไว้ออกมา เขาก็เห็นคิมฮันนาห์กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะด้านหน้าพร้อมด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาว


ซอลจีฮูได้กระพริบตาออกมา


ปกติแล้วเขาจะเห็นผมของเธออยู่ในทรงหางม้าเรียบร้อยอยู่เสมอ เพราะงั้นการได้มาเห็นเธอมัดผมแบบรุงรังทำให้ดูต่างออกไปเล็กน้อย


“ฟู่ว… กลมกล่อมดีมาก เฮ้ มากินนี่สิ เดี๋ยวซุปก็เย็นไปก่อนซะหรอก”


ซอลจีฮูได้นั่งลงตรงข้ามกับเธอ และหยิบช้อนขึ้นมาตักซุป


มันยังคงรุ่งสางอยู่ทำให้ความหนาวเย็นของยามค่ำคืนยังไม่ได้หายไป ซุปร้อนๆจึงเป็นอาหารที่เหมาะกับการสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกายเป็นอย่างดี


เนื่องจากว่าน้ำซุปมีรสชาติอ่อนๆ เขาจึงกลืนมันลงไปได้โดยไร้ปัญหาใดๆ


หลังจากสนใจอยู่กับการแก้อาการเมาค้างอยู่สักพักแล้ว ซอลจีฮูก็เงยหน้าขึ้นมามองคิมฮันนาห์


เธอยังจำที่พวกเขาคุยกันเมื่อคืนได้ไหมนะ?


แอลกอฮอล์ได้ทำให้เธอพูดในสิ่งที่คิดออกมา เพราะงั้นตอนนี้เขาก็เลยคิดว่าเธออาจจะคิดเปลี่ยนใจ


ความคิดมากมายหลายประเภทได้เข้ามาในหัวของเขา


ธรรมชาติของผู้คนนั้นแปลกประหลาด วันนี้อาจจะต่างไปจากเมื่อวานก็ได้


นอกจากนี้นี่ยังเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ที่อาจจะเปลี่ยนชีวิตของคิมฮันนาห์ในพาราไดซ์ไปตลอดกาลก็ได้


“…”


…จริงๆแล้ว ซอลจีฮูก็ไม่ได้เชื่อมั่นในตัวเองขนาดนั้นเช่นกัน


คิมฮันนาห์เข้าร่วมคาเพเดี่ยม นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลย


“ฟู่ววว~ นี่แหละน้ำซุป”


คิมฮันนาห์ได้เงยหน้าขึ้นมาจากถ้วยซุป เธอได้เช็ดเหงื่อออกมาจากจมูกกับหน้าผาก พร้อมพ่นลมหายใจออกมา


“ค่อยโล่งท้องขึ้นมาหน่อย ฮ่าห์~ สดชื่นจริงๆ ในที่สุดก็รู้สึกสบายขึ้นแล้ว”


เธอได้มองมาที่ซอลจีฮูอย่างประหลาดใจ


“เป็นอะไรไปล่ะ? ทำไมถึงยังกินไม่หมดอีก”


ซอลจีฮูได้จับช้อนขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว


คิมฮันนาห์ได้ลุกขึ้นด้วยสีหน้าสดชื่น และเริ่มทาโทนเนอร์ลงบนใบหน้าของเธอ จากนั้นเธอก็ต่อด้วยทาโลชั่น


“ยังไงก็เถอะ ทำไมนายถึงมาที่สกีเฮราซาร์ดล่ะ?”


‘อะไรนะ?’


ซอลจีฮูแทบจะผงะถอยไป


“นายบอกว่านายพาเพื่อนร่วมทีมมาด้วยนี่ นายพาพวกเขาทุกคนมาหาฉันงั้นหรอ?”


จนกระทั่งเมื่อเขาได้ยินคำต่อมา เขาก็คิดว่าเธอคงอยากจะแกล้งว่าเรื่องเมื่อวานไม่เคยเกิดขึ้น


“โอ้… นั่นก็เพราะโรงประมูล”


“โรงประมู,? โอ้ พวกเขามาใช้เงินสินะ”


“ก็มีบางคนที่มาเที่ยวเล่นเฉยๆ แต่ว่าส่วนใหญ่ก็ใช่แหละ พวกเรามาหาซื้ออุปกรณ์ใหม่ๆ”


“อุปกรณ์ใหม่ๆ…”


คิมฮันนาห์ได้แค่นเสียงออกมาในขณะที่ทาครีมกันแดด


“ฉันได้ยินมาว่าช่วงนี้สกีเฮราซาร์ดไม่ค่อยได้มีของดีๆเข้ามาเลย นายคงไม่ได้คิดว่ามีเงินแล้วจะซื้ออะไรตามใจไปหมดใช่ไหม?”


“ฉันเพิ่งจะซื้อเสื้อคลุมในราคา 100 เหรียญเงินไป แต่ว่าอย่างอื่นก็ไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว”


“นายคงดูทั่วแล้วสินะ ดีมาก”


คิมฮันนาห์ได้ชมซอลจีฮูพร้อมทั้งทาครีมเพิ่มความชุ่มชื้นไปด้วย


ซอลจีฮูได้หมุนช้อนภายในซุปก่อนที่จู่ๆจะถามออกมาด้วยความสงสัย


“ทำไมล่ะ? ตอนนี้ฉันไม่ควรจะซื้ออะไรจากโรงประมูลเลยใช่ไหม?”


“มันไม่จำเป็น ต้องให้นายจะมีเงิน นายก็ควรจะใช้จ่ายมันออกไปให้เหมาะสมกับคุณค่า”


คิมฮันนาห์ได้พูดขึ้นพร้อมกับเปิดฝาบีบีครีม


“พวกเรากำลังคุยกันเรื่องเหรียญทองหลายร้อยเหรียญกันอยู่ นายจะต้องใช้เงินให้ถูกที่ แน่นอนว่าสกีเฮราซาร์ดมีโรงประมูลที่ใหญ่ที่สุดก็จริง แต่ว่ามันก็เป็นที่ที่ไม่ว่าใครก็เข้ามาได้ตลอดเวลา”


“แล้วการที่โรงประมูลเป็นที่สาธารณะมันสำคัญด้วยหรอ?”


“ก็สำคัญสิเจ้าโง่ โรงประมูลเป็นธุรกิจที่ดำเนินการโดยชาวโลก”


คิมฮันนาห์ได้ดุเขาออกมา กจากนั้นก็เริ่มแสดงทักษะของเธอออกมาพร้อมทั้งปัดรองพื้นไปด้วย


“มันมีโรงประมูลที่แยกเอาไว้สำหรับแขกพิเศษอยู่ เป็นพื้นที่ส่วนตัวที่มีเฉพาะผู้จ่ายรายใหญ่เท่านั้นที่จะรู้ ของดีๆที่เหลือกว่าของที่ขายจากโรงประมูลสาธารณะจะอยู่ที่นั่น”


ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้นมาเนื่องจากว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้ยินอะไรแบบนี้ นี่ดูจะเป็นเหตุผลที่เขาไม่เจอกับอะไรที่น่าสนใจในโรงประมูลที่มีชื่อเสียงของสกีเฮราซาร์ดอีกด้วย


“ท้ายที่สุดแล้วของทั้งหมดที่ถูกนำไปขายในโรงประมูลสาธารณะต่างก็เป็นของเหลือทิ้ง แน่นอนว่าของเหลือพวกนั้นก็ไม่ได้แย่อะไรไปซะหมด แต่ว่าของพวกนั้นก็ไม่ใช่ของสำหรับคนที่มีเป็นร้อยเหรียญทองจะไปใช้ มันเป็นของที่ดีแหละ แต่ว่าไม่เหมาะกับคนที่เป็นแขกพิเศษ”


คิมฮันนาห์ได้ยิ้มออกมาพร้อมทาคอนซีลเลอร์


“คนที่ไปใช้พลังงานกับโรงประมูลสาธารณะมีแต่คนโง่เท่านั้นแหละ พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีพนักงานของโรงประมูลคอยปั่นราคาด้วยซ้ำไป พวกเขาต้องจ่ายราคาพิเศษไปกับแค่ของลดราคาเท่านั้นเอง!”


ซอลจีฮูอดจะคิดถึงฮิวโก้ที่ซื้อของไปเมื่อวานพร้อมเสียงหัวเราะคิกคักไม่ได้


ซอลจีฮูก็เคยมีประสบการณ์ซื้อของตามโฆษณา แล้วก็ต้องมาผิดหวังทีหลัง เพราะงั้นเขาจึงรู้ว่าคิมฮันนาห์กำลังพูดถึงอะไรอยู่


‘หืม?’


ขณะกำลังคิดอยู่เขาก็ชะงักไป เขาเพิ่งจะเห็นเธอทาคอนซีลเลอร์ แต่นี่เธอกำลังทาแป้งซะแล้ว


‘ได้ยังไงกัน?’


“โอ้ จริงสิ นายคิดจะกลับไปเมื่อไหร่ล่ะ?”


“หืม? ฉันพึ่งมาถึงได้วันเดียวเองนะ”


“ให้ตายสิ ไม่ใช่ว่าฉันบอกนายไปแล้วหรอ? นี่นายจะซื้อของเหลืองั้นหรอ? นายบอกว่านายกลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงไปแล้วนี่? ถ้างั้นนายก็ต้องซื้ออุปกรณ์ดีๆ โดยเฉพาะยิ่งนายเป็นนักรบแล้วด้วยนะ”


ซอลจีฮูได้ร้อง ‘อ่า’ ออกมา


ไม่สิ นั่นมันไม่ใช่สิ่งสำคัญ


ในพริบตาเดียวคิมฮันนาห์ก็ได้เริ่มกรีดตาแล้ว จากวิธีขยับมือของเธอ เขารู้สึกเหมือนกับกำลังดูมายากลอยู่


“ซินยองไม่อาจจะแตะต้องได้นายง่ายๆก็จริง แต่ว่านายไม่มีวันจะมั่นใจได้เลย การอยู่ที่นี่นานเกินไปมันไม่มีอะไรดีหรอกนะ”


คิมฮันนาห์ได้มองดูตัวเองในกระจก ก่อนที่จะพยักหน้าและลุกขึ้นยืน


ซอลจีฮูได้กลายเป็นพูดไม่ออก


‘พวกเขาบอกว่าการเปลี่ยนแปลงของหญิงสาวคือความไร้เดียงสา แต่ว่านี่…’


ในตอนนี้ใบหน้าของเธอมีความใสชัดมากขึ้น และซอลจีฮูก็ไม่คุ้นเคยเอาซะเลย เขากระทั่งรู้สึกว่าเหมือนกับใบหน้าเธอกำลังเปล่งประกายออกมาอีกด้วย


“แต่ก็ไม่ต้องเศร้าไปหรอกนะ ที่นายหลบกองขี้บนพื้นมันไม่ใช่เพราะนายกลัว แต่ว่าเพราะมันสกปรกต่างหาก”


เธอได้มัดผมเป็นหางม้าอย่างเรียบร้อย จากนั้นด้วยการสวมใส่เสื้อแจ็คเก็ต ถุงน่อง และกระโปรงทำงาน เธอก็ได้กลายเป็นพนักงานสาวมืออาชีพไปซะแล้ว


“ตอนนี้ฉันต้องไปทำงานแล้วล่ะ เพราะงั้นนายก็ไปปลุกพรรคพวกของนาย แล้วก็ไปเตรียมรถม้าได้แล้ว ยิ่งนายออกไปได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีกับเราทั้งคู่”


หลังจากจัดการกับชายเสื้อของเธอเองแล้ว คิมฮันนาห์ก็ก้มลงไปหยิบกระเป๋าขึ้นมา


จากนั้นเองซอลจีฮูก็นึกขึ้นได้ว่าเขาลืมถามเรื่องสำคัญไป


“ธะ เธอกำลังจะไปทำงานหรอ?”


“หืมมม?”


“ทำไมล่ะ?”


“ทำไมอะไรของนายกัน? ก็เพราะมันเป็นงานของฉันไง?”


เมื่อคิมฮันนาห์ได้ตอบกลับมาเล่นๆ และหยิบกระเป๋าถือขึ้นมา ซอลจีฮูก็ถามขึ้นอีกครั้ง


“ต้องไปด้วยหรอ?”


“จู่ๆนายมาถามอะไรกัน?”


“ก็เมื่อวานเธอบอกว่า-“


“ที่ฉันไปก็เพราะฉันต้องไป! ทำไมนายถึงได้ถามแบบนี้้ด้วย?”


ซอลจีฮูได้พูดไม่ออกกับคำพูดที่หนักแน่นของเธอ และสายตาที่มองเขาด้วยสีหน้ารำคาญ


“ไม่… ฉันก็แค่สงสัยว่าทำไมเธอต้องไป…”


คิมฮันนาห์ได้สะพายกระเป๋าบนไหล่ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่แยแส


“ฉันกำลังจะไปยื่นจดหมายลาออก”


***


หลังจากคิมฮันนาห์ออกไปทำงานแล้ว ซอลจีฮูก็แอบเข้าไปห้องข้างๆ พรรคพวกของเขานอนแผ่หลับอยู่ในห้องเดียวกันอย่างที่เขาคิดไว้เลย


จากกลิ่นแอลกอฮอล์ที่โชยทั่วห้องเขาก็พอจะจินตนาการได้แล้วว่าเพื่อนๆเขาดื่มกันหนักขนาดไหน


มันไม่แปลกเลยที่ไม่ว่าเขาจะเขย่าพวกเขาแรงขนาดไหน ก็ไม่มีใครตื่นขึ้นมา จริงๆแล้วพวกเขากระทั่งขมวดคิ้วโบกมือไปมาราวกับจะไล่แมลงวันอีกด้วย


สิ่งเดียวที่ยังพอทำให้เขาสบายใจได้ก็คือมาแชล จิโอเนียเป็นคนเดียวที่ได้สติขึ้นมาทันที


ขณะที่คิดว่าจะต้องทำยังไง ซอลจีฮูก็คิดไอเดียดีๆออก


และนั่นก็คือการเอาใบหน้าของเพื่อนๆของเขาเข้าไปใกล้ๆกับรักแร้และเป้ากางเกงของฮิวโก้ให้ได้มากที่สุด


ผลลัพธ์ได้ออกมาแทบจะในทันที โชฮงที่ถูกวางไว้ใต้รักแร้ซ้ายของฮิวโก้ได้ตื่นขึ้นมาหลังจากผ่านไปไม่กี่นาทีพร้อมกับเสียงสบถด่าทุกชนิด


สำหรับฟีโซราที่อยู่ตรงรักแร้อีกข้างก็เป็นเช่นเดียวกัน


“เชี้ย!”


เธอได้ขมวดคิ้วขึ้น และสบถออกมาเพียงคำเดียวในตอนที่ตื่นขึ้นมา


ซอลจีฮูได้กลั้นขำเอาไว้ และเดินเข้าไปหาเธอ


“มีอะไรงั้นหรอ?”


“ฉะ ฉันกำลังหลับอยู่ดีๆ แล้วจู่ๆ… อ๊า แม่งเอ้ย ฉันยังได้กลิ่นเหม็นเน่าอยู่เลย”


ฟีโซราได้บ่นขึ้น และถ่มน้ำลายลงพื้น เธอดูจะขยะแขยงเอามากๆ


“เอาเถอะๆ ได้เวลาตื่นแล้ว พระอาทิตย์ขึ้นแล้วนะ”


“หืม? ทำไมล่ะ? ฉันยังอยากจะนอนอยู่อีกหน่อย”


“ฉันเอาน้ำร้อนมาให้แล้ว ไปล้างหน้าให้ตื่นก่อนเถอะนะ”


ซอลจีฮูได้ดันฟีโซราที่กำลังบ่นเข้าห้องน้ำไป


มาเรียยังคงทนอยู่ใต้เป้ากางเกงของฮิวโก้ได้เป็นอย่างดี แต่ว่าไม่นานเธอก็ต้องถึงขีดจำกัดเมื่อฮิวโก้ตดออกมา


“ฮ่าาาห์ รู้สึกดีจัง”


มันคงจะเป็นภาระมากพอควรถึงขนาดที่ฮิวโก้ที่หลับอยู่ถึงกับพึมพำออกมา


“!?”


แต่แน่นอนว่ามันเหมือนกับสายฟ้าฟาดเข้าใส่มาเรียอย่างรุนแรง


“อึก! อ๊วกกกก-!”


มาเรียได้อาเจียนออกมาทั้งๆที่ร้องไห้ไปด้วย


“เชี้ย เชี้ยอะไรว่ะเนี้ย!”


เธอได้ร้องออกมาด้วยความโกรธแค้นพร้อมทั้งใช้ไม้กางเขนจิ้มเข้าใส่ก้นของฮิวโก้


ผลที่ได้ก็คือฮิวโก้ก็ยังต้องตื่นขึ้นพร้อมเสียงกรีดร้อง


มาแชล จิโอเนียที่กำลังมองดูภาพทั้งหมดนี้ด้วยความสับสนได้แต่ตัวสั่นด้วยความกลัวเมื่อเห็นเห็นซอลจีฮูหัวเราะกับตัวเอง


ในขณะที่เกิดความวุ่นวายขึ้นมาอยู่เล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่มีใครในทีมที่คัดค้านเรื่องการกลับฮารามาร์คเลย


เหตุผลนั่นก็เพราะมันไม่มีของดีๆในโรงประมูลเลยจริงๆ


ซอลจีฮูรู้สึกยินดีที่เขาไม่จำเป็นต้องไปโน้มน้าวคนอื่นๆ แต่ว่าเขาก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่าจริงๆแล้วเป้าหมายของคนอื่นๆเป็นการมาดื่มเหล้าแพงๆของสกีเฮราซาร์ดหรือเปล่า


แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ข่าวดีก็ยังเป็นข่าวดี ซอลจีฮูได้เช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม และมุ่งหน้าไปทางคอกม้าที่อยู่ใกล้ประตูทางใต้


“หืมมม ปล่อยให้เรานอนต่อสักหน่อยเถอะนะ… เราก็ไม่ได้รีบอะไรขนาดนั้นนี่…”


ฟีโซราได้บ่นออกมาพร้อมหาวขึ้น


ซอลจีฮูได้แต่แสดงสีหน้าขอโทษเธอ


มาเรียก็ยังกำลังปวดท้องอยู่เช่นกัน


“สรุปแล้วในการเดินทางมาเมืองหลวงครั้งนี้มีแค่ฉันคนเดียวที่ได้ประโยชน์สินะ”


ฮิวโก้ได้ยิ้มกับตัวเองอย่างภูมิใจพร้อมนั่งลงไปบนรถม้า


ซอลจีฮูกำลังคิดจะบอกฮิวโก้ถึงเรื่องที่คิมฮันนาห์บอกกับเขา แต่แล้วเขาก็ห้ามตัวเองไว้ การไปทำลายความสุขของฮิวโด้มันไม่ใช่เรื่องดีเลย


“อ่า… นี่ฉันดื่มมากเกินไปหรือเปล่านะ? ทำไมหัวของฉันมันยุ่งแบบนี้…”


ซอลจีฮูไม่อาจจะกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ได้เมื่อเขาเห็นโชฮงบ่นออกมาพร้อมๆกับมาเรีย


“เธอน่าจะกินซุปแก้เมาค้างสักหน่อยนะ เธอมีเวลาอยู่”


“ฉันขี้เกียจอะ… ยังไงก็ตาม เราออกเดินทางกันเถอะ ไว้นอนหลับอีกสักตื่นก็คงดีขึ้นเอง”


“เดี๋ยวก่อน เรากำลังรออีกคนหนึ่งอยู่”


“หืม? นายหมายความว่ายังไงกัน? เราก็มากันครบแล้วนี่”


“เอาเถอะ… มีอีกคนกำลังจะมากับเราด้วย”


โชฮงได้เบิกตากว้างขึ้นมา


“ใครน่ะ? แล้วเมื่อไหร่คนๆนั้นจะมา?”


“ไม่นานหรอก ตอนนี้นอนไปก่อนก็ได้”


“รถม้าต้องเริ่มเดินทางก่อนฉันถึงจะนอนได้ ถ้าฉันนอนตอนนี้ แล้วตื่นขึ้นมาตอนรถม้ากำลังวิ่งอยู่ ฉันได้แย่แน่…”


โชฮงได้จ้องมองฮิวโก้ที่กำลังหัวเราะอยู่


“…ก็จริง รออีกสักหน่อยแล้วกัน”


ซอลจีฮูที่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอได้หยิบเอาคริสตัลสื่อสารออกมาจากกระเป๋า จากนั้นเอง


ประตูรถม้าได้ถูกเปิดขึ้น และหญิงสาวที่คุ้นเคยก็โผล่เข้ามา


เธอดูเหมือนกับในตอนที่ออกไปจากโรงแรมจะเว้นก็แต่ว่ากระเป๋าที่เธอแบกมาด้วย


คิมฮันนาห์ได้เข้ามาในรถม้า และหยักหน้า


“ฉันมาทันทีเวลาสินะ”


“ใครกันนะ…”


โชฮงได้ชะงักไปก่อนที่เธอจะได้พูดจบ


เธอจำหน้าผู้มาใหม่ได้ทันที เธอกระทั่งเคยเห็นใบหน้านี้มาก่อนด้วย


ในตอนที่ซอลจีฮูโคม่า โชฮงเคยเจอกับคิมฮันนาห์อยู่หลายครั้งในตอนที่เธอมาเยี่ยมเขา


ซอลจีฮูได้อ้าปากค้างออกมา


“เธอมาเร็วกว่าที่ฉันคิดอีกนะ”


“ก็ไม่ได้มีอะไรให้ต้องจัดการ การโอนย้ายน่าที่ถูกจัดการเสร็จไปสักพักแล้ว แถมฉันก็ได้เริ่มเก็บของเอาไว้แล้วด้วย”


“แล้วนี่เธอส่งจดหมายไปถึงหัวหน้าโดยตรงแล้วหรอ?”


“นี่นายคิดว่าฉันจะไปถ่ายหนังดราม่าตอนเช้างั้นหรอ?”


โชฮงไม่ใช่แค่คนเดียวเท่านั้น แต่ว่าทุกๆคนในรถม้าต่างก็ปิดปากเงียบราวกับนัดกันไว้ล่วงหน้า และหันไปสนใจอยู่กับหญิงสาวที่กำลังคุยกับซอลจีฮู


จิ้งจอก ยัยตัวแสบที่ทำสงครามผ่านทางธุรกิจ หญิงสาวที่ดีแลนด์ไม่กล้าเป็นศัตรูด้วย ‘พระเจ้า นี่มันสามในหกคนคลั่ง’…


เมื่อความคิดต่างๆมากมายได้เข้ามาในหัว ซอลจีฮูก็ยิ้มสดใสและยื่นมือออกไป


“เข้ามาสิ”


ในเมื่อข้ามเส้นมาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมองย้อนกลับไป


คิมฮันนาห์ได้จับมือซอลจีฮูเอาไว้โดยไม่ลังเล


***


รถม้าได้ออกเดินทางแล้ว


ในตลอดทางไม่มีแม้แต่เสียงพึมพำดังออกมา ทั้งทีมได้อยู่เงียบๆ และคิมฮันนาห์ก็ไม่ได้พูดอะไรเลยสักนิด เธอเอาแต่นั่งตัวตรงมองออกไปด้านนอก


มันดูเหมือนจะมีกำแพงที่มองไม่เห็นอยู่ระหว่างคิมฮันนาห์กับคนที่เหลือในทีม


นี่มันก็ช่วยไม่ได้ ทุกๆคนต่างก็เข้าใจสถานการณ์เมื่อซอลจีฮูได้พูดถึง ‘จดหมายลาออก’


ครั้งหนึ่งโชฮงเคยล้อเลียนซอลจีฮูโดยบอกว่าหากคิมฮันนาหกับซอยูฮุยมาร่วมทีมได้ เธอจะเรียกเขาว่า ‘พี่’ เลย


แน่นอนว่าคิมฮันนาห์ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับซอยูฮุย แต่ว่าเรื่องที่เธอได้รับความเคารพจากทั่วโลกในด้านความถนัดของเธอก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้


พูดง่ายๆก็คือนี่มันคล้ายกันกับนักกีฬาระดับโลกที่ย้ายทีมไปในทีมระดับสองเพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง


“อืมม…”


ในท้ายที่สุดแล้ว มาแชล จิโอเนียที่กลั้นความสงสัยไม่ไหวก็ได้พูดออกมา


“หัวหน้า นี่มันเรื่องอะไรกัน…?”


“อ่า อืมม… คือว่า… ฉันจะเริ่มจากตรงไหนดีล่ะ…”


ซอลจีฮูได้กอดอกและเม้มปากออกมา


“ฉันคิดว่าจะบอกพวกนายตอนเราไปถึงฮารามาร์คแล้ว แต่นี่ฉันคงต้องบอกเดี๋ยวนี้เลยสินะ”


ซอลจีฮูได้ดึงความสนใจของทุกๆคนเข้ามา


“อีกไม่นานคาเพเดี่ยมจะพัฒนาขึ้นเป็นองค์กรอย่างเป็นทางการ”


“หืม?”


“แล้วก็พวกเราจะออกจากฮารามาร์ค และมุ่งหน้าไปอีวา”


นี่เป็นเรื่องที่ใหญ่มากๆ


“อะ อะไรนะ?”


โชฮงได้ถามออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง


“เฮ้… นาย… นี่นายคิดว่าการตั้งองค์กรมันเป็นเรื่องง่ายๆหรอ?”


“ไม่หรอก ฉันรู้ว่ามันยาก”


ซอลจีฮูได้ยอมรับออกมาตรงๆว่ามันยาก


“นี่แหละคือเหตุผล”


“?”


“ในที่นี้มีใครรู้วิธีการลงทะเบียนองค์กรโดยละเอียดไหม?”


ซอลจีฮูได้มองกลับไปที่ทุกๆคน ไม่มีใครยกมือขึ้นมาดังคาดไว้


ไม่แม้กระทั่งฟีโซรา


เธอก็เคยเป็นส่วนหนึ่งในการก่อตั้งองค์กรมาก่อน แต่ว่าเธอไม่ได้ก่อตั้งกุหลาบขาวขึ้นด้วยตัวเอง


“ไม่มีใครรู้ใช่ไหมล่ะ? พวกเราต้องมีผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้มาช่วยเขา และก็มีบางอย่างเกิดขึ้นทำให้ฉันชวนเธอเข้ามา”


“ว้าว อธิบายได้ดีจริงๆ”


โชฮงได้หัวเราะแห้งๆออกมา


มันเป็นเรื่องง่ายที่จะเชื่อเขาเพราะว่าหลักฐานได้มาอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่สิ่งที่ทุกคนสงสัยมันไม่ใช่ว่าทำไมเขาถึงเลือกคิมฮันนาห์มา


แต่มันคือวิธีที่เขาดึงตัวจิ้งจอกผู้มีชื่อเสียงที่อยู่ในซินยอง องค์กรที่ใหญ่ที่สุดในพาราไดซ์มาได้ต่างหาก


“โอ้ ไม่ใช่ว่าพวกเราก็ต้องการนักเวทย์ด้วยหรอกหรอ? ทำไมนายไม่พาพี่สาวซินเซียมาด้วยเลยล่ะ?”


ซอลจีฮูได้เงียบไป และจ้องมองไปที่โชฮงที่พูดเย้ยออกมา


“อะ อะไรล่ะ? ทำไมนายถึงมองฉันแบบนั้น?”


“…”


“อะไร…?”


สีหน้าของโชฮงได้ซีดลงไป ยิ่งซอลจีฮูจ้องเธอ เธอก็ยิ่งกลายเป็นอึดอัด


“อ่า… อืมม…”


เธอได้พูดตะกุกตะกัก และหลบสายตาเขา


“อ่า พระเจ้า…”


เธอได้ตัวสั่นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวราวกับคนที่มีความผิด


[อะไรนะ? บุตรสาวแห่งลูซูเรียเหมาะงั้นหรอ? จิ้งจอกสาวก็ดีหรอ? ฟุฮ่าฮ่าฮ่า!]


[ทั้งคู่ต่างก็อยู่ในจุดสูงสุดของความแต่ล่ะสาขา แต่ว่านายคิดจะดึงตัวพวกเธอเข้าทีมเรางั้นหรอ ไปดื่มน้ำให้กลับมามีสติสักหน่อยไหมไอ้เวรนี่]


[โอ้ววว? จริงเหรอออ? เชิญฝันต่อไปเถอะนะ]


[หาา! เฮ้ ถ้านายพาสักคนหนึ่งเข้าทีมมาได้ล่ะก็…]


[จะเป็นพี่ชายหรือคุณพี่ ฉันจะเรียกนายอย่างสุภาพที่สุดเลยล่ะ]


[ได้ ได้เลย แม้ว่าตอนนี้ฉันจะรับใช้ไอร่าในฐานะอดีตนักบวช แต่ฉันก็ขอสาบานด้วยพลังศักดิ์สิทธิโดยมีอินวิเดียเป็นพยานเลย ตอนนี้นายพอใจยังล่ะ? หืมม?]


ซอลจีฮูได้ยิ้มกว้างออกมาเมื่อเห็นโชฮงขมริมฝีปากแน่น

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม