The Novel’s Extra 461-467

 บทที่ 461 การรวบรวม (1)


 


เมื่อเขาลืมตาความคิดแรกของเขาคือท้องฟ้าเป็นสีฟ้า ความคิดนี้เป็นสัญชาตญาณและไม่ใช่สัญชาตญาณในเวลาเดียวกัน มันเป็นผลผลิตของการรับรู้และสติปัญญา


 


มอนสเตอร์จ้องมองมาที่ท้องฟ้าด้วยความงุนงง ท้องฟ้าสีฟ้าสวยงาม แต่ความคิดแรกของเขาดูเหมือนจะไม่เป็นการเปิดเผยมากนัก


มอนสเตอร์ไม่สามารถบอกได้ว่าความคิดของท้องฟ้าสีฟ้าเป็นมรดกจากในอดีตหรือยังไงกับแน่เพราะพวกเขาพึ่งได้เห็นของจริงในวันนี้


 


ดังนั้นมอนสเตอร์จึงพยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวต สติปัญญาของมันกลายเป็นสัญชาตญาณ


 


โกรกกกกกกกกกก …


 


ท่ามกลางความสับสนมอนสเตอร์ได้ยินเสียงคำรามของมอนสเตอร์อีกตัว เห็นได้ชัดว่ามันเป็นสัญญาณของความเกลียดชัง


 


ความคิดที่สองปรากฏขึ้นในใจของมันในขณะที่พบกันครั้งแรก


ใครคือมอนสเตอร์ที่เผชิญหน้ากับมอนสเตอร์อีกตัว? มอนสเตอร์นั้น


ทนทุกข์ทรมานกับการดำรงอยู่ของมันงั้นเหรอ?


 


สำหรับมอนสเตอร์ความฉลาดของพวกมันไม่มีอะไรมากไปกว่าภาระ มันรู้สึกสับสนและกังวลในเวลาเดียวกัน มอนสเตอร์ก็ได้รับความรู้สึกสงบพร้อมด้วยสติปัญญา


 


ในท้ายที่สุดออร์เดนก็อยู่ในความว่างเปล่า


 


ไม่มีใครสามารถเข้าใจ ออร์เดน คือมอนสเตอร์ตัวแรกที่เกิดมาพร้อมความฉลาด เขาไม่ใช่มนุษย์ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของสังคมมนุษย์ได้ แต่สติปัญญาทำให้เขาไม่อาจใช่ชีวิตดังมอนสเตอร์ได้ การเกิดมาพร้อมกับสติปัญญาในดินแดนของมอนสเตอร์นำไปสู่ความเจ็บปวดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


 


แต่ออร์เดนไม่เคยหยุดคิดแม้แต่ในท่ามกลางความว่างเปล่า เขาขยายขอบเขตการรับรู้และฝึกฝนสติปัญญาของเขา เขาไม่เคยหยุดตั้งคำถามกับความรู้สึกของตัวเอง


 


การดำรงอยู่ของเขา ชีวิตของเขา เอกลักษณ์ของเขา อารมณ์ความรู้สึกค่านิยมของเขา


 


อย่างไรก็ตามยิ่งเขาพยายามและเข้าใจต้นกำเนิดของเขามากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกกลวงมากขึ้นเท่านั้น เขาตระหนักว่าความว่างเปล่าของเขาไม่สามารถถูกทำลายได้


 


ดังนั้นเขาจึงหันไปหามนุษย์ตามธรรมชาติ


 


ออร์เดนค้นหาคำตอบสำหรับการดำรงอยู่ของเขาในหมู่มนุษย์


เขาศึกษามนุษย์และพฤติกรรมของอีกฝ่าย เช่นเดียวกับที่มนุษย์ใช้ชีวิตอย่างอิสระและเป็นธรรมชาติ ออร์เดนก็ต้องการที่จะรู้สึกสบายใจกับการดำรงอยู่ของเขาเอง


 


…จากนั้นออร์เดนเข้าใจมนุษย์ไหม?


 


ออร์เดนสามารถกินมนุษย์และให้กำเนิด ‘มอนสเตอร์ที่มีสติปัญญา’ เหมือนตัวเอง เขาสามารถสนทนากับมอนสเตอร์ที่เขาสร้างขึ้นมาเอง และแม้ว่าจะสนุก แต่ก็ไม่ได้คงอยู่ตลอดไปในท้ายที่สุดเขาก็ตระหนักว่าความอยากรู้อยากเห็นของเขาไม่สามารถอดกลั้นเอาไว้ได้


 


ออร์เดนต้องการคำตอบ เมื่อ ‘ปัญญา’ เป็นของมนุษย์ เขาคิดว่ามนุษย์เป็นกุญแจสำคัญในคำตอบที่เขาต้องการ ออร์เดนต้องการทำลายมนุษยชาติด้วยเหตุผลนั้น คำตอบจะเปิดเผยตัวเองออกมาในตอนที่


สูญสิ้นมนุษยชาติ


 


ในท้ายที่สุดเป้าหมายของ ออร์เดน ไม่ใช่การพิชิตหรือควบคุมมนุษย์ ความปรารถนาของเขาไม่ใช่ทางร่างกาย เขาเพียงต้องการที่จะเข้าใจตัวเอง ออร์เดนในฐานะราชาแห่งมอนสเตอร์ เขาพยายามทำความเข้าใจกับมนุษย์


 


…ความคิดในอดีตยังคงอยู่ในหัวของเขา


 


ต๊อกๆ


 


ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าเล็กๆก็ขัดจังหวะขบวนความคิดของออร์เดน


ออร์เดนลืมตาขึ้นก็เจอเด็กคนหนึ่ง ผู้หญิงที่ตายไปแล้วหนึ่งครั้ง


ออร์เดนกลืนกินร่างกายของเด็กผู้หญิงที่ตายแล้วสร้างขึ้นมาใหม่ภายในตัวเองและปล่อยเธอออกมาจากปากของเขา นั่นคือวิธีการที่ทำให้เด็กคนนี้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง แน่นอนว่าเธอไม่เหมือนเดิม


 


“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”


 


ออร์เดนถามเด็กก็ตอบอย่างหวาดกลัว “พ่อบอกให้ฉันซ่อนตัว….


เขาบอกว่าที่นี่คือที่ๆปลอดภัยที่สุด….”


 


‘พ่อ’ ที่เธอหมายถึงคือ ปาร์คฮันโฮ


 


เขาเป็นมนุษย์ที่มีประโยชน์มากที่สุดจากมนุษย์ทุกคนที่เขาเคยเจอแถมเขายังมั่นว่าอีกฝ่านสาบานจะจงรักภักดีต่อเขาจากใจจริง


 


ออร์เดน พูดอย่างเย็นชา “กลับไปหาพ่อของเธอ”


 


แต่เด็กไม่ขยับเขยื่อน เขาไม่สามารถบอกได้ว่าเธอกลัวหรือไม่กลัว


ออร์เดนมองดูเด็กคนนั้นด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย


 


“อืม … อืมม … อืมมม … .”


 


เด็กอ้าปากพูดราวกับว่าเธอมีอะไรจะพูดแต่ลังเลจนไม่กล้าพูดออกมา ความอดทนเป็นหายากในหมู่ราชา


 


“ถ้าเจ้ามีบางสิ่งที่เจ้าอยากพูดก็จงพูดออกมา”


 


“อ้า…ก็แค่…พ่อกำลังต่อสู้อยู่…คุณช่วยเขาได้ไหม…? ฉันไม่ชอบเลยตอนที่ พ่อต้อง บาดเจ็บ….”


 


เธองอตัว เสียงหัวเราะเล็กๆหนีออกมาจากปากของ ออร์เดน และเขาก็สงสัยทันทีว่าทำไมเขาถึงหัวเราะออกมา


 


“… .”


 


ออร์เดน ลูบเบาๆที่ปลายปากของเขา ริมฝีปากของเขาโค้งเป็นรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว เด็กคนนั้นยิ้มให้เขา รอยยิ้มของเธอทำให้ออร์เดนสับสนยิ่งขึ้น


 


“เฮ้ เจ้าตัวน้อย เจ้าหนูน้อย!”


 


ทันใดนั้นหนึ่งในคนรับใช้ของออร์เดนก็ปรากฏตัวขึ้น เขารีบไปหาหญิงสาวและคว้าข้อมือของเธอเอาไว้พร้อมโค้งคำนับกษัตริย์


 


“ข้าขอโทษ! ที่มีมนุษย์ผู้โง่เขลามารบกวนท่าน!”


 


จากนั้นออร์เดนก็ยืนขึ้นมา


 


“…ไม่.”


 


เขายังคงสับสนเกี่ยวกับเหตุผลในการยิ้มของเขา ออร์เดนกล่าวต่อ


 


“เธอพูดถูก ถึงเวลาที่ข้าจะต้องเคลื่อนไหว”


 


เสียงของราชาปีศาจดังขึ้น


 


“ข้าจะลงโทษคนที่ทำให้แผ่นดินของข้ามีมลทิน”


*************************************************************************


 


ลำแสงลึกลับจากเรือลาดตระเวนพาพวกเราขึ้นไปที่เรือ ตอนนี้พวกเราอยู่ในเรือพร้อมกับเห็นภายในเรือรบ


 


“นี่คือเรือรบที่ทรงพลังที่สุดของ Genkelope มันสามารถรับน้ำหนัก


ผู้โดยสารได้มากถึง 9000 คนและบรรทุกเครื่องบินไอพ่นประมาณ


400 ลำ”


 


โฮเนอร์ กัปตันเรืออธิบายให้พวกเราฟัง การตกแต่งภายในดูค่อนข้างซับซ้อนราวกับว่ามันออกมาตรงๆจากภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ แต่บางส่วนของมันก็ตรงไปตรงมาเนื่องจากเรือเป็นผลรวมของวิทยาศาสตร์และเวทมนตร์


 


“ว้าว…ฉันจำไม่ได้ว่าเห็นอะไรแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไร นี่เป็นของใหม่งั้นเหรอ?”


 


โฮเนอร์ พยักหน้าให้ฉัน


 


“ใช่ มันเรียกว่า ‘Genkelion’ มันเป็นอาวุธขั้นสูงสุดที่สร้างขึ้นโดย AI ‘GenphaGo’”


 


“…สุดยอดอาวุธ?”


 


“ใช่.”


 


โฮเนอร์ยิ้ม


 


“พวกเราวางแผนที่จะกลับบ้านเกิดของพวกเราสักวันโดยใช้เรือลำนี้”


 


“…อ้อ~”


 


ผมเข้าใจอย่างรวดเร็ว บทแห่งหอคอย ได้จบลงแล้ว แต่ตราบใดที่ Tower of Wish ยังคงมีอยู่บนโลก ภายในหอคอยก็จะยังคงอยู่เช่นกัน ชั้นที่ 15 มีการพัฒนาอย่างไร้ขีดจำกัดเพราะมันเป็นชั้นที่ทำกำไรมากที่สุดใน Tower of the Wish ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีต่อไปอีกไม่นานนักพวกเขาก็จะได้กลับคืนภูมิลำเนาของพวกเขา


 


“ที่สำคัญกว่านั้น ด้านล่างเป็นยังไงบ้าง”


 


ผมถามโฮเนอร์เกี่ยวกับสถานการณ์ในสนามรบ ก่อนที่จะตอบคำถามของผม โฮเนอร์ ดึงวิดีโอขึ้นไปในอากาศ


 


“มีมอนสเตอร์เป็นจำนวนมาก พวกมัมไม่เพียงแต่อยู่บนพื้นดิน แต่อยู่ด้านล่างและเหนือขึ้นไปเช่นกัน แต่ท่านไม่ต้องกังวล Genkelion จะไม่พ่ายแพ้โดยมอนสเตอร์เหล่านั้นแน่นอน”


 


“อืม.”


 


ความมั่นใจของเขาทำให้ผมมั่นใจได้ว่าการตัดสินใจสร้าง Buster Call เป็นสิ่งที่ถูกต้อง


 


“ …คิมฮาจิน”


 


ทันใดนั้นชินจงฮักก็เข้ามาแทรก เขามองมาที่ผมและและโฮเนอร์พร้อมความสับสนกับใบหน้าของเขา


 


“ที่นี่คือที่ไหน?”


 


ผมตอบทันที “เรือลาดตะเวณ สร้างโดยผู้คนบนชั้นที่ 15 อย่างที่โฮเนอร์พูด”


 


ชินจงฮักขมวดคิ้ว ดวงตาของเขาดูเหมือนจะพูดว่า ‘เรื่องแค่นี้กูก็รู้เว้ย’


ผมยิ้ม ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะเปิดเผยความลับของผม


 


“ฉันเป็นเจ้าของชั้น 15 ทั้งหมด มันเป็นสมบัติของฉัน”


 


ผมช่วย NPC ตนทีละตัวโดยใช้ [กุญแจลึกลับ] ผมเป็นคนที่ได้รับ ‘GenphaGo’ AI ที่ดูแลการพัฒนาชั้นที่ 15 ผ่านการเจรจาของผมกับ


ผู้ดูแลชั้น 7 ผมลงทุน TP ไปเป็นจำนวนมาก


 


นั่นคือทั้งหมดที่ทำให้ผมกลายเป็นเจ้าของชั้น 15


 


“ …นะ….นายเป็นเจ้าของชั้น 15 งั้นเหรอ”


 


ไม่เพียงแต่ชินจงฮักเท่านั้น แต่ยังมีไอลีน จินเซยอน ซอยอนจีและ


อียองอา เองก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ


 


เพื่อความเป็นธรรมชั้น 15 จะต้องเป็นโลกแห่งจินตนาการที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีที่มีเวทมนต์ขลังสำหรับพวกเขา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เคยแม้แต่จะพิจารณาความเป็นไปได้ว่ามันเป็นของใคร


 


“ใช่ แต่ถ้าให้พูดกับก็…. อืม?”


 


ผมหันมามองวิดีโออีกครั้งและเห็นกลุ่มนักรบเคลื่อนไหวอย่างเมามัน


 


“นั่นอะไร?”


 


เครื่องบินขับไล่นับ 10 ลำกำลังไล่ล่าใครซักคน คนนี้บินอยู่บนท้องฟ้าดูคุ้นเคยอย่างมาก นั้นใช่ จินซาฮยอค หรือเปล่านะ


 


– นี่คือการเตือนครั้งสุดท้าย! ถอยไปหรือจะให้ฉันฆ่าพวกแกทั้งหมด!


 


จินซาฮยอค ตะโกนขณะที่เธอยังคงวิ่งหนีจากเครื่องบินรบ โฮเนอร์


พูดออกมาเพื่ออธิบาย


 


“อ้อ ผมคิดว่าเธอเป็นอาชญากรที่คุณพูดถึงในวันนั้นก็เลยกำลังไปจับกุม”


 


– บอกแล้วนะ ฉันจะฆ่าพวกแกซะ!


 


จินซาฮยอค พุ่งหอกใส่เครื่องบินไอพ่น แต่เครื่องบินไอพ่นที่มีสเปคเพิ่ม 50% เคลื่อนที่เหมือนสายลมและหลบการโจมตีได้อย่างง่ายดาย นักบินเย้ยหยันและยิงเลเซอร์ของพวกเขาออกมา


 


– ไอ้บ้าบ้า … นั่น บ้าที่สุด! บ้าที่สุด!


 


ผมยิ้มเล็กน้อยเมื่อดู จินซาฮยอค


 


“ปล่อยเธอไป”


 


“…อะไรนะครับ?”


 


“เธอไม่เป็นไรแล้วตอนนี้ นายไม่ต้องสนใจเธอหรอก”


 


“อ้า รับทราบครับท่าน”


 


โฮเนอร์สั่งให้เครื่องบินขับไล่หยุดซึ่งพวกเขาก็ทำทันที


 


“ต่อไป…”


 


ขณะที่ผมกำลังจะออกคำสั่งต่อไปออร์เดนก็ปรากฏตัวขึ้นบนหลังคาของราชวังของเขา เขายืนอยู่ตรงกลางของยอดแหลม เขาดูเหมือนมนุษย์ตัวใหญ่แต่อีกมุมก็คล้ายกับสิงโต


 


โกรกกกกกกกกกกกกกก…


 


ออร์เดนเริ่มรวบรวมพลังเวทมนตร์รอบๆมือของเขา การไหลของพลังเวทมนตร์นั้นไม่ชัดเจน แสงอันงดงามแผ่ออกไปดูดกระแสลมใกล้เคียงพร้อมรวมกับพลังเวทมนต์


 


‘นั่นดูอันตราย’ ผมคิดในในทันใดนั้นผมก็ได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเรื่อง


 


[ปัญหา – บอสหลักของบทที่ 3 เสียชีวิตง่ายเกินไป]


[วิธีแก้ไข – เพิ่มความแข็งแกร่งของออร์เดนเป็น 「9.9 / 9.9」]


 


ผมพูดไม่ออก ศักยภาพ 9.9 นี่หมายความว่าเขามีพลังพอๆกับ


‘พระเจ้า’


 


“…โฮเนอร์เป็นไปได้ไหมที่จะนำพันธมิตรทั้งหมด กลับมา”


 


โฮเนอร์ ตอบคำถามของผมอย่างจริงจัง


 


“ได้แน่นอน พอร์ทัลพร้อมใช้งานเสมอ”


 


“เอาพวกเขากลับมาทันที พวกเราต้องออกไปจากที่นี่ พวกเราสู้เขา


ไม่ได้”


 


ผมไม่แน่ใจว่าออร์เดนวางแผนจะทำอะไร แต่ผมรู้ว่าพวกเราทุกคนต้องตายถ้าพวกเราอยู่ที่นี่ ผู้เขียนร่วมแกมัน ไอ้สารเลว


 


“ครับท่าน.”


 


โฮเนอร์ พยักหน้าและสั่งการ [พอร์ทัลฉุกเฉิน]


 


วิ้งงงงงงงงงงงง…


 


ลำแสงที่แผ่ออกมาจากเรือลาดตระเวนและดึงลูกเรือและฮีโร่มาจากพื้น เครื่องบินรบก็กลับไปที่โรงเก็บเครื่องบิน


 


ผมสั่งให้สปาร์ตันดูแล Chameleon Troupe โดยพากลับมาทันที


 


“เปิดใช้งานอุปกรณ์การย้ายระหว่างดวงดาว”


 


พวกเราหลบหนีก่อนที่พลังเวทมนต์ของออร์เดนจะระเบิดทุกอย่างอุปกรณ์การเคลื่อนย้ายระหว่างดวงดาว – อุปกรณ์มหัศจรรย์ที่มีความสามารถในการพับมิติทำให้ผู้ใช้สามารถเคลื่อนที่ผ่านมิติได้เป็นจำนวนมากในทันที


 


ตู้มมมมมมมมมมมมมมม…


 


การระเบิดที่เริ่มต้นด้วยมือของ ออร์เดน ทำให้โลกต้องสั่นสะเทือน!!! เรือรบ หายไปจากแอฟริกาและปรากฏขึ้นอีกครั้งในเกาหลี


บทที่ 462 การรวบรวม (2)


 


[วันรุ่งขึ้นที่คฤหาสน์ของ ยูยอนฮา]


 


สมาคมและสมาคมปีศาจล้มเหลวในการเอาชนะออร์เดนจนต้อง


ถอยกลับมา ออร์เดนมีพลังมากขึ้นกว่าเดิมและความแข็งแกร่งของเขาทำให้ประชาชนต้องตกใจ สมาคมได้เรียนรู้แล้วว่า ‘การลอบโจมตีไม่ใช่วิธีที่ดีในการจัดการกับ ออร์เดน’


 


“…เฮ้อออออออ”


 


เป็นผลให้สื่อเริ่มหารือถึงความเป็นไปได้ของ ‘การล่มสลายของมนุษยชาติ’ ในขณะเดียวกันผมมาเยี่ยม ยูยอนฮา ส่วน ยุนซึงอา และ คิมซูโฮ เองก็อยู่ข้างผม ทั้ง 2 ดูซีดเซียว น่าตกใจที่เห็นพวกเขาเป็นแบบนี้


 


“นายบอกฉันได้ไหมว่าตอนนั้น พวกนายเห็นอะไร”


 


ดูเหมือนว่า ยูยอนฮา จะรู้สึกหงุดหงิดเหมือนผม เธอกดดันให้ดูทั้งคู่พูด ยุนซึงอาค่อยๆเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ เธอถอนหายใจและเธอพูดต่อ


 


“…เธอกลับมามีชีวิตอีกครั้ง”


 


“กลับมามีชีวิตเหรอ? ใครกัน?”


 


ยุนซึงอาลังเลที่จะตอบ ยูยอนฮา และผมพับแขน จับแขนของเธอให้เธอพูดอีกครั้ง คำพูดที่ออกมาจากปากของเธอในวินาทีต่อมาทำให้พวกเราตกตะลึง


 


“ลูกสาวของปาร์กฮันโฮ”


 


“…ฮะ? ใครนะ?”


 


คราวนี้ผมถามกลับด้วยความตกใจ ลูกสาวของ ปาร์คฮันโฮ น่าจะตายไปแล้ว และแม้แต่ในโลกนี้การฟื้นคืนชีพคนตายก็เป็นไปไม่ได้


 


“นั่นหมายความว่าอย่างไร?”


 


“…ก็ตามที่บอกเลย ลูกสาวอาวุโสของปาร์ก ยังมีชีวิตอยู่ ในรูปแบบของมนุษย์ ฉันจำได้ว่าไปเยี่ยมเธอตอนที่เธออยู่ในโรงพยาบาลและฉันก็ไปงานศพของเธอ แต่….”


 


ยุนซึงอาอธิบายต่อไป เมื่อพวกเขาไปช่วยตัวประกันพวกเขาค้นพบปาร์คฮันโฮทรยศต่อมนุษย์ ขณะที่เธอต่อสู้กับ ปาร์คฮันโฮ พร้อมกับทหารของ Genkelope เธอเห็นลูกสาวของ ปาร์คฮันโฮ ขดตัวอยู่บนเตียงในมุมห้อง อย่างไรก็ตามอีกไม่นานเด็กผู้หญิงก็วิ่งหนีไปและ


ยุนซึงอาในขณะที่ยังคงงงงวยกับสิ่งที่เธอเห็นก็ถูกกระแทกโดยโล่ของปาร์คฮันโฮที่หัวจนเป็นลมไป


 


“ฉัน…ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่…นั้นเป็นใบหน้าของเธอแน่ๆ ….”


 


ยุนซึงอาซุบอกคิมซูโฮ เขาเองก็ดูไม่ดีเท่าไร


 


ผมมองพวกเขาซักพักก่อนจะลุกขึ้น ผมพูดกับ ยูยอนฮา


 


“…มีอะไรงั้นเหรอ?”


 


ยูยอนฮาถามผมหายใจเข้าลึกๆดูเหมือนว่าตอนนี้เป็นเวลาเหมาะสมในการรวบรวม 9 ดารา


 


“ฉันอยากที่จะขอความช่วยเหลือจากเธอ”


 


“อะ อ่า? เรื่องอะไรละ”


 


ยูยอนฮา เอียงศีรษะของเธออย่างสงสัย


 


“พวกเราไม่สามารถจัดการกับสถานการณ์นี้ได้ด้วยตัวเอง พวกเราต้องการความช่วยเหลือจากคนรุ่นเก่า”


 


“ฮะ? คนรุ่นเก่า นายหมายถึง…?”


 


คนรุ่นเก่าที่ช่วยโลกนี้เอาไว้ในอดีตและคนรุ่นใหม่ที่เป็นผู้นำในปัจจุบัน


แต่ผมไม่สามารถพูดได้ว่าคนรุ่นเก่าถูกแทนที่ พวกเขาแข็งแกร่งเกินไป ในยุคปัจจุบันมีเพียงคิมซูโฮ,จินซาฮยอค,อาจจะมี ไอลีน กับ แชนายอน ที่พอจะแข่งขันกับคนรุ่นเก่าได้แต่ก็ต้องเป็นในอนาคตหลังจากนี้


 


ยูยอนฮาพึมพำอย่างงุนงง


 


“…นายกำลังพูดถึง 9 ดารา หรือเปล่า”


 


“ใช่ 9 ดารา”


 


ความแข็งแกร่งของออร์เดนเกินกว่าจินตนาการของผม ออร์เดน มันเกินกว่าที่ผมจะจัดการเองได้ เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว มันจะสายเกินไปถ้าพวกเราติดต่อกับ 9 ดารา หลังจากการสืบเชื้อสายของมาร


 


“…นายล้อเล่นใช่มั้ย”


 


ยูยอนฮา ตกตะลึง


 


“เรื่องแบบนี้ แม้แต่ฉันเองก็….”


 


“แค่หาที่อย่ของพวกเขาแล้วบอกฉันแล้วฉันจะไปพูดด้วยตัวเอง อ้อ


สำหรับ ไคร์เน่ เฮย์เนค ฉันรู้ว่าอยู่ที่ไหนดังนั้นอย่าไปสนใจเขาเลย”


 


ผมตอบกลับในขณะที่เตรียมเดินทาง แต่ ยูยอนฮา ขวางทางของผมเอาไว้


 


“นายกำลังจะไปไหน? นายไม่ได้บอกฉันเกี่ยวกับชั้นที่ 15 และยังเกี่ยวกับยานรบบนท้องฟ้า แต่ที่ฉันอยากจะพูกก็คือ-”


 


ลิ้นของเธอบิดเพราะพยายามพูดเร็ว ๆ ยูยอนฮา ไอแค่กๆก่อนที่จะจ้องมองมาที่ผม


 


“สมาคมกำลังเรียกหานายเกี่ยวกับเรื่องนั้น นายรู้ไหมว่าฉันเหนื่อยมากแค่ไหนในการห้ามพวกเขาเอาไว้?”


 


“อ้าๆ ฉันจะเล่าเรื่องเรือให้ฟัง ฉันมีหลายสิ่งที่ต้องทำในตอนนี้”


 


“จริงสิ.”


 


ยูยอนฮา ขมวดคิ้ว


 


“มีอะไรเหรอ?”


 


“อืม … .”


 


ใบหน้าผมเคร่งขรึมราวกับว่าผมซ่อนอะไรบางอย่างมาไว้ตลอด


 


“ฉันคิดว่า…ฉันจะต้องจริงจังกับเรื่องนี้”


 


‘พลังวิญญาณ’ เป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถเข้าใจได้ ตอนนี้สถานการณ์ได้ทวีความรุนแรงขึ้นผมไม่สามารถทิ้งทุกอย่างให้กับคิมซูโฮได้ ผมจำเป็นต้องฝึกฝนและหาความรู้เพื่อเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ที่จะมาถึง


 


“…อะไรละนั้น?”


 


ยูยอนฮา มองมาที่ผมด้วยใบหน้าที่สงสัย


 


*************************************************************************


[เมษายน, 1980]


 


แชจูชึล รู้สึกถึงธรรมชาติท่ามกลางอารยธรรมที่ถูกทำลาย จังหวะของการเริ่มต้นซึ่งมีต้นกำเนิดจากการทำลายล้างนั้นชัดเจน ผู้เป็นอมตะ


ได้ปล่อยเจตจำนงของเขาสู่ธรรมชาติกองกำลังทั้ง 2 สู้กันอย่างดุเดือดพลังเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆและกลายเป็นพลังที่รวมเข้ากับแชจูชึลในไม่ช้า


 


เขากลายเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ


 


แชจูชึล เปิดตาของเขาในฐานะผู้เชื่อมต่อกับธรรมชาติ แม้ว่าเขาจะเริ่มตอนพระอาทิตย์ตกดิน แต่ตอนนี้ดวงอาทิตย์อยู่เหนือหัวเขา ร่างกายของเขาเปียกโชกไปด้วยเลือดและเหงื่อ


 


เขาไม่ได้สังเกตว่าเวลาที่ผ่านไปเท่าไร สนามหญ้าโดยรอบแชจูชึลได้เป็นแหล่งซับพลังเวทย์ของเขา


 


ตู้มมมมมมมมมม-!


 


พลังเวทมนต์ระเบิดอย่างรุนแรงจากภายในและเจาะเส้นเลือดของเขา แชจูชึล ทลายขีดจำกัดของตนเอง


 


วิ้งงงงงงงง-!


 


แชจูชึล ขยับมือ พลังแห่งธรรมชาติเปล่งประกายกลายเป็นลมหมุนวนขึ้นไปในอากาศ ทันใดนั้นมันก็กลายเป็นพายุไต้ฝุ่นขนาดมหึมาที่


ล้อมรอบไปด้วยเปลวเพลิงขนาดใหญ่ภายในพายุไต้ฝุ่น


 


ความกลมกลืนกันของลมและไฟสร้างเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ มันเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกินกว่าความเข้าใจของมนุษย์


 


ภัยพิบัติดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง สีแดง สีเขียวและสีเทารวมตัวกันเพื่อสร้างพลังแห่งการทำลายล้าง ทั้งหมดเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่จากพรสวรรค์ของเขา [เซียนพลังธาตุ]


 


– ดูไม่เหี่ยวเฉาเลยนะ


 


ในขณะนั้นเสียงเบาๆไหลผ่านพายุเข้าไปในหูของ แชจูชึล เขาหันไปรอบๆ


 


เขาเดาได้จากเสียง ชินมยองชุล เจ้าของกรุงโซลและชายที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคปัจจุบัน ยืนอยู่ตรงนั่น


 


แชจูชึล จ้องมองเขาอย่างเงียบๆ


 


– ฉันหมายถึงดอกไม้นี้ไม่ใช่นาย


 


ชินมยองชุล ยิ้มและเล่นกับดอกไม้ที่ร่วงหล่นอยู่ข้างถนน แชจูชึล ปิดกั้นการไหลเวียนของพลังเวท ร่างกายของเขาหลอมรวมเข้ากับธรรมชาตินั้นทำให้ความเป็นมนุษย์ของเขาลดลงไปอีกครั้ง


 


– พลังของนายวิเศษมาก แต่อย่าฝึกฝนหนักเกินไปเลย


 


ชินมยองชุล พูด แต่ แชจูชึล ไม่ตอบ เขาไม่คิดว่า ชินมยองชุล มาที่นี่เพื่อยุ่งกับการฝึกฝนของเขา เขาไม่ได้เป็นคนเจ้าเล่ห์อย่างนั้น เขามีแต่ความขี้เกียจและขี้เกียจเท่านั้น ชินมยองชุล ตบลงบนพื้น


 


– น่าสนใจ โดยปกติแล้วคนที่รักธรรมชาติจะถูกอธิบายว่าอารมณ์นั้นจะอ่อนไหว แต่คนที่สัมผัสกับธรรมชาติมากที่สุดนั้นไม่รู้สึกถึงตัวตนแล้ว


 


‘คนที่สัมผัสกับธรรมชาติมากที่สุด’


แชจูชึล รู้ว่า ชินมยองชุล พูดถึงเขา เขาตอบด้วยความเฉยเมย


 


– นั้นเป็นเพราะธรรมชาติไม่มีความรู้สึก ธรรมชาติมาและไปโดยไม่เรียกร้องความเห็นอกเห็นใจหรือปฏิเสธการทำลาย


 


นั่นเป็นคำตอบที่มาจา แชจูชึล ชินมยองชุล ยิ้มเล็กน้อย


 


– นายจะกลายเป็นเสาหลักในสักวันหนึ่ง


 


แชจูชึล ยิ้มออกมาเบาๆ แม้เพียงอึดใจนึงเขาได้พยายามเลียนแบบ


ชินมยองชุล ใบหน้าของชินมยองชุลเปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึมอีกครั้งและเขาถามแชจูชึล


 


– จริงๆแล้ว…นายจะกลับไปเมื่อไหร่ โซลต้องการนายในตอนนี้


 


แชจูชึล ส่ายศีรษะของเขา ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เขาวางแผนที่จะกลับมาหลังจากเรียนรู้ที่จะควบคุมพลังของเขาอย่างเป็นธรรมชาติมากกว่านี้


 


– ฉันเข้าใจแล้ว.


 


ชินมยองชุล พยักหน้าและลุกขึ้นจากที่นั่ง


 


– ฉันจะไม่รบกวนนาย ส่งจดหมายมาถึงฉันด้วยหลังจากที่นายกลับมา


 


แชจูชึล เฝ้าดู ชินมยองชุล จากไป ชินมยองชุล เป็นคนสบายๆและมักสง่างามอยู่เสมอ ทุกครั้งที่ แชจูชึล มองดูเขามุมหนึ่งของเขาก็เต้นรัว


 


แต่ แชจูชึล ไม่บอกได้ว่าความรู้สึกของเขาคืออะไร มันเป็นความอิจฉาริษยาหรือความเกลียดชังหรือแม้แต่ความโกรธแค้นงั้นหรือไม่…เขาบอกไม่ได้


 


แชจูชึล เลือกที่จะเปิดใจของเขาในการฝึกฝน


 


เขาหลับตาอีกครั้งและกลายเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติในวันนี้มันดีขึ้นเล็กน้อย


 


1 วัน 2 วัน 4 วัน……ในที่สุดก็ผ่านไป 2 ปี


 


ตอนนี้ แชจูชึล เข้าใจพรสวรค์ของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ ในทางกลับกันความสามารถในการรับรู้อารมณ์และความรู้สึกของเขานั้นแย่ลงกว่าเดิม


 


เขาปีนลงเขาและกลับสู่สนามรบที่เต็มไปด้วยมอนสเตอร์


แต่มอนสเตอร์ไม่เข้าคู่กับเขาเลย


 


เพียงสะบัดมือไต้ฝุ่นก็ปรากฏตัวขึ้น ด้วยการสั่นไหวของลมพายุ สายฟ้าก็ตกลงมา เพียงก้าวเดิน แผ่นดินก็สั่นไหวกวาดผ่านมอนสเตอร์ทั้งหมด


 


เช่นเดียวกับที่มนุษย์ปฏิบัติต่อมด แชจูชึล เอาชนะกรุงโซลได้ด้วยความแข็งแกร่งของเขา….


 


วิ้งงงงงงงงงง


 


“… .”


 


แชจูชึล ลืมตาของเขาอย่างช้าๆเมื่อลมพัดผ่าน


 


ต่อหน้าเขาไม่ใช่ทิวทัศน์อันไกลโพ้นของในอดีต แต่เป็นเพดานอันหรูหรา เมื่อเผชิญหน้ากับความจริงแชจูชึลก็รู้ว่าเขามีความฝัน


 


มันเป็นความฝันแรกหลังจากที่ไม่ได้เห็นมานาน


 


อย่างไรก็ตามเมื่อ แชจูชึล ลุกขึ้นจากเตียงของเขา เขาก็สงบเหมือนปกติ เขาไม่ได้รับผลกระทบจากความฝันของเขา เขาอาบน้ำอย่างรวดเร็วและตรวจดู Smart Watch ของเขา


 


วันนี้มีข้อความมากมาย


 


[คิมซูโฮ ต้องการพูดคุยกับคุณเกี่ยวกับการลักพาตัว


‘Girl of Authority’]


[มีบางสิ่งที่แปลกเกี่ยวกับ คุณหนู นายอน ดูเหมือนว่าเธอได้พบกับ


คิมจุงโฮ แล้ว]


[สมาคมได้เรียกประชุมเกี่ยวกับ ออร์เดน]


[ยูยอนฮา จาก Essence of Strait ต้องการพบคุณ]


[หนังสือพิมพ์หลายฉบับได้ขอสัมภาษณ์….]


 


เมื่อมองผ่านๆแชจูชึลก็เห็นประโยคหนึ่ง มันคือชื่อของเด็กน้อย


 


‘ยูยอนฮา’ ที่โดดเด่นที่สุด


บทที่ 463 การรวบรวม (3)


 


[ดินแดนของ ออร์เดน ห้องปฏิบัติการใต้ดิน]


 


ออร์เดน ไปเยี่ยมแล็บของเขา เมื่อมอนสเตอร์ร่างมนุษย์เห็นออร์เดนพวกเขาก็หยุดทำสิ่งต่างๆทันทีและโค้งคำนับต่อกษัตริย์ของพวกเขา


มอนสเตอร์เหล่านี้ไม่ได้โดดเด่นทางร่างกายเหมือนกับสัตว์อื่นๆแต่ว่าพวกมันฉลาดมากและออร์เดนก็ชื่นชอบมันเป็นพิเศษ


 


“ยืนขึ้น.”


 


กษัตริย์ทรงบัญชาและหลังจากนั้นมอนสเตอร์ร่างมนุษย์ก็กระโดดไปที่แทบเท้าของเขา ออร์เดน มองไปรอบๆแล็บ แคปซูลรูปไข่ยักษ์


โดดเด่นที่สุดในบรรดาอุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการต่างๆ แคปซูลนี้เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้รักษามอนสเตอร์มนุษย์ที่ได้รับบาดเจ็บระหว่างการต่อสู้กับมนุษย์ครั้งล่าสุด


 


“………”


 


ออร์เดน มองดู คุรุคุรุ ที่อยู่ในแคปซูล จากมอนสเตอร์ร่างมนุษย์ทั้ง 6 ที่ถูกส่งไปต่อสู้กับ Chameleon Troupe เขาเป็นคนเดียวที่รอดชีวิต


 


“…ถึงแม้ว่าคุรุคุรุจะพ่ายแพ้ แต่เขาก็แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน”


 


เสียงของคนพูดกับออร์เดน ออร์เดนหันกลับไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียง ที่นั่นมีคนรับใช้ที่มีใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นโค้งคำนับอย่างสุภาพต่อออร์เดน


 


“คุรุคุรุเรียนรู้จากความผิดพลาดของเขา เมื่อบาดแผลของเขาหายเป็นปกติคุรุคุรุก็จะแข็งแกร่งขึ้นกว่าที่เคยเป็น”


 


‘แลนแคสเตอร์’ ซึ่งเป็นข้ารับใช้ของออร์เดนที่ไม่ใช่มอนสเตอร์ออร์เดนมองไปที่แลนแคสเตอร์และหันกลับมามองคุรุคุรุ


 


‘โกรกก… โกรกกก… .’


 


ดวงตาของคุรุคุรุส่องประกายสีแดงเข้มเมื่อเขามองตรงไปที่กษัตริย์


มันเป็นวิธีของเขาในการแสดงความภักดีและความกระตือรือร้นของเขา


 


“การสังเคราะห์ มอนสเตอร์ร่างมนุษย์ 2.0 เสร็จสิ้นแล้ว”


 


ราชารู้สึกทึ่งกับคำพูดของแลนแคสเตอร์


 


“ และคนใดคนหนึ่งในพวกเขาสมควรที่จะเป็นผู้รับใช้ของข้างั้นเหรอ?”


 


“แน่นอน จากความพยายามในการสังเคราะห์ 31,103 ครั้ง


สำเร็จ 4 ครั้ง เท่าที่อัตราความสำเร็จอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ผลลัพธ์เป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ” แลนแคสเตอร์อธิบายขณะที่เขาพากษัตริย์ไปสู่


4 แคปซูล


 


“สิ่งนี้คือ”


 


ออร์เดนยืนอยู่ด้านหน้าสี่แคปซูล


 


“…คุณคิดอย่างไร?”


 


มอนสเตอร์ร่างมนุษย์ 4 ตัว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีลักษณะทั้งของมนุษย์และมอนสเตอร์ ออร์เดนตรวจสอบต้นกำเนิดของมอนสเตอร์ทั้ง


4 อย่างช้าๆ


 


มอนสเตอร์ร่างมนุษย์ตัวแรกคือ ‘พยัคย์หิมาลัยทรราช’ ลักษณะคล้ายเสือมันเป็นหลักฐานที่ชัดเจน มอนสเตอร์ร่างมนุษย์ตัวที่ 2 คือ ‘ผี’ ซึ่งมีลักษณะเป็นร่างโปร่งแสง มอนสเตอร์ร่างมนุษย์ตัวที่ 3 คือ ‘นกแห่งความสิ้นหวัง’ ซึ่งมีปากเป็นนก ดวงตาเศร้าโศกพร้อมหางนกยูง


มอนสเตอร์ร่างมนุษย์ตัว 4 คือ ‘โกเลม’ ที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ยกเว้นมือของเขาทำจากหินแข็ง


 


“พวกเขาเหล่านี้เป็นมอนสเตอร์ร่างมนุษย์ 4 ชนิดที่สมบูรณ์แบบและเกิดมาจากพระคุณของท่าน”


 


ออร์เดนมีความสามารถในการดูดซับและปลดปล่อยพลังงานของผู้อื่น มันคล้ายกับ ‘เทคนิคการควบคุมพลังลมปราณ’ ที่พบบ่อยๆในนิยายศิลปะการต่อสู้ แต่มันมีความประณีตและไร้ขีดจำกัด ออร์เดนผสมพลังภายในร่างกายของเขาออกมาและปล่อยออกมาในรูปแบบของหัวใจ และหน้าที่ของนักวิจัยก็คือดูแลหัวใจของเขาจนกว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้


 


“กรุณาตั้งชื่อพวกเขา”


 


กษัตริย์เริ่มหนักใจกับกับคำขอของแลนแคสเตอร์ การตั้งชื่อเป็นเรื่องที่ท้าทายเขาเสมอ


หลังจากคิดอยู่นานกษัตริย์ก็ประกาศชื่อผู้รับใช้ใหม่ของเขาออกมา


 


“ฉันจะเรียกพวกเขาว่า ‘ไทเกอร์’,’ซิฟฮิม’,’ดูโลเรน’ และ ‘โทจิ’


ตามลำดับ “


 


“…เป็นชื่อที่ยอดเยี่ยมไปเลย”


 


ด้วยคำเยินยอแลนแคสเตอร์เขาก็เริ่มบันทึกวิดีโอจาก 4 แคปซูล


เขาวางแผนที่จะใช้วิดีโอนี้ในการข่มขู่ประเทศที่เขาไม่พอใจและเกลียดชังจากก้นบึ้งของหัวใจนั้นก็คือ………อังกฤษ


*************************************************************************


 


[เรือรบ]


 


ผมกำลังพูดกับตัวแทนของรัฐบาลเกาหลีใน เรือรบ Genkelion


ขนาดยักษ์ที่ดูแลโดยพรสวรรค์ของฉัน ต้องขอบคุณพลังของ


[ลูกแก้วแห่งการฟื้นฟู] ทำให้ Genkelion ทำงานมาได้นานกว่า


36 ชั่วโมงแล้ว


ไอลีน ยืนอยู่ข้างๆผม เธออาสาที่จะเป็นผู้อุปถัมภ์ของผมโดยอ้างว่าหากปราศจากการสนับสนุนจากบุคคลที่มีอิทธิพลรัฐบาลจะไม่ยอมพิจารณาความคิดเห็นของผม


 


“ใช่ เรือรบนี้เป็นของผมเอง”


 


“อ่า … .”


 


คำพูดของผมทำให้ตัวแทนของรัฐบาลแสดงความตกใจออกมา


SP +3, SP +1, SP +2, SP +3, SP + 4 …. จนถึงตอนนี้ SP ของผมกำลังเพิ่มขึ้นแบบเรียลไทม์ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยที่สื่อทุกแห่งกำลังทำแต่ข่าวของผม


 


“ฉันเข้าใจ.”


 


ตัวแทนอีกคนพยักหน้า ผมไม่แน่ใจว่าตำแหน่งของเขาเป็นยังไง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนสำคัญ ตอนนี้ทุกสิ่งที่ผมรู้เกี่ยวกับเขาคือชื่อของเขา เขาแนะนำตัวเองกับผมในฐานะ ‘แบคจุนฮยอน’


 


“เรารับทราบการเป็นเจ้าของสิ่งของจาก Tower of Wish อย่างไรก็ตาม พวกเราไม่สามารถอนุญาตให้คุณครอบครองน่านฟ้าของประเทศอีกแล้วเนื่องจากมันจะปลุกระดมความหวาดกลัวในหมู่ประชาชนของเรา แน่นอนว่าจะไม่มีผลกระทบใดๆในครั้งนี้และพวกเราขอขอบคุณสำหรับการช่วยฮีโร่ของพวกเราให้กลับมาอย่างปลอดภัย ผมเชื่อว่าคุณอาจได้รับรางวัล Order of Military Merit”


 


คำสั่งของนายทหาร ในโลกนี้ระบบปกครองเกาหลีนั้นเป็นระบบที่


เข้มงวดมาก ผู้ที่มีได้รับ “แทกุกออร์เดอร์ของบุญทหารชั้นหนึ่ง” จะได้รับการปฏิบัติในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของสังคมชนชั้นสูง


 


ผมพยักหน้า.


 


“ได้ ผมเข้าใจแล้ว.”


 


“เรือจะยังคงอยู่ในตำแหน่งปัจจุบันอย่างถาวรหรือไม่”


 


“ไม่ ผมสามารถทำให้มันปรากฏขึ้นและหายไปเมื่อใดก็ตามที่ผมต้องการ”


 


“ถ้าเช่นนั้นคุณเต็มใจช่วยพวกเราในภารกิจลอบสังหาร ออร์เดน ครั้งที่ 3 หรือไม่”


 


แบคจุนฮยอน ถามในลักษณะที่ร่าเริง แต่ผมก็ติดใจกับคำว่า


ครั้งที่ 3 จนสังเกตได้ เดิมที บทนี้น่าจะจบลงในระหว่างภารกิจที่ 2 ….


 


“แน่นอนผมช่วยคุณได้ แต่ผมเชื่อว่ามันไม่จำเป็นที่จะต้องเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก”


 


ผมเสนอความคิดเห็นของผมอย่างระมัดระวัง เห็นได้ชัดว่าการระเบิดของ ออร์เดน กำจัดมอนสเตอร์ทั้งหมดบนพื้นอย่างสมบูรณ์ดังนั้น


พวกเราจึงไม่ต้องการฮีโร่จำนวนมากในครั้งนี้ สิ่งที่พวกเราต้องการคือกลุ่ม ฮีโร่ สุดแกร่งที่มุ่งหน้าตรงไปยังวังของ ออร์เดน


 


“ใช่ พวกเราเห็นด้วยกับคุณ แต่พวกเรามีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันในเรื่องขนาดและมาตรฐานของทีม พวกเราไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปในฐานของออร์เดนโดยไม่ต้องผ่านคนรับใช้ของเขาที่เป็นมอนสเตอร์สุดทรงพลัง ชัยชนะยากที่จะบรรลุได้ด้วยฮีโร่จำนวนน้อย”


 


ในขณะนั้น ไอลีน ที่อยู่ข้างๆผมก็แทรกเข้ามา


 


“นั้นก็อาจจะใช่ แต่ยังไงก็ตามแล้วเขาจะได้อะไรกันแน่?”


 


“อันดับแรกพวกเราจะมอบเงินรางวัลให้กับผู้เข้าร่วม”


 


“เงินรางวัล?”


 


“ใช่. 100000 ล้านวอนและสิ่งประดิษฐ์ชั้นยอด” แบคจุนฮยอน พึมพำในขณะที่เขาส่ายหัว “แต่ใครจะเต็มใจที่จะเดินไปในปากเหวแห่งความตาย…?”


 


“ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้น”


 


ไอลีน ขมวดคิ้วขั้นมาทันที


 


“คุณต้องให้อะไรเขากับสิ่งที่เขาทำลงไป ฮีโร่หลายร้อยชีวิตที่รอดตายต้องมาขอบคุณเขาทั้งหมด!”


 


วันนี้เสียงร้องแหลมๆของ ไอลีน รู้สึกเชื่อถือได้มาก


 


“…ใช่ เธอพูดถูก. ฉันเกือบลืมไปเลย.”


 


แบคจุนฮยอน พยักหน้าอย่างใจเย็นและหยิบกระดาษ 1 ชิ้นออกจากกระเป๋าเอกสาร มันว่างเปล่าอย่างสมบูรณ์ ดวงตาผมเบิกกว้าง


 


“กรุณาเขียนชื่อของสิ่งประดิษฐ์ 1 อย่างที่คุณต้องการลงไป”


 


“1? 1? แค่ 1 อย่างงั้นเหรอ?”


 


ไอลีน มองอย่างคุกคามอีกครั้ง มันดูน่ารักมากกว่าน่ากลัว แต่เนื่องจากสถานะทางสังคมของเธอดูเหมือนว่าได้ผลกับ แบคจุนฮยอน


 


“…หลายคนก็สบายดี กรุณาเขียนอะไรก็ได้ที่ต้องการลงไป”


 


“อืม…จริงเหรอ?”


 


ผมคิดเกี่ยวกับมันสักครู่ แต่ผมไม่มีอะไรที่อยากได้ในใจ ผมไม่ใช่คนประเภทที่จะต่อสู้เพื่อสิ่งประดิษฐ์ตั้งแต่ตอนแรก…รอเดี๋ยวก่อนนะ


ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ปรากฏ


 


‘อะไรที่จะใช้กับ [การสังเคราะห์] ได้ผลดีๆนะ?’


 


ผมมองดู แบคจุนฮยอน และจดชื่อสิ่งประดิษฐ์ลงบนกระดาษ


 


“ไม่เป็นไรใช่มั้ย”


 


ผมเขียน [Napoleon Musket] ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ภายใต้การดูแลของพิพิธภัณฑ์ฝรั่งเศส ผมคิดว่ามันอาจจะมีประโยชน์เมื่อผมรวมมันเข้ากับ Desert Eagle


 


“… อืม.”


 


แบคจุนฮยอน มองที่กระดาษอย่างเงียบๆ จากนั้นเขาก็พยักหน้า


 


“ผมเชื่อว่ามันเป็นไปได้”


 


“จริงๆเหรอ? มันจะไม่ทำให้เกิดปัญหาทางการทูตสินะ? นั้นมันเป็นของนโปเลียนเลยนะ”


 


ในขณะนั้น แบคจุนฮยอน ก็ยิ้มเล็กน้อย จากนั้นเขาก็อธิบายต่อไปในโทนสีเย็นซึ่งตรงกันข้ามกับรอยยิ้มของเขา “ในโลกนี้ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันไม่มีประเทศใดที่สามารถท้าทายพวกเราได้”


 


“… อ่า.”


 


ผมรู้แล้วถึงน้ำหนักและพลังจากเนื้อเรื่องที่ผมแต่ง ใครจะกล้าท้าทายประเทศที่ทรงพลังที่สุดในโลก?


 


“ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามโปรดอย่ากังวลกับการเมือง จะไม่มีข้อพิพาททางการทูต เราเพียงแค่ทำการค้าเรื่องสิ่งประดิษฐ์”


 


แบคจุนฮยอน พูดในขณะที่เขามองนาฬิกา


 


ตอนนี้เป็นเวลา 18.00 น


 


“ขอขอบคุณที่ให้เวลากับทางเรา. ผมจะขอลาไปก่อนนะตอนนี้”


 


ทันทีที่สัญญา 30 นาทีสิ้นสุดลง แบคจุนฮยอน ก็ลุกขึ้นจากที่นั่งของเขา เขาตรงต่อเวลามาก


*************************************************************************


[อังกฤษ, พระราชวังบักกิ้งแฮม]


 


ภารกิจของสมาคมล้มเหลว แต่โชคดีที่มีผู้เสียชีวิตน้อยมาก ทุกคนต้องขอบคุณ ‘เรือรบ Genkelope’ ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ได้กลายเป็นที่กล่าวขานกับทั้งเมือง


 


“เฮ้อออออออออออ….”


 


เรเชลที่กลับมาที่วังอย่างปลอดภัย เธอถอนหายใจขณะที่เธอจำเหตุการณ์ที่เธอเกือบตายได้อย่างชัดเจน


 


คลิ้ก, คลิ้ก, คลิ้ก, คลิ้ก, คลิ้ก


 


เสียงที่ไพเราะของการพิมพ์ดังขึ้นในความเงียบ เรเชลเงยศีรษะของเธอแล้วมองที่โซฟา เป็น อีเวนเดล ในชุดน่ารักๆกำลังแตะบนสมาร์ทโฟนของเธอ ริมฝีปากของเรเชลโค้งเป็นรอยยิ้ม


 


“…หนูกำลังทำอะไรอยู่เหรอ อีเวนเดล?”


 


อีเวนเดล ยิ้มกับคำถามของ เรเชล


 


“หนูกำลังส่งข้อความ”


 


‘ส่งข้อความ…จริงสิเธอมีเพื่อนค่อนข้างเยอะแล้วสินะ’ เรเชลคิดว่าเธอจำใบหน้าของเด็กทั้ง 3 คนได้ซึ่ง อีเวนเดล ใช้เวลากับพวกเธอบ่อยมาก


มี แฮยอน เพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ ลีโอนาร์โด เด็กชายอายุ 9 ขวบที่ได้รับฉายาว่า ‘อนาคตของอังกฤษ’ และลูกสาววัย 3 ขวบของ เบียเร่ โมเรนท์ หลานสาวของ อาแฮอิน


 


ครั้งแรกที่เรเชลเห็นเด็กสาวเธอรู้สึกประหลาดใจ เป็นเรื่องแปลกที่คิดว่า เบียเร่ โมเรนท์ ผู้ต่อสู้กับ คิมฮาจิน ในสมัยก่อนแต่งงานจนมีลูกแล้ว


——————2————-


บทที่ 464 การรวบรวม (4)


เรเชลมองดู อีเวนเดล ด้วยความรักและถามว่า “หนูส่งข้อความไปหา


แฮยอนเหรอ”


 


“เปล่าคะ” อีเวนเดล ส่ายหัวของเธอ


 


“งั้นใครละ….”


 


“หนูกำลังส่งข้อความไปหา ฮาจิน”


 


“… หืม?”


 


เรเชล ตัวสั่นแต่ก็ผงกศีรษะอย่างใจเย็น


 


“อ้า…ฉันเข้าใจแล้ว มีความสุขจังเลยนะ~”


 


“แน่นอนค่า~”


 


“โอเค.”


 


คำตอบสั้นๆ เรเชลหันกลับมาแกล้งทำเป็นว่าเธอไม่สนใจและกลับไปทำงาน วันนี้ภาระงานเธอเยอะมากเนื่องจากมีปัญหามากมายที่เธอต้องจัดการในฐานะผู้นำของกิลด์ราชสำนักอังกฤษ การยืนยันการประชุมด้วย ‘Essential Dynamics’ การสรรหาผู้ท้าทายหอคอยรอบที่ 21 การปรับใช้ฮีโร่เพื่อการป้องกันประเทศ ฯลฯ … แต่สายตาของเรเชลก็หมุนไปด้านข้าง


 


“ฮิฮิ. คลิ้ก, คลิ้ก ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า คลิ้ก, คลิ้ก ”


 


เสียงการพิมพ์และหัวเราะทำให้ เรเชลอดสงสัยไม่ได้ ว่าพวกเขาพูดอะไรกัน


 


เรเชลมีคำถามมากมายที่จะถามคิมฮาจินเช่นกัน ตัวอย่างเช่น


‘เกิดอะไรขึ้นกับนายและชินซาฮยอค?’ หรือ ‘นายมีอะไรปิดบังไว้’


 


เธอหันมามอง อีเวนเดล ไปยังโทรศัพท์ของ อีเวนเดล แบบตามธรรมชาติ


 


เธอปรับท่าทางให้ตรงและพยายามแอบมองไปที่หน้าจอและดวงตาของเธอก็สบกับ อีเวนเดล


 


“… .”


 


“… .”


 


หลังจากเงียบไป 3 วินาที อีเวนเดล ก็เอามือถือของเธอไว้ในแขน เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ต้องการให้เรเชลมองเห็น


 


“ไม่ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉัน อีเวนเดล หนูคิดว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่หนูจะเริ่มใช้ Smart Watch?”


 


Smart Phone ไม่มีอะไรมากไปกว่าของโบราณ ณ จุดนี้มันมักถูกมองว่าเป็น Smart Watch สำหรับเด็กๆ พวกมันเป็นอุปกรณ์ที่เด็กๆใช้ก่อนที่พวกเขาจะย้ายไปใช้ SmartWatch ที่ซับซ้อนกว่า


 


“ท่านอาจารย์ อาแฮอิน สอนวิธีใช้งานให้หนูอยู่นะ”


 


เร็วเท่าความคิด อีเวนเดล ตอบเบาๆทันใดนั้นก็มีการแจ้งเตือนอีกครั้งดังขึ้น ใบหน้าของ อีเวนเดล สว่างขึ้นมาทันที เธออาจได้รับข้อความเพิ่มเติมจาก คิมฮาจิน เรเชลกัดเล็บด้วยปากแบบไม่รู้ตัว


 


‘มันไม่น่าแปลกใจที่ อีเวนเดล ไม่อยากให้ฉันเห็นโทรศัพท์ของเธอ


มีวิธีใดอะไรบ้างที่เราสามารถเข้าถึงข้อความพวกนั้นได้นะ? ‘ เรเชลคิดกับตัวเอง


 


“…การแฮ็ก.”


 


เธอไม่เคยลองแฮ็กมาก่อน แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ยากมากนัก


‘แฮ็ค แฮ็ค…’ เรเชลพูดประโยคซ้ำกับตัวเองขณะที่เธอค้นหามันในคอมพิวเตอร์ของเธออย่างเมามัน จากนั้นเธอก็พึ่งรู้สึกตัวและมองไปที่ช่องข้อความของเธอขึ้นมา


 


「 คิมฮาจิน 」


 


เธอจ้องที่ชื่อบนหน้าจอชั่วครู่หนึ่งก่อนรวบรวมความกล้าพอที่จะส่งข้อความถึงเขา เนื่องจากเขากำลังส่งข้อความกับ อีเวนเดล ในขณะนี้ เรเชล มั่นใจว่าเขาจะตอบสนองอย่างรวดเร็ว


 


[ฮาจิน?]


 


“ว่าไง?”


 


และคำตอบก็มาอย่างรวดเร็วตามที่คาดไว้ เรเชลหายใจเข้าลึกๆและแตะแป้นอย่างระมัดระวัง


 


[เกิดอะไรขึ้นกับนายและชินซาฮยอค? อ่า ไม่มีอะไรหรอกนะจริงๆ ˃ᴗ˂; แค่เธอไม่มาทำงานเลยช่วงนี้ب_ب]


 


「 อา ㅋㅋไม่มีอะไรหรอก พวกเราเพิ่งคุยเรื่องหนังและก็นั่นแหละ ตอนนี้พวกเราไม่ได้คุยอะไรกันเลย」


 


[อ้อ ฉันเข้าใจแล้ว…งั้นเหรอๆ • ̀_ •.]


 


ขณะที่เธอพิมพ์บนคีย์บอร์ดอย่างตื่นเต้น เธอก็รู้สึกถึงดวงตาคู่หนึ่งที่จ้องมองมาที่เธอ อีเวนเดล ผู้ซึ่งเล่นโทรศัพท์ของเธอบนโซฟาตอนนี้


จ้องมองเรเชล ไม่สิมองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ของเรเชล


 


“… .”


 


เรเชลรีบปรับมุมของจอภาพเพื่อไม่ให้ อีเวนเดล มองไม่เห็น แน่นอน


อีเวนเดล ไม่ให้เรเชลเห็นดังนั้นเรเชลก็ไม่ให้ อีเวนเดล เห็นเช่นกัน


 


“ …ไม่ยุติธรรมเลย”


 


อีเวนเดล งอนจนแก้มป่องเหมือนปลาปักเป้า


 


[ความวิตกกังวลของสาธารณชนกำลังเพิ่มขึ้นทุกวันเพราะเหตุการณ์ออร์เดน สถานการณ์ในเกาหลีเป็นยังไงบ้าง? ฉันได้ยินมาว่ามีผู้อพยพเข้าไปเป็นมาจำนวนมากตลอดเวลา อังกฤษเต็มไปด้วยความตึงเครียด เพราะมอนสเตอร์ในแอฟริกาอาจตัดสินใจบุกเข้าไปในยุโรปตอนไหนก็ได้….]


 


คลิ้ก, คลิ้ก, คลิ้ก, คลิ้ก


 


เรเชลขยับนิ้วมือของเธอบนคีย์บอร์ดอย่างรวดเร็ว…


 


คลิ้ก, คลิ้ก, คลิ้ก, คลิ้ก


 


…และ อีเวนเดล เองก็พิมพ์โทรศัพท์ของเธอด้วยเช่นกัน


 


คลิ้ก, คลิ้ก, คลิ้ก, คลิ้ก, คลิ้ก, คลิ้ก, คลิ้ก, คลิ้ก …


 


เสียงของคีย์บอร์ดทั้ง 2 ดังจนเหมือนแข่งขันกัน แม้อีกฝ่ายจะเป็นเด็กแต่สถานการณ์ในปัจจุบันความตึงเครียดระหว่างผู้หญิงทั้ง 2 ก็สูงขึ้นมาก


*************************************************************************


[ห้องฝึกซ้อมใต้ดินใน Pandemonium]


 


ผมนั่งไขว่ห้างขณะที่หลับตาลง


 


ศักยภาพของ ออร์เดน คือ 9.9 ทุกคนสู้กับเขาไม่ได้ เขาเป็นคู่ต่อสู้ที่ยาก แต่นั่นก็ไม่มีเหตุผลที่พวกเราจะยอมแพ้


 


เมื่อออร์เดนแข็งแกร่งขึ้นพวกเราก็เช่นกัน มันแตกต่างจากนิยายที่ผมแต่ง พวกเรามี ‘หอคอยแห่งความปรารถนา’ อยู่ข้างพวกเราตอนนี้


 


“เฮ้อออออออ … .”


 


ผมหายใจเข้าลึกๆในขณะที่ผมเริ่มเขียนรายชื่อในหัวและสิ่งของต่าง ๆ จาก Tower of Wish ที่สามารถช่วยมนุษย์อย่างพวกเราได้


 


อย่างแรกคือ เมเดีย ที่กำลังจะปรากฎตัว


อย่างที่สอง การ์ดบนชั้น 21 ผมสามารถใช้โชคของผมกับพวกมันได้


อย่างที่สามคือวิญญาณต่างๆนานาที่อาศัยอยู่ใน Tower of Wish


 


หอคอยจะกลายเป็นกองทัพด้วยตัวมันเอง


 


“เฮ้ออออออออออ… .”


 


ผมหยุดคิดและลืมตาหลังจากถอนหายใจ แต่ผมก็ต้องตกใจเมื่อผมเห็นใบหน้าของ ชอคจุนกยอง อยู่ตรงหน้าผม


 


“ว้ากกกกกกกกกกกกกกกก นายทำให้ฉันกลัวนะ!”


 


“…จะกลัวอะไร ที่สำคัญนายมาทำอะไรที่นี่ ฝึกการทำสมาธิ?”


 


ชอคจุนกยอง พึมพำและเกาจอนของเขา


 


“ไม่มีทาง.…นายรู้สึกแบบนั้นเหรอ?”


 


จากสิ่งที่ผมได้ยินเสียง Chameleon Troupe ต้องต่อสู้กับ คุรุคุรุ และมอนสเตอร์ร่างมนุษย์ตนอื่นๆ ทันทีหลังจากที่พวกเขาแทรกซึมเข้าไปในดินแดนของ ออร์เดน เห็นได้ชัดว่าบอสฉีกขาของคุรุุคุรุออกมาแล้ว


ชอคจุนกยอง ก็บดขยี้มอนสเตอร์ต่างส่วนกระต่ายของ โดรน ก็กลืนมอนสเตอร์ทั้ง 3 เอาไว้


 


“มีเหตุผลให้นายกังวลหรือเปล่า”


 


“มอนสเตอร์พวกนั้นทำอะไรกับข้าไม่ได้เลย”


 


“จริงๆเหรอ? ถ้างั้นถอยไปให้พ้นทาง ฉันต้องฝึก”


 


“…การทำสมาธิไม่ใช่การฝึก ทำไมนายไม่ฝึกร่วมกับผมละ?”


 


“ไม่”


 


“… ชิ ชิ ช่างน่าเบื่อจริงๆ”


 


ชอคจุนกยอง บ่นและออกจากห้องฝึกซ้อมไป


 


ความเงียบที่คุ้นเคยกลับมา


 


ผมนั่งบนพื้นและเริ่มหายใจ จุดประสงค์ของการฝึกหายใจนี้เพื่อเพิ่มศักยภาพของ ‘พลังวิญญาณ’ ของผม


 


เฮ้ออออออออออออออ…


 


พลังวิญญาณเป็นพลังแห่งจิตวิญญาณ ขณะที่ผมหายใจเข้าออก


ผมพยายามควบคุมพลังวิญญาณที่ควบแน่นอยู่ภายในจิตวิญญาณของผม แต่ทุกอย่างก็ไม่คุ้นเคย อย่างไรก็ตามผมพยายามต่อไป แม้ว่าผมจะมี [ความเข้าใจที่สมบูรณ์แบบของพลังวิญญาณ] เป็นทักษะขั้นสูงสุดของผมแล้ว แต่ผมก็จะต้องเรียนรู้พื้นฐานของพลังวิญญาณเพื่อที่จะใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น


 


…แต่ปัญหามีเพียงอย่างเดียว


 


“เอ่อ เราไม่รู้เลยว่ามันทำงานยังไง”


 


หลังจากนั้นประมาณ 10 นาทีผมก็นอนเหยียดยาวข้ามพื้น ดูเหมือนว่า การหายใจไม่ได้ผลและผมไม่รู้จะลองอะไรอีกเพราะผมไม่รู้เกี่ยวกับพลังวิญญาณ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมรู้ มันไม่ครั้งที่ตัวละครหลักมีปัญหาเพราะ นี้คือเรื่องของผมเอง


 


“ไม่สิ รอเดี๋ยวก่อนนะ”


 


ผมส่ายหัวอย่างรุนแรงและลุกขึ้นมา ทำไมผมจึงพยายามอย่างหนัก จนถึงตอนนี้ผมได้ผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากโดยการปรับเปลี่ยนการตั้งค่า ผมยังสามารถทำสิ่งที่ผมได้ทำมาตลอด


 


[6,083 SP]


 


โชคดีที่ผมได้สะสม SP ได้ไม่น้อยต้องขอบคุณเหตุการณ์ ออร์เดน


ทำให้ผมไม่จำเป็นต้องมากอะไร ผมหันไปมองที่แท็บ [ศิลปะ]


 


===


▷ศิลปะ (2/3)


「 ปาร์กัวร์ 」

「เสียงแห่งมนต์เสน่ห์」

===


 


“ อืมมมม. เสียงแห่งมนต์เสน่ห์….”


 


เมื่อเห็นว่ามันนำความทรงจำที่ไม่ดีกลับมาเท่านั้น


อย่างไรก็ตามฉันตัดสินใจที่จะเพิ่มงานศิลปะที่สามในช่องว่างสุดท้าย


 


ทักษะศิลปะที่ 3


[ทักษะการใช้พลังวิญญาณอย่างเต็มเปี่ยม] [ขั้น กลาง]


 


[2500 SP จะถูกใช้ คุณต้องการที่จะบันทึกหรือไม่]


 


จำนวน SP ที่จำเป็นในการสร้างงานศิลปะ ขั้นกลางคือ 2,500


ผมกด [บันทึก] โดยไม่ลังเล


 


[ประหยัด… ]


[เดี๋ยวก่อน!]


[โชคดีที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง!]


[คุณช่างเป็นคนที่โชคดีเหลือเกิน! ขอแสดงความยินดีทักษะของคุณ


ถูกเพิ่มเป็น ‘ขั้นสูง’!]


 


ด้วยโชคชะตาของผม ทักษะของผมเพิ่มขึ้นจากขั้นกลางไปเป็นขั้นสูง


อีกครั้ง ในขณะเดียวกันความคิดที่ท่วมท้นก็เต็มหัวของผม ไม่ว่าจะเป็น


วิธีควบคุมพลังวิญญาณ,วิธีการใช้ทักษะจิตวิญญาณอย่างสร้างสรรค์ … ทุกความคิดที่ยอดเยี่ยมเหล่านั้นเริ่มปรากฏขึ้นในหัวของผม


 


“คิมฮาจิน”


 


ทันใดนั้นบอสก็ปรากฏตัวจากอีกด้านหนึ่งของห้องฝึกซ้อม ดูเหมือนว่าเธอเพิ่งจะฝึกฝนเสร็จ ร่างกายของเธอเต็มไปด้วยเหงื่อ


 


“นายดูไม่ดีเลยนะ นายเป็นอะไรหรือเปล่า”


 


บอสถามผมและดวงตาของผมเปล่งประกาย หัวของผมเต็มไปด้วยความคิดที่ผมต้องการจะทดสอบ


 


“บอสยืนนิ่งๆ”


 


“…ยืน?”


 


“ใช่. ผมอยากลองอะไรซักอย่าง”


 


ในขณะที่บอสก้มศีรษะของเธอด้วยความสับสนผมก็ลุกขึ้นยืนและเปลี่ยนทิศทางพลังวิญญาณจากร่างกายไปยังสมอง


บทที่ 465 ความหมายของอารมณ์ (1)


 


ผมเปลี่ยนพลังวิญญาณจากร่างกายของผมไปยังสมอง พลังวิญญาณที่รวมอยู่ในสมองของผมกลายเป็นอะไรบ้างอย่างมันคือ…….


 


[การสร้างพลังวิญญาณ….]


 


ตัวอักษรสีเหลืองปรากฏในอากาศเหมือนโฆษณาป๊อปอัป


 


[เสร็จเรียบร้อย.]


 


พลังวิญญาณนั้นก็คือพลังแห่งจิตวิญญาณ มันตรงตามชื่อมันเกิดจากประสบการณ์ที่สะสมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ปริมาณและการประยุกต์ใช้พลังวิญญาณของผมแตกต่างจากคนอื่นๆ มันขึ้นอยู่กับประเภทของสิ่งมีชีวิตที่ใช้มันออกมาโดยไม่รู้ตัว


 


อย่างไรก็ตามจิตวิญญาณของผมมีมาตรฐานที่เป็นระบบและมีเหตุผลมากขึ้น


 


[พลังแห่งวิญญาณสมบูรณ์ ▷ พลังแห่งวิญญาณของคุณเปรียบเสมือนชิ้นส่วนของฮาร์ดแวร์ที่มีอัลกอริทึมเฉพาะ]


[คุณสามารถสร้างและใช้ ‘Rational Miracle’ ร่างกายของคุณเทียบเท่ากับซอฟต์แวร์]


[อย่างไรก็ตามเนื่องจากขีดจำกัดของความสามารถในสมอง จำนวนพลังปาฏิหาริย์ที่คุณสามารถเก็บไว้ได้ถูกจำกัดไว้ที่ 4]


 


มันคือ ‘สติของนักเขียน’ ซึ่งแสดงเป็นแล็ปท็อปที่ผมได้รับเมื่อผมมาถึงโลกนี้เป็นครั้งแรก แน่นอนว่าเมื่อผมหยุดเขียนนิยายของผมทำให้สติของผมในฐานะนักเขียนก็ไม่มั่นคง แต่เนื่องจากทุกอย่างเริ่มต้นจากนิยายของผม ผมเองก็ต้องรับผิดชอบมันไม่ว่าผมจะชอบหรือไม่ก็ตาม


 


เป็นธรรมดาที่พลังวิญญาณของผมนั้นเกี่ยวข้องกับสถานะของผมในฐานะนักเขียน


 


[โปรดป้อน ‘①สรุปทักษะ’, ‘②เงื่อนไขการเปิดใช้งาน’,


‘③พลังงานที่ใช้’, ‘④ผลกระทบการใช้’]


 


พลังวิญญาณเปลี่ยนร่างเป็นคีย์บอร์ดในทันที นิ้วของผมเต้นบนแป้นพิมพ์ราวกับว่าบางสิ่งถูกครอบงำ


ความประสงค์ของผมเปลี่ยนเป็นคำพูดจากนั้นเปลี่ยนเป็นประโยคที่


ก่อให้เกิดปาฏิหาริย์


 


[คุณสร้าง ‘ปาฏิหาริย์’ ครั้งแรกสำเร็จแล้ว]


 


ครั้งหนึ่งก็เพียงพอแล้วสำหรับผมที่จะเข้าใจกระบวนการสร้าง ผมไม่ได้ใช้ความพยายามเท่าไรในเรื่องนี้เพราะผมสามารถลบหรือแก้ไขปาฏิหาริย์ได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจาก SP


 


[สรุป – อัญเชิญตุ๊กตาวิญญาณที่ใช้พลังงานของคู่ต่อสู้]


[เงื่อนไขการเปิดใช้งาน – เปิดเผยชื่อของทักษะให้คู่ต่อสู้รู้]


[พลังงานที่ใช้ – ใช้ 0.5% ของพลังวิญญาณของคิมฮาจินต่อวินาที]


[ผลกระทบ – ตุ๊กตายึดติดกับร่างกายของฝ่ายตรงข้ามและจะดูดซับพลังงานของคู่ต่อสู้ตลอดเวลา]


[ผล – ฟื้นฟูพลังวิญญาณของคิมฮาจิน 0.25% และลดพลังของคู่ต่อสู้ 0.5% ต่อวินาที]


[การสร้างปาฏิหาริย์เสร็จสิ้น]


 


วิ้งงงงงงงงง-!


 


แค่นี้ ‘ปาฏิหาริย์’ ก็ใช้งานได้ฟรี ตุ๊กตาที่ดูเหมือนปีศาจปรากฏขึ้นในอากาศ


 


– โปรดตรวจสอบให้แน่ใจ


 


มันดูคล้ายๆแบดเจอร์นิดหน่อยหรืออาจเป็นแรคคูน….


 


“นี่อะไรน่ะ?”


 


บอสเงยหน้าขึ้นมองสิ่งมีชีวิตแปลก ๆ


 


“อืม…มันคือคิมฮาจินตัวน้อย”


 


[บทลงโทษสำหรับชื่อที่น่าเกียดน่ากลัว – ประสิทธิภาพของทักษะลดลงอย่างมาก]


 


“ไม่รอเดี๋ยวก่อนนั่นล้อเล่น ไม่ใช่นะ”


 


ผมคิดอยู่พักนึงแล้วก็เปลี่ยนเป็นชื่อที่ดีขึ้นเล็กน้อย


 


“ตัวดูดเลือด”


 


[ชื่อธรรมดา – ประสิทธิภาพของทักษะยังคงเหมือนเดิม]


 


“…มันคือ ‘Vampire Scavenger’”


 


[ชื่อดีขึ้น – ประสิทธิภาพของทักษะได้รับการปรับปรุงเล็กน้อย]


 


“นั่นมันหมายความว่ายังไง?”


 


“มันเป็นทักษะที่มีอยู่ในหัวของผมน่ะ….”


 


ผมมองไปหาบอสแล้วติด Vampire Scavenger ไว้ที่เธอ


Vampire Scavenger ยึดติดกับแขนบอสและปล่อยเสียงหัวเราะที่แปลกๆออกมา


 


ฮุฮุฮุฮุฮุฮุ,ฮุฮุฮุฮุฮุฮุ


 


“นายนี้มันหมายความว่ายังไง…เอ๊ะ!”


 


จากนั้นมันก็เริ่มดูดพลังงานของบอส ไหล่ของเธอสั่นเทา


 


“ รู้สึกยังไงบ้าง?”


 


“แปลก…อะ!”


 


“ทำไมคุณไม่ลองดึงมันออก?”


 


บอสสั่นแขนให้ [ไอ้ตัวดูดเลือด] หลุดเธอเขย่า 1 ครั้ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง…เธอดำเนินต่อไปจนกระทั่งควันเริ่มลอยออกมาจากแขนของเธอ


ไอ้ตัวดูดเลือด ไม่แม้แต่จะสะดุ้ง


 


“คุณอาจไม่สามารถถอดออกได้ด้วยความแข็งแกร่งแบบธรรมดา”


 


พลังวิญญาณเท่านั้นที่สามารถต่อต้านพลังวิญญาณได้ วันนี้เป็นครั้งแรกของผมที่ใช้พลังวิญญาณและสิ่งต่างๆก็เป็นไปด้วยดี


 


“… ฮ้าาาาาาาาาาาาา!”


 


ในขณะนั้นบอสเปิดก็ใช้พรสวรรค์ของเธอ [เงาไร้ขีดจำกัด] เมื่อเงาขนาดใหญ่กำลังจะกลืน [ไอ้ตัวดูดเลือด] ผมก็ตอบอย่างรวดเร็ว


 


[เพิ่ม ‘ผลกระทบ’ – ลบล้างพรสวรรค์ของเป้าหมายที่แนบไว้]


[คำเตือน – มูลค่าการใช้จะเพิ่มขึ้น 100 เท่า]


 


ความสามารถในการทำให้พรสวรรค์เป็นโมฆะเพียงพอที่จะทำให้


[ไอ้ตัวดูดเลือด] เป็นอาวุธสำคัญ แต่ผลตอบแทนสูงมักมาพร้อมความเสี่ยงสูงเสมอ วิธีเดียวที่จะป้องกันความเสี่ยงสูงคือการเพิ่ม ‘เงื่อนไข’ ใหม่


 


[เงื่อนไข – ต้องสังเกตฝ่ายตรงข้ามเป็นเวลาอย่างน้อย 360 ชั่วโมง]


[โชคชะตาทำงาน เรียกใช้พลังวิญญาณเพิ่มเป็น 2 เท่าเท่านั้น]


 


ด้วยการเพิ่มเงื่อนไขใหม่ลงไป ทำให้ผมควบคุมพลังงานที่ใช้ออกไปได้ผมอยู่กับบอสเกิด 360 ชั่วโมงแน่นอน ดังนั้น ‘พรสวรรค์ของคู่ต่อสู้เป็นโมฆะ’ จึงทำงาน


 


“…อะไรกัน?”


 


บอสตกใจ เมื่อเงาที่อยู่เคียงข้างเธอหายไป บอสมองมาที่ผมด้วยสีหน้าประหลาดใจ


 


“มีอะไรผิดปกติ”


 


ผมถามแกล้งทำเป็นไม่รู้


 


“…พลังวิญญาณงั้นเหรอ”


 


“ใช่.”


 


“มันแปลกมาก เงาของฉันไม่ออกมา”


 


“แน่นอน. เป็นเพราะผมดูดซับพรสวรรค์ของคุณเข้าไป”


 


“…ดูดซับ?”


 


บอสขมวดคิ้ว ผมยิ้มอย่างมีเลศนัย ผมรู้สึกสุกที่ได้แกล้งเธอ


 


“มันเรียกว่า ‘การสืบทอด’ พรสวรรค์ของคุณกลายของผมแล้วตอนนี้”


 


“…อย่าโกหก นายคิดว่าฉันโง่หรือไง”


 


ผมไม่ได้พูดอะไรเลย เป็นเวลา 10 วินาที ซึ่งเป็นเวลาพอที่จะสร้างความตกใจให้กับบอส


 


“เอาแรคคูนนี้ออกไปจากฉัน”


 


“…”


 


“…นี่เป็นคำสั่ง!”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า ผมล้อเล่นน่า”


 


“ถอดออก เดี๋ยวนี้!”


 


ผมหัวเราะแล้วหยิบ [ไอ้ตัวดูดเลือด] ออกจากแขนของบอส บอสมองอาวุธใหม่ของผมด้วยสายตาที่ไม่พอใจ [ไอ้ตัวดูดเลือด] กลับมาเป็นพลังวิญญาณและกลับมาหาผม


 


“นั่นคือพลังวิญญาณ”


 


“ใช่แล้ว”


 


“มันคล้ายกับ ‘ทักษะ’ จากหอคอย”


 


“โอ้ใช่…คุณพูดถูก”


 


ความจริงแล้วพลังวิญญาณเป็นทักษะที่สร้างขึ้นมาได้


 


“อืม … .”


 


บอสจ้องมองมาที่ผมอย่างเงียบๆก่อนที่จะเปิดใช้งานพรสวรร์ของเธออีกครั้ง เธอขยับเงาของเธออย่างอิสระจากนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ผมเริ่มเตรียมปาฏิหาริย์อื่นเพื่อทดลองกับเธอ


 


ถัดไปคือ [กระสุนวิญญาณ] กระสุนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับระบบประสาทในการเคลื่อนไหวทางร่างกาย


*************************************************************************


[ทะเลตะวันออก, โรงเรียนนายร้อยทหาร]


 


สำหรับฮีโร่หลายคนนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เยี่ยมชมโรงเรียนเก่าของพวกเขา: โรงเรียนฮีโร่ หรือที่เรียกว่า ‘Cube’ โดยปกติแล้วบุคคลภายนอกถูกห้ามไม่ให้เข้าสู่ Cube เนื่องจากการรุกรานของปีศาจบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตามวันนี้เป็นข้อยกเว้นเนื่องจากศิษย์เก่าได้มารวมตัวกันที่นี่ด้วยสาเหตุที่ยิ่งใหญ่


 


และสาเหตุที่ยิ่งใหญ่นั้นเรียกว่าการสอบคุณสมบัติสำหรับหน่วยงานพิเศษชั้นยอดที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล นี่คือวิธีที่พวกเขาเลือกฮีโร่ที่จะได้รับมอบหมายงานล่า ออร์เดน


 


“มีผู้คนมากมายมาที่นี่”


 


ผู้คนกว่า 9,000 คนจากทั่วทุกมุมโลกได้สมัครเป็นสมาชิกของหน่วยเฉพาะกิจ นี้คือความจริงพวกเขายอมเป็นอาสาสมัครเพราะถูกดึงดูดด้วยรางวัล


 


รางวัลแรกคือสัญญาที่อยู่ถาวรหรือสัญชาติในเกาหลี หากฮีโร่ที่เข้าร่วมไม่ใช่พลเมืองของเกาหลีเขาหรือเธอจะได้รับการประกันว่ามีถิ่นที่อยู่ถาวรหรือเป็นพลเมืองของเกาหลีเพื่อแลกกับการทำคุณประโยคและสิทธิพิเศษนี้จะขยายไปสู่ตระกูลของฮีโร่ที่เข้าร่วมด้วยเช่นกัน ผู้สมัครจากต่างประเทศส่วนใหญ่อยากได้รับรางวัลนี้เนื่องจากเป็นการยากที่จะได้รับสัญชาติเกาหลีในปัจจุบัน


 


แน่นอนรางวัลที่สองคือเงิน เงินล่วงหน้า 1000 ล้านวอนและเงินเดือนเดือนละ 5 พันล้านวอน (สมาคมสันนิษฐานว่าภารกิจนี้จะใช้เวลานาน) เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจผู้เข้าร่วมจะได้รับรางวัลมากถึง 300,000 ล้านวอนขึ้นอยู่กับบทบาทของเขาหรือเธอในภารกิจ


 


รางวัลที่สามคือสิ่งประดิษฐ์ ฮีโร่ที่ผ่านจะได้รับสิ่งประดิษฐ์ที่พวกเขาเลือกทันที


 


เนื่องจากรางวัลเหล่านี้ผู้สมัครทุกคนจึงกระตือรือร้นกันมาก….


 


“เฮ้ออออออ… .”


 


แน่นอนมีฮีโร่ที่ไม่สนใจรางวัลเช่นแชนายอน แชนายอน มองไปรอบๆ ห้องอย่างเฉยเมย ฝรั่งเศส, เยอรมัน, รัสเซีย, ฯลฯ …. ห้องนั้นเต็มไปด้วยฮีโร่จากทั่วทุกมุมโลก แต่ไม่มีใครสนใจ แชนายอน


 


– โลเลซ นายมาที่นี่ด้วยเหรอ?


– ฉันไม่มีทางเลือกนี่เป็นทางเดียวที่เหลือหลังจากที่ฉันไม่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติเพื่อที่อยู่อาศัยถาวร


– นายก็ด้วยเหรอ? ฮ่าฮ่าฮ่า


 


โลเลซและเลเวลล็อคจากฝรั่งเศสและรัสเซีย ทั้งคู่มีชื่อเสียงในประเทศบ้านเกิดของพวกเขา ตามมาตรฐานของสมาคมพวกเขาเป็นฮีโร่ขั้นสูง ระดับ 2 แต่ถึงกระนั้นแชนายอนก็ไม่รู้สึกอะไร เธอเจอกับระดับ 9 ดาราจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว


————————–2———————-


บทที่ 466 ความหมายของอารมณ์ (2)


 


“น่าเบื่อมาก…เมื่อไหร่ถึงจะเป็นตาฉัน?”


 


ห้ามใช้อุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ทั้งหมดซึ่งหมายถึง smartwatches และเครื่องเล่นเกม แชนายอน คิดว่าเธออาจตายด้วยความเบื่อหน่าย….


 


“ว่าไง?”


 


ในขณะนั้นก็มีคนเข้าหาเธอ แม้ว่าเสียงของเขาจะคุ้นเคย แต่รูปร่างของเขาก็ไม่เหมือนกันเดิม เป็นชินจงฮัค


 


“ไง นายเครา”


 


แชนายอน ทักทาย ชินจงฮัก ด้วยเสียงหัวเราะ


 


“…นายเครางั้นเหรอ?”


 


“แน่นอนก็นายไว้ ‘เครา’ ยาวแล้วนี้น่า”


 


“เครา…มะ…ไม่มันแค่”


 


ชินจงฮัก หน้านิ่วและยืนอยู่ข้างๆเธอ แชนายอน มองไปที่ ชินจงฮักดูเหมือนเขาจะแก่กว่าที่ควรเป็นอาจเป็นเพราะหนวดเคราน่าเกลียดๆนั้น


 


“เธอเองก็มาที่นี่เหรอ?”


 


“…อะไรกัน นายจบการทดสอบแล้วเหรอ?”


 


“ฉันเป็นคนตัดสิน”


 


“…อะไรนะ? จริงๆเหรอ? ทำไม?”


 


ชินจงฮัคยิ้มและแสดงบัตรประจำตัวฮีโร่ให้ดู


 


[ชินจงฮัค ฮีโร่ขั้นสูง ระดับ 1 (อันดับ 315)]


[รองหัวหน้าของกิลด์ Desolate Moon]


 


กรามของ แชนายอน ตกลง


 


“…อะไรกัน นายอยู่ระดับ 1 ได้ยังไง ไม่สิที่สำคัญกว่านั้นนายอยู่ในอันดับที่ 315? นายไปติดสินบนใครมา?


 


“หาาาา มันง่ายมาก ฉันก็แค่เอาชนะฮีโร่ระดับ 1 อีกคนมาได้”


 


แชนายอน รู้สึกตะลึงกับความมั่นใจของชินจงฮัค


 


ในขณะนั้นก็มีการประกาศขึ้น


 


– ถัดไป, แชนายอน, ขั้นกลาง ระดับ 2


 


ขั้นกลาง ระดับ 2 ดูเหมือนจะน่าสงสารเกินไปเมื่อเทียบกับชินจงฮัค


เป็นปกติที่ห้องพักทั้งหมดจะเริ่มส่งเสียงพึมพำ


 


– มีขั้นกลางมาที่นี่ด้วยเหรอ ทำไมคนแบบนี้ถึงผ่านการคัดกรอง?


– เฮ้ นั่นไม่ใช่ แชนายอน หลานสาวของ แชจูชึล เหรอ?


– ไม่ เธออาจมีชื่อเหมือนกัน ไม่มีทางที่ แชนายอน จะเป็นเพียงฮีโร่ระดับกลาง….


 


แชนายอน ถอนหายใจออกมา


 


“…เธอยังคงเป็นขั้นกลางอยู่เหรอ”


 


ชินจงฮัค ถามอย่างตกตะลึง


 


“ใช่แล้วทำไมละ? ฉันสามารถเอาชนะนายได้ถ้าต้องการ ฉันไม่ได้มาทดสอบระดับนานมากแล้วนะ” แชนายอน พูดออกมา


 


ชินจงฮัคได้แต่ยิ้ม แชนายอนรู้สึกรำคาญมันเหมือนการเยาะเย้ยอย่างชัดเจน แชนายอน เดินไปทันที


 


“ฉันไปละนะ.”


 


ฮึมมมมม


 


ในขณะที่ แชนายอน มุ่งหน้าไปที่ห้องทดสอบ ชินจงฮัก ก็พึมพำจากด้านหลัง “…คิมฮาจินไม่ได้มาที่นี่”


 


แชนายอน หยุดเดิน ชินจงฮักยักไหล่ของเขา


 


“ฉันแค่อยากให้เธอรู้”


 


แชนายอน ยังคงยืนนิ่ง แชนายอน หันหน้าของเธอมาเพื่อเผชิญหน้ากับชินจงฮัค


 


“ฉันรู้อยู่แล้วน่า.”


 


นั่นคือทั้งหมดที่เธอพูดก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องทดสอบ เธอเปิดประตู ทันที


 


“ฉันคือแชนายอน”


 


ห้องทดสอบเป็นสนามที่กว้างใหญ่ ท้องฟ้าและท้องทุ่งแผ่กว้างอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในทุกทิศทางโดยให้ผู้สมัครใช้พื้นที่เพียงพอที่จะอวดอะไรก็ตามที่พวกเขาต้องการจะอวดออกมาให้ผู้ตัดสินเห็น


 


“ตอนนี้พวกเราจะเริ่มการประเมินฮีโร่ขั้นกลาง ระดับ 2 แชนายอน”


ผู้ตัดสินนั่งตรงข้าม แชนายอน ประกาศออกมา


 


เธอคุ้นเคยกับทั้ง 2 คน ไอลีน และ ยูชีฮยอก แชนายอน ยิ้มเยาะไปที่


ยูชีฮยอก


 


“เก็บรอยยิ้มเยาะจากใบหน้าของเธอซะและแสดงให้ฉันเห็นเองว่าเธอทำอะไรได้บ้าง”


 


ฮีโร่ระดับปรมจารย์ อันดับ 23 ยูชีฮยอก ประกาศอย่างโหดเหี้ยม


แต่ถึงอย่างนั้น แชนายอน ก็พบว่ามันยากที่จะให้เธอทำหน้าจริงจัง


 


“ตกลง ตกลง.”


 


แชนายอน หยิบดาบออกมา เคลย์มอร์ของเธอซึ่งสูงประมาณ 2 เมตรใหญ่กว่าตัวเธอเองมาก แชนายอน ใส่พลังเวทมนต์ลงไปในอาวุธที่เธอนำมาจาก Tower of Wish


 


ฮ่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา…


 


ในทันทีพลังเวทมนต์ก็พรวดพราดไปทั่วฟ้าดิน การปะทุครั้งใหญ่นี้มีความสูงประมาณ 10 เมตรจนเกือบสัมผัสกับท้องฟ้า ยูชีฮยอก ยิ้มและ ไอลีน มองดูอย่างใจเย็น


 


“นี่คือประมาณ 30% …เอาละนะ!”


 


แชนายอน ตะโกนพร้อมสะบัดดาบของเธอ


 


ตู้มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม


 


การโจมตีของเธอขยายตัวและสร้างเป็นพายุไปที่ผู้ตัดสินทั้ง 2


 


อย่างไรก็ตามในขณะที่การโจมตีของเธอกำลังจะถึงตัวผู้ตัดสิน


 


“จนหยุด.”


 


เสียงเล็กๆหยุดพลังดาบทั้งหมดเอาไว้


 


เศษส่วนเล็กๆของคำพูดจากวาจาสิทธิ์ของไอลีนเปลี่ยนเป็นพลังเวทขนาดยักษ์เอาไว้ได้อย่างง่ายดาย


 


ผู้ใช้ ไอลีนวาจาสิทธิ์จ้องมองนักดาบที่อยู่เบื้องหน้าเธอและประกาศอย่างเย็นชา


 


“ฮีโร่ แชนายอน ขั้นกลาง ระดับ 2 เธอผ่าน”


*************************************************************************


กลางดึกบนทุ่งกว้างในเอเชียกลาง


 


ผมนอนใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ดวงดาวและดวงจันทร์ส่องแสง ลมอ่อนๆ พัดผ่านแก้มของผม สัมผัสจากหญ้าบนหลังของผมเหมือนกอดรัดผมเบาๆ ท้องฟ้าสวยงามราวกับมีแสงสาดกระเซ็นบนผืนผ้าใบที่เต็มไปด้วยความมืด ปรากฏการณ์ธรรมดาที่ไม่สำคัญ ฉากแบบนี้หายากจากผม ถึงแม้ว่าจะเป็นธรรมชาติ แต่ผมก็ไม่ได้คิดที่จะมองทิวทัศน์นั้น


 


“…การฝึกฝนวันนี้สนุกมากเลยนะ”


 


ผมถูกดึงจากทิวทัศน์อันสวยงามจากเธอ….เสียงที่ฟังดูแข็งแก่รงและหนักแน่นไม่เหมือนผม คนที่เหนื่อยล้าหลังการฝึกก็คือ…บอส


 


“ใช่.”


 


ผมให้เธอยิ้มเบาๆบอสและผมได้ฝึกฝนด้วยกันในสัปดาห์ที่ผ่านมา บอสเป็นคู่ต่อสู้ที่ดีสำหรับผมในการทดสอบพลังวิญญาณของผม ผมไม่ต้องไปยุ่งกับเธอเพราะเธอสามารถป้องกันการโจมตีได้ทั้งหมดแแถมผมยังสนุกกับการล้อเล่นกับเธอเป็นครั้งคราวแม้ว่าเธอจะไม่ได้ตระหนักว่านั่นเป็นสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่


 


“พวกเราควรจะทำแบบนี้อีกในวันพรุ่งนี้?”


 


“…”


 


ผมไม่ตอบ แต่ผมจำได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันนี้ เกี่ยวกับวิธีที่ผมมอบบอสให้กับ [กระสุนวิญญาณ] ของผมเกี่ยวกับวิธีที่ผมจัดการระบบประสาทของเธอในการย้อนกลับ สัญญาณสำหรับแขนและขาของเธอจนผมต้องเข้าไปพยุงเธอในตอนท้าย….


 


“มาทำกันอีกพรุ่งนี้…..พรุ่งนี้”


 


บอสพูดอีกครั้ง ผมคิดว่ามันน่ารำคาญที่เธออยากจะจัดการกับผม


แต่ผมคิดว่าบอสพบว่าการทำแบบนี้มันค่อนข้างน่าขบขัน


 


“พวกเราฝึกมาตลอดสัปดาห์ที่แล้วผ่านมา 12 ชั่วโมงต่อวันเลยนะ”


 


“…ดังนั้นนายเลยไม่อยากฝึกต่อเหรอ”


 


บอสหัวเราะเยาะ ผมยิ้มเบาๆอย่างเงียบๆ


 


“คุณช่วยถอดหัวหมีตัวนี้ออกก่อนได้ไหม”


 


ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาบอสสวมหัวหมีทุกวัน ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงชอบมันมากขนาดนี้


 


“มันยังใช้ได้อยู่”


 


บอสส่ายหัวของเธอ


 


“คุณหมายความว่ามันใช้งานได้ดี? มีหมวกดีกว่ามากมาย”


 


“นายสามารถทำให้ฉันหลงได้ ฮาจินมนต์ 4 ธาตุของนายเป็นทักษะที่ดี”


 


เธอกัดริมฝีปากของเธอก่อนที่จะปิดปากหมีลง ใบหน้าของบอสหายไปแทนที่ด้วยหมี


 


ผมยิ้มให้บอส จากนั้นผมก็หันกลับมามองท้องฟ้า ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ปรากฏ [แว่นขยายลึกลับ] ตรงเข้ามาในความคิดของผม


 


“…บอส?”


 


– อะไรเหรอ.


 


===


[แว่นขยายลึกลับ] [คุณสมบัติ ลวงตา ชั้นสูงสุด]


▷การระบุจุดอ่อน


– ใช้พลังเวทมนต์เพื่อระบุจุดอ่อนของเป้าหมาย


▷การระบุอารมณ์


– ใช้พลังเวทย์มนตร์ในการระบุความรู้สึกของเป้าหมายที่มีต่อคุณ


* เมื่อพลังเวทมนต์ของผู้ใช้ต่ำกว่าอีกฝ่าย จุดอ่อนและอารมณ์จะไม่สามารถระบุได้


===


 


มันเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถอ่านอารมณ์ของผู้อื่นได้


‘สงสัยจังว่าบอสกำลังคิดอะไรอยู่’ ผมยิ้มอย่างชั่วร้ายและส่องแว่นขยายไปที่บอส


 


“รอก่อน รอก่อนเถอะ~ จงแสดงมันออกมา….”


 


– หืม?


 


ผมต้องใช้ทั้งรอยสักไปถึง 5 เส้นเพื่อหาจุดอ่อนของบอส แต่อารมณ์ของเธอในปัจจุบันนั้นใช้แค่ 2 เส้นก็น่าจะเพียงพอ


ผมฉีดรอยสัก 2 เส้นลงไปในแว่นขยาย


 


“…”


 


หลังจากนั้นไม่นานตัวอักษรก็ปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของแก้ว


 


– นั่นอะไรน่ะ?


 


เสียงของบอสดังก้องอยู่ในหน้ากากหมีสายลมเย็นๆทำให้ผมของเธอสั่น


ผมตัวแข็งค้างโดยไม่รู้ตัวและยังคงนิ่งเงียบจนกระทั่งลมพัดผ่านตัวผมจนใบไม้ร่วงหล่นกระจาย


 


– …อะไรกัน?


 


มีเพียง 3 ประโยคเท่านั้นที่จารึกไว้บนเลนส์ แต่พวกมันไม่ใช่อารมณ์ที่ผมสามารถเพิกเฉยได้


 


[ความรู้สึกผิด อยากอยู่ด้วยกันตลอดไป รักใคร่หลงไหล]


บทที่ 467 ความหมายของอารมณ์ (3)


 


หมายเหตุ: เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสน ‘หลงไหล’ ได้ถูกเปลี่ยนเป็น


‘ความรัก’ ซึ่งมีความคลุมเครือและสอดคล้องกับสิ่งที่ผู้เขียนต้องการ


 


ทั้ง 3 อารมณ์ถูกเปิดเผยโดยแว่นขยาย


 


[ความรู้สึกผิด อยากอยู่ด้วยกันตลอดไป ความรักใคร่]


 


ผมเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกผิด เพราะบอสสารภาพว่าเธอฆ่าพ่อแม่ของคิมชุนดง แต่มันยากที่จะเข้าใจอารมณ์ ‘ความรัก’ แน่นอนว่าความรักมีหลายรูปแบบเช่นความรักแบบพี่น้อง ความรักแบบเพื่อนหรือ……


 


คิมฮาจิน?


 


ในขณะนั้นบอสเรียกชื่อผมจน ผมตกใจแต่ผมตอบอย่างใจเย็นที่สุด


 


“วะ-ว่าไง?”


 


– …วิคเก็ช ขอความช่วยเหลือจากพวกเรา เธอบอกว่าเธอจะให้เวทีต่อสู้ของ Pandemonium กับพวกเราถ้าพวกเราปล่อยผู้บริหารของเธอที่ถูกคุมอยู่ขังบนชั้น 15 ออกมา


 


บอสเปลี่ยนหัวข้อของการสนทนา


 


ความภักดีที่มากเกินไปของโฮเนอร์ก่อให้เกิดความหายนะกับ วิคเก็ช ผมเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไร วิคเก็ช เธอมีเหตุผลมากกว่าสมาชิกคนอื่นๆ ใน 9 ปีศาจ


 


“ได้สิ…เดี้ยวผมจะไปจัดการให้”


 


– อืมดี


 


ในที่สุดบอสก็ถอดหัวหมีออก ดวงตาของเธอมั่นคงเหมือนเช่นเคย


ผมจ้องมองที่เธอและเธอก็จ้องมองกลับมาที่ผม


 


เธออาจไม่รู้ความรู้สึกของตัวเธอเองเช่นกัน


 


บอสใช้เวลาในวัยเด็กของเธอกับเลือดและความตาย คำสาปและการถูกทำร้าย ถ้าผมเป็นคนธรรมดา ผมคงจะโกรธถ้าผมเห็นเธอ เธอคงจะสูญเสียความรู้สึกของเธอไปกับนรกที่โหดร้ายที่เธอเคยอาศัยอยู่ไปแล้ว


 


แต่ปัจจุบันผมรู้สึกคุ้นเคยกับบอสอย่างลึกซึ้ง บางครั้งผมก็ต้องพึ่งเธออย่างแท้จริง ทำไมเป็นอย่างนั้น เพราะเธอเป็น ‘ตัวละคร’ ที่ผมสร้างขึ้นงั้นเหรอ? หรือว่าเป็นเพราะผมมีความรู้สึกต่อเธอโดยที่ผมไม่รู้ตัว?


 


ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเพราะกลัวสายตาของบอส


 


“….เฮ้ออออออ”


 


ผมได้แต่ถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว ถ้าบอสมี ‘ความรัก’ ให้กับผมเพราะความรู้สึกผิดที่เธอรู้สึกกับผม ผมจะต้องสารภาพกับเธอในสักวัน ว่า คิมฮาจิน และ คิมชุนดง เป็นคนที่แตกต่างกันซึ่งพ่อแม่ของเขาที่เธอฆ่าไปไม่มีเกี่ยวข้องอะไรกับผม ผมไม่ใช่คนที่เกิดมาบนโลกนี้อดีตในร่างนี้ก็ไม่ใช่ของผมเพราะงั้นเธอไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด …


 


ในขณะนั้นเองก็มีแสงตกลงมาจากท้องฟ้ายามค่ำคืน


 


“หืม?”


 


ดาวขนาดเล็กเปล่งประกาย


 


“นั้น…..ดาวตกงั้นเหรอ ต้องขอพร ฉันแน่ใจว่ามันจะต้องเป็นจริง”


 


บอสดวงตาเบิกกว้างแล้วพูดออกมา แทนที่จะมองดูดาวตกผมกลับรวบรวมความกล้าหาญและจ้องมองบอส บอสมองขึ้นไปบนท้องฟ้า


ผมเห็นอกเห็นใจเธอเกี่ยวกับชีวิตที่ว่างเปล่าที่เธอผ่านมา ความงดงามของเธอทำให้จิตใจผมเต้นรั่ว


 


“นายเองก็อธิษฐานอะไรไปสินะ”


 


บอสยิ้มอย่างไร้เดียงสา


 


“…ไม่ ผมพลาดไป”


 


ผมพึมพำอย่างงุนงง


 


“ไม่ต้องกังวลเดี๋ยวก็มีอีก ครั้งต่อไปจะเป็นตาของนายนะ”


 


ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงจ้องมองท้องฟ้าอย่างเงียบๆ บอสรอดาวตกอีกดวงปรากฏขึ้น แต่ไม่มีโชคแบบนั้นและบอสก็หันกลับมาหาผมอย่างหดหู่


 


“…ฮาจิน.”


 


เธอเรียกชื่อของผมซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ชื่อของ คิมชุนดง


 


“ว่าไง.”


 


ผมตอบอย่างเฉยเมย บอสมองตาผมแล้วพูดพึมพำอย่างรวดเร็ว


 


“…ฉันขอโทษด้วยสำหรับหลายสิ่งหลายอย่าง ฉันไม่สามารถพูดมันออกมาเป็นคำพูดได้”


 


เสียงของเธอทำให้จิตใจผมเต้นรั่วไปทั่วร่างกายของผม คำขอโทษของเธอทำให้ผมรู้สึกผิด ผมหัวเราะและส่ายหัว


 


“…ผมบอกคุณแล้วคุณสามารถลืมมันไปได้เลยตอนนี้”


 


คำอธิษฐานของเธอกับดาวตกยิงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นเรื่องนี้


 


*************************************************************************


หลังจากบอกลาคิมฮาจินแล้วบอสก็กลับไปที่ห้องของเธอ สปาร์ตันนอนบนเตียงของเธอ ด้วยเหตุผลบางอย่างมันเปลี่ยนเตียงของเธอเป็นรังของมันเอง


 


บอสยิ้มและนั่งลงที่โต๊ะทำงานของเธอ เธอมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องจัดการก่อนนอน


 


ก่อนอื่นเธอส่งข้อความไปหา วิคเก็ช โดยถามว่าผู้บริหารของเธออยากปล่อยให้เป็นอิสระตอนไหน จากนั้นเธอก็เริ่มตอบกลับข้อความลับที่สมาคมฮีโร่ส่งมาเกี่ยวกับภารกิจลอบสังหารออร์เดน


 


ขณะที่เธอกำลังตอบเธอก็รู้สึกถึงความว่างเปล่าในหัวใจของเธอ


สิ่งนี้ทำให้เกิดความรู้สึกกระสับกระส่ายเธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากวางปากกาของเธอลง


 


“… .”


 


ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกเหนื่อย


เธอทำสิ่งที่เธอต้องการได้สำเร็จแล้ว Chameleon Troupe ได้เป็นเจ้าของ Pandemonium เธอได้อำนาจของบอสคนก่อนหน้ากลับมาในครอบครองและชื่อของพวกเขาถูกจารึกไว้ในจิตใจของปีศาจและมนุษย์อย่างชัดเจน


 


เป้าหมายเดียวที่เธอเหลืออยู่คือการแก้แค้น


 


“…เบลล์.”


 


บอสคิดถึงเบลล์คนทรยศที่ฆ่าบอสคนก่อนและหายตัวไป เพียงแค่เอยชื่อของเขาก็ทำให้เธอโกรธอย่างที่ไม่สามารถควบคุมได้เหมือนในอดีต แต่ความโกรธของเธอก็ลดลงเมื่อเวลาผ่านไปจนกระทั่งเย็นยะเยือก


 


“… .”


 


ทันใดนั้นใบหน้าของคิมฮาจินก็โผล่ขึ้นมาพร้อมกับเบลล์ ตอนแรกเขาเป็นเพียงเครื่องมือในการฆ่าเบลล์ เธอวางแผนที่จะทิ้งเขาไปถ้าเขาไม่มีประโยชน์ในฐานะเครื่องมือ แม้ว่าเขาจะเป็นอะไร เธอก็วางแผนที่จะใช้เขาเพียงครั้งเดียวก่อนที่จะทิ้งเขาไป


 


แต่ตอนนี้คิมฮาจินมีสถานะที่แตกต่างไปจากตอนนั้นแล้ว


 


ปี้ดดดดดดดดดด


 


“หืม?”


 


อาการเจ็บปวดอย่างฉับพลันทำให้จิตใจของเธอต้องเจ็บปวด บอสเงยหน้าขึ้นโดยสงสัยว่าเธอได้รับบาดเจ็บขณะฝึกซ้อมหรือเปล่า เธอไม่สามารถหาคำตอบของเธอได้ เธอเปิดกล้องวงจรปิดเพื่อมองหายี่ยูริ


 


– โดรน ดูนั้นสิ


 


– อะไรเหรอ?


 


ยี่ยูริและโดรนหัวเราะและพูดคุยกันภายในกล้องวงจรปิด วัยรุ่น 2 คนดูมีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกัน


 


“… 2 คนนี้”


 


ดวงตาของบอสเหมือนถูกไฟไหม้เมื่อเธอเห็นพวกเขาจีบกัน


 


– ดูสิมีดอกไม้กำลังโตอยู่ใต้ดินด้วยละ~


 


– …เธอชอบดอกไม้งั้นเหรอ?


 


ตอนเด็กบอสมีแต่การถูกสาปแช่งและสอนในทางที่ผิด ไม่มีแม้แต่วันเดียวที่เธอชอบพ่อแม่ที่ให้กำเนิดเธอ


 


– แน่นอน! พวกมันน่ารัก! ทำไมนายไม่ชอบพวกมันเหรอ?


 


– ฮะ? มะ-ไม่ ฉันชอบพวกมันเหมือนกัน


 


ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่เข้าใจความรู้สึกที่ยี่ยูริและโดรนมีต่อกัน


 


“… .”


 


ดังนั้นเธอจึงพบว่าภาพตรงหน้านั้นน่าสนใจ บอสยังคงมองดู ยียูริ และ โดรน อยู่นาน


*************************************************************************


1 สัปดาห์ต่อมา


 


อดีตประธานาธิบดีของเกาหลีและบุคคลผู้มีอำนาจในปัจจุบันของ


สมาคมฮีโร่ คิมซุคโฮนั่งอยู่ใน [Lv.6 Elven Chair] อันสง่างามในคฤหาสน์ของเขาและได้รับรายงานว่า


 


– ยีพังโฮ จากสมัชชาแห่งชาติถูกซุ่มโจมตีและสังหารเมื่อคืนที่ผ่านมา


– ผู้บริหารของสมาคม คิมยุนยองเสียชีวิตในคืนนี้


– ไคเซอร์ ซีอีโอของ อโทรเทคโนโลยี ถูกพบว่าเสียชีวิตในสำนักงานของเขา…


– ดอกบัวดำดูเหมือนจะอยู่เบื้องหลังการเสียชีวิตเหล่านี้


 


คิมซุคโฮถอนหายใจเมื่อได้ยินรายงาน เขาถูกรบกวนโดยยี่ยูริที่ถูกลักพาตัวไป แถมตอนนี้เขายังต้องกังวลเกี่ยวกับดอกบัวดำเช่นกัน


 


“คุณคิดไหมว่าพวกเขาเป็นสุนัขของออร์เดนทั้งหมด”


 


– คะ พวกเราพบหลักฐานที่สนับสนุนข้อสงสัยนี้แล้ว


 


“…ชิ.”


 


คิมซุคโฮส่ายหัวและคิดในใจ ‘ไอ้พวกโง่ ฉันบอกหลายครั้งแล้วว่าอย่าโลภ’


 


– เราควรประกาศต่อสาธารณะอย่างไร


 


“ฝังพวกมันเดี๋ยวนี้ สถานการณ์ของกองกำลังพิเศษเป็นยังไงบ้าง”


 


– 177 สมาชิกถูกเลือกแล้ว พวกเขาน่าเชื่อถือทั้งหมด


 


“…เข้าใจแล้ว ตอนนี้ฉันต้องอยู่ที่นี่ หากมีอะไรเกิดขึ้นเธอคงรู้วิธีติดต่อฉันมานะ”


 


เมื่อคิมซุคโฮพูดจบเขาก็วางสายจาก ‘ห้องจัดเลี้ยงสีม่วง’


 


“เฮ้อออออออ…ไอ้พวกนั้น”


 


คิมซุคโฮสาปแช่งอย่างเงียบๆเขาพบว่ามันยากที่จะเชื่อว่าเหล่าผู้ช่วยที่เชื่อถือได้ของเขาทุกคนต่างก็สื่อสารกับ ออร์เดน อย่างลับๆ ในขณะที่เขามีความสุขที่พวกมันตาย แต่ส่วนหนึ่งของเขาก็ยังรู้สึกเสียใจ


ออร์เดนเองก็เอื้อมมือมาหาเขาเช่นกัน คิมซุคโฮรู้สึกมีความสุขกับการตัดสินใจของเขาที่ปฏิเสธข้อเสนอพวกนั้นไป แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่า


ยี่ยูริจะถูกลักพาตัว


 


“ดอกบัวดำ….”


 


ดอกบัวดำ สุนัขล่าเนื้อที่เขาเคยใช้งาน ตอนนี้เขารู้ว่ามันอันตรายเกินไปที่จะปล่อยให้มันเป็นอิสระ


 


“อืม…ฉันเดาว่าฉันไม่มีทางเลือก”


 


เขาคิดได้เพียงทางออกเดียวเท่านั้น


 


กลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้องกับปีศาจและมีพลังจะต่อต้าน Chameleon Troupe


กลุ่มนักฆ่าที่ก่อตั้งโดยฤาษีภูเขาในตำนาน มีคนไม่มากที่รู้จังกลุ่มที่ว่าวพวกเขาถูกลืมไปนาน ตอนนี้เป็นเวลาฟื้นคืนชีพพวกเขาแล้ว


 


คิมซุคโฮ เริ่มเขียนจดหมายส่งให้หัวหน้าของพวกนั้นตาต่อตาฟันต่อฟัน นั่นเป็นวิธีที่เขาวางแผนที่จะจัดการกับสุนัขล่าเนื้อที่บังอาจมาขวางทางเขา


************************************2************************************

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม