The Second Coming of Gluttony 213-221
บทที่ 213 – ความฝันในความฝัน (1)
ยูเรลได้พูดปิดท้ายด้วยการสั่งห้ามไม่ให้สมาชิกสหพันธรัฐเข้าไปในที่แห่งนั้นหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาได้ตัดสินใจว่าการไม่เสียงจะดีกว่า พวกเขาไม่อยากจะให้สิ่งที่หวาดกลัวเกิดขึ้นอีกแล้ว
“นี่คือทั้งหมดที่เราจะบอกนายเรื่องเจดีย์แห่งความฝันได้ ต่อให้ต้องการเขาก็ไม่อาจจะบอกอะไรนายมากกว่านี้ได้อีก”
เรื่องเล่าของเธอได้จบลงเท่านั้น ซอลจีฮูได้ถามออกมาอีกสองสามคำถามก่อนที่จะแสดงความขอบคุณ และลุกขึ้นยืน เขาได้กลับไปที่เต็นท์เพื่อบอกเล่าเรื่องราวกับพรรคพวกของเขา เมื่อเขาได้เล่าทุกๆอย่างออกไปจนหมดแล้ว สีหน้าของทุกๆคนต่างก็กลายเป็นหม่นหมองขึ้นมา
“เฮ้… ปฏิบัติการแบบนี้นายคิดมันขึ้นมาได้ยังไงกัน?”
แม้กระทั่งโชฮงที่ไม่เคยหวาดกลัวอะไรก็ยังรู้สึกไม่สบายใจที่จะไปต่อ
“ฝันร้ายที่ติดต่อกัน… แถมยังเป็นฝันร้ายที่จะกลายมาเป็นจริง…”
คาซุกิได้ก้มหัวถอนหายใจออกมา และกอดอก
“เราขอให้แฟรี่ท้องฟ้าคุ้มกันเราเข้าไปข้างในได้ไหม? มันดูเหมือนว่าจะมีพลังต้านทานคำสาปอยุ่นี่”
ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา
“ผมก็ได้ถามเรื่องนี้แล้ว แต่ว่ายูเรลบอกว่านี่เป็นแค่มาตราการชั่วคราวเท่านั้นเอง มันชัดเจนว่าเราป้องกันคำสาปที่รั่วไหลออกมาจากเจดีย์ได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น”
“…อ่า เข้าใจแล้ว”
คาซุกิได้ยอมรับอย่างเศร้าๆ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา
“พวกเรามีทางเลือกที่จะกลับไปและกลับมาพร้อมกับนักบวชอินวิเดีย อีวาเป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องนักบวช เพราะงั้นการจะหานักบวชที่เชี่ยวชาญในเรื่องคำสาปกับคาถาเวทย์ก็ไม่น่าจะยากอะไร”
“ผมก็ไม่รู้สิ แม้กระทั่งสหพันธรัฐยังยอมแพ้กับการชะล้างคำสาป ผมก็ไม่มั่นใจว่าต่อให้นักบวชแรงค์เกอร์ระดับพิเศษจะสามารถชะล้างมันได้…”
แม้ว่าคำพูดของซอลจีฮูอาจจะดูเหมือนมองโลกในแง่ร้ายเกินไป แต่ว่าเขาก็มีเหตุผลอยู่เช่นกัน มันยากที่จะเชื่อว่ากลุ่มก้อนที่รวมกันจากห้าเผ่าพันธุ์จะไม่มีพลังที่เทียบได้กับแรงค์เกอร์ระดับสูง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสหพันธรัฐเคยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากที่สุด
“ถ้าแบบนั้น… เราก็แค่ไม่นอนหลับในระหว่างปฏิบัติการล่ะ? มันอาจจะยาก แต่ว่าทุกๆคนก็ไม่น่าจะมีปัญหาที่จะตื่นตลอดวันสองวันนะ พวกเราสามารถทนกับความง่วงไปจนถึงขีดสุด จากนั้นก็ออกมา และค่อยหลับหลังจากที่ถูกกิ่งไม้สีดำแตะ”
ฮิวโก้ได้ค่อยๆแสดงความคิดเห็นออกมา แต่ว่าก็ไม่มีใครตอบสนองออกมาในแง่ดีเลย การอดหลับอดนอนระหว่างปฏิบัติการเป็นสิ่งที่อันตรายมากๆตั้งแต่แรกแล้ว นอกไปจากนี้วิธีแก้นี้มันดูจะเป็นคำตอบที่เรียบง่ายเกินไป
สหพันธรัฐก็ไม่ได้โง่ มันไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่เคยคิดวิธีนี้แน่นอน
ที่พวกเขายอมยกให้เจดีย์เป็นพื้นที่ต้องห้าม นั่นแสดงว่าพวกเขาหมดหนทางแล้วจริงๆ
และพูดตรงๆซอลจีฮูก็อดที่จะคิดเหมือนกับสหพันธรัฐไม่ได้
เมื่อตัดสินใจแล้วว่าการคุยเรื่องนี้ต่อไม่ได้ทำให้ทางแก้ที่ดี ซอลจีฮูจึงตัดสินใจยุติการประชุมเอาไว้เท่านี้
“ตอนนี้เราจะเดินทางการต่อแล้วกัน ไว้ค่อยตัดสินใจกันอีกครั้งตอนที่เราไปถึงแล้ว”
ในตอนนี้มีแค่สิ่งเดียวเท่านั้นที่เขาพึ่งได้ นพเนตร เขาได้ตัดสินใจไว้แล้วว่าจะไม่พึ่งมันอีกหลังจากสงคราม แต่ว่าสุดท้ายเขาก็ไม่มีทางเลือก
หลังจากยุติการประชุม ภายในถุงนอนซอลจีฮูก็ยังคงนอนไม่หลับอยู่ดี
‘คงช่วยไม่ได้แหละนะ’
เขาได้นึกไปถึงคำพูดของซามูเอล
[นายรู้ไหมว่าไม่ใช่ว่าทุกๆปฏิบัติการจะสำเร็จ มีอยู่หลายครั้งที่เรากลับไปโดยไม่ได้อะไรเลยนอกจากประสบการณ์เฉียดตาย และฉันก็นับจำนวนครั้งที่ฉันต้องยอมแพ้ในตอนท้ายเพราะเราแกร่งไม่พอไม่ได้แล้วล่ะ]
เพราะว่าไม่มีโบราณสถานหลังจากที่พวกเขาไปถึง
เพราะว่าพวกเขาเตรียมตัวมาไม่พอ
เพราะความเสี่ยงที่สูงเกินกว่าที่คาดไว้
เหตุการเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทีมปฏิบัติการเจอบ่อยๆและต้องกลับไปมือเปล่า
[หากว่านายต้องการจะตั้งทีมของตัวเองขึ้นมา นายก็ควรจะจำเอาไว้นะ นายควรจะเดินหน้าต่อเฉพาะตอนที่หมดหนทางแล้วจริงๆเท่านั้น ปฏิบัติการมันไม่ใช่สิ่งที่นายควรจะเดิมพันทุกอย่างไปกับมัน]
นี่เป็นสิ่งที่ซามูเอลพูด มันเป็นเรื่องโง่เขลาที่เขาจะไปเสี่ยงกับอันตรายในเมื่อที่นี่ไม่ใช่ที่เดียวที่มีมรดกของตระกูลรอชเชอร์ถูกฝังเอาไว้
ซอลจีฮูเคยได้เห็นมาแล้วจากว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากว่าถูกสมบัติตรงหน้าบังตา ตัวอย่างที่ดีคือทีมของซามูเอล เขาปฏิเสธที่จะเดินรอยตามพวกเขาไป
แบะเพราะงั้นเขาจึงได้เตรียมใจ หรือตั้งมาตราฐานกับตัวเอง
หากว่าเจดีย์มีสีส้ม แดงหรือดำ เขาก็จะถอย มีแค่สีเหลืองเท่านั้นที่ปฏิบัติการจะเดินหน้าต่อ นั่นมันเพราะว่า ‘ระวัง’ มันหมายถึงการมีทางออกอยู่
‘ความอันตรายของสีอื่น… มันมากเกินไป’
ในเมื่อกฎเหล็กของพาราไดซ์คือการรักษาชีวิตเป็นสิ่งแรก และเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เขาจึงมั่นใจว่าสหายของเขาจะยอมรับในการตัดสินใจนี้
‘สีของเจดีย์แห่งความฝันจะออกมาเป็นอะไรกันนะ….’
จนกระทั่งเขาหลับไปโดยไม่รู้ตัว เขาก็ยังตัดสินใจไม่ได้อยู่ดีว่าเขาอยากจะให้มันเป็นสีส้ม สีแดง สีดำ สีเหลือง หรือว่าเป็นสีของทิศเบื้องขวากันแน่
***
ซอลจีฮูได้ตื่นขึ้นมากลางดึก และต้องผงะไปอย่างแรง ในตอนนี้ยูเยลกำลังอยู่ตรงหน้าเขา และจ้องลงมาที่เขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ยิ่งไปกว่านั้นใบหน้าของเขาก็ยังซุกอยู่ที่หน้าอกของเธอ
“…”
เขาไม่เข้าใจเลยว่ามันกลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง แต่ว่านี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันเคยเกิดขึ้นกับเขา เพราะงั้นแล้วภายนอกเขาจึงยังรักษาท่าทางสงบนิ่งได้
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นมาขอโทษ
“ผมขอโทษ”
เขาได้ยินเสียงยูเรลหัวเราะออกมา
“ในตอนนายคลานเข้ามาในเต็นท์ของฉันกลางดึกนี่มันน่าตกใจมาก ตอนแรกฉันคิดกว่าเป็นกระต่ายป่าซะอีก”
“ขอ ขอโทษครับ… บางครั้งร่างกายผมก็ขยับไปเอง…”
“ตอนแรกที่นายมุดเข้ามาในถุงนอนของฉัน ฉันก็คิดว่านายจะกระโจนเข้าใส่ฉันซะอีก… แต่นายกลับแค่มานอนหลับเหมือนเด็กน้อย แถมด้วยใบหน้าพอใจมากๆอีกด้วยนะ”
ในตอนนี้เองเขาถึงได้รู้ตัวว่าเขาอยุ่ในเต็นท์ของแฟรี่ถ้ำ ไม่ใช่เต็นท์ของเขา
“เอาเถอะนะ ดูหน้านายมันก็น่าตลกดี เพราะงั้นฉันจะไม่ว่าอะไร นายนี่ก็ดื้อเหมือนกันนะ”
“…”
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไป เขาก็เห็นยูเรลกำลังค่อยๆใส่ชุดแจ็คเก็ต ในตอนนี้เมื่อเขามาดูดีๆแล้ว หน้าอกของเธอก็ใหญ่มากเหมือนกัน
เขากำลังสงสัยอยู่เลยว่าทำไมหัวของเขาสบายจัง…
ซอลจีฮูรู้สึกได้ว่าแก้มของเขาร้อนขึ้นมา และพึมพำขึ้น
“ผมจะชดเชยกับ.. การกระทำนี่ได้ยังไงกัน…”
“หืมมม?”
ยูเรลที่กำลังมัดผมยาวของเธอให้เป็นหางม้า ได้เหลือบมามองซอลจีฮูก่อนจะยิ้มขึ้น
“อ๊าาา ช่างมันเถอะนะ ฉันก็ไม่ได้รู้สึกถึงการให้นมลูกมานานแล้ว มันก็ไม่ได้แย่หรอก”
‘ธะ เธอเท่จังเลย…’
ต่อให้เธอตบเขาเป็นสิบครั้ง เขาก็ไม่มีอะไรจะพูดเลย แต่ว่าตัดสินจากท่าทีเมินเฉยของเธอแล้ว มันดูเหมือนกับว่าแฟรี่ถ้ำจะเปิดกว้างในเรื่องแบบนี้
คำว่าให้นมได้ทำให้เขาชะงักไปเล็กน้อย แต่ว่าซอลจีฮูก็ยังถูกความเมตตาของยูเรลทำให้ประทับใจ
“ยังไงก็ตาม แล้วนายตัดสินใจยังไงล่ะ? เมื่อคืนฉันเห็นพวกนายคุยกันจนดึกเลยนี่”
เมื่อยูเรลได้เอียงหัวสะบัดผมไปมา ซอลจีฮูก็ค่อยๆลุกจากที่นั่ง
“พวกเราจะตัดสินใจกันหลังจากไปถึงที่นั่น”
“หืม ถ้างั้นแสดงว่านายยังจะไปสินะ?”
น้ำเสียงเธอฟังดูเสียใจหน่อยๆ
“พรรคพวกของนายไพูดอะไรเลยหรอ?”
“พวกเขาบอกว่าไม่เป็นไรครับ”
ยูเรลได้ผงะไป
“โอ้? พวกเขาคงจะเชื่อในตัวนายมากเลยสินะ ก็สมกับความสำเร็จของนายนั่นแหละ…”
“จะเป็นอะไรไหมครับ?”
เขาไม่ได้ถามเรื่องอันตรายของเจดีย์แห่งความฝัน เขากำลังถามว่าสหพันธรัฐจะโอเคกับเรื่องนี้ใช่ไหม
ยังไงสุดท้ายแล้วหากว่าฝันร้ายกลายมาเป็นจริงมันก็มีโอกาสที่สหพันธรัฐจะเป็นคนโดนผลกระทบ
“ฉันก็ไม่มั่นใจ…”
ยูเรลได้เอียงหัวออกมาเล็กน้อย
“โดยส่วนตัวแล้วฉันไม่อยากจะให้นายไป ฉันรู้สึกชอบในตัวนาย แต่ว่าหากนายอยากจะไป ฉันก็ไม่มีสิทธิ์จะห้ามนาย”
ยูเรลได้พูดออกมาตรงๆ จากนั้นก็หันไปที่เต็นท์ที่ทีมปฏิบัติการกำลังนอนอยู่
“จากมุมมองของสหพันธรัฐแล้ว ฉันไม่คิดว่ามันจะส่งผลอะไรมากหรอก ยังไงสุดท้ายนายก็เป็นมนุษย์”
ซอลจีฮูได้จ้องมองออกไปด้วยรอยยิ้มแห้งๆ เธอกำลังจะบอกว่ามนุษย์ไม่น่าจะส่งผลกระทบมาถึงสหพันธรัฐเพราะมนุษย์ที่เป็นห่วงเรื่องสหพันธรัฐมันหาได้ยากมากๆ
“เอาเถอะนะ เจ้าหญิงฮารามาร์คอาจจะต่างออกไป แต่ว่าฉันมั่นใจว่าเธอก็ห่วงเรื่องชะตาของอาณาจักรของเธอที่สุดอยู่แล้ว ฉันมั่นใจว่าสหพันธรัฐคงไม่ว่าอะไร”
“…จริงสินะ”
ซอลจีฮูไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับเรื่องนี้อย่างขมขื่น
“ยังไงก็ตาม หากว่านายจะต้องไป ทำไม่ไม่รับความช่วยเหลือสักหน่อยล่ะ?”
“ว่ายังไงนะครับ”
เมื่อซอลจีฮูเงยหน้าขึ้นมา ยูเรลก็ยิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยน
“อย่าหวังมากนักล่ะ ก็อย่างที่ฉันบอกนายไปเมื่อวาน ฉันได้บอกทุกๆอย่างที่รู้ไปแล้ว ไม่มีใครที่รู้ว่าภายในเจดีย์มีอะไรหรือจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่เข้าไป ยังไงสุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครสักคนที่กลับออกมาได้โดยที่ยังมีชีวิตอยู่”
จากนั้นเธอก็ได้ชี้ไปที่เต็นท์ของทีมปฏิบัติการ
“แต่- สมมติว่านายอยากจะลองเข้าไป หากปล่อยนายไปเฉยๆมันก็คงจะเป็นการเสียบุคลากรซะเปล่าใช่ไหมล่ะ”
ในที่สุดซอลจีฮูก็เข้าใจว่ายูเรลกำลังสื่อถึงอะไร
“ก็ลองถามดูนะ โดยส่วนตัวแล้ว ฉันไม่คิดว่าเธอจะปฏิเสธหรอก นี่มันก็เป็นโอกาสดีในการตีสนิทกับแฟรี่ท้องฟ้าอีกด้วย”
“เมื่อวานคุณบอกว่าเราไม่ควรจะเอาตัวไปข้องเกี่ยวกับพวกเขา เพราะว่าพวกเขาน่าเหนื่อยใจ…”
“แน่นอนสิว่าฉันแค่ล้อเล่น!”
ยูเรลหัวเราะคิกคักออกมาในขณะที่ตบบ่าซอลจีฮู
“พวกเราแฟรี่ถ้ำอาจจะไม่ค่อยถูกกับแฟรี่ท้องฟ้า แต่ก็อยากที่นายรู้ พวกเราไม่มีทางสู้กันแค่เพราะไม่ชอบหรอกนะ”
ใช่แล้ว เหมือนอย่างคำที่ว่า ‘ความลำบากจะทำให้เกิดสหาย’ ไม่ว่าใครจะเกลียดและไม่พอใจกันแค่ไหน แต่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าศัตรูที่ทรงพลังพวกเขาก็จะต้องร่วมมือกัน
จู่ๆซอลจีฮูก็รู้สึกอิจฉาสหพันธรัฐขึ้นมา
“เข้าใจแล้วครับ”
หลังจากแสดงความขอบคุณแล้ว ซอลจีฮูก็ได้ออกมาจากเต็นท์ของยูเรล และไปหาแฟรี่ท้องฟ้า เธอกำลังนอนยื่นมือไปหานกอยู่บนต้นไม้ จากนั้นเธอก็ลดแขนลงหันหน้ามามองเมื่อสัมผัสได้มาว่าซอลจีฮูเข้ามาหา
“เอ่อ…”
ซอลจีฮูได้หยุดอยู่ห่างประมาณหนึ่ง และอธิบายสถานการณ์ออกมา นั่นก็คือทีมของเขาอาจจะเข้าไปในเจดีย์แห่งความฝัน และเธอพอจะช่วยรอเขาอยู่ใกล้ๆพร้อมกิ่งไม้ชำระล้างได้ไหม
แฟรี่ท้องฟ้าได้ฟังอยู่เงียบๆก่อนจะพูดขึ้นเสียงใส
“เข้าใจแล้ว ได้เลย”
แฟรี่ท้องฟ้าได้ยอมรับอย่างง่ายดายเหมือนที่ยูเรลพูดไว้
“กิ่งของต้นไม้โลกเป็นสมบบัติของแฟรี่ท้องฟ้า แต่ว่าฉันก็ได้รับสิทธิ์ในการใช้มัน”
‘กิ่งของต้นไม้โลก?’
“นอกไปจากนี้ ต่อให้โอกาสสำเร็จจะมีแค่หนึ่งในพัน แต่ว่ามันจะช่วยสหพันธรัฐได้มาก”
“เพราะเจดีย์แห่งความฝันทำให้สหพันธรัฐต้องลำบากหรอกครับ?”
“ก็ไม่มีใครชอบให้มีพื้นที่อันตรายอยู่หน้าบ้านหรอกนะ”
แฟรี่ท้องฟ้าได้ตอบกลับมานิ่งๆ
“ปัญหาอีกอย่างคือในตอนเราจะไปป้อมปราการไทกอลก็ยังต้องอ้อมอีก ยังไงก็ตาม รอสักวันสองวันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรอยู่แล้ว เพราะงั้นมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ปฏิเสธเลย”
แฟรี่ท้องฟ้าได้กระโดดลงมาจากต้นไม้เบาๆ
“แล้วก็นะ- ฉันจะให้เสื้อคลุมดอกไม้กับยากระตุ้นกับนายด้วย”
“เสื้อคลุมดอกไม้?”
“ก็เสื้อคลุมที่ฉันกำลังใส่อยู่นี่ไง”
แฟรี่ท้องฟ้าได้แตะที่ชุดคลุมสีขาวที่มีรอยไหม้อยู่เล็กน้อย ดวงตาซอลจีฮูได้เบิกกว้างขึ้น
“นายไม่ต้องมาขอบคุณฉันหรอก ทีมปฏิบัติการก่อนหน้านี้ของเราเตรียมการยิ่งกว่านี้เยอะ”
แต่ว่าก็ไม่มีใครได้กลับมา… หรือก็คือเสื้อคลุมหรืออะไรก็ตามที่พวกเขาได้เตรียมเอาไว้ต่างก็ใช้ไม่ได้ผล แต่ว่าการมีเอาไว้ก็ไม่ได้เสียหาย
“ขอบคุณครับ!”
“ไม่มีปัญหา นาย…”
แฟรี่ท้องฟ้าได้ชะงักไป จากนั้นเธอก็เหลือบมองมาที่ซอลจีฮู
มีบางอย่างที่ซอลจีฮูยังไม่เข้าใจ และนั่นก็คือความน่าทึ่งและน่าเหลือเชื่อของเขาในการสังหารความหมั่นเพียรอันนิรันดร์
มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำสำเร็จมาก่อนนับตั้งแต่ที่มีกองทัพทั้งเจ็ดมา แม้กระทั่งจางมัลดงที่เคยประสบกับความยากลำบากทุกประเภทก็ยังเรียกสิ่งนี้ว่า ‘ความสำเร็จในตำนาน’
ส่วนซอลจีฮูที่เป็นคนทำความสำเร็จหน้าเหลือเชื่อขึ้นมากลับหยุดคิดเรื่องนี้ไปนานแล้วนับตั้งแต่สงครามจบลง บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของซอลจีฮู
เพราะแบบนี้หมายความว่าเขาเพียงแค่มองกองทัพทั้งเจ็ดที่ราชินีปรสิตได้ทุ่มเทกายใจสร้างขึ้นมา เป็นเพียงแค่อุปสรรคให้เขาข้ามผ่านไปเท่านั้นเอง
ไม่แปลกเลยว่าทำไมแฟรี่ท้องฟ้าถึงได้สนใจเขาถึงขนาดนั้น จริงๆแล้วคงหาคนในสหพันธรัฐที่ไม่สนใจเขาได้ยาก เว้นก็แต่บางทีอาจจะเป็นมนุษย์สัตว์ที่ไม่ถูกกับมนุษย์ก็ได้
“ก็อย่างที่นายรู้ การร่วมมือนี้มันไม่ได้อยู่ในเป้าหมายเดิมของฉัน”
“ครับ”
“ฉันเอาอาหารมาแค่พอกินถึงตอนกลับไปเท่านั้น เพราะงั้นในตอนนี้ฉันก็เลยอาหารหมดแล้ว”
“?”
ซอลจีฮูอย่างจะถามกลับไปว่า ‘ไม่ใช่ว่าเมื่อวานผมทำอาหารเลี้ยงหรอ? ถ้างั้นคุณก็น่าจะเหลืออาหารอยู่สิ?’ แต่แล้วเขาก็ตัดสินใจที่ฟังไปก่อน
“เพราะงั้นเมื่อไหร่ที่นายรอดกลับมาได้ ฉันก็อยากที่จะได้รับอาหารของนายสักส่วนหนึ่ง”
ซอลจีฮูได้หยักหน้าในทันที
“นั่นง่ายมากครับ เราได้เอาเนื้อตากแห้งกับขนมปังมาเยอะมาเลย เพราะงั้นถ้าคุณต้องการก็เอาตอนนี้ได้เลย”
“มะ ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น”
แฟรี่ท้องฟ้าได้รีบโบกมือออกมา เธอดูเหมือนจะกังวลอะไรสักอย่าง หลังจากอึกอักอยู่นาน เธอก็ก้มหัวลงและพึมพำเบาๆ
“เอ่อ… ก๋วยเตี๋ยวเมื่อวาน…”
“…ครับ”
“ของฉันมันถูกขโมยไปก่อนจะกินหมด… แล้วมันก็กำลังกวนใจฉันอยู่…”
เธอได้จิ้มนิ้วเข้าด้วยกันก่อนที่จะเงยหน้ากระแอ่มออกมา จากนั้นก็ตะโกนขึ้น
“ฉันคิดว่าฉันก็มีสิทธิ์ที่จะขอมันนะ!”
ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมาอย่างตกตะลึง
“ได้ครับ… คือ… ถ้ามันเป็นแค่ก๋วยเตี๋ยว ผมทำให้คุณได้เท่าที่คุณต้องการเลย”
“จริงๆหรอ?”
แฟรี่ท้องฟ้าได้ยินดีขึ้นมา
“ถ้างั้นฉันขอสอง ไม่สิ สามชาม? หรือสี่ดีล่ะ?”
เธอได้ปรบมือและกระโดดโลดเต้นอย่างยินดี เมื่อเห็นหูแหลมของแฟรี่ท้องฟ้าส่ายไปมาแล้ว ซอลจีฮูก็ได้แต่เกาหัวอย่างสับสน
นี่มันดีหรือเปล่านะ…?
อาหารเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ยังไงกันนะ
‘หรือว่าเป็นอิทธิพลจากความตะกละ (กู่ลา)?’
ความคิดนี้ได้ผ่านเข้ามาในหัวของเขา แต่ว่าต่อมาเขาก็หัวเราะขึ้นด้วยความคิดว่ามันไร้สาระ
***
อาหารเช้าได้เริ่มต้นด้วยความเงียบเนื่องจากว่าแต่ล่ะคนต่างก็มีเรื่องให้คิดมากมาย ซอลจีฮูได้สังเกตเห็นว่ามีหลายสายตามองมาที่เขา โดยเพาะอย่างยิ่งฟีโซราที่กำลังก้มหน้าแทะช้อนอยู่
เธอคงจะนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์จักรพรรดิโบราณ
ซอลจีฮูก็ยังไม่ได้ลืมเรื่องที่นั่นเช่นกัน นั่นคือตัวอย่างดีที่ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวไม่เพียงแต่จะฆ่าทุกๆคนเท่านั้น แต่ก็ยังส่งผลกระทบแง่ลบกับพาราไดซ์ด้วยเช่นกัน
ซอลจีฮูที่รู้สึกกดดันจากความคิดที่ว่ามันอาจจะเกิดแบบเดียวกันขึ้นอีกก็ได้สาบานกับตัวเองว่าจะทำตามการตัดสินใจที่เขาตั้งเอาไว้เมื่อคืน
หลังจากอาหารเช้า-
ได้มีแขกคนหนึ่งเข้ามาหาพวกเขาในระหว่างที่พวกเขากำลังเก็บแคมป์ นั่นก็คือแม่ของเฮเรียวกับเฮย่า
“เฮเรียว! เฮย่า!”
“แม่!”
เมื่อเด็กสองพี่น้องเข้าสู่อ้อมกอดของแม่แล้ว รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซอลจีฮู
“ขอบคุรมากค่ะ… ขอบคุณมากจริงๆ…”
แม่ของสองพี่น้องมนุษย์จิ้งจอกได้ร้องไห้ออกมา และโค้งคำนับ
แต่ก็เท่านั้น เธอได้หันหลังกลับไปในทันทีที่ได้เด็กๆกลับมาแล้ว แม้กระทั่งเฮเรียวกับเฮย่าก็ยังตกใจว่าทำไมถึงรีบกลับกันนัก
“กลับกันเถอะ เร็วเข้า!”
“หืม? ตอนนี้เลยหรอคะ?”
“แน่นอนสิ ลูกยังจะทำให้คนอื่นเป็นห่วงอีกหรอ? กลับไปถึงแล้วก็เตรียมตัวโดนดุได้เลยนะ”
“มะ แม่…”
สองพี่น้องได้มองย้อนกลับมาข้างหลังตลอดเวลาที่ถูกลากไป แม้ว่าแม่ของพวกเธอจะแสดงความซาบซึ้งออกมา แต่ว่ามันก็เหมือนกับเป็นการแสดงออกตามมารยาทเท่านั้น และเธอก็ดูเหมือนจะอยากออกห่างจากที่นี่
“บางเผ่าพันธุ์ในสหพันธรัฐก็ไม่ได้ชอบมนุษย์ มนุษย์สัตว์เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้”
ยูเรลได้อธิบายออกมาด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว ซอลจีฮูได้พยักหน้ารับโดยไม่พูดใดๆ เขารู้ว่าเขาโชคดีมากที่ได้มาเจอเข้ากับแฟรี่ถ้ำ เขาไม่คิดอยู่แล้วว่าเขาจะถูกทุกๆคนต้อนรับ
“ถ้างั้นตอนนี้ เราเดินทางกันเลยไหม?”
ยูเรลได้พยักหน้าออกมา
“พวกเราจะนำทางพวกนายไปจนกว่าจะถึงที่นั่นให้แล้วกัน”
“ขอบคุณครับ”
ซอลจีฮูได้ตอบรับอย่างยินดี
***
“นี่แหละ”
หลังจากเดินทางมาตลอดช่่วงเช้าแล้ว ในตอนนี้ดวงอาทิตย์ก็ได้ขึ้นสู่กึ่งกลางท้องฟ้า ยูเรลที่กำลังนำทางอยู่ได้เหยียบย่ำลงไปบนพื้นหญ้า
“นี่คือพื้นที่ปลอดภัย เลยตรงนี้ไปอีกหน่อย นายก็จะเจอกับที่ที่แฟรี่ท้องฟ้าทำพิธีกรรมแล้ว”
หรือก็คือเกินจุดนี้ไปก็คือที่ที่อิทธิพลของเจดีย์แห่งความฝันส่งมาถึง
“เป็นยังไงล่ะ? มันดูไม่ได้ต่างกันเลยใช่ไหม?”
มันไม่มีจุดสังเกตอะไรให้เห็นอย่างที่ยูเรลพูดเลย ที่นี่มีเพียงแต่ต้นไม้และพุ่มไม้เต็มไปหมดเหมือนอย่างพื้นที่ที่พวกเขาเพิ่งจะผ่านมา
หากว่าจะมีอะไรที่ต่างก็คงจะเป็นอากาศ อากาศที่นี่ไม่ได้เย็นสดชื่นแล้ว แต่ว่ามันชื้นและน่าอึดอัด แน่นอนว่าเขาอาจจะคิดไปเองก็ได้
‘หากว่าเป็นสีเหลืองหรือทิศเบื้องขสาก็ไปต่อ แต่หากไม่ใช่ก็กลับทันที’
ซอลจีฮูได้สาบานกับตัวเอง และเดินสูดหายใจลึกไปข้างหน้า จากนั้นเขาก็ดึงพลังมานาและเปิดใช้งาน ‘นพเนตรแห่งการทำนาย’
ไม่นานนัก…
“!”
ซอลจีฮูที่กำลังมองตรงไปข้างหน้าได้เบิกตากว้างขึ้นทันที
บทที่ 214 – ความฝันในความฝัน (2)
ซอลจีฮูได้ตัวแข็งทื่อไปกับที่ เขาได้มองไปรอบๆด้วยสีหน้าสับสนและตื่นตะลึง
‘มี… สองสี?’
ใช่แล้ว สิ่งที่ซอลจีฮูกำลังเห็นอยู่มีสองสี สีเหลืองกับสีน้ำเงิน สีทั้งสองนี้ได้ผสมเข้าด้วยกันเหมือนกับสีที่ละลายอยู่ในน้ำและลอยอยู่ตรงหน้าเขา
นี่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นสีของทิศเบื้องขวา เขาเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับสีเบื้องขวามาแล้วสองครั้ง ครั้งแรกที่ป้อมปราการหุบเขา และอีกครั้งที่คฤหาสน์จักรพรรดิโบราณ
ปัญหาก็คือนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสองสีแสดงออกมาพร้อมๆกัน เขาควรจะตีความ ‘ระวัง!’ กับ ‘ทางเลือกแห่งโชคชะตา’ ยังไงกันล่ะ?
ขณะที่จิตใจของซอลจีฮูกำลังสับสน เขาก็ได้ยินเสียงคนเรียกเขา
“แล้วนายอยากจะเอายังไงต่อล่ะ?”
เป็นเสียงของโชฮง ซอลจีฮูได้ถอนหายใจออกมา และจับจี้ของเขา
‘บางทีอาจจะมีกลไกเอาไว้ช่วยคนที่มาหามรดกก็ได้นะ’
ยกตัวอย่างเช่นมาตราการรักษาความปลอดภัยบางอย่าง
‘นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่มันกำลังเรืองแสงสีน้ำเงิน’
จะว่าที่เขาคิดแบบนี้ก็ไม่ได้ เพราะว่านี่เป็นสิ่งเดียวที่เขารู้ แต่ไม่นานนักเขาก็ส่ายหัวออกมา
การมองโลกในแง่ดีเกินไปคือเรื่องอันตราย ความไม่แน่นอนไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย โฟลนบอกไว้เพียงแค่ว่าจี้ได้เก็บเอาตำแหน่งที่ซ่อนมรดกไว้เท่านั้น
ในท้ายที่สุดแล้วก็เหลือเพียงแค่ทางเดียวเท่านั้น
หลังจากคิดอยู่นาน เขาก็ได้ตัดสินใจที่จะทำตามการตัดสินใจเมื่อคืน
“เราจะไปต่อ”
ความไม่สบายใจได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทุกๆคน ฟีโซราเป็นคนที่ดูตึงเครียดเป็นพิเศษ ซอลจีฮูได้มองดูพรรคพวกของเขาที่กำลังเตรียมตัวเข้าไปเงียบๆ ก่อนที่จะพูดออกมา
“ฉันจะขอเพิ่มเงื่อนไขอีกข้อนะ หากว่าใครรู้สึกไม่สบายใจ จะรออยู่ข้างนอกก็ได้นะ ฉันจะไม่ว่าใครหากมีคนต้องการจะรออยู่ที่นี่ ฉันสัญญา”
สมาชิกปฏิบัติการทั้งเจ็ดคนยกเว้นซอลจีฮูได้มองหน้ากันเอง จากนั้นโชฮงก็เป็นคนแค่นเสียงออกมา
“บ้าอะไรเนี้ย? ตอนนี้เรากำลังอยู่ระหว่างปฏิบัติการนะ พวกเราต้องร่วมมือกัน มันต้องเป็นแบบนี้ไม่ใช่หรอ? สมาชิกปฏิบัติการจะต้องร่วมชะตาเดียวกัน!”
คาซุกิก็ได้แย้ง
“เธอก็พูดถูกนะ แต่ว่าเธอก็ต้องเข้าใจถึงความพิเศษของโบราณสถานด้วย”
“แต่ว่า-“
“ฉันจะไม่เถียงในเมื่อหัวหน้าเป็นคนอนุมัติเอง หากใครจะรออยู่ข้างนอกก็ตามใจ แต่ว่าอย่าได้ลืมว่าคนๆนั้นจะไม่ได้รับส่วนแบ่งใดๆทั้งสิ้น”
คาซุกิได้ตอกตะปูปิดฝาโลงทันที จากนั้นเศษเสี้ยวความลังเลของแต่ล่ะคนก็ได้หายไป ทุกๆคนที่ถูกกระตุ้นได้ใส่ชุดคลุมดอกไม้ลงไป และเดินหน้าต่ออย่างกระตือรือร้น
มันง่ายมากที่จะเห็นว่าทุกๆคนกังวล แต่ว่าพวกเขาก็ได้สลัดความกลัวทิ้งไปแล้วเพราะซอลจีฮูได้ประกาศจะไปต่อ ยังไงซอลจีฮูก็คือคนที่ทำให้ภารกิจที่แทบจะเป็นไปไม่ได้สำเร็จขึ้นมาอยู่หลายต่อหลายครั้ง
ภายนอกซอลจีฮูไม่ได้เผยอะไรออกมา แต่ว่าความคาดหวังของพรรคพวกของเขาได้ทำให้เขารู้สึกถึงแรงกดดันที่หนักหน่วงยิ่งกว่าปกติ สุดท้ายแล้วเมื่ออเขาได้เห็นฟีโซราเตรียมพร้อมเสร็จแล้ว ซอลจีฮูก็ได้หันกลับไปมองด้านหน้า
‘ฉันควรจะขอบคุณดาวนำโชคสินะที่มันไม่ได้เป็นสีส้มหรือแย่ไปกว่านั้น’
ไม่ว่าเขาจะพยายามตั้งสมาธิมากแค่ไหน เขาก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าเขากำลังรู้สึกกังวล นี่มันเป็นครั้งแรกเลยที่เขากำลังดำเนินปฏิบัติการโดยไร้ซึ่งเบาะแสใดๆ
คาซุกิได้เดินออกมาข้างหน้า
“ไปเลยไหม?”
ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมา
“ฉันหวังว่านายจะโชคดีนะ”
หลังจากกล่างลากับยูเรลแล้ว ทีมปฏิบัติการก็ได้เริ่มเดินหน้า
***
การพิชิตเจดีย์แห่งความฝันได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ทีมปฏิบัติการได้พบถึงร่องรอยของความพยายามในการสื่อสารของแฟรี่ท้องฟ้าหลังจากที่เข้ามาได้ไม่นานตามที่ยูเรลได้บอกเอาไว้ เนื่องจากว่าเพราะว่าไม่มีอะไรที่ดูผิดปกติเลย ทั้งทีมจึงเดินต่อไปเรื่อยๆ
ทั้งป่าเงียบสนิท และทีมปฏิบัติการก็ยิ่งเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ มาเรียที่กำลังมองไปที่พื้นที่สีเขียวรอบๆได้ลูบแขน และยักไหล่ออกมา
“เป็นที่ที่น่าขนลุกจริงเลยๆ…”
โชฮงได้พูดขึ้นโดยที่เลียริมฝีปากอย่างต่อเนื่อง
“บ้าเอ้ย ฉันยอมเสี่ยงชีวิตสู้กับปรสิตดีกว่ามาที่นี่ซะอีก”
ทั้งสองอย่างนั้นมีความต่างกันอย่างสุดขั้ว หนึ่งคือพื้นที่ที่เต็มไปด้วยมอนสเตอร์สุดเลวร้าย และอีกหนึ่งคือพื้นที่ที่อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวจนมากเกินไป
จากบรรยากาศของป่าในปัจจุบันหากมีตัวอะไรจู่ๆโผล่ออกมาจากต้นไม้ก็คงจะไม่มีใครแปลกใจเลยสักนิด ยิ่งทีมปฏิบัติการเดินลึกเข้าไปมากเท่าไหร่ ความกังวลที่ไม่อาจจะอธิบายก็ยิ่งทำให้จิตใจพวกเขาเหนื่อยล้าจากความตึงเครียดก็ยิ่งมากขึ้น
ความหนักหน่วงของบรรยากาศมันทำให้ดูเหมือนกับว่าคนที่สร้างที่น่ขึ้นมาได้เล็งเรื่องนี้เอาไว้ โชฮงได้ส่งเสียงขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศอันน่ากดดันนี้ทันที
“คาซุกิ! นายรู้สึกถึงอะไรได้ไหม?”
“ไม่เลย”
คาซุกิได้ตอบกลับมาสั้นๆ
“หากว่าเรื่องที่สหพันธรัฐพูดคือความจริง มันก็ไม่น่าจะมีอะไรอยู่ที่นี่”
“ไม่มีแม้แต่อันเดดเลยหรอ?”
“ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงน่าจะกำลังพักฟื้นร่างกายอยู่ เพราะงั้นมันไม่น่าจะมีกองทัพอันเดดที่นี่ นอกจากนี้เรายังไม่อาจจะตัดความเป็นไปได้ว่าอันเดดฝันได้ไป ยังไงแล้วอันเดดก็มีเจตจำนงของตัวพวกมันเองเหมือนกันนะ”
“อะไรกัน? แต่อันเดดมันไม่ได้หลับนะ!”
“ถ้างั้นหากเป็นการบังคับให้ฝันล่ะ”
คาซุกิได้พูดขึ้นอย่างหนักแน่น
เขาพูดได้ถูกจุด ในเมื่อสัตว์อื่นนอกจากมนุษย์ก็ยังสามารถจะฝันได้ เพราะงั้นหากอันเดดฝันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
แต่ว่านี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทีมปฏิบัติการควรจะยินดีเลย คำสาปของเจดีย์ได้มาถึงตัวพวกเขาและกำลังห่อหุ้มร่างพวกเขาแล้วด้วย เสื้อคลุมดอกไม้ที่ถูกเผาไปกว่าครึ่งเป็นตัวบงชี้ถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี
ซอลจีฮูได้เปิดใช้งานการอวยพรแห่งเซอร์คั่มเผื่อเอาไว้ และต้องขมวดคิ้วขึ้นทันที โล่วงกลมสามวงได้กระจายออกไปในเวลาแค่สี่วินาทีหลังจากถูกสร้างขึ้นมา มันชัดเจนว่ายิ่งพวกเขาเข้าใกล้ต้นตอของคำสาปเท่าไหร่คำสาปก็ยิ่งแกร่งขึ้น
พวกเขาได้เดินเท้าเข้าไปในป่าลึกอันมืดมิดเรื่อยๆ ต้นไม้ใหญ่ได้บดบังแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาจนทำให้ลำต้นและใบไม้ดูมืดมน
ยังไงก็ตามปัญหาใหญ่ที่สุดเลยก็คือหมอกควันมืดสลัวที่บดบังวิสัยทัศน์ของพวกเขา จะเรียกว่าพวกเขากำลังเดินอยู่ระหว่างหมอกเมฆได้หรือเปล่านะ? บางทีซอลจีฮูอาจจะเข้าใจผิดไป แต่ว่าเขารู้สึกว่าจิตใจของเขากำลังเฉยชาขึ้น และเขาได้พยายามดิ้นรนรักษาความสติให้เฉียบคมเอาไว้เสมอ
ยากระตุ้นคงจะทำหน้าได้ที่เป็นอย่างดีเพราะเขาสามารถจะทำให้จิตใจที่ขุ่นมัวกระจ่างขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ซอลจีฮูได้ตะโกนภายในใจของเขาโดยที่พยายามไม่ลดการระวังตัวลงไป
‘ได้โปรดปล่อยให้เราออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัย…!’
ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ?
ทันใดนั้นเองคาซุกิก็ส่งสัญญาณให้หยุดลงหลังจากที่เดินเท้ากันมาเป็นเวลานาน
“…ซอล”
ซอลจีฮูได้เดินมาข้างหน้าโดยที่พยายามสงบใจที่เต้นแรงลง
“มีอะไรครับ?”
คาซุกิไม่ได้พูดอะไไรออกมาสักพักแม้ว่าเขาจะเป็นคนเรียกซอลจีฮู เขาได้หรี่ตาลงจากนั้นก็พึมพำเบาๆ
“…มีบางอย่างแปลกๆ ตัวตน… ไม่สิ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เคลื่อนไหว แต่ฉันรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างจำนวนมากกำลังล้อมเราอยู่”
หากได้ยินเพียงสั้นๆ สิ่งที่เขาพูดมันฟังดูแปลกๆ เขาบอกว่าพวกเขากำลังถูกบางอย่างที่ไม่เคลื่อนไหวล้อมอยู่ แต่ว่าเมื่อซอลจีฮูมองไปรอบๆ เขาก็ไม่เห็นอะไรเลย
“แทบจะเหมือนกับรูปปั้น….”
คาซุกิได้พึมพำกับตัวเองก่อนที่จะกัดริมฝีปากของเขาเอง สีหน้าของเขาที่บิดเบี้ยวไปเล็กน้อยได้แสดงให้เห็นถึงความกังวลของเขาอย่างชัดเจน
การบอกทุกๆคนให้ชัดเจนกว่านี้มันจะดีกว่า สำหรับเขาที่เป็นคนนำทางของทีมแล้ว การที่ไม่อาจจะให้ข้อมูลที่ชัดเจนกับทีมได้สมกับฐานะของตัวเองมันได้ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด
หากพูดตรงๆคือเขายังมีความสามารถไม่พอ แต่ว่าก็ไม่ได้มีใครว่าอะไรคาซุกิในเรื่องนี้
คาซุกิคือหนึ่งนักบุกเบิกที่ยอดเยี่ยมในฮารามาร์ค หากว่าแม้แต่คาซุกิก็ยังสับสน คนอื่นๆก็น่าจะได้ผลลัพธ์ที่คล้ายๆกัน
คาซุกิได้กัดฟันแน่นและพูดต่อ
“ยังไม่หมดนะ ฉันรู้สึกได้ถึงออร่าทรงพลังอยู่ด้านหน้า”
นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่ซอลจีฮูก็ยังสัมผัสได้ พูดให้ชัดคือเขารู้สึกถึงมันได้ตั้งแต่ที่คาซุกิเริ่มพูดแล้ว
“…เดี๋ยวก่อนทุกคน รออยู่นี่”
“นายจะทำอะไร?”
“ฉันขอเดินไปข้างหน้าสักหน่อยนะ”
ซอลจีฮูได้เริ่มเดินไปข้างหน้า หากว่าขาดข้อมูลในหลายๆด้านมันจะอันตรายเป็นอย่างมาก แต่ว่าเขาก็มีบางอย่างที่อยากจะลองดู
ก่อนที่จะมีใครสังเกต หมอกได้หนาขึ้นหลายเท่าจนทำให้การมองเห็นของทุกๆคนแย่ลงเป็นอย่างมาก ซอลจีฮูมองอะไรไม่เห็นอีกแล้ว แต่ว่าเขาได้แตะลงไปบนจี้ ควันดำได้ลอยออกมาราวกับกำลังรอเวลานี้อยู่
[อิ้อ!]
ซอลจีฮูได้ถามออกมาเบาๆ
“โฟลนรู้สึกอะไรได้ไหม?”
หลังจากนั้นส่วนบนของควันก็ส่ายออกมา เธอเหมือนกับจะกำลังพูดว่า ‘ไม่’ ซอลจีฮูได้ถามขึ้นอีกครั้ง
“ถ้างั้น… เธอพอจะบินไปดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นด้านหน้าได้ไหม? แค่นิดเดียวก็ได้”
ซอลจีฮูอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดที่ขอคำขอแบบนี้ออกไป ในด้านหนึ่งเขาได้ใช้เรื่องที่ว่าโฟลนเป็นวิญญาณเพื่อมอบหมายงานที่อันตรายให้กับเธอ
[ง่ายมากเลยล่ะ]
โฟลนคนจะได้ยินถึงคำอธิบายของคาซุกิแล้วทำให้เธอได้ตอบรับโดยไม่ถามคำถามใดๆเลย
“ขอโทษนะ! แค่แอบมองดูก็พอแล้ว อย่ากดดันตัวเองล่ะ”
[โอเคๆ ไม่ต้องห่วง]
ควันดำได้ลอยไปข้างหน้าเหมือนกับสายน้ำและหายไป เขาได้ยินเสียงคนเรียกเขาจากด้านหลัง แต่ว่าเขาได้ยกมือออกมาเพื่อบอกพวกเขาว่าไม่เป็นไร และรอโฟลนกลับมา
‘ทำไมเธอถึงใช้เวลานานแบบนี้ล่ะ?’
ด้วยความเร็วของโฟลนกับระยะทาง เธอก็น่าจะกลับมาได้แล้ว
นอกจากนี้เรายังไม่อาจจะตัดความเป็นไปได้ว่าอันเดดฝันได้ไป ยังไงแล้วอันเดดก็มีเจตจำนงของตัวพวกมันเองเหมือนกันนะ
ยิ่งเขานึกถึงคำพูดของคาซุกิก็ยิ่งทำให้เขากังวล จากนั้นเองควันดำก็พุ่งตัดหมอกกลับมา
ซอลจีฮูแทบจะห้ามตัวเองไม่ให้ตะโกนออกมาไม่ไหว
“โฟลนไม่เป็นไรนะ?”
[อื้อ ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ]
โฟลนได้กระซิบออกมาด้วยท่าทางเหมือนกับผู้หญิง
[ฉันไม่ได้เห็นอะไรพิเศษเลย… อืม นอกไปจากกองหินที่เรืองแสงสีฟ้า]
“กองหิน?”
[ใช่แล้ว แบบนี้อะ]
ควันดำได้ลอยลงมา และวาดภาพลงไปบนพื้นดิน มีป้ายหินตั้งในแนวตั้งอยู่สองอัน และมีแผ่นหินขนาดใหญ่วางในแนวนอนระหว่างป้ายหินทั้งสองอัน โครงสร้างมันดูคล้ายกันกับดอลเมน (ดอลเมนคือที่เก็บศพของสมัยก่อนประวัติศาสตร์ครับ)
[มันดูแปลกๆ… ฉันก็เลยบินเข้าไปสะกิดดู แต่ว่าก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น]
ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆออกมา เขาบอกแค่ให้เธอไปดู แต่ดูเหมือนว่าความอยากรู้อยากเห็นของเธอจะมีมากกว่าที่เขาคิด
[ฉันควรทำลายมันดีไหม?]
“ไม่ ไม่ต้องหรอก”
ซอลจีฮูได้หยุดโฟลนเอาไว้ ปัญหาคือเขาไม่รู้ว่ากองหินนั่นคืออะไร การทำลายกองหินจะดีมากหากว่ามันส่งผลให้หมอกหรือคำสาปหายไป แต่ว่ามันก็อาจจะให้ผลเหมือนกับการแหย่รังผึ้งได้เหมือนกัน เนื่องจากว่าไม่มีใครรู้ว่ามันจะส่งผลอะไรกลับมา เพราะงั้นการไม่ไปแตะต้องอะไรมั่วๆจะเป็นการดีที่สุด
ซอลจีฮูได้เดินกลับไปหาทีมของเขา
“ดอลเมนที่ส่องแสงสีน้ำเงิน?”
เมื่อเขาได้อธิบายถึงสิ่งที่โฟลนบอกกับเขาไป คาซุกิก็ได้มองมาที่เขาแปลกๆ
“นายเห็นมันได้ยังไงกัน? ตาฉันยังมองไม่เห็นอะไรเลย”
“โอ้ เอ่อ…”
“นายไม่ได้เดินเข้าไปลึกขนาดนั้น”
ซอลจีฮูได้บอกพวกเขาถึงเรื่องดอลเมนเพราะตอนนี้ไม่ใช่เวลามาซ่อนข้อมูลอะไรแล้ว แต่ว่าเขาก็ยังลังเลที่จะเปิดเผยถึงตัวตนโฟลนออกไป
ทันใดนั้นเองโชฮงก็พูดขึ้น
“โอ้จริงสิ เรื่องนั้นก็ด้วย?”
“?”
“ก็ในระหว่างสงครามไง! นายบินได้! นายบอกว่าจะบอกเราหลังจากสงคราม อ๊าา ฉันลืมเรื่องนี้ไปเลย”
[ชิ ถูกจับได้ซะแล้ว!]
‘ถูกจับได้?’
ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆออกมา พรรคพวกของเขายังไม่ได้รู้เรื่องของโฟลน สาเหตุส่วนหนึ่งคือเขาอยากจะเก็บโฟลนไว้เป็นความลับ แต่สาเหตุหลักคือเธอเกลียดการแสดงตัว แม้กระทั่งในตอนกลางคืนตอนที่ทั้งทีมกำลังกินก๋วยเตี๋ยวกัน โฟลนก็ยังแอบแยกออกไปกินคนเดียวลับๆ
ซอลจีฮูได้แนะนำให้โฟลนแนะนำตัวกับทีมของเขาหลายครั้งแล้ว แต่ว่าเมื่อไหร่ที่เขาพูดเรื่องนี้ออกมา เธอก็จะบินหนีไป
เหตุผลนั้นก็ค่อนข้างจะงี่เง่าอีกด้วย
เธอบอกว่าเธออาย
‘เธอจะซ่อนตัวไปตลอดไม่ได้นะ’
มันดูเหมือนกับว่าโฟลนแค่อายจริงๆ เพราะงั้นซอลจีฮูจึงตัดสินใจไว้ว่าจะแนะนำตัวเธอสักครั้งหลังจากปฏิบัติการ
แต่ว่าในเมื่อตอนนี้พวกเขายังอยู่ระหว่างปฏิบัติการ เขาจึงเผยข้อมูลที่จำเป็นไปแค่ส่วนหนึ่ง เมื่อเขาได้อธิบายว่าโฟลนได้มากับเขาได้ยังไง ทุกๆคนต่างก็แสดงสีหน้าแปลกๆออกมา
และเมื่อเขาได้บอกว่าเธอคือวิญญาณร้ายจากสุสานในป่าแห่งการปฏิเสธ โชฮงกับฮิวโก้ก็ตะโกนดังลั่นออกมา
“อะ อะ อะไรนะ? ผะ ผีที่ฆ่าทีมซามูเอล?”
“หยุด”
คาซุกิได้ขัดโชฮงขึ้นมา
“ไว้ค่อยฟังเรื่องราวทั้งหมดที่หลังแล้วกัน ในตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ระหว่างปฏิบัติการ”
จากนั้นเขาก็ได้หันหน้าไปหาซอลจีฮู
“ฉันรู้ว่านายมีความคิดของนายเองในฐานะหัวหน้านะ ฉันพยายามที่จะไม่ไปก้าวก่ายอำนาจของนาย แต่ว่าฉันคิดว่าหากนายบอกเรื่องเธอกับเราเร็วกว่านี้มันคงจะดีกว่า”
“…”
“หากเป็นแบบนั้น เราจะได้ตรวจสอบกันได้ว่าคำสาปส่งผลกับวิญญาณด้วยไหมในตอนที่แฟรี่ที่ถอนคำสาปให้เรา และเธอก็ยังสามารถสอดแนมให้เราได้อีกด้วย”
ซอลจีฮูได้อ้าปากค้างออกมากับคำแย้งที่มีเหตุผลของคาซุกิ เขาไม่เคยคิดไปไกลถึงขนาดนั้นเลย
“ขอโทษครับ เธอไม่ชอบแสดงตัวต่อหน้าคนอื่น…”
“อืมม… ถ้างั้นก็คงช่วยไม่ได้ล่ะนะ”
คาซุกิได้ค่อยๆหลับตาลง เขาดูเหมือนจะกำลังจัดระเบียบความคิดอยู่ หลังจากเงียบอยู่สักพัก คาซุกิก็ลืมตาขึ้นและถามออกมา
“ถ้างั้นสรุปแล้วก็คือ นายได้ขอให้วิญญาณตนนี้ไปสำรวจข้างหน้า?”
“ครับ”
“ซึ่งก็คือวิญญาณ ไม่ใช่มนุษย์”
คาซุกิดูจะสนใจถึงเรื่องที่ว่าโฟลนเป็นวิญญาณมากกว่าการที่เธอค้นพบดอลเมน ซอลจีฮูก็คิดคล้ายๆกัน
“ใช่ครับ แต่ว่าอัตตาและจิตสำนึกของเธอนั่นกระช่างชัด เธอไม่ได้ต่างไปจากมนุษย์ เธอกระทั่งนอนหลับเป็นระยะอีกด้วย”
“…เป็นวิญญาณที่น่าสนใจ”
[อะไรเนี้ย? นายกำลังแนะนำอะไรอยู่? มีกฎไหนกันที่บอกว่าวิญญาณไม่ควรจะนอนหลับ? นายเคยตายไปแล้วงั้นหรอ!?]
โฟลนได้บ่นออกมาจากภายในจี้ แน่นอนว่ามีแต่ซอลจีฮูที่ได้ยินเสียงเธอ และคาซุกิได้เม้มปากออกมา
“ดูเหมือนว่าเราจะไม่มีทางเลือกนอกจากไปต่อแล้วล่ะ พวกเราจะทำเหมือนกับมนุษย์และวิญญาณเหมือนกันไม่ได้ แต่ว่าเราก็ไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ”
ซอลจีฮูค่อนข้างจะเห็นด้วยกับคำพูดนี้
“ครับ ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
เมื่อหัวหน้ากับคนนำทางเห็นพ้องกันแล้ว ทั้งทีมก็ได้เริ่มเดินเท้าต่อไป ไม่สิ แค่พวกเขากำลังจะเริ่ม…
“โอ้?”
เสียงของฟีโซราได้ดังขึ้นมาดึงความสนใจของทุกๆคนไป เธอกำลังมองลงไปที่พื้นพร้อมทั้งยกเท้าขวาขึ้นมาด้วยสีหน้างุนงง
“มีอะไรหรอ?”
“ปะ เปล่า ฉันคิดว่าฉันเหยียบอะไรไป…”
ซอลจีฮูได้ค่อยๆตรวจดูพุ่มไม้หนา แต่ว่าเขาก็ไม่ได้เห็นอะไรแปลกๆเลย
“คุณแน่ใจนะว่าไม่ได้คิดไปเอง?”
“ไม่ ฉันรู้สึกจริงๆ…”
ฟีโซราได้เอียงหัวออกมา จากนั้นก็ขยับหลบราวกับมันไม่สบายใจ หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นสั้นๆนี้ ทั้งทีมก็ได้เริ่มเดินหน้าไปอย่างช้าๆ
ไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็เริ่มเห็นแสงสีน้ำเงินเหมือนอย่างที่โฟลนพูดเอาไว้ ยิ่งพวกเขาเข้าไปใกล้แสงสีน้ำเงินก็ยิ่งสว่างขึ้นจนกระทั่งรอบๆตัวเขาถูกแบ่งระหว่างหมอกกับแสงสว่าง
ในที่สุดพวกเขาก็อยู่ในระดับที่พอจะมองเห็นกองหิน…
คาซุุกิที่ยืนอยู่หน้าสุดได้เอนหลังกลับมากระซิบ
“ฉันคิดว่ามัน-“
จากนั้นเอง
ซ่าาาา!
ขณะที่ทุกๆคนกำลังมองตรงไปด้านหน้า กองหินที่คล้ายกับดอลเมนก็ระเบิดแสงสีน้ำเงินออกมา
‘อะไรกัน?’
ซอลจีฮูได้รีบหลับตาโดยอัตโนมัติเหมือนกับในตอนแฟลชของกล้องสายส่องมาที่หน้าของเขา ความรู้สึกวิงเวียนได้กวาดเข้ามาในหัวของเขาทันที
[อ๊าาาา?]
คนอื่นๆได้เริ่มครางออกมาโดยเริ่มต้นจากโฟลน ซอลจีฮูรู้สึกได้ว่าร่างกายของเขากำลังส่ายไปมา เขาได้รีบเปิดตาขึ้นและมองไปรอบๆ ทุกๆคนกำลังเหล่ตาหรือไม่ก็ใช้มือปิดตาเอาไว้อยู่ นอกเหนือจากนั้นแล้วซอลจีฮูก็ไม่ได้เห็นอะไรแปลกๆอีกเลย มันไม่มีอะไรที่ดึงดูดความสนใจเขาเลย
จากนั้นเมื่อเขามองลงไปด้วยความสงสัยว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับร่างกายเขา…
“!”
ซอลจีฮูก็รีบกระพริบตาออกมา
จี้ที่ซึ่งเป็นสีดำหลังจากปล่อยโฟลนออกมากำลังส่องแสงเจิดจ้า
และมันกำลังเปล่งแสงสีน้ำเงินออกมาเหมือนกับดอลเมน
บทที่ 215 – ความฝันในความฝัน (3)
แสงเจิดจ้าได้ระเบิดออกมาจากกองหิน และจี้ก็ได้เริ่มเรืองแสงสีเดียวกันตอบกลับไป ของทั้งสองอย่างนี้ได้เริ่มสั่นพ้องออกมาอย่างบ้าคลั่งราวกับกำลังตอบสนองซึ่งกันและกัน
แต่ก็มีเท่านี้แหละ
ซอลจีฮูได้รออยู่ครู่หนึ่งโดยหวังว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่ว่าดอลเมนกับจี้ก็แค่กระพริบอยู่เรื่อยๆเท่านั้นเอง
ทั้งพื้นที่ยังคงเงียบกริบเช่นเดิม
ท่ามกลางเสียงพึมพำของแต่ล่ะคน ทั้งทีมได้ค่อยๆเดินเข้าไปที่หิน เมื่อได้ตรวจดูอย่างใกล้ชิดมันก็เป็นแค่ก้อนหินธรรมดาถูกสร้างขึ้นมาเหมือนกับดอลเมน ไม่มีสัญลักษณ์อะไรบนพื้นผิวของหิน มันก็เป็นแค่ก้อนหินธรรมดาเท่านั้นเอง
“เราลองขุดดูดีไหม?”
จู่ๆโชฮงก็แนะนำออกมา
“มันดูเหมือนกับจะเป็นแค่ดอลเมน นั่นหมายความว่านี่อาจจะเป็นหลุมฝังศพอะไรบางอย่าง ซึ่งนั่นหมายความว่าก็น่าจะมีของดีๆบางอย่างถูกฝังอยู่ด้วยไม่ใช่หรอ?”
นี่่เป็นความคิดที่ดีเลย โดยเฉพาะยิ่งคิดว่ามันมาจากปากของโชฮง โดยทั่วไปแล้วอาร์ติแฟคจะถูกฝังอยู่ใต้ดิน
ซอลจีฮูได้ตัดสินใจว่าคำแนะนำนี้ฟังดูมีเหตุผล และได้สั่งให้คนอื่นๆลองขุดรอบๆหินดู สมาชิกทีมได้เริ่มขุดทันทีโดยไม่บ่นอะไร
ครู่ต่อมา
“โอ้วววว!”
ฮิวโก้ได้อุทานขึ้น
ซอลจีฮูที่กำลังใช้หอกขุดดินอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามอง
ฮิวโก้กำลังเดินไปมาพร้อมหอกยาวในมือ
“หอกล่ะ! หอก! นี่มันดูโครตแพงเลยด้วย?”
จากนั้นเทเรซ่าก็ยังตะโกนออกมา
“กรี๊ดดด! หีบ! นี่มันหีบสมบัติ!”
ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้นมา
แจ็คพ็อต
ผลของการขุดรอบๆได้ถูกสรุปออกมาด้วยคำๆเดียว นี่คือแจ็คพ็อตใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์พาราไดซ์
นอกจากหอกพิสุทธิ์แล้ว ยังมีหีบสมบัติที่เต็มไปด้วยทองและเงินจำนวนนับไม่ถ้วน หากว่าพวกเขานับรวมเครื่องเซ่น และของประดับต่างๆที่เจอไปด้วย มูลค่ารวมก็จะมากมายมหาศาลเกินกว่าจะนับได้
หลังจากทำการเก็บเกี่ยวอย่างวุ่นวายแล้ว ทีมของพวกเขาก้ได้ออกมาจากเจดีย์แห่งความฝันด้วยรอยยิ้ม
พวกเขายังไม่ได้เห็นเจดีย์หรืออะไรที่คล้ายหอคอยขนาดเล็กเลย แต่ว่านั่นมันก็ไม่ได้สำคัญ
พวกเขาได้รับผลที่น่าทึ่งมาแล้ว เพราะงั้นยังต้องสนใจเจดีย์กันอีกงั้นหรอ?
และดังนั้นทั้งทีมก็ได้กลับออกมาจากพื้นที่ต้องห้ามอย่างปลอดภัย หลังจากได้รับการชำระล้างคำสาปจากแฟรี่ท้องฟ้า กล่างลาเยเรล จากนั้นพวกเขาก็ได้เดินทางกลับบ้านกัน
กระเป๋าที่พวกเขาแบกนั้นหนักมาก แต่ฝีเท้าของพวกเขากลับเบาหวิว
ทั้งทีมได้เดินเท้ากันอยู่นานก่อนที่สุดท้ายจะหยุดตั้งแคมป์พักกันกลางดึก
ในคืนนั้นโชฮงได้ลูบหีบสมบัติพร้อมกับพูดด้วยใบหน้าที่เหมือนกับฝัน
“กลับไปถึงแล้วฉันควรจะทำอะไรก่อนดีนะ… เฮะๆๆๆ!”
“ฉันจะซื้ออุปกรณ์! ฉันจะไปโรงประมูลที่สกีเฮราซาร์ดเพื่อที่จะฉาบทั้งตัวด้วยอุปกรณ์ที่ราคาแพงที่สุดที่หาเจอเลยล่ะ!”
ฮิวโก้ได้ตะโกนออกมาอย่างกระตือรือร้นเหมือนกับเด็กน้อยที่กำลังติดอยู่ในความฝัน
ทีมของพวกเขาได้กินดื่มกันอย่างสนุกสนานจนกระทั่งรุ่งเช้า พวกเขาแต่ล่ะคนต่างก็โม้เรื่องที่พวกเขาจะเอารางวัลปฏิบัติการครั้งนี้ไปใช้
แต่แล้วในตอนเช้าบรรยากาศที่สนุกสนานของทั้งทีมก็ได้ดิ่งลงเหวไป
เพียงแค่เพราะเหตุผลเดียวเท่านั้น
ภายในคืนเดียวของทั้งหมดที่พวกเขาได้มาจากเจดีย์แห่งความฝันได้หายไปเหมือนกับเวทมนต์
ทุกๆอย่างได้หายไปโดยไม่เหลือไว้แม้แต่เหรียญทองเหรียญเดียว
ผู้ก่อเหตุก็คือมาเรีย เยเรล
คงเป็นได้แค่เธอเท่านั้น นั่นก็เพราะว่าเมื่อพวกเขาตื่นขึ้นมาเธอก็หายตัวไปแล้ว
“นี่มันเรื่องจริงงั้นหรอ?”
โชฮงได้ระเบิดความโกรธออกมา
“ยัยนักบวชสารเลวนั่นหนีไปแล้วงั้นหรอ? ยัยนั่นมันเป็นบ้าหรือไงกัน?”
“ก็ไม่ใช่ว่ามันเป็นไปไม่ได้”
คาซุกิได้พูดออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เธอต้องมีกระเป๋าเวทย์คุณภาพสูงอยู่กับตัวแน่ นั่นมันก็ไม่น่าแปลกหรอกนะเพราะว่าเธอมักจะรักเงินของเธอเหมือนคนบ้าอยู่แล้ว”
“บ้าเอ้ย! ยัยนั่นมันไม่มีอะไรดีเลยงั้นหรอ! ถึงเธอจะหนีไปแต่นี่ยังไม่เหลืออะไรไว้ให้เราเลย! เธอกล้าหนีไปพร้อมกับรางวัลของพวกเราได้ยังไงกัน? เมื่อไหร่ที่จับเธอได้ ฉันจะ- อ๊าา!”
โชฮงได้กัดฟันแน่นพร้อมจับแท่งเหล็กหนามด้วยตาแดงก่ำ
“ไม่มีเวลาแล้วคาซุกิ! นายกำลังทำอะไรอยู่? อยู่ตามรอยเธอเร็วเข้าสิ”
“แน่นอนสิ!”
คาซุกิได้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนที่จะหันมามองหน้าซอลจีฮู
ซอลจีฮูก็เห็นด้วยกับพวกเขา แต่ภายในใจของเขากำลังสับสน
‘ฉันเชื่อเธอ…’
เขารู้ว่ามาเรียคลั่งไคล้ในเงินตรา แต่ว่าเขาก็ยังคิดว่าเธอก็เป็นคนที่ซื่อสัตย์
‘คุณมาเรีย….’
ทั้งทีมได้เริ่มไล่ตามมาเรียไปอย่างสุดกำลัง
ในตอนแรกพวกเขายังพอแกะรอยเธอได้ แต่ว่าหลังจากผ่านไปได้หนึ่งวันพวกเขาก็ต้องยอมแพ้
ร่องรอยของเธอได้หายไป
พูดให้ถูกก็คือรอยเท้าของมาเรียหายไป และมีรอยล้อรถม้าโผล่มาแทน เธอคงจะโชคดีไปเจอเข้ากับรถม้าที่ผ่านทางมา
ความสิ้นหวังที่ทั้งทีมรู้สึกนั้นไม่อาจจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้เลย
เมื่อมาถึงเมืองอีวา พวกเขาได้วิ่งพล่านไปทั้งเมืองเหมือนกับไล่จับแมลงวัน แต่ว่าต่อให้พวกเขาหากันมากขนาดนั้นก็ไม่มีแม้แต่เส้นผมของมาเรียให้เห็นเลยด้วยซ้ำไป
ไม่ว่าเธอจะกลับไปที่โลกหรือว่าไปที่เมืองอื่นแล้วก็ตามแต่
เธอได้หายไปแล้ว
ในท้ายที่สุดทั้งทีมก็ได้ยอมแพ้ที่จะไล่ตาม และเดินทางกลับไปที่ฮารามาร์คด้วยอารมณ์ที่หม่นหมอง
มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว แต่ว่าก็ไม่มีใครจะลืมเรื่องสมบัติไปได้
ซอลจีฮูได้พยายามปลุกใจตัวเองด้วยการย้ำเตือนว่านั่นเป็นแค่สมบัติส่วนเดียวอยู่บ่อยครั้ง และมันยังมีมรดกเหลืออยู่อีกสี่ส่วน
แต่ว่าสิ่งที่รอคอยเขาอยู่ที่ฮารามาร์คก็มีแต่ข่าวน่าเศร้าที่ออกมาราวกับฟ้าผ่า
มันก็คือข่าวการตายของซอยูฮุย จางมัลดง และพี่น้องยี่
ซอยูฮุยได้ถูกลอบจู่โจมในระหว่างกำลังทำการภาวนาที่วิหาร และถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม
จางมัลดงกับพี่น้องยี่ได้ถูกพบศพที่ภูเขาหินยักษ์ ส่วนตัวผู้ร้ายยังไม่มีใครรู้
เมื่อทีมพวกเขาได้กลับมาถึง เรื่องราวต่างๆก็ได้จบลงไปแล้ว
ซอลจีฮูได้ร้องไห้ออกมา
เขาร้องไห้อยู่ภายในห้องที่ปิดเงียบอยู่ตลอดทั้งวัน
มันไม่ใช่ว่าเขาคิดอะไรไม่ออกว่าเขาจะต้องทำอะไร แต่ว่ามันเหมือนกับสมองของเขาหยุดทำงานไปจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมาอย่างกระทันหัน
ในเวลาเดียวกันพรรคพวกของเขาก็ได้เริ่่มหายไปทีล่ะคน
โชฮงกับฮิวโก้ได้ทิ้งเขาเอาไว้โดยบอกว่าพวกเขาจะออกไปแก้แค้น และนับตั้งแต่นั้นข่าวของพวกเขาก็ได้หายไป
มาแชล จิโอเนียกับฟีโซราก็ได้จากไปโดยไม่พูดอะไร เมื่อถึงจุดหนึ่งพวกเขาก็หายไปแล้ว
เวลานั้นซอลจีฮูก็รู้สึกได้ว่าเขาตัวคนเดียวอีกครั้ง
เขาได้นอนขดตัวอยู่ที่มุมห้องโดยที่มองไปรอบๆด้วยสายตาว่างเปล่า
ที่สำนักที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนได้กลายเป็นอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว
ใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาของเขาได้เต็มไปด้วยความทุกข์ใจ
‘ไม่มีทาง…’
มันกลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน?
ซอลจีฮูได้แต่นอนกุมหัวอยู่ต่อหน้าความเป็นจริงที่เขาไม่เคยคิดถึง
“น่าสมเพช”
ทันใดนั้นเองเขาก็ได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคยดังออกมาจากด้านบนหัวเขา นั่นคือเสียงขอเทเรซ่า
“ทำไมกับแค่การตายของชาวโลกไม่กี่คนถึงได้ทำให้นายกลายเป็นแบบนี้? ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายคือวีรบุรุษสงคราม”
‘แค่ไม่กี่คน?’
ดวงตาเขาได้เบิกกว้างขึ้นมา
ซอลจีฮูได้ลืมตาขึ้นมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่าเทเรซ่าจะพูดอะไรที่ดูโหดร้ายแบบนี้ออกมา
แต่ว่าแทนที่จะเป็นเทเรซ่า เขากลับเห็นฮ่าวอวิ่นกำลังยืนอยู่ตรงหน้าของเขา
“ตอนนี้นายกลายเป็นซากไปแล้ว”
หลังจากพูดออกมาสั้นๆฮ่าวอวิ่นก็หันหน้าเดินจากไป
“ฉันตัดสินนายผิดไป”
ซอลจีฮูได้แต่มองแผ่นหลังฮ่าวอวิ่นจากไปอย่างโง่งม แค่รวบรวมเรี่ยวแรงเรียกฮ่าวอวิ่นเขายังทำไม่ได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการตามเขาไป
ซอลจีฮูได้พยายามจะขยับตัว แต่ว่าเขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร
ในสุดท้ายแล้วเขาก็นึกไปถึงคิมฮันนาห์ และพยายามติดต่อไปหาเธอ แต่ว่าเธอไม่รับสายเขาเลย
ในท้ายที่สุดทุกๆคนก็ได้ทอดทิ้งเขาไป ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นที่เขาเคยมีในพาราไดซ์ต่างก็ถูกตัดขาดไปจนหมด
ในตอนนี้มันไม่มีน้ำตาเหลืออยู่อีกแล้ว
‘พวกเขาไปกันหมดแล้ว…’
ซอลจีฮูได้แต่ลูบหัวของเขา
‘มันคือความฝัน’
เขาได้คุกเข่าลงและโขกหัวกับพื้นอยู่ซ้ำๆ
‘ความฝัน! ทั้งหมดนี่คือความฝัน!’
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำอะไร เขาทำได้แต่ตะโกนภายในใจว่าทั้งหมดนี่คือความฝันพร้อมทั้งกระแทกหัวตัวเองกับพื้น และในขณะซอลจีฮูกำลังตกสู่ความสิ้นหวัง และปฏิเสธในความเป็นจริง
“เฮือกกก-!”
ซอลจีฮูได้สะดุ้งจากเตียงด้วยความตกใจ
แสงแดดได้แยงเข้ามาในตาของเขา
เขาได้กระพริบตาอยู่ซ้ำๆ จนกระทั่งภาพที่พร่ามัวชัดเจนขึ้น
และเมื่อเขามองไปรอบตัว ซอลจีฮูก็ได้แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาราวกับว่ามันไม่มีอะไรไร้สาระไปกว่าสิ่งที่เขาเห็นแล้ว
โคมระย้าคริสตัลที่ห้อยลงมาจากเพดาน และโต๊ะไม้สีเขียวนับสิบ บวกกับผู้คนจำนวนมากที่นั่งอยู่ตามโต๊ะเหล่านั้น
‘ที่นี่…’
ซอรัคแลนด์
มันก็คือคาซิโน่ที่ซอลจีฮูมาบ่อยๆ ขณะที่เขากำลังตกตะลึงอยู่ จู่ๆเขาก็รู้สึกว่ามีคนมาจับแขนเขา และยกเขาขึ้น
“พวก นายนี่มันบ้าไปแล้ว!”
น้ำเสียงมีอายุได้ดังออกมา ชายวัยกลางคนกำลังพยุงแขนของเขาอยู่ นี่คือใบหน้าที่เขาเคยเห็นมาหลายครั้งแล้ว
“ถึงนายจะบ้าพนันนะ แต่ว่านายมาหลับระหว่างเล่นได้ยังไงกัน? หัดคิดถึงคนอื่นซะบ้างสิ!”
ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้นมา
เขาไม่รู้เลยว่าชายคนนี้กำลังพูดอะไรอยู่
“เฮ้ๆ ไปล้างหน้าสูดอากาศข้างนอกสักหน่อยไป หากว่าไปนอนบ้างก็น่าจะดีนะ ตานายมันแดงก่ำแล้ว”
“มะ ไม่นะ”
ขณะที่ซอลจีฮูกำลังตะกุกตะกัก ชายวัยกลางคนก็ได้ลากชายหนุมออกไปข้างนอกแล้ว
หลังจากเขาถูกบังคับผลักออกมาข้างนอกคาซิโน ซอลจีฮูก็ยืนตัวแข็งทื่อเหมือนกับรูปปั้น
เขาได้หยิกแก้มของตัวเอง แต่ว่าสมองเขาก็ยังกระจ่างชัดอยู่
ความรู้สึกเย็นของอากาศยามเช้าที่สัมผัสผิวหนังของเขาทำให้มันไม่มีอะไรจะรู้สึกจริงไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
อย่างที่ชายวัยกลางคนได้บอก เขาได้หลับไประหว่างเล่นพนัน
‘ถ้างั้น?’
ความฝัน?
หนึ่งปีที่เขาใช้ไปในพาราไดซ์เป็นความฝันทั้งหมดเลย? ทุกๆอย่างเกิดขึ้นภายในความฝันแค่ไม่กี่นาที?
‘ไม่มีทาง!’
ซอลจีฮูได้รีบล้วงกระเป๋า แต่ว่าสิ่งที่เขาหยิบออกมาก็มีแค่กระเป๋า เงิน และโทรศัพท์เท่านั้นเอง
เขาหาแผ่นกระดาษที่เก็บเอาไว้ในกระเป๋าไม่เจอเลยสักนิด
“พาราไดซ์!”
เขาได้พยายามตะโกนออกมา
หน้าอกของเขาได้แน่นขึ้นมา
“กู่ลา! ไอร่า! ลูซูเรีย! อินวิเดีย! ฮารามาร์ค! สกีฮาราซาร์ด! ราชินีปรสิต!”
เนื่องจากว่ามันมีสัญญาที่ห้ามไม่ให้เขาพูดอะไรที่เกี่ยวข้องกับพาราไดซ์บนโลกอยู่
มันควรจะเป็นแบบนั้น แต่ว่าคำทั้งหมดที่เขาพูดออกมาต่างก็ดังก้องในหูของเขาอย่างชัดเจน
ไม่สิ มันต้องไม่เป็นแบบนี้ มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้
“แท็กซี่!”
ซอลจีฮูได้เรียกแท็กซี่และนั่งไปที่ละแวกบ้านในทันที
แต่ว่าความจริงก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป
เขาได้มาอยู่ตรงร้านอาหารที่อยู่สถานีมหาวิทยาลัยฮงอิค แต่ว่าเขาก็ไม่เจอกับฟีโซราเลย นอกจากนี้พนักงานต่างก็ไม่มีใครที่เขารู้จักเลย
เมื่อกลับมาที่ห้องของเขาแล้ว ซอลจีฮูก็ได้แต่ยืนมองอย่างสับสน
กองขยะ
มันเหมือนกับว่าเขาได้กลับมาในตอนที่เขายังติดการพนันอยู่
“ฮ่าฮ่า… ฮ่าฮ่าฮ่า…”
ดวงตาของเขาได้กลายเป็นร้อนผ่าวขึ้นมาโดยที่ยืนตรงมองดูห้องของเขา น้ำตาที่เขาคิดว่าเหือดแห้งไปแล้วได้เริ่มไหลออกมา
‘พาราไดซ์… มันไม่ได้มีอยู่ตั้งแต่แรกหรอ?’
สถานที่สุดท้ายที่ซอลจีฮูสามารถจะไปพึ่งพิงได้
ที่ที่เขาสามารถจะอยู่ได้ได้หายไปเหมือนกับภาพลวงตา
ความจริงนี้ได้ทำให้ซอลจีฮูต้องสิ้นหวังอย่างถึงขีดสุด
และในท้ายที่สุดเมื่อซอลจีฮูรับมันไม่ไหวอีกแล้ว เขาก็ก้มหน้าทรุดตัวลงกับพื้น
เคร๊ง!
เสียงโลหะกระทบกันได้ดังออกมาพร้อมกับความรู้สึกเบาๆที่คอของเขา
ขณะที่ซอลจีฮูได้มองลงไปดวงตาเขาก็เป็นประกายขึ้นมา
จี้ของเขากำลังห้อยลงมาอยู่ที่พื้น มันมีอัญมณีที่กำลังเปล่งประกายอยู่
‘หืม…?’
ในตอนนั้นเอง
[เฮ้!!!!!]
เสียงที่เขาได้ลืมไปแล้วได้ดังขึ้นมาในหูของเขา ซอลจีฮูได้หรี่ตาลงก่อนที่จะกลั้นหายใจ
[ตั้งสติไว้! เร็วเข้า!]
เสียงตะโกนนี้เป็นของโฟลน
“ฟะ โฟลน?”
[เร็วเข้า! รีบหน่อยสิ! มันอันตราย!]
เขาไม่เข้าใจเลยว่าเธอกำลังพูดอะไร แต่ว่าไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เธอดูจะเร่งร้อนดูมากๆ ขณะที่ซอลจีฮูกำลังทรุดตัวอย่างสับสน เสียงของเธอก็ดังขึ้นมาอีก
[นายกำลังฟังอยู่ใช่ไหม? ได้ยินฉันใช่ไหม? เอาล่ะ ตั้งใจฟังนะ นายคิดว่าโลกที่นายกำลังอยู่เป็นของจริงใช่ไหม?]
“หืม? นั่น-“
[มันไม่ใช่ความจริง นายอาจจะคิดแบบนั้น แต่ว่าโลกนั่นมันไม่ใช่ความจริงแน่ๆ นายกำลังอยู่ในความฝัน ในตอนนี้นายกำลังฝันอยู่ในระหว่างปฏิบัติการ!]
“…”
[มันอาจจะฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่ว่าเชื่อฉันสิ ฝันมันก็เป็นแบบนี้แหละ นายอาจจะคิดว่ามันเหลวไหลหลังจากที่ตื่นขึ้นมา แต่ว่าในตอนที่ฝันอยู่นายจะไม่รู้ตัวเลย]
โฟลนได้พูดอกอมาอย่างใจเย็นมากๆ แม้ว่าเธอจะพูดอย่างเร็วก็ตาม
[ตั้งใจคิดให้ดี มันไม่ได้มีอะไรที่ผิดแปลกไปสำหรับนายเลยหรอ? ไม่มีสักนิดเลยหรอ?]
ปากของซอลจีฮูได้ค่อยอ้ากว้างออกมา
[นายได้ยินฉันใช่ไหม? ได้โปรดตื่นขึ้นมาเถอะนะ! นายกำลังอยู่ในอันตราย! นายกำลังจะขาดหายใจตาย…!]
จี้ได้เด้งขยับไปมา ซอลจีฮูได้คว้าอัญมณีเอาไว้ตามสัญชาตญาณในทันที
‘พอมาคิดดูแล้ว…’
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงความไม่ลงรอยกันอย่างรุนแรงหลังจากที่ได้ยินคำพูดของโฟลน
จี้คืออย่างแรก การที่เขาพูดเรื่องพาราไดซ์ได้นั่นหมายความว่าเขาไม่เคยเข้าไปในพาราไดซ์
แต่ว่าเขาจะมีของของพาราไดซ์ในครอบครองได้ยังไงกัน? เมฆหมอกภายในใจของเขาได้หายไปในทันที และในที่สุดความสงสัยทั้งหมดในดวงตาของเขาก็ค่อยๆหายไป เขาได้ค่อยๆมองไปรอบๆโลกอย่างช้าๆ
‘เริ่มจากโฟลน…’
เขาไม่ได้ปฏิเสธความจริงเหมือนกับในตอนที่เขาตกอยู่ในความสิ้นหวังในพาราไดซ์
ในตอนที่เขาสงสัยใน ‘ความฝัน’-
“เฮือก-!”
ซอลจีฮูได้ลืมตาขึ้นมา
บทที่ 216 – ความฝันในความฝัน (4)
“…”
แก้มของเขาเจ็บ หมอกหนาได้บดบังสายตาของเขาและทำให้สายตาเขาพร่ามัว ซอลจีฮูได้รีบขยี้ตาอย่างแรง
เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขาตื่นขึ้นมาหลังจากหลับกลางวันไป
[ไม่เป็นไรนะ?]
โฟลนได้ลอยมาอยู่ตรงหน้าของซอลจีฮู
“อื้ม…”
ซอลจีฮูได้ตอบกลับอย่างไร้พลัง จากนั้นก็หันสายตาไป
‘นี่มัน….’
เขาบอกได้ว่าเขายังอยู่ในป่า แต่ว่าเขามองไม่เห็นท้องฟ้า
[ยืนไหวไหม?]
จากนั้นเองเขาถึงรู้ตัวว่าเขากำลังนอนอยู่
‘ก็คิดอยู่ว่าทำไมถึงรู้สบายนัก’
เขาได้ยกตัวขึ้นมา และกลายเป็นสับสนไปในทันที ทุกๆคนต่างก็นอนหงายหรือนอนคว่ำกันอยู่ ดวงตาของแต่ล่ะคนต่างก็ปิดอยู่ราวกับว่าพวกเขากำลังหลับอยู่
ในตอนนั้นเองแสงสีน้ำเงินก็ส่องสว่างทะลุหมอกออกมาอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้ง
[อย่ามอง!]
โฟลนได้กดหัวของเขาลงในทันที
“โฟลน?”
[มันจะเป็นเหมือนก่อนหน้านี้!]
โฟลนได้ตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ
[เมื่อหินส่องสว่างออกมา ทุกๆคนก็เป็นลมไป!]
“…อะไรนะ?”
[จริงๆนะ! ทุกๆคนได้ล้มลงไปทีล่ะคน…!]
ตามที่โฟลนบอกทั้งทีมได้หมดสติไปหลังจากที่เห็นแสงนั่น นี่มันหมายความว่าแสงนั่นมีพลังที่จะบังคับให้ทุกๆคนหลับลึกลงไป
ซอลจีฮูได้รีบหันหลังหลบดอลเมน
“แล้วเธอล่ะโฟลน? ไม่เป็นไรนะ…?”
[ฉันหรอ? ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ได้เป็นอะไรเลย]
โฟลนไม่ได้ฝัน เธอไม่ได้หมดสติไปอีกด้วย เธอได้พิสูจน์แล้วว่าคำสาปไม่ได้ผลกับเธอ
บางทีอาจจะเพราะว่าเธอไม่ใช่สิ่งมีชีวิต หรือว่าเธออาจจะเป็นสมาชิกของตระกูลรอชเชอร์ทำให้ได้รับการป้องกันสักอย่าง
[นายแน่ใจนะว่าจะนั่งอยู่เฉยๆน่ะ?]
โฟลนได้ค่อยๆถามออกมาขณะที่ซอลจีฮูกำลังจัดระเบียบความคิดอยู่
[เพื่อนๆของนาย… พวกเขาดูจะตกอยู่ในอันตราย ถึงจะไม่แย่เท่านายก็เถอะนะ]
ซอลจีฮูได้รีบมองไปรอบๆด้วยความตกใจ เขาได้ยินเสียงครางดังออกมาเต็มไปหมดอย่างที่โฟลนบอก ทุกๆคนดูจะเจ็บป่วยและซีดเซียว…
“อึก… กรอด…”
แต่ว่ามีอยู่คนหนึ่งที่ดูจะแย่เป็นพิเศษ
“โกหก… นายโกหก…”
ฟีโซรากำลังเปียกเหงื่อซก พร้อมทั้งพึมพำออกมาทั้งๆที่หลับอยู่ ซอลจีฮูไม่มั่นใจว่าเธอกำลังฝันอะไรอยู่ แต่ว่ามันเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเธอกำลังเจ็บปวด เขาได้รีบลุกขึ้น จากนั้นก็ชะงักไป
เขาต้องช่วยเธอ แต่ว่ายังไงล่ะ?
“โฟลน เธอเป็นคนที่พูดกับฉันในความฝันใช่ไหม?”
[ใช่แล้ว นายได้ยินใช่ไหม?]
“แล้วเธอคุยกับฉันยังไง?”
[คือ… ฉันก็ไม่มั่นใจ]
โฟลนได้พูดออกมาด้วยความลังเลใจ
[จู่ๆทุกๆคนก็ล้มไป… แล้วฉันก็ทำอะไรไม่ถูก ฉันทั้งเขย่าแล้วก็ตบแก้มแล้ว แต่นายก็ยังไม่ตื่น…]
‘เพราะงั้นฉันถึงเจ็บแก้มสินะ’
ซอลจีฮูได้ถามออกมาพร้อมกับลูบคาง
“แล้ว?”
[เพราะงั้นฉันก็เลยตะโกนใส่จี้ออกไป…]
“อ่า”
โฟลนคงจะตะโกนออกมาในตอนที่เขากำลังทรุดตัวสิ้นหวังอยู่ในห้อง
[นายรู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงแค่ไหนกัน? อยู่ๆหน้านายก็ซีดไป แถมยังหายใจไม่ออกอีกด้วย…]
ขณะที่โฟลนบ่นออกมาเบาๆ ซอลจีฮูก็ตกอยู่ในความคิด
‘ฉันมีข้อมูลไม่พอ’
“โฟลน เธอได้ยินอะไรเกี่ยวกับจี้อีกไหม?”
[อืมมม… ฉันคิดว่ามันยังมีความลับอีกนะ]
“จริงหรอ?”
[ใช่แล้ว แต่ว่าคุณปู่หยุดพูดเพราะจะบอกให้ฉันหนี ในตอนนั้นคุณปู่กำลังบอกฉันเรื่อง…]
โฟลนได้พูดออกมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง
[แต่ว่าคุณปู่ได้บอกว่าให้เอาจี้ไปด้วยหากว่าเราจะไปหามรดก คุณปู่บอกว่ามันใช้เป็นหลักประกันได้]
“หลักประกัน?”
[ใช่แล้ว ต่อให้จะมีภัยคุกคามมากๆ แต่คุณปู่ได้บอกว่า ‘สัญญา’ จะปกป้องเรา….]
ซอลจีฮูได้กัดริมฝีปากออกมา เขามั่นใจแล้วว่าจี้จะช่วยพวกเขาในการหามรดก แต่ว่าเขาไม่มีทางรู้เลยว่ามันมีหน้าที่ทำอะไรกันแน่
‘หากว่าเป็นแบบนี้…’
ฝันร้ายจะทวีความรุนแรงไปเรื่อยๆตามความฝันที่ดำเนินไป เขาได้รีบเข้าไปปลุกทุกๆคน
“อึก… อึก….”
ขณะที่ซอลจีฮูกำลังเค้นสมองครุ่นคิด การหายใจของฟีโซราก็กลายเป็นผิดปกติขึ้่นมา
ในตอนนี้มันไม่ใช่เวลามารั้งรออะไรแล้ว ซอลจีฮูได้รีบเข้าไปหาฟีโซราด้วยความหวังสุดท้าย เขาไม่มั่นใจว่ามันจะได้ผลไหม แต่ว่ามันก็คุ้มค่าที่จะลองเหมือนกับที่โฟลนทำ
และเพราะงั้นเขาจึงใช้มือซ้ายจับจี้เอาไว้ และวางเอาไว้บนหัวด้านขวาของเธอ…
ซ่าาาาห์!
กระแสสายฟ้ารุนแรงได้แล่นผ่านฝ่ามือของเขา
“อ่า…!”
เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกว่างเปล่าในทันทีราวกับว่าพื้นดินหายไป และเขากำลังร่วงลงไปในหุบเหว
[เอ๋!!?]
ขณะที่เสียงโฟลนได้ดังออกมา ภาพที่ซอลจีฮูเห็นก็มืดมนลงไป
***
เมื่อแสงไฟหวนคืนกลับมา ภาพที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าซอลจีฮู
หาดทรายไร้ที่สิ้นสุด และคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่บนหน้าผาริมทะเลอันโดดเด่น มันก็คือคฤหาสน์จักรพรรดิโบราณ
ซอลจีฮูได้ผงะไป แต่ว่าไม่นานนักเขาก็ได้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์อย่างตีงเครียด หากว่ามันเป็นเรื่องความรักเขาจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ว่าเขาจะหัวไวในเรื่องแบบนี้
‘นี่เป็นความฝันของคุณฟีโซรา’
ซอลจีฮูได้รับคำตอบที่ถูกต้องในทันที ยังไงเขาก็ได้แตะร่างกายของฟีโซราโดยที่ไม่ได้มองแสงจากหุน ในตอนที่เขาสัมผัสเธอ เขาคงจะถูกดูดเข้ามา
เมื่อคิดว่าเขาก็อาจจะได้รับผลกระทบจากคำสาปด้วย การที่จะเกิดผลลัพธ์ที่ต่างจากโฟลนบ้างก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย
หากว่าเป้าหมายของเขาคือการช่วยฟีโซราสถานการณ์ก็ไม่ได้แย่อะไรเลย การได้เข้ามาปลุกให้เธอตื่นมันคงจะดีกว่าการคอยตะโกนอยู่ด้านนอกเป็นร้อยเท่า
แต่ปัญหาก็คือมันอันตราย
‘ฉันมีเวลาไม่มาก’
ฟีโซราได้อยู่ในสภาพที่อันตราย การปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆมันอาจจะจบลงด้วยการที่ความฝันได้กลืนกินชีวิตของเธอ ดังนั้นซอลจีฮูจึงรีบเข้าไปในคฤหาสน์จักรพรรดิโบราณในทันที เขารู้สึกว่าเขารู้ว่าฟีโซราอยู่ที่ไหน
ภายในคฤหาสน์ได้เต็มไปด้วยบรรยากาศหดหู่ แต่ว่าซอลจีฮูก็ไม่ได้คิดว่ามันมืดเลย กลับกันมันมีแสงสว่างกระจายไปทั่วทุกที่ที่เขาไป และทำให้พื้นที่นั้นสว่างขึ้น
ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมาด้วยความสงสัยว่า ‘นี่มันอะไรกัน?’ จากนั้นเขาก็มองลงไปบนจี้
จี้ได้ส่องแสงออกมาสว่างมากกว่าเดิมหลายเท่า พอนึกย้อนไปแล้วในตอนที่เขายังอยู่ในความฝันของเขา มันก็กระพริบออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่แค่เขาเพิ่งรู้ตัวสายเกินไปเท่านั้นเอง
ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆ และวิ่งออกไปข้างหน้าเต็มกำลัง ในทันทีที่เขาขึ้นไปถึงชั้น 4 เขาก็หยุดชะงักไปโดยไม่รู้ตัว
เขาไม่มีทางเลือกอื่น นั่นมันก็เพราะว่าทั้งชั้นแทบจะไม่เหลือพื้นที่ให้เขาได้ก้าวไปข้างหน้าเลย เขาได้เห็นผู้คนมากมายที่ตายในระหว่างสำรวจคฤหาสน์ และดูเหมือนว่าจะเป็นพรรคพวกของฟีโซรา
[มันเป็นความผิดของเธอ…]
[เราตายก็เพราะความโลภของเธอ! ทั้งหมดเป็นความผิดของเธอ!]
ซอลจีฮูรู้สึกสงสัยถึงสิ่งที่ได้ยิน ศพกว่าสิบคนกำลังชี้ไปที่คนๆหนึ่ง พร้อมทั้งแสดงความเห็นออกมาอย่างอาฆาตแค้น วิญญาณพยาบาทในคฤหาสน์ก็ยังกระโดดโลดเต้นไปกับฉากตรงตรงหน้า
นี่มันเป็นภาพที่แปลกจริงๆ และคนที่อยู่ตรงกลางของทุกๆอย่างก็คือฟีโซรา
[เธอมันยัยน่ารังเกียจ! เธอยังกล้าหนีไปหลังจากที่ฆ่าพวกเราทุกคนอีกหรอ?]
[ตายซะ! หากว่ายังมีสำนึกเหลืออยู่อีกก็ฆ่าตัวตายซะ!]
เธอกำลังร้องไห้อยู่ ฟีโซราที่ถูกศพรายล้อมกำลังร้องไห้ออกมาโดยที่ก้มหน้าชันเข่าอยู่ เธอได้ผงะไปในทุกๆครั้งที่มีคำพูดที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังดังออกมา
“ฉันขอโทษ.. ฉันขอโทษจริงๆ…”
[ขอโทษ? เธอคิดว่าการขอโทษมันจะแก้อะไรได้หรอ?]
“ถ้างั้น… ฉันควรจะทำยังไง…?”
[ยังต้องให้พูดอีกหรอ? เธอก็ต้องตายเหมือนกัน! ฆ่าตัวเองซะเดี๋ยวนี้]
จากนั้นฟีโซราก็เงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย
“ฉันแค่ต้องตายหรอ…? ถ้างั้นพวกเธอจะให้อภัยฉัน…?”
[แน่นอนสิ! เราจะให้อภัยเธออย่างแน่นอน! เร็วเข้า….!]
ศพได้แสดงความยินดีกันออกมา ทำให้ซอลจีฮูต้องรีบตะโกนขึ้น
“ไม่ได้นะ คุณฟีโซรา!”
ฟีโซราได้ผงะไป เธอได้เงยหน้าขึ้นมามองซอลจีฮูด้วยสีหน้าตกตะลึง
“คุณฟีโซรา! นี่คือความฝัน! ความฝัน!”
แต่ถึงแบบนั้นฟีโซราก็ยังมองมาที่เขาด้วยสีหน้ามึงงง ซอลจีฮูได้รีบวิ่งออกไปข้างหน้าโดยที่ไม่อาจจะห้ามความไม่สบายใจเอาไว้ได้ แต่จากนั้นเขาก็ต้องหยุดลง
ก่อนที่เขาจะรู้ตัวเสียงพึมพำที่เต็มอยู่ทั้งชั้น 4 ก็ได้เงียบหายไป เขาไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงหายใจด้วยซ้ำไป เขาอาจจะเข้าใจผิดไป แต่ว่าเขารู้สึกได้ว่ามีสายตานับร้อยคู่กำลังมองมาที่เขา
แคร๊กกกกก!
ทันใดนั้นเสียงกระดูกแตกหักอันน่าขนลุกก็ได้ดังออกมา เสียงนั่นมาจากคอของศพ
คอของซากศพได้หมุม 180 องศาจนกระทั่งหันมามองซอลจีฮู เมื่อเห็นเบ้าตากลวงโบ๋ ซอลจีฮูก็ครางขึ้นภายในใจ
[ความฝัน?]
[กี๊ แล้วถ้ามันเป็นความฝันจะทำไมล่ะ?]
พวกเขาได้หัวเราะเยาะออกมา ดวงตาซอลจีฮูได้หรี่ลง
[เดี๋ยวก่อน เขาเป็นคนเข้ามาที่นี่เอง!]
[ถ้างั้นเราก็ปล่อยเขาออกไปไม่ได้! ฮิฮิ! ฮิฮิฮิ!]
พวกซากศพได้ระเบิดเสียงหัวเราะหน้าขนลุกออกมาก่อนที่จะหันมาหาเขาเต็มตัว ความเป็นศัตรูอย่างชัดเจนได้พวยพุ่งออกมา
[นายก็ต้องมาอยู่ที่นี่ด้วย!]
[กี๋ฮิ๋ฮิ๋!]
ขณะที่ซากศพกำลังวิ่งออกมาเหมือนไฮยีน่าหิวกระหาย…
ซ่าาา! แสงเจิดจ้าได้พุ่งออกมาจากจี้ มันสว่างจ้าจนทำให้ซอลจีฮูมองไม่เห็นไปครู่หนึ่ง
ต่อมาเสียงร้องก็ได้ดังออกมาจากทุกๆที่จนกลายเป็นความวุ่นวาย เมื่อใดก็ตามที่แสงสว่างส่งออกมา วิญญาณร้ายก็จะดิ้นทุรนทุราย เพียงเท่านี้ซอลจีฮูก็มั่นใจขึ้นมา
‘จี้นี่!’
คุณปู่ของโฟลนได้ทิ้งจี้เอาไว้เพื่อให้คนรุ่นถัดไปของตระกูลรอชเชอร์มาหามรดก คำสาปของเจดีย์แห่งความฝันจะทำงานไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นสมาชิกของตระกูลรอชเชอร์หรือไม่ก็ตาม ยังไงก็ตามจี้จะทำหน้าที่เป็นโล่คอยปกป้องผู้ถือครองจากการถูกผลของคำสาป
เพราะแบบนี้ทำให้จี้ส่องแสงออกมาตลอดในความฝันของซอลจีฮู และช่วยให้เขาตื่นขึ้นมาจากเสียงของโฟลน สมมติฐานที่ว่าโฟลนไม่ถูกคำสาปก็เพราะเธอไม่ใช่สิ่งมีชีวิต ก็สมเหตุสมผลอีกด้วย
เมื่อรู้แบบนี้ซอลจีฮูก็ไม่ได้กลัวอะไรอีกแล้ว ยังไงจี้นี่ก็คือบัตรผ่านที่จะช่วยเขาในการไปหามรดกของตระกูลรอชเชอร์
“เอาล่ะนะ คุณฟีโซรา!”
ในทันทีที่เขารู้ถึงเรื่องนี้ เขาก็ได้รีบลงมือทันที เขาได้คว้าแขนฟีโซราเอาไว้ และรีบวิ่งลงบันไดไป
แม้ว่าจะออกมาจากชั้นที่ 1 แล้วซอลจีฮูก็ยังวิ่งต่อไปไม่หยุด ถึงจริงๆแล้วเขาไม่จำเป็นต้องวิ่งเลย แต่ว่าซอลจีฮูก็ยังคงลากฟีโซราออกมาเพราะว่าเธอกำลังหดหู่ เธอกระทั่งส่งเสียงวุ่นวายออกมาอีกด้วย
“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน!”
หลังจากวิ่งตามหาดทรายอยู่นาน ซอลจีฮูก็ได้หยุดลง นั่นก็เพราะว่าขาของฟีโซราเริ่มอ่อนแรงและสะดุดล้ม
“เกิด… อะไรขึ้น…?”
“ความฝัน นี่ก็คือความฝัน ผมบอกคุณไปกี่ครั้งแล้วเนี้ย?”
“ความฝัน? ไม่นะ ฉันมั่นใจว่า…”
ฟีโซราดูจะสับสนมากๆ
ซอลจีฮูได้เม้มปากออกมา เขาได้บอกเธอถึงความไม่สอดคล้องกันของโลกความฝันนี้ แต่ว่าเธอก็ยังไม่แสดงทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลย แผลทางใจที่เธอเก็บเอาไว้นานคงจะปะทุออกมาและส่งผลกับจิตใจของเธออย่างแน่นอน ฝันร้ายนี้ดูเหมือนจะได้กัดกินสภาพจิตใจของเธอไปอย่างมากแล้ว
“แต่ว่าทุกๆอย่างมันชัดเจนมาก…”
ซอลจีฮูได้เริ่มรู้สึกรำคาญใจขึ้นมา แต่ว่าเขาก็ห้ามตัวเองเอาไว้
‘ฉันก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน’
เป็นอย่างที่โฟลนบอกเอาไว้ คนที่ฝันอยู่จะไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังฝันอยู่เลย ในขณะที่คนที่เข้าไปแทรกแซงฝันคนอื่นจะรู้ตัวดีว่าพวกเขากำลังอยู่ในความฝัน
แต่ว่าถึงยังไงเขาก็มีเวลาไม่มากแล้ว จี้อาจจะช่วยให้เขาหนีมาได้ แต่ว่าการอยู่ภายในความฝันนานเกินควรมันไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด
งั้นเขาควรจะทำยังไงดีล่ะ? เขาจะทำลายฝันร้ายของฟีโซราได้ยังไงกัน?
เขารู้วิธี จากประสบการณ์ของเขา ฟีโซรากำลังปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าโลกใบนี้เป็นความจริง
ซอลจีฮูได้ค่อยๆย่อตัวลงไปจนถึงระดับสายตาเดียวกับฟีโซรา และค่อยๆโอบบ่าของเธอ
“คุณฟีโซราตั้งใจฟังผมนะ พวกเราต่างก็เคยเจออะไรคล้ายๆกันใช่ไหมล่ะ?”
“นั่น…”
ฟีโซราได้หยักหน้าออกมาโดยไม่รู้ตัว ซอลจีฮูได้พูดขึ้นอย่างสงบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ลองนึกดูนะ นับตั้งแต่นั้นมีสิ่งต่างๆเกิดขึ้นมากมาย เราได้เจอกันก็เพราะการรับพี่น้องยี่เข้ามาในทีม คุณได้ตามผมมาที่คาเพเดี่ยม เราได้สู้ในสงครามร่วมกัน จากนั้นก็เจอกันที่โลก”
ปากของฟีโซราได้อ้าออกมาเล็กน้อย ซอลจีฮูก็ยังเห็นปฏิกิริยานี้ดี
“คุณยังจำถึงสิ่งที่คุณบอกผมด้วยความโกรธในตอนที่เรากำลังกินสตูวได้ไหม?”
ฟีโซราได้เบิกตาขึ้นมา
“เอ๋? เดี๋ยวก่อนนะ พอนายพูดมันแล้ว การเจอกันบนโลกคือ…”
สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นหลังจากเหตุการคฤหาสน์จักรพรรดิโบราณ
ฟีโซราคงจะนึกอะไรขึ้นได้แล้วทำให้เธอพึมพำกับตัวเอง
“ใช่แล้ว หลังจากสงคราม… ฉันได้อยู่กะคอยดูนาย… จากนั้นฉันก็ได้ยินมาว่าเพื่อนของฉันฆ่าตัวตาย แล้วก็กลับไปที่โลก…”
“คุณบอกว่าคุณไปงานศพ”
ซอลจีฮูรู้สึกเหมือนกับว่าเขาได้จี้ความทรงจำที่เจ็บปวดของเธอ สายตาที่เลือนรางของเธอได้ค่อยๆกระจ่างชัดขึ้นมา
“…ถ้างั้น”
สีหน้าของฟีโซราได้ฟื้นคืนกลับมา และเธอก็ได้พึมพำเบาๆ
“เชี้ยเอ้ย ฝันบ้านี่มัน”
เธอได้สบถออกมาจนทำให้ซอลจีฮูยิ้มขึ้น
ใช่แล้ว นี่แหละคือฟีโซรา
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน-“
“ไว้ค่อยคิดเรื่องนี้ทีหลังนะ คุณไม่ใช่คนเดียวที่หลับไป พวกเราต้องรีบกันแล้ว”
ซอลจีฮูได้พูดออกมาอย่างหนักแน่น
“ทำไมคุณไม่ตื่นสักทีล่ะเจ้าหญิงฟีโซรา? ถ้ามันยากเกินไป-“
ความกังวลได้พุ่งออกมาจากภายในตัวเขา แต่ว่าซอลจีฮูได้พยายามรักษาสีหน้าเอาไว้ และพึมพำออกมาอย่างไร้ยางอาย
“คุณอยากจะให้ผมจูบไหม?”
“อะไรนะ?”
ฟีโซราได้เลิกคิ้วสูงขึ้นมา
“ไอ้สารเล- อั๊ก!”
ผั๊วะ!
“อึก!”
ในทันทีที่ฟีโซราตื่นขึ้นมา เธอก็ได้กลิ้งไปกับพื้นพร้อมซอลจีฮู หัวของเธอได้กระแทกเข้ากับเขาอย่างแรก
“…คุณนี่มีนิสัยการนอนที่แย่จริงๆ”
ซอลจีฮูได้ลูบหน้าผากทั้งน้ำตา
“นะ นายเป็นคนพูดนะ!”
ฟีโซราที่กำลังถูหน้าผากได้มองไปรอบๆ และพูดไม่ออก
“นายพูดถูก”
“อ๊ะ อย่ามองไปที่หินนะ เว้นแต่ว่าคุณอยากจะเจอฝันร้ายอีก”
ฟีโซราได้รีบหันกลับมา
‘เกือบไปแล้ว’
ซอลจีฮูได้กลืนน้ำลาย
“ผมขอโทษนะที่มาบอกเอาหลังจากคุณตื่นขึ้นมา แต่ว่าเราไม่มีเวลาแล้ว คุณเข้าใจใช่ไหม?”
“ชะ ใช่แล้ว”
“ในตอนนี้คุณกับผมเป็นคนที่ตื่นอยู่ คนอื่นๆต่างก็ยังอยู่ในฝันร้าย”
เอิ๊อก ลำคอของฟีโซราได้กลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่ เธอไม่ได้โง่ หลังจากได้กลับมาสู่ความเป็นจริง เธอก็ได้กลับมาเฉียบคมเหมือนเดิม และเข้าใจถึงสิ่งที่ซอลจีฮูอยากจะทำได้ในทันที
“ฉันต้องทำอะไร?”
“โอเค ก่อนอื่น-“
“เฮือกกก!”
ขณะที่ซอลจีฮูกำลังจะอธิบายออกมา จู่ๆเสียงร้องสั้นๆก็ดังขึ้น ฟีโซรากับซอลจีฮูได้หันไปมองตาเสียง และเห็นฟีโซรากำลังสะบัดแขนชักกระตุกอยู่
ไม่นานนะ-
ดวงตาเทเรซ่าได้เบิกโพล่งขึ้นมา และเธอได้หอบหายใจหนัก
“ความฝัน?”
เธอได้พึมพำออกมานิ่งๆ จากนั้นก็ดันตัวเองลุกขึ้นมา
“นั่นมันความฝันใช่ไหม?”
เมื่อเห็นเทเรซ่ากำลังพึมพำกับตัวเอง ซอลจีฮูก็อุทานขึ้นด้วยความตกใจ
เธอได้ตื่นขึ้นมาเองโดยไม่ต้องมีการช่วยเหลือจากจี้เลยหรอ? จากฝันร้ายที่เหมือนจริงจนน่ากลัวนั่นน่ะหรอ?
“เจ้าหญิง?”
เทเรซ่าได้หันหน้ามามอง
“…ซอล”
เธอได้มองมาที่เขาด้วยสายตาที่ยังคงมีความสับสนอยู่
“เธอไม่เป็นอะไระนะ?”
เทเรซ่าไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอเอาแต่จ้องมาที่เขาด้วยความสงสัย
“เจ้าหญิง…?”
เมื่อเขาได้เรียกเธออีกครั้งหนึ่ง จู่ๆเทเรซ่าก็ยกแขนขึ้นมาทำเป็นรูปหัวใจ
“สามี!”
จากนั้นเธอก็ตะโกนขึ้นอย่างมีชีวิตชีวา
“ฉันรักนาย!”
“…ว่าไงนะครับ?”
ใบหน้าซอลจีฮูได้บิดเบี้ยวไป
จู่ๆเกิดอะไรขึ้นกับเธอคนนี้กัน
ยังไงก็ตามเทเรซ่าไม่ได้หยุดแค่นี้
“ว่าไงนะครับ? ว่าไงนะครับอะไรกัน? ฉันบอกว่าฉันรักนายไง! เมื่อไหร่นายจะเข้าใจสักที? ฉันอยากจะแต่งงานจะตายอยู่แล้ว!”
“ว่าไงนะ?”
ฟีโซราได้มองไปที่เธอเหมือนกับกำลังมองคนบ้า แต่ว่าเทเรซ่าก็ไม่ได้สนใจฟีโวรา และยังคงตะโกนออกมา
“อ๊าา~ หยุดทำเป็นหูหนวกได้แล้ว หากว่านายทำให้ฉันโกรธ ฉันจะผลักนายลงเดี๋ยวนี้แหละ อ่า พอเราคุยเรื่องนี้กันแล้ว ทำไมเราไม่มามีลูกคนแรกกันล่ะ? นายพร้อมไหม?”
“ว่าไงนะครับ?”
หลังจากพูดเรื่องไร้สาระออกมาสี่ครั้งติดกัน เทเรซ่าก็มองมาที่ซอลจีฮูและพูดซ้ำๆว่า ‘แล้ว? แล้ว?’
“….ใช่แล้ว”
ต่อจากนั้นเธอก็หลับตาลงด้วยใบหน้าที่ยอมรับ จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“?”
“นี่แหละคือปฏิกิริยาที่ถูก”
“?”
นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?
เทเรซ่าได้นอนแผ่ลงไปและพึมพำออกมา
“นี่คือความจริง”
ซอลจีฮูได้กลายเป็นสับสนไป คำสาปจะดึงเอาความทรงจำที่คนๆหนึ่งกลัวที่สุด และทำให้พวกเขาได้เจอกับฝันร้าย
ถ้าแบบนั้น…
‘เจ้าหญิงฝันเรื่องอะไรกัน?’
แล้วก็…
‘เธอหลุดออกมาจากความฝันได้ยังไงกัน?’
บทที่ 217 – ความปรารถนาที่ไม่อาจเติมเต็ม
ซอลจีฮูสงสัยในความฝันของเทเรซ่าเป็นอย่างมาก แต่ว่าในตอนนี้เขาได้ตัดสินใจที่จะตั้งสมาธิกับหน้าที่ในมือก่อน
‘ฉันระวังตัวเกินไป’
ในตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว เขาพยายามที่จะไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามเพราะเขาขาดข้อมูล แต่ว่าเขาควรที่จะทำลายหินบ้านั่นไปในทันทีที่เห็นเหมือนอย่างที่โฟลนแนะนำ
แม้ว่าเขาจะไม่มั่นใจว่ามันจะถูกต้องไหม แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้
แต่ปัญหาก็คือความผิดพลาดได้เกิดขึ้นแล้ว
ในตอนนี้มีทางเลือกให้ซอลจีฮูแค่สองทางเท่านั้น
[ทำการช่วยเหลือต่อไป]
[ทำลายหินนั่น]
หลังจากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ซอลจีฮูก็เลือกอย่างแรก
นั่นเพราะว่ามันไม่มีอะไรรับประกันว่าการทำลายหินจะปลุกให้พรรคพวกของเขาตื่นขึ้นมาจากฝัน
แน่นอนว่ายังมีตัวเลือกให้ทำทั้งสองอย่างพร้อมกันอยู่ แต่ว่าเขาจะต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุด
หากให้เปรียบเทียบแล้ว ทั้งห้าคนเหมือนกับกำลังอยู่ในโลกเสมือนจริงที่มีหินนั่นเป็นตัวเชื่อมต่อพวกเขาเข้ากับที่นั่น ซอลจีฮู เทเรซ่า และฟีโซราได้ออกมาจากโลกนั้นแล้ว เพราะงั้นการปิดตัวเชื่อมต่อจะไม่มีปัญหาอะไรกับพวกเขา
แต่หากว่าตัวเชื่อมต่อถูกปิดไปในตอนที่พวกเขายังติดอยู่ในโลกเสมือนล่ะ?
แค่คิดก็ทำให้เขาต้องขนลุกขึ้นมาแล้ว อย่างแรกเขาจะต้องปลุกพรรคพวกขึ้นมาก่อน
และเพราะแบบนั้นซอลจีฮูจึงอธิบายสถานการณ์คร่าวๆออกมา
หากว่าเขาอยู่คนเดียวมันคงจะเป็นสถานการณ์ที่น่าสิ้นหวัง แต่ว่าในเมื่อเทเรซ่าก็ได้ตื่นขึ้นมาเองได้แล้ว เขาก็กลายเป็นมั่นใจมากขึ้น
ในที่สุดปฏิบัติการช่วยเหลือก็ได้เริ่มขึ้นโดยที่ซอลจีฮูกับฟีโซราจะรับมือกับมาเรีย และเทเรซ่ารับมือกับฮิวโก้
ซอลจีฮูได้แนะนำให้พวกเขาร่วมมือกันภายใต้การคุ้มครองจากจี้ แต่ว่าเทเรซ่าได้แย้งออกมาว่าการแยกกันจะเร็วกว่า
เมื่อคิดว่าคำแนะนำของเธอก็มีเหตุผล ทำให้ซอลจีฮูเชื่อเธอเนื่องจากว่าเธอคือคนที่ตื่นมาจากฝันด้วยตัวเอง
ทุกๆคนต่างก็มีเวลาตื่นนอนที่ต่างกันไป
บางทีอาจจะเป็นเพราะบุคคลิกที่แตกต่างกันไปก็ได้
สำหรับมาเรียแล้วแม้ว่าจะไม่ใช้เวลานานเท่าที่เขาใช้ไปกับฟีโซรา แต่ว่าก็ยังต้องใช้เวลาในการปลุกเธอนานอยู่ดี
ในความฝันของเธอ มาเรียได้กลายเป็นคนถังแตก พูดให้ชัดก็คือเธอได้กลายเป็นขอทานข้างถนนที่น่าสงสาร โดยที่มีแค่คนหยิบยื่นขนมปังมาให้เธอก็ยินดีแล้ว
การหาเธอไม่ได้ยากเลย แต่ปัญหาก็คือเสียงโหยหวนของเธอในตอนที่เธอเจอเข้า ก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่เขาอย่างแรก
‘นายมันไอ้เศษสวะไร้ค่า! เพราะนาย! เพราะนาย ฉัน!’
ซอลจีฮูได้ค่อยๆปลอบมาเรียว่าทุกๆอย่างคือความฝันอยู่นานก่อนที่จะทำให้เธอตื่นขึ้นมาได้สำเร็จ
ในอีกด้านหนึ่ง ขณะที่คาซุกิกำลังฝันร้ายถึงเรื่องน้องสาวเขา แต่แล้วเมื่อเขาเห็นซอลจีฮูปรากฏตัว เขาก็รู้ตัวว่านี่คือความฝันและตื่นขึ้นมาได้ในทันที
หลังจากช่วยได้อีกสองคนแล้ว เขาก็เห็นเทเรซ่ากับฮิวโก้กำลังนอนอยู่ข้างๆโชฮงโดยที่จับมือเธอไว้แน่น
จากที่ดูแล้ว เทเรซ่าได้ปลุกฮิวโก้ขึ้นมาได้สำเร็จ และในตอนนี้กำลังไปช่วยโชฮงต่อด้วยกัน
แต่แล้วเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงก็ได้เกิดขึ้นเมื่อเขาตื่นขึ้นมาหลังจากช่วยคนสุดท้าย มาแชล จิโอเนีย
เขาได้ใช้เวลานานกว่าที่จะปลุกนักธนูเหล็กกล้าคนนี้ขึ้นมาจากฝันเกี่ยวกับคู่มั่น แต่ว่าทั้งเทเรซ่ากับฮิวโก้ก็ยังคงหลับอยู่
ในตอนแรกที่มองดู สีหน้าทั้งสามคนไม่สู้ดีเลย พวกเขาทั้งสามคนกำลังเปียกเหงื่อโชก
ซอลจีฮูได้รีบเข้าไปช่วยพวกเขาอย่างตื่นตระหนก แต่ว่าโชคดีที่ทั้งสามคนได้ตื่นขึ้นมาก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร
เทเรซ่าได้หอบอย่างหนักทันทีที่ตื่นขึ้นมา
“ฟู่ววว! รอดแล้ว”
“อ๊าาา”
ฮิวโก้ได้ส่ายหัวออกมา
ในที่สุดซอลจีฮูก็โล่งใจออกมาหลังจากที่เห็นใบหน้างุนงงของโชฮง
และเพราะแบบนี้สมาชิกทีมทั้งหมดก็ถูกช่วยเอาไว้ได้สำเร็จแล้ว
***
หลังจากการช่วยเหลือแล้ว สมาชิกทีมก็ได้มารวมตัวกันอยู่ห่างจากดอลเมน
นี่ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน แต่คือการพักและจัดระเบียบความคิด
มันถูกแล้วที่พวกเขาทำแบบนี้ แม้ว่าความเป็นจริงจะผ่านไปแค่สิบนาทีเท่านั้น แต่ว่าพวกเขาแต่ล่ะคนต่างก็ได้ใช้เวลาอย่างน้อยหลายวันไปจนถึงหลายเดือนในความฝัน นอกไปจากนี้เพราะความฝันมันเป็นฝันร้าย พวกเขาทั้งหมดจึงค่อนข้างจะไม่มั่นคง
“ทุกๆคนโอเคกันนะ?”
ซอลจีฮูได้มองไปที่สมาชิกแต่ล่ะคนที่นั่งหันหลังให้หิน และถามออกมา
“ฉันขอโทษนะ ฉันตัดสินใจพลาดไป ฉันควรจะทำอะไรสักอย่างก่อนเราจะมาหาหิน…”
“มันไม่ใช่ความผิดของนายหรอก”
คาซุกิได้พูดออกมาเบาๆ
“ไม่มีใครรู้ว่าหินนั่นคืออะไรตั้งแต่แรกแล้ว ในทันทีที่แสงสว่างจ้าออกมาเราก็ไม่ได้ทำอะไรกันเลย… กลับกัน พวกเราควรจะขอบคุณนายที่ช่วยเราไว้”
และเขาก็กัดฟันด้วยสีหน้ามัวหมอง
“มันเป็นฝันที่ทุเรศจริงๆ…”
“คิคิ”
เสียงแปลกๆได้ดังออกมา มันเหมือนกับเป็นเสียงของคนที่กำลังกลั้นขำอยู่
ซอลจีฮูกับคาซุกิได้หยุดคุยกัน และหันไปมองฮิวโก้ที่กำลังตัวสั่นด้วยสีหน้าฝืนทน
แม้กระทั่งเทเรซ่าก็ยังเอามือมาปิดปากเอาไว้ และไหล่เธอกำลังสั่นอย่างชัดเจน
“อ๊ะ-! อย่าขำ- ฮ่าฮ่าฮ่า!”
“พรืดดด-!”
ขณะที่ฮิวโก้ส่งเสียงแปลกๆออกมา โชฮงที่นั่งอย่างสับสนจู่ๆก็คอแดงขึ้นมาทันที เธอได้ทำอะไรไม่ถูกก่อนที่จะแอบเหลือบมามองซอลจีฮู จากนั้นเธอก็จ้องไปที่ฮิวโก้พร้อมจิตสังหาร
“แกขำบ้าอะไรกัน? ไอ้เวรนี่?”
“พรืดดด!”
“เฮ้! พอได้แล้ว ไอ้เวรนี่ไม่เข้าใจความรู้สึกคนอื่น…”
“พรืดด ฮ่าฮ๋า!”
“ไอ้สารเลวเอ้ย”
โชฮงได้ยืนขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
เธอได้ควานหาแท่งเหล็กหนามของเธอที่พื้นก่อนที่จู่ๆจะเลิกคิ้วขึ้นมา
“หืม? มีอะไรแปลกๆ”
ฮิวโก้ได้หัวเราะเยาะออกมา
“ดูสิ เธออายจนเปลี่ยนเรื่องเลย!”
“ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น”
โชฮงได้ตะโกนออกมา
“ดูพื้นสิ! มันกำลังกระพริบ!”
คำพูดนี้ได้ทำให้ตาคาซุกิเบิกกว้างขึ้นมา เขาได้รีบยืนขึ้นทันทีหลังจากที่มองสลับไปมาระหว่างหมอกกับพื้น
“จริงด้วย”
มันเป็นเรื่องธรรมดาที่แสงจะสลัวลงเมื่อพวกเขาอยู่ห่างไกลออกไป ยังไงก็ตามแสงมันชัดเจนมา และมันมีการกระพริบติดและดับเหมือนกับหลอดไฟที่หมดอายุการใช้งาน
“อ๊าาาา! ระ เราต้องหนีแล้ว!”
มาเรียที่กำลังได้ผลกระทบจากฝันร้ายอยู่ได้เริ่มชักกระตุกขึ้นมา
พวกเขากำลังพักผ่อนกันอยู่ในป่าอย่างเหนื่อยล้า แต่ทุกๆคนต่างก็คิดเหมือนกัน การยอมแพ้มันดีซะกว่าการต้องเจอกับฝันร้ายแบบนั้นอีกเป็นร้อยเป็นพันเท่า
จากนั้นเอง
วูมมมม-!
จู่ๆเสียงรบกวนที่เหมือนกับคลื่นเสียงก็ดังไปทั่วทั้งป่าที่เงียบสงบ
-กำลังตรวจสอบครั้งล่าสุดที่เปิดการทำงาน
-…เสร็จสิ้น 586 ปี 274 วัน 3 ชั่วโมง 26 นาที 47 วินาทีก่อน เปิดการทำงาน ‘จารึกแห่งการประเมิน’ เสร็จสิ้น
เสียงกลไกอันน่าเบื่อหน่ายได้ดังออกมาโดยไม่รอการตอบสนองจากพวกเขาเลย
‘หืม?’
ซอลจีฮูได้สงสัยในสิ่งที่จู่ๆเขาก็ได้ยิน แต่ไม่ว่าเขาจะคิดยังไงก็ตาม เสียงกลไกก็ยังคงดังต่อไป
-ผู้บุกรุกแปดคน… แก้ไข ตรวจพบมนุษย์แปดคนกับวิญญาณหนึ่งตน การประเมินจะเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้
ในเวลาเดียวกันแสงสีน้ำเงินก็กวาดผ่านทั้งทีมไปเหมือนกับคลื่นมหาสมุทร
-เสร็จสิ้น ยืนยันการผ่าน ‘ฝันร้ายจำลอง’ การประเมินได้เปลี่ยนจาก ‘ผู้บุกรุกอันหยาบคาย’ เป็น ‘ผู้บุกรุกที่คาดไม่ถึง’ กำลังเตรียมการเตือนภัยระดับ 2
-แก้ไข วิญญาณมาจากตระกูลรอชเชอร์กับ ‘สัญญาแห่งการหักห้าม’ ได้รับการยืนยัน การประเมินเปลี่ยนแปลงจาก ‘ผู้บุกรุกที่คาดไม่ถึง’ เป็น ‘แขกอันชอบธรรม’ การเตือนภัยระดับ 2 จะถูกยกเลิกไป
-การแก้ไขเพิ่มเติม ยืนยันตัวตนบุคคลที่ผ่านการจำลองได้ด้วยตัวเองสองคน มอบคุณสมบัติ ‘ผู้เชี่ยวเชี่ยวที่เฝ้ารอ’ เหนือ ‘แขกอันชอบธรรม’
เสียงกลไกได้ดังก้องในหัวของทุกๆคน
มาเรียได้ชะงักไป
“มะ มันพูดว่าอะไรกัน?”
“ฉะ ฉันก็ไม่รู้ แขก? ผู้เชี่ยวชาญ?”
โชฮงก็ยังแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา ยังไงก็ตามด้วยสติปัญญาของซอลจีฮู เขาได้เข้าใจสถานการณ์ในทันที
‘เป็นไปได้ไหมว่า?’
คาซุกิได้พูดขึ้นมา
“การพูดของเสียงนี้จะขึ้นอยู่กับตัวตนของผู้บุกรุก แล้วก็การที่พวกเขาตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย”
ซอลจีฮูก็คิดเหมือนกัน
“นายล้อฉันเล่นหรือเปล่า นายกำลังบอกว่านี่มี AI ด้วยงั้นหรอ?”
“…โชฮง”
คาซุกิได้ถอนหายใจยาวออกมา
“อย่าได้ดูถูกเวทมนต์ของพาราไดซ์ เมื่อหลายศตวรรษก่อน ตอนที่จักรวรรดิยังอยู่ในยุคทอง และบรรลุถึงจุดสูงสุดของวิศวกรรมเวทย์ คุณภาพชีวิตของพวกเขาอาจจะเทียบได้กับที่โลกของเรา หรือไม่ก็เหนือกว่าด้วยซ้ำไป”
“แต่ว่า…”
คาซุกิได้เบือนหน้าจากโชฮงที่พูดขาดไป
“ยังไงก็ตามคนสองคนที่ผ่านการจำลองน่าจะเป็น…”
เขาได้มองไปที่ซอลจีฮูกับเทเรซ่า
‘แต่ว่าฉันไม่ใช่นี่’
ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา ที่เขาตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายได้นั่นก็เพราะจี้
จารึกแห่งการประเมินหรืออะไรก็ตามอาจจะนับว่าการไม่ได้รับการช่วยเหลือจากภายนอกว่าเป็นความสำเร็จก็ได้
-นายท่านได้มอบคำเชิญให้กับ ‘แขกอันชอบธรรม’ กับ ‘ผู้เชี่ยวชาญที่เฝ้ารอ’
-หากจุดประสงค์ของท่านมีเพียงแค่มารับมรดกของตระกูลรอชเชอร์ไป โปรดยืนอยู่ในจุดเดิม หากว่าท่านต้องการตอบรับคำเชิญ ‘ผู้เชี่ยวชาญที่เฝ้ารอ’ โปรดวางมือลงบนจารึกแห่งการประเมิน
เสียงกลไกได้กลายเป็นสุภาพขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทัศนคติของเสียงได้เปลี่ยนไปตามคุณสมบัติของพวกเขาอย่างที่คาซุกิบอกจริงๆ
“ดูจะไม่ใข่ความคิดที่แย่นะ… เอาไงดีล่ะ?”
เมื่อได้ยินคำถามของคาซุกิ ซอลจีฮูได้หันไปมองเทเรซ่า
เทเรซ่าก็ยังหันหน้ามามองซอลจีฮู
-หลังจากหนึ่งนาที คำเชิญจะถูกพิจารณาว่าเป็นการปฏิเสธ และการส่งมอบมรดกของตระกูลรอชเชอร์จะเริ่มต้นขึ้น 59 วินาที 58 วินาที…
ไม่มีอะไรให้ต้องคิดแล้ว
ซอลจีฮูได้รีบวิ่งออกไปข้างหน้า
“หืม? เฮ้ เฮ้!”
ซอลจีฮูได้ยินเสียงโชฮงเรียกออกมา แต่ว่าเขาก็ยังไม่หยุด
นั่นก็เพราะเขาได้ใช้นพเนตรตรวจสอบสีของมันแล้ว
สีเหลืองจากทั้งพื้นที่ได้หายไป และที่แห่งนี้กำลังเปล่งแสงสีทองออกมา
หากไม่พูดถึงเรียกบัญญัติทองคำ เอาแค่การหายไปของสีทิศเบื้องซ้ายนั่นก็หมายความว่าอันตรายได้หายไปแล้ว
จารึกแห่งการประเมินยังคงส่องแสงสีน้ำเงินออกมาเหมือนเดิม หากว่าจะมีอะไรที่ต่างจากเดิม ก็คือแทนที่มันจะเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา ในตอนนี้มันกำลังเปล่งแสงอ่อนๆ
ซอลจีฮูได้มาถึงจารึกเป็นคนแรก และคนที่เหลือได้ตามเขามาอย่างรวดเร็ว มาเรียที่วิ่งใช้มือปิดตาอยู่ได้สะดุดก้อนหินไป
-12 วินาที 11 วินาที 10 วินาที 9 วินาที…
มันไม่มีอะไรแล้ว ต่อให้เขาอยากจะคุยกันอีกสักหน่อยก็ตาม
“ฉันจะไป”
หลังจากพูดจบ ซอลจีฮูได้วางฝ่ามือลงไปบนจารึกแห่งการประเมิน
ในตอนนั้นเอง
วูมมมมม!
เสียงทุ้มได้ดังก้องออกมาจากจารึกแห่งการประเมิน
มือของเขารู้สึกร้อนขึ้นมาในทันที
แสงประกายระยิบระยับได้ปรากฏออกมารอบๆจารึกจนทำให้ทั้งโลกสั่นไหว
“อ๊าา! อ๊ากกก! ฉันบอกนายแล้ว! ซอลจีฮู นายมันสารเลว!”
มาเรียที่คิดว่ากำลังเกิดแผ่นดินไหว ได้ย่ำเท้ากับพื้นอย่างไม่พอใจ และร้องออกมา แต่ว่าคนอื่นๆนอกจากมาเรียต่างก็มองไปรอบๆตัวด้วยสีหน้าที่พูดอะไรไม่ออก
“โลกใบนี้คือ…”
มันกำลังละลาย
ไม่มีคำพูดอื่นที่จะอธิบายอีกแล้ว
ใครบางคนได้อุทานออกมา
“ไม่น่าเชื่อเลย…”
นี่ภาพที่น่าเหลือเชื่ออย่างถึงขีดสุด ทุกๆครั้งที่โลกสั่น ใบไม้ก็จะร่วงจากต้นไม้ และหมู่เมฆบนท้องฟ้าก็จะหายไป
มันราวกับว่ามีคำกำลังสาดน้ำเข้าใส่ภาพวาดที่ยังไม่แห้ง
ภาพตรงหน้าของพวกเขาได้หายไปเหมือนกับไม่เคยมีมาก่อน และหลังจากนั้นโลกที่ซ่อนอยู่ด้านหลังก็ได้เริ่มเผยออกมา
ภูมิทัศน์ของมันงดงามมากจนทำให้คนๆหนึ่งต้องอ้าปากค้างได้เลย ทัศนียภาพของมันงดงามมากจนพระราชศ์ของฮารามาร์คดูด้อยค่าไปเลยเมื่อนำมาเทียบกัน
ถนนที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ต้นไม้และต้นหญ้าที่ส่องประกายรับแสงอย่างสดใสตามข้างถนน และกรีบดอกไม้ที่ร่องรอยไปตามสายลม…
ขณะที่สูดหายใจกลิ่นหอมอ่อนก็จะเข้ากระทบกับจมูกของพวกเขา
ใจกลางสวนอันงดงามได้มีพระราชวังสีทองตั้งตระหง่านอยู่ ภายใต้ภูมิทัศน์อันน่าอัศจรรย์นี้ พระราชวังที่ถูกปกคลุมไปด้วยทองคำดูน่าตื่นตะลึงมากจริงๆ
“ว้าว…”
แทนที่จะ ‘ยิ่งใหญ่’ มันกลับดูเหมือนฝันมากกว่า
-ยินดีต้อนรับสู่เจดีย์หลักแห่งมนตราโบราณ เจดีย์แห่งความฝัน
น้ำเสียงกลไกอันน่าเบื่อได้ดังขึ้นอีกครั้ง
-นายแห่งข้า ‘แม่มดแห่งความฝัน’ ‘โรเซร่า ลา กาเซีย’ กำลังรอท่านอยู่
-ทางนี้
ถนนตรงหน้าที่นำไปสู่พระราชวังได้สว่างไสวออกมาด้วยแสงอ่อนๆในทันทีที่เสียงพูดจบ
ซอลจีฮูได้ก้าวไปข้างหน้าราวกับต้องมนต์ และคนที่เหลือก็ค่อยๆก้าวตามเขาไป
ไม่มีใครวิ่งเลย
กลับกันทุกๆคนดูเหมือนจะอยากเดินไปอย่างช้าๆ
“มันงดงามมากจริงๆ… จนแทบจะกลายเป็นน่าหลงใหล”
เทเรซ่าอดไม่ได้ที่จะพูดแบบนี้ออกมาเมื่อมองดูภาพรอบตัวด้วยสีหน้าชวนฝัน
ซอลจีฮูก็เห็นด้วย
การได้เดินไปตามท้องถนนที่เหมือนกับกระจก และเพลิดเพลินไปกับกรีบดอกไม้ที่กระทบใบหน้าทำให้เขามีความสุขมากจริงๆ
มันเหมือนกับว่าเขากำลังได้รับการบูชาจากทุกๆคน
ในตอนที่เขาได้มาจนสุดทาง เขาถึงขนาดรู้สึกผิดหวังแปลกๆขึ้นมา
ไม่ว่าจะยังไงเขาก็อยู่ตรงนี้ไปตลอดไม่ได้
เอื๊อดดด-!
เมื่อสงวนท่าทีได้แล้ว ซอลจีฮูก็ได้มองดูประตูหน้าเปิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติในทันทีที่เขามาถึง
หลังจากนั้นไม่นานขณะที่ซอลจีฮูกำลังเดินเข้าไปข้างในหลังจากประตูใหญ่ถูกเปิดขึ้น-
“ยินดีต้อนรับ”
น้ำเสียงสดใสชัดเจนที่เหมือนกับเสียงหยกหินอ่อนกลิ้งไปบนจานเงินได้ดังเข้าหูเขา
บทที่ 218 – ความปรารถนาที่ไม่อาจเติมเต็ม
ภายในพระราชวังทองคำนั้นงดงามอย่างแท้จริง สัญลักษณ์สีทองได้ถูกสลักเอาไว้บนพื้นหินอ่อน และกระทั่งหน้าต่างก็ยังมีขอบทองอีกด้วย
และด้วยเครื่องประดับตกแต่งต่างๆภายในพระราชวัง ต่างก็ทำให้ทุกๆคนนึกไปถึงพระราชวังแวร์ซายของฝรั่งเศษ ที่ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความงดงาม
“ฉันรู้สึกยินดีนะที่พวกคุณชอบพระราชวังจนๆแห่งนี้”
จากนั้นเสียงดังกังวาลก็ดังเข้ามาในหูทุกๆคน จนทำให้สายตาของพวกเขามองตรงออกไปด้านหน้า
มีบัลลังก์ที่ทำมาจากทองคำตั้งอยู่ที่ปลายสุดของทางเดิน และตรงนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังค่อยๆลุกขึ้นมองดูทีมปฏิบัติการอย่างเป็นมิตร
เธอดูยังเด็กและอ่อนแอ ส่วนสูงดูจะไม่ถึง 150 เซนติเมตรด้วยซ้ำไป ผมสีน้ำเงินของเธอถูกเสยไปด้านหลัง และมัดเป็นจุกไว้ซึ่งช่วยขับเน้นใบหน้าเล็กๆของเธอมากยิ่งขึ้น
ดูเหมือนการเรียกเธอว่าหญิงสาวจะเหมาะกับผู้หญิงซะอีก
ตึก… ตึก…
ซอลจีฮูได้รู้สึกงุนงงขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงส้นเท้า หญิงสาวกำลังเดินลงมาจากบันไดอย่างสง่างาม โดยที่มือยังคงประสานอยู่ที่ท้องน้อย
เมื่อเธอเข้ามาใกล้ขึ้น เครื่องแต่งการของเธอก็เริ่มมองเห็นได้ชัดเจน ด้านบนของเธอสวมใส่ไว้ด้วยชุดเดรสสีดำในสไตล์โกธิคโลลิต้าซึ่งช่วยแสดงให้เห็นถึงส่วนโค้งเว้าของเธอ และส่วนร่างของเธอได้สวมไว้ด้วยกระโปร่งกว้างที่ยาวจนถึงข้อเท้า
“ขอบคุณทุกๆคนที่ตอบรับคำเชิญของฉันนะ”
หลังจากที่เดินลงมาจากบันไดแล้ว เธอก็จับชายกระโปร่งของเธอ และโค้งให้พวกเขาอย่างสุภาพ
“ยินดีต้อนรับสู่เจดีย์แห่งความฝัน แขกอันชอบธรรม”
เธอได้มองดูทีมปฏิบัติการคร่าวๆ จากนั้น
“และผู้เชี่ยวชาญที่เฝ้ารอ”
เธอได้ยิ้มให้กับซอลจีฮูและเทเรซ่า รอยยิ้มของเธอดูน่ารักมากจนดึงความสนใจจากทุกๆคนไปในทันที
ยังไงก็ตามซอลจีฮูก็ยังไม่ลดความระวังตัวลง มุมปากของหญิงสาวได้โค้งออกมาเป็นรอยยิ้ม แต่ว่าดวงตาของเธอยังคงสงบนิ่งเหเมือนแม่น้ำในมหาสมุทร
ซอลจีฮูรู้สึกได้ถึงความไม่ลงรอยกันตั้งแต่ที่เขาได้เข้ามาในที่แห่งนี้แล้ว ภายในพระราชวังที่ยิ่งใหญ่แบบนี้กลับมีแค่หญิงสาวอู่เพียงลำพัง? เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังฝันอยู่
“คุณพูดถูก งานเลี้ยงตอนรับของฉันยังไม่ดีพอ แม้ว่าแขกผู้ทรงเกียรติจะตอบรับคำเชิญแล้วก็ตาม ได้โปรดอภัยให้กับการไม่คิดให้รอบคอบของผู้หญิงคนนี้ด้วย”
ซอลจีฮูได้ผงะไป เขายังไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย แต่หญิงสาวดูเหมือนจะอ่านความคิดเขาได้
ดวงตาอ่อนโยนของเธอได้ค่อยๆโค้งมนพร้อมทั้งยกมือทั้งสองข้างขึ้น
แป๊ะ!
เธอได้ปรบมือออกมา
ตื๋อดื๋อออออ~!
ซอลจีฮูแทบจะผงะไปด้วยความตกตะลึง ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แต่ทุกๆคนก็เป็นเช่นเดียวกัน
ภายในพระราชวังได้เต็มไปด้วยผู้คนในทันที ผู้คนเหล่านั้นได้ล้อมรอบทีมปฏิบัติการ พวกเขาทั้งร้องและเล่นดนตรี บ้างก็โยนกรีบดอกไม้ขึ้นบนท้องฟ้า
“อย่าตกใจไปเลย”
เสียงหัวเราะเบาๆได้ดังออกมา
“นี่คือโลกความคิดของฉัน”
เสียงชวนฝันได้ดังออกมาเป็นจังหวะ
“ในเมื่อนี่คือโลกแห่งความฝัน ทุกๆอย่างที่ฉันต้องการจะกลายเป็นจริง”
โรเซร่าได้สะบัดมือเหมือนกับเป็นผู้ควบคุมวงดนตรี และผู้คนก็ได้หายไปในทันที พระราชวังได้กลับมาเงียบสงบอีกครั้งหนึ่ง
“ชอบการแสดงต้อนรับของฉันไหม?”
เธอได้ถ้ามออกมาพร้อมเอียงหัวเล็กน้อย
ซอลจีฮูไม่ได้พูดอะไรกลับไปไม่ว่าเขาจะชอบหรือไม่ก็ตาม เขาเคยได้เจอกับสิ่งต่างๆมาแล้วมากมาย แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้มาเห็นอะไรแบบนี้
“ตอนนี้”
โรเซร่าได้ปรบมืออีกครั้ง และฉากก็ได้เปลี่ยนแปลงไป ในตอนนี้ทีมปฏิบัติการกำลังยืนอยู่ท่ามกลางสวนสุดงดงาม
เบื้องหน้าของพวกเขามีโต๊ะกลมสีขาวพร้อมกับแก้วชาวางเอาไว้ด้านบน
“ถึงมันจะช้าไปหน่อย แต่ขอแนะนำนำตัวเองก่อนนะ”
หญิงสาวได้วางมือลงบนอกเบๆา
“ชื่อของฉันคือโรเซร่า ลา กราเซีย”
ซอลจีฮูได้ฝืนพูดออกมาได้ไม่กี่คำ
“แม่มดแห่งความฝัน…”
“ใช่แล้ว ครั้งหนึ่งฉันเคยถูกเรียกด้วยชื่ออันเล็กน้อยแบบนั้น”
โรเซร่าได้ยิ้มสดใสออกมาก่อนที่จะนั่งลงไปอย่างสง่างาม เธอได้เปิดฝ่ามือและชี้ไปที่เก้าอี้ตัวอื่น
“เชิญนั่ง”
ซอลจีฮูได้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่นานนักเขาก็เตรียมใจกับตัวเอง แม่มดแห่งความฝันได้ดูแลพวกเขาทั้งหมดเป็นอย่างดีทั้งในฐานะเจ้าของที่นี่ และในฐานคนที่เชิญพวกเขามา
เพราะงั้นการตอบรับความปรารถนาดีของเธอในระดับเดียวกันก็เป็นเหมือนการเคารพเธอ
‘ทำกับคนอื่นเหมือนกับที่พวกเขาทำกับนาย’
“ขอบคุณมาก!”
เมื่อซอลจีฮูได้นั่งลงไป พรรคพวกของเขาก็ค่อยๆนั่งลงทีล่ะคน แต่ว่าเมื่อทุกๆคนได้นั่งลงไป ก็มีที่นั่งเหลืออยู่อีกหนึ่งที่
“คุณผู้หญิงที่อยู่ในจี้จะไม่นั่งด้วยหรอ?”
โรเซร่าได้ถามออกมาด้วยน้ำเสียงชวนฝัน
[!?]
‘เธอรู้?’
ซอลจีฮูได้อ้าปากค้างออกมา
“เอ่อ เธอไม่ค่อยถูกกับคนแปลกหน้า… เธอค่อนข้างจะขี้อาย”
“เอ๋? บุตรสาวที่น่านับถือของตระกูลรอชเชอร์… อาย?”
โรเซร่าดูจแปลกใจ
“เข้าใจแล้ว… ฉันหวังว่าจะได้คุยเรื่องต่างๆกับเธอนะ…”
ขณะที่เธอกำลังยื่นมือไปที่โต๊ะด้วยสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย-
[คุณปู่ก็มาที่นี่หรอ?]
โฟลนได้รีบถามออกมา
โฟลนได้ถามออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ว่าโรเซร่าไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอเพียงแค่มองจี้ด้วยรอยยิ้มเท่านั้น
[อ่า อืมม…]
โฟลนคงจะรู้ตัวว่าทำผิดไปทำให้เธอติดอ่างขึ้นมา เธอได้รีบพูดต่อทันที
[ขออภัยด้วย… ฉันเผลอโพล่งออกไปโดยไม่รู้ตัว…]
โฟลนได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สง่างามผิดกับเธอตามปกติ
“ไม่หรอก ไม่เป็นไรเลย”
โรเซร่าได้พูดออกมาโดยที่ยังคงยิ้มอยู่
“ทั้งคุณแล้วก็ฉันต่างก็ตายไปแล้ว มันไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องรักษาธรรมเนียมจากในตอนที่เรามีชีวิตอยู่หรอก”
[…]
“แล้วก็ฉันได้ยินมาว่าบุตรสาวคนเล็กของตระกูลรอชเชอร์เป็นทอมบอยเอาแต่ใจ”
[!]
‘เอาแต่ใจ? ทอมบอย?’
จี้ได้ส่ายออกมารัวๆ โรเซร่าได้มองดูจี้ราวกับว่ามันน่ารักก่อนที่จะกระแอ่มขึ้นมา
“สำหรับคำถามก็ ใช่แล้วล่ะ หัวหน้าตระกูลรอชเชอร์ได้มาที่เจดีย์แห่งความฝันอย่างแน่นอน ในตอนที่เขารู้ตัวว่าถูกจักรพรรดิจอมโลภหมายตา เขาก็ได้ขอให้ฉันเก็บเอามรดกส่วนหนึ่งของรอชเชอร์เอาไว้ ถึงมันจะเป็นเรื่องเมื่อร้อยกว่าปีก่อน แต่ฉันก็ยังจำได้อย่างชัดเจน”
ซอลจีฮูสังเกตเห็นได้ถึงคิ้วของโรเซร่าที่เฉียบคมขึ้นมาในตอนที่เอ่ยถึงจักรพรรดิ
“พูดตามตรง ฉันก็ไม่ได้เป็นแฟนตัวยงของหอกแห่งจักรวรรดิเลยสักนิด แต่ว่าเพราะฉันเกลียดจักรพรรดิ ฉันถึงได้ยอมรับคำขอของหัวหน้าตระกูลรอชเชอร์”
“ถ้างั้น-“
“ใช่แล้ว ฉันยังคงเก็บมรดกเอาไว้อยู่”
โรเซร่าได้ตอบกลับมาราวกับว่าเธอรู้ว่าซอลจีฮูจะถามอะไร จากนั้นเธอก็หยุดค้างในท่ากำลังยกแก้วชาอย่างสง่างอม รอยยิ้มทึ่งใจได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเธอ
โรเซร่าได้พูดขึ้น
“อ่า เชี้ย”
ซอลจีฮูได้สงสัยในสิ่งที่ได้ยิน
“น่าเบื่อจริงๆเลย ก็แค่ให้ของเรามา แล้วปล่อยเราไปได้แล้ว ทำไมยัยนี้ถึงได้เชิญพวกเรามากันนะ?”
โรเซร่าได้พูดขึ้นนิ่งๆ
“ฮิ๊คคคค!?”
มาเรียได้ร้องเสียงหลงออกมา
ซอลจีฮูได้อุทานขึ้นในใจ
‘ไม่มีทางน่า’
มาเรียได้กระแทกหัวกับโต๊ะ และอ้อนวอนออกมา
“ฉันขอโทษ! อย่าฆ่าฉันเลย!”
“ไม่หรอก!”
โรเซร่าได้ปิดปากด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ส่ายหัวออกมา
“หากว่าคุณพูดออกมา ฉันก็จะคิดว่ามันเป็นความผิดของคุณ แต่ว่าคุณก็แค่คิดเท่านั้น ฉันต่างหากที่เป็นฝ่ายผิดที่อ่านใจคุณโดยไม่ได้รับอนุญาต อย่างที่เห็นนี่มันเป็นนิสัยเสียของฉัน”
มาเรียได้แอบเงยหน้าขึ้นมา
“ฉันสามารถจะมอบมรดกของตระกูลรอชเชอร์ให้คุณได้ทุกเมื่อ หากว่าคุณต้องการ ฉันก็สามารถจะมอบให้คุณได้เดี๋ยวนี้เลย”
โรเซร่าได้ยกชาขึ้นจิบ จากนั้นก็ค่อยๆวางแก้วลง
“แต่ว่าฉันจะยินดีมากหากว่าพวกคุณฟังฉันก่อนว่าทำไมฉันถึงเชิญพวกคุณมา”
ซอลจีฮูได้พูดขึ้น
“แน่นอนว่า ยังไงซะ…”
“ใช่แล้ว ก็อย่างที่ฉันพูดไป ฉันคือคนที่ตายจากเมื่อร้อยปีก่อน ร่างกายของฉันได้กลายเป็นขี้เถ้าเน่าสลายไปจนหมดแล้ว คนที่พวกคุณกำลังคุยอยู่ในตอนนี้คือ-“
ซอลจีฮูได้เงียบลงไปโดยที่ยังไม่ทันได้พูดว่า ‘คุณบอกว่าคุณตายไปแล้ว’ จบ
“ตัวตนที่มีเพียงแค่ความคิดหลงเหลืออยู่เท่านั้น”
ด้วยเหตุผลบางอย่างหญิงสาวคนนี้…
“…เอาแต่ใจ ในตอนฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันเคยได้ยินมันบ่อยๆเพราะนิสัยชอบอ่านความคิดคนอื่น ได้โปรดยกโทษให้กับพฤติกรรมของฉันด้วย”
“…อ่า ครับ”
“ตอนนี้ไม่ต้องสนใจเรื่องนั้นหรอก หากว่าแค่สักเล็กน้อย ฉันจะห้ามตัวเองเอาไว้”
ซอลจีฮูได้ไอแห้งๆออกมา
“ในตอนที่ผมได้เห็นบันทึกประวัติศาสตร์ ทุกๆอย่างที่เกี่ยวข้องกับเจดีย์แห่งโรคระบาด หรือเจดีย์แห่งความฝันได้ถูกลบไป”
“ใช่แล้ว นี่มันเป็นมาตราการที่ค่อนข้างจะได้ผลเลย”
โรเซร่าได้ตอบกลับมาอย่างหนักแน่น
“ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโรคระบาดความฝันจะส่งไปถึงจักรวรรดิ แต่ว่าฉันไม่คิดเลยว่าเขาจะตอบสนองอย่างรุนแรงในทันทีที่โรคระบาดความฝันได้เพิ่มกระจายออกไป”
จากนั้นโรเซร่าก็เสริมขึ้น
“เขามีศัตรูอยู่มากมาย เพราะงั้นเขาก็มักจะรีบป้องกันตัวเองอยู่เสมอ”
“ย้อนไปตอนนั้นฉันทำอะไรไม่ได้มาก ฉันได้สร้างคำสาปที่ทรงพลังรอบๆเจดีย์ เพราะงั้นจึงไม่มีใครเข้ามาใกล้ แต่ว่าฉันก็ก้าวเท้าออกไปนอกเจดีย์ไม่ได้เหมือนกัน”
ซอลจีฮูได้มองดูโรเซร่าอย่างละเอียด ครั้งหนึ่งแม่มดคนนี้เคยวางแผนล้มล้างจักรวรรดิ แต่ว่านอกเหนือไปจากความน่าเหลือเชื่อของเธอ เขาก็ยังตั้งคำถามกับวิธีการของเธอ พูดตรงๆแล้วเจดีย์แห่งโรคระบาดได้ส่งผลเสียต่อผู้บริสุทธิ์ของจักรวรรดิ
“คุณพูดถูก เพราะเจดีย์ของฉัน พลเมืองที่ดีมากมายได้ตายลงไปนับไม่ถ้วน”
โรเซร่าได้เสริมขึ้นโดยไม่กั๊กไว้เลย
“แต่ว่าฉันก็ไม่ได้เสียใจเลย นั่นก็เพราะว่ามีผู้ติดตามจักรวรรดิจำนวนมากตายไปเหมือนกัน แล้วคนพวกนั้นก็สมควรตายทั้งหมด”
ซอลจีฮูได้กลายเป็นหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อได้ยินเธอพูดเหมือนนี่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เขาได้ประสานนิ้วเข้าด้วยกันและถามออกมา
“ผมอยากจะรู้ว่าทำไมคุณถึงได้ทำขนาดนั้น”
“มันยังไม่ชัดอีกหรอ”
โรเซร่าได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหมือนร้องเพลง
“เพื่อที่จะกำจัดจักรพรรดิบ้าสงคราม…”
ไหล่น้อยๆของเธอได้สั่นไหวเบาๆในตอนที่เธอกำมือ
“แล้วก็ข้ารับใช้ทรราชที่สนับสนุนในความบ้าคลั่งของจักรพรรดิ…!”
ซอลจีฮูได้ผงะไปเล็กน้อยจากความหนาวเย็นที่จู่ๆก็คืบคลานเข้ามา และกระจายไปทั้งร่างเขา
ความเย็นชาได้พวยพุ่งออกมาจากร่างของโรเซร่าเหมือนกับหนาม มันเหมือนกับว่าซอลจีฮูกำลังอยู่ในที่ที่มีอุณหภูมิติดลบ 40 องศาได้เลย นี่สินะคือความโกรธของโรเซร่า
‘พลังอะไรกัน….’
พลังที่เธอแสดงออกมาได้เหนือล้ำกว่าโฟลนไปไกลลิบ ในที่สุดซอลจีฮูก็รับรู้แล้วว่าแม่มดคนนี้ทรงพลังแค่ไหน บางทีเธออาจจะก่ำกึ่งกับผู้บัญชาการกองทัพปรสิตได้เลย
โรเซร่าได้สูดหายใจลึก จากนั้นก็คลายพลังงานลงไป
“ขออภัยด้วย”
เสียงถอนหายใจได้ดังออกมาจากทุกๆทาง
“ยังไงก็ตามหลังจากการตัดสินใจของจักรพรรดิ ฉันได้พยายามทำทุกวิธีเพื่อเสริมพลังให้กับคำสาป แต่ว่าร่างกายของมนุษย์ธรรมดาก็ยังคงมีข้อจำกัดที่ไม่อาจเลี่ยงได้อยู่ แม้กระทั่งหลังจากพยายามเลือดตาแทบกระเด็น จนฉันได้รับคุณสมบัติในการไล่ตามต้นกำเนิด…”
คำพูดช่วงท้ายของเธอได้คาดหายไปกับแนวคิดที่ยากจะเข้าใจ
“มีอยู่หนึ่งเหตุผลที่ฉันเชิญคุณทุกคนมา”
หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง โรเซร่าก็จิบชาและพูดขึ้นอีกครั้ง
“แม้ว่าพลังของคำสาปจะอ่อนกำลังลงเป็นอย่างมากจากเวลาที่ผ่านพ้นไป แต่ฉันก็ได้ใช้เวลาทั้งชีวิตสร้างมันขึ้นมา ในเมื่อคุณทั้งสองคนเป็นคนที่หลุดมาจากคำสาปนี้ได้ด้วยพลังของตัวเอง พวกคุณก็คงจะมีพลังใจที่แข็งแกร่ง”
‘จริงๆแล้วไม่ใช่แบบนั้นเลย’
ซอลจีฮูได้เกาหัวขึ้นมา
“ฉันจะพูดตรงๆเลยนะ ฉันกำลังหาคนที่จะทำความปรารถนาที่ครั้งหนึ่งฉันทำมันล้มเหลวให้สำเร็จ”
ซอลจีฮูได้ขมวดคิ้วขึ้นมา ความปรารถนาของโรเซร่าจะต้องเป็นการล่มสลายของจักรวรรดิ
“ฉันรู้ จักรพรรดิทรราช กับข้ารับใช้ทั้งหมดคงจะตายกันไปหมดแล้ว และมีสิ่งต่างๆมากมายได้เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต แต่ว่า- ความต้องการในการแก้แค้นของฉันก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรือหายไป ย้อนกลับไปในการก่อตั้งมัน จักรวรรดิอันเน่าเฟะได้หยั่งรากลึกลงไปบนพื้น เพราะงั้นมันจะต้องถูกทำลาย ต่อให้จะผ่านไปแล้วเป็นร้อยปีก็ตามที”
เธอคงจะตีความสีหน้าของซอลจีฮูผิดไป
“แน่นอนว่าฉันจะไม่บังคับพวกคุณ”
และเธอก็คงจะหยุดอ่านใจคนอื่นแล้วจริงๆ
“และฉันก็จะไม่ร้องขอให้คุณทำอะไรกับมันด้วย”
หรือบางทีเธออาจจะไม่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นด้านนอกเลยเพราะเธอติดอยู่ที่นี่
“แต่ว่าหากคุณยอมรับคำขอของฉัน ฉันก็จะช่วยคุณสุดความสามารถ”
ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน เธอก็เข้าใจผิดไปมากจริงๆ
“เจดีย์แห่งความฝันนี่ยังเป็นมรดกของฉัน ทั้งขนาดและความสำคัญของมันมากจนตระกูลรอชเชอร์นั่นเทียบไม่ติดเลย”
โรเซร่าได้พูดอย่างภูมิใจพร้อมกับยื่นอกเล็กๆออกมา
ซอลจีฮูได้กระพริบตาขึ้น
‘หืม คนๆนี้ไม่ธรรมดาเลย’
ความแค้นยังคงไม่หายไปแม้จะผ่านไปเป็นร้อยปี… มันยากที่จะเข้าใจว่าความกระหายที่จะแก้แค้นของเธอมาจากไหนกัน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการคาดเดา แต่ดูเหมือนโรเซ่ร่าจะไม่ได้อย่างล้มล้างจักรวรรดิแค่เพราะสงครามแน่ๆ
‘ยังมีเหตุผลอื่นอีก’
มันจะต้องมีเหตุผลที่ทำให้เธอเกลียดต้นกำเนิดของจักรวรรดิมากแน่ๆ
ไม่ว่าจะยังไงก็ตามซอลจีฮูได้ตัดสินว่ามันไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาควรจะไปยุ่งด้วย ไม่สิ ต่อให้เขาจะอยากช่วยเธอ แต่ว่าความปรารถนาของเธอก็ไม่มีวันสำเร็จได้อีกต่อไป
หากว่าจะมีสิ่งหนึ่งที่เขาบอกเธอได้-
นั่นก็คือการบอกความจริงแสนสำคัญให้กับหญิงสาวที่ใช้ชีวิตในความฝันมานับร้อยปี
โรเซร่าได้ถามขึ้นด้วยตาเป็นประกาย
“ว่ายังไงล่ะ? คุณคิดยังไง? คุณคงจะต้องการเวลาก่อนจะให้คำตอบสินะ”
ต่อจากนั้นเธอก็ยกแก้วชาขึ้น
“…”
ในด้านหนึ่งสิ่งที่ซอลจีฮูกำลังจะบอกกับเธอเป็นเรื่องโหดร้าย เพราะงั้นเขาจึงลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะพูดมันออกไป
“นี่อาจจะอวดดีไปหน่อย แต่ว่าผมมีบางสิ่งที่จะบอกกับคุณก่อนจะให้คำตอบ”
โรเซร่าได้หยักหน้าออกมาพร้อมกับทำท่าให้เขาพูดต่อ
“จักรวรรดิ…”
หลังจากสูดหายใจสั่นๆ ซอลจีฮูได้พูดขึ้นอย่างหนักแน่น
“ได้ล่มสลายไปแล้ว”
“พรูดดด!”
ชาได้ถูกพ่นออกมาจากปากเล็กๆของเธอจนเลอะโต๊ะไปหมด
โรเซร่าได้ตัวแข็งทื่อไปในท่าถือแก้วชาราวกับเวลาได้หยุดลง จะมีสิ่งเดียวที่แสดงให้เห็นว่าเธอยังมีสติอยู่ก็คือดวงตาที่กระพริบไม่หยุดของเธอ
ซอลจีฮูได้พูดตอกฝาโลงต่อทันที
“จักรวรรดิได้ล่มสลายมากว่า 10 ปีแล้ว ผู้คนได้ถูกฆ่าโดยไม่สนสถานะทางสังคน แม้กระทั่งหญ้าสักต้นยังไม่มีเหลือในเขตจักรวรรดิเลย”
โรเซร่าได้ค่อยๆเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ
“…”
ความเงียบได้เข้าปกคลุมอีกครั้งหนึ่ง การล่มสลายของจักรวรรดิที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในจุดสูงสุดของพาราไดซ์มาเป็นเวลานานคงจะเป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างมากสำหรับเธอ นั่นเพราะว่าเธอเอาแต่จ้องมองออกมาด้านหน้าอย่างว่างเปล่าโดยที่ไม่คิดจะวางแก้วชาลงเลย
“อ่า…”
ปากเล็กๆที่ปิดแน่นของเธอได้เปิดขึ้นเล็กน้อย
“ไม่”
และซอลจีฮู…
“อืมม…”
ได้เป็นสักขีพยานว่า…
“…ว่ายังไงนะ???”
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มตลอดเวลาของเธอได้พังทลายลงไปในทันที
บทที่ 219 – มรดกของโรเซร่า ลา กราเซีย (1)
‘ฉันจะอธิบายยังไงดีนะ?’
ซอลจีฮูได้นั่งคิดกับตัวเอง ส่วนทางโรเซร่าก็ยังคงตัวแข็งทื่อด้วยใบหน้าตกตะลึง
“เจ้าหญิง ผมเรื่องเรื่องอยากจะถาม”
ซอลจีฮูได้หันไปหาเทเรซ่าที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆเขา
“การที่จักรวรรดิล่มสลายนี่น่าตกใจหรอ?”
“ใช่แล้วล่ะ”
เทเรซ่าได้ตอบกลับมาโดยไม่ลังเลเลน
“มันไม่ใช่แค่เพียงมนุษยชาตินะ วิศวกรรมเวทย์ของจักรวรรดิได้ก้าวเหนือกว่าทุกๆเผ่าพันธุ์ในพาราไดซ์ มากถึงขนาดที่ไม่มีใครเทียบได้เลยสกนิด นี่ยังนับรวมเผ่าพันธุ์บางส่วนที่ประกอบเป็นสหพันธรัฐด้วยนะ จักรวรรดิได้ปกครองทั่วทั้งพาราไดซ์มาหลายพันปี”
เทเรซ่าได้พูดออกมาอย่างแน่วแน่
“ประเทศที่พระอาทิตย์ไม่เคยตก จักรวรรดิเป็นประเทศแบบนั้นแหละ”
ซอลจีฮูได้เม้มริมฝีปากออกมา
“แต่ว่า… กองกำลังที่รุกรานคือเทพ…”
“มันก็ไม่ใช่ว่าจักรวรรดิจะไม่ได้มีเทพอยู่ข้างพวกเขานี่”
เทเรซ่าส่ายหัวออกมา
“ถึงแม้ว่าราชินีปรสิตจะแกร่งกว่าเทพของจักรวรรดิ แต่ว่าจักรวรรดิก็ล่มสลายเร็วเกินไป ในตอนแรกที่ฉันได้ยินว่าจักรวรรดิล่มสลาย ฉันก็มีปฏิกิริยาที่คล้ายๆกันนี่แหละ ฉันคิดว่ามันคงเป็นแค่มุกของคนปัญญาอ่อนบ้างคนเท่านั้นเอง”
‘นี่มันบ้าอะไรกัน…?’
ซอลจีฮูได้หันไปมองโรเซร่าอีกครั้งหนึ่ง
ตึง! อ่า แก้วชาได้ตกลงไปจนแตก
ขณะที่ซอลจีฮูจะเริ่มพูดขึ้น…
“เดี๋ยวก่อน!”
โรเซร่าได้รีบยืนฝ่ามือออกมา เธอดูจะกังวลมากๆ
“ชะ ช่วยอธิบายรายละเอียดเพิ่มหน่อย…!”
บางทีอาจจะเพราะเธอได้อ่านใจทุกๆคนแล้ว ทำให้เธอดูจะมั่นใจว่าการล่มสลายของจักรวรรดิไม่ใช่เรื่องโกหก
ซอลจีฮูได้ย้อนมองกลับไปที่เทเรซ่า หากเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์แล้ว การให้คนที่มีประสบการณ์ด้วยตัวเองเป็นคนเล่าคงจะดีกว่า
“คุณไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ ก็แค่ค่อยๆนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นลำดับช้าๆ”
เทเรซ่าได้หลับตาลงอย่างสงบ ในระหว่างนี้ซอลจีฮูได้มองสำรวจใบหน้าของโรเซร่าด้วยความสนใจ
ตกตะลึง สงสัย ไม่เชื่อ… ในท้ายที่สุดตาของเธอก็ได้กลอกไปมา
ในตอนนี้โรเซร่าได้ถอดหน้ากากออกไปแล้ว เธอได้แสดงสีหน้าต่างๆออกมามากมาย แต่ข้อเสียวเดียวก็คืออารมณ์ส่วนใหญ่ที่เธอแสดงออกมาคือด้านลบ
ไม่นานนัก…
“โง่เง่า!”
เมื่อเทเรซ่าลืมตาขึ้นมา โรเซร่าก็ลุกขึ้นยืน ใบหน้าเรียวสีขาวของเธอได้แดงขึ้นมาเหมือนลูกมะเขือเทศ จากนั้นเธอก็เดินไปกลับภายในสวน
‘เดี๋ยวนะ! การกระทำนี่!’
มันจะเกิดขึ้นในตอนที่คนไม่ชอบในอะไรสักอย่าง ตัวอย่างเช่นในตอนที่ซอลจีฮูไม่พอใจชื่อคลาสเก่าที่กู่ลามอบให้ เขาก็ได้ทำแบบนี้เหมือนกัน
ดวงตาเธอได้หรี่ลง ริมฝีปากของเธอได้ชุ่มไปด้วยน้ำลาย
“อะไรนะ… อีกจักรวาล? แต่ถึงแบบนั้น… หือ!”
และเธอก็ได้พึมพำออกมาพร้อมทั้งหุบนิ้วลงไป เธอถึงขนาดหยิบถาดขึ้นมาและฟาดลงไปอย่างแรง
‘ทำไมเธอถึงโกรธล่ะ?’
ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา เขาเข้าใจว่าทำไมเธอถึงผงะไป แต่ว่าในฐานะของคนที่เกลียดจักรวรรดิแล้ว เธอก็ควรที่จะปรบมือยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นสิ
“ให้ตายสิ! ฉันทำไปเพื่ออะไร…!?”
แต่แล้วเมื่อเขาเห็นเธอก้มหน้าลง และกำหมัดแน่น ในที่สุดเขาก็เข้าใจ
โรเซร่าคงได้รอเวลานี้มาเป็นร้อยปี แต่แล้วเป้าหมายของเธอก็ได้พังลงราวกับปราสาททรายและหายไป
“…”
ซอลจีฮูไม่อาจจะเข้าใจถึงความรู้สึกสูญเสียที่เธอรู้สึกในตอนนี้ได้เลย แต่เมื่อผ่านไปประมาณ 40 นาที โรเซร่าก็หยุดกระสับกระส่าย และแสดงท่าทีสงบลงขึ้นมา
ในระหว่างนี้ทีมปฏิบัติการได้ปิดปากเงียบ โรเซร่าดูเดือดมากจนพวกเขากลัวว่าหากไปกระตุ้นเธอ เธออาจจะทำอะไรพวกเขา
“ฟู่ววว-“
หลังจากถอนหายใจยาวออกมา โรเซร่าก็ได้ลูบหน้าผากก่อนที่จะหยุดนิ่ง เมื่อมองย้อนกลับมาที่ทีมปฏิบัติการที่กำลังนั่งอย่างอึดอัดใจแล้ว เธอก็ก้มหน้าลงอย่างอับอาย
“ต้องขออภัยกับภาพที่ไม่น่ามองด้วย”
“ไม่ ครับ ไม่เป็นไรเลย”
แทนที่จะพูดว่าไม่น่ามอง การกระทำของเธอมันดูน่าขำมากกว่าซะอีก ซอลจีฮูกับพรรคพวกของเขาที่เหลือต่างก็รู้ว่าพวกเขาไม่ควรจะหัวเราะ แต่ว่าพวกเขาก็อดจะคิดไม่ได้ว่ามันน่าขำ
“พวกเราต่างหากที่ควรจะขอโทษที่พูดอะไรที่ไม่จำเป็น…”
โรเซร่าได้ส่ายหัวออกมา
“ไม่ ไม่เลยสักนิด ฉันดีใจที่ได้รู้… ใช่แล้ว ฉันดีใจ แต่ว่า…”
โรเซร่าได้ใช้มือปิดหน้าของเธอโดยที่ไม่อาจจะพูดได้จบประโยค
“จักรวรรดิ ไอ้สารเลว…”
เธอได้พึมพำกับตัวเอง แต่ว่าทุกๆคนได้ยินสิ่งที่เธอพูดอย่างชัดเจน
“…อ่า…”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง โรเซร่าก็ค่อยๆยื่นมือออกมา และพูดขึ้นอย่างไร้พลัง
“คุณ… พวกคุณบอกว่ามาที่นี่เพื่อเอามรดกของตระกูลรอชชเชอร์ไปใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว”
ซอลจีฮูได้ตอบกลับมาในทันที
“สัญญาแห่งการหักห้าม และวิญญาณที่มีสายเลือดของตระกูลรอชเชอร์… มันไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยเลย… ฮ่าาาาห์…”
นี่มันเป็นครั้งที่สองแล้วที่เธอถอนหายใจออกมา หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง โรเซร่าก็หยักหน้าและพูดขึ้น
“ในนามของโรเซร่า ลา กราเซีย- ไม่สิ ในเมื่อฉันรู้สึกไม่ค่อยดี ฉันขอข้ามพิธีการไปก็แล้วกัน ในตอนนี้เราจะส่งมอบมรดกคืนไป”
‘ตอนนี้?’
ขณะที่ซอลจีฮูกำลังจะถาม-
แปะ! เสียงปรบมือได้ดังออกมา
ในเวลาเดียวกันฉากก็ได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีใครตกใจอีกต่อไปแล้ว ทุกๆคนต่างก็ก้นจ้ำเบ้าเพราะพวกเขาถูกเทเลพ็อตมาในระหว่างที่นั่งอยู่ แต่ว่าก็ไม่มีใครสงเสียงออกมา
พวกเขาดูเหมือนจะอยู่ชั้นใต้ดินของพระราชวัง แม้ว่าปกติแล้วที่แบบนี้จะมืด แต่ว่าก้อนหินจำนวนหนึ่งบนเพดานได้ส่องแสงสลัวๆออกมา ทำให้พวกเขาสามารถจะมองเห็นได้ตามปกติ
จะมีปัญหาก็คือรอบตัวพวกเขามีห้องอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน มันมากจนพวกเขานับไม่ได้เลย นี่มันให้ความรู้สึกเหมือนพวกเขากำลังยืนอยู่ท่ามกลางเขาวงกต
“เอาล่ะนะ… มรดอกของตระกูลรอชเชอร์…”
โรเซร่าได้มองดูประตูแต่ล่ะบาน จากนั้นก็ดีดนิ้วขึ้นมา สิ่งน่าตกใจได้เกิดขึ้น ประตูนับหมื่นบานได้เริ่มหมุนตามเข็มนาฬิกาก่อนที่จะหยุดลงอย่างกระทันหัน
เมื่อมองดูประตูสีขาวตรงหน้า โรเซร่าก็หยักหน้าออกมา
“นี่แหละ ฉันจำได้ว่าต้องขยายห้องเก็บของสักหน่อยเพราะปริมาณของที่จะเก็บไว้”
เมื่อได้ยินแบบนี้ความคาดหวังของซอลจีฮูก็เพิ่มมากยิ่งขึ้น
เมื่อโรเซร่าได้เดินออกไป และลูบไปที่ประตูเบาๆ ประตูก็ถูกเปิดขึ้นเอง ซอลจีฮูได้มองออกไปด้วยหัวใจที่เต้นแรงด้วยความตึงเครียด
ในทันทีที่ประตูเปิดออกมา หมอกหนาทึบก็พุ่งออกมาก่อนที่จะตามด้วยแสงหลากสี
ไม่มีใครเข้าไปภายในห้อง และภายในนั้นก็ไม่อาจจะมองเข้าไปได้ แต่ว่าแสงสว่างจ้าก็ยังเต็มไปทั่วพื้นที่
‘ข้างในมีมากแค่ไหนกัน…?’
มรดกที่ถูกเก็บไว้ที่นี่จะต้องเป็น ‘หอกแห่งอาณาจักร’ กับเทคนิคลับของตระกูลรอชเชอร์ มันไม่น่าจะมีทองมากนักสิ แต่ทำไมมันถึงเปล่งประกายมากขนาดนี้?
ซอลจีฮูได้พยายามอย่างมากที่จะสงบใจที่เต้นแรงลงไป และเขาได้จ้องไปที่โรเซร่า
โรเซร่าได้ถอยกลับมาเงียบๆ ก่อนจะทำท่าให้พวกเขาเข้าไปในห้อง
“มรดกนี่เป็นของคุณ คุณไม่จำเป็นต้องรอรับอนุญาตจากฉันหรอก”
สายตาจำนวนมากได้มองมาที่แผ่นหลังของเขา มันชัดเจนมากว่าทุกๆคนอยากจะเข้าไป
‘สายตาที่รุนแรงเป็นพิเศษคงจะเป็นของคุณมาเรีย’
“เอาล่ะนะ”
ซอลจีฮูอยากจะเข้าไปข้างใน แต่ว่าเขายังคงรักษาท่าทีและค่อยๆเดินไปอย่างช้าๆ มาเรียได้หอบออกมาด้วยความเป็นกังวล แต่ว่าเขาก็ลืมเรื่องเธอไปในทันทีที่เข้ามาในห้อง
“…”
เขาแทบจะหยุดหายใจไปทันที
ภูเขาสมบัติ
เขาไม่อาจจะพูดเป็นอย่างอื่นไปได้อีก ทอง เงิน และอัญมณีต่างๆที่ทับถมกันจนเป็นภูเขา
ซอลจีฮูได้ค่อยๆเดินออกไปราวกับต้องมนต์และยื่นมือออกไป เมื่อเขาคว้าสิ่งต่างๆมาได้หนึ่งกำมือ และจากนั้นก็ไหลออกไปจากมือเขา น้ำพุหลากสีก็ไหลลงมา
เคร๊ง เคร๊ง เคร๊ง! คลื่นนน…
เสียงของสิ่งต่างๆที่กระทบกับพื้นได้ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นทันที ที่เขาตกใจยิ่งไปกว่านั้นคือของพวกนี้ไม่ใช่เหรียญทอง แต่เป็นไข่ทองคำ พวกมันคือก้อนทองที่มีรูปร่างเหมือนไข่อย่างที่เขาเคยเจอในคฤหาสน์จักรรดิ แต่ว่าไข่ที่นี่มีทรงกลมสวยยิ่งกว่าซะอีก
‘พระเจ้า….’
นี่เป็นเพียงเสี้ยวเดียวของความมั่งคั่งของตระกูลรอชเชอร์เท่านั้น ในที่สุดซอลจีฮูก็เข้าใจแล้วว่าทำไมจักรพรรดิถึงได้โลภขนาดนัน
โลงแก้วสี่เหลี่ยมผืนผ้าได้ตั้งอยู่กลางห้อง และถูกผ้าสีน้ำเงินคลุมเอาไว้
ต่อมาซอลจีฮูก็เห็นหีบสมบัติขนาดค่อนข้างใหญ่ที่มีสีซีด ด้านข้างของกล่องมีสัญลักษณ์ถูกสลักเอาไว้อีกด้วย
‘เครื่องราชอิสริยาภรณ์ของตระกูลรอชเชอร์’
เขาจำมันได้ในทันทีเพราะเขาเคยเห็นมันมาก่อนในบันทึกประวัติศาสตร์
ยังไม่หมดเท่านั้น อีกด้านหนึ่งของห้องมีหีบไม้สี่เหลี่ยมถูกวางจัดเรียงไว้เป็นระเบียบอีกด้วย
“เละเทะไปหมดเลย นี่มันคงเพราะฉันไม่เคยจัดพวกมันเลยหลังจากรับมา…”
พร้อมๆกันกับเสียงของโรเซร่า ภูเขาสมบัติก็ได้เริ่มขยับ
เคร๊ง เคร๊ง!
พร้อมกับเสียงดังวุ่นวาย แท่งทองคำกับไข่ทองคำได้แยกออกมาจากภูเขา และเขยิบไปทางซ้าย
วูบบบ!
ต่อมาอัญมณีต่างๆก็พุ่งขึ้นมาและขยับไปทางขวา
‘ภูเขาทอง ภูเขาเงิน แล้วก็ภูเขาอัญมณี…’
ซอลจีฮูได้ตั่วสั่นขึ้นมา
“ฉันคนนี้จะหลบไปสักเดี๋ยวแล้วกันนะ”
เสียงของโรเซร่าได้ดังออกมา ตัดสินจากน้ำเสียงเธอแล้ว เธอดูจะยังตกใจอยู่ แต่ว่าเมื่อซอลจีฮูหันกลับไป โรเซร่าก็หายไปแล้ว
จากนั้นก็มีเสียงตะโกนดังลั่นออกมา
“วู้ววววววววววว!”
มาเรียได้ร้องลั่น และวิ่งเข้าใส่ภูเขาทองด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ
“ฮ่าห์… ฮ่าห์… เรื่องจริง…”
“ฝัน… นี่จะต้องเป็นความฝัน…”
โชฮงได้มองดูภูเขาต่างๆด้วยปากที่อ้างค้าง และมาแชล จิโอเนียก็ลูบดวงตาเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“โอ้ววววววววว!”
ฮิวโก้ได้คำรามออกมา
“แม่!!!!”
และเทเรซ่าได้ร้องหาแม่เธอก่อนที่จะวิ่งเข้ามากอดซอลจีฮู
“ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้เลย…”
คาซุกิได้พึมพำอย่างสับสนก่อนที่จะเหลือบมองมาด้านข้างและถามออกมา
“นายรู้เรื่องมรดกใช่ไหม?”
ซอลจีฮูได้แกะเทเรซ่าออกไป และยิ้มแห้งๆออกมา
สมาธิของทีมปฏิบัติการต่างก็อยู่ตรงนี้หมดแล้ว ภูเขาทั้งสามอาจจะเล็กลงไปมากเพราะการช่วยจัดแยกของโรเซร่า แต่ว่าพวกเขาแต่ล่ะคนก็ยังตกตะลึงอยู่เช่นเดิม
มาเรียที่กำลังนอนอยู่ในภูเขาไข่ทองคำ และใช้แก้มถูกับสิ่งเหล่านั้นด้วยสายตาเป็นประกาย
“ต่อให้เป็นความฝันฉันก็ยอม!”
จากนั้นเธอก็อยู่ในท่าดำลงไปในภูเขาทองคำ และแหวกว่ายออกมา
“อ๊า ก็ได้!”
โชฮงได้กระโดดทิ้งตัวเข้าใส่ภูเขาอัญมณี ในเวลาเดียวกันฮิวโก้ก็หยิบเงินขนาดเท่ากำมือโยนขึ้นไปบนท้องฟ้า
“เฮะเฮะเฮะเฮะ”
“คิคิคิคิ”
ช่วงเวลาแห่งความอิ่มเอมใจได้เริ่มดำเนินไป
ฮ่าฮ๋า โฮ่โฮ่
ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมาเมื่อได้เห็นเพื่อนๆมีความสุข และจากนั้นก็ปรบมือออกมา ทุกๆคนที่ได้ยินเสียงนี้ก็ผงะไป และหันกลับมามอง
อาจจะเพราะโรเซร่า พวกเขาจึงดูเหมือนจะตอบสนองต่อเสียงปรบมือเป็นอย่างดี
“อ่า ชิ~”
“นายทำให้ฉันตกใจนะ~”
หากเป็นตามปกติแล้วหากพวกเขาถูกแกล้ง ซอลจีฮูก็คงต้องโดนสักหมัดแล้ว แต่ว่าอาจจะเพราะรางวัลที่มากมายได้ทำให้พวกเธอใจกว้างขึ้น โชฮงกับมาเรียต่างก็ยิ้มออกมาอย่างน่ารัก
ซอลจีฮูได้พูดขึ้นทั้งๆที่กำลังขำอยู่
“อย่างที่ทุกคนรู้นะ ในตอนนี้คุณโรเซร่าดูจะไม่ค่อยอารมณ์ดีอยู่”
มาเรียที่กำลังอยู่ในท่าว่ายน้ำกรรเชียงในมหาสมุทรทองคำได้ชะงักทันที
“เนื่องจากว่าเธอสุภาพกับเรามากในฐานะเจ้าบ้านแล้ว พวกเราก็ควรจะทำกับเธอในฐานะแขกที่ดีเช่นเดียวกัน อย่าส่งเสียงดังเกินไป เอาของที่เราจะเอามาดีกว่า แล้วก็รีบกลับกัน”
ซอลจีฮูบอกได้จากสายตาเลยว่าทุกๆคนก็เห็นด้วย พวกเขาได้มีประสบการณ์กับตาตัวเองแล้วว่าโรเซร่าทรงพลังแค่ไหน การออกไปจากที่นี่ในทันทีที่ทำได้ดีกว่าการอยู่ต่อโดยไม่จำเป็นและทำให้เธอไม่พอใจเป็นพันล้านเท่า
ในตอนนี้พวกเขาได้ความมั่งคั่งขนาดนี้มาแล้ว หากว่าพวกเขาตายไปโดยที่ยังไม่ได้ใช้มันก็คงจะน่าขมขื่นจนเกินไป
ในที่สุดแล้วทีมพวกเขาก็ได้เริ่มเก็บทรัพย์สมบัติใส่ถุงตามหมวดหมู่ เนื่องจากว่าซอลจีฮูได้เตรียมกระเป๋าลดน้ำหนักขนาดใหญ่มาหลายไป การนำสิ่งของเหล่านี้กลับไปจึงไม่ได้น่ากังวลเลยสักนิด
ขณะที่ทุกๆคนกำลังยุ่งกับการเก็บของนี้เอง เพดานได้เริ่มสั่นไหวเบาๆ
คลื่นนน…! ตึง…!
เมื่อฟังดีๆแล้ว เสียงนี้มันเหมือนกับสิ่่งต่างๆกำลังแตกสลายและพังทลายลงไป พวกเขาได้เริ่มมองขึ้นไปบนเพดานด้วยความสับสน
-กรี๊ดดดดดดดด! กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด!
-เชี้ย! เชี้ยยยยยยยยยยย!
เสียงกรีดร้องและคำสบถหยาบคายต่างๆมากมายได้ดังออกมา
ซอลจีฮูที่กำลังเก็บแท่งทองคำกับไข่ทองคำอยู่ได้ขมวดคิ้วขึ้น และเตือนออกมาอย่างเคร่งขรึม
“มาเรีย คุณควรจะเงียบเสียงลงหน่อยนะ? ผมเข้าใจว่าคุณมีความสุข แต่ว่าอย่างน้อยก็อย่าได้สบถแบบ-“
“หือ? ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย!”
มาเรียได้แย้งกลับมาอย่างไม่พอใจราวกับว่าเขากำลังใส่ความผู้บริสุทธิ์
‘ไม่ใช่คุณมาเรียหรอกหรอ?’
ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา
ไม่ว่ายังไงก็ตามเสียงได้เบาลงไป และทุกๆคนก็กลับมาทำหน้าที่ต่อ เพราะมีทรัพย์สมบัติอยู่มากมายทำให้การเก็บพวกมันไปทั้งหมดต้องใช้เวลานาน ยังไงก็ตามไม่มีใครบ่นออกมาแม้แต่คำเดียว จริงๆแล้วพวกเขาพยายามอย่างสุดกำลังที่จะไม่เหลืออะไรทิ้งเอาไว้อีกด้วย
“ค่อยๆใส่เข้าไปให้ดีนะ ถ้ามีชิ้นไหนสักชิ้นมีรอยขีดข่วนล่ะก็ คนที่ทำมันจะถูกฉันทุบแน่”
โชฮงได้ข่มขู่ออกมาด้วยเสียงหัวเราะ
“ฉันก็ระวังอยู่ ฉันระวังแบบสุดๆเลยด้วย”
ฮิวโก้ก็ยังคำรามออกมาด้วยตาเป็นประกาย
ซอลจีฮูได้รู้สึกประหลาดขึ้นมาในใจ นี่มันเป็นครั้งแรกเลยที่เขาเห็นสองคู่หูตั้งใจจดจ่อ และมุ่งมั่นกันขนาดนี้
‘หากว่าพวกเขาทำแบบเดียวกันนี้ในระหว่างการฝึก อาจารย์จางก็คงจะดีใจ…’
หลังจากที่ทีมพวกเขาเก็บสมบัติไปได้กว่าครึ่งแล้ว จู่ๆซอลจีฮูก็รู้สึกว่ามีคนมาสะกิดเขา เทเรซ่ากำลังชี้ไปที่ประตู
ซอลจีฮูเห็นโรเซร่ากำลังยืนมองดูพวกเขาอยู่ด้านนอกอย่างเงียบๆ จากสายตาของเธอแล้ว ซอลจีฮูก็พอจะบอกได้ว่าเธอมีบางอย่างอยากจะถาม
ซอลจีฮูได้ส่งถุงในมือให้เทเรซ่า จากนั้นก็เดินไปที่ประตู
“พวกคุณดูจะสนุกกันนะ”
“อ่า… ฮ่าฮ่า”
ซอลจีฮูได้หัวเราะแห้งๆออกมา และสังเกตใบหน้าของโรเซร่า ดวงตาของเธอได้โค้งเป็นรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
ตอนนี้เธอดูจะใจเย็นลงหน่อยแล้ว
“ฉันต้องขอโทษด้วยที่หายตัวไปอย่างกระทันหัน สิ่งที่ฉันได้ยินมันน่าตกใจเกินไปหน่อย…”
“ไม่ครับ ไม่เป็นไรเลย ผมเข้าใจคุณ”
“ขอบคุณที่เข้าใจนะ”
โรเซร่าได้ถอนหายใจออกมา จากนั้นเธอก็มองมาด้วยสายตาที่น่าสงสารเหมือนกับนางเอกละครเศร้า
“ฉันได้คิดถึงมันในระหว่างมองดูทะเลสาบในสวนอันเงียบสงบ”
ซอลจีฮูได้มองมาที่โรเซร่า บนไหล่ของเธอมีเศษหินเลอะอยู่เพราะเหตุผลอะไรบางอย่าง โรเซร่าได้รีบเช็ดไหล่ของเธอทันที
“โอ้ อย่าสนใจมันเลย ฉันล้มลงไปในระหว่างเดินไปเรื่อยน่ะ”
“โอ้”
“ยังไงก็ตาม”
โรเซร่าได้เปลี่ยนเรื่องอย่างกระทันหัน
“ฉันขอโทษด้วยที่มารบกวนในตอนที่คุณกำลังยุ่ง แต่ว่าคุณพอจะมีเวลาบ้างไหม? มันไม่นานนักหรอก”
สีหน้าของเทเรซ่าดูไร้ซึ่งความสงบนิ่งหเมือนก่อน และดูจริงจังเอามากๆ สัญชาตญาณของซอลจีฮูกำลังบอกเขาว่าเธอกำลังมีอีกหนึ่งคำขอให้กับเขา
บทที่ 220 – มรดกของโรเซร่า ลา กราเซีย (2)
คำขอของเธอคงจะบ้าไปไม่น้อยกว่าการล้มล้างจักรวรรดิอย่างแน่นอน แต่ว่าซอลจีฮูที่คิดว่าฟังเธอหน่อยก็ไม่เสียอะไรจึงยอมรับฟัง
“แน่นอนสิครับ ว่ามาได้เลย”
“ขอบคุณนะ ถ้างั้น…”
โรเซร่าได้แสดงสีหน้าซาบซึ้งออกมา จากนั้นก็ค่อยๆยกมือขึ้น
ซอลจีฮูได้ลืมตาขึ้นและอ้าปากออกมาเล็กน้อย ภาพพระราชวังอันงดงามได้ง่ายไป และเขาเห็นก็แต่ซากปรักหักพังเพียงเท่าน้น
ไอควันสีขาวยังคงลอยขึ้นมาอยู่เลย และมันชัดเจนมากว่าใครเป็นคนทำ ยังไงแล้วที่นี่ก็มีแค่โรเซร่ากับทีมของพวกเขาเท่านั้น
“อ๊า ที่นี่กำลังอยู่ระหว่างซ่อมบำรุงน่ะ”
โรเซร่าได้ลืมพูดขึ้นเมื่อสังเกตเห็นได้ถึงสีหน้าของซอลจีฮู
“ข่าวนั่นน่าตกใจมากจนฉันอยากจะเปลี่ยนสภาพแวดล้อม”
โรเซร่าได้ยกมือปิดปากและหัวเราะออกมา จากนั้นหลังจากที่เธอโบกมือออกมา พระราชวังสีทองที่ถูกทำลายก็กลับมาเป็นปกติ
“เชิญทางนี้”
ซอลจีฮูได้เดินทัวร์พระราชวังโดยที่เครียดอยู่ตลอดเวลา
เขาได้จ้องไปที่โรเซร่าที่กำลังเดินอยู่ข้างหน้าตลอดเวลา หลังจากผ่านไปประมาณ 5 นาที เธอก็ได้เริ่มพูดขึ้น
“ฉันมันน่าสมเพชเนอะ?”
“?”
“หลังจากพูดอะไรที่ยิ่งใหญ่สูงส่งออกไปแล้วก็กลายมาเป็นแบบนี้…”
เอาเถอะนะ ตอนแรกมันก็น่าตลกดี แต่ว่าซอลจีฮูไม่ได้หมายความว่าโรเซร่าน่าหัวเราะเลยสักนิด
“ไม่เลยสักนิดครับ”
ท้ายที่สุดแล้วเธอก็ได้พยายามอย่างสุดกำลังเพื่อที่จะทำตามเป้าหมายของเธอ
เธอต้องใช้เวลาอยู่ภายในความฝันมาหลายร้อยปี
เธอจะต้องมุ่งมั่นขนาดไหนกนถึงได้ไม่หวั่นไหวเลยสักนิดจนถึงตอนนี้?
ไม่ว่าจะยังไงแล้วความมุ่งมั่นที่ไม่สั่นคลอนของเธอ มันก็น่าเคารพและควรเอาเป็นแบบอย่าง
ในตอนนั้นเองโรเซร่าก็ได้พูดขึ้น
“คุณรู้ไหมว่ามนตราคืออะไร?”
ทันใดนั้นเองจู่ๆเธอก็ถามออกมาเหมือนถามเล่นๆ แต่ว่าเมื่อเขารู้ว่ามันอาจจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เธอจะพูดต่อไป ซอลจีฮูจึงตั้งใจฟังเป็นพิเศษ
โรเซร่าอาจจะไม่ได้หวังคำตอบอยู่แล้วเพราะเธอได้พูดต่ออย่างสงบ
“เวทมนต์คือการใช้มานาซึ่งเป็นงานพิเศษของมนุษย์เพื่อทำในสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ คาถาเวทย์คือเทคนิคที่จะแสดงปรากฏการณ์ต่างๆด้วยการยืมพลังของสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติหรือพลังลึกลับต่างๆ”
เธอได้อธิบายต่ออย่างชัดเจน และกระชับ
“สิ่งที่เรียกว่ามนตราคือศาสตร์ใหม่ที่ผสานเอาทั้งสองอย่างนั่นเข้าด้วย”
จากนั้นเธอก็ได้หันกลับมายิ้มให้ซอลจีฮู
“แถมมันก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันถูกเรียกว่าแม่มด”
ซอลจีคิดตามถึงสิ่งที่เธิเพิ่งจะบอกมา
“คุณจะบอกว่า… คุณโรเซร่าเป็นคนก่อตั้งศาสตร์มนตรา?”
“ใช่แล้วล่ะ ในตอนฉันยังมีชีวิต จักรวรรดิทำเหมือนกับฉันเป็นคนนอกรีดแล้วก็กีดกันฉันออกไปก็เพราะแบบนี้”
โรเซร่าได้พูดออกมาราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แล้วซอลจีฮูก็แสดงสีหน้าสับสนออกมา
“ทำไมล่ะครับ? แล้วศาสตร์คาถาเวทย์ไม่โดนเหมือนกันหรอครับ?”
“จักรวรรดิเป็นประเทศที่มีเวทมนต์เป็นรากฐาน”
โรเซร่าได้ตอบกลับด้วยสีหน้าแข็งทื่ออย่างคาดไม่ถึง
“ประเทศแห่งเวทมนต์ สร้างโดยเวทมนต์ และมีไว้เพื่อเวทมนต์ มีเพียงเรื่องเส้นทางการเป็นนักเวทย์เท่านั้นที่ถูกอนุญาตให้พูดถึง ศาสตร์อื่นๆทั้งหมดต่างก็เป็นเป้าหมายที่จะถูกกำจัด”
โรเซร่าได้กัดริมฝีปากอย่างไม่พึงพอใจ
“คาถาเวทย์ก็ถูกข่มเหงเป็นพิเศษเหมือนกัน ไม่เพียงแค่ต้องบูชาเทพของจักรวรรดิเท่านั้น แต่การบูชาตัวบุคคลเป็นแบบอย่างก็ยังนับเป็นเรื่องต้องห้ามในช่วงเวลานั้น…”
ในที่สุดซอลจีฮูก็เข้าใจแล้วว่าทำไมโรเซร่าถึงได้อาฆาตแค้นจักรวรรดิมากขนาดนั้น ถึงเขาจะไม่มั่นใจ แต่ดูเหมือนว่าโรเซร่าจะต้องลำบากกับบางอย่างที่คล้ายการล่าแม่มดแน่ๆ
ไม่ใช่ว่านี่คือเหตุผลที่เธออยากถอนรากถอนโคนจักรวรรดิที่มีรากฐานมาจากเวทมนต์หรอกหรอ?
“ฉันขอพูดไว้หน่อยนะเผื่อคุณจะเข้าใจผิด ฉันไม่ได้เกลียดเวทมนต์ ไม่ว่าจะเป็นเวทมนต์หรือคาถาเวทย์ ฉันก็เชื่อว่าทั้งสองอย่างต่างก็เป็นศาสตร์ที่น่าสนใจ สิ่งที่ฉันเกลียดคือจักรวรรดิที่บังคับให้คนอื่นต้องเชื่อในศาสตร์เวทมนต์เพียงอย่างเดียว”
“อืมม… ถ้างั้นทำไมคุณไม่ออกจากจักวรรดิ ไปที่อื่นล่ะครับ?”
“ที่ไหนล่ะ? อิทธิพลได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งทวีป จะมีประเทศไหนอีกที่ยอมรับฉัน? ทางเลือกเดียวของฉันก็คือการถูกเนรเทศออกมาในที่ที่ไม่มีใครหาเจอ”
โรเซร่าได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ตราบใดที่คุณเกิดมาเป็นประชาชนของจักรวรรดิ คุณก็จะต้องทำตามกฏของมัน เอาเถอะ ฉันก็ไม่คิดว่านั่นมันผิด แต่ว่าด้วยแค่เหตุผลเดียวนั่นฉันก็ไม่อาจจะล่ะทิ้งศาสตร์ของคาถาเวทย์ได้”
โรเซร่าได้ลังเลอยู่นาน จากนั้นเธอก็พูดขึ้นเหมือนกับตัดสินใจได้แล้ว
“คุณรู้อะไรไหม พื้นเพแล้วฉันไม่ใช่คนของโลกใบนี้”
“…ว่าไงนะครับ?”
ซอลจีฮูได้ผงะถอยไปด้วยความตกใจ
“ฉันจะเรียบเรียงให้ฟังแล้วกันนะ ฉันได้เกิดและเติบโตขึ้นมาในพาราไดซ์แน่นอน แต่ว่าต้นตระกูลกาเซียไม่ได้มาจากโลกใบนี้ บรรพบุรุษของฉันเธอมีต้นกำเนิดมาจากโลกอื่น แต่ว่าถูกเนรเทศมาที่พาราไดซ์หลังจากเผชิญกับเหตุการณ์หนึ่ง”
โรเซร่าได้หยักไหล่ออกมา
“ถึงมันจะเชื่อได้ยาก แต่ว่ามันคือความจริง บันทึกที่บรรพบุรุษได้ถึงเอาไว้กล่าวถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจน”
ซอลจีฮูก็คิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจ พอมาคิดๆดูแล้วเขาก็อยู่ในตำแหน่งนี้เหมือนกัน
‘แต่ว่าโลกอีกใบหนึ่ง…’
ทันใดนั้นซอลจีฮูก็ถามอย่างประหลาดใจ
“แล้วโลกนั่นมีชื่อว่าอะไรหรอครับ?”
“อืมมม- บันทึกได้เขียนไว้ว่าคือฮอลเพลน” (เป็นโลกที่เกี่ยวกับนิยายอีกเรื่องของผู้แต่งคนเดียวกันครับ)
“ฮอลเพลน… ถ้างั้นแล้วบรรพบุรุษของคุณถูกเนรเทศมาที่พาราไดซ์ได้ยังไงกันครับ?”
“บรรพบุรุษของฉันดูเหมือนจะเป็นทั้งวีรบุรุษและนักบุญหญิงในโลกใบนั้น เธอได้ร่วมมือกับสามพันธมติรเอาชนะอุปสรรคต่างๆ และช่วยมนุษยชาติเอาไว้ได้ มันเป็นเรื่องที่เหมือนกับนิยายอย่างแท้จริง”
โรเซร่าได้อธิบายออกมาอย่างช้าๆราวกับเธอกำลังเล่านิทานให้เด็กฟัง
“แต่ว่าหลังจากนิยายได้จบลงมันคือความโหดร้าย”
“?”
“เมื่อทุกๆอย่างได้จบลง นักเวทย์ในกลุ่มได้เผยถึงความต้องการอันแรงกล้าที่มีต่อราชินีแฟรี่ ไม่เพียงแค่เขาจะลักพาตัวราชินีแฟรี่เท่านั้น แต่ว่าเขาก็ยังลักพาตัวฮีโร่คนที่เธอได้หมั่นหมายเอาไว้ไปด้วย และขังพวกเขาเอาไว้ในฐานทัพ”
ซอลจีฮูได้ผงะไป จากเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความฝันและความหวังได้กลายเป็นโศกนาฏกรรมอย่างทันตา
“นักบุญหญิงกราเชียที่รู้เรื่องในภายหลังได้นำกองทัพของเธอไปบุกฐานทัพของคนทรยศเพื่อช่วยสหายทั้งสองคน น่าเสียดายที่การช่วยเหลือได้จบลงด้วยความล้มเหลว ไม่เพียงแค่กองทัพของเธอพ่ายแพ้อย่างหมดท่าเท่านั้น แต่ว่านักบุญหญิงก็ยังถูกบังคับส่งข้ามมิติออกมาอีกด้วย พูดไปแล้วมันก็คือกสนที่เธอถูกเนรเทศออกมาจากโลกของเธอนั่นแหละ”
“อ่า… ผมขอโทษด้วยครับ”
ซอลจีฮูได้ตระหนักถึงความผิดพลาดของเขาทันที เขาเผลอไปถามมากเกินจำเป็นเพราะความทึ่งซะแล้ว
เขาได้ยิ้มแหย่ๆพูดออกมา
“ผมขอโทษ”
“ไม่หรอก นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ฉันต่อต้านจักรวรรดิ”
หนึ่งในเหตุผลที่ต่อต้าน จากนั้นทันทีที่เขาได้ยินคำต่อมา เขาก็พอจะเดาได้ทันที
“คุณโรเซร่า… อยากจะกลับไปที่เฮลเพลน?”
“…คุณนี่เข้าใจอะไรง่ายดีนะ”
โรเซร่าได้ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
“ใช่แล้วล่ะ แต่ว่าแทนที่จะโหยหาอยากกลับไป… ฉันอาจจะอยากหนีความจริงก็ได้ ฉันก็ยังสงสัยแล้วก็ไม่ได้ชอบโลกใบนี้จริงๆ”
“…”
“แต่ว่าการข้ามมิติมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มันเป็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปไม่อาจจะกล้าฝันได้เลย”
เธอพูดถูก ที่มนุษย์โลกเข้ามาในพาราไดซ์ได้นั่นก็เพราะพลังของเทพแห่งพาราไดซ์ หรือก็คือมีแต่คนที่มีพลังเทียบเท่ากับเทพเท่านั้นถึงจะทำอะไรแบบนั้นได้
“หลังจากคิดอยู่นานฉันก็ได้ข้อสรุปออกมา หากว่าฉันไปจากโลกที่อยุติธรรมนี่ไม่ได้ ฉันก็จะเปลี่ยนมันเอง เพื่อประโยชน์ของคนรุ่นหลัง ฉันจะตัดเตรียมสถานที่ที่ทุกคนสามารถจะแบ่งความรู้และความเข้าใจในศาสตร์ใดๆก็ตามให้แก่กันได้ และเพื่อจะทำแบบนั้นจักรวรรดิที่เชิดชูในแต่เส้นทางเวทมนต์จะต้องถูกทำลาย”
ซอลจีฮูได้เลิกคิ้วขึ้นมา
เปลี่ยนแปลงโลก
คำเหล่านี้ได้ดังก้องอยู่ในหัวของเขา
“เพราะงั้นฉันถึงได้ทำการหลอมรวมเวทมนต์กับคาถาเวทย์เข้าด้วยกัน เพราะในตอนนั้นฉันอยากที่จะได้ในพลังใหม่ที่ไม่เคยมีใครมี แน่นอนว่าคนอื่นบอกว่าฉันบ้า และพยายามจะหยุดฉัน แต่ว่า-“
“มันน่าเหลือเชื่อ!”
ซอลจีฮูอดไม่ได้ที่จะชื่นชมเธอออกมา แต่ว่าโรเซร่าได้ชะงักไปและกระพริบตานิ่งๆ
“ว่าไงนะ?”
“ก็คุณทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนสำเร็จนี่นา”
สิ่งที่โรเซร่ากำลังบอกนั่นมีความสำคัญกับซอลจีฮูอย่างยิ่ง เขากำลังอยู่ในระหว่างการกลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงที่แท้จริง และเขารู้สึกเหมือนกับว่าในที่สุดเขาก็ได้พบกับผู้นำ
ยังไม่หมดเท่านั้น พวกเขาทั้งคู่ยังมีส่วนที่คล้ายกันอยู่หลายส่วนจนน่าแปลกใจ
ซอลจีฮูอยากจะเปลี่ยนแปลงพาราไดซ์ ขับไล่ปรสิต และมนุษยชาติส่วนหนึ่งออกไปในระหว่างกระบวนการนี้
แต่ว่าเมื่อเห็นท่าทีแปลกของโรเซร่า ซอลจีฮูก็ได้แต่เกาหัวออกมา
“เอ่อ ผมพูดอะไรหยาบคายไปหรือเปล่า…?”
“มะ ไม่หรอก… ฉัน… ฉันแค่ไม่คิดว่าคุณจะคิดแบบนั้นจริงๆ… ฉันไม่เคยเห็นปฏิกิริยาแบบนี้มาก่อนเลย”
โรเซร่าได้พูดติดอ่างออกมา
“…ขอโทษด้วยนะ เมื่อก่อนในตอนฉันพูดเรื่องนี้ ทุกๆคนต่างก็มีท่าทีแบบเดียวกัน”
“พวกเขาพูดว่าอะไรหรอครับ?”
“นั่นคือฉันหลงตัวเอง”
“…”
“ฉันยังได้ยินคำว่า ‘ยัยบ้า’ ‘คลั่ง’ ‘ไสหัวไป’ แล้วก็ ‘ว้าว แม่สาวคนนี้กำลังทำให้ฉันบ้า!’”
ซอลจีฮูไม่มั่นใจเรื่องคนอื่น แต่ว่าเขารู้สึกเหมือนจะพอรู้จักคนที่พูดอย่างคำสุดท้าย
“อืมม… นี่มันเป็นครั้งแรกที่ฉันถูกชม ตะ แต่ว่ามันรู้สึกดีมากเลยล่ะ”
โรเซร่าได้หลบสายตาไปจากซอลจีฮู จากนั้นก็กระแอ่มขึ้นมา
“อะแฮ่ม ใช่แล้วล่ะ! มันน่าเหลือเชื่อ! ปาฏิหาริย์จะทอดสะพานให้กับคนที่มุ่งมั่น ด้วยความหมั่นเพียรฉันได้บุกเบิกเส้นทางใหม่ขึ้นมา คุณไม่เข้าใจหรอกว่าฉันสะเทือนใจมากแค่ไหนในตอนแรกที่ได้เจอเข้ากับต้นดำเนิด…”
“ต้นกำเนิด?”
“ต้นกำเนิดก็คือ…”
โรเซร่าได้รีบปิดปากลงไปทันที
“ต้นกำเนิดคือ…”
เธอดูจะลังเล มันไม่ใช่ว่าเธอลังเลที่จะบอกเขา กลับกันมันเหมือนกับว่าแนวคิดนี้มันดูเหมือนจะยากเกินไปและเกินขอบเขตที่เธอจะอธิบายออกมาด้วยคำพูดได้
“การขึ้นของดวงอาทิตย์ และการตกของดวงจันทร์”
โรเซร่าได้พูดออกมาเบาๆ
“ในตอนดวงจันทร์ขึ้น ดวงอาทิตย์ก็จะตก น้ำไหลจากที่สูงลงที่ต่ำ หลักพื้นฐานของเหตุและผลของปรากฏการณ์ในธรรมชาติจะถูกเรียกว่าต้นกำเนิด”
เธอดูเหมือนจะเคร่งขรึมและจริงจังยิ่งกว่าเคย
“จริงๆแล้วแม้กระทั่งฉันก็ยังไม่ได้รู้เรื่องต้นกำเนิดอะไรมาก แน่นอว่าฉันก็ภูมิใจในความสำเร็จของฉันที่ได้สัมผัสกับมันในฐานะของมนุษย์ธรรมดา แต่ว่าจากมุมมองของทั้งจักรวาลแล้ว ฉันเพิ่งจะก้าวเข้าประตูไปแค่ก้าวเดียวเท่านั้น”
ทันใดนั้นซอลจีฮูก็โล่งใจขึ้นมาที่เขาไม่ได้เลือกในเส้นทางของนักเวทย์ นั่นมันก็เพราะว่าเขาไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่โรเซร่าพูดเลย
“ฉันก็แค่ได้รับคุณสมบัติพื้นฐานสุดในการดูมันเท่านั้นเอง…”
ทันใดนั้นโรเซร่าก็หยุดเดินไป ซอลจีฮูได้สังเกตว่ารอบตัวเขามืดลงไปมา พวกเขาคงจะมาถึงจุดหมายที่จะจะเอาไว้คุยกันแล้ว
“ที่นี่คือ-“
ที่นี่ดูเหมือนกับห้องท้องพระโรง และโรเซร่าก็ได้เดินขึ้นบันไดไปบนแท่นบูชา
“น้ำพุแห่งปัญหาที่ไร้ก้นบึ้ง และการพิสูจน์ว่าฉันได้สัมผัสกับขอบเขตของต้นกำเนิด”
ลูกแก้วขนาดเท่ามือหนึ่งได้ลอยอยู่บนแท่นบูชาสี่เหลี่ยม พร้อมทั้งเปล่งประกายออกมาอย่างรุนแรง
โรเซร่าได้ไปยืนอยู่ตรงหน้าแท่นบูชา และกอดลูกแก้วที่เรืองแสงอย่างมีค่า ต่อมาเธอก็ได้หันกลับมาหาซอลจีฮู และบอกถึงตัวตนของแสงนี้ด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“ฉันเรียกมันว่าแสงนิรันดร์แห่งปัญญา”
จากนั้นเธอก็พูดต่อ
“จริงๆแล้วฉันได้คิดมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“…”
“ในชีวิตนี้ฉันมีความต้องการอยู่แค่สองอย่าง การข้ามมิติ แล้วก็การล่มสลายของจักรวรรดิ แต่ว่าฉันได้ทำมันล้มเหลวทั้งสองอย่าง”
หนึ่งคือสิ่งที่เธอทำไม่ได้ และอีกอย่างคือสิ่งที่เธอไม่อาจจะทำได้
โรเซร่าได้เอียงหัวออกมา และจ้องไปที่เพดาน
“ฉันจะพูดยังไงดีล่ะ…. ฉันไม่ได้รู้สึกถึงความพ่ายแพ้แบบนี้มานานแล้ว ฉันทำจนถึงขนาดกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตที่อมตะที่ได้แต่รอแล้วรอเล่า…”
ความเกลียดชังที่ฝังรากลึกได้ทำให้ทนอยู่ต่อได้ แต่ว่าจากการที่ได้รับรู้ความจริงจากซอลจีฮูทำให้ตอนนี้ความเกลียดชังของเธอไร้จุดที่ให้ลงแล้ว
หากว่าเธอยังมีร่างกายที่มีชีวิตอยู่ ความตกใจอาจจะส่งผลให้เธอต้องนอนเตียงได้เลย
“การล่มสลายของจักรวรรดิเป็นคความจริงที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้ มันไม่มีเหตุผลอะไรให้ฉันมีชีวิตอยู่อีกแล้ว แต่ว่า…”
โรเซร่าได้จ้องตรงมาก่อนที่จะพูดต่อ
“ฉันก็ยังเกลียดความคิดที่ว่าฉันกำลังจะหายไปอย่างไร้ค่า”
เธอได้ลูบแสงนิรันดร์แห่งปัญญาด้วยสีหน้าขมขื่น
“คือคุณไม่รู้สึกเหมือนฉันหรอ? สายเลือดกราเซียได้หมดลงในรุ่นของฉัน ชื่อนี้กำลังจะหายไปทั้งในพาราไดซ์แล้วก็ฮอลเพลนโดยที่ไม่มีร่องรอยอะไรเหลือไว้เลย… นี่มันช่างน่าเศร้าและน่าอึดอัดใจเกินไปแล้ว”
“…”
“ฉันไดด้อุทิศทั้งชีวิต สละร่างกายและจิตใจเพื่อทำตามเป้าหมายให้สำเร็จ”
โรเซร่าที่หวาดกลัวการสูญเสียผลของการตรากตรำพยายามมาได้เงียบลงไป
ซอลจีฮูก็ยังคงเงียบอยู่เช่นเดิม การไม่อยากหายไปในหมอกแห่งประวัติศาสตร์ ซอลจีฮูเข้าใจเธอในเรื่องนี้
“เพราะงั้นฉันได้ตัดสินใจแล้ว ในเมื่อมันกลายมาเป็นแบบนี้ อย่างน้อยฉันก็อยากจะทิ้งหลักฐานพิสูจน์เอาไว้ว่า ฉัน โรเซร่า ลา กราเซียมีตัวตนอยู่บนโลกนี้ ฉันจะทิ้งร่องรอยของตระกูลกราเซียเอาไว้”
หลังจากเงียบอยู่นาน โรเซร่าก็มองมาที่ซอลจีฮู
“เพราะงั้นฉันมีหนึ่งคำขอที่จะขอกับคุณ”
ในที่สุดเธอก็เข้าเรื่องแล้ว
“คุณพอจะพาคนที่มีพรสวรรค์ในศาสตร์นี้มาให้ฉันได้ไหม?”
ดวงตาของซอลจีฮูได้เบิกกว้างกับคำขอที่คาดไม่ถึง
“ศาสตร์?”
“ใช่แล้วล่ะ คนที่สามารถจะยอมรับแสงนิรันดร์แห่งปัญญาได้ พูดง่ายๆก็คือคนที่จะกลายมาเป็นผู้สืบทอดของฉัน”
ซอลจีฮูได้จ้องไปที่ลูกแก้วแสงอย่างไม่รู้ตัว แรงดึงดูดของมันทรงพลังมากจนเหมือนจะดูดเขาเข้าไปข้างใน เพราะงั้นเขาจึงรีบหลบตาออกมา
‘ไม่รู้สินะ….’
คำขอนี้ของเธอง่ายกว่าคำขอไร้สาระอย่างการทำลายจักรวรรดิก่อนหน้านี้เป็นพันเท่า แต่ว่าจะมีสักกี่คนที่เข้าใจถึงคุณค่าของลูกแก้วแสงนี่กันล่ะ? สุดท้ายแล้วแม้กระทั่งเขาก็ยังไม่มั่นใจ
“หากว่ามีคนที่ยอมรับในแสงนี้ได้… อืมม ผมจะพูดยังไงดีล่ะ… คนๆนั้นจะต้องต่างจากนักเวทย์ธรรมดาทั่วไปไหมครับ?”
“ต่างกันงั้นหรอ?”
เสียงของโรเซร่าได้สูงขึ้นมาในทันที แก้มของเธอแดงขึ้นมาเหมือนกับว่าเธอรู้สึกว่าซอลจีฮูเพิ่งจะดูถูกเธอไป แต่ว่าเมื่อรับรู้ว่าซอลจีฮูไม่ได้มีเจตนาอะไรแบบนั้นเลย เธอจึงหยุดแค่เสียงเบาๆ
“มันจะถูกกว่าถ้าจะพูดว่ามันคนล่ะเรื่องกันเลย”
เธอได้พูดออกมาอย่างหนักแน่นราวกับว่าไม่มีเหตุจำเป็นต้องพูดเรื่องนี้อีก
“แน่นอนว่าฉันไม่อาจจะพูดว่าเส้นทางที่ฉันเดินไปมันยอดเยี่ยมที่สุด แต่ว่าดวงตาแห่งสวรรค์ที่สามารถจะมองเห็นต้นกำเนิดได้เป็นพลังโดยกำเนิดที่มีเพียงผู้ถูกเลือกไม่กี่คนเท่านั้นที่จะมีมัน และดวงตาที่สามที่ซึ่งสามารถจะมองผ่านได้แม้กระทั่งสวรรค์นี้เป็นพลังที่อยู่เหนือกว่าสวรรค์ อย่างน้อยที่สุดแล้วหากพูดถึงเรื่องของศักยภาพของมนุษย์ก็ไม่มีอะไรให้กังขาเลยสักนิด”
มันเป็นอีกครั้งแล้วที่เขาทำในสิ่งที่ไม่ควรทำออกไป ซอลจีฮูได้ตำหนิตัวเองอีกครั้งหนึ่งที่ทำพลาดไป
“เนื่องจากว่าแสงนิรันดร์แห่งปัญญาได้รับผลกระทบอย่างมากจากสายเลือดของตัวบุคคล ผู้ที่มีศักยภาพโดยกำเนิดจึงจะเข้ากับมันได้เป็นอย่างดี มันคือสิ่งที่ไม่อาจจะหาใครก็ได้ที่มีความพยายามมารับมันไปได้ แม้กระทั่งผู้มีพรสวรรค์ก็ยังต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อให้มีโอกาสได้คว้ามันไปเลยด้วยซ้ำ”
เธอได้พูดยาวออกมา จากนั้นก็เหลือบมองไปด้านข้าง
เมื่อได้เล่าถึงความยอดเยี่ยมของเธอให้เขาฟังแล้ว เธอก็นั่งลงไปบนแท่น ค่อมไหล่และส่ายหัวออกมา จากนั้นเธอก็ยืดอกขึ้น
“กลับมาเข้าเรื่องกันดีกว่านะ ผู้สืบทอดของฉันจะต้องอยู่ในจุดที่ต่างออกไป เขาหรือเธอจะต้องมีความชำนาญในด้านมนตราอย่างเต็มที่ บวกกับด้วยความช่วยเหลือของฉันมันก็ไม่น่าจะยากเกินไป”
ขณะที่ซอลจีฮูกำลังจะถามออกมาว่า ‘แล้วผมล่ะ?’
“แน่นอนว่า หากเขาหรือเธอมีความสามารถโดยกำเนิดก็จะดีมาก แต่จริงๆแล้วฉันชอบในคนที่พยายามอย่างหนัก และพยายามศึกศาในศาสตร์ๆนี้อย่างมุ่งมั่นอยู่ตลอดเวลา”
แต่ว่าหลังจากได้ยินประโยคต่อมาของเธอ เขาก็ต้องกลืนคำพูดลงไป
มีคำกล่าวไว้ว่าการมีมากเกินไปก็แย่พอๆกันกับมีน้อยเกินไป
เขากำลังพยายามอย่างหนักเพื่อไปในเส้นทางที่จางมัลดงได้บอกกับเขา เพราะงั้นเขาจึงไม่มั่นใจเลยว่าเขาจะสามารถย่อยความรู้ของแสงนิรันดร์แห่งปัญญาได้
ที่สำคัญไปกว่านั้น เขาก็อยากจะบุกเบิกในเส้นทางของตัวเอง แทนที่จะไปเดินรอยตามเส้นทางที่คนอื่นได้สร้างเอาไว้แล้ว
‘เดี๋ยวก่อนนะ’
ในตอนนั้นเองจู่ๆความคิดหนึ่งก็ได้เข้ามาในหัวของเขา และผงะไป
‘ไม่ใช่ว่ามันใกล้แล้วหรอ?’
อีกไม่นานเขตพื้นที่เป็นกลางเดือนมีนาคมที่ได้รับความสนใจอย่างมากจากพาราไดซ์ก็จะเปิดขึ้น
หากว่าซอลจีฮูสามารถจะรับชาวโลกที่มีพรสวรรค์เข้าทีม เขาก็จะได้รับผู้ใช้มนตราที่มีเพียงหนึ่งเดียวในพาราไดซ์มาเป็นพรรคพวกได้
ในตอนนี้เองซอลจีฮูถึงได้รู้ว่าเขาโชคดีแค่ไหนกันที่ได้มีโอกาสนี้
“ดูเหมือนว่าเราจะมีความสนใจตรงกันอยู่นะ”
โรเซร่าได้ยิ้มออกมาเมื่อเธอได้อ่านความคิดของเขา
“คุณจะยอมรับคำขอของหญิงสาวคนนี้ใช่ไหม?”
“ครับ แต่ว่ามันอาจจะใช้เวลาสักพักนะครับ”
“คุณมีเวลาให้ใช้ได้เต็มที่เลย”
โรเซร่าได้ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มแห้งๆ
“ฉันได้รอมาเป็นร้อยปีแล้ว การรอต่อไปอีกสักสิบกว่าปีก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
“ไม่หรอกครับ คุณไม่ต้องรอนานขนาดนั้นหรอก อยอ่างเร็วก็ไม่กี่เดือน แล้วก็อย่างนานสุดก็ไม่กี่ปี…”
“สำหรับฉันแล้วยิ่งเร็วก็ยิ่งดีแหละ ยังไงก็ตามฉันดีใจ”
โรเซร่าดูจะโล่งใจมาก
“แล้วพอผมเจอผู้สืบทอด ผมแค่ต้องพาเขามาที่นี่?”
“ใช่แล้วล่ะ แต่ว่า-“
โรเซร่าได้จ้องมาที่จี้ที่ห้อยอยู่บนคอซอลจีฮู
“หากว่าเราติดต่อกันไว้มันจะดีกว่าใช่ไหมล่ะ?”
“มีวิธีทำแบบนั้นได้ด้วยหรอครับ?”
“แน่นอนสิ!”
โรเซร่าได้ตะโกนออกมาอย่างสดใสด้วยสีหน้าร่าเริง
“มนตรามีรากฐานมาจากพลังแห่งการสรรสร้าง มันสามารถสร้างสิ่งมหัศจรรย์ได้ทุกประเภศ!”
เธอได้เธอตรงเข้ามาวางมือลงบนจี้ก่อนที่จะดึงออกมา เมื่อแสงจางๆได้ทำให้อัญมณีหมองลงไปเล็กน้อย เธอก็ยิ้มแปลกๆออกมา
‘เธอทำอะไรลงไป?’
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่ได้หน้าด้านจนถึงขนาดเข้าไปแย่งบ้านของคนอื่นหรอกนะ”
“ว่าไงนะครับ?”
ซอลจีฮูได้ถามกลับไปเหมือนอย่างเคย โรเซร่าก็ได้หัวเราะขึ้น จากนั้นก็มองลงไป
“ดูเหมือนว่าพรรคพวกของคุณจะเก็บมรดกกันเสร็จแล้วนะ”
“เสร็จแล้วหรอครับ?”
“ใช่แล้วล่ะ พวกเขากำลังบ่นถึงคุณอยู่เลย บางคนก็เป็นห่วงด้วย”
ใช่แล้ว ในเมื่อพวกเขาได้ทุกๆอย่างมากแล้ว มันก็เข้าใจได้ว่าพวกเขาอยากจะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
“คุณอยากจะกลับไปเดี๋ยวนี้เลยไหม?”
“ครับ รบกวนด้วย”
เขาได้สิ่งที่ต้องการมาแล้ว เพราะงั้นซอลจีฮูจึงหยักหน้าออกมา โรเซร่าได้ก้มหัวให้เขาอย่างสง่งาม
“ขอบคุณมากนะที่รับฟังในคำขออันไร้เหตุผลของฉัน”
จากนั้นเธอก็พูดต่อด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณคุณมาก นานแล้วที่ฉันไม่ได้ใช้เวลาอันสดชื่นแบบนี้”
“ไม่เลยครับ”
“ไม่หรอก ฉันไม่ได้จะประจบนายนะ นี่เป็นคำชมที่มาจากใจจริงๆของฉัน…”
เธอได้ทิ้งท้ายเอาไว้แบบนี้ จากนั้นก็ถามออกมาด้วยรอยยิ้มสดใส
“อ่า เอาล่ะ ฉันยอมแพ้กับจี้ไปแล้ว เพราะงั้นหากว่าฉันไปโผล่ในฝันของคุณบ่อยๆก็อภัยให้ฉันด้วยนะ”
เธอหมายความว่ายังไงกัน?
ซอลจีฮูได้ถามออกมา แต่ว่าโรเซร่าก็ไม่ได้ตอบ เธอเพียงแค่แสดงสีหน้าปแปลกๆเท่านั้นเอง
“ฟุฟุ พรรคพวกของคุณกำลังกังวลกันแล้ว”
โรเซร่าได้ยกแขนขึ้นอย่างช้าๆ
“ถ้างั้นจนกว่าเราจะได้เจอกันอีก ฉันขอภาวนาให้คุณโชคดีนะ”
น้ำเสียงชวนฝันของเธอได้ดังออกมาเหมือนกับเสียงดนตรี และก่อนที่ซอลจีฮูจะได้พูดอะไรออกมา-
“ฉันหวังว่าคุณจะมีความฝันที่ยิ่งใหญ่นะ”
มือของโรเซร่าได้ประสานเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว
แปะ!
***
ดวงตาของซอลจีฮูได้เบิกโพล่งขึ้นมา
‘หืม…?’
นี่มันรู้สึกไม่ต่างไปจากการที่เขาตื่นมาจากฝันร้ายเลย เขารู้สึกสดชื่นเหมือนกับเพิ่งจะหลับเต็มอิ่มมา เมื่อภาพตรงหน้าที่พร่ามัวของเขาชัดเจนขึ้น ซอลจีฮูก็ได้กลืนน้ำลายลงไป
เสียงที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจได้ดังออกมารอบตัวเขา
สมาชิกทีมของเขากำลังนอนอยู่ตรงกลางป่าอีกครั้งหนึ่ง เมื่อได้จารึกกำลังส่องแสงริบหรี่ออกมา เขาก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
พวกเขาคงจะหลับฝันลงไปโดยไม่รู้ตัวอีกครั้งหนึ่ง
แม้กระทั่งโฟลนก็ด้วย
เขาไม่อาจจะบอกได้เลยว่าสิ่งที่เขาเห็นคือความฝันหรือความจริง
“อ่า เวรล่ะ”
โชฮงที่กำลังลูบหน้าผากงัวเงียได้รีบลุกขึ้นมา เมื่อเห็นกระเป๋าที่วางอยู่รอบตัว เธอก็มองพวกมันด้วยความไม่มั่นใจ
“ขอล่ะนะ… ขอเถอะ…”
เธอได้ค่อยๆแกะกระเป๋าอย่างตั้งใจ จากนั้นรอยยิ้มกว้างก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ เธอได้หยิบทองออกมาหนึ่งกำมือและหัวเราะขึ้น
“ดูสิ! มันไม่ใช่ความฝัน! มันไม่ใช่ความฝัน! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
“เวรเอ้ย ฉันคิดว่าฉันฝันร้ายอีกแล้ว…”
มาเรียได้ถอนหายใจเฮือกออกมาอย่างโล่งอก และเริ่มตรวจสอบดูทีล่ะกระเป๋า
“แล้วนายไปไหนมา?”
ฮิวโก้ได้สะกิดซอลจีฮูที่กำลังนั่งอยู่อย่างสับสน
“โอ้ ก็ไม่มีอะไรหรอก ฉันเพิ่งจะไปคุยกับเธอมา”
ในที่สุดซอลจีฮูก็ลุกขึ้นยืนมองดูโชฮงกับมาเรียที่กำลังเริ่มค้นกระเป๋า
“ทุกอย่างปกติดีนะ”
“ใช่สิ! ไม่มีเศษทองหลงเหลืออยู่แม้แต่นิดเลยล่ะ!”
ฮิวโก้ได้ทุบอกตอบกลับมา ซอลจีฮูรู้สึกเหมือนกับว่าเขาเชื่อใจคำพูดนี้ได้เต็มที่
ฮิวโก้ได้รีบพูดขึ้นพร้อมทั้งเข้ามานวดไหล่ซอลจีฮู
“ซอล ฉันไม่เคยโชคดีขนาดนี้มาเลยทั้งชีวิต! การบอกให้นายเข้าร่วมคาเพเดี่ยมในตอนนั้นของฉันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดของฉันเลยล่ะ! ดูเงินทั้งหมดนี่สิ!”
ความตื่นเต้นของฮิวโก้ยังไม่ได้ลดลงไปเลยแม้แต่นิด
ใช่แล้ว เงินก็ไม่ได้แย้
แต่ว่าแจ็ตพ็อตจริงๆมันคืออย่างอื่นต่างหาก
ซอลจีฮูได้กำจี้แน่นและมองไปรอบๆป่า เขาอาจจะเข้าใจผิดไป แต่ทั้งป่าดูเหมือนจะสว่างมากขึ้น
ไม่สิ เขามั่นใจว่ามันสว่างขึ้นจริงๆ
หมอกได้หายไปแล้ว และแสงสีน้ำเงินอันน่ากลัวก็เช่นเดียวกัน ที่นี่ไม่มีความมืดและความอับชื้นอีกต่อไป แต่ถูกแทนที่ด้วยความเย็นสบายสดชื่น
ซอลจีฮูได้หันหน้าไป ลมเย็นๆได้พัดกระทบใบหน้าของเขาที่กำลังมีรอยยิ้มกว้างอยู่
“ตอนนี้ก็ออกจากป่ากันเถอะ”
ทีมปฏิบัติการได้ตะโกนตอบรับออกมาดังยิ่งกว่าเคย
บทที่ 221 – หอกและหีบสมบัติ (1)
ยูเรลกำลังยืนรออยู่ที่ชายขอบของพื้นที่พร้อมกับกลุ่มแฟรี่ถ้ำ ในทันทีที่ทีมปฏิบัติการโผล่ออกมา พวกเขาก็ได้ขอให้แฟรี่ท้องฟ้าทำการชำระล้างทันที
แต่ว่าผลของการชำระล้างกลับไม่ได้เกิดขึ้น ตามที่แฟรี่ท้องฟ้าบอกมันไม่ใช่เพราะว่ากิ่งต้นไม้โลกมันไร้ประสิทธิภาพ แต่นั่นเพราะพวกเขาไม่ได้ติดคำสาปต่างหาก
แฟรี่ท้องฟ้าได้สับสนกันขึ้นมา แต่ซอลจีฮูก็พอจะเดาได้ว่าทำไม เขาก็ไม่มั่นใจนัก แต่ว่าโรเซร่าอาจจะเป็นคนจัดการ
“มันเป็นไปได้ยังไงกัน?”
ยูเรลสงสัยเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแค่พวกเขาจะออกมาได้โดยไร้บาดแผลเท่านั้น แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้รับผลจากคำสาปอีกด้วย
ซอลจีฮูได้จัดเตรียมก๋วยเตี๋ยวสี่ชามเอาไว้ให้กับแฟรี่ท้องฟ้าที่จ้องมองมาที่เขาด้วยตาเป็นประกาย ก่อนที่เขาจะค่อยๆอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นด้านใน
“โรเซร่า ลา กราเซีย…”
ยูเรลได้ตั้งใจฟังซอลจีฮูพูด แต่ว่าเธอมีแค่เรื่องเดียวเท่านั้นที่สงสัย
“หากว่าเราเข้าไป เธอจะทำกับเราเป็นแขกเหมือนกันไหม?”
ซอลจีฮูได้บอกว่าเขาไม่มั่นใจเรื่องนี้
การที่ทีมปฏิบัติการสามารถไปเจอกับโรเซร่าได้นั่นมันก็เพราะโฟลนตั้งแต่แรกแล้ว หากว่าพวกเขาไม่ได้มีจี้หรือมีโฟลนไปด้วยกับพวกเขา ถ้างั้นพวกเขาก็จะต้องเจอกับการแจ้งเตือนขั้นที่ 2 ของจารึกที่ถูกเปิดใช้งาน และทำให้ทีมปฏิบัติการจมลงไปในวิกฤติที่ร้ายแรงยิ่งกว่าเดิมอีก
แต่ว่าหากพวกเขาตื่นขึ้นมาได้ด้วยตัวเองเหมือนกับเทเรซ่าก็คงจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“ถ้างั้นเราจะจำกัดไม่ให้คนของเราเข้าไปเหมือนเดิม”
หลังจากหัวเราะแห้งๆออกมา ยูเรลก็ถามขึ้น
“ฉันได้ฟังเรื่องราวที่น่าสนใจแล้วสิ แล้วนี่นายจะกลับไปเลยไหม?”
“ใช่ครับ ผมก็คิดไว้ว่าแบบนั้น”
“ก็รู้สึกแย่อยู่นะที่เราต้องกล่างลากัน”
ยูเรลยังได้เสริมขึ้นพร้อมกับเหล่ตาออกมา
“ก๋วยเตี๋ยวนั่นน่ะ”
“เป็นการเจอกันที่สนุกมากครับ ผมหวังว่าเราจะได้เจอกันอีกนะ”
หลังจากเผยความในใจของเธอออกมาแล้ว ยูเรลก็ยื่นมือออกมา และซอลจีฮูก็ได้จับมือเธออย่างไม่ลังเล
หลังจากจับมือกันแล้ว ในที่สุดทีมปฏิบัติการก็ได้เตรียมตัวเดือนทางกลับมา
‘ว่าไปแล้วก็นะ’
เขาได้สร้างความสัมพันธ์กับสหพันธรัฐไว้แล้ว
ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจโดยคิดว่าแม้ว่าปฏิบัติการจะไม่ได้ราบรื่นไปหมด แต่สิ่งที่พวกเขาได้รับกลับมาก็มากมายอย่างแน่นอน
ก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทาง เขาก็ได้หันกลับไปมองที่เจดีย์แห่งความฝัน
ป่า…
“…”
…ยังคงเปล่งประกายแสงสีทองและสีน้ำเงิน
เหมือนอย่างเคยในตอนนี้ปฏิบัติการยังไม่ได้จบลงจริงๆ
ดีแลนด์ได้เน้นย้ำอยู่เสมอว่าแค่ทำตามเป้าหมายสำเร็จไม่ได้หมายความว่าปฏิบัติการจบลงไปแล้ว มันจะจบลงจริงๆก็ต่อเมื่อพวกเขากลับไปถึงบ้านอย่างปลอดภัยเท่านั้น
ดังนั้นก่อนเริ่มการเดินทาง ซอลจีฮูจึงเร่งเร้าทุกๆคนไม่ให้ลดความระวังลงจนกว่าพวกเขาจะไปถึงฮารามาร์ค
ความเร็วในการเดินทางกลับของพวกเขาได้ช้าลงไปมากเพราะมรดกมากมายที่ถูกเก็บไว้ในกระเป๋า แต่ไม่ว่าจะยังไงกระเป๋าเวทมนต์ก็ได้ช่วยลดน้ำหนักลงไปจนเหลืออย่างน้อยหนึ่งในสิบ หรือหนึ่งในยี่สิบ เพราะงั้นการขนกลับไปจึงไม่ได้เป็นปัญหาอะไรมกานัก
ทีมปฏิบัติการได้เดินฮัมเพลงกันอย่างมีความสุข จนกระทั่งพวกเขาได้ออกมาจากเขตชายแดนพวกเขาถึงได้หยุดลง
พระอาทิตย์ยังไม่ได้ตกดิน มันยังคงเร็วเกินไปที่จะตั้งแคมป์ แต่ว่าพวกเขาก็มีเหตุผลในการหยุดเดินทางอยู่
ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรการคำนวณก็เป็นสิ่งที่จำเป็น การคำนวณจะต้องไม่มีความผิดพลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการแบ่งของรางวัล
ในที่สุดแล้วซอลจีฮูก็พูดในคำที่ทุกๆคนรอคอยออกมา
“วันนี้พวกเราจะตั้งแคมป์กันที่นี่”
“ให้ตายสิ นี่มันเป็นครั้งแรกเลยที่ต้องใช้มานาในระหว่างการเดินทาง”
ฟีโซราได้บ่นออกมาพร้อมกับวางกระเป๋าลง
ซอลจีฮูได้หัวเราะขึ้นมา
“ถ้าเราพาคนแบกของมาด้วยก็คงจะง่ายขึ้นล่ะเนอะ”
“อืมม… ฉันคิดว่าฉันรู้แล้วนะว่าทำไมเราถึงไม่พามาด้วย”
เมื่อมองไปที่กระเป๋า ฟีโซราได้ยิ้มออกมาก่อนที่จะเริ่มยืดร่างกาย เธอทำสีหน้าจริงจังเหมือนกับนักกีฬาที่กำลังจะเริ่มแข่งนัดสำคัญ
…เธออยากจะรีบสรุปผลรางวัลโดยรวมของปฏิบัติการนี้ และยืนยันถึงรางวัลส่วนของเธอ
และเพราะงั้นทีมปฏิบัติการจึงรีบตั้งแคมป์ และเริ่มทำงานบัญชีกัน
พวกเขาต้องใช้เวลานานพอควรไปกับการจัดการทรัพย์สินเหล่านี้ แต่ว่าโชคดีที่โรเซร่าได้จัดแยกสมบัติไว้ให้ และทุกๆคนก็ทำงานอย่างเต็มใจ การคำนวณรายรับจึงเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว
อย่างแรกคือเหรียญทอง- ไม่สิ ไข่ทองคำ คาซุกิได้ชั่งน้ำหนักของพวกมัน และพบว่าไข่ทองคำแต่ล่ะใบต่างก็มีน้ำหนักประมาณ 70 กรัม
เมื่อคำนึงถึงน้ำหนักโดยเฉลี่ยของเหรียญทองในพาราไดซ์ที่มีน้ำหนักประมาณ 1 ออนซ์แล้ว ไข่ทองคำแต่ล่ะฟองจึงมีค่าอยู่ที่ 2.5 เหรียญทอง
ไข่ทองคำมีอยู่ทั้งหมด 800 ใบ หรือในแง่ของเหรียญทองก็คือ 2,000 เหรียญ
เนื่องจากว่าสมาชิกทีมมีทั้งหมดแปดคน แต่ล่ะคนจึงจะได้รับทองคำมูลค่าเท่ากับ 250 เหรียญทอง และหากตีค่าเป็นเงินสด แต่ล่ะคนก็จะได้รับเงินอยู่ที่ 126 พันล้าน 250 ล้านวอน
แน่นอนว่าต้องคำนึงไว้ด้วยว่าราคาตลาดระหว่างพาราไดซ์กับโลกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ว่าความจริงที่ว่ามันเป็นจำนวนเงินที่มากมหาศาลเกินจินตนาการก็ยังคงไม่ได้เปลี่ยนแปลงอยู่ดี
ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือการคำนวณรายรับนี่เป็นเพียงแค่หนึ่งในเจ็ดส่วนของทรัพย์สมบัติทั้งหมดเท่านั้น
ทั้งทีมได้ข้ามการกินอาหารเย็น และดำเนินการคำนวณรายรับต่อโดยไม่มีใครบ่นออกมาแม้แต่คนเดียว
การคัดแยกอัญมณีคืองานที่ยากขึ้นมาหน่อย แต่ว่าด้วยสายตาที่เฉียบคมของคาซุกิกับมาแชล จิโอเนีย ทำให้งานได้เป็นไปอย่างราบรื่นจนจบลง
ในเวลาเดียวกัน ซอลจีฮูก็ได้เปิดกล่องเล็กๆเพื่อตรวจดูของข้างใน กล่องมีน้ำหนักเบากว่าที่คาดไว้ และภายในก็มีของที่ถูกผ้าฝ้ายนุ่มๆห่อเอาไว้
ยกตัวอย่างเช่นกล่องสุดท้ายที่เขาเปิดขึ้นมีคริสตัลถูกแกะสลักเป็นรูปนก แค่มองดูมันก็งดงามมากๆอยู่แล้ว แต่นี่ยังมีแสงจากๆส่องออกมาจากผิวของมันทำให้มันดูพิเศษมากอีกด้วย
ขณะที่ซอลจีฮูกำลังพลิกดูไปมา โฟลนก็พูดขึ้น
[เป็นเครื่องเซ่นล่ะ]
“เครื่องเซ่นงั้นหรอ?”
[ใช่แล้วล่ะ มันมีพลังศักดิ์สิทธิ์อยู่ ถึงจะไม่มาก แต่ก็น่าจะเป็นเครื่องเซ่นระดับสูงได้เลย]
“ว้าว ไม่ใช่ว่าเครื่องเซ่นระดับสูงมันหาได้ยากมากหรอกหรอ?”
[นายพูดอะไรอยู่กัน!? เครื่องเซ่นที่จะนำไปถวายให้เทพควรจะอยู่ในระดับสูงสุด หรืออย่างน้อยก็อยู่ในระดับบนสิ]
ไม่ว่าจะแบบไหนซอลจีฮูก็รู้สึกตื่นเต้นมากๆ ถึงมันจะไม่พอทำให้ซอยูฮุยกลับมาเป็นปกติ แต่ว่ามันก็ต้องช่วยเธอได้แน่
“เฮ้ ซอล! อย่าเอาแต่นั่งเล่นสิ มาช่วยฉันตรงนี้หน่อย!”
โชฮงที่กำลังนั่งนับเหรียญเงินได้ตะโกนออกมา และกวักมือเรียกเขา ซอลจีฮูได้รีบเดินเข้าไป
ขณะพวกเขากำลังยุ่งไปกับการจัดของเวลาก็ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว พระอาทิตย์ได้ตกดิน และดวงจันทร์ก็ขึ้นจ้า จากนั้นกลางคืนก็เปลี่ยนเป็นรุ่งอรุณที่แสงตกกระทบมาบนใบหญ้า
ในที่สุดพวกเขาก็คำนวณรายรับได้เสร็จแล้ว
“…ตลอดเวลาที่อยู่ในพาราไดซ์ ฉันไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมีวันที่ฉันได้มานับคำนวณเหรียญทองแบบนี้”
คาซุกิได้ลุกขึ้นมาเช็ดเหงื่อ จากนั้นเขาก็ส่งกระดาษไปให้กับซอลจีฮู
“นี่คือสรุปผลรับรวมสุดท้ายแล้ว ลองดูสิ”
ซอลจีฮูได้รีบรับกระดาษมา ภายในนั้นมีหมวดหมูและตัวเลขจำนวนมากถูกเขียนเอาไว้อย่างเรียบร้อย
1.แท่งทองคำ 18 อัน (600 กรัมต่อชิ้น รวมทั้งหมด 10.8 กก. ตีเป็นมูลค่าประมาณ 386 เหรียญทอง)
2.ไข่ทองคำ 800 ใบ (70 กรัมต่อใบ รวมทั้งหมด 56 กก. ตีเป็นมูลค่าประมาณ 2,000 เหรียญทอง)
3.ก้อนเงิน 1,200 ก้อน (800 กรัมต่ออัน รวมทั้งหมด 960 กก. ตีเป็นมูลค่าประมาณ 31 เหรียญทอง)
4.เหรียญทอง 56,000 เหรียญ (31 กรัมต่อเหรียญ รวมทั้งหมด 1,736 กก. ตีเป็นมูลค่าประมาณ 56 เหรียญทอง)
5.อัญมณี 5,400 ก้อน (ทับทิม, ไพลิน, มรกต, โอปอล, อเมทิสต์, มุก, บุษราคัม,เพอริดอท มีอย่างล่ะ 675 ต่อชนิด)
6.เครื่องเซ่น 20 อัน
7.อื่นๆ
#น้ำหนักเฉลี่ยเหรียญทอง: 28 กรัม
#น้ำหนักเฉลี่ยเหรียญเงิน: 31 กรัม
“โอ้วว…”
ยิ่งอ่านไปซอลจีฮูก็ยิ่งฉีกยิ้มออกมา ในท้ายที่สุดเสียงหัวเราะก็หลุดมาจากปากของเขา
“แล้วสรุปแล้วเป็นกี่เหรียญทองล่ะ”
เทเรซ่าได้แทรกตัวเข้ามาระหว่างชายทั้งสองคน และถามขึ้น
“ฉันไม่รู้”
คาซุกิได้ตอบกลับไปนิ่งๆ
“นับตั้งแต่รายการที่ห้าลงไป สมองของฉันกำลังจะระเบิดจากการคำนวณมูลค่าของมันแล้ว นี่มันคือขีดจำกัดของฉัน”
“ก็คงงั้นแหละนะ”
เทเรซ่าได้ยอมรับออกมา และมองไปที่ซอลจีฮูที่กำลังหัวเราะด้วยความยินดี
“แล้วเมื่อไหร่เราจะแบ่งเจ้าพวกนี้กันล่ะ?”
ซอลจีฮูได้ยิ้มกว้างและมองสมาชิกรอบๆ
“ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ?”
เสียงเชียร์ได้ดังลั่นออกมา การคำนวณรายรับได้จบลงไปแล้ว และเวลาการแบ่งรางวัลที่พวกเขารอคอยก็มาถึงแล้ว ทุกๆคนต่างก็ปลดปล่อยความตื่นเต้นที่เก็บเอาไว้ระหว่างการเดินทางออกมา
“วู้วววววว~!”
โชฮงได้ลุกขึ้นมาเต้นรำ และตีมือกับฮิวโก้
“ว่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ฟีโซราก็ยังปรบมือแสดงความยินดีออกมาอย่างบ้าคลั่ง เทเรซ่าก็ยังเริ่มทำตามเธอโดยบอกว่าการเต้นนี่มันน่าสนใจ
เมื่อเห็นหญิงสาวทั้งสองคนเป็นแบบนี้ ซอลจีฮูก็หัวเราะออกมา
นี่มันเป็นช่วงเวลาที่น่าสนุกจริงๆ
ในเวลาเดียวกันคาซุกิก็ได้เฝ้ามองดูทั้งทีมฉลองกันอยู่ห่างๆ
“…นายมั่นใจนะว่าแบบนี้มันดีแล้วน่ะ?”
เขาได้พูดขึ้นมาหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ซอลจีฮูที่กำลังหัวเราะจนร้องไห้ได้ชะงักไป
“เรื่องอะไรหรอครับ?”
“ส่วนแบ่งไง”
คาซุกิได้เม้มปากออกมา
“ปฏิบัติการนี้… ต่อให้นายอ้างสิทธิ์เอาส่วนมากไปก็จะไม่มีใครพูดอะไรเลย ใช่แล้ว พวกเขาจะไม่พูดอะไรเลยสักนิด”
เสียงโห่ร้องได้หยุดไปในทันที สายตาของทุกๆคนได้หันกลับมาจับจ้องที่ซอลจีฮูกับคาซุกิ มีอยู่บางคนที่กระทั่งมองมาด้วยความไม่พอใจ
นี่ก็เป็นธรรมดา มันไม่มีอะไรที่จะอ่อนไหวไปกว่าปัญหาเรื่องการแบ่งส่วนแบ่งอีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนจบปฏิบัติการ และคนพูดคือคนนำทาง
ถึงแบบนั้นแต่ก็ไม่มีใครพูดออกมาโดยไม่คิด นั่นก็เพราะว่าไม่มีใครปฏิเสธได้เลยว่าคาซุกิพูดผิดไป
คาซุกิได้พูดต่ออย่างหนักแน่น
“แน่นอนว่านายได้กำหนดเงื่อนไขบางอย่างอย่างการเก็บเอาเครื่องเซ่นทั้งหมดไว้แล้ว แต่ว่าฉันคิดว่าส่วนแบ่งในปัจจุบันมันก็ยังไม่ยุติธรรม”
“ตะ แต่ว่าแม้กระทั่งคนแบกของก็ยังได้รับส่วนแบ่งเท่ากับคนอื่นๆนอกจากอาร์ติแฟค…!”
มาเรียได้รีบตะโกนออกมา
“หากว่าเราเป็นคนแบกของ ฉันก็จะไม่มีอะไร”
คาซุกิได้ขัดขึ้นมา
“สมาชิกทุกๆคนต่างก็มีหน้าที่ของตัวเองภายในทีม แต่ว่ายกเว้นซอลกับเจ้าหญิงเทเรซ่าแล้ว… การแบ่งของที่ได้จากปฏิบัติการตามข้อตกลงเดิมนี่มันไม่ได้ต่างไปจากการได้ของฟรีเลย”
เขาไม่ได้พูดผิด พูดตรงๆอย่างน้อยเทเรซ่าก็ได้หลุดออกมาจากฝันร้ายด้วยพลังใจของตัวเอง หากจะพูดว่าสมาชิกคนอื่นๆไม่ได้ทำอะไรเลยระหว่างปฏิบัติการก็ไม่ได้ผิดนัก
“ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดหรอกนะ มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะเพิ่มส่วนแบ่งให้กับสมาชิกที่ทำผลงานได้สูง”
ซอลจีฮูได้ครุ่นคิดกับตัวเอง นี่มันเป็นเรื่องดีสำหรับเขา
สิ่งสำคัญคือการยอมรับหรือไม่ยอมรับ ซอลจีฮูได้เปรียบเทียบถึงการรับส่วนแบ่งที่เพิ่มขึ้นกับการทำเหมือนเดิม
และคำตอบก็ได้ออกมาในทันที ซอลจีฮูได้ยิ้มขึ้น
“คุณพอจะบอกความเห็นของคุณในฐานะคนนำทางได้ไหม?”
“งั้นนายกำลังจะบอกว่า…?”
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะครับ แต่ว่าผมขอปฏิเสธ”
มาเรียที่กำลังกระสับกระส่ายได้เงยหน้าขึ้นมา และคาซุกิได้มองมาที่เขาเหมือนกับถูกกระแทกอย่างแรง
“ข้อตกลงการแบ่งส่วนแบ่งได้ทำเสร็จก่อนที่เราจะเริ่มปฏิบัติการกันแล้ว การเปลี่ยนแปลงมันหลังจากที่ทุกๆอย่างจบลงไปมันเหมือนกับการทำลายคำพูดของตัวเองน่ะ”
ถึงจะพูดออกไปแบบนั้น แต่เขาก็ยังมีเหตุผลที่แท้จริงอยู่อีก
เขาไม่อยากที่จะสร้างความไม่ลงรอยกัน และแสดงความโลภออกมาในเมื่อนี่เป็นแค่ ‘ส่วนหนึ่ง’ ของมรดกทั้งหมดเท่านั้น นั่นมันก็เพราะว่าพวกเขาเป็นคนที่เขาอยากจะอยู่ด้วยกันอีกในอนาคต เพราะงั้นเขาก็เลยอยากจะแบ่งปันกันให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
คาซุกิได้ถามออกมา
“นายไม่รู้สึกอึดอัดหรอ? สิ่งที่นายได้ทำลงไปในปฏิบัติการนี้อย่างน้อยมันก็ 80% เลยนะ”
“ไม่เลยสักนิดครับ”
ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา หากเอาตามที่คาซุกิพูด การมอบมรดกทั้งหมดให้กับโฟลนเท่านั้นคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด
“หากว่าปฏิบัติการนี้มีคนอื่นๆด้วย มันก็จะเป็นอีกเรื่องหากคนๆนั้นพยายามหลีกเลี่ยงหน้าที่ของตัวเอง แต่ว่านี่มันก็เพราะสถานการณ์ที่ทำให้พวกเขาทำอะไรไม่ได้นี่นา”
หลังจากพูดออกมาอย่างชัดเจนแล้ว ซอลจีฮูก็ได้สะบัดกระดาษในมือ
“ส่วนแบ่งรางวัลจะเอาตามเดิม ผมจะไม่แสดงความเห็นอะไรเพิ่มขึ้นอีก”
“โอ้วววว-“
เสียงเชียร์เบาๆได้ดังออกมาจากคำพูดที่หนักแน่นของเขา
“…ก็ตามใจ”
คาซุกิได้มองมาที่ซอลจีฮูก่อนจะหยักไหล่ออกมา
ทันทีที่คาซุกิถอยออกไป มาเรียก็กระโจนเข้ามาหาเขา
“พี่ชายยยยยย!”
เธอได้กอดเขาแน่นและร้องออกมา
“พี่ชายโครตเท่! ฉันเชื่อในตัวพี่ชายย!”
“อ่า… ครับ”
ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆออกมา ในตอนนั้นเอง-
“รอเดี๋ยวนะ”
เทเรซ่าได้ยกมือขึ้นมา และก้าวขึ้นมาราวกับยังคุยไม่จบ
“จริงๆแล้ว ฉันคิดว่าสิ่งที่คาซุกิพูดก็ถูกอยู่นะ”
ซอลจีฮูไม่ได้แสดงอะไรออกมา แต่ว่าภายในใจของเขารู้สึกไม่สบายใจ เขาเพิ่งจะบอกไปว่าเขาจะไม่แสดงความคิดเห็นอะไรอีก แต่ว่าทำไมเธอถึงได้ยังพูดเรื่องนี้อีกล่ะ
“แล้วแบบนี้เป็นยังไงล่ะ?”
สิ่งที่เทเรซ่าพูดต่อจากนี้ก็คือเรื่องตัวตนของโฟลน และบอกว่าเธอก็ควรที่จะได้รับส่วนแบ่งเช่นกัน
เขาไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะเอาเรื่องโฟลนมาพูด เพราะงั้นซอลจีฮูได้กลายเป็นตกตะลึงขึ้นมา
[!]
โฟลนไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ว่าเธอดูจะตกใจมาก
ซอลจีฮูเป็นคนที่มีไหวพริบ เพราะงั้นเขาจึงเข้าใจในสิ่งที่เทเรซ่ากำลังแนะนำ
ไม่เพียงแค่พฤติกรรมที่ผิดปกติเท่านั้น เขายังได้พูดกับตัวเอง และโรเซร่าก็ได้พูดเช่นกัน มีอยู่หลายครั้งที่มีการพูดถึงเจ้าของมรดกที่แท้จริง
งึมงัมๆ
เสียงพึมพำวุ่นวายได้ดังขึ้นมา ในคราวนี้ซอลจีฮูไม่อาจจะปัดคำแนะนำนี้ให้ตกลงไปได้
คำแนะนำของเทเรซ่านั้นสมบูรณ์แบบ จริงๆแล้วที่ปฏิบัติการนี้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้นั่นก็เพราะโฟลน และจากทุกๆคนเธอก็ได้มีส่วนช่วยในปฏิบัติการนี้ให้สำเร็จมากที่สุดอีกด้วย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น