The Second Coming of Gluttony 182-199
182
เรื่องราวที่เกิดขึ้น
‘เฮือกก’
เมื่อเขาลืมตาขึ้นมา ลมหายใจของเขาก็ได้ติดอยู่ที่ลำคอ
สัญชาตญาณของเขามันอยากจะหายใจออกมา แต่ว่าปากของเขากลับเปิดไม่ขึ้น อากาศที่สั่นอยู่ภายในลำคอของเขาได้ค้นหาทางออกอื่น และออกมาผ่านทางจมูก
ฟู่ ฟู่
เมื่อเขาได้หายใจเข้าออกซ้ำๆ ผ่านทางจมูก ในที่สุดหน้าอกของเขาก็คลายตัวลง จากนั้นภาพของโลกที่หมุนวนก็ได้เข้ามาในสายตาของเขา
เขาอยากที่จะสะบัดหัวจากความสับสน แต่ว่าเขาก็ต้องล้มเลิกไปในทันทีที่รู้สึกปวดหัวเหมือนกับถูกผ่าสมอง
มันปวดมากจนเขารู้สึกว่าหากเขาส่ายหัว สมองของเขาก็จะสั่นไปด้วย
ในท้ายที่สุด ซอลจีฮูก็ได้หลับตาที่เขาได้พยายามเปิดขึ้นมาลงไป เพราะว่าโลกที่หมุนเป็นวงกลมมันทำให้เขาเวียนหัว แล้วก็คลื่นไส้
เมื่อความเจ็บปวดที่หัวของเขาหายไป และความปั่นปวนที่ท้องของเขาลดลงไป เขาก็ได้รวบรวมความกล้าลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
โลกไม่ได้หมุนอีกต่อไปแล้ว เขาได้มองเห็นเพดานที่ไม่คุ้นเคย สายตาของเขาได้เริ่มเพ่งมอง แต่ว่ามันก็ยังยากอยู่ดีที่จะมองว่าสายตาของเขามองภาพได้ปกติ
จะเรียกว่ามันพร่าได้ไหมนะ?
เพดานได้สั่นอยู่เบาๆ เหมือนกับว่าเขากำลังมองขึ้นไปบนโลกจากใต้น้ำ
‘เกิด.. อะไรขึ้น…?’
เขาอยากจะมองไปรอบๆห้อง แต่ว่าหัวของเขากลับไม่ยอมขยับเลยแม้แต่นิด เมื่อเขาได้เริ่มกลอกตาเพราะไม่มีทางเลือก เขาก็ได้เห็นคนที่เขาคุ้นเคย
นั่นก็คือซอยูฮุย
‘พี่สาว…?’
ซอลจีฮูได้ค่อยๆ หลับตาลงไป จากนั้นก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
‘ฉัน… ยังไม่ตาย…?’
ความทรงจำหลังจากที่ใช้นิมิตของเขานั้นมืดสนิท แต่ว่าจากที่เขารู้สึกในตอนนั้น เขาคิดว่าเขาจะตายไปแล้ว
เขาไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แต่ว่าเมื่อรู้สึกโล่งใจที่เห็นซอยูฮุย เขาก็ได้เรียกเธอ ไม่สิ เขาพยายามจะเรียกเธอ
‘…’
เสียงของเขาไม่ได้ดังออกมา
‘อะไรกัน… ร่างกายของฉัน…’
ซอลจีฮูที่รู้สึกใจร้อนได้พยายามจะส่งสัญญาณออกไปทางสายตา แต่ว่าซอยูอุยไม่ได้มองเขาอยู่ ในตอนนี้พอมองดูดีๆแล้ว เธอมีสีหน้าที่ไม่พอใจ และกำลังขยับปากอยู่ มันดูเหมือนกับว่าเธอกำลังเถียงอยู่กับใครสักคน
เมื่อเขาได้กลอกตาออกไปเท่าที่ทำได้ เขาก็เห็นคนอีกคนหนึ่งจากมุมสายตา
คนๆนี้เป็นผู้หญิงที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน เป็นหญิงสาวชาวเอเชียที่สวมใส่ชุดแจ็คเก็ตยาวแบบดั้งเดิม ปากของเธอก็กำลังขยับอยู่เช่นกัน แถมคิ้วเธอยังขมวดขึ้นอีกด้วย
ในตอนนี้มันชัดเจนแล้วว่าหญิงสาวทั้งสองคนกำลังโต้เถียงกันอยู่
‘ทำไมพวกเธอถึงเถียงกันด้วยล่ะ…?’
ซอลจีฮูได้มองสำรวจดูหญิงสาวทั้งสองคนด้วยความไม่เข้าใจ
‘ได้โปรดอย่าทะเลาะกัน…’
ไม่นานนักหญิงสาวที่ถือหอกสีหยกก็ได้กระทืบเท้าออกไปอย่างไม่พอใจ
ซอลจีฮูได้จ้องมองดูประตูที่ค่อยๆปิดลงไปด้วยสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะหันหน้ามา จากนั้นสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นกังวล และค่อยๆยื่นมือออกมา
ดวงตาของซอลจีฮูได้สั่นไหวเบาๆ เขาเห็นฝ่ามือของซอยูฮุยกำลังลูบไล้แก้มของเขาอยู่ แต่ว่าเขากลับไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่นิด
ในตอนนั้นเองซอลจีฮูถึงได้รับรู้ถึงสภาพร่างกายของเขาที่เป็นอยู่
หลังจากได้สติมาแล้ว ซอลจีฮูก็ตั้งใจพยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และไม่นานนักเขาก็ได้คำตอบกลับมาว่าเขา ‘ยังไม่ตาย’
ดูจากห้องนี้แล้ว มันดูเหมือนกับว่าเขากำลังพักฟื้นอยู่ในวิหารลูซูเรีย แต่ว่านอกจากนี้เขาก็ไม่รู้อะไรแล้ว
นั่นมันก็เพราะว่านับตั้งแต่ที่ตื่นขึ้นมา เขาก็ขยับตัวไม่ได้เลย
‘ไม่มีทาง’
ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหน แขนขาของเขาก็ไม่ได้ขยับเลยแม้แต่นิด กระทั่งการเปิดปิดปากก็ยังยากเลย
เขารู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายของเขากำลังหลับอยู่ และมีเพียงแค่จิตใจเท่านั้นที่ตื่นขึ้นมา ยังไม่หมดเท่านั้น นอกจากการมองเห็นแล้ว ร่างกายที่ไม่อาจควบคุมได้ของเขาได้สูญเสียสัมผัสไปทั้งหมด
ซอยูฮุยหรือนักบวชที่เขาไม่รู้จักจะมาดูแลเขาเป็นช่วงๆ แต่ว่าเขาก็ไม่อาจจะได้ยินถึงสิ่งที่พวกเธอคุยกันได้เลย ดูจากปากแล้วมันชัดเจนมากว่าพวกเขากำลังพูดอยู่ เพราะงั้นการที่หูของเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยมันทำให้เขาแทบจะคลั่ง
ในตอนแรกมันเป็นเต็มไปด้วยความสับสน แต่ว่าเมื่อความสับสนลดลง สิ่งที่ตามมาก็คือความเจ็บปวด
‘ให้ตายสิ’
เขาได้นอนเป็นพักไปวันแล้ววันเล่าโดยที่ไม่อาจจะทำอะไรได้เลย เว้นก็แต่แค่การกระพริบตาเท่านั้น แล้วก็เพราะงั้นทุกๆครั้งก่อนที่เขาจะหลับไป เขาก็จะภาวนาออกมา
‘ได้โปรดให้มันเป็นแค่ฝัน’
แต่ว่าไม่ว่าเขาจะตื่นขึ้นมาจากหลับมากแค่ไหนเพดานบนหัวของเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย
และเพราะแบบนี้ วันเวลาที่เขาภาวนาก่อนจะหลับไป และตื่นขึ้นมาด้วยความหงุดหงิดก็ได้ดำเนินต่อไป
ซอลจีฮูจีได้แต่สิ้นหวังที่รับรู้ว่าเขาไม่อาจจะทำอะไรกับชะตากรรมนี้ของเขาได้
***
แม้ว่ามันอาจจะฟังดูน่าตลก แต่ว่ามีอยู่ห้าขั้นตอนในการยอมรับความตาย
หนึ่งก็คือการปฏิเสธ ในขั้นนี้ คนๆนั้นจะปฏิเสธความเป็นจริง แต่ว่าไม่นานนักอารมณ์ของพวกเขาก็จะเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น นั่นคือความโกรธ
และเมื่อสถานการณ์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าจะโกรธมากแค่ไหน พวกเขาก็จะเริ่มสาบานออกมา
บางคนก็ร้องขอกับเทพ บางคนก็สัญญาว่าจะยกทุกอย่างให้ อนาคตของพวกเขา ความเชื่อ และกระทั่งอิสระภาพ หากว่ามีคนมาช่วยให้พวกเขามีชีวิตต่อไป
แต่เมื่อเวลาผ่านไปความหวังอันไร้สาระนี้ก็จะหายไป กลายมาเป็นความสิ้นหวังแทน
ฉันจะต้องนอนอยู่บนเตียงไปตลอดเลยหรอ? ไม่อาจจะกลับโลกได้เลยหรอ?
สภาพที่ ‘ไม่ใช่ทั้งมีชีวิตหรือตาย’ เป็นสิ่งที่ชาวโลกทุกๆคนอยากจะหลีกเลี่ยงมันให้มากที่สุด ในตอนนี้เมื่อความเป็นไปได้มันเข้ามาในหัวของเขา ความหวาดกลัวที่ไม่เคยมีมาก่อนก็ได้พวยพุ่งเข้ามา
เมื่อเวลาได้ผ่านไป และเขาเคยชินกับความกลัว ซอลจีฮูก็จะได้มาถึงขั้นสุดท้าย การยอมรับ
แต่ว่าสิ่งที่พอจะปลอบใจในความเศร้านี้ได้ก็คือเขาไม่ได้ยอมรับว่าเขากำลังตาย เขาก็แค่ยอมรับความจริง และเฝ้ารอว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเขารอต่อไป
เหตุผลที่ความคิดของเขามาหยุดลงตรงนี้ก็คือแขกที่มาเยี่ยมเขาในช่วงนี้
ขณะที่ตาเขาเปิดอยู่ ซอลจีฮูก็ได้เห็นผู้คนมากมาย จางมัลดง แล้วก็สมาชิกคาเพเดี่ยม แอ็กเนส โอราฮี เทเรซ่า ฟีโซรา คนอื่นๆอีกมากมาย…
แทบจะทุกๆคนที่เขารู้จักได้มาปรากฏตัวต่อหน้าเขาโดยไร้บาดแผล
ซินเซียกับฮ่าวอวิ่นก็ยังมา และกระทั่งคิมฮันนาห์กับยุนซอราก็ยังเดินทางมาจากสกีเฮราซาร์ดอีกด้วย
ซอลจีฮูได้ยิ้มเขินๆออกมาเมื่อเขาเห็นยุนซอราถูจมูกด้วยสีหน้าแดงก่ำ ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกซาบซึ้งที่เธอเป็นห่วงเขา
เขายังเห็นโฟลนเป็นครั้งคราวอีกด้วย เธอจะปรากฏตัวขึ้นในตอนที่ไม่มีใครอยู่ และมันชัดเจนว่าเธอกำลังรู้สึกหมดพลัง
ในตอนไปหาเธอที่หลุมศพ เขาจำได้ว่าเขาเคยถ่ายถอดความคิดไปให้เธอได้ แต่ในคราวนี้ไม่ว่าเขาจะพยายามสักแค่ไหน เขาก็ไม่อาจจะทำให้โฟลนตอบกลับมาได้เลย
เธอเพียงแค่ลอยไปรอบๆเตียงอย่างเศร้าๆ ก่อนที่จะมาขดตัวอยู่ข้างๆซอลจีฮู เขารู้สึกแย่มากที่เห็นเธอเป็นเหมือนลูกแม่ที่กำลังรอเจ้าของในวันฝนตก
มาเรียก็ยังมีชีวิตอยู่เหมือนกัน หญิงสาวผมบลอนด์คนนี้ได้มาเยี่ยมเขาพร้อมกระเช้าดอกไม้ จากนั้นเธอก็มองมาที่เขาด้วยสายตามืดมน เธอได้โยนกระเช้าลงไปที่พื้นด้วยความโกรธ
จากนั้นซอลจีฮูก็เห็นเธอยกมือขึ้น และขยับปากอย่างไม่สบอารมณ์
‘ลงทุน? เธอลงทุน?’
ตอนที่ซอลจีฮูอ่านปากของมาเรียเสร็จ และได้เดาคำพูดที่เธอพูดออกมา เธอก็ได้กุมหัว และเริ่มกลิ้งไปกับพื้น
น้ำตาที่เหมือนลูกปัดกระทั่งไหลออกมาจากตาของเธอ!
พูดตรงๆแล้วมันดูไม่เหมือนกับว่าเธอร้องไห้เพราะความเป็นห่วงเขาเลย แต่ว่าการแสดงละครใบ้ของเธอนี้มันทำให้ซอลจีฮูรู้สึกขำขึ้นมา
เพราะการที่มีคนที่เขาคิดว่าตายไปแล้วมาเยี่ยมเขาทีล่ะคนทำให้ซอลจีฮูอดที่จะรู้สึกมีความหวังขึ้นมาไม่ได้
แขกยังมาไม่หยุดแม้ว่าเขาจะคิดว่าทุกๆคนมาเยี่ยมเขาแล้ว นั่นมันก็เพราะว่าแต่ล่ะคนต่างก็มาเยี่ยมเขาซ้ำๆ ไม่มีคนไหนเลยที่จะมาเยี่ยมเขาแค่ครั้งเดียว พวกเขามาสองครั้ง สามครั้ง… ไม่สิ มีกระทั่งคนที่มาเยี่ยมเขามากกว่ายี่สิบครั้งอีกด้วย
‘เธอมาอีกแล้ว’
หญิงสาวสวมแจ็คเก็ตแบบดั้งเดิมได้เปิดประตูเขามา ตัดสินจากหอกสีหยกในมือเธอแล้ว เธอคนนี้จะเป็นเป็นหญิงสาวที่เถียงกับซอยูฮุยในวันแรกที่เขาตื่นขึ้นมาอย่างแน่นอน
‘นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะ?’
ซอลจีฮูจะรู้สึกแปลกๆในทุกๆครั้งที่เห็นผู้หญิงลึกลับที่มีออร่าชวนฝันคนนี้ เขาไม่รู้เลยว่าเธอเป็นใคร แต่ว่านี่มันเป็นครั้งที่สิบแล้วที่เขาเห็นเธอมาเยี่ยมเขา
ซอยูฮุยยังคงอยู่ในอันดับหนึ่งที่มากมหาสาล แต่ว่าส่วนหนึ่งนั่นมันก็เพราะว่าวิหารแห่งลูซูเรียเป็นบ้านของเธอ
เมื่อคำนึงถึงจำนวนครั้งที่มาเยี่ยมแล้ว หญิงสาวลึกลับคนนี้ก็ทำได้เยี่ยมเช่นกัน เธอมาบ่อยยิ่งกว่าฮิวโก้ กับโชฮง และกระทั่งเกือบจะเทียบได้กับยี่ซอลอากับยี่ซังจินที่มาในทุกๆครั้งที่ว่างได้ด้วยซ้ำไป
สิ่งที่โดดเด่นยิ่งไปกว่านั้นก็คือทุกๆครั้งที่เธอมา เธอจะจ้องมองเขาเฉยๆโดยไม่พูดอะไรออกมาเลย ซอลจีฮูสามารถจะเห็นเธอถอนหายใจออกมาเป็นครั้งคราว
ภายในดวงตาของเธอมีความกังวลที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้อยู่
‘เธอเป็นใครกันนะ…?’
ซอลจีฮูได้แต่กระพริบตามองดูหญิงสาวที่จ้องเขาเฉยๆ ก่อนจะกลับไป
***
ผ่านมานานแค่ไหนแล้วนะ?
ซอลจีฮูเลิกนับวันเวลาไปแล้ว แต่เขาก็รู้ว่านี่มันไม่ใช่แค่ช่วงสั้นๆ อย่างแน่นอน เหตุผลที่เขายังไม่ได้หมดหวังไปนั่นก็เพราะหลังจากผ่านไปนานก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กๆขึ้นที่ร่างของเขา
-น่าขำใช่ไหมล่ะ?
เขาเริ่มได้ยินเสียงแล้ว
มันไม่ใช่เสียงชัดเจน แต่เป็นสีอื้อราวกับว่ามีคนกำลังพูดใส่ไมค์ แต่ว่าเขามีสิทธิ์จะบ่นด้วยงั้นหรอ?
เนื่องจากว่าเขายังขยับร่างไม่ได้ การที่สามารถกลับมาได้ยินเสียงอีกครั้งก็ทำให้เขาโล่งใจขึ้นมาเป็นร้อยเท่าแล้ว
นอกไปจากนี้การที่กลับมาได้ยินเสียงอีกครั้งนั่นมันหมายความว่าร่างกายของเขาดีขึ้นแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเขาจะต้องรอไปนานแค่ไหน แต่ในตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าสัมผัสของเขากำลังฟื้นฟูขึ้นมา
มันเป็นธรรมดาที่เขาจะมีความหวังมากยิ่งขึ้น
-นายรู้อะไรไหม มาเรียได้ร่ายเวทย์รักษาในตอนที่เธอลุกขึ้นมาหลังจากถูกเตะ หลังจากหยุดเลือดแล้ว เธอก็คลานเข้าไปในกองศพ และหลับตาลง เธอบอกว่านี่คือวิธีที่เธอเอาตัวรอดออกมาได้ เจ้าหนูนี่ก็นะ
‘ก็สมกับเป็นคุณมาเรียแหละนะ’
ซอลจีฮูได้ตอบกลับคำอธิบายของโชฮงกลับไปในใจ
-อ่า แต่ว่าอย่าไปคิดไม่ดีกับเธอนะ ความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ได้บอกกับเธอว่าหากเธอเผยตัวตนของนาย เขาก็จะปล่อยเธอไป แต่ว่าเธอก็ยังปิดปากเงียบ และใช้โยเนียร์ทุบเข้าที่หัวหมอนั่นเลยล่ะ
‘จริงหรอ? ไม่อยากจะเชื่อเลย’
-มาคิดดูแล้วไอ้เจ้าจีโอก็น่าขำเหมือนกัน ฉันก็สงสัยอยู่เลยว่าไอ้เจ้าเด็กแสบนี่ไปอยู่ไหน มันปรากฏเขาถูกศัตรูจับไปเป็นเชลยน่ะสิ
‘อะไรนะ?’
-ความบริสุทธิ์อันโสมมได้สั่งให้ซัคคิวบัสของเธอจับเขาไปเป็นนักโทษ น่าขำจริงๆเลย!
‘อืม ฉันไม่คิดว่านั่นมันน่าขำนะ’
โชฮงได้หัวเราะออกมา จากนั้นก็บิดตัวออกมา
-ยังไงก็เถอะนะ สงครามมันจบลงไปแล้ว คนที่สมควรจะมีชีวิตอยู่ก็ยังมีชีวิตอยู่ ปัญหาหลังสงครามก็ได้ถูกปรามเอาไว้ และสิ่งต่างๆได้สงบลง… เพราะงั้นทำไมนายถึงยังนอนอยู่ตรงนี้ล่ะ? นี่มันสบายงั้นหรอ?
‘เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ’
-ไอ้เวร ลุกขึ้นมาแกล้งอะไรสักหน่อยสิ เหมือนแต่ก่อนไง ฉันจะล่ะเว้นนายสักครั้งแล้วกัน จริงๆนะ
‘เยี่ยมไปเลย ฉันจะทำมันในทันทีที่ฉันลุกได้เลยล่ะ’
-นายคงจะยังไม่ได้รู้ว่าช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นในพาราไดซ์ใช่ไหม?
‘นี่เธอถามกับคนที่พูดไม่ได้เนี้ยนะ?’
ซอลจีฮูได้บ่นขึ้นมาภายในใจ
-ช่วงนี้ฉันรู้สึกหงุดหงิดสุดๆไปเลยล่ะ
‘ไม่ใช่ว่ากระทั่งช่วงสงครามเธอก็ยังมีความสุขไม่ใช่หรอ?’
-…ฉันอาจจะเป็นคนแปลกๆนะ แต่ว่าพอได้เห็นเมืองอยู่ในความรื่นเริงพร้อมกับพวกคนที่เอาแต่พล่ามว่านี่เป็นชัยชนะครั้งแรกของมนุษยชาติอะไรแบบนี้… มันทำให้ฉันคลื่นไส้จริงๆเลย
‘ทำไมล่ะ?’
-ไอ้เจ้าพวกเศษสวะพวกนั่น พวกเขาได้คิดไหมว่าใครต้องทำอะไรไปบ้างเพื่อชัยชนะครั้งนี้น่ะ? มีความสุขกันเข้าไปเถอะ…
น้ำเสียงของโชฮงได้ค่อยๆเบาลงไป จากนั้นเสียงของเธอก็ขาดห้วงไปอย่างกระทันหัน
ซอลจีฮูที่กำลังจ้องมองไปที่แสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาในหน้าตาก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ และหันไปหาโชฮง
เมื่อเขาได้มองไปที่เธอ…
-นายรู้อะไรไหม?
เธอได้พูดต่อ
-ช่วงนี้ที่สำนักงานคาเพเดี่ยมเป็นเหมือนกับวัดเลยล่ะ ฉันไม่เคยเห็นตาแก่หมดพลังแบบนี้มาก่อนเลย
‘…’
-เราจะต้องรอไปอีกนานแค่ไหนกัน?
โชฮงได้ที่นั่งอยู่ตรงมุมเตียงได้ยืนขึ้น และมองลงมาที่เขาก่อนที่เขาจะรู้ตัวซะอีก
-เมื่อไหร่นายจะตื่นขึ้นมากันล่ะ?
ยิ่งเมื่อเห็นรอยแดงบริเวณตาของเธอ ซอลจีฮูก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
‘ทำไมเธอถึงร้องไห้.. อีกแล้วล่ะ…’
เขาอยากจะบอกเธอว่าเขาไม่เป็นไร เขาได้สติมาแล้ว และก็กำลังดีขึ้นอย่างช้าๆ อย่างน้อยที่สุดเขาก็อยากจะพอเธอว่าอย่าร้องไห้
แต่ว่าเขาก็ไม่อาจจะทำได้เลย ซอลจีฮูได้รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเป็นครั้งแรกหลังจากไม่ได้รู้สึกมานาน
‘…ฉันควรจะลองดูไหมนะ?’
เขาได้ยอมแพ้ที่จะลองขยับร่างกายมานานแล้ว มันไม่เพียงแต่จะทำให้เขาเบื่อหน่ายเท่านั้น แต่มันก็ยังทำให้เขาหดหู่ขึ้นมาอีกด้วย
‘แต่ว่า…’
เขาอยากตะพูดออกมาให้ได้ อย่างน้อยที่สุดเขาก็หวังว่าจะพูด ‘อ่า’ หรือ ‘อื้อ’ ออกมาให้ได้
ไม่นานนักหลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ และพยายามจะเปล่งเสียงออกมา
‘หืม?’
จู่ๆภาพที่เขาเห็นก็พร่ามัวไป เขาไม่อาจจะมองเห็นอะไรได้อีกราวกับกำลังเดินอยู่ในม่านหมอก
และทันใดนั้นเขาก็รู้สึกร่างกายหนักขึ้นมา
‘อะไรกัน-?’
เมื่อรู้สึกเหมือนกับมีของหนักมาถ่วงเอาไว้ เขาก็ได้ค่อยๆหลับตาลงไปโดยไม่รู้ตัว
และเมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็มองมันได้อย่างชัดเจน
เพดานได้กลายเป็นชัดเจนมากยิ่งขึ้น
“ฟู่”
เขาได้บ่นลมออกมาเหมือนกับว่าเขาเพิ่งจะผุดขึ้นมาจากใต้น้ำ มันไม่ใช่จากจมูก แต่เป็นจากปากของเขา
โลกมันไม่ได้สั่นไหว และชัดเจนกว่าเก่าแล้ว
ซอลจีฮูได้หันหัวออกมาด้วยความสับสน แม้ว่าเขาจะรู้สึกทื่อหน่อยๆ แต่ว่าหัวของเขาก็ขยับออกไปด้านข้างแล้ว
ห้องมันมืดอยู่ ไฟได้ถูกปิดเอาไว้ และภายนอกหน้าต่างก็มีแต่ท้องฟ้าที่มืดสนิทปกคลุมอยู่
ซอลจีฮูได้รีบกระพริบตาออกมาซ้ำๆอยู่หลายครั้ง
ไม่ใช่ว่าฉันกำลังคุยกับโชฮงอยู่หรอ?
มันยังมีแสงแดดอยู่เลยนะ!
ไม่นานนักในที่สุดเขาก็หลุดจากความสับสนและพูดออกมา
“เกิด…. อะไรขึ้น…?”
เขาได้เบิกตากว้างขึ้นมา
‘เสียงของฉัน…’
เขาสังเกตได้ว่าเขาหันหน้าอยู่ ร่างกายอของเขารู้สึกร้อนเหมือนกับว่าเขากำลังอบซาน่า แน่นอนว่าสิ่งสำคัญก็คือสัมผัสของเขาได้กลับมาแล้ว
“อ่า”
ซอลจีฮูได้ยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้า แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมาแทน เขารู้สึกเจ็ดแปลบขึ้นที่แก้ม
แต่ว่าในตอนนี้เขากระทั่งยินดีกับความเจ็บปวด
“นี่มันคืออะไร…?”
เขาได้เห็นเข็มสีทองปักลงไปบนหลังมือของเขาอยู่ แถมมันไม่ใช่จุดเดียวด้วย
ต้นแขน อก ท้อง ต้นขา น่อง และกระทั่งเท้า… มีเข็มนับร้อยปักลงไปบนร่างของเขาจนทำให้เขาดูเหมือนกับเม่น
เขาได้แต่หลับตาลงก่อนจะเปิดขึ้นมาอีกครั้ง แต่ว่ามีหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปนับตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่เขาตื่นขึ้นมา
เขาอยากจะกระโดดออกจากเตียง และขยับตัว แต่ว่าเขาก็ต้องใช้ความอดทนกลั้นมันเอาไว้ มันจะต้องมีเหตุผลที่เข็มจำนวนมากปักร่างเขาอยู่แน่ๆ หากว่าเขาไปสัมผัสมันหรือทำอะไรผิดไป เขาก็คงจะโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง
และเพราะงั้นเมื่อเขาหันหัวไปข้างๆ เขาก็เห็นหญิงสาวกำลังฟุบหน้าหลับอยู่ข้างเตียง
นั่นก็คือยี่ซอลอา
เธอคงจะหลับไปในระหว่างทำหน้าที่เฝ้าเขาในตอนกลางคืนแน่ๆ
“ซอลอา…”
ซอลจีฮูได้เรียกยี่ซอลอาออกมาเบาๆ ในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้สึกตกใจกับน้ำเสียงแหบแห้งของเขา เสียงของเขามันฟังดูเหมือนกับเสียงคนป่วยเป็นโรคเรื้อรังมากจริงๆ
หรือว่าเขาพูดเสียงเบาเกินไป? แม้ว่าเขาจะเรียกเธอไปหลายครั้งแล้ว ยี่ซอลอาก็ไม่ได้แสดงทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลย
ซอลได้เผลอคิดจะดึงเข็มออกมาสักเล่ม แล้วก็เอาไปจิ้มเธอ แต่แล้วก็ต้องรีบทิ้งความคิดนี้ออกไป
“ยาโดปคือ…”
ผงะ
ไหล่ของยี่ซอลอาได้สั่นขึ้นมาเล็กๆ
“ซอลอา…!”
เมื่อเขาได้เรียกเธอออกมาอีกครั้ง ในที่สุดเธอก็ลืมตาขึ้น เมื่อสายตาพวกเขาสบกัน คางของยี่ซอลอาก็ค่อยๆยกสูงขึ้น
“คะ… คุณพี่?”
เธอได้พึมพำออกมาอย่างสับสนทั้งๆที่ยังมีคาบน้ำลายอยู่ หลังจากจ้องซอลจีฮูอยู่สักพักแล้ว ใบหน้าของเธอก็มีความตกตะลึงปรากฏขึ้นมา
“คุณพี่… คุณพี่ตื่นแล้ว!?”
เธอไม่เพียงแค่ตะโกนเท่านั้น แต่เธอก็ยังพุ่งพรวดขึ้นมา หากว่าเขาปล่อยเอาไว้เธอจะต้องร้องกรีดออกมาแน่ๆ เพราะงั้นซอลจีฮูได้รีบหยุดเธอเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนซอลอา รอเดี๋ยวก่อนนะ”
ยี่ซอลอาที่กำลังจะย่ำเท้าไปที่ประตูได้หันกลับมา
“ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอนะ แต่ว่าช่วยใจเย็นลงก่อน”
ความสับสนได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของยี่ซอลอา เธอแทบจะเป็นลมไปจากความตกใจอยู่แล้ว เธอไม่อาจจะสงบใจได้เลย
แต่ว่านี่ก็เป็นปกติเพราะว่าเธอไม่เคยรู้เลยว่าซอลจีฮูได้ตื่นขึ้นมานานแล้ว
“อย่างแรก… ฉันเอาเข็มพวกนี้ออกไปได้ไหม?”
เมื่อซอลจีฮูมองลงมาที่เข็มสีทอง และถามขึ้น ยี่ซอลอาก็ส่ายหัวออกมา
“ฉะ ฉันไม่มั่นใจ คุณปู่น่าจะรู้… ฉันจะไปหาคุณปู่!”
“ไม่ ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก่อน”
ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา
เขารู้สึกสับสนมากอยู่แล้ว เพราะงั้นเขาไม่มั่นใจเลยว่าจะรับมือไหวไหมหากมีคนจำนวนมากเขามาในห้อง
“คุณพี่… ตื่นแล้วจริงๆหรอ?”
ขณะที่ซอลจีฮูกำลังจะระเบียบความคิด ยี่ซอลอาก็ถามออกมาด้วยน้ำเสียงแปลกๆ
“ใช่แล้ว ทำไมหรอ?”
“คุณพี่ดูสงบเกินไป…”
ซอลจีฮูได้ยิ้มแห้งๆออกมา จากนั้นยี่ซอลอาก็เริ่มสะอื้อขึ้น
“ฉันร้องได้ไหม?”
“ไม่ ไม่ได้เด็ดขาด”
“ทำไมล่ะ? น้ำตากำลังไหลออกมาแล้ว”
“เธอร้องไห้มามากแล้ว”
“มะ ไม่ ฉันไม่ได้ร้อง!”
ยี่ซอลอาได้เด้งตัวด้วยความตกใจ
“โกหก เธอเป็นเด็กขี้แยอันดับสองเชียวนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดที่มั่นใจของซอลจีฮู ยี่ซอลอาก็ทำสีหน้าไม่พอใจออกมา ในขณะเดียวกันเธอก็ก้าวเท้าต่อไป
ขณะที่ยี่ซอลอากำลังดูกระตือรือร้นที่จะไปบอกข่าวนี้กับทุกๆคน ซอลจีฮูก็รีบถามออกมา
“ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?”
ไม่ คุณพี่ไม่ได้ฝัน ฉันสัญญา”
ซอลจีฮูได้ถามติดตลกออกมา แต่ว่ายี่ซอลอาได้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเบาๆ แต่ว่ามั่นใจ
“ฉันดีใจ … มีคนตั้งเยอะที่พยายามช่วย แต่ว่าคุณพี่ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลย…”
“…จริงหรอ?”
“ใช่แล้วล่ะ พี่สาวที่ถูกเรียกว่าบุตรแห่งลูซูเรียเป็นคนที่พยายามมากที่สุดเลย ฉันได้ยินว่าเธอเกือบจะตายไปเพราะการรักษา…”
เธอได้พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ในขณะพูดออกมา ในเวลาเดียวกันซอลจีฮูก็ขมวดคิ้วขึ้น
“อะไรนะ?”
“อ่อ ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ เธอพักฟื้นกลับมาก่อนที่จะสายเกินไปแล้ว”
ยี่ซอลอาได้รีบโบกมือออกมา
ยังไงก็ตามซอลจีฮูก็ไม่ได้พลาดถึงความแตกต่างในสิ่งที่เขารู้จากตอนที่เขาตื่นขึ้นมา และสิ่งที่เขาเพิ่งจะได้ยินจากยี่ซอลอา
แม้ว่าเขาจะไม่มั่นใจว่าความทรงจำพวกนั้นมันถูกต้องแค่ไหน แต่ซอยูฮุยเป็นคนที่มาเยี่ยมเขาบ่อยสุด และดูแลเขามากที่สุด เธอไม่ได้ดูป่วยเลยแม้แต่นิด เพราะงั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันล่ะ?
จากนั้นซอลจีฮูก็นึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้ถามคำถามที่สำคัญที่สุด
“ซอลอา ฉันหมดสติไปนานแค่ไหนนะ?”
“อืม…”
ยี่ซอลอาได้เริ่มนับวันอย่างตั้งใจ
“ประมาณ 5 สัปดาห์…?”
ห้าสัปดาห์ เขา หลับไปเดือนกว่า แต่ว่าในเมื่อมันค่อนข้างจะตรงกับที่เขาคิดไว้ เขาก็เลยไม่ได้ตกใจมากนัก
“ของเวลาบนโลก”
“อะ… อะไรนะ?”
แต่ว่าเมื่อเขาได้ยินสิ่งต่อมา ดวงตาเขาก็เบิกกว้างขึ้น
“5 สัปดาห์ของเวลาบนโลก? ถ้างั้นก็เป้น 15 สัปดาห์ในพาราไดซ์ล่ะมั้ง?”
“…หํะ…”
เมื่อซอลจีฮูได้ถามซ้ำให้มั่นใจ ยี่ซอลอาก็หยักหน้าออกมา
‘ไม่มีทางน่า’
ภายในพาราไดซ์ได้ผ่านมาสามเดือนกับอีกสามสัปดาห์แล้วงั้นหรอ?
ซอลจีฮูไม่อาจจะซ่อนความตกตะลึงของระยะห่างเวลาที่เกินกว่าที่เขาคาดคิดไปได้เลย
“พอจะบอกฉันได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น? อย่างฉันรอดมาได้ยังไง แล้วก็ทำไมฉันถึงหมดสตินานนัก”
ยี่ซอลอาได้มองไปที่ประตูอยู่สักพัก แต่ไม่นานก็หันกลับมา จากนั้นเธอก็ค่อยๆเริ่มอธิบาย
“สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ…”
183 เรื่องราวที่เกิดขึ้น (2)
ทุกๆคนต่างก็พูดในสิ่งเดียวกันโดยไม่มีข้อยกเว้น
หนี มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะชนะ ป้อมปราการในหุบเขาได้ถูกบุกทะลวงกวาดล้างโดยไม่เหลือแม้แต่หย่อมหญ้า
สงครามที่ถูกยอมรับว่าเป็นความจริงที่ไม่อาจเลี่ยงได้มาถึงข้อสรุปในท้ายที่สุด หลังจากการต่อสู่โชกเลือดโดยไม่สนว่าจะอยู่หรือตาย ป้อมปราการในหุบเขาก็ได้ถ่ายทอดรายงานออกมาอย่างเรียบง่ายสี่ประโยค
ปรสิตพ่ายแพ้ เจ็ดกองทัพได้ถอยกลับ ความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ได้ถูกกำจัด
และ…
ขอความช่วยเหลือในการลำเลียงผู้บาดเจ็บ
ฮารามาร์คได้ปะทุเสียงโห่ร้องกำลังใจแห่งชัยชยะออกไปจนถึงสกีเฮราซาร์ด นัวร์ อีวา และเมืองอื่นๆในพาราไดซ์
ในจุดๆนี้ ทุกๆคนไม่ว่าจะเป็นชาวพาราไดซ์หรือชาวโลกต่างก็ชื่นชมยินดี
นี่มันคือชัยชนะเป็นครั้งแรกเลยนับตั้งแต่ที่จักรวรรดิได้ล้มสลายไป นอกไปจากนี้ความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ ผู้บัญชาการกองทัพที่หนึ่งอันมีชื่อเสียงก็ได้ถูกกำจัดในสงครามครั้งใหญ่นี้ จนเกิดเป็นชัยชนะที่หอมหวานสำหรับเหล่ามนุษยชาติ
แต่แน่นอนว่าเพียงแค่ชัยชนะครั้งเดียวยังคงไม่พอที่จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของปรสิต หรือทำให้ความมั่นคงของปรสิตสั่นคลอน
ยังไงก็ตามมันเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะรู้สึกยินดีเพราะพวกเขาได้ใช้ชีวิตอย่างสั่นกลัวจากการถูกฆ่า พวกเขาได้เก็บสะสมความหวาดกลัวเอาไว้ในหัวใจมามากมายนัก
เพราะงั้นคงไม่มีใครจะโทษพวกเขาได้ที่รู้สึกยินดีกับข่าวที่ว่าในที่สุดมนุษยชาติก็เอาคืนราชินีปรสิตไปได้บ้าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฮารามาร์คที่เป็นเวทีหลักสำหรับการรบ
ผู้คนที่เดินไปมาตามท้องถนนดูจะยินดีกันอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ว่าใครจะไปที่ไหนก็จะมีแต่คนพูดกันแต่เรื่องของสงคราม และผู้คนก็เดินไปมาตามท้องถนนเหมือนกับอยู่ในช่วงเทศกาล
ยี่ซอลอาก็เป็นคนแบบนั้นเช่นกัน
ข่าวชัยชนะของพวกเขาได้ทำให้เธอยินดียิ่งกว่าใครๆ เธอได้วิ่งไปที่เมืองด้วยความตื่นเต้น และรู้สึกภาคภูมิในในทุกๆครั้งที่มีการพูดถึงซอลจีฮูที่เป็นฮีโร่แห่งสงครามนี้
จางมัลดงอยู่เงียบผิดปกติหน่อยๆ และเธอก็เอียงหัวออกมาอย่างไม่เข้าใจเมื่อยี่ซังจินได้พูดออกมาว่า ‘พี่สาว พี่คิดว่าอาจารย์จางอารมณ์ไม่ค่อยดีหรือเปล่า?’ แต่ว่าเธอก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก
เธอก็แค่ออกไปสนุกกับงานเทศกาลข้างนอก และเฝ้ารอคอยให้ซอลจีฮูกลับมา
เธอได้เฝ้าฝันว่าจะไปตามตื้อถามซอลจีฮูเรื่องสงครามในทันทีที่เขากลับมา
แต่ว่าเมื่อรถม้าได้มาถึงเมือง ความคิดของเธอก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป
***
กรุ๊บ ๆ ๆ ๆ
เสียงรถม้าถูกฮอรัสแปดตัวลากผ่านถนนได้ดังสนั่นราวกับพื้นจะแยก
ยี่ซอลอาได้ขมวดคิ้วขึ้นเมื่อเห็นทหารเดินออกมาที่ถนน พวกเขาต่างก็กันเส้นทางไปสู่วิหารลูซูเรียเอาไว้ นี่มันไม่ปกติเลย
ในตอนนี้เองยี่ซอลอาถึงได้สังเกตถึงความแปลกประหลาด
มีจุดที่น่าสงสัยอยู่หลายจุด ทหารที่กันถนนก็เรื่องหนึ่ง แต่กระทั่งราชาฟีไฮก็ยังมาที่สำนักงาน
เธอไม่อาจจะได้ยินรายละเอียดได้เพราะเธอได้ยินจางมัลดงขอให้เธอออกไปก่อน แต่ว่าเธอก็สังเกตเห็นถึงความเคร่งเครียดของสถานการณ์จากการเหลือบมองเพียงแค่ครั้งเดียว
หลังจากคุยกันจบลงแล้ว จางมัลดงก็ได้รีบออกไปโดยที่บอกว่าเขาอาจจะไม่ได้กลับมาอยู่หลายวัน
‘แปลก’
ยี่ซอลอาได้พึมพำกับตัวเอง และจ้องไปที่รถม้าที่ขับหายไปเกือบจะลับตาแล้ว
จากนั้น ในทันทีที่ทหารเปิดทางถนนกลับมา ยี่ซอลอาก็รีบสิ่งตามไป รถม้าได้มาหยุดลงตรงหน้าวิหารลูซูเรียดังคาดไว้
เธอยังเห็นคนจำนวนมากรีบวิ่งหายเข้าไปข้างใน แม้ว่าพวกเขาจะหายเข้าไปในตอนที่เธอมาถึงวิหาร แต่ว่าการตามพวกเขาก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ถึงจะเป็นนักธนูระดับ 2 แต่ก็ยังเป็นนักธนูอยู่
เนื่องจากว่าเธอรู้ว่าพวกเขาเข้ามาในวิหาร การตามรอยที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่นาทีก็ไม่ใช่งานที่ยากอะไรเลย
จะมีก็แต่ทหารสองคนที่กันทางเอาไว้อยู่เท่านั้นเอง
“คุณไปไกลกว่านี้ไม่ได้ครับ”
มันก็เป็นอย่างที่เธอคาด เมื่อเธอแอบเข้ามา ทหารก็ได้กางหอกกันทางเอาไว้ทันที
“ทำไมกันล่ะ?”
“เลยจุดนี้ไปเป็นพื้นที่พักฟื้น มีการออกราชกฤษฎีกาห้ามเข้าเยี่ยมสักพักหนึ่ง จะมีก็แค่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้บาดเจ็บเท่านั้นที่จะเข้าไปได้”
เมื่อได้ยินทหารพูดถึงราชกฤษฎีกาในท่าทีคุกคาม ยี่ซอลอาก็รีบโกหกออกมา
“ฉันเกี่ยวข้องนะ”
“ว่าไงนะครับ?”
“ฉันเป็นสมาชิกของคาเพเดี่ยม ฉันชื่อยี่ซอลอา อาจารย์จางบอกให้ฉันมาน่ะ…”
ยี่ซอลอาดูจะมีความสามารถพิเศษในเรื่องนี้ทำให้เธอสามารถจะแก้ตัวได้ง่ายๆเลย
ทหารทั้งสองคนได้มองสบตากันก่อนจะพูดขึ้น
“…ต้องขออภัยด้วย แต่ว่าเราขอดูหน้าต่างสถานะได้ไหมครับ?”
เมื่อพวกเขาได้ยืนยันถึงหน้าต่างสถานะของยี่ซอลอาแล้ว พวกเขาก็เอียงหัว และเปิดทาง เมื่อพวกเขาได้เห็นว่าเธอคือสมาชิกคาเพเดี่ยม พวกเขาก็ไม่มีเหตุผลให้ขวางทางเธอไว้แล้ว
และเพราะแบบนี้ยี่ซอลอาก็ได้ก้าวผ่านทหารเข้าไปได้สำเร็จ
-อ๊ากกกกกกกกกกก!
เสียงกรีดร้องสิ้นหวังที่น่าขนลุกได้ดังออกมาจนถึงโถงทางเดิน
นี่เป็นเสียงโหยหวนที่ดังออกมาเหมือนกับเสียงกรีดร้องของคนที่ถูกเผาทั้งเป็น เมื่อได้ยินแบบนี้ยี่ซอลอาก็ได้ชะงักเท้าไปในทันที
สายตาของเธอได้เหลือบมองไปทางประตูด้านซ้ายที่อยู่สุดทางเดินอย่างลังเล
-อ๊าาาา! อ๊าากกกกก!
เสียงกรีดร้องได้ดังออกมาอีกครั้งหนึ่ง เธอยังได้ยินเสียงคนตะโกนว่า ‘กดเขาไว้! จับเขา!’ อีกด้วย
อึก เธอได้กลืนน้ำลายลงไปโดยไม่รู้ตัว
ต่อมาเมื่อเธอได้ย่องไปที่ประตู และเหลือบมองเข้าไปข้างใน
“กดแขนขาของเขาเอาไว้! อย่าให้เขาขยับตัว!”
เสียงกรีดร้องแหลมสูงก็ได้ดังเข้าหูของเธอ
ยี่ซอลอาได้ผงะไปก่อนที่จะตกอยู่ในความสับสน
นี่มันเพราะว่าเธอได้เห็นร่างของชายหนุ่มกำลังดิ้นพล่านเหมือนกับปลา พร้อมทั้งทำเสียงหายใจไม่ออกเหมือนกับกำลังหอบ
เมื่อกลิ่นเลือดได้ฉุนเตะจมูกของเธอ ยี่ซอลอาก็เบิกตากว้างขึ้น
“อึก!”
เธอได้เอนตัวไปข้างหลัง จากนั้นก็ล้มไปลง เธอได้รีบปิดปากเอาไว้ ก่อนที่จะก้มหัวลงโดยไม่ตั้งใจ
“อึก! เฮือกกก!”
สมองของเธอไม่อาจจะประมวลผลภาพที่น่ากลัวที่เธอเพิ่งเห็นได้ และทำให้เธอเกือบจะอาเจียนออกมา หยดน้ำตาได้ปรากฏขึ้นรอบดวงตาของเธออย่างรวดเร็ว
[หากว่าพวกเธอเห็นพาราไดซ์เป็นเกมที่เอาไว้สนุกในเวลาว่าง ฉันก็ไม่อยากจะให้เราไปด้วยกัน]
ในที่สุดเธอก็เข้าใจถึงคำเหล่านี้ และในเวลาเดียวก็รู้สึกแย่กับตัวเองด้วย
เธอมัวแต่ไปยินดีกับข่าวชัยชนะ โดยไม่ได้ฉุกคิดถึงขั้นตอนในการเอาชัยชนะนั้นมาเลย
“โอ้ คุณไม่เป็นไรนะ?”
นักบวชที่พึ่งมาถึง ได้เข้ามาถามยี่ซอลอาที่กำลังนั่งตกตะลึงอยู่บนพื้น
ซอลจีฮูได้รีบส่ายมือ และหยักหน้ารัวๆ
“กำลังทำอะไรอยู่น่ะ!? เข้ามานี่เลย!”
ทันใดนั้นน้ำเสียงเฉียมคมก็ดังออกมาจากในห้อง นักบวชได้กลายเป็นทำอะไรไม่ถูกก่อนที่จะหายเข้าไปในห้องอย่างรวเร็ว
“ฮึก… ฮึก…”
ยี่ซอลอาที่แทบจะสงบสติอารมณ์ไม่ได้ ได้ฝืนกลืนน้ำลายลงไปในคอ และหันหน้าไปทางประตู
“ตอนนี้คุณทุกคนคงได้เห็นสภาพของเขาในตอนนี้แล้วนะ”
ข้างในเทเรซ่ากำลังมองไปที่กลุ่มนักบวช
“ตั้งใจฟังให้ดี เสนอการรักษาเขามาได้เลยไม่ว่าต้องทำอะไรก็ตาม ไม่ต้องห่วงเรื่องทรัพยากร ราชวงศ์ฮารามาร์คจะดูแลทุกๆ อย่างที่จำเป็นให้เอง”
เมื่อเทเรซ่าได้สติขึ้นมาแล้ว เธอก็รู้ถึงสถานการณ์ที่ซอลจีฮูเป็นอยู่ และรีบเข้าไปช่วยเขาทันที เธอเป็นคนที่ติดต่อหาราชวงศ์ และเตรียมรถม้าที่เร็วที่สุดในฮารามาร์ค และนักบวชทุกๆคนที่มารวมกันนี้ก็เกิดขึ้นจากคำสั่งของเธอ
“เสนอมาได้เลยไม่ว่าจะอะไรก็ได้ นี่คือหน้าที่ของพวกคุณ และเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกคุณถูกเรียกตัวมา”
จากการคำรามเสียงของเธอ มันราวกับว่าเธอกำลังขมขู่พวกเขา ยังไงก็ตามนักบวชเพียงแต่มองหน้ากันเงียบๆ
พวกเขาเป็นนักบวชที่มาจากสกีเฮราซาร์ด และเมืองข้างเคืองอื่นๆ แต่ว่ามันมีเหตุผลที่พวกเขาพูดไม่ออกอยู่
ด้วยทักษะของพวกเขา พวกเขารู้ถึงสภาพของชายหนุ่มที่เป็นอยู่ดี เมื่อเห็นชายหนุ่มแล้ว พวกเขาก็ได้แต่เลือกต้องอยู่เงียบๆ
ใครจะไปโทษพวกเขาได้ล่ะ? แม้กระทั่งซอยูฮุยยังทำได้เพียงรักษาฉุกเฉินเท่านั้น เธอไม่มีวิธีกู้ชีวิตเขากลับมาได้เลย เพราะงั้นแล้วพวกเขาจะไปทำอะไรได้ล่ะ?
แต่ว่าเมื่อคำนึงถึงค่าจ้างที่พวกเขาได้รับไปแล้ว พวกเขาก็รู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง ความคิดต่างๆมากมายได้ถูกเสนอออกมา แต่ว่าความคิดเหล่านี้ต่างก็ใช้ไม่ได้หรือเกินจริงไป
ขณะที่เทเรซ่ากำลังเคาะเท้าอยู่ซ้ำๆด้วยสีหน้าเป็นกังวลและหวาดกลัว
“บุตรแห่งลูซูเรียอยู่ไหน?”
จางมัลดงก็ได้กระแทกประตูเปิดขึ้นมา
เทเรซ่าได้รีบพูดขึ้นในทันที
“เธอน่าจะเข้าไปในห้องพักฟื้นแล้ว”
“เธอกลับมาเมื่อไหร่?”
“เราไม่มั่นใจ เธอได้ทำพิธีกรรมทั้งๆที่เธออยู่ในสภาพที่แย่อยู่แล้ว…”
คำพูดของเทเรซ่าได้ขาดห้วงไปในช่วงท้าย
“มะ… มีวิธีอื่นไหม?”
จากนั้นเธอก็ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงร้อนรน
นักบวชที่เธอได้รวบรวมมาต่างก็ใช้งานไม่ได้ทั้งนั้น ในตอนนี้จางมัลดงเป็นเพียงคนเดียวแล้วที่เธอเชื่อใจ
จางมัลดงได้ส่งเสียงครางยาวออกมา เขาได้ยินสรุปสถานการณ์คร่าวๆออกมาแล้ว
ซอยูฮุยได้ร่ายเวทย์โบราณที่มีชื่อว่าสุดขั้นออกมาผ่านทางพิธีกรรม นี่เป็นเวทย์ประเภทการเสียสละตัวเอง โดยส่งเอาพลังชีวิตของผู้ใช้ครึ่งหนึ่งไปยังเป้าหมายพร้อมทั้งรับความเจ็บปวดของเป้าหมายมาครึ่งหนึ่ง
เวทย์โบราณนี้เป็นเวทย์ที่ใช้ชะลอการตายของคนๆหนึ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด… แต่มันก็เท่านั้นแหละ
การที่เขามาอยู่ในสภาพนี้หลังจากใช้เวทย์ศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว… จางมัลดงคิดไม่ออกเลยว่าก่อนหน้านี้เขาจะมีสภาพเป็นยังไงกัน
เสียงร้องได้ดังออกมาอีกครั้ง ซอลจีฮูได้โหยหวนออกมาพร้อมกับตาที่กลอกขึ้นไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อเห็นแบบนี้จางมัลดงก็ขมวดคิ้วขึ้น
“ท่านคะ…!”
เทเรซ่าได้เร่งเขาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะร้องไห้
มันไม่มีเวลาให้ลังเลแล้ว
แม้ว่าซอยูฮุยจะได้ใส่พลังชีวิตจำนวนมหาศาลมาให้เขา แต่ว่ามานาที่คลั่งอยู่ในตัวซอลจีฮูก็น่าจะกลืนกินชีวิตของซอลจีฮูอยู่ในตอนนี้
จางมัลดงได้กัดฟันแน่น
“มีอยู่สองวิธี”
เมื่อได้ยินว่ามีถึงสองวิธี ดวงตาเทเรซ่าก็เป็นประกายขึ้นมา
“วิธีอะไรคะ?”
“ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่อาการบาดเจ็บของเขา ร่างกายของเขาได้ไปถึงสภาพที่ใช้งานไม่ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว เพราะงั้นเราจำเป็นต้องหาทางจัดการกับเรื่องนี้”
“แล้ววิธีคือยังไงคะ?”
“เราต้องการร่างกายของอีกเผ่าพันธุ์ ร่างกายที่ทรงพลังพอที่จะเป็นที่สิงสู่ มีการฟื้นตัวที่รวดเร็ว และมีความทนทานที่ดี”
เทเรซ่าได้อ้าปากออกมา
“แต่ว่า… เขาจะไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป!”
สิ่งที่จางมัลดงแนะนำออกมามันไม่ต่างไปจากการเปลี่ยนซอลจีฮูให้เป็นปรสิตเลย
“นั่นมันเป็นเพียงวิธีที่ฉันคิดได้ในตอนนี้ อีกวิธีก็คือการฆ่าเขา แล้วก็ชุบชีวิตเขาขึ้นมา”
นั่นก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเช่นกัน ปัญหาคือการต้องหาคนที่จะทำความปรารถนานี้ และต่อให้พวกเขารวบรวมแต้มคุณูปการได้มากพอ มันก็ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยว่าซอลจีฮูจะทนอยู่บนโลกได้นานขนาดนั้นไหม
แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นทหารผ่านศึกที่มีประสบการณ์มาหลายปี แต่ว่าจางมัลดงก็ไม่มั่นใจว่าในช่วงสั้นๆนี้ซอลจีฮูได้มีประสบการณ์มามากขนาดไหน
“เพราะงั้นมันหมายความว่า…”
น้ำเสียงสั่นเครือของเทเรซ่าได้ดังออกมา
“มันไม่มีอะไรที่เราทำได้…”
เพียงเท่านั้นความสิ้นหวังก็ได้เริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ
“อืมม…”
เสียงที่เบาเหมือนกับยุงบินได้ดังออกมา
“หากว่าด้วยเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ก็ยังช่วยเขาไม่ได้ ทำไมเราไม่ลองใช้ยาดีๆกันล่ะ?”
ยี่ซอลอาที่กำลังนั่งลงบนพื้นประตูและมองเข้าไปในห้องอยู่
“ยาดีๆ?”
ช่างเรื่องที่เธอมาอยู่ที่นี่ไปก่อน เทเรซ่าได้รีบถามอย่างรวดเร็วเหมือนกับอยากจะคว้าฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้
“ใช่แล้ว ฉันได้ยินมาว่าพาราไดซ์มียาครอบจักรวาลที่รักษาได้ทุกโลก…”
“เธอหมายถึงอิลิเซียร์?”
จางมัลดงได้คิดถึงสิ่งที่เธอพูดออกมาอย่างรวดเร็ว
ยี่ซอลอาได้หยักหน้ารับออกมา
“ชะ ใช่แล้วค่ะ ฉันคิดว่ามันน่าจะชื่อนั้นแหละ”
“…มันคุ้มค่าที่จะลอง อิลิเซียร์น่าจะสามารถรักษาบาดแผลของเขา และช่วยฟื้นฟูวงจรที่พังทลายไปได้ มันจะช่วยให้เขาควบคุมมานาเหมือนกระกระทิงคลั่งในร่างเขาได้”
“ถ้างั้น!”
“แต่ว่ามันก็ยังมีปัญหาอยู่”
จางมัลดงได้ยอมรับเรื่องการใช้อิลิกเซียร์ในทันที แต่ว่าก็เสริมเรื่องที่น่าเศร้าออกมาในตอนท้าย
“อิลิกเซียร์คือต้นกำเนิดพลัง และแก่นแท้แห่งชีวิตที่ถูกเทพที่รับใช้โอฟินู โอดอร์ทิ้งเอาไว้ในตอนบั่นปลายชีวิต และขึ้นสู่สวรรค์ มันเป็นสมบัติที่อยู่ภายใต้การดูแลอย่างถึงที่สุดของแฟรี่แห่งท้องฟ้า เธอมีแผนจะไปเอามันมายังไงกันล่ะ? คิดจะขโมยมันมางั้นหรอ?”
หรือก็คือ ความคิดนี้มันไม่น่าจะเกิดขึ้นจริงได้เลย
ยี่ซอลอาได้แต่ก้มหัวลง
จากนั้นเอง เทเรซ่าก็ร้อง ‘อ่า!’ ออกมาในทันทีที่เธอนึกถึงสหพันธรัฐ
ตึง!
จากนั้นเธอก็รีบวิ่งออกไปจากห้องเต็มแรง จากการกระทำที่กระทันหันของเธอทำให้จางมัลดงกับยี่ซอลอาได้แต่มองประตูที่ถูกผลักกระเด็น
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง เทเรซ่าก็ได้กลับมาพร้อมกับข่าวที่ไม่น่าเชื่อ เธอบอกว่าเธอได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากสหพันธรัฐ
การตอบกลับของพวกเขามีแค่สั้นๆเท่านั้น
‘ยึดป้อมปราการไทกอลคืนสำเร็จ กำลังกลับบ้าน’
และ..
‘ได้รับคำขอจากราชวงศ์ฮารามาร์ค หากว่าเขาเป็นคนเดียวกันกับที่ทำลายศูนย์วิจัย และหลบหนีออกมา และหากว่าการกำจัดผู้บัญชาการกองทัพที่หนึ่งของปรสิตเป้นเรื่องจริง ถ้างั้นสหพันธรัฐก็จะไม่ล่ะทิ้งความพยายามในการช่วย ‘ซอล’ จะเปลี่ยนเส้นทางและไปถึงฮารามาร์คในทันที’
นี่เป็นข่าวที่ไม่น่าเชื่ออย่างแท้จริง
อีกด้านหนึ่งหญิงสาวที่กำลังมองลงมาที่ซอลจีฮูด้วยดวงตาประกายสีทอง เธอได้หลับตาแน่นกับข่าวนี้
“…เขาจะรอดใช่ไหม?”
หลังจากพึมพำออกมาสั่นๆ ก็มีเพียงจางมัลดงเท่านั้นที่สังเกตเห็นถึงตัวตนของเธอ ดวงตาของเขาได้เบิกกว้างขึ้นมา นี่มันก็เพราะว่ามันวุ่นวายมากจน เขาไม่ได้รับรู้เลยว่าเธออยู่ที่นี่
แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่ว่าเขาก็รู้อย่างชัดเจนว่าเธอคือใคร
คนแรกที่กลายเป็นระดับ 8 ในพาราไดซ์ และเป็นผู้รับร่องรอยพลังแห่งเทพ
แบคเฮจู จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
เขาสงสัยว่าทำไมเธอถึงได้มาที่นี่ แต่ว่านี่มันไม่ใช่เรื่องสำคัญในตอนนี้
“เขาจะมีชีวิตไหม?”
เมื่อเธอได้ถามออกมาอีกครั้ง จางมัลดงก็ส่ายหัวออกมา
“ผมไม่มั่นใจ คุณซอยูฮุยได้ทำเต็มที่ที่จะยื้อเขาเอาไว้แล้ว แต่ว่าเท้าข้างหนึ่งของเขาได้ก้าวลงโลงไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไงก็ตามเราก็มีวิธีที่ควรจะทดลองดู”
กร๊อบ! ทันใดนั้นเสียงกัดฟันแน่นก็ดังออกมา จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์แบคเฮจูได้ขมวดคิ้วขึ้น
“หากว่าเขาอยู่ในสภาพที่ไม่เป็นหรือตาย…”
เธอได้จ้องไปที่ห้องพักผู้ป่วยที่ซอยูฮุยได้เข้าไป จากนั้นจู่ๆเธอก็ยกร่างของซอลจีฮูขึ้นด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยว และนั่งไขว้ห้างอยู่ด้านหลังเขา
“อะไร-?”
“ปกป้องฉันด้วย”
ต่อมาเธอก็ได้วางมือลงบนแผ่นหลังซอลจีฮูเบาๆ
มีประกายแสงปรากฏขึ้นในดวงตาของจางมัลดง เขารับรู้ถึงสิ่งที่แบคเฮจูกำลังทำแล้ว
มีขั้นตอนในการรักษาผู้บาดเจ็บอาการหนักอยู่ การใช้ยาที่ทรงพลังกับคนที่อยู่ในสภาพน่ากลัวแบบนี้อาจจะไม่ต่างกันการอยู่นิ่งๆเลย
พลังงานในตัวของเขาจะต้องถูกทำให้สงบลงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อน จากนั้นร่างกายของเขาถึงจะพร้อมรับอิลิกเซียร์
นอกไปจากนี้พวกเขาจะต้องทำให้ซอลจีฮูสามารถทนอยู่รอดจนสหพันธรัฐมาถึงให้ได้
ในจุดๆนี้ แบคเฮจูกับจางมัลดงคิดเหมือนกัน
จางมัลดงได้สั่งให้คนอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป จากนั้นเขาก็ล้วงมือลงไปในกระเป๋า
แม้ว่าเขาจะสาบานกับตัวเองแล้วว่าจะไม่ใช่มัน แต่ว่านี่มันไม่ใช่เวลาจะมาดื้อแล้ว
เขาจะต้องทำทุกๆอย่างที่ทำได้
‘ฉันจะต้องช่วยเขา’
ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม
เปลวเพลิงได้ลุกโชดช่วงในดวงตาของจางมัลดง พร้อมกันกับที่เขาหยิบกล่องทรงกระบอกออกมา
184 เหตุผลที่เหมาะสม
“คุณพี่คงไม่เข้าใจว่ามันยากลำบากขนาดไหน ทุกๆคนต่างก็ตึงเครียดเพราะว่าพวกเขาไม่อาจจะทำพลาดได้แม้แต่นิดเดียว เมื่อไหร่ก็ตามที่จู่ๆอาการของคุณพี่แย่ลง หรือว่าเมื่อไหร่ที่คุณพี่หยุดหายไปครู่หนึ่ง หัวใจของพวกเราต่างก็แทบจะหยุดเต้นกันไปเลยล่ะ
ขณะอธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้น สีหน้าของยี่ซอลอาก็ได้มืดมนลงไป
“หลังจากวันนั้นคุณปู่ก็ต้องพักไปทั้งวัน… มันเป็นสัปดาห์นรกจริงๆเลยล่ะ ฉันได้รับแค่ให้ทำหน้าที่เล็กๆน้อยเท่านั้นเอง แต่ว่าแค่เห็นสถานการณ์กลายมาเป็นแบบนั้นมันก็ทำให้ฉันเหนื่อยแล้ว อ่า แต่สำหรับคุณพี่แล้วคงยากลำบากที่สุดแหละเนอะ
‘อาจารย์…’
ซอลจีฮูได้มองลงไปบนเข็มที่ปักอยู่เต็มแขนของเขา จางมัลดงจะต้องทำการฝังเข็มอย่างที่เขาคิดไว้
[บอกทัตสึยูกิแบบนี้นะ]
[ในทันทีที่พูดแค่คำว่า ‘ขะ’ จาก ‘เข็ม’ ต่อหน้าฉัน ฉันจะตัดการติดต่อทั้งหมดกับพวกนายเลย]
ซอลจีฮูยังจำได้ดีถึงคำปฏิเสธอันหนักแน่นของจางมัลดง ขณะที่เขารู้สึกซาบซึ้งที่จางมัลดงยอมล่ะทิ้งคำมั่นสัญยาเพื่อช่วยเขา แต่ว่าเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอับอายอยู่เล็กน้อยเช่นกัน
“แล้วสหพันธรัฐช่วยฉันยังไงล่ะ?”
“ฉันไม่รู้ว่าพี่สาวเจ้าหญิงไปพูดอะไร แต่ว่าพวกเขาได้เอาอิลิเซียร์มาจริงๆ”
“จริงหรอ?”
“ใช่แล้วล่ะ คุณปู่ก็ยังตกใจเหมือนกัน เขาบอกว่าเขาไม่เคยคิดเลยว่าสหพันธรัฐจะให้ของล้ำค่านี่โดยไม่หวังอะไรตอบแทน…”
“พอจะบอกรายระเอียดเพิ่มเติมได้ไหม?”
“อืมม~ ฉันก็ไม่ได้เห็นกระบวนการรักษาโดยตรงหรอก… แต่ว่าจากที่ฉันได้ยินมาคือพวกเขาได้ใช้ยารักษาคุณพี่ไม่หมด และตัดสินใจใช้ส่วนที่เหลือรักษาบุตรแห่งลูซูเรียเช่นกัน…”
ทันใดนั้นยี่ซอลอาก็ครางยาวออกมา
“เธอพอจะบอกสิ่งที่เห็นแล้วก็ได้ยินไหม?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ทันใดนั้นยี่ซอลอาก็ทำสีหน้าลำบากใจ และดึงฮูดลงมาปิดหน้า จากนั้นก็กางแขนออกมา
“เราไม่เพียงแค่ได้ยืนยันถึงการกำจัดความหมั่นเพียรอันนิรันดร์เท่านั้น แต่ว่าเราก็ยังได้ยืนยันมาอีกด้วยว่าความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงได้สำแดงพลังแห่งเทพ การผลักดันให้กองทัพปรสิตถูกทำลายมาถึงขนาดนี้… มันก็คุ้มค่าแล้วล่ะที่จะใช้อิลิกเซียร์ไปกับมนุษย์ที่ทำความสำเร็จอันน่าทึ่งเช่นนี้ หากว่าเขามีชีวิตรอดต่อไปก็ไม่อาจจะประเมินคุณค่าได้เลย นี่มันเป็นการตัดสินใจเอกฉันฑ์ของสหพันธรัฐ รวมไปถึงพันธมิตรมนุษย์สัตว์ด้วย”
เธอได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงต่ำ ซอลจีฮูเข้าใจในทันทีว่าตอนนี้เธอกำลังเลียนแบบคนจากสหพันธรัฐอยู่
“แล้วก็?”
ยี่ซอลอาได้หยักหน้าลง และกางแขนออกมา
“พวกเขาขอขอบคุณที่ได้เตรียมร่างกายของเขาให้พร้อมรับอิลิเซียร์ เพราะแบบนี้ทำให้การรักษาเป็นไปได้อย่างราบรื่น พวกเราได้ทำทุกๆอย่างอย่างสุดความสามารถไปแล้ว ไม่ว่ามนุษย์คนนี้จะตื่นขึ้นมาได้หรือไม่มันก็ขึ้นอยู่กับพลังใจของเขาเองแล้วล่ะ”
“แล้วก็?”
ยี่ซอลอาที่ได้ยินแบบนี้ก็ลดแขนลง และเงยหน้าขึ้นมา
“ขนาดสหพันธรัฐใช้ฟ้าผ่านับพันที่สะสมไว้เป็นสิบๆปีไปก็ยังไม่อาจจะจะเทียบได้กับมนุษย์เพียงคนเดียวที่มาอยู่ในพาราไดซ์ไม่ถึงปี แล้วความสำเร็จนี่ก็ยังมาจากแค่สงครามเพียงครั้งเดียวอีกด้วย… ไม่ว่าจะคิดกี่ครั้ง มันก็ยังน่าทึ่งเช่นเดิม ฉันยอมรับนะว่าฉันรู้สึกขมขื่นเหมือนกัน สหพันธรัฐทำอะไรผิดไปกันล่ะ?”
“นี่คือสิ่งที่คนๆนั้นพูดจริงๆงั้นหรอ?”
ยี่ซอลอาได้ถอดฮูดออก จากนั้นก็พูดขึ้นมาราวกับจู่ๆนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“จริงสิ… เขายังบอกให้ฉันบอกคุณพี่ในตอนคุณพี่ตื่นขึ้นมาด้วยเหมือนกัน นั่นคือแบบนี้เราก็ได้ชดใช้หนี้จากสุสานแล้วนะ”
[ขอบคุณมาก พวกเราอีกสี่คนก็รอดมาได้เหมือนกัน คุณชื่ออะไรล่ะ?]
[ซอลงั้นหรอ? ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะ ฉันจะจำเอาไว้]
ซอลจีฮูได้อ้าปากร้อง ‘อ่า’ ออกมา เขารู้แล้วว่าใครเป็นคนที่มาจากสหพันธรัฐ
[มิคาเอล]
‘พอคิดถึงการติดต่อกันจากตอนนั้น…’
…ได้หวนกลับมาแบบนี้
เอียนพูดถูก โชคชะตามักจะซุกซนนำไปสู่ผลลัพธ์ที่แตกต่างไปจากผลลัพธ์ที่เคยคาดคิดเอาไว้อย่างสินเชิง
‘อาจารย์เอียน’
ทันใดนั้นเขาก็หดหู่ขึ้นมา เมื่อนึกขึ้นได้ถึงรอยยิ้มที่อบอุ่นของเอียน เขาไม่มีความกล้าที่จะถามเรื่องของเอียนกับยี่ซอลอาเลยด้วยซ้ำไป
เทเรซ่า ฟีไฮ อาเบอร์ มูโต้ แล้วก็กระทั่งแจนแซงตัสก็ยังมาเยี่ยมเขาพร้อมกับทหาร การที่เอียนไม่ได้มา… นั่นมันหมายได้ถึงสิ่งเดียวเท่านั้น
“มีอะไรที่คุณพี่อยากจะรู้อีกไหมคะ?”
ซอลจีฮูได้หยุดความคิดของเขาลงเมื่อได้ยินเสียงยี่ซอลอาดังขึ้นมา เขาได้ฝืนยิ้มขึ้น
“ไม่แล้วล่ะ ขอบคุณที่บอกฉันนะ”
แม้ว่าเขาจะไม่มั่นใจ แต่เขาก็เดาว่าเขาได้ตกอยู่ในอาการโคม่าหลังจากที่ผ่านสหพันธรัฐรักษาเสร็จ เขาได้อยู่ในสภาพโคม่าที่มีเพียงแค่เศษเสี้ยวสติที่หลงเหลืออยู่เป็นเวลาถึง 15 สัปดาห์
พอมาคิดแบบนี้แล้วเขาก็รู้สึกเหมือนกับการตื่นขึ้นมาเป็นเหมือนโชคลาภ ว่าไปแล้วเขาก็ยังเคยได้ยินว่าผู้ป่วยโคม่ามีคนที่หมดสติไปเป็นสิบๆปีด้วยซ้ำไป
“ไม่มีอะไรแล้วสินะคะ! ตอนนี้ก็ถึงเวลา…”
ยี่วอลอาได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
“เวลา…?”
ซอลจีฮูได้ยกมือขึ้น และเห็นหญิงสาวสูดหายใจลึกอยู่หน้าประตู เธอดูเหมือนจะบอกว่าเธอได้รอเวลานี้มานานแล้ว
“ซอลอา เดี๋ยวก่อน”
แต่ว่าก่อนที่เขาจะได้พูดจบว่า ‘ตอนนี้ทุกๆคนน่าจะหลับอยู่ รอสักหน่อยดีกว่า-‘ ยี่ซอลอาก็เปิดประตูออกไปแล้ว
จากนั้น…
“ทุกคนตื่นนน!!!”
เธอได้วิ่งออกไปร้องลั่น ซอลจีฮูได้แต่มองแผ่นหลังยี่ซอลอาออกไปด้วยสีหน้าโง่งม พร้อมทั้งฟังเสียงดังก้องกังวาลทั้งโถงทางเดิน
***
พายุรุนแรงได้ปะทุขึ้นในห้องพักผู้ป่วยแทบจะในทันที ผลจากเสียงร้องตะโกนของยี่ซอลอา ได้ทำให้ผู้คนได้กรูกันเข้ามาก่อนที่พระอาทิตย์จะได้ขึ้นซะอีก
เพราะงั้นแล้วนอกจากตอนที่จางมัลดงได้เอาเข็มออกจากร่างเขา และตอนที่ซอยูฮุยได้ตรวจร่างกายเขา เขาก็ต้องได้ยินคำพูดเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปตลอดทั้งเช้าจนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้นกลางท้องฟ้า
‘ฉันรอด…’
แม้กระทั่งการถูกชมก็ยังเหนื่อยเลยหลังจากได้ยินมาถึงสามสี่ครั้ง
ในตอนแรกเขาประทับใจกับคำพูดที่เป็นห่วงเป็นใยของทุกๆคน แต่ว่าเมื่อตกเย็นแล้ว ความรู้สึกนี้ก็ได้หายไปอย่าสิ้นเชิง นอกไปจากนี้ร่างกายของเขาที่เพิ่งฟื้นตัวขึ้นมาก็ยังเหนื่อยล้าจนกรีดร้องออกมา
แต่ว่าเขาก็ไม่อาจจะไล่ทุกๆคนที่เขามาเยี่ยมเยือนเขาด้วยความจริงใจไปได้อยู่ดี
“แต๋น แต๋ แด๋น-! หัวหน้ากลุ่มคาเพเดี่ยม วีรบุรุษสงคราม ซอล ได้กลับมาแล้ววว!!!”
ฮิวโก้ได้ทำเสียงเป่าทรัมเป็ตออกมาตั้งแต่เช้า และพาดง้าวที่หน้าส่งสารไว้ด้านหลัง เมื่อซอลจีฮูนึกไปถึงฮิวโก้ที่มักจะเอาง้าวไว้ใต้กางเกงในอยู่เสมอ เขาก็คิดว่าสถานการณ์อาจจะดีขึ้นแล้วทำให้ฮิวโก้ไม่ทำอะไรที่น่ารังเกียจอีก
“ฉันดีใจ… ฉันเป็นห่วงนายมาก… นายไม่เคยตื่นขึ้นมาอีกเลย…”
เทเรซ่าได้ร้องไห้ออกมา ซอลจีฮูก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆที่เห็นหญิงสาวใช้นิ้วปาดน้ำตาออกไป
เทเรซ่าดูเหมือนจะเชื่อซอลจีฮูโดยไร้เงื่อนไขใดๆ แต่ว่าเขาก็ยังจำได้ถึงการกระทำอันป่าเถื่อนในทุกๆครั้งที่เธอมาเยี่ยมเขา
เธอมาเยี่ยมเขาหกครั้ง หรือแปดครั้งกันนะ?
เทเรว่าได้จ้องลงมาที่เขาก่อนจะขยับหน้าเข้ามาใกล้ และจมูกของพวกเขาก็ได้สัมผัสกัน ในตอนแรกเพราะเขาไม่รู้สึกอะไร ทำให้เขาไม่รู้เลยว่าเธอกำลังทำอะไร แต่ว่าเมื่อจมูกของเธอได้มาแตะจมูกเขาเป็นครั้งที่สี่ ในที่สุดแล้วเขาก็ได้รู้ว่าเธอกำลังจูบเขา
นอกจากความตกตะลึงที่ได้รับอยู่เสมอแล้ว เขาก็ยังสงสัยว่าระหว่างที่จูบเขาเธอก็พึมพำอะไรอยู่เสมอ จนกระทั่งมาถึงตอนที่เขาได้ยินเสียงเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็ได้รู้
-นี่เป็นครั้งที่ 500 แล้ว… ทำไมเขาถึงยังไม่ตื่นล่ะ?
-ฉันได้ยินมาว่าเจ้าหญิงนิทราจะตื่นขึ้นมาจากจูบของเจ้าชาย… ทำไมในทางกลับกันมันถึงไม่ได้ผลล่ะ?
-หรือว่าฉันจะต้องใช้ลิ้นด้วย?
-ฉันจะลองไปจนถึงครั้งที่พันแล้วกัน แล้วจากนั้นก็จะลองจูบที่อื่นดู
‘ที่ไหน?’
เมื่อซอลจีฮูนึกไปถึงช่วงเวลานั้น ขนทั้งร่างของเขาก็ลุกตั้งชัน และตัวสั่นเทาอย่างรุนแรง
เธอมาทำร้องไห้บริสุทธิ์ไร้เดียงสาหลังจากที่คุกคามทางเพศเขาในตอนที่เขาขยับไม่ได้สักนิดเนี้ยนะ
เขาควรจะวางตัวยังไงกับเรื่องนี้ดีล่ะ…
‘เธอกระล่อนเกินไปแล้ว…’
“ฉันมีเรื่องที่สงสัยอยู่”
ขณะที่ซอลจีฮูกำลังคิดจะบอกเธอว่าเขารู้ทุกอย่าง น้ำเสียงที่อดกลั้นอยู่ก็ดังออกมา แอ็กเนสกำลังมองหน้าเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ฉันอยากจะให้นายตอบคำถามฉัน”
ซอลจีฮูมีลางสังหรณ์ใจว่ามันอาจจะเกี่ยวข้องกับนิมิตของเขา แต่ว่าเขาก็ได้เตรียมการตอบไปแล้วว่าเขาจำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น-
“เป็นไปได้ไหมว่า…”
แอ็กเนสได้ก้าวเท้าเข้ามาใกล้ เธอค่อยๆเอียงหัวออกมาอย่างน่ากลัวเพราะอะไรบางอย่าง
“ในตอนนายหลับบนเตียงนายหมดสติอยู่ตลอดเลยใช่ไหม?”
ซอลจีฮูได้ผงะไป ทำไมเธอถึงถามเรื่องนั้นล่ะ?
“ทำไมหรอครับ?”
“มีฉายาแปลกๆเพิ่มเข้ามาในนามแฝงของฉันน่ะสิ เพราะคนบางคนทำให้ฉันติดนิสัยชอบเช็คหน้าต่างสถานะทุกๆวัน และในวันที่ฉันมาที่นี่…”
“นะ นามแฝงอะไรหรอครับ?”
เมื่อซอลจีฮูได้ถามออกมาอย่างตกใจ…
“…ใครจะรู้ล่ะ?”
น้ำเสียงของแอ็กเนสได้กลายเป็นทุ้มลึกขึ้น เธอได้ค่อยๆใช้นิ้วกลางปรับแว่นของเธอ ประกายแสงที่ออกมาจากเลนส์ทำให้ซอลจีฮูต้องกลืนน้ำลายดังเอื๊อก
จริงๆแล้วในตอนที่เขาหลับอยู่บนเตียงมีความคิดมากมายอยู่ในหัวเขา ท้ายที่สุดแล้วนั่นก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เขาได้ทำไป
มีอยู่ครั้งหนึ่งในตอนเบื่อๆ เขาได้สร้างเพลงขึ้นมาว่า ‘ตืออ~ ตือ ตือ ตืออ~ ตือ~ ตือ ตือ ตือ~ ตือ ตือ ตือ ตึง ก้นกระทะ!’ แม้ว่าเขาจะร้องมันอยู่หลายครั้ง แต่ว่าเขาก็ไม่มีความกล้ามากพอจะสารภาพออกมา
“เอ่อ ผมไม่รู้เรื่องอะไรนะ”
เขาได้แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“หืม… เข้าใจแล้ว”
แอ็กเนสยังคงสงสัยอยู่ชัดๆ แต่ว่าเธอคงจะคำนึงถึงสภาพของเขาในฐานะคนป่วยทำให้เธอยอมถอยไปเงียบๆ
ข้างๆกันเทเรซ่าก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินแอ็กเนสพูดต่อว่า “ให้ตายสิ ถ้างั้นแล้วมันเป็นใคร?”
“ถึงเวลาแล้ว! เวลาเยี่ยมใกล้จะปลดแล้ว”
แป๊ะ! เสียงปรบมือได้ดังออกมา
ซอยูฮุยได้เดินเข้ามาเห็นท่าทางที่เหนื่อยล้าของซอลจีฮู เมื่อเธอได้เสริมขึ้นอีกว่าเธอจะตรวจร่างกายเขาอีกครั้งให้แน่ใจ คนอื่นๆก็ได้รีบออกไป
แต่แน่นอนว่าก็ยังมีคนทำหูทวนลม และอยู่ต่ออย่างเทเรซ่ากับโชฮง
“นายไม่มีไข้… แล้วรู้สึกยังไงบ้าง?”
“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่เหนื่อยนิดหน่อย”
“แล้วหน้าต่างสถานะล่ะ? มีอะไรที่มันน่าสังเกตไหม อย่างการลดลงของระดับสภาพร่างกาย
“ค่าสถานะทั้งหมดลดลงหมดเลย แต่ว่ามันบอกว่าเป็นแค่ชั่วคราว ไม่ได้ถาวร ผมคิดว่าพอหายดีแล้วมันก็น่าจะกลับมาเป็นปกติ”
“ยินดีด้วยนะ คงเป็นเพราะอิลิเซียร์ที่ถูกนับเป็นสมบัตินั่นแหละ”
ซอยูฮุยได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจขมขื่น การที่หน้าต่างสถานะของเขายังเป็นแบบนี้ทั้งๆที่ได้รับการรักษาอย่างทรงประสิทธิภาพไปแล้วนั่นมันหมายความว่าอิลิเซียร์ได้ใช้พลังทั้งหมดที่มีรักษาเขาไปแล้ว
“ไม่ได้เจ็บตรงไหนนะ? มีตรงไหนที่รู้สึกไม่สบายไหม?”
“ผมคิดว่ารู้สึกหิวหน่อยๆน่ะ”
ซอลจีฮูได้เลียริมฝีปากและมองไปที่ของกินเล่นที่ถูกวางเอาไว้ข้างๆเตียง เมื่อเขาได้เห็นขนมปังที่ดูจะนิ่ม และเอื้อมมือออกไป ซอยูฮุยก็ได้คว้ามือเขาเอาไว้
“ไม่ได้ กระเพาะของนายยังหดเกร็งอยู่ นายจะปวดท้องหากว่ากินอะไรผิดๆลงไป”
“แค่อันเดียวก็ไม่น่าจะเป็นอะไรนะ…”
“อย่างแรกต้องใช้น้ำเกลือทำความสะอาดกระเพาะ จากนั้นค่อยกินโจ๊กได้ พอหายดีแล้วเดี๋ยวพี่สาวคนนี้จะเลี้ยงอาหารอร่อยๆทุกอย่างให้เอง โอเคไหม?”
“โอเค”
เมื่อได้เห็นรอยยิ้มสดใสของซอลจีฮู ซอยูฮุยก็ชะงักไปเล็กน้อย
“…มาเริ่มกันเถอะ นอนสบายๆนะ”
ซอลจีฮูได้ล้มตัวลงนอน เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขารู้ว่าซอยูฮุยกำลังจะทำอะไร
ซอยูฮุยไม่เพียงแค่ให้อาหารเสริมกับเขา แต่เธอยังเช็ดตัวเขาในระหว่างอาการโคม่าด้วย ไม่สิ เธอให้การดูแลเขาเกินกว่าการดูแลแบบธรรมดาทั่วไปแล้ว
เมื่อร่างกายของเขาได้นอนนิ่งมาเป็นเวลานาน มันจึงเป็นธรรมดาที่ร่างกายเขาจะอ่อนแอ ซอยูฮุยได้คำนึงถึงเรื่องนี้ และได้ให้ซอลจีฮูทำกายบริหารเพื่อที่จะไม่ให้กล้ามเนื้อและแขนขาของเขาอ่อนแรง
“ผ่อนคลายร่างกายนะ”
สิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ในตอนนี้มันคล้ายๆกันกับการแพทย์ไคโรแพรคติก
ทุกๆครั้งที่ซอยูฮุยได้บิดข้อต่อหรือกล้างเนื้อ กระดูกของซอลจีฮูก็จะส่งเสียงร้องดังลั่นออกมา
‘อ๊า รู้สึกดีจัง”
“พี่สาวเป็นหมองั้นหรอ?”
“ไม่หรอก ฉันก็แค่มีใบอนุญาตกายภาพบำบัดเท่านั้นเอง ช่วยกอดอกแล้วก็ยกตัวขึ้นมาได้ไหม?”
ซอลจีฮูได้ทำตามที่เธอบอกไว้
ซอยูฮุยได้กอดหลังของซอลจีฮูจากทางด้านหน้าแน่น จากนั้นก็ค่อยๆดันร่างกายของเขาให้ลดไปข้างล่าง และเมื่อเธอเพิ่มแรงที่แขนมากขึ้นก่อนที่หลังของซอลจีฮูจะแตะลงไปบนเตียง
กร๊อบบบ!
เสียงของกระดูกข้อต่อตามส่วนต่างๆก็ได้ดังลั่นออกมา เขารู้สึกเหมือนกับว่ากล้ามเนื้อที่แข็งทื่อของเขาได้คลายตัวออกมา
แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกดี
‘อ่า…’
ความรู้สึกอบอุ่นบนใบหน้ามั่นมากพอที่จะทำให้เขาตัวสั่นขึ้นมา ความง่วงได้ถาโถมเข้ามาหาตัวเขา
‘เยี่ยมไปเลย…’
“ฟู่วว… หืม?”
เมื่อซอยูฮุยได้เช็ดเหงื่อออกมาไป เธอก็ต้องกระพริบตาอย่างสับสน เธอได้ปล่อยซอลจีฮู และยืดหลังขึ้นมา แต่ว่าใบหน้าของซอลจีฮูก็ยังคงฝังอยู่ที่หน้าอกของเธอ
‘ความรู้สึกนี้… คุ้นเคยจัง…’
ซอลจีฮูได้ฝังใบหน้าลงไปในอ้อมกอดของซอยูฮุยเหมือนกับกระรอกที่มีถั่วเข้ามาในปากแล้ว ซอยูฮุยได้ยิ้มอย่างลำบากใจก่อนที่จะลูบหัวซอลจีฮูเบาๆ
โชฮงกับเทเรซ่าที่ไม่ยอมออกไปจากห้องก่อนหน้านี้ได้จ้องมองผู้ป่วยกับหมออย่างดุดัน พวกเธอกระทั่งกระแอ่มออกมาดังๆเพื่อเตือนว่าพวกเธอยังอยู่ในห้อง
แต่ถึงแบบนั้นชายหนุ่มกับหญิงสาวก็ทำเหมือนในโลกนี้มีแค่พวกเขาสองคน
“อืม คุณซอยูฮุย คุณมั่นใจนะว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของการรักษา? การรักษาจำเป็นต้องสัมผัสก้นของเขาแบบนั้นด้วยหรอ? ฉันไม่คิดเลยนะว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้ ฉันผิดหวังจริงๆ”
เสียงประท้วงที่ดุดันได้ดังออกมาในทันที
“เฮ้ นายก็ด้วย เอาหน้าออกมาได้แล้ว ถึงจะห้ามตัวเองไม่ได้แต่ว่ามันหยาบคายนะ- อ๊ะ!”
โชฮงได้รีบปิดปากของเธอไว้กลางทาง ยังไงก็ตามซอลจีฮูก็ทันได้ยิน และหันหน้ามา
“ห้ามตัวเองไม่ได้?”
เขาได้ถามออกมาทั้งๆที่ยังคงเกาะอยู่ที่เดิม
เมื่อได้ยินแบบนี้ซอยูฮุยก็บอกออกมาว่าเธอจะออกไปเอาโจ๊ก และพยายามดิ้นออกมา แต่ว่าซอลจีฮูกลับเกาะเธอแน่นกว่าเดิมโดยไม่อยากจะปล่อยเธอไปเลย
หลังจากยื้อกันอยู่สักพัก ซอยูฮุยก็ได้ยอมแพ้และอธิบายออกมา
“พลังชีวิต?”
ยี่ซอลอาได้บอกเขาเรื่องพิธีกรรม เพราะงั้นนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“มะ ไม่มีทาง ถ้างั้น…”
“ไม่เป็นไรหรอก”
เพราะว่าซอลจีฮูดูเหมือนกับพร้อมจะมุดลงไปอีก ซอยูฮุยก็รีบส่ายหัวออกมา
“ฉันหายดีแล้ว ฉันไม่ได้มีปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวันเลยสักนิด”
ในทางเทคนิคแล้วเธอก็ไม่ได้โกหก เธอก็แค่ข้ามส่วนสำคัญ และอธิบายออกมาให้น้อยที่สุด หากว่าเธอพูดตรงๆ มันชัดเจนมากว่าซอลจีฮูจะต้องเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดแน่ๆ
“ในช่วงหนึ่งมันก็ค่อนข้างจะอันตราย… แต่ว่านายก็น่าจะได้ยินแล้วนี่ว่าสหพันธรัฐก็รักษาพี่สาวเหมือนกัน”
“ผมได้ยิน.. แต่ว่าพลังชีวิตนี่?”
ซอลจีฮูได้พูดต่อ
“ผมกังวลว่าพลังชีวิตของพี่สาวจะหายไป…”
ซอยูฮุยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เมื่อได้เห็นถึงคำถามที่น่ารักแบบนี้
ซอลจีฮูได้จ้องไปที่ซอยูฮุยที่กำลังหัวเราะอย่างสับสน
“มันก็ไม่ใช่แบบนั้นซะหมดหรอก ฉันจะพูดแบบนั้นอีกครั้งนะ ฉันไม่เป็นไรหรอก นายต่างหากที่เป็นคนที่ต้องระวัง”
“ผม”
เธอได้หยุดหัวเราะ จากนั้นก็วางมือลงบนหัวของซอลจีฮูด้วยสีหน้าคลุมเครือ
“การรับพลังชีวิตจากคนอื่นมันไม่ใช่เรื่องง่าย ยกตัวอย่างเช่น… ใช่แล้ว ลองนึกถึงคนที่ไปห้องฉุกเฉินเพราะขาดเลือดสิ นายคิดว่าเขาจะตื่นขึ้นมาแค่เพราะการถ่ายเลือดงั้นหรอ?”
พรึ่บ พรึ่บ
“ใช่ไหมล่ะ? เลือดจะต้องไหลเวียนผ่านเส้นเลือดของผู้ป่วย และกลายมาเป็นของเขา พลังชีวิตก็เหมือนกันแหละ ในตอนนี้มันได้ทำหน้าที่ของมันแล้ว แต่ว่าเพื่อที่จะให้ร่างกายคุ้มเคยและกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของนาย… ฉันคิดว่ามันจะต้องใช้เวลาหน่อย ในระหว่างนั้นมันก็อาจจะมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้”
‘ผลข้างเคียง?’
“นายอยากจะเกาะติดกับฉันใช่ไหม?”
ซอลจีฮูได้ผงะไป เธอรู้ได้ยังไงกัน?
“ไม่ต้องอายไปหรอก นี่มันเป็นหนึ่งในผลข้างเคียง เนื่องจากเดิมทีพลังชีวิตมันอยู่ในตัวฉัน มันก็เลยพยายามจะกลับมาหาฉันตามสัญชาตญาณ และมันทำให้ร่างกายของนายยึดติดกับร่างฉัน”
ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา เขาเข้าใจถึงสิ่งที่เธอจะบอก แต่ว่ามองย้อนกลับไปแล้ว เขาก็เคยได้รับแร้งกระตุ้นคล้ายๆกันนี้ก่อนที่จะได้รับพลังชีวิตจากเธอซะอีก
‘ถ้างั้นมันเกิดอะไรขึ้น?’
“เพราะงั้นหากถูกกระตุ้นแบบนี้ ปล่อยมันออกมาอย่าไปกลั้นไป มันอาจจะใช้เวลาสักพัก แต่ว่าการปล่อยให้ผลข้างเคียงหายไปตามธรรมชาติจะดีกว่า หากว่านายเอาแต่กลั้นมันเอาไว้ เราก็ไม่อาจจะรู้ได้เลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง… โอเคนะ?”
เข้าใจแล้ว ถ้างั้นก็คงไม่มีทางเลือก
ซอลจีฮูได้แสร้งทำเป็นครุ่นคิดก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา จากนั้นเขาก็พยายามที่ที่จะแสดงทีท่าไม่เต็มใจก่อนจะพูดขึ้น
“ขอโทษ ก็เพราะผม…”
แม้ว่านี่จะเป็นสิ่งที่เขาพูดออกมา แต่ว่าร่างกายของเขากลับซื่อตรง
สุดท้ายแล้ว…
‘ในที่สุด’
ในตอนนี้เขาก็มีเหตุผลที่เหมาะสมแล้ว
เหมือนอย่างที่พูดกันว่าฟ้าหลังฝน เขารู้สึกว่าประสบการณ์ที่น่ากลัวได้ระหว่างสงครามได้ถูกชะล้างออกไปแล้ว
“ไม่หรอก นายไม่รู้หรอกว่าฉันรู้สึกยินดีแค่ไหนที่นายตื่นขึ้นมา”
ซอยูฮุยได้กอดซอลจีฮูแน่น และพึมพำออกมา
“ฉันดีใจที่นายยังมีชีวิตอยู่ จริงๆแล้ว…”
เธอกระทั่งถูแก้มกับหัวของเขา และลูบอย่างเบาๆ
สายตาสองคู่ได้มองสำรวจดูชายหนุ่มกับหญิงสาวตั้งแต่บนลงล่าง
โชฮงที่ส่งสายตาไม่พึงพอใจสักนิดได้แค่นเสียงออกมา
“เฮอะ~”
เทเรว่าได้อ้าปากกว้างด้วยสีหน้านี่มันบ้าอะไรแบบนี้เช่นกัน
“เชี้ยยยย”
185 กลับโลก
ในตอนนั้นเองเสียงกระแอ่มก็ได้ดังออกมา
จางมัลดงกำลังยืนมองอยู่ไกลๆที่หน้าประตู
“ดูเหมือนตอนนี้จะเงียบลงไปมากแล้วนะ… ฉันเข้าไปได้ไหม?”
“อ่า ค่ะ ได้ค่ะ!”
ซอยูฮุยได้รีบผละออกจากซอลจีฮู และรีบหลบออกไปเหมือนกับภรรยาที่ถูกพ่อตาจับได้
เทเรซ่ากับโชฮงที่รู้สึกค่อนข้างจะพอใจก็ยังออกไปเช่นกัน
“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น”
จางมัลดงได้นั่งลง และถอดเสื้อคลุมออกมา
ซอลจีฮูได้ยิ้มทักทายขึ้น
“ผมดีใจที่อาจารย์มานะครับ”
“ฉันก็ด้วย นายรู้ไหมว่ากว่าจะเข้ามาได้มันยากขนาดไหน”
เมื่อจางมัลดงได้บ่นเบาๆ ซอลจีฮูก็รู้สึกเห็นด้วยกับเขา
“จริงด้วย พวกเขากรูกันเข้ามาในตอนที่อาจารย์ดึงเข็มออกนี่นา”
“แล้วร่างกายนายเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“ก็ไม่เป็นไรมากครับ ระดับร่างกายของผมลดลงไป แต่ว่ามันบอกเอาไว้ว่าแค่ชั่วคราว แล้วก็จะฟื้นคืนกลับมาหลังจากหายดีแล้ว”
“ดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะ”
ท่าทีการพูดของจางมัลดงค่อนข้างจะห้วนๆ แต่ว่าเมื่อนึกถึงสิ่งที่โชฮงพูดกับตัวเองในตอนที่เขาหมดสติอยู่ ซอลจีฮูก็ยิ้มออกมา
หลังจากเงียบอยู่สักพัก จางมัลดงก็พูดขึ้น
“ฉันมั่นใจ่ว่าตอนนี้นายคงเบื่อจะฟังแล้ว… แต่ว่าทำได้ดีมาก ชัยชนะที่หุบเขาอาร์เดนเป็นความสำเร็จที่ควรค่าจะยกย่องให้เป็นตำนานเลย นายทำได้เยี่ยมมาก”
“ฮ่าฮ่า ตำนานหรอครับ? ชมผมเกินไปแล้ว”
“ฉันพูดจริงๆ นับตั้งแต่เจ็ดกองทัพถูกสร้างขึ้นก็ไม่เคยมีความสำเร็จแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อนเลย หากว่านี่ไม่นับเป็นตำนาน แล้วถ้างั้นจะมีอะไรเป็นตำนานได้อีก”
“ถึงตอนนี้ความร้อนแรงของข่าวจะลดลงไปหน่อยแล้ว แต่ว่าทั้งพาราไดซ์ก็ยังคงพูดถึงเรื่องของนายเมื่อสามเดือนก่อน แม้กระทั่งเด็กเล็กๆก็น่าจะรู้จักชื่อนายด้วยซ้ำไป ไม่ใช่แค่ชาวพาราไดซ์กับชาวโลกเท่านั้นนะ แต่ว่าสหพันธรัฐกับปรสิตก็ด้วย”
เมื่อดูจากความนิ่งของจางมัลดงแล้ว มันดูไม่เหมือนว่าเขาจะมาที่นี่เพื่อชมชายหนุ่มเลย ขณะที่ซอลจีฮูยังไม่มั่นใจ เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าจางมัลดงจะมาเพราะอีกเรื่องหนึ่ง
เขาเข้าใจผิดคิดไปว่าน้ำเสียงของจางมัลดงดูกังวลมากๆเลยหรือเปล่านะ
…ถึงยังไงมันก็คือเรื่องของผู้บัญชาการกองทัพที่ถูกกำจัดไปด้วยน้ำมือของนักรบระดับ 4 นี่นา
และผู้บัญชาการกองทัพที่หนึ่งก็เป็นหนึ่งในผู้บัญชาการที่แข็งแกร่งมากอีกด้วย
เมื่อนับเรื่องทั้งหมดนี้มารวมกัน ซอลจีฮูก็ไม่รู้เลยว่ามันจะกลายเป็นผลลัพธ์อะไรย้อนกลับมาหาเขา
‘มันจะดีหรือว่าแย่กันนะ’
“ฉันไปก่อนนะ”
จางมัลดงได้ลุกขึ้นจากที่นั่ง ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้น
“อาจารย์จะไปแล้วหรอ?”
“ไม่ต้องพูดแล้วน่า ฉันเห็นความเหนื่อยล้าในดวงตานาย”
จางมัลดงได้หัวเราะขึ้นมา
“ฉันล้อเล่น ฉันรู้ว่าร่างกายนายยังไม่ได้หายดี แต่ว่าฉันก็อยากจะมาดูแล้วก็พูดอะไรบางอย่าง”
“…อาจารย์!”
ซอลจีฮูได้รีบหยุดจางมัลดงที่กำลังหันหน้าไปเอาไว้
เมื่อจางมัลดงหันกลับมาพร้อมกับสายตาที่สื่อว่า ‘มีอะไรงั้นหรอ?’ ภายในดวงตาของซอลจีฮูก็มีประกายความขัดแย้งกันขึ้นมาอย่างรุนแรง
มันไม่ใช่ว่าเขาลืม เขาก็แค่ฝังความคิดเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจเท่านั้นเอง
เขาไม่รู้ว่าคนอื่นๆลืมกันไปแล้ว หรือว่าพวกเขาตั้งใจไม่พูดถึงกันแน่ แต่ว่าซอลจีฮูก็อย่างจะโพล่งสิ่งที่เก็บเอาไว้ในใจออกมา
อย่างน้อยที่สุดก็คือการพูดมันกับจางมัลดง
“เป็นเรื่องของ… อาจารย์เอียน…”
สีหน้าจางมัลดงได้ชะงักไปเล็กน้อย แต่ว่ามันก็เท่านั้น
“ใช่แล้วล่ะ”
เขาได้ยิ้มออกมา
“เข้าใจแล้ว”
จากนั้นก็พูดออกมาอย่างสงบ
‘อย่างที่คิดเลย!’
หัวใจของซอลจีฮูได้ดิ่งลงไปทั้งๆที่เขาก็คิดเอาไว้แล้ว ริมฝีปากของเขาได้บิดเบี้ยวขึ้นมา
“ผมขอโทษ”
“…อะไรล่ะ?”
เพราะดูเหมือนว่าจางมัลดงกำลังถามว่าเขาขอโทษเรื่องอะไร เพราะงั้นซอลจีฮูก็ได้พูดต่อออกมาเบาๆ
“เพราะผม… อาจารย์เอียนถึงได้จากไป เพื่อปกป้องผม…”
จางมัลดงได้ก้มหน้าลง หลับจากหลับตา เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอยู่พักหนึ่ง
“ไอ้หมอนั่น… เขาพูดอะไรก่อนจะจากไปล่ะ?”
จากนั้นเขาก็พูดต่อโดยไม่ให้โอกาสซอลจีฮูได้ตอบกลับเลย
“เขาได้บอกว่าเขาเสียใจไหม?”
จากนั้นเขาก็ส่ายหัวออกมา
“เขาคงไม่ได้ทำสินะ ยังไงแล้วคติของหมอนั่นก็คือ ‘ไม่ทำอะไรที่จะทำให้ตัวเองเสียใจ’ นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันคิด”
[ฉัน… ไม่เสียใจ]
คำพูดของเอียนได้ย้อนกลับมา
ซอลจีฮูได้กลายเป็นสับสนขึ้น
“ฉันไม่มั่นใจว่าคำพูดนี้มันจะพอปลอบนายไหมนะ แต่ว่านายน่ะ-“
จางมัลดงที่พูดต่อเบาๆไม่อาจจะพูดจนจบได้ นั่นมันก็เพราะว่าซอลจีฮูกำลังจ้องมาที่เขาด้วยสีหน้าแปลกๆยากจะอธิบาย
“มีอะไรล่ะ?”
“..เขาจากไปแล้ว”
ซอลจีฮูได้พึมพำขึ้นราวกับว่าเขาต้องมนต์อะไรบางอย่าง
จางมัลดงได้ขมวดคิ้วขึ้น
“ฉันรู้ ที่ฉันจะบอกคือ-“
“แน่นอนว่าผมรู้ว่าอาจารย์เอียนกลับไปที่โลก แต่ว่าเราจะไม่อาจเจอเขาในพาราไดซ์ได้อีก”
“…”
“แล้วเราก็ไม่รู้เลยว่าเขากำลังทำอะไรอยู่บนโลก”
ใบหน้าซอลจีฮูได้บิดเบี้ยวขึ้นมา
“อาจารย์ไม่.. เศร้าหรอครับ?”
“นาย…”
จางมัลดงได้อ้าปากขึ้นมา จากนั้นก็กปิดลงไปทันที จากนั้น…
“…เศร้าสิ ฉันคิดว่ามันน่าเสียดาย”
เขาได้ฝืนยอมรับออกมา
“หยุดคุยเรื่องนี้กันเถอะ พักซะ”
จางมัลดงได้กดมือลงบนกระหม่อนของเขา เขายังรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องแผ่นหลังเขา แต่ว่าเขาก็เดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก
ตึง ในทันทีที่เขาปิดประตูลง เขาก็ถอนหายใจออกมาสั้นๆ
‘ไอ้เจ้าหนูนี่’
ใบหน้าเหี่ยวย่นของเขาได้มืดมนลง
‘การที่เขามาถึงขนาดนี้…’
เขารู้ว่าในเรื่องของมุมมองต่อพาราไดซ์แล้วซอลจีฮูต่างไปจากชาวโลกคนอื่นๆ แต่ว่าเขาไม่เคยคิดเลยว่ามันจะแย่ขนาดนี้
เมื่อเขาได้ยินสิ่งที่ซอลจีฮูเพิ่งจะพูดออกมา ขนทั่งร่างเขาก็ได้ลุกขึ้น
‘ต้องช่วยเขา…’
นี่คือคำตอบที่ถูกต้อง
หากว่าพวกเขาเลือดที่จะฆ่าและชุบชีวิตชายหนุ่มขึ้นมา เขาก็มีลางสังหรณ์อย่างรุนแรงว่าพวกเขาจะไม่ได้เจอกับชายหนุ่มอีก
เพราะว่า… เพราะว่า…
[เพราะผมชอบที่นี่]
[เงินทอง ชื่อเสียง ผมไม่คิดว่าหากจะชอบพวกมันจะผิดอะไรหรอกนะ แต่ว่าผมไม่ได้มาที่พาราไดซ์เพราะของพวกนั้น]
[นี่เป็นที่ที่ผมอยู่]
[มันยังเป็นที่ที่ทำให้ผมได้เริ่มต้นใหม่… นอกจากบอกว่าผมชอบที่นี่ ผมก็คิดอะไรไม่ออกแล้ว]
ทันใดนั้นคำพูดที่เขาเคยได้ยินจากชายหนุ่มก็ย้อนกลับมา นี่เป็นคำตอบของซอลจีฮูเรื่องที่ว่าทำไมเขาถึงเข้ามาในพาราไดซ์
จางมัลดงเพิ่งจะเข้าใจความหมายของคำพูดเหล่านั้นชัดเจนก็ในตอนนี้
เขาไม่มั่นใจว่ามันเมื่อต้นขึ้นเมื่อไหร่ แต่ว่าสิ่งที่ซอลจีฮูพูดคือสิ่งที่เขาคิดจริงๆ
ซอลจีฮู…
[เราจะไม่อาจเจอเขาในพาราไดซ์ได้อีก]
[อาจารย์ไม่… เศร้าหรอครับ?]
…อาการเสพติดพาราไดซ์
และยังรุนแรงมากอีกด้วย
***
ไม่กี่วันต่อมาในที่สุดแล้วซอลจีฮูก็ได้ออกมาจากห้องพักฟื้น แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้ออกมาจากวิหารลูซูเรียง่ายๆ
ในวันที่เขาถูกปล่อยตัว ซอยูฮุยได้บังคับตรวจสภาพร่างกายครั้งสุดท้าย ทำให้เขาต้องอยู่ที่นั่นไปจนถึงอยู่บ่ายแก่ๆ
เพราะแบบนี้เขาจึงไม่อาจจะไปสนุกกับปาร์ตี้ฉลองการปล่อยตัว และในทันทีที่กลับมาถึงสำนักงานที่แสนคิดถึง เขาต้องนอนหลับลงไปจากความเหนื่อยล้า
และเมื่อรุ่งเช้าได้มาถึง จางมัลดงก็ได้เรียกประชุมทีมด้วยอำนาจของที่ปรึกษา
“ขอแสดงยินดีกับการปล่อยตัวด้วยนะหัวหน้า”
เมื่อเห็นซอลจีฮูลงมาที่ห้องนั่งเล่น มาแชล จิโอเนียได้โค้งคำนับ จากนั้นยื่นมือออกมาด้วยความเคารพ
เขากำลังถือถุงพลาสติกโปร่งแสงที่ซึ่งมีเต้าหู้อยู่กล่องหนึ่ง เมื่อซอลจีฮูจ้องไปที่เขา มาแชล จิโอเนียก็พูดขึ้นอย่างมั่นใจ
“ผมได้ยินมาว่าวัฒนธรรมเกาหลีมักจะให้เต้าหู้กับคนที่เพิ่งจะออกมาจากโรงพยาบาล เพราะงั้นผมก็เลยเตรียมมันมาเป็นของขวัญยินดี”
บนใบหน้าของซอลจีฮูได้ปรากฏความสงสัยขึ้นมา
“ใครบอกนายกัน?”
“ผมเห็นมาจากในหนัง มันเป็นฉากโง่ๆ แต่ว่าข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ได้มอบเต้าหู้ให้กับหัวหน้าองค์กรที่เพิ่งออกมาจากโรงพยาบาล” (ในเกาหลีมักจะให้เต้าหู้กับคนที่เพิ่งออกจากคุก)
“…ฉันแค่สงสัยนะ แต่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในฉากต่อมาล่ะ”
“หัวหน้าได้เขกหัวลูกน้องอย่างแรง แต่ว่าเขาก็กัดเต้าหู้ลงไป ผมมั่นใจว่าเขาก็คงอายนั่นแหละครับ”
ซอลจีฮูได้ยินเสียงยี่ซอลอาหัวเราะออกมา
“คนๆนี้นี่…”
ซอลจีฮูรู้สึกมีความสึกกับมาแชล จิโอเนีย นั่นมันก็เพราะเขามีบุคลิกที่เย็นชาและใจเย็นจนทำให้เขานึกไปถึงคาซุกิ แต่ว่ามันดูเหมือนกับว่าเขาก็มีด้านที่เงอะงะงุ่มง่ามเหมือนกัน
ถึงแบบนั้นซอลจีฮูก็ยังกัดลงไปบนเต้าหู้โดยไม่บ่นอะไร
“ขอบใจนะ!”
ขณะกัดเต้าหู้รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา เขาได้หัวเราะออกมาอย่างไม่เสแสร้ง และรู้สึกสนุกไปกับช่วงนี้จริงๆ
เขารู้สึกประทับใจมากๆที่ได้เห็นสมาชิกคาเพเดี่ยมมารวมตัวกันรอบๆโซฟาห้องนั่งเล่น
จางมัลดง โชฮง ฮิวโก้ ยี่ซอลอา ยี่ซังจิน แล้วก็มาแชล จิโอเนีย… ใบหน้าที่เขาเคยเห็นเป็นประจำกลับให้ความรู้สึกแปลกๆที่ต่างไปจากเดิม
ในท้ายที่สุดแล้วเขาก็ได้กลับมาใช้ชีวิตประจำวัน
‘เดี๋ยวนะ ตอนนี้พอคิดดูแล้ว…’
ในตอนนี้เองเขาถึงได้ตระหนักว่ามีคนๆหนึ่งหายไป
“ดูเหมือนทุกๆคนจะมากันแล้วนะ”
น้ำเสียงจางมัลดงได้ลอยออกมา ก่อนที่ซอลจีฮูจะได้ถามถึงคนที่หายไป จางมัลดงก็พูดแทรกขึ้นมา
“ฉันจะเข้าเรื่องเลยนะ มันถึงเวลาที่พวกนายควรจะกลับกันแล้วใช่ไหม?”
ซอลจีฮูได้รีบหันมามองทันที
“ฉันก็คิดแบบนั้น”
โชฮงได้หยักหน้าพร้อมยืดตัวขึ้น
ซอลจีฮูได้รีบถามกลับไป
“ไม่ใช่ว่าพวกเธอกลับกันไปแล้วหรอ? ในตอนที่ฉันหลับน่ะ”
“อืม มันไม่ใช่ว่าไม่มีใครกลับไปหรอกนะ.. แล้วพวกเขาก็ยังคุยกันไว้ว่าจะสลับกันกลับเป็นกะๆ…”
โชฮงได้หยั่งไหลออกมา
“แต่ว่ามันก็รู้สึกผิดที่ทิ้งนายเอาไว้นี่สิ เพราะงั้นเราก็เลยยังรอนายมาจนถึงวันนี้ไง”
“แต่ว่าพวกเธอไม่รู้ว่าฉันจะตื่นเมื่อไหร่…”
“แต่นายก็ตื่นขึ้นมาแล้วนี่ ไม่ว่าจะยังไงเรื่องใหญ่ก็เพิ่งจะจบลงไป แล้วฉันก็ไม่ได้กลับไปนานแล้วด้วย เพราะงั้นมันก็คงถึงเวลาแล้วล่ะ”
“ฉันก็เหมือนกัน ว่าไปแล้วฉันก็คิดจะอยู่ที่โลกสักพักนะ ฉันวางแผนจะไปเที่ยวน่ะ”
ฮิวโก้ก็พูดขึ้นเช่นกัน
“ซังจินกับฉันก็ยังจะกลับไป…”
ยี่ซอลอากับยี่ซังจินได้หยักหน้าราวกับพวกเขารอเวลานี้อยู่
“ผมก็คิดว่าคงต้องใช้เวลาประมาณสองสัปดาห์”
และมาแชล จิโอเนียก็ยอมรับออกมาง่ายๆเช่นกัน
เพราะทุกๆคนพูดราวกับว่าการกลับไปเป็นเรื่องจำเป็น ซอลจีฮูจึงทำอะไรไม่ถูก จางมัลดงที่แอบมองซอลจีฮูก็ได้พูดออกมา
“แล้วนายล่ะซอล?”
“ครับ?”
“ทำไมนายไม่ไปเที่ยวยาวๆแบบฮิวโก้ล่ะ? หยุดพักฟื้นยาวๆหน่อย สักเดือนนึงเป็นยังไงล่ะ?”
“ทั้งเดือนเลยหรอครับ?”
ซอลจีฮูได้พึมพำออกมาด้วยความตกใจ
“หนึ่งเดือนบนโลก… ก็สามเดือนในพาราไดซ์ นั่นมันไม่ยาวเกินไปหรอ? โดยเฉพาะกับเขา…”
โชคดีที่โชฮงอยู่ข้างซอลจีฮู จางมัลดงได้เคาะไม้เท้ากับพื้นก่อนจะตอบกลับมา
“ถ้างั้นแล้วสองสัปดาห์เป็นไงล่ะ?”
โชฮงไม่ได้พูดอะไรอีกนั่นแสดงว่าเธอก็เห็นด้วย แต่ว่าซอลจีฮูก็ยังคงดูจะอิดออด
“ถึงสองสัปดาห์ก็ค่อนข้างจะนานไป…”
จางมัลดงได้หรี่ตาลง
“จากที่่คุณคิมฮันนาห์บอกกับฉัน นายยังไม่ได้จัดการปัญหาเรื่องสภาพแวดล้อมเบื้องหลังได้ดีนี่นา เธอบอกว่ามีอยู่หลายอย่างที่น่ากังวล”
‘ทำไมเธอถึงพูดเรื่องนั้นด้วยล่ะ?’
ซอลจีฮูได้เม้มปากออกมา
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่ถึงแบบนั้น สองสัปดาห์ก็ยังนานเกินไปหน่อย ผมไม่เห็นว่าจำเป็นต้องกลับไปในตอนนี้เลย”
“มีเรื่องอะไรเร่งด่วนที่นายต้องจัดการในพาราไดซ์งั้นหรอ?”
“เอ่อ… ก่อนอื่นผมจะต้องแวะไปขอบคุณทุกๆคนที่มาเยี่ยมผมในตอนอยู่ในวิหาร”
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่ามันจำเป็นไหม แต่ว่าค่อยไปทีหลังก็ได้นี่ พวกเขาทุกคนต่างก็รู้ว่านายผ่านอะไรมาบ้าง”
“ผมก็อยากจะไปวิหารเหมือนกัน”
“วิหารไม่ได้หายไปไหนหรอกนะ กลับมาแล้วค่อยไปก็ได้ ในเมื่อนายน่าจะเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงได้แน่นอนอยู่แล้ว เพราะงั้นนายจะต้องใช้เวลาคิดเรื่องที่นายอยากจะเป็นด้วยอยู่แล้ว”
“ผมยังต้องยกระดับค่าสถานะร่างกายขึ้นมาเหมือนกัน ที่ภูเขาหินยักษ์น่ะครับ”
“ฉันก็ต้องกลับโลกเหมือนกัน”
“ถ้างั้นผมไปคนเดียวได้”
“ฉันคิดว่าฉันเคยบอกให้นายสนใจเรื่องการกินกับพักผ่อนให้เพียงพอนะ”
ซอลจีฮูได้เงียบลงไป จางมัลดงได้พูดต่อราวกับจะปลอบเด็กดื้อ
“นายเพิ่งจะออกมาจากวิหาร แต่ว่าร่างกายของนายยังไม่ได้หายดี หากว่านายกดดันตัวเองมากเกินไป มันก็มีโอกาสเป็นไปได้ว่าสภาพร่างกายที่ลดลงของนายจากชั่วคราวจะกลายมาเป็นถาวร เพราะงั้นในตอนนี้นายจำเป็นต้องพัก”
ซอลจีฮูที่หาคำอะไรมาปฏิเสธไม่ได้ ก็ได้แต่เม้มปากแน่น พูดตรงๆแล้วเขาอยากจะตะโกนออกมาเลยว่าเขาไม่อยากกลับไป
ทันทีที่บรรยากาศหนักหน่วง จางมัลดงก็ถอนหายใจออกมา
“…หนึ่งสัปดาห์”
ซอลจีฮูก็ยังไม่ตอบกลับมา
“นี่นายยังจะบอกว่ามันนานเกินไปอีกหรอ?”
สมาชิกคนอื่นๆของคาเพเดี่ยมได้เริ่มหันกลับมามองเขา ชายหนุ่มที่รู้สึกว่าถูกจ้องได้แต่เกาหัวขึ้นมา
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมทุกๆคนถึงได้มองเขาเหมือนกับว่าเขาทำไรแปลกๆ… แต่ว่าในท้ายที่สุดเขาก็รู้ดีว่าไม่มีทางเลือกอื่น และหยักหน้าออกมา
“…เข้าใจแล้วครับ”
***
จางมัลดงได้แนะนำให้ซอลจีฮูกลับในทันที ราวกับเขาคิดว่าตีเหล็กควรจะตีตอนร้อนๆ
แม้ว่าจางมัลดงจะไม่เคยบังคับอะไรเขามาก่อนจนถึงตอนนี้ แต่ว่าซอลจีฮูก็รู้สึกว่าจางมัลดงกำลังกดดันเขาในเรื่องนี้อย่างหนัก
จางมัลดงกระทั่งตามเขาไปที่วิหารอีกด้วย มันราวกับว่าเขาจะตามมาดูให้แน่ใจว่าเขากลับไปจริงๆ
ระหว่างทางไปวิหาร จู่ๆจางมัลดงก็พูดขึ้น
“นายอาศัยอยู่ที่ไหนล่ะ?”
“หืม? โอ้ อืม โซลครับ”
“โซลทั้งหมดมันเป็นบ้านของนายไม่ได้นะ”
“….ซอแดมุน-กู ฮงอืนดงครับ”
“ซอแดมุน-กู สินะ”
จางมัลดงได้หยักหน้าและพูดต่อ
“มันก็น่าจะใกล้ๆกับฮงแด”
“ครับ ใช้เวลาไปที่นั่นประมาณ 15 นาที…”
“เยี่ยมเลย มีร้านหมูสามชั้นอยู่ใกล้ๆกับทางออกที่ 8 ของสถานีมหาวิทยาลัยฮงอิก”
“?”
“หากว่ามีโอกาสก็ไปที่นั่นนะ มันยอดเยี่ยมเลยล่ะ”
ซอลจีฮูดูจะสับสนหน่อยๆ จากนิสัยจางมัลดงแล้วเขาจะไม่พูดอะไรชุ่ยๆ ทุกๆคำพูดมักจะมีความสำคัญเสมอ
แต่ว่าซอลจีฮูก็ไม่อาจจะเข้าใจถึงความตั้งใจของเขาได้เลย ไม่ว่าจะคิดมากขนาดไหน
ไม่นานนัก พวกเขาก็ได้มาถึงประตูมิติในวิหาร
จางมัลดงได้บอกซอลจีฮูให้เข้าไปก่อน และมาหยุดอยู่ตรงหน้าแท่นบูชา
ซอลจีฮูได้กล่าวลากับจางมัลดงสั้นๆ และเดินขึ้นไปบนบันใด
และเมื่อเท้าข้างหนึ่งของเขาก้าวเข้าไปในประตูมิติ-
“ซอล”
น้ำเสียงสุขุมก็ได้ดังออกมาจากข้างหลัง
“ฉันภูมิใจและซาบซึ้งกับสิ่งที่นายทำจริงๆนะ”
“อ่า”
“แต่ว่าโลกใบนี้มันไม่ใช่ที่ที่นายใช้ชีวิตอยู่หรอกนะ”
จากสิ่งที่ตามมาทีหลังทำให้ทั้งร่างของซอลจีฮูชะงักไป
“อย่าลืมซะล่ะ”
[อย่าลืม]
“ที่ที่นายอยู่คือโลก”
[นี่คือที่ที่นายอยู่]
“…”
ซอลจีฮูได้ก้าวเท้าต่อเข้าไปในประตูมิติ
เขาได้ปล่อยตัวเองหายเข้าไปในประตูมิติ โดยแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไร
นี่เป็นการกลับโลกครั้งที่สามของเขาแล้ว
บทที่ 186 – การเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึง (1)
ฮ่าาาห์!
แสงได้กระพริบออกมา เมื่อซอลจีฮูลืมตาขึ้น เขาก็ได้เห็นกับห้องที่ไม่คุ้นเคย หลังจากมองไปรอบๆอยู่สองสามครั้งเขาก็รับรู้อย่างอึดอัดใจว่า ‘อ่า นี่ห้องของฉันเอง’
พรึบ เมื่อเปิดหน้าต่างขึ้นมาก็ได้เผยให้เห็นถึงทิวทัศน์ของเมืองที่เขาไม่คุ้นเคยเลยสักนิด
รถได้แล่นไปตามถนน มีบ้านอยู่หนาแน่นเต็มไปหมด นักเรียนในชุดยูนิฟอร์มเดินกันไปตามทางเท้า…. ซอลจีฮูได้มองทิวทัศน์เหล่านี้ด้วยความสับสนก่อนที่จะเกาหัวอย่างหนัก
หัวของเขาคงจะคันก็เพราะไม่ได้สระผมมาหลายวันแล้ว เขาได้รีบถอดชุด และเข้าไปในห้องน้ำทันที
ซ่าห์! น้ำได้ไหลลงมาจากฝักมัว เมื่อได้รู้สึกถึงน้ำร้อนๆกระทบร่าง ซอลจีฮูก็ได้หลับตาลงพร้อมปล่อยเสียงครางออกมา
‘น้ำร้อนออกมาง่ายๆแบบนี้เลยสินะ…’
ก็ไม่ใช่ว่าในพาราไดซ์หาน้ำร้อนได้ยากหรอก แต่ว่ามันมีขั้นตอนที่ยุ่งยากเพื่อให้ได้น้ำร้อน
“ฟู่ววว…”
เขาได้ทิ้งตัวลงไปโดยที่ปล่อยให้น้ำลดลงหัว
เขาเพิ่งจะผ่านการต่อสู้ที่น่ากลัวดุเดือดมาโดยไม่ได้รู้ตัวอะไรเลย นี่มันเป็นธรรมดาที่จะทำให้เขาแข็งขาอ่อนได้เลย
เมื่อได้อาบน้ำชะล้างร่างกายทั้งตัวแล้ว เขาก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมา แต่ว่าไม่นานนักเขาก็ต้องเผชิญเข้ากับปัญหาที่เขาคิดไว้แล้วว่าต้องเจอ
เขาไม่มีอะไรให้ทำเลย
พูดให้ถูกคือ เขาไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีกว่า
เขาได้เปิดตู้เย็นออกมาโดยไม่คิด จากนั้นก็ต้องปิดมันลงไป กระทั่งเปิดเพลงดังๆ และเดินไปรอบๆห้อง หรือว่าหยิบหนังสือที่สะดุดตาขึ้นมาก็ตาม แต่ว่ามันไม่มีอะไรที่จะดึงดูดความสนใจเขาได้เกินกว่า 10 นาทีเลย
เขาได้เปิดโน๊ตบุ๊คขึ้นมา และอ่านข่าวล่าสุด แต่ว่ามันกลับกลายเป็นว่าข่าวรายงานจากองค์กรนักฆ่ายังน่าสนใจมากกว่าซะอีก
เมื่อเขารู้ตัวว่าไม่มีอะไรทำ ความเงียบที่ไม่อาจจะทนได้ก็ปกคลุมทั้งตัวเขา
ในท้ายที่สุดเขาก็ไปเปิดทีวี หยิบกระป๋องเบียร์ที่กลิ้งอยู่ในตู้เย็น สูบบุหรี่ จากนั้นก็เอนหลังพิงกำแพง ในขณะเดียวกันภายในหัวเขาก็มีความคิดต่างๆอยู่มากมาย
คำขอของคิมฮันนาห์กับจางมัลดงยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา
“น่าเบื่อ…”
ซอลจีฮูได้พึมพำกับตัวเองในขณะที่จุดบุหรี่ไปด้วย ยังไงก็ตามเขาไม่ได้จิบเบียร์ที่เปิดเอาไว้สักนิดเลย และกระทั่งแค่พ่นควันสีขาวออกมาก็ยังไม่มีด้วยซ้ำไป
ซอลจีฮูได้มองดูรายการโชว์ตลกบนจอทีวีด้วยสายตาไร้ซึ่งชีวิต
“พวกเขาไม่ได้รู้อะไรเลยสักนิด”
ไม่นานนักบุหรี่ก็ไหม้มาจนถึงไส้กรอง และหน้าจอก็ได้เปลี่ยนไปเป็นโฆษณา
“…”
เขาได้ก้มหัวลงอย่างหดหู่ เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ แต่ว่าเขารู้สึกเหมือนกับว่าพลังงานทั้งร่างของเขาถูกดูดออกไปในทันทีที่เขากลับมายังโลก
เขาเพิ่งจะออกมาจากพาราไดซ์ได้ไม่ถึงครึ่งวันเลย ทำไมเขาถึงรู้สึกแบบนี้กันนะ?
เขาได้มองลงไปบนพื้นและพึมพำออกมาเบาๆ
“…เหงาจัง”
***
หลังจากนั่งง่วงๆบนโซฟาอยู่สักพัก ซอลจีฮูก็ได้ออกจากห้องราวกับหนีอะไรสักอย่าง
เวลาได้ผ่านไป และไม่นานนักก็ถึงช่วงค่ำแล้ว ท้องฟ้าได้ค่อยๆถูกปกคุลมไปด้วยสีดำสนิท
ซอลจีฮูได้ออกเดินไปเรื่อยๆโดยไร้ซึ่งจุดหมายหรือเป้าหมายใดๆ
เขาก้าวไปเรื่อยๆอยู่พักหนึ่งจนกระทั่งนึกได้ถึงบางอย่าง จากนั้นก็เงยหน้าหยิบเอากระดาษออกมา
ทางออกที่ 2 สถานีมหาลัยฮงอิก
‘โอ้ จริงด้วยสิ!’
สีหน้ามืดมนของเขาได้ดีขึ้นมาเล็กน้อย
ซอลจีฮูได้เดินฝ่าฝูงชนลงบันไดไปโดยไม่ลังเลใดๆ
หลังจากออกมาจากทางออกที่ 8 ของรถไฟใต้ดิน เขาก็ได้เดินต่อไปโดยไร้แผนอีกครั้ง เขาคิดว่าจะหามันไปเรื่อยๆ แต่แล้วเขากลับเจอสิ่งที่มองหาได้เร็วกว่าที่คิดซะอีก
‘ดินแดนหมูสามชั้นรสเยี่ยม’
ซอลจีฮูได้เงยหน้ามองดูแผ่นป้ายบนอาคารสามชั้นอย่างตกตะลึง ไฟยังคงเปิดอยู่ แต่บางทีอาจจะเพราะดึกแล้ว ทำให้เขาแทบไม่เห็นคนอยู่ข้างในเลย
กริ๊ง เขาได้เปิดประตูเดินเข้าไป
“ยินดีต้อนรับค่ะ- โอ้!”
พนักงานเสิร์ฟได้ผงะไปเมื่อเห็นซอลจีฮู
“ยังเปิดอยู่ไหมครับ?”
“…ค่ะ! เราจะปิดในอีกหนึ่งชั่วโมง มากันกี่คนล่ะ?”
“แค่ผมครับ”
“แค่คุณ? โอเคค่ะ ทางนี้”
ซอลจีฮูได้ส่งเสียงเบาๆด้วยความตาย แต่ว่าพนักงานเสิร์ฟก็ได้นำทางเขาไปที่นั่งโดยไม่แยแสใดๆ
“รับอะไรดีคะ?”
“ผมได้ยินมาว่าเนื้อที่นี่เยี่ยมมาก”
“แน่นอนค่ะ~ อร่อยสุดๆเลย~ แล้วคุณเอาหมูสามชั้นไหมคะ?”
“ครับ ขอสองชิ้นแล้วกันครับ”
“เข้าใจแล้วค่า~”
เมื่อพนักงานเสิร์ฟที่ร่าเริงได้จากไปแล้ว ซอลจีฮูก็ได้มองสำรวจรอบๆร้านอาหาร เขาคิดว่ามันจะต้องมีเหตุผลที่จางมัลดงให้เขามาที่นี่แน่ๆ มันจะต้องมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับพาราไดซ์ในสักทางหนึ่ง
ยังไงก็ตามเขาก็ไม่อาจจะหาอะไรเจอเลยไม่ว่าจะมองไปรอบๆกี่ครั้งก็ตาม ขณะที่เขากำลังคิดที่จะไปเดินที่ชั้นสอง อาหารที่เขาสั่งไว้ก็มาถึงซะแล้ว
เขาไม่มั่นใจว่าปกติเป็นแบบนี้หรือเปล่า แต่ว่าพนักงานเสิร์ฟสุดร่าเริงได้ย่างเนื้อให้เขาโดยไม่ได้แสดงท่าทีเหนื่อยหรือรำคาญใจเลยแม้แต่นิด
เมื่อได้ยินเสียงของเนื้อเดือดออกมา พร้อมกับกลิ่นหอม ความคิดที่จะมองหาเบาะแสของเขาก็ได้หายไป
ในตอนนี้พอมองดูดีๆแล้ว หมูสามชั้นก็มีความหนาเป็นก้อนพร้อมกับมีสัดส่วนระหว่างไขมันกับเนื้ออย่างพอดี เขาไม่ได้โม้เลยสักนิด มันดูน่ากินจริงๆ
อึก ซอลจีฮูได้กลืนน้ำลายลงไป จากนั้นก็ถามออกมา
“ผมขอข้าวสักถ้วยได้ไหมครับ?”
“ได้ค่า~ ขอข้าวถ้วยนึงค่า~”
ค่อยมาคิดเรื่องนี้หลังอิ่มแล้วกัน
ซอลจีฮูได้หยิบช้อนตักข้าว และชิ้นเนื้อที่ถูกหั่นพอดีคำเอาไว้ เมื่อรสชาติกลมกล่อมได้เข้าไปในปากของเขา เขาก็ถึงกับครางออกมา
มันดีขนาดนี้เลย…
อย่างคำที่ว่า ‘ความหิวคือซอสที่ดีที่สุด’ ซอลจีฮูได้จัดการเนื้อสองชิ้น และข้าวหนึ่งถ้วยหายไปในพริบตาเดียว เมื่อเขาสั่งหมูสามชั้นอีกสี่ชิ้น พนักงานเสิร์ฟถึงกับถามอย่างตกใจ
“สะ สี่ชิ้นหรอคะ?”
“ครับ ไม่ต้องห่วง ผมกินหมดอยู่แล้ว”
ซอลจีฮูได้กลืนหมูสามชั้นลงไปในทันทีที่ย่างเสร็จราวกับจะพิสูจน์ในคำพูดของเขา ถึงตัวเขาจะเหงื่อแตกพลั่ก แต่ว่าเขาก็เอาแต่สนใจกับการกิน
เขารู้ว่าสุขภาพของเขายังไม่เหมาะที่จะกินอะไรลงไปมากๆแบบนี้ แต่ว่าเมื่อได้กลิ่นหอม เขาก็ไม่อาจจะทนต่อความหิวได้อีก
ยิ่งท้องของเขาได้ลิ้มรสไขมันของหมูสามชั้น มันก็ยิ่งต้องการมากขึ้นอีก สุดท้ายแล้วซอลจีฮูจึงต้องสั่งเพิ่มขึ้น
หลังจากที่กินหมูสามชั้นไปสิบชิ้น ข้าวสี่ถ้วย สตูว์เต้าเจี้ยว และแนงมยอนแล้ว ในที่สุดเขาก็รู้สึกอิ่มจนได้
“ฟู่วว…”
‘เป็นเนื้อที่ดีจริงๆ’
บางทีอาจจะเพราะเขาได้กินจนอิ่มทำให้เขารู้สึกมีพลังขึ้นมาหน่อย หลังจากใช้ทิชชูเช็ดเหงื่อบนหน้าผากไปแล้ว จู่ๆเขาก็กระพริบตาออกมากระทันหัน
นั่นเพราะว่าเขามัวแต่กิน จนเพิ่งมาสังเกตเอาตอนนี้ว่าร้านอาหารมืดกว่าก่อนหน้านี้ซะอีก ไฟส่วนใหญ่ได้ถูกปิดไป และลูกค้าไม่กี่คนที่อยู่ในร้านอาหารก็ได้กลับไปนานแล้ว
สิ่งเดียวที่เขาเห็นก็คือแขนของพนักงานเสิร์ฟที่กำลังเช็ดน้ำมันจากเตาย่างอยู่
“นายนี่กินดีจังเลยนะ”
น้ำเสียงที่ต่างจากเดิมของเธอได้ดึงให้ซอลจีฮูกลับมาสู่ความจริง จากที่ดูแล้วดูเหมือนเธอจะรอให้เขากินเสร็จนานมาก
“ขะ ขอโทษด้วยครับ! ผมหิวจริงๆ”
ซอลจีฮูได้รีบหยิบกระเป๋าออกมา ขณะที่เขากำลังจะเพิ่มเงินเล็กน้อยเป็นทิปให้กับเธอ…
“เอ๋~ แค่ 50,000 วอนเท่านั้นเองหรอ?”
น้ำเสียงใสแจ๋วได้ดังออกมา
“ไม่ใช่ว่าฉันเคยบอกนายไปแล้วหรอ? ค่าตัวฉันมันแพงนะ”
‘อะไรกัน?’
ตอนนั้นเองเมื่อซอลจีฮูเงยหน้าขึ้นมา เขาก็กลายเป็นสับสนไป พนักงานเสิร์ฟที่พาเขามานั่ได้หายไปแล้ว และมีใบหน้าที่คุ้นเคยเข้ามาแทน
“นายรู้ไหมว่าฉันต้องทำงานล่วงเวลามาเป็นชั่วโมงเพื่อย่างเนื้อให้นาย”
เหตุผลที่เขาจำเธอไม่ได้ในตอนแรกที่เจอก็เพราะความแตกต่างในการแต่งกายของเธอระหว่างในพาราไดซ์กับบนโลก
“…คุณฟีโซรา?”
“ว้าว ขอบใจนะที่จำกันได้”
ฟีโซราได้หัวเราะขึ้น โยนผ้ากันเปื้อนทิ้ง จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามเขา
ซอลจีฮูได้ถามออกไปโดยไม่รู้ตัวเพราะไม่เคยคิดว่าจะมาเจอเธอที่นี่มาก่อนเลย
“ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?”
“ฉันอยากจะถามนายมากกว่า นายรู้จักที่นี่ได้ยังไงกัน?”
“อาจารย์บอกให้ผมมา”
“ปู่งั้นหรอ? ปู่เคยมาอยู่ครั้งหนึ่ง แต่ว่าทำไมปู่ถึงบอกให้นายมาล่ะ?”
จากนั้นเธอก็หยักไหล่ออกมาราวกับว่ามันไม่ได้สำคัญเลย
“เอาเถอะ นายคงตื่นขึ้นมาแล้วสินะ?”
ซอลจีฮูได้รีบหยักหน้ารับทันที
“ดีใจด้วยนะ ฉันก็กลัวว่านายจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกซะแล้ว”
“…”
“เอ่อ ขอโทษด้วยนะ ฉันก็อยากจะอยู่ให้นายกว่านี้ แต่ว่ามันมีเรื่องด่วนทำให้ฉันต้องรีบกลับมา แล้วก็ในเมื่อฉันมาแล้ว ฉันก็คิดว่าฉันอาจจะทำธุระบางอย่างไปด้วยเลยได้”
ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา
“ไม่จำเป็นต้องขอโทษกันเลยนี่ครับ”
ซอลจีฮูไม่ได้มีเหตุผลอะไรไปห้ามไม่ให้คนในทีมกลับโลกอยู่แล้ว มันก็แค่ช่วงเวลาไม่ค่อยดีเท่านั้นเอง
เขามีหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากจะทำในตอนที่ถูกปล่อยตัวออกมาจากวิหาร เพราะงั้นการที่ถูกบังคับให้กลับมาจึงทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยดี
“พรืดด”
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็ดังออกมา ไหล่ฟีโซรากำลังสั่น ฟันสีขาวของเธอก็ยังเผยให้เห็นเต็มตา
“อ่า ยังไงก็เถอะ นี่มันน่าขำจริงๆเลย”
“?”
“ฉันหมายถึงซูริมน่ะ เด็กนั่นยืนตรงนี้อยู่ตั้งนาน นายไม่ได้สังเกตเห็นเธอเลยหรอ?”
ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา ดูเหมือนว่าเธอจะกำลังพูดถึงพนักงานเสิร์ฟที่พาเขามานั่งตรงนี้ แต่ว่านี่คือเรื่องทั้งหมดแล้วที่เขาจำได้เกี่ยวกับเธอ
“ฉันก็สงสัยอยู่ว่าทำไมจู่ๆเธอถึงได้ตั้งใจทำงาน… อ่า เธอนี่ไม่ธรรมดาเลย ปกติแล้วเธอจะออกไปในทันทีที่หมดเวร แต่ว่าการที่เธอยืนกรานที่จะอยู่และทำความสะอาดนี่ก็นะ ตอนแรกที่ฉันลงมาก็สงสัยอยู่เลยว่าเธอกินอะไรผิดสำแดงไป แล้วมันก็-“
ฟีโซราได้หยักหน้าให้กับซอลจีฮู
“ตอนฉันบอกให้เธอกลับไป เธอก็โมโหฉันเหมือนกับเด็กเลยล่ะ นายน่าจะได้เห็นสีหน้าของเธอที่มองฉันตอนที่เธอออกไปนะ”
ฟีโซราได้หัวเราะออกมาโดยที่บอกให้รู้ว่าเด็กสาวซูริมคนนี้น่ารักแค่ไหน
ซอลจีฮูได้ฟังเธอพูดโดยไม่เสริมอะไรขึ้นมา ก่อนที่จะพึมพำขึ้นเบาๆ
“คุณควรจะปล่อยให้เธออยู่ต่อนะ…”
เสียงหัวเราะของฟีโซราได้ชะงักไปในทันที
“นายว่าไงนะ?”
“อ่า ก็อยากที่พูดนั่นแหละ”
“อะไรนะ นายสนใจอะไรในตัวเธอกัน? ไม่ใช่ว่านายมีแฟนแล้วหรอ?”
“ผมยังไม่มีแฟน”
“หลอกกันอีกแล้ว… ก็ได้ ไม่มีก็ไม่มี แล้วทำไมนายถึงบอกว่าฉันควรให้เธออยู่ต่อล่ะ?”
“ก็เพราะเธอสวยดี”
ซอลจีฮูได้พูดออกมาตรงๆ
“คุณก็รู้นี่ว่าหากผู้หญิงกับผู้ชายสนใจกัน ก็ควรจะปล่อยให้พวกเขาได้คุยกัน อ๊า ช่างน่าเสียดาย”
เมื่อซอลจีฮูได้พูดขึ้นด้วยความเสียใจ คิ้วของฟีโซราก็ขมวดขึ้นด้วยความไม่พอใจทันที
“นี่ฉันไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม? นี่นายทำฉันหมดอารมณ์เลย แล้วยังไงนะ นายกำลังบอกว่าฉันไม่ได้น่าสนใจงั้นหรอ?”
“ไม่ครับ มันไม่ใช่แบบนั้น แต่ว่าคนเราก็มีรสนิยาต่างกันนะครับ”
“หา ช่างเรื่องรสนิยมไปก่อน เด็กนั่นสวยกว่าฉันยังไง? ทั้งหน้าแล้วก็รูปร่างฉันเยี่ยมกว่าตั้งเยอะ”
ซอลจีฮูได้อ้าปากค้างและเบิกตากว้างขึ้น
“…ว้าว…”
เมื่อฟีโซราได้เห็นปฏิกิริยาของเขา เธอก็ดูจะตกใจไปจริงๆ
“ว้าว? ว้าวอะไร? ปฏิกิริยานั่นมันอะไรกัน?”
ซอลจีฮูได้มองดูปฏิกิริยาของฟีโซราครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา
“ยังไงก็เถอะ ถ้ากินเสร็จก็ลุกได้แล้ว”
“ผมจะช่วยทำความสะอาดนะ”
“นี่จะปลอบฉันงั้นหรอ? ไม่ต้องเลย กลับไปซะ นายคิดว่าฉันไม่รู้หรือไงว่านายแค่พูดกวนประสาทฉันเฉยๆน่ะ?”
“เอาเถอะ ถ้างั้นเดี๋ยวผมจ่ายเงินแล้วก็ไปล่ะ ขอบคุณมากครับ!”
ซอลจีฮูได้ลุกขึ้นโดยไม่ลังเลสักนิด เมื่อเขาได้ที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน เสียงหัวใจตกตะลึงก็ดังออกมาจากด้านหลังของเขา
“นี่นายจะไปจริงๆดิ?”
ฟีโซราได้เดาะลิ้นขึ้น
‘ไม่ใช่ว่าเธอบอกให้ฉันไปหรอกหรอ?’
เมื่อซอลจีฮูได้หันกลับมาหาเธอด้วยสีหน้าสับสน ฟีโซราก็เม้มปากขึ้นมา
“ฉันหมายความว่า- ไม่ใช่ว่าปู่บอกให้นายมาที่นี่หรอกหรอ?”
“ใช่แล้วครับ อาจารย์บอก”
“ถ้างั้นนายไม่มีอะไรที่ต้องบอกฉันหน่อยหรอ?”
“ไม่นิ ไม่มีนะครับ อาจารย์ก็แค่บอกให้ผมมาที่นี่”
“อะไรล่ะนั่น…? ถ้างั้นมันก็ต้องมีเหตุผลอะไรสิ”
“เหตุผลอะไรหรอครับ?”
“ฉันไม่รู้!”
ซอลจีฮูได้จ้องไปที่ฟีโซราที่ดูมั่นใจ
“แต่ว่า-“
เธอได้ยกนิ้วขึ้นมาราวกับมีอะไรอยากจะพูด จากนั้น…
“…มาดื่มกันไหม”
เธอได้ลดแขนลงด้วยสีหน้าที่ว่าฉันยอมแพ้
“พอเห็นนายกิน ฉันก็หิวขึ้นมา ฉันให้เวลานายเป็นชั่วโมง เพราะงั้นนายก็ต้องทำแบบเดียวกันให้ฉันใช่ไหม?”
เธอได้เริ่มทำความสะอาดโต๊ะโดยไม่รอให้เขาตอบกลับไปเลย
ซอลจีฮูได้รีบพูดขึ้นมา
“ผมไม่เคยพูดว่าผมจะไป-“
“จะเล่นมากหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอกนะ แต่ว่าเอามันให้พอดี ดูเหมือนนายจะไม่มีอะไรให้ทำแล้วนะ”
ในตอนนี้เองเป็นซอลจีฮูที่ตัวแข็งทื่อไป
“อย่ายืนเฉยๆสิ มาช่วยฉันหน่อย ฉันจะจ่ายเงินให้”
ผู้หญิงคนนี้นี่ ซอลจีฮูได้บ่นอยู่ในใจ จากนั้นก็ส่ายหัวออกมา
‘เธออยากได้อะไรจากฉันกันแน่?’
เมื่อก่อนเขาก็เคยคิดแบบนี้ แต่ว่าเธอก็แปลกจริงๆ
***
หลังจากปินร้านแล้ว ฟีโซราก็ได้เช็คกลอนอยู่อีกหลายครั้งก่อนจะเดินออกไป
เธอได้นำทางไปโดยบอกว่าเธอรู้จักร้านสตูว์กองทัพเกาหลีดีๆอยู่ใกล้ๆ และเธอก็ได้มาหยุดอยู่ตรงหน้าร้านอาหารชื่อ ‘ร้านสตูว์ของกองทัพเกาหลี’ จริงๆ
‘ชื่อร้านอาหารแถวนี้มันเป็นอะไรกันนะ…?’
ขณะที่ซอลจีฮูกำลังยืนมองไปรอบๆอย่างลนลาน ฟีโซราก็จับมือชายหนุ่ม ดึงเขาเข้าไปข้างใน
“เอาล่ะ ชูแก้วขึ้น ชน!”
“…ชน!”
เสียงแก้วโซจูกระทบกันได้ดังออกมา
“ฮ่าห์!”
ฟีโซราได้ยกแก้วจรดปาก จากนั้นก็ถอยไปด้วยคิ้วที่ขมวดน้อยๆ
“…แปลก ก็เป็นราแมนเหมือนกัน แล้วรสชาติมันจะต่างกันขนาดนี้ได้ยังไงกัน?”
หลังจากซดน้ำซุปราเมนแล้ว เธอก็เอียงหัวออกมา ในเวลาเดียวกันซอลจีฮูก็กินโซจูหมดไปครึ่งแก้วแล้ว
เมื่อเห็นฟีโซราพึมพำกับตัวเอง กิน แล้วก็ดื่ม จู่ๆเขาก็สงสัยขึ้นมา
“คุณฟีโซรา”
“รอก่อน”
ฟีโซราได้ยกมือขึ้นก่อนที่เขาจะได้พูดจบซะอีก
“เราจะหยุดพูดเรื่องนั้นได้ไหม?”
“เรื่องอะไรหรอครับ?”
“จะอะไรอีกล่ะ? แน่นอนว่าสงครามไง ฉันมีคำถามที่อยากจะถามนายเหมือนกัน แต่ว่าฉันกำลังเก็บเอาไว้อยู่ ปู่บอกไม่ให้เขายุ่งย่ามมากเกินไป แต่ว่าเมื่อไหร่ที่นึกถึงตอนที่หัวฉันบิดไปข้างหลัง ฉันก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาตลอดเลย”
ซอลจีฮูกำลังจะล้อเธอเล่นด้วยคำพูดที่ว่า ‘คุณบอกให้ผมเชื่อในตัวคุณ แต่ว่าคุณกลับน็อคไปจากการโจมตีครั้งเดียวของความหมั่นเพียรอันนิรันดร์’ แต่แล้วเขาก็ตัดสินใจเก็บมันเอาไว้
เขาไม่ได้พูดเรื่องอะไรเกี่ยวกบสงครามมากนัก และในเมื่อคำถามที่เขากำลังถามเธอก็ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะงั้นเขาจึงตกลงในทันที
“ทำไมคุณถึงมาทำงานพาร์ทไทม์ในร้านอาหารล่ะ?”
“ทำไมน่ะหรอ? ฉันทำงานพาร์ทไทม์ไม่ได้หรือไง?”
ฟีโซราได้พูดมากผิดปกติราวกับว่าเธอกำลังรู้สึกดี ซอลจีฮูได้ถอนหายใจออกมา
“คุณก็รู้ว่าผมไม่ได้หมายถึงแบบนั้น”
“ฉันรู้ แต่จะล้อเล่นหน่อยไม่ได้เลย?”
ซูดด! ฟีโซราได้ยกช้อนตักน้ำซุปราเมน จากนั้นก็กินลงไป
“ร้านอาหารนั่นน่ะ… มันเคยเป็นของฉัน ฉันขายมันออกไปในราคาถูกก็เพราะว่าต้องการเงินมาให้เด็กๆของฉัน”
‘เข้าใจแล้ว’
ฟีโซราจนลงก็เพราะเหตุการของบคจองซิค แต่ว่าเธอก็ยังพอจะมีทรัพย์สินเก็บเอาไว้อยู่บ้าง
แต่ว่าซอลจีฮูก็ยังสงสัยอยู่ดี
เธอจนมากจนถึงขนาดต้องมาทำงานพาร์ทไทม์หาเงินเลยงั้นหรอ?
“พวกเขาเป็นคนดี พวกเขาให้ฉันทำงานพาร์ทไทม์ได้ตลอดเวลาที่ต้องการ ฉันบอกพวกเขาว่าพวกเขาไม่ต้องจ่ายเงินฉันก็ได้ แต่ว่าพวกเขาก็ยังจ่ายอยู่ดี”
ขณะที่มีความคิดมากมายเข้ามาในหัวของซอลจีฮู ฟีโซราก็พูดต่อไป
“เหตุผลที่ฉันทำงานก็คือ… เพื่อไม่ให้ลืมตัวเองล่ะมั้ง? ฉันก็อธิบายไม่ถูกหรอก แต่ว่ามันก็คงประมาณนั้นแหละ”
“เพื่อไม่ให้ลืมตัวเองหรอ?”
“ก็ลองคิดดูนะ ฉันต้องไปทำงานหนักในที่แห่งนั้นเป็นปี อยู่ที่นั่นมานาน พอกลับมาโลกแล้วมันก็เลยจะรู้สึกแปลกๆ มันทำให้ยากที่จะแยกว่าที่ไหนคือความเป็นจริงกันแน่ มันก็เหมือนกับฉันเป็นคนติดเกมนั่นแหละ”
ซอลจีฮูอดไม่ได้ที่จะเห็นด้วยกับคำพูดนี้
“ฉันไม่อยากจะเป็นแบบนั้น ความรู้สึกนี้มัน… กลืนกินโลกของฉัน ก็ประมาณนี้แหละ”
ฟีโวราได้จับไส้กรอกขึ้นมาและโยนลงไปในปาก จากนั้นเธอก็พูดขึ้น
“เพราะงั้นฉันก็เลยทำงานพาร์ทไทม์ไงล่ะ”
ซอลจีฮูที่นั่งตั้งใจฟังได้ขมวดคิ้วขึ้น
“…ผมรู้สึกเหมือนคุณข้ามส่วนสำคัญหลายๆอย่างไป แล้วก็ข้ามไปที่ส่วนสรุปเลยนะ”
“ต่อให้ไม่อธิบาย นายจะทำความเข้าใจไม่ได้เลยหรอ? ฉันน่ะใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตไปกับการทำงานพาร์ทไทม์ สำหรับฉันแล้วก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกจริงๆหากว่าเอาชีวิตส่วนนี้ของฉันออกไป”
“โอ้.. จริงหรอครับ?”
“ใช่แล้วล่ะ ฉันได้ทำทุกๆอย่างนอกไปจากเรื่องผิดกฎหมายแล้วก็ธุรกิจบันเทิงของผู้ใหญ่ ฉันโตขึ้นมาแบบน่าสงสารจริงๆเลยล่ะ”
ฟีโซราได้เคี้ยวไส้กรอกจนแก้มป่อง ในขณะที่ซอลจีฮูจ้องเธออย่างสับสน
“ในตอนที่ฉันทำงานพาร์ทไทม์ ฉันก็จะรู้สึกเหมือนฉันอยู่บนโลก เพราะงั้นฉันจะทำมันสักวันหรือสองวันในทุกๆครั้งที่กลับมานั่นแหละ พอใจยังล่ะ?”
ซอลจีฮูได้คิดถึงสิ่งที่เธอพูด จากนั้นก็หยักหน้าออกมา
เขาได้จดจำเอาความปากร้ายของฟีโซรา ไปนึกเอาเองว่าเธอจะต้องเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวยและตามใจเธอ แต่ว่ามันดูเหมือนกับว่าเขาไม่ควรที่จะตัดสินคนแค่จากปกสินะ
“ฉันจะแนะนำอะไรนายให้แล้วกันนะ นายควรจะหาอะไรทำเหมือนกัน อย่างน้อยก็เขียนไดอารี่ก็ได้”
“ไดอารี่?”
ก็ลองคิดดูนะว่าหากนายตายไปในพาราไดซ์จะเกิดอะไรขึ้น ในตอนนายตื่นขึ้นมาบนโลกจะสับสนขนาดไหนกันล่ะ? เพื่อที่จะลดการขาดการเชื่อมต่อ นายก็ควรจะทำอะไรสักอย่าง”
ซอลก็อยากจะปฏิเสธ แต่ว่าเขาก็คิดว่าสิ่งที่เธอพูดไม่ได้ผิดเลยสักนิด ท้ายที่สุดแล้วต่อให้เขาทอดทิ้งโลก และตัดสินใจใช้ชีวิตในพาราไดซ์ สิ่งต่างๆก็ไม่ได้ต่างไปจากสภาพที่เป็นอยู่อยู่ดี
เขายังคงมีความเสี่ยงสูงมากที่จะตาย
นี่ก็คือหนึ่งในสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากสงครามครั้งนี้
หากว่ามีเจ็ดกองทัพมาอีกจะเกิดอะไรขึ้นกันล่ะ?
“…”
จากนั้นเขาก็ต้องไปทรมานอยู่บนเตียงโรงพยาบาลพร้อมความทรงจำขาดหายน่ะหรอ?
‘อาจารย์จางคงอยากจะให้ฉันมาที่ร้านอาหารของฟีโซราก็เพราะเรื่องนี้สินะ?’
นอกจากเหตุผลนี้ เขาก็คิดอะไรไม่ออกแล้ว
‘เดี๋ยวก่อนนะ’
พอคิดถึงความตั้งใจของจางมัลดงแล้ว ความคิดหนึ่งก็ได้เข้ามาในใจเขา เขานึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่จะต้องคุยกับฟีโซรา
‘น่าจะนะ’
เขาก็ไม่ได้มั่นใจ แต่ว่าเขาก็ต้องรีบตัดสินใจออกมา
“มีเรื่องที่ผมอยากจะถามอยู่”
“เรื่องอะไรล่ะ?”
“มันไม่ใช่เรื่องสงครามหรอก แต่ว่าพูดเรื่องนี้ไปอาจจะทำให้คุณไม่สบายใจได้”
ฟีโซราได้หมุนตะเกียบในหม้อ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย
“อืมม… พอนายพูดขึ้นมา ฉันก็ชักจะสงสัยแล้วสิ เอาเลย ไว้ค่อยตัดสินใจทีหลังแล้วกัน”
ซอลจีฮูได้พูดขึ้นอย่างสงบ
“มันเป็นเรื่องซอลอากับซังจินน่ะ”
สีหน้าของฟีโซราได้บูดบึ้งลงไปอย่างรวดเร็ว
บทที่ 187 – การเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึง (2)
“…ฉันก็น่าจะห้ามให้พูดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน”
ฟีโซราได้พึมพำออกมาด้วยรอยยิ้มแห้งๆ จากนั้นเธอก็ถอนหายใจยาวออกมาก่อนที่จะหยักหน้ารับ
“เอาเถอะนะ ว่ามาสิ”
เธอได้ตกลง นี่มันทำให้ซอลจีฮูตกใจเป็นอย่างมาก
เขาควรจะเริ่มยังไงดีนะ? นี่มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะอ่อนไหว เพราะงั้นซอลจีฮูจึงรู้สึกลังเล ในท้ายที่สุดแล้วเขาก็ได้ตัดสินใจถึงแผนในอนาคตของเธอก่อน
ความคิดของเธออาจจะเปลี่ยนไปจากครั้งก่อนที่พวกเขาคุยกันก็ได้ ยังไงนับตั้งแต่ที่พวกเขาคุยกันเรื่องนั้นก็ผ่านมานา และยังต้องเจอเข้ากับเหตุการณ์พิเศษอีกด้วย หากว่ามีโอกาส ซอลจีฮูก็อยากจะถามออกไป
เขาได้ถามขึ้นตรงๆ
“มีเหตุผลอะไรหรอครับ?”
“?”
“เหตุผลที่คุณเลือกอยู่กับคาเพเดี่ยมต่อ”
ฟีโซราได้แค่นเสียงออกมาอย่างเมินเฉย
“ถึงฉันจะไม่เคยพูดมันออกมา แต่ฉันคิดว่าฉันเคยแสดงให้นายเห็นผ่านการกระทำไปหลายครั้งแล้วนะ”
นี่มันหมายความว่าแผนของเธอยังเหมือนเดิม
“ผมก็แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมกัน คนแบบคุณน่าจะสามารถเข้าร่วมองค์กรที่ยิ่งใหญ่กว่าคาเพเดี่ยมได้ง่ายๆเลย”
“นั่นก็จริง”
ฟีโซราได้ยอมรับออกมาโดยที่น้ำเสียงไม่ดูหยิ่งผยองเลยสักนิด
“แต่ว่ามันก็ยากที่จะหาสถานที่ที่มีบรรยากาศเหมือนกับคาเพเดี่ยม แล้วก็พูดตรงๆเลยนะ ฉันคิดว่าคาเพเดี่ยมเหมาะกันกับฉัน”
“เหมาะหรอครับ?”
“ฉันไม่ใช่คนจำพวกที่จะไปเข้าทีมที่ตั้งขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว และแค่เข้าไปในกล่องที่จัดวางไว้เป็นอย่างดี นายก็รู้ใช่ไหมว่าฉันได้เข้าไปในพาราไดซ์ในฐานะตราประทับสีแดง?”
ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมาเมื่อนึกไปถึงข้อมูลในหน้าต่างสถานะที่เขาได้เห็น
“”นายก็รู้ใช่ไหมว่าผู้ชายเป็นยังไง? พวกเขามักจะพูดถึงความลำบากในการเข้าไปในกองทัพ แต่ว่าพวกเขาก็บอกว่ามันก็ไม่ได้แย่เช่นกัน ฉันเข้าใจนะว่าพวกเขาหมายถึงอะไร ในตอนแรกที่ฉันเข้าไปในพาราไดซ์มันลำบากมากจริงๆ ทำงานเหมือนกับสุนัข ถูกดูถูกเหยียดหยามเหมือนกับทาส…”
ฟีโซราได้ยิ้ยมเยาะก่อนที่จะหยิบแก้วเหลาขึ้นมาหมุนเล่น
“ฉันต้องเสี่ยงชีวิตนับครั้งไม่ถ้วน และในท้ายที่สุดด้วยทักษะของฉันเพียงอย่างเดียวก็ทำให้ทุกๆคนหุบปากลงไปได้ นั่นมันสนุกจนน่าทึ่งไปเลยล่ะ”
คำว่าสนุกของเธอมันทำให้ซอลจีฮูกังวลอยู่หน่อยๆ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้สนใจปัญหาเรื่องนี้นัก ในท้ายที่สุดแล้วบรรยากาศของเกมก็คือการที่ผู้คนได้สนุกไปกับการขึ้นไปอยู่ในจุดสูงสุดมากกว่าการที่เริ่มต้นมาแล้วอยู่ในจุดสูงสุดและได้ทุกอย่างมา
นี่ก็คือสิ่งที่เธอจะบอก
“แล้วก็นะ ฉันคิดว่าฉันคิดว่าฉันควรจะคว้าโอกาสดีๆในการเข้าทีม”
“คุณหมายความว่าอะไรหรอ?”
“นี่นายไม่เข้าใจหรอ? ด้วยการมีนายอยู่จะทำให้ศักยภาพของคาเพเดี่ยมไร้ขีดจำกัด มันมีโอกาสที่จะกลายเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่ต่อให้ผู้คนจะยากเข้าแค่ไหนก็ไม่อาจจะเข้าได้เลยล่ะ”
ฟีโซราได้ยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่ม
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายคิดยังไง แต่ว่าฉันคิดว่าในตอนนี้ฉันได้ให้อะไรกับคาเพเดี่ยมไปมากแล้ว และก็หากว่าฉันได้มีบทบาทสำคัญในทีมนับตั้งแต่ที่เริ่มก่อตั้ง ฉันก็อาจจะกลายเป็นผู้ร่วมก่อตั้งองค์กรยักษ์ใหญ่ในอนาคตก็ได้”
“ผู้ร่วมก่อตั้งงั้นหรอ?”
“ใช่แล้ว เว้นก็แต่ว่าฉันจะมองนายผิดไปล่ะนะ พอนายกลายมาเป็นหัวหน้าองค์กรที่นับเป็นหนึ่งในเสาหลักของพาราไดซ์ นายก็คงจะไม่หักหลังฉันใช่ไหมล่ะ?”
ฟีโซราได้ยิ้มออกมาราวกับว่าแค่คิดเรื่องนี้ก็ทำให้เธอมีความสุข
ซอลจีฮูอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมากับความซื่อตรงของเธอ
“มาฝันเรื่องของอนาคตนี่มันจะไม่เร็วไปหน่อยหรอ?”
“ใครๆก็ฝันได้ทั้งนั้นแหละ ฉันมั่นใจเลย”
เอาเถอะนะ ความมั่นใจของเธอก็เป็นธรรมดา ในเมื่อเธอก็เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้กิลด์กุหลาบขาวเด่นขึ้นมา
เมื่อคำนึงไปถึงทักษะของฟีโซราแล้ว ซอลจีฮูก็คิดว่าเขาควรจะอ้าแขนรับเธอ แต่ว่ามีบางสิ่งที่มาหยุดเขาเอาไว้จากการรับเธอเข้ามาอย่างมีความสุข
พูดตามตรงแล้ว ฟีโซราในมุมมองของซอลจีฮูนั้น เธอเป็นชาวโลกที่เหมาะกับการเป็นผู้นำมากกว่าผู้ตาม
“แล้วคุณไม่สนใจจะตั้งทีมของตัวเองหรอ? ด้วยประสบการณ์ของคุณมันก็เป็นไปได้มากว่า-“
“ไม่ล่ะ”
แต่ว่าก่อนที่เขาจะได้ทันพูดจบ ฟีโซราก็โบกมือปฏิเสธออกมา
“ไม่ใช่ว่าฉันเกลียดคำชมหรอกนะ แต่ว่าฉันคิดว่านายประเมินฉันสูงเกินไป ฉันรู้จักตัวเองดี ฉันไม่เหมาะจะเป็นผู้นำหรอก”
เธอได้ส่ายหัวออกมาและพูดต่อ
“นอกไปจากนี้ ฉันก็จะไม่นำใครให้กลายเป็นแบบนั้นอีกแล้ว ทำไมน่ะหรอ? ก็เพราะว่าฉันไม่อยากจะทำมันไงล่ะ ไม่มีวัน”
เธอได้ยืนยันถึงการตัดสินใจของเธอ โดยได้เน้นย้ำคำพูดถึงสองครั้ง
ขณะที่ซอลจีฮูผงะไปเล็กน้อยจากการปฏิเสธอันหนักแน่นของเธอ ใบหน้าฟีโซราก็มีร่องรอยความโศกเศร้าปรากฏขึ้นมา
แม้ว่ามันจะเป็นแค่เสี้ยววินาที แต่ซอลจีฮูก็ไม่ได้พลาดไป และในไม่ช้าเขาก็รู้ว่าเธอกำลังรู้สึกอะไรอยู่
‘แผลใจ’
นั่นมันเพราะการเลือกผิดครั้งเดียว เธอได้นำทีมของเธอที่อยู่ร่วมกันมานานไปสู่ความตาย นี่มันจะต้องเปลี่ยนมุมมองของเธอไปสักทางใดก็ทางหนึ่งอย่างแน่นอน
ซอลจีฮูได้เต็มไปด้วยอารมณ์มากมาย แต่ว่าไม่นานนักเขาก็ส่ายหัวออกมา
เขาต้องการที่จะขีดเส้นแบ่งระหว่างเรื่องส่วนรวมกับเรื่องส่วนตัวให้ชัดเจน
แม้ว่ามันจะยากที่จะพูดว่าเขาได้พยายามเต็มที่แล้ว แต่ยังไงเขาก็ได้ตัดสินใจบอกความจริงกับฟีโซราไปแล้วเช่นกัน
“ผมรู้ว่าคุณบอกไม่ให้ผมพูดเรื่องนี้ แต่ผมขอพูดหน่อยนะ ผมรู้สึกซาบซึ้งมากจริงๆที่คุณได้เข้าร่วมสงครามกับเขา”
“ขอบใจที่พูดแบบนั้นนะ ฉันก็กลัวว่านายจะล้อที่ฉันถูกซัดจนหมอบในครั้งเดียว ทั้งๆที่โม้ไว้มากซะอีก”
ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา ความคิดนี้มันไม่เคยเข้ามาในหัวของเขาเลย
ตัวตนของเจ็ดกองทัพเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดถึง และผู้บัญชาการกองทัพก็ไม่ใช่ตัวตนที่ธรรมดา
ซอลจีฮูก็ยังได้ยินมาว่าฟีโซราไม่ยอมส่งตัวเขาออกไปจนกระทั่งท้ายที่สุด ถึงขนาดที่ความหมั่นเพียรอันนิรันดร์บอกว่าจะไม่ฆ่าเธอ ถ้าเธอส่งเขามาก็ตาม
หรือก็คือเธอเป็นพรรคพวกที่ไว้ใจได้ คนเขาจะเห็นธาตุแท้ของคนอื่นในสถานการณ์รุนแรงเช่นนี้ เพราะงั้นในตอนนี้มุมมองของซอลจีฮูที่มีต่อฟีโซราจึงไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
อย่างน้อยที่สุเธอก็ยังดีกว่าไอ้สารเลวที่ยกมือจะตะโกนเผยตัวตนของเขาเป็นพันๆเท่า
“ในตอนอยู่ที่ภูเขาหินยักษ์นายไม่ได้สนใจฉันสักนิดเลย ดูเหมือนว่ามันคุ้มค่านะที่ฉันต้องเสี่ยงชีวิต”
…เอาเถอะนะ ดูเหมือนว่าเธอก็คิดเหมือนกัน
ซอลจีฮูได้เดาะลิ้นขึ้นในใจ จากนั้นก็พูดต่อ
“เหตุผลที่ผมไม่ชอบคุณก็เพราะซอลอากับซังจิน อย่างที่คุณพอจะเดาได้ ทั้งคู่ดูจะรู้สึกไม่สบายใจที่มีคุณอยู่ด้วย พวกเขากระทั่งหวาดกลัวคุณในระดับหนึ่งด้วยซ้ำไป ผมมั่นใจว่าคุณก็คงรู้ว่าทำไม”
“ใช่แล้ว ฉันรู้”
“แน่นอนสิ เมื่อคำนึงถึงความสัมพันธ์ของบคจองซิคกับคุณฟีโซราแล้ว ผมก็เข้าใจว่าทำไมคุณถึงทำแบบนั้น แต่ว่าก็มีแค่เหตุผลนี้เท่านั้นเอง”
ในตอนนั้นเองคิ้วของฟีโซราก็ได้กระตุกขึ้นมาเล็กน้อย
“สิ่งสำคัญก็คือในตอนนี้จะต้องไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก นั่นเพราะว่าคาเพเดี่ยมไม่มีการแบ่งฝ่าย”
“…”
“ผมจะยินดีมากหากว่าคุณฟีโซราสามารถจะอยู่ร่วมกับสองพี่น้องได้ แต่ว่า… ผมรู้ว่านั่นมันไม่ใช่สิ่งที่ผมจะไปบังคับอะไรได้ ถึงยังไงก็ตามอย่างน้อยที่สุดผมก็หวังให้ความสัมพันธ์ของพวกคุณพัฒนาขึ้นจนไม่ส่งผลกับภารกิจในอนาคต…”
ขณะคุยกันซอลจีฮูก็สังเกตสีหน้าของฟีโซราไปด้วย จนถึงจุดนี้แล้วใบหน้าของเธอได้แข็งทื่อไปเล็กน้อย แต่ว่าเขาก็ไม่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรที่เด่นชัด
เมื่อดูจากฉายาของเธอแล้ว ปฏิกิริยาพวกนี้จึงเป็นเรื่องค่อนข้างดี เพราะงั้นซอลจีฮูจึงค่อยๆพูดต่อ
“ในเมื่อพวกเราคุยกันเรื่องนี้แล้ว…”
เขาได้เทโชจูลงไปในแก้วเปล่า และพูดต่อ
“คุณได้คิดเรื่องขอโทษสองพี่น้องบ้างไหมครับ? ในความเห็นของผม หากว่าคุณแสดงความจริงใจด้วยการกระทำ สองพี่น้องก็จะให้อภัยอย่างแน่นอน”
เพราะเขามัวแต่หมกหมุ่นอยู่กับอย่างอื่น เขาจึงไม่ได้สังเกตเห็นสายตาของฟีโซราที่กระตุกขึ้นมาเลยสักนิด
“หากว่าคุณกังวล ผมก็ช่วยได้เหมือนกัน เด็กๆพวกนั้นเป็นคนดี เพราะงั้นพอผมคุยกับพวกเขา ผมมั่นใจว่า-“
ตึง! เสียงทุบโต๊ะได้ดังออกมา
ซอลจีฮูที่กำลังเอียงแก้วโชจูอยู่ได้เงยหน้าขึ้นมาทันที
ฟีโซรากำลังจ้องมาที่เขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“คุณฟีโซรา?”
“นายไม่ได้เข้าใจมันเลย-“
เธอได้บ่นขึ้นทันที
“ฉันหมายถึงเรื่องไม่ต่อสู้ ไม่ทะเลาะ ไม่ทำให้สองพี่น้องไม่สบายใจ เรื่องพวกนั้นฉันยอมรับได้ แต่ว่าอะไรกันล่ะ? ขอโทษ? ชดใช้?”
ทันใดนั้นเธอก็เริ่มแสดงอารมณ์ร้ายออกมา ซอลจีฮูได้จ้องฟีโซราด้วยสีหน้าตกตะลึง
“ก็ได้ ฉันมันคนบาป ฉันต้องชดใช้ในบาปของฉัน”
ซอลจีฮูได้หรี่ตาขึ้นมา
“…คุณกำลังพูดอะไรกัน?”
น้ำเสียงของเขาได้ทุ้มลึกขึ้น
“ฉันก็บอกว่าฉันจะชดใช้ในบาปของฉันไง!”
เมื่อฟีโซราตะโกนขึ้น สายตามากมายก็หันมามองเธอ อารมณ์ของซอลจีฮูก็ดิ่งต่ำลงไปเช่นกัน
“คุณพูดเหมือนกับว่าคุณไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ”
“งั้นหรอ? ฉันพูดแบบนั้นเมื่อไหร่กัน? ทั้งหมดที่ฉันถามคือทำไมฉันจะต้องเป็นคนที่ต้องโทษคนเดียวล่ะ?”
“น่าตลกนะครับ หากว่าคุณไม่อยากจะเป็นคนผิด แล้วทำไมคุณถึงได้ทำแบบนั้นกับสองพี่น้องล่ะ?”
“ก็เพราะพวกเขาสมควรได้รับแล้วไง!”
ฟีโซราได้ถลึงตามอง และตะโกนขึ้น
“คุณฟีโซรา”
ซอลจีฮูได้ขมวดคิ้วขึ้น
“คุณจะคุยกับผมไม่ใช่หรอ?”
“นายเรียกว่านี่คือการคุยหรอ?” มันเป็นการออกคำสั่งฝ่ายเดียว”
“…”
“ฉันก็ทนมันเอาไว้แล้วนะ แต่ว่าฉันทนฟังต่อไม่ไหวแล้ว”
ฟู่วว! ฟีโซราได้พ่นลมออกมา ก่อนที่จะเริ่มพูดต่อ
“เด็กๆพวกนั้น พวกเขาควรที่จะรู้สึกยินดีที่ต้องลำบาก เอาเถอะ ในเมื่อนายอยู่ข้างพวกเขา ฉันก็มั่นใจว่านายก็คงจะ ‘โอ้ว~ ลูกๆของฉัน~’ แต่ว่าหากพวกเขาเป็นคนแปลกหน้า นายก็ยังจะทำแบบเดียวกันไหม? ฉันหมายถึงว่านายเคยคิดเรื่องนี้ในมุมมองของฉันไหม?”
เหตุผลที่ซอลจีฮูไม่ได้พูดอะไรกลับไป…
[นายกำลังยกย่องเธอไม่หยุดเลยนะ แต่ว่าหากนายไม่รู้จักเธอ นายยังจะพูดแบบนี้ได้ไหม?]
…นั่นเพราะสิ่งที่จางมัลดงเคยพูดกับเขา
“นายบอกว่านายเข้าใจว่าทำไมฉันถึงทำแบบนั้น? ไม่เลย นายไม่เข้าใจสักนิด นายมันไม่รู้อะไรเลย”
ซอลจีฮูยังคงกดอารมณ์และกอดอกเอาไว้
“ถ้างั้นเหตุผลอะไรล่ะครับ?”
“เหตุผลสินะ มันมีเยอะจนนับไม่ไหวเลยล่ะ”
ฟีโซราได้หายใจออกมาสั้นๆ เธอได้กอดอกขึ้นเหมือนซอลจีฮู จากนั้นก็เชิดคางขึ้นอย่างหยิ่งยโส
“อย่างแรกเลย ฉันไม่ชอบการที่พวกเขาถูกไอ้เลวบคนั่นพามา”
“ผู้หญิงคนนั้นมาคนเดียวก็ได้ แต่ว่าเธอกลับยืนกรานที่จะพาน้องชายมาด้วย และทำให้เขาต้องใช้คะแนนคุณูปการที่จำเป็นไปถึงสองเท่า”
“แล้วก็เรื่องกลายเป็นระดับ 2 ในสามเดือนน่ะหรอ? เหอะ ด้วยทรัพยากรมากมายที่บคจองซิคได้ให้กับเธอในฐานะอนาคตของกุหลาบขาวแล้ว มันก็คงเป็นแต่เศษสวะเท่านั้นแหละที่จะไปไม่ถึงระดับ 2 ในเวลานั้น”
“แล้วก็ในตอนที่ฉันแสดงความเห็นเรื่องที่ว่าเราทุ่มทรัพยากรไปให้กับคนๆเดียวมากเกินไป เขาก็ได้บังคับให้นักธนูที่อยู่ใต้การดูแลของฉันออกไปจากกิลด์ นายไม่คิดว่ามันไม่ยุติธรรมหรอ? ความไม่ลงรอยกันในกิลด์? นี่มันไม่ตลกเลยสักนิด”
ฟีโซราได้พูดสิ่งที่คิดออกมารัวๆราวกับรอเวลานี้อยู่ และซอลจีฮูก็เพียงแค่เม้มปากฟังเธอพูด
เขาคุ้นเคยกับความวุ่นวายของกุหลาบขาวแล้ว จากสิ่งที่ฟีโซราพูด มันดูเหมือนกับว่าบคจองซิคจะได้ใช้ยี่ซอลอาในการกดทันฟีโซราและกลุ่มของเธอ ซึ่งนี่เป็นเหตุผลทำให้ฟีโซราไม่ชอบในตัวยี่ซอลอา
“แต่ผมก็ไม่เห็นว่ามันเป็นความผิดของซอลอาเลยนะ”
“เห็นไหมล่ะ ฉันรู้ว่านายจะพูดแบบนี้อยู่แล้ว ฟังนะ ฉันไม่ได้กำลังจะบอกว่าใครถูกใครผิด ฉันก็แค่อธิบายว่าทำไมฉันถึงไม่ชอบเธอ”
เธอได้พูดต่อทันที
“แล้วก็นะ นายคิดว่ามันมีแค่นี้หรอ?”
ฟีโซราได้สูดหายใจเข้าเล็กน้อย จากนั้นก็พูดต่ออีกครั้ง
“หากว่าเธอเป็นเทพธิดาที่สมบูรณ์แบบ ฉันจะไม่สนเลยสักนิด แต่ว่าเธอไม่ใช่ และฉันก็ได้วิจารณ์ในข้อบกพรองของเธอ ฉันบอกไปว่าอย่างน้อยเธอก็ควรจะพยายามทำตัวเหมือนกับตั้งใจสักหน่อย แต่ว่าเธอกลับร้องไห้ออกมาในทุกๆครั้งที่ถูกวิจารณ์แม้แต่นิด จากนั้นก็ปิดท้ายด้วยการแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเธอกำลังฝืนยิ้ม”
“คุณกำลังจะบอกว่าซอลอาไม่ได้พยายามเลยหรอ?”
“ฉันมั่นใจว่าเธอคิดว่าเธอพยายามแล้ว แต่ในสายตาของฉัน? มันไม่เลยสักนิด ตอนนี้นายก็น่าจะรู้เหมือนกัน พาราไดซ์น่ะมันไม่ใช่สถานที่ง่ายๆหรอกนะ”
ฟีโซราได้จ้องมาที่ซอลจีฮู
“อยากจะให้ฉันเล่าเรื่องตลกอะไรให้ฟังไหมล่ะ?”
มุมปากของเธอได้ขยับยิ้มออกมา
“นายยังจำเรื่องการเจรจาย้ายสังกัดได้ไหม? ไอ้สารเลวบคนั่นเต็มใจที่จะย้ายสองพี่น้องออกไปจริงๆ หากว่านายมอบของที่ได้มาจากงานจัดเลี้ยงให้กับเขา”
“ผมไม่เห็นได้ยินแบบนั้นเลย”
“มีเด็กของฉันคนหนึ่งได้ยินมาจากปากหมอนั่น และไอ้สารเลวนั่นก็เชี่ยวชาญในการเปลี่ยนสีอยู่แล้ว ฉันมั่นใจว่าเขาจะต้องพูดอะไรอยากการตอบแทนบุญคุณของปู่หรือว่าหวังว่านายจะสามารถดูแลซอลอากับซังจินที่ล้ำค่าของเขาเพื่อที่จะมัดตัวนายให้เขาร่วมการปฏิบัติการณ์ที่ผิดพลาดของเขา”
ใบหน้าซอลจีฮูได้แข็งทื่อไป
“ยิ่งไปกว่านั้นนะ มีอีกเรื่องที่ฉันทนไม่ไหว หากมันแค่ครั้งสองครั้งก็ยังพอรับได้ แต่ว่ามันแทบจะตลอดเวลาเลย ยัยเด็กนั่นมักจะพูดเรื่องบทฝึกสอนอย่างนั้น~ เขตพื้นที่เป็นกลางอย่างนี้~ คุณพี่ซอลแบบนั้น~ คุณพี่ซอลแบบนี้~ ชิ มันเหมือนกับว่าพวกเขากำลังมาเที่ยวต่างอากาศกันแน๊ะ?”
ฟีโซราได้ถ่มน้ำลายลงบนพื้น จากนั้นก็เสยผมกลับไป
“เอาเถอะก็ได้ ลืมเรื่องทั้งหมดตะกี้ไปเถอะนะ”
“…”
“ฉันทำตามบคจองซิคพาพวกเขาเข้ามาก็เพราะกฎของกิลด์ แต่ว่าสำหรับคนที่ล่ะทิ้งโอกาสในการพัฒนาตัวเอง และยังใช้คะแนนคุณูปการไปเป็นจำนวนมาก ในฐานะของการเป็นสมาชิกผู้อาวุโสของกิลด์แล้ว นี่มันเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจใช่ไหมล่ะ แล้วฉันยังต้องมาคุกเข่าขอขมาต่อบาปที่ฉันให้พวกเขาพยายามให้มากขึ้นงั้นหรอ?”
สมมติว่าฟีโซราพูดจริง หากว่าซอลจีฮูเป็นฟีโซรา แล้วด้วยบัญญัติทองคำของเขา เขาจะทำตัวยังไงกับพี่น้องยี่กันนะ?
จะเป็นยังไงหากว่าพวกเธอเอาแต่พูดว่า ‘พี่สาวซังอาอย่างนั้น~ พี่ชายซังมินแบบนี้~’
ซอลจีฮูได้หลับตาลงไป
“เอาล่ะ ตอนนี้มันก็ถึงเวลาที่นายต้องมาเห็นใจฉันบ้างแล้ว”
“…”
“อะไรอีกล่ะ? นายคิดว่าฉันพูดเกินไปงั้นหรอ? ชีวิตฉันมันก็เลวร้ายไม่ต่างไปจากพี่น้องยี่หรอกนะ ฉันจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้นายฟังทั้งคืนเลยก็ได้ ถ้างั้นแล้วนายจะมาเห็นใจฉันบ้างไหม?”
ฟีโซราได้หัวเราะออกมาราวกับว่าเธอคิดว่าสิ่งที่เธอพูดออกไปมันน่าขำจริงๆ
“เอาเถอะ พูดเรื่องอดีตไปก็ไม่มีประโยชน์ ฉันก็ลำบากมากอยู่แล้ว กิลด์ก็หายไป จนก็จน ตัวคนเดียวลำพังไม่มีที่ให้ไป ในสงครามครั้งล่าสุดก็เกือบจะต้องตาย”
ยังไงก็ตามฟีโซราไม่เคยขอความเห็นใจกับเรื่องพวกนี้เลยสักครั้งเดียว
เธอได้เพียรพยายามออกมาด้วยตัวเอง
นั่นก็เพราะว่าเธอได้ยอมรับความจริงว่าเธอเป็นคนเลือกมาที่นี่เอง และยังยอมรับในความผิดพลาดที่เธอเคยทำ
กับยี่ซอลอาก็เป็นเช่นเดียวกัน เธอบอกว่าเธอไม่มีเหตุผลให้ต้องไปขอโทษยี่ซอลอา เพราะว่ายี่ซอลอามีความคิดผิดๆ
“ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพื่อนสนิทของฉันที่เพิ่งจะฆ่าตัวตาย แล้วฉันก็ต้องไปงานศพของเธอ-“
ต่อจากนั้นฟีโซราก็รีบปิดปากลง และซอลจีฮูก็ได้หันหน้าไปหาเธอ
“อีกแล้วหรอ?”
ฟีโซราไม่ได้พูดอะไรอีก และหลบสายตาออกไป ดวงตาที่จ้องกำแพงของเธอแดงขึ้นมาเล็กน้อย เธอได้ปิดตาลง และลำคอก็กลืนน้ำลายลงไป
หลังจากเงียบอยู่สองสามนาที…
“…ยังไงก็ตาม”
ฟีโซราได้สูดหายใจเข้าเล็กน้อย จากนั้นก็ลืมตากลับขึ้นมา
“ทำไมฉันถึงไม่ขอโทษ…? ช่วยอย่าพูดแบบนั้นอีก”
น้ำเสียงของเธอกระทั่งสั่นไหวเช่นกัน
“นี่คือวิถีชีวิตของฉัน ไม่ใช่แค่ที่นั้น แต่ยังเป็นที่นี่ด้วย”
มันราวกับว่าเธอมีปมหรือความต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อสู้กับความไม่ยุติธรรม
ฟีโซราได้ตัดสินใจในวิธีการใช้ชีวิตของเธอในพาราไดซ์ เหมือนกับซอลจีฮู ด้วยกฎนี้ของเธอ เธอจึงไม่อาจจะเข้าใจความคิดของยี่ซอลอาได้
“นั่นคือวิถีชีวิตของฉัน…!”
หลังจากพึมพำอย่างไม่พอใจ เธอก็คว้าขวดโชจูมายกกระดกลงไป
‘วิถีชีวิต…’
ซอลจีฮูได้มองไปที่ใบหน้าที่แดงอยู่ของฟีโซราโดยที่ไม่อาจจะพูดอะไรได้
หากว่าเป็นเมื่อก่อน เขาก็อาจจะเรียกฟีโซราว่าบ้า บอกว่าสิ่งที่เธออธิบายมันเป็นเรื่องไร้สาระก่อนที่จะเดินหนีไป
แต่ว่าหลังจากได้มีประสบการณ์ที่ต่างออกไปในพาราไดซ์แล้ว วิธีคิดของซอลจีฮูก็เปลี่ยนแปลงไปต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง
มันก็เหมือนกับว่าคนเราจะสนับสนุนกลุ่มคนที่พวกเขาเชื่อว่าเสียเปรียบและอ่อนแอ
แต่ว่านั่นมันก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่แข็งแกร่งจะชั่วร้าย และคนอ่อนแอจะเป็นคนดีเสมอ
นี่คือสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มาจากงานจัดเลี้ยง
และพอคิดแบบนี้แล้ว เขาก็สงสัยขึ้นมา
ทำไมบคจองซิคที่ชื่นชอบพี่น้องยี่ขนาดนั้น ถึงได้จู่ๆมาใช้พวกเขาแล้วทิ้งแบบนี้กันล่ะ? พี่น้องยี่ทำอะไรผิดพลาดไปงั้นหรอ?
จู่ๆเรื่องราวก็กลายเป็นซับซ้อนขึ้นมาทันที จนมันยากที่จะตัดสินใจว่าใครถูกหรือผิด
เขาได้เม้มปากแน่น ก่อนที่ท้ายที่สุดแล้วจะคว้าขวดโชจูมากระดกเหมือนกับฟีโซรา
***
แสงจากดวงอาทิตย์ได้ตกลงมากระทบบนดวงตาของเขา คิ้วของซอลจีฮูได้กระตุกขึ้นพร้อมกับดวงตาที่ค่อยๆเปิดขึ้นมา
ก่อนที่เขาจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อาการเมาค้างก็พุ่งขึ้นมาที่หัวเขา
เขาได้กลิ้งตัวไปมาอยู่นานก่อนที่จะลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อความมึนงงลดลงไป แม้ว่าภาพตรงหน้าจะไม่ชัด แต่ว่าเขาก็เห็นสิ่งที่ยาวเหมือนกับหมอนข้าง
เขายังจำถึงการแข่งดื่มเมื่อคืนอยู่ แต่แล้วจู่ๆความทรงจำของเขาก็ถูกตัดไปแค่ตรงนั้น
“อ๊า…”
อาการปวดหัวได้กลับมาอีกครั้งทำให้เขาพุ่งเข้าไปกอดหมอนข้างเอาไว้
‘อะไรก็ได้’
เขาได้มุดหน้าเข้าไปในหมอนข้างด้วยความคิดที่ว่า ‘หลับดีกว่า’
บางทีอาจจะเพราะอุณหภูมิร่างกายของเขาก็ได้ หมอนข้างให้ความรู้สึกอบอุ่นและนุ่มแปลกๆ ขณะที่เขากำลังพึงพอใจและหลับลงไปนั้นเอง
“อ่า…”
เสียงแล้วเสียงรำคาญอย่างเห็นได้ชัดก็ดังเข้ามาในหูของเขา
“หมอนี่มันเอาอีกแล้ว…”
ซอลจีฮูได้เบิกตาขึ้นโพล่ง
บทที่ 188 – การเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึง (3)
เมื่อเขากระพริบตารัวๆ โลกที่พร่ามัวก็ได้กลายเป็นชัดขึ้น
สิ่งแรกที่เขาเห็นเพื่อสายตากลับมาโฟกัสเลยก็คือ… หน้าอก เนินเขาอวบอิ่มที่อยู่ตรงหน้าเขา
ส่วนจมูกของเขานั้น…
มันกำลังสูดกมกลิ่นหอมจากผิวหนังอยู่ ซอลจีฮูได้ค่อยๆเลื่อนสายตาขึ้นไปอย่างช้าๆ และไม่นานใบหน้าของฟีโซราก็ได้ปรากฏขึ้น ใบหน้าของเธอของเธอนั้นมีผสมกันระหว่างความง่วงนอนกับรำคาญใจ
“…มีเรื่องที่ฉันอยากจะรู้จริงๆนะ”
บางทีอาจจะเพราะว่าเธอเมาหลับไป ทำให้น้ำเสียงของฟีโซราแหบแห้ง
“นายดูจะตกใจมากเลยนะ แต่ว่าทำไมถึงยังมาซุกหน้าอกฉันอยู่อีก?”
จากนั้นซอลจีฮูถึงได้รู้ตัวว่าเขาเผลอสูดหายใจลึกเกินไป มีอยู่ครู่หนี่งที่ความคิดอย่าง ‘ก็เพราะผมชอบกลิ่นกุหลาบ’ เขามาในหัวเขา
“ว๊ากกก!”
ซอลจีฮูได้กรีดร้อง และเด้งตัวไปข้างหลังอย่างแรง
“หา!”
ฟีโซราได้เดาะลิ้นขึ้นมาเมื่อเห็นซอลจีฮูถอยหลบไปจนตกเตียง
ตึง เมื่อหัวของเขากระแทกกับพื้น เขาก็หยุดออกมาจากความสับสน เขาได้รีบลุกขึ้นมา และจับไปตามเนื้อตัวของเขา
“…”
ทำไมเขาถึงเหลือแต่ชุดส่วนในล่ะ?
ม่านตาเขาได้สั่นไหวหขึ้นมา ซอลจีฮูได้วางมือลงบนอก และสูดหายใจลึกๆ
ใจเย็น ใจเย็นๆ
หลังจากพึมพำกับตัวเองอยู่หลายครั้งแล้ว เขาก็พูดขึ้นมา
“คำอธิบาย”
ซอลจีฮูได้พูดเหมือนกับเขาเป็นผู้ถูกกระทำ
ฟีโซราที่กำลังเหยียดแขนหาวออกมาอยู่ได้มองมาที่เขาอย่างตกตะลึง
“คำอธิบายอะไร?”
“ตั้งแต่เริ่มจนจบเลย ทุกๆอย่าง”
“โอ้ได้สิ นายล้มพับไปในระหว่างดื่มโชจู จากนั้นก็เริ่มร้อง แล้วก็อ้วกใส่ฉันในตอนที่ฉันแบกนายอยู่”
“ว่าไงนะครับ?”
“น่าขำจริงๆเลยนะ! ถ้านายคออ่อนก็ควรจะดื่มให้พอดีสิ ของที่นายเพิ่งกินไปอย่างหมูสามชั้น ซุปเต้าเจี้ยวน่ะถูกอ้วกออกมาจนหมดเลย… อ๊า!”
ทันใดนั้นฟีโซราก็ตัวสั่นขึ้นราวกับแค่คิดก็ทำให้เธอขยะแขยงแล้ว ในเวลาเดียวกันซอลจีฮูก็ได้มองไปรอบๆห้องอย่างสับสน เขามองเห็นเสื้อผ้าถูกแขวนเอาไว้ที่ไม้แขวนใกล้ๆเช่นกัน
“ฉันได้ลากตัวนายมาที่ห้องเช่า แล้วก็ทำความสะอาดเสื้อให้นายอีกนะ นายควรจะขอบคุณฉันสิ นายรู้ไหมว่าฉันเคยคิดที่จะโยนนายทิ้งไปกี่ครั้งกัน?”
สำหรับซอลจีฮูที่ไม่ได้มีความทรงจำเรื่องนี้เลย เขาได้แต่ตกตะลึงกับคำกล่าวของฟีโซรา
“แต่ว่า… นอนบนเตียงเดียวกันนี่…”
“โอ้ หุบปากไปเลย!”
ฟีโซราได้ตะโกนขึ้นอย่างไม่พอใจ
“นี่นายมันไม่มีจิตสำนึกเลยรึไงกัน?”
“?”
“นายคิดว่าฉันมานอนเตียงเดียวกับนายเพราะต้องการงั้นหรอ? นายรู้ไหม ว่าฉันอยากจะนอนแยกกัน!”
ซอลจีฮูได้แต่เอียงหัวอย่างสับสนกับฟีโซราที่พูดเหมือนกับมันไม่ใช่ความผิดของเธอ
“ฉันมีที่นอนดีๆให้นายแล้วนะ แต่นายก็เอาแต่ปีนลงมานอนกับฉันตลอดเลย เพราะงั้นฉันก็เลยคิดว่า ‘อ่า เขาคงจะชอบนอนบนพื้น’ แล้วก็สลับที่กันแทน แต่จากนั้นนายก็กลับปีนขึ้นมานอนกับฉันอีก จากนั้นพอฉันใช้ผ้าห่มห่อตัวหนีไปนอนบนโซฟา นายก็ยังไล่ตามมากอดฉันเอาไว้อีก”
“…”
“แล้วก็ขอโทษนะ แต่ว่านายเป็นเด็กทารกหรือไงกัน? ทำไมเอาแต่ซุกหน้ามาที่อกฉันตลอดเลย? ตอนโตขึ้นมาขาดความรักงั้นหรอ? หรือว่านายถูกผีเด็กเข้าสิงกันล่ะ? พระเจ้า!”
พล่ามๆ! ขณะที่ฟีโซราพูดถึงสิ่งที่เธอเจอมาเมื่อคืน ซอลจีฮูก็ได้แต่เกาหัวแห้งๆ
“อะแฮ่ม… ผมเป็นลูกคนกลาง แล้วก็มีพี่ชายกับน้องสาว เพราะงั้นก็เลยไม่ค่อยได้รับความสนใจ และความรัก…”
“โอ้วว เข้าใจแล้ว… ฉันผิดเอง ฉันไม่ได้รู้เรื่องเลย… ไม่สิ! นั่นมันเกี่ยวกันตรงไหน??”
ฟีโซราได้กลับมาจ้องเขาตาเขม็งต่อ ซอลจีฮูได้แต่ไอแห้งๆออกมา
“ผมก็จำไม่ค่อยได้นะ”
“ฉันก็คิดไว้แล้วว่านายจะต้องพูดแบบนี้ รอตรงนี้แหละ”
ฟีโซราได้รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และโยนมันมาให้เขา มีวิดีโอกำลังถูกเล่นอยู่บนหน้าจอ
-พระเจ้า! ปล่อยฉันไปได้ไหม?
-อะไรว่ะเนี้ย นายบ้าไปแล้วหรอ? เฮ้ ฉันรู้นะว่านายยังไม่หลับ ลืมตามาซะตั้งแต่ในตอนที่ฉันยังพูดดีๆอยู่เลยนะ
-ไสหัวไป!
-พระเจ้า ฉันอยากจะบ้าตาย!
“ไม่มีทางน่า…”
ซอลจีฮูที่มองดูหน้าจอโดยที่พูดไม่ออก จากนั้นหลังจากแอบกดลบวิดีโอไปแล้ว เขาก็ส่งมันคืนให้กับฟีโซราที่กำลังยืนกอดอกมองเขาอยู่
“ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลยว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไร”
“ไอ้บ้านี่มันอะไรกันว่ะเนี้ย!?”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงโมโหดังเข้ามา เขาก็ได้แต่ไอแห้งๆอีกครั้งหนึ่ง
“ยังไงก็ตาม คุณกำลังบอกว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น?”
สีหน้าของฟีโซราได้เปลี่ยนเป็นแปลกไปเมื่อได้ยินน้ำเสียงโล่งใจของซอลจีฮู
“ทำไมล่ะ นายคิดว่าฉันกลืนกินนายอะไรแบบนั้นงั้นหรอ?”
“คุณไม่ต้องพูดแบบนั้น…”
“มันตรงกันข้ามเลย นายเป็นคนที่กลืนกินฉัน”
“อะไรนะ!?”
ซอลจีฮูได้ผงะไปอย่างตกใจ
“ฉันหมายถึง~ นายค่อยๆเริ่มมันขึ้นน่ะ~ นายทั้งฟิตแล้วก็ดูดีมาเลย แถมในตอนนั้นฉันก็เมาอยู่ด้วย มันก็เลยตื่นเต้นหน่อยๆ~”
ฟีโซราได้พึมพำออกมาพร้อมกับบิดปลายผม จนทำให้ซอลจีฮูอ้าปากค้างออกมา
“ยังไงก็เถอะนะ เรี่ยวแรงนายนี่มันน่าทึ่งจริงๆเลย นายมันเหมือนกับสัตว์ป่า อู้วว พูดไปแล้วฉันก็ยังเจ็บท้องอยู่เลย…”
ฟีโซราได้พึมพำออกมาพร้อมกับลูบท้องน้อยเบาๆ จากนั้นก็ระเบิดหัวเราะขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของซอลจีฮู
“ฮ่าฮ่า! หน้าของนายนี่มัน! ล้ำค่าจริงๆเลย!”
เธอได้หัวเราะขึ้น จากนั้นก็เตะผ้าห่มออกมา
“เห็นไหมล่ะ นายมีปฏิกิริยาเหมือนกับคนมีแฟนเลย”
หลังจากเด้งตัวออกมาจากเตียงแล้ว เธอก็บิดตัวโดยไม่อายเลยสักนิด
“โอ๊ยยย~ เอาล่ะ ไปอาบน้ำก่อนดีกว่า จากนั้นค่อยไปกินซุปแก้เมาค้างกัน”
“…คุณแค่ล้อผมเล่นใช่ไหม?”
“ใครจะไปรู้~?”
หลังจากยิ้มออกมาแล้ว ฟีโซราก็เดินเข้าไปในห้องน้ำพร้อมงึมงำว่า “อ๊า~ ทำไมฉันเมื่อยตัวจังเลยน้า~?”
ซ่าาา
จากนั้นเมื่อเสียงฝักพัวถูกเปิดดังออกมา ซอลจีฮูก็ถูกตัวว่าโดนเล่นเข้าให้แล้ว
‘ผู้หญิงคนนี้…!’
***
“อึก-“
ขณะกำลังกินซุปห่ออยู่ จู่ๆฟีโซราก็สำลักออกมา
ซอลจีฮูได้ถามขึ้นอย่างตกใจทันที
“เกิดอะไรขึ้น?”
“…ไม่รู้สิ”
ฟีโซราได้ก้มหัวลง จากนั้นก็เอียงหัวออกมา
“จู่ๆก็รู้สึกคลื่นไส้… แพ้ท้องหรือเปล่านะ? แต่ก็ไม่น่าแปลกใจหรอก…”
‘ไม่น่าแปลกใจ?’
เมื่อซอลจีฮูมองไปที่เธอ ฟีโซราก็ทุบโต๊ะ และหัวเราะออกมา
“อะไรล่ะ ฉันแพ้ท้องไม่ได้งั้นหรอ?”
“แกล้งคนอื่นมันสนุกหรอครับ?”
“ก็ใช่น่ะสิ มันทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเป็นพันเท่า”
ซอลจีฮูดูเหมือนจะไม่พอใจกับรอยยิ้มของฟีโซรานี้ ไม่สิ ไม่ใช่ดูเหมือน แต่ว่าเขาไม่พอใจจริงๆ
เขาเข้าใจว่าเขาทำให้ฟีโซราต้องลำบากเมื่อคืน แต่ว่าเธอแกล้งเขามากเกินไปแล้ว
‘เธอกล้า…’
เธอกล้าที่จะแกล้งคนที่ได้รับฉายาอย่างเป็นทางการว่าคนขี้แกล้งงั้นหรอ?
ฉันจะแสดงการแกล้งที่แท้จริงให้ดูเองว่ามันเป็นยังไง
ซอลจีฮูได้สาบานกับตัวเองพร้อมกับดื่มน้ำซุปจนหมด
หลังจากกินอาหารแล้ว ฟีโวราก็ได้เอาโทรศัพท์ออกมา
“เอาเบอร์นายมาหน่อยสิ”
“เบอร์ผม? ทำไมล่ะ?”
“ก็นายจะจ้างงานฉันไปอีกหลายเดือนนี้ อย่างน้อยฉันก็ควรจะรู้เบอร์โทรศัพท์ของนาย”
“เบอร์โทรศัพท์ของผม… มันอะไรกันนะ?”
เมื่อซอลจีฮูลังเลขึ้น ฟีโซราก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที แต่ว่าซอลจีฮูจำเบอร์โทรศัพท์ของเขาไม่ได้จริงๆ มันไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะให้เธอ
เมื่อเขาได้เค้นสมองคิดอย่างหนักและบันทึกลงบนโทรศัพท์ให้กับเธอ ฟีโซราก็รับโทรศัพท์กลับคืนมาด้วยอาการไม่พอใจที่เขาทำเป็นเล่นตัว
“แล้วเมื่อไหร่นายจะกลับไปล่ะ?”
“ประมาณอาทิตย์นึง”
“เร็วกว่าที่คิดอีกนะ เอาเถอะ ก่อนจะกลับก็โทรมาหาฉันแล้วกัน ฉันจะส่งข้อความไปหา เพราะงั้นตอบกลับมาดีๆล่ะ”
ฟีโซราได้พูดสิ่งที่เธออยากจะพูดออกมา จากนั้นก็หันหลังกลับไปพร้อมโบกมือออกมา ซอลจีฮูที่กำลังจ้องแผ่นหลังเธอเดินจากไป…
‘…หืม?’
…ดวงตาเขาได้เบิกกว้างขึ้นเมื่อเขารู้สึกว่าเขาใจสงบกว่าแต่ก่อน
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาโดยใช้มือบังแสงอาทิตย์จากการตกกระทบบนใบหน้าไว้ เขาก็ได้เห็นท้องฟ้าสดใสที่ไร้เมฆหมอกใดๆ
‘อบอุ่น’
ทำไมกันนะ? เขาไม่รู้สึกไม่ดีอีกแล้ว
สิ่งที่เขาทำลงไปก็มีแค่การทะเลาะกับฟีโซรา กินข้าว แล้วก็ตื่นนอน แต่ว่าความอ้างว้างที่เขาเคยรู้สึกก็หายไปเกือบจะหมดแล้ว
เขารู้สึกเหมือนกับว่าหน้าอกที่ว่างเปล่าของเขาได้ถูกเติมเต็มเข้ามา
‘เอาล่ะ ในเมื่อมันกลายมาเป็นแบบนี้แล้ว ฉันก็ควรจะเตรียมอะไรบ้างก่อนจะกลับไปสินะ?’
ซอลจีฮูได้เปลี่ยนมาเป็นร่าเริง
ตอนนี้ฉันก็มีเพื่อนใหม่แล้วเหมือนกัน
แม้ว่าเขาจะไม่ได้รู้ตัวเอง แต่ว่าเขากระทั่งฮัมเพลงอย่างมีความสุข เสียงฝีเท้าของเขาก็ยังดูสดใสกว่าเมื่อวานอีกด้วย
ทันทีที่กลับมาถึงห้อง ซอลจีฮูก็ได้มองไปรอบๆ โทรศัพท์ของเขาได้ถูกวางทิ้งเอาไว้ตรงมุมห้อง
หลังจากเสียลปลั๊กชาร์จและกดปุ่มเปิดขึ้นมาแล้ว เขาก็ผงะไปเล็กน้อย เขาคิดว่ามันจะไม่มีอะไ แต่ว่า…
[กลับไปถึงแล้วใช่ไหม? นี่ฟีโซรานะ]
เริ่มจากข้อความล่าสุดที่มาจากฟีโซรา แถมยังมีข้อความอื่นๆอีกด้วย
[โอปป้า ฉันได้ยินว่าคุณตื่นแล้ว รู้สึกดีขึ้นไหม?]
[นี่ฉันเองนะ ฉันได้ยินว่านายกลับโลกแล้ว โทรกลับมาหาด้วย]
[สายจาก…]
ยุนซอรา คิมฮันนาห์ ผู้รักษาประตู และก็…
เมื่อเลื่อนลงมา เขาก็เห็นเบอร์หนึ่ง และชะงักไป มันเป็นข้อความจากครอบครัวของเขาที่ซึ่งถูกส่งมานานแล้ว
“…”
มีสายเข้ามาทั้งหมดสี่สาย โดยแต่ล่ะครั้งห่างกันแค่ไม่กี่วัน
ขณะที่ดูทีล่ะข้อความ ความรู้สึกแปลกๆก็เข้าปกคลุมซอลจีฮู เขารู้สึกตกตะลึงที่เขาสงบแบบนี้ ทั้งๆที่เขาได้เฝ้ารอให้ครอบครัวติดต่อมาหาตั้งนานแล้ว
มันไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้สึกเสียใจหรือยินดี แต่ว่าเขาไม่ได้ตัวสั่นจากความกังวลและความกลัวอีกแล้ว เขากระทั่งไม่รู้สึกตื่นเต้นหรือคาดหวังอะไรอีกด้วย
เขาก็แค่รู้สึก… สงบ
หากว่าให้เขาพูดออกมาเป็นคำพูด มันก็คงเป็นอย่างว่า ‘ในที่สุดก็มาถึงตรงนี้หรอ?’
เขาได้ก้าวหน้ามามากเมื่อเทียบกับในอดีตตอนที่เขากลัวที่จะตรวจโทรศัพท์ และโยนมันเอาไว้ตรงมุมห้อง
‘การแก้ไขเรื่องของอดีตก็สำคัญเหมือนกันสินะ’
พอเขาคิดแบบนี้ ซอลจีฮูก็ได้มองดูข้อความอยู่นานก่อนที่จะกดปุ่มโฮมอีกครั้ง
จากนั้นเขาก็หารายชื่อติดต่อ และกดโทรออกไป สายได้ถูกรับในทันที
-ฮัลโล?
ซอลจีฮูได้กระแอ่มออกมา จากนั้นก็พูดขึ้น
“ครับ แม่ นี่ผมเอง”
***
ตึง ตึง ตึง!
ประตูได้สั่นอย่างรุนแรง ซอลจีฮูที่กำลังจินจาจังมย็อนอยู่ได้ตะโกนขึ้น “ไม่ได้ล็อค?” และหญิงสาวผมหางม้าที่แบกกล่องเล็กๆสองใบก็ได้บุกเข้ามาในห้อง
เธอได้เตะรองเท้าส้นสูงออกมา จากนั้นก็พุ่งมาข้างหน้า และโยนกล่องใส่ซอลจีฮู
“ยินดี-“
“อะไร?”
ผัวะ คราวนี้เขาได้ถูกกล่องกระแทก
“แม่?”
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมา เขาก็เห็นคิมฮันนาห์กำลังมองลงมาที่เขาอย่างเย็นชา
“นายอยากจะตายงั้นหรอ? นายกล้าเรียกสาวบริสุทธิ์ที่ยังไม่ได้แต่งงานแบบนี้งั้นหรอ?”
จู่ๆซอลจีฮูที่กำลังลูบหัวก็ได้กลิ่นหอมขึ้นมา กลิ่นหอมมันโชยออกมาจากกล่องที่มันเยิ้ม มันก็คงจะเป็นไก่ทอด
“ว้าว เธอซื้อมาให้ฉันหรอ?”
ซอลจีฮูได้คว้ากล่องเล็กๆอีกกล่องมา โดยไม่สนใจกล่องที่ถูกเขียนว่า ‘โจ๊ก’ เลยสักนิด
คิมฮันนาห์ได้พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ
“…ทำไมถึงไม่กินโจ๊กก่อนล่ะ?”
“ก็ไม่อยากกินนี่”
หลังจากโชว์ถ้วยจาจังมย็อนให้เธอดูแล้ว เขาก็ส่ายหัวออกมา และเปิดกล่องไก่ทอด
“ฉันไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากโจ๊กทั้งวัน ตอนนี้ฉันเบื่อจะตายอยู่แล้ว”
“อย่างน้อยนายก็ช่วยคิดถึงคนที่ซื้อมันมาให้ แล้วลองเปิดดูหน่อยไม่ได้หรอ?”
“ไม่ล่ะ แค่เห็นมันฉันก็อยากจะโยนทิ้งไปอยู่แล้ว”
“…ให้ตายสิ ถ้างั้นฉันก็ไม่น่าซื้อมันมาเลย”
คิมฮันนาห์ได้บ่นสั้นๆ ก่อนจะมองไปรอบๆห้อง และเบิกตากว้างขึ้นมา
มีถ้วยเปล่าวางซ้อนเรียงกันสูงเป็นชั้นๆ เหมือนกับตามร้านอาหารจีนที่เห็นได้บ่อยๆ
ถ้วยจาจังมย็อนสองถ้วย จับปงสี่ถ้วย ข้ามผัดสี่ถ้วย แล้วก็หมูหมักซอสอีกหนึ่งถ้วย
คิมฮันนาห์ได้นับดูทีล่ะถ้วยด้วยสีหน้าตกใจ เมื่อเห็นซอลจีฮูยังกัดไก่ถอดอยู่อีก เธอก็ยิ่งตกใจกว่าเดิม
“เฮ้… นายกินทั้งหมดนี่คนเดียวเลย?”
“หืม? โอ้ ก็ใช่สิ”
“บ้าอะไรเนี้ย… ท้องนายรับไหวหรอ?”
“สบายอยู่แล้ว”
ซอลจีฮูได้พูดขึ้นทั้งๆที่กัดไก่ทอดอยู่ และคิมฮันนาห์ก็กลืนน้ำลายออกมา
“อะไรกัน… แต่ว่าเขายังไม่ได้เป็นผู้บริหารแห่งความตะกละเลยนะ… นี่มันแปลกเกินไปแล้ว เทพธิดานั่น เธอทำตราประทับไว้กับนายแล้วหรอ?”
“ตราประทับ?’
ซอลจีฮูที่ไม่รู้ว่าคิมฮันนาห์กำลังพูดเรื่องอะไรก็กัดไก่ของเขาต่อไป
เมื่อเห็นชายหนุ่มทุ่มเทไปกับการกินขนาดนี้ คิมฮันนาห์ก็ถอนหายใจ และนั่งลงข้างๆเขา เธอเป็นกังวลว่าเขาอาจจะมีอาการบาดเจ็บทางใจหลังสงคราม…
แต่ว่าตัดสินจากการกินขาไก่ของเขาแล้ว มันก็คงยากที่จะเชื่อว่าเขาเป็นคนๆเดียวกันที่เพิ่งจะรอดมาจากสงครามที่น่ากลัว
“นายสภาพดีกว่าที่ฉันคิดอีกนะ”
“?”
“ฉันคิดว่านายจะอยู่นิ่งๆเหมือนกับเครื่องหมดพลังซะอีก”
ซอลจีฮูได้หัวเราะออกมาพร้อมกับกินต่อไป สิ่งที่คิมฮันนาห์อธิบายก็เกือบจะเป็นจริง แต่ว่าเขาได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงขึ้นมา เพราะแบบนั้นมันจึงทำให้ความอยากอาหารของเขากลับมาเป็นปกติ
“อ่า แล้วเรื่องที่ฉันขอไปล่ะ?”
“ฉันเอามาด้วย แต่ว่า…”
คิมฮันนาห์ได้เหลือบมองไปที่กระเป๋าสะพายของเธอ
“มีอะไรงั้นหรอ?”
“หมายความว่าไง?”
“นายบอกว่านายจะทำมันด้วยตัวเอง จำครั้งก่อนได้ไหม? นายปิดประตูใส่ฉันหลังจากที่ฉันบอกให้นายทำอะไรสักอย่าง”
“ก็ไม่นี่ ฉันบอกว่าฉันจะรับความช่วยเหลือจากเธอต่อไป”
คิมฮันนาห์ได้แต่ยิ้มแห้งๆกับคำพูดของซอลจีฮู พวกเขาไม่ค่อยเหมือนกันอยู่แล้ว จากมุมมองของคิมฮันนาห์ ซอลจีฮูเป็นคนที่เข้าใจได้ยาก
เขาเป็นคนที่เปล่งประกายเจิดจ้าในพาราไดซ์ แต่แล้วจู่ๆก็กลับกลายมาเป็นแปลกๆในตอนที่กลับมาที่โลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความสัมพันธ์ของครอบครัว เขากลับไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิด เธอได้เห็นเขาขุดหลุมฝังตัวเองมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว
เพราะแบบนี้เธอถึงได้บอกว่าเธอจะจัดการดูแลเรื่องความสัมพันธ์ของครอบครัวเขาให้ในฐานะของผู้พิทักษ์เอง แต่ว่าจู่ๆซอลจีฮูก็ได้ขอยกเลิกข้อตกลงนี้อย่างกระทันหัน
เขาบอกว่าเขาจะจัดการมันด้วยตัวเอง และเธอก็แค่ต้องให้ข้อมูลที่จำเป็นกับเขา
คิมฮันนาห์ก็ค่อนข้างจะสงสัยในตอนที่เธอได้ยินเขาขอข้อมูลอย่างใจเย็น แต่ว่าในตอนนี้…
‘เขาเปลี่ยนไปอีกแล้ว’
เธอรู้สึกได้ว่าเขาเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยในตอนที่งานจัดเลี้ยงจบลง แต่ว่าหลังจากสงครามคราวนี้ เขาได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
หากว่ามีซอลจีฮูสองคน หนึ่งคือคนในพาราไดซ์ และอีกคนคือคนในโลก มันก็เหมือนกับว่าซอลจีฮูในพาราไดซ์ได้เข้ามาซ้อนทับกับซอลจีฮูบนโลกแล้ว
เธอไม่มั่นใจว่านี่เป็นเรื่องดีหรือเรื่องแย่… แต่หากว่าพรสวรรค์ในฐานะนักแก้ปัญหาของเขาถูกเอามาใช้ที่โลกด้วย ถ้างั้นเธอก็รู้สึกได้ว่าเขาจะต้องหาทางออกของความสัมพันธ์ของครอบครัวที่น่าหนักใจนี้ได้แน่
บทที่ 189 – ก้าวก่าย
หลังจากจัดระเบียบความคิดเสร็จแล้ว คิมฮันนาห์ก็ได้หยิบเอาซองกระดาษออกมาจากกระเป๋า
“เอาเถอะ ลองดูแล้วกัน ฉันจะช่วยสนับสนุนนายเอง”
แน่นอนว่าเธอก็ยังไม่ลืมที่จะพูดถึงสิ่งที่เธอกังวล
“ฉันเข้าเรื่องสัญญาจ้าง กับวงเงินเบิกเกินบัญชีนะ แต่ว่านายจะต้องการเมนูในโรงอาหารของบริษัทไปทำไมกัน?”
“ฉันคิดว่าฉันจะต้องใช้น่ะ”
ซอลจีฮูที่กินไก่จดหมดกล่องแล้ว ได้รับเอาซองเอกสารมา
“พี่ชายของผมเป็นคนที่ละเอียดอ่อนที่สุดในครอบครัวแล้ว พี่อาจจะสงสัยในทุกๆเรื่อง เพราะงั้นเขาจะต้องถามคำถามยากๆกับผมแน่ ผมแทบจะรับประกันมันได้เลย”
“โอ้ งั้นหรอ?”
หลังจากฟังซอลจีฮูพูดอย่างตั้งใจแล้ว คิมฮันนาห์ก็ได้แนะนำแผน โดยบอกว่านี่เป็นวิธีที่คนในบริษัทใช้กันเป็นปกติ ซอลจีฮูได้เม้มปากขึ้นมา
“ฉันไม่รู้สิว่าฉันต้องทำถึงขนาดนั้น”
“นายบอกว่าพี่ชายนายเป็นคนละเอียดอ่อนไม่ใช่หรอ?”
“ก็ใช่ แต่ว่า….”
“”คนแบบนั้นจะไม่หยุดแค่ได้รับกระดาษข้อมูลไม่กี่แผ่นกับข้อมูลที่เตรียมเอาไว้ง่ายๆหรอกนะ นายจะต้องสร้างสถานการณ์ขึ้นมา มีคนจากบริษัทที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้อยู่ เพราะงั้นแค่ลองคุยกับเขาดู”
วอลจีฮูรู้สึกไม่ค่อยจะเต็มใจในตอนแรก แต่แล้วก็หยักหน้าออกมาเมื่อคิมฮันนาห์ยังยืนกราน
“ก็ได้ ฉันจะลองดู ขอบคุณมากนะ!”
“ยอดเยี่ยม เตรียมการเสร็จแล้วก็บอกฉันนะ จนกว่าจะถึงตอนนั้นก็พักผ่อนซะ”
คิมฮันนาห์ได้ปัดก้นและลุกขึ้นยืน ซอลจีฮูได้แต่มองขึ้นไปอย่างไม่เข้าใจ
“เธอกำลังจะไปแล้ว?”
“ก็แน่สิ ช่วงนี้ฉันค่อนข้างจะยุ่งน่ะ?”
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นงั้นหรอ?”
“ก็ใช่สิ”
คิมฮันนาห์ได้ยิ้มออกมา
“นายไม่ได้รู้เรื่องกลางเดือนกันยายนใช่ไหม?”
“กลางเดือนกันยา?”
เมื่อรับรู้ว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องไขพื้นที่เป็นกลาง เขาก็ร้องอ่อออกมา พอดูวันที่แล้ว ตอนนี้มันก็คือกลางเดือนตุลาคม
“เดือนตุลาคมแล้ว…? คราวนี้มีกี่คนล่ะ?”
“อย่าไปพูดถึงมันเลย สถานที่ที่เต็มไปด้วยพวกเด็กใหม่ มีเด็กๆทุกประเภทจะเข้ามาแข่งขันกัน เอาเถอะนะ พวกเราก็คาดหวังกับเรื่อนี้มากเพราะว่าจำนวนของชาวโลกที่ใช้งานได้เพิ่งงจะลดลงไปเมื่อหกเดือนก่อน”
คิมฮันนาห์ได้เลียริมฝีปากพร้อมยกกระเป๋าถือขึ้น
“ยังไงก็ตาม หากว่าเดือนกันยายนมันเป็นแบบนี้ ฉันก็ไม่อยากจะคิดเลยว่าเดือนมีนาคมหน้าจะเป็นยังไง…”
“เดือนมีนาคมหน้า?”
“อ่อ ก็พวกนายหน้าเดือนกันยายนไม่ค่อยมีเวลาไปทำหน้าที่ก็เพราะสงครามที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันไง พวกเราได้คัดเลือกคนที่ทำได้มาแล้ว แต่ว่าเรายังได้ไม่ถึงโควต้าเลย แล้วก็เพราะเรารีบกันแบบนี้ก็เลยทำให้มาตราฐานต่ำลงอีกด้วย หรือก็คือเราจะมีเวลาอีกมากกว่าจะไปถึงเดือนมีนาคมหน้า”
เธอกำลังบอกว่ามีเวลามากขึ้นในการหาผู้คน และการมีเวลาเพิ่มขึ้นก็จะทำให้มีโอกาสได้เจอเข้ากับคนที่มีความสามารถได้อีกด้วย
“ยังไงก็ตาม องค์กรที่จะรับหน้าที่ดูแลในเดือนกลางเดือนมีนาคมของปีหน้าก็แจ็คพ็อตเลยล่ะ แค่คิดมันก็ทำให้ฉันอิจฉาขึ้นมาแล้ว”
‘แจ็คพ็อต?’
ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา
“เดี๋ยวก่อนนะ ฉันไม่เห็นเข้าใจเลย ฉันจำได้ว่าต้องใช้คะแนนคุณูปการในการเปิดใช้งานเขตพื้นที่เป็นกลางนี่ การรับหน้าที่ดูแลมันมีผลประโยชน์อยู่งั้นหรอ?”
“โอ้ นี่นายกำลังถามแบบนี้จริงดิ!?”
คิมฮันนาห์ดูจะตกตะลึงมาก
“ก็แน่นอนสิ! หากว่าไม่มีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยว จะมีองค์กรไหนกันที่จะยอมคายคะแนนคุณูปการที่หาได้ยากออกมา”
“แล้วพวกเขาจะได้อะไรเป็นโบนัสเล็กๆกันล่ะ?”
“โบนัสเล็กๆงั้นหรอ? คิดให้กว้างหน่อยสิ เหตุผลที่ว่าทำไมทุกๆคนถึงได้วิ่งเต้นที่จะรับหน้าที่นั้น นอกไปจากนี้นายก็จะยิ่งเก็บคะแนนคุณูปการคืนมาได้ตามจำนวนคนเข้าร่วมที่มากขึ้นอีกด้วย”
เมื่อคิมฮันนาห์ได้เริ่มร่ายยาวถึงผลประโยชน์จากการเป็นเจ้าภาพของเขตพื้นที่เป็นกลาง หัวข้อนี้ก็ได้ดึงความสนใจของเขาไปในทันที
“แล้วเธอจะเป็นเจ้าภาพเขตพื้นที่เป็นกลางได้ยังไงกันล่ะ?”
“นายจะต้องเติมเต็มเงื่อนไขบางอย่าง แต่ว่าสุดท้ายแล้วมันก็จะต้องประมูลกันที่วิหาร ทำไมล่ะ? นายสนใจงั้นหรอ?”
เมื่อซอลจีฮูได้หยักหน้ายืนยันออกมา คิมฮันนาห์ก็ยิ้มขึ้น
“น่าเสียดายนะ องค์กรที่จะรับหน้าที่ดูแลเขตพื้นที่เป็นกลางในเดือนมีนาคมได้ถูกตัดสินใจเอาไว้แล้ว แต่นั่นก็ต่อเมื่อองค์กรนั้นสนใจแหละนะ”
“โอ้ จริงหรอ? แล้วองค์กรไหนหรอ?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ คิมฮันนาห์ก็จ้องไปที่ซอลจีฮู
“อืมม ใครกันนะ?”
จากนั้นเธอก็ขยิบตาให้เขา ก่อนที่จะหันหน้าไป และบอกกับเขาว่า “ลองตั้งใจคิดดูสิ”
“ฉันไปล่ะ นายไม่ต้องส่งก็ได้”
แกร๊ก เสียงประตูถูกปิดได้ดังออกมา ซอลจีฮูก็ได้แต่ใช้หลังมือเช็ดปากของเขา
‘เธอคนนี้เจริญรอยตามเทพธิดากู่ลางั้นหรอ?’
ทำไมเธอไม่พูดชัดๆออกมาเลยล่ะ?
หลังจากบ่นกับตัวเองเงียบๆแล้ว เขาก็หันกลับมาสนใจซองกระดาษที่คิมฮันนาห์เอามาให้ เธอได้ทำหน้าที่เป็นอย่างดีทำให้ข้อมูลที่เขาต้องการทั้งหมดอยู่ข้างในนั้น
ซอลจีฮูได้เอนหลังพิงกำแพง จากนั้นก็ค่อยๆตรวจสอบบัตรพนักงานที่มีรูปใบหน้าของเขาแปะอยู่ จากนั้นก็หยิบเอาเมนูอาหารขึ้นมา และเริ่มจดจำมันเอาไว้
***
เขาคิดว่าคิมฮันนาห์จะใช้เวลาหลายวัน แต่ว่าเธอกลับติดต่อมาหาเขาในวันต่อมาเลย ซอลจีฮูได้ใช้เวลาอีกวันหนึ่งเพื่อเตรียมตัวเอง ก่อนที่จะติดต่อเธอกลับไป
หลังจากคุยกันซักพักแล้ว ในที่สุดเขาก็ได้นัดแนะกันสำเร็จ พวกเขาได้ตัดสินใจที่จะไปเจอกันที่ร้านกาแฟตรงหน้าสำนักงานใหญ่ซินยองที่อยู่ใกล้ๆสถานีรถไฟ
กริ๋ง! ซอลจีฮูได้มาถึงก่อนเวลานัด 20 นาที เขาได้เปิดประตูออกไป และมองไปรอบๆ
ด้วยทำเลที่ตั้งนี้ทำให้มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการอยู่มากมาย แต่ว่าอาจจะเพราะเลยช่วงพักเที่ยงไปแล้ว ทำให้ยังพอมีเหลือที่นั่งดีๆอยู่
‘พี่ยังมาไม่ถึงสินะ?’
บัตรพนักงานของเขาถูกห้อยเอาไว้ที่คอ และเขากำลังใส่ชุดสูทยับๆอยู่ ยิ่งบวกกับท่าทางถือกระเป๋าสีดำวางลงบนโต๊ะ มันทำให้เขาเหมือนกับพนักงานบริษัท
ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ?
กริ๋ง! ขณะที่ซอลจีฮูกำลังนั่งรอพร้อมกับแก้วกาแฟดำตรงหน้าสองแก้ว ประตูก็ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง
ชายรูปหล่อที่สวมชุดกันหนาวได้เดินตรงเข้ามา ซอลจีฮูได้ยืนขึ้นทันที
“พี่”
เมื่อเขายกมือขึ้นและเรียกออกไป ซอลวูซอกก็หยุดลง จากนั้นเขาก็ได้เดินตรงมาหาซอลจีฮู
“นาย…”
เมื่อเขาได้เหลือบมองชายหนุ่ม เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
“สูทนั่นมันอะไรกัน?”
เมื่อซอลจีฮูเอียงหัวออกมาอย่างไม่เข้าใจ ซอลวูซอกก็ถอนหายใจยาว
“ฉันรู้นะว่านายอยู่คนเดียว แต่อย่างน้อยก็รีดเสื้อหน่อยสิ หากว่าพนักงานใหม่ที่เพิ่งทำงานแต่งตัวแบบนี้ พนักงานอาวุโสจะมองนายไม่ดีเอานะ”
“โอ้… อืม ช่วงนี้ผมค่อนข้างยุ่งน่ะ…”
ซอลจีฮูได้หัวเราะแห้งๆออกมา
ซอลวูซอกได้แค่นเสียงขึ้น จากนั้นก็ขยับแก้วกาแฟตรงหน้าไปข้างๆ ก่อนจะนั่งลง
เมื่อซอลจีฮูได้นั่งลงไปด้วยเช่นกัน ซอลวูซอกก็พูดขึ้น
“ฉันได้ยินมาเมื่อวานนี้… แต่ว่ามันจริงหรอ? นายทำงานในซินยองจริงๆดิ?”
ซอลจีฮูได้ส่งนามบัตรออกไป ซอลวูซอกได้มองมันอย่างตั้งใจ จากนั้นก็พึมพำออกมาพร้อมกับหยักหน้า
“เอาเถอะ… ยังไงนายก็จบมาจากมหาวิลัยซูยองด้วยเกรดนิยมนี่นะ…”
จากนั้นจู่ๆเขาก็ถามออกมา
“แล้วกินข้าวเที่ยงยังล่ะ?”
“กินแล้วครับ ที่โรงอาหารของบริษัท”
“กินอะไรล่ะ?”
“ซัมกเยทัง”
ในเมื่อซอลจีฮูได้รู้เมนูอาหารทั้งหมดของโรงอาหารอยู่แล้ว ทำให้เขาตอบได้โดยไม่ลังเลเลยสักนิด เมื่อเห็นแววตาเป็นประกายของซอลวูซอก เขาก็แอบยิ้มขมขื่นอยู่ภายในใจ
‘ฉันว่าแล้ว’
ซอลวูซอกเป็นเหมือนกับแอ็กเนสในเวอร์ชั่นผู้ชาย มันชัดเจนว่าเขาไม่ใช่คนที่จะล้อเล่นด้วยได้ง่ายๆ แม้กระทั่งตอนนี้เขาก็น่าจะกำลังวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดที่ได้มาจากคำพูดของซอลจีฮูอยู่
แต่ว่าก็ไม่มีใครจะไปว่าซอลวูซอกได้ ยังไงมันก็เป็นเพราะตัวซอลจีฮูเองที่ทำให้ซอลวูซอกหมดความไว้ใจ
ซอลวูซอกได้จ้องเขม็งมาที่บัตรพนักงานของวอลจีฮู จากนั้นก็วางนามบัตรลง
“นายบอกว่านายจ่ายเงินกู้เกินบัญชีแล้วใช่ไหม?”
“ใช่ครับ นี่ไง”
ซอลจีฮูได้โชว์บัญชีเงินฝากกับบัญชีธนาคารที่ถูกฝากเงินเอาไว้ทุกๆเดือนออกไป
ซอลวูซอกได้ใช้เวลาตรวจดูบัญชีอยู่สักพัก หลังจากผ่านไปหลายสิบนาที ซอลวูซอกก็ดันแว่นขึ้น
“นายจ่ายคืนไปเยอะเลยนะ”
“ผมได้ทุ่มเงินเดือนเกือบทั้งหมดไปกับการใช้นี้ เหลือไว้ก็แค่เงินส่วนน้อยที่ต้องเอาไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน”
“เงินเดือนนายสูงกว่าที่ฉันคิดอีกนะ ไม่ใช่ว่านายเพิ่งจะเข้าซินยองปีนี้หรอกหรอ?”
“ก็คือว่า ซินยองเป็นที่ที่มีสวัสดิการให้กับพนักงานเป็นอย่างดี ผมได้เงินมาจากการทำงานล่วงเวลา ทำงานวันหยุดพิเศษ แล้วก็งานอะไรก็ได้ที่ผมทำได้ พวกเขาถึงขนาดบอกให้ผมหยุดทำงานล่วงเวลาเลยนะ ฮ่าฮ่า”
หลังจากพูดแบบนั้นไปแล้ว…
“พี่”
ซอลจีฮูได้ประสานนิ้วเข้าด้วยกัน
“ผมไม่ได้ได้เงินมาจากการพนันจริงๆ ผมทำงานอย่างสุจริต และซื่อตรง”
มันไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้สึกผิดที่โกหกเรื่องการทำงานให้ซินยอง แต่ว่าเขาภูมิใจที่จะบอกว่าเขาได้ทำงานอย่างสุจริตและซื่อตรง
“หืม…”
ซอลวูซอกได้หลับตาลงราวกับกำลังใช้ความคิดอยู่
จากนั้น คนที่นั่งมองคู่พี่น้องอยู่ข้างๆด้วยความสนใจก็แอบลุกขึ้นเดินจากไป
และไม่นานนักประตูก็ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับหญิงสาวที่เดินเข้ามา
เธออยู่ในชุดเดรสแขนกุดสีขาวแสดงให้เห็นถึงรูปร่างสมส่วนของเธอ เสื้อโค้ทบางๆสีเทา และรองเท้าส้นสูง
ผู้หญิงคนนี้ได้เดินเข้ามาอย่างสง่างาม และโบกมือให้กับซอลจีฮู เขาเผลอคิดไปว่า ‘นั่นใครน่ะ?’ แต่แล้วจากนั้นก็นึกขึ้นได้ถึงตัวช่วยที่คิมฮันนาห์เคยพูดถึงเอาไว้
นอกจากนั้นแล้วหญิงสาวคนนี้ก็ได้สบตากับเขาในทันที เธอสวยมากจริงๆ
ผิวของเธอขาวราวกับหิมะ ผมยาวของเธอดำยาวพริ้วไสว เธอก็ยังสูงมากพอที่จะเป็นนางแบบได้เลย และไม่ว่าใครที่มองเธอแว๊บแรกก็สามารถจะบอกได้เลยในทันทีว่าเธอได้ใส่ใจดูแลรูปร่างเป็นอย่างดี
หากจะเรียกเธอว่าเป็นตัวแทนความงามในอุดมคติก็คงจะไม่ผิดนัก เธอได้รายล้อมไปด้วยบรรยากาศสบายๆ เหมือนกับลมเย็นในฤดูใบไม้ผลิ…
ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เธอคือผู้หญิงประเภทที่ซอลจีฮูจะโผเข้าหาโดยไม่ลังเลเลยสักนิด
แต่ว่าเมื่อหญิงสาวคนนี้ลดมือลง ซอลจีฮูก็รู้สึกเหมือนกับมีอะไรบางอย่างดับลงไป ขณะที่เขาคิดว่าหัวหน้าแผนกจะปรากฏตัว แต่แล้วเขาก็ทิ้งความคิดนี้ไปเพราะว่าเธอยังเด็กเกินไป
‘พอมาคิดดูแล้ว เธอก็ดูเหมือนกับคุณยุนซอราเลยนะ…’
“คุณจีฮู?”
ในตอนนั้นเองหญิงสาวก็ได้เรียกชื่อเขา และเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มสดใส ซอลวูซอกได้เบิกตากว้าง และหันไปมอง
“คุณอยู่นี่เอง….”
เมื่อเธอได้สบตากับวูซอก เธอก็เบิกตากว้างขึ้น และชะงักเท้าเอาไว้
“โอ้ คุณกำลังคุยกับคนอื่นอยู่
“อ่อ ครับ”
“แล้วนี่คือ…?”
เขาไม่ค่อยมันใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าเขาได้ตัดสินใจเล่นตามน้ำ และลุกขึ้นยืน
หลังจากมองสลับไปมาระหว่างสองคน ซอลวูซอกก็ลุกขึ้นเช่นกัน
“ยินดีที่ได้รู้จัก ผมเป็นพี่ชายของจีฮู”
เมื่อเขาได้ทักทายออกไปด้วยน้ำเสียงสุขุม หญิงสาวก็อุทานขึ้นอย่างประหลาดใจ
“อ่า! อ่อ~ เข้าใจแล้ว ฉันติดว่า… อ่า ฉัน-“
เมื่อหญิงสาวได้เปิดกระเป๋าถือใบเล็กๆ ซอลวูซอกก็ล้วงมือลงไปในกระเป๋าสตางค์ที่ราวกับว่าเขาคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้ หลังจากทั้งคู่แลกนามบัตรกันแล้ว ต่างก็มีปฏิกิริยาคล้ายๆกัน
จะมีความแตกต่างก็คือความตกตะลึงที่ต่างกันไป
ดวงตาของซอลวูซอกได้เบิกกว้างเป็นวงกลม แต่ว่าหญิงสาวก็แค่ยิ้มออกมาโดยไม่เปลี่ยนแปลง
“คุณทำงานที่ศูนย์วิจัยแฮซอลนี่เองสินะ?”
ซอลวูซอกดูจะผงะไป แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว หญิงสาวได้เก็บนามบัตรลงไปในกระเป๋า และยิ้มสดใสออกมา
“ถ้างั้นคุณก็น่าจะรู้จักฉัน”
“ผมเคย… ได้ยินชื่อของคุณ”
“เหมือนกันเลย ว้าว โลกมันกลมจังเลยเนอะ! หัวหน้าซอลจากสถาบันวิจัยแฮซอลเป็นพี่ชายของจีฮูนี่เอง”
ซอลจีฮูค่อยๆเริ่มสนใจมากยิ่งขึ้นเมื่อเห็นหญิงสาวกับพี่ชายของเขาคุยเหมือนกับคนรู้จักกัน
“ฉันก็สงสัยอยู่เลยว่าเขาไปหลงใหลการทำงานขนาดนี้มาได้ยังไงกัน ตอนนี้ฉันก็รู้แล้วล่ะ”
“คุณชมผมเกินไปแล้ว ผมควรจะขอบคุณคุณที่ช่วยดูแลน้องชายงี่เง่าของผมให้”
“งี่เง่า? น่าขำจังเลยนะ”
หญิงสาวได้ส่งเสียงดังขึ้นมาเล็กน้อย
“ฉันคิดว่าการจ้างคุณจีฮูเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เราทำในปีนี้เลยล่ะ”
เธอกำลังยกย่องเขาให้มากที่สุด
ด้วยความที่รู้ว่าเธอคนนี้เป็นใคร ยิ่งทำให้ซอลวูซอกตกตะลึงขึ้นไปอีก
หญิงสาวได้ก้าวเข้ามาใกล้ซอลจีฮูที่กำลังสับสน และจับมือแขนเขาไว้เบาๆ
“สิ่งที่เขาทำให้เราเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก เขามีบทบาทสำคัญที่ทำให้การเจรจาโครงการใหญ่สำเร็จได้”
“จริงหรอครับ?”
“ใช่แล้วล่ะ โครงการนี้เกือบจะถูกยกเลิกไปแล้วหลายครั้ง แต่ว่าเขาก็วิ่งออกมาบอกว่าเขาจะทำอะไรซักอย่างเอง แล้วดูสิ เขาทำมันได้จริงๆ? พอเขาบอกว่าเขาตกลงงานสำเร็จแล้ว พวกเราต่างก็ทึ่งกันหมดเลยล่ะ”
ซอลวูซอกได้มองซอลจีฮูด้วยสีหน้าตกใจ
ซอลจีฮูได้แต่ยิ้มแห้งๆออกมา
ถ้าหากว่าโครงการใหญ่นั่นหมายถึงสงคราม และความสำเร็จหมายถึงการฆ่าผู้บัญชาการกองทัพ เธอก็ไม่ได้พูดผิดเลย
“เขาเป็นสมบัติล้ำค่าของบริษัทเรา จริงๆนะ”
หญิงสาวที่กำลังหัวเราะคิกคักได้เกี่ยวแขนของซอลจีฮู จากนั้นก็เอียงหัวออกมา
“แต่ว่าคุณจีฮู มันหมดช่วงเวลาพักเที่ยงแล้วนะ คุณมั่นใจว่ายังจะมาเที่ยวเล่นอยู่แถวนี้อีกหรอ?”
“เอ่อ”
เมื่อเห็นซอลจีฮูพูดไม่ออก หญิงสาวก็หัวเราะขึ้นอีกครั้ง
“ฉันแค่ล้อเล่นเอง คุณเพิ่งจะทำข้อตกลงใหญ่ได้สำเร็จ แน่นอนอยู่แล้วว่าคุณพักได้!”
“ไม่ ไม่ครับ ผมจะรีบกลับไป”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ฉันก็กำลังจะไปซาวน่าเหมือนกัน”
จากนั้นจู่ๆเธอก็เปลี่ยนเรื่องขึ้นมา
“โอ้ คุณอยากจะไปกินอาหารเย็นกันหลังเลิกงานไหมล่ะ? ฉันรู้จักร้านซูชิดีๆด้วยนะ”
“ว่าไงนะครับ”
“แค่ล้อเล่นน่ะ ซัมกเยทังที่เรากินไปตอนกลางวันสองถ้วยยังทำให้ฉันแน่นท้องอยู่เลย”
จากนั้นหญิงสาวก็หันไปยิ้มให้กับซอลวูซอก และเมื่อดูจากความตลกของคู่พี่น้องนี้ทำให้เธออยากจะแกล้งพวกเขาอีก
ซอลวูซอกได้หัวเราะออกมา แต่ว่ามันก็ยังชัดเจนว่าเขาสับสนอยู่ แววตาของเขาสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำว่าซัมกเยทัง
“อ่า~ ขอโทษที่รบกวนทั้งสองคนด้วยนะ”
หญิงสาวยังคงหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็แตะบ่าซอลจีฮู
“วันนี้กลับบ้านก่อนก็ได้ ฉันจะบอกผู้จัดการคิมให้เอง”
“แต่ว่า-“
“ไม่เอาสิ กลับไปกินอาหารเย็นกับครอบครัวคุณเถอะ คงไม่ได้เจอกันมานานแล้วใช่ไหมล่ะ คุณจะทำงานล่วงเวลาไปทุกวันเลยงั้นหรอ?”
จากนั้นหญิงสาวก็โค้งให้กับซอลวูซอกเล็กน้อยด้วยรอยยิ้ม และออกไปจากร้านกาแฟ
ทันทีที่เสียงกระดิ่งดังขึ้นอีกครั้ง ซอลวูซอกก็ถอนหายใจยาวที่กลั้นเอาไว้
“ฟู่ววว…”
เขาได้ลูบหน้าผากและทิ้งตัวลงไปบนเก้าอี้ จากนั้นเขาก็ถามชายหนุ่มทั้งๆที่ยังคงมองไปที่ประตูอยู่
“นาย… เกิดอะไรขึ้นกัน?”
ตอนที่ 190
บทที่ 190 – ก้าวก่าย (2)
“อะไรหรอครับ?”
“มันก็แค่… ทำไมคนแบบเธอถึง…”
ซอลวูซอกดูจะสับสนมากจนพูดออกมาไม่เป็นประโยคเลย เขาได้เริ่มพึมพำว่าทั้งหมดนี่เป็นเพียงความฝัน และไม่ได้เกิดขึ้นจริง
‘ทำไมพี่ถึงตกใจแบบนี้ล่ะ?’
“ไม่น่าเชื่อ มันไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ! สมาชิกคณะกรรมการผู้บริหารกลับสนใจในตัวพนักงานธรรมดา… ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเธอเป็นสมาชิกครอบครัวของเจ้าของธุรกิจจอีกด้วย เกิดเรื่องอะไขึ้นถึงได้ทำให้เธอคนนี้สนิทกับนายกันล่ะ? ฉันเกือบจะเผลอคิดไปว่าเธอเป็นแฟนของนาย”
ซอลจีฮูได้ชะงักไป
‘สมาชิกคณะกรรมการผู้บริหาร?’
เขาได้ยินมาว่าหัวหน้าทีมจะมาหาพวกเขา เมื่อคิดได้ว่าเกิดเรื่องผิดปกติมากๆขึ้นมา ซอลจีฮูก็ฝืนกลืนคำถามที่เกือบจะโพล่งออกมาแล้ว
‘สมาชิกคณะกรรมการผู้บริหาร แล้วก็สมาชิกตระกูลเจ้าของธุรกิจ?’
“ผมก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน แล้วพี่ก็รู้จักเธอเหมือนกันหรอครับ?”
“ก็แน่สิ สถาบันวิจัยของเราก็ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องเภสัชภัณฑ์ หากว่านายไม่รู้จักยุนซอฮุยก็บ้าแล้ว”
“!”
ซอลจีฮูแทบจะกลั้นคำพูดที่เกือบจะหลุดออกมาไม่ไหว ในทันทีที่เขาได้ยินพูดชายพูดชื่อ ‘ยุนซอฮุย’ ขึ้นมาเขาก็เกือบจะร้องออกมาแล้ว
“ฉันไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลยจริงๆ”
นี่ก็เป็นสิ่งที่ซอลจีฮูอยากจะพูดเหมือนกัน
ซอลวูซอกได้โบกมือออกมา และในที่สุดพวกเขาก็ลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง หลังจากส่ายหัวไปมา สายตาของซอลวูซอกก็ได้ตกลงมาบนกาแฟที่ซอลจีฮูสั่งมา ซอลวูซอกได้ค่อยๆหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาหลังจากดมกลิ่นมันสักพัก เขาได้แลบลิ้นออกมา และเริ่มจิบมันลงไป
“ยังไงก็ตาม น่าโล่งใจดีนะ”
“หืม?”
“หากว่ายุนซอฮุยอยู่ข้างนาย ก็คงไม่เป็นไรแล้วล่ะ ในเมื่อฉันไม่ใช่คนของซินยอง ฉันก็ไม่ได้มั่นใจอะไรมากหรอก แต่ว่าฉันกล้ารับประกันเลยว่านายคงไม่มีปัญหาเรื่องหน้าที่การงานแน่”
ซอลจีฮูได้อ้าปากขึ้นมาเล็กน้อย
“พี่เชื่อผมหรอครับ?”
“…ฉันต้องเชื่อ”
ซอลวูซอกได้พูดต่อพร้อมทั้งเหลือบไปมองทางที่ยุนซอฮุยเดินจากไป ซอลจีฮูไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ว่าเขากำลังคิดว่ามันกำลังเป็นไปในแง่ดีแน่ๆ ยังไงแล้วการปรากฏตัวของยุนซอฮุยก็ได้ทำให้พี่ชายเขาเชื่อว่าเขาเป็นพนักงานของซินยองจริงๆ
“ใช่แล้วล่ะ… ฉันต้องเชื่อแต่ว่า…”
ความเงียบได้เข้าปกคลุม
หลังจากนิ่งอยู่นาน ซอลวูซอกก็ได้ขยับปากไปมาอยู่ซ้ำๆก่อนจะเริ่มพูดเบาๆ
“ฉันขอพูดตรงๆได้ไหม?”
ซอลจีฮูได้แสดงท่าทีเงียบๆออกมา โดยที่เขารับรู้ว่าสิ่งที่จะตามมาก็คือคำพูดที่น่าขมขื่น
“ตอนนี้ครอบครัวของเราใช้ชีวิตกันอยู่โดยไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไรแล้ว”
ซอลวูซอกได้หมุนแก้วในมือ พร้อมทั้งพูดออกมาด้วยเสียงทุ้มแต่ชัดเจน
“มันไม่ใช่ว่าเราไม่ได้มีเวลาที่ลำบากเลย แต่ว่าพวกเราใช้ชีวิตกันด้วยการพึ่งพากันและกัน และจริงๆแล้วมันก็มั่นคงกว่าแต่ก่อนมาก”
“แม่ก็เป็นห่วงเรื่องนายอยู่บ่อยๆ เพราะว่านายก็ยังเป็นลูกของแม่อยุ่ แต่ว่า…”
สำหรับคนในครอบครัวแล้ว ซอลจีฮูเป็นดาวอัปโชค หากไม่มีดาวอัปโชคนี้ พวกเขาก็จะอยู่กันอย่างมีความสุข นี่คือสิ่งที่ซอลจีฮูตีความได้จากคำพูดของพี่ชายเขา
“ฉันคิดว่าฉันเข้าใจนะว่าจินฮีรู้สึกยังไง พอไม่มีนาย ครอบครัวเราก็สงบสุขกันดี แต่ว่าพอนายกลับมา นายก็เอาปัญหาแล้วก็ความวุ่นวายมาด้วย”
นี่มันคือความเป็นจริงที่เขาปฏิเสธไม่ได้เลย เขาไม่จะรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดีเท่านั้น แต่เขาก็ยังเป็นต้นตอของปัญหาอีกด้วย
“เอาเถอนะ นั่นมันก็แค่ในมุมมองของครอบครัวเรา รวมไปถึงฉันเองด้วย จากมุมมองของนาย… ดูจากที่นายมาเจอฉันในวันนี้ ฉันก็รู้สึกว่าในวันนั้นนายคงจะต้องผิดหวังแน่ๆ นายคงจะต้องใช้ความกล้าอย่างมากมายเพื่อมาหาเราสินะ”
“มะ ไม่คับ มันไม่ใช่แบบนั้นเลย”
ซอลจีฮูกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็ต้องหยุดลงเมื่อเห็นซอลวูซอกยกมือขึ้น
“แน่นอนว่า นายก็ผิดเหมือนกัน นายก็รู้ถึงนิสัยของพ่อดีกว่าใครไม่ใช่หรอ?”
“…ใช่ครับ”
“แล้วนายยังจำที่พ่อพูดได้ไหม?”
ซอลจีฮูได้แสดงสีหน้าขมขื่นออกมา เขาจะไปลืมได้ยังไงกัน?
[แกมันไอ้ลูกสารเลวไร้ยางอาย! แกคิดว่าปัญหามันเป็นเรื่องเงินงั้นหรอ? แกคิดว่าหลังจากโยนซองเงินไว้โดยไม่อธิบายอะไรเลยสักนิด มันจะจบเรื่องได้งั้นหรอ?]
“พ่อเป็นคนใจร้อน แต่ว่าฉันก็เข้าใจดีว่าทำไมพ่อถึงโกรธ หลังจากที่ได้เห็นทุกๆอย่างในวันนี้ด้วยตาตัวเองแล้ว ฉันก็พอจะเข้าใจมุมมองของนายได้อยู่ แต่ว่าในตอนนั้นพวกเราไม่ได้มีอะไรมายึดเหนี่ยวให้เชื่อในตัวนายเลย”
“ไม่ว่าฉันจะคิดในแง่ดียังไง สิ่งที่นายทำมันก็หยาบคายมาก ไม่ว่านายจะยุ่งแค่ไหน อย่างน้อยนายก็ควรจะหาเวลาโทรมาก็ได้”
“หรือว่านายคิดว่าเรายังยื้อนายไว้ แล้วยังติดต่อกลับไป เหมือนเมื่อก่อนงั้นหรอ?”
ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา
ซอลวูซอกพูดถูก มันไม่มีอะไรให้แก้ตัวเลย เขาเป็นคนที่ขอให้อีกฝ่ายให้อภัย และจะให้อภัยหรือไม่ก็เป็นครอบครัวของเขาเป็นคนเลือก ไม่ว่าเขาจะมองยังไง การกระทำของเขามันก็ดูไม่เหมือนกับคนที่ต้องการขออภัยผิดเลย เหมือนอย่างคำพูดที่ว่าลูกค้าไม่ควรจะทำตัวเป็นเจ้าของ อย่างที่พอเขาพูดเลย การไปโยนเงินทิ้งไว้โดยไม่อธิบายใดๆจะทำให้ครอบครัวให้อภัยเขางั้นหรอ? เขามารู้ตัวถึงเรื่องนี้สายเกินไปแล้ว
ซอลวูซอกได้อยู่เงียบๆปล่อยให้เขาไตร่ตรองถึงสิ่งที่กระทำลงไป เขาได้เดะาลิ้นออกมา และวางแก้วพลาสติกลงไป
“เอาแบบนี้แล้วกัน”
เขาได้พูดต่อหลังจากถอนหายใจยาวออกมา
“เงินที่นายให้เรา เราจะรับมันไว้ พวกเรายังคงมีหนี้อยู่นิดหน่อย เราจะใช้เงินนี้ไปจ่ายนี้ แล้วก็ส่วนเงินที่เหลือ ฉันก็จะเอาไปฝากไว้ในบัญชีออมทรัพย์ของพ่อกับแม่ ไม่ก็ของครอบครัวแล้วกัน”
“…โอเคครับ”
ซอลจีฮูคิดว่ามันไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว
“แล้วก็”
ซอลวูซอกยังพูดไม่พอ เขายังได้ยินเสียงสูดหายใจเข้าลึกๆอีกด้วย
“หากว่านายต้องการ ฉันจะลองพยายามจัดการประชุมให้”
ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้นมา
ซอลวูซอกได้พยายามจะพูดต่ออย่างจริงใจ
“อย่าเข้าใจผิดไปนะ ซอนฮวากับแม่ ฉันไม่รู้ แต่ว่าพ่อกับจินฮีน่ะ ฉันไม่มั่นใจเลยสักนิด แต่ว่าฉันก็จะลองเอาไปพูดดู…”
เขาดูจะปวดใจ
ซอลวูซอกไม่อาจจะพูดต่อได้ และขบริมฝีปาก มีเสียงแก้วพลาสติกถูกบีบดังออกมาเล็กน้อย และได้ยินเสียงกัดฟันดังออกมาพร้อมๆกัน ท่ามกลางบรรยากาศอันหนักหน่วงบิดหัวใจ ซอลจีฮูไม่อาจจะพูดอะไรออกมาได้เลย
“คนรอบข้างมักจะบอกฉันว่า…”
ซอลวูซอกได้พูดต่อ
“ฉันมันโง่ พวกเขาบอกว่า หลังจากถูกหลอมมาเป็นสิบครั้งแล้ว ฉันยังต้องถูกทรยศถึงอีกกี่ครั้งกันถึงจะรู้ตัว”
‘ทรยศอีกกี่ครั้ง…’
เขาไม่มีข้อแก้ตัวเลย ซอลจีฮูที่ไม่มีอะไรจะพูดได้แต่มองลงไปบนโต๊ะ
“แต่ว่าเหตุผลที่ฉันมาเจอนายในวันนี้ แล้วที่ฉันพูดทั้งหมดนี้…”
น้ำเสียงของซอลวูซอกได้ค่อยๆลดเบาลงไป
“…ก็เพราะว่าฉันรู้ว่านายเป็นคนที่ดี”
ทันใดนั้นทุกๆอย่างก็กระจ่างขึ้นมา
“แล้วก็เพราะว่าฉันรู้จักตัวนายก่อนที่จะติดการพนัน นายเป็นน้องชายตัวน้อยที่ฉันภาคภูมิใจ”
“จริงสิ ในตอนที่คุณป้ากับคุณลุงจากไปเพราะอุบัติเหตุ… ในตอนที่ฉันเป็นเด็กเอาแต่ใจที่สนแต่เรื่องตัวเอง… ในตอนที่จินฮียังเด็กเกินกว่าจะรู้เรื่อง ทั้งๆที่นายยังเด็กอยู่มาก นายกลับก้าวออกมาดูแลซอนฮวากับซึงเฮ ค่อยๆโน้มน้าวเราว่าอย่างไปทำให้ทั้งคู่รู้สึกไม่สบายใจ แล้วก็ทำให้ครอบครัวของเรามีความสุขและเสียงหัวเราะ…”
ซอลวูซอกได้หยุดพูด และค่อยๆหลับตาลง
ซอลจีฮูในวัยเด็กเป็นคนแบบนั้น
ถูกแล้ว มันเคยมีช่วงเวลาแบบนั้นอยู่ ในตอนที่พวกเขาถูกโอบล้อมด้วยความอบอุ่นของซอลจีฮูในช่วงที่พวกเขาต้องตกอยู่ในความสับสนและเจ็บปวดจากอุบัติเหตุกระทันหัน
“เอาเถอะ ถึงความผิดของนายจะมากกว่าหน่อย… แต่ว่าตัวนายจริงๆ แล้วก็เป็นคนที่ดี”
ซอลวูซอกได้ยิ้มอย่างไร้พลังซึ่งตรงกันข้ามกับใบหน้าที่บึ้งตึง
“ทุกครั้งที่ฉันนึกถึงช่วงเวลาเหล่านั้น… ฉันก็รู้สึกอย่างจะเชื่อในตัวนายเป็นครั้งสุดท้าย…”
และทันใดนั้นเขาก็ก้มหน้าลง
“…จีฮู”
“…”
“น้องชายของฉัน”
“..ครับ”
ซอลจีฮูได้ฝืนกล้ำกลืนตอบกลับไป
“หากว่านายหลอกหลวงครอบครัว และทรยศเราอีกครั้ง…”
ซอลวูซอกได้ค่อยๆพูดออกมาทีล่ะคำ
“ถ้างั้น… ฉันก็ไม่คิดว่าฉันจะทนมันไหวอีกแล้วนะ”
และในที่สุดเขาก็เผยความรู้สึกที่แท้จริงออกมา
ในตอนนี้เองซอลจีฮูถึงได้รู้ว่าซอลวูซอกกำลังกลัวอะไร ด้วยคำพูดที่คาดไม่ถึง และสายตาที่สั่นไหวของพี่ชายเขาทำให้ใบหน้าซอลจีฮูต้องด้านชาขึ้นมา
“พี่ ผม…”
ซอลจีฮูกำลังจะพูดว่า ‘ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี ผมขอโทษ ผมจะขอให้อภัยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น-‘ ก่อนที่จู่ๆจะชะงักไป
เขาเห็นซอลวูซอกกัดฟันแน่น
เขาได้มาที่นี่ด้วยความตั้งใจที่จะถูกด่าอยู่แล้ว หากมันเป็นแบบนั้นก็คงจะดีกว่า เขาที่ไม่อาจจะเข้าใจถึงสิ่งที่พี่ชายรู้สึกในตอนคุยกันเขา ทำให้เขาทำอะไรไม่ถูกเลย
“ฉัน… เชื่อนายได้ไหม?”
“ไม่ครับ”
เพราะงั้นเขาจึงเปลี่ยนคำพูดไป
“อะไรนะ?”
ซอลวูซอกได้เบิกตากว้างขึ้นมา
“แล้วพี่ก็ไม่ต้องไปชักจูงคนอื่นๆด้วยครับ”
“นายหมายความว่ายังไง?”
วอลจีฮูได้ค่อยๆพูดขึ้นเพื่ออธิบายให้กับซอลวูซอกฟัง
“สิ่งที่ผมกำลังจะพูดก็คือ ในตอนนี้ผมไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะคาดหวังอะไร”
ซอลจีฮูสามารถจะร่างเส้นความสัมพันธ์ของเขากับครอบครัวได้อย่างชัดเจน
นั่นมันคือความสัมพันธ์ในรูปแบบเหยื่อกับผู้กระทำผิด
ต่อให้ผู้กระทำผิดจะรู้สึกเสียใจ และขอโอกาสอย่างจริงใจ แต่ว่าก็ไม่มีกฎหมายใดๆที่บังคับให้เหยื่อยอมรับในคำขอโทษนั้น ซอลจีฮูอาจจะเลิกเล่นพนัน และจ่ายเงินที่ยืมมาทั้งหมดคืนไปแล้ว แต่ว่าบาดแผลทางใจที่เขาได้สร้างขึ้นในอดีตจะไม่มีวันหายไป
ซอลจีฮูได้พูดขึ้นสีหน้าที่ไม่เคยแสดงมาก่อน
“มีวรรคหนึ่งในคัมภีย์ไบเบิล”
“คัมภีย์ไบเบิล?”
“ปฏิบัติกับคนอื่นให้เหมือนกับที่คุณอยากจะให้พวกเขาปฏิบัติกับคุณ แมธธิว 7:2”
“จู่ๆก็อะไรเนี้ย?”
“ผมรู้ดีว่าในตอนผมติดพนัน ผมได้รับการดูแลมามากพอแล้ว จริงๆแล้วมันก็เกินคำว่าพอด้วยซ้ำไป”
พ่อ แม่ พี่ น้อง ซอนฮวา และกระทั่งซึงเฮ หกคนนี้ได้พยายามที่จะช่วยเขาอย่างเต็มที่ แต่ว่าคนที่ปฏิเสธความช่วยเหลือกับเป็นซอลจีฮูเอง
“การที่จู่ๆมาขอให้ขอโอกาสอีกครั้งหรือขอให้เชื่อในตัวผม… มันก็แค่เรื่องไร้ยางอาย”
“แล้วนายคิดจะทำยังไงล่ะ?”
ซอลวูซอกได้ถามออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
“ก็ง่ายๆครับ”
ซอลจีฮูได้ตอบกลับไปโดยไม่ลังเล
“ตอนนี้มันถึงเวลาที่ผมจะต้องตอบแทนพวกเขาแล้ว”
“ตอบแทน?”
“ใช่ครับ ตอบแทน”
หากว่าครอบครัวของเขาต้องการ ซอลจีฮูก็จะขออภัยเป็นร้อยครั้ง ต่อให้มันจะต้องใช้เวลากว่าสิบปีก็ได้ เขาจะใช้ทุกวิธีจนกว่าบาดแผลใจของทุกๆคนในครอบครัวจะหายไป
“ที่นายจะบอกก็คือ-“
ซอลวูซอกได้ขอคำยืนยันออกมา
“ถ้าไม่คาดหวังอะไร ก็จะไม่ผิดหวัง”
“ครับ”
“แล้วนายก็จะตอบแทนไปเรื่อยๆ… ทำมันไปเรื่อยๆ และปล่อยให้เราเป็นคนเลือก”
“ถูกแล้วครับ”
“แล้วถ้าในท้ายที่สุดเราก็ไม่ยอมรับนายล่ะ?”
ซอลวูซอกได้พูดขึ้นตรงๆ
“ก็ไม่เป็นไรครับ”
เขาจะทำยังไงในเมื่อพวกเขาไม่ยอมรับคำขอโทษงั้นหรอ? นั่นมันก็ง่ายมาก
เขาก็จะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าครอบครัวเขาอีก ตามที่ครอบครัวเขาต้องการ นั่นคือการตอบแทนที่มากที่สุดที่เขาจะทำได้แล้ว และเขาก็ไม่อยากจะให้ครอบครัวต้องแตกแยก และความสงบสุขถูกพังลงไป เขาอยากที่จะปล่อยวางทุกๆอย่าง และรอให้ครอบครัวเป็นคนตัดสินใจ
ทั้งหมดนี้จะเป็นไปตามกฎแห่งทองคำ เพราะงั้นซอลจีฮูจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ผมจะไม่มีวันโกรธแค้นครอบครัวเด็ดขาด ผมเป็นคนที่โยนโอกาสทิ้งไปเอง และทั้งหมดเป็นความผิดที่ผมควรได้รับอยู่แล้ว”
ซอลวูซอกได้จ้องไปที่น้องชายของเขาที่ถอนหายใจออกมา เมื่อได้ยินว่าเขาจะตอบแทนพวกเขามันก็ทำให้ซอลวูซอกรู้สึกแปลกหน่อยๆ
ยังไงก็ตาม
“…นายเอาจริงหรอ?”
เขาไม่ได้โง่จนไม่เข้าใจถึงสิ่งที่ซอลจีฮูจะบอก
“นายคิดแบบนั้นจริงๆงั้นหรอ?”
ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมาเงียบๆ
ซอลวูซอกที่มองออกไปอย่างสงสัยได้ส่งเสียงแหบแห้งออกมาเบาๆ
“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว”
ใบหน้าของเขาดูจะผ่อนคลายมากขึ้นเล็กน้อย
“หากว่านายคิดแบบนั้น ถ้างั้นฉันก็จะไม่เกลี้ยกล่อมพวกเขา”
“ขอบคุณครับ!”
“แล้วการตอบแทนแรกของนายเป็นเมื่อไหร่ล่ะ?”
น้ำเสียงของเขามีกลิ่นอายความขี้เล่นเพิ่มขึ้นมา
“ในตอนที่ผมชดใช้หนี้หมดแล้ว”
ซอลจีฮูได้ยิ้มบางๆออกมา
“ผมคิดว่านั่นจะเป็นคุณสมบัติต่ำสุด”
ซอลวูซอกที่หยักหน้าจู่ๆก็ยิ้มออกมาเล็กๆ
“ตอบแทนสินะ”
เขาได้หัวเราะออกมาเบาๆ
และวางแก้วพลาสติกลงไป พร้อมยื่นมือออกมา
“ถ้างั้นก็พยายามเข้า”
ซอลจีฮูก็ค่อยๆยื่นมือออกไปเช่นกัน เขาไม่รู้เลยว่ามือของพี่ชายที่ไม่ได้จับมานานแล้วจะอบอุ่นขนาดนี้
พี่น้องได้จับมือกันอยู่สักพักหนึ่ง
***
หลังจากแยกทางกัน ซอลจีฮูก็ได้โทรหาคิมฮันนาห์ในระหว่างทางกลับบ้าน เขาอยากจะขอบคุณเธอ และถามอะไรเธอสักหน่อย แต่ว่าเขาก็ได้ยินแต่เสียงรอสายเท่านั้นเอง ไม่ว่าเขาจะรอนานแค่ไหน ก็ไม่มีการตอบรับกลับมา
เขาไม่คิดว่าคิมฮันนาห์จะเป็นคนวางแผนสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ มันดูจะมีความเป็นไปได้สูงว่ายุนซอฮุยจะได้เข้ามาแทรกแซงด้วยตัวเอง ผลลัพธ์มันก็ไม่ได้แย่ แต่ว่าคำถามก็คือทำไมเธอถึงได้ปรากฏตัวออกมากันล่ะ
‘ไม่เห็นเข้าใจเลย’
แต่ว่าเขาก็คงจะหาคำตอบได้ในทีหลังแหละ
ซอลจีฮูได้แต่พึมพำกับตัวเองแบบนี้ เขาได้ทำภารกิจสำคัญเสร็จไปแล้ว เพราะงั้นเขาก็ไม่อยากจะคิดมากอีก ร่างกายของเขารู้สึกหมดแรง และขาของเขาก็กำลังสั่น แต่ว่าเขาก็รู้สึกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง มันรู้สึกโล่งขึ้นหรือเปล่านะ?
ตื๊ดด ตื๊ดดด!
ทันใดนั้นโทรศัพท์ของเขาก็ส่งเสียงออกมา เขาได้รีบปัดหน้าจอโดยคิดว่าเป็นคิมฮันนาห์โทรเข้ามา แต่แล้วมันก็คือข้อความจากพี่เขา เป็นขอความที่บอกให้เขากลับบ้านดีๆ และตั้งใจทำงาน
ซอลจีฮูได้กำมือแบไปมาก่อนที่จะตอบข้อความกลับไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็หยุดเดิน และเงยหน้าขึ้นไป การได้มองไปบนท้องฟ้าสีแดงสว่างพร้อมทั้งพระอาทิตย์ที่ค่อยๆตกลงมามันทำให้หัวใจของเขารู้สึกผ่อนคลายขึ้น
‘วันนี้…’
เขาไม่ได้วิ่งหนี
เขาได้ถ่ายทอดความตั้งใจออกไปสุดความสามารถแล้ว การเจอกันในวันนี้มันไม่ได้แย่เกินไป
มันไม่ได้ยากเลย ถ้างั้นแล้วทำไมเขาถึงได้กลัวมันขนาดนั้นล่ะ
ครู่ต่อมา
ซอลจีฮูก็ได้ก้าวต่อไปโดยรู้สึกได้ถึงสายลมอ่อนๆปะทะกับร่าง
ในที่สุด ในที่สุดเขาก็รู้สึกว่าได้กลับมาที่โลกจริงๆแล้ว
***
หลังจากได้สรุปถึงปัญหากับครอบครัวแล้ว ซอลจีฮูก็ได้ใช้ชีวิตประจำวันอย่างร่าเริง หากว่าจะมีอะไรที่เขากังวล นั่นก็คงเป็นการที่เขาติดต่อคิมฮันนาห์ไม่ได้ ยังไงก็ตามเธอก็เคยบอกเอาไว้แล้วว่าเธอค่อนข้างจะยุ่ง แล้วเธอก็อาจจะกลับไปที่พาราไดซ์แล้วก็ได้ เพราะงั้นเขาก็เลยตัดสินใจที่จะรอ
นอกไปจากนี้แล้ว เขาก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องคิดเกี่ยวกับสภาพร่างกาย แล้วก็ทิศทางในการไปต่อในอนาคตของเขา แต่ว่านั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะหมกตัวอยู่แต่ในห้องเท่านั้น
หากว่าเขาอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศ เขาก็จะออกไปเดินเล่น หรือไม่ก็ออกไปซื้อของเตรียมไว้สำหรับไปพาราไดซ์ มีอยู่วันหนึ่งเขาได้ใช้เวลาทั้งวันไปกับการซื้อของขวัญให้คนอื่นๆ เขาได้ยินมาว่ามีหลายต่อหลายคนได้พยายามอย่างมากที่จะช่วยชีวิตของเขา และแค่การแสดงความขอบคุณมันก็คงจะไม่พอ
และในตอนเขาเบื่อ เขาก็จะไปเล่นกับฟีโซรา
[ชอโทษนะคะ นี่ใช่โทรศัพท์ของซอลจีฮูไหม? หากใช่ ช่วยตอบกลับด้วย]
ว่าไปแล้วเขาก็ลืมตอบกลับเธอไป
ซอลจีฮูกำลังจะตอบกลับไปว่า ‘ใครหรอ?’ ก่อนที่จะคิดว่ามันสุภาพเกินไป และเขียนข้อความใหม่แทน
[นี่ใช่ซูจองไหม?]
[?]
[เป็นซูจองสินะ! ซูจอง นี่โอปป้าเองนะ ในที่สุดก็ติดต่อมาหาฉันได้แล้วสินะ?]
[ฉันไม่ใช่ซูจอง ฉันคิดว่าคุณคงติดต่อผิดเบอร์แล้ว ขอโทษด้วยค่ะ]
และนับแต่นั้นมาฟีโซราก็หยุดส่งข้อความมาหาเขา ไม่ว่าซอลจีฮูจะส่งข้อความไปหาเธอกี่ครั้ง เธอก็ไม่เคยตอบกลับมาเลย
‘เธอจะไม่สนใจฉันใช่ไหม’
ริมฝีปากของซอลจีฮูได้โค้งขึ้นมาเป็นรอยยิ้ม
[อีเว้นท์! ตั้งชื่อเล่นให้คนนามสกุล ‘ฟี’! คนที่ตั้งชื่อเล่นได้น่าทึ่งที่สุดจะได้รับบัตรกำนัลท่องเที่ยวรีซอร์ทฟีซัมเมอร์! ตัวอย่างเช่น: ฟีจิ (ฟูจิ), ฟีซี่ , ฟีซ่า (พิซซ่า), ฟีโคโล่ (พิคโคโล่…)]
[???]
‘เสร็จล่ะ’
เธอได้ตอบกลับมาทันที
[นายเป็นใคร? ใช่หมอนั่นใช่ไหม?]
[ไม่ใช่ ฉันแก้มนุ๊ยเอง]
[แก้มนุ๊ย? พูดบ้าอะไรกัน นายคือซอลจีฮูใช่ไหม?]
[ไม่ใช่ ฉันแก้มนุ๊ย]
[เชี้ย แก้มนุ๊ยอะไรกัน นั่นมันนายนั่นแหละ!]
[ถูกจับได้ซะแล้วสิ! จริงๆแล้วฉันชื่อเดียร์ แล้วนามสกุลคือปาร์ค ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันเดียร์ ปาร์ค]
ตื๊ดด ตื๊ดดด ตื๊ดดด
โทรศัพท์ของเขาได้สั่นอย่างรุนแรง แต่ว่าก็เพราะว่าหากเขารับสาย มันก็ชัดเจนว่าเขาจะต้องได้ยินคำพูดแบบไหน เขาจึงค่อยๆกดปุ่มปฏิเสธสายไป
[อะไรเนี้ย? นายบ้าไปแล้วหรอ? นี่นายกินยาลืมเขย่าขวด หรือว่าสมองเน่าไปแล้วล่ะ? นายเป็นเด็กขวบเดียวหรือไงกัน? ทำไมถึงทำตัวเด็กน้อยแบบนี้…]
และเพราะว่าเขาไม่ได้รับสายเลย ข้อความยาวเหยียดที่เต็มไปด้วยคำหยาบคายจึงถูกส่งออกมา
นิ้วของซอลจีฮูได้เริ่มพิมพ์ลงไปโดยไม่อ่านส่วนที่เหลืออีก
[โฮ๊ยยย~ ยัยหนูคนนี้นี่ปากเสียซะจริง อะแฮ่ม อย่าใจร้านนักสิ ฉันเสียใจแล้งนะ]
[จะเสียใจก็เรื่องของนายเลย แล้วนายหมายความว่ายังไง? นายมาล้อชื่อฉันเนี้ยนะ!]
[ฟีเดี๊ยด! (idiot)!]
ตื๊ดดด ตื๊ดดดด ตื๊ดดด!
โทรศัพท์ของเขาได้เริ่มสั่นอย่างรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง ซอลจีฮูที่กดปฏิเสธไปอีกครั้ง ได้หัวเราะกับตัวเองพร้อมกับส่งข้อความใหม่ไปอีก
[ผมจะกลับไปวันพรุ่งนี้นะ]
[ไอ้เวร! รับสายฉันเดี๋ยวนี้นะไอ้สารเลว!]
“พรืดด! ฮ่าฮ่าฮ่า!”
หลังจากหัวเราะกับตัวเองอยู่สักพักแล้ว ซอลจีฮูก็โยนโทรศัพท์ทิ้งไว้ข้างๆ และมุดเข้าไปในผ้าห่ม
เขาได้หลับลงไปภายใต้เสียงโทรเข้า เรื่องที่เขาได้แกล้งฟีโซราจนโกรธหนักได้ทำให้เขาหลับสบายโดยไม่ตื่นขึ้นมาเลยตลอดทั้งคืน
และจากนั้นค่ำคืนก็ได้ผ่านพ้นไป และยามเช้าก็มาเยือน ในที่สุดก็ถึงวันที่เขาจะกลับไปที่พาราไดซ์แล้ว
ตอนที่ 191
บทที่ 191 – แคลงใจ
“ว้าว!”
ซอลจีฮูได้ดูโทรศัพท์ในทันทีที่เขาตื่นขึ้นมา และเขาถึงกับต้องอุทานขึ้นทันที มีข้อความยาวเหยียดที่ยังไม่ได้อ่านถูกส่งมา และสายไม่ได้รับอีกมากมาย ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ถูกส่งมาจากคนๆเดียว
[เวรเอ้ย ฉันจะรอจนกว่าจะได้เจอกันอีกก็ได้]
เมื่อจินตนาการถึงภาพฟีโซราที่พิมพ์ข้อความแบบนี้แล้ว ซอลจีฮูก็ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา จากนั้นเขาก็เดินฮัมเพลงตรงไปที่ห้องน้ำ
วันนี้เป็นวันที่เขาจะต้องกลับพาราไดซ์แล้ว มันเป็นวันที่เขารอคอยมานาน มันจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะรู้สึกอารมณ์ดี
หลังจากล้างตัวแล้ว ซอลจีฮูก็ได้เตรียมตัวกลับไปอย่างสดชื่น ในเมื่อเขาได้เตรียมการทุกๆอย่างเกือบหมดแล้วในตอนเมื่อคืนวาน เพราะงั้นสิ่งที่เขาทำก็คือตรวจสอบครั้งสุดท้ายเท่านั้นเอง
อย่างแรกเขาต้องจัดการเรื่องราวครอบครัวให้ดีก่อน เพราะงั้นเขาจึงได้ส่งข้อความไปหาซอลวูซอก
[ผมมีเดินทางไปทำธุรกิจนะครับล]
[อีกแล้วหรอ? ไม่ใช่ว่านายเพิ่งจะทำโปรเจ็คใหญ่สำเร็จมาหรอกหรอ?]
[ผู้จัดการคิมเป็นคนประเภทที่ชอบทำงานต่อให้จะไม่มีงานก็ตาม]
[อ่อ ฉันคิดว่าฉันรู้แล้วว่านายหมายความว่ายังไง]
[ผมไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะต้องไปทำงานต่างประเทศ เพราะงั้นผมอาจจะไม่ได้กลับมาสักพัก แต่ว่าพอกลับมาแล้ว ผมก็น่าจะจ่ายหนี้ส่วนใหญ่ไปได้แล้วล่ะล
[โอเค ฉันเข้าใจว่านายอยากจะใช้หนี้ให้เร็วที่สุดนะ แต่ว่าอย่าทำร้ายสุขภาพตัวเองล่ะ กินวิตามินบ้างก็ดีนะล
เมื่อได้อ่านข้อความรอยยิ้มสุขใจก็ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซอลจีฮู เขาอยากจะคุยมากกว่านี้ แต่ว่าเขารู้ว่าซอลวูซอกจะต้องยุ่งกับการเตรียมทำงานแน่ๆ
เมื่อคิดได้แบบนี้ ซอลจีฮูก็ได้เสียบชาร์จโทรศัพท์ หลังจากหยิบเสื้อผ้าใหม่ๆออกมาจากราวตาผ้าแล้ว เขาก็ใส่มันลงไป กินกล้วยเป็นมื้อเช้า จากนั้นก็ตรวจดูของที่จะเอาไปในพาราไดซ์ด้วย
“เอาล่ะนะ โสมแดงสำหรับอาจารย์จาง… ของขวัญสำหรับพี่สาวยูฮุย… ของขวัญสำหรับเจ้าหญิงกับโฟลน… เรื่องที่จะแกล้งคุณฟีโซรา…”
หลังจากโยนเปลือกกล้วยทิ้งไปแล้ว ขณะที่การเตรียมสอบซ้ำกำลังจะจบลงนี้เอง
ก็อก ๆ เสียงเคาะประตูได้ดังขึ้นมา ทำให้ซอลจีฮูต้องหันไปมอง
‘วันนี้เป็นใครอีกล่ะ?’
เขาไม่คิดว่าจะมีใครมาเยี่ยมเขาเลย ซอลจีฮูได้แต่เดินไปที่ประตูด้วยความสงสัย
“ใครหรอครับ?”
เขาได้กลืนกล้วยลงไปในปาก และเปิดประตูขึ้น-
“…”
ใบหน้าของเขาได้นิ่งงันไปเมื่อเขามองไปข้างนอกประตู ประกายความตื่นเต้นในดวงตาของเขาได้ลดลงไปในทันที ดวงตาของเขาได้เบิกกว้างขึ้น และปากก็อ้าค้างเล็กน้อย
สุดท้าย…
“อ่า”
มีคนที่เขาไม่คาดคิดกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา
“…เฮ้”
หญิงสาวที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูคงจะรู้สึกอายทำให้เธอค่อยๆรวบผมที่ข้างหูของเธอ
“นาย… สบายดีนะ?”
คนที่ถามเขาด้วยรอยยิ้มฝืนๆไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก… ยูซอนฮวา
เมื่อได้เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง ซอลจีฮูก็ไม่อาจจะพูดอะไรออกไปได้เลย
เขาคิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาได้จบลงไปแล้ว
เขาคิดว่าเขาจะไม่มีวันได้เจอเธออีก
และเพราะแบบนั้น… เขาก็เลยไม่คิดเลยว่าเธอจะเป็นฝ่ายมาหาเขา เขาได้ยืนมองเธออย่างสับสนโดยที่ทำอะไรไม่ถูกเลย
“ฉันขอเข้าไปได้ไหม?”
เสียงนิ่มๆของเธอได้ดึงให้เขากลับมาสู่ความเป็นจริง
“หืม? โอ้ ได้สิ”
เมื่อซอลจีฮูได้ถอยหลังไป ยูซอนฮวาก็ก้าวเข้ามา และถอดรองเท้าออกมา
“นี่มันสะอาดกว่าที่ฉันคิดนะ…”
เธอดูจะค่อนข้างเสียใจ
“แล้วกินข้าวเช้ากับอะไรหรอ? ฉันคิดว่านายคงยังไม่ได้กินอะไร เพราะงั้น-“
ยูซอนฮวาได้ยกถุงช็อปปิ้งในมือขึ้นมา และโบกมันเบาๆ ซอลจีฮูได้รีบเช็ดริมฝีปาก และหลบตาไป
จากนั้นยูซอนฮวาก็เห็นกล้วยสองลูกที่วางอยู่บนโต๊ะ
“อ่า กล้วย”
“เอาสักอันไหม?”
ยูซอนฮวาได้มองมาที่ซอลจีฮู จากนั้นก็ยิ้มขึ้น
“เอาสิ”
“?”
“ก็สักพักแล้วนะ ฉันรู้สึกได้เลย”
ซอลจีฮูไม่คิดว่าเธอจะตอบตกลงเลยสักนิด แต่ว่าเขาก็ได้รีบเข้าไปหยิบกล้วยมา เมื่อเขาปลอกมันให้เธอ ยูซอนฮวาก็เผยสีหน้าคิดถึง
“นี่มันทำให้ฉันนึกถึงตอนนั้นเลย”
เธอได้พึมพำกับตัวเองก่อนที่จะค่อยๆกัดกล้วยลงไป
“อร่อยดีนะ…”
เธอได้ยิ้มบางๆจนแทบจะมองไม่เห็น จากนั้นเธอก็กินกล้วยจนหมด และมองไปรอบๆ ซอลจีฮูได้ยื่นมือของเขาออกไป
“เอามาสิ ฉันจะเอาไปทิ้งให้”
“ไม่หรอก ไม่เป็นไร เศษอาหารทิ้งไว้ไหนหรอ?”
“เศษอาหาร? ก็แค่ใช้ถังขยะตรงนั้น…?”
“ถังขยะ?”
ยูซอนฮวาได้รีบเดินไปที่ถังขยะ เมื่อเห็นเปลือกกล้วยวางกองกันอยู่ เธอก็ถอนหายใจออกมา
“เชอะ ฉันเคยบอกนายหลายครั้งแล้วนะว่าอย่าโยนเปลือกกล้วยไว้กับขยะอื่นๆ…”
จากนั้นเธอก็ไปหยิบเอาถุงพลาสติกสีเหลืองจากใต้ลิ้นชักอ่างล้างจาน และเริ่มแยกขยะให้ถูกต้อง
ซอลจีฮูที่เห็นยูซอนฮวายืนอยู่ตรงห้องครัว เขาก็เผลอวางมือไว้บนอกโดยไม่รู้ตัว เขาได้กระพริบตาอยู่หลายครั้ง พร้อมทั้งยังรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรง
“ฉันได้ยินมาว่า”
ยูซอนฮวาได้พูดขึ้นโดยที่ยังคงหันหลังแยกขยะอยู่
“ตอนนี้นายทำงานแล้ว แถมยังกำลังจ่ายหนี้คืนด้วยหรอ?”
“เธอรู้ได้ยังไง?”
“พี่วูซอกบอกฉัน”
“พี่บอกหรอ?”
ไม่ใช่ฉันบอกว่าพี่ไม่ต้องไปโน้มน้าวใครไม่ใช่หรอ? ไม่สิ บางทีพี่อาจจะบอกซอนฮวาไปโดยไม่ได้คิดเรื่องนี้ก็ได้ ชีวิตฉันที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ฉันมั่นใจว่าพี่จะต้องอธิบายเรื่องการชดใช้นี้ด้วยเงินของฉันแน่
ซอลจีฮูได้ตัดสินใจที่จะไม่ล้ำเส้นมากเกินไป
“ตอนได้ยินเรื่องที่นายเข้าไปในซินยอง คุณป้าดีใจมากๆเลยล่ะ คุณน้าบอกว่าในที่สุดลูกชายของคุณน้าก็ลุกขึ้นมายืนได้ด้วยตัวเองแล้ว”
แล้วพ่อกับจินฮีล่ะ?
ซอลจีฮูได้หยุดตัวเองไม่ให้ถามออกไป เขาคิดว่ามันจะต้องมีเหตุผลที่เธอไม่พูดเรื่องนี้แน่
“โอ้ ยังไงก็ตามนะ”
หลังจากมัดถุงพลาสติกเข้าด้วยกันแล้ว ยูซอนฮวาก็ค่อยๆลดแขนลง ไหล่ของเธอสั่นไหวเล็กน้อยในตอนที่หันกลับมา
“ฉันได้ยินมาว่านายเพิ่งจะทำโปรเจ็คใหญ่สำเร็จหรอ?”
“พี่บอกเรื่องนี้ด้วยหรอ?”
“ร่างกายนายสบายดีนะ?”
ในตอนนี้เองซอลจีฮูก็รู้สึกแปลกๆ เธอไม่ได้ชมเขาหรือถามเรื่องาน แต่ว่ากลับมาถามเรื่องร่างกายของเขาเนี้ยนะ?
ขณะที่เขากำลังคิดว่าเธอได้ถามเรื่องอะไรแปลกๆ-
“พี่วูซอกบอกว่านายทำงานจนดึกทุกวัน แล้วก็ยังต้องเดินทางทำธุรกิจอีกด้วย อย่าได้ถูกเจ้านายเอาเปรียบเชียวนะ!”
“โอ้ แน่นอนสิ”
ซอลจีฮูได้ยอมรับด้วยความคิดแปลกๆว่า ‘พวกเขาคงคุยกันทุกๆเรื่องแน่เลย’
“จริงสิ ร่างกายฉันไม่เป็นอะไรเลย ทำไมล่ะ ฉันดูเหมือนคนป่วยหรอ?”
“…”
“ถ้าฉันไม่ดูแลสุขภาพ แล้วใครจะมาดูแลให้กันล่ะ? ฉันไม่ได้ไปในที่ที่อันตราย แล้วก็ระวังตัวอยู่เสมอ เพราะงั้นไม่ต้องห่วงหรอกน่า”
“…ฮ่าห์”
ซอลจีฮูได้ผงะไปเมื่อจู่ๆยูซอนฮวาก็ถอนหายใจออกมาเหมือนกับตกตะลึง ดวงตากระจ่างชัดของเธอเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย บรรยากาศที่เย็นชาได้ออกมาจากตัวเธอ เธอดูเหมือนกับจะจ้องเขม็งมาที่เขา
“ฟู่”
หืม? นี่มันคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นก่อนที่เธอจะให้โอวาทเขาไม่ใช่หรอ?
ซอลจีฮูได้เกาหัวออกมาด้วยความสงสัยว่าเขาทำอะไรผิดไป
อึก ยูซอนฮวาได้กลืนน้ำลายลงไป ก่อนที่จะสูดหายใจและพูดออกมา
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”
ในที่สุดมันก็ถึงเวลาแล้ว ซอลจีฮูได้มองตายูซอนฮวาโดยไม่หลบตา หน้าอกของเขาได้แน่นขึ้นมาจากความกังวล
“เรื่องเงินที่นายให้กับฉัน…”
“นั่นมันเงินของเธอ”
ซอลจีฮูได้ขัดเธอเอาไว้ด้วยการเผยออกมาว่าเขาไม่อยากจะได้เงินคืน ยูซอนฮวาได้ส่ายหัวออกมา
“ให้ฉันพูดจบก่อน”
ซอลจีฮูได้เงียบลงไป
“ฉันคิดว่าจะเปิดร้านค้าเล็กๆ”
“ร้านค้า?”
“ใช่แล้ว ด้วยเงินเก็บของฉัน บวกกับเงินที่นายให้ฉัน ฉันอาจจะต้องกู้เงินมาบ้างส่วน แล้วก็ไม่มั่นใจว่ามันจะไปได้ดีไหม แต่ว่าในเมื่อฉันไม่ต้องจ่ายค่าเช่าหรือสำรองเงินไว้ อย่างน้อยที่สุดฉันก็ควรจะหาธุรกิจทำขึ้นมาแล้ว”
“โอ้ ยินดีด้วยนะ!”
เขาไม่มั่นใจเลยว่าทำไมจู่ๆเธอถึงมาพูดเรื่องนี้ แต่ว่าเขาก็แสดงความยินดีกับเธอจากก้นบึ้งของจิตใจ
‘เธอคงจะมีเงินเยอะแน่ๆเลย’
ในคราวนี้เขาก็แค่ตกใจ และไม่ได้คิดอะไรอีก แต่ว่าเมื่อเขาได้ยินคำต่อมา ความคิดเขาก็ต้องเปลี่ยนไป
“นายอยากจะมาทำด้วยกันกับฉันไหม?”
“…อะไรนะ?”
ใบหน้าของเขาได้เผยถึงความไม่อยากจะเชื่อออกมาในทันที
“มันเป็นร้านค้าที่ค่อนข้างใหญ่”
ยูซอนฮวาได้พูดต่อนิ่มๆด้วยสีหน้านิ่งสงบ
“อยู่ตรงใจกลางของสี่มหาวิทยาลัย ด้วยตัวฉันคนเดียวมันก็ค่อนข้างจะยาก เพราะงั้นฉันเลยอยากให้นายมาช่วยด้วย”
“ซะ ซอนฮวา?”
“นายก็แค่ต้องมาเป็นพนักงาน เพราะงั้นมันก็คงไม่ยากหรอก สิ่งที่นายทำก็มีแค่ช่วยทำความสะอาดบางครั้ง แล้วก็เปิดปิดร้านในตอนเช้ากับกลางคืน”
“ดะ เดี๋ยวก่อน”
“มาทำด้วยกันเถอะ ถ้านายต้องการ ฉันจะใส่ชื่อเป็นเจ้าของร่วมก็ได้นะ ฉันจะพูดได้ว่าเงินที่นายให้มาเป็นการลงทุน”
ในตอนนี้ซอลจีฮูได้ก้าวข้ามคำว่าตกตะลึงไปจนถึงขั้นช็อคแล้ว
ทำไมจู่ๆเธอถึงได้ยื่นข้อเสนอนี้มาให้กับเขา ซอลจีฮูรู้สึกว่าเธอจะต้องมีความตั้งใจบางอย่างอยู่ ในอดีตซอลจีฮูจะต้องสนใจข้อเสนอนี้อย่างแน่นอน หากว่าเขาเป็นคนเดียวกันกับที่ติดการพนันอยู่ เขาก็จะตอบตกลงด้วยความยินดี
แต่ว่าในตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว
“ไม่ล่ะ”
ซอลจีฮูส่ายหัวออกมา
“ฉันทำแบบนั้นไม่ได้”
มีอยู่สองเหตุผลที่ทำให้เขาปฏิเสธข้อเสนอนี้ อย่างแรกคือเขาได้จบความสัมพันธ์ส่วนใหญ่กับยูซอนฮวาไปแล้ว และอย่างที่สองก็ชัดเจนว่าคือพาราไดซ์
เขาไม่ยอมที่จะยอมแพ้กับมัน ต่อให้เขาจะถูกปืนจ่อก็ตาม
“ทำไมล่ะ?”
คิ้วเรียวยาวของยูซอนฮวาได้ขมวดขึ้นจนผิดรูป
“ฉันบอกแล้วไงว่ามันไม่ได้ยากเลย นายจะได้รายได้มากกว่าในตอนนี้ แล้วก็มีเวลามากขึ้นด้วย มองในระยะยาวสิ-“
“นั่นมันไม่ใช่ปัญหาเลย”
หากว่าเขาปล่อยให้เธอพูดต่อ เขาก็รู้สึกว่าเธอจะโน้มน้าวเขา เพราะงั้นเขาจึงพูดแทรกขึ้นมา
“ฉันก็แค่ ก็แค่ชอบงานในตอนนี้”
“นายชอบมันหรอ?”
“ใช่แล้ว ถึงเธอจะพูดถูก แต่ว่านี่มันก็เป็นเรื่องของความชอบ ฉันคิดว่างานที่ฉันทำอยู่ในตอนนี้มันเหมาะกับฉันมาก นอกไปจากนี้- ฉันก็ยังมีอีกหลายอย่างที่จะต้องทำ”
ซอลจีฮูได้พูดอย่างหนักแน่นโดยไม่สะดุดแม้แต่นิด
“ฉันจะไม่ลาออก”
เมื่อเขาตอกตะปูปิดฝาโลงไปแล้ว ยูซอนฮวาก็ได้จ้องเขาอย่างแรง
“…แต่ว่ามันอันตราย”
คำพูดสั้นๆได้หลุดออกมาจากปากของเธอ เมื่อสายตาของพวกเขาสบกัน จู่ๆซอลจีฮูก็สัมผัสได้ถึงบางอย่าง นอกไปจากนี้เขาที่ได้ยินคำพึมพำเบาๆ นั้นก็ได้แสดงสีหน้าตกใจขึ้นมา
หัวใจของเขาได้บีบรัดขึ้นเล็กน้อย
“อะ อันตราย?”
เขาได้หลบสายตาของเธอโดยไม่รู้ตัว
“บริษัทเภสัชกรรม”
นี่มันยังไม่เพียงพอที่จะพูดว่างานของเขาอันตราย
“ฉันคิดว่าเธอคงจะเข้าใจอะไรผิดอยู่นะ ฉันไม่ได้ทำงานเป็นหนูทดลองยา หรือกระทั่งค้นคว้ายาใหม่ๆ ฉันก็แค่ทำงานในฝ่ายขาย มันไม่ได้มีอันตรายเลย”
“จริงหรอ?”
ซอลจีฮูได้อธิบายอย่างเขี่ยวชาญ แต่ว่ายูซอนฮวาก็ยังคงคาดคั้นต่อ
“นายพูดได้ไหมว่ามันไม่ได้อันตรายเลยสักนิด?”
ซอลจีฮูได้ขมวดคิ้วขึ้น จากการพูดของเธอแล้ว มันราวกับว่าเธอกำลังบอกให้เขาลาออกมาเพราะว่างานนี้มันอันตราย จากนั้นความสงสัยเล็กน้อยที่อยู่ภายในใจของเขาก็กลายเป็นจริงขึ้นมา
“เธอจะบอกว่าฉันโกหกอยู่หรอ?”
เมื่อรู้สึกได้ว่าเธอกำลังขัดขวางไม่ให้เขาเข้าไปในพาราไดซ์ น้ำเสียงของเขาก็กลายเป็นคมกริบขึ้นมา แต่ว่าหลังจากพูดออกไปแล้ว เขาก็ต้องเผลอร้องอ่าออกมา
ในเวลาเดียวกัน ยูซอนฮวาก็ดูเหมือนกับว่าเธอจะพูดไม่ออก เธอได้เม้มปากเล็กน้อย และมองตรงมาที่ชายหนุ่ม
ทันใดนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมอย่างกระทันหัน
“เพราะนาย…”
ยูซอนฮวาได้พูดขึ้นเบาๆ เพื่อทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดนี้
“เพราะว่าในตอนโกหก นายจะไม่มองตาฉัน”
หลังจากเงียบอยู่สักพัก เสียงถอนหายใจยาวก็ดังออกมา ยูซอนฮวาได้วางถุงช็อปปิ้งลงไป
“ใช้เวลาคิดเรื่องนี้สักหน่อยนะ”
และแม้ว่าเธอจะจ้องซอลจีฮูอยู่นาน…
“ถ้างั้นฉันไปแล้วนะ”
แต่ไม่นานนักเธอก็จากไป
ประตูได้ถูกปิดลงเบาๆ เพียงพริบตาเดียวเขาก็ได้กลับมาอยู่เพียงลำพักอีกครั้ง ซอลจีฮูได้ยืนนิ่งเหมือนกับหินอยู่นาน จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงเท้าหายไป เขาถึงได้สติกลับมา
“…บ้าเอ้ย…”
ทันใดนั้นเองเขาก็เห็นถุงช็อปปิ้งที่ยูซอนฮซาทิ้งไว้ให้เขา ภายในนั้นเป็นกล่องข้าวกับเครื่องเคียง
เขาได้ค่อยๆเปิดมันขึ้นทีล่ะกล่อง และได้เห็นซี่โครงตุ๋น ไข่นกกระทาหมักซอสถั่วเหลือง กิมจิ บุลโกกิ แล้วก็ผักต่างๆ ของพวกนี้ต่างก็เป็นของชอบของซอลจีฮูทั้งนั้น
“…อึก”
จิตใจของเขาได้กลายเป็นซับซ้อนขึ้นมา แต่ว่าปากที่ซื่อสัตย์ของเขา มันได้รีบสั่งให้เขากินมันลงไป
ในท้ายที่สุดซอลจีฮูก็ได้เริ่มกินอาหารเที่ยงแสนอร่อยก่อนเวลาอันควร
‘แต่ว่านั่นมันอะไรกัน?’
ยูซอนฮวามาหาเขาโดยไม่บอกมันไม่ใช่เรื่องแปลก ย้อนกลับไปแล้วนี่คือสิ่งที่เธอทำเป็นปกติ
ไม่ว่าเขาจะสร้างเรื่องลำบากให้เธอแค่ไหน หรือผลักไสเธอยังไง เธอก็จะคอยมาหาเขาและปลอบใจให้เขาดีขึ้นเสมอ แม้ว่าระยะเวลาที่มาหาเขาของเธอจะค่อยๆยาวนานขึ้นไปเพราะการที่เขาทรยศต่อความเชื่อใจของเธอมากขึ้นเรื่อยๆก็ตาม แต่ผลลัพธ์สุดท้ายมันก็ยังเป็นเช่นเดิม
ซอลจีฮูในอดีตรู้เรื่องนี้ดีกว่าใคร และใช้มันเอาเปรียบยูซอนฮวา
ปัญหาก็คือสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ซอลจีฮูได้อ้างว่าเขาเลิกเล่นการพนัน และกลับใจแล้ว เขาได้ขอร้องยูซอนฮวาให้อยู่ด้วยกันด้วยอพาร์ตเมนท์หลังใหม่ แต่ว่าในทันทีที่เขาได้รับเงินประกันค่าห้องจากเธอ เขาก็วิ่งไปที่คาซิโนทันที
หลังจากเหตุการณ์นี้ ยูซอนฮวาก็ได้กลายเป็นลังเลใจที่จะให้เงินเขา อะไรกันถึงได้ทำให้เธออยากจะเปิดร้านค้าร่วมกันกับเขา?
‘แปลกเกินไปแล้ว’
เขาได้เต็มไปด้วยความสงสยอยู่มากมาย แต่ยังไงก็ตามอาหารมันยอดเยี่ยมมาก สำหรับเขาที่คุ้นเคยกับฝีมือการทำอาหารของเธอ ซอลจีฮูได้หยักหน้าพร้อมกับกินซี่โครงตุ๋นที่นุ่มและเหนียว เหมือนกันกับที่ซอยูฮุยได้ทำให้เขาบนภูเขาหินยักษ์
“…”
เมื่อเขาคิดว่าอาหารทั้งสองนี้คล้ายกัน จู่ๆซอลจีฮูก็หยุดชะงักไป
‘เป็นไปได้ไหมว่า?’
ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว มันก็ดูเหมือนกับยูซอนฮซาจะพยายามดึงเขากลับมาจากพาราไดซ์ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม แน่นอนว่านี่มันจะสมเหตุสมผลได้ก็ต่อเมื่อยูซอนฮวาเป็นชาวโลกที่รู้ถึงการมีอยู่ของพาราไดซ์
เธอจะใช่คนประเภทนั้นหรือเปล่านะ?
[…แต่ว่ามันอันตราย]
ซอลจีฮูได้กลอกตาขึ้นมา เขามักจะรู้สึกว่าซอยูฮุยคล้ายกันกับยูซอนฮวาอย่างแปลกประหลาด
แม้ว่ามันจะมีความแตกต่างระหว่างพวกเธออยู่อย่างชัดเจน แต่ว่าซอลจีฮูก็ไม่ได้แปลกใจเลย เพราะว่าพาราไดซ์ก็มีเวทย์แปลกกายอะไรประเภทนี้อยู่แล้ว
ด้วยการมาเยี่ยมแปลกๆวันนี้ และความรู้สึกแปลกๆที่เขารู้สึก เขาคิดว่าหากจะสงสัยในความเป็นไปได้นี้มันก็ไม่ได้ผิดอะไรเลย
เขาอาจจะคิดถูก หรือคิดผิดก็ได้
‘ขอคิดดูก่อนนะ’
เขาได้คิดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมด แต่ว่าวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือการยืนยันมันด้วยตัวเอง
ซอลจีฮูได้ลุกขึ้นจากโต๊ะห้องครัวในทันทีที่คิดขึ้นได้ เขารีบวิ่งไปที่หน้าต่าง และมองออกไป เขาได้เห็นยูซอนฮวากำลังเดินออกไปจากอาคาร
ไม่นานนักเธอก็เดินเข้าหัวมุมหนึ่ง และหายใจในตรอก
ซอลจีฮูได้รีบใส่เสื้อกับรองเท้าทันที เขายังไม่ลืมที่จะยัดอาหารที่เหลือลงไปในท้อง จากนั้นก็หยิบของที่เขาเตรียมไว้มา และสุดท้ายก็ฉีกตั๋วให้ขาด
ในที่สุดเขาก็ได้กลับมาที่พาราไดซ์แล้ว
ตามปกติเขาก็จะเดินออกมาจากวิหารอย่างสบายๆ ด้วยความรู้สึกเป็นตัวเอง แต่ว่าในตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว
ซอลจีฮูได้รีบวิ่งไปที่แผนกต้อนรับในทันที และถามว่าเขาสามารถจะดูบันทึกการเข้าออกได้ไหม
แต่ว่าเขาก็ถูกตอบกลับมาว่า
“เราไม่อาจจะเผยข้อมูลส่วนตัวของบุคคลอื่นได้ ต่อให้คนถามจะเป็นคุณก็ตาม แล้วก็โดยเฉพาะว่าข้อมูลที่คุณกำลังถามเป็นของท่านหญิงซอยูฮุยแล้วด้วย”
พนักงานต้อนรับได้ตอบกลับมาอย่างหนักแน่น มันดูเหมือนกับว่าเธอจะไม่มีวันอ้อนข้อให้ไม่ว่าเขาจะร้องขอยังไงก็ตาม เพราะงั้นซอลจีฮูจึงหันหน้าจากไปโดยไม่ลังเลใจทันที
เขาได้เปิดใช้งานต่างหูเฟสติน่า รีบวิ่งไปที่ออฟฟิศคาเพเดี่ยมทันที แต่ว่าแทนที่จะเข้าไปในนั้น เขากลับเปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้าไปที่อาคารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน
‘หากว่าเธออยู่ที่นี่มันก็มีโอกาสน้อยที่ทั้งสองคนจะเป็นคนๆเดียวกัน’
‘หากว่าเธอไม่อยู่… ถ้างั้นก็จะต้องมีคำถามปรากฏขึ้นมาอีกแน่”
เขาปรารถนาอย่างรุนแรงให้ซอยูฮุยอยู่ข้างใน และยกมือต้อนรับเขาในตอนที่เขาเข้าไป
ตึง ตึง ตึง ตึง! เขาเคาะประตูเสียงดัง พร้อมกับตะโกนออกไป
“พี่สาวยูฮุย!”
ตอนที่ 192
บทที่ 192 – แคลงใจ (2)
ซอลจีฮูได้ร้องออกมาจนสุดเสียง จากภายนอกแล้วเขาดูสิ้นหวังมากจนทุกๆคนที่ผ่านทางมองมาที่เขาด้วยความสงสาร
‘เธอไม่อยู่หรอ?’
แต่แล้วเมื่อเขาแนบหูเข้ากับประตู เชาก็เริ่มมีความหวังขึ้นมา และในตอนนั้นเอง…
ตึง! เคร๊ง! เสียงของบางอย่างกลิ้งและตกได้ดังออกมาจากข้างใน พร้อมกับเสียงเท้าที่เร่งรีบ จากนั้นประตูก็ถูกเปิดขึ้นมา
“จีฮู”
ซอยูฮุยได้วิ่งออกมาด้วยสีหน้าลุกลี้ลุกลน
“มีอะไรหรอ? เกิดอะไรขึ้น?”
น้ำเสียงที่เป็นกังวลของเธอได้ทำให้ซอลจีฮูได้กลั้นคำถามเอาไว้ เขาได้แต่เกาหัวและพูดออกมา
“โอ้ ไม่มีอะไรครับ ผมก็แค่อยากจะเห็นพี่สาว…”
“อะไรนะ?”
หน้าผากอันหมดจดของซอยูฮุยได้ขมวดขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ยกมือทาบลงและถอนหายใจออกมา
“ฟู่วว… ฉันคิดว่ามีเรื่องอะไรซะอีก…”
‘อย่างที่คิดเลย’
เมื่อเห็นซอยูฮุยอยู่ที่บ้าน ซอลจีฮูก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ ในอีกด้านหนึ่งเขาก็สงสัยเช่นกัน ซอยูฮุยคงต้องรีบวิ่งออกมา แต่ว่าจากลมหายใจหอบหนักของเธอ และหน้าผากที่เต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็กๆน้อยเธอ มันเหมือนกับว่าเธอได้วิ่งเต็มแรงให้มาถึงที่นี่
“ขอโทษครับ”
“อ่า ไม่เป็นไรหรอก นายไม่ได้รู้สึกป่วยหรืออะไรใช่ไหม?”
“ไม่ครับ”
“ดีแล้วล่ะ…”
จากนั้นซอยูฮุยก็บีบแก้มของซอลจีฮูที่กำลังทำอะไรไม่ถูกอยู่
“ชิ เจ้าเด็กดื้อ นายนี่คิดแต่จะเล่นอะไรแผลงๆนะ รู้ไหมว่าระหว่างกำลังทำความสะอาดอยู่ ฉันตกใจมากขนาดไหนกัน?”
‘ทำความสะอาด?’
ซอลจีฮูได้เหลือบมองเข้าไปข้างใน พื้นที่ที่เขาเห็นต่างหมดจนจนไม่มีเศษฝุ่นแม้แต่นิด
“แล้วเสร็จหรือยังครับ?”
ซอยูฮุยได้เช็ดหน้าผาก จากนั้นก็ส่ายหัวออกมา
“ไม่เลย ยังทำไม่ถึงครึ่งเลย”
“ให้ผมช่วยนะ”
“อืมม.. ขอบใจนะ แต่ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้ฉันกำลังทำความสะอาดห้องใต้ดินอยู่ แล้วก็มีของหลายอย่างที่ต้องระวัง ให้ฉันทำคนเดียวมันคงจะดีกว่า”
ซอยูฮุยได้ปฏิเสธในข้อเสนอของซอลจีฮู จากนั้นก็เอียงหัวออกมาเล็กน้อย ก่อนพูดต่อ
“นี่นายมาก็เพราะอยากจะเจอฉันจริงๆหรอ?”
น้ำเสียงของเธอไม่ได้ดูคาดคั้นเลย แต่ว่าเพราะมันฟังดูเหมือนกับว่าเธอกำลังถามว่า ‘นายมีแรงจูงใจอื่นอยู่ใช่ไหม?’ ซอลจีฮูก็สะอึกไปเหมือนกับเด็กถูกจับผิด
จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ถึงกระเป๋าหนักๆในมือ และหาข้ออ้างดีๆเจอ
“จริงๆแล้ว ผมเอานี่มาให้”
ซอลจีฮูได้วางกระเป๋าลง และหยิบเอาของขวัญออกมาให้กับซอยูฮุย เมื่อเขาได้ส่งให้เธออย่างสุภาพ สายตาของเธอก็ตกลงมาบนถุงช็อปปิ้งทันที
“โอ้ ว้าว…”
เธอคาดไม่ถึงงั้นหรอ? ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมาเมื่อเห็นสีหน้าเขินอายของซอยูฮุย
“ผมรู้สึกแย่ที่จะแสดงการขอบคุณด้วยแค่คำพูด ยังไงพี่สาวก็ได้ช่วยชีวิตผมเอาไว้เชียวนะ”
“ไม่หรอก ฉัน-“
“มันก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรหรอกครับ”
ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมาโดยที่บอกไม่ให้เธอคิดมาก
ซอยูฮุยได้พึมพำกับตัวเอง “โอ้ โอ้” พร้อมแสดงท่าทีลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูก
“ฉันควรจะทำยังไงดีล่ะ? ฉันไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย…”
“ผมไม่ได้อยากจะได้อะไรตอบแทนอยู่แล้ว”
เมื่อซอลจีฮูโบกมือออกมา ซอยูฮุยก็แสดงสีหน้าเศร้ากว่าเดิม และดวงตาของเธอก็สั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย
“นี่มันกระทันหันเกินไป หากว่ารู้แบบนี้ ฉันน่าจะกลับไปเอาอะไรบางอย่างที่โลกมาให้นาย”
เธอกระทั่งใช้นิ้วเช็ดดวงตาเป็นประกายของเธอ เธอดูเหมือนกับจะสะเทือนใจเป็นอย่างมาก คล้ายกันกับแม่ที่ได้รับของขวัญชิ้นแรกจากลูกชาย
‘อย่างที่คิดเลย พวกเธอไม่ใช่คนๆเดียวกัน’
ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมา
“มันคืออะไรหรอ? ฉันขอเปิดมันได้ไหม?”
และเมื่อซอยูฮุยมองเข้าไปในถุงช็อปปิ้งและถามออกมาด้วยความสงสัย ซอลจีฮูก็ส่ายหัวรัวออกมา
“ไม่ได้ ค่อยดูมันทีหลังนะ ได้โปรด”
“…ได้โปรด? นี่ยิ่งทำให้ฉันสงสัยแล้วสิ”
“ถ้างั้นผมคงต้องรีบไปแล้วครับ”
เมื่อซอลจีฮูได้เริ่มหยิบกระเป๋าที่วางเอาไว้ขึ้นมา ซอยูฮุยก็หรี่ตามองเขาด้วยความสงสัย
“ทำไมล่ะ? ดูมันด้วยกันไม่ได้หรอ?”
“อ๊า ไม่ได้เด็ดขาด มันน่าอาย”
จากนั้นซอลจีฮูก็หันหน้าไปและพูดออกมาว่า “ขอโทษที่รบกวนนะครับ”
‘การที่ฉันได้เตรียมของขวัญนี่มาเป็นเรื่องดีจริงๆ’
ยิ่งผู้รับมีความสุขเท่าไหร่ ผู้ให้ก็จะมีความสุขยิ่งกว่า ขณะที่ซอลจีฮูกำลังจากไปเพื่อเลี่ยงความอาย เขาก็แอบมั่นใจในของขวัญของเขา เขามั่นใจมากว่าซอยูฮุยจะตอบชอบของขวัญชิ้นนี้ และได้ใช้มันอย่างแน่นอน
ยังไงมันก็เป็นของที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน และก็ยังเป็นของขวัญที่ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังมาก่อนอีกด้วย นอกไปจากนี้มันก็ยังเป็นของขวัญเพียงชิ้นเดียวที่เขาได้รับคำชมในตอนที่กำลังเดทกับยูซอนฮวาอย่างมีความสุขอีกด้วย เขายังจำได้ดีว่าเธอพูดว่า ‘มันเป็นของขวัญที่ดีที่สุดแล้ว เมื่อคิดว่ามันเป็นของที่มาจากนาย’
‘ฉันหวังว่าเธอจะมีความสุขนะ!’
ซอลจีฮูได้ถูกจมูกพร้อมกับเดินขึ้นไปบนบันไดด้วยรอยยิ้มสดใส
อีกด้านหนึ่งซอยูฮุยที่มองตามซอลจีฮูเดินขึ้นบันไดไป ก็ได้หันกลับมามองที่ถุงช็อปปิ้งด้วยความยินดี
รอยยิ้มของเธอยังไม่ได้หายไปจากใบหน้าเลย มันดูเหมือนกับว่าเธอมีความสุขจริงๆ เธอจะไม่มีความสุขกับของขวัญเซอร์ไพรส์ได้ยังไงกันล่ะ?
“ไม่อยากจะเชื่อเลย”
ด้วยคำมั่นว่าจะชวยเขามากินอาหารเย็น และเลี้ยงมื้ออาหารหรูๆให้เขา ซอยูฮุยก็ได้หันหลังกลับเข้าไปในบ้าน
‘มันคืออะไรกันนะ’
เธอได้เปิดกล่องออกมาด้วยหัวใจเต้นละรัวด้วยความตื่นเต้น และในตอนนั้นเอง-
“…”
ซอยูฮุยได้นิ่งงันไป
ไม่นานนัก…
“?”
มีเครื่องหมายคำถามผุดเข้ามาในหัวของเธอ
***
ปกติแล้วซอลจีฮูจะเป็นคนแรกที่กลับมาพาราไดซ์ในทุกครั้งที่ทุกๆคนกลับโลก แต่แล้วเมื่อเขาเปิดประตู้เข้าไปในสำนักงานด้วยความคิดที่ว่าจะไม่มีใครอยู่ เขาก็เกือบจะหลุดร้องออกมา
จางมัลดงกำลังนั่งมองมาที่เขาอยู่บนโซฟา
“นายกลับมาเจ็ดวันพอดีเลยนะ”
“อะ อาจารย์กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”
“สี่วันก่อน”
“สี่วันก่อน…? นั่นมันเร็วมากเลยนะครับ อาจารย์น่าจะพักอีกสักหน่อย”
จางมัลดงได้แสดงสีหน้าแปลกๆออกมา เขาได้ถามขึ้นด้วยความรู้สึกไม่มั่นใจ
“โอ้ งั้นหรอ? ถ้างั้นทำไมเราไม่กลับไปด้วยกันล่ะ? เราจะใช้เวลาสักเดือนนึงก็ได้นะ”
“เดือนนึงหรอครับ? ถ้าเป็นสองสัปดาห์ก็น่าจะได้ แต่ว่าเดือนนึงมันนานเกินไป”
ซอลจีฮูได้หัวเราะออกมาโดยบอกว่าอย่าล้อเล่นกันสิ จางมัลดงได้มองมาที่ชายหนุ่มที่กำลังหัวเราะ ก่อนที่จะกอดอกและหยักหน้าออกมา
การส่งซอลจีฮูกลับบ้านในทันทีที่เขาออกมาจากวิหารส่วนใหญ่แล้วเพื่อตัวซอลจีฮูเอง แต่ว่าก็ยังเพื่อทีมด้วยเช่นกัน
ในตอนนี้พวกเขาไม่อาจจะหาใครเข้ามาแทนที่ซอลจีฮูได้แล้ว ซอลจีฮูคือหัวหน้าของคาเพเดี่ยมที่เหมาะสมที่สุดในตอนนี้
และด้วยสงครามครั้งก่อน ตำแหน่งของเขาก็ได้กลายเป็นมั่นคงขึ้นมา ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสมาชิกทีมเลย แม้กระทั่งจางมัลดงก็ยังไม่อาจยุ่งกับอำนาจของเขาได้ง่ายๆ แต่แน่นอนว่าหากเป็นไปได้จางมัลดงจะคิดไปยุ่งเรื่องนี้อยู่แล้ว สิ่งสำคัญคือหัวหน้าจะเป็นคนกำหนดธาตุแท้และบรรยากาศของทีม
หากว่าซอลจีฮูที่เป็นใจกลางของคาเพเดี่ยม เคร่งเครียดและมุ่งมั่นมากเกินไป ภาระของเพื่อนร่วมทีมเขาก็จะเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
สำหรับทีมที่เพิ่งจะทำงานใหญ่สำเร็จมา จำเป็นจะต้องมีการเปลี่ยนจังหวะบ้าง นี่คือเหตุผลที่จางมัลดงบังคับให้ซอลจีฮูกลับไป และมันดูจะได้ผลกว่าที่เขาคิดซะอีก
หลักฐานก็คือจาก ‘สองสัปดาห์มันมากไปนิด’ ได้เปลี่ยนเป็น ‘สองสัปดาห์ก็อาจจะได้’
‘ตอนนี้ก็ยอมรับได้หน่อยแล้ว’
ขณะที่จางมัลดงเอนหลังพิงโซฟาด้วยสีหน้าโล่งใจ
“อาจารย์!”
“หืม?”
ถุงช็อปปิ้งใบใหญ่ได้ถูกยืนออกมา เมื่อมองเข้าไปข้างใน เขาก็เห็นตัวอักษรสีทองถูกเขียนเอาไว้อยู่
“…โสมแดง?”
“ใช่แล้วครับ!”
“จู่ๆก็อะไรล่ะเนี้ย?”
“อะไรล่ะครับ? ก็แน่นอนอยู่แล้วว่ามันเป็นของขวัญของอาจารย์”
ซอลจีฮูได้ยิ้มสดใสออกมา และค่อยๆว่างของขวัญลงบนตักจางมัลดง
“ผมได้ยินมาจากซอลอาแล้ว ถึงมันจะสายไปหน่อย แต่ก็ขอบคุณที่ช่วยผมไว้นะครับ”
“ไม่หรอก… นายเป็นคนที่ลำบากต่างหาก”
จางมัลดงได้ไอแห้งๆออกมา และหลบตาไป
“ทำไมนายถึงเอาของแบบนี้มาล่ะ? นายทำให้ฉันอายนะ”
“อายอะไรกันครับ? คิดซะว่าเป็นของขวัญจากหลานชายก็ได้”
“โอ้ ขอล่ะ หลานชายงั้นหรอ? เลอะเทอะนะ ชิ่ว”
จางมัลดงได้พูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็เอาถุงช็อปปิ้งออกไปวางข้างๆ แต่ว่าซอลจีฮูก็ไม่พลาดเห็นมุมปากของจางมัลดงที่โค้งขึ้นมา เขาเพิ่งยิ้มอย่างแน่นอน
“ยังไงก็ตาม ฉันจะต้องคุยเรื่องร่างกายของนาย และทิศทางการพัฒนาของนาย”
ทันใดนั้นจางมัลดงก็ได้เปลี่ยนเรื่องไป เขาจะต้องอาย และพยายามจะเปลี่ยนเรื่องแน่ๆ เพราะงั้นซอลจีฮูจึงกลั้นขำเอาไว้
“ฉันอยากจะฟังความคิดเห็นของนายก่อน”
“อ่า ได้ครับ นี่ครับ”
ซอลจีฮูได้หยิบเอาสมุดโน้ตออกมาจากกระเป๋า และส่งมันให้กับจางมัลดง เมื่อเห็นคำที่ถูกเขียนในสมุดโน้ตเต็มไปหมด จางมัลดงก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
ความเงียบได้คงอยู่พักหนึ่ง ฟึบ ฟึบ มีก็แต่เสียงพลิกกระดาษเท่านั้นที่ดังออกมา
‘เจ้าหนูนี่’
จางมัลดงได้มองไปที่ซอลจีฮูที่กำลังยืนมองกลับมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล จากนั้นก็เลื่อนสายตาลงไปที่สมุดโน้ต
วิธีการพัฒนาในอนาคต และเหตุผลที่ทำแบบนั้นได้ถูกเขียนลงบนสมุดโน้ตอย่างละเอียด โดยที่ไม่มีพลาดแม้แต่จุดเดียว ปัญหาก็คือมันละเอียดเกินไป
ซอลจีฮูได้เผยความตั้งใจออกมาชัดเจน และเปิดเผยจากจนจางมัลดงที่อ่านสมุดโน้ตต้องผงะไป แม้ว่าการถูกเชื่อใจมันจะไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่ แต่ว่าเขาจำเป็นต้องทำในสิ่งที่ต้องทำ
ปึก เมื่อเนื้อหาของสมุดโน้ตได้อยู่ในหัวแล้ว จางมัลดงก็ฉีกสมุดโน้ต และฉีกมันเป็นชิ้นๆ
“เจ้าโง่ หากว่ามีคนมาหยิบสมุดโน้ตนี่ไปจะเกิดอะไรขึ้น? นายไม่ได้รู้เรื่องการป้องกันความเป็นส่วนตัวของหน้าต่างสถานะงั้นหรอ?”
“ผมคิดจะเผามันหลังจากให้อาจารย์ดูครับ”
“ถ้างั้นก็เผามันเดี๋ยวนี้เลย”
จางมัลดงได้ส่งกระดาษให้กับซอลจีฮู ขณะที่ซอลจีฮูกำลังเผามัน จางมัลดงก็ได้จัดระเบียบความคิดของเขา เขาได้เริ่มพูดขึ้นทันทีที่ซอลจีฮูเดินกลับมา
“นายดูจะรีบร้อนนะ”
วอลจีฮูยังคงอยู่สงบ เขาไม่ได้ยืนยันหรือปฏิเสธในคำพูดของจางมัลดง แต่ว่าการเงียบของเขามันก็ใกล้เคียงกับคำตอบแล้ว
ขณะที่เขาเขียนรายละเอียดลงไป มันก็ค่อนข้างง่ายที่จะสรุปออกมาแบบนี้
อยากแรงเขาต้องฟื้นฟูสภาพร่างกายที่ต่ำของเขาให้กลับคืนมาก่อน จากนั้นหลังจากยกระดับในวิหารแล้ว เขาก็จะใช้อิลิกเซอร์ศักดิ์สิทธิ์ และแต้มความสามารถเพื่อสร้างสมดุลให้กับจิตใจ ร่างกาย และเทคนิคให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ สดท้ายเขาก็จะทำการถวายปานแห่งเทพเพื่อรับเสี้ยวพลังเทพ
นี่เป็นวิธีที่เร็วที่สุดแล้วที่จะแกร่งขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ
จางมัลดงว่าทำไมเขาถึงคิดแบบนี้ หลังจากได้เจอเข้ากับผู้บัญชาการกองทัพในสงครามใหญ่แล้ว มันจึงไม่แปลกเลยที่ซอลจีฮูจะอยากแกร่งให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้
จางมัลดงไม่คิดว่าการทำแบบนี้เป็นแผนที่งี่เง่าเลยสักนิด
ท้ายที่สุดแล้วเขาคงจะต้องตัดสินใจแบบนี้หลังจากประสบการร์ที่ได้เจอ และรู้สึกในระหว่างสงครามอันสิ้นหวังก่อนหน้านี้
มีเพียงแค่สิ่งเดียวเท่านั้น…
“นายเข้าใจใช่ไหมว่าทางเลือกนี้จะทำให้นายยอมสละบางสิ่งไปน่ะ?”
“ครับ แล้วผมก็คิดจะแบกรับภาระของการสูญเสียมันไป”
ซอลจีฮูได้ตอบกลับมาอย่างเคร่งขรึม มันไม่มีร่องรอยของเสียวหัวเราะอยู่ในน้ำเสียงอีกแล้ว
จางมัลดงได้ถอนหายใจออกมา และพูดขึ้น
“พูดตรงๆเลยนะ การได้อ่านข้อความที่เขียนไว้ มันรู้สึกเหมือนกับเป็นการดิ้นรนอย่างสุดตัวเพื่อแก้ไขจิตใจ ร่างกาย และเทคนิคที่บิดเบี้ยวของนายให้ถูกต้องขึ้นมา มากกว่าการที่จะเป็นแผนการพัฒนาที่ถูกต้อง”
ซอลจีฮูได้เม้มปากขึ้นมาเมื่อได้ยินจางมัลดงชี้ถึงความตั้งใจของเขาได้อย่างถูกต้อง
เขาไม่ได้เสียใจเลยสักนิดที่ใช้แต้มความสามารถทั้งหมดไปกับมานา ยังไงในสถานการณ์นั้นเขาก็ไม่มีตัวลือกอื่นแล้ว นี่ก็ยังเป็นเหตุผลที่ทำให้จางมัลดงไม่ได้ตำหนิอะไรเขาเช่นกัน
แต่ว่านั่นมันก็ไม่ได้หมายความว่าปัญหาที่มีอยู่มันจะหมดไป
“ฉันอดคิดไม่ได้ว่ามันค่อนข้างจะน่าอาย ไม่สิ ไม่ใช่ค่อนข้างหรอก มันน่าอายมากๆเลยล่ะ”
“…”
“พูดตรงๆนะ มันเป็นเพราะผลจากอิลิกเซอร์ศักดิ์สิทธิ์ นายก็น่าจะรู้มันดีกว่าใคร”
ซอลจีฮูได้หยักหน้าเงียบๆ
อิลิกเซอร์ศักดิ์สิทธิ์ – อิลิเซอร์พิเศษที่จะเพิ่มระดับความสามารถทางกายภาพขึ้นได้หนึ่งระดับ
ค่าสถานะในปัจจุบันของซอลจีฮูอยู่ที่ปานกลาง (สูง) ในที่นี้ ส่วน ‘ปานกลาง’ หมายถึง ระดับ และ ‘สูง’ หมายถึงขั้น
นี่คือสิ่งที่จางมัลดงชี้ให้เห็น
การใช้อิลิกเซอร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ระดับกลาง (สูง) จะเพิ่มค่าสถานะทางร่างกายขึ้นไปเป็นสูง (ต่ำ) และการใช้ในตอนที่อยู่ระดับกลาง (ต่ำ) ก็จะให้ผลแบบเดียวกัน
ในแง่อย่างหลังมันก็เหมือนกับจะสูญเสียขั้นที่ควรจะเพิ่มขึ้นได้สองขั้นไปเปล่าๆเลย ในแง่ของคะแนนความสามารถแล้ว การสูญเสียมันจะมหาศาลมา ยิ่งระดับสูงก็จะต้องใช้คะแนนมากยิ่งขึ้น
“ผมเข้าใจ แต่ว่า-“
ซอลจีฮูได้พูดต่อเงียบๆ
“ในสถานะในปัจจุบันของนาย ฉันไม่มั่นใจว่าแค่การฝึกจะเพิ่มระดับสภาพร่างกายของนายได้ไหม แน่นอนว่าหากนายพยายามอย่างสุดชีวิต มันก็อาจจะเพิ่มขึ้นมาได้ขั้นสองขั้น แต่ว่าฉันก็ไม่รู้เลยว่ามันจะต้องใช้เวลานานขนาดไหน”
ในสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว แผนของซอลจีฮูสมเหตุสมผลมาก ยังไงก็ตาม
“ฉันมีเรื่องที่ฉันอยากจะบอกนายอยู่”
จางมัลดงได้พูดกลับมาในทันที
“นายจะไม่ดูถูกความสำเร็จที่นายทำไปหน่อยหรอ ฉันไม่ได้พูดแค่เรื่องการฆ่าความหมั่นเพียรอันนิรันดร์นะ สามในเจ็ดกองทัพถูกทำให้ลำบากจนแทบจะถูกกำจัด และกองทัพนอสเฟอราตูก็ได้สูญเสียความสามารถในการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่แล้วด้วย
“ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงได้ถูกบังคับให้สำแดงพลังเทพ และสหพันธรัฐก็ยึดเอาป้อมปราการไทกอลที่ซึ่งราชินีปรสิตได้ใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะยึดมันมาได้กลับคืนไป
สหพันธรัฐได้เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะไม่ยอมสูญเสียมันไปอีก พวกเขาได้ทุ่มสรรพยากรทั้งหมดไปกับการก่อสร้างป้อมปราการขึ้นมาใหม่
“ปรสิตก็ยังหยุดรุกคืบเข้ามาเป็นครั้งแรก และถอยร่นไปที่แนวป้องกัน นายคิดว่าผลประโยชน์ที่ใหญ่สุดที่นายได้รับคืออะไรกันล่ะ?”
ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมาด้วยความสับสน
“มันคือเวลา”
แต่ว่าเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ คำพูดสุดท้ายของเอียนก็ผุดเข้ามาในใจเขา
[เพราะงั้น… หนีไปซะ!]
[ฉันรู้ว่ามันยาก ฉันรู้ว่านายไม่อยากจะทำ แต่ว่านายต้องอดทน หนีไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น… และมีชีวิตต่อไป นี่คือเศษเสี้ยวแห่งชัยชนะเพียงหนึ่ง และหวังว่าเราจะสามารถฟื้นคืนกลับมาจากสงครามนี้ได้]
ซอลจีฮูได้ประสานนิ้วเข้าด้วยกัน และหลับตาลง กระแสแห่งความสงสัยได้เริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
“ผมไม่มั่นใจ เวลาก็เรื่องหนึ่ง… แต่ผมไม่รู้ว่าผมยังมีศักยภาพซ่อนเร้นอะไรอีกไหม…”
น้ำเสียงของเขาฟังดูอู้อี้ มันเป็นการวินิจฉัยที่ถูกต้อง ยังไงสุดท้ายแล้วเขาก็ควรจะรู้ถึงสภาพร่างกายของเขาดีกว่าใครอื่น
มันไม่ใช่ว่าจางมัลดงไม่เข้าใจเรื่องนี้ แต่ว่าเขากลับเท้าคางขึ้นมา และยิ้มขึ้น
“ถ้านายทำได้ล่ะ?”
“?”
“อ๊า ฉันผิดเอง ฉันไม่ควรพูดแบบนั้น หากว่าศักยภาพซ่อนเร้นในร่างกายของนายเพิ่มขึ้นตั้งแต่สงครามครั้งนี้ล่ะ?”
ซอลจีฮูได้เบิกตาโพล่งขึ้นมา ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขานึกไปถึงเข็มที่ปักอยู่เต็มร่างในตอนที่เขาโคม่าอยู่
‘ถ้าแบบนั้น…’
มันก็จะเป็นคนล่ะเรื่องกัน
จางมัลดงได้หมุนไม้เท้าของเขา
“ใช้อิลิกเซอร์ศักดิ์สิทธิ์กับแต้มความสามารถตอนระดับ 5… ฉันยอมรับและเข้าใจในการตัดสินใจนี้นะ แม้ว่าเราจะซื้อเวลามาได้ แต่ว่านั่นมันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีเวลาไม่จำกัด มันอาจจะดีกว่าก๋ได้ทำแข็งแกร่งขึ้นในตอนที่ทำได้อยู่”
“ครับ”
“แต่ว่า-“
จู่ๆจางมัลดงก็จับไม้เท้าแน่น
“หากเขาเปลี่ยนลำดับมันสักนิดล่ะ? นายมีสมบัติล้ำค่าที่นายอาจจะไม่มีวันได้มันมาอีกแล้ว เพราะงั้นไม่ใช่ว่าอย่างน้อยนายก็ควรจะลองใช้มันไม่ให้สูญเปล่าหรอกหรอ?”
ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมาโดยเชื่อใจจางมัลดงโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าจะมีเศษเสี้ยวความสงสัยอยู่เล็กๆ แต่หากสิ่งที่จางมัลดงพูดเป็นเรื่องจริง… หากว่าเขาสามารถเพิ่มสถานะพละกำลัง ความทนทาน ความคล่องแคล่ว และเรี่ยวแรงให้ขึ้นมาเป็น สูง (ต่ำ)…
‘และหากว่าจากนั้นเขาใช้อิลิกเซอร์ศักดิ์สิทธิ์ล่ะ…’
ระดับสูงสุด!
นี่จะเป็นครั้งแรกเลยนับตั้งแต่เข้ามาในพาราไดซ์ที่ค่าสถานะร่างกายอื่นๆของเขาเหนือกว่ามานา!
ยังไม่หมดเท่านั้น
[เข้าใจแล้ว แล้วสิ่งที่อยู่หลังจากสูงสุดล่ะ…]
ในเมื่อเขามีอิลิเซอร์พละกำลังสองขวด เขาก็สามารถคาดหวังในระดับที่เหนือกว่าสูงสุดได้อีก
ซอลจีฮูที่รู้สึกเหมือนกบกระโดดจากบ่อน้ำได้จ้องไปที่จางมัลดง
“มันเป็นไปได้หรอครับ?”
“แน่นอนสิ! หากว่านายต้องการ ฉันก็จะปรับแผนของนายอยากสุดความสามารถของฉันเลย”
ด้วยบุคลิกจองจางมัลดงแล้ว เขาจะไม่มีทางสัญญามันออกมาหากว่ามันเป็นไปไม่ได้ ที่เขาพูดออกมาก็เพราะมันเป็นไปได้อย่างแน่นอน
“ฉันสัญญา ฉันจะทำให้มั่นใจเลยว่านายจะไม่ใช้อิลิกเซอร์ศักดิ์สิทธิ์หรือคะแนนความสามารถเสียเปล่าแม้แต่นิดเดียว”
“…”
“แน่นอนว่าฉันจะไม่บังคับนาย แต่ในเมื่อเรามีเวลา ฉันก็ขอแนะนำให้นายเลือกอย่างหลังนะ”
หลังจากพูดแบบนี้จางมัลดงก็ยิ้มออกมาอย่างคาดหวัง จากนั้น-
“เอาแบบนี้เป็นไง? เราไว้มาคุยกันอีกหลังจากกลับมาจากวิหาร-“
จากนั้นจู่ๆจางมัลดงก็หันหน้าไปทางอื่น จางมัลดงที่กำลังตั้งใจฟังก็หันหน้ามองไปที่ประตู
ตอนที่ 193
บทที่ 193 – แรงค์เกอร์ระดับสูง (1)
มีเสียงของคนย่ำเท้าเดินขึ้นบันไดมา จากนั้นประตูโลหะก็ถูกเปิดอย่างแรกเผยให้เห็นบุคคลที่กำลังฮึดฮัดอยู่
คนๆนั้นก็คือฟีโซราที่กำลังพ่นลมหายใจร้อนๆออกมาจากจมูกคล้ายกับกระทิง จางมัลดงที่เห็นแบบนี้ก็ตะโกนออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“เปิดประตูเบาๆมันจะทำให้เธอตายงั้นหรอ? หูฉันเกือบจะดับไปแล้วนะ!”
ยังไงก็ตามฟีโซราไม่ได้ตอบกลับเลยสักนิด
ไม่สิ
แทนที่จะสนเรื่องจางมัลดง ฟีโซรากลับจ้องเขม็งมาที่ซอลจีฮูเหมือนกับกระทิงคลั่งที่ถูกมาธาดอร์โบกผ้าแดงอยู่ตรงหน้า
และเมื่อซอลจีฮูรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น ฟีโซราก็อ้าปากกว้างออกมา
“ย๊ากกกกกก!”
เสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความโมโหและไม่พอใจอย่างไร้ที่สิ้นสุดได้ดังออกมา
“กะ เกิดอะไรขึ้น? ทำไมยัยหนูนี่จู่ๆก็เป็นแบบนี้?”
มันไม่สำคัญแล้วว่าจางมัลดงจะมองยังไง ฟีโซราได้ปลดปล่อยความโกรธที่สะสมมาตลอดหลายคืนที่นอนไม่หลับออกมาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
“ฮ่าาาาาาาาาห์!”
ขณะที่เธอยกแขนพุ่งออกมาโดยตั้งท่าเหมือนจะดึงผมของเขานี้เอง….
“เดี๋ยวก่อน!”
ซอลจีฮูได้เด้งตัวลุกขึ้นจากที่นั่ง และยืนฝ่ามือออกไปข้างหน้าอย่างหนักแน่น
จากการกระทำที่องอาจนี้ได้ทำให้ฟีโซราหยุดลงก่อนที่จะเข้ามาถึงตัวเขา
“…”
เธอได้ใช้เวลาเพียงครู่หนึ่งในการมองดูถุงช็อปปิ้งที่ถูกแกว่งอยู่ในมือเขา
“หึ่ม”
เธอได้แค่นเสียงออกมา และดวงตาที่ลุกเป็นไฟของเธอได้โค้งออกมาเป็นจันทร์เสี้ยว
“นายคิดว่านายจะรอดไปได้ด้วยของแค่นี้งั้นหรอ?”
น้ำเสียงของเธอก็ยังคงไม่พอใจอยู่เช่นเดิม
“ผมซื้อของมาให้อาจารย์ นอกเหนือจากอาจารย์แล้วผมก็ยังซื้อของมาให้ทุกๆคนเดียว มันก็ไม่ได้มากอะไรหรอก ก็แค่เป็นสิ่งที่ผมไปหาซื้อมาในตอนที่ว่างอยู่”
เสียงไอแห้งๆของจางมัลดงได้ดังออกมาจากด้านหลัง
แน่นอนว่าฟีโซราไม่ได้ยินเสียงนี้เลย
“งั้นนายก็กำลังจะบอกว่า ฉันควรจะรับมันไป แล้วก็ไสหัวไปเงียบๆสินะ”
เธอได้บิดคอไปมา และริมฝีปากก็ได้โค้งเป็นรอยยิ้มออกมา แต่ว่าดวงตาเธอไม่ได้ยิ้มเลยสักนิด นี่มันยิ่งมีแต่จะทำให้เธอน่ากลัวขึ้นเป็นพิเศษ
จากที่ดูแล้ว มันไม่ดูเหมือนว่าเธอจะรับของขวัญไปเลย เพราะงั้นซอลจีฮูจึงค่อยๆวางของขวัญลง จากนั้นก็ถามออกมาด้วยความสงสัย
“คุณกำลังจะเข้ามาอัดผมหรอ?”
“ใช่ ฉันจะอัดนายให้ยับเลบ”
ขณะที่ฟีโซราเบิกตากว้างอย่างน่ากลัว ซอลจีฮูก็ส่ายหัวออกมาอย่างสงบ
“อย่าทำแบบนี้เลย ทำไมถึงต้องมาอัดคนอื่นเขาด้วยล่ะ?”
“ไอ้เวรนี่ ต่อให้นายคุกเข่าขอโทษฉันมันก็ยังไม่พอด้วยซ้ำ แต่นี่มันอะไรกัน? หน้าด้านหน้าทนจริงๆเลยนะ!”
มันราวกับว่ายิ่งเกลี้ยกล่อมเธอก็ยิ่งมีแต่จะกระตุ้นเธอมากขึ้น คำพูดมากมายได้หลั่งไหลออกมาจากปากเธอ
“แน่นอนสิ กับฟีซ่าหรือฟีโคโร่ ฉันก็หัวเราะกับมันได้นะ แต่ว่าอะไรล่ะ? ฟีเดียส?”
“ฟี! เดียส!”
“ไอ้สารเลว-“
ฟีโซราได้เหลือกตาออกมาราวกับว่าเธอทนพูดต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ซอลจีฮูรีบทรุดตัวไปกับโซรา จากนั้นก็ห่อไหล่ยกมือทั้งสองข้างออกมา
“เอาเถอะ ทำตามที่ต้องการเลย ผมจะอยู่ตรงนี้เฉยๆ”
“โอ้? ได้เลย! ฉันจะทำเต็มที่แน่ นายคิดว่าฉันจะไม่ทำงั้นหรอ?”
ซอลจีฮูได้ค่อยๆมองขึ้นลงบนตัวฟีโซราด้วยสายตาไร้กังวล จากนั้นก็ยิ้มออกมา
“อุปกรณ์นั่น มันดูเหมาะกับคุณดีนะครับ?”
มือที่กำลังหักข้ออยู่ได้ชะงักไปทันที หลังจากเห็นปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้ามแล้ว ซอลจีฮูก็เริ่มพูดต่อ
“ดาบยาว โล่ ชุดเกราะ แล้วก็กระทั่งรองเท้า… ไอ้หย๊า ใครกันนะที่เป็นคนให้มันกับคุณ ของพวกนี้ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆเลย มันช่างวิเศษ!”
“..”
“จะต้องเป็นของที่มาจากงานจัดเลี้ยงแน่ๆเลย มันดูหรูหราจังเลยนะ คุณก็คิดแบบนั้นใช่ไหม?”
ซอลจีฮูได้เท้าคางัวเอง และยิ้มออกมา คอฟีโซราได้เริ่มสั่นเทาขึ้นมาพร้อมๆกับฟันที่กัดแน่น
“อ่า! ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว สงครามมันก็จบ-“
อะ ไอ้น่าไม่อาย”
ฟีโซราไม่อาจจะทนได้อีกต่อไป และเริ่มตัวสั่นด้วยความไม่พอใจ
“น่าไม่อายอะไรกันครับ? มันก็เป็นสัญญานี่นา คุณลืมไปหรือเปล่าว่าคุณก็แค่เช่าอุปกรณ์ไปจนกระทั่งสงครามจบลงน่ะ”
เขาไม่ได้พูดผิดเลย เหตุผลที่จู่ๆเขาเอาของพวกนี้ออกมาก็เพราะช่วงสงคราม ฟีโซราก็ไม่ได้โง่จนไม่เข้าใจถึงสิ่งนี้
เธอสามารถจะทิ้งของขวัญที่เขาเอามาจากโลกได้ แต่ว่าหากเป็นของที่เกี่ยวข้องกับพาราไดซ์มันก็จะเป็นคนล่ะเรื่องกัน ยังไงแล้วการจะหาอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ และประสิทธิภาพแบบนี้มันไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ
เธออาจจะคืนพวกมันกลับไป และขอเงินมาซื้ออุปกรณ์ใหม่ได้ แต่ว่านั่นมันก็จะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของซอลจีฮูอยู่ดี
“กรอดดด…”
เสียงกัดฟันแน่นได้ดังออกมา
“ฉันก็แค่บอกว่านายต้องถูกอัดสักสองสามครั้งเท่านั้นเอง นายอยากจะเอาแบบนี้จริงๆงั้นหรอ?”
“หมายความว่ายังไงกัน? คุณกำลังบอกว่าผมไม่อาจจะขออุปกร์นั่นกลับคืนมาในฐานะของเจ้าของที่ถูกต้องได้งั้นหรอ?”
“เด็กน้อยจริงๆ คนเรามันจะเลวขนาดนี้ได้ยังไงกัน?”
“ใครหลอกใครก่อนกันแน่ล่ะ?”
ฟีโซราได้แสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา
เขายังคงแค้นเรื่องนั้นอยู่อีกหรอ? ไม่ว่าเธอจะกรีดร้องออกมาว่าเขาอายุเท่าไหร่กี่ครั้ง และบอกว่าเขาเป็นเด็กน้อย แต่คำตอบของซอลจีฮูก็ยังคงเป็นเช่นเดิม
ฟีโซรารู้สึกว่าหากคุยต่อไปเธอจะต้องระเบิดออกมาแน่ หลังจากจ้องเด็กน้อยซอลจีฮูอยู่สักพัก เธอก็เบิกตากว้าง และคำรามออกมาสุดเสียง
“บ้าเอ้ย! นับจากนี้อุปกรณ์พวกนี้คือของฉัน อย่างได้คิดจะเอามันกลับคืนไป เข้าใจนะ?”
ซอลจีฮูได้หัวเราะออกมาเหมือนกับคนชรา
“คุณฟีโซรา คุณยังมีมโนธรรม… อยู่ไหม?”
“ไม่ ไม่มีแล้วโว๊ย!”
หลังจากตะโกนออกมาแบบนี้ ฟีโซราก็สะบัดหน้าหนีไป และเธอก็เดินกระทืบเท้าออกไปโดยไม่ลืมหยิบเอาถุงช็อปปิ้งไปด้วย
“บ้าเอ้ย!”
เมื่อเห็นฟีโซรากระทืบเท้าเข้าไปในห้องของเธอแล้ว ซอลจีฮูก็หัวเราะออกมา และเมื่อเสียงประตูปิดดังตึงดังออกมา-
“…พวกนายสองคนสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
จางมัลดงได้ถามออกมาด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
คนที่ไม่ได้รู้จักพวกเขาคงจะถามแค่ว่าสถานการณ์เป็นมิตรกันนี่มันคืออะไร แต่ในฐานะของคนที่รู้จักฟีโซราเป็นอย่างดีแล้ว จางมัลดงก็ตกใจเกินกว่าจะเชื่อได้
หากว่าฟีโซราที่เกลียดการถูกล้อเชื่อที่สุดได้กดอารมณ์เอาไว้ นั่นมันก็หมายความว่าอย่างน้อยเธอมองซอลจีฮูเป็นมิตร
“พวกเราไม่ได้สนิทกันเลยครับ เรามีแต่จะทะเลาะกันในทุกๆครั้งที่เจอหน้ากัน”
จางมัลดงได้หัวเราะแห้งๆออกมาเมื่อได้ยินชายหนุ่มพูดเหมือนเรื่องธรรมดา จากนั้นหลังจากถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ เขาก็ลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง
เสียงหัวเราะของซอลจีฮูได้หยุดลงไป
“จะไปไหนหรอครับ?”
“ฉันจะออกไปสักหน่อย…”
“แล้วเรื่องที่เราคุยกัน…”
“เราค่อยมาคุยกันต่อหลังจากนายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงแล้ว”
จางมัลดงได้ยิ้มออกมา
“แท้หรือปลอม แรงค์เกอร์ระดับสูงก็คือแรงค์เกอร์ระดับสูง ในฐานะหัวหน้าแล้ว การยกระดับของตัวนายเองก็จะช่วยยกระดับรูปลักษณ์ภายนอกของทีมใช่ไหมล่ะ?
เพราะแบบนี้จางมัลดงก็ได้หยิบจานขนาดเท่าฝ่ามือออกมาวางเอาไว้บนโต๊ะ
ซอลจีฮูได้มองตามลงไปตามสัญชาตญาณ รูปทรงเลขาคณิตที่ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีทองทำให้มันดูน่าประทับใจ
“นี่คืออะไรหรอครับ?”
“มันคือเอกสารรับรองจากกษัตริย์ฟีไฮ เขาได้เอามันมาส่งที่สำนักงานเป็นการส่วนตัวเลยนะ
‘เอกสารรับรอง?”
“เจ้าหนู พูดไปแล้วการกลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงก็เหมือนกับการก้าวหน้าในเส้นทางอาชีพหรือได้เลื่อนขั้น นายไม่รู้งั้นหรอว่าราชวงศ์จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลื่อนขั้นนี้น่ะ?”
ใบหน้าของซอลจีฮูได้กลายเป็นสับสนขึ้นมาเมื่อนึงได้ถึงความจริงข้อหนึ่ง
“กษัตริย์ฟีไฮได้บอกว่านายได้พิสูจน์ตัวเองเกินพอแล้ว เพราะงั้นก็เลยไม่ต้องมีการพิสูจน์อะไรอีก”
“แล้วก็นะหากว่าเขายังจะมอบภารกิจยากๆให้นายไม่ว่าจะด้วยข้ออ้างใด ฉันก็จะเตรียมตัวย้ายสำนักงานของเราแน่นอน”
ซอลจีฮูได้รับเอกสารมา
“ผมจะรีบกลับมานะครับ”
เขาดูเหมือนจะอยากคุยต่อในทันทีที่กลับมา เพราะงั้นจางมัลดงจึงรีบหยิบเอาสมุดบันทึกออกมาจากเสื้อ
“นี่เป็นสมุดบันทึกที่ฉันแยกออกมาจากข้าวของของเอียน นายก็รู้ใช่ไหมว่าเอียนทำหน้าที่เป็นคนเก็บบันทึก?”
เมื่อได้ยินจางมัลดงพูดถึงเอียน ซอลจีฮูก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที
“ฉันมีบางอย่างที่อยากจะได้ยินจากนายเป็นการส่วนตัว”
“?”
“การพูดคุยกันในวันนี้มันทำให้ฉันได้เห็นว่านายสนใจอยู่แค่กับการพัฒนาตัวเองเท่านั้น”
จางมัลดงได้พูดขึ้นต่อ
“ยังไงก็ตามมันก็มีขีดจำกัดที่นายจะทำสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียวอยู่”
ซอลจีฮูได้แสดงสีหน้าเห็นด้วยโดยไม่รู้ตัว
หากว่าเขาอยู่ตัวคนเดียวกันในระหว่างสงคราม เขาก็จะไม่มีทางชนะได้เลยว่าจะตายและฟื้นขึ้นมากี่ครั้งก็ตาม
“ฉันอยากจะรู้เรื่อง”
จางมัลดงได้หยุดชั่วคราว และยกตัวขึ้นมา
“วิสัยทัศน์ของนายที่วาดไว้สำหรับอนาคนที่เกิดขึ้นนอกเหนือไปจากเป้าหมายของนาย”
จางมัลดงที่เห็นสีหน้าไม่รู้เรื่องของซอลจีฮู ได้แต่หัวเราะออกมา
“หากว่านายยังไม่เข้าใจ ฉันก็อยากจะให้นายค่อยๆใช้เวลาวันนี้อ่านสมุดบันทึกนั่นนะ มันอาจจะช่วยนายได้”
ซอลจีฮูได้จับสมุดบันทึกที่ถือเอาไว้แน่น
เมื่อคุยกันจบแล้ว ซอลจีฮูก็ได้มุ่งตรงไปที่วิหารกู่ลาในทันที
แน่นอนว่าแค่การยกระดับขึ้นมันไม่ได้หมายความว่าเขาจะได้รับความสามารถของแรงค์เกอร์ระดับสูง แต่ว่าก็อยากที่จางมัลดงพูด มันจะเป็นประโยชน์ในด้านต่างๆได้เช่นกัน
และจริงๆแล้ว เขาก็อยากจะเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงเช่นกัน
“หืมมม…”
ซอลจีฮูได้ชะงักเท้าอยู่ตรงหน้าวิหาร และค้นหาบางอย่างภายในกระเป๋า
[ปานแห่งเทพ]
-ปานพิเศษท่ามกลางสิ่งต่างๆมากมายที่ถูกสร้างขึ้นสำหรับร่างกายของมนุษย์ กักเก็บร่องรอยพลังแห่งเทพเอาไว้
-คุณจะถูกส่งไปยังสถานที่ทดสอบในทันทีที่คุณทำการถวายสิ่งนี้
-หากว่าคุณสามารถผ่านการทดสอบที่เทพของคุณมอบให้ได้ คุณก็จะได้รับพลังที่เทียบเท่ากับนักบุญ
-แม้ว่ามันจะเป็นการทดสอบที่ยากลำบาก แต่ว่าปานที่ถูกสร้างขึ้นในระหว่างกระบวนการนี้ก็จะตอบแทนพลังที่ทรงพลังกลับคืนมา
‘ใช้มันตอนนี้จะถูกต้องไหมนะ?’
หลังจากอ่านคำอธิบายดู และเก็บมันลงไป ซอลจีฮูก็ได้ตรงเข้าไปในวิหาร สิ่งที่น่าสนใจก็คือเขาไม่เห็นคนอื่นในวิหารเลยแม้แต่คนเดียวฃ
ซอลจีฮูได้เดินมาหยุดลงตรงหน้ารูปปั้น และก้มหัวลง
มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ตามมา ซอลจีฮูได้ยืนนิ่งๆโดยไม่ขยับอยู่สักพัก เหตุผลที่เขาไม่พูดอะไรก็เพราะว่าเขาสัมผัสได้ถึงมือของเทพธิดากู่ลาที่กำลังลูบหัวเขาอยู่
‘อืมมม…’
ซอลจีฮูได้สัมผัสถึงความรู้สึกของมือนิ่มๆของเทพธิดาที่เขาไม่ได้รู้สึกมานานแล้ว
กู่ลาก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา และลูบหัวของเขาต่อไป
ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ?
[ดูเหมือนจะถึงเวลาแล้วนะ]
น้ำเสียงผ่อนคลายได้ดังเข้ามาในหัวของเขา
‘ถึงเวลา?’
[การตัดสินใจของเราในการยอมรับชาวโลกคนหนึ่งที่เกือบจะติดการพนัน]
จู่ๆเธอก็ได้เข้าเรื่องอย่างกระทันหัน ซอลจีฮูได้จมลงสู่ความรู้สึกมืดมนในทันทีที่ตั้งสติกลับมา
[แต่ว่ามันก็คงไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว]
กู่ลาได้รอให้ซอลจีฮูพร้อมฟัง และเริ่มพูดต่อด้วยน้ำเสียงกระจ่างชัด
[มันเป็นเพราะสถานการณ์ที่หมดหวัง เจ้ารู้ไหมว่าราชินีปรสิตได้ทำอะไรในตอนที่เธอได้การควบคุม ‘ใจกลางโลก’?]
‘ผมได้ยินมาว่าเธอทำลายจักรวรรดิ’
[ใช่แล้วล่ะ]
กู่ลาได้ยอมรับออกมาเบาๆ
[ในตอนนั้นจักรวรรดิเป็นชาติที่ปกครองใจกลางโลกอย่างเบ็ดเสร็จ]
[แต่แล้วนั่นมันก็แค่เหตุผลหนึ่งเท่านั้น]
น้ำเสียงของกู่ลาได้ดังต่อออกมาเรื่อยๆ
[ราชินีปรสิตรู้]
[หากว่าเธอถอนรากถอนโคนจักรวรรดิโดยไม่เหลืออะไรเอาไว้เลย มันก็จะมีเพียงแต่ความพินาศเท่านั้นที่หลงเหลือไว้ให้กับอนาคตของปรสิต]
‘เหลือเพียงความพินาจ?’
ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา
[ในทันทีที่จักรวรรดิล่มสลายไป มันก็ไม่ต่างจากการที่อนาคตของพาราไดซ์ได้ตกลงไปสู่เงื้อมมือของราชินีปรสิต]
กู่ลาไม่เคยพูดเรื่องทำนองนี้มาก่อนเลย แต่ว่าเขาก็ยังคงไม่เข้าใจอะไรเหมือนเคย ซอลจีฮูได้ตัดสินใจจะตั้งใจฟังก่อน
[ราชินีปรสิตได้กลืนกินเทพสูงสุดด้วยพลังที่เธอใช้พิชิตจักรวรรดิ จากนั้นเธอก็ได้ทำการกลืนกินคุณธรรมทั้งเจ็ดต่อ]
ซอลจีฮูเคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้มาบ้างเล็กๆน้อยจากสถานที่ต่างๆ
[ในจุดๆนั้น มันไม่มีเส้นทางใดที่จะนำไปสู่อนาคตที่มีความหวังอีกแล้ว แต่ว่า…]
[การปรากฏตัวของอีกหนึ่งเผ่าพันธุ์เอเลี่ยน เทวดาตกสวรรค์ เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากการคำนวณของทั้งเธอแล้วก็เรา]
[หลังจากเทวดาตกสวรรค์ได้ก่อตั้งสหพันธรัฐ พวกเราได้ยืนยันว่านั่นจะนำไปสู่อนาคตที่มีความหวังซึ่งเราไม่เคยเห็นมาก่อน มันได้เริ่มปรากฏขึ้นมาลางๆแล้ง]
[และจากนั้นเราก็ได้ทำการตัดสินใจกัน]
และการตัดสินใจนั้นก็คือ-
[หากว่ามันยากที่จะไปสู่อนาคนนั่นด้วยพลังที่มีอยู่ในโลกนี้ ถ้างั้นเราก็ควรจะชุบชีวิตอนาคตขึ้นมาด้วยการช่วยเหลือจากโลกอื่นสิ]
[ต่อให้มันจะมีโอกาสอันน้อยนิด แต่ว่ามันก็เคยมีเหตุการณ์อย่างตอนเทพสัประยุทธ์ เพราะงั้นมันจึงคุ้มที่จะลองดู]
น้ำเสียงที่นิ่งสงบของกู่ลายังคงพูดต่อไป
[ในตอนแรกมันก็ไม่ได้แย่อะไร]
[แน่นอนว่ามันยังคงมีความต่างระหว่างปุถุชนกับเทพอยู่ เพราะงั้นเราก็เลยไม่ได้หวังอะไรมาก]
[แต่เราก็หวังว่าหากมีฝูงมดนับแสนนับร้านต่อสู้กับช้าง บางทีสถานการณ์มันก็อาจจะเปลี่ยนแปลงกันได้]
[อย่างน้อยที่สุด เราก็หวังว่ามันจะช่วยสนับสนุนอนาคตที่สหพันธรัฐได้เปิดมันขึ้นเล็กน้อย นี่คือสิ่งที่เราหวังเอาไว้ แต่ว่า…]
กู่ลาได้ลังเลขึ้นมาก่อนจะพูดขึ้นอย่างหมดหวัง
[ปัญหาก็คือราชินีปรสิตรู้ถึงความตั้งใจของเราเป็นอย่างดี]
[เธอได้เริ่มกำจัดชาวโลกที่มีศักยภาพที่จะคุกคามเธอไปทีล่ะคน ราวกับจะเป็นการเยาะเย้ยพวกเรา]
[และนอกเหนือไปจากนั้น เธอก็ยังเลือก และไว้ชีวิตคนที่จะช่วยเธอในอนาคตอีกด้วย]
[ความตั้งใจของเธอมันชัดเจนมาก เธอตั้งใจที่จะย้อนแผนครั้งสุดท้ายของเราให้กลายเป็นตัวช่วยเธอแทน]
ซอลจีฮูที่ฟังอยู่เงียบๆได้หรี่ตาขึ้นมา
‘มีเรื่องหนึ่งที่ผมสงสัยอยู่’
[อะไรงั้นหรอ?]
‘หากว่าราชินีปรสิตตั้งใจจะเข้าแทรกแซง ถ้างั้นเทพทั้งเจ็ดก็เข้าช่วยได้เหมือนกันไม่ใช่หรอครับ? อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ต้องระวังคำพูดสักหน่อย…’
‘ศัตรูกำลังเล็งเจ้าอยู่’ หรืออย่าง ‘อย่าอยู่ที่พาราไดซ์ ให้กลับโลกไปสักพัก’ เขาคิดว่าทำไมเหล่าเทพถึงไม่พูดคำง่ายๆพวกนี้
จากจุดยืนของซอลจีฮูแล้ว มันเป็นสิ่งที่อย่างน้อยก็ควรจะลองดู
[มีอยู่สองเหตุผลที่ทำให้มันเป็นไปไม่ได้ล
กู่ลาได้ตอบกลับมาอย่างสงบ
[เหตุผลแรกก็คือราชินีปรสิตจะไม่ยอมแพ้หลังจากล้มเหลวแค่ครั้งสองครั้ง เหตุผลที่สองก็คือการแทรกแซงใดๆของเทพจะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมขนาดใหญ่ต่อกฏแห่งกรรม]
‘กฎแห่งกรรม?’
[หากว่าเราเข้าแทรกแซงจนทำให้เกิดอะไรบางอย่างขึ้นมา ถ้างั้นราชินีปรสิตก็จะได้รับสิทธิ์แบบเดียวกัน นี่แหละคือกฎของโลก]
‘ผมไม่เข้าใจเลย ถ้างั้นมันหมายความว่าตามกฎแห่งกรรมแล้ว ราชินีปรสิตก็-‘
[ในปัจจุบันเธอก็คือผู้ปกครองแห่งพาราไดซ์อย่างเบ็ดเสร็จ และด้วยเหตุนี้เธอจึงเป็นตัวตนเดียวที่ได้รับการล่ะเว้นจากกฎของโลก ด้วยการยึดตำแหน่งเทพสูงสุดมาแล้ว เธอจึงได้รับพลังในการมองดาวแห่งโชคชะตา และสิทธิ์ในการเข้าแทรกแซงโดยตรง สถานการร์ในปัจจุบันของเธอต่างไปจากเรา]
เมื่อได้ยินแบบนี้ ซอลจีฮูจึงเงียบลงไป
หรือก็คือมันเหมือนกับราชินีปรสิตสามารถใช้แมพแฮ็คโดยไม่มีข้อจำกัดเลย
ในตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าการต่อสู้ของเทพทั้งเจ็ดกับราชินีปรสิตนั้นเสียเปรียบขนาดไหน
[ยังไงก็ตามมันก็ยังมีข้อยกเว้นอยู่เสมอ]
[ลูซูเรียพูดถูก]
ทันใดนั้นน้ำเสียงของกู่ลาก็สูงขึ้น
[ในที่สุดเราก็มีคนที่สามารถที่จะใช้พลังแบบเดียวกันกับศัตรูของเราได้แล้ว]
นี่คืออะไร?
[…พูดตรงๆแล้ว ข้าก็อยากจะเก็บให้นายปลอดภัยนานกว่านี้สักนิด]
[แสงอันล้ำค่าที่เราได้เจอในตอนที่เราเหนื่อยล้าและสิ้นหวัง… ข้าอยากจะให้เจ้ามีเวลาเติบโตมากกว่านี้]
[แต่ก็เพราะความเห็นแก่ตัวของไอร่า ราชินีปรสิตจึงได้สังเกตุเห็นมันเร็วกว่าที่เราหวังไว้]
[และการที่รู้สึกถึงการคุกคามที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้เธอจึงยกทัพออกมา แต่ว่า…]
กู่ลาได้ลูบเขา จากหัว คอ ไหล่ และแผ่นหลัง
[เจ้าทำได้ยอดเยี่ยมมาก]
[เจ้าได้พิสูจน์ถึงคำพูดที่เจ้าเคยพูดกับเราเอาไว้ในงานจัดเลี้ยงอย่างน่าอัศจรรย์แล้ว]
น้ำเสียงกู่ลาได้กลายเป็นตื่นเต้นขึ้นมา
[และผลที่ได้ก็คือ ในที่สุดแล้วเราก็เริ่มเห็นมันเช่นกัน]
[แม้ว่ามันจะเป็นแค่เพียงหนึ่งเดียว แต่ว่าอนาคต… มันกำลังอยู่รอบตัวเจ้า!]
น้ำเสียงของเธอได้สั่นไหวขึ้น
เสียงถอนหายใจยังดังออกมาราวกับว่าเธอพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง
[…ใช่แล้วล่ะ]
[มันถึงเวลาแล้ว]
ถึงเวลาแล้ว… มันเป็นครั้งที่สองที่เขาได้ยินเธอพูดแบบนี้
ขณะที่เขากำลังสับสนอยู่ว่าเธอกำลังพูดอะไร เขาก็รู้สึกว่าจู่ๆก็มีมือมาแตะที่ดวงตาของเขา
‘ไม่มีทางน่า!’
ซอลจีฮูได้เบิกตาโพล่งขึ้นมา เขาได้รีบเงยหน้าขึ้น และมองไปที่รูปปั้น ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว
นพเนตร
‘ในที่สุดท่านก็อนุญาตแล้วหรอ?’
[ข้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่]
กู่ลาได้พูดออกมาราวกับยอมรับในความเป็นจริง
[ยิ่งกว่านั้นตอนนี้มันไม่มีอะไรให้ต้องซ่อนแล้ว]
[เจ้าได้พิสูจน์ถึงความพิเศษของเจ้า และเจ้าก็ได้รับคะแนนคุณูปการมากเกินพอแล้วด้วย]
ร่างกายของซอลจีฮูได้สั่นเทาเล็กน้อย
แรงสั่นสะเทือนได้ถูกส่งผ่านไปทั้งร่างของเขา ทุกๆเซลล์ในร่างเขาได้ถูกกระตุ้นขึ้นมาทำให้ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน
ในที่สุด-
[เจ้าต้องการมันไหม?]
‘ครับ ผมต้องการมัน’
เขายังไม่ค่อยเข้าใจในทุกๆอย่างที่กู่ลาได้บอกกับเขา แต่ว่าซอลจีฮูรู้ได้โดย ‘สัญชาตญาณ’ ว่านี่ก็คือจังหวะสำคัญยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นนี่ก็ยังเป็นสิ่งที่เขาต้องการตั้งแต่ก่อนที่จะเข้ามาในพาราไดซ์ซะอีก
[ดีมาก]
ในที่สุดแล้วกู่ลาก็อนุญาต
[เข้ามาใกล้ๆสิลูกของข้า]
เทพธิดาได้วางมือลงบนหัวของเขาอีกครั้ง
[ในนามแห่งกู่ลา นับจากนี้ข้าขอมอบนามผู้ใช้หอกแห่งเนเมซิส (สนองกรรม) ระดับ 5 ให้กับซอลจีฮู]
[ด้วยฐานะแรงค์เกอร์ระดับสูงที่เมินเฉยต่อความดี ความชั่ว และการกระทำตามกฎแห่งกรรม ข้าหวังว่าจะเจ้าประสบความสำเร็จให้สมกับนามที่เจ้าได้รับ!]
และในเวลาเดียวกัน
[ความสามารถโดยกำเนิดของคุณ ‘นิมิต’ ได้ตอบสนองต่อการวิวัฒนาการใหม่ของความสามารถโดยกำเนิดขงคุณ ‘นพเนตร’]
‘อะไรกัน?’
และก่อนที่เขาจะได้มีเวลาทำความเข้าใจกับคำว่า ‘ใหม่’-
ซ่าาาาาาห์
ภาพตรงหน้าซอลจีฮูได้ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีขาวสว่างบริสุทธิ์
ตอนที่ 194
บทที่ 194 – แรงค์เกอร์ระดับสูง (2)
สีครามและสีม่วงได้ถูกเผยออกมาให้เห็น
[ความสามารถโดยกำเนิด ‘นพเนตร’ ได้ถูกปลดล็อคอย่างสมบูรณ์]
[ความสามารถโดยกำเนิด ‘นิมิตร’ และความสามารถโดยกำเนิด ‘นพเนตร’ กำลังหลอมรวมกัน]
นพเนตรได้หลอมรวมนิมิตเข้ามาและเริ่มวิวัฒนาการขึ้น ภายใต้กระบวนการนี้ ซอลจีฮูได้รีบมองไปรอบๆด้วยความตกใจ
แสงเจิดจ้าได้ถูกรวมเข้ามาที่รอบตัวตาของเขาจนทำให้เขามองอะไรไม่เห็นเลย เขารู้สึกแปลกๆ มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายเหมือนกับเส้นด้ายที่รัดพันกันอยู่ถูกคลายออกมา
ราวกับว่ามีเพียงเขาที่ถูกแช่แข็ง ในขณะที่ทั้งโลกกำลังหมุนผ่านเขาไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนักเมื่อความรู้สึกนี้ได้หายออกไปจากร่างเขาจนหมด และแสงก็หายไปจากดวงตาจนทำให้เขากลับมามองเห็น… ซอลจีฮูก็กลายเป็นพูดไม่ออกเมื่อได้เห็นข้อความที่ลอยอยู่เต็มไปหมด
[ความสามารถโดยกำเนิดวิวัฒนาการเป็น ‘นพเนตรแห่งการทำนาย’]
ความสามารถโดยกำเนิดทั้งสองของซอลจีฮูได้หลอมหลวมกลายเป็นหนึ่ง เขายังเห็นข้อความอีกหลายข้อความจนทำให้เขาอ่านมันราวกับต้องมนต์
[นพเนตรแห่งการทำนาย (ไม่อาจระบุระดับ)]
-ความสามารถในการทำนายอนาคน หนึ่งในสามช่วงเวลา
-การทำนายอนาคตที่สามารถจะอ่านความลับของธรรมชาติ วิเคราะข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อนำไปทำนายอนาคต และนิมิตที่มีพื้นฐานจากความรู้สึกเหนือธรรมชาติ และความสามารถเหนือธรรมชาติ – ความสามารถพิเศษที่ไม่ได้สอดคล้องกับสามช่วงเวลาแต่อย่างใด
-ตัวตนที่มีประสบการณ์ในปรโลกที่ได้เปลี่ยนแปลงจิตสำนึกไปเป็นอารมณ์ และกักเก็บมันเอาไว้ภายในจิตใต้สำนึก เหมือนกับความสามารถในการนึกถึงสิ่งที่ ‘เกิดขึ้นไปแล้ว’ จนมันใกล้เคียงกับ ‘การทำนาย’
-ยิ่งผู้ใช้จดจำเรื่องราวในปปัจจุบันได้ดีเท่าไหร่ การตอบสนองของอารมณ์ที่ถูกกักเก็บเอาไว้ก็จะมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
ซอลจีฮูรู้สึกตกใจไปกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน แต่ว่าเขาก็ยังส่งเสียงออกมาในความนึกคิด
‘ท่านกู่ลา นิมิตมัน-‘
[มันยังไม่ได้หายไปหรอก]
กู่ลาได้ตอบกลับราวกับว่าเธอรู้ว่าเขากำลังถามอะไร
[มันก็แค่กลับไปในที่ที่มันควรจะอยู่เท่านั้นเอง]
สิ่งที่เธอกำลังจะบอกก็คือ นิมิตที่ซึ่งยังไม่สมบูรณ์มาจนถึงตอนนี้ และได้แสดงออกมาแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของพลังของมัน ในที่สุดแล้วหลังจากหลอมหลวมเข้ากับนพเนตรก็จะสามารถแสดงพลังที่แท้จริงออกมาได้
[ตอนนี้เจ้าก็น่าจะรู้แล้วนะ]
น้ำเสียงของกู่ลาได้ทำให้ซอลจีฮูตื่นขึ้นจากความสับสน
[มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เจ้าได้เข้ามาในพาราไดซ์]
ความฝันของซอลจีฮูไม่ใช่เรื่องโกหก มันคือความจริง ความจริงที่เขาเคยประสบมาก่อน
[ข้าจะพูดแบบนี้เพื่อคลายความกังวลให้เจ้า อย่าได้เชื่อจนตามืดบอด]
กู่ลาได้พูดขึ้นอย่างมีพลัง
[ด้วยสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนได้เกิดขึ้นในตอนนี้-]
การฆ่าคังซอกในช่วงต้น อนาคตของ ‘กลุ่มดาวนักฆ่า’ ในเขตพื้นที่เป็นกลาง การตาจของอีวาเกเลี่ยน โรส ผู้ที่จะมีชื่อเสียงในอนาคต ‘ผู้พิทักษ์แห่งอีวา’ ในงานจัดเลี้ยง-
[ด้วยสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนได้เกิดขึ้นในตอนนี้-]
และการกำจัดความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ในสงคราม…
[อนาคตได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปแล้ว]
การไหลของน้ำที่ควรจะเป็นไปตามที่ถูกออกแบบไว้จู่ๆก็ได้เปลี่ยนแปลงไป และส่งผลให้สาบน้ำเล็กๆที่ได้รับผลกระทบจากซอลจีฮูในตอนนี้ ได้รับแรกผลักดัน และเริ่มเกิดแรงกระเพื่อมขึ้นมา
[ความสามารถนี้จะกลายเป็นไกด์คอยช่วยชี้ทางเดินให้กับเจ้า]
กู่ลาได้เอื้อมมือออกมาลูบหัวของชายหนุ่มที่ยืนนิ่งเหมือนกับรูปปั้น ซอลจีฮูกำลังยืนรวบรวมสติ และมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
[ทิศเบื้องขวา (2) ของความสามารถโดยกำเนิด ‘นพเนตรแห่งการทำนาย’ – สีคราม: บุกเบิกชะตากรรม สีม่วง: วิวัฒน์ดวงดาว – ได้รับการปลดล็อค]
ก่อนหน้านี้มีเพียงสีน้ำเงินที่ถูกปลดล็อคออกมาจากเบื้องซ้าย และในตอนนี้ก็มีสีคราม และสีม่วงออกมา
ในอดีตซวอลจีฮูอาจจะมองข้ามเรื่องนี้ไปว่าเป็นสิ่งไม่สำคัญ แต่ว่าหลังจากที่ปลดล็อคเบื้องขวาออกมา และได้มีประสบการณ์ถึงความซับซ้อนของสีน้ำเงินแล้ว ซอลจีฮูก็รู้สึกได้ว่าบ่าของเขาหนักขึ้นมา
แค่การทำความเข้าใจทางเลือกแห่งโชคชะตาเพียงอย่างเดียวก็ทำให้เขาลำบากพออยู่แล้ว แต่ในตอนนี้เขายังจะต้องมาหาว่าอีกสองสีที่เพิ่มเข้ามาของเบื้องขวานี่มันทำงานยังไงอีก พูดตรงๆแล้ว เขาคิดไม่ออกเลยสักนิดว่าความสามารถใหม่ทั้งสองอย่างนี้มันทำงานยังไง
แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่เขารู้ เมื่อคำนึงถึงความสามารถทั้งสองนี้ในแง่ที่เชื่อมโยงกับนิมิต พวกมันจะต้องมีพลังที่ต่างไปจากทิศอื่นๆอย่างสิ้นเชิงแน่นอน
บุกเบิกชะตากรรม และวิวัฒน์ดวงดาว
เหมือนอย่างที่กู่ลากับเอียนได้บอกไว้ บางทีความสามารถทั้งสองอย่างนี้อาจจะเป็นกุญแจสำคัญที่เอาไว้ใช้ต่อต้านแผนการกำจัดมนุษยชาติของราชินีปรสิตก็ได้
อย่างน้อยที่สุดเขาก็คิดแบบนี้
“ฟู่วววว”
ในท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ไม่มีทางรู้ได้ในตอนนี้ เขาจะต้องเดินหน้าต่อไป และคิดมันให้ออกเหมือนอย่างที่เคยทำ
ซอลจีฮูได้พ่นลมหายใจยาวที่กลั้นเอาไว้ออกมา จากนั้นเขาก็ค่อยๆปิดทีล่ะข้อความ รายชื่อทักษะที่เขาสามารถจะเรียนรู้ได้ในฐานะแรงค์เกอร์ระดับสูงที่ซึ่งถูกข้อความต่างๆก่อนหน้านี้บังเอาไว้ ได้ถูกเผยออกมา
ระดับ 5 หรือระดับของแรงค์เกอร์ระดับสูงที่ซึ่งชาวโลกได้ถูกพิจารณาว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ เขาได้เห็นทักษะหลายอย่างที่ฟังดูแล้วไม่ธรรมดาอย่างปราณดาบ
‘หืม?’
มีอยู่สองทักษะที่ดึงความสนใจของเขาเป็นพิเศษ
‘คำสาป… อาฆาต…?’
[เนเมซิส: หอกต้องสาปอวมงคล]
-หอกที่บิดเบื้อนกฏแห่งกรรมเพื่อทำให้โชคของเป้าหมายบิดเบี้ยว และส่งความโชคร้ายออกไปให้เขาหรือเธอ ความสามารถนี้สามารถจะมองได้ว่าเป็นคำสาปเพราะจะทำให้เกิดหายนะขึ้นกับเป้าหมายโดยไม่รู้ตัว
-แต่เนื่องจากว่ามันเป็นการฝืนกฎแห่งกรรม ผู้ใช้งานจะต้องทนรับแรงสะท้อนจากพลังที่เท่าเทียมกัน
-ถึงแม้ว่ามันจะใช้งานได้ต่อเนื่อง แต่ผู้ใช้จะต้องระวังในการใช้งานเพราะมันอาจจะทำให้ผู้ใช้งานตายจากการใช้คำสาปมากเกินไปได้
[เนเมซิส: หอกอาฆาตลงทัณฑ์]
-มองการลงทัณฑ์จากสวรรค์สู่เป้าหมายที่สมควรได้รับตามกฎแห่งกรรม เทคนิคนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นโดยเทพธิดาแห่งความโลกกู่ลา ที่ได้เฝ้าสังเกตความสามารถ ‘ผลัดดอก’ ของเทพสัประยุทธ์
-ระหว่างการต่อสู้ เมื่อคุณได้รับความเสียหายที่เกินขีดจำกัดที่กำหนดไว้ ทักษะนี้จะส่งการโต้กลับแบบ ‘สมบูรณ์’ กลับไปเท่ากันกับความเสียหายที่คุณได้รับ
ความประหลาดใจได้เกิดเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น ไม่นานนักก็มีความกังวลปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ว่างเปล่าของเขา ทักษะพวกนี้มันน่าเหลือเชื่อมากก็จริง แต่ว่าเขาก็บอกได้เลยว่าการจะได้รับมันมายากขนาดไหนกัน
[เจ้ากังวลเรื่องอะไรกันล่ะ?
กู่ลาได้ถามออกมาเหมือนกับอ่านความคิดของเขาได้
[ไม่ต้องห่วงหรอก แค่ตั้งใจฝึกฝนให้มากขึ้น อนาคตมันไม่ใช่แค่สิ่งเดียวที่ได้รับการผลักดันนะ]
ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา นี่มันเป็นครั้งแรกเลยที่กู่ลาได้พูดอะไรแบบนี้ เมื่อคำนึงว่าเธอคือเทพแล้ว ซอลจีฮูก็ไม่คิดว่าเธอก็แค่พูดปลอบใจเขาแน่ๆ มันเป็นไปได้มากว่ามันมีความลับที่เขายังไม่ได้ค้นพบท่ามกลางการวิวัฒนาการความสามารถใหม่จำนวนมากนี้
‘ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณมากครับ!’
หลังจากโค้งคำนับรูปปั้นด้วยความเคารพแล้ว ซอลจีฮูก็ได้ค่อยๆก้าวเท้าออกไปจากวิหาร
และขณะที่กู่ลามองจุดที่ซอลจีฮูเคยยืนอยู่นี้ น้ำเสียงอันเย้ายวนจู่ๆก็ดังขึ้นจากความว่างเปล่า
[เห็นไหมล่ะ ข้าบอกเจ้าแล้วว่าเขาจะชอบมัน]
น้ำเสียงนี้เป็นเสียงของลูซูเรีย เทพธิดาแห่งราคะ
[ดูสิว่าเขาซาบซึ้งขนาดไหน นแล้วนี่มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาบ่นเรื่องชื่อคลาสของเขาใช่ไหมล่ะ?]
[ข้าก็แค่ไม่เข้าใจ]
กู่ลาได้พึมพำขึ้นเมื่อลูซูเรียได้โอ้อวดออกมา
[ชื่อแบบนี้มันดีตรงไหนกัน…? ผู้ใช้หอกมานาระดับสูงยังฟังดูดีกว่าซะอีก]
[ช่างหยาบคาย]
[ฮึ่ม ที่คราวนี้ข้าปล่อยมันไปก็เพราะเจ้ายืนกรานขนาดนั้น แต่ว่าเมื่อกลายเป็นระดับ 6 ข้าจะต้องใส่มานาเข้าไปในชื่ออย่างแน่นอน!]
หากว่าซอลจีฮูได้ยินแบบนี้ เขาก็จะต้องคัดค้านอย่างรุนแรงแน่นอน ลูซูเรียที่ตกใจได้รีบหยุดเธอไว้ในทันที
[อย่านะ หากว่าบุตรแห่งข้าหลงทางเจ้าจะทำยังไง?]
[บุตรเจ้า? ในตอนนี้นะมันไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาคือบุตรแห่งข้า]
ภายในวิหารการโต้เถียงของสองเทพธิดาได้ดำเนินต่อไปอย่างยาวนาน
***
หลังจากออกมาจากวิหารแล้ว ซอลจีฮูก็ได้หยุดลง และเงยหน้าขึ้นมา เมฆหมอกได้ปกคลุมอยู่บนท้องฟ้าทำให้มองเห็นท้องฟ้าสีน้ำเงินอันสดชื่น
ซอลจีฮูได้ยิ้มขึ้นในขณะที่มองขึ้นไปบนท้องฟ้า
[หน้าต่างสถานะของคุณ]
วันที่อัญเชิญ: 2017:03:16
ตราประทับ: ทองคำ
เพศ/อายุ: ชาย/26
ส่วนสูง/น้ำหนัก: 180.5 ซม./68.6 กก.
สถานะภาพในปัจจุบัน: สุขภาพดี
คลาส: ผู้ใช้หอกแห่งเนเมซิส ระดับ 5
สัญชาติ: เกาหลี (พื้นที่ที่ 1)
สังกัด: คาเพเดี่ยม
นามแผง: เจ้าเล่ห์, บุคคลชั้นนำ, ดาวดวงแรก,น่าปวดหัว,เด็กขี้แย่,ขี้แกล้ง, วีรบุรุษสงครามแห่งฮารามาร์ค,ปฏิปักษ์,คลั่งการฝึก
ในที่สุด!! ในที่สุดเขาก็มาถึงระดับ 5 แล้ว
ในตอนนี้เขาได้กลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูง เป็นผู้เชี่ยวชาญที่สามารถเดินยืนอกอย่างภาคภูมิใจได้แล้ว เขาสามารถจะพูดได้เลยว่าไม่มีใครในพาราไดซ์นี้จะเมินเฉยต่อพลังของเขาได้อีก
เมื่อนึกไปถึงว่าเขาเคยเข้าร่วมการสำรวจในฐานะคนแบกของในตอนยังเป็นนักรบระดับ 1 เขาก็ค่อนนข้างกระอักกระอ่วนใจ แต่ว่าการเลื่อนคลาสขึ้นยังไม่ใช่เหตุผลเดียวที่เขามีความสุขอีกด้วย
[คลาส: ผู้ใช้หอกแห่งเนเมซิส ระดับ 5]
เมื่อเห็นชื่อคลาสแล้ว รอยยิ้มยินดีก็ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา เขาได้มองดูมันหนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง และอีกหลายครั้ง ไม่ว่าจะมองดูมันกี่ครั้งเขาก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อเลย
นั่นก็เพราะว่ามันเท่
จริงๆแล้วเขาก็ไม่ได้คาดหวังชื่อเท่ๆแบบนี้ แค่เอาคำว่า ‘มานา’ ออกไปเขาก็เพียงพอใจแล้ว สำหรับซอลจีฮูที่สาบานว่าจะไปรับใช้เทพธิดาองค์อื่นหากว่ามีแม้แต่คำว่า ‘มา’ ของมานา’ ในชื่อคลาสใหม่ เพราะงั้นการที่กู่ลายอมรับคำขอของเขาจึงทำให้เขายินดีมาก
“อึก”
เขาประทับใจมากจนน้ำตาเริ่มไหลออกมา เขายังจำได้ดีถึงวันอันยากลำบากที่เขาอายเกินกว่าจะเปิดเผยชื่อคลาสออกมา
แต่ว่าวันคืนเหล่านั้นได้จบลงไปแล้ว เมื่อเขาคิดว่าเขากำลังพูดว่า ‘สวัสดี ฉันผู้ใช้หอกแห่งเนเมซิส ระดับ 5 แรงค์เกอร์ระดับสูง ซอลจีฮู’ เขาก็รู้สึกตื้นตันใจขึ้นมาแล้ว
แม้ว่าบุกเบิกชะตากรรมกับวิวัฒน์ดวงดาวจะโผล่เข้ามาในหัวของเขาอย่างกระทันหัน แต่ซอลจีฮูก็สะบัดความคิดนี้ออกไป อย่างน้อยเขาอยากจะมีความสุขในวันนี้
แสงเจิดจ้าที่ส่องลงมาจากบนท้องฟ้ามันดูเหมือนกับจะทำให้อนาคตของเขาสว่างขึ้น ซอลจีฮูที่รู้สึกมีความสุขมากกว่าที่เคยได้เช็ดน้ำตาออกไป และค่อยๆก้าวขึ้นบันไดไป
[มานานั่น มานานี่! มันเกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันเนี้ย!?]
[แล้วคำว่ามานามันมีปัญหาตรงไหนกันล่ะ!?]
และในเวลาเดียวกันเขาก็ไม่ได้รู้เลยว่าเทพธิดาทั้งสองคนยังคงถกเถียงกันอยู่ที่วิหาร
***
โดยปกติแล้วจากวิหารจะต้องใช้เวลาเดินทางไปคาเพเดี่ยมสิบนาที แต่ว่าวันนี้เขาใช้เวลาเพียงแค่ห้านาทีเท่านั้น
ซอลจีฮูได้ยืดหลังตรงพร้อมกับเปิดประตูเดินเข้าไป แต่แล้วเขาก็ต้องผิดหวังไป
เขาไม่เห็นจางมัลดงเลย
‘ยังไม่มีใครกลับมาอีกหรอ…? คุณฟีโซราอยู่ในห้องไหมนะ?’
ซอลจีฮูได้มองสอดส่องไปรอบๆ และก็เห็นบางอย่างสีดำ เมื่อสายตาของเขาเพ่งมอง จู่ๆมันก็หายไปในทางห้องของเขา
เมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาก็ได้รีบตามภาพแผ่นหลังลึกลับเข้าไปในห้อง จากนั้นเขาก็ได้เห็นควันสีดำคู้ตัวอยู่ที่มุมห้อง
สีหน้าซอลจีฮูสดใสขึ้นมาทันที
“โฟลน!!”
เขาได้ตะโกนออกมาอย่างยินดี
[ฮึ่ม]
แต่ว่ากลับมีเพียงเสียงฮึ่มตอบกลับมา ส่วนบนของควันกระทั่งหันหลังกลับไป
“โฟลน?”
[ฮึ่ม!]
หลังจากแค่นเสียงออกมา โฟลนก็เข้าไปใต้เตียงราวกับไม่อยากเจอเขาอีก
‘อ่อ’
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าในระหว่างที่เขาอยู่ในอาการโคม่า และไม่มีใครอยู่ด้วย โฟลนก็จะอยู่กับเขาตลอดเวลา ซอลจีฮูก็ร้อง ‘อ่อ’ ออกมาทันที
โฟลนคงจะเจ็บปวด แม้ว่าเขาจะถูกจางมัลดงบังคับให้เขาโลกไป แต่ว่าเขาก็จากไปโดยไม่ได้พูดอะไรกับเธอเลยสักนิด ที่แย่ไปกว่านั้นคือกระทั่งตอนเขากลับมา เขาก็ทิ้งเธอเอาไว้ในห้องไม่เคยมาหาเธอเลยแม้กระทั่งครั้งเดียว เขามัวแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องของเขา
เมื่อเขาคิดไปถึงตอนที่เธอช่วยเขาในระหว่างสงคราม และการที่เธอช่วยเทเรซ่า เขาก็รู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น
“โฟลนนนน”
ซอลจีฮูได้ขอโทษโดยบอกให้เธอออกมา และกระทั่งเอากระสอบกวาดเข้าไปข้างเตียง
“ย๊ากกก!”
น้ำเสียงโกรธเคืองได้ดังออกมาพร้อมกับแรงดึงอย่างรุนแรง เมื่อเขาได้เห็นรอยกัดที่กระสอบ ซอลจีฮูก็ได้แต่เกาหัวออกมา
จากนั้นจู่ๆความคิดหนึ่งก็เข้ามาในหัวของเขา
“โฟลน ฉันเอาของขวัญมาให้ด้วยแหละ~”
โฟลนยังคงไม่ได้ตอบกลับมา ซอลจีฮูได้ค้นลงไปตามกระเป๋าของเขา เพราะว่าโฟลนเป็นวิญญาณ เพราะงั้นของที่เขาจะเอามาให้เธอจึงต่างไปจากคนอื่นๆ โชคดีที่เขาได้มีความคิดดีๆหลังจากครุ่นคิดอยู่นาน
ซอลจีฮูได้นั่งลงไปนเก้าอี้และแอบเหลือบมองไปด้านหลัง คำว่า ‘ของขวัญ’ คงจะต้องดึงความสนใจของเธออย่างแน่นอน เพราะงั้นจึงมีควันเส้นหนึ่งแอบออกมาจากใต้เตียง
เมื่อควันเห็นว่าซอลจีฮูมองมา มันก็เริ่มกลับไปซ่อนอีกครั้ง เพราะงั้นซอลจีฮูจึงรีบพูดขึ้น
“จี้น่ะ เธอบอกว่าจี้เป็นของที่ระลึกของคุณแม่ใช่ไหม?”
ควันได้หยุดลงเมื่อได้ยินคำว่า ‘ที่ระลึก’
[ใช่แล้ว]
น้ำเสียงไม่แยแสได้ดังออกมา ซอลจีฮูได้รีบกวักมือเรียกเธอทันที
“ฉันจะโชว์อะไรเจ๋งๆให้ดูล่ะ”
[เจ๋ง?]
“เธอจะต้องชอบมันแน่ๆ โฟลน”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่มั่นใจของชายหนุ่ม โฟลนก็ค่อยๆบินเข้าไปหาเขาอย่างลังเล
[ฮึ่ม ฉันแค่จะลองดูเท่านั้นแหละ]
“อ๊า ไม่เอาสิ พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรอ? ก่อนหน้านี้ฉันไม่ค่อยมีเวลาเท่านั้นเอง อภัยให้ฉันเถอะนะ”
ซอลจีฮูได้ทำตัวน่ารักนวดบริเวณที่เขาเชื่อว่าเป็นไหล่ของเธอ จากนั้นเขาก็วางจี้เอาไว้ตรงกลางโต๊ะ
ไม่ว่าจะมองจี้กี่ครั้ง มันก็ชัดเจนว่าจี้คืองานฝีมือที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างอัศจรรย์ แต่ว่าเพราะมันเป็นอาร์ติแฟคจากหลายร้อยปีก้อน เพราะงั้นจึงมีจุดที่สีซีดและจางลงไป
“ดูนี้นะ”
ซอลจีฮูได้หยิบถ้วยพลาสติกออกมา และเติมน้ำลงไปสามในสี่ จากนั้นก็เติมแอมโมเนียลงไปหนึ่งในสี่ ต่อมาเขาก็ใส่จี้เอาไว้ข้างในครึ่งชั่วโมง จากนั้นก็ใช้ผงซักฟอกที่เป็นกลางผสมเข้าไปในถ้วยน้ำอุ่นทำความสะอาดจี้จนสะอาด
ต่อมาเมื่อเขาได้ใช้แปรงขัดจี้เบาๆ และใช้ผ้าขนหนูเช็ดน้ำออกไป เสียงอุทานตื่นเต้นเบาๆก็ดังออกมา
[ว้าว…!]
มันไม่ใช่ขั้นตอนที่ยากอะไรเลย แต่ว่าทุกๆครั้งที่แปรงลูบผ่านจี้ รอยด่างสีเขียวก็จะหายไป และจี้เก่าๆก็ได้กลับมาเปล่งประกายอีกครั้งหนึ่ง สำหรับโฟลนที่ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนทำให้เธออดไม่ได้ที่จะตกใจขึ้นมา
[ว้าว ว้าววววว….]
“ที่เราต้องทำจากนี้ก็คือทำความสะอาดจี้ให้สะอาดด้วยน้ำอุ่นแล้วก็ใช้แสงแดดทำให้มันแห้ง”
โฟลนที่แสดงร่างจริงออกมาก่อนที่ซอลจีฮูจะรู้ตัว เธอได้จ้องมองจี้ที่เป็นประกายด้วยสาวยตาสับสน เธอได้มองซอลจีฮูเหมือนกับเขาเพิ่งจะใช้เวทย์อันน่าพิศวง
“เป็นยังไงบ้างล่ะ?”
[สดชื่นมาก ฉันรู้สึกเหมือนกับเพิ่งอาบน้ำมาเลย]
เมื่อได้เห็นเธอบิดตัวอย่างอารมณ์ดี ซอลจีฮูก็ยิ้มขึ้นมา
***
ในเวลาเดียวกัน
ฟีโซราก็กำลังนั่งอยู่บนตัวที่อยู่ถัดจากห้องของซอลจีฮูสองห้อง ตัวเธอในปัจจุบันกำลังนั่งมองกล่องครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง
ความโกรธได้หายไปแล้ว และมีเพียงแค่ความสับสนเท่านั้นที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเธอ
“พระเจ้า ไอ้เจ้าเล่ห์นี่…”
ฟีโซราได้ปัดผมกลับไปด้วยความหงุดหงิดใจ
“นี่มันอะไรกัน?”
เธอได้หยิบของด้านในกล่องขึ้นมาพร้อมพึมพำกับตัวเอง
“ทำไมเขาถึงให้เจ้านี่กับฉัน”
สิ่งที่เธอหยิบขึ้นมาก็คือ… ชุดชั้นใน พูดให้ชัดมันก็คือบรากับกางเกงในที่เป็นเซ็ตเข้ากันอย่างเหมาะเจาะ
และมันก็ค่อนข้างจะสวยอีกด้วย
พูดตรงแล้ว หากถามว่าเธอชอบมันไหม เธอก็ชอบ ไม่เพียงแค่สีแดงเป็นสีที่เหมาะกับเธอเท่านั้น แต่ว่าเธอก็ยังชอบลวดลายดอกกุหลาบบนชุดชั้นในอีกด้วย แถวผิวสัมผัสของมันก็อ่อนนุ่ม
‘มันราคาแพงมาก…’
แค่มองผ่านๆเธอก็ยังบอกได้เลยว่ามันจะต้องมาจากแบรนด์ชุดชั้นในที่มีชื่อเสียงแน่ๆ เมื่อเธอได้เห็นป้ายราคา 210,000 วอน ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างขึ้นมา
‘เขานี่มีรสนิยมดีจนน่าแปลกใจเลยนะ’
ใช่แล้ว เธอยอมรับและมีความสุข แต่ว่ามันมีอยู่ปัญหาหนึ่ง
“ทำไมเขาถึงให้มันกับฉันล่ะ?”
เธอคิดไม่ออกเลยว่าทำไมซอลจีฮูถึงได้ให้ของขวัญนี้กับเธอ เธอไม่ใช่แฟนเขาสักหน่อยนี้ มันแพงเกินไป และมีคุณภาพมากเกินกว่าที่จะเป็นของขวัญตลกๆ และมันก็ไม่ได้ดูเหมือนว่าเขาจะมีเจตนาร้ายอะไรอีกด้วย นอกไปจากนี้เธอก็ยังไม่เคยบอกขนาดหน้าอกของเธอกับเขา
ความจริงแล้วก็คือซอลจีฮูเป็นแค่คนโง่ เพราะยูซอนฮวาเคยชมเขาครั้งหนึ่ง เขาก็เลยเผลอคิดไปว่าคนอื่นๆก็จะชอบของขวัญแบบนี้เหมือนกัน
แต่ว่าเพราะฟีโวราไม่ได้รู้จักซอลจีฮูดีจนรู้เรื่องนี้ มันจึงเป็นธรรมดาที่เธอจะต้องกังวลถึงความหมายของของขวัญชิ้นนี้
ในท้ายที่สุดหลังจากคิดอยู่นาน ฟีโซราก็ได้ลองชุดชั้นใน
ไม่นานนัก…
“…เอ๋?”
ฟีโซราได้เบิกตากว้างขึ้นมา และมองลงไปที่หน้าอกก่อนจะกระพริบตารัว
“นี่มันพอดีเลยหรอ?”
บทที่ 195 – พาราไดซ์กับโลก (1)
หลังจากได้ขึ้นมาเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงแล้ว ซอลจีฮูก็ได้ตัดสินใจเก็บปานแห่งเทพเอาไว้ก่อน นี่มันก็เพราะว่าเขาได้เปลี่ยนแผนการพัฒนาตัวเองไปตามคำแนะนำของจางมัลดง เขาได้ล้มเลิกความคิดที่จะรีบพัฒนาตัวเองเพื่อเลี่ยงไม่ให้ใช้อิลิกเซอร์อันล้ำค่าเสียเปล่า และตัดสินใจค่อยพัฒนาไปทีล่ะก้าวแทน
อย่างแรกเขาได้ตัดสินใจเน้นไปที่การฟื้นฟู ฟื้นฟูค่าสถานะของเขาที่ตกลงไปให้กลับมาอยู่ที่จุดสูงสุดก่อน หากว่าเขาปล่อยให้การลดลงชั่วคราวนี้เอาไว้นาน บางทีมันก็อาจจะกลายเป็นการลดลงอย่างถาวรได้เช่นกัน
เพราะงั้นเขาจึงค่อยๆกลับมาฝึกด้วยการวิ่งเบาๆ ในตอนนี้เองเขาถึงได้รู้ว่าทำไมจางมัลดงถึงบอกให้เขาพักให้มากๆ
ในตอนนี้เขาได้พักผ่อนจนเพียงพอแล้ว ทำให้ร่างกายของเขาได้ฟื้นฟูไปถึงจุดที่สามารถจะทนกับการฝึกหนักได้ และเพราะงั้นเขาจึงเริ่มการกู้คืนค่าสถานะอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าการฟื้นฟูที่รวดเร็วส่วนใหญ่แล้วก็ควรที่จะขอบคุณการดูแลอย่างทุ่มเทจากซอยูฮุย ซอลจีฮูไม่ได้รู้เลยว่า หากเป็นเรื่องของยารักษาแล้ว ซอยูฮุยก็คือคนที่มีมันมากที่สุดในพาราไดซ์
เธอได้เชิญให้ซอลจีฮูมากินอาหารเย็นในทุกๆสามหรือสี่วัน เพื่อให้เขาได้กินวัตถุดิบล้ำค่าที่จะช่วยเร่งกระบวนการรักษาให้กับเขา เพราะแบบนี้สุขภาพของซอลจีฮูจึงค่อยๆดีขึ้นในทุกๆวัน และเขาก็ได้เริ่มกลับมามีมวลกล้ามเนื้อ เส้นเลือด และสีผิวนับตั้งแต่ที่นอนอยู่บนเตียงแล้ว
ในวันนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน
ซอยูฮุยได้ปรากฏตัวขึ้นในทันทีที่การฝึกของซอลจีฮูจบลง และให้เขาได้กินมื้ออาหารสุดอร่อยที่ทำให้ใครๆต่างก็น้ำลายไหลด้วยความอิจฉา
งั่ม งั่ม งั่ม
ขณะที่ซอยูฮุยกำลังมองดูซอลจีฮูกำลังเคี้ยวเนื้ออยู่ ดวงตาของเธอก็ได้แสดงอาการฟุ้งซ่านออกมา
ฉันควรจะพูดไปดีไหมนะ?
หลังจากคิดอยู่นาน เธอก็ค่อยๆทำลายความเงียบออกมา
“เอ่อ… จีฮู”
ซอลจีฮูที่จมูกยังคงทิ่มอยู่ที่ถ้วยกับข้าวได้หันหน้าขึ้นมา
“ครับ?”
“เอ่อ… คือ…”
ซอยูฮุยลังเลอยู่เล็กน้อย
“ของขวัญที่ให้ฉันน่ะ นายไปได้มันมาจากไหน?”
“โอ้ จากร้านในห้างน่ะครับ ของพี่สาวผมซื้อมันมาจากร้านวิคตอเรีย ซีเคร็ท ที่นั่นมีขนาดที่เหมาะสมและมีให้เลือกหลายแบบเลย แถมการออกแบบก็ยังยอดเยี่ยมอีกด้วย”
‘ของฉัน?’
ซอยูฮุยได้หยุดตัวเองเอาไว้ไม่ให้แสดงความสงสัยออกมา เธอได้คิดขึ้นในทันทีว่า ‘เขาทำมันจริงๆ?’ แต่แล้วอีกความคิดหนึ่ง ‘ไม่มีทาง’ ก็ได้ดังเข้ามา
เธอไม่ค่อยมั่นใจว่าลางสังหรณ์ของเธอจะถูกต้องหรือไม่
ไม่ว่าจะยังไงก็ตามซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมาราวกับจะถามว่า ‘มีอะไรหรอครับ?’ และซอยูฮุยก็ไม่อาจจะตั้งคำถามกับคนที่ดูไร้เดียงสาแบบนี้ได้
“ขะ… เข้าใจแล้ว มันคงจะยากสินะ มัน… เอ่อ หาไซด์ได้ยากน่ะ”
“ไม่เลยครับ ไม่เลยสักนิด ผมรู้จักร้านขายชุดชั้นในทั่วทั้งเกาหลีเหมือนกับอยู่บนฝ่ามือเลยล่ะ”
ซอลจีฮูได้โม้ออกมาเหมือนกับว่าเป็นคนที่เคยไปทั่วทั้งเกาหลีเพื่อหาชุดชั้นในมาแล้ว
“ขะ.. เข้าใจแล้ว น่าทึ่งจะเลยนะ”
ซอยูฮุยแทบจะพูดอะไรออกมาไม่ถูกเลย ซอยูฮุยไม่เข้าใจในความรู้สึกของซอลจีฮูที่ยิ้มให้กับคำชมของเธอเลยสักนิด จากนั้นจู่ๆเขาก็ถามออกมา
“มีอะไรหรือเปล่าครับ? หรือว่ามันไม่พอดี? หรือว่าไม่ถูกใจ?”
“อืมม… ไม่หรอก ไม่ใช่แบบนั้น… ถึงมันจะแน่นอยู่หน่อย…”
ในตอนนี้เองความมั่นใจบนใบหน้าของซอลจีฮูก็ได้พังทลายลงไป
“มะ ไม่มีทางน่า”
‘ไม่มีทาง?’
นี่มันหมายความว่ายังไงกกัน?
“ผมได้เรียกให้พี่สาวอย่างระวังที่สุดแล้วนะ ผมได้ดูตัวเลือกทั้งหมด แล้วก็ซื้ออันที่ดีที่สุด…”
เสียงพึมพำอย่างลุกลี้ลุกลนได้ดังออกมา
ซอยูฮุยได้ค่อยๆหลับตาลง จริงๆแล้วเขาก็พูดถูก แม้ว่าชุดชั้นในมันจะแน่นอยู่หน่อยๆ แต่ว่ามันก็ไม่ได้แย่จนถึงกับทำให้เธอรำคาญ
นอกจากนี้อย่างอื่นต่างก็สมบูรณ์แบบไปหมด สีและการออกแบบไม่ได้ฉุดฉาดเกินไป และมันก็ยังช่วยรับน้ำหนักจากไหล่ได้อย่างดีเยี่ยม
นี่แหละคือเหตุผลที่ทำให้เธออยากจะถามเขา
‘นายซื้อมันมากจากที่ไหน?’ ‘นายรู้ขนาดหน้าอกของฉันได้ยังไง?’ และอะไรทำนองนี้ ที่สำคัญไปกว่านั้น ‘ทำไมนายถึงได้ให้ของขวัญเป็นชุดชั้นใน?’
“ขอโทษนะครับ… ผมน่าจะถามพี่สาวก่อนจะซื้อมันมา…”
พระเจ้า! เขาเพิ่งบอกว่าเขาควรจะถามก่อนจะซื้อมันมา
ซอยูฮุยได้จ้องซอลจีฮูด้วยความไม่อยากจะเชื่อ เธออดไม่ได้ที่จะคิดขึ้นมาว่า ‘เขาเจ้าชู้งั้นหรอ?’
“เธอดูแลเขายังไงกัน…? ได้สอนสามัญสำนึกปกติให้เขาบ้างไหม…”
ในท้ายที่สุดแล้วเธอก็ได้แต่ก้มหน้าพึมพำกับตัวเอง ภายในใจของเธอได้ถอนหายใจยาวออกมา และถึงขนาดดังออกมาจากปากของเธออีกด้วย
‘ฉันควรจะทำยังไงกับเขาดีนะ?’
***
ระหว่างที่ซอลจีฮูกำลังมุ่งไปที่การฝึกพักฟื้น สมาชิกคนอื่นของคาเพเดี่ยมก็ได้เริ่มกลับกันมาแล้ว
คนแรกที่กลับมาก็คือมาแชล จิโอเนีย เขาได้กลับมาที่พาราไดซ์ในสองสัปดาห์ต่อมาหลังจากที่จากไปเหมือนที่สัญญาเอาไว้ ต่อมาก็คือพี่น้องยี่ และน่าบังเอิญที่วันที่ซอลจีฮูฟื้นฟูค่าสถานะกลับมาเป็นปกติ สมาชิกทีมคนสุดท้ายก็ได้มาถึง
คนสุดท้ายที่มาถึงไม่ใช่ฮิวโก้ แต่กลับเป็นโชฮง เธอได้กลับมาในช่วงดึกหลังจากที่ไปเที่ยวรอบยุโรป และซื้อของขวัญกลับมาให้ทุกๆคน
โชฮงได้รับของขวัญที่ซอลจีฮูส่งมาให้ จากนั้นเธอก็กลับไปแกะของขวัญในห้องของเธออย่างยินดี และไม่นานนักเธอก็พุ่งออกมาด้วยสีหน้าแปลกๆ
ฟีโซราที่กำลังนั่งดื่มเบียร์บนโซราได้มองดูโชฮงจ้องซอลจีฮูที่กำลังคุยกับฮิวโก้อย่างมีความสุขอยู่ จากใบหน้าครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งของเธอแล้ว ฟีโซราก็รับรู้ได้ว่าโชฮงก็ได้รับของขวัญเช่นเดียวกับเธอ
“เฮ้ ของขวัญที่นายให้นี่มันคุณภาพสูงจริงๆเลยนะ มันพอดีกับตัวฉัน แถมยังนุ่มดีอีกด้วย”
“ใช่ไหมล่ะๆ? เธอน่ะเป็นนักรบ เพราะงั้นฉันก็เลยหากอันที่มันยืดได้น่ะ”
จากที่ดูแล้ว ฮิวโก้ก็ดูเหมือนจะได้อันหนึ่งเหมือนกัน
ฟีโซราได้เม้มปากก่อนจะมองซังจินที่กำลังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ยี่ซังจิน”
เมื่อเธอเรียกชื่อเขาออกมา ยี่ซังจินก็ได้หันมามอง
“…ครับ”
เขาได้ตอบกลับมาอย่างไม่แยแส
“นายก็ยังได้…”
“ใช่แล้ว กางเกงใน”
ยี่ซังจินได้พึมพำออกมาก่อนที่เธอจะได้ทันพูดจบ ฟีโซราได้ขมวดคิ้วขึ้นมา
“นายก็ด้วย?”
ยี่ซังจินได้ผงกหัวออกมา
“…ผมก็แค่บอกขอบคุณแล้วก็รับมันมา ดูเหมือนว่าผมจะไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับของแบบนี้สินะ”
“เดี๋ยวก่อน นั่นมันหมายความว่า…”
ฟีโซราได้ขมวดคิ้วขึ้นมา ทันใดนั้นเธอก็คือไปถึงยี่ซอลอา
‘ไม่ ไม่มีทาง’
เธอเป็นผู้หญิง ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเรียนอยู่ เขาคงไม่ได้ไร้สมองจนถึงขนาดให้ของขวัญแบบนั้นกับเด็กสาวอายุ 18 ปีใช่ไหม?
“พี่สาวได้รับรองเท้าวิ่ง”
ความสงสัยของเธอได้ถูกคลายลงไปในทันที
“รองเท้าวิ่ง?”
“ใช่แล้ว เป็นรองเท้าวิ่ง พี่ชายบอกว่าไม่ค่อยมั่นใจเรื่องของพี่สาว… แล้วก็ให้รองเท้ามา…”
ยี่ซังจินได้อธิบายออกมาอย่างสงบ
งั้นเขาก็ไม่ได้เป็นเศษสวะไร้สมองไปหมดสินะ อย่างน้อยเขาก็ยังไม่ได้ข้ามเส้นไป
ฟีโซราได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ เธอไม่มั่นใจเลยว่าทำไมเธอถึงได้รู้สึกแบบนี้
ในตอนนั้นเองโชฮงก็พูดขึ้นหลังจากเงียบอยู่นาน
“เฮ้ นี่นายไปเลื่อนคลาสมาแล้วใช่ไหม?”
ซอลจีฮูได้ผงะไป เขาได้วางแผนที่จะเงียบมันเอาไว้ก่อน แล้วค่อยพูดในตอนเช้า เขาไม่คิดเลยว่าจะมีใครถามขึ้นมา
“ทำไมนายถึงตกใจแบบนั้นล่ะ? ยังไงนายก็ระดับ 4 แล้วนี่ มันก็ชัดเจนว่าหลังจากสิ่งที่นายทำสำเร็จไปในสงคราม นายก็จะต้องเลื่อนระดับขึ้นอย่างแน่นอน ยังไงล่ะ? ไปมายัง?”
ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมาเศร้าๆ
“ใช่แล้ว… เลื่อนคลาสแล้วล่ะ”
จากนั้นฮิวโก้ก็ผงะไป โชฮงได้ถามขึ้นอีกครั้ง
“คิดไว้แล้วล่ะ แล้วชื่อคลาสอะไรล่ะ?”
ซอลจีฮูได้ยืดหลังตรงขึ้นมา
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่ผู้ใช้หอกแห่งเนเมซิส”
“หา? ผู้ใช้หอกอะไรนะ?”
โชฮงได้กระพริบตาขึ้นมา เธอรู้ชื่อคลาสนักรบส่วนใหญ่ที่จะได้รับในตอนเลื่อนระดับ แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่เธอได้ยินคำว่าผู้ใช้หอกแห่งเนเมซิส
โชฮงได้มอบไปรอบๆเห็นจางมัลดง และถามออกมา
“ตาแก่ ฉันไม่เห็นเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย คลาสเฉพาะ?”
‘คลาสเฉพาะ?’
“ก็ต้องเป็นคลาสเฉพาะสิ”
จางมัลดงได้ตอบกลับมาอย่างสงบ
“เฮ้ เปิดหน้าต่างสถานะของนายมาสิ เอาชื่อคลาสนายมาให้เราดู”
โชฮงได้เดินเข้าไปหาซอลจีฮูด้วยความสงสัย เมื่อซอลจีฮูเปิดหน้าต่างสถานะด้วยสีหน้าสับสน สมาชิกคาเพเดี่ยมก็ได้มาลุมล้อมตัวเขา
“จริงด้วย…”
โชฮงได้ส่งเสียงร้องออกมา หัวของเธอแทบจะจุ่มเข้าไปในหน้าต่างสถานะอยู่แล้ว เธอดูจะอิจฉามากๆ
“คลาสเฉพาะนี่มันคืออะไรหรอ?”
“คลาสเฉพาะคือ อืม… ก็คล้ายๆกันกับคลาสที่มีเพียงหนึ่ง ฉันจะพูดยังไงดีล่ะ….”
“มันคือคลาสพิเศษที่เทพได้มอบให้กับชาวโลกที่พิเศษ”
ฟีโซราได้อธิบายออกมาแทนเมื่อเธอเห็นโชฮงอธิบายไม่ได้
“มันค่อนข้างที่จะเป็นงานยุ่งยากจากเทพ เพราะว่าเหล่าเทพจะสร้างมันขึ้นโดยคำนึงถึงนิสัยและพฤติกรรมของชาวโลกคนนั้น นอกจากนี้…”
เธอได้หยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“คลาสเฉพาะเป็นเหมือนกับขั้นตอนที่ก่อนชาวโลกจะได้รับการยอมรับเป็นผู้บริหาร”
“ผู้บริหาร?”
“นับรวมทั้งคนที่ตายไปแล้ว และคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ชาวโลกที่ถูกเลือกเป็นผู้บริหารต่างก็มีคลาสเฉพาะกันทั้งนั้น เท่าที่ฉันรู้คือไม่เคยมีข้อยกเว้นเลย”
ฟีโซราได้อธิบายออกมาอย่างสงบ ซึ่งไม่สมกับบุคลิกตามปกติของเธอเลย
“ยกตัวอย่างง่ายๆ มันก็คือคลาสที่ถูกเหล่าเทพเฝ้าจับตามองอย่างตั้งใจ แต่ว่าการได้รับคลาสเฉพาะมันก็ไม่ได้หมายความว่านายจะกลายเป็นผู้บริหารหรอกนะ”
“…”
“ยกตัวอย่างเช่นแอ็กเนส ถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นในตอนเธอกลายเป็นระดับ 7 ก็ตามที”
“ไม่ใช่ว่าการจะได้รับคลาสเฉพาะต้องเป็นระดับ 6 หรอกหรอ?”
โชฮงที่ฟังอยู่เงียบๆได้แทรกขึ้นมา ฟีโซราก็ได้ยักไหล่ตอบกลับไป
“มันเป็นแบบนั้นมาจนกระทั่งตอนนี้ เพราะงั้นฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน มันก็ไม่ได้มีกฎอย่างเคร่งครัดว่าต้องระดับ 6 เท่านั้นนี่ บางทีมันอาจจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเทพก็ได้ ยังไงเขาก็เป็นพวกผิดปกตินี่นา”
“แต่แม้กระทั่งในหมู่พวกผิดปกติ… อั๊ก!”
โชฮงที่กำลังพึมพำอย่างไม่อยากจะเชื่อจู่ๆก็ร้องขึ้น และเกาหัวของเธออย่างแรก ซอลจีฮูที่รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่จู่ๆหนักหน่วงขึ้นมาก็พูดขึ้นอย่างเมินเฉย
“งั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก เราไม่รู้ว่าในอนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้นนี่นา”
จากนั้นเขาก็สะกิดมาแชล จิโอเนียที่น่าสงสาร
“แล้วคุณเป็นยังไงบ้างล่ะ คุณจิโอเนีย? คุณเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงหรือยังไง?”
“ตอนที่ผมกลับมาถึง ผมได้ลองไปวิหาร แต่ว่าผมถูกบอกมาว่ายังขาดคะแนนคุณูปการ”
มาแชล จิโอเนียได้ตอบกลับมาอย่างสงบ
“คะแนนคุณูปการ? ไม่ใช่ว่าคุณก็พอจะได้มาจากสงครามครั้งนี้หรอกหรอ?”
“ไม่เลย”
นักธนูได้ส่ายหัวออกมาอย่างช้าๆ
“คะแนนคุณูปการณ์จะได้รับผ่านระดับที่ขึ้นตรงตามสิ่งที่กระทำเท่านั้น แค่เข้าร่วมสงครามนั่นไม่ได้หมายความว่าจะได้รับคะแนนคุณูปการหรอกนะ เหมือนอย่างชื่อของมันนั้นแหละ มันจะขึ้นอยู่กับว่านายได้มีคุณูปการมากแค่ไหน”
ก็นั่นแหละ เพราะงั้นซอลจีฮูได้รีบหยักหน้าตอบรับออกมา
“เพราะผมถูกจับไปหลังจากที่เหล่าเจ็ดกองทัพได้ปรากฏตัว ผมจึงแทบไม่ได้ทำอะไรเลย”
“เหมือนกัน”
ฮิวโก้ก็ยังพึมพำออกมาเศร้าๆ
“ฉันยังขาดประสบการณ์แล้วก็คะแนนคุณูปการ ยัยไอร่านี่นะ เธอบอกว่าฉันจะต้องเพิ่มสติปัญญาก่อนเป็นอย่างแรก”
เมื่อฮิวโก้ได้กำหมัดแน่น โชฮงก็แสดงความเห็นอกเห็นใจออกมา
“เห็นด้วยนะ จะไปให้คนที่มีเส้นบะหมี่เป็นสมองกลายมาเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงได้ยังไงกัน?”
“เธอว่ายังไงนะ? แล้วใครกันล่ะที่เปลี่ยนจากนักบวชมาเป็นนักรบเพราะว่าทึ่มน่ะ?”
“ขอบคุณน้า~ ช่วยเลื่อนคลาสทีเถอะน้าาา~”
“…ยัยนี่!”
“สหาย นายควรจะละอายใจนะ นายเข้ามาที่พาราไดซ์ก่อนที่ซอลจีฮูจะมาซะอีก แล้วตอนนี้เขาก็ก้าวข้ามนายไปแล้ว”
“เขาก็ตามเธอทันแล้วเหมือนกัน”
“อย่างน้อยฉันก็ยังไม่ถูกก้าวข้ามไปนี่ แล้วนายไม่รู้หรอกหรอว่าระดับ 5 เป็นจุดที่นายควรจะมาติดอยู่น่ะ?”
“…”
ฮิวโก้ได้หยักไหล่ออกมาราวกับเขาไม่มีอะไรจะพูดอีก เขาแทบจะน้ำตาไหลออกมา
โชฮงได้ยิ้มขึ้นมาก่อนที่จะวางแขนลงไปบนไหล่ของซอลจีฮู
“ยังไงก็ตามตอนนี้หัวหน้าของเราเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงแล้ว เราไม่อาจจะปล่อยผ่านมันไปเฉยๆใช่ไหมล่ะ?”
“คราวนี้เธอมีแผนจะทำอะไรอีกล่ะ?”
เมื่อจางมัลดงได้ถามออกมาด้วยความกังวล โชฮงก็แค่นเสียงออกมา
“นี่ยังไม่ชัดอีกหรอ? ปาร์ตี้ฉลองไง! มันก็นานแล้วนะ เรามาดื่มกันจนหลับกันดีกว่า!”
“นี่ยัยหนู เธอไม่ใช่คนที่เลื่อนระดับนะ เธอก็แค่ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างเท่านั้นเอง”
จางมัลดงได้จี้จุดออกมา
“อ๊า ไม่ต้องมีปปาร์ตี้ฉลองหรอก มันน่าอายจะตาย”
เมื่อซอลจีฮูหัวเราะออกมาแห้งๆ โชฮงก็ดึงแขนเขาออกมา
“นายไม่ต้องหนีไปไหนเลย! วันนี้นายต้องไปกับฉัน!”
จากนั้นโชฮงก็เดินออกไปทันที
“เอาล่ะ! ไปกันเถอะ!”
สำนักงานได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่สมาชิกคนอื่นๆได้ตามซอลจีฮูกับโชฮง จางมัลดงก็ยังลุกขึ้นด้วยยิ้มแห้งๆ
***
มันดึกมากแล้ว แต่ว่ากิน ดื่ม และเพลิดเพลินก็ยังคงคึกคักอยู่
เมื่อซอลจีฮูได้เดินเข้าไป ทั้งบาร์ก็เงียบลงไปทันที แต่ว่าก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น ไม่นานนักทั้งบาร์ก็ดังขึ้นมาด้วยเสียงคนพูดคุยด้วยกัน
ซอลจีฮูได้เห็นผู้คนกำลังลุกขึ้นจากที่นั่งมามองดูเขา เขาก็เดินไปที่โต๊ะที่ฮิวโก้จองเอาไว้โดยไม่สนใจ แต่สุดท้ายแล้วเมื่อเขาเห็นขวดเหล้าที่วางไว้บนโต๊ะ เขาก็หยุดลง
แม้กระทั่งฟีโซราก็ยังดูหนักใจ แน่นอนว่าโชฮงเป็นคนที่ผงะไปมากที่สุด
“ไอ้เจ้าบ้า-“
“ก็เธอบอกเอาเต็มที่ใช่ไหมล่ะ?”
ฮิวโก้ได้หัวเราะออกมาพร้อมกับเปิดขวดขึ้น
“จ่ายบิลด์ แล้วก็ร้องไห้ให้เต็มที่เลยน้า~”
“ไอ้สารเลว… ฉันสาบานได้เลย หากว่านายกินไม่หมดนะ…”
“หุหุหุ ไม่ต้องห่วง ฉันจะกินให้หมดต่อให้ต้องกินติดกันสี่วันก็ตาม อย่าได้หนีไปซะล่ะ”
“บ้าเอ้ย ก็ได้ งั้นวันนี้มากิน ดื่ม และตายไปด้วยกันเลย!”
โชฮงได้ถกแขนเสื้อขึ้น และทิ้งตัวลงไปบนเก้าอี้
เพราะแบบนี้ปาร์ตี้ฉลองการเลื่อนคลาสของซอลจีฮูก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ทุกๆคนต่างก็อยู่ที่นี่ และเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามก็เป็นเรื่องเล่าที่น่าตื่นตาตื่นใจ ซอลจีฮูได้นั่งดื่ม และพูดคุยกับคนอื่นอย่างเพลิดเพลินโดยไม่รู้เลยว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว
มีสายตาเฉียบคมมองจ้องมาที่แผ่นหลังของเขาเป็นระยะ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้สนใจสายตาพวกนั้น และสนใจอยู่กับการพูดขึ้น
และเมื่อเวลาได้ผันผ่านไป และรุ่งเช้าได้กำลังเข้ามาเยือน…
“นายรู้ไหมว่าตอนนี้ฉันอยากจะคลุมหัวตัวเองสุดๆไปเลย? ทุกๆคนควรที่จะเข้ามาทักทายแล้วก็ขอบคุณนายใช่ไหมล่ะ?”
ฮิวโก้ที่ได้ดื่มเหล้าไปหลายขวดจนมากกว่าที่เคย ได้วางขวดเหล้าบนมือลง และพูดขึ้น
“เฮ้พวก ฉันพูดถูกไหมล่ะ? หากว่าไม่ใช่เพราะนายน่ะ-“
“ไม่ ไม่เลยสักนิด ทุกๆคนได้ร่วมกันต่อสู้ ทั้งชาวโลก แล้วก็ชาวพาราไดซ์”
“แต่ว่านะ! หากว่านายไม่อยู่ก็ ฟิ้ว! ทุกๆคนก็คงจะถูกกำจัดจนหมดไปแล้ว!”
“โอเคๆ ฉันเข้าใจแล้ว เพราะงั้นลดเสียงลงหน่อย”
ฮิวโก้ได้พูดดังขึ้นอีกแม้ว่าลิ้นของเขาจะเปลี้ยไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะพูดถูกหรือผิด ซอลจีฮูก็รีบหยุดเขาเอาไว้เพราะความอับอาย
“ไอ้เจ้าสมองบะหมี่พูดถูกแล้ว! นายน่าจะได้ไปงานเทศกาลหลังสงครามนะ คนที่ทำหน้าที่อย่างโดดเด่นได้นอนหลับกึ่งตาย แต่เหล่าพวกสารเลวกลับเดินปาร์ตี้กันตามท้องถนนโดยไม่สนใจอะไรเลย!”
“ถูกกกกต้ออองงง! นั่นแหละที่ฉันอยากจะพูด!”
เมื่อโชฮงได้เสริมขึ้นมา ฮิวโก้ก็หยักหน้ารัวๆ และทุบโต๊ะอย่างแรก
“ไอ้บ้าเอ้ย นายเมาไปแล้ว”
โชฮงได้แค่นเสียงหัวเราะเยาะออกมา
“นายไม่ใช่คนที่ควรจะพูดอะไรได้เลยนะ แค่โดนหมัดเดียวนายก็กลับน็อคลงไปแล้ว”
“ยัยบ้านี่!”
ตึง! ฮิวโก้ได้ใช้สองมือทุบโต๊ะอย่างแรก เขากระทั่งก้าวขึ้นมายืนบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยขวดเหลาราวกับว่านี่ยังไม่พอ ก่อนที่จะเหลือบมองลงมาที่โชฮงราวกับจะฆ่าเธอทั้งเป็น และพูดออกมา
“พวก! หากว่าฉันเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงนะ! เธอรู้อะไรไหม!? ความหมั่นเพียรอันนิรันดร์โง่เง่านั่นคงถูกฉันอัดไปแล้ว! แต่อะไรกันล่ะ!? ยัยเทพธิดาบ้าไอร่านั่น!”
เขาถึงขนาดพูดออกมาแทบไม่เป็นประโยคแล้ว แต่ว่าเขาก็ยังคงพล่ามต่อไปทั้งๆที่หน้าแดงอยู่ โชฮงได้ปรบมือออกมา และเรียกเยาะเย้ยเขาว่าสุนัขกำลังเห่า
จางมัลดงได้ถอนหายใจออกมา
“ฟู่ววว…”
เมื่อเห็นจางมัลดงส่ายหัวออกมา ซอลจีฮูก็ยิ้มแห้งๆขึ้นเช่นกัน
จากนั้นเอง
“แล้วก็นะ! ถ้าเกิดว่านั่นน่ะ หืม?! ถ้าไม่ใช่เพราะซอลของเราคนนี้ หือ!? เธอน่ะ-!”
“แม่งเอ้ย!!!”
ทันใดนั้นเองเสียงสบถของใครบางคนก็ดังออกมา ซอลจีฮูได้หันไปเหลือบมองทิศทางของเสียงทันที
“ฉันทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว”
กลุ่มชายสี่คนอายุประมาณยี่สิบปีที่นั่งอยู่บนโต๊ะอีกโต๊ะหนึ่งกำลังมองมาที่พวกเขา
“หยุดพล่ามได้แล้ว หุบปากแล้วแดกไปเงียบๆซะ”
บทที่ 196 – พาราไดซ์กับโลก (2)
ซอลจีฮูได้สงสัยในสิ่งที่ได้ยินอยู่ครู่หนึ่ง เขาได้ยินมันชัดๆเลย แต่ว่าการทำความเข้าใจนี่สิปัญหา
บาร์แห่งนี้เป็นที่ที่ผู้คนจะมาดื่มสังสรรย์ส่งเสียงดังกัน แน่นอนว่าทุกๆบาร์มันไม่ได้เป็นแบบนี้ แต่กับกิน ดื่ม และเพลิดเพลินเป็นเช่นกัน
ถึงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าฮิวโก้ส่งเสียงดังไปหน่อย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะมาพูดใส่ว่า ‘หุบปากแล้วนั่งแดกเงียบๆ’ ได้
เว้นก็แต่ว่าคนๆนั้นอยากจะมีเรื่องกัน
นี่คือเหตุผลที่ซอลจีฮูรู้สึกไม่สบายใจกับคำรามพวกนี้ เขาระบุไม่ได้ว่ามันคืออะไร แต่ว่าเขารู้สึกได้อย่างรุนแรงว่ามันแปลกๆ
เหมือนกันกับในตอนที่เขาได้ก้าวขึ้นไปบนชั้นบนสุดของคฤหาสน์จักพรรดิ มันเป็นความรู้สึกว่าหากเขาก้าวไปอีกก้าวเดียว เขาก็จะข้ามไปในเส้นที่ศัตรูร่างไว้
ความสงสัยมันได้อยู่เหนือความโกรธของเขา
ยังไงก็ตามมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหวังให้ฮิวโก้ที่เมาอยู่คิดแบบเขา
ตึง
“แกพูดบ้าอะไรว่ะ?”
ฮิวโก้ได้กระโดดลงจากโต๊ะไม้ และคำรามขู่ออกไป มันชัดเจนมากว่าเขาสูญเสียเหตุผลไปแล้ว
ในบรรดาชายสี่คน ชายหนุ่มจมูกแดงเหมือนฮิวโก้ได้ล้อเลียนเขาออกมา
“เชี้ยเอ้ย ใครจะไปทนฟังแกคิดเหมือนกับสู้ในสงครามคนเดียวได้ล่ะ อะไรนะ? ยกย่องอะไรกัน? ไร้สาระทั้งเพ… อ่า ทำไมล่ะ? ฉันพูดอะไรผิดไป?”
“เฮ้ เฮ้! หยุดเลย พวกเขาคือคาเพเดี่ยมนะ”
“คาเพเดี่ยมแล้วทำไมล่ะ? พวกเขาจะทำไมกันหา? ที่ฉันพูดมันผิดงั้นหรอ?”
เมื่อชายอีกสามคนได้พยายามหยุดเขาเอาไว้ ชายคนนั้นก็ส่งเสียงดังขึ้นมาอีก
กูถูก พวกเขาก็ได้เข้าร่วมสงครามโดยเอาชีวิตไปเสี่ยงเช่นกัน การได้ยินว่าพวกเขาควรจะยกย่องคนๆหนึ่งมันคงไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกดีแน่ๆ
ซอลจีฮูได้พึมพำเบาๆกับตัวเอง และตัดสินใจอดทนเอาไว้ เขาอดทนก็เพราะความรู้สึกอึดอัดใจภายในอกยังคงไม่หายไป
“เขาพูดถูก ฮิวโก้ คำพูดของนายมันหยาบคายไปหน่อยนะ”
ซอลจีฮูได้ลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม
ด้านหลังของเขาได้มีเสียงกระซิบของจางมัลดงออกมาว่า “ซังจิน” ก่อนจะเกิดเสียงวุ่นวายขึ้นจากด้านหลัง
“หากว่านั่นมันทำให้คุณไม่พอใจ ถ้างั้นผมต้องขออภัยด้วย พวกเราจะลดเสียงลง”
ซอลจีฮูได้ขออภัยออกมา และดึงฮิวโก้กลับไปนั่ง
“ทำไมนายต้องไปขอโทษไอ้พวกไร้ค่าแบบนี้ด้วยล่ะ?”
โชฮงได้พึมพำออกมาเบาๆ ชายคนนั้นได้หรี่ตาขึ้น และขยับริมฝีปากยิ้มออกมา
“อ่อ จริงๆหรอ?”
ชายคนนี้ได้เตะเก้าอี้ของเขา และแกว่งร่างไปมาอย่างน่าอันตราย
“ไอ๊หย๊า! วีรบุรุษสงครามกำลังไกล่เกลี้ยสถานการณ์! เขากระทั่งขออภัยฉันด้วยตัวเองอีกด้วย โอ้ ฉันควรจะทำยังไงดีล่ะ?”
เมื่อซอลจีฮูไม่ได้ตอบกลับ และหันไปมองเงียบๆ
“ว้าว~ เขาไม่ได้สนใจฉันเลย หรือว่าเขากำลังอดกลั้นมันเอาไว้อยู่กันล่ะ? นายคงจะใจกว้างขึ้นหลังจากได้รับทั้งชื่อเสียงแล้วก็ผู้หญิงสินะ”
“อ่า จริงด้วยสิ ฉันได้ยินมาว่านายเพิ่งจะเทียวไปเทียวมาภายในบ้านของบุตรแห่งลูซูเรียนี่นา!”
ซอลจีฮูได้ชะงักไป ทำไมจู่ๆเขาถึงได้เอาเรื่องซอยูฮุยขึ้นมาพูดล่ะ?
“ยัยนี่ก็ตอแหลเหมือนกันนะ เธอเอาแต่ปฏิเสธทุกๆคนทำเหมือนกับเป็นใจแข็งอะไรแบบนั้น แต่ดูตอนนี้สิพอมีผู้ชายดีๆปรากฏตัวขึ้นมา เธอก็รีบเข้ามาคว้าไปทันทีเลย”
แม้กระทั่งซอลจีฮูก็ยังหันกลับมาอย่างช้าๆ ชายคนนั้นกำลังยิ้มยิงฟันเยาะเย้ยเขาอยู่
“ก็จริงไหมล่ะ? ไม่ใช่ว่าเราก็รู้กันดีหรอกหรอว่าเธอรับใช้ในเทพธิดาองค์ไหน? หากว่าเธอซื่อย์ตรงจะมีใครว่าอะไรเธอได้กันล่ะ? แต่ว่าเพราะเธอทำเหมือนกับบริสุทธิ์ทั้งๆที่คนอื่นรู้ความจริงหมดแล้ว นั่นแหละที่ทำให้เธอดูปลอม”
‘…อะไรนะ?’
“แล้วบุตรแห่งลูซูเรียเยี่ยมดีไหล่ะ? ฉันก็อยากจะลองลิ้มรสดูสักครั้งเหมือนกัน! เฮ้ บอกมาหน่อยสิว่าเป็นยังไงบ้าง ในฐานะเพื่อชายด้วยกัน ฉันอยากจะรู้ชิปหายเลยว่ะ”
ดวงตาของซอลจีฮูได้ค่อยๆเบิกกว้างขึ้น มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นที่ยังทำให้หมดของเขาไม่ได้พุ่งออกไป
“อย่า”
เพราะว่าจางมัลดงได้มาปรากฏตัวขึ้นข้างๆเขาโดยไม่รู้ตัว และจับแขนเขาเอาไว้แน่น
“เขาตั้งใจทำแบบนั้น เขากำลังพยายามยั่วยุนายให้ลงมือ”
ซอลจีฮููได้พยายามสงบอารมณ์ของเขาลง เขายังสังเกตเห็นอีกด้วยว่าพรรคพวกของชายอีกคนหนึ่งกำลังพยายามข่มใจแอบมองมา
จางมัลดงได้ก้าวออกมา
“หยุดแค่ตรงนี้ แล้วดื่มต่อไปเถอะ เดี๋ยวเราก็จะไปกันแล้ว”
ขณะที่จางมัลดงพูดแบบนี้ ชายคนนั้นก็เหลือบมองจางมัลดงด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว
“ได้สิ ได้เลย สุดท้ายแล้วผู้อาวุโสมมากชื่อเสียงก็ยังมาพูดกับเรา เราจะต้องเชื่อฟังอยู่แล้ว โฮ่ ฉันดื่มได้ไม่สนุกเพราะเจ้าตัวน่ารำคาญพวกนี้เลย”
เขาได้เยาะเย้ยออกมาก่อนจะถ่มน้ำลายลงบนพื้น
“หึ พวกเขานี่ไม่มีจิตสำนึกเอาซะเลย เขาเคยคิดไหมนะว่าทำไมฮารามาร์คถึงได้กลายเป็นแบบนี้?”
นี่มันคือการเยาะเย้ยอย่างชัดเจน ใบหน้าของซอลจีฮูที่ดูเคร่งขรึมลงไปได้มืดมนลงไปจนน่ากลัว
“เพื่อผลประโยชน์ชายแก่เกษียณได้คลานกลับเข้ามา-“
ตึง! ชายคนนี้ยังไม่ได้ทันพูดจบเลย นั่นมันเพราะได้มีเสียงระเบิดดังลั่นออกมา
“โซฟา”
จางมัลดงได้ตะโกนขึ้นพร้อมทั้งกดซอลจีฮูกับฮิวโก้เอาไว้
ฟีโซราได้รีบลุกขึ้นหยุดโชฮงเอาไว้
โชฮงที่ถูกหยุดเอาไว้ได้จ้องมองศัตรูอย่างอาฆาต หากว่าเธอมีไม้กระบองอยู่ในมือ เธอคงจะโยนมันออกไปแล้ว
ทั้งบาร์ได้กลายเป็นเงียบสงัดจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงหายใจ
ภายในสถานการณ์อึดอัดนี้ ยี่ซอลอาได้ทำอะไรไม่ถูก และได้แต่มองอย่างอยู่ไม่นิ่ง จางนั้นเมื่อเธอหันไปมองซอลจีฮู เธอก็ได้กลืนน้ำลายลงไป
ซอลจีฮูกำลังมองชายคนนั้นอย่างใจเย็น ไม่สิ เขาไม่ได้แค่กำลังจ้องอยู่
แต่แค่มองดูชายหนุ่มจากด้านข่าง จู่ๆความอบอุ่นในร่างกายเธอก็หายไปหมดแล้ว เธอกลายเป็นหวาดกลัวขึ้นมาราวกับเห็นผี
นี่มันเป็นเรื่องธรรมดา
ยี่ซอลอาเคยเห็นเพียงแค่ด้านเดียวของซอลจีฮูเท่านั้น นี่มันเป็นครั้งแรกเลยที่เธอได้เห็นเขาเผชิญหน้ากับศัตรู
ในตอนนั้นเอง
“ฟุฟุฟุ”
ทันใดนั้นเองเสียงหัวเขาต่ำๆของจางมัลดงก็ได้ดังออกมาทำลายความเงียบ ชายคนนี้ได้หรี่ตาลง
“หัวเราะอะไรกัน? ตาแก่นี่คงเลอะเลือนไปแล้วสินะ”
จากนั้นฟีโซราก็ยิ้มขึ้นด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
“งี่เง่า”
หลังจากกดโชฮงลงไปที่ที่นั่งแล้ว เธอก็เยาะเย้ยเขาออกมา
“อย่างน้อยนายก็ควรจะเล็งจังหวะที่เขาอยู่คนเดียวสิ ฝ่ายเรามีระดับ 5 อยู่ตั้งห้าคนเชียวนะ”
“อะไรนะ?”
“เฮ้! นายคิดว่าฉันกลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงจากการสู้โง่ๆงั้นหรอ? แค่ฉันคนเดียวก็เห็นคนโง่ๆแบบนายมาเป็นสิบครั้งแล้ว”
หลังจากเยาะเย้ยพวกเขาแล้ว เธอก็สะกิดยี่ซังจิน เด็กหนุ่มได้ผงะไป และกระพริบตามองจางมัลดง หลังจากที่จางมัลดงหยักหน้าให้ เขาก็ค่อยๆยกมือขึ้นมาอย่างช้าๆ
ภายในมือของเขามีลูกแก้วคริสตัลกำลังส่องแสงจางๆออกมาอยู่
มันก็คือคริสตัลสื่อสาร
-ขยับไปข้างๆหน่อยนึงสิ
น้ำเสียงเซื่องซึมได้ดังออกมา
-ฉันมองไม่เห็นหน้าหมอนั่น
ยี่ซังจินได้รีบขยับแขนทันที
แทบจะในเวลาเดียวกันกับที่ซอลจีฮูหันกลับมามองด้านหลัง ชายคนนั้นก็ได้แสดงสีหน้ามึนงงออกมา
ภายในคริสตัล…
-หืมมม
เป็นหญิงสาวที่นั่งสูบบุหรี่อยู่บนเก้าอี้ จากท่ากอดอกและไขว้ห้างของเธอแล้ว เธอดูเหมือนจะเป็นไปด้วยออร่าแห่งความกดดัน
องค์กรที่เป็นตัวแทนของฮารามาร์ค และเป็นหัวหน้าของเหยี่ยวสงครามแห่งทิศใต้
นั่นก็คือทาเซียน่า ซินเซีย
เมื่อจินตนาการได้ว่าเธอได้เฝ้ามองดูสถานการณ์นี้เป็นการส่วนตัวมาตลอด เสียงกลืนน้ำลายก็ได้ดังออกมาทั่วทั้งบาร์
“พอจะรู้จักไหม?”
จางมัลดงได้ถามออกมา
-ไม่เลย นี่ไม่ใช่ใบหน้าที่ฉันเคยเห็นในฮารามาร์ค
ซินเซียได้ส่ายหัวออกมาอย่างช้าๆด้วยสีหน้าไม่แยแส
“ซึ่งนั่นหมายความว่า… มันเป็นอย่างที่ฉันคิดสินะ”
-เอาอีกแล้วสินะ พอเห็นติดต่อมา ฉันก็พอจะเดาได้แล้วล่ะ
“แต่ว่าพวกเขาบอกว่าพวกเขาได้เข้าร่วมสงคราม”
-ไร้สาระ ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาไปสู้ที่อื่นหรือเปล่า แต่ว่าไม่ใช่ที่ฮารามาร์คแน่ๆ
เธอได้ปฏิเสธออกมาเหมือนกับมันเป็นมุกตลก
-แอ็กเนส เธอเคยเห็นพวกเขามาก่อนไหม?
-ไม่ค่ะ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันเห็นพวกเขา
แม้ว่าเธอจะไม่โผล่ออกมาให้เห็นจากในคริสตัล แต่ว่าน้ำเสียงเย็นชาก็ดังขึ้นมา
สายตาจำนวนมากได้ตกลงไปบนโต๊ะที่ชายหนุ่มนั่งอยู่ พูดตรงๆแล้วถึงการเกณฑ์คนจะมีอยู่ในทุกๆเมือง แต่ว่าสถานที่ที่เกิดการต่อสู้ขึ้นจริงก็มีแค่ฮารามาร์คเท่านั้น
ชายคนนี้ได้มองไปรอบๆด้วยสีหน้าหงุดหงิด และรีบตะโกนออกมา
“ธะ เธอกำลังขมขู่เราหรอ?”
-ข่มขู่?
“ทำไมซิซิเลียจะต้องเอาตัวเองไปเอี่ยวกับเรื่องเล็กๆแบบนี้ด้วย-“
=นั่นก็เพราะว่ามันดูไม่เหมือนกับการทะเลาะกันเล็กๆนี่สิ นายอาจจะโน้มนามให้ฉันเชื่อเป็นอื่นได้นะ หากว่านายยอมรับว่านายแค่พูดเล่นเท่านั้น
ซินเซียได้ตอบกลับมาอย่างสงบ
-นอกไปจากนี้แล้วซิซิเลียกับคาเพเดี่ยมก็เป็นพันธมิตรกันซะด้วยสิ เพราะงั้นฉันคิดว่านี่มันก็มากพอให้ฉันเข้าแทรกแซงแล้ว
“หลอกลวง!”
ชายคนนี้ได้ตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ แต่ว่าน้ำเสียงของเขากำลังสั่นเครือ มีบางอย่างผิดปกติอย่างมาก เมื่อสิ่งต่างๆได้กลายมาเป็นแบบนี้ เสียงตะโกนของเขาแทบจะเหมือนกับเป็นการวิงวอน
“ฉันก็แค่-!”
-พอได้แล้ว!
ซินเซียได้ตะโกนขัดขึ้นมาด้วยความรำคาญใจ
-นายดูจะยังไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้นะ นายคิดว่าฉันเป็นคนที่นายจะมาเล่นด้วยได้งั้นหรอ?
“ถ้างั้น!”
-แล้วก็มันจะเป็นการตบตาหรือไม่ก็ตาม ทุกๆอย่างมันก็จะกระจ่างชัดออกมมาเองเมื่อเราทำการสอบสวน ฉันเป็นคนประเภทที่ชอบลงมือทำมากกว่าพูดซะด้วยสิ
“ไม่ ฉัน-!”
-ถ้างั้นเราควรจะเล่นเกมกันไหมล่ะ? ไม่ว่านายจะตอบรับหรือไม่ตอบรับก็ตามที
ซินเซียได้ประสานนิ้วเท้าคางขึ้นมา และยิ้มขึ้น เธอได้เผยเขี้ยวออกมาเล็กน้อยแต่ว่ามันกลับดูอันตรายมากๆ
-จะเป็นขาของนายหรือว่าพวกเขาที่เร็วกว่ากัน? ฉันขอพนันด้วยแขนขาของฉันแล้วกันว่ากิลด์ข่าวสารอยู่เบื้องหลังนาย
ใบหน้าของชายคนนี้ได้หมองลงไป
-อ่า นายรู้อะไรไหม?
ซินเซียได้หัวเราะออกมาราวกับจู่ๆเธอก็จำเรื่องบางอย่างได้
-มันไม่มีอะไรจะอันตรายไปกว่าแม่ของสัตว์ร้ายที่ลูกน้อยถูกแตะต้องหรอกนะ
“อะ อะไรนะ?”
ชายคนนี้ได้เงยหน้าขึ้นมา
ซินเซียได้ยกมือทั้งสองข้างขึ้น แล้วก็ยักไหล่ออกมา
-ลองวิ่งหนีให้เต็มทีเลยสิ แอ็กเนส?
แอ็กเนสไม่ได้ตอบกลับมา นี่ยิ่งทำให้มันน่ากลัวมากยิ่งขึ้นไปอีก ทันใดนั้นความเงียบก็ได้เข้าปกคลุมทันที
ครู่ต่อมาหนึ่งในชายสี่คนก็สะดุดล้มเก้าอี้ก่อนจะหันหลังวิ่งหนีไป อีกสามคนที่เหลือก็ได้รีบวิ่งไล่ตามไปอย่างสุดชีวิต
“แอ็กเนส! แอ็กเนสกำลังมา!”
“อ๊าาาา!”
แม้กระทั่งคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องก็ยังกรีดร้องออกมา และเริ่มวิ่งหนี
“อ่า… อ่า…”
ชายคนนี้ได้เริ่มก้าวถอยหลังไปก่อนที่จู่ๆจะหันกลับหลังออกวิ่ง
“จับไอ้สารเลวนั่นไว้!”
โชฮงได้ตะโกนออกมา และรีบยืนขึ้น แต่ว่า-
“ปล่อยเขาไป”
จางมัลดงได้หยุดเธอเอาไว้
“อยู่เฉยๆ เมื่อไหร่ที่เราไปแตะต้องพวกเขา พวกเราก็จะมอบข้ออ้างให้พวกเขาได้”
“แต่ว่า!”
-แค่รออยู่เฉยๆ ทำไมล่ะ? เธอคิดว่าแอ็กเนสจะแพ้จะพวกนั้นหรอ?
ซินเซียได้หัวเราะออกมา
โชฮงได้นิ่งไปเพราะคำพูดนี้ ทันใดนั้นซอลจีฮูก็เห็นกลุ่มควันสีดำแอบออกมาไล่ตามชายที่หลบหนีไป แต่ว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไรหรอหยุดเอาไว้เลย
จางมัลดงได้พูดขึ้นมา
“ขอบคุณที่ช่วยเหลือนะ”
-มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก
ซินเซียได้หยิบเอาบุหรี่ออกมา และยิ้มอย่างผ่อนคลาย
-พวกเราจะจัดการส่วนที่เหลือเอง หากว่ากลับกันไปตอนนี้ก็คงจะดีที่สุดแล้วล่ะ
“พวกเราก็คิดไว้แล้ว แต่ทำไมล่ะ? เกิดเรื่องอะไรขึ้น
-มีเรื่องเกิดขึ้นน่ะ ฉันเพิ่งจะได้รับการติดต่อมา พอกลับไปแล้วเดี๋ยวก็คงจะรู้กันเองนั่นแหละ
และหลังจากพูดแบบนี้ ซินเซียก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง
-สำหรับรายละเอียด พรุ่งนี้ฉันจะไปหานะ… หรือไม่ก็วันถัดไป
สายได้ตัดไปหลังจากเธอพูดคำนี้จบ
“อะไรล่ะเนี้ย…”
จางมัลดงได้เม้มปากขึ้นพร้อมกับมองดูหายนะรอบๆบาร์ จากนั้นเขาก็วางมือลงบนบ่าของซอลจีฮูที่ยังคงยืนนิ่งเหมือนกับหิน
“อดทนได้ดีมาก”
ซอลจีฮูไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
“ไว้เดี๋ยวฉันจะอธิบายให้ฟัง ตอนนี้กลับกันเถอะ”
เขาเพียงแค่หยักหน้ารับเบาๆเท่านั้นเอง
***
ระหว่างทางกลับซอลจีฮูไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คิดเดียว พรรคพวกของเขาก็ตามเขามาเงียบๆเช่นกัน จะมีก็แต่โชฮงกับฮิวโก้ที่ส่งเสียงฟึดฟัดอย่างไม่พอใจ
ซอลจีฮูก็ไม่พอใจเช่นเดียวกัน ถึงภายนอกเขาจะดูไม่เป็นอะไร แต่ว่าภายในของเขากำลังเดือดระอุ
วันนี้มันเป็นวันที่ดี แต่แล้วมันกลับพังลงไป เจ้าพวกนั้นเก่งในเรื่องกวนประสาทคนอื่นมากจริงๆ
ซอลจีฮูได้กำหมัดของเขาแน่น หากว่าเขาได้ชกออกไปสักหมัด หรืออย่างน้อยได้ถอนฟันเจ้าพวกนั้น…
ความคิดรุนแรงทุกประเภทได้เข้ามาในหัวของเขา มันถึงขั้นที่ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจจางมัลดงที่มาหยุดเขาเอาไว้
ในเวลาเดียวกันเขาก็ยังสงสัยถึงเหตุผลของคำยั่วยุพวกนั้นเช่นกัน พวกเราไม่ได้แค่พูดว่า ‘ต่อยเราเถอะ’ แน่ๆ มันจะต้องมีแผนการบางอย่าง มันจะต้องมีการสมรู้ร่วมคิด พวกเขาอาจจะไม่ได้เมาด้วยซ้ำไป
แล้วก็ยัง-
ยิ่งเขาคิดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสับสนมากเท่านั้น
“?”
ซอลจีฮูได้หยุดเดินต่อไป
“นั่นมันอะไร?”
มาแชล จิโอเนียที่เดินอยู่เงียบๆได้แสดงสีหน้าสับสนขึ้นมา มีฉากที่คาดไม่ถึงปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา
มีแสงไฟอยู่นับไม่ถ้วนบนท้องถนน พูดให้ชัดกว่านี้คือมีคนนับร้อยกำลังเดินกันอยู่รอบถนนตรงหน้าสำนักงานคาเพเดี่ยม
มีทั้งทหารในชุดเกราะ และนักบวชในชุดคลุมสีขาวปะปนกันไป ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายนี้ นักบวชชุดคลุมขาวได้แอบเหลือบมองซอลจีฮูก่อนจะเดินผ่านเขาไป
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?
ซอลจีฮูได้รีบมองสำรวจดูภาพตรงหน้าของเขา และเขาก็รู้ถึงสิ่งหนึ่ง ผู้คนไม่ได้อยู่รอบๆสำนักงานคาเพเดี่ยม แต่ว่าเป็นอาคารที่อยู่ตรงกันข้ามต่างหาก
หรือก็คือบ้านของซอยูฮุย
และในทันทีที่เขารู้ถึงเรื่องนี้ ประตูบ้านซอยูฮุยก็ถูกเปิดขึ้น และมีคนๆหนึ่งเดินออกมาทำให้ซอลจีฮูหันไปมองชายคนนั้นตามสัญชาตญาณ
ครู่ต่อมา
หลังจากยืนยันว่าคนๆนั้นเป็นใครแล้ว ดวงตาของซอลจีฮูก็ต้องเบิกกว้างขึ้นมา
บทที่ 197 – พาราไดซ์กับโลก (3)
คนที่ออกมาจากประตูไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากคาซุกิ ซอลจีฮูได้แสดงสีหน้าไม่เข้าใจออกมา
ทำไมคาซุกิถึงได้ออกมาจากบ้านของซอยูฮุยกันล่ะ? ทำไม?
ซอลจีฮูไกด้ยกมือขึ้นและตะโกนออกมา
“คุณคาซุกิ!”
คาซิกิที่กำลังเดินออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดได้ชะงักเท้าไปอย่างกระทันหัน หลังจากมองมาทางซอลจีฮูแล้ว เขาก็มองซ้ายขวาก่อนที่จะเดินเข้ามา
คาซุกิได้เหลือบมองมาที่ซอลจีฮู จากนั้นก็หันไปมองจางมัลดง
“ไปที่ไหนมาหรอครับ?”
“พวกเราเพิ่งจะกลับมาจากบาร์น่ะ”
“บาร์… ถ้างั้นก็มีข้อแก้ตัวอยู่สินะครับ ค่อยโล่งใจหน่อย?”
“ข้อแก้ตัว?”
ซอลจีฮูได้ส่งเสียงขึ้นมา คำพูดนี้ได้กระแทกใส่เขาราวกับฟ้าผ่ากลางแข้ง ในเวลาเดียวกันนี้ก็มีความรู้สึกไม่ดีเข้ามาในหัวของเขา
คาซุกิได้พูดขึ้นมาอย่างสงบ
“มีการโจมตีเกิดขึ้น”
“?”
“คุณซอยูฮุยถูกโจมตี”
คาซุกิได้อธิบายสถานการณ์ออกมาอย่างง่ายๆ
“…หืม?”
จากสิ่งที่ได้ยินทำให้ซอลจีฮูพูดไม่ออก
พี่สาวซอยูฮุย… อะไรนะ?
เขาคิดอะไรไม่ออก จู่ๆสมองของเขาก็ขาวโพล่น และคำพูดของเขาก็กลายเป็นติดอ่าง
“อะไรนะ… คุณหมายความว่ายังไง… ถูกโจมตี…”
“ช่วยอธิบายให้เราฟังหน่อยได้ไหม?”
เมื่อจางมัลดงได้ถามออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม คาซุกิก็ส่ายหัวออกมา
“ผมก็สับสนเหมือนท่านแหละครับ ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย ผมถูกทางราชวงศ์เรียกออกมากลางดึก…”
“แค่บอกสิ่งที่รู้มาก็พอแล้ว”
“…ได้ครับ แต่ว่าข้อมูลที่ผมรู้ก็มีจำกัดเช่นกัน นอกไปจากนี้พอผมมาถึงสถานการณ์ก็ได้ถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว”
คาซุกิได้หยุดพักสั้นๆก่อนจะถอนหายใจออกมา
“พวกเราคงจะต้องถามคุณซอยูฮุยให้มั่นใจ แต่ว่ามันดูเหมือนกับว่าเธอจะคิดไว้แล้วว่าจะถูกโจมตี”
เธอคาดเอาไว้แล้ว? ซอลจีฮูได้มองดูคาซุกิด้วยสีหน้าปวดใจ เขาไม่เข้าใจเลยว่าคาซุกิกำลังพูดถึอะไร
“ต่อสิ”
จางมัลดงได้เร่งให้คาซุกิพูดต่อ
“รอบๆ และภายในบ้านของคุณซอยูฮุยได้เต็มไปด้วยร่องรอยการต่อสู้อย่างดุเดือด”
“บุตรแห่งลูซูเรียคือนักบวช… เพราะงั้นเธอจะต้องมีคนคอยคุ้มกันอย่างลับๆแน่”
“น่าจะเป็นแบบนั้นแหละครับ นี่คือความปลอดภัยขั้นต่ำสุด แต่ว่า… มีปัญหาอยู่…”
คาซุกิได้เม้มปากเล็กน้อย
“ผู้บุกรุกดูเหมือนจะรู้ว่าคุณซอยูฮุยได้เตรียมตัวเอาไว้แล้ว”
จางมัลดงได้ขมวดคิ้วขึ้นมา
“นั่นมันหมายความว่ายังไง?”
“ผู้คุ้มกันคุณซอยูฮุยทั้งสี่คนต่างก็ทรงพลัง แต่ว่าผู้บุกรุกทั้งแปดก็ไม่ธรรมดาเลย นอกไปจากนี้…”
คาซุกิได้หยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเม้มปากอย่างไม่พอใจ
“พอผมได้เข้าไปข้างใน มีควันสารกระตุ้นการนอนหลับ และสารกระตุ้นปลุกเซ็กส์อยู่เต็มบ้าน มันดูเหมือนกับว่าพวกเขาจะได้ใช้อุบายสกปรกทุกประเภทเลย”
ซอลจีฮูได้ตัวสั่นขึ้นมา ยาปลุกเซ็กส์เป็นสารกระตุ้นที่จะกระตุ้นความต้องการทางเพศในส่วนลึกของจิตใจคนๆหนึ่งออกมา
เขาไม่อาจจะจินตนาการได้เลยว่าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเพิ่งจะเกิดเหตุการณ์น่าตกตะลึงขึ้นมา มันราวกับว่าเขากำลังฝันร้ายอยู่
“พี่สาวยูฮุยอยู่ไหนล่ะ!?”
“…พี่สาว?”
คาซุกิได้ขมวดคิ้วขึ้นมาก่อนที่จะมองสีหน้าซอลจีฮู และหน้าตึงขึ้นมา
“เธอสบายดี อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ถึงชีวิต”
“อย่างน้อย?”
การได้ยินคำที่มีความหมายสองแง่ ซอลจีฮูก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณซอยูฮุยได้ติดต่อราชวงศ์กับวิหารในทันทีที่เธอสังเกตเห็นการโจมตี เหล่าทหารได้ออกทัพกันทันที และที่เธอทนอยู่ได้ก็เพราะองครักษ์ทั้งสี่คนของเธอได้เสี่ยงชีวิตช่วยเธอเอาไว้ แต่น่าเสียดายที่ผู้บุกรุกดูเหมือนจะหนีไปได้”
ซอยูฮุยตอบสนองค่อนข้างที่จะเร็ว เธอคงจะคาดเดาถึงการโจมตีเอาไว้แล้วเหมือนอย่างที่คาซุกิพูด
ไม่สิ นี่มันไม่ใช่สิ่งสำคัญในตอนนี้
แม้ว่าคาซุกิจะบอกว่าอาการไม่ถึงชีวิต แต่ว่าซอลจีฮูก็รู้สึกว่าเขาต้องยืนยันด้วยสายตาตัวเองเท่านั้นถึงจะโล่งใจได้
“ยังไงก็ตามมันยังมีจุดที่น่าสงสัยอยู่อีกหลายจุด พวกเราได้ไล่ตามพวกมันไปในทันที แต่ว่าพวกมันได้หลบหนีผ่านทางรถม้าที่จอดรออยู่นอกประตูกำแพง พวกเราพอจะสันนิษฐานได้ว่าจะต้องมีองค์กรที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีนี้แน่ๆ”
“ฉันไปดูเธอได้ไหม? ถ้าแค่นิดเดียวมันน่าจะไม่เป็นอะไร…!”
คาซุกิที่กำลังพึมพำกับตัวเองได้ส่ายหัวออกมา
“ฉันได้ยินมาว่านักบวชลูซูเรียได้ย้ายเธอไปที่วิหารแล้ว แถมเพราะการโจมตีเพิ่งจะเกิดขึ้น การไปเจอเธอในตอนนี้มันอาจจะยาก”
ยังไงก็ตามซอลจีฮูไม่ได้ฟังเขาอีกแล้ว ในทันทีที่เขาได้ยินคำว่า ‘ลูซูเรีย’ เขาก็ได้ออกวิ่งเต็มกำลังแล้ว
เขายังได้ยินเสียงคนเรียกเขาจากด้านหลัง แต่ว่าแทนที่เขาจะหันกลับไปมอง เขาได้เร่งพลังมานาขึ้นมาแทน ต่างหูเฟสติน่าก็ยังถูกใช้งานเช่นกัน เขาได้มาถึงวิหารภายในพริบตาเดียว ยังไงก็ตามการจะเข้าไปในวิหารก็เป็นอีกหนึ่งปัญหา มันเป็นอย่างที่คาซุกิได้พูดเอาไว้
“คุณเจอเธอไม่ได้”
หญิงสาวได้ขวางทางเข้าห้องพักฟื้น และปฏิเสธอย่างหนักแน่น ไม่ว่าซอลจีฮูจะขอร้องอ้อนวอนยังไง เธอก็เพียงแต่ตอบกลับมาทำนองว่า ‘กลับไป’ หรือ ‘การเจอเธอเป็นไปไม่ได้’
เมื่อซอลจีฮูไม่ยอมแพ้ไปสักที สุดท้ายแล้วหญิงสาวก็คำรามออกมา
“ไอ้บ้านี่ ฟังนะ ฉันรู้ว่านายเป็นใคร ฉันรู้ว่านายเป็นวีรบุรุษสงครามแห่งฮารามาร์ค แล้วก็เป็นคนที่พี่สาวเอาใจใส่อย่างมาก แต่ว่าปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ตัวนาย”
เมื่อเธอเรียกซอยูฮุยว่า ‘พี่สาว’ ซอลจีฮูก็เงียบลงไป
“พี่สาวก็เมายาที่เหมือนคำสาปคล้ายกันกับองครักษ์ที่คุ้มกันเธอเช่นกัน การเข้าไปใกล้เธอก็อาจจะทำให้หยินหยางเสียสมดุลไปได้ กว่าพวกเราจะทำให้เธอสงบลงได้ก็ยากอยู่แล้ว นายอยากจะเข้าไปทำให้มันพังลงหรือยังไงกัน?”
เมื่อถูกปฏิเสธเพราะปัญหาด้านสุขภาพ ซอลจีฮูจึงไม่อาจจะหาข้อแก้ตัวใดๆได้เลย
“…ผมเข้าใจแล้ว ขออภัยด้วย”
ในท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่อาจจะหาคำพูดเหมาะๆได้ และได้แต่ต้องหันหลังกลับ
“ฉันเข้าใจนะว่านายรู้สึกยังไง แต่ว่าอย่างทำให้มันวุ่นวายเกินจำเป็นเลย นายไม่ใช่คนเดียวที่จะคลั่งเพราะความโกรธหรอกนะ”
ซอลจีฮูได้ค่อยๆโดนลงบันไดโดยปล่อยหญิงสาวที่กำลังกัดฟันทิ้งไว้ด้านหลัง และเขาก็ได้เห็นจางมัลดงรีบวิ่งเข้ามา
“กลับกันเถอะ”
“…”
“เราทำอะไรไม่ได้หรอกนอกจากรอ”
ซอลจีฮูเข้าใจว่าจางมัลดงพูดถึงอะไร เขารู้ดีว่าจางมัลดงพูดถูก แต่ว่าภายในใจเขากลับร้อนรนที่ทำได้แค่ยืนเฉยๆโดยไม่ทำอะไรเลย
ความโกรธที่ไม่อาจอธิบายกำลังพุ่งพล่านอยู่ภายในตัวเขา เหมือนกับภูเขาไฟที่กำลังรอวันปะทุ เขาแทบจะไม่อาจควบคุมความโกรธเอาไว้ได้ และเปล่งเสียงแหบแห้งออกมา
“บอกผมที”
“..เรื่องอะไร?”
“อาจารย์บอกจะอธิบายให้ผมฟัง”
พูดให้ถูกคือสิ่งที่ซอลจีฮูกำลังพูดมันเป็นคนล่ะเรื่องกัน แต่ว่าในตอนนี้เขาไม่ได้สนใจเลยสักนิด
“ไมว่าผมจะคิดมากแค่ไหน ผมก็ไม่เข้าใจเลย”
“…”
“แม้ว่าอีกฝ่ายจะมากกว่า แต่พี่สาวก็มีคนคุ้มกัน… แล้วพี่สาวก็ยังมีพลังเทียบเท่ากับผู้บัญชาการกองทัพ…”
นี่คือสิ่งที่ทำให้เขาสงสัยอย่างมาก เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าซอลจีฮูที่เป็นดั่งตำนานแห่งพาราไดซ์จะเกือบถูกลอบสังหารได้ง่ายๆ
เมื่อดูเหมือนว่าซอลจีฮูจะไม่ยอมขยับเว้นแต่ว่าจะได้รับคำอธิบายที่เหมาะสม เพราะงั้นในท้ายที่สุดจางมัลดงก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาหลังจากมองเขาอยู่นาน
จากนั้นเขาก็ได้เริ่มพูดขึ้น
***
ระหว่างทางเดินกลับสำนักงานคาเพเดี่ยมย่าวก้าวของซอลจีฮูดูอันตรายเป็นพิเศษ จากการโคลนเคลนไปมาของร่างกายของเขาในทุกๆไม่กี่ก้าว มันทำให้คนที่มองดูกลัวว่าร่างกายของเขาจะล้มลงไปได้ตลอดเวลา
[คุณซอยูฮุย… กำลังทุกข์ทรมานกับอาการบาดเจ็บภายในอย่างหนัก]
เมื่อคำพูดของจางมัลดงย้อนกลับเข้ามาในหัวของเขา แขนขาของเขาก็อ่อนแรงลงไปอีกครั้งหนึ่ง
[ฉันก็ไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรมากหนักหรอก เพราะฉันก็ได้ยินมาเพียงเท่านี้]
[โดยปกติแล้วพิธีกรรมจะเป็นการดึงพลังมาใช้โดยแลกกับค่าตอบแทนที่สูง เนื่องจากว่าเธอได้ใช้เวทย์ระดับ 9 ในสภาพที่อ่อนแรง เธอคงจะต้องได้ผลสะท้อนกลับที่รุนแรงจนน่ากลัว]
[หากว่าเป็นไปได้เธอก็คงรักษาตัวไปแล้ว แต่ว่าจากที่เธอได้บอกฉัน เธอได้สูญเสียความสามารถในฐานะผู้บริหารไปรวมถึงความสามารถในฐานะนักบวชอีกด้วย ในตอนนี้คุณซอยูฮุยไม่ได้ต่างไปจากนักบวชระดับต่ำที่เทียบไม่ได้แต่กระทั่งแรงค์เกอร์ระดับสูง]
[เธอได้ข้อร้องไม่ให้ฉันบอกนาย เธอบอกว่านายจะทุกข์ใจเพราะความรู้สึกผิด…]
ในท้ายที่สุดความเจ็บปวดก็ได้เข้ามาในหัวของซอลจีฮู ศัตรูจะต้องได้รับข้อมูลเรื่องอาการบาดเจ็บของซอยูฮุย และเข้าโจมตีเธอในสภาพที่เธอกำลังอ่อนแอ
‘แต่ว่าทำไมล่ะ…?’
หลังจากมาถึงสำนักงานแล้ว ซอลจีฮูก็ได้มองไปที่อาคารที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เขายังจำถึงสิ่งที่ซอยูฮุยบอกกับเขาในตอนที่เขาอยู่ในห้องพักฟื้นได้
[ฉันได้ฟื้นตัวแล้ว ฉันไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการใช้ชีวิตประจำวันเลย]
ทำไมเขาถึงไม่รู้ตัวเร็วกว่านี้? ไม่สิ เขาไม่ได้คิดมันเลยด้วยซ้ำไป?
ขณะเดินขึ้นบันไดไป ซอลจีฮูก็กำหมัดแน่นไปด้วย พอมาคิดดูแล้วมันก็ไม่มีทางที่ซอยูฮุยจะไม่มีปัญหาอะไรแน่ๆ
แต่ว่าทำไมเขาถึงได้ไม่คิดเรื่องอาการของเธอ และไปเยี่ยมเธออย่างสบายใจ ยิ่งคิดตัวของเขาก็ยิ่งสั่นสะท้านกับความโง่เง่าของตัวเอง
เขาได้เปิดประตูขึ้นด้วยลมหายใจแรง แสงสว่างจ้าได้เข้ามากระทบที่ดวงตาของเขา
มีอยู่สองคนที่กำลังนอนอยู่บนโซฟา โชฮงได้ล้มตัวนอนอยู่ด้วยสีหน้าแรงระเรื่อ ในขณะที่ฟีโซรากำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่เงียบๆ
สายตาของพวกเขาได้สบกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นขณะที่ซอลจีฮูกำลังจะเดินผ่านไป-
“อย่าได้วอกแวก”
น้ำเสียงไม่แยแสได้ทำให้เขาชะงักไป
“เจ้าพวกโง่ที่หาเรื่องที่บาร์ก็น่าจะเป็นแค่ส่วนหางเท่านั้น ส่วนหางที่สามารถจะตัดทิ้งได้ตลอดเวลา”
ซอลจีฮูได้ค่อยๆหันหน้าไปหาฟีโซรา เธอกำลังเอาปากออกมาจากขวดเหล้า และพูดออกมา
“เป้าหมายของพวกเขาก็คือการปั่นหัวนาย ในทันทีที่นายตกหลุมพรางของพวกเขา และโต้ตอบไป พวกเขาก็เท่ากับทำตามเป้าหมายสำเร็จไปแล้ว”
เพราะเหตุผลบางอย่างเขาได้นึกถึงคำพูดหนึ่งในอดีต
[ทำไมทุกๆคนถึงได้เอาแต่รังควานฉันล่ะ?]
…สิ่งที่เขาเคยคุยกับคิมฮันนาห์
“คุณฟีโซรา”
ซอลจีฮูได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เบาลง
“คุณแข็งแกร่ง และใจเย็น”
ฟีโซราได้ยิ้มขึ้น
“ทำไมล่ะ มันไม่เข้ากับฉายา ‘ตัวปัญหา’ ของฉันล่ะสิ?”
เธอได้พูดต่อด้วยรอยยิ้ม
“พวกตรงๆเลยนะ นี่มันไม่ใช่ปัญหาของฉันเลยสักนิด นายคิดว่าฉันมันทึ่มเหมือนกันงั้นหรอ?”
ซอลจีฮูได้จ้องเขม็งไปที่ฟีโซราที่กำลังเยาะเย้ยออกมา เขาเคยมองเธอว่าเธอทึ่ม นั่นมันก็เพราะว่าการกระทำของเธอมักตรงไปตรงมาเหมือนกับคนที่ไม่คิดอะไรเลย
“น้องชายน้องสาวจากกุหลาบขาวไม่เคยเรียกฉันแบบนั้นแม้แต่ครั้งเดียว และตอนนี้ก็เหมือนกัน”
ยังไงก็ตามในตอนนี้ซอลจีฮูได้มองเธอต่างออกไปแล้ว พูดให้ชัดก็คือเขาเริ่มมองเธอในมุมใหม่ๆนับตั้งแต่ที่พวกเขาได้คุยกันที่ร้านอาหาร
“นายรู้ไหมว่าในตอนที่ฉันแข็งแกร่ง และเริ่มสร้างชื่อให้กับตัวเอง มันมีพวกแมงเม่าเริ่มเข้ามาหาฉันมากแค่ไหนกัน? เหมือนอย่างเจ้าพวกโง่ในวันนี้น่ะ”
ฟีโซราได้ฝืนยิ้มออกมา
“ฮ่าห์ แม้กระทั่งในตอนนี้มันก็ยังดูไร้สาระเลย… ยังไงก็ตามย้อนไปในตอนนั้น ฉันไม่ได้ห้ามตัวเองไว้เลย บางครั้งฉันก็สาปส่งพวกเขารุนแรงยิ่งกว่าพวกเขาดูถูกฉันซะอีก บางครั้งฉันกระทั่งอัดพวกเขาจนป่นปี้ด้วยซ้ำไป””
“…”
“แล้วก่อนที่ฉันจะรู้ตัว ฉันก็ได้รับฉายา ‘ตัวปัญหา’ ขึ้นมาซะแล้ว เมื่อฉันไม่ได้เปลี่ยนการกระทำของฉันสักนิด ภาพลักษณ์ของฉันก็ได้เริ่มเสถียรขึ้นมา ทั้งหมดนี้ฉันถูกทำเหมือนกับเป็นมังกรที่ผงาดขึ้นมาจากกองซากขยะ”
ฟีโซราได้เขย่าขวดเหล้า และหยักไหล่ออกมา
“นั่นแหละคือสิ่งที่มันเป็น”
ซอลจีฮูได้ถามออกมา
“…แล้วคุณไม่โมโหเลยหรอ?”
“ทำไมจะไม่โมโหล่ะ? แต่ว่าฉันยอมแพ้ไปแล้วล่ะ”
ฟีโซราได้ถอนหายใจออกมา จากนั้นก็นอนแผ่ลงไปบนโซฟา
“หลับไปเถอะ อย่าได้ไปมัวเสียพลังงานเลย หากว่านายร้อนรนเกินไปแบบนี้ นายจะอยู่ได้ในพาราไดซ์ได้ไม่นานเพราะเหนื่อยไปเอง”
ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมาโดยไม่พูดอะไร จากนั้นเขาก็เดินกลับไปที่ห้อง และนอนลงไปบนเตียง แม้ว่าร่างกายของเขาจะเหนื่อยล้า แต่ว่าเขากลับนอนไม่หลับ
เมื่อคนโกรธ กล้ามเนื้อใบหน้าจะสั่นไหว และผิวหนังจะร้อนขึ้นมา ในตอนนี้ซอลจีฮูก็รู้ว่าตัวเขากำลังอยู่ในสภาพนี้มานานแล้ว
การอดทนมันไม่ใช่เรื่องยาก การรอคอย และมองดูสิ่งต่างๆให้เป็นไปคือทางเลือกหนึ่ง
แต่ปัญหาคือสมองของเขามันไม่ยอมหยุดคิด และมีคำถามพุ่งเข้ามาไม่หยุด
‘ใคร?’
ใครกันที่สั่งให้ชายคนนั้นกวนโมโหเขาที่บาร์? แล้วมีเป้าหมายคืออะไร?
‘ทำไม?’
ทำไมองค์กรลึกลับถึงได้ใช้วิธีซ่อนตัวโจมตีซอยูฮุย?
‘พี่สาวซอยูฮุยไม่ใช่คนที่จะไปสร้างความแค้นกับใครด้วย’
นอกไปจากนี้…
‘ไม่ใช่ว่าเราทุกคนอยู่ทีมเดียวกันหรอกหรอ?’
นับตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามาในพาราไดซ์ ชาวโลกทุกคนก็จะได้รับหน้าที่เดียวกัน ทุกๆคนโดยไม่มีข้อยกเว้น พวกเขาต่างก็จะมีศัตรูคนเดียวกัน ราชินีปรสิตจะเป็นคนที่ยินดีมากที่สุดเลยหากว่าซอยูฮุยตายไป
หลังจากกลิ้งพลิกตัวอยู่นาน ในที่สุดซอลจีฮูก็ลุกขึ้นมาจากเตียง ขณะที่เขากำลังเดินเป็นวงกลมในห้อง จู่ๆเขาก็เห็นกองกระดาษอยู่มุมหนึ่ง
นั่นก็คือบันทึกที่เอียนได้ทิ้งเอาไว้ เป็นสิ่งที่เอียนได้บอกให้เขาใช้เวลาอ่านมัน
ซอลจีฮูได้จ้องมองอยู่บนบันทึกราวกับความคิดของเขาตกอยู่ในภวังค์ จากนั้นเขาก็เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ และค่อยๆลูบไล้หน้าปกสีซีดๆ เขาได้ค่อยๆขยับมืออย่างเหม่อลอย
‘หากว่าอาจารย์เอียนอยู่ที่นี่…’
หลังจากหวนนึกถึงคนที่จากไปแล้ว ซอลจีฮูก็ค่อยๆเปิดหน้าแรกขึ้นมา รายมือที่คุ้นเคยได้ปรากฏขึ้น-
-อัล ซาราห์ (อิรัก)
…ชื่อ นี่เป็นชื่อที่เขาไม่รู้จักเลย ด้านล่างมีคำอธิบายถูกเขียนเอาไว้อยู่
-นักธนู ชาวโลกคนแรกที่ได้กลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูง เธอได้ถูกจดจำในฐานะของผู้ที่มีส่วนร่วมในการสร้างเสถียรภาพที่สกีเฮราซาร์ด และบุกเบิกดินแดนใหม่ เพื่อเป็นเกียรติยศให้กับความสำเร็จของเธอ ตระกูลราชวงศ์จึงตั้งชื่อเมืองใกล้ๆว่าซาราห์
‘นี่มันอะไรกัน?’
ซอลจีฮูได้อ่านต่อไป
-อัลวาโร่ สโคเกอร์ (ฟิลิปปินส์)
ผูู้ก่อตั้งองค์กรระหว่างประเทศขนาดใหญ่ แพ็ค โดยมีภารกิจในการทำงานเพื่อสันติภาพในพาราไดซ์
เขาได้รับภารกิจสนับสนุนทั่วทั้งภูมิภาคในพาราไดซ์โดยไม่แบ่งแยกใดๆ เขายังเป็นชาวโลกที่ชักจูงตระกูลราชวงศ์ว่ามนุษย์ควรจะเข้าร่วมมือกับสหพันธรัฐ
-เอเลนอร์ ลูน่า (อังกฤษ)
อัจฉริยะในการสำรวจซากโบราณสถานการณ์ เธอได้ค้นพบซากโบราณสถานจำนวนนับไม่ถ้วยด้วยทักษะการสืบค้นที่น่าทึ่ง และได้ก่อตั้งสมาคมการค้าขนาดใหญ่โดยใช้เงินจากการขายอาร์ติแฟค
มีการอ้างว่าในช่วงที่ชาวโลกไม่อาจจะปรับตัวกับพาราไดซ์ได้ง่ายๆกับแค่การมีบทฝึกสอนกับเขตพื้นที่เป็นกลาง เพราะงั้นเธอจึงได้ใช้เงินของตัวเองก่อตั้งโรงเรียนสอนของแต่ล่ะคลาสขึ้นมา เเธอยังเป็นแรงผลักดันให้เกิดสองผู้บริหารขึ้นจากเบื้องหลังอีกด้วย
-โจชัวร์ คาฟลิน (เยอรมนี)
จบการศึกาจากสถาบันลูน่า และเป็นผู้บริหารคนแรก ถูกเลือกโดยเทพแห่งความเกียจคร้าน
หลังจากค้นพบถึงแผนการในการทำให้ดินแดนอาณาจักรคาปี้ซานแปดเปื้อน และกระจายโลกระบาดของราชินีปรสิต เขาจึงได้เข้าโจมตีอาณาจักรคาปี้ซาน
เอาชนะกองทัพศัตรูหกครั้งด้วยพลังของตัวเอง เขาได้พิชิตอาณาจักร และชำระล้างดินแดนที่แปดเปื้อนให้บริสุทธิ์
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์นี้ซ้ำขึ้นอีก และเพื่อที่จะสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรมนุษย์สัตว์ เขาได้เป็นตัวตั้งตัวตีในการแนะนำให้ราชวงศ์ทั้งหมดร่วมมือกันทำให้อาณาจักรคาปี้ซานเป็นฐานปฏิบัติการณ์
บทที่ 198 – พาราไดซ์กับโลก (4)
เมื่อได้อ่านบันทึกดวงตาของซอลจีฮูก็ได้สั่นไหวขึ้นมา หัวของเขาในตอนนี้ได้เริ่มเย็นลงแล้ว และเขาก็ได้เริ่มจดจ่อไปกับการอ่านบันทึก
เขาได้พลิกตาถัดไปและกลืนน้ำลายลงไป มีชื่อที่เขารู้จักอยู่
แบคแฮจู (เกาหลี)
ชาวโลกคนแรกที่ได้กลายเป็นระดับ 8 ทำทุกอย่างเพียงลำพังโดยไม่มีใครช่วย…
-ซอยูฮุย (เกาหลี)
ตำนานในหมู่ตำนาน ไม่มีคำอธิบายใดอีกแล้ว
-ซึงชิฮยอน (เกาหนี)
ระดับสูงจากพื้นที่ที่ 1 ถัดจากแบคแฮจู และซอยูฮุย ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยร่วมงานเป็นทีมเดียวกัน แต่เพราะนิสัยส่วนตัว และบุคลิกของเขาทำให้เขาได้เกิดทะเลาะครั้งใหญ่กับแบคแฮจู และก็ยังแยกทางกับซอยูฮุย
แม้ว่าเขาจะมีนิสัยที่ไม่ค่อยเป็นที่ต้องการนัก แต่ว่าพลังและความสำเร็จที่เขาได้ทำให้กับพาราไดซ์ไม่อาจจะปฏิเสธได้เลย
เขาได้กลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงด้วยการทำภารกิจจากราชวงศ์สกีเฮราซาร์ดที่ซึ่งเป็นที่รู้กันดีในเรื่องความยากสำเร็จอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาได้บังคับให้ราชินีปรสิตที่กำลังสู้อยู่ในแนวหน้าต้องกลับไปที่บัลลังก์แห่งความทรุดโทรมได้สำเร็จ ซึ่งทำให้การกระทำต่างๆของเธอได้ถูกจำกัดอยู่ที่พื้นที่ของจักรวรรดิ
ซอลจีฮูก็ยังเห็นชื่อของคู่หมั่นของมาแชล จิโอเนียที่เป็นพัฒนาเวทย์โฟตอน รวมไปถึงชื่อของอิวาเกเลี่ยน โรสอีกด้วย
‘น่าทึ่ง น่าทึ่ง….’
เขาได้หยักหน้าออกมาไม่หยุดเลย
เหล่าผู้คนเหล่านี้ต่างก็มีความสำเร็จที่น่าทึ่งกันทั้งนั้น พวกเขาได้สร้างความสำเร็จมากมายที่ควรค่าแก่การชื่นชม… แต่ล่ะคนที่ถูกบันทึกลงไปในบันทึกของเอียนต่างก็เป็นชาวโลกที่ได้ทุ่มเทความพยายามอย่างใหญ่หลวงเพื่อผลประโยชน์ของพาราไดซ์ และได้สร้างผลงานที่สำคัญ
จากนั้น…
-ซอลจีฮู (เกาหลี)
ผู้ผิดปกติที่มาจากพื้นที่ที่ 1 หลังจากไม่ได้มีโผล่มานาน ได้สร้างผลงานที่น่าทึ่งตั้งแต่อยู่ระดับ 1 ในการสำรวจป่าแห่งการปฏิเสธ เป็นผู้เสนอและวางกลยุทธ์การล่อศัตรูและนำชัยชนะมาที่หุบเขาอาร์เดน แก้ความลับของหมู่บ้านแรมแมนในตอนอยู่ระดับ 2 จากนั้นก็ได้รับยอมรับชาวบ้านแรมแมนที่กำลังตกอยู่ในอันตรายให้เข้ามาในฮารามาร์คด้วยการออกค่าใช้จ่ายให้เหล่าชาวบ้าน
นอกไปจากนี้เขายังได้ร่วมมือกับสหพันธรัฐหยุดแผนการสร้างออร์คกลายพันธุ์จำนวนมากของปรสิต ทำให้ภารกิจช่วยเหลือที่ศูนย์วิจัยสำเร็จ และในตอนที่ยังอยู่ในระดับต่ำก็ยังทำความสำเร็จที่น่าเชื่ออื่นๆอีกมากมายอย่างเช่นการสร้างเสถียรภาพในงานจัดเลี้ยง
ซอลจีฮูได้เห็นในชื่อของเขาอย่างคาดไม่ถึง ยังไงก็ตามเขาก็ต้องเอียงหัวออกมาเมื่อพลิกหน้าถัดไป เอียนไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น
มีชาวโลกที่ยอดเยี่ยมอยู่ตั้งมากมาย แล้วทำไมพาราไดซ์ถึงได้กลายมาเป็นแบบนี้?
ในตอนนั้นเองมือของเขาก็ได้หยุดลง หลังจากเปิดผ่านหน้าว่างเปล่ามา หน้าใหม่ก็มีคำสามคำถูกเขียนเอาไว้
สาเหตุการตาย
‘สาเหตุการตาย?’
เมื่อเขาได้พลิกหน้าถัดไป เขาก็ต้องขมวดคิ้วและหรี่ตาลงมา
-อัล ซาราห์: สูญเสียการติดต่อไปหลังจากเข้าไปในอาณาเขตของพาราไดซ์เพื่อค้นสืบค้นโบราณสถาน
ตามข่าวลือ ราชินีปรสิตได้ให้ความสนใจในตัวเธอ และจับเธอไปเป็นนักโทษ แต่ว่าผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวจากทีมสำรวจของเธอได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโบราณสถานว่าอัล ซาราห์ได้เกษียณไปโดยไม่มีหลักฐานยืนยัน
คำถามมากมายยังคงไม่ได้รับคำตอบ
-อัลวาโร่ สโตเกอร์: สูญเสียตำแหน่งเนื่องจากคนในองค์กรได้อ้างว่าเขาได้ใช้เงินทุนของแพ็คเพื่อประโยชน์ส่วนตัว จากนั้นแพ็คก็ได้เริ่มสูญเสียอิทธิพลไปจากการขัดแย้งกับองค์กรอื่นๆ
อัลวาโร่ โสตเกอร์ได้ยืนยันว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์โดยที่บอกว่าเขาถูกใส่ความ
จากนั้นเขาก็ถูกพบเป็นศพอยู่ในบ้านโดยคนรู้จัก ไม่ว่ามันจะเป็นการฆ่าตัวตายหรือการฆาตกรรม แต่ว่าเมื่อข้อกำหนดบทลงโทษการตายแล้ว มันจึงเป็นไปได้ว่าเป็นอย่างหลัก
-เอเลนอร์ ลูน่า: ชาวโลกนิรนามได้ยื่นคำร้องโดยบอกว่าเอเลนอร์ได้บังคับให้เขาขายข้อมูลโบราณสถานให้กับเธอ เอเลนอร์ ลูน่าได้ยืนยันตัวว่าเขาได้ทำผ่านขั้นตอนอย่างถูกต้อง แต่ว่าองค์กรต่างๆกลับเข้าข้างบุคคลนิรนาม และทำการประนามเธอต่อสาธราณะชน
บุคคลนิรนามได้ยื่นหลักฐานไปให้กับเจ็ดอาณาจักรเพื่อฟ้องร้องต่อเอเลนอร์ ลูน่า แต่ว่าเธอก็ได้ค้านหัวชนฝาว่านี่คือการปลอมแปลงหลักฐาน
องค์กรต่างๆได้เลิกการค้ากับสมาชิกการค้าของเธอ และปฏิเสธที่จะเข้าสถาบันการศึกษา เอเลนอร์ยังคงยืนยันอย่างหนักแน่นว่าเธอบริสุทธิ์ แต่ในท้ายที่สุดเธอก็ได้เกษียณไปจากพาราไดซ์หลังมีเรื่องอื้อฉาวทางเพศ
ไม่นานนักสมาคมการค้าก็ได้แตกกระจายอย่างรวดเร็ว และสถาบันการศึกษาลูน่าก็ปิดตัวลงไป
-โจชัวร์ คาฟลิน: เป็นมนุษย์ที่ทำการโต้แย้งว่าไม่ควรจะปล่อยให้พันธมิตรมนุษย์สัตว์ถูกกำจัดออกไป แต่ว่าปฏิกิริยาที่ได้รับกลับมาช่างน้อยนิด
เขาได้ตั้งทีมขึ้นมากับผู้บริหารอีกคนที่ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับเขา นำกองกำลังเล็กๆไปเป็นกำลังเสริมให้กับพันธมิตรมนุษย์สัตว์ แต่ยังไงก็ตามเขากลับถูกความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงแอบซุ่มโจมตีในระหว่างการเดินทาง และตายไปหลังจากการต่อสู้นองเลือด
มือของซอลจีฮูได้สั่นไหวขึ้นมา ดวงตาของเขาได้มองสำรวจดูที่แผ่นกระดาษไปมาซ้ำๆ มันไม่ใช่แค่สีคนนี้
มีชื่อกว่าร้อยคนถูกเขียนเอาไว้ในบันทึกของเอียน ส่วนใหญ่- หรือมากกว่า 80%- ได้…
‘ตาย… หมดเลย…?’
บางคนก็ไม่อาจจะพูดว่าเป็นการตายได้ แต่ว่าพวกเขาก็ได้เกษียณไปจากพาราไดซ์โดยที่ไม่ได้มีแผนที่จะย้อนกลับมา
ซอลจีฮูได้ลืมตาขึ้นมา เขาได้ย้อนกลับไปหน้าก่อนๆแล้วอ่านเนื้อหาอย่างละเอียดก่อนจะเอามาเปรียบเทียบกับเนื้อหาการตาย
เวลาได้ค่อยๆผ่านไป ค่ำคืนอันเงียบสงบได้ผันผ่าน และแสงอาทิตย์ยามเช้าได้สาดส่องลงมาบนตัวซอลจีฮู เขายังคงอ่านบันทึกโดยไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว
หลังจากตรวจสอบบันทึกมาตลอดทั้งคือแล้ว มีความรู้สึกไม่สบายใจเล็กๆที่รบกวนตัวเขามาตลอดได้กลายเป็นชัดเจนขึ้น
สาเหตุการตายได้ถูกแยกออกเป็นสีประเภทใหญ่ๆ ถูกปรสิตจับตัวไป ถูกเจ็ดกองทัพโจมตีและฆ่าไป ถูกพบเป็นศพในวันหนึ่ง และเกษียณออกไปจากพาราไดซ์เพราะไม่อาจจะทนต่อการใส่ร้ายป้ายสีได้
นอกจากนี้ยังมีกรณีของคนที่สูญหายเช่นกัน แน่นอนว่ามันก็อาจจะเป็นแค่อุบัติเหตุก็ได้ แต่ว่าเพราะเอียนได้เขียนไว้ว่า ‘มีหลายคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบ’ กับพวกเขาส่วนใหญ่ มันจึงยากที่จะยอมรับว่าเป็นแค่อุบัติเหตุเฉยๆ
มีสุภาษิตที่รู้จักกันดีอยู่
ครั้งแรกคือความบังเอิญ ครั้งที่สองคือปาฏิหาริย์ และครั้งที่สามก็คือความจงใจ
[ความตั้งใจของเธอชัดเจนมาก เธอได้วางแผนที่จะเปลี่ยนการเคลื่อนไหวครั้งสุดท้ายของเราให้กลายเป็นการช่วยเหลือตัวเธอแทน]
เขาได้นึกย้อนไปถึงสิ่งที่กู่ลาได้พูดไว้ และความรู้สึกไม่ดีก็ได้เข้ามาในหัวของเขา
จากภายนอกมันดูเหมือนกับว่าราชินีปรสิตไม่ได้มายุ่งอะไรกับมนุษยชาติ แต่ว่ามันมีความเป็นไปได้ว่าเธอกำลังชักใยมนุษย์จากเงามืออยู่
หากว่ามีหลักฐานนับร้อยมาเป็นหลักฐานให้กับสมมติฐานนี้…
‘ถ้างั้น…’
เขาได้ถูกยั่วยุ และซอยูฮุยถูกโจมตี… มันเป็นไปได้ไหมว่าราชินีปรสิตเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้? ยิ่งสืบลึกลงไปเรื่อยๆ มันไม่ใช่ว่าท้ายที่สุดแล้วมันชี้เป้าไปที่เธอหรอกหรอ?
จากนั้นเอง
“นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน!?”
ขณะที่เขากำลังจมดิ่งไปกับความคิด น้ำเสียงกรีดร้องอันน่ากลัวจู่ๆก็ดังเข้ามาในหัวของเขา นั่นคือเสียงของโชฮง
ซอลจีฮูได้หลุดออกมาจากความคิดของเขา มันเพราะว่าเขามัวแต่สนใจไปกับการอ่านบันทึกทำให้เขาไม่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นด้านนอกเลย
หลังจากปิดบันทึก และเก็บมันลงไปในกระเป๋าแล้ว เขาก็ได้เดินออกไปจากห้อง ข้างนอกเขาได้เห็นคนกลุ่มใหญ่กำลังยืนอยู่ในสำนักงาน
โชฮงได้ชี้นิ้วไปที่นักบวชสวมชุดขาวนับสิบ ในขณะที่จางมัลดงกับฟีโซรากำลังจ้องมองพวกเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เมื่อซอลจีฮูได้เห็นชายที่ยืนอยู่ด้านหน้าเหลือบมามองเขา และยิ้มอย่างไม่พอใจ เขาก็พอจะรู้แล้วว่าต้องมีเรื่องเกิดเห็น ดูจากที่ไม่มีใครเรียกเขาเลย มันดูเหมือนว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญเหล่านี้จะมาด้วยเจตนาที่ไม่ดี
นักบวชได้พูดขึ้นมา
“ผู้ต้องสงสัยมาแล้ว สมบูรณ์แบบ”
‘ผู้ต้องสงสัย?’
ซอลจีฮูได้ตกตะลึงขึ้นมาในทันที นี่พวกเขาวางแผนกันถึงขนาดนี้เลย?
“คุณกำลังพูดอะไรอยู่?”
จางมัลดงได้ขมวดคิ้วขึ้นมา
“ระวังคำพูดด้วย เขามีคำแก้ต่างอยู่”
“แน่นอนว่าพวกเรารู้ดี ผมต้องขอโทษด้วยที่เลือกใช้คำพูดที่ไม่ดี มันก็แค่-“
นักบวชได้ขออภัยออกมาก่อนที่จะมองซอลจีฮูและยิ้มขึ้น
“เรากำลังพูดกันถึงเรื่องของบุตรแห่งลูซูเรียอยู่ พาราไดซ์กำลังตกอยู่ในความโกลาหลจากน้ำหนักของสถานการณ์นี้ ทางวิหารได้ประกาศกร้าวออกมาแล้วว่าจะต้องจับตัวผู้กระทำผิดมาให้ได้ พวกเราอยากจะขอความร่วมมือจากคุณ”
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าต้องบอกอีกกี่ครั้ง แต่ว่าในตอนเกิดเหตุพวกเรากำลังอยู่ที่บาร์ ซอลไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้”
“แน่นอนว่าพวกเรารู้ แต่ว่ามันก็เท่านั้น… ตัดคำแก้ต่างออกไป พวกเราได้รับรายงานมาว่าเขาได้เข้าไปในบ้านคุณซอยูฮุยอยู่หลายครั้ง เพราะงั้น…”
นักบวชได้เว้นช่วงสุดท้ายเอาไว้พร้อมทั้งมองซอลจีฮู จางมัลดงได้หรี่ตาลงมา
“…เพราะงั้นคุณกำลังบอกว่าเขาอาจจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด?”
เมื่อได้ยินแบบนี้นักบวชก็ยิ้มขึ้น และโบกมือออกมา
“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นครับท่าน พวกเราก็แค่ต้องการให้เขาช่วยเป็นปากคำให้เราสักสองสามอย่าง แล้วก็ช่วยเราสอบสวน ท่านซอลจีฮูไม่ใช่คนเดียวที่เราเชิญตัว มีคนอื่นอีกนับสิบที่วิหารได้เชิญตัวไปทำการสอบสวน ไม่ว่าใครที่มีข้อสงสัยแม้แต่นิดก็จะโดนเหมือนกันครับ”
จางมัลดงได้แค่นเสียงขึ้นมา
“นี่มันแปลกแล้ว คุณบอกว่ามีคนนับสิบถูกเชิญตัว แต่ว่านี่มันเป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันเห็นคนกลุ่มใหญ่มาหาคนน่ะ”
“…”
“คุณพาคนนับสิบมาล้อมพวกเรา แล้วคุณยังกล้าจะพูดว่านี่เป็นการสัมภาษณ์พยานงั้นหรอ? นี่มันชัดเจนมากว่าคุณกำลังทำเหมือนกับว่าเขาเป็นผู้ต้องสงสัย หากว่าคนนอกเห็นแบบนี้เขาจะคิดยังไงกันล่ะ?”
เมื่อจางมัลดงจี้จุดขึ้นมา มุมปากของนักบวชก็บิดเบี้ยวไปเล็กน้อย
“วิหารลูซูเรียจะไม่มองข้ามเหตุการณ์นี้เหมือนกับว่ามันเป็นแค่อุบัติเหตุหรือการโจมตี”
“แล้ว? ฉันจะพูดอะไรได้ล่ะ? ฉัน-“
“ยังไงก็ตามเราจะปฏิบัติกับเขาเป็นอย่างดี นี่คือคำสัญญา พวกเราขอเพียงความร่วมมือเท่านั้นเอง”
นักบวชได้ขัดจางมัลดงขึ้นก่อนที่เขาจะได้พูดจบ เขาเหลือบไปมองด้านหลัง และหยักหน้าออกมา
นักบวชที่กำลังรออยู่ด้านหลังได้ก้าวออกมาราวกับจะใช้กำลังพาตัวซอลจีฮูไป โชฮงได้รีบหยิบเอาหนามเหล็กกล้าออกมาทันที
“ก็ได้ ถ้างั้นก็เอาเลย ไอ้พวกเวรนี่คิดว่าเราจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นงั้นหรอ?”
เมื่อโชฮงได้แสดงความเป็นศัตรูออกมา ตัวแทนของนักบวชก็ยิ้มออกมาอย่างสดใส
“หากว่าคุณขยับไม้กระบองนั่นแม้แต่นิด คุณก็จะต้องมากับเราด้วย คุณจองโชฮง”
เขาได้วางมือลงบนหลังคอราวกับจะบอกว่า ‘เอาเลย’ ในตอนนั้นเองที่ทางเข้าสำนักงานก็เกิดเสียงดังวุ่นวายออกมา นักบวชได้หันกลับไปมองตามสัญชาตญาณ และขมวดคิ้วขึ้นในทันที
ชายร่างกำยำสูงสองเมตรได้เดินงอหลังเข้ามา เมื่อเห็นเขา ซอลจีฮูก็เบิกตากว้างขึ้น
“หืมมม”
ชายคนที่เดินเข้ามามองสำรวจรอบห้องไม่ใช่ใครอื่นนอกจากแม่ทัพแห่งฮารามาร์ค แจน แซงตัส เขาได้เมินเฉยต่อนักบวช และเดินตรงเข้าหาซอลจีฮู
จากนั้นเขาก็พูดขึ้น
“ได้โปรดตามเรามาด้วย มีคนกำลังรอคุณอยู่”
มีการเชิญตัวเขามาอีกครั้งหนึ่ง ยังไงก็ตามซอลจีฮูไม่ได้โง่
จางมัลดงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก และโชฮงก็ได้ลดไม้กระบองลงด้วยรอยยิ้ม
ในอีกด้านหนึ่งใบหน้าของนักบวชที่ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยความผ่อนคลาย ได้กลายเป็นบิดเบี้ยวขึ้นมา มันชัดเจนแล้วว่าซอลจีฮูควรจะตามใตไป
เพราะงั้นเขาจึงไม่ได้ลังเลเลย
“ได้ครับ”
“ผมจะนำทางคุณไปเอง”
แจน แซงตัสได้ตอบกลับอย่างเคารพก่อนจะหันหน้าไป
ในเวลาเดียวกันนักบวชก็ตะโกนขึ้น
“เดี๋ยวกอ่น! พวกเรามาที่นี่จากคำสั่งของท่านบาทหลวง!”
“บาทหลวง?”
ในที่สุดแจน แซงตัสก็มองไปที่นักบวชก่อนจะตอบกลับมาห้วนๆ
“ฉันมาตามคำสั่งของราชวงศ์ หลบไปซะ”
เขาได้ประกาศออกมาอย่างคุกคาม และเดินฝ่าฝูงชนไป เพราะมันเหมือนกับว่านักบวชจะเดินชนหากว่าไม่ยอมหลบ ทำให้พวกเขาได้รีบขยับทันที
หลังจากตามแจน แซงตัสออกมาข้างนอกแล้วก็มีภาพแสนประหลาดปรากฏขึ้นมา ทหารจากราชวงศ์กำลังยืนเรียงแถวนำไปสู่รถม้าขนาดใหญ่สุดหรูหรา
และตรงหน้ารถม้ามีชายชราสวมมงกุฎยืนอยู่
เขาก็คือกษัตริย์แห่งฮารามาร์ค ฟีไฮ
เขาได้โค้งคำนับเล็กน้อยในทันทีที่เขาเห็นความสับสนของซอลจีฮู
“ขอบคุณที่ตอบรับคำเชิญจากเรานะ”
ท่าทางเซื่องซึมของเขาได้หายไปแล้ว ขณะที่ซอลจีฮูกำลังผงะไปกับบุคลิกที่ผ่าเผยของกษัตริย์ฟีไอ นักบวชก็ได้รีบตามหลังซอลจีฮูออกมาจากสำนักงาน
“หา”
เมื่อพวกเขาได้เห็นฉากที่กษัตริย์ได้ทำการต้อนรับนายพลที่กลับมาอย่างยิ่งใหญ่ นักบวชที่เดินออกมาก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ
ในเวลาเดียวกันกษัตริย์ฟีไฮก็มองนักบวชและเอียงหัวออกมา
“หืม? มีปัญหาอะไรรึ? อาณาจักรนี้กำลังจะคุกคามวีรบุรุษสงคราม”
“กษัตริย์ฟีไฮ ท่านเป็นคนที่ส่งกองกำลังไปเมื่อคืนนี้ ผมมั่นใจว่าท่านจะต้องรู้ถึงสถานการณ์เป็นอย่างดี”
เขาได้ประชดประชันขึ้นมา
“อ่อ คงจะหมายถึงการโจมตีสินะ”
ฟีไฮได้เม้มปากขึ้นมา และทำสีหน้าทะเล้น
“ก็ใช่ ข้ารู้ถึงเหตุการณ์นั้นเป็นอย่างดี แต่ว่าไม่ใช่เราได้ข้อสรุปแล้วหรอว่าพ่อหนุ่มคนนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องน่ะ?”
“หากว่าพูดถึงเรื่องผลลัพธ์ที่ถูกสรุปจากการสอบสวนของอายาเสะ คาซุกิล่ะก็ พวกเราคิดว่ามันยังขาดความน่าเชื่อถือ”
“แต่ว่า การจะหานักธนูที่โดดเด่นกว่าอายาเสะ คาซุกิในฮารามาร์คก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยนะ”
“เราไม่ได้สงสัยในความสามารถของเขา แต่ว่าเราจะต้องคำนึงถึงเรื่องที่ว่าเขาได้ถูกส่งมาจากราชวงศ์เป็นการ่วนตัว แล้วก็ยังใกล้ชิดกับผู้ต้องสงสัยอีกด้วย”
นักบวชได้รีบโต้เถียงกลับอย่างดุดัน
“นอกไปจากนี้ เรายังพบถึงความต่างเป็นอย่างมากจากการสืบสนของนักธนูของเรา”
แม้ว่านักบวชจะยังคงรักษาความสุภาพในคำพูดอยู่ แต่ว่ามันชัดเจนว่าเขากำลังพูดว่ากษัตริย์กำลังพูดมั่ว
ฟีไฮก็เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่ว่าเขากลับยิ้มออกมา
“งั้นหรอ? ถ้างั้นมันก็มีปัญหาใหญ่ซะแล้วสิ!”
“หากว่าท่านเข้าใจแล้ว เราก็ขอให้ท่านยินยอมให้เขาไปกับเราด้วย”
“งั้นหรอ? หากว่าผลลัพธ์ของการสืบสวนของทั้งสองฝ่ายมีความต่างกัน ไม่ใช่ว่าเราไม่ควรจะทำการสืบสวนอีกครั้งด้วยความสำคัญสูงที่สุดหรอกหรอ?”
“?”
“ทำไมเราไม่ทำการสอบสวนอีกครั้งกันล่ะ? เจ้าสามารถจะส่งนักธนูเพื่อเรื่องงนี้ได้เป็นร้อยคนเลย ฉันไม่ว่าอะไรหรอกนะ”
วิหารลูซูเรียสามารถจะทำแบบนั้นได้จริงๆหากว่าพวกเขาต้องการ แต่ว่าความเชื่อมั่นของกษัตริย์ฟีไฮได้ทำให้นักบวชต้องฉุกคิดขึ้นมา
“อ่า นั่นมัน-“
แต่ว่าฟีไฮก็ได้พูดต่อไปโดยไม่สนใจฟังเลย
“เมื่อวานนี้เราเพิ่งจะได้รับข้อความที่คาดไม่ถึงมา มันมาจากผู้บริหารแห่งซูเปอร์เบีย เขาได้แสดงความเสียใจกับการโจมตี และยื่นมือเขามา เขาบอกว่าเขาอยากที่จะสืบสวนอาชญากรรมครั้งนี้ด้วยตัวเอง”
ใบหน้าของนักบวชได้แข็งทื่อไป ผู้บริหารแห่งซูเปอร์เบียคือดวงดาวแห่งอัตตา เป็นชาวผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของนักธนูทั้งมวล เขาได้ถืออำนาจเบ็ดเสร็จในด้านนี้
“แต่หากว่าผลลัพธ์ของนักธนูคนที่สองที่ทำการสืบสวนขัดแย้งกับผลลัพธ์การสืบสวนของผู้บริหารแห่งซูเปอร์เบียขัดแย้งกัน มันคงจะไม่น่าขำหรอกเนอะ?”
สายตาของฟีไฮได้กลายเป็นเย็นชาขึ้นมาในทันที รอยยิ้มได้หายไปจากใบหน้าของนักบวชที่ยืนอยู่หน้าสุด เขาได้ขมริมฝีปากเล็กน้อย
“หืม? ข้าพูดอะไรผิดไปหรอ?”
ฟีไฮได้พูดออกมานิ่งๆ ก่อนจะยิ้มขึ้น จากนั้นเขาก็วางมือลงไปบนบ่าของซอลจีฮู
“ท่านจะต้องเสียใจ”
น้ำเสียงเป็นปรปักษ์ได้ดังออกมาอย่างชัดเจน
ฟีไฮได้หยุดชะงักไป
“เจ้าพูดว่าเสียใจสินะ”
เมื่อเขาหันกลับมามอง นักบวชก็ได้ชะงักไป เพราะว่ากษัตริย์ได้หันหลังให้เขาทำให้ซอลจีฮูมองไม่เห็นสีหน้าของเขา
“เอาเถอะนะ”
น้ำเสียงเย็นชาได้ดังออกมา
“ช่างเป็นเรื่องไร้สาระจริงๆเลย”
“อะ อะไรนะ?”
“ทั้งๆที่ที่นี่คือฮารามาร์ค การที่กษัตริย์ถูกขู่ตรงๆว่าเขาจะต้องเสียใจกับตัวเลือกของเขามันไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลยนะ”
ก่อนที่นักบวชจะได้ทันพูดอะไรอีก ฟีไฮก็พูดต่อ
“หากว่ากล้าก็เอาไว้ หากว่ามีคำพูดใดออกมาจากเจ้าอีก เจ้าจะต้องมากับเรา”
เขาได้ยืนขึ้นสูง
“อ่า มันก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอกนะ เราก็แค่จะเชิญตัวทาเซียน่า ซินเซีย และยืนยันถึงข้อตกลงที่เราเคยทำไว้ เธอคงจะมาอย่างแน่นอนเลย หากว่าเจ้าสนใจอย่างจะคุยกับเธอก็เอาเลย”
นักบวชได้กลายเป็นพูดไม่ออกขึ้นมา เมื่อเขาได้ปิดปากแน่น ฟีไฮก็หัวเราะเยาะขึ้นก่อนที่จะหนักลับ และนำทางซอลจีฮูไปที่รถม้า ไม่นานนักรถม้าก็ได้เริ่มขยับ
และในท้ายที่สุดฟีไฮก็ได้อยู่กกับซอลจีฮูเพียงลำพัง เขาได้ถอดมงกุฎออกมา และถอนหายใจ
“ฟู่ววว ช่างวุ่นวายจริงๆ… เจ้าคงจะลำบากมากเหมือนกันสินะ ค่อนข้างจะน่าตื่นเต้นเลยใข่ไหม?”
“ก็นิดหน่อยครับ ต้องขออภัยที่นำปัญหามาให้นะครับ”
“ไม่ ไม่เลย เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดสักนิด นอกจากนี้มันก็เป็นหน้าที่ของพ่อต้าที่จะต้องช่วยแก้ปัญหาให้ลูกเขยด้วยนี่”
“อะไรนะครับ”
ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้น และถามขึ้นอีกครั้ง
“ข้านี่ชอบเจ้าจริงๆเลย”
ฟีไฮได้ถอนหายใจออกมา
“แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ข้าไม่พอใจ นั่นก็คือในเมื่อเจ้าได้ยินชัดๆทำไมถึงแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินด้วยล่ะ”
“อะไรนะครับ?”
“เห็นไหมล่ะ เจ้าเอาอีกแล้ว! ก็ได้ ข้าจะพอแล้ว”
ฟีไฮได้หัวเราะดังออกมา
“ข้าก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง มันก็แค่เทเรซ่าเอาแต่บ่นน่ะ เธอเอาแต่ไล่ฉันออกมาจากวัง”
‘ถ้างั้นเจ้าหญิงก็เป็นคนอยู่เบื้องหลังสินะ…’
เมื่อสถานการณ์ได้กลายมาเป็นแบบนี้แล้ว ซอลจีฮูก็พอจะมองถึงภาพรวมออกแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจให้มันกลายเป็นแบบนี้ แต่ว่าเหตุการณ์เมื่อวานและวันนี้ต่างก็เป็นแผนกลางที่มีตัวเขาเป็นตัวกลาง
พูดตรงๆเมื่อนนักบวชได้บุกเข้ามาในสำนักงานตอนเช้า เขารู้สึกเหนื่อยล้ามากกว่าความโกรธหรือไม่พอใจซะอีก หากว่าเขาอยู่เพียงลำพัง เขาก็อาจจะหนีไปที่โลกโดยไม่อาจจะทำอะไรได้
แต่ว่าซอลจีฮูไม่ได้อยู่เพียงลำพัง
แม้ว่าจะมีคนที่พยายามโจมตีเขา แต่ว่าก็มีคนที่พยายามจะปกป้องเขาเช่นกัน นี่มันเป็นการปลอบใจอย่างหนึ่งของเขา
“ยังไงก็ตามเจ้าคงจะมีมิตรดีๆในกิลด์นักฆ่าอยู่สินะ”
นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?
ฟีไฮได้หยิบเอากระดาษขึ้นมาจากเสื้อโดยไม่พูดอะไรอีก มันก็คือรายงานข่าวจากกิลด์นักฆ่า
-การสาดโคลนฮีโร่ได้เริ่มขึ้น ‘อีกครั้ง’ แล้ว
ซอลจีฮูได้มองไปที่ฟีไฮ กษัตริย์กำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง
หลังจากเงียบอยู่สักพัก-
“…ข้าขอโทษ”
ฟีไฮได้พูดออกมาอย่างขมขื่นเมื่อรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มกำลังมองอยู่
“ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าได้แค่นี้”
บทที่ 199 – พาราไดซ์กับโลก (5)
เมื่อพวกเขาได้มาถึงวัง เทเรว่าที่เฝ้ารอคอยการมาถึงของพวกเขาก็ได้ก้าวลงบันไดมาอย่างรวดเร็ว
“ยินดีต้อนรับ!”
เทเรซ่าก็ยังคงมีชีวิตชีวาอารมณ์ดีจนช่วยบรรเทาของอารมณ์คนรอบตัวเช่นเคย ซอลจีฮูยิ้มออกมาได้ก็เพราะเธอ
“ไม่เจอกันนานเลยนะเจ้าหญิง”
“ใช่ นั่นแหละ”
หลังแค่นเสียงเบาๆ เทเรซ่าก็กระทุ้งศอกใส่สีข้างซอลจีฮู
“ฉันได้ยินมาว่านายกลับมาจากโลกแล้ว ฉันคิดว่าอย่างน้อยนายจะมาหาฉันสักครั้งซะอีก แต่นี่กระทั่งจดหมายก็ยังไม่มีส่งกันมาให้กันเลยนะ! นายทำแบบนี้กับฉันได้ยังไงกัน?”
เมื่อเทเรซ่าได้เหลือบตามองมาอย่างไม่พอใจ ซอลจีฮูก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ
“ฉันมัวแต่สนใจอยู่กับการรักษาตัวน่ะ หากว่าค่าสถานะของฉันลดลงไปอย่างถาวร ฉันก็คงสิ้นหวังแน่ๆ”
จากนั้นเขาก็ถอนหายใจเบาๆ
“นอกจากนี้…”
เมื่อเขาไม่ได้พูดต่อออกมา สีหน้าของเทเรซ่าก็สลดลงไป ในฐานะที่เธอเป็นคนอยู่เบื้องหลังจากไปหาเขาของกษัตริย์ฟีไฮ เธอก็จะต้องรู้ถึงสถานการณ์เป็นอย่างดี
“…”
เมื่อสีหน้าของซอลจีฮูมืดมนลงไป เธอก็พูดอะไรไม่ถูกแล้ว
ความกังวลของเธอได้ปรากฏขึ้นมา การได้รอดชีวิตจากสงครามครั้งใหญ่มา เขาก็ควรที่จะมีสิทธิ์ได้พักผ่อนอย่างสงบสุขสิ แต่ว่าในทันทีที่เขาเพิ่งหายดี เขากลับต้องมาเจอกับแผนการต่างๆมากมายที่ต้องทำให้ลำบากใจอีก
รางวัลของสงครามที่เขาต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงแค่การถูกยกย่องมันยังไม่พอ เทเรซ่าไม่รู้เลยว่าจะขอโทษยังไงกับสิ่งที่เป็น
“ขอบคุณที่ช่วยนะ”
เทเรซ่าได้ยิ้มแห้งๆออกมา เธอไม่มีทางรู้เลยว่าในขณะที่ซอลจีฮูขอบคุณเธอออกมา ภายในใจของเขารู้สึกยังไง
“ไม่เอาสิ ฉันก็แค่ทำในสิ่งที่ควรทำเท่านั้นเอง”
สำหรับฮารามาร์คแล้ว ซอลจีฮูก็คือผู้มีพระคุณที่ช่วยให้พวกเขาหลุดพ้นจากการถูกทำลาย ในเมื่อซอลจีฮูได้ใช้ชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องพวกเขา ถ้างั้นทางราชวงศ์ก็ควรที่จะปกป้องเขาเช่นกัน ต่อให้นั่นมันจะหมายความว่าพวกเขาจะสร้างศัตรูขึ้นมาก็ตาม
“อย่าไม่ต้องห่วงหรอกนะ ราชวงศ์ แล้วก็กระทั่งซิซิเลีย ซันเหอ แล้วก็องค์กรอื่นๆ พวกเขาก็กำลังรีบแก้ปัญหานี้อยู่ พวกเรามีแผนที่จะจ้างคนนอกเพื่อหามาตราการรับมืออีกด้วย เพราะงั้นเราน่าจะจบเรื่องนี้ได้โดยไม่มีปัญหาอะไร”
‘ซันเหอ?’
ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้นมาโดยที่ไม่รู้เลยแม้แต่นิดว่าซันเหอก็เข้ามาเกี่ยวด้วย เทเรซ่าได้พูดต่อด้วยความมั่นใจ
“แม้ว่าวิหารลูซูเรียจะเป็นองค์กรที่มีอิทธิพลมากที่สุดรองมาจากกิลด์นักเวทย์ แต่ว่าพวกเขาก็ไม่อาจจะแตะต้องราชวงศ์ได้ง่ายๆ ตนนี้พอสิ่งต่างๆกลายมาเป็นแบบนี้แล้ว ก็ใช้โอกาสนี้พักยาวๆก็ได้ แค่ทำใจเย็นๆคอยรอก็พอแล้วล่ะ”
“ขอบคุณมากนะ! ถ้างั้นฉันก็ขอยอมรับความหวังดีแล้วกันนะ”
ซอยูฮูได้ยอมรับในความปรารถนาดีของราชวงศ์ เทเรซ่าได้โน้มตัวมาข้างหน้าและถามขึ้นมา
“กินข้าวกันไหม?”
ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา เป็นสัญญาณว่าเขายังไม่ได้หิว
“แล้วอาบน้ำล่ะ? หรือว่า…”
“ไม่”
ซอลจีฮูได้ตอบกลับมาอย่างสงบ
“ถ้าไม่ว่าอะไร ช่วยเตรียมห้องเงียบๆไว้ให้ฉันหน่อยไหม?”
รอยยิ้มของเทเรซ่าได้หายไป ซอลจีฮูรู้สึกผิดหน่อยๆ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนคำพูด มันไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ถึงความตั้งใจของเทเรว่า แต่ว่าความตกตะลึงจากสิ่งที่เขาได้อ่านจากบันทึกยังไมได้หายไป
เขาจำเป็นจะต้องใช้เวลาสักหน่อยในการจัดการความคิด
“ได้เลย ตามมาสิ ฉันจะนำทางไปให้”
เทเรว่ายังคงรักษารอยยิ้มร่าเริงเอาไว้ต่อ และดึงมือซอลจีฮูออกไป จากนั้นเธอก็ได้เดินตัดผ่านทางเดินในวังไปทั้งๆที่คล้องแขนพูดคุยกับซอลจีฮูอยู่
ฟีไฮที่เห็นทั้งคู่ค่อยๆหายไปก็ส่งเสียงพึมพำ ‘หืมมม’ ออกมาพร้อมทั้งกอดอก
“ฉันคิดว่าอย่างน้อยเธอก็ควรจะบอกว่าฉันทำได้ดีสิ”
เขาได้หันไปมองแจน แซงตัสที่กำลังยืนอยู่ด้านหลัง จากนั้นก็ยิ้มมุมปากขึ้นมา
“ฉันก็คิดเหมือนกับโอลิเวียนะ แต่ว่าการเลี้ยงดูลูกสาวนี่มันไร้ความหมายไปเลย นายก็คิดเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?”
“แต่ว่าทั้งคู่ก็เหมาะสมกันดีนะครับ?”
น้ำเสียงเมินเฉยของผู้บัญชาการกองทัพที่ตอบกลับมาได้ทำให้กษัตริย์ผงะไป
“นี่มันเป็นครั้งแรกที่เจ้าพูดอะไรแบบนี้เลยนะ นี่เทเรซ่าติดสินบนอะไรไว้งั้นหรอ?”
“ไม่ ไม่มีครับ”
“นี่เป็นคำสั่งนะ พูดความจริงมา”
“…เธอสัญญาว่าจะให้การสนับสนุนและผลักดันทหารราบหุ้มเกราะ”
แจน แซงตัสได้แอบหลบสายตาออกไป ฟีไฮที่เห็นแบบนี้ก็ยิ้มแห้งๆออกมา
***
หลังจากหนีมาที่วัง ซอลจีฮูก็แทบจะรักษาความสงบเอาไว้ไม่ได้เลย แค่เพราะว่าสถานการณ์ได้ถูกบรรเทาลงไปแล้ว นั่นมันไม่ได้หมายความว่าเขาจะรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้
เทเรซ่าได้บอกให้เขาไม่ต้องกังวล แต่ว่าเขาไม่อาจจะยอมรับได้ว่าการโจมตีมันจบลงไปแล้ว แม้ว่าสถานการณ์จะค่อนข้างสงบลงไปแล้ว แต่ว่ามันก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะไม่เกิดเหตุแบบนี้ขึ้นมาอีก
นอกไปจากนี้กฎแห่งทองคำของเขาก็ไม่ยอมให้เขาปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป
เขาโกรธ และเขาก็ควรที่จะโกรธด้วย
คำถามก็คือเขาจะระบายความโกรธนี้ออกไปอย่างไร
เนื่องจากระดับเหตุการณ์ที่ต่างออกไป เขาจึงรู้ดีว่าเขาไม่อาจจะบรรเทาสถานการณ์ได้ด้วยการจัดการคนสักคนสองคนเหมือนอย่างในงานจัดเลี้ยงได้
เพราะงั้นวอลจีฮูจึงได้ใช้เวลาอยู่ในห้องที่เทเรซ่าจัดหาเอาไว้อย่างเงียบๆ เขาจะออกจากห้องเฉพาะเขาสูบบุหรี่เท่านั้น และเมื่อเทเรซ่าได้เอาที่เขี่ยบุหรี่มาให้ เขาก็ได้ขังตัวเองสูบบุหรี่อยู่ในห้องไปตลอด
เทเรซ่าได้เข้ามา และออกไปจากห้องโดยที่ไม่ได้รบกวนเขาเลย และซอลจีฮูก็ทำเพียงแสดงสีหน้าขอบคุณในทุกๆครั้ง และไม่ได้มีอะไรออกมาอีก
“…เขาไม่เคยบอกให้ฉันอยู่ต่อเลย”
เทเรซ่าที่เพิ่งจะเอาเครื่องดื่มมาให้เขาได้หน้าบึ้งขึ้นมา เธอได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตู และแอบเหลือบมองเข้าไปข้างใน
เขาไม่เจ็บคองั้นหรอ? ซอลจีฮูจะคาบบุหรี่อยู่ในปากทุกๆครั้งที่เธอเข้าไป จากท่าทีที่เขาค่อยๆหลับตาลงไปในบางครั้ง มันดูเหมือนกับว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
ไม่นานนักเมื่อซอลจีฮูลืมตาขึ้นมา ประกายสีน้ำเงินส่องประกายก็ปรากฏขึ้นในดวงตาเขา เขาได้เริ่มจ้องมองบันทึกราวกับเขาคิดจะกินมันลงไป
เทเรซ่าที่แอบเหลือบมองซอลจีฮูได้กลืนน้ำลายลงไป เธออยากจะเข้าไปคุยกันเขา…
‘น่ากลัว…’
แต่ว่าเขากลับเปล่งออร่าควรเข้าไปใกล้ทำให้เธอต้องถอยไป
***
จนกระทั่งถึงช่วงเย็น เทเรว่าถึงได้มีเหตุผลดีๆเข้าไปหาเขาอีกครั้ง
“แขก?”
“ใช่แล้ว เขาบอกว่าอยากจะเจอนายจริงๆ”
เทเรซ่าได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง
“เขารออยู่ที่ห้องอาหาร นี่ก็ถึงเวลาอาหารแล้วด้วย ทำไมไม่ไปกินอะไรก่อนล่ะ?”
“ฉัน-“
“เขาเป็นคนที่นายรู้จักดีเลยนะ”
ซอลจีฮูรู้สึกว่ามันยากที่จะปฏิเสธเทเรซ่า โดยเฉพาะหลังจากที่เธอพูดแบบนี้ แม้ว่าเขาไม่อยากจะไปเจอแขกคนนี้ แต่เขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ไปปฏิเสธ นอกไปจากนี้หากว่าเป็นแขกที่ไม่ควรจะเจอหน้า เทเรซ่าก็คงจะไม่เอามาบอกเขาแน่ๆ
ซอลจีฮูก็ได้จัดระเบียบความคิดส่วนใหญ่เสร็จแล้ว และก็ได้ข้อสรุปออกมาแล้วด้วย เพราะงั้นเขาจึงออกไปจากห้องโดยไม่มีอะไรต้องคิดอีก
เมื่อเขามาถึงห้องอาหาร เขาก็ได้เห็นชายคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงหน้าภาพแขวนโดยที่สองมือไขว้หลังไว้อยู่
เมื่อซอลจีฮูเห็นผ้าพันคอสีเทาที่คอ และเสื้อโค้ทสีดำ เขาก็นึกถึงภาพร่างที่คุ้นเคยในทันที
“คุณฮ่าวอวิ่น?”
ชายคนนี้ได้หันกลับมา แม้ว่าจะมองไม่เห็นตาของเขาเพราะแว่นกันแดดที่สวมอยู่ แต่ว่ารอยยิ้มยินดีที่เผยออกมาได้แสดงให้เห็นว่าคือฮ่าวอวิ่นอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
“เอ๋ ไม่เจอกันนานเลยนะ”
ฮ่าวอวิ่นได้พูดขึ้นอย่างขี้เล่น และเขามาหาซอลจีฮู ทั้งสองคนได้เดินเข้าหากัน และจับมือกัน
“นายให้กลิ่นอายที่ต่างไปจากที่เขตพื้นที่เป็นกลางอย่างสิ้นเชิงเลยนะ”
“ฮ่าวอวิ่น… ผมไม่คิดเลยว่าจะมาเจอนายที่นี่”
“นายคงจะคิดว่านี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่งานจัดเลี้ยง…”
ฮ่าวอวิ่นได้ลดแว่นกันแดดลง และพูดต่อ
“แต่ว่าหลังจากงานจัดเลี้ยงฉันได้เจอนายอยู่หลายครั้งแล้ว ฉันได้ไปหานายที่ห้องพักฟื้นอยู่ประมาณสี่ครั้ง นายคงไม่รู้ใช่ไหมล่ะ?”
ไม่ จริงๆแล้วเขารู้ ซอลจีฮูยังจำได้ชัดเจนว่าฮ่าวอวิ่นได้มาเยี่ยมเขาในตอนที่สติของเขาตื่นขึ้นมา
“พอได้ยินว่านายตื่นขึ้นมา ฉันค่อยโล่งใจหน่อย ฉันคิดว่าจะหาเวลาดีๆมาหานาย แต่ว่าพอไปหานาย นายก็กลับไปที่โลกซะแล้ว”
“ผมรีบกลับไปที่โลกหน่อยนึง…”
ซอลจีฮูกับฮ่าวอวิ่นได้นั่งลงบนโต๊ะ และคุยเรื่องต่างๆกัน ในเวลาเดียวกันอาหารต่างๆก็ได้ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะ
“หากว่าต้องการอะไรก็เชิญกดกระดิ่งได้เลยนะ”
เทเรซ่าที่ได้เปลี่ยนมาเป็นชุดเดรสชนชั้นสูงได้วางกระดิ่งเล็กๆเอาไว้บนโต๊ะ จากนั้นเธอก็ค่อยๆเดินออกไปอย่างสง่างามหลังจากที่โค้งคำนับ
ฮ่าวอวิ่นได้หัวเราะออกมา
“เจ้าหญิงคนนี้… ฮ่าฮ่า เธอกำลังเล่นสวมบทบาทมากไปแล้ว”
“สวมบทบาท?”
เมื่อเห็นซอลจีฮูเอียงหัวออกมา ฮ่าวอวิ่นก็แลบลิ้น
“อย่ามาทำเป็นทึ่มสิ นายถูกปฏิบัติเหมือนกับเป็นลูกเขยของราชวงศ์ สัญชาตญาณของฉันกำลังบอกแบบนี้ นายก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่หรอ?”
เมื่อซอลจีฮูยังแสดงสีหน้าสับสนออกมาอยู่ ฮ่าวอวิ่นก็ผิวปากออกมาก่อนที่จะมองลงไปบนโต๊ะ
“ยังไงก็ตาม การถูกทำแบบนี้เป็นสิ่งที่ฉันคาดไม่ถึงเลยสักนิด มันเกือบจะทำให้ฉันอึดอัดใจ”
“นายกินอาหารเย็นหรือยัง?”
“ไม่ แต่ว่าสิ่งที่ฉันกำลังจะบอกนายมันอาจจะทำให้นายปวดท้อง”
หลังจากได้ยินแบบนี้ซอลจีฮูก็พอจะเดาได้แล้วว่าฮ่าวอวิ่นมาทำไม เขาได้ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มเบื่อหน่าย
“ไม่เป็นไรหรอก กระเพาะของผมมันแกร่งมาก”
“ดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะ ถ้างั้นก็มากินกันก่อนดีกว่า ตั้งแต่เมื่อวานฉันต้องวิ่งเต้นเหมือนกับไก่ไม่มีหัวแน่ะ ฉันกำลังหิวสุดๆไปเลย!”
ฮ่าวอวิ่นได้หยิบมืดกับส้อมขึ้นมาหลังจากพูดอย่างขี้เล่น
อาหารเย็นได้ดำเนินไปด้วยบรรยากาศครึกครื้น ด้วยอาหารที่ยอดเยี่ยม และเพื่อนที่ดี การกินอาหารก็กลายเป็นเรื่องง่ายต่อให้ไม่อยากอาหารก็ตาม
ทั้งคู่ได้เริ่มคุยกันตั้งแต่เรื่องเขตพื้นที่เป็นกลางจนมาถึงสงคราม จนกระทั่งเมื่อมื้ออาหารใกล้จะจบลง พวกเขาก็ได้เริ่มเข้าเรื่องแล้ว
“นายทำได้เยี่ยมมากที่ห้ามตัวเองเอาไว้ได้ตอนอยู่ที่บาร์”
ฮ่าวอวิ่นได้หยิบกระดาษขึ้นมาหลังจากจิบไวน์
มันเป็นการรายงานข้อมูลข่าว
-ธาตุแท้ของซอลจีฮู วีรบุรุษสงครามแห่งฮารามาร์ค และหัวหน้าของคาเพเดี่ยม
ซอลจีฮูได้เงยหน้าขึ้นมาหลังจากอ่านหัวเรื่อง ฮ่าวอวิ่นที่กำลังเช็ดปากอยู่ได้ยกยิ้มขึ้นมา
“ในคืนนั้น หนึ่งในสมาชิกของตระกูลฉันก็อยู่ที่บาร์เหมือนกัน”
“…”
“เขาเป็นคนที่หัวไว เขาได้ถ่ายทอดสดสถานการณ์ให้กับฉัน และฉันก็รู้สึกแย่ขึ้นมาทันทีเลย ฉันได้ติดต่อขอความร่วมมือกับซิซิเลีย จากนั้นก็ตระเวนไปตามท้องถนนโดยคิดว่าจะมีคนค้าข้อมูลอยู่แถวนั้น”
จากนั้นฮ่าวอวิ่นก็ได้จี้มาที่กระดาษ
“นี่คือผลจากการสืบสวนของเขา มีมันอยู่เต็มกล่องไปหมดเลยล่ะ ลองอ่านดูสิ”
สายตาของซอลจีฮูได้ก้มลงไปมองบนเนื้อข่าวทันที
-ราชวงศ์และองค์กรต่างๆในฮารามาร์คกำลังให้การปกป้องซอลจีฮู แต่ว่าจริงๆแล้วมันเป็นการฟังความฝ่ายเดียว
ตามเนื้อผ้าแล้วเราควรที่จะฟังความทั้งสองฝ่าย บางทีชาวโลกกับชาวพาราไดซ์ต่างก็กำลังมองไปที่ซอลจีฮูด้วยความเข้าข้ามเพราะชื่อวีรบุรุษสงครามแห่งฮารามาร์คของเขาก็ได้
นักข่าวคนนี้ได้พบกับชาวโลกที่อ้างตัวว่าถูกคาเพเดี่ยมคุกคาม และทุบตีในวันนั้น
เมื่อไหร่ก็ตามที่เขานึกถึงเหตุการณ์นั้นเขาก็ต้องนอนสั่นด้วยความหวาดกลัว แต่ว่าฉันก็พอจะสามารถโน้มน้าวเขาได้ด้วยเงื่อนไขที่จะเก็บตัวตนของเขาเอาไว้เป็นความลับ
เพื่อนำเสนอความจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ข้อความด้านล่างต่อจากนี้ก็คือบทสัมภาษณ์
ผู้สอบถาม) ผมได้ยินมาว่าคุณเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
ผู้ตอบคำถาม) ครับ ผมยอมรับ แต่ว่าผมก็มีเรื่องอย่างจะพูดเหมือนกัน มันไม่ใช่ว่าผมบ้าหรือไม่ได้รู้ว่าคาเพเดี่ยมมีแรงค์เกอร์ระดับสูงหลายคนหรอกนะ ทำไมผมถึงต้องไปเริ่มหาเรื่องโดยไม่มีเหตุผลด้วยล่ะ?
ผู้สอบถาม) นั่นฟังดูเหมือนกับว่าคุณมีเหตุผลที่ยั่วยุพวกเขาเลยนะ
ผู้ตอบคำถาม) ถูกแล้วครับ ผมยั่วยุเขาก่อนก็จริง แต่ว่ามันมีเหตุผลอยู่ ในตอนแรกที่ผมเห็นพวกเขา ผมก็นั่งลงบนโต๊ะและมองดูพวกเขาเฉยๆ ผมไม่ได้รู้สึกอะไรไม่ดีกับพวกเราเลยนักนิด
ผู้สอบถาม) ผมอยากจะรู้เหตุผลนั่นจัง
ผู้ตอบคำถาม) ผมก็ได้เข้าร่วมในสงครามนั่นเหมือนกัน และผมก็ขอบคุณพวกเขาที่สู้ในแนวหน้าเพื่อผลักดันให้ศัตรูถอยกลับไป แต่ว่ามันไม่ใช่ว่าเราก็เป็นสหายร่วมรบที่ต่อเอาชีวิตเข้าเสี่ยงสู้กับศัตรูเหมือนกันหรอกหรอ? ผมยอมรับในความสำเร็จของพวกเขา แต่ว่ามันยากที่จะทนฟังพวกเขาพูดดูแคลนคนอื่นๆที่สู้ร่วมกับพวกเขาได้
ผู้สอบถาม) ดูแคลน? คุณเพิ่งพูดว่าดูแคลนงั้นหรอครับ?
ผู้ตอบคำถาม) พวกเขาทำเหมือนกับว่าชาวโลกที่ร่วมรบเป็นเหมือนคนโง่ และบอกว่าพวกเราควรจะคำนับพวกเขาเพราะพวกเขาได้ช่วยชีวิตเราเอาไว้ นี่มันไม่ใช่การดูแคลนหรอครับ? ผมได้เข้าร่วมสงครามครั้งนั้นตามหลักการของผม แต่ว่าการมาได้ยินพวกเขาพูดเหมือนกับว่าพวกเขาเป็นคนเดียวที่สู้ในสงครามนั่นมันทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจ
ผู้สอบถาม) ผู้คนในบาร์ได้ให้การว่าคุณดูถูกพวกเขามากเกินไป
ผู้ตอบคำถาม) ผมก็รู้ดี ผมไม่ได้จะบอกว่าสิ่งที่ผมทำมันถูกหรือดี ผมรู้ว่าผมทำพลาดไป แต่ว่าเมื่อไหร่ที่ผมนึกถึงสหายของผมที่ตายไปในสงครามครั้งนี้ สหายที่ผมได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาหลายปี… จู่ๆผมก็ตะคอกออกไป ผมพูดออกไปเพราะแบบนี้แหละ แถมผมก็เมาอีกด้วย ผมไม่ได้ไตร่ตรองถึงคำพูดที่ใช้ออกไป แต่ว่า…
ชายคนนี้ไม่อาจจะพูดต่อได้อีก และนักข่าวก็หยุดบทสัมภาษณ์เพียงเท่านี้ ในขณะที่ฉันกำลังฟังเรื่องราวของชายคนนี้ หัวของผมก็นึกไปถึงซึงชิฮยอนโดยอัตโนมัติ
ในด้านหนึ่งซึงชิฮยอนกับซอลจีฮูคล้ายกันมาก ไม่เพียงแค่พวกเขาจะมาจากที่เดียวกัน แต่ว่าพวกเขายังทำตัวคล้ายๆกัน ทุกๆคนมั่นใจในความสามารถของซึงชิฮยอน แต่ว่าเขาเป็นคนที่มีนิสัยที่โหดร้าย และยิ่งยโส…
“…เรื่องสาธารณะเป็นเรื่องสาธารณะ และเรื่องส่วนตัวก็เป็นเรื่องส่วนตัว แน่นอนว่าความจริงของเรื่องนี้ยังไม่ได้ถูกเผยออกมา…”
ซอลจีฮูได้ขย้ำกระดาษลงไปโดยไม่อ่านต่อไปอีก
“ถ้าต้องการจะฉีกมันทิ้งก็ได้นะ”
แคว๊ก! ซอลจีฮูได้ฉีกกระดาษขาดครึ่งไปในทันที หลังจากฉีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระดาษกลายเป็นชิ้นเล็กๆ ซอลจีฮูก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
“นี่คือแผนที่พวกเขาคิดจะขายเรื่องนี้งั้นหรอสินะ”
“มันคือพลังของคำพูด”
ฮ่าวอวิ่นได้หยักไหล่ออกมา
“อย่างที่นายรู้ ชื่อของนายมีคุณค่าในตัวมันเอง ยิ่งหลังสงครามนี้มันยิ่งทวีคุณค่าขึ้นไปอีก หากจะพูดว่าคนทั่วทั้งพาราไดซ์ต่างก็รู้จักชื่อของนายมันก็ไม่ได้เว่อเกินไปเลย นายรู้ไหมว่าผู้คนได้ประเมินนายเอาไว้ยังไงกัน?”
ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา แม้ว่าเขาจะได้เห็นนามแฝงใหม่ๆแล้ว และพอคิดอยู่บ้าง แต่ว่าเขาก็ไม่ได้สนใจมันมากขนาดนั้น
“คนลึกลับ ชาวโลกลึกลับที่ทำความสำเร็จไม่น่าเชื่อจากระดับต่ำ คนผิดปกติจากพื้นที่ที่ 1 ซึ่งได้รับการยกย่องเป็นอย่างมากจากความสำเร็จในเขตพื้นที่เป็นกลาง และงานจัดเลี้ยง นี่มันคือการประเมินโดยทั่วไป”
จากนั้นฮ่าวอวิ่นก็หัวเราะดังมากออกมา
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ แต่ว่าพวกเขาช่างน่าหัวเราะ! พวกเขาพยายามที่จะเผยความลึกลับของนายผ่านการต่อสู้ที่บาร์ซึ่งมันจะเกิดขึ้นในตอนไหนก็ได้ในช่วงชีวิตนาย และจากนั้นทับซ้อนชื่อเสียของซึงชิฮยอนลงไปบนตัวนาย… ฮ่าฮ่า ฉันอยากจะเห็นผู้อยู่เบื้องหลังผลงานนี้จริงๆเลย!”
“…”
“แต่ก็นะ นายไม่ต้องกังวลไปหรอก พวกเราได้จัดการแก้ไขข่าวก่อนที่พวกเขาจะปล่อยมันออกมา และส่งข้อมูลต่อให้กิลด์นักฆ่าก่อนที่จะมานี่แล้ว ซิซิเลียก็ยังยืนยันว่าทั้งสี่คนนั้นไม่ได้เข้าร่วมสงคราม เพราะงั้นข่าวที่พูดถึงเรื่องนี้เดี๋ยวก็จะออกมาแล้วล่ะ ในตอนที่มันเกิดขึ้น พวกเขาก็จะไม่อาจแตะต้องนายได้อีกสักพักล่ะนะ”
ฮ่าวอวิ่นที่กำลังหยักหน้าอยู่ จู่ๆก็ถอนหายใจยาวออกมา
“แต่มันก็แค่สักพักเท่านั้น”
“…ขอบคุณนะ”
ซอลจีฮูได้แสดงสีหน้าขอบคุณออกมา แต่ว่าเขาไม่ได้ดูยินดีเลย ในตอนนี้แม้กระทั่งพูดขอบคุณ เขาก็ยังรู้สึกรำคาญใจ
ทุกๆคนได้ทำเต็มที่เพื่อช่วยสนับสนุนเขา แต่ว่าเขากลับมาติดอยู่ที่วังโดยที่ทำอะไรไม่ได้
เขารู้สึกหมดหนทางยิ่งกว่าในตอนที่เผชิญหน้ากับความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ซะอีก
‘นี่คือพลังขององค์กรที่เหนือกว่าทีมสินะ….?’
“นายไม่จำเป็นต้องมาขอบคุณฉันหรอก ฉันได้สนุกไปกับเขตพื้นที่เป็นกลางก็เพราะนาย แล้วฉันก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะทำเป็นไม่เห็นในตอนที่เพื่อนเดือดร้อนหรอกนะ เรื่องที่ฉันทำมันก็แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง “
จากนั้นฮ่าวอวิ่นก็ถอนหายใจออกมา และสวมเสื้อโค้ทของเขา
“นอกจากนี้ในงานจัดเลี้ยงฉันก็ถูกช่วยเอาไว้เหมือนกัน เพราะงั้นฉันก็อยากจะใช้หนี้คืนก่อนจะจากไป ถือว่าเป็นของขวัญจากลาแล้วกัน”
ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้นมา
“ของขวัญจากลา…? นายกำลังจะไปแล้วหรอ?”
“ใช่แล้ว มันเพิ่งจะถูกตัดสินใจได้ไม่นานนี้เอง ซันเหอกำลังจะไปจากฮารามาร์ค”
ฮ่าวอวิ่นได้พูดออกมาราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ว่าซอลจีฮูรู้ดีว่าการย้ายฐานบัญชาการขององค์กรที่มีอิทธิพลมันไม่ใช่เรื่องง่าย
นี่มันเป็นเรื่องสำคัญมาก!
ซอลจีฮูได้กระพริบตาออกมาโดยพูดอะไรไม่พูด ในตอนนั้นเองฮ่าวอวิ่นก็พูดขึ้น
“ยังงก็ตาม ฉันดีใจนะ”
“เรื่องอะไรหรอ?”
“ก็สิ่งที่ฉันพูดก่อนหน้านี้น่ะ ฉันกลัวว่านายจะพูดว่า ‘อ๊า เราต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรอ?’”
เขากำลังพูดถึงเรื่องการปล่อยข่าวโต้ตอบงั้นหรอ? ซอลจีฮูที่เข้าใจเรื่องนี้ได้ถามออกไปอย่างสับสน
“…มันมีเหตุผลที่ฉันจะปฏิเสธด้วยหรอ?”
“แน่นอนสิ การอดทนต่อความอยุติธรรมได้ทำให้นายเป็นคน แต่การอดทนต่อความสูญเสียจะทำให้นายหัวอ่อนถูกหลอกง่าย”
ฮ่าวอวิ่นได้สวมผ้าผันคอและลุกขึ้น
“ทำไมเราไม่ไปเดินด้วยกันหน่อยล่ะ? จะได้ย่อยของที่กินกัน และก็ไปสูบกันสักหน่อย”
เมื่อซอลจีฮูได้มองขึ้นมาอย่างเหม่อลอย-
“…นอกไปจากนี้ฉันก็มีเรื่องที่อยากจะถามนายก็ไปด้วย”
จู่ๆน้ำเสียงของฮ่าวอวิ่นก็กลายเป็นทุ้มลึก
มันไม่ใช่สิ่งที่เขาจะพูด แต่เป็นสิ่งที่เขาจะถาม
ถึงจะคล้ายกัน แต่ว่ามันก็ต่างกันอยู่เล็กน้อย
ซอลจีฮูได้ลุกขึ้นทันทีราวกับว่าเขาต้องมนต์
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น