The Second Coming of Gluttony 222-227

 บทที่ 222 – หอกและหีบสมบัติ (2)


ซอลจีฮูรู้สึกได้ว่ามาเรียที่อยู่ในอ้อมกอดเขากำลังตัวสั่นอยู่ โชฮงได้เข้ามาเตะก้นเธอทันที


“เฮ้ นี่เธอกำลังทำอะไร? รีบตัดสินใจเร็วเข้า”


“หากว่าเธอยังมีจิตสำนึกก็ตกลงซะ”


ฮิวโก้ก็ได้แทรกเข้ามาโดยที่เขาก็รู้ว่ามาเรียคงจะรู้สึกยังไง


“นะ…”


“นะ?”


“แน่นอน… ตกลง…”


ถึงแม้ว่าเธอจะกัดฟันพูดออกมา แต่เธอก็ตอบตกลง


เพราะแบบนี้โฟลนจึงได้รับส่วนแบ่งของสมบัติไป เนื่องจากว่าเธอมีสิทธิโดยชอบธรรมอยู่แล้ว นี่จึงเป็นวิธีที่ใสสะอาดที่จะกลบความขัดแย้งใดๆ


ซอลจีฮูได้หัวเราะขึ้นมาโดยที่ไม่รู้เลยว่าเขาจะได้รับส่วนแบ่งเพิ่มแบบนี้


เทเรซ่าได้แอบขยิบตาให้เขา ในขณะที่มาเรียได้ร้องออกมา เธอคงจะรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเพราะตาเธอแดงขึ้นมาแล้ว


ซอลจีฮูได้หัวเราะออกมาพร้อมกับเข้ามาปลอบมาเรียที่กำลังเศร้า


“กลายมาเป็นแบบนี้ซะได้นะ… แต่ว่าผมไม่คิดเลยนะว่าคุณจะเป็นคนพูดเรื่องนี้ก่อนนะ”


“ก็นะ… ฉันพยายามเต็มที่แล้ว แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันรู้สึกผิดที่จะรับส่วนแบ่งไป”


คาซุกิได้ตอบกลับมานิ่งๆ จากนั้นก็หันไปมองซอลจีฮู


“ตอนนี้นายก็ได้เงินทุนมาแล้ว นายจะย้ายไปที่อีวาเลยใช่ไหม?”


“ใช่ครับ”


“แล้วนายก็จะตั้งองค์กรในอีวา”


“ก็อาจจะ”


“นายมีทีมพันธรมติรในตอนที่กำลังพัฒนาองค์กรไหม?”


“หืม…? ทีมพันธมิตร?”


ซอลจีฮูได้ถามออกมาอย่างสงสัย เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจู่ๆคาซุกิถึงได้ถามเขาแบบนี้


“ถามทำไมหรอครับ?”


คาซุกิได้หัวเราะออกมาเบาๆ


“ไม่มีเหตุผลหรอก”


“?”


“มันก็แค่ว่าจากมุมมองของทีมแล้ว ฉันคิดว่าการร่วมงานกับหัวหน้าที่มีความยุติธรรมในการจัดการกับเรื่องส่วนตัวมันไม่ใช่เรื่องแย่อะไร”


จากนั้นเขาก็หันหน้าไป และเริ่มเก็บของที่เอาออกมา ในตอนนั้นเองน้ำเสียงที่เคล้าไปด้วยน้ำตาของมาเรียก็ดังออกมา


“โอ้ จริงสิ นี่พี่ชายยังไม่ได้เปิดหีบสมบัติเลยนี่?”


“หีบสมบัติ?”


“อื้อๆ หอกเป้นของพี่ชาย แต่ว่าพี่ชายยังไม่ได้เปิดหีบสมบัติเลยนี่”


ซอลจีฮูได้ร้องอ๋อออกมา เขามัวแต่สนใจกับจัดการเรื่องส่วนแบ่งจนลืมเรื่องหอกกับหีบสมบัติไปเลย


“ยังไม่มีใครเปิดหีบสมบัติเลยหรอ?”


“มันเปิดไม่ได้”


มาแชล จิโอเนียได้แทรกขึ้นมา


“พวกเราหารูกุญแจไม่เจอเลย แม้ว่าเขาจะใช้แรงเปิดแล้วมันก็ไม่ขยับสักนิด หีบนี้ดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นมาให้รับแรงกระแทกเป็นอย่างดี”


[ฮึ่ม ก็แน่นอนสิ]


โฟลนได้ส่งเสียงออกมาราวกับว่าเธอได้ฟังอยู่ตลอดเวลา


[นี่คือเทคนิคลับของครอบครัวฉันเชียวนะ มันจะไปเปิดง่ายๆได้ยังไงกัน?]


โฟลนดูจะรู้วิธีเปิดหีบอยู่ เพราะงั้นซอลจีฮูจึงตัดสินใจที่จะไปดูหอกกับหีบ


การประกาศของซอลจีฮูน่าจะทำให้โชฮงกับฮิวโก้ประทับใจมากจนพวกเขาได้นำของมาให้ด้วยความเคารพ สิ่งแรกที่ดึงความสนใจของเขาแน่นอนว่าต้องเป็นของที่ถูกผ้ายาวห่อเอาไว้อยู่


“แกะผ้าออกมาดูสิ ผมก็ไม่ได้เชี่ยวชาญการประเมินค่าของอาวุธหรอก แต่ว่าแค่ดูมันก็น่าจะล้ำค่ามากๆแล้ว แค่มองดูก็น่าจะบอกได้”


คำพูดของมาแชล จิโอเนียได้กระตุ้นความคาดหวังของซอลจีฮูมากขึ้นไปอีก


‘หอก หอก…’


เพราะหอกเล่มนี้คือเป้าหมายหลักของปฏิบัติการนี้ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะสงสัยเกี่ยวกับมัน


ตึก ตึก! หัวใจของเขาได้เต้นแรงขึ้นมา


ซอลจีฮูได้พยายามเต็มที่ที่จะใจเย็นลง และค่อยๆแกะผ้าออกมา


เขาได้สูดหายใจลึก จากนั้นในทันทีที่เขาแกะผ้าออกมาหอกก็เผยออกมาให้เห็น


และซอลจีฮู…


“…”


…ได้มองลงไปบนหอกโดยไม่รู้ตัว


“…อ่า!”


ต่อมาเสียงอุทานด้วยความตกตะลึงก็ดังขึ้น


‘งดงาม…’


นี่คือประทับใจแรกที่เขามีต่อ ‘หอกพิสุทธิ์’ ในแรกเห็น นั่นก็คืองดงาม เขารู้ว่ามันไม่ควรจะเอามาเป็นคำอธิบายในตัวอาวุธ แต่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของหอกเล่มนี้มันงดงามจนน่าหลงใหลมากจริงๆ มันมากจนถึงขนาดเขาหลงผิดคิดไปว่ามันคือหญิงสาวที่งดงามอีกด้วย


หลังจากกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงไปแล้ว ซอลจีฮูก็ค่อยๆมองสำรวจดูหอก


อย่างแรกหอกเล่มนี้ยาวมาก หอกหอกได้เปล่งประกายความน่าหลงใหลและสะท้อนแสงจันทร์ และตัวหอกก็ยาวมากถึง 2 เมตร 40 เซนติเมตร


ตัวหอกยาวกว่าซอลจีฮูมาก


หอกเล่มนี้มีโทนสีที่ขาวใส หากจะพูดว่ามันแทบจะโปร่งใสไปแล้วก็ไม่ได้เกินเลยไปเลยสักนิด มันแทบจะดูเหมือนกับสร้างขึ้นจากน้ำแข็งแกะสลักจริงๆ


นอกเหนือไปจากนั้นยังมีอีกสององค์ประกอบที่ดึงดูดความสนใจของเขา


อย่างแรกก็คือใบหอกมีความยาวของมันเองถึง 50 ซม. ส่วนล่างของโครงใบมีดจะเริ่มมีความหนาและความคมมากยิ่งขึ้น และยังมีใบมีดรูปจันทร์เสี้ยวติดอยู่ด้านข้างของใบมีด ไม่ว่าจะมองยังไงมันก็ดูเหมือนกับง้าวกรีดนภาของขุนพลลิโป้ในยุคสามก๊ก


อย่างที่สองก้คือที่ด้ามหอกมีการเซาะเป็นร่องทรงกลมเอาไว้เจ็ดรู หากว่าฝังอัญมณีที่เขาเก็บเอาไว้ในกระเป๋าลงไปมันก็คงจะดูดีขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัยเลย


‘นี่คือมันคือหอก…’


หอกพิสุทธิ์ที่ว่ากันว่าเทพธิดาแห่งความบริสุทธิ์- แคสทิตัส ได้มอบมันให้กับตระกูลรอชเชอร์


มันดึงความสนใจของซอลจีฮูได้อย่างหมดจด


เขาได้กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงไปอีกครั้ง และมองสำรวจดูหอก


“ทำไมหัวหน้าไม่ลองแกว่งมันดูล่ะ?”


มาแชล จิโอเนียได้แนะนำออกมาอย่างเหมาะเจาะ และซอลจีฮูก็ได้จับหอกเอาไว้ในทันทีด้วยสีหน้าเหมือนต้องมนต์


“!”


ซอลจีฮูได้ผงะไป ในทันทีที่เขาจับหอก พลังงานความเย็นได้แทรกซึมเข้ามาในร่าง และเจาะลึกไปจนถึงกระดูกเขา


แม้ว่าความเย็นจะหายไปในทันที แต่ว่ามันก็เพียงพอที่จะทำให้สติของเขากลับมาตื่นตัวขึ้นมา


ในไม่ช้าเขาก็ตั้งสติได้ และยกหอกขึ้นมา แต่แล้วเขาก็ต้องตกใจอีกครั้ง


‘นะ หนัก?’


น้ำหนักของหอกที่เขารู้สึกมันเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก ไม่สิ-


‘หอกไม่ได้หนัก’


วูบบบ วูบบบ! เขาได้กลายเป็นมั่นใจขึ้นมาเมื่อได้ใช้พลังมานา และฝืนเหวี่ยงหอกออกไปสองสามครั้ง


แทนที่จะเรียกว่าหนัก มันเป็นหอกตัวที่ต่อต้านเขาต่างหาก ใช่แล้ว หอกพิสุทธิ์กำลังต่อต้านเขา


เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาเหวี่ยงหอก หรือแทงหอกออกไป ใบหอกก็จะเบี่ยงออกไปจากเป้าหมายที่เขาเล็งไป สำหรับตอนนี้แล้วหอกเล่มนี้ไม่อาจจะเรียกว่าเป็นอาวุธได้เลย


นอกจากความสวยงามแล้ว ตัวหอกก็ไม่ได้ดูจะมีพลังพิเศษอะไรอีก


เขาได้เปิดใช้งานนพเนตรเพื่อให้มั่นใจ แต่ว่าแม้กระทั่ง ‘การสังเกตทั่วไป’ ก็ยังไม่มีให้เห็น


ซอลจีฮูได้หรี่ตาลง


ดวงดาราแห่งราคะ ซอยูฮุย


และดวงดาราแห่งความเกลียดคร้าน ทาเซียน่า ซินเซีย


นี่คือครั้งที่สามที่เขามองไม่เห็นหน้าตาสถานะด้วยสีเขียว


เขาเดาได้แล้ว ทั้งสามครั้งต่างก็มีจุดๆหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นก็คือการมีพลังของเทพ


เพราะแบบนี้ซอลจีฮูจึงมั่นใจว่าหอกนี้มีพลังแห่งเทพอย่างแน่นอน แต่ว่าเขาก็ยังมั่นใจว่าสำหรับในตอนนี้หอกนี้ไร้ประโยชน์


‘ฉันต้องทำพิธีกรรมอะไรก่อนเพื่อยืนยันตัวตนก่อนไหมนะ…?’


เขาต้องทำยังไงถึงจะดึงพลังดั้งเดิมของหอกออกมาได้?


ซอลจีฮูได้หันไปมองหีบสมบัติที่ถูกปิดเอาไว้ตามสัญชาตญาณ ด้วยเหตุผลบางอย่างเขารู้สึกเหมือนตัวแก้ปัญหาจะอยู่ในนั้น


ยังไงก็ตามมันก็เป็นอย่างที่มาแชล จิโอเนียได้พูดเอาไว้


“กรอดดด!”


หีบไม่ยอมเปิดออกมาเลยไม่ว่าเขาจะพยายามเปิดหีบออกมามากแค่ไหน เมื่อเขาเกือบจะยอมแพ้ไปแล้ว ซอลจีฮูก็ได้ยินเสียงหัวเราะออกมา


เมื่อเขามองลงไปที่จี้ เสียงหัวเราะก็หยุดลงทันที


[นายเห็นตราประจำตระกูลที่อยู่ตรงกลางใช่ไหม? ลองเอาจี้ไปไว้ใกล้ๆสิ]


“…เธอควรจะบอกฉันให้เร็วกว่านี้นะ”


[โทษทีๆ เห็นนายพยายามเปิดหีบแล้วมันตลกดีน่ะ…]


ซอลจีฮูได้ได้คุกเข่าลงไปและเอาจี้ไปไว้ใกล้ๆกับตราประจำตระกูล


ต่อมาจู่ๆแสงลึกลับก็เปล่งออกมาจากตราประจำตระกูล


แก๊ก!


และหีบได้เปิดขึ้นมาทั้งแบบนี้


“โอ้! มันเปิดแล้ว!”


“อะไรน่ะ? มันคืออะไร?”


ทีมปฏิบัติการได้รีบมารวมกันที่หีบทันที


ไม่นานนัก…


“เอ๋? นี่มันบ้าอะไรเนี้ย…?”


มาเรียได้เดินออกมาด้วยสีหน้าผิดหวัง ของภายในหีบนั้นมีขนาดเล็กมากเพื่อเทียมกับขนาดของหีบ


ภายในนั้นมีหนังสืออยู่สองเล่ม และกล่องไม้เล็กๆ


มีตัวอักษรที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนถูกเขียนเอาไว้บนหนังสือสีซีด แต่ว่าการซิงโครไนซ์ก็ได้ส่งผลในไม่ช้าทำให้ตัวอักษรค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปเป็นภาษาของโลก


ฟีโซราได้ขมวดคิ้วขึ้นมา


“จิตใจอันชอบธรรม? เทคนิคหอกจันทร์เสี้ยว? ชื่อซิงโครไนซ์อย่างกับเด็กประถมตั้งนี่มันอะไรกัน?”


[เธอพูดว่ายังไงนะ?]


โฟลนได้โกรธขึ้นมา


ซอลจีฮูได้ล่ะสายตาไปจากหนังสือ และหยิบเอากล่องไม้ขึ้นมา


แกร๊ก


เมื่อเปิดออกมา แสงสีแดงอ่อนก็ได้เล็ดลอดออกมาจากช่องว่าง สิ่งที่อยู่ภายในนั้นเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงเลยสักนิด


ฮิวโก้ได้หัวเราะแห้งๆออกมา


“…นี่มันบ้าอะไรน่ะ? ไข่หรอ?”


อย่างที่ฮิวโก้พูด ภายในกล่องไม้มีไข่ทรงกลมอยู่ พูดให้ถูกมันคือไข่ใบเล็กๆที่มีพื้นผิวราบเรียบ ซึ่งดูแล้วเหมือนกับหยกสีดาวที่ปล่อยแสงสีแดงอ่อนออกมา


‘ชิ’


ซอลจีฮูได้ถอนหายใจออกมาโดยคิดไม่ออกเลยว่าไข่กับหอกพิสุทธิ์เกี่ยวข้องกันยังไง


[เทพแห่งความบริสุทธิ์ คาทิตัส ได้มอบอาร์ติแฟคศักดิ์สิทธิ์ให้กับตระกูลเรา หอกพิสุทธิ์คือที่อยู่ของจิตวิญญาณธาตุ อาร์คัส ดังนั้นตระกูลของเราจึงถูกเรียกว่าหอกแห่งจักรวรรดิ…]


[พวกเขาว่ากันว่าการถูกฟินิกซ์ผู้พิทักษ์ในตำนานคุ้มครองคือสัญลักษณ์แห่งความสุข]


นี่คือสิ่งที่ถูกเขียนเอาไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์


“หอกแห่งจักรวรรดิ… ฉันจะต้องปลุกจิตวิญญาณอาคัส และได้รับการยอมรับงั้นหรอ?”


ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่กับสถานการณ์ปัจจุบันของเขา…


[เอ๋? รู้ด้วยหรอ?]


เสียงโฟลนได้ดังออกมา


“หมายถึงฉันรู้อะไรงั้นหรอ?”


[ก็ที่เพิ่งพูดไง เรื่องที่ต้องได้รับการยอมรับจากฟินิกซ์]


“หืม…? ฉันเพิ่งพูดไปว่าจิตวิญาณอาร์คัสนี่?”


[หืม? หมายความว่าไงกัน? ก็จิตวิญญาณอาร์คัสเป็นฟินิกซ์นี่]


‘อะไรนะ?’


ซอลจีฮูได้รีบจัดระเบียบความคิดใหม่จากคำตอบของโฟลนทันที


‘หมายความว่า… ทั้งตัวนั่นคือคนๆเดียวกัน?’


มีคำถามมากมายได้เข้ามาในหัวของเขา แต่ว่าเขาก็ได้ตัดสินใจรีบถามคำถามที่สำคัญที่สุดก่อน


“โฟลน แล้วเธอรู้วิธีปลุกฟินิกซ์อาร์คัสไหม?”


[นายต้องฝักมัน]


ซอลจีฮูได้กลายมาเป็นสับสน นี่เป็นการรับรู้ที่น่าตกตะลึก จิตวิญาณไม่ใช่นก แล้วเขาจะฝักมันได้ยังไงกัน?


[ใช้มัน]


จี้ได้สั่นออกมาโดยที่กำลังชี้ไปที่ไข่สีแดง


ซอลจีฮูได้กระพริบตาออกมา


***


เมื่อการคัดแยกรางวัลได้เสร็จสิ้นแล้ว ซอลจีฮูก็ได้แจกจ่ายรางวัลออกไปตามกฎที่ได้ตั้งเอาไว้ตั้งแต่แรก โดยที่เขาได้รับส่วนของโฟลนเพิ่มขึ้นมา


เขาได้มา 4 แท่ง ไข่ทองคำ 178 ฟอง ก้อนเงิน 267 ก้อน เหรียญเงิน 12,44 เหรียญ อัญมณี 1,200 ก้อน และเครื่องเซ่น 20 ชิ้น แถมยังมีหอกพิสุทธิ์กับของภายในหีบสมบัติอีกด้วย


แม้ว่าพรรคพวกของเขาจะได้ส่วนแบ่งไปแค่ครึ่งเดียวจากที่เขาได้ แต่ว่านั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่ามันเป็นจำนวนที่มหาศาลอยู่ดี


เมื่อการแจกจ่ายรางวัลที่ยากลำบากได้จบลงไปแล้ว ทีมปฏิบัติการก็ได้เริ่มกินและดื่มอย่างเต็มที่ พร้อมพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น


“ต้องอุปกรณ์เท่านั้น!”


ฮิวโก้ได้พูดออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง


“ฉันจะไปที่สกีเฮราซาร์ดในทันทีที่กลับไปฮารามาร์ค ฉันจะไปฉาบตัวเองใหม่ด้วยอุปกรณ์ที่สมกับแรงค์เกอร์ระดับสูงที่โรงประมูล”


“เฮอะ!”


โชฮงได้แค่นเสียงออกมา


“ของเกรดสูงสุดระดับ 5 งั้นหรอ? น่าขำ”


“มันน่าขำตรงไหนกันห๊ะ!?”


“อย่างแรกเลยนะ นายไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะมีขายไหม แล้วก็ต่อให้มันมีนะ นายจะใช้เงินทั้งหมดที่ได้มาเลยงั้นหรอ? ทำไมนายไม่เก็บออมเอาไว้สักนิดล่ะ?”


“ทำไมยัยคนแบบเธอถึงได้มายุ่งเรื่องการใช้เงินของฉันล่ะ?”


“เอาเถอะนะ นายก็พูดถูก”


โชฮงได้เห็นด้วยกับเขา จากนั้นก็ยิ้มออกมา


“แต่ว่าให้สมกับเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูง มันดูแปลกหน่อยๆนะที่คนอยู่ระดับ 4 พูดถึงของสำหรับแรงค์เกอร์ระดับสูง”


“ว่ายังไงนะ?”


ฮิวโก้ได้จ้องเธออย่างไม่พอใจ ยังไงก็ตามเขาได้รีบยิ้มออกมา และหันหน้าไปด้านข้าง ในทันทีที่เขาเห็นซอลจีฮูนั่งอยู่ เขาก็ได้กระโจนเข้าใส่ซอลจีฮูทันที


“ซอลลลล!”


“!?”


จากการที่จู่ๆถูกคนร่างยักษ์พุ่งเข้ามากอด ทำให้ซอลจีฮูสะดุ้งขึ้นทันที


“อะ อะไรหรอ?”


“ซอล! ซอลลลลลล!”


ฮิวโก้ได้แสดงความหนักแน่นออกมา


“ฉันขอโทษ~ อย่าทิ้งฉันไป~ ฮือออ~”


เขาได้กอดเอวซอลจีฮูเอาไว้ และแสร้งทำเป็นร้องไห้


“นับจากนี้ฉันจะเชื่อฟังนาย~ อย่าทิ้งฉันไป~ ฮือออ~”


จากนั้นจู่ๆเขาก็หยุดพูดและหันกลับไปมอง


เทเรซ่าได้ปิดปากหัวเราะออกมา


โชฮงได้เม้มปากจ้องมาที่ฮิวโก้เหมือนกับจะฆ่าเขาให้ได้ แก้มของเธอที่แดงขึ้นได้เริ่มสั่นออกมา


ฮิวโก้ได้ยิ้มขึ้น


“ฉันยังไม่ได้พูดเลยนะว่านี่เป็นฝันของใคร!”


“ไอ้สารเลว-“


“หืม? อะไรกัน? ยังจะพูดอีกหรอ? เธออยากจะให้ฉันลงลึกรายละเอียดไหม?”


“กรอดดด!”


โชฮงได้กัดฟันแน่น ฮิวโก้ได้สูดหายใจ และปล่อยซอลจีฮูไป


“อย่ามาอายสิ ถ้าเธอพูดนะก็ตูมม! ฉันก็แค่-! เธอคงรู้นะ”


น่าแปลกที่โชฮงเงียบไปแม้ว่าใบหน้าของเธอจะโมโหมากก็ตาม


ขณะดูภาพนี้ซอลจีฮูก็หัวเราะออกมา ในอีกด้านหนึ่งเขารู้สึกเหมือนเจอเดจาวู เขารู้สึกเหมือนเคยเจอกับสถานการณ์นี้มาก่อน


‘ในความฝันของฉัน’


ซอลจีฮูได้มองไปที่มาเรียที่กำลังยุ่งอยู่กับการปัดลูกปัดบนลูกคิดของเธอ


ในคืนนั้นทีมปฏิบัติการได้จัดปาร์ตี้จนกระทั่งพวกเขาหลับไป


หลังจากเห็นว่ามาเรียหลับลงไปแล้ว เขาก็ได้แบ่งคนเฝ้ายามไว้สองคน ก่อนที่จะใช้กระเป๋าที่เก็บมรดกไว้เป็นเตียง


ในเช้าวันถัดมาทันทีที่เขาตื่น เขาก็แทบจะร้องกรีดออกมา


กระเป๋ายังปกติดี


แต่ว่ามาเรียคงจะตื่นก่อนเขา เพราะในตอนนี้เธอกำลังนั่งยองๆคอยจับตาดูกระเป๋าอยู่ใกล้ๆ


ด้วยดวงตาที่แดงก่ำ



บทที่ 223 – น้ำตาของเทเรซ่า


“…คุณกำลังทำอะไรอยู่?”


“เฝ้ายาม”


มาเรียได้ตอบกลับด้วยเสียงอ่อนแรง


“ฉันฝันร้ายว่าของรางวัลที่เราหาได้มาหายไป… ฉันกลัวว่ามันจะหายไปอีก…”


เธอพึมพำออกมาก่อนจะหาวขึ้น ซอลจีฮูได้กระพริบตาอย่างสับสนก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมา


ความจริงต่างกับความฝันอย่างที่คิดไว้เลย


จู่ๆเขาก็อยากจะถามเล่นๆออกมาว่า ‘อยากจะแบกกระเป๋าหนีไปไหม?’ แต่แล้วเขาก็ห้ามตัวเองเอาไว้


เพราะว่านี่มันหยาบคายเกินไป


“ขอบคุณนะ ตอนนี้เดี๋ยวผมดูต่อให้ เพราะงั้นไปพักเถอะ”


“อื้อ ไม่เป็นไรหรอก~”


มาเรียได้ส่ายหัวออกมา


“แค่ดูกระเป๋าพวกนี้ก็ทำให้ตัวฉันเต็มไปด้วยพลังแล้ว…”


เธอได้หัวเราะออกมาเบาๆเหมือนกับคนเมา ที่เสพสารเสพติดจนเกินขนาด


นี่มันอันตรายแล้ว


มาเรียได้จ้องอยู่นิ่งสักพัก จากนั้นจู่ๆเธอก็แตะไหล่ของซอลจีฮู แล้วก็หยักหน้าออกมา


“ใช่แล้ว ฉันต้องขอบคุณพี่ชายสินะ พี่ชายทำได้ดีมาก รู้ไหมว่าฉันเชื่อในตัวพี่ชายนะ? ฉันเชื่อว่าในสักวันพี่ชายจะต้องราคาพุ่งกระฉูดแบบนี้! ใช่แล้วล่ะ นี่คือพลังของการลงทุนระยะยาว!”


“…ทำไมผมรู้สึกเหมือนคุณกำลังทำเหมือนผมเป็นหุ้นเลยล่ะ”


มาเรียได้รีบหุบปากลงไป จากนั้นเธอก็รีบโบกมือและหัวเราะออกมา


“เอ๋ อย่าพูดแบบนั้นสิ! ฉันแค่รู้สึกซาบซึ้งเท่านั้นเอง”


“จริงหรอครับ?”


“ก็แน่นอนสิ! พี่ชายรู้อะไรไหม จริงๆแล้วฉันเห็นด้วยกับคาซุกิแล้วก็เจ้าหญิงเทเรซ่าสุดๆเลยนะ คือพี่ชายได้ทำทุกๆอย่างไปจริงๆ! ไม่ใช่ว่าเราควรจะให้ส่วนแบ่งกับพี่ชายมากกว่านี้หรอกหรอ?”


“โฮ่”


ตาของซอลจีฮูได้มีประกายออกมา


“คนพวกนั้น พวกเขาเอาแต่ห่วงตัวเองเกินไป ชิ ชิ ฉันรู้สึกแย่จริงๆที่เอาส่วนแบ่งของคุณพี่มาเป็นของตัวเอง”


มาเรียกำลังจะพูดต่อเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิด แต่จากนั้นมุมปากของซอลจีฮูก็โค้งขึ้นมา


“เยี่ยมไปเลย! ถ้างั้นก็เอาแบบนั้นแล้วกัน”


“?”


“ผมไม่คิดเลยว่าคุณมาเรียจะเป็นห่วงผมขนาดนี้… ผมประทับใจมาก ประทับใจจริงๆ”


“มะ ไม่หรอก”


“ขอบคุณมากครับ! หลังมื้อเช้าเดี๋ยวผมจะขอทำการแบ่งรางวัลใหม่นะ แน่นอนว่าแค่ส่วนแบ่งของคุณมาเรียเท่านั้น”


อาการง่วงนอนของมาเรียได้หายไปในทันที ใบหน้าเธอได้กลายเป็นบูดบึ้ง และดวงตาเรียบนิ่งของเธอก็เริ่มเอ่อร้นไปด้วยน้ำตา


ซอลจีฮูได้หัวเราะขึ้นในใจและถามออกมา


“คุณโอเคใช่ไหมล่ะ? เมื่อกี้คุณคงไม่ได้โกหกเพื่อให้ผมดีใจใช่ไหม?”


มาเรียได้กำหมัดแน่น และปากเล็กๆของเธอก็กำลังสั่นขึ้นมา


“นะ นะ แน่นอน… ฉันหมายถึง… อย่างที่ฉันพูด…”


เมื่อเห็นเธอพูดสะดุดแบบนี้ ซอลจีฮูก็กุมท้องหัวเราะออกมา


จากนั้นพอเขาโบกมือและบอกออกไปว่าเขาแค่ล้อเล่น ตาของมาเรียก็เบิกกว้างขึ้น


“ฮือออออออ”


มาเรียได้หัวเราะและร้องไห้ออกมาพร้อมๆกัน จากนั้นเธอก็พุ่งเข้าใส่ซอลจีฮู


“ขอโทษ ขอโทษ”


“ฮึ่ม ฉันเกลียดนาย พี่ชาย!”


มาเรียได้ใช้มือเล็กๆของเธอทุบหน้าอกของเขา ไม่สิ หมัดของเธอมีแรงมากกว่าการทุบตามปกติซะอีก


“…ทั้งคู่กำลังทำอะไรกันอยู่?”


ความวุ่นวายคงจะทำให้โชฮงตื่นขึ้นมาอย่างแน่นอน เพราะเธอได้ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงงัวเงีย


“อ๊าา หัวฉัน เมื่อคืนฉันดื่มหนักไปหน่อย…”


เธอได้ค่อยๆคลานออกมาจากถุงนอน จากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้น


“เฮ้ ซอล”


“…เธอตั้งใจพูดแบบนั้นใช่ไหม?”


“อะไรนะ?”


“อย่าพูดว่า ‘เฮ้ ซอล’ สิ นี่มันแปลกๆ” (เฮ้ ซอล ในภาษาเกาหลีแปลว่า ลามก)


“จู่ๆก็อะไรของนายเนี้ย?”


โชฮงได้บ่นออกมา จากนั้นก็ถอนหายใจ ลมหายใจของเธอที่มีกลิ่นแอลกอฮอล์ผสมอยู่ได้โชยเข้าจมูกของซอลจีฮู


“ยังไงก็ตาม ฉันกำลังสงสัยอยู่…”


จู่ๆใบหน้าของเธอก็กลายเป็นจริงจังขึ้นมา และจากนั้นก็ถามขึ้นนิ่งๆ


“เรื่องคำสาปแห่งความฝัน ไม่ใช่ว่าตอนแรกเราติดมาจากเด็กมนุษย์จิ้งจอกหรอกหรอ? แล้วคำสาปนั่นก็ติดต่อกันได้”


“ใช่แล้ว ทำไมหรอ?”


“แล้วเราก็ล้างคำสาปไปได้เพราะโชคดี”


“ใช่แล้ว”


“แล้วถ้างั้นเจ้าพวกนั้นล่ะ?”


ซอลจีฮูได้ขมวดคิ้วขึ้นทันที


“พวกไหน?”


“ก็เจ้าพวกที่ไล่ตามเฮเรียวมาไง”


ในตอนที่เขาได้ยินเรื่องนี้-


“ไม่ใช่ว่าเจ้าพวกนั้นจับตัวเฮย่าไว้หรอ?”


ซอลจีฮูได้ชะงักไปทันที


“ถ้างั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาล่ะ?”


ความตื่นเต้นของเขาได้หายไปในทันที


“แล้วหากว่าพวกเขาเข้าไปในเมือง…?”


“โชฮง”


ซอลจีฮูได้พึมพำออกมาด้วยสีหน้าแข็งทื่อ


“ปลุกทุกคน”


ทั้งแคมป์ได้คึกคักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงียบสนิทลงไป ซอลจีฮูกับคนอื่นๆได้พยายามติดต่อกลับไปที่บ้าน


เทเรว่าเป็นคนแรกที่ทำการติดต่อออกไป เธอได้อธิบายถึงสถานการณ์และถามว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่อีวาหรือไม่ แต่ว่าคำถามกลับผิดคาด นั่นคือ ‘ไม่มีอะไร’


ไม่มีข่าวการกระจายของคำสาป ไม่ว่าจะทั้งในอีวาหรือเมืองอื่นๆ


แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ซอลจีฮูก็ได้เอียงหัวออกมา


ต่อมาในเวลาไม่ถึงวัน พวกเขาก็ได้เจอเข้ากับศพจำนวนมากในระหว่างทางกลับบ้าน


มีศพกว่ายี่สิบคนนอนอยู่รอบๆแคมป์ ดูจากระยะไกลแล้วพวกเขาเป็นกลุ่มพวกลักลอบที่เขาเพิ่งเจอไม่กี่วันก่อนอย่างแน่นอน


“ครั้งก่อนพวกเขามีกันยี่สิบกว่าคน… เพราะงั้นพวกเขาคงตายไปกว่าครึ่ง”


คาซุกิได้พึมพำออกมาหลังจากที่มองดูสำรวจภาพตรงหน้าด้วยสายตาพันไมล์จากระยะไกล ซอลจีฮูได้ถามขึ้น


“เป็นยังไงบ้างครับ?”


“ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ฝันร้ายคงจะกลืนกินพวกเขาไป”


“เป็นอย่างที่เราคิดเลย…”


“น่าแปลกนะ ที่ฉันไม่คิดว่าเราควรที่จะต้องกังวลเลย”


คาซุกิได้อธิบายออกมาว่าทำไม


“เป้าหมายของพวกลักลอบมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว ฉันมั่นใจว่าพวกเขาคงไม่ได้สนใจอะไรเกี่ยวกับพาราไดซ์หรอก”


ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมาเหมือนกับความคิดนี้เข้าท่า


“ถ้างั้นเกิดอะไรขึ้นกับอีกยี่สิบคนที่เหลือล่ะ?”


“ฉันไม่เห็นศพของหัวหน้า”


คาซุกิได้พูดต่อด้วยเสียงเมินเฉย


“ฉันอาจจะแค่คิดไปเองนะ แต่ว่าคนหัวหน้าคงจะรู้ตัวก่อน”


ใช่แล้ว การที่จู่ๆลูกน้องก็ล้มตายลงไป มันก็คงแปลกหากว่าเขาไม่ได้สังเกตเห็นถึงปรากฏการณ์ลึกลับที่ส่งผลต่อพวกเขา


“เขาอาจจะไม่รู้ว่าคำสาปมันคืออะไร… แต่ว่าอย่างน้อยเขาก็น่าจะรู้ว่าการนอนหลับหมายถึงความตาย ฉันสงสัยว่าเขาคงจะกลับไปที่อีวาโดยที่ไม่นอนหลับ และได้รัการรักษาจากนักบวชของอินวิเดียไปแล้ว”


ซอลจีฮูได้แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา


“…นี่มันจะไม่คิดง่ายไปหรอครับ”


“ก็ใช่ แต่ว่าหากเป็นหมอนั่นมันก็เป็นไปได้”


คาซุกิได้พูดออกมาด้วยความมั่นใจแบบแปลกๆ


“หากว่านายได้เจอกับเขาอีก ก็อย่าได้ดูถูกเขาไป เขาเป็นคนที่อยู่ที่ระดับบนในบทการฝึกสอนได้ด้วยแค่ความสามารถในการอ่านสถานการณ์ และในเขตพื้นที่เป็นกลาง เขาถึงขนาดขายคะแนนจนกลายเป็นธุรกิจได้ด้วย”


ซอลจีฮูรู้สึกสงสัยในสิ่งที่ได้ยินขึ้นมา เขาทำธุกิจในเขตพื้นที่เป็นกลาง?


‘มันเป็นไปได้ยังไงกัน?’


“ไม่ว่าเขาจะอ่านสถานการณ์ได้ดียังไง แต่ว่ามันเป็นไปได้ยังไงกัน?”


“เอาเถอะนะ ไว้พอเรากลับไปแล้วเราก็จะรู้เอง แต่ว่าเรามาตรวจรอบๆนี้ให้มั่นใจกันก่อนดีกว่า”


ทีมปฏิบัติการได้เริ่มเดินทางอีกครั้งหนึ่งโดยที่ใช้เส้นทางอ้อมศพที่นอนอยู่


หลังจากผ่านไปสองสามวันซอลจีฮูก็ได้รู้ว่าคาซุกิคาดเดาถูกต้อง นั่นก็เพราะว่าพวกเขาได้มาเจอเข้ากับกลุ่มนักบวชจากวิหารอินวิเดีย


กลุ่มนักบวชได้อธิบายว่ามีกลุ่มพ่อค้าได้ไปหาพวกเขาพร้อมคำสาปร้ายแรง และในตอนนี้กลุ่มนักบวชก็กำลังตามรอยทางเดินที่พวกพ่อค้าได้ใช้เพื่อเคลียร์ให้ถนนเรียบร้อย


เห็นได้ชัดมากว่าพ่อค้าได้จ่ายเงินจำนวนมหาศาลเป็นค่าตอบแทน


“โชคดีที่พวกเราได้เจอพวกเขานอกเมือง หากว่าพวกเขาเข้าไปในเมืองพร้อมคำสาปนั่น…”


เมื่อเห็นนักบวชส่ายหัวออกมา ซอลจีฮูก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก


ทีมปฏิบัติการได้เริ่มเดินทางต่อไปอย่างช้าๆ จากนั้นไม่นานนักพวกเขาก็ได้มาถึงเมืองอีวา ไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นอย่างที่พวกเขาได้ยินมา


การพักผ่อนในเมืองใหญ่ที่ในที่สุดแล้วพวกเขามาถึงก็เป็นเรื่องที่เข้าท่า แต่ว่าทีมพวกเขาได้ขึ้นรถม้ากลับฮารามาร์คในทันที


นั่นมันก็เพราะว่าพวกเขารู้สึกไม่สบายใจจนกว่าพวกเขาจะได้เอาของไปเก็บไว้ในที่เก็บของของวิหารฮารามาร์ค


***


ในที่สุดแล้วปฏิบัติการอันแสนยาวนานก็ได้จบลง ภายใต้แรงกดดันจากทีมปฏิบัติการได้ทำให้คนขับรถม้าต้องขับรถม้าเต็มกำลังผ่านถิ่นทรุกันดารทั้งกลางวันและกลางคืน


ผลก็คือพวกเขาดูจะเหมือนว่าจะไปถึงฮารามาร์คในเช้าวันถัดไป


ซอลจีฮูได้หยิบเอาไข่สีแดงออกมาดูตลอดการเฝ้ายาม ระหว่างทางเขาก็ได้อ่านหนังสือทั้งสองเล่มจบไปแล้ว


จิตใจอันชอบธรรมดูจะเป็นวิธีการบ่มเพาะมานา ในขณะที่เทคนิคหอกจันทร์เสี้ยวนั้นก็เป็นอย่างชื่อของมัน เขาคิดว่ามันคงเป็นอะไรที่เอาไว้ใช้กับหอกพิสุทธิ์


แม้ว่าเขาจะประเมินมูลค่าของมันไม่ได้ แต่ว่าของเหล่านี้ก็จะต้องมีความสำคัญอย่างยิ่งกับความสำเร็จในอนาคตของเขาอย่างแน่นอน เขาได้ผ่านแผนเอาไว้ว่าจะให้จางมัลดงตรวจสอบดูให้ในทันทีที่กลับไป


‘ปัญหามันอยู่ที่นี่’


หอกกับไข่


ตามที่โฟลนบอก ฟินิกซ์ถูกกล่าวถึงไว้ว่าเป็นจิตวิญญาณผู้พิทักษ์ของตระกูลรอชเชอร์ซึ่งมีชี่อว่า ‘อาร์คัส’ นอกไปจากนี้เขายังจำเป็นต้องใช้จิตวิญญาณผู้พิทักษ์ตนนี้ยอมรับเขาก่อนถึงจะดึงพลังที่แท้จริงของหอกพิสุทธิ์ออกมาได้


อธิบายให้ละเอียดกว่านี้จิตวิญญาณผู้พิทักษ์จะใช้ชีวิตร่วมกันกับคนที่มันยอมรับเป็นเจ้านาย และเมื่อเจ้านายของมันตายไป มันก็จะกลับมาอยู่ในร่างของไข่เพื่อเฝ้ารอเจ้านายคนใหม่


หรือก็คือจิตวิญญาณจะทำหน้าที่เป็นทั้งคู่หู และผู้ดูแล


ในอดีตมีหัวหน้าตระกูลรอชเชอร์หลายร้อยคนเข้ารับการทดสอบแบบเดียวกัน และมีอยู่หลายคนที่ไม่ได้รับการยอมรับจากจิตวิญญาณ


ในกรณีแบบนั้นพวกเขาจะใช้พลังของหอกพิสุทธิ์ได้เพียงแค่บางส่วนหรือไม่ก็ถูกบังคับให้ต้องก้าวลงจากตำแหน่งหัวหน้า


นอกไปจากนี้หัวหน้าผู้ก่อตั้งก็ดูเหมือนจะเป็นเพียงคนเดียวที่ดึงพลังของหอกพิสุทธิ์ออกมาได้เต็มกำลัง


สังหารเทพ


เพราะพลังอำนาจของหอกทรงพลังและอันตรายจนเกินไป เทพธิดาแห่งความบริสุทธิ์จึงตั้งใจวางข้อจำกัดเอาไว้กับหอก


‘ยังไงก็ตาม นั่นหมายความว่าฉันจะต้องหาวิธีฟักไข่ใบนี้’


โฟลนได้บอกไว้ว่าไข่จะตื่นขึ้นจากพลังของเทพเท่านั้น เพราะแบบนี้นั่นจึงหมายความว่าเขาจำเป็นต้องใช้พลังแห่งเทพ ซอลจีฮูจึงวางแผนที่จะไปแวะที่วิหารในตอนที่กลับไป


“หืม”


ระหว่างกำลังคิดกับตัวเองจู่ๆเขาก็หัวเราะออกมา เขายังจำได้ถึงตอนที่โฟลนหัวเราะเยาะเขาเมื่อเขาพยายามจะป้อนเครื่องเซ่นให้กับไข่


“ตลกอะไรงั้นหรอ?”


ในตอนนี้นเองเสียงเท้าเหยียบใบไม้แห้งก็ได้ดังออกมาพร้อมๆกับเสียงพูด คนๆนั้นคือเทเรซ่าที่มีเวรเฝ้ายามร่วมกันกับเขา


เธอบอกว่าเธออยากจะไปเข้าห้องนาน แต่ว่าเธอได้ใช้เวลานานกว่าที่เขาคิดไว้


“ยินดีต้อนรับกลับนะ”


“ขอบคุณมาก! ฟู่ว โล่งจริงๆเลย”


เทเรซ่าได้ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆซอลจีฮู และเอนพิงไหล่เขา


“แค่เราสองคนท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน ช่างโรแมนติกจริงๆเลย”


ซอลจีฮูได้ตึงเครียดขึ้นมา ในช่วงเวลาแบบนี้เขาจะประมาทเทเรซ่าไปไม่ได้


“โอ้ จริงสิ พอมาคิดดูแล้ว นายเป็นคนเดียวที่ฉันยังไม่ได้ถามนะ”


เทเรซ่าได้หันมาถามเขา


“พอกลับไปแล้วนายจะทำอะไรเป็นอย่างแรกล่ะ?”


“ก็คงจะไปกินจนกว่าจะอิ่ม แล้วก็นอนล่ะมั้ง”


“เอ๋~ ฉันหมายถึงว่านายจะเอาเงินไปใช้กับอะไร”


ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมา


ในช่วงสองสามวันมานี้เทเรซ่าได้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาก็ไม่ได้รู้เรื่องมาก แต่ว่าราชวงศ์ฮารามาร์คดูจะประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนักนับตั้งแต่มีสงครามมา


เขาสามารถดูได้เลยว่าเทเรซ่ามีความสุขมากแค่ไหน กับการที่ในที่สุดเธอก็หาวิธีชดใช้หนี้ไปได้แล้ว


‘ตั้งแต่เด็กเลยสินะ…’


ซอลจีฮูชื่นชมเทเรซ่าอยู่ภายในใจ และในเวลาเดียวกันก็ยังสงสารเธออยู่เล็กน้อยด้วย แม้ว่าปฏิบัติการจะสำเร็จไปอย่างยิ่งใหญ่ แต่ว่างบประมาณที่อาณาจักรจะต้องใช้มันต่างไปจากงบประมาณส่วนบุคคลอย่างมาก


แม้ว่ามันอาจจะดูไม่น่าเป็นแบบนั้น แต่เขาก็หวังให้เทเรซ่าได้ใช้มันสักเล็กน้อยเพื่อตัวเองบ้าง


“ฉัน…”


ซอลจีฮูได้พูดขึ้นอย่างสงบ


“ฉันมีที่ที่จะเอาเงินไปใช้แล้วล่ะ ถึงจะไม่ใช่ทั้งหมดก็ตาม”


“โอ้? แล้วอะไรล่ะ?”


“เป็นเงินทุนเอาไว้สำหรับตั้งองค์กรใหม่น่ะ”


“องค์กร?”


เทเรซ่าได้ส่งเสียงดังออกมา เธอเป็นเพียงคนที่สี่ที่ได้รู้หลังจากฮ่าวอวิ่น จางมัลดง และคาซุกิ เพราะงั้นจึงไม่แปลกเลยที่เธอจะตกใจ


“โอ้ ว้าว! จริงหรอ? นี่นายกำลังจะตั้งองค์กร?”


“ใช่แล้วล่ะ ฉันคิดเรื่องนี้อยู่ตั้งนานแล้ว”


“นานแล้วหรอ… จริงสิ คาเพเดี่ยมมีแรงค์เกอร์ระดับสูงอยู่ถึงสี่คน ในตอนนี้นายก็มีเงินแล้วด้วย มันไม่น่าแปลกใจเลย”


เทเรซ่าดูจะมีความสุขมากๆเหมือนกับเป็นเรื่องของเธอเอง


“ยินดีด้วยนะ! ในที่สุดคาเพเดี่ยมก็จะได้กลายเป็นองค์กรแล้ว! ฉันอยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นนับตั้งแต่ที่ดีแลนด์ยังเป็นหัวหน้าแล้ว!”


เธอได้ปรบมือและยิ้มออกมาอย่างสดใส


“ถ้างั้นนายก็ต้องมีตึกใหญ่ๆสักหลังแล้วสินะ~? แล้วก็ที่ดินผืนใหญ่อีกด้วย”


“ใช่แล้วล่ ฉันก็พอมองหาเอาไว้บ้างแล้ว แถมที่ดินทุกวันนี้ก็มีราคาแพงมาก เพราะงั้นฉันก็เลยวางแผนปฏิบัติการนี้ไงล่ะ”


“เอ๋ ถ้างั้นนายก็ควรจะมาหาฉันสิ!”


เทเรซ่าได้แตะไหล่ซอลจีฮูและยิ้มออกมา


“นายนี่เป็นกลางจนน่าจนใจเลยนะคุณซอล? ไม่ใช่ว่านายควรจะมาคุยเรื่องสำคัญกับเจ้าบ้านก่อนหรอ?”


“อะไรนะครับ?”


“ช่างมันเถอะ ยังไงก็ตามไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก เรามีที่ดินดีๆในครอบครอง-“


“…อ่อ”


ในที่สุดซอลจีฮูก็รู้ถึงความเข้าใจผิด เมื่อเห็นเทเรซ่ากำลังพูดอย่างตื่นเต้น


“โอ้! ฉันมีความคิดดีๆแล้ว! ทำไมนายไม่เอาส่วนแบ่งของฉันไป แล้วมาที่วังค์ล่ะ? นายจะได้ใช้เงินซื้อที่ดินแล้วก็ก่อสร้างได้”


‘อืมม…’


ซอลจีฮูทำอะไรไม่ถูก และเงียบลงไปอย่างลังเลใจ


“ฉันก็รู้สึกผิดกับพ่ออยู่นะ… แต่ว่ามันก็ขึ้นอยู่กับว่านายจะมองยังไงนั่นแหละ ฉันมั่นใจว่าในตอนฉันอธิบายสถานการณ์ไป พ่อจะต้องมีความสุขแน่ๆ อืมม สามีกับภรรยาจอมต้มตุ๋น ฉันชอบแบบนี้จังเลย”


แต่ว่านี่คือสิ่งที่ในท้ายที่สุดแล้วเขาจะต้องบอกกับเธอไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ตาม เขาไม่อาจจะออกจากฮารามาร์คไปโดยไม่พูดกับเธอสักคำได้ เมื่อคิดว่านี่คือโอกาสเหมาะแล้ว เขาจึงค่อยๆพูดออกไป


“ฉันคิดว่าจะออกไปจากฮารามาร์ค”


เพียงคำพูดคำเดียวนี้ได้ทำให้เทเรซ่าชะงักไปอย่างสิ้นเชิง


ซอลจีฮูได้เพิ่มน้ำหนักให้กับคำพูดของเขาอีกเล็กน้อย


“ฉันคิดว่าจะไปอีวา”


และเมื่อเขาหันมามองเทเรซ่า-


“แล้วก็ในอีวา ฉัน…?”


เขาไม่อาจจะพูดต่อไปได้


วูบบบบ-


สายลมหนาวยามค่ำคืนได้พัดผ่านเข้ามา


“…เจ้าหญิง?”


จู่ๆ…


“…”


บรรยากาศก็ได้เย็นยะเยือกขึ้นมา



บทที่ 224 – น้ำตาของเทเรซ่า (2)


ความเงียบงันได้คงอยู่ไม่นานนัก…


“…อ่า”


ในที่สุดแล้วเทเรซ่าก็มีปฏิกิริยาออกมา


“อ่า อ่า…”


ริมฝีปากของเธอส่งเสียงที่ไร้ความหมายออกมาอย่างต่อเนื่อง


ใบหน้าของเทเรซ่าได้หม่นหมองลงไปอย่างรวดเร็ว เธอพยายามทำเหมือนกับมันไม่มีอะไร แต่ว่าบนใบหน้าของเธอได้เต็มไปด้วยความสับสน


“วะ ว่ายังไงนะ?”


ในท้ายที่สุดเธอก็ถามกลับมาโดยไร้จุดหมาย


มันไม่มีทางที่เธอจะไม่เข้าใจ แต่เธอเพียงแค่ทำเหมือนกับไม่ได้ยินอะไร เหมือนอย่างซอลจีฮูทำบ่อยๆ


ซอลจีฮูได้ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า ในตอนนี้เขากำลังรู้สึกต่างๆมากมายเช่นัน


หลังจากบรรยากาศระหว่างพวกเขาลดลงเล็กน้อย ความรู้สึกที่ไม่อาจจะอธิบายก็พวยพุ่งออกมาจากตัวเขา เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับปฏิกิริยาของเทเรซ่าที่เกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้


หลังจากเงียบอยู่ไม่นานนักในที่สุดเทเรซ่าก็เริ่มเปิดบทสนทนาขึ้นอีกครั้ง


“นายกำลังโกหก… ใช่ไหม?”


“ไม่ครับ”


ซอลจีฮูได้ปิดปากลงไปในทันทีที่ตอบกลับไป สายตาที่เร่าร้อนของเทเรซ่าได้บังคับให้เขาต้องเงียบลง


สายตาของเธอไม่ใช่การกล่าวโทษหรือการประนามเขา มันยังไม่ใช่สายตาของคนที่ถูกทรยศด้วยเช่นกัน


แต่ถึงแบบนั้นซอลจีฮูก็ไม่อาจจะพูดอะไรออกมาได้ จริงๆแล้วเขาไม่อย่างเผชิญหน้ากับเทเรซ่าที่ยืดตัวขึ้นมาจับจ้องที่เขาเลย


ในท้ายที่สุดริมฝีปากที่ปิดแน่นของเทเรซ่าก็ค่อยๆเปิดขึ้นมา


“ทำไมล่ะ?”


และคำพูดที่เธออดกลั้นเอาไว้ก็หลั่งไหลออกมา


“ทำไม? ทำไมอยู่ๆนายถึงจากไปแบบนี้? มันต้องมีเหตุผลใช่ไหม?”


ซอลจีฮูยังไม่ได้ตอบกลับไป ความอยากที่จะพูดของเขาได้หายไปพร้อมๆกับความรู้สึกที่หม่นหมอง


ขณะที่ซอลจีฮูยังคงเงียบอยู่ เทเรซ่าดูเหมือนเธอจะกำลังขาดใจตาย ยังไงก็ตามไม่นานนักเธอก็ฝืนยิ้มและพูดออกมาอย่างอ่อนโยน


“ฉันเข้าใจแล้ว นายคงจะผิดหวังในราชวงศ์ฮารามาร์คสินะ ฉันเข้าใจแล้ว”


“ไม่-“


“อ๊า ไม่เป็นไรหรอก ฉันเข้าใจ ฉันก็ผิดหวังเหมือนกัน เราไม่ได้ให้การดูแลวีรบุรุษสงครามแห่งฮารามาร์ค-“


“เจ้าหญิง”


ซอลจีฮูไม่อาจจะทนฟังต่อได้ และจ้องตรงไปที่เทเรซ่า


“มันไม่ใช่เรื่องพวกนั้นเลย”


เขาได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


เทเรซ่าได้ชะงักไป เธอได้สูดหายใจลึก และยังคงรอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้


“อ่า แล้วถ้างั้นเรื่องอะไรกัน? เรื่องนั่นสินะที่ทำให้นายเกลียดฮารามาร์ค?”


เธอคงจะกำลังพูดถึงเหตุการณ์ ‘ป้ายสีวีรบุรษ’ อย่างแน่นอน แต่ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา


“นั่นก็ไม่ใช่”


เทเรซ่าได้ถอนหายใจ จากนั้นก็เสยผมขึ้น


“หากไม่ใช่แบบนั้น… ถ้างั้นแล้วอะไรกันล่ะ?”


“ฉันจะพูดให้ชัดนะครับ มันไม่ใช่ว่าฉันไม่พอใจราชวงศ์หรือเกลียดฮารามาร์คเลย”


“ถ้างั้นอะไรล่ะ!?”


เทเรซ่าได้ส่งเสียงดังขึ้นมาในทันที หลังจากนั้นเธอก็รีบส่งเสียง ‘อ่า’ ออกมา ดวงตาของเธอได้เบิกกว้าง และกระทั่งปากเธอก็ยังอ้าค้างราวกับเธอทำพลาดไป


แต่ว่าในตอนนี้เมื่อฟิวส์ของเธอถูกจุดแล้ว เธอจึงพูดต่อไป


“มันคืออะไรล่ะ? เหตุผลอะไรที่ทำให้นายออกไป พูดอะไรหน่อยสิ!”


ซอลจีฮูได้หลับตาลงเงียบๆ


“นั่นเพราะพาราไดซ์”


“พาราไดซ์…?”


“ฉันมีเป้าหมายที่อยากจะทำให้สำเร็จ จริงๆแล้วก็มีสามอย่าง”


เขาได้หยุดสั้นๆก่อนจะพูดต่อ


“ผมออกจากฮารามาร์คเพื่อทำเป้าหมายเหล่านั้นให้สำเร็จเท่านั้นเอง”


“ในฮารามาร์คทำไม่ได้หรอ?”


“ไม่ได้หรอก”


“พูดตรงๆแล้วเป้าหมายทั้งสามอย่างนี้เป็นเพียงแค่ก้าวๆหนึ่งที่จะนำไปสู่เป้าหมายสุดท้าย เป้าหมายทั้งสามนั้นเป็นหินหยั่งเท้าให้ฉันทำตามเป้าหมายจริงๆให้สำเร็จ หากว่าขาดไปสักอย่าง ฉันก็ไม่อาจจะทำตามเป้าหมายสูงสุดของฉันได้”


“…”


“สิ่งสำคัญก็คือมีหนึ่งในสามเป้าหมายที่ไม่อาจจะทำสำเร็จได้ในฮารามาร์ค เพราะงั้นฉันถึงได้ไปที่อีวา”


“…แล้วเป้าหมายนั่นมันอะไรกัน?”


เทเรซ่าได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง


“บางทีฉันอาจจะช่วยได้ก็ได้นะ”


น้ำเสียงของเธออ่อนลง แต่ว่าก็ยังแข็งขืนเช่นเดิม


ซอลจีฮูได้ถอนหายใจออกมา นี่มันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะพูดลากยาวออกไปเลย


“ก็ได้”


เพราะงั้นเขาจึงตัดสินใจถามออกไปตรงๆ


“ถ้างั้นเธอมั่นใจที่จะกลายเป็นศัตรูกับซิซิเลียไหมเจ้าหญิง?”


เทเรซ่าได้เบิกตากว้างขึ้นมา ซอลจีฮูได้พูดต่อไปโดยไม่หยุดลง


“ฉันไม่ได้พูดแบบนี้เพื่อจะผลักเธอออกไปหรอกนะ แต่ว่าถ้าเธอช่วยฉัน ความสัมพันธ์ของเธอกับซิซิเลียจะพังลงอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ในตอนนี้เธออาจจะเป็นมิตรกันอยู่ แต่ว่าทาเซียน่า ซินเซียไม่ใช่คนประเภทที่จะปล่อยคนที่ท้าทายอำนาจของเธอไว้ นี่คือสิ่งที่ฉันมั่นใจได้เลย”


เทเรซ่าได้กลายเป็นสับสนขึ้นมา เธอได้หมดคำพูดไปเพราะในที่สุดเธอก็เข้าใจถึงสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการได้แล้ว


นี่ไม่ใช่คำถามที่เธอจะตอบได้ง่ายๆเลย ทั่วทั้งภูมิภาคทางใต้แล้ว แม้กระทั่งเด็กๆยังรู้จักชื่อซิซิเลียเลย


และหลังจากสงคราม การที่ทาเซียน่า ซินเซียได้เผยตัวออกมาว่าเป็นผู้บริหารแห่งความเกลียดคร้าน ตำแหน่งของซิซิเลียในฮารามาร์คก็ยิ่งกลายเป็นป้อมปราการสุดแกร่งขึ้นไปอีก


มันเป็นอย่างที่ซอลจีฮูบอกเอาไว้ คาเพเดี่ยมจะกลายเป็นองค์กรในฮารามาร์คโดยมีราชวงศ์หนุนหลังงั้นหรอ? ด้วยการเล็งตำแหน่งเป็นพันธมิตรกับราชวงศ์งั้นหรอ?


แน่นอนว่าซิซิเลียจะต้องตอบสนองในแง่ลบอย่างแน่นอ อย่างเลวร้ายที่สุดมันอาจจะเกิดความขัดแย้งภายในขึ้นเหมือนอย่างในอดีตก็ได้


เทเรซ่าได้ติดอ่างขึ้นมา


“แต่ อ่า… เราจำเป็นต้องเป็นศัตรูกับซิซิเลียด้วยหรอ? มันไม่ใช่ว่าความสัมพันธ์ของนายกับซิซิเลียก็ไม่ได้แย่นี่นา บางทีมันอาจจะออกมาดีก็ได้…”


ใช่แล้ว มันก็เป็นไปได้


ด้วยความสัมพันธ์ในปัจจุบันของเขากับซิซิเลีย ซินเซียก็อาจจะให้องค์กรเขาได้เติบโตในระดับหนึ่งได้ แต่ว่านั่นก็จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อซอลจีฮูไม่ได้แทรกแซงในอำนาจในปัจจุบันของซิซิเลีบเท่านั้น


แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ซอลจีฮูต้องการเลย


เรือหนึ่งลำไม่อาจมีกัปตันสองคนได้ นอกไปจากนี้ซอลจีฮูก็อยากที่จะขึ้นเป็นที่หนึ่งและยืนอยู่บนบัลลังก์


เทเรซ่าที่ตีความว่าความเงียบของเขาเป็นการปฏิเสธก็ได้กัดฟันขึ้นมา


“ซอล… นายคือวีรบุรุษสงครามแห่งฮารามาร์คนะ”


เสียงสั่นเครือได้ดังออกมา


“สำหรับชาวโลกมันอาจจะต่างไป แต่ว่าประชาชนของฮารามาร์คแล้ว นายเป็นทั้งฮีโร่และความหวัง สำหรับชาวบ้านจากหมู่บ้านแรมแมน สำหรับทหารที่ปกป้องเมือง และสำหรับฉัน…”


“…”


“แต่ว่าหากนายจากไป…”


คำพูดช่วงท้ายของเธอได้ขาดหายไป แต่ว่าซอลจีฮูรู้อยู่แล้วว่าเธออยากจะบอกอะไร เทเรซ่ากำลังร้องขอความเห็นใจ แต่ว่าซอลจีฮูก็ได้ตัดสินใจไปแล้ว


“…ต่อให้ฉันจะจากไปแล้ว แต่ว่าเมื่อไหร่ที่ฮารามาร์คตกอยู่ในอันตราย ฉันก็จะไม่เมินเฉย”


เทเรซ่าได้หลับตาลงไป เธอได้รู้แล้วว่ามันไม่มีทางที่เธอจะเปลี่ยนใจเขาได้อีก


เธอได้หลับตาที่อ่อนล้าแน่น


ลำคอเธออุดตัน และไม่มีคำพูดใดๆดังออกมาอีก


ในท้ายที่สุดแล้วเธอก็ใช้สองมือปิดหน้า และก้มหัวลงไป ผมสีทองชมพูของเธอได้ไหลลงมาเหมือนกับน้ำตก


“น่าอายจริงๆ…”


เสียงสะอื้นเบาๆได้ดังออกมา


“ฉัน… ฉันคิดว่านายจะยกระดับมาเป็นองค์กรในฮารามาร์ค… ฮ่าฮ่า ฉันตื่นเต้นไปเองคนเดียวเลย…”


เธอได้พึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเอามือออกมาจากใบหน้า


แขนของเธอได้ตกลงไป แต่ว่าหัวของเธอยังคงก้มมองพื้นอยู่


ซอลจีฮูได้ก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อมองดูใบหน้าของเทเรซ่า จากนั้นเธอก็ตัวแข็งทื่อ


เธอกำลังร้องไห้


น้ำตากำลังไหลออกมารอบดวงตาคู่งามของเธอ


“ฉันมีสิ่งที่อยากจะทำ… เมื่อปฏิบัติการนี้จบลง…”


“…”


“ถ้าฉันรู้ว่านี่เป็นปฏิบัติการจากลาของเรา… ฉันก็จะไม่รับข้อเสนอ…”


เทเรซ่าได้เงยหน้าขึ้นมา เธอได้กระพริบตาสูดอากาศ และมองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน


เสียงกลืนน้ำลายได้ดังขึ้น และซอลจีฮูก็ได้ยินเธอหันหน้าไป


“ขอโทษนะ!”


“เจ้าหญิง”


“ฉันจะไปทำให้อารมณ์เย็นลงหน่อย”


เทเรซ่าได้ทิ้งคำพูดนี้เอาไว้ และเดินหายไปเหมือนกับอยากจะหนีไปจากที่นี่


ซอลจีฮูได้พ่นลมหายใจที่กลั้นเอาไว้มานา


เขาคิดไว้แล้วว่าเขาอาจจะได้ยินในสิ่งที่เขาไม่อยากจะได้ยิน แต่ว่าเขาก็คาดไม่ถึงว่าเทเรซ่าจะแสดงอารมณ์ออกมามากขนาดนี้


เขารู้สึกทำอะไรไม่ถูกในทันทีที่เห็นเทเรซ่าร้องไห้


‘เจ้าหญิง…’


กลางดึกแบบนี้เธอจะไปไหนกัน?


แน่นอนว่าเขารู้ว่าเทเรว่าแข็งแกร่ง และมันไม่น่าจะมีมอนสเตอร์ตัวไหนที่คุกคามเธอได้ เนื่องจากว่าพวกเขาอยู่ใกล้ฮารามาร์คแล้ว


เขารู้ดี แต่ว่าเขาก็ยังคงมองไปรอบๆด้วยความไม่สบายใจ


ยังไงก็ตาม…


“…”


จนกระทั่งถึงเวลาเปลี่ยนกะเฝ้ายามแล้ว เธอก็ยังไม่ได้กลับมา


เมื่อเขาตื่นขึ้นมาตอนเช้า เขาก็ได้เห็นเทเรซ่ากำลังนอนคู้ตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของเต็นท์ เมื่อเห็นเธอกำลังพลิกตัวและหันไปมาเล็กน้อย เธอก็คงจะอยู่ตรงนี้มาทั้งนี้แน่ๆ


ซอลจีฮูกำลังคิดที่จะเรียกเธอ แต่แล้วเขาก็ตัดสินใจหยุดเอาไว้ และออกจากเต็นท์ไปทำอาหารเช้า


ในระหว่างทางกลับฮารามาร์ค รถม้าก็ยังคงครึกครื้นเช่นเคย


เทเรซ่ายังได้เข้าร่วมพูดคุยอย่างตื่นเต้นอีกด้วย แต่แม้ว่าปากของเธอจะยิ้ม แต่ตาเธอไม่ได้ยิ้มเลย


ทั้งซอลจีฮูกับเทเรซ่าต่างก็รู้ว่าพวกเขาไม่ควรจะทำลายบรรยากาศแห่งความสำเร็จ


ซอลจีฮูได้พูดคุยไปในบางจังหวะ จากนั้นก็มองออกไปนอกหน้าต่างโดยใช้ความรู้สึกไม่สบายเป็นข้ออ้าง


ภาพทุ่งสีเขียวได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว


หลังจากมองไปข้างนอกนิ่งๆอยู่หลายสิบนาที


“โอ้? ดูเหมือนเราจะใกล้ถึงแล้วนะ”


เขาได้เหลือบไปมองเห็นเมืองที่คุ้นเคย


***


ทีมปฏิบัติการได้เดินทางมาถึงฮารามาร์คอย่างปลอดภัย ด้วยแบบนี้ปฏิบัติการของพวกเขาจึงเสร็จสิ้นอย่างเป็นทางการแล้ว


สมาชิกแต่ล่ะคนต่างก็กอดส่วนแบ่งเอาไว้ และพูดคุยกัน


มาเรียกับฮิวโก้ได้ไปที่วิหารในทันทีหลังจากลงรถม้า


แต่ว่าก็ไม่มีใครว่าพวกเขาเลย ทุกๆคนต่างก็อยากจะรีบเก็บโชคของตัวเองเอาไว้ในที่ที่ปลอดภัย เพราะงั้นทั้งกลุ่มจึงตัดสินใส่ไปวิหารพร้อมๆกัน


เว้นก็แต่เทเรซ่า


เธอไม่มีเหตุผลต้องไปวิหารเพราะเธอมีที่เก็บของที่ปลอดภัยอยู่แล้ว


แต่ว่าก่อนจะแยกกันเทเรซ่าได้เข้ามาหาซอลจีฮู


ใบหน้าของเธอได้แสดงความมุ่งมั่นออกมาให้เห็น


“ขอบใจนะที่พาฉันไปปฏิบัติการนี้ด้วย”


“ไม่มีปัญหา ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณเธอที่มาด้วย”


“เดี๋ยวฉันจะต้องตอบแทนความช่วยเหลือนี้อย่างแน่นอน”


เทเรซ่ายื่นมือออกมาหลังจากพูดอย่างเฉยเมย ซอลจีฮูได้จ้องไปที่เธอก่อนจะจับมือของเธอเบาๆ


ในขณะที่พวกเขาต่างก็รู้สึกถึงความอบอุ่นของมืออีกฝ่าย จู่ๆเทเรซ่าก็จับแน่นขึ้น


มันราวกับว่าเธอไม่อยากจะปล่อยมือเขา ราวกับเธอไม่อาจจะปล่อยได้


และซอลจีฮู…


“เดี๋ยวฉันจะไปหาเธอนะ”


“…”


“ฉันจะโน้มน้าวเธอเอง ฉันสัญญา”


เขาค่อยๆบิดข้อมือและดึงมือออกมา ด้วยความระวังเพื่อไม่ให้เธอรู้สึกเสียใจ


มือของเทเรซ่าได้ขยับตามมือของซอลจีฮู แต่ในท้ายที่สุดก็หลุดไป


เทเรซ่าได้หน้ามุ่ยออกมา


“ฉันจะไม่มีวันถูกโน้มน้าว”


“เดี๋ยวเราจะได้รู้กัน”


ซอลจีฮูได้ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม


“เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพนะ”


เทเรซ่าได้ถอนหายใจเบาๆ และลดแขนลง จากนั้นเธอก็หันหน้าเดินจากไป


ซอลจีฮูได้มองดูเดินออกไปไกลก่อนจะหันหลังกลับ จากนั้นเขาก็เริ่มเดินไปวิหารกู่ลา


แต่ว่าก่อนที่เขาจะได้ทันได้ก้าวถึงสิบก้าว เขาก็รู้สึกว่าถูกมองอยู่


ยังไงก็ตามเขาไม่ได้หันกลับไป


***


มีอยู่สองเหตุผลที่ชาวโลกจ่ายค่าธรรมเนียมรายเดือนเพื่อใช้ห้องเก็บของของวิหาร


อย่างแรกคือความปลอดภัย และอย่างที่สองคือประโยชน์ใช้สอย


มันไม่สำคัญว่าพวกเขาเก็บของเอาไว้ที่ไหนตราบเท่าที่เป็นวิหารในเมือง ยกตัวอย่างเช่น พวกเขาสามารถจะไปหาของของพวกเขาได้ แม้ว่าพวกเขาจะเก็บของเหล่านั้นเอาไว้ในวิหารลูซูเรียก็ตามที


“ฟู่ววว”


หลังจากใส่กระเป๋าลงไปในกล่องเก็บของแล้ว ซอลจีฮูก็ยิ้มสดใสออกมา แค่มองดูกระเป๋าเขาก็เต็มไปด้วยความสุขแล้ว


เขาไม่ได้ออกไปจากวิหารและในทันที และได้เดินลึกเข้าไปข้างในแทน จากนั้นเขาก็ได้มาก้มหน้าอยู่ตรงหน้ารูปปั้นหิน


ทั้งหมดก็เพื่อการฝักไข่


ยังไงก็ตามกู่ลาได้ให้คำแนะนำที่เขาคาดไม่ถึง


[รอสักสามสามวันก่อนจะไปพบลูซูเรียนะ]


‘ว่าไงนะครับ?’


[ลูซูเรียคือพี่น้องฝาแฝดของเทพธิดาคาทิตัส เธอน่าจะให้ข้อมูลที่แม่นยำได้]


‘ผมไปตอนนี้เลยไม่ได้หรอ?’


ซอลจีฮูได้ถามออกมาด้วยความร้อนใจ


[ลูซูเรียกำลังอยู่ระหว่างพิธีกรรมใหญ่อยู่ ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะต้องรอสักสองสามวัน]


จากนั้นกู่ลาก็ได้ปลอบเขาอย่างใจเย็น


[หากว่าเป็นหอกพิสุทธิ์… เราก็มีเรื่องที่ต้องคุยกันระหว่างพวกเรากันเองก่อน ฟุฟุฟุฟุ]


เธอได้หัวเราะออกมาอย่างภาคภูมิใจ


ซอลจีฮูจะรอสักสองสามวันเลยไม่ได้หรอในเมื่อเขาเพิ่งจะได้เจอคนที่รอมาเป็นร้อยๆปีได้?


เขาได้ตอบตกลงและจากนั้นก็หันหน้ากลับไป


[แล้วก็]


เสียงของกู่ลาได้หยุดเขาเอาไว้


[พยายามแก้ไขให้ดีนะ ปลอบโยนเธอ หรือไม่ก็ทำให้เธอสบายใจด้วยการประทับตาของเจ้าไว้]


‘?’


[ฉันเคยบอกไว้แล้วใช่ไหมว่าอนาคตได้เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว]


[การที่เจ้าได้เปลี่ยนอนาคตได้ทำให้มีอนาคตใหม่เปิดขึ้นมาสำหรับเด็กนั่น]


[หากว่าชายคนนั้นคือโล่ที่จะป้องกันความมืดมิดที่คืบคลานเข้ามา ถ้างั้นในอนาคตเด็กคนนั้นก็อาจจะกลายมาเป็นมือซ้ายของเจ้าก็ได้นะ]


ซอลจีฮูรู้สึกเหมือนเขาพอจะรู้ว่าเด็กที่ถูกพูดถึงคือใครกัน


[มันเป็นเรื่องดีที่เจ้ารู้ถึงจุดประสงค์อย่างชัดเจน มันไม่ได้แย่เลย แต่ยังไงแล้วเจ้าก็ยังอยู่ในขั้นตอนการปรับแต่งโล่]


[ข้าแค่จะบอกว่าเจ้าไม่ควรจะใจเย็นเกินไปนะ]


ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆให้กับคำแนะนำของกู่ลา


***


สมาชิกทีมปฏิบัติการซึ่งนอกจากมาเรีย เทเรซ่า และฮิวโก้ ต่างก็รอเขาอยู่ด้านนอก แต่เพราะอะไรบางอย่างโชฮงกับฟีโซราดูร้อนรนอยู่เล็กน้อย


“เฮ้ อืมม ฉันจะกลับไปดูอีกครั้งนะ”


“ฉันด้วย”


ทั้งสองคนได้วิ่งกลับไปในวิหารอีกครั้งหนึ่ง


ซอลจีฮูได้หัวเราะออกมา


นี่แหละคือธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อไหร่ก็ตามที่จู่ๆก็มีเงินจำนวนมาก ความเป็นจริงก็จะเป็นเหมือนความฝัน มันก็คล้ายๆกันกับการที่คนเราจะตรวจดูบัญชีธนาคารบ่อยๆหลังจากถูกหวย


“นายไม่ได้เก็บของทุกอย่างไว้ในห้องเก็บของหรอ?”


คาซุกิได้ถามออกมาพร้อมชี้ที่ถุงบนหลังซอลจีฮู


ซอลจีฮูได้อธิบายออกมาพร้อมกับขำขึ้น


“ของพวกนี้เป็นเครื่องเซ่นน่ะครับ ผมคิดว่าจะเอาไว้ให้พี่สาวในทันที”


คาซุกิที่จำถึงเงื่อนไขของซอลจีฮูได้ ก็เข้าใจถึงสิ่งที่เขาจะสื่อในทันที


“นายไม่คิดว่ามันน่าเสียดายหรอ? หากว่าเอาของพวกนี้ไปขายมันได้หลายเหรียญทองเลยนะ”


“ผมไม่เห็นนะว่าคุณชอบเล่นมุก แต่ว่านี่มันไม่ตลกเลยนะ”


“ก็แค่พูดเฉยๆน่ะ”


คาซุกิได้หัวเราะออกมาเมื่อสังเกตเห็นการเหน็บในคำพูดของซอลจีฮู จากนั้นเขาก็บอกจะไปด้วยโดยที่บอกว่าเขาอยากจะไปทักทาย


ซอลจีฮูก็ได้ตกลงในทันทีเพราะนี่ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย


พวกเขาได้รอจนกระทั่งโชฮงกับฟีโซราเดินออกมาก่อนที่จะมุ่งหน้ากลับไปที่สำนักงานคาเพเดี่ยม


ไม่สิ นี่คือสิ่งที่พวกเขากำลังจะทำ


“อ๊าา ฉันจะบ้าแล้ว ฉันขอกลับไปดูอีกครั้งหนึ่ง


“ฉันด้วย!”


ขณะที่พวกเขากำลังเดินลงบันไดไป ฟีโวรากับโชฮงก็ได้รีบวิ่งกลับไปในวิหาร


“ผมด้วย”


แม้กระทั่งมาแชล จิโอเนียก็ยังเป็นไปด้วยคน


“โอ้ ให้ตายสิ!”


ซอลจีฮูได้ตะโกนออกมา


***


โชฮงกับฟีโซราได้กลับไปเช็คห้องเก็บของอยู่ถึงหกครั้งกว่าจะโล่งใจขึ้นมา


หลังจากนั้นซอลจีฮูได้เดินมาถึงอาคารที่อยู่ตรงข้ามกับสำนักงานคาเพเดี่ยม…


“พี่สาว! พี่สาวยูฮุย!”


และเขาก็ได้เคาะประตูออกไป


ตึง ตึง! ซอยูฮุยได้รีบโผล่หน้าออกมาด้วยความตกตะลึงเมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสของซอลจีฮู


“ชิ… นายทำให้ฉันตกใจนะ”


เธอได้หยิกแก้มเขาเบาๆเพื่อแกล้งเล่นหลังจากไม่ได้เจอกันนาน จากนั้นเธอก็ชวนเขาเข้าไปนั่งข้างใน


หลังจากนั่งลงแล้ว ซอลจีฮูก็ได้หยิบเอาเครื่องเซ่นที่เขาเตรียมไว้ออกมาโชว์


ร่องรอยความประหลาดใจได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าซอยูฮุยในทันทีที่เธอได้เห็นของในกระเป๋า


“ของพวกนี้…”


คุณภาพก็เรื่องหนึ่ง แต่นี่ยังมีพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เก็บไว้มหาศาลอีกด้วย ด้วยของพวกนี้อย่างน้อยก็จะช่วยฟื้นคืนพลังของเธอกลับมาได้ในระดับ 3 หรือกระทั่งอยู่ช่วงต้นของระดับ 4 ได้เลย


การจะหาเครื่องเซ่นที่มีคุณภาพแบบนี้เป็นไปได้ยากมากแม้ว่าเธอจะหาทั่วทั้งเมืองก็ตาม


‘เขาไปเอาเครื่องเซ่นคุณภาพสูงแบบนี้มาจากไหนกัน…?’


ซอยูฮุยได้จ้องมาที่ซอลจีฮูด้วยสายตาที่เปลี่ยนแปลงไป


“ของพวกนี้… แพงเกินไป”


“อ่า อย่ากดดันสิ ของพวกนี้ทั้งหมดเป็นของคุณ”


เมื่อซอยูฮุยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจที่จะรับเครื่องเซ่นทั้งหมดนี้ไป ฟีโซราก็ตะโกนออกมาอย่างคึกคะนองพร้อมทั้งแตะไหล่ซอลจีฮู


“ปฏิบัติการครั้งนี้ทำให้พวกเรารวยขึ้นมา เพราะงั้นของพวกนี่นับไม่ว่ามากอะไรเลย!”


“ใช่แล้วล่ะ! ทั้งหมดก็เพราะเขาเลย! อ๊าาา นายนี่น่ารักจริงๆ!”


โชฮงก็ยังหัวเราะออกมาเหมือนคนบ้า และลูบผมซอลจีฮูจนผมยุ่ง


ทั้งสองคนได้ทำเหมือนซอลจีฮูเป็นเด็ก ในขณะที่สีหน้าของซอยูฮุยได้แปลกไปในตอนที่เธอมองมาที่เขา


“หืมมม~”


เธอได้ส่งเสียงแปลกๆออกมา


“ขอบคุณนะ มันคงจะลำบากแน่ๆ”


“ไม่ครับ ไม่เลย…”


ซอลจีฮูได้เกาหัวออกมา


แต่ว่าซอยูฮุยก็ส่ายหัวออกมา


“มันลำบากใช่ไหมล่ะ?”


เธอได้พูดเบาๆพร้อมกางแขนออกมา ดวงตาของซอลจีฮูเบิกกว้างขึ้น


‘เดี๋ยวนะ! การเคลื่อนไหวแบบนี้!’


เขามั่นใจแล้ว


เธอกำลังชวนให้เขาเข้าไปกอดเธอ


เธอกำลังจะกอดเขาเพื่อเป็นรางวัลสำหรับความพยายาม


ร่างกายของเขาชะงักไปอยู่ครู่หนึ่ง ซอลจีฮูได้กลายเป็นลังเลขึ้นมา


หากว่าเขาหลับอยู่มันก็คงเป็นคนล่ะเรื่อง แต่ว่าการกอดเธอต่อหน้าทุกๆคนมันค่อนข้างจะ…


ในตอนนั้นเองซอยูฮุยก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้มหวาน


“มาสิ”


“!?”


ซอลจีฮูได้ประหลาดใจขึ้นมา


‘ยะ ยังไงกัน?’


ซอลจีฮูรู้สึกลังเล ยังไงก็ตามไม่นานนักเขาก็ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากราวกับว่าซอยูฮุยกำลังรอการตัดสินใจของเขา


“จีฮู?”


แค่มองสีหน้าเธอเขาก็บอกได้เลย


นายไม่มั่นใจที่จะกอดฉันเหมือนเมื่อก่อนแล้วหรอ?


นายโตขึ้นมาหน่อยแล้วก็เลยพยายามจะรักษาหน้าเอาไว้หรอ?


“จีฮู…”


ซอยูฮุยได้พูดออกมาเบาๆด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร


ขณะที่น้ำเสียงของเธอดูเศร้าและเจ็บปวดทำให้ซอลจีฮูทำอะไรไม่ถูก


ซอยูฮุยได้เอียงหัวออกมา


“ผลข้างเคียงเป็นยังไงบ้างล่ะ?”


โอ้ ใช้แล้ว นี่เป็นข้ออ้างที่ดีเลย


“ถะ ถูกแล้วครับ จริงๆผมรู้สึกเหนื่อยอยู่นิดหน่อย…”


ซอลจีฮูได้รีบตอบกลับและเข้าไปหาเธอ เขาไม่ได้สนใจสายตาที่มองแผ่นหลังเขาอยู่ ยังไงก็ตามนี่มันก็เป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของเขา


สิ่งสำคัญก็คืออ้อมกอดของซอยูฮุยคือสถานที่ที่สบายที่สุดในโลก ร่างกายที่กระสับกระส่ายของเขาดูเหมือนกับจะสงบลงไป


นี่คือสรวงสวรรค์ในพาราไดซ์อย่างแท้จริง


‘อ่า… น่าทึ่ง’


ในตอนนี้เขารู้สึกถึงชีวิตแล้ว


ซอยูฮุยได้ยิ้มออกมาสดใสพร้อมกับลูบกระต่ายน้อยในอ้อมแขนของเธอ


เธอได้ส่งรอยยิ้มสดใสที่ยากจะเข้าใจไปให้กับหญิงสาวทั้งสองคนที่มองมาที่พวกเขาด้วยความตกตะลึง


***


เพราะการเติมพลังงานจากซอยูฮุย ทำให้ซอลจีฮูได้กลับไปที่สำนักงานอย่างสดใส


เขาไม่ได้เจอกับจางมัลดงและพี่น้องยี่ พวกเขาน่าจะยังคงฝึกกันอยู่ที่ภูเขาหินยักษ์


ในทันทีที่เขาติดต่อไป จางมัลดงก็ได้รับสายในทันที


-นายคงเพิ่งจะมาถึงสินะ


“ครับ ผมติดต่อมาหาอาจารย์ในทันทีที่เรากลับมา”


-แล้วปฏิบัติการประสบความสำเร็จไหมล่ะ?


“ผมมีอยู่หลายเรื่องเลยที่ต้องคุยกับอาจารย์”


ซอลจีฮูได้ชูสิงนิ้วออกมา


“แล้วเมื่อไหร่อาจารย์จะกลับมาครับ?”


-เดี๋ยวเราก็จะกลับแล้ว จริงๆเราได้กลับไปแล้วครั้งหนึ่ง แล้วก็กลับมาที่ภูเขาอีกที


“หืม? ทำไมล่ะครับ?”


-นั่นก็เพราะซังจิน


จางมัลดงได้ยิ้มแห้งๆออกมา


-เขาบาดเจ็บหนักระหว่างการฝึก เพราะงั้นเราก็เลยต้องกลับมาทำการรักษาที่ฮารามาร์ค ฉันคิดว่าจะปล่อยให้เขาพัก แต่ว่าเขากลับยืนกรานที่จะกลับไป


จางมัลดงได้เดาะลิ้นออกมา


-ไอ้หนูนี่มันดื้อรันมากจริงๆ


จางมัลดงได้ส่ายหัวออกมา


ซอลจีฮูได้รีบถามขึ้นด้วยความกังวล


“บาดแผลร้ายแรงไหมครับ? แล้วร่างกายเขาเป็นยังไงบ้าง?


-ก็ดีขึ้นมากแล้วล่ะ ซังจินฝึกหนักเหมือนนายเลย


“ผมหวังว่าเขาจะไม่กดดันตัวเองเกินไปนะ… เขาจะต้องคำนึงถึงร่างกายตัวเองด้วย”


-นายยังจะมีหน้ามาพูดเรื่องนี้อีกนะ


จางมัลดงได้หยักหน้าออกมาพร้อมเสียงหัวเราะที่กลั้นไม่ไหว


-เอาเถอะ อีกสองสามวันเราจะกลับไป จากนั้นไว้ค่อยคุยเรื่องรายละเอียดกัน


“เข้าใจแล้วครับ”


-โอ้ จริงสิ


ขณะที่ซอลจีฮูกำลังจะวางสาย จางมัลดงก็หยุดเขาเอาไว้


-เป็นเรื่องของเพื่อนนายน่ะ คุณคิมฮันนาห์ เธอเป็นคนเชิญนายถูกไหม?


ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้นมากับสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง


“ครับ คิมฮันนาห์ทำไมหรอครับ?”


-ในตอนเรากลับไปฮารามาร์ค เธอได้ติดต่อเข้ามา


จางมัลดงได้พูดต่ออย่างสงบ


-ตอนแรกฉันก็ไม่คิดจะหลับสายหรอกนะ แต่ว่าทุกๆครั้งที่ฉันเช็คคริสตัลสื่อสาร เธอจะโทรมาตลอดเลย หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง… มันเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ


‘อะไรนะ’


ซอลจีฮูได้หรี่ตาลง


“อาจารย์รับสายไปหรอครับ?”


-อืมม มันดูเป็นเรื่องเร่งด่วน ฉันก็เลยรับสายไป ขอโทษทีนะ


“ไม่ ไม่เลยครับ มันไม่เป็นไรเลย แล้วเกิดอะไรขึ้นหรอครับ? ทำไมเธอถึง-“


เขาได้กลืนคำพูดที่จะถามว่า ‘ทำไมเธอถึงโทรมาตลอดเวลาล่ะครับ?’ ลงไป


-ฉันก็ไม่มั่นใจ เธออยากจะคุยกับนาย แต่ว่าพอฉันบอกไปว่านายกำลังอยู่ระหว่างปฏิบัติการ เธอก็บอกว่าไม่เป็นไร มันก็เท่านี้แหละ


หลังจากพูดแบบนี้แล้ว จางมัลดงก็ขมวดคิ้วและเม้มปากออกมา


-แต่ว่า… สีหน้าเธอค่อนข้างจะ…


“อะไรนะครับ?”


-ไม่หรอก ไม่มีอะไร แค่มองดูเพียงครั้งเดียวมันยังไม่อาจจะตัดสินใจอะไรได้


จางมัลดงได้ส่ายหัวออกมา


-ยังไงก็ตามถ้าเป็นไปได้ก็ลองติดต่อไปหาเธอดูนะ


“เข้าใจแล้วครับ”


-เอาล่ะ งั้นไปเจอกัน


จากนั้นสายก็ตัดไป


ซอลจีฮูได้เม้มปากออกมา


คิมฮันนาห์ได้ติดต่อมาในตอนที่เขาพร้อมจะพัฒนาองค์กรอย่างเต็มกำลัง


‘ช่างโชคร้ายจริงๆ’


หากเขารู้ เขาก็จะชวนเธอเข้าร่วมปฏิบัติการด้วย


ซอลจีฮูได้พึมพำอยู่ในใจ ก่อนที่จะล้วงไปหยิบคริสตัลสื่อสารในลิ้นชักออกมา และวางมือลงไปบนคริสตัลสื่อสาร


บทที่ 225 – ฉันคือไข่ (1)


เมื่อเขาใส่มานาเข้าไป คริสตัลก็เปล่งแสงออกมา มันส่องสว่างสลับกับดับแสงไปมาอยู่ซ้ำๆ


สิบนาทีได้ผ่านไปภายในพริบตาเดียว แต่ไม่ว่าเขาจะรอนานแค่ไหนสายที่ติดต่อไปก็ไม่มีทีท่าว่าจะรับสายเลย


‘ทำไมมาตอนนี้เธอถึงไม่รับสายล่ะ…’


การที่คนไม่ได้รับสายในทันทีมันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย


ในสองสามครั้งแรกอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญได้ แต่ว่าหากนับตั้งแต่ครั้งที่สามขึ้นไปมันก็ยากที่จะเชื่อแบบเดิมแล้ว


เขารู้ว่าคิมฮันนาห์ไม่ใช่คนประเภทที่จะว่างอยู่ตลอดเวลา แต่ว่านี่ก็ยัง…


‘สกีเฮราซาร์ด’


ซอลจีฮูได้หลับตาลงไป คิมฮันนาห์เคยบอกให้เขาอยู่ห่างจากที่นั่นให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้จนกว่าที่เขาจะแกร่งขึ้น


เมื่อก่อนเพราะความไม่รู้อะไรทำให้เขาหวาดกลัวซินยอง แต่ในตอนนี้มันต่างออกไปแล้ว


ซอลจีฮูแกร่งกว่าแต่ก่อนจนเทียบไม่ติดแล้ว และเขาก็มีพรรคพวกที่ทรงพลังอยู่มากมาย มันคงยากที่จะเชื่อว่าซินยองจะวางแผนร้ายต่อเขาตรงๆ เว้นแต่พวกเขาจะบ้าคลั่งไป


หลังจากไตร่ตรองอยู่นาน ซอลจีฮูก็ได้ตัดสินใจจะมุ่งหน้าไปสกีเฮราซาร์ดหลังจากที่ทำธุระในฮารามาร์คเสร็จสิ้น


หากว่าจำเป็นเขาก็จะเตรียมตัวไปสำนักงานใหญ่ของซินยองอีกด้วย


มันจะต้องมีเหตุผลอยู่


เหตุผลที่เขาติดต่อกับคิมฮันนาห์ไม่ได้


***


สี่วันต่อมาจางมัลดงก็ได้กลับมาที่สำนักงานคาเพเดี่ยม เขาได้พาคนสองคนที่มีสภาพเหมือนขอทานกลับมาด้วย ซึ่งทั้งคู่ก็คือพี่น้องตระกูลยี่


พวกเขาเพิ่งจะผ่านประสบการณ์เลวร้ายอะไรกันมานะ?


ซอลจีฮูได้กลืนน้ำลายลงไปเมื่อเขาเห็นยี่ซอลอากับยี่ซังจินทรุดตัวลงไปในทันทีที่ก้าวเข้ามาในสำนักงาน


“ยินดีต้อนรับกลับครับ”


“อืมมม”


จางมัลดงได้แบกสองพี่น้องไปที่ห้องก่อนที่จะเดินกลับมานั่งที่โซฟา จากนั้นเขาก็พูดขึ้นห้วยๆ


“เอาหอกกับหนังสือมาให้ฉันดูสิ”


เขาได้พูดถึงเรื่องผลลัพธ์ของปฏิบัติการในทันที


ซอลจีฮูได้หยิบเอาหอกพิสุทธิ์ กับหนังสือเทคนิคทั้งสองเล่มออกมา จางมัลดงได้เปิดหนังสือขึ้นพร้อมใส่แว่นขยาย และขมวดคิ้วขึ้นมา


“หืมมม”


พรึบ พรึบ


เขาได้เริ่มศึกษาหนังสืออยู่ประมาณ 10 นาที หลังจากอ่านหนังสือทั้งสองเล่มจบแล้ว จางมัลดงก็ได้เงยหน้าขึ้นมามองซอลจีฮูด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป


“ไอ้เจ้าดวงดีนี่”


“?”


“นายคงจะเกิดขึ้นมาพร้อมกับดาวนำโชคแน่ๆ”


สีหน้าของซอลจีฮูได้กลายเป็นสดใสขึ้นมา มันดูเหมือนกับว่าหนังสือทั้งสองเล่มจะค่อนข้างพิเศษ


“มันยังเร็วเกินไปที่จะดีใจ”


จางมัลดงได้อบกลับมาสั้นๆ


“มันมีปัญหาอยู่หรอครับ?”


“ปัญหาหรอ? ใช่แล้ว ปัญหานั่นแหละ วิธีบ่มเพาะมานาก็เรื่องหนึ่ง แต่ว่าเทคนิคหอกจันทร์เสี้ยวนี่มันมากเกินไปแล้ว… นายได้ดูมันหรือยัง?”


ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมา


“ผมอ่านผ่านๆมาแล้ว แต่ว่าเพราะมันซับซ้อนเกินไป ผมก็เลยไม่เข้าใจอะไรเลย”


“ฉันเข้าใจ”


จางมัลดงได้ถอดแว่นและหยักหน้าออกมา


“เทคนิคหอกจันทร์เสี้ยวนี่เป็นสุดยอดเทคนิคหอกที่ประกอบไปด้วยเทคนิคชั้นยอดเจ็ดชนิด แต่ว่านะ แม้กระทั่งเทคนิคแรกก็ยังต้องใช้การเป็นหนึ่งเดียวกับหอกเป็นพื้นฐาน… เทคนิคหอกนี่อาจจะละเอียดอ่อนยิ่งไปกว่าเทคนิคหอกหยกของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็ได้”


จางมัลดงได้ถอนหายใจพร้อมส่ายหัวออกมา


ซอลจีฮูได้ผงะไปเช่นกัน เขามีความสุขที่ได้หาเทคนิคหอกดีๆได้แล้ว แต่มันกลับกลายเป็นแทบจะใช้งานไม่ได้


หากว่าจะอะไรที่ดี นั่นก็คงเป็นการที่เขาไม่อาจจะประเมินระดับของเทคนิคหอกจันทร์เสี้ยวนี้ได้


จางมัลดงได้หยิบเอาหนังสืออีกเล่มขึ้นมา


“ทีนี้ก็มาที่หัวใจอันชอบธรรมบ้าง มันก็คือเทคนิคบ่มเพาะมานา จากชื่อของมันแปลความได้ถึงจิตใจอันงดงาม แต่ว่าในแง่การใช้งาน การตีความว่ามันเป็นการกลั่นพลังงานภายในตัวนายน่าจะถูกต้องกว่า”


“ใช่แล้วล่ะ มันดูเหมือนจะเป็นวิธีบ่มเพาะมานาที่มุ่งเน้นไปที่การทำให้มานาบริสุทธิ์”


“ถูกแล้วล่ะ เพราะแบบนี้มันถึงได้เหมาะกับนายไงล่ะ”


ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา


“แต่ว่าผมได้ดื่มน้ำตาของไซซีลงไปแล้วนะครับ”


“น้ำตาของไซซีควรที่จะกำจัดของเสียที่ติดอยู่ในวงจรมานากับร่างกายของนาย แต่ว่าวงจรมานาที่เป็นจุดไหลเวียนของมานา ต่างไปจากมานาของนายนะ”


จางมัลดงได้พูดขึ้นอย่างมั่นใจ แต่ซอลจีฮูก็ยังคงสับสนอยู่


“ยกตัวอย่างง่ายๆก็คือ… นายได้รับปีกข้างหนึ่งมาจากการกินน้ำตาของไซซี นี่คือเหตุผลที่ทำให้ความเร็วในการไหลของมานาและประสิทธิภาพในการใช้มานาของนายเพิ่มขึ้น แต่ว่าในแง่ของตัวพลังมานาเอง มันไม่ได้เพิ่มขึ้นเอง”


จางมัลดงได้ลูบขมับราวกับว่าเขายังเหนื่อยอยู่เล็กน้อย


“หัวใจอันชอบธรรมเป็นเทคนิคบ่มเพาะมานาที่จะชำระล้างมานาที่นายมีอยู่ในบริสุทธิ์ หรือก็คือมันจะเพิ่มความบริสุทธิ์ให้กับมานา”


“ครับ”


“ลองคิดดูนะ นายชอบอ่านนิยายศิลปะการต่อสู้ใช่ไหม? ถ้างั้นนายก็น่าจะรู้ว่าคนที่มีพลังปราณที่บริสุทธิ์ก็จะทำให้แแข็งแกร่งขึ้นสินะ มันก็เหมือนกันกับมานานั่นแหละ ความบริสุทธิ์ของมานาจะทำให้นายแสดงพลังที่แข็งแกร่งออกมาได้”


หากไม่นับรวมในตอนที่พลังทั้งสองอย่างที่ขัดแย้งกันปะทะกันแล้ว ตอนที่นักเวทย์ที่มีพลังมานาในระดับเดียวกันสู้กัน ฝ่ายที่มีความบริสุทธิ์ของมานาที่ต่ำกว่าจะพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงอยู่บ่อยๆ


“นายมีพลังต่อต้านปีศาจอยู่เช่นกัน มันเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์เลยล่ะ”


ในที่สุดซอลจีฮูก็เข้าใจแล้ว


ความบริสุทธิ์ของมานา และวงจรมานาที่โล่งสะอาด องค์ประกอบทั้งสองอย่างนี้จะส่งเสริมซึ่งกันและกัน รวมไปถึงเข้าได้กับพลังต่อต้านปีศาจของโซม่าเป็นอย่างดี


หรือก็คือการเรียนรู้วิธีบ่มเพาะมานาหัวใจอันชอบธรรมจะเป็นการทำให้ปีกของเขาสมบูรณ์ และเขาก็จะพุ่งทะยานขึ้นไปสูงยิ่งกว่าเดิม


จางมัลดงยังคงเก็บเอาเทคนิคหอกจันทร์เสี้ยวเอาไว้ แต่ว่าซอลจีฮูสามารถจะบอกจากสีหน้าของจางมัลดงได้เลยว่าเขารู้สึกลำบากใจแค่ไหน


จางมัลดงรู้ว่าเทคนิคบ่มเพาะมานาจะช่วยได้ยังไง แต่ว่าสำหรับเทคนิคหอกแล้วมันคนล่ะมิติกันโดยสิ้นเชิง


ซอลจีฮูและจางมัลดงมีแต่จะต้องรวมหัวกัน และพยายามช่วยกันคิด แต่ว่าแม้กระทั่งจางมัลดงก็ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะเริ่มจากตรงไหน


แม้กระทั่งปรมาจารย์หอกก็ยังต้องใช้เวลาหลายเดือนในการศึกษาถอดรหัสมันโดยไม่หยุดพัก


ยกตัวอย่างเช่นแบคแฮจู


ไม่ว่าจะยังไงก็ตามอย่างน้อยจางมัลดงก็ต้องหาคำอธิบายของมันออกมาให้ได้ เพราะงั้นจางมัลดงจึงเริ่มพูดออกมาอย่างอึดอัดใจ


“สำหรับเทคนิคหอกจันทร์เสี้ยวนี่… นายเคยอ่านเรื่องราวสามก๊กใช่ไหม?”


“แน่นอนครับ ในตอนยังเด็ก ผมได้อ่านมาหลายครั้งแล้ว”


ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมา


“ถ้างั้นนายก็น่าจะรู้จักลิโป้สินะ”


“แน่นอนครับ เขาเป็นนายพลที่แข็งแกร่งที่สุดในเรื่อง”


“ก็นะ มีข้อถกเถียงกันอยู่ว่าเขามีตัวตนอยู่ในประวัติศาสตร์จริงๆไหม…”


จางมัลดงได้กอดอกขึ้นมา


“เรื่องราวนี้ได้อธิบายว่าในแง่ของความแข็งแกร่ง ลิโป้เป็นเหมือนกับสัตว์ประหลาด แม้ว่าเขาจะขาดความเป็นผู้บัญชาการทหารไปบ้างก็ตาม”


จางมัลดงได้หยักหน้าออกมาก่อนจะถามอีกครั้ง


“แค่ฟังขำๆนะ นายคิดว่าลิโป้แข็งแกร่งเพราะอะไรล่ะ?”


เมื่อซอลจีฮูมองเขาอย่างงุนงง จางมัลดงก็หัวเราะออกมา


“นั่นเพราะใบมีดจันทร์เสี้ยว”


“ใบมีดจันทร์เสี้ยว?”


“นี่แหละ”


จางมัลดงได้แตะลงไปบนหอกพิสุทธิ์ หรือตรงที่มีใบมีดรูปร่างจันทร์เสี้ยวคู่


“ฝีมือการใช้หอกของลิโป้นั้นเป็นที่โด่งดังอยู่แล้ว แต่ว่าที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักจริงคือทักษะปีศาจทีเขาใช้กับง้าวจันทร์เสี้ยวของเขา นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ง้าวจันทร์เสี้ยวเป็นอาวุธสัญลักษณ์ของเขา”


“จริงหรอครับ?”


“ฉันบอกให้นายฟังขำๆไงล่ะ”


เมื่อซอลจีฮูได้ตกใจถามออกมา จางมัลดงก็เน้นย้ำว่านี่เป็นแค่ความคิดของเขาเท่านั้น


“นักวิชาการมีความเห็นที่ต่างออกไปเรื่องอาวุธง้าวจันทร์เสี้ยว ง้าวจันทร์เสี้ยวได้ปรากฏขึ้นมาในยุคซ่ง กับลิโป้ หากให้พูด… ไม่สิ นี่มันไม่ได้สำคัญเลย”


จางมัลดงได้ส่ายหัวออกมาก่อนจะพูดต่อ


“เรากลับมาเข้าเรื่องของเขาดูกว่า ง้าวจันทร์เสี้ยวเป็นการพัฒนาให้ตัวง้าวมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น ใบมีดจันทร์เสี้ยวจะเหมาะกับการฟันเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าในตอนที่แทงอาวุธออกไปจะไม่ทำให้อาวุธฝังลึกเข้าไปอีกด้วย”


ดวงตาของซอลจีฮูได้กลายเป็นประกายขึ้นมา ทั้งหมดนี่มันดูเหมือนจะหมายความว่าเขาจะสามารถใช้การแทง ฟาด และฟันได้ยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น


ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องพลังทำลายของมันเลยด้วย


แน่นอนว่าทั้งหมดนี่จะอยู่ภายใต้สมมติฐานที่เขาสามารถจะใช้หอกนี้ได้เท่านั้น


“ดูเหมือนว่าผมจะมีงานอีกมากให้ต้องทำนะ”


“ผมก็ไม่รู้ ตัวหอกก็เรื่องหนึ่ง แต่ว่าเทคนิคหอกจันทร์เสี้ยวนี่…”


ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆออกมา เพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้เห็นจางมัลดงไม่มั่นใจขนาดนี้ นอกจากนี้เขาก็ยังไม่ได้ถูกหอกพิสุทธิ์ยอมรับเลย เพราะงั้นการจะใช้เทคนิคหอกจันทร์เสี้ยวจึงดูเป็นเรื่องไกลตัวไป


“ผมเข้าใจแล้ว อาจารย์คงจะเหนื่อย ไปพักเถอะครับ”


“แต่ฉันยังไม่ได้ฟังเรื่องปฏิบัติการเลยนะ ไว้หลังจากรู้เรื่องนี้แล้ว ฉันจะไปพัก”


จากคำขอของจางมัลดง ทำให้ซอลจีฮูได้เริ่มต้นเล่าเรื่องด้วยการเจอเด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกในทันที


เมื่อได้ยินว่าเด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกถูกส่งกลับสหพันธรัฐอย่างปลอดภัย และทีมพวกเขาได้สนิทกันกับแฟรี่ถ้ำ จางมัลดงก็ยิ้มออกมา แต่เมื่อเขาพูดถึงเรื่องคำสาป ใบหน้าของจางมัลดงก็แข็งทื่อไป และเมื่อได้ยินเรื่องที่พวกเขาหลุดจากคำสาปมาได้เพราะโฟลนและได้เจอกับโรเซร่า จางมัลดงก็ส่งเสียงอุทานออกมา


และสุดท้ายเมื่อจางมัลดงได้ยินถึงเรื่องกองมรดกที่ถูกแจกจ่ายอย่างเท่าเทียมรวมถึงโฟลนด้วย จางมัลดงก็ไม่อาจจะซ่อนความตกใจเอาไว้ได้


“เยี่ยมมาก! เยี่ยมมากจริงๆ!”


จางมัลดงที่ไม่ค่อยชื่นชมใคร ได้ชื่นชมซอลจีฮูออกมาอย่างจริงใจ


“นายสามารถจะรับส่วนแบ่งส่วนมากไปได้อย่างแน่นอน แต่ว่านายก็ยังยืนกรานที่จะทำตามกฎที่ได้ตั้งเอาไว้แต่แรก ช่างเป็นหัวหน้าที่มีคุณภาพจริงๆ”


ซอลจีฮูได้แต่เกาแก้มเขินๆ


“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรครับ…”


“ฟุฟุ นายรู้ไหมว่าทำไมถึงเกิดการปฏิวัติขึ้น?”


ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมากับคำถามที่กระทันหัน


จางมัลดงได้ยิ้มขึ้นมา


เหตุผลนั่นง่ายมาก มันชัดเจนมากๆว่าทำไมผู้ที่สาบานว่าจะจงรักภักดีถึงไม่พอใจ


นั่นมันก็เพราะพวกเขาไม่พอใจในตัวกษัตริย์


เพราะกษัตริย์ของพวกเขาไม่อาจจะเติมเต็มความทะเยอทะยานของพวกเขาได้


ยกตัวอย่างเช่นชนชั้นสูงในยุคกลางได้มอบตำแหน่งอัศวิน และมอบค่าจ้างให้กับอัศวินของพวกเขา แต่ในทางกลับกันอัศวินก็จะต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อต่อสู้ให้กับเหล่าขุนนางในสงคราม


หรือก็คือเกียรติยศ และเงินตราเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงขุนนางกับอัศวินเอาไว้ด้วยกัน


ความกลมเกลียว และหลักฐานคือสิ่งสำคัญ แต่ว่าที่สำคัญไปกว่านั้นคือคุณค่าส่วนบุคคล


ตราบใดที่กษัตริย์ยังสามารถจะตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใต้บังคับบัญชาได้ พวกเขาก็จะไม่มีวันทรยศต่อกษัตริย์


จากมุมมองนี้แล้ว ในระยะยาวการตัดสินใจของซอลจีฮูนั้นถูกต้อง


อย่างน้อยที่สุดนี่ก็คือในสิ่งที่จางมัลดงคิด


จริงๆแล้วซอลจีฮูคิดแค่ว่า ‘ยังมีมรดกส่วนอื่นถูกเก็บเอาไว้อีก’ แต่ไม่ว่ายังไงผลลัพธ์ก็ได้ออกมาเหมือนกัน


“ไม่ว่าจะยังไง ในตอนนี้เราก็มีเงินทุนแล้ว มันถึงเวลาที่เราต้องเตรียมพร้อม”


“ใช่แล้ว เราควรจะเตรียมพร้อม”


“พวกเราจำเป็นต้องบอกให้เจ้าพวกนั้นรู้ด้วยเหมือนกัน ยังไงก็น่าจะมีคนที่พอจะรู้บ้างอยู่แล้วด้วย…”


จางมัลดงได้ลุกขึ้นเหมือนกับกำลังจะไปนอน แต่แล้วจากนั้นจู่ๆเขาก็ถามออกมา


“โอ้ จริงสิ แล้วนายคิดจะแนะนำตัวเด็กคนนั้นกับเราเมื่อไหร่ล่ะ?”


“แนะนำใครหรอครับ?”


“ก็วิญญาณสาวคนนั้นไง”


ซอลจีฮูได้กลายเป็นงุนงงไป


“…อาจารย์รู้?”


“ฉันสงสัยตั้งแต่ที่นายเริ่มกระซิบอยู่คนเดียวบนรถม้าแล้ว”


จางมัลดงได้หัวเราะออกมาจากนั้นก็แสดงสีหน้าจริงจัง


“เมื่อพิจารณาจากสิ่งที่นายบอกฉันมาจนถึงตอนนี้ วิญญาณสาวคนนี้คงได้ช่วยนายในหลายๆทาง รวมไปถึงปฏิบัติการนี้ด้วย มันดูเหมือนว่าเธอจะร่วมงานกับเราต่อไป เพราะงั้นมันไม่ใช่ว่าถึงเวลาที่เธอจะเผยตัวเองกับเราแล้วหรอ?”


“แต่ว่า…”


“ใครจะสนกันว่าเธอเป็นวิญญาณ? ในเมื่อเธอได้ผ่าฟันอุปสรรคไปพร้อมกับเรา เธอก็คือสหายของเรา”


ซอลจีฮูรู้สึกประทับใจ การที่โฟลนได้รับการยอมรับทำให้เขารู้สึกยินดีด้วยเช่นกัน


“เธอได้ยินไหมโฟลน?”


ซอลจีฮูมองลงไปที่จี้ และถามออกมา ยังไงก็ตามโฟลนไม่ได้ตอบกลับมา


เธอไม่ได้หลับอยู่


ซอลจีฮูรู้ว่าในสถานการณ์แบบนี้โฟลนกำลังอายมากๆ


“โฟลน? โฟลน! ไม่เป็นไรหรอก ออกมาเถอะ!”


ซอลจีฮูได้จับจี้ขึ้นมาเขย่า


[อู้วววว]


โฟลนยังคงไม่เต็มใจนัก


เธอคงจะอายเพราะจางมัลดงชมเธอ


ซอลจีฮูได้พูดขึ้นหลังจากหัวเราะออกมา


“ผมก็อยากจะแนะนำตัวเธอนานแล้ว แต่ว่าเธอก็ปฏิเสธอยู่ทุกครั้งเลย เธอขี้อายเกินไป”


“นายแน่ใจนะว่าไม่ได้ทำอะไรหยาบคายกับเธอ? เธอเป็นท่านหญิงจากตระกูลชั้นสูง นายจะไปเขย่าแบบนั้นได้ยังไงกัน?”


“ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณโรเซร่าบอกว่าเมื่อก่อนโฟลนถูกรู้จักกันดีว่าเป็นทอม- อั๊ก!”


ผั๊วะ


จู่ๆจี้ก็เด้งขึ้นมากระแทกปากของซอลจีฮู


“ทะ ทำไมล่ะ…?”


ซอลจีฮูได้ปิดปากเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด


[เงียบซะ!]


โฟลนโกรธขึ้นมาแล้ว


[ฉันไม่ใช่ทอมบอย! ฉันเต็มไปด้วยความสง่างาม และฉันก็เป็นตัวแทนของขุนนางอันงดงามในหมู่แวดวงสังคม!]


จางมัลดงได้ระเบิดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นซอลจีฮูถูกข่มเหง


***


เช้าวันถัดมา ซอลจีฮูได้ออกไปจากสำนักงานแต่เช้า


เป้าหมายของเขาก็คือวิหารลูซูเรีย


เขาวางแผนที่จะไปหาเทพธิดาลูซูเรีย แต่ว่านักบวชจากวิหารได้มาหาเขาแทน นักบวชได้บอกกับเขาว่าเทพธิดาลูซูเรียได้เชิญตัวเขาไปที่วิหารเป็นการส่วนตัว


พิธีกรรมคงจะจบลงไปแล้วเพราะในวิหารตอนนี้ได้ว่างเปล่า


เนื่องจากว่านี่เป็นครั้งแรกที่ซอลจีฮูจะได้คุยกับเทพคนอื่นนอกจากกู่ลาเป็นการส่วนตัว เขาจึงรู้สึกกังวลเล็กน้อย


ซอลจีฮูได้จับไข่สีแดงที่เขาเก็บเอาไว้ในกระเป๋าตลอดเวลา และเดินเข้าไป


จากนั้นในทันทีที่เขาเห็นรูปปั้น…


[โอ้ มาแล้วสินะลูกข้า?]


น้ำเสียงนุ่มนวลได้ดังออกมา


‘…ลูก?’


ซอลจีฮูได้ผงะไปโดยไม่รู้ตัวเพราะความเป็นธรรมชาติในน้ำเสียงของเธอ


[ยินดีต้อนรับ ข้ากำลังรอเจ้าอยู่เลย]


ซอลจีฮูได้ชะงักเท้าและหลับตาลง


เขาได้สูดหายใจเข้าลึกๆ


เขาต้องทำ


น้ำเสียงของเธอได้กระตุ้นให้หัวใจเขาเริ่มเต้นแรงแค่เพราะได้ยินเสียง


ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเธอถึงเป็นเทพที่นิยมมากที่สุดในหมู่ชาวโลกเพศชาย


[เข้ามาใกล้ๆสิ กู่ลาปกป้องเจ้ามากเกินไปจนข้าต้องระวังมากกว่าจะเชิญตัวเจ้ามาได้ ข้าอยากจะเห็นใบหน้าของเจ้าให้ชัดๆ มันก็นานมากแล้ว]


เมื่อได้ยินน้ำเสียงนิ่งสงบของเธอ ซอลจีฮูก็ได้ก้าวไปข้างหน้าราวกับต้องมนต์


[เข้ามาใกล้ๆสิ… ตรงนี้ เด็กดี~]


ซอลจีฮูได้หยุดลงตรงหน้ารูปปั้นลูซูเรีย


ซอลจีฮูเริ่มรู้สึกได้ถึงอ้อมกอดที่อบอุ่น และมือที่กำลังลูบหัวของเขา


เขาคุ้นเคยกับสิ่งที่เขากำลังรู้สึกนี้


เธอไม่ได้ทรงอำนาจเหมือนกับเทพคนอื่นๆที่เขารู้จัก แต่ว่ามีความเป็นมิตรเหมือนกับพี่สาวที่อาศัยอยู่ข้างบ้าน แต่… ด้วยเหตุผลบางอย่างเขาไม่เพียงแต่รู้สึกคุ้นเคย แต่ก็ยังโหยหาอยู่เล็กน้อยอีกด้วย


[แล้วเจ้ามาที่นี่เพื่อฝักจิตวิญญาณอาร์คัสใช่ไหม?]


‘คะ ครับ…’


[เพราะอำนาจของหอกพิสุทธิ์ทรงพลังเกินไป เราจึงจำเป็นต้องใช้เวลาคุยกันเอง ช่วยเข้าใจด้วยนะ]


เขารู้สึกเหมือนเขาจะทำบาปไปหากว่าเขาพูดว่า ‘ไม่ ผมไม่เข้าใจ’ ซอลจีฮูจึงตอบกลับไปว่า ‘ใช่’


[ขอบคุณมาก]


‘ท่านกู่ลาบอกว่าท่านจะอธิบายเรื่องหอก’


[ใช่แล้วล่ะ คาทิตัส กับข้าเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน เพราะงั้นข้าก็เลยรู้เรื่องหอกด้วย พวกเราเคยได้คุยกันเรื่องต่างๆมากมาย]


เคย นั่นมันหมายความว่าพวกเขาไม่ได้คุยกันอีกแล้ว


[อย่างแรก ข้าจะบอกถึงการตัดสินใจของเราก่อน พวกเราได้ตัดสินใจเป็นเอกฉันท์ที่จะมอบพลังแห่งเทพ หอกพิสุทธิ์เป็นอาวุธเทพที่มีพลังที่อันตรายอยู่ แต่ว่าเราได้ตัดสินใจแล้วว่ามันจำเป็นสำหรับการต่อสู้กับปรสิต]


‘ถ้างั้น!’


[แต่ว่าแค่เพราะข้ามอบพลังแห่งเทพไป นั่นมันไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะสามารถใช้หอกพิสุทธิ์ได้อย่างสมบูรณ์]


ลูซูเรียยังพูดไม่จบ


[ในเรื่องนี้แล้วพวกเราได้ตัดสินใจที่จะปล่อยให้จิตวิญญาณอาร์คัสเป็นคนตัดสินใจ เพราะนี่คือวิธีที่ถูกต้องในการใช้หอกพิสุทธิ์ และก็ยังเป็นวิธีการสร้างหอกอีกด้วย]


‘ตัดสินใจ? นั่นหมายถึงหลังจากฝักไข่แล้วหรอครับ?’


[จิตวิญญาณอาร์คัสคือจิตวิญญาณสายรุ้งที่เกิดขึ้นมาจากพลังเทพของคาทิตัส]


จากนั้นเธอก็ถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูซุกซนแปลกๆ


[เจ้ารู้ไหมว่าทำไมคาทิตัสถึงเรียกมันว่าจิตวิญญาณสายรุ้ง? และเจ้าคิดว่านี่มันเกี่ยวข้องกับหอกพิสุทธิ์ยังไง?]


ซอลจีฮูได้นิ่งครุ่นคิดกับตัวเอง ไม่นานนักเขาก็ได้คำตอบ


เขาได้นึกถึงได้รูเจ็ดรูที่เขาเห็นอยู่บนด้ามจับหอกพิสุทธิ์


[ช่างสังเกตจริงๆ]


ลูซูเรียได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


[ถูกแล้วล่ะ หอกพิสุทธิ์กับอาร์คัสคือหนึ่งเดียวของกันและกัน จะพูดว่าทั้งสองอย่างเชื่อมต่อกันแล้วกันก็ได้]


[เมื่อจิตวิญญาณอาร์คัสถูกฝักออกมาแล้ว มันจะกลายเป็นพันธมิตรอันแข็งแกร่ง ในเวลาเดียวกันมันก็คอยเฝ้าดูเจ้าตลอดช่วงชีวิตและทำการประเมินเจ้า ไม่ว่าจะยอมมอบพลังทั้งเจ็ด หรือแค่สาม… หรือไม่ก็ได้เลย ทั้งหมดนั่นจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่จิตวิญญาณตนนี้เลือก]


ซอลจีฮูได้กลืนน้ำลายลงไป เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้


โฟลนได้บอกว่าจิตวิญญาณอาร์คัสจะทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์


แต่ว่าจากสิ่งที่ลูซูเรียบอกแล้ว นี่มันดูเหมือนจะเป็นผู้ทดสอบมากกว่า


ในที่สุดเขาก็ได้เปิดนพเนตรขึ้นเต็มกำลังแล้ว แต่ว่าตอนนี้เขายังต้องมาเปิดพลังของหอกพิสุทธิ์อีก


‘จะมีการทดสอบแบบไหนกันหรอครับ…?’


[ชื่อของหอกได้บอกเจ้าถึงเรื่องการทดสอบแล้ว]


พิสุทธิ์หรือความบริสุทธิ์


นั่นหมายถึงการเป็นบุคคลที่มีความบริสุทธิ์และชอบธรรม


‘พรหมจรรย์? ผมต้องรักษาพรหมจรรย์ไว้ด้วยหรือเปล่า?’


ในกรณีนี้ซอลจีฮูได้ล้มเหลวไปแล้ว เขาขาดคุณสมบัตินั้นสุดๆไปเลย


ลูซูเรียได้หัวเราะออกมา


[ความบริสุทธิ์ที่หอกพูดถึงนั่นมันไม่ใช่ความบริสุทธิ์เรื่องเพศหรอกนะ]


[ความงดงาม ความดี ความจริง… มันกล่างถึงอารมณ์ในระดับสูงที่จะเกิดขึ้นในตอนที่นายทำสิ่งต่างๆ แนวคิดของมันได้ครอบคลุมไปถึงคุณธรรมทุกประเภท รวมถึงจริยธรรม สุทรียศาสตร์ และสติปัญญา]


ลูซูเรียได้อธิบายออกมาอย่างยาวเหยียด แต่ในท้ายที่สุดแล้ว นั่นมันก็หมายความว่าเขาจะต้องใช้หอกในทางอันชอบธรรมเพื่อที่จะดึงพลังที่แท้จริงออกมา


“เอาล่ะ ผมคิดว่านี่คงเป็นการป้องกันไม่ให้มีคนใช้หอกในทางที่ผิด…’


เขาเข้าใจว่าทำไมหอกถึงได้มีข้อจำกัดที่ยากลำบากแบบนี้ แต่ว่าเขาก็ยังยิ้มออกมาด้วยความเสียใจ


ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกคิดถึงหอกน้ำแข็ง


[อย่าเศร้าไปเลย]


ลูซูเรียได้ปลอบซอลจีฮูที่กำลังตกตะลึงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


[ลองคิดดูนะ ทำไมคาทิตัสถึงได้วางข้อจำกัดแบบนี้ไว้บนหอกด้วยล่ะ]


‘แต่ว่า-‘


[ข้าบอกเจ้าไปแล้วนี่ หอกพิสุทธิ์น่ะอันตรายมากถึงขนาดที่เป็นอันตรายต่อโลกได้เลย]


ลูซูเรียได้กระแอ่มออกมา


[แค่การปลดล็อคพลังขั้นแรกของหอกก็จะมอบพลังที่เกินกว่าที่เจ้าในตอนนี้จะรับมือไหวแล้ว หากว่าเจ้าปลดล็อคได้สามขั้น เจ้าก็จะติดอยู่ในอันดับหนึ่งในสิบของมนุษยชาติทั้งมวล]


ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้นมา


แค่การปลดล็อคหอกพิสุทธิ์ก็จะมอบพลังให้กับเขามากขนาดนี้เลยหรอ?


เขารู้ว่านี่คือหอกของเทพ แต่ว่ามันก็ยังเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้ไปมาก


‘ถ้างั้นหากว่าผมปลดล็อคอำนาจถึงขั้นห้า…’


[หืมม… ฉันก็ไม่มั่นใจ เจ้าจะลองดูให้มั่นใจก็ได้ แต่ว่าเจ้าอาจจะสามารถบดขยี้ผู้บัญชาการกองทัพได้]


ซอลจีฮูค่อยๆอ้าปากค้างออกมาอย่างช้าๆ


ถ้างั้นหากว่าเขาปลดล็อคอำนาจทั้งเจ็ดได้ล่ะ?


[ฟุฟุ]


ลูซูเรียที่อ่านความคิดของซอลจีฮูได้ยิ้มออกมาเงียบๆ


[คำถามที่เจ้ากำลังมีอยู่ในตอนนี้แหละคือเหตุผลที่เราต้องใช้เวลาคุยกันอยู่หลายวัน]


ในเวลานี้เธอไม่ได้ให้คำอธิบายออกมา แต่ว่าซอลจีฮูก็รู้ว่าเธอจะสื่อถึงอะไร


นั่นคือแม้กระทั่งเทพทั้งเจ็ดก็ยังต้องระวังต่อพลังของหอก


เขาก็ไม่ได้รู้อะไรมาก แต่มันดูเหมือนว่าเขาจะได้รับพลังในการยืนหยัดต่อต้านเทพ


บางทีอาจจะอยู่ในระดับเดียวกันกับราชินีปรสิต หรือกระทั่งเหนือกว่านั้น


‘หืม…’


ในตอนนี้ซอลจีฮูได้รู้แล้วว่าเขาได้รับสมบัติล้ำค่าขนาดไหนมา


เขาคิดว่าอย่างมากเขาก็น่าจะใช้หอกได้ไปจนถึงกลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับพิเศษ แต่ในตอนนี้เขาไม่มั่นใจแล้วว่าต่อให้เขาเป็นแรงค์เกอร์ระดับพิเศษแล้ว เขาจะใช้มันได้หรือเปล่า


ในอีกด้านหนึ่ง เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมหัวหน้าส่วนใหญ่ของตระกูลรอชเชอร์ถึงได้ไม่ได้มีสิทธิ์ใช้อำนาจของหอกแม้แต่อย่างเดียว เขาก็ยังเข้าใจอีกด้วยว่าทำไมผู้ก่อตั้งคนแรกของตระกูลรอชเชอร์ถึงได้เป็น ‘ผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์’ เพียงแค่เพราะได้รับอนุญาตให้ใช้อำนาจได้สามอย่าง


‘ฉันไม่ควรจะพูดว่าแค่อำนาจสามอย่างสิ…’


[สิ่งที่เจ้าอยากถามมีแค่นี้หรอ?]


ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมาด้วยความสับสน


[เข้าใจแล้ว เยี่ยมมาก]


พร้อมๆกับคำนี้ ซอลจีฮูก็รู้สึกว่ากางเกงของเขากำลังขยับ เขารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างกำลังออกมาจากกระเป๋าของเขาโดยอัตโนมัติ


[ถ้างั้น-]


ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างออกมาด้วยความสับสน


[ข้าจะมอบพลังแห่งเทพให้กับมัน]


ไข่สีแดงที่เขาเก็บไว้ในกระเป๋ากำลังลอยอยู่


บทที่ 226 – ฉันคือไข่ (2)


[โดยปกติแล้วเจ้าจะต้องใช้คะแนนคุณูปการแลกเลปี่ยนกับพลังแห่งเทพ…]


พื้นผิวของไข่ได้ถูกย้อมไปด้วยสีขาวในทันที


ซอลจีฮูได้จ้องมองไปที่ไข่สีขาวที่เรืองแสงออกมาเหมือนกับไข่มุกอันงดงาม


[แต่ว่าในคราวนี้ข้าจะทำให้โดยไม่เก็บคะแนนแล้วกันนะ]


ลูซูเรียได้หัวเราะออกมาเมื่อเห็นท่าทางเหม่อลอยของซอลจีฮู


ไม่นานนักแสงที่โอบล้อมไข่ก็ค่อยๆลดลง


ไม่สิ มันกำลังถูกดูดซับเข้าไป


แสงได้ค่อยๆลดลงไปจากการที่ไข่ซึมซับมันเข้าไปจนกระทั่งในที่สุดแสงก็หายไป


นั่นแหละ


ซอลจีฮูได้รีบเข้าไปจับไข่ที่ร่วงลงมาเอาไว้


ตัวไข่ได้มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น อย่างแรกเลยก็คือพื้นผิวของมันส่องสว่างและเรียบลื่นยิ่งกว่าเดิม ในตอนนี้มันดูเหมือนกับหยกมากกว่าไข่ซะอีก


เขาอาจจะคิดไปเอง แต่ว่าเขาก็รู้สึกว่าไข่ร้อนขึ้นมาอีกด้วย


มือของเขาที่กำลังจับไข่เอาไว้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา


ซอลจีฮูดูจะผิดหวังเล็กน้อย


ไม่ใช่ว่าเขาคาดหวังในอะไรที่น่าเหลือเชื่อ แต่ว่าอยากน้อยเขาก็หวังว่าไข่จะฟักออกมาในทันที


[การทดสอบได้เริ่มขึ้นนับตั้งแต่ที่ฉันมอบพลังแห่งเทพให้กับไข่ไปแล้ว]


น้ำเสียงอ่อนโยนได้ปลุกให้ซอลจีฮูตั้งสติกลับมา


‘ไม่ใช่หลังจากไข่ฟักหรอครับ’


[แน่นอนว่าไม่ ข้ามั่นใจว่าเจ้าน่าจะเคยได้ยินมาว่าไม่มีการมอบอำนาจแม้แต่หนึ่งเดียวให้กับปรมาจารย์หอกได้ใช่ไหม?]


นั่นมันหมายความว่าจิตวิญญาณอาร์คัสได้ปฏิเสธที่จะฟักตัวออกมาด้วยเช่นกัน


ซอลจีฮูได้ผงะถอยไป


‘เป็นจิตวิญญาณเจ้าเล่ห์อะไรแบบนี้กัน?’


ยังไงก็ตามอย่างน้อยเขาก็มีคุณสมบัติขั้นต่ำสุดแล้ว


ซอลจีฮูได้แสดงความขอบคุณออกมาอย่างสุภาพ กู่ลามักที่จะทำให้เขาต้องหัวหมุนตลอดในตอนที่เธออธิบายสิ่งต่างๆ แต่ว่าสำหรับลูซูเรียแล้ว เธอพูดออกมาอย่างชัดเจน เขาชอบด้านนี้ของเธอเป็นอย่างมาก


[เมื่อจิตวิญญาณอาร์คัสตื่นขึ้นมา เจ้าคงจะต้องมาที่วิหารบ่อยมากยิ่งขึ้น]


‘เพราะพลังแห่งเทพหรอครับ?’


[ใช่แล้วล่ะ ในทันทีที่เจ้ากลายเป็นเจ้านายของจิตวิญญาณอาร์คัส เจ้าจะต้องรับผิดชอบในการเติบโตของมัน]


“…”


เขาคาดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้เขาจะต้องมารับหน้าที่ดูแลเด็กน้อยอะไรแบบนี้


นอกจากนี้เขายังต้องใช้คะแนนคุณูปการที่เก็บมาได้เพื่อแลกกับพลังแห่งเทพอีกด้วย


ซอลจีฮูได้ถอนหายใจออกมา


‘…ฉันขายหอกนี้ออกไป แล้วไปหาซื้อหอกเล่มอื่นดีไหมนะ?’


เขาถึงขนาดมีความคิดที่น่าอายแบบนี้


[ไม่ เจ้าทำแบบนั้นไม่ได้ ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าจิตวิญญาณอาร์คัสจะกลายเป็นพันธมิตรที่ทรงพลัง และคู่หูของเจ้า มันไม่ได้มีหน้าที่เพียงมอบอำนาจเท่านั้นหรอกนะ การใช้คะแนนคุณูปการไปกับการเพื่อนร่วมทางตลอดชีวิตมันไม่ใช่เรื่องแย่เลย]


‘ผมเข้าใจครับ…’


ซอลจีฮูได้เม้มปากเอาไว้ และเก็บไข่ลงไปในกระเป๋า


[เจ้าสามารถจะแลกเปลี่ยนคะแนนคุณูปการกับพลังแห่งเทพได้ในทุกๆที่ที่เจ้าไป แต่ว่า…]


ลูซูเรียได้หัวเราะออกมา และส่งเสียงออกมาอย่างร่าเริง


[แต่ข้าหวังว่าลูกของข้าจะมาหาข้าที่วิหารบ่อยๆ!]


ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆออกมา


‘ผมไม่ได้เป็นเด็กนะ’


ชายอายุ 26 ปีเต็มเป็นเด็กเนี้ยนะ?


แน่นอนว่าในสายตาของเทพเขาอาจจะยังเป็นเด็ก แต่ว่าซอลจีฮูก็ยังอดไม่ได้ที่จะคัดค้านขึ้นมาด้วยความอาย


[ฟุฟุ]


ลูซูเรียได้หัวเราะแปลกๆออกมา


[สำหรับข้าแล้ว เจ้ายังเป็นเพียงเด็กน้อยน่ารัก… ทั้งในตอนนั้น แล้วก็ในตอนนี้]


ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา


***


เภสัชกรรมซินยอง


ย้อนกลับไปตั้งแต่ต้นกำเนิด ซินยองนั้นเริ่มต้นจากธุรกิจที่มีชื่อว่าเภสัชกรรมซุนยัง ในตอนนั้นมันเป็นเพียงแค่บริษัทขนาดกลางเท่านั้น จนกระทั่งเมื่อยุนซอจินได้ถูกเชิญไปที่พาราไดซ์ด้วยความบังเอิญจึงทำให้ชีวิตเขาได้เปลี่ยนแปลงไป


การตื่นเต้นกับการได้เริ่มต้นสิ่งใหม่ๆนั้นคงอยู่เพียงครู่เดียว ชายผู้นี้คือนักธุรกิจจากครอบครัวเล็กๆที่สร้างบริษัทขนาดกลางขึ้นมาได้


ด้วยการแลกเปลี่ยนกับคะแนนคุณูปการ เขาสามารถที่จะนำของจากพาราไดซ์ไปยังโลกได้


นั่นมันหมายความว่าพาราไดซ์สามารถจะทำกำไรได้


ในทันทีที่เขารู้เรื่องนี้ เก้าอี้ประธานของยุนซอจินได้ขยับอย่างรวดเร็ว


เขาได้ตัดสินใจตั้งบริษัทให่ขึ้นภายในพาราไดซ์


ในบรรดาสิ่งต่างๆที่มีในพาราไดซ์ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจเขามากที่สุดก็คือยา


พาราไดซ์ไม่เพียงแค่จะมียาลึกลับทุกประเภทเท่านั้น แต่มันยังมีน้ำยาหรือสารต่างๆที่ทำขึ้นมาจากสมุนไพรและการแปรธาตุ


ด้วยส่วนประกอบทุกชนิดที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน สำหรับประธานยุนซอจินแล้ว พาราไดซ์คือขุมทรัพย์อย่างแท้จริง


ผลิตภัณฑ์แรกของเขาก็คือยาเหลวที่เป็นน้ำยาเอาไว้สำหรับเพิ่มสมาธิในรูปแบบเจือจางแล้ว


เขาได้ขายมันออกไปเป็นเครื่องดื่มการกีฬา และไม่เพียงแค่จะจัดจำหน่ายตามร้ายยาเท่านั้น แต่เขาก็ยังขายมันตามร้านสะดวกซื้ออีกด้วย ผลลัพธ์ที่ได้นั้นก็ยิ่งใหญ่มาก


แม้ว่ายาจะส่งผลกระทบทำให้ผอมลงไปกว่าครึ่ง แต่การดื่มมันลงไปจะทำให้สมองปลอดโปร่งและมีสมาธิเป็นเวลา 10 นาทีหรือมากกว่านั้น สำหรับผู้บริโภคแล้วมันค่อนข้างจะะยอดเยี่ยมเลย


ผู้ปกครองนักเรียนต่างก็ตื่นเต้นกันเป็นพิเศษ แทบจะบ้าคลั่งไปเลยด้วยซ้ำไป


เพราะการแสดงผลในทันทีทำให้ผลิตภัณฑ์นี้ถูกกระจ่ายข่าวออกไปตามอินเทอร์เน็ตเหมือนไฟลามทุ่ง และยอดขายก็พุ่งสูงขึ้น


ประธานยุนซอจินไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น เขาได้ตัดสินใจยุบซุนยัง และก่อตั้งซินยองขึ้นมาเพื่อเริ่มธุรกิจพาราไดซ์ของเขาอย่างแท้จริง


แน่นอนว่าเขาไม่ได้เปิดเผยเรื่องการมีอยู่ของพาราไดซ์ออกไปตามสัตย์สาบาน แต่ว่านั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร


จริงๆแล้วนี่คือสิ่งที่เขาต้องการด้วยซ้ำไป


ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็คือการจัดตั้งสถาบันวิจัย และบอกว่าการวิจัยยาตัวใหม่ของเขาสำเร็จ


และในตอนนี้ซินยองได้รับการยกย่องเป็นบริษัทช้ำนำทางด้านเภสัชกรรมในอันดับตันๆของเกาหลี


ตามที่สื่อกล่าวมา หากว่าไม่ได้มีบริษัทการค้าโซยอง สถาบันวิทยาศาสตร์ฮายอน สถาบันเฮโซล และสถาบันความงามวิเวียนแล้ว ซินยองก็คงจะเป็นอันดับหนึ่งในบริษัททั้งหมด


ย้อนกลับมาในประเด็นหลัก ซินยองนั้นคือองค์กรแรกที่นำแนวคิดเรื่อง ‘บริษัท’ มาปรับใช้ในพาราไดซ์


แม้ว่ามันจะดูไม่ค่อยเหมาะในสถานที่อย่างพาราไดซ์ แต่นี่ก็เป็นการดำเนินงานกันของซินยอง มันเป็นธรรมดาที่ภายในบริษัทจะมีตำแหน่งของพนักงาน และการประเมินงานของพนักงานแต่ล่ะคน


พึมพำ พึมพำ


วันนี้ที่ล็อบบี้ชั้นหนึ่งของซินยองได้วุ่นวายเป็นพิเศษ มีคนจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่ตรงหน้ากระดานข่าวสารเพื่อตรวจสอบดูประกาศของบริษัท


หัวข้อได้เขียนเอาไว้ว่า: การโยกย้ายบุคลากร


นี่มันผิดปกติ ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานส่งผลกระทบต่อการเลื่อนตำแหน่ง และการปลดในพาราไดซ์นั้นมันไม่มีอยู่จริง นั่นมันก็เพราะว่าตอนที่จะจ้างพนักงานใหม่ พวกเขาต้องใช้แต้มคุณูปการจำนวนมากเพื่อซื้อตราประทับ


แน่นอนว่าการติดประกาศนี้ไม่ใช่การปลดพนักงาน แต่ว่าเป็นการโยกย้ายบุคลากร


ต๊อก ต๊อก


เมื่อเสียงรองเท้าส้นสูงดังออกมา คนสามหรือสี่คนที่ยืนอยู่ตรงกลางก็ได้หันกลับไปมอง เมื่อเห็นคนที่กำลังเดินเข้ามา พวกเขาก็สะดุ้งและหลีกทางทันที


ฝูงชนที่รวมตัวกันอยู่ตรงหน้าป้ายประกาศได้แยกกันออกเหมือนทะเลแดง


หญิงสาวผมหางม้าที่ใส่ชุดสูทสีเทาได้เดินผ่าฝูงชนเข้ามา


เธอได้หยุดอ่านป้ายประกาศตรงหน้าโดยไม่ขยับเปลือกตาเลย


สายตาของเธอได้หยุดลงตรงกลางรายการชื่อที่หก


-การโยกย้ายบุคลากร

ผู้บริหารคิมฮันนาห์ -> ย้ายไปทีมจู่โจม


เมื่อเธอได้เห็นชื่อของเธอร่องรอยความขมขื่นได้ปรากฏขึ้นมา แต่ว่านั่นก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น ไม่มีใครที่สังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของเธอ


“ยินดีกับการเลื่อนตำแหน่งด้วยนะ”


ด้านหลังของเธอได้มีเสียงเจ้าเล่ห์ดังออกมา


คิมฮันนาห์ได้หันกลับไปมองนิ่งๆ


ชายหนุ่มแต่งตัวดีกำลังมองมาที่เธอด้วยรอยยิ้ม


“…หัวหน้าฝ่ายบุคคล”


“ใช่แล้ว ผู้บริหารคิมฮันนาห์ หรือว่าตอนนี้ผมควรจะเรียกว่าผู้จัดการคิมดีล่ะ?”


คิมฮันนาห์ได้มองไปที่หัวหน้าฝ่ายบุคคลที่กำลังพูดคุยอย่างเบื่อหน่าย


ยินดีงั้นหรอ? คิมฮันนาห์ไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญในการต่อสู้เลย การออกไปจากทีมจัดการซึ่งเป็นเสียงที่หนักแน่นในบริษัท และถูกย้ายไปทีมโจมตีนี่มันเป็นอะไรที่น่ายินดีงั้นหรอ?


ไม่ว่าใครก็มองออกว่านี่มันเป็นเรื่องที่รุนแรงเกินไปแล้ว ยังไงก็ตามสีหน้าของคิมฮันนาห์ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียว


เธอได้โค้งออกมาด้วยรอยยิ้มบางๆ


“ขอบคุณนะหัวหน้าฝ่ายบุคคล”


หัวหน้าฝ่ายบุคคลได้ตบไหล่คิมฮันนาห์ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน


“ขอให้โชคดีนะ ผมชมคุณเอาไว้เยอะเลย เพราะงั้นอย่าทำให้ผมเสียหน้าล่ะ”


“ฉันจะพยายามค่ะ”


“ดี เยี่ยมมาก เอาเถอะ ผมมั่นใจว่าคุณจะต้องทำได้อย่างยอดเยี่ยมแน่ ผู้จัดการคิม อ่า คุณช่วยรีบจัดการหน้าที่เก่าให้เสร็จด้วยได้ไหม? ผู้บริหารคนใหม่ของเราใกล้จะมาถึงแล้ว”


คิมฮันนาห์ได้แอบฝืนกลืนน้ำลายลงไปก่อนจะยิ้มออกมา


“แน่นอน ได้อยู่แล้วค่ะ”


แม้ว่าทั้งสองคนต่างก็ยิ้มให้กัน แต่ว่าสายตาพวกเขาไม่ได้แสดงความเป็นมิตรออกมาเลยแม้แต่นิด จริงๆแล้วพวกเขาทั้งคู่ดูเหมือนจะเบื่อหน่ายกันและกันมากกว่า


“ชินฮันซองรอนานแล้วนะ”


“ฉันเข้าใจแล้ว”


คิมฮันนาห์ได้โค้งคำนับอย่างสุภาพก่อนจะเดินจากไป หัวหน้าฝ่ายบุคคลได้จ้องคิมฮันนาห์จากใบโดยไม่แสดงความกระวนกระวายใจออกมาแม้แต่นิด


***


“เป็นยังไงล่ะ?”


น้ำเสียงร่าเริงได้ดังออกมาในทันทีที่ประดูแผนกวางแผนที่อยู่ชั้นสูงสุดของซินยองถูกเปิดออกมา


เนื่องจากว่าหัวหน้าฝ่ายบุคคลเคยมีประสบการณ์มาหลายครั้งแล้ว เขาจึงเพียงแค่โค้งคำนับและตอบกลับไป


“สีหน้าเธอไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิดครับ”


“โอ้ จริงงั้นหรอ?”


ยุนซอฮุยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ดูจะค่อนข้างขบขัน


“ฉันสงสัยจังเลยว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ผู้บริหารคิมจะรู้ไหมนะ ยังไงเธอก็รู้จักกันในนามจิ้งจอกนี่นา~”


“โอ้ ผมมั่นใจว่าเธอจะต้องเข้าใจสถานการณ์อย่างแน่นอน แต่ว่าเธอก็รู้ว่าเธอต้องอดทน เธออาจจะพยายามอดกลั้นเอาไว้อยู่”


“ถ้างั้นหน้าที่ของคุณก็คือการทำให้เธออดทนไม่ได้นะ”


ยุนซอฮุยได้พูดออกมาชัดๆ ก่อนจะยืดตัวออกมา


“อ๊าาาาาา~ ผู้บริหารคิมของเรา~ หากว่าเธอแค่ลดความทะเยอทะยานสักหน่อย~”


เธอได้หัวเราะเบาๆ ก่อนจะวางแขนลงและเหลือบมองหัวหน้าฝ่ายบุคคล เธอหวังว่าเขาจะพูดว่า ‘ผมเห็นด้วย’ หรืออะไรทำนองนั้น แต่น่าแปลกที่เขาเงียบ


“มีอะไรงั้นหรอ?”


“…ผม…”


หัวหน้าฝ่ายบริหารดูจะกำลังรู้สึกขัดแย้งในใจอยู่ แต่ว่าเขาก็พอจะพูดความคิดของเขาออกมาได้


“ผมอาจจะละลาบละล้วงไป… แต่ว่าทำไมไม่ไปล่อยให้เธอทนไปอีกสักหน่อยล่ะครับ? ถ้าเธอเหนื่อย เธอก็จะหยุดไปเอง”


“?”


“มันยากที่จะหาคนที่มีพรสวรรค์เหมือนกับผู้บริหารคิมใ.. นอกจากนี้ ไม่ใช่ว่าเส้นสายระหว่างซอลจีฮูจะแย่ลงหรอครับ…”


คำพูดช่วงท้ายของหัวหน้าฝ่ายบริหารได้ขาดหายไป


รอยยิ้มกว้างได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของยุนซอฮุย


“ถ้างั้นนั่นมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการที่เราทำอยู่สิ”


“…”


“คุณคงจะรู้สึกผูกพันธ์กับเธอ ฉันไม่โทษคุณหรอกนะ ยังไงคุณก็เป็นคนที่ฟูมฟักเธอขึ้นมานี่นา”


“ไม่ครับ มันไม่ใช่แบบนั้นเลย”


“ผู้บริหารคิมเป็นคนมีความสามารถ เธอเป็นคนที่มีพรสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัยเลย”


ยุนซอฮุยก็เห็นด้วยเช่นกัน จากนั้นเธอก็พูดออกมา


“ซินยองมีคนที่มีความสามารถอยู่มากมาย แม้กระทั่งพนักงานระดับล่างๆก็ถูกเลือกรับเข้ามาอย่างพิถีพิถันใช่ไหมล่ะ?”


สิ่งที่ยุนซอฮุยกำลังจะบอกนั้นง่ายมาก เธอไม่ได้ปฏิสเธว่าคิมฮันนาห์มีความสามารถ แต่ว่าการเสียเธอไปนั่นมันไม่ได้หมายความว่าซินยองจะมีช่องโหว่ที่ปิดไม่ได้


ยุนซอฮุยได้พูดขึ้นพร้อมยกแขนอย่างช้าๆ


“แล้วก็เรื่องเส้นสายน่ะหรอ ไม่ใช่ว่าครั้งก่อนเราล้มเลิกไปแล้วหรอ?”


วิธีการใหม่ที่ยุนซอฮุยเลือกใช้ดึงตัวซอลจีฮูนั้นเงียบง่ายมากๆ


ในเมื่อเธอแตะต้องเขาไม่ได้ ถ้างั้นเธอจะทำให้เขามาหาเธอเอง


เหมือนอย่างที่เธอดึงตัวซึงชิฮยอนมาได้


สาเหตุของการเปลี่ยนแผนอย่างกระทันหันนั่นก็เพราะพัฒนาการที่รวดเร็วเกินไปของซอลจีฮู


ในตอนแรกเธอวางแผนจะหาโอกาสเหมาะในการดึงตัวเขามา นั่นคือเหตุผลที่เธอเลือกคิมฮันนาห์ นายหน้ามือดีที่สุดของพวกเธอในการไปดูแลเขา


แต่ว่าก็เพราะพัฒนาการของซอลจีฮูที่เกินกว่าที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้ ซินยองจึงได้แต่นั่งอมนิ้วมองดู


ตัวอย่างที่ดีของเหตุการณ์ล่าสุดก็คือมีองค์กรสักองค์กรหนึ่งพยายามจะป้ายความผิดให้เขา แต่แล้วซันเหอ ซิซิเลีย สมาคมนักฆ่า และราชวงศ์ฮารามาร์คได้ลุกฮือกันขึ้นช่วยเขา


สิ่งสำคัญก็คือคิมฮันนาห์เป็นผู้รับผิดชอบต่อการที่ซินยองต้องเป็นผู้ชม


คิมฮันนาห์จะยื่นรายงานเกี่ยวกับตัวซอลจีฮูเป็นระยะ และเธอได้พยายามหาข้ออ้างเพื่อทำให้ซินยองติดต่อซอลจีฮูได้ล่าช้าอยู่เสมอ


ในเวลาเดียวกันซอลจีฮูก็ได้ก้าวข้ามความคาดหวังของทุกๆคน และยกระดับคุณค่าของตัวเขาเอง รวมรวบพรรคพวก และสร้างเส้นสาย แถมในระหว่างสงครามเขายังได้ตอกตะปูปิดฝาโลงไปแล้วด้วย


ยุนซอฮุยไม่ได้โง่


เมื่อการประเมินของซินยองได้พลาดไป เธอจึงได้ค้นพบความแตกต่างที่มากมายระหว่างความสำเร็จของซอลจีฮูกับรายงานของคิมฮันนาห์


ไม่ว่าใครก็มองออกว่าทำไมคิมฮันนาห์ถึงได้ทำขนาดนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ซินยองได้ติดต่อกับซอลจีฮู


แต่มันก็แค่ว่าคิมฮันนาห์ได้พยายามซ่อนมันเอาไว้อย่างดี และป้องกันไม่ให้ยุนซอฮุยรู้ตัว


การยกเลิกแผนของคิมฮันนาห์ด้วยอำนาจของเธอ และไปที่คาเฟ่ด้วยตัวเองเป็นการยื่นคำขาดแล้ว ยุนซอฮุยได้ให้โอกาสคิมฮันนาห์ในการแก้ไขสถานการณ์


แต่ยังไงก็ตามคิมฮันนาห์ไม่ได้ดำเนินการใดๆทั้งสิ เพราะงั้นยุนซอฮุยจึงต้องเคลื่อนไหวเองง


“หากว่าเธอไม่ได้คิดจะยืมพลังของซอรา ฉันก็คงจะปล่อยเธอเอาไว้นานกว่านี้หน่อย”


ยุนซอฮุยได้หัวเราะออกมา เธอเข้าใจเหตุผลว่าทำไมผู้คนถึงอยากเพิ่มเงินในกระเป๋า แต่ถึงแบบนั้นมันก็มีจำกัด


มีความเป็นไปได้สูงว่าในอนาคตซอลจีฮูจะกลายมาเป็นยักษ์ใหญ่ในพาราไดซ์ ยุนซอฮุยไม่ใช่คนประเภทที่จะปล่อยให้เขาร่วมงานกันจากภายนอก


เขาใช้เวลาไม่ถึงปีเติบโตขึ้นมามากขนาดนี้ หากว่าคิมฮันนาห์ได้รับการสนับสนุนจากยุนซอราอย่างเปิดเผยสักปีสองปี ตอนที่ซอลจีฮูกลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับพิเศษล่ะ?


ถ้างั้นสิ่งต่างๆมันก็จะอยู่เหนือการควบคุมของเธอแล้ว


“การตัดไฟแต่ต้นลมมันดีที่สุดแล้ว”


“แต่ว่าหากคุณไล่เธอออกไป ซอลจีฮูก็อาจจะคิดว่า…”


“โอ้? คุณหมายความว่ายังไงกัน?”


ยุนซอฮุยได้เบิกตากว้างและเอียงหัวออกมา


“ฉันคิดว่าผู้บริหารคิมได้เดินออกไปด้วยตัวเธอเองนะ?”


เมื่อหัวหน้าฝ่ายบุคคลยิ้มแห้งๆออกมา ยุนซอฮุยก็พูดต่อ


“เอาเถอะ เขาอาจจะคิดไม่ดีกับเรา แต่ว่าเขาจะชักอาวุธขึ้นต่อต้านเลยงั้นหรอ? นอกไปจากนี้หน้าที่ในการรับมือกฏแห่งกรรมของคุณซอลจีฮูเป็นเรื่องของฉัน ไม่ใช่เรื่องของคุณหรอกนะ”


แต่หัวหน้าฝ่ายบุคคลก็ยังคัดค้านออกมา


“ครับ นั่นมันก็ถูก แต่ว่าเราต้องคำนึงถึงการที่ผู้บริหารคิมออกไปจากซินยอง และก่อตั้งองค์กรกับซอลจีฮู…”


“คุณหัวหน้าฝ่ายบุคคล”


ยุนซอฮุยได้ขัดเขาอย่างอ่อนโยน


“คุณจะกังวลอะไรขนาดนั้น? องค์กรงั้นหรอ? คุณคิดว่าการงทะเบียนเป็นองค์กรมันง่ายงั้นหรอ? มันง่ายขนาดที่จะทำเสร็จได้ในวันเดียวเลยหรอ?”


“ไม่ครับ ไม่เลยสักนิด”


“ต่อให้พวกเขาสร้างองค์กรกันขึ้นมา… ก็เอาเถอะ ใครสนล่ะ? แต่ว่าเท่าที่ฉันรู้นะ~”


ยุนซอฮุยได้พูดประโยคสุดท้ายด้วยรอยยิ้มกว้าง


“…ผู้บริหารคิมมีศัตรูอยู่มากมายรอบตัวเธอ”


น้ำเสียงอันเย็นชานี้ของเธอได้ทำให้หัวหน้าฝ่ายบุคคลต้องขนลุก นั่นเพราะใบหน้าของเธอกำลังยิ้มหวาน แต่สิ่งที่เธอพูดออกมากลับน่าขนลุก


หัวหน้าฝ่ายบุคคลได้เงียบลงไปในทันที เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขาเพิ่งข้ามเส้นที่เขาไม่ควรจะข้ามไปแล้ว


ยุนซอฮุยปล่อยให้เขาผยองเพราะรู้ถึงความภักดีของเขา แต่ในท้ายที่สุดแล้วสุนัขก็ยังเป็นสุนัข เขาต้องทำตัวให้ดีหากอย่างจะถูกป้อมอาหาร


“ผมเข้าใจแล้วครับ”


ขณะที่หัวหน้าฝ่ายบุคคลโค้งคำนับ และหันหลังกลับ…”


“โอ้ ยังไงก็ตามคุณหัวหน้าฝ่ายบุคคล”


ยุนซอฮุยได้หยุดเขาเอาไว้ราวกับเพิ่งจะนึกอะไรได้


“คุณได้ตรวจสอบองค์กรที่พยายามจะป้ายสีคุณซอลจีฮูหรือยัง?”


“อ่า เหตุการณ์นั่นหรอครับ?”


หัวหน้าฝ่ายบุคคลได้ขมวดคิ้นขึ้นมา


“…ต้องขออภัยด้วยครับ เราไม่มั่นใจเลย ทีมข้อมูลกำลังดำเนินงานกันอยู่ แต่ว่าพวกเขาไม่มีความคืบหน้าใดๆเลย…”


“อืมม… มันคงจะยากแหละ ทำต่อไป นี่เป็นงานที่สำคัญมาก”


“ครับ?!”


มีประกายแสงปรากฏขึ้นบนดวงตาหัวหน้าฝ่ายบุคคลเมื่อยุนซอฮุยบอกว่านี่คืองานสำคัญมาก


“แน่นอนว่ามันมีประโยชน์ในตอนที่จัดการกับกฎแห่งกรรม แล้วก็ยัง…”


ยุนซอฮุยได้หยักไหล่ออกมานิ่งๆ


“คุณก็รู้จักนิสัยของฉันนี่นะ ฉันโครตจะเกลียดคนที่มาแตะต้องของของฉันโดยไม่ได้รับอนุญาต”


เนื่องจากหัวหน้าฝ่ายบุคคลได้เฝ้าดูยุนซอฮุยมาตั้งแต่เด็กแล้ว เขาจึงหยักหน้ารับอย่างใจเย็น


“แน่นอนครับผม ผมจะไปหาทีมข้อมูลอีกครั้งหนึ่ง”


“ขอบคุณมาก คุณคงจะยุ่งมาก ตอนนี้ไปได้แล้วล่ะ”


ยุนซอฮุยได้โบกมือออกมาด้วยรอยยิ้มมีเสน่ห์


***


หลังจากกลับมาที่สำนักงานแล้ว ซอลจีฮูได้มองศึกษาไข่อย่างละเอียด


เขาเพิ่งจะป้อนพลังแห่งเทพของลูซูเรียให้กับไข่ไป แต่แม้ว่าเขาจะลองสะคิด เคาะ หรือใช้เป็นลูกโบว์ลิ่งก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ดี


“โอ้วว! สไตรท์อีกแล้ว!”


[เฮ้! นี่นายกำลังทำอะไรอยู่!?”


เพราะการเล่นโบว์ลิ่งมันกลายเป็นสนุกขึ้นมา เพราะงั้นเขาจึงเล่นอยู่สองสามครั้งก่อนที่โฟลนจะเข้ามาตีหลังเขา


ยังไงก็ตามไข่ก็ยังไม่ขยับอยู่ดีไม่ว่าเขาจะทำอะไรลงไป


‘ฉันคงทำอะไรไม่ได้สินะ’


ไข่จะฟักออกมาเองในตอนที่มันต้องการ


ซอลจีฮูได้กระโดดขึ้นไปพึมพำอยู่บนเตียง หลังจากใช้เวลาโน้มน้าวให้โฟลนไปแนะนำตัวเองกับทีมของเขาอยู่นาน เขาก็เผลอหลับลงไปโดยไม่รู้ตัว


นี่คือสาเหตุที่เขามองไม่เห็นมัน


ไข่ที่อยู่ข้างๆหัวของกำลังกระตุกอย่างรุนแรง


บทที่ 227 – เจ้าหญิงจิ้งจอก และเจ้าชายกระต่าย


ซอลจีฮูได้ลืมตาขึ้นมามองแสงแดดยามเช้า เขาได้ลุกขึ้นไปต้นน้ำ และหลังจากชงกาแฟให้ตัวเองแล้ว เขาก็นั่งอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ที่สมาคมนักฆ่าส่งมาให้


ตารางงานในวันนี้ของซอลจีฮูได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ในตอนเช้าเขาได้วางแผนไว้ว่าจะแนะนำโฟลนกับสมาชิกทีมของเขา และจากนั้นก็ไปสกีเฮราซาร์ดในตอนบ่าย


เขาจะสบายใจได้ก็ต่อเมื่อได้รู้ถึงที่อยู่ของคิมฮันนาห์เท่านั้น


แต่อย่างแรกเลยก็ต้องกินข้าวก่อน ซอลจีฮูได้เริ่มเตรียมข้าวเช้าในทันที


เขาได้ออกไปจุดไฟข้างนอก และวางหม้อข้าวเอาไว้ด้านบน อาหารของพาราไดซ์ก็ตรงกับรสนิยมของเขา แต่ว่ามันก็มีบ้างที่เขาอยากจะกินข้าว


หลังจากเตรียมข้าวเอาไว้สำหรับ 6 จานแล้ว ซอลจีฮูก็ได้ครุ่นคิดกับตัวเองพร้อมหยิบเอาวัตถุดิบต่างๆสำหรับทำอาหารที่เขาเอามาจากโลกออกมา


‘ฉันควรจะไปชวนพวกเขาไปด้วยไหมนะ…?’


ช่วงนี้บรรยากาศภายในคาเพเดี่ยมนั้นค่อนข้างจะสดใส ทุกๆคนต่างก็นอนหงายหัวเราะกับตัวเองอยู่ทั้งวัน


บางครั้งพวกเขาก็จะออกไปข้างนอก แต่ว่านั่นก็แค่ไปตรวจดูเงินที่วิหาร หรือไม่ก็ออกไปดื่มที่บาร์เท่านั้นเอง


แน่นอนว่านี่มันเป็นธรรมดาสำหรับพวกเขาที่จะหยุดพัก โดยเฉพาะในตอนนี้ปฏิบัติการก็ได้จบลงไปแล้ว แต่ไม่ว่าจะยังไงมันก็ชัดเจนว่าทุกๆคนต่างก็มีสิ่งที่คิดเอาไว้อยู่ในใจ


ซึ่งสิ่งที่ทุกๆคนกำลังคิดอยู่มันก็แน่นอนว่าต้องเป็น ‘ฉันควรจะเอาเงินไปใช้กับอะไรดีนะ?’ เพราะงั้นหากว่าเขาไปชวนคนอื่นๆไปสกีเฮราซาร์ดกับเขา ทุกๆคนก็จะต้องตกลงแทบจะในทันทีอย่างแน่นอน ยังไงแล้วที่นั่นก็มีโรงประมูลที่ใหญ่ที่สุดในพาราไดซ์อยู่ และไม่มีนักรบคนไหนที่จะปฏิเสธในความโลภของอุปกรณ์ได้


ซอลจีฮูได้ตัดสินใจที่จะบอกเรื่องนี้ในตอนเช้า ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในสำนักงานพร้อมกับอาหารที่ทำไว้


หลังจากวางจานที่เต็มไปด้วยผักสามสีที่ถูกโรยด้วยงาและน้ำมันงา ไข่ดาวยี่สิบฟอง และไส้กรอกย่างที่ถูกหันพอดีคำแล้ว โต๊ะอาหารก็ดูดีขึ้นมาแทบจะทันตา


ซอลจีฮูได้นั่งลงบนโซฟาด้วยรอยยิ้มสดใส


“ขอบคุณสำหรับอาหารครับ”


ในตอนที่เขาตักไข่ดาวขึ้นมาสองฟอง และกำลังจะยัดเข้าไปในปาก


“?”


จู่ๆเขาก็รู้สึกว่ากำลังถูกจ้อง และตัวแข็งทื่อไป เขาได้แอบเหล่ตาออกไปโดยที่ยังตักไข่ไว้อยู่


ต่อมาซอลจีฮูก็ได้เห็นไข่สีแดงอยู่ตรงมุมโถงทางเดินที่จะไปเข้าห้องของเขา มันกำลังเอียงหัวออกมา 45 องศาเหมือนกับกำลังแอบสอดแนมเขาอยู่


พวกเขาได้สบสายตากัน ไม่สิ มันไม่มีทางที่ไข่จะมีดวงตา แต่ถึงแม้ว่าในตอนนี้เขาจะไม่เข้าใจ แต่ว่าเขาก็รู้สึกว่าพวกเขาสบตากันอยู่


‘หิม? ฉันเอาไข่ออกมาจากห้องด้วยหรอ?’


ขณะที่เขากำลังคิดกับตัวเอง…


ไข่ได้กระเด้งขึ้นมา


ดวงตาของซอลจีฮูได้เบิกกว้าง และไข่ดาวก็ลื่นหลุดลงไปจากส้อมของเขา


ดึ๋ง ดึ๋ง ดึ๋ง ดึ๋ง ไข่ได้เด้งจากพื้นมาโซฟา และจากโซฟามาที่โต๊ะ ก่อนที่ซอลจีฮูจะหลุดจากความสับสน ไข่ก็ได้กระโดดมาหยุดลงบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารแล้ว


จากนั้นมันก็ได้กลิ้งมาหยุดอยู่ตรงหน้าซอลจีฮู มันได้เอียงหัวออกมาเล็กน้อยราวกับกำลังเงยหน้ามองเขา


“…”


ซอลจีฮูรู้สึกพูดอะไรไม่ออกเลยกับปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดนี้ เมื่อเขาพอตั้งสติขึ้นมาได้ เขาก็พูดออกมา


“นะ นาย นายเป็นอะไรกัน? นายมาที่นี่ได้ยังไง?”


ไข่ได้กระเด้งขึ้นลง


“ไม่สิ เดี๋ยวก่อน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน? นี่นายตื่นขึ้นมาแล้วหรอ? ทั้งๆที่ยังไม่ได้ฟักออกมาเนี้ยนะ?”


ดึ๋ง ดึ๋ง


“เกิดอะไรขึ้น?”


ดึ๋ง ดึ๋ง


“หยุดเด้ง แล้วก็พูดอะไรหน่อยสิ… อ่า นายไม่มีปากนี่นา นี่มันกำลังจะทำให้ฉันบ้าแล้ว”


ดึ๋ง ดึ๋ง


“อะ อะไรงั้นหรอ? นายต้องการอะไร?”


ไข่ยังคงเด้งอยู่สักพักก่อนที่จะกลิ่งไปอยู่ข้างๆจานราวกับไม่พอใจ จากนั้นมันก็สะกิดไปที่ชามข้าวสวยร้อนๆ


“…ข้าว? นายอยากกินข้าวหรอ?”


ในทันทีที่ซอลจีฮูแบ่งขาวไปบนจาน มันก็รีบกระโดนขึ้นไปบนจานทันที


งั่ม งั่ม


‘หืม?’


ซอลจีฮูอ้าปากข้างออกมา


นี่มันบ้าอะไรกันเนี้ย? ไข่… กำลังกินข้าวสวย? ทั้งๆที่มันไม่มีปากเนี้ยนะ?


ซอลจีฮูได้แต่จับใบหน้าค่อยๆมองดูไข่กำลังกินข้าวสวย แต่ว่ามันเป็นอย่างที่เขาคิดเลย มันไม่มีปาก


ทุกๆครั้งที่มันกินข้าวก็จะเกิดรอยบุ๋มขึ้นตรงกลางไข่ซึ่งข้าวสวยจะถูกดูดเขาไป ผิวของไข่จะกระเพื่อมในทุกๆครั้งที่มันเคี้ยว และเมื่อมันกลืนลงไปก็จะมีเสียงกลืนดังออกมาเบาๆ


‘ฉันคิดว่ามันต้องการแค่กินพลังแห่งเทพที่แลกเปลี่ยนจากคะแนนคุณูปการซะอีกนะ?’


หรือบางทีมันอาจจะกินอะไรก็ได้? มันกินได้ทุกอย่างเลยงั้นหรอ?


ขณะซอลจีฮูกำลังสับสนไม่เข้าใจ ไข่ก็ยังคงกินต่อไปอย่างมุ่งมั่น ซอลจีฮูทำเพียงแค่มองไปเรื่อยๆจนกระทั่งจานอาหารที่เขาตั้งใจเตรียมเอาไว้ใกล้จะหมดแล้ว


ในท้ายที่สุดไข่ก็หยุดการกระทำของมันลงเมื่อมันกินอาหารทั้งหมดจนไม่เหลือ


‘นี้มันบ้าอะไรกันเนี้ย?’


ซอลจีฮูได้มองดูไข่ด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ไข่ใบเล็กๆนี่กินอาหารทั้งหมดนั่นได้ยังไงกัน?


“เอิ๊กก-“


“!?”


ซอลจีฮูตกใจมากจนสะอึกขึ้นมาเลย


“นาย นายเพิ่งจะเรอใช่ไหม? นายเรอ!”


ไม่ว่าเขาจะถามหรืออะไร ไข่ก็ยังคงไม่สนใจเขา มันได้กระเด้งตัวออกไปราวกับหมดธุระแล้ว มันไปหยุดอยู่ตรงริมหน้าต่างที่มีแสงแดดส่องมา และเอียงหลัง 90 องศา เหมือนกับกำลังจะงีบหลับหลังกินอิ่ม


ซอลจีฮูได้กระพริบตานิ่งๆอยู่สักพักหนึ่ง


หลังจากนั้นแล้วไข่ก็นิ่งไป ยังไงก็ตามเมื่อซอลจีฮูเริ่มกวนประสาทด้วยการพยายามคุยกับมันอย่างต่อเนื่อง ไข่ก็กระเด้งขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ และจากไปที่อื่น


แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น แต่ซอลจีฮูก็ยังคงดำเนินตามแผนเดิมที่วางเอาไว้ เขาได้เรียกทุกๆคนมาประชุม จากนั้นก็บอกกับพวกเขาเรื่องการแนะนำสมาชิกใหม่


แต่ล่ะคนต่างก็ตอบกลับด้วยความสงบ นั่นก็เพราะว่าพวกเขาพอจะได้ยินเรื่องนี้มาระหว่างปฏิบัติการเจดีย์แห่งความฝันแล้ว


แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้รู้ทุกอย่าง พวกเขารู้เพียงแค่ว่าสมาชิกใหม่เป็นวิญญาณนิสัยดี


“ซังจินยังไม่ตื่นเลย”


จางมัลดงได้พูดขึ้นพร้อมกับก้าวออกมาจากห้องก่อนจะปิดประตูลง ยูซอลอาได้ลุกขึ้นมาด้วยสีหน้างัวเงีย


“ฉันจะไป… ปลุกเขา…”


เธอได้พูดออกมาอย่างอ่อนล้า


“ไม่เป็นไรหรอก ให้เขาพักไปเถอะ”


จางมัลดงได้ส่ายหัวออกมา


“ฉันพยายามจะปลุกเขาแล้ว แต่ว่าเขาก็ร้องขอชีวิตทั้งๆที่ยังหลับอยู่”


โชฮงได้ยิ้มออกมา


“ปู่น่าจะอ่อนข้อให้เขาสักหน่อยนะ เขาต้องฝึกขนาดไหนกันถึงได้ต้องร้องขอชีวิตออกมา? ถ้าเป็นแบบนี้เขาจะตายเอาได้นะปู่”


“แต่ว่า… เขาต้องการเองนี่นา…”


จางมัลดงได้ไอแห้งๆ และนั่งลงบนโซฟา


ขณะที่ในที่สุดสายตาหลายคู่ได้มองมาที่เขา ซอลจีฮูก็ได้หลับตาลง และมองไปรอบๆตัว เขาได้บอกให้โฟลนปรากฏกายออกมา แต่ว่าจู่ๆเธอกลับหายไป


โฟลนกำลังชะโงกหัวออกมาจากมุมโถงทางเดินเหมือนกับที่ไข่ทำ ซอลจีฮูได้รีบเข้าไปลากเธอออกมาในทันที


“อ่า ทำไมเธอถึงแอบอยู่ล่ะ? มานี่เร็ว”


[อ๊าาาา]


“เธอสัญญาแล้วนะ ฉันเตรียมทุกอย่างไว้ให้แล้วด้วย”


[อ๊าาาา ไม่น้าาาา]


แม้ว่าเธอจะพูดปฏิเสธออกมา แต่ว่าเธอก็ปล่อยให้เขาลากออกมา เหมือนกับจะทำเป็นเล่นตัวจากความอาย


เธอได้ทำเป็นเล่นตัวอยู่จนกระทั่งเขาลากเธอมาอยู่ตรงหน้าเพื่อนร่วมทีมขของเขา


เธอได้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นโฟลนก็ยืดคอตรงอย่างาง่างาม แลวางมือลงบนอกก่อนจะเริ่มพูดออกมา


[หญิงสาวอันต่ำต้อยผู้นี้ขอแสดงความทักทายทุกๆ]


น้ำเสียงชัดเจน และสง่างามได้ดังขึ้นในหัวของทุกๆคน


[ดิฉัน โฟนีเซีย ลูซิกแนนท์ รอชเชอร์ เป็นลูกสาวคนสุดท้องของตระกูลรอชเชอร์ที่ได้รับขนานนามว่าหอกแห่งจักรวรรดิ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกับเหล่าอัศวินคาเพเดี่ยมผู้กล้าหาญ]


ซอลจีฮูได้แต่ยืนขยี้ตาอย่างสับสน ยัยเด็กซนก่อนหน้านี้หายไปไหน แล้วสตรีผู้สูงศักดิ์คนนี้มาจากไหนกัน? แล้วทำไมจู่ๆเสียงเธอทำไมถึงเหมือนกับกำลังอ่านวรรณกรรมอยู่กันล่ะ?


[ดิฉันขอให้พวกคุณเรียกฉันว่าโฟลนได้เลยค่ะ]


โฟลนได้โค้งคำนับอย่างสุภาพ และสิ้นสุดคำกล่าวทักทาย


โอ้ววววววว-


เสียงเชียร์ได้ดังออกมาพร้อมๆกับเสียงปรบมือ


พวกเขาค่อนข้างจะกังวลกันเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าเธอเป็นวิญญาณ แต่ว่าภาพลักษณ์ที่สง่างาม และมีมารยาทของเธอได้ทำให้พวกเขาชื่นชอบเธอในทันที


และยังมีอีกเหตุผลคือพวกเขาทุกๆคนต่างก็เป็นทหารผ่านซึ่งที่คิดไว้แล้วว่า ‘แน่นอนสิ อาจจะมีวิญญาณอยู่ก็ได้’


แต่ว่าก็ไม่ใช่สำหรับทุกๆคน


ยี่ซอลอาที่ยังไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยได้แสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาอย่างชัดเจน ราวกับว่าเธอยังไม่ลืมวิญญาณที่เธอเคยเจอในบทการฝึกสอน


แต่ว่าถึงแบบนั้นโดยรวมแล้วบรรยากาศรอบตัวต่างก็ให้การยอมรับเธอเป็นอย่างดี ดังนั้นโฟลนจึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก


“กล้าหาญ… ยกย่องกันเกินไปแล้ว แต่ก็ขอบคุณมาก ตาแก่คนนี้ชื่อว่าจางมัลดงนะ”


ขณะที่จางมัลดงยื่นมือออกไป โฟลนก็จับมือกับเขาอย่างสมศักดิ์ศรี


[ดิฉันรู้สึเป็นเกียรติมากที่ได้คุยกับคุณ ฉันได้ยินเรื่องของอาจารย์จางมามากมายเลยล่ะค่ะ]


ขณะที่โฟลนพูดออกมาเหมือนสตรีสูงศักดิ์ จางมัลดงก็เผยรอยยิ้มยินดีออกมาบนใบหน้า


“โฮ่ๆ ช่างเป็นหญิงสาวที่ยอดเยี่ยมจริงๆเลย”


[มะ ไม่หรอกค่ะ คุณกำลังทำให้ฉันอายนะคะ]


คนอื่นๆที่ได้เห็นภาพการจับมือกับวิญญาณอันน่าทึ่ง ก็ได้ค่อยๆทยอยเขามาจับมือกับเธอเช่นกัน


“อ่า ยินดีที่ได้รู้จักนะ…ฟานาเรีย…? ยังไงก็เถอะ ฉันจองโชฮงนะ”


[ค่ะ เรียกฉันว่าโฟลนก็ได้]


“ได้เลยโฟลน นี่มันจำได้ง่ายกว่าเยอะเลย เฮ้ เธอเป็นคนที่ช่วยเราระหว่างสงครามใช่ไหม?”


[ถ้าพูดถึงเรื่องบินล่ะก็ใช่ค่ะ]


‘ฉันน่าจะพาเธอมาแนะนำตัวให้เร็วกว่านี้’


ซอลจีฮูได้มองดูโฟลนพูดคุยกับเพื่อนร่วมทีมของเขาด้วยความยินดี


โชฮงกำลังหัวเราะและถามออกมาอยู่


“ฮ่าฮ่า มีเรื่องที่ฉันอยากจะรู้จริงๆเลย คือว่าเธอมาติดอยู่กับซอลได้ยังไงกัน?”


บรรยากาศกำลังเป็นไปด้วยดีเลย


“อ่อ นั่นน่ะหรอ? ฉันจะบอกให้ฟังนะ คุณรู้จักป่าแห่งการปฏิเสธใช่ไหม? คุณยังจำวิญญาณในสุสานได้สินะ?”


“วิญญาณในสุสาน…?”


โชฮงได้เบิกตากว้างขึ้น แทบจะในเวลาเดียวกันฮิวโก้ที่กำลังหัวเราะชื่นชมกับความงดงามของโฟลนก็ชะงักงันไป


พวกเขาได้ยินว่าเธอเป็นวิญญาณ แต่ไม่ใช่วิญญาณอาฆาต”


“ซอล… เธอคือ…”


ฮิวโก้ได้ถามออกมาด้วยสีหน้ากังขา


“วะ … วิญญาณอาฆาตตนนั้น…?”


“ใช่แล้ว”


“วิญญาณที่… ฉีกกระชาก.. ทีมซามูเอล…?”


จากนั้นเอง


“ใช่!”


ทันทีที่ซอลจีฮูตอบกลับไปด้วยสีหน้าสดใส…


“เฮือก!”


โชฮงได้ปล่อยมือจากโฟลนและทรุดตัวล้มลงไป


“อ๊าาาา!”


ฮิวโก้ได้กรีดร้องและเริ่มวิ่งหนี


“แม่จ๋าาา!”


เขาไม่รู้ว่าทำไม แต่แม้กระทั่งฟีโซราก็ยังสะบัดแขนเตรียมตัววิ่งแล้ว


ในทันทีที่ป่าแห่งการปฏิเสธถูกพูดถึง ทุกๆคนก็พุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วสุดกำลัง


ซอลจีฮูได้มองดูคนสองคนวิ่งเปิดประตูจากไปด้วยสีหน้าสับสน และหันลงมามองโชฮงที่ยังคงทรุดตัวกับพื้น


‘อะไรกัน… ถ้าพวกเขาหนีไปกันหมด…’


ซอลจีฮูได้รีบหันไปมองโฟลนด้วยความเป็นห่วงว่าโฟลนที่กว่าจะรวบรวมความกล้ามาแนะนำตัวได้จะมีบาดแผลทางจิตใจ แต่แล้วเขาก็ต้องทำหน้างุนงงออกมา


โฟลน… กำลังหัวเราะ ริมฝีปากของเธอได้ยกยิ้มออกมาราวกับว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากการปรากฏตัวของเธอมันน่าขำ และเมื่อเธอหันไปมองยี่ซอลอาที่กำลังตัวสั่นด้วยความกลัวพร้อมน้ำตานองหน้า ดวงตาของโฟลนก็เริ่มเป็นประกายขึ้น


“ฟะ โฟล-“


ก่อนที่ซอลจีฮูจะได้ทำอะไร โฟลนก็แสดงสีหน้าซุกซนออกมาแล้ว


[โอ้วววววววว~!]


เมื่อเธอได้บินเข้าไปหายี่ซอลอาพร้อมกางแขนออกมา เสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังออกมา


“กรี๊ดดด! กรี๊ดดดดด! กรี๊ดดดดดดด!”


[โอเฮะเฮะเฮะ]


ยี่ซอลอาได้สะบัดแขนพยายามหลบหนีไปสุดชีวิต ในขณะที่โฟลนยังคงไล่ตามเธอไปพร้อมเสียงหัวเราะ จางมัลดงได้แต่มองดูภาพเหล่านี้ด้วยสีหน้าตกตะลึงจนพูดไม่ออก


ซอลจีฮูได้แต่มองดูสำนักงานที่จู่ๆก็ตกอยู่ในความโกลาหล ฉากที่แสนอบอุ่นจู่ๆก็พังทลายเป็นชิ้นๆไปต่อหน้าต่อตา


[ฉันได้ยินมาบุตรคนสุดท้องของตระกูลรอชเชอร์เป็นทอมบอยเอาแต่ใจ]


เมื่อนึกถึงคำพูดของโรเซร่าแล้ว ซอลจีฮูก็ได้แต่ยกมือปิดหน้า


“เธอเป็นเหมือนแคสเปอร์เลย”


อย่างน้อยก็ยังมีมาแชล จิโอเนียที่ยังคงยืนอยู่อย่างสงบอยู่


“นายดูไม่กลัวเธอเลยนะจิโอ”


“จิโอเนียครับ แล้วก็ยังไงเธอก็เป็นวิญญาณอยู่ดี”


มาแชล จิโอเนียได้แก้ไขชื่อของเขาใหม่ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ


“แล้วก็ในฐานะผู้ชายแล้วมันน่าอาย”


จากนั้นเขาก็ถามออกมาราวกับจู่ๆก็นึกขึ้นได้


“โอ้ จริงสิ หัวหน้า ไม่ใช่ว่าวันนี้หัวหน้าจะไปสกีเฮราซาร์ดหรอครับ?”


“สกีเฮราซาร์ด?”


เขากำลังจะพูดเรื่องนี้ เพราะงั้นเมื่อมาแชล จิโอเนียพูดเรื่องนี้มาจึงทำให้ซอลจีฮูถามกลับไปด้วยสีหน้าตกใจ


“ใช่ครับ โรงประมูลที่เมืองหลวงใหญ่ที่สุดแล้ว… จริงๆแล้วโชฮงกับฮิวโก้ก็ดูจะทนเก็บเงินไว้ไม่ไหวแล้ว พวกเขาบอกว่าคุณมาเรียก็จะตามไปด้วย”


[สกีเฮราซาร์ด? ฉันไปด้วย! ฉันก็อยากไปเหมือนกัน!]


จู่ๆโฟลนก็แทรกเข้ามาระหว่างพวกเขา


“เฮือกกก!”


มาแชบ จิโอเนียที่ทำหน้านิ่งกระโดดถอยไปด้วยความตกใจทันที


“…”


ซอลจีฮูได้หลุดขำออกมา


ทุกๆอย่างมันก็ดูน่าตลกเหมือนกัน


ในที่สุดพายุก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว


ประมาณเที่ยงๆ เมื่อทุกๆคนสงบใจกันลงได้แล้ว มาเรียก็ได้มาที่สำนักงานอย่างที่มาแชล จิโอเนียบอกเอาไว้


“โอ้~ โฮ่โฮ่~!”


มาเรียดูต่างไปจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง เธอมาพร้อมกับแว่นกันแดดสีดำ ผ้าคลุมไหล่ขนสัตว์ และเสื้อโค้ทขนมิ้งค์ที่ปกคลุมทั้งร่างของเธอ


ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังหิ้วกระเป๋าแบรนด์เนมมาอีกด้วย


เมื่อได้เห็นเด็กสาววัย 18 ปีสวมแต่งตัวเหมือนกับเศรษฐีหน้าใหม่ ทุกๆคนต่างก็พูดไม่พูด


“เธอ… นั่นมันอะไรกัน?”


โชฮงได้จี้ไปที่เธอด้วยสีหน้างุนงง


“อ่า~ นี่น่ะหรอ?”


มาเรีบได้กางแขนทั้งสองข้างออกมาราวกับรออยู่แล้ว ภายในนิ้วทั้งสิบนิ้วของเธอต่างก็มีแหวนที่ประดับประดาไปด้วยอัญมณีหลากสีอยู่


“มันก็แค่ว่าฉันเพิ่งจะขายแท่งทองไปหนึ่งอัน แล้วก็แลกเป็นเงินสุดน่ะ~ ในบัญชีของฉันมีเงินฝากไว้รวมกว่า 10 ล้านดอลลาร์ไปแล้ว”


หลังจากขยับนิ้วไปมาแล้ว เธอก็ถอดแว่นกันแดดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“เพราะงั้นฉันก็เลยย้ายบ้านใหม่~ ซื้อรถใหม่~ แล้วฉันก็เลยเผลอซื้อเพลินไปหน่อย”


เธอได้ขยับยิ้ม และปิดปากหัวเราะออกมา


“โอ้~ โฮ่โฮ่โฮ่โฮ่~”


‘หัวเราะแบบนี้เธอไม่เหนื่อยหรอ?’


ขณะที่ซอลจีฮูมองเธอด้วยสีหน้าอึดอัดใจ โชฮงก็ยิ้มขึ้น และถามออกมาอย่างเจ้าเล่ห์


“เฮ้ หลังจากได้เงินมากขนาดนั้นคงจะมีความสุขมากเลยสินะ”


“แน่นอนสิ~! ฉันรู้สึกดีมากก~!”


“ถ้างั้นแล้วช่วยจ่ายค่าอาหารกลางวันให้หน่อยได้ไหมล่ะ?”


“ไม่”


มาเรียได้กลายเป็นเคร่งขรึมและปฏิเสธขึ้นในทันที น้ำเสียงเธอได้กลายเป็นหนักแน่นขึ้น


“ฉันรู้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ธาตุแท้ของเธอยังไม่ได้หายไปไหนสินะ”


โชฮงได้ส่ายหัวออกมา


ซอลจีฮูได้หัวเราะในใจก่อนจะลุกขึ้นยื่น


“ไปกันเถอะ ฉันเรียกรถม้าไว้แล้ว”


ครู่ต่อมาหกคนกับอีกหนึ่งวิญญาณก็ได้โดยสารรถม้าไปสกีเฮราซาร์ด


***


“โอ้ พี่สาว พี่เพิ่งจะมาถึงหรอ?”


หญิงสาวผมหยักศกได้ลุกขึ้นยืนทักทายเธออย่างอบอุ่น


“อืม ฉันมาสายไปหน่อย”


คิมฮันนาห์ได้ตอบกลับอย่างเย็นชา และยิ้มบางออกมา เธอได้มองสำรวจดูชายหนุ่มที่กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะที่เธอเคยใช้งานมาก่อนเมื่อไม่นานมานี้


“ก็เหมาะกับนายดีนะ”


ชายหนุ่มผมหยักศพชินฮันซองได้หัวเราะแห้งๆและเกาหัวออกมา


“ผมก็ไม่มั่นใจ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจู่ๆก็เกิดอะไรขึ้น…”


เขาได้หลบสายตาของเธอ และหยักไหล่ออกมา


“ยังไงก็ตาม ทำไมพี่สาวถึงมาสายล่ะ? ผมคิดว่าพี่สาวจะมาในทันทีหลังจากคุยกับหัวหน้าฝ่ายบุคคลเสร็จซะอีก”


“ฉันมีเรื่องให้ต้องทำอยู่น่ะ”


“แต่ว่านะเพราะพี่สาวไม่มาสักที ผมก็เลยจัดการงานอะไรด้วยตัวเองไปแล้ว เพราะงั้นพี่สาวไม่ต้องสอนอะไรผมแล้วล่ะ”


“โอ้ นี่นายเกรงใจฉันงั้นหรอ?”


“จะคิดอะไรก็แล้วแต่พี่สาวเลย โอ้ จริงสิ!”


ชินฮันซองได้เปิดลิ้นชักและหยิบเอาคริสตัลสื่อสารออกมา มีแสงจางๆหมุนวนอยู่ภายในคริสตัล ดวงตาของคิมฮันนาห์ได้เป็นประกายขึ้นในทันทีที่เห็นมัน


“คริสตัลนี่เชื่อมต่อไปถึงที่ไหนกัน? มันไม่มีป้ายกำกับเขียนเอาไว้ แถมยังดังอยู่ตลอดอีกด้วยเพราะงั้นผมก็เลยกำลังคิดว่าจะรับ-“


พรึบ คิมฮันนาห์ได้แย่งคริสตัลไปจากมือของเขาก่อนที่ชินฮันซองจะได้ทันพูดจบซะอีก


“พะ พี่สาว?”


ชินฮันซองเบิกตากว้างขึ้นมา เขาได้ผงะไปเมื่อเห็นสีหน้าของคิมฮันนาห์


หลังจากเม้มริมฝีปากอยู่สักพัก เขาก็ถอนหายใจยาวออกมา


“…พี่สาว”


“…”


“ผมรู้ว่าพี่สาวรู้สึกยังไงนะ… แต่… ผมไม่คิดว่าเบื้องบนไม่น่าจะด่วนตัดสินใจ”


คิมฮันนาห์ได้เงียบลงไป เธอทำเพียงแค่จ้องมองชินฮันซองด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า


“ผมขอพูดตรงๆนะ ที่พี่สาวยังอยู่เงียบๆก็เพราะพี่สาวรู้สึกผิดกับอะไรบางอย่างอยู่ พี่สาวไม่ได้คิดจะอธิบายเลยด้วยซ้ำ”


“จะให้ฉันพูดอะไรล่ะ?”


เธอได้กัดฟันพูดออกมา


“นี่มันเป็นของฉัน นี่คือคริสตัลสื่อสารส่วนตัวของฉัน”


หลังจากตะคอกใส่เขาแล้ว เธอก็หันหน้าไป


“พี่สาว!”


ชินฮันซองได้รีบตะโกนออกมา


“พี่สาวคงไม่ได้คิดจะออกไปจากซินยองจริงๆใช่ไหม?”


แต่ว่าคิมฮันนาห์ก็ไม่ได้ตอบกลับมา เธอไม่ได้มองกลับมาหรือหยุดก้าวเท้าเลย


“พี่ก็รู้นี่ หากว่าพี่ลาออกไปแบบนี้ ก่อนที่พี่จะได้ออกไปจากสกีเฮราซาร์ด-!”


เธอได้เดินต่อไปพร้อมกำคริสตัลสื่อสารเอาไว้แน่น


ภายในดวงตาแดงก่ำของเธอมีความแค้นฝังลึกเอาไว้อยู่


ในเวลาเดียวกัน….


“เรามาถึงแล้ว!”


“โอ้ สกีเฮราซาร์ด!”


ทีมคาเพเดี่ยมได้มาถึงสกีเฮราซาร์ดแล้ว


“ตอนนี้เอาไงต่อ? ไปโรงประมูลเลยไหม?”


“ไม่หรอก มันยังเร็วเกินไป นายไม่รู้หรอว่าโรงประมูลจะมีของดีๆในช่วงเย็นๆน่ะ?”


“อ๊าาา ท่านประธานจองมีปัญหาอะไรงั้นหรอ? เราก็ไปดูก่อนตอนนี้ แล้วก็ไปอีกครั้งตอนเย็นก็ได้นี่”


“อ๊า ทำไมนายถึงรีบแบบนั้น? ทำไมเราไม่ไปหาที่พักแพงๆ กินอาหารหรูๆ แล้วก็ใช้ชีวิตสบายๆกันก่อนสักหน่อยล่ะ?”


พวกเขาแต่ล่ะคนต่างก็ถกเถียงกันอย่างรุนแรงก่อนที่ท้ายที่สุดแล้วจะหันมามองซอลจีฮู


“เฮ้ ซอล! นายอยากจะทำอะไร?”


“ฉันหรอ?”


เมื่อมองขึ้นไปที่ตึกตั้งตระหง่านสูงอยู่กลางเมืองแล้ว เขาก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าและหยิบเอาคริสตัลสื่อสารออกมา


“ฉัน…”


เขาได้พูดออกมาพร้อมกำคริสตัลสื่อสารไว้แน่น


เจ้าชายกระต่ายได้มาช่วยเจ้าหญิงจิ้งจอกจากอันตรายแล้ว

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม