The Second Coming of Gluttony 200-212

 บทที่ 200 – พาราไดซ์กับโลก (6)


ท้องฟ้าได้มิดครึ้ม และปกคลุมไปด้วยเมฆสีดำจนทำให้บรรยากาศดูมัวหมอง


อากาศยามเย็นได้พัดผ่านผิวหนังให้ความรู้สึกชื้นอบอ้าวจนดูเหมือนกับว่าจะมีฝนหรือหิมะตกลงมาได้ตลอดเวลา


ฮ่าวอวิ่นได้จุดบุหรี่ที่ปากก่อนที่จะยืดห่อขึ้นมา


“เกือบจะหน้าหนาวแล้วสินะ”


หน้าหนาว ซอลจีฮูได้มองขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้งหนึ่ง


เขาไม่เคยคิดเรื่องหน้าหนาวในพาราไดซ์เลย ทุกๆครั้งที่เขาเข้ามา เขาจะคิดว่ามันเป็นหน้าร้อนอยู่ตลอดเวลา


พอมาคิดแบบนี้แล้วมันก็ค่อนข้างที่จะไร้สาระดี


“หากว่าไม่ได้เตรียมตัวสำหรับหน้าหนาว มันก็คงจะเป็นความลำบากอันยาวนานเลยล่ะ”


พูดไปแล้วพาราไดซ์คือดาวเคราะห์ เป็นโลกใบหนึ่งจริงๆ มันมีฤดูกาล ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ออกซิเจน มหาสมุทร และมีกระทั่งผู้คนจำนวนมากมายรวมอยู่ด้วยกัน


จู่ๆที่คิดแบบนี้ ซอลจีฮูก็ยิ้มบางออกมา


หากว่าเขาเป็นคนดังบนโลก เขาก็อาจจะได้ประสบการณ์ที่คล้ายๆกันแบบนี้ก็ได้


หากว่าเขากลับไปที่โลก และหาข่าวหรือบทความเกี่ยวกับคนดัง เขาก็คงจะเจอเหตุการณ์ที่คล้ายๆกันกับที่เขาได้เจอนับไม่ถ้วนแน่ และเพราะแบบนี้โลกทั้งสองจึงเหมือนกัน


จะมีความต่างอยู่ก็แค่วิถีชีวิต และวัฒนธรรมเท่านั้นเอง


…ใช่แล้ว


ทั้งพาราไดซ์กับโลก


“นี่คือเหตุผลที่เราจะย้ายฐานปฏิบัติการณ์ เพื่อเตรียมตัวสำหรับหน้าหนาว”


ฮ่าวอวิ่นที่กระชับผ้าพันคอได้เริ่มเดินออกไปตามทางเดิน ซอลจีฮูได้มองดูแผ่นหลังของเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะออกเดินตามไป


“จริงๆแล้ว ฉันเคยคิดว่ามันมีเศษเสี้ยวของความหวังอยู่ ความเป็นไปได้ที่จะหวนคืนความรุ่งเรืองในอดีตกลับคืนมา”


นี่คือเรื่องที่ซอลจีฮูเคยได้ยินบ้างแล้วในก่อนหน้านี้


เมื่อก่อนซันเหอเป็นองค์กร์ที่ได้แข่งขันกับซิซิเลียอย่างดุเดือดในฮารามาร์ค ยังไงก็ตามพวกเขาก็ถูกผลักออกไปจากการแข่งขันเพราะความขัดแย้งภายในที่กระจายไปจนถึงบนโลก


“แต่ว่าในสงครามนี้ ซินเซียได้เผยออกมาแล้วว่าเธอคือผู้บริหาร ฮ่าห์! นักเวทย์ แถมยังเป็นดวงดาวแห่งความเกียจคร้าน แค่แคลร์ แอ็กเนสเราก็สู้ไม่ไหวแล้ว เพราะงั้นตอนนี้ไม่ว่าจะคิดยังไง มันก็ไม่มีทางที่เราจะเหนือกว่าซิซิเลียได้เลย”


ฮ่าวอวิ่นได้พูดออกมาราวกับเยาะเย้ยตัวเอง


“เพราะงั้นเราก็เลยตัดสินใจยอมแพ้ ซิซิเลียเปรียบเทียบได้กับ ‘ราชา’ ในฮารามาร์คไปแล้ว ด้วยเวลาและความพยายามที่เธอได้ลงทุนมันไปกับฮารามาร์คได้ทำให้เธอประสบความสำเร็จในการควบคุมทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังของเมือง เว้นก็แต่ว่าเขาจะไปอยู่ใต้ร่มใบของพวกเขา เราก็ไม่อาจจะทำอะไรได้อีกแล้ว”


ฮ่าวฮวิ่นได้พึมพำว่านี่มันมากเกินไปสำหรับพวกเขาที่ครั้งหนึ่งเคยมีอำนาจเท่าเทียมกัน


ซอลจีฮูได้ฟังอยู่เงียบๆโดยไม่คิดอะไรออกมา พร้อมทั้งคิดถึงสิ่งที่ซินเซียเคยพูดกับเขา


[ที่นี่มาเข้าเรื่องเลยนะ หากว่าซันเหอหมายความอย่างที่พูดจริงๆ ถ้างั้นวิธีการสร้างกำไรของพวกเขาก็ไม่น่าจะขัดแย้งกับเรา]


[พวกเขาก็มีกองกำลังสำรองเหมือนกัน นับตั้งแต่ที่เราเข้ามาในพาราไดซ์ และได้ทำหน้าที่เดียวกัน ซิซิเลียก็จะเป็นกำลังใจให้พวกเขาหากพวกเขาไม่ได้ขัดแย้งกับเรา นายเข้าใจทั้งหมดนี่นะ?]


‘นี่คือสิ่งที่เธอจะบอกสินะ’


บางทีฮ่าวอวิ่นอาจจะวางแผนย้ายถิ่นฐานมานานแล้วก็ได้ และเมื่อความลับของซินเซียได้เผยออกมาจึงเป็นการทำให้การตัดสินใจสุดท้ายเกิดขึ้นมา


ซอลจีฮูรู้สึกอิจฉาฮ่าวอวิ่นอยู่เล็กน้อยเมื่อเขาคิดเรื่องนี้


เขาคงจะต้องอยู่ในจุดที่ยากลำบากที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบในการฟื้นฟูซันเหอ และในสถานการณ์นี้ฮ่าวอวิ่นก็ได้ตัดสินใจออกมาอย่างกล้าหาญที่จะล่ะทิ้งฐานที่พวกเขาอยู่เป็นเวลานาน


เขาจะต้องมีความเชื่อมั่นในพลังของกลุ่มที่เขานำอยู่ขนาดไหนกันนะ


ในสถานการณ์ปัจจุบันซอลจีฮูก็หมดหนทางเช่นกัน เขาจะตัดสินใจอะไรแบบนั้นได้ไหมนะ?


“เอาเถอะนะ ฉันก็จะไปนั่นแหละ แต่ว่า…”


ควันสีขาวได้ลอยคลุ้งออกมาจากปากที่ปล่อยลมหายใจออกมาของฮ่าวอวิ่น


“หากว่านายอยู่ในเมืองมันก็คงจะดี”


ซอลจีฮูได้สติกลับมาอีกครั้งหลังจากได้ยินคำพูดนี้


“สำหรับนายแล้ว ฮารามาร์คคือที่ที่ปลอดภัยที่สุดที่นายอยู่ได้แล้ว”


เขาไม่ได้พูดผิดเลย แต่ว่าทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงแรงต่อต้านที่จู่ๆก็ระเบิดออกมา


“สิ่งที่นายกำลังจะพูดคือ…”


ซอลจีฮูได้เพิ่มความเข้มแข็งของน้ำเสียงขึ้นอีก


“นั่นคือหากว่ามีอะไรเกิดขึ้นอีก ฉันก็ควรจะอยู่เฉยๆ แล้วก็แค่ป้องกันตัวงั้นหรอ?”


ฮ่าวอวิ่นได้ชะงักไปจากคำพูดที่กระทันหันนี้ และค่อยๆวางเท้าลง


“พูดตรงๆเลยก็ใช่ นายจะต้องทำเหมือนกับที่ทำในตอนนี้”


เขาได้พูดต่อด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ


“อย่าได้คิดว่ามันผิด นี่มันไม่มีทางเลือกอื่น โลกมันก็เป็นแบบนี้แหละ”


“ไม่ ไม่เลย มันไม่ใช่”


ฮ่าวอวิ่นได้ระเบิดหัวเราะออกมาเบาๆกับคำปฏิเสธของซอลจีฮู


“นี่ฉันเจ้ากี้เจ้าการไปสินะ?”


“ไม่ มันไม่ใช่แบบนั้น”


ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา และบอกถึงเรื่องราวของบันทึกที่เขาได้อ่าน


“หืมมม”


ฮ่าวอวิ่นได้ฟังอยู่เงียบๆก่อนจะพูดออกมา


“มันก็เป็นทฤษฎีที่น่าสนใจดีนะ ฉันจำได้ว่าไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อนเลย”


และก่อนที่ซอลจีฮูจะได้พูดว่า ‘อะไรนะ?’ ฮ่าวอวิ่นก็ขัดขึ้นมา


“แต่ไม่ว่าเราจะพูดถึงเรื่องบันทึกในอดีตพวกนั้นยังไงกันตาม มันก็ไม่ได้มากไปกว่าเรื่องราวที่น่านึกถึงหรอกนะ”


“…”


“นั่นเพราะว่าเราจะต้องเปลี่ยนคำๆนี้ มันจะไม่ใช่แค่ ‘เมื่อก่อน’ อีกต่อไป แต่เป็น ‘ตอนนี้’”


ไม่ว่าเมื่อก่อนจะเป็นยังไง แต่ว่าโลกก็ยังเป็นตอนนี้ ความเป็นจริงว่าพาราไดซ์กำลังอยู่กับตอนนี้มันยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่นิด


ฮ่าวอวิ่นได้เดินต่อไป และเดาะลิ้นออกมา


“โลกที่ผู้คนเอาแต่แสวงหาความอิสระและความสำเร็จของตนเอง โยนความชอบธรรม และความรับผิดชอบทิ้งไปหมด เป็นโลกที่ถูกพิษร้ายจากความเห็นแก่ตัว”


ขณะที่ซอลจีฮูหมดคำพูดไป…


ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงอากาศเย็นแต่จมูก เขาได้ลูบจมูกโดยอัตโนมัติ จากนั้นก็เห็นหงดน้ำบนมือ และเอียงหัวออกมา


‘หิมะ’


หิมะกำลังตก


หิมะกำลังโปรยปรายลงมาจากบนท้องฟ้า


“…นายพูดถูก”


ซอลจีฮูได้พึมพำออกมาโดยที่มองดูหิมะกำลังโปรยปรายออกมาเหมือนกับเศษกระดาษ


“ฉันมันน่าสมเพช”


“?”


“ฉันสาบานกับตัวเองไว้ว่าจะไม่หนีอีก…”


แต่ในท้ายที่สุดเขาก็กำลังหนีอีกครั้ง เขาต้องหนีไปอีกเท่าไหร่การหลบหนีของเขาถึงจะสิ้นสุดลง?


ฮ่าวอวิ่นได้หยุดก้าวเท้า


“เพราะงั้น?”


“…ทำไมหรอ?”


ฮ่าวอวิ่นได้ถอนหายใจยาวออกมา


“ฉันขอโทษที่ต้องพูดแบบนี้นะ แต่ว่า- ฉันค่อยๆคิดว่าการคุยกับนายมันเสียเวลา”


เขาได้หันกลับมามองหน้าซอลจีฮู


“การคุยกับนายมันทำให้ฉันนึกถึงเรื่องราวของโจโฉ”


“ฮ่าวอวิ่น?”


“โจโฉที่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงตามคำเชิญของรัฐมนตรีหวังผู้ที่ต้องทนกับการปกครองอันกดขี่ของตั๋งโต๊ะ โจโฉได้ถามพวกเขาว่าการร้องไห้หรือโกรธแค้นมันจะทำให้มีใครฆ่าตั๋งโต๊ะเพื่อพวกเขาไหม มันจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้กันล่ะ”


ซอลจีฮูได้กระพริบตาออกมาอย่างไม่เข้าใจ


“และเมื่อเขาได้รับดาบเจ็ดดาวอันล้ำค่า เขาก็ได้ทำการลอบสังหาร แม้ว่าเขาจะทำล้มเหลว แต่โจโฉก็ไม่ได้ยอมแพ้ และกลับไปที่ฐานทัพก่อนจะยกทัพมา”


“…”


“ซอล… ไม่สิ ซอลจีฮู เพื่อของฉัน”


ฮ่าวอวิ่นได้ค่อยๆเดินเข้ามาหาเขา


“มันเป็นเรื่องดีที่นายจะโกรธกับความพ่ายแพ้ การดูถูกตัวเอง และนึกย้อนถึงสิ่งที่ตัวเองกระทำไปมันก็เป็นเรื่องดีนะ แต่ว่านะ-“


น้ำเสียงของฮ่าวอวิ่นได้ค่อยๆสูงขึ้นมา


“แต่ว่า… มันมีแค่เท่านี้งั้นหรอ?”


ซอลจีฮูได้ยืนอยู่กับที่ และมองฮ่าวอวิ่นที่กำลังเข้ามาใกล้


“ไอ้พวกสารเลวที่ยั่วยุนายที่บาร์ นายไม่อยากจะหาตัวบงการ และบังคับให้พวกมันคุกเข่าหรอ?”


เขาต้องการ


“ไอ้พวกสารเลวที่ลอบโจมตีบุตรแห่งลูซูเรีย นายไม่อยากจะตามรอยไอ้สารเลวพวกนั้น แล้วทำลายพวกมันหรอ?”


เขาต้องการจะทำ


“ไอ้สารเลวที่ล่ะทิ้งหน้าที่ ไม่ได้เข้าร่วมสงคราม การได้เห็นพวกมันชูหัวอย่างภาคภูมิใจมันไม่ทำให้นายรู้สึกขยะแขยงหรอ?”


เขาอยากจะจับหัวของพวกนั้นมาและกระแทกมันกับพื้น


“ไอ้พวกสารเลวที่แอบวางแผนทำล้ายคนอื่นเพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการ นายไม่อยากจะรวบรวมพวกมัน แล้วฆ่าทิ้งให้หมดหรอ?”


แน่นอนว่าเขาอยากจะทำ แต่ว่าแค่เขาต้องการทำมันด้วยมือของตัวเองโดยไม่มีใครช่วย


ฮ่าวอวิ่นได้มาหยุดลงตรงหน้าซอลจีฮู เขาได้ถอดแว่นกันแดดออกไป และเก็บเอาไว้ในเสื้อโค้ท ดวงตาเป็นประกายของเขากำลังจ้องมองมาที่ซอลจีฮู


“เพราะงั้นสิ่งที่ฉันอยากจะพูดคือ…”


และฮ่าวอวิ่นได้ถามออกมา


“นายไม่มีความคิดอยากที่จะเป็นราชาหรอ?”


‘ราชา…’


ฮ่าวอวิ่นได้อธิบายถึงทาเซียน่า ซินเซียในฐานะราชา และในความเป็นจริงแล้วแค่พูดถึงชื่อของเธอก็ทำให้ชาวโลกตัวสั่น และหนีไป


เมื่อคิดถึงน้ำหนักอันมหาศาลที่อยู่หลังคำๆหนึ่งแล้ว ซอลจีฮูก็ได้ปิดตาลงอยู่ครู่หนึ่ง และเปิดมันอีกครั้งพร้อมเสียงถอนหายใจยาว


“นายคิดว่าฉัน…”


ฮ่าวอวิ่นได้ขัดเขาคิด


“…ฉันคิดว่านายทำมันได้ไหมน่ะหรอ? อย่าถามเลย มันไม่มีความสงสัยอยู่เลยแม้แต่นิด”


“…”


“มันไม่มีทางที่คนที่เคยทำความสำเร็จอย่าง -สังหารผู้บัญชาการกองทัพปรสิตเป็นแคนแรก- จะไม่มีคุณสมบัติหรอกนะ เพียงแต่ว่ามันจะขึ้นอยู่กับว่านายจะทำหรือไม่ทำเท่านั้นเอง”


เขาจะทำหรือไม่ทำ ซอลจีฮูได้กลายเป็นสับสนขึ้นมา


[นายไม่อาจจะหยุดแค่การคิดหรอกนะ นายจะต้องพูดมันออกมา และแสดงมันผ่านการกระทำ จากนั้นนายถึงจะปกคลุมทีมของนายด้วยกลิ่นและสีสันของมันได้]


[หัวหน้าไม่ใช่คนที่ถูกคนอื่นวางเอาไว้ในตำแหน่งนั้น แต่ว่าหัวหน้าเป็นคนที่อยากจะกลายเป็นหัวหน้าด้วยตัวเอง]


ซอลจีฮูได้มองฮ่าวอวิ่นด้วยสีหน้าเหม่อลอย เขาได้เห็นใบหน้าของเอียนเข้ามาซ้อนทับกัน


ฮ่าวอวิ่นได้เอียงหัวออกมา


“แล้วนายต้องการไหมล่ะ?”


คำพูดของเขาชัดเจนมาก หากว่าซอลจีฮูยังไม่เข้าใจอีก เขาก็คงจะผิดหวัง


สร้างกองกำลัง


กลายเป็นหัวหน้า รวมเพื่อนร่วมทีมที่มีเป้าหมายร่วมกัน และสร้างเป็นองค์กร


จากนั้นก็จับมือกับองค์กรอื่นๆเพื่อปักหลังในเมือง


เมืองที่เขาจะกลายเป็นราชาได้


นั่นคือจุดเริ่มต้นของคลื่นการเปลี่ยนแปลงในพาราไดซ์


ความเงียบที่ไม่มีแม้กระทั่งเสียงหายใจได้เข้าปกคลุม


หิมะได้ตกลงมารอบๆตัวพวกเขาอย่างเงียบๆ มันค่อยๆกองกันสูงขึ้นมาจนย้อนสวนให้กลายเป็นสีขาวก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัว หากว่ามันยังตกอย่างนี้โดยไม่หยุด ถ้างั้นทั้งพื้นที่ก็จะต้องกลายเป็นทุ่งหิมะในสักวันหนึ่ง


ซอชจีฮูได้มองไปที่หิมะก่อนจะพูดออกมา


“ที่งานจัดเลี้ยง… ฉันได้คุยกับเทพทั้งเจ็ด ในตอนที่พวกเขาได้ยินสิ่งที่ฉันพูด พวกเขาขำกันออกมา”


ในตอนนั้นมันไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะหัวเราะออกมา


ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ในตอนนั้นเขายิ่งผยองขนาดไหนกันทั้งๆที่ไม่ได้รู้ถึงความเป็นไปของโลกเลยด้วยซ้ำ


“ในตอนที่ฉันคุยกับพวกเขา ฉันยังไม่ได้รู้เลยว่าที่นี่เป็นสถานที่แบบไหน…”


งานจัดเลี้ยงเป็นที่อยู่นอกเหนืออิทธิพลของกฎแห่งกรรม เขาก็ไม่อยากจะยอมรับมัน แต่มันคือความเป็นจริง แม้ว่าเขาจะรักในพาราไดซ์ แต่ว่าจากสิ่งที่เขาได้เห็นในแค่สองวันนี้ก็ทำให้เขาหน่ายกับมันแล้ว


แต่ว่าเขาก็ไม่คิดจะวิ่งหนีไปแบบนี้ เขาไม่อยากจะหนีอีกแล้ว


กฎแห่งทองคำกำลังบอกกับเขา


อย่าหยุดตัวเองไว้


เอาคืนไปเหมือนกับที่เขาได้รับมา


และเพื่อที่จะทำแบบนั้น เขาจะต้องมีพลัง เขาต้องการในอำนาจและกองกำลังที่มากยิ่งกว่าที่มีในตอนนี้


ในตอนที่เขาคิดแบบนี้ พลังก็ได้ปรากฏขึ้นในดวงตาเขา


นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้ใช้ความสามารถนี้หลังจากที่ความสามารถโดยกำเนิดพัฒนาขึ้น


สีของนพเนตรที่แสดงออกมาจากฮ่าวอวิ่นคือ… สีคราม


บุกเบิกชะตากรรม


ซ่าาาห์!


และซอลจีฮูก็ได้เห็นมันอย่างชัดเจน


อนาคตที่นพเนตรกำลังแสดงมันให้เขาเห็น


มันไม่ใช่มีแค่ฮ่าวอวิ่นในสายตาเขา เขายังเห็นตัวเขาเองกับฝูงชนกลุ่มใหญ่ที่ส่งเสียงเชียร์เขา


ราชา


หัวหน้าที่เป็นผู้นำและปกครองประเทศ


ราชันที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด บัญชาการกองทัพที่น่าสะพรึง และได้รับความเคารพนับถือจากทุกๆคน


ซอลจีฮูคิดยังไงหลังจากเห็นภาพนี้งั้นหรอ?


“…”


ชายหนุ่มยังคงอยู่เงียบ เขาเพียงแค่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสายตาสุขุมก่อนจะค่อยๆหลับตาลงไป


เขาได้เห็นอนาคตอย่างชัดเจน ปัญหาคือเขามีความมุ่งมั่นที่จะทำตามอนาคตนั่นให้สำเร็จหรือเปล่า


เขามีแรงบรรดาลใจ ในตอนนี้เขามีแรงบรรดาลใจพอแล้ว


หากว่าเขาสามารถเลี่ยงไม่ให้ถูกบงการโดยคนที่เขาไม่รู้กระทั่งใบหน้า…


หากว่าเขาสามารถยกย่องสิ่งที่ดี และลงทัณฑ์สิ่งที่ผิด…


หากว่าเขาสามารถทำให้พาราไดซ์กลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อน ทำให้เป็นโลกที่ผู้คนจะทำตามบัญญัติทองคำ…


“จริงๆแล้ว…”


หากว่าเขาสร้างโลกแบบนั้นขึ้นมาได้…


ซอลจีฮูได้ลืมตาขึ้นหลังจากเงียบอยู่นาน ดวงตาของเขาได้เปล่งประกายสะท้อนแสงจันทร์ท่ามกลางเกล็ดหิมะจนเป็นเหมือนกับดวงตาที่ชวนฝัน


รอยยิ้มได้ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเขา


“มันฟังดูดีนะ”


และดั่งเช่นที่ฮ่าวอวิ่นได้เผยความคิดออกมา-


“การกลายเป็นราชา”


ซอลจีฮูก็ได้ประกาศออกมาอย่างมั่นใจเช่นกัน


“…ใช่ไหมล่ะ?”


ฮ่าวอวิ่นได้เผยรอยยิ้มสดใสออกมา


และในเวลาเดียวกันแสงสีครามที่โอบล้อมรอบตัวเขาก็ได้ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีใหม่ที่เปล่งประกายสีเหลือทอง


“ใช่แล้ว”


ฮ่าวอวิ่นได้ยกมือที่กำลังเปล่งประกายสีทองขึ้นมา และวางมันลงบนบ่าของซอลจีฮู


“นี่แหละคือสิ่งที่ฉันอยากได้ยิน”


บทที่ 201 – มีช่วงเวลาที่ต้องเลี่ยงการต่อสู้ ต่อให้ไร้ซึ่งกฎก็ตาม (1)


วันต่อมา


บทความเกี่ยวกับการโต้แย้งได้ถูกปล่อยออกมาจากสมาคมนักฆ่าเหมือนกับที่ฮ่าวอวิ่นได้พูดเอาไว้ สมาคมนักฆ่าได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบาร์โดยที่มีหลักฐานพยานเป็นจำนวนมาก


โดยเฉพาะข่าวนี้ยังถูกส่งออกไปทั่วทุกๆมุมในฮารามาร์คได้ตีแผ่ถึงความจริงที่เน้นย้ำว่าบทความอื่นๆก่อนหน้านี้มีเจตนาที่ตั้งใจจะใส่ร้ายซอลจีฮู


สมาคมนักฆ่าไม่เพียงแต่จะระงับความวุ่นวายเท่านั้น แต่ว่าเขาก็ยังพยายามจะจัดการกับจอมบงการที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อีกด้วย


ในตอนนี้พอเหล่าคนต่างๆได้รับข้อมูลมากยิ่งขึ้น ความเห็นของสาธารณะชนก็จะไม่เปลี่ยนแปลงไปง่ายๆ ต่อให้จะมีเรื่องคล้ายๆกันอีกเกิดขึ้น แต่ผู้คนก็จะจดจำเหตุการณ์นี้โดยไม่ยอมเชื่อข่าวลืออีก พวกเขาก็จะพูดแค่ว่า ‘อีกแล้วหรอ?’


จากเหตุการณ์นี้ได้ทำให้เกิดบาเรียล่องหนอยู่รอบตัวซอลจีฮูอยู่พักหนึ่ง


ซอลจีฮูก็ยังได้รับข่าวว่าซอยูฮุยได้ตื่นขึ้นมาในตอนที่เขาออกจากวังอีกด้วย


แน่นอนว่าเขาไม่ได้ลืมที่จะไปแสดงความขอบคุณกับกษัตริย์ฟีไฮและผู้บัญชาการทหารแจน แซงตัส


มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจเลยก็คือทำไมจู่ๆแจน แซงตัสถึงได้เริ่มร้องเล่าถึงความยิ่งใหญ่ของเจ้าหญิงเทเรซ่า และพูดถึงเรื่องการแต่งงานระหว่างชาวโลกกับชาวพาราไดซ์…


ฟีไฮยังได้แนะนำให้ซอลจีฮูยืมเกวียนกับรถม้ากับทางราชวงศ์อีกด้วย แต่ยังไงก็ตามเขาได้ปฏิเสธออกไป


เขาอยากที่จะกลับบ้านเงียบๆโดยไม่ทำให้เกิดความวุ่นวายใดๆ


“ฉันกลับมาแล้ว”


“มาแล้วสินะ?”


สำนักงานคาเพเดี่ยมก็ยังคงเป็นอย่างเคย


จางมัลดงคงจะจัดการบรรยากาศจนเรียบร้อยหมดจดแล้ว เพราะความโกลาหลที่เคยเกิดขึ้นได้สงบไปแล้ว


จางมัลดงที่เห็นซอลจีฮูเข้าไปในห้องในทันทีที่มาถึง ทำให้เขาถอนหายใจออกมา


“ก็ไม่น่าแปลกใจหรอกนะ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้เห็นด้านนี้ของพาราไดซ์… เขาคงจะทุกข์ใจ”


จางมัลดงได้พูดขึ้นด้วยความเป็นกังวล


สำหรับเขาที่เกือบจะเกษียณออกไปเพราะไม่อาจจะทนต่อด้านนี้ได้แล้ว เขาคงเป็นคนที่เข้าใจซอลจีฮูเป็นอย่างดี


“แต่ว่าเขาดูไม่ค่อยเศร้าเลยนะ”


ฟีโซราได้หยักไหล่ออกมาหลังจากแอบมองเข้าไปในห้องของซอลจีฮู


“จริงหรอ?”


“ใช่สิ เขาเพิ่งจะนั่งดูแผนที่บนโต๊ะเอง”


“แผนที่?”


จางมัลดงได้หรี่ตาลง ฟีโซราได้แสดงความเห็นว่าเธอคิดไม่ออกเลยว่าทำไมเขาถึงได้ดูแผนที่ ก่อนที่เธอจะลงไปนั่งอยู่ข้างๆจางมัลดง


“ปู่ ฉันมีเรื่องที่สงสัยอยู่ ฉันขอถามหน่อยได้ไหม?”


“อะไรทำให้เธอต้องทำหน้าจริงจังแบบนั้นล่ะ? ไม่สมกับเป็นเธอเลยนะ”


“ซอลจีฮูน่ะ หมอนั่นเป็นโรคหลายบุคลิกหรือเปล่า?”


“หืม?”


จางมัลดงได้มองเธอด้วยใบหน้าเรียบๆเหมือนกับถามว่า ‘จู่ๆเธอมาพูดเรื่องไร้สาระอะไรเนี้ย?’


“ฉันหมายถึงแบบนั้นจริงๆนะ”


ฟีโซราได้มองไปทางห้องซอลจีฮูหน้ามุ่ย


เธอไม่รู้ว่าทำไม แต่ว่าภาพที่ซอลจีฮูนั่งหลังตรงจมอยู่กับแผนที่นั้นได้ตราตรึงอยู่ในใจของเธอ


หลังจากค่อยๆคิดหาเหตุผลแล้ว ฟีโซราก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ


“พออยู่ในพาราไดซ์แล้ว เขาต่างกับตัวเขาที่อยู่บนโลกไปอย่างสิ้นเชิง”


***


วันที่สอง


ซิซิเลียได้มาที่สำนักงานคาเพเดี่ยม


แอ็กเนสได้พาชายสี่คนที่ยั่วยุพวกเขาในบาร์มา เหมือนอย่างที่ซินเซียเคยพูดเอาไว้


“เชี้ย ในที่สุดวันที่ฉันรอคอยก็มาถึง”


โชฮงได้ถ่มน้ำลายใส่มือ และถูกมือเข้าด้วยกันด้วยรอยแสยะยิ้ม


ฮิวโก้ก็กำลังวอร์มร่างกายอยู่ ส่วนฟีโซรากำลังเดินไปหยิบป็อปคอร์นมา


ซอลจีฮูกับจางมัลดงกำลังนั่งมองแอ็กเนสที่กำลังเดินเข้ามาอยู่บนโซฟา


“พี่สาว! ไอ้เวรพวกนี้มาจากไหน? อ่า อย่าให้เราต้องรอสิ พาพวกมันมาได้แล้ว!”


โชฮงได้ตะโกนออกมาพร้อมกับเหวี่ยงแท่งเหล็กหนามของเธอ แอ็กเนสได้มองไปรอบๆ และมองไปด้านหลังของเธอ


เมื่อเธอทำแบบนี้ สมาชิกของซิซิเลียที่รอเงียบๆอยู่ด้านนอกก็ได้ลากชายสี่คนที่เปลือยเปล่าเข้ามา


ขณะที่พวกเขาถูกบังคับคุกเข่า เลือดสีแดงชาดก็ได้ไหลออกมาเต็มพื้นไปหมด


โชฮงที่กำลังดีใจจู่ๆก็กลายเป็นสับสนก่อนจะเกาใบหน้า


“…พี่สาวแอ็กเนส! นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?”


“?”


“ฉันหมายถึงว่าหากพี่สาวพาพวกนี้ที่อยู่ในสภาพกึ่งตายมา เราจะทำอะไรได้ล่ะ? ตอนสงครามพี่สาวยังระบายออกไปไม่พออีกหรอ?”


“มอนสเตอร์กับมนุษย์ต่างกัน”


“อ่า! นี่มันมากไปหน่อยนะ!”


สภาพของทั้งสี่คนเลวร้ายมากจนพวกเขาไม่อาจจะเปิดตาขึ้นมาได้เลยด้วยซ้ำไป


รอยฟกช้ำสีดำได้ปรากฏอยู่เต็มทั้งใบหน้าและร่างกาย เลือดของพวกเขาก็ยังไหลออกมาจากผิวหนังที่แตกเต็มไปหมดอีกด้วย


ข้อต่อของพวกเขาถูกหัก และแขนขาก็ห้อยออกมาราวกับกระดูกหักไปหมดแล้ว หากมองดีๆจะเห็นหนามยาวๆปักตามใต้เล็บนิ้วมือกับเท้าอีกด้วย


พวกเขาอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชมาก


สภาพของชายสามคนหลังดูดีกว่าคนหน้าสุดอยู่เล็กน้อย


คนที่ยั่วยุพวกเขาตรงๆแทบจะปิดปากไม่ได้ด้วยซ้ำไป หากมองให้ดีก็จะไม่เห็นฟันในปากของเขาเหลืออยู่เลยด้วย แค่เห็นเท่านี้ก็พอจะเดาได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้าง


“ฉันไม่มีทางเลือก ฉันต้องสอบปากคำพวกเขา”


“…หากฉันแตะพวกเขา มันเหมือนกับพวกเขาจะตายเลยนะ”


“ฉันเหลือแขนเอาไว้ให้แล้ว”


แอ็กเนสได้ยกแขนของชายหนุ่มขึ้นมาพร้อมพูดขึ้น มีเพียงแขนซ้ายเท่านั้นที่ยังอยู่สภาพดีเหมือนที่เธอพูด


“ฟู่ววว พี่สาว จับแขนเอาไว้สักเดี๋ยวนะ”


ขณะที่โชฮงยกแท่งเหล็กหนามขึ้น ภายในดวงตาของทั้งสี่คนก็ได้ปกคลุมไปด้วยความหวาดกลัว


จางมัลดงได้พูดขึ้น


“ฉันก็พอจะได้ยินคราวๆจากคุณซินเซียแล้วนะ แต่ว่าคุณมีอะไรที่เจอเพิ่มอีกไหม?”


“พวกเขาถูกมอบหมายงานจากคนบางคน และคนที่ติดต่อพวกเขานั้นเหมือนกับเป็นแค่คนกลาง”


แอ็กเนสได้ตอบกลับพร้อมจับแขนของชายคนนั้นหลวมๆ


จางมัลดงได้เดาะลิ้นออกมา


“ถ้างั้นพวกเขาก็ตั้งใจจะตัดหางทิ้งไว้แต่แรกแล้ว ถ้างั้นเรื่องสมาคมข้อมูลล่ะ?”


“พวกเราเจอพวกเขาได้เร็วกว่าที่คิด นั่นก็เพราะความร่วมมือจากซันเหอนั่นแหละ แต่ว่า…”


แอ็กเนสได้ดันแว่นของเธอขึ้น


“เราเจอพวกเขาหลังจากพวกเขาหนีไปแล้ว พวกเขาอาจจะอยู่ในบาร์ คอยสังเกตสถานการณ์ และเขียนเนื้อข่าวลงไปก่อนที่จะหลบหนีไปในทันทีที่เห็นสถานการณ์แย่ลงนั่นแหละ”


“ถ้างั้นไอ้ชั่วที่วางแผน ว่าจ้าง แล้วก็เขียนข่าวเป็นคนล่ะคนกันหมดเลยสินะ…”


จางมัลดงได้หัวเราะเสียงต่ำออกมา


“ถ้างั้น-“


ฟ้าววว


“อ๊ากกกกกกก!”


เสียงร้องเหมือนหมูถูกเชือดได้ดังออกมา


โชฮงได้พุ่งออกมาไปเหมือนกับสายลม และฟาดแท่งเหล็กหนามของเธอลงไปบนแขนของชายคนนั้น กระดูกที่แตกได้แทงทะลุผิวหนังออกมาจนทำให้เลือดกระจายไปทั่ว มันกระจายจนถึงขนาดโดนใบหน้าของแอ็กเนสอีกด้วย


“อ๊าาาา- อ๊ากกกกกกกก!”


นี่เขากำลังกรีดร้องหรือร้องไห้กันนะ?


ชายคนนี้ได้ส่งเสียงร้องที่ฟังไม่ออก และดิ้นไปกับพื้น แอ็กเนสได้เลียเลือดออกจากริมฝีปากพร้อมทั้งมองเขาดิ้นไปมาเหมือนกับหนอน


“เชิญใช้คนพวกนี้ได้เต็มที่เลย พวกเขาไม่มีประโยชน์อีกแล้ว เพราะงั้นอย่างน้อยก็น่าจะใช้ระบายความโกรธได้”


“ฟู่”


โชฮงได้ระบายหายใจออกมา และยกแขนขึ้น


เศษชิ้นเนื้อ และกระดูกได้ติดอยู่กับไม้กระบองที่เธอดึงออกมา


โชฮงได้แสยะยิ้มขึ้น


“ดูนี่สิ หลังจากโดนไปแค่ครั้งเดียว เขาก็เหมือนกับจะตายเลย”


“อ๊าาา! ฉันอยากจะเอาเขาไปแขวนเป็นกระสอบทราย แล้วก็อัดจนตายจังเลย ฉันก็อยากจะฝึกเหมือนกันนะ”


ฮิวโก้ได้บ่นออกมาอย่างไม่พอใจ จากนั้นเขาก็พูดขึ้นอีกครั้งพร้อมชี้ไปที่ชายทั้งสี่คน


“ขายพวกเขาออกไปจะไม่ดีกว่าหรอ? พวกเราจะได้เก็บเงินง่ายๆไงล่ะ ฉันรู้จักย่านซ่องดีๆอยู่นะ”


“ไม่ล่ะ แค่ฆ่าพวกมันไปคงจะดีกว่า”


“หรือว่าเราจะสร้างสนามประลองใต้ดินดีล่ะ พวกเราก็แค่ทิ้งพวกเขาให้มีบาดแผลทางใจหนักๆจนทำให้ความทรงจำของพวกเขาไม่ตรงกันขึ้นมา จากนั้นพวกเขาก็จะตายบนโลกไปด้วย”


“แล้วการแทงหอกไปในทุกๆรูบนร่างพวกเขาจะเป็นยังไงล่ะ? หากว่าเราแทงเข้าไปในจุดที่บอบบางของร่างกาย พวกเขาก็จะได้รับประสบการณ์เจ็บปวดจนถึงขีดสุดก่อนตาย”


แม้กระทั่งมาแชล จิโอเนียก็ยังยืนฟังการสนทนาของทั้งคู่ๆเงียบๆ


ทุกๆครั้งที่ความเห็นถูกเสนอออกมา ชายสามคนที่กำลังคุกเข่าอยู่ก็จะต้องตัวสั่น


พวกเขาไม่ได้กำลังถูกข่มขู่เพราะข้อมูลอีกแล้ว หลังจากที่พวกเขาบอกข้อมูลทุกอย่างออกไป ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ได้ต้องการอะไรจากพวกเขาอีกแล้ว


ฝ่ายตรงข้ามเพียงแค่พูดสิ่งต่างๆออกมาด้วยความต้องการที่จะฆ่าพวกเขาเท่านั้นเอง


พวกเขาสามรถบอกได้เป็นอย่างดีจากการที่ไม่มีใครหยุดหรือพูดออกมาเลยในตอนที่จู่ๆโชฮงก็จัดการกับชายคนแรก


ความตายของพวกเขาได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะมองมุมไหน มันก็ไม่มีทางรอดเลย


“วะ ไว้ชีวิตเราด้วย”


ในตอนนั้นเองชายที่ทนกับความหวาดกลัวไม่ไหวก็ได้คลานเข้ามากอดขาโชฮงไว้


“พวกเราผิดไปแล้ว ได้โปรดยกโทษให้เราสักครั้งหนึ่ง พะ พวกเราโง่ไปแล้วจริงๆ…!”


มันสายเกินไปที่จะอ่อนวอนแล้ว


สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงแค่การเตะอย่างรุนแรงเท่านั้น


“อย่ามาสำออย ไสหัวไปซะ! หยุดรบกวนฉันได้แล้วไอ้พวกปลายแถวไร้ค่า”


ปัง! โชฮงได้เตะชายคนที่เข้ามาขอร้องอย่างรุนแรง และหันไปมองซอลจีฮู


“เฮ้! แล้วเอายังไงล่ะ? ตอนนี้นายอยากจะทำอะไร?”


ซอลจีฮูกำลังจ้องมองอยู่ชายที่กลิ้งอยู่กับพื้น และชายอีกสามคนด้านหลังเขา


นพเนตรของเขากำลังทำงานอยู่


เขาได้เห็นหน้าต่างสถานะ สี และนิมิตของพวกเขาที่ถูกนพเนตรแสดงออกมาอีกด้วย


ซอลจีฮูได้พูดขึ้นอย่างใจเย็น


“โชฮง”


“ว่าไง?”


“ไปพานักบวชจากวิหารมา พาคนที่มีระดับ 4 ขึ้นไปที่ใช้การรักษาแผลขนาดใหญ่ได้”


“หือ? อ่อ!”


โชฮงได้เลิกคิ้วขึ้นมาก่อนจะเข้าใจบางอย่าง


“จริงด้วย! เราจะได้อัดพวกเขาอีกครั้งหลังจากรักษาแล้ว”


เธอได้พูดถึงเรื่องที่เธอคาดไม่ถึงก่อนจะปรบมือขึ้นมา และฉีกยิ้มขึ้น


“รอนี่เดี๋ยวนะ! ฉันจะรีบกลับมา”


“ฉันด้วย ฉันด้วย!”


โชฮงได้หอบหายใจแรงวิ่งออกไป ฮิวโก้ก็ด้วยเช่นกัน


ซอลจีฮูได้พูดต่อราวกับว่าเขากำลังรอให้ทั้งคู่วิ่งออกไปอยู่


“คุณแอ็กเนส ขอโทษนะครับ แต่ว่าผมของเวลากับพวกเขาหรอ?”


“หือ? ได้สิ ไม่ต้องขอโทษอะไรหรอก”


แอ็กเนสได้เอียงหัวอย่างสับสน แต่ว่าเธอก็ยังเดินออกไป


เมื่อเธอออกไปจากห้องกับสมาชิกของเธอแล้ว จางมัลดงกับมาแชล จิโอเนียก็รีบอ่านบรรยากาศ และลุกขึ้นยืนเช่นกัน


“ถ้างั้นฉันจะไปคุยกับคุณแอ็กเนสแล้วกัน จบแล้วก็เรียกนะ”


ซอลจีฮูได้หยักหน้าเงียบๆ แต่เขาก็หันไปมองที่โซฟา


งั่ม งั่ม


ฟีโซราที่กำลังเคี้ยวป็อบคอร์นอยู่ได้ชะงักไป หลังจากเช็ดปากแล้ว เธอก็ยิ้มออกมา


“ฉันอยู่ต่อไม่ได้หรอ? มันก็นานแล้วนะที่ฉันไม่ได้ดูอะไรน่าสนุก ฉันสัญญาเลยว่าจะอยู่เงียบๆ”


แต่ว่าซอลจีฮูก็ยังคงจ้องเธอโดยไม่พูดอะไร


ฟีโซราที่กำลังจะเถียงจู่ๆก็รู้สึกหนาวขึ้นมา


เธอเห็นประกายแสงสีฟ้าน่ากลัวปรากฏขึ้นบนดวงตาของชายหนุ่ม มันแค่ครู่เดียว แต่ว่าก็มากพอทำให้เธอขนลุก


ผลก็คือฟีโซราก็ลุกขึ้น และค่อยๆเดินออกไปจากห้องเช่นกัน


และเมื่อทั้งสี่คนได้ถูกทิ้งให้อยู่กับซอลจีฮูเพียงลำพังแล้ว บรรยากาศหนักหน่วงก็กดทับลงมา


มันเป็นแรงกดดันที่ทำให้พวกเขาทั้งสี่คนหายใจไม่ออก ยิ่งกว่านั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสบตา


ใช่แล้ว


มันราวกับว่าพวกเขากำลังอยู่ต่อหน้าปีศาจร้ายที่พร้อมจะกินพวกเขาเข้าไปได้ทุกเมื่อ


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความน่ากลัวเช่นนี้ พวกเขาก็อยากจะย้อนกลับไปอยู่ในตอนที่ยังมีคนมากมายอยู่ในห้อง


อึก


เมื่อชายคนหนึ่งได้กลืนน้ำลายลงไป…


“ทำไมถึงทำมันล่ะ?”


น้ำเสียงนุ่มๆได้ดังออกมา ด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบนี้เป็นเหมือนกับประกายความหวังที่ถูกจุดขึ้นมา ชายคนหนุ่งที่นอนอยู่บนพื้นได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้


“อ่า อ๋ม อ๋อโอด-“


“ฉันไม่ได้มาฟังคำขอโทษ”


“อกโอดใอเอ้าอ้วย ออบอัวอม…”


“ออมอัว? ครอบครัว?”


ซอลจีฮูได้แสยะยิ้ม และเท้าคางขึ้นมา


“อย่าเลย ต่อให้จพูดถึงเรื่องอะไร มันก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เรื่องพวกนั้นมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันเลยสักนิด”


ชายที่ตาแดงก่ำอย่างชัดเจนได้ตัวสั่นขึ้นมา


ไม่มีอะไรที่เขาพูดจะได้ผลแล้ว หลังจากยืนยันถึงเรื่องนี้ น้ำลายที่อยู่ในปากของเขาก็ไหลออกมา


“ทำไมถึงทำแบบนั้นล่ะ?”


คำถามเดิม


ชายที่ฝืนกลืนน้ำลายลงไปได้พูดออกมาด้วยริมฝีปากที่สั่นเทา


“เอื่อ… เอิน”


ในที่สุดซอลจีฮูก็หยักหน้าออกมา


ชายคนนี้ได้ก้มหัวที่พยายามจะขึ้นลงไป เมื่อถูกซิซิเลียจับได้เขาได้ล่ะทิ้งความหวังทั้งหมดไปแล้ว


“นายน่าจะคิดให้มากกว่านี้สักหน่อยนะ หากว่าเจออะไรก็ทำไปหมด นายจะตายเอาได้”


เขาพูดถูก เขาเคยคิดไหมว่าหากไปยั่วยุซอลจีฮู จะทำให้พวกเขาต้องมาจบชีวิตแบบนี้น่ะ?


ไม่เลย เขาไม่ได้คิดเลย เขาคิดว่ามันจะจบลงด้วยเสียงดังวุ่นวายเหมือนกับบาร์ตามปกติ


ในกรณีที่แย่ที่สุดก็คือ เขาคิดว่าเขาจะถูกซ้อมจนเกือบตายเท่านั้นเอง


มันอาจจะมองได้ว่าเป็นความผิดพลาดหรือความโง่เขลา


ในทันทีที่พวกเขาวาวแผนร้านต่อซอลจีฮู องค์กรใหญ่ในฮารามาร์คก็จะพุ่งออกมาด้วยการนำของราชวงศ์


มันราวกับว่าพวกเขาไปกวนรังผึ้ง


ในทางกลับกันองค์กรที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาได้สนใจเลยด้วยซ้ำว่าพวกเขาขาดการติดต่อไป


พวกเขาไม่ได้รับรู้ถึงความแตกต่างนี้


“อยากจะมีชีวิตอยู่ไหม?”


ชายที่ดวงตามืดมัวได้ลืมตาโพล่งขึ้นมา


จากนั้นมันก็หยุดลง ซอลจีฮูได้บิดคอไปมา


ฝ่ายตรงข้ามคงจะอยากเห็นสีหน้านี้ของเขา แต่ว่าหลังจากได้เห็นการทำร้ายแล้วความกลัวและความสิ้นหวังจะต้องปรากฏขึ้นมา


ยังไงก็ตามต่อให้พวกเขาจะรู้ว่ามันอาจจะเป็นการปั่นหัว แต่ว่าพวกเขาก็อยากจะคว้าเชือกเอาไว้


“ฉันจะบอกทุกๆอย่างที่รู้!”


“ไว้ชีวิตเราด้วย! ให้เรามีชีวิตเถอะน! ฉันจะทำตามทุกๆอย่างที่ขอเลย! ฉันจะ…”


คำขอร้องอันสิ้นหวังได้ดังไปทั่วห้อง


“มีอยู่สองวิธีที่พวกนายจะรอด”


ซอลจีฮูได้ยืนขึ้น และพูดออกมาราวกับเขาจะสัญญา


“พวกนายสามารถจะให้ข้อมูลที่พวกเราต้องการได้”


ซอลจีฮูได้เริ่มเดินไปรอบๆชายที่อยู่บนพื้นอย่างช้าๆ


“แต่ว่านั่นมันเป็นไปไม่ได้ พวกนายแทบจะไม่รู้อะไรเลย เพราะพวกนายมันแค่ปลายแถว”


ม่านตาของชายคนนี้ได้หมุนเป็นวงกลม


“หรือก็ทำอะไรที่มีส่วนช่วยเรา…”


ซอลจีฮูได้หยุดเดิน


“นายชื่ออะไร?”


ทันใดนั้นก็มีคำถามดังออกมา แต่ว่าชายคนนี้ที่จิตใจถูกครอบงำด้วยความกลัวได้ตอบกลับไปโดยสัญชาตญาณ


“อาโออิอิ่”


“พาโลวิซี่”


หลังจากทำความเข้าใจแล้ว ซอลจีฮูก็หันไปมองชายอีกสามคนด้านหลัง


และเขาก็ได้พูดออกมา


“ฉันเห็นมาว่านามสกุลของพวกนายทั้งสี่คนเหมือนกัน พวกนายสี่คนเป็นคนในครอบครัวเดียวกันงั้นหรอ?”


ในตอนนั้นเองชายทั้งสี่คนก็ตัวแข็งทื่อไป พวกเขาชะงักงันนิ่งไปอย่างสิ้นเชิง


‘ได้ยังไงกัน?’


พวกเขาได้เปิดเผยหน้าต่างสถานะออกไปหลังจากทนการทรมานของซิซิเลียไม่ไหว แต่ว่าพวกเขาแสดงออกไปแค่สังกัดกับอาชีพเท่านั้น ชื่อของพวกเขาไม่ได้ถูกแสดงออกไป


แอ็กเนสก็ไม่ได้ใส่ใจกับรายละเอียดพวกนี้ของเหล่าคนที่กำลังจะตาย


คำถามสำคัญก็คือปีศาจตนนี้รู้ความลับที่พวกเขาได้เก็บเอาไว้นับตั้งแต่ที่เข้ามาในพาราไดซ์ได้ยังไงกัน


“เข้ามาจากพื้นที่ที่ 2 ประเทศเดิมอยู่ที่รัสเซีย วันที่เข้ามาคือเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พวกนายทั้งสี่คนมีตราประทับสีแดง”


ข้อมูลมากมายได้ออกมาจากปากซอลจีฮู


พาโลวิซี่ที่ไม่รู้ถึงการมีอยู่ของนพเนตรได้แต่แสดงสีหน้าสับสนออกมา


พวกเขาได้เริ่มมองกันเอง


เมื่อยืนยันได้ว่าคนเหล่านี้กำลังหวั่นไหว ซอลจีฮูได้ค่อยๆกอดอก และนั่งลงไปบนโซฟา


“จะบอกให้นะ ฉันรู้เรื่องพวกนายเกือบทั้งหมดเลยล่ะ ผู้เชิญฉันเข้ามาเป็นคนที่ค่อนข้างจะมีเครือข่ายข้อมูล ฉันมั่นใจว่าพวกนายคงเคยได้ยินชื่อของจิ้งจอกสาวสินะ?”


มันเป็นการโกหก เขายังไม่ได้คุยกับคิมฮันนาห์เรื่องนี้เลย เขาไม่อาจจะติดต่อเธอได้ในตอนนี้


แต่ว่าความจริงมันก็ไม่ได้สำคัญ สิ่งสำคัญคือฝ่ายตรงข้ามจะเชื่อหรือไม่เท่านั้นเอง


นอกจากนี้ด้วยชื่อเสียของคิมฮันนาห์ในฐานะของคนคดโกงก็มากพอจะทำให้พวกเขาเชื่อ


ยังไงก็ตามจู่ๆก็เกิดภาพที่ไม่คาดคิดขึ้นเมื่อทั้งสี่คนได้เรืองแสงสีน้ำเงินออกมา


‘ทางเลือกแห่งโชคชะตา’


นิมิตได้แสดงให้เขาเห็นถึงอนาคตของทั้งสี่คน


ที่นี่ ซอลจีฮูจะต้องเลือก เขาจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของทั้งสี่คน หรือจะปล่อยมันไป


ซอลจีฮูได้ทำการตัดสินใจ


หากว่าพวกเขากำลังจะตายอยู่แล้ว อย่างน้อยเขาก็ควรจะใช้ประโยชน์จากคนพวกนี้


‘การฆ่าเพื่อระบายมันเสียเปล่าไป’


เมื่อหัวใจของพวกเขากำลังสั่นไหว มันก็ถึงเวลาเข้าแทงแล้ว


การพนันด้วยเงินของผู้อื่นมันเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดเสมอ


ต่อให้เสียก็ไม่เป็นไร แต่ว่าหากว่าชนะ มันก็คือกำไรฟรีๆ


แววตาเจ้าเล่ห์ได้ปรากฏขึ้นมา


เมื่อทบทวนภาพของนิมิตที่ได้เห็นอีกครั้ง ซอลจีฮูก็ได้พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม


บทที่ 202 – มีช่วงเวลาที่ต้องเลี่ยงการต่อสู้ ต่อให้ไร้ซึ่งกฎก็ตาม (2)


“สูงประมาณ 170 ซม.”


ซอลจีฮูได้พูดต่อด้วยน้ำเสียงชัดเจน


“ใบหน้าปิดไว้ด้วยผ้าคลุมสีดำ สวมใส่ชุดสีดำไร้ลวดลายทั้งบนและล่าง ร่างกายดูผอมบาง แล้วก็อะไรอีกนะ… โอ้ ใช่! ตัดสินจากผมและส่วนโค้งเธอคนนี้เป็นผู้หยิง”


ซอลจีฮูได้พูดถึงสิ่งที่เขาเห็นผ่านนิมิตออกไป แต่ว่าเขาได้ทำเหมือนกับว่าเขาได้ยินมาจากจิ้งจอกสาว


“แล้วก็ยังมี…”


ซอลจีฮูยังเห็นประกายความประหลาดใจบนใบหน้าของพาโลวิซี่อีกด้วย


“มีรอยสักรูปงูสีม่วงขนาดเท่าฝ่ามืออยู่ที่คอ”


ดวงตาพาโลวิซี่ได้เบิกกว้างเล็กน้อย ซอลจีฮูได้เท้าคาง และถามออกไป


“นายรู้จักเธอใช่ไหม?”


เขาไม่อาจจะข้ามข้อสรุปใดๆไปได้…


‘มันไม่เป็นไร’


แต่ว่าเขาก็สามารถสร้างข้ออ้างดีได้อยู่เสมอ โดยพื้นฐานแล้วสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ก็คือการสอบสวน


นิมิตที่ซอลจีฮูเห็นก็คือ ชายสี่คนตรงหน้าของเขากำลังนอนเป็นศพอยู่ในตรอกแห่งนี้ และไม่มีใครสักคนที่แสดงให้เห็นนิมิตที่ต่างออกไป นั่นมันหมายความว่าทั้งสี่คนได้เจอเข้ากับชะตากรรมเดียวกัน


สิ่งที่ควรจะจำไว้ก็คือทั้งสี่คนถูกหญิงสาวลึกลับที่เขาเพิ่งจะอธิบายออกไปสังหาร เธอเป็นคนที่รอบคอบมากจนถึงขนาดปกปิดใบหน้าเอาไว้ แต่ว่าภาพที่พาโลวิซี่ที่หน้าอกเป็นรูจ้องไปที่เธอจนเขาตายยังคงชัดเจนอยู่ในใจของซอลจีฮู


พาโลวิซี่ดูจะตัวสั่นขึ้นด้วยความแค้นและอยุติธรรมเช่นกัน


“ดะ… ได้ยังไงกัน…”


เขารู้จักเธอ


ซอลจีฮูได้คิดที่จะเอาคิมฮันนาห์มาอ้างอีกครั้ง จากนั้นก็ยิ้มออกมา ในบางครั้งความเงียบก็มีผลมากยิ่งกว่าคำพูดใดๆ


ความเงียบได้คงอยู่สั้นๆก่อนซอลจีฮูจะพูดออกมา


“นายบอกว่านายบอกเราทุกอย่างแล้ว นี่นายกำลังโกหกงั้นหรอ?”


“พวกเราบอกทุกอย่างไปแล้ว!”


ชายที่กำลังคุกเข่าอยู่ด้านหลังสุดได้ตะโกนออกมา ตัดสินจากใบหน้าของเขา เขาดูจะเป็นน้องเล็กสุดของพี่น้องอเล็กเซ่ จากหน้าต่างสถานะเขาอายุเพียง 20 เท่านั้นเอง


พาโลวิซี่ได้รีบเหลือบมองมาที่เขา แต่ว่าเขาก็ดูเหมือนกับตัดสินใจไปแล้ว


“เหตุผลที่เขาไม่ได้พูดถึงผู้หญิงคนนั้นก็เพราะว่าเราไม่มั่นใจว่าเธอเกี่ยวข้องกับงานที่เขาได้รับมา”


“ผู้หญิงคนนั้น?”


“ใช่แล้ว เราได้เจอกับเธอในตอนเราได้รับภารกิจแรก แต่ว่านั่นก็แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ใบหน้าของเธอถูกปิดบังเอาไว้ เพราะงั้นเราจึงมองไม่เห็น แต่ว่าเขายังคงจำรอยสักงูสีม่วงที่คอด้านซ้ายของเธอได้อย่างชัดเจน”


ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมาด้วยท่าทางที่บอกให้เขาพูดต่อ


“หลังจากนั้นเธอก็ได้มอบงานให้เราด้วยการส่งลูกน้องของเธอมา”


“แล้วเรื่องนี้ล่ะ?”


“นายก็รู้… พวกเราไม่มั่นใจจริงๆ”


ชายคนนี้ได้ระวังตัวมากยิ่งขึ้น


“เมื่อก่อนพวกเราสามารถจะบอกคนที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้นได้ด้วยเสื้อผ้าหรือเครื่องหมายที่คอ แต่ว่าลูกค้าในคราวนี้ต่างออกไป คนๆนี้ได้ปกปิดตัวตนเอาไว้ด้วยผ้าโผกหัวกับชุดคลุม แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย”


ซอลจีฮูได้มองขึ้นมาก่อนจะหยักหน้าอยู่หลายครั้ง


“คนๆนั้นน่าจะต้องเกี่ยวข้องกับหญิงสาวรอยสักงูแน่”


ไม่เช่นนั้นแล้วเธอก็คงจะไม่ปรากฏขึ้นในนิมิตของเขา


“ดูจากความละเอียดอ่อนของพวกเขาแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้้ทำการบ้านค้นประวัติของฉันมาเป็นอย่างดี พวกเขาอาจจะคิดว่า ‘ถ้าได้ผลก็ดี ถ้าไม่ได้ผลก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน’…”


ซอลจีฮูได้พูดช่วงท้ายเบาๆก่อนที่จะมองไปที่ทั้งสี่คน


“ฉันก็ไม่มั่นใจหรอกนะ แต่ว่ามันก็มีโอกาสสูง แล้วก็… พวกเขาน่าจะใกล้ฆ่าพวกนายแล้ว เหมือนกับการฆ่าสุนัขล่าเนื้อนั่นแหละ”


ใกล้แล้ว? ชายทั้งสี่คนได้มองตากันเองอย่างสับสนในตอนที่ได้ยินน้ำเสียงมั่นใจของซอลจีฮู


“ช่างน่าเจ็บปวดซะจริง ต่อให้พวกนายตายที่นี่ ไอ้สารเลวพวกนั้นก็จะเอาพวกนายมาใช้ประโยชน์ แล้วก็ตีพิมพ์ข่าวออกไป…”


ซอลจีฮูได้หักนิ้วพร้อมทั้งพึมพำขึ้นด้วยความรำคาญใจ


พาโลวิซี่รู้ได้ทันทีว่าซอลจีฮูกำลังพูดถึงเรื่องพวกเขา แต่ว่าเขาก็ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเขาพูดความจริงหรือเปล่า


แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่พวกเขามั่นใจก็คือซอลจีฮูรู้มากยิ่งกว่าที่พวกเขารู้ และมันมีความเป็นไปได้สูงที่สิ่งที่เขาพูดจะเป็นความจริง


ไม่เพียงแค่ชายตรงหน้าจะรู้ว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกันเท่านั้น แต่เขาก็ยังอธิบายถึงลักษณะของผู้หญิงคนนั้นอย่างชัดเจน


เพราะแบบนี้ทำให้พาโลวิซี่อดไม่ได้ที่จะกังวลขึ้นมา


นั่นคืออีกไม่นานพวกเขาจะตาย


“ใช่แล้ว มันไม่มีเหตุผลที่จะต้องให้ข่าวกับพวกเขา เอาเถอะ พวกนายออกไปได้แล้ว”


ซอลจีฮูได้ไล่พวกเขาออกไปเหมือนกับเป็นคนใจกว้าง


“นักบวชก็น่าจะใกล้มาแล้ว ทำไมไม่อยู่รักษาก่อนล่ะ”


เขาปล่อยให้เรามีชีวิต? แถมยังรักษาเราอีกด้วย?


ดวงตาของชายทั้งสี่คนได้เบิกกว้างขึ้น มันไม่ใช่เพราะว่าพวกเขามีความสุขเลยสักนิด มันเหมือนกับว่าฝ่ายตรงข้ามไม่อยากจะลดตัวลงมาแตะกับบางอย่างที่คล้ายกองขี้มากกว่าการปล่อยพวกเขาไปวะอีก


“อ่า พูดกันตรงๆเลยนะ พวกนายทั้งสี่คนจะมีชีวิตรอดออกไปจากคาเพเดี่ยม นี่คือความสัมพันธ์ของเรา ต่อให้หลังจากนั้นพวกนายจะโชคดีรอดไปได้ แต่ว่าอย่าได้ไปเที่ยวปล่อยข่าวมือผิดๆนะ หากว่าพวกนายทำล่ะก็…”


ประกายเฉียบคมได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซอลจีฮูพร้อมๆกับเสียงพึมพำอันน่ากลัวของเขา


ในเวลาเดียวกันความสงสัยในใจของชายคนนี้ก็กลายเป็นชัดเจนขึ้น ทุกๆคำที่ออกมาจากปากของซอลจีฮูเป็นการบอกใบ้ถึงการตายของพวกเขา


ซอลจีฮูได้รีบโบกมือไล่พวกเขาออกไป แต่ว่าชายทั้งสี่คนไม่ได้ขยับเลยสักนิด


พวกเขาทั้งสี่คนรู้สึกว่าอยู่ในสถานการณ์ที่น่าตลก เพราะว่าตอนนี้พวกเขากำลังคิดว่าสถานที่ที่ในตอนแรกเป็นหลุมศพของพวกเขาได้กลายมาเป็นที่ที่จะทำให้พวกเขารอด…


“เอ่อ…”


ชายคนหนึ่งได้รวบรวมความกล้าและเริ่มพูดออกมา เขาเป็นคนที่เด็กที่สุดในพี่น้องทั้งสี่คน


“นายบอกว่าเราจะตายในเร็วๆนี้… นั่นมันหมายความว่ายังไงกัน…?”


ซอลจีฮูที่กำลังจุดไฟบุหรี่ได้กระพริบตาออกมา


“โอ้ ก็ลองคิดดูสิ”


เขาได้พูดเหมือนกับขี้เกียจจะอธิบาย แต่ว่ามันไม่มีทางเลือก


“พวกนายได้หมดคุณค่าไปนับตั้งแต่ที่เราได้เผยบทความโต้แย้งไปในข่าวก่อนหน้านี้แล้ว ความเห็นของสาธารณะจะไม่ได้แปรเปลี่ยนไปง่ายๆอีกแล้ว”


ซอลจีฮูได้เสริมต่อว่า “พวกนายไม่เห็นด้วยหรอ?” และชายทั้งสี่คนก็หยักหน้าออกมา


“ยังไงก็ตามทุกๆคนก็รู้ว่าพวกนายทั้งสี่คนเป็นแค่หางแถว และชัดเจนว่าในตอนนี้คาเพเดี่ยมก็จะทำเต็มที่เพื่อหาตัวการ และคนเหล่านั้นก็จะพยายามเต็มที่ไม่ให้ถูกจับได้”


หลังจากอธิบายอย่างยาวเหยียด ซอลจีฮูก็ได้ใช้ปลายนิ้วเคาะขี้บุหรี่ออกไป


“เมื่อคำนึงถึงความรอบคอบของพวกเขาแล้ว ฉันก็สงสัยจะเลยว่าพวกเขาจะปล่อยให้พวกนายได้เดินอย่างสบายอารมณ์ไหมหากว่าเราปล่อยพวกนายไป อย่างน้อยที่สุด… นี่ก็คือสิ่งที่ฉันเดิมพันได้เลย”


ดวงตาของชายคนนี้ได้เบิกกว้างขึ้นมา


“พะ พวกเราก็แค่ทำตามที่บอกเท่านั้นเอง!”


และเขาก็ตะโกนต่อออกมาอีก


“อย่าพูดถึงองค์กรพวกเขาเลย กระทั่งใบหน้าของสมาชิกคนหนึ่งของพวกเขาเราก็ยังไม่รู้จักเลย! เรา เราก็แค่-“


“ฉันรู้”


ซอลจีฮูได้ยืนยันออกมาอย่างใจเย็น


“ถ้างั้นก็ลองคิดแบบนี้นะ- ‘อ่า พวกเราไม่รู้จักใบหน้าหรือกระทั่งองค์กรของพวกเขา พวกเราได้ทำตามสิ่งที่ถูกบอกมา พวกเขาจะไม่ฆ่าพวกเราก็เพราะว่าพวกเราไม่รู้อะไรเลย ใช่ไหมล่ะ?’”


ม่านตาของพาโลวิซี่ได้สั่นไหวขึ้นมา


“แต่ว่าลองคิดนะ พวกเขาสามารถจะฆ่าพวกนาย หั่นศพพวกนาย จากนั้นก็สร้างเรื่องขึ้นมาว่า ‘คาเพเดี่ยมต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยหรอ?’”


ยิ่งซอลจีฮูพูดไปเท่าไหร่ ใบหน้าของพวกเขาก็ยิ่งบิดเบี้ยวมากขึ้นเท่านั้น


“พวกนายจะคิดอะไรก็ตามใจเลย แต่ให้ฉันแนะนำสักหน่อยนะ นับจากนี้ก็อย่าอยู่รวมกันแค่สี่คน แล้วก็ไปหาองค์กรพึ่งพึง แต่… ฉันก็ไม่รู้นะว่าราชวงศ์ฮารามาร์ค ซิซิเลีย ซันเหอ สมาคมนักฆ่า หรือองค์กรขนาดใหญ่อื่นจะเต็มใจรับพวกนายหรือเปล่า”


ซอลจีฮูได้ล่ะสายตาของพวกเขาราวกับหมดธุระแล้ว ยังไงก็ตามชายทั้งสี่คนก็ยังคงไม่ขยับอยู่ดี


“…อะไรล่ะ?”


ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมา


“อยากจะรอดงั้นหรอ?”


พี่น้องได้จ้องมองกันและกันด้วยความกังวล จากนั้นก็หันมามองซอลจีฮู


“น่าเสียดายนะที่คำตอบของฉันก็ยังเป็นเหมือนเดิม มันมีอยู่สองวิธีที่พวกนายจะรอด แต่ว่าทั้งสองวิธีนั้นไม่ได้ทำให้ฉันสนใจเลย”


ในตอนนั้นเองพาโลวิซี่ที่นอนแผ่อยู่กับพื้นก็ครางลั่นออกมา เขาได้ขมวดคิ้วและเหงื่อโทรมกาย เขาพยายามที่จะลุกขึ้นมาคุกเข่าอย่างยากลำบาก กระดูกแขนที่ถูกหักของเขาก็ยังคงห้อยอยู่ เขาได้ขอร้องออกมา


“อ้ายโอ้ด อ้วยเอาอ้วย…”


คำพูดของเขาได้ชัดเจนขึ้นกว่าก่อนหน้านี้


“ช่วยนาย? ทำไมไม่หนีกับไปที่โลกซะล่ะ?”


“โอกไอ่ไอ้ออดอัยอีกแอ้ว”


พาโลวิซี่ได้ส่ายหัวอย่างหนัก


“เอาอ้อโอด เอาจะอับไอ้อาย ไอ้โอดอ้วยเอา….!”


ตึง! เขาได้กระแทกหัวลงกับพื้น


“ไอ้โอด! เอาจะอดไอ้อี้อองเอา!”


ได้โปรด เราจะชดใช้หนี้ของเรา


ซอลจีฮูชอบเสียงนี้ พวกเขาไม่ได้อ้อนวอนให้คำมั่นสัญญาว่าจะภักดี แต่ว่าพวกเขาบอกว่าจะทดแทนบุญคุณที่เทียบเท่ากันหากว่าเขาช่วยชีวิตคนพวกนี้


นี่เป็นสิ่งที่สอดคล้องกันกับหลักการของซอลจีฮู และในความจริงแล้วเขาก็กำลังรอมันอยู่เช่นกัน


“หืม ฉันไม่รู้นะ…”


แต่ว่าซอลจีฮูก็ไม่ได้มอบโอกาสให้ในทันที มันไม่ใช่ว่ามันยากที่จะพูด แต่ว่าเหล่าพี่น้องไม่ควรที่จะถูกให้อภัยง่ายๆ


คนแบบพวกเขา พวกเขาจะไม่มีวันเข้าใจมันจริงๆเว้นก็แต่ว่าพวกเขาจะได้เจอกับมันด้วยตัวเอง


“ฉันได้ยินที่นายพูดนะ แต่ว่าฉันไม่เห็นจะรู้สึกถึงความจริงใจจากนายเลย”


พาโลวิซี่ได้ผงะไป เขาได้ยกร่างขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง


“งั้นเอาแบบนี้แล้วกัน”


ซอลจีฮูได้เรียกมาแชล จิโอเนียด้วยรอยยิ้ม หลังจากที่นักธนูเหล็กกล้าเดินเข้ามา ซอลจีฮูก็ได้กระซิบบางอย่างกับเขา


“ได้ โอเค เข้าใจแล้ว”


มาแชล จิโอเนียได้หยักหน้าเข้าใจ ก่อนที่จะหันไปมองชายทั้งสี่คน เขาได้พึมพำออกมาในทันทีที่คำอธิบายจบลง


“มันอาจจะยากหน่อยสำหรับตัวผม”


“ไหวไหม?”


“มีความเป็นไปได้สูงที่ศัตรูจะคลื่อนไหวเป็นกลุ่ม และคนประเภทนี้มักจะใช้คนที่ทำหน้าที่สอดแนมและโจมตีคนล่ะคนกัน”


มาแชล จิโอเนียได้คิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดออกมา


“หากว่ามีผู้ช่วย ผมคิดว่าผมทำได้”


“ใครล่ะ?”


“คนอย่างคุณฟีโซรา… ภายในฮารามาร์คนี้มีไม่กี่คนที่แกร่งกว่าเธอ”


“ฉันก็ไม่ว่าอะไรนะ แต่นายคิดว่านายจะโน้มน้าวเธอได้หรอ?”


มาแชล จิโอเนียได้ลังเลขึ้นเล็กน้อย


“อ่า… ไม่ใช่ว่าเธอยืมอุปกรณ์จากหัวหน้าอยู่หรอ? หากว่าหัวหน้าบอกกับเธอว่าจะขยายระยะเวลายืมขึ้น ผมมั่นใจว่าต่อให้เธอจะบ่น แต่เธอก็จะยอมทำแน่นอน”


เมื่อเห็นนักธนูผมสีเทาขี้เถ้าจับธนูของเขาแน่น ซอลจีฮูก็ยิ้มบางออกมา


“เอาเถอะนะ หากว่านายทำสำเร็จ ฉันก็จะฝากธนูไว้กับนายนานๆเลย”


ดวงตามาแชล จิโอเนียได้เป็นประกายขึ้นมาในทันที


“ผมจะทำให้มันสำเร็จให้ได้! สำหรับคุณฟีโซรา ผมจะไปคุณกับเธอก่อนคืนนี้เอง”


“ขอบคุณมาก!”


จากนั้นมาแชล จิโอเนียก็ได้ออกจากสำนักงานไป โดยบอกว่าเขาจำเป็นต้องซื้อของสำหรับภารกิจ


“เอาล่ะ ฉันจะให้เครื่องมือช่วยเหลือพวกนาย”


ซอลจีฮูได้ค่อยๆล้วงมือลงไปในกระเป๋า เขาได้โยนวัตถุทรงกลมออกมา จากนั้นลูกกลมๆก็ได้กลิ้งอยู่ที่เข่าของพาโลวิซี่


“นายสามารถจะใช้คริสตัลสื่อสารติดต่อมาหาฉันได้”


“…”


“ฉันควรจะลองทำนายอนาคตไหมนะ?”


ซอลจีฮูได้พูดเล่นออกมาอย่างตั้งใจ


“คุณพาโลวิซี่ อีกไม่นานนายกับพี่น้องจะต้องเจอกับสถานการณ์ที่จะต้องเลือก”


ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตา หรือยอมรับในชะตากรรม


“หากว่านายอยากจะมีชีวิตต่อ… นายก็น่าจะรู้ว่าต้องเลือกอะไร”


ซอลจีฮูได้พูดออกมาอย่างชัดเจนก่อนจะหันหน้าไป


“ก็เท่านี้แหละ หลังจากนั้นคราวหน้าที่เราเจอกันค่อยคุยกันต่อ”


เขากำลังไล่ทั้งสี่คนออกไปอย่างชัดเจน ซอลจีฮูไม่แม้กระทั่งจะมองทั้งสี่คนด้วยซ้ำไป มันราวกับไม่ว่าพี่น้องจะเอาคริสตัลสื่อสารไปหรือไม่มันก็ไม่ได้สำคัญเลย


พาโลวิซี่ได้จ้องลงไปบนลูกแก้วตรงหน้าอย่างช้าๆ


ไม่นานนัก…


พรึบ พาโลวิซี่ได้ก้มหัวลงก่อนที่จะใช้มือที่เปื้อนเลือดจับคริสตัลเอาไว้แน่น


ราวกับว่ามันคือชีวิตใหม่


***


ภายใต้คำอนุญาตจากซอลจีฮูทำให้ทั้งสี่คนได้ออกไปจากคาเพเดี่ยมหลังจากทำการรักษาอย่างปลอดภัย


“อ่า- ฉันไม่เข้าใจนายเลยจริงๆ”


และไม่แปลกใจเลยที่โชฮงที่ไม่ได้รู้รายละเอียดจะโมโหขึ้นมา


“เชี้ย แค่ให้พวกเขารอดไปก็น่าทึ่งมากอยู่แล้วนะ แต่นี่อะไร? นายยังรักษาพวกเขาอีกด้วย? ดูนี่สิ เรามีนักบุญแล้วล่ะ!”


“ซอล ฉันก็ไม่อยากจะยุ่งกับอำนาจของนายในฐานะหัวหน้านะ แต่ว่าฉันก็ไม่อยากจะยอมรับเรื่องนี้ นี่มันไม่ใช่เลย ฉันไม่เข้าใจ”


ฮิวโก้ก็ยังเคร่งขรึมขึ้นมาอย่าผิดปกติ และสนับสนุนในโชฮง แม้กระทั่งฟีโซราก็ยังแค่นเสียงออกมาราวกับซอลจีฮูทำลายความสุขของเธอ


“ทุกคนเงียบ!”


จางมัลดงได้คำรามออกมาเมื่อทนมองดูการทะเลาะต่อไปไม่ไหว แต่ว่าโชฮงก็ยังคงตะโกนกลับไป


“เงียบ? ทำไมเราต้องเงียบด้วยล่ะ? ตาแก่ก็เห็นนี่! ไอ้เวรนี่มันเพิ่งจะ-!”


“ไอ้เวรนี่?”


จางมัลดงได้ขมวดคิ้วขึ้นมา


“ฉันรู้นะว่านี่เป็นทีมเล็กๆ แต่ว่าในตอนที่ฉันไม่อยู่มันคงจะเน่าเฟะไปแล้วสินะ!”


“ฉะ ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น! ตาแก่ก็ลบองดูที่เขาทำสิ! มันไม่เห็นเข้าใจเลย!?”


โชฮงได้ทุบหน้าอกของเธอราวกับว่าสถานการณ์นี้มันทำให้เธออึดอัดจนจะตาย แต่ว่าซอลจีฮูก็ยังคงหัวเราะและสูบบุหรี่อย่างมีความสุขโดยไม่ได้สนใจเธอเลย


โชฮงได้กัดฟันแน่นอย่างโมโห และทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเขาราวกับจะกินเขา


“เฮ้ นายคิดยังไงถึงได้ปล่อยพวกมันไปกัน?”


“ก็ไม่มีอะไรหรอก มันก็แค่พอเห็นพวกเขาขอโทษอย่างสำนึกผิดแล้วฉันรู้สึกไม่ดีที่ต้องฆ่าพวกเขา เธอก็รู้นี่ว่านั่นมันทำให้ฉันไม่สบายใจ”


ใบหน้าของโชฮงได้กลายเป็นสีแดงด้วยความโกรธจากคำอธิบายผ่านๆของซอลจีฮู


“พระเจ้า นี่นายบ้าไปแล้ว พวกเรามีสิทธิ์ชัดๆ ต่อให้ฆ่าพวกเขาไปก็ไม่มีใครมาว่าพวกเรา นายคิดว่าผู้คนจะคิดว่านายใจดีเพราะปล่อยพวกเขาไปงั้นหรอ? เฮ้ จิโอพูดอะไรหน่อยสิ! เดี๋ยวนะ ไอ้เวรนั่นก็หายไปไหนแล้วเหมือนกัน?”


“ฟังนะพวก นี่มันจะทำให้ผู้คนคิดว่านายเป็นไก่อ่อนนะ นายลองคิดดูสิ? แม้กระทั่งศัตรูก็จะมองดูเรื่องนี้และเยาะเย้ยว่านายมันไร้ความสามารถ”


“นั่นก็ไม่ได้แย่นะ”


ซอลจีฮูได้พูดออกมาอย่างใจเย็น โชฮงได้ขมวดคิ้วขึ้นมา


“นะ นายพูดว่าอะไรนะ”


“ฉันชอบที่พวกเขาคิดแบบนั้น”


หลังจากตอบกลับอย่างสงบแล้ว ซอลจีฮูก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาก็แค่หลับตายิ้มออกมา


ในตอนนั้นเองทั้งห้องก็ได้ตกสู่ความเงียบ


“…”


“…”


เมื่อความเงียบได้เข้าปกคลุมจนทำให้สำนักงานดูน่ากลัว…


“?”


ซอลจีฮูได้ลืมตาขึ้นและมองไปรอบๆ


ทุกๆคนกำลังจ้องมาที่เขา


เสายตาของพวกเขากำลังบอกว่าเขาทำตัวแปลกๆ เหมือนกับในตอนที่เขาปฏิเสธที่จะกลับไปที่โลกหลังจากออกมาจากวิหาร


“อะไรล่ะ? ทำไมงั้นหรอ?”


เมื่อซอลจีฮูได้แสดงสีหน้าสับสนออกมา โชฮงก็ค่อยๆหลับตาลง และพูดขึ้นอีกครั้ง


“เฮ้ นายเพิ่งจะ…”


“ฉันไปก่อนนะ”


ในตอนนั้นเองแอ็กเนสก็ลุกขึ้นจากโซฟา


“ผมจะไปส่งนะครับ”


ตามปกติแล้วเธอจะบอกว่าไม่เป็นไรหรือเขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น แต่ว่าคราวนี้เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา


ในตอนที่เขาได้เดินออกไปที่ประตู เขาก็ได้ยินเสียงฟีโซราตะโกนออกมา


“ดูสิ-! ฉันบอกแล้วว่าหมอนี่มีสองบุคลิก!”


‘เธอเป็นบ้าอะไรกันล่ะเนี้ย!’


ซอลจีฮูได้ปิดประตูลงในขณะที่บ่นออกมาในใจ จากนั้นขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรกับแอ็กเนส-


“หุบปาก”


น้ำเสียงเย็นชาได้ดังออกมา


ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย เธอโกรธเพราะเขาปล่อยพี่น้องอเล็กซี่ที่เธอพยายามจับมาไปงั้นหรอ?


เป็นธรรมดาที่นี่จะเป็นความคิดแรกที่เขาคิดได้ แต่ว่าแอ็กเนสก็เพิ่งจะเริ่มพูดเท่านั้น


“ก้มหัวลงเล็กน้อย แล้วก็คลายม่านตาออกมาด้วย พยายามอย่าแสดงสีหน้าออกมาให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้”


แรงกดดันแปลกๆเบื้องหลังคำพูดได้ทำให้ซอลจีฮูต้องทำตามคำพูดของเธอ จากนั้นแอ็กเนสก็หันกลับมามองซอลจีฮูด้วยรอยยิ้มบางๆ


“ค่อยดีขึ้นหน่อย”


“?”


“นับจากนี้ในตอนที่นายกำลังพูดเรื่องที่บอกคนอื่นไม่ได้ก็ใส่หน้ากากนี้ไว้นะ”


นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?


“ถ้าเป็นไปได้ก็คลายไหล่ออก แล้วก็จัดเสื้อให้ตรงด้วย”


เมื่อซอลจีฮูเอียงหัวออกมา แอ็กเนสก็ปัดฝุ่นจากไหล่เขา และจัดเสื้อให้เขา


“…ในพาราไดซ์ พลังการต่อสู้ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกนะ ใบหน้า การแสดงออกมา สายตา ท่าทาง รูปลักษณ์ และกระทั่งเสียงหายใจ… คนบางคนจะสามารถสังเคราะห์ข้อมูลที่เล็กที่สุดเพื่อคาดเดาถึงความตั้งใจของผู้อื่นได้ นี่เป็นความสามารถที่ได้รับการยอมรับจากเทพทั้งเ๗ด และบางคนก็ได้เลื่อนมาเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงเพราะเรื่องแบบนี้ด้วย จิ้งจอกก็เป็นหนึ่งในตัวอย่าง”


จากนั้นแอ็กเนสก็ประสานมือเอาไว้ที่กระโปร่งเหมือนอย่างเคย


“หากว่ามีเวลาก็ไปเรียนการแสดงหน่อยนะ ฉันมั่นใจว่ามันจะช่วยได้มาก”


“…”


“ยังไงก้ตามสงครามมันยังจบไปได้ไม่นาน แต่นายกลับจะเริ่มมันขึ้นมาอีกแล้ว…”


เธอได้หันหลังไปด้วยรอยยิ้ม


“ช่างน่าอาย เหยี่ยวสงครามแบบนายเหมาะจะอยู่ในซิซิเลียมากกว่า”


แอ็กเนสได้เดินออกไป


“มันจะเป็นสงครามที่ยาวนาน หากว่าเรามีศัตรูคนเดียวกัน ซิซิเลียก็ยินดีเสมอที่จะร่วมมือกัน โชคดีนะ!”


เธอได้เดินลงบันไดไปอย่างนิ่งๆหลังจากทิ้งท้ายคำเหล่านี้ไว้


“…”


ซอลจีฮูได้มองตามแผ่นหลังของแอ็กเนสออกไปก่อนที่จะค่อยๆลูบใบหน้าเขาเบาๆ


***


หลังจากแอ็กเนสกลับไปแล้ว ซอลจีฮูก็ได้ขอคุยกับจางมัลดงเป็นการส่วนตัว จางมัลดงได้หัวเราะขึ้นโดยพูดว่า “คุยส่วนตัวงั้นหรอ?” แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธออกมา


“แล้วนายอยากจะคุยอะไรกับฉันล่ะ?”


วอลจีฮูรอให้จางมัลดงนั่งก่อนที่จะเริ่มเข้าเรื่อง


“ผมวางแผนที่จะสร้างองค์กร”


จางมัลดงได้ชะงักไปก่อนจะตอบกลับมาราวกับเขาเคยคิดไว้แล้ว


“นั่นก็ไม่ได้แย่นะ แล้ว? ฉันสงสัยว่าทำไมนายถึงทำหน้าจริงจังในการพูดเรื่องนี้ล่ะ”


“ผมคิดจะออกไปจากฮารามาร์ค”


“…อะไรนะ? แล้วไปที่ไหนล่ะ?”


“อีวา”


อีวา นั่นมัน- น่าตกใจ


จางมัลดงได้หอบหายใจหนัก เขารับรู้ถึงแผนของซอลจีฮูได้ในทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘อีวา’


มันชัดเจนว่าทำไมซอลจีฮูถึงอยากจะย้ายฐานปฏิบัติการณ์ เขากำลังเล็งเป้าหมายไปที่อะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าแค่การสร้างองค์กร ในแง่นั้นแล้วอีวาเป็นที่ที่ดีที่สุด


จริงๆแล้วอีวาเป็นสถานที่เดียวที่เหมาะ


เมืองทั้งเจ็ดที่อยู่ภายใต้อำนาจของเจ็ดอาณาจักรต่างก็มีองค์กรที่เป็นตัวแทนอยู่แล้ว แต่ว่าสถานการณ์ภายในอีวาค่อนข้างจะต่างกับเมืองอื่นอยู่เล็กน้อย


“หืม…”


จางมัลดงได้เงียบอยู่นาน เขาพอจะรู้ว่าความคิดนี้มาจากไหน นี่เป็นสิ่งที่ควรจะเป็นเป้าหมายของซอลจีฮูอยู่แล้ว และจริงๆแล้วเขาก็รอได้ยินคำนี้มานานแล้ว


ปัญหาก็คือเวลา


“เพราะเหตุการณ์ล่าสุดงั้นหรอ?”


“จะพูดว่าไม่ใช่ก็ไม่ได้ครับ”


ซอลจีฮูได้ตอบกลับมาอย่างใจเย็น


“แต่ว่าผมได้ตัดสินใจออกมาหลังจากที่ได้อ่านบันทึกที่อาจารย์ให้ผมมา”


คิ้วของจางมัลดงได้กระดิกขึ้นมา


“เหตุการณ์นี้ พี่สาวยูฮุยถูกโจมตี แล้วก็บันทึกอาจารย์เอียนที่ถูกเขียนไว้… ผมคิดว่าสามสิ่งนี้ค่อนข้างเกี่ยวข้องกัน ถึงผมจะไม่มั่นใจ แต่ว่าความรู้สึกว้าวุ่นนี้ก็ยังคงไม่หายไป”


“ฉันเห็นด้วย”


จางมัลดงได้หยักหน้าออกมา จากนั้นเขาก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก


“จีฮู”


“ครับ”


“ศัตรูคือมอนสเตอร์”


“…”


“พลังของพวกเราต่างกันมาก และพวกเขาก็ต้องเป็นศัตรูที่มีเล่ห์เหลี่ยมมากกว่าเจ็ดกองทัพเพราะพวกเขาก็เป็นมนุษย์ การต่อสู้นี้อาจจะส่งผลไปถึงชีวิตของนายบนโลกด้วยนะ”


“ผมรู้”


ซอลจีฮูได้ตอบกลับมาด้วยแววตาที่สุขุมลึก


“แต่ว่ามีสิ่งที่ต้องทำก่อน”


จางมัลดงได้ควงไม้เท้าของเขา ดูเหมือนว่าซอลจีฮูจะไม่ได้ด่วนตัดสินใจเลย และเขาก็ดูเหมือนจะมั่นใจแปลกๆด้วยเช่นกัน


เขาดูเหมือนจะกำลังถามว่า ‘งั้นเราควรจะทำอะไร?’ พูดออกมาให้เป็นคำพูดคือเขาทำเหมือนกับเป็นนักผจญภัยที่ออกไปเสี่ยงโชค


“ถ้าแบบนั้นฉันมีเงื่อนไขอยู่สามอย่าง”


จางมัลดงได้เริ่มสงสัยว่าความมั่นใจนี้มาจากไหน


“แนไม่คิดว่าการออกไปทันทีจะดีนะ นอกเหนือจากการขยายอิทธิพลออกไปแล้ว เราก็จะเป็นต้องมีเวลาให้จัดระเบียบที่ที่ปลอดภัยให้เราเองก่อน”


“แน่นอนครับ!”


“พวกเราก็ต้องการเงินด้วยเหมือนกัน จำนวนมากด้วย พวกเราจำเป็นต้องมีเงินทุนที่มากพอที่จะเริ่มสร้างองค์กรขึ้น”


“ผมจะลองดูครับ”


“แล้วก็อย่างสุดท้าย มันอาจจะยากนะ แต่ว่าฉันอยากจะให้นายหาองค์กรอื่นที่จะไปกับเราได้ มันไม่ใช่แค่คาเพเดี่ยม เราจำเป็นต้องมีองค์กรที่เราเชื่อใจ และพึ่งพาได้ในกรณีที่เกิดสถานการณ์อย่างตอนล่าสุดขึ้นอีก-“


“ผมมีแล้วหนึ่งองค์กรครับ”


ในตอนนี้เองจางมัลดงก็ไม่อาจจะตกใจไปมากกว่านี้ได้อีก


“มีแล้วงั้นหรอ?”


“ครับ ผมได้ตัดสินใจร่วมมือกับซันเหอ ฮ่าวอวิ่นได้มาหาผมที่วังและยื่นข้อเสนอออกมา”


ซันเหอ!


นี่ได้ทำให้ทุกๆอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ซันเหอนั้นกระหายในชาวโลกที่ทรงพลัง และคาเพเดี่ยมก็จะเป็นต้องมีองค์กรที่ทรงอิทธิพลหนุนหลัง ทั้งสองกลุ่มจะต้องเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบแน่นอน


จางมัลดงได้หัวเราะขึ้นมา


“ถ้านั่นมันจริง… ถ้างั้นก็เหลืออีกสิ่งหนึ่งที่ต้องทำ”


“อีกหนึ่งอย่างหรอครับ?”


“จะอะไรอีกล่ะ? นายไม่คิดว่าเราควรจะเปลี่ยนชื่องั้นหรอ?”


จางมัลดงได้ยิ้มออกมา


“เป้าหมายของนายไม่ได้สอดคล้องกับ ‘ใช้ชีวิตในปัจจุบัน’ อีกแล้ว ในเมื่อนี่เป็นองค์กรของนาย นายก็ควรจะคิดชื่อของมัน”


“ชื่อ…”


ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมาด้วยความคิดที่ว่ามันก็ไม่ได้แย่อะไร


“ยังไงก็ตามฉันเข้าใจถึงเป้าหมายของนาย มันดูเหมือนว่านายจะได้ตัดสินใจไปแล้ว และฉันก็ไม่เห็นว่ามีเหตุผลอะไรต้องไปหยุดนายด้วย”


จางมัลดงได้ลุกขึ้นมา


“ซันเหอ… คาเพเดี่ยมกับซันเหอ…”


จางมัลดงได้พึมพำกับตัวเองเบาๆพร้อมเดินไปที่ประตู ก่อนที่จู่ๆจะหยุดลง


“ฉันขอถามหน่อยนะ”


จากนั้นเขาก็ถามออกมาราวกับเขามีเรื่องสงสัยขึ้นมา


“เมื่อนายมีอิทธิพลและพลังที่มากพอ…. เมื่อนายรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ถ้างั้นนายคิดจะทำยังไงล่ะ?”


แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่เสี้ยววินาที แต่ก็มีประกายแสงสีทองพวยพุ่งออกมาจากนัยน์ตาของซอลจีฮู


เขาได้ค่อยๆรวบมือเข้าด้วยกัน จากนั้นก็ก้มหน้าลง


เขาได้สาบานกับงานเลี้ยง


เพื่อที่จะไม่ค้นหาสีทองคำ


แต่ว่าจะกลายเป็นบัญญัติทองคำด้วยตัวเอง


ความหมายก็คือซอลจีฮูได้กลายเป็นกฎแห่งทองคำ และกฎแห่งทองคำก็คือซอลจีฮู


ซอลจีฮูได้ก้มหน้าลงบนมือที่ประสานกันและพูดเสียงต่ำออกมา


“…ผมจะแสดงให้พวกมันได้รู้”


เครื่องยนต์ที่เย็นลงไปหลังสงคราม…


“นี่คือผม ซอลจีฮู”


…ได้เริ่มร้อนระอุขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง


บทที่ 203 – คำสาบานของโชฮง (1)


ข่าวเรื่องการออกมาจากห้องพักฟื้นของซอยูฮุยได้กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ว่าวิหารลูซูเรียก็ยังคงนิ่งเฉย เมื่อวานนี้พวกเขาดูเหมือนจะทำเต็มที่ในการหาผู้กระทำผิด แต่แล้วจู่ๆพวกเขาก็เงียบๆไป ราวกับมีน้ำเย็นจัดราดดับกองไฟไปแล้ว


มันค่อนข้างจะน่าสงสัยเพราะว่าเวลามันพอดีกันกับที่มีข่าวถูกปล่อยออกมาจากสมาคมนักฆ่า และใครก็ตามที่พอจะรู้ถึงความเป็นไปของพาราไดซ์อยู่บ้างก็จะรู้ได้เลยว่ามันจะต้องมีแผนการบางอย่างเขามาเกี่ยวข้อง แต่ว่าก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรบุ่มบ่ามออกมา


วิหารลูซูเรียเป็นองค์กรของนักบวชสายรักษา และเป็นสหภาพที่ทรงพลังมากที่สุดรองลงมาจากสมาคมจอมเวทย์ ไม่มีใครอยากที่จะเอาตัวเองไปเสี่ยง


อิทธิพลของพวกเขามีมากยิ่งกว่าสมาคมนักฆ่าซะอีก มันถึงขนาดที่สมาคมนักฆ่ายังไม่กล้าเขียนข่าวเรื่องที่นักบวชพยายามจะคุมตัวซอลจีฮู


แน่นอนว่าหากไม่มีใครมองอยู่ก็อาจจะมีคนแอบก่นด่าพวกเขา แต่ว่าก็ไม่มีใครกล้าส่งเสียงดังออกมา


“ฉันไม่เข้าใจพี่สาวคนนั้นเลย”


จางมัลดงได้เหลือบมองโชฮงที่เอาแต่นั่งบ่นอยู่ตลอดเวลา


“ถ้าเธอตื่นมาแล้ว เธอก็น่าจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วสิ มันไม่ใช่ว่าเธอจะต้องใช้มาตราการจำเป็นบางอย่างแก้ไขสถานการณ์นี้หรอกหรอ? เราไม่ได้รู้จักกันแค่ไม่กี่ว้นนะ”


ช่วงนี้โชฮงได้บ่นออกมาไม่หยุด เธอไม่ชอบแบบนี้ ไม่ชอบแบบนั้น เธอบ่นหนักมากจนทำให้ทุกๆคนหูชา


“อย่างน้อยเธอก็ควรจะพาไอ้คนที่ข่มขู่เขามาขอโทษสิ อ่า แค่คิดเรื่องนี้ก็ทำให้ฉันโมโหขึ้นมาแล้ว”


จางมัลดงได้แค่นเสียงขึ้น


คลาสที่ได้รับการดูแลเหมือนกับเป็นชนชั้นสูงคล้ายกับนักเวทย์จะมาขอโทษงั้นหรอ?


มันไม่มีกฎว่าพวกเขาจะพูดไม่ได้ แม้กระทั่งนักบวชที่เชี่ยวชาญในการักษาก็ยังก้มหัวให้คนอื่นๆได้


แต่ปัญหาคือพวกเขาจะไม่มีวันทำแบบนั้นกับทีมเล็กๆอย่างคาเพเดี่ยม ไม่เว้นแม้กระทั่งองค์กรขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลอย่างซิซิเลียด้วยซ้ำไป


“อ๊าาาาาาาา—!”


โชฮงที่ทนกลั้นความโกรธเอาไว้ไม่ไหวได้กรีดร้องออกมา


จางมัลดงอยากจะบอกให้เธอเงียบ แต่ว่าเขาก็ห้ามตัวเองเอาไว้ เขารู้ว่าเธอรู้สึกแย่กับมันแค่ไหน


จางมัลดงได้ถอนหายใจก่อนจะพูดออกมา


“อย่าไปโทษเธอเลย เธอไม่ได้ทำอะไรตามต้องการได้หรอกนะ”


“นั่นมันหมายความว่ายังไง? เธอเป็นผู้บริหารแห่งราคะนะ! เธออยู่ในวิหารลูซูเรียไม่ใช่หรอ?”


โชฮงได้ยกนิ้วแย้งออกมา และจางมัลดงก็ได้ส่ายหัวออกมา


“เธอเคยเป็น”


“ไม่ใช่ว่าระหว่างสงครามเธอได้กลับมาแล้วหรอ?”


“พูดให้ถูกคือเธอได้ถอนตัวออกมาแล้ว เธอไม่ได้มีอิทธิพลเหมือนอย่างในยุครุ่งเรืองของเธอแล้ว นับตั้งแต่ที่เธอเกษียณออกไป เธอก็ได้สูญเสียทุกอย่างไปแต่แรกแล้ว…”


เขายังพูดไม่จบว่า ‘มันเป็นเรื่องยากที่จะเอาอำนาจที่เธอทิ้งไปกลับคืนมา’ แต่ว่าโชฮงก็เข้าใจถึงสิ่งที่เขาจะบอก และเกาหัวออกมา


“อ๊าาา~~ ช่างน่าเสียดาบสำหรับคนที่มีชื่อเป็นตำนานจริงๆเลย”


“เอาเถอะ ชื่อของเธอก็ยังมีคุณค่าอยู่ มันไม่ใช่ว่าเธอได้เสียผู้สนับสนุนทั้งหมดไป แต่ว่าความสามารถในฐานะผู้บริหารของเธอถูกผนึก และเธอไม่อาจจะใช้ทักษะในฐานะแรงค์เกอร์ระดับพิเศษได้อีก เพราะงั้นเธอจึงเป็นเป้าหมายที่เหมาะมากสำหรับคนที่กำลังมองหาผลประโยชน์”


“ชิ ช่างวุ่นวายจริงๆเลย”


เมื่อจางมัลดงได้ยิ้มแห้งๆออกมา โชฮงก็กัดริมฝีปากขึ้น


จริงๆแล้วโชฮงก็รู้ถึงสถานการณ์ของซอยูฮุย และกระทั่งเห็นใจเธออยู่ประมาณหนึ่งด้วย ยังไงเธอก็เป็นคนที่เข้ามาในพาราไดซ์ในฐานะตราประทับสีแดง และได้มีประสบการณ์กับแผนชั่วๆต่างๆมากมายกว่าจะมายืนอยู่ในจุดนี้ได้


มีอยู่หลายครั้งที่เธอต้องพูดขอบคุณทั้งๆที่เธอควรจะถูกขอบคุณ และมีอยู่หลายครั้งเช่นกันที่เธอต้องพูดขอโทษทั้งๆที่เธอควรจะเป็นฝ่ายที่ได้ยินคำขอโทษ


สถานการณ์มันก็เป็นเช่นนี้แหละ


“นี่มันโลกบ้าอะไรกันเนี้ย ฉันคิดว่าฉันคงผิดเองที่แกร่งไม่พอสินะ”


โชฮงได้กล้ำกลืนความโกรธก่อนจะมองไปรอบๆตัว และพูดขึ้นมา


“แล้วเขาไปไหนล่ะ?”


จางมัลดงได้กอดอก และมองไปที่หน้าต่างของอาคารที่อยู่ฝั่งตรงข้าม


“เขาบอกว่าเขาจะไปเยี่ยมเพื่อนบ้าน”


ในเวลาเดียวกัน


“เอ๋?”


ซอยูฮุยที่กลับมาบ้านได้มองดูแขกด้วยสีหน้าอึดอัด


“นะ… นายว่ายังไงนะ?”


เมื่อเธอได้ค่อยๆถามไปอีกครั้ง


“ผมจะต้องทำยังไงถึงจะฟื้นฟูความสามารถของพี่สาวกลับมาได้”


ซอลจีฮูได้ย้ำถึงสิ่งที่เขาพูดออกไปอีกครั้งหนึ่งโดยไม่ตกหล่นแม้แต่นิด


ซอยูฮุยได้ค่อยๆหลับตาลง


“เขาบอกนายแล้วสินะ”


เธอได้ขอร้องให้จางมัลดงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แต่ว่าเธอก็รู้ว่าซอลจีฮูจะไม่มีวันยอมเว้นแต่จะได้รับคำอธิบายดีๆจนทำให้เกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้นมา


ซอยูฮุยได้โบกมือออกมาด้วยรอยยิ้มอึดอัดใจ


“เดี๋ยวฉันจะจัดการเอง ฉันดีใจนะที่นายเป็นห่วง แต่ว่านายไม่ต้องคิดมากหรอก”


จากนั้นเธอก็แสดงความขอโทษออกมา


“ขอโทษนะ เพราะฉัน…”


ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมาเมื่อเห็นว่าซอยูฮุยพูดได้ไม่จบประโยชน์


“ผมคิดว่ามันเป็นเพราะผมที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น”


“ไม่ นายไม่ได้ทำอะไรผิดเลย”


ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมาอีกครั้งหนึ่ง


“ผมไม่ได้กำลังพูดเรื่องนักบวชที่บุกเข้ามาในสำนักงานคาเพเดี่ยม ผมกำลังพูดถึงเรื่องที่พี่สาวถูกโจมตี”


ซอยูฮุยได้จ้องไปที่ชายหนุ่มที่พูดถึงความคิดออกมาอย่างชัดเจน ตอนแรกที่ได้ยินเธอตกใจจนพูดไม่ออก และคิดว่าเขาจะเสียใจอย่างหนัก แต่ว่าดูเหมือนเขาจะยังตั้งสติได้อยู่


เขาคงจะลืมมันไปหรือไม่ก็กำลังอดทนกับมัน


หรือบางทีเขาอาจจะมีความคิดอย่างอื่น


แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามมันดูเหมือนเขาจะไม่ยอมถอย


“มันไม่ได้มีปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวัน…”


“แต่หากคำนึงถึงปัจจัยภายนอกก็ไม่ใช่นะครับ”


ซอยูฮุยได้แอบถอนหายใจออกมากับซอลจีฮูที่ยืนกรานอย่างหนักแน่น เธอบอกได้เลยว่าเขาได้ตัดสินใจมากแล้ว ซอยูฮุยที่รู้ว่าไม่อาจจะเอาชนะซอลจีฮูได้ก็ได้แต่สารภาพออกมา


“โอเค… มันดูเหมือนว่านายจะได้ยินมาแล้ว แต่ว่าฉันจะบอกรายละเอียดให้ฟังแล้วกันนะ ความสามารถส่วนใหญ่ของฉันถูกผนึกไปจากผลสะท้อนจากพิธีกรรมที่ต้องแบบรับ ฉันไม่ค่อยมั่นใจ แต่ว่าตัวฉันในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับนักวชระดับ 1 หรือ 2”


‘นักบวชระดับ 1 หรือ 2?’


ซอลจีฮูได้กลืนน้ำลายลง สภาพของซอยูฮุยในปัจจุบันแย่กว่าที่เขาคิดไว้ซะอีก ในเวลาเดียวกันเขาก็ชื่นชมในตัวเธอที่สามารถจะสงบนิ่งแบบนี้ได้


อาจจะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับเธอได้ตลอดเวลา แต่ว่าเขาก็ไม่ได้เห็นแม้กระทั่งความกังวลหรือความไม่พอใจจากเธอได้เลย


“การรักษาฉันมันเป็นเรื่องง่าย ฉันก็แค่ต้องนำเครื่องเซ่นไหว้ให้กับเทพธิดาลูซูเรีย”


ในที่สุดคำตอบที่ซอลจีฮูรออยู่ก็ดังออกมา


“เครื่องเซ่นไหว้?”


ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา เขาคิดว่าจุดตันเถียนของเธอจะตันหรือว่าวงจรมานาของเธอพังไปแล้ว แต่ว่าเครื่องเซ่น? นี่มันไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไว้เลยสักนิด


“นักบวชต่างไปจากคลาสๆอื่นในเรื่องความเกี่ยวข้องอันใกล้ชิดกับเทพของพวกเขา”


ซอยูฮุยได้ค่อยๆอธิบายออกมาเหมือนกับคุณครูที่สอนเล็ก และนี่ก็ได้ทำให้ซอลจีฮูนึกถึงนักบวชทุกๆคนที่จะพกแท่นบูชากับเครื่องเซ่น


มาเรียกับอเล็กซ์ก็เหมือนกัน นี่มันคล้ายๆกันกับการเตรียมเวทย์ไว้ล่วงหน้าเหมือนอย่างที่นักเวทย์ทำด้วยเวทย์จดจำ พูดกันไปแล้ว….


‘นักบวชได้ยืมในอำนาจของเทพโดยตรง เพราะงั้นพวกเขาจึงต้องชดใช้กลับไปในทุกๆครั้ง จริงไหมล่ะ?’


ขณะที่ซอลจีฮูกำลังคุ้ยความทรงจำที่เขารู้เกี่ยวกับนักบวช ซอยูฮุยก็ยังคงอธิบายต่อไป


“นอกจากสภาพร่างกายที่ฉันจ่ายไปกับการใช้พิธีกรรมแล้ว ฉันยังได้ยืมพลังและใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ออกไปมากกว่าที่ฉันจะใช้ได้ เพราะแบบนี้ทำให้ความสามารถของฉันถูกผนึก”


“อ่า!”


ซอลจีฮูได้อ้าปากค้างออกมา มันชัดเจนว่าจะกู้คืนความสามารถของซอยูฮุยมาได้ยังไง นั่นก็คือมอบเครื่องเซ่นที่มีค่าเทียบเท่ากันกับพลังที่ซอยูฮุยได้ยืมออกมาในเวลานั้นไป


“ฉันได้รวบรวมเครื่องเซ่นทั้งหมดที่รวมได้แล้ว… แต่ว่ามันก็ฟื้นฟูกลับมาได้ไม่มากเท่าที่คิด”


ซอลจีฮูได้ใช้เวลาครู่หนึ่งกับการจัดการความคิดก่อนที่จะพูดออกมา


“มีเครื่องเซ่นที่เหมาะไหมครับ?”


“อืมม… เทพจะชอบในเครื่องเซ่นที่สื่อถึงตัวเอง… แต่ว่าท่านลูซูเรียไม่ใช่คนจุกจิก เธอชอบก็แค่ชอบในเครื่องเซ่นที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์มากที่สุด”


ซอลจีฮูได้ถามออกมา


“ถ้างั้นแล้วเครื่องเซ่นจะต้องมีพลังศักดิ์สิทธิ์มากขนาดไหนถึงจะฟื้นฟูพลังของพี่สาวกลับมาได้จนหมด?”


“อืมม…”


ซอยูฮุยได้กอดอกเอียงหัวออกมา


“หากว่ามีของอย่างของที่ระลึกแห่งมอไร ฉันก็คิดว่าน่าจะฟื้นฟูพลังของฉันกลับมาได้ในทีเดียว…”


ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้นมา


‘ของที่ระลึกแห่งมอไร…’


นี่คือของที่ถูกขายอย่างในเขตพื้นที่เป็นกลางด้วยคะแนนเอาชีวิตรอด ซอลจีฮูยังจำมันได้อย่างชัดเจนเพราะมันคือของที่มีราคาแพงที่สุดที่ขายอยู่ในร้านวีไอพี


ซอยูฮุยที่ได้เห็นใบหน้าของซอลจีฮูได้ยิ้มออกมา


“ไม่เป็นไรหรอก เครื่องเซ่นเป็นแค่วิธีที่เร็วที่สุดในการฟื้นคืนพลังกลับมาเท่านั้นเอง มันไม่ใช่วิธีเดียวซะหน่อย ถึงจะใช้เวลานาน แต่ว่าด้วยการไปภาวนาที่วิหารก็ช่วยได้เหมือนกัน”


ซอลจีฮูได้ตัดสินใจขึ้นเมื่อได้ยินถึงความเห็นนี้จากซอยูฮุย


ด้วยเหตุการณ์นี้ได้ทำให้เขาได้เห็นถึงด้านมืดของพาราไดซ์อย่างชัดเจน และได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง มนุษย์ทุกๆคนได้ไม่อยู่ฝ่ายเดียวกัน มีศัตรูที่หลบซ่อนอยู่ที่ซึ่งไม่ลังเลที่จะหันคมหอกมาที่พวกเดียวกันเองเลยหากเป็นเรื่องของผลประโยชน์


หรือก็คือเขาไม่อาจจะการันตรีได้ว่าจะปลอดภัยหากอยู่เคียงข้างมนุษย์ แม้กระทั่งวิหารลูซูเรียก็ยังถูกบุกได้


เพราะแบบนี้ซอลจีฮูจึงพูดขึ้นมา


“ผมมีคำขอครับพี่สาว”


“หืมม? อะไรงั้นหรอ?”


อะไรทำให้เขาจริงจังขนาดนี้นะ? ซอยูฮุยได้กระพริบตาออกมาด้วยความสงสัย


“พี่สาวบอกว่าจะฟื้นคืนพลังกลับมาได้ด้วยการไปภาวนาที่วิหาร แต่ว่าผมคิดว่านั่นไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนะ”


“…”


“แน่นอนว่าผมรู้ว่าพี่สาวได้มีความคิดในการแก้ปัญหานี้อยู่แล้ว และผมก็มั่นใจว่าพี่สาวมีผู้สนับสนุนอยู่ด้วยเช่นกัน… แต่ว่าผมก็อดคิดไม่ได้ว่าการไปวิหารลูซูเรียมันเหมือนกับการเดินเข้าไปในฐานของศัตรู พี่สาวอาจจะถูกโจมตีอีกครั้งในไม่ช้า”


ซอยูฮุยไม่ได้ยืนยันหรือปฏิเสธในความสงสัยของซอลจีฮู ซอลจีฮูได้ใช้ความเงียบของเธอเป็นสัญญาณของการยืนยัน


“ผมจะพูดตรงๆเลยนะครับ ทำไมพี่สาวไม่มาอยู่ทีมคาเพเดี่ยมซักพักล่ะครับ?”


“…เอ๋?”


ซอยูฮุยได้เบิกตากว้างขึ้นมา มันดูเหมือนกับว่าเธอจะคาดไม่ถึงสักนิดเลย


กำแพงเหล็ก ซอลจีฮูรู้ว่าซอยูฮุยถูกเรียกยังไงในพาราไดซ์ เขารีบเสริมขึ้นอีกเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด


“ผมไม่ได้จะกดดันหรือบังคับพี่สาวนะ หากว่าพี่สาวไม่ต้องการ ผมก็จะไม่พูดมันอีก”


“ดะ เดี๋ยวก่อน จริงๆแล้วฉันก็-“


“ผมไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้ว ผมไม่ได้อยากจะดึงตัวพี่สาว แต่ว่าผมคิดว่าคาเพเดี่ยมน่าจะเป็นที่ที่พี่สาวสามารถจะพักได้ในระหว่างกำลังฟื้นฟูพลังกลับมา”


ซอลจีฮูได้หยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อเบาๆ


“มันก็แค่… ผมติดหนี้บุญคุณพี่สาวมากเกินไป ไม่ว่าจะยังไงผมก็อยากจะชดใช้หนี้บุญคุณ”


ริมฝีปากซอยูฮุยได้เม้มขึ้นมา จากดวงตาที่กระพริบรัวจองเธอมันทำให้ดูเหมือนเธอกำลังเลิ่กลั่ก


ซอลจีฮูได้คิดขึ้นว่า ‘มาช่วยกันหาเครื่องเซ่นกันเถอะ นี่เป็นวิธีที่ปลอดภัยแล้วก็เร็วที่สุดแล้ว’ มีหลายอย่างที่เขาอยากจะพูด แต่ว่าเขาก็ต้องกลืนคำพูดนี้ลงไป


การเผยความรู้สึกออกไปตรงๆมันเหมือนกับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด นี่คือสิ่งที่เขาได้ทำ


“ผมจะปกป้องพี่สาวเอง”


จากนั้นเอง


ดวงตาที่เลิ่กลั่กของซอยูฮุยก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย เธอได้สูดหายใจลึก และลำคอสีขาวหิมะของเธอก็แดงขึ้นมาเหมือนแม่น้ำที่สะท้อนแสงอาทิตย์


ซอยูฮุยได้ไอแห้งๆ และพึมพำออกมา


“…นิสัยชอบทำอะไรกระทันหันยังไม่เปลี่ยนเลยนะ”


หลังจากเงียบอยู่สักพัก ซอยูฮุยก็ค่อยๆสูดหายใจเข้าอย่างสงบ เธอดูเหมือนกับคนที่กำลังพยายามสงบสติอารมณ์อยู่


“ฉันขอใช้เวลาคิดได้ใช่ไหม?”


“แน่นอนสิ!”


ซอลจีฮูได้ตอบกลับไปทันที


เขาก็ไม่ได้หวังว่าจะได้รับคำตอบในทันทีอยู่แล้ว และในมุมมองของเขาท ซอยูฮุยก็ดูยังจะสงสัยอยู่


เขาเป็นคนทำอะไรไม่คิด และหยาบคายไปไหมนะ?


ความตั้งใจของซอลจีฮูชัดเจนมาก แทนที่จะอยู่ในที่ที่เต็มไปด้วยศัตรู เขากำลังบอกให้ซอยูฮุยพึ่งพาเขา และรับการปกป้องให้รอบด้านแทน


คาเพเดี่ยมคือทีมที่ยอดเยี่ยมภายในฮารามาร์ค แต่ว่าก็มีปัญหาอยู่ก็คือการที่ซอยูฮุยเข้าร่วมคาเพเดี่ยมจะส่งผลให้ซอลจีฮูมีศัตรูมากยิ่งขึ้น


แต่ว่าซอลจีฮูก็ไม่ได้สนใจในเรื่องนี้เพราะเขามัวแต่คิดเรื่องการทดแทนบุญคุณซอยูฮุยตามกฎแห่งทองคำของเขา


ไม่นานนักเสียงของซอลจีฮูก็ดังขึ้นอีกครั้ง


“งั้นผมไปก่อนนะครับ”


ซอยูฮุยได้รีบลืมตาขึ้นมาอย่างร้อนรน


“หะ หืม? อ่า จะไปแล้วหรอ?”


ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา เขากลัวว่าข้อเสนอของเขาจะไปทำให้เธออึดอัดใจ แต่ว่าเธอกลับดูยินดีแปลกๆ


“ครับ แล้วก็-“


ซอลจีฮูได้พูดต่อออกมา


“ไม่ต้องห่วงนะครับ เราจะหาคนร้ายเอง”


ซอยูฮุยได้ยิ้มบางออกมา


“อย่ากดดันตัวเองเกินไปนะ พวกเขาไม่ใช่ศัตรูที่จัดการได้ง่ายหรอก”


“ครับผม ผมก็พอจะคิดไว้อยู่แล้วครับ”


หลังจากตอบกลับอย่างสดใส ซอลจีฮูก็โค้งให้ก่อนจะจากไป และไม่นานนัก… ตึง เสียงประตูถูกปิดก็ดังขึ้นมา รอยยิ้มสดใสของซอยูฮุยได้กลายเป็นเคร่งขรึมในทันที


เมื่อเธอระบายลมหายใจที่กลั้นเอาไว้ออกมา ใบหน้าของเธอก็ค่อยๆแดงระเรื่อขึ้น ซอยูฮุยได้รีบยกมือขึ้นจับแก้มให้มันเย็นลงในทันที


‘ทำยังไงดีล่ะ…’


จากคำพูดที่กระหันทันของชายหนุ่มได้ทำให้เกิดความขัดแย้งกันขึ้นในใจของเธอ


[ให้ผมปกป้องพี่สาวนะ]


ซอยูฮุยได้หยับตาลงโดยที่ยกมือข้างหนึ่งจับหน้าอกข้างซ้ายเอาไว้ เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหัวใจของเธอกำลังเต้นแรง


‘ทำไมจู่ๆเขาถึงพูดอะไรแบบนั้น…’


แม้ว่าเธอจะดูเหมือนกำลังอาย…


‘ชิ…’


ซอยูฮุยได้พยายามหยุดตัวเองไม่ให้มุมปากขยับยิ้มออกมา


บทที่ 204 – คำสาบานของโชฮง (2)


คริสตัลสื่อสารได้เรืองแสงออกมาเร็วกว่าที่คิดเอาไว้


ซอลจีฮูคิดว่าอย่างน้อยจะต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ไปจนถึงหลายเดือน แต่ว่าเขากลับได้รับการติดต่อกลับมาในเวลาแค่ไม่กี่วัน


นี่คือการติดต่อมาจากคริสตัลของพาโลวิซี่โดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกเลย


ซอลจีฮูได้วางมือลงไปบนคริสตัล และปล่อยมานาเข้าไปข้างใน


-ฉันเอง


ในทันทีที่คริสตัลสว่าง น้ำเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นมา


เพราะตอนนี้อยู่ในช่วงกลางดึก คริสตัลจึงปกคลุมไปด้วยความมืด แต่ว่าเขาพอจะบอกได้ว่าฟีโซราเป็นคนที่ส่งเสียงออกมา


การที่ฟีโซราติดต่อมาหาเขาผ่านคริสตัลที่เขามอบให้พาโลวิซี่นั่นหมายความว่า


“คงจะมีการโจมตีเกิดขึ้นสินะ”


-ใช่แล้ว ก็อย่างที่นายคิดไว้นั่นแหละ


ฟีโซราได้หัวเราะออกมา ดูจากที่เธอหัวเราะออกมาแล้ว เธอก็คงจะทำภารกิจสำเร็จโดยไร้ปัญหาใด เมื่อคิดได้แบบนี้น้ำเสียงของซอลจีฮูก็ได้เบาลง


“ฉันดีใจนะที่เธอไม่เป็นไร”


-ทำไมล่ะ? พวกนั้นยังไม่พอให้ได้อุ่นเครื่องเลยด้วยซ้ำ เอาเถอะนะ เจ้าพวกนั้นก็มากพอจะฆ่าเจ้าสี่หน่อนี่แหละ แต่ว่าต่อหน้าฉันแล้วมันไม่มีค่าอะไรเลย


ฟีโซราได้อวดออกมาอย่างภาคภูมิใจ


“แล้วเรื่องคมาแชล จิโอเนียล่ะ?”


-ฉันคิดวว่าฉันได้ยินเขาบอกว่าเขาจะไปจับคนดูต้นทาง… อ่า เดี๋ยวนะ เขากำลังมาแล้ว


สภาพแวดล้อมที่มืดมนที่แสดงผ่านคริสตัลได้ขยับไปอยู่เล็กน้อย


-ครับ หัวหน้า


น้ำเสียงของมาแชล ชีโอเนียสงบมากจนไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาเพิ่งจะผ่านการต่อสู้มา


-รายงานนะครับ ในหน่วยซุ่มโจมตีมีทั้งหมด 16 คน เป็นสายต่อสู้ 12 คน คนดูทาง 4 คน ในจำนวนทั้งหมด 10 คนในสายต่อสู้ได้ถูกฆ่าไป และมี 6 คนที่ถูกจับตัวได้


“ฆ่าไปเยอะอยู่นะ”


มาแชล จิโอเนียได้เดาะลิ้นออกมา


-ไม่มีทางเลือกครับ คุณฟีโซราไม่เพียงไม่ห้ามตัวเองเท่านั้น แต่ยังมีหนึ่งในชายสี่คนได้รับบาดเจ็บทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมา…


-ทำไมนายถึงใช้ฉันเป็นข้ออ้างล่ะ?


ฟีโซราได้แย้งออกมาอย่างไม่พอใจ


ซอลจีฮูรีบพูดขึ้นทันที


“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้เลย”


-ไม่จำเป็นหรอกครับ


“หืม? ทำไมล่ะ?


-มีหน้าคนที่ผมจำได้อยู่


มาแชล จิโอเนียได้พูดต่อเบาๆ


-ผมได้สอบปากคำหนึ่งในคนดูต้นทางระหว่างกลับมาแล้ว พวกเขาเป็นนักเลงที่ตระเวนอยู่ตามตรอกฮารามาร์ค พวกเขาได้ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆในแต่ล่ะวันเท่านั้นเอง


“ถ้างั้น…”


-มันเป็นวิธีเดียวกันกับก่อนหน้านี้ พวกเขาได้รับงานนี้มาจากคนที่ปกปิดตัวตนทำให้ต่อให้คนเหล่านี้ล้มเหลวก็ไม่เกิดความเสี่ยงขึ้นมา


-ถ้าฉันจะให้พูดล่ะก็ พวกมันอาจจะแค่ลองเชิงเท่านั้นเอง…


‘พวกเขาคงสงสัยที่พวกเราปล่อยสี่คนนั้นออกไปโดยไม่เป็นอะไรสินะ?’


ซอลจีฮูได้หรี่ตาลง


“พอจะช่วยแสดงใบหน้าหนึ่งในพวกนั้นให้ฉันดูได้ไหม?”


-แน่นอนครับ!


มาแชล จิโอเนียได้ทำตามคำขอของซอลจีฮูที่น่ารำคาญใจอย่างว่าง่าย หลังจากได้เห็นหน้าคนที่ถูกจับด้วยตัวเองแล้ว ซอลจีฮูก็มั่นใจขึ้นมา


‘มันแตกต่าง’


ฉากมันแตกต่างไปจากสิ่งที่เขาได้เห็นในนิมิต และมันไม่ได้ต่างกันแค่อย่างสองอย่างเท่านั้น


ผู้ร้านทั้งหมดเป็นผู้ชาย ในทีมไม่มีผู้หญิงอยู่เลยแม้แต่คนเดียว นอกจากนี้ก็ยังไม่มีสักคนที่มีรอยสักอสรพิษสีม่วงอยู่ที่คอ


-เราควรจะทำยังไงกับพวกเขาดีล่ะครับ?


“ฆ่าพวกเขาทั้งหมด”


หลังจากพูดแบบนี้แล้ว ซอลจีฮูก็ตกใจกับตัวเองที่ส่งคำสั่งแบบนี้ออกไป เขาได้บอกให้ฆ่าคนอื่นได้ง่ายเกินไปแล้ว


ทันใดนั้นเขาก็คิดว่าเขาควรจะใช้เชลยทั้งหกคนนี้เหมือนกับที่เคยทำกับพาโลวิซี่ดีไหม


‘…ไม่สิ’


แต่ว่าในทันทีที่เขาถามกับตัวเองว่า ‘จะเกิดอะไรขึ้นบนโลกหากว่าฉันฆ่าพวกเขาในพาราไดซ์?’ เขาก็ตัดสินใจว่ามันเป็นความใจอ่อนที่โง่เง่า และตัดสินใจทำเป็นใจแข็ง


เขาได้ฆ่าคนไปแล้ว และยิ่งกว่านั้นนี่คือโลกที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก


ซอลจีฮูไม่ได้ถอนคำสั่ง และขอพูดกับพาโลวิซี่แทน


-…ครับ


น้ำเสียงต่ำ แต่ว่ามีความสั่นได้ดังออกมาอย่างชัดเจน เสียงของเขาดูเหมือนกับว่าเขายังตกอยู่ในความสับสนอยู่


“ฉันจะไม่พูดมากนะ”


ซอลจีฮูได้ถามออกไปโดยบอกว่าเขาหวังจะให้ตัดสินใจในทันที


“นายมีแผนจะทำอะไร?”


เขาไม่ได้รับคำตอบในทันที


แต่ว่าราวกับเขาสัมผัสได้ถึงบางอย่างระหว่างที่ซอลจีฮูคุยกับฟีโซราและมาแชลจิโอเนีย ทำให้พาโลวิซี่รีบตอบกลับไป


-อะ… เราต้องทำยังไงต่อล่ะ?


เสียงหอบหายใจหนักๆได้ดังออกมาราวกับเขาเพิ่งจะเริ่มได้กลับมาหายใจอีกครั้ง


ซอลจีฮูที่จดจ่ออยู่กับเสียงที่อยู่ที่ฝากหนึ่งได้เม้มปากขึ้นมา


พาโลวิซี่รู้สึกหวาดกลัว แต่ว่าซอลจีฮูไม่ได้รู้สึกถึงความหวาดระแวงใดๆที่มาจากเขาอีกแล้ว เนื่องจากว่าซอลจีฮูได้พิสูจน์ตัวเองไปราวกับว่าเขารู้ทั้งอดีตและอนาคต พาโลวิซี่จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเชื่อใจเขา


“ตอนนี้มันไม่มีอะไรที่นายต้องทำ”


ซอลจีฮูได้พูดขึ้นอีกครั้ง


“ฉันจะเรียกนายทีหลัง แต่ว่าจนกว่าจะถึงตอนนั้น…”


-นายอยากจะให้เขาหาที่ซ่อนกันอยู่เงียบๆ


สัญชาตญาณการเอาตัวรอดจะทำให้มนุษย์ก้าวข้ามขีดจำกัด พาโลวิซี่เข้าใจถึงสิ่งที่ซอลจีฮูจะบอกได้ในทันทีและพูดต่อทั้งๆที่กัดฟันแน่น


-ฉันรู้จักที่ซ่อนที่มีแค่เราสี่คนที่รู้ เราจะหลบซ่อนที่นั่นไปสักพัก


“ที่ไหน?”


-…เป็นที่โบสถ์อีวา ส่วนตำแหน่งชัดๆมันอธิบายได้ยากหน่อย


พาโลวิซี่ลังเลใจอยู่ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ซ่อนทุกอย่าง ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมาโดยที่มองดูคริสตัลอย่างตั้งใจ


“ถ้างั้นก็โอเค ฉันหวังว่านายจะตอบสนองในทันทีที่ฉันติดต่อไปนะ”


หลังจากกล่าวลาแล้ว ซอลจีฮูก็ตัดการต่อต่อไป


รอยยิ้มของเขาได้หายไปในทันทีที่แสงดับลง และเอียงหัวขึ้นมองเพดาน


‘ลองเชิงสินะ…’


ศัตรูไม่ได้โง่ กลับกันเลย พวกเขาเป็นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก


จางมัลดง ซอยูฮุย แอ็กเนส


ทั้งสามคนที่เป็นคนที่มีความพิเศษในพาราไดซ์ต่างก็บอกให้เขาระวังศัตรูกลุ่มนี้ให้ดีทั้งนั้น เพราะงั้นพวกเขาคงไม่ได้ทึ่มถึงขนาดที่จะตะครุบเหยื่อที่เขาโยนออกไปในครั้งเดียวแน่


‘ฉันไม่ควรจะประมาทเร่งรีบไป’


มันมีกฎง่ายๆสำหรับนักพนันก็คือพวกเขาจะไม่ลุกจากที่นั่งเมื่อได้รับไพ่ดีๆเข้ามือมา


ในทางกลับกันมันก็มีสถานการณ์ที่เขาจะต้องลุกจากไปในทันทีอยู่


ซอลจีฮูรู้สึกได้ถึงไพ่ในมือของเขา ชายทั้งสี่คนเมื่อครู่นี้


ด้วยประสบการณ์นักพนันอันยาวนานกำลังบอกกับเขาอยู่


หากว่าเขาเล่นต่อไปเพราะเขากำลังจะชนะ เขาก็จะต้องเสียท่าแน่ เพราะงั้นเขาจะต้องรีบเก็บกระดาน


‘ค่อยเป็นค่อยไป’


ไม่ว่าจะวิธีใดเขาก็ทำให้ไพ่ทั้งสี่ของเขารอดชีวิตได้สำเร็จแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือค่อยๆบีบวงลงไปโดยไม่ให้ศัตรูรู้ตัว จากนั้นเมื่อถึงเวลาเชือกที่เขาหว่านออกไปก็จะรัดคอศัตรูเอง


“ฟู่…”


หลังจากจัดการความคิดแล้ว ซอลจีฮูก็ถอนหายใจยาวออกมา เขายังคงเสียใจอยู่บ้าง มันจะต้องมีวิธีที่ดีกว่านี้ในการใช้งานทั้งสี่คน ท้ายที่สุดแล้วเขาต้องการข้อมูลที่มากกว่านี้


หากว่าเขามีผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้คอยช่วย เขาก็คงจะรู้สึกมั่นใจยิ่งกว่านี้


คนที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ในความคิดของเขาก็คือคิมฮันนาห์


เขามีความเชื่อมั่นในตัวแมวมองที่ยอดเยี่ยมและเป็นนักต้มตุ๋นที่มีชื่อเสียงที่สุดในพาราไดซ์ว่าหากเธอรู้เรื่อง คิมฮันนาห์ก็คงจะร้องออกมาว่า ‘ไอ้สารเลวตัวไหนกล้ามาแตะต้องคนของฉันกัน?’ ก่อนที่จะแก้ไขทุกๆอย่างแน่


มันไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้ติดต่อไปหาเธอ เขาได้ลองโทรไปขอคำแนะนำจากเธอแล้ว แต่ว่าก็ไม่มีใครรับเลยสักนิด นี่มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะงั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลขึ้นมา


‘หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอนะ…’


แน่นอนเขาก็คิดถึงความเป็นไปได้ที่เธอได้กลับโลกไป แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบายใจ


‘ฉันต้องไปสกีเฮราซาร์ดไหมนะ…?’


ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าทำไมคิมฮันนาห์ถึงได้ให้ความสำคัญกับการติดต่อกัน ขณะที่เขากำลังจะลองติดต่อไปหาเธออีกครั้งนั้นเอง…


“เฮ้!”


โชฮงได้ส่งเสียงออกมาพร้อมๆกับเปิดประตู เธอคงจะเพิ่งอาบน้ำมาเพราะยังคงมีหยดน้ำตกลงมาจากปลายผมของเธออยู่เลย


“กำลังทำอะไรอยู่งั้นหรอ? นายดูเหมือนกำลังจะติดต่อหาใครอยู่เลย”


“อ่า ฉันเพิ่งจะคิดอะไรอยู่นะ”


“คิดงั้นหรอ? อะไรล่ะ?”


“ฉันรู้สึกเหมือนว่าเราต้องการคนเพิ่ม”


เมื่อเธอได้ยินว่าเขากำลังคิดเรื่องรับคนเข้ามาเพิ่ม โชฮงก็เม้มริมฝีปากหยักหน้าออกมา


“อืมมม… ก็จริงนะ คนที่มีความสามารถจะได้รับการต้อนรับอยู่เสมอ แต่ว่าทำไมล่ะ? นายจะหานักบวชงั้นหรอ?”


“แน่นอนว่าเราต้องหานักบวช แต่ว่าฉันก็ยังอยากจะได้เลขามาช่วยด้วยเหมือนกัน”


“มีใครในใจไว้ล่ะ?”


“ก็มีแล้วล่ะ ถึงจะเป็นแค่ความคิดของฉันคนเดียวก็เถอะนะ”


โชฮงที่ถามเล่นๆออกมาจู่ๆก็กลายเป็นสงสัยขึ้นมา


“โอ้? ใครล่ะ? บอกหน่อยๆ ฉันอยากรู้”


“ก็ได้ พี่ยาวยูฮุยสมบูรณ์แบบที่สุดแล้วที่จะมาเป็นนักบวชให้เรา”


ใบหน้าของโชฮงได้แข็งทื่อไปในทันที


“แล้วก็ฉันกำลังคิดว่าคิมฮันนาห์ก็ดีที่จะมาเป็นเลขาให้เรา”


เธอได้ขมวดคิ้วขึ้นมาราวกับว่า ‘นี่นายไปกินยาลืมเขย่าขวดมางั้นหรอถึงได้พูดไร้สาระอะไรแบบนี้?’


“ทำไมเธอถึงมองฉันแบบนั้นล่ะ?”


“…เฮ้! นายคงไม่ได้เอาจริงใช่ไหม? นายแค่พูดเล่นสินะ?”


“ฉันจริงจัง ทำไมล่ะ? ฉันรับพวกเเธอเข้าทีมไม่ได้งั้นหรอ?”


ซอลจีฮูได้ถามกลับไปด้วยสีหน้าจริงจัง


โชฮงได้จ้องหน้าเขาอยู่สักพักก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมา


“ฟุฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”


ซอลจีฮูได้มองโชฮงที่กำลังกุมท้องหัวเราะอย่างไม่เข้าใจ


“ว้าว… ว้าว…”


หลังจากหัวเราะพอแล้ว โชฮงก็สูดหายใจเข้าลึกพร้อมทั้งเช็ดน้ำตาออกมาจากตา


“อ่า- ฉันไม่ได้หัวเราะแบบนี้มานานแล้วนะ”


“ทำไมเธอถึงขำล่ะ?”


“นายก็ลองดูตัวเองสิ? นายรู้ตัวไหมว่านายกำลังเป็นโรคอยู่น่ะ? โรคหลงตัวเองอะ”


“…”


“ฟังนะ ต่อให้เราเป็นทีมที่ดีที่สุดในฮารามาร์ค แต่คนเหล่านั้นต่างก็ถูกรายล้อมไปด้วยแรงค์เกอร์ระดับสูงทั้งนั้นเลยนะ!”


อีกครั้ง


“พรืดดด”


โชฮงแทบไม่อาจจะกลั้นขำเอาไว้อยู่ และตบบ่าซอลจีฮู


“หากว่าเป็นคนอย่างคาซุกิฉันจะไม่ขำเลย แต่ว่าอะไรกัน? บุตรแห่งลูซูเรียสมบูรณ์แบบงั้นหรอ? ยัยจิ้งจอกดีงั้นหรอ? ฉันทำไม่ได้อะ ฟุฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”


เธอไม่อาจจะกลั้นขำเอาไว้ได้อีกต่อไป และหลุดขำออกมา


“สองคนนั้นต่างก็อยู่ในจุดสูงสุดของเส้นทางตัวเองแล้ว แต่ว่านายกำลังคิดจะดึงตัวพวกเธอมาเข้าทีม ไปหาน้ำเย็นๆมากินให้สติกลับมาดีกว่านะไอ้เวร”


ซอลจีฮูได้โกรธขึ้นมาแล้วเมื่อได้ยินโชฮงบอกให้เขาหยุดฝันซ้ำๆ


“ใครบอกว่าพวกเขาจะไม่มากันล่ะ?”


“โอ้!!?? จริงงั้นหรอ!?? ดูท่าจะฝันหนักเลยนะ”


“จองโชฮง…”


ดวงตาซอลจีฮูได้กลายเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา


“แล้วถ้าฉันดึงตัวพวกเธอเข้าทีมได้ เธอจะทำยังไงล่ะ?”


“โอ้?”


โชฮงได้แสดงสีหน้าเหมือนกับจะพูดว่า ‘ดูนี่สิ?’ และยิ้มออกมา


“ฮ่าห์! เฮ้ หากว่านายดึงตัวใครมาได้สักคน ถ้างั้นฉันก็จะรับใช้นายในฐานะลูกพี่ไปตลอดชีวิตเลย ไม่สิ ฉันจะเรียกนายว่าลูกพี่ทุกๆครั้งที่เจอเลย”


ซอลจีฮูได้กัดฟันแน่นเมื่อเห็นโชฮงเยาะเย้ยออกมา


“ฉันจะไม่เป็นลูกพี่ แต่จะเป็นพี่ชาย”


“ได้สิ ได้เลย จะลูกพี่ หรือพี่ชายก็แล้วแต่เลยย~ ฉันจะพูดสุภาพสุดเคารพเลยล่ะ เพราะงั้นรีบไปดึงตัวพวกเธอมาได้แล้ว”


ซอลจีฮูได้กัดฟันแน่น


“เธอ อย่าได้ลืมคำที่เพิ่งพูดออกมานะ”


โชฮงได้ยกมือและหยักหน้าออกมา


“ได้สิ ได้~ แม้ว่าตอนนี้ฉันจะรับใช้ไอร่า แต่ว่าในฐานะของอดีตนักบวชแล้ว ฉันขอสาบายด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของฉันโดยให้อินวิเดียเป็นพยานเลย พอแล้วแล้วใช่ไหมล่ะ? หืมมม?”


คำสาบานด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ มีประกายแสงปรากฏขึ้นบนดวงตาของซอลจีฮู


“…เยี่ยม เดี๋ยวเราจะได้รู้กัน”


“ว้าว ไอ้นักเลงตัวน้อยนี่ยังไม่หยุดฝันอีกนะ”


โชฮงได้หยิกแก้มซอลจีฮูเบาๆ ก่อนจะหัวเราะและหันหน้าไป เธอได้ไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงของเขา และจู่ๆก็ถามออกมาราวกับเพิ่งคิดได้


“เฮ้ สมมติว่านายดึงตัวพวกเธอมาได้ นายคิดจะให้ฉันเรียกนายแบบไหนอีกดีล่ะ?”


ซอลจีฮูที่กำลังพึมพำกับตัวเองได้คาบบุหรี่เอาไว้ก่อนจะเหลือบมามอง


และเขาได้ตอบกลับมา


“สามี”


ใบหน้าของโชฮงได้ถูกปกคลุมเข้าด้วยความตกตะลึง


ซอลจีฮูยิ้มออกมา


“ยังไม่หมดนะ? วันต่อมก็จะเป็น ‘ที่รัก’…”


“อ๊าา ยังจะฝันอีกนะ นายกล้าดียังไงมาให้ท่านจองโชคงคนนี้ทำแบบนั้น… ฮื่ม ทำไมไม่ให้ฉันเรียกนายว่า ‘สามีที่รัก’ ไปเลยล่ะ?”


“โอ้ แล้ว ‘นายท่าน’ เป็นยังไงล่ะ? หรือ…”


ซอลจีฮูได้พูดออกมาอย่างรวดเร็ว นั่นก็เพราะว่าหมอนของเขากำลังลอยเข้ามาใส่เขาแล้ว


“นายนี่ฝันไปหนักแล้วนะ!!”


“เธอรู้ไหมว่าความฝันก็กลายเป็นจริงได้นะ”


ภายในค้ำคืนนี้


“ไว้ค่อยพูดหลังจากดึงตัวพวกเธอมาได้ดีกว่าไหม?”


“ได้เลย!”


เสียงชายหญิงคำรามใส่กันได้ดังออกมาจากห้องสำนักงานของคาเพเดี่ยมอยู่เป็นเวลานาน


บทที่ 205 – เครื่องรางนำโชค


การชั่งน้ำหนักความสำคัญของสิ่งต่างๆ นี่มันหมายถึงการแยกแยะระหว่างสิ่งที่สำคัญกับสิ่งที่ไม่สำคัญ และเพื่อที่จะได้จัดลำดับความสำคัญอย่างตรงไปตรงมา


จริงๆแล้วสิ่งที่ซอลจีฮูอยากจะทำที่สุดก็คือการฝึก เนื่องจากว่าเขาเพิ่งจะเลื่อนมาอยู่ระดับ 5 เขาก็อยากที่จะรีบๆเรียนรู้ทักษะให้สมกับแรงค์เกอร์ระดับสูง เขาก็ยังอยากที่จะทำให้ร่างกาย จิตใจ และเทคนิคกลมกลืนกันอีกครั้งด้วย


แต่ว่ามันก็ยังมีสิ่งที่สำคัญกว่าการฝึกอยู่ นั่นก็คือการเปลี่ยนคาเพเดี่ยมให้กลายเป็นองค์กร


เพื่อที่จะทำแบบนั้นเขาจะต้องไปที่อีวา ที่ที่เขาได้สัญญาเอาไว้ว่าจะไปเจอฮ่าวอวิ่น แต่ว่าจางมัลดงก็ได้ให้เขาทำตามเงื่อนไขสามอย่างก่อนหน้านั้น


ในเมื่อเขาได้รับแรงสนับสนุนจากองค์กรที่มีอิทธิพลมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงเติมเต็มได้หนึ่งเงื่อนไข


จางมัลดงได้บอกให้ซอลจีฮูจัดตั้งทีมขึ้นมาก่อนที่จะขยายอิทธิพลของคาเพเดี่ยมออกไปนั่นจึงหมายถึงการทำให้มีรากฐานที่มั่นคง และมันก็ไม่ได้ยากเกินไป


แต่ว่าเมื่อพูดถึงเงื่อนไขที่ต้องมีเงินทุกนที่มากพอ ซอลจีฮูก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกลำบากใจขึ้นมา


จริงๆแล้วนับตั้งแต่ที่ซอลจีฮูได้มาที่พาราไดซ์ เขาก็ไม่เคยขาดเงินเลยสักครั้งเดียว จะมีก็แค่ในตอนที่เขาจะดึงตัวสองพี่น้องมาเท่านั้นเอง


เขาได้สะสมทรัพย์สมบัติเอาไว้พอประมาณแล้ว แต่ว่าหากพูดถึงในระดับองค์กรมันก็จะเป็นคนล่ะเรื่องกัน


จางมัลดงเคยพูดถึงเรื่องชาวโลกที่เล่นอสังหาริมทรัพย์ในพาราไดซ์ นั่นมันหมายความว่าการซื้อขายที่ดินก็ได้รับความนิยมเช่นเดียวกันกับที่โลก


พูดตรงๆแล้วที่ดินในพาราไดซ์จะไม่ได้มีไว้สำหรับซื้อขาย พื้นที่ทั้งหมดจะเป็นกรรมสิทธิ์ของตระกูลราชวงศ์ที่ดูแลเมืองนั้นๆ


ยังไงก็ตามมีราชวงศ์ที่ได้จรรสรรที่ดินเอาไว้สำหรับพวกเขา และการดำรงชีวิตของชาวพาราไดซ์ไปส่วนหนึ่ง และแบ่งส่วนที่เหลือออกมาให้ชาวโลกได้ทำการซื้อขายกัน


แม้ว่าใบกรรมสิทธิ์นั้นจะให้สิทธิ์แค่บางส่วนกับชาวโลกเท่านั้น แต่ว่านั่นก็รวมไปถึงสิทธิ์ในการสร้างอาคารด้วยเช่นกัน


หรือก็คือราชวงศ์ยังคงเป็นเจ้าของที่ดินนั้นอยู่ เพียงก็แต่ว่ามอบสิทธิ์ในการสร้างอาคารด้านบนที่ดินเหล่านั้นให้กับชาวโลกเท่านั้นเอง


แต่ว่านี่ก็ไม่ใช่เรื่องแย่สำหรับเศรษฐีและผู้ที่มีพลังควบคุมพาราไดซ์เลย องค์กรต่างๆที่มีอิทธิพลภายในเมืองต่างก็ได้รับที่ดินขนาดใหญ่จากราชวงศ์ และได้สร้างเงินขึ้นมาจากการขายที่ดินเหล่านั้นให้กับชาวโลกคนอื่นๆ


นี่คือเหตุผลที่ทำให้เกิดแนวคิดการเช่ารายเดือนเกิดขึ้นมาในพาราไดซ์


ราชวงศ์ค่อนข้างที่จะพูดไม่ออกเมื่อเห็นเหตุการณ์เหล่านี้ พวกเขาได้ลงนามในสัญญาเช่าที่ดินระยะยาวในราคาที่เหมาะสม แต่ว่าผู้ซื้อที่ดินไปกลับเอาที่ดินนั้นไปปันผลกำไรขึ้นไปอีก


แน่นอนว่านี่ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาของชาวโลก


‘หากว่าพวกเราสามารถจะไล่พวกเขาออกไปให้หมด…’


แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ความต้องการเงินของเขาก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป เพราะงั้นซอลจีฮูจึงเค้นสมองของเขาอยากหนัก


‘ฉันยังมีไข่ทองคำอยู่ เพราะงั้นตอนนี้มันก็น่าจะดีที่จะ… ไม่สิ ค่าเช่ารายเดือนไม่พอแน่’


การเช่าอาคาร และจ่ายรายเดือน เขาน่าจะพอจ่ายไหวอยู่สักสองสามเดือน แต่ว่าสุดท้ายแล้วเขาก็จะต้องเจอเข้ากับทางตัน ในความเป็นจริงแล้วซอลจีฮูรู้สึกหนักใจกับเรื่องการเอาของที่เขามีอยู่ไปตีราคามันทำได้ยาก


วิธีที่ดีที่สุดนั่นก็คือการไปแลกเปลี่ยนกับทางฝ่ายบริหารของราชวงศ์ตรงๆเพื่อให้ได้รับสัญญาเช่าระยะยาว และก่อสร้างอาคารของพวกเขาขึ้นมาเอง


แต่ว่าปัญหาก็คือราคาของที่ดินไม่ใช่ถูกๆ และบวกกับราคาก่อสร้างอาคารขึ้นไปอีกก็ทำให้ค่าใช้จ่ายพุ่งขึ้นไปเป็นพันล้านได้เลย


‘ฉันน่าจะตอบตกลงในตอนที่เขาบอกจะช่วย’


ซอลจีฮูรู้สึกเสียใจขึ้นมาที่ได้ปฏิเสธข้อเสนอของฮ่าวอวิ่นไปในตอนนั้น เขาได้พูดออกไปอย่างกล้าหาญว่าอยากจะทำมันด้วยตัวเอง แต่ว่าพอมาตอนนี้เขาก็ได้รับรู้แล้วว่ามันไม่ได้ต่างไปจากความงี่เง่าเลย


‘ฉันควรจะไปหาที่แถบชานเมืองดีไหมนะ?’


ซอลจีฮูได้รู้สึกหนักใจขึ้นมา


***


โฟลนเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นถึงควากังวลของซอลจีฮู ช่วงนี้เธอได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ของเธออยู่ข้างๆซอลจีฮู พูดให้ชัดก็คือเธอได้ใช้เวลาภายในจี้มากยิ่งขึ้น


แม้ว่าเธอจะสนุกไปกับการถูกปล่อยตัวออกมาเป็นครั้งแรก แต่ว่าการได้ดูในพื้นที่ที่จำกัดมันก็ไม่ได้มีอะไรมาก เมื่อไม่มีอะไรใหม่ๆให้เห็นแล้ว ความสนใจของเธอจึงค่อยๆลดลงมาเป็นธรรมดา


ความเบื่อหน่ายของเธอมากจนเธอทนไม่ไหว และเริ่มบ่นกับซอลจีฮูที่เอาแต่เดินอยู่ในที่เดิมๆอยู่ทุกวัน


แต่ว่าเพราะอารมณ์ของซอลจีฮูแทบจะดิ่งอยู่ตลอดเวลา เธอจึงคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะแสดงควาไม่พอใจ


เธอสามารถสังเกตเห็นถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของเขาได้อย่างรวดเร็ว


แม้กระทั่งในวันนี้ เขาก็ยังได้ใช้เวลาไปกับการยืนอยู่หน้าป้ายประกาศที่ลานกว้างอยู่นาน พร้อมถอนหายใจยาวออกมา จากนั้นเมื่อเขากลับไปที่บ้านก็เอาแต่กุมหัวกลิ่งไปมาบนเตียง


ในที่สุดแล้วโฟลนก็ได้ถามออกมาเมื่อเธอทนดูเขาสิ้นหวังไม่ไหว


[มีอะไรหรอ? นายมีอะไรกังวลหรอ?]


ซอลจีฮูไม่ได้ตอบกลับไป


โฟลนได้เอียงหัวออกมา ก่อนที่จะหักกิ้งไม้มาจิ้มเขา จากนั้นเองซอลจีฮูถึงได้เงยหน้าขึ้นมา


“…เจ็บนะ”


[ทำไมต้องขมวดคิ้วด้วยล่ะ? ตอนนี้พูดมาได้แล้ว!]


เมื่อได้ยินคำพูดข่มขู่ของโฟลน ซอลจีฮูจึงเปิดปากพูดออกมาอย่างไม่เต็มใจ


“มันก็เพราะเงิน ฉันต้องการเงิน แต่ว่าฉันไม่มี…”


เขาได้กัดฟันแน่นก่อนที่จะตะโกนออกมา


“เงินนั่น เงินนี่ เงิน เงิน!”


โฟลนได้เอียงหัวออกมา และถามขึ้น


[เงินงั้นหรอ? ไปหาเอาก็ได้นี่?]


ซอลจีฮูได้ยิ้มแข็งทื่อออกมา


“ฉันต้องการเงินจำนวนมาก แม้แต่จำนวนน้อยนิดก็มีค่า เพราะงั้นจริงๆแล้วฉันจะต้องเก็บสะสมมันไปจนกระทั่งมากพอ แต่ว่าฉันก็ไม่รู้ว่ามันจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน…”


คาเพเดี่ยมไม่ได้มีภารกิจเข้ามาอยู่เสมอ และต่อให้เขาทำภารกิจ มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะบรรลุเป้าหมายได้ด้วยการทำภารกิจแค่ครั้งเดียว


ซอลจีฮูได้กลิ้งตัวไปกับพื้นอีกครั้ง และพึมพำออกมา


“ฉันต้องหาวิธีหาเงินให้ได้มากพอในครั้งเดียว…”


[ไม่ ฉันหายถึง-]


โฟลนได้พูดขึ้นราวกับเธอไม่ค่อยพอใจ


[ฉันจะถามอีกครั้งแล้วกันนะ ในเมื่อนายบอกว่านายต้องการเงิน ทำไมไม่ไปเอามาล่ะ?]


“?”


เมื่อรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เครื่องหมายคำถามก็ปรากฏขึ้นบนหัวของซอลจีฮู


โฟลนได้ชี้ไปที่จี้


[ฉันหมายถึงนี่ไง! ความลับของปู่น่ะ!]


ในที่สุดซอลจีฮูก็หยุดกลิ้ง


[จำที่คุณปู่ได้บอกว่าคุณปู่ได้ซ่อนสมบัติทั้งหมดของตระกูลเอาไว้ก่อนที่จะไปคฤหาสน์ของจักรพรรดิได้ไหม?]


[ไม่ต้องตกใจไป คุณปู่ได้บอกว่าจี้นี้มีพิกัดของที่ซ่อนสมบัติ!]


ซอลจะฮูได้ชะงักไป และลุกขึ้นจากเตียงในทันที


“มรดก!”


[ใช่แล้ว!]


ซอลจีฮูได้หันมาหาโฟลน เมื่อเขาก้าวเข้ามาด้วยตาเป็นประกาย โฟลนก็ถอยร่นไป


[อะ อะ อะไร? นายกำลังทำให้ฉันกลัวนะ]


“โฟลน…”


ซอลจีฮูได้จับบ่าโฟลนแน่น ทันใดนั้นโฟลนก็รีบดิ้นบอกให้เขาปล่อย


“ได้โปรด… ฉันต้องการ… อ่า ฉันขอได้ไหม?”


[ได้สิ มันก็ไม่ได้มีเจ้าของอยู่แล้ว]


“แต่ว่ามันเป็นมรดกของเธอนะ”


[ฉันไม่สนหรอก ยังไงฉันก็ตายไปแล้ว ถ้าต้องการก็ใช้ได้เต็มที่เลย]


ซอลจีฮูได้กลายเป็นสับสนขึ้นมา บางครั้งโฟลนก็พูดเรื่องการตายโดยไม่รู้สึกอะไรสักนิดเลย เอาเถอะนะ บางทีเขาก็ไม่ควรจะสนใจในเรื่องนี้ในเมื่อเธอไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่อะไร


[แต่นั่นก็ต่อเมื่อนายหาเจอนะ]


ซอลจีฮูที่กำลังกระโดดอยากมีความสุขได้ชะงักไปจากคำพูดของโฟลน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามันไม่มีอะไรที่ง่าย


[คุณปู่บอกว่าคุณปู่ได้ซ่อนสมบัติเอาไปห้าที่]


“เขาแยกสมบัติออกหรอ? ทำไมล่ะ?”


[หมายความว่ายังไงกัน? จะมีคนโง่ที่ไหนเก็บสมบัติไว้ที่เดียวน่ะ?]


โฟลนได้ถามกลับมาจนทำให้ซอลจีฮูพูดไม่ออก


[คุณปู่เป็นคนระวังสุดๆเลยนะ ต่อให้จักรพรรดิจอมโลภก็ยังยอมแพ้ที่จะหาที่ซ่อน]


ใช่แล้ว พวกเขากำลังพูดถึงเรื่องสมบัติของตระกูลรอชเชอร์ เนื่องจากว่ารอชเชอร์เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงเรื่องความมั่งคั่ง ซอลจีฮูจึงรับรู้ได้ว่าปู่ของโฟลนได้ซ่อนมันเอาไว้ดีแค่ไหน


[คุณปู่บอกว่าได้แยกสมบัติออกไปตามประเภท… หืม]


โฟลนได้ครางออกมาเหมือนลูกสุนัข และหลบออกจากมือของซอลจีฮูพร้อมทั้งบินไปที่กำแพง ตรงนั้นมีแผนที่ถูกแขวนเอาไว้อยู่


[ที่แรกคือตรงนี้!]


ซอลจีฮูที่รีบเข้าไปดูแผนที่ได้หน้าซีดลงไปทันที นี่มันก็เพราะว่าจุดที่โฟลนชี้อยู่ก็คือใจกลางจักรวรรดิ


“…เธอไม่ได้บอกหรอว่าคุณปู่เธอเขาซ่อนสมบัติไว้นอกจักรวรรดิ?”


[ก็อยากคำพูดที่ว่า มันยากที่จะเห็นถึงสิ่งที่อยู่ข้างจมูกนั่นแหละ]


ซอลจีฮูได้เม้มปากขึ้นมา


“ที่นั่นมันค่อนข้างจะ… ราชินีปรสิตอยู่ที่นั่น ถ้าเราไป ฉันรับประกันได้เลยว่าเราจะตายก่อนไปถึงซะอีก”


[จริงหรอ? น่าเสียดาย เอกสารสำคัญ แล้วก็บันทึกบัญชีได้ถูกฝังเอาไว้ที่นั่น…]


โฟลนได้พึมพำออกมาอย่างผิดหวัง แต่ว่าสีหน้าของซอลจีฮูได้สดใสขึ้นมาเล็กน้อย แน่นอนว่าเขาก็จะไม่มีทางรู้ถึงคุณค่าของมันจนกว่าจะได้เห็นด้วยตาตัวเอง แต่ว่ายังไงก็ตามในตอนนี้เอกสารไม่ได้สำคัญกับเขา ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาไม่มีทางที่จะไปจักรวรรดิได้


[ถ้างั้นอีกที่ก็คือ…]


นิ้วของโฟลนได้เลื่อนลงมาข้างล่างแผนที่


ซอลจีฮูได้ประสานมือเข้าด้วยกัน และเริ่มภาวนาออกมา


‘ได้โปรดอย่าอยู่ในเขตของปรสิตเลย’


ยังไงก็ตาม นิ้วของโฟลนก็ได้หยุดลงตรงเขตของปรสิตอีกครั้ง แม้ว่ามันจะไม่ได้อยู่ในระแวกของจักรวรรดิแล้ว แต่ว่ามันก็เป็นพื้นที่โซนหลังที่อยู่ห่างไกลจากเขตของมนุษย์


[นี่เป็นที่ที่โบราณวัตถุและเครื่องเซ่นไหว้ถูกฝังเอาไว้]


ดวงตาของซอลจีฮูได้เบิกโพล่งขึ้นมา


“เครื่องเซ่นไหว้? คุณปู่ของเธอก็แยกเก็บเครื่องเซ่นไหว้เอาไว้ด้วยหรอ?]


[ก็แน่นอนสิ ตระกูลรอชเชอร์ได้รับใช้ในเทพธิดาแห่งพรหมจรรย์ หนึ่งในคุณธรรมเจ็ดประการ เราได้รับหน้าที่จัดพิธีกรรมในทุกๆปี]


“ถ้างั้นคุณภาพของเครื่องเซ่นไหว้ก็คงจะน่าทึ่งมาก”


[ยังต้องให้บอกอีกหรอ? เทพธิดาแห่งพรหมจรรย์ชื่นชอบในพลังศักดิ์สิทธิ์ เพราะงั้นคุณปู่จึงมักจะส่งคำขอพิเศษจากที่วิหารอยู่เสมอ]


ซอลจีฮูได้ฝืนกลืนน้ำลายลงไป


ที่นี่ต่างไปจากที่แรก และมรดกที่ถูกฝังเอาไว้ก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการอีกด้วย


ถึงแม้ว่าการที่มรดกถูกฝังอยู่ในเขตของปรสิตจะทำให้เขาต้องชั่งใจ


แต่ในเมื่อที่นั่นเต็มไปด้วยเหล่าปรสิต เขาก็ไม่น่าจะหาวิธีเข้าไปได้เลย….?


[โอ้ แล้วก็ที่นี่เป็นที่ที่ทองคำ เงิน แล้วก็สมบัติอื่นๆถูกฝังไว้]


ซอลจีฮูได้หยุดความคิดเอาไว้ และมองไปที่แผนที่อีกครั้ง นี่ก็ยังเป็นที่ที่อยู่ในเขตของปรสิต แต่ว่ามันอยู่ในโซนนอกแล้ว


บางทีซอลจีฮูอาจจะกล้าขึ้นมาหน่อยแล้วหลังจากไปเยือนคฤหาสน์โบราณของจักรพรรดิ เพราะว่าเขารู้สึกว่าที่นี่ไม่ได้ไกลเกินเอื้อม


[หากว่าอยากจะเอาของกลับมาให้หมด นายอาจจะต้องเตรียมรถม้าไปสิบคันใหญ่]


โฟลนได้พูดออกมาอย่างภาคภูมิใจด้วยความต้องการที่อยากจะโม้ถึงความมั่งคั่งของตระกูลเธอ


‘มากขนาดนั้นเลย…?’


[สมบัติอาจจะกองกันเป็นภูเขาได้เลยล่ะ! เป็นไงล่ะ? เป็นไง?]


โฟลนได้รีบพูดออกมาทันที


ซอลจีฮูได้จ้องไปที่เธอก่อนจะ…


“ฮึก”


…จู่ๆก็ร้องไห้ออกมา


โฟลนได้ตกใจทันที


[นะ นายกำลังร้อง!? ทำไมถึงร้องล่ะ!?]


“ไม่มีอะไรหรอก”


ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมาในทันที


“ฉันก็แค่มีความสุข… ความกังวลของฉันหายไปในพริบตาเดียวเลย….”


[กว่าจะมาถึงตอนนี้มันคงจะลำบากมากสินะ ]


โฟลนได้ลูบหัวของซอลจีฮู เขาได้เช็ดน้ำตาก่อนจะหยักหน้าออกมา


“ฉันมีความสุข มีความสุขจริงๆนะ ในตอนนี้ฉันจะได้หาที่ที่เรียกว่าบ้าน ซื้อหอกใหม่ เกราะใหม่ แล้วก็…”


[หอก?]


“ใช่แล้ว… หอกที่ฉันเคยใช้ได้พังไปในระหว่างสงครามแล้ว….”


เขาจำไม่ได้ว่าหอกพังไปยังไง แต่ว่าเมื่อเขาตื่นขึ้นมา หอกของเขาก็หายไปแล้ว เขาได้มารู้ทีหลังว่าหอกของเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ และสำหรับเกราะยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย


[เยี่ยม ถ้างั้นที่นี่เป็นไงล่ะ?]


ซอลจีฮูได้เช็ดจมูกพร้อมทั้งมองตานิ้วของโฟลน นี่เป็นสถานที่เดียวที่ไม่ได้อยู่ในเขตของพาราไดซ์


‘เดี๋ยวนะ’


เรื่องสถานที่ตั้งมันค่อนข้างๆจะแปลกๆ มันไม่ใช่เขตของปรสิต… แต่ว่าเป็นพื้นที่พรมแดน…


กับสหพันธรัฐ


[ที่นี่เป็นที่ที่ของมีค่าของตระกูลรอชเชอร์ได้ถูกฝังเอาไว้ เพราะงั้นก็น่าจะมีอาวุธดีๆถูกฝังเอาไว้ด้วย]


ทันใดนั้นซอลจีฮูก็ถามออกมาด้วยความสงสัย


“ครอบครัวของเธอเป็นพ่อค้าไม่ใช่หรอ?”


[…อะไรงั้นหรอ?]


โฟลนได้ตอบกลับมาอย่างช้าๆ เธอดูจะโกรธเล็กน้อย


“จู่ๆฉันก็สงสัยขึ้นมาน่ะ จากความมั่นคั่งที่ตระกูลของเธอที่มี ฉันก็เลยสงสัยว่าตระกูลเธอโด่งดังขึ้นจากการค้าอาวุธงั้นหรอ?”


[ค้าอาวุธธธธธ?]


น้ำเสียงของเธอได้ดังขึ้นอย่างกระทันหัน


[ไม่มีทาง! นายบอกว่าตระกูลรอชเชอร์โด่งดังจากการค้าอาวุธงั้นหรอ?!]


โฟลนได้เด้งตัวขึ้นมา


[ใจร้าย!? นายพูดแบบนั้นออกมาได้ยังไงกัน? นายคิดว่ามันเป็นไปได้หรอที่ตระกูลที่รับหน้าที่ในการทำพิธีกรรมจะไปค้าอาวุธ?]


ซอลจีฮูได้กลายเป็นพูดไม่ออกขึ้นมาเมื่อเห็นโฟลนทำท่าราวกับเธอโดนดูถูกอย่างแรง


แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงโกรธ แต่ว่าเขาก็ได้ขอโทษออกไปที่ทำให้เธอไม่พอใจ


“ขอโทษนะ ฉันไม่ได้มีความรู้เรื่องพวกนี้เลย…”


[ฮึ่ม นายนี้ไม่รู้อะไรเลย! ก็ได้ ฉันจะบอกสักครั้ง เพราะงั้นตั้งใจฟังนะ!]


โฟลนได้ตะโกนออกมาทั้งๆที่ยังทำหน้ามุ่ยเหมือนเด็ก และพูดต่อ


[รอชเชอร์เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลที่หยั่งรากลึกในหมู่ผู้ก่อตั้งจักรวรรดิ พวกเขาก็ยังเป็นดยุคที่เป็นหนึ่งในผู้มีส่วนร่วมในการก่อตั้งจักรวรรดิขึ้นมาด้วย]


“สี่ตระกูล?”


[กอร์กอนู สวมมงกุฎในฐานะจักรพรรดิ และเป็นที่รู้จักในฐานะหัวใจแห่งจักรวรรดิ! เรทิเฮ็น โล่แห่งจักรวรรดิ! มอนพาชา หัวและสายตาแห่งจักรวรรดิ! และรอชเชอร์ ‘หอกแห่งจักรวรรดิ’!]


ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างออกมา


[สิ่งที่ถูกฝังไว้ที่นี่ก็คืออาร์ติแฟคศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเรา!]


“เดี๋ยวนะ เธอหมายถึง-“


[ถูกแล้วล่ะ! ฉันกำลังพูดถึงหอกพิศุทธิ์ซึ่งเทพธิดาแห่งพรหมจรรย์ได้มอบมันให้กับผู้ก่อตั้งตระกูลของเรา! นายคิดว่าฉันกำลังพูดถึงของที่จะถูกขายในการประมูลงั้นหรอ?]


ซอลจีฮูได้อ้าปากค้างออกมา


อาวุธที่เทพได้มอบให้งั้นหรอ?


เขาไม่อาจจะจินตนาการได้เลยว่าอาวุธนี้จะทรงพลังขนาดไหน


[แน่นอนว่าฉันรู้ว่าในตอนนั้นตระกูลกอร์กอนูของจักรวรรดินั้นไม่มีใครเทียบได้ แต่ว่าก็เถอะนะ!]


“โอ้ววว! รอชเชอร์! โอ้ววววว!”


ซอลจีฮูได้ปรบมือออกมาอย่างแรง โฟลนที่ในที่สุดก็ได้ปฏิกิริยาที่ต้องการได้ส่งเสียง ‘ฮึ่ม’ ออกมาก่อนที่จะเท้าเอว และยืดอกออกมา


[ตอนนี้ก็เข้าใจแล้วสินะ แล้วนายจะไปไหนล่ะ?]


เมื่อเขาได้มองไปที่แผนที่ ความโลภก็ได้เข้าปกคลุมดวงตาของซอลจีฮู ใบหน้าของเขาได้ที่เคยเต็มไปด้วยความกังวล ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นความสุขที่ต้องกังวลว่าจะเลือกไปที่ไหนก่อนดี


ในหัวของเขากำลังบอกให้เขาเลือกเงิน แต่ว่าในใจของเขากำลังตะโกนออกมาให้เลือกหอก


‘อาร์ติแฟคจากจักรวรรดิ… แล้วก็ยังเป็นของที่เทพมอบให้…’


ซอลจีฮูได้กลืนน้ำลายลง และเหลือบไปมองโฟลนที่กำลังลอยอยู่อย่างภูมิใจ


“โฟลน ที่นี่คงไม่ได้มีแค่หอกใช่ไหม?”


[ใช่สิ มันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงล่ะ?]


“งั้นสินะ? มันคงจะมีของอย่างอื่นอยู่อีกใช่ไหม? อย่างของตกแต่งหรือทองหรือเงินสักหน่อย”


[บางทีก็น่าจะมีนะ คุณปู่ได้แบ่งตามประเภท แต่ว่าคุณปู่คนไม่ได้แยกออกหมดหรอก… แต่ว่าทำไมหรอ?]


ซอลจีฮูได้เลียริมฝีปากออกมา


“ไม่มีอะไรหรอก แต่ว่าเธอคิดว่ามันจะมีของพวกนั้นมากแค่ไหนหรอ?”


[อืมม… มันก็ไม่มีทางรู้จนกว่าเราจะไปดูด้วยตาตัวเองหรอกนะ… แต่ว่าอย่าตั้งความหวังสูงเกินไปนะ]


“แต่ว่าอย่างน้อยมันก็น่าจะมีเท่าคฤหาสน์จักรพรรดิใช่ไหม?”


[เอ๋? นี่นายกำลังพูดอะไรอยู่?ล


โฟลนได้แค่นเสียงขึ้น และโบกมือออกมา


[มันชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องมากกว่าที่นั่น]


‘อย่างที่คิดเลย’


ดวงตาซอลจีฮูได้เป็นประกายขึ้นมา เขาได้ถูมือเข้าด้วยกันก่อนจะถามอีกครั้ง


“ถ้างั้นแล้วมากแค่ไหนล่ะ?”


[อืมมม… อย่างน้อยก็ทองสองสามกล่องล่ะมั้ง]


แค่กๆ


ซอลจีฮูได้ไอออกมาอย่างแรง


‘พระเจ้า!’


แค่เศษเสี้ยงความมั่งคั่งของตระกูลก็ทองสองสามกล่องแล้วงั้นหรอ!?


มันไม่มีอะไรให้ต้องลังเลอีกแล้ว ซอลจีฮูได้ตั้งเป้าหมายต่อไปในทันที


แม้ว่ามันจะเป็นที่ที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ว่าเขาก็ค่อยไปหาข้อมูลมาก็ได้


‘สำหรับตอนนี้ก็พอแล้ว’


ในทันทีที่เขาได้ตัดสินใจ


“ฮ่าฮ่าฮ่า”


สัญลักษณ์ดอลลาห์ได้ปรากฏขึ้นในม่านตาของซอลจีฮูที่ซึ่งเริ่มหมุนเหมือนตู้สล็อต


[!?]


เสียงหัวเราะของเขาได้ทำให้โฟลนต้องผงะไปด้วยความตกใจ


[กะ เกิดอะไรขึ้น? อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ นี่มันน่ากลัวแปลกๆ]


“โฟลน…”


ซอลจีฮูได้เมินต่อคำขอของเธอ และจ้องมองเธอด้วยความหลงใหลอย่างลึกซึ้ง


“เธอเป็นเครื่องรางนำโ๙คของฉันสินะ? หรือว่าเป็นร่างอวตาลของเทพธิดาแห่งโชคชะตากันล่ะ?”


[จะ จู่ๆก็พูดเรื่องอะไรกัน? ไสหัวไปเลย ชิ่ววว!]


โฟลนได้รีบหันหน้าบินหนีไปทันที แต่ว่าซอลจีฮูที่เก็บความสุขเอาไว้ไม่ไหว…


“โฟลนนน!”


…เขาได้กางแขนและกระโจนออกมา


[ม่ายยยย!]


โฟลนได้กรีดร้องออกมา


“ฮูเร่ห์!”


[อย่ามาแตะฉันนะ! นายจะทำแบบนี้กับสตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้…!]


“ฮูเร่ห์ โฟลน!”


[อ๊าาาา ฉันจะฆ่านาย!]


เสียงร้องกับเสียงหัวเราะได้ดังออกมาจากห้องของเขาอยู่นาน โชคดีที่ไม่มีคนอื่นอยู่ในสำนักงานคาเพเดี่ยม


บทที่ 206 – วันนี้ธงได้ถูกปักลงไปอย่างซื่อตรงเช่นเคย


ซอลจีฮูได้ลากเครื่องรางนำโชค หรือก็คือโฟลนไปที่ห้องสมุดในทันทีที่ได้ยินเรื่องราวของเธอ ซอลจีฮูได้รีบเคลื่อนไหวในทันทีที่เขามีแผนขึ้นมา


เจดีย์แห่งโรคระบาด


นี่คือที่ที่โฟลนได้ชี้บอกถึงที่ที่อาร์ติแฟคศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลรอชเชอร์ถูกซ่อนเอาไว้อยู่


ซอลจีฮูได้ค้นทุกซอกทุกมุมของห้องสมุดด้วยความกระตือรือร้นอยู่หลายวัน และได้รวบรวมข้อมูลดีๆมามากมาย


และผลลัพธ์มันก็ทำให้เขาตกใจมากจริงๆ


-ถูกขีดฆ่าทิ้ง


“…นี่มันอะไรกัน?”


การหาข้อมูลเกี่ยวกับเจดีย์แห่งโรคระบาดไม่ได้ยากเลย ปัญหาก็คือบันทึกทุกๆอย่างในช่วงหลังๆจะเต็มไปด้วยคำที่ถูกขีดฆ่าเอาไว้


แม้กระทั่งคนโง่ก็ยังรู้เลยว่าเนื้อหาส่วนหลังถูกลบออกไป ซอลจีฮูได้ตรวจดูบันทึกประวัติศาสตร์อยู่หลายเล่ม รวมไปถึงบันทึกประวัติศาสตร์ที่ไม่เป็นทางการ แต่ว่าข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับที่แห่งนี้ก็ถูกลบไปโดยไม่มีข้อยกเว้น


มันราวกับว่าทั่วทั้งพาราไดซ์ได้มารวมตัวกันสัญญาว่าจะไม่พูดเรื่องนี้


แต่ว่าจากบันทึกทั้งหมดที่เขาได้อ่าน เขาก็รวบรวมข้อมูลได้สองอย่าง


-จักรพรรดิได้หวาดกลัวว่า (ถูกขีดฆ่าทิ้ง) จะโจมตีจักรวรรดิ และได้วางมาตราการพิเศษเอาไว้ นั่นก็คือการลบการมีอยู่ของ (ถูกขีดฆ่า) ไปทั้งหมด


และ


-หลังจากวันนั้นไม่ว่าจะจักรวรรดิ และประเทศในเครืองทั้งหมดต่างก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พวกเขาจะจับกุมใครก็ตามที่พูดคุยเรื่อง (ถูกขีดฆ่า) บนถนน และรวมไปถึงการเผยความลับความลับที่ต้องเก็บเอาไว้อีกด้วย…


“…โธ่เว้ย”


ซอลจีฮูได้เม้มปากขึ้นมาหลังจากได้อ่านข้อความอยู่หลายบรรทัด เขาไม่รู้สึกดีกับเรื่องนี้เลยสักนิด


เขาได้ตรวจสอบดูความลับของรอชเชอร์เผื่อดู และมันก็เป็นอย่างที่เขาคิด เขาไม่อาจจะเจอบันทึกใดที่เกี่ยวข้องกับเจดีย์แห่งโรคระบาดเลยสักนิดเดียว


-รอชเชอร์ หนึ่งในตระกูลสี่ดยุคที่ก่อตั้งจักรวรรดิขึ้นมา พวกเขาได้รับใช้ในเทพแห่งพรหมจรรย์


-คาสทิทัส เทพธิดาแห่งพรหมจรรย์ได้มอบอาร์ติแฟคศักดิ์สิทธิ์ให้กับตระกูลรอชเชอร์ หอกพิศุทธิ์ที่ซึ่งได้เก็บจิตวิญญาณธาตุอาร์คัสเอาไว้ ดังนั้นตระกูลจึงได้ถูกขนานนามว่าหอกแห่งจักรวรรดิ และพวกเขาก็มักจะอยู่ในแนวหน้าของสงครามต่อสู้กับศัตรูภายนอกอยู่เสมอเหมือนอย่างชื่อ


-พวกเขาได้ว่ากันว่าได้ถูกฟินิกซ์ในตำนานที่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุขคุ้มครอง


อีกสิ่งหนึ่งที่เขาได้รับก็คือการได้ยืนยันถึงเรื่องราวของตระกูลรอชเชอร์และการมีอยู่ของหอกพิศุทธิ์


ซอลจีฮูได้ถามโฟลนเรื่องเจดีย์แห่งโรคระบาด แต่ว่าเธอก็พูดแค่ว่า ‘หืม? อะไรล่ะนั่น? ฉันไม่เห็นเคยได้ยินเลย’


การที่โฟลนไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนนั่นจึงหมายความได้ว่ามาตราการของจักรพรรดิประสบความสำเร็จ


‘เจดีย์แห่งโรคระบาด’


เพียงแค่ชื่อของมันก็ดูน่าจะเต็มไปด้วยปัญหาแล้ว


‘ใครกันนะถึงเอาชื่อโรคระบาดมาตั้ง…’


มีจุดที่น่าสงสัยอยู่หลายจุด แต่ว่าซอลจีฮูก็ไม่คิดที่จะคิดแผนใหม่เลยสักนิด


เขาจะต้องไป


นี่คือโอกาสที่เขารออยู่ หากว่าเขายอมแพ้ในตอนนี้ การยกระดับคาเพเดี่ยมให้กลายเป็นองค์กรมันก็คงจะเป็นความฝันที่สิ้นหวัง


ถึงแม้ว่าจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโบราณจะระแวงในที่แห่งนี้…


‘มาเผชิญหน้ากับมันกันเถอะ’


ซอลจีฮูได้เดินไปข้างหน้าโดยสลัดความหวาดกลัวออกไป


***


หลังจากกลับมาถึงสำนักงานคาเพเดี่ยมแล้ว ซอลจีฮูก็ได้ตกอยู่ในความคิด นอกเหนือจากเรื่องที่ต้องพิชิตเจดีย์แห่งโรคระบาดแล้ว การไปที่นั่นก็เป็นปัญหาเช่นกัน


พื้นแห่งนั้นก็คล้ายกันกับป่าแห่งการปฏิเสธที่ติดอยู่กับพรมแดนของปรสิต ที่นั่นเป็นพรมแดนระหว่างเขตมนุษยชาติกับสหพันธรัฐ


พูดตรงๆแล้วมันใกล้กับสหพันธรัฐมากกว่าฝั่งมนุษย์ซะอีก


‘ฉันจะต้องหานักบุกเบิกให้มั่นใจ…’


นักบุกเบิกเป็นสิ่งที่จะขาดไม่ได้เนื่องจากว่าเขาสามารถจะเจอเข้ากับปรสิตได้ตลอดเวลา มันไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้จักนักธนูเลย แต่ว่ามาแชล จิโอเนียนั่นด้อยในด้านการสอดแนม และยี่ซอลอาก็ขาดประสบการณ์


‘นักรบ…’


คาเพเดี่ยมนั่นค่อนข้างจะเต็มไปด้วยนักรบที่แข็งแกร่ง รวมไปถึงตัวเขาเองด้วย โชฮง ฟีโซรา แล้วก็ฮิวโก้


แต่ว่านั่นก็แค่ในด้านพลังทำลาย


ในแง่ของขนาดปาร์ตี้พวกเขาแล้ว การเดินทางไปเจดีย์แห่งโรคระบาดนั่นเป็นปฏิบัติการณ์ ไม่ใช่การสำรวม และซอลจีฮูก็มีความรู้สึกอย่างแรกว่าแค่ต่อสู้ได้ดีมันยังไม่พอสำหรับปฏิบัติการครั้งนี้


ความกังวลนี้เกิดขึ้นมาจากการขาดข้อมูล พูดให้ชัดก็คือเขายังคงหวั่นใจกับความสามารถของเขาในฐานะของหัวหน้าเพราะความไร้ประสบการณ์


เขาต้องการประสบการณ์ ไหวพริบที่รวดเร็วที่สามารถจะควบคุมนักรบเจ้าอารมณ์ของคาเพเดี่ยมในกรณีที่ฉุกเฉินได้


หากว่ามีคนที่มีทักษะเท่ากับดีแลนด์ก็คงจะยอดเยี่ยม มันไม่ใช่ว่าเขานึกถึงใครไม่ได้ แต่ว่าเขาก็ลังเลเพราะว่าการยอมรับความช่วยเหลือจากคนนอกนั่นก็หมายความว่าเขาจำเป็นจะต้องตอบแทนความช่วยเหลือนั้นกลับคืนไป


เขารู้ถึงผลลัพธ์ของปฏิบัติจะน่าทึ่งขนาดไหน หากจะบอกว่าการที่เขาไม่เสียใจเลยที่ต้องแบ่งกับของรางวัลที่ได้กับคนนอกมันก็คงเป็นการโกหก


‘ฉันควรจะทำยังไงดีนะ?’


“แบร๋!”


ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่ก็มีเสียงดังเข้ามาในหูของเขา พอเขาลืมตาขึ้นมาก็เห็นโชฮงยืนอ้าปากอยู่ตรงหน้า


ซอลจีฮูได้หัวเราะออกมาเบาๆ


“สนุกไหมล่ะ?”


“ไอ้เวรนี่ อย่ามาทำให้ฉันอายนะ”


โชฮงได้ก้าวถ้อยไป และบ่นออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ


“แล้วนี่มาทำอะไรอยู่คนเดียวล่ะ? แถมยังยืนกอดอกหลับตาด้วย”


“คิดน่ะ”


“คิดอะไร?”


“คิดไปเรื่อยน่ะ”


“อ๊า หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว”


โชฮงได้ขมวดคิ้วขึ้นมา


“ทำไมนายถึงเป็นแบบนี้ล่ะ? นายรู้ตัวไหมว่าบางทีนายก็น่ารำคาญ?”


เธอได้ม้วนผมพร้อมกับวิจารณ์เขาออกมา


“แต่ว่านะ ช่วยบอกฉันทีว่านายกำลังคิดเรื่องภารกิจต่อไปอยู่ จะเป็นภารกิจสอดแนมหรือสำรวจอะไรฉันก็ไม่ว่าหรอก”


“คงจะเบื่อมากสินะ”


“เบื่อสุดๆเลยล่ะ ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก จัดการกับมอนสเตอร์ แล้วก็มาเปลี่ยนจังหวะกันดีกว่า นายคิดว่ายังไงล่ะ?”


โชฮงได้พูดออกมาอย่างมีพลังพร้อมทั้งโบกมือ


ซอลจีฮูได้หยักหน้านิ่งๆ


“ฉันก็กำลังคิดเรื่องภารกิจอยู่”


“โอ้? แล้วมันมาจากแหล่งที่มาที่น่าเชื่อถือใช่ไหม?”


“ยิ่งกว่าน่าเชื่อถืออีก”


“เข้าใจแล้ว…”


โชฮงได้ถูมือเข้าด้วยกัน และหัวเราะออกมา


“ใช่แล้ว นายไม่ใชคนที่จะนั่งอยู่เฉยๆ ฉันก็คิดไว้แล้วว่าเดี๋ยวนายก็เคลื่อนไหว”


จากนั้นจู่ๆเธอก็พูดขึ้นราวกับนึกอะไรได้


“โอ้ จริงสิ นายไปที่วังมายัง?”


ซอลจีฮูได้ขมวดคิ้วขึ้นมาเมื่อจู่ๆเธอก็พูดถึงวัง


“ไม่นิ ฉันจะไปที่นั่นทำไม?”


“ไปเอาเงินไง”


“เงิน? จากอะไรล่ะ? การเข้าร่วมสงครามเป็นเรื่องจำเป็น”


“ไม่ใช่เรื่องนั้น นายได้ว่าจ้างเด็กพวกนั้นมาจากทีมเส้นโลหิตนี่”


จากนั้นซอลจีฮูถึงได้ร้องอ่อออกมา


เขาจำได้ว่าเทเรซ่าก็ได้พูดถึงเรื่องนี้ นั่นก็คือเขาควรที่จะไปหาทหารรับจ้าง และเธอก็จะจ่ายเงินให้กับเขาทีหลัง


ซอลจีฮูลังเล


“ฉันไม่รู้ว่าการรับเงินนั่นมามันจะถูกไหมนี่สิ… ฉันไม่ได้จ้างพวกเขาด้วยเงินของฉัน”


“นั่นมันยิ่งดีเลย! นายได้จ่ายเงินพิเศษไป การที่ทีมเส้นโลหิตมาช่วยมันเป็นเรื่องจริง เพราะงั้นมันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”


โชฮงยังคงรบเร้าให้เขาไปรับเงิน แต่ว่าซอลจีฮูดูจะไม่เต็มใจ


“ตอนนี้ฉันไม่คิดว่าฮารามาร์คจะมีเงินสำรองนะ”


นี่มันไม่ใช่สมมติฐานที่ไร้เหตุผล สงครามจำเป็นต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก ในตอนนี้สงครามได้จบลงไปแล้ว ไม่เพียงแค่ฮารามาร์คจะต้องสร้างป้อมปราการในหุบเขาขึ้นมาใหม่เท่านั้น แต่ว่าพวกเขายังต้องจ่ายเงินเรื่องต่างๆเกี่ยวกับสงครามอีกด้วย


แม้กระทั่งการขยายกองกำลังทหารราบของแจน แซงตัสก็ยังเป็นเรื่องไกลเกินเอื้อม


“โอ้ จริงสิ เพิ่งจะมีการคุยกันเรื่องนี้อยู่เลย เรื่องที่คนไม่ได้รับเงินเลยแม้ว่าจะผ่านสงครามมาเป็นเดือนแล้ว เอาเถอะนะ นายเป็นคนที่เรียกทีมเส้นโลหิตมา เพราะงั้นทำตามใจเถอะ”


โชฮงได้หยักไหล่ออกมา


ซอลจีฮูได้ลูบคางอย่างช้าๆ


‘อีกแล้ว’


เพราะเหตุผลบางอย่างเมื่อเขาคิดถึงเรื่องเทเรซ่า จิตใจที่ซับซ้อนของเขาก็ได้เริ่มเอียงไปทางด้านหนึ่ง


ใช่แล้ว มรดกไม่ได้มีอยู่แค่ทีเดียวเท่านั้น นอกเหนือไปจากที่ที่อยู่ใจกลางจักรวรรดิที่เขาไปไม่ได้อย่างชัดเจนแล้ว มันก็ยังมีเหลืออยู่อีกตั้งสามที่


ซอลจีฮูได้พึมพำกับตัวเองก่อนจะตัดสินใจออกมา การที่จะทำประโยชน์ให้เธอก่อนออกไปจากฮารามาร์คก็ไม่ใช่เรื่องแย่


ซอลจีฮูที่ตัดสินใจได้แล้วได้ลุกขึ้น


***


ซอลจีฮูได้มุ่งตรงไปหาคาซุกิทันที เขาได้ขอให้คาซุกิมาเป็นคนนำทางในปฏิบัติการครั้งนี้


เมื่อเขาได้อธิบายสถานการณ์คร่าวๆออกไป คาซุกิก็ได้ตอบรับในทันทีจนคาดไม่ถึง


“เอาสิ ฉันจะไปกับนาย”


เมื่อซอลจีฮูได้จ้องคาซุกิที่กำลังมองดูกระดาษสัญญาชั่วคราวด้วยความไม่เข้าใจ คาซุกิก็ได้เงยหน้าขึ้นมา


“อ่อ ช่วงนี้ฉันไม่ค่อยมีอะไรให้ทำ แถมทีมของฉันก็ถูกยุบไปแล้วด้วย”


มันดูเหมือนว่าในท้ายที่สุดแล้วอุมิทัตสึบาเมะจะแตกแล้ว ก็นะ ในเมื่อคาซุกิได้จับมือกับซันเหอ มันก็คงแปลกหากว่าสหพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่นยังอยู่นิ่ง


“แล้วก็นะนี่มันไม่ใช่ปฏิบัติการแรกที่นายวางแผนด้วยตัวเองหรอ?”


นั่นสินะ?


พอมาคิดดูแล้วเขามักจะรับภารกิจตามคนอื่นอยู่เสมอ หรือไม่ก็ถูกลากเข้าไปเอี่ยวด้วย เขาไม่เคยตัดสินใจด้วยตัวเองเพียงลำพังเลย


ในแง่นี้แล้วนี่ก็คือปฏิบัติการแรกของซอลจีฮูที่เขาได้ตัดสินใจเอง


ฉันสงสัยนะ ฉันสงสัยว่าปฏิบัติการที่ถูกวางแผนโดยคนแบบนายมันจะเป็นยังไง แต่ยังไงก็ตามฉันไม่คิดว่าการตามนายไปจะเป็นเรื่องแย่หรอกนะ”


คาซุกิได้ชมเขาตรงๆจนทำให้ซอลจีฮูยิ้มเขิน


“ขอบคุณที่เชื่อใจฉันนะ”


คาซุกิได้มองดูรอยยิ้มของซอลจีฮูที่ดูจะขมขื่น ไม่นานนักจู่ๆเขาก็หัวเราะออกมา


“ฉันไม่ได้รู้สึกถึงความรู้สึกถือตัวจากนายเลย เพราะงั้นฉันถึงเชื่อในตัวนาย”


จากนั้นคาซุกิก็สะบัดกระดาษ


“ยังไงก็ตามเรื่องข้อกำหนดพวกนี้”


“ครับ”


“อาร์ติแฟคจะถูกแบ่งออกไปตามคลาสของผู้เข้าร่วม นี่มันก็ดีนะ แต่ว่า…”


คาซุกิได้หรี่ตาลง


“อาร์ติแฟคที่ไม่ถูกแบ่งตามคลาส และอาร์ติแฟคที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์จะเป็นของซอลจีฮู”


การแบ่งของได้เป็นไปตามกฎทั่วไป ยกเว้นอาร์ติแฟคแล้ว นี่เป็นกฎพื้นฐานที่ใช้กันในพาราไดซ์แม้กระทั่งคนแบกของ


แน่นอนว่าซอลจีฮูที่เป็นคนคิดแผนทั้งปฏิบัติการนี้มีสิทธิ์ที่จะได้รับส่วนแบ่งที่มากกว่าคนอื่น แต่ว่าเขากลับไม่ได้บอกว่าเขาจะจ่ายเงินเพื่อเป็นเจ้าของของพวกนั้นที่ซึ่งมันเป็นบรรทัดฐานตามปกติ กลับกันเขากำลังขอสิทธิ์เป็นเจ้าของขาดของสิ่งพวกนั้น


“นายพอจะอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมให้ฉันได้ไหม?”


“อืมม… ได้สิครับ นี่มันก็ไม่ใช่ความลับอะไรอยู่แล้ว”


มันไม่ใช่ว่าคาซุกิจเป็นคนโลภ และเนื่องจากว่าซอลจีฮูก็รู้ถึงกฎของพาราไดซ์เป็นอย่างดี เขาจึงเผยความคิดของเขาออกไปตรงๆ


หลังจากได้ยินคำอธิบายของเขาแล้ว คาซุกิก็อ้าปากค้างออกมา


“งั้นมันก็เพราะคุณซอยูฮุย”


“ครับผม นับจากนี้ผมคิดว่าจะให้เครื่องเซ่นทั้งหมดที่ได้มาให้กับเธอ เพราะงั้นผมก็เคยคิดจะใช้ข้อตกลงนี้ไปอีกสักพัก”


“ถ้าแบบนั้นฉันก็ไม่มีอะไรจะบ่นแล้วล่ะ พวกเอาแบบนี้แหละ”


คาซุกิได้เซ็นสัญญาโดยไม่ลังเลเลย และซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมา


ซอลจีฮูรู้ว่าคาซุกิเข้าใจ เพราะยังไงแล้วคาซุกิก็เป็นคนที่เป็นหนี้ซอยูฮุยเช่นกัน


“ฟู่ววว”


คาซุกิได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกหลังจากที่ส่งสัญญาคืนซอลจีฮูไป


“หากว่าปฏิบัติการนี้เป็นไปด้วยดี ในที่สุดแล้วฉันก็จะได้มีเวลาได้พักหายใจ”


“หมายความว่าไงครับ?”


“อ๊า ฉันจะต้องตั้งทีมใหม่ก่อนที่จะไปอีวา แต่ว่าฉันค่อนข้างขาดเงิน ฮ่าวอวิ่นก็ให้เงินทุนฉันมาบ้างแล้ว แต่ว่าทั้งหมดนั่นคือหนี้”


ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้นมา


“คุณก็กำลังจะไปอีวาเหมือนกันหรอครับ?”


“แน่นอนสิ เขาที่ฉันกำลังซ่อนอยู่กำลังจะไปอีวา เพราะงั้นทำไมฉันถึงจะไม่ไปล่ะ? ฮ่าวอวิ่นไม่ได้บอกนายหรอ?”


คาซุกิได้ตอบกลับมาในทันทีก่อนจะยิ้มขึ้น


“ยังไงก็ตามขอบคุณนะ! นายมาช่วยฉันเอาไว้เลย”


ซอลจีฮูได้โบกมือออกมา


“มันยังเร็วไปที่จะพูดขอบคุณครับ? เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรจะรอเราอยู่ที่นั่น”


“นั่นก็จริง ทุกๆคนต่างก็เคยกลับมามือเปล่าจากปฏิบัติการหรือการสำรวจทั้งนั้น”


คาซุกิที่พูดแบบนี้ได้เหลือบมองซอลจีฮู และแอบยิ้มออกมา


“แต่ว่าดูจากที่นายไม่เคยล้มเหลวมาก่อนเลย ฉันก็คิดว่าฉันพอจะหวังได้ล่ะนะ”


ฉันไม่เคยล้มเหลวมาก่อนงั้นหรอ? ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมาอีกครั้งหนึ่ง


***


ที่ต้องไปที่ซอลจีฮูไปก็คือพระราชวัง


“ปฏิบัติการ?”


เมื่อเห็นชายหนุ่มที่จู่ๆก็มาหาเธอ เทเรซ่าก็เบิกตากว้างขึ้นมาเหมือนกับกระต่าย


“ใช่แล้ว”


ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมาด้วยรอยยิ้มสดใส


“ฉันได้ยินมาว่าช่วงนี้เสียงมันค่อนข้างจะดัง เพราะงั้นการออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์กับยืดเส้นสักหน่อยก็น่าจะดีนะ”


“…”


เทเรซ่าหมดคำพูดอย่างชัดเจน


ซอลจีฮูไม่ได้พูดผิดเลย เพราะการเงินของพวกเขากำลังมีปัญหา เธอจึงกำลังคิดกล้ำกลืนน้ำตา และกำลังจะขายที่ดินของตระกูล


เมื่อเห็นซอลจีฮูที่กำลังยิ้มสดใส เทเรซ่าก็ตรวจดูสัญญาอีกครั้ง


เงื่อนไขนั้นดูตระหนี่แปลกๆ


ไม่สิ มันไม่ปกติตั้งแต่แรกแล้วที่เจ้าหญิงถูกมาชวนไปทำปฏิบัติการ มันไม่ใช่ว่าเขาจะไม่ได้รู้สถานการณ์ของราชวงศ์ เพราะงั้นมันจึงแปลกที่เขามาบอกเธอว่า ‘ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์กับยืดเส้น’


นอกไปจากนี้เธอก็ยังไม่ใช่นักเวทย์หรือนักบวชด้วย คาเพเดี่ยมได้เต็มไปด้วยนักรบที่มีความสามารถ เพราะงั้นเธอจึงไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงได้อยากจะพานักรบไปด้วยอีก


มีจุดที่น่าสงสัยอยู่มากมาย


แต่ยังไงก็ตามด้วยความสามารถของเทเรซ่านั้นเธอก็พอจะรู้ได้ว่า ซอลจีฮูไม่มีทางพูดแบบนี้ออกมาโดยไม่มีเหตุผลแน่


เทเรว่าได้แอบเหลือบมองซอลจีฮู และมองสำรวจดูเขา เขาให้ความรู้สึกดูมั่นใจแปลกๆ


‘เดี๋ยวก่อนนะ’


ทันใดนั้นเทเรซ่าก็ได้คิดถึงข้อเสนอที่เธอเคยได้รับมาจากกุหลาบขาว เธอได้ครุ่นคิดอย่างรอบคอบก่อนที่จะไปชวนซอลจีฮูเข้าร่วมปฏิบัติการ แต่ว่าในตอนนั้นซอลจีฮูได้ต่อต้านเรื่องนั้นเป็นอย่างมาก


เทเรซ่าเชื่อใน ‘สัญชาตญาณ’ ของสามีเธอ และไม่ได้ไปกับกุหลาบขาว แล้วดูสิ่งที่เกิดขึ้นสิ ไม่เพียงแค่ปฏิบัติการนั้นจะล้มเหลวเท่านั้น แต่ก็ยังมีความยุ่งเหยิงทางการเมืองเกิดขึ้นอีกด้วย ในตอนนั้นเทเรซ่ายังจำได้ดีว่าเธอโล่งใจขนาดไหนกัน


สิ่งสำคัญก็คือทัศนคติของซอลจีฮูในตอนนี้ต่างไปจากตอนนั้นอย่างสิ้นเชิง เขาไม่เพียงแต่จะมั่นใจเท่านั้น แต่เขาก็ยังหวังว่าจะพาเธอไปกับเขาด้วยอย่างชัดเจน


ทันใดนั้นก็มีสายฟ้าฟาดเข้ามาในหัวของเธอ


‘นี่มันแจ็คพ็อต แจ็คพ็อตใหญ่!”


เธอไม่รู้รายละเอียด แต่ว่าเขาจะต้องได้รับข้อมูลที่น่าเหลือเชื่อมาแน่ๆ เพราะงั้นเขาก็เลยขอให้เธอมาด้วย


ในที่สุดเทเรซ่าก็เข้าใจถึงความตั้งใจของซอลจีฮู


‘เขากำลังช่วยฉัน’


การให้ของที่ได้กับเธอฟรีๆจะเป็นการไม่ยุติธรรมกับเพื่อนร่วมทีมของเขา และมันเป็นไปได้ที่จะเกิดการประท้วงขึ้น เพราะงั้นเขาจึงให้เธอเข้าร่วมปฏิบัติการเพื่อที่จะมีสิทธิ์ได้รับส่วนแบ่งไป


‘อีกแล้ว… อย่างในตอนที่ฉันมีปัญหา…’


เทเรซ่าคิดว่ามันน่าเหลือเชื่อมากที่เขาจะมาปรากฏตัวช่วยเธอในตอนที่เธอลำบาก เธอจะไม่รู้สึกดีต่อเขาได้ยังไงกันล่ะ?


“ฮ่าาาห์-“


หลังจากถอนหายใจยาวออกมา เทเรซ่าก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อึดอัดใจเล็กน้อย


“ฉันไปกับนายได้จริงๆหรอ?”


“แน่นอนสิ ฉันเป็นคนที่ขอให้เธอมาเองนะ”


“อ๊า ฉันรู้นะว่าคาเพเดี่ยมมีนักรบอยู่มาก”


“ความแข็งแกร่งมันไม่ใช่สิ่งเดียวที่สำคัญ ฉันคาดหวังสิ่งอื่นจากเธอนะเจ้าหญิง”


วิธีที่เขาพูดมันออกมาได้ทำให้เทเรซ่ารู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น


ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมา


“เธอเอาด้วยใช่ไหม?”


เขาพูดถึงขนาดนี้แล้ว เธอจะไปปฏิเสธหรือเล่นตัวได้ยังไงกัน?


เทเรซ่าได้หยักหน้าเงียบๆ จากนั้นเธอก็จ้องไปที่ซอลจีฮู


“เป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยม ถ้างั้น…”


หลังจากเขาพูดออกมาว่า


“เมื่อไหร่ที่ตัดสินวันเวลาได้จะมาบอกอีกทีนะ”


เขาก็ต้องผงะไป


เขาอาจจะเข้าใจผิด แต่ว่าเขารู้สึกเหมือนเขาเห็นหัวใจกำลังเบ่งบานอยู่ในดวงตาของเทเรซ่า


‘มะ ไม่หรอก’


มันไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบเจ้าหญิง แต่ว่าซอลจีฮูคิดว่าตัวเขาเป็นผู้ชายที่มีหลักการ เนื่องจากว่าเขายังจำถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนที่เขามอบดาบยาวกับโล่ให้เธอ เขาจึงไม่อาจจะเมินปัญหานี้ได้


“ฉะ ฉันไปก่อนนะ แล้วก็นี่”


ซอลจีฮูได้รีบลุกขึ้น และส่งถุงช็อปปิ้งที่เขาซื้อมาให้กับเธออย่างเร่งรีบ


เทเรซ่าที่กำลังลุกขึ้นมาราวกับจะหยุดเขาไว้ได้เลียริมฝีปากออกมา จากนั้นเธอก็ต้องกระพริบตาหลังจากเห็นถุงช็อปปิ้ง


“ของขวัญน่ะ ก็ไม่ใช่อะไรใหญ่โตหรอกนะ”


“โอ้”


มันได้ผล


ดวงตาเทเรซ่าที่ซึ่งเต็มไปด้วยความเสน่ห์ที่มากขึ้นเรื่อยๆได้มีประกายกลับคืนมา


“ฉันซื้อมันมาในตอนที่ไปโลก ครั้งก่อนฉันลืมเอามาด้วย…”


ยังไงก็ตามซอลจีฮูได้ทำพลาดร้ายแรงลงไปแล้ว ในทันทีที่เทเรซ่าได้ยินคำว่า ‘ของขวัญ’ แสงจ้าผ่านในตาของเธอก็ทวีความรุนแรงขึ้น และรูปหัวใจในดวงตาเธอก็ชัดเจนขึ้น


แน่นอนว่าซอลจีฮูก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน


“ฉันซื้อของที่เธอต้องใช้ในชีวิตประจำวันมาให้ มันก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรเพราะงั้นช่วยรับไว้ทีนะ”


ปัง!


“ถ้างั้นฉันไปนะ ขอบคุณที่รับไว้นะ”


ซอลจีฮูได้เปิดใช้งานต่างหูเฟสติน่า และวิ่งหนีไปเต็มแรง


“…”


และเมื่อซอลจีฮูหายไปแล้ว เทเรซ่าก็ยืนขึ้นมองลงไปที่ถุงช็อปปิ้งที่ถูกวางเอาไว้บนโต๊ะ


นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เธอได้รับของขวัญจากชาวโลก


เธอได้คิดถึงเรื่องนี้ในทุกๆครั้งที่เจอเขา แต่ว่า…


‘หากว่าชาวโลกทุกคนเป็นเหมือนเขา…’


มันจะดีขนาดไหนกันนะ?


ไม่ว่าจะยังไงก็ตามเธอก็ได้รับของขวัญที่คาดไม่ถึงด้วยวิธีที่ไม่คาดคิดมาก่อน


หลังจากเล่นกับถุงช็อปปิ้งอยู่นาน เธอก็ปัดกองเอกสารบนโต๊ะออกไปให้พ้นทาง


“ฮ่าห์!”


ใครจะไปสนเรื่องงานกัน?


อย่างน้อยในวันนี้เธอก็อยากจะดื่มด่ำไปกับความรู้สึกที่ไร้ซึ่งภาระ


และไม่นานนักก็เป็นอย่างซอยูฮุย ฟีโซรา และโชฮง…


เทเรซ่าได้มีปฏิกิริยาแบบเดียวกันกับที่ผู้หญิงคนอื่นๆได้เปิดของขวัญจากซอลจีฮู


ยังไงก็ตามความสับสนของเธอมีอยู่แค่ครู่เดียวเท่านั้น ไม่นานนักริมฝีปากของเธอก็โค้งขึ้น และดวงตาของเธอก็โค้งเป็นรูปจันทร์เสี้ยว


“ว้าว…”


เธอที่ถือชุดชั้นในเอาไว้อยู่ได้หัวเราะออกมา


หัวใจสีชมพูอ่อนบนสีชมพูน่ารัก


นอกจากนี้…


“หมอนี่…”


เมื่อมองสลับไปมาบนชุดชั้นในบนมือแต่ล่ะข้างแล้ว เทเรซ่าก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมออกมา


เธอได้วางชุดชั้นในลง และปิดปากหัวเราะออกมา


“ช่างรสนิยมดีจริงๆ!”


บทที่ 207 – ล่าทาส (1)


อายาเสะ คาซุกิกับเทเรซ่า ฮัสเซ่ย์ได้ตอบรับเขาร่วมปฏิบัติการแล้ว ด้วยการได้นักธนูแรงค์เกอร์ระดับสูง และนักรบมาเข้าร่วมได้ทำให้ซอลจีฮูรู้สึกมั่นใจในความสำเร็จมากยิ่งขึ้น


ในคืนนั้นซอลจีฮูได้บอกแผนปฏิบัติการกับเพื่อนของเขา เขาได้บอกถึงข้อมูลที่ได้รวบรวมมาจากห้องสมุด และได้ทำให้เพื่อนร่วมทีมเขาต้องใจด้วยการพูดถึงคาซุกิกับเทเรซ่าที่จะมาเข้าร่วมด้วย


แน่นอนว่าขั้นตอนปกติแล้วควรที่จะบอกกับเพื่อนร่วมทีมก่อนที่จะไปรับความช่วยเหลือจากภายนอก แต่ว่านี่มันก็ไม่ได้สำคัญอะไร นั่นเพราะว่าโชฮงฮงกับฮิวโก้ต่างก็ไฟติดพร้อมจะลุยแล้ว


ปฏิกิริยาของเพื่อร่วมทีมเขาเป็นไปอย่างที่ซอลจีฮูคิดไว้


“ตกลง ตกลง โครตจะตกลงเลย”


“กรี๊ดดด! ในที่สุดเราก็จะมีเงินสักก้อนแล้ว!”


โชฮงได้ชูมือขึ้นและเต้นออกมา ในขณะที่ฮิวโก้ได้ยิ้มกริ่มหัวเราะออกมา


ในเวลาเดียวกันมาแชล จิโอเนียก็มองดูสองคนนี้แปลกๆ


ตามปกติแล้วส่วนใหญ่การสำรวจและปฏิบัติการมักจะล้มเหลวมากกว่าสำเร็จ หากวัดเป็นค่าตัวเลขแล้ว อัตราความล้มเหลวก็คือ7:3


แต่ว่าจากท่าทางของโชฮงกับฮิวโก้แล้ว มันราวกับว่าพวกเขาได้ทำปฏิบัติการสำเร็จไปแล้วซะอีก เหมือนกับว่าพวกเขามั่นใจกันมากว่ามีโบราณสถานอยู่ที่นั่น


จางมัลดงที่กำลังมองดูแผนที่ได้พึมพำออกมาเบาๆ


“เขตพรมแดน…”


ซอลจีฮูได้เลิกคิ้วขึ้น


“มีปัญหาหรอครับ?”


“มันชัดเจนว่านายควรจะระวังหน่อย แต่ว่าการไปที่นั่นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอก ยังไงที่นั่นมันก็แค่เขตพรมแดนเท่านั้นเอง แต่ว่านายก็อย่าได้เข้าไปลึกแล้วกัน ที่นั่นมันเป็นเขตของสหพันธรัฐอยู่กึ่งหนึ่งนะ”


“สหพันธรัฐเกลียดมนุษย์ที่รุกล้ำเข้าไปในเขตของพวกเขาหรอครับ?”


“มันก็แล้วแต่ล่ะนะ บางเผ่าพันธุ์ก็ใจกว้างและเข้าใจในมนุษย์ แต่ว่าบางเผ่าพันธุ์ก็ไม่ชอบ บางคนอาจจะปล่อยพวกนายไปโดยไม่สร้างปัญหาหากว่าเขารู้ว่านายแค่ผ่านทาง หรือบางคนก็อาจจะไล่ตามนายต่อโดยที่คิดว่านายเป็นผู้บุกรุก”


“แต่ว่าเราไม่ใช่พันธมิตรกันหรอครับ? มันไม่ใช่ว่าตราบใดที่เราไม่เริ่มโจมตีก่อนก็โอเคแล้วหรอครับ?”


ซอลจีฮูได้พูดออกมาในแง่ดี แต่ว่าจางมัลดงได้ส่ายหัวออกมาในทันที


“เรื่องนั่นมันก็มีอยู่นั่นแหละ แต่ว่าสหพันธรัฐกับมนุษย์ก็เคยทำสงครามกันด้วยซ้ำ สหพันธรัฐเป็นกลุ่มก้อนของเผ่าพันธุ์จำนวนนับไม่ถ้วนที่มารวมกัน แม้ว่าสมาชิกส่วนใหญ่ของพวกเขาจะประกอบขึ้นมาจากห้ากลุ่ม แต่ว่านั่นมันก็แค่ผิวเผินเท่านั้นเอง หากว่าให้ลงลึกล่ะก็มีแค่พันธมิตรมนุษย์สัตว์ที่…”


ขณะที่จางมัลดงมองขึ้นไปบนกำแพง เขาก็ค่อยๆเริ่มหุบนิ้วเขามาก่อนที่จะส่ายหัวออกมาในตอนท้าย


“ยังไงก็ตามพยายามอย่าไปทำอะไรโง่ๆแล้วกัน เผ่าพันธุ์ต่างๆต่างก็มีมุมมองและให้ค่ากับมนุษย์ที่ต่างกัน การจัดการกับสถานการณ์ตามแต่กรณีนั่นคือสิ่งสำคัญ”


ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมากับคำแนะนำของจางมัลดง


“ในแง่นั้นแล้วการขอให้คุณเทเรซ่าร่วมเดินทางกับนายเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมเลย เพราะว่าราชวงศ์ฮารามาร์คได้ทำการติดต่อกับสหพันธรัฐอย่างต่อเนื่อง… แล้วก็…”


จางมัลดงได้เหลือบไปมองสองพี่น้องยี่ที่กำลังนั่งเงียบอยู่ข้างๆ


“แล้วนายจะเอายังไงกับสองคนนี้ล่ะ?”


ซอลจีฮูได้มองไปที่ทั้งคู่ด้วยความกังวล ยีซังจินดูจะอยากจะติดตามพวกเขาไปด้วย ในขณะที่เขาอ่านอะไรไม่ได้เลยจากสีหน้าของยี่ซอลอา


ซอลจีฮูได้พูดขึ้นมา


“ผมคิดว่ามันยังเร็วเกินไป หากว่าเราจะไปในเขตของมนุษย์มันก็คงเป็นคนล่ะเรื่อง แต่ว่าปฏิบัติการครั้งนี้ของเขาจะเป็นที่เขตพรมแดนของสามอำนาจ แม้ว่าในตอนนี้ปรสิตจะยังคงต้องพักอยู่ แต่ว่าหากมีอะไรเกิดขึ้น….”


คำพูดช่วงท้ายของซอลจีฮูได้ขาดหายไป ภายในดวงตาของยี่ซังจินได้มีประกายความผิดหวังออกมา และยี่ซอลอาก็ถอนหายใจออกมาอย่างเคืองใจ


เขายังได้ยินเสียงแค่นของฟีโซราจากด้านข้างอีกด้วย


“จะยังไงมันก็อันตรายเกินไป อย่างน้อยที่สุดพวกเขาจะต้องอยู่ระดับ 4 ที่นั่นไม่ใช่ที่ที่ระดับ 1 หรือ 2 จะไปได้”


เมื่อได้ยินแบบนี้…


“ฮิวโก้ ฉันรู้จักคนที่ยืนกรานจะไปเขตพรมแดนของทั้งสามอำนาจในตอนเขายังอยู่แค่ระดับ 1 อยู่นะ นายจำเขาได้ไหม?”


โชฮงได้ถามออกมา


“อ่อ! รู้จักสิ หมอนั่นไง หมอนั่นคนที่ไม่ได้เข้าร่วมสงคราม แล้วอาสาตัวเองไปเป็นเหยื่อล่อปรสิตด้วยตัวเอง? ตอนนั้นเขายังเพิ่งอยู่ระดับ 1 เองมั้ง”


และฮิวโก้ได้ตอบกลับมาในทันที


ซอลจีฮูไม่ได้สนใจพวกเขา และพูดต่อไป


“การเก็บเกี่ยวประสบการณ์เป็นเรื่องดี แต่ว่าอย่างที่พูดไป เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราไม่อาจจะดูแลพวกเขาได้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด”


“เอาเถอะนะ ถ้างั้นระหว่างนายไม่อยู่ฉันจะฝึกพวกเขาเพิ่มเอง”


จางมัลดงได้กัดฟันและตอบกลับมา มันดูเหมือนว่าเขาจะพยายามอย่างมากที่จะกลั้นขำเอาไว้


จากนั้นเมื่อซอลจีฮูหันไปมองโชฮงกับฮิวโก้ที่กำลังหัวเราะอยู่ ฮิวโก้ก็กลั้นขำเอาไว้และถามกลับมา


“ซอล นายจะไม่พานักบวชไปด้วยหรอ?”


“แน่นอนว่ามีสิ ฉันคิดว่าจะไปหาเธอพรุ่งนี้”


“จะไปหาเธองั้นหรอ?… มาเรียสินะ?”


“ใช่แล้ว”


ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมา และโชฮงกับฮิวโก้ก็หยุดขำในทันที จากนั้นพวกเขาก็ดูจะไม่เต็มใจ


“เอ่อ อืมม… ฉันไม่รู้สิว่ามันจะดีไหมนะ”


“ทำไมล่ะ?”


“ฉันก็ไม่รู้ หลังจากสงครามจบเธอดูเหมือนจะบ้าไป…”


ซอลจีฮูเบิกตากว้างขึ้นมา


“คุณมาเรียบ้าไป?”


ฮิวโก้ได้หยักไหล่ออกมา


“ฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไม เธอเอาแต่พล่ามเรื่องการลงทุน และจากนั้นมันก็ล้มละลายไปก่อนที่จะได้ถอนทุน…”


ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเขาลืมเรื่องของมาเรียไปเลย


“วันพรุ่งนี้ฉันจะไปเจอเธอแล้วกัน หากว่าเธอทำตัวแปลกๆ ถ้างั้น…”


ซอลจีฮูได้พึมพำออกมาอย่างคลุมเคลือราวกับว่าสิ่งที่เขาได้ยินมันยากที่จะเชื่อได้


“เราจะกำหนดวันเดินทางคือห้าวันนับจากนี้ ฉันจะไปบอกเจ้าหญิงเทเรซ่ากับคุณคาซุกิเอง เพราะงั้นเตรียมตัวกันไว้นะ”


“รับทราบ!”


“โอเค!”


โชฮงได้ลุกขึ้นตะโกนออกมา ในขณะที่ฟีโซราตอบกลับพร้อมประสานมือเข้าด้วยกัน


จางมัลดงได้หันมาหาพี่น้องยี่และพูดขึ้น


“ทั้งคู่ก็เตรียมตัวออกไปไว้ด้วยนะ”


“หืม? แต่ว่าเราไม่ได้-“


“มันไม่ใช่ปฏิบัติการ แต่เป็นภูเขาหินยักษ์”


“อ่า!”


ยี่ซังจินได้สะอึกไป


มาแชล จิโอเนียได้ปรบมือและภาวนาให้กับสองพี่น้อง


ซอลจีฮูยังเห็นยี่ซอลอากำลังจ้องไปที่ฟีโซราที่กำลังเหยียดตัวอีกด้วย


ในตอนนี้มันถึงเวลาเหมาะที่จะบอกกับเธอแล้ว


“ซอลอา มาคุยกับฉันหน่อยนึงได้ไหม?”


“หืม? อ่า ค่ะ!”


ยี่ซอลอาได้ตอบกลับก่อนที่จะยิ้มอย่างสดใส และกระโดดขึ้นมา


***


ซอลจีฮูได้พายี่ซอลอาขึ้นมาที่ชั้นดาดฟ้า


“เธออยากจะไปกับเราใช่ไหม?”


“อ่า… ฮ่าฮ่า”


ยี่ซอลอาไม่ได้ยอมรับหรือว่าปฏิเสธ เธอทำเพียงแค่ยิ้มแห้งๆเท่านั้น


“มันช่วยไม่ได้นะ หากว่าทำได้ฉันก็จะพาเธอไปด้วย แต่ว่านี่ก็เป็นปฏิบัติการแรกของฉัน พวกเรามีข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ที่จะไปน้อยมาก”


“นั่นมันจะไม่อันตรายไปหรอกคะ?”


“ใช่แล้วล่ะ แต่ว่าเราต้องไป”


ซอลจีฮูกำลังคิดจะบอกเธอเรื่องการย้ายไปที่อีวาก่อนที่จะตัดสินใจอย่างอื่นอีก


มันคงไม่สายเกินไปที่จะบอกเธอหลังจากกลับมาจากปฏิบัติการ


“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันรู้ว่ามันเพราะฉันยังมีความสามารถไม่พอ ระหว่างคุณพี่ไม่อยู่ ฉันจะฝึกให้หนักเอง”


“เยี่ยมมาก คราวหน้าเราจะไปด้วยกันแน่นอน”


เธอไม่ได้ดูผิดหวังมากขนาดนั้นเหมือนกับยี่ซังจิน ซอลจีฮูได้ตัดสินใจที่จะเข้าเรื่องทันที


“แล้วก็นะเรื่องของคุณฟีโซรา”


รอยยิ้มของยี่ซังจินได้ชะงักไปในทันที


“มันดูเหมือนว่าเราจะต้องร่วมงานกันไปสักพัก”


ยี่ซอลอาได้หลับตาแน่น เธอก็พอจะเดาไว้แล้ว แต่ว่าการมาได้ยินด้วยตัวเองก็ยังทำให้เธอตกใจอยู่ดี


“มันอาจจะยังไม่เกิดขึ้น แต่ว่าก็มีโอกาสที่เราจะรับเธอเข้าทีม ตอนแรกฉันก็ไม่ได้คิดแบบนั้นหรอกนะ แต่ว่าฉันได้มาเปลี่ยนใจหลังจากสงคราม คุณฟีโซราได้บอกถึงสิ่งที่เธอต้องการออกมาอย่างชัดเจน”


ซอลจีฮูได้บอกว่าคาเพเดี่ยมไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่จะเรื่องมากได้ และบอกถึงการที่ได้ชาวโลกที่ทรงพลังเพิ่มมาอีกคนจะแตกต่างไปจากเดิมขนาดไหน


ยี่ซอลอาได้ฝืนยิ้มออกมา


“อ๊า คุณพี่ไม่ต้องบอกเราทุกๆอย่างก็ได้ค่ะ แค่ทำตามที่ต้องการได้เลย ฉันไม่เป็นไร”


ซอลจีฮูได้จ้องไปที่ยีซอลอา


“โอเค แต่ว่าไม่ต้องกังวลไปนะ สิ่งที่เกิดขึ้นในกุหลาบขาวจะไม่เกิดขึ้นอีก ฉันได้บอกเธออย่างชัดเจนแล้ว”


“แล้วถ้าเธอทำอีกละค่ะ? คราวนี้ฉันจะไม่อยู่เฉยแล้ว!”


ยี่ซอลอาได้กำหมัดแน่นและพูดออกมาอย่างมั่นใจ


ซอลจีฮูได้หัวเราะออกมาเบาๆ


“ฉันรู้ถึงประวัติระหว่างพวกเธอนะ เพราะงั้นฉันจะไม่บอกให้พวกเธอเข้ากันให้ดี แต่ว่า…”


‘ฉันได้คุยกับเธอ และเธอก็ไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไร มันอาจจะใช้เวลาแต่ว่าลองพัฒนาความสัมพันธ์ดูนะ’


ซอลจีฮูได้กลืนคำพูดเหล่านี้ลงคอไป เขารู้สึกเหมือนกับว่าการพูดออกไปแบบนี้มันจะคล้ายกันกับในตอนที่เขาเกือบจะบังคับให้ฟีโซราต้องขอโทษออกมา


มันไม่มีอะไรจะอ่อนไหวไปกว่าเรื่องความสัมพันธ์อีกแล้ว เพราะงั้นตอนนี้ซอลจีฮูได้ตัดสินใจถอยออกมาก่อน แทนที่จะเข้าไปสร้างปัญหาเพิ่ม การปล่อยให้เวลาเป็นตัวแก้ปัญหาคงจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด บางทีทั้งสองคนอาจจะทำงานร่วมกันได้ในสักวันเองก็ได้


หลังจากจัดการกับความคิดแล้ว ซอลจีฮูก็กล่าวลา และหันหน้าไป


ยี่ซอลอาไม่ได้จากไปทันที เธอได้ยืนนิ่งและสูดหายใจออกมาก่อนที่จะเดินเม้มปากแน่นลงไป


เมื่อเธอได้กลับมาถึงห้อง ยี่ซังจินก็ได้นั่งรอเธออยู่


“พี่สาวไปคุยอะไรกับพี่ชายหรอ?”


“ไม่มีอะไรหรอก มันก็แค่เรื่องปฏิบัติการน่ะ”


ยี่ซอลอาได้ตอบกลับไปเหมือนกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร จากนั้นเธอก็นอนลงไปบนเตียง


“พวกเราไม่ได้ไปร่วมปฏิบัติการใช่่ไหมครับ”


“คุณพี่บอกว่าคุณพี่ไม่ได้รู้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับที่นั่นเลย เพราะงั้นมันอันตรายเกินไป แต่ว่าคุณพี่ก็บอกว่าเราจะได้ไปกับเขาในปฏิบัติการต่อไป


ยี่ซังจินได้หยักหน้าอย่างอดไม่ได้


“ฟู่ววว เราต้องรีบแกร่งขึ้นจะดีกว่า ในตอนนี้เราก็เป็นได้แค่ตัวถ่วงของพี่ชายเท่านั้นเอง”


ยี่ซอลอาได้หน้ามุ่ยขึ้นมา


“คุณพี่ก็ยังบอกว่าคาเพเดี่ยมก็จะอยู่กับพี่สาวไปอีกสักพัก คุณพี่บอกว่ายังไม่ได้ตัดสินใจ แต่ว่ามันดูเหมือนคุณพี่จะรับเธอเข้าทีมมา”


น่าแปลกที่ยี่ซังจินดูไม่ตกใจเลย


“ผมก็คิดไว้แล้ว ผมได้ยินมาว่าเธอทำได้เยี่ยมมากในระหว่างสงคราม”


“งั้นหรอ? ฉันก็ยังไม่ชอบเลย ในตอนแรกคุณพี่ทำเหมือนจะไม่รับพี่สาวเข้าทีม แล้วในตอนนี้…”


ยี่ซังจินได้ผงะไป ยี่ซอลอาได้กลอกตาไปด้านข้าง และมองมาที่เขา


“น้องเห็นด้วยไหมล่ะ?”


“…พี่สาว”


น้ำเสียงของยี่ซังจินได้เบาลงไป


ยี่ซอลอาได้หันมามองเขาด้วยสีหน้าประมาณว่า ‘ทำไมถึงมองฉันแบบนั้นล่ะ?’


“พี่สาวคงไม่ได้หมายถึงว่าไม่ชอบสิ่งที่พี่ชายทำใช่ไหม?”


“หืม? ทำไมล่ะ?”


“ก็ที่พี่เพิ่งพูดไปไง ที่พี่บอกว่าไม่ชอบ แล้วก็การที่พี่ชายทำเหมือนกับว่าจะไม่รับเธอเข้าทีม”


“อ๊า แน่นอนว่าใคร! น้องคิดว่าฉันเป็นใครกัน?”


จากนั้นเธอก็ได้ถามออกมาด้วยสีหน้าไร้เดียงสา


“แต่ทำไมถึงจะคิดไม่ได้ล่ะ?”


“ใช่แล้ว ไม่ได้ พี่ทำไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด”


ด้วยการตอบกลับอย่างหนักแน่นของยี่ซังจินได้ทำให้ยี่ซอลอาเอียงหัวออกมา


“ทำไมล่ะ? เราเป็นเพื่อนร่วมทีมกันนะ”


“จุดยืนเราต่างออกไปนะพี่ พูดจริงๆแล้ว เราก็เป็นแค่ตัวถ่วงของพี่ชายเท่านั้นเอง”


“แต่ว่า-“


“นี่ไม่ใช่ทีมของเรา แต่ว่าเป็นทีมของพี่ชาย”


ยี่ซอลอาได้แสดงสีหน้าออกมาราวกับว่าเธอพูดไม่ออก จากนั้นเธอก็ยกตัวขึ้นมาอย่างไม่พอใจ


“ซังจิน พี่แค่ไม่ชอบคนๆนั้น น้องก็รู้นี่”


“ผมรู้ ผมก็ไม่ชอบเธอเหมือนกัน แต่ว่าพี่ชายก็ไม่ได้ต้องสนเรื่องที่ว่าเราขอบเธอไหมนี่นา ทั้งสองเรื่องนี้มันคนล่ะเรื่องกัน”


“เพราะงั้นน้องกำลังบอกว่าเราก็แค่ต้องเห็นด้วยกับสิ่งที่คุณพี่พูดงั้นหรอ?”


“แน่นอนว่าพวกเขาก็ท้วงได้ หากว่าพวกเราถูกกลั่นแกล้ง”


ยี่ซังจินได้พูดออกมาอย่างสงบ


“แต่ว่าเราก็ไม่เคยถูกกลั่นแกล้งแม้แต่ครั้งเดียวนับตั้งแต่ที่เราเข้าคาเพเดี่ยมมา แล้วก็พี่ชายก็ไม่ใช่คนที่จะปล่อยอะไรไว้ด้วยนะ”


ยี่ซอลอาดูเหมือนกับว่าเธอไม่อาจจะเข้าใจเรื่องนี้ได้เลย


“แล้วนี่น้องจะพูดอะไรกันล่ะ?”


ยี่ซังจินได้ถอนหายใจออกมา


“…พี่สาว ผมก็ชอบพี่สาวแบบนี้นะ แต่บางครั้งพี่ก็ตื่นตูมไปหน่อย”


“…”


“ผมก็แค่หวังว่าเราจะไม่ล้ำเส้นไป”


ยี่ซังจินได้พึมพำออกมาในขณะที่ค่อยๆหลบตาออกไป


ยี่ซอลอาได้จ้องยี่ซังจินอยู่นานก่อนที่จะกลับไปนอนลงบนเตียง เธอได้ดึงผ้าห่มขึ้นมาจนคลุมหัวเธอ


“ผมก็แค่บอกว่าเราควรที่จะรีบแกร่งขึ้น ด้วยวิธีนี้เราจะได้รักษาจุดยืน และมีสิทธิ์มีเสียงขึ้นมาได้”


ยี่ซอลอาไม่ได้ตอบกลับมา


‘ฉันพูดมากเกินไปหรือเปล่านะ?’ ยี่ซังจินได้เกาหัวขึ้นมา


“พวกเราจะเป็นแบบนี้ตลอดไปไม่ได้ นี่คือพาราไดซ์”


ด้วยแบบนี้ยี่ซังจินก็ถอนหายใจยาว และปิดไฟลง


“…ฉันรู้”


เมื่อความมืดเข้าปกคลุมเสียงพึมพำเบาๆก็ดังออกมาจากผ้าห่ม


***


วันต่อมา


ซอลจีฮูได้ออกจากสำนักงานคาเพเดี่ยมในตอนประมาณช่วงบ่าย


เขาได้มาเจอมาเรีย


เมื่อเขาได้ขอเข้าพบที่แผนกต้อนรับ หญิงสาวนักบวชที่แผนกต้อนรับก็เผยสหน้าไม่เต็มใจ เธอได้รีบเดินไปเหมือนกับลูกหมูถูกลากไปเชือด จากนั้นก็กลับมาในเวลาไม่ถึงห้านาที


สิ่งหนึ่งที่ควรรู้ก็คือผมที่เรียบร้อยของเธอได้ยุ่งเหยิงขึ้นมา


“ฉะ ฉันบอกเธอแล้ว”


“ผมเข้าไปได้ไหม?”


ก็ได้… แต่ว่าฉันแนะนำว่าอย่าเลย… แต่ก็ทำตามใจเถอะนะ”


นักบวชได้หลบสายตาของเขา


ดูเหมือนจะมีอะไรแปลกๆ แต่ว่าซอลจีฮูก็เดินเข้าไปโดยไม่ลังเล


จริงๆแล้วความเห็นของซอลจีฮูที่มีต่อมาเรียก็ไม่ได้แย่เลย ใช่แล้ว เธอชอบในเงิน แต่ว่าเขาก็ไม่คิดว่านั่นจะทำให้เธอถูกเรียกว่าคนบ้าทั้งหก


[…ความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ได้บอกว่าจะไว้ชีวิตเธอหากว่าเธอเผยตัวตนของนาย แต่ว่าเธอก็ปิดปากเงียบและทุบเขาด้วยโยเนียร์]


สิ่งที่โชฮงได้บอกกับเขาก็มากพอจะยืนยันในความซื่อสัตย์ของเธอแล้ว


‘เธอมีความสามารถ ซื่อสัตย์ แล้วก็ยึดมั่นในหลักการตอนที่เธอเอาจริง


[พี่ชาย ฉันอาจจะหน้าเงิน แต่ว่าฉันก็เป็นผู้หญิงที่ดีและมีศีลธรรม]


[หากว่าเป็นการสำรวจหรือปฏิบัติการก็เป็นคนล่ะเรื่อง แต่ว่านี่คือสงคราม มันเป็นหน้าที่ที่เราทุกคนต้องทำ… พี่ชายคิดจะทำให้ฉันเป็นยัยหน้าไม่อายหรอ?]


เมื่อนึกถึงคำพูดในวันนั้น ซอลจีฮูก็ยิ้มออกมา เขาได้หยิบอาร์ติแฟคออกมาจากกระเป๋า และเดินตัดเข้าไปในห้องโถง


“คุณมาเรีย! นี่ผมเองนะ!”


เมื่อเขาได้เข้ามาหน้าห้องของมาเรีย และเคาะประตู…


-กรี๊ดดดดดดด!


ทันใดนั้นเสียงร้องก็ดังออกมา พร้อมๆกันกับเสียงบางอย่างตกและกระแทก


“คุณมาเรีย?”


ซอลจีฮูได้รีบเปิดประตูเข้าไป จากนั้นเขาก็ต้องเอียงหัวในทันที นั่นมันก็เพราะขวดเหล้าได้ลอยเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว


เคร๊ง! ขวดได้ลอยออกไปชนกับกำแพงและแตกเป็นชิ้นๆ


ซอลจีฮูได้มองเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าสับสน


ห้องยังคงเละเหมือนเคย มาเรียดูเหมือนอยู่ระหว่างเก็บของ และถูกจับได้ในระหว่างกำลังจะหนี


“มะ มีอะไรหรอ? คุณไม่เป็นไรนะ?”


“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด!”


เมื่อซอลจีฮูได้เดินเข้าไป มาเรียก็รีบคว้าขวดเหล้ารอบตัว และเริ่มโยนออกมามั่วไปหมด


“ยะ อย่าเข้ามา!”


“เคร๊ง!”


“ไปซะ! ไสหัวไป! ได้โปรด!”


เคร๊ง!


“นายมันปีศาจดวงซวย! นายกำลังจะทำให้ฉันถังแตกอีกแล้ว!”


เคร๊ง!


ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งทำให้หลบขวดได้ยากขึ้นจนซอลจีฮูต้องเปิดใช้งานพรแห่งเซอร์คั่มเพื่อสร้างโล่ขึ้นมา จากนั้นเขาก็มองดูมาเรียที่กำลังหวาดกลัวและทำอะไรไม่ถูก


“คะ คุณมาเรีย?”


“กรี๊ดดดดดดดดด!”


มาเรียได้กุมหัวของเธอและร้องออกมาสุดเสียง จากนั้นเธอก็พึมพำคำที่เข้าใจยากออกมาก่อนที่จะคุ้ยพื้นห้อง


“ไสหัวไป! ฉันบอกให้ไสหัวไป!”


เธอดูเหมือนกับจะบ้าไปแล้วจริงๆ


“นายจะอยู่อีกนานแค่ไหนถึงจะพอใจ…?”


ขณะที่มาเรียกำลังถีบเท้าถอยออกไป สายตาของเธอก็ได้เห็นสิ่งของในมือของซอลจีฮู เธอกำลังมองมาที่อาร์ติแฟครูปใบกางเขนที่มือซ้ายของซอลจีฮู


‘นั่นมัน….’


ดวงตาของเธอได้สั่นไหว


ทำไมเขาถึงเอามันมา?


ในพริบตาเดียวหัวสมองของมาเรียก็ประมวลผลอย่างรวดเร็ว และได้ข้อสรุปออกมา


เธอลังเลอยู่แค่ครู่เดียวเท่านั้น ต่อมาร่างกายของเธอก็ขยับตามสัญชาตญาณโดยปล่อยขวดเหล้าทิ้งไป ทรุดตัวลงอย่างไร้เรี่ยวแรง เธอได้บิดใบหน้า เม้มปาก และเอาเลือดออกมาจากหัว จากนั้นก็ชะดิ้นชะงอเหมือนกับปลาเกยตื้น


ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างกระทันหันเหมือนกับเธอเคยทำมานับครั้งไม่ถ้วน


“คุณมาเรีย!”


ซอลจีฮูได้รีบวิ่งเข้าไปพยุงเธอเอาไว้ เสียงครางได้ดังออกมาจากปากของมาเรีย


“คุณไม่เป็นไรนะ”


ซอลจีฮูได้สั่นเธออย่างแรง และผมสีบลอนด์ของเธอก็ส่ายไปมาอย่างไร้พลัง


“…อ่า…”


เธอได้ค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบากเหมือนนางเอกที่เป็นโรคร้าย ริมฝีปากที่มีรอยกัดของเธอสั่นไหว เธออได้กระพริบตาอยู่หลายครั้งก่อนที่จะมองซอลจีฮูด้วยความสับสน


“คุณเข้าใจผมใช่ไหม?”


เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล มาเรียก็จับมือซ้ายของซอลจีฮูเอาไว้


ไม่นานนัก… เธอก็ค่อยๆขยับปากออกมา


“พี่… ชาย?”


น้ำเสียงที่อ่อนแรง และสั่นเทาได้ดังขึ้น


บทที่ 208 – ล่าทาส (2)


หลังจากค่อยๆลืมตาขึ้นมาแล้ว มาเรียก็ดูจะสับสนมากๆ


เธอได้มองไปรอบๆห้องอย่างตื่นตัวเหมือนกับเด็กที่เพิ่งตื่นมาจากฝันร้าย


“อย่าบอกนะว่า… ฉันทำมันไปอีกแล้ว…?”


เธอได้หยุดจ้องไปที่เศษแก้วที่แตกละเอียดก่อนที่จะเริ่มสะอื้นออกมา


มันไม่มีน้ำตาไหลออกมาจากตาของเธอ


แต่ว่ามาเรียก็ได้ร้องออกมาอย่างโศกเศร้าในอ้อมกอดของซอลจีฮู ในเวลาเดียวกันเธอก็ยังคงไม่ปล่อยมือซ้ายของเขาที่ถือไม้กางเขนเอาไว้


“คุณมาเรีย…”


ซอลจีฮูได้ลูบหลังเธอด้วยสีหน้าแปลกๆ


จู่ๆก็ชะกระตุก สงบลง แล้วตอนนี้ก็ร้องไห้


ในตอนแรกที่ได้ยินว่าเธอบ้าไปเขาก็ค่อนข้างจะสงสัยอยู่ แต่ว่าในตอนนี้เมื่อได้เห็นอะไรแปลกๆในหัวของเธอ เธอก็คงจะเกิดแผลใจขึ้นหลังจากต้องผ่านประสบการณ์เฉียดตายในระหว่างสงครามก็ได้


ซอลจีฮููที่เข้าใจในสถานการณ์ของเธอผิดไปเอง ได้ยิ่งรู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิม


ไม่นานนักมาเรียก็หยุดร้องไห้ และเช็ดน้ำตาออกไป


แต่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียวออกมา


“ขอโทษนะ… ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นพี่ชาย…”


“เกิดอะไรขึ้น? นี่คุณฝันร้ายงั้นหรอ?”


เมื่อได้เห็นถึงความกังวลของเขา มาเรียก็ค่อยๆส่ายหัวออกมา


“ฉันไม่รู้… บางทีฉันก็อาจจะกำลังฝัน… หรือไม่ก็เห็นภาพหลอน…”


‘พระเจ้า!’


ซอลจีฮูได้อ้าปากค้างออกมา เธอหนักถึงขั้นนี้แล้วงั้นหรอ นี่มันไม่ตลกแล้ว


“ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว คุณมาเรียยืนขึ้น คุณต้องได้รับการรักษา…!”


“ไม่! ไม่ได้”


มาเรียได้สะดุ้งขึ้นมาก่อนจะบิดตัวขัดขืน ดวงตาซอลจีฮูได้เบิกกว้างขึ้นมา


“ทำไมกันล่ะ?”


“ฉะ ฉันได้ลองรับการรักษาแล้ว”


“มันไม่ได้ผลหรอ?”


“ไม่เลย สิ่งที่ฉันเจอในตอนนี้มันไม่ใช่ปัญหาที่ร่างกาย แต่เป็นจิตใจ มันไม่ใช่สิ่งที่เวทย์รักษาจะแก้ไขได้”


มาเรียได้รีบพูดทั้งหมดนี้ออกมา บาดแผลทางจิตใจไม่อาจจะใช้เวทย์รักษาได้ ซอลจีฮูที่ก็รู้ถึงเรื่องนี้ได้เม้มปากออกมา


“ถ้างั้นเป็นที่โลกเราล่ะ?”


“ฉันก็ไปมาแล้ว ฉันได้พยายามลืมทุกอย่างและพักผ่อน แต่ว่ามันก็ไม่ได้แสดงสัญญาณว่าดีขึ้นเลย ในท้ายที่สุดแล้ว ฉัน…”


มาเรียไม่อาจจะพูดจนจบประโยคได้ เมื่อได้เห็นเด็กสาวผมบลอนด์กำลังสะอื้น ดวงตาซอลจีฮูก็หม่นหมองลง


เธอจะต้องเจออะไรมาบ้างกันนะ? แก้มที่เคยแดงเปล่งปลั่งของเธอในตอนนี้ได้ซีดตอบ


จริงๆแล้วนี่คือผลจากการที่เธอได้ใช้เวลาทุกวันไปกับการดื่มเหล้า แต่ว่าซอลจีฮูที่ไม่ได้รู้เรื่องนี้เลยได้กอดมาเรียแน่นด้วยความเห็นใจ


“มันคงจะลำบากมากสินะครับ”


“…อื้อ!”


มาเรียได้หยักหน้าโดยที่ยังผิงหน้าอกของเขาราวกับว่าเธอได้รอเวลานี้มาตลอด


“ฉันได้รวบรวมความกล้าทั้งหมดเข้าร่วมสงคราม…”


‘นายบอกว่านายจะปกป้องฉัน ไอ้สารเลว’


“ผู้บัญชาการกองทัพน่ากลัวมาก…”


‘นายมันคือไอ้บ้าที่ตัวห่านั่นถามหาใช่ไหม? เชี้ยเอ้ย ฉันไม่คิดว่ามันจะมาฉันกระทันหันแบบนั้น!’


“แต่… แต่ว่าฉันได้พยายามเต็มที่ที่จะช่วยพี่…”


‘อาร์ติแฟคของฉานนน!’


“ฉันต้องลำบากมาก แต่ว่าไม่มีใครช่วยฉันเลย….!”


‘ช่างแม่งให้หมดเลย หากว่านายตื่นแล้ว ไม่ใช่ว่าอย่างน้อยนายก็ควรมาหาฉันหรอกหรอ? ไอ้เวร นายยังเป็นมนุษย์อยู่ไหม? นายมันไอ้สารเลวตัวจริงเลย!’


ภายในใจของมาเรียกำลังสบถออกมาอย่างเต็มที่


แน่นอนว่าซอลจีฮูที่อ่านใจเธอไม่ได้ก็ยังคงลูบหลังเธอด้วยความเห็นใจเธอต่อไป


“อืม อืม คุณทำได้ดีมากคุณมาเรีย ผมควรจะมาหาคุณให้เร็วกว่านี้….”


“ก็เออสิ ไอ้เวรเอ้ย”


มาเรียได้พูดสิ่งที่คิดออกมา จากนั้นก็รีบเงียบไป


“…ว่าไงนะครับ?”


“มะ ไม่มีอะไร จู่ๆพี่ชายก็ดูเหมือนกับผู้บัญชาการกองทัพ…”


เธอได้ปิดปากและยิ้มแห้งๆออกมา จากนั้นเธอก็มองมาที่อาร์ติแฟคไม้กางเขนด้วยตาเป็นประกาย


“แล้วนั่นคืออะไรหรอ?”


“อ่อ ผมเอามันมาให้คุณ”


‘เยี่ยมเลย! นี่มันเป็นอย่างที่คิดไว้’


มาเรียได้กำหมัดแน่น การอดกลั้นความโกรธ และการแสดงออกของเธอมันดูเหมือนกับว่าเธอกำลังมีปัญหาอยู่


“ผมได้ยินมาว่าคุณมาเรียได้จัดการโจมตีใส่ความหมั่นเพียรอันนิรันดร์อย่างรุนแรง ถึงขนาดใช้พิธีกรรมอัญเชิญโยเนียร์เลยนะ”


“ไปได้ยินมาจากไหนกัน? น่าอายจริงๆเลย”


“อาย? ผมคิดว่ามันน่าทึ่งมาก! นี่อย่าปฏิเสธเลยนะ นี่มันเป็นของคุณนะ คุณมาเรีย”


“ไม่… ฉันรับมันไม่ได้… ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย…”


ร่างกายของเธอได้กระทำอย่างซื่อตรงต่างไปจากปากของเธอ


“ฟู่ววว…”


หลังจากได้รับเอาอาร์ติแฟคมาแล้ว เธอก็ได้ถอนหายใจยาวออกมา


ซอลจีฮูได้มองดูหญิงสาวกำลังยิ้มโล่งใจด้วยสีหน้าหวั่นใจ


เมื่อตะกี้นี้เธอทำหน้าเหมือนกับจะตายได้อยู่ตลอดเวลา แต่ว่าเลือดได้กลับมาที่หน้าซีดๆของเธอ และแก้มของเธอที่ตอบก็กลายเป็นอวบอิ่มและอมชมพูขึ้นมาอีกครั้ง


ริมฝีปากของเธอก็กลับมาเป็นสีปกติ และม่านตาของมาเรียก็ไม่ได้พร่ามัวอีกต่อไป สายตาที่นิ่งสงบของเธอได้จ้องมาที่ซอลจีฮู


นี่เธอรู้สึกซาบซึ้งกับอาร์ติแฟคงั้นหรอ? ไม่เลย


‘ไม่เลยสักนิด!’


นี่มันเป็นการขาดทุนชัดๆ


เมื่อคำนึงถึงปัญหาทั้งหมดที่เธอต้องป่านมา และเกือบจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว…


มาเรียก็ตัวสั่นขึ้นมา


ตอนนี้เหลือแค่สิ่งเดียวเท่านั้นที่จะต้องทำ นั่นก็คืออย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับชายหนุ่มคนนี้อีก


โชคดีที่เธอก็มีข้ออ้างดีๆแล้ว มาเรียได้อ้าปากพูดออกมา


“แต่ว่า… ทำไมพี่ชายถึงมาล่ะ…? เพื่อให้เจ้านี่…?”


“เอ่อ ผมมาชวนคุณมาเรียไปร่วมปฏิบัติการกับคาเพเดี่ยม…”


เป็นอย่างที่เธอคิดเลย มาเรียได้เผยรอยยิ้มออกมาอย่างโศกเศร้า


“โอ้ไม่ ฉันก็อยากนะ แต่ว่าร่างกายของฉัน…”


ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมา


“ใช่แล้ว ผมคิดว่ามันคงช่วยไม่ได้ ผมจะบังคับลากคนที่บาดเจ็บไปกัผม…”


เขาได้ยอมถอยอย่างไม่น่าเชื่อเลย


‘ใช่แล้ว หากว่าเขาไม่ทำแบบนี้ เขาก็คงเป็นมนุษย์ที่ไม่มีมโนธรรมแล้วล่ะ! ไม่สิ เขามันปีศาจ!’


มาเรียได้ตัดสินใจทึ่จะตอกตะปูปิดฝาโลงทันที


“ใช่แล้ว ต่อให้ฉันตายฉันก็ไม่คิดว่าจะไป หากว่าพี่ชายต้องการนักบวชจริงๆล่ะก็ ฉันก็จะแนะนำให้ ฉันรู้จักคนดีๆอยู่นะ พี่ชายเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากๆ เพราะงั้นฉันมั่นใจว่าเธอจะต้องตอบตกลงในทันทีแน่ๆ”


เธอไม่ได้โกหก เธอจะแนะนำนักบวชคนหนึ่งให้กับเขาจริงๆ


เมื่อเธอได้คิดเรื่องที่ว่านักบวชจะต้องทุกข์ทรมานกับชะตากรรมแบบเดียวกับเธอแล้ว เธอก็รู้สึกดีขึ้นเป็นพันเท่า


“ผมไม่รู้สิ”


ยังไงก็ตามการตอบรับจากซอลจีฮูค่อนข้างจะน้อย


“ขอบคุณสำหรับข้อเสนอนะครับ แต่ว่า… มันเป็นการเสียเปล่าที่จะแบ่งของให้กับคนที่เราไม่ได้รู้จัก…”


เขาได้พึมพำออกมาราวกับกำลังพูดกับตัวเอง แต่ว่าหูของมาเรียไม่ได้ฟังผิดไป


‘มันเป็นการเสียเปล่าที่จะแบ่งของให้กับคนที่เราไม่ได้รู้จัก’


หูเธอได้ผึ่งขึ้นมา


‘ไม่!’


เธอได้สะบัดความคิดนี้ออกไป เธอจะไม่ยอมหลงกลอีกแล้ว


แต่ว่า… เธอก็ได้ถามออกไปเพื่อเป็นมารยาท


“ทำไมล่ะ? มีอะไรอีกแล้วหรอ?”


“นี่มันเป็นปฏิบัติการที่ดีจริงๆ… คุณมาเรียคิดว่าคนๆนั้นจะตอบตกลงไหมหากว่าผมมอบเงินให้เขาล่วงหน้าเป็นจำนวนมากเพื่อแลกกับการที่เขาจะไม่แบ่งของที่ได้ไป?”


“ฉันก็ไม่รู้สิ แต่ว่าคนปกติแล้วจะไม่ยอมรับในข้อเสนอแบบนี้… พี่ชายคิดจะจ่ายมากขนาดไหนกันล่ะ? ลองบอกฉันหน่อย ฉันจะได้ส่งข้อความไปให้เธอได้”


ซอลจีฮูได้หยิบเอากระเป๋าออกมา


‘ฮึ่ม ฉันพนันได้เลยว่ามันคงไม่มากนัก…’


มาจนถึงจุดนี้แล้วมาเรียไม่ได้มีความต้องการที่จะเข้าร่วมปฏิบัติการเลยสักนิด เธอถามไปแค่เพราะความสงสัยเท่านั้นเอง เธอมั่นใจมากว่าเธอจะไม่ขยับแม้แต่นิดต่อให้เขาจะเอาเหรียญเงินออกมาเป็นร้อยเหรียญก็ตาม


แต่ว่านั่นมันก็จนกระทั่งซอลจีฮูเอาไข่วางลงบนโต๊ะเท่านั้น


เมื่อมาเรียได้เห็นไข่สีเหลืองทอง ดวงตาของเธอก็เกือบจะถลนออกมาจากเบ้า


ซอลจีฮูได้ใช้นิ้วชี้ไปที่ไข่ทองคำเปล่งประกาย


“นี่มันพอไหม?”


‘อะ ไอ้เวรนี่!?’


ดวงตามาเรียได้เริ่มหมุนวน


มันไม่ใช่เงิน


ไม่ว่าเธอจะขยี้ตากี่ครั้ง เธอก็ยังเห็นไข่ มันคือทอง ทองคำ!


แถมยังมีขนาดใหญ่อีกด้วย มันเทียบเท่ากับสองเหรียญทองได้เลย


เธอคิดว่าเธอได้ควบคุมใจเอาไว้แล้ว แต่ว่า… น้ำลายก็ได้ไหลออกมาจากปากที่อ้ากว้างของเธอ


“อึก”


มาเรียได้รีบเช็ดน้ำลายออกไป และพูดขึ้นมา


“พะ พี่ชาย นี่พี่บ้าไปแล้วหรอ? จ่ายล่วงหน้าด้วยทองคำเนี้ยนะ?”


“ใช่แล้วล่ะ แต่ว่าเธอจะไม่ได้รับส่วนแบ่งใดๆจากปฏิบัติการนี้ นี่คือเงื่อนไข”


ซ่าาาาห์!


ภายในใจของมาเรียกำลังคำนวนอย่างรวดเร็วด้วยความคิดวัตถุนิยมของเธอ มีเหตุผลง่ายๆที่ทำให้มาเรียได้กลายมาเป็นหนึ่งในคนบ้าทั้งหก


เงิน


มันก็เพราะว่าเธอคลั่งไปกับเรื่องของเงินตรา


เธอได้คำนวณทุกๆอย่างในโลกนี้ด้วยเงินตรา


ผู้คน? ชื่อเสียง?


ช่างแม่งสิ


มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่เธอสนก็คือมันจะได้กำไรหรือไม่เท่านั้นเอง


“…ฟุดฟิดๆ”


อย่างในตอนนี้มาเรียกำลังสูดดมกลิ่นของทองคำด้วยจมูกของเธอ เธอไม่เคยได้กลิ่นอะไรที่รุนแรงแบบนี้มาก่อนเลย


อึก มาเรียได้กลืนน้ำลาย และมองไปที่ซอลจีฮูด้วยสีหน้าซับซ้อน


‘เชี้ยยยย….’


มาเรียได้กัดริมฝีปากของตัวเอง


‘นี่มันรู้สึกเหมือนกับหุ้นตกลงกำลัง…’


หุ้นตกลง


มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะเชื่อว่าหุ้นที่ดิ่งลงจะพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง อย่างน้อยมันก็ในความเห็นของมาเรีย


[คนโง่ที่คิดว่าพวกเขากำลังใช้ชีวิตอยู่บนพื้น… จะได้มองดูอยู่ที่ชั้นใต้ดิน]


เมื่อนึกถึงคำพูดของหนังที่เธอเคยดูมา มาเรียก็ได้สูดหายใจเข้าลึกๆ


นี่มันคือสถานการณ์ที่มาเรียกำลังอยู่ชัดๆ


เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว มันไม่เคยมีอะไรดีเลยเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับซอลจีฮู


ในเขตพื้นที่เป็นกลาง เธอต้องออกมาก่อนหลังจากที่ใช้เครื่องเซ่นของเธอไปแล้ว


ที่หมู่บ้านแรมแมน เธอก็ได้เจอกับประสบการณ์เฉียดตาย และต้องยอมทิ้งอาร์ติแฟคชิ้นสำคัญไปเป็นเครื่องเซ่น


ในสงครามเธอคิดว่าเธอจะตายไปแล้วจริงๆ และได้ใช้อาร์ติแฟคที่เธอใช้เงินเก็บทั้งหมดซื้อมาไปเป็นเครื่องเซ่น


หากว่าเธอยังคงตกลงไปมากกว่านี้อีก มันก็คงจะเป็นนรกจริงๆแล้วล่ะ


แต่ว่าหากจะบอกว่าเธอไม่ลังเลเลยก็ไม่ใช่


‘มันไม่ใช่ว่าเขาไร้ฝีมือ…’


เธอสามารถจะบอกได้ง่ายๆเลยจากการที่เขามอบเหรียญทองกับอาร์ติแฟคมาได้ง่ายๆ เขาไม่ได้กำลังโอ้เอียด แต่ว่าเขามีความสามารถที่จะรับมือกับรายจ่ายขนาดนี้ได้จริงๆ


เมื่อคิดแบบนี้ความโลภของเธอก็ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง


‘วะ เวลาไม่อาจจะย้อนกลับไปได้…?’


ภายในหัวของเธอกำลังบอกว่าไม่ แต่ว่าร่างกายของเธอกำลังตะโกนออกมาว่า ‘หุ้นซอลจีฮูได้ตกลงมาพอแล้ว! มันถึงเวลาที่จะพุ่งกระฉูดแล้ว!’


ในแง่ของชื่อเสียงแล้ว อนาคตของสินค้าตรงหน้าเธอนี้สามารถจะคาดหวังได้อย่างไร้ขีดสุด การซื้อมันมาในตอนที่ยังราคาถูกจะเป็นวิธีที่ทำให้ได้กำไรสูงสุด มันจะไม่มีเวลาไหนที่ดีไปกว่านี้แล้ว


‘…ใช่แล้วล่ะ’


นายฆ่าฉันไปแล้วครั้งหนึ่ง แล้วงั้นนายจะทำมันอีกได้ยังไงกันล่ะ? มันถึงเวลาบอกลาความขมขื่นแล้ว มาเรียได้พึมพำกับตัวเอง กล้ำกลืนน้ำตาและตัดสินใจออกมา


จากนั้นเธอก็พูดขึ้นอย่างหนักแน่น


“เธออาจจะไม่ตกลง”


“หรอครับ?”


“ต่อให้เสนอเป็นทองคำ นักบวชก็ยังคิดว่ามันไม่ดีที่จะตอบรับข้อเสนอของพี่ชายก็เพราะว่าศักดิ์ศรีของพวกเขา”


โกหกแหละ หากได้เห็นไข่ทองคำนี่ นักบวชหน้าไหนๆก็ทำได้กระทั่งคุกเข่าเห่าออกมาด้วยซ้ำไป


“เอาเถอะนะ คงไม่มีทางเลือกแล้วสินะ ยังไงก็ขอบคุณนะ พักผ่อนเถอะครับคุณมาเรีย”


เมื่อซอลจีฮูได้หันหลังไปอย่างเสียใจ…


“ก็ช่วยไม่ได้นะ ฉันจะไปเอง”


มาเรียได้รีบหยุดเขาเอาไว้


“หืม? แต่ว่าคุณ-“


“ฉันก็แค่เหนื่อยเท่านั้นเอง หน้าต่างสถานะบอกฉันว่าฉันปกติดี พี่ชายก็คงไม่สงสัยในตัวฉันใช่ไหมล่ะ?”


“แต่ว่าพักสักหน่อยจะไม่ดีกว่าหรอ…?”


“ในเมื่อฉันได้พักมาหลายเดือนแล้ว มันก็ถึงเวลาที่ฉันจะต้องหาวิธีอื่นแก้มันแล้ว ใครจะรู้ล่ะ? บางทีการออกไปข้างนอกก็อาจจะดีก็ได้ ช่วงนี้ฉันก็รู้สึกอุดอู้อยู่เหมือนกัน การได้สูดอากาศบริสุทธิ์อาจจะทำให้ฉันดีขึ้นก็ได้”


มาเรียได้พล่ามออกมาไม่หยุด


“จริงหรอ? คุณจะไม่เป็นไรนะ?”


“แน่นอนสิ! ฉันยิ่งกว่าสบายดีซะอีก”


ยังไงก็ตามเธอก็ยังดูเหมือนมีร่องรอยของความสงสัยและกังวลอยู่ เธอได้มองไปที่ไข่ทองคำ และพูดออกมา


“พี่ชาย~ ถ้าแบบนี้ ฉัน-“


“ไม่”


ยังไงก็ตามซอลจีฮูได้ปฏิเสธออกมา


“ในตอนนี้ ผมก็จะไม่ตอบว่าตกลงต่อให้เป็นคุณมาเรียก็ตาม แน่นอนว่าหากคุณมาเรียอยากจะได้เงื่อนไขก่อนหน้านี้ก็ได้เช่นกัน มันคือตัวเลือกของคุณ… แต่ว่าโดยส่วนตัวแล้วผมไม่คิดว่าคุณควรจะทำแบบนั้น”


เมื่อดูจากท่าทีจริงจังของเขา มันดูเหมือนกับว่าเขาจะไม่ยอมรับเงื่อนไขอื่นอีก


“จะ จริงหรอ?”


“ใช่แล้ว เรากำลังพูดถึงทองคำกันนะ ไม่ใช่เงิน… ไม่ต้องห่วงหรอก ทั้งคุณคาซุกิ กับเจ้าหญิงเทเรซ่าต่างก็ได้รับข้อเสนอด้วยเงื่อนไขเดียวกัน”


‘อะไรนะ?’


นักธนูจอมเย็นชากับเจ้าหญิงจอมละเอียดอ่อน


เมื่อได้ยินแบบนี้ เธอก็กลายเป็นมั่นใจขึ้นมา


มันจะต้องมีเหตุผลที่ทำให้ทั้งสองคนเข้าร่วมปฏิบัติการแน่ๆ ไม่เช่นนั้นพวกเขาทั้งคู่ก็คงจะไม่เข้าร่วมในเมื่อคนหนึ่งต้องยุ่งกับการตั้งทีม และอีกคนต้องรับมือกับสภาพการเงินของอาณาจักร


“เข้าใจแล้ว ถ้างั้นก็ได้”


“ขอบคุณที่เข้าใจกันนะครับ ยังไงก็ตาม เดี๋ยวผมจะบอกถึงแผนแล้วก็เงื่อนไขโดยละเอียด”


“ได้เลย แต่ว่าก่อนหน้านั้น….”


ทันใดนั้นมาเรียก็เข้ามาเกาะซอลจีฮู เธอได้แอบคล้องแขนเขา และพูดขึ้นนิ่งๆ


“พี่ชายยย ฉันหิวอะ”


“โอ้ ถ้างั้นเราก็ออกไปหาอะไรกินกันก่อนดีไหม?”


มาเรียได้เงยหน้ามองซอลจีฮู ก่อนจะหยักหน้าออกมา


“อื้อๆ! ซื้อของอร่อยๆให้ฉันเยอะๆเลยนะ!”


“ได้เลย แต่ว่าอย่าเกาะผมแบบนี้สิ…”


“อ๊าาา~ มันก็เพราะฉันเหนื่อยนี่นา~”


เมื่อได้ข้ามเส้นมาแล้วจะไม่ย้อนกลับไป


นี่คือกฏเหล็กของมาเรีย


และเพราะงั้นมาเรียจึงเกาะซอลจีฮูเหมือนกับปลิง


***


ปฏิบัติการได้เริ่มเป็นรูปร่างมากยิ่งขึ้นเมื่อพวกเขาได้นักบวชมา พวกเขาได้ทำส่วนที่ยากที่สุดสำเร็จไปแล้ว และในตอนนี้เหลือก็แค่ขั้นตอนสุดท้ายเท่านั้น


จางมัลดงได้อวยพรให้เขาโชคดี จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่ภูเขาหินยักษ์พร้อมกับสองพี่น้องยี่


หลังจากตรวจดูของที่จำเป็นสำหรับปฏิบัติการแล้ว ซอลจีฮูก็ได้ไปที่คอกม้า แม้ว่าจุดหมายของพวกเขาจะเป็นเขตพรมแดน แต่ว่าการหารถม้าก็ไม่ได้ยากเกินไปเพราะที่นั่นอยู่ใกล้กับฝั่งสหพันธรัฐมากกว่า


ด้วยการเพิ่มเงินพิเศษไปหน่อย ซอลจีฮูก็สามารถจะเซ็นต์สัญญารถม้าที่ใช้เดินทางไปเขตพรมแดนได้สองคัน


ในสุดท้ายเขาก็ได้ซื้อชุดหอกกับเกราะธรรมดามาโดยคิดว่าจะใช้มันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เขารู้ว่าเขาจะสามารถซื้ออุปกรณ์ที่ดีขึ้นได้เมื่อเขาได้เจอกับมรดก เพราะงั้นเขาไม่อยากที่จะใช้จ่ายไปโดยไม่จำเป็น


วันเวลาได้ผ่านไป และวันเดินทางก็ได้มาถึง


ประตูทางใต้ของฮารามาร์คนั้นเงื่อนสงบ บางทีอาจจะเพราะว่ามันยังเช้าอยู่


“อ๊า เขามาแล้ว”


“ซอลลล!”


คาซุกิกับเทเรซ่าได้มาถึงแล้ว และกำลังคุยกันอยู่ มาเรียก็มาได้ตรงเวลาเช่นกัน


แปดคน เป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงห้าคน และระดับ 4 สามคน


นี่เป็นทีมที่น่าเกรงขามที่มีระดับโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 4.6


หลังจากกล่าวทักทายกันสั้นๆแล้ว ซอลจีฮูก็ได้มองไปรอบๆด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ เขารู้สึกเหมือนกับว่าเมื่อวานเขายังมาที่ฮารามาร์คโดยไม่มีอะไรเลยนอกจากกระเป๋า แต่ว่าในตอนนี้เขากำลังนำทีมปฏิบัติการที่มีความสามารถสูงแบบนี้


เมื่อทุกๆคนได้มาถึง พวกเขาก็ได้แบ่งกันเป็นสองกลุ่ม กลุ่มล่ะสีคน และแยกกันไปขึ้นรถม้า


นักธนูสองคนคาซุกินกับมาแชล จิโอเนียได้แยกออกมาจากกันเป็นคู่แรก และคนที่เหลือก็ตัดสินใจกันเองว่าอยากขึ้นรถม้าคันไหน


ซอลจีฮูได้ชั่งใจว่าจะนั่งคันไหนก่อนที่จะเห็นฟีโซรากระโดดขึ้นรถม้าของคาซุกิ และได้ตามเธอไป นี่มันก็เพราะเขารู้สึกว่าเขาจะไม่เบื่อในระหว่างการเดินทาง


จากนั้นในทันทีที่เขานั่งลงอยู่ด้านใน เทเรซ่าก็รีบเข้ามา และปิดประตูลง


-เชี้ย!


มาเรียได้ตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจที่ช้าไปก้าวหนึ่ง


“เต็มแล้วน้า~”


เทเรซ่าได้พูดออกมาอย่างสดใสก่อนที่จะนั่งลงข้างๆซอลจีฮู และฮัมเพลงออกมา


“ทำไมเธอถึงอารมณ์ดีแบบนั้นล่ะ?”


ฟีโซราได้เริ่มคุยกับเธอ


เทเรซ่าได้ยิ้มแปลกๆออกมา


“เพราะว่าฉันได้รับของขวัญดีๆมา”


“ของขวัญ?”


“อา บางทีมันอาจจะเป็นของขวัญที่ลามกสักหน่อย”


เทเรซ่าที่พูดแบบนี้ได้เหลือบมองซอลจีฮูและหัวเราะออกมา


คิ้วของฟีโซราได้ขมวดขึ้นมา หลังจากมองดูเทเรซ่าอย่างเมินเฉยแล้ว เธอก็แอบดึงคอเสื้อของเธอเอง และมองลงไป


จากนั้นเธอก็มองไปที่เทเรซ่า


“เป็นไปได้ไหมว่า”


ฟีโซราได้มองลงไปที่คอเสื้ออีกครั้ง และถามออกมา


“เธอก็ยัง…?”


เทเรซ่าได้กระพริบตาออกมา


“?”


“เธอใส่พวกมันอยู่หรอ?”


“หืม?”


“ฉันก็มีเหมือนกัน”


เมื่อเห็นเทเรซ่าขยับข้างมาที่เสื้อของเธอ ฟีโซราก็ปล่อยือและหยักหน้าออกมา


“มันรู้สึกเสียเปล่าที่จะโยนมันทิ้งไป เพราะงั้นฉันก็เลยลองใส่ดู มันก็ดีแหละ แถมยังพอดีตัวเลยด้วย”


เทเรซ่าได้กลายเป็นมึนงงขึ้นมา ไม่นานนักเธอก็หรี่ตามองไปด้านข้าง


ยังไงก็ตามซอลจีฮูกำลังสนใจสิ่งอื่นอยู่ พูดให้ชัดคือเขาได้เปิดประตูเล็กน้อย และกำลังมองดูกำแพงเมืองฮารามาร์ค


ปฏิบัติการนี้อาจจะเป็นภารกิจสุดท้ายในฮารามาร์คของเขาแล้ว


แม้ว่าเขาจะจากไปเพื่อไปในจุดที่สูงกว่าเดิม แต่เขาก็ยังรู้สึกยึดติดอยู่กับที่นี่ มันคือที่ที่ทำให้เขาได้เติบโตขึ้นมาในพาราไดซ์


ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมฟีโซราถึงไม่อาจจะทิ้งกุหลาบขาวได้ง่ายๆ


ไม่นานนักคนขับรถม้าก็ตะโกนออกมา


เมื่อรถม้าดูเหมือนจะเริ่มขยับแล้ว ซอลจีฮูก็ปิดประตูลง เขาได้กัดฟันแน่นพร้อมทั้งรู้สึกถึงอารมณ์ที่อธิบายไม่ได้พวยพุ่งอยู่ในตัว


‘ในที่สุด!’


ในที่สุดสัญญาณแห่งการเดินทางของปฏิบัติการแรกและสุดท้ายที่ซอลจีฮูได้วางแผนและดำเนินการในฮารามาร์คก็ได้เริ่มต้นขึ้น


***


หลังจากออกจากฮารามาร์ค กลุ่มพวกเขาก็ได้มุ่งหน้าสู่ทางใต้ เนื่องจากว่าอีวาเป็นเมืองที่ใกล้กับสหพันธรัฐที่สุด การไปที่นั่นจึงค่อนข้างจะใช้เวลาพอสมควร


‘มันไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัย’


เพราะว่าถนนไม่ได้รับการดูแลอย่างดีเหมือนกับถนนซาร่าห์ที่ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างสกีเฮราซาร์ดกับฮารามาร์ค เขาจึงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับทุกอย่าง


รถม้าได้ออกวิ่งเต็มกำลังหลังจากออกมาจากฮารามาร์ค รถม้าไม่ได้หยุดพักเลยแม้แต่นิด ยกเว้นก็แค่เสียงพวกเขาหยุดตั้งแคมป์หรือหยุดพักม้าเท่านั้น


แทนที่จะพูดว่าโชคดี มันก็คงต้องขอบคุณคาซุกิมากกว่า


สมแล้วที่เป็นระดับสูงในหมู่ระดับสูง นักธนูที่ชาวฮารามาร์คจะคิดถึงเป็นคนแรก เขาได้ตรวจพบตัวตนที่เข้ามาใกล้รถม้า และเปลี่ยนเส้นทางรถม้าไปได้ในทันที


มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่กลุ่มได้เจอกับสัตว์ป่าหิวกระหายเข้าโจมตี แต่ว่าพวกเขาก็ได้ลูกธนูของคาซุกิกับมาแชล จิโอเนียจัดการไปโดยที่พวกมันยังไม่ทันได้เข้าใกล้


แม้กระทั่งโชฮงก็ยังบ่นว่าไม่มีอะไรให้ทำเลย


ขณะที่ทุกๆอย่างกำลังเป็นไปอย่างราบรื่นก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา มันเกิดขึ้นในวันที่ห้า


“หาวววว-“


ขณะที่ซอลจีฮูกกำลังมองดูฟีโซราหาวออกมาอย่างเบื่อหน่าย ฟีโซราก็สังเกตเห็นสายตาของเขา เธอได้ปิดปากลงและมองกลับมา


“มองหาอะไรล่ะ?”


“ลิ้นไก่ของคุณ”


“ทำไมนายถึงมองลิ้นไก่ของฉัน?? นายเป็นโรคจิตงั้นหรอ?”


“ไม่ ผมก็แค่สนใจสิ่งที่มันห้อยลงมา”


“นายคิดว่ามันน่าสนใจงั้นหรอ? นี่คือมารยาทที่นายมีกับผู้หญิงงั้นสิ?”


จากนั้นเธอก็รีบหันหลังกลับไปมองรอบตัว เธอได้ขมวดคิ้วขึ้น และถามออกมาด้วยสีหน้าสับสน


“รถม้าชะลอความเร็วลงหน่อยนึง… ใช่ไหม?”


“พวกเราเพิ่งจะออกมาจากที่รกร้าง ถ้าเราวิ่งเร็วบนเส้นทางป่า ล้ออาจจะเสียหายหรือรถม้าจะผลิกคว่ำได้”


ซอลจีฮูได้ตอบกลับมาอย่างชัดเจน แต่ว่าฟีโซราได้เอียงหัวออกมา


“จริงงั้นหรอ? แต่นี่มันช้าไปไหม? ฉันรู้สึกได้อย่างชัดเจน”


“บางทีตอนนี้คุณคาซุกิอาจจะกำลังควบคุมความเร็วอยู่ ผมมั่นใจว่าหากมีอะไรเกิดขึ้น เขาจะต้องบอกเราแน่”


ซอลจีฮูได้ชี้ไปบนเพดานและพูดขึ้น


“เอาเถอะนะ นั่นก็จริง…”


ฟีโซราได้เกาหัว จากนั้นก็แค่นเสียงออกมาเมื่อเห็นเทเรซ่าใช้น่องซอลจีฮูเป็นหมอนนอนหลับไป


“เธอจะนอนไปอีกนานแค่ไหน? เธอดูเหมือนกับหญิงสาวที่สง่างาม แต่ดูที่เธอทำสิ… ยังไงก็เถอะ เรายังต้องไปอีกไกลแค่ไหน?”


“เราจะไปถึงเขตพรมแดนของมนุษย์ในวันพรุ่งนี้”


“แต่ว่าหลังจากนั้นเราจะต้องเดินกัน”


“มันก็ไม่ได้ไกลหรอก รถม้าน่าจะไปส่งถึงทางเข้าพรมแดน-“


จากนั้นเองจู่ๆม้าก็เริ่มร้องออกมา


ต่อมารถม้าก็ได้ส่ายพร้อมเสียงดังลั่นก่อนที่จะช้าลงอย่างกะทันหัน


ใบหน้าซอลจีฮูได้หมองลงไป


‘อะไรกัน? เกิดอะไรขึ้น?’


ฟีโซราได้แค่นเสียงออกมา


“เห็นไหมล่ะ? ฉันบอกแล้วว่ามีอะไรแปลกๆ”


“นี่มันหมายความว่ายังไง”


ขณะที่ซอลจีฮูถามกลับไป…


ตึง ตึง ตึง! เสียงเคาะเพดานได้ดังออกมา


เทเรซ่าได้เด้งตัวขึ้นมาทั้งๆที่ตาปรืออยู่


เมื่อซอลจีฮูได้รีบเปิดประตูออกไป คาซุกิที่นั่งอยู่บนหลังคาก็ไถลตัวลงมา และเข้ามาในรถม้า


“ซอล พวกเราต้องหยุดรถม้า เดี๋ยวนี้เลย”


คาซุกิได้พูดออกมาอย่างกะทันหัน เขาพูดเหมือนกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ว่าหากเป็นแบบนั้นเขาก็คงจะไม่ลงมาแน่


บางทีอาจจะมีอะไรที่ผิดปกติเกิดขึ้นทำให้ฟีโซราได้ชักดาบออกมา และเทเรซ่าที่งัวเงียก็ได้ค้นหาโล่ของเธอ


ซอลจีฮูได้ยกหอกที่ซื้อมาและถามขึ้น


“เกิดอะไรขึ้น?”


“ฉันก็ไม่รู้แน่ชัดเท่าไหร่ ฉันจะต้องไปบนพื้นถึงจะรู้”


บางอย่างที่ความสามารถในการค้นหาของคาซุกิตรวจจับไม่เจอ?


ซอลจีฮูได้รู้สึกกังวลขึ้นมาหลังจากไม่ได้รู้สึกมาสักพัก และบอกให้คนขับรถม้ารู้ถึงสถานการณ์


เมื่อรถม้าหยุดลง พวกเขาทั้งสี่คนก็กระโดดออกมาในทันที และรถม้าที่ตามหลังมาก็ยังชะลอความเร็วเพื่อหยุดลง


โชฮงกับอีกสามคนได้กระโดดลงมาในทันที และเดินเข้ามาหา


“เฮ้ ทำไมนาย-“


ยังไงก็ตามเธอได้เงียบลงไปในทันทีที่เห็นคาซุกิหลับตาคุกเข่าลง มือของเขาอยู่บนพื้น และหูของเขาก็แนบไปกับพื้น


สมาชิกทีมได้ตีกรอบล้อมคาซุกิ มาเรีย และคนขับรถม้าในทันที


สิ่งเดียวที่พวกเขามองเห็นก็มีแค่ทุ่งหญ้าไร้ที่สิ้นสุดเท่านั้น


ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ?


ลมอ่อนๆได้พัดมา


ซ่า ซ่า


ซอลจีฮูที่รู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างโผล่ออกมาจากหญ้ากกที่สั่นไหว ได้ตั้งท่าขว้างหอกและเพ่งมองไป


“อะ อะไรน่ะ?”


โชฮงที่ยืนอยู่แนวหลังได้ถามออกมาโดยไม่ล่ะสายตาไปจากป่า


คาซุกิที่กำลังนอบอยู่ได้ยกมือขึ้นมา เขากำลังบอกให้ทุกคนเงียบ


“นี่…”


เขาได้ขมวดคิ้วขึ้นมาราวกับว่ามันยากที่จะหาผลลัพธ์ใดๆ


“นี่มันไม่ใช่การสั่น… เสียงหญ้า? ไม่… มันเร่งรีบ…”


ฮิวโก้ได้กลับไปด้วยสีหน้าอย่างว่า ‘นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?’


ทันใดนั้นเองคาซุกิก็ผงะไป


“…เสียงของลม”


เขาได้พูดออกมา


“นายบอกว่าเสียงของลมงั้นหรอ?”


โชฮงได้ถามขึ้น แต่ว่าคาซุกิไม่ได้ตอบกลับมา เขาได้ลุกขึ้นมาทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่ และส่ายหัวจากซ้ายไปขวา


มันราวกับว่าเขากำลังเดินตามกระแสลม


จากนั้นจู่ๆ-


“จิโอ!”


“60 องศาจากทางซ้ายของหัวรถม้า!”


ในเวลาเดียวกัน


“จิโอเนียต่างหาก”


จิโอเนียได้ตอบกลับอย่างสงบ และเล็งหน้าไม้ออกไป จากนั้น-


บทที่ 209 – ล่าทาส (3)


เงาสั้นๆได้พุ่งออกมาจากหญ้าที่สั่นไหว ซอลจีฮูได้หันไปมองพร้อมทั้งง้างแขนไปด้านหลังตามสัญชาตญาณ


‘อึก!’


ขณะที่เขากำลังจะขว้างหอกออกไป เขาก็ต้องขมวดคิ้วขึ้น


นั่นเพราะแสงแดดได้สาดส่องลงมาที่ดวงตาเขาราวกับรอเวลานี้อยู่


และเพราะความเร็วของเงาลึกลับมันเร็วเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้ ทำให้เขามองมันไม่ชัดเลย


บางอย่างสีดำได้พุ่งผ่านสายตาเขาไป นี่คือข้อมูลเดียวที่เขารวบรวมมาได้ในตอนนี้


ต่อมา มาแชล จิโอเนียก็ได้หรี่ตาไล่ตามเป้าหมาย และเตรียมจะยิงหน้าไม้ออกไป


ยังไงก็ตามเทเรซ่าได้เบิกตากว้างขึ้น


“เดี๋ยวก่อน!”


เทเรซ่าได้ยืดแขนออกไปพร้อมๆกับเสียงร้องแหลมสูง


ฟื้ว!


“อ๊ะ!”


มาแชล จิโอเนียได้พึมพำขึ้นหลังจากยิงลูกหน้าไม้ออกไปสี่นัด แต่ว่าเพราะจู่ๆเทเรซ่าได้ผลักเขา ทำให้ตัวเขาเสียสมดุล และเป้าที่เล็งไว้ก็พลาดไป


“เธอ-!”


มาแชล จิโอเนียได้กัดฟัน และมองกลับไปที่เทเรซ่า จากนั้นเอง


“อ๊าา!?”


จู่ๆเสียงที่เหมือนกับเด็กก็ดังออกมาจากด้านบน


ร่างที่กำลังพุ่งผ่านอากาศไปได้ดิ้นออกมาก่อนจะล้มลงไป แม้ว่าลูกหน้าไม้จะพลาดเป้าไป แต่ว่าลูกหน้าไม้เหล่านั้นก็ได้เกิดเป็นตาข่ายสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของเงาเอาไว้ได้


เป้าหมายได้พยายามจะเปลี่ยนทิศทางอย่างกระทันหัน แต่แล้วก็ล้มเหลว และล้มลงไปแทน


ขณะที่ซอลจีฮูกำลังมองเทเรซ่าอย่างตกใจ เขาก็หันไปเหลือบมองตามเสียง-


“อ๊าา… อู้ววว…”


“?”


เขารู้สึกไม่มั่นใจในสิ่งที่เห็น คิ้วของเขาได้ขมวดขึ้น และเริ่มมองดูใบหน้าของสิ่งที่กำลังสะอื้นออกมาอยู่


อย่างแรกเลยมันดูเหมือนจะสูงประมาณ 30-40 เซนติเมตร ตัดสินจากมือเท้าเล็กๆน่ารักแล้ว มันคงเป็นเด็กอย่างไม่ต้องสงสัยเลย


ปัญหาก็คือตรงนี้


“บ้าอะไรเนี้ย?”


โชฮงได้โพล่งออกมาราวกับเธอหมดความสนใจ จากนั้นก็เดินเข้าไป


“คุณโชฮง! เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งเดินเข้าไป…!”


เทเรซ่าได้หยุดโชฮงเอาไว้ แต่ว่าโชฮงก็ยังคงเดินต่อไป เด็กสาวที่ครางออกมาคงจะรู้สึกถึงโชฮงที่กำลังเขาใกล้ทำให้เธอหันกลับมามองอย่างตกใจ


“มะ มนุษย์! ที่นี่ก็ด้วย…!”


ความสิ้นหวังได้ฉายชัดออกมาบนดวงตาเล็กๆของเด็กน้อย


“มะ ไม่…!”


เด็กน้อยได้ตะเกียดตะกายพยายามหนีไปให้มากที่สุด


‘เธอแค่ลุกขึ้นมาแล้วก็วิ่งหนีไปไม่ได้หรอ?’


เธอคงจะตกใจมากจนคิดอะไรไม่ออกสินะ เด็กสาวดูน่าสงสารมากๆ แต่ว่าโชฮงก็มองกลับไปอย่างไม่สนใจ หลังจากมองดูใบหน้ากับก้นของเด็กสาวแล้วก็มีแสงสว่างออกมาจากตาของเธอ


“ฮ่าห์! หูกับหาง?”


ใช่แล้วสิ่งที่ทำให้ทุกๆคนตกใจก็คือเด็กสาวนั้นมีหูที่ปกคลุมไปด้วยขมนุ่มๆ และหางฟูฟ่องที่ติดอยู่กับกางเกงของเธอ


“ไอหย๊า~ ใครจะไปคิดกันล่ะว่าฉันจะได้มาเห็นมนุษย์สัตว์ที่นี่?”


โชฮงได้อุทานออกมาอย่างตื่นเต้นก่อนจะจับเด็กที่กำลังตะเกียกตะกายขึ้นมา


“หวาาาา! หวาาาาาา!”


เด็กสาวมนุษย์สัตว์ที่กำลังตัวสั่นด้วยความกลัวได้ถูกยกขาลอยขึ้นมา


“อ๊า อยู่นิ่งๆสิ!”


เพราะว่าเด็กสาวได้ต่อต้านแรงกว่าที่เธอคิดเอาไว้ทำให้โชฮงขมวดคิ้วขึ้นมา และยื่นมือออกไป เมื่อเธอได้จับหางที่ตั้งแข็งของเด็กสาว เธอก็ได้หยุดต่อต้านไปในทันที


“อู๊….”


เธอได้ตัวสั่นขึ้นมาราวกับที่ไฟดูดก่อนจะทรุดตัวไป โชฮงได้หัวเราะออกมาอย่างงี่เง่า


“ฉันได้ยินมาว่าหางเป็นจุดอ่อนของมนุษย์สัตว์บางคน นี่มันคงจะจริงสินะ”


“แม่จ๋าาาา…”


หยดน้ำตาขนาดเท่าลูกปัดได้เริ่มไหลออกมาจากดวงตาที่หลับแน่นของเธอ


โชฮงได้ผงะไปเล็กน้อย เธอมองสถานการณ์นี้เพียงแค่ว่าเป็นการจับสัตว์ที่ขวางถนนเอาไว้เท่านั้นเอง


“แม่จ๋าาาาาาาาาาาาาาา…”


“…”


เธอได้รู้สึกเกียจตัวเองเล็กน้อย มันเหมือนกับว่าเธอได้กลายเป็นวายร้ายเกรดต่ำไปแล้ว


“ฉันบอกให้รอเดี๋ยวไง!”


น้ำเสียงเฉียบแหลมของเทเรซ่าได้ดังออกมาจากด้านหลัง น้ำเสียงของเธอดูจะโกรธมากๆ โชฮงที่เห็นเด็กสาวมนุษย์สัตว์ร้องไห้ออกมาก็ทำอะไรไม่ถูก


“ปล่อยหางเธอ! เดี๋ยวนี้เลย!”


เทเรซ่าได้รีบวิ่งออกไป และแย่งตัวเด็กสาวมาจากมือโชฮง


“ขอโทษนะ นั่นทำให้หนูกลัวหรอจ้ะ? ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วนะ?”


เธอได้กอดเด็กสาวอย่างอ่อนโยน และค่อยๆปลอบเธอ แต่ว่าเด็กสาวที่อยู่ในสภาพตื่นกลัวไม่ได้แสดงท่าทีว่าจะสงบออกมาเลย


เทเรซ่าได้กัดริมฝีปากเบาๆ จากนั้นก็มองย้อนกลับไปที่คาซุกิและถามออกมา


“คุณคาซุกิ เราอยู่ที่ไหนกัน? เราข้ามเขตพรมแดนมาแล้วหรอ?”


คาซุกิได้มองไปรอบๆ จากนั้นก็ตอบออกมา


“ผมไม่มั่นใจ จากพื้นที่โล่งกว้างแล้ว เราก็น่าจะอยู่ที่ใจกลางของเขตพรมแดน แต่พวกเรายังไม่ได้ข้ามเขตพรมแดนไป”


“งั้นเราก็ยังอยู่ฝั่งพรมแดนของมนุษย์สินะ”


“ใช่แล้ว”


คาซุกิได้ตอบกลับอย่างชัดเจน


เทเรซ่าได้ขบริมฝีปากของเธอ


“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเด็กคนนี้…”


คำพูดช่วงท้ายของเธอได้หายไป ก่อนที่เธอจะมองมาที่ทุกๆคนและกำลังจะตะโกนออกมา


“ฉันคิดว่าเราควรจะหยุดสักเดี๋ยว ก่อนอื่น-“


“เจ้าหญิง”


คาซุกิได้ขัดเธอขึ้น จากนั้นเขาก็เหลือบมองไปข้างๆ


เทเรซ่าได้ร้อง ‘อ่า’ ออกมาเมื่อเธอหันไปเห็นซอลจีฮู


“ซอล…!”


ซอลจีฮูได้หลุดจากความสับสนจากเสียงเรียกของเธอ


เขาเคยแต่อ่านเรื่องของมนุษย์สัตว์จากตัวอักษรเท่านั้น นี่มันเป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้เห็นมนุษย์สัตว์ตัวเป็นๆ เขาได้มองดูเด็กสาวด้วยความสับสนมากๆ จากนั้นเขาก็ค่อยๆรวบรวมสติก่อนจะพูดออกมา


“เราจะหยุดพักกัน”


ทีมปฏิบัติการได้หยุดพักกันใกล้ๆกับรถม้า คาซุกิได้ยืนเฝ้าระวังไว้ ในขณะที่คนอื่นมารวมตัวกันมองดูเทเรซ่ากับเด็กสาวมนุษย์สัตว์


เทเรซ่าได้พาเด็กสาวมนุษย์สัตว์เดินห่างออกไปพอประมาณ ดูจากความกังวลของเด็กสาวแล้ว เทเรซ่าจึงตัดสินใจว่าการพาเธอออกห่างจากมนุษย์คนอื่นๆจะดีกว่า


“มนุษย์สัตว์… แล้วก็เด็กสาวมนุษย์สัตว์ซะด้วย ใครจะไปคิดกันล่ะ?”


มาแชล จิโอเนียได้พึมพำออกมาเหมือนกับว่าเขากำลังแก้ตัวอยู่


“เธอเร็วมากจากฉันคิดว่าเป็นแมวป่าซะอีก”


“เอาเถอะนะ มันก็ถูกแล้วล่ะที่เราจะระวังตัวไว้ มนุษย์สัตว์บางคนก็แกร่งตั้งแต่ที่ยังอายุน้อยๆ”


ฮิวโก้ได้แตะบ่ามาแชล จิโอเนียทั้งๆที่ยังแทะชิ้นเนื้ออยู่


“นี่เป็นครั้งแรกของนายหรอที่เห็นมนุษย์สัตว์?”


ฟีโซราได้สะกิดซอลจีฮูและถามออกมา ซอลจีฮูได้แต่หยักหน้าอย่างมึนๆ


“หยุดจ้องขนาดนั้นได้แล้ว นายคงไม่ได้อยากจะทำให้เธอกลัวหรอกนะ”


ฟีโซราพูดถูก ถึงเทเรซ่าจะพยายามเต็มที่แล้วที่จะปลอบเด็กสาว แต่ว่าสถานการณ์ก็ยังเป็นเช่นเดิม ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเด็กสาวถึงตื่นตระหนกขนาดนี้ แม้ว่าเธอดูจะกลัวต่อมนุษย์จนมีอาการตัวสั่นออกมาอย่างชัดเจน


สิ่งเดียวที่เทเรซ่าทำได้มีแค่ทำให้เด็กสาวหยุดร้องไห้เท่านั้นเอง


ซอลจีฮูได้ล่ะสายตาจากเด็กสาวและถามออกมา


“เด็กคนนั้นเป็นเผ่าพันธุ์อะไรของมนุษย์สัตว์หรอ?”


“อืม… ฉันก็ไม่มั่นใจ เราไม่อาจจะบอกอะไรได้จากหูเลย แต่ว่าจากหางของเธอ…”


ฟีโซราได้เกาคอออกมา


“เธอมาจากเผ่าพันธุ์จิ้งจอก”


คนที่ตอบคำถามออกมาเป็นคนที่ซอลจีฮูคาดไม่ถึงเลย นั่นคือมาเรีย เธอได้เลียริมฝีปากและแอบเหลือบไปมองเด็กสาวมนุษย์สัตว์เป็นระยะ


“เผ่าจิ้งจอก?”


“ชาวโลกเรียกพวกเขาว่ามนุษย์จิ้งจอก เนื่องจากว่าพวกเขาดูเหมือนกับจิ้งจอก จึงมีชื่อเรียกเป็นทางการว่าวูลเปส และด้วยเอกลักษณ์พิเศษที่มีเก้าหาง จึงทำให้พวกเขาก็ยังถูกเรียกว่าจิ้งจอกเก้าหางอีกด้วย”


ดวงตาของซอลจีฮูได้เบิกกว้างขึ้นมาเมื่อได้ยินคำอธิบายนี้


“นี่คุณรู้มากจนน่าตกใจเลยนะ”


“ก็แน่นอนสิ!”


มาเรียได้ขึ้นเสียงออกมาก่อนที่จะทำนิ้วเป็นวงกลม จากนั้นก็ตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าไร้เดียงสา


“มนุษย์สัตว์ร่ำรวย!”


“พวกเขา… ร่ำรวย?”


มาเรียได้หยักหน้าออกมาอย่างหนักแน่น


“ใช่แล้ว! โดยเฉพาะพวกมนุษย์จิ้งจอกที่มีจำนวนน้อยเป็นพิเศษ เด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกงั้นหรอ? เธอเป็นเหมือนกับเช็คธนาคารเลยล่ะ ฟุฟุฟุ”


มาเรียได้หัวเราะอออกมาอย่างชั่วร้ายก่อนที่จะมองมาที่ซอลจีฮู เธอดูเหมือนจะกำลังถามว่า ‘ไงล่ะ? นายสนใจไหม?’


ใบหน้าซอลจีฮูได้บิดเบี้ยวออกมา นี่เธอกำลังแนะนำให้เขาจับเด็กสาวมนุษย์สัตว์คนนี้มาขายชัดๆ


‘ถ้างั้น… เราก็กำลังทำเหมือนกับเธอเป็นทาส’


สมองของซอลจีฮูไม่อาจจะยอมรับหรือเห็นด้วยกับมันได้ เขาเป็นคนที่เป็นพันธมิตรกับสหพันธรัฐแบบปริยายไปตั้งแต่แรกแล้ว


หากมีใครมาเห็นแบบนี้เข้า เขาก็ไม่สงสัยเลยว่าคนๆนั้นจะคิดยังไง จริงๆแล้วมันอาจจะเกิดปะทะกันเลยก็ได้


“ฉันหวังว่ามันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่นะ…”


คาซุกิได้พึมพำออกมาเบาๆทำให้ความไม่สบายใจของซอลจีฮูมีมากยิ่งขึ้น ซอลจีฮูได้ถามอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจ


“คุณคาซุกิ ผมอาจจะกังวลเกินไป แต่ว่า…”


“ใช่แล้วล่ะ”


คาซุกิได้ตอบกลับมาโดยยังไม่ล่ะสายตาไปจากเด็กสาว


“หากว่านายกำลังจะถามฉันเรื่องการลักพาตัวมนุษย์สัตว์ แล้วก็ขายพวกเขาเป็นทาสล่ะก็ คำตอบคือถูกต้อง”


ซอลจีฮูก็พอจะเดาได้อยู่แล้ว แต่แทนที่จะพูดว่า ‘ไม่มีทาง’ เขากลับเงียบเอาไว้


มนุษย์กำลังเต็มใจที่จะทำลายคนอื่นเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ใครบอกกันนะว่าพวกเขาไม่ได้ยุ่งกับสหพันธรัฐ?


“มันไม่ใช่มนุษย์สัตว์นะ คนแคระ แฟรี่ถ้ำ แฟรี่ท้องฟ้า และกระทั่งเทวดาตกสวรรค์ ฉันไม่ได้จะบอกว่าการล่าทาสมันแพร่หลาย แต่ว่าก็มีตลาดมืดรองรับมันอยู่ มันจึงเป็นธรรมดาที่จะมีพวกลับลอบคอยหาสินค้ามา”


“ไอ้สารเลวพวกนั้น…”


ซอลจีฮูได้กัดฟันแน่นออกมา มนุษย์ควรที่จะไปขอความร่วมมือกับสหพันธรัฐสิ แล้วเรื่องไร้สาระนี่มันอะไรกัน?


“ราชวงศ์รู้เรื่องไหม? หากว่าพวกเขารู้-“


“บางราชวงศ์ก็ต่อต้านการกระทำแบบนี้ และพวกเขาก็จะทำการลงโทษใครก็ตามที่ถูกจับได้ ฮารามาร์คเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดี”


ซอลจีฮูได้หันไปมองเทเรซ่าโดยอัตโนมัติ ความพยายามของเธอดูเหมือนจะได้ผลแล้วเพราะเด็กสาวมนุษย์สัตว์กำลังอยู่ในอ้อมอกของเธออย่างสงบ ถึงเธอจะก้มหน้าลงด้วยสีหน้าหม่นหมองก็ตามที


“?”


“แต่ว่าราชวงศ์ที่อยู่ใกล้ชิดกับสหพันธรัฐมากที่สุดกับมีจุดยืนที่ต่างออกไปเล็กน้อย พวกเขาค่อนข้างจะ… ไม่แสดงออกในเรื่องนี้”


“?”


“พวกเขาเพียงแค่ออกกฎห้ามการกระทำนั้น… แต่ก็เท่านั้นเอง พวกเขาไม่ได้สนใจปัญหาเลยราวกับว่ามันไม่เคยมีอยู่”


“พวกเขาเมินเฉยกับปัญหา?”


“โดยส่วนตัวแล้วฉันคิดว่ามีอยู่สองเหตุผล”


คาซุกิได้ค่อยๆอธิบายเหตุผลของเขาออกมา


“ราชวงศ์อีวามีอำนาจในการปกครองที่น้อยมากๆ คนทั่วไปมักจะมองอีวาว่าเป็นอาณาจักรในอุดมคติที่ชาวโลกกับราชวงศ์มีความสัมพันธ์แบบร่วมมือกัน แต่ว่าพูดให้ถูกคือชาวโลกได้ควบคุมอำนาจไว้อย่างแน่นหนาแล้ว นอกไปจากนี้เพราะว่าผู้ปกครองยังเยาว์วัย มันจึงมีคนกล่าวไว้ว่าชาวโลกคนผู้ปกครองที่ของพวกเขาต่างหาก”


ซอลจีฮูได้หูพึ่งขึ้นมาเมื่อได้ยินข้อมูลเกี่ยวกับอีวา เนื่องจากว่าเขากำลังคิดจะย้ายไปที่นั่น เขาจึงอดไม่ได้ที่จะสงสัยขึ้นมา


“แถมราชวงศ์อีวาก็ไม่ได้มองสหพันธรัฐในแง่ดีด้วย”


“ทำไมกันล่ะ?”


“นับตั้งแต่สหพันธรัฐกับมนุษยชาติก่อตั้งพันธมิตรกันก็ยังไม่ได้นานนัก แม้ว่าฉันจะไม่เคยได้เห็นกับตัวเอง แต่ผู้คนมักจะพูดว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาเคยเป็นปรปักษ์ต่อกันเหมือนเช่นเดียวกับปรสติ พวกเรารู้ดีว่าพวกเขาเคยทำสงครามกันมาก่อน… แล้วก็ราชวงศ์อีวาก็เป็นแกนนำในสงครามนั้น”


“…”


“ที่สำคัญที่สุดเลยก็คือผู้ปกครองคนปัจจุบันของอีวา ราชินีอโดร่า เธอได้สูญเสียพ่อกับแม่ที่ซึ่งเป็นกษัตริย์และราชินีคนก่อนไปในสงครามกับปรสิต และได้เสียพี่ชายเพียงคนเดียวไปในสงครามกับสหพันธรัฐ”


คาซุกิได้ถอนหายใจออกมา


“แน่นอนว่ามันก็ไม่ใช่ว่าฉันไม่เข้าใจเธอ แต่ว่าในฐานะผู้ปกครองอาณาจักรที่เมินเฉยต่อปัญหานี้…”


“โอ้ ขอล่ะ ให้ฉันพักหน่อยเถอะ”


ในตอนนั้นเองฟีโซราที่ฟังอยู่เงียบๆก็ขัดขึ้น


“นายได้ตีกรอบปัญหาเหมือนกับเป็นความผิดของมนุษย์เลยนะ แต่ว่าเราก็มีบางอย่างที่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน”


นี่เธอหมายความว่ายังไงกันนะ?


“นายก็รู้ใช่ไหมว่าพันธมิตรมนุษย์สัตว์ก็ดูจะไม่ได้ชอบเราน่ะ?”


“ฉันรู้”


“ถ้างั้นทำไมนายถึงได้พูดแบบนั้นล่ะ? นายคิดว่าอะไรที่มันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการล่าทางตั้งแต่แรกล่ะ? นั่นมันก็เพราะชาวโลกได้หายตัวไปในเขตพรมแดนเรื่อยๆยังไงล่ะ! นี่มันเป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องผิดหวัง และสู้กลับไป”


“มันยังไม่มีการเปิดเผยออกมาเลยนะว่าฝ่ายไหนเริ่มก่อน”


“ก็ได้ เรื่องนั้นก็ช่างมัน แต่ว่านายก็ไม่ได้ปฏิเสธว่ามีคนหายไป”


นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ซอลจีฮูได้ยินแบบนี้ มันเป็นปัญหามานานก่อนที่ซอลจีฮูจะได้เข้ามาในพาราไดซ์ซะอีก


“จริงหรอ?”


ซอลจีฮูได้ขัดขึ้นมา


ฟีโซราได้กอดอกและหยักหน้ายืนยันออกมา


“ใช่แล้วล่ะ! ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง! ว่าไปแล้วในตอนฉันยังอยู่กุหลาบขาว ฉันก็ได้เข้าร่วมการลาดตระเวนชายแดนอีวาด้วย”


“แล้วผลลัพธ์เป็นยังไงล่ะ?”


“มีทางเข้าอยู่มากมาย แต่ว่าทางออกมามีน้องมากๆ นี่คือเขตพรมแดนของสหพันธรัฐกับมนุษยชาตินับตั้งแต่ที่ป้อมปราการไทกอลกำลังป้องกันปรสิต แล้วเราควรจะตีความเรื่องนี้ว่ายังไงล่ะ?”


ซอลจีฮูได้หันไปเหลือบมองคาซุกิที่กำลังยืนฟังนิ่งๆ


ฟีโซราได้กระแอ่มออกมา


“ฉันก็ไม่ได้บอกว่าฉันถูกหรอกนะ ฉันก็แค่กำลังบอกว่าอย่าฟังความข้างเดียว”


“…”


“ลองคิดดูนะ หากว่ามนุษย์ผิดเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ นายคิดว่าสหพันธรัฐจะหยุดแค่เพิ่มการรักษาความปลอดภัยงั้นหรอ? ไม่เลย พวกเขาจะชักดาบและพุ่งเข้าใส่แน่ๆ การที่พวกเขามีปฏิกิริยาตอบสนองที่น้อยนั่นมันหมายความว่าพวกเขามีความสำนึกผิดอยู่”


เธอพูดได้ตรงจุดเลย


ซอลจีฮูได้เม้มปากขึ้นมา


“แต่ว่ามนุษย์สัตว์นั่นเป็นแค่เด็ก…”


ฟีโซราได้ตอบกลับมาอย่างหนักแน่น


“อย่าได้ประมาทเธอไป ถึงแม้ว่าจะเป็นมนุษย์สัตว์ที่เยาว์วัยก็มีพลังรบที่น่ากลัว ความสามารถในการสืบพันธุ์ที่ทรงพลังกับการมีพลังตั้งแต่ยังเด็กเป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์สัตว์!”


“มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอนะ”


เมื่อฟีโซราได้ย้ำออกมาว่าพวกเขาไม่ควรจะเทียมมนุษย์สัตว์กับมนุษย์ คาซุกิก็ได้แย้งออกมา


“ฉันยอมรับนะว่าความเร็วในการสืบพันธุ์ของพวกเขาเทียบกับออร์คได้เลย แต่ว่าความสามารถในการสืบพันธุ์ก็จะขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาอยู่ในสายพันธุ์ย่อยใด มนุษย์จิ้งจอกถูกรู้จักกันดีในเรื่องการสืบพันธุ์ที่ต่ำ และนอกจากนี้ก็ยังหวงแหนสมาชิกแต่ล่ะคนเป็นอย่างมาก หากว่าพวกเราฆ่าเธอหรือว่าพาตัวเธอไปกับเรา มันก็มีโอกาสสูงที่มันจะกลายเป็นปัญหาทางการทูตได้”


“ใครบอกว่าเราจะฆ่าเธอล่ะ? ฉันก็แค่-“


คาซุกิกับฟีโซราได้เขม่นกันขึ้นมา


‘น่าสนใจ’


ความเห็นในปัญหานี้มีความหลากหลายมากกว่าที่เขาคิด มันชัดเจนว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองอาณาจักรนั้นมีความซับซ้อนอยู่


ซอลจีฮูได้หันไปมองเทเรซ่าอีกครั้งหหนึ่ง


‘ควรจะทำยังไงดีนะ?’


เขาได้นึกไปถึงสิ่งที่จางมัลดงได้บอกกับเขา


มันมีโอกาสที่พวกเขาอาจจะเจอกับสหพันธรัฐนับตั้งแต่ที่พวกเขาไปเขตพรมแดน สิ่งสำคัญก็คือการรับมือกับสถานการณ์ให้เหมาะสม


‘อาจารย์บอกว่าการพาเจ้าหญิงเทเรซ่าเป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยม’


หลังจากคิดเรื่องนี้ในเชิงลึกแล้ว ซอลจีฮูก็ค่อยๆเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆเพื่อไม่ให้เด็กสาวมนุษย์สัตว์ไม่ตกใจ


เมื่อเขาได้เข้าไปใกล้ เด็กสาวก็ผงะและตัวสั่นขึ้นมา เทเรซ่าได้มองขึ้นมาที่ซอลจีฮูด้วยสีหน้าลำบากใจและเหนื่อยล้า


“ฉันขอโทษ ฉันเผยตัวตนของฉันออกไป แต่ว่าเธอก็ยังกังวลอยู่… มันดูเหมือนกับว่ามีเรื่องที่น่ากลัวเกิดขึ้นกับเธอ”


ซอลจีฮูได้มองออกไปก่อนจะค่อยๆย่อตัวลงไปในระดับสายตาเดียวกันกับเด็กสาว เด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกที่แขนขาอ่อนแรงได้ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา


‘ว้าว ดูจมูกของเธอสิ’


มันไม่ได้แหลมเหมือนกับมนุษย์ ซอลจีฮูรู้สึกอยากจะเลียจมูกสีดำที่เหมือนจิ้งจอกของเด็กสาวอย่างรุนแรง เมื่อเห็นดวงตาที่เปล่งประกายของเธอ รอยยิ้มอ่อนโยนก็ค่อยๆปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขา


จากนั้นเขาก็เริ่มการสนทนาขึ้น


“แบร่!”


“?”


…มันช่วยไม่ได้เลย


แม้ว่าเพื่อร่วมทีมจะเดือนเขาเรื่องที่ว่าเธออาจจะเป็นตัวอันตรายได้ แต่ว่าโดยธรรมชาติแล้วซอลจีฮูเป็นคนรักเด็ก นี่มันก็เพราะว่าเขาชอบในปฏิกิริยาของเด็กๆในตอนที่เล่นด้วยกันและแกล้งเด็กๆเหล่านั้น


“ดูนี่สิ”


สิ่งที่ซอลจีฮูได้เอาออกมาหลังจากพูดอย่างเป็นมิตรก็คือหมากฝรั่ง เขาได้ซื้อมันมาจากโลกเพื่อเอาไว้เคี้ยวเล่นในตอนเบื่อๆ


‘ฉันไม่คิดเลยนะว่าจะได้ใช้มันแบบนี้’


หลังจากแกะออกมาจากห่อแล้ว เขาก็โบกมันอยู่ตรงหน้าของเด็กสาว จากนั้นก็หย่อนมันลงไปในปากของเขา


งั่ม งั่ม


“ฟู่-“


เขาได้เป่าลมใส่หมากฝรั่งและทำให้มันพองขึ้นมา มันได้ขยายขนาดออกมาจนเท่ากับหัวเขาอย่างรวดเร็ว


“โอ้? นี่มันอะไรกัน?”


เทเรซ่าที่เข้าใจถึงความตั้งใจของซอลจีฮูก็รีบเสริมขึ้นมา


“ท๊าด๋าาา~”


เมื่อซอลจีฮูได้เอาฟองหมากฝรั่งมาใกล้ๆ…


“อื้ออ อื้ออออ!”


เด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกได้ขมวดคิ้วขึ้น และโกบมือออกมาโดยไม่พูดอะไร เมื่อเล็บของเธอได้สัมผัสโดนผิวของฟองหมากฝรั่ง หมายฝรั่งก็ระเบิดออกมาและกระเด็นอยู่บนใบหน้าของซอลจีฮู


มนุษย์จิ้งจอกที่ไม่คิดว่ามันจะระเบิดออกมาได้ง่ายๆได้ขมวดคิ้วขึ้นมา


“อ๊าาา!”


ซอลจีฮูได้ลูบคลำใบหน้าของเขาอย่างตกใจ จากนั้นเขาก็เช็ดเศษหมากฝรั่งออกไป และหัวเราะออกมา


เมื่อเทเรซ่าได้ปิดปากและก็ยังหัวเราะเช่นกัน มุมปากของเด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกที่สับสนก็กระตุกอยู่เล็กน้อย


“เป็นยังไงล่ะ~? ฉันเป่าหมากฝรั่งให้กับเธอ อ๊าาา เหนียวจังเลย…”


บางทีอาจจะเพราะว่าใบหน้าของซอลจีฮูที่กำลังดึงหมากฝรั่งออกมามันตลก


“ฮิฮิ”


แม้ว่าจะแค่เบาๆ แต่เด็กสาวก็ได้หัวเราะออกมาเป็นครั้งแรก


“เธอคิดว่ายังไงล่ะ? มันเจ๋งไปเลยใช่ไหม?”


เด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกได้หยักหน้าออกมาอย่างระวังตัว


ซอลจีฮูได้ยิ้มอายๆออกมา และส่งหมากฝรั่งไปให้กับเธอ


“อยากจะลองดูไหม?”


มนุษย์จิ้งจอกได้นิ่งไป ประกายความอยากรู้อย่างเห็นได้ฉายชัดอยู่บนใบหน้าของเธอ


เทเรซ่าที่มองดูอยู่เงียบๆได้สะดุ้งขึ้นมาจากภายในใจ หูกับหางที่ตั้งอยู่ของเด็กสาวได้ค่อยๆผ่อนคลายลงไป ต่อมาหูของเธอก็พับลงไปครึ่งหนึ่ง และหางของเธอก็เริ่มส่ายไปมา ความคิดของเด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน


“ฟุดฟิดๆ”


บางทีอาจจะเพราะยังสงสัยอยู่เล็กน้อย ทำให้เธอได้ยื่นจมูกไปดมหมากฝรั่งอยู่นาน


เทเรซ่าเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย แต่ว่าซอลจีฮูก็ยังคงสงบอยู่ เขาเฝ้ารอโดยไม่ได้บังคับเด็กสาวเลยสักนิด


ไม่นานนักเด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกก็ได้หยิบเอาหมากฝรั่งไปกัด เธอได้สูดหายใจลึกหลังจากที่ได้ดูดน้ำในหมากฝรั่งออกมา


เมื่อเห็นปฏิกิริยานี้ ซอลจีฮูก็ถามออกมาด้วยรอยยิ้มสดใส


“มันหวานอร่อยใช่ไหมล่ะ?”


หงึก หงึก


“แค่เคี้ยวนะ อย่ากลืนมันลงไป ยิ่งเคี้ยวก็จะยิ่งหวาน”


เด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกได้เริ่มเคี้ยวตามที่เขาบอก เธอคงจะชอบความหวานมากแน่ๆเพราะว่าเธอเคี้ยวมันไม่หยุดอยู่สักพัก


“ว้าว…”


เทเรซ่าได้เผลอหลุดอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว เธอต้องลำบากอย่างมากกว่าจะทำให้เด็กสาวสงบลงได้ แต่ว่าซอลจีฮูกลับทำสำเร็จได้ในทันที เนื่องจากว่าเธอไม่เคยเห็นพรสวรรค์นี้ของซอลจีฮูมาก่อนเลย เธอจึงอดไม่ได้ที่จะตกใจขึ้นมา


“การเคี้ยวหมากฝรั่งจะช่วยให้ผ่อนคลายได้นะ ก่อนแข่งนักกีฬาหลายคนมักจะเคี้ยวหมากฝรั่งกัน”


ซอลจีฮูได้อธิบายออกมาพร้อมกับแกะหมากฝรั่งที่เลอะหน้าเขาออกมา เด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกได้จ้องมาที่ซอลจีฮูก่อนที่แก้มของเธอจะป่องขึ้นมาเหมือนลูกโป่ง


“ฟู่วววว…”


เธอได้พ่นลมออกมาอย่างแรง แต่ว่าก็มีแค่ลมเท่านั้นที่ออกมา ซอลจีฮูได้ระเบิดหัวเราะขึ้น


“ฮ่าฮ่า! เธอจะต้องเอาลิ้นดุนหมากฝรั่งเอาไว้ แล้วก็เป๋าลมเข้าไป โง่จุงเลยน้า!”


เด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกได้โกรธขึ้นมา


“หนูไม่ได้โง่”


“โอ้?”


เด็กสาวได้พูดออกมาเป็นครั้งแรก ซอลจีฮูได้เงียบลงไปและยิ้มออกมาอย่างซุกซน


“ไม่ได้โง่หรอ?”


“ไม่ ฉันไม่ได้โง่”


“จริงๆงั้นหรอ?”


“โอเค ถ้าเธอไม่ได้โง่ แล้วถ้างั้นเธอชื่ออะไรล่ะ?”


เด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกได้ลุกลี้ลุกลนขึ้นมาราวกับว่าเธอคิดไม่ถึงเลยว่าจะกลายมาเป็นแบบนี้ ซอลจีฮูได้ยิ้มขึ้นและยื่นมือออกไป


“ฉันชื่อซอล-“


ซอลจีฮูได้หยุดตัวเองเอาไว้ก่อนจะพูดคำว่า ‘จีฮู’ ออกไป


“ฉันซอล”


เขารู้สึกว่าชื่อ ‘ซอล’ อาจจะเป็นที่รู้จักในสหพันธรัฐ ต่อจากนั้นดวงตาของเด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกก็ได้เบิกกว้างขึ้นมา


“ซอล”


“ใช่แล้ว ซอล”


“มนุษย์… ซอล?”


“ใช่แล้วล่ะ แล้วเธอล่ะชื่ออะไร?”


ซอลจีฮูได้ถามขึ้น แต่ว่าก็ไม่มีคำตอบกลับมา เด็กสาวเพียงแค่มองขึ้นมาที่เขาอย่างเหม่อลอย


‘นี่ฉันทำอะไรพลาดไปหรือเปล่านะ?’


ขณะที่ซอลจีฮูกำลังเกาแก้ม เด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกก็ถามขึ้นอีกครั้ง


“อริราชศัตรู? เป็นอริราชศัตรูซอลจริงๆหรอ?”


แค่กๆ ซอลจีฮูได้ไอออกมาเบาๆ


อริราชศัตรู? ซอลจีฮูกำลังสงสัยอยู่เลยว่าฉายานี้ของเขามันมาจากไหน


‘มาจากสหพันธรัฐงั้นสินะ?’


ยังไงก็ตามสิ่งสำคัญคือเด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกรู้จักเขา ซอลจีฮูไม่ยอมพลาดโอกาสนี้ไป


“โอ้ รู้จักฉันด้วยหรอ?”


“อื้อ! มนุษย์ที่ได้ฆ่าผู้บัญชาการกองทัพที่หนึ่ง!”


เด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกได้กำหมัด และตะโกนออกมาอย่างกระตือรือร้น


“ฮ่าฮ่า นั่นมันน่าอายนะ จริงๆมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก”


“อะไรน้าา? ไม่ใช่เรื่องใหญ่? จริงหรอ?”


“แน่นอนสิ! ผู้บัญชาการกองทัพที่หนึ่ง? แน่นอนว่าฉายาของเขามันดูเจ๋ง แต่ก็เท่านั้นแหละ ฉันเกือบจะฆ่าผู้บัญชาการกองทัพได้อีกสองคนแน่ะ แต่ว่าพวกเขาหนีหางจุกตูดไปก่อนน่ะสิ”


“หวาาาา….!”


สหพันธรัฐกับมนุษยชาติอาจจะไม่ได้ถูกกันมากนัก แต่ว่าพวกเขาจะเกลียดกันเองมากกว่าที่เกลียดปรสิตอีกงั้นหรอ?


เมื่อได้ยินถึงเรื่องเล่าวีรบุรุษของซอลจีฮู เด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกก็อ้าปากค้างออกมาอย่างตกใจ


“แต่ว่าหนูได้ยินมาว่าพวกเขาแข็งแกร่งมาก…”


“พวกเขาก็แข็งแกร่งนั่นแหละ หากว่าเจ้าพวกนั้นมันเข้ามาหาฉันพร้อมกัน มันก็คงจะยากหน่อย”


ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมา


“สุดท้ายแล้วฉันก็ชนะ… แต่ว่าพูดตรงๆ มันก็อันตรายอยู่หน่อยนะ หากว่าไม่ได้สหพันธรัฐช่วยไว้ ฉันก็อาจจะไม่ได้มาอยู่ที่นี่ก็ได้”


“อื้อๆ! หนูได้ยินมาว่าแฟรี่ท้องฟ้าได้มอบอิลิเซียร์ให้กับคุณ!”


“เด็กสาวได้ปรบมือและตะโกนออกมา ตัดสินจากท่าทางของเธอแล้ว ดูเหมือนเรื่องนี้จะรู้กันทั่วสหพันธรัฐ


“ใช่แล้วล่ะ ต้องขอบคุรเพื่อนที่แสนดีของฉันในสหพันธรัฐก็เลยทำให้ฉันรอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์นี่แหละ”


“เพื่อน? มนุษย์เป็นเพื่อน?”


“ก็แน่สิ! สหพันธรัฐเป็นเพื่อนที่ล้ำค่าของฉัน!”


ซอลจีฮูได้ยกนิ้วขยิบตาออกมา


‘หยุดยิ้มได้แล้วเจ้าหญิง’


พูดตรงๆนี่มันโครตจะน่าอายเลย แม้ว่าดวงตาที่เปล่งประกายของเด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกจะทำให้เขาไม่สบายใจ แต่ว่าเขาก็ต้องทนกับความอายและตัดสินใจเล่นบทบาทของเขาต่อไป


“หนูเข้าใจแล้ว ถ้างั้น…”


ใบหน้าของเธอได้แสดงความผ่อนคลายออกมาพร้อมกับถอนหายใจยาว


“ในเมื่อคุณเป็นเพื่อนของเรา คุณจะส่งหนูกลับไปใช่ไหม?”


“แน่นอนสิ! เพื่อนของฉันมิคาเองก็อยู่ที่นั่น เราจะส่งเธอกลับบ้านอย่างปลอดภัยเอง เพราะงั้นไม่ต้องห่วงนะ”


“ว้าว ท่านมิคาเอล…?”


เมื่อซอลจีฮูได้พูดชื่อที่เขาพอจะจำได้ลางๆออกมา เด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกก็ดูจะมั่นใจขึ้น และรอยยิ้มสดใสก็เบ่งบานออกมาจากใบหน้าของเธอ


จากนั้นซอลจีฮูก็หันไปมองเทเรซ่าที่กำลังก้มหน้ากลั้นขำอยู่


‘รับช่วงต่อทีนะ’


เทเรซ่าได้ฝืนกลั้นขำ และแทรกเขามาเนียนๆ


“เฮ้ เธอบอกจะบอกเราได้ไหมว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? นี่มันเป็นเขตพรมแดน แต่ว่ามันก็ค่อนข้างจะไกลจากเขตของสหพันธรัฐนะ”


เมื่อได้ยินแบบนี้ใบหน้าเด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกก็หม่นหมองลงไป แต่ว่าเธอก็ไม่ได้เอาแต่เงียบเหมือนแต่ก่อนแล้ว


“หนูไม่รู้ หนูแค่…”


หลังจากเงียบอยู่นาน เธอก็ค่อยๆพูดออกมา


“หนูได้ยินมาว่าวันนี้มีพิธีกรรมเกิดขึ้นที่เจดีย์แห่งความฝัน… เพราะงั้นหนูก็เลยแอบตามแฟรี่ท้องฟ้ามากับน้องสาวของหนู..”


‘เจดีย์แห่งความฝัน?’


มีประกายแสงวาบขึ้นมาในดวงตาของซอลจีฮู



บทที่ 210 – ประโยชน์ที่คาดไม่ถึง (1)


เด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกเฮเรียวได้เล่าเรื่องของเธอออกมา


ในตอนเช้านี้แฟรี่ท้องฟ้าได้จัดพิธีกรรมในสถานที่ที่ถูกเรียกว่าเจดีย์แห่งความฝัน เฮเรียวอยากจะรู้เรื่องของพิธีกรรม และอยากที่จะเข้าไปดู แต่ว่าพื้นที่รอบๆเจดีย์แห่งความันเป็นสถานที่อันตรายมากๆจนสหพันธรัฐก็ยังตั้งให้เป็นพื้นที่ต้องห้าม


หากว่าไม่ได้มีการรับอนุญาตโดยเฉพาะ ก็จะไม่มีใครจากสหพันธรัฐที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าไป


ยังไงก็ตามสำหรับเฮเรียวแล้ว ความสงสัยของเธอมีมากกว่าความหวาดกลัว เธอได้แอบตามแฟรี่ท้องฟ้าไปกับน้องสาวของเธอ และจากนั้นก็หลงทาง


เธอได้เดินไปทั่วพร้อมกุมมือน้องสาวเอาไว้จนกระทั่งในท้ายที่สุดเธอก็ได้มาที่ดินแดนที่ไม่รู้จัก ขณะที่เธอกำลังกระทืบเท้าโดยไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อ เธอก็ได้เจอเข้ากับกลุ่มคน


เหล่าพวกลักลอบได้ไล่ตามพวกเธอราวกับว่าพวกเขาได้รับของขวัญจากสวรรค์ และจับน้องสาวของเธอเอาไว้ เฮเรียวได้หลบหนีออกมาได้หวุดหวิด และหลบหนีมา ขณะที่เธอกำลังหลบหนีออกมาโดยไม่สนใจทิศทาง เธอก็ได้หนีมาเจอเข้ากับกลุ่มของซอลจีฮู


“หนูได้ตามแฟรี่ท้องฟ้าอย่างดีเลย… หนูไม่รู้ว่าพวกเราหลงกันได้ยังไง…”


การคิดถึงน้องสาวของเธอคงจะทำให้เธอรู้สึกผิดขึ้นมาเพราะเธอได้เริ่มน้ำตาซึมออกมาอีกครั้งหนึ่ง


ความหวาดกลัวได้ปกคลุมใบหน้าของซอลจีฮู เขาหวังให้มันไม่เป็นแบบนี้ แต่ว่าความกังวลนั้นได้กลายมาเป็นจริงแล้ว


ถ้างั้นแล้วทางที่ดีควรจะทำยังไงกันล่ะ?


‘หวังว่าเราจะช่วยน้องสาวของเฮเรียวได้และกลับไปที่สหพันธรัฐพร้อมทั้งคู่…’


ซอลจีฮูได้หันไปหาเทเรซ่าที่กำลังกังวลอยู่เช่นกัน


“น้องสาวของเฮเรียวจะต้องมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?”


“เป็นไปได้สูง พวกนั้นน่าจะต้องการเงินมากกว่าแก้แค้น…”


เทเรซ่าได้มองลงไปที่เฮเรียวที่กำลังร้องไห้ และพูดขึ้นเบาๆ


“มีโอกาสที่พวกเขาน่าจะอยู่ใกล้ๆนี้ พวกเขาอาจจะตามรอยเด็กคนนี้มา หากว่าเรา-“


“ซอล!”


เสียงคาซุกิได้ดังออกมาก่อนที่เทเรซ่าจะพูดจบ


“ยี่สิบ สามสิบ สี่สิบ… สอง สี่สิบสองคน! พวกลักลอบกลุ่มใหญ่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้!”


“อ๊าาา!”


เฮเรียวได้ตื่นตระหนกขึ้นมาเมื่อมีการพูดถึงปีศาจ


ซอลจีฮูได้มองไปที่เทเรซ่า และพวกเขาก็เข้าใจกันได้เองโดยทันที เทเรซ่าได้อุ้มเฮเรียวขึ้นมา


ไม่นานนัก…


“อ๊า เวรเอ้ย! ทำไมไอ้เด็กเวรนั่นถึงเร็วแบบนี้?”


“ฉันคิดว่าเธอหนีไปแล้วล่ะ”


“ฉันบอกแล้วไงว่าพอเธอหนีออกไปจากตาข่ายวงล้อม เราก็จับเธอไม่ได้แล้ว”


“แต่ว่าเธอก็ยังตามล่าเธอได้อยู่นะ หากว่าเราไล่ตามต่อไป ฉันมั่นใจว่าเราจะต้องเจอเธอเหนื่อยแล้วไปนอนอยู่ที่ไหนสักที่แน่ พวกเราแค่ต้องดึงเวลาให้นานหน่อยเท่านั้นเอง”


คนกลุ่มใหญ่ได้ปรากฏขึ้นจากต้นหญ้าสูงพร้อมๆกับเสียงพึมพำมากมาย


“หืม?”


นักธนูที่กำลังเดินงอหลังและมองพื้นอยู่ จู่ๆก็เงยหน้าขึ้นและร้องออกมา


ในเวลาเดียวกันคนอื่นๆที่กำลังสนใจอยู่กับการตามรอยเป้าหมายก็รู้สึกตกใจที่มาเจอเข้ากับทีมปฏิบัติการ


“ไอ้เจ้าพวกนี้มันใครกัน? พวกเขา… ใช่พวกเราไหม?”


“เฮ้! พวกนาย…?”


ชายคนหนึ่งที่กำลังจะถามออกมาได้ชะงักไป นี่มันเพราะว่าพวกเขาได้เห็นชายที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลุ่มกำลังมองมาที่พวกเขา และหญิงสาวผมชมพูที่กำลังอุ้มเด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกเอาไว้


“อ่า เวรเอ้ย!”


หนึ่งในชายพวกนั้นได้สบถออกมา พวกเขาไม่จำเป็นต้องถามเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น สถานการณ์แบบนี้เป็นสิ่งที่ในสายงานของพวกเขาได้เจออยู่บ่อยครั้ง กลุ่มนี้มีความเป็นไปได้สูงว่าจะมาหยุดพักที่นี่และเจอเข้ากับเด็กสาว


ชายคนนี้ได้เข้าใจสถานการณ์ไปผิดเองแล้ว และจากนั้นก็เกาหัวออกมา


“ให้ตายสิว่ะ?”


“เราควรจะทำยังไงดี?”


ซอลจีฮูได้กัดฟันขึ้นมา ความขัดแย้งอันซับซ้อนระหว่างมนุษยชาติกับสหพันธรัฐทำให้เขาอยากจะบ้า เพราะงั้นการได้มาเห็นกลุ่มคนโง่ที่รู้จักแต่เติมเต็มความโลภของตัวเองจึงทำให้เขารู้สึกรังเกียจ


“อะไรกัน ทำไมจู่ๆเราถึงหยุดล่ะ? หืม?”


ในตอนนั้นเองเสียงดังลั่นก็ดังออกมาจากด้านหลังของกลุ่ม ชายคนที่เม้มปากอยู่ได้รีบมองไปด้านหลัง


“หัวหน้า! คือ…”


“อะไรเนี้ย? ใครแย่งตัวเธอไป?”


ชายรูปร่างอ้วนเตี้ยได้เดินออกมาข้างหน้า ไม่เพียงแค่เขาจะมีพุงยื่นออกมาเท่านั้น แต่ว่าที่คอของเขายังมีชั้นไขมันปกคลุมไปจนมองไม่เห็นคางอีกด้วย


จากนั้นสายตาของซอลจีฮูก็ได้มองไปที่จุดๆหนึ่ง ด้านหลังของชายที่ถูกเรียกว่าหัวหน้ามีเด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกที่ดูคล้ายกับเฮเรียวอยู่


เธอยังสวมเสื้อผ้าตามปกติ และดูจะไม่ได้รับความยากลำบากสักนิดเลย ยังไงก็ตามมีผ้าสีขาวพันเอาไว้อยู่ที่ปากของเธอ


“เฮย่า!”


ตัดสินจากเสียงร้องที่เป็นห่วงแล้ว เธอคนนั้นคงจะเป็นน้องสาวของเฮเรียว


“อื้ออ! อื้อออ!”


เด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกที่ถูกมัดไว้ได้ส่งเสียงออกมาเต็มกำลัง และดิ้นรนออกมา


คนกลุ่มนี้มีทั้งหมด 42 คนตามที่คาซุกิบอกเป๊ะๆ มันดูไม่เหมือนว่าพวกเขาจะยอมปล่อยตัวเด็กมาง่ายๆแน่ ซอลจีฮูที่รู้สึกว่าอาจจะมีการต่อสู้เกิดขึ้นได้จับหอกเอาไว้แน่น


จากนั้น…


‘หืมมม ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน…’


หัวหน้ากลุ่มได้ลูบคออ้วนๆของเขา เขาเข้าใจสถานการณ์แล้ว แต่ว่าทำไมฝ่ายตรงข้ามถึงได้เผยความเป็นศัตรูออกมาแบบนี้


‘ก็ไม่ได้ดูพิเศษเลยนะ…’


เขารู้ดีว่าไม่อาจจะตัดสินหนังสือจากแค่หน้าปกได้ แต่ว่าชายตรงหน้าใส่แค่อุปกรณ์ทั่วไปที่หาได้ตามร้านค้า เขาดูจะไม่ได้มีฝีมือเท่าไหร่เลย


ยังไงก็ตามบรรยากาศมันดูแปลกๆ พวกเขามีคนมากกว่าสี่สิบคน แต่อีกฝ่ายมีแค่สิบคนเท่านั้นเอง หากไม่นับคนขับรถม้าจำนวนคนก็จะลดลงไปเหลือแค่แปดคน


ปัญหาคือพวกนั้นกลับไม่ได้ดูกังวลเลยสักนิด จริงๆแล้วฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนจะดูถูกพวกเขาอีกด้วย


‘พวกเขาใช่พวกลักลอบที่เป็นกลุ่มชั้นสูงขนาดเล็กหรือเปล่านะ? หรือว่า… หืม?”


เมื่อหัวหน้ากลุ่มได้เห็นผู้หญิงผมสีชมพูกำลังอุ้มเด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกเอาไว้ ต่อมายิ่งเมื่อได้เห็นสายตาเย็นชาจากคาซุกิ เขาก็อ้าปากค้างออกมา


“นะ นายคือ…”


ยังไม่เพียงเท่านั้น


หญิงสาวที่กำลังใส่ชุดคลุมนักบวชสีขาว แต่ว่าถือไม้กระบองที่น่ากลัว


ชายผิวดำที่ถือง้าวอันงดงามที่ดูไม่เข้ากับหน้าตาของเขาเลยสักนิด


แล้วก็ยังมีนักธนูผมสีเทาที่ดูคล้ายกับหมาป่าหิมะ


‘อย่าบอกนะว่า’


เมื่อสายตาของเขาได้มองมาที่หญิงสาวผมแดงที่กำลังหาว และเลียริมฝีปากหนึ่ง ความคิดที่เหมือนกับสายฟ้าฟาดก็ได้เข้ามาในหัวของเขา


ลมหายใจของเขาได้หยุดลงไปในทันที


‘ไม่มีทางน่า!’


“ส่งเธอมา”


ขณะที่หัวหน้ากลุ่มคิดว่า ‘ทำไมพวกเขามาอยู่ที่นี่?’ ซอลจีฮูก็ได้พูดขึ้น พวกลักลอบได้มองตากันเอง


“อะไรนะ? ส่งเธอมางั้นหรอ?”


“ฮ่าห์! นี่คือสิ่งที่นายควรจะพูดงั้นหรอ?”


เสียงหัวเราะได้ดังลั่นออกมา จากนั้นชายคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้น


“ดูเหมือนนายจะอยู่ในสายงานเดียวกันนะ นี่นายไม่มีจิตสำนึกหน่อยหรอ?”


ม่านตาซอลจีฮูได้หม่นหมองลงไป เขาได้ถามออกไปเพื่อให้มั่นใจก่อนจะแสดงพลัง แต่มันก็เป็นอย่างที่คิดไว้


“โอ้ นายเห็นเด็กนี่ไหม?”


ชายที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับซอลจีฮูได้ยกเด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกขึ้นมา และเขย่าเธอเบาๆ


“พวกเราได้ไล่ตามมนุษย์สัตว์สารเลวที่เราโชคดีจับมาได้มา แล้วทำไมนายไม่ส่งเธอมาให้เราล่ะ?”


“ซอลไม่ต้องฟังพวกเขาอีกแล้วล่ะ เรามา…”


คาซุกิได้กระซิบออกมาจากด้านหลัง


“นายก็เป็นเหมือนพวกเรา เพราะงั้นนายก็น่าจะรู้กฎนะ พวกเรายอมรับว่านายจับพวกเธอให้เรา ใช่ไหมล่ะ? นายก็รู้นี่ว่าจะต้องทำยังไง”


คาซุกิพูดถูก คุยกับคนพวกนี้ไปก็ไม่ได้อะไร


ซอลจีฮูได้โน้มตัวออกไปข้างหน้า เขาได้ดึงพลังมานาไปเสริมกำลังที่ขาของตัวเอง


“รีบส่งเธอมาได้แล้ว เพราะงั้นเราจะได้คุยเรื่องส่วนแบ่ง-“


ปัง ปัง ปัง!


ต่างหูเฟสติน่าได้ถูกใช้งานสามครั้ง ซอลจีฮูได้ทีบตัวออกไปโดยที่มีพลังสายลมรุนแรงปกคลุมร่างอยู่


ในเสี้ยววินาทีนั้นซอลจีฮูก็ได้เบิกตากว้าง มันก็เพราะว่าหัวหน้ากลุ่มได้มาขวางหน้าเขาไว้ ราวกับว่าการเคลื่อนไหวนี้ถูกมองออก


ไม่สิ-


‘เดี๋ยวก่อน’


หัวหน้ากลุ่มไม่ได้เล็งมาที่เขา ฝ่ามือของหัวหน้ากลุ่มได้ฟาดไปที่หลังของชายที่กำลังตะโกนออกมา ซอลจีฮูได้รีบชะงักเท้าไป


ครืดดด-


ส้นเท้าของเขาได้จมลึกลงไปในดินพร้อมทั้งทิ้งรอยยาวเอาไว้ และซอลจีฮูก็ฝืนหยุดแรงพุ่งเอาไว้ได้


“แกมันไอ้เวรเอ้ย!”


หัวหน้ากลุ่มได้ตะโกนออกมาด้วยสีหน้าร้อนรน ชายคนที่ถูกตบทิ่มได้เงยหน้าขึ้นมาอย่างสับสน เขาตกใจที่เห็นซอลจีฮูอยู่ตรงหน้าเขา แต่ที่ยิ่งทำให้เขาสับสนไปอีกคือเขาถูกฟาด


“หะ หัวหน้า…?”


“อะไรอีกล่ะ? ส่งเธอไป? ส่วนแบ่ง? แกคิดว่าแกเป็นใครกัน!? แกอย่างจะเป็นหัวหน้าหรอห๊ะ!?”


ในตอนนี้หัวหน้ากลุ่มกำลังชี้ไปที่ชายคนนั้นและตะโกนออกมา จากนั้นอาจจะเพราะเขารู้สึกได้ถึงสายตาของซอลจีฮู เขาจึงรีบหันมา


อาการหอบของเขาได้เบาลง และรอยยิ้มอบอุ่นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา


“ไอหย๊าาา~ ต้องขออภัยด้วยจริงๆ เพราะผมไม่อบรมลูกน้องให้ดี… ฮ่าฮ่า”


เขาได้ถูมือเข้าด้วยกัน และยิ้มประจบออกมา ซอลจีฮูได้แต่กระพริบตานิ่งๆ


“อ่า! รอเดี๋ยวนะครับ เฮ้! ส่งเธอไปเดี๋ยวนี้! อย่าจับเธอแบบนั้นสิ! ฉันบอกให้ให้เกียรติแล้วก็เคารพเธอไง!”


“ตะ ตอนนั้น….”


“หุบปาก! นายกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงยังไม่ส่งเธอให้ท่านสุภาพบุรุษท่านนี้อีก!!?”


หัวหน้ากลุ่มแทบจะกระชากเด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกมาจากคนที่จับเธอเอาไว้


“ไอหย๊าาา~ คือเราไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้นะ”


เขาได้รีบเอาผ้าที่พันปากของเธอออกจากนั้น-


“แกมันปีศา… อุ๊ป!”


เขาได้มัดปากของเธอเอาไว้อีกครั้งเมื่อเด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกจะพูดออกมา


“อื้อออ! อื้อออออ!”


หัวหน้ากลุ่มได้หันมองซอลจีฮูก่อนจะรีบแก้มัด และส่งเธอออกไปด้วยความเคารพ


“รับไปเลยครับ! เราไม่ได้ทำอะไรกับเธอจริงๆนะ เธอยังปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนใดๆ! เราไม่ได้แตะต้องเธอแม้แต่ปลายขนเลย!”


“…”


“เชิญเลยครับ เธอเป็นของคุณแล้ว! ฮ่าฮ่า!”


ซอลจีฮูได้ผงะไปอย่างชัดเจน หากว่าพวกเขาใช้น้องสาวของเฮเรียวเป็นตัวประกัน สิ่งต่างๆก็อาจจะยาลำบากขึ้นมาได้ เพราะงั้นเขาจึงคิดว่าจะพาเธอกลับไปก่อนที่จะทำอะไรอีก


เขาเคยคิดเอาไว้ว่าจะได้ยินคำพูดอย่าง ‘นายพล่ามไร้สาระอะไรกัน?’ หรือว่า ‘ส่งเธอมา? นายมันบ้าหรือป่าวว่ะ? เฮ้ ฆ่าพวกมันให้หมด!’


‘…อะไรเนี้ย?’


เขาไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะส่งเธอมาง่ายแบบนี้ พูดตรงๆแล้วเขาทึ่งไปเลย


ซอลจีฮูได้จ้องมองหัวหน้าโดยไม่พูดอะไรออกมา


‘ขอล่ะ ขอเถอะนะ…!’


ดวงตาของหัวหน้าได้ขยับไปมาอย่างรวดเร็ว สมาชิกทุกคนที่อยู่ข้างหลังของชายหนุ่มต่างก็กอดอกมองดูพวกเขาอย่างขบขัน


หัวหน้ากลุ่มได้ตัวสั่นขึ้นด้วยความกลัว ยิ่งเมื่อเขาสบตากับชายหนุ่ม


เขาได้คุกเข่าลงไปในทันที


“ขออภัยด้วย!”


ตึง เขาได้ก้มหน้ากระแทกกับพื้น


“ผมยอมรับความผิด! ผมถูกเงินบังตา… ได้โปรดอภัยให้ผมสักครั้ง!”


ฮือฮา ฮือฮา


เสียงของลูกน้องได้ดังขึ้นมา


จากนั้นฟีโซราก็ระเบิดหัวเราะออกมา


“ไอหย๊าา~! ตาแก่นี่มัน! เขานี่ช่างรู้จักอ่านบรรยากาศจริงๆเลย ไม่ว่าจะไปที่ไหนเขาก็คงจะไม่ถูกฆ่าได้ง่ายๆสินะ!”


“ฮ่าฮ๋า ครับ ครับ…”


ซอลจีฮูได้ถอนหายใจออกมา เขาก็เคยรู้สึกแบบนี้ในระหว่างงานจัดเลี้ยง แต่ว่าจะมีคนที่คุยกันเข้าใจกับคนที่คุยกันไม่เข้าใจ ชายตรงหน้าเขาดูเหมือนจะเป็นอย่างแรก


“นายคงจะทำแบบนี้บ่อยๆสินะ”


หัวหน้าได้ผงะไป


“มะ ไม่ ไม่เลยครับ… ผมทำมันเป็นบางครั้ง… นานๆครั้งเลย…”


“…”


“นี่มันเป็นครั้งแรกเลยที่ผมทำสำเร็จ! ฮ่าฮ่า…”


ซอลจีฮูได้มองลงไปที่ชายร่างท้วมอย่างเย็นชา เด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกก็ยังส่งเสียงดังออกมา ซอลจีฮูได้กอดเธอเอาไว้ จากนั้นก็ลูบหลังเธอ เด็กสาวก็ไม่ได้ขัดขืนเหมือนกับเธอรู้ว่าซอลจีฮูกำลังช่วยเธอ


ซอลจีฮูได้พูดขึ้น


“อย่าได้ทำอะไรแบบนี้อีก”


หัวหน้าได้เงยหน้าขึ้นมา


“หมายความว่า!”


“ถ้าฉันจับได้ว่านายกำลังทำแบบนี้อีก…”


“นะ แน่นอนครับ! ผมจะลามือและไม่มายุ่งกับสายงานนี้อีก! ผมไม่รู้เรื่องของพวกข้างหลัง แต่ว่าผมสาบานว่าจะไม่ทำมันอีก!”


ตึง ตึง ตึง หัวหน้ากลุ่มได้โขกหัวกับพื้นซ้ำๆจนกระทั่งหน้าผากของเขามีเลือดไหลออกมา


การกระทำของคนๆนี้ได้ทำลายความคิดที่จะสู้ของซอลจีฮูไป และเขาได้หันหน้ากลับไป


“นายสัญญาแล้วนะ”


“ครับ”


“ไปได้แล้ว”


“ขอบคุณครับ! ขอบคุณที่ไว้ชีวิตผม”


หัวหน้ากลุ่มได้รีบลุกขึ้นมา


“ซอล นี่แหละปัญหาของนาย นายใจดีเกินไป”


“แน่นอนเลย นี่เป็นโอกาสดีที่จะทำเงินเลยนะ พวกเรายังมีความชอบธรรมอีกด้วย กรี๊ดดด ลองคิดดูสิว่าหากเขาปล้นของพวกเขามา แล้วก็เอาไปขาย…”


เสียงพึมพำได้ดังออกไปไกลจนทำให้หัวหน้ากลุ่มตัวสั่น เขาได้รีบหนีไปโดยไม่สนใจลูกน้องเลยสักนิด


“อะ อะไรกัน?”


“ทำไมหัวหน้า…”


เหล่าลูกน้องได้พึมพำออกมาแค่ครู่เดียวเท่านั้น บางคนที่มีไหวพริบได้รีบวิ่งออกไป ส่วนคนที่เหลืออยู่ก็เริ่มเข้าใจบรรยากาศ และเริ่มหนีไป


“ช่างเสียเปล่า ช่างเสียเปล่า!”


โชฮงได้เม้มปากลูบแท่งเหล็กหนามของเธอเอาไว้


***


หลังจากพวกลักลอบหนีไปหมดแล้ว…


“เฮย่า…”


“พี่สาว!”


พี่น้องได้กอดกันอย่างยินดี ส่วนซอลจีฮูได้ยิ้มออกมาอย่างอบอุ่นใจ จากนั้นเขาก็หันไปมองเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมา คาซุกิที่มักจะเย็นชาได้หัวเราะออกมา


“อะไรหรอครับ?”


“อ่า”


คาซุกิได้มองไปทางที่พวกลักลอบที่หนีไปโดยที่ยังยิ้มอยู่


“ฉันก็ยังคิดว่าเขาก็ยังเป็นเหมือนเดิมเลย ฉันหมายถึงหัวหน้าคนนั้นน่ะ”


“คุณรู้จักเขาหรอครับ?”


“แค่เคยเห็นหน้าน่ะ เรามาจากพื้นที่เดียวกัน เพราะเขาเลยทำให้บทฝึกสอนค่อนข้างจะสนุกมากเลย”


“หืม… เขาเป็นคนแบบไหนหรอครับ?”


คาซุกิได้ใช้นิ้วแตะตาของเขา


“เป็นคนเฉียบคม”


“?”


“เขาเป็นคนที่อ่านบรรยากาศได้ดีมาก ความสามารถในการตัดสินใจสถานการณ์อย่างเฉียบพลันของเขาก็่นากลัวเหมือนกัน เขาได้ผ่านบทฝึกสอนกับเขตพื้นที่เป็นกลางด้วยแค่ความสามารถนี้เพียงอย่างเดียว”


ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา เขาไม่คิดเลยว่าเขาจะแสดงออกไปขนาดนั้น แน่นอนว่าเขาคิดไว้ว่าจะโยนหอกออกไปในทันทีที่ได้ตัวน้องสาวของเฮเรียวมา ชายคนนั้นมองออกได้ยังไงกัน?


‘น่าสนใจ’


บางทีฉันควรจะใช้นพเนตรดูสีของเขาดู


ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา จากนั้นเขาก็หันไปหาเทเรซ่าที่กำลังคุยอยู่กับคริสตัลสื่อสาร


เขาได้ปล่อยสองมนุษย์จิ้งจอกไว้ให้กับเทเรซ่าดูแล เนื่องจากว่าการเข้าไปในเขตของสหพันธรัฐอาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดกันได้ เทเรซ่าจึงแนะนำให้พวกเขาติดต่อฝ่ายนั้นก่อนที่จะข้ามเขตพรมแดนไป


ในเมื่อเทเรซ่าได้ติดต่อกับสหพันธรัฐแล้ว มันก็ไม่น่าจะมีเหตุผลอะไรให้พวกเขาปฏิเสธ มีเพียงแค่ความลำบากเดียวเท่านั้นก็คือพวกเขาต้องติดต่อหาสหพันธรัฐผ่านทางราชวงศ์


“ค่ะ ค่ะ พ่อ หืม…? หลับ?”


ในตอนนั้นเองจู่ๆเสียงของเทเรซ่าก็ดังขึ้นมา


“นี่พ่อหมายความว่า… ค่ะ”


หลังจากนั้นไม่นาน…


“เข้าใจแล้ว… ขอบคุณนะคะพ่อ”


เทเรซ่าได้วางสายไป และลุกขึ้นยืน


“พ่อบอกว่าพ่อได้แจ้งสถานการณ์กับสหพันธรัฐแล้ว เนื่องจากว่าสหพันธรัฐได้บอกมาว่าพวกเขาจะติดต่อกับรักษาการที่พรมแดน เราก็น่าจะเข้าไปได้แล้ว”


“แล้วเราสัญญากันว่าจะไปเจอกันที่ไหนหรอ?”


“ไม่ พวกเขาบอกว่าพวกเขาจะมาหาเราเมื่อเราเข้าไปในเขตของพวกเขา แล้วก็…”


เทเรซ่าได้ถอนหายใจยาวออกมา เธอดูจะลังเลใจก่อนจะพูดออกมาเบาๆ


“เขาบอกว่าเราจะต้องห้ามหลับจนกว่าจะเจอพวกเขา”


“…อีกแล้วหรอ?”


“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน นี่คือสิ่งที่สหพันธรัฐบอกมา พวกเขาได้ถามว่าเราได้ติดต่อกับเด็กสาวมนุษย์จิ้งจอกหรือยัง จากนั้นก็บอกไม่ให้เราหลับจนกว่าพวกเขาจะเจอเรา…”


เทเรซ่าได้หยักไหล่ออกมาโดยบอกว่าพวกเขาก็ไม่ได้อธิบายว่าทำไม


ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมา


“เอาเถอะ ฉันมั่นใจว่าพอเจอพวกเขาแล้วเดี๋ยวพวกเขาก็บอกเราเองแหละ พวกเราก็แค่ต้องห้ามนอนจนกว่าจะเจอพวกเขาใช่ไหม?”


ดวงตาเทเรซ่าได้โค้งออกมาเป็นรูปจันทร์เสี้ยว


“ใช่แล้ว ห้ามหลับ”


“เข้าใจแล้ว”


“ห้ามเด็ดขาด เราต้องห้ามหลับเด็ดขาด”


เมื่อเธอได้ย้ำมันออกมาอีกครั้ง ซอลจีฮูก็ชะงักไป เขาได้มองกลับไปที่เธอและเห็นว่าสีหน้าเคร่งเครียดของเธอได้หายไป และถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มแปลกๆ


“…เจ้าหญิง?”


ฉันกำลังคิดอยู่เลยว่าช่วงนี้เจ้าหญิงสงบเกินไป…


“อะไรล่ะ? ฉันก็แค่บอกว่าเราจะหลับไม่ได้เท่านั้นเอง นายคงจะไม่ได้จินตนาการอะไรแปลกๆใช่ไหม?”


ซอลจีฮูได้จ้องเธอนิ่งๆ แต่ว่าเทเรซ่าก็ยังพูดต่อไปอย่างไร้เดียวสา


“ยังไงก็ตาม อย่าหลับนะ”


“…”


“แต่ว่าถ้านายคิดว่านายกำลังจะหลับก็บอกฉันได้เลย ฉันยินดีจะช่วยนาย เข้าใจนะ?”


เทเรซ่าได้หลับตาลงจากนั้นก็หงายมือขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม


ซอลจีฮูได้ถอนหายใจออกมา


“เจ้าหญิง”


“ว่าไง พูดมาได้เลย”


“ได้โปรดอย่ามองผมแบบนั้น”


เทเรซ่าได้สะดุ้งเล็กน้อย พร้อมดวงตาที่เบิกกว้าง


“โอ้~”


เทเรซ่าผิวปากออกมา


“นายนี่ยอดเยี่ยมไปเลย!”


“นี่เธอหมายความว่ายังไงกัน?”


ซอลจีฮูได้ส่งเสียงฮึ่มออกมา ก่อนจะเดินไปที่รถม้า


***


อีกด้านหนึ่ง


“อะ อะไรนะ?!”


หนึ่งในพวกลักลอบได้เด้งตัวด้วยความตกใจจากคำอธิบายของหัวหน้า


“ตะกี้ว่ายังไงนะ? นั่นคือคาเพเดี่ยม?”


หัวหน้าที่กำลังหอบหนักได้ขมวดคิ้วและตะโกนออกมา


“เออสิ! ยังจะต้องให้ฉันบอกแกอีกกี่ครั้ง?!”


“ทำไมคาเพเดี่ยม…”


“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง!? ฉันก็มั่นใจอยู่ครึ่งหนึ่งตอนเห็นคาซุกิ แต่ว่านั่นเป็นคาเพเดี่ยมแน่ๆ!”


จากนั้นเขาก็ชี้นิ้วไปที่ลูกน้องของเขาที่กำลังทำสีหน้าแบบเดียวกันหมด


“ไอ้พวกสารเลว! พวกแกไม่รู้อะไรเลยงั้นหรอ? ก่อนหน้านี้มันอะไรกันนะ? แกบอกว่าฉันบ้าหรอ? เออสิไอ้เวร! ถ้าไม่ใช่เพราะฉันพวกแกได้ตายกันไปหมดแล้ว! รู้กันเอาไว้ด้วยนะ!”


“…”


“ฟู่ววว หัวใจจะวาย คาซุกิกับนักธนูเหล็กกล้า ยัยปากเสีย แล้วกระทั่งยัยบ้า…”


หัวหน้ากลุ่มได้พึมพำกับตัวเองก่อนจะถอนหายใจและขมวดคิ้วขึ้น


“เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมคาซุกิถึงได้อยู่กับคาเพเดี่ยมล่ะ? แล้วก็ผู้หญิงผมชมพูคนนั้นเป็น…”


“แต่ว่านี่ก็น่าอายจริงๆ เรามีคนมากกว่า หากว่าพวกเราจับใครสักคนมาเป็นตัวประกัน พวกเราก็อาจจะหนีไปได้นะ…”


เมื่อหนึ่งในลูกน้องของเขาพึมพำกับตัวเองอย่างหัวเสีย หัวหน้าก็รีบสะบัดหน้ามา


“ไอ้โง่เง่าเอ้ย! นี่แกยังจะพูดแบบนั้นอีกหรอ?!”


หน้าอกของเขาได้ขยับอย่างรุนแรง และพูดออกมาโดยความโกรธ


“ไอ้โง่! แกมันไร้สมอง! หัดใช้หัวสะครั้งเถอะนะ! แกไม่รู้หรอว่าชายคนนั้นคือใคร?”


“คนที่ใช้หอกหรอ?”


“ใช่แล้ว! ถ้าพวกเขาคือคาเพเดี่ยม แล้วนายคิดว่าเขาเป็นใครล่ะ?”


ใบหน้าของชายคนนั้นได้แข็งทื่อไปในทันที จากนั้นเขาก็พูดติดอ่างไปราวกับในที่สุดก็นึกอะไรได้


“ยะ อย่าบอกนะว่า…”


“วีรบุรุษสงครามแห่งฮารามาร์คไง! จะเป็นใครไปได้อีก!?”


เสียงกลืนน้ำลายได้ดังออกมาจนทั่ว


“เขาคือคนที่ฆ่าความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ที่เป็นที่รู้จักดีว่าคือผู้บัญชาการกองทัพที่แกร่งเป้นอันดับสอง! จับเขาเป็นตัวประกันงั้นหรอ? ได้เลย ฉันมั่นใจว่านายได้ไปยมโลกแน่!”


“…”


“แล้วก็นะผู้หญิงหัวชมพูก็น่าจะเป็นเจ้าหญิงแห่งฮารามาร์ค เทเรซ่า ฮัสเซย์ หากทำพลาดไปแม้แต่นิด เราทุกคนได้ติดหมายจับกันแน่! ต่อให้จะหนีรอดมาได้ แต่ว่าเราก็จะต้องใช้ชีวิตแบบโจรไร้บ้านไปชั่วชีวิต!”


เมื่อความกลัวได้เริ่มเข้ามาปกคลุม หัวหน้าก็ได้เริ่มวิ่งอีกครั้ง เขาอยากที่จะหนีออกไปให้ไกลจากพื้นที่อันตรายที่สุด เขารู้สึกว่าเขาจะไม่อาจสงบใจได้เว้นแต่จะไปถึงอีวาแล้ว


เหล่าลูกน้องได้ไล่ตามหัวหน้าไป แล้วถามออกมา


“แล้วเราจะเอายังไงต่อครับ?”


“อะไรอีกล่ะ?”


“พวกเราจะวางมือกันหรอครับ? หัวหน้าแค่ล้อเล่นใช่ไหม?”


“แน่่นอนสิ ฉันกำลังจะวางมือแล้ว!”


หัวหน้าได้ตะโกนออกมาโดยไม่ลังเลสักนิด


“จริงหรอครับ?”


“ใช่สิ ตัดสินจากการคุยกันสั้นๆ ชื่อเสียงของเขามันคือความจริง ผู้คนได้บอกว่าเขาได้ไปทั่วทั้งสนามรบเหมือนกับปีศาจ ฉันมีความรู้สึกว่าหากฉันทำอะไรแบบนั้นอีก เขาก็จะไล่ล่าฉันเหมือนปีศาจ”


หัวหน้าได้ส่ายหัวออกมาราวกับจะสลัดความกลัวทิ้งไป


“ยังไงก็ตาม ฉันเลิกแล้วล่ะ! พวกแกก็ทำตามใจไปเถอะ! แต่ว่าถ้าตายก็อย่ามาโทษฉันแล้วกันนะ!”


หลังจากตะโกนออกมาแบบนั้นแล้ว หัวหน้าก็ปัดฝุ่นจากมือและวิ่งหนีไป


***


ในเวลาเดียวกัน


ปีศาจคนที่หัวหน้ากำลังพูดถึงอยู่กำลังเล่นอยู่กับเด็กทั้งสองคน


เสียงร้องกับเสียงหัวเราะได้ดังออกมาไม่หยุดจากในรถม้า


“เอาอีกๆ!”


“นั่นมัน? ฟองนั่นมันยังไงกัน?”


“อื้อ! ฟู่- นี่!”


เฮย่า น้องสาวของเฮเรียวได้โห่ร้องพร้อมทั้งปรบมือออกมา


ซอลจีฮูได้หยิบเอาหมากฝรั่งออกมาจากกระเป๋า และใส่มันเข้าไปในปาก เฮย่าดูน่ารักยิ่งกว่าพี่สาวของเธอซะอีก


แถมเธอยังดูกระตือรือร้นยิ่งกว่า ถึงแม้ว่าเธอเพิ่งจะหนีมาจากการจับกลุ่มของพวกลักลอบได้ แต่ว่าเธอก็ไม่ได้ดูหวาดผวาเลยสักนิด และบางทีอาจจะเพราะว่าเธอรู้ว่าพวกเขาช่วยเธอไว้ เธอก็เลยไม่ได้สงวนท่าทีอะไรไว้


เพราะแบบนี้ทำให้เธอสนิทกับซอลจีฮูอย่างรวดเร็ว


“ฟู่-“


เมื่อซอลจีฮูเป่าหมากฝรั่งเป็นฟองออกมาอีกครั้ง หางของเด็กสาวมนุษย์สัตว์ทั้งสองคนก็ส่ายไปมาเบาๆ พวกเธอกำลังตั้งตาคอยให้ฟองหมากฝรั่งมีขนาดใหญ่ขึ้นก่อนที่จะใช้นิ้วจิ้มมันเมื่อมีขนาดพอประมาณ


โป๊ะ! ฟองหมากฝรั่งได้แตกและเลอะอยู่เต็มใบหน้าซอลจีฮู


“อ๊าา แตกอีกแล้ว!”


เมื่อซอลจีฮูลูบคลำไปที่ใบหน้าของเขา เด็กสาวทั้งสองคนก็หัวเราะออกมา


“ฮิฮิ! คุณโง่จัง!”


“โง่เง่า! มอนสเตอร์โง่เง่า!”


“อะไรนะ? มอนสเตอร์โง่เง่า?”


ซอลจีฮูได้จงใจขึ้นเสียงออกมา และชี้นิ้วมาที่ตัวเอง


“ก็ได้ ฉันเป็นมอนสเตอร์โง่เง่า!”


จากนั้นเมื่อเขาทำเสียง ‘กรรร!’ และกระโจนเข้าไปจั๊กจี้เด็กสาวทั้งสองคน เฮเรียวกับเฮย่าก็บิดตัวดิ้นหัวเราะไปมา


กรี๊ดดด! กรี๊ดดด!


ซอลจีฮูกับสองพี่น้องมนุษย์จิ้งจอกได้ต่อสู้กันภายในรถม้า


“…น่าทึ่งจัง!”


เทเรซ่าที่ถูกสองพี่น้องขโมยที่นั่งไปอดไม่ได้ที่จะตกใจเมื่อเธอได้เห็นทั้งสามคนเล่นกัน


“เขาเข้ากับเด็กดีขนาดนี้ได้ยังไงกันนะ…?”


“มันก็ชัดอยู่แล้วนี่”


ฟีโซราก็ได้แค่นเสียงออกมา


“มันก็แค่เด็กที่โตกว่ากำลังเล่นกับเด็กเล็กๆเท่านั้นเอง เธอก็รู้นี่ว่าเด็กๆนะเล่นด้วยกันได้ดี”


“…”


เทเรซ่าได้ยิ้มแห้งๆออกมาโดยไม่อาจจะคิดเถียงกลับไปได้เลย



บทที่ 211 – ประโยชน์ที่คาดไม่ถึง (2)


รถม้าได้ขับผ่านพรมแดน และเข้าสู่พื้นที่พรมแดน ทีมปฏิบัติการได้ลงมาจากรถม้า และเริ่มเดินเท้าไปที่จุดหมาย


ในระหว่างเดินทางพวกเขาไม่ได้ถูกมอนสเตอร์แม้แต่ตัวเดียวเข้าโจมตีแล้ว จริงๆแล้วพวกเขาถึงขนาดยังไม่เคยเห็นมอนสเตอร์สักตัวด้วยซ้ำไป


นี่มันเพราะว่าพื้นที่นี้เป็นที่ที่มนุษย์กับสมาชิกของสหพันธรัฐใช้กันบ่อยๆ ซึ่งต่างไปจากป่าแห่งการปฏิเสธที่เป็นเขตพรมแดนระหว่างปรสิตกับมนุษย์ มอนสเตอร์ส่วนใหญ่ของที่นี่ได้ถูกจัดการกวาดล้างออกไปเป็นร้อยๆพันๆครั้งแล้ว


ผลก็คือทีมปฏิบัติการสามารถจะเดินทางโดยไร้อุปสรรคได้จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน


“พระเจ้า มันเกือบจะมืดแล้วนะ ทำไมเจ้าพวกนั้นมันช้าจังเลยล่ะ? หากว่าพวกเขาตั้งใจจะหอกให้พวกเรากลัว แล้วก็ไม่ให้เรานอนหลับจะทำยังไง?”


โชฮงได้บ่นออกมาหลังจากที่โดยที่บอกว่าสหพันธรัฐอาจจะลอบโจมตีพวกเขาหลังจากที่ทำให้พวกเขาหมดแรง


ซอลจีฮูไม่ได้พูดอะไรเลยนั่นเพราะเขาก็รู้ดีว่าเธอก็แค่บ่นออกมาตามภาษาคนที่เบื่อกับการเดินทางเท่านั้นเอง


‘ทำไมพวกเขายังไม่มาอีก…?’


จริงๆแล้วซอลจีฮูก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ คำว่า ‘ห้ามนอนหลับ’ ยังคงติดอยู่ในใจของเขา


พวกเขายังอยู่ห่างไกลจากเป้าหมาย หากว่ายังเป็นแบบนี้ต่อไปพวกเขาก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินทางในตอนกลางดึก


ในตอนนั้นเองจู่ๆคาซุกิที่กำลังนำทางกลุ่มอยู่ก็หยุดนิ่งไป


“คุณคาซุกิ?”


เงียบ


ซอลจีฮูได้รีบเดินออกไปข้างหน้า คาซุกิยังคงยืนเงียบและมองตรงไปข้างหน้า มันราวกับว่าเขากำลังบอกว่า ‘นายเห็นนี่ไหม?’


และไม่นานนักคาซุกิก็พูดออกมาเบาๆ


“…ขอโทษ”


ทุกๆคนต่างก็สงสัยขึ้นมากับคำขอโทษที่กระทันหันของเขา


“ฉันพยายามตั้งสติเอาไว้แล้ว…”


เม็ดเหงื่อเย็นๆได้ไหลออกมาจากแก้มของคาซุกิ


“แต่ว่ามันดูเหมือนว่าเราจะถูกล้อมแล้ว”


ซอลจีฮูได้ค่อยๆมองไปรอบๆตัวเขา ซ้าย ขวา ข้างหน้า และข้างหลัง เขามองเห็นแค่ต้มไม้หนา และต้นหญ้าเท่านั้นเอง


ลมเย็นยะเยือกได้พัดผ่านมา


“โฮ่!”


เสียงอุทานตื่นเต้นได้ดังออกมาสั้นๆพร้อมกับสายลมที่พัดผ่านมา


ดวงตาซอลจีฮูได้เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย เขามองไม่เห็นใครเลย แต่เขาก็ยังได้ยินเสียงอย่างชัดเจน


“นายมีสัมผัสที่ยอดเยี่ยมมากมนุษย์”


โชฮงได้ยกแท่งเหล็กหนามขึ้นมาในทันที และตั้งท่าเตรียมต่อสู้ เทเรซ่าได้ดึงโชฮงถอยไป จากนั้นก็ตะโกนขึ้นมา


“คุณยังไม่ได้รับการติดต่อจากเบื้องบนหรอ? พวกเราคือ-!”


“เรารู้”


เสียงยืนยันอย่างสงบได้ดังออกมา ซอลจีฮูได้จดจ่ออยู่กับเสียงนี้


“แต่ว่ามันมีปัญหาอยู่เล็กน้อยที่ทำให้เราไม่ได้เผยตัวกับพวกนาย”


น้ำเสียงแหบแห้งแต่ไม่ค่อยชัดเจนได้ดังออกมา มันเป็นเสียงที่ทุ้มลึก จริงๆแล้วมันคล้ายกับเสียงของนักรบที่ทรงพลัง


“นายช่วยยืนนิ่งๆโดยไม่ถามหรือเรียกร้องอะไรได้ไหม? แน่นอนว่า เราจะบอกว่านายควรทำตามที่เราพูด”


“นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน?”


“ไม่มีทาง”


โชฮงได้สะบัดเทเรซ่าออกไปอย่างไม่พอใจ และยกไม้กระบองขึ้นอย่างไม่พอใจ มาแชล จิโอเนียก็ยังตั้งท่าเตรียมเหนียวไกหน้าไม้ทุกเมื่อ ทั้งคู่ต่างก็มีมุมมองของสหพันธรัฐในแบบของตัวเอง แต่ไม่ว่าจะยังไงพวกเขาก็ไม่มีวันยืนอยู่นิ่งๆตามที่บอกหลังจากถูกล้อมเอาไว้แน่ๆ


“หากว่าเธอไม่เห็นด้วย เราก็ได้แต่ขอให้เธอออกไป พวกเราจะไม่โจมตีหรือไล่ตามพวกเธอ”


เมื่อเสียงที่ฟังดูเหมือนกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรดังออกมา มาเรียก็กำหมัดแน่น


“แกเป็นใครถึงได้บอกให้เราทำแบบนั้น? พวกเราจะไปไหนก็ได้!”


“ถ้างั้นเธอจะอยู่ต่อก็ได้ แต่… เธอจะเสียใจ”


น้ำเสียงเย้ยหยันไม่แยแสได้ดังออกมา


“ทำตามใจเถอะนะ แต่ว่าจะให้คำแนะนำสำหรับที่ช่วยพรรคพวกของเราหน่อยแล้วกัน เราขอแนะนำให้เธอกลับไปที่อีวาในทันที ถ้าเป็นไปได้ก็รีบไปวิหารอินวิเดียโดยที่อย่าไปเจอมนุษย์เข้าล่ะ”


นี่มันกระทันหันจริงๆ แต่ว่าซอลจีฮูที่จำได้ถึงเงื่อนไขที่สหพันธรัฐเคยพูดกับเขามาก่อนก็ได้พูดออกมา


“พวกเราก็ห้ามนอนระหว่างทางกลับด้วยใช่ไหม?”


“ฉลาดนี่”


ฟุฟุฟุ เสียงหัวเราะเบาๆได้ดังออกมา


ซอลจีฮูได้ครุ่นคิดกับตัวเอง มันคงจะดีหากว่าเจ้าของเสียงอธิบายให้ชัดเจน แต่ว่าตอนนี้สถานการณ์ของพวกเขากำลังอยู่ระหว่างทางแยกแล้ว หากว่านี่เป็นเกม หน้าจอก็คงจะแสดงทางเลือกอะไรออกมาประมาณนี้


[ฟังสหพันธรัฐและยืนนิ่งๆ]

[ปล่อยมนุษย์จิ้งจอกเอาไว้ และทำปฏิบัติการต่อ]

[ทิ้งมนุษย์จิ้งจอกเอาไว้ และกลับอีวา]


‘ฉันไม่รู้สึกถึงความมุ่งร้ายหรือความเป็นศัตรูใดๆ… กลับกันฉันกลับรู้สึกเหมือนเขากำลังพยายามช่วยเรา’


เมื่อเหลือเพียงทางเลือกเหล่านี้ ซอลจีฮูก็ได้เปิดใช้งานนพเนตรขึ้นมา ในทันทีที่เขาได้เห็นถึงสีสัน เขาก็อุทานออกมาอย่างตกใจ


“อ่า!”


สีแดง แนะนำให้ถอยในทันที


สิ่งสำคัญก็คือมีสีแดงแค่ตรงที่ซอลจีฮูกับพรรคพวกอยู่เท่านั้น ที่ที่สันนิษฐานว่าสหพันธรัฐอยู่เป็นสีเหลือง และส่วนที่เหลือเป็นสีเขียว


เขาได้ทำพลาดร้ายแรงลงไปแล้ว


เมื่อไหร่กันที่ทีมปฏิบัติการของเขาได้ถูกย้อมไปด้วยสีแดง?


‘เป็นไปได้ไหมว่า?’


ซอลจีฮูได้มองลงไปที่เฮย่าที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา จากนั้นก็ตัดสินใจขึ้นมา


“โชฮงลดอาวุธลง”


“อะไรนะ? เฮ้ ซอล-“


“จองโชฮง”


เมื่อโชฮงพยายามจะแย้งออกมา คาซุกิก็ห้ามตัวเองไม่อยู่ และคำรามออกมา


“ลดทิฐิของเธอลงหน่อย”


โชฮงได้ขมวดคิ้วขึ้นกับคำพูดเหน็บที่เย็นชาของคาซุกิ


“อะไรนะ? นายว่ายังไง?”


“เมื่อเธออยู่ระดับ 4 แล้วเธอก็ควรที่จะรู้จักแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับส่วนร่วมได้แล้วนะ แต่นี่มันอะไรกัน? ตอนนี้เธอเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงแล้วนะ เธอยโสมากจนไม่ฟังหัวหน้าของเธอเลยงั้นหรอ?”


โชฮงได้ผงะถอยไป มันดูเหมือนกับจะมีเข็มน้ำแข็งพุ่งออกมาจากสายตาของคาซุกิ นี่มันคือความโกรธของคาซุกิ


“นี่ไม่เพียงแต่เป็นการตัดสินใจของหัวหน้านะ แต่ฉันที่เป็นคนนำทางก็ยังอยู่นิ่งๆเลย แล้วเธอมีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้ในปฏิบัติการนี้?”


โชฮงไม่ได้รู้เรื่องเลยว่าคาซุกิได้ไม่พอใจเธอนับตั้งแต่ที่ทั้งกลุ่มเจอเข้ากับเฮเรียวแล้ว แม้ว่าซอลจีฮูที่เป็นหัวหน้าปฏิบัติการก็ยังขอและแสดงความเคารพในความคิดเห็นของเขา แต่ว่าโชฮงกับไม่ได้สนใจในอำนาจใดๆของคนนำทางเลย


โชฮงก็ดูเหมือนจะเริ่มโกรธขึ้นมาเช่นกัน แต่ในท้ายที่สุดปากที่ดูเหมือนจะพร้อมสบถคำหยาบมากมายออกมาก็ปิดลงไป


ในระหว่างปฏิบัติการนี้ การตัดสินใจทั้งหมดจะถูกกระทำผ่านทางหัวหน้ากับคนนำทางร่วมกัน หากพูดถึงกฎพื้นฐานนี้โชฮงก็ไม่มีสิทธิ์จะพูดอะไรได้เลย


แม้ว่าเธอจะไม่พอใจ แต่ว่าเธอก็ยอมลดอาวุธลงแต่โดยดี จากนั้นเธอก็สูดหายใจเข้าลึกๆ และละบายมันออกมา


“โอเค นับจากนี้ฉันจะระวังให้มากขึ้น”


แม้ว่าเธอจะเป็นคนเจ้าอารมณ์ แต่การยอมรับในความผิดของตัวเองก็เป็นหนึ่งในจุดดีของโชฮง


“เราขอคิดว่าการอยู่เฉยๆของพวกนายว่าจะเป็นการทำตามที่เราบอกได้ใช่ไหม?”


ซอลจีฮูได้ตอบกลับไป


“พวกเราจะรับการช่วยเหลือจากคุณ”


“เยี่ยม ถ้างั้นเราก็จะส่งคนไป อยู่นิ่งๆอย่าทำอะไร”


ได้มีคนปรากฏตัวออกมาจากหญ้าตามที่เสียงได้บอกเอาไว้


ซอลจีฮูไม่อาจจะเห็นใบหน้าของเขาได้เพราะมีผ้าสีขาวสะอาดปกปิดเอาไว้จนหมด มันแทบจะราวกับว่าเป็นนักบุญจากศาลเจ้าที่กำลังใส่ชุดคลุมทำพิธีกรรม


จะมีจุดเด่นเดียวก็คือคนๆนั้นได้ถูกกิ่งไม้ที่มีควันออกมาเหมือนกับถูกฟ้าผ่า


คนๆนี้ได้เดินมาข้างหน้า ก่อนที่จะหยุดอยู่ห่างจากกลุ่มของเขาเล็กน้อย


“…”


ความเงียบได้เข้าปกคลุม ขณะที่ซอลจีฮูกำลังจ้องมองคนตรงหน้านิ่งๆ ทันใดนั้นกิ่งไม้ก็ถูกชี้มาที่เขา


“มนุษย์”


ซอลจีฮูได้วางมือลงบนตัวเองราวกับจะถามว่า ‘ผมหรอ?’


คนตกหน้าได้ค่อยๆหยักหน้าออกมา


“ลองใช้งานพลังของกำไลที่ข้อมือซ้ายดู”


น้ำเสียงของคนๆนี้นุ่มนวลและกระจ่างชัดต่างจากก่อนหน้านี้ ในตอนนี้พอมองดูใกล้ๆ มือที่กำลังถือกิ่งไม้ก็เป็นสีขาวหิมะ


‘แฟรี่ท้องฟ้า?’


นี่เป็นความคิดแรกเลยที่เข้ามาในหัวของเขา แต่ว่าซอลจีฮูก็ได้รีบปล่อยความคิดนี้ไว้ก่อน และดึงพลังมานาออกมา


วูมมม! โล่ทรงกลมสามอันได้ถูกสร้างขึ้นจากข้อมือซ้ายของเขา ซอลจีฮูได้โชว์โล่ที่กำลังหมุนไปมาออกมา แต่ว่าคนตรงหน้าก็ยังไม่ขยับ


จากนั้น


ซ่าาาาห์!


ซอลจีฮูรู้สึกสงสัยในสิ่งที่เพิ่งจะเห็นไป โล่ทรงกลมสามอันของเขาได้กลายเป็นฝุ่นและเริ่มกระจายไป


การอวยพรแห่งเซอร์คั่มจะปกป้องผู้ใช้จากการโจมตีสามประเภท กายภาพ เวทมนต์ และคาถาเวทย์ โล่ทรงกลมสองอันที่ป้องกันเขาจากเวทมนต์กับคาถาเวทย์ได้หายไปอย่างรวดเร็ว


“เป็นอย่างที่คิด นายติดเชื้อแล้ว”


ร่างๆนั้นได้ก้าวเท้ามาข้างหน้าอย่างรวดเร็วก่อนที่จะยื่นมือออกมา


ตึก ตึก เธอได้เริ่มจากใช้กิ่งไม้ตีหัวของทุกๆคน


ซอลจีฮูได้สับสนอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่นานนักเขาก็เบิกตากว้างขึ้นมา และนั่นก็เพราะว่าเขารู้สึกได้ถึงพลังงานอันสดชื่นกระจายจากหัวของเขาลงไปที่ร่างกาย


เขาไม่เคยรู้สึกผิดปกติกับร่างกายมาก่อนเลย แต่ว่าในตอนนี้เขากลับรู้สึกสดชื่นราวกับออกมาจากห้องซาวน่า


“พิธีชะล้างได้เสร็จสิ้นแล้ว”


คนตรงหน้าได้เดินรอบๆทีมของเขาก่อนที่จะหันหน้ามาพูดห้วนๆ ซอลจีฮูได้สังเกตเห็นว่าส่วนหนึ่งของชุดสีขาวได้เปลี่ยนไปเป็นสีดำ ราวกับว่ามันถูกไฟเผา


“เยี่ยม ขั้นถัดไป…”


ต่อมาเงาก็ได้พุ่งออกมารอบๆพวกเขา มีเงาประมาณสิบเงาก่อตัวขึ้นล้อมรอบทีมของเขาก่อนที่จะค่อยๆเข้ามาใกล้


หนึ่งในเงาที่เป็นคนนำทีมและก้าวยาวๆออกมา คือคนที่เป็นหญิงสาวผอมบางที่มีหูยาว


ซอลจีฮูได้ถูกหญิงสาวผมยาวถึงก้นคนนี้ดึงความสนใจไป


เธอได้สวมชุดหนังสีน้ำตาลแดง และกางเกงหนังสีเทา มีมีดสั้นสี่เล่มถูกแขวนอยู่ที่สะโพกของเธอ และมีดาบยาวที่ถูกห่อไว้ด้วยผ้าหนังอยู่ที่สะโพกอีกด้าน สิ่งที่สะดุดตาที่สุดเลยก็คือผ้าสีดำที่ปกปิดดวงตาของเธอเอาไว้


ซอลจีฮูก็ไม่รู้ว่ามันเพราะภาพลักษณ์ภายนอกของเธอ หรือเพราะมันมีเหตุผลอะไรอยู่ แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอให้ความรู้สึกลึกลับมากจริงๆ


ไม่นานนักเธอก็หยุดเดินไป


ซอลจีฮูได้เงยหน้าขึ้น และมองไปที่หยิ่งสาวที่ยืนถือกิ่งไม้นิ่งอยู่ เมื่อเขาได้เห็นเธออีกครั้ง เขาก็มั่นใจขึ้นมา


คนที่ปรากฏตัวขึ้นคนแรกเป็นคนล่ะเผ่าพันธุ์กับสิบคนที่มาทีหลัง


อย่างแรกเลยสีผิวของพวกเธอต่างกันอย่างชัดเจน แม้ว่าพวกเธอจะมีสีผิวขาวเหมือนกัน แต่ว่าผู้หญิงที่ถือกิ่งไม้มีสีผิวที่ดูสุขภาพดี


ในทางกลับกันอีกฝ่ายหนึ่งที่หปิดตาเอาไว้มีสีผิวที่ซีดราวกับว่าพวกเธอโตขึ้นภายในถ้ำโดยที่ไม่เคยโดนแสงแดดเลยสักนิด พวกเธอมีผิวที่ขาวมากจนซอลจีฮูรู้สึกเหมือนกับเห็นหินปูนสีขาว


ที่สำคัญไปกว่านั้นกลิ่นของพวกเธอก็ต่างกัน หากว่าหญิงสาวที่ใส่ชุดพิธีกรรมให้กลิ่นของผลไม้ ถ้างั้นสิบคนที่เหลือก็ให้กลิ่นเหมือนคลอรีนที่มีตามสระว่ายน้ำ


“เข้าใจแล้ว ถ้างั้นนายคือวีรุบุษสงครามที่ถูกเรียกว่าอริราชศัตรูสินะ”


ซอลจีฮูได้ส่งเสียงครางยาวออกมา ผู้หญิงคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าของเขาดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม ซอลจีฮูยังได้ยินเสียงอุทานของเทเรซ่าจากด้านหลังอีกด้วย


“ให้ฉันแนะนำตัวเองก่อนแล้วกัน”


หญิงสาวได้ยื่นมือออกมา


“ฉันชื่อยูเรล แอนทั่ม วาเลนไฮม์”


ซอลจีฮูได้ยื่นมือออกไปจับมือกับเธอ


“ผมซอลจีฮู”


ยูเรลได้จับมือเขาเบาๆก่อนที่จะปล่อย และเดินไปหาเทเรซ่าที่กำลังเบิกตากว้างอยู่


“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่เราได้มาเจอหน้ากัน เธอดูสวยมากเลย”


“ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้เราเคยแต่เจอกันผ่านคริสตัลสื่อสาร ขอบคุณสำหรับคำชมนะ”


เทเรซ่าได้จับมือกับยูเรล และหัวเราะออกมาอย่างยินดี


“ขอบคุณสำหรับสงครามก่อนหน้านะนะ พวกเรายึดป้อมปราการไทกอลกลับมาได้ก็เพราะพวกเธอเลย”


“ไม่เลย แบบนี้เราก็ได้ชดใช้หนี้ที่หยุดแผนการสร้างออร์คกลายพันธุ์จำนวนมากไว้ได้แล้ว”


“อ่า ยังจะ- ฉันได้ยินมาแล้วนะ ถึงมันจะสายไปหน่อย แต่ก็เสียใจกับการเสียหน้าอกจุ๊บจุ๊บไปนะ”


เทเรซ่าได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ


“…ขอบคุณนะ”


ซอลจีฮูได้ขมวดคิ้วขึ้นมา


“หน้าอกจุ๊บจุ๊บ?”


ไม่ว่าเขาจะคิดยังไง หากแปลตรงๆแล้วมันก็หมายความว่า ‘จุ๊บหน้าอก’


ขณะที่เขากำลังคิดว่า ‘ฉันไม่รู้นะว่าใคร แต่นี่เป็นชื่อที่โง่เง่ามาก’


[ชอบหน้าอก เขาบอกว่าเขามีนามสกุลว่าหน้าอก แล้วก็มีชื่อว่าชอบ]


ทันใดนั้นเองเขาก็ได้นึกถึงเอียน


‘ไม่มีทางน่า!’


“ช่างน่าเสียดาย มีไม่กี่คนหรอกที่เข้าใจสหพันธรัฐเหมือนกับจอมเวทย์จากราชวงศ์ฮารามาร์ค”


เมื่อได้ยินยูเรลพูดออกมาอย่างเสียใจ ซอลจีฮูก็หลับตาลงไป มันดูเหมือนว่าเอียนจะได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้ในทุกๆที่ที่เขาไป


ซอลจีฮูได้เดาะลิ้นในใจก่อนที่จะมองดูยูเรลที่กำลังคุยกับเทเรซ่า ออร่าที่ออกมาจากตัวเธอมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย และซอลจีฮูก็รู้สึกถึงมันได้ในตอนที่พวกเขาจับมือกัน


เขาอดไม่ได้ที่จะสงสัยขึ้นมาว่าเธอจะแกร่งกว่าที่เห็นอีกไหม


“ยังไงก็ตาม นี่มันน่าตกใจจริงๆ ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะมาด้วยตัวเอง”


“ฉันมาทำธุระที่เขตพรมแดนในตอนที่ได้รับการติดต่อมาจากเบื้องบนน่ะ ฉันได้ปล่อยทุกๆอย่างเอาไว้ก่อน แล้วก็มาที่นี่ก็เพราะว่าฉันสนใจ”


ซอลจีฮูได้กลายเป็นมั่นใจขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่เทเรซ่าพูด เมื่อสังเกตเห็นถึงความสงสัยของซอลจีฮู คาซุกิก็กระซิบออกมา


“เธอเป็นแฟรี่ถ้ำ ฉันดีใจ”


เธอไม่ใช่แฟรี่ท้องฟ้าอย่างที่เขาคิดไว้เลย


“คุณดีใจ?”


“แฟรี่ถ้ำดูคล้ายกันกับมนุษย์ แถมพวกเขาก็ยังมองพวกเขาในแง่ดีด้วย”


คาซุกิได้พูดออกมา


“ยูเรลคนนี้คงจะเป็นแม่ทัพแฟรี่”


“แม่ทัพแฟรี่?”


“เป็นสายบัญชาการอันดับสองของแฟรี่ถ้ำ คิดซะว่าเธอเป็นผู้บัญชาการสูงสุดก็ได้ วาเลนไฮม์คือ-“


คาซุกิได้เงียบลงไปโดยที่ยังพูดไม่จบ นี่มันก็เพราะว่ายูเรลได้หันหน้ามามองซอลจีฮู เมื่อเธอได้เห็นเฮย่าในอ้อมแขนเขา เธอก็ยิ้มออกมา


“ไอ้เจ้าเด็กดื้อ”


“ฮี๊!”


เฮย่าได้ร้องออกมาและรีบมุดอ้อมกอดของซอลจีฮู ยูเรลได้หัวเราะออกมา


“ขอบคุณอีกครั้งนะ แม่ของเด็กทั้งสองคนกำลังเดินทางมา พวกเราได้บอกแล้วว่าเราจะพาพวกเธอกลับไป แต่ว่าเธอก็ยังดึงดันที่จะมา”


“ผมก็ดีใจที่พาพวกเธอกลับมาส่งได้อย่างปลอดภัย นี่-“


ซอลจีฮูกำลังจะส่งเฮย่าออกไป แต่แล้วก็ต้องหยุดลง เฮย่าไม่ยอมที่จะไป


“มะ มีอะไรหรอ? ถึงเวลากลับบ้านแล้วนะ”


ซอลจีฮูได้แกะเธอออกและวางเธอลง แต่ว่าเฮย่าก็ยังกระโดดเข้ามาเกาะขาเขาเอาไว้


“เฮย่า?”


“กรร!”


“เธอไม่อยากจะกลับไปหรอ?”


“กรรร!”


‘…อะไรล่ะเนี้ย?’


เขาได้พยายามจะปลอบเฮย่า แต่ว่าเธอก็ไม่ยอมขยับเลย แทนที่จะพูดว่าเธอชอบเขา เธอกลับดูเหมือนจะกลัวแฟรี่ถ้ำมากกว่า มีความเป็นไปได้สูงว่ามนุษย์จิ้งจอกอาจจะไม่ชอบหรือไม่เป็นมิตรกับแฟรี่ถ้ำ


ซอลจีฮูทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา ยูเรลที่เห็นแบบนี้ก็พูดขึ้น


“ไม่ต้องห่วงหรอก อย่างแยกสุดก็แค่จับหางเธอหรือไม่ก็ทำให้เธอหมดสติไป


“กรร กรร!”


…ซอลจีฮูได้เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเฮย่าถึงกลัว


“หืมม”


ยูเรลได้ลูบผ้าปิดตาของเธอก่อนจะพูดขึ้นมา


“ช่างเด็กสองคนนี้ก่อนเถอะ ฉันได้ยินมาว่านายกำลังจะไปที่ไหนนี่ พอจะบอกได้ไหมว่าทำไมพวกนายถึงมาที่นี่?”


“เรากำลังจะไปที่ที่ถูกเรียกว่าเจดีย์แห่งโรคระบาด”


ซอลจีฮูไม่ได้พยายามจะปิดบังเลยว่าพวกเขากำลังจะไปที่ไหน เขารู้ดีว่าการปกปิดไปมันไม่มีความหมายอะไร


ยูเรลได้ถามออกมา


“เจดีย์แห่งโรคระบาด… หมายถึงเจดีย์แห่งความฝันงั้นหรอ?”


“สหพันธรัฐเรียกแบบนั้นงั้นหรอ?”


“อืมม… ฉันคิดว่าทั้งสองชื่อนั่นน่าจะเป็นที่เดียวกันนะ”


ยูเรลได้หยักหน้าพึมพำกับตัวเอง


ซอลจีฮูได้กลืนน้ำลายลงไป เขาได้คิดไว้แล้วว่ามันอาจจะเป็นแบบนี้ และในตอนนี้เขาก็มั่นใจแล้ว ยังไงก็ตามมันก็หมายความว่าสหพันธรัฐได้ทำการศึกษาเจดีย์ไปก่อนแล้ว


แต่ว่าเขาก็ไม่ได้กังวลอะไร ตามที่เฮเรียวได้บอกไว้ เจดีย์แห่งความฝันเป็นสถานที่ต้องห้ามของสหพันธรัฐ นี่จึงมีโอกาสสูงที่มรดกที่ถูกฝังเอาไว้ยังคงไม่ถูกเจอ


“จำเป็นที่จะต้องไปจริงๆงั้นหรอ? ถ้าเป็นไปได้ ฉันขอแนะนำให้นายกลับไปดีกว่า”


“มันมีปัญหาอยู่หรอครับ?”


“ปัญหา… ถ้านายถามว่าสหพันธรัฐไม่สบายใจที่ให้นายไปที่นั่นล่ะก็ จริงๆแล้วฉันไม่ว่าอะไรเลย”


ยูเรลได้ลูบหัวของเธอก่อนจะถอนหายใจออกมา


“แต่ฉันคิดว่ามันน่าเสียดายหากว่าวีรบุรุษที่พึ่งฟื้นขึ้นมาจากอิลิกเซียร์อันล้ำค่าตาบไปอย่างเสียเปล่า”


จากนั้นยูเรลก็เงยหน้าขึ้นไป เธอดูเหมือนกับจะมองดูแสงยามเย็น แม้ว่ามันจะไม่มีให้เห็นแล้วในตอนนี้ก็ตาม


“จะไปตอนนี้เลยหรอ?”


ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา การไปตอนเช้ามันดีกว่าการไปในตอนกลางคืน


“ถ้างั้นพวกนายคงจะตั้งแคมป์กันในคืนนี้สินะ”


มีประกายแสงวูบออกมาที่ดวงตาของซอลจีฮู เขาไม่ได้โง่ เขาเข้าใจถึงสิ่งที่เธอกำลังจะบอกได้ง่ายๆเลย นี่เป็นโอกาสดีเลยเพราะว่าเขากังวลอยู่กับการขาดข้อมูลเรื่องสถานที่อยู่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยิ่งเขาดำเนินปฏิบัติการไปเท่าไหร่ก็ยิ่งมีคำถามมากยิ่งขึ้น


“ถ้าคุณไม่ว่าอะไร พอจะช่วยเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับเจดีย์แห่งโรคระบาดให้เราฟังหน่อยได้ไหม?”


“แน่นอนสิ นี่มันง่ายมาก แล้วก็พูดตรงๆนะ-“


ยูเรลได้หยักหน้าออกมาราวกับเธอกำลังรอคำนี้อยู่ จากนั้นเธอก็หันมองกลับลงมา


ภายใต้ดวงตาที่ถูกปิดเอาไว้…


“ฉันก็อยากจะคุยกับนายสักครั้ง”


ริมฝีปากสีลูกพีชของเธอได้ขยับโค้งเป็นรอยยิ้มอันยั่วยวน



บทที่ 212 – ประโยชน์ที่คาดไม่ถึง (3)


หลังจากได้ยอมรับข้อเสนอของยูเรลแล้ว ซอลจีฮูก็ได้สั่งให้ทีมของเขาตั้งแคมป์กันบริเวณนี้ ในตอนนี้พวกเขาได้รับอนุญาตจากสหพันธรัฐแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องเดินเตร่ไปตามบริวเณชายแดนอีกต่อไป


แถมเขายังค่อนข้างโชคดีที่ได้มาเจอเข้ากับแฟรี่ถ้ำ


เนื่องจากแฟรี่ถ้ำเป็นเผ่านพันธุ์สุดท้ายที่ได้รับการยอมรับจากสหพันธรัฐ ทำให้แฟรี่ถ้ำจะให้ความสำคัญกับความรู้สึกมากกว่าเหตุผล การกระทำของยูเรลเป็นตัวอย่างดีในเรื่องนี้ มันชัดเจนมากว่าเธอได้มาที่นี่เพราะความอยากรู้อยากเห็นของเธอมากกว่าการที่จะมาจับตามองพวกเขา


ซอลจีฮูได้ตัดสินใจที่จะใช้โอกาสนี้ ยูเรลไม่ใช่แฟรี่ธรรมดาๆ แต่เธอเป็นแม่ทัพแฟรี่ที่่คอยดูแลทั้งเผ่าพันธุ์ การสร้างความสัมพันธ์กับเธอก็ไม่ใช่เรื่องที่แยเลย


‘ทำยังไงดีนะ?’


หลังจากครุ่นคิดกับตัวเองแล้ว ซอลจีฮูก็ได้ตัดสินใจที่จะใช้มื้อเย็นโชว์ฝีมือของเขา


น่าบังเอิญที่เขามีวัตถุดิบดีๆมากมายที่ได้พกมาด้วยในตอนที่กลับไปที่โลกคราวก่อน


‘แค่ราเมนคงไม่พอ’


เขาได้ยิ้มออกมาพร้อมกับหยิบเส้นก๋วยเตี๋ยวออกมาจากกระเป๋า


หลังจากหั่นเนื้อโรยเกลือบางๆ ทอดไข่ และจากนั้นก็สับเห็ดกับบวบแล้ว ซอลจีฮูก็ต้มเส้นบะหมี่ให้สุก ก่อนที่จะย้ายมาที่ชามเปล่า และตกแต่งหน้าด้วยผักต่างๆ


จากนั้นเขาก็เทน้ำซุปที่ปรุงด้วยซีอิ้ว สาหร่าย หอม และไวน์ข้าวกลั่น สุดท้ายเมื่อเขาได้ใส่เม็ดงาบดที่ผสมกับเกลือและกิมจิลงไป ก๋วยเตี๋ยวหม้อใหญ่สำหรับงานปาร์ตี้ก็พร้อมแล้ว


เขาได้พยายามที่จะทำอาหารมื้อนี้เป็นอย่างมาก และแม้กระทั่งในสายตาของเขามันก็ยังดูน่าอร่อยเลย


และก็เป็นอย่างที่คาดไว้ อาหารมือนี้ได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก


“น่าทึ่ง! น่าทึ่งมาก! อ๊า! ขออีกชาม!”


ฮิวโก้ได้ยกน้ำซุปซดอย่างเร่งรีบ เขาเป็นเหมือนกับเครื่องดูดฝุ่นที่ดูฝุ่นออกไปจนเกลี้ยง


“กรีดดด! น้ำซุปนี่มันเข้มข้นจริงๆเลย!”


โชฮงได้ยิ้มกว้างออกมา


ซอลจีฮูก็ได้ยินขึ้น


“มันเยี่ยมเลยใช่ไหมล่ะ?”


“ใช่! มันสดชื่นมากเลยล่ะ! ฮ่าาาห์!”


โชฮงได้หัวเราะออกมาเหมือนคนบ้า และยกชามน้ำซุปขึ้นมาซด


“…ฉันไม่เข้าใจเลย!”


ฟีโซราก็ยังขยับตะเกียบของเธออย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเอียงหัวออกมาตลอดเวลา


“อ๊าา นี่นายไม่ได้ใส่ยาอะไรลงไปใช่ไหม? ปกติแล้วฉันไม่ชอบก๋วยเตี๋ยวนะ!”


“เชี้ย เชี้ย!”


มาเรียก็เป็นเช่นเดียวกัน


ซอลจีฮูได้ลูบคางอย่างพอใจพร้อมกับมองดูพรรคพวกของเขาเพลิดเพลินไปกับอาหารยิ่งกว่าที่เขาเคยคิดเอาไว้ จากนั้นเขาก็ได้ครุ่นคิดอย่างจริงจังว่าจะเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวขึ้นมาในตอนที่ทุกๆอย่างจบลงแล้ว


[เฮ~ น่ากินจังเลย!]


“โฟลน?”


ซอลจีฮูได้มองลงไปในทันที ก้อนควันเล็กๆได้โผล่ออกมาจากจี้ของเขา เธอได้หลับอยู่ตลอดทั้งบ่าย แต่ดูเหมือนว่ากลิ่นอาหารจะทำให้เธอตื่นแล้ว


“อยากจะลองไหมล่ะ?”


[อื้อ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอยากจะลองกินหรอกนะ… แต่ว่าทุกๆคนกินดูน่าอร่อย]


ตัดสินจากคำเสียงของเธอแล้ว มันดูเหมือนตอนนี้เธอจะอยากกินมากจริงๆ


“ได้สิ ฉันทำเผื่อไว้ให้เธอเหมือนกัน”


[ฮิฮิ]


หลังจากส่งชามก๋วยเตี๋ยวให้กับโฟลนแล้ว ซอลจีฮูก็ได้หันหน้าไปทางที่สมาชิกของสหพันธรัฐกำลังนั่งอยู่ ก๋วยเตี๋ยวของเขาอาจจะถูกปากกับมนุษย์ แต่ว่าเขาก็ไม่เข้าใจว่าเผ่าพันธุ์อื่นจะชอบสิ่งที่เขาทำเหมือนกันหรือเปล่า


ยังไงก็ตามไม่นานนักเขาก็รู้ว่าเขาไม่ควรจะไปกังวลเลย


เฮเรียวกับเฮย่าแทบจะก้มหัวจุ่มลงไปในชาม แถมหางของพวกเธอยังส่ายไปมาแสดงให้เห็นว่าเธอชอบขนาดไหน


สำหรับยูเรล…


ซูดดดดดดด!


“…”


เธอได้ดูดเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าไปเต็มปากจนเกิดเสียงดังออกมา ปากเล็กๆเข้ารูปของเธอในตอนนี้กำลังยัดเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าไปจนเต็มปาก


ยิ่งได้เห็นห่อกิมจิอยู่ข้างๆ ซอลจีฮูก็ผงะไป


‘ธะ เธอรู้วิธีกินด้วย’


“อร่อย!”


หลังจากกินหมดชามในพริบตาเดียว ยูเรลก็หันหน้ามาหาซอลจีฮู และผลักชามออกมา


“ขออีกชาม!”


มันให้ความรู้สึกเหมือนกับเธอบอกว่า ‘รีบเติมเร็วเข้า!ง มากกว่าคำว่า ‘ขออีก’ ซะอีก


‘ดีนะที่ฉันทำน้ำซุปเอาไว้เยอะ’


ซอลจีฮูได้พยักหน้าออกมาพร้อมทั้งใส่เส้นก๋วยเตี๋ยวลงไปในหม้อ ไม่ว่าจะยังไงยูเรลก็ดูจะชอบอาหารที่เขาทำ


‘ถ้าเอาเธอไปเป็นยูทูปเบอร์กินอาหาร เธอคงจะได้รับโดเนทเยอะแน่เลย…’


ใช้คริสตัลสื่อสารแสดงภาพที่เธอกินไปทั่วทั้งพาราไดซ์ นี่มันเป็นการโฆษณาที่น่าทึ่งไปเลยไม่ใช่หรอ?


ขณะที่ซอลจีฮูกำลังคิดเรื่องธุรกิจของเขา ยูเรลก็กินอาหารต่อไปอย่างเอร็ดอร่อย


งั่ม งั่ม


“ฟุฮ่าห์!”


ยูเรลได้อุทานออกมาอย่างพอใจหลังจากที่ยกน้ำซุปขึ้นมาซด หลังจากกินหมดไปถึงสี่ชามเธอถึงได้นั่งลูบท้องของเธอ เธอได้นั่งอย่างอิ่มเอมใจ จากนั้นก็พยักหน้าและพูดขึ้นว่า “อย่างที่คิดเลย”


ต่อด้วย


“มนุษย์นี่ช่างเป็นสัตว์ประเสริฐ…”


ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆออกมา มันค่อนข้างจะเป็นคำชมที่มากเกินไปหน่อยสำหรับปาร์ตี้ก๋วยเตี๋ยวธรรมดาๆ


“ในวันแบบนี้เราจะขาดเจ้านี้ไปไม่ได้!W


ยูเอลได้ควานหากระเป๋าที่ข้างเอว และจากนั้นก็หยิบกระป๋องหนังออกมา


“โอ้? ฉันเอาด้วย ฉันเอาด้วย!”


เมื่อเห็นเหล้า ฮิวโก้ก็โพล่งขึ้นทันที จากนั้นเขาก็มองดูปฏิกิริยาของซอลจีฮู เนื่องจากว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะทำให้พวกเขาสนิทกันมากขึ้น ซอลจีฮูจึงคิดว่าหากปล่อยตัวไปซักหน่อยคงไม่เป็นไร และเขาก็ได้พยักหน้าออกมา


“อย่าดื่มมากไปซะล่ะ”


“นายไม่เอาสักแก้วหรอ?”


ยูเรลได้ถามออกมาหลังจากที่เทเหล้าให้กับฮิวโก้ ซอลจีฮูก็ไม่ได้ปฏิเสธออกมา


“นี่เป็นเหล้าโปรดของฉันเลยนะ ไวน์แมงมุมน้ำผึ้งกระจ่าง”


“ไวน์แมงมุมน้ำผึ้งกระจ่าง?”


“มันทำขึ้นมาจากการใช้ใยของแมงมุมมาบ่ม มันยอดเยี่ยมไปเลยล่ะ”


ยูเรลได้ตอบออกมาพร้อมกับเทของเหลวเหนียวหนืดสีขาวลงไปในแก้ว


“เอาสิ ลองดู”


“ขอบคุณครับ!”


ไวน์นี่มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์มากจริงๆ เพราะมันข้นมากจึงทำให้เขาอยากจะอมมันเอาไว้ในปาก และเมื่อเขากลืนมันลงคอไป กลิ่นหอมของนมก็กระจายออกมา


“ซอล ไม่สิ ซอลจีฮู การทำแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง?”


“?”


ทำไมนายถึงได้วางมือเอาไว้ใต้แก้ว แล้วก็เอียงหัวไปด้านหลังในตอนดื่มล่ะ? นี่เป็นธรรมเนียมการดื่มของชาวโลกงั้นหรอ?”


“อ่อ ใช่แล้วครับ”


ซอลจีฮูได้ตอบกลับไป


“มันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรอกครับ แต่ว่าผมได้เรียนเรื่องนี้มาในตอนยังเด็กว่าผมควรจะทำแบบนี้ในตอนที่กำลังดื่มกับผู้อาวุโสกว่า”


“โฮ่! แล้วนายไปเรียนเรื่องนี้มาจากใครล่ะ?”


“พ่อผม”


“อ่อ… เข้าใจแล้ว ยอดเยี่ยมไปเลย ยอดเยี่ยมจริงๆ! นายบอกว่าอาวุโสกว่าสินะ! ฮ่าฮ่า!”


ยูเรลได้ระเบิดหัวเราะออกมาอีกครั้ง เธอดูจะมีความสุขมากๆเลย


ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา แต่ว่าดูเหมือนการที่เขาเรียกเธอว่าผู้อาวุโสกว่าจะได้ผลอย่างดี


แฟรี่ถ้ำเป็นเผ่าพันธุ์ที่ให้ความสำคัญกับลำดับชั้นมากเท่าๆกับกองทัพ พวกเขาจะใส่ใจเป็นอย่างมากในเรื่องคำสั่ง ระเบียบวินัย และมีความเข้มงวดมากจนถึงขนาดที่จะทำการประหารคนที่ก่อกบฏหรือไม่เชื่อฟังได้เลย


เพราะงั้นเธอจะไม่มีความสุขได้ยังไงที่ถูกเรียกว่าผู้อาวุโสต่อหน้าลูกน้องของเธอ?


ยิ่งไม่ต้องพูดว่าคนๆนั้นเป็นวีรบุรุษของมนุษยชาติ ผู้ที่ได้ฆ่าผู้บัญชาการกองทัพที่หนึ่งของปรสิตอีกด้วย!


“ค่ำคืนที่เงียบสงบ อาหารที่ยอดเยี่ยม แล้วก็สหายใหม่! นี่มันช่างเป็นวันดีมากจริงๆ!”


ยูเรลได้ลุกขึ้นยืน และเอียงหัวระเบิดกัวเราะออกมา


‘เธอสวยมาก’


ซอลจีฮูรู้สึกว่าเธอคงจะเข้ากันได้ดีกับฮ่าวอวิ่น


จากนั้นยูเรลก็วางแก้วลง


“โอ้ จริงสิ นายบอกว่านายมีเรื่องที่อยากจะถามนี่?”


ตอนนี้พวกเขาเริ่มเข้าประเด็นหนักแล้ว


“เอาเลย ฉันจะตอบคำถามส่วนใหญ่ให้เอง”


มันดูเหมือนกับว่าเธอจะตอบแทบทุกๆอย่างจริงๆ ซอลจีฮูมีอยู่หลายคำถามที่อยากจะถามออกไป เพราะงั้นเขาจึงใช้เวลาจัดการกับความคิดอยู่ครู่หนึ่ง


‘อย่างแรก’


“ทำไมคุณถึงบอกว่าเราไม่ควรจะนอนหลับจนกว่าจะมาเจอกับพวกคุณ?”


“นั่นเพราะว่าหากพวกนายหลับ พวกนายก็จะฝัน”


ยูเรลได้ตอบกลับมาชัดๆก่อนจะชี้ไปข้างๆ


“สองคนนั้น”


เฮเรียวกับเฮย่ากำลังกอดกันนอนหลับอยู่


“เด็กหน้าด้านสองคนนั้นได้แหกกฎ เข้าไปในพื้นที่ต้องห้าม ในทันทีที่พวกเธอก้าวเท้าเข้าไปในพื้นที่ต้องห้าม พวกเธอก็ได้ติดคำสามจากเวทมนต์กับคาถาเวทย์ไปแล้ว ที่สำคัญกว่านั้นคือนี่เป็นคำสาปที่ติดต่อกันได้ มันสามารถจะกระจายไปสู่คนที่อยู่ใกล้ๆได้”


ซอลจีฮูได้อ้าปากค้างออกมา


“อ่า เพราะงั้นคุณถึงได้บอกให้เรายืนนิ่งๆ… จากนั้นก็ทำพิธีชะล้างคำสาป”


“ถูกต้อง”


“ผมได้ยินมาว่าเฮเรียวกับเฮย่าได้ตามแฟรี่ท้องฟ้าไปดูการทำพิธี… นี่มันหมายความว่าพวกเขากำลังไปชะล้างคำสาปที่เจดีย์งั้นหรอครับ?”


ความจริงแล้วนี่เป็นคำถามที่สำคัญที่สุดแล้ว หากว่าสหพันธรัฐกำลังอยู่ระหว่างการพิชิตเจดีย์ มันก็เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะอ้างสิทธิ์เข้าไปแทรกแซงได้


“ไม่เลย ถ้ามันชะล้างคำสาปได้ สหพันธรัฐก็คงจะพิชิตเจดีย์ไปนานแล้ว พวกเราได้ยอมแพ้ก็เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพราะแบบนี้แหละมันถึงได้ถูกตั้งให้เป็นพื้นที่ต้องห้าม”


ซอลจีฮูได้โล่งใจขึ้นมา แต่ว่าภายในใจลึกๆของเขาส่วนหนึ่งก็รู้สึกเป็นกังวล เขาพอจะจินตนาการได้เลยว่าปฏิบัติการครั้งนี้ต้องยากลำบากขนาดไหนในเมื่อสหพันธรัฐที่ทรงพลังก็ยังต้องยอมแพ้


“เหตุผลที่แฟรี่ท้องฟ้าได้ไปทำพิธี-“


“เดี๋ยวก่อน”


ในตอนนี้เอง หญิงสาวที่กำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ก็ได้ขัดขึ้นมา


เธอคือหญิงสาวที่สวมใส่ชุดคลุมพิธีกรรม แฟรี่ท้องฟ้า


“พิธีของแฟรี่ท้องฟ้านั่นเป็นเรื่องภายใน มันไม่มีทางที่เราจะเผยทุกๆอย่างออกไปได้”


“ชิ ขี้เหนียวจัง”


ยูเรลได้เดาะลิ้นออกมา


“ทั้งหมดที่ฉันบอกได้คือคุณต้องไม่ลงรายละเอียดลึกลงไป”


“เขาได้ทำอาหารเย็นสุดหรูให้เรา แล้วเธอก็ยังกินไปตั้งสองชามด้วยนะ เธอกำลังบอกว่าแค่บอกข้อมูลเขาไปก็ไม่ได้เนี้ยนะ?”


หากว่านี่เป็นเรื่องภายในของแฟรี่ท้องฟ้า ซอลจีฮูก็ไม่อยากจะคาดคั้นเอาคำตอบ และขณะที่เขากำลังจะถามคำถามต่อไป


“อึก!”


แฟรี่ท้องฟ้าได้สะอึกไป เห็นได้ชัดว่าเธออารมณ์เสียและรู้สึกละอายเล็กน้อย


ซอลจีฮูได้สับสนขึ้นมา


‘ทำไมเธอถึงดูไม่พอใจ แต่ก็ยอมรับในเวลาเดียวกันล่ะ?’


“เธอรู้ไหมว่านี่มันก็แค่ปัญหาขี้ปะติ่วเอง เธอกับใบหน้าโง่ๆเธอน่ะ หากว่ามีปัญหาอะไร ก็แค่พูดออกมาแล้วก็รับการช่วยเหลือสิ! จะไปยึดถือศักดิ์ศรีอันไร้ค่าไปเพื่ออะไร? ชิ…”


ยูเรลได้ใช้โอกาสนี้ร่ายยาวออกมา


แน่นอนว่าแฟรี่ท้องฟ้าก็ไม่ได้อยู่นิ่ง


“ขะ ขี้่ปะติ่ว? เธอรู้ตัวไหมว่าพูดอะไรไป?”


“แล้วจะทำไมล่ะ?”


“นี่มันไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะปล่อยผ่านได้ ฉันจะไปรายงานในระหว่างการประชุมสภาครั้งถัดไป!”


“เอาเลย”


“มาดูกันว่าพอเรากลับไปแล้ว เธอจะยังพูดไร้สาระแบบนี้ได้อีกไหม!”


“มาาาดูวววกันว่าพอเรากลับไปล้าว เธวจะยังพูดร้ายสาระแบบนี้ด้ายอีกไหม!”


ยูเรลได้พูดล้อเลียนคำพูดของแฟรี่ท้องฟ้าออกมา


ซอลจีฮูแทบจะกลั้นขำเอาไว้ไม่ได้ นี่มันก็เพราะว่าคอของแฟรี่ท้องฟ้าได้แดงขึ้นพร้อมทั้งสั่นอย่างแรง


“มันน่าตลกดีนะ เผ่าพันธุ์โง่นี่เอาแต่พูดเรื่องอะไรแบบนี้!”


ซอลจีฮูได้แต่หัวเราะแห้งๆ


“ยังไงก็ตาม ถ้าเป็นไปได้ก็อยากไปข้องเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ของพวกเธอเลยนะ แค่ดูสิ่งที่พวกเธอทำกันก็พอแล้ว! ช่างหัวเรื่องภายในหรือเรื่องเล็กน้อยอะไรแบบนั้นไปสักทีเถอะ มันน่าเบื่อสุดๆไปเลยจริงไหมล่ะ?”


“โอ้ นี่เธอ?”


แฟรี่ท้องฟ้าได้กระแทกชามลงกับพื้น หลังจากลุกขึ้นจากที่นั่ง เธอก็ชี้มาที่ซอลจีฮูและพูดออกมา


“มนุษย์ นายอยากจะรู้ไหมว่าทำไมแฟรี่ถ้ำถึงได้ปิดตา?”


‘โอ้!’


พูดตรงๆเขาก็อยากจะรู้ จริงๆแล้วนี่เป็นหนึ่งในคำถามที่เขาคิดว่าจะถามด้วย


“ฉันจะบอกให้นะ นายเคยเห็น-“


“อ๊าาา! อย่ามาทำลายความสนุกสิ! ลากเธอออกไป!”


ในทันทีที่คำสั่งของยูเรลได้ดังออกมา แฟรี่ถ้ำทั้งสิบคนก็ลุกขึ้นยืน และลากแฟรี่ท้องฟ้าออกไป


“ดะ เดี๋ยวก่อน! ปล่อยฉันนะ! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!”


แฟรี่ท้องฟ้าได้พยายามดิ้นออกมาอย่างสุดกำลัง


“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว! อย่างน้อยก็ให้ฉันได้กินก๋วยเตี๋ยวของฉัน… อ๋า เฮ้! ปล่อยมือจากชมของฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ!!”


ระหว่างความวุ่นวายนี้มีแฟรี่ถ้ำคนหนึ่งแอบเข้าไปขโมยชามก๋วยเตี๋ยวของแฟรี่ท้องฟ้ามา


“นั่นมันของฉัน! ฉันอุส่าห์ค่อยๆกัดทีล่ะคำ! อื้อ อื้อออ!”


ไม่นานนักเสียงร้องของแฟรี่ท้องฟ้าก็สงบลงไป หลังจากวุ่นวายได้ไม่นานนัก…


“เอาล่ะ! กลับมาเข้าเรื่องกันดีกว่า!”


ยูเรลได้พูดราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน


ซอลจีฮูได้ยกมือก่ายหน้าผาก มันให้ความรู้สึกเหมือนพายุเพิ่งผ่านไปเลย


“มันมีเหตุผลง่ายๆที่พวกเขายังไปทำพิธีอยู่ นั่นเพื่อการสื่อสาร”


“สื่อสาร?”


“ตามคำกล่าวของแฟรี่ท้องฟ้าคือมีจิตวิญญาณที่ทรงพลังหลับใหลอยู่ภายในเจดีย์แห่งความฝัน”


ทันใดนั้นยูเรลก็ได้ถามออกมา


“นายรู้ไหมว่าแฟรี่ท้องฟ้าต้องเสียพลังจิตวิญญาณไปมากเท่าไหร่?”


‘พลังจิตวิญญาณ?’


“ในตอนนี้พอคุณพูดถึงมันแล้ว ฉันก็ได้ยินว่าการสื่อสารระหว่างแฟรี่ท้องฟ้า กับอาณาจักรจิตวิญญาณเพิ่งจะถูกตัดไปเอง”


เทเรซ่าที่ยืนอยู่ใกล้ๆได้แทรกเข้ามา


ซอลจีฮูได้ถามขึ้น


“มีอะไรเกิดขึ้นเหรอ?”


“ใช่แล้วล่ะ แต่ว่าฉันก็ไม่ค่อยรู้อะไรหรอก”


“ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…?”


“ฉันคิดว่ามันก็น่าจะหลังจากที่เรากลับมาจากเดลฟิเนี่ยนดัชชี่นั่นแหละ”


ถูกแล้ว แฟรี่ท้องฟ้าได้ใช้พลังจิตวิญญาณของพวกเขาออกไปจำนวนมากในระหว่างที่พวกเขาหลบหนีออกมาจากพวกปรสิตในป่าแห่งการปฏิเสธ


ยูเรลได้ยืนัยนออกมาในทันที


“ในตอนนั้นได้เกิดเหตุการณ์ใหญ่ขึ้นมา พลังรบของแฟรี่ท้องฟ้าได้ลดลงไปกว่าครึ่งเพราะแบบนี้”


นี่มันคือเรื่องร้ายแรงอย่างแท้จริง ความสำคัญของแฟรี่ท้องฟ้ามาจากความสามารถในการอัญเชิญจิตวิญญาณธาตุ หากว่าพวกเขาสูญเสียความสามารถนี้ไป แฟรี่ท้องฟ้าก็จะไม่ต่างอะไรไปจากนักธนูที่ปราดเปรียวเท่านั้น


“พูดตรงๆแล้ว มันก็มีอยู่หลายครั้งที่การสื่อสารกลายเป็นไม่เสถียร เพราะแบบนี้ทำให้สหพันธรัฐรีบรับพวกเรามาไง”


[มันน่าแปลกใจใช่ไหมล่ะ? พวกเขาอาจมีต้นตอบรรพบุรุษคนเดียวกัน แต่ว่าสองเผ่าพันธุ์ที่เป็นศัตรูกันอย่างแฟรี่ท้องฟ้ากับแฟรี่ถ้ำกลับมาจับมือกันได้]


[นี่มันได้แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาสิ้นหวังขนาดไหนกัน]


‘เข้าใจแล้ว นี่คือเรื่องราวจริงๆสินะ’


ในที่สุดซอลจีฮูก็เข้าใจถึงเรื่องราวจริงๆของการสนทนาที่เขาเคยคุยกับเอียนและดีแลนด์แล้ว


เทเรซ่าได้พูดขึ้นมา


คุณพอจะให้รายละเอียดกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไหม? จากที่ฉันรู้มา มีบางอย่างเกิดขึ้นในตอนที่ผู้บัญชาการกองทัพที่เจ็ดของปรสิตบุกเข้ามาในอาณาจักรจิตวิญญาณภายใต้คำสั่งของราชินี”


“หืมมม”


“แต่นั่นก็แค่ทำให้การอัญเชิญไม่เสถียรเท่านั้นเอง การสื่อสารไม่เคยถูกตัดขาดเลยสักครั้งเดียว อย่างน้อยที่สุด ก็ไม่ใช่จนถึงก่อนหน้านี”


“เธอพูดถูกแล้วล่ะ”


“ในตอนที่ฉันได้ยินข่าวลือ ฉันก็คิดว่าผู้บัญชาการกองทัพที่เจ็ดได้รับชัยชนะในสงครามอาณาจักรจิตวิญญาณ แต่ว่าหากมันเป็นแบบนั้นความเมตตาอันบิดเบี้ยวก็น่าจะกลับมาที่โลกส่วนกลางได้แล้วสิ แต่นี่กลับยังไม่เคยมีใครเห็นเขาเลย”


“นั่นมันเป็นไปได้มากที่สุด”


ยูเรลได้ตอบกลับมาอย่างสงบ


“เหตุผลก็ง่ายมาก อาณาจักรจิตวิญญาณยังไม่ได้พ่ายแพ้ แต่บางทีพวกเขาอาจจะอยู่ในสงครามรุนแรงระหว่างที่เรากำลังคุยกันอยู่นี้ก็ได้นะ”


ใบหน้าของเทเรซ่าได้ดูเหมือนจะถามว่า ‘นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่?’ สิ่งที่ยูเรลพูดออกมาไม่ค่อยสมเหตุสมผลเลย


จากนั้นจู่ๆยูเรลก็กลายเป็นเคร่งเครียดขึ้นมา


“หืมม…”


หลังจากครุ่นคิดอยุ่นาน เธอก็ได้เริ่มต้นด้วยคำว่า


“มันก็ไม่น่าจะสำคัญหรอกในเมื่อมันเป็นความลับที่รู้กันทั่วสหพันธรัฐ”


“เจดีย์แห่งความฝันเป็นโบราณสถานจากเมื่อร้อยปีก่อน”


ทันใดนั้นเธอก็เปลี่ยนเรื่องไป ยังไงก็ตามซอลจีฮูก็ยังคงนั่งฟังเงียบๆ เขารู้สึกว่าทุกๆอย่างที่ยูเรลกำลังพูดมันเกี่ยวข้องกัน


“ฉันก็ไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรหรอก แต่ว่าในตอนนั้น จักรวรรดิได้เผชิญหน้ากับภัยคุกคามที่ไม่เคยมีมาก่อน”


เธอได้ใช้นิ้วโป้งชี้ไปด้านหลัง


“นั่นเพราะเจดีย์ที่นายพยายามจะเข้าไปนั่นแหละ”


เจดีย์เกือบจะผลักดันให้จักรวรรดิที่ทรงพลังล่มสลายงั้นหรอ? ซอลจีฮูได้กลืนน้ำลายลงไป


“อย่างที่ฉันเคยไป การเข้าไปใกล้เจดีย์ก็จะทำให้เราติดคำสาปติดต่อที่ทรงพลัง”


“…”


“แล้วคำสาปนั่นจะทำให้นายฝัน”


ยูเรลได้ลดแขนลง


“พูดให้ชัดก็คือ มันเป็นคำสาปที่จะเจาะลึกเข้าไปในจิตใจของสิ่งมีชีวิตโดยไม่สนใจว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ใด และทำให้พวกเขาฝันถึงสิ่งที่หวาดกลัวที่สุด”


“ฝัน… คุณหมายถึงฝันร้าย?”


ซอลจีฮูได้ถามออกโดยที่สงสัยว่ากับแค่ฝันร้ายมันจะทำไมกัน


“มันจะเป็นแค่ฝันร้ายธรรมดาๆได้ยังไงกันล่ะ?”


ยูเรลได้ยิ้มออกมา จากนั้นก็หันหน้าไปหาเทเรซ่า


“เธอถามว่าทำไมการสื่อสารถึงถูกตัดขาดไปใช่ไหม?”


“ใช่แล้ว”


“นี่มันเพิ่งจะเกิดขึ้นได้ไม่นาน แฟรี่ท้องฟ้าได้รับรู้ถึงจิตวิญญาณที่ทรงพลังที่กำลังหลบไหลอยู่ภายในเจดีย์แห่งความฝัน และถอนตัวจากการสำรวจที่นั่นในทันที”


ยูเรลได้พูดต่อ


“นั่นเพราะอาณาจักรวิญญาณได้ขอความช่วยเหลือ”


เทเรซ่าได้เบิกตากว้างขึ้นมา


“ขอความช่วยเหลือ? อาณาจักรวิญญาณเนี้ยนะ?”


“อืมม พวกเขาบอกว่าความเมตตาอันบิดเบี้ยวนั้นยากที่จะต่อกร และขอความช่วยเหลือทุกวิธีทาง”


เทเรซ่าได้อ้าปากค้างออกมากับคำอธิบายของยูเรล


“พระเจ้า… ฉันรู้นะว่าผู้บัญชาการกองทัพที่เจ็ดเป็นมังกรตัวสุดท้าย แต่ว่าเขาแค่คนเดียว… ความเมตตาอันบิดเบี้ยวไม่ได้มีกองทัพของตัวเองด้วยซ้ำไป!”


“ใครจะไปรู้ล่ะ?”


ยูเรลได้ยักไหล่ออกมา


“ฉันไม่เคยสู้กับเขามาก่อน ยังไงก็ตามยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งทำให้การอัญเชิญไม่เสถียรมากยิ่งขึ้น แฟรี่ท้องฟ้าได้เริ่มกังวลขึ้นมา จากนั้นพวกเขาก็คิดว่าจะไปเจดีย์แห่งความฝัน และไปปลุกจิตวิญญาณที่ทรงพลังเพื่อที่จะส่งไปช่วยอาณาจักรวิญญาณ”


เพราะแบบนี้ยูเรลก็ได้กอดอกขึ้น


“และในทันทีที่พวกเขาได้เริ่มสำรวจเจดีย์ การสื่อสารกับอาณาจักรจิตวิญญาณก็ได้ถูกตัดขาดไปในทันที ทั้งหมดได้เกิดขึ้นภายในวันเดียว”


“…”


ซอลจีฮูได้กระพริบตาออกมาอย่างสับสน เขารู้สึกเหมือนกับเพิ่งจะเจอเข้ากับเรื่องใหญ่


‘ไม่นะ’


มันต้องไม่ใช่แบบนั้น มันต้องมีเหตุผลที่ยูเรลพูดถึงเรื่องของเจดีย์อยู่ ซอลจีฮูค่อยๆลำดับเรื่องราวอย่างใจเย็น


‘ฝันร้าย คำสาป อาณาจักรจิตวิญญาณ แฟรี่ท้องฟ้า…’


ไม่นานนัก ซอลจีฮูก็ประติดประต่อเรื่องราว และเบิกตากว้างขึ้นมา


‘อย่าบอกนะว่า!’


ซอลจีฮูได้รีบถามออกมา


“เช้าวันนั้นเป็นในตอนที่แฟรี่ท้องฟ้ากำลังทำการสำรวจเจดีย์แห่งความฝัน ความล้มเหลวในการอัญเชิญจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่แฟรี่ท้องฟ้าหวาดกลัวที่สุด?”


“…นายมีสัญชาตญาณที่น่าทึ่งนี่”


มุมปากของยูเรลได้ขยับโค้งออกมา


“นายพูดถูก เหตุผลที่เจดีย์แห่งความฝันน่ากลัวก็คือการทำให้ความฝันที่นายกลัวมากที่สุดกลายมาเป็น ‘ความจริง’ นั่นคือสิ่งที่สหพันธรัฐได้รู้ และนั่นเป็นเหตุผลที่ที่นั่นเป็นพื้นที่ต้องห้ามไม่ให้ใครเข้าไป”


ยูเรลได้ยอมรับถึงสิ่งที่เกิดขึ้น และมองหน้าซอลจีฮูตรงๆ


“เพราะงั้นฉันถึงได้แนะนำให้นายกลับไปซะ”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม