The Novel’s Extra 447-453
บทที่ 447 ลางบอกเหตุของการพบเจอ (1)
[3 ปีที่แล้ว อคทรีน่า]
ชินจงฮัคตื่นขึ้นมาในป่า ใบไม้สั่นสะเทือนท่ามกลางความหนาวเย็นและลมพัด เสียงของธรรมชาติเท่านั้นที่เข้ามาในหูของเขา
“…………….”
ชินจงฮัคลุกขึ้นหลังจากจ้องมองใบไม้ที่เปล่า
ป่านั้นเต็มไปด้วยสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ต้นไม้ดูแตกต่างจากที่เขาเห็นบนโลก ก่อนที่เขาจะสงสัยว่าเขาอยู่ที่ไหน
‘หาของกินก่อนเถอะ’
ชินจงฮัค เริ่มค้นหาเพื่อความอยู่รอด เขาชิมใบไม้ที่แตกต่างกันมองหารากที่กินได้และไตร่ตรองว่าร่างกายของเขาสามารถต่อสู้กับเห็ดพิษได้หรือไม่
หลังจากเดินในป่าเป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง …
“หืม?”
เขาพบกระเป๋าหนังบนพื้น
‘เราได้ยินมาว่าหนังสามารถปรุงและกินได้…. เดี๋ยวก่อนนั่นมันใช่สิ่งที่เราคิดหรือเปล่า’
“… !”
ความคิดแวบขึ้นมาในหัวของชินจงฮัคเขารีบวิ่งไปที่กระเป๋าอย่างรวดเร็ว
“อา!”
หลังจากตรวจสอบกระเป๋าอย่างใกล้ชิดเขาก็มั่นใจว่านี่คือ ‘ถุงอาหาร’ ที่คิมฮาจินนำมา มันน่าตื้นตันใจมากกับ [การขยายพื้นที่ระดับสูง],
[การรักษาความสดใหม่ระดับสูง] และ [การลดน้ำหนัก]
อึก.
ชินจงฮัคกลืนน้ำลายอย่างหนักและตรวจสอบของในกระเป๋า จากนั้นเขาก็อุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ว้าวววว … .”
ถุงนี้เป็นคลังอาหารเคลื่อนที่ มีอาหารในกระเป๋าเพียงพอที่จะอยู่กับเขาได้ตลอดทั้งปี
“หืม อย่างที่คิดมันมีประโยชน์จริงๆ”
ชินจงฮัค ดึงเนื้อตากแห้งออกมาจากถุง งับๆ เขากินจนอิ่มท้องเขาก็เริ่มมองหาเพื่อนๆของเขา
แต่เขาไม่เจอใครซักคนไม่ว่าเขาจะพยายามมองหาแค่ไหนและในไม่ช้าเขาก็เริ่มตั้งแคมป์ไฟเพื่อทานอาหารที่เหมาะสมด้วยตัวเอง และแล้ว
“…นั่นใครน่ะ?”
แขกที่ไม่ได้รับเชิญมาถึง กลุ่มคน 8 คนแบกตะกร้าและหอก พวกเขาดูอ่อนแอเมื่อมองดูอย่างรวดเร็วพวกเขาดูหิวโหยมาก
“ฉันจะฆ่าพวกแกถ้าพวกแกไม่ตอบ”
ชินจงฮัคยกหอกของเขาขึ้นมา
“อ๊ะ ขอโทษๆ พวกเราทำผิดไปแล้ว….”
พวกเขาแนะนำตัวเองว่าเป็นนักล่า ประชาชนหลายคนเสียชีวิตจากสงครามที่ยืดเยื้อระหว่าง เคานต์ ชูเบิร์ท และราชวงค์ ส่วนผู้ที่รอดชีวิตนั้นเป็นผู้ไร้ที่อยู่ซึ่งรวมกลุ่มของตนเอง
ชินจงฮัค ไม่มีเข้าใจสิ่งที่พวกเขาพูด แต่เขาต้องยอมรับว่าเขาถูกส่งมายังต่างโลกแล้วละ
“ถ้างั้น พาฉันไปที่ฐานพวกนายหน่อย”
ความอยากรู้อยากเห็นของชินจงฮัคทำให้เขาไปเยี่ยมชมฐานของนักล่า ตามชื่อของพวกเขา พวกเขาอาศัยอยู่ได้ทุกวันนี้โดยการมองหาอาหารและมักจะอดอาหารในวันที่พวกเขาไม่สามารถหามาได้
ชินจงฮัคเสนออาหารให้พวกเขา
อย่างไรก็ตามมีนักเลงที่ดมกลิ่นอาหารตามมาหาเขา
“…แกไปเอาอาหารจำนวนมากมาจากที่ไหน”
อัศวิน 3 คนปรากฏขึ้นจากความมืด นักล่าตัวสั่นด้วยความกลัว
“มอบมันให้กับ เคานต์ ชูเบิร์ท หากแกยังไม่อยากตาย”
อัศวินเหล่านี้หยิ่งและมีแข็งแกร่ง แต่ ชินจงฮัคหัวเราะเยาะและแทงหัวใจของพวกเขาด้วยหอกของเขาทันที อัศวินทั้ง 3 ถูกฆ่าตายภายในพริบตา
เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลงผู้ล่าก็โค้งคำนับให้ชินจงฮัค ชินจงฮัคชอบความรู้สึกที่ได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นราชาเช่นนี้
“ได้-ได้โปรดยอมรับพวกเรา….”
หัวหน้านักล่าวิงวอน เนื่องจากชินจงฮัคต้องการให้พวกผู้ชายตามหา
เพื่อนๆของเขา เขาจึงตัดสินใจเข้าร่วมกับพวกเขาเหล่านี้
…ผ่านไป 1 เดือน
ชินจงฮัคค้นพบที่ดินทำนาและหาเมล็ดพันธุ์ให้กับนักล่า เขาเลือกชายและหญิงที่มีความสามารถด้านศิลปะการต่อสู้ สอนวิธีแห่งหอก
เนื่องจากบรรยากาศมีมานาเพียงพอพวกเขาจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว
…ผ่านไปอีกครึ่งปี
พวกเขาหมดอาหาร ฟาร์มขนาดเล็กของพวกเขาไม่เพียงพอที่จะเลี้ยง ปากท้องกว่า 500 คน ชินจงฮัคไม่มีทางเลือกนอกจากต้องจัดตั้ง
ศาลเตี้ยเพื่อขโมยสิ่งของจากดินแดนต่างๆ
…ผ่านไปอีก 1 ปี
ชินจงฮัคกลายเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของศาลเตี้ย ผมของเขายาวถึงไหล่
เขาไว้เคราแพะเพื่อความดูดี
สมาชิกของศาลเตี้ยเข้มแข็งขึ้นในเวลาต่อมา สาวกที่ทำงานหนักได้เรียนรู้หลายสิ่งจากอาจารย์ที่ดีของพวกเขาและพวกเขามีพลังมากพอที่จะเรียกว่า ‘อัศวิน’
…ผ่านไปอีก 2 ปี
ในขณะที่ปกป้องนักล่าจากมอนสเตอร์ ขโมยเสบียงจากดินแดนต่างๆและต่อสู้กับอัศวินแห่งเคานต์ ชูเบิร์ท ชินจงฮัคได้ตระหนักรู้ครั้งใหญ่ หอกเพลิงทมิฬของเขาก็สามารถเผาผลาญพลังเวทมนต์ของศัตรูได้เช่นกัน
ชินจงฮัค ตั้งชื่อใหม่ให้กับพรสวรรค์สุดวิเศษของเขา ‘กลืนกินเวทมนต์’ แต่นั่นกลับเพิ่มความปรารถนาของเขาที่จะกลับไปยังโลกและความเกลียดชังของเขาสำหรับคนที่พาเขามายังโลกใบนี้ก็เพิ่มขึ้น
…ผ่านไป 3 ปีต่อมาหรือปัจจุบัน
ในที่สุด ชินจงฮัค ก็พบคนที่เขากำลังตามหา
คิมฮาจิน
เขาถูกต้อนจนมุมโดยอัศวินของ เคานต์ ชูเบิร์ท ชื่อ เรแลน แต่ เรแลน ไม่อยู่ในสายตาของ ชินจงฮัค
“ฉันรอมาถึง 3 ปี!!!”
เขาชี้หอกไปที่คิมฮาจิน ย้าาาาาาา…เปลวเพลิงสีดำพุ่งออกมาจากหอกของเขาอย่างรุนแรง
“เกิดอะไรขึ้นและที่นี่คือไหน … ”
ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาชินจงฮัคฆ่ามอนสเตอร์นับพันและโด่นอัศวินนับร้อย เขาต่อสู้บ่อยมากกว่าที่เขากินข้าวและความอยู่รอดเป็นสิ่งเดียวในจิตใจของเขา ในโลกที่ไม่รู้จักนี้เขาต้องดูแลกว่า 500 ชีวิต ถ้าประมาทเพียงนิดเดียวอาจหมายถึงความตาย เขาจึงต้องระวังทุกวินาที
“แกไปทำอะไรมาถึง 3 ปี…”
ภายใต้ความหนักหน่วงของความรับผิดชอบและสถานการณ์ที่อยู่ในชีวิตและความตาย ชินจงฮัค ได้ไปถึงขอบเขตที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“แกต้องอธิบายมาให้ดี ถ้าแกไม่อยากตาย”
ในฐานะที่เป็นมือหอกระดับปรมจาร์ยตอนนี้เขาได้ก้าวข้ามเกินขีดจำกัด ของตัวเองไปแล้ว ชินจงฮัคปลดปล่อยพลังเวทมนต์ที่ไร้ขอบเขตออกมา
*************************************************************************
“เอ่อ….”
ผมพูดไม่ออก ผมรู้สึกตกใจกับการเติบโตอย่างฉับพลันของชินจงฮัค
แต่จิตสังหารของเขาคือสิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจมากกว่า ดูเหมือนว่ามันจะแทงหัวใจของผมอยู่ตลอดเวลา
“เขารับมือได้ยาก ถอย.”
แม้แต่ เรแลน ผู้ที่แนะนำตัวเองว่าอยู่ในฐานะปรมจารย์แห่งดาบก็ยังไม่กล้าสู้กับเขาตรงๆ เขาถอยกลับทันทีที่ชินจงฮัคเคลื่อนไหว อัศวินของเขาไม่ได้พูดอะไรออกมา
จินซาฮยอค สะบัดผม
“เฮ้ หมอนั้นเป็นอะไรไปเหรอ?”
“…ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ที่นี่มา 3 ปีแล้ว”
“3 ปีเหรอ”
“ใช่มันเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว เขาถูกขังอยู่ในเวลาที่แตกต่างจากคนอื่น”
เมื่อเรแลนและอัศวินของเขาหายตัวไปชินจงฮัคและสมาชิกศาลเตี้ยก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พวกเขาล้อมรอบพวกเราในพริบตา
ชินจงฮัคมองมาที่ผมและผมก็จ้องมองเขา ดูเหมือนว่าเขาจะอายุเยอะขึ้นอย่างน้อย 6 ~ 7 ปี
“อธิบายมา คิมฮาจิน ฉันอาจจะฆ่าแก เพราะงั้นทุกอย่างขึ้นอยู่กับ
คำตอบของแก”
เขาโกรธแค้นมากจริงๆ เพราะการปรากฏตัวของเขานั้นแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงกับ ชินจงฮัคที่ผมรู้จัก
“…ฉัน……อะแฮ่ม. พวกเราก็ตามหานายด้วยเช่นกัน”
ผมล้างคอและชี้ไปที่จินซาฮยอค
“ก่อนอื่นมันเป็นเพราะเธอ”
… 1 ชั่วโมงต่อมา
ผมอธิบายทุกอย่างให้ชินจงฮัคฟัง เขาโกรธมากเมื่อได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้นและเขาก็เข้าโจมตีจินซาฮยอค
น่าตกใจ พวกเขาต่อสู้กันอย่างเท่าเทียม ไม่สิจริงๆแล้วชินจงฮัคครอบความได้เปรียบตั้งแต่แรก มันเป็นเรื่องของความเหมาะสมอีกครั้ง
เปลวเพลิงสีดำของ ชินจงฮัค ทำให้พลังเวทมนต์ของ จินซาฮยอค ดับลงและ จินซาฮยอค เสียเปรียบหากไม่มี [การปล่อยอาวุธวิเศษ] ของเธอ
เมื่อดูการต่อสู้ของพวกเขา ขนลุกขึ้นมาบนร่างของผม ฉันไม่เคยคาดคิดว่าชินจงฮักจะต่อสู้กับจินซาฮยอคได้อย่างทัดเทียม เขาเข้าใกล้ชัยชนะมากในตอนนี้ ความตกใจของผมไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด
แน่นอนถ้าการต่อสู้ยืดเยื้อจินซาฮยอคก็จะใช่พรสวรรค์แสนวิเศษ
[การจัดการความเป็นจริง] ของเธอ
แต่ไม่ว่ายังไงหลังจากการสนทนาด้วยหมัดจบลง พวกเราก็กลับไปที่เมืองของชินจงฮัค
“คริสตัลที่นายพูดถึงอยู่ในเมือง”
ชินจงฮัคมีเศษคริสตัลอยู่ในเมือง แต่ผมรู้สึกประหลาดใจกับเมืองนี้มากกว่าเศษคริสตัล มันมีรั้ว,ยาม,หอสังเกตการณ์และสิ่งต่างๆที่เมืองต้องการ
“…นายสร้างทั้งหมดนี้ด้วยตัวเองเหรอ?”
จินซาฮยอค ถาม ชินจงฮัค ด้วยการต่อสู้เมื่อกี้ เธอเองก็ต้องยอมรับในความแข็งแกร่งของชินจงฮัค
“ทุกคนช่วยกัน แน่นอนว่าเพราะฉัน 70% ได้และมีคนที่นี่อยู่ 673 คน”
ชินจงฮัคอธิบายอย่างภาคภูมิใจ แต่ไม่นานเขาก็มองมาที่ผมด้วยท่าทางที่ซับซ้อน
“ว่าแต่สถานที่นี้เป็นเพียงโลกปลอมๆที่เกิดขึ้นจริงเหรอ”
“…ใช่.”
ผมพยักหน้า.
“… .”
ชินจงฮัคไม่พูดอะไรมากนัก แต่เขาไม่สามารถซ่อนความขมขื่นเอาไว้ได้
“เอาล่ะ เอาไปนายสามารถย้อนกลับไปได้ ถ้านายมีมันครบ 6 ใช่ไหม?”
ชินจงฮัคส่งมอบเศษคริสตัลให้ผม
===
[ชิ้นส่วนของแผ่นดิน]
– คริสตัลที่เก็บรักษาอดีตที่บันทึกเอาไว้
– ต้องการพลังเวทมนต์เพื่อการเติบโต
===
บทที่ 448 ลางบอกเหตุของการพบเจอ (2)
ตามที่คาดไว้เศษคริสตัลแต่ละอันมีฟังก์ชั่นของตัวเอง นี่คือสิ่งที่ช่วยให้ชินจงฮัคเติบโตอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ผมมี 2 อันแล้ว
“เอาชาวเมืองของนายไปที่เมืองหลวง ตอนนี้ที่นั้นที่ดีกว่าที่นี่มาก”
“…เมืองหลวง?”
“ใช่.”
ชินจงฮัคดูเหมือนไม่เต็มใจ เหมือนว่าสมาชิกเมืองเองก็ยืนอยู่ข้างเขา พวกเขาไม่มีความสุขถ้าต้องออกไปจากที่นี่
“การอยู่ที่นี่เป็นเรื่องที่อันตราย มอนสเตอร์จะบุกมาถึงในไม่ช้า “
จินซาฮยอค พยายามเกลี้ยกล่อมชินจงฮัก แต่เขาแค่เย้ยหยันเธอถามว่าเธอรู้เรื่องนี้อย่างไร จินซาฮยอค เย้ยหยันและอธิบาย
“นี่คือโลกที่ฉันอาศัยอยู่ฉันรู้ดีกว่าคนอื่นว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต”
“… .”
ชินจงฮัคจ้องมองที่จินซาฮยอค จากนั้นเขาก็หันหัวของเขามาหาผม
“คิมฮาจิน ยัยผู้หญิงบ้านี้กำลังพูดถึงอะไร?”
แล้ว…การต่อสู้ครั้งที่ 2 ระหว่างชินจงฮักและจินซาฮยอคก็เริ่มต้นขึ้น
*************************************************************************
[Pandemonium, ฐานของ Chameleon Troupe]
เมื่อมีข่าวออกมาว่าเฟนรีลถูกจับบอสก็จะออกไปทันทีเพื่อช่วยเหลือเขา วันนั้นเธอสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองเธอมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า และไม่ได้เข้าใจสิ่งที่ใครพยายามจะพูดกับเธอ
อย่างไรก็ตามสปาร์ตันอยู่ที่นั่นเพื่อหยุดบอส สปาร์ตันบอกให้บอสรู้ว่าคิมฮาจินนั้นปลอดภัยและเมื่อรู้ว่าคิมฮาจินและสปาร์ตันเชื่อมต่อกันบอสก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเชื่อเขา
“…ฉันจะพูดอีกครั้งก็คือมีอะไรเกิดขึ้นกับคิมฮาจิน แกตาย!!!”
ตั้งแต่วันนั้นบอสก็จะมีสปาร์ตันอยู่ข้างๆเธอเสมอ เธออยากรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับคิมฮาจิน เธอเป็นห่วงเขาจริงๆ
– เจี๊ยบๆๆ
สปาร์ตัน ตัวสั่นด้วยความกลัว
“…ฉันล้อเล่น. เอาละล้อเล่นๆ”
บอสยิ้มและกอดสปาร์ตันไว้ในอ้อมแขนของเธอ
“ถ้างั้น บอสพวกเราจะทำอะไร~ พวกเราลักพาพ่อแม่ของเธอมาด้วย” เจน ถาม เธอจ้องมองบอสจากที่นอน
บอสตอบสั้นๆ “ก่อนอื่นให้ทั้ง 3 คนพูดคุยกัน”
“ไม่เป็นไร แต่มีอย่างอื่นที่คุณควรรู้ก่อนหน้านี้ ~”
ใบหน้าของเจน จริงจังจนน่ากลัว
“มีข่าวลือว่า ‘เบลล์’ เข้าร่วมทีมลอบสังหารออร์เดน”
“… .”
ไหล่ของบอสแข็ง แค่ได้ยินชื่อของเขาเธอก็เต็มไปด้วยความโกรธ อย่างไรก็ตามเธอบอกกับตัวเองเสมอว่าให้ใจเย็นๆทั้งหมดเพื่อการ
แก้แค้นที่ละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น
“นอกจากนี้…เกี่ยวกับ อุบัติการณ์ควังโอ พวกเรารู้แล้วว่าใครที่เป็นคนอยู่เบื้องหลังคุณเคยได้ยินชื่อ คิมซุคโฮ ใช่มั้ยเขาคืออดีตประธานาธิบดี”
บอสพยักหน้า คิมซุคโฮ อดีตประธานาธิบดีของเกาหลีและชายผู้ถือครองอำนาจของสมาคม
“พวกเรามีงานที่ต้องทำมากมาย ~”
“เธอพูดถูก.”
เจนหัวเราะและเหยียดตัวยาว
“อืม ใช่แล้วบอส พวกเราตัดสินใจเข้า โดรน เข้าร่วมภารกิจนี้”
“อะไรนะ?”
บอสขมวดคิ้วของเธอ
“พวกเราไม่มีทางเลือก พวกเราต้องการพลังของเขาสำหรับภารกิจนี้ ลองคิดดูสิผู้แข็งแกร่งทุกคนเข้าร่วมภารกิจลอบสังหารออร์เดนแล้ว”
เจน ใช้เครือข่ายข้อมูลของ โดรน เพื่อค้นหาว่ามนุษย์ตัดสินใจใช้ทีมที่ 2 ในช่วงเวลาที่ทีมของ ปีศาจ ออกเดินทาง
ยูจินวอง,แชจูชึล,ยุนซึงอา,Vast Expanse,ยูชีฮยอก,วิหารแห่งความยุติธรรม,วิคเก็ช,ผู้ทำลายล้าง,สังคมปีศาจ,ข้ารับใช้ของซาตาน,ที่นั้นเต็มไปด้วย ปิศาจ…ฮีโร่ที่มีชื่อเสียงและเพื่อนๆของ คิมฮาจิน แชนายอน และ เรเชล ทุกคนมีส่วนร่วมในภารกิจนี้
“เด็กคนนั้นก็อาจจะออกมาจากหอคอยแห่งความปรารถนาในไม่ช้า ~ ทันทีที่เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาก็จะเข้าร่วมอย่างแน่นอน”
…..คิมซูโฮ ชายที่น่าสนใจ
ภารกิจลอบสังหารนี้จะเป็นสนามรบที่ดุเดือดพร้อมตัวละครทุกประเภท ไม่มีใครรู้แน่นอนว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่นั่น
“อืม ฉันแน่ใจว่าจะไม่มีใครในพวกเขาที่จะรู้จัก โดรน เลย”
เจนยิ้มขณะที่เธอคิดเกี่ยวกับ โดรน เขาเข้าสู่วัยหนุ่มและปฏิเสธที่จะพูดคุยกับเธอเมื่อเร็วๆนี้ แต่เขาแสดงความสนใจใน ยียูริ ที่อายุเท่าเขา
“…แต่เจน โดรนอันตรายเกินไป”
“ไม่,บอส~อันตรายกับอันตราย,บ้าคลั่งกับบ้าคลั่ง นั่นถึงจะเหมาะสมกับที่สุด~”
โดรน พรสวรรค์ที่เขาครอบครองนั้นแข็งแกร่งมาก ความสามารถในการอัญเชิญและควบคุม ‘เอเลี่ยน’ ที่หลงทางในความวุ่นวายของขอบเขตมิติ
มินโย กระต่ายของ โดรน มีภูมิต้านทานต่อ วาจาสิทธิ์ของ ไอลีน และเป็นอาวุธขั้นสูงสุดที่สามารถทำลายมารลงได้
“… .”
บอสพยักหน้าอย่างเงียบๆเธอจำได้ถึงความทรงจำอันเจ็บปวดในอดีต วันที่คิมฮาจินถูกคุรุคุรุฆ่า ความคิดในวันนั้นทำให้เธอเวียนหัว
“อืม เข้าใจแล้ว.”
อย่างที่ เจน กล่าวดูเหมือนว่าพวกเขาต้องยืมพลังของ โดรน เพื่อต่อสู้กับราชามอนสเตอร์และข้ารับใช้ของเขา
*************************************************************************
ทวีป อคทรีน่า
ชินจงฮัค และศาลเตี้ยเข้ามาในเมืองหลวง ผมคิดว่า จินซาฮยอคเด็ก และอัศวินของเธอจะต่อต้านความคิดเห็นนี้ แต่ผมก็ตกใจที่พวกเขาก็ยินดี มันเป็นเพราะศาลเตี้ยสู้กับ เคานต์ ชูเบิร์ท ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
“เฮ้ออออออออ… .”
ดวงอาทิตย์กำลังตกดินและตอนนี้ก็เริ่มืด ผมหาวขณะนอนอยู่บนเตียง
“ตอนนี้ เราต้องสะสมอีก 4 ชิ้น”
เมื่อผมมีอยู่ 2 และรู้แล้วว่าคนอื่นอยู่ที่ไหนผมควรจะรวบรวมพวกมันได้ภายใน 2~3 เดือน ถึงแม้จะเป็นเวลาเพียง 2~3 สัปดาห์ในโลกแห่งความเป็นจริงก็ตาม
“…สงสัยจังเลยว่าบอสกำลังทำอะไร”
ทันใดนั้นผมก็นึกถึงบอสถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้สาเหตุว่าทำไม……
ต๊อก ต๊อก—
ในขณะนั้นเองก็มีคนมาเคาะประตูผม
“คะ-ใครน่…”
ก่อนที่ผมจะถามว่าใครประตูก็เปิดออก จินซาฮยอค ยืนอยู่ตรงหน้าประตู เธอเข้าหาผมด้วยชุดนอนของเธอ
“ว่าไง?”
“ฉันนอนไม่หลับ ฉันเลยมาหานาย”
จินซาฮยอค พูดอะไรบางอย่างที่ไม่สมเหตุสมผลนักในขณะที่จ้องมองผมด้วยสีหน้าจริงจัง
“เธอนอนไม่หลับเหรอ? แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับฉันละนั้น”
“…วันนี้นายถามฉันว่าฉันกำลังมองหาใครในโลกนี้อยู่สินะ”
ผมพยักหน้า. ผมถามเรื่องนี้เมื่อตอนกลางวัน
“ใช่แล้ว ใครละ”
“มีบางอย่างที่ฉันอยากจะถามนายเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“…เรื่องนี้?”
“ไคด์สปริง.”
ผมขมวดคิ้ว อะไรนะ
“ไคด์สปริง วินเทอร์”
แต่ใบหน้าที่จริงจังและโศกเศร้าของจินซาฮยอค ก็ทำให้ผมเองก็จริงจังเช่นกัน
“นั่นคือชื่อของคนที่ฉันกำลังตามหา นายเคยได้ยินชื่อเขามาก่อนไหม”
ไคด์สปริง วินเทอร์
มันไม่ใช่ชื่อที่ผมรู้จัก วินเทอร์…ฤดูหนาวงั้นเหรอ? ผมกำลังจะตอบกลับว่า ‘ใครละนั้น’ แต่ทันใดนั้นเอง
ไคด์สปริง วินเทอร์
ไคด์สปริง วินเทอร์
ไคด์สปริง วินเทอร์
ไคด์สปริง วินเทอร์
ชุนดง
แน่นอนมันเป็นเพียงการเล่นคำ แต่ความคิดของผมหยุดลงเมื่อผมตระหนักถึงความเป็นไปได้นี้ มันทำให้สมองของผมเหมือนถูกทุบด้วยค้อน
“ไคด์สปริง วินเทอร์…ไคด์สปริง วินเทอร์”
ผมกลืนน้ำลายอย่างหนักและพึมพำชื่ออีกครั้ง มันจะเป็นไปได้งั้นเหรอ? ทำไมชื่อของ คิมชุนดง ถึงปรากฏขึ้นที่นี่ละ?
“ใช่แล้วนั่นคือสิ่งที่ฉันกำลังตามหา มันนานมากแล้วจนฉันเองก็จดจำใบหน้าของเขาไม่ได้”
จินซาฮยอค มองมาที่ผมด้วยใบหน้าที่ขมขื่น ผมลุกขึ้นจากเตียงอย่างช้าๆ ผมต้องการเวลาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
“ฉันไม่รู้ว่าใครเป็น….”
“ฉันเจอเขาแล้ว ห้องสมุดราชวังมีรูปของผู้รับใช้ทุกคน”
“… .”
จินซาฮยอค จ้องมองใบหน้าของผมราวกับว่าเธอกำลังพยายามหา
คนอื่นที่อยู่ในนั้น
ผมจำสิ่งที่ คิมชุนดง บอกผมเมื่อพวกเราพบกันใน Tower of Wish ได้
– พวกเราจะได้พบกันอีก……แต่ฉันขอช่วยนายก่อนก็แล้วกัน…
สายตาของ จินซาฮยอค อยู่บนใบหน้าของผม ในไม่ช้าเธอก็พูดออกมา
“ไคด์สปริง…เขาเหมือนกับนาย”
ผมไม่ได้พูดอะไร ผมสูญเสียคำพูดไป
“เฮ้ คิมฮาจิน”
จินซาฮยอค พูดเหมือนปกติที่เธอพูด
“นายไม่อะไรจะพูดเหรอ? นาย…นายมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย”
ในขณะนั้นมีบางอย่างโผล่ขึ้นมาข้างหน้าผม มันเป็น ‘การแจ้งเตือนเนื้อเรื่องใหม่’ ที่สร้างขึ้นโดยการเปลี่ยนแปลงในการตั้งค่าของเรื่องราว
บทที่ 449 ลางบอกเหตุของการพบเจอ (3)
[แต่งใหม่ – ไดอารี่ของ คิมชุนดง]
[…เสียงร้องของนกทำให้ผมตื่นขึ้นมา หญ้าแห้งๆจั๊กจี้หลังของผม ใบไม้สั่นไหวต่อหน้าต่อตาผม เห็นได้ชัดว่าผมไม่ได้อยู่ในห้องของผม]
คำถามที่เกิดขึ้นในใจของผม ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่? มีคนลักพาตัวผมมางั้นเหรอ
ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่สำคัญ ผมไม่ได้ตกใจเลยแม้แต่น้อย ผมเหมือนจมน้ำมาตลอดชีวิต ตลอดหลายปีที่ผ่านมาผมรู้สึกไม่มีความสุขหรือโศกเศร้า ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่ได้ตกใจอะไรมากนักกับปรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
ยังไงผมก็คิดว่าอย่างน้อยผมควรหาที่พัก ผมค่อยๆลุกขึ้นและเริ่มเดินผ่านป่า ยิ่งผมเดินมากเท่าไหร่ สิ่งที่ผมรู้สึกก็ปรากฏเหนือหัวของผม ดวงจันทร์ 2 ดวงส่องแสงและดวงดาวนับไม่ถ้วนเปล่งประกายแวววาว
ผมได้ยินคนพูด ผมเดินไปตามเสียง ผมไล่ตามเสียงของพวกเขา
ผมมาถึงหมู่บ้านแปลกๆหลังจากนั้นไม่นาน ชาวบ้านทุกคนแต่งตัวแบบโบราณและอาคารดูราวกับว่าพวกมันถูกสร้างขึ้นในยุคกลาง
อย่างไรก็ตามผมยังคงใจเย็น ความสับสนชั่วครู่ลดลงอย่างรวดเร็ว
พลังเวทมนต์น้ำแข็งของผมยังไม่แน่ว่าจะเยือกเย็นขนาดนี้
ผมถามชาวบ้านว่าผมอยู่ที่ไหน พวกเขาตอบผมว่าผมอยู่ที่
‘ชานเมืองของ พัลซาร์ ปี 533’
หลังจากนั้นผมก็เข้าใจสถานการณ์อย่างรวดเร็ว นี่ไม่ใช่ความฝันหรือการลักพาตัวหรือว่าเกมส์ ผมได้มายังต่างโลก
ใครพาผมมาที่นี่ พวกเขาพาผมมาที่นี่ได้ยังไงและทำไม?
คำถามเหล่านี้ไม่มีความหมายสำหรับผม ผมยังมีชีวิตอยู่เพียงเพราะผมยังไม่อยากตาย ผมอยู่คนเดียวมาตั้งแต่เกิด ดังนั้นคำถามที่ว่าผมอยู่ที่ไหนมันเป็นเรื่องไม่สำคัญสำหรับผม
ผมเริ่มชีวิตใหม่ของผมใน ‘พัลซาร์’
ผมเริ่มการฝึกฝนเพื่อความอยู่รอด โชคดีที่ พัลซาร์ เต็มไปด้วยพลังเวทมนต์ ผมฝึกฝนทักษะการใช้ดาบและขัดเกลาพลังเวทมนต์ของผม หลังจากผ่านไป 10 ปีผมก็กลายเป็นสมาชิกของ ราชองครักษ์
หน้าที่ผมในฐานะอัศวินคือการปกป้องนางสนมของราชวงศ์ผู้ให้กำเนิดลูกสาวชื่อ ‘เฟฮี’ แต่นางสนมไม่เคยได้มีโอกาสได้พบกับ เฟฮี ด้วยตนเอง ในฐานะเจ้าหญิงองค์ที่ 3 เฟฮี เติบโตขึ้นในพระราชวังต้องห้าม
มิให้มารดาเข้ามา นางสนมได้รับอนุญาตแค่มองดูลูกสาวของเธอจากระยะไกล
3 ปีผ่านไป วันหนึ่งมีเด็กคนหนึ่งมาเยี่ยมผม ชื่อของเด็กคนนี้คือ เฟฮี เธออยากพบแม่ของเธอ ผมมองร่างเล็กๆของเธอและดวงตาเป็นประกายน่ารัก
ผมแอบให้เธอเข้ามา เฟฮี กลับมาหลังจากได้คุยแค่ 10 นาทีมันเป็นการสนทนาสั้นๆกับแม่ของเธอ เธอยิ้มให้ผมและแสดงความขอบคุณ
เด็กที่มีอายุเพียง 3 ขวบมาเยี่ยมแม่ทุกสัปดาห์ ใบหน้าของพวกเขาสดใสขึ้นทุกวัน
ผ่านไปอีก 1 ปี
ไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าผมถูกย้ายไปยัง ศูนย์กลางราชองครักษ์ ห่างจากนางสนม ผมได้ยินว่า เฟฮี เองก็ไม่ทราบถึงการย้ายมาของผมแต่เธอมาเยี่ยมแม่ของเธอตามปกติและถูกพ่อของเธอจับได้จนถูกลงโทษ มีข่าวลือว่าเขาตีเธอจนน้ำตาแห้ง
ต่อจากนั้นผมใช้เวลาไปกับการเยี่ยมเจ้าหญิงและนางสนม
เมื่อเวลาผ่านไปความหายนะก็เริ่มปรากฏขึ้นทั่วทั้งทวีป เรื่องยิ่งแย่ลงกษัตริย์ก็ล้มป่วย
เฟฮี อายุ 5 ขวบมาหาผม เธอบอกผมว่าแม่ของเธอจากไปแล้วและ
พี่ชายของเธอก็จะฆ่าเธอ เฟฮี ระงับน้ำตาของเธอและขอความช่วยเหลือจากผม
‘…ได้โปรดเป็นอัศวินของข้าด้วยเถอะ แม่ของข้าตายไปแล้วและข้าเองก็ไม่มีอำนาจอะไร…. ‘
ตอนนั้นผมก็ตระหนักว่านี้ครั้งแรกที่ผมสามารถเป็นความหวังให้กับคนอื่นและผมก็อยากมอบความหวังให้กับเธอเช่นกัน
เจ้าหญิงยังไม่รู้ชื่อของผม ผมแนะนำตัวเองฐานะ คิมสปริง เธอถามผมว่าชื่อของผมคือ ‘ไคด์สปริง’ เพื่อให้ชัดเจนผมพยักหน้า
ชีวิตที่อ้างว้างไม่มีผู้ปกครอง เพื่อนและความรัก
‘…ผมสาบานด้วยชื่อของผมว่าจะรับใช้ฝ่าพระบาทตลอดไป’
[แน่นอนผมไม่เสียใจที่อุทิศชีวิตให้กับใครบางคน]
[นี้คือเนื้อเรื่องของ คิมชุนดง]
ผมหัวเราะกับตัวเองในขณะที่ผมอ่านไดอารี่ของ คิมชุนดง สรุปโดยรวมเมื่อผมแทนที่ คิมชุนดง บนโลก คิมชุนดง ตัวจริง ก็ได้ถูกส่งไปต่างโลกไม่สิเป็น ‘อดีต’ ของต่างโลก
“มีอะไรตลกงั้นเหรอ?”
จินซาฮยอค ขมวดคิ้ว ตอนนี้เธอจริงจังมาก ผมเริ่มเตรียมคำตอบในหัวของผม แต่ผมควรจะพูดอะไรในสถานการณ์แบบนี้?
ไม่ว่าผมจะคิดนานแค่ไหนผมก็ไม่มีคำตอบที่ ‘ถูกต้อง’
“…อะแฮ่ม.”
ผมล้างคอของผม จินซาฮยอค ถามด้วยสีหน้าขมขื่น
“…นายยังเกลียดฉันอยู่เหรอ”
“… .”
ผมจ้องมองไปที่ จินซาฮยอค อย่างเงียบๆ อารมณ์หลายอย่างอยู่ในดวงตาของผม ผมควรจะบอกว่าไม่ผมควรจะยืนยันว่าผมไม่ใช่คิมชุนดง หรือเปล่านะ…? แต่จิตใจของผมไม่ยอมโกหก [การซิงโครไนซ์] ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงภายในตัวผม
“อยู่กับฉันอีกครั้งเถอะ”
จินซาฮยอค พูดต่อดูเหมือนว่าเธอจะมั่นใจว่าผมคือ คิมชุนดง
“พวกเราจะเริ่มทุกอย่างใหม่ตอนที่กลับไปที่บ้านเกิดของพวกเรา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนพวกเราก็ต้องกลับไปที่ พัลซาร์ นายไม่คิดอย่างงั้นเหรอ?”
“… .”
คำพูดของเธอทำให้ผมจริงจังขึ้นมาเช่นกัน ความปรารถนาเดียวของ จินซาฮยอค คือกลับไปที่ อคทรีน่า และสร้าง พัลซาร์ ใหม่ แต่การเปลี่ยนแปลงอาณาจักรอสูรของ อคทรีน่า ได้จบสิ้นลงไปนานแล้ว แม้ว่าเธอจะย้อนเวลากลับไปการทำเช่นนั้นก็เป็นการฆ่าตัวตาย
“…ทวีปอยู่ภายใต้การควบคุมของมารแล้ว การฟื้นฟูเป็นไปไม่ได้”
ผมไม่เห็นด้วยแน่นอน แต่ จินซาฮยอค ก็ยืนกราน
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉันก็จะตายที่นั้น ฉันเป็นราชาแห่ง พัลซาร์
ชีวิตนอก พัลซาร์ นั้นไม่มีความหมายสำหรับฉัน ถ้าฉันจะตาย ฉันจะตายในประเทศของฉัน”
จินซาฮยอค เลือกแล้ว สำหรับเธอแล้วการประนีประนอมไม่ใช่ตัวเลือก ความปรารถนาของเธอเป็นเหตุผลพื้นฐานสำหรับการดำรงอยู่ของเธอ แต่คำตอบของผมถูกกำหนดไว้แล้วตั้งแต่แรก
“ฉันปฏิเสธ.”
“… .”
ไหล่ของจินซาฮยอค สั่นไหว เธอไม่ได้พยายามซ่อนความโกรธของเธอ เอาไว้ แต่ความโกรธของเธอพุ่งตรงไปที่ตัวเธอไม่ใช่ผม
“มันดึกมาแล้ว. ไปนอนเถอะ.”
ผมชี้ไปที่ประตู ถึงกระนั้นจินซาฮยอค ก็มองมาที่ผมโดยไม่ยอมขยับ
ริมฝีปากของเธอสั่นไหวเล็กน้อยราวกับว่ามีอะไรจะพูด แต่ไม่มีคำพูดออกมาจากปากของเธอ
คลิก.
ในที่สุดผมก็ปิดไฟแล้วคลานเข้าไปในเตียงของผม ประมาณครึ่งชั่วโมงผ่าน จินซาฮยอค ก็จากไป
“เฮ้ออออออออออ… .”
ผมคิดถึง คิมชุนดง จนฝังอยู่ใต้ผ้าห่ม
แต่ผมไม่สามารถหาคำตอบที่ชัดเจนสำหรับคำถามในหัวของผมได้
ผมยิ่งคิดยิ่งรู้สึกมากขึ้น
*************************************************************************
…วันใหม่เริ่มขึ้น จินซาฮยอค นอนไม่หลับ ความคิดอันความปวดร้าวและความทุกข์ทรมาณ หลอกหลอนเธอ เธอไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน
เธอได้ข้อสรุปมาข้อหนึ่งแล้ว
‘แน่นอนเขาไม่ยกโทษให้ฉันสุดท้าย ฉันก็ยังไม่รู้จะบอกขอโทษเขายังไง’
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอไม่เข้าใจ
‘ทำไมคิมฮาจินถึงชอบตัวเองในอดีตของผม ‘เฟฮี ‘? เธอมันไม่มีอะไรดี’
“…ชิ.”
ทันใดนั้น จินซาฮยอค ก็หันมาจ้องมองดวงอาทิตย์นอกหน้าต่าง
ดวงอาทิตย์ขึ้นอย่างสง่างามและส่องลงมาบนภูเขาและลำธารเบื้องล่าง มุมมองของบ้านเกิดของเธอนั้นยังคงสวยงามเหมือนเช่นเคย
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้า….”
ทั้งหมดนี้มันก็มีความสุขและสบายเกินกว่าจะเป็นภาพลวงตา เธออยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้เหรอ? หากเธอขัดขวางผู้อื่นจากการเก็บเศษคริสตัล
เธอจะอยู่ที่นี่ในอาณาจักรของเธอได้ตลอดไป บางทีนั่นอาจไม่ใช่ความคิดที่เลวร้าย
… แต่เธอรู้ว่าเธอไม่ควรทำแบบนั้น
นี่ไม่ใช่ อคทรีน่า ที่แท้จริงและมันผิดในฐานะราชาที่จะตั้งถิ่นฐานให้กับคนปลอมๆมากกว่าของจริง กษัตริย์ไม่ควรนิ่งนอนใจ กษัตริย์ควรปกป้องประชาชนและดินแดนของตัวเอง กษัตริย์ไม่ควรละทิ้งประเทศของตัวเอง กษัตริย์ควร….
– ไม่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องทำ!
ทันใดนั้นเสียงบ้าๆบอ ๆ ก็ขัดจังหวะความคิดของเธอ เธอลุกขึ้นอย่างช้าๆและมองออกไปนอกหน้าต่างพบว่าคนแคระที่ชื่อว่าเอเลี่ยนหรืออะไรสักอย่างกำลังซ่อมกำแพงปราสาท
– ดูนี่ พลังเวทมนต์นี้จะซ่อมแซมกำแพง!
ทันทีที่เธอตะโกนซีเมนต์ก็เริ่มยึดและจัดแนวตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบกับผนัง พรสวรรค์นั่นชัดเจนว่าทำให้คนแคระสูญเสียอะไรบ้างอย่างไป
– ฮืม? คุณ ไอลีน คุณตื่นแต่เช้าเลยนะ
จินเซยอน เดินไปหาคนแคระด้วยรอยยิ้มที่สดใสเธอลูบหัวของไอลีน
– แน่นอน คิมฮาจินบอกว่าเขาจะให้ช็อคโกแลตกับฉันน่ะสิ
บทที่ 450 ลางบอกเหตุของการพบเจอ (4)
คิมฮาจิน
ชื่อของเขาเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะทำลายอารมณ์ของ
จินซาฮยอค
“ยัยคนแคระนั่น….”
‘เธอไม่สามารถพูดชื่อเขาง่ายๆแบบนั้น เขาไม่ใช่คนที่เธอคู่ควร เขาเป็นคนรับใช้ของฉัน เขามีชีวิตอยู่เพื่อฉันเท่านั้นไม่ใช่เธอ…. ‘
เป็นอีกครั้งที่เธอสับสน
จินซาฮยอค กัดฟันของเธอแน่นแล้วปิดหน้าต่าง เธอดึงผ้าม่านแล้วนอนบนเตียงในห้องมืดๆ
ตอนนี้เธอต้องการเวลามากในการพิจารณาและตัดสินใจ
*************************************************************************
[ชั้น 30 ปราสาทราชาปีศาจ]
ประกายแห่งทองคำและแสงสีดำปะทะกันในทุกทิศทาง พลังเวทมนต์และพลังงานอสูรหมุนวนก่อให้เกิดวังวน วังวนกลายเป็นพายุไต้ฝุ่นยักษ์ที่ทำลายท้องฟ้าแลแผ่นดินอย่างรุนแรง ประกายไฟทำให้ทุกอย่างดูน่ากลัวและผลลัพธ์ของการต่อสู้นี้อยู่ใจกลางดวงตาของพายุ
ชาย 2 คนยืนอยู่ตรงกลางพายุการปะทะกันของพลังเวทมนต์และพลังปีศาจ ร่างกายทั้งหมดของคิมซูโฮเปล่งประกายสดใสและดาบของเขาแทงอยู่ในหน้าอกของราชาปีศาจ นี่เป็นการบาดแผลที่ร้ายแรง ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าใครเป็นผู้ชนะ
ความเงียบงันทำให้ปราสาทราชาปีศาจเองก็เงียบสงบ
คิมซูโฮ ตัวแข็งค้างพร้อมดาบของเขาที่ติดอยู่ในร่างของราชาปีศาจ ราชาปีศาจไม่เคลื่อนไหว เมื่อมองจากระยะไกลดูเหมือนทั้ง 2 กำลังกอดกันและกัน ความสุขแปลกๆปรากฏในดวงตาของราชาปีศาจ
“เจ้าทำได้แล้ว…เกือบครึ่งปี”
เสียงของราชาดังก้องกังวาน
“ข้ามีช่วงเวลาที่ดี…. มันสนุกมาก…ที่ได้….เฝ้ามองเจ้าเติบโต….”
ราชาปีศาจยิ้มอย่างมีความสุข เขายื่นมือออกไปจับหัวของคิมซูโฮ
ผมสีน้ำตาลซึ่งตอนนี้ค่อนข้างยาวแกว่งไปมาเบาๆตามที่สัมผัสของเขา
“ข้า…จะไม่…ลืมเจ้า…เพราะเจ้าทำให้ความตาย….ของข้า”
ร่างของกษัตริย์เริ่มกลายเป็นฝุ่น ตั้งแต่หัวจรดเท้าร่างกายของเขาเริ่มจางหายไปอย่างช้าๆ คิมซูโฮมองราชาปีศาจด้วยสายตาที่แน่วแน่
คำพูดสุดท้ายของราชาปีศาจสั้นลง
“ขอบคุณ…. ข้ายินดีที่จะ…ยอมรับความตายนี้….”
เขาพูดเบาราวสายลม
ราชาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยและคิมซูโฮในตอนนี้ได้แต่มองดูบัลลังก์ ว่างเปล่า บัลลังก์ที่เคยถูกครอบครองโดยราชาปีศาจบัดนี้มันช่างว่างเปล่า
“…ชั้นสุดท้ายยังอยู่”
แม่มดเข้ามาหาเขา เธอยืนอยู่ข้างหลัง คิมซูโฮ และพูดอย่างใจเย็น
“มันถูกเรียกว่า [ชั้นแห่งการตัดสินใจ]”
บันไดทองคำลอยขึ้นมาเหนือบัลลังก์ เส้นทางสุดท้ายส่องแสงจ้า
คิมซูโฮ พยักหน้าเมื่อเห็นมัน
“ฉันเข้าใจแล้ว.”
“และนี่.”
ทันใดนั้นแม่มดก็ส่งกระดาษให้เขา แม้ว่าเขาจะจับมันไว้โดยสัญชาตญาณ แต่ในไม่ช้าคิมซูโฮก็สับสน
“นี่คือ…?”
“เจ้าได้รับสิทธิ์ให้นำ 1 ในผู้พักอาศัยของหอคอยออกไปข้างนอกในฐานะผู้สนับสนุนของเจ้า”
[คูปองอัญเชิญ]
“และสำหรับข้อมูลของเจ้า Lv.ของข้าคือ 40”
แม่มดกล่าวดึงดูดเขาอย่างชัดเจน คิมซูโฮยิ้มเบาและยืนอยู่หน้าบันไดที่ทอดไปสู่ชั้น 31
วลีต่างๆถูกจารึกไว้บนหน้าของบันไดทองคำ
[บุคคลผู้ใดยังมีบกพร่องทางวิญญาณ ผู้นั้นจะเป็นสุขเพราะอาณาจักรแห่งสวรรค์เป็นของเขาอย่างแท้จริง”
คิมซูโฮ ปีนบันไดโดยอ่านแต่ละวลีทีละคำ
[บัญญัติใหม่แก่ข้าซึ่งรักเจ้าแม้ในขณะนี้ข้าก็ยังรักเจ้า]
หลังจากอ่านวลีนั้นคิมซูโฮก็ค่อนข้างเข้าใจว่าใครเป็นผู้ดูแลคนสุดท้าย
[แม้ว่าเจ้าทำให้ข้าเห็นปัญหามากมาย เจ้าก็จะฟื้นฟูชีวิตของข้าอีกครั้ง; จากส่วนลึกของโลก เจ้าได้นำข้าขึ้นมาอีกครั้ง]
นักบุญที่เกิดจากหญิงพรหมจารีและเป็นศูนย์กลางของศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งผู้ที่เกิดมานั้นเป็นจุดเริ่มต้นของปฏิทินใหม่
(ก่อนคริสต์ศักราช)
พระเยซู.
“อ่า … .”
ในก้าวสุดท้ายของบันได คิมซูโฮยิ้มอย่างสดใส คิมซูโฮปีนขึ้นบันไดไปเพื่อไปหาเขาอย่างขยันขันแข็ง
*************************************************************************
[ทวีป อคทรีน่า]
2 เดือนผ่านไปใน อคทรีน่า ในระหว่างที่พวกเราสร้างกำแพงปราสาทและที่พักอาศัยของชุมชนเสร็จ ปัญหาการขาดแคลนอาหารก็ได้รับการดูแลเป็นส่วนใหญ่
“…แล้วเธอไม่ชอบเรียนเหรอ?”
ขณะนี้ผมกำลังเดินเล่นในสวนและสอน เฟฮี ที่เปล่งประกายพพร้อมดอกไม้เริ่มเบ่งบานในสวนหลวงซึ่ง แต่ว่า….
“ไม่ใช่…ครูของข้าเป็นคนทรยศมันมากเกินไปแม้ว่าข้าจะเป็นราชา”
เฟฮีบ่นอย่างรุนแรง แน่นอน จินซาฮยอค เป็นอาจารย์ของเธอ
“แต่เธอต้องเรียนอย่างหนักเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น”
เฟฮี อยู่ข้างๆผม นี้เป็นภาพของอดีตที่ปรากฏ ดังนั้นการสนทนานี้จึงไม่มีความหมาย แต่ผมก็ยังอยากกระตุ้นเธอ
“อย่างที่เธอรู้แล้วพวกเราไม่ได้อยู่ที่นี่นานหรอก”
พวกเรามีคริสตัลอยู่ในความครอบครองแล้ว มันใช้เวลาไม่นานที่พวกเราได้เศษที่เหลือ 2 ส่วนมา เนื่องจากพวกเราทราบแล้วว่าพวกมันอยู่ในดินแดนของ ชูเบิร์ท
“….จริงเหรอ พวกคุณอยู่ที่นี่ไม่ได้งั้นเหรอ”
ทันใดนั้นเฟฮีก็หยุดขยับ เธอเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยสายตาที่สิ้นหวัง
“จริงสิ…เธอคนนั้นเคยเตือนฉันถึงคนรับใช้เก่าของฉันสินะ”
“… คนรับใช้?”
ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีทิ่มแทงผม เธอกำลังพูดถึง คิมชุนดง สินะ
“ใช่ แต่เขาแก่กว่าคุณมาก ฉันส่งเขาไปเข้าคุกก่อนหน้านี้ดังนั้นฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว แต่ …เขาเป็นคนรับใช้ที่มีค่าที่สุดของฉัน”
เฟฮี กล่าวต่อไปอย่างเคร่งขรึม แต่ผมอดไม่ได้ที่จะคิดว่าเธอนั้นดูน่ารักแม้ว่าจะอารมณ์เสีย ผมอยากหยิกแก้มอ้วนๆของเธอซะ
“แม้ว่าการส่งเขาไปจะเป็นความผิดของฉัน แต่ฉัน…?”
แต่ฉันทำอะไรไม่ได้ เพราะบางคนขวางทางฉัน
“…จินซาฮยอค ว่าไง?”
ราชา สั่นในคำพูดของผม เธอลืมตากว้างและถอยห่าง
“ทำไมเธอมาที่นี่อีกแล้วละ พวกเราเรียนเสร็จแล้วนะวันนี้”
เฟฮี กลัว จินซาฮยอค อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม จินซาฮยอค เข้าหา เฟฮี โดยไม่ลังเล
“ดะ..ดูที่นี่สิ ฉัน…รู้วิธีควบรวมพลังเวทมนต์แล้ว มันไม่ดีพอใช่ไหม…?”
ราชาแสดงท่าทางหวาดกลัวออกมาและเริ่มท่องทุกสิ่งที่เธอเรียนรู้ในก่อนหน้านี้ออกมา อย่างไรก็ตามจินซาฮยอค เข้าหาราชาน้อยและจับข้อมือของเธอเอาไว้ เฟฮี สั่นเล็กน้อยและหลับตาลง
“หากเธอมีเวลามาคุยกัน เธอควรฝึกฝนให้มากกว่านี้”
จินซาฮยอค จ้องมองผมขณะที่เธอดึงเฟฮีไปหาเธอ
“เดี๋ยวก่อน….เดี๋ยวก่อน…ฉันยังไม่ได้ทาน….”
เฟฮี อ้อนวอนแต่จินซาฮยอค ไม่สนใจ เธอลากราชาน้อยออกไปแบบบังคับ
“…โธ่.”
ผมมองดูพวกเธอจากไปขณะที่เอา [แว่นขยายลึกลับ] ออกมา เพื่อค้นหาว่าเกิดอารมณ์ความรู้สึกแบบใดในตัวจินซาฮยอค มันคือ……
[อิจฉาริษยา]
จินซาฮยอค รู้สึกอิจฉาตัวเองในอดีตที่คุยกับผม เธอยังคงเชื่อว่าผมเป็นคนรับใช้เก่าของเธอ นั้นเป็นเหตุผลสำหรับเรื่องนี้สินะ
“เฮ้ออออออออ… .”
ผมถอนหายใจหนัก
“นักบวชคิมๆ! ชูเบิร์ท มาที่นี่! เขามาล้อมปราสาทเอาไว้แล้ว!”
ทันใดนั้นอัศวินก็วิ่งมาและตะโกนหาผม
บทที่ 451 ลางบอกเหตุของการพบเจอ (5)
ชูเบิร์ท เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ กองทัพของเขามีจำนวนอย่างน้อย 5,000 คน แม้จะมองอย่างรวดเร็ว
“….”
เฟฮี มองลงไปที่ เคานต์ ชูเบิร์ท และ เรแลน ผู้ทรยศทั้ง 2 จากบนกำแพงปราสาท ชูเบิร์ท มองกลับไปที่อดีตกษัตริย์ของเขาด้วยสายตาเย็นชา
“ราชา ข้าได้ยินมาว่าท่านยอมรับศาลเตี้ยเข้าร่วมกับท่าน”
เขาพูดถึง ชินจงฮัก ขึ้นมา ไอลีน และ จินซาฮยอค ที่ยืนอยู่ข้างๆผมขมวดคิ้ว
“ท่านดูเหมือนจะได้รับทรัพยากรไม่น้อยจากกลุ่มศาลเตี้ย….”
ชูเบิร์ท ดูไม่พอใจ เขาบอกได้เลยว่ากำแพงปราสาทที่ชำรุดของ พัลซาร์ ได้รับการเสริมด้วยวัสดุที่แข็งแกร่ง
“หากท่าน ไม่ส่งมอบกลุ่มคนเหล่านี้มา ทางเราจะประกาศสงครามที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้”
“… .”
เฟฮี ไม่ตอบ ประกาศสงคราม คำ 3 คำนั้นหนักมากบนไหล่ของกษัตริย์น้อย ชูเบิร์ทสังเกตเห็นความหวาดกลัวของเธอขณะที่เขาเยาะเย้ย
“ส่งพวกเขามาตอนนี้ ไม่มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับ พัลซาร์ ถ้าท่านทำตาม ข้าจะรับประกันว่า ท่านจะยังมีสิทธิ์อยู่อีกเล็กน้อย”
เขาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง เฟฮี กำกำปั้นของเธอแน่น
“ไปตายให้หนอนแดกซะ ไอ้คนน่ารังเกียจ -!”
ในขณะนั้นเองมีคนตระโกนออกมาเสียงดัง ภาษาที่ไม่เหมาะสมดังก้องกังวานไปทั่วทั้งปราสาท ทุกคนจ้องมองไปที่เจ้าของเสียงด้วยความงุนงง
จินซาฮยอค
ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เขาจ้องมองที่ จินซาฮยอค โดยสงสัยว่าเขาได้ยินถูกต้องหรือเปล่า ทันทีที่ดวงตาของเขาสบกับ
จินซาฮยอค เธอก็ยิ้มกว้าง
“ฉันอยากจะบอกกับแกแบบนี้มานานแล้ว”
“…ข้ารับใช้ของเจ้าขาดมารยาท บางทีข้าน่าจะรับเธอไปหลังจาก”
ตู้มมมมมมมมมม-!
ก่อนที่ชูเบิร์ทจะสามารถกล่าวจบประโยค หอกของจินซษฮยอคก็กระแทกพื้นต่อหน้าเขา ซ่าาาา…พื้นดินแตกชิ้นส่วนของสิ่งสกปรกและหินพุ่งขึ้นไปในอากาศ พลังเวทมนต์ที่เต็มไปด้วยพลังทำลายล้างอัน
น่าประหลาดใจทำให้ ชูเบิร์ท กลืนน้ำลายของเขา
“มันจะไม่พลาดในครั้งต่อไป หุบปากซะ ถ้าแกไม่อยากตาย”
จินซาฮยอค ได้แสดงความใจเย็นมากกว่าปกติออกมา ชูเบิร์ทมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ
“…อีก 2 เดือน พวกข้าจะมาเอาหัวของเจ้าไป ฝากไว้ก่อนเถอะ”
“น่าขัน พวกเราจะโจมตีแกก่อนแล้ว ไอ้คนทรยศสกปรก”
“… .”
ชูเบิร์ทไม่ได้พูดอะไร เขาส่ายหัวราวกับว่าเขาจะเสียเวลาถ้าจะพูดกับเธอ
“เจ้าได้ยินสิ่งที่เขาพูดใช่ไหม? ว่าเขาประกาศสงคราม”
จินซาฮยอค พูดหลังเห็นการล่าถอยทัพของ ชูเบิร์ท
“พวกเราต้องฝึกฝนอย่างหนักตั้งแต่วันนี้ ไม่สำคัญว่าพวกเจ้าจะเป็นอัศวินหรือทหารธรรมดา ถ้าพวกเจ้าไม่มา ข้าจะ -”
“ชิ.”
เสียงแหลมๆขัดจังหวะของจินซาฮยอค ดวงตาของจินซาฮยอค หันไปรอบๆที่นั่น ชินจงฮัก ยืนอยู่อย่างยโสพร้อมกอดอก
“คิดแต่เรื่องของตัวเองก่อนเถอะ”
“….”
ใบหน้าของ จินซาฮยอค แข็งทื่อ ประกายไฟลอยไปมาระหว่างดวงตาของพวกเขา … อัศวินรอบข้างและทหารถอยออกไปอย่างเงียบๆ ขณะที่ไอลีน ใช้วาจาสิทธิ์พูดออกมา
“หากพวกเธอจะต่อสู้จงลงไปซะ อย่ามาทำลายกำแพง”
จินซาฮยอค และ ชินจงฮัก เชื่อฟังเธอโดยลงไปจากกำแพงปราสาท ทันทีที่พวกเขามาถึงพื้นดินพวกเขาก็เริ่มต่อสู้กับอย่างดุเดือด
ตู้มมมมม – เปรี้ยงงงงงงงง -!
พลังเวทมนต์ระเบิดกลางอาการ การต่อสู้นั้นร้อนแรงพอๆกับบุคลิกของพวกเขา
*************************************************************************
[หอคอยแห่งความปรารถนา ชั้นสุดท้าย – กลุ่มดาวแห่งการตัดสินใจ]
คิมซูโฮเดินตามนักบุญไปที่ชั้น 31 พื้นที่ว่างเปล่าห้อมล้อมรอบด้วยบานกระจกทุกทิศทุกทาง ฉากของหอคอยแห่งความปรารถนาถูกแสดงบนบานกระจก
“ฉันดีใจที่เธอเป็นคนที่มาถึงที่นี่”
นักบุญพูด คิมซูโฮยืนนิ่งและจ้องมองไปที่บานกระจก ชั้น 2,ชั้น 3,ชั้น 8, ชั้น 16 ,ชั้นที่ 21 … เขาเห็นผู้เล่นหลายคนและผู้พักอาศัยอยู่บนหอคอย
“นี่คือสิ่งที่เธอได้ประสบความสำเร็จ”
นักบุญพูดด้วยรอยยิ้ม อย่างไรก็ตามเสียงของเขาแบ่งออกเป็นหลายเสียง คิมซูโฮ รู้สึกแปลกๆ ที่นั่นเขาเห็นสิ่งมีชีวิตมากมายในรูปแบบของวิญญาณ พวกเขาล้วนเป็นสิ่งมีค่าที่อยู่แถวหน้าของศาสนามนุษย์
: พระพุทธเจ้า นบีมุฮัมมัด เป็นต้น
“…ผมขอถามหน่อยได้ไหม”
คิมซูโฮถามพวกเขาในสิ่งที่เขาอยากรู้
“ทำไมผมถึงมาเกิดใหม่ในโลกนี้”
มันช่างโง่ที่จะถามถึงเหตุผลของมัน นักบุญยิ้มเบาๆแล้วส่ายหัว
“เธอจะตระหนักถึงคุณค่าและชะตากรรมของเธอในอนาคตอันใกล้นี้…ยิ่งไปกว่านั้นฉันอยากจะถามเธอ เธอคิดว่าหอคอยนี้ดูเป็นยังไง”
เมื่อได้ยินคำถามนี้คิมซูโฮมองกลับไปที่หน้าต่างบานหน้าต่าง เขาเห็นเมื่อต่างๆ อาณาจักรปีศาจและปีศาจที่กำลังร้องไห้ให้กับข่าวการตายของเจ้านาย พวกเขา
“เธอต้องตัดสินใจ”
คิมซูโฮ มองกลับไปที่นักบุญ
“…การตัดสินใจ คุณเรื่องอะไร”
นักบุญพยักหน้า
“เลือกว่าจะรักษาโลกนี้หรือทำลายมัน”
หอคอยแห่งความปรารถนา มันถูกเรียกเช่นนี้เพราะมันถูกบรรจุความปรารถนาของมนุษยชาติทั้งหมด ผู้อยู่อาศัยหลายคนอาศัยที่อยู่ที่นี่และผู้เล่นจากโลกที่เข้ามาเพื่อท้าทายและเปลี่ยนแปลงตนเองในที่แห่งนี้
ผู้เล่นมีความหวัง ความโลภและความคาดหวัง ผู้อยู่อาศัยให้การต้อนรับพวกเขาในขณะที่อิจฉา อิสระของพวกเขา
อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้ง 2 พอใจในต้นกำเนิดของพวกเขาเหมือนกัน
ผู้อยู่อาศัยในหอคอยพบความสุขในแบบของตัวเอง บางคนยิ้มในขณะที่มองดูลูกๆของพวกเขาเติบโตขึ้นและบางคนก็พบรักใหม่กับผู้เล่นจากโลก
“ผม….”
หอคอยแห่งความปรารถนาได้กลายเป็นโลกเช่นเดียวกับ อคทรีน่า และโลกดาวเคราะห์สีฟ้าที่มนุษย์อาศัยอยู่
ดังนั้น…ไม่มีใครมีอำนาจไปทำลายมันได้
“ผมอยากรักษาโลกนี้เอาไว้”
นักบุญยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดของคิมซูโฮ
“ฉันเข้าใจ แต่การที่จะเกิดขึ้นเธอต้องทำลายหอคอยด้วยมือเธอเอง”
“…อะไรนะ?”
เมื่อเห็นความสับสนของ คิมซูโฮ นักบุญก็ชี้ไปที่ มิสเทลทีน
ดาบศักดิ์สิทธิ์
“ตัด ‘เปลือก’ ที่จำกัดสถานที่นี้ว่าเป็น ‘หอคอย’ แทนที่จะเป็น ‘โลก’ สถานที่แห่งนี้จะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับโลก”
ดวงตาของคิมซูโฮเบิกกว้าง
“ …หอคอยแห่งความปรารถนาจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับโลก”
เขาถามด้วยความอยากรู้จริงๆ นักบุญส่ายหัวและอธิบายต่อไป
“ไม่ พวกมันจะแยกจากกัน ผู้พักอาศัยของ Tower ยังคงไม่สามารถออกเดินทางได้ ในขณะที่ผู้เล่นสามารถเข้าและออกได้ตามต้องการ ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือขอบเขตระหว่างโลกนี้กับหอคอยที่ปรากฏการณ์จะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับโลกนี้จนกลายเป็นนิรันดร์”
คิมซูโฮก็รู้คำว่า ‘ปรากฏการณ์มหัศจรรย์’ มันเป็นสิ่งที่ผู้บริหารบางคนหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้
“แต่สิ่งนี้อาจทำให้วายร้ายที่เลวร้ายที่สุดหรือฮีโร่ผู้กล้าหาญที่สุดในประวัติศาสตร์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง”
คิมซูโฮพยักหน้า เขาไม่จำเป็นต้องคิดมากเกี่ยวกับการตัดสินใจของเขา เขาตัดสินใจแล้วเมื่อนักบุญบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ผมเข้าใจแล้ว.”
การตัดสินใจของคิมซูโฮนั้นไม่ได้เกิดจากความสุขของผู้อยู่อาศัยในหอคอยหรือผู้เล่นของโลก ไม่มีอุดมการณ์ทางปรัชญาหรือเจตนาทางอารมณ์อยู่เบื้องหลัง
“ผมแค่อยากรักษาโลกนี้เอาไว้”
เป็นเพราะนี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
เพราะคิมซูโฮเชื่อมั่นว่ามันเป็นเรื่องที่ ‘ถูกต้อง’
“…ถ้างั้นตัด ‘หอคอย’ แห่งนี้ซะ”
คิมซูโฮยกดาบขึ้น พลังเวทมนต์แผดเผาอยู่รอบตัวเขาในขณะที่เขาเปิดใช้ทักษะขั้นสูงสุดของเขา แสงสีทองที่เปล่งประกายออกมาและคมดาบของ มิสเทลทีน ก็เปล่งประกายอย่างสวยงาม
คิมซูโฮเหวี่ยงดาบศักดิ์สิทธิ์ของเขาลงเพื่อตัด ‘เปลือก’ ที่จำกัดโลกใบนี้กับหอคอยเอาไว้
“-”
ดาบศักดิ์สิทธิ์ ทะลวงไปในจุดกำเนิดของหอคอย
*************************************************************************
[Pandemonium, ฐานของ Chameleon Troupe]
“ …มันโอเคไหม?”
ที่ชั้นใต้ดินชั้น 6 ของฐาน Chameleon Troupe, ชอคจุนกยอง เกาคอของเขาอย่างเชื่องช้า
“ดูเหมือนว่าคุณลงมือหนักเกินไปในขณะที่ใช้ทักษะ ระเบิดพลัง คุณไม่ควรใจร้อนเกินไป”
ยียูริ ตบไหล่ของ ชอคจุนกยอง ต้องขอบคุณเธอเพราะเธอทำให้
ชอคจุนกยอง ได้ค้นพบอาการบาดเจ็บภายในที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำ
“อ๊ะ ขอบคุณนะ…อะแฮ่ม”
ชอคจุนกยอง ลุกขึ้นโดยแสดงความขอบคุณ ในขณะที่เขากำลังจะจากไป แม่ของยียูริก็จับเขาเอาไว้
“รอเดี๋ยวก่อน…คือ…พวกเราจะกลับบ้านได้เมื่อไหร่”
“…อะไรนะ?”
ชอคจุนกยอง หยุดและหันหลังกลับ ใบหน้าที่ดุร้ายของเขาทำให้
ผู้ปกครองของยียูริสะดุ้ง
“ฉันบอกพวกคุณไปแล้วพวกคุณจะกลับไปไม่ได้”
“ตะ-แต่…”
“ถ้าพวกคุณทำแบบนั้น พวกคุณจะไม่ได้เห็นลูกสาวของพวกคุณอีก เธอจะไม่เจอพวกคุณเช่นกัน พวกคุณต้องอยู่ที่นี่อย่างน้อย 5 ปี
มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นเพราะพวกคุณจะได้อยู่ด้วยกันใช่มั้ย”
พลังอันยิ่งใหญ่มาพร้อมความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง ด้วยเหตุนี้ยียูริจึงต้องได้รับการฝึกฝนอย่างเป็นระบบเป็นเวลา 5 ปี ก่อนที่เธอจะสามารถใช้ ‘พลัง’ ของเธอได้อย่างเหมาะสมตามร่างกายของเธอและต้องสามารถจัดการกับมันได้อย่างสมบูรณ์
“ตะ-แต่พวกเราทำแบบนั้นไม่ได้ พวกเรามีงานต้องทำและ -“
“อ้าวนี่.”
บทที่ 452 ลางบอกเหตุของการพบเจอ (6
ชอคจุนกยอง ขว้างทองคำแท่งให้พวกเขา เมื่อคิดว่าอาจจะไม่พอเขาก็ควานหากระเป๋าของเขาแล้วโยนอีก 2-3 ครั้งรวมเป็น 10 กิโลกรัมซึ่งมีมูลค่าประมาณ 500 ล้านวอน
“พวกเราจะให้เงินพวกคุณเท่าที่พวกคุณต้องการ พวกเรามีเพชรโลหิตสำหรับฝึกซ้อมด้วย มีปัญหาอะไรอีกไหม”
พ่อแม่ของยียูริมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการถูกขังอยู่ใต้ดินเป็นเวลา 5 ปี แต่ ชอคจุนกยอง ไม่สนใจ
“นอกจากนี้การออกจากสถานที่แห่งนี้อันตรายเกินไป พวกคุณไม่เข้าใจเหรอ พวกเราจะให้เงินพวกคุณมากกว่าที่พวกคุณคิดได้ แค่พวกคุณพักที่นี่ 5 ปี? นั่นมันไม่มากเกินไปใช่ไหม?”
“… .”
‘พวกเราไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว’ พ่อแม่ของ ยียูริ ถอนหายใจและพยักหน้า ยียูริปลอบใจพ่อแม่ของเธอ จริงๆแล้วมันเหมือนกันสำหรับเธอไม่ว่าเธอจะถูกขังอยู่ที่นี่หรือใน หอคอยแห่งฮีโร่ ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือที่นี่เธอเจอเด็กชายอายุเท่ากับชื่อโดรน
ยียูริเขินอาย เมื่อเธอคิดถึงเขา และแล้ว…….
คลื่นนนนนนน…
แผ่นดินไหวขนาดเล็กเป็นระลอกๆ ชอคจุนกยอง รู้สึกว่ามันไม่เป็นธรรมชาติและเขาวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เขาใช้เวลาเพียง 3 วินาทีเพื่อไปที่สำนักงานของบอสบนชั้นใต้ดินที่ 3
“บอส! คุณรู้สึกอะไรตอนนี้ไหม”
ชอคจุนกยอง เรียกบอสทันทีที่เขามาถึง เขามองอย่างงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง บอส สวมหัวหมีอะไรสักอย่าง
“อืม นายมาแล้วเหรอ ชอคจุนกยอง”
“…บอสนั่นอะไรน่ะ?”
“โอ้นี่เหรอ? ฉันได้ไอเท็มดีๆมาน่ะมันใช้งานได้กับไอเท็ม Lv.4 และ
ต่ำกว่าเท่านั้นดังนั้นฉันจึงเลือกตัวนี้
มันเป็นของขวัญชิ้นแรกที่เธอได้รับจากคิมฮาจิน
บอสเล่นกับแก้มของหมีด้วยรอยยิ้มที่น่าพึงพอใจ
“มันแปลกมากมันมีความสัมพันธ์ทางเวทมนตร์สูง ฉันชอบมันมากเลยละ”
“เอ่อ…คุณรู้สึกถึงแผ่นดินไหวครั้งนี้ไหม”
“อ้อ นั่นเหรอ?”
บอสมองอย่างสบายๆไปนอกหน้าต่าง แสงสีทองกระพริบบนท้องฟ้า
“ดูเหมือนว่าหอคอยแห่งความปรารถนาจะสิ้นสุดลงแล้ว”
“หอคอยแห่งความปรารถนา…จบแล้วเหรอ”
“ใช่แล้วคิมซูโฮต้องทำแบบนี้”
คลื่นนนนน…ในขณะนั้นแสงสีทองอันสว่างไสวแผ่กระจายไปทั่วทั้งท้องฟ้า คลื่นแสงที่ส่งสัญญาณถึงจุดจบของหอคอยนั้นถูกมองเห็นโดยมนุษย์ทุกคน
[ผู้เล่น ปรมจารย์ดาบศักดิ์สิทธิ์ ได้เอาชนะ]
*************************************************************************
[อคทรีน่า]
เฟฮี เตรียมพร้อมสำหรับการทำสงครามกับ ชูเบิร์ท เธอมีทหารจำนวนมากในกองกำลังของเธอ หลังจากได้ยินว่า พัลซาร์ ได้รับการฟื้นฟูและศาลเตี้ยได้เข้าร่วมกับเธอแล้วมีคนกว่า 4,000 คนตัดสินใจที่จะมาที่เมืองหลวงจากทั่ว อคทรีน่า ตอนนี้ประชากรของ พัลซาร์ ถึง 13000
จินซาฮยอค ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการคัดเลือกผู้มีความสามารถมากที่สุด 3,000 คนเพื่อก่อตั้งกองทัพของเธอ
โชคดีที่มีอาหารมากเกินพอที่จะไปไหนมาไหน เศษผลึกทั้ง 3 ที่พวกเขาเก็บรวบรวมมานั้นทำให้มีปศุสัตว์เพียงพอและพื้นที่เพาะปลูกที่
อุดมสมบูรณ์ของพวกเขาสามารถเก็บเกี่ยวได้ทุกๆ 2~3 สัปดาห์
เหมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือของ พัลซาร์ กลับมาปฏิบัติการอีกครั้ง กษัตริย์รวบรวมคนงานด้วยอาหารเป็นค่าแรงกว่า 100 คนหรือมากกว่านั้นเป็นอาสาสมัครในนั้น ไอลีนเป็นคนหนึ่งที่กลายเป็นหัวหน้างานของพวกเขา คำพูดของเธอช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของพวกเขาอย่างมาก
เมื่อขุดแร่แล้วโรงตีเหล็กก็กลับเข้าสู่การทำงาน อียองฮา ใช้พลังของเขาเพื่อละลายแร่และผมใช้ความชำนาญของ คนแคระหนุ่ม เพื่อสร้างเกราะและอาวุธ
[ความคล่องแคล่วของ คนแคระหนุ่ม เพิ่มระดับเป็น 3!]
หลังจากผ่านไปประมาณ 1 เดือนในการสร้างชุดเกราะและดาบ 20 เล่มต่อวันความชำนาญของ คนแคระหนุ่ม ก็เพิ่มขึ้นเป็นระดับ 3
“…เมืองหลวงเปลี่ยนไปมาก ขอบคุณพวกคุณทุกคนนะ”
ขณะนี้พวกเราอยู่ในห้องนอนของกษัตริย์ เฟฮี ยิ้มอย่างมีความสุขขณะที่เธอนอนอยู่บนเตียง
“พวกเรายังคงมีอุปสรรคอีกหลายอย่างที่ต้องผ่านไป”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ฉันต้องกลัวอะไร การสร้าง พัลซาร์ ใหม่เหลือแค่เวลาเท่านั้น”
“…เธอควรจะนอนได้แล้วนะ. มันสายแล้ว.”
“….”
อย่างไรก็ตาม เฟฮี ปฏิเสธที่จะเข้านอน เธอดูเหมือนจะหวังอะไรบางอย่าง ผมยิ้มและหยิบหนังสือที่ผมนำมา มันคือโรมิโอและจูเลียตซึ่งผมคัดลอกโดยการเข้าถึงแล็ปท็อปผ่านสายตาของผม ดวงตาของเฟฮีเปล่งประกาย
“เธออยากอ่านก่อนเข้านอนอีกแล้วใช่ไหม”
“ชะ-ใช่ คราวนี้เป็นแนวไหนกันเหรอ?”
เฟฮี หรับหนังสืออย่างรวดเร็ว
“มันเป็นเรื่องราวความรัก โศกนาฏกรรม”
“โศกนาฏกรรม….”
เฟฮี แสดงสีหน้าเศร้าๆเมื่อเธอเปิดหนังสือ ผมปล่อยให้เธออ่านและออกจากห้องอย่างช้าๆ
“…เฮ้อออออออออ”
ผมถอนหายใจแล้วเดินลงบันได ทันใดนั้นผมก็นึกถึงเศษคริสตัน ผมมี 3 อันอยู่ในความครอบครองของผมและผมรู้ว่าอีก 2 อันอยู่ที่ไหน อันหนึ่งถูกจับโดย เคานต์ ชูเบิร์ท ในขณะที่อีกอันถือโดย เรแลน อัศวินของเขา
สำหรับเศษผลึกที่ 6 …ผมไม่จำเป็นต้องมองหามัน มันซ่อนอยู่ในห้องนอนของเฟฮี เธอพยายามซ่อนมันไว้เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเรากลับไป
“นายถอนหายใจอะไร?”
ขณะที่ผมกำลังเดินลงบันไดเสียงแหลมๆของจินซาฮยอคก็ดังขึ้น
“… .”
เธอยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของบันได ตัดสินจากผมที่เกรียมเล็กน้อยแล้วเธอคงต่อสู้กับชินจงฮัคเมื่อไม่นานมานี้
เธอพูดว่า “พวกนายไม่อยากกลับแล้วเหรอ?”
ผมส่ายหัวและตอบโต้ “ไม่ละ แล้วเธอล่ะ? เธอไม่อยากอยู่ที่นี่ตลอดไปเหรอ?”
“นายกำลังพูดถึงอะไร”
“พูฮาเรน ไม่ได้อยู่ในโลกนี้”
คิมซูโฮไม่ได้อยู่ในอดีตนี้ พูฮาเรนที่กลายเป็นปีศาจและทำลายอาณาจักรก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลเดียวกัน ทำให้โลกนี้ยังดำเนินต่อไปได้อีกนาน
แต่สำหรับผมก็ประหลาดใจ จินซาฮยอค ปฏิเสธในทันที
“ฉันไม่สนใจของปลอม”
“…เป็นอย่างนั้นเหรอ?”
“แต่นายดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น”
“อะไรนะ?”
เหตุผลที่ผมอยู่ใกล้ชิดกับ เฟฮี คือการได้รับ ‘รางวัล’ ที่ผู้เขียนร่วมวางแผนไว้สำหรับผม แต่จินซาฮยอค ที่ไม่รู้เรื่องนี้เลยทำตัวแปลกๆไป
“เฟฮี ที่นายกำลังพูดถึงนั้นเป็นของปลอม”
“…ฉันรู้แล้ว.’
“นายเหรอรู้?”
จินซาฮยอค จริงจัง เธอก้าวเข้ามาหาผม ผมควรจะบอกเธอไหมว่าผมไม่ใช่ คิมชุนดง? แต่แม้ว่าจะต้องการแบบนั้น….ผมก็…
[การซิงโครไนซ์ – 8%]
อัตราการซิงโครไนซ์สูงเกิน 8% หมายความว่าอย่างน้อยเท้าของผมก็คือคิมชุนดง มันคงจะเป็นการดีที่สุดที่จะเงียบเอาไว้ในขณะที่คุยกับ
จินซาฮยอค
“ไปนอนเถอะ.”
ผมเดินผ่าน จินซาฮยอค ที่กำลังขวางทาง ในขณะที่ผมกำลังเดินนั้นเสียงของจินซาฮยอคก็ดังขึ้น
“…ราชาของนายไม่ใช่เธอ แต่เป็นฉัน”
ผมไม่สนใจเธอและเดินต่อไป
“ฉันเป็นของจริง!”
‘เมื่อไรเธอจะตะโกนนะ อีก 1 วินาทีหรือเปล่า?’ อย่างที่ผมคิดว่าเธอ
กรีดร้องออกมาเต็มปอดของเธอ
“คิมฮาจิน -! ฉันเป็นของจริง-!”
เหมือนเธอกำลังถ่ายละคร ผมไม่ได้พูดอะไรเลยและกลับลงมาชั้นล่างที่ชั้น 1 ไอลีน และ ซอยองจี อยู่ในห้องรับรองชั้น 1
“ ….”
“ ….”
พวกเธอได้ยินการสนทนาของพวกเราหรือเปล่านะ ผมคิดว่ารู้เมื่อเห็นมือของพวกเธอกำลังสั่นเล็กน้อย
“คุณ ไอลีน เป็นยังไงบ้าง?”
“ฉะ-ฉัน? อ้อ ฉันกินช็อคโกแลต งับ, งับ.”
มันน่าอึดอัดใจถ้าไม่ได้อธิบายสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่ได้ยินพวกเรา … ผมถอนหายใจ ในขณะนั้นเองเสียงที่ดังกว่า
จินซาฮยอค ก็ดังขึ้นผ่านลูกบอลคริสตัลของพระราชวัง
– เรื่องฉุกเฉิน! กองทัพของ ชูเบิร์ทกำลังเคลื่อนไหว!
ทุกคนในห้องรับรองกระโดดด้วยความประหลาดใจ พวกมันเคลื่อนไหวแล้วเหรอ? พวกเรารีบวิ่งไปที่กำแพงปราสาท ทหารและอัศวินหลายคนรออยู่ในสถานะเตรียมพร้อมแล้ว
“นักบวช คิม!”
อัศวินเรียกผม ผมกระโดดไปบนกำแพงปราสาท
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ มองไปตรงนั่นสิ”
อัศวินชี้ไปที่ขอบฟ้า แน่นอนผมเห็นบางสิ่งบางอย่างที่เคลื่อนไหว
ดวงตาของผมเบิกกว้างและจ้องที่มันอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม …
“…ห่าอะไรวะนั้น?”
“คุณเห็นพวกมันเหรอ”
“ ใช่ แต่พวกมันคือ….”
คนที่วิ่งมาที่นี่ไม่ใช่ศัตรู พวกเขาเป็นพลเมือง ผู้ลี้ภัยที่มาที่นี่
– ไอยา
– แม่ ผมทิ้งของเล่นไว้ข้างหลัง….
– อา ฉันเดินไม่ไหวแล้ว
ผมเน้นพลังเวทย์ของรอยสักไปที่ดวงตาของผม วิสัยทัศน์ของผมแผ่ขยายออกไปผ่านผู้ลี้ภัยที่เดินขบวนผ่านภูเขาและแม่น้ำจนกว่าจะถึงปราสาทของ ชูเบิร์ท
“… อ่า.”
สิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ที่มีขนาดประมาณ 5 เมตรปกคลุมไปด้วยหมอกแห่งพลังงานปีศาจกำลังทำลายทุกสิ่งที่เห็น เมื่อผมเห็นมันการแจ้งเตือนใหม่ก็โผล่ขึ้นมาต่อหน้าต่อตาผม
[เป้าหมายที่สาม – หยุดปีศาจหรือหลบหนีจากเนื้อเรื่องในอดีต]
พูฮาเรน น้องชายของ จินซาฮยอค มันคือ พูฮาเรน ผู้ซึ่งต่อมากลายเป็นปีศาจได้เกิดขึ้นจริงในโลกใบนี้
“อึ….”
ชูเบิร์ท เป็นเพียงแค่เริ่มต้นงั้นเหรอ
บทที่ 453 รวมพล (1)
ถึงแม้ว่า พูฮาเรน น้องชายของเฟฮีจะเป็นสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดของราชวงศ์แม้เขาจะเป็นลูกชายคนเดียวของราชินี แต่ พูฮาเรน ก็ถูกตั้งชื่อให้เป็นเจ้าชายแห่ง พัลซาร์ แต่เขาอ่อนโยนและอ่อนแอตามธรรมชาติและเขาไม่สนใจบัลลังก์ เขายังเด็กเกินไปที่จะเป็นราชา
ดังนั้นหลังจากการสิ้นพระชนม์ของอดีตกษัตริย์ เฟฮี เลยช่วยเหลือ
น้องชายของเธอและกลายเป็นกษัตริย์แทน พูฮาเรน อย่างลับๆ
แต่เกิดเรื่องบังเอิญขึ้นอย่างปริศนา หลังจากวันนั้นพี่ชายและน้องสาวของ เฟฮี ก็เริ่มจะตายลงใต้สถานการณ์ลึกลับ ทายาทคนที่ 3 และ 4 ได้ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงและทายาทคนที่ 2 เสียชีวิตจากอาหารเป็นพิษปล่อยให้ เฟฮี ที่อยู่เบื้องหลังกลายเป็นบุคคลเดียวที่มีสิทธิ์ครองบัลลังก์
“มาร?”
จินซาฮยอค เดินเข้ามาหาผมทำลายความคิดของผม ผมพยักหน้าและตอบ “พูฮาเรน อยู่ตรงนั้น”
ใบหน้าของจินซาฮยอค แข็งค้างทันที เธอหันมาเผชิญหน้ากับผมด้วยท่าทางประหลาดใจอย่างที่สุด
“พูอะไรนะ พูฮาเรน!”
“ใช่.”
“แต่นายบอกว่าเขาไม่ได้อยู่ที่นี่!”
“นั่นคือสิ่งที่ฉันคิดในตอนนั้น”
“แล้วมันยังไงกันแน่….”
ภายใต้ความตกใจของจินซาฮยอค เมื่อมองไปที่ผนังอีกด้านหนึ่ง ผู้ลี้ภัยกำลังเข้ามาใกล้ปราสาทเมื่อหมอกของพูฮาเรนซึ่งสร้างจากพลังงานมารแผ่กระจายไปทั่วภูมิทัศน์โดยรอบอย่างเท่าเทียมกัน
“….บัดซบ”
จินซาฮยอค พึมพำ สำหรับเธอพูฮาเรนเป็นสัญลักษณ์ของความกลัว
การตอบสนองของเธอนั้นสมเหตุสมผลเมื่อพิจารณาจาก ‘เนื้อเรื่อง’ ของ พูฮาเรน เขานั้นแข็งแกร่งกว่า พอลคาส
“เกิดอะไรขึ้น?!”
เฟฮีมาในไม่ช้า เธอปีนขึ้นมาอย่างรวดเร็วบนกำแพงปราสาทและมองลงไปด้านล่าง ขบวนของผู้ลี้ภัยถูกขยายออกไปทั่วเส้นขอบฟ้า
“ผู้ลี้ภัย” อัศวินพูด
ผมยืนนิ่งและมองดูผู้ลี้ภัย มีอย่างน้อย 10,000 คน เฟฮี ขมวดคิ้ว
“… ผู้ลี้ภัย?”
“ใช่. ดูเหมือนว่ามีเรื่องในดินแดนของ ชูเบิร์ท พวกเขากำลังพยายามมาพักพิงที่นี่….”
เฟฮีนิ่งเงียบๆ ในขณะที่เธอมองดูพวกเขา พวกเขาก็เดินเข้าไปใกล้ประตูของพระราชวัง
“ฝ่าบาท ได้โปรดออกคำสั่งของท่านกับพวกเรา”
หลังจากรอคอยมานานเหล่าอัศวินก็พูดออกมา เฟฮีมองใบหน้าของเหล่าผู้ลี้ภัย จินซาฮยอค และผมมอง เฟฮี
“… .”
เฟฮี ไตร่ตรองอย่างเงียบๆ เธอไม่แน่ใจว่า พัลซาร์ จะสามารถรับกับจำนวนประชากรที่มากขึ้นได้หรือไม่ แม้ว่าพืชผลจะถูกปลูกในเมืองแต่หากประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า เรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนที่สุดก็คือการขาดแคลนอาหาร นอกจากนี้เธอกำลังเผชิญกับภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกทางศีลธรรม ผู้ลี้ภัยเหล่านั้นเป็นพลเมืองของชูเบิร์ท กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเป็นพวกที่ทรยศต่อกษัตริย์โดยเลือกรับใช้ชูเบิร์ท
“…คนเหล่านั้นเป็นคนทรยศที่ร่วมมือกับชูเบิร์ท”
ในที่สุด เฟฮี ก็อ้าปากพูด ทุกคนได้แต่เศร้าโศกกับสิ่งที่เธอกำลังจะพูด
“แต่……..อย่างไรก็ตาม”
เฟฮีกำกำปั้นของเธอ มือเล็กๆของเธอโอบกอดความมุ่งมั่นที่มั่นคง
“…ผู้คนพยายามที่จะอยู่รอด”
จินซาฮยอค มองดู เฟฮี พูดอย่างงุนงง ผมหวังว่า จินซาฮยอคจะเรียนรู้สัก 1-2 อย่างจาก เฟฮี ซึ่งแตกต่างจากตัวเธอในปัจจุบันโดยสิ้นเชิง
“ดังนั้นฉันก็เป็นฝ่ายผิดถ้าทรยศพวกเขา”
ในที่สุดผู้ลี้ภัยก็มาถึงปราสาท พวกเขาขอร้องให้พวกเราเปิดประตู
เฟฮี มองดูพวกเขาและประกาศว่า “เปิด…ประตู”
“ราชาสั่งให้พวกเราเปิดประตู -!”
อัศวินคำรามอย่างพร้อมเพรียงกัน “เปิดประตู! เปิดประตู!” เสียงร้องดังลั่นประตูเปิดออกอย่างช้าๆ ผู้ลี้ภัยวิ่งเข้าไปในปราสาทพร้อมเสียงเชียร์และความยินดี ในขณะเดียวกันอัศวินที่เหลือก็กระโดดออกจากกำแพงเพื่อปกป้องผู้ลี้ภัย
“บาเรียนี้จะปกป้องพวกเขา”
ไอลีน เปิดใช้งาน วาจาสิทธิ์ ของเธอด้วย
คลื่นนนนนนนนนนนน
กำแพงพลังเวทมนต์ยืดตัวออกไปปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้าในทันที บาเรียขนาดยักษ์นี้จะปกป้องขบวนของผู้ลี้ภัย ขนาดของบาเรียนั้นใหญ่ยักษ์อย่างที่คิดสมเป็น ‘คนแคระที่ยังรอดชีวิต’ เอ้อ…ผมหมายถึง ‘มังกร’
เฟี้ยว…
ลูกศรหลายร้อยดอกพุ่งทะลุผ่านกำแพง พวกมันคือลูกศรเวทมนตร์ของ จินเซยอน ลูกศรแต่ละดอกมุ่งเป้าไปที่สัตว์ประหลาดที่พยายามทำให้
ผู้ลี้ภัยหวาดกลัว
อัศวินจำนวนมากของ ชินจงฮัก อียองฮาและซอยอนจี ต่างก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยปกป้องผู้ลี้ภัย
“ …ทำไมเธอไม่ทำอะไรเลยละ”
ผมสะกิดจินซาฮยอค ที่ยืนนิ่งจ้องมอง เฟฮี เธอสะดุ้งแล้วหันมาทางผม
“…เฮ้ออออออ.”
จินซาฮยอค ถอนหายใจออกมา
“ฉันเคยพูดเรื่องนี้มาก่อนแล้ว แต่…ฉันจะพูดอีกครั้ง” จินซาฮยอค กล่าวพร้อมกำหมัดของเธอแน่น “…ฉันเป็นของจริง นายอย่าลืมซะละ ฉันคนนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น”
จินซาฮยอค กระโดดลงจากป้อมปราการไปยังสนามรบด้านล่าง
*************************************************************************
[เกาหลี หอคอยแห่งวีรบุรุษ]
หลังจากที่คิมซูโฮพิชิตหอคอยแห่งความปรารถนาแล้วเปลือกนอกของหอคอยก็พังทลายลง ในตอนแรกผู้คนสันนิษฐานว่าหอคอยถูกทำลายไปแล้ว ทำลายทั่วโลกเกิดความพันพวน ราคาหุ้นลดลง แต่ไม่นานก็มีการประกาศว่าหอคอยนั้นไม่เสียหายและมีการเปลี่ยนแปลงเพียง
เล็กน้อยเท่านั้น ผู้คนยังสามารถเข้าสู่หอคอยได้และผู้เล่นในหอคอยสามารถดำเนินการผจญภัยต่อไปได้
“…เขาจะออกมาเมื่อไหร่? มันนานมากแล้วนะ”
ในร้านกาแฟบนชั้น 3 ของ [Tower of Heroes] แชนายอน ถาม
ยูยอนฮา ก็ตอบคำถามของเธอ
“สมาคมอาจมีคำถามมากมายที่ต้องถามเขา ส่วนใหญ่เกี่ยวกับรางวัลที่เขาได้รับจากการพิชิตหอคอยและพวกเขายังสงสัยด้วยว่าพวกเขาจะแบ่งปันรางวัลให้กับสมาคมได้ไหมและถ้าเขาทำไม่ได้เขาจะต้องจ่ายภาษีจำนวนที่ไม่น่าเชื่อสำหรับมันออกมา….”
การประชุมของ คิมซูโฮ กับผู้บริหารของสมาคมดำเนินมาเป็นเวลากว่า 3 ชั่วโมงติดต่อกัน ผู้ที่มาฉลองความสำเร็จของเขา ทุกคนรอให้เขากลับมา
“ชิ.”
นี่คือเหตุผลที่ ยูยอนฮา ไม่ชอบสมาคม ความคิดโง่ๆของพวกเขาทำให้เธอโกรธ อะไรคือการจัดประชุมกับคนที่เพิ่งกลับมาจากหอคอยโดยไม่ให้เขาพักแม้แต่นิดเดียว? เธอเดอะลิ้นของเธอด้วยความไม่พอใจ
“ฉันเบื่อหน่ายกับสมาคมพวกนี้แล้วนะ”
แชนายอน พึมพำคำตอบที่คล้ายกันออกมา
“โอ้ นั้น นายอนกับยอนฮา?”
“… ?”
เมื่อเสียงที่นุ่มนวลดังขึ้นมันช่างคุ้นเคยทำให้ทั้งคู่หันหัวไปมอง
หยุนซึงอาผู้นำของกิลด์ ‘ผู้รังสรรค์ศักดิ์สิทธิ์’ อยู่ที่นั่น
“โอ้ ว้าวไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ พี่”
“…สวัสดีคะ.”
แชนายอน มีความสุขที่เจอเธอ แต่ ยูยอนฮา พยายามปกปิดความรู้สึกไม่ใจสบายของเธอเอาไว้
“ดีใจที่ได้เจอพวกเธอทั้งคู่นะ~”
ยุนซึงอานั่งลงที่โต๊ะ
“เธอตัดผมใหม่เหรอ นายอน มันน่ารักมากเลยนะ.”
แชนายอน ไว้ผมหางม้า เธอปัดผมด้วยมือของเธออย่างมีความสุข และเขินอายด้วยคำชมของ ยุนซึงอา
“ฮ่าๆ…ก็ผมมันยาว ฉันเลยตัดสินใจผูกมันไว้ ฉันว่าจะตัดมันแล้วละ”
“แต่เธอไม่ควรทำแบบนั้นนะ ตอนนี้เธอสวยจริงๆ”
ยุนซึงอา ตบแขน แชนายอน แล้วหันไปจ้องมองยูยอนฮา
“อืมแล้ว คุณ ยอนฮา?”
“….คะ”
ยูยอนฮา รู้สึกไม่สบายใจ ยุนซึงอา เองก็คงจะรู้สึกเหมือนกัน มันเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าง ‘ผู้รังสรรค์ศักดิ์สิทธิ์’ กับ
‘Essence of the Strait’ ถึงแม้ว่า จะเป็นกิลด์อันดับ 1 ในปัจจุบันและอยู่ยงคงกระพันแล้วอย่างแท้จริง แต่กิลด์ทั้ง 2 ต่างแข่งขันกันอย่าง
ดุเดือดมายาวนาน
ยุนซึงอาโจมตีก่อน
“ฉันเกือบจะเริ่มรู้สึกเสียใจกับคุณ แต่ฉันดีใจที่ทุกอย่างไปได้ด้วยดี ฉันได้ยินว่า Essence of the Strait ลงทุนเงินจำนวนมากใน หอคอย…. มันคงดีกว่าที่มันไม่ได้ล้มเหลว”
เธอชี้ให้เห็นถึงความจริงที่ว่าแม้ Essence of Strait จะลงทุนในหอคอย จำนวนมหาศาลแต่ ผู้รังสรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ก็จบลงด้วยการชนะการแข่งขัน
“…ใช่. ดูเหมือนว่าผู้คนยังสามารถเข้าหอคอยได้อย่างอิสระตราบใดที่พวกเขามีตั๋วเข้า ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงภายในดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ฉันเชื่อว่าหอคอยนั้นยังเป็นโอกาสเพราะมันเป็นตลาดที่ใหญ่มากจริงๆ”
ยูยอนฮา ตอบอย่างจริงจังกับสายตาที่นุ่มนวลของยุนซึงอา
“แต่มันก็น่าอัปยศที่ถึงแม้ว่าซูโฮจะชนะ แต่วิสาหกิจส่วนใหญ่ที่ทำกำไรภายในหอคอยนั้นอยู่ภายใต้การจัดการโดยกิลด์อื่นๆ เรื่องนี้ฉันต้องขอโทษด้วย”
สงสารและเห็นใจเป็นอาวุธของ ยูยอนฮา คิ้วของยุนซึงอากระตุกเบาๆ
“…อ้าๆ~ ได้โปรดอย่าคิดแบบนั้น ท้ายที่สุดพวกเราก็ได้รางวัลที่ชัดเจนมาในการครอบครองของพวกเราแม้ว่าฉันจะไม่แน่ใจว่ามันเป็นอะไรก็ตาม”
“ขอโทษนะ? แต่ฉันคิดว่ารางวัลเป็นของซูโฮนะ”
ยูยอนฮาแกล้งยิ้มด้วยความเห็นอกเห็นใจ ยุนซึงอาอาพบว่าน้ำเสียงของคู่แข่งของเธอน่าหงุดหงิดเป็นอย่างมากและเส้นเลือดของเธอก็เริ่มปูดออกมาแล้ว
“…คิมซูโฮเป็นคนของผู้รังสรรค์ศักดิ์สิทธิ์ เขาจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าในไม่ช้า~”
“จริงๆเหรอ? ฉันได้ยินมาว่าเงินเดือนของรองหัวหน้าผู้รังสรรค์ศักดิ์สิทธิ์ นั้นเท่ากับหัวหน้าทีมของกิลด์อื่นๆเองนะ….”
ยูยอนฮา พยายามที่จะพูดเรื่องเงินให้อีกฝ่ายอับอาย ยุนซึงอา ก็ตอบโต้ทันทีว่า “นั่นก็ยังดีกว่าการมีหัวหน้าที่บริหารจัดการทุกอย่างในกิลด์เองไม่ใช่เหรอ”
“…ฮ่าๆๆๆ~”
“ฮ่าๆๆๆ.”
และในขณะที่ทั้ง 2 ยิ้มให้กัน ใบมีดที่ซุ่มซ่อนอยู่ในรอยยิ้มของพวกเธอก็ทำให้แชนายอนเลือกที่จะไม่สนใจในบทสนทนานี้อย่างสิ้นเชิง
“เมื่อไม่นานมานี้ผู้คนจำนวนมากพูดคุยเกี่ยวกับวิธีการที่เธอเป็นผู้นำของ-”
“โอ้ ใช่ๆ!”
ยูยอนฮา ขัดจังหวะของ ยุนซึงอา เธอยิ้มและปรบมือ
“ฉันได้ยินมาว่าพึ่งผ่านวันเกิดของคุณมาเมื่อไม่นานมานี้ ขอแสดงความยินดีด้วย ตอนนี้คุณอายุเท่าไหร่? 32? 33?”
“… .”
นั่นเป็นเรื่องอันตรายถึงชีวิต ยุนซึงอาพูดอะไรไม่ออกใบหน้าของเธอแข็งค้าง เธออยากชี้ให้เห็นว่าคำถามนี้ไม่ยุติธรรม แต่เธอทำไม่ได้เพราะการทำเช่นนั้นจะเปิดเผยความสั่นไหวของเธอเกี่ยวกับเรื่องอายุออกมา
—————2—————
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น