The Great Worm Lich 120-186

 120

ชายหนุ่มบนชายฝั่งพากันส่งเสียงโห่ร้องเมื่อเห็นเงาผอม ๆ ลงมาจากรถลีมูซีนที่เพิ่งมาถึงก่อนที่พวกเขาจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นใคร ในขณะเดียวกันนักข่าวก็เริ่มถ่ายภาพอย่างต่อเนื่องด้วยกล้องขนาดใหญ่ทันที เมื่อแสงแฟลชดับลงไปชั่วขณะทุกคนก็โห่ร้องโวยวายเพราะตระหนักได้ว่าคนที่พวกเขากำลังให้ความสนใจไปเมื่อสักครู่นี้นั้นเป็นเพียงเด็กหนุ่มชาวเอเชียที่พยายามปิดบังใบหน้าของเขาซึ่งเป็นใบหน้าที่พวกเขาไม่คุ้นเคยมาก่อน


 


“บ้าเอ้ย เขาปิดใบหน้าตัวเองทันทีที่ลงจากรถมาเลย มันทำให้ฉันคิดว่าเราจะได้ปลาตัวใหญ่แล้วเชียว แค่ได้รับมอบหมายให้มาทำข่าวบันเทิงก็แย่มากพอแล้ว นี่ยังมีไอ้หนุ่มที่ไหนไม่รู้มาทำตัวจองหองอีก คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? แล้วนั่นเขาถือกระเป๋าผ้าใบไปงานเลี้ยงเนี่ยนะ? เหอะ มีแต่คนงี่เง่าเท่านั้นแหละที่ต้องการถ่ายรูปหนุ่มคนนั้น…” นักข่าวหนุ่มคนหนึ่งที่สวมหมวกเบสบอลเอ่ยปากบ่นขณะมองชายหนุ่มคนนี้ผ่านด่านรักษาความปลอดภัยพร้อมทั้งขึ้นไปบนเรือสำราญภายในพริตา


 


“นี่นาย อย่าได้ดูถูกเด็กชายชาวเอเชียผิวเหลืองเป็นอันขาดนะรู้ไหม 2 – 3 ปีก่อนมีนักข่าวจากวอชิงตันสตาร์จับภาพเด็กชายเอเชียที่ไม่มีใครรู้จักในงานปาร์ตี้อันยิ่งใหญ่ของอันเดรอาได้โดยไม่ได้ตั้งใจ ต่อมาเขาถูกระบุว่าเป็นลูกชายของนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่ซึ่งมาจากประเทศจีน ข่าวนั้นสร้างความตื่นตระหนกให้กับวงการบันเทิงมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว”


 


ปาปารัสซี่ที่มีประสบการณ์ชี้แนะให้เห็นถึงความผิดพลาดของพวกมือใหม่อย่างอ่อนโยน เมื่อเขาพูดจบ เขาก็เห็นประตูรถลีมูซีนถูกเปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เป็นทีน่า ดั๊กลินหนึ่งในตัวละครหลักของงานปาร์ตี้เรือสำราญในครั้งนี้ที่กำลังเดินออกจากรถไปอย่างไม่รีบร้อน


 


“บ้าเอ้ย เด็กคนนั้นมาพร้อมกับทีน่า ดั๊กลิน! เขาเป็นคู่เดตของเธอ แม่ง! คนรวย ๆ พวกนี้ชักมีเล่ห์เหลี่ยมมากขึ้นทุกวัน!” นักข่าวที่มีประสบการณ์สบถเบา ๆ ก่อนจะยกกล้องขนาดใหญ่ในมือของเขาขึ้นมาถ่ายภาพ เขาพยามเบียดผู้คนมากกว่า 10 คนพร้อมทั้งส่งเสียงตะโกนที่ไร้ประโยชน์ “มิสทีน่า ทางนี้ครับทางนี้! มองทางนี้บ้าง! ขอทราบได้ไหมว่าเด็กหนุ่มที่มากับคุณเมื่อสักครู่นี้ใช่แฟนใหม่ของคุณหรือเปล่า? ผมได้ยินว่าแฟนเก่าของคุณและน้องชายของคุณทริชประสบปัญหาในการไปที่ป่าอเมซอนนี่เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าครับ?”


 


ทีน่าเพิกเฉยต่อแฟน ๆ และนักข่าวที่กำลังตะโกนเรียกร้องเพื่อถ่ายรูปในขณะโบกมือซ้ายขวาให้อย่างสุภาพ เธอเดินไปที่บันไดขึ้นเรือของควีน อลิซาเบธ ฮอลลิเดย์อย่างช้า ๆ พร้อมการคุ้มกันจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ในที่สุดเธอก็หันหลังกลับมาและยิ้มให้อย่างอ่อนโยนก่อนจะหายไปจากวิสัยทัศน์ของทุกคนในไม่ช้า


 


มุมมองเริ่มกว้างใหญ่และทางเดินก็สว่างไสวมากขึ้นเมื่อเธอขึ้นไปบนเรือ ภายใต้ดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงพราวประกาย ทีน่าเดินอย่างเงียบ ๆ ไปที่ด้านหนึ่งของเรือที่ติดกับริมทะเลหลังจากทักทายเพื่อน 2 คนที่สังเกตเห็นเธอเสร็จ เธอเดินไปหาจางลี่เฉินผู้ซึ่งกำลังมองดูมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ “ลี่เฉิน ไปเปลี่ยนชุดก่อนเถอะ เดี๋ยวแขกคนอื่น ๆ ก็จะมาถึงเร็ว ๆ นี้แล้ว”


 


ชายหนุ่มพยักหน้าและเดินตามหญิงสาวไปที่ห้องพักโดยสารของเรือขนาดใหญ่บนชั้น 1 ของควีน อลิซาเบธ ฮอลลิเดย์ เขาพยายามตรวจดูให้แน่ใจว่าพวกเขาทั้ง 2 คนได้แยกกันอย่างปลอดภัยแล้วเพราะเขาไม่ต้องการให้มีข่าวหรือเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้น เขาหยิบสูทออกจากกระเป๋าเป้สะพายหลังแล้วส่งต่อให้ผู้ดูแลเรือเพื่อรีดผ้า หลังจากชุดสูทของเขาถูกทำให้เรียบร้อยไร้รอยยับแล้วเขาก็ถูกบังคับให้ต้องเผชิญกับการแต่งหน้าด้วยสไตลิสต์มืออาชีพ ตอนนี้เขาดูสดใสกว่าเดิมขึ้นมาก ราวกับเป็นเด็กหนุ่มที่ดูฉลาดหลักแหลม อย่างไรก็ตามเขาไม่พอใจกับการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของเขาเลยแม้แต่น้อย เขาพูดกับสไตลิสต์ในขณะมองไปที่กระจก “มิสแฟนนี่ คุณจำเป็นต้องทาแป้งลงบนใบหน้าของผมจริง ๆ น่ะเหรอ? ผมคิดว่ามันแปลกประหลาดมากทีเดียว”


 


“มันไม่ใช่แป้งค่ะ มันเป็นเครื่องมือในการทำให้ผิวของคุณดูสดใสขึ้น มิสเตอร์ลี่เฉิน ในฐานะเด็กในเมืองแห่งศตวรรษใหม่แบบนี้การใช้เครื่องมือเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาของตัวเองในงานปาร์ตี้กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งนะคะ”


 


“แต่พี่ชายที่บ้านของผมไม่เคยใส่ของเล่นเหล่านี้ลงบนใบหน้าของพวกเขาเลยสักครั้งเมื่อเขาย่องออกไปงานปาร์ตี้จากทางประตูหลัง”


 


“นั่นเป็นเหตุผลที่เขารู้สึกผิดและต้องแอบไปปาร์ตี้ยังไงล่ะคะ เอาล่ะมิสเตอร์ลี่เฉิน เชื่อฉันเถอะค่ะ ฉันทำการแก้ไขแบบขั้นพื้นฐานสุด ๆ ลงบนใบหน้าของคุณ มันดูเป็นธรรมชาติมากที่แม้แต่ช่างแต่งหน้ามืออาชีพเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าคุณแต่งหน้าไปแล้ว คุณสามารถดื่ม กิน มีเหงื่อ หรือแม้กระทั่งว่ายน้ำในทะเลก็ยังได้ ไม่มีอะไรที่คุณควรเป็นกังวล…”


 


ทันใดนั้นก็มีคนผลักประตูห้องพักออกอย่างแรงในขณะที่สไตลิสต์กำลังพูดอยู่ ชายวัยกลางคนที่มีความสูงปานกลางซึ่งมีลักษณะคล้ายกับทีน่าเดินเข้ามาพร้อมกับก้าวใหญ่ ๆ เขาไม่ได้พูดอะไรหลังจากเข้ามา เขาเงียบไปนานเมื่อเขาจ้องมองไปที่จางลี่เฉินด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยอำนาจ จากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งครัดว่า “มิสเตอร์จางลี่เฉิน…ใช่ไหม?”


 


มันเป็นครั้งแรกของจางลี่เฉินที่รู้สึกวิตกต่อหน้าผู้ชายนับตั้งแต่ที่พ่อจางดาววูถึงแก่กรรม เขามองไปที่ใบหน้าที่ดูเหมือนกับใบหน้าทับซ้อนของทีน่ก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยความหวาดกลัว “ใช่ครับ ส่วนคุณก็คงเป็นมิสเตอร์ดอลบี้ ดั๊กลิน ยินดีที่ได้พบกันครับ” เขายื่นมือไปข้างหน้าเพื่อทักทายด้วยการจับมือ ชายวันกลางตอบรับด้วยการจับมือของจางลี่เฉินอย่างแรง “ฉันดอลบี้ ดั๊กลิน นายผอมกว่าที่ฉันคิดไปมาก แถมยังมีสร้อยข้อมือสีสันสดใสที่ข้อมือของนายอยู่อีก ดูเหมือนว่านายจะรอดชีวิตมาจากอเมซอนได้ด้วยสติปัญญาของนายเป็นหลัก เป็นผู้ชายก็ควรมีร่างกายที่แข็งแรงต่างหากสิ หากนายเป็นเหมือนฉันที่ยืนยันจะไปฝึกมวย 2 ครั้งต่อสัปดาห์และมักจะออกล่าสิงโตในแอฟริกา…”


 


ในขณะที่ดอลบี้กำลังแสดงออกถึงท่าทีที่กล้าหาญของเขาในการ ‘เต้นระบำ’ ไปกับสิงโตที่แอฟริกา เสียงหัวเราะของทีน่าที่อยู่ในชุดยาวสีชมพูสวยงามพร้อมเผยให้เห็นหน้าอกที่ยั่วยวนของเธอได้เดินเข้ามาในห้องพักพร้อมกับหญิงสาวที่สวยงามและดูเป็นผู้ใหญ่ที่เหมือนกับว่าเธอเพิ่งมีอายุได้เพียง 30 เท่านั้น


 


“ดอลบี้ที่รัก ครั้งล่าสุดที่คุณถือปืนมันก็ผ่านมาได้ 2 ปีแล้วนะคะ…” หญิงสาวที่สวยงามอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงหัวเราะเบา ๆ ออกมาหลังจากฟังคำพูดที่อวดดีของดอลบี้


 


“ผมสามารถระเบิดหัวสิงโต 200 ปอนด์ได้ด้วยการยิงเพียงนัดเดียวแม้ว่าผมจะไม่ถือปืนมาเป็นเวลา 10 ปีแล้วก็ตาม” ดอลบี้จ้องไปที่จางลี่เฉินเพื่อข่มเขาและเดินเข้าไปใกล้ลูกสาว “โอ้ นางฟ้าตัวน้อยขอพ่อ วันนี้ลูกสวยมากเลยจ้ะ”


 


“ขอบคุณค่ะพ่อ” ทีน่าจูบแก้มพ่อของเธอขณะยิ้มอย่างมีความสุข “ไม่ต้องไปขู่ลี่เฉินเขาเลย เขาไม่กลัวสิงโตหรือเสือหรอกนะคะ”


 


“เขาอาจไม่กลัวสิงโตหรือเสือแต่ไม่มีใครสามารถทนไฟของพ่อที่โกรธแค้นเวลาลูกสาวถูกรังแกได้หรอก โดยเฉพาะพ่อที่มีความเชี่ยวชาญในการต่อสู้และการล่าสัตว์ และพ่อคนนี้ก็มีฐานะร่ำรวยมากที่สามารถจ้างทนายที่ดีที่สุดให้ได้”


 


“พ่อ หนูรู้ว่าที่พ่อกำลังทำอยู่น่ะเป็นประเพณีของพวกพ่อ ๆ ชาวอเมริกันที่มีลูกสาว แต่ตอนนี้หนูโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ…”


 


“พ่อยังคงเป็นผู้ปกครองของลูกอย่างถูกตามกฎหมายก่อนที่ลูกจะอายุ 21 …”


 


“โธ่ พ่อก็…” ทีน่าจูบแก้มของดอลบี้อีกครั้งและพูดด้วยท่าทางออดอ้อน


 


“เอาล่ะ ที่จริงแล้วฉันตั้งใจจะมาคุยเรื่องอื่นกับนาย มิสเตอร์จางลี่เฉิน…”


 


ผู้ดูแลการล่องเรือเดินมาหาพวกเขาขณะที่ดอลบี้กำลังพูด “มิสทีน่า แขกเกือบทั้งหมดมากับพร้อมแล้วครับ มิสชีล่าและมิสทริชเองก็มาถึงแล้วเช่นกัน คุณสามารถไปที่เลานจ์ชั้น 2 พร้อมกับคู่เดตของคุณในตอนนี้เลยจะได้ไหมครับ?”


 


“ได้สิ” ทีน่าพยักหน้าและยิ้มอย่างหวานชื่นไปที่พ่อของเธอ “รอการเปิดตัวของหนูที่เลาจน์ชั้น 2 ก่อนนะคะพ่อ…แม่ รักนะคะ”


 


“พวกเราก็รักลูกจ้ะลูกรัก ขอให้ลูกมีความสุขและสนุกสนานได้ทุกวันนะ”


 


จากนั้นหญิงสาวก็จับมือจางลี่เฉินและเดินออกจากห้องพักไปหลังจากที่พ่อแม่อวยพรให้เธอ


 


“ลี่เฉิน หวังว่านายจะไม่คิดมากนะ พฤติกรรมพ่อของฉันตอนที่เขาพบนายเป็นครั้งแรกเป็นหนึ่งในประเพณีของพ่อชาวอเมริกันส่วนใหญ่ ฉันได้ยินว่ามิสเตอร์ฮอว์วิคใช้มีดทหารเพื่อหั่นน่องวัวสำหรับทำบาร์บีคิวเมื่อเขาพบวอลเตอร์เป็นครั้งแรกเชียว”


 


“นั่นไม่มากเกินไปหน่อยเหรอ?”


 


“มีเรื่องน่าตกใจมากยิ่งกว่านี้อีก นายไม่ต้องไปกลัวหรือใส่ใจอะไรหรอก แม้ว่าพ่อของฉันจะฆ่าสิงโตแอฟริกาด้วยปืนแต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ทำไมนายดูโล่งใจจังตอนที่ได้ออกจากห้องพักมา?”


 


“จริงเหรอ? ผมไม่เห็นรู้สึกว่าจะเป็นแบบนั้น” จางลี่เฉินปฏิเสธกลับอย่างหัวแข็ง พวกเขาเดินมาถึงลิฟต์พนักงานที่ซ่อนอยู่ในห้องโดยสารตามหลังผู้ดูแลขณะที่พวกเขาพูดคุยและหัวเราะซึ่งกันและกัน เมื่อพวกเขาขึ้นลิฟท์ตรงไปยังชั้น 2 และมาถึงที่เลานจ์อันกว้างขวาง จางลี่เฉินก็เห็นชีล่าในชุดสีแดงที่ดูเหมือนดอกกุหลาบและทริชในชุดลูกไม้สีขาวซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาริมหน้าต่างได้อย่างเงียบ ๆ มีชายหนุ่มที่หล่อเหลาที่ไม่คุ้นหน้าคนหนึ่งที่สีหน้าของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ กำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ พวกเธอด้วย ถัดไปก็คือวอลเตอร์ซึ่งริมฝีปากของเขาจะกระตุกเป็นครั้งคราวพร้อมด้วยดวงตาที่ดูน่ากลัวและกำลังแสดงถึงความโกรธแค้น


 


“ผู้ชายคนนั้นคือใคร?”


 


“คู่เดตชีล่าน่ะ ตอนนี้ชิตตูเข้ารับการรักษาที่สวีเดนอยู่ เขาไม่สามารถกลับมานิวยอร์กได้ทันตามกำหนดเวลา” ทีน่าสังเกตเห็นบรรยากาศขุ่นมัวที่ไกลออกไปเล็กน้อยได้ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้กับเพื่อนสนิททั้งสองของเธอพร้อมทั้งแสร้งทำเป็นไม่สังเกตเห็นอะไรหลังจากตอบคำถามของจางลี่เฉิน “เฮ้ สาว ๆ วันนี้คือวันที่พวกเราจะได้เปิดเผยตัวตนสู่โลกใบนี้แล้ว พร้อมกันหรือยังจ๊ะ?”


 


“ดูบินและฉันพร้อมแล้ว ส่วนทริช…”


 


“ฉันเองก็พร้อมมาตั้งแต่ต้นแล้วถ้ามิสเตอร์ดูบินไม่ทำตัวชวนโมโหใส่วอลเตอร์เสียก่อน”


 


“ฟังนะทริช ดูบินเขาพยายามอธิบายตั้งหลายครั้งแล้วว่าเขาไม่ได้หัวเราะเพราะวอลเตอร์เป็น … อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้หัวเราะเพราะพฤติกรรมของวอลเตอร์แต่เพราะนกนางนวลมันล้มเมื่อมันกำลังจับปลาในทะเลนอกหน้าต่างนั่นต่างหากที่ทำให้เขาหัวเราะ”


 


“นกนางนวลล้มเพราะจับปลา? ฉันเองก็ออกไปเที่ยวทะเลอยู่บ่อย ๆ แต่ทำไมฉันไม่เคยเห็นเรื่องแปลก ๆ แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อนเลยล่ะ?”


 


“ทริช เธอกำลังหาเรื่องอยู่นะ! ก็ได้ ถ้าดูบินหัวเราะเรื่องวอลเตอร์แล้วมันจะทำไม? เขาก็ขอโทษไปแล้วตั้งหลายครั้งนี่ หรือเธอต้องการให้เขาไปนั่งเก้าอี้ไฟฟ้าเพื่อขอโทษเลยล่ะ?”


 


“โอ้ ๆ ทริชและชีล่าที่รัก วันนี้ควรจะเป็นวันดี ๆ ที่มีแต่ควาสุขสิ อย่ามาทะเลาะกันเพียงเพราะเรื่องเข้าใจผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้เลยนะ…”


 


จางลี่เฉินมองออกไปนอกหน้าต่างในขณะที่รู้สึกเบื่อหลังจากเห็นทีน่าเริ่มห้ามปรามทริชและชีล่าจากการทะเลาะกัน ชายหนุ่มเหมือนแน่นิ่งอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกสีฟ้าใสผ่านเพดานที่ทั้งกว้างและสว่างใสโดยเป็นหน้าต่างที่จรดพื้นถึงเพดานบนห้องโดยสารชั้น 2 เมื่อเขาดื่มด่ำไปกับมันเขาก็เห็นแสงสีเหลืองที่คลุมเครือส่องผ่านคลื่นสีฟ้าบนมหาสมุทรได้ในทันใด


 


จางลี่เฉินเริ่มรู้สึกตัวแข็งไปราวกับว่ามีคนเข้ามาบีบหัวใจของเขา เขาขนลุกไปทั่วทั้งตัว โดยไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เขาก็ได้ยินเสียงเบา ๆ ข้าง ๆ หูของเขาซึ่งทำให้เขากลับสู่ความเป็นจริงได้อีกครั้ง “ลี่เฉิน? ลี่เฉิน? เกิดอะไรขึ้น? นายรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”


 


“ผมไม่เป็นอะไร…แต่ ทีน่า เรือลำนี้จะจอดเทียบฝั่งไปตลอดหรือเรือจะล่องไปตามผืนน้ำมหาสมุทร?”


121

“แน่นอนว่าเราจะแล่นเรือออกจากท่า ไม่อย่างนั้นมันคงจะไม่ถูกเรียกว่า ‘ปาร์ตี้ล่องเรือ’ นี่ฉันไม่ได้บอกนายไปแล้วหรอกเหรอว่าปาร์ตี้นี้จะจัดตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงเที่ยงคืนดังนั้นเราจะพักค้างคืนกันบนเรือนี้เลย ทำไม? นายลืมบอกครอบครัวก่อนมาที่นี่หรือไง?”


 


“เปล่า” จางลี่เฉินมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้งและสังเกตเห็นว่าดวงอาทิตย์ที่กำลังเปล่งแสงเริ่มกลับคืนสู่สภาวะปกติอีกครั้ง หลังจากไตร่ตรองสักครู่เขาก็พูดว่า “จริง ๆ แล้วผมไม่เคยเข้าร่วมงานปาร์ตี้ที่ไหนมาก่อนก็เลยถามออกไปแบบนั้น”


 


ใบหน้าของทีน่าแสดงออกถึงความงุนงง อย่างไรก็ตามเธอรู้ดีว่าชายหนุ่มร่างผอมคนข้างหน้านี้จะไม่พูดอะไรมากแม้ว่าเธอจะไล่จี้ถามยังไงก็ตาม “ถ้างั้นก็ช่างเถอะ แต่ว่านะลี่เฉิน ตอนนี้เราต้องไปกันได้แล้ว ปาร์ตี้กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้าและถึงเวลาที่พวกเราจะต้องปรากฎตัวกันเสียที”


 


จางลี่เฉินพยักหน้าเงียบ ๆ ก่อนจะตั้งฉากกับแขนเพื่อให้ทีน่าควงเดิน


 


ภายในห้องโถงขนาดใหญ่ของเรือสำราญชั้น 2 มีบริกรของเรือที่คอยต้อนรับแขกผู้มีเกียรติกันอย่างพลุกพล่าน เหล่าสาว ๆ ฟอร์ดแฮมและเพื่อนชายคู่ใจเริ่มพากันทยอยลงกันมาที่ชั้นล่างโดยใช้ลิฟต์ 3 ตัวที่มองเห็นท้องฟ้าได้


 


บันไดทอดยาวแบบดั้งเดิมที่ถูกปูด้วยพรมแดงในขณะที่เดินรับคำอวยพรจากเพื่อน ๆ และญาติ ๆ อย่างสง่างาม พวกเขาทั้งหมดก็ค่อย ๆ เดินลงไปอย่างช้า ๆ โดยคำนึงถึงขาของวอลเตอร์ที่ยังคงเดินได้ไม่สะดวกเท่าไหร่นัก


 


ในขณะที่พลุพิเศษที่จุดขึ้นในตอนกลางวันพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าจากนอกชาน สาวงามทั้งสามก็ค่อย ๆ เดินออกจากลิฟต์ชมวิวโปร่งใส ผู้คนที่มีส่วนร่วมในปาร์ตี้นี้ไม่ลังเลเลยที่จะส่งเสียงโห่ร้องในลักษณะอึกทึกที่ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคักเพื่อเพิ่มความสุขให้กับชีวิต


 


บรรดาผู้ชายที่อยู่เคียงข้างสาวงามทั้งสาม จางลี่เฉินชายหนุ่มชาวเอเชียที่มีรูปร่างผอมและส่วนสูงที่น้อยกว่าคนอื่นควรจะเป็นจุดเรียกความสนใจจากทุกคนได้ดีที่สุด


 


แต่เพราะการแต่งหน้าโดยช่างแต่งหน้ามืออาชีพมันเลยทำให้รูปร่างหน้าตาของเขาดูดีขึ้นกว่าเดิมมาก ถึงแม้ว่าวอลเตอร์จะพยายามปกปิดมันมากขนาดไหนแต่เขาก็ยังเดินในลักษณะคดเคี้ยวเมื่อเขาเดินออกจากลิฟต์ และการที่ปากของเขายังคงกระตุกอย่างต่อเนื่องนั้นแปลกเกินคนปกติทั่วไป เมื่อเทียบกับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างทีน่าแล้วดูเหมือนว่าวอลเตอร์จะแย่งความสนใจไปได้อย่างดี


 


แขกที่มาร่วมงานต่างพากันตกตะลึงจนพูดไม่ออกแต่พวกเขาก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่วอลเตอร์


 


ภายใต้ความประหลาดใจของแขกทุกคนงานปาร์ตี้นี้ก็ยังคงดำเนินต่อไป สาวงาม 3 คนที่ปรากฏตัวพร้อมกับดอกไม้ไฟที่สว่างสดใสเริ่มรับของขวัญที่พ่อแม่ของพวกเธอเป็นคนมอบให้ทีละคน เนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันที่สำคัญที่สุดในวัฒนธรรมดั้งเดิมของอเมริกา พ่อแม่ผู้มีชื่อเสียงของทั้ง 3 คนจึงไม่คิดตระหนี่กับของขวัญที่จะมอบให้


 


ทีน่าได้รับของขวัญเป็นอพาร์ทเมนต์สุดหรูแห่งหนึ่งในบอสตัน


 


ของขวัญของชีล่าเป็นเรือยอชท์สุดหรูรุ่นใหม่เอี่ยม


 


ในขณะที่ทริชจะได้รับของที่ตรงกันข้ามกับคนอื่น เธอได้รับไม้กางเขนโบราณที่ถูกฝังไว้ด้วยเพชรพร้อมคำสลักลงบนไม้ว่า “ฉันเชื่อในโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ โบสถ์คาทอลิก และอัครสาวก”


 


หลังจากที่หญิงสาวได้รับของขวัญจากคนที่พวกเธอรักที่สุดในชีวิตไปก่อนหน้านี้แล้ว ฝ่ายคู่ควงของพวกเธอก็จะมอบของขวัญให้กับสาวงามของตัวเองอีกด้วยเช่นกัน วอลเตอร์ได้มอบนาฬิกาดำน้ำราโด้สำหรับผู้หญิงให้ และถึงแม้ว่ามันจะดูทรุดโทรมเกินไปนิดหน่อยแต่ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาจะสามารถจ่ายให้ได้ตามความสามารถทางการเงินของเขา


 


ตัวแทนอย่างดูบินเองก็ได้มอบสร้อยข้อมือเพชรคาร์เทียร์ให้อย่างใจกว้าง ซึ่งมันเหมาะกับโอกาสดังกล่าวได้เป็นอย่างดี


 


สุดท้ายจางลี่เฉินผู้ที่ไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีกว่ากันได้มอบสร้อยคอที่ตัวจี้ทำจากเพชรสีชมพูใสที่มีน้ำหนักมากกว่า 5 กะรัต เพียงแวบเดียวก็สามารถบอกได้แล้วว่านี่เป็นอัญมณีปลอมหรือเป็นของอย่างใดอย่างหนึ่งที่มีชื่อซึ่งเป็นของที่สามารถส่งต่อไปยังคนรุ่นหลังได้ ขณะที่อัญมณีปรากฏตัวคนหนุ่มสาวที่มาร่วมงานต่างพากันอุทานด้วยความประหลาดใจ


 


“มันไม่ใช่ของปลอมใช่ไหม? ถ้าดูจากเงามันก็ควรจะเป็นของจริงสิ บ้าเอ้ย นี่คือพฤติกรรมของพวกเศรษฐีใหม่อย่างเห็นได้ชัด! ช่างน่าอายจริงๆ!” เมื่อเห็นของขวัญของทีน่าแล้วใบหน้าของดอลบี้ก็เต็มไปด้วยความตกใจในทันที “แต่ถึงอย่างนั้นนายคนนี้ก็ใจดีมากจริง …”


 


“แน่นอนว่าเรื่องเล่าในตำนานเรื่องการมอบสร้อยคอมูลค่าหลายล้านดอลลาร์เพื่อฉลองให้กับวันที่แฟนสาวของตัวเองเป็นผู้ใหญ่นั้นถูกพูดถึงกันมานานหลายปีสำหรับกลุ่มเศรษฐีใหม่ แต่ที่รัก ที่นี่คือนิวยอร์กที่การเงินไม่เคยหยุดหมุนและเราไม่ใช่ปารีสที่มีแต่เพียงความสง่างามและรสนิยมเท่านั้นนะคะ พวกเราทุกคนต่างก็เป็นทายาทของกลุ่มเศรษฐีใหม่กันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ?” เมื่อได้ยินคำพูดจากภรรยาของเขาแล้วดอลบี้ก็ยิ่งหน้ามุ่ยยิ่งกว่าดิมแต่เขาก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ


 


เช่นเดียวกับพ่อของเขาที่พูดไม่ออก ทีน่ากระซิบกับจางลี่เฉินที่ไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรต่อไปดี “ลี่เฉิน รีบขึ้นมาแล้วใส่สร้อยคอนั่นให้ฉันได้แล้ว นี่นายใช้เงินซื้อของไปเท่าไหร่กันเนี่ย?”


 


“97,000 ดอลลาร์”


 


“โอ้ พระเจ้า! นายเป็นบ้าไปแล้วหรือไง! ทำไมนายต้องซื้อของขวัญราคาแพงแบบนี้ให้ฉันด้วย!”


 


“เพราะคุณรวยอย่างไม่อาจจินตนาการได้ดังนั้นผมก็ไม่ควรไปดูถูกของขวัญที่จะมอบให้กับคุณไม่ใช่เหรอ? นอกจากนี้ไม่ใช่ว่าพ่อของคุณมอบอพาร์ทเมนต์สุดหรูที่แมนฉัตตันให้คุณหรือไงกัน ค่าใช้จ่ายตรงนั้นก็น่าจะหลายล้านดอลลาร์…”


 


“บ้าจริง…ของขวัญที่พ่อมอบให้ฉันจะไปเกี่ยวกับของ ๆ นายได้ยังไงกัน? ในโอกาสแบบนี้มันดีมากพอแล้วถ้านายจะซื้อของขวัญที่มีราคาหลักพันหรือหมื่นดอลลาร์มาให้ฉัน!”


 


“อย่างนั้นหรอกเหรอ?” จางลี่เฉินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “แต่ผมมาจากประเทศจีน เราเน้นเรื่องจรรยาบรรณและการตอบแทนซึ่งกันและกันมากที่สุด ตามธรรมเนียมของเราของขวัญที่ผมให้คุณควรเท่ากับของพ่อ… เฮ้อ ช่างเถอะ แม้ว่าผมจะอธิบายยังไงคุณก็คงไม่เข้าใจ เอาเป็นว่ารับของขวัญที่ผมให้คุณไปก็พอ”


 


ในขณะนี้เพลงเต้นรำเริ่มดังขึ้น ในฐานะหนึ่งในบทบาทผู้นำงานปาร์ตี้ทีน่าก็ควรจะเป็นคนเริ่มการเต้นกับเพื่อนชายของเธอก่อน “ลี่เฉิน ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะว่าอะไรนาย นอกจากนี้ฉันยังรู้สึกประทับใจมากที่ได้รับของขวัญราคาแพงจากนายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่นายต้องการเงินเพื่อขยายธุรกิจของนายในตอนนี้ อย่างไรก็ตามนายจำเป็นต้องใช้กูเกิ้ลเพื่อหาของขวัญครบรอบวันเกิด 18 ปีของแฟนนายด้วย แม้ว่านายจะถูกเพิ่มชื่อลงใน ‘ครอบครัวที่ร่ำรวยสุด ๆ ในวอล์สตรีท’ แต่หน้าการค้นหาของนายจะไม่ปรากฏข้อมูลใด ๆ ที่บอกให้นายมอบสร้อยเพชรที่ราคาแพงแบบนี้ให้เธอแน่นอน!”


 


“คุณแน่ใจเหรอว่าจะไม่มีเลย?” จางลี่เฉินถามด้วยสีหน้าแปลก ๆ


 


“ที่รัก นี่นาย…นายต้องเริ่มอ่านบทความเสียดสีอะไรบ้างได้แล้วนะ”


 


“พวกคุณทุกคนชาวอเมริกันเป็นคนมือถือสากปากถือศีลกันทั้งนั้น แม้ว่าที่จีนของเราจะพูดว่า ‘สำคัญที่ความคิด’ แต่มันก็มีไว้สำหรับมิตรภาพของชาย 2 คนที่เป็นตัวละครที่มีเกียรติหรือมิตรภาพระหว่างสุภาพบุรุษ 2 คนที่เรียกว่าสุภาพบุรุษตามแบบตะวันตกของคุณ”


 


“โอเคที่รัก เรามาโยนหัวข้อเรื่องนี้ทิ้งไปกันดีกว่า มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ฉันผิดเอง ที่จริงแล้วตราบใดที่นายเต็มใจให้ของขวัญแพง ๆ กับฉันฉันก็ควรทราบซึ้งใจแม้จะฟุ้งเฟ้อหรือมีความไม่รู้มาแต่แรก…”


 


“ทีน่า ขอโทษด้วยความจริงใจถ้าคุณยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง แต่อย่าพูดอะไรเกี่ยวกับ ‘ความไร้สาระและความไม่รู้ในความตั้งใจแต่แรก’ หรืออะไรก็ตามต่ออีกเลย”


 


“โอเคที่รัก ฉันขอโทษอย่างจริงใจ ก่อนอื่นนายช่วยเลิกเหยียบเท้าฉันทีจะได้ไหม?” ทีน่าพูดด้วยรอยยิ้ม


 


หลังจากการเต้นรำในห้องบอลรูมที่หรูหราแล้วดนตรีปาร์ตี้ก็ถูกแทนที่ด้วยการเต้นแบบสมัยใหม่ต่อในทันที เมื่อได้ยินสัญญาณเช่นนี้แขกผู้สูงอายุก็อดที่จะหัวเราะเบา ๆ ออกมาอย่างช่วยไม่ได้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังคงคิดว่าพวกเขายังเป็นเด็กเล็ก ๆ และเริ่มบิดร่างกายไปมาอย่างรุนแรง


 


ส่วนคนอื่นที่ฉลาดพอจะเดินออกจากห้องโถงเพื่อมุ่งหน้าไปที่ล็อบบี้ชั้นแรกหรือขึ้นไปที่ห้องพักของเรือสำราญที่อยู่ในชั้นต่อ ๆ และใช้เวลาของพวกเขาไปกับทะเลในแบบที่เหมาะสมกับอายุของพวกเขาเอง


 


“เราเพิ่งจะเต้นกันได้แค่เพลงเดียวแล้วคนหนุ่มสาวพวกนี้ก็เปลี่ยนเพลงเพื่อไล่เราออก ไม่รู้จริง ๆ ว่าคนหนุ่มสาวพวกนี้คิดอะไรกันอยู่ ดีเจของงานปาร์ตี้ก็เหมือนกัน…”


 


“ที่รัก คุณเป็นคนบอกเธอเองนะคะว่าคุณมีธุระต้องไปทำต่อและไม่สามารถอยู่กับลูกได้”


 


“เพราะสตีวี่ที่เป็นคนผิดต่างหาก ใครจะไปรู้ว่าเขาจะตกลงขายแร่ในแอฟริกาใต้ได้ นายคนนี้ไม่ค่อยฉลาดและผมกลัวว่าสิ่งต่าง ๆ จะเปลี่ยนไปเมื่อปัญหานี้ถูกลากยาวออกไปเป็นเวลานาน…” ดอลบี้โต้เถียงอย่างดื้อรั้นแต่เมื่อเขาเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าภรรยาของเขาเขาถอนหายใจเบา ๆ “คุณพูดถูกแล้วลูลู่ ผมเป็นคนผิดเอง ผมไม่ควรไปบ่นอะไรทั้งนั้น”


 


ขณะที่พวกเขากำลังพูดกันอยู่นั้นพวกเขาก็เริ่มเดินไปที่บันไดแขวนของเรืออลิซาเบธ ฮอลิเดย์พร้อมกับผู้คนเพื่อออกจากสถานที่จัดงานและปาร์ตี้นี้ไป


 


แขกที่ไม่สามารถค้างคืนที่ทะเลได้เนื่องจากเหตุผลต่าง ๆ ก็เริ่มทยอยกันออกจากเรือ หลังจากนั้นเรือก็ค่อย ๆ ยกสมอขึ้นและเป่านกหวีด “วู้ดดด วู้ดด” เพื่อออกจากท่าเรือนิวยอร์กและแล่นไปอย่างราบรื่นสู่มหาสมุทร


 


ณ ขณะนี้ที่ระดับสูงสุดของห้องควบคุมการเดินเรือ เจ้าหน้าที่วัยกลางคนที่มีกล้ามเนื้อสวมชุดสีขาวและหมวกปีกกว้างสีขาวกำลังรายงานต่อกัปตันสูงวัยผู้เคร่งขรึมที่จับหางเสือเรือ “กัปตัน อลิซาเบธ ฮอลิเดย์เริ่มออกจากท่าเรือในนิวยอร์กเรียบร้อยแล้วครับ! ตอนนี้มันเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่ 30 ไมล์ทะเลต่อชั่วโมงและคาดว่าจะกลับถึงท่าเรือนิวยอร์กหลังจากนี้อีก 24 ชั่วโมง”


 


“แฮร์รี่ มันก็เกือบ 1 ปีแล้วที่นายได้เลื่อนตำแหน่งมาเป็นต้นเรือ ฉันจะลองปล่อยให้นายคุมหน้าที่นี้คนเดียว นายมีความคิดเห็นอย่างไร?”


 


“กัปตัน ผม…ผมดีใจที่ได้ทำมากครับ!” เจ้าหน้าที่แฮร์รี่ตกตะลึงจนพูดไม่ออกก่อนจะตอบกลับด้วยไปความประหลาดใจ


 


เมื่อเรือมหาสมุทรแล่นออกกัปตันเรือจะมีอำนาจสูงสุดในการบังคับบัญชาเรือโดยอัตโนมัติ ตามกฎหมายตะวันตกแล้วกัปตันของเรือเดินสมุทรในการเดินทางและผู้บัญชาการที่สถานีควบคุมไฟในสนามเพลิงแม้จะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘อำนาจนิติบัญญัติชั่วคราว’ ในช่วงเหตุฉุกเฉินพวกเขาสามารถบุกรุกสิทธิทางกฎหมายของผู้อื่นในระดับปานกลางโดยใช้หลักการของหลักฐานเชิงดุลพินิจส่วนบุคคลเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้


 


แม้ว่าเจ้าหน้าที่ต้นเรือและกัปตันอาจดูเหมือนจะมีความแตกต่างกันอยู่แค่เพียง 1 ระดับแต่ความแตกต่างที่เกิดขึ้นจริงนั้นแตกต่างกันมาก คนส่วนใหญ่ไม่สามารถลบล้างมันได้ตลอดทั้งชีวิตของพวกเขาถ้ามีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น


 


“ดีแล้ว” ใบหน้าตึงของกัปตันสูงวัยฉายรอยยิ้มที่หาได้ยากก่อนที่เขาจะหันหลังกลับและเดินออกจากห้องควบคุมไป


 


“รักษาความเร็วและรายงานทันทีหากมีสภาวะผิดปกติ” หันไปดูด้านหลังของกัปตันที่หายไปจากนอกประตูจนพ้นสายตาเสร็จ ด้วยมือของเขาแฮร์รี่กำลังถือหางเสือเรือซึ่งมีอำนาจหน้าที่ครั้งแรกของการเป็นกัปตันก็เริ่มออกคำสั่งด้วยเสียงที่เข้มขึ้นในทันที


 


“เยส เซอร์” เจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ทำท่าล้อเลียนพร้อมตอบกลับเสียงดัง


 


หลังจากเปลี่ยนผู้ถือหางเสือเรือเสร็จอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ก็เริ่มแล่นไปข้างหน้าในมหาสมุทรโดยไม่มีความแตกต่างใด ๆ ในความเป็นจริงเรือบรรทุกขนาดใหญ่ที่ทันสมัยสามารถล่องเรือได้เองโดยอัตโนมัติมาได้ตั้งนานแล้ว ในอดีตเจ้าหน้าที่นำทางที่จำเป็นต้องจดจำเส้นทางยาวจะต้องทำความคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำในมหาสมุทรตลอดหลายปีที่ผ่านมาและเข้าใจโหราศาสตร์และสภาพอากาศเพื่อนำทาง แต่ตอนนี้เพียงแค่ต้องรู้วิธีดูเครื่องมือทางทะเลที่จะใช้ทำงานแทนก็เพียงพอ


 


คนขับเรือที่ต้องการช่วยกัปตันและเจ้าหน้าที่ต้นเรือหันหางเสือตอนนี้ได้ถูกพัฒนามาเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์โดยตรง หลังจากกำหนดเส้นทางแล้วพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกต่อไป อาจกล่าวได้ว่าการขับขี่เรือเดินสมุทรที่ทันสมัยนั้นไม่ได้ยากไปกว่าการเล่นเกมจำลองสถานการณ์สักเท่าไหร่นักก็ว่าได้


 


ถึงกระนั้นการควบคุมเรือด้วยที่มีขนาดเกือบ 100,000 ตันเพื่อแล่นเรือในมหาสมุทรแอตแลนติกก็ยังสร้างความมึนงงให้กับแฮร์รี่มากพอสมควร หลังจากยืนอยู่ในตำแหน่งของผู้ถือหางเสือเรือแล้วก็คงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเขายืนงงแบบนี้มานานแค่ไหน แต่แล้วเสียงที่คุ้นเคยก็ดังก้องขึ้นข้าง ๆ “แฮรี่ นายกำลังทำอะไรอยู่?”


 


“แล่นเรือไงเพื่อนที่น่ารักของฉัน! เพื่อนเก่าคนนั้นได้ส่งมอบหน้าที่นี้มาให้ฉันแล้ว และตอนนี้ฉันคือ ‘กัปตัน’!” เมื่อย้อนกลับมาสู่ความเป็นจริงแฮร์รี่มองเพื่อนสนิทที่สุดของเขาซึ่งเคยเป็นผู้จัดการฝ่ายบริการในเอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ก่อนที่จะกระซิบตอบกลับไป



ตอนที่ 122

ก่อนอื่นเลยบท 122 นี้จะย้อนไปตอนหลังจากเหตุการณ์บท 110 นะคะ เกิดความผิดพลาดในการแปลมาจากทางฝั่งภาษาอังกฤษและทางเราที่ไม่ได้ตรวจสอบเนื้อหาให้ดีก่อนทำการแปล ต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วยค่ะ เพราะฉะนั้นบทนี้จะเป็นการเปิดให้อ่านฟรีเพื่อชดเชยกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ต้องขออภัยอีกครั้งจริง ๆ นะคะ


 


 


 


บท 122: ประพฤติผิด


 


แก้มของจางลี่เฉินขึ้นสีจนแดงก่ำ “ทีน่า ทีน่า…ผม…ผม…เฮ้ โอ้พระเจ้า เฮ้!”


 


เขาพูดติดขาดเป็นห้วง ๆ ในขณะที่พยายามพูดอะไรบางอย่างเพื่อทำให้สถานการณ์ผ่อนคลาย ทันใดนั้นเองเขาก็บังเอิญสบกับดวงตาของสาวสวยตรงหน้าที่กำลังพรมจูบอยู่บนร่างกายของเขาเข้า ความเย้ายวนทางสายตาของเธอทำให้หัวของชายหนุ่มนั้นว่างเปล่า เขามองดูหญิงสาวที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นพร้อมกับค่อย ๆ ถอดเข็มขัดของเขาออก เธอดึงกางเกงและชุดชั้นในของเขาลงมาพร้อมกันในขณะที่เริ่มจัดการกับบางสิ่งที่ทั้งแข็งและตั้งตรงที่อยู่ตรงหน้า


 


เธอเป็นคนอ่อนโยนในขณะที่เธอกำลังทำอย่างนั้น ทีน่ามองเข้าไปในดวงตาของจางลี่เฉิน มีเสียงดังเกิดขึ้นกับการกระทำที่ไร้ซึ่งความลังเลของเธอ มือเล็ก ๆ ของเธอกำลังเล่นกับสิ่งที่ตั้งแข็งของชายหนุ่ม เขาเองก็มีร่างกายตามแบบคนปกติ เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ลองประสบการณ์แบบใหม่การหายใจของจางลี่เฉินจึงเป็นไปอย่างเร่งรีบและมันใช้เวลาเพียง 2 – 3 นาทีเท่านั้น ทีน่าที่คอยฟังลมหายใจที่เร่งรีบของเขาก็ค่อย ๆ ออกจากแก่นกายของชายหนุ่ม ในไม่ช้าเขาก็ปลดปล่อยทุกอย่างที่กลั้นไว้ออกมา


 


ต่อมาหญิงสาวก็จัดการทำความสะอาดให้เขาด้วยปากของเธอเองอีกครั้งก่อนจะสวมกางเกงกลับคืน บางสิ่งบางอย่างยังคงตกค้างอยู่ในปาก เธอค่อย ๆ จัดการมันลงบนกระดาษทิชชูแล้วพูดแสร้งทำเป็นไร้เดียงสาในขณะที่หน้าแดงก่ำ “ฉันไม่รู้ว่ามันจะมีกลิ่นที่น่าอ้วกแบบนี้มาก่อน ฉันเกือบจะอ้วกออกมาอยู่แล้วเชียว จดจำความรู้สึกนี้ไว้นะที่รัก มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับฉันที่จะให้บริการนายได้ใน ‘ครั้งต่อไป’”


 


“ทีน่า ผม …คุณ…”


 


“นายกำลังกังวลว่าตัวเองทำอะไรผิดอยู่หรือเปล่าน่ะหรอ? ไม่ใช่เลยลี่เฉิน นายไม่ได้ทำอะไรเลยทั้งนั้น นายไม่แม้แต่จะขยับนิ้วเลยด้วยซ้ำ เป็นฉันเองมากกว่าที่เป็นคนทำผิด” ทีน่าหัวเราะเบา ๆ หลังจากพูดจบ เสียงหวาน ๆ ของทีน่าทำให้จางลี่เฉินรู้สึกตื่นตกใจเล็กน้อยเป็นครั้งแรก หัวใจของเขากำลังเต้นระรัว เขามองจดหมายมอบอำนาจอยู่เป็นเวลานานก่อนที่จะพยายามสงบอารมณ์ของตัวเอง จากนั้นเขาก็พูดเบา ๆ “ทีน่า เราไม่ควรมาเสียเวลาเมื่อกำลังคุยเรื่องธุรกิจนะ กลับนิวยอร์กกันเถอะ”


 


ทีน่าฉลาดพอ เธอพยักหน้ารับตามและไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอรับจดหมายมอบอำนาจและส่งจางลี่เฉินกลับยังถนนที่ใกล้กับโลว์บิจ จูเนียร์ ไฮของนิวยอร์กตามเดิมโดยในระหว่างทางเธอไม่ยอมพูดอะไรสักคำ


 


“ลี่เฉิน ไว้ฉันจะติดต่อหานายอีกทีเมื่อฉันจัดการเรื่องนี้เสร็จก็แล้วกัน ไม่ต้องกังวล โรงฆ่าสัตว์ใหม่ของนายจะต้องได้เปิดเร็ว ๆ นี้แน่นอน”


 


“ปาร์ตี้วันเกิดของคุณจะจัดขึ้นตอนไหน?” จู่ ๆ จางลี่เฉิ่นก็พ่นคำถามออกไปราวกับว่าเขาไม่ได้ยินคำพูดของทีน่า


 


“ไม่รู้เหมือนกัน ขึ้นอยู่ว่าชีล่าจะลดน้ำหนัดได้สำเร็จตอนไหนน่ะ”


 


“คุณต้องการอะไรเป็นของขวัญไหม? รถยนต์ใหม่ล่ะเป็นไง?”


 


ทีน่าตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “โอ้ลี่เฉิน นายช่าง…”


 


“เงียบน่า ผมแค่ถามคุณว่าคุณอยากได้รถคันใหม่หรือเปล่าก็เท่านั้น ตอบแค่ว่าอยากกับไม่อยากก็พอ”


 


“ยิ่งนายทำตัวดื้อรั้นแบบนี้ยิ่งน่ารักนะรู้ไหม ฉันมีทุกอย่างพร้อมอยู่แล้ว ฉันคิดว่าของขวัญที่มาจากคนที่ฉันห่วงใยไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงหรอก สิ่งที่ฉันต้องการคือความรู้สึกที่จริงใจเท่านั้นก็พอ”


 


เมื่อจางลี่เฉินได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้ารับขณะที่ในใจของเขากำลังจมอยู่กับห้วงความคิด เขาลงจากรถ SUV ทันทีหลังสิ้นสุดบทสนทนา ตั้งแต่วันนั้นมาเขาก็แค่ไปโรงเรียนและอยู่บ้านเพราะเขามีความรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ปกติเท่าไหร่นักอยู่รอบตัว ตอนนี้เขายังคงอยู่อย่างสงบ เขาไม่ได้ขี่เกาะมังกรออกเที่ยวรอบ ๆ นิวยอร์กเลยแม้แต่น้อย เขาถึงกับลดเวลาในการฝึกฝนของตัวเองลงเสียด้วยซ้ำ


 


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้สังเกตว่าวันนี้คือวันเสาร์ จางลี่เฉินใช้เวลาตลอดทั้งคืนไปกับการฝึกฝนคาถาและเริ่มศึกษาแมลง 2 สีที่เขานำกลับมาจากอเมซอนในช่วงบ่ายขณะที่เขามีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับมัน เขาค้นหาข้อมูลผ่านทางอินเทอร์เน็ตเพื่อยืนยันว่าแมลงที่เปลี่ยนสีได้นี้อาจเป็นสายพันธุ์ใหม่จริง ๆ เขาซื้ออุปกรณ์มืออาชีพ 2 – 3 อย่างรวมถึงภาชนะใส่อาหารแมลง จอภาพอินฟราเรด กล้องจุลทรรศน์อิเล็กทรอนิกส์และอื่น ๆ เพื่อการศึกษามาเพิ่มเติม เขาเริ่มสืบค้นข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับแมลงเปลี่ยนสีและโพสต์ลงบนเว็บไซต์ที่เปิดให้มีการพูดคุยสำหรับผู้ที่ชื่นชอบแมลง


 


หลังจากให้อาหารไปไม่กี่นาที แมลงเต่าทอง 2 ตัวที่กำลังเปลี่ยนสีก็รอดพ้นชีดอันตรายจากการใกล้ความตาย ตอนนี้พวกมันเต็มไปด้วยพลังที่มากขึ้นอีกทั้งยังกระตือรือร้นและก็คล่องแคล่วมากยิ่งขึ้นด้วย พวกมันพยายามเบี่ยงตัวหลบจางลี่เฉินอยู่ 2 – 3 ครั้งเมื่อตอนที่เขาพยายามจะจับพวกมันจากภาชนะป้อนอาหารที่โปร่งใส


 


อย่างไรก็ตาม แมลงไม่สามารถเอาชนะการเคลื่อนไหวของมนุษย์ในพื้นที่ที่มีขีดจำกัดได้ไม่ว่าพวกมันจะว่องไวเพียงใดก็ตาม ไม่นาน ชายหนุ่มก็เล็งไปที่มุมที่ดีที่สุดและจับแมลงปีกแข็งเปลี่ยนสีทั้ง 2 ตัวด้วยตาข่ายได้ในที่สุด เขาเดินไปที่จอมอนิเตอร์ทันทีและเริ่มสังเกตข้อมูลของแมลงที่พวกมันทำไปก่อนหน้านี้


 


“279.67 มม. ต่อวินาที มากกว่าคืนที่ผ่านมาซะอีก นี่ก็เข้าไปวันที่ 4 แล้วที่ความเร็วของพวกมันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองและภาพวิดีโอนี้มันก็ยากที่จะเชื่อได้ว่าแมลงจะมีความเร็วได้มากขนาดนี้” จางลี่เฉินพูดพึมพำกับตัวเองในขณะที่เขากำลังจริงจังเหมือนกับนักชีววิทยาที่ดูน่าเบื่อราวกับว่าเขาไม่เคยเห็นสัตว์มีพิษที่สามารถบินอยู่บนท้องฟ้าและทำลายล้างอารยธรรมซึ่งเป็นผลผลิตที่ได้จากคาถามาก่อน


 


ในขณะที่เขาเฝ้าสังเกตข้อมูลกิจกรรมต่าง ๆ จางลี่เฉินก็จับแมลงปีกแข็งออกจากตาข่ายเพื่อพยายามมองดูท่าทีต่อไป ทันใดนั้นก็มีเสียงกระตุ้นของลิลี่ดังขึ้นจากทางประตู “ลูกรัก ถึงเวลาทานอาหารกลางวันแล้วนะจ้ะ หยุดเล่นกับสัตว์ตัวน้อยเปลี่ยนสีได้ของลูกลงก่อนเถอะ”


 


“อาหารกลางวัน? นี่มันสายขนาดนั้นแลว้เหรอครับ?”


 


“มันเลยเที่ยงวันมาแล้วนะ…”


 


“โอ้ ผมเพิ่งจะนำมันออกมาทดสอบ…”


 


“เอาล่ะ งั้นแม่จะให้เวลาอีก 20 นาที ลงมาทานอาหารกลางวันหลังจากนั้นด้วยแล้วกันนะ”


 


“20 นาทีก็พอแล้วครับ เดี๋ยวผมจะลงไป” จางลี่เฉิงกล่าวและวางแมลงทั้งสองลงไว้ใต้กล้องจุลทรรศน์ เซลล์ผิวหนังบนผิวหนังของพวกมันเริ่มเปลี่ยนสีหลังจากใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูไม่กี่นาที


 


“ถ้าฉันมีตัวทดสอบอื่น ๆ มาแทนฉันจะตัดใจจากพวกแกทั้งคู่อย่างแน่นอน” จางลี่เฉินพึมพำโดยไม่สังเกตเห็นขณะที่เขาบันทึกรูปแบบการเปลี่ยนแปลงเซลล์ของแมลงเต่าทอง การบันทึกรายละเอียดของเซลล์ผิวที่เปลี่ยนสีทำได้ภายในไม่กี่นาที หลังจากวางแมลงทั้ง 2 ลงในภาชนะป้อนอาหารเสร็จแล้วเขาก็โพสต์บันทึกที่ได้มาใหม่ลงบนอินเทอร์เน็ตอีกครั้ง เมื่อดูความคิดเห็นต่าง ๆ ในเว็บไซต์เขาก็ตอบกลับไปอย่างรวดเร็วและปิดคอมพิวเตอร์ก่อนที่จะลงไปด้านล่าง


 


ครอบครัวชาวอเมริกันมีความหลากหลายที่เล็กน้อยมากสำหรับมื้อกลางวัน โดยในครั้งนี้พวกเขามีพายเนื้อเป็นอาหารกลางวันอีกครั้ง แรนดี้ซึ่งมีเศษเนื้อติดอยู่ทั่วปากขณะเคี้ยวพายเนื้อก็ตะโกนเมื่อเขาเห็นจางลี่เฉินเดินเข้ามา “ไงน้องชาย เนื้อวันนี้ไม่ได้แย่นักจนต้องขอเพิ่มอีกเลยล่ะ ปีนี้นายก็อายุ 17 แล้วนะ อายุ 17! หากนายไม่เร่งเพิ่มสารอาหารให้กับตัวเองในช่วงนี้แล้วล่ะก็ฉันรับประกันได้เลยว่านายไม่มีทางคว้าใจสาวฮ็อตได้แน่นอนไม่ว่าเกรดของนายจะดีสักแค่ไหนมันก็ไร้ประโยชน์ถ้านายไม่มีกล้ามเนื้อเมื่อเข้ามหาวิทยาลัยนะรู้ไหม”


 


กองหลังทีมฟุตบอลของโลว์บิจ จูเนียร์ ไฮยืดหยุ่นกล้ามเนื้อของเขาขณะพูดข่มน้องชายต่างแม่ของตัวเอง


 


“โอ้แรนดี้ผู้น่าสงสาร อย่าให้ลี่เฉินม๊โอกาสในการดูถูกนายกลับเลย แฟนสาวทุกคนที่นายเคยคบมาตั้งแต่ที่นายเริ่มเข้าเรียนนั้นไม่มีคนไหนสวยเท่าด้านหลังของทีน่า ดั๊กลินได้สักคน พี่ชายที่รัก เด็กที่นายเพิ่งล้อเลียนไปอย่างสนุกสนานเมื่อกี๊กำลังมีความสัมพันธ์พิเศษกับทีน่า ดั๊กลินอยู่นะ! ทีน่า ดั๊กลิน ดาวสว่างที่สุดในวงการแฟชั่นนิวยอร์ก ตอนนี้นายคงไม่สามารถสะกดชื่อเธอได้เลยด้วยซ้ำมั้ง” แฮร์รี่น้องชายต่างพ่อของจางลี่เฉินกำลังล้อแรนดี้เล่นราวกับว่าพวกเขากำลังแสดงฉากตลก ดูเหมือนว่าเขาจะดูซุกซนมากยิ่งขึ้นหลังจากมีอายุเพิ่มได้ 1 ปี


 


เมื่อใดก็ตามที่แรนดี้กับแฮร์รี่กำลังนั่งทานอาหารอยู่ด้วยกันการต่อสู้ระหว่าง 2 คนนี้จะเป็นความบันเทิงสำหรับโต๊ะอาหารอยู่เสมอ จางลี่เฉินนั่งบนที่นั่งว่างและดื่มด่ำไปกับการต่อสู้ในฐานะคนนอกอย่างที่เขาเคยทำมาโดยตลอด ทันใดนั้นโทรศัพท์ของเขาก็ส่งเสียง ‘จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ … ‘ ขึ้นมา มันกำลังแสดงหมายเลขของคนแปลกหน้า จางลี่เฉินลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะตัดสินใจรับสายนั้น


 


“สวัสดีครับ นั่นใช่เบอร์ของมิสเตอร์จางลี่เฉินหรือเปล่า?” เสียงที่ดังลอดออกมาจากโทรศัพท์ฟังดูคุ้นเคยอยู่เล็กน้อย ความอ่อนโยนในน้ำเสียงที่เข้มงวดของเขานั้นง่ายต่อการจดจำ


 


“ครับมิสเตอร์ฮอว์วิค ผมเองครับ จางลี่เฉิน”


 


คนที่อยู่อีกด้านของโทรศัพท์นั้นตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดหลังจากได้ยินสิ่งที่จางลี่เฉินพูดออกมา “ใช่แล้ว ฉันเอง ไม่คิดเลยว่าเธอจะจำเสียงของฉันได้เพราะพวกเราเคยพบกันไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น มิสเตอร์จาง ฉันอยากจะขอบคุณเธอมากสำหรับความช่วยเหลือที่เธอมอบให้กับลูกสาวของฉันที่อเมซอน ถึงแม้ว่าทริชไม่อยากบอกรายละเอียดแต่ฉันก็บอกได้เลยว่าเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะพบร่างของน้องชายของเธอรวมทั้งเดินทางออกจากอเมซอนด้วยตัวคนเดียวได้โดยที่ไม่มีเธอ”


 


“ไม่หรอกครับมิสเตอร์ฮอว์วิค ผมได้ยินจากทีน่าว่าคุณเองก็ช่วยผมในบางเรื่องด้วยเช่นกัน…”


 


“สิ่งที่ฉันทำไม่อาจเทียบกับสิ่งที่เธอทำลงไปได้เลยมิสเตอร์ลี่เฉิน กลับเข้าเรื่องธุรกิจกันดีกว่า ที่ฉันโทรมาหาเธอในวันนี้ก็เพื่อถามจะอะไรบางอย่าง ฉันได้ยินมาว่าเธอกำลังมองหาพื้นที่สาธารณะที่เหมาะสมเพื่อขยายโรงฆ่าสัตว์ของตัวเองอยู่ใช่ไหม?”


 


“ใช่ครับ”


 


“หากเป็นเช่นนั้นเธอพอจะแวะไปที่แผนกธุรการและบริหารที่ดินของนครนิวยอร์กในวันพรุ่งนี้เวลา 10 โมงเช้าได้ไหม? ไม่แน่ว่านายอาจได้ประหลาดใจกับเรื่องบางอย่างก็ได้”


 


“ได้ครับมิสเตอร์ฮอว์วิค ผมจะไปให้ตรงเวลาอย่างแน่นอน ขอบคุณล่วงหน้านะครับ” จางลี่เฉินกล่าวตามความรู้สึกจากใจจริง


 


“การรู้ว่าเมื่อใดควรยอมรับการกระทำที่ดีเป็นหนึ่งในคุณลักษณะที่สำคัญที่สุดของคนที่จะประสบความสำเร็จ” ฮอว์วิคหัวเราะเบา ๆ อย่างมีความสุข “แล้วเจอกันพรุ่งนี้ มิสเตอร์ลี่เฉิน”


 


“แล้วเจอกันครับมิสเอตร์ฮอว์วิค” จางลี่เฉินกดวางสายโทรศัพท์และในขณะที่เขากำลังจะกินพายเนื้อ ลิลี่ก็เรียกความสนใจจากเขาไปอย่างฉับพลันว่า “ใครเพิ่งโทรมาหาหรอจ้ะลูกรัก?”


 


“ไม่มีอะไรครับ แค่พ่อของเพื่อนที่ผมเคยช่วยไว้ในอเมซอนต้องการตอบแทนผมก็เท่านั้นน่ะครับ แม่ก็รู้ใช่ไหมว่าผมกำลังวางแผนที่จะขยายโรงฆ่าสัตว์อยู่ เขารู้จักกับคนที่ทำงานในรัฐบาลนิวยอร์กและเขาสามารถช่วยได้” จางลี่เฉินตอบกลับโดยไม่คิดจะปิดบังอะไร


 


“ที่รัก แม่คิดว่าการจัดการธุรกิจอาจทำให้ลูกเสียเวลามากเกินไป… ลูกยังเรียนมัธยมอยู่เลยแล้วลูกก็โดดเรียนไปแล้วเมื่อโรงเรียนเพิ่งเปิดใหม่… ”


 


“แม่ ถ้าพ่อแม่ทุกคนคิดเหมือนกับแม่ตอนนี้บริษัทใหญ่ ๆ หลายแห่งในโลกคงไม่มีตัวตนอยู่แล้วล่ะครับ”


 


“แม่ไม่ได้ตั้งใจจะหยุดลูก แต่ลูกในตอนนี้ยังเด็กเกินไป…”


 


“ไม่ต้องกังวลนะครับ ผมมีแผนการที่มั่นคงสำหรับอนาคตของผมไว้อยู่แล้ว แม่ไม่จำเป็นต้องมากังวลอะไรเลย”



ตอนที่ 123

“นายเป็นกัปตันงั้นเหรอ? โอ้ เพื่อนเก่าของฉัน แล้วนายพอจะรู้ไหมว่ากัปตันตัวจริงอยู่ที่ไหนในเวลานี้?”


 


เจ้าหน้าที่ที่ได้ขึ้นมาเป็นกัปตันเรือตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง


 


“กัปตันของพวกนายอยู่ที่ร้านกาแฟกลางแจ้งบนชั้น 4 พร้อมกับมิสเตอร์ฮัดเนอร์ผู้อำนวยการบริหารบริษัทโอเชี่ยนชิปปิ้งจำกัด พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่ที่นั่น พนันได้เลยว่าพวกเขากำลังพูดถึงการเลื่อนเวลาเกษียณของตัวเขาอยู่ ด้วยสภาพร่างกายของเขาพร้อมกับการสนับสนุนของมิสเตอร์ฮัดเนอร์แล้ว ฉันมั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาสำหรับเขาที่จะได้เซ็นสัญญารอบใหม่”


 


เรือสำราญเอลิซาเบธ ฮอลิเดย์เป็นของบริษัทขนส่งทางทะเล ถ้ากัปตันที่มีอายุ 58 ปีได้รับการสนับสนุนจากบุคคลผู้มีอำนาจของบริษัทและได้รับโอกาสเซ็นชื่อลงสัญญาการจ้างงานอีกรอบนั่นก็หมายความว่าความหวังของแฮร์รี่ที่จะได้เห็นแสงสว่างของตัวเองหลังอดทนมานานกว่า 2 ปีได้กลายเป็นฟองสบู่แตกไปโดยปริยาย


 


หากเขาต้องรอไปอีก 7 ปี อายุของเขาก็จะใกล้เคียงกับเลข 50 และโอกาสที่เขาจะได้รับเลื่อนตำแหน่งให้เป็นกัปตันเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่นั้นจะมีความเป็นได้สูงมากที่มันจะไม่เกิดขึ้น เขาอาจจะต้องจบชีวิตลงด้วยตำแหน่งเจ้าหน้าที่ต้นเรือแบบนี้เช่นเดียวกับบรรพบุรุษของเขา


 


เพราะสิ่งนี้มีความเกี่ยวข้องกับอนาคตของเขา ความกลัวก่อตัวขึ้นในใจของแฮร์รี่ทันทีที่ได้ยินคำพูดจากเพื่อนสนิท


 


“อะไรนะ?! เรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมวันนี้เขาถึงทำเป็นใจดีให้ฉันเป็นคนเฝ้าดูการเดินทาง!”


 


“ถูกต้อง! การเดินทางที่มีระยะทางไกลที่สุดเพียง 170 ไมล์ทะเลห่างจากนครนิวยอร์กโดยไม่มีแนวปะการังหรือกระแสน้ำที่อันตรายตลอดเส้นทาง เส้นทางง่าย ๆ ของการเดินเรือ แฮร์รี่ นายคิดว่าการเดินทางแบบนี้จะสำคัญต่อเรซูเม่ของนายมากแค่ไหนกัน?”


 


“แม่งเอ้ย! ทำไมฉันถึงคิดเรื่องนี้ไม่ได้กัน! เฮ้ เพื่อน! แล้วนายมาบอกฉันเรื่องพวกนี้ทำไม? มันจะดีกว่าไหมถ้าฉันได้ฝังตัวเองอยู่ในจินตนาการของฉันจากการไม่รู้เรื่องอะไรพวกนี้เลย ดูสิว่าตอนนี้มันน่าหดหู่มากขนาดไหนกัน!”


 


“ดูเหมือนว่าฉันจะคิดผิดที่มาปล่อยข่าวลับให้นายได้รู้สินะ นายไม่เห็นค่ากับความมีน้ำใจของฉันเลยสักนิด ถ้าเป็นแบบนี้ฉันก็ควรจะจากไปแล้วปล่อยให้นายฝันกลางวันตามแบบที่นายต้องการต่อไปขณะคุมหางเสือจะดีกว่า” ผู้จัดการฝ่ายบริการของเรือสำราญที่สวมสูทดูดีหันหลังกลับพร้อมเดินไปที่ประตู


 


“ไม่เอาน่าเฟอร์นันด์ อย่าโกรธกันสิ ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะบ่นนายสักหน่อย รอฉันก่อนนะเพื่อน เดี๋ยวฉันไปสรุปอะไรให้พวกเขาฟังสักเล็กน้อยแล้วเราไปหาอะไรดื่มด้วยกันเถอะ เมื่อปาร์ตี้เริ่มแล้วนายก็ไม่ได้ยุ่งเท่าไหร่แล้วนี่ใช่ไหม?”


 


“ความคิดดี นายรู้ไหมว่าเวลานี้แชมเปญที่จะถูกเสิร์ฟให้กับแขกทั่ว ๆ ไปคือดงเปรีญงซึ่งมีราคาสูงกว่าละ 200 ดอลล่าร์ต่อแก้วเชียวล่ะ ฉันสงสัยจริง ๆ ว่าเครื่องดื่มเพียงอย่างเดียวจะมีราคาหลายแสนดอลลาร์ได้อย่างไร”


 


“หลายแสนงั้นเหรอ… แต่แขกที่มางานวันนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นเด็กกันทั้งนั้นเลยไม่ใช่เหรอ?”


 


“ก็พวกเด็กบ้านรวยยังไงล่ะ! เราเพิ่งวางเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลงบนโต๊ะแล้ววางเครื่องหมายไว้ข้าง ๆ ด้วยว่า ‘ไม่อนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์สำหรับเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ’”


 


“ช่างไร้สาระสิ้นดี” แฮร์รี่ส่ายหัวก่อนที่จะตะโกนใส่เจ้าหน้าที่นำทางและพนักงานเดินเรือในห้องควบคุม “แอดิเลด อเลสซานโดร ฉันจะออกไปข้างนอกกับมิสเตอร์เอเดดสักหน่อย โทรหาฉันทันทีถ้ามีอะไรผิดปกติ”


 


“เยอเซอร์! ไม่ต้องกังวลครับ!” เจ้าหน้าที่นำทางและพนักงานเดินเรือของเอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ยิ้มและตอบรับเสียงดัง


 


“เซอร์…ช่างเป็นวิธีการพูดกับใครซักคนที่สวยงามจริง ๆ ตอนนี้ฉันกลายเป็นกัปตันของทีมแล้ว ฉันไม่ได้เป็นแฮร์รี่ต้นเรืออีกต่อไป แต่จะเป็น ‘เซอร์’ แทน…” แฮรี่กระซิบและพูดในลักษณะท้อแท้


 


“มาเถอะเพื่อน! อย่าไปคิดอะไรมากเลย ไปดื่มด้วยกันดีกว่า นายรู้ไหมว่าฉันเองก็ท้อใจไม่ต่างจากที่นายเป็นอยู่นักหรอก ก่อนที่ฉันจะมาหานายฉันเห็นเด็กอายุ 16 ให้สร้อยคอเพชรที่คงจะมีมูลค่าอย่างน้อยหนึ่งล้านเหรียญกับเด็กสาวไปต่อหน้าต่อตา ฉันจะไม่รู้สึกอะไรเลยถ้าเขาเป็นลูกชายของนายธนาคารหรือนักธุรกิจเพราะฉันเคยเห็นคนร่ำรวยแบบนั้นมากมายบนเรือ แต่เด็กคนนั้น…เด็กคนนั้นเต้นรำไม่เป็นด้วยว้ำ! เขาเหมือนคนโง่ แต่จริง ๆ แล้วเขาให้สิ่งของที่เทียบกับเงินเดือนฉัน 7 – 8 ปี! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!”


 


“ไม่มีทาง! มีเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นในนครนิวยอร์กด้วยงั้นเหรอเนี่ย?”


 


“เขาผิวเหลือง บางทีเขาอาจเป็นคนจีน”


 


“โอ้ ถ้างั้นมันก็สมเหตุสมผลแล้วล่ะ ฉันได้ยินมาว่าเด็กที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศจีนสั่งบูกัตติ เวย์รอนกันด้วย โดยปกติแล้วพวกเขามักจะสั่งสีละคันเลยล่ะ บางทีสร้อยเพชรที่มีมูลค่าหนึ่งล้านเหรียญอาจจะไม่มีค่าอะไรมากมายสำหรับพวกเขาก็เป็นได้”


 


หลังจากที่ทั้ง 2 คนเดินออกจากห้องควบคุมพร้อมกับพูดคุยกันไปมาพวกเขาก็ค่อย ๆ จางหายไปจากทางเดิน


 


หลังจากเจ้าหน้าต้นเรือจากไป ความสนุกสนานและความวุ่นวายก็กำลังดังก้องอยู่บนชั้นดาดฟ้า เช่นเดียวกับการเล่นดนตรีแบบไดนามิกที่ทำให้แอดิเลดและอเลสซานโดรล้อล่อลวงไปได้อย่างง่ายดาย หลังจากขึ้นมาพร้อมกับข้ออ้างเพื่อเว้นการทำหน้าที่ของตัวเองแล้วภายในห้องบังคับการมีเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยผู้บังคับการเรือถูกทิ้งให้จ้องมองเครื่องมือเดินเรือด้วยความอดทนอย่างยิ่งอยู่ 3 คน


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อท้องฟ้าค่อย ๆ มืดลง เพื่อนทั้ง 3 คนนั้นได้เรียกร้องให้ห้องครัวมาส่งอาหารให้พวกเขาที่ห้องบังคับการเรือ พวกเขาได้ถามกับพนักงานเสิร์ฟที่เขาคุ้นเคยเพื่อ “ขโมย” แชมเปญมาดื่มกันฟรี ๆ เมื่อถึงเวลาที่เขาเสร็จสิ้นจากการลิ้มรสแชมเปญคุณภาพสูงแล้วการมองเห็นของเขาก็เริ่มพร่ามัว ทำให้อลิซาเบธ ฮอลิเดย์เกือบทั้งหมดถูกปรับเป็นการเดินทางโดยระบบการล่องเรืออัตโนมัติ


 


ไม่มีใครสามารถตำหนินักเดินเรืออาวุโสของอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ที่ไร้ความรับผิดชอบได้เพราะเส้นทางในครั้งนี้ง่ายเกินไป มันจะวนรอบมหาสมุทรรอบนิวยอร์กเพียง 1 รอบเท่านั้นดังนั้นความน่าจะเป็นของการเกิดอันตรายตลอดเส้นทางนั้นถือว่ามีน้อยกว่าการถูกหวยรางวัลใหญ่เสียอีก อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าพวกเขาจะลืมความจริงไปข้อหนึ่ง แม้ว่าอัตราในการถูกหวยจากใครสักคนจะเป็นได้แค่เพียงหนึ่งใน 170,000,000 คนแต่บางคนก็ยังชนะมันได้ในท้ายที่สุด


 


ตกดึก โดยไม่มีใครรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นก็เมื่อสายเกินไป เรือสำราญได้แล่นตรงไปในมหาสมุทรที่มืดมิด


 


ตอนนี้แขกส่วนใหญ่บนเรือเริ่มพากันหมดสิ้นเรี่ยวแรงแล้วและได้เดินทางกลับห้องของตัวเองเพื่อพักผ่อนกันเกือบหมด ส่วนคนที่ยังพอมีแรงเหลือก็เริ่มนิ่งลงขณะที่พวกเขารวมตัวกันอยู่บนดาดฟ้าชั้น 4 ของเรือเพื่อเพลิดเพลินไปกับทะเลในขณะที่จ้องมองดวงดาว


 


จางลี่เฉินเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ยังมีพลังเหลืออยู่เช่นกัน เขาสวมกางเกงขาสั้นตัวหนึ่งแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ดาดฟ้าข้างสระน้ำขณะจิบโคล่าไปพลาง ๆ และแทนที่จะมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวเขากลับมองตรงไปยังมหาสมุทรแอตแลนติกที่มืดมิดในขณะที่ปากของเขาขยับอยู่เล็กน้อย


 


ทีน่าเองก็เปลี่ยนชุดมาเป็นกางเกงขาสั้นและเสื้อเชิ้ตแบบเซ็กซี่แล้วเช่นกันโดยนั่งถัดจากชายหนุ่ม เธอมองไปที่ดวงจันทร์ที่สว่างไสวก่อนที่จะก้มศีรษะลงกระซิบที่ข้างหูของชายหนุ่ม “ลี่เฉิน นายกำลังท่องคาถาอะไรอยู่น่ะ? นายกำลังพยายามเปลี่ยนเรือสำราญของเราให้กลายเป็นฝูงแกะขนาดยักษ์หรืออะไรบางอย่างอยู่หรือไง?


 


“ไม่ใช่แบบนั้น ผมแค่กำลังใช้คาถาป้องกันบางอย่างเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินอยู่”


 


“ป้องกันงั้นเหรอ? นี่คือนอกชายฝั่งของนิวยอร์กนะ ไม่ใช่ป่าโบราญแบบในตอนนั้นซะหน่อย ทริชและชีล่าทั้งคู่ต่างก็หลับไปแล้ว นายไม่คิดว่ามันถึงเวลาที่เราจะต้องกลับไปพักผ่อนกันบ้างแล้วหรอกเหรอ? เดี๋ยวนายค่อยใช้คาถาเพื่อปกป้องพวกเราอีกครั้งไตอนเช้าของวันพรุ่งนี้จะได้ไหม?” เสียงของทีน่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความหลงใหล


 


“ทีน่า ผมไม่ได้ล้อเล่นนะ คุณจำได้ไหมว่าตอนก่อนที่ปาร์ตี้จะเริ่ม…” จางลี่เฉินที่กำลังพูดอยู่ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องโวยวายดังขึ้นกลางอากาศ


 


“เวร! อะไรน่ะ! โอ้ ไม่นะ! เรากำลังจะชนแล้ว! หันเรือ! รีบหันเรือกันสิวะ! แม่งเอ้ย! อย่าบอกนะว่าไม่มีใครควบคุมเรือ…โอ้ พระเจ้า! ไอเหี้ยเอ้ย! วิ่งแล้วเด็ก ๆ! วิ่ง!”


 


เมื่อได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังกล่าวร่างกายขอจางลี่เฉินก็สั่นเทาไปในทันที โดยไม่ต้องหันศีรษะไปมอง เขารีบดึงทีน่าและออกวิ่งไปด้วยพลังทั้งหมดที่มีเขามีในทันที


 


เมื่อทั้งคู่กำลังจะถึงขอบของเรือ รั้วเหล็กรอบ ๆ เรือก็แตกออกจากกัน


 


“กระโดดไปกับผม!” ขณะที่จางลี่เฉินกำลังตะโกนเสียงดัง เขาได้กระโดดลงมาจากดาดฟ้าชั้น 4 ของเรือพร้อมกับทีน่า


 


“กร๊๊ดดดดดดด….”


 


ในทันใดนั้นเมื่อพวกเขาสองคนกระโดดลงมาจากดาดฟ้า เอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ก็ชนเข้ากับเสาหินสีดำขนาดใหญ่ 2 ต้นที่ตั้งอยู่เคียงข้างกันในมหาสมุทรด้วยความเร็วเต็มพิกัด


 


ปึ้งง!


 


หลังจากเสียงดังกึกก้องเริ่มจางไป ครึ่งหนึ่งของเรือสำราญได้ทะลุระหว่างช่องว่างไปและติดอยู่ตรงนั้น พื้นสั่นไหวที่เกิดจากแรงกระแทกทำให้ผู้คนหลายร้อยคนบนดาดฟ้าเปิดของชั้น 4 เสียสมดุล บางคนล้มและบาดเจ็บในขณะที่บางคนได้ตกลงไปในมหาสมุทรโดยไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร


 


“เกิดอะไรขึ้น? นี่มันเกิดอะไรขึ้นลี่เฉิน?” ทีน่าที่ไว้ใจจางลี่เฉินเป็นอย่างมากจนได้กระโดดลงมาจากชั้นบนสุดของเรืออย่างไม่ทันตั้งตัวและถูกพาตัวไปที่มหาสมุทรโดยเกาะมังกรที่คอยรับพวกเขาได้อย่างปลอดภัย


 


“ดูเหมือนเรือจะอัปปาง แต่สถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ผมจินตนาการไว้เท่าไหร่นัก เมื่อตอนที่เรากลับขึ้นไปบนเรืออีกครั้งตอนนั้นมันน่าจะปลอดภัยแล้ว” จางลี่เฉินตอบพร้อมกับสั่งให้เกาะมังกรซ่อนตัวอยู่บนโครโคดราก้อนที่ซ่อนตัวอยู่ในมหาสมุทร มันฝังกรงเล็บแหลมลงบนเอลิซาเบธ ฮอลิเดย์และด้วยการกระโดดที่แข็งแรงเพียง 2 ครั้ง มันได้ถอยหลังกลับไปอย่างเงียบ ๆ ยังมุมสลัวของดาดฟ้า


 


“แต่…แต่มีบางคนตกลงไปในน้ำ เรา…เราต้องช่วยเหลือพวกเขา พวกเรา…”


 


“เราต้องช่วยตัวเองกันก่อนทีน่า เมื่อตอนที่พวกเราอยู่ในมหาสมุทร ผมเห็นว่าเรือติดอยู่ระหว่างเสาหินทั้ง 2 ต้นและเหมือนจะติดเกาะ ผมไม่เคยออกทะเลมาก่อน คุณพอจะรู้ไหมว่าตอนนี้พวกเราอยู่กันที่ไหน?”


 


“เกาะ? อาจเป็นเกาะสเตอร์ลิงก็ได้มั้ง แต่…แต่เราไม่ควรผ่านเกาะสเตอร์ลิงกันนี่น่า ยิ่งไปกว่านั้นมันควรจะอยู่ไกลกว่านี้! ใช่แล้ว! ไม่มีเสาหินใกล้เกาะสเตอร์ลิงที่สามารถกั้นเรือไว้ได้หรอก! ฉันไม่รู้แล้วลี่เฉิน ฉันไม่รู้จริง ๆ ตอนนี้ในหัวฉันมันว่างเปล่าไปหมดแล้ว! เราไม่ควรมาเจอกับอันตรายตั้งแต่แรกนี้เลย!”


 


“ทีน่า มันไม่มีอะไรน่ากลัว วิธีแก้ไขปัญหามันมีอยู่เสมอ กับผมตรงนี้ แม้ว่าทุกคนบนเรือจะตายหรือเรือจะระเบิดคุณก็ยังสามารถกลับนิวยอร์กไปได้อย่างปลอดภัย”


 


“แม้มันจะดูเป็นคำพูดที่เห็นแก่ตัวและยากที่จะเข้าใจได้แต่มันก็ทำให้ฉันสงบลงได้จริง ๆ ขอบคุณนะที่รัก” เมื่อได้ยินการรับประกันที่เกินจริงของจางลี่เฉินทีน่าก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ สงบสติอารมณ์ลง ด้วยการแสดงออกที่ซับซ้อนเธอถอนหายใจด้วยความโล่งอกอยู่นาน “ไปดูทริชกับชีล่ากันเถอะ หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเธอไปก่อนนะ”


 


หลังจากที่เธอพูดจบเธอก็ดึงมือของจางลี่เฉินและออกวิ่งไปยังทางด้านห้องพักอย่างรวดเร็ว


 


ตอนนี้เอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ทั้งหมดอยู่ในโหมดของความเศร้าโศก โดยทั่วไปทุกคนบนดาดฟ้าส่วนใหย่จะได้รับบาดเจ็บ แขกหลายคนที่กำลังพักอยู่และทีมงานที่ให้บริการที่อยู่ในห้องโดยสารก็โดนแรงกระแทกและทำให้พวกเขาบางคนมีการเสียเลือด


 


ไฟเพดานบนทางเดินของเรือได้ดับไปแล้ว อย่างไรก็ตามโชคดีที่ไฟฉุกเฉินยังคงทำงาน จางลี่เฉินและทีน่าวิ่งไปบนพรมสีเขียววิ่งไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับแขกที่ตื่นตระหนกซึ่งวิ่งเข้าหาดาดฟ้าและในที่สุดก็มาที่ห้องพักเฟิร์สคลาส


 


ด้วยความช่วยเหลือของไฟฉุกเฉิน หญิงสาวตะโกนออกมาว่า “ทริช ชีล่า พวกเธอ 2 คนเป็นยังไงกันบ้าง? ชีล่า ทริช พวกเธอได้ยินฉันไหม” เธอตะโกนออกมาดัง ๆ ขณะที่กำลังค้นหาห้องของเพื่อนสนิท


 


“ทีน่า? ทีน่าใช่ไหม ที่รัก ได้โปรด ช่วยฉันด้วย! พระเจ้า! ขอบคุณพระเจ้าที่เธอมา!” ทันใดนั้นเสียงร้องแผ่วเบาและอ่อนแอเพื่อขอความช่วยเหลือก็ดังออกมาจากห้องสูทที่อยู่ไม่ไกลจากทางด้านขวานัก



ตอนที่ 124

เมื่อได้ยินเสียงของชีล่า ทีน่าก็รีบวิ่งไปที่ประตูนั้นทันที “ไม่เป็นไรนะชีล่า ฉันมาแล้ว ฉันจะช่วยเธอเอง” ด้วยการหมุนลูกบิดไม่นานประตูก็ถูกเปิดออก


 


ภายในห้องมีขนาดค่อนข้างใหญ่และได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามด้วยของใช้หลายอย่างที่แสดงออกถึงความหรูหรา รูปแบบของห้องประกอบไปด้วย 1 ห้องนั่งเล่น 2 ห้องนอนและระเบียงพร้อมสระว่ายน้ำขนาดเล็ก


 


เมื่อทีน่ารีบเข้ามายังด้านใน เธอก็เห็นเพื่อนสนิทของตัวเองซึ่งกำลังอยู่ในชุดชั้นในสีดำรัดรูปเซ็กซี่โดนตัวของเธออยู่ใต้โซฟาขนาดใหญ่


 


หญิงสาวรีบตรงไปหาด้วยความตกใจและออกแรงผลักโซฟานั้น “ชีล่า ทำไมเธอถึงมาอยู่ใต้โซฟาในห้องนั่งเล่นด้วยชุดนี้ได้?”


 


“ทั้งหมดก็เพราะความขี้ขลาดของดูบิน! ฉันเห็นว่าเขามีความจริงใจดีฉันก็เลยชวนเขามาที่ห้องเพื่อ ‘พูดคุย’ กัน แต่จู่ ๆ เรือก็เกิดการกระแทก จากนั้นฉันถูกกดไว้ด้วยโซฟาภายในพริบตาและคนขี้ขลาดนั่นก็ไม่ได้ทำอะไรมากนอกจากหันหน้าหนีออกจากห้องนี้ไปเพียงคนเดียว!”


 


“โอ้ ‘พูดคุย’ บนโซฟาในห้องนั่งเล่นในขณะที่สวมใส่อะไรแบบนี้น่ะเหรอ? ดูเหมือนว่าเธอจะแข็งแกร่งและโดดเด่นยิ่งขึ้นหลังจากชิตตูจากไปสินะ แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เธอต้องมาเจอกับไอเวรนั่น!” ทีน่ายกโซฟาขึ้นด้วยพลังทั้งหมดของเธอและตะโกนออกมาดัง ๆ “ลี่เฉิน เร็วเข้า! มาช่วยฉันพาชีล่าออกไปที!”


 


จางลี่เฉินผู้มักมีการแสดงออกที่เย็นชาอยู่เสมอรีบก้มตัวลงกับพื้นในทันใดที่เขาเข้าไปในห้องพร้อมกับทีน่าและเห็นชีล่าในชุดที่เปิดโล่ง เขาพยายามคว้าข้อมือและลากชีล่าออกมาจากใต้โซฟาหลังจากได้ยินเสียงร้องของหญิงสาว


 


“นี่ลี่เฉิน! ฉันไม่ใช่กระสอบทรายนะ อ่อนโยนกับฉันบ้างไม่ได้เลยหรือไงกัน?! นายจับไหล่ของฉันแทนได้ไหม? ไม่มีใครช่วยคนอื่นได้ด้วยการคว้าผมคนอื่นหรอกนะ เข้าใจไหม!”


 


“หยุดบ่นน่าชีล่า ผมก็กำลังช่วยคุณในตอนนี้อยู่ไม่ใช่หรือไง?”


 


“หยุดทะเลาะกันได้แล้ว ชีล่า ไหนมาให้ฉันดูสิว่าอาการบาดเจ็บของเธอรุนแรงแค่ไหน เจ็บตรงไหนบ้างไหม?” เมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทของเธอรอดพ้นจากอันตรายแล้วทีน่าก็ปล่อยมือจากโซฟาจนทำให้เกิดเสียงดัง “ ปัง” โดยไม่มีการเตือนก่อนล่วงหน้าและเริ่มตรวจสอบอาการบาดเจ็บของชีล่าในทันที


 


ภายใต้แสงไฟสลัว เธอเห็นว่าชีล่าไม่ได้มีอาการบาดเจ็บผิวเผินอย่างเห็นได้ชัดนักและในไม่ช้าเธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นเธอก็เริ่มกดข้อต่อที่เป็นส่วนอ่อนแอที่สุดของเพื่อนสนิทของเธอ “ตรงนี้เจ็บหรือเปล่า?”


 


“ไม่เลย”


 


“แล้วตรงนี้ล่ะ?”


 


“ฮ่าฮ่า…ไม่!”


 


“ตรงนี้?”


 


“มันไม่ได้เจ็บปวดอะไรเลยแต่ตรงที่เธอจับมันกำลังจั๊กจี้ฉันอยู่นะ”


 


“นั่นก็หมายความว่าคุณไม่ได้เป็นอะไร คุณแค่ตกใจกลัวก็เท่านั้น” จางลี่เฉินพูดเสียงเบา ๆ อยู่ข้าง ๆ “ทีน่า ดูเหมือนว่าคุณจะเป็นคนฉลาดและสงบที่สุดในหมู่เพื่อนสนิทของคุณแล้วสินะ”


 


ชีล่าตกตะลึงไปสักครู่ก่อนที่เธอจะเริ่มขยับแขนขาช้า ๆ แล้วก็ลุกขึ้นยืน “ฉันไม่เป็นไรจริง ๆ งั้นตอนนี้เราออกไปตามหาทริชกันก่อนเถอะ ฉันหวังว่าเธอเองก็จะไม่เป็นไรด้วยเช่นกัน…”


 


ขณะที่ชีล่ากำลังพูดอยู่จู่ ๆ ทริชก็วิ่งเข้ามาจากประตูที่เปิดค้างเอาไว้


 


“เฮ้ทริช! ขอบคุณที่เธอวิ่งมาที่นี่พอดี ฉันขอโทษที่ฉันทะเลาะกับเธอไปเมื่อตอนเที่ยงที่ผ่านมา มันเป็นความผิดของฉันเอง ทั้งหมด…” จากนั้นเพื่อนสนิททั้ง 3 คนก็รวมตัวกัน เมื่อเห็นสายตาเป็นกังวลของทริชแล้วดวงตาของชีล่าก็ขึ้นสีแดงเหมือนคนที่กำลังจะร้องไห้ขณะที่เธอขอโทษอย่างรู้สึกผิด


 


“ไม่เลยชีช่า ไม่เป็นไรเลย ฉันเองก็ผิดเหมือนกัน ฉันเข้าใจสิ่งที่เธอกำลังพูดในตอนนี้ดี ขอบคุณนะ…”


 


“ไม่มีเวลามากพอจะมาไร้สาระในตอนนี้ เนื่องจากทุกคนไม่เป็นไรแล้วตอนนี้พวกเราควรไปรวมตัวกันบนดาดฟ้าพร้อมกับคนที่เหลือก่อนจะดีกว่า” จางลี่เฉินประกาศเมื่อเขาก้าวออกจากห้องนั่งเล่น ที่ด้านนอกประตูเขามองไปทางซ้ายและขวาตามทางเดินที่ว่างเปล่าและเริ่มพึมพำคาถาออกมา “พู ชี ชี…”


 


ไม่นานหลังจากนั้นร่างเหนียว ๆ ขนาดมหึมาที่ดูเหมือนค้อนทะลุผ่านผนังห้องโดยสาร คางคกที่ล้อมรอบไปด้วยหมอกควันสีดำที่สูงเพียงไม่กี่เซนติเมตรได้กระโดดออกมาจากรูเล็ก ๆ บนกำแพง หลังจากมันตกลงบนพื้นมันก็เริ่มพองตัวเท่ากับขนาดของลูกบาสเก็ตบอลก่อนที่จะกระโดดเข้าไปในแขนของชายหนุ่ม


 


“นั่นอะไรน่ะ?” ชีล่าที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ


 


“เธอยังจำเรื่องที่ฉันเล่าให้ฟังที่อเมซอนได้ไหม? นั่นคือเมานท์โทด”


 


“ตะ..แต่นั่นไม่ใช่แค่นิทานหรอกเหรอ?”


 


“มันเป็นเรื่องจริงชีล่า มันเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของฉันและทริชที่ได้เจอจริง ๆ ไปกันเถอะที่รัก มันดีกว่าที่เราจะอยู่ใกล้กับลี่เฉินเขาเอาไว้ เขาจะปกป้องเราไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม” ทีน่าเริ่มเคลื่อนไหวพร้อมกับจับมือเพื่อนสนิทไว้แน่นก่อนจะก้าวไปข้างหน้าตามหลังจางลี่เฉินอย่างใกล้ชิดขณะที่พวกเขาวิ่งไปตามทางเดินของห้องโดยสารสู่ดาดฟ้า


 


“ปกป้องเรา? เพียงแค่มีคางคกขนาดใหญ่อย่างเดียวเนี่ยน่ะหรอ?” ชีล่าพึมพำในขณะที่เดินโซเซไปมาภายใต้ไฟฉุกเฉิน


 


“คางคกนั่นสามารถฆ่าทุกคนบนเรือลำนี้ได้อย่างง่ายดายด้วยการกระโดดเพียงครั้งเดียวแล้วกลืนทุกคนลงไปในท้อง หยุดคำถามมากมายของเธอไว้ก่อนชีล่า เมื่อเราหนีรอดจากอันตรายได้เรียบร้อยแล้วตอนนั้นเราค่อยกลับมาคุยกันใหม่”


 


“ทริช นี่เธอพูดอย่างนั้นออกมาจริง ๆ น่ะเหรอ? บ้าเอ้ย เหมือนเธอเป็นคาทอลิคจอมปลอมยังไงก็ไม่รู้! อ่ะ…” ขณะที่พวกเขาวิ่งออกจากห้องโดยสาร ไฟฉายส่องสว่างก็แล่นเข้ามาทำให้ชีล่าตกใจอย่างมาก


 


ในตอนนั้นเอง บนดาดฟ้าเรือเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่หนีตายขึ้นมายังด้านบน เกือบครึ่งหนึ่งของพวกเขาได้รับบาดเจ็บแต่โชคดีที่พวกเขาได้รับบาดเจ็บกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


 


มีแขกหลายคนที่กำลังอยู่ในชุดนอน บางคนก็เปลือยเปล่าเมื่อพวกเขารีบขึ้นมายังด้านบนดาดฟ้าด้วยผ้าปูที่นอนหรือผ้าห่มบาง ๆ ที่พันไว้รอบตัว เมื่อแสงไฟที่เพิ่งส่องอยู่บนหัวเรือค่อย ๆ หมุนไปรอบ ๆ เสาหินขนาดมหึมาทั้ง 2 ที่เกาะติดกับลำเรือทั้ง 2 ด้านในที่สุดก็เข้าสู่สายตาทุกคน


 


เสาหินมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางอย่างน้อย 10 เมตร และมีความสูงที่ต้องสูงกว่า 100 เมตร เมื่อแสงไฟส่องผ่าน มันมีรูปปั้นยักษ์ดุร้ายที่มี 4 ใบหน้า 3 หัวปรากฏขึ้นบนผนังเสาและทำให้ผู้คนตะโกนออกมาด้วยความตกใจ


 


หลังจากกวาดตามองไปทั่วเสาหิน แสงสว่างจ้าก็โผล่ออกมาจากภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้หนาแน่น แวบแรกที่เห็นอาจคิดได้ว่าเรือจะต้องติดอยู่บนเกาะใหญ่หรือคาบสมุทรที่ยื่นออกมาจากทวีปตรงไหนสักแห่ง


 


เมื่อเห็นคุณลักษณะของภูมิประเทศนี้แล้วแม้แต่คนโง่เง่าที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ก็รู้ได้ว่าเขาไม่ได้อยู่ที่ทะเลใกล้กับนิวยอร์กอีกต่อไป


 


“โอ้ พระเจ้า! นี่มันที่ไหนกันเนี่ย! พวกเรามาถึงไหนกันแล้ว?” กัปตันตัวจริงได้รีบกลับไปยังห้องควบคุมและกระตุ้นให้ลูกน้องของเขาที่กำลังอยู่ในภาวะสับสนวุ่นวายลองสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่ เขาไม่คิดเสียเวลามาบ่นพวกลูกน้องตัวเองในตอนนี้ เขาต้องการดูว่าพวกเขาสามารถใช้โอกาสที่น้อยมากในการใช้คลื่นเพื่อนำเรือกลับสู่มหาสมุทรได้หรือไม่ เมื่อเห็นภูเขาและป่ากำลังผ่านไปมาที่หน้าต่างร่างของเขาก็แข็งทื่อไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะพ่นคำสาปแช่งออกมาเสียงดัง


 


“ซะ…เซอร์ นี่น่าจะเป็นเกาะใหญ่ในแอฟริกาหรือไม่ก็อเมริกาใต้นะครับ ผมเคยเห็นมันในรายการทีวี ‘แปลกประหลาด’ มาก่อน ระ…เราต้องเจอ ‘ประตูปริภูมิ’ และข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมากว่าครึ่งและได้ชนเข้ากับเสาหินเหล่านี้โดยตรง… “


 


“อย่าทำเป็นเลี่ยงความผิดของตัวเองแฮร์รี่! ถ้านายอยู่ในห้องควบคุมซะตั้งแต่แรกเราจะไม่ชนกับเสาหลักทั้ง 2 ต้นนี้เลยแม้ว่าเราจะผ่านประตูหรืออะไรมาก็ตาม! ฉันอุตสาห์ไปคุยกันมิสเตอร์ฮัดเนอร์เพื่อให้นายขึ้นมารับตำแหน่งเต็มตัวแทนฉันในอีก 2 ปีข้างหน้า แต่ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างผิดปกติไปกับการตัดสินใจของฉัน!”


 


“เซอร์ เหตุผลที่คุณไปคุยกับผู้อำนวยการบริหารของบริษัทโอเชี่ยนชิปปิ้งคือการแนะนำให้ผมรับตำแหน่งกัปตันงั้นหรือครับ?”


 


“เรื่องนี้ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว! สิ่งสำคัญคือตอนนี้เราได้พบกับสถานการณ์ที่เรือของเรากลายเป็นซากเรือไปอย่างลึกลับ ขอบคุณพระเจ้าที่ความเสียหายที่เกิดกับเรือยังไม่รุนแรงมากพอที่จะทำให้ถึงจุดต้องทิ้งเรือไป ทุกคนฟัง! ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำให้ผู้โดยสารทุกคนสงบสติอารมณ์ตัวเองให้ได้ ครั้งนี้แขกที่มาร่วมงานส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวในช่วงวัยรุ่นตอนปลายและวัย 20 ต้น ๆ ความผันผวนทางอารมณ์ของพวกเขาจะมากขึ้นในกรณีฉุกเฉิน ดังนั้นมันจึงยากที่จะจัดการกับพวกเขา แต่อย่างน้อยเราก็ยังมีทีมงานเต็มรูปแบบในส่วนของพนักงานบริการสำหรับการจัดงานปาร์ตี้ในครั้งนี้ ผู้จัดการเฟอร์นันด์ ผมต้องการให้คุณไปรวบรวมบริกรทุกคนบนเรือและบอกให้พวกเขาส่งผ้าห่ม น้ำดื่ม และถุงของว่างสำหรับแขกแต่ละคน แฮร์รี่ ไปรวบรวมลูกเรือทั้งหมดเพื่อเตรียมพร้อมที่จะปล่อยแพชูชีพได้ตลอดเวลา หากแขกคนใดถามเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่าได้ซ่อนความจริงจากพวกเขาเด็ดขาด ต้องทำให้ชัดเจนว่ามันเป็นเพียงมาตรการเพื่อเตรียมการป้องกันเท่านั้น ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่นำทาง แอเดแลด์ นายเป็นคนที่คุ้นเคยกับเครื่องมือทางทะเลมากที่สุด ตอนนี้ถึงเวลาที่นายจะต้องแสดงความเชี่ยวชาญของนายแล้ว ไปศึกษาพิกัดการนำทางที่บันทึกไว้ในระหว่างการเดินทางซะ ตรวจสอบให้แน่ใจว่านายมีความอดทนและศึกษามันเป็นรายเมตรได้เรียบร้อย! หากพบบันทึกที่ผิดปกติใด ๆ ให้รายงานฉันในทันที! อเลสซานโดร นายแค่อยู่ที่ตำแหน่งคนถือหางเสือเรือและรอฟังคำสั่งของฉันให้ดรเพื่อเตรียมหมุนหางเสือตลอดเวลา เอาล่ะชายหนุ่มทั้งหลาย ไปทำหน้าที่ของตัวเองได้แล้ว! ควบคุมสติตัวเองให้ได้!”


 


กัปตันที่สงบอารมณ์จากความสับสนได้แล้วก็เริ่มออกคำสั่งในลักษณะที่เป็นระเบียบด้วยความเคร่งขรึม


 


เมื่อมองไปที่ความสงบและความสง่างามของชายชรา ผุ็จัดการของเรือก็กระซิบไปที่ข้างหูเพื่อนสนิทของเขา “เพื่อนรัก ฉันคิดว่านายยังห่างไกลจากกัปตันฟยอด์น่าอยู่มากทีเดียว ไม่แปลกใจที่เขาไม่ยอมให้นายแล่นเรือโดยลำพังเสียที”


 


“ฉันก็คิดเช่นนั้นเฟอร์นันด์ ดูเหมือนว่าฉันกลายเป็นคนงี่เง่าที่ประเมินความสามารถของตัวเองมากเกินไป ฉันไม่มีความสามารถที่จะขึ้นเป็นกัปตันได้เลย!” แฮร์รี่เจ้าหน้าที่ต้นเรือกระซิบขณะที่เขากัดฟัน “อย่างไรก็ตาม ฉันรู้วิธีชดเชยและพิสูจน์ว่าฉันเองก็เป็นเจ้าพนักงานที่มีความสามารถอยู่เหมือนกัน ไปกันเถอะเฟอร์นันด์ ไปทำตามคำสั่งของกัปตันและอย่าทำอะไรผิดพลาดกันเถอะ”


 


และเพราะแบบนั้น ภายใต้คำสั่งของกัปตันที่มีความเป็นผู้นำสูงทำให้แต่ละแผนกของเรือสำราญเอลิซาเบธ ฮอลิเดย์เริ่มทำหน้าที่ไปตามลำดับ การปฏิบัติการช่วยเหลือเรืออับปางเริ่มทำงานได้อย่างรวดเร็ว


 


ในไม่ช้า ผ้าเช็ดตัว ขวดน้ำสะอาดและของว่างก็ถูกส่งมอบให้กับทุกคน ด้วยผ้าเช็ดตัวที่ช่วยปิดกั้นลมหนาวของมหาสมุทรยามดึก ด้วยน้ำสะอาดเย็น ๆ ที่หล่อเลี้ยงปากแห้ง ๆ ของพวกเขาที่เกิดจากความตื่นตระหนก ไม่นานความกลัวของฝูงชนบนดาดฟ้าก็เริ่มจางหายไป


 


จางลี่เฉินเองก็เป็นหนึ่งในฝูงชนนั้นเช่นกัน หลังจากจิบน้ำสะอาดในมือแล้วเขามองไปที่ชายฝั่งที่มืดมิดและกระซิบโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าว่า “ทีน่า ผมต้องการคว้าโอกาสในความมืดนี้เพื่อขึ้นไปที่ชายฝั่ง… “


 


“อย่าไปนะลี่เฉิน… เสาหินที่ติดอยู่บนเรือนั้นแปลกประหลาดมาก ฉันกลัวว่านายอาจจะต้องเจอกับอันตรายจากการขึ้นฝั่งในเวลากลางคืนได้”


 


“ที่คุณพูดมาก็มีส่วนถูก” เมื่อได้ยินคำพูดของเธอจางลี่เฉินก็ไตร่ตรองอย่างรอบคอบอีกครั้ง ปากของเขาขยับเบา ๆ ขณะที่เขาพูด “งั้นผมค่อยไปดูเมื่อเหตุการณ์ปลอดภัยแล้วจริง ๆ ก็แล้วกัน”


 


เสียงแปลก ๆ “พู ชี ชี …” เริ่มออกมาจากปากของชายหนุ่มอย่างแผ่วเบาจนเหมือนเป็นเพียงเสียงลมที่ไม่มีใครได้ยิน เสียงคลื่นกระแทกขนาดใหญ่ดังกึกก้องบนฝั่งที่มืดมิดข้างการล่องเรือ


 


หลังจากเสียงนั้นค่อย ๆ เงียบลง บนฝั่นก็เริ่มมีเสียงของต้นไม้และก้อนหินที่สั่น ไม่นานหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของคนดังขึ้นต่อมา


 


เนื่องจากมุมมองจากที่เรือติดอยู่ระหว่างเสาหินขนาดใหญ่ทำให้ไฟฉายไม่สามารถฉายไปถึงบนฉากด้านหน้าได้ เสียงลึกลับที่ไม่รู้ที่มาเริ่มปล่อยเสียงที่ก้องกังวานยิ่งขึ้นในทันใด



ตอนที่ 125

ความกระวนกระวายในใจของคนอื่น ๆ ทั้งหมดถูกส่งไปยังทีน่า หญิงสาวมองจางลี่เฉินด้วยความตื่นตระหนกและถามด้วยเสียงกระซิบ “ลี่เฉิน นายเป็นคนทำเรื่องทั้งหมดนี้หรือเปล่า? ไม่เอาน่า อย่าเป็นแบบนี้สิ ตอนนี้ทุกคนจิตใจอ่อนแอกันหมดแล้ว…”


 


“อย่ากลัวไปเลยทีน่า เดี๋ยวคุณอยู่ที่นี่กับชีล่าและทริชไปก่อน อีกสักพักผมจะกลับมา” จางลี่เฉินไม่ตอบคำถามของทีน่าตรง ๆ แต่เลือกวางผ้าห่มคลุมไว้บนไหล่ของเธอก่อนที่จะกอดเมานท์โทดของเขาและเดินตรงไปยังมุมมืดของดาดฟ้า


 


สังเกตเห็นโดยบังเอิญเมื่อชายหนุ่มเดินออกไปอย่างกระทันหัน ชีล่าซึ่งยืนอยู่ที่ขอบเรือขณะที่เธอจับราวบันไดเพื่อพยายามจะดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่ผิวน้ำในมหาสมุทรมืดมิดก็เอ่ยถามทีน่าด้วยความประหลาดใจ “ที่รัก แฟนของเธอกำลังทำอะไรน่ะ?”


 


“เขายืนยันที่จะขึ้นฝั่งเพื่อไปตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบัน”


 


“เพื่อตรวจสอบสถานการณ์! ตอนนี้เนี่ยนะ?! เขาคิดว่าเขาเป็นนายทหารเรือหรือยังไงกัน?”


 


“ผู้ชายคนนั้นยังมีประโยชน์มากกว่าทหารเรือในสถานการณ์แบบนี้ซะอีก” ทริชตอบชีล่าในนามตัวแทนของทีน่า ขณะนั้นเอง จางลี่เฉินก็กำลังขึ้นขี่หลังของเกาะมังกรที่ซ่อนตัวและกระโดดลงจากเรือไปอย่างเงียบ ๆ ก่อนที่จะลงสู่ร่างโครโคดราก้อนที่รออยู่ข้างล่าง


 


แขนขาที่ทั้งหนาและสั้นของโครโคดราก้อนขยับไปมาบนพื้นผิวมหาสมุทรและในไม่ช้าเขาก็ควบคุมให้สัตว์อาคมของตัวเองมุ่งหน้าไปที่ชายฝั่ง


 


ท้องฟ้าเต็มไปด้วยความเยือกเย็น ไม่สามารถมองเห็นแม้กระทั่งแสงดาวหรือแสงจันทร์ได้ ทัศนวิสัยของจางลี่เฉินถูกจำกัดเหลืออยู่แค่เพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็ปีนลงมาจากหลังเกาะมังกรแล้วเดินช้า ๆ ไปตามสันโค้งของโครโคดราก้อน มุ่งหน้าไปยังหัวของสัตว์อาคมที่น่าเกรงขามก่อนที่จะนั่งตรงระหว่างตาของมัน


 


จากนั้นจางลี่เฉินก็กระตุ้นให้เมานท์โทดพองร่างของมันก่อนที่จะปล่อยให้มันนั่งอยู่ด้านหลังของตัวเขาเพื่อให้มันคอยระวังทั้งหลังและศีรษะให้อย่างมั่นคง


 


หลังจากที่ชายหนุ่มรู้สึกว่าการป้องกันนั้นเพียงพอแล้วในที่สุดเขาก็กระตุ้นให้เกาะมังกรมาอยู่เคียงข้างเขาอย่างระมัดระวังก่อนที่จะเริ่มการลาดตระเวนในขณะที่นั่งอยู่พร้อมการคุ้มกันจากสัตว์อาคมทั้ง 3 ตัว


 


โครโคดราก้อนเหยียบเท้าลงบนพื้นพลางพ่นเสียง “ชา ชา…” ออกมาเบา ๆ เมื่อลองมองดูอย่างถี่ถ้วนแล้วจางลี่เฉินมองเห็นชั้นทรายหยาบ ๆ ที่ด้านล่าง เขาพึมพำ “มันเป็นแค่เพียงหาดทรายธรรมดา ๆ” จากนั้นเขาก็ออกคำสั่งให้โครโคดราก้อนกำทรายมา 1 กำมือให้เขา ด้วยแสงประกายเบา ๆ นิ้วมือของเขาถูกบาดเป็นรอยแผลเล็ก ๆ หลายแห่ง


 


“นี่อาจเป็นโลหะหรือเศษแก้วที่ละเอียดเหมือนเม็ดทราย อย่าบอกนะว่าตอนนี้พวกเราไม่ได้อยู่บนโลกอีกต่อไป!” ชายหนุ่มขว้างสิ่งของที่เป็นอันตรายออกไปและสั่งให้สัตว์อาคมของเขาเดินต่อไปข้างหน้า ทันใดนั้นเขาก็พบเสาหินที่สูง 4 – 5 เมตรซึ่งกำลังขวางทางเขาไว้อยู่ 1 ต้น


 


ขณะนั่งอยู่บนหัวของโครโคดราก้อน จางลี่เฉินเหลือบตามองเสาประหลาดที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเลก็น้อย เขาสั่งให้สัตว์อาคมเอนตัวไปด้านข้างเพื่อเข้าใกล้เสาหินให้มากขึ้นเพื่อพยายามที่จะดูว่ารูปปั้นที่แกะสลักลงบนเสายักษ์ทั้งสองในมหาสมุทรจะถูกแกะสลักไว้บนเสานี้ด้วยหรือไม่ แต่ในตอนนั้นเองเขาก็เห็นคนร่างผอมถูกแขวนอยู่เคียงข้างกันโดยเท้าของพวกเขาถูกมัดติดอยู่บนเสาหิน


 


ในขณะที่จางลี่เฉินกำลังสังเกตพวกเขาอย่างระมัดระวัง ร่างคนเหล่านั้นดูเหมือนจะมีความสูงไม่เกิน 1.2 หรือ 1.3 เมตร พวกเขาดูเหมือนคนแคระทั่วไป และแม้ว่าเขาจะไม่สามารถมองเห็นสีผิวของพวกเขาได้ดีนักแต่เขามั่นใจมากว่าพวกเขาจะต้องมีผิวสีแทน


 


ร่างกายส่วนบนของพวกเขาเปลือยเปล่าในขณะที่ร่างกายส่วนล่างสวมกางเกงที่ดูเหมือนทำมาจากหนัง ดวงตาของพวกเขาถูกเจาะออกมาอย่างโหดเหี้ยมและถูกขว้างทิ้งไปไว้ข้างหลังจนเหลือแต่เพียงเบ้าตาดำ ๆ 2 หลุม แม้จะบาดเจ็บสาหัสแต่ทว่าหน้าอกของพวกเขายังคงมีการเคลื่อนไหวเพื่อสื่อถึงการหายใจ


 


ชายหนุ่มที่พึมพำคาถาเริ่มจัดระเบีบยความคิดของตัวเองให้สงบนิ่งและไม่แสดงออกอะไรมากเมื่อเขาพยายามไตร่ตรองเรื่องราวต่าง ๆ จากนั้นเขาก็สั่งให้เกาะมังกรยื่นกรงเล็บอันแหลมคมของมันออกไปเปิดผิวของคนที่ถูกแขวนที่อยู่ใกล้ตัวเขามากที่สุด


 


เลือดสดพุ่งพรวดออกจากบาดแผลในทันที จมูกของจางลี่เฉินได้สัมผัสกับกลิ่นเลือดที่คาวเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกัน คนแคระตัวเล็กที่ได้รับบาดเจ็บจากสัตว์อาคมก็ส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างน่าสังเวช


 


“ยังมีชีวิตอยู่อย่างที่คิดไว้จริง ๆ” จางลี่เฉินไม่มีท่าทีแสดงความเห็นใจต่อเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นมาเลยสักนิด เขาดำเนินการสั่งให้เกาะมังกรเฉือนร่างกายอื่น ๆ ขณะที่พวกเขาถูกแขวนคว่ำหัวอยู่บนเสาหินเหมือนกันคนแรก


 


หลังจากนั้นไม่กี่วินาที การแสดงเดี่ยวของการร้องโหยหวนก็ดังขึ้นประสานกัน นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีอะไรอื่นที่ผิดปกติเกิดขึ้นเลย


 


อย่างไรก็ตามในขณะนี้สีหน้าของจางลี่เฉินเริ่มเอาจริงเอาจังมากขึ้นเรื่อย ๆ “พลังสัตว์อาคมไม่ได้รับการปรับปรุง…ถ้างั้นก็หมายความว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่สัตว์ที่ฉลาดอะไรเลยน่ะสิ หรือบางทีพวกเขาอาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่กำลังมีความสุขมากจนไม่มีอารมณ์เชิงลบใด ๆ เข้าแทรก”


 


เขาควบคุมสัตว์อาคมของตัวเองเพื่อจบเสียงร้องที่น่าสังเวชที่น่าหงุดหงิดก่อนที่จะวางซากศพไว้ที่ตรงหน้า


 


ในที่สุดความรู้ทางชีวภาพของชายหนุ่มก็มีประโยชน์มากในตอนนี้ เขาลองตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วก็พบว่าหน้าผากของทั้ง 3 ศพนี้มีส่วนที่ยื่นออกมาเล็กน้อย แต่เมื่อลองมองดูอย่างใกล้ชิดพวกเขาก็ยังดูเหมือนมนุษย์มากกว่าลิง


 


จางลี่เฉินสัมผัสฟันของพวกเขาและพบการสึกหรอของเหงือก พวกเขาจะต้องเป็นสัตว์ที่มีการกินอาหารปรุงสุกอยู่เป็นประจำ


 


เขาลูบฝ่ามือของพวกเขาเบา ๆ และพบว่าฝ่ามือของพวกเขาเต็มไปด้วยหนังหนาด้าน ๆ อย่างไรก็ตามจางลี่เฉินรู้สึกได้ว่าหนังหนาด้าน ๆ ที่เกิดขึ้นที่ปลายนิ้วและข้อต่อระหว่างฝ่ามือและนิ้วนั้นหนากว่าปกติมาก นี่เป็นลักษณะของการใช้เครื่องมือง่าย ๆ อยู่ตลอด


 


สุดท้ายคือกางเกงหนัง กางเกงหนังที่สวมใส่แต่เพียงครึ่งล่างของร่างเล็ก ๆ นั้นดูนิ่มนวลเป็นอย่างมาก มันจะต้องถูกเย็บหลังจากผ่านกระบวนการฟอกหนัง ใคร ๆ ก็สามารถบอกได้ว่าอารยธรรมของพวกเขาควรได้รับการพิจารณาว่าก้าวหน้ามากในแง่ของสังคมดั้งเดิม


 


“พวกเขามีสติปัญญาแต่ไม่มีความรู้สึกในแง่ลบเลยแม้แต่น้อย ถึงดวงตาของพวกเขาจะถูกเจาะเอาออกไปและถูกแขวนไว้ที่ชายหาด รวมถึงร่างกายของพวกเขาจะถูกเฉือนไปโดยสัตว์อาคมของเราและถึงแม้จะร้องไห้ออกมาแบบนั้นก็ยังไม่มีความรู้สึกแง่ลบใด ๆ คิดได้อย่างเดียวว่าคนพวกนี้น่ะเป็นบ้า! มีเพียงคนบ้าเท่านั้นที่จะไม่รู้สึกโกรธ ไม่รู้สึกสิ้นหวัง หรือหวาดกลัวในสถานการณ์เช่นนี้ได้” หลังจากที่เขาตรวจสอบเสร็จเขาก็สั่งให้สัตว์อามคมของตัวเองกินเศษซากศพนั้นก่อนที่จะพูดพึมพำกับตัวเอง “อย่างไรก็ตาม ในฐานะคนบ้าพวกนี้ พวกเขาดูเหมือนจะเงียบเกินไปจนดูน่าขนลุก เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาไม่มีพลังงานเหลือมากพอที่จะต้องดิ้นรนเพราะถูกแขวนไว้นานเกินไป? ช่างเถอะ! สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญเลย ที่สำคัญคือสถานที่แห่งนี้มันอยู่ตรงไหนบนโลกต่างหาก?”


 


ขณะที่เขากำลังพึมพำกับตัวเองเขาก็ตรวจดูเสาหินถัดจากเขาอย่างระมัดระวังไปพลาง ๆ เขาสามารถเห็นการแกะสลักใบหน้าแปลก ๆ และสัตว์ประหลาดจำนวนมากได้


 


หลังจากรู้ว่าเสาหินบนทรายมีความคล้ายคลึงกับเสายักษ์ในทะเลแล้วจางลี่เฉินก็สั่งให้โคโรดราก้อนเดินไปรอบ ๆ ชายหาดต่อ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้พบกับเสาหินต้นที่ 2 ซึ่งมีคนแคระ 3 คนถูกพลิกคว่ำหัวอยู่ด้วยเหมือนกัน


 


หลังจากสั่งให้สัตว์อามคมของตัวเองดำเนินการในแบบเดียวกันแล้วเขาก็สังเกตเห็นว่าร่างคนแคระที่ถูกแขวนคว่ำอยู่บนเสาหินนี้ก็ไม่มีความรู้สึกด้านลบเช่นกันเมื่อพวกเขาได้รับบาดเจ็บเหมือนกับกลุ่มที่อยู่บนเสาแรก


 


จางลี่เฉินตกตะลึงอยู่สักพักก่อนจะควบคุมสัตว์อาคมของเขาให้คลานไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ 2 – 3 นาทีต่อมาเสาที่ 3 ที่มีคนแคระ 3 คนแขวนอยู่บนนั้นก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้ง


 


“วันนี้เป็นวัน ‘ทำความสะอาด’ ของชาวพื้นเมืองบนเกาะนี้หรือไงกัน? ทำไมถึงมีคนบ้ามากมายถูกแขวนไว้ในเวลาเดียวกันแบบนี้ได้” จางลี่เฉินเค้นยิ้มขณะที่การแสดงออกของเขาค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นรุนแรงมากยิ่งขึ้น อีกครั้งที่เขาเคลื่อนไหวให้เกาะมังกรฉีกร่างของคนที่ถูกแขวน


 


เสียงร้องไห้และเสียงโหยหวนดังก้องเข้ามาในหูของเขาอีกครั้งแต่ก็ยังเหมือนเดิม สัตว์อาคมของเขาไม่ได้รับการบิดเบือนใด ๆ จากอารมณ์ที่คนพวกนั้นส่งออกมาเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มมองคนแคระด้วยท่าทางที่บูดเบี้ยวซึ่งที่เบ้าตาของคนพวกนั้นยังเต็มไปด้วยเลือดสด ๆ คนแคระกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เขาใกล้ชิดมากที่สุดในการตรวจสอบขณะที่เขาพึมพำ “หรือบางทีพวกนี้จะไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นหุ่นเชิดที่มีชีวิต…”


 


ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้นแสงสีเหลืองจาง ๆ ก็ปรากฏขึ้นในป่าทึบ ไฟยังคงสั่นไหวราวกับมีใครบางคนวิ่งเข้าหาเขาพร้อมกับคบเพลิง


 


เมื่อเห็นแสงไฟที่ใกล้เข้ามาจางลี่เฉินก็ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เขาไตร่ตรองสักครู่ก่อนที่จะเคลื่อนไหวสัตว์อาคมของเขาให้เข้าไปหาไฟ


 


อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะก้าวไปได้มากกว่านี้ชายหนุ่มก็รู้ว่าแสงไฟนั้นได้ถูกเปลี่ยนเป็นแสงไฟจำนวนมากก่อนที่จะกลายเป็นดวงไฟที่มีมากกว่าสิบดวง ท้ายที่สุดเปลวไฟหลายร้อยดวงก็สว่างขึ้นท่ามกลางความมืดมิด


 


จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของจางลี่เฉินที่สามารควบคุมสัตว์อาคมที่ทรงพลัง 3 ตัวได้คือร่างกายของเขาที่อ่อนแอเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ในการเผชิญหน้ากับชาวพื้นเมืองหลายร้อยคนซึ่งมีความแข็งแกร่งในความมืดเช่นนี้ ม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นแรงกดดันอย่างใหญ่หลวงสำหรับเขามากขนาดไหน


 


โครโคดราก้อนที่กำลังวิ่งไปข้างหน้าหยุดชะงักเนื่องจากความคิดของจางลี่เฉินที่กำลังหวั่นไหว อย่างระมัดระวัง เขาควบคุมสัตว์อาคมให้หมุนตัวและคลานกลับไปที่น้ำอย่างรวดเร็ว


 


หลังจากโครโดราก้อนกลับไปที่เรือแล้วเขาก็ล้างมือตัวเองจนสะอาดก่อนที่จะเปลี่ยนไปขี่เกาะมังกรและกลับไปที่ดาดฟ้าเรืออย่างเงียบ ๆ


 


จางลี่เฉินเดินอุ้มเมานท์โทดกลับไปหาทีน่าท่ามกลางความมืดแต่เธอไม่ทันได้สังเกตว่าเขากลับมาแล้ว เธอกำลังถามเด็กชายลูกผสมที่มีผิวคล้ำเล็กน้อยอย่างประหม่า “ยูโดร่า นายคิดว่าแสงบนฝั่งนั้นคืออะไรกัน?”


 


“อาจจะเป็นชาวพื้นเมืองของเกาะที่มาล้อมเราด้วยคบไฟของพวกเขา เนื่องจากพวกเขาไม่มีไฟฉายไว้ใช้เพื่อส่องสว่างท่ามกลางความมืด นั่นหมายความว่าอารยธรรมของพวกเขาไม่ได้มีมากไปกว่าพวกเรา ไม่ต้องกังวลนะทีน่า กัปตันเรือเอลิซาเบธ ฮอลิเดย์เป็นกะลาสีที่มีประสบการณ์มาก เมื่อพิจารณาจากวิธีการที่เขามอบผ้าห่ม อาหารและน้ำให้กับพวกเราทีละคนแล้วนั่นหมายความว่าเรือนี้ยังพอสามารถควบคุมได้อยู่ ลองดูสิ ทุกคนบนเรือเริ่มสงบจิตใจลงได้มากแล้วใช่ไหมล่ะ? เขาจะต้องมีวิธีจัดการกับชาวพื้นเมืองเหล่านี้แน่นอน นอกจากนี้เอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ของเรายังสูงประมาณ 100 เมตรอีก ดังนั้นแม้ว่าชาวพื้นเมืองเหล่านี้ต้องการจะโจมตีเรามันก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะขึ้นเรือมาได้สำเร็จ”


 


“แล้วชายฝั่งล่ะ? จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีใครบางคนจากเรือขึ้นไปบนฝั่ง?”


 


“ถ้าให้เดาคน ๆ นั้นก็คงเป็นพวกคนบนชายฝั่งนั่นน่ะแหละ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มันเป็นเวลากลางคืนและสถานการณ์ยังไม่ชัดเจนดังนั้นฉันจึงสงสัยจังว่าจะมีใครบนเรือไปที่ฝั่งนั่นจริง ๆ น่ะเหรอ?”


 


“ถูกต้อง! ไม่มีใครบนเรือคิดอยากจะไปบนชายฝั่งนั่นหรอก” จางลี่เฉินผู้ซึ่งอยู่ข้าง ๆ จู่โจมด้วยเสียงที่ค่อนข้างดังขณะที่เขาหยิบผ้าเช็ดตัวบนไหล่ของทีน่าไปห่อรอบ ๆ ตัวเขาเอง


 


“โอ้! ฉันรู้ว่านายจะต้องไม่เป็นไร! ฉันรู้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับนายแน่นอน!” ทีน่าตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะสวมกอดชายหนุ่มด้วยความดีใจ


 


“สถานการณ์แย่มากทีน่า ทรายบนชายฝั่งมีความคมมากจนสามารถตัดผ่านผิวหนังนิ้วมือพวกเราได้ นอกจากนี้ยังมีคนแคระจำนวนมากถูกแขวนอยู่บนเสาหินที่สูงประมาณ 3 – 4 เมตรโดยที่ตาของพวกเขาถูกเจาะออกมา และตอนนี้มีชาวพื้นเมืองก็อยู่รอบ ๆ เรือด้วยคบเพลิงที่อยู่ในมือของพวกเขา สถานการณ์เลวร้ายมากจริง ๆ ผมจะไม่มีทางทิ้งคุณและคุณจะต้องฟังทุกสิ่งที่ผมพูดให้ดีด้วย เข้าใจไหม?” จางลี่เฉินกระซิบข้างหูของหญิงสาว


 


หญิงสาวผงกหัวด้วยความตกใจ หลังจากที่เธอฝังความคิดไว้ครู่หนึ่งเธอก็ปล่อยมือของจางลี่เฉินโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าและชี้ไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ “ลี่เฉิน นี่ยูโดร่า เขาเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโรงเรียนฟอร์ดแฮมของพวกเรา ตอนนี้เขากำลังวิเคราะห์สถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่และฉันคิดว่ามันสมเหตุสมผลมากทีเดียว”


 


“อย่างนั้นเหรอ? สวัสดีครับมิสเตอร์ยูโดร่า ผมจางลี่เฉิน ยินดีที่ได้รู้จัก คุณช่วยบอกความคิดของคุณให้ผมฟังทีจะได้ไหมครับ?”


 


“สวัสดีครับมิสเตอร์ล้านดอลลาร์ เรียกผมว่ายูโดร่าก็พอ ความคิดเห็นของผมเองก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่นักหรอก ผมแค่คิดว่าเอลิซาเบธ ฮอลิเดย์กำลังอยู่ในสถานการณ์แบบในหนังเรื่อง ‘อลิซในดินแดนมหัศจรรย์’ เช่นเดียวกับอลิซ พวกเราได้ตกลงไปใน ‘หลุมกระต่าย’ และตกลงไปยังโลกอีกใบหนึ่ง มีทางเดียวเท่านั้นที่จะกลับสู่ความเป็นจริงได้นั่นคือการทำเหมือนกับอลิซในตอนท้ายของเรื่อง… เราต้องปีนออกจากโพรงกระต่ายนั้นอีกครั้ง…”


 


“คุณหมายถึงให้เดินทางกลับตามเส้นทางที่เราผ่านมางั้นสินะ?” จางลี่เฉินตกตะลึงไปชั่วขณะ



ตอนที่ 126

“ใช่…แต่แน่นอนว่าวิธีนี้ก็อาจไม่ได้ผล อย่างไรก็ตามมันเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดและเป็นไปได้มากที่สุด” จางลี่เฉินนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ขณะที่แสงไฟพุ่งผ่านดวงตาของเขาไปเขาก็พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดนั้น “เป็นความคิดที่ไม่เลว ถึงอย่างไรมันก็ดีกว่าการขับวนไปมารอบ ๆ มหาสมุทร คุณช่วยไปบอกความคิดเห็นของคุณกับกัปตันจะได้ไหม?”


 


“กัปตันคิดเรื่องนี้ได้อยู่แล้วโดยที่ผมไม่จำเป็นต้องเข้าไปเตือน ทันทีที่เรือติดอยู่กับเสาเขาก็ได้บอกผู้นำทางให้เริ่มตรวจสอบเส้นทางการเดินทางที่บันทึกไว้ในเครื่องมือทางทะเลแล้ว นอกจากนี้ปัญหาหลักที่เรามีอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่วิธีการหาทางกลับแต่จะนำเรือออกจากเสาหินเหล่านี้ได้อย่างไรต่างหาก”


 


โดยปกติแล้วเด็ก ๆ ในโรงเรียนมัธยมของอเมริกาจะมีภาพลักษณ์ที่ไม่ค่อยฉลาดและไม่รู้วิธีที่จะร่วมมือกันเท่าไหร่นัก แต่แทนที่พวกเขาจะดูถูกเด็กคนอื่นอย่างขำขันในการดิ้นรนเพื่อหาทางให้กับผู้อื่น ยูโดร่าคนนี้กลับแตกต่างไปจากเด็กชายคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด คำพูดของเขาเน้นไปที่ประเด็นสำคัญโดยตรงอย่างไม่อ้อมค้อม


 


ความประพฤติของเขาได้รับการยินยอมจากจางลี่เฉิน “ถ้าอย่างนั้นคุณมีทางออกสำหรับสิ่งนี้ไหมยูโดร่า?”


 


“โชคดีที่เสายักษ์ทั้ง 2 ต้นนี้ตั้งอยู่ในมหาสมุทร ความคิดของผมคือเราควรหาไม้มากองไว้ใต้เสาหินเพื่อก่อกองไฟ เมื่อกระแสน้ำลดมันจะให้ความร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่องกับเสาหิน ตามเวลาที่น้ำขึ้นสูงด้วยหลักการของการขยายตัวที่เกิดจากความร้อนจากกองไฟและการหดตัวที่เกิดจากน้ำเย็นบวกกับแรงบิดอันทรงพลังของเรือ ก็พอเป็นไปได้ที่จะทำลายเสาหินเหล่านี้”


 


แม้ว่าการทำลายเสาหินที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางกว้างกว่า 10 เมตรโดยใช้หลักการของการขยายตัวทางความร้อนและการหดตัวจะดูเป็นความคิดเห็นที่แปลกประหลาดแต่ก็พอเป็นหนทางที่เป็นไปได้จริง ๆ


 


ใคร ๆ ก็สามารถบอกได้ว่าหากวัสดุของเสาหินนั้นทำหน้าที่นำความร้อนได้ดีก็ไม่จำเป็นต้องมีแรงบิดของอลิซาเบธ ฮอลิเดย์เข้าช่วยเลย เสายักษ์จะพังทลายลงด้วยน้ำหนักของมันเองตราบใดที่พวกมันทำการขยายตัวทางความร้อนหลายครั้งและหดตัวลงบนฐาน


 


“เป็นความคิดที่น่าจะเป็นไปได้!”


 


“กัปตันของพวกเราก็พูดแบบนั้นเหมือนกัน ฉันคิดว่าเขาน่าจะสั่งให้รวบรวมคนและมุ่งหน้าไปที่ชายฝั่งเพื่อตัดฟืนเมื่อน้ำลดในตอนกลางวัน เราควรมีท่อนไม้มาก่อไฟให้เพียงพอบนเรือ อย่างไรก็ตามจุดสำคัญในเวลานั้นก็คือชาวพื้นเมืองบนชายฝั่งที่ไม่รู้ว่าจะเป็นแบบมนุษย์กระป๋องหรือราชินีที่ชั่วร้าย”


 


ทั้งมนุษย์กระป๋องและราชินีชั่วร้ายต่างก็เป็นตัวละครในอลิซในแดนมหัศจรรย์ อดีตเป็นผู้ช่วยที่มีประโยชน์สำหรับตัวเอกในขณะที่ในภายหลังเป็นวายร้ายที่ยิ่งใหญ่


 


“หวังว่าพวกเขาจะเป็นแบบมนุษย์กระป๋อง” จู่ ๆ ชีล่าผู้ที่ไม่สนใจอะไรเลยมาตลอดเวลาก็กระซิบขึ้นมา


 


เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กผู้หญิงที่ขาดความสนใจเมื่อได้ยินคำพูดของยูโดร่าแล้วจางลี่เฉินคิดถึงปัญหาที่สำคัญยิ่งกว่า การจะใช้เวลาในการทำลายเสายักษ์ในทะเลและอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ที่แต่เดิมวางแผนที่จะแล่นเรือรอบนิวยอร์กเพียง 1 รอบทำให้มีการจัดสรรของในปริมาณที่จำกัด


 


เมื่อการจัดหาอาหารอยู่ในระดับต่ำฝูงชนบนเรือก็มีแนวโน้มที่จะเกิดความสับสน ในเวลานั้นแผนการทำงานร่วมกันเพื่อค้นหาไม้และเริ่มก่อกองไฟเพื่อทำลายเสาหินจะกลายเป็นเพียงเรื่องตลกไปในทันที หากจางลี่เฉินคิดเรื่องนี้ได้เองอย่างนี้โดยธรรมชาติแล้วกัปตันอลิซาเบธ ฮอลิเดย์เองก็สามารถคิดถึงเรื่องนี้ไดด้วยเช่นกัน


 


เมื่อรุ่งเช้ามาถึง เขาก็ลากร่างอันอ่อนล้าของเขากลับไปที่ห้องควบคุมและถามเพื่อนคนที่ 3 ที่เพิ่งนับเสบียงเสร็จว่า “แอนเจลลา เรามีอาหารเหลืออยู่เท่าไหร่?”


 


“เค้กฉลองที่ยังไม่หมดมีประมาณ 1,400 ปอนด์ มีไข่ 3700 ฟอง และแป้ง 1,000 ปอนด์ มันเพียงพอสำหรับคนบนเรือทั้งลำถ้าเรากินเท่าที่จำเป็น…”


 


“เราไม่มีเชื้อเพลิงเหลืออยู่บนเรือนัก มีเพียงโอกาสเดียวที่จะออกจากเสาหินได้ มันเป็นจุดจบอย่างไม่ต้องสงสัยถ้าเรายังคงกินอาหารของเราเท่าที่จำเป็นในเวลานี้ วางอาหารทั้งหมดไว้บนโต๊ะซะแล้วให้พวกผู้ชายทุกคนขึ้นฝั่งไปรวบรวมท่อนไม้มาให้ได้มากที่สุด อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ชายที่ไม่เต็มใจที่จะมีส่วนร่วมในการสละพลังงานของพวกเขาก็ให้ขนมเพียง 2 ปอนด์เท่ากับพวกผู้หญิงซะ”


 


“เซอร์ ผมเกรงว่าการไปทำเช่นนั้นจะทำให้ทุกคนกลับมาตื่นตระหนกอีกครั้งก็ได้นะครับ!”


 


“มันจะไม่เป็นแบบนั้น! ตราบใดที่ยังมีโอกาสในการหนี มนุษย์ทุกคนย่อมไม่ละทิ้งความหวัง แต่ถ้าเราล้มเหลวที่จะพังเสาหินนั้นก่อนที่กระแสน้ำจะสูงขึ้น…ก็จงอธิษฐานเอาซะเถอะ หวังว่าพระเจ้าจะทรงอวยพรให้พวกเรา…” เมื่อชายชราเปล่งประโยคสุดท้ายของเขาจบแสงแรกแห่งรุ่งอรุณก็ค่อย ๆ ตัดผ่านพื้นผิวมหาสมุทรมืดขึ้นมาทีละน้อย


 


“รุ่งสางแล้ว! ตอนนี้รุ่งสางแล้ว! ดูนั่นพระอาทิตย์! นอกจากโลกของเราก็ไม่มีดวงอาทิตย์ที่ไหนอีกแล้ว! พวกเรา…พวกเรายังอยู่บนโลก…”


 


“บนโลก? นายกำลังจะบอกว่าพวกเราสามารถค้นพบทวีปใหม่ได้อย่างโคลัมบัสเพียงแค่วนเรือเป็นวงกลมรอบ ๆ นิวยอร์กงั้นเหรอ? ตั้งสติได้แล้ว! เราต้องมาอยู่ที่อีกโลกหนึ่งที่โครงสร้างคล้ายโลกเดิมทุกอย่างแม้กระทั่งพระอาทิตย์!”


 


“มันสว่างแล้วในตอนนี้แต่คบเพลิงยังคงอยู่ใกล้กับเรา ดูเหมือนชาวพื้นเมืองในโลกนี้จะใช้ชีวิตด้วยความเร็วที่ช้ามาก” เมื่อดวงอาทิตย์ปรากฏ ความโกลาหลก็เกิดขึ้นท่ามกลางฝูงชนที่มีความตื่นตระหนกในยามค่ำคืนจนกระทั่งพวกเขาเริ่มใจหวิวเล็กน้อย


 


โดยไม่มีการเตือนใด ๆ เด็กผู้ชายที่มีรูปร่างอวบใหญ่ชี้ไปที่ร่างสั้น ๆ ที่สวมใส่หนังสัตว์สีดำที่กำลังเดินออกจากป่าขณะถือคบเพลิงก่อนที่จะตะโกนดัง ๆ “ดูนั่นสิ! คนพวกนั้นตัวเตี้ยเป็นบ้า! เวรเอ้ย! นี่พวกเรามาอยู่ในดินแดนของคนแคระหรือไงกัน?”


 


“มันเป็นคนแคระจริงๆ! เวร! นี่เรากำลังอยู่ในโลกดันเจียนส์ & ดราก้อนหรือไงเนี่ย! อัศจรรย์มาก!”


 


“นั่นไม่ใช่คนแคระจากดันเจียนส์ & ดราก้อน! พวกนั้นไม่มีหนวดเครา พวกเขาเป็นแค่คนแคระธรรมดา! แต่โดยปกติแล้วอารยธรรมของคนแคระจะต้องก้าวหน้าไปอีกเล็กน้อยสิ”


 


“เมื่อพูดถึงระดับอารยธรรมแล้วฉันคิดว่าระดับอารยธรรมของพวกนายก็ควรจะสูงกว่านี้เหมือนกัน คนโบราณพวกนั้นไม่เข้าใจความหวาดกลัวดังนั้นอย่าบอกฉันนะว่านายเองก็ไม่เข้าใจความหวาดกลัวนี้ด้วยเช่นกัน?” เมื่อได้ยินการสนทนาที่ตื่นเต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปของชายหนุ่มที่อยู่รอบตัวเขาพลางจ้องมองไปที่คนแคระที่ดูคล้ายกับคนที่ถูกแขวนคว่ำหัวพร้อมกับเจาะดวงตาออกมาแล้วจางลี่เฉินก็พึมพำเบา ๆ


 


“พวกเขาเป็นคนแคระจริงๆ! บางทีเราควรไปคุยกับพวกเขาดี ๆ พวกนั้นทั้งตัวสั้นและอ่อนแอ เพียงแค่เหลือบมองเพียงครั้งเดียวเราก็สามารถบอกได้ว่าแล้วพวกนั้นเป็นอันตรายหรือใจดี! นายไม่คิดอย่างนั้นหรอจางลี่เฉิน?”


 


“ผมตัวเล็กกว่าและอ่อนแอกว่าคุณมาก แต่คุณคิดหรือว่าผมจะไม่เป็นอันตรายเมื่อต้องเจอกับคนแปลกหน้าที่ผมไม่รู้ว่าเขาจะเข้ามาอย่างเพื่อนหรือศัตรู?” คำพูดของจางลี่เฉินทำให้ทีน่านิ่งเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นเมื่อเธอนึกถึงวิธีที่เขาปฏิบัติกับคนแปลกหน้าซึ่งอาจเป็นศัตรูที่ทรงพลังได้แล้วเธอก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น “ทำ…ทำไมนายถึงพูดอย่างนั้น?”


 


จางลี่เฉินมองดูคนแคระที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ตามชายฝั่งที่กำลังตะโกนออกมาเสียงดังอย่างมีความสุขพร้อมทั้งโลดเต้นด้วยความดีใจหลังจากเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจที่เห็นเอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ติดอยู่ระหว่างเสาหิน เขาวางนิ้วหนึ่งนิ้วลงบนปากของเขาเพื่อทำให้ทีน่าเงียบ “อย่าถามคำถามมากมายทีน่า คุณเพียงต้องจำไว้ให้ดีว่าคนแคระเหล่านั้นเป็นอันตรายและคุณไม่ควรไปติดต่อกับพวกเขาโดยตรงเพียงลำพัง”


 


ภายใต้การจ้องมองของชายหนุ่ม คนแคระคนหนึ่งตะโกนอย่างตื่นเต้นก่อนที่จะคุกเข่าลงทีละคนพลางทำท่าบูชาเรือเหล็กขนาดใหญ่


 


“ชาวพื้นเมืองพวกนั้นกำลังคุกเข่าและโค้งคำนับต่อเรา บางทีพวกเขาอาจมองว่าเราเป็นพระเจ้าของพวกเขา! โอ้พระเจ้า นี่มันจะบ้าเกินไปแล้ว!”


 


“เราไม่แตกต่างไปจากพระเจ้าในสายตาของชนพื้นเมือง เราสามารถสุ่มเครื่องมือเช่นพวกไฟฉายให้พวกนั้นไปเพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องเจาะไม้มาทำไฟอีกต่อไปก็ได้ เราสามารถเปลี่ยนความก้าวหน้าทางอารยธรรมทั้งหมดของพวกเขาได้!”


 


“อย่าพูดอย่างนั้นแจ็ค! ในฐานะที่เป็นบุคคลภายนอกเราไม่ควรคิดว่าเราเป็นคนพื้นเมืองที่เหนือกว่าชาวพื้นเมืองเหล่านั้น เราควรบอกพวกเขาว่าเราเป็นกลุ่มของผู้ประสบภัยที่ต้องการความช่วยเหลือ…”


 


เมื่อชายหนุ่มเห็นชาวพื้นเมืองใต้เรือโค้งคำนับพวกเขา ความหวาดกลัวในใจของพวกเขาแต่ละคนก็ลดน้อยลง ความรู้สึกที่เหนือคำบรรยายที่ไม่สามารถอธิบายได้ของพวกเขาฉายชัดอยู่ในใบหน้าในขณะที่พวกเขาพูดถึงคนแคระที่อยู่ด้านล่างของเรือ บางคนมีความตั้งใจที่จะลงเรือเพื่อโต้ตอบกับชาวพื้นเมืองบนชายฝั่ง


 


จางลี่เฉินจ้องมองไปที่คนแคระที่กำลังคุกเข่าและโค้งคำนับบนหาดทรายที่แหลมคมที่สามารถผ่าผ่านผิวหนังของมนุษย์ซึ่งเป็นอันตรายอย่างไม่ต้องสงสัยด้วยความมึนงง เขาอดไม่ได้ที่จะกอดเมานท์โทดไว้แน่นตัว


 


“เซอร์ ผมคิดว่าเราควรไปสร้างปฏิสัมพันธ์กับชาวพื้นเมืองบนชายฝั่งนะครับ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเคารพเรามาก และตราบใดที่เรายังคงมีทัศนคติที่ดีที่เป็นด้านบวกผมเชื่อว่าจะไม่มีอุบัติเหตุใด ๆ เกิดขึ้นแน่นอน” ที่ห้องควบคุมเจ้าหน้าที่ต้นเรือที่ตั้งใจจะแก้ไขความผิดพลาดของเขาแนะนำกัปตันขณะที่เขามองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งเห็นว่าคนแคระกำลังคุกเข่าอยู่ที่ที่ชายหาดเหมือนกับถั่ว


 


“ฉันเคยไปเที่ยวภูเขาน้ำแข็งมาก่อนตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันเป็นคู่ที่ 3 ที่อยู่บนเรือบรรทุกสินค้า ฉันเคยแล่นเรือจากนิวยอร์กไปคองโกและคนแคระเหล่านี้ก็ดูเหมือนชาวพื้นเมืองของชนเผ่าแอฟริกันมาก กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือความคิดของพวกเขาอาจจะแปลกประหลาดและแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงจากวิธีคิดเชิงตรรกะที่พวกเรามี ความจริงที่ว่าพวกเขาแสดงความเคารพต่อเราไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่เป็นอันตราย”


 


“แต่เรายังต้องไปรวบรวมคนเพื่อไปเก็บไม้บนชายฝั่งอยู่นะครับ เราต้องติดต่อกับพวกเขาหากพวกเขายังไม่ยอมไปไหน เราอาจไปกันตอนนี้…”


 


“รอซะ! มีความอดทนให้มากขึ้นแฮร์รี่ เมื่อถึงเวลาที่ท้องฟ้าสว่างไสวและกระแสน้ำลดหายไปหมดเราจะแยกย้ายกันออกไปทำตามหน้าที่และโต้ตอบกับพวกเขาหากยังมีคนแคระอยู่บนชายฝั่ง ให้พวกผู้ชายเตรียมขวานเพื่อความปลอดภัยและบอกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทุกนายให้เตรียมโหลดปืนให้พร้อม!”


 


“เยส เซอร์!” แฮร์รี่พยักหน้าก่อนที่จะวิ่งออกไปจากห้องควบคุมของเรือและบอกลูกเรือให้ลงไปเพื่อเตรียมการบางอย่าง


 


ในฐานะที่เป็นเรือเดินสมุทรหรู เส้นทางของอลิซาเบท ฮอลลิเดย์มักจะปลอดภัยอยู่เสมอแต่มาตรการที่จำเป็นในการป้องกันเรืออับปางก็มีความครอบคลุมมากเช่นกัน ภายใต้คำสั่งของเจ้าหน้าที่ต้นเรือ มันใช้เวลาอยู่สักครู่สำหรับลูกเรือกว่า 50 คนที่มีขวานอยู่ในมือของพวกเขาและมีการรักษาความปลอดภัยด้วยปืนยาว 10 กระบอก


 


ในขณะนี้คนแคระบนชายฝั่งได้โค้งคำนับเอลิซาเบธ ฮอลิเดย์มาเป็นเวลานานแล้ว บางทีพวกเขาอาจคิดว่าความจริงใจในการแสดงออกของพวกเขานั้นเพียงพอแล้วเมื่อพวกเขาเริ่มยืนขึ้นทีละคนตามผู้นำของพวกเขาที่มีขนยาว ๆ ผูกติดอยู่กับหัวพร้อมทั้งตะโกนอย่างตื่นเต้นออกมาว่า “อีย๊าาาาาา!!!!” จากนั้นพวกเขาก็วิ่งกลับเข้าไปในป่า


 


กัปตันถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเเห็นคนแคระวิ่งเข้าป่าไปจากทางหน้าต่าง หลังจากได้เห็นชาวพื้นเมืองคนสุดท้ายวิ่งเข้าป่าไปแล้วเขาจึงจับไมโครโฟนและประกาศเสียงดังว่า “ท่านผู้โดยสายที่มีเกียรติทุกท่าน ผมคือกัปตันฟยอดน่า ไนติงเกลแห่งเอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ ผมคิดว่าทุกคนคงรู้อยู่แล้วว่าตอนนี้เรากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงและค่อนข้างลำบากใจ ในฐานะกัปตัน ผมจะทำให้ดีที่สุดในการนำทุกคนออกจากสถานการณ์เช่นนี้และกลับนิวยอร์ก อย่างไรก็ตามในการทำเช่นนี้ผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือจากพวกคุณทุก ๆ คน”


 


หลังจากปลอบใจและสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนบนเรือเสร็จ ฟยอดน่ายังคงวิเคราะห์ถึงการเดิมพันที่มีความเสี่ยงโดยใช้วิธีการขยายตัวทางความร้อนและการหดตัวเพื่อทำลายเสายักษ์ที่พวกเขาต้องการจะทำโดยเร็วที่สุดหลังจากนั้นเขาก็เสนอให้คนบนเรือขึ้นมาเป็นอาสาสมัครเพื่อขึ้นฝั่งไปหาท่อนไม้เนื่องจากเครื่องมือที่มีอย่างจำกัด และส่วนใหญ่จะต้องไปหาท่อนไม้หรือกิ่งไม้ต่าง ๆ ได้จากส่วนภูเขาเท่านั้น


 


เด็กชายชาวนิวยอร์กที่ไม่เคยได้ทำอะไรมาก่อนหน้านี้ไม่ต้องการถูกล่อลวงด้วยอาหารเพื่อล่อให้พวกเขาทำงาน พวกเขาแสดงความเต็มใจด้วยความกระตือรือร้นอย่างเต็มที่ในการขึ้นฝั่งเพื่อให้อลิซาเบธ ฮอลิเดย์รอดพ้นออกจากอันตรายนี้ไปเสียที



ตอนที่ 127

แตกต่างจากตัวเลือกที่หนุ่มสาวบางกลุ่มที่กระตือรือร้นจะทำ ชายชราฉลาดแกมโกงไม่กี่คนบนเรือในหมู่ผู้โดยสารที่ชาญฉลาดเลือกที่จะปฏิเสธการลงเรือเนื่องจากเหตุผลทางร่างกายที่อ่อนล้าหลังจากเรืออับปาง อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้แสดงการคัดค้านใด ๆ กับกฎการจำกัดอาหารสำหรับการเลือกที่จะพักอยู่บนเรือต่อไป


 


โดยธรรมชาติแล้วจางลี่เฉินเองก็ไม่ใช่คนที่จะเลือกวิ่งเข้าป่าที่ไม่รู้จักไปเพื่อตัดไม้ด้วยเช่นกัน ทีน่าและทริชที่เคยเห็นพลังอันแข็งแกร่งของชายหนุ่มมาก่อนหน้านี้แล้วดังนั้นพวกเธอจึงไม่คัดค้านการเลือกของเขาแต่อย่างใด


 


ในขณะเดียวกัน ชีล่าเห็นแค่เพียงจางลี่เฉินกอดคางคกขนาดใหญ่ที่กระโดเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขาโดยอัตโนมัติและความลึกลับจากการกระทำของเขา


 


เมื่อเห็นเขานั่งอยู่ด้านข้างของเรือพร้อมห่อผ้าห่มขณะดูคนอื่นที่กำลังขึ้นฝั่งไปด้วยความงุนงงเธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดลอย ๆ ขึ้นมาว่า “แม้แต่วอลเตอร์ก็ยังเดินกะโผลกกะเผลกเพื่อไปตามหาไม้แต่คนที่มีสุขภาพสมบูรณ์กำลังนั่งอยู่ที่นี่โดยไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง เมื่อพูดถึงวอลเตอร์แล้วฉันก็ลืมถามทริชไปเลย ทำไมเขาถึงไม่อยู่กับเธอซะล่ะ”


 


เมื่อได้ยินคำพูดของเธอทริชก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะมองฝูงชนที่รีบร้อนพากันขึ้นฝั่ง และตามที่คาดไว้ เธอเห็นวอลเตอร์ขึ้นฝั่งด้วยการก้าวขาที่โค้งงอและแสดงสีหน้าที่ชักกระตุกอยู่ตลอด


 


สีหน้าหวาดกลัวถูกแสดงออกผ่านใบหน้าของหญิงสาวในทันที เธอดูเหมือนอยากจะตะโกนดัง ๆ แต่ในที่สุดเธอก็เอื้อมมือขึ้นมาปิดปากของตัวเองในขณะที่เธอก้มศีรษะลง


 


ในทางกลับกัน ทีน่าก็ปิดปากเพื่อนสนิทของเธออย่างเร่งรีบ “ชีล่า หุบปาก…”


 


“มี 2 เหตุผลสำหรับพวกเขาที่ออกไปหาไม้ 1. ก็เพราะคนเหล่านี้ไม่เคยคิดเลยว่าคำว่า ‘ไม่รู้จัก’ นั้นน่ากลัวมากเพียงใด ในขณะที่ 2. นอกเหนือจากการออกค้นหาไม้แล้วพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นที่จะเอาตัวรอดได้ สำหรับผมในทางกลับกันมันแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ต้องกังวลทีน่า ผมไม่โกรธเพื่อนสนิทคุณเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้หรอก อย่างไรก็ตามหากเธอยังคงพูดเรื่องไร้สาระต่อไปเธออาจจะต้องเตรียมพร้อมทางจิตใจให้ดีเพื่อที่จะกลายเป็นยัยบ้าเซ่อซ่าถ้าหากเราต้องเผชิญกับอันตรายอย่างที่เราเคยเจอกับเผ่ามนุษย์กินคนแบบอเมซอนในช่วง 2 – 3 วันนี้” จางลี่เฉินจ้องมองป่าที่ห่างไกลโดยไม่หันหน้ากลับมามองคู่สนทนา


 


“เอ่อ…อย่าพูดอะไรอย่างนั้นสิที่รัก ฉันสัญญาว่าชีล่าจะไม่พูดอะไรไร้สาระอีกต่อไป…”


 


เมื่อชีล่าได้ยินคำอธิบายที่น่ารังเกียจของจางลี่เฉินที่มีจุดประสงค์แสดงถึงความกลัวว่ามีภัยคุกคามเกินกว่าที่คาดคิดเกิดขึ้นใบหน้าของเธอก็แดงก่ำขึ้นมาในทันที ในทางกลับกัน ทีน่ายังคงใช้ฝ่ามือปิดปากตัวเองแน่นทำให้เธอไม่สามารถพูดอะไรออกมาประท้วงได้เลย


 


สำหรับชายหนุ่ม เขาเพียงแต่เพิกเฉยกับชีล่าและจ้องมองไม่วางตาไปทางคนแคระที่กำลังกลับมาที่ชายฝั่งพร้อมกับดึงเถาวัลย์หนาหลายอันออกจากป่าอันห่างไกล


 


เมื่อลูกเรือและผู้โดยสารเห็นคนแคระที่เดินออกจากป่ามาทีละคน ๆ พวกเขาก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาในทันที


 


แม้ต้องการที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับชาวพื้นเมืองบนโลกที่ต่างกันแต่ในตอนนี้เมื่อพวกเขาเห็นรอยย่นบนผิวหนังสีน้ำตาลเข้มและฟันที่คล้ายกับสัตว์ร้ายในปากขนาดใหญ่จากระยะใกล้ ๆ ได้แล้ว มีหลายคนที่อดจะกำหมัดของตัวเองขึ้นมาไม่ได้ มันกลายเป็นสัญชาตญาณการอยู่รอดของพวกเขาไปโดยไม่รู้ตัว


 


“ไม่ต้องกังวลไป ชาวพื้นเมืองเหล่านี้ไม่มีเจตนาร้ายต่อพวกเราหรอก อย่าให้พวกของเราคนใดคนหนึ่งเดินเข้าไปในป่าในช่วงเวลานั้นและอยู่ที่นี่ ณ จุดเดิมในตอนนี้อยู่ตลอด ฉันจะลองไปคุยกับหัวหน้าของพวกเขาดูเอง” เมื่อรู้สึกถึงความตึงเครียดที่เกิดขึ้นกัปตันฟยอดน่าก็ตะโกนออกมาเสียงดัง


 


จากนั้นเขาก็เริ่มขยับตัวทีละเล็กทีละน้อยเพื่อเข้าใกล้คนแคระที่มีขนติดอยู่บนหัว เขายิ้มพลางขยับตัวและทำท่าทางสื่อสารด้วยมือของเขาอย่างช้า ๆ โดยหวังว่าเขาจะไม่สร้างความเข้าใจผิดใด ๆ กับอีกฝ่าย


 


“สวัสดี พวกเราเป็นกลุ่มผู้ประสบภัยเรือแตกและเรือของเราติดอยู่ระหว่างเสาหินยักษ์ทั้ง 2 ตรงนั้น เราไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด เราแค่ต้องการขึ้นมาหาไม้จากป่าเพื่อก่อไฟ…”


 


ผู้นำของชาวพื้นเมืองมองไปที่ฟยอดน่าที่กำลังทำท่าทางและจู่ ๆ เขาก็ชี้ไปยังสถานที่ห่างไกลที่กัปตันเคยยืนอยู่ก่อนหน้านี้ก่อนที่จะเริ่มเต้นระบำไปรอบ ๆ พลางโบกมือขณะที่ตะโกนดัง ๆ “อูวะ ๆ ๆ…”


 


“ค…คุณต้องการให้ผมกลับไปใช่ไหม?” ฟยอดน่าไตร่ตรองเกี่ยวกับเรื่องนี้สักครู่ก่อนที่จะทำท่าหันหลังกลับเพื่อจากไป “คุณต้องการให้เรากลับไปไหม?”


 


“อูว ๆ ๆ” คนแคระพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง การกระทำของเขาทวีความรุนแรงมากขึ้นในขณะที่เขาชี้ไปยังสถานที่ห่างไกลที่กัปตันยืนอยู่เมื่อนานมาแล้ว


 


“ก็…ก็ได้ ผมจะกลับไป ผมจะกลับไปอยู่ตรงนั้นและเราค่อยมาพูดคุยกันต่อ” ฟยอดน่าผู้ซึ่งใช้เวลามานานในแอฟริการู้ดีว่าชาวพื้นเมืองเหล่านี้ซึ่งดูราวกับว่าพวกเขาเป็นคนจากยุคดึกดำบรรพ์จริง ๆ แล้วมีนิสัยใจคอหลายอย่างที่คนสมัยใหม่หลายคนไม่เข้าใจ อย่างช้า ๆ เขาเดินกลับไปยังตำแหน่งที่เขายืนอยู่ได้สักพักหนึ่ง


 


ผู้นำของชาวพื้นเมืองไม่ได้ไล่ตามเขาไปแต่อย่างใด เขาเพียงแต่เฝ้าดูการเดินของกัปตันไปยังสถานที่ห่างไกลที่เขาชี้ไปก็เท่านั้น จากนั้นเขาก็สั่งให้คนของเขาวิ่งลงไปที่ห่วงเชือก 9 เส้นที่เลื้อยด้วยเถาวัลย์บนเสาหินทั้ง 3 ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากชายฝั่ง


 


จากนั้นเขาจึงนำชาวพื้นเมืองทั้งหมดไปอธิษฐานบนหลุมทรายทั้ง 3 ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 50 เซนติเมตรตรงข้ามกับเสาหินก่อนที่จะสั่งให้พวกคนแคระใช้ลำธารในการทำชายแดนรอบ ๆ บริเวณทรายขนาดใหญ่ริมทะเล จากนั้นเขาก็สั่งให้คนของตัวเองเคลื่อนย้ายครกหินขนาดยักษ์ 4 ตัวจากป่ามาวางไว้ที่มุมทั้ง 4 ของพื้นทราย


 


หลังจากเสร็จสิ้นสิ่งเหล่านี้คนแคระหลายร้อยคนก็ล้อมรอบพื้นทรายที่ล้อมรอบไปด้วยเถาวัลย์ 18 คนของพวกเขาที่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งที่สุดเดินเข้าไปยังด้านในพื้นทรายอย่างตื่นเต้นและเริ่มแข่งขันกับลูกหวายที่ผู้นำชาวพื้นเมืองเพิ่งทอด้วยมือของเขาเสร็จ


 


ลูกเรือและผู้โดยสารอลิซาเบธหยุดดูการกระทำของคนแคระพื้นเมืองที่กำลังทำสิ่งต่าง ๆ ก่อนจะจบลงด้วยการได้เห็นฉากที่แปลกประหลาดตรงหน้า พวกเขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและในเวลาเดียวกันก็มีใครบางคนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ชาวพื้นเมืองเหล่านี้กำลังจะเล่นเกมฟุตบอลดั้งเดิมของพวกเรา! พระเจ้า ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกเราจะได้ชมการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลบนอีกโลกหนึ่งเช่นนี้ได้!”


 


บางคนถึงกับใช้โอกาสนี้แสดงความรู้ที่ลึกซึ้งของตัวเองออกมา “ดูเหมือนว่าพวกเขาจะคิดว่าเราเป็นพระเจ้านะ เช่นเดียวกับที่ชาวกรีกโบราณจัดเกมกีฬาภายใต้เทือกเขาโอลิมปิกที่มีเทพเจ้าในตำนานมากมายอาศัยอยู่ พวกเขาต้องการแข่งขันฟุตบอลเพื่อทำให้เรามีความสุข!”


 


ทว่ากัปตันฟยอดน่าไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนกับคนอื่น ๆ เนื่องจากจุดบอดที่เกิดจากเสาหินยักษ์ทั้ง 2 ในมหาสมุทรทำให้เขาละเลยเสาหินทั้ง 3 ที่ค่อนข้างเล็กกว่าบนฝั่งไป


 


ตอนนี้เขาสังเกตเห็นพวกมันได้อย่างใกล้ชิดแล้วก็ตระหนักได้ว่าการแกะสลักบนเสาหินเล็ก ๆ นั้นคล้ายกับเสายักษ์ในมหาสมุทร 2 สิ่งนี้จะต้องมีอะไรบางอย่างเชื่อมต่อกัน


 


อย่างไรก็ตาม เพียงเรื่องนี้อย่างเดียวยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ฟยอดน่ารู้สึกประหม่า ในบรรดาคนปัจจุบันทั้งหมดมีเพียงจางลี่เฉินเท่านั้นที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ไปโดยการดูห่วงของเชือกที่ชาวพื้นเมืองผูกติดอยู่กับเสาหิน


 


เมื่อเขาเห็นคนแคระเริ่มเล่นฟุตบอลกันเขาก็ไตร่ตรองอยู่สักครู่ก่อนที่จะเตือนทีน่าว่า “ทีน่า หลังจากที่คนแคระเล่นเกมฟุตบอลจบแล้ว คุณ ทริชและชีล่าควรจะปิดตาเอาไว้ดีกว่าถ้าหากพวกคุณกลัว”


 


“ทำไมล่ะ?”


 


“ผมมีความรู้สึกว่ามันมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดและน่ากลัวกำลังเกิดขึ้นในภายหลัง หากพวกคุณกลัวก็แค่ปิดตา”


 


“นายพยายามทำให้สิ่งต่าง ๆ ดูน่าสงสัยยิ่งขึ้นนะ” ชีล่าผู้อยู่ข้าง ๆ หัวเราะเยาะและพูดพึมพำกับตัวเองเมื่อเธอได้ยินคำอธิบายของจางลี่เฉิน


 


“อย่าอาละวาดน่าชีล่า มันดีกว่าที่เราจะฟังลี่เฉินเขาในสถานที่แปลก ๆ แบบนี้ อันที่จริงสิ่งเหล่านี้ในมุมมองของศาสนาดั้งเดิมนั้นน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง เมื่อฉันยังเป็นเด็กฉันได้ยินเรื่องราวที่น่ากลัวมากมายจากแม่ชีเมื่อฉันอยู่ที่โรงเรียนคริสตจักรในแคลิฟอร์เนีย”


 


“ทริช แม่ชีพวกนั้นกำลังล้างสมองเธอ…”


 


“เธอจะพูดอะไรน่ะชีล่า!”


 


การวิพากษ์วิจารณ์แม่ชีโดยไร้เหตุผลเทียบเท่ากับการดูหมิ่นโบสถ์ หลังจากชีล่ารู้สึกตัวว่าเธอพูดอะไรบางอย่างที่เธอไม่ควรออกไปเธอก็รีบขอโทษอย่างรวดเร็ว “เอ่อ ฉัน ฉันขอโทษนะที่รัก ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ที่จริงฉันเชื่อในพระเจ้านะ…”


 


ในขณะที่เด็กสาว 2 คนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเกมฟุตบอลของคนแคระก็เริ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น การดิ้นรนทางกายภาพในขณะที่พวกเขาต่อสู้กันเพื่อลูกหวายในตอนนี้เริ่มกลายเป็นการนองเลือดขึ้นมา


 


ลูกเรือและผู้โดยสารของอลิซาเบธ ฮอล์ลิเดย์ไม่สามารถแยกความแตกต่างของคนแคระออกจากกันได้ พวกเขาเห็นคนแคระเพียง 18 คนที่เริ่มโจมตีคู่ต่อสู้อย่างไม่หยุดยั้ง ทันใดนั้นคนแคระคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะทนทานที่สุดก็จับลูกบอลหวายและเตะขาของคนแคระที่ดูผอมกว่าจนมีเสียงหักดังขึ้นมา


 


เมื่อคนแคระที่ได้รับบาดเจ็บร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดขณะที่ขาซ้ายของเขางอเป็นรูปตัววี คนแคระที่แข็งแรงกว่าก็พาพวกก้าวไปยังครกหินและส่งลูกหวายเข้าไป


 


สิ่งนั้นดูเหมือนจะเป็นประตู หลังจากที่เขาทำประตูนี้ได้สำเร็จคนแคระที่แข็งแรงก็เริ่มส่งเสียงดังลั่นอย่างบ้าคลั่ง เพื่อนร่วมทีมคนอื่น ๆ ของเขาก็ตะโกนพร้อมกับหมอบลงบนพื้นเพื่อบูชาท้องฟ้า


 


เมื่อได้เห็นเหตุการ์ที่เกิดขึ้นลูกเรือและผู้โดยสารที่มองดูการแข่งขันฟุตบอลของชาวพื้นเมืองอยู่นั้นก็เริ่มมีการแสดงออกที่น่ากลัวขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา ไม่นานหลังจากนั้นพวกเขายังคงเห็นฉากที่ไร้สาระมากขึ้นเรื่อย ๆ  – คนแคระที่ขาหักไปครู่หนึ่งกลับมายืนขึ้นได้อีกครั้งพลางกระโดดไปรอบ ๆ ด้วยขาข้างเดียวด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนของเขาและเริ่มต่อสู้เพื่อลูกหวายอีกครั้ง


 


ในที่สุดแฮรี่ผู้ซึ่งเข้าใจว่ากัปตันหมายถึงอะไรก็พึมพำขึ้นว่า “ความคิดของพวกเขาอาจจะแปลกประหลาดและแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงกับวิธีคิดแบบตรรกะของเรา” ก่อนจะกระซิบ “เซอร์ ผมไม่ทราบว่าสิ่งที่อยู่ในใจคนแคระจะ….เอ่อ…”


 


“แจ้งหน่วยรักษาความปลอดภัยเพื่อปลดล็อกพินรหัสปืน แต่พวกเขาจะต้องไม่กระทำการใด ๆ ถ้ายังไม่มีคำสั่งจากฉัน!”


 


“เยสเซอร์!”


 


กัปตันอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ต้นเรือบอกหน่วยรักษาความปลอดภัยให้ระวังขณะที่อีกด้านหนึ่งของการแข่งขันเกมฟุตบอลอันบ้าคลั่งของชาวพื้นเมืองยังคงดำเนินต่อไป ไม่เพียงเท่านั้น ฉากของการชนร่างกายแบบไม่ยอมใครง่าย ๆ ก็เริ่มรุนแรงมากยิ่งขึ้น ในท้ายที่สุดเกมที่เต็มไปด้วยเลือดก็มาถึงจุดสิ้นสุดเมื่อทีมหนึ่งได้กระแทกลูกหวายเข้าไปด้านในครกหินเป็นครั้งที่ 9


 


สมาชิกของทีมที่แพ้ตอนนี้กลายเป็นคนพิการทางร่างกายไปแล้วซะส่วนใหญ่ หลังจากที่พวกเขาพ่ายแพ้ในการต่อสู้พวกเขาก็หมดกำลังใจและหดหู่ก่อนที่จะประคองตัวซึ่งกันและกันเพื่อออกจากสนามฟุตบอลที่ทำจากเถาวัลย์ในลักษณะกลิ้งและคลานเพื่อจากไป


 


ตอนนี้ฝ่ายที่ได้รับชัยชนะต่างก็ถูกปกคลุมไปด้วยรอยฟกช้ำแต่พวกเขาก็ดูภูมิใจเป็นอย่างมาก ภายใต้เสียง “อู้ววว ลู! อู้ววว ลู!…” เพื่อนร่วมทีมของพวกเขาหลายร้อยคนพากันคุกเข่าอยู่กลางสนามฟุตบอล


 


ชาวพื้นเมืองที่กระแทกลูกบอลหวายเข้าครกหินได้มากที่สุดทันใดนั้นก็ทำรูปตัววีด้วยมือของเขาแล้วยกขึ้นสู่ท้องฟ้า เด็กชายชาวนิวยอร์กที่อยู่ในระยะไกลแสดงความคิดเห็นว่า “คนแคระคนนั้นรู้ถึงสัญลักษณ์แห่งชัยชนะด้วยงั้นเหรอ? อย่าบอกฉันนะว่าเขามาจากนิวยอ…”


 


ท่ามกลางความตลกขบขันที่ไม่เหมาะสมของเด็กชายดังกล่าว คนแคระคนนั้นก็สอดนิ้วมือที่เขาสร้างเป็นรูปตัววีเข้าไปในดวงตาของตัวเอง


 


ด้วยการกวาดเบา ๆ เขาแหย่และขุดตาที่มีน้ำของเขาออกมาจากนั้นก็น้ำสีขาวและสีดำเริ่มไหลออกมาออกจากเบ้าตา


 


“กรี๊ด! แหวะ!” แม้ว่าเด็กผู้หญิงบนดาดฟ้าเรือจะอยู่ไกลออกไปแต่พวกเธอก็อดไม่ได้ที่จะกรี๊ดร้องออกมาอย่างตกใจ ผู้หญิงบางคนถึงกับหมดสติลงไปในทันที


 


ทีน่ากอดจางลี่เฉินไว้แน่นพร้อมกับร่างของเธอที่สั่นเทิ้มไปทั้งตัว “ลี่เฉิน นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว! มันน่ากลัวเกินไป!”


 


ทริชโน้มตัวไปหาชายหนุ่มโดยไม่รู้ตัวด้วยสีหน้าไม่สบายใจด้วยเช่นกัน เธอกัดฟันพลางพยายามบังคับให้ร่างกายที่กำลังสั่นเทานี้อยู่นิ่ง ๆ ขณะที่เธอตัวลงก้มข้าง ๆ จางลี่เฉิน



ตอนที่ 128

“ก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือไงว่าถ้าจบเกมเมื่อไหร่ให้ปิดตาของพวกคุณไว้ซะ” จางลี่เฉินพูดโดยไม่ตั้งใจก่อนจะหันไปพึมพำกับตัวเอง “กลับกลายเป็นว่าผู้ชนะจะต้องคว้านตาตัวเองออกมาแทน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็หมายความว่าผู้ชนะเท่านั้นที่จะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้อุทิศตนเพื่อพระเจ้า ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะไม่มีอารมณ์ด้านลบใด ๆ เมื่อพวกเขาต้องตายด้วยมือของเรา และเมื่อเป็นแบบนี้ก็แน่นอนแล้วว่าคนพวกนั้นถือว่าเกาะมังกรเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการเสียสละแก่พระเจ้า พวกเขาไม่ใช่คนบ้าแต่เป็นคนคลั่งศาสนา ตอนนี้ปัญหาใหญ่กำลังเกิดขึ้นแล้ว…”


 


“ลี่เฉิน นายรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาจะทำสิ่งที่น่ากลัวแบบนั้นหลังจากจบเกม? หยุดเก็บทุกอย่างไว้กับตัวเองได้แล้ว! นายไม่ได้อยู่ที่นี่เพียงคนเดียวนะ! แค่บอกพวกเราว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างก็ได้ เข้าใจไหม? บางทีเราอาจช่วยนายได้! มันช่างน่ากลัวเหลือเกินที่ไม่รู้อะไรเลย! ขอร้องเถอะนะ ลี่เฉิน … ” ขณะที่เด็กสาวกำลังขอร้องชายหนุ่ม คนแคระทั้ง 9 คนที่ชนะเกมนี้ก็ได้ขุดตาของพวกเขาออกไปจนหมดเสียแล้ว


 


ต่อมา เพื่อนร่วมเผ่าพันธ์ของพวกเขาก็เริ่มพากันก้าวเข้าสู่สนามฟุตบอลอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งล้อมรอบไปด้วยเถาวัลย์ที่ในตอนนี้ปกคลุมไปด้วยเลือด เมื่อพวกเขายกแขนและหัวของคนแคระตาบอดทั้ง 9 คนที่ตั้งใจโหยหวนเสียงดังแล้วพวกเขาก็เดินไปที่ด้านหน้าของเสาหินทั้ง 3 บนชายฝั่งและมัดพวกเขาไว้บนเสาหินแบบเดียวกับที่ลี่เฉินเคยเจอมาก่อน


 


หลังจากเสร็จสิ้นทุกอย่างผู้นำของชาวพื้นเมืองได้นำดวงตาทั้ง 18 ลูกมาถือไว้ในมือก่อนที่จะเดินเข้าหาลูกเรือและผู้โดยสารของอลิซาเบธ ฮอล์ลิเดย์ที่ยืนอยู่หน้าวงล้อยักษ์ใหญ่


 


เมื่อเสียงฝีเท้าของเขาใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ฟยอดน่าซึ่งตระหนักได้ว่าคนแคระกำลังพยายามทำอะไรอยู่ก็รีบแสดงสีหน้าตกใจขึ้นมาทันที เจ้าหน้าที่ต้นเรือที่อยู่ข้างเขาพูดติดอ่าง “ซะ เซอร์… ชาวพื้นเมือง ยะ…อย่าบอกนะว่าเขาต้องการให้เรา…”


 


“เขาถือว่าเรือลำนี้เป็นพระเจ้าดังนั้นสำหรับพวกเขาแล้วผู้ที่ลงมาจากเรือย่อมเป็นผู้ส่งสารของพระเจ้า ฉันคิดว่าการกระทำสุดท้ายของการบูชาก็คือการให้เราได้กินดวงตาเหล่านั้น อย่าตกใจไปทุกคน! ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างมาลงที่ฉันเอง ฉันจะจัดการมันเอง!” ฟยอดน่าเปล่งเสียงพลางตะโกนเสียงดัง ขณะนั้นเองผู้นำของชาวพื้นเมืองก็ได้มายืนต่อหน้าเขาแล้วพร้อมกับดวงตากลมโตที่กำลังสั่นคลอน


 


ด้วยการแสดงออกอย่างเคร่งขรึม กัปตันต้านการกดดันของเขาโดยการยอมรับลูกตาที่ทั้งลื่นและอบอุ่นเล็กน้อยจากมือของผู้นำชาวพื้นเมืองและหันไปรอบ ๆ เพื่อวางมันบนขั้นแรกบันไดเหล็กของอลิซาเบธ ฮอลิเดย์


 


จากนั้นเขาเริ่มเลียนแบบน้ำเสียงที่คนแคระพื้นเมืองตะโกนเมื่อคนพวกนั้นคุกเข่าลงบนพื้น “เปิดใช้รอกและดึงบันไดช่วงล่างนี้ขึ้นไป!”


 


กะลาสีที่ยังอยู่บนเรือเริ่มเดินมอเตอร์อย่างรวดเร็วและดึงบันไดช่วงล่างขึ้นไปทันที


 


หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง ฟยอดน่าก็ตะโกนเสียงดังอีกครั้ง “เอาลูกตาที่น่ารังเกียจนี้ออกไปซะแล้วเช็ดคราบเลือดให้สะอาด วางบันไดลงกลับมาและพูดอะไรสัก 2 – 3 คำโดยใช้น้ำเสียงแบบของฉัน หน่วยรักษาความปลอดภัยเตรียมพร้อมในการยิงได้ตลอดเวลา หากชาวพื้นเมืองเหล่านี้โจมตีเราเมื่อไหร่ พวกลูกเรือที่ถือขวานจะอยู่เป็นหน้าด่านแรกพร้อมกันฉัน เจ้าหน้าที่ต้นเรือจะต้องรับผิดชอบในการนำผู้โดยสารกลับไปที่เรือ!”


 


“เซอร์ ผมแข็งแกร่งกว่าดังนั้นขอให้ผม…”


 


“แฮร์รี่ ฉันเป็นกัปตันของเอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ คำพูดของฉันคือกฎหมายเมื่อเราอยู่ในสภาพเรืออับปาง หยุดค้านคำพูดของฉันเดี๋ยวนี้!” ฟยอดน่าขัดจังหวะเมื่อเขาโบกมือไปมาอย่างน่ากลัว


 


ด้วยเสียงของเครื่อยนต์ที่กำลังทำงาน บันไดช่วงล่างของอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ก็ค่อย ๆ ลดลงกลับมาอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันการประกาศด้วยเสียงดังแปลก ๆ ก็ปะทุขึ้นจากการออกอากาศของเรือ “ฉัน คลอลิน คอนสแตนซ์แห่งอลิซาเบธ ฮอลลิเดย์คนที่สาม ภายใต้คำสั่งของกัปตัน ฉันต้องการให้ผู้โดยสารทุกคนที่ยืนอยู่ใกล้บันไดอยู่ห่างออกไปในทันที กะลาสีประจำหน้าที่ราเชล พริสซิลลาและแม็กซีน นิกิตา ให้เตรียมพร้อมเพื่อช่วยเหลือผู้โดยสารที่อาจอพยพไปยังจุดเริ่มต้นของบันไดช่วงล่าง”


 


“ช่างเป็นเด็กที่ฉลาดเสียจริง” เมื่อได้ยินการออกอากาศของเรือ ฟยอดน่าตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับการอนุมัติ เขาหันหลังและเดินกลับไปหาผู้นำชาวพื้นเมืองก่อนที่จะตบมือและฉายรอยยิ้มกว้าง “ยอมรับ เรือลำใหญ่นี้ยอมรับข้อเสนอของคุณแล้ว!”


 


ผู้นำของชาวพื้นเมืองระเบิดรอยยิ้มแห่งความสุข รอยพับบนใบหน้าของเขาเปิดออกอย่างน่ากลัวในขณะที่เขาอุ้มดวงตาที่เหลือเพื่อขอให้กัปตันนำพวกมันกลับไปอีกครั้ง


 


เมื่อเห็นความเป็นมิตรคนแคระแสดงออกมาแล้วฟยอดน่าก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างลับ ๆ เขาค่อย ๆ เอื้อมมือออกไปรับดวงตาที่ขาดรุ่งริ่งจากมือของผู้นำชาวพื้นเมืองก่อนจะวางมันลงบนบันไดช่วงล่าง “ดึงบันไดขึ้นไปแล้ววางเค้กครีมสักชิ้นเมื่อลดระดับลงมา”


 


เมื่อจางลี่เฉินได้ยินฟยอดน่าสั่งการออกไปเช่นนั้นก็ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ “เช่นเดียวกับคำพูดที่ว่าคนที่มีอายุมากกว่ามักฉลาด ถ้าเป็นตอนนี้เราคงเลือกที่จะฆ่าคนแคระทั้งหมดพวกนี้แทนการกลืนลูกตาดิบ ๆ ไปแล้ว ถึงกระนั้นเค้กครีม….มันไม่ซ้ำซ้อนไปหน่อยหรอกเหรอ … บ้าเอ้ย! คนแคระที่มีขนที่ติดอยู่บนหัวจะต้องชอบรางวัลที่กำลังทำให้หัวเราะนี้พอตัว ดูเหมือนว่าการหลอกลวงจะมีประโยชน์มากกว่าการกระทำการรุนแรงในการรับมือกับมนุษย์ถ้ำที่ขาดสติปัญญา…”


 


ขณะที่ชายหนุ่มกำลังพูดพึมพำอยู่กับตัวเอง ผู้นำของชาวพื้นเมืองก็กำลังเต้นรำอย่างมีความสุขขณะที่เขาหยิบเค้กช็อคโกแลตขนาด 9 นิ้วที่ส่งมาจากบันไดช่วงล่างจากฟยอดน่า จมูกของเขาดึงดูดกลิ่นหอมหวานอย่างต่อเนื่อง


 


“อาหาร! นี่เป็นอาหารอันศักดิ์สิทธิ์ที่แสนอร่อย! มันเป็นของขวัญจากเรือลำใหญ่ มันกินได้ มันกินได้ … ” เมื่อฟยอดน่าเห็นการแสดงออกของผู้นำชาวพื้นเมืองเขาก็ชี้ไปที่ปากของเขาและแสดงสีหน้าสนุกสนานขณะเคี้ยว


 


หัวหน้าชาวพื้นเมืองนำลิ้นคล้ายงูแดงบาง ๆ ยาวเหยียดออกมาเลียเค้กบนมือของเขาด้วยความลังเล ดวงตาของเขาสว่างขึ้นทันใดเมื่อความประหลาดใจปรากฏขึ้น จากนั้นเขาก็ไม่ได้ลิ้มรสเค้กด้วยตัวเองอีกต่อไป แต่ใช้มือของเขาซึ่งเต็มไปด้วยเลือดเหนียว ๆ ของนักฟุตบอลคนแคระผู้ชนะเกมถือกลับไปให้ชาวพื้นเมืองก่อนที่จะแบ่งปันความอร่อยที่พระเจ้าประทานมาให้กับคนอื่น ๆ


 


เค้กครีมขนาด 9 นิ้วเรียงรายไปด้วยผู้คนหลายร้อยคนเนื่องจากพวกเขาพลัดกันเลียชิมรสชาติอันน่าประหลาดใจ เมื่อนับเวลาและตระหนักได้ว่าพวกเขาเสียเวลาไปนานแค่ไหนแล้วกัปตันที่รู้สึกว่าพวกเขาเข้าใจชาวพื้นเมืองของเกาะได้เป็นอย่างดีในที่สุดก็ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงสงบสุข “เอาล่ะ! ตอนนี้เราสามารถไปหาไม้ในป่าได้แล้ว ระวังด้วยทุกคน อย่าเดินไปไกลเกินและอย่าวิตกกังวลในการเริ่มต้น…”


 


ภายใต้คำเตือนของฟยอดน่า ลูกเรือและผู้โดยสารของเรือก็เริ่มขยับตัวกันอย่างระมัดระวังโดยข้ามกลุ่มชาวพื้นเมืองไปก่อนที่จะเริ่มหาฟืนและหยิบกิ่งไม้ที่ร่วงหล่น


 


คนแคระพื้นเมืองที่ถูกจับจองในรสชาติของช็อคโกแลตครีมไม่มีใครสนใจเรื่องพฤติกรรมลับ ๆ ล่อ ๆ ของชาวโลกเลยแม้แต่น้อย แต่กลับกลายเป็นหาดทรายแหลมคมที่แปลกประหลาดบนเกาะซึ่งในไม่ช้าก็ได้สอนบทเรียนเล็ก ๆ แก่ผู้คนที่เก็บไม้อย่างไม่หยุดยั้ง


 


“อา! อึก! มือของฉันได้รับบาดเจ็บ! ทำ …ทำไมกิ่งไม้ถึงแหลมคมมากขนาดนี้…” ชายหนุ่มชาวนิวยอร์กคนแรกที่เดินไปตามขอบของป่าที่งอเข่าลงเพื่อคว้ากิ่งไม้หักจากพื้นดินตะโกนขึ้นด้วยความประหลาดใจ


 


เขาโยนกิ่งไม้ออกไปด้วยความสามารถทั้งหมดที่มีและมองดูฝ่ามือของตัวเองอย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาก็รู้ว่าไม่ใช่กิ่งไม้ที่ทำร้ายเขาแต่เป็นเศษทรายที่ติดอยู่บนกิ่งไม้ด้วยความช่วยเหลือของลมและฝนนี้ต่างหาก เมื่อมันถูกจับอย่างแน่นหนา มันได้กรีดบาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ ลงบนมือของเขา “ระวังกันด้วยนะ ทรายบนโลกนี้แหลมคมมากทีเดียว! มันจะเฉือนนิ้วพวกนายเอาได้ถ้าเผลอไปจับมันอย่างไม่ระวัง”


 


เมื่อได้ยินเสียงตะโกนจากชายหนุ่มผู้ได้รับบาดเจ็บ กัปตันก็หยิบเม็ดทรายจากพื้นขึ้นมาตรวจสอบ เขาตะโกนออกมาดัง ๆ ด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด “ทรายบนพื้นแหลมคมมาก มันจะดีกว่าถ้าทุกคนถอดเสื้อกันหนาวออกไปพันมือก่อนหยิบไม้ขึ้นมา แฮร์รี่ ไปบอกทุกคนบนเรือให้ฉีกผ้าปูโต๊ะออกเป็นแถบ ๆ โดยมีขนาดกว้าง 2 นิ้วแล้วส่งลงมาให้พวกเรา หลังจากเรารวบรวมไม้ไว้ใต้เสาหินได้แล้วเราจะพันมือกันก่อนที่จะกลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อทำงานต่อไป”


 


เมื่อฟยอดน่าออกคำสั่งของเขาเสร็จ หญิงสาวที่รู้สึกเบื่อหน่ายบนเรือเริ่มก็มีบางสิ่งบางอย่างให้ทำบ้างแล้ว พวกเธอเริ่มกรีดผ้าปูโต๊ะผืนใหญ่โดยใช้มีดอาหารและกรรไกรตัดแบ่งผ้าขาวออกจากกันด้วยความสามารถทั้งหมดที่พวกเธอมีก่อนที่มันจะกลายเป็นแถบผ้าตามคำสั่งของกัปตัน


 


จางลี่เฉินกำลังนั่งอยู่กับชายชราอีก 20 ถึง 30 คนที่มีเด็กผู้หญิงอยู่รอบตัว เขาถอดผ้าออกโดยไม่ละสายตาไปจากคนแคระพื้นเมืองที่ยังคงเพลิดเพลินกับอาหาร


 


“ลี่เฉิน ทำไมกัปตันถึงขอให้เราฉีกผ้าแบบนี้ล่ะ?”


 


“ทรายบนเกาะนี้แหลมคมมากราวกับเศษแก้ว พวกเขาต้องห่อมือเพื่อไม่ให้มันทำร้ายตัวพวกเขาเมื่อย้ายท่อนไม้”


 


“อ้อ เข้าใจแล้ว  แล้ว…นายคิดว่าคนพื้นเมืองจะกลายเป็นศัตรูและโจมตีเราหลังจากกินเค้กช็อคโกแลตของเราเสร็จแล้วหรือเปล่า?”


 


“ผมไม่รู้ เราควรไปถามทริชเกี่ยวกับเรื่องนี้แทน ดูเหมือนว่าเธอจะมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับความคิดของมนุษย์ถ้ำเหล่านี้ที่เชื่อในศาสนาดั้งเดิม” จางลี่เฉินมองไปทางเด็กสาวผมสีแดงและตอบอย่างตั้งใจ


 


“มันไม่ใช่ว่าฉันมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับความคิดของมนุษย์ถ้ำที่เชื่อในศาสนาดั้งเดิม มันเป็นเพียงเรื่องที่ฉันได้ยินมามากมายจากมิชชันนารีคาทอลิกเมื่อตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก ในเรื่องราวเหล่านั้น ไม่ว่าผู้นอกรีตเหล่านี้จะดูดีแค่ไหนแต่พวกเขาก็จะเผยให้เห็นถึงด้านที่ดุร้ายของพวกเขาเหมือนปีศาจในท้ายที่สุด” ทริชกระซิบ


 


“มันไม่เหมือนกับที่เรากำลังขอให้พวกเขาเปลี่ยนศาสนาของพวกเขา! เราแค่ตัดไม้ 2 – 3 ชิ้น…”


 


“และกำลังทำลายวัตถุทางศาสนาตามใจเราเอง! บ้าเอ้ย! เราลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไงกัน!” สีหน้าหวาดกลัวถูกแสดงออกผ่านใบหน้าของจางลี่เฉินขึ้นมาฉับพลัน อย่างไรก็ตาม เมื่อรถไฟแห่งความคิดเปลี่ยนเส้นทางในไม่ช้าเขาก็สงบลงอีกครั้ง “จริง ๆ แล้วมันก็ดีเหมือนกัน! เป็นโอกาสของเราที่จะหลบหนีจากอันตรายที่ยิ่งใหญ่นี้ได้หากมีคนแบ่งอาหารน้อยลง…”


 


ในขณะที่ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง กลุ่มแรกของชายหนุ่มชาวนิวยอร์กผู้ห่อมือด้วยแจ็คเก็ตของพวกเขาอย่างระมัดระวังก็ได้เดินออกมาแล้วโยนไม้เข้าไปใต้เสาหินขนาดยักษ์ที่สูงตระหง่าจนเกืบจะถึงก้อนเมฆที่ถูกเปิดเผยในตอนนี้ว่ามันมีความเสื่อมโทรมมากเพียงใด


 


แม้ว่าพวกเขาจะหาชิ้นส่วนได้เพียงไม่กี่ชิ้นแต่หลังจากที่มีคนหลายร้อยคนเอามาสะสมรวมกันพวกมันก็กลายเป็นท่อนซุงที่สูงเกือบครึ่งเมตรได้


 


ทันทีที่มีการสร้างเสาเข็ม กะลาสีที่รับผิดชอบในการจุดระเบิดก็เทน้ำมันเบนซินลงไปเพื่อจุดไฟ เมื่อเห็นไฟเริ่มโชติช่วงขึ้นมา ผู้คนที่กำลังมองหากิ่งไม้ใต้เรือก็เริ่มปลดปล่อยความตื่นเต้น


 


ตรงกันข้ามกับกองเชียร์ที่มีความสุขของลูกเรือและผู้โดยสารของอลิซาเบธ ฮอล์ลิเดย์ คนแคระที่เห็นกองไฟโหมกระหน่ำอยู่ใต้เสาขนาดใหญ่บนมหาสมุทรในระยะไกลกลับกลายเป็นความหวาดกลัวขึ้นมาแทน


 


ผู้นำของชาวพื้นเมืองวิ่งตรงไปยังฟยอดน่าพลางตะโกนเสียงดัง อย่างไรก็ตามคนแคระคนอื่น ๆ ไม่เต็มใจที่จะอยู่ข้างหัวหน้าผู้ซึ่งถูกหลอกโดยพวกแปลกประหลาดอีกต่อไป นี่เป็นโอกาสอีกครั้งในการแสดงความจงรักภักดีต่อพระเจ้า


 


ด้วยแรงเตะที่ส่งออกมา คนแคระแข็งแกร่งที่อยู่ข้างหลังเขาซึ่งแต่เดิมเต็มไปด้วยความเคารพหัวหน้าเพิ่งทำการเตะเขาลงไปที่พื้น  มันใช้เวลาไม่นานสำหรับคนน่าสงสารที่จะถูกเหยียบย่ำโดยเพื่อนร่วมเผ่าพันธ์ที่โกรธเคืองของเขาหลายร้อยคน



ตอนที่ 129

ฟยอดน่าที่สังเกตเห็นว่าพฤติกรรมของคนแคระแปลกไปที่จู่ ๆ ก็มีความขัดแย้งกันเองเกิดขึ้นทำให้เขารู้ตัวว่ามีบางอย่างกำลังผิดปกติ ด้วยพลังทั้งหมดที่เขามี เขาตะโกนออกไปว่า “คนแคระอาจโจมตีพวกเราได้! กะลาสี เก็บบันไดช่วงล่างขึ้นไปทันที! หน่วยรักษาความปลอดภัย เตรียมพร้อมในการยิง! ลูกเรือที่ถือขวานให้ยืนอยู่แถวหน้า! ผู้ที่ไม่มีอาวุธติดตัวให้ออกหากิ่งไม้ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดเพื่อป้องกันตัวเอง!”


 


วิธีการของกัปตันได้มาถึงจุดสำคัญอย่างไม่คาดคิด! น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ที่เขาสั่งการไม่เคยพบเจอกับปัญหาใด ๆ มาก่อน มันยากมากที่ชายหนุ่มในเมืองจะตอบสนองต่อคำสั่งได้อย่างถูกต้องในสถานการณ์ที่แยกย้ายกันไปอย่างสมบูรณ์และอยู่ในอารมณ์ผ่อนคลาย


 


ขณะเดียวกัน ชาวพื้นเมืองที่เลิกจากการรุนตีหัวหน้าเผ่าแล้วก็รีบวิ่งเข้าหากลุ่มชายหนุ่มที่อยู่ใต้เสาหินในมหาสมุทรพร้อมร้องตะโกน “อู้ว อู้ว” ราวกับสัตว์ป่า ชายหนุ่มที่กำลังสับสนทำให้ไม่มีใครหยิบกิ่งไม้ที่กำลังโหมไปด้วยไฟขึ้นมาสู้กับคนแคระเลยสักราย หลังจากถูกทำให้มึนงงไปครู่หนึ่งพวกเขาก็เริ่มต่อสู้กับคนแคระด้วยมือเปล่าหลังถูกกลุ่มคนแคระเข้าโจมตี


 


ชายหนุ่มที่มีสุขภาพสมบูรณ์และมีความสูงเฉลี่ย 180 เซนติเมตรต่อสู้กับคนแคระที่มีความสูงที่สุดแค่เพียง 130 เซนติเมตรในทางทฤษฎีแล้วพวกเขาควรเป็ยฝ่ายได้เปรียบเช่นเดียวกับการต่อสู้ระหว่างผู้ใหญ่กับเด็ก


 


อย่างไรก็ตามความจริงนั้นกลับตรงกันข้ามไปโดยสิ้นเชิง เทคนิคการฆ่าของคนแคระไร้ความปราณีและมีประสิทธิภาพกว่ามาก ร่างกายหนา ๆ ทำให้พวกเขาสามารถฆ่าชายหนุ่มที่กำลังกลัวหัวหดได้อย่างรวดเร็ว


 


นอกเหนือจากคนแคระ 2 คนที่ถูกรัดคอจนเสียชีวิตไปโดยลูกเรือ 2 – 3 คนที่ต่อสู้ด้วยการระเบิดสัญชาตญาณตามธรรมชาติของตัวเองในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังเมื่อความตายใกล้เข้ามาแล้วก็ไม่มีใครพบร่องรอยบาดเจ็บที่ส่วนอื่น ๆ อีกเลย


 


ชายหาดที่ปกคลุมไปด้วยทรายหยาบราวกับมีดโกนหนวดเล็ก ๆ นับไม่ถ้วนทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มหลายสิบคนยุ่งเหยิงจนปรากฏเป็นแผลเล็ก ๆ ตามตัวหลายแห่ง


 


คนแคระเลียเลือดที่ออกจากใบหน้าของชายหนุ่มอย่างที่พวกเขาเลียเค้กช็อกโกแลตครีมเมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาจ้องเขม็งด้วยความโกรธพร้อมการแสดงออกอย่างโหดร้ายไปที่ทหารยามและลูกเรือที่ค่อย ๆ ถอยกลับไปที่ชายป่า หน่วยรักษาความปลอดภัยและลูกเรือเหล่านี้รีบวิ่งไปช่วยเหลือเด็ก ๆ ก่อนจะตระหนักได้ว่าพวกเขามาไม่ทันเวลาเสียแล้ว


 


ความเหี้ยมโหดของคนแคระพื้นเมืองยิ่งทำให้ทุกคนเกิดอาการหวาดกลัวจนตัวสั่น จางลี่เฉินเป็นเพียงคนเดียวที่ใช้ผ้าห่มปิดกั้นแสงอาทิตย์พร้อมพึมพำมองดูด้วยความสนใจ “ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งและขนาดของร่างกายจะไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุดเลยทำให้คนแคระเป็นฝ่ายชนะในการสังหารหมู่ครั้งนี้ หลังจากชาวพื้นเมืองเหล่านี้เดือดดาลกันอย่างเต็มที่แก่ความเชื่อที่มีในใจของพวกเขา ระดับความสามารถในการต่อสู้ที่ไม่คาดคิดก็พรั่งพรูออกมาจากคนพวกนั้นอย่างน่าหวาดกลัว ก็ดีแล้วที่เราคิดแบบนั้นได้ทันเวลาซะก่อน ยิ่งพวกนั้นโกรธแค้นมากเท่าไหร่กำไรที่เราจะได้รับก็ยิ่งมากขึ้นเมื่อต้องออกตามล่าในภายหลัง … ”


 


“ลี่เฉิน ชาวพื้นเมืองพวกนี้โหดร้ายเกินไปแล้วนะ! นี่นายจะไม่ลงไปช่วยพวกเขาหน่อยเลยเหรอ!”


 


“ทีน่า ที่นี่ไม่ใช่โลกที่เราเคยอยู่ ใครจะไปรู้ว่าเราจะสามารถกินสัตว์ พืชหรือผลไม้บนโลกนี้ได้ไหม ยิ่งระยะเวลาในการดำเนินการการขยายตัวทางความร้อนและการหดตัวเพื่อทำลายเสาหินนานขึ้น เราก็มีโอกาสเจอกับความยากแค้นมากขึ้นตาม ด้วยเหตุนี้เราจำเป็นต้องมีอาหารเหลือไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จำเป็น…”


 


“มีอาหารเหลือไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จำเป็น? นี่นาย…นายหมายถึงให้พวกเรามองดูพวกเขาตายไปต่อหน้าอย่างนั้นเหรอ?!”


 


“ใช่ ผมทำได้แค่ยืนมองดูพวกเขาล้มตายไปก็เท่านั้นทีน่า ผมพูดไปก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่เหรอว่าผมไม่ใช่พระเจ้า! ผมต้องปกป้องชีวิตของทริช ชีล่า คุณและตัวผมเองเมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้น” คำอธิบายของจางลี่เฉินคือความจริงสูงสุดที่ไม่อาจปฏิเสธไปได้


 


ทริชผู้อยู่ข้าง ๆ กระซิบ “ลี่เฉิน ทางเลือกของนายนั้นถูกต้องแล้วหากมองจากธรรมชาติของมนุษย์ แต่การเดินทางครั้งนี้เป็นเพียงการเดินทางระยะสั้น ๆ เชื้อเพลิงของอลิซาเบธ ฮอล์ลิเดย์ไม่เพียงพอที่จะทำให้ห้องเย็นคงอยู่บนเรือได้นานขนาดนั้น ด้วยเหตุนี้แม้ว่าทุกคนที่อยู่ใต้ท้องเรือจะตายแต่อาหารก็จะไม่ถูกรักษาเอาไว้ได้เช่นกันเนื่องด้วยอุณหภูมิของการจัดเก็บ ในกรณีนี้มันจะมีประโยชน์สำหรับเรามากกว่าถ้าหากฝั่งเรามีคนมากกว่า”


 


ในขณะที่หญิงสาวกำลังพูดอยู่นั้น คนแคระก็เริ่มไล่ฟันและเริ่มโจมตีชาวโลกที่ยืนอยู่ทางขอบป่า เมื่อเสียงปืนดังกึกก้องอาวุธขั้นสูงก็เริ่มแสดงให้เห็นถึงพลังร้ายแรง


 


เมื่อร่างกายที่ยากลำบากของชาวพื้นเมืองถูกปืนไรเฟิลโจมตี แม้ว่ามันจะไม่ได้ทำให้เกิดการฉีกขาดที่น่ากลัวแต่ก็สามารถเจาะทะลุผ่านผิวหนังไปได้อย่างง่ายดาย ในสภาพแวดล้อมที่อยู่ในระยะใกล้ทำให้พวกเขายิงโดนตัวได้อย่างแม่นยำ เจ้าหน้าที่ของเรือสามารถฆ่าชาวพื้นเมืองได้ทุก ๆ 1 นัดที่ยิงออกไป


 


สำหรับกะลาสีที่กำลังถือขวานยาว ถึงแม้ว่าการโจมตีของพวกเขาจะไม่ทรงพลังเท่ากับหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ใช้ปืนไรเฟิล แต่ขวานอันแหลมคมก็สามารถเฉือนร่างกายชาวพื้นเมืองได้อย่างง่ายดายเหมือนกับการตัดเนยทาขนมปัง อาศัยความช่วยเหลือจากอาวุธที่ทรงพลังทันใดนั้นชาวโลกก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมกับการต่อสู้ที่วุ่นวายเป็นครั้งแรก


 


น่าเสียดายที่เหล่ากะลาสี หน่วยรักษาความปลอดภัยและลูกเรือที่ถืออาวุธยังมีข้อจำกัดอยู่มากเมื่อเทียบกับจำนวนคนแคระที่มีหลายร้อยคน คนแคระที่มีความรุนแรงซึ่งไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดค่อย ๆ ทยอยพลิกสถานการณ์กลับขึ้นมาอีกครั้ง


 


เช่นเดียวกับคนที่อยู่บนเรือที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง จางลี่เฉินที่นั่งอยู่บนดาดฟ้าและคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นยืนในทันใด


 


เขาพันผ้าห่มรอบ ๆ ไหล่ของเขาก่อนจะกระซิบกับ 3 สาวข้าง ๆ “ผมขอเตือนพวกคุณอีกครั้ง ถ้าพวกคุณกลัวก็ให้ปิดตาเอาไว้จะดีซะกว่า” จากนั้นเขาก็พึมพำคำที่จับไม่ได้ความออกมา


 


ไม่กี่วินาทีต่อมาบนสนามรบทางลาดบนเขา คนแคระ 2 – 3 คนที่งอร่างกายของตัวเองขณะขยับไปทางซ้ายและทางขวาอย่างว่องไวเหมือนกับตอนที่พวกเขาทำในตอนออกล่า ทันใดนั้นเองก็เหมือนกับว่าทั้งเนื้อและเลือดของพวกเขาถูกดูดออกไปโดยอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น พวกเขาทรุดตัวลงไปกับพื้นอย่างไร้เหตุผลก่อนจะเปลี่ยนเป็นกองผิวหนังที่เหี่ยวแห้ง


 


ต่อมาคนแคระอีก 2 – 3 คนก็มีรอยแผลขนาดใหญ่และมีเลือดปนออกมาจากทางด้านหลัง แม้แต่กระดูกสันหลังและอวัยวะภายในสีชมพูของพวกเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยผิวหนังก็ถูกเปิดเนื้อออกก่อนที่พวกเขาจะล้มลงไปบนพื้นเพื่อดิ้นรนอยู่สักครู่และในที่สุดก็ถึงขั้นเสียชีวิตจากการเสียเลือดมากเกินไป …


 


เมื่อเลือดไหลออกมาตามข้างหลัง จิ้งจกยักษ์ตัวเรียวยาวก็ปรากฏตัวขึ้นพลางอ้าปากกว้าง ๆ ก่อนจะโผเข้าหาคนแคระที่อยู่ไม่ไกลถัดไป


 


ขณะเดียวกันเสียงที่น่ากลัวของสัตว์ร้ายที่พ่นเสียงออกมาว่า “ฮู้ววววว…..” ก็ดังกึกก้องออกมาจากทางมหาสมุทร


 


พื้นผิวของมหาสมุทรที่แต่เดิมสงบนิ่งแต่ในตอนนี้กลับมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น


 


จระเข้ยักษ์ตัวหนึ่งที่มีลำตัวยาวประมาณ 40 ถึง 50 เมตรซึ่งมีขนาดใหญ่เท่ากับเรือยอชท์ค่อย ๆ โผล่หัวออกมาจากคลื่นใต้น้ำพลางร่อนแขนขาทั้งสี่ออก ดูเหมือนว่ามันกำลังคืบคลานเข้าชายฝั่งด้วยความเร็วที่อาจดูช้าแต่คือว่าเร็วมากพร้อมกับการปากเปิดกว้าง ๆ ก่อนจะพุ่งเข้าหาคนแคระที่อยู่ทางขอบป่า


 


จระเข้ยักษ์ได้ทำการเหยียบทับตัวคนแคระและหั่นเนื้อคนพวกนั้นออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ลงบนพื้นดิน


 


“นั่น…นั่นมันจระเข้หรือเปล่าน่ะ? ดูที่ปากมันสิ มันต้องเป็นจระเข้แน่ ๆ! ลี่เฉิน นั่นเป็นสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของนายหรือเปล่า?” จระเข้ยักษ์ที่กำลังฆ่าและกลืนกินเหล่าคนแคระหลายร้อยคนไปในเวลาเพียงไม่กี่นาทีพร้อมกับเกาะมังกร ทีน่าอ้าปากค้างขณะเอ่ยถามพลางชี้ไปที่โครโคดราก้อน


 


“ใช่” จางลี่เฉินผู้ซึ่งรู้สึกว่าไม่มีพลังอำนาจพ่อมดในเนื้อและเลือดของเขามากพอพยักหน้ารับ ทันใดนั้นเขาก็หันไปมองหญิงสาวผมแดงข้าง ๆ “ทริช คุณพอจะบอกผมได้ไหมว่าเมื่อผู้ศรัทธาที่เชื่อในตัวผู้พิทักษ์ของเขาอย่างมาก เวลาที่ถูกฆ่าโดยสัตว์ประหลาดทำไมถึงไม่มีความโกรธและความกลัวในแง่ลบออกมาบ้างเลย?”


 


หญิงสาวตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาอย่างพร่ามัว “ผู้ศรัทธาที่แท้จริงจะไม่รู้สึกโกรธหรือกลัวหากพวกเขาได้อุทิศตนแด่พระเจ้า”


 


“อ้อ เข้าใจแล้ว” จางลี่เฉินที่ได้รับผลกระทบอย่างมากพยักหน้าเข้าใจ เขาควบคุมให้จิ้งจกตัวใหญ่ปกปิดร่างกายตัวเองหลังจากที่โครโคดราก้อนใช้หางหนา ๆ ที่มีความยาวมากกว่า 10 เมตรเพื่อทำลายต้นไม้ไปจำนวนนับไม่ถ้วนก่อนจะสั่งให้มันค่อย ๆ พุ่งตัวกลับลงมหาสมุทรและจมหายไป


 


มนุษย์ที่อยู่ใต้ท้องเรือที่ได้รับการช่วยเหลือจากสัตว์ร้ายตัวยักษ์ที่ปรากฏออกมาจากที่ไหนไม่รู้กำลังพากันตกใจอยู่เงียบ ๆ หลังจากนั้นไม่นานในที่สุดก็มีใครบางคนก็ร้องไห้ออกมา “อา…ฮึก…” ก่อนจะทรุดตัวลงไปกับพื้น


 


เมื่อเหตุการณ์เริ่มสงบกัปตันสูงวัยก็ตะโกนออกมาเสียงดัง “พวกเรารอดแล้ว! สัตว์ประหลาดสองตัวนั้นฆ่าคนแคระทั้งหมดแต่ไม่ทำอันตรายต่อพวกเราเลยสักนิด ไม่เพียงแค่นั้น พวกมันยังทำลายต้นไม้จำนวนมากให้เราไว้ด้วย! พวกมันต้องเป็นผู้ส่งสารจากพระเจ้ามาช่วยพวกเราแน่ ๆ! พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเราเสมอ! เขากำลังเฝ้าดูและปกป้องพวกเราจนกว่าพวกเราจะกลับสู่โลกแห่งอารยธรรมของนิวยอร์กได้! ชายหนุ่มทั้งหลายจงลุกขึ้น! ขจัดความโศกเศร้าและความกลัวที่ได้สูญเสียเพื่อนของเราไปครู่หนึ่งแล้วเริ่มทำงานกันอีกครั้ง! แฮร์รี่ นำลูกเรือ 2 – 3 คนพาเพื่อนของเราที่ถูกชาวพื้นเมืองฆ่าไปยังเสาหินเพื่อที่พวกเขาจะได้ถูกเผาอย่างถูกต้อง ทำความสะอาดใบหน้าและมือของพวกเขาและทิ้งเสื้อผ้าไว้ข้างหลังเพื่อเป็นการระลึกถึง ปล่อยให้พวกเขามองดูโทเท็มของพวกคนชั่วเหล่านั้นและเฝ้ามองท้องฟ้าด้วยดวงตาของพวกเขาด้วยร่างกายที่สะอาด…”


 


ในขณะที่กัปตันกำลังจัดเรียงคำพูดของเขาอย่างชาญฉลาดและเปลี่ยนคนตายให้กลายเป็นเชื้อเพลิงที่ลุกโชติช่วง จางลี่เฉินก็พูดพึมพำบนดาดฟ้าของอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ว่า “ผมคิดว่าพวกเขาคงรู้แล้วว่าความน่ากลัวที่ไม่รู้จักนั้นน่ากลัวมากเพียงใด” จากนั้นเขาก็ยกผ้าห่มมาบังแดดและกลับมานั่งลงอีกครั้ง


 


“สัตว์ร้ายสองตัวนั้น…จ… จระเข้ยักษ์ นั่นคือ…” มันเป็นช่วงเวลาที่ในที่สุดชีล่าก็กลับมาสู่แห่งความเป็นจริง เธอชี้ไปที่จางลี่เฉินอย่างสับสน เธอยังคงพูดติดอ่างราวกับว่าเธอกำลังหายใจไม่ออก


 


“เบาเสียงหน่อยชีล่า” ทีน่าปิดปากเพื่อนสนิทของเธอและกระซิบ “ตอนนี้เธอได้เห็นด้วยตาของเธอเองแล้วเพราะงั้นเธอก็รู้แล้วสินะว่าทำไมทริชกับฉันถึงลากให้เธออยู่ติดกับลี่เฉินเขาตั้งแต่แรกแบบนี้”


 


“ตะ… แต่นี่คือความแข็งแกร่งของมนุษย์จริง ๆ น่ะเหรอ? จริง ๆ แล้วเขาควบคุมสัตว์ร้ายพวกนั้น บ้าที่สุด! แม้ว่าฉันจะเห็นพวกนั้นกลืนคนแคระและพวกนั้นก็ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะ…” ชีล่าพูดติดอ่างจนจับใจความไม่ได้


 


“ซูเปอร์แมนสามารถชนดาวเคราะห์ที่พุ่งเข้าหาโลกเป็นชิ้น ๆ ได้เพื่อปกป้องโลก อาจกล่าวได้ว่าลี่เฉินเองก็เป็นเหมือนซูเปอร์ฮีโร่ที่อาจจะดูเย็นชาและหยิ่งผยองไปเล็กน้อยแต่เขาก็ใจดีมากเหมือนกับไอรอนแมน” ทีน่าตอบกลับอย่างมั่นใจ


 


“โอ้ เป็นอย่างนั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าแม้ว่าเราจะไม่สามารถกลับไปยังนิวยอร์กได้แต่อย่างน้อยเราก็ยังสามารถรวมกลุ่มกับคนแคระและกลายเป็นหัวหน้าเผ่าหรืออะไรทำนองนั้นได้ใช่ไหม? แม้ว่าเราจะไม่สามารถสวมใส่เสื้อผ้าฤดูร้อนที่ออกแบบโดยละติน มัวร์หรือกินสเต็กย่างที่ร้านอาหารคอมมอนเทิลได้แต่อย่างน้อยที่สุดเราก็จะไม่ถูกทำเป็นอาหารของชาวพื้นเมืองเหล่านั้น … ”


 


“หยุดพูดแบบนั้นได้แล้วชีล่า ฉันไม่ต้องการมีชีวิตอยู่บนเกาะร้างนี้ตลอดไปหรอกนะ! เราจะต้องได้กลับไปแน่นอน! เราสามารถกลับนิวยอร์กกันได้! ใช่ไหมลี่เฉิน?”


 


“เราน่าจะกลับไปได้ถ้าเรากลับไปตามเส้นทางที่เราจากมา ไม่ต้องกังวลทีน่า คุณจะได้กลับไปนอนที่บ้านเพื่อนึกถึงการเดินทางที่น่าตื่นเต้นครั้งนี้หลังจากผ่านไปแล้วหลาย 10 ชั่วโมง”  จางลี่เฉินปลอบประโยนเหล่าหญิงสาวที่กำลังแตกตื่น


 


ในความเป็นจริงเขาไม่มั่นใจในเอลิซาเบธ ฮอลิเดย์นี้เลยว่าจะสามารถกลับนิวยอร์กได้แม้ว่าจะเดินทางไปตามเส้นที่จากมาแล้วก็ตาม ในขณะที่เขามองดูฝูงชนที่เริ่มดึงสภาพจิตใจตัวเองกลับมาได้และเริ่มกลับมาแบกฟืนกันอีกครั้งภายใต้การสนับสนุนของกัปตัน จางลี่เฉินถอนหายใจออกมาอย่างเงียบ ๆ และเริ่มฉีกผ้าปูโต๊ะเป็นแถบยาว ๆ อีกครั้ง



ตอนที่ 130

ในเวลานี้ เพื่อไม่ให้ผู้โดยสารและลูกเรือคนอื่น ๆ ถูกครอบงำโดยความเศร้าและความหวาดกลัว ฟยอดน่าเคลื่อนตัวเดินนำจากป่าไปยังชายฝั่งและจากชายฝั่งกลับไปที่ป่าเหมือนหุ่นยนต์อีกครั้งเพื่อหาฟืนเข้ากองไฟพร้อมกับการเผาร่างผู้ที่เสียชีวิต


 


ทุกครั้งที่เจ้าหน้าที่ต้นเรือแนะนำให้เขาหยุดพักกัปตันจะกระซิบตอบอยู่ตลอดขณะที่เดินไปมาไม่หยุดหย่อน “ฉันจะไม่หยุดพักเด็ดขาด! ตอนนี้ทุกคนกำลังมองมาที่ฉัน ตราบใดที่ชายสูงวัยคนนี้ยังเคลื่อนไหวได้คนหนุ่มสาวทั้งหลายจะยิ่งมีกำลังใจและฝืนทนกลั้นอารมณ์ได้มากยิ่งขึ้น ฉันไม่สามารถปล่อยให้พวกเขาคิดมากเกินไปในตอนนี้ได้ ถ้าปล่อยให้เวลาผ่านไปนานกว่านี้พวกเราจะตายกันหมดถ้ามีคนแคระกลุ่มอื่นมาพบเจอหรือถ้าสัตว์ประหลาด 2 ตัวที่กินคนแคระทั้งหมดไปกลับมาหิวอีกครั้ง! เรามีโอกาสหนีรอดเพียงครั้งเดียว ซึ่งก็คือคืนนี้ คืนนี้เท่านั้น!…” ฟยอดน่าเน้นย้ำคำตอบเดียวกัน 7 – 8 ครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า


 


โดยไม่รู้ตัว ค่ำคืนที่เขาเฝ้ารอก็มาถึง ด้วยสถานการณ์ที่ดูไม่เป็นใจและความแข็งแกร่งของกัปตันที่ออกคำสั่งให้หนุ่มสาวชาวนิวยอร์กที่ไม่เคยทนทุกข์ทรมานจากที่ไหนมาก่อนขึ้นมาเป็นอาสาสมัครด้วยความดื้อรั้นที่เขาเองก็นึกไม่ถึง การใช้ใช้แรงที่นานกว่า 10 ชั่วโมงได้สอนให้พวกเขากลายเป็นคนที่อดทนต่อสิ่งต่าง ๆ ได้มากยิ่งขึ้น


 


ตอนนี้สาว ๆ ที่อยู่บนเรือและชายชรารักสบายที่มีไหวพริบต่างก็พร้อมใจกันพาไปที่ชายฝั่งเพื่อหาฟืนมาเสริมให้กับกองไฟหลังจากผ้าปูโต๊ะทั้งหมดถูกฉีกเป็นเส้น ๆ จนหมด แม้แต่ผู้อำนวยการบริหาร มิสเตอร์ฮัดเนอร์จากบริษัทชิปปิ้งโอเชี่ยนที่มีความสูงเกือบ 170 เซนติเมตรและน้ำหนักที่เกิน 230 ปอนด์ก็พร้อมที่จะมอบความช่วยเหลือในครั้งนี้ด้วย


 


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เลยพลอยทำให้จางลี่เฉินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเข้าร่วมหาฟืนกับฝูงชนเพื่อไม่ทำตัวโดดเด่นจนเกินไป


 


หลังจากค้นพบกระเป๋าเป้สะพายหลังและใส่เมานท์โทดลงไปข้างในเรียบร้อยแล้วเขาก็เดินเข้าไปในป่าเพียงลำพัง เขารู้ว่าต้นไม้ที่นี่เป็นมีความฉ่ำมากกว่าป่าฝนบนโลกแต่ไม่ค่อยมีต้นไม้ที่มีความสูงมากกว่า 10 เมตรเท่าไหร่ ยิ่งไปกว่านั้นกิ่งก้านที่ทั้งแห้งและเหี่ยวมากมายก็กระจายอยู่ทั่วพื้นเต็มไปหมด ดูเหมือนว่าวงจรการขยายพันธุ์พืชบนโลกนี้จะสั้นและใช้เวลาที่ค่อนข้างนานในการเติบโต


 


การเคลื่อนไหวที่มีชีวิตชีวาหมายถึงต้นไม้จะมีน้ำมันภายในเป็นจำนวนมาก หากปริมาณน้ำมันในไม้สูงก็หมายความว่ามันจะสามารถสร้างอุณหภูมิที่สูงยิ่งขึ้นเมื่อถูกเผาไหม้ได้ ด้วยความช่วยเหลือของฟืนจำนวนมากที่ถูกเผาอยู่ใต้เสาหินยักษ์ กองไฟจะสามารถเผาไหม้ด้วยความร้อนที่เดือดดาลได้แม้จะมีความสูงของไฟเพียงไม่กี่เมตรก็ตาม หากใครสามารถทนความร้อนและสังเกตอย่างระมัดระวังอยู่ข้าง ๆ ได้ก็จะเห็นว่าเสาหินในกองไฟเริ่มเป็นสีแดงจาง ๆ และอ่อนตัว


 


นอกเหนือจากเสียง “แกร่ก แกร่ก แกร่ก … ” เมื่อไม้สด ๆ ถูกโยนลงไปในกองไฟก็ไม่มีเสียงอื่นใดให้ได้ยินบนชายฝั่งอีกเลย จนกระทั่งเมื่อดวงจันทร์บนต่างโลกขึ้นมาแทนที่ดวงตะวันซึ่งเกือบจะเหมือนกันทุกประการกับของบนโลกได้ลอยตัวสูงขึ้นมาถึงจุดศูนย์กลางทันใดนั้นคลื่นก็เตรียมพลุ่งขึ้นจากมหาสมุทร


 


“กระแสน้ำกำลังเพิ่มระดับแล้ว! มันกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้แล้ว” ฟยอดน่าผู้ที่คอยให้ระดับน้ำขึ้นอย่างใจจดใจจ่อในที่สุดก็เริ่มระบายยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มบนใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าพร้อมกับเสียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาตัวเซเล็กน้อยในขณะพยายามลุกขึ้นยืนก่อนจะตะโกนออกไปด้วยพลังทั้งหมดที่เขามี “ทุกคน โยนไม้ในมือของตัวเองลงไปในกองไฟแล้วรีบขึ้นเรือทันที มันกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้แล้ว…”


 


ภายใต้การเรียกร้องของกัปตัน กระแสน้ำในมหาสมุทรก็ค่อย ๆ กระเพื่อมมากยิ่งขึ้น ทันใดนั้นป่าที่อยู่ห่างไกลออกไปก็กลับมาสว่างไสวขึ้นอีกครั้งด้วยคบเพลิงที่ปรากฏขึ้นเหมือนเมื่อคืนที่ผ่านมา เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนดวงไฟก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดดวงไฟก็ปรากฏตัวยาวเป็นหางว่าวด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มันกำลังพุ่งเข้าหาทางชายฝั่ง


 


เมื่อนึกถึงความสยองขวัญของคนแคระพื้นเมืองในช่วงกลางวันที่ผ่านมา กลุ่มคนที่กำลังเดินขึ้นเรือก็เริ่มเป็นวิตกกังวล


 


“ไม่ต้องกังวลไปทุกคน! แม้ว่าชนพื้นเมืองเหล่านี้จะดูน่าหวาดกลัวแต่พวกเขายังอยู่ห่างไกลจากเรามาก! เมื่อพวกเขามาถึงชายฝั่งพวกเราทุกคนก็ขึ้นเรือกันครบหมดแล้ว ไม่ต้องวิตก ทำตามคำสั่งอย่างช้า ๆ อย่าไปกลัว หายใจเข้าลึก ๆ แล้วเดินช้า ๆ! มันจะต้องไม่เป็นไร!” กัปตันที่ยังคงสงบและนิ่งเงียบ


 


ในช่วงเวลาที่น่าหวดหวั่นเขากลับมามีบทบาทสำคัญอีกครั้ง ภายใต้การรับรองอย่างปลอบโยน ความวุ่นวายที่แสนอันตรายบนบันไดได้กลับคืนสู่ความสงบในไม่ช้า ผู้คนเริ่มหลั่งไหลกลับขึ้นสู่ดาดฟ้าของอลิซาเบธ ฮอล์ลิเดย์เป็นระเบียบอย่างต่อเนื่อง


 


เมื่อทุกคนได้กลับขึ้นเรือมาจนครบ บันไดช่วงล่างก็ถูกหดตัวกลับขึ้นมาท่ามกลางเสียงมอเตอร์คำราม ฟยอดน่าซึ่งปีนกลับขึ้นเรือมาเป็นคนสุดท้ายได้สั่งการเจ้าหน้าที่ต้นเรือที่อยู่ข้าง ๆ เขาไปว่า “แฮร์รี่ ฉันจะไปดูแลพวงมาลัยที่ห้องควบคุมเอง จับตาดูพวกเขาเหล่านี้เอาไว้ให้ดี ๆ จำไว้ว่าถ้าเรายังไม่ออกเดินทางและถ้าหากพวกคนแคระมาถึงชายฝั่งเมื่อไหร่อย่าปล่อยให้ใครทำอะไรที่เป็นการยั่วยุคนพวกนั้นเด็ดขาด!”


 


“ครับผม!” เจ้าหน้าที่ต้นเรือตอบกลับอย่างมั่นใจ


 


กัปตันพยักหน้าก่อนจะตบไหล่เจ้าหน้าที่ต้นเรือของเขา “ใช่แล้วแฮรี่! ฉันขอกลับคำพูดที่ฉันบอกว่าฉันมองนายผิดไปเมื่อวานนี้ ทุกคนสามารถทำผิดพลาดกันได้! การทำผิดพลาดไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวแต่สิ่งที่น่ากลัวคือการไม่เต็มใจที่จะกลับตัวกลับใจหลังจากทำผิดไปแล้วนั่นต่างหาก เห็นได้ชัดว่านายไม่ได้เป็นอย่างนั้น”


 


หลังจากที่เขาพูดจบเขาก็หันหลังกลับและเดินจากไปในทันทีเพื่อตรงไปยังห้องควบคุม


 


เมื่อเวลาผ่านไป ดวงจันทร์ที่สว่างสดใสบนท้องฟ้าก็ค่อย ๆ เอียงองศาขึ้นเรื่อย ๆ คลื่นทะเลในมหาสมุทรก็ค่อย ๆ รุนแรงขึ้นและในท้ายที่สุดมันก็ค่อย ๆ จมเสาขนาดใหญ่บนชายหาด


 


ในตอนนั้นเองก็มีเสียงดังทะลุออกมาจากฝั่งป่า ชาวพื้นเมืองหลาย 10 คนกำลังขี่แมลงที่มีร่างกายปกคลุมด้วยขนสีดำ มีลักษณะร่างกายเป็นวงรี มี 8 ขายาวที่แยกออกเป็น 3 ส่วนเหมือนแมงมุมที่ถูกขยายขนาดมาหลายพันครั้ง มันกำลังพุ่งตัวออกมาจากป่าขณะที่ชาวพื้นเมืองเหล่านั้นสวมเสื้อเกราะที่ทำจากหนังสัตว์พร้อมกับถือหอกไม้ที่พื้นผิวดูเรียบเนียนไว้ในมือ


 


เมื่อเทียบกับชาวพื้นเมืองที่ไม่มีอาวุธในระหว่างวันเห็นได้ชัดว่าชาวพื้นเมืองเหล่านี้เป็นสมาชิกของกองทัพในขณะที่ชาวพื้นเมืองที่ไม่มีอาวุธนั้นเป็นเพียงพลเรือน ทันทีที่คนพวกนี้ปรากฏตัวผู้โดยสารต่างพากันสบถและตะโกนไปที่คนแคระด้วยความหวาดกลัว


 


แตกต่างจากชาวโลกที่ตะโกนในลักษณะที่เป็นศัตรู คนแคระที่กำลังขี่แมลงยักษ์เหล่านี้ไม่ได้ปรารถนาที่จะเข้าโจมตีเรือตั้งแต่แรก พวกเขารีบพุ่งเข้าหากองไฟที่กำลังลุกโชนอยู่ใต้เสายักษ์


 


ณ เวลานี้น้ำยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และด้วยเหตุผลที่ว่ากองไฟนี้มีมนุษย์เป็นเชื้อเพลิงมากมายสำหรับการเผาไหม้ทำให้มันไม่ได้ดับไปตามน้ำทะเลในทันที แต่อย่างไรก็ตามในตอนนี้มันใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว


 


ดูเหมือนว่าแค่เพียง 1 วินาทีก็กลายเป็นความทรมานที่ไม่สามารถอดทนได้สำหรับคนแคระพื้นเมืองที่กำลังวิ่งไปที่ชายหาด พวกเขาถูกกลืนกินไปโดยคลื่นสูงอย่างต่อเนื่องในขณะที่ระดับน้ำกำลังเพิ่มขึ้นหรือถูกเผาไหม้จนตายโดยเสาหินร้อน ๆ


 


ไฟที่กระพริบอยู่ท่ามกลางคนแคระเป็นเหมือนกองไฟที่ดึงดูดแมลงเม่าเข้าสู่ความตายโดยตัวของมันเองขณะที่กองไฟเหล่านั้นกำลังล่อลวงคนแคระให้พุ่งออกมาจากป่าอย่างต่อเนื่อง


 


วิธีที่ชาวพื้นเมืองดั้งเดิมแสวงหาความตายของพวกเขาในลักษณะที่คนมีอารยธรรมไม่อาจเข้าใจได้ดูเหมือนจะน่ากลัวยิ่งกว่าการที่พวกเขาเข้าโจมตีอลิซาเบธ ฮอล์ลิเดย์เสียอีก “พวกนั้นบ้าไปแล้ว! คนแคระพวกนี้บ้าไปแล้วจริง ๆ ! พระเจ้า! ได้โปรดเถิดพระเจ้า โปรดช่วยพวกเราด้วย!”


 


“เห้ย! อะไรกันเนี่ย? นี่มันนรกแล้ว! ที่นี่คือนรก!”


 


“ออกเดินทางสิวะ! ทำไมเรือถึงไม่เคลื่อนที่สักที! ไอน้ำก็มากขึ้นแล้วแต่ทำไมเรือยังไม่ขยับ … ” เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของความสิ้นหวังดังขึ้นที่ด้านนอก ฟยอดน่าที่กำลังยืนอยู่ในห้องเพื่อคุมหางเสือจ้องมองหมอกที่ขึ้นมาทางด้านซ้ายของเรือจากหน้าต่าง ริมฝีปากของเขาสั่นเล็กน้อยด้วยความกังวลแต่เขาก็ยังไม่ออกคำสั่งใด ๆ


 


“เซอร์ คะ…คุณจะยังไม่สตาร์ทเครื่องยนต์หรอครับ? ตอนนี้เรือควรจะอยู่ลึกพอแล้วนะครับ….?” ในบรรยากาศที่ทำให้หายใจลำบากนี้ อเลกซานโดรคนถือหางเสือเรืออดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทีไร้ประโยชน์และเอ่ยถามออกไป


 


“อย่าเร่งรีบนักอเลกซานโดร ไอน้ำที่พุ่งขึ้นมาจากมหาสมุทรยังคงมีขนาดใหญ่มาก   ผลกระทบทางกายภาพของการขยายตัวทางความร้อนและการหดตัวยังไม่เสร็จสมบูรณ์! เราต้องรอให้มันเสร็จสมบูรณ์เสียก่อนและปล่อยให้รากฐานของเสาหินเปราะบางมากยิ่งขึ้น…เปราะบางมากขึ้น…เดี๋ยวก่อน…เตรียมตัวได้แล้วเหล่าชายหนุ่ม! การเพิ่มขึ้นของไอน้ำกำลังลดลงในขณะนี้แล้ว! เราไม่มีโอกาสมากนัก … ตอนนี้เลย!”


 


เมื่อฟยอดน่าตะโกนเสียงดัง อลิซาเบธ ฮอล์ลิเดย์ก็ค่อย ๆ สตาร์ทเครื่องยนต์จนทำให้เรือส่งเสียง “วู วู… ” เสียงดังและขยับก้มไปข้างหลัง


 


รากฐานของเสาหินยักษ์ทางด้านซ้ายในขณะที่แช่อยู่ในน้ำตอนนี้เต็มไปด้วยรอยแตกขนาดเล็กจำนวนมาก เมื่อครูดไปกับด้านข้างที่ทำให้เกิดเสียงแหลมเจาะหูเสียงไม้ยังคงไม่ยุบและยังคงยึดติดแน่นกับเรือยักษ์ในมหาสมุทร มันไม่อนุญาตให้เรือเคลื่อนที่ได้เลย


 


ความพยายามครั้งแรกของมนุษย์ที่พยายามเอาตัวรอดล้มเหลว เมื่อไฟค่อย ๆ ลดลงคนแคระพื้นเมืองก็รวมตัวกันที่ชายฝั่งในขณะที่เริ่มหันมาสนใจอลิซาเบธ ฮอล์ลิเดย์


 


ในเวลานี้กฎน้ำขึ้นน้ำลงที่ไม่เหมือนใครของต่างโลกได้แยกคนแคระออกห่างจางเรือสำราญแล้ว โชคไม่ดีที่ระยะทางนี้ไม่ได้หมายความว่าชาวพื้นเมืองของเกาะจะไม่สามารถสังเวยชีวิตเพื่อความเชื่อของตัวเองได้


 


พวกเขาหลายพันคนมารวมตัวกันเพื่อขับไล่แมลงยักษ์ในหมาสมุทรที่ลอยอยู่บนน่านน้ำ พวกเขาบางคนพยายามว่ายน้ำไปที่เรือและแม้ว่าบางคนจะถูกกระแสน้ำพัดหายไปแต่พวกเขาส่วนใหญ่ก็ยังค่อย ๆ ว่ายเข้าหาเรือมากขึ้น


 


“คนแคระพวกนั้นเข้าใกล้เรือของเรามากขึ้นแล้ว! หน่วยรักษาความปลอดภัยเตรียมพร้อมสำหรับการป้องกัน! ลูกเรือทั้งหมดที่ถือขวานจะต้องอยู่ในสถานะเตรียมพร้อมด้วยเช่นกัน! เราไม่รู้ว่าคนบ้าพวกนี้จะปีนขึ้นมาบนดาดฟ้าด้วยวิธีแปลก ๆ ได้หรือไม่ ทุกคนจงมีสติให้ดี! และจะดีกว่านี้ถ้าทุกคนสามารถมองหาอาวุธเพื่อป้องกันตัวเองไว้ได้ จะเป็นเก้าอี้ ขวดไวน์หรืออะไรก็ตามที่สามารถใช้การได้ทั้งหมด!” ณ ดาดฟ้า เจ้าหน้าที่ต้นเรือกำลังตะโกนด้วยเสียงสั่น ๆ เลียนแบบน้ำเสียงของกัปตันในขณะที่เฝ้ามองแมลงขนาดยักษ์จำนวนมากที่เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เรือบนมหาสมุทรภายใต้แสงจันทร์ที่สว่างจ้า


 


“เราควรทำไงดีลี่เฉิน เราควรจะไปหาเก้าอี้มาป้องกันตัวเองหรือเราควรจะหลบหนีด้วยการใช้เกาะมังกรไปดี? ตะ…แต่ตอนนี้มีคนแคระในมหาสมุทรมากเกินไป…” เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าหน้าที่ต้นเรือ แม้ทีน่าที่เชื่อมั่นในพลังของจางลี่เฉินก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นกังวล


 


ดาดฟ้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและวุ่นวาย จางลี่เฉินที่ยืนอยู่ริมขอบเรือห่อผ้าห่มไว้รอบตัวพลางกระซิบ “ไม่ต้องกังวลทีน่า ไม่นานมานี้เมื่อที่เครื่องยนต์ของเรือเริ่มสตาร์ทผมเห็นเสาหินด้านซ้ายสั่นสะเทือนอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่ารากฐานของเสาจะไม่มั่นคงแล้วและผมมีแผนที่จะไล่คนแคระพวกนี้ออกไปได้อย่างรวดเร็ว”


 


“พวกเขาไม่กลัวความตาย แล้วพวกเขาจะหนีไปได้อย่างไร…”


 


“ทริช เหตุผลที่พวกเขาไม่กลัวในตอนนี้ก็เพราะไม่มีใครสอนพวกเขาให้กลัวเลยต่างหาก…” ชายหนุ่มยิ้มและปล่อยหินเยลลี่ลงบนข้อมือของตัวเองก่อนจะยืดมันออกแล้วโอบล้อมนิ้วมือของเขา ปากของเขาขยับเบา ๆ ก่อนที่เขาจะพ่นเลือดสีเข้มออกไปทางมหาสมุทรอย่างเงียบ ๆ ด้วยเสียงเบา ๆ เขากระซิบ “เชื่อมต่อ!”


 


ขณะนั้นเองเรือก็ส่งเสียง “วู วู …” ออกมาอีกครั้ง เมื่อผู้คนบนร่วมใจกันเรืออธิษฐาน อลิซาเบธ ฮอล์ลิเดย์ก็เริ่มจมลงน้ำไปด้านหนึ่งก่อนที่มันจะเริ่มถอยหลังได้สำเร็จ


 


คราวนี้เห็นได้ชัดว่าเสาหินทางด้านซ้ายของเรือสำราญสั่นอยู่ครู่หนึ่งแต่น่าเสียดายที่มันยังไม่พังทลายลงมาได้เสียที



ตอนที่ 131

หลังความพยายามครั้งที่ 2 ในการหลบหนีของชาวโลกล้มเหลว ชาวพื้นเมืองบางคนที่ขี่แมลงยักษ์ก็ได้บินโฉบมายังผนังด้านนอกของตัวเรือแล้วในตอนนี้


 


พวกเขาตะโกนว่า “โอ้ อ่า…” เสียงดังเมื่อแมงมุมยักษ์ที่พวกเขาขี่มาใช้ 2 ขาหน้ายาว ๆ ของมันเกาะติดอยู่บนเรือราวกับมีกาวติดอยู่ใต้เท้า แมงมุมยักษ์พวกนั้นเริ่มคลานขึ้นไปบนเรือโดยทำมุมที่ประมาณ 160 องศา


 


“บ้าเอ้ย! แมงมุมยักษ์ที่พวกนั้นขี่มาสามารถปีนขึ้นเรือได้! พวกมันกำลังขึ้นมาบนเรือนี้แล้ว ทุกคนระวังตัวด้วย!” กะลาสีคนหนึ่งที่ถือขวานอยู่บนดาดฟ้าเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นแมลงยักษ์กำลังคลานขึ้นมาบนเรือเรื่อย ๆ นี้ได้ ในตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น


 


และด้วยคำพูดของเขาจึงทำให้ดาดฟ้าเรือเกิดความปั่นป่วน แมงมุมยักษ์ที่กำลังปีนอยู่ตรงกำแพงเรือต่างถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอกสีขาวขุ่น


 


หมอกพวกนั้นดูเหมือนจะมีอุณหภูมิที่สูงมาก ด้วยความช่วยเหลือจากแสงจันทร์ พวกเขาสามารถมองเห็นเลือดของแมลงและชาวพื้นเมืองที่ห่อหุ้มไปด้วยหมอกและเริ่มพองตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าพวกเขาก็ถูกทำให้ระเบิดออก โครงกระดูกจำนวนมากที่มีเนื้อหนังติดตามตัวค่อย ๆ ตกลงสู่ทะเล


 


ม่านหมอกนั้นได้ฆ่าชาวพื้นเมืองที่ต้องการปีนขึ้นมาบนเรือไปได้หลายสิบคน กลุ่มหมอกนั้นยังไม่ได้จางหายไปไหน มันลอยและรวมเข้าด้วยกันเพื่อก่อตัวเป็นก่อนเมฆขนาดใหญ่กลางเวหา ทันใดนั้นโลกก็เกิดการสั่นสะเทือนขึ้น เสียงหอน “ฮู้วววว ลูววววว… ” ดังก้องออกมาจากมหาสมุทร


 


พื้นผิวมหาสมุทรที่กว้างหลายพันกิโลเมตรที่อยู่ถัดจากเรือไปเหมือนจะถูกฉีกออกโดยมือยักษ์ที่มองไม่เห็นราวกับมีสัตว์ยักษ์โผล่ออกมาน้ำ


 


สัตว์ในท้องทะเลตัวนั้นมีความยาวเป็น 2 เท่าของเรือสำราญอลิซาเบธ เมื่อมันกระโดดขึ้นมาจากทะเลขนาดตัวของมันได้ปกคลุมท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวไปเกือบหมด มันกระแทกตัวเองเข้ากับก้อนเมฆยักษ์ที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศและขี่เมฆนั้นไป มันขึ้นไปอยู่บนเสาหินยักษ์ทางด้านซ้ายของเรือที่รากฐานเริ่มมีการแตกหักก่อนจะหันตัวกลับไปอีกทาง


 


ด้วยเสียงกังวานที่ดังกึกก้อก เสาหินนั้นแตกออกจากฐานและถูกนำออกไปจากทะเลในที่สุด และด้วยการเคลื่อนไหวนั้น สัตว์ขนาดยักษ์ได้พุ่งตัวเข้าหาคนแคระนับไม่ถ้วนที่กำลังลอยไปตามคลื่นบนพื้นผิวมหาสมุทร


 


หลังจากที่เสาหินพังทลาย เหล่าคนแคระทั้งหมดก็ดูเหมือนจะสูญเสียความสามารถในการคิดไปชั่วคราว ร่างกายของพวกเขาแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ เหมือนกับว่าเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ของพวกเขาได้ถูกทำร้ายและโดนสังหารไปโดยเสาหิน แต่จากนั้นไม่นานพวกเขาก็กลับมาสู่โลกความเป็นจริง


 


เพื่อความเชื่อที่อยู่ในใจ ชาวพื้นเมืองส่วนใหญ่จึงได้ขว้างหอกที่อยู่ในมือของพวกเขาไปยังสัตว์ร้ายตัวนั้นซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ได้ผลแต่อย่างใด ในตอนนั้นเองที่เริ่มมีชาวพื้นเมืองบางคนไม่ไล่ตามความตายเหมือนแต่ก่อน พวกเขาเริ่มวิ่งหนีหลังจากได้เห็นการสูญเสีย


 


ความดั้งเดิมของศาสนาที่หยาบโลนได้แตกสลายไปจากใจของพวกเขาเมื่อเสาโทเท็มทรุดตัว พวกเขาเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งมากว่าแม้กระทั่งพระเจ้าที่พวกเขาเคารพนับถือก็ไม่อาจต่อสู้กับสัตว์ร้ายยักษ์ที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในท่ามกลางหมอกพร้อมกับกลืนกินเพื่อนร่วมเผ่าของพวกเขาที่กำลังต่อสู้อย่างกล้าหาญไปได้ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่คนพื้นเมืองเลือกที่จะหลบหนี กลุ่มคนแคระเริ่มรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวเหนือกว่าการเปรียบเทียบจากก้นบึ้งของหัวใจ


 


จางลี่เฉินที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าของเรือสำราญยังคงร่ายคาถาต่อไปเรื่อย ๆ “เชื่อมต่อ” ใบหน้าของเขาไร้สีสันไปในทันทีในขณะที่เขารู้สึกถึงพลังพ่อมดที่กำลังเดือดพล่านอยู่ในเนื้อและเลือด เขาตะโกนขึ้นกลางอากาศอย่างเงียบ ๆ


 


เนื้องอกก้อนที่ 5 ด้านล่างกรามของเขาค่อย ๆ บวมขึ้นอย่างช้า ๆ ในขณะที่พลังเวทลดลงโดยไม่รู้ตัวเพื่อกลับสู่สภาวะปกติ ชายหนุ่มผู้สร้างความก้าวหน้าให้กับระดับ 5 ของการเป็นพ่อมดไม่ได้ออกคำสั่งให้สัตว์อาคมของตัวเองไปฆ่าคนแคระทั้งหมดที่ไม่ได้เป็นอันตรายไปด้วย


 


หลังทุกอย่างเสร็จสิ้นเขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกก่อนจะหันไปมองดูทริชที่กำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยความสับสน ขณะที่ตาของเธอสะท้อนไปยังพื้นผิวมหาสมุทรที่ย้อมไปด้วยเลือดสีแดงสด มันเกือบเหมือนเปลวไฟจากนรกอเวจีก็ไม่ปาน ด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ เขาพูดออกไปอย่างสงบนิ่งว่า “ดูความกลัวที่พวกเขากำลังมีอยู่ในตอนนี้สิ…” จากนั้นก็เอาผ้าห่มคลุมหัวขณะนั่งไขว้ขาอยู่บนดาดฟ้าเรือ


 


หญิงสาว 3 คนที่เพิ่งรู้ซึ้งถึงความจริงของความกลัวเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนได้มองไปที่ชายหนุ่มที่รู้สึกเหมือนตัวเขาจะหดเล็กลงอาจเพราะด้วยความเหนื่อยหรืออ่อนล้าอะไรก็ตาม พวกเธอไม่สามารถหาคำใด ๆ มาอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้เลย


 


ขณะนั้นเองอลิซาเบธ ฮอล์ลิเดย์ก็ส่งเสียง “วู วู…” ขึ้นมาเป็นครั้งที่ 3 เมื่อเสียงนกหวีดดังขึ้น เรือก็ค่อย ๆ ถอยหลังออกอย่างช้า ๆ ได้โดยไม่มีปัญหาใด ๆ ก่อนจะมุ่งหน้าแล่นเรือไปในทะเลอันกว้างใหญ่


 


หลังออกจากชายฝั่งที่น่าสะพรึงกลัวไปได้ขั้นตอนที่สองของการหลบหนีนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่บนเรือทุกคนแล้ว


 


ที่ห้องควบคุม ฟยอดน่าที่เหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัดได้ปล่อยมือออกจากหางเสือพลางหอบหายใจ เขารู้สึกอ่อนแรงไปหมดทั้งตัว เขาเปิดใช้งานระบบการขับขี่อัตโนมัติในทันที “แอดิเลด ความคืบหน้าในการขยายเส้นทางผ่านเครื่องมือทางทะเลเป็นอย่างไรแล้วบ้าง?”


 


เจ้าหน้าที่นำทางแอดิเลดเป็นเพียงคนเดียวบนเรือที่ไม่ได้เห็นภัยอันตรายใด ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบเพราะเขาอยู่แต่ในห้องควบคุมนี้ตลอดเพื่อค้นหาเส้นทางเดินเรือที่แปลกออกไป เขาเอ่ยตอบไปในลักษณะที่ไม่ค่อยมั่นใจนักว่า “ผมได้ตรวจสอบความผิดปกติซ้ำ ๆ ตามเส้นทางการเดินเรืออัตโนมัตินี้แล้วครับ พบว่าข้อผิดพลาดแรกเกิดขึ้นที่พิกัด 42 ° W.”


 


“นายคิดว่านายหาจุดผิดพลาดนี้ได้อย่างแม่นยำหรือไม่”


 


“ผมมีความมั่นใจเพียง 50% ครับเนื่องจากเราไม่มีระบบนำทางด้วยดาวเทียม”


 


“ก็สูงกว่าที่ฉันคาดหวังไว้ ตามนั้นเลยแอดิเลด ฉันจะอธิษฐานเผื่อนายให้เอง” ฟยอดน่ามองดูวิวยามค่ำคืนที่มืดมนด้านนอกหน้าต่างก่อนจะเอามือทาบหน้าอกที่มีเครื่องหมายกางเขนประดับด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด


 


“ครับท่าน” เมื่อได้ยินคำสั่งของกัปตัน เจ้าหน้าที่นำทางยังคงทบทวนเส้นทางและเริ่มขับเรือเพื่อสร้างทางในทะเลด้วยความเร็วคงที่ 25 ไมล์ทะเลต่อชั่วโมง


 


เมื่อเวลาผ่านไปท้องฟ้าก็ค่อย ๆ สว่างขึ้นเรื่อย ๆ เรือควรเข้าหามหานครนิวยอร์กได้แล้วหากเส้นทางที่พวกเขาค้นหามาได้นั้นถูกต้อง อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขามองออกไปข้างนอกทะเลมันยังคงว่างเปล่า


 


จิตใจทุกคนในห้องควบคุมเริ่มอ่อนล้าแต่ก็ไม่มีใครกล้าเผชิญหน้ากับความจริงที่สิ้นหวังนี้จนกระทั่งในที่สุดอเลกซานโดรผู้ถือหางเสือเรือก็เริ่มรายงานความคืบหน้าด้วยน้ำเสียงสั่นไหว “ท่านครับ เชื้อเพลิงของเราเพียงพอที่จะแล่นเรือต่อไปได้อีกเพียง 10 ไมล์ทางทะเล…”


 


ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น ฟยอดน่าก็ส่งยิ้มอันขมขื่นออกมาเป็นครั้งแรก เขาถอนหายใจลึก ๆ และปรับหมวกหลังจากได้ยินก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “ทุกคน ดูเหมือนว่าเราจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเผชิญกับความจริง…”


 


“ท่าน! ท่านครับ! มีสัญญาณแล้วครับ! มีสัญญาณดาวเทียมแล้ว! โอ้! สัญญาณคลื่นสั้นและคลื่นยาวก็ถูกกู้คืนมาแล้วเช่นกัน!” ทันใดนั้นเจ้าหน้าที่นำทางแอดิแลดก็ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ “ผมจะพยายามติดต่อไปให้ได้นะครับ! ผมจะลองติดต่อดู … ท่าเรือนิวยอร์ก ท่าเรือนิวยอร์ก! นี่คืออลิซาเบธ ฮอล์ลิเดย์! นี่คืออลิซาเบธ ฮอล์ลิเดย์! โปรดตอบรับด้วยถ้าคุณได้ยินเสียงนี้! โปรดตอบรับด้วยถ้าคุณได้ยินเสียงนี้!”


 


ทุกคนเฝ้ารอกันอย่างใจจดใจจ่ออยู่หลายวินาทีและทันใดนั้นอุปกรณ์สื่อสารก็ส่งเสียงดังขึ้นมา “อลิซาเบธ ฮอล์ลิเดย์ … อลิซาเบธ ฮอล์ลิเดย์ นี่คือหน่วยยามฝั่ง นี่คือหน่วยยามฝั่ง กรุณารายงานตำแหน่งของคุณ … กรุณารายงานตำแหน่งของคุณ!”


 


หน่วยยามฝั่งสหรัฐ (USCG) ซึ่งเป็นหนึ่งใน 5 กองกำลังติดอาวุธที่ใหญ่ที่สุดในประเทศมีหน้าที่รับผิดชอบในการป้องกันชายฝั่ง การบังคับใช้กฎหมายทางน้ำ ความปลอดภัยทางน้ำ เรืออับปาง เครื่องบินกู้ภัย และการควบคุมมลพิษ พวกเขามุ่งมั่นที่จะปกป้องความมั่นคงของชาติทางทะเลอย่างมาก


 


เนื่องจากเจ้าหน้าที่ของหน่วยยามฝั่งสหรัฐเป็นผู้ให้คำตอบทั้ง ๆ ที่แอดิแลดเรียกหาท่าเรือนิวยอร์ก พวกลูกเรือในห้องควบคุมต่างก็เข้าใจกันไปเองโดยอัตโนมัติว่าทาง USCG ได้รับแจ้งเกี่ยวกับการหายตัวไปของอลิซาเบธ ฮอล์ลิเดย์เนื่องจากพวกเขากลับเข้าท่าไปไม่ทันตามกำหนด


 


พวกเขาต่างกันกำมือแน่นเพื่อแสดงความดีใจและโบกมือพวกเขาไปรอบ ๆ ในขณะที่พวกเขาส่งเสียงเชียร์กันอย่างพร้อมเพรียง พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จสิ้นได้ในที่สุด ฟยอดน่าที่มีหน้าที่ดูแลอลิซาเบธ ฮอล์ลิเดย์ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกจากนั้นก็ทรุดตัวลงไปกับพื้นอย่างอ่อนล้าแต่เต็มไปด้วยความดีใจ


 


ข่าวการช่วยเหลือถูกแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วสู่ทุกคนจากการออกอากาศของเรือ ข่าวดีประเภทนี้จะยิ่งทำให้ทุกคนมีกำลังใจมากอย่างต่อเนื่อง


 


จางลี่เฉินที่ยืนอยู่บนดาดฟ้ามองดูฝูงชนที่โผเข้ากอดกันด้วยน้ำตา เขายิ้มให้ทีน่าและพูดว่า “ดูสิทีน่า ในที่สุดเราก็ได้กลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว”


 


“ที่รัก ฉันรู้ว่าถ้าพวกเราไม่ได้ความช่วยเหลือจากนายพวกเราคงไม่มีทางได้เจอผลลัพธ์แบบนี้ ฉันขอโทษที่ฉันไม่ได้สนใจนายเลยตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้น แต่มันก็แค่นั้น…ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าควรจะพูดอะไรกับนาย เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมัน…หนักเกินไป…เกินไปจริง ๆ” ทีน่าลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโผกอดชายหนุ่มและสะอื้น “ฉันกลัวมากลี่เฉิน! ฉันกลัวมันมาก ๆ ฉันกลัวมันจริง ๆ!”


 


“ทีน่า เกาะนั้นก็เป็นเหมือนป่าอเมซอนอีกแห่งหนึ่ง กฎของป่าคือคนอ่อนแอจะทำหน้าที่เป็นเหยื่อให้กับคนที่แข็งแกร่ง ถ้าเรามีพลังเราก็จะล้มคนแคระดั้งเดิมพวกนั้นได้แต่ถ้าเราอ่อนแอเราจะถูกกินโดยคนแคระเหล่านั้น ลองคิดดูให้ดีสิ จริง ๆ แล้วคุณควรคิดว่าตัวเองโชคดีแทนที่จะมารู้สึกกลัวมากกว่า”


 


“ตะ … แต่คนพวกนั้นมีกันเป็นพัน ๆ คน…”


 


“พวกเขาเป็นคนหลายพันคนจากโลกอื่นที่พยายามฆ่าเรา พวกเขาไม่ใช่พวกเราทีน่า ทุกสิ่งที่ผมทำไปก็เพื่อความอยู่รอด”


 


ในขณะที่จางลี่เฉินกำลังพูดอยู่ เสียงเฮลิคอปเตอร์ขนาดใหญ่ที่บินอยู่บนฟ้าก็ดังใกล้เข้ามาจากระยะไกล บนทะเลที่ห่างไกลมีเรือลากจูงขนาดใหญ่ที่มีสัญลักษณ์ธงประจำชาติของอเมริกาและธงประจำชาติ ‘ดาวและลายเส้น’ แล่นตรงมายังอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ด้วยแรงม้าเต็มพิกัดในลักษณะเร่งด่วน มีเรือเล็ก ๆ 2 ลำตามติดมาด้วยที่แต่ละฝั่งซ้ายขวา มีเฮลิคอปเตอร์ขนาดใหญ่เ 7 – 8 ลำลอยอยู่เหนือหัว


 


“เรือพวกนั้นกำลังจะมาช่วยพวกเราแล้ว! ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะมาถึงเร็วขนาดนี้! ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการประทานพรของท่าน…” หลาย ๆ คนตะโกนอย่างมีความสุขบนดาดฟ้า


 


“เดี๋ยวก่อน นั่นไม่ใช่เครื่องบินกู้ภัย…พวกมันคือเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธและเรือรบ! ไม่เพียงแค่นั้น เรือสองในสามลำยังมีปืนใหญ่ติดตั้งอยู่ด้วย! พวกมันดูเหมือนเป็นเรือรบประจัญบานมากกว่าเรือกู้ภัยซะอีก!” ถึงอย่างนั้นผู้คนจำนวนมากก็เริ่มตระหนักว่าสิ่งต่าง ๆ ดูเหมือนจะไม่ถูกต้องเท่าไหร่นัก


 


ในขณะนั้นเรือลากจูงขนาดใหญ่ที่เริ่มเข้ามาใกล้กับอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ก็ส่งเสียงประกาศออกมาว่า “ผู้โดยสารทุกคนในอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ โปรดทราบ อลิซาเบธ ฮอลิเดย์ โปรดทราบ! พวกคุณทุกคนได้รับการจัดอันดับให้เป็นเป้าหมายของ ‘ภารกิจกำจัดความปลอดภัยสาธารณะ’ ระดับ B โดยเป้าหมายก็คือพวกคุณทุกคน แผนกักกันชั่วคราวจะถูกดำเนินการโดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติด้วยความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัย ‘เซนต์แมรี่’ และ ‘วูลฟ์’ ของกองทัพเรือสหรัฐฯ โปรดดำรงตำแหน่งของคุณและให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับพวกเรา โปรดให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่”


 


เมื่อการออกอากาศดังก้องเข้ามาที่อลิซาเบธ ฮอลิเดย์ ฝูงชนบนดาดฟ้าที่เพิ่งหลบหนีจากอันตรายก็พบว่าทุกคนบนเรือเหล็กยักษ์ 3 ลำที่พวกเขาคิดว่าเป็นผู้ช่วยชีวิตของพวกเขานี้กำลังสวมชุดสูทสีเงินหนา ๆ ที่ดูเหมือนพวกนักอวกาศ



ตอนที่ 132

เหตุเพราะเรือลากและเครื่องแต่งกายแปลก ๆ ของผู้คนบนเรือรบเริ่มสร้างความหวาดกลัวกลับคืนสู่ผู้คนบนเรืออีกครั้ง เด็กสาวผมบลอนด์ที่ใบหน้าซีดเซียวจับรั้วด้านข้างของเรือก่อนจะตะโกนเสียงดังอย่างน่าตกใจออกมาว่า “เออร์ชูล ทำ…ทำไมพวกเขาถึงใส่เสื้อผ้าแบบนั้นล่ะ? พวกเขาประกาศว่าเราถูกกำหนดให้เป็นเป้าหมายกำจัดความปลอดภัยสาธารณะระดับ B! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเรากันแน่? นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?!”


 


“ไม่ต้องกลัวนะเพจช์ ฉันเคยเห็นในทีวีมาก่อนว่าเมื่อมีนักบินอวกาศกลับโลกมาพวกเขาจะถูกกักตัวไว้เป็นเวลา 72 ชั่วโมงเพื่อป้องกันไม่ให้แบคทีเรียและไวรัสต่าง ๆ ที่อาจเป็นอันตรายกระจายแพร่เข้าสู่โลก ฉันคิดว่ามันต้องเป็นเพราะเราใช้เวลา 1 วันอยู่ที่อีกโลกหนึ่งมาดังนั้นเราจะต้องถูกกักตัวและต้องถูกเฝ้าดูก่อนพักหนึ่งก่อนที่เราจะได้กลับบ้าน มันเป็นขั้นตอนที่จำเป็นดังนั้นจึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวลเกี่ยวกับ … ”


 


“แต่…แต่พวกเขารู้ได้อย่างไรว่าเราเพิ่งกลับมาจากโลกอื่น?”


 


“ใครจะไปรู้ บางทีการที่อลิซาเบธ ฮอลิเดย์หายตัวไปเมื่อวานนี้อาจทำให้หน่วยยามฝั่งส่งเรือออกค้นหาพวกเราแล้วพวกเขาก็อาจไปยังโลกที่น่ากลัวและแปลกประหลาดด้วยเหมือนกัน ไม่ต้องกังวลนะ ตอนนี้เรากลับมาถึงโลกเราได้แล้ว เราสามารกลับบ้านได้ทันทีเมื่อเวลาการกักตัวจบลง ฉันจะอยู่ข้าง ๆ เธอเอง ไม่ต้องกลัวไปหรอก บางทีเราอาจเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงในอนาคตได้ด้วยประสบการณ์ที่เป็นตำนานนี้ของเราก็ได้ … ” แฟนหนุ่มวางมือบนไหล่ของเธอขณะที่เขาปลอบโยนเธออย่างอ่อนโยน


 


โดยไม่สนใจความวุ่นวายบนดาดฟ้าของอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ใด ๆ หน่วยทหารสหรัฐจำนวนมากที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างมืออาชีพได้สวมชุดป้องกันวัตถุอันตรายที่ปิดผนึกไว้อย่างสมบูรณ์ขณะที่ถือปืนช็อตไฟฟ้า ไม่นานพวกเขาก็ขึ้นมาบนเรือก่อนที่จะสั่งให้ทุกคนกลับไปยังห้องพักของเรืออย่างเป็นระเบียบ


 


“ตามกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐอเมริการะบุว่าอลิซาเบธ ฮอลิเดย์เป็นพื้นที่ที่ถูกควบคุมโดยกองทัพ โปรดรักษาความสงบขณะเดินกลับไปยังห้องพักของคุณเพื่อพักผ่อนก่อนเป็นอย่างแรก เจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเป็นพิเศษจะไปที่ห้องของคุณในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเพื่อเก็บตัวอย่างเลือดของพวกคุณและทำการตรวจสอบการกักกันเบื้องต้นต่อไป โปรดให้ความร่วมมือกับพวกเราอย่างเต็มที่…”


 


เสียงในการออกอากาศของเรือเปลี่ยนเป็นเสียงที่เคร่งขรึมและเข้มงวดซึ่งยังคงออกอากาศซ้ำไปซ้ำมา จางลี่เฉินใช้ผ้าห่มห่อตัวเพื่อเดินกลับไปยังห้องพักพร้อมกับคนอื่น ๆ เขาพูดพึมพำว่า “เสียงดังซะจริง ๆ ถ้าไม่ให้ความร่วมแล้วจะทำอะไรกับพวกเราก็ได้หรือยังไง…”


 


ทีน่าซึ่งอยู่ข้าง ๆ แสดงความประหลาดใจขึ้นมาในทันที ด้วยน้ำเสียงที่เป็นกระวนกระวาย เธอกระซิบกับเขาเบา ๆ ไปว่า “เนื่องจากอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเขตควบคุมของทหารแล้ว ทหารกลุ่มนี้จะมีสิทธิ์ใช้มาตรการบังคับใช้ทุกอย่างหากเราไม่ให้ความร่วมมือกับข้อเรียกร้องที่เหมาะสม แน่นอนว่านายไม่จำเป็นต้องไปกลัวพวกเขา อย่างไรก็ตามถ้านายส่งเจ้าพวกสัตว์ทะเลขนาดยักษ์ที่สามารถบินได้ไปทำลายเรือรบ เฮลิคอปเตอร์ และเรือลากจูงที่อยู่รอบ ๆ การล่องเรือล่ะก็ … บ้าจริง! นายจะกลายเป็นผู้ก่อการร้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกไปเลยที่รัก! ไม่เอาน่า มันก็แค่การตรวจเลือดและขั้นตอนการกักกันซึ่งใช้เวลาไม่นานแค่นั้นเอง ดูกลุ่มผู้ใหญ่ตรงนั้นสิ พวกเขายังยินดีที่จะร่วมมือด้วยเลย…”


 


“ทีน่า ผมแค่พูดออกไปลอย ๆ เท่านั้นเอง ช่างมันเถอะ แล้วห้องของผมอยู่ไหนล่ะ? ผมไม่เคยไปห้องตัวเองมาก่อน”


 


“ที่จริงแล้วฉันไม่ได้เตรียมห้องอะไรไว้ให้นายหรอก เดิมทีฉันวางแผนที่จะใช้เวลายามค่ำคืนอันแสนโรแมนติกและน่าหลงใหลไปด้วยกันกับนายแต่ใครจะไปรู้ว่ามันจะจบลงแบบนี้… แต่ก็ดีที่ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มกลับมาปกติแล้วล่ะนะ” ทีน่าตอบอย่างหดหู่ขณะที่เธอจับแขนของจางลี่เฉินเพื่อเดินนำเขาไปตามทางเดินห้องโดยสารชั้นหนึ่งของเรือก่อนที่จะเปิดห้องสวีทที่อยู่ตรงข้ามกับห้องพักของทริชและชีล่าเข้าไป


 


ขณะเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของฝูงชนอย่างเงียบ ๆ บนทางเดินของอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ที่พยายามเดินเข้าห้องพักจากทั้งสองด้านอย่างต่อเนื่องจนในที่สุดกลุ่มผู้โดยสายก็หายตัวกันไปจนหมด เจ้าหน้าที่กองทัพเรือที่ดูแลการอพยพในครั้งนี้ได้เปิดใช้งานอินเตอร์คอมไร้สายก็จะรายงายความคืบหน้า “รังนก รังนก นี่คือสายจากนกน้อยหมายเลข 1 ภารกิจเสร็จสมบูรณ์ ย้ำอีกครั้ง ภารกิจเสร็จสมบูรณ์”


 


“นกน้อยหมายเลข 1 นกน้อยหมายเลข 1. ทางนี้คือรังนกของคุณ ดำรงตำแหน่งและเตรียมการแจ้งเตือนต่าง ๆ ไว้ให้ดี ดำรงตำแหน่งและเตรียมการแจ้งเตือนต่าง ๆ ไว้ให้ดี”


 


“รับทราบ” เจ้าหน้าที่ตอบกลับอย่างสุขุม ทหารเรือที่อยู่บนทางเดินยกนิ้วโป้งขึ้นหากันเพื่อแสดงความเข้าใจภารกิจก่อนจะแยกย้ายกันไปเพื่อป้องกันทางเดินยาวทั้งหมด


 


หลังจากศูนย์บัญชาการได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่คนสุดท้ายที่รับผิดชอบในการอพยพผู้โดยสารของเรือสำราญแล้วก็ได้ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่จากเซนต์แมรีเริ่มปฏิบัติการลากจูงในทันที


 


หลังจากทำงานหนักมานาน เรือลากจูงยักษ์ก็ได้ติดสายเคเบิลและเครื่องจักรพิเศษที่อลิซาเบธ ฮอลิเดย์ หลังจากนั้นก็เริ่มแล่นเรือกันไปอย่างช้า ๆ ภายใต้การดูแลของเรือรบขณะดึงเรือไปยังทะเลอันกว้างใหญ่


 


ในขณะเดียวกันในวังสไตล์อังกฤษสีขาวคลาสสิกซึ่งประกอบด้วยอาคารหลัก 3 ชั้นและอาคารด้านตะวันออก – ตะวันตกที่ตั้งอยู่ทางถนนเพนซิลวาเนียและวอชิงตัน ดี.ซี. ที่สำนักงานรูปวงรีที่ตั้งอยู่ทางปีกตะวันตกมีโต๊ะประชุมตัวหนึ่งซึ่งมีคนอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 7 คน 3 คน ทางด้านซ้ายและอีก 4 คนทางด้านขวากำลังนั่งอยู่รอบโต๊ะสี่เหลี่ยมพลางจ้องมองอย่างจดจ่อไปยังภาพฉายบนกำแพงที่แสดงให้เห็นว่ามีความผิดปกติอย่างชัดเจนเกิดขึ้น


 


ภาพที่แสดงอยู่ดูเหมือนจะเป็นแผนที่ทางทะเลที่ถูกระบุด้วยตัวแปรหลายอย่างเช่นพิกัด ความแรงของลม ความสูงของคลื่นและอื่น ๆ


 


ชายชราที่ดูธรรมดาคนหนึ่งสวมสูทเรียบเนียบสีดำโดยมีตรานกอินทรีสีบรอนซ์ติดอยู่ตรงหน้าอก เขากำลังชี้ไปที่บริเวณวงกลมจุดหนึ่งบนแผนที่ทะเลด้วยนิ้วของเขาขณะที่เขาประกาศขึ้นเสียงดัง “พื้นที่ที่ผมพูดถึงอยู่ตอนนี้คือจุดนี้ครับทุก ๆ ท่าน เมื่อวานนี้เมื่อเรือ ‘โลมา’ ของหน่วยยามฝั่งสหรัฐกำลังมองหาอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ที่หายไปอยู่นั้นมันได้ค้นพบโลกใบใหม่ ณ บริเวณนี้ได้ครับ! จากประสบการณ์ที่ผ่านมา กองทัพเรือได้ทำการทดสอบหลายครั้งและพบว่าบล็อกวงกลมนี้มีพื้นที่ประมาณ 16 ตารางไมล์ทะเลซึ่งเชื่อมต่อกับโลกอื่นด้วยเหตุผลใดก็ไม่อาจทราบสาเหตุได้ในตอนนี้ มีมหาสมุทร เกาะ และเป็นไปได้ว่าที่นั่นจะมีพื้นดินอยู่…”


 


“การค้นพบทางภูมิศาสตร์ครั้งที่สาม! โคลัมบัสค้นพบทวีปอเมริกาในมหาสมุทรแอตแลนติกและเราพบ ‘โลก’ ที่สมบูรณ์ในมหาสมุทรแอตแลนติกสองแห่งซึ่งหนึ่งในนั้นอยู่ใกล้กับมหาสมุทรนอกนิวยอร์ก” ชายผิวดำวัยกลางคนจ้องมองด้วยท่าทีครุ่นคิด เขาสวมสูทสีเทาพอดีตัวนั่งประจำที่อยู่ตรงกลางโต๊ะ ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มขึ้นมาพร้อมกับขมวดคิ้ว “นี่อาจเป็นทางลัดสำหรับอเมริกาเพื่อรักษาพลังอันแข็งแกร่งของชาติไว้ได้ตลอดไป มันอาจเป็นตัวตั้งต้นของการทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ว่าจะจากการรุกรานของอารยธรรมที่เราไม่รู้จักหรือความขัดแย้งทางแพ่งที่เกิดจากการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ … บ๊อบ พวกเราควรทำอย่างไรกันดี?”


 


“ท่านประธาน พวกเรามีข้อมูลน้อยมากเกี่ยวกับโลกใบใหม่ใบนั้น เพื่อความระมัดระวัง ผมขอแนะนำให้เราปิดผนึกพื้นที่ทะเลที่เชื่อต่อโลกอีกใบอย่างแน่นหนานี้ไว้ก่อนจะดีกว่า … ”


 


“มันง่ายที่จะควบคุมสิ่งนั้น แต่สิ่งที่ยากยิ่งกว่าคือมีคนมากกว่า 1,000 คนบนอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ที่ได้กลับมา ดังนั้นเราจึงไม่สามารถแยกพวกเขาออกอย่างไร้เหตุผลไว้ได้นาน ถ้าเป็นอย่างที่คุณพูด นั่นหมายถึงว่าคนส่วนใหญ่ในที่นี้เป็นเด็ก รัฐจะต้องลงนามในข้อตกลงการไม่เปิดเผยข้อมูลอย่างเข้มงวดกับพวกเขา … “


 


“ด้วยเหตุนี้เราต้องจึงได้รับอนุญาตจากท่านไงครับท่านประธานาธิบดี เพื่อล้างความทรงจำของทุกคนบนเรือ!”


 


เมื่อได้ยินคำแนะนำนี้ชายผิวดำวัยกลางคนก็เบิกตากว้างขณะที่ความหวาดหวั่นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนบนใบหน้าของเขา “นี่คุณ! คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไรออกมา?! มันเป็นการละเมิดอำนาจรัฐ! เป็นการเหยียบย่ำรัฐธรรมนูญและสิทธิมนุษยชนของประเทศ…”


 


“แต่มันจำเป็นสำหรับความปลอดภัยและผลประโยชน์ของอเมริกานะครับท่าน!” ชายชราโต้กลับอย่างแข็งขัน


 


สหรัฐอเมริกาถูกสร้างขึ้นจากสงครามอิสรภาพและเป็นปึกแผ่นอย่างแท้จริงจากสงครามกลางเมืองอเมริกา นับตั้งแต่นั้นมาอเมริกายังคงรักษาเอกลักษณ์ประจำชาติที่เหนียวแน่นมาได้เป็นอย่างดี


 


เนื่องจากลักษณะนี้ การแสวงหาความมั่นคงแห่งชาติและผลประโยชน์ของประเทศจึงได้ถูกฝังลึกลงไปในทุกแง่มุมของประเทศมานานกว่า 200 ปี


 


ในสหรัฐอเมริกาไม่มีหน่วยงานสาธารณะหรือหน่วยงานของรัฐบาลใดที่สามารถเปิดเผยได้เกินขอบเขตของกฎหมาย อย่างไรก็ตามเมื่อคำว่า “ความมั่นคงแห่งชาติ” และ “ผลประโยชน์ของชาติ” เข้ามาเกี่ยวข้องสิ่งต่าง ๆ ก็จะเปลี่ยนไปทันที


 


เมื่อพลเรือนผู้บริสุทธิ์ถูกฆ่าโดยไม่ตั้งใจในระหว่างการปฏิบัติการสังหาร ซึ่งอาจเป็นพลเรือนชาวอเมริกันที่ถูกสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้ายต่างแดนหรือในระหว่างการดำเนินการกำจัดศัตรูที่เรียกว่า ‘ศัตรูของชาติ’ ชาวอเมริกันส่วนใหญ่มักจะสามารถยอมรับสิ่งนี้ได้แม้ว่ามันจะสามารถพูดได้อย่างสมบูรณ์ว่าเป็นการฆาตกรรมที่โจ่งแจ้งตราบใดที่ใช้คำว่า “ความมั่นคงแห่งชาติ” และ “ผลประโยชน์ของชาติ” อันรุ่งโรจน์เข้ามาเกี่ยวข้อง


 


ความเงียบเกิดขึ้นที่ทำเนียบขาวในทันที หลังจากใคร่ครวญอยู่ 3 – 4 นาที ท่านประธานาธิบดีโอนามาก็พึมพำขึ้นว่า “หลังจากเซ็นสัญญาอนุญาตนี้แล้วตัวผมอาจต้องถูกตอกด้วยตะปูตลอดไปถึงประวัติความอัปยศนี้ นี่อาจเป็นความอัปยศของพลเรือนอเมริกันทุกคน … ”


 


“ประวัติจะถูกประเมินโดยคนรุ่นหลังครับท่านประธานาธิบดี โดยการปกป้องความมั่นคงของชาติและความสนใจหลักเท่านั้นที่จะสามารถรักษาประวันศาสตร์ไว้ได้” ในขณะที่ประธานาธิบดีลังเล ที่ปรึกษาเฮนรี่ ที กิลล์ หัวหน้าฝ่ายป้องกันของสหรัฐขจัดความลังเลที่เต็มไปความเด็ดเดี่ยว


 


“ขอพระเจ้าโปรดคุ้มครองอเมริกาด้วยเถิด!” เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ การจ้องมองของโอนามาก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและแน่วแน่ “บ๊อบ ใช้ของเล่นขั้นสูงสุดของพื้นที่ 51 จากกระทรวงกลาโหมของคุณเพื่อลบความทรงจำของเด็ก ๆ เหล่านั้นซะ พยายามลดความเสียหายทางจิตใจของพวกเขาให้ได้มากที่สุด”


 


“ผมจะทำให้ดีที่สุดครับท่านประธานาธิบดี” เขาวางจดหมายที่ได้รับมอบอำนาจซึ่งถูกร่างขึ้นมาต่อหน้าประธานาธิบดีเป็นการส่วนตัวในขณะที่เขาตอบอย่างเคร่งขรึม


 


ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาที่ท่าจอดเรือของฐานทัพเรือลับกองทัพเรือสหรัฐฯบนหมู่เกาะแห่งหนึ่งในมหาสมุทรแอตแลนติก อลิซาเบธ ฮอลิเดย์อ่อนระเรื่อไปตามคลื่นทะเลที่พลุ่งพล่านภายใต้สายลมยามเย็น


 


ที่ห้องนอนของห้องชุดหรูหราของเรือ จางลี่เฉินที่ตื่นขึ้นจากความฝันมองไปที่ทีน่าซึ่งกำลังนอนหลับสนิทอยู่ข้างกาย เขาลูบใบหน้าของตัวเองอย่างเงียบ ๆ และลุกลงจากเตียงรูปหัวใจก่อนที่จะสวมชุดนอนของเขาที่กองอยู่บนพื้นและเดินเข้าไปในห้องน้ำ


 


หลังจากเปิดไฟจนเห็นห้องน้ำอันกว้างขวางแล้วสิ่งที่สะดุดตาที่สุดก็คืออ่างอาบน้ำทรงกลมที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 2 เมตรตั้งอยู่กลางห้อง


 


หลังจากที่เขาเติมน้ำร้อนลงอ่างและชำระล้างความหอมหวานที่หลงเหลืออยู่จากการปลดปล่อยก่อนหน้านี้เสร็จแล้วจางลี่เฉินก็พาตัวเองลงไปแช่น้ำในอ่างอาบน้ำที่แสนจะสบายกาย ทันใดนั้นเองเขาก็พ่นเลือดสีเข้มคำหนึ่งออกมาและพูดภาษาจีนคำว่า – ลดความซับซ้อน


 


เลือดสีดำพุ่งออกมาจากปากของจางลี่เฉินและรวมตัวกันขึ้นกลางอากาศก่อนที่จะรวมตัวกันจนกลายเป็นทรงลูกบอล ชายหนุ่มหน้าซีดเอานิ้วจุ่มลงไปในคราบเลือดกลางอากาศนั่นก่อนที่จะเขียนคำภาษาจีนโบราณ “ลดความซับซ้อน” ลงบนหน้าอกของตัวเอง


 


หลังจากสร้างคำพลังพ่อมดเสร็จมันก็หายลงไปในเนื้อและร่างกายของจางลี่เฉินทันที ในขณะเดียวกันก็ทำให้เขามีความสามารถลึกลับที่สามารถสั่งควบคุมสัตว์อาคมและท่องคาถาด้วยความคิดผ่านทางใจของเขาได้



ตอนที่ 133

ขณะที่เขากำลังใช้ความคิดเพื่อควบคุมสัตว์อาคมเป็นครั้งแรกอยู่นั้นเมานท์โทดก็กระโดดเข้าห้องน้ำมาตามความต้องการของเขาอย่างเชื่อฟัง ด้วยความพึงพอใจจางลี่เฉินพึมพำกับตัวเอง “แม้การบุกทะลวงมายังระดับ 5 ได้นั้นจะไม่ได้รับพลังที่ทรงพลังอะไรแต่สิ่งที่ได้รับมาก็สามารถนำมาใช้งานได้จริง ๆ … ถึงอย่างนั้นก็ยังน่าสงสัยอยู่ดีกว่าเราสามารถท่องคาถาผ่านความคิดได้แค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นหรืออย่างไร…”


 


ในตอนนั้นเองเลือดสีแดงที่เป็นคำว่า “ลดความซับซ้อน” ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าอกของเขาก่อนจะจางหายไปในทันที มันกลายเป็นหมอกเปื้อนเลือดที่กระจายอยู่ทั่วอากาศก่อนจะลอยไปทางเมานท์โทดที่อยู่บนพื้นก่อนจะปกคลุมไปทั่วร่างของมันไม่นานหลังจากนั้น


 


หลังจากได้รับการบำรุงด้วยเลือดของจางลี่เฉินและส่วนสำคัญแล้ว หนามบนผิวด้านนอกของมันก็ถูกสร้างขึ้นในทันใด มันกลายเป็นหนามแหลมที่ทั้งหนาและยาวเกือบสองเท่าในขณะที่ขนาดร่างกายของมันยังคงขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่ามันจะได้รับการขัดเกลาอีกครั้ง


 


“ถ้าเมานท์โทดยังเติบโตแบบนี้มันจะไม่สามารถใส่กระเป๋าเป้ได้อีกต่อไปเมื่อขึ้นไปถึงระดับ 6” พลางจ้องมองไปที่เมานท์โทดซึ่งตอนนี้มีขนาดตัวเทียบได้กับสุนัขขนาดกลาง “ลดความซับซ้อน” ปรากฏขึ้นบนหน้าอกของจางลี่เฉินอีกครั้ง


 


คำว่า “ลดความซับซ้อน” ทั้ง 2 คำนี้ได้หายไปท่ามกลางหมอกเลือดทันทีที่มันปรากฏ ไม่กี่วินาทีต่อมาชายหนุ่มก็สามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าสัตว์อาคมทั้ง 2 ตัวของเขาซึ่งก็คือเกาะมังกรและโครโคดราก้อนได้รับการขัดเกลาเป็นครั้งที่ 4 “เท่ากับว่าตอนนี้เรามีคำสาปที่ขะช่วยทำให้ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นได้…”


 


การพัฒนาที่จะเกิดขึ้นต่อไปหลังระดับ 5 นั้นจะเป็นการเปลี่ยนของคาถาเป็นครั้งแรกซึ่งจะเปลี่ยนทุก ๆ 6 ระดับ ถึงแม้ว่ามันจะถูกบันทึกไว้ในหนังสือโบราณว่าการเดินทางจากระดับ 5 ไปยังระดับ 6 นั้นจะเต็มไปด้วยอันตรายทว่าจางลี่เฉินผู้ซึ่งสามารถฝ่าฟันระดับ 5 จากการเป็นพ่อมดระดับ 1 มาได้โดยใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งปี ได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงนั้นแล้ว


 


เขาหัวเราะเบา ๆ อย่างเงียบ ๆ ขณะลุกออกจากอ่างอาบน้ำและทันใดนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียง “ดิงดอง” ดังขึ้นที่ด้านนอกประตูห้องพัก


 


“ที่รัก เสียงกริ่งหน้าประตูดังน่ะ ช่วยไปเปิดประตูให้หน่อยจะได้ไหมเผื่อมีใครจะมาเจาะเลือดพวกเรา ฉันจะ…” เมื่อได้ยินเสียงกริ่งประตู ทีน่าก็รีบตื่นขึ้นจากความฝันและคลานออกมาจากเตียงอย่างเร่งรีบก่อนที่จะรีบเข้าห้องน้ำและเพราะแบบนั้นเธอถึงได้เดินมาชนเข้ากับชายหนุ่มที่อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำ “โอ้ ตื่นแล้วหรอกเหรอ! แล้วหนีมาอาบน้ำก่อนแล้วด้วย! เดี๋ยวนะ ถ้างั้น…”


 


“ทีน่า คุณเพิ่งจะบอกผมไปเองไม่ใช่หรอว่าตอนนี้อลิเซาเบธ ฮอลลิเดย์เป็นเขตควบคุมของกองทัพและเราต้องร่วมมือกับพวกเขาอย่างเต็มที่ เดี๋ยวผมจะไปเปิดประตูก่อน” จางลี่เฉินที่กำลังพูดอยู่เหลือบมองไปที่เนินหน้าอกของหญิงสาวที่มีรอยช้ำจากการจูบเต็มไปหมดก่อนจะรีบเดินออกจากห้องน้ำอย่างรวดเร็วราวกับว่าเขากำลังหลบหนีอะไรบางอย่าง


 


“โอ้ ไม่ต้องห่วงนะที่รัก ฉันรักในความหยาบนี้ของนายนะ เราสามารถลองกันได้ใหม่ในภายหลัง” ทีน่าหัวเราะเบา ๆ จากด้านหลังขณะที่เธอมองตามภาพเงาของชายหนุ่ม


 


จางลี่เฉินแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้วรีบพุ่งตัวไปยังตู้เสื้อผ้าเพื่อหาชุดใหม่มาใส่จากนั้นเขาก็รีบไปเปิดประตู


 


คนที่อยู่ด้านนอกประตูไม่ใช่ชายทหารในชุดอันตรายอย่างที่เขาคาดไว้แต่เป็นชายวัยกลางคนที่สวมสูทสีน้ำตาลพร้อมกับรอยยิ้มนุ่มนวลบนใบหน้า “สวัสดีชายหนุ่ม ต้องขอโทษด้วยที่มารบกวนเวลาพักผ่อนของเธอ ฉันมาร์ติน ลุกแนน เจ้าหน้าที่จากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติ”


 


“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณมาร์ติน ผมจางลี่เฉิน” จางลี่เฉินพยักหน้ารับด้วยท่าทีตกใจ “มันไม่เป็นอะไรหรอครับ? ผมหมายถึง…คุณไม่ได้สวมชุดป้องกันแบบพวกทหาร…”


 


“โอ้ นั่นเป็นการโกหกเพื่อหลอกคนนอกเท่านั้นน่ะ สถานที่ที่พวกเธอไปไม่ได้อยู่ด้านนอกอวกาศเสียหน่อยนี่น่า จะเป็นไปได้อย่างไรว่าจะมีแบคทีเรียอันตรายติดตามตัวมาด้วย เอาล่ะ ขอฉันเข้าไปข้างในหน่อยจะได้ไหม?”


 


“โอ้ แน่นอนครับ ต้องขอโทษด้วยที่ลืมชวนคุณเข้ามายังด้านใน” ลักษณะที่ผิดปกติของผู้มาเยือนมอบความรู้สึกผ่อนคลายให้จางลี่เฉินอย่างมากโดยไม่รู้ตัว เขาที่พยายามเปิดประตูเพื่อชวนแขกเข้ามายังด้านในเพื่อจะพูดว่า “ที่ห้องนี้ยังมีอีกคนหนึ่งนอกจากผม…”


 


จางลี่เฉินที่หันหลังให้แขกเมื่อเขาปิดประตูในขณะที่เขากำลังพูดอยู่ และก่อนที่เขาจะหันตัวกลับมาได้อย่างเต็มที่ แสงสว่างจ้าที่คมชัดจากแสงสีขาวก็กระแทกเข้าดวงตาของเขาเข้าเสียก่อน ด้วยแสงประหลาดที่ผ่านตามาทำให้เขาเป็นลมล้มไปในทันที


 


หลังจากชั่วระยะเวลาหนึ่งที่มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ได้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เขาก็ค่อย ๆ รู้สึกตัวได้ทีละน้อย เขาไม่ได้พยายามเปิดตาแต่แรกในทันที แต่ใช้ความคิดของเขาควบคุมเกาะมังกรล่องหนให้มาอยู่ข้าง ๆ


 


หลังจากนั้นจางลี่เฉินก็ลืมตาเต็มตื่นและตระได้หนักว่าตัวเขาในตอนนี้กำลังนอนอยู่บนโซฟาภายในห้องนั่งเล่น ห้องทั้งหมดว่างเปล่า ที่นี่มีเพียงแค่เขาเท่านั้นและไม่มีวี่แววว่าจะเกิดอันตรายใด ๆ ขึ้นเลย


 


ด้วยความสงสัย เขาค่อย ๆ ยืนขึ้นเพื่อขยับตัว เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าและไม่เจ็บปวดในส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเลยแม้แต่น้อย เขาไตร่ตรองกับตัวเองก่อนจะพึมพำว่า “เป็นไปได้ไหมที่มาร์ตินคนนั้นไม่ได้ต้องการจะทำร้ายร่างกายอะไร สัญชาตญาณต่าง ๆ ทั้งหมดของเราก็ไม่ได้แสดงผลใด ๆ ด้วย แต่แสงสว่างจ้าที่จ้องมองไปในตอนนั้นมันคืออะไร… บ้าเอ้ย ทีน่าล่ะ!”


 


ไวเท่าความคิด ชายหนุ่มรีบวิ่งเข้าห้องนอนและพบร่างของทีน่าที่กำลังนอนสนิทอยู่บนเตียงรูปหัวใจขนาดใหญ่พร้อมด้วยชุดนอนที่แสนเซ็กซี่ของเธอ ลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรเช่นกัน ทั้งที่นี่และตัวเธอจะไม่มีร่องรอยของการถูกบุกรุกแต่อย่างใด การรีบร้อนเข้ามาของจางลี่เฉินดูเหมือนจะกลายเป็นการรบกวนเธอที่อยู่บนเตียงไปเสียอย่างนั้น


 


หลังจากดวงตาของเธอกลิ้งไปมาสองสามครั้งภายใต้เปลือกตาก่อนที่เธอจะลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างเต็มที่ ทันทีที่เธอเห็นชายหนุ่มเธอก็รีบคว้าผ้าห่มบาง ๆ บนเตียงมาปกคลุมร่างกายก่อนที่จะร้องด้วยความประหลาดใจ “ลี่เฉิน นายเข้ามาในห้องนอนของฉันทำไมกัน?!”


 


“ผม…ทีน่า คุณเป็นอะไรไปน่ะ?” จางลี่เฉินเอ่ยถามด้วยความมึนงง


 


“ฉันเป็นอะไรไปน่ะหรอ? แน่นอนว่าฉันกำลังตกใจกับการที่นายเข้าห้องฉันมาแบบพลการนี่ไง แม้เราจะเป็นเพื่อนสนิทกันแต่…เดี๋ยวนะ! เดี๋ยวก่อน! หรือว่าพวกเราจะเป็นคู่รักกัน? นายเป็นแฟนฉันอย่างนั้นเหรอ… ไม่ เดี๋ยวก่อน ไม่ใช่แฟนหนุ่มแต่เป็นคู่รักที่นอนด้วยกัน? เรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย! ไม่ ไม่ใช่คนรัก… โอ้ย นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมฉันจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง! หัวของฉันมันเจ็บปวดไปหมด พระเจ้า! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่!”


 


ยิ่งหญิงสาวไตร่ตรองเรื่องนี้มากเท่าไหร่สภาพจิตใจของเธอก็ยิ่งสับสนและเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น


 


“ใจเย็นก่อนทีน่า ไม่ต้องกังวลนะ! ไม่ต้องฝืนไปจำอะไรที่คุณจำไม่ได้…” จางลี่เฉินที่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรจึงได้แต่เดินไปที่เตียงเพื่อปลอยประโยนเธอด้วยเสียงเบา ๆ


 


ขณะนั้นเองการออกอากาศบนเรือก็ดังกึกก้องว่า “อลิซาเบธ ฮอลลิเดย์กำลังจะเข้าเทียบท่าเรือนิวยอร์กอีกไม่นานนี้แล้ว ผู้โดยสารทุกท่านโปรดเตรียมพร้อมในการขึ้นฝั่ง หลังจากที่จอดเทียบท่าแล้วจะมีเจ้าหน้าที่ฉุกเฉิน…”


 


เมื่อได้ฟังการออกอากาศที่โพล่งออกมาไม่หยุดจู่ ๆ จางลี่เฉินก็ตะโกนขึ้นมาอย่างตกใจ “อลิซาเบธ ฮอลลิเดย์กลับเข้าท่าเรือนิวยอร์กแล้วงั้นเหรอ? บ้าสิ้นดี! เรือไม่ได้จอดอยู่ที่ท่าเรือบนเกาะในมหาสมุทรแอตแลนติกหรอกหรือไงกัน? นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”


 


“เรากลับมาที่ท่าเรือนิวยอร์กแล้ว! เรากลับมาแล้ว! ฉันต้องการขึ้นฝั่งเดี๋ยวนี้! ฉันต้องการขึ้นฝั่ง” ทีน่าที่ตกอยู่ในภวังค์กระโดดออกจากเตียงและวิ่งออกจากห้องไปทั้ง ๆ ชุดนอนและรองเท้าแตะ


 


จางลี่เฉินที่ยังคงสับสนไม่ได้วิ่งตามหญิงสาวออกไปแต่อย่างใด หลังจากทีน่าวิ่งออกไปแล้วเขาได้แต่นั่งครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่บนเตียงเพียงลำพัง เขาสั่งให้เมานท์โทดให้กลับสู่อ้อมกอดของเขาด้วยความคิดก่อนจะเดินออกจากห้องพักโดยสายของเรือไป


 


ตามทางเดินต่างเต็มไปด้วยเหล่าเยาวชนที่สติเลื่อนลอย จางลี่เฉินเดินตามคนอื่น ๆ ไปที่ดาดฟ้าและทันเวลาที่ได้เห็นเรือลากจูงขนาดใหญ่ที่มีธงสัญลักษณ์ประจำชาติของอเมริกาปักอยู่ด้านบนซึ่งกำลังลากอลิซาเบธ ฮอลลิเดย์เทียบท่าเรือพอดี


 


ซึ่งเรือลำนั้นก็คือเซนต์แมรี่ที่เข้าร่วมกับหน่วยยามฝั่งสหรัฐ อย่างไรก็ตามเรือประจัญบานและเฮลิคอปเตอร์ที่ติดสอยห้อยตามมากับเรืองลากจูงนี้ด้วยกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย


 


เหล่าวัยรุ่นเดินช้า ๆ ไปยังด้านข้างตัวเรือและมองไปที่ชายฝั่ง แสงแดดช่วงต้นฤดูร้อนที่แสนระอุส่องประกายระยิบระยับลงมาจากท้องฟ้าสู่รถฉุกเฉินที่จอดอยู่ตรงท่าเรือกว่า 100 คัน


 


ขณะนั้นเองที่เครื่องยนต์อลิซาเบธอถูกเปิดใช้งาน บันไดช่วงล่างของเรือสำราญถูกปล่อยลงพื้นเมื่อเรือเข้าใกล้ฝั่ง


 


ณ บนดาดฟ้า ทหารหน่วยยามฝั่งก็เริ่มส่งเสียงด้วยท่าทีสบาย ๆ กับผู้โดยสารเพื่อบอกให้พวกเขาเตรียมพร้อมสำหรับการขึ้นฝั่ง ขณะเดียวกันจางลี่เฉินก็กำลังมองหาทีน่าที่รีบออกจากห้องมาด้วยความไม่สบายใจ


 


ใบหน้าของทุกคนบนดาดฟ้าส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความสับสน ในขณะที่เขาเดินไปรอบ ๆ เพื่อตามหาเธอในที่สุดเขาก็พบทีน่าซึ่งกำลังพูดคุยอยู่กับทริชและชีล่าด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยอารมณ์


 


“ทีน่า คุณโอเคไหม?” จางลี่เฉินเดินตรงเข้าหาเธอพร้อมใช้ชุดราตรีที่หยิบติดมือมาห่อหุ้มร่างกายของเธอก่อนจะเอ่ยถาม


 


“ไม่เลยลี่เฉิน!” ทีน่ามองไปที่ชายหนุ่มและตะโกนออกมาเสียงดัง “ทั้งทริชและชีล่าก็เหมือนกัน! พวกเราลืมอะไรบางอย่างไปหลายสิ่ง! ราวกับว่าช่วงเวลา 2 – 3 เดือนที่ผ่านของพวกเราหายไป! ฉันสามารถบอกได้เลยว่านายเป็นคนที่ใจดีมากแต่ฉันก็ยังไม่รู้ว่าทำไมพวกเราถึงนอนพักอยู่เดียวกัน! ทริชบอกว่านายเคยช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าเธอไปเอาความคิดแบบนั้นมาจากไหน! เราสามคนต้องมารวมตัวกันและพูดคุยกันอยู่นานก่อนที่เราจะจำได้ว่าทำไมเราถึงมาอยู่บนเรือลำนี้… ”


 


อารมณ์ของหญิงสาวที่หมดแรงควบคุมได้ดึงดูดความสนใจของนายทหารวัยกลางคนที่จ้องมองจากดาดฟ้าอยู่อย่างต่อเนื่องด้วยสายตาที่เฉียบคมซึ่งอยู่ไม่ไกล เขาเดินเข้ามาและยืนเคียงข้างกับทีน่าก่อนจะพูดว่า “อย่าห่วงเลย เมื่อทุกคนได้ลงเรือแล้วจะมีหน่วยแพทย์รอช่วยเหลือทุกคนอยู่ที่ท่า หายใจเข้าลึก ๆ แล้วผ่อนคลายซะเถอะนะ ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นไปแล้วล้วนเป็นแค่อดีตทั้งนั้น”


 


“ขอบคุณค่ะ” หลังได้ระบายอารมณ์ที่แสนสับสนออกไปจนเกือบหมดอารมณ์ด้านลบของเธอก็เริ่มสงบ


 


จางลี่เฉินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รู้ได้ในทันทีว่าเจ้าหน้าที่วัยกลางคนคนนี้คือคนเดียวกันกับชายที่มีการแสดงออกที่นุ่มนวลและสวมชุดสูทสีน้ำตาลซึ่งก็คือมาร์ติน ลุกแนนที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติกับเขามาก่อน เมื่อเจ้าหน้าที่วัยกลางคนนี้เห็นสีหน้าของจางลี่เฉินดวงตาของเขาก็แคบลงอย่างเห็นได้ชัด


 


ชายหนุ่มที่เริ่มรู้สึกตัวอย่างช้า ๆ ได้ว่าทุกคนดูเหมือนจะเจอปัญหาเรื่องความทรงจำกันหมดยกเว้นเขาจึงแสร้งทำเป็นทุกข์ร้อนจากการขาดความทรงจำก่อนที่เขาจะเอ่ยถามออกไปอย่างกระทันหัน “เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอครับ?”


 


“เรืออัปปางอย่างร้ายแรง แต่โชคดีที่พวกเธอทั้งหมดไม่ได้เป็นอะไร ไปเถอะ เดี๋ยวฉันจะออกไปส่งพวกเธอทุกคนที่ท่าเรือให้เอง” เจ้าหน้าที่จ้องมองไปที่จางลี่เฉินก่อนจะพาหญิงสาวทั้ง 3 คนที่มีสีหน้าเจ็บปวดเดินออกไปก่อนจะตามมาด้วยจางลี่เฉินที่แส้งทำเป็นตกใจกับเรื่องต่าง ๆ ที่ได้ยิน


 


เจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลจางลี่เฉินที่ดูไม่เป็นอะไรมาก่อนในทันที และเมื่อทีน่าและอีก 2 คนมาถึงชายฝั่งพวกเธอทั้งหมดถูกวางตัวลงบนเปลหามโดยบุคลากรทางการแพทย์ที่คล่องแคล่ว ทหารวัยกลางคนที่นำพวกเขามาไม่ได้จากไปในทันทีแต่คอยสอบถามอาการจากแพทย์ฉุกเฉินที่รีบเข้าหาพวกเขาอย่างใจจดใจจ่อ “คุณหมอ คุณช่วยตรวจสอบอาการของเด็กทั้ง 4 คนนี้ให้ทีจะได้ไหม?”


 


แพทย์ฉุกเฉินที่มีขนาดตัวค่อนข้างผอมและผิวสีดำตรวจสอบรูม่านตาของพวกเขาทั้ง 4 คนอย่างรวดเร็วด้วยเครื่องมือที่คล้ายกับไฟฉายขนาดเล็กที่ให้แสงสีน้ำเงินออกมา “เด็ก 4 คนนี้มีความผิดปกติของระบบประสาทเล็กน้อยครับ แต่ไม่ใช่เรื่องที่รุนแรงอะไร ไม่ต้องกังวลนะพวกเธอ ผ่อนคลายลงซะหน่อยแล้วเดี๋ยวรถพยาบาลจะพาพวกเธอไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสุขภาพตามปกติอีกที และหากผลทุกอย่างออกมาเป็นปกติพวกเธอจะสามารถกลับบ้านได้ในทันทีหลังพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลแล้ว 1 คืน”


 


“แล้วเด็กผู้ชายคนนั้นมีปฏิกิริยากับอาการประสาทที่ผิดปกติด้วยหรือไม่?” เจ้าหน้าที่วัยกลางคนเอ่ยถาม



ตอนที่ 134

“ใช่ครับ” แพทย์ฉุกเฉินตะลึงไปครู่หนึ่งกับคำถามที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก่อนจะหันไปโบกมือให้กับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์คนอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียงเพื่อส่งตัวจางลี่เฉินและหญิงสาวอีก 3 คนไปยังรถพยาบาล จากนั้นเขาก็หันมากระซิบด้วยท่าทีเคร่งขรึมกับเจ้าหน้าที่วัยกลางคนต่อ “ท่านครับ ด้วยวิธีการที่เขากอดตุ๊กตาที่มีรูปร่างประหลาดแน่นหนาแบบนั้นก็สามารถบอกได้แล้วว่าตอนนี้สภาพจิตใจของเขาไม่มั่นคง ด้วยการถามคำถามแบบนั้นต่อหน้าเด็ก ๆ…”


 


“โอ้ ขอโทษด้วยนะหมอ เดี๋ยวฉันต้องไปที่เรือแล้วล่ะ” เมื่อได้รับคำตอบที่ต้องการ เจ้าหน้าที่วัยกลางคนก็เผยรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าในทันที เขาขอโทษหมอในการทำกริยาที่ไม่ดีก่อนจะรีบจากไป


 


ขณะเดียวกันรถพยาบาลที่บรรทุกจางลี่เฉินและคนอื่น ๆ ก็ได้ออกจากท่าเรือนิวยอร์กไปเป็นที่เรียบร้อย ในไม่ช้ารถพยาบาลคันนั้นก็ส่งตัวชายหนุ่มและคนอื่น ๆ มายังโรงพยาบาลเพรสไบทีเรียน


 


ในฐานะที่เป็นโรงพยาบาลทั่วไปที่ดีที่สุดในนิวยอร์ก ห้องฉุกเฉินของที่นี่จึงแออัดไปด้วยผู้คนจำนวนมาก หลังทำการทดสอบทางการแพทย์ง่าย ๆ 2 – 3 อย่างเสร็จแพทย์ในห้องฉุกเฉินที่ดูยุ่งมากก็วินิจฉัยอาการของจางลี่เฉินว่ามีสุขภาพโดยสมบูรณ์ทุกอย่างนอกเหนือจากความเสียหายทางประสาทและความกังวลทางจิตใจ


 


จากนั้นจางลี่เฉินก็โดนให้น้ำเกลือและถูกนำตัวเข้าห้องสังเกตอาการ 1 ชั่วโมงต่อมาเขาก็เห็นลิลี่และลาวีนที่รีบมายังโรงพยาบาลในทันทีเมื่อทราบข่าว


 


แม้จะมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมากมายบนอลิซาเบธ ฮอลิเดย์แต่เมื่อนับเวลาดูดี ๆ แล้วจางลี่เฉินเพิ่งจากบ้านไปเพียง 40 ชั่วโมงเท่านั้น อย่างไรก็ตามลิลี่ที่เสียขวัญร้องไห้หนักมากจนตาของเธอบวมปูดเหมือนลูกมะนาว


 


แต่เมื่อเห็นว่าลูกชายของเธอกลับมาได้อย่างปลอดภัย ด้วยความเป็นแม่ เธอพยามทำตัวเข็มแข็งและพยายามไม่ร้องไห้ออกมาต่อหน้าลูกและพยายามปลอบโยนลูกชายที่อยู่บนเตียงแทนว่า “หมอบอกว่าลูกไม่เป็นอะไรแล้วนะจ้ะ ลูกสามารถกลับบ้านได้ทันทีหลังจากนอนพักที่นี่เพื่อสังเกตอาการ 1 วัน อย่าคิดมากนะลูกรัก สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับลูกในตอนนี้คือการพักผ่อนอย่างเต็มที่ แม่จะอยู่ข้าง ๆ ลูกเองเพราะฉะนั้นนอนพักซะเถอะนะ”


 


ถ้าเป็นตามปกติการแสดงออกแบบนี้จากแม่ของเขาคือสิ่งที่จางลี่เฉินต้องการอยู่ตลอด แต่เนื่องจากเขารู้ดีว่าแม่ของเขามีความเป็นห่วงและกังวลกับเขามากขนาดไหนเขาจึงอดที่จะถามออกไปไม่ได้ว่า “แม่ แม่เป็นอะไรหรือเปล่า? ทำไมไม่เห็นแม่จะถามอะไรผมเลยว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นที่ทะเลบ้างเลย?”


 


“ลูกรัก ตอนนี้แม่ไม่อยากรู้อะไรทั้งนั้น สิ่งสำคัญคือการที่ลูกปลอดภัยนี่ต่างหาก อย่าคิดมากเลย ผ่อนคลายและพักผ่อนซะเถอะ”


 


“ใช่แล้วลี่เฉิน ทำตามที่แม่เขาบอกเถอะ” ลาวีนกล่าว


 


จางลี่เฉินขมวดคิ้วขณะนอนราบไปกับเตียง โดยไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมเขาก็ค่อย ๆ หลับไป


 


หลังจากอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลา 24 ชั่วโมงโดยไม่มีสิ่งผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้นเขาจึงไปพบแพทย์อีกครั้งตามขั้นตอนการรักษา


 


หลังจากพลิกเปลือกตาของจางลี่เฉินเพื่อสังเกตปฏิกิริยารูม่านตาของเขาอยู่พักหนึ่ง ชายที่มีร่องรอยของการเหี่ยวย่นไปตามวัยตบไหล่ของชายหนุ่มเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ยินดีด้วยพ่อหนุ่ม ดูเหมือนว่าเธอจะไม่เป็นอะไรแล้วล่ะนะ! อย่างไรก็ตามเธอยังต้องทานยาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 สัปดาห์และจะเป็นการดีที่สุดถ้าในช่วงนี้พยายามไม่ใช้สมองมากจนเกิน พยายามทำตัวให้ผ่อนคลายเข้าไว้ เดี๋ยวหมอจะสั่งยาและใบแจ้งขอลาหยุดเรียนเป็นเวลา 2 สัปดาห์ให้นะ ตื่นเต้นไหมที่ได้ยินเรื่องแบบนี้?”


 


“แต่หมอครับ ผมยังมีสอบครั้งสำคัญสำหรับเกรด 10 หลังวันหยุดช่วงต้นฤดูร้อนนี้สิ้นสุดลงอยู่อีก เพราะแบบนี้สำหรับผมมันจึงไม่ได้น่าตื่นเต้นอะไรเลย”


 


“อืม ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้อยู่ล่ะนะ หมอเองก็เห็นใจเธอแต่เธอต้องไม่ไปเรียนในช่วง 2 สัปดาห์นี้ก่อนจะเป็นการดีที่สุด เดี๋ยวหมอจะบอกเรื่องนี้กับผู้ปกครองของเธอเอง วันนี้มีใครมารับกลับบ้านไหม?”


 


“แม่ผมครับ แม่รออยู่ที่ด้านนอกห้อง”


 


“โอเค งั้นออกไปรอหมอข้างนอกก่อนแล้วก็เรียกให้แม่ของเธอเข้ามาในห้องนี้ที”


 


“หมอครับ หมอพอจะบอกอาการที่ผมเป็นอยู่ได้ไหมว่ามันคือโรคอะไร?”


 


“สุขภาพร่างกายของเธอปกติดีมาก แต่เหมือนว่าเธอได้ไปสูดดมยาหลอนประสาทบางชนิดในระหว่างเรืออับปางเข้าเลยทำให้เกิดอาการสมองเป็นพิษ อย่างไรก็ตามมันไม่ได้รุนแรงอะไรเพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นกังวล ตราบใดที่เธอทำตามที่หมอสั่งหมอบอกได้เลยว่ามันจะไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ ในอนาคตอย่างแน่นอน”


 


“ขอบคุณครับหมอ” จางลี่เฉินลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยท่าทีหมกมุ่นอยู่กับความคิดก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานของหมอไป


 


เมื่อเห็นลูกชายของตัวเองเดินออกจากห้องมาลิลี่ก็รีบเข้าไปสอบถามอาการเขาในทันที “เป็นไงบ้างจ้ะลูกรัก ลูกสบายดีใช่ไหม?”


 


“ครับแม่ ผมไม่เป็นอะไร หมอบอกให้ผมพักการเรียนสัก 2 สัปดาห์และต้องทานยาอย่างต่อเนื่อง โอ้ใช่ เขาเรียกให้แม่เข้าไปพบด้วยนะครับ”


 


ลิลี่รู้สึกตกใจเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ยิน “งั้นลูกนั่งรอแม่ที่นี่เดี๋ยวนะ” จากนั้นเธอก็รีบเปิดประตูเข้าไปยังด้านในห้องทำงานของคุณหมอในทันที


 


หลังจากนั้นไม่กี่นาทีลิลี่ก็เดินออกมาด้วยท่าทีผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด หลังจากพาจางลี่เฉินไปรับยาและพาเขาไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อวัตถุดิบสดใหม่เสร็จทั้งคู่ก็ขับรถกลับบ้าน


 


นอกเหนือจากหัวหน้าครอบครัวอย่างลาวีนที่มักทำงานล่วงเวลาอยู่เสมอแล้วในตอนนี้สมาชิกทุกคนต่างอยู่พร้อมหน้ากันที่บ้าน เมื่อพวกเขาเห็นจางลี่เฉินเข้าบ้านมาต่างพากันสวมกอดและทักทายเขาอย่างอบอุ่น “เฮ้ลี่เฉิน! ยินดีต้อนรับกลับบ้าน! ดูเหมือนว่าการไปงานปาร์ตี้วันเกิดที่น่าอิจฉาของนายในครั้งนี้จะไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่นเท่าไหร่เลยนะ!”


 


“หุบปากนะแรนดี้ อย่าได้พูดแบบนั้นอีกเป็นอันขาด! ลี่เฉิน นายดูไม่เป็นอะไรมากเท่าไหร่เลยนี่ ก็ดีแล้วล่ะนะ! ใช่แล้ว ๆ ช่วง 2 วันที่ผ่านมาฉันเป็นคนให้อาหารแมลงของนายด้วยนะ พวกมันเองก็แข็งแรงไม่แพ้กัน! ไว้นายค่อยไปดูอาการพวกมันทีหลังก็ได้!”


 


“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะพี่ชาย”


 


ขณะที่เด็ก ๆ ปลอบโยนพี่ชายของตัวเองที่ผ่านการเผชิญหน้ากับเรืออัปปางในห้องนั่งเล่นอยู่นั้น ลิลี่ก็กำลังเตรียมมือกลางวันอยู่ที่ห้องครัว น้ำมันที่ถูกทำให้ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ปกคลุมซี่โครงไขมันหนาชิ้นหนึ่ง หลังจากนั้นประมาณ 10 นาทีเธอก็ย่างสเต็ก 4 ชิ้นและทำสลัดผัก 2 สีซึ่งทำมาจากผักกาดแก้ว มะเขือเทศ มะกอกและแอปเปิ้ล


 


“เด็ก ๆ หยุดพูดคุยแล้วมากินข้าวกันได้แล้ว” จางลี่เฉินและเหล่าพี่น้องของเขาแห่กันไปที่ห้องครัวในทันทีเพื่อทานอาหารกลางวัน ลิลี่ส่งอาหารกลางวันให้กับทุกคนโดยทุกคนจะได้รับเป็นสเต็กกันทั้งหมดเว้นก็แต่จางลี่เฉินที่ได้รับเป็นสลัดผัก


 


“ลูกรัก คุณหมอบอกว่าในช่วงนี้ลูกต้องทานมังสวิรัติให้เยอะ ๆ กว่าปกติ นับจากนี้อีก 2 สัปดาห์ลูกจะได้กินแค่สลัดผักนะจ้ะ”


 


“ป้าลิลี่ ฉันก็อยากทานสลัดด้วยเหมือนกัน”


 


“ไรลี่ที่รัก เท่านี้เธอก็ผอมมากอยู่แล้วนะ ไว้รอให้น้ำหนักถึง 100 ปอนด์เมื่อไหร่ค่อยทานก็แล้วกัน” ลิลี่ตอบก่อนหยิบผักกาดแก้วและมะเขือเทศสัก 2 – 3 ชิ้นเข้าปาก


 


หลังจากรับประทานอาหารกลางวันที่ทำให้จางลี่เฉินอิ่มท้องด้วยไปด้วยใบไม้และมะเขือเทศรสจืดเสร็จ เขาก็หาวอย่างเบื่อหน่าย “แม่ เมื่อวานนี้ผมไม่ได้นอนอย่างสบายบนเตียงที่โรงพยาบาลเท่าไหร่…”


 


“งั้นก็ไปนอนเถอะจ้ะถ้าลูกง่วงนอน ลูกยังต้องการเวลาพักผ่อนให้มาก ๆ แต่อย่าลืมทานยาที่หมอสั่งก่อนเข้านอนด้วยนะ”


 


“ครับ” จางลี่เฉินพยักหน้ารับก่อนจะแกล้งวิ่งเข้าไปในห้องนั่งเล่นเพื่อหยิบขวดยาจากกระเป๋าของลิลี่และเดินขึ้นไปที่ชั้น 2


 


หลังกลับขึ้นมายังห้องนอนของตัวเองแล้วเขาก็สั่งให้เมานท์โทดกระโดดขึ้นเตียงและคลายเกลียวของขวดยาเพื่อหยิบยามากิน 2 เม็ด จากนั้นก็หันไปมองดูแมลงเปลี่ยนสีที่ยังมีชีวิตอยู่ก่อนจะเดินไปเปิดคอมพิวเตอร์


 


หน้าจอกะพริบอยู่ครู่หนึ่งและไอคอนของโปรแกรมที่เข้าสู่ระบบต่าง ๆ ก็ปรากฏ จางลี่เฉินทำการเปิดอินเทอร์เน็ตและค้นหาคำว่า “ท่าเรือนิวยอร์ก อลิซาเบธ ฮอลิเดย์ เรืออัปปาง” ในทันทีข้อมูลจำนวนนับไม่ถ้วนก็เข้ามาในขอบเขตการมองเห็นของเขา


 


“เรือสำราญเพื่อฉลองวันเกิดที่ท่าเรือนิวยอร์กหายตัวไปอย่างลึกลับนอกชายฝั่ง  ปรากฎว่ามีการปะทะกันกับเรือกู้ภัยของกองทัพเรือ…”


 


“นักเรียนหลายคนจากโรงเรียนมัธยมชื่อดังในนิวยอร์กถูกสังหาร ผู้คนหลายร้อยคนต้องทนทุกข์ทรมานจากความเสียหายของสมองอย่างหนักเนื่องจาก “ก๊าซเอกซ์” ในทางกลับกันเจ้าหน้าที่จากสำนักงานการเดินเรือแห่งสหรัฐอเมริการะบุว่าโชคดีที่เรืออับปางในครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมาก… ”


 


“เซนต์แมรี่ผู้พิทักษ์ชายฝั่งช่วยชีวิตอลิซาเบธ ฮอลลิเดย์จากการอัปปางเนื่องจากการรั่วไหลของ “ก๊าซเอกซ์” ลึกลับ พื้นที่ที่เกิดเหตุได้ถูกผนึกโดยกองทัพเรืออย่างแน่นหนา…”


 


จากข้อมูลทั้งหมดที่แสดงขึ้นมาจางลี่เฉินเลือกเปิดข่าวที่น่าจะเป็นข่าวที่ดูจะมีมูลมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา


 


“ณ วันที่ 3 มิถุนาที่ผ่านมา เรือสำราญอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ที่หายไปของบริษัทขนส่งโอเชี่ยนได้รับการช่วยเหลือและลากจูงกลับมาได้โดยเซนต์แมรี่ผู้พิทักษ์ชายฝั่งเมื่อ 2 วันก่อน ตามที่พนักงานของกองทัพเรือกล่าว สาเหตุของการหายตัวไปของเรือสำราญนั้นเกิดจากการชนเข้ากับเรือของกองทัพที่บรรทุกก๊าซของยาชาที่ระเหยได้ง่าย โฆษกของหน่วยยามฝั่งยืนยันว่ามีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 189 รายและบาดเจ็บสาหัส 35 รายในระหว่างที่เรืออับปาง อัยการเขตนิวยอร์กกล่าวว่ามีหลักฐานชี้ชัดไปที่สาเหตุหลักที่ทำให้เรืออับปางในครั้งนี้เป็นเพราะกัปตันฟยอด์น่าได้แยกตัวออกจากห้องควบคุมไป ทำให้เขาต้องรับผิดชอบต่ออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนี้อย่างมาก…”


 


ในข่าวเกี่ยวกับการอับปางของอลิซาเบธ ฮอลิเดย์บนอินเทอร์เน็ตไม่มีการกล่าวถึงประสบการณ์ที่น่ากลัวที่คนบนเรือได้สัมผัสบนอีกโลกหนึ่งมาก่อน แม้ว่าเว็บไซต์ข่าวบางแห่งที่คุ้นเคยกับการเขียนข่าวได้อย่างอิสระก็ยังรู้สึกได้ว่าถูกรัฐบาลปกปิดความจริงไว้อย่างมากมาย เรื่องราวที่ประดิษฐ์ขึ้นมานั้นแปลกประหลาดมากจนแม้แต่จางลี่เฉินก็ยังคิดว่ามันช่างไร้สาระสิ้นดี


 


“ความทรงจำของทุกคนเกี่ยวกับโลกใหม่ถูกลบ! เหตุผลที่เราไม่เป็นอะไรไปด้วยคงเป็นเพราะจิตใต้สำนึกของเราในตอนนี้ไม่ใช่แบบคนปกติธรรมดาแต่เป็นพ่อมดงั้นสินะ? อย่างไรก็ตาม มันมีเทคโนโลยีที่ซับซ้อนอยู่บนโลกนี้ใบนี้ด้วยจริง ๆ น่ะเหรอ? หรือจะเป็นการสะกดจิตแบบกลุ่ม? ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดเพื่อลบความทรงจำของผู้คนบนเรือก็มีแค่เพียงรัฐบาลของสหรัฐอเมริกาเท่านั้นที่สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ ทั้งหมดนี้ต้องทำโดยมีจุดประสงค์เพื่อปกปิดการมีอยู่ของโลกอื่นแน่ ๆ …” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองเมื่อเขาปิดคอมพิวเตอร์


 


“ในกรณีนี้อาจมีเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองบางคนคอยติดตามดูผู้รอดชีวิตจากเรืออัปปางเป็นระยะเวลาหนึ่งเพื่อดูว่ามีผลกระทบใดบ้างจากการถูกลบความทรงจำ ดูเหมือนว่าเราจะต้องแกล้งทำตัวตามน้ำในช่วง 2 สัปดาห์นี้ไปก่อน…”


 


ต้องขอบคุณภาพยนตร์ไซไฟบางเรื่องที่มีเนื้อหาคล้ายกันจึงทำให้เขาพอสรุปเรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ ด้วยข้อมูลที่รวบรวมได้จากทางออนไลน์ จางลี่เฉินสามารถไขปริศนาชิ้นสุดท้ายได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนักก่อนที่จะนำไปสู่ความจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


 


2 – 3 วันต่อมาเขายังคงทำตามที่เขาพูดไว้ได้เป็นอย่างดี เขาใช้เวลาทั้งวันไปกับการนอนเฉย ๆ อยู่ที่บ้าน เขาไม่ได้ไปที่เมทเทิลสโลว์เพื่อทำงานหรือใช้ความคิดในการติดต่อกับใครใด ๆ ราวกับว่าเขากำลังทุกข์ทรมานจากการสูญเสียความทรงจำและรู้สึกเซื่องซึม


 


กิจวัตรนี้ยังคงดำเนินต่อไปจนถึงวันที่ 10 ผู้จัดการฝ่ายวิศวกรรมที่รับผิดชอบด้านการขยายโรงฆ่าสัตว์ได้ติดต่อจางลี่เฉินมาเพื่อบอกเขาว่าระยะแรกของโรงฆ่าสัตว์เสร็จสิ้นแล้ว หลังจากตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับคำสั่งซื้อเครื่องฆ่าสัตว์ได้ถูกส่งไปยังโรงงานแล้วชายหนุ่มจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะโทรหาทีน่า


 


พวกเขาทั้งสองทักทายกันด้วยความงุ่มง่าม จางลี่เฉินตกใจมากเมื่อพบว่าเธอกำลังพักผ่อนอยู่ที่ฮาวายในช่วงวันหยุด


 


“ขอโทษนะลี่เฉินที่ฉันไม่สามารถกลับนิวยอร์กไปในตอนนี้ได้ นอกจากนี้ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันจะช่วยนายได้อย่างไรแม้ฉันจะกลับไปถึงที่นั่นแล้วก็ตาม ฉันจำอะไรไม่ได้เท่าไหร่นัก หมอบอกว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนที่ฉันจะไปโรงเรียนในอีกไม่กี่เดือนต่อมาคือการสูดอากาศบริสุทธิ์และสร้างความสุขให้กับตัวเอง…ฮ่าฮ่าฮ่า…อลิซ! คุณหมอบอกว่าไม่ให้ฉันดื่มนะ! นี่วนกลับมาตาฉันอีกครั้งแล้วงั้นเหรอ? เดี๋ยวให้ฉันคุยโทรศัพท์เสร็จก่อน…”


 


“ขอให้สนุกกับวันหยุดนะทีน่า ลาก่อน!” จางลี่เฉินที่ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาจากชายหนุ่มและหญิงสาวจากอีกด้านหนึ่งก็รีบวางสายในทันใด



ตอนที่ 135

แสงแดดแผดจ้า


 


ต้นปาล์มที่มีใบสีเขียวชอุ่ม


 


คลื่นที่สร้างเสียง “ซ่าา ซ่าา …” ขับกล่อม


 


ชายหาดที่สวยงามและเก่าแก่ ชายหนุ่มที่หล่อเหลาและหญิงสาวที่แสนสวยสวมใส่ชุดว่ายน้ำเซ็กซี่ในขณะที่ถือกระดานโต้คลื่น เผยให้เห็นถึงสัดสวนร่างกายที่งดงาม


 


สิ่งนี้คือความคิดของทุกคนที่รักช่วงฤดูร้อนจะนึกถึงเมื่อพูดถึงคำว่า “ฤดูร้อน” และหมู่เกาะฮาวายในมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือสามารถตอบสนองต่อสิ่งเหล่านี้ได้ทั้งหมด


 


ใต้ต้นปาล์มขนาดใหญ่ข้างร้านอาหารกลางแจ้งและแผงขายเครื่องดื่ม หญิงสาวร่างสูงที่ใส่บิกินี่ลายทางขาวดำบาง ๆ ที่เพิ่งวางสายจากโทรศัพท์กำลังเหม่อลอยอย่างว่างเปล่า


 


หญิงสาวผิวแทนที่สวยงามที่มีจมูกได้รูปและปากอวบอิ่มน่ามองกำลังจิบเบียร์อยู่ข้างเธอขณะใช้นิ้วตัวเองจิ้มไปที่แขนของคนข้าง ๆ แล้วพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “นี่ทีน่า! ตาเธอแล้วนะ รีบหมุนขวดเร็วเข้าที่รัก! หมุนมันเลย!”


 


ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในวงใต้ต้นไม้ก็เริ่มตะโกน “ทีน่า! ทีน่า! ทีน่า! … ”


 


“ไม่นะ เดี๋ยวสิ! นี่มันไม่ใช่แล้ว! ฉันรู้สึกว่ามันชักจะแปลก ๆ … ฉันเริ่มจะรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่แล้วสิ ฉันต้องการเครื่องดื่มเย็น ๆ! หัวใจของฉันกำลังถูกเผาไหม้! ฉันต้องการอะไรที่มันเย็น ๆ …” ในตอนนี้เธอหมดความสนใจ “เกมหมุนขวด” ไปโดยสิ้นเชิง ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนบนชายหาดอย่างเหม่อลอยก่อนจะเดินโซเซไปยังแผงขายเครื่องดื่มเย็น ๆ ที่ตั้งอยู่ด้านข้าง


 


เมื่อหญิงสาวผิวเข้มที่อยู่ข้าง ๆ เห็นท่าทางที่ดูไม่ค่อยดีก็รีบลุกตามเพื่อนใหม่ของเธอไปอย่างรวดเร็ว “ทีน่า เธออยากดื่มอะไรเย็น ๆ ก่อนไหม? เดี๋ยวฉันไปซื้อให้ ที่รัก เธอรู้สึกไม่สบายแบบนี้อยู่ตลอดเลยหรือเปล่า? เธอหน้าซีดมากเลยนะ แล้วเมื่อกี้ใครกันเหรอที่โทรมาหาเธอ?”


 


“โทรศัพท์? ใช่แล้ว! ลี่เฉินไงล่ะ! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน เมื่อช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เป็นไปได้ไหมว่าเป็นเพราะเขา… โอ้! ฉันควรโทรกลับไปหาเขาก่อน ฉันควรโทรกลับมาเขา!” ทีน่าพึมพำขณะที่เธอกดหมายเลขโทรศัพท์


 


เสียงเรียกเข้าที่เธอได้รับคือเสียงของปลายสายที่กำลังใช้งาน หลังจากหญิงสาวโทรเข้าอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 – 3 นาทีในที่สุดการโทรก็ถูกเชื่อมต่อ


 


“ทีน่า คุณมีอะไรงั้นเหรอ?” เสียงสงบนิ่งของจางลี่เฉินดังสะท้อนออกมาจากอีกฝั่งของโทรศัพท์


 


เมื่อได้ยินเสียงของเขาหัวใจของทีน่าก็เริ่มสงบลงอย่างรวดเร็วได้อีกครั้ง “เอ่อ คือ ไม่มีอะไร ฉันแค่อยากจะโทรกลับมาหานายอีกสักครั้ง บางที บางทีฉันอาจจะกลับเที่ยวบินของคืนนี้เลย! เราอาจได้พบกันในวันพรุ่งนี้และไปดูโรงงานของนาย…”


 


“คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นก็ได้ ตอนนี้ผมโทรหาทนายเอ็ดเวิร์ด วิลส์ที่คุณแนะนำให้ไว้แล้ว คุณจำเขาไม่ได้งั้นเหรอ? ผมขอให้เขาช่วยเรื่องตัวแทนธุรกิจเพื่อการเจรจากับสหภาพเกษตรกรที่น่ารำคาญ คุณยังเคยพูดอยู่เลยว่าเขามีประโยชน์อย่างมาก”


 


“ง…งั้นเหรอ? ก็ดีแล้ว…”


 


“คุณมีอะไรอีกหรือเปล่า?”


 


“ไม่มี … ไม่! อย่าเพิ่งวางสายนะ! ลี่เฉิน ฉันไม่รู้ว่าทำไมแต่หลังจากได้ยินเสียงของนายตอนที่นายโทรมาฉันก็เกิดอาการตื่นตระหนก…”


 


“ทีน่า คุณเป็นอะไรหรือเปล่า? ตอนนี้ทริชกับชีล่าอยู่กับคุณที่นั่นด้วยไหม?”


 


“ชีล่ากำลังไปว่ายน้ำกับหนุ่มหล่อในขณะที่ทริชไปโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดในฮาวายเมื่อเช้านี้ ตอนนี้ฉันมีเพื่อนใหม่อยู่รอบตัว…”


 


“อย่างนั้นเหรอ?” ทันใดนั้นความคิดที่ไร้เหตุผลก็เกิดขึ้นในใจของจางลี่เฉินก่อนที่เขาจะโพล่งออกไปว่า “ใช่แล้วทีน่า! เดี๋ยวก็จะถึงช่วงวันหยุดฤดูร้อนเร็ว ๆ นี้แล้ว และผมก็ยังไม่เคยไปฮาวายมาก่อน…”


 


“นายวางแผนที่จะมาเที่ยวช่วงวันหยุดฤดูร้อนที่ฮาวายอย่างนั้นเหรอ?” ทีน่าถามด้วยความประหลาดใจ “ถ้างั้นฉันจะได้ไม่กลับนิวยอร์กแล้วรอนายอยู่ที่นี่แทน”


 


“เยี่ยม! เพราะผมคงไม่สามารถอยู่ทำตัวว่าง ๆ ที่นิวยอร์กตลอด 2 เดือนได้”


 


“สัญญาแล้วนะ! ยังเหลืออีกตั้ง 10 กว่าวันก่อนที่จะถึงวันหยุดฤดูร้อน นายจะมาหาฉันในทันทีที่วันหยุดเริ่มต้นใช่ไหมที่รัก?”


 


“แน่นอน ผมจะไปหาคุณในทันที” จางลี่เฉินตอบกลับด้วยใบหน้าเห่อร้อนก่อนจะวางสาย กระบวนการทำงานของหัวใจเขาผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด หลังจากจ้องมองเพดานที่ว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่สามารถสงบจิตใจตัวเองในตอนนี้ได้เลยไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ขณะที่เขากำลังคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่นั้นเขาก็พรวดพราดวิ่งลงไปชั้นล่างพร้อมกับเสียงดัง “ตึก ๆ ๆ”


 


“แม่ครับ! วันนี้ผมจะออกไปเดินเล่นข้างนอกหน่อยนะครับ!”


 


“ได้สิจ้ะลูกรัก ลูกไม่ได้ออกไปไหนเลยตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นการดีที่จะได้ออกไปข้างนอกและสูดอากาศบ้าง”


 


“ถ้าอย่างนั้นผมออกไปเที่ยวกับจอร์จแล้วทานมื้อกลางวันกับเขาเลยจะได้ไหมครับ?”


 


“ได้สิจ้ะ แต่อย่าลืมนะว่าอย่าไปคิดอะไรมาก อย่าหาเรื่องให้สมองต้องทำงานหนักจนเกินไป อย่ากินอาหารที่มีน้ำมันและอย่าลืมทานยาก่อนมื้ออาหาร…” ลิลี่จู้จี้อีกครั้งขณะเตรียมอาหารกลางวันอยู่ในห้องครัว


 


“รู้แล้วล่ะครับ!” จางลี่เฉินตอบกลับเสียงดังก่อนจะวิ่งออกจากบ้านไป


 


สภาพอากาศนิวยอร์กช่วงกลางเดือนมิถุนายนค่อนข้างร้อนมากแต่โชคดีที่วันนี้ดวงอาทิตย์ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำชั้นหนึ่ง แม้ว่าฝนจะไม่ตกแต่อากาศก็ยังเย็นกว่าปกติ


 


จางลี่เฉินสวมกางเกงขาสั้นและเสื้อสเวตเตอร์ที่มีภาพการ์ตูนที่ลิลี่ซื้อให้เขาพร้อมกับรองเท้าแตะ เขาเดินตรงไปยังลานจอดรถด้วยร่มเงาของต้นไม้ข้างทาง หลังจากโทรหาจอร์จแล้วตัดสินใจเลือกสถานที่เพื่อนัดเจอกันแล้วเขาก็ตัดสินใจโทรหาแมดดี้ต่อ “ค้นหาเที่ยวบินไปฮาวายก่อน 3 วันหยุดฤดูร้อนจะมาถึง ผมต้องการมันโดยเร็วที่สุด ส่งข้อความรายละเอียดมาให้ผมในภายหลัง … “


 


“วันนี้ฉันไม่ว่าง! ขอร้องล่ะ! วันนี้คุณอย่างเพิ่งกวนฉันจะได้ไหม? ขอร้อง…” เห็นได้ชัดว่าเสียงที่ดังออกมาจากอีกด้านของโทรศัพท์เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง


 


“แมดดี้ เกิดอะไรขึ้นกับคุณ?”


 


“อาการของพ่อฉันกำลังแย่ลงเรื่อย ๆ หมอบอกว่าเขาไม่มีเวลาเหลือแล้ว ตอนนี้ฉันอยู่โรงพยาบาลกับคุณแม่ของฉัน…”


 


“อาการแย่ลง? ถ้าอย่างนั้น มันยังรักษาได้ใช่ไหม? ไปโรงพยาบาลที่ดีกว่า … ”


 


“นี่คุณ…นี่คุณยังยินดีที่จะช่วยฉันอยู่อีกงั้นเหรอ?”


 


“แน่นอนสิ! ไปถามหมอแล้วค่อยโทรหาผมในภายหลังด้วยล่ะ โอ้ ใช่! แล้วอย่าลืมหาเที่ยวบินไปฮาวายให้ผมด้วย”


 


หลังจากวางสายที่ 3 ของวันนี้เสร็จจางลี่เฉินก็มองดูรอบ ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในลานจอดรถ


 


ขณะนี้เกือบจะถึงเวลาอาหารกลางวันแล้วและมีคนเพียงไม่กี่คนที่เดินอยู่บนถนน ชายหนุ่มมองเห็นชายชรา 4 – 5 คนเดินมาพร้อมกับสุนัขข้างกายอย่างช้า ๆ และเห็นเด็ก 3 – 4 คนที่สวมหมวกกันน็อคขณะเล่นสเก็ตบอร์ด พวกเขาหัวเราะไปด้วยกันกับการเล่นแบบเด็ก ๆ


 


“ดูเหมือนว่าเราในตอนนี้จะอารมณ์อ่อนไหวง่ายมากซะเหลือเกิน” จางลี่เฉินเย้ยหยันตัวเองด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินไปที่รถที่เขาไม่ได้ขับมาเป็นเวลานาน


 



 


ไม่ไกลจากเขามีรถตู้คันยาวที่มีสติกเกอร์แประตัวรถไว้ว่า “การบำรุงรักษาเทศบาล”  จอดอยู่ฝั่งตรงข้าม ชายวัยกลางคนในชุดสีเบจที่มีเคราเป็นพวงกำลังมองดูจางลี่เฉินที่ค่อย ๆ จากไปจากกล้องดูดาวภายในรถยนต์ขณะพึมพำกับตัวเอง “เป้าหมาย B098 การตรวจสอบครั้งที่ 7 การโทรออกของเขาเกิดขึ้น 3 ครั้งระหว่างช่วงเวลา 11.20 น. ถึง 11.50 น. และรับสายเพียง 1 ครั้ง จาก 2 ใน 4 สายคือเป้าหมาย B21 ไม่มีความผิดปกติในการโทรแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ขอย้ำว่าไม่มีความผิดปกติและขอแนะนำให้ยกเลิกการตรวจสอบ”


 


เมื่อชายผู้มีเครากำลังพูดพึมพำกับตัวเองทันใดนั้นเสียงคล้ายไมโครเวฟก็ดังขึ้นภายในรถยนต์ ชายวัยกลางคนที่รออยู่ถูมือของเขาอย่างตื่นเต้น “นี่เพื่อน! ฮอทด็อกของพวกเราได้แล้ว! ในที่สุดเราก็จะได้เลิกทำงานตรวจสอบน่าเบื่อนี่กันสักที การต้องมาเล่นซ่อนหากับเด็ก ๆ พวกนี้ตลอดทั้งวันน่าเบื่อจะแย่! ฉันละคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าหัวหน้าใหญ่ของพวกเรากำลังคิดอะไรอยู่! ถ้ามีภารกิจอื่นที่น่าเบื่อแบบนี้อีกในครั้งหน้าฉันจะนำกระทะและเครื่องทำฟองเพื่อที่ฉันจะได้ทอดเบคอนในขณะทำฟองนมในเวลาเดียวกันไปด้วยมาเลย!”


 


“เงียบน่าอเล็กซานเดอร์! การร้องเรียนจะทำให้นายไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งนะรู้ไว้ซะ! นี่! ฮอทด็อกของฉันล่ะ อย่ากินทั้งหมดนั่นด้วยตัวคนเดียวสิ เดี๋ยวฉันจะลงชื่อเข้าใช้บันทึกการตรวจสอบและแนะนำให้ขยายเวลาการติดตามต่ออีกหนึ่งสัปดาห์…” ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งที่มีหนวดเคราวางเครื่องมือออกจากตัวแล้วยิ้ม


 


ตัวแทนทั้งสองออกมาจากด้านหลังรถและเข้าไปในนั่งภายในห้องขับรถขณะเคี้ยวฮอทด็อก พวกเขากำลังขับรถไล่ตามเป้าหมายซึ่งก็คือจางลี่เฉินอย่างระมัดระวัง


 



 


โดยปกติแล้วจอร์จยังคงทำงานอยู่ที่ร้านขายเนื้อในช่วงบ่ายวันเสาร์ หลังจากเลี้ยวซ้ายและขวาบนถนนนิวยอร์กนานกว่า 20 นาทีเขาก็จอดรถไว้ที่ด้านนอกร้านขายเนื้อ


 


ไม่นาน จอร์จที่เพิ่งออกจากงานก็เดินออกมาจากร้านและรีบขึ้นรถของจางลี่เฉินไปอย่างรวดเร็ว


 


หลังทักทายด้วยการกอดกับจางลี่เฉินเสร็จเด็กชายผิวสีก็พูดเสียงดังขึ้นมาว่า “นี่เพื่อน! เป็นการดีที่ได้เห็นนายปลอดภัยและร่าเริงตามปกติ ตามธรรมเนียมของคนจีนแล้ว ให้ฉันได้กินกุ้งมังกรกับนายเพื่อเพิ่มความตื่นตาตื่นใจให้กับนายดีไหม?!”


 


“งั้นไปกินที่ร้านอาหารในเวสต์เอนด์”


“ลืมไปได้เลย! เบอร์เกอร์ต่างหากล่ะที่ฉันต้องการ ร้านเบอร์เกอร์ที่แมดดี้ทำงานล่ะเป็นไง? เพราะเธอทำงานที่นั่นเธออาจให้ราคาพนักงานกับพวกเราได้ก็ได้”


 


“วันนี้เธอไม่ได้ไปทำงานหรอก ฉันเพิ่งคุยกับเธอไปเมื่อครู่นี้เอง ตอนนี้เธออยู่โรงพยาบาล อาการของพ่อเธอทรุดหนักลงไปอีก…”


 


“โอ้ ช่างโชคร้ายจริง ๆ เพื่อน! นายต้องไปอยู่ข้าง ๆ เธอในเวลานี้ไม่ใช่หรอกเหรอไง? ฉันล่ะไม่เข้าใจเรื่องระหว่างพวกนาย 2 คนเลยจริง ๆ ฉันเห็นพวกนายติดต่อกันเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่าน … โอเค! ฉันขอโทษ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของนายและฉันไม่ควรไปแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก แต่แมดดี้ต้องการใครซักคนที่จะปลอบเธอในเวลานี้และฉันคิดว่านายสามารถปลอบเธอคนนั้นได้”


 


เมื่อได้ยินคำพูดของเพื่อนสนิทจางลี่เฉินก็ลังเลไปครู่หนึ่ง “นายพูดถูกแล้วจอร์จ! ฉันไม่ควรใจร้ายกับเรื่องพวกนี้ เอาล่ะ ไปโรงพยาบาลกันเลยเถอะ!”


 


จากนั้นเขาขับรถเพื่อมุ่งหน้าไปยังศูนย์วิจัยมะเร็งของนิวยอร์กโดยอาศัยระบบนำทาง


 


หลังจากแวะซื้อเบอร์เกอร์พร้อมโคล่ามา 2 ชุดและทานอาหารกลางวันกันแบบเรียบง่ายเสร็จเรียบร้อย จางลี่เฉินก็มาจอดรถอยู่ที่ศูนย์วิจัยมะเร็งแคสซานดราที่มีขนาดค่อนข้างเล็กแต่ค่อนข้างมีชื่อเสียง ในตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงแล้วเมื่อเขามาถึง


 


นอกเหนือจากแพทย์และพยาบาลคนที่มักจะเข้าออกที่นี่ก็คือผู้ป่วยโรคมะเร็งและครอบครัวของพวกเขา จางลี่เฉินรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยขณะเดินเข้าไปข้างใน


 


อย่างไรก็ตามสิ่งที่แปลกประหลาดคือทุกคนที่นี่มีรอยยิ้มบนใบหน้าราวกับว่าพวกเขาอยู่ในอารมณ์ที่มีความสุข แม้แต่ผู้ป่วยร่างผอมบางคนก็กระซิบกับพยาบาลอย่างนุ่มนวล ไม่เร็วเกินไปหรือช้าเกินไปราวกับว่าพวกเขาไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายหรือสิ้นหวังแต่อย่างใด


 


เนื่องจากเหตุผลเรื่องพื้นที่ทำให้สถานที่แห่งนี้ถูกแยกออกเป็น 2 ส่วน 1.หอผู้ป่วย และ2.ห้องรอพบแพทย์ ห้องรอพบแพทย์ไม่ได้กว้างใหญ่เท่าไหร่นัก ขณะนั่งรออยู่หน้าห้องจางลี่เฉินเหลือบไปเห็นแมดดี้ที่กำลังอยู่กับหญิงวัยกลางคนที่มีรอยยิ้มเข้าพอดี


 


เขาลังเลอยู่ครุ่หนึ่งก่อนจะก้าวเท้าไปข้างหน้า “แมดดี้ ผมได้ยินเรื่องอาการพ่อของคุณเลยตัดสินใจมาหาคุณที่นี่พร้อมกับจอร์จ”


 


เมื่อได้ยินคำทักทายของเขาแมดดี้ก็รู้ตัวในที่สุดว่าจางลี่เฉินได้มาที่ศูนย์วิจัยมะเร็งแคสซานดรานี้แล้ว เธอกำลังตกตะลึงอย่างมากจนแทบพูดไม่ออกกับการปรากฏตัวของชายหนุ่มที่นี่



ตอนที่ 136

“แมดดี้ 2 คนนี้เป็นเพื่อนร่วมชั้นของลูกงั้นเหรอ? สวัสดีจ๊ะ น้าชื่อคลอร์ริส แม่ของแมดดี้เขานะจ้ะ ขอบคุณสำหรับความห่วงใยของพวกหนูด้วยนะ พ่อแมดดี้เขาพยายามอย่างที่สุดแล้วพวกเราเองก็เช่นกัน พวกหนูไม่…ไม่ต้อง….” ขณะที่ลูกสาวของเธอกำลังงุนงง แม่ของแมดดี้ก็ยิ้มให้กับจางลี่เฉินและจอร์จก่อนจะทักทายพวกเขาด้วยเสียงอ่อนโยน แต่ยังไม่ทันพูดได้จนจบประโยคดีเธอก็ร้องไห้ขึ้นมา


 


“แม่! อย่าเป็นอย่างนี้สิ! ที่นี่โรงพยาบาลนะ! ถ้าพ่อออกมาจากห้องพบหมอเมื่อไหร่เขาจะต้องเสียใจในภายหลังแน่ที่เห็นแม่เป็นแบบนี้!” ภายใต้การโน้มนาวของแมดดี้ แม่ของเธอจึงรีบเช็ดน้ำตาออกอย่างเร่งรีบและเผยรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นหญิงสาวก็หันมาให้ความสนใจกับจางลี่เฉิน “ลี่เฉิน ขอบคุณที่คุณมา แต่ที่นี่คือด้านในของโรงพยาบาล เราออกไปพูดคุยกันข้างนอกจะดีกว่า”


 


ชายหนุ่มพยักหน้าและยิ้มอย่างสุภาพให้กับแม่ของแมดดี้ก่อนจะเดินออกจากโรงพยาบาลส่วนตัวขนาดเล็กไปพร้อมกับหญิงสาว


 


“บรรยากาศภายในโรงพยาบาลของที่นี่ดูแปลก ๆ นะว่าไหม เห็นได้ชัดว่ามันน่าหดหู่แต่ทุกคนกลับยิ้มแย้มกันทั้งนั้น ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ?” จางลี่เฉินเอ่ยถามทันทีหลังพวกเขาเดินพ้นจากประตูมา


 


“คุณหมอคาสแซนดราสนับสนุนเรื่องการใช้ทัศนคติเชิงบวกในการรักษาน่ะ เขามักจะพูดอยู่ตลอดว่าเสียงหัวเราะอันไพเราะตลอดทั้งวันจะมีผลเช่นเดียวกันกับการทำเคมีบำบัด 1 ครั้ง…”


 


“หมอส่วนใหญ่ก็คิดแบบนั้นนะ ตราบใดที่คน ๆ นั้นมองโลกในแง่ดี ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์จะสามารถรับมือกับโรคใด ๆ ได้ทั้งหมด ฉันเคยได้ยินมาหลายครั้งผู้ป่วยหนัก ๆ จะหายขาดไปเองตามธรรมชาติ…”


 


“จอร์จ ถ้าเสียงหัวเราะสามารถรักษาโรคได้จริงแชปลินคงไม่เสียชีวิตไปตั้งแต่แรกหรอก แมดดี้ ผมบอกให้คุณไปถามหมอว่ามีวิธีการทางวิทยาศาสตร์อื่น ๆ ที่ดีกว่าที่โรงพยาบาลต้องใช้ในการรักษาอาการป่วยของพ่อคุณหรือเปล่าไม่ใช่หรือไง?”


 


“ฉันลองไปถามพยาบาลดูแล้ว เธอบอกว่ามีศูนย์การแพทย์ในเบลเยียมที่พัฒนาวิธีการรักษาใหม่ล่าสุดสำหรับโรคมะเร็งกระเพาะอาหารระยะกลาง ตามข้อมูลการรักษา มันค่อนข้างมีประสิทธิภาพมาก…”


 


“แล้วทำไมคุณไม่โทรกลับมาหาผม?”


 


“ก็มันตั้ง 500,000 ดอลลาร์เลยนี่! พยาบาลคนนั้นบอกว่าค่าใช้จ่ายโดยประมาณของการรักษาทั้งหมดอย่างน้อย ๆ ก็ประมาณ 500,000 ดอลลาร์…” แมดดี้รู้สึกอ่อนแรงและเอนตัวพิงกำแพงขณะที่เธอพึมพำ


 


สำหรับบางคน 500,000 ดอลลาร์อาจเป็นเพียงไม่กี่ชิปในคาสิโน แต่สำหรับคนส่วนใหญ่มันเป็นเงินจำนวนมหาศาลจริง ๆ


 


สำหรับคนอเมริกันชนชั้นกลางโดยเฉลี่ยที่ไม่ได้มีมรดกสือบทอดอะไรจากบรรพบุรุษ การออมเงินได้ถึง 500,000 ดอลลาร์อาจกล่าวได้ว่าเป็นความฝันที่ยากจะได้มันมาสำหรับพวกเขา


 


“500,000 ดอลลาร์? อืม เป็นเงินที่ไม่น้อยเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามเนื่องจากคุณเป็น ‘ผู้รับใช้ของผม’ ตามธรรมเนียมแล้ว…” จางลี่เฉินพูดพึมพำอย่างจริงจังก่อนจะเขียนเช็คและใส่ลงไปในมือของแมดดี้ “ส่งตัวพ่อของคุณไปเบลเยี่ยมซะ การรักษามะเร็งด้วยการหัวเราะไม่ได้น่าเชื่อถือสักเท่าไหร่”


 


แมดดี้จ้องมองเช็คในมือที่เขียนด้วยเลข 5 นำหน้าและตามมาด้วยเลข 0 ต่อกันอีก 5 ตัวด้วยความงุนงง หลังจากหายตกใจจนพูดไม่ออกแล้วเธอก็พึมพำถามกลับไปว่า “ทำไม … ทำไมคุณถึงทำดีกับฉันมากขนาดนี้? ถ้าคุณชอบฉัน เงิน 50,000 ดอลลาร์ในตอนนั้นคุณก็สามารถ … และยิ่งไปกว่านั้นนี่คุณกำลังปฏิบัติต่อฉันแบบคนใช้อยู่จริง ๆ หรืออะไรกันแน่”


 


“ใช่แล้ว! เพราะคุณคือคนใช้ที่ผมควรช่วยเหลือเมื่อรู้ว่าสมาชิกในครอบครัวของคุณป่วยหนัก เอาล่ะ ผมได้ทำในสิ่งที่ผมทำได้แล้ว หวังว่าพ่อของคุณจะหายดี จอร์จกับผมจะ…”


 


คำพูดของจางลี่เฉินขาดหายไปเพราะจู่ ๆ แมดดี้ก็โน้มหน้ามาจูบเขาอย่างอ่อนโยน


 


“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมาก!” จูบนี้เต็มไปด้วยความรักและความรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง แมดดี้เดินจากชายหนุ่มที่กำลังหน้าแดงหลังจากผ่านไปไม่นาน เธอหันกลับมามองจางลี่เฉินด้วยสายตาที่ยากจะอธิบายได้อีกครั้งก่อนจะผลักประตูและวิ่งเข้าไปข้างในโรงพยาบาล


 


เมื่อหญิงสาวจากไป จางลี่เฉินยังคงยืนนิ่งและยังไม่หายตกใจไปอีกสักพักหนึ่ง จอร์จที่อยู่ข้าง ๆ เขาจึงแกล้งหยอกล้อไปว่า “500,000 ดอลลาร์เพื่อแลกกับการจูบที่น่าหลงใหล จูบมูลค่า 500,000 ดอลลาร์เป็นยังไงบ้างล่ะเพื่อน?”


 


“บ้าเอ้ย! ทำไม ทำไมแมดดี้ถึงทำแบบนี้ด้วย? ฉันแค่ทำในสิ่งที่คนจีนคิดว่าเหมาะ และ … และ …”


 


“โอ้ แค่นั้นก็พอแล้วเพื่อน! ทำไมนายต้องมาอธิบายอะไรกับฉันด้วยล่ะ? ฉันไม่ใช่แฟนสาวสุดฮ็อตหรือผู้ปกครองของแมดดี้สักหน่อย นอกจากนี้ พวกนาย 2 คนได้เริ่มเกม“ ผู้รับใช้และเจ้านาย” กันแล้ว เพราะงั้นมันก็ไม่ใช่การจูบที่มากเกินไปอะไร อย่างไรก็ตาม ถ้าจะให้พูดกันอย่างตรงไปตรงมา ความเร็วในการสร้างเงินของนายนั้นสุดยอดมาก! นายที่เพิ่งจะทำงานพาร์ทไทม์กับฉันเมื่อ 2 – 3 เดือนก่อนแต่ตอนนี้กลับเซ็นเช็คมูลค่า 500,000 ดอลลาร์ให้กับคนอื่นได้อย่างง่ายดาย! นายมีแผนที่จะช่วยฉันบ้างไหม? แค่นายเซ็นให้ฉัน 100,000 ทั้งร่างกายและอิสระภาพของฉันก็จะเป็นของนายไปในทันที!”


 


จากนั้นจอร์จก็โพสท่าที่ชวนเย้ายวนใจและแสนเซ็กซี่


 


“พอแล้วจอร์จ! มันน่าขนลุก นั่นคือเงินทั้งหมดที่ฉันมีในบัญชี หากฉันต้องการมีเงินมากกว่านี้ฉันต้องเริ่มธุรกิจโรงฆ่าสัตว์อย่างเป็นทางการเมื่อการขยายตัวเสร็จสิ้น”


 


“ฉันเคยได้ยินว่านายเปิดโรงฆ่าสัตว์แต่ฉันไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน พอมาได้เห็นการใช้เงินของนายก็ชักจะอยากรู้แล้วสิว่าขนาดโรงฆ่าสัตว์ของนายนั้น….”


 


“นายสามารถไปได้ทุกเมื่อในอนาคตถ้านายต้องการ แต่ยังไม่ใช่วันนี้ ฉันไม่ได้วางแผนที่จะออกเดินทางจากนิวยอร์กในช่วงเวลาที่แพทย์สั่งพักรักษาตัวหรอกนะ” จางลี่เฉินกล่าวอย่างระมัดระวัง


 


“เพราะนายไม่ควรใช้สมองมากเกินไปสินะ ก็ได้ลี่เฉิน! แน่นอนว่านายควรฟังคำพูดของหมอ แต่มีสิ่งหนึ่งที่น่าตลกอยู่อย่าง ในฐานะกบฏของโลว์บิจมันมีข่าวลือภายในโรงเรียนว่านายเป็นอัมพาตและนอนติดอยู่บนเตียง น้ำลายไหลออกจากปากของนายอยู่ตลอด…”


 


“เดี๋ยวก่อนนะจอร์จ! ฉันไปเป็นกบฏของโรงเรียนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?!”


 


“ตอนนี้ไง เพราะทุกคนรู้ว่านายได้ไปล่องเรือปาร์ตี้ของสาว ๆ ฟอร์ดแฮมจนเรือนายเกิดอับปาง ด้วยเหตุนี้นายจึงกลายเป็นกบฏของโลว์บิจ จูเนียร์ ไฮ! แต่ไม่ต้องไปคิดมากหรอกนะ ป้ายประกาศกบฏของนายมีคำพูดระบุไว้ว่า  ‘มีเพียงผู้ชายที่ไม่บริสุทธิ์อีกต่อไปแล้วเท่านั้นที่ได้เป็นผู้ชายที่ดี’ …”


 


จอร์จพูดเสียงดังอย่างอิจฉา


 


หลังจากนั้น ตั้งแต่ครึ่งวันจนกระทั่งเขากลับบ้านไปในตอนกลางคืน จางลี่เฉินได้ฟังแต่การวิเคราะห์อย่างไม่มีที่สิ้นสุดของจอร์จว่าจางลี่เฉินไปสร้างท่าทีลึกซึ้งกับหญิงสาวของโลว์บิจ จูเนียร์ ไฮได้อย่างไร


 


หลายวันถัดมาชายหนุ่มยังคงทำตัวว่างเปล่านอนอยู่บ้านเฉย ๆ เช่นเคยจนกระทั่งวันหยุดที่แพทย์สั่งของเขาจบลงในที่สุด เขากลับมาใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง


 


หลังจากได้กลับมาเริ่มเรียนต่อ มันเป็นความตึงเครียดในระยะสั้น ๆ กับการสอบประจำปีของโรงเรียน สิ่งนี้ดำเนินไปจนถึงต้นเดือนกรกฎาคมและในที่สุดจางลี่เฉินผู้กลับมาศึกษาต่ออีกเกือบ 2 สัปดาห์ก็ได้ต้อนรับวันหยุดฤดูร้อนครั้งแรกของเขาในอเมริกา


 


ในวันสุดท้ายของการเรียน ทุกคนในโรงเรียนต่างจมอยู่กับบรรยากาศที่สนุกสนาน


 


“ลี่เฉิน! ในที่สุดพวกเราก็เป็นอิสระกันสักที! ตลอด 3 เดือนหน้า…” จอร์จส่งเสียงดังขณะเดินอุ้มหนังสือของเขาไว้เหนือหัวเพื่อบังแดด


 


“จอร์จ เกรดของนายในตอนนี้มันยังไม่พอ ถ้าฉันเป็นนายฉันจะไปหาที่เรียนนช่วงวันหยุดฤดูร้อนแทนที่จะกระโดดโลดเต้นไปมาแล้วบอกว่า ‘เป็นอิสระ’ แบบนั้น”


 


“นายนี่มันตัวขัดความสุขจริง ๆ นะเพื่อนรัก! นายที่กำลังจะได้ไปฮาวายสำหรับวันหยุดพักผ่อนแต่กลับบอกให้เพื่อนสนิทตัวเองไปหาที่เรียนพิเศษ! ใช่แล้ว เที่ยวบินของนายเมื่อไหร่กันล่ะ? ไม่รอให้ฉันเก็บเงินสักเดือนแล้วค่อยไปพร้อมกับนายหน่อยหรอ?”


 


พวกเขาเดินมาถึงถนนด้านนอกโรงเรียนขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน จางลี่เฉินเปิดประตูรถของเขาแล้วหัวเราะเบา ๆ “ไว้ไปฮาวายพร้อมกับฮันนาห์เอาเถอะ ฉันไม่อยากอยู่ขัดความสุขของพวกนาย ตอนนี้อากาศร้อนมาก ขึ้นรถมาสิ เดี๋ยวฉันไปส่งนายที่ร้านเนื้อเอง”


 


“ช่างเถอะเพื่อน ฉันจะไม่ถูกแสงแดดแผดเผาแน่นอนเพราะฉันจะขี่จักรยานอยู่แต่ใต้ร่มไม้ นายต้องไปไคเซอร์แลนด์ทาวน์พื่อเจรจากับผู้ประกอบการฟาร์มใช่ไหม? ไปเถอะ ไม่ต้องมาเสียเวลากับฉันก็ได้!”


 


“ก็ได้ งั้นฉันไปก่อนล่ะ” เมื่อได้ยินคำพูดของจอร์จ จางลี่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาโบกมือลาเพื่อนสนิทและขับรถออกจากนิวยอร์กไปในทันที


 


40 นาทีต่อมาเขาก็มาถึงถนนที่กว้างขวางในเขตชานเมืองของนิวยอร์ก หลังจากนั้นไม่นานปั้นจั่นขนาดใหญ่จำนวนมากที่ตั้งอยู่ในระยะไกลก็เด่นชัดเข้ามาในสายตา มันเป็นสถานที่ก่อสร้างสำหรับท่าเรือนิวยอร์ก ละไม่ไกลจากที่นี่เป็นโรงงานสีขาว นั่นเป็นขั้นตอนแรกที่เสร็จสมบูรณ์ของโรงฆ่าสัตว์ LS


 


หลังจากขับรถไปอีกซักพักจางลี่เฉินก็ขับรถของเขาไปยังเส้นทางหลวงก่อนจะตรงไปอีก 10 นาที จากนั้นเมืองที่สะอาดและเป็นระเบียบก็ปรากฏขึ้นต่อหน้า


 


เอกซ์พลอเลอร์ที่มีป้ายทะเบียนคุ้นเคยซึ่งขับรถเข้าไปในไคเซอร์แลนด์ทาวน์มักจะดึงดูดความสนใจของชาวเมืองอยู่ตลอด อย่างไรก็ตามเมื่อจางลี่เฉินลงจากรถมาไม่มีใครต้อนรับเขาเลยสักคน


 


ทัศนคติที่ตรงไปตรงมาของชาวเมืองไม่ได้กระตุ้นความไม่พอใจของจางลี่เฉินแต่อย่างใด เขาจอดรถของเขาไว้ข้างนอกโรงเหล้าบลูเบอร์รี่และพยักหน้าให้ทุกคนที่เขาเจอด้วยรอยยิ้ม ด้วยก้าวยาว ๆ เขามาถึงที่กระท่อมของนายกเทศมนตรีโฮเวิร์ด


ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง


 


หลังจากเคาะประตูอยู่ 2 – 3 ครั้งและผลักประตูเปิดเพื่อเข้าไปในบ้าน และเป็นไปอย่างที่จางลี่เฉินคิดจริง ๆ ภายในบ้านไม้เต็มไปด้วยชายวัยกลางคนและชายชราที่สวมชุดยีนส์ เมื่อพวกเขาเห็นชายหนุ่มเข้ามาพวกเขาก็จ้องมองมาที่เขาในทันที


 


มีเพียงโฮเวิร์ดเท่านั้นที่ลุกขึ้นยืนตามปกติและยื่นมือออกมาต้อนรับลี่เฉิน “ลี่เฉิน เธอมาแล้วงั้นเหรอ! หวังว่าเธอคงยังไม่ได้ทานอาหารกลางวันมาหรอกนะ ฉันได้เตรียมเนื้อซี่โครงของมัตสึซากะญี่ปุ่นที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีในฟาร์มไว้ให้เรียบร้อยแล้ว มันอร่อยมาก!”


 


“อย่างนั้นเองหรอกเหรอครับ? ท่านนายกโฮเวิร์ด! น่าประหลาดใจจริง ๆ ผมคิดว่าคุณต้องการต่อว่าผมเรื่องการทำให้คุณเสียเงินและปิดโรงฆ่าสัตว์ LS ซะอีก ไม่คิดว่าคุณจะเป็นคนใจกว้างมากขนาดนี้มาก่อน คุณไม่เพียงเชิญผมมาเป็นแขกของคุณเท่านั้นแต่คุณยังเตรียมสเต็กเนื้อมัตสึซากะให้ผมไว้อีก”


 


“พอแล้วชายหนุ่ม ฉันรู้ว่าบางสิ่งที่ฉันทำในอดีตอาจทำให้เธอไม่พอใจ แต่ฉันก็เติบโตขึ้นมาในเมืองแห่งการทำนาและนอกเมืองนิวยอร์กนี้ สิ่งแรกที่ฉันเรียนรู้ตั้งแต่การเรียนประถมคือเมืองเล็ก ๆ อย่างเราจะต้องรวมตัวกันเพื่อความอยู่รอด…”


 


“ท่านนายกโฮเวิร์ด ความจริงที่ว่าคุณและเกษตรกรทุกคนที่อยู่นอกเมืองนิวยอร์กมารวมตัวกันเพื่อเรียกร้องราคาที่ต่ำกว่าจากราคาที่ยุติธรรมในตอนแรกนั้นไม่ใช่เพื่อความอยู่รอดของเมือง ยิ่งไปกว่านั้นคนที่คุณติดต่อด้วยยังเป็นหนึ่งในกรรมการของสหภาพเกษตรกรแห่งชาติของไคเซอร์แลนด์ทาวน์ ผมคิดว่าพวกคุณทุกคนอาจจะยังรวมตัวกันต่อหากไม่มีคำสั่งสังจากทางสหภาพเกษตรกรแคลิฟอร์เนีย แม้ว่าทั้ง 2 ฝ่ายของเราจะต้องทนทุกข์อยู่กับความสูญเสียครั้งใหญ่ แต่คุณยังต้องการละทิ้งสิ่งที่ถูกต้องอีกครั้งและบังคับราคาที่ผมเสนอให้ต่ำกว่าเดิมอย่าน่าขัน คุณไม่คิดแบบนั้นเหรอครับ?”



ตอนที่ 137

จางลี่เฉินพูดตรงเข้าประเด็นทุกอย่างที่กำลังเป็นปัญหาโดยไร้ซึ่งความปราณีใด ๆ คนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ในบ้านจ้องมองหน้ากันและกันด้วยท่าทีพูดไม่ออก พวกเขาคิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มที่ถูกกล่าวว่าได้รับความเสียหายทางสมองมาจะมีคำพูดที่เฉียบคมได้ขนาดนี้


 


หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งฮาวเวิร์ดก็พูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “แน่นอนว่ามันเป็นตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ ความโลภเป็นรากฐานของความชั่วร้ายทั้งหมด เธอพูดถูกลี่เฉิน เราวางแผนที่จะทำเช่นนั้น แต่เมื่อสิ่งได้ต่าง ๆ ได้เปลี่ยนมาเป็นแบบนี้แล้วสิ่งที่เราทำได้ในตอนนี้ก็คือการฟังเงื่อนไขของเธอ”


 


“เงื่อนไขของผม? ท่านนายก นี่คุณไม่รู้เลยหรอครับว่าผมได้รับความทุกข์ทรมานจากเรืออับปางมาอย่างน่ากลัวเมื่อเดือนก่อน ผมคิดว่าทนายของผมมิสเตอร์วิลส์และตัวแทนธุรกิจของผมมิสเตอร์ชาร์ลีย์ได้เจรจากับพวกคุณทุกคนอยู่ตลอดเวลาเสียอีก เงื่อนไขที่พวกเขาเสนอนั้นล้วนเป็นเงื่อนไขจากผมทั้งสิ้น”


 


“ไม่เอาน่าเด็กหนุ่ม เลิกพูดถึงชาวยิว 2 คนนั้นซะเถอะ เนื่องจากเธอตอบรับคำเชิญมาที่นี่ของพวกเรานั่นก็หมายความว่าเธอตั้งใจที่จะคืนดีกับพวกเราไม่ใช่หรือ? พวกเราจะยอมรับตามราคาที่เธอเสนอมาซึ่งก็คือ 50 ดอลลาร์สำหรับการฆ่าหมู 150 ดอลลาร์สำหรับการฆ่าวัว และ 40 ดอลลาร์สำหรับการฆ่าแกะ คนในห้องนี้เป็นตัวแทนจากคนในหมู่บ้านนอกนิวยอร์กจากสหภาพเกษตรกรแห่งชาติ พวกเรายินดีที่จะทำการค้ากับเธอ แต่มีเงื่อนไขอยู่อย่าง ธุรกิจทั้งหมดภายใต้ชื่อของเธอจะต้องไม่ลงนามสัญญาการค้ากับฟาร์มแคลิฟอร์เนีย”


 


เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นจางลี่เฉินก็เดินไปยังเก้าอี้ที่ว่างเปล่าแห่งเดียวในบ้านไม้แคบ ๆ และนั่งลงก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ท่านนายกฮาวเวิร์ด ผมเข้าใจว่าสหภาพเกษตรกรแห่งชาติมีความสำคัญในสังคมอเมริกัน แต่มีสุภาษิตโบราณจีนอยู่บทหนึ่ง ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะเคยได้ยินมันมาก่อนไหม”


 


“ลี่เฉิน จีนอยู่อีกฟากหนึ่งของโลกซึ่งห่างจากไคเซอร์แลนด์ทาวน์มาก เธอพอจะอธิบายให้มันง่ายขึ้นได้ไหม?” ฮาวเวิร์ดถามด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว


 


“ได้แน่นอน! นั่นก็คือคนเราจะสามารถใช้ชีวิตเงียบง่ายได้ถ้าคนเราไม่มีความเห็นแก่ตัว ก็เหมือนอย่างผมที่มีความฝันคือการเป็นนักชีววิทยา ดังนั้นทุกสิ่งที่ผมทำอยู่ในตอนนี้ก็เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตของผมในภายภาคหน้า ผมไม่ได้ต้องการเป็นนักการเมืองหรือคนร่ำรวยหรืออะไรอย่างอื่นในอนาคต สิ่งพวกนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ ไม่ว่าศักยภาพของคุณจะยิ่งใหญ่หรือจำนวนคนของคุณที่มาเป็นตัวแทนมีมากแค่ไหนผมก็ไม่สนใจอะไรพวกนั้นทั้งนั้น”


 


“งั้นเธอก็ได้รับการสนับสนุนจากเกษตรกรชาวแคลิฟอร์เนียแล้วเหมือนกับที่ฉันเคยพูดมาก่อน บอกเงื่อนไขของเธอมาเลยชายหนุ่ม เราสามารถต่อรองกันได้หากมันไม่มากจนเกินไป”


 


“ง่าย ๆ เลยครับ โรงฆ่าสัตว์ LS แห่งใหม่จะดำเนินการตามราคาก่อนหน้าเหมือนเดิม 50 ดอลลาร์สำหรับการฆ่าหมู 150 ดอลลาร์สำหรับการฆ่าวัว และ 40 ดอลลาร์สำหรับการฆ่าแกะ ผมจะให้ความสำคัญกับการให้บริการฆ่าสัตว์อัตโนมัติแก่สหภาพเกษตรกรแห่งชาติที่อยู่ใกล้กับนิวยอร์ก แต่มีเงื่อนไข 1 อย่าง ซึ่งเงื่อนไขนั้นก็คือคุณ ท่านนายกเทศมนตรีฮาวเวิร์ด คุณต้องแยกตัวออกจากสัญญาผมทั้งหมด”


 


เห็นได้ชัดว่าร่างกายของฮาวเวิร์ดแข็งทื่อไปชั่วขณะ “มิสเตอร์จางลี่เฉิน นี่คือการพยายามขับไล่ฉันออกจากคณะกรรมการของสหภาพเกษตรกรแห่งชาติไคเซอร์แลนด์ทาวน์ในรูปแบบเบื้องหลังอยู่ใช่หรือไม่?”


 


ราวกับว่าไม่ได้ยินคำถามของฮาวเวิร์ด จางลี่เฉินลุกขึ้นยืนเงียบ ๆ จากเก้าอี้ไม้แล้วเดินออกไปจากประตู แต่ก่อนที่เขาจะจากไปเขาหันกลับมาและหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ท่านนายกเทศมนตรีฮาวเวิร์ด ทุกคนต้องแบกรับผลที่ตามมาจากการกระทำของพวกเขากันเอง ไม่คิดเช่นนั้นหรอครับ? ตอนนี้…คุณถูกไล่ออก!”


 



 


สองวันต่อมาที่ชั้นบนสุดจากอาคารสองชั้นภายในโรงฆ่าสัตว์ LS แห่งใหม่ สำนักงานขนาดใหญ่ที่มีผนังสี่ด้านทำมาจากกระจกเสริมความโปร่งใส จางลี่เฉินได้ลงนามสัญญาโรงฆ่าสัตว์กับเมืองแคทเทิล เมืองสทัมพ์ เมืองเบย์ดุคและอีกมากมายรวม 47 หมู่บ้านและเมืองต่าง ๆ จากสหภาพเกษตรกรแห่งชาติภายใต้พยานทนายความจากทั้งสองฝ่าย


 


หลังจากลงนามในสัญญาเสร็จ วิลลี่และทิฟฟานี่สองสามีภรรยาจากโรงฆ่าสัตว์ LS ก็ได้รับเลื่อนตำแหน่งให้เป็นรองผู้จัดการฝ่ายกิจการภายในโรงฆ่าสัตว์ที่กำลังขยายตัวใหม่นี้ วิลลี่ผลักรถเข็นวางอาหารที่ทั้งใหญ่และแวววาวเข้ามายังด้านในห้องอย่างระมัดระวัง ด้านบนรถเข็นนั้นคือแก้วแชมเปญที่ถูกวางต่อ ๆ กันจนเป็น ‘ปิรามิดแก้ว’


 


จางลี่เฉินนำแชมเปญบลูเบอร์รี่คุณภาพสูงสองขวดออกมาจากตู้เย็นและขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ที่วิลลี่เตรียมมาให้ เขาหยิบแก้วแชมเปญบนยอดปิรามิดแก้วแล้วยกขึ้นสูงพร้อมพูดว่า “สุภาพบุรุษที่เคารพทุกท่าน ถึงแม้จะมีปัญหาและความไม่พอใจมากมายเกิดขึ้นระหว่างทางแต่ในที่สุดเราก็ได้เซ็นสัญญาที่สำคัญนี้ด้วยความเข้าใจและความปรารถนาดีซึ่งกันและกันได้ นับจากนี้เราต่างเป็นพันธมิตรผู้ทำงานร่วมกันและเพื่อนที่สามารถไว้วางใจซึ่งกันและกัน! มาดื่มแชมเปญนี้และร่วมรำลึกถึงช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมกันเถอะครับ! ไชโย!”


 


แน่นอนว่าคำพูดที่ดูเป็นธุรกิจจริงใจแบบนี้ไม่มีทางที่จางลี่เฉินจะเป็นคนคิดขึ้นมาเองได้ มันถูกเขียนโดยชาร์ลีย์ตัวแทนธุรกิจที่ทนายวิลส์เป็นคนจัดส่งมา


 


ชาร์ลีย์ผู้เขียนคำพูดอวยพรนี้แท้จริงแล้วก็ได้อยู่ในงานวันนี้ด้วยเช่นกัน เมื่อจางลี่เฉินพูดคำอวยพรที่เขาเขียนเสร็จเขาก็ลุกขึ้นยืนและส่งเสียงปรบมือให้อย่างอบอุ่น เขาคือคนที่สองที่มาหยิบแก้วแชมเปญและผสมโรงให้เข้ากับบรรยากาศโดยการพูดออกมาเสียงดัง “เป็นคำพูดที่จริงใจและน่าประทับใจมาก! มันช่างเหลือเชื่อจริง ๆ! มาเป็นกำลังใจให้กันและกันเถอะ!”


 


การประดิษฐ์อารมณ์ของชาร์ลีย์ทำจางลี่เฉินรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยคิดเลยว่าตัวแทนและทนายความจากสหภาพเกษตรกรแห่งชาติซึ่งเคยขัดแย้งกันทางวาจาอย่างรุนแรงกับตัวแทนธุรกิจของโรงฆ่าสัตว์ LS แห่งใหม่จะยืนปรบมือเสียงดังอย่างกระตือรือร้นให้กับเขา ทีละคน ๆ พวกเขาชูแก้วแชมเปญในมือก่อนจะส่งเสียงเชียร์ “ขอให้มิตรภาพของพวกเรายั่งยืนตลอดไป ไชโย!”


 


จางลี่เฉินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลงจากเก้าอี้มายืนบนพื้นตามปกติ หลังจากได้ชนแก้วทีละคน ๆ กับคู่ค้าที่กระตือรือร้นในการชนแก้วกับเขาแล้วเขาก็ดื่มแชมเปญจนหมดแก้วในรวดเดียว


 


คนอื่น ๆ พากันส่งเสียงร้องจนคึกคัก จากนั้นก็มีชายชราผมขาวสวมชุดสีดำเดินเข้ามาจับมือกับจางลี่เฉินด้วยฝ่ามือที่หยาบกร้านของเขาแล้วพูดว่า “ชายหนุ่ม เนื่องจากเธอบอกว่าเราเป็นพันธมิตรผู้ร่วมมือและเพื่อนที่สามารถไว้วางใจซึ่งกันและกันได้ ฉันหวังอยากให้เธอเข้าร่วมสหภาพแห่งชาติเกษตรกรแห่งเมืองวิริเดียนและเป็นผู้อำนวยการของเรา”


 


“ถ้าคุณไม่มีแผนแฝงตัวเหมือนดั่งนายกฮาวเวิร์ดผมก็ต้องบอกว่านับเป็นเกียรติของผมมาก” จางลี่เฉินตกใจไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะ


 


“คนที่คิดหลอกใช้เธอจะต้องถูกเล่นงานกลับในสักวัน! ฉันคิดว่าทุกคนในห้องนี้คงได้บทเรียนที่น่าจดจำกันเป็นอย่างดีแล้วล่ะว่าเธอปฏิบัติต่อคนที่เป็นศัตรูอย่างไร” ชายชราหัวเราะและชี้ไปที่วิลลี่และทิฟฟานี่ “และเราก็สามารถเห็นได้อีกเช่นกันว่าเธอปฏิบัติต่อลูกน้องที่ภักดีของเธออย่างไร”


 


“มิสเตอร์เกรดส์พูดถูก เราหวังจะได้เป็นเพื่อนกับคุณนะมิสเตอร์จางลี่เฉิน ในนามของสหภาพเกษตรกรแห่งชาติเมืองเอ็มเมลไลท์ ผมเองก็อยากเชิญคุณให้มาเป็นผู้อำนวยการของเราด้วยเช่นกัน”


 


“ในนามของเมืองบรอบ์ดิงแนก ผมเองก็อยากเชิญ…”


 


“ตัวแทนจากเมืองสทัมพ์…”


 


เช่นเดียวกับไข้หวัดที่โหมกระหน่ำ จากหนึ่งขึ้นเป็นสองเป็นสี่เป็นแปด … ภายในพริบตาจางลี่เฉินได้รับความเชิญจากทุกหมู่บ้านและสหภาพเกษตรกรแห่งชาติของเมืองให้เข้ามาเป็นผู้อำนวยการของพวกเขา


 


ในตอนนี้ขั้นตอนการลงนามสัญญาถูกลากต่ออย่างยาวนานจนสิ้นสุดในที่สุด หลังจากส่งตัวแทนและทนายความของสหภาพเกษตรกรแห่งชาติกลับไปจนหมด สัตว์กลุ่มแรกที่รออยู่ด้านนอกโรงงานก็ถูกส่งไปยังโรงฆ่าสัตว์ LS ใหม่ตามสัญญาในทันที


 


ในไม่ช้า จอมอนิเตอร์เฝ้าระวังบนผนังสำนักงานก็เริ่มกะพริบตัวเลข ครู่ต่อมาจำนวนเงินที่เข้าบัญชีจางลี่เฉินก็มีเกินกว่า 10,000


 


“โชคดีที่ความเร็วในการทำเงินของผมยังเร็วกว่าของคุณเล็กน้อย ไม่เช่นนั้นผมคงไม่สามารถจ่ายค่าธรรมเนียมตามกฎหมายที่มีราคาแพงของคุณได้” จางลี่เฉินมองดูความมั่งคั่งที่สะสมอยู่บนหน้าจอก่อนที่จะเดินไปที่โต๊ะทำงานด้วยรอยยิ้มและออกเช็ค “20,000 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง เป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมากกับการทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคุณ ช่างน่าอิจฉามากจริงๆ!”


 


“มิสเตอร์จางลี่เฉิน มันอาจดูเหมือนว่าผมทำเงินได้ง่ายแต่การทำงานหนักที่ผมได้ทุ่มลงไปก่อนที่จะได้รับเงินจำนวนนี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถจินตนาการได้เลยสำหรับคนธรรมดาทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากบริษัทที่ผมได้ลงทะเบียนให้คุณในต่างประเทศเริ่มดำเนินการ ภาษีประจำปีที่สามารถหลบเลี่ยงได้นั้นจะมากกว่าค่าจ้างที่คุณจ้างผมอีกหลายเท่า”


 


“ผมแค่ล้อเล่นไปเรื่อยน่ะคุณทนาย แน่นอนว่าผมเข้าใจถึงความเป็นมืออาชีพของคุณที่ได้ช่วยเหลือผมเอาไว้อย่างดีว่ามันมากมายแค่ไหน ผมรู้สึกขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของคุณเช่นเดียวกับที่ผมรู้สึกขอบคุณมิสเตอร์ชาร์ลีย์ด้วยเช่นกัน” จางลี่เฉินเซ็นเช็คอีกครั้งให้กับชาร์ลีย์


 


“โอ้ ขอบคุณสำหรับของขวัญสุดพิเศษนะครับมิสเตอร์จาง มันคุ้มค่าอย่างยิ่งกับการอุทิศตนอย่างมืออาชีพของผม หวังว่าผมจะสามารถให้บริการคุณอีกครั้งได้ในอนาคต” หลังจากนั้นทั้งทนายความและตัวแทนธุรกิจชั่วคราวของจางลี่เฉินก็ได้รับค่าตอบแทนที่น่าพอใจ


 


“คุณวิลส์ คุณจะสามารถตอบคำถามผมฟรี ๆ สักข้อได้หรือเปล่าครับ? ผมไม่เข้าใจว่าทำไมตัวแทนสหภาพเกษตรกรแห่งชาติถึงได้เปลี่ยนทัศนคติของพวกเขาได้เร็วขนาดนั้น ผมก็นึกว่าสหภาพของพวกเขามีรากฐานทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนานนับร้อยปีเสียอีก?”


 


“มิสเตอร์ลี่เฉิน จุดแข็งของสหภาพเกษตรกรแห่งชาติก็เป็นเหมือนกับสหภาพแรงงานนั่นแหละครับ มันขึ้นอยู่กับผู้คนจำนวนมากซึ่งคนเหล่านี้ก็คือคนในชาติเป็นหลัก คุณได้คว้าความสนใจร่วมกันของสมาชิกทั้งหมดแต่พวกเขาไม่สามารถทำอะไรกับคุณได้ ในกรณีนี้คุณคาดหวังให้พวกเขาแข็งแกร่งมากแค่ไหนกัน? อย่างไรก็ตามในขณะที่คุณกำลังได้คะแนนนำ คุณได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะถอยกลับและเลือกที่จะเซ็นสัญญาที่ทั้งสองฝ่ายพอใจซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมจริง ๆ คุณกำลังจะไม่ได้เป็นคนธรรมดาทั่วไปในอนาคต ไม่เพียงเท่านั้นสำหรับผู้มีอำนาจที่ต้องการมีอิทธิพลอย่างกว้างขวางในทุกด้านของสังคมมันเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องมีแนวคิดทางภูมิศาสตร์ คุณเกิดและอาศัยอยู่ในนิวยอร์ก เมื่อคุณเลือกที่จะยืนเคียงข้างกับสหภาพแห่งชาติเกษตรกรแห่งนิวยอร์กแล้วมันก็จะดีสำหรับอนาคตของคุณเอง คำถามนี้ผมไม่คิดค่าบริการครับ ผมยังมีนัดในตอนเย็นต่อดังนั้นผมคงต้องขอตัวกลับก่อน ลาก่อนครับมิสเตอร์ลี่เฉิน” วิลล์แสดงความคิดเห็นที่น่าสนใจและกล่าวคำอำลาไปด้วยรอยยิ้ม


 


“ผมเองก็ต้องขอตัวด้วยเช่นกัน ลาก่อนครับมิสเตอร์ลี่เฉิน” ชาร์ลีย์โบกมือให้จางลี่เฉินก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับวิลส์


 


จางลี่เฉินถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวกับความงุนงงภายในสำนักงานอันกว้างขวางในขณะที่เขาจำคำพูดของทนายมาใส่ในความคิดของตัวเอง เขาลุกขึ้นยืนเดินไปที่กำแพงกระจกเพื่อดูรถบรรทุกที่กำลังเข้าคิวเป็นแถวยาวเพื่อรอเข้าไปยังโรงฆ่าสัตว์ก่อนจะพูดพึมพำกับตัวเอง “ดูเหมือนที่สุดแล้วโลกนี้ก็มักหมุนไปรอบ ๆ คำว่า “ความสนใจ ” อยู่ตลอด เหมือนว่าเราในตอนนี้จะเข้าใจเคล็ดลับในการทำธุรกิจขึ้นบ้างแล้ว แต่น่าเสียดายที่ทั้งอำนาจและความมั่งคั่งไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการมากที่สุด … ”


 


ขณะที่เขาพึมพำเขาก็ถอดเสื้อโค้ทออกและปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเผยหน้าอกผอม ๆ ก่อนจะพ่นเลือดสีเข้มออกมาเต็มปากเต็มคำ จากนั้นอักษรจีนโบราญคำว่า “ลดความซับซ้อน” ก็แสดงอยู่บนหน้าอกของเขาโดยมีเลือดลอยอยู่กลางอากาศ



ตอนที่ 137

 จางลี่เฉินพูดตรงเข้าประเด็นทุกอย่างที่กำลังเป็นปัญหาโดยไร้ซึ่งความปราณีใด ๆ คนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ในบ้านจ้องมองหน้ากันและกันด้วยท่าทีพูดไม่ออก พวกเขาคิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มที่ถูกกล่าวว่าได้รับความเสียหายทางสมองมาจะมีคำพูดที่เฉียบคมได้ขนาดนี้


 


หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งฮาวเวิร์ดก็พูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “แน่นอนว่ามันเป็นตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ ความโลภเป็นรากฐานของความชั่วร้ายทั้งหมด เธอพูดถูกลี่เฉิน เราวางแผนที่จะทำเช่นนั้น แต่เมื่อสิ่งได้ต่าง ๆ ได้เปลี่ยนมาเป็นแบบนี้แล้วสิ่งที่เราทำได้ในตอนนี้ก็คือการฟังเงื่อนไขของเธอ”


 


“เงื่อนไขของผม? ท่านนายก นี่คุณไม่รู้เลยหรอครับว่าผมได้รับความทุกข์ทรมานจากเรืออับปางมาอย่างน่ากลัวเมื่อเดือนก่อน ผมคิดว่าทนายของผมมิสเตอร์วิลส์และตัวแทนธุรกิจของผมมิสเตอร์ชาร์ลีย์ได้เจรจากับพวกคุณทุกคนอยู่ตลอดเวลาเสียอีก เงื่อนไขที่พวกเขาเสนอนั้นล้วนเป็นเงื่อนไขจากผมทั้งสิ้น”


 


“ไม่เอาน่าเด็กหนุ่ม เลิกพูดถึงชาวยิว 2 คนนั้นซะเถอะ เนื่องจากเธอตอบรับคำเชิญมาที่นี่ของพวกเรานั่นก็หมายความว่าเธอตั้งใจที่จะคืนดีกับพวกเราไม่ใช่หรือ? พวกเราจะยอมรับตามราคาที่เธอเสนอมาซึ่งก็คือ 50 ดอลลาร์สำหรับการฆ่าหมู 150 ดอลลาร์สำหรับการฆ่าวัว และ 40 ดอลลาร์สำหรับการฆ่าแกะ คนในห้องนี้เป็นตัวแทนจากคนในหมู่บ้านนอกนิวยอร์กจากสหภาพเกษตรกรแห่งชาติ พวกเรายินดีที่จะทำการค้ากับเธอ แต่มีเงื่อนไขอยู่อย่าง ธุรกิจทั้งหมดภายใต้ชื่อของเธอจะต้องไม่ลงนามสัญญาการค้ากับฟาร์มแคลิฟอร์เนีย”


 


เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นจางลี่เฉินก็เดินไปยังเก้าอี้ที่ว่างเปล่าแห่งเดียวในบ้านไม้แคบ ๆ และนั่งลงก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ท่านนายกฮาวเวิร์ด ผมเข้าใจว่าสหภาพเกษตรกรแห่งชาติมีความสำคัญในสังคมอเมริกัน แต่มีสุภาษิตโบราณจีนอยู่บทหนึ่ง ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะเคยได้ยินมันมาก่อนไหม”


 


“ลี่เฉิน จีนอยู่อีกฟากหนึ่งของโลกซึ่งห่างจากไคเซอร์แลนด์ทาวน์มาก เธอพอจะอธิบายให้มันง่ายขึ้นได้ไหม?” ฮาวเวิร์ดถามด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว


 


“ได้แน่นอน! นั่นก็คือคนเราจะสามารถใช้ชีวิตเงียบง่ายได้ถ้าคนเราไม่มีความเห็นแก่ตัว ก็เหมือนอย่างผมที่มีความฝันคือการเป็นนักชีววิทยา ดังนั้นทุกสิ่งที่ผมทำอยู่ในตอนนี้ก็เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตของผมในภายภาคหน้า ผมไม่ได้ต้องการเป็นนักการเมืองหรือคนร่ำรวยหรืออะไรอย่างอื่นในอนาคต สิ่งพวกนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ ไม่ว่าศักยภาพของคุณจะยิ่งใหญ่หรือจำนวนคนของคุณที่มาเป็นตัวแทนมีมากแค่ไหนผมก็ไม่สนใจอะไรพวกนั้นทั้งนั้น”


 


“งั้นเธอก็ได้รับการสนับสนุนจากเกษตรกรชาวแคลิฟอร์เนียแล้วเหมือนกับที่ฉันเคยพูดมาก่อน บอกเงื่อนไขของเธอมาเลยชายหนุ่ม เราสามารถต่อรองกันได้หากมันไม่มากจนเกินไป”


 


“ง่าย ๆ เลยครับ โรงฆ่าสัตว์ LS แห่งใหม่จะดำเนินการตามราคาก่อนหน้าเหมือนเดิม 50 ดอลลาร์สำหรับการฆ่าหมู 150 ดอลลาร์สำหรับการฆ่าวัว และ 40 ดอลลาร์สำหรับการฆ่าแกะ ผมจะให้ความสำคัญกับการให้บริการฆ่าสัตว์อัตโนมัติแก่สหภาพเกษตรกรแห่งชาติที่อยู่ใกล้กับนิวยอร์ก แต่มีเงื่อนไข 1 อย่าง ซึ่งเงื่อนไขนั้นก็คือคุณ ท่านนายกเทศมนตรีฮาวเวิร์ด คุณต้องแยกตัวออกจากสัญญาผมทั้งหมด”


 


เห็นได้ชัดว่าร่างกายของฮาวเวิร์ดแข็งทื่อไปชั่วขณะ “มิสเตอร์จางลี่เฉิน นี่คือการพยายามขับไล่ฉันออกจากคณะกรรมการของสหภาพเกษตรกรแห่งชาติไคเซอร์แลนด์ทาวน์ในรูปแบบเบื้องหลังอยู่ใช่หรือไม่?”


 


ราวกับว่าไม่ได้ยินคำถามของฮาวเวิร์ด จางลี่เฉินลุกขึ้นยืนเงียบ ๆ จากเก้าอี้ไม้แล้วเดินออกไปจากประตู แต่ก่อนที่เขาจะจากไปเขาหันกลับมาและหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ท่านนายกเทศมนตรีฮาวเวิร์ด ทุกคนต้องแบกรับผลที่ตามมาจากการกระทำของพวกเขากันเอง ไม่คิดเช่นนั้นหรอครับ? ตอนนี้…คุณถูกไล่ออก!”


 



 


สองวันต่อมาที่ชั้นบนสุดจากอาคารสองชั้นภายในโรงฆ่าสัตว์ LS แห่งใหม่ สำนักงานขนาดใหญ่ที่มีผนังสี่ด้านทำมาจากกระจกเสริมความโปร่งใส จางลี่เฉินได้ลงนามสัญญาโรงฆ่าสัตว์กับเมืองแคทเทิล เมืองสทัมพ์ เมืองเบย์ดุคและอีกมากมายรวม 47 หมู่บ้านและเมืองต่าง ๆ จากสหภาพเกษตรกรแห่งชาติภายใต้พยานทนายความจากทั้งสองฝ่าย


 


หลังจากลงนามในสัญญาเสร็จ วิลลี่และทิฟฟานี่สองสามีภรรยาจากโรงฆ่าสัตว์ LS ก็ได้รับเลื่อนตำแหน่งให้เป็นรองผู้จัดการฝ่ายกิจการภายในโรงฆ่าสัตว์ที่กำลังขยายตัวใหม่นี้ วิลลี่ผลักรถเข็นวางอาหารที่ทั้งใหญ่และแวววาวเข้ามายังด้านในห้องอย่างระมัดระวัง ด้านบนรถเข็นนั้นคือแก้วแชมเปญที่ถูกวางต่อ ๆ กันจนเป็น ‘ปิรามิดแก้ว’


 


จางลี่เฉินนำแชมเปญบลูเบอร์รี่คุณภาพสูงสองขวดออกมาจากตู้เย็นและขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ที่วิลลี่เตรียมมาให้ เขาหยิบแก้วแชมเปญบนยอดปิรามิดแก้วแล้วยกขึ้นสูงพร้อมพูดว่า “สุภาพบุรุษที่เคารพทุกท่าน ถึงแม้จะมีปัญหาและความไม่พอใจมากมายเกิดขึ้นระหว่างทางแต่ในที่สุดเราก็ได้เซ็นสัญญาที่สำคัญนี้ด้วยความเข้าใจและความปรารถนาดีซึ่งกันและกันได้ นับจากนี้เราต่างเป็นพันธมิตรผู้ทำงานร่วมกันและเพื่อนที่สามารถไว้วางใจซึ่งกันและกัน! มาดื่มแชมเปญนี้และร่วมรำลึกถึงช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมกันเถอะครับ! ไชโย!”


 


แน่นอนว่าคำพูดที่ดูเป็นธุรกิจจริงใจแบบนี้ไม่มีทางที่จางลี่เฉินจะเป็นคนคิดขึ้นมาเองได้ มันถูกเขียนโดยชาร์ลีย์ตัวแทนธุรกิจที่ทนายวิลส์เป็นคนจัดส่งมา


 


ชาร์ลีย์ผู้เขียนคำพูดอวยพรนี้แท้จริงแล้วก็ได้อยู่ในงานวันนี้ด้วยเช่นกัน เมื่อจางลี่เฉินพูดคำอวยพรที่เขาเขียนเสร็จเขาก็ลุกขึ้นยืนและส่งเสียงปรบมือให้อย่างอบอุ่น เขาคือคนที่สองที่มาหยิบแก้วแชมเปญและผสมโรงให้เข้ากับบรรยากาศโดยการพูดออกมาเสียงดัง “เป็นคำพูดที่จริงใจและน่าประทับใจมาก! มันช่างเหลือเชื่อจริง ๆ! มาเป็นกำลังใจให้กันและกันเถอะ!”


 


การประดิษฐ์อารมณ์ของชาร์ลีย์ทำจางลี่เฉินรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยคิดเลยว่าตัวแทนและทนายความจากสหภาพเกษตรกรแห่งชาติซึ่งเคยขัดแย้งกันทางวาจาอย่างรุนแรงกับตัวแทนธุรกิจของโรงฆ่าสัตว์ LS แห่งใหม่จะยืนปรบมือเสียงดังอย่างกระตือรือร้นให้กับเขา ทีละคน ๆ พวกเขาชูแก้วแชมเปญในมือก่อนจะส่งเสียงเชียร์ “ขอให้มิตรภาพของพวกเรายั่งยืนตลอดไป ไชโย!”


 


จางลี่เฉินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลงจากเก้าอี้มายืนบนพื้นตามปกติ หลังจากได้ชนแก้วทีละคน ๆ กับคู่ค้าที่กระตือรือร้นในการชนแก้วกับเขาแล้วเขาก็ดื่มแชมเปญจนหมดแก้วในรวดเดียว


 


คนอื่น ๆ พากันส่งเสียงร้องจนคึกคัก จากนั้นก็มีชายชราผมขาวสวมชุดสีดำเดินเข้ามาจับมือกับจางลี่เฉินด้วยฝ่ามือที่หยาบกร้านของเขาแล้วพูดว่า “ชายหนุ่ม เนื่องจากเธอบอกว่าเราเป็นพันธมิตรผู้ร่วมมือและเพื่อนที่สามารถไว้วางใจซึ่งกันและกันได้ ฉันหวังอยากให้เธอเข้าร่วมสหภาพแห่งชาติเกษตรกรแห่งเมืองวิริเดียนและเป็นผู้อำนวยการของเรา”


 


“ถ้าคุณไม่มีแผนแฝงตัวเหมือนดั่งนายกฮาวเวิร์ดผมก็ต้องบอกว่านับเป็นเกียรติของผมมาก” จางลี่เฉินตกใจไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะ


 


“คนที่คิดหลอกใช้เธอจะต้องถูกเล่นงานกลับในสักวัน! ฉันคิดว่าทุกคนในห้องนี้คงได้บทเรียนที่น่าจดจำกันเป็นอย่างดีแล้วล่ะว่าเธอปฏิบัติต่อคนที่เป็นศัตรูอย่างไร” ชายชราหัวเราะและชี้ไปที่วิลลี่และทิฟฟานี่ “และเราก็สามารถเห็นได้อีกเช่นกันว่าเธอปฏิบัติต่อลูกน้องที่ภักดีของเธออย่างไร”


 


“มิสเตอร์เกรดส์พูดถูก เราหวังจะได้เป็นเพื่อนกับคุณนะมิสเตอร์จางลี่เฉิน ในนามของสหภาพเกษตรกรแห่งชาติเมืองเอ็มเมลไลท์ ผมเองก็อยากเชิญคุณให้มาเป็นผู้อำนวยการของเราด้วยเช่นกัน”


 


“ในนามของเมืองบรอบ์ดิงแนก ผมเองก็อยากเชิญ…”


 


“ตัวแทนจากเมืองสทัมพ์…”


 


เช่นเดียวกับไข้หวัดที่โหมกระหน่ำ จากหนึ่งขึ้นเป็นสองเป็นสี่เป็นแปด … ภายในพริบตาจางลี่เฉินได้รับความเชิญจากทุกหมู่บ้านและสหภาพเกษตรกรแห่งชาติของเมืองให้เข้ามาเป็นผู้อำนวยการของพวกเขา


 


ในตอนนี้ขั้นตอนการลงนามสัญญาถูกลากต่ออย่างยาวนานจนสิ้นสุดในที่สุด หลังจากส่งตัวแทนและทนายความของสหภาพเกษตรกรแห่งชาติกลับไปจนหมด สัตว์กลุ่มแรกที่รออยู่ด้านนอกโรงงานก็ถูกส่งไปยังโรงฆ่าสัตว์ LS ใหม่ตามสัญญาในทันที


 


ในไม่ช้า จอมอนิเตอร์เฝ้าระวังบนผนังสำนักงานก็เริ่มกะพริบตัวเลข ครู่ต่อมาจำนวนเงินที่เข้าบัญชีจางลี่เฉินก็มีเกินกว่า 10,000


 


“โชคดีที่ความเร็วในการทำเงินของผมยังเร็วกว่าของคุณเล็กน้อย ไม่เช่นนั้นผมคงไม่สามารถจ่ายค่าธรรมเนียมตามกฎหมายที่มีราคาแพงของคุณได้” จางลี่เฉินมองดูความมั่งคั่งที่สะสมอยู่บนหน้าจอก่อนที่จะเดินไปที่โต๊ะทำงานด้วยรอยยิ้มและออกเช็ค “20,000 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง เป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมากกับการทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคุณ ช่างน่าอิจฉามากจริงๆ!”


 


“มิสเตอร์จางลี่เฉิน มันอาจดูเหมือนว่าผมทำเงินได้ง่ายแต่การทำงานหนักที่ผมได้ทุ่มลงไปก่อนที่จะได้รับเงินจำนวนนี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถจินตนาการได้เลยสำหรับคนธรรมดาทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากบริษัทที่ผมได้ลงทะเบียนให้คุณในต่างประเทศเริ่มดำเนินการ ภาษีประจำปีที่สามารถหลบเลี่ยงได้นั้นจะมากกว่าค่าจ้างที่คุณจ้างผมอีกหลายเท่า”


 


“ผมแค่ล้อเล่นไปเรื่อยน่ะคุณทนาย แน่นอนว่าผมเข้าใจถึงความเป็นมืออาชีพของคุณที่ได้ช่วยเหลือผมเอาไว้อย่างดีว่ามันมากมายแค่ไหน ผมรู้สึกขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของคุณเช่นเดียวกับที่ผมรู้สึกขอบคุณมิสเตอร์ชาร์ลีย์ด้วยเช่นกัน” จางลี่เฉินเซ็นเช็คอีกครั้งให้กับชาร์ลีย์


 


“โอ้ ขอบคุณสำหรับของขวัญสุดพิเศษนะครับมิสเตอร์จาง มันคุ้มค่าอย่างยิ่งกับการอุทิศตนอย่างมืออาชีพของผม หวังว่าผมจะสามารถให้บริการคุณอีกครั้งได้ในอนาคต” หลังจากนั้นทั้งทนายความและตัวแทนธุรกิจชั่วคราวของจางลี่เฉินก็ได้รับค่าตอบแทนที่น่าพอใจ


 


“คุณวิลส์ คุณจะสามารถตอบคำถามผมฟรี ๆ สักข้อได้หรือเปล่าครับ? ผมไม่เข้าใจว่าทำไมตัวแทนสหภาพเกษตรกรแห่งชาติถึงได้เปลี่ยนทัศนคติของพวกเขาได้เร็วขนาดนั้น ผมก็นึกว่าสหภาพของพวกเขามีรากฐานทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนานนับร้อยปีเสียอีก?”


 


“มิสเตอร์ลี่เฉิน จุดแข็งของสหภาพเกษตรกรแห่งชาติก็เป็นเหมือนกับสหภาพแรงงานนั่นแหละครับ มันขึ้นอยู่กับผู้คนจำนวนมากซึ่งคนเหล่านี้ก็คือคนในชาติเป็นหลัก คุณได้คว้าความสนใจร่วมกันของสมาชิกทั้งหมดแต่พวกเขาไม่สามารถทำอะไรกับคุณได้ ในกรณีนี้คุณคาดหวังให้พวกเขาแข็งแกร่งมากแค่ไหนกัน? อย่างไรก็ตามในขณะที่คุณกำลังได้คะแนนนำ คุณได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะถอยกลับและเลือกที่จะเซ็นสัญญาที่ทั้งสองฝ่ายพอใจซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมจริง ๆ คุณกำลังจะไม่ได้เป็นคนธรรมดาทั่วไปในอนาคต ไม่เพียงเท่านั้นสำหรับผู้มีอำนาจที่ต้องการมีอิทธิพลอย่างกว้างขวางในทุกด้านของสังคมมันเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องมีแนวคิดทางภูมิศาสตร์ คุณเกิดและอาศัยอยู่ในนิวยอร์ก เมื่อคุณเลือกที่จะยืนเคียงข้างกับสหภาพแห่งชาติเกษตรกรแห่งนิวยอร์กแล้วมันก็จะดีสำหรับอนาคตของคุณเอง คำถามนี้ผมไม่คิดค่าบริการครับ ผมยังมีนัดในตอนเย็นต่อดังนั้นผมคงต้องขอตัวกลับก่อน ลาก่อนครับมิสเตอร์ลี่เฉิน” วิลล์แสดงความคิดเห็นที่น่าสนใจและกล่าวคำอำลาไปด้วยรอยยิ้ม


 


“ผมเองก็ต้องขอตัวด้วยเช่นกัน ลาก่อนครับมิสเตอร์ลี่เฉิน” ชาร์ลีย์โบกมือให้จางลี่เฉินก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับวิลส์


 


จางลี่เฉินถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวกับความงุนงงภายในสำนักงานอันกว้างขวางในขณะที่เขาจำคำพูดของทนายมาใส่ในความคิดของตัวเอง เขาลุกขึ้นยืนเดินไปที่กำแพงกระจกเพื่อดูรถบรรทุกที่กำลังเข้าคิวเป็นแถวยาวเพื่อรอเข้าไปยังโรงฆ่าสัตว์ก่อนจะพูดพึมพำกับตัวเอง “ดูเหมือนที่สุดแล้วโลกนี้ก็มักหมุนไปรอบ ๆ คำว่า “ความสนใจ ” อยู่ตลอด เหมือนว่าเราในตอนนี้จะเข้าใจเคล็ดลับในการทำธุรกิจขึ้นบ้างแล้ว แต่น่าเสียดายที่ทั้งอำนาจและความมั่งคั่งไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการมากที่สุด … ”


 


ขณะที่เขาพึมพำเขาก็ถอดเสื้อโค้ทออกและปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเผยหน้าอกผอม ๆ ก่อนจะพ่นเลือดสีเข้มออกมาเต็มปากเต็มคำ จากนั้นอักษรจีนโบราญคำว่า “ลดความซับซ้อน” ก็แสดงอยู่บนหน้าอกของเขาโดยมีเลือดลอยอยู่กลางอากาศ



ตอนที่ 138

“ลดความซับซ้อน” ของสัตว์อาคมเป็นคาถาที่จางลี่เฉินได้รับมาจากการขึ้นเป็นพ่อมดระดับห้า มันไม่ใช่สิ่งที่จะมีประสิทธิภาพไปได้ตลอดเมื่อร่ายคาถาแต่จะต้องทำการร่ายใหม่ทุก ๆ ห้าวันเพื่อให้มีผลบังคับใช้อย่างต่อเนื่อง


 


หลังจากที่เขาร่าย “ลดความซับซ้อน” ภายในสำนักงานโรงฆ่าสัตว์ LS แห่งใหม่แล้วนั้นเขาก็จะสามารถสั่งการสัตว์อาคมของเขาให้เคลื่อนไหวผ่านทางความคิดได้ เมื่อเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน เขาเปิดคอมพิวเตอร์และป้อนรหัสผ่านเพื่อเข้าสู่ระบบการจัดการการควบคุมระยะไกลของโรงงาน ทำการเปิดท่อซากขยะส่งออกที่ร่องลึกอยู่ใต้โรงฆ่าสัตว์ที่เชื่อต่อไปจนถึงมหาสมุทรแอตแลนติก


 


ทันทีที่จางลี่เฉินกดปุ่มบนคีย์บอร์ด ในทะเลตื้นที่มีความสูงหลายสิบเมตรด้านนอกชายฝั่งมหาสมุทรก็มีโลหะสีดำแนวนอนที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณยี่สิบเมตรคลายเกลียวยื่นออกทะเลช้า ๆ


 


ในเวลาเดียวกัน ใต้ทะเลลึกได้มีสัตว์ขนาดยักษ์ที่มีความยาวกว่าห้าสิบเมตรค่อย ๆ ขึ้นมายังด้านบนเหนือน้ำด้วยการพายแขนและขาของมัน มันว่ายข้ามทะเลอย่างรวดเร็วเพื่อเข้าไปยังด้านในท่อหนาที่ปิดผนึกโดยฝาครอบโลหะสีดำที่ตอนนี้ได้รับการคลายเกลียวออกอย่างสมบูรณ์


 


หลังจากควบคุมให้โครโคดราก้อนไปที่ปากทางเข้าใต้ดินที่เชื่อมจากมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังใต้โรงงานฆ่าสัตว์เสร็จแล้วจางลี่เฉินก็สั่งปิดท่อผ่านทางคอมพิวเตอร์อีกครั้ง เขาสั่งให้สัตว์อาคมเปิดปากของมันให้กว้าง ๆ และค้างอยู่ภายในท่ออย่างนั้น


 


เมื่อโรงฆ่าสัตว์มีการดำเนินการตลอดทั้งวันทั้งคืน ภายในวันที่สาม อวัยวะภายในและเลือดของสัตว์ก็ได้สะสมอยู่ในท่อระบายเศษขยะที่มีความลึกห้าสิบเมตรและความกว้างมากกว่าหนึ่งร้อยเมตรที่เชื่อมต่อถึงฐานของพื้นซึ่งดูเหมือนว่ามันจะเริ่มล้นจนพุ่งเข้าไปในท่อที่ตรงไปยังมหาสมุทร


 


หลังจากเลือดที่ดูเหมือนแม่น้ำสีแดงพร้อมกับอวัยวะภายในต่าง ๆ ไหลลงสู่ท่อในไม่ช้ามันก็หายเข้าไปในปากที่เปิดกว้างของโครโคดราก้อนซึ่งหมายความว่าตราบใดที่ยังมีสัตว์อาคมอยู่ที่นี่ การจัดการขยะของโรงฆ่าสัตว์ LS แห่งใหม่นี้จะไม่มีวันที่ขยะถูกเติมเต็มจนล้นท่อได้เป็นอันขาด


 


สถานการณ์ดังกล่าวเป็นไปอย่างที่จางลี่เฉินเคยคาดการณ์เอาไว้ก่อนแล้ว เมื่อคาถา “ลดความซับซ้อน” มีผลบังคับใช้เขาจะรู้สึกว่าทุกอย่างได้ดำเนินการตามสิ่งที่เขาจินตนาการ


 


ชายหนุ่มผู้กำลังรับประทานอาหารกลางวันที่บ้านถอนหายใจออกมาอย่างเงียบ ๆแล้วเอ่ยถามแม่ของเขาไปว่า “แม่ วันหยุดฤดูร้อนนี้ขอผมไปฮาวายจะได้ไหมครับ?”


 


“ฮาวาย? โอ้! นั่นเป็นเป้าหมายสำหรับการพักผ่อนที่ดีที่สุดสำหรับวันหยุดช่วงฤดูร้อนเลยล่ะ!  อาบแดดที่ชายหาด สาว ๆ ที่เดินผ่านไปมาด้วยชุดบิกินี่ … ฉันหมายถึงกีฬาทางน้ำเพื่อสุขภาพนั่นไงล่ะ! พ่อ ป้าลิลี่ ผมคิดว่าความคิดของจางลี่เฉินเขาดีมาก ๆ …”


 


“ใช่จ้ะ เป็นความคิดที่ดีจริง ๆ! แต่แรนดี้ อย่าลืมนะว่าเธอยังต้องฝึกซ้อมกับทีมฟุตบอลของมหาวิทยาลัย…”


 


“การฝึกซ้อมใช้เวลาแค่หนึ่งเดือนครึ่ง! หนึ่งเดือนครึ่งเท่านั้น! ผมยังมีวันหยุดอีกเกือบครึ่งสำหรับวันหยุดพักผ่อน…”


 


“ถูกต้อง! นั่นเป็นเหตุผลที่พ่อได้ซื้อตั๋วรถไฟไว้ให้สำหรับทุกคน! เกือบสองปีแล้วที่ทุกคนได้เจอคุณปู่คุณย่าท่านครั้งสุดท้าย ด้วยเหตุนี้พวกลูก ๆ จึงต้องใช้เวลาสองถึงสามสัปดาห์สำหรับวันหยุดฤดูร้อนนี้ที่เมืองเอจ! ที่นั่นเองก็มีชายหาดที่สวยงามเช่นกัน! สำหรับลี่เฉินแล้วการที่เธอมาอยู่ประเทศนี้ได้ไม่ถึงปีจึงเป็นเรื่องปกติที่เธอจะอยากไปฮาวายที่มีชื่อเสียงระดับโลกในช่วงวันหยุดฤดูร้อน” ลาวีนมองคนรักที่อยู่ข้าง ๆ เขาก่อนจะพูดว่า “ลิลี่ คุณก็รู้ใช่ไหมว่าที่นิวยอร์กจะมีอาชญากรรมเพิ่มขึ้นมากในช่วงฤดูร้อน ดังนั้นผมจึงไม่สามารถลางานได้เลย ทำไมคุณไม่ไปฮาวายกับลี่เฉินเขาเสียล่ะ?”


 


“อะไรกัน?! นี่มันไม่ยุติธรรมเลยนะพ่อ! พ่ออยากให้ผมไปวิ่งเล่นที่ชายหาดในรัฐนิวเจอร์ซีย์? อย่างดีผมก็อาจได้ไปเล่นที่ท่าเรือนิวยอร์กบ้างแต่ทำไมลี่เฉินถึงได้ไปฮาวายแต่พวกเรากลับ…” แรนดี้ร้องเรียนขึ้นมาในทันใดจากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าจางลี่เฉินไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับตระกูลลาวีนแต่อย่างใดซึ่งนั่นอาจทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจถ้าเขาได้ไปที่นิวเจอร์ซีย์ด้วยกันเขาจึงยอมสงบอารมณ์ตัวเองลงแต่โดยดี


 


“เอ่อ บรรณาธิการฝั่งตะวันตกจากสำนักพิมพ์นครหลวงต้องการพิสูจน์อักษร “สิ่งที่อยู่ในใจของคนหนุ่มสาว” ฉบับร่างภายในสองสามสัปดาห์นี้ดังนั้นฉันจึงไม่มีเวลาว่างเช่นกันค่ะ ทำไมลูกถึงอยากไปฮาวายหรอจ๊ะ? หรือบางที…”


 


“ผมเห็นบทความที่เขียนโดยศาสตราจารย์โลแทร็กจากมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ดบนอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับสายโซ่ชีวภาพที่เป็นเอกลักษณ์บนหมู่เกาะฮาวายน่ะครับ ผมสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก ๆ จึงวางแผนไปที่นั่นเพื่อทำการศึกษาภาคสนาม ที่จริงแล้วผมวางแผนที่จะไปในทันทีเมื่อวันหยุดฤดูร้อนเริ่มต้น แต่เป็นเพราะเราต้องต้อนรับมิเชลที่ได้ออกจากโรงพยาบาลผมจึงตัดสินใจเลื่อนออกไปก่อนจนถึงตอนนี้…”


 


“เพื่อศึกษาห่วงโซ่ชีวภาพที่เป็นเอกลักษณ์บนหมู่เกาะฮาวาย? นี่หมายความว่าลูกวางแผนที่จะออกเดินทางด้วยตัวเองอีกแล้วงั้นหรือจ๊ะลูกรัก?”


 


“ใช่ครับ ฮาวายไม่ใช่อเมซอน แม่น่าจะวางใจได้”


 


“เอาล่ะหนุ่มน้อย! ลูกอายุ 17 แล้วแถมยังมีธุรกิจเป็นของตัวเองอีก ลูกมีเหตุผลที่ชัดเจนแน่นอนว่าลูกสามารถไปได้ทุกที่ที่ลูกต้องการ แต่จำไว้ว่าอย่าว่ายน้ำที่ชายหาดโดยไม่มีตาข่ายป้องกันและห้ามเล่นกีฬาทางทะเลอันตรายเหล่านั้นด้วยล่ะ” ลิลี่ที่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเบา ๆ


 


“ครับแม่ ไม่ต้องห่วง ผมไม่สนใจกีฬาทางทะเลทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นอันตรายหรือไม่ก็ตาม”


 


ลิลี่พยักหน้าด้วยความหมองหม่น ลาวีนที่สังเกตเห็นแบบนั้นจึงเข้าไปสวมกอดเธอด้วยความรักในทันที “ที่รัก อย่าเป็นแบบนี้สิ ผมเคยบอกคุณว่าเด็ก ๆ จะมีความสนใจและมีโลกของพวกเขาเองตามธรรมชาติเมื่อพวกเขาโตขึ้นไม่ใช่หรอ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะอยู่เคียงข้างคุณไปตลอดโดยเฉพาะเด็กที่ฉลาดและมีความสามารถมากแบบลี่เฉิน เขาอาจมีอายุ 17 ในปีนี้แต่ผมคิดว่าลี่เฉินตอนนี้ยังมี EQ ที่สูงกว่าแรนดี้ในวัย 27 ปีเสียอีก เราสามารถมั่นใจได้ที่จะให้เขาได้จัดการชีวิตของเขาเอง”


 


“พ่อ! พ่อยังไม่เคยเห็นผมตอนอายุ 27 แต่กลับมาพูดแบบนี้ได้ยังไงกัน?!”


 


“แรนดี้ แม้ว่าจะไม่มีใครเห็นว่านายเป็นอย่างไรเมื่อตอนอายุ 27 แต่ทุกคนที่บ้านก็สามารถเห็นได้จาก EQ ปัจจุบันของนาย เข้าใจไหม? มันมีคำว่า “การคาดการณ์” … “


 


“แฮร์รี่ ลาวีน! ถ้าพูดถึงเรื่องการคาดการณ์ไหนนายลองคาดการณ์ดูสิว่านายจะถูกตีหลังกินมื้อเที่ยงนี้เสร็จแล้วหรือเปล่า?” แรนดี้แอบมองดูลาวีนที่ยังคงกอดปลอบลิลี่ก่อนที่จะข่มขู่คนเป็นน้องของตัวเองไปอย่างรุนแรงด้วยน้ำเสียงกระซิบ


 


“ถูกตี? พี่ชาย ไม่คิดเลยหรอว่ามันเป็นการแสดงให้เห็นว่า EQ ของพี่นั้นต่ำมากเพียงใดโดยการขู่น้องชายตัวเองอยู่แบบนี้ตลอดเวลาน่ะห๊ะ?” อาหารกลางวันผ่านไปอย่างรวดเร็วภายใต้การทะเลาะวิวาทของแฮร์รี่และแรนดี้พี่น้องที่มีพ่อคนเดียวกันแต่คนละแม่


 


หลังได้รับอนุญาตจากลิลี่แล้วจางลี่เฉินก็จัดการเรื่องจองตั๋วในทันที


 


เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดฤดูร้อน ต้นเดือนกรกฎาคมจึงเป็นช่วงเวลาที่ผู้โดยสารจะบินจากนิวยอร์กไปฮาวายเพื่อพักผ่อนกันซะส่วนใหญ่ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องยากมากสำหรับทุกคนที่จะจองตั๋วสำหรับวันถัดไปได้ “แน่นอนว่ามีเที่ยวบินไปฮาวายในวันพรุ่งนี้ครับ แต่ต้องขออภัยที่ทางสายการบินยูไนเต็ด…”


 


“หากไม่มีตั๋วสำหรับการบินในวันถัดไปผมยินดีที่จะเช่าเหมาทั้งลำ”  จางลี่เฉินผู้ได้รับเงินหลายแสนดอลลาร์ในช่วงสามถึงสี่วันเอ่ยขัดจังหวะพนักงานต้อนรับ


 


“โอ้” เห็นได้ชัดว่าพนักงานผู้ดูแลตั๋วสนามบินที่อยู่อีกด้านของสายสนทนาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากเสียงของคนที่ไม่ใช่วีไอพีของสายการบินหรือมีอายุพอที่จะพูดได้ “แม้ว่าสายการบินยูไนเต็ดที่จะเปลี่ยนเครื่องที่ลอสแองเจลิสได้รับการจองจนเต็มแล้วแต่ยังมีตั๋วสำหรับเที่ยวบินตรงของสายการบินอเมริกันแอร์ไลน์ K565 อยู่ครับ โดยเครื่องบินจะเปิดให้บริการชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจเท่านั้น เครื่องจะเทคออฟเวลา 10.00 น. และจะถึงสนามบินนานาชาติโฮโนลูลูหลังจากนั้น 4 ชั่วโมง 30 นาที ค่าโดยสารสำหรับชั้นหนึ่งอยู่ที่ 4,900 ดอลลาร์ในขณะที่ชั้นธุรกิจอยู่ที่ 240 ดอลลาร์ ไม่มีส่วนลดสำหรับทั้งสองชั้นนี้ครับ”


 


หมู่เกาะฮาวายเป็นรัฐที่ 50 และเล็กที่สุดของอเมริกา ในบรรดาเกาะทั้งหมด 132 เกาะที่ประกอบขึ้นจากหมู่เกาะฮาวายจะมีเพียงเกาะโอวาฮู โมโลไก คาไวและเมาอิที่ผู้คนจะได้รับอนุญาตให้พำนักอาศัยเท่านั้น


 


เกาะโอวาฮูตั้งอยู่ใจกลางมหาสมุทรแปซิฟิก แม้ว่าจะไม่สามารถพูดได้ว่าเป็นพื้นที่ที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะแต่มันเป็นพื้นที่สาธารณะที่เปิดให้ใช้มากที่สุด มีเมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะที่เป็นเมืองหลวงของฮาวายและเป็นเมืองที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจมากที่สุดซึ่งก็คือโฮโนลูลู


 


เที่ยวบินตรงจากนิวยอร์กไปยังโฮโนลูลูใช้เวลาน้อยกว่าห้าชั่วโมงแต่ค่าโดยสารกลับเกือบ 5,000 ดอลลาร์ แม้ว่านั่นจะเป็นราคาสำหรับที่นั่งชั้นหนึ่งแต่ก็ยังมีราคาแพงเมื่อเทียบกับที่นั่งชั้นหนึ่งอื่น ๆ ถึงอย่างนั้นนี่ก็เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่สำคัญสำหรับสายการบินในช่วงวันหยุดประจำปี


 


ผู้ที่ไปพักผ่อนในสถานที่ท่องเที่ยวเช่นฮาวายมักจะมีเงินออมเหลือเก็บ บรรดาคนเหล่านี้คือผู้โดยสารที่ไม่ต้องการเสียเวลาในการเดินทางและต้องการประหยัดเวลาสามถึงห้าชั่วโมงจากการเปลี่ยนเครื่องพวกเขาจึงไม่ค่อยสนใจเกี่ยวกับตั๋วที่ราคาสูง


 


ปรากฏว่ากลยุทธ์ทางธุรกิจของสายการบินประสบความสำเร็จอย่างมาก เมื่อได้ยินคำพูดของพนักงานเช่นนั้นจางลี่เฉินก็กล่าวกลับไปโดยไม่ลังเลเลยว่า “ขอที่นั่งชั้นหนึ่ง 1 ใบ”


 


“ครับ คุณจะต้องจ่ายค่าตั๋วผ่านแพลตฟอร์ม e-banking ก่อนเพียงแค่ตรงไปยังวีไอพีเลานจ์ในวันพรุ่งนี้”


 


“ครับ เข้าใจแล้ว”


 


เมื่อจางลี่เฉินทำการจองตั๋วเสร็จ เขาผู้ซึ่งไม่ต้องการทำอะไรเลยได้ปีนขึ้นไปบนเตียงแล้วดึงปิดผ้าม่านที่ข้างเตียง จากนั้นเขาก็ควบคุมให้เมานท์โทดกระโจนออกจากเตียงมาอยู่ที่ด้านข้างเขาก่อนจะเริ่มฝึกฝนวิธีลับที่เขาไม่ได้ทำมานาน


 


การหมุนเวียนเกิดขึ้นและภาพของอสูรหัวขาดในใจของจางลี่เฉินก็เริ่มปรากฏ เมื่อชายหนุ่มตกสู่สภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว


 


เมื่อถึงตอนเย็นแม่ของเขาได้เดินขึ้นมาเรียกเขาเพื่อลงไปทานมื้อเย็นพร้อมกันและช่วยเขาจัดกระเป๋าเสื้อผ้า


 


แม้ว่าลิลี่จะเคยทำใจเรื่องที่ลูกชายของเธอไปอเมซอนมาได้แล้วครั้งหนึ่งแต่เธอก็ยังคงสวมกอดลูกชายตัวเองด้วยดวงตาที่แดงก่ำพร้อมกับมอบคำแนะนำมากมายก่อนจะเดินลงบันไดมา


 


จางลี่เฉินพยักหน้าอย่างต่อเนื่องตามความกังวลของแม่แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วเขาไม่ได้สนใจอะไรเลยสักอย่าง หลังทานมื้อเย็นเสร็จเขาก็ขอตัวกลับมานอนที่ห้องในทันทีโดยอ้างว่าเขาจะต้องรีบไปขึ้นเครื่องบินในวันพรุ่งนี้ก่อนจะกดโทรหาทีน่า


 


“ทีน่า ผมจะออกจากสนามบินตอน 10 โมงเช้าเพื่อไปฮาวายในวันพรุ่งนี้ ผมน่าจะถึงสนามบินนานาชาติโฮโนลูลูในเวลาประมาณ 14.30 น.”


 


“ลี่เฉิน ในที่สุดนายก็มาสักที! เยี่ยมไปเลย แต่นายน่าจะโทรบอกฉันไว้ก่อน ชีล่าเกิดป่วยที่โฮโนลูลูและต้องการกลับมาที่เกาะคาไวไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ทริชกับฉันเองก็ถูกบังคับให้ต้องอยู่เป็นเพื่อนเธอ เราไม่มีทางเลือกอื่น…”


 


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมหาโรงแรมและพักที่นั่นก่อนแล้วค่อยไปพบคุณที่เกาะคาไวทีหลังก็ได้”


 


“โอ้ นายนี่ช่างวิเศษที่สุดเลยจริง ๆ ใช่แล้วลี่เฉิน! ฉันได้ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ ๆ ที่โฮโนลูลูไว้ด้วย ให้พวกเขาช่วยพานายออกจากสนามบินและหาที่พักในวันพรุ่งนี้ดีไหม?”


 


“ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอก ผมดูแลตัวเองได้”


 


“นายเพิ่งมาฮาวายครั้งแรกนะ นายควรจะมีไกด์นำเที่ยวไว้สิ!”


 


“ถ้างั้นไว้พบกันที่เกาะคาไว”


 


หลังจากวางสายจางลี่เฉินก็เริ่มฝึกฝนวิธีลับต่อและในไม่ช้าค่ำคืนนี้ก็ผ่านไปโดยไม่รู้ตัว


 


เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อเขาหยิบอาหารที่ลิลี่เตรียมไว้ให้แล้วเขาก็นั่งแท๊กซี่ตรงมายังสนามบินนานาชาติในทันที  หลังจากรออยู่พักหนึ่งภายในวีไอพีเลานจ์เขาก็เดินขึ้นเครื่องไปยังสนามบินโฮโนลูลูที่ฮาวาย


 


ตั๋วราคาแพงมักจะมาพร้อมกับการบริการที่เอาใจใส่ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มที่มีบริการตลอดทาง ทัศนคติของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินหรือล็อบสเตอร์ที่เสริฟ์ระหว่างเที่ยวบิน สรุปได้ว่ามันเป็นเที่ยวบินที่สมบูรณ์แบบที่สุด


 


เมื่อจางลี่เฉินลงเครื่องเขาไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้าจากการเดินทางเลยแม้แต่น้อย กลับกันเขารู้สึกสดชื่นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวามากอีกต่างหาก



ตอนที่ 139

ท่าอากาศยานนานาชาติโฮโนลูลูมีประวัติยาวนานมากว่า 30 ปี สิ่งอำนวยความสะดวกบางอย่างอาจมีความล้าสมัยไปบ้างเล็กน้อยแต่โดยรวมก็ยังสามารถตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากทั่วทุกมุมโลกสู่ฮาวายได้เป็นอย่างดี


 


เนื่องจากจางลี่เฉินมีพาสปอร์ตสัญชาติอเมริกันเขาจึงไม่จำเป็นต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองของสนามบิน ทันทีที่เขาออกจากเครื่องบินมาเขาสามารถรู้สึกถึงความร้อนที่แผดเผาจากดวงอาทิตย์ เขาสะพายเป้หลังถูกส่งตรงไปยังช่องทางออกของสนามบินโดยรถบัสพร้อมกับผู้โดยสารที่ไม่ต้องผ่านการตรวจเข้าเมืองคนอื่น ๆ


 


เมื่อเขาขึ้นไปบนรถบัสทันใดนั้นเขาก็พบว่าอย่างน้อยหนึ่งในสามคนรอบตัวเขาล้วนแต่เป็นชาวเอเชียซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนญี่ปุ่นและคนจีน


 


ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินทางมาฮาวายเขาได้เรียนรู้จากอินเทอร์เน็ตมาว่าด้วยความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจในช่วงศตวรรษที่ผ่านมาทำให้พ่อค้าชาวญี่ปุ่นได้ซื้อโรงแรมระดับไฮเอนด์ 80% และสิทธิในทรัพย์สินสนามกอล์ฟเกือบทั้งหมดในฮาวายไป ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นักที่มีคนญี่ปุ่นจำนวนมากมาปรากฏตัวที่สนามบินโฮโนลูลูในช่วงหน้าร้อนแบบนี้


 


สำหรับกลุ่มเพื่อนร่วมชาติที่มาจากประเทศจีนข้างหน้าเขานั้น ชายหนุ่มไม่เคยคิดเลยว่าเศรษฐกิจของจีนจะทรงพลังมากเมื่อเขายังอาศัยอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขาของมณฑลเสฉวน อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาได้ย้ายมาอยู่ที่อเมริกาเขารู้สึกประหลาดใจที่พบว่าจากการสนทนาของผู้คนรอบตัวพบว่าคนรวยจากจีนมีมากมายจนนับไม่ถ้วน ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่รู้สึกประหลาดใจอะไรอีกต่อไปกับการได้เห็นคนจีนที่ต่างประเทศ


 


“พ่อ สนามบินของฮาวายยังดีได้ไม่เท่าสนามบินผู่ตงของเราเลย…”


 


“หยาง ฉันอยู่บนเครื่องบินตลอดทั้งวันและตอนนี้ฉันก็เวียนหัวอย่างมาก วันนี้ฉันคงออกไปไหนไม่ได้แล้วล่ะ ฉันจะพักผ่อนก่อนแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้พวกเราค่อยไปดูการก่อสร้างเทศบาลของโฮโนลูลูแทนก็แล้วกัน!”


 


“ที่รัก ที่นี่คือฮาวาย! หาดทรายที่สวยที่สุดและใสที่สุดในโลกอยู่ที่นี่แล้ว…”


 


เมื่อได้ยินสำเนียงท้องถิ่นจากประเทศบ้านเกิดซึ่งเขาไม่ได้ยินมานานจางลี่เฉินก็เผลอเดินลงจากรถบัสตามไปโดยไม่รู้ตัว เขาเดินอยู่ท่ามกลางฝูงชนชาวจีนที่ดูถูกฮาวายหรือดูตื่นเต้นขณะมองไปรอบ ๆ อย่างสงสัย


 


หลังจากเดินเล่นจนเต็มที่แล้วเขาก็กดโทรหาทีน่าอีกครั้ง “ทีน่า ผมมาถึงสนามบินโฮโนลูลูแล้ว”


 


“ฉันก็คิดว่านายน่าจะถึงแล้วเลยกะจะโทรหานายอยู่พอดี อลิซรอนายอยู่ที่ทางออกของสนามบินแล้วนะลี่เฉิน”


 


“อลิซ? เมื่อไม่นานมานี้พวกเราเพิ่งผ่านประสบการณ์ลง ‘หลุมกระต่าย’ มาและตอนนี้…ว้าว ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้พบกับตัวละครดั้งเดิมที่อยู่ในเรื่องนั้นเข้า”


 


“นายพูดเรื่องอะไรน่ะลี่เฉิน?”


 


“ไม่มีอะไร ถ้างั้นแล้วมิสอลิซคือคนที่จะเป็นไกด์ให้ผมที่โฮโนลูลูแล้วค่อยส่งผมไปหาคุณที่เกาะคาไวอีกทีใช่ไหม?”


 


“ถูกต้อง! ฉันขอร้องอลิซเอาไว้แล้ว เธอสวยและมีความสามารถมาก … เอ่อ! ฉันเพิ่งทำพลาดไปสินะ ฉันขอเตือนนายไว้ก่อนที่ฉันจะเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเราสองคน ห้ามนายเข้าไปยุ่งกับผู้หญิงคนอื่น…” หญิงสาวพูดติดตลก


 


“คุณหมายถึงอะไรที่ว่า ‘ห้ามไปยุ่งกับคนอื่น?’ นั่นมันฟังดูแย่มาก! หรือว่าคุณสูญเสียความทรงจำไปอย่างสิ้นเชิงแล้วกัน อย่าบอกผมนะว่าคุณลืมแม้กระทั่งว่าผมเป็นคนแบบไหน!”


 


ทีน่าซึ่งอยู่อีกปลายสายโทรศัพท์เงียบไปครู่หนึ่ง “ไม่พูดถึงเรื่องการสูญเสียความทรงจำของฉันจะได้ไหม ลี่เฉิน…”


 


“โอ้ ผมขอโทษ”


 


“ไม่เป็นไร แค่อย่าทำอีกก็แล้วกัน!” น้ำเสียงของทีน่ากลับมารื่นเริงอีกครั้ง “โอ้ ใช่ แล้วธุรกิจของนายตอนนี้เป็นไงบ้างล่ะหลังเปิดโรงฆ่าสัตว์แห่งใหม่ไปแล้ว?”


 


“ไม่เลวเลย ปัจจุบันยังคงมีกำไรสุทธิอยู่ที่ประมาณ 150,000 ดอลลาร์ต่อวัน”


 


จำนวนตัวเลขที่จางลี่เฉินบอกกล่าวทำให้เกิดสัญชาตญาณตามธรรมชาติของหญิงสาวขึ้นในทันที “ว้าว! เกินความคาดหมายของฉันไปมากเลยนะเนี่ย! กำไรสุทธิ 150,000 ดอลลาร์ทุกวัน หากนายสามารถรักษาสิ่งนี้ไว้ได้สามเดือน บริษัทของนายจะมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในกรณีนี้เพียงแค่คืนเดียวนายจะกลายเป็นมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในนิวยอร์ก ในอเมริกาหรือแม้แต่บนโลกทั้งใบ…”


 


“ผมไม่อยากให้บริษัทผมเป็นที่รู้จักต่อสาธารณะนักแม้ว่ามันจะทำให้ผมกลายเป็นเศรษฐีขนาดไหนก็ตาม ผมลองคำนวณแล้ว ผมสามารถสร้างรายได้ประมาณ 100 ล้านดอลลาร์ต่อปีเมื่อขั้นตอนที่สามเสร็จสมบูรณ์ นี่ก็เพียงพอแล้วสำหรับผม”


 


“สำหรับตอนนี้! แต่ที่รัก นายจะไม่พอใจเมื่อนายมีมากขึ้นนั่นเป็นธรรมชาติของมนุษย์” หญิงสาวพูดอย่างมั่นใจ “ฉันได้ทำการประมาณเอาไว้แล้ว ตลาดที่กินเนื้อมีประชากร 18 ล้านคนทั่วนครนิวยอร์กยกเว้นคนจนและเกษตรกรที่สามารถซื้อเนื้อสัตว์แช่แข็งเองได้ หากนายครอบครองตลาดโรงฆ่าสัตว์ต้นน้ำในลักษณะอิ่มตัวตามราคาของนาย นายจะได้รับที่อย่างน้อยปีละ 800 ล้านดอลลาร์หรือแม้กระทั่งหนึ่งพันล้านดอลลาร์ถ้าตลาดเป็นไปด้วยดี! ฉันเพียงมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับโอกาสทางธุรกิจของนายแต่ฉันไม่ได้คาดหวังว่ามันจะกลายเป็นสิ่งที่น่าหลงใหล”


 


“ทีน่า มันฟังดูเป็นตัวคุณมากนะรู้ไหมเมื่อคุณพูดเรื่องแบบนี้” หลังจากเดินตามหลังฝูงชนมานาน จางลี่เฉินที่ได้ออกมาด้านนอกสนามบินก็เห็นผู้คนตามทางที่มีป้ายชื่อพร้อมเสียงตะโกนเรียกก่อนจะพูดว่า “ทีน่า ตอนนี้ผมออกมาอยู่ด้านนอกแล้ว เสียงมันดังมากผมคงต้องวางสายก่อน แล้วไว้เจอกัน ลาก่อนทีน่า”


 


“อลิซสูงประมาณฉันเลย ผิวของเธอเป็นสีคาราเมลอ่อน ๆ และเธอมีใบหน้าสวยงามที่สะดุดตามาก ฉันจะรอพบนายอยู่ที่เกาะคาไว ลาก่อนลี่เฉิน! ฉันรอนายอยู่นะ!” หญิงสาวพูดอย่างรวดเร็ว


 


หลังวางสายจางลี่เฉินก็รีบมองหาผู้หญิงสวย ๆ ตัวสูงตามคำอธิบายของทีน่าในฝูงชนที่มารอรับในทันที


 


ไม่นานเขาก็เห็นหญิงสาวสวยคนหนึ่งโบกแท็บเล็ตในมืออย่างต่อเนื่องโดยใช้คำว่า ‘ลี่เฉิน จาง’ ด้วยตัวอักษรสีสันท่ามกลางฝูงชนและชาวฮาวายพื้นเมือง


 


ผู้หญิงคนนั้นสวมเสื้อยืดเล็ก ๆ ที่โชว์สะดือของเธอในขณะที่เธอสวมกางเกงขาสั้นตัวจิ๋วเพื่อปกปิดร่างกายส่วนล่าง จากลักษณะใบหน้าของเธอเธอน่าจะเป็นสาวผิวขาวทั่วไปที่ดูต่างจากชาวฮาวายพื้นเมืองที่มีผิวเข้มคล้ายชาวแอฟริกัน


 


อย่างไรก็ตามเนื่องจากสาเหตุที่ผิวของเธอสัมผัสกับแสงแดดต่อกันเป็นเวลานานผิวของเธอจึงเปลี่ยนสีเป็นคาราเมลไม่เหมือนกับผิวเดิมตามเชื้อชาติของเธอ เธอสูงประมาณ 175 เซนติเมตรพร้องด้วยร่างกายที่มีสัดส่วนน่าชื่นชมและแข็งแรง


 


รูปร่างที่พอดีดังกล่าวนั้นสมบูรณ์แบบมากในสายตาของชาวตะวันตกแต่ดูเหมือนจะไม่ได้มีผลอะไรมากนักในสายตาของชาวเอเชีย “โอ้ หญิงสาวที่ดูแข็งแรงคนนั้น… โชคดีที่ทีน่าไม่เป็นแบบเธอ…”


 


จางลี่เฉินเดินตรงไปหาหญิงสาวขณะพึมพำกับตัวเอง


 


เสียงของเขาไม่ได้ดังมากและสภาพแวดล้อมโดยรอบก็ค่อนข้างเสียงดัง ทว่าหญิงสาวที่ชื่ออลิซก็มีประสามสัมผัสไวมากดังนั้นจางลี่เฉิงจึงเสร็จสิ้นกับความคิดเห็นที่เขามีต่อเธอลงไปในทันทีที่เธอจ้องมองมา


 


หลังได้จ้องตากับหญิงสาวแล้วจางลี่เฉินก็เริ่มรู้สึกเสียใจกับการพูดของตัวเองอย่างกระทันหัน อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ที่เขาได้พัฒนาขึ้นมาเป็นพ่อมดระดับ 5 และได้รับคาถา“ลดความซับซ้อน” มาเขาไม่จำเป็นต้องพึมพำคาถาเพื่อสั่งการพ่อมดของเขาอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ต้องตกอยู่ในสภาวะของความมีเหตุและผลแบบสัมบูรณ์เขาจึงไม่ได้เอ่ยปากขอโทษเธอออกไปแต่แกล้งทำเป็นไม่สนใจและเลือกที่จะถามว่า “คุณคืออลิซใช่ไหม?”


 


“ใช่”


 


“ผมคือเพื่อนทีน่า และเป็นเจ้าของชื่อที่คุณเขียนอยู่บนแท็บเล็ตนี้ด้วย”


 


“โอ้ งั้นหรอกเหรอ? งั้นก็ไปกันเถอะ” ตั้งแต่ที่ชายหนุ่มพูดว่า “โชคดีที่ทีน่าไม่เป็นแบบเธอ…” หญิงสาวก็พอรู้ตัวตนของจางลี่เฉินได้ก่อนจะหันหลังออกจากสนามบินไปในทันทีเมื่อพูดจบ


 


มันยากสำหรับจางลี่เฉินที่จะเข้าใจว่าความผิดพลาดของเขานั้นร้ายแรงเพียงใดกับการใช้คำว่า “ดูดี” เพื่ออธิบายหญิงสาวที่ค่อนข้างหยิ่งคนนี้เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาและร่างกายของเธอ เขารู้สึกว่าการที่อลิซแสดงสีหน้าที่เย็นชาต่อเขาแบบนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะชดเชยให้กับความผิดพลาดของเขา


 


ชายหนุ่มยักไหล่ก่อนจะเดินตามหลังหญิงสาวไปแล้วพูดว่า “ทีน่าบอกว่าคุณจะช่วยผมจัดการทุกอย่างที่โฮโนลูลู คุณช่วยพาผมไปที่โรงแรมที่ดีที่สุดของที่นี่เพื่อเก็บกระเป๋าเดินทางของผม…”


 


“โรงแรมดี ๆ ทั้งหมดของที่นี่เต็มหมดแล้วสำหรับฤดูกาลนี้…” อลิซตั้งใจทำสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นเรื่องยากสำหรับชายร่างผอมที่กำลังติดตามเธอจากด้านหลังซึ่งดูไม่มีท่าทีเสียใจต่อคำพูดตัวเองเลย


 


“แต่เพราะทีน่ารู้ว่าผมกำลังจะมาหาเธอก็น่าจะจองห้องพักโรงแรมที่ดีที่สุดในเมืองนี้ให้ผมไว้แล้วไม่ใช่หรอ?”


 


อลิซนิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง “เหอะ ใช่! นายพูดถูก! เธอได้จองห้องพักที่โรยัลฮาวายเอี้ยนไว้ให้นายแล้ว”


 


ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันพวกเขาก็ค่อย ๆ เดินออกจากสนามบินไป ในทันใดนั้นจางลี่เฉินก็รู้สึกถึงแดดแรง ๆ ที่ปะทะเข้ากับใบหน้า โชคดีที่อุณหภูมิของสภาพแวดล้อมกลางแจ้งของโฮโนลูลูนั้นเย็นกว่าที่เขาคาดไว้มาก แม้ว่าดวงอาทิตย์จะแผดเผาอย่างแรกแต่มันก็รู้สึกร้อนแค่เพียง 30 องศาเท่านั้น


 


ชายหนุ่มสูดอากาศชื้นที่อบอุ่นและเค็มเล็กน้อยซึ่งเป็นลักษณะของเกาะเขตร้อน เขาวางมือบนที่พักพิงและถามว่า “รถของคุณอยู่ที่ไหนล่ะอลิซ? คุณสามารถขับมาตรงนี้ได้ไหม”


 


เหตุผลที่จางลี่เฉินร้องขอเช่นนั้นเป็นเพราะเขาเพิ่งเดินลงจากเครื่องบินและถือกระเป๋าเดินทางของเขามาด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตามอลิซที่มีความประทับใจครั้งแรกกับจางลี่เฉินไม่ค่อยดีนักเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของเขาอีกเธอจึงรู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้กำลังปฏิบัติต่อเธอในฐานะคนขับรถรับจ้างมากกว่าสถานะเพื่อนของเพื่อนเขา


 


“นายควรจะเดินไปที่รถพร้อมกันกับฉัน” หญิงสาวตอบขณะพยายามระงับความโกรธของตัวเอง


 


เมื่อเห็นการแสดงออกที่รุนแรงของเธอจางลี่เฉินก็ตอบกลับไปว่า “ก็ได้!” ก่อนจะตามเธอไปยังลานจอดรถนอกสนามบิน หลังจากเดินไปสักพักหนึ่งพวกเขาก็หยุดชะงักต่อหน้าโฟล์คสวาเกน บีเทิลสีชมพู


 


“ดูเหมือนรถคันนี้จะเก่ามาก…” ชายหนุ่มตบหลังคารถขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรเพิ่มเติม “หญิงสาวที่สามารถขับรถคันนี้จะต้องเป็นคนที่มีรสนิยมมากแน่… ” และทันใดนั้นอลิซก็เปิดประตูเข้าไปยังที่นั่งคนขับโดยไม่ทันฟังจนจบว่าเขาจะพูดอะไร


 


“ฉันรู้ว่ารถของฉันเก่ามากแต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทองและสามารถอยู่ในรีสอร์ทระดับห้าดาวได้ทุกครั้งที่ไปเที่ยวพักผ่อน! ขึ้นรถมิสเตอร์จางลี่เฉิน! ฉันจะไปส่งที่โรยัลฮาวายเอี้ยนโลกที่นายคุ้นเคย!”


 


จางลี่เฉินที่ตกตะลึงจนพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่งก็ขึ้นไปนั่งบนที่นั่งผู้โดยสารถัดจากที่นั่งคนขับโดยไม่ได้อธิบายอะไรและตัดสินใจที่จะผูกมิตรกับผู้หญิงคนนี้อีกทีหลังจากที่เขาไปถึงโรงแรม


 


ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่ตามลำพังอลิซก็ขับรถออกจากลานจอดรถของสนามบินโฮโนลูลูเพื่อไปตามถนนในฮาวาย


 


ระหว่างทางจะมีรูปปั้นผิวดำของผู้นำชนพื้นเมืองที่สวมผ้าลินินสี ๆ พร้อมกับสวมหมวกหนังซึ่งสามารถมองเห็นได้ที่ด้านหน้าอาคารสไตล์อังกฤษที่ล้อมรอบไปด้วยสนามหญ้าสีเขียวถัดจากถนน


 


หลังจากผ่านตึกสูงระฟ้าหลายแห่งเขาก็สามารถเห็นพ่อค้าขายของเดินอยู่ริมถนนที่ขายหุ่นและไม้แกะสลักแปลกตา


 


จากทางแยกไฟแดง ทิวทัศน์ในระยะทางด้านข้างของเขาคือท้องฟ้าสีฟ้าคราม อย่างไรก็ตามในขณะที่พวกเขาขับรถผ่านทางแยกสิ่งที่เขาเห็นต่อไปก็คือสุสานที่เต็มไปด้วยไม้กางเขน


 


เมื่อได้ลองสังเกตเมืองที่แปลกประหลาดแห่งนี้ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรดึกดำบรรพ์ของชาวพื้นเมืองเมื่อ 200 ปีก่อนแต่ปัจจุบันได้กลายเป็นเมืองหลวงที่อายุน้อยที่สุดของประเทศที่พัฒนาแล้วที่สุดในโลก จางลี่เฉินรู้สึกว่าโฮโนลูลูเป็นเมืองที่มีอารยธรรมมากมายที่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบอยู่ตลอด


 


และสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่เชื่อมโยงกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ



ตอนที่ 140

โรงแรมโรยัลฮาวายเอี้ยนตั้งอยู่ใจกลางแหล่งท่องเที่ยวและย่านการค้าของโฮโนลูลู


 


ที่ฮาวาย อาคารจะถูกควบคุมอย่างเข้มงวดทำให้ไม่สามารถคาดหวังได้ว่าโรงแรมระดับสูงจะหรูหราเหมือนที่พบทางฝั่งตะวันออกกลาง อย่างไรก็ตามพวกเขามีข้อได้เปรียบเป็นของตนเองซึ่งนั่นก็คือการที่นักท่องเที่ยวจะสามารถมองเห็นวิวทะเลที่สวยที่สุดในโลกได้โดยตรง คุณสามารถเดินบนผืนทรายนุ่มละเอียดและเพลิดเพลินไปกับแสงแดดพร้อมอากาศที่บริสุทธิ์ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมไปเพียงไม่กี่ก้าวได้


 


อย่างไรก็ตามอย่าได้ดูถูกดูแคลนประเด็นเหล่านี้ที่เหมือนไม่มีนัยสำคัญไปเป็นอันขาด ในความเป็นจริงแล้วภายในหัวใจของคนจำนวนมากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่เหนือกว่าที่อื่นก็ไม่สามารถมาแทนที่ความหรูหราใด ๆ ที่สร้างขึ้นมาได้


 


ยี่สิบนาทีหลังลงจากเครื่องบิน จางลี่เฉินก็ได้เข้ามานั่งอยู่ในรถของอลิซเพื่อเดินทางไปยังโรงแรมโรยัลฮาวายเอี้ยน เมื่อเขาเดินเข้าไปด้าน พนักงานที่ยืนรอต้อนรับก็เดินเข้ามาสอบถามเขาในทันที “เซอร์ มีอะไรให้ดิฉันช่วยเหลือหรือไม่คะ?”


 


“ผมชื่อจางลี่เฉินได้จองห้องพักที่นี่เอาไว้” ชายหนุ่มตอบก่อนจะหันหน้าไปมองอลิซที่เพิ่งผลักประตูเข้ามาหลังจากส่งโฟล์คสวาเกน บีเทิลของเธอให้พนักงานไปจอดรถพร้อมค่าตอบแทนสามดอลลาร์ “ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือทุกอย่างนะครับมิสอลิซ ผมสามารถจัดการที่เหลือต่อด้วยตัวเองได้แล้วในตอนนี้…”


 


แม้ว่าคำพูดของจางลี่เฉินจะดูเลี่ยง ๆ แบบสุภาพแต่มันก็ชัดเจนมากว่าเขาต้องการให้เธอจากไป ทันทีที่อลิซได้ยินเธอก็อ้าปากค้างพร้อมพูดว่า “คุณอยากให้ฉันไปงั้นเหรอ? นี่คุณกำลังไล่ฉันอยู่ใช่ไหม?”


 


จางลี่เฉินไม่ได้ตอบอะไรกลับเพียงแต่ส่งยิ้มให้เท่านั้น


 


เมื่อเจอคนหยาบคายแบบนี้เป็นครั้งแรกใบหน้าของหญิงสาวผิวคาราเมลก็ขึ้นสีแดงด้วยความไม่พอใจขึ้นมาทันที แต่หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเธอก็พูดขึ้นด้วยท่าทีสงบว่า “ฉันขอโทษมิสเตอร์ลี่เฉิน ทัศนคติของฉันที่มีต่อคุณในวันนี้หลังจากได้ไปรับคุณที่สนามบินเป็นสิ่งที่ค่อนข้างแย่ บางสิ่งที่น่ารำคาญกำลังชั่งน้ำหนักอยู่ในใจของฉันดังนั้น…ฉันได้ให้สัญญากับทีน่าไว้แล้วว่าฉันจะเป็นไกด์นำเที่ยวให้กับคุณ หวังว่าฉันจะได้รักษาสัญญาของตัวเอง ฉันต้องขอโทษคุณจริง ๆ ฉันเสียใจด้วย”


 


การจู่โจมอย่างอ่อนโยนของหญิงสาวตรงหน้าที่ลดทัศนคติของเธอลงทำให้จางลี่เฉินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับด้วยคำโกหกไปว่า “มิสอลิซ ที่ผมต้องการให้คุณจากไปเพราะผมไม่ต้องการรบกวนคุณมากเกินไปกว่านี้อีกแล้ว เนื่องจากคุณยินดีที่จะเป็นไกด์ให้แน่นอนว่าผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยรอผมที่ล็อบบี้ระหว่างที่ผมไปเก็บของที่ห้องก่อนจะได้ไหม? แล้วผมจะรีบลงมา”


 


“ก็ได้ เอาแบบนั้นก็ได้” หญิงสาวตอบก่อนจะหันหน้าไปทางที่นั่งรอล็อบบี้ของโรงแรมที่สามารถมองเห็นทะเลสีฟ้าผ่านประตูหลังที่มีผู้คนกำลังเดินเข้าออกเป็นระยะ ๆ


 


ขณะที่ทั้งคู่แยกตัวออกจากกัน ในเวลาเดียวกันนั้นได้มีเรือใหญ่ลำหนึ่งกำลังแล่นผ่านผิวน้ำทะเลที่นิ่งสงบในมหาสมุทรแปซิฟิกซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณสามถึงสี่ไมล์ทะเลจากเกาะโอวาฮู นกนางนวลหลายสิบตัวบินต่ำอยู่เหนือผิวน้ำเพื่อจับปลาตัวเล็ก ๆ ที่ลอยขึ้นมาเป็นอาหาร


 


โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า คลื่นทะเลม้วนตัวสร้างความวุ่นวานครั้งใหญ่ คลื่นขนาดใหญ่จำนวนมากที่ถูกสร้างขึ้นโดยน้ำทะเลรวมตัวเข้าด้วยกัน มันถูกสร้างเป็นประตูขนาดยักษ์ที่มีความสูงประมาณหกถึงเจ็ดเมตรและมีความกว้างประมาณสามถึงสี่เมตร ประตูลึกลับนี้ถูกแกะสลักด้วยลวดลายที่ซับซ้อนในขณะที่มันส่องประกายภายใต้แสงอาทิตย์ มันเป็นเหมือนกับคริสตัลสีน้ำเงินชิ้นใหญ่


 


นกนางนวลไม่สามารถหยุดตัวเองได้ทันเวลาก่อนจะหายตัวเข้าไปในประตูกลางเวหาขนาดใหญ่นี้ ของเหลวในร่างกายพองตัวจนทำให้ร่างของมันระเบิดออกเป็นหมอกเลือด


 


เลือดนกนางนวลสาดกระเซ็นลงมาจากประตูคริสตัลสีฟ้า แต่ก่อนที่มันจะหยดลงสู่ทะเลทันใดนั้นประตูยักษ์ก็ถูกเปิดออก เรือไม้โบราณที่มีชิ้นส่วนหลายชิ้นถูกปะด้วยตะปูแล่นออกมาจากมันก่อนจะตกลงไปในมหาสมุทรแปซิฟิก


 


เรือโบราญลอยลำอยู่กลางทะเลอย่างเงียบ ๆ ไม่นานหลังจากนั้น ชายคนหนึ่งที่มีความสูงกว่าสองเมตรและทั่วทั้งตัวก็ถูกคลุมไปด้วยเกราะหนัก ๆ ได้ลุกขื้นยืนจากดาดฟ้าเรือพร้อมถือดาบยาวอยู่ในมือ


 


เขาส่ายหัวขณะยืนนิ่งก่อนจะถอดหมวกเหล็กออกเผยให้เห็นปากทรงกว้างและจมูกที่คล้ายกันกับสิงโต เมื่อมองไปที่มหาสมุทรแปซิฟิกที่นิ่งสงบและสวยงาม ชานคนนั้นก็ตะโกนอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาว่า “ที่นี่คือโลกของปีศาจพวกนั้น!  หากปราศจากแมกมา เปลวไฟ และความเศร้าโศกเสียใจ โลกของพวกเขาช่างสวยงามและเงียบสงบเหมือนกับของพวกเรา! พวกเขาเองก็มีโลกเป็นของตัวเองอยู่แล้วทำไมถึงยังต้องการไปที่โลกของเราอีกด้วย… ”


 


เมื่อคนที่เหมือนสิงโตร้องโวยวาย ชายในชุดคลุมสีดำที่ปกปิดตัวอย่างมิดชิดก็ลุกยืนขึ้นบนดาดฟ้าเรือโบราณแล้วพูดว่า “เป็นเพราะเราอ่อนแอเมื่อเทียบกับพวกเขา เรื่องง่าย ๆ ที่ใครก็เข้าใจ แคสเดีย หยุดทำตัวยิ่งใหญ่และคำพูดจาที่น่าโอหังแบบนั้นซะ เจ้าและผองเพื่อนยังเคยตัดหัวคนเถื่อนหลายพันคนก่อนที่จะฉกฉวยดินแดนของพวกเขามาอยู่เลย…”


 


“แต่คนพวกนั้นเป็นพวกคนป่าไร้อารยธรรม! พวกคนเถื่อนที่เชื่อในวิญญาณชั่ว ๆ ก็ไม่ต่างอะไรจากสัตว์ร้าย ในทางกลับกันพวกเราเป็นคนที่มีอารยธรรมแห่งศรัทธา…”


 


“เจ้าเห็นเรือลำใหญ่นั่นไหม?” ชายในชุดคลุมสีดำชี้ไปที่เรือขนาดยักษ์ที่กำลังจะหายไปบนพื้นทะเลก่อนที่จะชี้มาที่เรือไม้ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา ด้วยน้ำเสียงประชดกระชันแต่จริงจังเขาเอ่ยถามไปว่า “เจ้าคิดว่าในสายตาของผู้ที่สามารถสร้างเรือเหล็กขนาดยักษ์เช่นนั้นได้จะมองเจ้าผู้ซึ่งมีอารยธรรมแห่งศรัทธาเป็นพวกเดียวกันกับพวกคนเถื่อนที่เจ้าเคยตัดหัวไปหรือไม่?”


 


“ท่านกำลังดูถูกทุกคนในชาติเรดไอรอนที่เชื่อในพระเจ้าที่แท้จริง! มันคือการดูหมิ่นต่อพระเจ้า!” แคสเดียไม่สามารถยอมรับคำพูดของชายในชุดคลุมสีดำได้ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจโบกดาบยาวในมือชี้ไปที่คอของชายในชุดคลุมสีดำในทันใด


 


ชายในชุดคลุมสีดำมองดูปลายดาบที่กำลังจะเฉือนคอด้วยท่าทีนิ่งสงบ ขณะที่เขากำลังจะถูกตัดหัว เสียงอันแหบห้าวที่น่าเกรงขามก็ดังก้องกังวานขึ้น “พอได้แล้วแคสเดีย! ที่นี่คือโลกของพวกปีศาจ ดินแดนที่ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงอำนาจที่แท้จริงของพระเจ้า เราต้องการความช่วยเหลือจากประชาชนชาติเรดไอรอนทุกคนไม่ว่าพวกเขาจะเป็นเช่นไรก็ตาม อย่าลืมว่าเผ่าโกลเด้นโรสได้เสียสละหนึ่งในสามทหารองครักษ์ของพวกเขาและจอมเวทย์ไปหลายสิบคนเพียงเพื่อทำลายการป้องกันเครื่องจักรโลหะปีศาจเหล่านั้นและให้พวกเราก้าวเข้าสู่โลกใบนี้ได้สำเร็จ มีคนบนเรือน้อยมากที่รอดพ้นจากความวุ่นวายของเวทน้ำมาได้ ด้วยเหตุนี้เราจำต้องรักษาทุกพลังที่เรามี!”


 


ดาบยาวหนัก ๆ หยุดกวัดแกว่งในทันใด แคสเดียผู้กล้าหาญและแข็งแกร่งดุจสิงห์กัดฟันด้วยความไม่พอใจก่อนจะเก็บดาบลงและพูดขึ้นว่า “เข้าใจแล้ว ท่านนักปราชญ์อัลท์แมน”


 


“จอมเวทย์ยูลีนาสและแคสเดียจะควบคุมอารมณ์ของตัวพวกเขาเอง หวังว่าทั้งคู่จะระวังคำพูดกันให้มากกว่านี้ ในฐานะผู้ไร้ศรัทธา บางทีเจ้าอาจสามารถหลบหนีจากการเฝ้าดูของท่านเทพในดินแดนปีศาจแห่งนี้ได้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่น่าภาคภูมิใจนัก” คนที่สามที่ขึ้นมายืนอยู่บนดาดฟ้าคือคนแก่หลังค่อม เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีม่วงมีผมสั้นแต่บริเวณตรงกลางศีรษะเขาโกนผมทิ้งไปจนหมด


 


แม้เขาจะดูแก่แต่แววตาเต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาด มือของเขากำลังถือหนังสือเล่มหนาอยู่ตรงหน้าซึ่งเขาไม่ยอมปล่อยวางมันลงแม้แต่ครู่เดียว


 


“ท่านนักปราชญ์อัลท์แมน ข้าคือผู้ที่เคารพใน ‘พิษ’ และ ‘กรด’ ข้าเป็นหมอผีไม่ใช่จอมเวทย์…แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ จะเป็นความเชี่ยวชาญใดก็ไม่สำคัญแล้วในตอนนี้ สิ่งสำคัญคือเราจะต้องไม่สูญเสียพลังของพวกเราไปอีกแม้แต่น้อย” ยูลีนาสตอบกลับก่อนจะกางแขนของเขาและร่ายคาถาออกมาสองสามบท ในไม่ช้าหยดของฟองสีเขียวเข้มสกปรกที่มีขนาดเท่าลูกปิงปองก็พุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขา


 


เมื่อเห็นลูกสีเขียวเล็ก ๆ เช่นนี้แล้วใบหน้าของแคสเดียก็เต็มไปด้วยความระมัดระวังไปในทันที เขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อปกป้องนักปราชญ์อัลท์แมนพร้อมหยิบโล่ที่มีขนาดเท่ากับกระทะจากด้านหลังมาถือมันไว้ในมือของเขา แสงสีเหลืองที่คล้ายกับเปลวไฟกำลังลุกไหม้ร่างกายของเขาภายในพริบตาก่อนจะขยายโล่เป็นโล่ขนาดใหญ่อย่างลึกลับ


 


“พระเจ้าอวยพร แคสเดีย ดูเหมือนว่าทั้งเจ้าและยูลีนาสจะยังไม่สูญเสียพลังไปแต่อย่างใด” ดูเหมือนอัลท์แมนจะไม่ได้เห็นการเผชิญหน้าการประลองสู่ความตาย เขาเปิดหนังสือเล่มหนาในมือ มองดูเรือยักษ์และนกนางนวลที่วาดขึ้นบนหน้ากระดาษ “อำนาจการปกครองความจริงของข้าถูกปิดกั้นแต่ข้ายังพอมีพลังในการเห็นแจ้งอยู่ ดูเหมือนว่าโลกนี้จะไม่ต้อนรับพลังของพระเจ้า แต่มันทนต่อพลังของมนุษย์อย่างมาก เอาล่ะ พวกเราควรหันไปดูว่ายังมีคนของเราเหลืออีกกี่ชีวิต จากนั้นก็ขึ้นไปบนฝั่งเพื่อทำตัวเยี่ยงคนบนโลกปีศาจนี้ ไม่มีเวลาเหลือมากพอสำหรับชาติเรดไอรอนอีกแล้ว”


 


เมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของนักปราชญ์ ทั้งนักรบและหมอผีก็แยกย้ายกันไปอย่างเงียบ ๆ พลังลึกลับในร่างกายของพวกเขาพร้อมที่จะระเบิดออกมาเมื่อใดก็ได้ตามที่ต้องการ จากนั้นพวกเขาก็เริ่มทยอยนับผู้รอดชีวิตที่เหลืออยู่บนเรือ


 


ไม่กี่วินาทีต่อมาร่างคนประมาณเจ็ดถึงแปดคนก็ลุกขึ้นยืนบนดาดฟ้าของเรือโบราณเพื่อโยนศพลงทะเลพร้อมกับชุดเกราะและอาวุธต่าง ๆ


 


เมื่อลดภาระของเรือให้ได้น้อยที่สุดเสร็จแล้วมีชายร่างผอมบางคนพบไม้พายจากห้องเก็บของและก็เริ่มพายเรือไม้ตรงไปยังเกาะโอวาฮู


 


เมื่อเรือโบราณตัดผ่านลมและคลื่นขณะเดินทางไปข้างหน้า จางลี่เฉินผู้ซึ่งวางกระเป๋าไว้ในห้องพักโรงแรมเสร็จก็ได้โทรหาแม่ของเขาเพื่อแจ้งข่าวให้เธอรู้ว่าเขาเดินทางมาถึงฮาวายได้อย่างปลอดภัยแล้วก่อนจะกลับไปนั่งอยู่ในรถของอลิซเพื่อขับรถเล่นไปตามถนนในโฮโนลูลู


 


“อลิซ ผมคิดว่าเราควรไปที่ท่าเรือกันก่อนเพื่อสอบถามเวลาการเดินเรือไปเกาะคาไวพรุ่งนี้” ชายหนุ่มมองต้นปาล์มที่อยู่ตามข้างทางในขณะที่เขาเริ่มพูดแบบเป็นกันเอง


 


“มิสเตอร์ลี่เฉิน คุณจะต้องเดินทางไปเกาะคาไวโดยเครื่องบิน มีเพียงหนึ่งเที่ยวบินทุก ๆ สองวันในตอนเช้า หรือพูดอีกอย่างคือคุณสามารถไปเกาะคาไวได้ในวันรุ่งขึ้นเท่านั้น”  หญิงสาวที่ตั้งใจสอนบทเรียนบางอย่างให้จางลี่เฉินแกล้งกุเรื่องขึ้นมาสร้างความเข้าใจผิด ๆ


 


“โดยเครื่องบิน? บ้าเอ้ย! ผมหาข้อมูลมาแค่เฉพาะการเดินทางมาฮาวาย โธ่! งั้นตอนนี้ก็ต้องจองตั๋วก่อนเลย”


 


“ไม่จำเป็นต้องจองตั๋วก่อนหรอก เครื่องบินที่ไปเกาะคาไวไม่ค่อยมีคนมากนัก คนส่วนใหญ่ที่มาฮาวายก็จะพักกันที่โฮโนลูลูสองสามวันก่อนออกเดินทางกันทั้งนั้น กำหนดการที่ฉันจัดให้ในวันนี้คือการพาคุณไปตลาดฮาวายดั้งเดิมที่ ๆ นักท่องเที่ยวไม่ค่อยได้สัมผัสอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่ จากนั้นฉันจะพาไปหาเพื่อนสองสามคนเพื่อพาคุณตั้งปาร์ตี้บาร์บีคิวและตั้งแคมป์กันนอกเมืองโฮโนลูลูที่เขตภูเขาไฟเพื่อให้คุณได้รู้ว่าชาวฮาวายท้องถิ่นชอบที่จะใช้เวลาในช่วงฤดูร้อนกันอย่างไร”


 


“ตั้งแคมป์? มันจะไม่เป็นอะไรสำหรับผู้หญิงเช่นคุณที่จะออกมาค้างคืนข้างนอกหรอกเหรอ?” คำพูดของจางลี่เฉินที่ดูเหมือนจะเจตนาดีแต่กลับฟังดูเหมือนเป็นการเยาะเย้ยในหูของอลิซอีกครั้ง


 


“ไม่ต้องห่วง มันก็แค่การดื่มเบียร์และย่างบาร์บีคิวในช่วงฤดูร้อนกับเพื่อนสนิทที่ฉันรู้จักมาตั้งแต่เด็ก ๆ ก็เท่านั้น หนุ่ม ๆ สาว ๆ ในวัยเดียวกันและพ่อแม่ของฉัน ไม่ต้องเป็นกังวลไป” หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาว่า “แต่สำหรับคุณแล้วฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าคุณจะกล้าไปที่นั้นไหมนะ ขอเตือนล่วงหน้าไว้ก่อนก็แล้วกันว่าการพักค้างคืนในเขตพื้นที่ภูเขาไฟน่ะน่ากลัวไม่แพ้สิ่งใดเหมือนกัน!”


 


จางลี่เฉินมองไปที่หญิงสาวด้านข้างและแตะกระเป๋าข้างขาเขาอย่างสังหรณ์ใจก่อนที่จะยิ้ม  “ผมได้อ่านออนไลน์ว่ามีพื้นที่ชีวมณฑลที่ไม่เหมือนใครรอบ ๆ ภูเขาไฟฮาวายอยู่ และแต่ละเกาะก็มีความแตกต่างกัน ผมมีความตั้งใจที่จะไปดูมันจริง ๆ”


 


ขณะที่ชายหนุ่มกำลังพูดอยู่หญิงสาวก็จอดรถของเธอด้านหน้าของตึกระฟ้าห่างจากชายหาด “นั่นเป็นเรื่องที่เยี่ยมมากมิสเตอร์ลี่เฉิน ฉันจะช่วยทำให้คุณคุ้นเคยกับ ‘ชีวมณฑล’ ที่ไม่เหมือนใครรอบ ๆ บริเวณภูเขาไฟของโฮโนลูลูในคืนนี้เอง



ตอนที่ 141

ตลาดดั้งเดิมของฮาวายที่อลิซพาจางลี่เฉินมาตั้งบนพื้นที่โล่งขนาดใหญ่ด้านหลังอาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นบริเวณที่จอดรถ อาจกล่าวได้ว่านักท่องเที่ยวที่มาพักผ่อนในช่วงวันหยุดที่โฮโนลูลูจะไม่สามารถค้นหาสถานที่ที่แปลกประหลาดแบบนี้ได้เองเว้นแต่ว่าพวกเขาจะทำการบ้านอย่างเต็มที่ก่อนมาเที่ยว


 


จางลี่เฉินเดินตามหญิงสาวที่เดินผ่านเคาน์เตอร์แบรนด์ขนาดใหญ่ชั้นหนึ่งของอาคารออกไปด้านนอก หลังจากที่เขาออกจากอาคารมาก็จะเข้าสู่บริเวณพื้นที่ของตลาดดั้งเดิมในทันที จางลี่เฉินรู้สึกราวกับว่าเขาเพิ่งก้าวข้ามมายังโลกที่แตกต่างไปจากเดิมอีกครั้ง


 


ขณะใช้มือของตัวเองปิดบังแสงแดดที่แยงตา จางลี่เฉินมองไปที่ชายหนุ่มคนหนึ่ง เขามีทั้งห่วงทองเหลืองเจาะอยู่ที่จมูกและสวมเสื้อไนกี้สีขาว เขาถือรังผึ้งที่มีขนาดเท่าลูกบอลไว้ในมือขณะตะโกนเรียกลูกค้าให้เข้ามาสนใจ


 


เมื่อเขาหันหลังกลับมาเขาสามารถมองเห็นพนักงานจากเคาน์เตอร์แบรนด์ที่กำลังยืนยิ้มให้เขาอย่างเป็นมืออาชีพ เขาหันไปพูดกับอลิซด้วยความตกใจว่า “การวางหลุยส์วิตตองขายในพื้นที่เล็ก ๆ ที่พอเดินออกมาก็จะเจอกับตลาดนัดขนาดใหญ่ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่คืออะไร ตุ๊กตาบาร์บี้ที่ทำมาจากไม้นี่ ว้าว มันช่างน่าตื่นเต้นจริงๆ!”


 


“มันคือตุ๊กตาวูดู! เช่นเดียวกับแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เกาะนี้เองก็เป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดของลัทธิวูดูเหมือนกัน จนถึงตอนนี้มากกว่าหนึ่งในห้าของผู้คนที่นี่ยังคงเชื่อในลัทธิวูดูอยู่ สำหรับพวกเราชาวฮาวายแล้วประเพณีมีความสำคัญยิ่งกว่าสิ่งของหรูหราพวกนั้นเยอะ มาเถอะมิสเตอร์ลี่เฉิน ฉันจะพาดูรอบ ๆ นี้เอง”


 


ขณะที่อลิซกำลังพูดอยู่ตัวเธอก็เริ่มเดิมเข้าสู่ตลาดดั้งเดิมไปพร้อม ๆ กัน จางลี่เฉินเดินตามหลังเธอไปอย่างว่าง่ายขณะสะพายกระเป๋าเป้พลางมองรอบ ๆ ตลาด ส่วนใหญ่ของคนที่มาตลาดนี้มักจะมีผิวสีแทนซึ่งหมายความว่าที่ตลาดนี้ไม่ใช่กับดักของนักท่องเที่ยวที่จ้องจะขายแต่ของที่ระลึกประหลาด ๆ มันเป็นตลาดที่ให้บริการคนในพื้นจริง ๆ ที่เป็นหลัก


 


“คุณรู้ไหมว่าสิ่งนี้คืออะไร?” อลิซที่เดินนำอยู่ข้างหน้าหยุดที่หน้าแผงขายของชายที่ถือรังผึ้งที่จางลี่เฉินเพิ่งเห็นไป เธอถามขณะชี้ไปที่รังผึ้งในมือเขา


 


“โอ้ ผมสามารถระบุสปีชีส์ที่สำคัญที่สุดได้ 278,675 สปีชีส์ท่ามกลางแมลง 3 ล้านชนิดบนโลกแต่ผมไม่เคยเห็นสิ่งที่แปลกประหลาดแบบนี้มาก่อนเลย มันคือรังผึ้งใช่ไหม?”


 


“เดาถูกแล้วมิสเตอร์ลี่เฉิน นี่คือรังผึ้งตัวต่อของฮาวาย” อลิซที่ประหลาดใจกับคำตอบขบขันที่ถูกต้องของชายหนุ่มเอ่ยถามเขาไปอีกครั้งว่า “แล้วรู้ไหมว่ามันมีไว้เพื่ออะไร?”


 


“ไว้ทำเป็นยามั้งนะ ถ้าให้ผมเดา รังผึ้งเป็นยาดีสำหรับเติมสารสำคัญเพื่อบำรุงปอด”


 


“ไม่ใช่สักหน่อย เป็นแค่รังผึ้งจะเอาไปทำเป็นยาได้อย่างไรกัน!” หญิงสาวไม่เข้าใจสิ่งที่ชายหนุ่มหมายถึงการเติมสารสำคัญเพื่อบำรุงปอด เธอส่ายหัวก่อนจะหยิบเงินออกจากระเป๋ามาสิบดอลลาร์แล้วส่งไปให้คนขาย


 


หลังจากรับรังผึ้งมาแล้วเธอใช้นิ้วของตัวเองแหย่เข้าไปในรังผึ้งนั้นเพื่อควานหาดักแด้ตัวอ้วนสีขาวที่ยังมีชีวิตอยู่แล้วนำมันมาแสดงตัวต่อหน้าจางลี่เฉิน จากนั้นเธอก็วางดักแด้ตัวต่อตัวนั้นใส่เข้าปากและเคี้ยวดักแด้เป็นชิ้น ๆ ก่อนที่จะกลืนมันลงไป “มันเป็นข้าวโพดคั่วสำหรับพวกเราชาวฮาวาย รสชาติอร่อย ๆ ที่ได้จากธรรมชาติ!”


 


ตามความคิดของหญิงสาวแล้วเธอคิดว่าเมื่อลูกชายคนรวยที่แสนหยิ่งยโสจากนิวยอร์กได้เห็นสิ่งนี้เขาจะต้องกลัวจนตะโกนร้องตกใจออกมาเสียงดังอย่างแน่นอน และถึงแม้เขาจะมีความกล้าแต่อย่างน้อยตัวเขาก็ต้องสั่นด้วยความรังเกียจบ้าง แต่สำหรับจางลี่เฉินผู้เติบโตที่หมู่บ้านบนภูเขาแล้วการกินดักแด้ที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นเรื่องที่ปกติมาก


 


“ดักแด้พวกนี้อาศัยอยู่ในรังงั้นสินะ” ชายหนุ่มเบิกตา “รังผึ้งที่คุณขายทั้งหมดมีราคาสิบดอลลาร์ต่ออันงั้นเหรอ?”


 


“อันใหญ่ ๆ ที่สดใหม่จะมีราคา 15 – 20 ดอลลาร์ครับ” ผู้ชายที่ไม่รู้แหล่งกำเนิดของจางลี่เฉินอธิบายให้เขาฟังด้วยความกระตือรืนร้น แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องผิดปกติสำหรับเขาที่จะเจอลูกค้าชาวเอเชียแต่บางคนที่เพิ่งเคยเจอก็มีความกล้าที่จะหยิบสิ่งนี้เข้าปากอยู่บ้าง ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้แปลกใจกับท่าทีนิ่ง ๆ ของจางลี่เฉินสักเท่าไหร่นัก


 


จางลี่เฉินพยักหน้าก่อนจะลงไปนั่งตรงหน้าแผงขายรังผึ้งเพื่อเลือกรังที่เขาต้องการ เขาเลือกรังที่ใหญ่ที่สุดและถามว่า “อันนี้ราคาเท่าไหร่?”


 


“โอ้! นั่นเป็นรังที่ไม่ค่อยมีมาเท่าไหร่นัก ราคาอยู่ที่สามสิบดอลลาร์! มันเป็นรังที่ใหญ่ที่สุดที่ผมเลือกมาตลอดทั้งเดือน ไม่แน่บางทีมันอาจมีราชินีอยู่ข้างในก็ได้” ผู้ขายร้องขอในราคาที่สูงเกินควร


 


“ราชินี? คุณหมายถึงราชินีที่ยังไม่ตายน่ะเหรอ?” จางลี่เฉินตกใจกับคำตอบที่ได้รับก่อนจะส่ายรังด้วยมือทั้งสองข้างแล้วยกรังไปไว้ใกล้ ๆ กับหูของเขาเพื่อฟังเสียง


 


“ใช่แล้วเพื่อน! ราชินีข้างในยังมีชีวิตอยู่ น่าจะได้ยินเสียงมันคลานอยู่ข้างในนั้นนะ” ผู้ขายบิดนิ้วของเขาอย่างขบขันขณะเดินไปมารอบ ๆ


 


“โกหกกันนี่ แต่การแสดงของคุณก็น่าสนใจดี เอาล่ะ นี่สามสิบดอลลาร์ของคุณ” จางลี่เฉินทำการซื้อขายก่อนจะใช้นิ้วควานหาดักแด้เพื่อนำเข้าปาก “อืมม…รสชาติดักแด้ของฮาวายก็ไม่เลว ถ้าไปทำแบบนี้ในอเมริกาที่อื่นอาจถูกตำรวจจับตัวได้เลยด้วยซ้ำมั้ง ดูเหมือนว่าโฮโนลูลูค่อนข้างจะเป็นเมืองที่ดีทีเดียว มิสอลิซ มีอะไรอย่างอื่นอีกไหมที่คุณอยากแนะนำให้ผมรู้จัก โอ้ ผมสนใจตุ๊กตาวูดูมากจริง ๆ! ผมเคยมีเพื่อนที่แสนอันตรายอยู่คนหนึ่งเอาแต่บอกว่าผมเป็นพ่อมดที่ถือตุ๊กตาวูดูอยู่รอบตัวตลอด”


 


อลิซที่ไม่รู้ว่าทันทีที่จางลี่เฉินพูดประโยคสุดท้ายจบ ใบหน้าของฆาตกรต่อเนื่องที่โหดเหี้ยมที่สุดที่เคยมีมาในนิวยอร์กได้พุ่งขึ้นมาในจิตใจของเขา


 


หญิงสาวผู้ซึ่งคิดว่าเธอถูกเยาะเย้ยอีกครั้งโดยชายหนุ่มก็ยิ้มขบฟันก่อนจะตอบกลับไปว่า “ที่นี่คือตลาดสดของฮาวาย จะไปมีตุ๊กตาวูดูของจริงที่นี่ได้อย่างไรกัน?”


 


หลังจากเดินเล่นไปรอบ ๆ ตลาดดั้งเดิมที่คึกคักอย่างไร้ประโยชน์เสร็จ จางลี่เฉินก็เดินกลับไปที่รถโดยไม่รู้สึกอึดอัดกับสิ่งแปลกประหลาดใด ๆ ในตลาด


 


หลังจากขับรถผ่านไปหลายช่วงตึกในที่สุดอลิซก็จอดรถใต้ต้นปาล์มขนาดใหญ่ข้างถนนต้นหนึ่ง เมื่อมองดูจางลี่เฉินที่กำลังกินดักแด้ตัวต่อด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขเธอก็เปิดหน้าต่างแล้วชี้ไปที่บ้านไม้สีขาวบนชายหาดข้างรีสอร์ทริมทะเล “บ้านเพื่อนฉันอยู่ตรงนั้น คุณรออยู่ในรถไปก่อน เดี๋ยวฉันจะไปเรียกเธอมา”


 


“โอเค”


 


เมื่อได้ยินคำตอบของเขาแล้วหญิงสาวก็กระโดดออกจากรถลงบนขอบถนนตื้นก่อนจะเดินไปทางบ้านไส้สีขาวหลังนั้น แต่ก่อนที่เธอจะทันเดินไปถึงบ้านไม้ หญิงสาวที่มีหน้าตาน่ารักคนหนึ่งที่มีดวงตากลมโตขนาดใหญ่ซึ่งดูเหมือนว่าเธอจะเป็นลูกครึ่งฮาวายและคอเคเชี่ยนก็เดินออกจากบ้านไม้หลังนั้นมา


 


“อลิซ เธอไปรับแฟนของทีน่ามาแล้วใช่ไหม? ทำไมเธอมาหาฉันในเวลานี้ล่ะ?” หญิงสาวลูกครึ่งกล่าวทักทายอลิซขณะยกมือขึ้นมาบังแสงแดด


 


“ไงจอร์จินา! วันนี้ฉันแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้วเธอรู้ไหม! เธอคงนึกไม่ออกหรอกว่าแฟนของทีน่าน่ะน่ารำคาญมากขนาดไหน! เขาทั้งผอมทั้งเตี้ยและดูเหมือนเด็กมัธยมต้น! รู้ไหมว่าเขาเหน็บฉันตอนที่เจอกันครั้งแรกว่าอะไร? เขาบอกว่าฉันดูแข็งแกร่งมาก!”


 


“เกินไปแล้วนะ! แต่อลิซ ฉันเคยบอกเธอไปแล้วนี่ว่าลูกคนรวยอย่างทีน่าและทริชน่ะเป็นกรณีพิเศษ! ดูอย่างชีล่าที่อยู่กับพวกเธอสิ…”


 


“ฮึ ชีล่า ชีล่า! ยัยนั้นน่ะตัวแสบของจริง! แต่ถึงอย่างนั้นยัยนั้นก็ไม่ได้น่ารำคาญเหมือนจางลี่เฉินคนนี้เลย เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเขาเอาแต่เย้ยหยันฉันไม่หยุด และเหตุผลที่ฉันมาหาเธอนั่นก็เพราะฉันอยากให้ชาร์ล็อตขับรถพาเธอไปหาบอนนี่ คามิลเพื่อไปตั้งแคมป์กับฉันแถว ๆ ภูเขาไฟในคืนนี้ ฉันจะได้ระบายความน่ารำคาญของเขาได้บ้าง!”


 


“อะไรนะอลิซ? ไม่ใช่ความฝันของเธอหรอกเหรอที่อยากจะเป็นไกด์นำเที่ยวในอนาคต หากเธอได้เป็นไกด์นำเที่ยวมืออาชีพเมื่อไหร่เธอจะได้พบกับแขกที่น่ารำคาญมากยิ่งขึ้น…”


 


“จอร์จินา! ตอนนี้ฉันยังไม่ได้เป็นไกด์นำเที่ยวสักหน่อย! ฉันเป็นเพียงหญิงสาวชาวฮาวายคนหนึ่งที่ต้องการจะแก้แค้น! ร่วมมือกับฉันเถอะนะที่รัก จำได้ไหมว่าเธอยังเป็นหนี้ฉันอยู่ เมื่อปีที่แล้วที่เธอเมาเหล้ากับชาร์ล็อตต์และฉันเองที่เป็นคนช่วยเธอแก้ตัวกับลุงไมรอน”


 


“ฉันน่าจะรู้ว่าไม่ควรไปขอร้องให้คนอย่างเธอช่วยเลย! ถ้าตอนนั้นบอนนี่อยู่ด้วยล่ะก็…”


 


“มันไม่สายเกินไปที่จะพูดแบบนี้หรอสาวน้อย? ได้โปรดเถอะนะที่รัก! ถ้าเธอไม่ยอมไปด้วยกันชาร์ล็อตต์ก็จะไม่ยอมไปด้วยแน่ ๆ ฉันต้องการใช้รถของเขาจริง ๆ นะ!”


 


“ก็ได้ เดี๋ยวฉันจะโทรหาเขาให้เอง แต่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเธอต้องเป็นคนออกนะ ตกลงไหม?!”


 


“ตกลง ให้ฉันจัดการเรื่องนี้เอง!” อลิซกัดฟันพลางโบกมือไปมา


 


“ถ้างั้นก่อนอื่นพาฉันไปหามิสเตอร์จางลี่เฉินที่แสนน่ารำคาญแล้วฉันจะโทรหาเขาให้ทีหลัง”


 


“ทำใจดี ๆ ไว้ด้วย ไม่งั้นเธออาจเป็นลมล้มไปเลยก็ได้!” อลิซดึงมือจอร์จินาขณะพูด หญิงสาวสองคนหัวเราะคิกคักอยู่บนชายหาดก่อนจะวิ่งไปใต้ต้นปาล์มที่อยู่ห่างไกล


 


เมื่อหญิงสาวกลับไปที่รถจางลี่เฉินได้เดินออกมาอยู่นอกตัวรถอยู่ก่อนแล้ว เขายืนอยู่ใต้ร่มเงาของต้นปาล์มเพื่อชื่นชมทิวทัศน์ที่สวยงามของฮาวาย


 


“มิสเตอร์ลี่เฉิน นี่เพื่อนสนิทของฉันเองชื่อจอร์จินา เธอเองก็เป็นเพื่อนกับทีน่าเหมือนกัน” อลิซแนะนำชายหนุ่มและหญิงสาวให้ได้รู้จักกัน “จอร์จินานี่แฟนหนุ่มของทีน่า มิสเตอร์จางลี่เฉิน”


 


“ยินดีที่ได้รู้จักครับ มิสจอร์จินา”


 


“เช่นกันค่ะมิสเตอร์ลี่เฉิน เรียกฉันว่าจอร์จินาเฉย ๆ ก็ได้”


 


“ถ้างั้นคุณเรียกผมว่าลี่เฉินก็ได้ครับ”


 


สองคนที่เพิ่งได้เจอกันทักทายกันอย่างเรียบ ๆ จอร์จินาไม่คิดว่าจางลี่เฉินจะเป็นคนหยิ่ง ๆ เหมือนอย่างที่อลิซบอก เธอคิดว่ามันเป็นเพียงเพราะดูเขาค่อนข้างเก็บตัวและดูไม่เป็นมิตรกับคนอื่นเท่าไหร่เฉย ๆ


 


อย่างไรก็ตามเธอได้ตกลงที่จะช่วยเหลือเพื่อนสนิทเพื่อเล่นตลก ๆ กับชายหนุ่มร่างผอมตรงหน้านี้ไปแล้วจอร์จินาเลยไม่ได้ท้วงอะไรกับสิ่งที่อลิซกล่าวมาในตอนต้น ท้ายที่สุดแล้วเพื่อนสนิทของเธอก็แค่ต้องการใช้แผนชั่วร้ายที่ไร้เดียวสาเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อระบายความรำคาญของเธอก็เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังใช้โอกาสนี้ออกไปตั้งแคมป์กับแฟนของเธอได้อีกจึงไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องปฏิเสธ


 


หลังจากโทรหาพ่อที่กำลังทำงานของเธอเพื่อบอกให้เขารู้ว่าเธอจะออกไปตั้งแคมป์ค้างคืนที่บริเวณภูเขาไฟพร้อมกับเพื่อน ๆ โดยมีอลิซเป็นพยานยืนยันก็ได้รับอนุญาตในทันที จากนั้นจอร์จินาก็โทรหาแฟนของเธอและขอให้เขาขับรถบัสไปรับเพื่อน ๆ ของเขาก่อนที่จะมารวมตัวกับเธอที่นี่


 


จางลี่เฉินที่อยู่ข้าง ๆ กล่าวชื่นชมด้วยท่าทีสบาย ๆ “มันเป็นเรื่องที่นึกไม่ถึงในนิวยอร์กสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 20 ปีจะได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองให้ออกไปตั้งแคมป์ค้างคืนนอกบ้าน แต่ที่ฮาวายกลับสามารถทำได้อย่างง่าย ๆ”


 


“ฟังสิ เขาล้อเลียนเราอีกแล้ว!”


 


“ทำไมฉันคิดว่าเขาพูดในเชิงอิจฉาเรามากกว่าล่ะ”


 


“ที่รัก เธอเข้าใจผิดแล้ว นายคนนี้น่ะตัวน่ารำคาญของจริงเลย”


 


หญิงสาวสองคนกระซิบพูดคุยกันโดยไม่สนใจชายหนุ่มข้าง ๆ พวกเธอคุยกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีมินิบัสเก่า ๆ ขับเข้ามาและจอดห่างจุดที่พวกเขายืนอยู่ประมาณสองเมตร



ตอนที่ 142

ชายหนุ่มสามคนและหญิงสาวอีกหนึ่งคนมาพร้อมกับมินิบัสที่เพิ่งเข้ามา พวกเขาคือเพื่อนสนิทที่สุดของอลิซและจอร์จินา บอนนี่ คาร์ไมน์ ชาร์ลอตต์ และคามิล


 


บอนนี่คือหญิงสาวชาวพื้นเมืองฮาวาย เธอมีตาชั้นเดียว จมูกแบน และความสูงเพียง 160 เซนติเมตร ภาพลักษณ์เธออาจดูธรรมดาแต่เธอมีร่างกายที่สมส่วนและเย้ายวน


 


คาร์ไมน์คู่รักของบอนนี่ เขาเป็นคนพื้นเมืองแท้ ๆ และแม้ว่าเขาจะไม่ได้สูงมากขนาดนั้นแต่เขาก็ดูแข็งแรงและมีกล้ามเนื้อสมส่วน


 


ชาร์ล็อตต์แฟนหนุ่มของจอร์จินาเป็นคนผิวขาวและผอม เขาสวมเสื้อยืดหลวม ๆ และดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยมีกล้ามเนื้อเท่าไหร่แต่น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยพลัง


 


คามิลเป็นชายหนุ่มผิวขาว เขาสวมแว่นตากันแดดสีดำปีกกว้าง ดูเหมือนว่าเขาจะค่อนข้างเงียบขรึมและเก็บตัวกว่าคนอื่น ๆ พอได้เจอกับอลิซและจอร์จินาเขาก็ทักทายโดยการแปะมือเสร็จแล้วก็กลับไปยืนเงียบ ๆ ไม่พูดอะไรตามเดิม


 


เมื่อคนหนุ่มสาวได้มารวมตัวกันอลิซก็ได้แนะนำทุกคนและจางลี่เฉินให้ได้รู้จักกันและบอกให้ชาร์ล็อตต์พาทุกคนไปซุปเปอร์มาร์เก็ตโดยใช้มินิบัสคันนี้ก่อนที่จะเย็นเกินไป ทั้งเนื้อสัตว์ ขนมปัง ผักและผลไม้ที่ต้องการสำหรับบาร์บีคิวคืนนี้ล้วนแต่เป็นเงินของอลิซทั้งสิ้น


 


เมื่อเตรียมของครบหมดแล้วทุกคนก็ขึ้นรถเพื่อออกจากเมืองโฮโนลูลูไปพร้อม ๆ กับการร้องเพลงที่สนุกสนาน ด้วยการแสดงออกที่น่าตื่นเต้นของทุกคนทำให้อลิซลืมความตั้งใจเดิมของเธอที่ต้องการจะแก้แค้นจางลี่เฉินไปชั่วขณะ เธอดื่มด่ำกับความสุขของการออกไปตั้งแคมป์กับเพื่อน ๆ จนลืมทุกอย่าง


 


หลังขับรถออกมาได้เกือบครึ่งชั่วโมงในที่สุดพวกเขาก็ออกจากเส้นทางเมืองท่องเที่ยวมาเป็นถนนเลนกว้างแทน ทันใดนั้นคาร์ไมน์ก็ยืนขึ้นพร้อมปรบมือเสียงดังก่อนจะตะโกนออกมาว่า “เราออกจากเมืองกันมาแล้ว ชาร์ล็อตต์ เร่งเครื่องเร็วเข้า แล้วเปิดแต่เพลงสนุก ๆ ด้วยล่ะ! นายบอกว่าไปแก้เครื่องเสียงรถมาแล้วใช่ไหม?”


 


“โอ้ มันไม่ได้แค่แก้ไขเครื่องเสียงเท่านั้นหรอกนะเพื่อนแต่ฉันยังไปอัพเกรดระบบเสียงเพิ่มขึ้นอีกด้วย!” ชาร์ล็อตต์ที่คุมพวงมาลัยว่าก่อนจะเอื้อมมือไปกดปุ่มเพลงบนคอนโซลกลางรถ เมื่อเสียงพึมพำที่ดังกึก ๆ กังวานเขาก็สั่นร่างกายของเขาและตะโกนโต้กลับไปว่า “เป็นไงคาร์ไมน์ มันเจ๋งสุด ๆ ไปเลยใช่ไหม!”


 


“นายคือเพื่อนที่เยี่ยมที่สุดไปเลยชาร์ล็อตต์!” คาร์ไมน์เขย่าร่างกายตัวเองอย่างตื่นเต้นไปกับเสียงเพลงที่อึกทึก เขาเคลื่อนไหวตัวไปหาชาร์ล็อตต์พร้อมกับท่าเต้นจากเพลงเร็กเก้จากนั้นคนขับรถก็ปล่อยมือทั้งสองข้างออกจากพวงมาลัยเพื่อมาสนุกด้วยตาม


 


“พอได้แล้ว! พวกนายจะบ้ากันไปใหญ่แล้วนะ! ชาร์ล็อตต์ตั้งใจขับรถแล้วมองทางด้วยสิ!” เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวที่เป็นอันตรายจากทั้งสองคนสาว ๆ ในรถก็เริ่มตะโกนเสียงดังด้วยความตกใจ อย่างไรก็ตามเสียงของพวกเธอไม่ใช่เสียงดุที่หมายถึงการไม่พอใจอะไร


 


ภายใต้แสงของพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน มินิบัสได้เคลื่อนตัวเข้าไปยังลานจอดรถขนาดใหญ่ที่สุดขอบถนนด้วยเสียงเพลงที่ยังคงดังกึกก้องมาตลอดทาง


 


เมื่อมินิบัสหยุดนิ่งจางลี่เฉินที่ซบเซาด้วยเสียงเพลงดัง ๆ ก็มองออกไปรอบ ๆ หน้าต่างก่อนจะพูดว่า “พวกเรามาถึงแล้วงั้นหรอ? แต่นี่มันยังห่างจากภูเขาอีกมากเลยนี่”


 


“ถนนสิ้นสุดแค่ตรงนี้ เราต้องเดินเท้ากันไปเองในส่วนที่เหลือ” อลิซยิ้มตอบ “ใช่แล้วมิสเตอร์ลี่เฉิน ทุกคนต้องแบ่งเบาภาระข้าวของที่นำมาด้วยกันหากต้องการตั้งแคมป์บาร์บีคิวใกล้ภูเขาไฟ ฉันแนะนำให้คุณทิ้งของต่าง ๆ ไว้ในรถนี่ก่อนจะดีกว่า เพราะหากตัดสินใจจากร่างกายของคุณแล้วมันคงจะหนักสำหรับคุณเกินไป”


 


แม้เขาจะทิ้งโครโคดราก้อนไว้ที่นิวยอร์กและเหลือเพียงเมานท์โทดและเกาะมังกรอยู่ข้างกายเขาก็ไม่ได้กลัวว่าอลิซจะทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อเขาแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามการเล่นตลกโดยไม่มีคำอธิบายก่อนล่วงหน้ามันทำให้เขารู้สึกรำคาญใจเล็กน้อยขึ้นมาแทน


 


หลังจากเห็นทุกคนเริ่มแบกข้าวของไว้บนหลังอย่างง่าย ๆ ราวกับพวกมันคือพลาสติกที่นำมาด้วยแล้วเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจัดสิ่งของต่าง ๆ ให้เหมาะสม


 


โชคดีที่พื้นที่ในกระเป๋าเดินป่าผ้าใบของเขาที่เต็มไปด้วยเมานท์โทดมีขนาดใหญ่มากพอ หลังจากยัดรังผึ้งที่เพิ่งซื้อมาใส่เข้ากระเป๋าเสร็จจางลี่เฉินก็เดินออกจากรถเพื่อไปสูดอากาศบริสุทธิ์


 


แม้ว่าที่ลานจอดรถที่สุดขอบถนนนี้จะมีขนาดใหญ่แต่ก็มีรถยนต์จอดอยู่เพียงไม่กี่คัน มีบ้างที่มีคนหนุ่มสาวปรากฏตัวแต่พวกเขาก็ล้วนแต่มีร่างกายที่แข็งแรงทั้งสิ้น


 


เมื่อจางลี่เฉินถือกระเป๋าเป้สะพายหลังของเขาและกำลังเดินไปข้างหน้าพร้อม ๆ กับอลิซและคนอื่น ๆ พวกเขาก็เหลือบไปเห็นรถเอสยูวีที่ส่งเสียงดังพุ่งเข้ามาในลานจอดรถและหยุดตัวในทันทีเข้าเสียก่อน


 


หน้าต่างรถเอสยูวีถูกเลื่อนลงเผยให้เห็นชายหนุ่มสวมเสื้อกล้ามพร้อมโชว์แขนหนาและรอยสักกะโหลกสีเงินของเขายื่นหัวออกมาก่อนที่จะตะโกนด้วยรอยยิ้ม “เฮ้! คาร์ไมน์! ไม่คิดว่าจะได้เจอนายที่นี่นะเนี่ย! โอ้ สวัสดีทุกคน! ไม่เห็นพวกนายออกมาตั้งแคมป์บาร์บีคิวกันตั้งนาน”


 


“แอนเน็ตต์เพื่อนรัก! นายมีพ่อที่ดีดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วนายจึงสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ แต่เราไม่ได้รับอิสระแบบนั้นนายก็รู้!” ค่อนข้างน่าแปลกใจที่คาร์ไมน์กล่าวทักทายกับชายที่มีรอยสักรูปกระโหลกคนนั้นอย่างกระตือรือร้น


 


“ฟอร์ตคันใหม่ใช่มั้ยเนี่ย! นี่นายใช้เงินจากพ่อไปเท่าไหร่แล้วเนี่ยห้ะ?!” ชาร์ล็อตต์วิ่งไปที่ด้านข้างของรถด้วยความตื่นเต้นอีกคนก่อนจะแสดงความคิดเห็นพร้อมกับหัวเราะ


 


“รถคันเก่าน่ะ ตอนนี้ฉันขอซื้อรถใหม่ ๆ ไม่ได้เลย” แอนเน็ตต์ส่ายหัวก่อนจะพูดเสียงดังเพื่อแสดงความรู้สึก “ฉันพาเพื่อนใหม่สามคนมาตั้งแคมป์ที่นี่ด้วยแล้วก็บังเอิญเจอกับพวกนายเข้าพอดี ทำไมเราไม่ไปตั้งแคมป์ด้วยกันเลยล่ะ?”


 


“เอ่อ…” ชาร์ล็อตต์และคาร์ไมน์หันหน้าไปมองอลิซด้วยความลังเล พวกเขาจ้องมองหญิงสาวที่คิดจะแกล้งจางลี่เฉินเลยเรียกรวมตัวเพื่อน ๆ ทุกคนมาเพื่อออกไปตั้งแคมป์บนเขตพื้นที่ภูเขาไฟเพื่อทำบาร์บีคิวเพียงเพื่อระบายความรำคาญของเธอก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง “ได้แน่นอน!”


 


“เยี่ยม! งั้นเดี๋ยวฉันจะเอารถไปจอดข้าง ๆ พวกนายเลยก็แล้วกัน!” แอนเน็ตต์ว่าก่อนจะเคลื่อนรถไปจอดข้าง ๆ รถพวกเขาอย่างสวยงาม จากนั้นเขาก็ลงมาจากรถพร้อม ๆ กับเพื่อนอีกสามคนของเขาซึ่งเป็นผู้ชายหนึ่งคนและผู้หญิงสองคน


 


ผู้หญิงสองคนที่เดินลงจากรถมีผมสีบลอนด์ ริมฝีปากสีแดง และร่างกายที่แสนเซ็กซี่ แม้ว่าพวกเธอจะสวมใส่ชุดลำลองกลางแจ้งและไม่ได้สวยงามเท่าอลิซและจอร์จินาแต่วิธีการเคลื่อนไหวร่างกายของพวกเธอก็มีเสน่ห์มากในสายตาของผู้ชาย


 


“นี่คือแอชลีย์ แคโรไลน์ และเชลซี แอชลีย์และแคโรไลน์เป็นนางแบบจากลอสแองเจลิสที่มาฮาวายเพื่อพักร้อนส่วนเชลซีเป็นช่างภาพของพวกเธอ”


 


เมื่ออลิซได้ยินแอนเน็ตต์แนะนำผู้หญิงสองคนที่อยู่ข้าง ๆ เขาในฐานะนางแบบแล้ว ด้วยความไม่อยากยอมแพ้ของเธอเธอเลยแนะนำจางลี่เฉินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ไปว่า “นี่คือมิสเตอร์จางลี่เฉิน แฟนหนุ่มของทีน่า ดั๊กลินลูกสาวประธานกลุ่มการเงินดั๊กลินของนิวยอร์ก! ฉันเพิ่งรู้จักกับทีน่าตอนที่เธอมาเที่ยวฮาวายเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาและพวกเราก็เข้ากันได้ดีมาก เธอมีเหตุจำเป็นต้องไปเกาะคาไวเธอเลยวานให้ฉันช่วยดูแลลี่เฉินแทน”


 


อาจกล่าวได้ว่านามสกุลดั๊กลินเป็นที่รู้จักกันดีทั่วอเมริกา เมื่อได้ยินการแนะนำของอลิซ แอนเน็ตต์และเพื่อนสามคนของเขาที่ไม่ได้สนใจชายหนุ่มร่างผอมคนนี้มาตั้งแต่ต้นก็เริ่มมองเห็นจางลี่เฉินได้อย่างชัดเจนแล้วในตอนนี้


 


“ฉันมักจะเห็นนามสกุลดั๊กลินอยู่บนหน้านิตสารตลอด เธอเป็นแฟนของคุณจริง ๆ น่ะเหรอ?” ทันใดนั้นแอชลีย์หนึ่งในสองนางแบบก็เอ่ยถามจางลี่เฉินด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความชื่นชม


 


“จะพูดแบบนั้นก็ได้” จางลี่เฉินพยักหน้า


 


“ถ้าให้ฉันเดาแสดงว่าพ่อของคุณจะต้องเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ในวอลล์สตรีทเหมือนกันด้วยใช่มั้ย?” คำถามที่ไม่ค่อยจะดูดีเท่าไหร่แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ใช้น้ำเสียงรำคาญในการถามเขาเลยไม่ได้อะไร


 


“เปล่า ผมเป็นคนจีน”


 


“โอ้! ขุนนางแดง! ลูกหลานของนักปฏิวัติผู้ยิ่งใหญ่!”  ดวงตาของแอชลี่ย์ส่องสว่างยิ่งขึ้น ทุกคนที่อยู่ในวงการวานิตี้ แฟร์จะเข้าใจดีว่าคำว่า “ขุนนางแดง” หมายถึงอะไร


 


“ไม่ใช่” จางลี่เฉินส่ายหน้า


 


“ออกเดินทางกันได้แล้ว เดี๋ยวท้องฟ้าก็มืดกันพอดี” เมื่อเห็นหญิงสาวที่เขาพยายามไล่ตามมาตลอดสามวันที่ผ่านมาจนในที่สุดก็ยอมตกลงมาร่วมแคมป์ภูเขาไฟในครั้งนี้ด้วยกำลังสนใจจางลี่เฉินอย่างออกหน้าออกตา แอนเน็ตต์ไม่สามารถระงับอารมณ์คำราญที่เกิดขึ้นมาได้จึงตะโกนออกไปเสียงดัง


 


ราวกับอารมณ์ของอลิซสดใสขึ้นมาในทันที ชายหนุ่มผอมบางที่แต่เดิมแล้วคือคนที่น่ารำคาญสำหรับเธอได้กลายเป็นที่ชื่นชอบมากขึ้นแล้วในขณะนี้


 


หลังจากที่เริ่มออกเดินทางเธอก็หันไปถามชายหนุ่มที่เดินอยู่ข้าง ๆ “ลี่เฉิน ฉันได้ยินมาจากทีน่าว่าคุณเริ่มทำธุรกิจในนิวยอร์ก มันคือธุรกิจประเภทอะไรงั้นเหรอ?”


 


“โรงฆ่าสัตว์” จางลี่เฉินตอบกลับด้วยเสียงเงียบ ๆ เรื่องนี้ทำให้อลิซเสียคำพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะทำให้คนอื่น ๆ หัวเราะเสียงดังตามมา


 


“โรงฆ่าสัตว์? มันจะต้องมีขนาดใหญ่มากแน่ ๆ! ธุรกิจของนายคงไปได้สวย! ตอนนี้สามารถทำรายได้ต่อปีได้ประมาณเท่าไหร่แล้วล่ะ?” ชาร์ล็อตต์ถามพร้อมเสียงหัวเราะ


 


สำหรับจางลี่เฉินที่กำลังเหนื่อยเพราะพวกเขากำลังเดินไต่เขาบนเส้นทางเดินป่าที่มีความลาดชันอยู่นั้นกำลังคิดเรื่องคำตอบที่จะพูดออกไป มันจะยิ่งซับซ้อนถ้าหากเรื่องนี้ยังถูกถามไม่จบไม่สิ้น ทันใดนั้นก็มีเสียงบี๊บแปลก ๆ ดังก้องออกมาจากป่าข้างทาง โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า แสงสีเหลืองจาง ๆ ก็สว่างขึ้น


 


ร่างของชายหนุ่มแข็งทื่อไปขณะหนึ่งเมื่อเขาหยุดชะงัก สมองของเขาเริ่มวิเคราะห์อย่างรวดเร็วก่อนจะตอบออกไปอย่างซื่อสัตย์ “โรงฆ่าสัตว์ภายใต้ชื่อของฉันเพิ่งเสร็จสิ้นการขยายช่วงแรกไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มันอาจจะสร้างรายได้ 20 ถึง 30 ล้านดอลลาร์ในปีนี้และเมื่อการขยายตัวในปีหน้าเสร็จสิ้นก็น่าจะสามารถสร้างกำไรสุทธิได้อย่างน้อย 100 ล้านดอลลาร์”


 


“ฮะ! กำไรสุทธิอย่างน้อย 100 ล้านดอลลาร์! อย่ามาล้อเล่น…” ชาร์ล็อตต์ผู้ที่หันไปให้ความสนใจกับเสียงแปลก ๆ และแสงสีเหลืองหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ


 


“ตลกงั้นเหรอ? ไม่เลย! โรงฆ่าสัตว์ LS แห่งใหม่เป็นผู้คุมการฆ่าสัตว์ที่แท้จริงของตลาดขายเนื้อนิวยอร์ก พวกนายสามารถค้นหาชื่อนี้ทางออนไลน์และตรวจสอบมันดูเองเลยก็ได้ จำได้ว่ามันมีเขียนไว้ในชื่อเว็บไซต์ทางการอยู่”


 


ประโยคนี้ดึงดูดความสนใจของทุกคนจากการเดินป่ากลับไปที่จางลี่เฉินได้อีกครั้ง


 


“นายแค่ล้อเล่นใช่ไหมลี่เฉิน?” จอร์จินาอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา


 


“ไม่เลย” ด้วยความช่วยเหลือจากแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ จางลี่เฉินมองไปที่ภูเขาไฟในระยะทางที่ล้อมรอบไปด้วยป่าไม้ในขณะที่หมอกควันสีดำเริ่มปล่อยออกมา “จอร์จินา เราต้องปีนขึ้นไปถึงส่วนคอดของภูเขาไฟเพื่อไปยังพื้นที่ภูเขาไฟเลยหรือเปล่า? หรือแค่เพียงเชิงเขาของภูเขาไฟเท่านั้น?”


 


จอร์จินาตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมาอย่างโล่งอก “เชิงเขาภูเขาไฟก็พอ” ขณะที่หญิงสาวกำลังพูดอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีกลุ่มคนที่ดูเหมือนจะะแต่งตัวคอสเพลย์ตัวละครในดันเจียนส์ & ดราก้อนส์เดินออกจากป่ามา



ตอนที่ 143

คนแปลกหน้าที่พวกเขาเจอบางคนก็สวมชุดเกราะหนัก ๆ บางคนก็คลุมตัวด้วยผ้าคลุมสีดำ บางคนย่างก้าวด้วยการลงน้ำหนักเต็ม ๆ ขณะที่บางคนก็เดินเพียงเบา ๆ ราวกับสายลมพัดผ่านขณะเดินออกจากป่า จางลี่เฉินกำมือของเขาแน่น ทั่วทั้งตัวเขากำลังรู้สึกประหม่าและตื่นตัว


 


อลิซไม่ได้มีท่าทีแปลกใจเท่าไหร่กับการเจอคนแต่งตัวประหลาด ๆ แบบนี้เพราะโฮโนลูลูเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ผสมผสานวัฒนธรรมหลายวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน แม้ว่ามันจะดูเป็นความคิดที่สร้างสรรค์เอามาก ๆ กับการแต่งตัวเป็นอัศวิน นักเวทและอื่น ๆ เพื่อมาตั้งแคมป์ปิ้งบาร์บีคิวแต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าไหร่สำหรับชาวฮาวาย


 


“เฮ้ กำลังเล่นซ่อนหากันอยู่หรอพวก? ว้าว เป็นชุดที่เยี่ยมไปเลยนะเนี่ย! แต่มันดูเหมือนจะร้อนไปสักหน่อยไหมนะ โชคดีที่พระอาทิตย์กำลังตกดินแล้วเพราะงั้นก็คงไม่ร้อนกันเท่าไหร่หรอกใช่ไหม?…” ชาร์ล็อตต์และคาร์ไมน์แสดงความคิดเห็นอย่างสนุกสนานขณะเดินไปตามเส้นทางในป่า พวกเขาทักทายคนแปลกหน้าด้วยเรื่องตลกราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพวกเขาที่ทำเป็นปกติ


 


ในตอนนั้นเองสองสาวนางแบบก็กลับมาให้ความสนใจที่จางลี่เฉินกันอีกครั้ง แอชลีย์เริ่มต้นบทสนทนากับเขาด้วยเสียงที่นุ่มนวลกว่าเดิมว่า “ว้าว มิสเตอร์ลี่เฉิน คุณเป็นคนที่น่าทึ่งมาก! คุณสามารถตั้งโรงงานขนาดนั้นได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ … เอะ ทำไมคุณเหงื่อออกมากขนาดนี้ล่ะ? ให้ฉันช่วยอะไรคุณไหม?”


 


ไม่ใช่ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่เข้าใจว่าเธออาจทำร้ายศักดิ์ศรีลูกผู้ชายเมื่อถามชายหนุ่มออกไปแบบนั้นแต่เธอรู้ว่าชายหนุ่มธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่ช่วงชีวิตวัยรุ่นสามารถสร้างรายได้มากกว่า 100 ล้านต่อปีไม่อาจเป็นคนธรรมดาเหมือนที่ตัวเขาเป็นไปได้


 


หากเธอต้องการตีสนิทกับเขาให้ได้ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อสร้างมิตรภาพและมีความสัมพันธ์ต่อกัน วิธีที่ดีที่สุดสำหรับเธอคือการริเริ่มไล่ตามเขาอย่างรุนแรงและทำอย่างเดิมซ้ำ ๆ โดยไม่ปิดบังความสนใจที่เธอมีลงเลยแม้แต่น้อย


 


ในขณะที่แอชลีย์ไม่ได้พยายามจะจีบจางลี่เฉินเพื่อความสัมพันธ์อย่างนั้นแต่อีกด้านหนึ่งทั้งชาร์ล็อตต์และคาร์ไมน์ต่างก็เริ่มรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้องเมื่อพวกเขาได้เห็นกลุ่มคนคอสเพลย์ที่มาตั้งแคมป์เมื่อครู่นี้ถอดหมวกที่ใส่มาออกพร้อมเผยให้เห็นใบหน้าที่เป็นสีดำทางด้านซ้ายในขณะที่มีจุดด่างดำสีเขียวอยู่ทางด้านขวาพร้อมจ้องมองมาที่พวกเขาด้วยดวงตาแข็งกร้าว


 


“โอ้ เวร! เอ่อ ผมหมายถึง เซอร์ เราไม่ได้คิดร้ายอะไร! พวกเราเพียงแค่ล้อเล่นกันเป็นปกติแบบที่เรา เอ่อ เราเสียใจมากที่…” เมื่อแสงอันรุ่งโรจน์ของดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ชาร์ล็อตต์ยืนกลืนน้ำลายขณะพยายามฝืนปั้นยิ้มขึ้นบนใบหน้าภายใต้แสงสลัว


 


คำตอบที่เขาได้รับกลับมาคือควันสีเขียวจาง ๆ ไร้กลิ่นซึ่งกระเด็นออกมาจากปากของชายร่างผอม


 


ควันสีเขียวลอยเข้าจมูกของชาร์ล็อตต์ในทันที เขาอ้าปากค้างราวกับพยายามตะโกนอะไรบางอย่างด้วยความกลัวทว่าเขากลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาเลยสักคำ


 


จากนั้นผิวของเขาเริ่มเปลี่ยนจากสีน้ำตาลสุขภาพดีมาเป็นสีเขียวอ่อน ไขมันในร่างกายของเขาเริ่มไหลออกมาจากรูขุมขนและเริ่มไหลหยดลงบนพื้น ในท้ายที่สุดเขาเป็นเหมือนกับเทียนไขที่น้ำตาเทียนหยดไหลงลงตัวเรื่อย ๆ ก่อนจะทรุดตัวลงไปกับพื้นเป็นกองเนื้อเน่า ๆ


 


“โอ้ ไม่นะ ไม่ ๆ ๆ!!” จอร์จินาที่เห็นแฟนหนุ่มของตัวเองล้มลงไปกับพื้นก็รีบโยนข้าวของในมือเธอทิ้งไปอย่างรวดเร็ว เธอคุกเข่าลงไปกับพื้นเพื่อนโอบศีรษะของแฟนหนุ่มที่ละลายไปเกือบครึ่งขึ้นมา ในไม่ช้าผิวของเธอก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อนจากนั้นร่างกายก็เธอก็เริ่มหลอมเหลวและกองไปอยู่ที่พื้นเหมือนกับแฟนหนุ่ม


 


ทุกคนที่ได้เห็นเช่นนั้นต่างก็พากันกรีดร้องอย่างสุดความสามารถกับภาพสยดสยองที่ได้เห็น มีเพียงจางลี่เฉินเท่านั้นที่กำลังแบกเป้ขนาดใหญ่อย่างเอาเป็นเอาตายก่อนจะก้มตัวลงบนพื้นพร้อมกับกุมหัวไว้ด้วยมือของตัวเอง


 


จากนั้นก็มีเสียงโหยหวนร้องทักทายขึ้นมาจากคนที่มีจมูกและปากทรงกว้างพร้อมท่าทางบ้าดีเดือด เขาเป็นชายร่างใหญ่ที่มีความรุนแรงชวนให้ความรู้สึกเหมือนสิงโต


 


ราวกับกำลังตัดฟาง คนที่โดนโจมตีลำดับต่อมาก็คือเชลซีตากล้องของสองนางแบบและคาร์โรไลน์นางแบบสาวที่มาจากแอลเอพร้อม ๆ กับบอนนี่ที่ถูกแยกตัวออกเป็นสองส่วนจนทำให้เลือดสดกระจายไปทั่วทุกมุม


 


เลือดที่กระเซ็นไปทั่วทุกที่ในไม่ช้าก็ทำให้ทุกคนเงียบสงบ


 


เส้นทางเดินป่ากลายเป็นความเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหายใจและเสียงร้องไห้จาง ๆ ที่ดังขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อนเท่านั้นที่ได้ยิน


 


ในตอนนั้นเองชายชราหลังค่อมผู้ถือหนังสือด้วยมือทั้งสองข้างก็ก้าวออกมาตรงกลาง ผมตรงกลางศีรษะของเขาถูกโกนออก


 


เขามองไปที่อลิซ แอชลีย์และคนอื่น ๆ ด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ก่อนจะเปิดหนังสือในมือของเขาออก


 


เสียงต่ำ ๆ ของชายชราดังก้องอยู่ในป่า ซากของเหยื่อทั้งห้าซึ่งได้แก่ชาร์ล็อตต์ จอร์จินา และอีกสามคนบนพื้นเริ่มก่อตัวรวมกันเป็นเงามนุษย์ที่มีรูปร่างบิดเบี้ยว


 


เงานี้เป็นเหมือนหมอกควันสีดำที่ดูเหมือนกับกำลังดิ้นรนด้วยพลังทุกอย่างที่พวกเขามีเป็นครั้งสุดท้าย อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดพวกเขาก็ถูกดูดเข้าไปโดยหนังสือเล่มใหญ่ในมือของชายชรา


 


เมื่อเงามนุษย์ถูกกลืนหาย หน้าหนังสือขนาดใหญ่ก็เริ่มแสดงภาพเหตุการณ์ที่น่าจดจำที่สุดที่ชาร์ล็ออต์ จอร์จินา บอนนี้ เชลซี และคาร์โรไลน์ที่ผ่านมาตลอดทั้งชีวิต


 


ชายชราตระหนักได้ว่าบันทึกชีวิตของพวกเขานี้ประกอบไปด้วยเรื่องราวส่วนตัวเช่นความรักที่ยุ่งเหยิงหรือช่วงเวลาดี ๆ กับพ่อแม่และครอบครัว ด้วยความผิดหวัง เขาปิดตาของเขาและค่อย ๆ ปิดหนังสือราวกับว่าเขากำลังแบกภาระที่หนักอึ้ง


 


เมื่อหนังสือถูกปิด ภาพวาดของชาร์ล็อตและอีกสี่คนก็กลายเป็นหมอกควันที่ดูเหมือนเป็นคำภาษาอังกฤษลอยกระจัดกระจายไปทุกหนทุกแห่งก่อนจะกระแทกเข้าร่างของนักฆ่าเหล่านั้น


 


หลังจากใช้เวลาประมาณสามถึงสี่นาทีในการปิดหนังสือให้สนิทสมบูรณ์ ในที่สุดชายชราก็เผยให้เห็นการแสดงออกที่สนุกสนานก่อนที่เขาจะพูดอย่างเหนื่อยล้าออกมาว่า “ ‘การตรัสรู้’ นี้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ไปได้อย่างราบรื่น ในช่วงที่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนครบทั้งหมดเก้าครั้ง เราจะสามารถใช้ภาษาของปีศาจเหล่านี้ได้อย่างอิสระตามที่เราต้องการ”


 


จากนั้นคำพูดของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นสัญลักษณ์ของภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน


 


เมื่อได้ยินคำพูดของชายชราแล้วชายผู้มีรูปร่างคล้ายสิงโตที่อยู่ข้าง ๆ ก็ดึงดาบยาวของเขาออกมา “ระยะเวลาเพียงเก้าวันก็เพียงพอแล้ว ท่านนักปราชญ์ โลกนี้เป็นโลกที่เต็มไปด้วยเวทมนต์จริง ๆ มันมีสัตว์ร้ายตัวยักษ์ที่มีความยาวลำตัวประมาณสี่สิบศอกวิ่งอย่างอิสระไปทั่วป่าซึ่งสามารถสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของมันได้อย่างชัดเจนโดยญาณทิพย์ของท่าน แม้ตัวข้าและหมอผีจะร่วมมือกันก็ไม่สามารถฆ่าพวกมันลงได้ ถึงอย่างนั้นเจ้าของโลกนี้ก็ช่างอ่อนแอจริง ๆ … ”


 


“อ่อนแอรึ? แคสเดีย เมื่อพวกเขาอยู่ในเครื่องจักรโลหะเหล่านั้นที่สามารถบินขึ้นไปในอากาศและวางระเบิดเพื่อฆ่าเพื่อนร่วมชาติของเจ้าไปหลายร้อยคนเจ้าคงไม่คิดว่าเขาอ่อนแอเช่นนี้มาก่อน”


 


ชายร่างผอมที่มีใบหน้าสีเขียวและดำตั้งข้อสังเกต ด้วยความช่วยเหลือของแสงจันทร์เขามองดูเหยื่อที่ยังเหลืออยู่ “ท่านนักปราชญ์ เมื่อท่านเสร็จสิ้นการตรัสรู้แล้วท่านสามารถส่งเหยื่อพวกนี้ให้ข้าได้หรือไม่? ข้าอยากรู้โครงสร้างสมองของคนพวกนี้มากเหลือเกิน”


 


“หมอผียูลีนาส เราต้องทำความเข้าใจโลกของปีศาจเหล่านี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด นักโทษชุดแรกมีความสำคัญอย่างยิ่งดังนั้นข้าจึงไม่สามารถมอบคนพวกนี้ให้เจ้าได้ ต้องขอโทษเจ้าด้วย แคสเดีย นำพวกนักโทษเข้าป่าและสอบสวนพวกเขาแยกกัน”


 


เมื่อชายชราออกคำสั่ง นักรบก็เริ่มผูกตัวเหยื่ออย่างชำนาญด้วยเชือกหนา ๆ ที่พวกเขาเพิ่งทำมาจากเปลือกต้นไม้ก่อนที่จะแยกพวกเขาออกจากกันและลากเข้าไปในป่า


 


จางลี่เฉินที่มองว่าการยอมทำตามอย่างว่าง่ายไปก่อนตอนนี้คือวิธีการที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว มือของเขาถูกผูกเข้าด้วยกันก่อนที่จะถูกลากเข้าไปในป่าบนพื้นดินโดยชายหนุ่มหัวล้านที่สวมเสื้อเกราะภายใต้ในเสื้อคลุมสีดำในขณะที่ถือคันธนูและลูกธนู


 


จางลี่เฉินยังคงนิ่งเฉยแม้จะมีข้อเท็จจริงที่ว่าเมานท์โทดที่อยู่ในกระเป๋าเป้สะพายหลังของเขาสามารถขยายร่างเพื่อปกป้องผู้เป็นนายได้ถ้ามีใครบางคนมาทำร้ายนายของมัน แต่ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดมันอาจตายไปพร้อมกับศัตรูได้


 


หลังจากที่จางลี่เฉินถูกลากเข้าไปในป่าลึกได้ระยะหนึ่ง ชายหนุ่มหัวโล้นก็คลายเชือกและหันหลังกลับมาอย่างนุ่มนวลเพื่อเลื่อนคันธนูลงจากไหล่ของตัวเองก่อนที่จะยิงธนูออกไปทางด้านหลังของจางลี่เฉิน


 


ลูกศรปัดไปทั่วคอของจางลี่เฉินแล้วก็เป้สะพายหลัง พลังที่แข็งแกร่งส่งชายหนุ่มบินออกและตรึงเขาไว้ที่ลำต้นของต้นสนขนาดใหญ่ที่มีความสูงสามสิบสี่เมตร เสียง “วู้ช” ของลูกธนูที่ดมชัดดังก้องเข้ามาในหูเขาได้ในทันที


 


จางลี่เฉินเคยผ่านสถานการณ์ชีวิตและความตายมาก่อนแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกหมดหนทาง หัวใจของเขาเต้นแรงเมื่อได้ยินเสียงดังก้องอยู่ในหู “ถ้าเจ้าคิดอยากลองหนีลูกธนูถัดไปจะทะลุผ่านหัวเจ้า หากเจ้าโกหกข้าจะแทงแขนขาทั้งสี่ของเจ้าลงบนต้นไม้โดยใช้ลูกธนูของข้า!”


 


ด้วยเสียงที่เหนื่อยหอบอย่างหนัก จางลี่เฉินคิดว่ามันคงเป็นการดีกว่าที่จะปล่อยให้สถานการณ์นี้ดำเนินต่อไปก่อน อย่างน้อยเขาก็ยังไม่ถึงขั้นสิ้นหวังอย่างที่สุด เขาตอบอย่างสุจริตใจไปด้วยเสียงสั่น ๆ “เข้าใจแล้ว”


 


“ชื่ออะไร?”


 


“จางลี่เฉิน”


 


“อาชีพ?”


 


“นักเรียนและเจ้าของโรงฆ่าสัตว์…”


 


ทันใดนั้นนักธนูหัวล้านที่มาจากโลกใบอื่นก็เอ่ยถามคำถามทั่วไปซึ่งจางลี่เฉินก็เลือกตอบไปตามความจริงทั้งหมด ขณะที่พวกเขากำลังสอบถามและตอบกลับโดยไม่มีข้อขัดข้องใด ๆ เสียงร้องโหยหวนจากในระยะไกลก็ดังก้องขึ้นมา


 


ชายหนุ่มผู้มีประสบการณ์มากมายในการฆ่าสามารถบอกได้ว่ามันเป็นเสียงร้องไห้ที่เกิดขึ้นครั้งสุดท้ายของคาร์ไมน์เพราะลำคอของเขาถูกกรีดแทง ในตอนที่ดวงตาของเขากำลังแคบลงเขาก็ได้ยินนักธนูถามคำถามที่ทำให้เขาต้องประหลาดใจ “เจ้าคิดว่าใครคือบุคคลที่ทรงพลังที่สุดบนโลกใบนี้”


 


“คนที่ทรงพลังมากที่สุด…ก็คือไอน์สไตน์, นิวตัน, ฮอว์คิง, และทูบาลิน แต่สองคนแรกได้จากไปแล้ว”


 


“ทำไมถึงคิดเช่นนั้น?”


 


“นั่นก็เพราะไอน์สไตน์คิดค้นทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปได้ ซึ่งตัวผมไม่เข้าใจทฤษฎีนี้จริงๆ แต่ก็มีการกล่าวไว้ว่าทฤษฎีนี้สามารถอธิบายปัญหาที่ยากที่สุดในโลกนี้ได้ ในทางกลับกันนิวตันก็วางรากฐานของฟิสิกส์ยุคใหม่ ฮอว์คิงใช้หนังสือ“ประวัติย่อของกาลเวลา”  เพื่อคาดเดาต้นกำเนิดของจักรวาลอย่างกล้าหาญ และทูบาลินที่ได้คาดเดาการมีอยู่ของพวกคุณ…”


 


“เจ้าพูดว่าอย่างไร?” ประโยคสุดท้ายของจางลี่เฉินทำให้หัวใจของนักธนูตกตะลึง ในช่วงเวลาแห่งความว้าวุ่น ปากสัตว์ขนาดใหญ่ที่มีฟันคล้ายกับแท่งเจาะที่แหลมคมก็ระเบิดตัวออกมาจากความมืด


 


นักธนูหนุ่มผู้มั่นใจในความจริงที่ว่าเขามีหูที่คมชัดและดวงตาที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนในตอนกลางคืนได้ยินเสียงกระพือปีกของแมลงนับร้อยก็ก้าวถอยออกไปโดยสัญชาตญาณเมื่อรู้สึกว่าภัยอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ ด้วยความตกตะลึงจนพูดไม่ออกเขารีบเบี่ยงตัวออกไปด้านข้างด้วยการเกลือกกลิ้งลงไปกับพื้น


 


ในขณะที่เขากำลังจะหนีออกจากปากของสัตว์ร้าย หัวสัตว์ขนาดยักษ์ก็เติบโตขึ้นเป็นสิบเท่าจากขนาดเดิม ปากของมันพุ่งไปข้างหน้าโดยตรง มันปิดปากขณะกลืนนักธนูเข้าไปในท้อง



ตอนที่ 144

เสียงของสัตว์ร้ายขนาดยักษ์ที่ทำลายต้นไม้จนเป็นซากดังขึ้นตลอดทางทำให้มันดึงดูดความสนใจจากพวกลูกเสือที่มาจากนอกโลกเหนือธรรมชาติได้เป็นอย่างดี


 


“อคิวโมโร!” คนที่ตอบสนองต่อสิ่งนั้นได้อย่างรวดเร็ดที่สุดก็ไม่ใช่อื่นนอกจากนักรบแคสเดียที่ทรงพลัง เขาจับคามดบ ๆ ของตัวเองก่อนจะกระโดดลอยตัวเหนือพื้นดินประมาณ 200 – 300 เมตรราวกับกำลังโพบิน เมื่อมองดูข้างล่างเขาก็เห็นกิ้งก่าขนาดยักษ์ที่มีความยาวประมาณ 100 เมตร เขาอดไม่ได้ที่จะระบายความเดือดดาลที่มีพร้อมกับฟาดดาบลงราวกับสายฟ้า


 


กิ้งก่ายักษ์ตัวนั้นก็คือสัตว์อาคมของจางลี่เฉิน‘เกาะมังกร’ที่เขาพามาฮาวายด้วยกันโดยการให้มันซ่อนตัวขณะเดินอยู่ข้าง ๆ จางลี่เฉิน


 


ขณะที่มันกำลังเดินป่าตามผู้เป็นนายเพื่อไปยังเขตภูเขาไฟมันก็ถูกอัลท์แมนเจอตัวเข้าโดยบังเอิญ มันได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีร่วมกันของแคสเดียและยูลีนาสแต่โชคดีที่มันยังรอดชีวิตกลับมาได้


 


เป็นเพราะการบาดเจ็บของเกาะมังกรที่เตือนจางลี่เฉินให้รู้ถึงการมีอยู่ของศัตรู นอกจากนี้เนื่องจากเหตุผลที่ว่ามันยากสำหรับเขาที่จะเอาชนะศัตรูในครั้งนี้ชายหนุ่มจึงไม่ได้สั่งให้สัตว์อาคมของตัวเองเริ่มการโจมตีโต้กลับแต่อย่างใด


 


เขารอจนกว่าจะได้ยินเสียงกรีดร้องของคาร์ไมน์ ก่อนที่เขาจะตายเขารู้สึกได้ว่านักธนูคนนี้จะต้องฆ่าเขาอย่างแน่นอนหลังถูกสอบปากคำต่าง ๆ เสร็จ ดังนั้นจางลี่เฉินจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้คาถา “เชื่อมต่อ” เพื่อกลืนร่างศัตรูซึ่งเป็นทางเลือกสุดท้าย


 


อารมณ์เชิงลบที่สร้างโดยนักธนูถูกซึมซาบเข้าสู่ตัวทำให้พลังพ่อมดที่อยู่ในสายเลือดของจางลี่เฉินค่อย ๆ ปะทุ เมื่อสัตว์อาคมกลืนกินนักธนูจากดินแดนเหนือธรรมชาติและได้รับสารอาหารจากนักรบผู้แข็งแกร่งแล้ว บาดแผลบนร่างกายของมันก็เริ่มฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า


 


เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่พวกเขาได้เปรียบ ทั้งตัวเขาและเกาะมังกรไม่ได้หลีกเลี่ยงการโจมตีด้วยดาบอันทรงพลังของแคสเดีย ภายใต้คำสั่งของจางลี่เฉิน สัตว์อาคมได้ยกหางแมงป่องสามอันที่มีความยาว 100 เมตรยิงเข้าหาศัตรูกลางอากาศ


 


หางยาว ๆ ของสัตว์อาคมและดาบของแคสเดียปะทะกันทำให้เกิดเสียงดังคมชัด หลังจากการปะทะกันไปได้ไม่กี่รอบเกาะมังกรก็เริ่มเป็นฝ่ายได้เปรียบ


 


น่าเสียดายที่แคสเดียไม่ใช่ลูกเสือเพียงคนเดียวที่มาจากนอกโลกเหนือธรรมชาติ เหตุผลที่เกาะมังกรแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งดังกล่าวได้นั้นเป็นเพราะพลังรอบรู้ “ขยาย-หดตัว” ที่จางลี่เฉินกระตุ้นมันผ่านคาถา “เชื่อมต่อ” และทำให้ร่างกายของมันพองตัวอยู่ในระดับสูงสุด


 


ในไม่ช้ากองกำลังเสริมของแคสเดียก็รีบเข้าไปช่วยเหลือเขาทีละคน ๆ จางลี่เฉินผู้ซึ่งแกล้งทำเป็นโดนตอกตัวเข้ากับต้นไม้แทบเป็นลมเมื่อเขาใช้กำลังจนถึงขีดจำกัดพลังพ่อมดในร่างกาย


 


จากนั้นสถานการณ์ก็เริ่มแย่ลงอย่างรวดเร็ว ตอนนี้วิธีเดียวที่เหลืออยู่สำหรับชายหนุ่มที่ต้องการจะหลบหนีคือการสั่งให้เกาะมังกรพาเขาออกไป อย่างไรก็ตามเกาะมังกรจะไม่สามารถใช้พลังรอบรู้ได้เมื่อมันบรรทุกคน ยิ่งไปกว่านั้นจางลี่เฉินยังรู้สึกอีกว่าโอกาสในการรอดชีวิตของเขาตอนนี้มีไม่ถึง 20% เสียด้วยซ้ำถ้าเขาขี่สัตว์อาคมและหลบหนีจากแคสเดียไปโดยใช้ความเร็วเพียงอย่างเดียว


 


“20%ก็ยังดีกว่าเฝ้ารอความตายของตัวเองอยู่เฉย ๆ…” ในที่มืด จางลี่เฉินผู้มีอาการปวดหัวพึมพำกับตัวเองด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น เมื่อเขากำลังจะขึ้นขี่เกาะมังกรก่อนที่จะหลบหนีไปเขาก็เห็นอลิซ แอนเน็ตต์ แอชลีย์ซึ่งยังคงมีชีวิตอยู่เดินตามหลังอัลท์แมนมาปรากฏตัวต่อหน้า


 


หัวใจของชายหนุ่มล่วงหล่นในทันทีเมื่อเขานึกได้ว่าคนรักของคาร์ไมน์ถูกเชือดตายโดยดาบของแคสเดีย เหตุผลที่เขาถูกฆ่าไม่น่าจะใช่เพราะเขาเรียกร้องความตายของตัวเองด้วยการโจมตีคนพวกนั้นแต่เป็นเพราะคนพวกนั้นไม่ต้องการให้มีพยานคนใดรอดชีวิตกลับไปจึงทำการสังหารคนที่พวกเขาสอบสวนเสร็จ


 


ด้วยความคิดที่วิ่งวนไปมาอย่างรวดเร็ว จางลี่เฉินก็เริ่มชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียของสถานการณ์อีกครั้ง เขารู้สึกว่าในสถานการณ์ที่ต้องวางแผนไว้ล่วงหน้าเช่นนี้ถ้าพวกเขาต้องการให้นักโทษคนหนึ่งมีชีวิตอยู่ต่อคน ๆ นั้นก็ควรจะเป็นเขา และด้วยเหตุนี้เขาจึงกัดฟันและเริ่มเปลี่ยนใจ


 


หลังจากนั้นเขาก็เริ่มที่จะบีบพลังพ่อมดในร่างกายของเขาจนหยดสุดท้ายและในที่สุดก็ใช้ความคิดของเขาสั่งให้เกาะมังกรวิ่งลงทะเลก่อนที่จะปล่อยให้ตัวเองจมไปกับความมืดมิด


 


เมื่อเกาะมังกรได้รับการบำรุงด้วยพลังพ่อมดที่อ่อนล้าจากผู้เป็นนาย ร่างของมันก็หายตัวออกจากป่าไปในทันที


 


เมื่อแคสเดียงสังเกตเห็นว่ากิ้งก้ายักษ์ได้หายตัวไปอีกครั้ง เขาผู้ซึ่งต้องการต่อสู้กับสัตว์อาคมตัวนั้นจึงกวัดแกว่งดาบของเขาด้วยความโกรธและเฉือนต้นไม้ใหญ่หนาทึบข้าง ๆ “มันหายไปแล้ว! ครั้งนี้มันคงหายไปแล้วจริง ๆ! แถมมันยังกินอคิวโมโร…”


 


“แคสเดีย หากเจ้าไม่สงบสติอารมณ์ลงเดี๋ยวนี้มันจะเป็นเจ้าที่ถูกกินในครั้งถัดไป” อัลท์แมนพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “เหตุผลที่อคิวโมโรถูกฆ่าตายในครั้งนี้เป็นเพราะข้าเอง ข้าคิดว่าสัตว์ประหลาดจะไม่เป็นอันตรายต่อเราแล้วเมื่อมันได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ข้าคิดไม่ถึงว่ามันจะสามารถซ่อมแซมบาดแผลโดยการกินสัตว์และจริง ๆ แล้วมันมีพรสวรรค์ที่น่ากลัวเช่นเวทคาถา…”


 


“ท่านนักปราชญ์ ท่านโทษตัวเองเช่นนี้ได้อย่างไร? เราเพียงคิดไม่ถึงว่าสัตว์ร้ายในโลกที่ปีศาจอาศัยอยู่จะแข็งแกร่งเช่นนี้ต่างหาก แต่ก่อนที่สัตว์ประหลาดทรงพลังขนานนี้จะปรากฏก็ไม่มีนักโทษคนใดที่รู้ถึงการมีอยู่ของมันมาก่อน…ไม่น่าเชื่อ….”


 


“ไม่จำเป็นต้องมาสงสัยพวกเราเลยครับมิสเตอร์แคสเดีย รัฐ..รัฐบาลของประเทศเราเป็นพวกที่น่าเกลียดมาก! สัตว์ประหลาดแบบนั้นจะต้องเป็นอาวุธชีวภาพที่สร้างขึ้นผ่านเทคโนโลยีชีวภาพและเป็นไปไม่ได้เลยที่คนธรรมดาอย่างเราจะรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับมัน”


 


เสียงสั่นสะเทือนของการพิสูจน์ตัวดังก้องกังวานไปทั่วป่า คนที่พูดขึ้นมาคือคามิล ชายหนุ่มที่ค่อนข้างจะเก็บตัวคนนี้ไม่ค่อยชอบพูดคุยเท่าไหร่นักเมื่อเขาออกไปเที่ยวกับเพื่อนดังนั้นเขาจึงถูกมองข้ามไปอย่างง่ายดาย มันน่าแปลกใจที่เขามีความกล้ามากพอที่จะพูดถึงมุมมองของเขาออกมาอย่างร้อนแรง


 


สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือคำพูดของเขาได้ตกตะกอนอยู่ในความคิดของอัลท์แมน “แคสเดีย ข้าเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกใบนี้มากนัก แต่ข้าพอเข้าใจถึงความน่าเกลียดของผู้เป็นใหญ่ คามิลพูดถูก บางทีทั้งเขาและเพื่อนของเขาก็ไม่รู้อะไรด้วยเลย”


 


“ขะ ขอบคุณที่ท่านเข้าใจ ท่านนักปราชญ์…”


 


“คามิล นายเป็นบ้าไปแล้วหรือไง! คนพวกนี้ฆ่าชาร์ล็อตต์ จอร์จินา บอนนี่ คาร์ไมน์และผู้บริสุทธิ์อีกสองคนนะ! คนพวกนี้คือนักฆ่า คือฆาตกร!! นายต้องไปขอบคุณคนแบบนั้นจริง ๆ น่ะเหรอ?!” อลิซที่ซึ่งแต่เดิมก็เป็นคนงี่เง่ามากอยู่แล้วตะโกนขึ้นอย่างบ้าคลั่ง “นายมันบ้า นายมันบ้าไปแล้ว!!”


 


“อลิซ บ้านเกิดของพวกเขาถูกรุกรานโดยรัฐบาลของเรา เหตุผลที่พวกเขามายังโลกของเราก็เพื่อไม่ให้ประเทศชาติของพวกเขาถูกทำลายและประชาชนของพวกเขาจะได้ไม่ต้องถูกกดขี่! พวกเขาไม่รู้ว่าเราเป็นใครเมื่อพวกเขาพบเราครั้งแรก…” คามิลพ่นคำอธิบายที่สมเหตุสมผลออกมาด้วยความซับซ้อน


 


อัลท์แมนยิ้มอย่างแผ่วเบาขณะที่เขาเฝ้าดูการแสดงออกทางอารมณ์ของคามิลและการแสดงออกทางศีลธรรมที่น่าภาคภูมิใจซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวก่อนที่เขาจะไปกระซิบกับนักรบที่อยู่ข้าง ๆ “เนลูยะ ไปตรวจดูสิว่าเด็กที่ถูกตรึงกับต้นไม้คนนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ หากเขายังมีชีวิตอยู่ก็ให้พาเขาไปยังพื้นที่ภูเขาไฟด้วยกัน จงจำไว้ด้วยว่าเขาเป็นนักโทษที่มีค่ามากที่สุดของเราดังนั้นจงระวังและอย่าให้เขาบาดเจ็บ”


 


“ขอรับ ท่านนักปราชญ์” นักรบที่แข็งแกร่งพยักหน้าก่อนจะเดินไปดูจางลี่เฉินตามคำสั่ง หลังจากที่เขาแตะที่คอของชายหนุ่มเขาก็ดึงลูกธนูออกจากต้นไม้และพาดชายหนุ่มไว้บนไหล่อย่างระวัง


 


และเพราะแบบนี้ชีวิตที่อ่อนแอของจางลี่เฉินก็ได้รับกลับคืนมาอีกครั้งอย่างง่ายดาย เมื่อเขาเริ่มฟื้นคืนสติจากอาการเวียนศีรษะเขาก็ตระหนักได้ว่าเขากำลังนอนตะแคงอยู่ข้างแคมป์ไฟกับอลิซ แอชลีย์และแอนเน็ตต์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ


 


“เอ่อ…อะไรกันเนี่ย? ฝันที่น่ากลัวงั้นเหรอ?! ผมฝันว่าพวกเราโดนกลุ่มที่มีพลังโจมตีและฆ่า…” ชายหนุ่มส่ายหัวด้วยความยากลำบากเล็กน้อยและแสดงออกอย่างสับสนขณะที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าว


 


“ไม่ใช่ความฝันที่น่ากลัวแต่เป็นความจริงที่น่ากลัวต่างหาก พวกอันธพาลที่โจมตีพวกเราอยู่ตรงนั้นไง” อลิซชี้ไปที่กองไฟอีกกองหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลพลางตอบด้วยการแสดงออกที่ขาดสติ


 


“เวร ฝันร้ายที่กลายเป็นจริง…” จางลี่เฉินลุกขึ้นนั่งพลางเริ่มมองไปรอบ ๆ เขาตระหนักได้ว่าภูเขาไฟที่ตั้งสูงตระหง่านอยู่ใกล้กับพวกเขาแล้วในตอนนี้ “นี่คงเป็นเขตภูเขาไฟแล้วสินะ อ่ะ! แม่ง… เหมือนจะเห็นเพื่อนของคุณที่ชื่อคามิลคุยกับหัวหน้าคนพวกนั้น เกิดอะไรขึ้น?! เขายอมสวามิภักดิ์ต่อคนพวกนั้นอย่างงั้นเหรอ?”


 


“ไม่ใช่ คามิลไม่ได้ขอสวามิภักดิ์อะไร อันธพาลพวกนั้นคือทหารและที่ปรึกษาด้านการป้องกันจากประชาชาติเรดไอร่อนที่มาจากโลกเหนือธรรมชาติ ประเทศของพวกเขาถูกอเมริการุกรานดังนั้นพวกเขาจึงมาที่โลกของเราเพื่อจุดประสงค์ในการรวบรวมข่าวกรอง หลังจากได้รู้สิ่งพวกนี้แล้วคามิลก็รู้สึกเห็นใจพวกเขาเป็นอย่างมาก … ”


 


“อะไรกัน?! นี่พวกเราไม่ได้มาถ่ายหนังไซไฟกันนะ! แทนที่จะพูดว่าคนบ้าเหล่านี้เป็นทหารอาชีพและที่ปรึกษาด้านการป้องกันจากดินแดนเหนือธรรมชาติให้คิดซะว่าคนพวกนี้เป็นโรคจิตที่เพิ่งหนีออกจากโรงพยาบาลมาซะจะยังดีเสียกว่า…ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาฆ่าเพื่อนสนิทของคุณไปหลายคนเลยไม่ใช่หรือไง? ทำไมคามิลถึงยังเห็นด้วยกับการกระทำแบบนั้นของพวกเขาอีกด้วยกัน?” จางลี่เฉินตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับไปโดยไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะกันดี


 


ขณะที่เขาพูดออกไปแบบนั้นเขาก็ควบคุมเกาะมังกรที่หนีลงมหาสมุทรด้วยความคิดของเขาอีกครั้ง เขาออกคำสั่งให้มันตามล่าหาปลาและกุ้งกินเพื่อให้มันสามารถรักษาบาดแผลของตัวเอง


 


“ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคามิลคิดอะไรอยู่ ความคิดของเขาแปลกแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ เขาคัดค้านการทิ้งของเสียลงสู่มหาสมุทรและแม่น้ำแม้แต่ของเสียที่ถูกบำบัด! เขามีส่วนร่วมในปกป้องเรื่องของสัตว์และทาสีแดงไปทั่วทั้งตัว เขาขับเรือแล่นได้อย่างรวดเร็วเพื่อไปกระแทกกับเรือที่ออกล่าวาฬทางทะเล…”


 


“โอ้ งั้นเขาก็เป็นผู้ชายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความยุติธรรม…” ขณะที่จางลี่เฉินกำลังพูดอยู่จู่ ๆ ท้องของเขาก็เริ่มส่งเสียงคำราม “ผมคงหิวมากแล้ว คนบ้าพวกนั้นวางแผนที่จะทำอะไรกับพวกเรา? พวกเขาไม่ได้จะฆ่าและไม่ยอมปล่อยพวกเราไปดังนั้นพวกเขาแค่ต้องการให้เราหิวตายงั้นเหรอ?”


 


“ไม่รู้ แล้วก็อย่าพูดอะไรแบบนั้น ฉันเองก็หิวเหมือนกัน ใช่แล้ว! นายมีเนื้อดิบและแผ่นเหล็กอยู่ในกระเป๋าเป้ไม่ใช่หรือไง? หากเราเร็วพอเราสามารถทำบาร์บีคิวของเรากินได้ในไม่ช้า”


 


ผู้ที่ไม่เคยเจอกับความหิวมาก่อนอาจรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับพวกเขาที่ยังมีอารมณ์มานั่งทำบาร์บีคิวหลังได้เผชิญหน้ากับความเป็นความตายมา แต่ผู้ที่เคยประสบกับความหิวมาก่อนจะเข้าใจว่าอาหารมีความสำคัญมากเพียงใดกับผู้ที่หิวโหย


 


“ความคิดดี” จางลี่เฉินถอดกระเป๋าเป้สะพายหลังแล้วหยิบแผ่นเหล็กและเนื้อดิบออกมา หลังจากนั้นเขาก็พบว่ายังมีรังผึ้งที่ถูกบดนอกเหนือจากเมานท์โทดที่อยู่ในกระเป๋าของเขาอีก


 


เขาหยิบรังผึ้งอออกมาก่อนจะขุดหาดักแด้ตัวต่อและใส่เข้าปากของเขาในขณะที่เอ่ยถามไปอย่างสบาย ๆ “เอาด้วยไหม?”


 


อลิซและแอนเนตต์กำลังยุ่งอยู่กับการขุดหลุมบนพื้นภูเขาไฟด้วยแผ่นเหล็กและตอนนี้แอชลี่ย์ก็ไม่มีอารมณ์ที่จะประจบอะไรจางลี่เฉินอีกต่อไป โดยธรรมชาติแล้วไม่มีใครอยากกินของว่างที่น่าขยะแขยงแบบนั้น


 


และเนื่องจากไม่มีใครตอบคำถามของเขาจางลี่เฉินก็เริ่มทำการขุดหาดักแด้กินต่อเพียงลำพัง เขารู้ว่าการกินดักแด้มีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าการกินเนื้อย่าง ในตอนนี้มากแค่นี้ การได้รับคุณค่าสารอาหารที่แม้จะเป็นจำนวนที่เล็กน้อยแต่ก็อาจเป็นกุญแจชี้ขาดที่จะนำไปสู่ชัยชนะได้ในภาวะวิกฤติเช่นนี้



ตอนที่ 145

หลังจากที่แอนเน็ตต์และอลิซขุดหลุมตื้น ๆ บนพื้นดินเสร็จพวกเขาก็วางแผ่นเหล็กลงไปในหลุมแล้วกดอัดมันจนแน่น


 


จางลี่เฉินที่นั่งไขว้ขาอยู่ด้านข้างยังคงหยิบดักแด้เข้าปากตัวเองอย่างต่อเนื่อง การเคี้ยวดักแด้แต่ละครั้งทำให้เขารู้สึกได้ว่าพลังงานของเขาค่อย ๆ เริ่มฟื้นตัวกลับมาทีละน้อยก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาเฝ้าดูแอนเน็ตต์และอลิซวางเนื้อลงบนแผ่นเหล็กก่อนจะเอ่ยถามไปอย่างอยากรู้อยากเห็น “สามารถย่างเนื้อด้วยการขุดหลุมและวางแผ่นเหล็กบนมันได้ง่าย ๆ แบบนี้เลยงั้นเหรอ?”


 


“ใช่แล้ว! ทันทีที่เริ่มการขุดฉนวนจากเถ้าภูเขาไฟก็จะออกมาแล้วด้านล่างสุดก็จะร้อนมากทีเดียว” อลิซตอบคำถามของเขาพร้อมกับหยิบเนื้อวางลงบนแผ่นเหล็กที่ค่อย ๆ เริ่มร้อนขึ้นมาอย่างแผ่วเบา


 


จางลี่เฉินสูดดมกลิ่นเนื้อที่หอมลอยฟุ้งไปทั่วอากาศ “กลิ่นดีมากทีเดียว” เขายังคงขุดหาดักแด้กินต่อขณะเอ่ยชมกลิ่นเนื้อย่าง ด้วยแรงที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจึงทำให้เขาเผลอขุดรังจนกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่


 


ชายหนุ่มตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนนิ้วตัวเองออกจากรังด้วยความระมัดระวัง ตัวหนอนที่มีความหนาประมาณสามนิ้วยื่นออกมาพร้อมกับนิ้วมืออย่างน่าประหลาดใจ


 


ตัวหนอนนี้มีหัวเท่าขนาดเม็ดถั่วซึ่งไม่ใช่สัดส่วนที่พอดีกับร่างกายของมันเสียเลย ร่างกายของมันเต็มไปด้วยริ้วรอยพร้อมปีกสี่ปีกที่ดูท่าจะเหี่ยวเฉามานาน


 


มันตัวอ่อนปวกเปียกราวกับใกล้ตายเต็มทน


 


จางลี่เฉินตกตะลึงอีกครั้งเมื่อได้เห็น เขาหยิบหนอนตัวนั้นขึ้นมามองดูอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะพบว่ามันคือราชินีผึ้ง


 


ที่เรียกมันว่าราชินีเพราะมันคือผึ้งงานตัวแรกที่ฟักตัวออกมา หลังจากฟักตัวออกมาแล้วมันจะถูกผึ้งตัวอื่น ๆ ในรังเลี้ยงดูเป็นอย่างดี นอกจากการวางไข่แล้วไม่มีสิ่งใดให้มันทำอีกต่อไป


 


วิธีที่ชาวบ้านใช้ในการเลือกรังคือการปิดผนึกรังผึ้งไว้ด้วยโคลนเปียกก่อน เมื่อถึงเวลาที่โคลนจับตัวกันจนแห้งผึ้งจะก็หายใจไม่ออกจนพวกมันตาย แต่ก่อนที่พวกมันจะตายก็จะเห็นได้ชัดว่าราชินีผึ้งที่มีขนาดใหญ่กว่าผึ้งธรรมดาถึง 6 – 7 เท่าและต้องการใช้ออกซิเจนในปริมาณที่มากกว่าจะต้องตายก่อน


 


ชายหนุ่มจับหนอนตัวอ่อนขึ้นดูอย่างพิถีพิถัน ทันใดนั้นก็เหมือนมีแสงบางอย่างส่องผ่านดวงตาเขาออกมา เขาก้มศีรษะลงแล้วพึมพำว่า “ราชินีแห่งรังผึ้ง ไม่อยากเชื่อว่าคนขายจะไม่ได้โกหก ในรังนี้มีราชินีที่ยังไม่ตายอยู่จริง ๆ ราชินีผึ้งที่น่าหวงแหนยิ่งกว่าเกาะมังกรที่ได้รับในตอนแรก…”


 


เขายกกระเป๋าเป้ขึ้นมาวางไว้ตรงหัวเข่าจากนั้นก็ค่อย ๆ ใส่ราชินีผึ้งลงไปในกระเป๋าอย่างระมัดระวังแล้วแกล้งทำเป็นพลิกกระเป๋าเป้ไปมาขณะท่องคาถา “ดูดซึม” ผ่านทางความคิด


 


โดยไม่รู้ตัว มันผ่านไปแล้วหลายนาทีและตอนนี้เนื้อก็สุกได้ที่แล้ว อลิซที่ได้กินไปสองสามชิ้นก็เริ่มรู้สึกว่าท้องของเธอไม่ได้หิวอีกต่อไปเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน เขาหันไปเห็นจางลี่เฉินกำลังก้มหัวอยู่ในกระเป๋าเป้โดยบังเอิญราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่างเธอจึงโพล่งถามออกไปว่า “กำลังหาอะไรอยู่น่ะ? พวกเราแต่ละคนก็มีแค่…”


 


เมื่อเธอพูดถึงคำว่า “แต่ละคน” เธอก็เริ่มนึกถึงเพื่อน ๆ ของเธอที่มาด่วนจากไปอย่างกระทันหันเลยทำให้เธอไม่ได้พูดอะไรต่อ


 


จางลี่เฉินแอบสาปแช่งอลิซในใจเพราะเธอทำให้เขาต้องคิดหาข้ออ้างอะไรบางอย่างมาตอบและต้องเป็นคำตอบที่ฟังขึ้นพอสมควร “ผมจำได้ว่าแม่ใส่ถั่วไว้ให้ด้วยขวดหนึ่งก่อนมาฮาวายแต่ผมหามันไม่เจอ”


 


แอนเน็ตต์ที่ได้ยินคำพูดของชายหนุ่มขณะกำลังยัดเนื้อที่ปรุงสุกแล้วเข้าปากก็ส่งเสียงดังไปว่า “หาถั่วไม่เจองั้นเหรอ? เดี๋ยวฉันช่วยนายหาเอง”


 


“ถ้าคิดจะลองหาดูก็เชิญได้ตามสบาย แต่ฉันหาแล้วยังไงก็ไม่เจอ…” ในที่สุดการร่ายคาถา “เปลี่ยนร่าง” ครั้งสุดท้ายก็เสร็จสิ้น จางลี่เฉินยกหัวตัวเองออกจากกระเป๋าพร้อมใบหน้าซีดเซียวแต่ก็สามารถเห็นความตื่นเต้นที่พยายามซ่อนอยู่บนใบหน้าของเขาได้ด้วยเช่นกัน


 


ก่อนที่จะกลายมาเป็นพ่อมดระดับ 6 นอกเหนือจากคุณภาพของคาถาที่ได้รับระหว่างการผ่านระดับมาได้แล้วแล้วนั้น ความแข็งแกร่งของพลังพ่อมดของเขาก็จะถูกขัดเกลาเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน


 


ตอนนี้เขาได้รับนักสู้ตัวเก่งตัวใหม่ที่ทรงพลังมา ชายหนุ่มที่รู้สึกได้ว่าตอนนี้สถานการณ์ของเขากำลังถูกผลิกกลับอย่างสิ้นเชิงไปได้ในระดับหนึ่งแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมองจักรวาลอันกว้างใหญ่ก่อนที่จะเริ่มเพิ่มพลังพ่อมดให้กับตัวเองโดยใช้อารมณ์เชิงลบที่นักธนูสร้างขึ้นในตอนที่เขากำลังถูกเกาะมังกรกลืนกินก่อนตาย เขากำลังคิดว่าถ้าเขาสามารถฆ่าคนจากโลกอื่นพวกนี้ได้ทั้งหมดเขาจะได้รับพลังเชิงลบมาปรับปรุงมากขนาดไหนกัน


 


ในขณะที่เขากำลังขบคิดเกี่ยวกับมัน ท้องฟ้าเบื้องหน้าก็ถูกแทนที่ด้วยใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มอย่างขมขื่น “กำลังคิดอะไรอยู่? สถานการณ์ของเราแย่มากขนาดนี้แล้วยังจะมายิ้มได้อีกงั้นเหรอ? ดูเหมือนว่าคนที่ประสบความสำเร็จในการสร้างรายได้ 100 ล้านดอลลาร์ต่อปีจะแตกต่างจากพวกเราคนธรรมดาไปอย่างสิ้นเชิงจริง ๆ”


 


ชายหนุ่มตะลึงจนพูดไม่ออกก่อนจะคิดได้ว่าเขากำลังคิดถึงเรื่องความสุขเร็วเกินไปจึงตบหน้าตัวเองเบา ๆ ก่อนตอบกลับไปว่า “มิสแอชลีย์ ตอนนี้คุณเองก็ยิ้มอยู่ด้วยเหมือนกันไม่ใช่หรอครับ?”


 


“รอยยิ้มเบี้ยว ๆ นี่น่ะเหรอ หึ ตอนแรกที่ฉันมีโอกาสได้เจอคนรวย ๆ แบบคุณฉันก็คิดแล้วนะว่าโอกาสที่ฉันต้องการคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม แต่ใครจะไปคิดว่า…”


 


“อย่าห่วงเลย ความจริงที่คนพวกนั้นยังไม่ฆ่าเราก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้แล้วว่าเรายังมีประโยชน์ในสายตาของพวกเขาอยู่ เราจะต้องไม่เป็นไร!”


 


“ตอนนี้เราอาจจะยังมีประโยชน์แต่หลังจากนั้นไปอีกล่ะ? ตอนนี้เราอยู่ในมือพวกเขาแล้วแล้วเราจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่คนพวกนั้นต้องการ บ้าเอ้ย! ฉันไม่ใช่ผู้หญิงเลว ๆ อะไรเลย ฉันแค่อยากประสบความสำเร็จและใช้ความงามของฉันเพื่อทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้นก็เท่านั้น สิ่งที่ฉันต้องการมันต่างกับพวกศิลปินหญิงและพวกนางแบบคนอื่น ๆ ทั้งหมดเลยอย่างนั้นเหรอ! ทำไมล่ะ? ทำไมฉันถึงต้องมาโชคร้ายแบบนี้ด้วย!” แอชลี่ย์เริ่มพูดด้วยอารมณ์ที่ยากจะควบคุม


 


“โอ้! เวร! นี่มันอะไรกันล่ะเนี่ย เครื่องสั่นงั้นเหรอ?”  ทันใดนั้นแอนเน็ตต์ซึ่งกินเนื้อย่างเสร็จก็เริ่มไปค้นหาถั่วจากกระเป๋าจางลี่เฉินโดยไม่บอกให้เขารู้ล่วงหน้า เขารีบดึงมือของตัวเองออกมาด้วยพลังทั้งหมดก่อนร้องตะโกนเสียงดัง


 


“แน่นอนว่าไม่ใช่” จางลี่เฉินลุกขึ้นยืนไปหาแอนเนนต์พร้อมก้มหยิบตุ๊กตาตัวต่อน่าเกลียดที่มีรูปร่างบิดเบี้ยวซึ่งยาวหนึ่งฟุตขึ้นมาแล้วเขย่า “นี่คือของนำโชค ผึ้ง…กิวโกะ นายอาจถูกหางของมันแทงเข้าได้เพราะมันทำจากวัสดุเลียนแบบ ระวังให้ดีเมื่อถือมันไว้ในมือ”


 


“ไอ้เครื่องช่วยตัวเองนี่น่ะหรอจะแทงฉัน? ห้ะ? คิดจะแทงฉันจริง ๆ งั้นเหรอ?! ฉันจะทำให้แกได้ลิ้มรส…” ความเจ็บปวดที่เริ่มทนไม่ไหวทำให้แอนเนตต์ระเบิดออกมาในที่สุด เขาคว้าตัวต่อมาจากมือของชายหนุ่มแล้วโยนมันลงพื้นพร้อมกับกระทืบมันซ้ำ ๆ หลังจากเหยียบมันเพื่อระบายอารมณ์เสร็จเขาก็ทรุดตัวลงไปกับพื้นในขณะที่เขาหมดแรงด้วยความสิ้นหวังแล้วเริ่มร้องไห้


 


เมื่อมองไปที่กองไฟอีกกองหนึ่งพลางมองดูเหยื่อสามในสี่ที่เริ่มมีอาการทางจิตทีละน้อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป ทันใดนั้นอัลท์แมนก็ยืนขึ้นแล้วเดินไปที่กองไฟนั้นภายใต้การดูแลของนักรบสองคนและคามิล


 


เมื่อชายชรามายืนข้างกองไฟ ทรงผมตลก ๆ ของเขาที่ดูเหมือนจะมืดก็ค่อย ๆ สว่างขึ้นเรื่อย ๆ ภายใต้แสงจากเปลวไฟ “คามิล บอกเพื่อนของเจ้าไปทีว่าพวกเขาจะปลอดถ้ายอมทำตามที่เราสั่ง จางลี่เฉิน ขอคุยเป็นการส่วนตัวจะได้หรือไม่?”


 


“ท่านนักปราชญ์ ผมจะดูแลพวกเขาให้เอง” เมื่อได้ยินคำสั่งของอัลท์แมน คามิลก็จ้องมองจางลี่เฉินด้วยท่าทางแปลก ๆ ก่อนจะพยักหน้าและก้มตัวลงไปอยู่ข้าง ๆ แอนเน็ตต์


 


จางลี่เฉินกลืนน้ำลายก่อนจะถามออกไปอย่างหงุดหงิด “นักปราชญ์ เอ…อัลท์แมนอยากจะพูดอะไรกับผม?”


 


อัลท์แมนยิ้มแล้วก็ยื่นมือไปตบไหล่ของเขาเบา ๆ ราวกับคนที่เคยได้พูดคุยกันทุกวัน “มาเถอะเจ้าหนู ให้เราได้เดินไปรอบ ๆ ขณะที่เราคุยกันจะดีกว่า ข้าคิดว่าเจ้าคงได้รู้ที่มาของเราจากเพื่อนของเจ้าแล้วใช่ไหม?”


 


“ใช่ ๆ แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมากเหลือเกิน” จางลี่เฉินเดินตามชายชราอยู่ข้าง ๆ


 


“มันเป็นเรื่องจริง เหตุผลที่เรามายังโลกของเจ้านั้นเราไม่ได้มาเพื่อฆ่าหรือประกาศสงคราม แต่เราเพียงต้องการปกป้องตนเองและหยุดยั้งการถูกบุกรุกและในที่สุดก็พินาศ…”


 


“เสียใจด้วยที่ได้ยินแบบนั้น”


 


“เจ้าไม่ควรแค่เสียใจแต่ควรยืนอยู่ข้างความยุติธรรมและช่วยเหลือพวกเรา”


 


“ชะ…ช่วยพวกคุณ ตราบใดที่มันยังอยู่ในความสามารถของผมแน่นอนว่า…”


 


“อย่าได้พูดคำที่ไม่จริงใจเช่นนี้ ข้าเข้าใจดีว่าบุคคลที่มีรายได้ 100 ล้านดอลลาร์ต่อปีสามารถออกแรงได้มากแค่ไหนบนโลกใบนี้” อัลท์แมนหงายมือของเขาที่ถือหนังสือเล่มหนึ่งออกมา


 


“ท่านนักปราชญ์ ท่านรู้ได้อย่างไร?”


 


“เพื่อเจ้าบางคนบอกข้อมูลนั้นมา คามิลสอนให้ข้ารู้วิธีใช้มันและข้าก็ต้องยอมรับว่าความรู้และข้อมูลเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างแท้จริงบนโลกของพวกเจ้า บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเจ้าถึงสามารถบังคับให้เราตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าสิ้นหวังได้แม้จะมีร่างกายที่อ่อนแอเช่นนี้”


 


“โอ้ หมายความว่าแท็บเล็ตอันนี้เชื่อมอินเทอร์เน็ตไว้ด้วยอย่างนั้นเหรอ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสถานที่ดังกล่าวจะมีเครือข่ายไว้ให้ใช้งานเหมือนกัน หากเป็นเช่นนั้นคุณก็สามารถโพสต์ลงบนอินเทอร์เน็ตและเปิดเผยการมีอยู่ของโลกและประณามการรุกรานของกองทัพสหรัฐฯบนโลกของคุณ … ”


 


“ไม่มีใครสนใจเรื่องข้อความพวกนั้นหรอก! การทำเช่นนี้ต่างหากที่จะดึงดูดความสนใจของรัฐบาลสหรัฐฯได้ พวกเขาจะส่งกองทัพพร้อมอาวุธที่ทันสมัยที่สุดและทำลายพวกเราทุกคนรวมถึงพวกเจ้าทุกคนด้วยเช่นกัน” อัลท์แมนชี้กลับไปที่คนของตัวเอง จางลี่เฉิน อลิซ และคนอื่น ๆ


 


“บ้าเอ้ย! มันเป็นความเป็นไปได้ที่ใหญ่ที่สุดที่จะ…” จางลี่เฉินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มตระหนักตาม


 


“ด้วยเหตุนี้ก็เท่ากับว่าตอนนี้เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว การช่วยเราก็เท่ากับช่วยตัวเองด้วยเช่นกัน ด้วยความกตัญญู เราจะไม่ให้พวกเจ้าช่วยแบบเสียเปล่า”


 


“ไม่ได้ให้ช่วยแบบเสียเปล่า?” รอยยิ้มบิวเบี้ยวที่ยอมอยู่ใต้อิทธิพลของคนจากนอกปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “ผมจะขอบคุณมากถ้าคุณไว้ชีวิตผม”


 


“โอ้ เด็กน้อย เจ้าดูถูกเรามากเกินไปแล้ว! ไม่คิดบ้างหรือว่ายังมีสิ่งใหญ่กว่านี้ที่ข้ามอบให้เจ้าได้อยู่ด้วย แม้โลกของเราจะไม่ได้ก้าวหน้าไปมากกว่าของพวกเจ้าแต่ก็สามารถเห็นได้แล้วนี่ว่าเมื่อพูดถึงพลังของแต่ละบุคคล ทางฝั่งข้าแข็งแกร่งยิ่งกว่าเจ้ามาก ยกตัวอย่างแคสเดีย เขามีความแข็งแกร่งที่เกินขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์ ยูลีนาสมีพลังเวทลึกลับที่ซับซ้อน และข้าที่มีช่วงชีวิตยาวนานจนทำให้ข้ามีชีวิตอยู่มาได้ 157 ปีแล้ว เราสามารถมอบสิ่งเหล่านี้ให้พวกเจ้า…”


 


“นี่ท่าน…ท่านกำลังล้อเล่นอยู่ใช่ไหม?” จางลี่เฉินที่เดินตามชายชราไปรอบ ๆ กองไฟอย่างช้า ๆ ตัวแข็งทื่อก่อนจะเอ่ยถามออกไปด้วนน้ำเสียงแหบแห้ง



ตอนที่ 146

อัลท์แมนเองก็หยุดเดินเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังที่มากกว่าปกติ “แน่นอนว่าข้าไม่ได้ล้อเล่น ในฐานะนักปราชญ์ที่มีพลังแห่งการเห็นแจ้ง ข้าสามารถช่วยให้เจ้าได้รับตำแหน่งขั้นพื้นฐานที่สุดของอาชีพใด ๆ ก็ได้ตราบใดที่มันคุ้มค่ากับสิ่งที่เจ้าช่วยพวกเรา แม้ว่ามันจะเป็นเพียงอันดับขั้นพื้นฐานแต่ก็จะเป็นแนวคิดที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงจากมนุษย์ธรรมดา นอกจากนี้หากเจ้ายังเป็นมนุษย์ที่มีหัวใจจะพัฒนาตนเองและตราบใจที่เจ้าทำงานหนักมากพอมันก็เป็นไปได้ที่เจ้าจะสามารถยกระดับอาชีพของเจ้าและมีพลังอำนาจเทียบเท่ากับแคสเดียหรือยูลีนาส หรืออาจมีพลังมากกว่าพวกเขาก็เป็นได้! เจ้าเป็นคนเดียวที่ไม่ยอมจำนนต่อความผิดปกติทางจิตใจและสามารถคุยกับข้าได้อย่างปกติ ไม่มีเหตุผลอะไรให้ข้าต้องหลอกเจ้า”


 


จางลี่เฉินมีการแสดงออกที่ค่อนข้างลังเลและใตไม่น้อยกับคำพูดของนักปราชญ์ก่อนจะพยายามสร้างประโยคเพื่อตอบกลับ “ตะ…แต่ผมไม่รู้ว่าจะช่วยพวกคุณได้อย่างไร ท่านนักปราชญ์อัลท์แมน ผมเพิ่งเริ่มต้นธุรกิจของผมและใช่ผมมีเครือข่ายบางอย่าง แต่…”


 


“มั่นใจตัวเองเข้าไว้ ข้าจะเป็นคนบอกเจ้าเองว่าควรทำเช่นไร รับรองได้ว่าสิ่งที่ข้าอยากให้เจ้าทำจะยังอยู่ในขอบเขตที่เจ้าสามารถทำได้อย่างแน่นอน เหมือนที่ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถหาทางพาเราออกจากเกาะนี้ได้เมื่อท้องฟ้ากลับมาสดใส”


 


“ท่านต้องการออกจากโอวาฮู? ไปยังที่ไหน?”


 


“ที่ใดก็ได้ตราบใดที่เจ้าสามารถพาพวกเราออกจากที่นี่ได้ ข้าจะเปิดใช้งานพลังนักรบของเจ้าและให้ร่างกายของเจ้าได้รับการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงเพื่อให้มีร่างกายที่เกินขีดจำกัด” อัลท์แมนใช้น้ำเสียงที่ชวนเคลิ้มหลงในขณะที่เขาพูดด้วยความเคร่งขรึมทั้งหมด


 


มันอาจเป็นปัญหาสำหรับคนธรรมดาที่จะนำคนจำนวนน้อยที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้เพื่อออกจากโอวาฮู แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับจางลี่เฉินที่จะทำเช่นนั้น


 


การทำเช่นนั้นจะแลกมาด้วยร่างกายเหนือมนุษย์และนี่เป็นการแลกเปลี่ยนที่เป็นประโยชน์กับเขาอย่างมาก


 


“ที่ใดก็ได้ ที่ใดก็… วิธีที่ง่ายที่สุดคือการซื้อเรือยอชท์และพาพวกคุณไปยังเกาะคาไว ผมมีเพื่อนที่เก่งมาก ๆ อยู่ที่นั่น แน่นอนว่าถ้าคุณไม่อยากไปเกาะคาไวก็ได้ ผมเคยได้ยินมาว่าเรือยอชท์ที่ดีจะสามารถนำทางไปได้ทั่วโลก …”


 


“เจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบายข้าก็ได้เด็กน้อย เพียงทำตามสิ่งที่ข้าร้องขอให้ก็พอ”


 


“เอาล่ะท่านนักปราชญ์อัลท์เมน ถ้างั้นผมจะต้องไปซื้อเรือยอชท์ก่อน … แต่การจะซื้อเรือได้ผมจะต้องกลับเข้าเมือง…”


 


“ไม่มีปัญหา ข้าจะให้คามิลขับรถพาเจ้าไปในขณะที่แซดน่าและแมนโซแลดจะตามไปปกป้องเจ้า”


 


แม้ว่าคำว่า “ป้องกัน” จะถูกนำมาใช้ในประโยคแต่มันก็เป็นเหมือนการเฝ้าตามระวังมากกว่า จางลี่เฉินไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ หลังจากได้ยินคำพูดของอัลท์แมนเขาพยักหน้าซึ่งเป็นวิธีที่จะบอกว่าเขาเห็นด้วย


 


อัลท์แมนมีความสุขมากกับการตัดสินใจเช่นนี้ของเด็กหนุ่ม เขาตบไหล่จางลี่เฉินเบา ๆ อีกครั้งก่อนจะหันหลังกลับจากไปโดยไม่พูดอะไรอีกเลย จางลี่เฉินวิ่งกลับไปที่กองไฟแล้วเอนกายลงบนกระเป๋าเป้ของตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็หันไปฝั่งตรงข้ามสักครู่ก่อนจะหลับไปโดยไม่รู้ตัวราวกับว่าเขาหมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรงที่มี เขานอนกรนเบา ๆ พร้อมกับความสงบและการหายใจที่มั่นคง


 


เมื่อเขาตื่นจากการนอน แสงอาทิตย์ก็ได้สาดส่องลงมาบนโลกเพื่อบอกว่ายามราตรีได้ผ่านพ้นไปแล้วหนึ่งคืน


 


“ตื่นแล้วสินะ ท่านอัลท์แมนเปลี่ยนใจแล้วและบอกให้ข้าติดตามเจ้าเข้าเมืองไปพร้อมกับแอนเน็ตต์ เก็บของแล้วเราจะได้รีบไปกัน” ในขณะที่เขาลุกขึ้นยืนในลักษณะที่ยังงัวเงีย จางลี่เฉินก็ได้ยินเสียงห้าวเข้มดังก้องเข้ามาในหู


 


“มิสเตอร์…แคสเดีย? เปลี่ยนเป็นคุณที่ตามผมเข้าไปในเมืองแทนงั้นเหรอ?” ชายหนุ่มนั้นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามด้วยท่าทางโง่ ๆ


 


“แคสเดียจะเป็นผู้คุ้มกันเจ้าส่วนแอนเน็ตต์เป็นไกด์มืออาชีพ ข้าคิดว่ามันจะน่าเชื่อถือกว่าในการพาเขาไปซื้อเรือด้วยกันกับเจ้า มันจะไม่ทำให้ชาวเมืองเกิดความสงสัย” ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สว่างจ้า อัลท์แมนซึ่งอยู่ไม่ไกลชี้ไปยังหยดน้ำใสที่ลอยขึ้นกลางอากาศก่อนจะบอกจางลี่เฉินว่า “มาเถิดเจ้าหนู เจ้าควรล้างหน้าก่อนออกเดินทาง”


 


“ได้ ๆ” จางลี่เฉินรีบวิ่งไปที่ด้านข้างของอัลท์แมน ด้วยท่าทีลังเล เขาเอื้อมมือไปยังหยดน้ำที่ลอยขึ้นกลางอากาศ เมื่อตระหนักได้ว่ามันเป็นเพียงหยดน้ำธรรมดาที่สะอาดเขาจึงตักน้ำออกออกมาเพื่อล้างหน้าก่อนจะร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ “ท่านนักปราชญ์ ท่านทำแบบนี้ได้อย่างไร? นี่มันน่าอัศจรรย์มาก!”


 


“พลังของหมอผีที่ไม่มีนักปราชญ์คนไหนสัมผัสได้ เจ้าจะเข้าใจมันได้เองเมื่อเจ้ากลายมาเป็นหมอผี”


 


เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นจางลี่เฉินก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง การแสดงออกที่มาพร้อมกับการต่อต้านเล็กน้อยถูกแสดงอยู่บนใบหน้า เขากลับไปล้างหน้าตัวเองต่อและปัดเศษฝุ่นเสื้อผ้าของตัวเอง


 


จากนั้นเขาก็เริ่มดำเนินการตามที่ได้คุยกันไว้เมื่อวานร่วมกับแคสเดียและแอนเนตต์


 


เมื่อพวกเขาออกจากเขตพื้นที่ภูเขาไฟและกำลังอยู่บนเส้นทางเดินป่าที่นำไปสู่ลานจอดรถชายหนุ่มก็กล่าวขึ้นในทันทีว่า “มิสเตอร์แคสเดีย ผมว่ามันคงจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่นักที่คุณจะแต่งตัวแบบนี้ในฐานะผู้คุ้มกันของผม”


 


“จางลี่เฉิน … นับจากนี้ไปโปรดเรียกข้าว่าซูโน่” แคสเดียตอบกลับด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ “ไม่ต้องกังวล แอนเน็ตต์มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยนอยู่บนรถของเขาและข้าก็สามารถใส่เสื้อผ้าเขาได้พอดี ข้าจะเปลี่ยนเป็นชุดพวกนั้นหลังเราไปถึงที่รถ”


 


“โอ้ ดูเหมือนว่าผมจะเป็นกังวลมากเกินไปสินะ ท่านปราชญ์อัลท์แมนทั้งระมัดระวังตัวและชาญฉลาดขนาดนั้น เขาจะไม่นึกถึงสิ่งนี้ไปได้อย่างไรกันจริงไหม?”


 


เมื่อได้ยินคำพูดของเขา รอยยิ้มที่แสนเย็นชาก็ฉาบขึ้นบนใบหน้าของแคสเดียทันที ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุดเขาเข้าใจถึงความสำคัญของการมีนักธุรกิจเช่นจางลี่เฉินมาอยู่ข้าง ๆ ได้เป็นอย่างดี เขารู้ว่าเขาควรปฏิบัติต่อจางลี่เฉินด้วยทัศนคติที่ดีและเป็นมิตรอย่างไร


 


ไม่ว่าจะมีข้อแก้ตัวและเหตุผลมากมายแค่ไหนจางลี่เฉินก็คือคนที่เลือกจะทรยศต่อโลกของเขาด้วยการช่วยเหลือสายลับอย่างพวกเขา


 


ในฐานะนักรบผู้กล้าหาญ แคสเดียย่อมไม่มีความชื่นชอบต่อผู้ทรยศที่น่ารังเกียจเช่นนี้ ดังนั้นทัศนคติของเขาที่มีต่อชายหนุ่มคนหน้าจึงค่อนข้างขัดแย้งกันพอสมควร


 


รอยยิ้มแปลก ๆ ของแคสเดียดูเหมือนจะไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากจางลี่เฉินเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามเมื่อมันเข้ามาในเขตการมองเห็นของแอนเน็ตต์ที่กำลังเปิดเผยภาพลักษณ์อ่อนโยนทำให้เขาปัดเป่าความแปลกประหลาดที่คิดออกจากใจ


 


หลังจากที่เขาได้เห็นความแข็งแกร่งของแคสเดียไปเมื่อคืนวานนี้ แอนเน็ตต์รู้ดีว่าถ้าเขาไปซ่อนตัวอยู่ในกองทัพเรือสหรัฐฯหรือฐานทัพอากาศในโออาฮู หรือแม้ว่าเขาจะได้รายงานต่อตำรวจแต่นักรบจากโลกเหนือธรรมชาติเหล่านี้ก็ยังสามารถฆ่าเขาได้อย่างง่ายดายแม้ว่าเขาจะอยู่ต่อหน้าตำรวจก็ตาม


 


การได้เห็นรอยยิ้มน่ากลัวที่มีนัยยะบางอย่างพุ่งขึ้นบนใบหน้าของแคสเดีย เขาจึงเลือกที่จะยอมทำอย่างเชื่อฟังเพื่อชีวิตที่แสนจะลำบากของเขาในตอนนี้ให้อยู่รอดปลอดภัย


 


เมื่อแต่ละคนฝังความคิดลงไปกับตัวเองพวกเขาก็ค่อย ๆ เดินไปยังลานจอดรถกันอย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีคำพูดอะไรเลยตลอดทาง


 


เมื่อเดินมาจนเกือบจะถึงลานจอดรถ จางลี่เฉินก็หยุดเดินกระทันหันและสัมผัสท้องของเขาเบา ๆ ก่อนจะมองไปรอบ ๆ “เอ่อ มิสเตอร์แคสเดีย ขอโทษทีแต่ตอนนี้ผมต้องการไปห้องน้ำก่อน คุณจะไปกับผมไหม? ไปรอผมอยู่ด้านนอกห้องน้ำ”


 


แคสเดียมีความภาคภูมิใจและความคิดแบบฉบับทั้งนักรบและผู้บัญชาการ แม้จะมีคำสั่งของอัลท์แมนอย่างระมัดระวังแต่เขาก็ยังลังเลก่อนจะตอบว่า “จางลี่เฉิน ท่านนักปราชญ์อัลท์แมนได้บอกให้ข้ามอบอิสระกับเจ้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เจ้าสามารถไปห้องน้ำได้แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะกลับมาขึ้นรถทันทีหลังจากที่ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าในรถเสร็จ”


 


“งั้นผมก็หวังว่าคุณจะเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ช้ามาก ๆ แอนเนตต์ ห้องน้ำอยู่ตรงไหนของลานจอดรถ?”


 


“ตรงนั้น” แอนเน็ตต์ชี้ทิศทางห้องน้ำให้จางลี่เฉินก่อนจะเดินไปเปิดประตูรถของเขา


 


พอขึ้นมานั่งบนที่นั่งฝั่งคนขับรถแล้วเขาก็รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ ไหลเวียนไปทั่วร่างกายอย่างน่าประหลาด โชคดีที่ความรู้สึกไม่สบายนี้อยู่กับเขาแค่เพียงครู่เดียวและหายไปอย่างไร้ร่องรอยในไม่ช้า


 


แอนเน็ตต์ขยี้ตาด้วยความเหนื่อยล้าและสบถภายใต้ลมหายใจของเขา “แม่งเอ้ย!”


 


จากนั้นเขาก็เอี้ยวตัวไปข้างหลังเพื่อหาเสื้อผ้าที่ห่ออยู่ในถุงพลาสติกก่อนจะส่งเสื้อผ้าพวกนั้นให้แคสเดียซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างที่นั่งคนขับพร้อมทั้งปิดประตูแล้วเรียบร้อย


 


เนื่องจากเขาต้องการเปลี่ยนเสื้อผ้า แคสเดียจึงเลียนแบบท่าทางของแอนเนตต์ทั้งเปิดและปิดประตู และหลังจากที่เขาได้รับเสื้อผ้าแล้วตอนนั้นเองที่เขามองผ่านออกไปนอกหน้าต่างรถ จางลี่เฉินผู้ซึ่งกำลังเดินไปห้องน้ำก็หันกลับมาส่งยิ้มให้กับเขา


 


แคสเดียรู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งตัวร่วมถึงแอนนต์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยเช่นกัน


 


ทันใดนั้น แมลงน่าเกลียดที่มีขนาดเท่ากำปั้นเด็กหลายร้อยตัวก็พยายามกระพือปีกใส ๆ ของมันเมื่อโผล่ออกมาจากร่างของแอนเน็ตต์ซึ่งร่างของเขาได้ระเบิดออกจนกลายเป็นเศษผิวหนังบาง ๆ ของมนุษย์นับไม่ถ้วนไปทั่วรถและเริ่มทำร้ายแคสเดียที่นั่งอยู่ที่นั่งแคบ ๆ ข้าง ๆ


 


นักรบที่ถูกโจมตีไม่รู้ว่าจะเปิดประตูรถได้อย่างไรจึงเหลือเพียงทางเลือกเดียงซึ่งก็คือการใช่ร่างกายของเขาทุบประตูรถเพื่อให้มันเปิดออก


 


หนึ่งในแมลงบินได้จากหลายร้อยตัวพยายามทำลายการคุ้มกันของแคสเดียและฝังเหล็กในที่มีพิษเข้าสู่ร่างกายของเขา


 


พิษที่ร้ายแรงก็เริ่มแพร่กระจายไปยังทุกส่วนของร่างกายผ่านทางเลือดของเขา นักรบสามารถสัมผัสหมอกสีดำจาง ๆ ที่เริ่มปรากฏตัวต่อหน้าได้แต่เขาไม่สนใจ เขาดึงดาบคม ๆ ของเขาออกมาอย่างแรงหลังจากได้รับพื้นที่เพียงพอ


 


ในเวลาเดียวกันกับที่เขาดึงดาบ เหล่าแมลงที่พยายามบินไล่เขาออกจากรถ SUV ก็พองตัวขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึง 20 เท่า ความตึงเครียดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อแมลงเริ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่ม ๆ ละ 10 ตัวก่อนจะพุ่งเข้าใส่นักรบจากทุกทิศทาง


 


ไม่ว่าแคสเดียวจะพยายามแทงดาบของเขาเพื่อฆ่าแมลงแปลก ๆ เหล่านี้อย่างไรพอพวกมันเข้าใกล้เขามาก ๆ พวกมันก็จะระเบิดตัวแตกออกไปอย่างเงียบ ๆ เหมือนระเบิดสุญญากาศขนาดเล็ก


 


ในที่สุดหลังจากที่แคสเดียเอาชนะแมลงบินมาได้ก็มีหนอนยักษ์ตัวยาวโจมตีเขาด้วยปากของมันและเริ่มเงยหัวขึ้นฟ้าเพื่อคำรามและขบฟัน


 


ในเวลานี้นักรบผู้รู้แล้วว่าเขาไม่สามารถอยู่รอดได้อีกต่อไปในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะฆ่าตัวตายไปพร้อมกับศัตรู ขณะที่เขาพยายามรวบรวมกำลังที่เหลืออยู่เป็นครั้งสุดท้ายเขาก็ตะโกน “เผาไหม้!” ขึ้นมา มันทำให้เกิดแสงสีเหลืองพราวออกมาจากร่างของเขาขณะที่มันค่อย ๆ บังคับปากของสัตว์ยักษ์ให้เปิดออก


 


ขณะที่เขาลอยค้างอยู่กลางอากาศพลางจ้องมองลานจอดรถที่อยู่ใต้เท้าด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยเลือด ตรงที่ ๆ จางลี่เฉินเคยยืนอยู่เมื่อไม่กี่วินาทีก่อนมีสัตว์ร้ายขนาดใหญ่กำลังหมอบตัวอยู่ที่นั่น ร่างกายของมันบวมขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อปากของมันเปิดกว้าง มันพ่นลมพายุออกมาซึ่งดูเหมือนว่าจะสามารถบิดเบือนได้แม้แต่แสงที่ส่องลงมาจากดวงอาทิตย์


 


ขณะถูกแขวนอยู่กลางอากาศราวกับเป็นเป้า แคสเดียผู้มีประสบการณ์ต่อสู้มาหลายร้อยครั้งและไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อนในที่สุดก็ได้ลิ้มรสชาติแห่งความสิ้นหวังเป็นครั้งแรกในชีวิต


 


ภาพย้อนหลังหลายสิบปีที่ผ่านมาฉายชัดอยู่ในหัว ด้วยภาพสุดท้าย เขาจับจ้องไปยังหญิงสาวนางหนึ่งที่แสนมีเสน่ห์ เธอสวมชุดสีขาวงดงามพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าขณะที่เธอยืนอยู่ท่ามกลางสายลม


 


“เอสเธอร์เทล…” รอยยิ้มแห่งความคิดถึงพุ่งเข้าที่มุมปาก นักรบเปล่งเสียงเบา ๆ เพื่อสาปแช่งว่า “ที่นี่คือโลกของปีศาจอย่างแท้จริง” ก่อนที่ร่างของเขาจะถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ด้วยลมแรงในเวลาต่อมา



ตอนที่ 147

ท่ามกลางกลุ่มหมอกแห่งสายเลือด เมานท์โทด เกาะมังกรและตัวต่อน่าเกลียดที่ขยับปีกโปร่งใสสองข้างของมันขณะบินลงขึ้นอยู่กลางอากาศด้วยความเร็วประมาณ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเริ่มแบ่งปันอาหารมื้อนี้กันอย่างสงบสุข


 


ตัวต่อที่ว่าก็คือสัตว์อาคมที่ชื่อคิวโกะที่มีพลังรอบรู้ในการระเบิดอากาศอันทรงพลังที่จางลี่เฉินได้รับมาจากการซื้อขนมรังผึ้งในราคา 30 ดอลล่าร์โดยไม่ได้ตั้งใจ


 


คิวหรือความหมายคือเลขเก้าไม่เพียงแต่จะเป็นตัวเลขที่คนจีนส่วนใหญ่ชื่นชอบแล้วเท่านั้นแต่มันยังเป็นตัวเลขเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุดอีกด้วย


 


สาเหตุที่จางลี่เฉินตั้งชื่อสัตว์อาคมตัวที่สี่ของเขาว่าคิวโกะนั้นก็เพราะความสามารถหลังได้รับการขัดเหลาของมันซึ่งก็คือการวางไข่ลงในร่างของคนอื่นโดยจะทำการเจาะเนื้อและเลือดของเจ้าของร่างออกมาในพริบตาเพื่อฟักตัวอ่อนและแปรสภาพกลายเป็นกองทัพหนอน


 


ไข่ตัวต่อนี้จะสามารถฟักได้ทุกที่ทุกเวลาจากร่างที่ถูกนำไปฝากตามความคิดของชายหนุ่ม ในทางกลับกันจำนวนและความสามารถในการต่อสู้ของกองทัพหนอนจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับขนาดของร่างกาย สติปัญญา ความแข็งแกร่งทางกายภาพ และคุณสมบัติอื่น ๆ ของเจ้าของร่าง


 


ยิ่งไปกว่านั้นตราบใดที่หนึ่งในกองทัพหนอนที่ออกมายังมีชีวิตอยู่ต่อ สัตว์อาคมจะไม่สามารถไปวางไข่ไว้ในที่อื่นต่อได้


 


ประสิทธิภาพในการออกคำสั่งให้คิวโกะจัดการกับศัตรูโดยตรงจะมีผลน้อยกว่าเมานท์โทดและเกาะมังกรอย่างไม่ต้องสงสัย แต่บางกรณีผลที่น่าอัศจรรย์ก็อาจเกิดขึ้นต่อเมื่อมันแสดงความสามารถที่น่ากลัวและแปลกประหลาดอย่างไม่ทันให้ได้ตั้งตัว


 


ตัวอย่างเช่นการสร้างความน่าอัศจรรย์นั้นให้เกิดกับแคสเดียผู้ทรงพลังที่สามารถต่อกรกับเกาะมังกรได้ง่ายดาย เขาสามารถทนต่อสู้กับกองทัพหนอนได้นานกว่าสิบวินาทีจากการโจมตีครั้งแรกก่อนจะตายด้วยน้ำมือของจางลี่เฉินในเวลาต่อมา


 


เมื่อชายหนุ่มออกคำสั่งให้สัตว์อาคมทั้งสามไปฆ่านักรบผู้มาจากโลกเหนือธรรมชาติได้สำเร็จ บางคนที่กลับมายังลานจอดรถหลังการตั้งแคมป์ก็พากันซ่อนตัวท่ามกลางความโกลาหล


 


พวกเขาพากันซ่อนตัวอยู่หลังรถที่ใกล้ที่สุดก่อนจะตระหนักว่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นได้กินมนุษย์ที่มีรูปร่างเหมือนยอดมนุษย์ลงสู่ความว่างเปล่าก่อนจะทำลายรถคันนั้นจนเละไม่เหลือซากและหายไปในพริบตา พวกเขารีบพุ่งตัวกลับเข้ารถของตัวเองและรีบเหยียบคันเร่งเพื่อหนีเข้าเมืองไปอย่างรวดเร็ว


 


2 – 3 นาทีต่อมาลานจอดรถก็เหลือแต่ความว่างเปล่า เมื่อเป็นเช่นนี้จางลี่เฉินจึงเดินออกมาจากด้านหลังรถกระบะช้า ๆ ก่อนจะกระโดดลงไปหาเกาะมังกรที่กำลังล่องหนอยู่เพื่อเดินทางกลับโฮโนลูลูผ่านป่าโปร่งตามทางหลวง


 


เขานั่งอยู่บนหลังเกาะมังกรจนกระทั่งเริ่มเห็นอาคารในเมืองที่อยู่ไม่ไกล เขาปีนลงจากหลังของมันและวิ่งจากป่าไปยังรีสอร์ทริมทะเลที่สามารถมองเห็นได้ทุกที่ในฮาวาย ในที่สุดเขาก็สามารถกลับมาผ่อนคลายได้เองอีกครั้ง


 


ขณะนี้พระอาทิตย์ได้แสดงตัวอย่างชัดเจนบนท้องฟ้าสีครามสดใส มันเป็นแสงแดดสว่างจ้าแต่ช่วงเวลานี้ยังไม่ถึงสิบโมงดี มีคนไม่มากนักที่อยู่บนชายหาด ส่วนใหญ่น่าจะเป็นคนท้องถิ่นที่มาออกกำลังกายตามแนวชายฝั่ง


 


โชคดีที่อุตสาหกรรมบริการของฮาวายได้รับการพัฒนามาอย่างดี ร้านอาหารตามชายหาดจึงเริ่มเปิดให้บริการกันแล้ว จางลี่เฉินแบกกระเป๋าเป้พร้อมลากเท้าหนัก ๆ ของเขาเข้าไปนั่งใต้ร่มร้านอาหารร้านหนึ่ง บริกรหนุ่มรีบเข้ามาดูแลและส่งเมนูให้เขาในทันทีพร้อมเอ่ยถามเขาว่า “ต้องการอะไรหรือครับ?”


 


“ผมต้องการเสื้อผ้าสะอาด ๆ และอ่างน้ำร้อน อย่างไรก็ตามก่อนหน้านั้นขอแซนวิชปลารมควัน เบอร์เกอร์เนื้อ และโค้ก 1 แก้วให้ผมที” จางลี่เฉินกล่าวพร้อมหยิบบัตรเครดิตออกมาจากกระเป๋าเป้สะพายหลัง “ปัดเงินเพิ่มไปอีก 10 ดอลลาร์สำหรับค่าทิปของคุณ ขอบคุณ”


 


แน่นอนว่าร้านอาหารเปิดโล่งแบบนี้ไม่มีเสื้อผ้าสะอาดพร้อมให้บริการ แต่ถึงอย่างนั้นร้านขายชุดว่ายน้ำและกางเกงขาสั้นก็อยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารมากนัก เพื่อค่าทิป 10 ดอลลาร์บริกรหนุ่มเต็มใจที่จะทำธุระที่ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับร้านอาหารให้กับแขกคนสำคัญ


 


“เสื้อผ้าสะอาดจะมาถึงอีกไม่นานครับ” บริกรหนุ่มคุ้นเคยกับการเห็นแขกที่ใช้เวลาไปตลอดยามค่ำคืนและลากตัวเองไปที่ร้านอาหารแบบเปิดโล่งในเช้าวันรุ่งขึ้นเพื่อให้อิ่มท้องก่อนจะกลับไปพักผ่อน ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าเขาพูดต่อว่า “มีฝักบัวน้ำอุ่นอยู่ในบ้านไม้บนชายหาดซึ่งนั่นก็ชวนทำให้สบายตัวได้เหมือนกัน หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จคุณสามารถไปอาบน้ำก่อนเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสะอาดที่นั่นได้ จากนั้นคุณสามารถเช่าเก้าอี้ชายหาดพร้อมร่มกันแดดเพื่อนอนฟังเสียงคลื่นที่ชวนสงบใจ เมื่อถึงตอนเย็นคุณจะได้รับพลังงานกลับมาอย่างเต็มที่อีกครั้งอย่างแน่นอน”


 


“เป็นความคิดที่ดีมาก” อลิซยังคงอยู่ในกำมือคนจากโลกเหนือธรรมชาติดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของเขาจึงเป็นไปไม่ได้ที่จางลี่เฉินจะกลับไปโรงแรมรอยัลฮาวายในตอนนี้ คำแนะนำของบริกรหนุ่มที่เสนอเขามาค่อนข้างฟังดูดีมากทีเดียว “เพราะคุณเป็นคนแนะนำและเตรียมสิ่งดี ๆ ให้กับผม ดังนั้นค่าทิปในครั้งนี้สำหรับคุณคือ 20 ดอลลาร์”


 


“ยินดีที่ได้บริการครับ” บริกรหนุ่มรับบัตรเครดิตไปจากชายหนุ่มและหันหลังให้เขาอย่างสุภาพ


 


ไม่นานหลังจากนั้น กางเกงขาสั้นและเสื้อยืดคุณภาพดีก็ถูกส่งให้จางลี่เฉินพร้อมกับเบอร์เกอร์ แซนวิชและโค้กตามที่เขาสั่ง


 


ชายหนุ่มรีบกินอาหารเช้าอย่างเป็นทางการครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เขาลงจากเครื่องบินมาก่อนจะไปอาบน้ำเพื่อความสดชื่นและเปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อผ้าสะอาด จากนั้นเขาก็ไปเช่าเก้าอี้บนชายหาดพร้อนเอนตัวลงนอนอย่างแสนสบายภายใต้ร่มกันแดดขนาดใหญ่ขณะที่เขาฟังเสียง “ซู่ ซู่ …” ของคลื่นทะเลก่อนจะเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า


 


ไม่มีใครรู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแต่ความปั่นป่วนและเสียงที่คึกคักจากความสุขของฝูงชนก็ค่อย ๆ ปลุกจางลี่เฉินให้ตื่นขึ้นมา


 


เขาเปิดตาช้า ๆ ก่อนจะพบว่าชายหาดที่เคยว่างเปล่ารอบตัวเขาในตอนแรกเต็มไปด้วยชายหนุ่มและหญิงสาวที่สวมชุดว่ายน้ำเซ็กซี่พร้อมกับนักท่องเที่ยวที่มากับสมาชิกในครอบครัวของพวกเขาด้วยความสุขที่เปี่ยมล้น


 


เขาลูบหน้าตัวเองเบา ๆ เมื่อรู้สึกได้ว่าพลังงานของเขาได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่แล้วจางลี่เฉินก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ชายหาดเพื่อขยับร่างกายของเขาเล็กน้อยก่อนจะพึมพำกับตัวเอง “นักปราชญ์อัลท์แมน ถึงตาของผมที่จะได้ไปแสดงความเคารพแก่คุณสักเล็กน้อยแล้ว” ด้วยรองเท้าแตะที่เขาสวมใส่ เขาค่อย ๆ เดินออกจากชายหาดไป


 


เขาเลือกบริการเช่ารถจากริมถนนและลงทะเบียนซื้อหมายเลขโทรศัพท์พร้อมโทรศัพท์ใหม่และส่งข้อความถึงทั้งลิลี่และทีน่าในกรณีที่พวกเธอกำลังเป็นกังวลเกี่ยวกับเขา หลังจากนั้นชายหนุ่มค้นหาร้านขายสัตว์เลี้ยงที่ดีที่สุดในฮาวายบนอินเทอร์เน็ตแล้วก็รีบตรงไปที่นั่นในทันที


 


ร้านขายสัตว์เลี้ยงวอลรูส์เบย์ตั้งอยู่จุดศูนย์กลางที่เจริญที่สุดของโฮโนลูลูซึ่งอยู่ถัดจากพิพิธภัณฑ์ราชอาณาจักรฮาวายที่มีชื่อเสียงที่เป็นที่ตั้งของวัตถุโบราณทางประวัติศาสตร์ของชาวฮาวายกว่า 1,000 ชิ้นรวมถึงคทาหิน 17 ชิ้น


 


นักท่องเที่ยวจำนวนมากที่มาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์นี้มักจะเดินเข้าไปในร้านขายสัตว์เลี้ยงสามชั้นที่มีพื้นที่มากกว่า 200 ตารางเมตร


 


แต่ก่อนที่จะเข้าไป โดยทั่วไปแล้วพวกเขาไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมร้านสัตว์เลี้ยงแบบนี้ถึงได้มีมูลค่าค่าเช่าอย่างต่ำถึงปีละล้านดอลลาร์ซึ่งมากกว่าร้านขายนาฬิกาและเครื่องประดับทั่วไปนัก แต่หลังจากที่พวกเขาได้เดินเล่นไปรอบ ๆ ร้านขายสัตว์เลี้ยงนี้เสร็จคำถามพวกนี้ก็จะไม่อยู่ในใจพวกเขาอีกต่อไป


 


เมื่อจางลี่เฉินเดินเข้าไปในร้านวอลรูส์เบย์ก็เห็นนักท่องเที่ยวจำนวนมากต่างให้ความสนใจและชื่นชมสัตว์แปลก ๆ ที่อาศัยอยู่ในส่วนให้อาหารพิเศษ


 


แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่านักท่องเที่ยวเหล่านี้เพียงแค่ต้องการมาเยี่ยมชมและจะไม่ใช้จ่ายอย่างน้อย 1,000 ดอลลาร์ในการซื้อสัตว์เลี้ยงแต่พนักงานของร้านก็ยังตอบคำถามของนักท่องเที่ยวทีละคนเพื่อให้บริการที่ดีที่สุดอย่างสุดความสามารถของพวกเขา


 


“ทำไมเต่าตัวนี้ดูเหมือนหัวรถเครนจัง”


 


“นี่คือเต่าหัวนกเป็นเต่าทะเลสายพันธุ์พื้นเมืองของเกาะเอวอนเคิร์ท…”


 


“นกแก้วตัวใหญ่ขนาดนี้แล้วทำไมถึงไม่ฝึกให้มันเรียนรู้การพูดสักหน่อยล่ะ?”


 


“คุณลูกค้าคะ นกแก้วขนาดใหญ่แบบนี้มาจะจากป่าในประเทศซิมบับเวทางแอฟริกา พวกมันเป็นนกหายากและแม้ว่าจะไม่ได้เลียนแบบการพูดคุยแบบมนุษย์แต่ก็มีจังหวะเป็นของตัวเองที่ชัดเจนมาก หากคุณตบมืออย่างต่อเนื่องมันจะเต้นไปตามเสียง…”


 


ท่ามกลางเสียงอึกทึกวุ่นวาย ชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าแบบชาวเอเชียกำลังยืนอยู่หน้าตู้สัตว์น้ำพลางจ้องมองปลาสีดำและสีขาวขนาดใหญ่ที่กำลังว่ายน้ำกันอย่างสนุกสนาน หลังจากที่เขาพูดกับล่ามหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ เขาแล้วล่ามหนุ่มคนนั้นก็รีบหันไปหาพนักงานร้านที่อยู่ข้างเขาในทันทีและเอ่ยถามเสียงดังว่า “ขอโทษนะครับ นี่มันคือปลาอะไร?”


 


“ตู้นี้คือตู้ของปลาน้ำจืดครับ ปลาที่อยู่ข้างในล้วนแค่เป็นปลาคาร์ป”


 


“มันคือปลาคาร์ปจริง ๆ ดูเหมือนว่าคนอเมริกันเองก็จะรู้จักพวกมันเหมือนกัน…” เมื่อชายหนุ่มได้รับคำตอบจากพนักงานร้านเขาก็หันไปแปลให้ชายวัยกลางคนทราบในทันที ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายวัยกลางคนพลางชี้ไปที่ปลาสีดำและสีขาวขนาดใหญ่สองตัวในตู้ “ถามเขาว่าปลาพวกนี้มีราคาเท่าไหร่”


 


พนักงานร้านหันไปทักทายชายชาวเอเชียวัยกลางคนแล้วตอบกลับเป็นภาษาจีนพร้อมยิ้มยิงฟันไปว่า “คุณลูกค้าครับ ปลาพวกนี้ล้วนแต่เป็นสีเดียวล้วนจึงทำให้ราคาของมันอยู่ที่ 68,000 ดอลลาร์ มันเป็นตัวแทนของการแล่นเรือและความเป็นสิริมงคล”


 


ปลาคาร์ปเป็นปลาน้ำจืด โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นเพียงปลาคาร์ปที่ดูดีดังนั้นเมื่อชายหนุ่มได้ยินเรื่องราคาแล้วเขาจึงอดแสดงความรู้สึกที่ชวนให้หัวใจวายไม่ได้


 


“โอ้! คนอเมริกันรู้เกี่ยวกับการเดินเรือและความเป็นมงคลด้วยงั้นหรือเนี่ย?! ปลาพวกนี้ไม่ได้มีราคาแพงเลย สีของพวกมันที่เก้าสุยง ไต้หวันมีความสวยงามมากกว่านี้เพียงเล็กน้อยแต่พวกมันกลับมีราคามากถึง 4 ล้านเหรียญไต้หวัน…” ชายวัยกลางคนพึมพำกับตัวเองขณะที่เขามองล่ามหนุ่มข้าง ๆ ที่กำลังทำหน้าประหลาดใจก่อนจะหันไปถามพนักงานร้านว่า “คุณพอจะจัดส่งปลาพวกนี้ให้ฉันได้หรือไม่?”


 


“ตราบใดที่ที่อยู่จัดส่งของคุณลูกค้ายังอยู่บนโลกทางเราสามารถส่งปลานี้ไปยังบ้านของคุณได้ตามเวลาที่คุณต้องการ”


 


“ถ้างั้นส่งพวกมันไปที่เซินเจิ้นประเทศจีนในอีก 5 วันต่อมา…”


 


“ครับคุณลูกค้า!” กระแสน้ำได้พัดผ่านกลุ่มทราย คำอธิบายที่เต็มไปด้วยความอดทนของพนักงานก็ได้รับค่าตอบแทนในที่สุด ด้วยมือที่ยื่นออกไป เขารับบัตรเครดิตจากชายวัยกลางคนมาและเตรียมพร้อมในการจัดส่งปลาพวกนี้ในทันที


 


หลังจากบอกลาผู้ซื้อเสร็จเขาก็เริ่มเรียกเพื่อนคนอื่น ๆ ในร้านเพื่อแสดงผลกำไรที่ทำได้วันนี้ให้คนอื่นได้ดูด้วยความตื่นเต้น พนักงานร้านมีความสุขพอ ๆ กับที่ได้รับค่าคอมมิชชั่น 1,000 ดอลลาร์ เมื่อเห็นชายหนุ่มชาวเอเชียร่างผอมคนหนึ่งซึ่งดูเหมือนเพิ่งจะกลับมาจากการว่ายน้ำที่ทะเลรีบเดินเข้ามาหาเขาทันทีที่เข้าร้านมาพร้อมคำถามว่า “สวัสดี คุณมีสุนัขสัตว์เลี้ยงขายบ้างไหม?”


 


“แน่นอนครับ พวกมันอยู่บนชั้นสามรอให้คุณลูกค้าไปเลือกชมได้อย่างอิสระ”


 


“เยี่ยม! พาผมไปที แล้วก็อย่าพาผมไปหาเหล่าสุนัขน่ารักที่แสนบอบบางล่ะ ผมต้องการที่จะดูสุนัขขนาดใหญ่ ที่ยิ่งใหญ่เท่าไหร่ก็ยิ่งดี”


 


ผู้ชายส่วนใหญ่จะมีบุคลิกภาพที่ค่อนข้างชอบการแข่งขันและก้าวร้าว ด้วยเหตุนี้สุนัขขนาดใหญ่ที่ดูดุและโหดร้ายต่อคนแปลกหน้าแต่เชื่องและเป็นมิตรต่อเจ้าของจึงได้รับความนิยมอย่างมาก ในฐานะที่เป็นร้านขายสัตว์เลี้ยงที่ตั้งเป้าครองตลาดบนจึงไม่มีทางขาดแคลนสุนัขสัตว์เลี้ยงประเภทนี้ไปเด็ดขาด


 


“คุณมีสุนัขที่ชื่นชอบอยู่ในใจแล้วหรือเปล่าครับ? ตัวอย่างเช่นนโปเลียน มาสทิฟหรือฟิล่า บราซิเลียโร?” โดยปกติลูกค้าที่สามารถรู้ถึงประเภทสุนัขที่ต้องการส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ซื้อที่จริงจัง พนักงานร้านเงียบไปครู่หนึ่งพลางจ้องมองจางลี่เฉินอย่างเงียบ ๆ เมื่อเอ่ยถามออกไปแบบนั้นพร้อมกับพาเขาขึ้นไปชั้นสาม


 


“ผมไม่รู้ประเภทของสุนัขพวกนี้เท่าไหร่ ผมแค่อยากได้สุนัขที่ทั้งใหญ่และแข็งแรงที่สุดที่มีอยู่ในร้านของคุณตอนนี้” จางลี่เฉิตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา


 


“อ่อ ครับ ทางเรามีสุนัขพันธุ์หนึ่งที่มีความสูงเกือบ 1 เมตรและมีน้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัม มันสูงและหนักกว่ามาสทิฟอื่น ๆ โดยเฉลี่ย 20% อย่างไรก็ตามร่างกายของมันมีสัดส่วนที่ดีมากเนื่องจากทั้งพ่อและแม่เป็นสุนัขต่อสู้ที่มีชื่อเสียง มันมีอายุเพียง 2 ปีและราคาการขายครั้งแรกของมันอยู่ที่ 30,000 ดอลลาร์” เมื่อได้เห็นลักษณะของชายหนุ่มข้าง ๆ เขาแล้วพนักงานร้านก็ตอบกลับพร้อมบอกข้อมูลโดยย่ออย่างตรงไปมาตรงมาด้วยเช่นกัน



ตอนที่ 148

มาสทิฟฟ์เป็นหนึ่งในสายพันธุ์โมลอสเซอร์หนึ่งในสายพันธุ์โบราณที่ยังมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ ย้อนกลับไปปี 55 ก่อนคริสต์ศักราช สมัยโรมันที่นำโดยจูเลียส ซีซาร์ได้บุกเกาะอังกฤษ สายพันธุ์นี้ก็ถูกนำมาใช้ในการสงครามด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้สุนัขพันธุ์มาสทิฟฟ์เลือดบริสุทธิ์จึงมักมีราคาแพง


 


แน่นอนว่าสุนัขที่มีค่าตัว 30,000 ดอลลาร์ค่อนข้างจะสูงเกินไปเล็กน้อยทว่าจางลี่เฉินก็ไม่ได้โต้แย้งราคาของสุนัขแต่อย่างใด กลับกันเขาพยักหน้าเป็นการรับรู้ให้แทน “พาผมไปดูหน่อย”


 


“ตามผมมาทางนี้เลยครับ” พนักงานร้านที่กำลังมีความสุขเร่งฝีเท้าเร็วยิ่งขึ้นเพื่อไปยังชั้นสาม


 


ชั้นสามเต็มไปด้วยสุนัขมากมาย พวกเขาดูแลสถานที่กันดีมาก มันทั้งสะอาดและไม่มีกลิ่นเหม็นเลยแม้แต่น้อย พนักงานเดินนำชายหนุ่มไปยังบ้านสุนัขหลังใหญ่ที่สุด “นี่คือสุนัขที่ว่าครับ พ่อแม่ของมันมาจากสายพันธุ์ของท่านดยุกแห่งเดวอน แม้ตอนนี้การต่อสู้สำหรับสุนัขจะไม่ได้รับอนุญาตให้จัดขึ้นที่อเมริกาอีกต่อไปแต่มันก็ยังเป็นที่นิยมมากทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พ่อของมันเคยถูกเรียกว่าเป็นช้างศึกของทหารพม่า…”


 


สุนัขในบ้านเลี้ยงนี้มีหัวทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า จมูกสั้น หน้าผากกว้างและมีรอยยุบตรงกลาง ร่างกายของมันดูแข็งแรงสมคำอธิบายมากจริง ๆ ขาทั้งสี่เองก็ดูทรงพลังด้วยเช่นกัน


 


จางลี่เฉินเพิกเฉยต่อคำอธิบายจากพนักงานพลางจะมองไปรอบ ๆ ทั่วทั้งชั้น เขาตระหนักได้ว่าสุนัขที่อยู่ข้างหน้านี้เป็นสุนัขตัวที่ใหญ่ที่สุดและดูเหมือนจะเป็นสุนัขที่แข็งแกร่งที่สุดแล้วเขาจึงหันไปพูดกับพนักงานว่า “ผมจะรับเลี้ยงมันเอง พามันออกมาที ผมจะพามันออกไปด้วยเลย”


 


สิ้นประโยคพนักงานร้านก็ตกตะลึงไปในทันที ด้วยรอยยิ้มเขาอธิบายว่า “แต่คุณลูกค้าครับ ตามขั้นตอนแล้วทางเราจะต้องให้ครูฝึกสุนัขมาดู…”


 


“ผมไม่ต้องการความช่วยเหลือจากครูฝึก ผมแค่อยากจะเอามันไปด้วยกันตอนนี้เลย ไม่ได้งั้นเหรอ?”


 


“แต่มันจะไม่ปลอดภัยนะครับคุณลูกค้า มันเป็นสุนัขที่ดุร้ายมาก…”


 


“ดุร้าย? ผมคุ้นชินเป็นอย่างดีเลยล่ะ” ชายหนุ่มยิ้มอย่างน่าประหลาดก่อนเหลือบตาไปมองป้ายชื่อบนอกของพนักงาน “เอาล่ะบ็อบ ตอนนี้ผมไม่มีเวลามากแล้ว ผมจะให้คุณ 35,000 ดอลลาร์ ขอแค่คุณปล่อยให้มันไปพร้อมกับผมตอนนี้”


 


“3…35,000 ดอลลาร์! ได้แน่นอนครับคุณลูกค้า! หากคุณลูกค้าสนใจอยากลงชื่อแบบฟอร์มสละสิทธิ์ คุณลูกค้าก็สามารถรับมันกลับบ้านไปได้เลยครับ”


 


“เยี่ยม แล้วจะรออะไรอยู่อีกล่ะ”


 


5 นาทีต่อมาจางลี่เฉินก็เดินออกจากร้านมาพร้อมกับสุนัขตัวใหญ่ สุนัขที่มีขนาดใหญ่และแข็งแรงตัวนี้ดูเหมือนจะเชื่องจนน่าประหลาดเมื่อได้พบกับชายหนุ่มครั้งแรกแต่ก็อาจเป็นเพราะในร้านมีครูฝึกอยู่ด้วยก็เป็นได้ เพราะเมื่อพวกเขาเดินออกจากร้านมาเจ้าสุนัขตัวใหญ่ตัวนี้ก็เริ่มทำตัวเกเรขึ้นมาทันที แม้จะรู้ว่าผู้ที่ถือสายจูงเป็นเจ้าของคนใหม่แต่ก็ยังโยกตัวไปทางซ้ายทีขวาทีบนถนนเพื่อแสดงให้เห็นอีกด้านของการเป็นสุนัขต่อสู้


 


ในสถานการณ์เช่นนี้จางลี่เฉินจึงทำได้เพียงพยายามดึงมาสทิฟฟ์ไว้ด้วยมือทั้งสองข้างโดยใช้กำลังที่ตัวเองมีอย่างเต็มที่ และก่อนที่พวกเขาจะดึงดูดความสนใจจากเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนบนถนนไปได้มากกว่านี้เขาก็รีบดึงมันเข้าไปในตรอกด้านหลังที่อยู่ใกล้มากที่สุด


 


“ช่างเป็นหมาที่น่าสงสารอะไรขนาดนี้ แต่ฉันไม่มีทางเลือกนอกจากให้นายสละชีวิตเพื่อการแก้แค้นของฉัน โชคดีที่ท่าทางเกเรเมื่อกี้ของนายช่วยลดความผิดของฉันลงได้มาก ลองคิดดูสิ นายกำลังเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อความปลอดภัยของโลกใบนี้ทั้งใบเชียวนะ ไม่แน่วันหนึ่งอาจมีใครบางคนมาสร้างรูปปั้นให้นายไว้ในเมืองนี้ก็ได้” หลังจากมองไปรอบ ๆ ตรอกที่เข้ามาแล้วไม่เห็นถึงการมีอยู่ของคนอื่นจางลี่เฉินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะเริ่มพึมพำอะไรบางอย่าง


 


แม้ว่าเจ้ามาสทิฟฟ์จะไม่เข้าใจในสิ่งที่ชายหนุ่มพูดแต่สัญชาตญาณของสัตว์ได้บอกให้มันตื่นตัวระวัง ทันใดนั้นมันก็กระแทกตัวไปข้างหน้าและออกแรงอย่างเต็มกำลังเพื่อให้หลุดพ้นจากมือของจางลี่เฉินและหลบหนีออกมาจากตรอกด้านหลังไปอย่างรวดเร็ว


 


แต่น่าเสียดายที่เจ้าสุนัขตัวใหญ่ได้วิ่งออกไปแค่เพียงไม่กี่ก้าวมันก็ชนกับอะไรบางอย่างที่ตกลงมาจากท้องฟ้าเข้าเสียก่อน มันทรุดตัวลงไปกับพื้น ขาทั้งสี่ของมันแผ่ออกอย่างสยองขวัญ


 


ขณะเดียวกันตัวต่อยักษ์ที่น่าเกลียดก็พุ่งตัวออกมาจากกระเป๋าของจางลี่เฉินแล้วกระโดดขึ้นไปเกาะอยู่บนไหล่เขา มันกระพือปีกบินไปหาสุนัขตัวใหญ่ก่อนที่จะใช้เหล็กในของตัวมันเจาะลงไปในผิวของสุนัข


 


ร่างสุนัขกระตุกราวกับว่ามันมีอาการชักแต่มันไม่สามารถเคลื่อนไหวตัวภายใต้แรงกดดันนี้ได้เลย จางลี่เฉินสั่งให้คิวโกะกลับไปอยู่ในกระเป๋าเป้อีกครั้งหลังเดินไปหาเจ้ามาสทิฟฟ์ด้วยท่าทีสงบและหยิบสายจูงมันขึ้นมา


 


หลังจากนั้นสัตว์ร้ายขนาดยักษ์ที่มีความยาวเกือบ 20 เมตรที่มีเกล็ดสีดำไปทั่วทั้งตัวซึ่งกำลังกดตัวอยู่ที่อุ้งเท้าของสุนัขตัวใหญ่ก็ได้สบตากับมาสทิฟฟ์ด้วยดวงตารูปร่างแบบแท่งปริซึมที่ดูเป็นอันตรายก่อนจะหายตัวไปในพริบตา


 


เมื่อเจ้าสุนัขตัวใหญ่ได้รับอิสรภาพคืนจากการถูกควบคุม มันก็ลุกขึ้นยืนด้วยความกังวลใจ เมื่อจางลี่เฉินดึงตัวให้มันเคลื่อนที่ไปข้างหน้าคราวนี้มันกลับไปเป็นหมาเชื่อง ๆ อีกครั้งเหมือนตอนอยู่ในร้านขายสัตว์เลี้ยงอย่างว่าง่าย


 


หลังจากพาสุนัขกลับไปที่ถนนเส้นหลักจางลี่เฉินก็เรียกรถแท็กซี่คันหนึ่งเพื่อไปที่อู่รถขนาดใหญ่


 


เขาเลือกแลนด์ โรเวอร์ ดีเฟนด์เดอร์ที่แข็งแกร่งซึ่งกำลังมีขนาดที่พอเหมาะและจ่ายเงินเพิ่มไปอีก 5,000 ดอลลาร์เพื่อเปลี่ยนกระจกหน้าต่างธรรมดาให้กลายเป็นกระจกกันกระสุน ภายใน 2 ชั่วโมงทุกอย่างที่เขาต้องการก็ถูกจัดเตรียมเป็นที่เรียบร้อย เขาขับรถออกจากเมืองโฮโนลูลูและเริ่มมุ่งหน้าไปยังลานจอดรถที่อยู่ปลายทางถนนหลวงเส้นนี้


 


ระหว่างเดินทาง การกระทำของเขาที่คิดฆ่าแคสเดียโดยไร้ซึ่งการยับยั้งชั่งใจเมื่อเช้านี้ย่อมทำให้ตำรวจฮาวายให้ความสนใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาเตรียมตัวพร้อมแล้วสำหรับการเผชิญหน้ากับรถตำรวจและแม้แต่การสอบสวนจากตำรวจเองก็ตาม


 


แต่เมื่อไปถึงที่ลานจอดรถเขากลับรู้สึกงุนงงอย่างมากที่ได้เห็นทหารสหรัฐกลุ่มหนึ่งสวมเครื่องแบบอำพรางที่ทั้งกระชับและเบาตัวยืนอยู่ข้างรถหุ้มเกราะ 2 คันที่กำลังขวางถนนพร้อมกับถือปืนยาวไว้ในมือท่ามกลางอากาศร้อนของช่วงบ่ายที่ดวงอาทิตย์กำลังแผดเผา


 


“ทำไมถึงมีทหารมาขวางทาง? มันเป็นแค่เพียงคดีอาญาธรรมดาแค่นั้นเองนี่ และแม้จะมีคนไปบอกว่าเห็นสัตว์ประหลาดแต่เราก็ทำลายกล้องวงจรปิดไปหมดแล้วดังนั้นใครจะไปเชื่อพวกเขา… โอ้ เวรแล้ว! อย่าบอกนะว่าคนพวกนั้นคิดว่ามันคือการโจมตีของผู้ก่อการร้าย? แต่ทำไมทหารถึงได้ดำเนินการเร็วขนาดนี้นะ?” จางลี่เฉินพึมพำด้วยความงง


 


ขณะเดียวกัน ทหารสหรัฐและเจ้าหน้าที่แนวหน้าก็เดินด้วยท่าทีเกียจคร้านเข้าหาแลนด์ โรเวอร์ ดีเฟนด์เดอร์ก่อนจะเคาะกระจกที่ด้านข้างคนขับ


 


“หน้าต่างกันกระสุน…” เสียงทื่อ ๆ จากการเคาะกระจกทำให้การแสดงออกของเขาเปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึมในทันทีพร้อมยกกระบอกปืนขึ้นในเวลาเดียวกัน


 


อย่างไรก็ตามเขาเมื่อเขาได้เห็นใบหน้าตกใจของชายหนุ่มชาวเอเชียเมื่อลดระดับหน้าต่างลงมาเขาก็ตะลึงงันไปขณะหนึ่งก่อนจะลดกระบอกปืนลง จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงของชายหนุ่มถามมาด้วยสำเนียงอเมริกันพื้นเมืองว่า “มีการปิดกั้นถนนสายนี้งั้นเหรอครับ?”


 


“ใช่ กฎอัยการศึกน่ะ นายมาจากไหน? รถนายดูดีมากเลยนี่แล้วว้าว พระเจ้า! นายมีหมาตัวใหญ่ขนาดนี้ด้วยเหรอ?!”


 


“ผมมาจากนิวยอร์ก ผมเพิ่งซื้อทั้งรถและสุนัขเมื่อวันนี้เอง ตอนแรกผมวางแผนที่จะซื้อบ้านที่โฮโนลูลูในฤดูร้อนนี้และลองมาเป็นชาวพื้นเมืองที่ฮาวายดูสัก 3 เดือน แต่ไม่คิดว่าแค่วันแรกก็จะเจอเรื่องอะไรแบบนี้ซะแล้ว”


 


จากประโยคแรกจนสุดท้ายทำให้นายทหารเข้าใจได้ในทันทีว่าเด็กหนุ่มคนนี้คงจะเป็นลูกชายที่มาจากครอบครัวร่ำรวยสักครอบครัวหนึ่งในนิวยอร์ก เขาสูญเสียความสนใจในการสอบสวนลำดับต่อไปในทันที เขากลับมาจ้องมองชายหนุ่มด้วยท่าทีเกียจคร้านอีกครั้ง “หันหน้ากลับเข้าเมืองไปได้เลย ที่นี่อันตรายมาก มันไม่ใช่สถานที่ที่นายควรจะไปต่อ”


 


“อะไรที่อันตราย? มีผู้ก่อการร้ายงั้นหรือครับ?”


 


“ความลับระดับชาติ! หยุดถามไปเรื่อยได้แล้ว! เอาล่ะ หันหน้ารถกลับไปทางที่นายขับมาซะ!” ทหารโบกมืออย่างฉุนเฉียวให้จางลี่เฉินเมื่อเขาหันหลังกลับและนำเจ้าหน้าที่แนวหน้ากลับไปยืนข้างรถหุ้มเกราะตำแหน่งเดิม


 


ทันใดนั้นก็มีเสียงกระสุนปืนดังก้องออกมาจากป่าตามด้วยลูกธนูสามลูกที่ยิงออกมาในช่วงเวลาเดียวกัน หนึ่งในนั้นปล่อยเสียงที่แหลมชวนแสบหูก่อนจะกระแทกเข้าที่คอของเจ้าหน้าที่นายหนึ่ง


 


แรงโจมตีที่ทรงพลังพร้อมกับความดันเลือดในร่างกายมนุษย์ส่งผลให้ศีรษะของเจ้าหน้าที่คนนั้นลอยออกไปไกลเกือบ 10 เมตร คอที่ไร้หัวของเขามีน้ำพุที่พ่นเลือดสดไปทุกที่ทุกทาง


 


“เวรเอ้ย! มีคนลอบโจมตี! ยิงไปที่ป่า ยิง…”


 


“แต่ท่านครับ พวกเราบางคนยังอยู่ในป่า…”


 


“พวกเขาจะไม่ปล่อยให้ศัตรูโจมตีเราแบบนี้หากพวกเขายังมีชีวิตอยู่! ฟังคำสั่งของฉัน! โจมตีซะ!”


 


การสูญเสียเพื่อนร่วมชาติของพวกเขาสามคนในเวลาเดียวกันทำให้ผู้บังคับบัญชาการที่จุดตรวจออกคำสั่งให้ยิงโต้ตอบไปอย่างชาญฉลาด


 


ภายใต้คำสั่งของเขา ทหารก็เริ่มยิงสวนกลับขณะหลบอยู่หลังรถหุ้มเกราะ มือปืนบนรถหุ้มเกราะก็เริ่มยิงโต้ไปที่ป่าโดยใช้ปืนกลที่ติดตั้งอยู่บนยานพาหนะนั้นโจมตี


 


การโจมตีก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ กิ่งก้านและใบไม้ต่าง ๆ พากันกระจัดกระจายไปทุกหนทุกแห่งทันทีที่ต้นไม้ถูกกระสุนเจาะผ่านจนกลายเป็นรูพรุน


 


ขณะดูการจู่โจมของทหารสหรัฐผ่านทางหน้าต่างรถยนต์ จางลี่เฉินก็ถอนหายใจแล้วส่ายหัว “คุณไม่สามารถทำร้ายสิ่งมีชีวิตที่เหนือธรรมชาติพวกนั้นได้ถ้ายังเป็นกันแบบนี้”


 


จากนั้นเขาก็กลับรถออกไปเพื่อทำให้ดูเหมือนว่าเขากำลังจะหนี


 


หลังจากขับห่างออกมาได้ประมาณ 200 – 300 เมตร แลนด์ โรเวอร์ ดีเฟนด์เดอร์ก็เลี่ยงจากเส้นทางหลวงราวกับว่าคนขับสูญเสียการควบคุมไปจากเหตุการณ์ที่น่าตื่นตระหนกด้วยการมุ่งหน้าตรงเข้าไปในป่าแล้วชนกับต้นไม้เล็ก ๆ ก่อนจะหยุดชะงัก


 


ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดแบบนี้ไม่มีใครมาให้ความสนใจกับอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ไม่มีนัยสำคัญอะไรนี้เลย


 


จางลี่เฉินผู้ซึ่งคาดเข็มขัดนิรภัยไว้แล้วได้ปลอมแปลงอุบัติเหตุรถยนต์นี้ขึ้นมาก็เพื่อแกล้งทำเป็นหลบหนีออกจากสนามรบ เขาลูบไหล่อันเจ็บปวดของเขาเบา ๆ แล้วค่อย ๆ เปิดประตูรถออกไปอย่างเงียบ ๆ พร้อมปล่อยเจ้ามาสทิลฟฟ์ออกมา เขาหยิบกล้องส่องทางไกลออกมาจากเบาะหลังเพื่อสังเกตการณ์การต่อสู้ที่เกิดขึ้นอยู่ไม่ไกล


 


ผ่านกล้องส่องทางไกลนี้ ชายหนุ่มสามารถเห็นทหารสหรัฐที่กำลังประสบกับการบาดเจ็บล้มตายได้เป็นอย่างดี ทหารราบได้เสียสละชีวิตของพวกเขาและมีเพียงรถหุ้มเกราะติดอาวุธนี้เท่านั้นที่เหลืออยู่พลางส่งการโจมตีไปตามทิศทางของลูกศร


 


การได้เห็นทหารมืออาชีพใช้อาวุธสมัยใหม่ในการต่อสู้ด้วยตาตัวเองเป็นครั้งแรกแบบนี้ทำให้จางลี่เฉินตระหนักได้ว่าเขาประเมินอาวุธพวกนี้ไว้ต่ำเกินไป


 


แม้ว่ามันจะเป็นเพียงรถหุ้มเกราะติดอาวุธที่มีเครื่องยิงลูกระเบิดขนาดเล็กภายใต้การโจมตีเต็มรูปแบบแต่มันก็สามารถทำลายพื้นที่ป่าขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็วพร้อมเปลี่ยนให้ผืนป่าธรรมดากลายเป็นทะเลเพลิง


 


“บ้าแล้ว! เป็นแค่รถหุ้มเกราะติดอาวุธแต่กลับทรงพลังขนาดนี้เชียว ถ้าเป็นรถติดอาวุธที่ใช้ในการต่อสู้หลักล่ะจะเป็นยังไง…” ชายหนุ่มพึมพำด้วยความตกใจ ทันใดนั้นเขาก็ได้เห็นร่างที่ดูแข็งแกร่งเคลื่อนไหวอยู่ในเปลวไฟพร้อมด้วยดาบสองเล่ม


 


ชายคนนั้นมีส่วนสูงที่ไม่มากเท่าไหร่นักแต่กลับดูแข็งแรงอย่างมาก สีเดิมของเกราะบนตัวเขาไม่ปรากฏให้เห็นอีกต่อไปเพราะมันกลายเป็นสีเทามอมแมมที่เปื้อนเลือดแทน


 


เขาได้รับความเดือดร้อนจากการบาดเจ็บสาหัสแต่การกระทำของเขายังคงคล่องแคล่วมาก ด้วยการออกวิ่งเพียงครั้งเดียวเขาก็มาปรากฏตัวอยู่ที่ด้านหน้าของรถหุ้มเกราะและซ่อนตัวตรงจุดบอดซึ่งปืนครกนี้ไม่สามารถเข้าถึงได้ อย่างช้า ๆ เขาเริ่มควงดาบสองเล่มในมือ


 


ขณะที่ชายคนนั้นกำลังทำการเคลื่อนไหวที่ทั้งทรงพลังและสง่างาม เสียงลมที่แหลมแสบหูก็ได้ดังก้องกังวานไปทั่วอากาศอย่างใกล้ชิดบนขอบของดาบของเขา



ตอนที่ 149

รถหุ้มเกราะที่ทนทานไม่สามารถปิดกั้นเสียงลมแหลมที่ดังขึ้นมาได้ จนถึงตอนนี้คนขับรถหุ้มเกราะที่ถูกทรมานจากสงครามที่แปลกประหลาดกำลังเสียสติมากขึ้นเรื่อย ๆ เขารู้สึกว่าสมองภายในของเขากำลังถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงจากอะไรบางอย่าง และด้วยสัญชาตญาณ เขารู้สึกได้ว่าหายนะกำลังจะเกิดขึ้นกับเขาในเร็ว ๆ นี้


 


ด้วยความท้อแท้และสิ้นหวั ในที่สุดสติเขาก็ขาดผึง เขาตะโกนอย่างน่าสงสารว่า “เวร! ไอ้พวกเวร! แม่ง บ้าเอ้ย! คนพวกนี้แม่งคือใครกันวะ! นี่มันโลกที่มีซุปเปอร์แมนหรือพวกเอกซ์เมนหรือยังไงกัน?! ตาย! ทุกคนตายกันหมด! ในเมื่อทุกคนตายกันหมดแล้วฉันจะอยู่ต่อไปอีกทำไมกัน! จะฆ่าพวกแก จะต้องฆ่าพวกแกให้หมด! พวกแกจะต้องตาย ตายไปพร้อมกับฉัน ตายไปพร้อมกับทุกคน!”


 


เมื่อสิ้นคำโวยวายเขาก็เปิดใช้งานรถหุ้มเกราะขึ้นมาอีกครั้งพร้อมเร่งความเร็วสูงสุดเพื่อขับเข้าไปในป่าจะได้พาเหล่านักรบจากต่างแดนตายไปพร้อมกัน


 


ยางของรถหุ้มเกราะถูเสียดสีกับพื้นอย่างรุนแรง เครื่องยนต์แผดเสียงดังเมื่อมันกระแทกและทำลายต้นไม้เล็ก ๆ ไป 5 – 6 ต้น ในที่สุดด้วยเสียงที่ดัง “ปัง” รถหุ้มเกราะกระแทกชนอย่างแรงกับต้นไม้ยักษ์ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 5 เมตรก่อนที่จะเครื่องจะดับไปพร้อมกับทหารที่เหลือเป็นคนสุดท้าย


 


ด้วยการยิงและเสียงระเบิดที่ดังก้องจากระยะไกล ในที่สุดผืนป่าก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบ


 


ทันใดนั้นนักธนูผมสั้นที่สวมชุดเกราะหนังพร้อมแบกคันธนูและลูกธนูไว้ในมือก็กระโดดลงมาจากบนต้นไม้ใหญ่ เขาคลุมตัวด้วยเสื้อคลุมที่สามารถเปลี่ยนสีได้ตามสภาพแวดล้อม ด้วยท่าโยกเยก เขากระโดดขึ้นไปบนหลังคารถหุ้มเกราะและตะโกนออกมาเสียงดัง “โอวิดิสเต้ เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”


 


เสียงที่แข็งทื่อแต่อ่อนแอดังสะท้อนออกมาจากด้านหน้าของรถหุ้มเกราะที่ถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้เป็นจำนวนมาก “เอฟเฟอร์มิน ข้าเป็นผู้ชาย ข้าเป็นนักรบที่ยอดเยี่ยม! ตราบใดที่เจ้ายังไม่ตายแน่นอนว่าข้าก็จะต้องไม่เป็นอะไร…”


 


ทันใดนั้นก็มีพายุไต้ฝุ่นโหมเข้ามาที่รถหุ้มเกราะก่อนจะเขวี้ยงรถหุ้มเกราะที่มีน้ำหนักกว่า 10 ตันขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


ทันใดนั้นดาบสองคมที่มีขนาดเท่ากับต้นไม้สูง 10 เมตรพร้อมด้วยแรงกดอากาศสีเขียวที่มองเห็นได้ด้วยตาปรากฏขึ้นที่ใจกลางพายุเฮอริเคน มันทำลายรถหุ้มเกราะจนเปลี่ยนเป็นกองเศษเหล็กที่ผสมปนไปกับเลือดและโคลน


 


“โอวิดิสเต้ จำเป็นต้องใช้พลังขนาดนี้เพื่อทำลายเลยหรืออย่างไร?” นักธนูกระโดดขึ้นไปบนอากาศราวกับว่าตัวเขาไร้ซึ่งน้ำหนักพลางเอ่ยถามด้วยความเวทนา


 


เมื่อนักรบที่แข็งแกร่งได้ทำลายรถหุ้มเกราะและปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระได้แล้วเขาก็ฉีกชุดเกราะออกจากร่างด้วยมือเปล่าเผยให้เห็นหน้าอกที่เหมือนดั่งเหล็ก “เอฟเฟอร์มิน เจ้าควรรู้ไว้ว่าข้ามันเป็นพวกบ้าบิ่นและไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาวุธ ดังนั้นทักษะที่สะสมไว้ด้วยพลังจะต้องได้รับการปลดปล่อยในทันที ยิ่งไปกว่านั้นมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่จะใช่พลังเพื่อฆ่าศัตรูที่กล้าหาญเกินความคาดหมายของข้า”


 


ขณะนี้ทั้งสองคนได้กำจัดศัตรูของพวกเขาทั้งหมดไปได้อย่างชัดเจนแล้วแต่นักธนูไม่ได้คิดถึงเรื่องหลุดพ้นจากอันตรายหลังจากเห็นสหายช่วยให้ตัวเองพ้นจากอันตรายมา เธอเลือกนั่งบนพื้นและกอดเข่า “คน ๆ นี้ไม่ได้กล้าหาญ เขาเพียงโกรธและหวาดกลัวจากการต่อสู้ที่เกิดขึ้น ข้าคิดว่ากำลังเสริมของศัตรูคงกำลังจะมาถึงในไม่ช้าแต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังพอมีเวลาได้พักหายใจ”


 


“เจ้าเหมือนผู้หญิงยิ่งขึ้นเมื่อนั่งลง” รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เหมือนเหล็กของคนบ้าบิ่นขณะนั่งข้าง ๆ นักธนู “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่? หากเด็กชายบนโลกรู้หัวใจของเขาคงจะเจ็บปวดอย่างมาก เพียงแค่แวบเดียวจากเมื่อคืนข้าก็สามารถบอกได้ทุกอย่าง หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเขาสับสนโดยความงามของเจ้า เขาคงไม่เปลี่ยนมาอยู่ข้างเราแต่แรก ความยุติธรรม…หึ! ปีศาจเหล่านั้นไม่มีทางเข้าใจคำนี้ได้หรอก!”


 


“โอวิดิสเต้ ปิดปากเหม็น ๆ ของเจ้าซะ! ข้าไม่สามารถใช้คาถาโอ้โลมได้เจ้าก็รู้ คามิลเป็นเพียงเด็กผู้ชายที่รักความยุติธรรมอย่างแท้จริง เขาไม่มีแรงจูงใจอื่นในการเปลี่ยนมาอยู่ข้างเรา”


 


“ถ้าเจ้าว่ามาแบบนั้นล่ะก็นะ…” คนบ้าบิ่นยิ้มก่อนที่ทุกอย่างจะตกสู่ความเงียบงัน “เรากำลังจะตาย เอฟเฟอร์มิน เจ้าคิดว่าเรายังสามารถกลับไปอยู่ในอ้อมแขนของเหล่าเทพได้หรือไม่ถ้าเราตายกันที่นี่?”


 


“ท่านนักปราชญ์ไม่ได้พูดไปก่อนหน้านี้แล้วหรือว่าเราคือชาวเรดไอรอน? หลังจากวิญญาณของเราออกจากร่างกาย พวกเขาจะกลับไปยังบ้านเกิดที่สวยงามของพวกเราได้เองโดยธรรมชาติ ใบเมเปิ้ลของอัลแทเชียจะเปลี่ยนเป็นสีแดงและแม่ของข้าก็จะต้องทำไวน์นมให้เสร็จก่อนหน้า หลังจากวิญญาณของเรากลับไป เราจะได้ไปที่อาณาจักรของพระเจ้า…”


 


ขณะที่ทั้งนักรบหนุ่มและนักธนูสาวกำลังพูดคุยกันอยู่ คางคกยักษ์ที่เต็มไปด้วยเขางอกมากมายก็ปรากฏตัวขึ้นฉับพลับจากด้านหลังก่อนที่จะใช้ปากสีดำที่แห้งแตกเพื่อขัดจังหวะจินตนาการสุดท้ายของพวกเขา


 


“เอฟเฟอร์มิน ระวัง…!”  คนบ้าบิ่นตะโกนเสียงดังและทำการช่วยเหลือตามสัญชาตญาณ ขณะกลิ้งไปด้านหนึ่ง เขารีบลุกขึ้นยืนพลางกวัดแกว่งดาบยักษ์ในมือเพื่อป้องกันด้านหน้าของนักธนูทำให้ลิ้นจากคางคงที่ยื่นออกมาไม่สามารถยึดร่างนักธนูแต่กลับเปลี่ยนเป้าหมายเป็นนักรบผู้บ้าบิ่นแทน


 


“มันไม่ง่ายที่จะได้กินข้าหรอกนะ ไอ้สัตว์ประหลาด!” เขาตะโกนออกมาเสียงดังก่อนจะเริ่มต่อสู้กับสัตว์ประหลาดด้วยพลังทั้งหมดที่เขามี


 


“โอวิดิสเต้ หลบเข้าไปข้างใน…” นักธนูที่หลบหลีกออกไปได้พุ่งตัวขึ้นสูงพร้อมทำสมาธิเพื่อยิงลูกธนูออกไป 3 ลูกด้วยความสามารถทั้งหมดของเธอเพื่อช่วยสหาย หลังจากนั้นร่างกายของเธอก็ถูกกักตัวไว้กลางอากาศอย่างไม่ทราบสาเหตุ เลือดของเธอไหลออกตามตัวมากกว่า 10 จุดตามแนวทแยงมุม


 


เมื่อเลือดสดหยดลงมาจากฟ้ามันได้ย้อมขากรรไกรล่างของสัตว์ประหลาดสัตว์ที่น่ากลัว ราวกับสายฝน หยดเลือดสีแดงไหลอาบนองพื้น


 


การสูญเสียเลือดจำนวนมากทำให้นักธนูผู้ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนหน้าจากการโจมตีด้วยปืนของสหรัฐฯไม่มีความสามารถในการต้านทานแรงกดขี่ของศัตรูอีกต่อไป อย่างไรก็ตามแทนที่จะแสดงให้เห็นถึงความสิ้นหวัง รอยยิ้มแห่งแรงปรารถนาได้ฉายขึ้นที่มุมปากเธอแทน “โอวิดิสเต้ ข้าคงต้องล่วงหน้าไปก่อน ตอนนี้…ข้าสามารถมองเห็นทะเลใบเมเปิ้ลได้แล้ว ต้นเมเปิลที่สวยงามราวกับพระอาทิตย์ตก … อ่า ท่านแม่ นั่นท่านใช่หรือไม่? ข้ากำลังกลับบ้านแล้ว ตอนนี้ข้ากำลังกลับบ้าน…”


 


เมื่อได้ยินเสียงกระซิบจากสหาย คนบ้าบิ่นก็เริ่มคลั่มพร้อมส่งเสียงคำราม “เอฟเฟอร์มิน! เจ้าสัตว์ประหลาด! มาตายกันทั้งหมดนี่เลยเถอะ!”


 


แทนที่จะล่าถอย นับรบหนุ่มคนนั้นกลับโยนร่างตัวเองไปที่คางคงยักษ์ที่มีแผลจากลูกธนู 3ลูกเผยให้เห็นของเหลวสีเขียวเข้มเปล่งขึ้นมาบนผิวของคางคก


 


น่าเสียดายที่ก่อนที่เขาจะได้เข้าใกล้ คางคกกลับพ่นไซโคลนอันดุเดือดออกมาจากปากแล้วฉีกร่างของคนที่บ้าบิ่นออกเป็นส่วน ๆ จนเขาเต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย


 


หลังจากชักกระตุกและดิ้นรนอยู่ 2 – 3 ครั้ง สายตาของนักรบผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ก็เริ่มสูญเสียประกายแห่งแสงพร้อมกับชีวิตของเขาที่จางหายไป


 


“6 คนงั้นสินะ…” จางลี่เฉินผู้ซึ่งซ่อนตัวอยู่ข้างหลังรถยนต์คันใหญ่ไม่ได้สัมผัสถึงความเศร้าโศกที่เกิดขึ้นในสนามรบเลยแม้แต่น้อย หลังจากได้ฆ่าศัตรูไป 2 คนติดต่อกันเขาก็ถอนหายใจอย่างหนักด้วยความโล่งอกพร้อมส่งสัญญาณให้สัตว์อาคมกินซากศพของคนพวกนั้นก่อนจะพึมพำกับตัวเอง “และก็เหลือนักปราชญ์ที่น่ากลัวกับหมอผียูลินาส หวังว่าสองคนนั้นจะแยกตัวจากกันแบบนี้…”


 


เมื่อรู้สึกว่าพลังพ่อมดในร่ายกายเริ่มปะทุชายหนุ่มก็พึมพำกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ตัวแล้วว่ากำลังฝันกลางวัน ท้ายที่สุดไม่ว่าศัตรูจะโง่มากขนาดไหนแต่พวกเขาก็จะไม่โง่พอที่จะแบ่งกองกำลังออกจากกันเพื่อทำการจู่โจมและปล่อยให้กองกำลังหลักอยู่เพียงลำพัง


 


เขาหัวเราะเยาะตัวเองอย่างเย้ยหยันก่อนจะควมคุมสัตว์อาคมที่เติมอาหารจนอิ่มท้องเข้าสู่โหมดซ่อนตัวเพื่อกลับเข้ากระเป๋าเป้ตามเดิม จากนั้นเขาก็เดินไปเปิดประตูและนำมาสทิฟที่เดิมทีเขาต้องการนำมาใช้เป็นอาวุธหลักแต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีโอกาสได้ใช้กลับเข้าไปในรถ


 


หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เริ่มขับรถกลับขึ้นบนถนนทางหลวง


 


มันใช้เวลาไม่นานสำหรับเขาที่จะสั่งให้สัตว์อาคมฆ่าศัตรูแต่เนื่องจากเหตุผลที่จางลี่เฉินใช้คาถา ‘เชื่อมต่อ’ เพื่อสั่งให้สัตว์อาคมแบ่งปันพลังรอบรู้ของพวกมันออกมาอย่างต่อเนื่องจึงเป็นการรสิ้นเปลืองพลังงานไปอย่างมาก


 


หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเขาก็หันรถกลับเข้าเมืองโฮโนลูลูด้วยความรู้สึกว่าเขาต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ไม่อาจคาดเดาได้เช่นอัลท์แมนและยูลีนาสในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมเท่านั้น


 


ระหว่างทางกลับเข้าเมือง ชายหนุ่มพบรถยนต์หลายคันจอดอยู่ข้างถนนด้วยความลังเล เห็นได้ชัดว่าเจ้าของรถเหล่านี้ได้วางแผนที่จะเดินทางไปยังพื้นที่ภูเขาไฟแต่หลังจากที่พวกเขาได้ยินเสียงปืนและเสียงระเบิดพวกเขาก็ไม่กล้าเข้าใกล้มันอีกต่อไป


 


หลังจากที่เขาขับรถต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง เสียงร้องของเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธขนาดใหญ่ก็ดังก้องกังวานบนอากาศผ่านหัวของจางลี่เฉินไป


 


ตั้งแต่นั้นมา เสียงน่ารำคาญจากเฮลิคอปเตอร์ที่ทะลุผ่านท้องฟ้าก็ดังสะท้อนอยู่ในหูของเขามาตลอดทางจนถึงโฮโนลูลู ชายหนุ่มแอบนับจำนวนในใจและต้องประหลาดใจที่พบว่ามีเฮลิคอปเตอร์ทั้งหมด 10 ลำ


 


ขณะนี้เวลาก็จวนจะมืดเต็มที แสงพระอาทิตย์ตกดินส่องลงบนทะเลสีฟ้าครามของมหาสมุทรแปซิฟิกและสะท้อนคลื่นของมัน


 


จางลี่เฉินตกหลุมรักบรรยากาศการรับประทานอาหารค่ำภายใต้สายลมทะเลพร้อมกับการได้ดื่มด่ำไปกับทิวทัศน์ชายฝั่งทะเลที่สวยงามขณะจอดรถอยู่หน้าร้านอาหารกลางแจ้งแห่งหนึ่ง เขาเดินไปที่ชายหาดและสั่งอาหารชุดกุ้งมังกร


 


ขณะนั่งอยู่ใต้ร่มดวงอาทิตย์พลางดื่มโค้กที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งเย็น ๆ เขาพึมพำกับตัวเองว่า “อะไรกันเนี่ย? มีเฮลิคอปเตอร์อาปาเช่มากมายขนาดนี้ อย่าบอกนะว่ากองเรือบรรทุกเครื่องบินมาถึงแล้ว…”


 


เขานำโทรศัพท์ออกมาเพื่อระบุคำค้นหาว่า ‘สถานะทางทหารของฮาวาย’ บนอินเทอร์เน็ตและเริ่มค้นหาข้อมูล


 


ข้อมูลนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเขาและชายหนุ่มก็ต้องตกตะลึงไปในทันที


 


บทความแรกที่เขียนบนหน้าจอจับใจความได้ว่าตำแหน่งของฮาวาย รูปแบบการทหารของสหรัฐฯ หมู่เกาะฮาวายและเกาะมิดเวย์อะทอลล์ซึ่งเชื่อมต่อกับบ้านเกิดเมืองนอนของสหรัฐฯและฐานทัพแต่ละแห่งในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกเป็นศูนย์บัญชาการกองทัพบกสหรัฐแปซิฟิกและเป็นศูนย์กลางการขนส่งทั้งทางทะเลและทางอากาศในมหาสมุทรแปซิฟิก


 


สิ่งที่ตามมาอีกก็คือรายละเอียดเบื้องต้นเกี่ยวกับกองทหารรักษาการณ์ฮาวาย อ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์สหรัฐฯอยู่ห่างจากโฮโนลูลูไป 13 กิโลเมตรซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของกองเรือแปซิฟิกของสหรัฐฯและฐานชายแดนที่ใหญ่ที่สุดในมหาสมุทรแปซิฟิก


 


มีหน่วยนาวิกโยธินสหรัฐฯจากค่ายฮิวจ์ แมคคอร์มิค สมิธที่เป็นกองบัญชาการกองทัพอินโด – แปซิฟิกของสหรัฐฯและกองกำลังนาวิกโยธินสหรัฐฯในมหาสมุทรแปซิฟิก


 


ป้อมปราการชาร์ฟเตอร์และค่ายทหารสโกฟิลด์ตั้งอยู่ทางเหนือของโฮโนลูลู ที่นั่นมี 2 กองพันทหารราบซึ่งได้แก่กองพลทหารราบที่ 25 และกองพลบิน


 


ฐานนาวิกโยธินฮาวายในอ่าวคาเนโอเฮซึ่งอยู่ห่างจากโฮโนลูลูไปทางเหนือ 19 กิโลเมตรมีนาวิกโยธิน 6,800 คนและนาวี …


 


ฐานทัพเพิร์ลฮาร์เบอร์ฮิกแคมซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่กองทัพอากาศสหรัฐแปซิฟิกอยู่ห่างจากโฮโนลูลู 14 กิโลเมตร ที่นี่เป็นปีกของฐานทัพอากาศที่ 15 และกลุ่มปฏิบัติการทางอากาศ 502 แห่ง


 


“บ้าเอ้ย เกาะนี้มันรังตัวต่อชัด ๆ! 1 2 3 4 5! ฮาวายมีฐานทัพทหาร 5 แห่งและที่น่าประหลาดใจยิ่วกว่าคือมี 4 แห่งอยู่ติดกับโฮโนลูลู! นี่มัน จริง ๆ แล้ว…” จางลี่เฉินได้ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับฮาวายก่อนจะมาที่นี่แล้วแต่ไม่เคยคิดเลยว่าเขากำลังว่ายน้ำอยู่ในความสับสนวุ่นวายที่เกินกว่า



ตอนที่ 150

แม้ว่าเหล่าเทพจากโลกเหนือธรรมชาติจะมาถึงโลกเป็นการส่วนตัวแต่พวกเขาก็ยังต้องถูกฆ่าตายอยู่ดีหากกองทัพสหรัฐมีการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหล่ากองทัพน่าเกรงขามที่มีอยู่ในโอวาฮู ไม่ว่าจะเป็นความสามารถจากอัลท์แมนหรือยูลีนาสก็ไร้ประโยชน์


 


ในการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ยากจะต่อต้านมันเป็นไปได้ยากที่เขาจะได้รับประโยชน์จากการฆ่าโอวิดิสเต้และเอฟเฟอร์มินเมื่อทั้งทหารสหรัฐและสายลับจากโลกเหนือธรรมชาติต่างก็ได้รับบาดเจ็บรุนแรง ไม่เพียงแค่นั้นแต่การเข้าไปยุ่งย่ามผิดเวลาอาจทำให้เขาถูกกลืนหายไปในสงครามและอาจสูญเสียชีวิตไปแล้วก็เป็นได้


 


“นี่ครับ ชุดอาหารล็อบสเตอร์ที่คุณสั่ง” ขณะที่จางลี่เฉินกำลังจมอยู่กับความคิดบริกรหนุ่มก็นำอาหารที่เขาสั่งมาเสิร์ฟ


 


ล็อบสเตอร์ที่มีความยาวสองฟุตถูกวางอยู่บนจานน้ำแข็งที่ประดับด้วยผักสดพร้อมกับซอสสูตรพิเศษที่ทำให้มันยิ่งดูน่าอร่อย


 


สูดดมกลิ่นอาหารทะเลสดใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์และน่าหลงใหลที่ส่งตรงมาจากทะเลจากนั้นชายหนุ่มก็กล่าว “ขอบคุณ” ก่อนจะละทิ้งความกังวลทั้งหมดไว้ด้านหลังและเริ่มจัดการมื้ออาหารทะเลตรงหน้าพร้อมเพลิดเพลินไปกับลมทะเลเย็น ๆ


 


หลังจากเติมกระเพาะอาหารของเขาจนเต็มที่แล้วจางลี่เฉินก็สั่งพนักงานให้นำเนื้อสเต็กที่เท่ากับ 10 คนทานแบบนำกลับ ขณะที่เขากำลังรอให้ทางร้านเตรียมของเขาก็เริ่มคิดว่าเขาควรจะมองหาโรงแรมนอนในคืนนี้หรือแอบออกไปที่ชานเมืองเพื่อดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้งกันดี


 


ขณะที่เขากำลังลังเลอยู่ระหว่างสองความคิดนี้ทันใดนั้นโทรศัพท์ของเขาก็แผดร้องเสียงดังขึ้นมา


 


เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วพบว่าเป็นสายจากทีน่า


 


“ลี่เฉิน! เดาสิว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน!” เสียงหัวเราะของทีน่าดังก้องออกมาจากอีกฝั่งของสายสนทนา


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้นหัวใจของจางลี่เฉินกระตุกวูบพร้อมลางสังหรณ์ไม่ดีที่เกิดขึ้นในใจ เขาพูดด้วยความกระวนกระวายกลับไปว่า “ทีน่า อย่าบอกนะว่าคุณอยู่ที่โรงแรมรอยัลฮาวายเอียนในโฮโนลูลูแล้ว!”


 


“ถูกต้อง! ตอนนี้ฉันอยู่ที่โรงแรมรอยัลฮาวายเอียนจริง ๆ! หืม ลี่เฉิน นายนี่น่าเบื่อชะมัด! คงยากเกินไปสำหรับฉันสินะที่จะทำให้นายประหลาดใจได้”


 


“ฟังนะทีน่า! รีบออกจากโรงแรมนั้นเดี๋ยวนี้! ไป…ไปที่ชายหาดที่ไหนก็ได้สักแห่ง! ยิ่งอยู่กับผู้คนมาก ๆ ยิ่งดี แล้วก็อย่ารับสายของคนอื่นเว้นของผมคนเดียวเท่านั้น! แล้วก็ไม่ต้องออกไปเจอใคร…”


 


“ลี่เฉิน ทีน่าอยู่กับข้าแล้ว…” เสียงที่จางลี่เฉินหวั่นกลัวดังสะท้อนออกมาจากปลายสายจากนั้นก็เป็นทีน่าที่กลับมาพูดโทรศัพท์ต่อ “นอกจากอลิซและเพื่อน ๆ ของเธอ 2 – 3 คนแล้วตอนนี้ก็มีเพื่อนผู้ชายจากหาดคาไวที่ทริชและชีล่าเพิ่งได้รู้จักอยู่ด้วยนะ ฉันว่าจะแนะนำคน ๆ หนึ่งในนี้ให้อลิซได้รู้จักไว้ด้วยล่ะ”


 


เมื่อรู้ว่าสถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไปมากเพียงใดชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างชายหาดก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ทางใบหน้าภายใต้แสงไฟจากชายหาดที่ถูกปรับให้เข้ากับความมืดมัวที่สุด หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งทันใดนั้นเขาก็พูดกลับไปว่า “อย่างนี้นี่เอง เดี๋ยวผมจะรีบกลับไปโรงแรมทันทีเพื่อดูว่าพวกเขาจะเหมาะสมกับเธอหรือเปล่า ตอนนี้พวกคุณกำลังอยู่ในล็อบบี้หรือร้านอาหารของโรงแรมใช่ไหม?”


 


“แน่นอนว่าต้องเป็นร้านอาหารกลางแจ้ง! ที่นี่สะดวกสบายมากเลยลี่เฉิน นายยังไม่ได้ทานมื้อเย็นใช่ไหม? อยากให้ฉันสั่งชุดอาหารล็อบสเตอร์ไว้รอนายให้หรือเปล่า? ฉันจำสิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับนายได้มากกว่าที่คิดและก็รู้ด้วยว่านายชอบล็อบสเตอร์มากขนาดไหน!”


 


“แล้วผมก็ชอบโค้กมาก ๆ ด้วยเช่นกัน คุณช่วยสั่งเตรียมไว้ให้ผมด้วยจะได้ไหม? ผมว่าผมต้องใช้มันเพื่อสงบสติอารมณ์สักหน่อยแล้วเดี๋ยวไว้เจอกัน”


 


จางลี่เฉินจบสายสนทนาด้วยอารมณ์ขุ่นมัว จากนั้นไม่นานบริกรหนุ่มก็กลับมาพร้อมสเต๊กที่เขาสั่ง เขาเดินไปบนหาดทรายแล้วกลับไปที่รถของเขาพร้อมถุงกระดาษในมือ


 


ทันทีที่เขาเข้ามานั่งฝั่งที่นั่งคนขับ กลิ่นหอมของสเต็กที่ลอยออกมาจากถุงกระดาษในมือก็ดึงความสนใจจากมาสทิฟฟ์ที่กำลังนอนหมอบอยู่ที่เบาะด้านหลังได้เป็นอย่างดี มันรีบขยับตัวแล้วเสนอหน้าของมันมาข้างหน้ารถเพื่อตามกลิ่นหอม ๆ


 


จางลี่เฉินถอดตะกร้อครอบปากของมันออกก่อนจะฉีกถุงกระดาษที่เต็มไปด้วยสเต็กแล้วโยนให้มันไปที่เบาะหลัง “กินซะ! ไม่แน่ชีวิตของฉันต่อจากนี้อาจขึ้นอยู่กับความช่วยเหลือจากแก กินเข้าไปเยอะ ๆ! เมื่อไปถึงโรงแรมแล้วฉันจะให้แกได้กินน้ำแก้กระหาย และจำไว้ว่าแกต้องทำทุกอย่างที่ฉันสั่งหลังจากกินอิ่มไม่ว่าฉันจะสั่งอะไรก็ตาม!”


 


ชายหนุ่มหัวเราะด้วยท่าทีไร้สาระใส่สุนัขตัวใหญ่ เมื่อเจ้าสุนัขสายพันธุ์มาสทิฟฟ์ได้กินเนื้อสเต็กที่แสนอร่อยมันก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความดีใจโดยการเห่าหอนออกมา


 


ร่วมกับเสียงหอนของสุนัข จางลี่เฉินถอนหายใจแล้วพึมพำกับตัวเอง “ความรู้สึกของมนุษย์นั้นยิ่งใหญ่เหมือนดั่งสวรรค์ ตามที่คาดไว้ ความรู้สึกของมนุษย์นั้นยิ่งใหญ่เหมือนสวรรค์จริง ๆ ไม่แปลกใจที่หนังสือโบราณจะกล่าวว่าเราสามารถกลายเป็นพ่อมดที่ยิ่งใหญ่ได้หากมองข้ามความสัมพันธ์ที่เป็นมิตร ลบล้างความรู้สึกและกำจัดอารมณ์ออก แต่ลองคิดดูดี ๆ ถ้าตัวเราไม่มีความสุขแล้วเราจะอยากมีอิสระไปเพื่ออะไรกัน?”


 


หลังจากที่เขาพูดจบเขาก็สตาร์ทเครื่องยนต์แล้วขับออกไปในทันที


 


ชายหนุ่มขับรถไปตามเส้นถนนที่มีแสงสว่างจ้า เขาไม่ได้มุ่งหน้าไปโรงแรมรอยัลฮาวายเอียนแต่อย่างใด กลับกันเขามุ่งหน้าตรงไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อเนื้อดิบแทน หลังจากร่ายคาถา ‘รวบรวม’ และควบคุมแมลงบินนับล้านในที่สุดเขาก็ขับรถตัดตรงไป 3 – 4 ช่วงตึกเพื่อเข้าไปยังลานจอดรถของโรงแรมรอยัลฮาวายเอียนตามคำแนะนำของเครื่องมือนำทาง


 


หลังจากใส่ตะกร้อครอบปากมาสทิฟฟ์ที่เติมเต็มท้องจนเต็มทีแล้วจางลี่เฉินก็สะพายกระเป๋าเป้ไว้บนหลังก่อนจะเดินออกจากรถไป


 


เขาเดินเข้าไปในล็อบบี้ของโรงแรมตรงแผนกต้อนรับก่อนจะถามพนักงานที่มีรอยยิ้มสวยงามว่า “ผมจางลี่เฉินพักอยู่ห้อง F0987 มีข้อความอะไรฝากถึงผมบ้างไหม”


 


“กรุณารอสักครู่นะคะ … มีข้อความฝากไว้จากมิสทีน่าถึงคุณค่ะ เพื่อนของคุณกำลังรับประทานอาหารอยู่ที่ร้านอาหารกลางแจ้ง…”


 


“คุณพาผมไปจะได้ไหม?”


 


“แน่นอนค่ะ!” พนักงานตอบรับก่อนจะเรียกบริกรจากร้านอาหารกลางแจ้งโดยเครื่องรับส่งวิทยุ “เขาจะเป็นผู้นำทางให้คุณค่ะ”


 


“ขอบคุณ” จางลี่เฉินไม่สนใจสายตาจากคนอื่นที่มองมา เขาหลับตาและสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะตบแก้มตัวเองแรง ๆ 2 – 3 ครั้งแล้วถึงเดินตามบริกรไปอย่างเงียบ ๆ อย่างน่าประหลาดใจ เมื่อก้าวออกจากประตูหลังมาเขาก็ได้เข้ามาอยู่ในพื้นที่ชายหาดส่วนตัวเพื่อแขกของโรงแรมรอยัลฮาวายเอียนโดยเฉพาะ


 


ชายหาดเต็มไปด้วยผู้คนและเสียงอึกทึกราวกับตอนกลางวัน แขกของโรงแรมจะใช้เวลาทั้งวันไปกับการอยู่ข้างนอกและแม้ว่าพวกเขาไม่ต้องการรับประทานอาหารกลางแจ้งของโรงแรมแต่บางครั้งพวกเขาก็จะมาที่ชายหาดส่วนตัวนี้เพื่อฟังเพลงและรับลมทะเลเย็น ๆ ในตอนกลางคืน


 


บริกรพาชายหนุ่มไปที่ส่วนของร้านอาหารกลางแจ้งแล้วชี้ไปที่โต๊ะใกล้ชายฝั่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “โต๊ะเพื่อนของคุณอยู่ทางนั้นครับ”


 


ด้วยความช่วยเหลือจากแสงจาง ๆ จากร้านอาหาร จางลี่เฉินเห็นทีน่า ทริช และชีล่ากำลังนั่งทานอาหารเย็นกับคนอื่น ๆ พวกเขาทานไปพร้อม ๆ กับพูดคุยเรื่องราวสนุกสนาน “ขอบคุณ เดี๋ยวผมเดินไปเอง โอ้ใช่ หาถาดน้ำให้สุนัขของผมสักหน่อยจะได้ไหม” จากนั้นเขาก็ส่งเงินให้บริกรไป 5 ดอลลาร์เพื่อเป็นทิปก่อนจะเดินเข้าหา 3 สาวอย่างรวดเร็ว


 


“ลี่เฉิน! มาแล้วหรอ!” ทีน่าที่เห็นจางลี่เฉินเดินเข้ามาก็เอ่ยทักด้วยความประหลาดใจราวกับว่าเธออยากจะทักทายเขาด้วยการสวมกอด


 


“สุนัขตัวใหญ่มาก! สัตว์เลี้ยงใหม่ของนายงั้นเหรอ?”


 


อย่างไรก็ตามในขณะที่แผนการณ์เริ่มไม่เป็นดั่งใจและเหมือนจะถูกจับได้ ผู้หญิงที่บอบบางและน่ารักแต่กลับมีความแข็งแกร่งเหมือนแชมป์เพาะกายก็ได้ยื่นมือเพื่อดึงร่างของเด็กสาวกลับมาแล้วผลักเธอนั่งกลับไปที่เก้าอี้ตัวเดิมอย่างง่ายดาย


 


“บอกลูกน้องของคุณหน่อยได้ไหมว่าอย่าใจร้อน ท่านนักปราชญ์ ผมมาแล้วนี่ไง เห็นไหม? เราค่อย ๆ มาพูดคุยกันจะดีกว่า ทุกอย่างที่คุณคิดตอนนี้กำลังเข้าใจผิด…” จางลี่เฉินเริ่มต้นประโยคของเขาด้วยความกลัวขณะเดินไปที่หัวมุมโต๊ะทานอาหารช้า ๆ แล้วนั่งลง


 


“เข้าใจผิดงั้นเหรอ? เจ้ากำลังบอกว่าการตายของอาวุธหลักที่ทรงพลังที่สุดของเรดไอรอนเป็นความเข้าใจผิด? ข้าก็อาจจะคิดเช่นนั้นถ้าไม่ได้พูดคุยกับเจ้าผ่านเครื่องมือสื่อสารนี่ ข้าอาจคิดว่ามันเป็นการจู่โจมระหว่างเรากับสัตว์ยักษ์ที่ถูกกองทัพสหรัฐทำการศึกษามาซึ่งทำให้เราต้องเผชิญหน้ากับกองกำลัง อย่างไรก็ตามแคสเดียได้ตายไปแล้วแต่เจ้าที่อยู่กับเขาตอนนั้นกลับปลอดภัยดีเสียนี่! ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าไม่ได้เป็นทหาร เจ้าจะอธิบายสิ่งเหล่านี้ว่าอย่างไร?”


 


นักปราชณ์เอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม


 


โดยปกติแล้วจางลี่เฉินไม่สามารถอธิบายสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยการโกหก เขาคิดเกี่ยวกับมันก่อนจะพยายามทำเสียงไร้ความหมาย “พู ชี ชี…” เมื่อใบหน้าของเขากลับมาสงบตามเดิม


 


“ช่างเป็นภาพวาดที่สวยงามบนใบหน้าและเสื้อผ้าของคุณจังเลยนะครับ”  มองดูนักปราชญ์จากโลกเหนือธรรมชาติที่กำลังสวมหมวก กางเกงขาสั้น และเสื้อเชิ้ตลายตาหมากรุก เช่นเดียวกับหมอผีที่ใบหน้าของเขาถูกวาดด้วยสีน้ำมันเพื่อครอบคลุมผิวสีดำและสีเขียวของเขา ชายหนุ่มได้เอ่ยถามกลับไปว่า “นักปราชญ์อัลท์แมน พวกคุณทุกคนหนีออกมาพร้อมกับอลิซได้อย่างไร? แล้วคนอื่น ๆ ล่ะอยู่ที่ไหน? หรือว่าคุณกำจัดแอชลีย์กับคามิลไปแล้วเพราะพวกเขาไม่มีประโยชน์กับคุณอีกต่อไป?”


 


“นายพูดอะไรน่ะจางลี่เฉิน? แล้วพวกเขาคือใคร?” เมื่อได้ยินบทสนทนาแลกเปลี่ยนระหว่างจางลี่เฉินและนักปราชญ์อัลท์แมน ทีน่าเลยถามออกไปด้วยความสับสน


 


“คุณไม่ต้องรู้หรอกทีน่า นักปราชญ์อัลท์แมน ผมอยู่ที่นี่แล้วดังนั้นปล่อยพวกผู้หญิงกลุ่มนี้ไปจะได้ไหม ที่โลกของเราสงครามคือเกมเฉพาะของฝ่ายชาย” จางลี่เฉินที่คิดอะไรได้ก็พูดขึ้นมาทั้ง ๆ แบบนั้น


 


“ที่จริงแล้วเจ้าคือคนที่ฆ่าแคสเดียใช่หรือไม่?”


 


“รวมถึงโอวิดิสเต้และเอฟเฟอร์มินด้วย”


 


“แข็งแกร่งมาก! ช่างน่าเหลือเชื่อ น่าเหลือเชื่อเหลือเกิน! ดูเหมือนว่าเจ้าจะต้องมีอาวุธที่ทรงพลังมากเช่นลำแสงเลเซอร์หรืออาวุธเหนือเสียง…”


 


ขณะที่อัลท์แมนกำลังตั้งสมมติฐาน บริกรก็นำถาดน้ำมาให้จางลี่เฉิน ชายหนุ่มถอดตระกร้อออกจากปากสุนัขตัวใหญ่เพื่อให้มันได้ดื่มน้ำตามที่มันต้องการแล้วพูดเสียงเข้ม “นักปราชญ์อัลท์แมน คุณไม่สามารถเข้าใจโลกของเราได้อย่างถ่องแท้แค่เพียงท่องโลกอินเทอร์เน็ต หยุดการตั้งสมมติฐานของคุณไว้ซะ มันเป็นเพราะสุนัขตัวใหญ่ตัวนี้ที่ทำให้ผมสามารถฆ่าแคสเดีย โอวิดิสเต้และเอฟเฟอร์มินได้”


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้นหญิงสาวที่สวมชุดสีแดงผู้ซึ่งมาจากโลกเหนือธรรมชาติที่กำลังจับแขนทีน่าไว้ก็คำรามขึ้นมาเบา ๆ “เจ้ากล้าดูถูกนักรบผู้กล้าหาญที่สุดของเรด ไอรอนได้อย่างไร!”


 


“นั่นก็เพราะสิทธิ์ของการดูถูกคือสิทธิ์ที่ผู้ชนะจะได้กระทำต่อผู้แพ้ยังไงล่ะ”


 


“ดูเหมือนว่าเจ้ากำลังพยายามทำให้พวกเราโกรธซึ่งข้าคิดว่ามันแปลกมาก…” อัลท์แมนโบกมือให้นักรบหญิงสงบขณะที่เขาสังเกตสีหน้าของชายหนุ่มอย่างระมัดระวัง


 


พวกเขาทั้งสองคุยกันราวกับกำลังคุยกันเรื่องปริศนาลับบางอย่างพร้อมปล่อยให้คนอื่นสับสนและงงงวย จนในที่สุดแฟนหนุ่มชั่วคราวของชีล่าที่เธอเพิ่งเจอกันที่นี่ก็เริ่มหงุดหงิด “ชีล่าที่รัก ผมชอบทานอาหารมื้อค่ำร่วมกับเพื่อนสนิทของคุณนะแต่คุณจำได้ไหมว่าเราตกลงที่จะไปล่องเรือตอนกลางคืนด้วยกัน? นี่มันก็เกือบจะเลยเวลา…”


 


ในขณะที่เขาพูดอย่างนั้นชายหนุ่มที่ดูแข็งแรงและร่างสูงคนนี้ก็ลุกขึ้นยืนจากที่นั่งของตัวเอง


 


เมื่อเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งพยายามจะจากไป ทันใดนั้นอัลท์แมนก็ออกคำสั่งไปว่า “ คาเรนลินนิส จัดการคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป”


 


เมื่อนักรบจากโลกเหนือธรรมชาติได้ยินแบบนั้นเธอพยักหน้ารับคำสั่งก่อนจะชกเข้าไปที่หัวใจของชายหนุ่มซึ่งเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่ทันได้ระวังตัว


 


ร่างกายของชายหนุ่มแข็งทื่อก่อนจะล้มลมไปที่เก้าอี้นั่งตามเดิม ดวงตาของเขาเบิกกว้าง มีการหายใจออกจากปอดเล็กน้อยก่อนที่เขาจะหยุดหายใจไปทั้งอย่างนั้นโดยสิ้นเชิง



ตอนที่ 151

ทันทีที่คาเรนลินนิสจู่โจมแบบไม่ทันให้ได้ตั้งตัวและจบชีวิตแฟนหนุ่มของชีล่าด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วแล้ว สายตาของเธอที่เปล่งประกายเป็นสีแดงสลัวมองผ่านทุกคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทั้งหมดไปอย่างไร้อารมณ์ พวกเขาตกใจกันมากจนแม้แต่เสียงกรี๊ดร้องก็ไม่กล้าเปล่งออกมา


 


การกระทำของนักรบสาวสร้างความหวาดกลัวและสยองขวัญให้แก่ทุกคนบนโต๊ะเป็นอย่างมาก เว้นก็แต่จางลี่เฉินที่ยังคงมีท่าทีสงบนิ่งไม่หวาดกลัวใด ๆ ด้วยคาถาที่เขาร่ายอยู่ในใจเขากลับมีความสุขขึ้นมาแทน


 


ในที่สุดเขาก็มั่นใจได้แล้วว่าไม่เพียงแต่เขาที่คิดว่าคู่ต่อสู้จะคาดเดาไม่ได้และต้องปฏิบัติอะไรก็ตามไปด้วยความระมัดระวังเท่านั้นแต่นักปราชญ์อัลท์แมนก็กำลังคิดแบบเดียวกัน


 


นักปราชญ์ที่มาจากโลกเหนือธรรมชาติและหมอผีประหลาด ๆ ที่อยู่ข้าง ๆ จงเกลียดจงชังจางลี่เฉินมากจนความรู้สึกนั้นได้ไปกระตุ้นพลังพ่อมดในตัวของชายหนุ่มจนเดือดพล่านแต่พวกเขาก็ยังคงทำเป็นนิ่งเฉยเพื่อทดสอบชายหนุ่มด้วยคำพูดต่อ


 


เห็นได้ชัดว่าในหัวของสองคนนี้กำลังคิดว่าเขา จางลี่เฉินคนนี้ที่ปรากฏตัวขึ้นมาด้วยท่าทีอวดเก่งอีกทั้งยังดูสดใสเริงร่าซึ่งมาพร้อมกับสุนัขตัวใหญ่ที่ฆ่าเหล่านักรบทรงพลังของเขา แคสเดีย – อาวุธหลักที่ทั้งเก่งทั้งการโจมตีและป้องกัน โอวิดิสเต้ – ผู้บ้าบิ่นที่กระตือรือร้นในการโจมตีด้วยความรุนแรง เอฟเฟอร์มิน – นักธนูผู้เก่งกาจในการโจมตีระยะไกล เมื่อรวมความแข็งแกร่งของพวกเขาทั้งสามและใบหน้าซีดเซียวอ่อนแอของจางลี่เฉินเมื่อวานนี้แล้วพวกเขาสามารถอธิบายได้เพียงว่าจางลี่เฉินคือปริศนาที่ยากจะหาคำตอบ


 


ตอนนี้ชายหนุ่มได้แยกความคิดของตัวเองออกเป็นที่ชัดเจนเรียบร้อยแล้ว เขารู้แล้วว่าเขาไม่ได้เป็นผู้ตามอีกต่อไป มีนักรบที่เหลืออยู่อีกเพียงคนเดียวที่คอยปกป้องอัลท์แมนและยูลีนาสในขณะที่เขามีสัตว์อาคม 3 ตัวเพื่อป้องกันตัวเอง


 


การเปลี่ยนแปลงทางจิตวิทยาของมนุษย์นั้นช่างลึกซึ้งมากเหลือเกิน เนื่องจากความระมัดระวังของศัตรูทำให้ความมั่นใจของจางลี่เฉินเพิ่มขึ้นอย่างมาก หัวใจของเขาหมุนวน 180 องศาเมื่อความคิดที่กล้าหาญประกายอยู่ในใจ


 


“นักปราชญ์อัลท์แมน ผมเข้าใจความโหดร้ายและความแข็งแกร่งของคุณที่มาจากโลกเหนือธรรมชาติได้เป็นอย่างดีจากเมื่อคืนที่ผ่านมาดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องใช้การฆ่าเพื่อเพิ่มความประทับใจในตัวพวกคุณอีกแล้วก็ได้ บอกผมโดยตรงถึงความต้องการของพวกคุณที่ต้องการตัวผมหลังลักพาตัวทีน่ามาเสียที”


 


“ข้าเคยบอกเจ้าไปก่อนหน้านี้แล้วว่าข้าต้องการออกจากเกาะนี้”


 


“ง่ายมาก โอวาฮูมีฐานทัพด้วยกัน 4 แห่งแต่กองทัพสหรัฐฯจะไม่ปิดพื้นที่เกาะทั้งหมดเพื่อจำกัดการเดินทางของนักท่องเที่ยวเว้นแต่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายถึงขั้นสุด เนื่องจากพวกคุณทุกคนสามารถเข้าเมืองโฮโนลูลูและสามารถกินอาหารค่ำในโรงแรมระดับห้าดาวเช่นโรงแรมรอยัลฮาวายเอียนได้โดยไร้ซึ่งความกังวลนั่นก็หมายความว่า…”


 


ชายหนุ่มจับสุนัขตัวใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ ขณะพูดด้วยความมั่นใจ เมื่ออัลท์แมนและอีกสองคนมอบความสนใจทั้งหมดมาให้เขา ทันใดนั้นเขาก็รีบเปลี่ยนท่าทางด้วยการออกคำสั่งมือตามที่ครูฝึกสุนัขจากร้านขายสัตว์เลี้ยงสอนมาเพื่อโจมตี


 


มาสทิฟฟ์ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวดไม่เคยมีความลังเลในการลงมือ ขณะที่ชายหนุ่มทำท่าทางมันก็ออกตัวพุ่งไปข้างหน้าตามคำสั่งทันที ด้วยความแข็งแกร่งมันพลิกคว่ำโต๊ะอาหารทั้งโต๊ะเมื่อพุ่งเข้าหาตัวคาเรนลินนิส


 


ท่ามกลางความหวาดกลัวและความตกใจ นักรบหญิงแสยะยิ้มอย่างเย็นชา เธอไม่ได้ป้องกันหรือโต้ตอบแต่กลับดึงทีน่าขึ้นมาขวางข้างหน้าแทน


 


สุนัขตัวใหญ่พุ่งเข้าหาทีน่าจนทำให้หญิงสาวร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว เมื่อคาเรนลินนิสที่อยู่ข้างหลังกำลังยิ้มเยาะให้จางลี่เฉินทันใดนั้นเธอก็ตระหนักได้ว่าร่างกายของสุนัขตัวใหญ่นี้ได้ระเบิดแตกตัวออกกลายเป็นแมลงหลายร้อยตัวที่มีแท่งเหล็กในยาว


 


เมื่อแมลงเหล่านั้นฉีกร่างสุนัขตัวใหญ่ พวกมันก็รีบกางปีกออกอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งใช้เหล็กในในตัวของพวกมันแทงไปที่มือของนักรบหญิงที่ยึดร่างทีน่าเอาไว้


 


แม้จะเป็นช่วงวิกฤตแต่คาเรนลินนิสก็ไม่ได้มีท่าทีลุกลี้ลุกลนแต่อย่างใด มือซ้ายของเธอโบกสะบัดเบา ๆ ราวกับไม่ได้มีอะไรหนัก ๆ อยู่ในมือก่อนจะใช้ร่างของทีน่าเป็นเกราะป้องกัน ดาบขนาดเท่ามีดตัดอาหารหลุดออกมาจากแขนเสื้อของเธอและในไม่ช้ามันก็แทงทะลุแมลง 3 ตัวไปภายในพริบตา


 


อย่างไรก็ตามเหล่าแมลงทั้งหลายเริ่มล้อมรอบตัวเธออย่างใกล้ชิด  ในเวลาเดียวกันเหล็กในจากแมลง 3 ตัวที่มีความยาวกว่า 100 เมตร จู่ ๆ ก็โผล่พรวดออกมาจากความมืดของชายฝั่งและแทงเข้าที่ด้านหลังของนักรบหญิงพร้อมสายลมที่หนักแน่น


 


แม้จะได้ยินเสียงลมพัดมาจากด้านหลังแต่คาเรนลินนิสก็ไม่ได้หันไปให้ความสนใจในทันที เธอยังคงวาดแขนเพื่อใช้แผนเดิมคือการใช้ทีน่าเป็นเกราะป้องกัน แต่นั้นเอง แมลงที่บินอยู่ตรงหน้าของนักรบหญิงได้ขยายตัวใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเป็น 10 เท่า ท้องของพวกมันเต็มไปด้วยคลั่งเลือดก่อนที่จะระเบิดออกอย่างเงียบ ๆ


 


ชั่วพริบตา การระเบิดสุญญากาศก็เกิดขึ้นโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าพร้อมกับฉีกร่างของคาเรนลินนิสออกเป็นชิ้น ๆ


 


โครงกระดูกที่แตกหักไม่สามารถรับน้ำหนักสมองและอวัยวะอื่น ๆ ของเธอได้อีกต่อไปเช่นเดียวกับที่ร่างกายของเธอค่อย ๆ กลายเป็นเศษซากและทรุดตัวลงไปกับพื้น ทีน่าถูกกรงเล็บยักษ์ที่โผล่ออกมาจากที่ไหนสักแห่งคว้าตัวไว้พร้อมกับทริชและชีล่าก่อนจะถูกนำตัวไปวางไว้ที่ไหนสักแห่งที่ปลอดภัย


 


จางลี่เฉินที่เสียสละสุนัขตัวใหญ่เพื่อจู่โจมคาเรนลินนิสทรุดตัวลงไปกับพื้นและสั่งให้เมานท์โทดขยายตัวออกจากกระเป๋าเพื่อกำบังตัว


 


หลังจากโจมตีคาเรนลินนิสเสร็จเขาก็สั่งให้เหล่าแมลงหันไปจู่โจมอัลท์แมนและยูลีนาสผู้ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเมานท์โทดต่อ


 


“อัลลีซีอุส…” พลิกหนังสือหนัก ๆ ในมืออย่างต่อเนื่อง อัลท์แมนอัญเชิญนักรบ โล่บินและกำแพงอากาศแข็งแกร่งที่เขาวาดลงบนหน้ากระดาษโดยใช้นิ้วของเขาเป็นหมึกพลังแห่งวิญญาณในการปิดกั้นลิ้นเหนียว ๆ ของสัตว์อาคม เขาต่อสู้ด้วยความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขาม เมื่อเห็นกองทัพแมลงระเบิดเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องนำหมากรุกที่ซ่อนอยู่ของเขาออกมาเข้าร่วมในการต่อสู้


 


เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของเขา ชายร่างใหญ่ที่มีผิวสีเขียวที่ผสมตัวอยู่ในหมู่นักท่องเที่ยวที่กำลังหวาดกลัวก็หยิบโล่และดาบยาวที่ฝังอยู่ในทรายขึ้นมาก่อนจะปรากฏตัวต่อหน้าอัลท์แมนเพื่อบังร่างเขาในคราวเดียว


 


ขณะนั้นเสี่ยงหึ่ง ๆ ที่น่ากลัวก็ดังก้องออกมาจากขอบฟ้าที่ห่างไกล ไม่กี่วินาทีต่อมากลุ่มหมอกสีเข้มที่เต็มไปด้วยแมลงบินเล็ก ๆ จำนวนหนึ่งก็ได้ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวบนชายหายส่วนตัวของทางโรงแรม


 


“ไปกันเถอะ” โดยไม่จำเป็นต้องไตร่ตรองซ้ำ อัลท์แมนรู้ว่าใครเป็นผู้นำแมลงบินกลุ่มกระหายเลือดเข้ามาใกล้ชายหาด หลังจากเขาแยกแยะความแตกต่างระหว่างพละกำลังของพวกเขาได้แล้วเขาก็ตะโกนร้องเสียงดังก่อนจะดึงปีกจากแมลงลงบนหน้ากระดาษแล้วให้มันเติบโตบนยูลีนาส อัลลีซีอุสและเขาที่เข้าใจในความเป็นจริงก่อนจะบินขึ้นฟ้าไป


 


อย่างไรก็ตามจางลี่เฉินผู้ซึ่งพลิกสถานการณ์ไปได้แล้วโดยสิ้นเชิงไม่เต็มใจที่จะปล่อยให้ปัญหาเหล่านี้ค้างคาไว้แบบนี้ เขาสั่งให้กองทัพแมลงบินขึ้นเหนือเมฆเพื่อไล่ตามพวกเขาไปบนฟ้าในทันที


 


เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่สามารถหลบหนีได้ อัลลีซีอุสผู้ซึ่งเป็นเหมือนอาวุธหลักเหมือนกับแคสเดียได้เปลี่ยนเกราะกลมในมือของเขาเป็นป้อมปราการพยาบาทก่อนจะโค้งคำนับเป็นครั้งสุดท้ายให้อัลท์แมน “ท่านนักปราชญ์ ขอให้ข้าได้ปกป้องท่านเป็นครั้งสุดท้าย”


 


จากนั้นเขาก็บินขึ้นลงเพื่อสกัดกั้นแมลงบินนับไม่ถ้วนในนามสหายของเขา


 


เมื่อถึงเวลา นักรบล้มไปบนชายฝั่งพร้อมอาการบาดเจ็บสาหัสก่อนจะถูกสัตว์อาคมกลืนกิน อัลท์แมนและยูลีนาสไม่ลังเลที่จะเสียสละอัลลีซีอุสขณะที่พวกเขาพยายามหลบหนี ในที่สุดพวกเขาก็สามารถหลบหนีไปในยามค่ำคืนท่ามกลางความมืดอันไร้ขอบเขตได้สำเร็จ


 


หลังจากที่ศัตรูสามารถหลบหนีออกไปได้แล้วจางลี่เฉินก็สั่งให้เมาน์โทดกระโดดลงไปในทะเลก่อนจะพึมพำกับตัวเอง “พวกนั้นหนีไปได้ … เห้อ ถ้ามีโครโคดราก้อนที่สามารถบินตามไปได้ก็น่าจะฆ่าคนพวกนั้นได้เสร็จภายในคืนนี้แล้วเชียว”


 


หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ค่อย ๆ หาหนทางที่จะไปถึงทีน่าและอีกสองคนท่ามกลางกลุ่มแมลงที่กำลังบินอยู่ไปทั่วทุกแห่ง


 


“ทีน่า คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”


 


“ฉันไม่เป็นไรลี่เฉิน ฉันโอเค สบายมาก! ฉัน..ฉันจำได้แล้ว การเผชิญหน้ากับความน่ากลัวที่อเมซอน เมานท์โทดและโครโคดราก้อนของนาย … แล้วคนพวกนั้นคือใคร? ทำไมพวกเขาถึงบิดได้เหมือนซุปเปอร์แมน? และ และพวกเขาก็แข็งแกร่งมาก มันคืออะไรกันแน่ มันเหมือนกับฉาก ๆ หนึ่งจากภาพยนตร์…”


 


“พวกเขามาจากอาณาจักรเหนือธรรมชาติที่เป็นโลกอื่น ลืมมันไปซะเถอะ มันไม่ได้สำคัญอีกต่อไป ไว้ผมจะอธิบายเรื่องราวอีกครั้งในภายหลังก็แล้วกัน ตอนนี้สิ่งสำคัญคือเราต้องออกจากโอวาฮูกันทันที 2 คนที่หลบหนีไปได้ไม่มีทางที่จะถอยกลับแน่ดังนั้นตอนนี้มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าพวกเขาจะทำอะไร”


 


“ฉันมีใบอนุญาตขับเรือยอร์ชและเรือยอร์ชจอดอยู่ที่ท่าเรือฮานาลี…”


 


“งั้นเราจะมัวรออะไรกันอยู่อีกล่ะ?”


 


“อลิซล่ะ…”


 


“เธอคงตายไปแล้ว พร้อมกับคนที่นี่ที่พวกคุณรู้จัก คาถาของยูลีนาสได้ฆ่าเธอและผู้บริสุทธิ์บนชายหาดไปมากมาย เราควรไปกันได้แล้วทีน่า คงเป็นเรื่องยากที่เราจะออกไปจากที่นี่ได้ถ้าตำรวจมาถึง”


 


เมื่อพูดเช่นนั้นจบเขาก็คว้าข้อมือของทีน่าแล้วรีบวิ่งพาเข้าไปในโรงแรมรอยัลฮาวายเอียนพร้อมกับทริชและชีล่าที่ยังไม่หายจากอาการตกใจดีทันที


 


คิวเข้าแถวยาวถูกสร้างขึ้นที่แผนกต้อนรับในล็อบบี้ พวกเขาทั้งหมดกำลังรอแขกเช็คเอาท์ เห็นได้ชัดว่าฉากแปลกประหลาดบนชายหาดทำให้หลายคนต้องหวาดกลัว


 


เมื่อรู้สึกว่าเวลาเช็คเอาต์ใช้เวลานานเกินไปแล้วจางลี่เฉินก็ได้พาสามสาวผ่านฝูงชนที่ตื่นตระหนกเพื่อเดินออกจากโรงแรมไปอย่างรวดเร็วก่อนจะโบกรถแท็กซี่ที่ถนนแทน ทั้ง 4 คนรีบไปที่ท่าเรือฮานาลีซึ่งอยู่ห่างจากเมืองโฮโนลูลูไปทางตะวันตกประมาณ 13 กิโลเมตร


 



 


ภายในป้อมปราการที่แข็งแกร่งและทรงพลังที่สุดของกองทัพสหรัฐฯในมหาสมุทรแปซิฟิกที่ทำจากปูนซีเมนต์และเหล็กหลายพันล้านตันในฐานทัพเรือเพิร์ลฮาร์เบอร์ นายทหารวัยกลางคนที่มีรูปร่างผอมเพรียวและใบหน้าธรรมดาที่มีสายตาสง่างามและเฉียบแหลมกำลังก้าวเข้าสู่สำนักงานของผู้บัญชาการกองเรือสหรัฐฯแปซิฟิก เขาไม่สนใจเจ้าหน้าที่ที่กำลังทำความเคารพเขาบนทางเดินกว้างขวางที่เปิดไฟสว่างแต่อย่างใด


 


“พลตรีเมเกอร์ พลเอกออร์ดี้กำลังประชุม…” เจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่หน้าสำนักงานผู้บัญชาการลุกขึ้นยืนอย่างรีบเร่งพร้อมพูดอย่างหงุดหงิดเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาจากที่ไกล ๆ


 


“บอกให้ท่านพักการประชุมเอาไว้ก่อน” เจ้าหน้าที่วัยกลางคนกล่าวด้วยสีหน้าว่างเปล่าก่อนจะผลักเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูให้ออกไปพ้นทางและผลักประตูเปิดไปที่สำนักงานโดยตรง “ชีวิตของทหารแนวหน้ามีความสำคัญมากกว่าการประชุมครั้งไหน ๆ”


 


ขนาดของสำนักงานไม่ได้ใหญ่มากนัก มีเพียงแผนที่มหาสมุทรแปซิฟิก แผนที่โลกและแผนที่อเมริกาที่ฉาบไว้บนผนังทั้งสามที่เต็มไปด้วยสีสัน ตัวห้องถูกตกแต่งด้วยสิ่งของขาวดำเช่นพื้นสีขาว คอมพิวเตอร์สีขาว โต๊ะทำงานสีดำ เก้าอี้สำนักงานสีดำและอื่น ๆ


 


เมื่อได้ยินเสียงประตูเปิดดังขึ้นมา ชายชราที่มีดาว 3 ดวงอยู่บนไหล่ซึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้สำนักงานก็เงยหน้าขึ้นมอง หลังจากรอให้นายทหารวัยกลางคนพูดจบเขาโบกมือแล้วปล่อยให้นายทหารปิดประตูก่อนที่จะพูดอย่างสุภาพ “เมเกอร์ ฉันเคยเป็นผู้บัญชาการสนามรบด้วยเหมือนกันฉันจึงเข้าใจสิ่งที่นายรู้สึกอยู่ในตอนนี้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามเราไม่ใช่พลเรือน ในฐานะทหารนายควรจำเอาไว้ว่าผลประโยชน์ของรัฐนั้นอยู่เหนือสิ่งอื่นใดและคำสั่งของหัวหน้าก็คือการกระทำอันสูงสุด”



ตอนที่ 152

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับทัศนคติแสร้งเป็นมิตรของผู้บัญชาการ ทหารวัยกลางคนกล่าวกลับอย่างไม่แยแสว่า “ท่านครับ ทหารสามารถเสียสละเพื่อประโยชน์ของประเทศได้แต่ท่านไม่สามารถปล่อยให้พวกเขาตายอย่างไร้เหตุผลได้นะครับ โปรดอย่าใช้ความสำเร็จในการต่อสู้จากสงครามชิมพ์ครั้งที่หนึ่งมาวัดการบุกรุกในครั้งนี้เลยนะครับ ครั้งนั้นกองทัพจากอาณาจักรเหนือธรรมชาติไม่มีการคุกคามใด ๆ ภายใต้การระดมยิงด้วยปืนระยะไกลจากกองทัพอากาศของเรา แต่คราวนี้ไม่ใช่! พวกนั้นมีแหล่งพลังงานที่แข็งแกร่งมากพอจะบุกโจมตีโอวาฮู! มันเหมือนกับแบคทีเรียที่ติดอยู่ในห้องน้ำ ปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ในตอนแรกด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อและแปรงขัดห้องน้ำที่มีประสิทธิภาพสูงหรือแม้แต่ … ”


 


“พลตรี ฐานทัพอากาศฮิคคัมและฐานทัพนาวิกโยธินฮาวายอ่าวคาเนโอเฮพร้อมช่วยให้นายรับมือกับผู้รุกรานเหล่านั้น…”


 


“แต่ท่านครับ ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ความแข็งแกร่งทางทหารแต่เป็นความจริงที่ว่าพวกทหารไม่เข้าใจว่าคนพวกนั้นเป็นอะไร ไม่เพียงเท่านั้นแต่ผู้การจะไม่สามารถระบุยุทธวิธีการต่อสู้ที่ถูกต้องได้เช่นกัน ทุกคนจะอยู่ในความสับสนเมื่อพวกเขาเห็นสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติที่สามารถกระโดดได้สูงกว่า 10 เมตรเหมือนเห็บหมัดและสิ่งนี้จะทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายโดยไม่จำเป็น ในทางตรงกันข้ามทหารที่มีการปะทะกับสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติเหล่านี้จะถูกเรียกตัวกลับไปที่ค่าย มันช่างไร้สาระจนไม่น่าเชื่อว่า … ”


 


“ไม่มีอะไรไร้สาระทั้งนั้น ทุกอย่างจะถูกดำเนินไปตามขั้นตอนที่ควรจะเป็น นายก็รู้ว่ากองกำลังที่ไม่ได้ร่วมปฏิบัติการต่อสู้ใน ‘สงครามชิมพ์ครั้งที่หนึ่ง’ ไม่ควรรู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของอาณาจักรเหนือธรรมชาติ คำสั่งนี้ลงนามโดยท่านประธานาธิบดีตามคำร้องขอของหัวหน้าร่วมจากเจ้าหน้าที่และกระทรวงกลาโหม … ”


 


“แต่ทหารกำลังเสียสละชีวิตของพวกเขาอย่างไม่เป็นธรรม หากพวกเขาได้รู้ความจริงและสามารถสู้กลับได้อย่างถูกต้องพวกเขาอาจไม่ต้องตาย … ”


 


“ถ้างั้นนายก็ไปสอนพวกเขาถึงวิธีการสู้กลับที่ถูกต้องซะเลยสิ! นี่คือหน้าที่ของนายในฐานะผู้บัญชาการสูงสุดในกองกำลังพิเศษกองทัพเรือแปซิฟิกฟลีท แล้วก็ควรจำไว้ให้ดีว่าทหารที่ดีที่สุดคือทหารที่เชื่อฟังผู้บังคับบัญชา คำสั่งที่ลงนามโดยท่านประธานาธิบดีจะต้องไม่ถูกละเมิดหากไม่มีคำสั่งใหม่ … ” ด้วยคำพูดที่ยั่วยุของเจ้าหน้าที่วัยกลางคนในที่สุดออดี้ก็ตะโกนออกมาด้วยความความไม่พอใจ


 


ตอนนั้นเองที่เลขาหน้าห้องของเขาเปิดประตูเข้ามาโดยพลการ “ท่านครับ ตำรวจที่โฮโนลูลูแจ้งข่าวว่ามีการโจมตีรุนแรงเกิดขึ้นที่โรงแรมรอยัลฮาวายเอียน พวกเขากล่าวว่ามีสัตว์ประหลาดและสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติที่สามารถบินขึ้นไปบนท้องฟ้า … ”


 


“โรงแรมรอยัลฮาวายเอียนงั้นเหรอ! บ้าเอ้ย พวกนั้นแอบเข้าไปในเมืองจริง ๆ ด้วย!” เมเกอร์ขบฟันตัวเองด้วยความกังวล “ท่านครับ เราต้อง … ”


 


“ติดตามต่อไป! ปล่อยให้ ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ จาก FBI หรือ CIA จัดการซะ หยุดเสียเวลาในสำนักงานได้แล้วพลตรี! ทำในสิ่งที่นายควรจะทำ นี่คือคำสั่ง!” ออดี้ที่เริ่มสงบลงแล้วหันไปมองเจ้าหน้าที่วัยกลางคนก่อนจะเอ่ยคำสั่งโดยปราศจากความรู้สึกใด ๆ บนใบหน้า


 


การเชื่อฟังคำสั่งคือหน้าที่ของทหาร เมเกอร์กำหมัดแน่นก่อนจะลูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเอ่ยทำความเคารพ “เยส เซอร์!” พร้อมเดินออกจากสำนักงานไปในทันที


 


เมื่อมองดูร่างผู้ใต้บังคับบัญชาจากไป ออดี้ถอนหายใจอย่างแรงและโบกมือเพื่อให้เลขานุการปิดประตูห้อง


 


ขณะเดียวกันกับที่ประตูสำนักงานของผู้บัญชาการกองเรือเดินสมุทรสหรัฐอฯแปซิฟิกค่อย ๆ ปิด จางลี่เฉิน ทีน่า ทริชและชีล่าก็กำลังมุ่งหน้าไปยังท่าเรือฮานาเลย์โดยรถแท๊กซี่ที่บอกได้จากหน้าโรงแรม


 


เจ้าของเรือยอชท์ส่วนใหญ่ที่ตั้งใจจะมาแล่นเรือได้แล่นออกไปกันจบเกือบหมดแล้ว มันเป็นมุม ๆ หนึ่งที่เงียบสงบอย่างสมบูรณ์ภายในท่าเรือและมีเพียงเรือยอชท์ไม่กี่ลำที่จอดอยู่ในท่าเทียบเรือนั้น


 


ลมทะเลที่ค่อนข้างเย็นทำให้จางลี่เฉินผู้ซึ่งสวมใส่แค่กางเกงขาสั้นและเสื้อยืดธรรมดาบนชายหาดเกิดอาการตัวสั่นจากสายลมหนาว ดูเหมือนจะไร้สาระนิดหน่อยที่เขาเอ่ยถามไปว่า “ทีน่า เรือยอชท์ของคุณอยู่ที่ไหน?”


 


“เรือของฉันไม่ใช่ลำที่ใหญ่อะไรมากนักหรอกนะ มันจอดอยู่ตรงกลางท่าเทียบเรือตรงนั้นไง เดี่ยวเราก็ไปถึงแล้วล่ะ” ทีน่าจับแขนของจางลี่เฉินแล้วยิ้มขณะเดินไปตามพื้นของท่าเรือ “ลี่เฉิน นายหนาวมากไหม? ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ฮาวายแล้วนายรู้ไหม…”


 


“โอ้ทีน่า! ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอยังมีอารมณ์มาเป็นห่วงว่าแฟนของเธอจะหนาวไหมแบบนี้ได้อยู่อีก!” ชีล่าที่เดินตามหลังมาดูเหมือนเพิ่งจะกลับเข้าสู่โลกความเป็นจริงได้อีกครั้งพร้อมตะโกนขึ้นว่า “นี่เธอไม่รู้หรอว่าเรากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่แบบ…แบบอะไรก็ไม่รู้ในตอนนี้”


 


“อย่าเสียงดังไปเลยน่าชีล่า ไว้ค่อยคุยกันตอนขึ้นไปบนเรือแล้วดีกว่า” ทีน่าวางนิ้งของเธอแนบไปที่ริมฝีปากของตัวเองขณะหันหน้ามองเพื่อนสนิทก่อนจะหยุดที่หน้าเรือยอชท์ของเธอเองที่ชื่อว่าเจ้าหญิงแมนฮัตตัน


 


มันคือเรือยอชท์ขนาดใหญ่ที่มีความยาวมากกว่า 50 เมตร ภายในมี 4 ห้องนอนใหญ่โดยแบ่งเป็นส่วนหน้าและส่วนหลังอย่างละ 2 ห้อง ระหว่าง 2 ห้องนอนขนาดใหญ่จะมี 8 ห้องนอนเดี่ยวและห้องครัว สำหรับดาดฟ้าชั้นบนมันถูกเปิดออกเพื่อให้เป็นเลานจ์ขนาดใหญ่


 


เรือยอชท์ที่มีเลย์เอาต์ดังกล่าวคือความหรูหราอย่างไม่น่าเชื่อในสายตาของคนธรรมดาทั่วไปแต่มันก็สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าเป็นเรื่องธรรมดาทั่งไปเช่นกันสำหรับคนที่ร่ำรวยมากจริง ๆ อย่างไรก็ตามหากมีการเพิ่มระบบควบคุมการล่องเรือด้วยมือเดียวมันจะกลายเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง


 


ในปัจจุบันเลย์เอาต์ที่ยาวที่สุดของเรือยอชท์ที่สามารถขับด้วยมือเดียวคือ 55 เมตรซึ่งเจ้าหญิงแมนฮัตตันที่มีขนาดใหญ่กว่าไม่สามารถทำได้


 


หลังจากขึ้นไปบนเรือแล้วจางลี่เฉินก็รีบตรงไปที่เลาจน์บนดาดฟ้าเรือในทันที เขาคว้าผ้าห่มที่เจออยู่บนโซฟาก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกและมองไปรอบ ๆ ด้วยการตกแต่งที่สวยงามขณะที่เขาขึ้นไปนั่งบนโซฟาข้างหน้าต่างกระจกพาโนรามา 360 องศาแล้วเขาก็แสดงความคิดเห็นไปว่า “การไม่มีเครื่องบินส่วนตัวแต่มีเรือยอร์ชส่วนตัวแทนก็ไม่เลวเลยทีเดียว”


 


“ที่รัก เครื่องบินส่วนตัวไม่ได้จะใช้กันได้ทั่วไปสักหน่อยนี่ แต่เรือยอชท์น่ะเป็นสิ่งที่จำเป็น เอาล่ะ งั้นฉันจะออกเรือแล้วนะ นายว่าตอนนี้เราควรไปที่ไหนกันก่อน?”


 


“จะเป็นการดีที่สุดถ้าเราสามารถกลับไปนิวยอร์กได้เลย” จางลี่เฉินตอบกลับแบบผ่อนคลาย


 


“ถึงแม้ว่าเจ้าหญิงแมนฮัตตันจะมีถังน้ำมันที่ออกแบบมาเป็นพิเศษและถึงแม้ว่าเราจะกลับนิวยอร์กพร้อมกับน้ำมันเต็มถังแต่เราก็จะกลายเป็นเหมือนโรบินสันที่ได้ล่องลอยไปยังเกาะร้างกลางคัน การเดินทางที่ยาวที่สุดที่ฉันเคยขับเป็นเพียงรอบการขับวนรอบเกาะฮาวายรอบเดียวเท่านั้น และอีกอย่างมันก็ใช้เวลาหลายวันและช้ากว่าเครื่องบินมากกว่าจะถึงนิวยอร์ก!”


 


“การเคลื่อนตัวแบบช้า ๆ คือสิ่งที่เราต้องการมากที่สุดในตอนนี้ แค่แล่นเรือรอบเกาะฮาวายก่อนก็พอแล้วทีน่า จนกว่าเราจะได้ยินข่าวว่าผู้ก่อการร้ายเหล่านั้นถูกกองทัพสหรัฐฆ่าหลังจากที่พวกเขาสังหารพลเรือนผู้บริสุทธิ์ไปแล้วหลายร้อยคนได้เ ราก็ค่อยกลับเข้าโฮโนลูลูอีกครั้ง”


 


จางลี่เฉินที่ดูจะระมัดระวังเป็นพิเศษยิ่งทำให้หัวใจของทีน่ารู้สึกชื่นชอบให้ตัวเขามากยิ่งขึ้น หญิงสาวเข้าใจดีมากว่าถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ทริช และชีล่าที่เป็นตัวถ่วง ชายหนุ่มคงเลือกที่จะฆ่าอัลท์แมนและยูลีนาสไปแล้ว ไม่ต้องมาลำบากหลีกเลี่ยงการปะทะกับ 2 คนนั้นเช่นนี้


 


“ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเรานายคงไม่ต้องหลีกเลี่ยงคนบ้า ๆ 2 คนนั้น” เธอพูดด้วยความรู้สึกผิด


 


“อย่างไรก็ตามถ้าไม่ใช่เพราะเขาเราก็คงไม่ต้องเจอคนบ้า ๆ เช่นกัน … ” ชีล่าที่เพิ่งหยิบน้ำผลไม้ออกมาจากตู้เย็นก็รีบดื่มมันจนหมดก่อนจะพูดอะไรออกไปโดยไม่ทันคิด จากนั้นเธอก็ตัวแข็งทื่อไปครู่หนึ่งและในไม่ช้าใบหน้าที่เกือบจะดูเป็นกังวลก็พุ่งพรวดแสดงอยู่บนใบหน้า “ลี่เฉิน ฉัน … ฉันแค่ล้อเล่นเองหรอกน่า นายไม่ต้องไปแอบอยู่หลังทีน่าแล้วทำอะไร… ”


 


“ไม่ต้องห่วงชีล่า ผมไม่คิดจะทำอะไรคุณไปตลอดชีวิตแน่นอน” จางลี่เฉินดึงผ้าห่มบนโซฟามาคลุมตัวก่อนจะหันไปพูดกับทีน่า “ทีน่า ผมจะไปหาห้องนอนเพื่อพักผ่อนก่อนสักหน่อย อย่าลืมปลุกผมในเช้าวันพรุ่งนี้ด้วย”


 


“ลี่เฉิน นี่นายกำลังเล่นมุขตลกใช่ไหม ว้าว ถือเป็นการพัฒนาครั้งใหญ่เลยทีเดียว” ทีน่ามองดูสีหน้าเพื่อนสนิทของเธอที่ต้องการแก้ตัวและไม่กล้าที่จะหัวเราะออกมา จางลี่เฉินหัวเราะเบา ๆ แล้วเดินออกจากเลานจ์ของเรือยอชท์ไปพร้อมกับผ้าห่มที่พันอยู่รอบตัว


 


บนดาดฟ้า เขาสั่งให้เมานท์โทดกระโดดขึ้นมาบนเรือจากทะเลเพื่อตามเขาเข้าไปยังห้องนอนขนาดใหญ่ท้ายเรือ


 


แม้จะบอกว่ามันเป็นห้องนอนขนาดใหญ่แต่ก็ไม่สามารถเทียบเคียงกับขนาดห้องพักในโรงแรมได้ อย่างไรก็ตามชายหนุ่มไม่เคยจู้จี้เกี่ยวกับเรื่องที่นอนอยู่แล้ว ภายในห้องมีเตียงนอนขนาดใหญ่และห้องน้ำในตัวแค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะดึงรอยยิ้มอันพึงพอใจได้จากเขา


หลังจากอาบน้ำอุ่นเสร็จจางลี่เฉินก็สวมกางเกงขาสั้นก่อนจะคลานขึ้นไปบนเตียง วางสัตว์อาคมไว้ข้างหน้าแล้วค่อย ๆ นั่งลงในตำแหน่งที่คุ้นเคย


 


แสงจันทร์แห่งท้องทะเลส่องทะลุผ่านหน้าต่างบนกำแพงห้องโดยสารก่อนจะส่องแสงไปยังด้านหลังที่เต็มไปด้วยก้อนเนื้อและตุ่มหนัง


 


ชายหนุ่มมองดูสัตว์อาคมของตัวเองและเริ่มวาดโครงร่างของปีศาจที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาในใจของเขาขึ้นมา


 


ปีศาจนี้มีร่างกายที่สมบูรณ์ทุกอย่างเว้นแค่เพียงศีรษะที่ยังไม่ถูกสร้าง จางลี่เฉินรู้ว่าเมื่อถึงเวลาที่ใบหน้าของปีศาจปรากฏขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ มันจะเป็นโอกาสสำหรับเขาที่จะได้กลายเป็นพ่อมดระดับ 6 หากเขาฆ่าอัลท์แมนและยูลีนาสได้ในคืนนี้บางทีเขาอาจจะอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของความเป็นความตายได้เลยก็ได้


 


“ถ้าเราพึ่งพาวิธีลับในการปลูกฝังก็ต้องรออย่างน้อย 5 – 6 ปีกว่าจะขึ้นไปถึงระดับ 6 อีกกี่ปีกันที่เราจะสามารถรอได้ … 3? 5? หรือ 7?  คงเป็นการดีกว่าที่จะ … ” ช่วงเวลาที่ชายหนุ่มกำลังแสดงความคิดเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด โชคดีที่เขามีตัวช่วยลับในการชำระล้างจิตใจระหว่างการปลูกฝัง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ไตร่ตรองแล้วรู้สึกเป็นกังวลอีกครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อพยายามรวบรวมสภาพจิตใจของตัวเอง


 


ความสัมพันธ์ลึกลับบางอย่างได้ถูกสร้างขึ้นโดยไม่รู้ตัวระหว่างจางลี่เฉินและเมาน์โทดอย่างค่อยเป็นค่อยไป สัตว์อาคมพ่นควันหนาทึบซึ่งพุ่งตรงเข้าไปยังร่างกายของชายหนุ่มผ่านรูจมูก


 


ควันหนา ๆ ได้ไปกระตุ้นพลังพ่อมดในร่างกายของจางลี่เฉินจนเกิดการแปรปรวนและแปรสภาพเป็นหนอนแปลก ๆ หลาย 10 ตัวที่หลอมไปด้วยสารพิษและสิ่งสกปรกที่ไม่ได้อยู่ในร่างกายของเขาให้เป็นควันก่อนจะกำจัดมันออกไป


 


เมื่อควันดำลอยออกมาสัตว์อาคมก็ซึมซับมันเพื่อสร้างการไหลเวียนตามวิธีการปลูกฝังจากนั้นชายหนุ่มก็ตกอยู่ในสภาพที่ดูเหมือนจะเป็นการนอนหลับ


 


หลังจากฝึกฝนไปได้ชั่วระยะหนึ่งจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนจางลี่เฉินก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงกระซิบที่ดังอยู่ด้านนอกประตู “ลี่เฉิน นายหลับแล้วหรือยัง?”


 


ชายหนุ่มถูใบหน้าขณะมองดูดวงจันทร์ที่ยังส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างด้วยความงุนงง เขากำลังจะบอกทีน่าว่าเขาไปหลับแล้วและขอให้เธอกลับมาหาเขาใหม่ในวันพรุ่งนี้แทน แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกเหตุผลที่ทีน่ามาหาเขาในตอนเที่ยงคืนขึ้นมาได้เสียก่อน


 


“เดี๋ยวผมไปเปิดประตูให้” จางลี่เฉินเคลื่อนไหวเมาน์โทดให้กระโดดลงจากเตียงเพื่อไปซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้องก่อนจะรีบไปเปิดประตู


 


ข้างนอกประตู ทีน่าสวมชุดสายหนังสีดำและชุดชั้นในแบบบาง เมื่อหน้าอกเต็ม ๆ ของเธอยื่นออกมาทักทายเธอพูดว่า “ไงที่รัก! เรือยอชท์ของเราตอนนี้อยู่ห่างจากโอวาฮูได้ 10 ไมล์แล้วดังนั้นตอนนี้นายก็มั่นใจความปลอดภัยได้แล้วนะ คืนนี้ฉันกลัวมากเลย นายช่วยปลอบฉันแบบอ่อนโยนทีจะได้ไหม?”


 


ทันทีที่พูดจบเด็กสาวก็รีบเคลื่อนตัวและดึงร่างของชายหนุ่มเข้าด้านในห้องพักไปทันที



ตอนที่ 153

เลือดภายในตัวจางลี่เฉินที่ถูกเย้าหยอกโดยหญิงสาวเริ่มเดือดพล่าน หลังจากปิดประตูอย่างเบามือและกำลังเคลื่อนตัวกลับเข้ามาด้านในทันใดนั้นทีน่าก็เข้าไปสัมผัสบางสิ่งที่แข็งตัวของเขาก่อนจะลงไปนั่งคุกเข่าเพื่อดึงกางเกงขาสั้นของชายหนุ่มลง


 


หลังจากนั้นหญิงสาวก็ถอดชุดชั้นในแสนบางของตัวเองออกเผยให้เห็นหน้าอกขาวเนียนทั้ง 2 ข้าง เธอเงยหน้าเพื่อสบตากับจางลี่เฉินก่อนจะใช้หน้าอกของตัวเองโอบอุ้มแก่นกายของชายหนุ่ม


 


“โอ้ … โอ้ …” ภายในเวลาไม่ถึงนาทีจางลี่เฉินได้ตกหลุมรักไปกับหน้าอก ริมฝีปาก และลิ้นของทีน่าโดยไม่รู้ตัว เขาค่อย ๆ เดินกลับไปที่เตียงแล้วเพลิดเพลินกับการเอาใจใส่ที่ดูจะเป็นพิเศษของหญิงสาว ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง แอลกอฮอล์และเซ็กส์ต่างก็เป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการบรรเทาความเครียดอีกทั้งยังควบคุมร่างกายและจิตใจมาตั้งแต่สมัยโบราณ


 


หลังผ่านค่ำคืนที่แสนเร่าร้อนตลอดคืน แสงอาทิตย์ยามเช้าของมหาสมุทรแปซิฟิกก็ได้ส่องประกายลงบนเจ้าหญิงแมนฮัตตัน ทีน่าที่กำลังเปลือยเปล่ากระพริบตาขณะตื่นนอน การแสดงออกของเธอผ่อนคลายกว่าเมื่อคืนนี้มาก เธอใช้มือขวาเท้าคางขณะมองชายหนุ่มผอมแห้งที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยท่าทางมีความสุข


 


เพราะการจ้องมองของเธอจึงทำให้จางลี่เฉินค่อย ๆ รู้สึกตัวตื่น เขาลืมตาพร้อมหันไปมองหญิงสาวที่กำลังส่งยิ้มหวานมาให้ ในขณะที่เขากำลังจะกล่าวทักทายเธอตอนเช้าทันใดนั้นเขาก็เปลี่ยนกลับมาขึ้นคร่อมบนตัวทีน่าอีกครั้งแทน


 


“อย่าเสียเวลามอบของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ในตอนเช้าให้ฉันสิ” หญิงสาวหยอกล้อพลางเล่นกับของ ๆ ชายหนุ่มที่มักจะแข็งตัวในยามเช้า “โอ้ที่รัก! โอ้…”


 


ทันใดนั้นเสียงลมหายใจของชายหนุ่มก็ค่อย ๆ หนักขึ้นและเสียงร้องครวญครางของหญิงสาวก็ดังก้องภายในห้องโดยสารอีกครั้ง


 


ชีล่าที่ลุกออกจากเตียงมาตั้งนานแล้วพร้อมบิกินี่สีชมพู ร่างกายของเธอเต็มไปด้วยครีมกันแดดและกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้ชายหาดที่ชั้นบนสุด เธอสามารถได้ยินเสียงร้องจาง ๆ ดังมาจากห้องนอนของจางลี่เฉินได้ ทันใดนั้นเธอก็ตะโกนเสียงดังด้วยความรำคาญ “เฮ้!  มันกำลังเริ่มต้นอีกครั้งแล้ว! ทริช! เธอได้ยินเสียงการออกกำลังกายยามเช้าของทีน่าที่กำลังอยู่กับ ‘ที่รักตัวน้อย’ ของเธอไหม? แค่ตลอดคืนที่ผ่านมาพวกนั้นยังไม่พอใจอีกหรือไงกัน และสิ่งที่น่ารำคาญที่สุดคือพวกเขาปิดประตูไม่สนิท!”


 


“ชีล่า ฉันและทีน่าเองก็ต้องต้องอดทนกับความเชื่องช้าของเธอในทุกเช้าเนื่องจากการออกกำลังกายยามเช้าของเธอในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาเช่นกันนะ” ทริชหัวเราะไปกับเสียงบ่นจากเพื่อนสนิทขณะถือแซนด์วิชไข่และแฮม 2 ชุดไว้ในมือขณะเดินขึ้นไปบนดาดฟ้าโดยใช้บันไดวน “เราไม่ควรบ่นซึ่งกันและกัน…”


 


“ปัญหาคือมีแค่ทีน่าเท่านั้นที่มีคู่อยู่ในตอนนี้ อะพูริที่น่าสงสารของฉันจากไปแล้วเมื่อคืน และแม้ว่าฉันจะรู้จักเขาแค่ 3 วันแต่ฉันก็ยังหวังว่าพระเจ้าจะทรงอวยพรให้กับวิญญาณของเขา … ”


 


“ชีล่า ฉันคิดว่าพวกเราตกลงกันไว้แล้วนะว่าจะไม่พูดถึงเรื่องเมื่อคืนนี้กันอีก” ภาพความเจ็บปวดและความน่าสะพรึงกลัวแสดงออกอย่างชัดเจนทั่วใบหน้าของทริชขณะที่เธอส่งอาหารเช้าให้เพื่อนสนิท “แซนด์วิชไข่และแฮม เธอก็รู้ว่าฉันทำได้แค่นี้”


 


“โอ้ ที่รัก ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดถึงเรื่องเมื่อคืนนี้เลย โอเค ๆ ลืมเรื่องพวกนั้นไปซะเถอะ แซนวิชไข่และแฮมที่เธอทำนี่อร่อยมากจริง ๆ! แม้จะเป็นของง่าย ๆ แต่ก็อร่อย … ” ชีล่าที่เริ่มทานอาหารเช้าทันใดนั้นเธอก็เห็นทีน่ากำลังเดินขึ้นมาบนดาดฟ้าพร้อมกับแก้มแดง ๆ เข้าพอดีจึงโบกมือทักทายเพื่อสนิทของเธอ “เฮ้ ดูนี่สิ! หญิงสาวที่มีความสุขไปกับ “การออกกำลังกายตอนเช้า” ของเธอไงล่ะ! เจ้าชายเสน่ห์ของฉันอยู่ที่ไหนกันนะ โอ้ ที่รักของฉัน”


 


“หยุดน่า ตอนนี้เขากำลังไปทำอาหารเช้าอยู่” ทีน่ายิ้มพลางรีบเดินไปหาเพื่อนสนิท “เลิกกินแซนด์วิชไข่และแฮมของพวกเธอนี่ซะ ลี่เฉินเขาจะเตรียมของที่ทำให้พวกเราต้องประหลาดใจให้แทน”


 


“โอ้ ฉันหวังว่าพวกเราจะไม่ต้องกลายเป็นสัตว์ร้ายที่อยู่รอบตัวเขาหลังจากกินอาหารที่เขาทำไปหรอกนะ”


 


“ชีล่า…” ทีน่าพูดเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง


 


“เฮ้ทีน่า! เธอกำลังเข้าใจผิดแล้วนะ ฉันหมายความว่าฉันยินดีที่จะกลายเป็นสัตว์ประหลาดหลังจากได้เกินอาหารที่เขาเตรียมไว้ให้เป็นการส่วนตัวนี่ต่างหาก … ” เมื่อคำพูดที่ไม่ทันคิดของชีล่าออกจากปากเธอไปอีกครั้งการแสดงออกที่หลากหลายก็วิ่งผ่านใบหน้าของเธอทันที เธอเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเผยความลับบางอย่าง “เห้อ ที่รัก ฉันขอโทษ ฉันคิดว่าบางทีฉันอาจเผลอไปชอบลี่เฉินแฟนของเธอเข้าให้แล้ว”


 


“อย่ามาตลกน่าชีล่า ฉันรู้ว่าเขาไม่ใช่แบบที่เธอชอบเลยสักนิด! เขาทั้งเตี้ยและผอมเกินไป แต่อย่างไรก็ตามเขาคือลูกผู้ชายตัวจริง!” ทีน่าคิดว่าเพื่อนสนิทของเธอกำลังแกล้งแหย่ดังนั้นเธอจึงโต้กลับไปด้วยความรำคาญเล็กน้อย “ทั้งเธอและทริชต่างก็เป็นเพื่อนสนิทที่สุดของฉันดังนั้นฉันหวังว่าพวกเธอจะไม่เล่นมุขอะไรตลก ๆ เกี่ยวกับเขาแบบนี้อีก”


 


“ถ้าอย่างนั้นเขาเป็นแบบที่เธอเคยชอบมาก่อนหน้านี้ไหม?” ชีล่ากระซิบถาม


 


ทีน่าหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนอ้าปากค้าง จากนั้นเธอที่เริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นเล็กน้อยจึงพูดออกไปว่า “ชีล่า! เธอรู้ไหมว่าตัวเองกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่?!”


 


“แน่นอนสิว่าฉันรู้ มันก็แค่กฎของธรรมชาติเองน่า! ผู้ชายที่ทั้งทรงพลัง ลึกลับ โดดเด่นและมีน้ำใจสามารถเอาชนะความชื่นชมจากผู้หญิงทุกคนได้เป็นอย่างดี เธอทั้งกลัวเขา หลงเขา และรู้สึกว่าเขานั้นแสนเท่แต่ก็มีอารมณ์ร้ายเป็นบางครั้ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาก็ยังอ่อนโยนและน่ารัก … ”


 


“ชีล่า ซี บีเยียด! คนที่เธอกำลังอธิบายว่าเขาน่ารักอยู่นั่นคือแฟนของฉันนะ! แฟนของเพื่อนที่สนิทที่สุดของเธอ!”


 


“เพราะเธอเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของฉันนี่ไงฉันเลยจำเป็นต้องบอกเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทีน่า! ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันไม่เคยคิดอยากจะแบ่งปันแฟนของฉันกับเธอหรือกับทริชมาก่อนเลยสักครั้ง! แม้ว่าเธอทั้งสองจะปฏิเสธแต่ความตั้งใจของฉันคือ … ”


 


“ความตั้งใจบ้า ๆ อะไรของเธอชีล่า ซี บีเยียด! ฉัน ทีน่า ดั๊กลินไม่ใช่แค่สาวอกสวยมีสมองที่เป็นเชียร์ลีดเดอร์จากนิวยอร์กเท่านั้นหรอกนะ! แต่จะไม่มีใครสามารถแย่งสิ่งที่ฉันครอบครองอยู่ไปได้!”  ทีน่าจ้องตรงเข้าไปในดวงตาของชีล่าและประกาศอย่างจริงจัง


 


“เห้อ พอได้แล้วน่าทีน่า ชีล่า เราไม่ได้กำลังเล่นละครโอเปร่ากันอยู่นะ!” เนื่องจากเกิดความขัดแย้งกันระหว่างสองเพื่อนสนิทที่จู่ ๆ ก็ระเบิดอารมณ์กันออกมาอย่างกระทันหันทำให้ทริชที่กำลังตกตะลึงจนพูดไม่ออกกลับมามีสติได้อีกครั้งและพยายามห้ามการทะเลาะของทั้งคู่


 


“ชีล่า! ลี่เฉินเป็นแฟนของเพื่อนเธอนะ! เธอนี่มันบ้าไปแล้วจริง ๆ ที่พูดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา ทีน่า แฟนของชีล่าเพิ่งประสบอุบัติเหตุไปเมื่อคืนที่ผ่านมาและแม้ว่าพวกเขาจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ … แต่เธอก็รู้ … อ่า ไร้สาระสิ้น เลิกทะเลาะกันได้แล้ว! ไปสิ ไปสู้กันเพื่อผู้ชายเลย! ตอนแรกเรามาที่ฮาวายเพื่อพักร้อนกันนะ ทำไมมันเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ได้? เราเพิ่งเผชิญหน้ากับความเป็นความตายกันมาเมื่อคืนและเรากำลังติดอยู่ในเรือยอชท์เล็ก ๆ ที่น่ากลัวนี่! และตอนนี้พวกเธอทั้งสองยัง… บ้าไปแล้ว ฉันอดทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! บ้าบอไปหมดแล้วจริง ๆ …”


 


เมื่อเธอมาถึงตรงจุดนี้ ทริชได้กลายเป็นคนแรกที่พังทลายลงมาแทน เธอก้มหน้าลงไปกับพื้นพร้อมร้องไห้อย่างหนักจนทำให้ทีน่าและชีล่าหยุดหันมามองหน้ากัน พวกเธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องคืนดีกันชั่วคราวและหันกลับมาเพื่อปลอบโยนเพื่อนสนิทของพวกเธอ


 


จางลี่เฉินที่ทำโจ๊กเสร็จแล้วด้วยส่วนผสมและเครื่องปรุงรสมากมายบนเรือได้ยินบทสนทนาความขัดแย้งระหว่างทีน่ากับชีล่าจากชั้นล่างมาได้สักพักหนึ่งแล้ว


 


เนื่องจากสาเหตุของการทะเลาะกันในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับเขาโดยตรงมันจึงค่อนข้างน่าอึดอัดใจมากในขณะที่เขากำลังถือโจ๊กยืนอยู่ใต้บันไดวน เขาลังเลว่าจะควรจะขยับตัวไปทางไหนอย่างไรจนกระทั่งหญิงสาวทั้งสองได้คืนดีกันเนื่องจากการร้องไห้ของทริช เขาเดินขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือพร้อมทำท่าทางราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


“ทีน่า มาทานอาหารเช้ากันก่อนเถอะ เราจะได้เดินทางกันต่อหลังจากที่ท้องของพวกเราได้รับการเติมเต็ม ทริช ชีล่า พวกคุณเองก็มาทานมื้อเช้าที่ผมทำนี่ด้วยกันสิ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเครื่องปรุงรสบนเรือยอชท์จะมีเยอะมากขนาดนี้ ผมว่าโจ๊กชามนี้น่าจะมีรสชาติที่ดีทีเดียว”


 


“ที่มีเครื่องปรุงมากมายนั่นก็เพราะหลังจากที่พวกเรารู้ว่าเธอจะมาฮาวายทีน่าก็ได้รวบรวมเครื่องปรุงรสของอาหารจีนทั้งหมดที่สามารถหาได้ในโลกมาใส่ไว้ที่เจ้าหญิงแมนฮัตตันนี่ไงล่ะ ตอนแรกเธอวางแผนที่จะเชิญพ่อครัวผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารจีนเสฉวนมาขึ้นเรือด้วยซ้ำแต่ดูเหมือนว่าเราจะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ในตอนนี้แล้ว” ทริชเช็ดน้ำตาอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะเริ่มพูดอย่างจริงจัง “ลี่เฉิน เพิ่งมีสิ่งแปลกประหลาดมากมายเกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้และฉันหวังว่าเธอจะบอกพวกเราทุกอย่างที่เธอรู้โดยไม่เก็บเป็นความลับใด ๆ เธอสามารถทำแบบนั้นได้ไหม?”


 


ดวงอาทิตย์ที่อยู่เหนือพวกเขาค่อย ๆ เพิ่มระดับความร้อนมากขึ้น จางลี่เฉินวางโจ๊ก 3 ชามพร้อมด้วยช้อน 3 คันลงบนโต๊ะที่ดาดฟ้าและไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกไป “โอเคทริช! ผมจะไม่ปิดบังอะไรกับพวกคุณอีกต่อไป ทีน่าจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในป่าอเมซอนได้แล้วและผมก็คิดว่าทั้งคุณและชีล่าก็น่าจะจำเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้แล้วเหมือนกัน ในกรณีนี้ผมจะเริ่มจากงานวันเกิดที่พวกคุณทั้ง 3 ได้เจอที่เรืออลิซาเบธ ฮอล์ลิเดย์ …  ”


 


เด็กหนุ่มเริ่มอธิบายทุกอย่างตั้งแต่การล่องเรือจนไปเจอกับเกาะจากโลกอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจและเหตุการณ์อันตรายต่าง ๆ ที่พวกเขาได้พบเจอในตอนนั้น แต่ในที่สุดพวกเขาก็สามารถกลับมายังโลกเดิมนี้ได้แต่กลับถูกรัฐบาลล้างความทรงจำที่เกิดขึ้นออกไปจนหมด รวมถึงเรื่องราวที่เขาได้เจอกับอัลท์แมนและนักรบจากต่างแดนเมื่อเขาเดินทางไปยังเขตพื้นที่ภูเขาไฟในวันแรกที่เขาเดินทางมาฮาวาย


 


“และนี่ก็คือเรื่องราวทุกอย่าง จนถึงตอนนี้ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าผลพวงจากการโจมตีเหล่านักรบพวกนั้นไปในโรงแรมรอยัลฮาวานเอียนจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าผมไม่ทำเช่นนั้นสถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายมากขึ้น ยิ่งหากพวกคุณทุกคนตกอยู่ในกำมือของคนที่มาจากโลกเหนือธรรมชาติพวกนั้นก็ยิ่งไปกันใหญ่”


 


“ที่รัก ไม่เป็นไรนะ ไม่มีโรงแรมระดับสูงที่ไหนในฮาวายที่จะติดกล้องวงจรปิดบนชายหาดส่วนตัวไว้หรอก หรือถ้ามีแสงของร้านอาหารกลางแจ้งที่เรานั่งกันเมื่อคืนก็สลัวมากและมีแมลงบินอยู่ทั่วทุกที่ดังนั้นฉันคิดว่าไม่น่าจะมีใครสังเกตเห็นสิ่งที่เธอทำลงไป” เมื่อได้ยินคำบอกเล่าจากจางลี่เฉิน ทีน่าที่ตัวแข็งทื่อไปขณะหนึ่งก็ตอบกลับด้วยการแสดงออกที่ค่อนข้างซับซ้อน “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าบางสิ่งบางอย่างที่เหมือนกับเรื่องราวในภาพยนตร์จะมีอยู่จริง … ฮึ! จะเกิดอะไรขึ้นกับอนาคตของโลกใบนี้กันแน่?”


 


“ทุกสิ่งยังคงเหมือนเดิมทีน่า โลกนี้จะไม่เปลี่ยนแปลง การโยกย้ายจากเผ่าธรรมชาติทั้งหมดไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถทำได้ภายในข้ามคืน ฉันคิดว่าบ้านเกิดของนักปราชญ์อัลท์แมนเองก็ไม่น่าจะใช่ประเทศชาติที่มีอำนาจมากเป็นพิเศษบนโลกเหนือธรรมชาติใบนั้น และการทำงานระดับมันสมองของรัฐบาลก็ไม่น่าจะโง่เกินกว่าสิ่งที่ลี่เฉินได้ลงมือทำไป หลังจากที่พวกเขาจัดการกับพวกเรดไอร่อนเสร็จพวกเขาน่าจะได้ลิ้มรสผลไม้แห่งชัยชนะของพวกเขาอย่างช้า ๆ มันใช้เวลาหลายร้อยปีระหว่างโคลัมบัสที่ค้นพบอเมริกาและชาวคอเคเซียนที่สร้างชาติของพวกเขาในอเมริกา ในช่วงเวลานี้ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวของชาวยุโรปที่มีต่อชีวิตก่อนหน้าคือการที่พวกเขาประกาศสงครามมากมายเพื่อแย่งชิงอาณานิคม เมื่อพูดถึงสงคราม ลี่เฉิน  เธอไม่มีความผิดใด ๆ กับเหตุการณ์นี้เลย ฉันแค่กำลังทำใจให้ยอมรับเรื่องของพวกเขา … หมายถึงรัฐบาลสหรัฐที่ไม่คิดเกรงกลัวชาติใด ๆ”


 


“มันไม่สำคัญเลยทริช พวกเราชาวจีนไม่ใช่ประเทศที่เข้มแข็งแต่เราไม่มีนิสัยขโมยของจากคนอื่น จิตใจแห่งการรอบรู้และผู้นำที่เป็นเหมือนราชาคือสิ่งที่เราแสวงหา ศิลปะสงครามสูงสุดคือการปราบศัตรูได้โดยไม่ต้องออกแรง” เมื่อเห็นทริชที่มีความคิดเกินกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้จางลี่เฉินก็เริ่มมีความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับผู้หญิงร่ำรวยกลุ่มนี้ พวกเธออาจดูตื้น ๆ และเอาแต่ใจตัวเองแต่เนื่องจากอิทธิพลครอบครัวของพวกเธออาจทำให้เห็นถึงปัญหาเชิงลึกในช่วงเวลาที่สำคัญ


 


เขาจ้องมองไปทางทะเลที่เงียบสงบในระยะไกล “นอกเหนือจากนั้นผมคิดว่าการบุกรุกของคนที่มาจากโลกเหนือธรรมชาติอาจไม่ได้นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีเสมอไป เอาล่ะ รีบมากินข้าวโอ๊ตนี่กันก่อนเถอะ ผมจะกลับไปปลูกฝังพลังต่อ การร่วงหล่นอย่างต่อเนื่องจะทำเกิดหลุมในหิน ในตอนนี้การไม่ได้รับอิทธิพลจากโลกภายนอกเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด … เห้อ … แล้วทำไมผมถึงต้องมาบอกพวกคุณทั้งหมดนี้ด้วยกัน? เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวลงไปข้างล่างก่อน”


 


หลังพูดจบ ชายหนุ่มก็เดินลงบันไดวนเพื่อกลับไปที่ห้องพักพร้อมสั่งให้สัตว์อาคมของตัวเองนั่งข้างหน้าเขาก่อนจะเริ่มฝึกฝนการปลูกฝังตามเดิม



ตอนที่ 154

ผ่านมานานกว่า 2 เดือนแล้วที่เจ้าหญิงแมนฮัตตันยังคงล่องลอยอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก


 


ช่วงเวลานี้นอกเหนือจากการจงใจหลีกเลี่ยงโอวาฮูแล้วเรือยอร์ชลำนี้ยังได้แล่นผ่านไปตามเกาะต่าง ๆ เช่นเมาวี, คาโฮโอลาเว, ลานาอิ, โมโลไก คาไว และนีเฮาอย่างน้อย 2 ครั้ง


 


เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาผ่านเกาะอาศัยขนาดใหญ่ จางลี่เฉินจะเติมน้ำมันไว้จนเต็มถังตลอด ไม่เพียงแค่นั้นแต่เขายังพาทีน่า ทริช และชีล่าขึ้นฝั่งเพื่อพักสบาย ๆ ในโรงแรมอีก 2 – 3 วัน เพื่อให้ห่างไกลจากภัยคุกคามของอัลท์แมนและยูลีนาสมากที่สุด


 


นับตั้งแต่ที่ FBI เข้ายึดโรงแรมรอยัลฮาวายเอียนมาจากตำรวจ หลังการสอบสวนอย่างเร่งรีบพวกเขาก็ได้โยนคดีเข้าไปในหอจดหมายเหตุเพื่อทำการปกปิด ไม่มีโทรศัพท์เข้ามาหาพวกเขาเพื่อไปให้ปากคำหรือข้อเท็จจริงเพิ่มเติมใด ๆ เช่นนี้เองพวกเขาทั้งสี่จึงใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจและรื่นรมย์ใจเป็นอย่างยิ่ง


 


เมื่อเวลาผ่านไป ความสุขในการมองท้องฟ้า ทะเลสีคราม ปาร์ตี้กองไฟ การเต้นรำเบา ๆ ตามแบบฉบับการเต้นของชาวฮาวายและอาหารอร่อย ๆ ก็ช่วยทำให้หญิงสาวทั้ง 3 คนค่อย ๆ ลืมความตึงเครียดและเริ่มเพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาปิดเทอมสุดท้ายของพวกเขา


 


แตกต่างไปจากสภาพที่ผ่อนคลายและสบายใจของสาว ๆ จางลี่เฉินผู้ซึ่งไม่เคยลืมการถูกคุกคามจากเหล่านักรบโลกเหนือธรรมชาติให้ความสนใจเป็นพิเศษกับข่าวบนอินเทอร์เน็ตเป็นประจำทุกวัน


 


อย่างแรก เขาได้เห็นข่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในโรงแรมรอยัลฮาวายเอียนที่ได้รับคำอธิบายโดยรัฐบาลสหรัฐว่าเป็นเหตุการณ์ก่อการร้ายที่น่ากลัวอย่างมาก ทุกครั้งที่มีภาพสัตว์อาคมของเขาที่กำลังต่อสู้กับอัลท์แมนและยูลีนาสปรากฏอยู่บนอินเทอร์เน็ตจะมีรูปอีกประมาณ 10 รูปที่ถูกถ่ายได้ในองศาต่างกันเพื่อให้ดูมีความมหัศจรรย์มากยิ่งขึ้น


 


ทุกครั้งที่คำอธิบายหรือคำคาดเดาที่ถูกต้องเกี่ยวกับผู้รุกรานจากโลกเหนือธรรมชาติปรากฏ เรื่องราวที่น่าขำขันมากกว่า 100 เรื่องตั้งแต่การฟื้นคืนชีพของยุคก่อนประวัติศาสตร์ของมหาสมุทรแปซิฟิกไปจนถึงสัญญาณการสิ้นสุดของโลกก็จะปรากฏขึ้นตามมา เช่นนี้ความเป็นจริงจึงปะปนอยู่กับการโกหกและในที่สุดก็กลายเป็นความลับโดยไม่จำเป็นต้องลบเรื่องราวใด ๆ


 


หลังจากนั้นเขาก็ได้รู้ข่าวอีกว่ากองทัพสหรัฐฯในโอวาฮูได้เริ่มกระบวนการทำทุกอย่างตามสิทธิ์ของพวกเขาเพื่อออกตามล่าผู้ก่อการร้ายแล้ว มีการเผชิญหน้าหลายครั้งเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันทำให้มีผู้เสียชีวิตและพลเรือนรวมกว่า 100 ราย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เปลี่ยนเกาะสวรรค์บนโลกที่สวยงามแห่งนี้เป็นกลายเป็นเกาะนรกที่น่ากลัว


 


เย็นวันหนึ่งหลังการปลูกฝังพลังลับตลอดทั้งวันจางลี่เฉินก็ถูกเรียกตัวโดยทีน่าเพื่อให้ไปทานอาหาร ด้วยนิสัยเคยชินเขาหยิบแท็บเล็ตที่เชื่อมต่อผ่านดาวเทียมขึ้นมาหาข่าวอ่าน เมื่อได้อ่านข่าวล่าสุดเขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมากเมื่อพบว่ามีการประกาศสำคัญโดยผู้บัญชาการของหน่วยนาวิกโยธินสหรัฐอยู่ในหัวข้อข่าวโดยมีข้อความว่า


 


หลัง 80 วันของการตามล่าหาตัวผู้ก่อการร้ายที่เปิดฉากโจมตีในเมืองโฮโนลูลู ในที่สุดผู้ก่อเหตุก็ได้ถูกสังหารตายในที่เกิดเหตุตามแผนเมื่อเวลา 11.00 น.


 


หลังจากอ่านข่าวนี้สองครั้งติดต่อกัน อารมณ์รอบตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างลึกลับก็แทรกเข้ามาในใจของชายหนุ่ม เขาถอนหายใจก่อนจะเปิดประตูและเดินออกจากห้องพักมา


 


“เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอลี่เฉิน?” เมื่อเห็นอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของชายหนุ่ม ทีน่าที่กำลังรออยู่ด้านนอกประตูจึงเอ่ยถามออกไปด้วยความห่วงใย


 


“ไม่มีอะไรเลยทีน่า! นักปราชญ์อัลท์แมนตายแล้วล่ะ พวกเราสามารถออกจากฮาวายกันได้อย่างปลอดภัยแล้ว”


 


“จริงนะ?! เยี่ยมไปเลย!” ทีน่าร้องดีใจด้วยความเบิกบาน แต่เมื่อเธอรู้ว่าเธอจะต้องออกจากนิวยอร์กและห่างจากชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ความน่าเบื่อและอาการไร้กังวลของเธอก็สิ้นสุดและกลายเป็นซึมเศร้าแทน “ลี่เฉิน ฉันจะต้องไปบอสตันเพื่อไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยหลังจากเรากลับนิวยอร์ก เธอจะคิดถึงฉันบ้างไหม?”


 


“บอสตันอยู่ไกลจากนิวยอร์กมากขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ?”


 


“ใช้เวลา 4 ชั่วโมงหากเดินทางโดยรถยนต์และมากกว่า 1 ชั่วโมงโดยเครื่องบิน คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะได้พบกัน”


 


ชายหนุ่มรู้สึกหดหู่เล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาวแต่เขาไม่ได้พูดคำที่หญิงสาวต้องการได้ยินออกไป เขาเพียงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้ม “ทีน่า ล่องเรือไปโอวาฮูกัน เดี๋ยวผมจะทำอาหารเย็นคืนนี้ให้เอง”


 


ทีน่าตะลึงไปครู่หนึ่ง แม้จิตใจที่กำลังเศร้าแต่เธอก็ยังฝืนแสดงรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า “แต่ฉันทำอาหารเย็นเสร็จแล้ว … เห้อ โอเค! อาหารที่ฉันทำไม่ได้อร่อยเท่าที่นายทำให้อยู่แล้วนี่ นายจะทำใหม่เองก็ได้!”


 


หลังจากพูดอย่างนั้นจบเธอก็กลับเข้าไปในห้องควบคุมและนำเจ้าหญิงแมนฮัตตันไปที่ท่าเรือฮานาเลย์ในโฮโนลูลูตามที่กล่าวไว้


 


4 วันต่อมาเรือยอร์ชก็มาถึงจุดหมายได้อย่างราบรื่น หลังจากพักอยู่ที่ฮาวายอีก 1 คืน จางลี่เฉินและหญิงสาวทั้ง 3 ก็บินกลับไปที่สนามบินนานาชาติจอห์นเอฟ. เคนเนดีในนิวยอร์กกันทันที เช่นนั้นวันหยุดฤดูร้อนครั้งแรกของเขาหลังจากมาอเมริกาก็จบลง


 


หลังจากกลับไปนิวยอร์ก วันเวลาผ่านก็ไปโดยไม่มีอะไรเป็นที่น่าสนใจเท่าไหร่ ในข่าวไม่มีรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและการมีอยู่ของโลกเหนือธรรมชาติก็ยังคงเป็นความลับต่อไปโดยรัฐบาล


 


เพียงพริบตา ปลายฤดูใบไม้ร่วงที่ทำให้เกิดลมหนาวพัดโชยและใบไม้สีเหลืองแห้งบนถนนที่ปลิวว่อนก็มาถึง


 


โดยไม่รู้ตัว ทีน่าจากไปบอสตันได้ 3 เดือนแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะยังคงสามารถติดต่อกันผ่านทางโทรศัพท์และ Facebook ได้อยู่ตลอดและหญิงสาวก็ยังกลับมานิวยอร์กอยู่หลายครั้ง แต่เนื่องจากเหตุผลที่พวกเขาทั้งสองอยู่ห่างกัน จางลี่เฉินจึงเริ่มชินกับชีวิตของการเป็นโสดอีกครั้งหนึ่ง


 


“นายกำลังคิดอะไรอยู่? คิดจะเป็นแฟนกับสาวมหาลัยบอสตันงั้นเหรอ? เฮ้เพื่อน! นายเพิ่งอยู่มัธยมปลายปีแรกเองนะ! สาวมหาลัยไม่เหมาะกับนายหรอก นายควรจะมองหาใครสักคนที่อายุใกล้ ๆ กันกับนาย…” ในตอนบ่ายขณะเดินออกจากโถงกลางโลว์บิจ จูเนียร์ ไฮพร้อมกับคนอื่น ๆ จอร์จวางหนังสือของเขาไว้บนหัวพลางตบไหล่จางลี่เฉินผู้จ้องมองใบไม้ร่วงอย่างเงียบ ๆ เฉกเช่นปกติ เขาเริ่มพูดจาไปเรื่อยไม่หยุดอีกครั้ง


 


“ฉันไม่ได้คิดอะไรเลยจอร์จ ไม่มีอะไรทั้งนั้น นายหยุดรบกวนฉันก่อนจะได้ไหม? ฉันยังต้องไปเซ็นสัญญาที่โรงงานวันนี้อีกดังนั้นฉันอยากจะทำให้หัวสมองโล่ง ๆ ไว้ก่อน”


 


“เซ็นสัญญาครั้งใหม่งั้นเหรอ? อะไรกัน? ทำไมนายเอาแต่เซ็นสัญญาอยู่ตลอด? จำไว้นะเพื่อน! มันคือความสุขถ้านายมีเงิน 100,000 ดอลลาร์ และมันคือความโชคดีถ้านายมีเงิน 1,000,000 ดอลลาร์ และนายก็สามารถร้องขออะไรก็ได้ถ้านายมีเงิน 10,000,000 ดอลลาร์! แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่นายมีเงิน 100,000,000 ดอลลาร์ นั่นคือชีวิตที่เต็มไปด้วยภาระ!


 


จอร์จพูดด้วยท่าทีจริงจัง


 


“ไม่ต้องห่วงนะจอร์จ นายจะไม่ได้มีภาระแบบนี้ไปทั้งชีวิตของนายแน่นอน! ไว้เจอกันพรุ่งนี้ บาย” หลังจากบอกลาเพื่อนตัวเองเสร็จ จางลี่เฉินก็เดินไปขึ้นรถของตัวเองโดยไม่สนใจเพื่อนสนิทที่กำลังชูนิ้วกลางให้เขาก่อนเดินทาง


 


ชายหนุ่มขับรถไปตามถนนในนิวยอร์กพร้อมกับฟังข่าวล่าสุดตามเวลาจริง เมื่อเขากำลังจะเลี้ยวเข้าสู่ทางหลวงรอบเมืองทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ในรถดังขึ้นมา


 


จางลี่เฉินจ้องมองชื่อของบุคคลที่โทรเข้ามาหน้าคอนโซลกลางก่อนจะกดรับสาย “ครับ มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด ผมกำลังไป ไม่น่าเกินครึ่งชั่วโมงก็คงถึงโรงงาน”


 


“ไม่เป็นไรครับมิสเตอร์จาง ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนอะไร ยังมีเวลาเหลืออีกมากและผมก็ได้ทำสัญญาเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว หลังจากเซ็นสัญญาครบทั้ง 6 ฉบับนี้ ระยะที่สามของโรงงานคุณก็จะถึงสถานะอิ่มตัว ผมสงสัยว่าคุณเคยคิดที่จะขยายโรงงานต่อไปอีกหรือเปล่าครับ? ด้วยการเรียนรู้เทคโนโลยีหลักของการจัดการกับขยะในระบบนิเวศที่คุณมี คุณสามารถครอบครองตลาดโรงฆ่าสัตว์ทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกได้! คุณจะสามารถสร้างอาณาจักรธุรกิจที่มีมูลค่ากว่าพันล้านดอลลาร์ได้เลยนะครับ!”


 


“ผมรู้สึกว่าเงินของผมในตอนนี้เพียงพอแล้วดังนั้นผมจึงยังไม่มีแผนดังกล่าวในตอนนี้ เอ็ดเวิร์ด ทำไมจู่ ๆ คุณถึงมาถามผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้?”


 


ที่ปลายสายอีกด้านของโทรศัพท์มีเสียงหัวเราะของเอ็ดเวิร์ดดังขึ้นเบา ๆ เขาไม่ได้ตอบคำถามของจางลี่เฉินแต่ยังพูดในส่วนของตัวเองต่อไปว่า “มิสเตอร์จาง ผมจำได้ว่าในบทสนทนาของคุณก่อนหน้านี้คุณได้พูดว่าความฝันของคุณคือการเป็นนักชีววิทยาและการได้สร้างห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ชีวภาพที่ใหญ่ที่สุดเพื่อความก้าวหน้าที่สุดในโลกใช่ไหมครับ?”


 


“ใช่แล้ว ผมต้องการเพียง 100 ถึง 200 ล้านดอลลาร์เพื่อตระหนักถึงความทะเยอทะยานนี้”


 


“แล้วคุณเคยคิดถึงเงินเดือนที่จำเป็นในการจ้างนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกหรือเปล่าครับ? ไม่ว่าคุณจะเป็นอัจฉริยะขนาดไหนแต่คุณก็ไม่สามารถทำทุกอย่างได้เองตามลำพังไม่ใช่หรือครับ? แล้วขยะที่เกิดจากโครงการนำร่องขนาดใหญ่นี่ล่ะ? ยิ่งกว่านั้นขนาดของห้องปฏิบัติการที่เป็นส่วนสำคัญนี่อีก ยิ่งห้องปฏิบัติการใหญ่เท่าไหร่โครงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ก็สามารถดำเนินการไปได้ในเวลาเดียวกัน จากมุมมองนี้แล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ ‘เพียงพอ’ ไม่ว่าคุณจะได้รับเงินเท่าใดก็ตามหรอกนะครับ”


 


จางลี่เฉินตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “คุณมีเหตุผลที่ดีมากมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด ดูเหมือนว่าคุณจะทำการบ้านมาอย่างดีเพื่อโน้มน้าวใจผม”


 


“มันก็ช่วยไม่ได้นี่ครับ เพื่อที่จะได้เป็นหัวหน้าฝ่ายกฎหมายของผู้มีอำนาจทางการเงินยักษ์ใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่ ผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำการบ้านมาเป็นอย่างดี” เอ็ดเวิร์ดกล่าวติดตลก


 


“ในกรณีนี้ หลังจากที่คุณทำการบ้านมาอย่างดีและทำให้ผมเปลี่ยนใจได้ เช่นนั้นก็ช่วยผมต่อรองกับบริษัทก่อสร้างนี้ก่อน มาจัดการมาลงตลาดทั้งหมดของเขตนครนิวยอร์กกันก่อนเถอะ”


 


เอ็ดเวิร์ดลังเล “คุณหมายถึง…”


 


“ผมตัดสินใจแล้วที่จะขยายธุรกิจของผมต่อไปและคุณจะเป็นหัวหน้าฝ่ายกฎหมายของลี่เฉินกรุ๊ป” ลี่เฉินทำราวกับว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยแต่เขาก็พูดอย่างตรงไปตรงมา “แม้ว่าผมจะไม่รู้เลยว่าหัวหน้าฝ่ายกฎหมายคืออะไร แต่ผมจะยังคงทำสัญญากับคุณและให้คุณมีส่วนแบ่งการกระจายผลกำไรตามกฎทั่วไปของบริษัทที่ไม่มีสิทธิ์ในหุ้น ถ้าเป็นแบบนี้ก็ถือเป็นผลที่น่าพอใจใช่ไหม?”


 


“น่าพอใจมากครับมิสเตอร์จาง แม้ว่าคุณจะยังเป็นเด็กแต่คุณก็เป็นนักอุตสาหกรรมที่ใจกว้างที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา โปรดมั่นใจได้ว่าผมจะไม่ทำให้คุณต้องผิดหวัง”


 


“ผมเชื่อว่าคุณจะเป็นเจ้าหน้าที่กฎหมายที่มีความสามารถ แล้วผมจะไปเจอคุณในภายหลัง”


 


“ครับ มิสเตอร์จาง” ภายในรถเมอร์เซเดส เบนซ์สีดำที่เร่งรีบ เอ็ดเวิร์ดรอให้จางลี่เฉินวางหูโทรศัพท์ลงก่อนจะยิ้มให้กับชาร์ลีผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นตัวแทนธุรกิจของจางลี่เฉินในการมาเจรจากับสหภาพเกษตรกรแห่งชาติหลายสิบแห่งก่อนหน้า “เรียบร้อยแล้วชาร์ลี ตอนนี้ฉันเป็นหัวหน้าฝ่ายกฎหมายของลี่เฉินกรุ๊ปแล้ว”


 


“โอ้ เยี่ยมไปเลย!” ชาร์ลีผู้ซึ่งกำลังจับพวงมาลัยรถไว้แน่นกล่าวตอบ “การจะเป็นสายลับให้กับองค์กรนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่เพียงแค่นั้นสถาบันการจัดการขยะเวเดกค์ บี ยังต้องใช้วิธีการนับไม่ถ้วนเพื่อให้ได้มาถึงจุดจบก่อนที่จะตัดสินใจใช้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อซื้อนายผ่านฉัน … ”


 


“มันยังคงเป็นภาพลวงตาไม่ว่าเขาจะให้เงินจำนวนมากแก่ฉันเท่าใดก็ตาม แม้ว่ามิสเตอร์ลี่เฉินจะไม่ได้จ้างฉันเป็นหัวหน้าฝ่ายกฎหมายแต่ฉันก็ไม่เคยหักหลังผลประโยชน์ลูกค้าของตัวเอง … ”


 


“โอ้ หยุดทำตัวแบบนี้เสียทีเอ็ดเวิร์ด นายเป็นนักกฏหมาย! หยุดทำตัวชอบธรรมแบบนี้สักที อย่างไรก็ตามเนื่องจากนายได้รับเหมืองทองคำอย่างที่นายสามารถขุดได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดนี้แล้วนายก็คงไม่ต้องการที่จะทำการค้าแบบนี้อีกต่อไปแล้วสิ”


 


“ฉันเป็นนักกฏหมายและนายก็คือนักธุรกิจ! ยอมรับเถอะชาร์ลี หยุดทำท่าว่านายจะมีความสุขมากเสียที ความโกรธแค้นในใจของนายทำให้ผมของนายเริ่มสว่างขึ้นแล้วรู้ตัวบ้างไหม” เมื่อได้ยินคำพูดที่เสียดสีของเพื่อนเอ็ดเวิร์ดก็หันไปเลียนแบบน้ำเสียงของชาร์ลีแทน “วางใจได้น่า ฉันจะแนะนำมิสเตอร์ลี่เฉินในเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้นายได้เป็นตัวแทนธุรกิจหลักของลี่เฉินกรุ๊ปให้เอง เมื่อถึงตอนนั้นนายก็สามารถขุดทองจากเหมืองทองคำนี้ได้เช่นกัน เพื่อจุดประสงค์นี้ สิ่งแรกที่นายต้องทำคือการสร้างความประทับใจให้กับเจ้านายในอนาคตของตัวเองซะ นายจะต้องทำงานร่วมกับฉันเพื่อให้แน่ใจว่าผลประโยชน์ของเขา … หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือความสนใจของเราจะไม่ถูกละเมิดไป”



ตอนที่ 155

“โอ้ เอ็ดเวิร์ดเพื่อนรัก! ฉันรู้ว่านายจะต้องไม่ลืมฉันและอิ่มอร่อยไปกับผลประโยชน์เพียงลำพัง ไม่ต้องห่วง คำเยินยอและการปกป้องผลผลิตคือสองสิ่งที่ฉันถนัดทำมากที่สุด ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครเรียกฉันว่าหมาของวอลล์สตรีทหรอกจริงไหม?” ชาร์ลีย์รับรองความสามารถของตัวเองกับเพื่อนสนิทด้วยความตื่นเต้น


 


ขณะเดียวกันจางลี่เฉินก็กำลังขับรถออกจากนิวยอร์กมุ่งหน้าเข้าสู่ถนนชานเมืองด้วยเอกซ์พลอเรอร์ของเขา


 


เนื่องจากการก่อสร้างท่าเรือนิวยอร์กแห่งใหม่ทำให้ทางหลวงที่ขยายใหม่ดูเหมือนจะกว้างกว่าเดิมมาก ชายหนุ่มเพิ่มความเร็วการขับขี่โดยไม่รู้ตัว หลังจากนั้นไม่นาน แมทเทิลสโลว์ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้า


 


ประมาณหนึ่งในสิบของเก้าตารางกิโลเมตรบนพื้นดินเค็ม – อัลคาไลแห่งนี้กลายเป็นโรงงานที่ได้รับการวางแผนมาอย่างดี ทุก ๆ วันจะมีรถบรรทุกหลายพันคันที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ของเหล่าสรรพสัตว์ถูกนำมาสังหารและจางลี่เฉินก็จะได้กำไรสุทธิตกวันละประมาณ 300,000 ดอลลาร์


 


เมื่อหันรถเข้าสู่ถนนคดเคี้ยวซึ่งนำไปทางเข้าสู่โรงงาน เอกซ์พลอเรอร์ก็หยุดอยู่ที่ด้านหน้าประตูทางเข้าพร้อมหน้าต่างรถที่ถูกเลื่อนลง ชายหนุ่มยื่นหัวออกไปถามว่า “สวัสดียามบ่าย คนจากสหภาพเกษตรกรแห่งชาติมาถึงนี่แล้วหรือยัง?”


 


แม้ว่าโรงฆ่าสัตว์ LS จะใช้ระบบจัดการที่ต้องดำเนินการด้วยตัวเองแต่ขนาดของโรงงานในตอนนี้ได้มาถึงจุดที่เขาต้องจ้างพนักงานหลายร้อยคนเพื่อสนับสนุนการทำงานให้มันเป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสม


 


หลังจากได้จ้างคนงานเกินกว่าสิบคนจางลี่เฉินก็ไม่สามารถจำชื่อคนงานใหม่ ๆ ได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตามในฐานะหัวหน้าใหญ่ของบริษัท เขายังคงจดจำใบหน้าของพนักงานแต่ละคนไว้ในใจของเขาอยู่เสมอ


 


“ยังเลยครับมิสเตอร์จาง ต้องการให้ผมแจ้งเลขาของคุณเพื่อโทรไปย้ำเตือนพวกเขาให้หรือไม่ครับ?” การสื่อสารกับหัวหน้าหนุ่มผู้เป็นตำนานของบริษัทเป็นครั้งแรกทำให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยวัยหนุ่มคนนี้ค่อนข้างกังวลในการจะพูดคุยโต้ตอบด้วย


 


“ไม่เป็นไร ขอบใจมาก เดี๋ยวเอารถไปจอดไว้ที่โรงงานให้ที ฉันว่าจะออกไปเดินเล่นข้างนอกสักหน่อย”


 


แม้ว่าโรงฆ่าสัตว์ LS แห่งใหม่จะเป็นบริษัทที่ครองตลาดเฉพาะที่สามารถดำเนินการได้ด้วยตัวเองทั้งหมด แต่จางลี่เฉินก็ยังคงให้ความสำคัญกับทุกสิ่งเป็นการส่วนตัว หลังจากได้มาอยู่ในความดูแลบริษัทขนาดใหญ่แห่งนี้มาเป็นเวลานาน ในตอนที่เขาพูดกับพนักงานของตัวเองแม้ว่ามันจะเป็นคำสั่งที่ดูอำเภอใจ แต่เขาก็ยังคงแสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์ที่เป็นธรรมชาติและเต็มไปด้วยความน่าเชื่อถือ


 


“ครับ มิสเตอร์จาง” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรีบพยักหน้าให้เจ้านายที่กำลังปิดหน้าต่างและลงจากรถของตัวเองก่อนจะเดินจากไป หลังจากหันไปบอกเพื่อนร่วมงานที่กำลังมองไปรอบ ๆ พื้นที่โรงงานเพื่อแสร้งทำเป็นตรวจสอบความเรียบร้อยด้วยท่าทีเคร่งขรึมต่อหน้าเจ้านายเสร็จแล้วเขาก็ขับรถของจางลี่เฉินเข้าไปจอดไว้ในโรงงานให้ในทันที


 


ชายหนุ่มที่โยนภาระการจอดรถไปที่พนักงานของตัวเองเสร็จก็ได้ออกมาเดินเลียบชายฝั่งเพื่อไปท่าเรือนิวยอร์กที่ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง


 


ในสายตาของเขาท่าเรือนิวยอร์กดูเหมือนจะอยู่ติดกับโรงฆ่าสัตว์ LS แห่งใหม่มากแต่ในความเป็นจริงมันใช้เวลาประมาณ 10 นาทีกว่าจะถึงที่นั่นด้วยการเดิน


 


เป็นเรื่องดีที่ที่ดินรกร้างว่างเปล่าแต่เดิมแห่งนี้เรียบแบนมาอย่างเรียบร้อยทำให้การเดินทางของเขาเพื่อมาท่าเรือไม่เป็นปัญหาอะไร เมื่อมาถึงบริเวณรอบนอกของท่าเรือก็จะสามารถมองเห็นพื้นที่ชายฝั่งที่ถูกขุดให้เป็นท่าเรือน้ำลึกด้วยความช่วยเหลือของเครื่องจักรกลขั้นสูง


 


ชายฝั่งที่กว้างใหญ่ถูกปกคลุมไปด้วยแท่งเหล็กเป็นกรอบล้อมโดยได้รับการเทและถูกหุ้มด้วยบล็อกซีเมนต์ทั้งหมด ดูเหมือนว่าการก่อสร้างท่าเรือจะมีรูปร่างมากยิ่งขึ้นหลังผ่านไปได้เพียงครึ่งปีของการก่อสร้าง


 


นอกเหนือจากชายหนุ่มที่มองอยู่ในระยะไกล ๆ นี้แล้วแล้วยังมีประชาชนอีกหลายสิบคนที่อยู่กันอย่างกระจัดกระจายขณะที่พวกเขานั่งอยู่นอกรั้วที่มีป้ายเตือนเขตการก่อสร้าง


 


ทุก ๆ ครั้งที่รัฐบาลประกาศจะสร้างโครงการสาธารณะขนาดใหญ่ก็จะมีประชาชนบางกลุ่มที่รู้สึกว่ารัฐบาลกำลังทำลายสภาพแวดล้อมดั้งเดิมหรือธรรมชาติของเมืองอยู่เสมอ พวกเขาจะพากันมาถือป้ายต่อต้านเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาว่างงาน


 


เมื่อพวกเขาเห็นจางลี่เฉินที่กำลังเดินเข้าไปด้วยท่าทางที่พวกเขาคิดว่าไม่ธรรมดา เหล่าบรรดาคนที่มาประท้วงก็เริ่มลุกขึ้นยืนและโบกป้ายในมือของตัวเอง


 


“นิเวศวิทยาต้องอยู่เหมือนเดิม…”


 


“การทำลายสิ่งแวดล้อมเป็นเหมือนการสูญเสียทรัพย์สมบัติ…”


 


“เราเป็นผู้ปกป้องธรรมชาติ…”


 


… และคำขวัญอื่น ๆ ที่พวกเขาแสดงให้จางลี่เฉินอีกมากมาย


 


แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นใบหน้าอ่อนวัยของชายหนุ่ม พวกเขาบางคนก็พากันหัวเราะเบา ๆ ให้ตัวเองและกลับไปนั่งลงบนพื้นตามเดิม


 


ในทางกลับกันมีบางคนกำลังพูดขาชักชวนชายหนุ่ม “เด็กหนุ่มเอ๋ย เรามีโลกนี้แค่เพียงใบเดียวเท่านั้น รัฐบาลไม่ควรทำลายสภาพแวดล้อมของพวกเราแบบนี้ … ”  เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องการดึงจางลี่เฉินให้มาเข้าร่วมในการประท้วงนี้ด้วยกัน


 


โชคไม่ดีที่เขาดันอยู่ในฐานะคนที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดจากการสร้างท่าเรือนิวยอร์กดังนั้นจางลี่เฉินจึงไม่ได้พาตัวเองไปอยู่กับกลุ่มผู้ประท้วงที่คัดค้านการสร้างท่าเรือแห่งใหม่


 


ราวกับว่าไม่ได้ยินคำพูดชักชวนจากกลุ่มผู้ประท้วง เขามองไปที่ปั้นจั่นหลายร้อยตัวบนไซต์งานที่เป็นเหมือนตัวต่อจิ๊กซอว์ขณะที่พวกมันค่อย ๆ เติมส่วนที่ว่างเปล่าของกรอบงานให้ก่อตัวเป็นท่าเรือขึ้นทีละน้อย ๆ ความประหลาดใจแสดงชัดเจนอยู่บนใบหน้าของเขา


 


“มองว่ามันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นอย่างนั้นเหรอเด็กหนุ่ม?” ขณะที่หัวใจของ ‘พ่อมด’ ชายหนุ่มกำลังรู้สึกทึ่งกับความมหัศจรรย์ของเทคโนโลยีที่ทันสมัย ก็มีเสียงชายชราดังก้องอยู่ด้านหลังเขา


 


จางลี่เฉินตกใจไปครู่หนึ่งก่อนจะหันหน้าไปมองด้วยความสงสัย ที่อยู่ต่อหน้าตอนนี้เขาคือชายชราที่ไม่ค่อยมีเส้นผมเหลือมากนักแต่ก็ยังพยายามใช้หวีเพื่อหวีผมของตัวเองให้เรียบร้อยกำลังจ้องมองไปที่ท่าเรือวุ่นวายด้วยการแสดงออกที่เหมือนจำกำลังรำลึกถึงอดีต “สมัยที่ฉันยังเป็นเด็ก มันต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 – 4 ปีในการจะสร้างท่าเรือขนาดใหญ่แบบนี้ แต่ตอนนี้แค่อาศัยเครื่องจักรที่เหมือนสัตว์ประหลาดจำนวนมาก ๆ ในการทำมันจะใช้เวลาแค่เพียง 1 ปีก็จะเสร็จสมบูรณ์ … ”


 


จางลี่เฉินส่งยิ้มกลับไปอย่างสุภาพโดยไม่ได้ตอบกลับอะไรกับบทสนทนาที่จู่ ๆ ก็เริ่มขึ้นของชายชรา


 


“เธอรู้ไหมว่าหลังจากชายหาดนี้ถูกเปลี่ยนเป็นท่าเรือนิวยอร์กแล้วจะมีการสร้างฐานทัพใหม่อีกแห่งขึ้น … ” โดยไม่สนใจว่าชายหนุ่มเต็มใจที่จะพูดคุยกับเขาหรือไม่ ชายชราชี้นิ้วไปอีกทิศทางหนึ่งซึ่งคือที่ตั้งของห้องเครื่องโรงงาน LS


 


เมื่อได้ยินแบบนี้จางลี่เฉินก็อดที่จะตกใจไม่ได้ ขณะนั้นเองรถจี๊ปสีเขียวเข้มก็ได้ขับเข้ามาหยุดอยู่ข้างชายชราและขัดจังหวะการพูดของเขา


 


ชายคนหนึ่งที่ซึ่งดูแล้วน่าจะมีอายุพอ ๆ กับชายชราคนนี้กำลังนั่งอยู่ที่เบาะหลังพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ “เฮนรี่ นายมาทำบ้าอะไรที่นี่? ทำไมนายถึงมาที่นี่โดยไม่สนใจสิ่งอื่น ๆ  เรามาที่นี่เพื่อสำรวจภูมิประเทศนะไม่ใช่ … ”


 


“บ็อบ หน้าที่ของฉันเสร็จสิ้นแล้ว ความคิดเห็นของฉันคือการวางฐานทัพให้อยู่ถัดจากท่าเรือนิวยอร์ก” ชายชราผู้ถูกเรียกว่าเฮนรี่โบกมือของเขาและพูดขึ้นโดยไม่สนใจว่ายังมีจางลี่เฉินยืนอยู่ตรงนี้


 


ดูเหมือนว่าการก่อสร้างฐานทัพทหารที่ใกล้กับท่าเรือนิวยอร์กจะได้รับการยืนยันเรียบร้อยแล้วและไม่จำเป็นต้องปิดเป็นความลับอีกต่อไป


 


“ไม่เคยมีการสร้างฐานทัพติดกับท่าเรือพลเรือนมาก่อน อย่างไรก็ตามเนื่องจากนายเป็นคนแนะนำมามันคงมีเหตุผลดี ๆ อะไรสักอย่าง ขึ้นรถมาได้แล้ว เราจะได้ไปหารือเรื่องนี้กันอย่างรอบคอบอีกที มันก็ผ่านมาสักพักแล้วที่ฉันได้กลับ


นิวยอร์กมาเพราะฉะนั้นฉันเลยไปซื้อสเต็กพิเศษที่ร้านอาหารดูแบ็คมาเตรียมไว้ให้นายแล้ว”


 


“สเต็กอีกแล้วเหรอ? นายไม่เบื่อมันบ้างหรืออย่างไรกัน” เฮนรี่พึมพำก่อนจะหันมาโบกมือลาจางลี่เฉินและขึ้นไปนั่งบนรถจี๊ปและจากไป “ฉันไปก่อนจะเด็กหนุ่ม แล้วไว้เจอกันใหม่”


 


จางลี่เฉินไม่รู้เลยว่าแรงกระตุ้นของเขาในการจะมาเดินเล่นรอบ ๆ สถานที่ก่อสร้างท่าเรือนิวยอร์กนี้จะทำให้เขาได้เจอกับหัวหน้าที่ปรึกษาด้านการป้องกันและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ฐานทัพทะเลเข้าโดยบังเอิญ


 


อย่างไรก็ตามเมื่อเขานึกถึงอุโมงค์ที่เชื่อมโยงกับอาณาจักรเหนือธรรมชาติที่วางอยู่ในทะเลซึ่งอยู่ไม่ไกลจากนิวยอร์ก ทำให้เขาเลือกที่จะเชื่อในคำพูดของชายชราคนนั้นอย่างสังหรณ์ใจแปลก ๆ เขาจมอยู่กับความคิดของตัวเองขณะเดินกลับไปที่โรงงาน


 


ที่ล็อบบี้ชั้นหนึ่งของอาคารสำนักงานสองชั้นที่เขาใช้เป็นที่ทำงาน จางลี่เฉินเห็นเอ็ดเวิร์ดและชาร์ลีย์กำลังนั่งรอเขาอย่างอดทนอยู่ที่โซฟารับรอง


 


“โอ้ มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด ไม่รู้ว่าคุณจะมาถึงเร็วขนาดนี้ ทำไมไม่โทรหาผมเมื่อมาถึงแล้วล่ะ?”


 


“ก่อนที่คุณจะแต่งตั้งผมให้เป็นหัวหน้าฝ่ายกฎหมายของ LS กรุ๊ปอย่างเป็นทางการ ผมจะเรียกเก็บค่าบริการจากการเจอคุณทุก ๆ ชั่วโมงถ้ามันทำให้ผมสามารถมีรายได้ที่มากขึ้นซึ่งแน่นอนว่าผมต้องการได้รับมากขึ้น” เอ็ดเวิร์ดตอบกลับด้วยท่าทางขำขัน


 


ในตอนนี้ดูเหมือนว่าทัศนคติของเขาที่มีต่อจางลี่เฉินจะเปลี่ยนไปแล้ว เหมือนกับว่าเขาดูเป็นมิตรและให้ความเคารพกันมากยิ่งขึ้น


 


“ฮ่า ๆ คิดไม่ถึงเลยนะครับว่าคุณจะเป็นคนที่ตลกมากขนาดนี้ มิสเตอร์ชาร์ลีย์ ไม่เจอกันตั้งนาน สบายดีใช่ไหมครับ?”


 


“เยี่ยมมากเลยครับมิสเตอร์ลี่เฉิน ผมรู้สึกมีความสุขเสมอเมื่อต้องได้ทำงานเพื่อคุณ” ชาร์ลีย์ที่ทั้งตัวเตี้ยและอ้วนท้วมลุกขึ้นมาจากที่นั่งราวกับว่ามีสปริงติดที่ใต้ก้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม


 


“ผมเองก็มีความสุขมากเช่นกันที่ได้เจอกับพวกคุณ ถ้างั้นเราขึ้นไปชั้นบนกันจะดีกว่า” จางลี่เฉินเปิดประตูโลหะเพื่อไปที่ห้องทำงานชั้นสองที่สามารถเปิดได้ด้วยการสแกนลายนิ้วมือและสแกนม่านตาของเขาก่อนจะหันไปบอกกับเลขาที่เพิ่งได้รับการว่าจ้างมาใหม่ “แมดดี้ เดี๋ยวนำกาแฟและโค้กมาให้พวกเราที”


 


แมดดี้ที่ประสบความสำเร็จในการเข้ามหาวิทยาลัยนิวยอร์กที่มีระบบการศึกษาที่ค่อนข้างจะผ่อนคลายซึ่งทำให้เธอมีเวลาเหลือเฟือที่จะทำงานให้กับ ‘เจ้านาย’ ของเธอ ด้วยเหตุนี้ภาพลักษณ์ของเธอจึงแตกต่างไปจากที่เคยทำงานในร้านเบอร์เกอร์ครั้งก่อนมาก


 


เธอดูสง่างามพร้อมทั้งยังสวมแว่นตาขอบดำไว้บนใบหน้าที่จริงจังของเธอเอง หลังจากตอบกลับเขาไปว่า “ได้ค่ะ มิสเตอร์ลี่เฉิน” เธอก็หันไปบดและกรองเมล็ดกาแฟดำหอมกรุ่นอย่างคล่องแคล่วก่อนจะเอาโค้กที่เย็นที่สุดออกมาจากตู้เย็นเพื่อเทลงในแก้ว


 


ขณะที่เธอกำลังถือถาดเครื่องดื่มขึ้นไปที่ชั้นสอง หญิงสาวก็ได้ยินเสียงนี้บทสนทนาแผ่วเบาดังลอดออกมา


 


“เพราะแบบนั้น มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด ผมสงสัยว่าฐานทัพสหรัฐฯอีกแห่งน่าจะถูกสร้างขึ้นนอกเมืองนิวยอร์ก คุณคิดว่าพวกเขาจะใช้ที่ดินโรงงานของเราหรือไม่?”


 


“มันดูไม่ใช่เรื่องที่น่าเชื่อเท่าไหร่นะครับมิสเตอร์จาง ไม่เคยมีอยู่ในประวัติศาสตร์ของประเทศมาก่อนที่จะสร้างฐานทัพทางทหารในเมืองใหญ่ อย่างไรก็ตามหากตัดสินจากสถานการณ์การก่อการร้ายที่เกิดขึ้นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยเสียทีเดียว หลังจากกรณีที่เกิดบนเกาะฮาวาย รัฐบาลอาจใช้มาตรการป้องกันอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนสำหรับเมืองที่มีประชากรหนาแน่น อย่างไรก็ตามคุณไม่ต้องไปกังวลกับมันหรอกนะครับ ยังมีที่ดินรกร้างบนชายฝั่งนอกนครนิวยอร์กอยู่อีกดังนั้นพวกเขาจะไม่ได้สิทธิ์ในพื้นที่ของเรา จากผลกำไรปัจจุบันของโรงงาน ทหารจะต้องจ่ายให้คุณหนึ่งพันล้านดอลลาร์หากพวกเขาต้องการจะยึดครองที่ดินเค็ม – อัลคาไลขนาด 9 ตารางกิโลเมตรนี้จากคุณซึ่งมันจะไม่คุ้มกับพวกเขาอย่างแน่นอน”


 


“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงผมก็ค่อยโล่งใจได้หน่อย” หลังจากฟังการวิเคราะห์ของเอ็ดเวิร์ดเสร็จจางลี่เฉินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะหันไปรับโคล่ามาจากเลขา “แมดดี้ ผมยังมีงานอื่นให้คุณทำอีกอย่าง ช่วยร่างจดหมายแต่งตั้งมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายที่มีส่วนแบ่งกำไรที่ไม่ใช่ส่วนทุนให้ที”


 


“ได้ค่ะ มิสเตอร์ลี่เฉิน” กำจัดตัวตนของ “บริกร” ออกไปเป็นครั้งแรกและยอมรับงานสำคัญที่ชายหนุ่มมอบให้ แมดดี้กำมือของเธอเองจนแน่นพร้อมพูดตอบรับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น


 


นอกจากรูปแบบเอกสารในแล็ปท็อปแล้ว หญิงสาวยังได้ทำการศึกษาความรู้อย่างมืออาชีพของการเป็นเลขาด้านธุรกิจไว้อีกต่างหาก ด้วยเหตุนี้การร่างจดหมายแต่งตั้งที่เหมาะสมจึงเสร็จสิ้นภายในเวลาไม่นาน


 


หลังจากอ่านเอกสารอย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ 2 – 3 ครั้งติดต่อกันแล้วแมดดี้รู้สึกว่ามันไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเดินขึ้นไปที่ชั้นสองพร้อมทำหน้าตาให้เป็นธรรมชาติที่สุดขณะส่งจดหมายที่จางลี่เฉินร้องขอให้เธอไปทำแก่เขา


 


ชายหนุ่มตรวจสอบเอกสารอย่างรวดเร็วก่อนจะพยักหน้า “เอาให้มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดอ่านดูสิ”


 


แมดดี้แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะส่งจดหมายแต่งตั้งให้เอ็ดเวิร์ด


 


เมื่อถึงคราวนักกฏหมาย เขาตรวจดูข้อความในเอกสารด้วยท่าทีจริงจังต่างกับจางลี่เฉินลิบลับ อย่างไรก็ตามเนื่องจากเอกสารมีความถูกต้องจนไม่มีใครสามารถหาข้อผิดพลาดใด้ ๆ ได้เอ็ดเวิร์ดจึงทำการเซ็นชื่อตัวเองลงไปในที่สุด



ตอนที่ 156

เมื่อทุกอย่างได้รับข้อสรุปจางลี่เฉินก็สั่งให้แมดดี้นำเอกสารไปเก็บก่อนจะลุกจากเก้าอี้สำนักงานพร้อมยื่นมือออกไปข้างหน้า “มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด หวังว่าเราจะได้ทำงานร่วมกันอย่างมีความสุขนะครับ”


 


“บอส ต่อจากนี้เรียกผมแค่เอ็ดเวิร์ดก็พอเถอะครับ ผมได้รับการว่าจ้างจากคุณแล้ว ตอนนี้ผมไม่ใช่แค่เจ้าหน้าที่ผสานงานแบบเดิมอีกต่อไป” เอ็ดเวิร์มสวมบทบาทของการเป็นหัวหน้าฝ่ายกฎหมายโรงฆ่าสัตว์ LS ในทันทีและพูดอย่างตรงไปตรงมา “เมื่อเร็ว ๆ นี้ผมได้ยินมาว่าโรงฆ่าสัตว์ขนาดใหญ่หลายแห่งใกล้นครนิวยอร์กพร้อมที่จะร่วมมือกันยื่นฟ้องคดีการผูกขาดอุตสาหกรรมโรงฆ่าสัตว์ LS แห่งใหม่ แม้จะมีเพียงไม่กี่คนที่พร้อมจะต่อสู้ครั้งสุดท้ายก่อนที่พวกเขาจะตายแต่ถ้าคดีของพวกเขาเริ่มต้นขึ้นมาจริงมันก็จะลำบากไม่น้อย หากคุณอนุญาต ผมวางแผนที่จะทำงานร่วมกับชาร์ลีย์ในช่วงเวลานี้และมุ่งเน้นไปที่การล้มเลิกพันธมิตรของพวกเขา”


 


“ในกรณีนี้คุณเรียกผมว่าลี่เฉินโดยตรงได้เลยเช่นกัน เอ็ดเวิร์ด เนื่องจากข่าวที่คุณบอกว่าโรงฆ่าสัตว์ขนาดใหญ่เหล่านี้ได้มาถึงขั้นที่พวกเขาพร้อมจะต่อสู้กันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่พวกเขาจะตาย ส่วนตัวผมเกรงว่ามันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะให้พวกเขาจะล้มเลิกความคิดเรื่องการฟ้องร้อง”


 


“ให้โอกาสที่ควรค่าแก่พวกเขาในการหลุดพ้นจากความยุ่งยากนี้ของตัวเองและซื้อเครื่องฆ่าสัตว์ที่จะกลายเป็นเศษเหล็กในโรงงานของพวกเขาในไม่ช้า อย่างไรก็ตาม เพียงแค่ให้สินบนแก่พวกเขาเล็ก ๆ น้อย ๆ ผู้ประกอบการเหล่านั้นก็พร้อมหักหลังผู้ถือหุ้นอย่างแน่นอน ไม่ต้องห่วงนะครับมิสเตอร์ลี่เฉิน แค่ทิ้งทุกอย่างไว้ให้ผมจัดการก็พอ มันเป็นสิ่งที่ผมเชี่ยวชาญอย่างดี” ชาร์ลีย์ที่อยู่ข้าง ๆ ส่งยิ้มอย่างมั่นใจให้จางลี่เฉิน


 


“โอ้ ดูเหมือนว่าคุณจะมั่นใจในเรื่องนี้อย่างเต็มเปี่ยมเลยนะครับมิสเตอร์ชาร์ลีย์ โอเค พยายามทำงานให้ผมอย่างดีก็พอ! แสดงให้ผมได้เห็นว่าความเป็นมืออาชีพของพวกคุณอยู่ในระดับที่ดีอย่างที่บอกผมมาจริงหรือไม่!” ชายหนุ่มที่ตะลึงงันไปครู่หนึ่งพูดขึ้นมาอย่างหลักแหลม


 


ดวงตาของชาร์ลีย์สว่างสดใสขึ้นมาในทันใด ขณะที่เขากำลังใช้ช่วงเวลานี้เพื่อพูดประโยคคำคมดี ๆ ทันใดนั้นแมดดี้ก็โทรขึ้นมาจากชั้นล่างเสียก่อน “มิสเตอร์ลี่เฉินคะ คนจากสหเกษตรกรแห่งชาติมาถึงแล้วค่ะ”


 


“ให้พวกเขาขึ้นมาได้”


 


“ได้ค่ะ”


 


ไม่กี่วินาทีต่อมา เหล่าวัยกลางคนที่แต่งตัวด้วยชุดสูทราคาถูกผู้ที่ดูราวกับว่าพวกเขาได้อดทนต่อความยากลำบากทั้งหมดของชีวิตได้พาทนายความมาด้วยสองถึงสามคนขณะที่พวกเขาเดินเข้ามาในห้องสำนักงานของจางลี่เฉิน


 


ชายหนุ่มได้เห็นใบหน้าแบบนี้มามากเกินพอในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาดังนั้นเขาจึงเข้าใจเทคนิคที่จะใช้จัดการกับพวกคนเหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้น


 


เขาฉายรอยยิ้มอบอุ่นเป็นประกายขึ้นบนใบหน้าทันทีที่คนจากสหเกษตรกรแห่งชาติมาถึง อย่างแรก เขาได้ทำการต้อนรับและหลังจากคุยกันถึงสภาพปัจจุบันของทั้งสองฝ่ายเสร็จสมบูรณ์ ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือเขาลังเลที่จะปฏิบัติตามข้อผูกพันของเขาหลังจากที่เขาได้เซ็นสัญญาตกลงไป


 


ในเวลาไปน้อยกว่าหนึ่งชั่วโมงรายได้รายวันของโรงงานก็เพิ่มขึ้นอีก 3,500 ดอลลาร์ นอกจากนี้เขายังดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสหภาพเกษตรกรแห่งชาติสำหรับ 7 เมืองเกษตรกรรมพร้อมกันอีก


 


อย่างไรก็ตามไม่ว่าชายหนุ่มจะจัดการได้คล่องแคล่วแค่ไหนแต่หลังจากที่เขาส่งคนจากสหเกษตรกรแห่งชาติกลับไปก็เป็นช่วงเวลายามเย็นเข้าเสียแล้ว มีลมแรงพัดอยู่ที่ด้านนอกหน้าต่าง เม็ดฝนกระแทกอย่างเงียบ ๆ บนผนังกระจกก่อตัวเป็นหยดน้ำไหล


 


ขณะมองไปที่ท้องฟ้าอันมืดมิดด้านนอก เอ็ดเวิร์ดก็พูดขึ้นว่า “ลี่เฉิน วันนี้เป็นวันศุกร์ ภรรยาและลูกสาวกำลังรอให้ผมกลับไปร่วมทานอาหารมื้อเย็นด้วยกันอยู่ หากคุณไม่มีข้อสงสัยหรือคำแนะนำใด ๆ แล้วผมต้องขอตัวกลับก่อนนะครับ”


 


“หากคุณไม่มีข้อสงสัยหรือคำแนะนำใด ๆ ผมเองก็ต้องขอตัวกลับก่อนด้วยเช่นกัน” ชาร์ลีย์ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้แล้วหันไปพูดกับจางลี่เฉินตามเอ็ดเวิร์ด


 


“เชิญครับ และไว้ผมกันใหม่ มิสเตอร์ชาร์ลีย์ เอ็ดเวิร์ด” จางลี่เฉินโบกมือลาด้วยรอยยิ้มแล้วมองดูเงาทั้งสองคนจนหายลับไปจากประตูก่อนจะพึมพำกับตัวเอง “ชายสองคนที่แสนจะกลับกลอกแต่ก็ยังพอเก็บไว้ใช้งานได้”


 


ขณะที่ชายหนุ่มพึมพำเช่นนั้นเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อเดินไปที่หน้าต่าง มองดูสภาพอากาศที่มีแสงกระพริบผ่านจากก้อนเมฆพร้อมด้วยเสียงฟ้าร้องที่ดังก้อง เขาถอนหายใจก่อนจะโทรหาแม่ของตัวเอง


 


“แม่ครับ ผมยังอยู่ที่โรงงาน อากาศแถวแถบชานเมืองดูอันตรายเกินกว่าจะขับรถกลับได้ คิดว่าคืนนี้ผมคงจะไม่ได้กลับบ้านแล้วนะครับ”


 


“โอ้ลูกรัก! อากาศที่บรูคลินเองก็แย่ไม่แพ้กัน เสียงฟ้าร้องดังขึ้นไม่หยุดพอ ๆ กับสายฟ้าฟาดจนทำให้ไฟที่บ้านถูกตัด ถ้าลูกกลับมาไม่ได้งั้นก็อยู่ที่โรงงานไปก่อนเถอะนะ แล้วลูกพอมีอาหารอยู่บ้างใช่ไหม?”


 


“แน่นอนครับ! ตู้เย็นของผมที่นี่เต็มไปด้วยอาหารและเครื่องดื่มมากมาย ที่ผมต้องทำก็แค่เอามันออกมาอุ่นกับไมโครเวฟเท่านั้น ไม่ต้องห่วงว่าผมจะไม่มีอะไรกินหรอกนะครับ”


 


“แม่ดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะ ถ้าพรุ่งนี้อากาศดีขึ้นเมื่อไหร่ก็รีบไปโรงเรียนด้วยล่ะ แล้วก็ห้ามสายเด็ดขาด! จำได้ด้วยว่าเทอมนี้ลูกจะต้อง … ” เมื่อจางลี่เฉินได้ยินลิลี่กำลังจะเริ่มบ่นเขาอีกรอบเขาก็รีบเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหูตัวเองอย่างรวดเร็วก่อนจะแสร้างพูดไปว่า “ไม่ต้องห่วงนะครับแม่! ผมจะตั้งใจกับมันเป็นอย่างดี … โอ้ สัญญาณหายหรือไงกัน แม่ … เสียงแม่ไม่ชัดเลย งั้นผมวางสายก่อนนะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้ครับ!” พร้อมกับรีบวางสายทันทีที่พูดจบ


 


ด้วยเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ดูเหมือนจะไร้สาระทำให้เขาหลุดพ้นจากการบ่นที่แสนยาวนานของผู้เป็นแม่ได้สำเร็จ ชายหนุ่มหันหน้ากลับมาวางแผนทำอาหารให้ตัวเองและทันใดนั้นเองถึงได้รู้ว่าแมดดี้กำลังยืนอยู่ข้างบันไดพลางมองมาที่เขาด้วยท่าทางที่ดูอึดอัดใจ


 


“เอ่อ .. มิสเตอร์ลี่เฉิน ฉันมาเพื่อจะถามว่ายังมีงานอะไรให้ฉันทำเพิ่มเติมอีกไหม? ถ้าไม่มีอะไรเพิ่มเติมแล้วฉันจะได้ขอตัวกลับบ้านก่อน พรุ่งนี้ฉันมีเรียนหลักสูตรภาคบังคับทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่ายดังนั้นฉันจึงไม่สามารถเข้ามาที่โรงงานได้”


 


“โอเค คุณเลิกงานได้เลย … โอ้ ใช่แล้ว! ผมลืมถามถึงอาการป่วยของพ่อคุณเมื่อสองสามวันที่ผ่านมาไปเลย ตอนนี้พ่อของคุณเป็นอย่างไรแล้วบ้าง?”


 


“ตอนนี้พ่อพ้นจากช่วงที่อันตรายที่สุดไปได้แล้วค่ะ คุณหมอชาวเบลเยียมบอกว่าหากสถานการณ์ของเขายังคงเหมือนเดิมหลังจากผ่านไปได้ระยะหนึ่งก็สามารถออกจากโรงพยาบาลและกลับมาอเมริกาได้ในไม่ช้า! ทั้งหมอนี้ต้องขอบคุณคุณ … ”


 


“คุณขอบคุณผมมามากพอแล้วแมดดี้ แล้วอากาศแย่แบบนี้คุณแน่ใจแล้วเหรอว่าจะสามารถขับรถกลับบ้านได้? หากคุณรู้สึกเป็นอันตรายทำไมคุณไม่พักค้างคืนที่โรงงานไปก่อนสักคืนหนึ่งเหมือนผมล่ะ?”


 


หญิงสาวที่มีความรู้สึกไวต่อบางสิ่ง จู่ ๆ แมดดี้ก็หน้าเปลี่ยนสีไปในทันทีก่อนจะรีบส่ายหัวปฏิเสธ “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเคยขับรถในสภาพที่แย่กว่านี้มาก่อนแล้วดังนั้นจึงไม่มีปัญหาอะไร”


 


“โอ้ งั้นเองหรอกเหรอ ถ้างั้นก็ไว้เจอกัน”


 


การได้ยินจางลี่เฉินกล่าวลาอย่างตรงไปตรงมาแอบสร้างความผิดหวังเล็กน้อยซึ่งขัดแย้งกับอารมณ์ในใจของเธอซึ่งแสดงออกบนใบหน้าอย่างชัดเจน “คุณต้องการให้ฉันไปส่งคุณให้ไหมคะ?”


 


“ไม่เป็นไร ผมโทรบอกแม่แล้วว่าวันนี้ผมจะไม่กลับบ้าน”


 


“อย่างนี้นี่เอง ถ้างั้นไว้เจอกันใหม่นะคะ มิสเตอร์ลี่เฉิน” แมดดี้กล่าวลาก่อนจะเดินลงบันไดไป ขณะเดียวกันจางลี่เฉินก็เดินไปที่ตู้เย็นตรงมุมห้องทำงานแล้วหยิบแฮมเบอร์เกอร์และขนมปังสองสามชิ้นออกมาก่อนจะโยนเข้าไปในไมโครเวฟ


 


ขณะที่เขากำลังจะเปิดใช้งานไมโครเวฟ สายฟ้าฟาดหนา ๆ ก็พุ่งเข้าหาชายหาดที่ด้านนอกโรงฆ่าสัตว์ หลังจากเสียงคำรามนั้นเกิดขึ้น ไฟฟ้าของโรงงานทั้งหมดก็ดับไปพร้อมกันในทันที


 


การสูญเสียไฟฟ้าไปโดยสมบูรณ์นั้นหาได้ยากมากสำหรับโรงฆ่าสัตว์ที่มีวงจรสำรองโดยใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซลในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินเช่นนี้


 


ในเวลาเดียวกันกับที่แสงจางหายไป จางลี่เฉินก็รู้สึกราวกับว่ามีสายฟ้ากระเซ็นผ่านหูของเขาไปโดยตรง ในขณะที่เขากำลังตกใจเขาก็เกิดโซเซจนสะดุดไปกับพื้น


 


ใบหน้าของเขาซีดเผือดไปทันทีเมื่อร่างกายของเขาแข็งทื่อไปทั้งตัวขณะอยู่ในความมืดเป็นเวลานานก่อนจะลุกขึ้นยืนจากพรมอย่างช้า ๆ


 


เนื่องจากเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ชายหนุ่มได้อ่านหนังสือโบราณเกี่ยวกับคาถามามันมีความรู้สึกอะไรบางอย่างบันดาลใจให้เขาเดินไปที่กำแพงกระจกของสำนักงานพร้อมหันหน้าไปทางทะเลและผลักมันเบา ๆ ด้วยมือของเขาเอง หน้าต่างกระจกที่ติดตั้งไว้บนพื้นจรดเพดานซึ่งมีความสูงกว่าคนทั่วไปถูกผลักให้เปิดออกจาผนัง


 


ทันใดนั้นทั้งสายลมและสายฝนก็หลั่งไหลเข้ามาในสำนักงานจนเอกสารบนโต๊ะถูกลมพัดจนปลิวไปทั่วทุกหนทุกแห่ง สายฝนสาดเข้ามาข้างในจนเปียกโชกไปทั้งเจ้าของสำนักงานและพรมผ้าขนสัตว์ราคาแพงบนพื้น


 


แม้จะต้องเผชิญกับพายุรุนแรง จางลี่เฉินเพียงแค่หยุดนิ่งและไม่ยอมร่นถอย เขาเช็ดใบหน้าที่ถูกเม็ดฝนปกคลุมด้วยมืออย่างไร้ประโยชน์พร้อมกำมือแน่นด้วยความประหม่า จากนั้นเขาก็สั่งให้เกาะมังกรที่ซ่อนตัวอยู่ในโรงงานกระโดดออกมาเพื่อแสดงตัวก่อนจะสั่งให้มันกระโดดขึ้นไปบนอากาศ


 


สัตว์อาคมบินผ่านสายลมและเม็ดฝนและหายไปในพริบตาบนท้องฟ้าประมาณ 20 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ชายหนุ่มตัวแข็งไปครู่หนึ่ง “ไม่ใช่เกาะมังกร!”


 


หลังจากนั้นเขาก็สั่งให้เมานท์โทดกระโดดออกจากกระเป๋าเป้สะพายหลังที่วางไว้ใต้โต๊ะและเลียนแบบการกระทำของเกาะมังกร แต่ในท้ายที่สุดก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน


 


ตอนนี้ความพยายามทั้งสองครั้งของเขาไร้ผลไปโดยสิ้นเชิง จางลี่เฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคิวโกะที่เขาเพิ่งขัดเกลาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม


 


ด้วยเหตุนี้เขาจึงวางมือไว้ข้างหน้าเพื่อป้องกันลมและเม็ดฝนในขณะที่หายใจเข้าลึก ๆ ด้วยการรวบรวมจิตวิญญาณในตัว เขาสั่งโครโคดราก้อนที่ซ่อนตัวอยู่ในท่อน้ำใต้โรงฆ่าสัตว์ด้วยคาถา “เชื่อมต่อ” และทำให้มันล่องหนก่อนจะเข้าสู่ทะเลผืนใหญ่


 


ทันทีที่สัตว์อาคมเคลื่อนตัวไปในทะเล เขารู้สึกได้ราง ๆ ว่ามันต้องการพ่นไอน้ำก่อนที่มันจะทะยานผ่านเมฆซึ่งดูเหมือนว่ามันจะสามารถบินได้อย่างอิสระท่ามกลางพายุที่เกิดขึ้น


 


ความประหลาดใจของเขาเพิ่มมากขึ้นเมื่อสัตว์อาคมลอยขึ้นไปพร้อมกับสายฝนเหมือนที่จางลี่เฉินจินตนาการ ร่างของเขาบิดตัวไปมาในความมืด มันเริ่มเร่ร่อนไปรอบ ๆ ท่ามกลางสายฝน


 


สายฟ้าอีกลูกหนึ่งพุ่งผ่านในอากาศ ด้วยความช่วยเหลือจากแสงของสายฟ้า ชายหนุ่มที่มองไม่เห็นอะไรเลยในที่สุดก็สามารถมองเห็นอะไรได้บ้างในความสับสน  โครโคดราก้อนที่ถูกทิ้งค้างไว้ในท่อทิ้งของเสียของโรงงานเป็นเวลากว่าครึ่งปีมีร่างที่เพรียวบางและเริ่มแสดงสัดส่วนที่คล้ายงูมากยิ่งขึ้น


 


ผิวเดิมของมันที่ไม่ค่อยมีความหนามากนักเริ่มแสดงชั้นจาง ๆ ของเกล็ดอ่อน ๆ เครายาวสองแท่งงอกออกมาจากปากของมันในขณะที่สามารถมองเห็นส่วนที่นูนขึ้นสองอันด้านบนของหัว มันดูแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงจากเมื่อก่อน


 


“เวิร์มดราก้อน สามารถสร้างเมฆ วิวัฒนาการหมอกและลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าเมื่อใด้ก็ตามที่มันได้รับน้ำ … ” เมื่อมองไปที่รูปลักษณ์ใหม่ของโครโคดราก้อน จางลี่เฉินทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากพึมพำซ้ำไปซ้ำมา “เวิร์มดราก้อน, เวิร์มดราก้อน … ”


 


มังกรสายน้ำที่ชายหนุ่มพูดถึงอยู่นี้ถูกกล่าวถึงเสมอโดยชาวจีนโบราณ ที่จริงแล้วมันเป็นชื่อของสิ่งมีชีวิตตามตำนานที่ถูกเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงอายุ มันเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ‘เวิร์ม’ เมื่อสมัยยังเป็นเด็กและชื่อ ‘มังกร’ เมื่อโตขึ้น


 


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าข้อเท็จจริงที่ว่าทั้งเวิร์มและมังกรนั้นมีสองช่วงอายุที่แตกต่างกันของสิ่งมีชีวิตหนึ่ง แต่หนึ่งในนั้นคือความปีศาจที่ชั่วร้ายในขณะที่อีกสิ่งหนึ่งเต็มไปด้วยคุณธรรมความดีในใจของคนจีน ทั้งสองสิ่งนี้มีอุปลักษณ์นิสัยที่แตกต่างกันไปโดยสิ้นเชิง


 


มังกรเป็นตัวแทนของพลังอันศักดิ์สิทธิ์ที่ปกครองพลังของทะเลทั้งสี่ในขณะที่เวิร์มเป็นตัวแทนของคลื่นลมและคลื่นพล่านที่พัดเปลวเพลิงแห่งความวุ่นวาย ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่รู้จักกันในนามมังกรชั่วร้าย


 


เมื่อเห็นว่าโครโคดราก้อนเริ่มปรากฏตัวออกมาในรูปแบบตัวอ่อนของ เวิร์มดราก้อน จางลี่เฉินก็เข้าใจได้แล้วว่าตัวเอกที่ได้รับการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตในวันนี้หรือคนที่ประสบภัยพิบัติจากฟ้าร้องในวันนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากโครโคดราก้อน สัตว์อาคมของเขา


 


ทันใดนั้นก็เกิดขึ้นสายฟ้าสองสามลูกพุ่งทะลุผ่านท้องฟ้า หนึ่งในนั้นติดอยู่กับร่างโครโคดราก้อนอย่างแรงและจุดประกายจำนวนนับไม่ถ้วนทำให้น้ำบนร่างกายสัตว์อาคมแห้งและฉีกผิวหนังออก


 


วิญญาณภายในร่างกายของสัตว์อาคมนั้นได้หายไปนานแล้ว มันเป็นวัตถุของพ่อมดที่ถูกควบคุมโดยพ่อมดได้อย่างอิสระ หลังจากฟ้าผ่าร่างของโครโรดราก้อนไป จางลี่เฉินรู้สึกควบคุมมันไม่ได้ก่อนที่มันจะตกทะเลไป


 


ราวกับว่าได้กลิ่นแผลที่ไหม้เกรียมบนร่างของสัตว์อาคม จางลี่เฉินขบฟันตัวเองในค่ำคืนแห่งสายฝนที่มืดมิดก่อนจะเช็ดน้ำฝนอย่างรุนแรงออกจากใบหน้าด้วยความพยายามที่ไร้ประโยชน์อีกครั้ง เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็อ้าปากเพื่อพ่นละอองหมอกสีดำออกมาจากปาก


 


ด้วยรูปลักษณ์ที่ชัดเจนใคร ๆ ก็สามารถเห็นได้ว่ามันคือเลือด เมื่อรวมเข้ากับสายลมและสายฝนแล้วมันก็ค่อย ๆ ขยายตัวออกและกลายเป็นสีจาง ๆ  มันลอยออกจากผนังโรงงานและกลายเป็นสีแดงดำจาง ๆ ที่เข้าสู่ทะเลเมื่อมันถูกลมพัด



ตอนที่ 157

ไม่ว่าความเสียหายจะเกิดขึ้นกับสัตว์อาคมมากมายเพียงใด วิธีการฟื้นตัวที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดก็คือการบำรุงผ่านเลือดจากผู้เป็นนาย


 


เมื่อจางลี่เฉินพ่นหมอกเลือดจนเป็นทางยาวลงไปที่ทะเล มันค่อย ๆ ลอยไปทางร่างของโครโคดราก้อนที่กำลังจะจม


 


ร่างกายของสัตว์อาคมไหม้เกรียมพร้อมร่องรอยบาดเจ็บที่ถูกทำให้เสียหายอย่างรุนแรง เมื่อได้รับเลือดจากผู้เป็นนาย มันก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า


 


โครโคดราก้อนส่ายหัวและหางกระทบพื้นน้ำมหาสมุทรจนเกิดคลื่นนับไม่ถ้วนระลอกขึ้นมา เป็นอีกครั้งที่มันลอยขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกับม่านฝน ร่างกายของมันถูกห่อหุ้มด้วยน้ำวนที่ทำจากน้ำประมาณหนึ่งล้านตันราวกับว่ามันกำลังพยายามขึ้นไปให้ไกลยิ่งกว่าเมฆด้านบน


 


ทันทีที่ร่างยาวเหยียดของสัตว์อาคมออกพ้นจากผิวน้ำทะเล ค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาวบนท้องฟ้าก็เริ่มกลับมาสว่างด้วยแสงจากสายฟ้าอีกครั้ง ร่างของโคโรดราก้อนที่มีความยาวหลายสิบเมตรถูกเผาไหม้และฉีกขาดด้วยสายฟ้าขณะที่ส่องสว่างออกมาราวกับไฟฉาย


 


สัตว์อาคมร้องคำรามอย่างต่อเนื่องขณะถูกทรมานจากสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก การได้รับการบำรุงเลือดจากผู้เป็นนายอย่างต่อเนื่องทำให้เซลล์ใหม่เติบโตขึ้นบนร่างกายที่ไหม้เกรียมและกล้ามเนื้อใหม่ก็เข้ามาแทนที่เซลล์เก่าที่ถูกทำลาย ในที่สุดมันก็สามารถรับมือกับอุบัติเหตุจากการโดนสายฟ้าผ่าในครั้งนี้ไปได้อย่างหวุดหวิด


 


แต่ถึงแม้ว่าโครโคดราก้อนจะสามารถต้านทานสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างปลอดภัยทว่าจางลี่เฉินที่อยู่ในสำนักงานกำลังทรุดตัวลงไปกับพื้นและกำลังตกอยู่ในช่วงวิกฤติร้ายแรงแทน


 


แม้ว่าชายหนุ่มจะอ่านหนังสือตำนานโบราณที่แปลกประหลาดมามากมาย แต่คาถาที่แท้จริงที่เขาสืบทอดมาจากท่านจางยังไม่ครอบคลุมมากพอ


 


สำหรับทักษะการปลูกฝังประตูแห่งความตายของคาถาที่เขาได้รับจากรูปปั้นหนอนโบราณแปลก ๆ มาโดยบังเอิญเกี่ยวข้องกับทักษะการปลูกฝังที่เป็นความลับและไม่มีความรู้เกี่ยวกับคาถาใด ๆ


 


เขาไม่รู้ว่าหลังจากที่สัตว์อาคมของเขาได้กลืนเลือดจากสัตว์ไปนับไม่ถ้วนจะทำให้มันเริ่มเปลี่ยนจากจระเข้ยักษ์ไปเป็นเวิร์มดราก้อน ในความเป็นจริงมันเทียบเท่ากับการเปลี่ยนแปลงอันชาญฉลาดเมื่อมีการพัฒนาจากพ่อมดระดับ 5 ขึ้นไปเป็นพ่อมดระดับ 6


 


การเปลี่ยนแปลงของสัตว์อาคมที่ได้รับความช่วยเหลือจากการบำรุงเลือดจากผู้เป็นนายนั้นเป็นวิธีที่ต่างไปจากสัตว์อาคมที่ได้รับการเลี้ยงดูหลังจากได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้


 


ในตอนนั้นเองสายฟ้าก็ได้พุ่งเข้าสู่ร่างของจางลี่เฉินพร้อมกับเลือดที่สาดกระเซ็น มันไปกระตุ้นพลังพ่อมดที่อยู่ทั่วร่างกายของเขาให้เดือดพล่านพร้อมส่งความเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย วูบหนึ่งที่เขารู้สึกว่าเขาตายไปซะตอนนี้ยังดีเสียกว่า


 


ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าชายหนุ่มประสบความสำเร็จในการฆ่าสายลับจากโลกเหนือธรรมชาติในฮาวายซึ่งช่วยให้พลังพ่อมดของเขาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในช่วงเวลาสั้น ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับตอนที่เขาเพิ่งพัฒนาขึ้นไปสู่พ่อมดระดับ 5 แล้วล่ะก็ป่านนี้เขาคงจะตายไปนานแล้วเมื่อได้รับกระแสไฟขนาดนี้เข้าสู่ร่างกาย


 


ขณะเดียวกันจระเข้ยักษ์ยังคงทนต่อการโจมตีสายฟ้าที่กำลังเผาร่างมันจนไหม้กลางอากาศขณะที่มันค่อย ๆ ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับม่านฝน


 


จางลี่เฉินผู้ซึ่งไม่สามารถทำลายสายเลือดยาวที่เชื่อมโยงตัวเขากับสัตว์อาคมได้เริ่มเสียเลือดมากจนทำให้ผิวหนังของเขาค่อย ๆ จมลงไปกับกระดูกอย่างเห็นได้ชัด


 


อย่างไรก็ตาม ด้วยการใช้พลังร่างกายของเขาอย่างมหาศาล พลังพ่อมดของชายหนุ่มก็เริ่มสูงขึ้น เมื่อใบหน้าของเขาเปลี่ยนจนเกือบเหลือแค่เพียงกะโหลกศีรษะที่ดูเหมือนจะถูกห่อด้วยชั้นผิวเหลืองบาง ๆ เขาก็ได้เข้ามาถึงจุดสูงสุดของพ่อมดระดับ 5


 


“น่าเสียดาย” แม้เขาจะได้รับความเจ็บปวดมามากแต่จางลี่เฉินยังมีสติรู้สึกตัวอยู่ การสัมผัสพลังพ่อมดที่อุดมไปด้วยเนื้อและเลือดที่หายากทำให้เขาลอบยิ้มออกมาอย่างขมขื่นและพยายามขบฟันตัวเองเพื่อสั่งให้สัตว์อาคมที่เหลือที่ไม่ใช่โครโคดราก้อนเข้าสู่ร่องลึกใต้ดินของโรงงานด้วยคาถา“เชื่อมต่อ”


 


หลังจากพยายามทำอย่างดีที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคตสำหรับแม่ของเขา แม้จะรู้ว่ามันจะต้องล้มเหลวอย่างแน่นอนแต่ชายหนุ่มก็ยังคงพยายามพยุงศีรษะของเขาและมองไกลออกไปในท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด จ้องมองโครโคดราก้อนที่ดูเหมือนจะปีนขึ้นไปด้านบนทีละนิดด้วยพลังทั้งหมดที่ไร้สาระของมัน ตามวิธีการเพาะปลูกแบบลับ เขาได้วาดโครงร่างภาพปีศาจที่มีภาพใบหน้าชัดเจนด้วยการแก้ไขทางสมาธิ


 


หลังจากที่ภาพลักษณ์ของปีศาจถูกสร้างขึ้นในหัวใจของผู้เป็นนาย โครโคดราก้อนที่ดำคล้ำและไหม้เกรียมอยู่บนขอบฟ้าก็พ่นควันออกมาจากปากและจมูก ควันลอยออกมาอย่างรวดเร็วท่ามกลางความมืดโดยไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ เข้าไปในรูจมูกของจางลี่เฉินที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบกิโลเมตร


 


ด้วยแรงผลักดันจากควัน พลังพ่อมดที่กำลังเดือดพล่านอยู่ในร่างของชายหนุ่มทำให้เขาเปลี่ยนไปเป็นสัตว์อาคมแปลก ๆ หลายสิบตัวเมื่อลักษณะต่าง ๆ เริ่มปรับแต่งธรรมชาติที่แตกต่างกันไปจากร่างกาย


 


น่าเสียดายที่ในเวลานี้ร่างกายของจางลี่เฉินได้ถูกทำลายอย่างรุนแรงจนเขาไม่สามารถทนได้อีกต่อไป ลมหายใจของเขาค่อย ๆ จางหายในขณะที่เขาหงายหลังลงบนพรมช้า ๆ พร้อมหลับตาท่ามกลางพายุที่ยังคงโหมกระหน่ำ


 


ควันเผาไหม้ของสายฟ้าเริ่มลอยออกจากร่างของชายหนุ่มผ่านรูขุมขนต่าง ๆ และผิวหนัง


 


เมื่อพลังของจางลี่เฉินเลือนหายและไม่มีผิวหนังที่สมบูรณ์อยู่บนร่างกายของเขาอีกต่อไป โครโคดราก้อนที่กำลังคลานขึ้นฟ้าก็ไม่สามารถยืนได้ด้วยตัวเองอีกต่อไปเช่นกัน ร่างกายของมันเริ่มสั่นคลอนราวกับว่ามันกำลังจะร่วงหล่น


 


ในตอนนั้นเอง อัญมณีเยลลี่ที่จางลี่เฉิงซื้อมาจากเมืองเล็ก ๆ ในป่าอเมซอนที่เขานำมาเป็นของเล่นเพื่อสร้างความสนุให้กับตัวเองครั้งคราวเนื่องจากความสามารถในการยืดและทรงปั้นที่แปลกประหลาด ทันใดนั้นมันก็ปล่อยแสงที่มีสีสันจาง ๆ ออกมาและเริ่มขยายตัวออกอย่างต่อเนื่องไปจากนิ้วมือของเขา


 


ขนาดของก้อนหินเยลลี่ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัดไปตามฝ่ามือ, ข้อศอก, แขน, หน้าอกและส่วนอื่น ๆ ตามร่างกาย ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ มันห่อหุ้มร่างกายของจางลี่เฉินที่กำลังจะตายได้จนทั่วตัว


 


หลังจากนั้นก็มีหินสีอ่อนแทรกซึมเข้าไปในร่างกายที่ไหม้เกรียมของชายหนุ่ม เริ่มทำการเติมเนื้อและกระดูกที่ถูกเปิดเผยของเขาเพื่อรักษาลมหายใจสุดท้ายของเขาเอาไว้


 


จางลี่เฉินรอดพ้นจากความตายมาได้สำเร็จ แม้จะมีการหยุดชะงักในการสร้างสะพานเลือดเพื่อบำรุงโครโคดราก้อนแต่มันยังไม่ได้ถูกตัดออกไปอย่างสมบูรณ์ทำให้โครโคดราก้อนที่ดูเหมือนกำลังจะตกลงทะเลสามารถกลับมาปีนอากาศเพื่อขึ้นไปบนฟ้าต่อได้อีกครั้ง


 


เวลาผ่านไปแบบนาทีต่อนาที ในที่สุดหลังจากสายฟ้าฟาดครั้งล่าสุด สัตว์อาคมก็ได้ฝังหัวอันใหญ่โตของมันลงไปในเมฆมืดก้อนหนึ่ง


 


ทันใดนั้นสายฟ้าก็พุ่งเข้าหาก้อนเมฆมืดก้อนนั้น ร่างเหยียดยาวของโครโคดราก้อนที่กำลังคืบคลานเข้าไปในเมฆอย่างต่อเนื่องถูกเผาด้วยสายฟ้าอีกครั้งจนกระทั่งมันกลายเป็นเถ้าถ่านดำที่ถูกพัดกระจัดกระจายไปตามสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก


 


อย่างไรก็ตาม งูที่มีความยาวประมาณ 6 – 7 เมตรได้เลื้อยออกมาจากร่างของสัตว์อาคมที่มีความยาวเกิน 50 เมตรซึ่งได้รับการขัดเกลาการสายฟ้าแทน


 


เงาของงูดูเหมือนจะบอบบางในตอนแรกเมื่อมันบินเข้าไปในเมฆสายฟ้าด้วยลำตัวที่สั่นเทา แต่ทันใดนั้นมันก็พุ่งตัวออกมาเหมือนลูกธนูยาวบินผ่านทะลุเมฆและดูเหมือนจะแข็งแรงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป มันลอยขึ้นเหนือท้องฟ้าไปพร้อมกับสายลมและสายฝน สัญจรไปมาได้อย่างอิสระเมื่อมันลอยผ่านเมฆ


 


ทันทีที่ร่างของงูปรากฏขึ้นมา ร่างที่แข็งทื่อของจางลี่เฉินก็เริ่มสั่นคลอนอย่างแรง ปากของเขาที่ถูกห่อด้วยหินนุ่มเปิดและปิดอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่าเขากำลังจะตายแต่ไม่ได้จะตายจริง ๆ


 


เมื่อถึงเวลาที่เงาของงูสามารถโลดแล่นได้อย่างอิสระในเมฆเขาก็สงบลงในทันใด ขณะเดียวกันอัญมณีเยลลี่ที่คลุมร่างของชายหนุ่มไว้ก็เริ่มเสื่อมสภาพอย่างช้า ๆ จนในที่สุดก็กลับกลายเป็นเพียงเส้นบาง ๆ ที่พันรอบนิ้วของเขาตามเดิม


 


เงาของงูที่พุ่งทะยานผ่านท้องฟ้าโดยสัญชาตญาณตกลงสู่มหาสมุทร ความผิดปกติทั้งหมดหายไปโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า เหลือเพียงร่างของชายหนุ่มที่กำลังหายใจเข้าออกเหมือนคนใกล้ตายที่ห้อยหัวลงมาจากต้นไม้พร้อมร่างกายที่ผอมแห้งติดกระดูก


 


ไม่กี่นาทีต่อมา วิศวกรไฟฟ้าของโรงฆ่าสัตว์ LS แห่งใหม่ก็ได้ซ่อมแซมแผงวงจรและในที่สุดโรงงานก็กลับมาใช้ไฟได้ตามเดิม


 


เกษตรกรและผู้ช่วยที่พักค้างคืนเพื่อฆ่าสัตว์ผ่านการบริการตนเองเริ่มพูดคุยกันเกี่ยวกับภาพเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่ได้เห็นไม่ว่าจะเป็นสายไฟที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างต่อเนื่องท่ามกลางสายฝนรุนแรง ยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวหรือเส้นเคลื่อนไหวประหลาดบางอย่างขณะที่พวกเขาเคลื่อนย้ายสัตว์ไปยังเครื่องจักรเพื่อฆ่าพวกมัน


 


จากเสียงร้องสุดท้ายของสัตว์ที่กำลังถูกฆ่าและเม็ดฝนเย็น ๆ ที่พัดเข้ามาผ่านหน้าต่างอย่างต่อเนื่องค่อย ๆ ปลุกจางลี่เฉินให้ฟื้นจากการหมดสติ เขาเปิดตาและใช้เวลานานกว่าปกติถึงจะรู้ตัวว่าเขายังไม่ตาย ด้วยความตกใจ เขายอมทนต่อความเจ็บปวดที่ร่างกายรู้สึกเพื่อลุกพรวดขึ้นมาจากพรม ด้วยความซบเซาทำให้เขาหล่นลงมาจากหน้าต่างชั้นสองของสำนักงาน


 


เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าเขากำลังนอนอยู่บนเตียงที่ทั้งแห้งและอบอุ่น ก่อนที่เขาจะลืมตา เขาได้ยินเสียงแปลก ๆ ที่พูดด้วยน้ำเสียงชวนเศร้าใจ “สัญญาณชีพจรที่สำคัญของผู้ป่วยอ่อนแอและสั้นมาก โอกาสในการฟื้นตอนนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ผมเสียใจด้วยครับมาดาม แต่ผมต้องขอให้คุณเตรียมสภาพทางจิใตไว้พร้อม …โอ้! เด็กคนนี้ตื่นแล้ว! ปาฏิหาริย์มาก! เด็กหนุ่ม เธอจำชื่อของตัวเองได้ไหม?”


 


“ลูกรัก! ลูกฟื้นแล้ว! จำแม่ได้ไหมจ๊ะลูกรัก?”


 


“แม่ครับ ผมไม่เป็นอะไรแล้ว หมอครับ ผมชื่อจางลี่เฉิน ผมเปิดหน้าต่างที่ห้องทำงานแล้วเผลอตกลงมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ที่นี่คงจะเป็นโรงพยาบาลใช่ไหมครับ?”


 


“เยี่ยม! เยี่ยมมากเด็กหนุ่ม! ดุเหมือนว่าเธอจะไม่ได้รับความเสียหายทางสมองใด ๆ แต่ก็อย่าเพิ่งไปคิดอะไรในตอนนี้มากเลยนะ สิ่งที่เธอควรทำในตอนนี้คือการพักผ่อน มาดาม ลูกของคุณไม่เป็นอะไรแล้วนะครับ คุณสามารถพูดคุยกับเขาได้ตามปกติแต่อย่าทำให้ผู้ป่วยมีความผันผวนทางอารมณ์มากเกินไป ให้เขาได้พักผ่อนหลังจากนี้สัก 15 นาทีนะครับ”


 


“ค่ะคุณหมอ เข้าใจแล้วค่ะ! ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยชีวิตลูกของฉัน!”


 


“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณอะไรเลยครับ มันคือความรับผิดชอบของผมอยู่แล้ว” หมอวัยกลางคนในเสื้อคลุมสีขาวยิ้มแล้วออกจากห้องพักไปพร้อมกับพยาบาล


 


“แม่ ผมไม่เป็นอะไรแล้ว หยุดร้องไห้เถอะ” ขณะสัมผัสได้ถึงพลังพ่อมดที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างกาย จางลี่เฉินพยายามเหยียดแขนที่ติดอยู่กับสายไฟของเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อเอื้อมไปจับมือแม่ของเขาบนเตียงก่อนจะหัวเราะ “ผมตกลงมาจากชั้นสองโดยไม่ตั้งใจ ความสูงของมันน้อยกว่าสี่เมตร … ”


 


“หยุดเลยนะ! ลูกไปประมาทแบบนั้นได้อย่างไรกัน!” ลิลี่ผู้ซึ่งเป็นกังวลเริ่มบ่นเสียงกระซิบภายในห้องพักแผนกผู้ป่วยหนักของโรงพยาบาลเบลลูชีในนิวยอร์ก


 


โชคดีที่ได้ลาวีนที่ยืนอยู่ข้างเธอกระซิบเตือน “ลิลี่ ในตอนนี้ลี่เฉินเขาต้องการการพักผ่อนมากที่สุด ไว้ค่อยคุยกันทีหลังเถอะนะ …” ช่วยให้หูของจางลี่เฉินรอดพ้นจากความทุกข์ทรมานจากการรับฟังเสียงบ่นจากผู้เป็นแม่


 


“ลูกรัก แม่ขอโทษ แม่ไม่ควรมาคาดคั้นอะไรลูกในตอนนี้ ลูกนอนก่อนเถอะนะ หมอบอกว่าลูกต้องการการพักผ่อนในช่วงนี้มาก ๆ แม่จะอยู่ที่นี่กับลูกเอง” ลิลี่ผู้หวนกลับสู่ความเป็นจริงได้อีกครั้งเดินไปปิดไฟในห้องพักก่อนจะหันไปพูดกับลาวีน “ที่รัก คุณกลับบ้านไปก่อนเถอะค่ะ ไปดูแลเด็ก ๆ แทนฉันที คืนนี้ฉันว่าฉันจะอยู่โรงพยาบาลกับลี่เฉินเขาก่อน”


 


“ก็ได้ งั้นผมกลับก่อนก็แล้วกัน ลิลี่ อย่าได้ …” ในขณะที่ลิลี่และลาวีนกำลังพูดคุยกันเสียงเบา ท่ามกลางความมืดสามารถมองเห็นความปีติยินดีได้จากใบหน้าของชายหนุ่ม เขาต้องกัดฟันเพื่อป้องกันตัวเองจากการอุทานออกมาเสียงดัง


 


เขารู้ว่าหลังจากที่พลังเวทมนต์ในร่างกายของเขาไม่สามารถใช้งานได้หลังจากการเปลี่ยนแปลงจากชีวิตสู่ความตายซึ่งทำให้พลังของเขาไหลเวียนอย่างช้า ๆ สิ่งที่เขาต้องการตอนนี้ไม่ใช่การพักผ่อนหรือการรักษาแต่เขาต้องการกลับไปที่โรงงานของเขาให้เร็วที่สุดเพื่อค้นหาสัตว์อาคม จากนั้นเขาก็จะได้เสร็จสิ้นจากการเปลี่ยนแปลงซึ่งจะทำให้เขาสามารถพัฒนาตัวเองขึ้นสู่ระดับ 6 ได้อย่างแท้จริง



ตอนที่ 158

ภายใต้สถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความบังเอิญพร้อมด้วยความช่วยเหลือที่ลึกลับจากการเปลี่ยนแปลงของโครโคดราก้อน จางลี่เฉินผู้ที่สามารถข้ามผ่านระดับ 5 ในการเป็นพ่อมดมาได้จะต้องการอีกเพียงหนึ่งขั้นตอนเท่านั้นเพื่อที่เขาจะได้ขึ้นมาเป็นพ่อมดระดับ 6 แต่เนื่องจากเหตุผลที่ร่างกายของเขามีการเปลี่ยนที่อาจนำไปสู่ความตายเพราะสัญญาณชีพที่เต้นต่ำกว่าคนธรรมดาทั่วไปมาก ด้วยเหตุนี้เขาจึงถูกควบคุมตัวมาที่โรงพยาบาลโดยแพทย์ฉุกเฉิน


 


หอพักผู้ป่วยของโรงพยาบาลเบลลูชีอยู่ห่างจากเมทเทิลสโลว์ประมาณ 50 กม. เกาะมังกรเป็นสัตว์อาคมเพียงตัวเดียวที่ชายหนุ่มมั่นใจว่าสามารถเรียกตัวมาที่นี่ได้โดยจะไม่สร้างความตกใจให้กับใคร อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะไม่มีทางเลือกอัญเชิญเกาะมังกรที่ครอบครองพลัง “ทำลายล้าง , แข็งแกร่ง” เพื่อใช้ในการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญครั้งแรกในชีวิตของเขา


 


ดังนั้นจางลี่เฉินจึงต้องอยู่โรงพยาบาลเฉย ๆ และรอคอยเวลาไปอย่างว่างเปล่า พยายามบอกคุณหมอผู้ดูแลอยู่เสมอว่าตัวเขานั้นหายดีและสภาพร่างกายของเขาก็ไม่ได้จะดีไปกว่านี้แล้วเพื่อที่เขาจะได้รีบออกจากโรงพยาบาลได้ไว ๆ


 


“ดร.สปริงส์ครับ ผมไม่เป็นอะไรแล้วจริง ๆ คุณก็เห็น! ดูสิว่าแขนของผมแข็งแรงมากขนาดไหน! ให้ผมออกจากโรงพยาบาลเถอะครับจะได้ไม่ต้องสูญเสียทรัพยากรทางการแพทย์ของรัฐบาลไปอย่างสิ้นเปลืองแบบนี้ ไม่งั้นผมจะให้ทนายส่วนตัวฟ้องร้องคุณฐานรักษาผู้ป่วยมากเกินจำเป็นและใช้ยาในทางที่ผิด”


 


เมื่อคุณหมอกำลังเดินไปรอบ ๆ ห้องผู้ป่วยรวมที่จางลี่เฉินย้ายมาในตอนเช้าเขาก็แสร้งทำเป็นพูดกึ่งเอาจริงกึ่งล้อเล่น


 


“ผมเห็นว่ามีทนายมาหาคุณเพื่อให้เซ็นเอกสารบางอย่าง แค่เพียงแวบเดียวก็สามารถบอกได้แล้วว่าการจะสู้กับเขาคงไม่ใช่เรื่องง่าย” ชายวัยกลางคนยืนอยู่ข้างเตียงของจางลี่เฉินก่อนจะตรวจดูประวัติผู้ป่วยแล้วเลือนสายตาไปมองจอแสดงผลข้างเตียง “แต่อย่างไรก็ตามนะพ่อหนุ่ม จอแสดงผลนี่ก็ไม่ได้โกหกเช่นกัน ประวัติอาการของเธอในตอนนี้เธอจะไม่สามารถฟ้องร้องฉันได้ไม่ว่าศาลจะเห็นเป็นอย่างไรก็ตาม ถ้าเธอต้องการออกจากที่นี่ก็ไปให้คุณแม่ของเธอลงชื่อทำเรื่องออกซะ แล้วเธอก็จะได้ออกสมใจ”


 


“บ้าเอ้ย! ถ้าอย่างนั้นผมต้องอยู่โรงพยาบาลอีกนานเท่าไหร่? ถ้าการอ่านชีพจรผมมันต่ำแบบนี้อยู่ตลอด ผมไม่ต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่ออยู่ที่ห้องพักผู้ป่วยเลยหรือยังไง?”


 


“ตามกฏแล้วเธอจะต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ 2 – 3 เดือน หากไม่มีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลานี้มันจะเป็นการพิสูจน์ว่าร่างกายของเธอมีการอ่านค่าที่ค่อนข้างต่ำและเธอก็จะกลับบ้านได้ สำหรับข้อมูลของเธอในตอนนี้ การตัดสินใจว่าจะให้อยู่ดูอาการ 2 หรือ 3 เดือนคือการตัดสินใจของฉัน เธอได้รับการรักษาในโรงพยาบาลมาน้อยกว่า 3 สัปดาห์ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่จะแสดงความเคารพในตัวฉันและเลิกขู่ว่าจะฟ้องร้องฉันโดยไร้เหตุผลแบบนั้นอีก พยาบาลคริสติน ผู้ป่วยเตียงสองของห้อง A21 ยังไม่ต้องการรับการถ่ายเลือด ให้วิตามินเขา 2 เม็ดหลังอาหารกลางวันและเย็น แล้วพรุ่งนี้ฉันจะมาหาใหม่ มิสเตอร์ลี่เฉิน” ขณะที่หมอพูดอย่างยาวเหยียดจนจบเขาก็จากไปด้วยรอยยิ้ม


 


หลังจากที่แพทย์จากไป ชายชราผิวขาวร่างท้วมที่อยู่ในห้องพักผู้ป่วยเดียวกันกับชายหนุ่มก็แนะนำเขาว่า “ความรับผิดชอบของแพทย์ก็เพื่อประโยชน์ของสุขภาพของเธอนะพ่อหนุ่ม ครั้งสุดท้ายที่ฉันเคยอยู่ในโรงพยาบาลในเมืองคาร์ซันที่รัฐแมรี่แลนด์ ผลปรากฏออกมาว่าฉันเป็นหวัดร้ายแรง…”


 


จางลี่เฉินผู้ซึ่งได้รับพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงและผู้ที่กำลังยืนอยู่บนทางเดินเพื่อที่จะกลายเป็นพ่อมดระดับ 6 ต้องมาติดอยู่ในโรงพยาบาลด้วยเหตุผลไร้สาระและต้องใช้ชีวิตอย่างสิ้นหวังเป็นเวลาต่อเนื่อง 20 วัน ในที่สุด เขาผู้ที่กำลังประสบกับเรื่องความเป็นความตายก็ไม่สามารถรักษาสภาพจิตใจให้สงบนิ่งได้อีกต่อไป


 


ด้วยชุดโรงพยาบาลที่สวมอยู่ทำให้ชายหนุ่มไม่มีเงินแม้แต่เซ็นต์เดียว เขากำลังซ่อนตัวอยู่ในห้องน้ำเพื่อโทรหาแมดดี้ “ผมจะบ้าแล้วแมดดี้ ผมกำลังจะเป็นบ้าแล้วจริง ๆ! ฟังนะ คุณเป็นคนรับใช้ของผมดังนั้นคุณก็ควรฟังคำสั่งของผม! ตอนนี้ ผมสั่งให้คุณนำเสื้อผ้าผู้ชายมาให้ผมที่ห้องพักผู้ป่วยและช่วยผมหนีออกจากที่นี่! ได้ยิมผมไหม? ผมบอกว่าตอนนี้!”


 


“มิสเตอร์ลี่เฉินคะ ใจเย็น ๆ และตั้งสติก่อนนะคะ มันจะต้องพึ่งพาการวินิจฉัยของแพทย์เพื่อตัดสินใจว่าผู้ป่วยจะสามารถออกจากโรงพยาบาลได้หรือไม่! ฉันเคยเห็นตัวอย่างมามากมายบนอินเทอร์เน็ตจากการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของผู้ที่เพิกเฉยต่ออาการเล็กน้อยของพวกเขา…”


 


“แต่ผมไม่เหมือนคนพวกนั้น! คุณก็รู้ว่าผมแตกต่าง!” จางลี่เฉินผู้ซึ่งกำลังระมัดระวังในการใช้เครื่องมือสื่อสารสาธารณะกระซิบอย่างโกรธเคือง


 


“แต่มาดามลิลี่กำลังจะไปเยี่ยมคุณตอนเที่ยง ถ้าหากเธอไม่ยอมให้คุณออกจากโรงพยาบาลมันจะเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์สำหรับคุณในการหนี เพราะในที่สุดคุณก็จะ…”


 


“ผมไม่สนใจอะไรแล้วทั้งนั้นในตอนนี้! ผมต้องได้กลับไปที่โรงงานภายใน 2 – 3 ชั่วโมง! คุณต้องช่วยผม!”


 


แมดดี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่งขณะถือสายโทรศัพท์  “ถ้าอย่างนั้นคุณต้องสัญญากันฉันมาก่อนว่าคุณจะกลับไปที่โรงพยาบาลทันทีหลังจากที่คุณจัดการธุระที่โรงงานเสร็จ”


 


“โอเค ผมสัญญา!”


 


“จริง ๆ นะคะ?”


 


“จริง ๆ แมดดี้ ได้โปรด รีบหน่อย ผมต้องการคุณ!”


 


แมดดี้ที่อยู่ปลายสายกำลังตกใจกับคำร้องขอมากมายที่จางลี่เฉินได้พูดกับเธอเป็นครั้งแรก เธอนิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบตกลง “ได้ค่ะ ฉันจะรีบไปโรงพยาบาลทันที!”


 


หลังจากวางสายไปแล้วคำพูดของชายหนุ่มที่บอกว่า ‘ได้โปรด รีบหน่อย ผมต้องการคุณ!’ ยังคงดังก้องอยู่ในหูของหญิงสาวที่กำลังจะซื้ออาหารเช้าบนถนนในนิวยอร์ก เธอเริ่มมองหาร้านค้าที่ขายเสื้อผ้าผู้ชายจากทั้งสองฝั่งถนนในทันที


 


หลังจากนั้นไม่นานเธอก็เตรียมเสื้อผ้าให้กับจางลี่เฉินและรีบไปที่โรงพยาบาลเบลลุชชี


 


20 นาทีต่อมา ขณะนั่งอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล จางลี่เฉินผู้กำลังรออย่างใจจดใจจ่อในที่สุดก็เห็นประตูห้องพักถูกเปิดออกโดยแมดดี้ที่กำลังเดินถือถุงกระดาษใหม่เข้ามา


 


ชายหนุ่มหายใจถอนหายใจอย่างโล่งอก “ในที่สุดคุณก็มา! ไปคุยกันที่โถงทางเดินเถอะ” จากนั้นเขาก็กระโดดลงจากเตียงผู้ป่วยของตัวเองก่อนจะผลักร่างของหญิงสาวเบา ๆ ให้ออกจากห้องพักผู้ป่วย


 


“ลี่เฉิน เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” แมดดี้คว้าโอกาสในการช่วยจางลี่เฉินหลบหนีออกจากโรงพยาบาลเพื่อเปลี่ยนวิธีที่เธอพูดกับเขาอย่างชาญฉลาดขณะที่เธอเอ่ยถามออกไปอย่างสงสัย


 


“ดูเหมือนคุณจะไม่ทันได้เห็นว่ามิสเตอร์ดูราร์ดที่อยู่ห้องพักเดียวกันเขายุ่งมากขนาดไหน! ถ้าเขาเห็นผมเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องเขาจะต้องรีบไปแจ้งพยาบาลทันทีแน่! ผมจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องน้ำของโถงทางเดิน รอผมตรงนี้ก่อน” จางลี่เฉินยื่นมือไปหยิบถุงกระดาษจากหญิงสาวก่อนจะรีบเดินไปที่ห้องน้ำที่โถงทางเดินของโรงพยาบาล


 


ไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็ออกจากห้องน้ำมาพร้อมกับเสื้อเชิ้ตยีนส์สีน้ำเงินด้วยขนาดที่เหมาะสม “แมดดี้! ขนาดของเสื้อที่คุณซื้อให้ผมพอดีอย่าเหลือเชื่อ เรารีบไปกันเถอะ!”


 


เมื่อหญิงสาวได้ยินประโยคดังกล่าวเธอแอบลังเลไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตอบรับ “แกล้งทำเป็นคู่รักที่มาเยี่ยมเพื่อนของพวกเราก็แล้วกัน ตอนนี้คงไม่มีใครคิดว่าคุณเป็นผู้ป่วยที่ยังไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลหรอก” เธอรวบรวมความกล้าและใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการจะคล้องแขนของชายหนุ่มก่อนจะเดินไปที่ประตูเข้าออกโรงพยาบาล


 


จางลี่เฉินตัวแข็งทื่อไปครู่หนึ่งแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เขาที่เพิ่งถูกแมดดี้ดึงตัวมาแนบชิดเดินออกจากโรงพยาบาลไปพร้อมกับอาการหน้าแดงเล็กน้อย


 


เมื่อทั้งสองเดินมาถึงรถฟอร์ดคันเก่าของหญิงสาว ชายหนุ่มที่กำลังนั่งอยู่ในที่นั่งผู้โดยสารก็พยายามหาหัวข้อมาสนทนา “แมดดี้ รถของคุณมันเก่าเกินไปแล้ว คุณสามารถซื้อรถยนต์คันใหม่ที่ดีกว่านี้ในราคา 10,000 ดอลลาร์ได้นะ นี่ผมยังไม่ได้จ่ายเงินเดือนล่วงหน้าให้คุณใช่ไหม?”


 


“แม้ว่ารถคันนี้จะดูเก่าแต่มันก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี อีกทั้งยังขับง่ายมากอีกด้วยดังนั้นฉันไม่คิดว่ามันจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่อะไร ฉันตั้งใจจะเก็บเงินเดือนที่คุณให้ไว้ก่อน มหาวิทยาลัยนิวยอร์กเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่ค่าเรียนแพงมาก! ฉันต้องมีรายได้ที่เพียงพอ …”


 


“โอ้! ผมไม่เห็นจะสนใจเรื่องพวกนั้น ไม่ต้องห่วง ผมจะจ่ายค่าเล่าเรียนทั้งหมดในอนาคต…”


 


“ทำไมคุณถึงได้ใจดีกับฉันจัง? เพราะฉันเป็นคนรับใช้ของคุณน่ะหรอ?” ทันใดนั้นหญิงสาวก็เอ่ยถาม


 


จางลี่เฉินไตร่ตรองกับคำถามในขณะที่เขาน้ำท่วมปากไปครู่หนึ่งและไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไร ด้วยเหตุนี้เขาจึงหันไปมองรถด้านนอกและแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้นแทน


 


เมื่อเห็นการกระทำของชายหนุ่ม แมดดี้ก็ยกยิ้มอย่างกับผู้ใหญ่ “รู้อะไรไหมลี่เฉิน บางทีคุณก็ทำตัวเหมือนเด็กจริง ๆ” หลังจากนั้นเธอก็ขับรถออกจากนิวยอร์กเพื่อไปยังโรงฆ่าสัตว์ LS แห่งใหม่โดยไม่พูดอะไรต่ออีกเลย


 


หลังจากไม่ได้มาที่แมทเทิลสโลว์เป็นเวลาเกือบ 3 สัปดาห์พื้นที่ส่วนใหญ่ของที่ดินเค็มที่ว่างเปล่าของจางลี่เฉินแห่งนี้ก็ได้กลายเป็นสถานที่ก่อสร้างที่มีงานยุ่งเหยิงเต็มไปหมด


 


ดูเหมือนว่าการขยายโรงฆ่าสัตว์ครั้งที่สองที่ชายหนุ่มอนุญาตให้เอ็ดเวิร์ดดำเนินการแทนเมื่อเขาอยู่ในโรงพยาบาลกำลังถูกดำเนินการไปได้ด้วยดี


 


เนื่องจากสถานการณ์ทางการเงินที่สมบูรณ์แบบและความสามารถในการทำกำไรตลอด 6 เดือนที่ผ่านมารวมถึงศักยภาพในการพัฒนาขนาดใหญ่ที่สามารถคาดการณ์ได้ในอนาคตจึงไม่มีธนาคารใดในวอลล์สตรีทที่จะปฏิเสธลูกค้าที่มีคุณภาพเช่นจางลี่เฉิน


 


ในช่วงเวลาสั้น ๆ LS กรุ๊ปที่จัดตั้งขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้รับสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์อย่างง่ายดายด้วยมูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์เป็นส่วนลดดอกเบี้ยดังนั้นด้วยเหตุนี้ขนาดของการขยายตัวครั้งที่สองของโรงฆ่าสัตว์จึงใหญ่กว่าการขยายครั้งแรกอย่างน้อย ๆ ก็ 4 เท่า


 


หากไม่ใช่เพราะมีการวางแผนที่สมเหตุสมผลในระหว่างขั้นตอนการออกแบบ การก่อสร้างจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานปกติของโรงงานในปัจจุบันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


 


อย่างไรก็ตามในตอนนี้สำหรับจางลี่เฉินแล้วการขยายตัวและการดำเนินงานของโรงฆ่าสัตว์ไม่ได้มีความคุ้มค่ามากพอให้เขาสนใจเลย เมื่อรถของแมดดี้หยุดที่ด้านนอกอาคารสำนักงานสองชั้นของเขา เขาก็พ่นออกมาว่า “แมดดี้ ไปรอผมที่ชั้นแรก” จากนั้นก็รีบเดินไปผลักประตูและรีบเข้าไปในอาคารสำนักงานราวกับว่าเขากำลังวิ่งแข่งขัน 100 เมตร


 


ครึ่งนาทีต่อมาชายหนุ่มได้ผลักประตูเข้าไปในห้องทำงานที่เขาไม่ได้กลับมา 20 วัน


 


หลังจากมองไปรอบ ๆ เขาสังเกตเห็นว่าห้องทำงานที่ถูกทำลายจากค่ำคืนแห่งพายุได้กลับคืนสู่สภาพเดิมโดยสมบูรณ์ เขาถอดเสื้อและร่ายคาถา ‘ลดความซับซ้อน’ ขึ้นที่หน้าอกจากนั้นเขาก็เริ่มสั่งเมานท์โทดผ่านความคิดของเขาเพื่อให้มันล่องหนและกระโดดจากร่องลึกใต้ดินของโรงงานมาอยู่ที่ด้านหน้าเขาตอนนี้


 


หลังจากนั้นชายหนุ่มเสกคาถา ‘เปลี่ยนร่าง’ ใส่เมานท์โทดและขัดเกลาสัตว์อาคมตัวนี้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะพึมพำกับ “เปลี่ยนร่าง, เปลี่ยนร่าง …” ในขณะที่เขาหลับตา


 


อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขากำลังจะใช้พลังเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ ในการดูดซับพลังอันทรงพลังทั้งหมดของเมานท์โทดเขาได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งด้วยหัวใจที่ถูกทำให้สั่นไหว


 


“โครโคดราก้อน … โครโคดราก้อน …” จางลี่เฉินขมวดคิ้วเข้าหากันในขณะที่เขาไตร่ตรองและพึมพำชื่อของสัตว์อาคมตัวอื่น อย่างไรก็ตามจากนั้นไม่ช้าเขาก็ยิ้มขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ และปิดตาของเขาลงอีกครั้ง


 


โดยไม่ลังเลอีกต่อไป ชายหนุ่มเริ่มปล่อยออร่าออกจากร่างกายช้า ๆ อย่างต่อเนื่อง หลังจากหายใจเข้าออกอยู่ประมาณ 20 นาที ดูเหมือนว่าเขาจะหายใจเอาอากาศที่เก็บไว้ในถุงลมของเขาออกมาทั้งหมดในขณะที่หน้าอกของเขาเริ่มที่จะซูบตัว


 


หลังจากหายใจออกจนหมดลม จางลี่เฉินเปิดตาของตัวเองและมองตรงไปที่เมานท์โทดที่อยู่ข้างเท้าเขาในตอนนี้ ในตอนที่เขากำลังจะหายใจเข้า ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นเมล็ดบนตัวสัตว์อาคมที่ถูกแช่อยู่ในมหาสมุทรเลือดเป็นเวลาเกือบ 3 สัปดาห์และได้รับการขัดเกลาครั้งที่ 5 กำลังเบ่งบานอยู่บนผิวทำให้ร่างกายของมันเต็มไปด้วยดอกไม้แปลก ๆ


 


ชายหนุ่มหยุดการเคลื่อนไหวของเขาอีกครั้ง ท่าทีการแสดงออกต่าง ๆ วิ่งผ่านใบหน้าของเขาสักครู่ก่อนที่เขาจะเริ่มบ่น “เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงครั้งแรกสามารถดำเนินการไปได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วทำไมยังต้องรีบร้อนขนาดนี้ด้วย? สงสังคงต้องรออีก 1 – 2 เดือน”


 


ขณะที่เขาพูด เขาหายใจเข้าลึก ๆ และผลักหน้าอกออกมาอีกครั้ง ด้วยการใช้คาถา ‘เชื่อมต่อ’ เขาสั่งให้เมานท์โทดทำตัวล่องหนและกระโดดกลับเข้าไปในร่องลึกใต้โรงงานที่เต็มไปด้วยเลือดและอวัยวะต่าง ๆ อีกครั้งก่อนที่จะเดินออกจากสำนักงานไปอย่างรวดเร็ว



ตอนที่ 159

เมื่อจางลี่เฉินเดินลงมาชั้นล่าง แมดดี้ที่กำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะห้องรับรองชั้นหนึ่งกำลังพูดอยู่กับชาร์ลีย์ที่เดินเข้ามาในอาคารไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ “มิสเตอร์ชาร์ลีย์คะ มิสเตอร์ลี่เฉินมีเหตุจำเป็นที่ต้องออกจากโรงพยาบาลมาที่นี่ด้วยเรื่องส่วนตัวเร่งด่วน เกรงว่าเขาจะไม่มีเวลามาพบคุณในวันนี้ได้”


 


น้ำเสียงของหญิงสาวค่อนข้างเป็นทางการและหนักแน่น ชาร์ลีย์ไม่ได้ติดใจอะไรกับน้ำเสียงของเธอ เขาตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าแทนว่า “โอ้ มิสแมดดี้! ผมก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะมารบกวนอะไรมิสเตอร์ลี่เฉินเลย ผมรอได้ ผมรอได้เสมอ … โอ้ มิสเตอร์ลี่เฉิน ลงมาแล้วหรือครับ”


 


“อรุณสวัสดิ์ โอ้ ไม่สิ ต้องเป็นสวัสดียามบ่ายแล้วสินะ มิสเตอร์ชาร์ลีย์ มีธุระอะไรกับผมอย่างนั้นหรือครับ?” หลังจากส่งยิ้มกลับไปให้แมดดี้ จางลี่เฉินที่กำลังเดินลงบันไดมาก็หันไปมองชาร์ลีย์ก่อนจะเอ่ยถาม


 


“ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษหรอกครับ ผมกำลังดูแลงานก่อสร้างที่กำลังขยายตัวอยู่แล้วบังเอิญไปเห็นว่ามิสแมดดี้ขับรถพาคุณมาที่สำนักงานนี้เข้าพอดีเลยอยากจะมาเพื่อทักทายคุณสักเล็กน้อย เห็นคุณมีสุขภาพดีแบบนี้ผมเองก็โล่งใจ”


 


“ขอบคุณ อย่างไรก็ตามทำไมคุณถึงเป็นผู้ควบคุมดูแลการทำงานพื้นที่ก่อสร้างได้? บริษัทก่อสร้างไม่ได้ส่งผู้จัดการโครงการมาดูแลเองอย่างนั้นหรอกหรือ?”


 


“โอ้ โดยปกติแล้วโครงการขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์จะต้องได้รับการดูแลจากใครบางคนเป็นพิเศษจากทั้งผู้ว่าจ้างและผู้รับเหมาน่ะครับ มิสเตอร์ลี่เฉิน ตามที่ระบุในข้อตกลง เอ็ดเวิร์ดขอให้คุณลงชื่อให้ผมเป็นผู้จัดการหัวหน้าของ LS กรุ๊ป บางทีคุณคงไม่ได้สังเกตเห็นในส่วนนั้น”


 


“อย่างนี้นี่เอง ขอโทษด้วยมิสเตอ์ชาร์ลีย์ สภาพจิตใจของผมคงเบลอไปเล็กน้อย เอาล่ะ เนื่องจากคุณเป็นผู้ดูแลการขยายโรงงานดังนั้นคุณก็ต้องรับผิดชอบในส่วนของการจัดหาพนักงานสำหรับโรงงานใหม่นี้ด้วย ตำแหน่งระดับสูงของบุคลากรการจัดการของบริษัทที่มักเรียกว่า … แมดดี้ มันคืออะไรนะ?” จางลี่เฉินทำทีไตร่ตรอง


 


“ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ค่ะ” หญิงสาวลังเลครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับ


 


“ใช่ ๆ มิสเตอร์ชาร์ลีย์ คุณเต็มใจที่จะเป็นผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคลของ LS กรุ๊ปหรือเปล่า?”


 


“ได้โปรดเรียกผมว่าชาร์ลีย์เถอะครับบอส! รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ทำงานร่วมกับคุณ จริง ๆ นะครับ ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากจริง ๆ!”


 


แม้มันจะดูไร้สาระมากที่จะแต่งตั้งผู้จัดการมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญในการเจรจาธุรกิจมาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคลแต่ชาร์ลีย์ก็ไม่ได้คัดค้านอะไรและตกลงรับอย่างมีความสุขไปในทันที


 


ไม่เหมือนท่าทีที่สงบเสงี่ยมของเอ็ดเวิร์ดที่จะให้ความเคารพมากกว่าเมื่อได้รับคำสั่ง ชาร์ลีย์เต็มไปด้วยท่าทางประจบประแจงอย่างเห็นได้ชัด


 


“เยี่ยม! แมดดี้ ร่างเอกสารแต่งตั้งมิสเตอร์ชาร์ลีย์โดยอ้างอิงถึงสวัสดิการจากของมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดสำหรับข้อตกลงต่าง ๆ ชาร์ลีย์ รอเอกสารตกลงของคุณที่นี่ก่อนก็แล้วกัน โอ้ใช่! เพราะคุณมักเป็นคนที่สื่อสารกับผู้อื่นได้ดีเสมอเพราะฉะนั้นคุณพอจะมีวิธีอะไรที่จะช่วยโน้มน้าวให้หมอดื้อรั้นที่คิดว่าคนไข้ของตัวเองต้องอยู่ภายใต้การสังเกตอาการแต่ความจริงแล้วคนไข้คนนั้นหายดีแล้วอยากเป็นอิสระบ้างไหม?”


 


“คุณหมายถึง?”


 


“ผมแอบออกจากโรงพยาบาลมา จริง ๆ แล้วผมต้องรีบกลับไปที่นั่นในทันที ผมกำลังถูกใยแมงมุมคลุมตัวจากการนอนเฉย ๆ อยู่บนเตียงที่นั่น! การรักษาเพียงอย่างเดียวที่ผมได้รับในทุก ๆ วันคือวิตามิน 4 เม็ดและแพทย์ผู้ดูแลบอกว่าผมต้องใช้เวลา 1 – 2 เดือนเพื่ออยู่แบบนั้น…” ยังไม่ทันที่จางลี่เฉินจะได้พูดจบ เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของเขาก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน


 


เมื่อหยิบโทรศัพท์ออกมาดูก็ต้องถอนหายใจอย่างหนักก่อนจะรับสาย


 


“ลูกรัก ตอนนี้ลูกอยู่ที่ไหน?”


 


“ที่โรงงานครับแม่ โครงการขยายครั้งที่ 2 จำเป็นต้องมีผู้จัดการหัวหน้างานและการสรรหาบุคลากรต้องเป็น … ”


 


“แม่ก็คิดว่าลูกกำลังเดินเล่นอยู่รอบโรงพยาบาล! ที่ไหนได้ลูกกลับไปอยู่ที่ชานเมือง! ดร.สปริงส์รู้เรื่องนี้ไหมว่าลูกออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว?” เสียงของลิลี่เปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึมแทนในทันที


 


“เอ่อ ผมมาที่โรงงานเพื่อแต่งตั้งผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคลของบริษัทเท่านั้น มันใช้เวลาไม่นาน…”


 


“หรือก็คือลูกแอบหนีออกจากโรงพยาบาลไป!”


 


“โอ้ แต่แม่ครับ ผมนำวิตามินมาด้วยเพราะงั้นผมสามารถกินที่ไหนก็ได้! อย่าเพิ่งโกรธกันสิครับ ผมกำลังจะกลับไปที่โรงพยาบาลอยู่พอดี … ” จางลี่เฉินที่กำลังพูดด้วยสีหน้าขมขื่นในตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงชาร์ลีย์กระซิบมาจากด้านหน้า “บอส ส่งโทรศัพท์ให้ผม บางทีผมอาจมีวิธีที่จะทำให้แม่ของคุณไม่โกรธได้”


 


จางลี่เฉินนิ่งเงียบ “แม่ ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ของผมต้องการอธิบายให้แม่ฟัง …” จากนั้นเขาส่งโทรศัพท์ให้ชาร์ลีย์


 


“สวัสดีครับมาดามลิลี่ ผมชาร์ลีย์นะครับ ยังจำผมได้ใช่ไหม? เราเคยพบกันมาก่อนในห้องพักผู้ป่วย”


 


“โอ้ สวัสดีค่ะมิสเตอร์ชาร์ลีย์ แน่นอนค่ะ ฉันจำได้”


 


“ผมต้องขอโทษจริง ๆ นะครับมาดามสำหรับเรื่องวันนี้ ผมเองที่เป็นคนขอให้มิสเตอร์ลี่เฉินมาที่แมทเทิลสโลว์ซ้ำ ๆ หลายครั้งเพราะมีปัญหาเกิดขึ้นเล็กน้อยกับการก่อสร้าง และแม้ว่ามันจะไม่ได้ใหญ่มากมายอะไรแต่ก็ต้องมีการเจรจาจากฝ่ายว่าจ้างและผู้รับเหมา เนื่องจากความประมาทเลินเล่อของผม ผมได้ทำเอกสารชุดหนึ่งที่จะต้องให้มิสเตอร์ลี่เฉินเซ็นหล่นหายจึงทำให้ผมไม่สามารถยืนยันตัวตนได้ ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอให้เขามาที่แมทเทิลสโลว์เพื่อพบกับผู้จัดการโครงการของบริษัทก่อสร้างเป็นการส่วนตัว ผมเสียใจ ต้องขอโทษมากจริง ๆ นะครับ…”


 


เมื่อลิลี่ได้ยินเสียงผู้ชายที่มีอายุแก่กว่าเธอประมาณ 10 – 20 ปีกล่าวขอโทษด้วยความจริงใจกับเธอด้วยความผิดที่ได้ทำลงไปทำให้เธอยิ้มได้อย่างรวดเร็วแล้วพูดว่า “โอ้ ฉันเข้าใจแล้วค่ะ เป็นเรื่องปกติของการส่งต่อเอกสาร ไม่ต้องกังวลนะคะ เด็กคนนี้ควรได้ออกไปข้างนอกและสูดอากาศบริสุทธิ์บ้าง คุณไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้”


 


“มาดามลิลี่ คุณเป็นคนที่ใจดีและโอบอ้อมมากจริง ๆ คุณความดีในตัวมิสเตอร์ลี่เฉินนั้นต้องสืบทอดมาจากคุณแน่ ๆ รู้ไหมครับว่าถ้าเราจัดการเพื่อลดต้นทุนในการขยายโรงงานในครั้งนี้เราจำเป็นต้องรับสมัครพนักงานใหม่ 320 คนเพื่อรักษาการบริหารที่ดี อย่างไรก็ตามมิสเตอร์ลี่เฉินใจดีและมอบโอกาสในการทำงานทั้งหมด 400 ตำแหน่ง…”


 


“เดี๋ยวนะคะมิสเตอร์ชาร์ลีย์ คุณกำลังบอกว่าลูกชายของฉันกำลังจะรับสมัครพนักงานใหม่ 400 คนเพื่อทำงานให้กับเขาอย่างนั้นเหรอคะ?”


 


“ถูกต้องแล้วครับ ยังไม่เพียงแค่นั้นนะครับ มิสเตอร์ลี่เฉินยังได้แจ้งให้เลขาของเขาติดต่อโรงพยาบาลเอกชนเพื่อคอยสังเกตอาการของเขาแทนด้วย จะได้ไม่เป็นการสูญเสียทรัพยากรทางการแพทย์สาธารณะแห่งชาติไปอย่างไร้ประโยชน์ ผมสามารถรับรองได้เลยว่าไม่มีนักอุตสาหกรรมรุ่นใหม่คนไหนที่จะโดดเด่นยอดเยี่ยมและมีจริยธรรมเหมือนเขาในสหรัฐอเมริกานี้อีกแล้ว”


 


“ไม่มีนักอุตสาหกรรมรุ่นใหม่คนไหนที่จะโดดเด่นยอดเยี่ยมและมีจริยธรรมเหมือนเขาในสหรัฐอเมริกา? ขอบคุณสำหรับคำชมเชยของคุณมากนะคะ ถ้าอย่างนั้นขอฉันคุยกับลี่เฉินเขาจะได้ไหมคะ?” ลิลี่ไม่สามารถซ่อนความประหลาดใจของเธอผ่านน้ำเสียงที่ออกมาได้เลย


 


“แน่นอนครับ! สวัสดีครับมาดาม” ชาร์ลีย์พูดก่อนจะส่งโทรศัพท์คืนจางลี่เฉินผู้ซึ่งมีท่าทีดูสับสนนิดหน่อยในตอนนี้


 


“ครับแม่?”


 


“ลูกรัก แม่จำได้ว่าลูกมีพนักงาน 2 คนเมื่อ 2 – 3 เดือนก่อน…”


 


“ใช่ครับ! แต่ตอนนี้โรงงานของผมกำลังพัฒนาได้อย่างราบรื่นมากและหลังจากโรงงานขยายตัวเสร็จจำนวนพนักงานก็เพิ่มขึ้นมากกว่า 100 คน”


 


“โอ้ แม่ได้ยินเรื่องการขยายตัวโรงงานของลูกอยู่แต่แม่คิดว่ามันเพียงแค่สร้างห้องใหม่ไม่กี่ห้อง แม่ไม่ได้คิดว่าลูกจะจัดการโรงฆ่าสัตว์มาถึงจุดนี้ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ พร้อมคนงานมากกว่า 100 คนและอีก 400 คนจะทำให้ลูกมีพนักงานมากถึง 500 กว่าคน! มันจะไม่ใช่บริษัทเล็ก ๆ อีกต่อไป โอ้พระเจ้า ลูกรัก ลูกทำได้อย่างไร?”


 


“สมองและโชคนิดหน่อย” จางลี่เฉินตอบกลับแบบไม่ได้สนใจอะไร “แม่ แม่คิดอย่างไรกับสิ่งที่มิสเตอร์ชาร์ลีย์พูด ที่ว่าจะย้ายไปโรงพยาบาลเอกชนเพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองทรัพยากรทางการแพทย์สาธารณะแทน”


 


“ลูกรัก ลูกจะได้รับอิสระอย่างสมบูรณ์หลังจากที่ลูกย้ายไปโรงพยาบาลเอกชน ลูกกำลังจะกลายเป็นลูกค้ามากกว่าจะเป็นคนไข้ ลูกต้องการแบบนั้นแน่หรอจ๊ะ?”


 


“ผมสัญญาว่าผมจะไม่ก่อเรื่องวุ่นวายอะไรอีก! ยิ่งไปกว่านั้นโรงพยาบาลเอกชนจะไม่ยอมให้ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงไปไหนหรือทำอะไรที่พวกเขาต้องทำด้วยตัวเองไม่ใช่เหรอครับ?”


 


ลิลี่เงียบไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ! มันไม่ดีต่อลูกนักที่ต้องมากินวิตามิน 4 เม็ดต่อวันแต่กลับอยู่ที่เตียงของโรงพยาบาลรัฐเป็นเวลา 24 ชั่วโมง แม่เห็นด้วยกับการที่ลูกจะย้ายไปแต่แม่จะเป็นคนหาโรงพยาบาลด้วยตัวเอง”


 


“ได้ครับ แต่เลขาของผมหาไว้ให้แล้ว เธอจำกัดเหลือโรงพยาบาล 2 – 3 แห่งและกำลังติดต่อกับพวกเขาอยู่ในตอนนี้”


 


“โอ้พระเจ้า เลขางั้นเหรอ?! ใช่แล้ว ลูกเองก็ต้องมีเลขาสินะ! เอาล่ะลูกรัก แม่จะยอมให้เธอหาโรงพยาบาลไปก็ได้แต่แม่จะต้องไปดูสถานที่จริงก่อนที่ลูกจะย้ายไป”


 


“ได้ครับ…” หลังจากตกลงกับแม่เพิ่มเติมจางลี่เฉินก็วางสายโดยไม่สามารถหยุดรอยยิ้มบนใบหน้าได้เลย


 


หลังจากที่ชายหนุ่มหายใจถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาเซ็นชื่อในเอกสารที่ แมดดี้มอบให้มาก่อนจะส่งเอกสารกลับไปให้ชาร์ลีย์ “ชาร์ลีย์ คุณทำได้ดีมาก! ดูเหมือนว่าคุณจะสื่อสารกับผู้อื่นได้ดีกว่าที่ผมคิดไว้มากทีเดียว”


 


“ชมผมมากเกินไปแล้วนะบอส! ผมพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือคุณเสมออยู่แล้วครับ” ชาร์ลีย์เซ็นชื่อในเอกสารโดยไม่ได้ดูรายละเอียดใด ๆ ในขณะที่เขาตอบกลับอย่างจริงใจและสุภาพ


 


จางลี่เฉินพยักหน้าขณะที่เขาหัวเราะอย่างตื่นเต้นก่อนจะเดินออกจากอาคารสำนักงานพร้อมกับแมดดี้ แต่ก่อนที่จะได้เข้าไปนั่งอยู่ในรถ เขาหันไปคุยกับชาร์ลีย์ที่กำลังโบกมือลาเขา “ผมสังเกตเห็นว่าแม้ว่าผู้ขายจะผูกขาดตลาดได้แค่ไหนแต่องค์กรขนาดใหญ่ที่มีขนาดตามกำหนดก็ยังต้องมีองค์กรการจัดการที่ทันสมัย ด้วยเหตุนี้หลังจากการขยายโรงงานโดยรวมเสร็จผมตั้งใจจะปรับปรุงระบบการจัดการของบริษัทแบบในครั้งเดียว เมื่อถึงเวลานั้นบางทีคุณอาจได้นั่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่านี้แล้วก็ได้ ตั้งใจทำงานให้ดี ชาร์ลีย์”


 


ชาร์ลีย์ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัวก่อนจะตอบเสียงดัง “โอ้! โอ้! มิสเตอร์ลี่เฉิน! ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอนครับ!”


 


ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะยกนิ้วโป้งให้เขาแล้วเข้าไปนั่งข้างในรถ


 


แมดดี้สตาร์ทรถและขับออกจากพื้นที่โรงงานขนาดใหญ่ไปอย่างช้าๆ ขณะที่เธอกำลังเร่งความเร็วบนทางหลวง หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะพูกขึ้นมาว่า “LS กรุ๊ปก่อตั้งขึ้นโดยคุณคนเดียวดังนั้นไม่มีใครมีสิทธิ์ที่จะสงสัยการตัดสินใจของคุณ อย่างไรก็ตามคุณไม่รู้สึกว่ามันเป็นการประมาทไปเล็กน้อยเหรอคะที่แต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงของบริษัทโดยตรงเช่นนี้ ฉันไม่ได้มีอคติกับมิสเตอร์ชาร์ลีย์แต่ฉันได้ยินมาว่าเขาถูกเรียกว่าเป็นสุนัขจิ้งจอกของวอลสตรีท …”


 


“ไม่สำคัญว่าชาร์ลีย์จะเป็นอย่างไรหรอกแมดดี้! ตราบใดที่เขามีประโยชน์กับผม ผมก็ไม่สนว่าเขาจะเป็นสุนัขจิ้งจอกหรือหมาจิ้งจอกหรืออะไรก็ตาม เขามีส่วนแบ่งแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”


 


“แต่ความโลภในใจยากที่จะควบคุมได้! การให้เขาทำทุกอย่างแบบนี้…”


 


“ถ้าเขาทรยศผม ผมจะปล่อยให้เขาตาย” จางลี่เฉินมองออกไปนอกหน้าต่างและพูดอย่างไม่ใส่ใจ “จากนั้นผมก็จะมองหาผู้จัดการคนใหม่ที่จะมาดูแลทุกอย่าง ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ กฎหมายจะไม่คุ้มครองสิทธิของผู้บริหารในบริษัท เรื่องมันก็เท่านี้”


 


แมดดี้เกือบสำลักน้ำลายในขณะที่ร่างของเธอเริ่มสั่นกลัว คำเตือนต่าง ๆ ที่เธอมีอยู่ในใจไม่สามารถทะลักออกมาจากปากของเธอได้อีกไป จากนั้นในที่สุดเธอก็จำได้ถึงความสามารถในการตัดสินใจที่โหดร้ายของเขาในคืนที่เธอได้เจอกับชายหนุ่มข้าง ๆ คนนี้เป็นครั้งแรก


 


“ฉันคงกังวลมากเกินไปจริง ๆ ที่คิดว่าคุณจะถูกหลอก! ดูเหมือนว่าเป็นฉันเองมากกว่าที่กำลังหลอกตัวเองอยู่” เธอพึมพำกับตัวเองก่อนจะได้ยินเสียงของจางลี่เฉินดังขึ้นมา “แมดดี้ ขับเข้าไปในป่า! ผมมีสิ่งที่ต้องทำ!”



ตอนที่ 160

แมดดี้มองตามทิศทางที่นิ้วจางลี่เฉินชี้ไป มันคือป่าทึบที่เต็มไปด้วยต้นไม้ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลในถิ่นรกร้างที่อยู่ห่างจากถนนทางหลวง


 


“คุณต้องการอะไรจากที่นั่น? ไม่ใช่ว่าคุณต้องรีบกลับไปโรงพบาลหรอกเหรอ?” หญิงสาวตัวแข็งทื่อไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามด้วยใบหน้าที่ขึ้นสีแดงเล็กน้อย


 


“ผมจะให้คุณดูอะไรบางอย่างที่นั่น! มันเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากที่คุณต้องไม่เคยเห็นมาก่อนแน่นอน!” ชายหนุ่มมองไปที่ทะเลก่อนจะหันกลับมาตอบกลับด้วยท่าทีตื่นเต้นที่แปลกไปจากเดิม


 


แมดดี้ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะหมุนพวงมาลัยของเธอไปตามทางที่ชายหนุ่มบอกโดยไม่พูดอะไรสักคำเพื่อเข้าไปในถิ่นรกร้างว่างเปล่าจากถนนทางหลวงและในที่สุดก็เข้าไปถึงตัวป่าหลังจากขับเข้ามาเพียงไม่กี่นาที


 


เมื่อรถจอดนิ่งสนิท จางลี่เฉินผลักประตูรถเปิดออกอย่างเร่งรีบแล้วพูดว่า “ตามผมมา!” ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในป่า


 


พื้นป่าปกคลุมไปด้วยใบไม้ที่ร่วงหล่นและเปียกชื้นเนื่องจากฝนที่ตกลงมา ขณะที่พวกเขาเดินย่ำลึกเข้าไปด้านใน รอยเท้าของพวกเขาถูกประทับอยู่ตามพื้น กลิ่นของใบไม้ที่เพิ่งเน่าเปื่อยและกลิ่นจากน้ำทะเลไกล ๆ พุ่งกระแทกจมูกของพวกเขาได้อย่างชัดเจน


 


หลังจากก้าวเข้าไปได้ 2 – 3 ก้าว จางลี่เฉินก็เดินโซเซไปครู่หนึ่ง หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเขาสามารถเกาะต้นไม้ใหญ่เอาไว้ได้ทันตอนนี้เขาน่าจะล้มลงไปกับพื้นพร้อมประทับใบหน้าไว้บนพื้นดินแล้ว


 


“ระวังหน่อยลี่เฉิน การทำงานร่างกายของคุณแย่มากจริง ๆ! คุณเกือบจะล้มไปทั้ง ๆ แบบนี้ได้อยู่แล้ว! อีกทั้งร่างกายก็ยังดูอ่อนแออีกด้วย! คุณน่าจะไปเข้ายิมหรือออกกำลังกายเป็นประจำบ้างนะ ถึงจะเป็นพ่อมดก็ควรจะมีร่างกายและสุขภาพที่ดีด้วยสิ!”


 


“ผมไม่เชื่อว่าเศษเหล็กขนาดใหญ่ในยิมพวกนั้นจะทำให้มีสุขภาพดีขึ้นได้! การมีกล้ามเนื้อไม่ได้หมายความว่าจะทำให้มีชีวิตยืนยาว … ”


 


“โอ้ ใช่! คนจีนคุ้นเคยกับการใช้กังฟูในการเสริมสร้างกำลังร่างกายไม่ใช่หรอ! ในกรณีแบบนี้ฉันสามารถแนะนำหมอซงสอนมวยคุณได้นะ คุณยังจำเขาได้ไหม? หมอที่รักษาอาการกระดูกของคุณในตอนกลางคืนเมื่อครั้งที่เราพบกันครั้งแรกไง เขาเปิดหอศิลปะการต่อสู้เมื่อหกเดือนที่แล้วและมีการสอนกังฟูสองครั้งต่อสัปดาห์ มีข่าวลือมาจากหลาย ๆ คนเลยนะว่าเขามีพลังที่คาดไม่ถึงมากทีเดียว”


 


“อย่างนั้นเหรอ? เขามีงานพาร์ทไทม์ทำให้เยอะมากน่าดู” จางลี่เฉินตั้งข้อสังเกตลวก ๆ


 


“ได้ยินมาว่าลูกชายของเขากำลังว่างงาน เพื่อส่งหลานชายให้ได้ไปโรงเรียน เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องหางานพาร์ทไทม์ทำเพิ่มอีก” หลังจากเดินตามจางลี่เฉินเข้าไปในป่าเกือบ 100 เมตร แมดดี้ที่อดสงสัยไม่ได้จึงเอ่ยถามไปว่า “ลี่เฉิน นี่เรากำลังไปที่ไหนกัน?”


 


จางลี่เฉินหันมองไปรอบ ๆ และหยุดการเคลื่อนไหวลงทันทีเมื่อเห็นว่าตอนนี้พวกเขากำลังถูกต้นไม้ล้อมรอบตัว “นี่ไงล่ะ! อย่ากระพริบตานะแมดดี้!”


 


ขณะที่ชายหนุ่มพูด เขาเอาแต่จ้องมองตาหญิงสาวอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ทำอะไรอื่นใด


 


แมดดี้เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนอย่างมากกับจางลี่เฉิน ในตอนที่พ่อของเธอป่วยหนักและกำลังจะตาย เธอถูกบังคับให้ยอมรับความช่วยเหลือจากชายหนุ่มถึง 2 ครั้งและต้องตกลงทำสัญญารับใช้เพียงคำพูดในสถานการณ์ที่ทำให้เธอเสียเปรียบไปอย่างสิ้นเชิง


 


ถ้าจางลี่เฉินแสดงท่าทีที่เธอยากจะขัดขืนได้ บางทีหญิงสาวอาจต้องยอมแพ้เพราะความกลัวในพลังลึกลับที่ทรงพลังของเขา อย่างไรก็ตามชายหนุ่มไม่ได้เป็นคนที่โหดร้ายหรือโหดเหี้ยมแต่อย่างใด เขาแค่แสดงความโหดร้ายออกมาเป็นครั้งคราวก็เท่านั้น


 


สิ่งนี้ยิ่งทำให้ความกลัวของแมดดี้ที่มีต่อจางลี่เฉินค่อย ๆ จางลงจนเกือบจะหายไป หลังจากมาเป็นเลขาส่วนตัวเขาได้ประมาณ 2 – 3 เดือน เธอก็เริ่มรู้สึกชื่นชมและเริ่มเปิดใจให้กับเขามากยิ่งขึ้น


 


ในขณะที่เขาจ้องมองเธอไม่วางตา สัญชาตญาณของหญิงสาวชาวตะวันตกทำให้ แมดดี้ถอดแว่นตาและปล่อยผมที่มัดเป็นทรงหางม้าออก เธอส่ายหัวช้า ๆ “นี่คุณคิดกำลังจะทำอะไร? เป็นผู้ชายนิสัยไม่ดีอย่างนั้นเหรอ?”


 


ในขณะที่หญิงสาวกำลังพูด สายลมจากทะเลที่พัดโชยอยู่ในป่าก็เริ่มพัดกระหน่ำพร้อมด้วยหมอกสีขาวขุ่น


 


“ได้เวลาแล้ว” จางลี่เฉินพึมพำ ขณะเดียวกันกับที่ชายหนุ่มกำลังพูดอยู่ ร่างยาว ๆ ที่กำลังแหวกว่ายอยู่กลางอากาศผ่านหมอกก็ปรากฏตัวขึ้นลาง ๆ ก่อนจะมาแนบชิดอยู่ด้านข้างเขา


 


แมดดี้พยายามมองสัตว์ที่เจอกับตาด้วยความตะลึงจนพูดไม่ออก มันมีดวงตาคล้ายกับกระต่าย ปากคล้ายกับวัว มีหัวแบบอูฐ อุ้งเท้าของเสือ กรงเล็บของนกอินทรี เกล็ดปลาทั่วตัวและร่างที่คล้ายกับงู เมื่อเริ่มได้สติเธอก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “มังกร! มันคือมังกรแบบฝั่งจีน! มังกรศักดิ์สิทธิ์สีเขียวที่มีชีวิตอยู่จริง! โอ้! โอ้พระเจ้า! ฉันเคยเห็นสิ่งนี้มาก่อนในไชน่าทาวน์! ช่วงตรุษจีนชาวจีนทุกคนจะจำลองแสดงท่าทางสัตว์ในตำนานตัวนี้และให้พร! มัน…มันคือเทพเจ้าของชาวจีน!”


 


“ไม่ใช่มังกร เวิร์มต่างหาก! ดูดี ๆ สิมันไม่มีเขานะเห็นไหม? มันมีแค่หูยาว ๆ ที่คล้ายกับของม้าเท่านั้น” จางลี่เฉินสั่งให้เวิร์มหยุดบินในอากาศขณะที่เขาอธิบาย


 


ในความเป็นจริง ชายหนุ่มเองก็เพิ่งค้นพบว่าจริง ๆ แล้วเวิร์มไม่ได้มีเขาแต่สิ่งนี้คือหูยาว ๆ ที่อยู่บนหัวของมันต่างหาก


 


ในขณะที่เขามองดูสัตว์อาคมที่หนาเหมือนถังน้ำและมีความยาว 7 – 8 เมตรซึ่งดูเหมือนมังกรเขียวตามภาพวาดปฏิทินปีใหม่ คำศัพท์ที่ดูเหมือนอักษรอียิปต์โบราณที่กล่าวว่า “เรียดสายน้ำและสายลมผ่านเมฆ ล่องเรือไปบนท้องฟ้าและเชยชมร่าง” ได้ปรากฏขึ้นในใจของเขาตามธรรมชาติ เขารู้สึกยินดีอย่างยิ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้น


 


ท้ายที่สุดแล้ว เวิร์มดราก้อนก็คือหนึ่งในสายพันธุ์มังกรอย่างแท้จริง ในทางกลับกัน มันมีสภาพที่ผิดปกติอย่างมากต่อหัวใจคนจีนทุกคนที่มีต่อมังกร


 


“ถ้าไม่ใช่เพราะความสามารถรอบด้านของสัตว์อาคมตัวแรกที่ฉันเลือกให้รับการเปลี่ยนแปลงทักษะทางจิตวิญญาณเพียงอย่างเดียวในชีวิตทั้งหมดของฉันไปล่ะก็ ฉันคงจะเลือกให้แกเกิดการเปลี่ยนร่างแล้วพาฉันทะยานข้ามเมฆในตอนนี้เพื่อกลับนิวยอร์กไปแล้ว” จางลี่เฉินมองดูเวิร์มแล้วพึมพำ


 


เมื่อขึ้นไปถึงระดับ 6  ทุกครั้งที่พ่อมดจะสร้างความก้าวหน้าในคาถา เขาจะสามารถแปลงร่างเป็นสัตว์อาคมและจะดึงความสามารถและพลังรอบรู้ของสัตว์นั้น ๆ ออกมาใช้ได้ อย่างไรก็ตาม มีเพียงพลังรอบรู้ของสัตว์อาคมตัวแรกที่เขาเปลี่ยนที่อาจกลายเป็นทักษะทางจิตวิญญาณของเขาซึ่งสามารถแยกออกและใช้โดยสัตว์อาคมอื่น ๆ ที่เขาเคยได้ขัดเกลามาก่อน


 


ด้วยเหตุนี้เอง จางลี่เฉินเลยเลือกที่จะยอมแพ้กับมังกรตัวน้อยที่เป็นตัวแทนของกษัตริย์จีนโบราณและเลือกที่จะเปลี่ยนเมานท์โทดที่น่าเกลียดไปเสียก่อน ท้ายที่สุด ถึงอย่างไรเขาก็ได้ลิ้มรสความสามารถในการต่อสู้ที่สูงขึ้นหลังจากสัตว์อาคมขยายตัวกลายเป็นยักษ์อยู่หลายครั้ง


 


ไม่เพียงแค่นั้น แต่เมื่อ ‘ขยาย ลดทอน พลังสัพพัญญู’ ถูกหว่าน การบริโภคของสัตว์อาคมก็จะลดลงจนกระทั่งไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป บางทีเขาอาจจะต้องพกกระเป๋าเป้หนึ่งใบติดตัวอยู่เสมอเพื่อจะได้พาสัตว์อาคมของเขาทั้งหมดเดินทางไปได้ทั่วโลก


 


“ลี่เฉิน คุณพูดว่าอะไรนะ?” เมื่อได้ยินชายหนุ่มพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะเสียใจเล็กน้อย แมดดี้จึงเอ่ยถามออกไปด้วยความเป็นห่วง


 


“ไม่มีอะไรหรอกแมดดี้ คุณคิดว่าสิ่งที่ผมแสดงให้คุณดูน่าสนใจไหม?”


 


“มันน่าทึ่งมาก! แม้ว่ามันจะห่างไกลจากสิ่งที่ฉันจินตนาการไว้ก็ตาม” แมดดี้สวมแว่นตาของเธออีกครั้งด้วยท่าทางแปลก ๆ ก่อนจะมัดผมของเธอกลับสู่สภาพเดิม


 


จางลี่เฉินตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เขายกมือขึ้นเพื่อเชยชมเกล็ดที่เย็นและราบรื่นของ เวิร์มดราก้อนก่อนจะสั่งให้มันแอบกลับเข้าไปในมหาสมุทรแอตแลนติกพร้อมกับก้อนเมฆในขณะที่เขาพูดว่า “ไปซะ” แล้วเดินออกจากป่าไปพร้อมกับหญิงสาว


 


หลังจากที่พวกเขากลับเข้าไปในรถชายหนุ่มก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “แมดดี้ คุณก็รู้ใช่ไหมว่าผมมีแฟนแล้ว?”


 


“ฉันรู้ เธอกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในบอสตันใช่ไหม” แมดดี้ถามกลับโดยพยายามไม่แสดงสีหน้าใด ๆ “หรือว่าคุณสองคนแต่งงานกันแล้ว?”


 


อายุแต่งงานตามกฎหมายที่นิวยอร์กคือ 14 ปี จางลี่เฉินมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ที่จะทำเช่นนั้นได้แล้วแต่ในสายตาของชายหนุ่มคำว่า ‘แต่งงาน’ ยังคงเป็นสิ่งที่ห่างไกลจากเขามาก ด้วยความตกใจเขาจึงพูดกลับไปในทันที “ไม่ใช่แบบนั้น!”


 


แมดดี้จ้องกลับไปที่เส้นทางถนนและเพิ่มความเร็วเครื่องยนต์ของฟอร์ดคันเก่าจนเสียงดัง ท่ามกลางเสียงดังที่เกิดขึ้น เธอกระซิบ “แล้วทำไมคุณยังไม่แต่งงาน…” ก่อนจะตัดบทพูดไปทั้งอย่างนั้น พวกเขาเงียบไปตลอดการเดินทางที่เธอขับรถพาจางลี่เฉินกลับไปที่โรงพยาบาลเบลลุชชี


 


ไม่กี่วันต่อมา โดยการพึ่งพาการหว่านล้อมของชาร์ลี ชายหนุ่มประสบความสำเร็จในการย้ายออกเพื่อไปยังโรงพยาบาลเอกชนที่ดีที่สุดในนิวยอร์ก ศูนย์การแพทย์ด้านสุขภาพแอปเปิ้ลไอส์แลนด์


 


โดยทั่วไปโรงพยาบาลเอกชนในสหรัฐอเมริกาคิดเป็น 70% ของระบบการแพทย์ทั้งหมด หากประชาชนทั่วไปมีประกันสุขภาพพวกเขาจะสามารถไปที่นั่นเพื่อรับการรักษาฟรีได้ด้วยเช่นกัน


 


ในความหมายที่แคบลง โรงพยาบาลเอกชนกล่าวอ้างถึงสถาบันทางการแพทย์ที่พร้อมให้บริการทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนรวย จำนวนโรงพยาบาลดังกล่าวมีจำนวนน้อยมากแต่ในแง่ของขนาดพื้นที่และสิ่งแวดล้อมพวกเขาถือเป็นอันดับต้น ๆ เช่นเดียวกับศูนย์การแพทย์ด้านสุขภาพแอปเปิ้ลไอส์แลนด์แห่งนี้


 


โดยปกติผู้ที่เลือกรักษาในโรงพยาบาลเช่นนี้จะไม่สนใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นประกันสุขภาพ ความต้องการเพียงอย่างเดียวของพวกเขาคือการรักษาร่างกายที่เจ็บป่วยโดยไม่ต้องสละคุณภาพชีวิต


 


ที่ศูนย์การแพทย์ด้านสุขภาพแอปเปิ้ลไอส์แลนด์มีสภาพแวดล้อมถูกสร้างขึ้นเหมือนป่าที่เป็นฤดูใบไม้ผลิตลอดทั้งปีเนื่องจากตั้งอยู่ในเขตชานเมือง มีทะเลสาบที่ใสสะอาดอยู่ข้าง ๆ ห้องพักระดับห้าดาวแบบอย่างโรงแรมอยู่ที่ราคา 600 ดอลลาร์ต่อวัน


 


นอกจากนี้เขายังสามารถรับประทานอาหารอร่อย ๆ จากทั่วโลกในราคาที่แพงกว่าร้านอาหารมิชลินระดับสามดาวที่ดีที่สุดในแมนฮัตตันได้อีกด้วย


 


ไม่เพียงแค่นั้น โรงพยาบาลจะมีทีมแพทย์ติดตามผู้ป่วยเพื่อให้พวกเขามั่นใจได้ว่าผู้ป่วยที่มีสภาพร่างกายไม่ค่อยดีจะสามารถเดินทางไปทั่วนิวยอร์กได้อย่างปลอดภัย สิ่งนี้จะช่วยยกระดับอารมณ์ที่หดหู่ให้ดีขึ้นได้ในทันที


 


เขาจะได้นั่งในรถพยาบาลพิเศษที่สะดวกสบายยิ่งกว่ารถลีมูซีนเพื่อเดินทางไปมาระหว่างโรงพยาบาลและโรงฆ่าสัตว์ LS แห่งใหม่


 


1 เดือนผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ในช่วงที่เข้ารับการรักษากับทางโรงพยาบาล ชายหนุ่มได้ทำการสอบเก็บเกรดครึ่งแรกของเกรดสิบเอ็ดและผ่านมาได้ด้วยคะแนนเฉลี่ยเกรด B


 


ในวันสุดท้ายของการสังเกตอาการอันยาวนานซึ่งในไม่ช้ากำลังจะถูกปลดเป็นอิสระ จางลี่เฉินได้เดินทางไปโรงฆ่าสัตว์ LS แห่งใหม่ด้วยรถของโรงพยาบาลเหมือนที่ผ่านมาตลอดทั้งเดือน หลังจากที่เขาไปถึงสำนักงาน มีตัวแทนของสหภาพเกษตรกรแห่งชาติไม่กี่คนได้เริ่มมองหาเขาเพื่อลงนามในสัญญาการฆ่าปศุสัตว์ด้วยตนเองล่วงหน้า หลังจากเสร็จสิ้นการเซ็นสัญญา พวกเขามีการดื่มแชมเปญ 2 – 3 แก้วเพื่อเป็นการฉลองให้กับพันธมิตรที่ร่วมมือกันสำเร็จ และเมื่อเขากำลังจะออกจากสำนักงานไป ทันใดนั้นเขาก็หยุดชะงักเนื่องจากคิ้วของเขาที่เกิดกระตุกขึ้นมาพร้อมลางสังหรณ์บางอย่าง


 


ชายหนุ่มหันกลับมานั่งบนเก้าอี้สำนักงานของเขาอีกครั้งด้วยความกระตือรือร้นที่ไม่สามารถควบคุมได้ “ชาร์ลีย์ ไปบอกดร.เวดว่าวันนี้ฉันเป็นอิสระแล้ว”


 


เวดเป็นแพทย์ประจำตัวของจางลี่เฉินในตอนนี้ เขากำลังพักอยู่ในห้องพักที่ชั้นหนึ่งและรอให้ผู้ป่วยเสร็จงานเพื่อที่เขาจะได้กลับไปศูนย์การแพทย์ด้านสุขภาพแอปเปิ้ลไอส์แลนด์พร้อมกัน


 


“ครับบอส! ผมจะส่งเขากลับไปในทันที”  ชาร์ลีย์ตกใจอยู่พักหนึ่ง แต่จากนั้นเขาก็รีบเดินลงบันไดไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ถามเหตุผลใด ๆ กับจางลี่เฉินสักคำ


 


“โอ้เอ็ดเวิร์ด! ชาร์ลีย์ช่างมีพลังและเต็มไปด้วยประสิทธิภาพการทำงานอย่างแท้จริงเลยทีเดียว คุณคิดว่าอย่างนั้นไหม?”


 


“มิสเตอร์ลี่เฉิน มีคำพูดที่โด่งดังในวอลสตรีทว่าเมื่อคุณมีเงินเดือนประจำปี 100,000 ดอลลาร์ คุณจะต้องเอ่ยถามออกไปอย่างชัดเจนเกี่ยวกับงานที่คุณไม่เข้าใจและพยายามทำงานนั้นอย่างดีที่สุด


 


ในทางกลับกัน เมื่อคุณมีเงินเดือน 100,000 ดอลลาร์ต่อเดือนคุณจะต้องถามออกไปอย่างชัดเจนเกี่ยวกับงานที่คุณไม่เข้าใจและทำงานนั้นให้ดีที่สุด


 


อย่างไรก็ตามหากคุณมีเงินเดือน 100,000 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์ ทัศนคติของคุณที่มีต่องานที่คุณไม่เข้าใจจะเปลี่ยนเป็นความพยายามได้เองโดยไม่ต้องใช้กำลังหรือต้องหาเหตุผลใด ๆ เนื่องจากเงินที่ได้รับมาคือสาเหตุสำคัญของการทำงานของคุณ” เอ็ดเวิร์ดที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “ไว้ผมจะมาพบคุณใหม่ในครั้งหน้านะครับ”


 


“คำพูดนี้ฟังดูสมเหตุสมผลทีเดียว เอาล่ะ ไว้เจอกันเอ็ดเวิร์ด” จางลี่เฉินหัวเราะอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่เขาส่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายออกไปจากสำนักงาน



ตอนที่ 161

ขณะนี้ชายหนุ่มถูกทิ้งให้อยู่ภายในสำนักงานเพียงลำพัง เขาล็อคประตูแล้วหันกลับไปมองแสงอาทิตย์ที่มีเสน่ห์และหาได้ยากในช่วงฤดูหนาวผ่านทางหน้าต่าง เมื่อคิดว่านี่ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เขาจึงเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานแล้วเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อเปิดดูบทความออนไลน์ใหม่ ๆ และรอการมาถึงของค่ำคืนนี้


 


ทันใดนั้น พาดหัวข่าวที่ว่า “การเดินทางของยูเอสหมายเลข 1 ได้เปิดทำการสรรหาผู้อยู่อาศัยถาวรชุดแรกสำหรับดาวเคราะห์ชั้นนอก” อาจฟังดูเหมือนเป็นเรื่องตลกแต่สำหรับจางลี่เฉินแล้วมันเป็นหัวข้อข่าวที่น่าสนใจมากทีเดียว


 


เขาคลิกเข้าไปอ่านเนื้อหาข่าวที่มีอยู่ 10 บรรทัดอย่างรวดเร็ว


 


“สำนักข่าว AP – ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างถาวรที่นอกโลก! มันอาจฟังดูเหมือนแฟนตาซีแต่มันคือเรื่องจริง เวลา 10.30 น. วันนี้ องค์การอวกาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาและสถาบันวิจัยที่ไม่แสวงหาผลกำไร ‘ศูนย์ค้นคว้าดาวเคราะห์น้อยใกล้โลก‘ ได้จัดงานแถลงข่าวในกรุงวอชิงตันและประกาศต่อหน้าสาธารณชนว่าพวกเขากำลังสรรหาพลเมืองผู้กล้าหาญของสหรัฐอเมริกาเพื่อเข้าร่วมในโครงการ ‘บ้านพักอาศัยถาวรนอกโลก’ ที่เป็นตั๋วเพียงเที่ยวเดียว ชุดของการคัดเลือกและการฝึกอบรมจะดำเนินการในอีกสองเดือนต่อมาท่ามกลางหมู่อาสาสมัครที่สมัครเข้ามากันอย่างน่าประทับใจ จะมีผู้ชาย 100 คนและผู้หญิง 100 คนที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้อพยพระหว่างดาวเคราะห์กลุ่มแรกของโลกและจะถูกย้ายไปอาศัยอยู่ยังดาวเคราะห์ใกล้โลกอย่างถาวร ผู้บุกเบิกเหล่านี้จะสร้างการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ถาวรเป็นครั้งแรกที่นอกโลก นอร์ตัน แอล ด็อปป์ ผู้ร่วมก่อตั้งโครงการ ‘บ้านพักอาศัยถาวรนอกโลก’ กล่าวว่าเขาได้เริ่มเตรียมแผนที่กล้าหาญนี้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว นาซ่าพร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากและผู้ได้รับรางวัลโนเบลจากบริษัทเทคโนโลยีอวกาศอื่น ๆ เชื่อว่าเทคโนโลยีอวกาศที่มนุษย์เชี่ยวชาญในปัจจุบันสามารถส่งมนุษย์อวกาศไปยังดาวเคราะห์ใกล้โลกเพื่อปักหลักอยู่ที่นั่นได้ … ”


 


เมื่อชายหนุ่มอ่านข้อความข่าวจบ เขาตะลึงกับข่าวไปครู่หนึ่งก่อนจะอ่านข้อความแสดงความคิดเห็นต่อที่ด้านล่าง


 


เกือบครึ่งหนึ่งของความคิดเห็นส่วนใหญ่จะเป็นเช่นนี้:


 


“ถ้านี่ไม่ใช่เรื่องตลกเมษาหน้าโง่ในวันคริสต์มาสแล้วล่ะก็ นาซ่าต้องกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการสังหารหมู่ที่โจ่งแจ้ง … ”


 


“ฉันเพิ่งบ่นเกี่ยวกับความแออัดของการจราจรไปเมื่อวานนี้และวันนี้ฉันก็กำลังอยู่ในยุคคไซไฟของการอพยพระหว่างดวงดาว! โอ้! นี่คงเป็นวิธีที่สร้างแรงบันดาลใจการมีชีวิตอยู่ต่อสินะ! ฉันไม่รู้ว่านี่ฉันกำลังอยู่ในความฝันหรือฉันกลายเป็นบ้าไปแล้วกันแน่ … ”


 


“IMHO** จะเป็นการดีกว่าไหมที่จะเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ‘การสรรหาคนโง่สำหรับเก้าอี้ไฟฟ้า!” ฉันโหวตให้รัฐบาลที่เพิ่มงบประมาณให้กับนาซ่าที่ไร้สาระเหรอเนี่ย! บ้าและไร้สาระสิ้นดี!”


 


(IMHO**หมายถึง ในความเห็นอันต่ำต้อยของตัวเองนั้น…, เป็นศัพท์แสลง)


 


— และความคิดเห็นที่สงสัยอีกมากมาย


 


อย่างไรก็ตาม มีหลายคนที่แสดงความคิดเห็นไปในทางเดียวกันว่าพวกเขายินดีที่จะเสี่ยงต่อการเดินทางเที่ยวเดียวไปยังดาวเคราะห์ชั้นนอกและกลายเป็นผู้บุกเบิกดวงดาวระหว่างกาลครั้งแรกเพื่อมนุษยชาติ


 


“ดาวเคราะห์ชั้นนอก? พวกเขาควรเรียกมันว่าดินแดนเหนือธรรมชาติต่างหาก! ใช้วิธีการแบบวกวนเพื่อรับสมัครผู้อพยพกลุ่มแรก… วิธีการที่เหมาะสมและถูกกฎหมาย! นักการเมืองในสหรัฐฯเป็นพวกมีสมองมากจริง ๆ…” หลังจากอ่านข่าววนไปมาหลายครั้ง จางลี่เฉินก็พึมพำกับตัวเองด้วยท่าทางตกตะลึงขนแทบพูดไม่ออก


 


สิ่งนี้กระตุ้นให้เขาเกิดลางสังหรณ์ว่ายุคที่แท้จริงของนวัตกรรมกำลังจะเกิดขึ้น ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะการมาถึงของอาณาจักรเหนือธรรมชาติแต่เป็นเพราะความโลภที่อยู่ภายในตัวของมนุษย์เองต่างหาก


 


เมื่อรอยยิ้มที่มีความหมายของนักปราชญ์ชนพื้นเมืองทูบาลินปรากฏขึ้นในใจพร้อมกับคำพูดสุดท้ายที่เขาบอกกับชายหนุ่มไว้ก่อนที่พวกเขาจะแยกจากกัน “ที่คั่นจะถูกวางไว้ใกล้ความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น โชคดีเมื่อได้วางหนังสือลง”


 


ขณะนั้น ความหงุดหงิดและความโหดเหี้ยมส่องประกายขึ้นในดวงตา เขากระซิบกับตัวเองว่า “เข้าใจแล้วว่าความหมายของ ‘ที่คั่นจะถูกวางไว้ใกล้ความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น’ คืออะไร แต่ที่ว่า‘วางหนังสือลง’ นี่สิคืออะไรกันแน่? บ้าเอ้ย! ถ้ารู้ว่าสิ่งต่าง ๆ จะกลายเป็นแบบนี้คงจะฆ่าชายชราผู้บ้าคลั่งไปเมื่อตอนเจอกันครั้งแรกแล้ว! ถ้าเป็นแบบนั้นทุกอย่างในตอนนี้ก็อาจไม่เกิดขึ้น … ”


 


ในขณะที่เขากำลังหลงทางอยู่ในความคิดมากมาย เวลายังคงเดินผ่านไปทีละวินาที ๆ จนกระทั่งเมื่อจางลี่เฉินกลับไปมองหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง เขาเผลอหรี่ตาเพราะหน้าจอสีขาวสว่างจ้าจนทำให้เขาแสบตาเล็กน้อยและกลับสู่โลกความเป็นจริงอีกครั้งได้ในที่สุด ที่ข้างนอกเริ่มจะมืดแล้ว ไฟทั่วสำนักงานสว่างขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ


 


เมื่อมองไปที่แสงค้างฟ้าของพระอาทิตย์ตกด้านนอกหน้าต่าง ชายหนุ่มส่ายหัวอย่างเหนื่อยล้าและเลิกคิดถึงคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบ หลังจากทำสเต็กพริกไทยดำให้ตัวเองเสร็จท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีดำมืดสนิท


 


เมื่อค่ำคืนมืดมิดที่เขารอมาถึง จางลี่เฉินใช้ผ้าเช็ดปากที่มันจากการกินอาการก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาเริ่มปลอบใจตัวเอง “สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือความแข็งแกร่ง! ตราบใดที่เราแข็งแกร่งมากพอเราก็สามารถรับมือกับความประหลาดที่คาดไม่ถึงที่จะเกิดขึ้นได้ … ”


 


จากนั้นเขาก็ออกคำสั่งผ่านทางความคิดโดยให้เมานท์โทดที่ซ่อนตัวอยู่ในมหาสมุทรเลือดใต้โรงงานมานานกว่า 40 วันล่องหนและกระโดดมายังที่ที่เขาอยู่


 


ขนาดของสัตว์อาคมที่โตขึ้นจนพร้อมกับถูกย้อมด้วยสีแดงไปทั่วตัวด้วยเลือด ผิวหนังคางคกที่ตะปุ่มตะป่ำที่มีรูปร่างคล้ายดอกไม้ในตอนแรกตอนนี้กลายเป็นเหมือนเหรียญจีนโบราณที่เป็นวงด้านนอกแต่ข้างในเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ชายหนุ่มอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้


 


ความรู้สึกที่ได้รับจากเมานท์โทดที่กำลังหมอบอยู่บนพรมของสำนักงานเป็นประเภทของความรู้สึกที่น่ากลัวและหนาวเหน็บ คล้ายกับภูเขาไฟที่อยู่เฉยเพื่อรอเวลาที่จะระเบิดในไม่ช้า เขามองออกไปนอกหน้าต่าง เมื่อสังเกตได้ว่าคืนนี้เป็นท้องฟ้าโปร่งเขาพึมพำขึ้นมาในทันที “ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงของเมานท์โทดจะไม่ต้องการสภาพแวดล้อมที่มีพายุรุนแรงอย่างโครโคดราก้อนสินะ ถ้าอย่างนั้นมันจะต้องเป็น … ”


 


ในขณะที่จางลี่เฉินกำลังพูดอยู่ สัตว์อาคมกำที่ลังหมอบอยู่กับพื้นก็อ้าปากกว้าง ปากของมันพร้อมกับรูที่คล้ายกับเหรียญเงินของจีนปกคลุมทั่วร่างกายเริ่มดูดซับอากาศจนเกิดเสียง “หึ่ง ๆ … ” พร้อมกับร่างกายของมันที่กำลังขยายตัว


 


ชายหนุ่มตะลึงงัน เขาตระหนักได้ว่าเวลาแค่เพียงไม่กี่วินาที ร่างกายของสัตว์อาคมของเขาได้ขยายตัวจนเกือบเท่าห้องสำนักงาน ด้วยความตกใจ เขารีบท่องคาถา “เชื่อมต่อ” และสั่งให้เมานท์โทดกลับไปล่องหนและให้มันลอยผ่านเมฆไปสู่มหาสมุทรผืนใหญ่


 


ต้องขอบคุณพลังรอบรู้ – เรียดสายน้ำและสายลมผ่านเมฆ ล่องเรือไปบนท้องฟ้าและเชยชมร่างที่เขาได้รับมาหลังจากโครโคดราก้อนได้เปลี่ยนไปเป็นเวิร์มดราก้อนทำให้มันสามารถเพิ่มความเร็วในการบินขึ้นได้ ในไม่ช้าเมานท์โทดก็บินและดำดิ่งสู่มหาสมุทรแอตแลนติกซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งไปมากกว่าสิบกิโลเมตร


 


ที่ด้านล่างของมหาสมุทร สัตว์อาคมตัวนี้ยังคงกลืนกินอากาศอย่างไม่หยุดยั้ง อย่างช้า ๆ มันก่อให้เกิดพายุไซโคลนคล้ายกระแสน้ำวนบนผิวน้ำซึ่งแยกน้ำออกจากกัน ขณะที่มันโหยหวน กระแสน้ำวนนั้นได้เปลี่ยนเป็นดวงตาของพายุทอร์นาโดแทน


 


อากาศจำนวนนับไม่ถ้วนถูกพัดเข้าสู่ร่างกายของสัตว์อาคมเนื่องจากลมที่โหมกระหน่ำกลายเป็นสิ่งโหดร้าย ในช่วงเวลาสั้น ๆ ร่างกายของมันได้ขยายจนเกือบมีขนาดเท่าอาคารสูงสิบชั้น


 


ในที่สุดการไหลเวียนของอากาศที่พุ่งออกมาอย่างรวดเร็วเริ่มที่จะทำให้ร่างกายของเมานท์โทดที่เข้าใจพลังรอบรู้ “ขยาย – หดตัว” ไม่สามารถรับแรงกระแทกได้อีกต่อไป ผิวหนังที่มีแผลเป็นหนาของมันเริ่มถูกทำลายอย่างรุนแรง ดูเหมือนว่าร่างกายของมันจะถูกแบ่งออกเป็นส่วน ๆ ในไม่ช้า


 


“วิธีที่เมานท์โทดจะเปลี่ยนร่างคือแบบนี้เองสินะ! แต่ถึงอย่างนั้นก็หวังว่าคนอื่นจะคิดว่านี่คือพายุทอร์นาโดทั่ว  ๆ ไปและไม่ได้ไปดึงดูดความสนใจใครมากนัก… “


 


เมื่อจางลี่เฉินจ้องมองลมกรดเหมือนมังกรคลุมเครือที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างและรู้สึกถึงสถานการณ์ที่สัตว์อาคมกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ เขาถูกโจมตีด้วยความตระหนักรู้อย่างหนึ่งก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา หลังจากปิดไฟสำนักงาน เขาเดินไปเปิดหน้าต่างบ้านยาวจากพื้นจรดฝ้าออก


 


ลมหนาวที่พัดผ่านเข้ามาในห้องทำให้อุณหภูมิลดลงอย่างน้อย 4 – 5 องศา ชายหนุ่มเดินโซเซและนั่งลงบนพื้นก่อนจะหายใจเข้าลึก ๆ ทันใดนั้นหมอกสีดำเต็มปากก็ทะลักออกมาจากปากของเขา


 


การบำรุงสัตว์อาคมของเขาด้วยเลือดเป็นเทคนิคเดียวที่จางลี่เฉินรู้ด้วยชะตากรรมที่บิดเบี้ยวเมื่อเขาใกล้จะตายซึ่งจะช่วยให้สัตว์อาคมเปลี่ยนไป เมื่อหมอกเปลี่ยนไปเป็นเลือดหยดเล็ก ๆ ที่ลอยออกมาจากปาก มันค่อย ๆ ขยายตัวและลอยออกไปข้างหน้าเพื่อเข้าหาเมานท์โทดซึ่งอยู่ห่างออกไปสิบกว่ากิโลเมตรเป็นแนวต่อเนื่องแม้จะมีสายลมพัดตลอดก็ตาม


 


หลังจากนั้น คล้ายกับกรณีของโครโคดราก้อน บาดแผลของเมานท์โทดบนผิวหนังได้รับการเยียวยาขณะที่ได้รับการบำรุงโดยเลือดจากผู้เป็นนาย หลังจากนั้นร่างกายมันก็เริ่มขยายตัวจนแตกและได้รับการเยียวยาอีกครั้งโดยการบำรุงเลือดจากจางลี่เฉิน เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า


 


ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวจากการเปลี่ยนแปลงของโครโคดราก้อนคือตอนนี้ชายหนุ่มได้ก้าวขึ้นมาเป็นพ่อมดระดับ 6 ได้แล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำการเปลี่ยนร่าง แต่พลังพ่อมดของเขาได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานเมื่อเทียบกับระดับ 5 ไปแล้ว แม้ร่างกายของเขาจะเหนื่อยล้าและเริ่มผอมแห้งเมื่อทำการบำรุงเมานท์โทดด้วยเลือด แต่อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีสัญญาณอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นอีกต่อไป


 


เมื่อเวลาผ่านไป เมานท์โทดที่อยู่ในมหาสมุทรก็เริ่มบวมจนมีขนาดเท่าภูเขาอย่างน่าประหลาดใจ พายุที่อยู่บนผิวน้ำกลายเป็นพายุทอร์นาโดยักษ์ 4 – 5 ลูกที่กำลังพัดพันกัน แม้แต่จางลี่เฉินที่อยู่ไกลฝั่งก็สามารถได้ยินเสียงคำรามของลมที่พัดผ่านมาได้อย่างชัดเจน


 


อย่างไรก็ตามในตอนนี้ชายหนุ่มไม่สนว่าพายุที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสัตว์อาคมจะดึงดูดความสนใจจากสาธารณชนได้หรือไม่ เขารู้สึกเพียงแค่ว่าการสูญเสียพลังงานในร่างกายทำให้ร่างกายของเขาเริ่มหมดความรู้สึก ชาและเจ็บปวดจนทนไม่ไหวสำหรับคนปกติ หากสิ่งนี้ยังคงดำเนินต่อไปเขาอาจต้องทรมานตัวเองจนตาย


 


ในเวลานี้ จุดที่มีลักษณะคล้ายเหรียญสีแดงบนร่างของเมานท์โทดที่อยู่ด้านล่างของทะเลก็เริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองน้ำเงินในลักษณะที่สอดประสานกัน


 


เมื่อสีของจุดเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง พายุบนผิวน้ำทะเลก็สิ้นสุดลงในทันที น้ำทะเลที่แยกจากลมกรดคำรามทรุดตัวจมไปพร้อมกับสัตว์อาคมที่เริ่มหดตัว


 


ในที่สุดเมานท์โทดก็เสร็จสิ้นการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด จางลี่เฉินหงายตัวล้มลงไปกับพื้นด้วยความโล่งใจ


 


เขาพ่นลมหายใจหอบอย่างหนักก่อนจะปิดตาไปเป็นเวลานานเพื่อทำให้จิตใจสงบ เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นจากพรมและปิดหน้าต่างอย่างระมัดระวังก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง เอนตัวลงบนเก้าอี้เพื่อทำให้ตัวเองมั่นคงแล้วออกคำสั่งให้สัตว์อาคมล่องหนเพื่อที่มันจะได้ทะยานมาหาเขาจากทะเล


 


เมื่อเขามองดูมันอีกครั้ง เมานท์โทดได้แตกต่างไปจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง ขนาดลำตัวของมันได้ขยายออกไปจนเกือบเท่าขนาดของสุนัขล่าเนื้อ ผิวด้านนอกของมันถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดที่มีจุดกลม ๆ สีฟ้าที่ล้อมด้วยรูปสี่เหลี่ยมสีกากี ก้ามสั้น ๆ ด้านหน้าสองอันที่โค้งอยู่บนพื้นเหมือนปกติ อย่างไรก็ตามมันมีขาหลังที่โดดเดี่ยวที่รองรับกลางท้องเพียงหนึ่งเดียว


 


“นี่คือรูปลักษณ์ของสัตว์ประหลาดโบราณ – มันนี่โทด ‘กลืนกินปฐพีและผืนฟ้า / ปรับขนาดเท่าที่ควรจะเป็น’ จางลี่เฉินมองดูสัตว์อาคมพลางพูดพึมพำกับอักษรโบราณที่ปรากฎขึ้นในใจโดยเป็นคำว่า “ท้องฟ้าทรงกลมและโลกรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า … ดังนั้นสิ่งที่อยู่ด้านหลังของเมานท์โทดไม่ใช่เหรียญแต่เป็นตัวแทนของภาพสวรรค์และโลก! ในกรณีนี้ ตำนานของเด็กหนุ่มที่จำลองมันนี่โทดและมีเหรียญอยู่ที่หลัง … เดี๋ยวนะ! แล้วทำไมเราต้องมาคิดเรื่องนี้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงด้วยกัน?”


 


หลังจากพูดออกไปอย่างนั้นชายหนุ่มก็หัวเราะเบา ๆ และหลับตาลงก่อนจะหายใจถี่ ๆ อย่างต่อเนื่อง


 


ชั่วโมงครึ่งต่อมา ในที่สุดเขาก็พ่นอากาศออกจากร่างกาย เมื่ออกของเขาจมลึกลงไปกับตัว เขาได้เปิดตาของตัวเองขึ้นมาอีกครั้งและมองดูเมานท์โทดที่อยู่ข้าง ๆ ในขณะที่จิตใจของเขากำลังอธิบายภาพลักษณ์ของปีศาจที่ว่องไวและชัดเจนระหว่างที่เขาเริ่มหายใจเบา ๆ



ตอนที่ 162

ขณะที่จางลี่เฉินกำลังสูดอากาศเข้าอยู่นั้น พื้นที่ที่เมานท์โทดนั่งอยู่เกิดการบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย จากนั้นเมล็ดคล้ายดอกไม้บนหลังของมันก็เปล่งสีเหลืองและน้ำเงินจาง ๆ ออกมาอย่างแผ่วเบา ทีละน้อย ๆ ชายหนุ่มดูดเมล็ดที่คล้ายก้อนกรวดเข้าไปผ่านทางรูจมูกและปาก


 


เมื่อก้อนกรวดเข้าปากไป รสขมที่สัมผัสได้ก็พุ่งขึ้นอย่างโดดชัดในทันที อย่างไรก็ตาม เขาสามารถทนรสขม ๆ นี้ได้ราวกับว่ามันไร้รสชาติขณะที่เขาเริ่มปรับลมหายใจอย่างช้า ๆ และมั่นคง


 


หลังจากนั้นไม่นาน นอกเหนือจากความขมที่โดดขึ้นมา ชายหนุ่มรู้สึกว่าร่างกายของเขาเริ่มร้อนและบวมขึ้น เขาลืมตาแล้วหันไปมองเมานท์โทดที่ค่อย ๆ ตัวเล็กลง หลังจากใช้เวลาอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าไม่ใช่เพราะสัตว์อาคมของเขาที่ตัวเล็กลงแต่เป็นตัวของเขาเองต่างหากที่ใหญ่โตขึ้น กล้ามเนื้อในร่างกายของเขาเริ่มโป่งนูนเมื่อเลือดภายในตัวสูงขึ้น


 


สองนาทีต่อมาชายหนุ่มได้กลายเป็นชายร่างใหญ่ที่มีความสูงเกือบ 3 เมตรและมีกล้ามเนื้อเหมือนเหล็กปกคลุมไปทั่วร่าง หัวของเขาเกือบจะจรดเพดานของสำนักงานอยู่แล้วในขณะนี้


 


จางลี่เฉินเริ่มวิตก แต่โชคดีที่ร่างของเขาเริ่มหดตัวลงเหมือนลูกบอลลูนที่ถูกปล่อยลมออกก่อนจะกลายมาเป็นขนาดเท่าดินสอ


 


กระบวนการที่ทั้งแปลกและลึกลับในการขยายและหดตัวเช่นนี้ถูกกระทำซ้ำอย่างต่อเนื่องจนเขาเริ่มเวียนหัว เมื่อเสียงสูดดมของชายหนุ่มเริ่มลึกขึ้น ก้อนกรวดที่ลอยออกมาจากร่างของเมานท์โทดก็เพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและความเร็ว พวกมันพุ่งเข้าสู่ร่างกายของจางลี่เฉินผ่านทางปากและจมูกไม่หยุด


 


ร่างของสัตว์อาคมค่อย ๆ พร่ามัวจนรูปร่างเริ่มไม่ชัดเจนและยากที่จะมองเห็น ในที่สุด เมื่อร่างของจางลี่เฉินขยายตัวและย่อตัวเป็นครั้งที่หกเสร็จ เมานท์โทดที่กลายเป็นร่างโปร่งใสกลายเป็นก้อนกรวดเม็ดละเอียดที่หายไปในอากาศก่อนที่ผู้เป็นนายของมันจะดูดมันเข้าไปในท้องของเขา


 


เมื่อถึงเวลาที่ก้อนกรวดสุดท้ายเข้าไปในปากของจางลี่เฉิน ขนาดร่างกายของเขาก็กลับกลายเป็นขนาดปกติเหมือนเดิม ไม่ใช่ขนาดที่สูงกว่าหรือเล็กกว่าที่เปลี่ยนแปลงไม่หยุดเมื่อครู่นี้


 


หากมองจากความสุขที่เขาได้รับผ่านทางสายตาในตอนนี้ มันเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้แล้วว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นหลังได้รับการเสียสละของเมานท์โทด


 


“นี่สินะคือความรู้สึกของร่างกายเมื่อเต็มไปด้วยพลังหลังผ่านการเปลี่ยนแปลง” ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะกำมือแน่น เขาพบว่าในขณะที่กำปั้นของเขากำแน่นและคลายออกนั้น เกล็ดสี่เหลี่ยมที่มีทรงกลมสอดแทรกอยู่ด้านในจะสามารถมองเห็นได้ราง ๆ ที่มือของเขา


 


เขาใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือของตัวเองไปวางไว้บนโต๊ะไม้เนื้อแข็งที่ใหญ่ที่สุดและหรูหราที่สุดเท่าที่เขาจะหาได้ เขาต้องการยกมันขึ้นเพื่อวัดกำลังแต่มันกลับทำให้เขาต้องประหลาดใจที่เขาสามารถบิ่นโต๊ะไม้หนาและแข็งแรงนี้ไปได้แทน


 


จางลี่เฉินตัวแข็งทื่อไปครู่หนึ่งก่อนจะบดแท่งไม้เล็ก ๆ ระหว่างนิ้วมือของเขาจนเป็นฝุ่นไม้


 


“ฉากแบบนี้สามารถเห็นได้จนชินตาในภาพยนตร์ไซไฟของอเมริกาส่วนใหญ่ที่ฮีโร่ซึ่งเป็นตัวละครหลักเพิ่งได้รับความแข็งแกร่งมาจะไม่สามารถควบคุมพลังของพวกเขาได้ดีเท่าที่ควร ดูเหมือนว่าพลังการเปลี่ยนแปลงที่เราได้รับจะไม่สามารถใช้อย่างที่ชอบได้ในทันที ต้องฝึกฝนเพื่อให้เข้าใจแก่นแท้ของพลัง อย่างไรก็ตามเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของอนาคต สำหรับตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือทักษะทางจิตวิญญาณ…” เมื่อจางลี่เฉินพูดพึมพำกับตัวเองเสร็จ เขาก็เดินออกจากออฟฟิศเพื่อเดินไปยังพื้นที่เปิดโล่งของโรงงานในทันที


 


หลังการเปลี่ยนแปลงของเมานท์โทดทำให้ตอนนี้จางลี่เฉินเหลือสัตว์อาคมอยู่แค่เพียงสามตัว เกาะมังกรและคิวโกะยังไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ชายหนุ่มวางแผนที่จะให้พวกมันซ่อนตัวอยู่ในท่อเก็บซากสัตว์ใต้ดินในโรงงานเพื่ออาบมหาสมุทรเลือดไปจนกว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง


 


ในกรณีนี้จึงเหลือแค่เพียงโครโคดราก้อนเท่านั้นที่ยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ แน่นอนว่าจางลี่เฉินจะใช้มันเพื่อทดสอบระดับทักษะทางจิตวิญญาณ


 


มันเป็นคืนที่ข้างนอกมืดมิดมากและมาพร้อมกับอากาศที่หนาวเย็น อย่างไรก็ตามในเวลานี้ชายหนุ่มกลับรู้สึกแค่ว่ามันเป็นเพียงอากาศเย็นสดชื่นราวกับว่าเขาไม่รู้สึกหนาวอะไร


 


ยังไม่ทันได้ปรับให้เข้ากับพลังในปัจจุบัน เขาเผลอไปได้ยินบทสนทนาระหว่างเกษตรกรที่ทำงานช่วงกลางดึกและเจ้าหน้าที่โรงฆ่าสัตว์เกี่ยวกับพายุเฮอริเคนในทะเลที่เกิดขึ้นในความมืดห่างออกจากฝั่งไปหลายร้อยเมตร จางลี่เฉินละความสนใจจากบทสนทนาดังกล่าวเพื่อเดินไปขึ้นรถของตัวเองและขับออกไปที่ประตูของโรงงาน


 


ประตูจะมีการเปิดอยู่ตลอดเพื่อให้รถขนสัตว์สามารถเข้าและออกจากโรงฆ่าสัตว์ภายใต้การเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมงได้ ดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 9 คนที่แบ่งเป็น 3 กะ


 


แน่นอนว่าพนักงานของโรงฆ่าสัตว์ LS แห่งใหม่นี้รู้จักรถของจางลี่เฉินกันทุกคน เมื่อเขากำลังขับผ่านไป เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 3 คนที่กำลังเฝ้าเวรอยู่ก็ลุกขึ้นยืนทำความเคารพในทันที หัวหน้าทีมตะโกน “เซอร์! ยังไม่ได้เปิดไฟหน้ารถเลยครับ!”


 


“ขอบใจมาก!” ชายหนุ่มรู้ดีกว่าเขาไม่ได้เปิดไฟหน้ารถหลังจากขับออกมา แน่นอนว่าด้วยวิสัยทัศน์ปัจจุบันของเขามันไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับเขาแต่อย่างใด แต่มันอาจดูแปลกสำหรับคนอื่น ๆ หากมีความแปลกประหลาดเกิดขึ้นและเริ่มสะสมสิ่งผิดปกติไปเรื่อย ๆ  มันอาจทำให้เกิดปัญหาที่ไม่จำเป็นขึ้นในอนาคตได้


 


“ดูเหมือนว่าเราจะต้องคอยระมัดระวังอย่างมากไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามในช่วงต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้…” จางลี่เฉินพึมพำกับตัวเองขณะขับรถไปบนถนนทางหลวง หลังจากขับรถไปได้ครู่หนึ่งเขาก็หันรถเข้าไปในเขตพื้นที่ป่ากว้างและรีบไปที่ชายหาด


 


ท่ามกลางเสียงคลื่นกระทบฝั่ง จางลี่เฉินปิดไฟหน้ารถแล้วลดระดับกระจกหน้าต่างลง จ้องมองไปยังผิวน้ำทะเลระยะไกลจากนั้นก็ออกคำสั่งถึงสัตว์อาคมโดยไร้เสียง


 


ไม่นาน ละอองหมอกเล็ก ๆ ก็ลอยขึ้นจากทะเลมาอยู่ข้างรถ หลังจากนั้นมังกรเขียวขนาดจิ๋วตัวบางเท่าตะเกียบที่มีความยาว 20 เซนติเมตรก็พุ่งผ่านกลุ่มหมอกและเข้าไปในรถผ่านทางหน้าต่าง วนตัวไปมาขณะอยู่ที่ด้านหน้าของชายหนุ่ม


 


“36 ครั้ง การหดตัวของสัตว์ตัวนี้จะต้องเป็นอัตราส่วน 1:36 ไม่เพียงแค่นั้น ถ้าเราไม่จดจ่อหรือมีสติมากพอเราจะไม่สามารถรับรู้ถึงพลังของพ่อมดได้เลย … ” จางลี่เฉินจ้องมองเวิร์มดราก้อนที่กำลังหมุนวนอยู่ในอากาศขณะที่เขาพึมพำด้วยความดีใจ หลังจากสัมผัสสัตว์อาคมอยู่ 2 – 3 ครั้งเขาก็ปล่อยให้มันออกไปข้างนอกทางหน้าต่างรถ


 


หลังจากออกจากรถไปแล้วเวิร์มดราก้อนที่ดูเหมือนงูของเล่นก็เริ่มขยายตัวท่ามกลางสายลมภายใต้คำสั่งของผู้เป็นนาย เมื่อมันพองตัวเป็นเกลียว ร่างกายของมันกลับกลายเป็นความยาวที่มากกว่า 10 เมตรลอยตัวอยู่ข้างทะเล


 


ภายใต้กลุ่มหมอกหนา จางลี่เฉินเปิดประตูรถและถอดเสื้อผ้าทั้งหมดออกก่อนจะทิ้งทุกอย่างไว้ในรถ หลังจากนั้นเขาก็สั่งให้เวิร์มดราก้อนเข้ามาหาเขาด้วยร่างกายที่บิดตัวไปมา ทั้งหัวและหางของมันต่างกำลังเคลื่อนไหว


 


เมื่อมองมังกรที่เคลื่อนตัวมาหยุดอยู่ตรงเท้า เขาลูบไล้เกล็ดสีเขียวของมันเบา ๆ ชายหนุ่มที่มักเคลื่อนไหวด้วยความระมัดระวังและพิถีพิถันได้ระเบิดความตื่นเต้นอย่างอดใจไว้ไม่อยู่ ”เราจะขี่มังกรวันนี้และมุ่งหน้าไปสู่ขอบฟ้าพรุ่งนี้เช้า วันนี้…เราจะได้ขี่มัน…ฮ่า ๆ…”


 


ที่ด้านหน้าของทะเลมืดที่ทอดยาวไกลออกไปเท่าที่ดวงตาจะมองเห็นได้ ที่ซึ่งคลื่นสีเขียวดูเหมือนจะเชื่อมต่อกับท้องฟ้า เขาท่องบทกวีโบราณด้วยเสียงที่ดังก้องก่อนจะขึ้นขี่มังกรและบินลอยขึ้นไป จากนั้นก็ซ่อนตัวเองลงไปในมหาสมุทรผืนใหญ่


 


น้ำทะเลเย็น ๆ ที่กำลังปกคลุมร่างเปลือยเปล่าของจางลี่เฉินทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย


 


ในขณะที่เวิร์มดราก้อนเคลื่อนไหวร่างกายในทะเล ชายหนุ่มก็ตระหนักได้ว่าเขาสามารถหายใจในน้ำได้ ไม่เพียงเท่านั้น ช่วงเวลาการหายใจใต้น้ำของเขายังใช้เวลาได้นานกว่า 10 นาทีเสียด้วย


 


30 นาทีต่อมา เมื่อรู้สึกว่าเขาอยู่ห่างจากฝั่งมากพอสมควร จางลี่เฉินขี่เวิร์มดราก้อนและพุ่งลงไปใต้มหาสมุทรที่มีความลึกหลายร้อยเมตร


 


ทะเลลึกเป็นสีดำสนิทที่ซึ่งแสงจากเบื้องบนไม่อาจส่องถึง โดยใช้ทักษะทางจิตวิญญาณ ชายหนุ่มสั่งให้สัตว์อาคมขยายตัวออกโดยไร้ซึ่งการบังคับขนาด ในเวลาไม่นาน เวิร์มดราก้อนก็กลายร่างเป็นมังกรสูงตระหง่านขนาดยักษ์ที่ยาวเกือบพันฟุตตั้งแต่หัวจนถึงหาง มันทำให้เกิดกระแสน้ำวนจำนวนนับไม่ถ้วน สัตว์ประหลาดแปลก ๆ นับพันที่อาศัยอยู่ใต้ทะเลลึกรีบพากันหลบหนีจากไป


 


หลังจากเวิร์มดราก้อนมีขนาดใหญ่ขึ้น จางลี่เฉินผู้ซึ่งยืนหยัดต่อสู้กับสายธารหลากได้เหยียดร่างกายของตัวเองออก มีเกล็ดสีน้ำเงินและสีเหลืองยื่นออกมาจากผิวหนังของเขา ในขณะเดียวกัน เนื้อและกระดูกในร่างกายของเขาก็ขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาได้เปลี่ยนตัวเองเป็นร่างยักษ์น่ากลัวที่มีความสูง 9 เมตร มีปากสี่เหลี่ยม ตาโปนและหลุมดำสี่หลุมแทนที่หูและจมูก


 


กำปั้นของเขามีขนาดเท่ากับลูกบาส เขาลองออกหมัดชกไปข้างหน้า แม้จะมีแรงดันจากทะเลน้ำลึกแต่ชายหนุ่มยังสามารถต่อยกระแสน้ำได้ยาวเกินกว่า 10 เมตร


 


น้ำทะเลที่อยู่ข้าง ๆ ชายหนุ่มเริ่มเกิดการปั่นป่วนขึ้นอย่างรุนแรง มันพุ่งเข้าไปในร่างกายของเขาตามช่องสี่เหลี่ยมที่กลายเป็นโพรง


 


เสียงไล่ลมดังสะท้อนจากน้ำทะเลลึก วังวนของกระแสน้ำวนพุ่งออกมาจากปากของจางลี่เฉินเหมือนเขาเป็นสัตว์ประหลาด สัตว์ทะเลนับไม่ถ้วนถูกหั่นเป็นเนื้อบดก่อนจะค่อย ๆ สลายหายไป


 


แม้จะยังรู้สึกไม่พอใจเท่าไหร่แต่เขาก็เลือกที่จะจบทริปนี้และขี่มังกรกลับไปที่ชายฝั่ง


 


ดวงจันทร์ที่สดใสประดับอยู่บนฟ้า ณ กลางดึก จางลี่เฉินพลุ่งพล่านออกจากทะเลและส่ายร่างกายของเขา 2 – 3 ครั้งเพื่อสลัดน้ำออกจากตัว


 


เขาเดินเปลือยเปล่ากลับไปที่รถเพื่อใส่เสื้อผ้า และทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาของเรือที่แล่นจากทะเลไกล ๆ


 


“สงสัยจริงว่าจะเป็นเรือรบหรือเรือท่องเที่ยว…” ขณะพึมพำกับตัวเอง ชายหนุ่มออกคำสั่งให้มังกรย่อขนาดตัวให้เล็กที่สุดแล้วเคลื่อนย้ายมันเข้ามาอยู่ในกระเป๋า จากนั้นเขาเริ่มสตาร์ทเครื่องยนต์และเริ่มเร่งความเร็วขับไปตามถนนทางหลวง


 


แม้ว่ามันจะเป็นการทดลองที่ดูรีบร้อนแต่ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้แล้วว่าหลังจากที่ จางลี่เฉินได้รับการเปลี่ยนแปลงเมานท์โทดมา ทักษะทางจิตวิญญาณใหม่และความแข็งแกร่งของสัตว์ร้ายของเขานี้มีความพิเศษอย่างสมบูรณ์


 


ครั้งล่าสุด ด้วยความช่วยเหลือของคาถา “เชื่อมต่อ” สัตว์อาคมสามารถขยายตัวได้ใหญ่กว่าเดิมถึง 30 เท่าโดยใช้เวลาไม่เกิน 20 วินาที


 


อย่างไรก็ตามเมื่อเขาใช้ทักษะทางจิตวิญญาณ เขาสามารถสั่งให้สัตว์อาคมขยายขนาดตัวได้ถึง 36 เท่า พิจารณาจากการสูญเสียพลังของสัตว์อาคมแล้วเกือบจะเป็นศูนย์ มันสามารถคงอยู่ได้ตลอดไปตราบใดที่เขายังไม่ตาย สิ่งนี้หมายถึงความสามารถในการต่อสู้ของสัตว์อาคมที่ได้รับการบำรุงเลือดมาอย่างน้อย 10 ครั้งก่อนหน้านี้


 


แม้ว่าร่างกายของจางลี่เฉินจะไม่สามารถขยายหรือย่อตัวได้ 36 เท่าของขนาดดั้งเดิมเหมือนดั่งสัตว์อาคม แต่อัตราส่วนการขยายตัว 1 : 6 และความแข็งแกร่งของสัตว์ร้ายทรงพลังและพลังลึกลับที่มีก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาพอใจ


 


เขาไม่เคยรู้สึกถึงพลังอันยิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อน


 


จางลี่เฉินที่กำลังตื่นเต้นอย่างมากไม่มีความตั้งใจที่จะพักผ่อนในตอนนี้เสียเลย เขาขับรถเข้านครนิวยอร์กและหยุดรถที่ด้านหน้าของโรงแรมที่มีสัญลักษณ์รูปดาวอยู่บนป้าย


 


“เซอร์ มีอะให้ช่วยหรือไม่ครับ?” เมื่อพนักงานขับรถที่อยู่ทางเข้าของโรงแรมเห็นหน้าต่างรถเลื่อนลงมาจึงเอ่ยถามออกไป


 


“ส่วนของร้านอาหารเปิดตลอด 24 ชั่วโมงหรือเปล่า?”


 


“ใช่ครับ! โรงแรมแฮกค์ของเราเป็นโรงแรมระดับสามดาวที่มีมาตรฐานจากระดับห้าดาว นอกเหนือจากการเปิดร้านอาหารตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว เมนูที่นำเสริฟ์ก็จะเหมือนกันทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืน พ่อครัวที่นี่พร้อมปรุงอาหารให้แขกผู้มีเกียรติทุกเวลาเลยครับ!”


 


“เป็นที่ ๆ ยอดเยี่ยมที่กำลังมองหาอยู่พอดี ถ้างั้นก็ช่วยเอารถไปจอดให้ทีนะ ขอบคุณ” จางลี่เฉินก้าวลงจากรถแล้วส่งเงินให้พนักงานคนนั้นไป 5 ดอลลาร์ก่อนจะเดินเข้าโรงแรมไป



ตอนที่ 163

ร้านอาหารที่เปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมงของโรงแรมแฮกค์จะเปิดไฟเพดานเพียงสองในหกดวงเท่านั้นในตอนกลางคืน ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อจะได้ผลาญก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ในปริมาณต่ำ


 


และเนื่องจากการเปิดไฟแค่เพียงสองดวงทำให้เกิดแสงสลัวจึงมีการจุดเทียนบนโต๊ะของผู้ที่เข้ามาใช้บริการเพื่อสร้างบรรยากาศอาหารยามค่ำภายใต้แสงเทียน


 


จางลี่เฉินเดินเข้าไปในร้านอาหารและมองหาที่นั่งแบบสุ่ม ๆ จากนั้นบริกรก็ทำการจุดเทียนและส่งเมนูให้เขาเลือก


 


เขาพลิกเมนูและดูรายชื่ออาหารด้วยความช่วยเหลือจากแสงเทียนจาง ๆ ตราบใดที่เขารู้สึกว่าชื่อของจานนั้นน่าสนใจเขาก็จะเลือกสั่งมันโดยไม่ลังเล เพียงแค่อึดใจเดียวเขาก็ได้สั่งอาหารจานใหญ่ไปมากกว่าสิบจาน


 


“คุณครับ ร้านอาหารของเรามีการเสิร์ฟอาหารด้วยปริมาณที่ค่อนข้างมาก บางทีมันอาจจะเป็นการเสียของได้ถ้าคุณสั่งมากเช่นนี้” บริกรกล่าวเตือนด้วยความหวังดี


 


“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำแต่เอาตามที่ผมสั่งไปทั้งหมดนี้แหละ ผมเพิ่งเสร็จจากงานที่สำคัญมากงานหนึ่งดังนั้นวันนี้จึงเป็นวันที่สำคัญสำหรับผมมาก ผมหวังว่าตัวเองจะได้ลิ้มรสอาหารมื้อนี้ให้ได้มากที่สุดก่อนที่ผมจะเริ่มออกกำลังกายอย่างหนัก”


 


“เข้าใจแล้วครับ ทางเราจะรีบไปเตรียมอาหารให้ในทันที” เมื่อได้ยินดังนั้นบริกรก็ไม่คิดพูดอะไรอีก เขาพยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนจะวิ่งเข้าครัวเพื่อปลุกพ่อครัวที่เข้าเวรช่วงกลางคืนซึ่งกำลังนั่งกรนอยู่บนเก้าอี้ไม้ “มิสเตอร์เฮนเทลครับ มีลูกค้าเข้า”


 


“ก็ไปบอกให้แม็คเกรดี้ทำซะสิ! ฉันง่วง จะนอน!” พ่อครัวที่มีความสูงไม่เกิน 170 เซนติเมตรแต่มีน้ำหนักอย่างน้อย 250 ปอนด์ที่ดูเหมือนมันฝรั่งถูกปอกเปลือกตบผู้ช่วยที่นอนกรนอยู่ข้าง ๆ “ตื่นได้แล้วแม็คเกรดี้! ไปทำอาหารให้ลูกค้าก่อนแล้วค่อยกลับมานอน”


 


“มิสเตอร์เฮนเทล ลูกค้าสั่งอาหารเข้ามามากกว่า 10 จานเลยนะครับ ผมคิดว่าผู้ช่วยของคุณคงไม่สามารถรับมือคนเดียวได้ไหว … ”


 


“มากกว่า 10 จาน?! นี่มันกี่โมงแล้ว? ทำไมมีคนมากมายมารุมกันในช่วงเวลานี้?” เฮนเทลอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืนมาอย่างไม่เต็มใจก่อนจะล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเพื่อปลุกตัวเองให้ตื่น “ไหนเอาออเดอร์มาดูสิ โอ้! เป็นอาหารจานใหญ่ทั้งหมดเลยนี่!”


 


“เรามีลูกค้าแค่เพียงคนเดียวครับ แถมเขาดูผอมและตัวเล็กมากอีกด้วย”


 


“มาคนเดียวแต่สั่งอาหารมากมายขนาดนี้เชียวหรือเนี่ย? นี่มันเรื่อง … แต่การเป็นคนตัวผอมก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่สามารถกินเยอะ ๆ ได้ ฉันเพิ่งดูการแข่งขัน ‘บิ๊กอีทเตอร์’ ไปเมื่อวานนี้และคนผอม ๆ จากญี่ปุ่นคนนั้นก็ชนะอีกครั้ง มัน ช่างบ้าบอมากจริง ๆ! เขากินฮอทดอกไปทั้งหมด 67 ชิ้น! เขามีหลุมดำอยู่ในท้องหรือไงกัน …” พ่อครัวบ่นพึมพำในขณะที่เขาเริ่มทำอาหาร ไม่นานหลังจากนั้นอาหารก็เริ่มทยอยมาเสิร์ฟบนโต๊ะของจางลี่เฉินทีละจาน ๆ


 


เมลอนแฮมม้วน, ไข่กวนครีมเห็ด, ไก่โพรวองซ์, วุ้นเส้นหอยเชลล์ ในเวลาไม่ถึงหนึ่งหรือสองนาทีหลังจากที่จานเหล่านี้ถูกนำมาเสิร์ฟ แต่ละจานถูกจางลี่เฉินกลืนลงท้องไปอย่างว่องไว


 


ภายใต้สายตาของบริกรที่เอาแต่ตะลึงงัน 20 นาทีต่อมาชายหนุ่มได้กินอาหารจำนวนมากพอสำหรับผู้ใหญ่ปกติ 4 คนเพื่อเติมเต็มท้องของเขาจนหมด ไม่เพียงเท่านั้นแต่ตอนนี้เขายังไม่รู้สึกอิ่มเสียด้วยซ้ำ


 


ขณะลูบท้องป้อย ๆ จางลี่เฉินมองหาบริกรที่ดูแลเขาอีกครั้งเพื่อจะได้สั่งอาหารเพิ่มเติม แต่ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดังก้องแทรกคำพูดเขาขึ้นมาเสียก่อน “อะไรกัน? เขากินทุกอย่างหมดจริง ๆ หรอเนี่ย! ฉันคิดว่าเขาน่าจะไปเข้าร่วมการแข่งขัน ‘บิ๊กอีทเตอร์’ และกลืนฮอทดอก 67 ชิ้นในคราวเดียวแบบนั้นดูนะ!”


 


หลังจากถูกทำให้มึนงงไปครู่หนึ่ง จางลี่เฉินก็ตระหนักได้ว่าเสียงนั้นมาจากการพูดพึมพำของบริกรที่ยืนอยู่ใต้แสงสลัวระยะไกล ด้วยความกระวนกระวายเขาเลือกที่จะเปลี่ยนใจและโบกมือเรียกบริกรมาคิดเงินแทน “ช่างเป็นมื้อที่วิเศษจริง ๆ! บริกร เก็บเงินให้ที!” แล้วเขาก็หยิบบัตรเครดิตออกมา


 


หลังจากจ่ายค่าอาหารเสร็จ เขาก็รีบเดินออกจากโรงแรมและพึมพำกับตัวเองอย่างน่าเศร้าขณะสตาร์ทรถ “กลืนโลกและท้องฟ้า…ดูเหมือนว่าเราจะไม่รู้สึกอิ่มไปตลอดทั้งชีวิตนี้ได้แล้วสินะ…” จากนั้นเขาเหยียบคันเร่งและเปลี่ยนขับเข้าถนนที่ตรงไปควีนส์แทน


 


ขณะที่รถขับผ่านไปได้ 2 ช่วงตึก ชายหนุ่มก็ได้รับโทรศัพท์จากทีน่าอย่างกระทันหัน


 


นับตั้งแต่ที่เขาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ทีน่าจะบินกลับมานิวยอร์กเพื่อเยี่ยมเขาเกือบทุก ๆ 2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามนี่เป็นครั้งแรกที่เธอโทรหาเขาในช่วงเวลาที่ดึกมากขนาดนี้


 


“ว่าไงทีน่า คุณมีอะไรหรือเปล่า?”


 


“ที่รัก คุณออกจากโรงพยาบาลแล้วหรือยัง?” หญิงสาวตะโกนท่ามกลางเสียงเพลงดัง


 


“ใช่ คุณรู้ได้อย่างไร?”


 


“ศาสตราจารย์แมดเดลล์ป่วยฉันเลยบินกลับมานิวยอร์กเร็วกว่าที่วางแผนไว้น่ะ ฉันตั้งใจจะไปเยี่ยมนายในวันพรุ่งนี้แต่ฉันบังเอิญเจอกับแอนนี่ลูกสาวของมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดที่คิวปิดบาร์เข้า เธอบอกว่าเธอได้ยินมาจากพ่อว่านายออกจากโรงพยาบาลแล้วและอยู่ที่โรงงาน”


 


“แต่ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ที่โรงงานหรอกนะ ผมเพิ่งกินข้าวเย็นเสร็จและกำลังขับรถอย่างไร้จุดหมายอยู่ในนิวยอร์ก”


 


“โอ้ งั้นก็เยี่ยมไปเลยน่ะสิ! มาที่คิวปิดบาร์ในแมนฮัตตันซะสิ! ฉันคิดถึงนายมากเลยนะ! ทริชและชีล่าเองก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน! โอ้ใช่ พูดถึงชีล่า รู้ไหมเธอมีแฟนใหม่แล้วนะ เขาก็อยู่ที่นี่กับเราด้วย … ”


 


“ชีล่ามีแฟนใหม่แล้วเกี่ยวอะไรกับผมล่ะ” จางลี่เฉินตั้งค่าการนำทางอย่างงุ่มง่าม “คิวปิดบาร์ในแมนฮัตตันใช่มั้ย โอเค ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละ! แล้วไว้เจอกัน!”


 


หลังจากกล่าวคำลา ชายหนุ่มก็กดวางสายแล้วขับรถไปตามถนนนิวยอร์กนานกว่า 40 นาทีตามคำแนะนำของเครื่องนำทางก่อนจะหยุดรถที่ด้านนอกไนท์คลับแห่งหนึ่งที่ ๆ มีแสงไฟกระพริบและเสียงเพลงดังหนวกหูเมื่อตอนที่ประตูเปิดออก


 


ร้านดังกล่าวตั้งอยู่ในแมนฮัตตัน เป็นสถานที่ ๆ เหมาะสำหรับคนหนุ่มสาวอย่างมากซึ่งกำลังพากันที่ต่อแถวเข้าคิวยาวอยู่ด้านนอกประตู เป็นทำเลที่ตั้งอยู่ไกลจากฝั่งตะวันตกตอนบน


 


จางลี่เฉินเดินผ่านแถวคิวที่ผู้คนกำลังเข้าแถวก่อนจะหยุดอยู่ที่ประตูของไนท์คลับที่มีป้ายโฆษณา “คิวปิดบาร์” ขนาดใหญ่แขวนอยู่บนผนังด้านนอกแล้วจึงกดโทรหาทีน่า “ผมมาถึงแล้ว”


 


หลังจากนั้นไม่นาน ทีน่าที่แต่งตัวด้วยชุดกางเกงขาสั้นสีขาวสุดเซ็กซี่ก็วิ่งออกมาจากไนท์คลับ หลังจากจูบกันอยู่นานหญิงสาวจับมือของจางลี่เฉินพาเขาวิ่งกลับเข้าไปด้านในไนท์คลับโดยไม่ต้องผ่านการตรวจของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยด้านหน้าบาร์แต่อย่างใด


 


ภายในคิวปิดบาร์แม้ว่ามันจะมีแสงสลัวและปกคลุมไปด้วยหมอกควันเหมือนไนท์คลับอื่น ๆ แต่สไตล์ของที่นี่จะมีความคลาสสิคมากกว่าคลับทั่วไปที่ชาวนิวยอร์กธรรมดา ๆ มักใช้บริการกันบ่อย ๆ


 


สามารถพิสูจน์ได้จากการตกแต่งที่น่าหลงใหลของร้านที่ดูดีมีราคาแพง ที่นี่ไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในราคาที่ต่ำกว่า 100 ดอลลาร์ขาย โต๊ะอาหารของลูกค้าบางส่วนก็จะมีอาหารที่อร่อยจนเกินจะจินตนาการได้ตั้งวางอยู่


 


เห็นได้ชัดว่าแม้จะตั้งอยู่ในเขตพื้นที่สีฟ้าของแมนฮัตตันแต่ไนท์คลับแห่งนี้มุ่งเน้นไปที่คนหนุ่มสาวผู้ร่ำรวยจากนครนิวยอร์กเป็นหลัก


 


ทีน่าพาชายหนุ่มเข้าไปข้างในและเดินมายังส่วนที่กึ่งเปิดกึ่งสงวนที่อยู่ติดกับริมผนังก่อนจะตะโกนว่า “ดูซิใครมา?!”


 


“โอ้ เฮ้! ลี่เฉิน สบายดีไหมที่รัก?” ชีล่าที่ดื่มไปเยอะมากจนสายตาไม่อาจโฟกัสอะไรได้กระโจนขึ้นมาจากโซฟาพร้อมส่งเสียงร้องประหลาดใจเมื่อเธอเห็นจางลี่เฉินเดินเข้ามา เธอกอดชายหนุ่มและจูบแก้มของเขาหลังจากนั้น


 


“เฮ้ลี่เฉิน! ดีใจด้วยที่ได้ออกจากโรงพยาบาลเสียที!” ทริชที่อยู่ข้าง ๆ ลุกขึ้นยืนพร้อมกับรอยยิ้ม เธอเองก็จูบแก้มของจางลี่เฉินในทำนองเดียวกัน


 


“ขอบคุณ” จางลี่เฉินตอบกลับพวกเธอทั้งคู่ไปด้วยรอยยิ้ม


 


“ที่รัก! ฉันจะแนะนำเพื่อนใหม่ให้ได้รู้จักนะ นี่คือแอนนี่ ลูกสาวของหัวหน้าฝ่ายกฎหมายมิสเตอร์อ็ดเวิร์ดและนี่คือแฟนของเธอชื่อโจ ส่วนนี่คือโซเนียแฟนคนใหม่ของชีล่าที่มหาวิทยาลัย นี่คือคริสตินา น้องสาวของโซเนียที่อยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกันกับพวกเรา และดุกลีย์ ผู้ติดตามที่กระตือรือร้นที่สุดของทริชที่ตัดสินใจจะไม่กลับลอสแองเจลิสในปีนี้เพื่อจะได้ใช้เวลาคริสต์มาสของเขาอยู่ที่นี่แทน…”


 


“ทีน่า ดั๊กลิน…” เมื่อได้ยินคำพูดสุดท้ายของทีน่าที่พูดติดสนุก ทริชตะโกนเสียงดังด้วยความรำคาญ


 


“ผู้ติดตามของทริช? ถ้าอย่างนั้นเฮนดริคล่ะ? เขาเต็มใจที่จะเลิกกับทริชแล้วอย่างนั้นเหรอ?” จางลี่เฉินเอ่ยถามสิ่งที่อยู่ในหัวออกไปโดยไม่ทันคิดอะไร


 


การแสดงออกของทริชเปลี่ยนไปอย่างน่ากลัวในทันที ผู้ติดตามที่ทั้งสูงและแข็งแกร่งของเธอจ้องมองมาที่ชายหนุ่มและดูเหมือนว่าถ้าไม่ใช่เพราะเขากำลังอยู่ต่อหน้าผู้หญิงในตอนนี้ เขาคงจะสอนบทเรียนบางอย่างแก่ชายหนุ่มผอมแห้งคนนี้ไปแล้ว ทัศนคติของพวกเขาดูเหมือนจะผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายใต้แสงไฟที่เปลี่ยนไปมา


 


บรรยากาศกลายเป็นน่าอึดอัดใจเล็กน้อย ทีน่าจ้องมองจางลี่เฉินและอธิบายอย่างรวดเร็วไปว่า “เฮนดริคไม่ได้ติดต่อทริชมานานแล้ว บางทีเขาอาจรู้สึกว่าทั้งคู่ไม่เหมาะสมกัน”


 


“เขาดูไม่เหมือนคนที่ฉลาดและมีเหตุผลเท่าไหร่ แต่…” เมื่อคิดถึงการกระทำที่ดื้อรั้นของเฮนดริคบนเอลิซาเบธ ฮอลิเดย์เมื่อครั้งที่พวกเขาติดอยู่บนเกาะเหนือธรรมชาติแล้วจางลี่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะคู้ปากก่อนจะนั่งลงบนโซฟา


 


จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปหาแอนนี่แล้วพูดว่า “มิสแอนนี่ พ่อของคุณเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนที่สำคัญของผมเลยนะครับ ผมได้ยินเขาพูดถึงคุณมามาก ดีใจที่ได้พบคุณ”


 


การมีคนจากเพศตรงข้ามเข้ามาทักทายตัวเองในไนท์คลับและคน ๆ นั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจ้านายในตำนานที่พ่อของเธอเคยพูดถึงมาก่อนทำให้แอนนี่ตกใจไปครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมไปจับมือกับชายหนุ่ม “ดีใจที่ได้พบคุณเช่นกันค่ะมิสเตอร์ลี่เฉิน ฉันมักจะได้ยินพ่อของฉันพูดถึงคุณอยู่บ่อย ๆ อย่างไรก็ตามฉันไม่เคยคิดเลยนะคะว่าคนที่มีชื่อเสียงที่จะรวมอุตสาหกรรมการโรงฆ่าสัตว์ทั้งหมดของนครนิวยอร์กจะเป็นคุณ ในฐานะนักอุตสาหกรรมที่มีรายได้หลายร้อยล้านดอลลาร์ต่อปีคุณยังดูเด็กเกินไปมาก!”


 


เมื่อได้ยินแอนนี่พูดถึงค่าตัวของจางลี่เฉิน คนหนุ่มสาวไม่กี่คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเขาเลยพากันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย


 


อย่างไรก็ตามสำหรับนักเรียนปีแรกของฮาร์วาร์ด พวกเขาคุ้นเคยกับการได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับวิธีที่ผู้อาวุโสในอดีตประสบความสำเร็จทางธุรกิจและกลายเป็นมหาเศรษฐีหรือนักวิทยาศาสตร์หรือแม้แต่นักการเมืองที่รู้จักกันดี


 


ชนชั้นสูงเหล่านี้ที่อยู่ชั้นบนสุดของสังคมอาจกล่าวได้ว่าไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับพวกเขาแต่อย่างใด


 


ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนที่มีอายุในช่วง 10 – 20 ที่มีความเคารพตนเองสูงไม่ได้ทำให้พวกเขาเข้าใจอะไรมากขึ้นแม้ว่าพวกเขาจะได้รับการศึกษาแบบเดียวกันหรือแม้ว่าระดับ IQ ของพวกเขาจะเท่ากันก็ตาม มันไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะสามารถทำสิ่งที่คนอื่นทำแบบนั้นด้วยได้ ด้วยเหตุนี้เองแม้จะมีความประหลาดใจในแบบที่คนหนุ่มสาวอย่างจางลี่เฉินทำแต่ก็ไม่ได้มีอะไรที่ทำให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงได้ตาม


 


“ขอบคุณครับ โปรดอย่าลืมส่งความนับถือถึงมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดแทนผมเมื่อคุณกลับถึงบ้านคืนนี้ให้ด้วยนะครับ”


 


“กลับบ้าน? โอ้ ไม่นะลี่เฉิน คืนนี้เราจะไม่กลับบ้านกันหรอก! เราจะไปดูการแข่งขันพิเศษปีใหม่ที่จัดขึ้นโดยเวิลด์เรสต์ลิงกันต่อจากนี้ต่างหาก!”


 


“ชีล่า ผมเชื่อว่าคุณอาจจะไม่กลับบ้านแต่ทีน่า ทริช และมิสแอนนี่ ….”


 


“โอ้ ลี่เฉินที่รัก พ่อแม่ของพวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันนี้พวกเรากลับมานิวยอร์กกันแล้ว สำหรับแอนนี่ พ่อของเธอยังคงทำงานค้างคืนอยู่ที่สำนักงานและปิดการทำงานโรงงานของเธออยู่ ส่วนแม่ของเธอก็อยู่ที่ปารีสและจะกลับมาในวันคริสต์มาสอีฟ คืนนี้คืออิสระภาพพวกเรา! มาส่งเสียงเชียร์ให้กับอิสรภาพของพวกเรากันเถอะ!” ชีล่าตะโกนและยกแก้วขึ้น


 


“เพื่อค่ำคืนแห่งอิสรภาพ!” ชายหนุ่มและหญิงสาวชนแก้วกันเสียงดังก่อนจะตะโกนด้วยเสียงหัวเราะแล้วลดระดับวิสกี้ที่เจือจางด้วยน้ำแข็งและน้ำในแก้วไปเกือบครึ่ง



ตอนที่ 164

ทุกคนต่างพากันสนุกสนานอย่างมีความสุขเว้นก็แต่จางลี่เฉินที่ไม่ได้สัมผัสแอลกอฮอล์เลยแม้แต่หยดเดียว


 


เมื่อเห็นเขาเป็นแบบนั้นทีน่าจึงพาตัวเองไปอยู่ในอ้อมแขนของเขาหลังจากวางแก้วลงแล้วพูดว่า “ที่รัก ไม่ดื่มอย่างนั้นเหรอ? โอ้ใช่ ขับรถไปดูการแข่งขันกับพวกเราไหม? มันเป็นเกมที่น่าตื่นเต้นมาก ๆ ฉันมั่นใจเลยว่านายจะต้องชอบมันอย่างแน่นอน!”


 


“ไม่เคยรู้เลยมาก่อนว่าคุณจะชอบดูมวยปล้ำกับเขาด้วย”


 


“ลี่เฉิน เด็กผู้หญิงน่ะชอบดูผู้ชายแข็งแรงสองคนมาต่อสู้กันด้วยกล้ามเนื้อภายในสังเวียงกันอยู่แล้ว” ชีล่าที่กำลังเมาได้ที่หันมาพูดข้าง ๆ ด้วยรอยยิ้ม “ผู้ชายผอมแห้งที่มีเสน่ห์ลึกลับแบบนายใช่ว่าจะเป็นกันได้ทุกคนสักหน่อย”


 


“คุณดูเมามากแล้วนะชีล่า” จางลี่เฉินเหลือบมองไปที่เธอเล็กน้อยจนทำให้เธอเกิดอาการสั่นไหวไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นร่างกายของเธอก็สั่นราวกับเกิดอาการชักพร้อมกับเหงื่อที่ไหลออกมาตามร่างกาย หลังจากนั้นสมองของเธอก็สั่งให้เธอกลายเป็นคนที่เงียบขรึมขึ้นมา “ไปกันเถอะถ้าพวกคุณยังคิดที่จะไปดูเกมมวยปล้ำกัน ถ้ายังดื่มกันที่นี่ต่ออยู่อีกผมคิดว่าพวกคุณคงไม่น่าจะไปดูการแข่งไหว”


 


เมื่อชายหนุ่มพูดจบ เขาก็ลุกขึ้นยืนจากโซฟาแล้วเดินออกจากไนท์คลับไปในทันที ทีน่าที่กำลังตกตะลึงเมื่อได้สติก็รีบดึงทริชกับชีล่าให้เดินออกจากไนท์คลับตามเขาไปอย่างรวดเร็ว คนอื่น ๆ จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเดินออกจากคิวปิดบาร์ไปด้วยความผิดหวัง


 


ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ตรงที่โล่งมืดพร้อมอุณหภูมิช่วงกลางคืนที่ลดลง อากาศในตอนนี้สดชื่นยิ่งกว่าตอนกลางวันหลายเท่าตัว


 


จางลี่เฉินสูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าร่างกายก่อนจะเดินเข้าไปในรถในขณะที่ทีน่าที่เดินตามหลังมาก็รีบขึ้นไปในฝั่งที่นั่งคนขับ “ที่รัก โกรธหรอที่ฉัน ทริช กับชีล่าออกมาดื่มกันแล้วไม่คิดจะกลับบ้านในคืนนี้น่ะ?”


 


“ไม่ใช่เลย” ชายหนุ่มส่ายหัวก่อนจะต่อ “ที่นี่คือนิวยอร์ก ผมไม่ค่อยรู้หรอกว่าคนหนุ่มสาวรอบตัวผมกำลังใช้ชีวิตกันแบบไหน แต่ตราบใดที่คุณสามารถมีสติและป้องกันตัวเองได้มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลย”


 


“ถ้าอย่างนั้นนายไม่ชอบที่ฉันจะไปดูมวยปล้ำอย่างนั้นเหรอ! โอ้ เหตุผลที่ฉันชอบมวยปล้ำไม่ใช่แบบที่ชีล่าพูดเลยสักนิดนะ!”


 


“ผมไม่ได้โกรธอะไรคุณเลย! จริง ๆ ไม่เข้าใจว่าอะไรทำให้คุณคิดไปแบบนั้น?”


 


“ถ้าอย่างนั้นทำไมนายถึงเดินทิ้งพวกเรามาแบบนี้ล่ะ?”


 


ในตอนนั้นเองที่ทุกคนเบียดตัวเองเข้าไปอยู่ในรถแล้วพากันอยู่อย่างเงียบ ๆ ชายหนุ่มนิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนจะคิดอะไรอย่างระวัง จากนั้นเขาก็สตาร์ทรถและเลี้ยวเข้าถนนทางหลวงก่อนจะพูดขึ้นเมื่อรู้สึกตัว “ผมขอโทษแมดดี้ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณที่เตือนผม ผมคงไม่ได้คิดถึงเรื่องที่ผมทำอะไรลงไปโดยพลการขนาดนี้ ทุกอย่างตอนนี้กำลังเป็นไปด้วยดี! และผมกำลังตื่นเต้นกับมัน แม้จะมีปัญหาเล็กน้อยแต่ทุกอย่างก็กลับกลายเป็นสิ่งที่ดีในที่สุดไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องโรงงานหรือเรื่องอื่น ๆ ไม่เพียงแค่นั้น แต่ทุกคนที่ผมเคยเจอเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็ยังเคารพผมอย่างมาก พวกเขาเชื่อฟังทุกคำพูดของผม … ”


 


“นายเรียกฉันว่าอะไรนะ?” ทีน่าถามเสียงต่ำ


 


“ทีน่าไง! ทำไมล่ะ?”


 


“ไม่! เมื่อกี๊นายเรียกฉันว่าแมดดี้!”


 


“โอ้ บางทีผมก็สับสนอยู่บ่อย ๆ ระหว่างทีน่ากับแมดดี้การพูดมันออกเสียงคล้ายกันจะตาย” จางลี่เฉินเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะอธิบายเสียงเบา


 


“ถ้าอย่างนั้นนายก็เรียกชื่อฉันเวลาอยู่กับเธอด้วยอย่างนั้นเหรอ?”


 


“ใช่! ก็เป็นบางครั้ง” จางลี่เฉินที่ไม่รู้วิธีตอบจึงพูดไปเรื่อยกับสิ่งที่ตัวเองพูดก่อนหน้าพร้อมสวมใบหน้าที่แสดงว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร


 


“แต่ฉันคือแฟนของนายนะจางลี่เฉิน นายจะไปเรียนชื่อฉันกับผู้หญิงคนอื่นได้อย่างไร? ถ้าเป็นฉัน ฉันจะไม่มีวันเรียกชื่อนายผิดไม่ว่าชื่อของนายจะฟังใกล้กับใครก็ตาม!”


 


“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย ผมแค่พูดชื่อผิดไปหน่อยเท่านั้นเอง ผมก็ขอโทษคุณไปแล้วนี่ไง มันไม่ได้มีอะไรเลย ก็แค่ความผิดพลาดเล็กน้อยที่ไม่ได้ตั้งใจจะให้เกิด…” จางลี่เฉินที่กำลังหงุดหงิดมองทีน่าข้าง ๆ ก่อนจะสังเกตได้ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังอารมณ์เสียอย่างมากในตอนนี้ หางตาของเธอเริ่มมีหยดน้ำตาคลอ “โอเค ๆ ผมขอโทษ! ยกโทษให้ผมจะได้ไหม?”


 


“ที่รัก ลี่เฉินเขาไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้นสักหน่อย เขาก็ขอโทษแล้วนี่ไง หายโกรธเขาเถอะนะ” เมื่อได้ยินชายหนุ่มเริ่มที่จะขอโทษแทนที่จะโต้เถียงกับเธอต่อ ทริชผู้ซึ่งนั่งอยู่ที่เบาะด้านหลังตบไหล่เพื่อนสนิทเบา ๆ และปลอบโยนเธอ


 


“ทริช บริษัทขนาดใหญ่ที่จะมีกำไรสุทธิมากกว่า 500 ล้านดอลลาร์ต่อปีในเร็ว ๆ นี้เพิ่งจะว่าจ้างเลขาที่เพิ่งเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยนิวยอร์กมาได้ไม่ถึงครึ่งปี เธอคิดว่ามันสมเหตุสมผลงั้นหรอ?”


 


ทริชตัวแข็งทื่อไปครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองจางลี่เฉินที่กำลังขับรถอย่างช้า ๆ “ลี่เฉิน อธิบายทีน่าไปสิว่าทำไมนายถึงทำแบบนั้น?”


 


“อธิบาย? ให้ตายเถอะ ผมไม่สนหรอกนะว่ามันจะสมเหตุสมผลหรือเปล่ากับการจ้างนักศึกษาที่เพิ่งลงทะเบียนเรียนมหาวิทยาลัยนิวยอร์กมาได้ไม่กี่เดือนมาเป็นเลขา ผมไม่คิดที่อธิบายสิ่งเหล่านี้ ความจริงมันก็แค่เรื่องเล็กน้อยของการพูดชื่อผิด ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะมาโกรธกันเลยด้วยซ้ำ…”  จางลี่เฉินถอนหายใจ


 


“บางทีนายจะคิดแบบนั้นก็ได้ลี่เฉิน แต่ผู้หญิงกับผู้ชายไม่เหมือนกันหรอกนะ สิ่งที่นายทำมันคือการทำร้ายจิตใจผู้หญิงเราอย่างมาก” ชีล่าที่อยู่ด้านหลังพูดเสียงดังจนทำให้จางลี่เฉินตกใจ “หลายคู่ที่ฉันรู้จักในที่สุดก็เลิกกันเพราะความเข้าใจผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่สามารถหาคำอธิบายได้ดีพอ … ”


 


“เงียบไปเลยนะชีล่า! ฉันรู้จักเพื่อนของเธอทุกคน! บอกฉันมาสิว่ามีใครเลิกกันเพราะพูดชื่อผิดแบบนี้ไหม ห๊ะ?” ทีน่าที่กำลังโกรธโพล่งออกมาในที่สุด “เอาล่ะลี่เฉิน ครั้งนี้ฉันจะยกโทษให้ แต่จำไว้ว่ามันจะไม่มีครั้งที่สองเด็ดขาด!”


 


เมื่อจางลี่เฉินได้ยินหญิงสาวยกโทษให้เขาแล้ว เขาก็แอบถอนหายใจอย่างโล่งอกลับ ๆ อย่างไรก็ตามปากของเขาได้พูดออกไปไม่ทันคิดอีกครั้ง “มันยากนะทีน่าที่จะห้ามแบบนั้นได้ ถ้าผมไม่รู้สึกสะดวกใจเป็นพิเศษกับ … โอ้ เฮ้ ถึงเวลาช่วงข่าวใหม่มาพอดี มาฟังข่าวกันดีกว่า”


 


เขารีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาและเปลี่ยนคลื่นวิทยุบนคอนโซลกลางรถเพื่อปกปิดความผิดของตัวเองไปเรื่องอื่นแทน


 


เสียงวิทยุดังก้องพร้อมความชัดของการออกอากาศ


 


“ตามผู้สังเกตการณ์ท้องถิ่นจากเคปทาวน์ เมืองหลวงของแอฟริกาใต้ได้ถูกโจมตีจากผู้ไม่ทราบชื่อโดยการขับรถไอน้ำหุ้มเกราะ


 


ผู้ร้ายที่ยังไม่ทราบชื่อเหล่านี้ได้รับรายงานว่าในที่สุดก็ถูกขับไล่ออกไปได้สำเร็จจากการเสียสละทหารมากกว่า 300 นายของกองทัพ


 


ผู้เห็นเหตุการณ์กล่าวว่าอาวุธที่คนร้ายใช้คือหอกเล็ก ๆ ที่ใช้โจมตีโดยการขว้างผ่านอากาศ ส่วนรถไอน้ำหุ้มเกราะก็มีเสียงดังคล้ายนกหวีดอยู่ตลอด…”


 


สำหรับผู้ชายแล้วเรื่องสงครามและเกมเป็นหัวข้อที่น่าสนใจที่สุดสำหรับพวกเขา เมื่อเหล่าผู้ชายในรถได้ยินข่าวแปลก ๆ พวกนี้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น “รถไอน้ำหุ้มเกราะและหอกงั้นเหรอ? โอ้พระเจ้า! ชาวแอฟริกันพวกนี้ช่างตลกกันจริง ๆ! พวกเขาต่อสู้กันด้วยหอกและธนู … “


 


“เฮ้ ใจร้ายไปแล้วนะ ดุกลีย์! รถศึกที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ไอน้ำก็ยังดีกว่าหอกที่ถูกเป่า…”


 


“การเป่าไม้แหลม ๆ ออกมาก่อนการโจมตีทำให้มันกลายเป็นอาวุธทางอากาศได้ไม่ใช่เหรอ?”


 


ในตอนนั้นเองที่การแสดงออกของจางลี่เฉินได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย ในความเห็นของเขา ข่าวที่เพิ่งได้ยินนี้เป็นเหมือนลางสังหรณ์บางอย่างว่าประตูของอาณาจักรเหนือธรรมชาติได้ไปปรากฎอยู่ในประเทศที่ไม่มีสงครามที่ถูกค้นพบในไม่ช้า


 


ไม่เพียงเท่านั้น คราวนี้มันไม่ใช่คนธรรมทั่วไปที่บุกเข้าไปในอาณาจักรเหนือธรรมชาติ แต่เป็นผู้คนจากดินแดนเหนือธรรมชาติที่มีความคิดริเริ่มในการทำสงครามกับชาวโลก มันไม่ใช่สัญญาณที่ดีเท่าไหร่นัก


 


“ลี่เฉิน นายคิดว่าไง?” ทีน่าที่กำลังจ้องมองสีหน้าของชายหนุ่มจากหางตาสังเกตเห็นการแสดงออกที่รุนแรงอย่างฉับพลันของเขาได้เลยถามเสียงเบา ๆ ออกไป


 


“ไม่มีอะไรเลยทีน่า! จำไว้ให้ดีว่าอย่าคิดไปประเทศเล็ก ๆ ที่กองกำลังทางทหารอ่อนแอเป็นอันขาด! อย่าไปที่นั่นไม่ว่าระบอบการปกครองของพวกเขาจะเสถียรภาพมากแค่ไหนก็ตาม! ยุคใหม่มาถึงแล้วและตอนนี้ทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดก็คือการอยู่แต่ในเมืองใหญ่ของประเทศที่ทรงพลังเช่นนิวยอร์ก บอสตัน เซินเจิ้น ปักกิ่งและอื่น ๆ”


 


ทีน่าตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจความหมายโดยนัยของชายหนุ่ม “ลี่เฉิน นายหมายถึง…การโจมตีเคปทาวน์ของแอฟริกาใต้นั้นคือ…สิ่งเหล่านั้น…”


 


“ไม่ว่าใครจะเป็นคนลงมือทำสิ่งนี้แต่ทั้งคุณ ทริช และชีล่าควรแก้นิสัยความต้องการอยากเที่ยวไปทั่วและอยู่แต่ในประเทศนี้อย่างเชื่อฟัง!” จางลี่เฉินหันมองหญิงสาวทั้งสามแล้วพูดเตือน


 


เมื่อพวกเธอได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว


 


เมื่อดุกลีย์เห็นชายหนุ่มที่กำลังดูเหมือนสั่งการและตำหนิแฟนสาวของตัวเองหลังจากขอโทษเธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดสอดไปว่า “การเดินทางสามารถขยายความรู้ของบุคคลได้ดังนั้นมันก็ไม่น่าใช่นิสัยที่เป็นปัญหา…”


 


“แต่การเดินทางสามารถฆ่าคุณให้ตายได้” จางลี่เฉินพูดขัดพลางขับรถไปด้านหน้าเมดิสันสแควร์การ์เดนตามการนำทาง


 


เมดิสันสแควร์การ์เดนตั้งอยู่ที่หัวมุมระหว่างถนนหมายเลข 8 จากถนนสาย 33 มันตั้งอยู่บนสถานีเพนซิลเวเนียหนึ่งในสถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา


 


อาจกล่าวได้ว่าสิ่งแรกของนักท่องเที่ยวเกือบครึ่งที่เดินทางมานิวยอร์กโดยรถไฟจะเห็นเป็นสนามกีฬาทรงกระบอกสีขาวขนาดใหญ่ที่ได้รับการปรับปรุงมาหลายครั้งและมีประวัติยาวนานกว่า 120 ปี


 


ที่นี่คือสนามกีฬาหลักของทีมโรงเรียนที่มีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยในนิวยอร์ก ตัวเลือกแรกสำหรับการชุมนุมทางการเมืองของชาวนิวยอร์กและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับบาสเกตบอล มวย ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานและคอนเสิร์ตดนตรี


 


สนามกีฬาที่ได้ชื่อว่าเป็นใบหน้าของนครนิวยอร์กเต็มไปด้วยแสงไฟสว่างท่ามกลางความมืด รถยนต์จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังหยุดนิ่งเพื่อรอเข้าไปในที่จอดรถ


 


“ถึงแล้วล่ะ” จางลี่เฉินที่จดจ่ออยู่กับการจราจรที่ติดขัดและขับรถได้ทีละน้อยจนหาที่จอดรถได้ในที่สุดก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะออกจากรถมา


 


เมื่อมองดูการไหลของผู้คนที่พุ่งเข้าไปในสนามกีฬาจากลานจอดรถอย่างต่อเนื่อง ชายหนุ่มหันไปพูดกับทีน่าผู้ซึ่งกำลังโอบกอดเขาไว้อยู่ว่า “มีคนมากมายมาที่นี่เพื่อดูการแข่งขันมวยปล้ำงั้นเหรอ! ไม่น่าเชื่อ! แต่ถ้ามีผู้ชมจำนวนมากขนาดนี้พวกเรายังจะสามารถหาซื้อตั๋วได้ใช่ไหม? คุณสามารถใช้สิทธิพิเศษของตระกูลดั๊กลินที่นี่ได้หรือเปล่า?”


 


“ที่รัก ลองเดาดูสิว่าทำไมบาร์นัมคนที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นนักต้มตุ๋นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในอเมริกาถึงได้เช่าสถานีรถไฟเก่าบนถนนเมดิสันอเวนิวเพื่อจัดละครสัตว์ได้ นายคิดว่าเขายืมเงินมาจากใครกันล่ะ?” ทีน่าที่สามารถสงบสติอารมณ์ของเธอกลับคืนมาดังเดิมเอ่ยถามออกไปพร้อมกับรอยยิ้ม


 


จางลี่เฉินที่รู้สึกได้ว่าอาหารที่ทานไปก่อนหน้าจากโรงแรมแฮกค์เพื่อบำรุงร่างกายของเขาผ่านการย่อยอาหารไปนานแล้วซึ่งตอนนี้เขาเองก็ยังไม่เข้าใจพลังการเปลี่ยนแปลงนี้เท่าไหร่นัก เขายิ้มให้ทีน่าก่อนจะพูดตอบกลับไปว่า “โอ้ ครอบครัวดั๊กลินช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ ดูเหมือนว่าพวกเราจะสามารถดูการแข่งขันมวยปล้ำได้แล้วสินะ! แต่ก่อนหน้านั้นผมต้องไปหาฮอทดอกมาทานก่อนสัก 2 – 3 ชิ้น”



ตอนที่ 165

ภายใต้แสงจันทร์ที่หนาวเหน็บ เรือขนส่งสินค้าขนาดเล็กที่มีคำว่า “เป็นมิตร” เขียนอยู่บนเรือกำลังล่องลอยไปตามทะเลด้านในนิวยอร์กราวกับเรือผีพเนจร


 


ตอนนี้เป็นช่วงเวลากลางดึกประมาณตีสองถึงตีสามได้ ภายในสายลมอันหนาวเหน็บมีชายร่างผอมสูงสองคนกำลังเดินเล่นอยู่รอบ ๆ ดาดฟ้าเรือ


 


ชายทั้งสองต่างคาบบุหรี่อยู่ที่ปากขณะเดินไปมาบนดาดฟ้าโดยไร้ซึ่งบทสนทนาใด ๆ ทันใดนั้นหนึ่งในพวกเขาก็หยุดเดินขณะที่จมูกของชายคนนั้นกระตุกและพยายามสูดดมกลิ่นอะไรบางอย่างในอากาศที่เขารู้สึกได้ เขาโยนบุหรี่ลงบนพื้นของดาดฟ้าแล้วเหยียบมันเพื่อดับไฟจากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าวว่า “หลุยส์ ที่นี่แหละ! ฉันได้กลิ่นแปลก ๆ”


 


“แน่ใจนะแคสซานโดร” เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น คู่หูของเขาที่ซ่อนใบหน้าไว้ภายใต้หมวกก็หยุดเดินและถามเสียงกระซิบ


 


ในตอนนั้นเอง หนึ่งในตู้คอนเทนเนอร์ที่ตั้งอยู่ส่วนล่างสุดของบนดาดฟ้าเรือบรรทุกสินค้าก็เปิดออก ชายวัยกลางคนที่แต่งตัวเหมือนกะลาสีเรือธรรมดา ๆ แต่ให้อารมณ์คล้ายกับนักวิทยาศาสตร์ในห้องทดลองเดินออกมาอย่างเร่งรีบก่อนจะพูดเสียงกระซิบ “มิสเตอร์หลุยส์ มันคือที่นี่ครับ ในตอนนี้สถานที่แห่งนี้กำลังมีความผันผวนของมหาสมุทรที่ผิดปกติ”


 


“ดร.แซนเชส คุณไม่ต้องกระซิบเสียงเบาขนาดนั้นก็ได้ พวกเรากำลังล่องลอยอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกนะ นอกเหนือจากนกนางนวลและเหล่าปลาก็ไม่มีใครอื่นนอกจากพวกเราแล้ว” หลุยส์ยิ้มก่อนจะหันไปมองเพื่อนของตัวเอง “แคสซานโดร จมูกนายนี่เยี่ยมจริง ๆ”


 


“จมูกของฉันไม่ได้ดีเพียงแต่เพื่อนคนนั้นฆ่าสัตว์ทะเลลึกมากเกินไปต่างหาก แม้แต่สุนัขที่ไม่ได้รับการฝึกก็ยังสามารถดมกลิ่นเลือดแปลก ๆ จากตรงแถวนี้ได้”


 


“แน่ใจเหรอว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นมา?”


 


“มีความเป็นไปได้เพียงสองอย่างเท่านั้น ก็อาจเป็นไปได้ที่จะเป็นนักวิทยาศาสตร์บ้าบอจากสถาบันลับของกองทัพที่กำลังทำการทดลองด้วยเสียงระเบิดคุณภาพสูงทางอากาศในทะเล หรืออาจเป็นสัตว์น่ากลัวที่เราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับมัน มันอาจบ้าคลั่งและปล่อยความตึงเครียดลงในทะเลลึก เป็นนาย นายจะเลือกแบบไหน?”


 


“ถ้าเป็นฉันเมื่อสองปีที่แล้วคงเลือกอย่างแรกไปอย่างไม่ลังเล” หลุยส์ยิ้มและตะโกนใส่อุปกรณ์สื่อสารที่บริเวณคอของเขา “ส่งกลุ่มไปเก็บตัวอย่างผิวน้ำทะเลภายในรัศมีหนึ่งกิโลเมตร อีกกลุ่มหนึ่งให้กระโดดลงทะเลไปเพื่อจับภาพและเก็บตัวอย่างมา 20 ชุด และอีกกลุ่มให้ทำการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ทันทีเพื่อจำลองสาเหตุที่เป็นไปได้ของความผันผวนมหาสมุทรในปัจจุบัน … ”


 


ขณะที่เขากำลังตะโกนออกคำสั่ง ร่างคนหลายร้อยคนก็รีบเร่งพุ่งออกมาจากตู้คอนเทนเนอร์บนเรือบรรทุกสินค้าขนาดเล็กในทันที


 


กลุ่มคนเหล่านี้ได้ทำการแบ่งกลุ่มกันอย่างเงียบ ๆ โดยอัตโนมัติ บางคนลงเรือชูชีพและเริ่มรวบรวมน้ำทะเลใส่ขวดแก้วสีฟ้า บางคนใส่ชุดดำน้ำหนา ๆ ที่ดูเหมือนชุดอวกาศด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนของพวกเขาและเตรียมดำลงไปในทะเลลึก อีกด้านกำลังเปิดกล่องโลหะสีดำที่เผยให้เห็นเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ส่องแสงสีแดง สีเขียว หรือสีเหลืองอยู่บนดาดฟ้าและเริ่มทำงานกันอย่างรวดเร็ว ทุกคนเริ่มทำงานของตัวเองกันอย่างเป็นระเบียบ


 


“หลุยส์ สิ่งที่เราต้องจัดการไม่ใช่สัตว์ธรรมดา นายคิดว่าการตรวจสอบตามปกติแบบนี้จะมีประโยชน์อย่างนั้นเหรอ?” เมื่อมองดูเรือบรรทุกสินค้าที่ถูกเปลี่ยนเป็นเรือวิจัยทางวิทยาศาสตร์ภายในเวลาไม่ถึงนาที แคสซานโดรอดไม่ได้ที่จะถามผู้บัญชาการบนเรือไปด้วยน้ำเสียงล้อเลียน


 


“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันแคสซานโดรว่ามันจะมีประโยชน์มากน้อยแค่ไหน พายุฝนฟ้าคะนองแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อสองเดือนที่แล้วและตอนนี้ยังมีพายุเฮอริเคนบนผิวน้ำทะเลและการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในกระแสน้ำมหาสมุทรลึกที่เกิดขึ้นนี่อีก นักวิทยาศาสตร์คนใดก็ไม่สามารถหาคำอธิบายสิ่งนี้ได้ ที่แอฟริกาใต้ก็ถูกโจมตีโดยพวกอาณาจักรเหนือธรรมชาติดังนั้นก็คงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้คือยุคใหม่แล้ว ดังนั้นสิ่งเดียวที่เราทำได้คือต้องระวัง…”


 


หลุยส์เดินไปหาแคสซานโดรและจับราวรั้วของเรือขณะจ้องมองลงไปในทะเล ทันใดนั้นจุดที่สว่างไสวภายในเมืองนิวยอร์กที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงกับแนวชายฝั่งทะเลสีเข้มของชานเมืองก็ได้ดึงดูดความสนใจจากเขา


 


“ที่นั่นที่ไหน? ดูเหมือนว่าจะเป็น… โรงงานแห่งใหม่ที่ชื่อว่าโรงฆ่าสัตว์ LS ใช่ไหม? ในตอนที่กำลังดำเนินการสำรวจครั้งที่สาม ดูเหมือนว่าโรงงานนี้จะเป็นอาคารที่อยู่ใกล้ที่สุดกับเรา … ดร.แซนเชส ช่วยบอกตำแหน่งของการสำรวจและตำแหน่งรายละเอียดของโรงงานให้ผมทีจะได้ไหม?”


 


“ครับ เดี๋ยวผมจะทำให้…” แซนเชสหยิบแท็บเล็ตออกมาจากกระเป๋าของเขาแล้วแตะหน้าจออยู่ 2 – 3 ครั้ง “ถือแกนกลางของโรงงานเป็นจุดประสานนะครับ จุดศูนย์กลางพายุฝนฟ้าคะนองครั้งแรกคือ 15 องศาตะวันตก 9.4 ไมล์ทะเล พายุเฮอริเคนครั้งที่สองอยู่ที่ 14 องศาตะวันตก 9.11 ไมล์ทะเล ขณะนี้เราอยู่ในตำแหน่งที่ 79 องศาตะวันตก 67.51 ไมล์ทะเล จากข้อมูลการวางตำแหน่งที่ตรวจสอบทั้งสามแห่งเข้าด้วยกันเป็นสิ่งยืนยันได้อย่างแน่นอนว่าสิ่งปลูกสร้างนี้อยู่ใกล้กับเรามากที่สุด”


 


“ทิ้งข้อมูลนี้ไปซะเถอะหลุยส์! มีอาคารมากมายตามแนวชายฝั่งที่ไม่ได้ส่องแสงสว่าง ข้อมูลประเภทนี้ไม่มีความหมายอะไรเลย”


 


“ฉันรู้แคสซานโดร แต่อย่างน้อยในสถานการณ์ที่เราไม่รู้อะไรเลยแบบนี้มันจะดีกว่าไหมถ้าอย่างน้อย ๆ ก็ยังพอมีเป้าหมายอยู่บ้าง?” หลุยส์ล็อคสายตาของเขาไปที่โรงฆ่าสัตว์ LS ในขณะที่เขาตอบก่อนจะจมอยู่กับความคิดของตัวเอง


 


เมื่อเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองสหรัฐระบุว่าโรงงานของจางลี่เฉินเป็นเป้าหมายที่น่าสงสัย ในขณะเดียวกันกับตอนนั้น เขายังคงพยายามยัดฮอทดอกชิ้นที่ห้าเข้าปาก ทีน่าที่แม้จะกำลังตกใจได้รีบดึงเขาไปตามช่องทางวีไอพีที่แออัดของเมดิสันสแควร์การ์เดน


 


“เฮ้ลี่เฉิน หลังจากเข้าโรงพยาบาลไป 2 เดือน การกินอาหารของนายดูท่าจะเพิ่มขึ้นมากเลยนะ” ชีล่าพูดด้วยความประหลาดใจขณะที่เธอเดินตามหลังพวกเขาไปยังที่นั่ง


 


“นั่นเป็นเพราะผมกำลังสร้างร่างกายอยู่ยังไงล่ะ” จางลี่เฉินว่าอย่างภูมิใจพร้อมรอยยิ้มก่อนจะยกแขนเพื่ออวดกล้ามเนื้อของเขา


 


ด้วยความประหลาดใจ เขาที่ยังไม่ได้เกร็งกล้ามเนื้อเลยแม้แต่น้อยแต่ด้วยความคิดในใจของเขา กล้ามเนื้อแขนของเขาที่ถูกแจ็คเก็ตสวมทับอยู่ได้มีความนูนโป่งยื่นออกมา ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ใช่แบบที่คิดและผ่อนคลายแขนของเขาลงในทันที บางทีกล้ามเนื้อของเขาที่ยังควบคุมไม่ได้อย่างเต็มที่หลังผ่านการเปลี่ยนแปลงมาอาจทำให้เสื้อผ้าของเขาฉีกขาดได้


 


“ลี่เฉิน เกิดอะไรขึ้นกับกล้ามเนื้อของนายกันเนี่ย?” เมื่อเห็นกล้ามเนื้อที่จางลี่เฉินแสดงให้เห็น ทริชผู้เห็นแต่ร่างผอมแห้งของเขามาเป็นเวลานานกว่าหลายสิบวันในฮาวายเอ่ยถามด้วยความตกใจ


 


“ช่วงนี้ผมหันมาออกกำลังกายบ้างแล้วและผลลัพธ์ก็เป็นอย่างที่พวกคุณเห็น” จางลี่เฉินตอบเมื่อเดินไปยังด้านหน้าทางเข้าวีไอพีของสนามกีฬาที่มีการ์ดความปลอดภัยคุ้มกัน


 


หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาแล้วสแกนเข้าที่เครื่องทางเข้า เธอหันไปชี้ทริช ชีล่าและคนอื่น ๆ พร้อมส่งยิ้มให้การ์ด “ทั้งหมด 8 คนค่ะ”


 


หลังจากเสียงบี๊บดังขึ้น การ์ดก็หันมองไปที่หน้าจอของเครื่องขายตั๋วและพยักหน้า “ยินดีต้อนรับสู่เมดิสันสแควร์การ์เดนครับมิสทีน่า” และปล่อยให้พวกเขาผ่านทางเข้าไป


 


“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวพูดก่อนจะเดินเข้าไปในโซนวีไอพีพร้อมกับเพื่อน ๆ ของเธอ


 


ที่จริงแล้วส่วนวีไอพีของเมดิสันสแควร์การ์เดนนั้นไม่ได้มีความหรูหราอะไรมากนัก มันเป็นทางที่สามารถเดินได้พอดี 6 – 7 คนเมื่อเดินข้างกัน เป็นทางลาดที่มีพรมแดงราคาถูกวางอยู่บนพื้น ผนังทั้งสองถูกปกคลุมไปด้วยโปสเตอร์ของการแข่งขันกีฬาสำคัญที่เคยจัดขึ้นในสนามกีฬาแห่งนี้มาก่อน


 


ผู้ที่สามารถใช้โซนนี้ได้บ่อยครั้งจะต้องเป็นผู้มีอิทธิพลประมาณหนึ่งทั่วทั้งนิวยอร์กหรือแม้แต่ในสหรัฐอเมริกา ทุกครั้งที่มีการแข่งขันที่คาดว่าจะมีการเข้าชมสูง ผู้ที่มีชื่อเสียงในที่สาธารณะมักจะปรากฏอยู่ในโซนนี้เสมอ


 


“ทอม ครูซ! นั่นทอม ครูซนี่! โอ้ นั่นคงเป็น จู๊ด ลอว์ แกรี่ และแมคเกรเกอร์! โอ้พระเจ้า!” ขณะเดินไปตามทาง คริสตินาและโซเนีย น้องสาวแฟนหนุ่มชนชั้นกลางของชีล่าพากันร้องอุทานด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นคนดังที่คุ้นเคย


 


ทีน่ามองไปตามนิ้วที่คริสตินาชี้แต่การแสดงออกของเธอกลับต่างไปอย่างสิ้นเชิง “บ้าเอ้ย เรื่องจริงเหรอเนี่ย! คนเหล่านี้ต้องมาด้วยรถลีมูซีนแน่ ๆ เร็วเข้า เราต้องรีบแล้ว! อย่าปล่อยให้พวกเขาได้ที่นั่งที่ดีที่สุดไป!”


 


เมื่อได้ยินคำพูดแบบนั้นจากเพื่อนสนิท ทริชและชีล่าซึ่งเป็นคนจากสังคมชนชั้นสูงในนิวยอร์กก็เพิ่มความเร็วในการเดินทันที


 


ตอนที่ผู้หญิงสามคนพากันเร่งความเร็ว คนอื่น ๆ แม้จะสับสนเล็กน้อยแต่ก็สามารถเร่งความเร็วและเดินผ่านทางเดินตามไปเช่นกัน


 


ทันทีที่พวกเขารีบเข้าไปในสนามกีฬา พนักงานสวมแว่นกันแดดก็นำทางพวกเขาเข้าไปทันทีตามคำร้องขอของทีน่า พนักงานคนนั้นพาพวกเขาทั้งแปดคนไปยังที่นั่งแถวหน้าสุดของเก้าอี้ที่หันเข้าหาวงแหวนโดยตรง


 


“โชคดีจริง ๆ!” หลังจากนั่งบนที่นั่งแล้วทีน่าก็ลุกขึ้นยืนในทันทีก่อนจะเข้าร่วมกับเสียงเชียร์ของผู้ชมพร้อมกับทริชและชีล่า


 


“เป็นไปได้ไหมที่แถวหน้าสุดของสนามกีฬาจะมาจากผู้ที่มาก่อนได้สิทธิ์ก่อน?” โซเนียที่ไม่เคยมีโชคในการนั่งแถวหน้าสุดแม้จะชอบดูรายการสดก็ตามเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ


 


“ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกนะ! ปกติผู้ที่ได้รับเชิญหรือผู้ที่ได้รับรางวัลจากการจับสลากหรือผู้ที่จองไว้ก่อนหน้าจะมีที่นั่งที่สำรองไว้อยู่แล้ว ส่วนที่นั่งวีไอพีที่เหลือจะอยู่บนฐานมาก่อนได้ก่อน เราไม่ได้จองตั๋วใด ๆ สำหรับการแข่งขันครั้งนี้ดังนั้นเราจึงโชคดีมากที่ได้ที่นั่งแถวหน้าสุด” ชีล่าหัวเราะอย่างดีใจขณะตอบคำถาม


 


ผู้คนจำนวนมากเริ่มมารวมตัวกันในสนามกีฬามากขึ้น ในไม่ช้า สนามกีฬาก็เต็มไปด้วยผู้คน ในเวลานี้ทั้งเหล่าดาราและผู้โชคดีทั้งหลายกำลังนั่งถัดจากจางลี่เฉินและคนอื่น ๆ ในขณะที่คริสตินาที่กำลังตื่นเต้นมองหาคนที่เธอจะเข้าไปขอลายเซ็นด้วยได้ ตอนนั้นเองที่ทีน่ากระซิบข้างหูจางลี่เฉินว่า “ที่รัก เกิดอะไรขึ้นกับกล้ามเนื้อที่นายกำลังแสดงอยู่ตอนนี้กันแน่?”


 


“โอ้ นั่นเป็นพลังที่ผมเพิ่งได้รับมาน่ะ คุณไม่ได้สังเกตหรอว่ามีอะไรบางอย่างของผมที่หายไป?”


 


เมื่อหญิงสาวได้ยินแบบนั้นเธอก็กลับมานั่งที่นั่งตามเดิมก่อนจะจ้องมองที่ตัวของชายหนุ่มแล้วตอบกลับด้วยความประหลาดใจ “กระเป๋าเป้! เป้สะพายหลังที่นายพกติดตัวอยู่ตลอดหายไปแล้ว!”


 


“ใช่แล้ว ผมได้ใช้ความสามารถของเหรียญโชคดีไปและตอนนี้ผมก็ไม่ต้องการมันอีกต่อไป” จางลี่เฉินเลื่อนหน้าเข้าใกล้กับทีน่าขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน


 


ในตอนที่เขากำลังพูดอยู่ แสงไฟของสนามกีฬาก็ดับลง


 


ภายในความมืด แสงสปอตไลต์ก็ส่องลงมา ชายชราที่มีเส้นผมเพียงไม่กี่เส้นออกมายืนอยู่ข้างกันในขณะสวมชุดสูทดูดี พวกเขารีบวิ่งไปที่วงแหวนขณะถือไมโครโฟนก่อนจะตะโกนเสียงดัง


 


“ท่านสุภาพสตรีและท่านสุภาพบุรุษทั้งหลาย กระผมขอต้อนรับทุกท่านสู่เมดิสันสแควร์การ์เดนในนิวยอร์กเพื่อรับชมสงครามแห่งศตวรรษที่น่าตื่นเต้น! ตอนนี้ทางเราได้ NWA  ฮีโร่คนใหม่ของเราแล้วซึ่งก็คือ ‘ลิตเติ้ล คาวบอย’ ดอนดิน แกรซ และพันธมิตรใหม่แห่งปีศาจและความชั่วร้าย ‘โดดู เอลละเฟนท์’ …”



ตอนที่ 166

มวยปล้ำอเมริกันดูเผิน ๆ แล้วเหมือนจะเต็มไปด้วยความโหดร้ายและป่าเถื่อนด้วยการกระทำที่รุนแรง รวดเร็วและทรงพลัง แต่ที่จริงแล้วมันเป็นเพียงการแสดงเท่านั้น แม้แต่สนามที่ใช้สำหรับการแข่งก็ยังได้รับการแก้ไขเพื่อรองรับแรงกระแทกไม่ให้บาดเจ็บจนเกินควร


 


นอกเหนือจากกล้ามเนื้อใหญ่ที่ดูแข็งแรง เทคนิคการมวยปล้ำขั้นพื้นฐานและเทคนิคการต่อสู้แล้ว ผู้เล่นแต่ละฝั่งจะได้รับบทการแสดงที่ได้จัดเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้า


 


ในบทที่จัดเตรียม นักมวยปล้ำจะแบ่งออกเป็นสองด้านซึ่งก็คือฝั่งดีและฝั่งเลว พวกเขาจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเช่น “อัพไรท์ คาวบอย เลด” “สตับบอน มาเฟีย” และอื่น ๆ เมื่อพวกเขาต่อสู้กันบนเวที


 


แม้ว่าผู้ชมส่วนใหญ่จะรู้ดีอยู่แล้วว่ามันคือการแสดงที่จัดฉากขึ้นมาแต่พวกเขาก็ยังสนุกไปกับการแข่งขัน


 


เหตุผลที่กีฬาการต่อสู้นี้ดึงดูดความสนใจจากผู้ชมได้มากแม้จะรู้ว่ามันเป็นเพียงการแสดงนั่นก็เพราะทุกครั้งที่มีการแข่งขัน ผู้จัดมักจะทำการกล่อมและทำลายสมองของพวกเขาไปในตัว


 


ก่อนที่เกมจริง ๆ จะเริ่ม ผู้เล่นจะได้ทำการแสดงในรูปแบบที่น่าตื่นตาตื่นใจเมื่อเดินเข้าสู่เวที


 


ในระหว่างเกม การเคลื่อนไหวการต่อสู้ระหว่างผู้เล่นนั้นจะโหดร้ายและดูเกินจริงอีกทั้งยังเป็นไปอย่างราบรื่นทำให้ดูเหมือนว่าเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจที่เกิดขึ้นต่อหน้านี้คือเรื่องจริง


 


ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากเหตุผลที่ว่าพวกเขามีระบบการแข่งขันที่แตกต่างกัน บางทีผู้เล่นก็มักจะต่อสู้กันจากเวทีด้านบนสู่เวทีด้านล่าง บางครั้งพวกเขาก็ใช้เก้าอี้พับ ไม้เบสบอล และเครื่องมืออื่น ๆ ในการต่อสู้ หากพวกเขาประมาทหรือพลาดไปเล็กน้อยก็จะมีเลือดกระเซ็น ตัวฉากที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งเป็นการล่อลวงให้คนหลงลืมไปว่านี่คือการแสดง ไม่มีใครต้านทานความน่าสนใจนี้ไปได้


 


ยกตัวอย่างจากการแข่งขันในคืนนี้ หลังจากที่พิธีกรตะโกนจนสุดปอดเพื่อแนะนำผู้เล่นจากทั้งสองฝั่ง ภาพยนตร์สั้นที่ยิ่งใหญ่พร้อมพล็อตเรื่องโหดเหี้ยมระหว่าง ‘ลิตเติ้ล คาวบอย’ ดอนดิน แกรซ และพันธมิตรใหม่แห่งปีศาจและความชั่วร้าย ‘โดดู เอลละเฟนท์’ ก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอขนาดใหญ่ของสนามกีฬา


 


จากนั้นท่ามกลางเสียงเพลงที่ไพเราะและควันเทียม ผู้เล่นทั้งสองเริ่มเดินเข้าสู่สนามกีฬาและเสียงปรบมือดังสนั่นก็ดังกึกก้องไปทั่วทั้งสนาม


 


น่าเสียดายที่ช่วงเวลาดี ๆ ไม่ได้มีนานมากนัก หลังจากเกมการแข่งขันเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ผู้ชมที่รู้เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ก็จะรู้ได้ในทันทีว่าช่วงแรก ๆ จะเป็นมือใหม่ที่มักถูกจัดอันดับอยู่ด้านล่างของการแข่งและจะถูกเตะออกจากการแข่งขันไปทีละคน ในไม่ช้า พวกเขาก็เริ่มลดความสนใจที่น่าตื่นเต้นลงไป


 


พวกเขาอาจจะไปซื้อขนมหรือเครื่องดื่มระหว่างรอการแข่งขันนัดสุดท้ายหรือพูดคุยอย่างกระตือรือร้นเกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งต่อไป


 


ทำให้เสียงปรบมือและเสียงเชียร์ของเกมดูเหมือนจะบางลงไปกว่าตอนแรก


 


ตรงข้ามกับจางลี่เฉินที่เพิ่งเข้ามาดูการแข่งขันมวยปล้ำของสหรัฐฯนี้เป็นครั้งแรก เขาไม่รู้กฎของการจับคู่ที่ซับซ้อนหรือดาราระดับตำนานในหมู่ผู้เล่น ขณะดูผู้เล่นมือใหม่สองคนที่กำลังต่อสู้กันด้วยพลังทั้งหมดที่พวกเขามีบนเวที จางลี่เฉินพบว่ามันน่าสนใจมากกับวิธีที่พวกเขาปีนขึ้นราวด้านข้างและกระโดดลงตามด้วยท่าที่พวกเขาใช้เพื่อโจมตีอีกฝ่าย


 


“ทีน่า พวกเขาต่อสู้ได้ดุเดือดมาก! แม้แต่หูของพวกเขาก็ยังมีเลือดออกอีกด้วย! มันดูเหมือนไม่ใช่การแสดงเลย!”


 


เมื่อได้ยินชายหนุ่มพูดในสิ่งต้องห้ามโดยไม่ตั้งใจขณะชมการแข่ง ทีน่ารีบเข้าไปเตือนเขาอย่างรวดเร็วผ่านเสียงกระซิบ “นี่ที่รัก! อย่าพูดเสียงดังแบบนั้นสิ! จริงอยู่ที่พวกเขากำลังทำการแสดงแต่เลือดที่ออกนั่นเป็นของจริง บางครั้งพวกเขาก็ยังกระดูกหักอีกด้วย! เพราะงั้นนายจะต้องไม่พูดว่ามันคือของปลอมเมื่อดูเกมมวยปล้ำในสนาม ไม่อย่างนั้นผู้คนจะพากันถ่มน้ำลายใส่นายนะรู้ไหม!”


 


“แต่คำพูดของคุณฟังดูขัดแย้งกันนะ…”


 


“มีความขัดแย้งมากมายบนสังคมมนุษย์ นี่แหละชีวิต! ดูเกมไปอย่างระมัดระวังล่ะที่รัก การจับคู่แบบนี้มักจะเป็นการแข่งขันของพวกมนุษย์เหล็ก มันจะจบภายใน 20 นาทีและส่วนที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่านี้กำลังรอเราอยู่”


 


เป็นดั่งที่หญิงสาวพูด การแข่งขันนัดแรกสิ้นสุดลงในไม่ช้าด้วยชัยชนะของ  ‘ลิตเติ้ล คาวบอย’ ดอนดิน แกรซ


 


หลังจากนั้นเวลาการแข่งของผู้เล่นก็เพิ่มขึ้น ท่ามกลางการแข่งขัน มีผู้หญิงหุ่นดีหลายคนที่ร้อนแรงและสวยงามกำลังสวมใส่บิกินี่และกางเกงหนังรัดรูปมายืนอยู่ตรงกลางของเวทีทำให้ผู้ชมชายเกิดความกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น


 


อย่างไรก็ตามแม้บรรยากาศของสนามกีฬาจะเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าจางลี่เฉินที่ดูการแข่งขันประเภทนี้ต่อกันหลายครั้งและเริ่มที่จะเข้าใจรายละเอียดมากยิ่งขึ้นก็เริ่มเบื่อกับการแข่งนี้ซะแล้ว


 


เมื่อถึงเวลาที่การแข่งขันครั้งนี้จบลง การแข่งขันที่สะดุดตาและดุเดือดมากที่สุดก็เริ่มขึ้น


 


เมื่อช่วงไฮไลท์มาถึง แสงไฟภายในสนามกีฬาก็ดับมืดลงไปอีกครั้ง บรรยากาศเงียบไปภายในพริบตาและทันใดนั้นพิธีกรก็วิ่งพุ่งขึ้นไปอยู่บนเวทีอีกครั้งพร้อมแสงสปอตไลท์และเสียงร้องตะโกน “ท่านสุภาพสตรีและท่านสุภาพบุรุษทั้งหลาย! ช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุดกำลังจะมาถึงในไม่ช้า! จะเป็นดวงอาทิตย์หรือผู้เชื่อในซาตานที่จะได้ครองชัยชนะในการแข่งขันวันนี้กัน? ตอนนี้ให้เราได้ต้อนรับจิตวิญญาณแห่งความยุติธรรมที่เดินอยู่ในความมืด ฮีโร่ผู้ยิ่งใหญ่ที่ใช้พลังแห่งความชั่วเพื่อปกป้องแสงสว่าง – เบเฮเดอร์, แบล็คกัส!”


 


ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง เพลงที่หม่นหมองเศร้าโศกก็ดังก้องไปทั่วสนามกีฬา


 


หลังเสียงร้องไห้ที่ระงมอย่างสับสนจบลง ชายร่างผอมผมยาวที่แขนข้างหนึ่งมีความหนาราวกับต้นขาของผู้ใหญ่ ที่คอของเขาเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ในขณะที่มืออีกข้างกำลังถือลำแสงกางเขนขนาดใหญ่ที่มีความสูงเกือบห้าเมตรก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมา


 


“เบเฮเดอร์ นั่น เบเฮเดอร์! ลี่เฉิน เขาคือฮีโร่ที่แข็งแกร่งที่สุดของมวยปล้ำในตอนนี้เลยนะ! เขาไม่เคยแพ้ใครมา 400 วันแล้ว!” ทีน่ามองหน้าจอแสดงและอดไม่ได้ที่จะตะโกนอย่างตื่นเต้น


 


“อย่างนั้นเหรอ?” จางลี่เฉินหันมองไปที่หน้าจอและให้ความสนใจกับภาพยนตร์สั้นที่ปรากฎอยู่บนเวที ภาพถ่ายช็อตใหญ่ที่น่าสนใจมากกว่าใคร ๆ ไม่มีใครไม่สนใจ เบเฮเดอร์ฮีโร่แห่งความมืดผู้ซึ่งกำลังเดินเข้าสู่สนามกีฬาท่ามกลางเสียงเชียร์มากมายจากผู้ชม


 


แน่นอนว่าคนที่จะแข่งขันกับเบเฮเดอร์ก็โด่งดังไม่แพ้กัน หลังจากวีรบุรุษแห่งความยุติธรรมที่สูงกว่าสองเมตรปรากฏตัวพร้อมรอยสักบนหน้าอกแล้ว ฮีโร่ที่ล่วงลับไปในอดีต “กัปตันเพลิง” เฮอร์เบิร์ต พาร์สัน ก็ได้เดินไปที่เวทีด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกอารมณ์ใด ๆ


 


ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของผู้ชมและเสียงถอนหายใจด้วยความสงสาร ดังก้องภายในสนามอย่างต่อเนื่อง


 


“เขาคือ กัปตันอเมริกา เฮอร์เบิร์ต พาร์สันที่ยังคงเป็นเสาหลักของการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมเมื่อปีที่แล้ว อย่าได้ดูถูกเขาแค่เพียงเพราะเขามีรูปร่างที่ไม่โดดเด่นเหมือนนักมวยปล้ำคนอื่น ๆ นะ การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วมากในบรรดาผู้เล่นทั้งหมด! หมัดลาวาและท่ากวาดแมกม่าของเขาแข็งแกร่งมาก! น่าเสียดายที่เขาแพ้ไปกับการแข่งอื่นเมื่อครึ่งปีก่อนเพราะเขาดันไปตกหลุมรักสไปเดอร์เกิร์ลจากฝั่งคนชั่ว แต่ฉันว่าเขาคงเห็นด้านน่าเกลียดของเธอและหลุดพ้นมาได้แล้วแหละ และในตอนนี้เขาก็กำลังกลับคืนสู่ความยุติธรรม!”


 


หลังได้เห็นผู้ผดุงจากทั้งฝั่งคนดีและคนร้ายที่มาปรากฏตัวอยู่บนเวทีแล้ว ทีน่าจ้องมองเวทีแข่งอย่างตื่นเต้นในขณะให้คำอธิบายแก่จางลี่เฉินเกี่ยวกับที่มาของผู้เล่นทั้งสอง


 


“โอ้ … โอ้ …” ชายหนุ่มตอบรับพอเป็นพิธีขณะดูการแข่งขันที่เริ่มต่อสู้กัน เท้าของเขาวางพาดอยู่บนรั้วสแตนเลสด้านหน้า และจิตใจของเขาก็เริ่มลอยไปที่อย่างอื่น


 


หลังการเปลี่ยนแปลง ร่างกายที่อ่อนแอของเขาได้รับการยกระดับเนื้อแท้ภายในของเขาไปด้วยเช่นกัน ความคิดของเขาต่างมุ่งเน้นไปที่การสร้างความก้าวหน้าในคาถาเพราะบุริมภาพของเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


มันเพิ่งเกิดขึ้นในช่วงวันหยุดหน้าหนาวตอนนี้ดังนั้นเขาจึงยังพอมีเวลาเหลือเฟือ ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ยอมแพ้ความต้องการที่จะกลับไปเยี่ยมเยือนบ้านเกิดของเขา


 


ที่จริงแล้ว จางลี่เฉินจำได้อยู่เสมอในวันที่เขาออกจากหมู่บ้านกวาโว้มา เขาบอกกับลุงอาลี่ว่าเขาจะกลับมาที่หมู่บ้านเพื่อเยี่ยมพวกเขาอยู่เสมอแม้ว่าเขาจะอยู่ที่สหรัฐฯก็ตาม อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาได้มาสหรัฐฯแล้วกลับมีสิ่งมากมายเกิดขึ้นหลายครั้งและเวลาที่ใช้ในการปลูกฝังเพื่อปกป้องตัวเองทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำลายสัญญาของเขาทิ้งไป


 


ขณะที่จิตใจของชายหนุ่มกำลังหลงทางอยู่ในจินตนาการและการคาดเดาต่าง ๆ การแข่งขันของเบเฮเดอร์และกัปตันเพลิงบนเวทีก็ได้มาถึงส่วนที่สำคัญที่สุด


 


ด้วยขนาดและความสูงร่างกายของเบเฮเดอร์ทำให้เขามีความได้เปรียบอย่างมากต่อกัปตันเพลิงคู่ต่อสู้ที่กำลังแข่งขันอยู่ด้วยในตอนนี้ ด้วยการกระทำที่ยั่วยุและแรงกระตุ้นทำให้เขาเหวี่ยงหมัดใส่อีกฝ่ายไปอย่างดุเดือด ในเวลาเดียวกัน กัปตันเพลิงก็ส่งหมัดที่ทรงพลังกลับไปเพื่อโจมตีอีกฝ่ายเข้าที่คาง


 


ทันทีที่หมัดนั้นกระแทกลงบนคางของเบเฮเดอร์ หน้าจอขนาดใหญ่บนสนามกีฬาก็แสดงให้เห็นถึงภาพการปะทุของภูเขาไฟขึ้นอย่างกระทันหัน ผู้ชมหลายพันลุกขึ้นยืนและตะโกนร้องออกมาว่า “หมัดลาวา! มันคือหมัดลาวา!!…”


 


เบเฮเดอร์ที่โดนโจมตีด้วยหมัดที่รุนแรงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนจะส่ายตัวไปข้างหลังและเอนกายพิงราวของเวทีขณะที่เขาเงยหัวขึ้นมองด้านบน ดูเหมือนว่าเขากำลังว่ายน้ำท่ามกลางดวงดาวมากมายในตอนนี้


 


ในตอนนี้ฝ่ายที่ได้เปรียบก็คือกัปตันเพลิง เขาออกตัววิ่งเบา ๆ เพื่อกระโดดลอยไปบนอากาศพร้อมกับท่าเตะ ส่งผลให้การโจมตีนี้ไปโดนซี่โครงข้างของเบเฮเดอร์อย่างแรงและเป็นการส่งเขาให้ร่วงออกจากเวทีไป


 


“โอ้พระเจ้า นั่นมันท่ากวาดแมกม่า! ท่ากวาดแมกม่าจริง ๆ! กัปตันเพลิงกำลังจะชนะ…” เมื่อฝูงชนพากันตะโกนเสียงดัง เฟรมไฟที่โหมกระหน่ำก็ขึ้นกระพริบอยู่บนหน้าจอขนาดใหญ่


 


หลังจากที่เบเฮเดอร์ล้มลงจากเวทีที่สูงเกินกว่าหนึ่งเมตร ดูเหมือนว่าเขาจะกลับสู่ความเป็นจริงได้ในที่สุด เขากระโดดขึ้นจากพื้นและพุ่งพรวดด้วยความโกรธแค้นที่มีต่อกัปตันเพลิงที่กำลังไล่ตามไม่หยุดหย่อนเพื่อทำให้ศัตรูตกใจกลัว ทันใดนั้นเขาก็หันกลับหลังและวิ่งเข้าหาผู้ชมด้านหน้าอย่างกระทันหันเพื่อคว้ารั้วเหล็กและดึงมันออกมาใช้เป็นอาวุธ


 


ผู้ชมต่างรู้กันดีอยู่แล้วว่าเกมสุดท้ายจะไม่มีกฎและไม่มีข้อจำกัดใด ๆ พวกเขาสามารถต่อสู้จากเวทีด้านบนสู่ด้านล่างหรือแม้แต่ต่อสู้ไปตลอดทางจนถึงหลังเวที อีกทั้งยังสามารถจับหาอะไรก็ได้เพื่อใช้เป็นอาวุธโจมตีคู่ต่อสู้ ผู้ชมส่วนใหญ่อดไม่ได้ที่จะกรีดร้องเมื่อเบเฮเดอร์ร่างยักษ์วิ่งไปที่ด้านหน้าของพวกเขาด้วยลักษณะที่กำลังเดือดพล่าน


 


ขณะนั้นเอง สถานการณ์ที่ไร้สาระอย่างฉับพลันก็เกิดขึ้นโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ขณะที่เบเฮเดอร์กำลังดึงรั้วด้วยพลังทั้งหมดของเขารั้วเหล็กสีเงินสว่างไม่มีท่าทีจะขยับเขยื่อนเลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าจะมีวัยรุ่นผอมแห้งคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในแถวแรกของผู้ชมกำลังโบกมือของตัวเองและส่งผลให้เบเฮเดอร์ลอยถลาออกไปไกล


 


เบเฮเดอร์ที่มีน้ำหนักอย่างน้อย 300 ปอนด์เหมือนถูกกระสุนจากปืนใหญ่โจมตีจนทำให้เขาถอยไปไกล 6 – 7 เมตร หลังชนเข้ากับเวทีเสียงดัง ‘ปัง!’ เขาก็กระเด้งตัวล้มไปกับพื้นและไร้ซึ่งเสียงใด ๆ ตามมาอีกเลย


 


สนามกีฬาเมดิสันสแควร์การ์เด้นกลายเป็นความยุ่งเหยิงภายในพริบตา ความคิดแรกที่เกิดขึ้นในใจของผู้ชมคือ NWA ได้ตัดสินใจที่จะเปิดตัวสำหรับฮีโร่ม้ามืดคนใหม่ที่ทรงพลังที่สุดสำหรับ ‘ฝั่งตัวร้าย’


 


อย่างไรก็ตาม พลังที่จะสามารถเอาชนะเบเฮเดอร์ได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียวแบบนี้ยากที่จะรักษาความสมดุลไว้ได้ พวกเขาจะต้องออกแบบตัวละครที่คล้ายกันสำหรับฝั่งยุติธรรมในฐานะคู่ต่อสู้ต่อไปอีก


 


ในตอนนั้นเอง จางลี่เฉินที่ตกใจกับการปรากฏตัวของนักมวยปล้ำแบบฉับพลันจนทำให้เขาต้องเผลอป้องกันตัวเองออกไปได้เป็นความผิดพลาดที่ทำให้เบเฮเดอร์บินลอยไปไกลขนาดนี้ เขาขยับร่างกายของตัวเองไปด้านข้างเพื่อปิดบังใบหน้าของเขา


 


จากนั้นความคิดเห็นที่คล้ายกันก็ดังก้องอยู่รอบตัว


 


“นี่มันไร้สาระเกินไปแล้ว…”


 


“เด็กคนนี้เป็นมนุษย์ธรรมดาแน่เหรอ?”


 


“มันคือเทคนิค! แบล็คกัสจะต้องกระโดดหลบไปข้างหลังด้วยตัวเองแน่ ๆ …”


 


หลังจากนั้น 2 – 3 วินาทีต่อมา ทีน่าที่รู้สึกตัวได้เป็นคนแรกก็รีบลุกขึ้นยืนจากที่นั่งและหันไปกระซิบพูดกับเพื่อน ๆ ของเธอว่า “ไปกันเถอะ!” ก่อนจะใช้ร่างกายของเธอบังจางลี่เฉินและบีบเขาให้เดินไปตามเส้นทางวีไอพีเมื่อกล้องในสนามกีฬายังคงจับภาพอยู่ที่เบเฮเดอร์ที่ยังคงนอนอยู่บนพื้นดิน



ตอนที่ 167

เมื่อทีน่าดึงจางลี่เฉินให้ลุกเดินไปตามทางวีไอพีพร้อมกับเธอเพราะเหตุผลที่ว่าตอนนี้มันใกล้จะเช้าแล้วและเกมการแข่งก็ยังดำเนินอยู่ ที่ล็อบบี้และจุดขายตั๋วอันกว้างใหญ่ของเมดิสันสแควร์การ์เดนตอนนี้มีแต่ความว่างเปล่า พนักงานที่มีป้ายชื่อประดับอยู่บนเสื้อมีอยู่เพียงไม่กี่คนที่กำลังยุ่งอยู่กับการทำหน้าที่ของตัวเองจึงไม่มีใครหันมาให้ความสนใจพวกเขา


เมื่อทีน่าเห็นว่าเจ้าหน้าที่ของสนามกีฬาอยู่ตรงนั้นเธอก็ปรับความเร็วลงแล้วหยุดดูพวกเขาอย่างรีบร้อนก่อนจะรีบเดินไปที่ทางออก


เธอเริ่มเดินช้าลงแล้วเธอจึงใช้โอกาสนี้กระซิบถามชายหนุ่มข้าง ๆ ไปว่า “ลี่เฉิน นี่นายมีพลังแข็งแรงอะไรกันแน่?”


“ร่างกายผมแข็งแรงขึ้นมากเมื่อเร็ว ๆ นี้ ไว้คุยเรื่องนี้กันภายหลังเถอะ”


“แม้ว่าร่างกายของนายจะแข็งแรงขึ้นแต่นายไม่ควรทำแบบนี้ต่อหน้าผู้คน 20,000 คน…”


“ก็ตอนนั้นผมคุมมันไม่ได้! บ้าเอ้ย! จู่ ๆ ชายร่างใหญ่คนนั้นก็พุ่งเข้ามา ที่ผมทำไปก็แค่การป้องกันตัว ใครจะไปคิดว่าเขาจะอ่อนแอขนาดนี้!”


“อ่อนแอ? เขาเป็นฮีโร่ที่ทรงพลังที่สุดในบรรดานักมวยปล้ำของสหรัฐฯเชียวนะ…” ในตอนที่ทีน่ากำลังพูดอยู่ เสียงรถพยาบาลก็ดังขึ้นข้าง ๆ ก่อนจะขับผ่านเลยไป จากนั้นเหล่าผู้ชมก็เริ่มหลั่งไหลกันมาที่ทางออกของสนามกีฬา


“โอ้พระเจ้า! เพราะนายส่งเบเฮเดอร์ลอยไปแบบนั้นเขาเลยต้องเข้าห้องฉุกเฉินและการแข่งวันนี้ก็ต้องสิ้นสุด! ดูเหมือนว่าเขาจะอ่อนแออย่างที่นายว่าไว้จริง ๆ ถ้านายไม่ต้องการไปโผล่อยู่ในพาดหัวข่าวของแท็บลอยด์นิวยอร์กพรุ่งนี้ในฐานะ ‘เด็กชายผู้เปี่ยมไปด้วยกำลัง’ แล้วล่ะก็ เราควรรีบออกไปจากที่นี่กันเดี๋ยวนี้!”


หญิงสาวดึงมือของเขาและเริ่มออกวิ่งอีกครั้งโดยไม่สนใจเพื่อนคนอื่น ๆ ที่อยู่ด้านหลัง หลังจากที่พวกเขาตรงไปยังลานจอดรถ เธอก็เข้าไปในนั่งฝั่งที่นั่งคนขับของรถ SUV แทนจางลี่เฉิน


โชคดีที่ทริช, ชีล่า, แอนนี่, คริสตินาและชายหนุ่มอีกสามคนมักออกกำลังกายอยู่เป็นประจำพวกเขาจึงไม่ถูกทีน่าและจางลี่เฉินทิ้งไว้ข้างหลัง ในไม่ช้าพวกเขาก็วิ่งเข้าไปในรถพร้อมกับการหายใจเหนื่อยหอบ


เมื่อทีน่าเห็นว่าทุกคนขึ้นมาบนรถแล้วเธอก็ตะโกนสุดเสียงไปว่า “เกาะให้แน่น ๆ นะ!” ก่อนจะสตาร์ทเครื่องยนต์และขับออกจากลานจอดรถแล้วเลี้ยวตรงไปที่ถนนอย่างรวดเร็ว


รถเคลื่อนตัวไปตามถนนของนิวยอร์กอยู่สักพักหนึ่ง ชีล่าที่กำลังหอบหายใจอยู่ที่เบาะหลังและสมองของเธอที่ถูกกระตุ้นด้วยแอลกอฮอล์และเกมมวยปล้ำที่ดุเดือดก็ตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นเต้นว่า “โว้ว ลี่เฉิน! โว้ว! จริง ๆ แล้วเธอเป็นคนส่งเบเฮเดอร์ให้ลอยออกไปไกลถึง 10 เมตรด้วยหมัดนั่นสินะ!”


“ที่นั่งของเราอยู่ห่างจากเวทีไม่ถึง 10 เมตรด้วยซ้ำ” จางลี่เฉินที่นั่งอยู่ข้างคนขับตอบกลับ “มันเป็นอุบัติเหตุและคุณก็ควรหยุดพูดเกินจริงได้แล้ว ผมหวังว่านักมวยปล้ำคนนั้นจะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอะไร”


“บางทีเราน่าจะตามข่าวของเบเฮเดอร์ได้จากอินเทอร์เน็ตนะ” เมื่อเห็นการแสดงออกที่น่าหดหู่ของชายหนุ่ม ลูกสาวผู้เป็นหัวหน้าฝ่ายกฎหมายของเขาได้ไตร่ตรองเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยคำปลอบโยน “ลี่เฉิน คุณไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ ไม่มีอะไรให้ต้องกลัวแม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส จู่ ๆ นักมวยปล้ำคนนั้นก็รีบเข้ามาดึงรั้วข้างหน้าคุณเอง ไม่มีผู้พิพากษาคนไหนจะตัดสินลงโทษคุณด้วยความผิดทางอาญาเมื่อคุณโจมตีเขาไปในฐานะผู้ชมโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายเพียงใดการลงโทษที่มากที่สุดก็คือการปรับด้วยเงินและเงินก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคุณ”


“แอนนี่ ผมไม่ได้กลัวศาล แต่… ลืมมันไปเถอะ! เป็นความคิดที่ดีที่จะหาข่าวออนไลน์อ่าน” จางลี่เฉินตอบกลับก่อนจะรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาค้นหาคำว่า “เมดิสันสแควร์การ์เดน การแข่งขันมวยปล้ำพิเศษ, อุบัติเหตุ” ในไม่ช้า เขาก็เห็นพาดหัวข่าวพร้อมกับข้อความข่าวที่น่าประทับใจ – “เบเฮเดอร์ถูกหมัดชกเล่นงานโดยเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกบรูซลีเข้าสิง…”


“กังฟูของจริงที่เมดิสันสแควร์การ์เดน ผู้สืบทอดของบรูซลีกลายเป็นผู้ชนะที่แท้จริงในค่ำคืนนี้…”


“หลังพระจีนเด๋อด๋าที่ถูกขับไล่ออกจากการแข่งขันมวยปล้ำสหรัฐฯ บรูซลีคนใหม่ได้สร้างภาพลักษณ์ที่มีอิทธิพลในคืนนี้…”


เมื่อการอ่านข่าวสิบบรรทัดด้วยการมองเพียงครั้งเดียวจบ จางลี่เฉินก็เอ่ยถามอย่างสงสัยไปว่า “นี่ทุกคนรู้จักคนที่ชื่อบรูซลีกันหมดเลยงั้นเหรอ?”


“ลี่เฉิน นายเป็นปรมาจารย์กังฟูขั้นสุดยอดแต่นายกลับไม่รู้จักบรูซลีอย่างนั้นเหรอ? เขาคือมังกรของจีนยังไงล่ะ!  มังกรที่เที่ยงธรรมและมีพลัง! เขาคือดาวเด่นด้านกังฟู แม้จะมีร่างกายขนาดเล็กแต่เขาสามารถส่งชายร่างใหญ่บินลอยไปไกลได้ด้วยหมัดเหมือนกับนาย!” โจแฟนหนุ่มของแอนนี่ตอบกลับอย่างตื่นเต้น


ตอนนี้ทัศนคติที่พวกชายหนุ่มมีต่อจางลี่เฉินได้แตกต่างไปจากตอนที่พวกเขาเจอกันครั้งแรกโดยสิ้นเชิง บางทีชายหนุ่มชาวอเมริกันผู้มีความปรารถนาจะต้องเหนือกว่าคนอื่นจะไม่ยอมรับความเหนือกว่าของมหาเศรษฐี แต่เมื่อได้เผชิญหน้ากับจอมพลังที่เชี่ยวชาญเทคนิคการต่อสู้แบบตะวันออกโบราณอย่าง ‘กังฟู’ และสามารถส่งนักมวยปล้ำที่มีน้ำหนักมากกว่า 300 ปอนด์ลอยออกไปได้หลายเมตร ความกลัวก็ถูกหยิบยกขึ้นมาในใจพวกเขาในทันที


“มังกรของจีนที่ทรงพลังและยิ่งใหญ่ ดาวเด่นกังฟู…” จางลี่เฉินพูดทวนด้วยความสับสน


“ชื่อจีนของเขาคือลีเสี่ยวหลง นายน่าจะเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน” ทริชอธิบาย


“โอ้ ลีเสี่ยวหลง! แน่นอนว่าผมเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ถ้างั้นบรูซลีที่พูดกันมาก็หมายถึงเขานี่เอง” ดวงตาของเขาสดใสขึ้นและคิ้วของเขาก็ผ่อนคลายเมื่อได้รู้ว่าบรูซลีเป็นใครก่อนจะพึมพำกับตัวเองเบา ๆ “ลีเสี่ยวหลงเป็นอาจารย์กังฟู! อาจารย์กังฟู ลีเสี่ยวหลง…ใช่แล้ว! เราเป็นอาจารย์กังฟู ด้วยเหตุนี้เราจึงส่งนักมวยปล้ำคนนั้นออกไปได้ด้วยหมัด นี่เป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผลที่สุด!”


เมื่อตระหนักได้ว่าคนอื่น ๆ มีความคิดที่จะช่วยเขาหาเหตุผลที่จะอธิบายความแตกต่างและสิ่งที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มก็ผ่อนคลายขึ้นในทันใด


ไม่เพียงแค่นั้นเมื่อเขาเห็นวิดีโอที่เขาส่งเบเฮเดอร์ลอยออกไปไกลบนอินเทอร์เน็ตเขาก็ไม่หน้านิ่วคิ้วขมวดอีกต่อไป เขากดเล่นวิดีโอบนหน้าจอควบคุมส่วนกลางของรถและแสดงความคิดเห็นว่า “ทีน่า ทริช ชีล่า ดูนี่สิ! ตอนที่กล้องหันไปพร้อมกับเบเฮเดอร์ ผมก็ถูกบังโดยร่างกายของเขา! หลังจากที่ผมส่งเขาลอยออกไปผมก็ก้มศีรษะลงและมีเพียงใบหน้าส่วนบนของผมเท่านั้นที่ถูกจับได้! แต่เป็นใบหน้าของพวกคุณแทนที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน…”


“เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ช่วยนาย ในฐานะเป็นชาวสังคมนิวยอร์กมันดีมากที่มีตัวตนอยู่บนข่าวสารทางทีวีและหนังสือพิมพ์บ้างบางครั้ง”  เมื่อได้ยินคำพูดของจางลี่เฉิน ชีล่าก็ยิ้มและพูดว่า “ผ่อนคลายน่าลี่เฉิน เนื่องจากนายต้องการอยู่ให้ห่างจากจุดสนใจของคนอื่น พวกเราสามสาวฮาร์วาร์ดจะช่วยปกป้องนายเอง ในเมื่อนายคือเพื่อนชายที่เราสนิทด้วยมากที่สุด”


“ชีล่า ช่วยยับยั้งความรู้สึกตัวเองต่อหน้าโซเนียบ้างจะได้ไหม?” ทีน่าเปลี่ยนเส้นทางรถให้ขับเข้าไปในโรงแรมฮิลตันและจอดที่ข้างทางพร้อมพูดอย่างไร้ประโยชน์


“ทีน่าที่รัก แฟนหนุ่มและเพื่อนชายเป็นสองแนวคิดที่แตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิงเลยนะจ้ะ” ชีล่ายิ้มกว้างก่อนจะผลักประตูรถให้เปิดออก


ชายหนุ่มและหญิงสาวเดินทางเข้าพักในโรงแรมฮิลตันซึ่งทีน่าได้แชร์ห้องสวีทเพื่อเข้าพักกับจางลี่เฉิน


เมื่อพวกเขานั่งลงในห้องพักได้ในที่สุดมันก็เป็นเวลาประมาณตีสี่กว่า หญิงสาวหาวด้วยความง่วงนอนขณะถอดเสื้อผ้าของเธอออก เธอที่กำลังสวมชุดชั้นในซีทรูของวิคตอเรียซีเคร็ทสีม่วงกล่าวว่า “ที่รัก ฉันง่วงนอนมากเลย เราไปอาบน้ำด้วยกันไหม? ถ้านายไม่อยากทำอย่างนั้นก็แค่อาบน้ำแล้วพักผ่อนกันเฉย ๆ ก็ได้ ส่วนเรื่องที่นายได้รับพลังแข็งแกร่งอะไรมาไว้เราพูดถึงรายละเอียดกันในวันพรุ่งนี้เถอะ”


“ทีน่า ไม่ใช่ว่าผมแข็งแกร่งแต่มันเป็นร่างกายของผมต่างหากที่กำลังเปลี่ยนแปลง … ” จางลี่เฉินถอดเสื้อของเขาออกเพื่อปลือยกายส่วนบน ร่างของเขาใหญ่ขึ้น กล้ามเนื้อแข็งของเขาดูเหมือนบอลลูนที่อยู่ในร่างกาย


“โอ้โหที่รัก ดูเหมือนว่าทุกส่วนร่างกายของนายจะใหญ่ขึ้นสินะ … ” ทีน่าซึ่งคุ้นเคยกับการแสดงพลังแปลก ๆ ทุกอย่างของชายหนุ่มไม่สนใจเกี่ยวกับร่างกายที่เหมือนเหล็กของจางลี่เฉินที่มีความสูงเกือบ 190 เซนติเมตรกับเกล็ดราง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างใด เธอจับจ้องมองแต่ใต้สะดือของเขา


“ทีน่า นี่ผมกำลังคุยเรื่องจริงจังกับคุณอยู่นะ! ตอนนี้ผมยังสูงกว่านี้ได้อีก เกล็ดที่ขึ้นตามตัวและกำลังของผมที่เกินความจำเป็น! ปากของผม…”


“ที่รัก ฉันโตมากับการดูเดอะฮัลค์และสไปเดอร์แมน เนื่องจากผู้ชายที่ฉันรักคือซูเปอร์ฮีโร่ฉันจึงเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงได้ในที่สุด ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่ได้คาดหวังว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะสร้างความประหลาดใจได้ขนาดนี้” ความง่วงนอนของทีน่าหายไปอย่างไร้ร่องรอย อย่างน่าดึงดูดใจ เธอเดินเข้าหาจางลี่เฉินและจับส่วนล่างของเขา ฝ่ามือของเธอแทบจะจับได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งก่อนจะถูมันเบา ๆ  “มันใหญ่ไปหน่อย แต่ฉันคิดว่าฉันน่าจะสามารถรับมือกับมันได้…”


“ทีน่า ผมว่าคุณจะรับมือกับมันไม่ได้หรอก” เมื่อจางลี่เฉินเห็นว่าหญิงสาวไม่ได้ตั้งใจจะพูดคุยกับเขาอย่างจริงจังและดูเหมือนเธอจะหยอกล้อเล่นกับเขาอย่างจงใจจึงสะบัดความคิดต่าง ๆ ที่มีออก เขาโอบแขนของเขาไว้รอบเอวของหญิงสาวแล้วยกเธอขึ้นอย่างง่ายดายก่อนจะถอดเสื้อผ้าที่เหลือออกทั้งหมด ความแข็งใต้สะดือของเขาได้ผลักเข้าไปในรังที่นุ่มและแห้งเล็กน้อยอย่างรุนแรง


“อ่า…” เสียงครางอันเจ็บปวดดังออกมาจากปากของทีน่าขณะที่จางลี่เฉินยังคงผลักเข้าตัวเธออย่างต่อเนื่องขณะอุ้มเธอไปที่ห้องน้ำ


ไม่มีใครรู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่ในที่สุดชายหนุ่มก็พาหญิงสาวออกจากห้องน้ำพร้อมผ้าขนหนูที่พันรอบร่างของเธอ ร่างกายของเธอได้กลายสีชมพูอ่อนและเสียงของเธอก็ทั้งแหบแห้งและอ่อนแอ “นายเป็นสัตว์ร้ายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว! ถ้าในครั้งต่อไปยังทำกับฉันแบบนี้อีก ฉันจะไม่ยอมนอนห้องเดียวกันนายอีกตลอดไป!”


จางลี่เฉินวางทีน่าลงบนเตียงนุ่มที่อยู่ภายในห้องนอน “ถ้าคุณไม่เริ่มก่อนผมก็ไม่ทำต่อคุณรุนแรงแบบนี้หรอก คุณไม่สามารถตำหนิผมได้นะทีน่า ทุกครั้งที่เราอยู่กันเพียงลำพังคุณก็มักจะ…”


“นายหมายถึงฉันจะเป็นฝ่ายจูบและกอดรัดนายก่อนเสมอใช่ไหม? นั่นเป็นเพียงการแสดงออกถึงความรักของฉันที่มีต่อนายและความปรารถนาของฉันที่จะได้รับความรักจากนายก็เท่านั้น โอ้ตอนนี้ฉันรู้แล้ว! เด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่สามารถอยู่บนเตียงได้ไม่กี่นาทีในขณะนี้ได้เปลี่ยนไปเป็นคนที่มีพลังและแข็งแกร่งดังนั้นเขาจึงต้องการแก้แค้นฉันใช่ไหม?”


“ช่างมันเถอะ น้ำหน่อยไหม?”


“แน่นอน ฉันสูญเสียน้ำในร่างกายตัวเองไปมากดังนั้นฉันต้องเติมน้ำเข้าร่างกายของตัวเองซะบ้าง” ทีน่าตอบเบา ๆ ด้วยเสียงแหบห้าว


“อะไรน่ะ? การพูดของคุณเหมือนกับชีล่าไม่มีผิด” ชายหนุ่มกระโดดลงจากเตียงและยื่นขวดน้ำแร่ให้กับหญิงสาว “พักผ่อนหลังจากดื่มน้ำเถอะ คุณไม่ง่วงแล้วเหรอ?”


“ฉันต่างจากลีช่านะ เธอจะพูดด้วยน้ำเสียงและใบหน้าแบบนี้กับผู้ชายทุกคนที่เธอสนใจแต่ฉันไว้พูดกับนายแค่คนเดียว” ทีน่าดื่มน้ำหนึ่งขวดหมดในครั้งเดียว “ราตรีสวัสดิ์ที่รัก! ไว้คุยเกี่ยวกับการเปลี่ยนร่างของนายในวันพรุ่งนี้กันเถอะ”


“มันไม่ใช่การเปลี่ยนร่าง…เห้อ ช่างมันเถอะ แต่คุณสามารถบอกได้ว่ามัน…” จางลี่เฉินที่กำลังพูดอยู่แต่ตระหนักได้ว่าหญิงสาวได้หลับไปแล้วเขาจึงไม่ได้พูดอะไรต่อและเดินไปปิดไฟก่อนจะขึ้นมานอนถัดจากเธอ



ตอนที่ 168

วันต่อมาจนกระทั่งเกือบเที่ยงวัน ในที่สุดทีน่าก็ตื่นจากการนอนหลับ ในเวลานี้จางลี่เฉินกำลังนั่งอยู่ข้างเตียงและฝึกฝนทักษะลับเป็นครั้งแรกหลังการเปลี่ยนแปลง


 


ตอนนี้เขากลายเป็นพ่อมดระดับ 6 แล้ว ทุกครั้งที่เขาสร้างความก้าวหน้าในการพัฒนาคาถาประตูแห่งความตาย เขาจะต้องเปลี่ยนร่างและสังเวยสัตว์อาคม


 


คุณภาพของสัตว์อาคมไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะออกตามล่า หากไม่มีคาถา “แปลงร่าง” ที่เขาได้รับเมื่อครั้งขึ้นระดับ 2 โดยไม่มีเลือดและเนื้อสัตว์เพียงพอที่จะสนับสนุน มันจะเป็นเรื่องยากมากสำหรับพ่อมดที่จะได้รับสัตว์อาคมตัวหนึ่งที่จะมีอำนาจรอบรู้ไปตลอดชีวิต สำหรับพวกเขาแล้วหนอนแปลกโบราณถือเป็นตำนาน


 


ด้วยเหตุนี้ ประการแรกเนื่องจากเหตุผลที่สัตว์อาคมสามารถกลายเป็นสิ่งที่หาได้ยากดังนั้นพวกมันจะต้องเป็นสิ่งมีค่า


 


ประการที่สอง เมื่อพ่อมดได้ขึ้นไปถึงระดับ 12 เขาจะสามารถควบคุมความสามารถ “คาถารวมศิลปะการต่อสู้” ได้ โดยปกติแล้วหลังจากที่พ่อมดบ่มเพาะทักษะคาถาประตูแห่งความตายจะได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งแรกในระดับที่ 6 ทั้งรูปแบบการต่อสู้และวิธีการฝึกฝนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงเกือบ 180 องศาจากการพึ่งพาของสัตว์อาคมเช่นเดียวกันกับทักษะลับที่ชายหนุ่มได้รับมา


 


ตอนนี้การฝึกฝนของเขาไม่จำเป็นต้องสร้างการไหลเวียนภายในและภายนอกกับสัตว์อาคมอีกต่อไป เขาเพียงต้องการสมาธิและสงบใจเท่านั้น หมอกควันได้ลอยออกมาจากหลังของเขาขณะบ่มเพาะทักษะ ก่อร่างเป็นมันนี่โทดที่กลืนกินท้องฟ้าก่อนจะสลายตัวเพื่อสร้างเป็นภาพปีศาจในขณะที่ดึงพลังพ่อมดในร่างกายของชายหนุ่มให้เพิ่มขึ้น


 


หญิงสาวรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของหมอกควันที่ปรากฏอยู่ด้านหลังของชายหนุ่ม จางลี่เฉินที่เหมือนจะรู้สึกตัวได้ว่าถูกจ้องมองจึงลืมตาตื่นขึ้นมา


 


หมอกควันที่อยู่ข้างหลังเขาหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อจางลี่เฉินหันหน้ามา “อรุณสวัสดิ์ทีน่า”


 


“อรุณสวัสดิ์ที่รัก ที่ด้านหลังของนาย…” หญิงสาวเปลือยกายลุกขึ้นยืนเดินเข้าไปจูบยามเช้าให้กับชายหนุ่ม


 


“ด้านหลังผมทำไม?”


 


“มันมีควันอะไรก็ไม่รู้ลอยออกมา แล้วก็กลายเป็นภาพปีศาจที่มีหัวและฟันขนาดใหญ่ก่อนที่จะกลายเป็นคางคกอีกครั้ง แล้วควันนั้นก็หายไปตอนที่นายกำลังจะหันหน้ามา”


 


“อย่างนั้นเหรอ? มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อผมได้กลายเป็นพ่อมดระดับ 6 แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ทีน่า ผมต้องคุยกับคุณเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ด้วยการพึ่งพาพลังของเมานท์โทด ร่างกายผมได้เปลี่ยนไป…”


 


จางลี่เฉินบอกทุกอย่างเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของเขาให้ทีน่าฟัง “อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในสนามกีฬาเมื่อคืนทำให้ผมรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องดี ผมไม่ต้องการให้ความลับของผมหลุดออกไป ไม่อย่างนั้นคนอื่น ๆ ก็จะปฏิบัติต่อผมเหมือนสัตว์ประหลาด”


 


“ที่รัก ฉันขอโทษ เป็นความผิดของฉันเองที่ยืนยันจะให้นายไปดูการแข่งขันเมื่อคืนนี้ให้ได้”


 


“ผมไม่โทษคุณหรอกทีน่า อะไรก็จะเกิดมันก็ต้องเกิดในที่สุด หลังการเปลี่ยนแปลงมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ความดุร้ายอันทรงพลังของผมจะไม่ปรากฏออกมา หากพลังของผมแสดงออกมาเมื่อไหร่คนอื่นก็จะสังเกตเห็นมันได้ สิ่งที่ผมต้องการพูดคุยกับคุณในตอนนี้คือมีบางคนบนอินเทอร์เน็ตช่วยหาข้อแก้ตัวโดยบอกว่ามันเป็นเทคนิคการต่อสู้แบบโบราณที่เรียกว่ากังฟู คุณคิดว่ามันจะเป็นไปได้ไหมที่ผมจะใช้สิ่งนี้ไว้อ้างเวลาเกิดเรื่อง?”


 


“แน่นอนที่รัก แต่ถ้านายคิดจะใช้แผนนี้ไปตลอดอย่างน้อย ๆ นายก็ต้องมีทักษะกังฟูจริง ๆ ติดตัวบ้างนะ”


 


“โอ้ ใช่ คุณพูดถูก! ผมควรไปโรงเรียนศิลปะการต่อสู้เพื่อเรียนรู้การต่อยมวยจีน การทำเช่นนั้นอาจเป็นการดีสำหรับผมที่จะได้ควบคุมความแข็งแกร่งทางร่างกายได้โดยเร็วที่สุดอีกด้วย ยืงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!” ตาของชายหนุ่มเบิกบานทันทีที่เขานึกถึงคำบอกเล่าของแมดดี้ได้ เขาพยักหน้าแล้วพูดเสริมต่อว่า “ใช่แล้วทีน่า ผมอยากกลับไปประเทศจีนในช่วงวันหยุดฤดูหนาวนี้ คุณอยากจะไปกับผมไหม?”


 


“โอ้ ลี่เฉิน ฉันอยากให้นายมากับฉันที่บอสตันหลังจากวันคริสต์มาสนี้จัง ปีนี้เป็นวันหยุดฤดูหนาวครั้งแรกของฉันหลังจากได้เข้ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ดังนั้นในการเข้าร่วมกับกลุ่มสมาคมหญิงสาว ทริช ชีล่าและฉันจะต้องกลับไปที่มหาวิทยาลัยก่อนเพื่อจับฉลากและทำภารกิจต่าง ๆ”


 


“ห้ะ? ดูเหมือนว่า ‘ดั๊กลิน’ จะไม่เฉิดฉายในบอสตันเท่านิวยอร์กงั้นสินะ”


 


“แต่ถ้านามสกุลของฉันไม่ใช่ดั๊กลินฉันจะไม่สามารถเข้าร่วมสมาคมหญิงสาวในปีแรกของฉันได้เลย ฮาร์วาร์ดถูกสร้างขึ้นก่อนหน้าสหรัฐฯอีกนะ ฮาร์วาร์ดต้องมาก่อนอเมริกาสิ ประเพณีบางอย่างก็ยังต้องได้รับการเคารพต่อไป”


 


“โอ้ อย่างนี้นี่เอง ถ้างั้นผมก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลับประเทศจีนเพียงลำพัง หวังว่าจะไม่มี “บุ๊คมาร์ค” ใด ๆ ปรากฏในเสฉวนตะวันตก …”  เมื่อจางลี่เฉินคิดถึงสิ่งนี้ เขาจึงได้หารือกับทีน่าเกี่ยวกับอาณาจักรเหนือธรรมชาติที่ยังคงปรากฏอยู่ในทุกวัน คราวนี้หญิงสาวไม่มีคำแนะนำที่ดีให้ได้อีกต่อไปเพราะเธอเองก็รู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะคิดเรื่องอื่นนอกเหนือจากการใช้ชีวิตไปตามปกติและค่อยขยับตัวพร้อมกับมาตรการตอบโต้เมื่อมีสิ่งร้ายเกิดขึ้น


 


แน่นอนว่าข้อสรุปนี้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของชายหนุ่ม “สรุปแล้วพลังของผมยังอ่อนแอเกินไปและผมก็ทำได้แค่รอให้เรื่องร้าย ๆ เหล่านั้นเกิดขึ้นมาก่อน…”


 


“ที่รัก นายเพิ่งมาอเมริกาได้แค่ปีครึ่งเท่านั้นเองนะ! แล้วตอนนี้ก็กลายเป็นมหาเศรษฐีไปแล้วด้วย ด้วยศักยภาพที่แข็งแกร่งของนาย อย่าไปกดดันตัวเองมากจนเกินไปเลยนะ…” ทีน่าปลอบโยนจางลี่เฉินก่อนจะเริ่มพาชายหนุ่มเข้าห้องน้ำแล้วใช้วิธีที่ตรงที่สุดเพื่อบรรเทาอารมณ์ที่หดหู่ของเขา


 


หลังการพัวพันที่น่าหลงใหลผ่านพ้นไป ทั้งคู่ก็เดินออกจาห้องมาพร้อมกัน เนื่องจากเหตุผลที่ว่าจางลี่เฉินกลัวว่าแม่ของเขาจะไปที่ศูนย์สุขภาพแอปเปิ้ลไอส์แลนด์เพื่อรับเขากลับบ้านในวันออกจากโรงพยาบาลเขาจึงขอตัวกลับบ้านก่อนโดยไม่ได้ร่วมทานอาหารกลางวันด้วยกัน


 


ไม่กี่วันต่อมา ชาวอเมริกันทั้งหมดต่างดื่มด่ำไปกับบรรยากาศแห่งความสุขของช่วงเทศกาลคริสต์มาส โดยธรรมชาติแล้วมันเป็นไปไม่ได้ที่จางลี่เฉินจะขัดความสุขในตอนนี้โดยการขอกลับประเทศจีน ดังนั้นเขาจึงยังอยู่ในนิวยอร์กเพื่อให้แต่ละวันผ่านไป


 


เขาไม่ได้มีความกระตือรือร้นกับวันหยุดของฝั่งตะวันตกเช่นวันคริสต์มาสเท่าไหร่นัก นอกเหนือจากการไปเจอกับทีน่า ตรวจดูรอบ ๆ โรงงานแล้วเขาก็เริ่มคิดที่จะเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ของจีน


 


โรงฝึกวิชาศิลปะป้องกันตัวที่เขาจะไปคือสถานที่ที่แมดดี้เคยกล่าวถึงซึ่งเป็นของดร.ซ่งที่เคยยืดกระดูกให้เขามาก่อน เขาจะสอนกังฟูทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์เพื่อลูกชายที่กำลังตกงาน


 


จางลี่เฉินยังจำชายชราชาวอเมริกันเชื้อสานจีนที่อ้วนเตี้ยกับผมบางคนนั้นได้ดี ไม่เพียงแค่นั้น แต่เขายังชื่นชมเทคนิคศัลยกรรมกระดูกที่มีประสิทธิภาพของเขาอีกด้วย ที่ประเทศจีน ทักษะการแพทย์เพื่อดูแลสุขภาพและศิลปะการต่อสู้ไม่เคยจะแยกออกจากกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์แผนจีนมักจะมีความรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการเจาะเส้นเลือดของมนุษย์ พลังงานที่สำคัญและเลือดจึงเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของศิลปะการต่อสู้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงเลือกที่นี่


 


เมื่อแมดดี้เสร็จสิ้นการสอบของมหาวิทยาลัยนิวยอร์กก็ได้พาจางลี่เฉินไปยังร้านอาหารไก่เผ็ดที่ไชน่าทาวน์อีกครั้งในช่วงบ่ายของวันเสาร์


 


เมื่อพวกเขาเปิดประตูเข้าไปในร้านอาหารสไตล์จีนที่แปลกตา คนที่พวกเขาเห็นไม่ใช่ชายชราร่างอ้วนเตี้ยของอย่างดร.ซ่งแต่อย่างใด แต่เป็นหญิงวัยกลางคนที่สง่างามและผอมบางที่สวมชุดกี่เพ้า


 


เมื่อผู้หญิงคนนั้นเห็นว่าเป็นแมดดี้เธอก็ตัวแข็งทื่อไปครู่หนึ่งก่อนจะทักทายเธอไปด้วยรอยยิ้ม “แมดดี้ เธอนี่เอง อยากกินอะไรสั่งมาได้เลยนะ! ได้ข่าวว่าไปทำงานในสำนักงานใหญ่เลยหรอ! นอกจากนี้ยังได้เงินเดือน100,000 ดอลลาร์ต่อปีอีกใช่ไหม! … เธอพอจะแนะนำดายองพี่ใหญ่ของเธอให้ไปทำงานในที่ดี ๆ แบบนั้นบ้างจะได้ไหม เขาจะได้มีรายได้ที่มั่นคง…”


 


“ฉันไม่ได้มาเพื่อทานอาหารหรอกค่ะป้าคอนนี่ ฉันมาหาดร.ซ่งเพื่อจะเรียนกังฟู”


 


“โอ้ เรียนกังฟูงั้นเหรอ? งั้นก็พาเพื่อนของเธอขึ้นไปชั้นบนได้เลย ตอนนี้ลุงซ่งของเธอกำลังสอนอยู่น่ะ ถ้าเพื่อนของเธอต้องการเรียนกังฟูจริง ๆ ฉันสามารถขอให้เขามอบส่วนลดให้เธอได้นะ” คอนนี่กล่าวด้วยความเป็นมิตรและหลักแหลมอย่างที่ไม่เหมือนใครของหญิงชาวเมืองจีน


 


“ขอบคุณค่ะ งั้นพวกเราขอขึ้นไปข้างบนก่อน” จากนั้นแมดดี้ก็รีบดึงจางลี่เฉินตรงขึ้นไปที่ชั้นสองผ่านบันไดในทันที


 


ชั้นสองและชั้นหนึ่งของร้านอาหารไม่ได้มีขนาดแตกต่างกันมากนัก เดิมทีชั้นสองเคยเป็นห้องอาหารแต่ตอนนี้มันได้รับการทำความสะอาดและปกคลุมด้วยเสื่อทาทามิหนาเพื่อกลายเป็นห้องโถงสำหรับโรงฝึกวิชาศิลปะการป้องกันตัวไป


 


ที่ชั้นสองมีคนประมาณ 10 คนที่ต่างช่วงวัยกันเพื่อมาเข้าเรียน โดยมีตั้งแต่เด็กรุ่น ๆ ไปจนถึงผู้ใหญ่วัย 30 พวกเขากำลังยืนฟังชายชราอ้วยเตี้ยงที่กำลังตะโกนเสียงดัง “สิ่งที่ฉันจะสอนต่อไปนี้ก็คือทักษะดั้งเดิม – กำปั้น พวกเธอจะได้เรียนรู้กันแบบจริงจังและฉันจะไม่ยอมให้พวกเธอทุกคนใช้เงินไปอย่างไร้ค่า ก่อนหน้านี้ฉันเคยเป็นนักเรียนคนแรกของมหาวิทยาลัยแพทย์ตะวันตกเฉียงใต้ในสาขาวิทยาศาสตร์การนวดจีน ฉันศึกษากับมิสเตอร์ซ่งจิ๋นฟ้าและเขาศึกษาก็ได้กับมิสเตอร์หวางโบเนี่ยนซึ่งเป็นรุ่นที่เจ็ดของตระกูลหมัดทะลวงยุคออร์โธดอกซ์ ฉันเคยพูดมาแล้วว่าหมัดทะลวงนี้ถูกสร้างขึ้นโดยอาจารย์จีไจ๋ในช่วงต้นราชวงศ์ชิงซึ่งได้รวมกับความคิดของเส้าหลินเข้าด้วยกันเป็นรวมรูปแบบหอกปรองดองทั้งหกเข้ากับระบบศิลปะการต่อสู้ของเยว่อู๋ก่อนที่จะเปลี่ยนจากเทคนิคหอกมาเป็นเทคนิคกำปั้น …”


 


“อาจารย์กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่น่ะครับ?” เด็กบางคนในหมู่นักเรียนถามออกมาเสียงดังเป็นภาษาอังกฤษพร้อมส่งเสียงหัวเราะ


 


ถ้าเป็นโรงฝึกมืออาชีพใหญ่ ๆ คงไม่มีนักเรียนคนใดจะกล้าทำตัวให้เป็นปัญหา อย่างไรก็ตามสำหรับโรงฝึกในหมู่บ้านที่เปิดอยู่ด้านบนของร้านอาหารมันเป็นเรื่องธรรมดาที่นักเรียนจะมีความกล้าหาญมากยิ่งขึ้น


 


ดร.ซ่งหน้าแดงด้วยความโกรธ แต่เมื่อนึกถึงหลานชายที่ต้องการเงินอยู่ตลอดเวลาเขาจึงบังคับตัวเองให้ต้องอดทน “ฉันเคยพูดมาก่อนแล้วว่าหมัดทะลวงมีองค์ประกอบ 5 อย่างซึ่งก็คือ สับ, เจาะ, บด, ปะทุ และไขว้


 


วิถีทางแบบสัตว์ 10 ตัวอย่างมังกร เสือ… เหยี่ยวและนกนางแอ่น …การเคลื่อนไหวของมือเป็นสไตล์การต่อสู้ขั้นพื้นฐานและเพื่อให้มีฐานที่ดี สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือท่ายืน…”


 


“แต่ท่ายืน ‘ชานติชี่’ มันเหนื่อยเกินไป! เราไม่สามารถทำอะไรได้เลยเมื่อต้องยืนด้วยท่านี้”


 


“ศีรษะเอียง คอหด ท่าที่ไม่ถูกต้อง … จุดศูนย์ถ่วงไม่สมดุล จังหวะเท้าช้า นี่เป็นข้อผิดพลาด 10 อันดับแรกในการฝึกมวยจีน” หลังจากดร. ซ่งพูดหลายคำออกไปด้วยความเวทนาเขาก็อดไม่ได้ที่จะแผดเสียงไปว่า “หากพวกเธอยังยืนด้วยท่าที่ผ่อนคลาย พวกเธอก็จะกลายเป็นพวกหัวแตงโม**แม้ว่าจะยังมีชีวิตอยู่จนถึงวันสิ้นโลกก็ตาม!”


 


เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น เหล่านักเรียนอายุมากที่เข้าใจความหมาย ‘หัวแตงโม’ ที่เป็นคำหยาบคายก็โกรธเกรี้ยวขึ้นมาในทันที “มิสเตอร์ซ่ง! มันไม่เหมาะที่คุณจะพูดแบบนั้นนะ! ไม่แปลกใจที่คุณไม่มีนักเรียนระยะยาวทุกครั้งที่คุณเปิดสอนศิลปะการต่อสู้! ช่างเป็นการศึกษาที่หยาบคายและล้าหลัง … ”


 


“จริงอยู่ที่ว่าฉันไม่มีนักเรียนระยะยาว แต่บอกฉันมาสิ ว่ามีนักเรียนคนไหนที่ตั้งใจฟังฉันแล้วไม่สามารถต่อสู้หรือแม้แต่ทะยานได้ หลังผ่านไป 2 – 3 เดือน มันก็เป็นเพราะพวกเขาเองที่ไม่มีความพยายามในการฝึกฝนมากพอ และถ้าฉันไร้ประโยชน์จริง ๆ พวกเธอก็คงไม่จ่ายเงินเพื่อเข้ามาเรียนกับฉัน … “


 


เมื่อจางลี่เฉินที่ยืนอยู่ด้านหลังชายชราเห็นที่ว่าเขาโกรธมากถึงขั้นใช้คำว่า “แม้แต่ทะยาน” ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา


 


“ใครหัวเราะ? ใครกัน?” เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะจากด้านหลัง ดร.ซ่งซึ่งกำลังดิ้นรนต่อความอัปยศอดสูก็ได้หันกลับไปมองและคำราม


 


“ฉันเองลุง ยังจำฉันได้ใช่ไหม? คนที่มาให้คุณยืดกระดูกให้เมื่อปีที่แล้ว” จางลี่เฉินตอบกลับเป็นภาษาจีนกลาง


 


“โอ้ เธอนั่นเองพ่อหนุ่ม” ดร.ซ่งยังจำได้ว่าแมดดี้พาเพื่อนคนนี้มาหาเขาในตอนกลางคืน ใบหน้าของเขาเริ่มแต่งแต้มไปด้วยสีอีกครั้ง “แล้วมาทำอะไรที่นี่?”


 


“ฉันอยากเรียนกังฟู”


 


“โอ้ เธอดูเหมือนจะไม่มีกล้ามเนื้อเลยนะ ดี ๆ ควรฝึกศิลปะการต่อสู้บ้าง แต่ฉันขอบอกตรง ๆ ว่าการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้นั้นยากมาก…”


 


“ไม่ต้องห่วงเลยลุง ฉันมีความอดทนที่สูงมาก”


 


“อยากเข้าคลาสไหนล่ะ? ระยะยาวหรือ…”


 


“ฉันไม่อยากเรียนร่วมคลาสกับใคร ฉันต้องการเรียนแบบตัวต่อตัวและฉันก็หวังว่าลุงจะสามารถสอนกังฟูที่แท้จริงได้ด้วยใจจริง ตอนนี้ฉันมีเวลาว่างแค่ 4 – 5 วันเท่านั้น แล้วฉันจะจ่ายให้ลุง 10,000 ดอลลาร์ต่อวัน”



ตอนที่ 169

ข้อเสนอที่ใจกว้างของจางลี่เฉินทำให้ดร. ซ่งถึงกับตกตะลึง “พ…พูดอะไรของเธอน่ะพ่อหนุ่ม?”


 


“ลุง ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันคริสต์มาส ฉันหวังว่าลุงจะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการสอนให้ฉันได้รู้จักกับหมัดทะลวง ฉันยินดีจ่ายให้ลุง 10,000 ดอลลาร์ต่อวัน” ขณะที่จางลี่เฉินพูดอย่างนั้นเขาก็เซ็นเช็คในมือแล้วยื่นให้ชายชราที่กำลังตะลึงจนพูดไม่ออก


 


จากนั้นเขาก็เดินไปที่หุ่นไม้ของโรงฝึกที่ใช้เพื่อฝึกศิลปะการต่อสู้แบบจีน ทำท่าเตรียมชกอย่างเต็มที่จากนั้นเขาก็กดมือไปที่แท่งไม้เพื่อประทับรอยกำปั้นของเขาลงไปจนมันแตก “ฉันเคยฝึกเรื่องพละกำลังมาก่อน เพราะฉะนั้นฉันไม่ต้องเริ่มตั้งแต่ท่ายืน ฉันอยากให้ลุงสอนเทคนิคมวยจีนให้ฉันเท่านั้น”


 


เมื่อหุ่นไม้ที่ทำจากต้นเอล์มส่งเสียงแตกดัง ‘แคร่ก’ ดร.ซ่งได้เดินไปที่หุ่นไม้ตัวนั้นแล้วสัมผัสรอยแตกที่เกิดขึ้นก่อนจะตะโกนร้องเสียงดังลั่น “พ่อหนุ่ม! เธอมาที่นี่เพื่อดูถูกฉันใช่ไหม?! แรงชกของเธอสร้างรอยแตกบนหุ่นไม้เอล์มได้! นี่คือความสามารถที่ทำได้โดยการใช้ตำราลับมาตั้งแต่เด็กและต้องฝึกฝนกับหุ่นไม้นี่อย่างน้อย 10 ปี! เธอมีความสามารถนั้นแล้วแต่เธอก็ยังต้องการเป็นนักเรียนของฉันอีกงั้นเหรอ?! นี่เธอพยายามจะหลอกอะไรฉันอยู่ใช่ไหม? ไม่! ฉันจะไม่สอนเธอเด็ดขาด!”


 


“ทำไมคุณถึงโง่ได้ขนาดนี้! นี่ไงที่เรียกว่าความหัวสูงของคุณ! ซ่งชี่ซิ้ง! ฉันว่าคุณคงเป็นบ้าไปแล้วใช่ไหมห้ะ?! อะไรทำให้คุณคิดปฏิเสธนักเรียนที่พร้อมจะจ่าย 10,000 ดอลลาร์ต่อวันแบบนี้!” เมื่อได้ยินคำพูดของชายชรา จางลี่เฉินก็สูญเสียคำพูดในการจะตอบเขากลับแต่แล้วก็มีเสียงผู้หญิงดังก้องมาจากด้านหลัง


 


เป็นคอนนี่ที่ถือกาชาเข้ามาอย่างเร่งรีบ “ฉันคิดถูกจริง ๆ ที่ยกชาขึ้นมาตอนนี้ ไม่งั้นคงพลาดนักเรียนที่ดีแบบนี้ไป”


 


“โอ้ ที่รัก คุณ… คุณไม่เข้าใจ นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับสายน้ำและทะเลสาบ…” เมื่อดร.ซ่งเห็นภรรยาตัวเองวิ่งเข้ามาหาเขาอย่างร้อนรน เขาเหมือนจะตัวหดเหลือเพียง 3 เซนติเมตรก่อนจะตอบกลับด้วยคำพูดติดอ่าง


 


“สายน้ำและทะเลสาบ? สายน้ำและทะเลสาบที่ไหน? คุณเป็นชาวประมงหรือไงกัน?! หรือเป็นกะลาสีลูกเรือ? สายน้ำและทะเลสาบกับผีน่ะสิ! ฉันรู้แค่ว่า…” คอนนี่คว้าเช็คมาจากมือของดร.ซ่งแล้วเหลือบไปมองมันก่อนจะพูดต่อด้วยความประหลาดใจที่น่ายินดี “50,000 ดอลลาร์นี่เทียบเท่ากับกำไรของเราทั้งปี! มันเพียงพอที่จะจ่ายค่าครองชีพให้หลานเราเมื่อเขาได้เรียนมหาวิทยาลัยในอนาคต … ”


 


“แต่ที่รัก หลานเราเพิ่งจะ 5 ขวบเท่านั้นเองนะ ยังเร็วไปที่เขาจะเข้ามหาวิทยาลัย…” ดร.ซ่งตอบกลับด้วยท่าทียิ้มแห้ง ๆ


 


“โอเค หลานเราเพิ่งอายุ 5 ขวบ แต่ลูกเราล่ะ?!” คอนนี่มองสามีอย่างกล่าวโทษก่อนจะหันไปมองจางลี่เฉินด้วยรอยยิ้ม “คุณไม่ต้องกังวลนะคะ ชายชราคนนี้แม้เขาจะปากร้ายไปบ้างแต่เขาก็ฟังฉันมากที่สุด ฉันรับเงินของคุณมาแล้วเพราะฉะนั้นเขาจะสอนให้คุณอย่างแน่นอน รับประกันได้เลยว่าคุณจะได้เรียนรู้อย่างเต็มที่แน่!”


 


“ป้า ถ้าลุงซ่งสามารถสอนเรื่องการต่อสู้ให้ฉันได้จริง ๆ ฉันจะช่วยให้ลูกชายของป้าได้งานที่ทำแล้วได้ผลตอบแทนสูงง่าย ๆ เอง”  เมื่อจางลี่เฉินเห็นดร.ซ่งและภรรยาของเขาโต้เถียงกันเพราะเขา และเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะสามารถได้ในสิ่งที่ต้องการเขาจึงโยนข้อเสนออื่นเพื่อดึงดูดใจเพิ่มเติม


 


แน่นอนว่ามันยากที่จะเชื่อคำสัญญาปากเปล่าจากชายหนุ่ม แต่หลังจากที่ชายหนุ่มจ่ายเงินเพื่อเป็นค่าสอน 10,000 ดอลลาร์ต่อวันล่วงหน้า ความน่าเชื่อถือของเขาก็เปลี่ยนไป


 


“จริงเหรอ? โอ้! งั้นคุณก็คือบอสตัวน้อยที่แมดดี้ทำงานให้อยู่สินะ ใช่ไหม?! ฉัน ฉันต้องขอบคุณคุณมากจริง ๆ! ขอบคุณมาก ๆ! ได้ยินไหมซ่งชี่ซิ้ง? เพื่ออนาคตของลูกเรา คุณจะต้อง … เอ่อ คุณชื่ออะไรหรอคะ?”


 


“ป้าไม่ต้องสุภาพกับฉันมากขนาดนั้นก็ได้ ฉันชื่อจางลี่เฉิน”


 


“จางลี่เฉิน จางลี่เฉิน ช่างเป็นชื่อที่ไพเราะจริงๆ! เป็นชื่อที่กล้าหาญมาก!” คอนนี่ชมเชยเขาอีกครั้งก่อนจะหันไปจ้องมองที่ตาของดร.ซ่ง “เห็นแก่ลูกชายเราเถอะนะ คุณต้องทำให้มิสเตอร์จางพอใจให้ได้ ตาเฒ่า ฉันขอร้อง ลูกชายของเรากำลังจะหย่าเพราะเขาตกงาน ดังนั้นได้โปรด ได้โปรดคิดถึงครอบครัวเราด้วย คุณ … คุณ” ทันใดนั้นผู้หญิงที่แข็งแกร่งคนนี้ก็เหมือนจะร้องไห้ออกมาอย่างกระทันหัน


 


“ที่รัก ๆ โธ่ ที่รัก ได้โปรด อย่าร้องไห้ ฉันให้สัญญา!” ดร. ซ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย


 


เขาเป็นนักศึกษากลุ่มแรกหลังการปฏิวัติวัฒนธรรมของจีนสิ้นสุดในปลายปี 1970 ในเวลานั้นการเรียนมวยจีนถือเป็นขยะจากวัฒนธรรมและยากที่จะสืบทอดต่อ เขาสนใจในหมัดทะลวงมากดังนั้นจึงไปคุกเข่าขอร้องกับแพทย์ตะวันตกที่ชื่อซ่งจิ๋งฟ้า ซึ่งในขณะนั้นกำลังเป็นเจ้าหน้าที่ในมหาวิทยาลัยแพทย์ตะวันตกเฉียงใต้ในฐานะวิทยากรจากนั้นเขาก็ได้เรียนหมัดทะลวงอย่างเต็มรูปแบบของนิกายออร์โธดอกซ์


 


อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องส่งต่อความรู้หมัดทะลวงที่เขามีให้จางลี่เฉินผู้ซึ่งไม่เคยแม้แต่จะคุกเข่า


 


“การจะเรียนหมัดทะลวงให้ได้ภายใน 5 วันนั้นเป็นไปไม่ได้! ฉันจะสอนเทคนิคการใช้พลังและเทคนิคการต่อสู้ให้ได้อย่างมากที่สุดแทน เมื่อได้เรียนรู้เทคนิคการต่อสู้แล้วมันจะเป็นเพียงโครงสร้างอย่างหนึ่ง ในอนาคต เธอจะต้องสังเกตการเคลื่อนไหวของสัตว์ทั้ง 12 ตัว ซึ่งได้แก่ เสือ ลิง… นกอินทรีและหมี…” หลังจากส่งนักเรียนคนอื่น ๆ ที่ไม่สามารถอดทนต่อการฝึกหนักออกไปแล้ว ดร.ซ่งก็เริ่มบทเรียนที่ชั้นสองของร้านอาหารไก่ทอดในทันที


 


ชายชราเริ่มอธิบายด้วยคำพูดและการกระทำต่าง ๆ ในขณะที่เขาสอนอย่างตั้งใจ อย่างไรก็ตามจางลี่เฉินไม่คิดสนใจคำอธิบายต่าง ๆ เหล่านั้นเช่น “หัวใจที่แท้จริงมีความสำคัญมากกว่ารูปแบบ” หรือ “องค์ประกอบทั้งห้าจะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอวัยวะทั้งห้าซึ่งจะรวมองค์ประกอบทั้งห้าเข้าด้วยกัน” และอื่น ๆ เขาพร้อมที่จะเรียนรู้เทคนิคต่าง ๆ ของหมัดทะลวงเพื่อควบคุมกล้ามเนื้อและการออกกำลังกาย


 


ในที่สุดหลังจากผ่านไปสองสามวัน ชายหนุ่มก็เชี่ยวชาญเทคนิคการหายใจของหมัดทะลวงที่เขาจะต้องควบคุมร่างกายของตัวเองและใช้กำลังของเขาเพียง 10% ในขณะที่อีก 90% คือพลังสำรอง ไม่เพียงแค่นั้น แต่เขายังได้เรียนรู้โครงสร้างพื้นฐานของการสับ เจาะ บด ขยี้ ระเบิดและไขว้ก่อนจบการฝึกอบรมนี้ไปด้วยความพึงพอใจ


 


วันนี้เป็นวันก่อนคืนคริสต์มาส ขณะที่จางลี่เฉินกำลังเดินออกจากร้านไก่ทอดเขาก็ไดรับโทรศัพท์จากเอ็ดเวิร์ด “ลี่เฉิน ตอนนี้เบเฮเดอร์ฟื้นตัวแล้ว เขาจะออกจากโรงพยาบาลได้อีกประมาณ 3 – 4 เดือน WWE เต็มใจที่จะลงนามข้อตกลงรักษาความลับกับเรา พวกเขาจะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านเลยไปและหลังจากนั้นก็จะก็ไม่มีฝ่ายใดสามารถพูดถึงเรื่องทั้งหมดนี้ในที่สาธารณะได้อีก”


 


“เหตุผลที่พวกเขาต้องการทำข้อตกลงดังกล่าวต้องเป็นเพราะพวกเขากลัวว่ามันจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์นักมวยปล้ำชาวอเมริกันที่แข็งแกร่ง เอาล่ะเอ็ดเวิร์ด จัดทำสัญญานี้ได้เลย โอ้ใช่! สุขสันต์วันคริสต์มาสล่วงหน้า”


 


“ขอบคุณครับ สุขสันต์วันคริสต์มาสล่วงหน้าเช่นกัน เรื่องข้อตกลงผมจะเป็นคนจัดการให้เอง คุณวางใจได้ แล้วพบกันใหม่!”


 


“แล้วเจอกัน เอ็ดเวิร์ด” จางลี่เฉินวางสายโทรศัพท์แล้วเดินเข้าไปในรถของตัวเองก่อนจะขับไปตามถนนอย่างมีความสุข


 


หลังการเปลี่ยนแปลง ความอ่อนแอในร่างกายของเขาจะถูกกำจัดออกไปทำให้ชีวิตของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างมาก ชายหนุ่มไม่มีแรงกดดันและความสิ้นหวังในการบ่มเพาะพลังเพื่อใช้ความสามารถของเขาในการพัฒนาตัวเองอีกต่อไป แม้ว่าบางครั้งเขาจะเป็นกังวลเกี่ยวกับการรุกรานของพวกอารยธรรมเหนือธรรมชาติแต่ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง เมื่อเขาคิดถึงมัน ความกังวลที่เขามีก็ลดลงและอารมณ์ของเขาก็ค่อย ๆ ดีขึ้น


 


เมื่อกลับมาถึงบ้าน ลิลี่แม่ของเขาที่นั่งอยู่บนโซฟากำลังพูดคุยกับชายผิวขาววัยกลางคนแปลกหน้าที่อยู่ในชุดสูท เขากล่าวทักทายไปเพียงว่า “แม่ ผมกลับมาแล้วว” แค่นั้นก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นบน


 


อย่างกระทันหัน ชายผิวขาวสูงที่มีหนวดเล็ก ๆ ที่กำลังคุยกับลิลี่อยู่ได้ลุกขึ้นยืนและทักทายเขาด้วยสีหน้าอบอุ่น “คุณคงเป็นจางลี่เฉิน สวัสดีครับ ผมไมรอน เจอร์นาส บรรณาธิการของวารสาร ‘วิทยาศาสตร์’ ”


 


“สวัสดีครับมิสเตอร์ไมรอน ผมจางลี่เฉิน…”


 


ชายหนุ่มทักทายกลับด้วยความสับสน จากนั้นแม่ของเขาก็ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า “ลูกรัก วารสารวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งพิมพ์วิชาการอันดับต้น ๆ ของประเทศ ดร.ไมรอนมาที่นี่ก็เพื่อขอทำเอกสารบางอย่างกับลูก เขาบอกว่าด้วงที่ลูกพบที่อเมซอนเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่สำคัญมากที่อาจชดเชยการเชื่อมโยงที่หายไปในประวัติศาสตร์วิวัฒนาการของแมลงได้ … ”


 


“ใช่ครับมิสเตอร์จาง ผมเห็นโพสต์งานวิจัยของคุณเกี่ยวกับด้วงนิ่มสองตัวบนเว็บไซต์ ‘เกาะทางชีวภาพ’ และยืนยันได้ว่าด้วงที่คุณพบนั้นเป็นสายพันธุ์ใหม่…”


 


“โอ้ ผมก็คิดไว้แล้วว่ามันน่าจะเป็นสายพันธุ์ใหม่ อย่างไรก็ตาม มิสเตอร์ไมรอน สิ่งมีชีวิตชนิดใหม่นั้นพบได้บนโลกและนอกเหนือจากการวิจัยของผมแล้วมันเหนือความคาดหมายมากที่วารสารวิชาการชั้นนำของประเทศจะมาขอบันทึกจากผมแบบนี้”


 


เมื่อได้ยินข้อสงสัยของจางลี่เฉิน ไมรอนก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะดัง ๆ ออกมา “โอ้ มิสเตอร์จาง ดูเหมือนว่าคุณจะมีความสงสัยอย่างมากซึ่งไม่ตรงกับภาพลักษณ์วัยหนุ่มสาวของคุณเลย คุณพูดถูกครับ! มีสายพันธุ์ทางชีวภาพหลายสิบล้านบนโลก ทุกวันมีสัตว์หลายร้อยชนิดกำลังจะสูญพันธุ์และในเวลาเดียวกันก็มีการค้นพบสัตว์สายพันธุ์ใหม่ขึ้นมาอีกหลายชนิด อย่างไรก็ตามในบรรดาสปีชีส์เหล่านี้จะมีสปีชีส์น้อยมากที่สามารถชดเชยความเชื่อมโยงที่ขาดหายไปในประวัติศาสตร์ของการวิวัฒนาการ ถ้าเราสามารถหาจุดเชื่อมโยงได้หนึ่งหรือสองสายพันธุ์ในทุก ๆ ปีมันจะเป็นการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ต่อทางชีววิทยา ชายหนุ่ม สำหรับการวิจัยของคุณแล้ว คุณเข้าใจนิยามของความคิดริเริ่มหรือไม่?”


 


“ริเริ่ม? เอ่อ มันควรจะหมายถึงสิ่งใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นโดยคนใช่มั้ย?” จางลี่เฉินไตร่ตรองก่อนจะตอบกลับ


 


“ถูกต้อง อย่างไรก็ตามคำจำกัดความที่แท้จริงของความคิดริเริ่มคือการสร้างและประดิษฐ์ ‘ชิ้นส่วน’ ขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่งานผลิตซ้ำโดยการคัดลอก ปรับเปลี่ยน ถอดความ เลียนแบบ ขโมยผลงาน หรือการสร้างเป็นครั้งที่สอง คำจำกัดความที่สำคัญของความคิดริเริ่มไม่ได้อยู่ที่ ‘ระดับ’ แต่คือคำว่า ‘ใหม่’” ไมรอนพูดอย่างกระตือรือร้นต่ออีกว่า


 


“เลเวินฮุก ที่เกือบจะไม่ได้เรียนหนังสือแต่เนื่องจากเหตุผลที่เขาชอบโม่กระจกในเวลาว่างจากการขายเสื้อผ้าทำให้เขาได้สร้างกล้องจุลทรรศน์ตัวแรกขึ้นในประวัติศาสตร์ของมนุษย์และค้นพบจุลินทรีย์ เป็นผลให้การศึกษาครั้งนี้เป็นการบุกเบิกยุคใหม่ของชีววิทยาและกลายเป็นบิดาของจุลชีววิทยาที่ทันสมัย โทมัสเอดิสันที่เพิ่งไปโรงเรียนได้สามเดือน แต่เขามีมันสมองที่ดีและแปลกประหลาดบวกกับความขยันหมั่นเพียรในการทำข้อสอบและมีฝีมือดังนั้น…”


 


“เอ่อ มิสเตอร์ไมรอน ผมเพิ่งจับแมลงสองชนิดนี้ได้ที่อเมซอนโดยบังเอิญและผมได้ทำการศึกษาต่อเนื่องอยู่หลายครั้งซึ่งก็อยู่แค่ในความสามารถของผม จะเอาผมไปเปรียบเทียบกับเลเวินฮุกและเอดิสันได้อย่างไร…”


 


“มันคือแนวคิดเดียวกันน่ะชายหนุ่ม ในความเป็นจริง ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรียกว่า ‘โชคดี’ อย่างมาก หากโพสต์การวิจัยบนอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับแมลงอ่อนสองชนิดที่คุณพบถูกรวบรวมไปไว้ในรายงาน การมีส่วนร่วมทางชีววิทยาของคุณจะมีความสำคัญอย่างมากต่อผลการวิจัยของนักปริญญาเอกที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง นี่คือพลังแห่งการสร้างสรรค์”


 


“โอ้ อย่างนั้นเหรอ?” จางลี่เฉินไม่เคยได้ยินสิ่งที่ไมรอนพูดออกมา อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูแล้วเขาไม่สามารถปฏิเสธมันได้เลย


 


“ผมตั้งใจจะมาเชิญคุณให้เขียนบทความ แน่นอนว่าต้นฉบับจะมีการเจาะลึกและแก้ไขโดยนักชีววิทยาระดับสูงบางคน พวกเขาจะกลายเป็นผู้ร่วมเผยแพร่ผลงานของคุณที่จะปรากฏในนิตยสาร แต่ก่อนหน้านั้นผมต้องเห็นด้วยตาของตัวเองในสิ่งที่คุณพบก่อน”



ตอนที่ 170

“ได้สิครับ เชิญตามผมมาทางนี้” ไมรอนมีเหตุผลที่ชัดเจนและคำขอของเขาก็สมเหตุสมผลมากพอ ด้วยเหตุนี้จางลี่เฉินจึงพยักหน้าและเดินนำบรรณาธิการวารสาร ‘วิทยาศาสตร’ ขึ้นบันไดไปชั้นบนเพื่อไปยังห้องนอนของเขา


 


“เชิญครับ มิสเตอร์ไมรอน ด้วงนิ่มเปลี่ยนสี 2 ตัวอยู่ตรงนั้นไงครับ”


 


“ขอบคุณ” เมื่อไมรอนเดินเข้ามาในห้องของชายหนุ่ม เขาสังเกตเห็นการตกแต่งห้องที่ประกอบไปด้วยกล้องจุลทรรศน์ออปติคัล มอนิเตอร์อินฟราเรด และอุปกรณ์ให้อาหารแมลงขนาดใหญ่ที่มีตัวปรับอุณหภูมิและความชื้นแบบครบครัน


 


“มิสเตอร์จาง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณถึงเขียนบทวิจัยที่ละเอียดได้ขนาดนั้น นี่เป็นห้องปฏิบัติการทางชีววิทยาขนาดเล็กระดับมืออาชีพเลยนะครับเนี่ย อ่า นี่สินะแมลงที่คุณค้นพบ โอ้ว้าว! พวกมันสามารถเปลี่ยนสีและล่องหนได้ด้วย รูปภาพทั้งหมดที่คุณโพสลงบนอินเทอร์เน็ตคือเรื่องจริง! มันคุ้มค่าอย่างมากกับการที่ผมยอมเลื่อนวันหยุดออกไปเพื่อจะได้มาหาคุณในวันนี้!”


 


“ถ้าคุณคิดแบบนั้นผมก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ มิสเตอร์ไมรอน” จางลี่เฉินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ไมรอนมองดูแมลงโปร่งแสงที่กำลังบินขึ้นและลงด้วยรอยยิ้ม


 


“ถ้าอย่างนั้น มิสเตอร์จาง ตอนนี้เรามาคุยเรื่องการทำบทวิจัยกันเถอะครับ ผมขอแนะนำดร.แอนดินา จอร์จจากมหาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์เป็นผู้จัดทำผลงานวิจัยนี้ร่วมกับคุณเป็นการส่วนตัว มันจะต้องเป็นการ…” ไมรอนได้ละสายตาออกจากแมลงเปลี่ยนสีที่น่าสนใจมาที่จางลี่เฉินหลังพ้นช่วงเวลาแห่งการสังเกต


 


แต่ในขณะที่ไมรอนกำลังพูดแนะนำดร.คนหนึ่งให้เขารู้จักอยู่นั้น จางลี่เฉินก็พูดขัดประโยคเขาขึ้นมาก่อนว่า “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของคุณนะครับมิสเตอร์ไมรอน แต่ผมมีนักชีววิทยาที่ดีที่จะให้มาทำงานร่วมกันอยู่แล้ว”


 


ทันใดนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน ไมรอนตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะขมวดคิ้วของเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมฝืนแสดงรอยยิ้มออกมา “ชายหนุ่ม ผู้ร่วมมือที่คุณต้องการไม่ใช่แค่นักชีววิทยาที่ดีเท่านั้น แต่เขายังต้อง…”


 


“มิสเตอร์ไมรอน ผมรู้ดีครับว่าผมต้องการผู้ทำงานร่วมกันแบบไหน ขอเวลาผมสักครู่นะครับ” จางลี่เฉิมส่งยิ้มขอโทษให้ไมรอนแล้วเดินหลบไปด้านข้าง จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรหาสตีเว่น อาจารย์วิชาชีววิทยาที่มีความคาดหวังในตัวเขาสูงมากที่โบว์บิจ จูเนียร์ ไฮ ไม่เพียงแค่นั้นแต่เขายังเป็นคุณครูเพียงคนเดียวที่เต็มใจให้ A + ในการสอบปลายภาคหลังการขาดเรียนของเขาที่นานถึง 2 เดือน


 


สัญญาณโทรศัพท์ได้รับการเชื่อมต่อจากนั้นเสียงที่บ่งบอกถึงความชราวัยก็ดังก้องออกมาจากฝั่งผู้รับ “ลี่เฉิน ถ้าเธอจะเสียเวลาเพื่อขอให้ฉันอวยพรสุขสันต์วันคริสต์มาสให้ล่วงหน้านั่นหมายถึงเกรดวิชาชีววิทยาของเธอในเทอมหน้าจะเป็นได้แค่ B เท่านั้น…”


 


“แน่นอนว่าผมไม่ได้ตั้งใจจะโทรมารบกวนอาจารย์ด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้หรอกนะครับมิสเตอร์สตีเว่น ตอนที่ผมไปเดินทางตั้งแคมป์ในป่าอเมซอนช่วงวันหยุดฤดูหนาวปีที่แล้วผมได้จับแมลงที่ร่างกายอ่อนนุ่มและเปลือกนอกเปลี่ยนสีได้มา 2 ตัว พอกลับมาที่บ้านผมก็คอยสังเกตการณ์พวกมันอยู่ตลอด ผมทำการค้นคว้าและบันทึกเป็นบทความลงบนอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเรื่องชีววิทยา ด้วยเหตุนี้บรรณาธิการของวารสาร ‘วิทยาศาสตร์’ จึงมาที่บ้านของผมและบอกว่าแมลง 2 ตัวนี้เป็นสายพันธุ์ใหม่ที่สำคัญมากที่อาจชดเชยการเชื่อมโยงทางกีฏวิทยาที่ขาดหายไป … ”


 


“นี่เธอกำลังแกล้งล่อเล่นฉันอยู่ใช่ไหม?”


 


“ไม่แน่นอนครับ! ตอนนี้บรรณาธิการไมรอน เจอนาสก็อยู่ที่บ้านของผมด้วย หลังจากที่เขาได้เห็นแมลงทั้ง 2 ตัวเขาก็ตัดสินใจที่จะเชิญให้ผมร่วมงานวิจัยครั้งนี้รวมถึงแนะนำดร.แอนดินา จอร์จจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ในฐานะผู้ร่วมเผยแพร่ผลงานครั้งนี้อีกด้วย อย่างไรก็ตามผมรู้สึกว่าผมต้องการผู้เชี่ยวชาญที่จะทำให้บทความนี้ลึกลงไปได้อีกซึ่งไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าอาจารย์อีกแล้ว นี่คือเหตุผลที่ผมโทรมาในวันนี้”


 


อีกด้านของสายโทรศัพท์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมาว่า “ลี่เฉิน บ้านของเธออยู่ที่ไหน?”


 


“บ้านเลขที่ 167 ชุมชมโลว์บิจในบรู๊คลินครับ”


 


“ขอเวลาฉัน 5 นาที” สตีเว่นพูดก่อนวางสายโทรศัพท์ไป


 


จางลี่เฉินตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะเก็บโทรศัพท์มือถือลงตามเดิมแล้วเดินกลับไปหาไมรอนที่กำลังมีสีหน้าเคร่งเครียด “มิสเตอร์ไมรอน ผู่ร่วมงานของผมกำลังจะมาถึงในไม่ช้า โปรดรอสักครู่นะครับ”


 


“ผมขอเตือนคุณอย่างจริงจังเลยนะครับว่าแม้ว่าแมลง 2 ตัวที่คุณค้นพบจะมีความสำคัญแต่ผลงานการวิจัยของคุณจะไม่ปรากฏอยู่ในวารสารวิชาการระดับสูงเช่นวารสาร ‘วิทยาศาสตร์’ แน่นอนหากข้อมูลที่ได้ยังไม่ลึกมากพอ”


 


“มิสเตอร์ไมรอน คุณพูดต่างไปจากตอนแรกที่บอกผมมาเลยนี่ครับ” จางลี่เฉินตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม


 


ไมรอนฮึมฮัมด้วยความไม่พอใจก่อนที่ทุกอย่างจะตกสู่ช่วงเวลาแห่งความเงียบงัน จากนั้นเขาก็เริ่มพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “มิสเตอร์จาง สิ่งที่ผมพูดไปจะเป็นการดีต่อตัวคุณเองนะครับ  ด้วยอายุและภูมิหลังของคุณ คุณจะไปรู้จักนักชีววิทยาที่ยอดเยี่ยมได้อย่างไร? เราไม่ควรมองสิ่งต่าง ๆ ด้วยมุมมองแคบ ๆ …”


 


“ไมรอน เจอนาส ฉันคิดว่ามันคงไม่ใช่มุมมองที่คับแคบอะไรถ้าได้ฉัน สตีเว่น พิครอสคนนี้มาเป็นผู้ร่วมทำงานด้วยหรอกนะ” ทันใดนั้นเสียงจากบุคลลที่สามก็ดังขึ้นแทรกจังหวะการพูดของไมรอน ตามมาด้วยสตีเว่นที่เดินเข้ามาในห้องของจางลี่เฉินโดยการสวมแจ็กเก็ตเก่า ๆ


 


“ดร.สตีเว่น พิครอส! โอ้! โอ้พระเจ้า! ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้ คุณไม่ได้หลงทางอยู่ในป่าบนเกาะชวาหรอกเหรอครับ?”


 


“ป่าบนเกาะชวา เกาะร้างบนมหาสมุทรแปซิฟิก ใต้เทือกเขาแอลป์ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ … ข่าวลือมากมายนับไม่ถ้วนที่บอกว่าฉันถูกฝังร่างอยู่ในสถานที่ต่าง ๆ แต่น่าเสียดายนะไมรอนที่ข่าวลือพวกนั้นไม่เป็นความจริงเลยสักนิด ฉันไม่ได้ออกห่างจากสหรัฐฯมานานหลายปีแล้ว แล้วชายหนุ่มที่อยู่ต่อหน้าเธอก็คือนักเรียนของฉัน ฉันกำลังเป็นอาจารย์อยู่ในนิวยอร์ก”


 


“เขาไม่ใช่นักเรียนมัธยมปลายงั้นหรอกเหรอครับ?”


 


“ตอนนี้ฉันสอนอยู่ที่โลว์บิจ จูเนียร์ ไฮ มีอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นในห้องแล็บดังนั้นการสอนอยู่ในโรงเรียนมัธยมเป็นวิธีเดียวที่ฉันจะยังคงอยู่ในสถาบันการศึกษาได้” สตีเว่นหัวเราะเบา ๆ อย่างไร้ซึ่งรอยยิ้มในดวงตา


 


“โอ้ อย่างนี้นี่เอง โอ้ ถ้างั้นก็เป็นโชคดีของคุณแล้วสินะ! คุณได้รับโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่ได้!” ไมรอนตัวแข็งทื่อไปครู่หนึ่งก่อนจะสงบสติลงและยอมรับความเป็นไป “โปรดจำไว้นะครับว่าคุณเป็นหนี้บุญคุณผม ดร.สตีเว่น” จากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องไปในทันที


 


“ไปโดยไม่บอกลากันเลยเนี่ยนะ? นี่คือนิสัยของบรรณาธิการวารสารด้านการศึกษาชั้นนำของโลกจริง ๆ น่ะเหรอ?” เมื่อเห็นว่าไมรอนจากไปอย่างกระทันหันโดยไม่แม้แต่จะบอกลากัน จางลี่เฉินเลยเอ่ยถามไปด้วยความประหลาดใจ


 


“เขาเป็นคนมอบงานให้กับคนธรรมดาที่หมดหวังต่อการได้งานสอนไปตลอดทั้งชีวิต ดังนั้นจะให้เขาเป็นคนใจกว้างมากขนาดนั้นได้อย่างไรกัน?” สตีเว่นพูดพร้อมรอยยิ้ม “ไหนล่ะลี่เฉิน ให้ฉันได้ดูแมลงและบทความของเธอหน่อย”


 


“นี่ไงครับ ดูได้ตามใจชอบเลยนะครับอาจารย์” จางลี่เฉินกล่าวก่อนจะเดินไปเปิดแล็ปท็อปและเปิดบทความกว่า 89 บทความที่เขาโพสต์ลงอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับด้วงเปลี่ยนสีเป็นเวลาหนึ่งปีขึ้นมา


 


หลังจากที่สตีเว่นจ้องมองแมลงที่เครื่องป้อนอาหารมานานกว่า 20 นาทีโดยไม่กระพริบตาเขาก็เอื้อมมือไปจับแมลงเปลี่ยนสีทั้ง 2 ตัวมาวางไว้ใต้กล้องจุลทรรศน์ออปติคัลในขณะที่ใช้ตาข่ายจับแมลงคุมตัวแล้วสังเกตอาการพวกมันอยู่ซักพักหนึ่ง จากนั้นการแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นตื่นเต้นขึ้นทันที


 


“ลี่เฉิน แม้ไมรอนจะเป็นพวกเบียดเบียนที่น่ารังเกียจบนโลกวิชาการแต่เขามีวิจารณญาณและความสามารถที่ดีในการทำงานสายนี้ แมลง 2 ตัวที่เธอค้นพบมีคุณค่าทางวิทยาศาตร์อย่างมากทั้งในการศึกษาเชื้อสายชีวภาพและการวิจัยไบโอนิกส์ สิ่งนี้คือเนื้อหาบทความที่จะถูกกำหนดให้อยู่ในวารสารวิชาการอันดับหนึ่งของโลก” สตีเว่นอ่านบทวิจัยของชายหนุ่ม 10 บรรทัดแรกด้วยการชำเลืองตาผ่าน ๆ และลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงอึมครึม “การวิจัยเบื้องต้นของเธอเกี่ยวกับพวกมันนั้นครอบคลุมมาก เครื่องมือที่ใช้ในการสังเกตก็ได้รับการยอมรับกันอย่างกว้างขวางในโลกวิชาการ … ”


 


“มิสเตอร์สตีเว่น สิ่งที่ผมต้องการคือความช่วยเหลือจากคุณ” จางลี่เฉินยิ้ม


 


สตีเว่นตัวแข็งทื่อครู่หนึ่งก่อนจะไตร่ตรองถึงเรื่องนี้ จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “หลังจากที่ฉันช่วยเธอในงานนี้และหากฉันสามารถทำบทความวิจัยขึ้นมาได้สำเร็จ ฉันแน่ใจว่าฉันจะสามารถกลับไปดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ที่สแตนฟอร์ดและเป็นประธานห้องปฏิบัติการได้อีกครั้ง ในกรณีนี้ ฉันสามารถเป็นผู้รับรองให้กับเธอในปีหน้าและรับเธอเข้ามหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดได้โดยตรง ด้วยการศึกษาอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับเรื่องด้วงจะทำให้เธอได้รับปริญญาเอก อย่างมากก็อีก 3 ปี”


 


“แต่ปีหน้าผมเพิ่งขึ้นเกรด 12 จะสามารถทำแบบนั้นได้เลยเหรอครับ?”


 


“แน่นอน เนื่องจากชื่อของเธอได้ปรากฏอยู่ในวารสาร ‘วิทยาศาตร์’ และกลายเป็นนักวิจัยร่วมกับฉันแล้ว ฉันสามารถลงทะเบียนให้เธอกลายเป็นบัณฑิตวิทยาลัยได้!”


 


“แต่แบบนี้จะไม่เป็นธรรมต่อนักเรียนคนอื่น ๆ เหรอครับ?”


 


“อัจฉริยะแตกต่างจากนักเรียนทั่วไปเสมอ มีอะไรที่ไม่ยุติธรรมเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยงั้นเหรอ?” สตีเว่นถามด้วยความสับสน


 


“โอ้ ถ้างั้นผมคงคิดมากไปเอง” จางลี่เฉินยักไหล่ “ถ้างั้นผมจะให้คนไปส่งด้วงพร้อมกับอุปกรณ์ให้อาหารไปที่บ้านของอาจารย์ โอ้ใช่ รวมถึงงานวิจัยพวกนี้ด้วยเช่นกัน ผมมีต้นฉบับอยู่แล้วเพราะฉะนั้นคุณเอามันไปได้เลยจะได้ไม่ต้องเสียเวลาปริ้นเอกสารจากบนอินเทอร์เน็ต”


 


“เยี่ยมมากลี่เฉิน รอเวลาเพื่อฟังข่าวดีจากฉันก็พอ” การแสดงออกของความตื่นเต้นและความกระสับกระส่ายที่ไม่อาจคาดเดาได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสตีเว่น “1 เดือน! ฉันขอเวลาเพียง 1 เดือนและชื่อของเราจะไปปรากฏอยู่ในวารสาร ‘วิทยาศาสตร์’ เมื่อถึงตอนนั้นก็จะไม่มีใครมาหยุดฉันจากการกลับมาได้อีกต่อไป…”


 


ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้เห็นอารมณ์ที่แปรปรวนของสตีเว่นในขณะที่เขากัดฟัน อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้พูดอะไรออกไปนอกจากแสดงท่าทีเห็นด้วยพร้อมพยักหน้า ในเวลาเดียวกัน เขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมาและติดต่อบริษัทขนส่งที่ยังคงเปิดให้บริการเพื่อเคลื่อนย้ายสิ่งของขนาดใหญ่จากบ้านของเขาไปส่งที่บ้านของสตีเว่น


 


จากนั้นรถบรรทุกของบริษัทขนส่งเคลื่อนที่ตามรถสองประตูเก่า ๆ ของสตีเว่นและค่อย ๆ ขับรถออกจากสี่แยกไป


 


จางลี่เฉินกลับเข้ามาในบ้านและอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ให้กับลิลี่ที่ไม่เคยเข้าไปแทรกแซงเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของเขาซึ่งกำลังเตรียมอาหารเย็นอยู่ชั้นหนึ่งให้ฟัง “มิสเตอร์สตีเว่นสัญญาว่าจะร่วมมือกับผมในการทำบทความเพื่อตีพิมพ์ลงวารสาร วิทยาศาสตร์ ดังนั้นผมจึงส่งตัวด้วงไปไว้ที่บ้านของเขา โอ้ใช่! เขายังบอกอีกว่าหลังจากบทความได้ถูกตีพิมพ์แล้วเขาน่าจะมีโอกาสได้กลับเป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดและเขาจะให้ผมเข้าเป็นนักศึกษาบัณฑิตในปีหน้า!”


 


“เข้าเรียนที่สแตนฟอร์ดได้โดยตรงเพื่อเป็นนักศึกษาบัณฑิต? นี่มันกระทันหันเกินไปแล้ว! แต่เมื่อลองคิดดูดี ๆ เนื่องจากลูกสามารถตีพิมพ์บทความลงบนวารสารวิทยาศาสตร์และมีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีกับมิสเตอร์สตีเว่น การรับรองเป็นนักศึกษาบัณฑิตของเขาก็น่าจะเป็นเรื่องที่เชื่อถือได้อยู่ โอ้! ลูกจะได้ประหยัดเวลาถึง 5 ปีในการกระโดดข้ามจากเกรด 12 ไปเป็นบัณฑิตวิทยาลัยโดยตรง! ว้าว มันน่าเหลือเชื่อมาก…!”


 


เมื่อได้เห็นความตื่นเต้นของแม่จางลี่เฉินจึงถือโอกาสในตอนนี้พูดไปว่า “แม่ ผมวางแผนที่จะกลับเสฉวนตะวันตกเพื่อกลับไปเยี่ยมคนที่นั่น ผมขอกลับไปได้ไหม?”



ตอนที่ 171

จางลี่เฉินรู้สึกประหลาดใจเมื่อคำขอของเขาถูกปฏิเสธอย่างไม่ลังเล “ไม่ได้เด็ดขาด! ลูกรัก ลูกกำลังตกอยู่ในสถานการณ์พิเศษ มันอันตรายสำหรับลูกเกินไปที่จะกลับเสฉวน ลูกไม่สามารถไปที่นั่นได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม… นอกจากนี้แม่วางแผนที่จะพาลูกไปพบกับคุณตาคุณยายในช่วงวันหยุดฤดูหนาวนี้ด้วยแล้ว คุณตาของลูกจะอายุครบ 60 ในวันอาทิตย์แรกของปี วันนั้นจะเป็นวันที่พิเศษสำหรับท่านและจะเป็นวันที่ดีที่สุดที่คุณตาจะได้เจอกับลูกอีกด้วย”


 


ตามรอบการนับเลขแบบจีน เมื่ออายุเวียนมาครบ 60 ปีจะถูกเรียกว่าไจ้จี้ สำหรับคนจีน วันเกิดครบรอบ 60 ปีอาจกล่าวได้ว่าเป็นวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเขาก็ว่าได้ อย่างไรก็ตาม จางลี่เฉินไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับตาของเขามากมายนัก เขารู้เพียงว่าท่านเป็นผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์ของนิวยอร์ก


 


ที่อเมริกา มันเป็นไปได้ยากที่ผู้พิพากษาสภานิติบัญญัติแห่งรัฐที่มีสถานะทางสังคมที่สูงมากจะเป็นส่วนหนึ่งของผู้อพยพรุ่นแรกจากประเทศจีน


 


“วันเกิดครบรอบ 60 ปี… นี่ตายังสนใจเรื่องนี้อยู่อีกหรอในเมื่อเขาไม่ได้อยู่ที่ประเทศจีนอีกต่อไป…” แม้จางลี่เฉินจะไม่รู้สึกเห็นด้วยกับการกระทำของแม่และสิ่งที่เธอพูดออกมาก็ดูไม่สมเหตุสมผลกันเสียเลย แต่ถึงอย่างนั้นจางลี่เฉินก็ยังพยายามแก้ต่างให้กับตัวเอง


 


“ลูกรัก สัญชาติไม่ได้เป็นนิยามร่วมกับวัฒนธรรมนี่จ้ะ ถ้างั้นจากมุมมองทางกฎหมายลูกก็ใช่คนจีนเช่นกันน่ะสิ?”


 


“มันไม่เหมือนกันนะแม่! ผมโตมาจากที่จีนและเลือดของผม…”


 


“ไม่สำคัญว่ามันจะเหมือนหรือแตกต่างกันยังไง แต่แม่จะไม่ยอมให้ลูกกลับไปจีนเด็ดขาด ไม่มีวัน!” อารมณ์ภายในพรั่งพรูออกจากตัวลิลี่พร้อมด้วยความมุ่งมั่น


 


จางลี่เฉินตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเขาก็พูดขึ้นว่า “อย่าโกรธไปเลยนะแม่! ผมจะไม่กลับเสฉวนก็ได้ถ้าแม่ไม่ยอมให้ผมไป!”


 


“ลูกรัก ไม่ใช่ว่าแม่ไม่อยากปล่อยให้ลูกไป แต่… แต่ประเทศจีน โดยเฉพาะที่เสฉวนตะวันตกที่ห่างไกลนั่นอาจเป็นอันตรายสำหรับลูกได้ อย่าคิดว่าที่นั่นคือบ้านของลูกแม้ว่าลูกจะเติบโตจากที่นั่นเลยนะ ในความเป็นจริงลูกมีศัตรูนับร้อยนับพันอยู่ที่นั่นด้วยซ้ำ! ศัตรูธรรมชาติมากมาย! ลูกจะต้องไม่กลับไปที่นั่นโดยไม่เตรียมการระวัง ที่นั่นอันตรายเกินไป!”


 


เมื่อเห็นว่าแม่ของตัวเองไม่ได้พูดออกมาแค่เพราะมันเป็นข้ออ้างแต่พูดด้วยใจจริงทำให้จางลี่เฉินเกิดความรู้สึกแปลก ๆ อย่างไรก็ตาม ด้วยอารมณ์ของลิลี่ที่ท่วมท้นจนเธอไม่สามารอดกลั้นเอาไว้ได้เขาจึงไม่ได้ถามอะไรออกไปแล้วสัญญาว่าเขาจะไม่กลับไปประเทศจีนอีก


 


ภายใต้การปลอบโยนที่ชาญฉลาดของชายหนุ่ม จากนั้นไม่นานลิลี่ก็เริ่มสงบ เขาจึงแกล้งถามลอย ๆ ไปว่า “แม่ ที่แม่บอกว่าที่จีนผมมีศัตรูตามธรรมชาติอยู่มากมายมันหมายถึงอะไร? มันคงไม่ใช่พวกศัตรู…”


 


“ในสายตาของพวกหัวรุนแรงที่น่ากลัวลูกคือศัตรูของพวกเขา” เมื่อได้ยินคำถามจากลูกชายลิลี่ลังเลไปครู่หนึ่งก่อนจะกระซิบตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ทั้งหมดก็เพื่อพยายามให้เขายกเลิกความคิดที่จะกลับประเทศจีน


 


“ลูกรัก ลูกสามารถสื่อสารกับสัตว์ได้เพราะงั้นลูกก็น่าจะรู้ว่าตัวเองแตกต่างจากคนทั่ว ๆ ไป แม่จะพูดเรื่องนี้ออกไปอย่างไรดี? ลูกเป็นเหมือนกับชาวยิวที่เกิดมาพร้อมกับตราบาปต่อหน้าผู้ที่เชื่อและคลั่งไคล้ในศาสนาคริสต์ พวกเขาจะเป็นศัตรูกับลูกและพวกเขาก็จะฆ่าลูกอย่างไม่มีเหตุผล! ไม่เพียงแค่นั้น พฤติกรรมดังกล่าวจะไม่ถูกประณามแต่จะได้รับความเคารพและการมีชื่อเสียงแทน ลูกยังจำตอนก่อนที่แม่จะพาลูกมาที่นิวยอร์กได้ไหม? ที่ ๆ เราเดินผ่านวังชิงหยางที่เฉิงตูกัน ในตอนนั้นมีเด็กผู้หญิงที่มีพลังน่าเหลือเชื่อปรากฏตัวออกมาเพื่อเป็นศัตรูกับลูก หากไม่ใช่ความจริงที่ว่าแม่พูดภาษาอังกฤษและปล่อยให้เธอเข้าใจผิดถึงที่มาของลูกไป บางที… บางทีผลที่ตามมาลูกอาจคาดไม่ถึงเลยก็ได้”


 


“มีเหตุการณ์แบบนั้นด้วยเหรอ? แม่ แล้วแม่รู้ไหมว่าคนพวกนั้นเป็นใคร?” จางลี่เฉินถามขณะที่เขาหมกมุ่นอยู่ในความคิด


 


“แม่เองก็ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร แต่คนพวกนั้นส่วนใหญ่จะแต่งตัวเป็นนักบวชหรือไม่ก็พระลัทธิเต๋า แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด! … ฟังนะลูกรัก แม่อยากให้ลูกรับปากกับแม่ด้วยใจจริงว่าลูกจะไม่กลับไปประเทศจีนอีกเด็ดขาด มันอาจเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับลูกเนื่องจากที่นั่นเป็นบ้านเกิดของลูก แม้ว่าลูกจะให้สัญญากับแม่ตอนนี้แต่ลูกก็อาจไม่รักษาสัญญาในสักวัน …เอาล่ะ เรามาตกลงกัน เพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น จนกระทั่งลูกอายุ 23 …ไม่! อายุ 30! 30 ดีกว่า! ในตอนนั้นลูกก็จะมีภาพลักษณ์แบบคนอเมริกันและจะมีสถานะทางสังคมที่สูงเช่นกัน เมื่อถึงตอนนั้นก็จะไม่มีใครมาทำร้ายลูกได้อีกต่อไปแม้ลูกจะกลับไปประเทศจีน ให้สัญญากับแม่ได้ไหมลี่เฉิน? สัญญากับแม่ว่าลูกจะไม่กลับไปที่นั่นจนกว่าลูกจะอายุ 30”


 


“ได้สิแม่! แม่มั่นใจได้เลยว่าผมจะไม่กลับไปประเทศจีนอีกจนกว่าผมจะลงสมัครรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ”  เมื่อมองจ้องเข้าไปที่ดวงตาของผู้เป็นแม่ จางลี่เฉินพยักหน้าตอบรับพร้อมพูดติดตลก


 


ลิลี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินแบบนั้น และเพื่อเป็นการมั่นใจ ชายหนุ่มจึงไม่พูดถึงเรื่องที่เขาอยากกลับมณฑลเสฉวนตะวันตกเพื่อเยี่ยมเยือนคนที่นั่นหลังจากนั้นอีกเลย


 


เพียงพริบตา วันคริสมาสต์ก็เริ่มเข้ามาใกล้ตัวมากขึ้นทุกที ในคืนวันคริสต์มาสอีฟ จางลี่เฉินได้อยู่ร่วมงามฉลองกับที่บ้านและเป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอกันสตีเฟ่น ลาวีน พี่ชายคนโตสุดของครอบครัวที่กลับมาจากแคลิฟอร์เนียเช่นเดียวกับแรนดี้และไรลีย์ที่เขาไม่ได้เห็นหน้ามานานหลังจากเข้าเรียนหมาวิทยาลัยซึ่งกลับมาเกือบจะพร้อมกันกับพี่ชายคนโต


 


ในฐานะเริ่มเป็นกองหลังให้กับทีมฟุตบอลยูซีแอลเอ สตีเฟ่นมีผมสีบลอนด์ยาวและมีสีหน้าท่าทางที่เข้มแข็งพร้อมด้วยร่างกายที่แข็งแรงกว่าผู้เป็นพ่อของเขา อย่างไรก็ตาม นิสัยของเขาแตกต่างไปจากรูปร่างหน้าตาโดยสิ้นเชิง เขาเป็นคนที่อ่อนโยนและเป็นมิตรอย่างมาก


 


ทันทีที่เขาเข้ามาในบ้าน ชายหนุ่มที่ทั้งสูงและแข็งแรงก็ได้มอบของขวัญที่เขาเตรียมมาให้กับมิเชล แฮร์รี่ และกิลที่ตะโกนพร้อมโวยวายกระโดดเข้าหาเขา


 


“พี่ใหญ่สตีเฟ่น! สตีเฟ่นกลับมาแล้ว!” จากนั้นเขาก็มองจางลี่เฉินที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยรอยยิ้ม “เฮ้ นายคงเป็นลี่เฉินล่ะสินะ! พอจะเข้ามากอดทักทายพี่ชายของนายเป็นครั้งแรกได้ไหม?”


 


“แน่นอน” จางลี่เฉินยิ้มแล้วเดินเข้าไปกอดสตีเฟ่นอย่างอบอุ่น “สวัสดีสตีเฟ่น”


 


“สวัสดีลี่เฉิน โอ้ใช่! นี่คือของขวัญของนายที่ฉันเตรียมมาให้” สตีเฟ่นพูดขณะยื่นกล่องของขวัญที่เขาถือมาให้จางลี่เฉิน “ลองเปิดดูสิ นายชอบมันไหม?”


 


กล่องบรรจุชุดดิสก์ Blu-ray “สัตว์อันเป็นที่รักของโลก” ที่มีความละเอียดสูงของเนชั่นแนลจีโอกราฟิกแชนแนล นี่เป็นของขวัญที่เยี่ยมที่สุดสำหรับคนเก็บตัวที่หลงใหลเกี่ยวกับการวิจัยทางชีววิทยา


 


“ชอบที่สุดเลย ขอบคุณมาก!” จางลี่เฉินดีง DVD ออกจากกล่องของขวัญแล้วมองดูมันพร้อมตอบกลับไปอย่างสุภาพ


 


“น้องชายลี่เฉินที่รัก ฉันก็มีของขวัญให้นายเหมือนกันนะ มันคือมีดโกนขนหมูแต่น่าเสียดายที่ฉันทำหายไปซะแล้ว” แรนดี้ที่อยู่ข้าง ๆ พูดขึ้นพร้อมหัวเราะ


 


หลังจากประสบความสำเร็จในการเข้ายูซีแอลเอ ชายหนุ่มที่ดื้อรั้นคนนี้แทบไม่ได้เปลี่ยนอะไรไปเลยแม้จะใช้ชีวิตครึ่งปีในการเรียนมหาวิทยาลัยและกลายเป็นเพื่อนร่วมทีมฟุตบอลกับพี่ชายของตัวเองแล้วก็ตาม


 


“หุบปากไปเลยนะแรนดี้! เงินที่ให้ไปใช้ประจำวันก็เอาไปให้แฟนหมด จะไปมีปัญญามาซื้อที่โกนขนหมูมาแกล้งลี่เฉินเขาได้ยังไง? น่าสมเพช! หลบไปถ้านายไม่มีของขวัญให้เขา” ไรลีย์พูดก่อนจะดันตัวเขาให้ออกไปแล้วยื่นของขวัญให้กับน้องชายของตัวเอง


 


จางลี่เฉินได้รับไม้แกะสลักแบบอินเดียมาเป็นของขวัญ ตามที่ไรลีย์ซึ่งเข้ามหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียบอก ตอนที่เธอห็นลิงตัวนี้ที่ตลาดนัดใกล้กับมหาวิทยาลัยเธอรู้สึกว่าสไตล์ของมันคล้ายกับรูปปั้นคางคกที่จางลี่เฉินมี ด้วยเหตุนี้เธอจึงซื้อมันมาและมอบเป็นของขวัญวันคริสต์มาสให้กับเขา


 


เหตุผลในการเลือกของขวัญดูน่าขันเมื่อชายหนุ่มหยิบมันขึ้นมาดูใกล้ ๆ เขาพูดตอบกลับไปอย่างสุภาพอีกครั้งว่า “ขอบคุณ ฉันชอบมันมาก ๆ”


 


ทุกครั้งที่เกิดช่วงเวลาดังกล่าว เขาจะกลายเป็นเหมือนแขกของครอบครัวนี้แทนและไม่สามารถผสานไปกับครอบครัวนี้ได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม


 


คืนคริสต์มาสอีฟที่มีแต่ความสุขในสายตาของทุกคนได้ผ่านไปอย่างว่างเปล่าในสายตาของจางลี่เฉิน


 


หลังคืนวันคริสต์มาสอีฟผ่านไป อุณหภูมิในนิวยอร์กก็ลดลงอย่างต่อเนื่องจนไปถึงช่วงปีใหม่ ในวันที่อุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นเล็กน้อย จางลี่เฉินรีบตื่นแต่เช้าเพื่อไปหาทีน่าที่กำลังจะกลับมหาวิทยาลัยของเธอแต่เนิ่น ๆ เพื่อไปร่วมงานสมาคมหญิงสาวฮาร์วาร์ดที่มีการจับฉลากกันเพื่อไปส่งเธอที่สนามบิน


 


แน่นอนว่าตระกูลดั๊กลินจะมีคนรับรถส่วนตัวให้ทีน่าอยู่แล้วแต่ชายหนุ่มผู้กล้าท้าลมหนาวตอน 7 โมงก็ได้มาปรากฏตัวอยู่ด้านนอกประตูคฤหาสน์สไตล์อังกฤษที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่แห่งในแมนฮัตตันก่อนจะกดกริ่งที่หน้าประตูด้วยเจตนาที่มุ่งมั่น


 


“อรุณสวัสดิ์ครับ มีอะไรให้ผมช่วยหรือไม่?” หลังจากออดดังขึ้นสองสามครั้งเสียงชราวัยก็ดังออกจากลำโพงมอนิเตอร์ที่ติดอยู่ตรงประตู


 


“อรุณสวัสดิ์ครับ ผมจางลี่เฉิน มาหาทีน่าน่ะครับ”


 


“โปรดรอสักครู่นะครับ”


 


ไม่กี่นาทีต่อมา ชายชราร่างผอมสูงที่แต่งตัวด้วยชุดทักซิโด้พร้อมผมสีเงินของเขาที่เรียงกันอย่างเป็นระเบียบได้ขับรถกอล์ฟจากที่จอดรถไกล ๆ มาที่ประตูเหล็ก


 


“ยินดีต้อนรับสู่ตระกูลดั๊กลินครับ มิสเตอร์จางลี่เฉิน” เขาลงจากรถกอล์ฟและเปิดประตูเหล็กจากนั้นก็โค้งคำนับชายหนุ่มอย่างสุภาพ “กรุณาขึ้นมาที่รถก่อนเถอะครับ ผมจะพาคุณไปยังห้องนั่งเล่นก่อน มิสเตอร์ดอลบี้กำลังรอคุณอยู่”


 


“เอ่อ แต่ผมมาที่นี่เพื่อมารับทีน่า”


 


“คุณหนูยังเตรียมตัวไม่เสร็จน่ะครับ เกรงว่าคุณจะต้องรออีกสักครู่ก่อนที่เธอจะจัดการตัวเสร็จ ก่อนหน้านั้นมิสเตอร์ดอลบี้หวังว่าเขาจะได้คุยกับคุณเป็นการส่วนตัวก่อน”


 


จางลี่เฉินไม่สามารถปฏิเสธการเรียกร้องของพ่อทีน่าได้ แต่หลังจากไตร่ตรองเขาก็พบข้อแก้ตัวและชี้ไปที่รถของเขา “เกรงว่ามันคงจะไม่สะดวกถ้าผมต้องจอดรถไว้ที่นี่…”


 


“เดี๋ยวจะมีคนมาพารถคุณไปยังลานจอดให้เองในภายหลัง คุณครับ ถ้าผมอยู่ในวัยเช่นเดียวกับคุณและมีแฟนสาวที่สวยงามผมคงจะไม่ปล่อยให้พ่อของเธอต้องรอนานถ้าเขาอยากเจอตัว”


 


“ใช่ คุณพูดถูกแล้ว เอาล่ะ ไปกันเถอะ” เมื่อได้ยินคำพูดของชายชรา จางลี่เฉินก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนวิ่งไปที่ประตูเหล็กอย่างคล่องแคล่วและกระโดดขึ้นบนรถกอล์ฟโดยรู้ตัวว่าเขาไม่สามารถหนีได้พ้นอีกต่อไป ตอนนั้นเองเขาก็ไม่ได้ลืมที่จะสอบถามบางอย่าง “รู้ไหมครับว่าทำไมมิสเตอร์ดอลบี้ถึงต้องการพบผม?”


 


“ต้องขอภัยด้วยครับมิสเตอร์จาง ตัวผมเป็นเพียงพ่อบ้านไม่ใช่ผู้ส่งสาร อย่างไรก็ตามในฐานะที่เป็นชายชราที่เฝ้าดูมิสทีน่าที่เติบโตและหวังว่าเธอจะมีความสุขไปตลอดชีวิตผมจะให้คำแนะนำแก่คุณ 2 คำ ‘มารยาท’ และ ‘สำรวม’ เป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดเสมอสำหรับสุภาพบุรุษ” ในขณะขับรถกอล์ฟ ชายชราพาชายหนุ่มไปยังคฤหาสน์ที่มีกำแพงล้อมรอบด้วยเถาวัลย์เขียวขจีชวนให้ความรู้สึกที่มืดหม่นและน่าสั่นเทาขณะที่เขาพูดด้วยรอยยิ้ม



ตอนที่ 172

การตกแต่งภายในของคฤหาสน์ตระกูลดั๊กลินเต็มไปด้วยกรอบไม้และภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงามที่เผยให้เห็นถึงความเร่งรัดทางประวัติศาสตร์และภาพลักษณ์ที่หรูหรา


 


เมื่อจางลี่เฉินเดินเข้าไปในคฤหาสน์ เขาไม่ได้สนใจภาพวาดเก่า ๆ อันวิจิตรที่วางประดับไว้ทุกที่แต่คิดถึงความปรารถนาที่มิสเตอร์ดอลบี้มีในการอยากพบเขาแทน


 


“มิสเตอร์จาง มิสเตอร์ดอลบี้กำลังรอคุณอยู่ที่ห้องอ่านหนังสือครับ เชิญด้านในได้เลยครับ” ชายหนุ่มยังคงเดินตามหลังพ่อบ้านไปเรื่อย ๆ จนมาถึงจุดสิ้นสุดของทางเดินโดยไม่รู้ตัว พ่อบ้านสูงวัยผลักประตูไม้ที่หุ้มด้วยหนังสีน้ำตาลแดงให้เปิดออกขณะแนะนำให้จางลี่เฉินเดินเข้าไปด้านใน


 


เขาปล่อยให้จางลี่เฉินเข้าไปข้างในห้องเพียงลำพัง ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “ขอบคุณครับ” จากนั้นถึงเดินเข้าไปให้ห้องที่อยู่ตรงสุดปลายทางเดิน


 


ห้องนี้ไม่มีหน้าต่างแต่มีไฟติดอยู่บนเพดานเพื่อทำให้มันดูสว่างและกว้างขวางยิ่งขึ้น ที่พื้นถูกปูด้วยพรมแคชเมียร์สีแดงหนาในขณะที่ผนังทั้งสามด้านเต็มไปด้วยชั้นหนังสือไม้เนื้อแข็ง ส่วนใหญ่จะเต็มไปด้วยหนังสือหุ้มปกแข็งและมีโต๊ะทำงานสีดำสนิทตั้งอยู่กลางห้อง


 


“อรุณสวัสดิ์ครับมิสเตอร์ดอลบี้” จางลี่เฉินผู้ซึ่งไม่ค่อยประหม่าแม้แต่ในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับความตายแต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าหัวใจของเขากำลังเต้นเร็วขึ้นเมื่อกล่าวคำทักทายพร้อมเผยรอยยิ้มฝืน ๆ มิสเตอร์ดอลบี้ที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ด้านหลังโต๊ะเงยหน้าขึ้นมองจางลี่เฉินด้วยสายตาเฉียบแหลม


 


“อรุณสวัสดิ์มิสเตอร์ลี่เฉิน นั่งก่อนสิ” มิสเตอร์ดอลบี้ชี้ไปยังเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ประโยคแรกของเขาทำให้การแสดงออกของจางลี่เฉินเปลี่ยนจากความกังวลเป็นฉงนจนพูดไม่ออก


 


“เดี๋ยวทีน่าก็ออกมาแล้วล่ะ ดังนั้นฉันจะขอพูดสั้น ๆ ว่าฉันอยากให้เธอออกจากประเทศนี้ไปซักพัก ไปอยู่ในที่ ๆ ห่างไกล ที่ ๆ จะไม่ดึงดูดความสนใจจากใคร ยิ่งไกลออกไปได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี อยู่ที่นั่นสัก 3 … 4 …. อยู่ที่นั่นสัก 6 เดือนก็แล้วกัน แล้วต้องไปภายใน 10 วันนี้”


 


“คุณกำลังพูดเรื่องอะไรครับมิสเตอร์ดอลบี้?”


 


“เธอมีความลับบางอย่าง ฉันรู้เรื่องนั้นดี แม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าความลับนั้นคืออะไรแต่ฉันขอเดาว่าความลับพวกนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เธอสามารถช่วยลูกสาวฉันและเพื่อนสนิทของเธอมาหลายต่อหลายครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะร่องรอยที่เธอทิ้งไว้ขณะช่วยทีน่าและวิธีที่ทำให้ลูกสาวฉันหลงเธอจนหัวปักหัวปำ ยังไม่นับรวมที่เธอทั้งเก่งและมีอนาคตที่สดใสผิดปกตินั่นอีก แน่นอนว่าฉันจะไม่บอกเรื่องของเธอกับใคร แต่ความลับของเธอกำลังได้รับความสนใจจากหน่วยงานพิเศษบางแห่งของประเทศอยู่ ตอนนี้สิ่งที่ฉลาดที่สุดที่เธอจะสามารถทำได้คือการออกจากประเทศและไปอยู่อย่างสันโดษที่ไหนสักแห่งสักพัก”


 


เมื่อได้ยินคำเตือนของดอลบี้ จางลี่เฉินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสับสน “มิสเตอร์ดอลบี้ การที่ผมต้องอยู่ห่างจากประเทศนานหลายเดือนขนาดนั้นจะช่วยให้ความสงสัยจากหน่วยงานพิเศษหมดไปได้อย่างไร?


 


“ที่เธอยังรักษาความสงบสุขมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็นับว่าเยี่ยมมากพอแล้ว ไม่ต้องกังวล ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นการเลือกตั้งก็จะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้แล้ว นิโกรผู้ที่ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีถึงสองวาระจะต้องลาออกจากทำเนียบขาว เมื่อถึงเวลานั้น การ์ดที่ดีที่สุดบนมือเธอจะสามารถเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ให้แก่ตัวเธอได้เอง รวมถึงความช่วยเหลือจากฉันและฮอว์วิค สเตกด้วยแล้ว รับรองว่าเธอจะต้องไม่เป็นอะไร เว้นเสียแต่ว่าเธอจะไปโจมตีเพนตากอนเข้าเสียก่อน”


 


“การ์ดที่ดีที่สุดบนมือของผม? คุณหมายถึงสหภาพเกษตรกรแห่งชาตินอกนิวยอร์กน่ะเหรอครับ? เรื่องพวกนี้จะช่วยในการค้าขายได้อย่างไร?” จางลี่เฉินถามเมื่อสายตาของเขาสับสนจนทำอะไรไม่ถูก “ไม่เพียงแค่นั้น แต่คุณยังร่วมมือกับมิสเตอร์ฮอว์วิค สเตกอีก? ผมคิดว่าพวกคุณสองคนไม่ค่อยจะถูก…”


 


“ไม่มีอะไรที่ฉันไม่สามารถนำมาใช้เพื่อเป็นการค้าในเกมการเมืองได้ นั่นคือทั้งหมดที่ฉันจะสามารถบอกเธอได้พ่อหนุ่ม และอีกสิ่งหนึ่งในฐานะชาวอเมริกัน ฉันยอมที่จะเสียสละทุกคนเพื่อผลประโยชน์ของชาติ แต่สิ่งนี้จะต้องไม่รวมถึงลูกสาวของฉัน ไม่รวมถึงทีน่า…”


 


“พ่อพูดถึงหนูอยู่หรอคะ?” ทันใดนั้นประตูห้องอ่านหนังสือก็เปิดออก ทีน่าหัวเราะเล็กน้อยขณะเดินเข้ามาด้านในโดยสวมเสื้อสเวตเตอร์สีชมพูสดใส “โอ้ที่… ลี่เฉิน! ทำไมนายถึงมาอยู่ในห้องอ่านหนังสือกับพ่อได้? แล้วทำไมไม่โทรมาหาฉันก่อนล่ะ? รอนานมากไหม?”


 


“มิสเตอร์ดอลบี้อยากคุยอะไรกับผมนิดหน่อย ผมเพิ่งมาถึงได้ไม่นาน”


 


“คุยเรื่องอะไรกันอยู่งั้นเหรอ? เมื่อกี๊ก็เพิ่งพูดชื่อฉันไปด้วยนี่ ใช่ไหม?”


 


“พ่อกำลังคุยกับแฟนของลูกเกี่ยวกับเรื่องที่จะร่วมมือกันอยู่น่ะ เราวางแผนที่จะสร้างห้องปฏิบัติการชีวภาพขนาดใหญ่ที่ตั้งเป็นชื่อลูกที่แอฟริกา” ดอลบี้ตอบคำถามลูกสาวของเขาไปด้วยรอยยิ้ม


 


“หนูเข้าใจนะคะถ้าทั้งสองคนอยากจะสร้างห้องปฏิบัติการชีวภาพขนาดใหญ่ แต่ทำไมต้องที่แอฟริกา?” ทีน่าไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้กับสิ่งที่ได้ยินดี


 


“ทีน่า แอฟริกาเป็นทวีปที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดจากอุตสาหกรรมสมัยใหม่จาก 5 ทวีปทั่วโลก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจำนวนชีวภาพจะมีความ ‘บริสุทธิ์’ และวัสดุที่มีมากมายขนาดไหน หลายประเทศที่พัฒนาแล้วก็สร้างห้องปฏิบัติการทางชีวภาพขึ้นที่นั่นนะรู้ไหม” หัวใจของจางลี่เฉินเหมือนโดนกระทุ้งเบา ๆ เมื่อดอลบี้เพิ่มคำอธิบายคำตอบไปด้วยรอยยิ้ม


 


“โอ้ อย่างนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นพ่อควรเลื่อนการพุดคุยเกี่ยวกับเรื่องห้องปฏิบัติการทางชีววิทยานี้ไปไว้คราวหน้านะคะ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการไปส่งหนูที่สนามบินก่อน”


 


“โธ่ ลูกสาวที่รักของพ่อ นักบินส่วนตัวของพ่อก็เตรียมตัวพร้อมแล้วนะ ถ้าลูกเปลี่ยนใจก็ให้เขาบินไปส่งลูก … ”


 


“หนูไม่ได้อยากเป็นที่สนใจขนาดนั้นนะคะพ่อ! การมีเงินไม่อาจทำให้ได้รับความเคารพที่ฮาร์วาร์ดได้”


 


“เชื่อพ่อสิลูกรัก คนที่บอกลูกมาแบบนั้นเขาจะต้องเป็นคนจนที่น่าสงสารมาตลอดทั้งชีวิตแน่ ๆ เงินจะทำให้ลูกได้รับความเคารพที่ทุกและทุกเวลา หากมันไม่เป็นเช่นนั้นความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือยังมีเงินไม่มากพอ”


 


“โอเคค่ะพ่อ งั้นหนูไปก่อนนะคะ หนูไม่อยากมาทะเลาะกับพ่อตอนนี้” ทีน่าวิ่งเข้าหาพ่อของเธอในขณะเดินบนพรมนุ่มแล้วจูบหน้าผากของเขา “แล้วไว้เจอกันนะคะ! เดี๋ยวอีก 1 เดือนหนูจะกลับมา”


 


“พ่อจะคิดถึงลูกตลอดทั้งเดือนเลยลูกรัก แล้วไว้เจอกันนะ” ดอลบี้หอมแก้มลูกสาวของเขาด้วยความอาลัย “ลาก่อนนะ! มิสเตอร์ลี่เฉิน”


 


เมื่อได้ยินคำบอกลาของดอลบี้ จางลี่เฉินจึงตอบกลับพร้อมโบกมือ “ลาก่อนครับ มิสเตอร์ดอลบี้”


 


“เวลานายเป็นกังวลก็ดูน่ารักไปอีกแบบดีนะ” ทีน่าวิ่งเข้ามาควงแขนของชายหนุ่มก่อนจะกระซิบกับเขาขณะพากันเดินออกจากห้องอ่านหนังสือไป


 


พวกเขาสองคนเดินออกจากคฤหาสน์โดยนั่งรถกอล์ฟเพื่อไปยังรถของจางลี่เฉินที่จอดไว้ ทีน่าคะยั้นคะยอด้วยความรีบเร่ง “รีบขับไปเร็วเข้าที่รัก! เราจะต้องไปรับทริชแล้วก็ชีล่าต่ออีกนะ! ถ้าช้ากว่านี้พวกเราได้สายกันหมดแน่!”


 


“ถ้าพวกเธอรู้ว่าตัวเองกำลังจะไปสายแล้วพวกเธอก็น่าจะไปสนามบินกันเองแล้วล่ะมั้ง” จางลี่เฉินพึมพำขณะสตาร์ทเครื่องยนต์


 


“ไม่หรอก ก็พวกเราอยากใช้ชีวิตแบบหญิงสาวในมหาลัยทั่ว ๆ ไปนี่! พวกเรากำลังพยายามใช้จ่ายให้น้อยกว่า 10,000 ดอลลาร์ต่อภาคการศึกษาอยู่ และจะบริจาคเงินที่เก็บไว้ให้กับเด็กยากจนบนโลกที่ต้องการความช่วยเหลือ”


 


“โอ้ อย่างนั้นเหรอ…” ด้วยเหตุผลนี้ชายหนุ่มจึงไม่ได้พูดอะไรออกไปอีกนอกจากเหยียบคันเร่งให้เร็วขึ้นในขณะที่เขาขับรถไปตามถนนในนิวยอร์ก


 


หลังจากไปรับทริชและชีล่าทางฝั่งตะวันตกตอนบนของแมนฮัตตันแล้ว จางลี่เฉินก็พาหญิงสาวทั้ง 3 คนไปยังสนามบินลาการ์เดียทางด้านทิศเหนือของลองไอส์แลนด์ในทันที


 


จางลี่เฉินยืนเฝ้าหญิงสาวทั้ง 3 คนเดินเข้าเครื่องไปและไม่ลืมที่จะจูบลากับทีน่าแม้จิตใจของเขาจะไม่ค่อยรู้สึกสบายใจเท่าไหร่นัก


 


เมื่อเขาเดินออกจากตัวอาคารมา จิตใจของเขายังคงวนเวียนและไม่สามารถตัดสินใจสิ่งใดได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงยังอยู่ในลานจอดรถกลางแจ้งด้านนอกสนามบินเพื่อเพลิดเพลินไปกับสายลมหนาวนานกว่า 10 นาทีก่อนตัดสินใจจะตอบรับคำเตือนของดอลบี้เพื่อเดินทางไปต่างประเทศ


 


เขาตัดสินใจเลือกได้แล้ว จากนั้นชายหนุ่มก็ได้แต่ให้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะขับรถกลับบ้าน


 


เมื่อเห็นลูกชายของเธอกลับมา ลิลี่ที่กำลังทำขนมพายไส้เนื้ออยู่ในห้องครัวจึงเอ่ยทักทายเขาไปด้วยรอยยิ้ม “ลูกรัก ไรลีย์ มิเชล กิลล์และแฮร์รี่ไปกับสตีเฟ่นและแรนดี้เพื่อไปรับเพื่อนของพวกเขาที่จะมาจากแอลเอ เพราะงั้นวันนี้จะมีแค่เราสองคนเท่านั้นที่จะอยู่ทานอาหารกลางวันด้วยกัน รอแม่แปปหนึ่งนะจ๊ะ เดี๋ยวพายก็จะเสร็จแล้วแหละ”


 


“หอมจังเลยนะครับ มีอะไรให้ผมช่วยไหม?” จางลี่เฉินเดินเข้าไปในครัวด้วยท่าทีลำบากใจ


 


“โอ้ ลูกไม่ค่อยจะช่วยแม่ในห้องครัวเลยนะ ลูกรัก ถ้าลูกอยากจะขออะไรก็บอกแม่ตรง ๆ ได้เลยนะ”


 


“อ่า … เอ่อคือ คืออย่างนี้นะแม่ มิสเตอร์ดอลบี้ คุณพ่อของทีน่าวางแผนที่จะร่วมมือกับผมในการสร้างห้องทดลองทางชีววิทยาขนาดใหญ่ที่แอฟริกา แต่ก่อนที่จะทำแบบนั้นเขาหวังว่าผมจะสามารถไปที่นั่นเพื่อดูสถานที่จริงได้”


 


“ห้องทดลองทางชีววิทยาขนาดใหญ่? ลูกรัก ลูกอยากสร้างห้องทดลองทางชีววิทยาขนาดใหญ่กับใครสักคนงั้นเหรอจ๊ะ? และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นที่แอฟริกาอีกด้วย?” ลิลี่ถามพร้อมดวงตาเบิกกว้าง ใบหน้าของเธอแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูดมา


 


“แม่รู้ไหม จากทั้ง 5 ทวีปบนโลกมีห้องทดลองทางชีววิทยาหลายแห่งที่ถูกสร้างขึ้นที่นั่นนะ” จางลี่เฉินหว่านล้อมโดยหยิบยกคำอธิบายที่ใช้กับทีน่าขึ้นมา “และไม่เพียงเท่านั้น แม่ก็น่าจะรู้ว่าบริษัทของผมไม่ใช่ขนาดเล็ก ๆ อีกต่อไปแล้ว ผมลองคิดถึงเรื่องนี้ดูอย่างจริงจังแล้วนะครับ เนื่องจากมิสเตอร์สตีเว่นให้สัญญาว่าเขาจะทำให้ผมเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดก่อนเดือนกันยายนปีนี้เพราะงั้นมันก็ไม่มีความหมายที่ผมจะเรียนที่โลว์บิจ จูเนียร์ ไฮต่อไป”


 


“แต่ลูกรัก มิสเตอร์สตีเว่นอาจไม่ได้เป็นศาสตรจารย์ที่สแตนฟอร์ดแม้ว่าบทความของเขาจะได้รับการตีพิมพ์ลงบนวาร ‘วิทยาศาสตร์’ ก็ได้นะ”


 


“แต่เขามีความมั่นใจมากถึง 90% เลยนะครับแม่ ถ้าเป็นอย่างนั้นในกรณีที่เลวร้ายที่สุดผมก็แค่ต้องซ้ำเกรด 11 ใหม่ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือสำคัญอะไร สิ่งที่ผมต้องการคือการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่และสร้างห้องทดลองทางชีวภาพที่ใหญ่ที่สุดและทันสมัยที่สุดในโลก การเดินทางไปแอฟริกาอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการตระหนักถึงความฝันของผม…”


 


“ถ้างั้นก็สัญญากับแม่มาว่าลูกจะไม่ไปประเทศจีนเด็ดขาด!”


 


“โธ่แม่ แม่กังวลเรื่องนี้อีกแล้วงั้นเหรอ! ผมสัญญา ผมจะไม่กลับประเทศจีนอีกเป็นอันขาด!” เมื่อรู้ว่าลิลี่ยอมตกลงให้เขาได้ไปแอฟริกาแล้วก็เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะพูดให้สัญญาด้วยรอยยิ้ม


 


“แล้วลูกคิดจะไปเมื่อไหร่?”


 


“ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี แม่จะพาผมไปหาคุณตาอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ใช่ไหม? เพราะงั้นผมวางแผนที่จะออกเดินทางทันทีหลังจากวันนั้น”


 


“แอฟริกามีขนาดที่ใหญ่มากนะ ลูกตัดสินใจเลือกประเทศที่จะไปได้แล้วหรือยัง?”


 


“ยังเลยแม่ ผมต้องคิดเรื่องนี้กับมิสเตอร์ดอลบี้อีกทีหนึ่ง อย่างน้อยที่สุดประเทศนั้นจะต้องมีสถานการณ์ทางการเมืองที่มั่นคงและสามารถรับประกันความปลอดภัยให้กับชาวต่างชาติและทรัพย์สินของผมได้” จางลี่เฉินที่เข้ามาช่วยลิลี่ในการทำพายยังคงพูดต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อทำให้แม่ของเขารู้สึกสบายใจมากยิ่งขึ้น


 


หลังจากนั้นเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าของเขาก็ดังแทรกขึ้นมา


 


หลังจากเขากดรับสาย ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยจากแรนดี้ดังก้องมาจากอีกฝั่ง “ลี่เฉิน นายไปส่งแฟนของนายแล้วหรือยัง?”


 


“เสร็จแล้ว ตอนนี้ฉันกำลังอยู่ที่บ้าน”


 


“เยี่ยม! ออกมาเร็ว! เพื่อนสนิทของสตีเฟ่นและฉันจากมหาวิทยาลัยกำลังอยู่ที่นิวยอร์ก ไรลีย์ มิเชล แฮร์รี่และกิลล์ก็อยู่ด้วย พวกนั้นมาช่วยฉันสร้างความบันเทิงให้กับแขกของพวกเราดังนั้นก็เหลือแค่นายเท่านั้นแล้ว หนึ่งคำสำหรับนายนะพวก ที่นี่เต็มไปด้วยสาว ๆ มากมายเลยล่ะ!”


 


“ฉันอยู่บ้านกับแม่แล้วเรากำลังจะทานมื้อกลางวันด้วยกัน ฉันคงไม่ออกไป…”


 


“ไม่เอาน่าลูกรัก ลูกควรออกไปเที่ยวเล่นกับพี่น้องของลูก ๆ บ้างนะ” ลิลี่ยิ้มก่อนจะเอาโทรศัพท์ของจางลี่เฉินมาคุยกับแรนดี้แทน “ไงแรนดี้ ตอนนี้อยู่ที่ไหนกันแล้ว?”



ตอนที่ 173

ลิลี่พยายามชี้นำให้จางลี่เฉินสามารถเข้ากับเด็กคนอื่น ๆ ของครอบครัวลาวีนได้โดยการให้ไปใช้เวลาอยู่ด้วยกันอยู่ตลอด และครั้งนี้ก็อีกเช่นกัน


 


ชายหนุ่มที่กำลังจะต้องออกจากประเทศนี้ไปในไม่ช้าและอนาคตของเขาก็ยังไม่เป็นที่แน่นอนทำได้แค่เพียงยอมรับมันเท่านั้น จางลี่เฉินที่เพิ่งกลับเข้าบ้านมาได้ไม่นานก็ต้องเดินออกจากบ้านไปอีกครั้งเพื่อไปยังร้านอาหารบลูสเปซที่แรนดี้บอกผ่านทางโทรศัพท์


 


เหมือนที่ระบุไว้ในชื่อ ‘บลูสเปซ’ ร้านอาหารแห่งนี้ใช้การตกแต่งแบบธีมอวกาศพร้อมด้วยสีฟ้าสดใส


 


โต๊ะอาหารและเก้าอี้ของที่นี่ทำด้วยโลหะสีฟ้าที่เป็นสไตล์จากยุคนวนิยม ห้องทานแบบส่วนตัวจะได้รับการตกแต่งเหมือนอยู่ในแคปซูลอวกาศ


 


บริกรที่สวมเครื่องแบบก็มีสไตล์ที่คล้ายกับชุดอวกาศเพียงแต่มันเบาและบางกว่ามาก ในแวบแรกเมื่อเดินไปรอบ ๆ ร้านอาหาร มันให้ความรู้สึกถึงการอยู่นอกอวกาศได้เป็นอย่างดี


 


เนื่องด้วยเหตุผลที่รัฐบาลเริ่มส่งเสริมโปรแกรม ‘อพยพไปยังอวกาศ’ อย่างจริงจังจึงทำให้ธีมอวกาศโด่งดังอย่างมากในยุค 1970 – 1980 และตอนนี้มันก็กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งทำให้ร้านอาหารที่มีธีมอวกาศแบบนี้กลายเป็นเทรนด์แฟชั่นใหม่ในหมู่คนหนุ่มสาว แต่สำหรับจางลี่เฉินแล้วร้านอาหารที่เน้นลูกเล่นการตกแต่งมากกว่ารสชาติอาหารและการบริการนั้นไม่ได้น่าสนใจเลยแม้แต่นิดเดียว


 


เขาเดินผ่านผู้คนที่กำลังต่อแถวยาว ๆ เพื่อไปหาหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงด้านหน้าแผนกต้อนรับ “สวัสดีครับ ผมชื่อจางลี่เฉิน มีใครฝากข้อความไว้ให้ผมไหม?”


 


“แม้ว่าเธอจะน่ารักแต่ก็ต้องไปเข้าแถวเหมือนคนอื่น ๆ นะจ๊ะ ไม่ต้องมาเล่นทริคแบบนี้” สาวสวยเซ็กซี่ที่สวมที่คาดผมหูแมวและใส่ชุดอวกาศที่รัดรูปมองมาที่ชายหนุ่มก่อนพร้อมส่งรอยยิ้มปลอม ๆ กลับมา


 


“โอ้ แต่ผมกำลังตามหาคนที่อยู่ที่นี่อยู่นะครับ” จางลี่เฉินตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะมองไปรอบ ๆ พร้อมรอยยิ้มที่สิ้นหวัง “น่าจะเป็นกลุ่มใหญ่ประมาณ 10 กว่าคน ขอผมดูหน่อย น่าจะเป็น…นั่นไง! เฮ้ แรนดี้!”


 


“เฮ้ลี่เฉิน! มาถึงแล้วก็รีบเข้ามาสิไอ้น้อง!” เมื่อได้ยินคำทักทายของจางลี่เฉิน แรนดี้ยื่นหัวออกจากแคปซูลอวกาศสีฟ้าอ่อนที่มีรูปร่างเหมือนไข่ห่านตามร้านอาหารพร้อมโบกมือแล้วตะโกน “พวกเรารอนายอยู่ เร็ว ๆ เข้า!”


 


“ได้” ชายหนุ่มละสายตาจากแรนดี้เพื่อหันมามองพนักงานหญิงอีกครั้ง “เห็นไหมว่าผมกำลังตามหาคนอยู่จริง ๆ”


 


แต่แทนที่เขาจะได้รับคำขอโทษอย่างที่คิดพนักงานสาวกลับยื่นนิ้วออกมาจิ้มกล้ามเนื้อหน้าอกของจางลี่เฉินก่อนจะพูดขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นทำไมเธอไม่รีบไปหาพวกเขาแทนที่จะมาบ่นอยู่ตรงนี้ล่ะ?”


 


ชายหนุ่มแทบอ้าปากค้างกับการแสดงออกของเธอ แต่เมื่อคิดว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดด้วยต่อเขาจึงเดินไปยังห้องส่วนตัวที่แรนดี้กำลังอยู่แทน


 


ภายในห้องมีโต๊ะโลหะวงรีตั้งอยู่พร้อมการตกแต่งแนวอวกาศที่ประดับอยู่ส่วนอื่น ๆ ของห้อง นอกเหนือจากพี่น้องลาวีนทั้ง 6 คนแล้วยังมีชายหนุ่มหญิงสาวแปลกหน้าอีก 6 – 7 คนที่กำลังนั่งล้อมรอบโต๊ะบนโซฟาเตี้ย ๆ สีสันสดใส


 


เมื่อแรนดี้เห็นจางลี่เฉินเดินเข้ามาเขาก็รีบคว้าตัวจางลี่เฉินเอาไว้ทันที “วู้ น้องชาย ไปคุยอะไรกับแม่สาวแสนสวยคนนั้นกันล่ะห้ะ? หรือว่านายกำลังสนใจเธอ… โว้ว ๆ นี่นายดูแข็งแรงแบบนี้ตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย?!”


 


“ถ้าไม่ใช่เพราะฉันฝึกการควบคุมพละกำลังในช่วง 2 – 3 วันที่ผ่านมา นายจะยิ่งประหลาดใจกับกำลังของฉันมากกว่านี้อีก” จางลี่เฉินเพียงพึมพำกับตัวเองก่อนจะลงไปนั่งถัดจากแรนดี้


 


เมื่อแรนดี้เห็นชายหนุ่มนั่งลงไปขณะพึมพำกับตัวเองอีกแล้วก็อดไม่ได้ที่จะไม่พอใจ “เหอะ นายเอาแต่พูดกับตัวเองแบบนี้อีกแล้วนะลี่เฉิน คนอื่นเขาจะคิดว่านายเป็นออทิสติกได้นะถ้ายังทำตัวแบบนี้อยู่ตลอด แต่ช่างเถอะ เอาล่ะ ๆ ฉันจะแนะนำเพื่อนจากแอลเอให้นายได้รู้จัก ก่อนอื่นคนที่นายควรรู้จักเป็นคนแรกก็ต้องคนนี้เลย ความรักของพี่ชายของพวกเขา แฟนสาวของสตีเฟ่น เอรินด้า เอปสัน แล้วก็นี่สุดที่รักของฉัน ฟีฟี่ มานด้า…”


 


จากนั้นเขาก็เริ่มแนะนำคนแปลกหน้าคนอื่น ๆ บนโต๊ะให้จางลี่เฉินได้รู้จักทีละคน


 


นอกจากแฟนสาวของแรนดีและสตีเฟ่นแล้วก็ยังมีผู้หญิงอีก 2 คนและผู้ชายอีก 3 คน พวกเขาทั้งหมดเป็นนักเรียนจาก UCLA เช่นกัน พวกผู้ชายเป็นนักกีฬายอดนิยมในมหาวิทยาลัยในขณะที่กลุ่มสาว ๆ จะเป็นเชียร์ลีดเดอร์ พวกเขาเป็นกลุ่มคู่รักที่พบเห็นได้ทั่ว ๆ ไปในอเมริกา


 


เมื่อแรนดี้แนะนำเพื่อนของเขาเสร็จเขาก็ชี้มาที่จางลี่เฉินแล้วพูดว่า “คราวนี้ฉันก็ขอแนะนำทุกคนให้รู้จักกับเจ้าของโรงงานที่อายุน้อยที่สุดในนิวยอร์กที่รู้จักกันดีในชื่ ‘คาวบอยเล้าหมู’ โดยเกษตรกรของนิวยอร์ก…”


 


“แรนดี้ อย่าไปพูดจาไม่ดีกับลี่เฉินเขาแบบนั้นสิ! เขาเป็นน้องนายนะ!” เมื่อได้ยินว่าแรนดี้กำลังแกล้งชายหนุ่มอย่างสนุกสนานต่อหน้าเพื่อน ๆ ของพวกเขา มิเชลที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดแทรกขึ้นด้วยความรำคาญ


 


“ฉันกำลังยกย่องเขาอยู่ต่างหากมิเชล เหมือนกับที่ฉันกำลังยกย่องแฮร์รี่ในฐานะนักเรียนมัธยมปลายที่พูดจาโวยวายเก่งที่สุดในนิวยอร์กและเขากำลังจะได้กลายเป็นเด็กหน้าใหม่สำหรับรายการทอล์คโชว์ที่อยู่ถัดจากห้องน้ำโรงแรมระดับห้าดาวของคนรวย ๆ พวกนั้น” แรนดี้หัวเราะเบา ๆ


 


เมื่อเห็นน้องชายตัวเองกำลังเล่นสนุกจนเกินไปแต่ไม่มีใครสามารถทำอะไรเขาได้เลยนอกจากสตีเฟ่นพี่ชายคนโตสุดของบ้าน เขายืนขึ้นและผลักน้องชายของตัวเองจนไปนั่งติดกับโซฟา เขาคิดที่จะใช้ท่าผลักแบบที่เล่นกันในสนามรักบี้เพื่อสอนบทเรียนเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเขา “นี่สำหรับลี่เฉิน”


 


“และนายจะโดนอีกครั้งสำหรับแฮร์รี่ 2 ครั้งแล้วนะแรนดี้ที่นายกำลังทำตัวน่าอายต่อหน้าแฟนของฉัน เพราะงั้นฉันจะต้องทำให้นายรู้จักสำนึกซะบ้างแล้ว!” แรนดี้ที่ไม่ยอมก็ลุกขึ้นยืนเพื่อประจันหน้า พวกเขาประหลาดใจที่เห็นแรนดี้ต่อต้านสตีเฟ่นแบบนี้ จากนั้นพี่ชายคนโตสุดของบ้านสองคนก็เริ่มพันแข้งพันขากันและในไม่ช้าเพื่อนคนอื่น ๆ ก็เข้าร่วมการต่อสู้ในครั้งนี้ตาม


 


จางลี่เฉินที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกับเกมมวยปล้ำที่กึ่งจริงจังกึ่งแกล้ง ๆ แบบนี้เลยไม่คิดที่จะสนใจแต่อย่างใด


 


เขาไม่เหมือนกับแฮร์รี่น้องชายที่มีแม่คนเดียวกันของเขาที่ในตอนนี้กำลังเชียร์สตีเฟ่นให้ชนะอย่างตื่นเต้น เขาหยิบโค้กกระป๋องจากโต๊ะแล้วเปิดมันก่อนจะนั่งจมไปกับโซฟาเพื่อจิบเครื่องดื่มขณะส่ายหัวโดยไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่


 


“สวัสดีลี่เฉิน” ทันใดนั้นเสียงหวาน ๆ ก็ดึงความสนใจจากเขาให้ตื่นจากห้วงของความคิด เขากลับเข้าสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง คนที่นั่งถัดจากเขาคือเอรินดา แฟนสาวของสตีเฟ่น “ฉันเคยได้เรื่องของเธอจากสตีเฟ่นมาก่อนว่าเขามีน้องชายที่ฉลาดมากที่ได้มีโรงงานเป็นของตัวเองตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ดีใจที่ได้พบเธอในวันนี้นะ”


 


เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้ไม่อยากละเลยสมาชิกครอบครัวแฟนหนุ่มของเธอจึงพยายามเข้าหาและชวนจางลี่เฉินคุยเพื่อแก้เหงา นิสัยที่มีน้ำใจแบบนี้ค่อนข้างหาได้ยากในหมู่หญิงสาวชาวอเมริกันสมัยใหม่ อย่างไรก็ตามสำหรับจางลี่เฉินแล้วมันค่อนข้างเป็นภาระที่ยากจะจัดการเมื่อได้เจอกับคนที่มีนิสัยกระตือรือร้น


 


“สวัสดีครับมิสเอรินด้า ผมเองก็ดีใจที่ได้พบคุณเช่นกัน” ชายหนุ่มตอบกลับอย่างสุภาพและกลับไปนั่งต่อโดยไม่พูดอะไรสักคำ


 


“นี่เอรินด้า ได้เคยยินสตีเฟ่นพูดถึงโรงฆ่าสัตว์ของลี่เฉินมาก่อนไหม? เป็นที่ ๆ ดีที่เธอควรรู้จักไว้เลยล่ะ! ฉันได้ยินมาว่าจะมีฝูงหมู ฝูงวัวและฝูงแกะที่ถูกช็อตด้วยไฟฟ้าจากนั้นก็จะถูกส่งไปยังสายพานการผลิต แล้วเครื่องก็จะตัดหัวพวกนั้นโดยอัตโนมัติรวมทั้งตัดหัวใจและเครื่องในออก จากนั้นเลือดสีแดงสดก็จะพุ่งออกมา…”


 


“โอ้ มันฟังดูน่าตื่นเต้นดีนี่! แล้วนายเคยเห็นมาก่อนแล้วหรอแรนดี้? เห็นด้วยตาของนายจริง ๆ เองน่ะ” ในบรรดาชายหนุ่มที่มาจากแอลเอ ชายร่างใหญ่คนหนึ่งที่ชื่อสติลลีย์ตะโกนถามขณะที่เขากำลังหายใจเหนื่อยหอบ


 


“ยังเลยสติลลีย์ โอ้เวร! เมื่อพูดแบบนี้แล้วฉันยังไม่เคยไปโรงงานน้องชายที่รักมาก่อนเลยนี่หว่า…” หลังจากนั้นมวยปล้ำที่สนุกสนานสำหรับพวกเขาก็หยุดลงพร้อมเสียงหอบหายใจเมื่อเขาได้ยินคำถามจากเพื่อน “ฉันคงเย็นชากับเขาเกินไป ฉันตัดสินใจที่จะทำดีกับเขานับตั้งแต่วันนี้เพราะงั้นหลังเราทานอาหารกลางวันเสร็จแล้วให้พวกเราไปดูโรงฆ่าสัตว์ของนายหน่อยสิลี่เฉินว่าที่นั่นเป็นยังไงบ้าง”


 


และเพราะแบบนี้เอง เมื่อคนหนุ่มสาวเสร็จสิ้นจากการทานมื้อกลางวันจากร้านบลูสเปซพร้อมเสียงหัวเราะ ชายหนุ่มทุกคนก็เห็นพ้องต้องกันในขณะที่พวกผู้หญิงบ่นว่ามันน่าขยะแขยงเกินไปแต่ในขณะเดียวกันพวกเธอก็ไม่สามารถยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นที่มีได้


 


พวกเขาแยกย้ายกันไปขึ้นรถ 3 คันเพื่อมุ่งหน้าตรงไปยังแมทเทิลสโลว์ที่อยู่นอกนครนิวยอร์ก


 


หลังจากเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว รถของแรนดี้ก็ถูกเปลี่ยนเป็นดอดจ์แรมรถในฝันของเขาขณะที่สตีเฟ่นซื้อรถจี๊ปแกรนด์เชอโรกีมือใหม่ด้วยเงินทุนการศึกษาและเงินที่ได้จากการแข่ง แต่เมื่อเทียบกับจางลี่เฉินแล้วเอกซ์พลอเรอร์ของเขาค่อนข้างจะเป็นที่สะดุดตาที่สุด ไม่ใช่เพราะตัวรถที่มีขนาดใหญ่แต่เพราะคนขับรถต่างหากที่ตัวเล็กเกินกว่าจะขับคันนี้


 


“ลี่เฉิน นายน่าจะออกกำลังกายให้มากขึ้นนะ ถ้านายไม่สูงขึ้นกว่านี้นายก็จะหมดโอกาสอีกแล้ว …  แล้วก็ตอนี้มันเป็นถนนเส้นตรงเพราะงั้นนายก็น่าจะเร่งความเร็วได้แล้วนะ เราออกจากนิวยอร์กมาแล้วเพราะงั้นถนนก็จะกว้างขึ้น เร่งความเร็วไปเลย…”


 


คนที่นั่งมาด้วยกับจางลี่เฉินคือไรลีย์ มิเชล และเด็กหนุ่มที่มาจากแอลเอที่ชื่อน็อตติ้งดอน


 


เขาพยายามอย่างมากในการจะเอาชนะใจไรลีย์ในช่วงทานอาหารกลางวัน และเพราะไรลีย์เลือกมาขึ้นรถกับจางลี่เฉินเขาจึงมาที่รถคันนี้ด้วย และตั้งแต่ขึ้นมาเขาก็ยังเอาแต่พูดไม่หยุดสักที


 


จางลี่เฉินรู้สึกรำคาญอยู่ตลอดการเดินทางแต่เขาก็แค่เพียงยิ้มรับตอบกลับไป


 


เมื่อพวกเขาเริ่มเข้าใกล้แมทเทิลสโลว์ เขาเห็นน็อตติ้งดอนที่เริ่มเบื่อกับการนั่งรถนาน ๆ พยายามจะขอเบอร์ของไรลีย์ให้ได้เขาจึงขัดจังหวะแทรกขึ้นมาว่า “มิสเตอร์น็อตติ้งดอน อันที่จริงความเร็วที่ผมขับอยู่ตอนนี้ก็เร็วมากแล้วนะ มันเร็วพอ ๆ กับการออกหมัดชกของผมเลยด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่ต้องไปออกกำลังกายให้มากขึ้นและไม่ต้องเร่งเครื่องความเร็วรถแต่อย่างใด”


 


“เฮ้พ่อหนุ่ม แล้วหมัดของนายเร็วมากขนาดไหนกัน? ฉันเป็นนักมวยสมัครเล่นที่สามารถออกหมัด 3 หมัดได้ภายใน 1 วินาทีตอนฝึกซ้อมเชียวนะ” น้อตติ้งดอนคว้าโอกาสนี้ในการพับแขนเสื้อของเขาเพื่อโชว์กล้ามแขนหนา ๆ  “เป็นไงไรลีย์ แขนของฉัน…”


 


“ระวังหมวก” ขณะที่น้อตติ้งดอนกำลังพูดจาโอ้อวด เสียงต่ำ ๆ ก็ดังก้องข้างหูของเขา จากนั้นเขาก็รู้สึกถึงกระแสลมที่พัดผ่านใบหน้าเขาได้ เมื่อใบหน้าของเขาเริ่มสั่น หมวกที่เขาสวมอยู่ก็ร่วงตกลงจากหัว


 


มันใช้เวลาอยู่สักพักก่อนที่ชายหนุ่มจะกลับมามีสติ เขาเห็นจางลี่เฉินถอนกำปั้นขวาที่เฉียดใบหน้าของเขาออกเพื่อไปจับพวงมาลัยรถดังเดิม เขากลืนน้ำลายเสียงดังและพยายามฝืนยิ้ม “นะ นายมีไดร์เป่าผมอยู่ที่แขนหรือไงกัน?”


 


“ไม่ มันไม่ใช่ไดร์เป่าผม แล้วก็นะ ผมยังมีซิมโฟนีออร์เคสตร้าอีกด้วย อยากลองฟังไหม?” จางลี่เฉินถามพลางยืดกระดูกมือ เสียงแตกจากข้อต่อกระดูกของเขาเติมเต็มบรรยากาศที่เงียบสนิทภายในรถได้เป็นอย่างดี


 


ข้อต่อของคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำจะมีเสียงดังในระหว่างการออกแรงยืดเหยียดแต่ไม่ใช่เสียงที่ดังจนน่ากลัวหรือน่าตกใจ


 


เมื่อนึกถึงลมแรง ๆ ที่เกิดจากหมัดของจางลี่เฉินเฉียดหัวไปเมื่อครู่นี้แล้วราวกับเขาไม่อาจกลืนน้ำลายลงคอได้เหมือนอย่างปกติ มันหนืดและเหนียวจนเหมือนมีอะไรติดอยู่ที่ลำคอไม่ยอมหลุด ทันใดนั้นน็อตติ้งดอนก็กลับคำอย่างแสนรู้ “ดูเหมือนว่าฉันจะมองนายผิดไปนะลี่…มิสเตอร์ลี่เฉิน นายเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก … แข็งแกร่งมาก ๆ ! ถ้าให้เดาน่าจะเคยเรียนกังฟูมาก่อนด้วย… โอ้พระเจ้า นั่นอะไรน่ะ?!”


 


“โรงงานของผมเองมิสเตอร์น็อตติ้งดอน” จางลี่เฉินตอบพลางหักรถของเขาไปยังถนนที่คดเคี้ยวเพื่อเข้าสู่โรงงานโดยขับผ่านรถบรรทุกหลายร้อยคันที่กำลังเข้าแถวยาวพร้อมกับเสียงร้องของเหล่าสัตว์ที่จะถูกนำมาจัดการที่โรงเชือดแห่งนี้ เขาเหยียบคันเร่งให้เร็วขึ้นเพื่อไปยังด้านหน้าทางเข้า


 


“ยินดีต้อนรับสู่โรงฆ่าสัตว์ LS”



ตอนที่ 174

โรงฆ่าสัตว์ LS มีพื้นที่เกินกว่าสามตารางกิโลเมตรซึ่งอาจมีใหญ่กว่าหมู่บ้านหรือเมืองเล็ก ๆ บางแห่ง


 


เมื่อมองผ่านหน้าต่างไปยังโรงงานที่ยื่นออกมาจนสุดสายตา มิเชลอุทานด้วยความตกตะลึงพร้อมดวงตาเบิกกว้าง “นี่มันเป็นเหมือนเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่งด้วยซ้ำ!”


 


“เหมือนเมืองเล็ก ๆ งั้นหรอ … ไม่มีเมืองที่ไหนจะมีขนาดเท่าสามตารางกิโลเมตรในสหรัฐฯหรอกนะ” จางลี่เฉินชะลอความเร็วขณะขับผ่านประตูโรงงาน


 


เมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเห็นเอกซ์พลอเรอร์ที่คุ้นตาพวกเขาก็รีบทำหน้าที่กันอย่างเคร่งขรึมในทันใด “สวัสดียามบ่ายครับมิสเตอร์จาง”


 


“สวัสดียามบ่าย” ชายหนุ่มชี้ไปยังรถดอดจ์และแกรนด์เชอโรกีที่ตามมาด้านหลังสองคันแล้วพูดกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยว่า “สองคันข้างหลังนี้มากับฉัน ปล่อยให้พวกเข้าไปได้เลย … อ้อ มิสเตอร์ชาร์ลีอยู่ที่นี่ด้วยหรือเปล่า?”


 


“น่าจะอยู่ที่อาคารสำนักงานใหม่เพื่อมอบหมายงานให้กับพนักงานใหม่อยู่นะครับ” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอายุน้อยตอบคำถามของจางลี่เฉินได้อย่างละเอียด


 


น่าเสียดายที่ชายหนุ่มไม่ได้สังเกตเห็นว่าพนักงานคนนี้กำลังพยายามทำผลงานให้เข้าตาเป็นครั้งที่สองแล้ว เขาเพียงพูด “ขอบใจ” กลับไปจากนั้นก็ขับรถเข้าไปจอดที่หน้าอาคารสำนักงานของเขาเอง


 


หลังกผ่านการประชุมและการวางแผนมาอย่างดีหลายสิบครั้งเพื่อจัดระเบียบพื้นคอนกรีตให้เรียบและสะอาด เอกซ์พลอเรอร์ก็ได้จอดนิ่งสนิทที่ด้านหน้าอาคารสำนักงานสองชั้น


 


ชายหนุ่มก้าวลงจากรถเพื่อสูดอากาศเย็น ๆ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นเลือดที่ลอยมาตามลมจากโรงฆ่าสัตว์ เมื่อเห็นคนหนุ่มสาวลงมาจากรถด้วยสีหน้าตกใจไม่ยอมหยุดเขาก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ห้องทำงานอยู่ข้างบน ขึ้นไปดื่มกาแฟกันก่อนเถอะแล้วเดี๋ยวจะไปขอให้ใครสักคนพาทุกคนไปดูว่าโรงฆ่าสัตว์ที่ใช้เครื่องจักรที่ทันสมัยมันเป็นอย่างไร มันไม่ได้รุนแรงอย่างที่ทุกคนคิดเพราะงั้นเกรงว่าจะทำให้ทุกคนต้องผิดหวัง … ”


 


“โอ้พระเจ้า! ลี่เฉิน นี่โรงงานของนายจริง ๆ น่ะเหรอ?!” ทันใดนั้นแรนดี้ที่ไม่ได้ยินจางลี่เฉินกำลังอธิบายก็ตะโกนถามเสียงดัง


 


“ใช่” จางลี่เฉินเดินเข้าไปในอาคารสำนักงาน เขาหันไปบอกผู้ช่วยมาใหม่สองคนที่เพิ่งเริ่มงานว่า “ช่วยเอากาแฟและโค้กขึ้นไปให้ที่ชั้บบนให้ที” จากนั้นก็เดินไปเปิดประตูโลหะแล้วเดินขึ้นบันไดไปยังสำนักงานอันใหญ่โตของเขาที่ชั้นสอง


 


“ห้องทำงานนี้ใหญ่กว่าห้องโถงของ UCLA ซะอีก! นี่มันอะไรกัน? โรงงานขนาดใหญ่ …สำนักงานใหญ่… นายทำได้ยังไงเนี่ยลี่เฉิน” แรนดี้เดินมองไปรอบ ๆ ภายในห้องสำนักงานพลางถามเสียงดัง


 


“ทำอะไร? สร้างโรงงานที่มีพื้นที่ 3.5 ตารางกิโลเมตรแบบนี้น่ะเหรอ? ก็…หลังจากที่นายได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่สำคัญแล้ว การพัฒนาอย่างต่อเนื่องจะนำมาซึ่งผลกระทบแบบคลัสเตอร์และสิ่งที่นายต้องทำคือรับการสนับสนุนจากธนาคาร เอาล่ะทุกคนมานั่งนี่ก่อนสิ” จางลี่เฉินชี้ไปที่โซฟาและหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อโทรหาชาร์ลี “ชาร์ลี คุณยังอยู่ที่อาคารใหม่หรือเปล่า?”


 


“ครับบอส มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ?”


 


“มาที่ห้องทำงานของผมที แล้วก็พาที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยมาด้วยนะ เอาคนที่เก่งและดีที่สุดในโรงงานของเรามาเลย”


 


“ได้ครับบอส ผมจะรีบไปในทันที”


 


“แล้วพบกัน” จางลี่เฉินวางสายจากนั้นผู้ช่วยสาวที่ยิ้มแย้มแจ่มใสก็ได้ขึ้นมาเสิร์ฟกาแฟและโค้กให้กับพวกเขาทุกคน “โค้กของคุณค่ะ”


 


“ขอบใจ” ชายหนุ่มยกแก้วโค้กขึ้นแล้วจิบ “เดี๋ยวที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยจะมาและคุณทุกคนก็จะสามารถ…”


 


“ลี่เฉิน ฉันเห็นแชมเปญบลูเบอร์รี่ระดับสูงอยู่ขวดหนึ่ง” แรนดี้เดินออกจากมุมด้านซ้ายของสำนักงานที่ถูกบดบังด้วยพุ่มไม้สีเขียวมรกตในขณะที่ถือขวดแชมเปญขนาดใหญ่ไว้ในอ้อมแขน “นายควรใช้สิ่งนี้เพื่อต้อนรับเราสิ”


 


“แรนดี้ นายอายุ 21 แล้วหรือไง?”


 


“พระเจ้า! นี่นายกำลังอยู่ในยุค ‘การห้ามสุราในสหรัฐ’ ในปี 1930 อยู่หรือยังไง? มีเพียงบุคคลที่อายุ 21 ปีขึ้นไปเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้ดื่มแอลกอฮอล์ กฎหมายที่ไร้สาระที่ไม่มีใครยอมทำตามนอกจากนาย!” แรนดี้กล่าวขณะเปิดจุกแชมเปญด้วยเสียงดัง ‘ป๊อป’


 


แชมเปญสาดทั่วใบหน้าของเขาทันทีที่ฝาจุกเปิดออก หลังจากที่เขาอ้าปากกว้างเพื่อรับแชมเปญบลูเบอร์รี่ที่เท่ากับสองสามแก้วเสร็จแล้วเขาก็วิ่งไปที่โซฟาและนั่งลง


 


จางลี่เฉินทำได้แค่เพียงยิ้มรับ “แรนดี้ ถ้านายดื่มแล้วก็ไม่ควรขับรถ”


 


“ลี่เฉิน ฉันไม่ใช่คนบ้าระห่ำแบบนั้น ฉันจะไปขับรถหลังดื่มเสร็จได้ยังไง” แรนดี้ตอบก่อนจะจิบกาแฟแก้วหนึ่งเพื่อให้เขาสามารถใส่แชมเปญลงไปในแก้วที่ว่างเปล่าและดื่มมันได้อีก


 


“โอ้? แต่นายดูเหมือนคนบ้ามากเลยนะในตอนนี้”


 


“ถ้านายได้เข้ามหาลัยเมื่อไหร่นายจะรู้เองว่าพฤติกรรมของฉันเป็นเรื่องปกติมากขนาดไหนเมื่อนายได้อยู่หอพัก ใช่แล้วลี่เฉิน! มีบางอย่างที่ฉันอยากรู้มาก ๆ อยู่อย่าง! โรงงานขนาดใหญ่แบบนี้สามารถสร้างรายได้ให้นายเท่าไหร่?! นายช่วยบอกฉันหน่อยจะได้ไหม?”


 


ในสังคมตะวันตก การถามเกี่ยวกับรายได้ของผู้ชายเทียบเท่ากับการถามอายุของผู้หญิง มันเป็นคำถามที่หยาบคายมากและมีเพียงคนอย่างแรนดี้ที่อยู่ในสภาพยุ่งเหยิงและมีบุคลิกที่มีชีวิตชีวามากเกินไปเท่านั้นที่จะสามารถโพล่งคำถามแบบนี้ออกมาได้


 


เมื่อได้ยินคำถามจากปากเขาทุกคนก็เงียบสนิทเพื่อรอให้จางลี่เฉินตอบ


 


“มันเพิ่งเพิ่มเป็นวันละ 1 ล้านต่อวัน” ชายหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้ม


 


ขณะนั้นเองชาร์ลีก็เดินเข้ามาภายในห้องพร้อมชายวัยกลางคนตัวเล็กคนหนึ่งที่แต่งตัวด้วยชุดเสื้อคลุมขณะถือหมวกสีแดงโดดเด่นไว้ในมือข้างหนึ่งของเขา


 


จางลี่เฉินไม่ได้ให้ความสนใจแรนดี้ที่กำลังตกใจจนพูดไม่ออกหลังได้ยินคำตอบจากเขาแต่มองไปที่ชาร์ลีและคนอื่นแทน “สวัสดียามบ่านชาร์ลี คน ๆ นี้เป็นที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยที่ดีที่สุดของโรงงานเราใช่ไหม?”


 


“ใช่ครับบอส แอนนิคจบการศึกษาด้านวิศวกรรมความปลอดภัยจากมหาวิทยาลัยวอล์คเกอร์ตัน เขามีประสบการณ์เป็นที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยมานานถึง 19 ปีในโรงฆ่าสัตว์โอเอซิสที่ใหญ่ที่สุดในแคลิฟอร์เนียตอนใต้”


 


“แค่ได้ฟังก็ดูน่าเชื่อถือมากแล้ว มิสเตอร์แอนนิค ผมมีงานให้คุณทำนิดหน่อย ช่วยพาสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีกลุ่มนี้ไปเยี่ยมชมกระบวนการฆ่าสัตว์ของโรงงานเราให้ทีจะได้ไหม? หวังว่าคุณจะสามารถแนะนำพวกเขาได้อย่างดีและต้องแน่ใจว่าคุณได้ใส่ใจกับความปลอดภัยให้กับพวกเขาเป็นอย่างดีเช่นกัน”


 


การถูกเรียกตัวโดยบุคคลสำคัญของบริษัทไปยังสำนักงานส่วนตัวแต่กลับได้กลับได้รับหน้าที่งานที่ไร้สาระมากที่สุดแอนนิคก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง อย่างไรก็ตามเขาแสร้งทำเป็นยอมรับงานที่จางลี่เฉินมอบให้ด้วยความยินดีพร้อมด้วยสัญญาที่เคร่งขรึมก่อนจะนำกลุ่มคนหนุ่มสาวออกจากสำนักงานไปพร้อมกับเขา


 


ก่อนจากไปไรย์ลีเอ่ยถามกับเขาว่า “ลี่เฉิน นายไม่ไปเยี่ยมดูโรงงานกับพวกเราหรอกหรอ?”


 


“ไม่ล่ะ ฉันเบื่อที่จะต้องดูอะไรพวกนั้นแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นฉันยังมีเรื่องต้องคุยกับชาร์ลีอีกด้วย ไปเถอะไรย์ลี ถ้าเธอรู้สึกกลัวหรือรู้สึกว่ามันน่ารังเกียจมาก ๆ ก็ปิดตา กลั้นลมหายใจแล้ววิ่งออกจากตรงนั้นเพื่อไปสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกเอาซะนะ” จางลี่เฉินโบกมือขณะที่เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม


 


หลังจากที่พี่น้องและชายหนุ่มหญิงสาวที่มาจากแอลเอหายตัวไปจากห้องทำงานแล้วเขาก็รีบปิดประตูแล้วหันมากระซิบเสียงเบากับชาร์ลีในทันทีว่า “ชาร์ลี มิสเตอร์ดอลบี้ ดิ๊กลินได้พบกับฉันเมื่อเช้าแล้วมีเรื่องขอให้ฉันทำอะไรบางอย่าง เขาหวังว่าในการเลือกตั้งปีหน้าหลังจากที่ประธานาธิบดีผิวสีอันเป็นที่รักของพวกเราได้ออกจากทำเนียบขาวไป เราจะสามารถมีอิทธิพลต่อการเมืองในนิวยอร์กและช่วยบุคคลที่มีอำนาจบางคนให้นั่งอยู่ในทำเนียบขาวได้ คุณคิดว่าเรามีความสามารถถึงในระดับนั้นหรือเปล่า?”


 


แม้ชายหนุ่มจะพูดด้วยน้ำเสียงที่บางเบาอย่างมากแต่มันเป็นเหมือนเสียงฟ้าร้องที่ดังลั่นสำหรับชาร์ลี


 


ชายคนหนึ่งที่อยู่ในวงการธุรกิจนิวยอร์กมานานกว่า 30 ปีและยังคงเป็นเพียงชนชั้นรองมาตลอดเริ่มเห็นแนวทางที่นำไปสู่การเป็นบุคคลชั้นหนึ่งสำหรับตัวเองได้แล้ว


 


ในตอนนั้นเขาต้องการเวลาเพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเองเลยไม่ได้ตอบคำถามของจางลี่เฉินไปในทันที “บอส ขอเวลาผมสักหน่อยนะครับ ขอผมคิดอะไรสักหน่อยก่อนนะครับ”


 


หลังจากไตร่ตรองภายในสำนักงานอย่างเงียบเชียบมาเกือบ 10 นาที ชาร์ลีย์ก็ให้คำตอบในเชิงบวกกับเขาไปว่า “เรามีความสามารถมากพอที่จะมีอิทธิพลต่อฐานเสียงในนิวยอร์ก แต่ถ้าเป็นการลงคะแนนเสียงแบบดั้งเดิมของพรรคเดโมแครตหรือรีพับลิกันเช่นนั้นพลังที่อ่อนแอของเราจะไม่คุ้มค่าใด ๆ แต่ในสภาวะที่ผันผวนของนิวยอร์กอยู่ตลอดพวกเราสามารถเข้าร่วมเล่นโดยการตรวจสอบและปรับสมดุลที่ละเอียดอ่อนมากได้ ไม่ ไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นคุณ! คุณมีพลังนี้อยู่ในมือของคุณแล้วนะครับ!”


 


“ฉัน? ไม่ ๆ  ๆ ชาร์ลีย์ มิสเตอร์ดอลบี้กับฉันมีแผนทำงานร่วมกันเพื่อสร้างห้องปฏิบัติการชีวภาพขนาดใหญ่ที่แอฟริกาและฉันจะไปต่างประเทศในไม่ช้าเพื่อทำการตรวจสอบที่นั่นสักพักใหญ่ ๆ แต่เนื่องจากคุณคิดว่า LS กรุ๊ปมีความสามารถในการมีอิทธิพลต่อการลงคะแนนเสียงของนิวยอร์กถ้างั้นฉันจะส่งเรื่องนี้ให้คุณจัดการไปเลยก็แล้วกัน ติดต่อมิสเตอร์ดอลบี้และพูดคุยเกี่ยวกับเขาให้เข้าใจ” จางลี่เฉินเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานแล้วนั่งลงก่อนจะดึงจดหมายแต่งตั้งอันยาวเหยียดออกจากลิ้นชักเพื่อเซ็นชื่อของเขา “ผู้จัดการชาร์ลี…”


 


ขณะที่ชายหนุ่มกำลังพึมพำ เขาหมุนจดหมายนัดแล้ววางไว้ตรงหน้าชาร์ลี


 


เมื่อได้เห็นจดหมายที่เขาเฝ้ารอมาโดยตลอด ชาร์ลีไม่รู้ว่าเขาควรจะยิ้มยินดีหรือร้องไห้เพราะสุขใจกันมากแทน


 


ในระบบของบริษัทสมัยใหม่ที่ส่วนของผู้ถือหุ้นจะแสดงถึงวาทกรรมสุดท้าย ผู้จัดการทั่วไปจะเป็นผู้จัดการของบริษัทที่ได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการเท่านั้น อย่างไรก็ตในกรณีที่ไม่มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นและเพื่อความมั่นคงของบริษัท จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะเปลี่ยนผู้จัดการทั่วไปได้บ่อย ๆ


 


กล่าวอีกนัยหนึ่งสำหรับบริษัทอย่าง LS ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ในตลาดผู้ขาย ชาร์ลีย์ตั้งใจจะทำงานที่นี่จนกว่าเขาจะเกษียณหลังจากได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทั่วไป


 


อย่างไรก็ตามหากเขาพยายามโน้มน้าวคะแนนเสียงของนิวยอร์กโดยใช้อิทธิพลของ LS กรุ๊ปและเมื่อผู้สมัครที่พวกเขาช่วยเหลือล้มเหลวระหว่างการเลือกตั้ง ข้อผิดพลาดครั้งใหญ่จะถูกบัญญัติขึ้นในทันที


 


เป็นไปได้มากที่คณะกรรมการบริษัทหรือจางลี่เฉินจะยกเลิกสัญญาจ้างเขาด้วยค่าชดเชยเล็กน้อยเพื่อเอาใจผู้ที่ได้รับการชนะการเลือกตั้งในครั้งนั้น


 


อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าชาร์ลีย์จะไม่มีทางให้หลบหนีต่อสถานการณ์ตรงหน้านี้ได้เลย จิตใจของเขาหมุนวนไปมาและรอยยิ้มที่น่ารื่นรมย์ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าในขณะที่เขาเซ็นชื่อลงในจดหมายแต่งตั้งที่จางลี่เฉินได้ลงนามไว้แล้ว “นี่คือความรับผิดชอบของผมครับบอส เบี้ยตัวเล็ก ๆ ควรเป็นผู้ยื่นเรื่องดังกล่าวในขณะที่กษัตริย์จะยังคงซ่อนตัวอยู่ ไม่ต้องกังวลและโปรดวางใจได้ว่าผมจะทำอย่างเต็มที่เพื่อทำตามคำขอของคุณให้สำเร็จ”


 


จางลี่เฉินไม่ได้คาดหวังว่าชาร์ลีจะคิดว่าจริง ๆ แล้วเขากำลังพยายามหลบหนีจากสำนักข่าวกรองของประเทศเพื่อเป็นกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมของเขาในการแสร้งทำที่จะย้ายไปข้างหน้าเพื่อซ่อนความตั้งใจที่จะล่าถอย ไม่เพียงเท่านั้นการรับรู้ของชาร์ลีที่มีต่อเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปเช่นกัน


 


“พูดอะไรน่ะชาร์ลี?” จางลี่เฉินถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น จากนั้นโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนมาเป็นจริงจังมากขึ้นในขณะที่เขาขมวดคิ้ว “ช่างมันเถอะ โปรดจำไว้ว่าหลังจากที่ฉันออกจากสหรัฐฯไปแล้วฉันจะไม่สามารถติดต่อคุณได้และคุณจะได้รับสิทธิ์อย่างเต็มที่ในการดูแลบริษัท เว้นแต่จะมีบางอย่างที่สำคัญเป็นพิเศษให้ติดต่อที่มิสเตอร์ดอลบี้ในทันทีและไปที่สำนักงานของเขาโดยตรง พูดถึงชื่อของฉันและตำแหน่งของคุณ ถึงตอนนั้นฉันเชื่อว่าเขาจะให้คุณได้เข้าพบ แล้วไว้เจอกันใหม่ ชาร์ลี”


 


“ขอบคุณที่วางใจในตัวผมนะครับ! แล้วไว้เจอกันครับบอส!” ชาร์ลีโบกมือลาก่อนจะเดินออกจากสำนักงานไป



ตอนที่ 175

เมื่อชาร์ลีจากไป จางลี่เฉินจึงเป็นเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในสำนักงาน


 


ทันใดนั้นการแสดงออกของชายหนุ่มก็เปลี่ยนมาเป็นขุ่นเคือง ตอนนี้เขารู้สึกได้ว่าเกาะมังกรที่ซ่อนตัวอยู่ในมหาสมุทรเลือดที่ร่องลึกของโรงงานกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงและในไม่ช้าความปั่นป่วนวุ่นวายก็จะเกิดขึ้น


 


ถ้าเขาไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังได้รับความสนใจจากสำนักข่าวกรองสหรัฐฯเขาคงสั่งให้เกาะมังกรกระโดดลงไปในมหาสมุทรผืนใหญ่และปล่อยให้มันเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่ลังเล


 


“ในตอนนี้แค่รถหรือเรือเฝ้าระวังก็เพียงพอแล้วที่จะเปิดเผยความลับของเราได้ … หรืออาจจะเป็นเทคนิคพิเศษของ CIA หรือ FBI … เวรเอ้ย นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน…” ชายหนุ่มพยายามใช้สมองคิดหาทางแก้ขณะเดินหมุนวนไปมาภายในสำนักงาน


 


หลังจากคิดหนักอยู่ประมาณ 20 – 30 วินาทีเขาก็รู้สึกว่าเขาไม่สามารถยืดเวลาออกไปได้อีกต่อไป เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อส่งข้อความที่คลุมเครือไปหาแม่ของเขาเพื่อบอกเธอว่าเขามีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องไปทำและอาจไม่ได้กลับบ้านในคืนนี้ จากนั้นเขาก็ปิดโทรศัพท์แล้วโยนมันลงบนโต๊ะพร้อมกับกุญแจรถก่อนจะรีบเดินบันไดลงมา


 


“มิสเตอร์จาง” เมื่อเห็นเจ้านายเดินลงมา ผู้ช่วยใหม่ทั้งสองคนก็รีบลุกขึ้นยืนเพื่อทำความเคารพ


 


“ดูแลแขกที่มาโรงงานพร้อมกับฉันวันนี้ให้ดี แล้วถ้าพวกเขาถามหาฉันก็ให้บอกไปว่าฉันมีธุระอื่นต้องไปทำก่อน”


 


“ได้ค่ะ” ผู้ช่วยตอบรับโดยไม่ถามเหตุผลใด ๆ


 


จางลี่เฉินพยักหน้าแล้วเดินออกจากอาคารสำนักงานไป


 


ที่บริเวณกลางแจ้งของโรงฆ่าสัตว์ LS รถบรรทุกที่ขนย้ายสัตว์เข้ามาด้านในจะถูกจำกัดความเร็วอยู่ที่ 5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยอาศัยรถบรรทุกเพื่อปกปิดตัวเอง ชายหนุ่มแอบเข้าไปอยู่ในมุมของโรงงานที่อยู่ใกล้ทะเลมากที่สุดได้สำเร็จ


 


หลังจากตรวจดูสภาพแวดล้อมจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีกล้องวงจรปิดอยู่แถวนั้น ต้นขาเล็ก ๆ ของเขาที่ซ่อนตัวอยู่ในกางเกงหลวมจู่ ๆ ก็เผยให้เห็นเส้นเลือดดำสีน้ำเงินหนาในขณะที่เขากระโดดขึ้นสูงกว่าหนึ่งเมตรไปจับที่ขอบกำแพงที่ล้อมรอบโรงงานก่อนที่จะกระโจนออก


 


ชายหนุ่มวิ่งตรงไปมหาสมุทรโดยไม่ยอมหยุดพัก


 


หลังจากว่ายน้ำไปได้สัก 2 – 3 เมตรในทะเล ร่างกายของจางลี่เฉินก็เริ่มขยายตัวออกมาอย่างช้า ๆ ระเบิดเสื้อผ้าของเขาจนฉีกขาดและทำให้พวกมันกลายเป็นเหมือนผ้าขี้ริ้ว ในไม่ช้าเขาก็กลายร่างเป็นยักษ์ตัวสูงสี่เมตรที่มีท่าทางดุร้ายและร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยเกล็ดทั่วตัว


 


ในขณะเดียวกัน ร่างงูตัวเล็ก ๆ ได้เคลื่อนไหวไปรอบ ๆ เสื้อผ้าที่ฉีกขาดของชายหนุ่มและเริ่มขยายตัวหนาขึ้นเหมือนถังน้ำ จากงูตัวเล็กเปลี่ยนร่างมาเป็นเวิร์มดราก้อนสีเขียวที่มีชีวิตชีวาที่มีความยาวมากกว่าสิบเมตร


 


หลังจากจางลี่เฉินเสร็จสิ้นการเปลี่ยนแปลงเขาก็คว้าคอของเวิร์มดราก้อนแล้วสั่งให้มันว่ายลงไปที่ด้านล่างของทะเลแอตแลนติก ขณะเดียวกันเขาก็สั่งให้เกาะมังกรทำตัวล่องหนและให้ออกมาผ่านร่องลึกของโรงงานเพื่อมุ่งหน้ามายังมหาสมุทรและเข้าสู่ทะเลตามหลังเวิร์มดราก้อนไป


 


ในตอนนั้นเอง จางลี่เฉินก็รู้สึกได้ว่าเกาะมังกรเริ่มสูญเสียการควบคุมตัวเองไปแล้ว ร่างกายของมันสลับการล่องหนและเผยตัวทุกขณะที่ร่างกายขยับตัวอย่างรวดเร็ว


 


เหมือนแมงป่องที่ถูกดึง หางแมงป่องสามอันที่อยู่ด้านหลังลำตัวของมันกระเด้งออกและแทงปลาตัวใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงจากนั้นก็ดูดของเหลวในร่างกายของปลาตัวนั้นจนหมด


 


เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ เมื่อระยะทางจากเส้นฝั่งทะเลขยายใหญ่ขึ้น ขนาดปลาที่เกาะมังกรจับได้ก็ใหญ่ขึ้นตามด้วยเช่นกัน เมื่อถึงเวลากลางคืน สัตว์ทะเลขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักมากกว่าหนึ่งตันก็เริ่มปรากฏตัวให้เห็นท่ามกลางเหยื่อมากมาย


 


ในตอนนั้นเองสำหรับจางลี่เฉินแล้วเขาคิดว่าการเปลี่ยนแปลงของสัตว์อาคมตัวนี้ค่อนข้างจะง่ายยิ่งกว่าตัวใด


 


แม้เขาจะไม่ต้องเสียเลือดอีกแต่กระบวนการเปลี่ยนแปลงของเกาะมังกรได้ผ่านไปแล้วหลายชั่วโมงแต่ก็ยังไม่มีสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงรูปร่างใด ๆ เกิดขึ้นเลย หากสิ่งนี้ยังคงดำเนินต่อไปเขาจะไม่รู้เลยว่ามันจะใช้เวลานานเท่าใดถึงจะสิ้นสุด


 


ขณะที่จางลี่เฉินกำลังรู้สึกหงุดหงิดและท้อแท้ทันใดนั้นก็มีเสียงวูบวาบดังก้องกังวานเข้ามาในหู


 


เสียงนั้นเริ่มเข้าใกล้เขามามากขึ้นเรื่อย ๆ และชัดเจนมากยิ่งขึ้น และทันใดนั้นเองท่ามกลางความมืดและความเงียบสงบ มีปลานับพันที่กระโจนว่ายน้ำหนีด้วยความกลัว บรรดาปลาที่ว่ายมามีเรือดำน้ำลาดตระเวนของสหรัฐฯที่มีหอสังเกตการณ์อยู่ด้านบนคล้ายกับครีบที่มีขนาดใหญ่ที่สมดุลทั้งสองด้านถูกผลักเข้าหากระแสน้ำในมหาสมุทรที่กำลังมุ่งหน้ามาแบบช้า ๆ แต่แล้วก็เร่วตัวขึ้น


 


เป็นครั้งแรกที่จางลี่เฉินได้มีโอกาสเผชิญหน้าอย่างใกล้ชิดกับอาวุธระดับสูงสมัยใหม่


 


เขาไม่รู้ว่าเรือลำนี้จะมีความยาว 110 เมตรและมีความกว้างประมาณ 10 เมตร มันคือเรือดำน้ำลอสแองเจลิสที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นเรือดำน้ำโจมตีด้วยพลังงานนิวเคลียร์ที่ใช้กับกองทัพเรือสหรัฐฯ เรือดำน้ำนี้มีความเร็วใต้น้ำเกือบ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมงโดยมีความลึกในการดำน้ำสูงมากกว่า 450 เมตร ไม่เพียงแค่นั้น โซนาร์ที่มีประสิทธิภาพสูงบนเรือยังสามารถกระจายรัศมีไปได้ไกลถึง 100 ไมล์ทะเลและติดตั้งท่อตอร์ปิโดสี่ท่อที่สามารถปล่อยขีปนาวุธโทมาฮอว์ก ขีปนาวุธป้องกันเรือล่าวาฬและตอร์ปิโด MK48 ออกมาได้ การเพิ่มปืนกลแนวตั้งในรถังอับเฉาลำแรกของเรือสามารถสร้างทะเลสามมิติที่ครอบคลุมพื้นที่และความสามารถในการต่อสู้ทางอากาศได้


 


แม้จางลี่เฉินจะไม่รู้ข้อมูลทั้งหมดเหล่านี้แต่ชายหนุ่มก็ยังคงรู้สึกถึงพลังที่เปล่งออกมาจากสัตว์ประหลาดเหล็กที่ถูกปกคลุมด้วยความแววของโลหะสีดำเข้มซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปได้เป็นอย่างดี


 


ร่างกายของชายหนุ่มสั่นเทาไปเองตามสัญชาตญาณ และกำมือยักษ์ของตัวเองอย่างอดไม่ได้


 


น่าเสียดายที่แม้จะมีความระมัดระวังจากเจ้าของเป็นอย่างดีแต่มันไม่ได้หมายความว่าเกาะมังกรที่กำลังอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงและไม่สามารถควบคุมตัวเองได้จะกลัวสัตว์ประหลาดเหล็กที่แอบอยู่ใต้ทะเลนี้


 


ในตอนนี้สัตว์อาคมยังคงล่องหนและเผยตัวเป็นครั้งคราวเนื่องจากหางของมันยังคงพุ่งออกไปเพื่อฆ่าสัตว์ทะเลในบริเวณใกล้เคียง แม้ว่ามันจะไม่ได้สนใจเรือดำน้ำที่มีลักษณะคล้ายกับสิ่งมีชีวิตที่ตายไปแล้วแต่หางของมันก็เผลอปัดไปโดนเปลือกนอกของเรืออยู่บ่อย ๆ


 


ในขณะเดียวกันเมื่อเกาะมังกรกำลังทำการล่าสัตว์ คลื่นโซนาร์จากเรือดำน้ำก็เริ่มแพร่กระจายออกไปเรื่อย ๆ ในไม่ช้ามันก็จับสัญญาณสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะเป็นศัตรูในบริเวณใกล้เคียงได้


 


ภายในห้องแคบ ๆ ของเรือดำน้ำ เจ้าหน้าที่ผิวดำผู้รับผิดชอบในการตรวจสอบโซนาร์มองไปที่หน้าจอที่ระบุตัวของสัตว์อาคมซึ่งมีความยาว 1,879 เซนติเมตรและมีสามหางอยู่ข้างหลัง โดยแต่ละหางที่ยิงออกมาจะมีการเคลื่อไหวใกล้กับความเร็วของเสียง ขอบเขตสูงสุดอยู่ที่มากกว่า 300 เมตร มีสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนและแนวปะการังปรากฏตัวภายในหนึ่งร้อยไมล์ทะเล ใบหน้าของชายผิวดำเริ่มเสียการควบคุมตัวเอง


 


แต่เขาก็ยังรายงานไปอย่างใจเย็นว่า “ท่านครับ ผมพบเป้าหมายที่ลำตัวมีความยาว 1,879 เซนติเมตร คิดว่ามันน่าจะเป็นสัตว์ทะเลที่แอบออกมาจากสงครามชิมพ์ครั้งที่สองนะครับ”


 


“ได้ยินรายงานของอัลวินแล้วใช่ไหมเอลเลียน เตรียมพร้อมยิงตอร์ปิโดได้!” กัปตันสั่งการ “เราจะปล่อยให้ปลาทะเลนิวยอร์กได้ลิ้มรสชาติเนื้อสัตว์ทะเลจากดินแดนเหนือธรรมชาติกัน!”


 


“ครับท่าน!” เจ้าหน้าที่อาวุธที่รับผิดชอบในการยิงอาวุธบนเรือดำน้ำยกสองนิ้วเพื่อตอบรับคำสั่งของกัปตันก่อนจะเลือกตอร์ปิโดที่มีอยู่เป็นร้อยบนคอนโซลกลางของอาวุธ


 


หลังจากล็อคเป้าหมายที่ปรากฏตามจอมอนิเตอร์โซนาร์ได้แล้ว ขณะที่เขากำลังจะยิง เขาก็ตระหนักได้ว่าเป้าหมายนั้นได้หายไปบนหน้าจออย่างไรร่องรอย “ท่านครับ เป้าหมายหายไปแล้วครับ!”


 


เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจสูงสุดและชายผิวดำที่รับผิดชอบการติดตามโซนาร์ตกตะลึงไปในทันทีเมื่อได้รับรายงาน อย่างไรก็ตามทันทีที่คำพูดของพวกเขาออกจากปาก ร่างของเกาะมังกรก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่ภาพโซนาร์อย่างไรก็ตามตำแหน่งของมันได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย


 


“ท่านครับ เป้าหมายปรากฏขึ้นอีกครั้งแล้วครับ! ผมคิดว่ามันน่าจะมีความสามารถแบบเคลื่อนที่ได้แบบทันที” การแสดงออกของชายผิวดำเปลี่ยนไปอีกครั้งเมื่อเขารายงาน


 


“เคลื่อนไหวได้ในทันที? ครั้งที่แล้วก็มีความสามารถในการเปลี่ยนเป็นลูกบอลไฟในทะเลและก่อนหน้านั้นมันมีความสามารถในการแช่งแข็งทะเล สัตว์ทะเลพวกนี้ทั้งหมดจากดินแดนเหนือธรรมชาติที่เติบโตจากการกินไวอากร้าหรือยังไง?! เอลเลียน ประเมินวิถีการเคลื่อนที่และทำการยิงตอร์ปิโดสำหรับกำลังเคลื่อนที่ซะ! หากเราไม่สามารถฆ่ามันได้เราจะต้องขับมันกลับไปยังโลกของมันให้ได้อย่างน้อยที่สุด!”


 


“ครับท่าน!” เจ้าหน้าที่บนเรือดำน้ำทำการใช้คอมพิวเตอร์ด้วยสีหน้าเศร้าสลดในขณะที่เขาดำเนินการจดบันทึกสัตว์อาคมเป็นเวลาหลายนาที ทันใดนั้นเขาได้เปิดตัวตอร์ปิโดหนักสามตัวจากท่อยิงสามแบบต่อเนื่องกัน


 


ขณะนั้นเองจางลี่เฉินที่ยังคงอยู่ในมหาสมุทรกำลังเป็นกังวลขณะที่เขาติดตามเรือดำน้ำไปหลังจากเกาะมังกรเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง


 


แน่นอนว่าหากไม่มีอันตรายใด ๆ จางลี่เฉินผู้ระวังตัวอย่างมากไม่เคยคิดที่จะใช้ร่างกายที่ดุร้ายของเขาแปลงร่างเพื่อต่อสู้กับเรือดำน้ำในทะเลลึกอย่างแน่นอน


 


อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาต้องการออกคำสั่งให้เกาะมังกรขยายตัวและทำลายเรือที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตร แต่เขากังวลเกี่ยวกับผลที่จะตามมา แม้จะเป็นถึงสัตว์อาคมที่ต้องต่อสู้กับเรือดำน้ำแต่มันยังคงคาดเดาไม่ได้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในที่สุด และถ้าหากทั้งสองฝ่ายถูกทำลาย การสูญเสียจะมีมากกว่าผลกำไร


 


ขณะที่ชายหนุ่มยังตัดสินใจไม่ได้ ในตอนนั้นเองที่เรือดำน้ำยิงตอร์ปิโดกระสวยขนาดใหญ่หลายลูกตรงเข้ามาที่หางของสัตว์อาคม


 


เขาสั่งให้เกาะมังกรหลบตอร์ปิโดด้วยสีหน้าตื่นตกใจ อย่างไรก็ตามในขณะนี้สัตว์อาคมไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาอีกต่อไปแล้ว มันยังคงตามล่าหาปลาตัวใหญ่ในทะเลลึกโดยไม่สนใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น


 


จางลี่เฉินรู้สึกหนาวสั่นไปตามกระดูกสันหลังขณะมองดูตอร์ปิโดวิ่งเข้าใส่เกาะมังกร


 


เกาะมังกรสามารถหลบตอร์ปิโดที่เข้ามาสองลูกได้อย่างหวุดหวิด แต่ภายใต้การยิงของลูกที่สาม มันพุ่งเข้าชนกับสัตว์อาคมโดยตรง


 


เสียงระเบิดสะท้อนจากตอร์ปิโดภายใต้แรงกระแทก จากนั้นไฟที่ลุกโชติช่วงก็ปะทุขึ้นและเริ่มแพร่กระจายออกจนเป็นเหมือนการต้มน้ำทะเลนับหมื่นตัน ความผันผวนที่เกิดขึ้นทำให้แนวปะการังในทะเลที่เกิดขึ้นมานับร้อยล้านปีถูกพัดลอยไป


 


ทันทีที่ตอร์ปิโดโจมตีเกาะมังกร จางลี่เฉินรู้สึกได้ถึงพลังของสัตว์อาคมที่ตกต่ำจนถึงสุดขีด เขาอ้าปากกว้างแล้วพ่นเลือดดำในทะเลเพื่อเริ่มบำรุงเกาะมังกรในทันที


 


สัตว์อาคมและเจ้านายของมันถูกแยกห่างออกจากกันเพียงไม่กี่ร้อยเมตร เส้นโลหิตอันยาวเหยียดของชายหนุ่มพุ่งเข้าหาร่างของเกาะมังกรที่ถูกโจมตีและช่วยให้มันเคลื่อนที่ได้อัตโนมัติเพื่อให้หางแมงป่องของมันยังคงตามล่าหาสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ในทะเลต่อไปได้


 


ภายใต้การบำรุงจากเลือดของจางลี่เฉินและของเหลวในร่างกายของสิ่งมีชีวิตใต้ทะเล ร่างกายของสัตว์อาคมที่โดนโจมตีอย่างรุนแรงก็เริ่มหายเป็นปกติ ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าที่ด้านหลังเกาะมังกรมีหางแมงป่องเพิ่มขึ้นมา


 


ในตอนนั้นเองจางลี่เฉินก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าเกาะมังกรจะเริ่มเปลี่ยนร่างเนื่องจากได้รับบาดเจ็บจากการถูกต่อต้านจากอีกฝ่ายตรงข้ามที่แข็งแกร่งขณะที่มันอยู่ท่ามกลางการล่าสัตว์ เขาแอบสาปแช่งในใจ


 


เงื่อนไขสำหรับการเปลี่ยนแปลงของสัตว์อาคมเริ่มยากขึ้นเรื่อย ๆ มันยังคงเป็นปริศนาว่าเกาะมังกรจะประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงภายใต้การติดตามของเรือดำน้ำในครั้งนี้หรือไม่


 


ในขณะที่เขากำลังคิดกับตัวเอง ตอร์ปิโดสองลูกที่ผ่านการโจมตีไปในครั้งแรกได้วนย้อนกลับมาพุ่งเข้าหาเกาะมังกรอีกครั้ง ขณะนั้นเองดูเหมือนว่าเกาะมังกรจะกระพริบตัวและเคลื่อนที่ ตอร์ปิโดทั้งสองลูกระเบิดออกพร้อมกันและแม้ว่าพวกมันจะไม่สามารถโจมตีเกาะมังกรได้โดยตรงแต่แรงระเบิดก็ได้สร้างกระแสน้ำทะเลขึ้นอย่างรุนแรง



ตอนที่ 176

ท่ามกลางกองไฟที่ท่วมท้นและการหมุนวนของการระเบิดใต้ทะเลลึก เกาะมังกรถูกโจมตีเข้าอีกครั้ง


 


แม้จางลี่เฉินจะสามารถสั่งการสัตว์อาคมได้อย่างอิสระแต่ก็ยังยากที่จะควบคุมให้มันหลบการจู่โจมที่มีพลังทำลายรุนแรงในตอนนี้ได้แบบทันที สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มตระหนักได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่และยุทธวิธีที่เปลี่ยนแปลงได้ของอาวุธระดับสูงเพิ่มขึ้นอย่างมาก


 


สายละอองเลือดยังคงพุ่งออกจากปากของเขาไม่ยอมหยุดแม้จะอยู่ในสถานการณ์วิกฤติ จางลี่เฉินย่อขนาดของตัวเองให้เหลือเพียงสามเมตรและในเวลาเดียวกันก็รีบขยับตัวออกห่างจากเรือดำน้ำไป


 


ขณะนั้นเอง ผลกระทบของตอร์ปิโด 2 ลูกที่ยิงออกมาติดต่อกันเริ่มจางหายไปจากกระแสของทะเลลึก เกาะมังกรว่ายน้ำหนีออกจากทะเลเพลิงด้วยความยากลำบากเนื่องจากร่างกายได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงและมีแผลอยู่ทั่วตัว


 


ภายใต้การบำรุงเลือดและเนื้อจากผู้เป็นนาย ชิ้นส่วนของผิวหนังที่กระจัดกระจายจากร่างกายเริ่มขยายตัวและรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง การเคลื่อนไหวของมันกลับมากระฉับกระเฉงอีกครั้งเมื่อมันสั่นหางทั้งห้าที่อยู่ด้านหลังให้เคลื่อนไหว มันพุ่งเข้าหาฉลามขาวยักษ์ตัวหนึ่งที่เป็นจุดสุดของห่วงโซ่อาหารทางทะเลของโลกที่อยู่ห่างออกไปประมาณหนึ่งกิโลเมตรราวกับแสงแฟลชเพียงวูบหนึ่ง


 


เมื่อเปิดการโจมตีไปแล้วรอบหนึ่งแต่ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่ถูกทำลาย ภายในห้องโดยสารประจำเรือดำน้ำ เจ้าหน้าที่ผิวดำจดจ้องหน้าจอที่แสดงผลคลื่นโซนาร์ก่อนจะรีบทำการรายงาน “ท่านครับ! เป้าหมายยังมีชีวิตอยู่ครับ! รัศมีพื้นที่การเคลื่อนไหวจากเดิมที่มีระยะห่างจาก 300 – 500 เมตรนั้น ในตอนนี้มันได้ขยายไปจนถึงประมาณ 1 กิโลเมตรแล้วครับ!”


 


แน่นอนว่ากัปตันเรือไม่ทราบถึงเหตุผลที่ระยะการล่าของเกาะมังกรมีขนาดใหญ่ขึ้นว่านั่นเป็นเพราะความสามารถอันทรงพลังเมื่อกระบวนการเปลี่ยนแปลงยังคงดำเนินอยู่ ด้วยเสียงที่เต็มไปอำนาจ เขาตะโกนดังลั่นว่า “สัตว์ประหลาดทางทะเลตัวนั้นหนีไปแล้ว! ไม่จำเป็นต้องโทรไปขอความช่วยเหลือจากหน่วยอีกอื่นต่อไป คอยติดตามมันต่อไปแล้วในไม่ช้าเราจะสามารถนำมันกลับที่เดิมได้เอง”


 


เมื่อได้ยินคำสั่งของกัปตัน เจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ที่ไม่ได้มีหน้าที่ให้ทำการสิ่งใดในห้องควบคุมก็ตอบกลับ “ครับท่าน!” จากนั้นพวกเขาก็บังคับเรือดำน้ำให้เปลี่ยนทิศทาง มุ่งหน้าเข้าหาเกาะมังกรแบบเต็มกำลัง


 


และเพราะแบบนั้น เกาะมังกรจึงถูกตามล่าอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว ขณะที่เรือดำน้ำยังคงติดตามมัน มันก็ยังคงดำเนินการเปลี่ยนแปลงไปตามวิถีของตัวเองในฐานะสัตว์อาคมต่อไป


 


หลังผ่านไป 2 – 3 รอบ จางลี่เฉินเริ่มรู้สึกว่าเขากำลังจะเสียเลือดจนหมดตัวอีกครั้งและในที่สุดเกาะมังกรก็เติบโตขึ้นพร้อมหางแมงป่องอีก 9 หางท่ามกลางการระเบิดโจมตีจากตอร์ปิโด


 


ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง กระดูกและเนื้อของมันเริ่มเปลี่ยนเป็นร่างกายที่ยาวเรียว เกาะมังกรเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว


 


ขนาดของมันลดน้อยลงจนเหลือน้อยกว่า 10 เมตร แต่ร่างกายส่วนบนกลับหนาขึ้นมากราวกับเสาหินแข็ง ๆ ดวงตารูปเพชรทั้ง 2 ข้างของมันก็ใหญ่ขึ้นหลายเท่าพร้อมส่งแสงเปล่งประกายระยิบระยับ


 


เกล็ดที่ปกคลุมอยู่ทั่วร่างกายมีขนาดเท่ากำปั้นเด็กทารก ไม่เพียงแค่นั้น แต่เกล็ดทั้งหมดยังสามารถตั้งขึ้นเพื่อสร้างเป็นเกราะป้องกันที่มีความแหลมคมนับพันบนพิ้นผิวร่างกายได้


 


แขนขาทั้งสี่และกรงเล็บบนตัวของมันรองรับร่างกายที่ขยายออกไปได้อย่างมาก เลยช่วงส่วนคอดของลำตัวลงไปด้านล่างจะเป็นหางแมงป่อง 9 หางที่ทรงพลัง เมื่อหางพวกนี้กวัดแกว่งไปมาเบา ๆ หางแมงป่องยาว ๆ พวกนี้จะกลายเป็นเหมือนวงล้อราวกับว่าพวกมันทำมาจากใบพัด ที่คอยสร้างระลอกคลื่นในทะเลลึก


 


อย่างไรก็ตามสำหรับจางลี่เฉินแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตัวอักษรจีนไม่กี่ตัวที่ปรากฏขึ้นในใจว่า “ทำลายหรือรวมเข้าด้วยกัน เฉือนอากาศด้วยปลายหางทั้งเก้า” เมื่อร่างของเกาะมังกรเข้ามาอยู่ในสายตาของชายหนุ่ม นี่เป็นข้อพิสูจน์ที่แท้จริงถึงความสำเร็จของการเปลี่ยนแปลง


 


แม้การเปลี่ยนแปลงครั้งที่ 3 ของสัตว์อาคมพร้องหางแมงป่องทั้ง 9 หางจะไม่ได้สร้างความปั่นป่วนให้กับโลกเหมือนอย่างการเปลี่ยนแปลงของเมานท์โทดและโครโคดราก้อนแต่มันก็ยากกว่ามากเมื่อเทียบกับ 2 ตัวที่ผ่านมา หากไม่ใช่เพราะพวกเขาได้มาเจอกับเรือดำน้ำโดยบังเอิญ ชายหนุ่มอาจไม่รู้ถึงกลอุบายที่ใช้ในการเปลี่ยนแปลงของเกาะมังกรและคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้กับสัตว์อาคมทรงพลังตัวนี้ไป


 


เมื่อมองย้อนกลับไป จางลี่เฉินรู้สึกขอบคุณเรือดำน้ำที่เกือบจะยิงตอร์ปิโดได้สำเร็จ อย่างไรก็ตามมีสัตว์อาคม 2 ตัวที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงสำเร็จไปแล้ว ชายหนุ่มที่ถูกโจมตีโดยเรือดำน้ำอย่างต่อเนื่องมีแรงกระตุ้นที่ไม่สามารถควบคุมได้เพื่อทำลายมัน


 


หัวใจที่เต้นช้าลงของจางลี่เฉิน หลังการเปลี่ยนแปลงเสร็จสิ้นก็เริ่มกลับมารีบเร่งอีกครั้งในขณะที่เขากำลังตามหลังเรือดำน้ำไปพร้อมถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนที่จะพ่นฟองอากาศออกมาเล็กน้อย


 


เขาตัดสินใจสั่งให้เกาะมังกรเคลื่อนตัวผ่านช่องว่างและค่อย ๆ แอบเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ ๆ กับเรือดำน้ำ เมื่อเรือลำนี้เปิดใช้งานตอร์ปิโดเมื่อไหร่ก็จะสามารถเริ่มต้นการฆ่าได้อย่างสนุกสนาน ในเวลาเดียวกันเขายังวางแผนสั่งเวิร์มดราก้อนให้โจมตีเปลือกนอกของเรือดำน้ำ พยายามที่จะโจมตีจากทั้งภายในและภายนอกในเวลาเดียวกันเพื่อทำลายเรือดำน้ำในครั้งเดียว นี้คือการกระทำเพื่อหยุดยั้งการระเบิดของจรวดขีปนาวุธและตายไปพร้อมกับศัตรู


 


แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจ ทันทีที่เกาะมังกรเกิดการเปลี่ยนแปลงเสร็จเรือดำน้ำก็หยุดการโจมตีไปในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มรอเวลาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตระหนักได้ว่าเรือดำน้ำลำนั้นได้หันหัวไปทางซ้ายแล้ว


 


จางลี่เฉินตะลึงงันไปกับสิ่งที่ได้เห็น เมื่อเขากำลังจะเริ่มการโจมตี ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงหึ่งต่ำ ๆ ดังก้องกังวานมาจากระยะไกล


 


เรือดำน้ำอีกลำกำลังมุ่งหน้ามาทางเขา จางลี่เฉินจำได้ดีว่าทางเข้าสู่อาณาจักรเหนือธรรมชาติอยู่ที่ไหนสักแห่งในทะเลที่นิวยอร์กและได้รับการป้องกันอย่างแน่นหนาจากกองทัพเรือสหรัฐฯ


 


การโจมตีเรือดำน้ำโดยไม่รู้จักตัวตนของสถานที่ดังกล่าวไม่ต่างอะไรกับการเจาะรังผึ้งด้วยไม้ในขณะเปลือยกาย


 


“ต้องระวัง ต้องระวัง…” ชายหนุ่มบอกกับตัวเองถึง 2 ครั้งในใจพร้อมกับยกเลิกการโจมตี เขาสั่งให้สัตว์อาคม 2 ตัวเดินทางไปยังอาณาจักรเหนือธรรมชาติพร้อม ๆ กับเขาโดยการเปลี่ยนขนาดตัวโดยใช้คาถา ‘ขยาย, หดตัว’


 


เขาลอยตัวขึ้นไปที่ผิวน้ำทะเลอย่างเงียบ ๆ วางแผนที่จะมองดูดวงดาวบนท้องฟ้าเพื่อระบุทิศทางที่จะกลับเข้าฝั่งโดยเร็วที่สุด


 


แต่เมื่อจางลี่เฉินย่อขนาดตัวจนเหลือแค่เพียง 30 เซนติเมตร เขากลายเป็นคนแคระที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีเหลืองและสีน้ำเงินอย่างสมบูรณ์ จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าตำแหน่งของดวงดาวในท้องฟ้านั้นแตกต่างไปจากความทรงจำของเขาเมื่อเงยหน้าขึ้นมองขณะที่เขาลอยอยู่กลางทะเล


 


“เวรเอ้ย! ไม่แปลกใจเลยที่ได้เจอเรือดำน้ำของกองทัพเรือสหรัฐฯและถูกมันไล่ตาม! มันกลับกลายเป็นว่าตัวเราในตอนนี้ได้ตามเกาะมังกรมาที่ประตูเพื่อเข้าสู่อาณาจักรเหนือธรรมชาติในทะเลนิวยอร์กก่อนที่จะติดตามเรือดำน้ำไปยังดินแดนเหนือธรรมชาติซะเอง”  จางลี่เฉินพึมพำด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว “และตอนนี้เราก็กำลังหลงทาง…”


 


ขณะที่เขารู้ตัวแล้วว่าเขากำลังหลงทาง เขาได้มองไปรอบ ๆ ตัวขณะว่ายน้ำและตระหนักว่าได้ว่าที่นี่ไม่มีอะไรเลยยกเว้นทะเลสีฟ้าครามขนาดใหญ่ที่อยู่ในสายตาของเขา


 


เขาไม่มีเครื่องมือใด ๆ ติดตัวมาด้วยเลยดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรู้ทิศทางของตัวเอง หลังจากครุ่นคิดเกี่ยวกับมันอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ขยายร่างของตัวเองให้สูงกว่า 2 เมตรในขณะที่เกล็ดบนผิวหนังของเขายังสามารถมองเห็นได้จาง ๆ และขึ้นขี่เกาะมังกร จากนั้นก็พุ่งขึ้นไปในอากาศก่อนจะล็อคทิศใดทิศหนึ่งเพื่อตรงไปทางนั้น


 


ตั้งแต่ดึกจนถึงรุ่งเช้า จางลี่เฉินลองคิดคำนวณกับตัวเองและรู้ตัวว่าเขาต้องบินอย่างน้อยหลายร้อยกิโลเมตร แต่จนถึงตอนนี้เขายังไม่เห็นแม้แต่เกาะเล็ก ๆ เลยสักเกาะ


 


เมื่อดวงอาทิตย์ที่ดินแดนเหนือธรรมชาติเริ่มปรากฏตัวไปตามแนวชายฝั่ง เขาตัดสินใจที่จะไม่บินเป็นเส้นตรงอีกต่อไปแต่เริ่มบินเป็นวงกลมเป็นชั้น ๆ จากบนลงล่างแทน


 


เวลายังคงผ่านไปอย่างต่อเนื่อง ชายหนุ่มผู้ซึ่งเปลี่ยนร่างเป็นสิ่งที่คล้ายกับเทพขณะที่เขาบินไปมาอยู่บนตัวเกาะมังกรที่กำลังทะยานอยู่บนผิวน้ำทะเลยังไม่ได้รับผลลัพธ์ใด ๆ และนั่นเริ่มทำเขารู้สึกหงุดหงิด


 


ดวงอาทิตย์เริ่มขึ้นอย่างช้า ๆ และเมื่อมันขึ้นไปถึงจุดศูนย์กลางของท้องฟ้า เขาเริ่มรู้สึกได้ถึงความหิวกระหาย เขาอ้าปากกว้างสั่งให้เวิร์มดราก้อนพ่นพายุไซโคลนลงบนผิวน้ำเพื่อสร้างร่องน้ำลึกยาวไปบนทะเล


 


หลังจากนั้นไม่นาน เหล่าปลาและสัตว์ทะเลที่ตายแล้วก็เริ่มลอยอยู่เหนือผิวน้ำ


 


พอได้ระบายพลังออกไปบ้างเขาก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นมาก เขากระโดดลงไปทะเลโดยตรงและเริ่มเลือกทำซาซิมิเพื่อมากิน ในที่สุดเขาก็เลือกปลาที่มีความยาว 1 เมตรซึ่งถูกพายุไซโคลนตัดหัวแต่ร่างกายของมันยังคงอยู่สมบูรณ์ มันแทบไม่มีเกล็ดเลยแม้แต่น้อย เนื้อของมันมีสีขาวนวลทั้งอวบและฉ่ำ เขาฉีกมันออกเป็นชิ้น ๆ และเริ่มลิ้มรสชาติของมันโดยใช้มือของตัวเองบีบเนื้อชิ้นเล็ก ๆ ออกจากร่างปลาและใส่มันเข้าปากเหมือนดูดเส้นก๋วยเตี๋ยว เขากลืนเนื้อปลาที่มีกลิ่นสดลงไปในท้องโดยไม่ต้องเคี้ยว


 


วิธีการกินแบบนี้ช่วยให้ประหยัดเวลาได้มาก หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็ได้กินปลาใหญ่หมดไปกว่าครึ่งตัว


 


ขณะนั้นเอง พวกปลาที่ถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ จำนวนนับไม่ถ้วนที่ลอยอยู่บนผิวน้ำรอบตัวเขาเริ่มดึงดูดสัตว์ทะเลอื่น ๆ จำนวนมากให้มารวมตัวกัน จางลี่เฉินเห็นปลาตัวหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แก้มทั้งสองข้างของมันเหมือนโลมาและร่างเรียบ ๆ นั่นก็โผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำเพื่อกินปลาที่ตายแล้วด้วยคำเดียว


 


ปลาตัวนี้มีแผงคอหนา ๆ อยู่ด้านบนหัว ในตอนนี้แผงคอหนา ๆ ของมันถูกยึดไว้อย่างแน่นโดยชายแก่แปลก ๆ ที่มีใบหน้าเหี่ยวย่นซึ่งเป็นผลมาจากการแช่ตัวอยู่ในน้ำนานเกินไป


 


สิ่งที่แปลกประหลาดอย่างมากคือชายชราที่สวมเสื้อสีเทาตัวนี้กำลังหลับตาอยู่ราวกับว่าเขาตกอยู่ในอาการโคม่า


 


ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่สมเหตุสมผลเลยแม้แต่นิด ชายหนุ่มยิ่งตะลึงเข้าไปใหญ่เมื่อชายชราคนนั้นปล่อยมือของตัวเองที่จับปลาเอาไว้


 


ขณะที่เขากำลังจะเข้ามาใกล้และดูสถานการณ์ของชายชราอย่างใกล้ชิด ปลาแปลก ๆ ที่เหมือนกับโลมาตัวนั้นได้อ้าปากกว้างเพื่อขวางทางเขาเอาไว้


 


จางลี่เฉินตะลึงจนพูดไม่ออกขณะมองดูปลาที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ด้วยความประหลาดใจ แค่ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ก็เพียงพอแล้วที่เขาจะสามารถทุบปลาลงไปได้ด้วยหมัดง่าย ๆ เขาไม่จำเป็นต้องขยายร่างหรือไม่จำเป็นต้องสั่งให้สัตว์อาคมทำการโจมตีแทน


 


อย่างไรก็ตามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบแปลก ๆ ของปลาตัวนั้น ชายหนุ่มตัดสินใจที่จะไม่ทำอะไรมัน เขาเพียงดึงเนื้อปลาสองสามชิ้นโยนไปให้มันจากนั้นก็ขึ้นขี่เวิร์มดราก้อนเพื่อค้นหาเส้นทางของเขาต่อไป


 


ในตอนนั้นเอง ชายชราจากอาณาจักรเหนือธรรมชาติลืมตาขึ้นมาและเริ่มทำเสียงฮึดฮัด “โอ้วว อ่าา…” พร้อมกับหน้าบูดบึ้งมาที่จางลี่เฉิน ในเวลาสั้น ๆ เขาเปลี่ยนภาษาของเขาไปมากกว่า 10 ครั้ง


 


จางลี่เฉินเหมือนโดนกระตุ้นเบา ๆ เขามีความตั้งใจที่จะสื่อสารกับชายชราพื้นเมืองคนนี้เช่นกัน


 


เขาพึมพำอย่างไร้ความหมายแล้วชี้ไปที่มหาสมุทรก่อนจะวางฝ่ามือลงบนพื้นผิวทะเลกว้าง เปลี่ยนมือเพื่อทำเป็นรูปเหมือนเกาะกลางทะเล เขายังคงส่งสัญญาณโดยใช้มือของเขาแต่ในที่สุดเขาไม่สามารถสื่อสารกับชายชราได้เลย


 


โดยไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปมากเท่าไหร่ ภายใต้แสงแดดจ้าของดวงอาทิตย์ ชายหนุ่มยังคงเต็มไปด้วยพลังงานและไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร ตรงกันข้ามกับชายชราขี่ปลาแปลก ๆ ที่ในตอนนี้ใบหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาเหมือนไม้ผุ ๆ


 


เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่สามารถสื่อสารกันได้และชีวิตของเขาก็ได้มาถึงช่วงเวลาสุดท้ายแล้วการแสดงออกที่ดิ้นรนก็เริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายชรา ในท้ายที่สุดเขาตัดสินใจที่จะหยิบหนังสัตว์เก่าออกมาจากกระเป๋าของเขาและเปิดมันก่อนที่จะเขียนอะไรบางอย่างอย่างรวดเร็วด้วยนิ้วที่ผอมแห้งของเขา


 


จางลี่เฉินคิดว่าชายชราคนนี้อาจจะกำลังวาดแผนที่ให้ สีหน้าที่ซาบซึ้งปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่มขณะที่เขารอคอยอย่างเงียบ ๆ


 


หลังจากผ่านไปได้ครู่หนึ่ง ในที่สุดชายชราก็เขียนเสร็จและส่งหนังสัตว์มาให้กับชายหนุ่ม


 


ด้วยความประหลาดใจ จางลี่เฉินหยิบหนังสัตว์ชิ้นนั้นขึ้นมามองดูแต่มันกลับไม่มีภาพวดแผนที่แบบที่เขาคิดไว้ มันเต็มไปด้วยตัวอักษรเล็ก ๆ ที่เหมือนกับลูกอ๊อดแทน เขาอดไม่ได้ที่จะแสดงความรู้สึกสับสนออกมา



ตอนที่ 177

เมื่อเห็นสัตว์ประหลาดกลางทะเลดุร้ายกลับกลายเป็นคนจิตใจเมตตา อารมณ์ที่บอกถึงความตกใจถูกแสดงขึ้นบนใบหน้าของชายชราที่ปกคลุมด้วยเกล็ดสีฟ้าและสีเหลืองจาง ๆ  จากนั้นชายชราที่ขี่ปลาตัวใหญ่ก็ระบายยิ้มแล้วก็ค่อย ๆ คลายมือที่จับแผงคอปลาไว้ออกขณะมองรอบ ๆ ทะเลสีฟ้าคราม


 


หลังจากนั้นการแสดงออกที่บอกถึงการอุทิศตนแก่พระเจ้าและไร้ความกลัวก็แสดงขึ้นบนใบหน้า เขาจ้องแผ่นหนังสัตว์ในมือจางลี่เฉินพร้อมกับเหยียดแขนออกทั้งสองข้างก่อนจะทำท่าเหมือนกับกำลังสวดภาวนา


 


ทันใดนั้นแสงสีขาวที่นุ่มนวลก็เปล่งออกมาจากร่างของชายชรา ร่างกายของเขาเริ่มเลื่อนลอยทีละน้อย


 


ฉากที่แปลกประหลาดนี้สร้างความตกใจให้กับจางลี่เฉินเป็นอย่างมาก


 


ร่างกายของเขาแข็งทื่อ กล้ามเนื้อทั้งหมดในร่างกายของเขานูนออกมาเหมือนกับชิ้นเหล็ก


 


แต่หลังผ่านไปได้ครู่หนึ่งชายหนุ่มก็สังเกตได้ว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นต่ออีกเลยนอกจากร่างของชายชราที่ค่อย ๆ กลายเป็นเหมือนลูกบอลแห่งแสงและร่างของเขาที่ค่อย ๆ หายไป


 


“ทำไมต้องพยายามทำตัวเองให้เป็นเหมือนหลอดไฟถ้าสิ่งที่จะทำคือการฆ่าตัวตาย? มันหมายความว่าอะไรกันแน่?” หลังจากผ่านไปราว ๆ 30 – 50 วินาทีจางลี่เฉินจ้องมองชายชราผู้ไร้ค่าที่ทิ้งเสื้อคลุมสีเทาของเขาไว้บนปลาแปลก ๆ ก่อนจะพูดพึมพำกับตัวเอง “แปลงร่างตัวเองให้เป็นแสง คำที่คล้ายกับลูกอ๊อดบนหนังสัตว์… แต่มันไม่ใช่ภาษาที่เรารู้จักสักหน่อย … ไม่เข้าใจเลยสักนิด…”


 


จางลี่เฉินก้มหน้ามองแผ่นหนังสัตว์ในมือขณะพึมพำกับตัวเอง แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจ ตัวขีดเขียนที่เหมือนลูกอ๊อดแปลก ๆ ยังคงมีอยู่ดังเดิมทว่าตอนนี้เขากลับเข้าใจมันได้อย่างกับปาฏิหาริย์!


 


“ตอนที่ข้าไล่ตามการย้ายถิ่นฐานของชาวเงือกมาที่ทะเล ข้าลงเรือระยะไกลขนาดใหญ่มาโดยไม่ได้ตั้งใจจนมาถึงหมู่เกาะเฮลล์ไฟร์ที่เหล่าคนเถื่อนอาศัยอยู่ ที่นี่ข้าได้พบกับกลุ่มผู้ลี้ภัยที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี เครื่องจักร และการเล่นแร่แปรธาตุที่ยอดเยี่ยม … ผู้ลี้ภัยเหล่านั้นดูเหมือนจะอยู่บนเรือเหล็กเป็นประจำทุกวัน แต่แล้วพวกเขาก็ได้มาเปิดการตั้งถิ่นฐานเล็ก ๆ ขึ้นบนเกาะในที่สุด เมื่อพิจารณาจากวิธีที่คนเถื่อนของเกาะเฮลล์ไฟร์อนุญาตให้พวกเขาสร้างบ้านบนเกาะ ข้าสงสัยว่าพวกมันจะต้องได้รับบทเรียนที่โหดร้ายจากคนเหล่านั้นมาแล้วอย่างแน่นอน ข้ามีความสุขมากกับสิ่งนี้ ภายหลังข้าพบว่าผู้ลี้ภัยที่มาตั้งถิ่นฐานลงบนเกาะกลับปฏิบัติต่อคนเถื่อนอย่างอ่อนโยน พวกเขาแลกเปลี่ยนกระจกใสและขนมหวานสีดำที่ให้กลิ่นหอมแปลก ๆ กับคนเถื่อนเพื่อแลกกับเมล็ดพืชไร้ค่าและการปรับปรุงหน้าดินเพื่อนำเมล็ดเหล่านี้ไปใช้ ดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นแหล่งการเกษตรกรรมที่ดี …”


 


เมื่อจางลี่เฉินอ่านมาถึงส่วนนี้ เขาสังเกตเห็นว่าถ้อยคำที่เขียนบนแผ่นหนังสัตว์ในมือของเขาใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว “ดูเหมือนจะเป็นไดอารี่ที่ไม่มีบริบทมากนัก…”  จางลี่เฉินที่กำลังมึนงงอยู่กับตัวเองแต่แล้วเขาก็สังเกตได้ว่าถ้อยคำทั้งหมดที่ปรากฏอยู่บนแผ่นหนังเริ่มจางหายไปแล้วก็มีคำใหม่ ๆ ขึ้นมาแทนที่


 


“ข้าแกล้งทำเป็นคนเถื่อนที่อาศัยอยู่บนเกาะเฮลล์ไฟร์และทำการค้ากับผู้ลี้ภัย ยิ่งข้าใช้เวลากับพวกเขานานเท่าไรข้าก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงรังสีของเผ่าพันธุ์ที่มีอารยธรรมสูงจากพวกเขา … ภาษาของพวกเขาซับซ้อนมากแม้ว่าข้าจะมีคาถาความเข้าใจชั่วนิรันดร์ที่ได้รับมาจากซากปรักหักพังจากวัดโบราณไกอาก็ตาม ในที่สุดข้าก็ใช้เวลาถึง 12 วันเต็มในการสื่อสารกับพวกเขา … วันนี้คือวันที่ 12 ความเข้าใจชั่วนิรันดร์มีผลแล้วและข้าก็ได้เรียนรู้ว่าขนมหวานนั้นเรียกว่า ‘ช็อคโกแลต’ ช่างเป็นชื่อที่แปลกแต่อร่อยมาก ข้าจะบอกผู้ลี้ภัยกลุ่มนี้ในภายหลังว่าพวกเขาตัดสินใจผิดที่เลือกเป็นพันธมิตรกับพวกคนเถื่อนโหดร้าย คนที่มีอารยธรรมก็ควรเลือกที่จะเป็นพันธมิตรกับคนที่มีอารยธรรมแทน เช่นเดียวกับพวกเรา นครรัฐคัททามาน …”


 


“โอ้พระเจ้า ข้าเข้าใจผิด! มันเป็นความผิดพลาดที่ต้องรีบกลับไปฝังหลุมให้ตัวเอง! การเดินทางจากเรือไม่ได้หมายความว่าคนเหล่านั้นจะเป็นผู้ลี้ภัย! แต่พวกเขามาจากโลกอื่นต่างหาก! คำอธิบายที่แปลกประหลาดที่เขียนโดยพระเจ้าโบราณไกอา ในมหากาพย์ ‘ศตวรรษ’ เป็นเรื่องจริง! มีโลกอื่นอยู่จริง ๆ! เป็นไปได้หรือไม่ที่หลายล้านปีที่แล้วหลังจากเกิด ‘ภัยพิบัติหกวัน’ โลกของเราได้กลายเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่สำคัญของ ‘โลกใบใหญ่’ และไร้คู่แข่งมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง? วันพรุ่งนี้ข้าจะออกจากเกาะและกลับไปบอกเล่าถึงการบุกรุกของคนพวกนี้แก่ดินแดนที่มีอารยธรรมทุกแห่ง พวกนี้มา … พวกคนเถื่อนบนเกาะเฮลล์ไฟร์พบถ้ำที่ข้าอาศัยอยู่แล้ว ภายใต้ความหวาดกลัว ข้าลืมเรื่องความเข้มงวดของตัวเองไปจนหมดสิ้น คนเถื่อนพวกนี้ไม่ยอมฟังคำอธิบายของข้าเลยสักนิดแถมยังทุบตีข้าอีก! ข้ารีบหนีไปที่ชายหาดด้วยความสามารถทั้งหมดที่มีและขึ้นขี่ดอลฟิชขนปุยเพื่อหลบหนีมา … ”


 


“ถึงสัตว์ร้ายทางทะเลที่เป็นมิตร ข้าเสียสละชีวิตที่ไม่มีเวลาเหลือมากพอเพื่อร่ายคาถาความเข้าใจนิรันดร์เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใจเนื้อหาของคำที่ข้าเขียนลงบนกระดาษหนังหมาป่าวิเศษนี้ได้ เช่นเดียวกับความฉลาดของไกอา แม้เราจะมีความแตกต่างด้านเชื้อชาติ แต่ข้าหวังว่าท่านจะสามารถทิ้งความเกลียดชังที่ท่านมีและโปรดส่งสารบันทึกนี้ของข้าแด่ท่านลอร์ดอาเดีย ผู้มีอำนาจสูงสุดในการจัดการเมืองบลูเวล นครรัฐคัททามาน โปรดใช้เสื้อคลุมสีเทาของข้ามาเป็นสัญลักษณ์และบอกเขาว่าท่านคือผู้ส่งสารของ  อามานด์นิก นักสำรวจแห่งหมอกแล้วเขาจะเข้าใจได้เอง เมื่อถึงเวลานั้นโปรดมอบกระดาษหนังหมาป่าวิเศษแก่ลอร์ดอาเดียและท่านจะได้รับรางวัลอย่างเหมาะสม ไม่เพียงเท่านั้นแต่ท่านยังอาจกลายเป็นบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์โลกใบนี้เลยก็ได้! เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับโลกทั้งใบของเรา ข้าภาวนาขอให้ท่าน สัตว์ทะเลที่ใจดีส่งต่อข่าวไปยังทุก ๆ ที่ … “


 


จางลี่เฉินอ่านเนื้อหาในม้วนกระดาษจากหนังหมาป่าวิเศษทั้งหมดเพียงอึดใจเดียวก่อนจะจมลึกอยู่ในความคิดของตัวเองไปโดยไม่รู้ตัว


 


คำอธิบายของพระเจ้าโบราณเกี่ยวกับ มหากาพย์ “ศตวรรษ”, ภัยพิบัติหกวัน,


โลกใบใหญ่ที่ดูเหมือนจะก่อตัวขึ้นในบริบทของการเชื่อมโยงระหว่าง ‘บุ๊กมาร์ก’ และ ‘หน้า’ ที่เขารู้มาก่อนซึ่งบ่งชี้ไปที่ความเป็นจริง


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ชายหนุ่มมองไม่เห็นเลยว่าอะไรกันแน่คือความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของการเชื่อมต่อ


 


อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจได้แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลสหรัฐฯถึงเลือกปฏิบัติต่ออาณาจักรเหนือธรรมชาติที่ค้นพบด้วยทัศนคติที่แตกต่างกัน ในฐานะมนุษย์บนโลก แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเขาที่จะเลือกปกป้องตำแหน่งของโลกตัวเอง


 


จางลี่เฉินแกล้งทำเป็นตาบอดเหมือนไม่เคยได้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ด้วยมือทั้งสอง เขาจับแผ่นหนังสัตว์จนแน่นมือขณะพึมพำกับตัวเอง “อามานด์นิก เรื่องนี้มีความสำคัญต่อโลกของคุณอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่คุณมอบความไว้วางใจนี้ให้ผิดคน” จากนั้นเขาก็ออกแรงเพื่อฉีกมันออกจากกัน


 


เดิมทีชายหนุ่มคิดว่าการแผ่นหนังสัตว์นี้จะถูกฉีกออกจากกันเป็นสองส่วน แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบกว่าแผ่นหนังนี้ไม่มีร่องรอยของการฉีกขาดออกจากกันปรากฏอยู่เลยแม้แต่น้อย


 


ด้วยความตกใจจนพูดไม่ออก เขาเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเองแต่แล้วความพยายามของเขาก็ยังไร้ผล


 


“ยากเหลือเกินนะ …” จางลี่เฉินเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนพลางขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย กล้ามเนื้อของเขานูนโป่งมากกว่าที่เคยขณะที่ร่างของเขาค่อย ๆ ขยายตัวกลางทะเล จาก 3 เมตรเป็น 4 เมตร … จนกระทั่งเขาเปลี่ยนเป็นยักษ์ที่มีความสูงถึง 9 เมตรจนมือทั้งสองข้างแทบจะจับแผ่นหนังเอาไว้ไม่ได้ ด้วยพลังทั้งหมดที่มี ชายหนุ่มกัดฟันกรอดจนใบหน้าของเขาถูกฉาบไว้ด้วยความดุร้ายและในที่สุดเขาก็สามารถฉีกแผ่นหนังม้วนเล็ก ๆ นี้ได้สำเร็จ


 


ทันทีที่แผ่นหนังหมาป่าวิเศษเริ่มฉีกขาด แสงสลัว ๆ จาง ๆ ได้ปรากฏออกมาจากรอยก่อนจะไล่แสงไปตามแผ่นหนังด้วยความเร็วที่เร็วมากเพื่อเข้าสู่ฝ่ามือของจางลี่เฉิน


 


จากนั้นไม่นาน ความเจ็บปวดที่รุนแรงก็ได้แล่นผ่านสมองของเขาและตามมาด้วยความรู้สึกรู้แจ้ง


 


ด้วปฏิกิริยาแบบนั้น แผ่นหนังสัตว์ที่ถูกฉีกขาดออกจากกันโดยไม่รู้ตัวโดยชายหนุ่มที่กำลังงงงัน ในที่สุดมันก็ขาดออกเป็นชิ้น ๆ เมื่อการฉีกขาดเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นแสงสว่างสีขาวจาง ๆ ก็เริ่มไหม้บนแผ่นหนังและในที่สุดมันก็กลายเป็นเถ้าถ่าน ตอนนั้นเองที่จางลี่เฉิงหวนกลับสู่ความเป็นจริงและในมือทั้งสองของเขาก็ว่างเปล่าเสียแล้ว


 


เขาไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเขาได้ใช้วิธีที่โหดร้ายและเรียบง่ายที่สุดในการทำลายอามานด์นิก ชายชราจากอาณาจักรเหนือธรรมชาติแห่งนิรันดร์อันหาที่เปรียบมิได้ ความเข้าใจคาถาที่อามานด์นิกต้องการมอบให้กับดินแดนของเขาได้ถูกทำลายผ่านมือของ “สัตว์ประหลาดใจดีในท้องทะเล” โดยไม่รู้ตัวผ่านช่วงเวลาสุดท้ายในชีวิต


 


ถึงแม้จะสับสนแต่ชายหนุ่มก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้แล้วปรบมือเพื่อกลับไปที่ความสูงกว่าสองเมตร ไม่มีเวลาให้มาสิ้นเปลืองอีกต่อไป เขาขึ้นขี่เวิร์มดราก้อนและบินกลับไปในอากาศเพื่อเดินทางค้นหาเส้นทางของเขาต่อ


 


หลาย 10 ชั่วโมงผ่านไป เมื่อจางลี่เฉินรู้สึกหิวเมื่อไหร่เขาจะกินปลาดิบที่ได้จากในทะเล เมื่อเขากระหายน้ำเขาจะใช้ประโยชน์จากร่างกายที่แข็งแรงของเขาหลังการเปลี่ยนแปลงและดื่มน้ำทะเลเย็น ๆ ที่สดชื่น


 


พระอาทิตย์ขึ้นและตกผ่านไปแล้ว 3 ครั้ง ในที่สุดเขาก็ได้เห็นเกาะขนาดใหญ่ที่ทอดยาวหลายร้อยไมล์ต่อหน้าต่อตาในตอนเช้าที่ปลายสุดของท้องฟ้าและมหาสมุทร ไม่เพียงแค่นั้นแต่เกาะนั้นยังดูเหมือนจะมีเรือขนาดใหญ่หลายลำจอดอยู่รอบ ๆ อีกด้วย


 


“เรือ! หาดูจากรูปลักษณ์ของมันแล้ว…มันเหมือบกับเรือรบบนโลกไม่มีผิด…!” ด้วยความตื่นเต้นตกใจ ชายหนุ่มออกคำสั่งให้เวิร์มดราก้อนลอยขึ้นไปในอากาศอย่างต่อเนื่องและบินไปตามเมฆและหมอกเพื่อปิดบังตัวเองขณะที่เขายังคงมุ่งหน้าไปยังเกาะขนาดใหญ่


 


ในขณะที่เขาเริ่มเข้าใกล้มากขึ้น เขาก็พยายามเพ่งสายตามองผ่านก้อนเมฆ จากนั้นภาพที่เห็นก็เริ่มชัดเจนมากยิ่งขึ้น บนเรือรบที่จอดอยู่แต่ละลำจะติดป้าย ‘ชิมพ์ 201’ ถึง ‘ชิมพ์ 205’


 


บนชายฝั่งใกล้กับเรือรบเป็นเมืองที่ล้อมรอบด้วยกำแพงคอนกรีตที่แข็งแรง เป็นบรรยากาศแบบเดียวกันกับหมู่บ้านทั่ว ๆ ไปในอเมริกา


 


ชาวพื้นเมืองจากอาณาจักรเหนือธรรมชาติหลายคนถือกระเป๋าผ้าใบลายพรางของกองทัพเรือสหรัฐฯที่เต็มไปด้วยผลไม้แปลก ๆ หลากชนิดขณะที่พวกเขาเดินผ่านประตูเหล็กขนาดใหญ่ที่เปิดกว้างเพื่อเข้าไปในเมืองและค้าขายกับทหารสหรัฐฯด้วยรอยยิ้ม


 


ชาวพื้นเมืองซื้อขายแร่ เมล็ดพืช และแม้แต่สิ่งของที่แกะสลักด้วยมือในขณะที่ทหารสหรัฐฯทำการค้าด้วยผ้าห่ม เครื่องแต่งตัว ผ้าผืนเล็กที่ทนทาน ช็อคโกแลตแคลอรี่สูงและบิสกิต


 


ถ้าจางลี่เฉินเก่งเรื่องวิชาประวัติศาสตร์สมัยใหม่ตะวันตกเขาจะคิดออกในทันทีว่าฉากที่เขาเห็นอยู่นี้คล้ายคลึงกับฉากการค้ากับอินเดียหลังจากที่ยุโรปได้สร้างการตั้งถิ่นฐานในทวีปอเมริกาเป็นครั้งแรก


 


น่าเสียดายที่ชายหนุ่มไม่มีความรู้ในเรื่องนี้นัก เนื่องจากได้พบกับความหวังในการกลับโลก เขาจึงรีบวนรอบเกาะยักษ์กลางอากาศหลังจากได้พบเกาะ หลังจากใช้เวลา 3 – 4 ชั่วโมงในที่สุดเขาก็พบชายหาดที่ครั้งหนึ่งอลิซาเบธฮอลิเดย์เคยติดอยู่


 


หนึ่งในเสาหินขนาดใหญ่ที่ติดกับเรือก่อนหน้านี้ที่ถูกโครโคดราก้อนกัดได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย อย่างไรก็ตามต้นเสาที่เหลือยังคงมีอยู่บนชายฝั่ง


 


จางลี่เฉินสั่งให้สัตว์อาคมของตัวเองเคลื่อนไหวไปอยู่ข้าง ๆ เสาหินแล้วกระโดดลงพื้น


 


เขายืนอยู่บนชายหาดด้วยความระมัดระวังและหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ในความทรงจำของเขาวัน อลิซาเบธฮอลิเดย์น่าจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางนั้นก่อนที่จะกลับสู่ทะเลนอกนิวยอร์กได้ในที่สุด



ตอนที่ 178

ในตอนนั้นที่เรือยังพอมีเครื่องมือเพื่อบอกตำแหน่งทิศต่าง ๆ แต่จางลี่เฉินมีเพียงความทรงจำที่เลือนลางเป็นตัวช่วยเขาเท่านั้นในตอนนี้ แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะบินไปอย่างไร้จุดหมายโดยไม่คำนึงถึงทิศทางให้ดี อย่างน้อยที่สุดเขาก็ต้องรอให้ถึงช่วงเวลากลางคืนเสียก่อนเพื่อให้เขาสามารถพึ่งพาดวงดาวบนฟ้ากำหนดตำแหน่งทิศได้


 


แม้มันจะดูยุ่งยากแต่อย่างน้อยตอนนี้เขาก็มีความหวังและความมั่นใจมากยิ่งขึ้น


 


เมื่อมองดูตำแหน่งของดวงอาทิตย์เหนือหัว อีกไม่กี่ชั่วโมงท้องฟ้าก็น่าจะเริ่มมืด จางลี่เฉินนิ่งคิดอยู่พักหนึ่งแล้วสั่งให้เกาะมังกรและเวิร์มดราก้อนกลับคืนสู่ขนานปกติ จากนั้นเขาก็กระโดดขึ้นไปอยู่ด้านหลังสัตว์อาคมแล้วออกคำสั่งให้มันเดินลึกเข้าไปในป่า


 


ในช่วงฤดูหนาว พื้นที่ป่าในดินแดนเหนือธรรมชาติจะทั้งเย็นและชื้นแฉะ ใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมาบนพื้นทำให้เกิดกลิ่นเหม็นอ่อน ๆ ทว่าชายหนุ่มกลับนั่งไขว้ขาอยู่บนสัตว์อาคมด้วยความรู้สึกสบายใจ


 


บางครั้งบางคราวเขาก็จะสั่งให้เกาะมังกรสะบัดหางแมงป่องทั้งเก้าเพื่อทำให้สัตว์ประหลาดและแมลงมีพิษมากมายในป่าหนีไปด้วยความตกใจหรือเพื่อออกมาเพื่อทำการคัดเลือก


 


จางลี่เฉินมีความต้องการปรับแต่งแมลงดุร้ายที่มาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา


 


ตอนนี้พลังพ่อมดในร่างกายของเขามีมากพอที่จะร่ายคาถา ‘ดูดกลืน’ ได้หลายพันครั้งรวมถึงคาถา ‘ลดความซับซ้อน’ ที่ทำให้เขาสามารถปรับแต่งสัตว์อาคมได้ตามที่ต้องการ แมลงพิษดุร้ายที่อาศัยอยู่ภายในป่ารอบตัวชายหนุ่มพากันกระโจนตัวออกมาจนกลายเป็นความยุ่งเหยิงของเลือดและเนื้อที่สาดกระจาย มีสัตว์ 2 – 3 ตัวที่ได้รับการปรับแต่งให้กลายเป็นสัตว์อาคมสำเร็จแต่ท้ายที่สุดเขาก็ออกคำสั่งให้พวกนั้นกลายเป็นของว่างของเกาะมังกรเนื่องจากอ่อนแอเกินไป ตลอดทางที่เดินไปข้างหน้า เขายังคงไล่ล่าตามฆ่ามาตลอดทาง


 


แม้จะเป็นการใช้จ่ายพลังงานที่ค่อนข้างน้อยแต่เมื่อนาน ๆ เข้ามันก็เริ่มกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ จางลี่เฉินผู้พยายามมาตลอด 1 – 2 ชั่วโมงแต่ก็ยังไร้ประโยชน์เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าในที่สุด


 


เขาลุกขึ้นยืนอย่างกระทันหันบนหลังของเกาะมังกรแล้วพึมพำกับตัวเองในขณะเลือกเป้าหมายใหม่ “ดูเหมือนโชคในการได้สัตว์อาคมดี ๆ จะหมดลงแล้วสินะ เราต้องการสัตว์อาคมที่สามารถมีพลังอำนาจรอบรู้ได้ในทันทีหลังได้รับการปรับปรุงแต่เหมือนว่ามันจะยากยิ่งกว่าการชนะรางวัลลอตเตอรีซะอีก”


 


ขณะนั้นเองสายตาของเขาก็หันไปเจอต้นไม้ใกล้ ๆ 2 – 3 ต้นที่ส่วนร่มไม้ถูกเชื่อมต่อกันกลางอากาศ ชายหนุ่มอ้าปากค้างเพื่อพ่นพายุไซโคลน หลังจากทำลายร่มไม้เสร็จ เขาใช้คาถา ‘ประกอบ’ ขึ้นในใจขณะที่มองดูกิ่งไม้กระจัดกระจายจำนวนมากพร้อมกับเศษเนื้อจากสัตว์และเลือดที่ร่วงหล่นกองมาบนพื้น


 


ในไม่ช้าคาถาก็เริ่มส่งผลกระทบต่อแมลงนับไม่ถ้วนในป่าจากดินแดนเหนือธรรมชาติ พวกมันรวมตัวกันเพื่อฆ่าและแข่งขันกันเองเพื่อเศษเนื้อที่ผสมกับเลือดบนพื้น


 


ชายหนุ่มเฝ้ามองดูแมลงพิษหลายพันตัวที่กำลังต่อสู้กันด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสนใจ เขานั่งลั่งรออย่างเงียบ ๆ เพื่อดูว่าจะมีอะไรทำให้เขาประหลาดใจได้หรือไม่


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อแมลงมีพิษมีจำนวนน้อยลงและผู้รอดชีวิตเริ่มแสดงการเปลี่ยนแปลงขนาดของร่างกาย ทันใดนั้นความปั่นป่วนอย่างฉับพลันก็ปะทุขึ้นจากส่วนลึกในป่า


 


สัตว์ประหลาดที่มีความสูง 2 เมตร ความยาว 7 – 8 เมตร ที่มีความคล้ายคลึงกับแรดเพียงแต่ไม่มีนอกลางหน้าผากกำลังวิ่งออกมาจากป่า กีบเท้าทั้งสี่ของมันเหยียบย่ำพื้นดินจนเผลอเป็นการสาดน้ำโคลนไปรอบ ๆ ก่อนที่จะเหยียบลงบนกิ่งก้านที่จางลี่เฉินได้ร่ายคาถาเอาไว้


 


ไม่ว่าศักยภาพของแมลงจะยิ่งใหญ่เพียงใดแต่ก่อนที่พวกมันจะถูกดัดแปลงให้เป็นสัตว์อาคมพวกมันก็ยังเป็นแค่เพียงแมลงที่จะถูกเหยียบย่ำโดยสัตว์ประหลาดที่มีน้ำหนักหลายตันลงไปในแอ่งน้ำและจมลึกลงไปใต้ดิน


 


เมื่อเห็นว่าแมลงมีพิษของเขาทั้งหมดที่ถูกเลือกมาเป็นพิเศษโดยคาถาต้องมาตายอย่างไร้เหตุผล จางลี่เฉินกัดฟันกรอดพร้อมกับแสยะยิ้มร้าย ราวกับมีสปริงติดอยู่ที่ขา จางลี่เฉินกระโดดขึ้นหลังสัตว์อาคมเพื่อมุ่งหน้าตรงไปหาสัตว์ประหลาดตัวนั้น


 


ขณะที่เขากำลังเข้าใกล้สัตว์ร้ายที่มีผิวสีดำ แขนขวาของเขาเหวี่ยงหมัดออกเพื่อส่งสัตว์ประหลาดบินลอยออกไปด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว


 


“รอวร์…” สัตว์ประหลาดตะโกนเสียงดังก้องไปทั่วอากาศเป็นครั้งสุดท้าย ดวงตาโตขนาดใหญ่ของมันกลายเป็นสีแดงก่ำก่อนที่จะระเบิดออกมาพร้อมเสียงดัง ‘ป๊อป’ จากนั้นเลือดสดก็ไหลพุ่งออกจากปากและจมูกก่อนจะล้มลงไปกับพื้นอย่างไร้กำลังแล้วหยุดหายใจไปในที่สุด


 


แม้กระบวนการที่เกิดขึ้นจะใช้พลังงานที่สะสมมาเป็นส่วนสำคัญ แต่ความจริงที่ว่าจางลี่เฉินสามารถฆ่าสัตว์ประหลาดที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวเขาได้แค่เพียงหมัดเดียวทำให้เขาตกใจเป็นอย่างยิ่ง


 


“โอ้ ว้าว หมัดทะลวงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังจริง ๆ! ขนาดเราฝึกมาแค่เพียงไม่กี่วันยังมีพลังทำลายมากขนาดนี้ มันสามารถฆ่าสัตว์ประหลาดที่มีขนาดใหญ่กว่าเราหลายเท่าได้อย่างง่ายดาย หลังการเปลี่ยนแปลง ความแข็งแกร่งทางกายภาพ พลัง และความยืดหยุ่นของเราจะเหนือกว่าคนทั่วอย่างไม่ต้องสงสัย แต่อย่างน้อยเราก็ต้องขยายร่างกายให้สูง 5 – 6 เมตรก่อนที่จะฆ่าสัตว์ประหลาดนั่นในครั้งเดียวได้…”


 


ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังพูดพึมพำกับตัวเอง ชาวพื้นเมืองที่เป็นคนแคระประมาณ 20 – 30 ถือหอกพร้อมส่งเสียงคำราม “อูวะ ๆ ๆ” มาจากทางเดียวกันกับสัตว์ประหลาด


 


เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าชาวพื้นเมืองเหล่านี้กำลังไล่ล่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นอยู่ เมื่อพวกเขาเห็นสัตว์ร้ายนอนราบอยู่บนพื้นพวกเขามองหน้ากันด้วยความสับสนและเริ่มพูดคุยกันในขณะที่ยังคงส่งเสียง “อูวะ ๆ ๆ” จากนั้นก็หันมาจ้องมองจางลี่เฉินผู้ซึ่งกำลังงงงัน


 


ชายหนุ่มเคยเจอกับคนพื้นเมืองพวกนี้มาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนแคระที่อ่อนแอ มันเป็นเรื่องง่ายที่จะฆ่าคนพวกนี้ได้ทั้งหมด


 


เช่นเดียวกับสิงโตตัวผู้ที่จะไม่ให้ความสนใจกับละมั่งอ่อนแอที่บุกเข้ามาในเขตแดนของตัวเองในตอนที่มันยังไม่หิวกระหาย จางลี่เฉินจึงไม่สนใจว่าคนพื้นเมืองพวกนี้ต้องการจะทำอะไร


 


เขาคิดเพียงแค่ว่าถ้าชาวพื้นเมืองพวกนี้ไม่เข้ามารวบกวนเขา เขาก็จะปล่อยพวกนั้นไป แต่ถ้ามีใครคนใดคนหนึ่งคิดที่จะทำร้ายเขาขึ้นมาก่อน เขาจะเปลี่ยนมนุษย์แคระทั้งหมดนี้ให้เป็นอาหารของสัตว์อาคมไปซะ


 


อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปนั้นไกลเกินความคาดหมายของจางลี่เฉินไปมาก ชาวพื้นเมืองต่างจ้องมองมาที่เขาด้วยการแสดงออกว่าพวกเขากำลังรู้สึกซาบซึ้งใจต่อจางลี่เฉินอย่างมาก ผู้เฒ่าหลายคนเดินเข้ามาหาเขาด้วยความเมตตาและใช้ปลายแขนแตะที่ตัวของชายหนุ่ม ขณะเดียวกันพวกชายหนุ่มก็หันมามองจางลี่เฉินเป็นครั้งคราวด้วยสายตาชื่นชมขณะที่ใช้มีดล่าสัตว์เพื่อตัดส่วนเนื้อต่าง ๆ


 


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง พวกเขาก็เอาส่วนเนื้อที่อร่อยที่สุดที่ได้มาจากอกขาหลังและบั้นท้ายมาวางไว้ด้านหน้าจางลี่เฉิน


 


เมื่อได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพจากชาวพื้นเมือง ณ อาณาจักรเหนือธรรมชาติ ชายหนุ่มรู้สึกสับสนและพูดไม่ออกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขามองชาวพื้นเมืองที่อยู่ตรงหน้าด้วยความงงงันและสังเกตเห็นว่าใบหน้าที่น่าเกลียดของคนแคระเหล่านี้เต็มไปด้วยความเป็นมิตรและความเคารพอย่างแท้จริง ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงความเข้าใจผิดของชายชราอามานด์นิกที่มีต่อตัวเขาจนทำให้หัวใจของเขาเต้นระส่ำ


 


“สัตว์ประหลาดทางทะเล…” จางลี่เฉินจ้องมองลงไปที่แขนหนา ๆ ของตัวเองที่มีเกล็ดสีน้ำเงินและสีเหลืองปรากฏอยู่จาง ๆ ก่อนจะพึมพำออกมา “สัตว์ประหลาดทางทะเล…”


 


เมื่อเขาพูดคำว่า “สัตว์ประหลาดทางทะเล” เป็นครั้งที่สอง รอยยิ้มที่เป็นมิตรก็พุ่งขึ้นบนใบหน้าของเขา เขาจับชิ้นเนื้อไปไว้บนใบไม้สะอาดแล้วส่งกลับไปยังผู้เฒ่าชาวพื้นเมืองขณะสัมผัสกับหน้าท้องของตัวเองเพื่อแสดงท่าทางว่าเขาอิ่มแล้ว


 


ชาวพื้นเมืองต่างพากันส่งเสียงรื่นเริงและยอมรับความตั้งใจดีของชายหนุ่มโดยไม่ขัดข้อง พวกเขาเริ่มหยิบกิ่งไม้และเริ่มก่อกองไฟก่อนที่จะโยนเนื้อสัตว์ประหลาดเข้าไปในกองไฟเพื่อทำอาหาร ก่อนที่กลิ่นเลือดจะถูกกำจัดออกไปได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขาใช้มีดล่าสัตว์แล่เอาเนื้อออกมาและเริ่มเคี้ยวกันอย่างเอร็ดอร่อย


 


จางลี่เฉินเฝ้าดูชาวพื้นเมืองจัดการชิ้นเนื้อสัตว์ประหลาดอย่างเงียบ ๆ เขาสังเกตเห็นว่าหนึ่งในชาวพื้นเมืองกำลังใช้ไฟแช็กแบบใช้แล้วทิ้งอย่างระมัดระวังซึ่งมีคำพิมพ์ไว้ด้วยว่า ‘ผลิตในประเทศจีน’ มันทำให้เขารู้สึกตกใจอย่างมาก


 


เกาะขนาดใหญ่ในอาณาจักรเหนือธรรมชาติที่เขาอยู่ขณะนี้มีขนาดที่ใหญ่มาก ในป่าที่ชายหนุ่มอยู่อยู่ห่างจากที่ตั้งของกองทัพสหรัฐฯไปอย่างน้อยประมาณ 200 กิโลเมตร ถึงกระนั้นชาวพื้นเมืองพวกนี้ก็จำเป็นต้องใช้ชีวิตประจำวันบนโลกไปตามปกติ นั่นหมายความว่าอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาได้แผ่กระจายไปทั่วทั้งเกาะแห่งนี้แล้ว


 


“พวกยักษ์ใหญ่ในกองทัพสหรัฐฯกำลังพยายามทำอะไรกันแน่…” จางลี่เฉินพูดพึมพำกับตัวเองแล้วเดินไปหาชาวพื้นเมืองที่กำลังกินอยู่ ขณะที่จางลี่เฉินกำลังจะเข้าไปถามว่าได้ไฟแช็กมาจากไหน เขาก็รู้สึกราวกับว่าจิตใจของเขาถูกชะล้างด้วยความเยือกเย็นบางอย่าง ทันทีที่เขาเอ่ยออกไป มันกลายเป็นภาษาของชาวพื้นเมืองโดยตรง “พวกท่านได้วัตถุก่อไฟนี้มาจากที่ใด?”


 


แม้ชาวพื้นเมืองจะคิดว่ามันแปลกประหลาดมากที่สัตว์ประหลาดทางทะเลตรงหน้าพวกเขาสามารถพูดภาษาเฮลล์ไฟร์ได้อย่างคล่องแคล่วแต่ก็ยังตอบกลับมาด้วยความเคารพ “ท่านสัตว์ประหลาดทางทะเล สิ่งประดิษฐ์นี้เป็นรางวัลสงครามที่เราได้รับหลังจากเอาชนะเผ่าทูลุนตอนที่พวกเราถูกจับไปเป็นทาสได้ หากเราเดินไปทางฝั่งตะวันตกของเกาะเพื่อชมพระอาทิตย์ตกดินสองครั้งเราจะเห็นเรือลึกลับและเรือเหล็กขนาดใหญ่หลายลำ ผู้เป็นนายของเรือเหล็กเหล่านี้จะใช้วัตถุเวทมนตร์ทุกชนิดเพื่อแลกกับเมล็ดที่ไร้ประโยชน์และสัตว์ขนาดเล็กที่ถูกจับได้ในป่า”


 


ผู้นำชาวพื้นเมืองมอบคำตอบให้อย่างละเอียดแต่ทว่าจางลี่เฉินไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่ชาวพื้นเมืองพูดเลยสักนิด เขาจ้องมองด้วยความเบิกกว้างขณะคิดกับตัวเองด้วยความงุนงงอย่างมากว่าทำไมเขาถึงพูดภาษาพื้นเมืองของอาณาจักรเหนือธรรมชาติได้อย่างคล่องแคล่วเช่นนี้


 


จากนั้นไม่นานเขาก็จำบันทึกส่วนหนึ่งในแผ่นหนังได้ว่า “ภาษาของพวกเขาซับซ้อนมากแม้ว่าข้าจะมีคาถาความเข้าใจชั่วนิรันดร์ที่ได้รับมาจากซากปรักหักพังจากวัดโบราณไกอาก็ตาม ในที่สุดข้าก็ใช้เวลาถึง 12 วันเต็มในการสื่อสารกับพวกเขา … วันนี้คือวันที่ 12 ความเข้าใจชั่วนิรันดร์มีผลแล้วและข้าก็ได้เรียนรู้ว่าขนมหวานนั้นเรียกว่า ‘ช็อคโกแลต’ ช่างเป็นชื่อที่แปลกแต่อร่อยมาก….”


 


“คาถาความเข้าใจชั่วนิรันดร์ … ความเข้าใจชั่วนิรันดร์….” ดวงตาของจางลี่เฉินก็สว่างขึ้นในทันใด “เราคงได้รับคาถาของอามานด์นิกที่ผนึกไว้ในม้วนแผ่นหนังวิเศษจากตอนที่เราฉีกมันออกจากกัน แม้ว่าชายชราผู้มีเล่ห์เหลี่ยมจะเขียนจดหมายด้วยความจริงใจ แต่ดูเหมือนว่าเขายังคงซ่อนความลับเอาไว้อีกมากมาย บางทีถ้าเราไปที่เมืองบลูเวลล์ของนครรัฐคัททามานเพื่อส่งจดหมายฉบับนี้ ตอนนั้นเราอาจจะถูกฆ่าแทนที่จะได้รับรางวัลก็ได้!”


 


“บุตรแห่งท้องทะเล ทะ ท่านว่าอย่างไรหรือ?” เมื่อผู้นำชาวพื้นเมืองเห็นสัตว์ร้ายมีการแสดงออกถึงของความตกใจ ความประหลาดใจ และความโกรธแค้นขณะที่พึมพำกับตัวเองด้วยภาษาแปลก ๆ จึงถามออกไปอย่างใจจดใจจ่อ


 


“ไม่มีอะไร ท่านหัวหน้าคนป่า ข้าอย่างถามอะไรสักท่านสักอย่าง พวกท่านวางแผนที่จะไล่ล่าไปจนถึงค่ำคืนนี้เลยหรือไม่? หากพวกท่านต้องการเช่นนั้น ข้ายินดีช่วยท่านตามล่าสัตว์ใหญ่ได้” จางลี่เฉินตอบเมื่อกลับสู่ความเป็นจริงและถามด้วยรอยยิ้ม


 


“ขอบใจท่านมาก บุตรแห่งท้องทะเลผู้ยิ่งใหญ๋” ผู้นำชาวพื้นเมืองตอบรับด้วยความสุขก่อนจะทำหน้าผิดหวัง “แต่ซอยบลูผิวดำตัวนี้เป็นเหยื่อที่ใหญ่ที่สุดที่เราจะสามารถขนย้ายได้…”


 


“หากเผ่าของพวกท่านอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ก็ไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าสามารถช่วยพวกท่านขนย้ายซอยบลูผิวดำตัวใหญ่ไปไว้ให้ก่อนได้” รอยยิ้มเป็นมิตรปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ดุร้ายของจางลี่เฉินในขณะที่เขาตอบกลับ



ตอนที่ 179

ไมตรีจิตที่ได้รับจากสัตว์ประหลาดทางทะเลทำให้เหล่าผู้นำชาวพื้นเมืองรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง เมื่อหันมองไปรอบ ๆ เขาชี้ไปยังป่าที่ห่างไกล “บุตรแห่งท้องทะเลที่เคารพ  ชนเผ่าบรรพบุรุษของเราอยู่ภายใต้เชิงเขา…”


 


“ดี…ข้าจะพาอาหารนี้กลับไปที่เผ่าของพวกท่านให้หลังจากนั้นไม่นาน” จางลี่เฉินมองทิศทางตามการชี้นิ้วของชาวพื้นเมืองก่อนจะสังเกตเห็นว่ามันไม่มีอะไรอื่นนอกจากใบไม้ เขามองไม่เห็นเงาของภูเขาเมื่อมองไปยังขอบฟ้า อย่างไรก็ตามเขายังคงยืนยันในคำพูดของตัวเอง


 


เหตุผลที่ชายหนุ่มทำเช่นนั้นแน่นอนว่าไม่ใช่เพราะว่าเขารู้สึกเบื่อหรือเป็นห่วงเป็นใยชาวพื้นเมืองที่นี้ว่าจะอดอยากหรือไม่ แต่เขาต้องการรู้ว่าคาถาความเข้าใจชั่วนิรันดร์มีประสิทธิภาพมากเพียงใด


 


ในความเป็นจริง ข้อพิพาทที่ไม่จำเป็นนับไม่ถ้วนมักเกิดจากความไม่เข้าใจกันระหว่างการสื่อสารจากทั้งสองฝ่าย ในยุคนี้ที่ประตูของอาณาจักรเหนือธรรมชาติปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องบนโลก ไม่เคยมีใครบอกว่าความสามารถในการสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดนั้นจะมีค่ามากเพียงใด มันจำเป็นอย่างยิ่งที่เขาจะต้องรู้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในเวลาอันสั้น


 


ตอนนี้เขาได้พูดในฐานะสัตว์ประหลาดทางทะเลเพื่อช่วยชาวพื้นเมืองในการล่าสัตว์ ชาวพื้นเมืองจึงเลือกที่จะอยู่ข้างเขาด้วยความเต็มใจ อีกทั้งความเร็วที่พวกเขากินเนื้อก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามเช่นกัน


 


ไม่นานหลังจากนั้นชาวพื้นเมืองที่เติมเต็มอาหารจนเต็มท้องก็เริ่มเปิดภาชนะที่มีลักษณะคล้ายกับเปลือกไม้ไผ่สีน้ำตาลที่ผูกไว้ที่เอวของพวกเขาเพื่อดื่มน้ำเย็นฉ่ำสองสามอึกก่อนจะลุกขึ้นจากพื้นดินขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน


 


เมื่อเห็นว่าชาวพื้นเมืองกินกันจนอิ่มท้องแล้ว จางลี่เฉินเดินเข้าไปใกล้ซอยบลูผิวดำที่ยังมีเนื้อเหลือกว่า 90 % จากนั้นก็จับขาหน้ามันไว้ทั้งสองข้างและยกแบกขึ้นเหนือไหล่ของเขา เขาลองเดิน 2 – 3 ก้าวแล้วพบว่าตัวเองสามารถแบกมันกลับไปได้เขาจึงตะโกนออกไปเสียงดังว่า “คนป่า จงนำทาง แสดงเผ่าที่พวกท่านอยู่ให้ข้าได้เห็น”


 


“อูวะ ๆ ๆ บุตรแห่งท้องทะเลผู้กล้าหาญ ท่านมีพลังมากยิ่งนัก ท่านจะต้องเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาบุตรแห่งท้องทะเล พวกเราชาวเผ่าทูเดอนันขอสรรเสริญท่าน…”  เมื่อเห็นจางลี่เฉินเปียกโชกไปด้วยเลือดสีดำที่ไหลลงมาจากร่างใหญ่ของสัตว์ประหลาดอย่างต่อเนื่องขณะลากเจ้ายักษ์นี้เดินไปข้างหน้า ชาวพื้นเมืองต่างตกตะลึงและส่งเสียงด้วยความปิติ


 


คนหนุ่ม ๆ 2 – 3 คนที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนรีบกระโดดและปีนป่ายไปตามทางเพื่อนำทางให้จางลี่เฉิน จากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็ค่อย ๆ เดินออกจากป่าเพื่อกลับเผ่า


 


ที่พักอาศัยของชาวพื้นเมืองนี้ตั้งอยู่ในแอ่งภูเขาขนาดเล็กที่ซ่อนอยู่ในป่า ข้างหุบเขาจะมีน้ำตกสายเล็กไหล เนื่องจากทรัพยากรน้ำมีจำกัด ประชากรของทั้งเผ่าจึงน้อยกว่า 2,000 คน พวกเขาทั้งหมดอยู่ในบ้านที่ทำจากเปลือกไม้


 


เผ่านี้มีช่างที่มีฝืมือที่เรียบง่ายและดั้งเดิมอยู่เช่นช่างตีเหล็ก ช่างทำอาวุธ ช่างทำหนัง และอื่น ๆ ไม่เพียงแค่นั้นแต่พวกเขายังมีประวัติอันยาวนานบันทึกไว้ในกระดาษเปลือกไม้อีกด้วย


 


เมื่อจางลี่เฉินลากซอยบลูผิวดำขนาดใหญ่กลับมาที่เผ่าได้สำเร็จ เขาได้รับการต้อนรับจากสมาชิกที่เหลือทั้งหมดของเผ่าอย่างอบอุ่น


 


ในฐานะที่เป็น ‘บุตรแห่งท้องทะเล’ จอมปลอมและสหายที่คิดมีเมตตาต่อหน้าชนเผ่าทูเดอนัน  เขาได้รับเชิญจากหัวหน้าเผ่าให้เข้าสู่บ้านเปลือกไม้ที่ใหญ่ที่สุดถัดจากเสาโทเท็มที่ซึ่งเก็บหนังสือทางประวัติศาสตร์โดยเฉพาะของเผ่าทูเดอนันเอาไว้ภายใน


 


ขณะนั่งอนู่บนเบาะขนปุย จางลี่เฉินกำลังมองดูหนังสือเล่มหนาในมือที่เต็มไปด้วยภาพวาดสัตว์ที่มีสีสันและตัวละครต่าง ๆ จางลี่เฉินสังเกตเห็นว่าภาพในหนังสือเล่มนี้คล้ายกันกับภาพแกะสลักบนโทเท็ม ไม่เพียงเท่านั้นแต่เขายังสามารถเข้าใจความหมายของคำที่เขียนอยู่ในหนังสือนี้ได้อีกด้วย


 


ด้วยความสามารถที่ยอดเยี่ยมของคาถาความเข้าใจชั่วนิรันดร์ทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจขึ้นโดยไม่รู้ตัว


 


เมื่อได้เห็นความตื่นเต้นของสัตว์ประหลาดทางทะเล หัวหน้าเผ่าทูเดอนันที่ใบหน้าเหี่ยวย่นและกำลังดูเหมือนจะง่วงนอนในตอนนี้ก็เอ่ยถามไปว่า “ท่านบุตรแห่งท้องทะเล ข้าสงสัยว่าท่านจะเต็มใจทิ้งภาพของท่านลงไว้ในหนังสือทางประวัติศาสตร์ของชนเผ่าทูเดอนันของเราหรือไม่?”


 


การร้องขอของหัวหน้าเผ่าทำให้นักรบที่ปกป้องเขามาตลอดแสดงใบหน้าที่ดูน่าหวาดกลัวขึ้นมา อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขานึกถึงช่วงเวลาที่จางลี่เฉินผู้ซึ่งถูกปกคลุมด้วยเลือดสดขณะก้าวย่างครั้งใหญ่เพื่อถือร่างสัตว์ยักษ์กลับมาที่เผ่า เขาจำถึงคำพูดของคนที่ออกไปล่าสัตว์ได้ พวกนั้นพูดกันว่าเป็นเพราะสัตว์ประหลาดทางทะเลนี้ที่สามารถฆ่าซอยบลูผิวดำได้ด้วยตัวคนเดียว เนื่องจากฝ่ามือขนาดมหึมาพิมพ์ที่ประกับอยู่หน้าท้องของสัตว์ร้ายนั้นเป็นบาดแผลที่ร้ายแรง และเมื่อระลึกถึงชนเผ่าที่มีประสบการณ์มากว่า 1750 หนาวที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในหมู่คนเฮลล์ไฟร์ นักรบลดระดับศีรษะของตัวเองโดยไม่ได้พูดอะไรจากนั้นก็กลับคืนความเคารพที่มีต่อจางลี่เฉินอีกครั้ง


 


“ทิ้งภาพเอาไว้? ข้าทำแบบนั้นได้ด้วยหรือ?” เมื่อได้ยินคำพูดจากหัวหน้าเผ่า จางลี่เฉินผู้ไม่ทราบถึงความหมายของการทิ้งชื่อของเขาลงบนหนังสือเผ่าของเฮลล์ไฟร์เอ่ยถามอย่างไม่ตั้งใจ


 


แน่นอนถ้าเขาเพิ่มรูปวาดของตัวเองลงไปในหนังสือประวัติศาสตร์ของชนเผ่าทูเดอนัน เขาจะได้รับสิทธิ์ในการเพลิดเพลินกับสิ่งที่เผ่านำเสนอให้ร่วมถึงภาระหน้าที่ในการปกป้องเผ่า


 


“แน่นอนท่านผู้ยิ่งใหญ่ ตราบใดที่ท่านเต็มใจ ข้าสามารถวาดรูปของท่านได้ในทันที”


 


“ท่านเองก็เป็นนักวาดหรือ? ท่านหัวหน้าลูล่า ลูกิ นับเป็นเกียรติสำหรับข้าอย่างมาก” จางลี่เฉินส่งยิ้มแปลก ๆ ขณะส่งหนังสือเปลือกไม้กลับไปให้ที่หัวหน้าเผ่า


 


หัวหน้าเผ่าหยิบหนังสือกลับคืนมาและนำกระดาษเปลือกไม้ที่ไม่ค่อยมีคุณภาพดีนักออกมาจากกล่องไม้ที่วางไว้บนแท่นบูชากลางเหนือที่นั่งอันทรงเกียรติในบ้านเปลือกไม้นี้ จากนั้นเขาก็จุ่มนิ้วของเขาลงไปในเลือดแมลงมีพิษที่มีสีสันก่อนที่จะวาดลงบนกระดาษเพื่อวาดภาพลักษณ์ของจางลี่เฉินที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงแล้วอย่างชัดเจน


 


“ท่านบุตรแห่งท้องทะเล ท่านมีนามว่าอะไรหรือ?”


 


“จางลี่เฉิน” เดิมทีชายหนุ่มต้องการปลอมแปลงชื่อตัวเองแก่ชาวพื้นเมืองที่มีผมหงอกอยู่ข้างหน้าเขา แต่แล้วชื่อภาษาจีนของเขาก็โพล่งออกมาจากปากของเขาแทน


 


สถานการณ์ที่มอบคำอธิบายใด ๆ ให้ไม่ได้ทำให้จางลี่เฉินตกตะลึงเนื่องจากลางสังหรณ์ไม่ดีที่เกิดขึ้นในใจ ใเวลาตอนนั้นหัวหน้าเผ่าทูเดอนันได้วางกระดาษเปลือกแข็งลงแล้ววาดรูปของเขาลงในหนังสือประวัติศาสตร์ของชนเผ่า นอกจากนี้เขายังเขียนคำสองสามคำเป็นภาษาเฮลล์ไฟร์ที่มีการออกเสียงคล้ายกันกับชื่อ ‘จางลี่เฉิน’ ลงไปอีกด้วย


 


ขณะที่ชายชรากำลังนั่งอยู่บนพื้น เขาก้มศีรษะของตัวเองจมไปกับหน้าอก “จางลี่เฉิน ผู้พิทักษ์ของเผ่า ขอให้ท่านอยู่ปกป้องทูเดอนันไปชั่วนานกัลปาวสานเทอญ”


 


นักรบที่อยู่ด้านหลังคุกเข่าขณะถือหอกยาวพร้อมกับก้มศีรษะของพวกเขาให้จางลี่เฉิน


 


เป็นเรื่องที่ดีที่นอกเหนือจากการเปลี่ยนทัศนคติการให้ความเคารพและยอมจำนนต่อจางลี่เฉินแล้วมันไม่มีสิ่งแปลกใด ๆ เกิดขึ้นตามมา ราวกับหัวใจของจางลี่เฉินถูกยกระดับขึ้นจนในที่สุดเขาก็สามารถผ่อนคลายลงได้บ้าง


 


อย่างไรก็ตามมันยังมีความน่ากลัวอยู่ด้วยเสมอกับทุกสิ่ง แม้เขาจะโล่งใจแต่เขาก็ตัดสินใจอะไรขึ้นมาได้ 2 สิ่ง


 


หนึ่ง – เขาจะไม่ยอมรับคำขอแปลก ๆ ที่เขาไม่เข้าใจไม่ว่าจะเป็นบนอาณาจักรเหนือธรรมชาติหรือบนโลก


 


สอง – เขาต้องการออกจากเผ่าทูเดอนันตอนนี้ทันที!


 


“ท่านหัวหน้าลูล่า ลูกิ ข้าได้ยินเสียงข้อความจากสายลม ท้องทะเลกำลังเรียกหาตัวข้า…” ชายหนุ่มสร้างสิ่งสมมุติขึ้นมาและวิ่งออกจากบ้านเปลือกไม้ไปอย่างรวดเร็ว  โดยไม่ต้องหันไปดูนักรบที่กำลังรอเขาอยู่ด้านนอกเพื่อตามล่า เขากระโดดขึ้นไปพร้อมกับพลังทั้งหมดที่เขามี


 


ด้วยความสูงจากการกระโดดเกือบ 100 เมตรท่ามกลางการจ้องมองของชาวพื้นเมืองที่กำลังตกตะลึง จางลี่เฉินเพียงก้าวเดินต่อไปไม่กี่ก้าวเขาก็ได้หายเข้าไปในป่าลึกทันที


 


ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว หลังจากที่ชายหนุ่มออกกระโจนด้วยความสามารถทั้งหมดที่เขามี เชาใช้เวลา 2 – 3 นาทีหลังตรวจสอบทิศทางของตัวเอง เขาพุ่งชนกับต้นไม้ยักษ์ไปหลายร้อยต้นก่อนจะไปที่ชายหาดที่อลิซาเบธ ฮอลิเดย์เคยติดอยู่ก่อน


 


เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า จางลี่เฉินได้จดจำตำแหน่งของดาวที่ส่องสว่างทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ จากนั้นเขาก็สั่งให้เวิร์มดราก้อนขยายตัวและขึ้นขี่สัตว์อาคมของตัวเอง เขาพุ่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าและแยกเมฆออกเป็นสองส่วนเพื่อจะได้บินขึ้นไปยืนอยู่เหนือทะเล


 


อาศัยสัญญาณตามตำราโหราศาสตร์ ชายหนุ่มสั่งให้เวิร์มดราก้อนบินตรงไปในทิศทางเดียวกัน อย่างไรก็ตามเขาได้ปรับมุมมองของการบินอย่างต่อเนื่อง พวกเขาเคลื่อนที่ไปข้างหน้าในลักษณะแบบการหมุนของพัดลม ในที่สุดเมื่อถึงรุ่งเช้ามาถึง เขาก็ได้ยินเสียงแตรรถที่คลุมเครือดังมาจากระยะไกล


 


“ออกมาได้แล้ว! ออกมาจากอาณาจักเหนือธรรมชาติและกลับมาบนโลกอีกครั้งได้แล้ว!”  จางลี่เฉินพึมพำด้วยความประหลาดใจและด้วยความยินดีท่ามกลางเมฆของกระแสไฟฟ้าขนาดเล็ก


 


เขาเพ่งตาเพื่อจะได้มองเห็นอะไรได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ในที่สุดเขาก็พบแสงบอบบางที่ค่อย ๆ ลอยไปบนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่


 


ในไม่ช้าเขาก็สั่งให้เวิร์มดราก้อนบินไปตามแสงเพื่อมาที่ท่าเรือควีนส์ที่มีแสงสว่างในนิวยอร์ก จากนั้นเขาก็บินออกจากเมืองไปตามแนวชายฝั่ง 10 นาทีต่อมาเขาก็ได้เห็นโรงงานขนาดใหญ่ของตัวเองที่ตั้งอยู่ชานเมืองของนิวยอร์ก


 


“ในที่สุด!” จางลี่เฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอกอยู่นานทำให้ร่างกายของเขาลดลงไปเกือบ 20 เซนติเมตร จากนั้นเขาก็กระโดดลงจากหลังของสัตว์อาคม


 


หลังจากว่ายน้ำขึ้นฝั่งแล้วเขาก็แอบเข้าไปในโรงฆ่าสัตว์ LS อย่างระวัง เปิดประตูด้วยลายนิ้วมือและรูม่านตาก่อนจะกลับขึ้นไปที่สำนักงานของตัวเอง


 


ในความมืดสุดท้ายช่วงรุ่งสาง ชายหนุ่มกลับมาอยู่ในร่างขนาดปกติและอาบน้ำอุ่นในห้องน้ำก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่


 


หลังจากที่เขาฟื้นสภาพกลับมาเป็นผู้มีอารยะธรรมตามเดิมได้แล้ว เขาก็หยิบโทรศัพท์และกุญแจจากโต๊ะเพื่อเดินออกจากสำนักงานไป


 


ขณะนั้นเองที่ดวงอาทิตย์เริ่มลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อมอบแสงสว่างมากขึ้น ก่อนที่เขาจะขึ้นรถจางลี่เฉินตระหนักได้ว่าภายในโรงงานของเขาถูกฉาบไปด้วยโปสเตอร์สำหรับการหาเสียงของพรรคริพับลิกัน  ไม่เพียงเท่านั้นแต่ยังมีการเรียกร้องเชิญชวนให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการเลือกพรรครีพับลิกันและทางโรงงานจะจัดรถรับส่งและอาหารเย็นให้ฟรี ๆ


 


สิ่งนี้คงเป็นสิ่งที่ชาร์ลีทำเอาไว้เพื่อผู้สมัครทำเนียบขาวที่ทรงพลังบางคนภายใต้คำสั่งของพ่อทีน่า เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างเบา ๆ ขึ้นมาเพียงลำพัง


 


ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีมันเป็นไปไม่ได้ที่ประชาชนจะลงคะแนนเสียงให้กับคนแปลกหน้าที่พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน


 


ดังนั้นนอกเหนือไปจากการสะสมประสบการณ์ทางการเมืองดั้งเดิมของพรรค ผู้สมัครผ่านการปราศรัย ทีมหาเสียง และรูปแบบดังกล่าวเพื่อแสดงเสน่ห์ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือการใช้จ่ายเงินเป็นจำนวนมากในการโฆษณาและเชื้อเชิญทางการเมืองและธุรกิจที่มีอิทธิพลในสังคมเพื่อสร้างแรงผลักดันให้กับตัวเอง


 


แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่โรงฆ่าสัตว์ LS จะบังคับให้เกษตรกรทุกคนลงคะแนนเสียงให้กับพรรครีพับลิกัน แต่มันอาจขึ้นอยู่กับคำขวัญในโรงงาน   การชุมนุมที่เป็นประโยชน์การเลือกตั้ง และการสื่อสารของผู้อำนวยการสหภาพเกษตรกรหลายร้อยแห่งที่มีอิทธิพลต่อการเลือกอนาคตของประชากรเกษตรเกือบ 30% ในนิวยอร์ก เป็นที่ที่ซึ่งคุณค่าทางการเมืองของจางลี่เฉินก่อตั้ง


 


คำว่าคุณค่าอาจฟังดูอ่อนโยนและนุ่มนวล แต่ในสหรัฐอเมริกาไม่มีการช่วยเหลือจากผู้ที่อยู่เบื้องหลังสำหรับผู้สมัครที่ประสบความสำเร็จ



ตอนที่ 180

ขณะที่เขาขับเอกซ์พลอเรอร์ออกจากโรงงาน จางลี่เฉินก็เปิดการเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือของตัวเองผ่านบลูทูธรถทันทีขณะที่เขาขับไปตามเส้นทางหลวง


 


จำนวนสายไม่ได้รับที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอควบคุมส่วนกลางของรถไม่ใช่ใครอื่นนอกจากลิลี่ผู้เป็นแม่ของเขาเอง หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ตัดสินใจกดโทรออกเพื่อโทรกลับหาเธอ


 


แม้ว่ามันจะเพิ่งหกโมงเช้าและดวงอาทิตย์ก็กำลังขึ้นพ้นขอบฟ้า ทว่าปลายสายอีกฝั่งกลับถูกรับในทันทีเพียงเสียงสัญญาณครั้งแรก “ลูกรัก! ลูกไปไหนมา! แม่เป็นห่วงแทบบ้าตายเลยรู้ไหม?! แม่โทรหาลูกแทบจะตลอดแต่กลับติดต่อลูกไม่ได้เลยสักครั้ง แม่ติดต่อเพื่อนของลูกทุกคนที่จะสามารถติดต่อได้รวมถึงคนงานทั้งหมดของลูกที่โรงงานแต่ก็ไม่มีใครรู้เลยว่าลูกไปไหน ถ้าไม่ใช่เพราะข้อความที่ลูกส่งมาก่อนหน้าแม่คงโทรแจ้งตำรวจไปนานแล้ว…”


 


“แม่ครับ ผมไม่เป็นอะไร ผมสบายดี ขอโทษที่ 2 – 3 วันนี้ผมไม่ยอมติดต่อมาหาและทำให้แม่เป็นห่วง ผมกำลังรีบกลับบ้านแล้ว อีกประมาณชั่วโมงหนึ่งก็น่าจะถึง เมื่อกลับถึงบ้านแล้วผมจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้แม่ฟัง… ” ขณะที่จางลี่เฉินกำลังอธิบายเรื่องการหายไปของเขากับแม่ ทันใดนั้นก็มีรถ SUV สีดำสองคันขับขึ้นมาจากด้านหลังและเร่งความเร็วก่อนจะแซงรถของเขาไป


 


ในไม่ช้าแรงเสียดทานระหว่างการเร่งความเร็วของเชฟโรเลต SUV กับพื้นถนนก็ทำให้เกิดเสียงดังแสบแก้วหู


 


“เสียงอะไรน่ะลูก? เกิดอะไรขึ้น?” ที่ปลายสายอีกด้านของโทรศัพท์ เสียงตื่นตระหนกของลิลี่ค่อย ๆ เบาลงจนเงียบหายไปอย่างผิดสังเกต เห็นได้ชัดว่ามีใครบางคนปิดกั้นสัญญาณการสื่อสารของเขา


 


จากนั้นหน้าต่างที่นั่งด้านหลังของรถ SUV สองคันที่แซงหน้าจางลี่เฉินไปก็ลดระดับลง ชายท่าทางแข็งแรงที่สวมเสื้อกันกระสุนสีดำพร้อมกับแว่นตาคืนวิสัยทัศน์อินฟราเรดบนใบหน้ายื่นหัวออกมาจากตัวรถ เขาถือปืนไรเฟิลที่ทั้งยาวและหนาอยู่ในมือจากนั้นก็ทุบกระจกหน้าต่างด้านหลังคนขับของเอกซ์พลอเรอร์และยิงระเบิดแก๊สน้ำตา 6 – 7 อันต่อเนื่องกันเข้ามาทำให้รถถูกกลุ่มควันหนาสีเหลืองปกคลุม


 


ในเวลาเดียวกัน ภายในรถตู้สีดำขนาดใหญ่ที่ขับอยู่รอบ ๆ เมืองนิวยอร์กห่างจากจางลี่เฉินที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากไปประมาณ 500 ถึง 600 เมตร ชายผิวขาวมีเครากำลังจ้องมองหน้าจอมอนิเตอร์ขณะที่กระซิบด้วยเสียงเบา ๆ อย่างบ้าคลั่ง “อย่ามัวชักช้าอยู่เลย! โกรธสิ! โมโหสิ! ฉันรับรู้ถึงความรู้สึกในใจของนายได้! แสดงความแข็งแกร่งของนาย…”


 


“แคสซานโดร แผนของนายมันบ้าไปแล้ว! โดยไม่มีหลักฐานมากมายแต่นายกล้าแอบไปจับกุมนักอุตสาหกรรมคนใหม่ที่โดดเด่นที่สุดของนิวยอร์กของยุคตามขั้นตอนการจับกุมผู้ก่อการร้าย…” ถัดจากเขา ชายร่างสูงผอมที่กำลังจ้องมองหน้าจอเช่นกันได้บ่นพึมพำ


 


“หลุยส์ ต่อให้ฉันจะบ้ามากแค่ไหนมันก็ยังเทียบกับนายไม่ได้ อย่าลืมสิว่าคนคิดแผนและบัญชาการเรื่องนี้เองก็คือนาย อย่าบอกนะว่านายกำลังคิดมากทั้ง ๆ ที่เริ่มลงมือไปแล้ว”


 


“แน่นอนว่าไม่ใช่!” ชายร่างสูงตอบกลับด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนพร้อมกัดฟันกรอด “แต่ถ้าแผนนี้ล้มเหลว ฉันก็จะไม่ได้เป็นผู้บัญชาการของ FBI อีกต่อไป…”


 


“แต่ถ้ามันสำเร็จ นายก็จะกลายเป็นตำนานของ FBI ไปตลอดกาล! ลองนึกถึงความปั่นป่วนของโรเวนจาก CIA ตอนที่เขาจับคามิลตัวแทนของศัตรูผู้รุกรานจากสงครามชิมพ์ครั้งที่หนึ่งในฮาวายได้ดูสิ ไม่ต้องกังวล! นายคนนี้คงไม่งอมืองอเท้าของตัวเองเพื่อรอความตายเท่านั้นหรอก ตราบใดที่เขาแสดงพลังอันยิ่งใหญ่ขึ้นมาเราก็จะมีหลักฐานเพียงพอที่จะจับตัวเขาและการกระทำทั้งหมดของเราก็จะกลายเป็นความถูกต้อง!” แคสซานโดรจ้องมองที่หน้าจอและพูดด้วยความมั่นใจขณะที่ปากของเขากระตุกยิ้ม


 


ภาพที่ปรากฏอยู่ในหน้าจอมอนิเตอร์ คือภาพภายในรถของจางลี่เฉินที่กำลังถูกปกคลุมด้วยควันสีเหลืองหนา ท่ามกลางเสียงของการชนของรถยนต์ เชฟโรเลตทั้งสองคันพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อปกป้องรถของพวกเขาเอง


 


หลังจากหยุดเอกซ์พลอเรอร์ได้สำเร็จ เชฟโรเลตก็หยุดจอดในทันใด ประตูเปิดออกพร้อมเจ้าหน้าที่ติดอาวุธสองสามคนที่สวมเสื้อกันกระสุนสีดำพร้อมกับแว่นตาคืนวิสัยทัศน์อินฟราเรดบนใบหน้า พวกเขายกปืนยาวขึ้นแนบหัวไหล่และงอตัวลงเล็กน้อย


 


ทันทีที่เจ้าหน้าที่ติดอาวุธกระโดดออกมาจากรถ ชายร่างผอมก็โผล่พ้นออกมาจากควันหนาที่ถูกปล่อยออกมาจากทางหน้าต่างที่นั่งด้านหลังของเอกซ์พลอเรอร์ที่ถูกทุบเพื่อโยนระเบิดแก๊สน้ำตาเข้ามา


 


จากนั้นชายร่างผอมก็กระโดดลงไปยืนกับพื้นอย่างนุ่มนวลก่อนจะเดินไปรอบ ๆ เจ้าหน้าที่ติดอาวุธ โดยไม่ต้องสื่อสารใด ๆ เขาก้าวออกไปเพื่อขว้างหมัดตรงใส่หน้าอกของเจ้าหน้าที่ติดอาวุธคนหนึ่งที่ต้องการจะตอบโต้แต่เขากลับไม่มีความเร็วที่มากพอจึงทำให้เขาต้องเป็นฝ่ายล้มเสียชีวิต


 


กระดูกซี่โครงสองซี่เจาะลึกเข้าไปถึงหัวใจ ไม่ว่าร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหนเขาก็จะตายในทันที คนที่ตายด้วยเหตุผลทางธรรมชาติจะกลายเป็นเกราะป้องกันของผู้ที่โจมตีไปโดยปริยาย


 


เมื่อคนตายถูกผลักไปข้างหน้า ชายร่างผอมใช้ร่างของเขาเป็นเกราะป้องกันเพื่อเข้าไปใกล้กับเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ


 


แขนที่ยาวเรียวยื่นออกมาจากส่วนของรักแร้เจ้าหน้าที่ที่ตายไปแล้วและคว้าเข้าที่คอของเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งได้อย่างรวดเร็วและทำให้ชีวิตของเจ้าหน้าที่คนนั้นสิ้นสุดลงไปด้วยเช่นกัน


 


โล่ป้องกันของเขาเพิ่มขึ้นจากหนึ่งเป็นสอง หลังจากที่เขาได้รับโล่ทั้งสองนี้มา เขาก็ผลักคนตายทั้งสองให้ตรงไปยังเจ้าหน้าที่ติดอาวุธที่เหลืออยู่ข้าง ๆ


 


จากนั้นเขาก็ขยับตำแหน่งของตัวเองสองครั้งด้วยความเร็วที่น่าประหลาดใจ เขาสับฝ่ามือและการออกหมัดและได้ฆ่าทหารติดอาวุธทั้งสี่คนที่อยู่ด้านเดียวกันไปจนหมด


 


“บ้าเอ้ย! ไม่ยอมใช้พลังพิเศษอย่างงั้นเหรอ! มันดูเหมือนการต่อสู้ด้วยกังฟูไม่มีผิด! หวังว่าจะยังมีคนรอดมาได้!” เขาได้เป็นพยานสำคัญว่าจางลี่เฉินได้จัดการสังหาร FBI ไป 4 คนภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีหลังจากออกจากรถของเขามา แคสซานโดรที่ทำอะไรไม่ถูกร้องออกมาด้วยความงงงันเมื่อเห็นว่าเขาไม่มีความผิดปกติอื่นใดนอกเหนือจากการมีพละกำลังที่แข็งแกร่งและศิลปะการต่อสู้


 


“เปิดเผยตัวออกมา เปิดเผยตัวออกมาสิวะ!” ในฐานะผู้บัญชาการของแผนเสี่ยงภัยในครั้งนี้แน่นอนว่าหลุยส์ไม่สามารถสงบนิ่งได้เหมือนอย่างเพื่อนของเขา เขาพยายามตะโกนใส่อุปกรณ์สื่อสารแต่ทุกอย่างก็จบลงเสียแล้ว


 


หลังจากสังหารเจ้าหน้าที่ติดอาวุธทั้งสี่คนเสร็จอย่างรวดเร็วแล้วจางลี่เฉินก็เลือกใช้วิธีเดิมในการยกศพที่สวมเสื้อกันกระสุนขึ้นมาเป็นโล่และทำลายพวกเขาทั้งหมด


 


ด้วยคำพูดของหลุยส์ที่ว่าให้ ‘เปิดเผยตัวออกมา’ ในอุปกรณ์สื่อสารกลับกลายเป็นการบอกคำเตือนแก่ชายหนุ่มแทน


 


หลังจากเสร็จสิ้นการฆ่าที่สนุกสนานของเขาแล้ว จางลี่เฉินนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบเร่งการเคลื่อนไหวของเขาในทันใดเพื่อกลับไปที่เอกซ์พลอเรอร์ ก่อนที่รถตู้สีดำของหลุยส์และแคสซานโดรจะมาถึง เขาได้เพิ่มความเร็วของตัวเองและขับรถหนีเข้านครนิวยอร์ก


 


เขตชานเมืองของนิวยอร์กไม่ได้ถูกปกคลุมด้วยเนินทรายเหมือนลาสเวกัส แม้ว่ามันจะยังเป็นช่วงรุ่งเช้า แต่ก็มียานพาหนะหลายคันที่พบศพบนท้องถนนและรถ SUV อีกสองคัน


 


แน่นอนสิ่งแรกที่คนทั่วไปจะทำเมื่อพบว่าเหตุการณ์แบบนี้คือเรียกตำรวจ


 


แต่เมื่อเพลย์บอยวัยกลางคนที่แต่งตัวดูดีขับรถสปอร์ตเฟอร์รารีซึ่งมาพร้อมกับหญิงสาวสวยกำลังจะโทรหาตำรวจ ก็มีรถตู้สีดำมาหยุดอยู่ข้างเขาเสียก่อน


 


ประตูรถตู้เปิดออกและชายร่างสูงผอมก็ได้ก้าวลงมาจากรถเพื่อแสดงบัตรประจำตัว “พวกเราคือ FBI ครับ นี่คือการฝึกซ้อมการต่อสู้ของพวกเรา เราจะรับช่วงต่อหลังจากนี้และโปรดอย่าได้เรียกตำรวจ โปรดมมอบโทรศัพท์ของคุณกับคู่ของคุณมาให้ผมตรวจสอบก่อน”


 


“คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะขอให้เราส่งมอบโทรศัพท์ให้เว้นแต่จะมีหมายค้นที่ออกโดยผู้พิพากษาไม่เช่นนั้นนิวยอร์ก…”


 


“ขออภัย ไม่คิดว่าคุณจะทำตามธรรมเนียมและรู้กฎหมายมากมาก่อน ไม่เพียงแค่นั้นแต่ดูเหมือนว่าผมจะมีแนวโน้มกลายเป็นคนร้ายได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นกรุณาฟังคำสั่งผมจะดีกว่า” ชายร่างผอมพูดอย่างไร้อารมณ์


 


เมื่อเห็นหน้าตาไร้ความรู้สึกของเขาแล้ว เพลย์บอยคนนั้นก็ตัวสั่นขณะที่เขายอมจำนนมอบโทรศัพท์ให้ไปอย่างฉลาด ไม่เพียงแค่นั้นแต่เขายังหันไปบอกกับผู้หญิงของเขาที่อยู่ในรถสปอร์ตอีกด้วยว่า “ทินนี่ที่รัก มอบโทรศัพท์ของคุณให้กับFBI เขาไปเถอะ”


 


สาวสวยส่งมอบโทรศัพท์ของเธอให้อย่างเชื่อฟัง ชายร่างผอมพูดกลับว่า “ขอบคุณ” ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ทั้งสองเครื่องจากไปและหยิบกระเป๋าตรวจสอบออกมา จากนั้นเขาก็บดขยี้โทรศัพท์และวางมันลงไปในกระเป๋า


 


การกระทำของเขาทำให้ทั้งเพลย์บอยและสาวสวยที่สูญเสียโทรศัพท์ของพวกเขาไปเป็นใบ้ด้วยความงงงัน


 


เมื่อเห็นหลุยส์ทำในสิ่งที่เขาต้องการจะทำจนไม่สนใจสิ่งใด แคสซานโดรที่หัวใจของเขาเองก็รู้สึกสิ้นหวังไม่ต่างกันเดินออกมาจากรถและกระซิบกับเขา “เฮ้เพื่อน! อย่าเป็นแบบนี้สิ บางทีสิ่งต่าง ๆ อาจไม่เลวร้ายอย่างที่นายคิดก็ได้”


 


“ไม่ต้องมาปลอบใจฉัน เราทุกคนต่างรู้ดีว่าตอนนี้มันแย่มากแค่ไหน” หลุยส์ถอนหายใจและพึมพำ


 


“มันไม่ได้แย่ขนาดนั้น ลองคิดดูสิว่าเด็กวัยรุ่นชาวจีนที่มีน้ำหนักไม่เกิน 120 ปอนด์จะสามารถฆ่าตัวแทนชั้นยอดถึงแปดคนด้วยปืนยาสลบและคนขับรถอีกสองคนในเวลาไม่ถึงสิบวินาทีได้อย่างไร? พลังการต่อสู้ดังกล่าวจะสามารถอธิบายผ่านความเชี่ยวชาญกังฟูแบบจีนได้เท่านั้นจริง ๆ น่ะหรอ?”


 


“แล้วใครจะไปพิสูจน์ได้ว่าคนที่เรียนศิลปะการต่อสู้มาและมีความเชี่ยวชาญในกังฟูจะไม่สามารถทำแบบได้?” หลุยส์ลากศพกลับเข้าไปที่เชฟโรเลตพร้อมการแสดงออกที่ร้ายแรง “มันไม่ใช่ลูกบอลไฟ ไม่ใช่ธนูน้ำแข็ง หรือแม้กระทั่งความคล้ายคลึงกับการเปลี่ยนร่างของเดอะฮัลค์! เดิมทีฉันคิดไว้ว่ามันจะมีแค่เพียงสามสถานการณ์เท่านั้นที่จะเกิดขึ้นมากที่สุด หนึ่งคือเป้าหมายของเราสามารถถูกจับกุมอย่างลับ ๆ โดยไม่ต่อต้านและจากนั้นเราก็สามารถหลอกเขาให้สารภาพออกมาได้อย่างช้า ๆ สองบางทีเราอาจให้เป้าหมายใช้พลังวิเศษของเขาได้แต่การจับกุมเขาจะยังเป็นความลับ หรือสาม ถ้าพลังของเป้าหมายแข็งแกร่งเกินไปสำหรับกองกำลังของเรา เขาจะพยายามหลบหนีจากการจับกุมในครั้งนี้ เพราะเรายังสามารถยึดหลักฐานความสามารถของเขาได้ในตอนท้าย…”


 


“หรือมีความเป็นไปได้อย่างที่สี่ซึ่งนั่นก็คือเป้าหมายใช้พลังวิเศษที่แข็งแกร่งและไร้หลักการในการกระทำของเขา เขาจะฆ่าเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ทั้งหมดและเราก็จะมีหลักฐานจับเขาได้” แคสซานโดรเพิ่มความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งด้วยน้ำเสียงแปลก ๆ ในขณะที่เขาช่วยหลุยส์ย้ายร่างศพไปที่รถ


 


“ฉันเห็นด้วยกับแผนการของนาย นั่นก็เพื่อผลประโยชน์ของชาติ ของสหรัฐ … แคสซานโดร! หรือว่าคนที่เติบโตในประเทศจีนคนนั้นที่สามารถเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ของอลิซาเบธ ฮอลิเดย์ อุบัติเหตุที่ฮาวาย และการเกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิตลึกลับนอกชายฝั่งนิวยอร์กอาจเรียกได้ว่ามันแค่คือความ ‘บังเอิญ’ หากเขาไม่น่าสงสัยดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้กำกับเฟอร์นานแดนด์จะเห็นด้วยกับการติดตามเขาตลอด 24 ชั่วโมงต่อวันในช่วงจดชวเลข(วิธีการเขียนข้อความอย่างย่อด้วยสัญลักษณ์)  เป้าหมายของเราได้หายไป 2 – 3 วัน และยังบอกให้ลูกน้องของเขาแทรกแซงการเลือกตั้งกลางปี … ”


 


“เฮ้ เพื่อน นายไม่จำเป็นต้องอธิบายฉันเรื่องนั้นก็ได้ ปล่อยให้คำอธิบายเหล่านั้นไปอยู่ในรายงานการกระทำของนายแทนเถอะ” แคสซานโดนว่าพลางลากศพสุดท้ายไปที่รถตู้และปิดประตูด้วยปัง


 


จากนั้นเสียงไซเรนตำรวจก็ดังก้องกังวานมาจากระยะไกล


 


“เวรเอ้ย! มีคนเรียกตำรวจมาก! โชคดีที่เราเคลียร์เรื่องศพเสร็จก่อน” หลุยส์ตบใบหน้าของเขาและสาปแช่งด้วยเสียงกระซิบ ทิ้งเรื่องต่าง ๆ ไว้ข้างหลัง เขากำลังเตรียมความพร้อมสำหรับการสอบสวนของตำรวจนิวยอร์ก



ตอนที่ 181

เป็นจางลี่เฉินที่แจ้งข้อมูลหาตำรวจนิวยอร์กจนพวกเขามาถึงที่เกิดเหตุการณ์ได้ทันเวลาก่อน FBI จะจากไป ทันทีที่ขับรถออกจากที่เกิดเหตุเขาก็ได้ติดต่อหาเอ็ดเวิร์ด หัวหน้าฝ่ายกฎหมายของเขาและอธิบายถึงการโจมตีที่เกิดขึ้นแบบคร่าว ๆ


 


“แล้วตอนนี้บอสอยู่ตรงไหนครับ?” เอ็ดเวิร์ดที่กำลังนอนอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ขณะสวมชุดนอนผ้าฝ้ายสบายสะดุ้งตัวตื่นเพื่อมารับโทรศัพท์จากจางลี่เฉิน เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์และได้ฟังคำบอกเล่าถึงสถานการณ์เลวร้ายที่ชายหนุ่มได้เผชิญทำให้ตอนนี้เขาตื่นและหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง


 


“กำลังขับเข้านิวยอร์ก”


 


“ฟังผมให้ดีนะครับบอส! รีบโทรหาตำรวจและปิดโทรศัพท์หลังจากนั้นทันที! ให้ขับรถมุ่งหน้าไปยังโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ในแมนฮัตตันและรอผมอยู่ที่ล็อบบี้ ผมจะรีบไปหาคุณในทันทีแล้วค่อยคุยกับแบบส่วนตัวที่นั่นนะครับ!” แม้เอ็ดเวิร์ดจะไม่ทราบสาเหตุการโดนโจมตีของจางลี่เฉิงในครั้งนี้แต่เนื่องจากเขาเป็นคนแรกที่จางลี่เฉินเลือกโทรหาแทนการโทรหาตำรวจโดยตรง เอ็ดเวิร์ดจึงตัดสินใจเลือกหนทางที่ดีที่สุดในตอนนี้อย่างระวัง


 


“โอเคเอ็ดเวิร์ด โอ้ใช่ โทรหาแม่ผมด้วย! ตอนที่เกิดการโจมจีผมกำลังคุยโทรศัพท์กับแม่อยู่ ไม่แน่ว่าตอนนี้แม่อาจเป็นกังวลจนแทบคุมสติตัวเองไม่อยู่แล้วก็ได้!”


 


เอ็ดเวิร์ดตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ดูเหมือนว่าเขาจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่านักธุรกิจรายใหญ่ที่เขากำลังทำงานให้อยู่นี้ยังเป็นเพียงวัยรุ่นที่อายุไม่ถึง 20 ปีดี “ได้ครับบอส! ไว้ผมจะพาคุณนายแล้วพาไปพบกับคุณที่นั่นนะครับ แล้วเจอกันครับ”


 


“แล้วเจอกันเอ็ดเวิร์ด” จางลี่เฉินวางสายโทรศัพท์แล้วรีบโทรแจ้งตำรวจตามคำแนะนำหัวหน้าฝ่ายกฎหมายของเขา ในเวลาเดียวกัน ขณะที่ตำรวจรีบไปยังสถานที่เกิดเหตุเขาก็รีบปิดโทรศัพท์แล้วมุ่งหน้าตรงไปยังโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ที่ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแมนฮัตตัน


 


จนถึงตอนนี้พระอาทิตย์ได้ขึ้นประดับท้องฟ้าจนสว่างสดใสไปทั่วทั้งเมืองแล้ว แสงไฟนีออนของเมืองที่ไม่เคยหลับใหลเริ่มจางหายไปภายใต้แสงจากดวงอาทิตย์ เมื่อชายหนุ่มลงจากรถ เขาปรับปกเสื้อด้วยท่าทีสุขุมและยื่นเงิน 5 ดอลล่าร์ให้กับพนักงานรับรถที่เข้ามาต้อนรับ ทำตัวเหมือนชายหนุ่มทั่ว ๆ ไปที่มีการศึกษาดีที่มาจากครอบครัวคุณภาพเพื่อเข้าพักในโรงแรมหรืออย่างคนที่มาที่นี่เพื่อพบปะกับเพื่อน ๆ เขาเดินเข้าไปในโรงแรมโดยไม่ทำตัวให้เป็นที่น่าสนใจใด ๆ


 


ทางเข้าของโรงแรมเป็นล็อบบี้รูปไข่พร้อมแผนกต้อนรับที่อยู่ทางด้านซ้ายและน้ำพุในร่มภายใต้โคมระย้าคริสตัลสีสันสดใสขนาดใหญ่


 


น้ำใส ๆ ที่ไหลจากน้ำพุเปล่งประกายแวววาวราวกับไข่มุกภายใต้เงาสะท้อนของโคมระย้าคริสตัลที่ส่องสว่างอยู่ตลอดเวลา โซฟาที่ล้อมรอบโต๊ะหินอ่อนสวยงามวางประดับอยู่รอบ ๆ น้ำพุสำหรับแขกที่เข้ามาพักผ่อน


 


“มีอะไรพอให้ดิฉันช่วยเหลือบ้างไหมคะ?”


 


“ผมกำลังรอเพื่อนอยู่ แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ขอโค้กเย็น ๆ ให้ผมสักแก้วหนึ่งจะขอบคุณมาก” เมื่อเดินเข้าไปในโรงแรม จางลี่เฉินเดินตรงไปยังโซฟากลมที่อยู่ไม่ไกลและยื่นเงินให้พนักงานคนนั้นไป 20 ดอลลาร์


 


คำขอของชายหนุ่มไม่ได้เป็นเรื่องที่พิเศษเกินไปแต่ส่วนค่าทิปที่เขาให้มานั้นช่างใจกว้างอย่างมาก พนักงานรับเงินมาด้วยความตะลึงงันก่อนจะพูดว่า “กรุณารอสักครู่นะคะ”


 


“ขอบคุณ” ชายหนุ่มนั่งลงบนโซฟาทรงกลมและมองดูน้ำพุที่อยู่ข้าง ๆ สักพักหนึ่งพนักงานคนนั้นก็นำโค้กเย็น ๆ ที่เขาต้องการมาให้และในที่สุดหัวหน้าฝ่ายกฎหมายและแม่ของเขาที่รีบร้อนมายังโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ก็มาถึง


 


“แม่ ผมอยู่นี่!” เมื่อเห็นลิลี่กำลังเดินเข้ามาหาเขาด้วยความเร่งรีบ จางลี่เฉินก็ลุกขึ้นยืนเพื่อกอดรับแม่ของเขา


 


“เกิดอะไรขึ้นลูกรัก? ทำไมลูกถึงหายไปทันทีหลังทิ้งข้อความแบบนั้น? และตอนนี้ทำไม…”


 


“ขอโทษทีนะเอ็ดเวิร์ด ขอผมอยู่กับแม่เพียงลำพังก่อนจะได้ไหม?”


 


“แน่นอนครับ หากบอสเสร็จธุระเมื่อไหร่ก็ค่อยโทรเรียกหาผมอีกทีนะครับ ผมจะไปดูความเสียหายของรถและภาพจากการกล้องในรถก่อน … ”


 


“ตกลง” จางลี่เฉินโบกมือเรียกหาพนักงานรับรถและให้ทิปกับเขาอีกครั้งเพื่อให้เขาพาเอ็ดเวิร์ดไปยังที่จอดรถ จากนั้นเขาก็หันมากระซิบกับลิลี่ว่า “แม่ไม่ต้องห่วง นั่งลงก่อนแล้วผมจะบอกเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง … ตอนนี้สายเลือดพิเศษและความสามารถในการสื่อสารกับสัตว์กำลังสร้างปัญหาให้กับผม ผมได้ยินข่าวเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ดังนั้นผมจึงไปซ่อนตัว … ”


 


“โอ้พระเจ้า! ใครกันที่รู้ความลับนี้ของลูก? รัฐบาลสหรัฐฯงั้นเหรอ? โอ้ไม่! ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครแม่จะไม่ยอมปล่อยให้พวกเขาจับตัวลูกไปได้เป็นอันขาด! ไม่มีทาง…” ลิลี่ที่เพิ่งนั่งลงบนโซฟาลุกขึ้นยืนอีกครั้งด้วยความสับสน


 


“ใจเย็น ๆ ก่อนแม่ ใจเย็น ๆ ! สถานการณ์ตอนนี้ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่แม่คิด ตอนนี้ผมค่อนข้างมีอิทธิพลในนิวยอร์กและได้เป็นเพื่อนกับคนที่มีอำนาจมากมาย เมื่อสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้น ใครบางคนจะช่วยผมคิดหาวิธีแก้ปัญหา … ” จางลี่เฉินปลอบโยนผู้เป็นแม่ของเขาซักพักหนึ่งก่อนจะจงใจพูดต่อ “กล่าวอีกนัยหนึ่งคือแม่ไม่ต้องเป็นห่วงตัวผมและห้ามเข้ามาแทรกแซงวิธีการที่กำลังจะทำด้วยเช่นกัน แม่ไม่ต้องห่วง ผมจะกลับมาที่อเมริกาอีกครั้งภายในหนึ่งปี…”


 


ชายหนุ่มพยายามรับรองความปลอดภัยของตัวเองให้ผู้เป็นแม่ได้ฟังจนในที่สุดลิลี่ก็ยอมสงบและพยักหน้ายอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มโทรตามเอ็ดเวิร์ดเพื่อให้เขากลับมาที่ล็อบบี้ของโรงแรมและนั่งอยู่บนโซฟาทรงกลมที่อยู่ถัดจากน้ำพุอีกครั้งหลังตรวจดูความเสียหายของรถและกล้องระวังเรียบร้อยแล้ว


 


หัวหน้าฝ่ายกฎหมายของ LS ได้เดินเข้าหาเจ้านายของเขาในทันทีก่อนจะเข้าสู่บทสนทนาประเด็นหลัก “บอส วิดีโอจากกล้องในรถของคุณดูท่าจะไม่สามารถใช้การได้เท่าไหร่ ผมเพิ่งโทรหาเพื่อนที่อยู่ในกรมตำรวจนิวยอร์กเมื่อสักครู่นี้มา เขาบอกว่าเมื่อเช้านี้ไม่ได้มีเหตุการณ์โจมตีเกิดขึ้นแต่อย่างใด มันเป็นเพียงการฝึกซ้อมที่ดำเนินการโดย FBI ที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดกันก็เท่านั้น”


 


“การฝึกซ้อมของ FBI?” จางลี่เฉินอ้าปากค้าง เขารู้ดีว่าเขากำลังถูกโจมตีจากเจ้าหน้าที่ 10 คนพร้อมอาวุธ แต่ตอนนี้มันกลับถูกเปลี่ยนไปเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘การฝึกซ้อม’ แทน


 


“ใช่ครับ ดูเหมือนว่าทุกอย่างตอนนี้จะเป็นเพียงเรื่อง ‘เข้าใจผิด’ ถึงอย่างนั้น ผมได้เตรียมตั๋วชั้นหนึ่งไปยังโจฮันเนสเบิร์ก แอฟริกาใต้เวลา 11:30 น. สำหรับคุณในวันนี้ให้แล้ว ผมได้ยินจากชาร์ลีว่าคุณวางแผนที่จะไปแอฟริกาเพื่อที่คุณจะได้ทำสิ่งที่ต้องการล่วงหน้าในอนาคตอันใกล้ ถ้าอย่างนั้นผมจะอยู่ตรวจสอบเบื้องหลังเพื่อดูว่า “ความเข้าใจผิด” ในนิวยอร์กนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรและใครจะเป็นผู้รับผิดชอบสำหรับ”


 


“เยี่ยมมากเอ็ดเวิร์ด ทำในสิ่งที่คุณพูดมาได้เลย” จางลี่เฉินมองหน้าหัวหน้าฝ่ายกฏหมายที่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบ


 


เขาไม่รู้ว่าชายที่แต่งตัวดูดีและหวีผมมาอย่างเรียบร้อยที่อยู่ต่อหน้าเขาตอนนี้จะได้ยินความลับจากเขาไปมากแค่ไหน แต่เขารู้ดีว่าพวกเขาทั้งสองคนยังมีผลประโยชน์ร่วมกันอยู่ ความผูกพันดังกล่าวแข็งแกร่งยิ่งกว่าความสัมพันธ์ครอบครัวหรือมิตรภาพใด ๆ “ถ้างั้นผมก็จะไปแอฟฟริกาแล้วคุณก็อยู่ที่นิวยอร์ก บางเรื่องมิสเตอร์ดั๊กลินอาจสามารถให้ความช่วยเหลือได้ เพราะท้ายที่สุดเราก็กำลังช่วยเหลือเขาในบางเรื่องเช่นกัน”


 


“ครับบอส ไม่ต้องห่วงนะครับ นอกจากนี้ผมรู้สึกอีกว่าการพึ่งพาพลังของคนอื่นไม่ใช่ทางออกที่ดีในระยะยาว เราเองก็ควรรักษา ‘การโต้ตอบ’ ที่ดีกับนักการเมืองที่มีศักยภาพไว้ด้วยเช่นกัน”


 


“โอ้ เห้อ … ผมเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไม่ถึง 2 ปีและที่ผมต้องการทั้งหมดก็แค่ชีวิตที่มั่นคงและสงบสุข…” เอ็ดเวิร์ดฟังชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าเขาบ่นอยู่เงียบ ๆ ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง “เอ็ดเวิร์ด คุณมีผู้สมัครที่ดีสำหรับคำแนะนำของคุณไว้แล้วหรือเปล่า?”


 


“ผมรู้จักนักการเมืองที่แข็งแกร่งและมีความทะเยอทะยานที่ยังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออย่างเวลลิ่งตัน ฮูก ปัจจุบันเขาเป็นนายกเทศมนตรีของเมืองมอร์กาน่าซึ่งเป็นเมืองดาวเทียมที่ใหญ่ที่สุดนอกเมืองนิวยอร์ก เขาตั้งใจลงแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งวุฒิสมาชิกรัฐนิวยอร์กเมื่อวุฒิสภาได้รับการเลือกตั้งใหม่ในปีหน้า”


 


“เพื่อนที่ดีของคุณใช่ไหม? ในกรณีนี้ถ้าเป็นเขาผมจะเลือกเอง” จางลี่เฉินหยิบสมุดเช็คออกมาเซ็นแล้วส่งให้กับเอ็ดเวิร์ด “ให้เขามีส่วนร่วมทางการเมืองที่เหมาะสมในระหว่างการหาเสียงซะ ผมไม่รู้ว่านี่เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายหรือเปล่าแต่ในช่วงระยะสั้น ๆ จงทำให้แน่ใจว่ามิสเตอร์เวลลิ่งตัน ฮูกจะเข้าใจถึงความจริงใจของผม”


 


“ครับบอส!” เอ็ดเวิร์ดรับเช็คนั้นมาถือไว้ในมือ


 


“โอ้ ใช่แล้วเอ็ดเวิร์ด บอกกับชาร์ลีด้วยว่าในช่วงที่ผมไม่อยู่ให้เขาขยายโรงงานต่อไปได้เลย ไม่ต้องกังวลเรื่องการจัดการขยะในระบบนิเวศตราบใดที่ยังดำเนินการตามภาพวาดการออกแบบ ทุกอย่างจะยังคงเรียบร้อย หวังว่าเมื่อผมกลับมาที่นิวยอร์กอีกครั้ง LS จะได้ผูกขาดตลาดในเขตนิวยอร์กเรียบร้อยแล้วนะ เมื่อถึงตอนนั้นผมจะแจกจ่ายส่วนแบ่งให้กับพวกคุณทั้งสองคนเอง”


 


“ไม่มีปัญหาครับ!” เอ็ดเวิร์ดพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม


 


เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้า ลิลี่รู้สึกว่าลูกชายเริ่มทำความคุ้นเคยกับเธอได้มากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว มันแทบเป็นไปไม่ได้สำหรับเธอที่จะจินตนาการว่าเด็กชายที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและอึดอัดใจในตอนที่เดินเข้าโรงแรมระดับห้าดาวเป็นครั้งแรกเมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมาจะสามารถผสมผสานตัวเองเข้ากับวงการธุรกิจของนิวยอร์กได้เป็นอย่างดีขนาดนี้ เขาได้เรียนรู้วิธีควบคุมสถานการณ์ทางการเมืองราวกับการสั่งลมสั่งฝนได้ตามต้องการโดยที่เธอไม่เคยรู้ถึงเรื่องนี้มาก่อน


 


“ผมไม่มีทางเลือกอื่น ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ผมจะปลอดภัยก็ต่อเมื่อผมยังสามารถขยายอิทธิพลของตัวเองต่อไปได้” ราวกับสัมผัสได้ว่าแม่ของเขากำลังมองมาด้วยท่าทีแปลก ๆ จางลี่เฉินจูบแก้มของผู้เป็นแม่เบา ๆ หลังส่งมอบหน้าที่ต่าง ๆ ให้หัวหน้าฝ่ายกฎหมายเรียบร้อยแล้ว “แม่ ผมต้องไปสนามบินแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปส่งผมก็ได้ ตอนนี้เป้าหมายของผมคือการทำอะไรแบบไม่ให้เป็นที่น่าสนใจให้ได้มากที่สุด แล้วผมจะส่งข้อความกลับมาเมื่อไปถึงแอฟริกาใต้แล้ว”


 


“ลูกรัก แม่รู้ว่าแม่ไม่สามารถไปตำหนิอะไรลูกได้ เมื่อไปถึงที่นั่นแล้วก็ดูแลตัวเองให้ดี ๆ นะจ๊ะ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องของแม่ ปิดโทรศัพท์ของลูกและถอดแบตเตอรี่ออกหลังจากที่ลูกส่งข้อความหาแม่เสร็จแล้วด้วยนะ…” ลิลี่กอดลูกชายของเธอและเตือนเขาถึงเรื่องความปลอดภัย


 


แม้จางลี่เฉินจะรู้ว่าคำแนะนำของแม่นั้นได้มาจากวิธีการป้องกันการติดตามจากภาพยนตร์แอ็คชั่นหรือละครน้ำเน่าที่ดูเหมือนจริงบนหน้าจอแต่ที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องเข้าใจผิดทั้งหมด แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังรับฟังเธออย่างตั้งใจ ลิลี่หยุดพูดและจูบแก้มลูกชายพร้อมสั่งลาเขาด้วยน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้า


 


หลังจากชายหนุ่มอำลาแม่ของเขาเสร็จ ก่อนที่เขาจะเดินออกจากล็อบบี้โรงแรมไป เขาได้หันมากระซิบกับเอ็ดเวิร์ดเมื่อพวกเขาจับมือกันเพื่ออำลาและกล่าวว่า “เอ็ดเวิร์ด วันนี้ผมฆ่าเอฟบีไอไป 10 คน อย่าปล่อยให้พวกเขารบกวนครอบครัวของผมได้”


 


เอ็ดเวิร์ดที่ได้ยินแบบนั้นก็ตัวแข็งทื่อไปในทันที จากนั้นความสงบก็กลับคืนสู่เขาอีกครั้งไม่นาน เขาตอบกลับด้วยเสียงกระซิบไปว่า “ไม่ต้องห่วงนะครับบอส แม้ว่าวิดีโอบนรถคุณจะไม่สามารถตรวจสอบสิ่งต่าง ๆ ได้เนื่องจากควันแก๊สน้ำตาที่บดบังแต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่าวิธีการต่อต้านของคุณซึ่งไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ตามมันจะได้รับการยอมรับว่าเป็นเรื่องของการป้องกันตัวตามปกติภายใต้สถานการณ์ร้ายแรงที่เกิดกับชีวิต การปกปิดของ FBI นั้นเพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์เรื่องนี้ได้ ที่นี่คือสหรัฐและไม่ได้มีหมาบ้ามากมายนักระหว่างหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและหน่วยข่าวกรอง ไม่จำเป็นต้องกังวลเลยครับ อย่างไรก็ตามเนื่องจากคุณได้ช่วยเหลือตัวเองในการกู้คืนความเสียหายพร้อมทั้งเงินทุนและดอกเบี้ยเช่นนี้ ผมกลัวว่ามันจะยากสำหรับเราที่จะติดตามเรื่องนี้ได้อีกครั้ง นี่คือบางสิ่งที่…ผมจะใช้คำว่าอย่างไรดี…”


 


“กฎที่ไม่ต้องพูด ผมเข้าใจดี ถ้างั้นแล้วไว้เจอกันใหม่เอ็ดเวิร์ด” จางลี่เฉินยิ้มจาง ๆ และปล่อยมือจากหัวหน้าฝ่ายกฎหมายและเดินออกจากโรงแรมไป จากนั้นเขาก็ขึ้นแท็กซี่เพื่อมุ่งหน้าตรงไปยังสนามบินนานาชาติ จอห์น เอฟ. เคนเนดี



ตอนที่ 182

เมื่อจางลี่เฉินเข้าไปนั่งด้านในแท๊กซี่ ชายหนุ่มวางมือลงบนกระเป๋าตัวเองเป็นครั้งคราวเพื่อสัมผัสเกาะมังกรและเวิร์มดราก้อนที่หดตัวเล็กลงจนเหลือขนาดแค่เพียง 30 เซนติเมตรและหนาเท่าแท่งดินสอ


 


โดยไม่ได้ตั้งใจ ใบหน้าของเขากำลังเผยการแสดงออกที่เต็มไปด้วยความกังวล


 


โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างทางดังนั้นเขาจึงไปถึงอาคารผู้โดยสารของสนามบินนานาชาติจอห์นเอฟ. เคนเนดีก่อนจะถึงเวลา 11 โมงแค่เพียง 30 นาที


 


เนื่องจากเอ็ดเวิร์ดได้จองตั๋วการบินแบบชั้นหนึ่งไว้ให้ ชายหนุ่มจึงสามารถเดินผ่านช่องตรวจตั๋ววีไอพีไปได้อย่างราบรื่นและนำสัตว์อาคม 2 ตัวที่ดูเหมือนของเล่นไปพร้อมกับเขาได้อย่างง่ายดาย


 


ครึ่งชั่วโมงต่อมาสายการบินอเมริกันแอร์ไลน์ TU098 เที่ยวบินตรงจากนิวยอร์กไปยังโจฮันเนสเบิร์กแอฟริกาใต้ก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าไปตามเส้นทางการบิน จางลี่เฉินโยนความกังวลที่มีทิ้งไว้กับพื้นด้านล่างเมื่ออยู่เหนือน่านฟ้า


 


หลังจากที่เขาและสัตว์อาคมได้บินท่องเที่ยวไปในอาณาจักรเหนือธรรมชาติมานานหลายวันเขาพบว่าตอนนี้ตัวเขาไม่ชอบการจ้องมองก้อนเมฆผ่านหน้าต่างเครื่องบินอีกต่อไป


 


ณ ที่นั่งชั้นหนึ่งที่กว้างขวางและสะดวกสบายบนเครื่องบิน เขาดูหนังด้วยความเบื่อหน่ายและสั่งโค้กมาดื่ม เมื่อดื่มจนพอใจเขาก็ปรับเบาะที่นั่งลงเพื่อที่เขาจะได้หลับตาและบรรลุความสงบทางจิตใจ เขาใช้เวลาที่เหลือของการเดินทางไกลไปกับการนึกคิดสิ่งต่าง ๆ และในที่สุดเขาก็มาถึงท่าอากาศยานนานาชาติโจฮันเนสเบิร์ก


 


โจฮันเนสเบิร์กเป็นเมืองที่คึกคักที่สุดในสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ มันค่อนข้างไม่น่าเป็นไปได้อยู่หน่อยที่จะอธิบายเมืองที่ตั้งอยู่ในพื้นที่การขุดทองที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยวลีว่า ‘มหานครระหว่างประเทศ’ แต่เมื่อคำว่า ‘ระหว่างประเทศ’ ถูกแทนที่ด้วยคำว่า ‘แอฟริกา’ แล้วก็อาจกล่าวได้ว่าโจฮันเนสเบิร์กที่มีประชากรเกือบสี่ล้านคนเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเมืองหนึ่ง


 


มันเป็นช่วงเวลากลางคืนเมื่อชายหนุ่มเดินทางมาถึงที่นี่ อย่างไรก็ตามแอฟริกาใต้ที่มีความอบอุ่นอยู่ตลอดทั้งปีที่ซึ่งประเทศส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในเขตกึ่งร้อนไม่ได้ทำให้อากาศตอนนี้หนาวเย็นเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก ๆ เพื่อรับอากาศอบอุ่นและชื้นที่ไม่เหมือนใครในช่วงฤดูหนาวของแอฟริกา ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ออกมาและเปิดใช้งานเพื่อส่งข้อความถึงแม่และทีน่าก่อนที่จะปิดมันอีกครั้งและเดินไปที่รถบัสขนส่งผู้โดยสารในสนามบิน


 


จางลี่เฉินที่ขึ้นรถบัสจนไปถึงช่องขาเข้าประเทศแล้วค้นพบว่าที่ตรงนี้ไม่มีเครื่อง ATM อยู่เลยสักเครื่องเดียวจากทั้งสองด้านของทางเดินที่กว้างขวาง เมื่อสัมผัสกับกระเป๋าที่มีเงินสดน้อยกว่า 1,000 ดอลลาร์แล้วเขาไตร่ตรองถึงเรื่องนี้ก่อนที่จะดำเนินการถอนเงินสด 5,000 ดอลลาร์ด้วยบัตรเครดิตวาโคเวียที่ใช้ได้ทั่วโลก


 


หลังเดินออกจากสนามบินมา ชายหนุ่มไม่ได้มองหาโรงแรมเพื่อเข้าพักแต่อย่างใด เขาเรียกแท๊กซี่ที่จอดรอผู้โดยสารแล้วถามว่า “ มีอพาร์ทเมนต์ปล่อยเช่าดี ๆ ที่อยู่ใกล้ ๆ แถวนี้หรือไม่?”


 


ที่โจฮันเนสเบิร์กภาษาอังกฤษเองก็เป็นภาษาหลักเช่นกัน แม้ภาษาอังกฤษของชายหนุ่มจะฟังดูเพี้ยนเล็กน้อยสำหรับคนขับที่มีลักษณะค่อนข้างอ้วนและผิวดำที่กำลังแสดงฟันขาวสว่างเมื่อเขายิ้มแต่มันก็ไม่ได้ยากสำหรับเขาเกินไปที่จะเข้าใจ


 


คนขับตอบด้วยความกระตือรือร้น “แค่ฟังจากสำเนียงคุณผมก็รู้ได้ทันทีเลยว่าคุณเป็นคนอเมริกัน! ขึ้นรถมาเลยครับ ผมรู้ว่าคุณต้องการสถานที่แบบไหน”


 


“โอ้ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงผมคงโชคดีมากแน่ ๆ” จางลี่เฉินเข้าไปนั่งด้านในทันที


 


จากนั้นคนขับก็เริ่มเปิดบทสนทนา “ผมไม่ค่อยเดาอายุชาวต่างชาติได้เท่าไหร่ คุณมาที่นี่เพื่อทำงานหรือเพื่อมาเรียนต่ออย่างนั้นหรือครับ?”


 


“มีคนมาที่นี่เพื่อเรียนด้วยอย่างนั้นเหรอ?” เมื่อได้ยินว่าคำว่าเรียนต่อที่แอฟฟริกาจางลี่เฉินที่รู้สึกประหลาดใจอย่างมากก็โพล่งถามออกไป “เอ่อ ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น! จริง ๆ คุณก็รู้ใช่ไหม ผมเพียงแค่…”


 


“ไม่เป็นไร ผมเข้าใจดี! ผมเข้าใจอย่างถ่องแท้เลยว่าในสายตาของคนอเมริกันส่วนใหญ่สหรัฐฯก็เป็นเหมือนศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก วัฒนธรรมและเทคโนโลยีดังนั้นแน่นอนว่าคนอเมริกันจะไม่มาศึกษาต่อที่แอฟริกาใต้ ไม่เพียงแค่นั้นแต่มหาวิทยาลัยวิทวอเตอร์สเรนด์ที่ดีที่สุดในโจฮันเนสเบิร์กก็ไม่ได้เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับสากลมากนัก” แม้คนขับจะบอกว่าเขาไม่ได้คิดมากแต่ก็เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของเขาเปลี่ยนไป เขาไม่พูดอะไรต่ออีกเลยหลังจากนั้นจนกระทั่งเขาขับรถพาจางลี่เฉินไปยังถนนที่อยู่ใกล้กับถนนสายหลักที่คึกคักของเมือง คนขับจอดรถที่ด้านหน้าอาคารอพาร์ตเมนต์หลายตึกที่เชื่อมต่อกัน


 


คนขับเพิกเฉยต่อเขาดังนั้นเขาจะไม่ทำให้ตัวเองต้องอับอายมากยิ่งขึ้นโดยการบอกว่าเขาเป็นคนประเทศจีนแล้วนำความอับอายนั้นไปสู่จีนด้วยเช่นกัน หลังจากแท็กซี่จอดนิ่งสนิท เขาก็จ่ายเงินสดไป 50 ดอลลาร์แล้วลงจากรถมา


 


เมื่อได้ก้าวเข้าสู่ถนนในเมืองแอฟริกันเป็นครั้งแรก จางลี่เฉินมองดูรอบ ๆ และพบว่าถนนที่เขาอยู่นั้นเป็นถนนสายรองที่มีความสว่างไสวเหมือนจะเป็นเมืองสมัยใหม่ได้อย่างสมบูรณ์


 


มีคนเดินถนนมากมายที่เป็นคนผิวดำแต่พวกเขาก็ไม่ได้หยาบคายเหมือนอย่างที่เขาจินตนาการเอาไว้ นอกเหนือจากความแตกต่างของการแต่งกายแล้ว มารยาทของพวกเขาเกือบจะเหมือนกันกับคนผิวดำในนิวยอร์กหรืออาจเปรียบได้ว่ามีมารยาทที่ดีกว่าด้วยซ้ำ


 


“เป็นเมืองที่เจริญแล้วจริง ๆ มันไม่เหมือนกับแอฟริกาที่คิดเลยสักนิด! แต่ถ้าลองคิดดูดี ๆ มันก็สมเหตุสมผลแล้ว ที่นี่คือโจฮันเนสเบิร์กหน้าต่างแห่งอารยธรรมแอฟริกาเชียวนะ” จางลี่เฉินพึมพำกับตัวเองแล้วเดินเข้าไปในอาคารอพาร์ตเมนต์ที่มีป้ายบอกไว้ว่าเอนเทลอปส์เนสอยู่ข้าง ๆ


 


พื้นที่ภายในอาคารแคบมาก มันไม่ได้มีอะไรอยู่เลยยกเว้นแผนกต้อนรับที่สามารถรองรับได้แค่พนักงานเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่ด้านหลัง มันไม่เหมือนกับล็อบบี้ด้านหน้าของอพาร์ทเมนท์สูง ๆ ที่ชายหนุ่มเคยเห็นผ่านตาในนิวยอร์ก หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเห็นลิฟท์ตรงทางเดินจากทั้งสองข้างแผนกต้อนรับ เขาคงจะผลักประตูเปิดออกและจากไปในทันที


 


“ต้องการเช่าห้องหรอคะ?” เมื่อเห็นมีลูกค้าเข้า หญิงสาวที่มีหน้าอกใหญ่ ตาโต ริมฝีปากหนา ผมหยิกและผิวสีดำเงางามก็ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ไม้แล้วเอนตัวพิงกับแผนกต้อนรับก่อนถาม


 


“ผมต้องการเช่าอพาร์ทเมนต์แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมต้องการเห็นห้องของคุณก่อน”


 


“ฉันสัญญาว่าคุณจะต้องพอใจกับห้องของเรา! ไม่เพียงแค่นั้นถ้าคุณเช่าห้องของเราแล้วคุณยังสามารถเพลิดเพลินไปกับบริการพิเศษของฝ่ายต้อนรับพร้อมส่วนลดพิเศษได้อีกด้วย” สาวผิวดำเลียริมฝีปากยั่วยวนขณะตอบกลับ


 


“ผมไม่ได้ต้องการบริการพิเศษ ผมต้องการห้องเดี่ยวที่สะอาดและมีเตียงขนาดใหญ่”


 


“ห้องนอนที่มีเตียงขนาดใหญ่? ในกรณีนี้จะมีราคาอย่างน้อย 900 แรนด์สำหรับห้องดังกล่าว ฟังจากสำเนียงคุณแล้วน่าจะเป็นคนจากสหรัฐฯดังนั้นคุณสามารถจ่ายเป็นดอลลาร์ได้เช่นกัน มันจะมีราคาอยู่ที่ 45 แรนด์สำหรับการเช่ารายวัน … ”


 


มันไม่ใช่ราคาห้องที่ถูกเลยสำหรับโจฮันเนสเบิร์กแต่จางลี่เฉินก็พยักหน้าตอบรับแบบไม่ลังเล “ผมโอเค แต่ผมต้องการขอดูห้องก่อน”


 


“ช่างไม่มีความยืดหยุ่นเอาเสียเลยจริง ๆ! นี่คุณเป็นอเมริกันหรือเยอรมันกันแน่น่ะห๊ะ? คิดว่าฉันจะโกหกคุณอย่างนั้นเหรอ?” หญิงสาวผิวดำหยิบบัตรห้องมาสองสามใบอย่างไม่เต็มใจที่แผนกต้อนรับก่อนจะพาชายหนุ่มขึ้นไปดูห้อง


 


เลย์เอาต์ของห้องพักก็ไม่ได้ต่างกันนัก มันเป็นห้องเดี่ยวที่ดีที่สุดที่มีพื้นที่เกือบ 20 ตารางเมตร มีเตียงขนาดใหญ่ โต๊ะข้างเตียง ตู้เสื้อผ้าและคอมพิวเตอร์รวมทั้งห้องน้ำขนาดเล็กพร้อมอ่างอาบน้ำฝักบัวที่เป็นอุปกรณ์เสริมเพียงอย่างเดียวในห้อง


 


อย่างไรก็ตามการตกแต่งภายในนั้นประณีตมาก ตั้งแต่โคมไฟระย้าสีฟ้าที่ติดเพดานไปจนถึงพรมปูพื้นที่มีแบบแอฟริกันเป็นแรงบันดาลใจ


 


จางลี่เฉินที่ไม่สามารถเลือกห้องพักสุดหรูได้เพราะกำลังหลบซ่อนตัวอยู่เมื่อได้เห็นสภาพแวดล้อมในห้องอพาร์ทเมนต์นี้แล้วเขาก็จ่ายค่าเช่าล่วงหน้าหนึ่งเดือนทันทีและเช็คอินเข้าพักห้องเดี่ยวตรงสุดทางเดินฝั่งตะวันตก


 


นับตั้งแต่นั้นมาเขาก็ได้ตั้งรกรากอยู่ที่โจฮันเนสเบิร์ก ทุกวันนอกเหนือจากการบ่มเพาะพลังเขาจะให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของกองกำลังลึกลับที่ต่อสู้กับกองกำลังของรัฐบาลในเคปทาวน์ของแอฟริกาใต้บนคอมพิวเตอร์ หรือบางทีก็ไปสวนสาธารณะเล็ก ๆ ใกล้อาคารอพาร์ตเมนต์เพื่อออกกำลังกาย ฝึกการหายใจพร้อมกับการฝึกฝนทั้งห้าองค์ประกอบ – สับ เจาะ บด ระเบิด และไขว้ พร้อมกับใช้เวลาสองถึงสามเดือนไปกับการพักผ่อนแบบสบาย ๆ


 


ไม่นานก็เริ่มค่อย ๆ เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ แม้ว่าความแตกต่างของอุณหภูมิในโจฮันเนสเบิร์กจะไม่ค่อยมากมายแต่อากาศก็ยังร้อนขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


 


ตอนที่จางลี่เฉินมาถึงแอฟริกาใต้เป็นครั้งแรก เขาไม่ได้นำกระเป๋าเดินทางมาด้วยดังนั้นเสื้อผ้าและรองเท้าทั้งหมดของเขาจึงต้องซื้อขึ้นมาใหม่ทั้งหมด หลังจากผ่านไปหลายสิบวัน อิทธิพลรอบด้านทำให้เขาสามารถเลียนแบบการใช้ชีวิตประจำวันของคนท้องถิ่นได้อย่างแนบเนียน เขาใส่กางเกงขาสั้นและเสื้อยืดธรรมดา ๆ และสลัดคราบเงาของการเป็นนักท่องเที่ยวจากนิวยอร์กออกไปอย่างสมบูรณ์


 


ในวันนี้ชายหนุ่มได้ทำการฝึกฝนตลอดทั้งคืนด้วยทักษะลับ หลังจากที่เขาตื่นขึ้นมาเขาได้อ่านข่าวบนอินเทอร์เน็ตและพบว่ากองทัพรัฐบาลแอฟริกาใต้ยังคงทำสงครามกับผู้บุกรุกลึกลับในเคปทาวน์ไม่จบสิ้น เมื่อพบว่ามันน่าเบื่อเกินจะติดตามต่อเขาก็ปิดคอมพิวเตอร์ไป


 


“เห็นได้ชัดว่ามันเป็นการรุกรานจากอาณาจักรเหนือธรรมชาติ แต่กลับไม่มีประเทศใหญ่ ๆ เข้ามาแทรกแซง ดูเหมือนว่าทุกคนมีความมุ่งมั่นอย่างมาก ทุกคนล้วนต้องดูแลกิจการของตัวเองก่อน … ” ชายหนุ่มพึมพำขณะฮัมเพลงระหว่างการอาบน้ำ


 


เมื่อเดินออกจากอาคารอพาร์ตเมนต์มา เขาได้ซื้อกีบลูกวัวจากร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่เชี่ยวชาญด้านอาหารพื้นเมืองที่ชื่อว่าแอริฟาฮัทบนถนน เขาทานอาหารในมือไปพร้อม ๆ กับการเดินไปที่สวนสาธาณะเพื่อทำการเริ่มฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ของเขาในยามเช้า


 


คนท้องถิ่นจำนวนไม่มากที่มีสีผิวหลากหลายกำลังออกกำลังกายกันอยู่ที่สวนสาธารณะขนาดเล็ก ชายผิวดำบางคนที่ได้รับอิทธิพลจากจางลี่เฉินในช่วงสองสามเดือนนี้พยายามเลียนแบบวิธีการเหยียดขาของเขาขณะที่พวกเขาเริ่มฝึกศิลปะการต่อสู้ตาม


 


จากมุมมองของคนที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อน วิธีที่คนพื้นเมืองใช้ออกหมัดจะดูมีพลังมากและดูน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าจางลี่เฉิน แต่หากเป็นในสายตาของคนที่มีประสบการณ์การต่อสู้มาก่อนรูปแบบพวกเขาจะต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง


 


หลังจากที่ชายหนุ่มตั้งอกตั้งใจเพื่อทำการฝึกฝนตามรูปแบบการต่อสู้ที่ทำมาโดยตลอด แต่แล้วเขาก็หยุดทุกการกระทำอย่างกระทันหันหลังได้ยินเสียงปรบมือและเสียงเชียร์เป็นภาษาจีนกลาง “ดีมาก! ดีมาก ๆ! กระบวนท่าของเธอค่อนข้างดีทีเดียว!”


 


จางลี่เฉินตกตะลึงก่อนจะหันไปมองตามทิศทางของเสียง เขาเห็นชายชราคนหนึ่งที่อายุประมาณ 60 เศษ ๆด้วยหน้าสีเคร่งขรึมราวกับว่าเขาได้ผ่านความยากลำบากในชีวิตของเขามามาก เขาสวมสูทที่เนื้อผิวสัมผัสดีมาก ๆ พร้อมกับยกนิ้วโป้งชมเชยมาให้


 


“ลุงก็รู้จักศิลปะการต่อสู้ด้วยเหมือนกันงั้นเหรอครับ?” เมื่อเห็นว่าเป็นชายชราที่มาจากบ้านเกิดเดียวกัน จางลี่เฉินจึงถามไปอย่างสุภาพด้วยภาษาจีนกลางสำเนียงเสฉวนตะวันตก


 


“โอ้ เธอพูดภาษาจีนกลางได้ด้วย! ฟังจากสำเนียงของเธอแล้วคงมาจากมณฑลเสฉวนตะวันตกล่ะสิ  เป็นคนจีนงั้นหรือเรา?” ชายชราถามด้วยความประหลาดใจ


 


“ฉันเป็นชนพื้นเมืองของมณฑลเสฉวนตะวันตก! ฉันมาที่นี่เพื่อท่องเที่ยวในโจฮันเนสเบิร์ก”


 


เมื่อได้ยินแบบนั้น ชายชราก็มองที่จางลี่เฉินและพูดขึ้ว่า “ท่องเที่ยว? นักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ แต่งตัวเหมือนเธอแล้วฝึกศิลปะการต่อสู้ตั้งแต่เช้าตรู่ในสวนสาธารณะแบบนี้ด้วยหรือไม่? ถ้ามาที่นี่เพื่อทำงานก็บอกมาเลยสิ! ที่นี่คือการส่งออกแรงงานอยู่แล้วแต่สิ่งที่น่าอายคือการพึ่งพาความแข็งแกร่งของพวกเธอเพื่อหารายได้ต่างหาก”


 


จางลี่เฉินตัวแข็งทื่อก่อนจะหัวเราะหึ ๆ โดยไม่ปฏิเสธสิ่งใด เขายกกีบน่องที่วางไว้ข้างเท้าเขาขึ้นมาแล้วตอบว่า “จะอย่างไรก็ช่าง ฉันคงต้องขอตัว ลาก่อนผู้เฒ่า”


 


“อย่าเพิ่งสิ! พวกเราทั้งคู่ต่างก็มาจากจีนแต่ได้มาเจอกันที่แอฟริกาเชียวนะ มันคือโชคชะตา! หยุดเคี้ยวกีบเท้าที่ไม่มีเนื้อสัตว์นั่นซะ! มาเถอะ ให้ฉันได้ทำอาหารเช้าที่ดีกว่านี้ให้ดีกว่า” ชายชราเดินเข้ามาจับข้อมือของจางลี่เฉิน


 


“โอ้! ไม่คิดเลยว่าผู้เฒ่าคนนี้จะเป็นคนที่ฝึกศิลปะการต่อสู้มาด้วยเหมือนกัน” จางลี่เฉินตกใจเล็กน้อยขณะเขาพูดกับตัวเองภายในหัว โดยไม่รู้ตัวเขาได้คว้ามือของตัวเองกลับมาจากชายชรา “ขอบคุณครับ แต่ฉันตกหลุมรักกีบน่องนี้ตั้งแต่เข้าเมืองมาใหม่ ๆ แล้วเพราะงั้นฉันสบายดีกับการได้กินมัน”


 


“แค่นั้นมันจะไปพออะไร! มาเถอะ ฉันจะเลี้ยงข้าวเธอเอง!” ดวงตาของชายชราจ้องมองตรงเข้าไปในดวงตาของชายหนุ่มขณะเปล่งประกายเป็นสีเหลืองแวววาวชวนลึกลับในขณะที่ตอบสนองด้วยความเร็วที่ไม่ได้เร็วเกินไปหรือช้าเกินไป



ตอนที่ 183

ลางสังหรณ์ของจางลี่เฉินกำลังบอกเขาว่าชายชราคนนี้กำลังท่องคาถาอะไรบางอย่าง ชายชรายิ้มด้วยความพอใจแต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นชายหนุ่มเองก็กำลังยิ้มตอบกลับมา จากนั้นจางลี่เฉินก็ยื่นมือของตัวเองไปจับกับมือของชายชราแล้วพูดว่า “กำลังฝึกท่องคาถาอะไรอยู่งั้นเหรอครับ? ฉันเคยอ่านเรื่องพวกนี้มาก่อน ดูเหมือนว่าลุงน่าจะกำลังใช้คาถาสะกดจิตอยู่ใช่ไหม?”


 


“ช่างเป็นชายหนุ่มที่หูตาไวอะไรขนาดนี้…” ชายชรายกนิ้วโป้งให้จางลี่เฉินด้วยความใจเย็นพร้อมรอยยิ้มก่อนที่แขนขวาของเขาจะสั่น แล้วทันใดนั้นมือของเขาก็เกร็งขึ้นด้วยพลังทั้งหมดที่เขามี แต่น่าเสียดายที่จางลี่เฉินยังคงจับแขนของเขาไว้อย่างแน่นเหมือนกรงเล็บเหล็ก “ลุง ฉันเกิดท่ามกลางสมรภูมิดังนั้นฉันเองก็มีประสบการณ์มาบ้าง ฉันไม่สามารถอดทนกับอะไรได้แม้แต่ปัญหาเล็ก ๆ และวิธีที่ลุงปฏิบัติกับฉันโดยไม่มีเหตุผลแบบนี้ … ”


 


“อย่าใช้กำลัง อย่าใช้กำลัง! นี่มันสูทตัวใหม่เลยนะ สูทตัวใหม่ที่มีราคาสูงถึงหมื่นดอลลาร์! เนื่องจากพวกเราก็เป็นผู้ใช้คาถาเหมือน ๆ กัน ฉันผิดเองที่ไม่รู้เรื่องนี้แล้วไปร่ายคาถาใส่เธอ อย่างไรก็ตามฉันไม่ได้มีเจตนาร้าย ฉันแค่…แค่ต้องการตัวเธอเพื่อให้เราสามารถสร้างโชคลาภด้วยกันได้ก็เท่านั้น เธอออกจากบ้านเกิดมาไกลเพื่อหารายได้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ ถ้าพลาดโอกาสในตอนนี้ไปเธอจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน ฉันรับประกันได้เลย!”


 


จางลี่เฉินมองชายชราผู้ซึ่งเป็นพ่อมดเหมือนกันในขณะที่เขายังคงจับมือของชายชราไว้ไม่ยอมปล่อย เขาประหลาดใจที่เห็นชายชราไม่ได้เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของตัวเองเลยแม้แต่น้อยแต่กลับไปกังวลเกี่ยวกับชุดที่เขาใส่อยู่แทน เขาอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะประหลาดใจกับเรื่องนี้ เมื่อเขามองกลับไปที่ชายชราสวมสูทตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้งแล้วเอ่ยถามไปว่า “ลุงหมายถึงโอกาสแบบไหน?”


 


“ถ้าอยากรู้ก็ปล่อยมือฉันก่อนสิ” เมื่อชายหนุ่มถามคำถาม การแสดงออกของชายชราก็ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขาดูแข็งแรงและเยือกเย็นขึ้น


 


มันเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้ว่าคนที่สองที่ฝึกเรื่องเวทคาถาที่เขาพบจะกลายเป็นคนที่มีบุคลิกเช่นนี้ หากเปรียบกับแมวภูเขาที่ชอบควบคุมชีวิตของคนอื่นไว้ในมือเพื่อทรมานศัตรูก่อนลงมือฆ่าเหมือนแมวที่ชอบแหย่เล่นกับหนูแล้ว ดูเหมือนว่าชายชราคนนี้จะเป็นเพียงพ่อมดธรรมดา ๆ คนหนึ่ง


 


ด้วยความอยากรู้อยากเห็น จางลี่เฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยมือจากชรา “บอกฉันมาได้แล้วลุง!”


 


“เห้อ พวกคนหนุ่มสาวเนี่ยนะ ไม่มีความอดทนอะไรเอากับเขาซะเลย… เราทุกคนต่างกำลังฝึกฝนเพื่อพัฒนาการใช้คาถาและในไม่ช้าเราก็จะสูญพันธุ์หลังจากโดนพวกเลือดบริสุทธิ์ที่สันโดษฆ่าตาย แล้วในที่สุดตอนนี้ฉันก็สามารถแสดงตัวบนโลกสาธารณชนได้แล้วทำไมฉันถึงต้องไปทำร้ายเธอโดยไม่มีเหตุผลด้วยกัน? นอกจากนี้เธอยังไม่ได้สลักคำว่า “พ่อมด” ไว้ที่หน้าผากด้วยซ้ำแล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไง … ” ชายชราบ่นเล็กน้อยขณะถูข้อมือตัวเอง เมื่อเขาเห็นว่าชายหนุ่มข้างกายขมวดคิ้วเพราะคำพูดไร้สาระของเขา เขาก็ลดระดับเสียงของตัวเองลงอย่างรวดเร็วและแสร้งทำเป็นลึกลับ “เรื่องนี้น่ะเกี่ยวกับโอกาสที่เธอจะได้รับโชคลาภอย่างมาก เราไม่ควรพูดเรื่องนี้กันที่สาธารณะ ไปหาร้านอาหารหรือผับเพื่อไปพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ในขณะที่เราหาอะไรกิน … ”


 


“ที่แอฟริกาใต้ไม่ค่อยมีคนฟังภาษาจีนรู้เรื่องเท่าไหร่นัก พูดกันที่นี่แหละลุง” จางลี่เฉินยิ้มและปฏิเสธคำแนะนำของชายชรา


 


“ได้สิ ได้!” เมื่อเห็นว่าตัวเองไม่สามารถเอาชนะชายหนุ่มหรือทำให้ชายหนุ่มเกรงกลัวได้ ชายชราก็เริ่มเล่าเรื่องอย่างช่วยไม่ได้ “เหตุผลที่ฉันมาที่แอฟริกาใต้ในครั้งนี้เพราะฉันได้รับการว่าจ้างจากบริษัทการทำเหมืองแร่แห่งชาติจีนในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม ฉันควรจะมีผู้ช่วยส่วนตัวเพื่อช่วยงานและคน ๆ นั้นก็ควรเป็นลูกชายของฉัน แต่เขาเกิดเป็นโรคบิด(อาการท้องเสียอย่างรุนแรง)กระทันหันในช่วงนาทีสุดท้ายก่อนขึ้นบินทำให้เขาไม่สามารถมาที่แอฟริกาใต้ด้วยได้ เมื่อฉันเห็นเธอกำลังฝึกศิลปะการต่อสู้อยู่บนถนน การเคลื่อนไหวที่ดูดีของเธอทำฉันประทับใจมากเลยอดไม่ได้ที่จะเดินเข้ามา”


 


“ลุงน่ะหรอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม?” จางลี่เฉินตะลึงกับข้อเท็จจริงที่ได้ฟัง


 


ชายชราหัวเราะเบา ๆ ให้กับการตอบสนองของชายหนุ่ม “พ่อหนุ่ม อย่าได้ดูถูกฉันขนาดนั้นนักสิ ฉันทำงานเป็นผู้ทำพิธีไล่ผีส่งยมโลกและเป็นอาจารย์ฮวงจุ้ยมานานหลายสิบปีที่กานซู แล้วทำไมฉันจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมด้วยไม่ได้? ไม่เพียงแค่นั้นนะ แต่เวลานี้ประเทศของเรายังส่งพวกเราออกมาไกลหลายพันไมล์เพื่อให้มาที่แอฟริกานี้อีก พวกเขาไม่ใช่แค่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมธรรมดา ๆ แต่เป็นทีมที่ตั้งขึ้นเพื่อสำรวจเหตุการณ์แปลก ๆ เราถูกส่งมาที่นี่ก็เพื่อเป็นแรงเสริมและให้การสนับสนุนแก่พวกเขา”


 


เมื่อชายชราพูดประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงละไม คำใบ้แห่งความสุขก็ปรากฏขึ้นที่ดวงตาของเขาในทันใด ชายชราคนนี้ไม่สามารถหลบซ่อนอะไรจากจางลี่เฉินได้เลย


 


“ที่ลุงพยายามร่ายคาถาและทุ่มเทขนาดนี้เพื่ออะไร? บอกฉันมาให้หมด” เมื่อจางลี่เฉินเห็นว่าชายชรากำลังไล่ไปตามส่วนสำคัญอย่างช้า ๆ ชายหนุ่มจึงเอ่ยถามด้วยความอยากรู้


 


“ผู้เฒ่าสวี! อย่าออกไปไหนเองงแบบนี้สิครับ การที่คุณหายไปแบบนี้ในตอนเช้า ผมต้องตามหาทั้งคุณและไมค์นานกว่า 1 ชั่วโมงคุณก็รู้นี่ครับ!” ทันใดนั้นเสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดปนกับความดีใจก็ดังแทรกการซักถามของจางลี่เฉิน


 


จากนั้นก็มีผู้ชายชาวจีนที่ดูซื่อ ๆ วิ่งมาจากระยะไกลแล้วคว้าเข้าที่แขนของชายชรา “ถ้าคุณยังไปไหนมาไหนโดยไม่มีทีมติดตามและยังทำตัวไม่มีวินัยแบบนี้ผมจะบอกหัวหน้าให้ลงโทษคุณจริง ๆ แล้วนะครับ มาเถอะครับ คุณแก่มากแล้วและมันก็คงดูไม่ดีที่ผมจะมายืนบ่นคุณนาน ๆ แบบนี้ ต่อจากนี้คุณต้องมีเหตุผลให้มากขึ้น … ใครกันหรอครับ? ผู้เฒ่าสวี คุณรู้จักเขาไหม?”


 


ความสนใจของเขาอยู่ที่ชายชราในตอนแรก แต่หลังจากที่เขาตามหาตัวชายชราจนเจอและบ่นไปกับเขาเล็กน้อยเพื่อระบายความหงุดหงิดในใจเสร็จ ทันใดนั้นเขาถึงสังเกตเห็นการมีอยู่ของชายหนุ่มที่แต่งตัวเหมือนคนโจฮันเนสเบิร์กทั่ว ๆ ไปข้าง ๆ ชายชรา จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นคนจีน และไม่เพียงเท่านั้นแต่เขายังส่งความรู้สึกบางอย่างที่แข็งแกร่งออกมาอย่างจงใจ


 


เขารู้ได้ในทันทีว่าคน ๆ นี้ไม่ใช่คนธรรมดาจึงเอ่ยถามออกไปอย่างระมัดระวัง


 


“ใจเย็นก่อน หัวหน้าชุ่ย ใจเย็น ๆ! วันนี้เป็นวันแห่งโชคชะตานำพา! ฉันกำลังเดินเล่นไปตามถนนแล้วก็เจอกับหลานชายของรุ่นน้องที่เดินทางมาทำงานที่แอฟริกาด้วยความบังเอิญ ฉันแค่พยายามเกลี้ยกล่อมให้เขามาทำงานให้หนักขึ้นเพื่อประเทศของเรา…” เมื่อได้ยินคำถามของเพื่อนร่วมงาน ชายชราก็แอบกระพริบตาให้จางลี่เฉินพร้อมทำท่าแสดงออกว่า “ตามน้ำไปกับฉันก่อน!”


 


“ผู้เฒ่าสวี! คุณเป็นบ้าไปแล้วหรือไงครับ?! การเข้าสู่อาณาจักรเหนือธรรมชาติเป็นความลับอันดับต้น ๆ ของประเทศแล้วคุณจะไปหาคนมาร่วมงานง่าย ๆ แบบนี้ได้ยังไงครับ? คุณกำลังทำอะไรอยู่รู้ตัวไหม?” การตอบเพียงประโยคเดียวจากชายชราก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ชายหนุ่มปะทุโกรธเหมือนระเบิดที่ถูกจุด ใบหน้าของเขาขึ้นสีแดงในทันทีขณะที่เขากระซิบเสียงต่ำพร้อมกรีดฟันกรอด


 


เขาไม่สามารถระงับความโกรธที่เดือดพล่านในร่างกายได้อีกต่อไป ผิวหนังบนร่างกายของเขาเริ่มเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีเทาเงิน


 


“หัวหน้าชุ่ย คุณกำลังจะทำอะไร?! ดึงพลังอาคมโกลเด้นบลูกลับเข้าไปเร็วเข้า! ถ้ามีใครมาเห็นคุณ เขาจะคิดว่าคุณมีเจตนาร้ายแล้วจะเป็นคุณเองที่ทำลายแผนการของพวกเรา!” เมื่อชายชราเห็นชายหนุ่มเริ่มแสดงพลังเหนือธรรมชาติ คำใบ้ของความอิจฉาและที่รุนแรงปรากฏในดวงตาของเขา อย่างไรก็ตามปากของเขาได้เอ่ยขัดจังหวะอย่างไร้เดียงสาไปแทน “ฉันแค่บอกหลานชายของรุ่นน้องว่าฉันได้รับโชคในวัยชราและได้รับการว่าจ้างจากบริษัทการทำเหมืองแร่แห่งชาติจีนให้มาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมที่แอฟริกาใต้ ฉันบอกเขาว่าอย่าไปทำงานกับลิงถ่านพวกนั้นเลย มาช่วยฉันทำงานเพื่อที่เขาจะได้เป็นแรงงานของประเทศเราแทนดีกว่า ฉันตั้งใจจะเกลี้ยกล่อมให้เขามาเข้ากลุ่มกับพวกเรา แล้วฉันจะบอกกัปตันเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เอง การจะรับเขาหรือไม่มันก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของกัปตันหลังจากนี้ แต่คุณกลับทำพลังรั่วไหลออกมาอย่างฉับพลันเแล้วดูสิ จากตอนแรกที่เขาไม่รู้อะไรเลยกลับกลายเป็นตอนนี้เขารู้ทุกอย่างเพราะการแทรกแซงของคุณ … ”


 


ไม่ว่าชายหนุ่มจะมีความสามารถมากเพียงใดก็ไม่สามารถเทียบกับความเก่งกาจของความเจ้าเล่ห์และแนบเนียนของชายชราผู้มีประสบการณ์หลายปีคนนี้ได้ ด้วยคำพูดแค่เพียงไม่กี่ประโยคก็ทำให้สถานการณ์ร้ายเกิดการพลิกกลับ ทำเอาผู้ชายข้าง ๆ พูดอะไรไม่ออก ใบหน้าของเขาเปลี่ยนกลับจากสีเทาเงินมาเป็นสีแดงจากความอับอายก่อนจะเปลี่ยนกลับมาเคร่งเครียดอีกครั้ง “เอะ … เอ๋? นี่มันกลายเป็นความผิดของผมแทนงั้นหรอครับ?”


 


“หัวหน้าชุ่ย เมื่อฉันมาคิดดูดี ๆ แล้วฉันไม่สามารถไปตำหนิอะไรคุณได้ หนำซ้ำฉันเองต่างหากที่ควรถูกตำหนิเพราะฉันไม่ควรไปชวนใครมาเข้าร่วมทีมสำหรับภารกิจที่สำคัญแบบนี้เอาเองง่าย ๆ อย่างไรก็ตามฉันเป็นผู้ใช้คาถา เมื่อฉันใช้คาถาฉันจะอ่อนแอและมีแนวโน้มที่จะเกิดอันตรายได้ดังนั้นฉันจึงต้องการการปกป้องเป็นพิเศษจากผู้คุ้มกัน เป็นผลให้พวกคุณต้องหาบอดีการ์ดมาให้และถึงกับบอกว่าเขาเป็นโค้ชศิลปะการต่อสู้ของกองกำลังตำรวจประจำจังหวัด แต่พวกเขากลับไม่สามารถเอาชนะชายชราอย่างฉันได้ด้วยซ้ำ! พวกเขารู้แค่วิธีทุบอิฐ! ก้อนอิฐยอดเยี่ยมจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อต้องรับมือกับสถานการณ์อันตรายงั้นหรือ? ฉันไม่มีทางเลือกนอกจากต้องหาทางอื่น … “


 


“พอแล้วครับ ผมเข้าใจแล้วผู้เฒ่าสวี  เนื่องจากสิ่งต่าง ๆ ที่อาจนำไปสู่ขั้นตอนดังกล่าวเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากให้หลานชายรุ่นน้องของคุณเข้าร่วมทีมด้วย” ชายหนุ่มสังเกตได้ว่าคนที่อยู่ในสวนเริ่มลดจำนวนลงน้อยลงเรื่อย ๆ จนทำให้การรวมตัวของคนจีนทั้งสามคนกลายเป็นสิ่งที่เด่นชัดมากขึ้นแทน เขาระงับความโกรธของตัวเองพร้อมกระซิบว่า “ผมจะคุยกับกัปตันเกี่ยวกับเรื่องนี้เอง แต่ถ้าคุณยังออกไปไหนมาไหนด้วยตัวเองอีกครั้ง ผมจะ…ผมจะ…อย่างแน่นอน”


 


“ไม่ต้องห่วงหัวหน้าชุ่ย ตราบใดที่คุณยอมปล่อยให้หลานชายรุ่นน้องอยู่ในทีมเดียวกันกับฉันและอนุญาตให้เขาเป็นคนคุ้มครองชีวิตที่อ่อนแอของฉัน ฉันสัญญาว่าฉันจะปฏิบัติตามกฎของทีมอย่างเคร่งครัดและไม่ออกไปไหนโดยไม่มีเหตุผลอีก”


 


“มันคงจะดีถ้าเป็นแบบนั้นได้จริง ๆ ตอนนี้รีบกลับโรงแรมกันก่อนเถอะครับ” เมื่อชายหนุ่มได้ยินความมั่นใจของชายชรา การแสดงออกของเขาก็กลับคืนสู่ภาวะปกติ การแสดงออกทางสายตาเขาก็เริ่มลดระดับความรุนแรงลง อย่างไรก็ตามเมื่อเขากำลังก้าวไปข้างหน้าเขาสังเกตเห็นว่าจางลี่เฉินกำลังใช้ความคิดอยู่กับตัวเองจนแน่นิ่งจนเป็นเหมือนรูปปั้น


 


ต่อหน้าหนุ่มวัยรุ่นที่ดูอ่อนกว่า ชายหนุ่มชาวจีนผู้ซึ่งยังมีความโกรธอยู่ในตัวไม่ได้ทำตัวสุภาพเท่ากับตอนที่คุยกับชายชรา เขาพูดขึ้นว่า “ฉันบอกว่าให้พวกเรากลับโรงแรมกันก่อนไม่ได้ยินหรือไง?”


 


“พี่ชาย พี่กับลุงสวีพูดเออออกันเองโดยไม่มีใครถามความคิดเห็นของฉันสักคำว่ายินดีที่จะเข้าร่วมทีมด้วยหรือเปล่า?!”


 


ชายหนุ่มตกตะลึงไปชั่วขณะ เขาค่อย ๆ มองจางลี่เฉินอย่างจริงจังก่อนจะแสยะยิ้มประดิษฐ์ “เธอออกมาทำงานก่อนที่จะเรียนจบมัธยมปลายใช่ไหม? เป็นลูกหลานชาวจีนแต่ถ้าตัดสินจากเสื้อผ้าน่าเกลียดที่เธอสวมใส่อยู่ตอนนี้แล้วเธอคงเป็นกบฏที่ถูกขับไล่ล่ะสิหื้ม? คงคิดว่าตัวเองรู้ดีไปหมดทุกอย่างถึงได้ทำท่าดูถูกทุกคนแบบนี้ใช่ไหม?”


 


“หัวหน้าชุ่ย โปรดอย่าพูดจาแบบนั้นเลยนะ เขาเก่งด้านศิลปะการต่อสู้ไม่น้อยและอารมณ์ของเขาก็ค่อนข้างรุนแรงดังนั้นขอให้ฉันได้พูดคุยกับเขาก่อน” ชายชราพึมพำด้านข้างขณะแอบยิ้มมีความสุขในความโชคร้ายของคนอื่น


 


“แม้ทักษะศิลปะการต่อสู้ของเขาจะดีแต่เขาจะเอาชนะพลังอำนาจรอบรู้ไปได้อย่างไร?” ชายหนุ่มยิ้มและยื่นมือไปจับไหล่ของจางลี่เฉิน “ทำตามที่ฉันพูดอย่างเชื่อฟังซะ อย่าทำลายความสัมพันธ์ที่เราพึงมีต่อกัน เธอจะต้อง… “


 


ในการเผชิญหน้ากับการโจมตี จางลี่เฉินก้าวเดินถอยหลังเล็กน้อยด้วยสีหน้าว่างเปล่า จากนั้นเขาก็ย่อตัวและกระโดดขึ้นจากพื้นขึ้นด้านบน 7 – 8 เซนติเมตร สะสมพลังงานที่แข็งแกร่งไว้ที่แขนขวาแล้วเหวี่ยงหมัดออกไป


 


มันไม่ได้ทำให้เกิดเสียงลมหรือให้ความรู้สึกเหมือนถูกคุกคามกดขี่แต่อย่างใด แต่ชายชราที่อยู่ใกล้ ๆ เริ่มหน้าถอดสีและรีบก้าวไปข้างหน้า ฝ่ามือของเขาเหยียดตรงไปยังหมัดของจางลี่เฉินราวกับว่าไม่มีกระดูก “พ่อหนุ่ม! ทำไมถึงได้ทำตัวไร้ความปราณีขนาดนี้ มันก็แค่ความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันเท่านั้น”


 


เมื่อได้เห็นชายชราเข้ามาหยุดยั้ง ชายหนุ่มที่นามสกุลชุ่ยก็เริ่มร่ายคาถาแปลก ๆ อย่างระวังแล้วผิวของเขาก็เปล่งประกายไปด้วยสีเทาเงิน


 


เมื่อจางลี่เฉินเห็นว่าเวลาที่ใช้ในการโจมตีของเขาได้ผ่านไปแล้ว และด้วยความไม่ตั้งใจที่จะเปลี่ยนร่างบนท้องถนนหรือต้องการให้มีข่าวว่ามีคนกลายเป็นสัตว์ประหลาดมาโจมตีเมือง เขาโบกแขนของตัวเองเบา ๆ และดึงกำปั้นกลับมา ทันใดนั้นก็เกิดการระเบิดของอากาศโดยรอบอย่างรวดเร็ว


 


เขายิ้มและพูดว่า “พี่ชาย พี่ไม่มีทางหยุดฉันได้ฉันฉันต้องการจะจากไป มันคงเป็นการดีกว่าที่จะไม่ทำลายความสัมพันธ์อันกลมกลืนของพวกเรากันเอง”



ตอนที่ 184

แม้ชายหนุ่มชาวจีนจะตกใจกับการระเบิดทางอารมณ์ของคนที่อ่อนกว่าข้าง ๆ จนทำให้การแสดงออกทางสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยแต่เขาก็ยังคงพูดอย่างหัวแข็ง “ฉันจะไม่ขวางอะไรเธอเลยถ้าไม่ใช่เพราะเรากำลังอยู่ในย่านใจกลางเมืองของต่างประเทศ … ”


 


“น่า ๆ หัวหน้าชุ่ย อย่าไปโกรธเขาเลย หลายชายรุ่นน้องฉันเขาไม่ค่อยเก่งเรื่องการเรียนมาตั้งแต่ยังเด็ก ๆ แล้วก็ออกจากบ้านมาตั้งแต่ตอนนั้น อารมณ์ของเขาเลยอาจจะดูร้ายไปบ้าง ฉันขอคุยกับเขาสักเดี๋ยวนะ ให้ฉันได้พูดว่าเราตั้งใจจะมอบโอกาสที่ดีให้เขาจริง ๆ” ชายชราพยักหน้าขณะยิ้มอย่างแจ่มใส จากนั้นเขาก็ก้าวเข้าไปใกล้ ๆ กับจางลี่เฉินแล้วพูดด้วยเสียงกระซิบว่า “พ่อหนุ่ม มาคุยกันหน่อยเถอะ”


 


จางลี่เฉินเม้มปากไม่พอใจ “ฉันเห็นความเจ้าเล่ห์ของลุงมาแล้ว เพราะงั้นฉันจะไม่ยอมอยู่เล่นกับลุงอีกต่อไป ขอตัว” จากนั้นเขาก็หันหลังเตรียมที่จะจากไปทันที


 


“อย่าเพิ่ง อย่าเพิ่งไป! ฟังฉันก่อน! ถ้าเธอยอมไปทำงานกับพวกเรา เธอจะได้รับประโยชน์ดี ๆ มากมายเลยนะ! ถ้าเธอทำงานนี้เสร็จเมื่อไหร่ เธอจะได้รับทั้งตำแหน่ง สถานะนายทหาร หรือแม้แต่บ้าน! มันเหมือนกับการได้รับเหรียญทองโอลิมปิกไม่มีผิด!” ชายชราชักชวนเขาอย่างร้อนรน


 


น่าเสียดายที่การล่อลวงที่ดึงดูดในสายตาของชายชราอย่างมากนั้นกลับทำให้เกิดการแสดงออกที่น่าสมเพชอย่างมากจากจางลี่เฉินเมื่อเข้าหูของเขาแทน


 


เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มวัยรุ่นยังยืนกรานที่จะจากไป ชายชราก็ยิ่งตกใจและพูดอย่างเร่งรีบอีกครั้งว่า “อย่าเพิ่งไป! อย่าไปเลย! เธอจะได้รับรางวัลเป็นเงินสด แฟนสาวและแม้แต่ทักษะลับ โดยทั่วไปเธอสามารถขอได้ทุกอย่างที่เธอต้องการ … ”


 


“อะไรนะ?”


 


“เธอสามารถขอได้ทุกอย่างที่เธอต้องการ ขอแค่ตั้งเงื่อนไขนั้นมาก็พอ” เมื่อเห็นเด็กวัยรุ่นร่างผอมยอมหยุดการแสดงออกที่รุนแรงแล้ว ชายชราก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากขณะที่เขากระซิบด้วยความจริงใจ “มันเป็นภารกิจลับของประเทศเรา ดังนั้นรัฐบาลจะปฏิบัติแย่ ๆ กับเธอได้อย่างไรล่ะจริงไหม? ดูจากอายุของเธอแล้ว เธอต้องเคยอ่านนิยายออนไลน์อะไรพวกนี้มาบ้างใช่ไหม? เธอรู้จักดราก้อนกรุ๊ปมาก่อนหรือเปล่า? กลุ่มมังกรที่…”


 


“ไม่เคย ลุงบอกว่าฉันจะได้รับทักษะลับใช่ไหมถ้าฉันยอมทำงานกับลุง นั่นมันหมายความว่าอะไร หมายถึงทักษะลับของคาถาใช่ไหม?”


 


“โอ้ แน่นอนสิ! มันเป็นแบบฉบับโบราญที่หายากจริง ๆ!” ชายชราพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “นอกจากนี้เธอยังเก่งด้านศิลปะการต่อสู้และยังสามารถใช้เวทมนต์ได้อีก มันไม่มีอะไรให้เธอต้องกลัวเลยจริงไหม? ตามพวกฉันกลับไปที่โรงแรมก่อนเถอะ เธอสามารถกลับออกไปได้เสมอถ้าเธอไม่สามารถอยู่กับพวกเราได้ ไม่มีใครหยุดเธอได้อยู่แล้วนี่จริงไหม?”


 


“ใช่! อย่างไรก็ตามถ้าลุงโกหกฉันเรื่องทักษะลับ ผลที่ตามมาจะยุ่งยากกว่าที่ลุงคิดไว้แน่” จางลี่เฉินไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าและตอบรับอย่างใจเย็น


 


“ไม่ต้องห่วง! ฉันจะไปโกหกเธอได้อย่างไรเล่า ตราบใดที่เธอยอมทำเพื่อประเทศชาติเธอจะได้ทุกสิ่งที่ต้องการ!” ชายชราที่อยู่ในสังคมคุกคามมาเป็นเวลานานและถูกคุกคามอยู่บ่อยครั้งไม่อาจทำใจให้ชินได้เลยเมื่อได้ยินคำพูดที่แฝงไปด้วยความน่ากลัวของจางลี่เฉิน อย่างไรก็ตามในสถานการณ์แบบนี้ เขาทำได้แค่เพียงสัญญาแบบปากเปล่าออกไปก่อน จากนั้นเขาก็พาจางลี่เฉินกลับไปสมทบกับชายหนุ่มที่ยืนรออยู่ “หัวหน้าชุ่ย เรียบร้อยแล้ว! แถวนี้มีคนอยู่มากมายดังนั้นอย่าอยู่ที่นี่ต่อไปเลย กลับโรงแรมกันก่อนเถอะ”


 


ชายหนุ่มจ้องมองชายชราที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและจางลี่เฉินที่ไม่ได้แสดงอารมณ์ใด ๆ ข้าง ๆ ก่อนจะพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ แล้วนำทางไปตามทิศที่เขาวิ่งมาในตอนแรก


 


หลังจากเดินมานานกว่า 20 นาทีโดยไม่หยุดพัก พวกเขาทั้งสามก็มาถึงโรงแรมที่ชื่อว่าแอฟริกา โฮมทาวน์ในที่สุด


 


เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในโรงแรมระดับกลางแห่งนี้ ชายชาวจีน 2 – 3 คนที่แต่งตัวเหมือนนักท่องเที่ยวที่นั่งอยู่ในล็อบบี้ก็ล้อมรอบตัวพวกเขาในทันใด


 


“ใจเย็นก่อน ใจเย็น ๆ นี่หลานชายลูกน้องของฉันเอง เขาเป็นพวกเรา!” หลังจากที่ชายชราโบกมือและอธิบายกับคนของเขาเสร็จ เขาก็ลดเสียงลงเพื่อมากระซิบกับจางลี่เฉิน “รอฉันอยู่ที่นี่ก่อนนะ อย่าไปโกรธพวกเขาเลย พวกเขาแค่ทำตามหน้าที่ ฉันกับหัวหน้าชุ่ยจะขึ้นไปแจ้งข่าวกับกัปตันหูเรื่องของเธอก่อน แล้วเราจะรีบลงมา”


 


“มีปัญหานิดหน่อยแต่ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร ลู่ชิงอยู่ที่นี่ช่วยดูคนนี้ที่ล็อบบี้เอาไว้ให้ที ฉันจะไปกับผู้เฒ่าสวีเพื่อคุยกับกัปตัน” ชายหนุ่มอีกคนกล่าวด้วยสีหน้าไม่สนใจ


 


“ครับ ผมจะจับตาดูเขาไม่ให้ละสายตาไปไหนได้เอง” หนึ่งในชาวจีนที่เข้ามาล้อมพวกเขาเป็นชายหัวล้านที่เมื่อดูท่าทางของเขาแล้วน่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม เขามองไปที่จางลี่เฉินและพูดขึ้นว่า “อย่างไรก็ตาม กัปตันของพวกเราเกลียดการจัดการกับเรื่องที่ยุ่งยากดังนั้นคุณควรระวังตัวไว้ให้ดีนะครับ”


 


“หยุดทำหน้าพอใจกับโชคร้ายของฉันสักทีจะได้ไหม!” ชายหนุ่มตอบออกไปแบบอดไม่ได้ที่จะทำหน้าตาบูดบึ้งก่อนจะหันมากล่าวตักเตือนชายชราที่อยู่ข้าง ๆ “ผู้เฒ่าสวี เมื่อเราไปพบกับกัปตันต่อจากนี้คุณควรระวังคำพูดของคุณให้ดีและอย่าทำอะไรให้มันต้องยุ่งยากไปกว่านี้อีกนะครับ คุณควรพูดออกไปให้ชัด ๆ เพราะคุณก็น่าจะรู้ดีว่ากัปตันของพวกเราเข้มงวดมากขนาดไหน ถ้าหากคุณยิ่งไปโกหกเธอ มันไม่มีทางที่จะหลบหนีไปจากการสังเกตของเธอได้”


 


ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ เขาก็เดินตรงไปที่ลิฟต์ของโรงแรม


 


“ได้สิได้! แน่นอน หัวหน้าชุ่ยไม่ต้องกังวลมากขนาดนั้นหรอก!” ชายชราพยักหน้าด้วยรอยยิ้มขณะที่เขาเดินตามชายหนุ่มเข้าไปในลิฟต์ จนกระทั่งถึงที่ชั้น 7 พวกเขาเดินไปตามทางเดินที่เต็มไปด้วยแสงสว่างก่อนจะหยุดที่หน้าประตูห้องห้องหนึ่ง


 


ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เคาะประตู ประตูห้องกลับค่อย ๆ เปิดออกมาอย่างช้า ๆ


 


คนที่เปิดประตูเป็นชายที่สวมเสื้อยีนส์และใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมัน ทั่วร่างกายของเขาเต็มไปด้วยน้ำหอมฉุนที่สามารถกระตุ้นให้คนใกล้ตัวส่งเสียงจามได้


 


ชายชราที่ปกติแล้วจะเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์และลิ้นกะล่อนหน้าถอดสีทันทีก่อนจะกลืนน้ำลายเสียงดัง “โอ้ ที่ปรึกษาเจิ้ง คุณก็อยู่ห้องของกัปตันด้วยงั้นเหรอเนี่ย เราคงไม่ต้องรีบร้อนอะไรขนาดนั้นก็ได้มั้งหัวหน้าชุ่ย ไว้เรากลับมาอีกครั้งเถอะ อย่าไปขวางธุระของพวกเขา…”


 


“ผมเป็นเพียงที่ปรึกษาที่ไม่มีได้ความสำคัญมากมาย คุณสองคนน่าจะมีเรื่องที่จริงจังยิ่งกว่า รีบเข้ามาก่อนเถอะครับ อย่ามัวแต่เสียเวลาอยู่เลย” โชคไม่ดีที่ความตั้งใจของชายชราที่ต้องการเลื่อนผ่านการพบเจอในครั้งนี้ไม่ประสบผลสำเร็จเพราะชายที่เดินมาเปิดประตูต้อนรับไม่ยอมให้เขาได้ทำเช่นนั้น หลังจากจ้องตากัน 2 – 3 วินาที ทันใดนั้นเขาก็ก้าวกลับเข้าไปในห้องเพื่อเปิดทางให้ผู้มาใหม่เข้ามาข้างใน


 


“โอ้ แน่นอน! สมกับเป็นที่ปรึกษา คุณเจิ้งช่างสมเหตุสมผลจริง ๆ” ชายชราว่าพลางเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับชุ่ย เสี่ยวตงที่ตัวแข็งทื่อไปโดยสมบูรณ์


 


ห้องพักเดี่ยวของโรงแรมทั่วไปไม่ได้มีขนาดที่ใหญ่นัก เช่นเดียวกันกับแอฟริกา โฮมทาวน์ มันเป็นห้องเดี่ยวที่มีพื้นที่รวมน้อยกว่า 10 ตารางเมตร นอกเหนือจากเตียงเดี่ยวพร้อมโต๊ะข้างเตียงติดผนัง เฟอร์นิเจอร์อย่างอื่นก็มีแค่โซฟาขนาดเล็ก 2 ตัวตรงหน้าต่าง ส่วนทีวีถูกฝังติดอยู่ในกำแพง


 


แม้ตัวห้องจะเล็กแต่กลับมีคนอยู่ 6 – 7 คน เป็นเรื่องดีที่นอกเหนือจากชายวัยกลางคนรูปหล่อที่สวมแว่นตากรอบดำที่ดูเป็นมิตรที่สุดนั่งอยู่ตรงโซฟาและหญิงสาววัย 40 ทรงเสน่ห์ที่สวมชุดสูทสีเทาที่นั่งอยู่บนเตียง คนอื่นที่เหลือยืนติดอยู่กับผนังห้อง ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่ถือว่าแออัดจนเกินไปนัก


 


เมื่อเดินเข้าไปในห้อง ชายชราก็รีบก้มคำนับหญิงวัยกลางคนด้วยความเคารพในทันที “ที่ปรึกษาเจิ้ง กัปตันหู”


 


“ที่ปรึกษาเจิ้ง กัปตัน” ชุ่ยเสี่ยวดงเองก็โค้งคำนับเช่นกัน


 


“ผู้เฒ่าสวี คุณแก่กว่าผมมากเพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องสุภาพกับผมขนาดนั้นก็ได้ครับ มานั่งตรงนี้เถอะ กัปตันหูเองก็ไม่ใช่คนที่สนใจเรื่องทางการเล็ก ๆ น้อย ๆ อะไรพวกนี้ เธอจะรู้สึกสะดวกใจมากกว่าถ้าคุณมานั่งคุยกับเธอ เสี่ยวตงยังเด็ก มันเหมาะสำหรับเขาแล้วที่จะพูดอย่างสุภาพแบบนั้น” ชายวัยกลางคนแสดงท่าทีเป็นกันเองแล้วชี้ไปที่โซฟาด้านข้างขณะพูดกับชายชรา


 


เมื่อได้ยินคำพูดแบบนั้นแล้ว ไม่ว่าชายชราจะรู้สึกประหม่าและอึดอัดใจมากเพียงใดแต่ที่เขาทำได้คือการยิ้มรับออกไปเท่านั้น “แต่คุณทั้งสองคนเป็นหัวหน้าของพวกเราและคุณก็เป็นที่ปรึกษาใหญ่ของทีมซึ่งเทียบเท่ากับหัวหน้า … ”


 


“ผู้เฒ่าสวี คุณไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก แค่นั่งลงแล้วบอกฉันมาตรง ๆ ว่ามีอะไร” หญิงวัยกลางคนกล่าวตัดประโยคของชายชรา


 


“โอ้ ดะ ได้สิ ฉันจะนั่งเอง ที่จริง ที่จริงแล้ว … กัปตันหู ฉันมีเรื่องจะรายงาน…” แม้จะรู้ดีว่าการนั่งลงบนโซฟาไม่ใช่เรื่องที่ผิดแต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเกร็ง ชายชรานั่งลงถัดจากที่ปรึกษาเจิ้ง เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเล่าเรื่องของจางลี่เฉินให้กัปตันหูฟังด้วยความจริงจัง


 


ในขณะที่เขาอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น การแสดงออกของกัปตันหูก็เปลี่ยนไป หลังจากที่เธอได้ยินประโยคสุดท้ายของเขาเธอก็ถามทันทีว่า “ผู้เฒ่าสวี คุณไม่ได้เปิดเผยความจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ของทีมของเราต่อหลานชายรุ่นน้องของคุณก่อนที่ชุ่ยเสี่ยวตงจะเปิดเผยตัวเองใช่ไหม?”


 


“ผ ผมจะกล้าพูดแบบนั้นได้อย่างไรกัน?! ผมแค่บอกเขาไปว่าเดิมทีผมมีผู้ช่วย…” ชายชราพูดติดอ่างขณะที่เขาก้มศีรษะลงไม่กล้าสบตากับอีกฝ่าย


 


“ฮ่า ๆ คุณเองก็ช่างตลกดีเหมือนกันนะครับ แม้ว่าเราจะดูเหมือนกองทัพของหนูตามท่อรางน้ำ แต่แน่นอนว่ากัปตันหูสามารถทำตามคำขอของคุณเสมอได้หากคุณต้องการผู้ช่วยที่แข็งแรง จากสิ่งที่ผมเห็น คุณคงสนใจในความสามารถของเขาในตอนแรกเลยตัดสินใจอยากได้ตัวเขามาโดยไม่รู้ว่าเขาเองก็เป็นแบบเดียวกันกับคุณ ท้ายที่สุดเขาก็คัดค้านเลยเป็นการบังคับให้คุณต้องเกลี่ยกล่อมเขาด้วยการต่อรองและไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพาเขากลับมาที่โรงแรม”


 


ชายชราไม่มีเจตนาจะโต้แย้งคำพูดของชายวัยกลางคน เขาเพียงแค่ยิ้มแล้วตอบไปว่า “เป็นอย่างที่ฉันคาดไว้จริง ๆ ฉันไม่สามารถซ่อนอะไรจากคุณได้เลยที่ปรึกษาเจิ้ง ฉันบังเอิญได้รับทักษะในการปรับแต่งศพหุ่นเชิดเมื่อฉันเดินเล่นไปมาที่แม่น้ำและทะเลสาบ คุณก็รู้ว่าสิ่งที่ฉันกำลังฝึกฝนคือประตูแห่งการเสียสละ ทักษะศพหุ่นเชิดจะอนุญาตให้ฉันได้ฝึกฝนประตูแห่งความตายเว้นแต่ว่าฉันจะได้เป็นพ่อมดแทรกซึมจิตใจระดับ 6”


 


“ถึงแม้คุณจะสามารถฝึกทักษะคาถาประตูแห่งความตายได้ แต่คุณจะไม่สามารถปรับแต่งศพได้จริง ๆ ทักษะในการสั่งศพให้มีชีวิตจะเป็นไปไม่ได้ถ้าคุณไม่ได้เป็นพ่อมดระดับ 12″ ที่ปรึกษาเจิ้งพูดจาเล่นลิ้นขณะพูด


 


เสียงหัวเราะที่เขาปล่อยออกมาอย่างไม่เป็นทางการนั้นแตกต่างจากเสียงหัวเราะที่เป็นมิตรโดยทั่วไป ราวกับว่ามีพลังยับยั้งบางอย่างอยู่ในนั้นที่สามารถส่งความรู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูกของคนที่ได้ยิน มันช่างน่ากลัวเหลือเกินและอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทา


 


ภายใต้เสียงหัวเราะแปลก ๆ ชายชราเองก็ส่งเสียงหัวเราะกลับไปด้วยความกลัว “ที่ปรึกษาเจิ้ง ฉันคือคนกล้าที่จะใฝ่ฝันและพัฒนาตัวเองเพื่อจะได้เป็นพ่อมดระดับ 12 อยู่ตลอดเวลา ฉันใช้ทุกโอกาสที่ฉันมีก็เพื่อสิ่งนั้น ทั้งหมดนี้เป็นเพราะสถานการณ์ที่สิ้นหวังในขณะที่ฉันนึกถึงภารกิจที่ยากลำบากที่ฉันต้องทำเพื่อประเทศที่อาณาจักรเหนือธรรมชาติ ฉันรู้ว่าฉันจำเป็นต้องปรับปรุงตัวอีกมากแต่นี่คือเหตุผลที่ … “


 


“แม้ว่าคุณจะพยายามทำทุกอย่างในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง แต่คุณไม่สามารถไปใช้วิธีที่เป็นอันตรายถึงชีวิตเพียงเพื่อเพิ่มปัจจัยด้านความปลอดภัยของคุณ ตอนนี้คุณเป็นข้าราชการระดับชาติและเป็น สิ่งนั้น…” การแสดงออกของกัปตันหูเริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นร้ายแรงยิ่งขึ้น “ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เรากำลังอยู่กันที่ต่างประเทศ เราไม่สามารถเปิดเผยตัวตนของเราได้ หากการกระทำใด ๆ ของคุณสร้างปัญหาให้กับพวกเรามันอาจส่งผลกระทบต่อแผนทั้งหมด … “


 


ชายชราอดทนต่อคำตำหนิที่ไร้ความปราณีของกัปตันหู จากนั้นการแสดงออกที่ลึกซึ้งบนใบหน้าก็ปรากฏ “ใช่แล้วกัปตันหู จากนี้ไปฉันจะไตร่ตรองสิ่งต่าง ๆ ให้ลึกซึ้งและดีกว่านี้ แต่สำหรับครั้งนี้คุณคิดว่าฉันควรทำเช่นไร?”



ตอนที่ 185

ถ้าที่ปรึกษาเจิ้งไม่ตั้งใจเปิดเผยเจตนาร้ายที่แท้จริงของชายชรา กัปตันหูอาจคิดว่าจางลี่เฉินที่กำลังรออยู่ที่ล็อบบี้ของโรงแรมชั้นล่างในตอนนี้เต็มไปด้วยความน่าสงสัย อย่างไรก็ตามข้อสงสัยต่าง ๆ ที่เธอมีในตอนแรกได้หายไปจนหมด


 


ทีมที่เธอเป็นผู้ดูแลอยู่นั้น เดิมทีก็เป็นกลุ่มคนที่มีความสามารถและมีพลังที่ถูกจัดกลุ่มเข้าด้วยกันมาอยู่แล้ว ดังนั้นการจะมีคนมาเพิ่มอีกหนึ่งคนจึงไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอะไรกับเธอมากนัก อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึงอำนาจหน้าที่ของการเป็นผู้นำ เธอทำท่าไตร่ตรองถึงเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเผยการตัดสินใจออกมา “ผู้เฒ่าสวี สถานการณ์ของคุณในครั้งนี้จะถูกยอมรับให้เป็นพิเศษ ฉันยอมรับหลายชายรุ่นน้องของคุณให้เข้าร่วมทีมด้วยได้ แต่อย่าให้มีเหตุการณ์อะไรแบบนี้เกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด มอบความชัดเจนให้กับสมาชิกในทีมคนอื่นให้ได้รู้ถึงเรื่องนี้ซะ แล้วหลายชายรุ่นน้องของคุณมาที่แอฟริกาใต้ได้อย่างไร?”


 


“เรื่องงานน่ะครับ หรือถ้าจะบอกให้ถูกต้อง เขาเป็นผู้ส่งออกบริการแรงงาน”


 


“มาทำงาน? ถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องมีเพื่อนชาวจีนที่อยู่แอฟริการใต้ด้วยอีกจำนวนหนึ่ง ถ้างั้นผู้เฒ่าสวี ไปบอกให้เขาโทรลางานและกล่าวลาเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ของเขาซะ โดยอ้างว่าเขามีเหตุจำเป็นที่เร่งด่วนต้องกลับไปธุระเรื่องครอบครัว หัวหน้าชุ่ย รวมหลานชายรุ่นน้องของผู้เฒ่าสวีไปกับทีมของคุณ จากนั้นก็ถามเขาเกี่ยวกับรายละเอียดส่วนตัวและทำการลงทะเบียนให้เขาตามขั้นตอนของการเข้าร่วมทีม ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากดังนั้นเราจึงไม่สามารถให้เกิดความเสี่ยงใด ๆ ต่อการติดต่อกับคนในประเทศของเราได้ ทำให้ทุกอย่างเรียบง่ายที่สุดและมอบหมายให้เขาทำหน้าที่ปกป้องความปลอดภัยของผู้เฒ่าสวี โปรดจำไว้ว่าเขาแตกต่างไปจากเพื่อนร่วมทีมคนอื่น ๆ ของคุณ ท้ายที่สุดเขาก็เป็นเพียงสมาชิกในทีมที่ไม่เคยได้รับการฝึกอบรมหรือได้ระดมความคิดร่วมกันมาก่อน คุณควรตรวจสอบเขาอย่างรอบคอบ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจนกว่าภารกิจจะสิ้นสุด อย่าปล่อยให้เขาได้ติดต่อกับโลกภายนอกได้ด้วยตัวเอง”


 


“ครับ หัวหน้า!” ชุ่ย เสี่ยวตงพยักรับหน้าอย่างเคร่งขรึม


 


“เยี่ยมไปเลยครับกัปตันหู! ขอบคุณมากครับสำหรับความมีน้ำใจของคุณ!” ชายชรากล่าวขอบคุณขณะถูมือของเขาอย่างรื่นเริงใจ “ที่ปรึกษาเจิ้ง คุณอยากไปเจอกับเขาก่อนไหมครับ?”


 


“ไม่ล่ะครับ เขาเป็นคนที่ฝึกฝนเรื่องคาถารวมถึงศิลปะการต่อสู้มาด้วย เขาเป็นคนที่มีอารมณ์แปรปรวนและกระทำความผิดมาตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ ไม่จำเป็นต้องให้ผมไปดูเขาตอนนี้ก็ได้เพราะถึงอย่างไรผมก็ยังมีโอกาสอีกมากที่จะได้เจอเขา”


 


เมื่อได้ยินคำตอบของที่ปรึกษาเจิ้ง ชายชราที่ฝึกศิลปะการต่อสู้มาบ้างก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกรำคาญใจ อย่างไรก็ตามเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสวมหน้าตารื่นเริงตอบกลับ “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ต้องขอตัวก่อน ที่ปรึกษาเจิ้ง, กัปตันหู”


 


“เอาล่ะ คุณออกไปได้ รวมถึงคุณด้วยหัวหน้าชุ่ย” กัปตันหูพยักหน้าให้ชายชราและหัวหน้าชุ่ยออกจากห้อง พวกเขาเดินออกจากห้องมาด้วยความโล่งอก


 


แม้จะมีการบิดเบือนและเปลี่ยนแปลงความจริงไปบ้าง แต่ท้ายที่สุดจุดจบของเขาก็เป็นที่น่าพอใจ เมื่อทั้งสองเดินลงมาด้วยลักษณะที่ผ่อนคลาย พวกเขาเห็นว่าจางลี่เฉินกำลังนั่งอยู่บนโซฟาที่ล็อบบี้ของโรงแรมที่ทำไว้เพื่อให้แขกได้พักผ่อนอย่างนิ่งเงียบ เขาดูเหมือนกำลังหลงอยู่ในความคิดของตัวเองเพื่อคิดเกี่ยวกับอะไรบางสิ่ง


 


ในทางกลับกัน ลู่ชิงและคนอื่น ๆ มีการแสดงออกบางอย่างขณะที่พวกเขาล้อมตัววัยรุ่นและจ้องมองเขาอย่างเย็นชา


 


“เป็นไงล่ะหัวหน้าชุ่ย? หลานชายรุ่นน้องฉันไม่ได้ถูกรังแกง่าย ๆ หรอกเห็นไหม?” เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า ชายชราก็เดินเข้าไปใกล้จางลี่เฉินพร้อมกับตบไหล่เขาด้วยรอยยิ้ม “พ่อหนุ่ม การเสแสร้งของฉันยังทำงานได้ดีอยู่เพราะฉะนั้นเธอจะได้เข้าร่วมทำงานกับเรา ให้ประวัติส่วนตัวของเธอกับหัวหน้าชุ่ยด้วยนะ จากนี้ไปเธอก็จะเป็นส่วนหนึ่งของพวกเราแล้ว เธอควรตั้งใจทำงานให้หนักขึ้น…”


 


เหตุผลที่จางลี่เฉินยอมติดตามชายชราและชุ่ยเสี่ยวตงมาที่โรงแรมนั่นก็เพราะ


 


หนึ่ง – เขาต้องการข้อมูลของทักษะคาถาลับคลุมเครือที่ชายชรากล่าวถึง


 


สอง – เขารู้ว่าเขาสามารถแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเขาได้อย่างเต็มที่และสามารถพลิกสถานการณ์นี้ให้เป็นไปตามที่เขาต้องการได้ซึ่งจะไม่มีใครรู้เกี่ยวกับตัวเขาได้จริง ๆ


 


แน่นอนว่าในสถานการณ์เช่นนี้เขาจะไม่ยอมเปิดเผยภูมิหลังที่แท้จริงของเขาเป็นอันขาด เขาพูดอย่างไม่ใส่ใจไปว่า “พ่อของฉันนามสกุลหู และแม่ของฉันนามสกุลลี่ พวกเขาตั้งชื่อฉันว่าหูลี่เฉิน ฉันมาจากหมู่บ้านฮามาที่ชานเมืองด้านนอกของมณฑลเสฉวนตะวันตก เมื่อฉันอายุ 15 พ่อของฉันก็จากไปและแม่ของฉันก็แต่งงานใหม่ ฉันหยุดไปโรงเรียนและทำงานมาตลอดตั้งแต่ตอนนั้น นั่นคือข้อมูลทั้งหมดของฉัน”


 


“ร เรียบง่ายเกินไปแล้ว!”


 


“นั่นก็เพียงพอแล้วล่ะหัวหน้าชุ่ย คุณคิดว่าทุกคนที่ฝึกคาถาจะเป็นเหมือนกับคุณหมดเลยอย่างงั้นหรือไง? เหมือนกับที่คุณสามารถจัดการกับสัตว์อาคมโกลเด้นบลูที่ครอบครองพลังรอบรู้ได้ในขณะที่คุณกลายเป็นพ่อมดน่ะหรอ?! คุณเป็นคนที่มีโชคในเรื่องของการเสี่ยงดวง แต่พ่อมดส่วนใหญ่ไม่ได้มีโชคที่ดีแบบนั้น เมื่อพูดแบบนี้แล้ว ชายชราอย่างฉันที่มีทั้งลูกชายและลูกสาวก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นชีวิตที่มีโชคดีมากเช่นกัน”


 


“ลู่ชิงก็เป็นเหมือนกับผม! เขาไม่สามารถจับพาหะภูเขาที่มีพลังรอบรู้ได้เหมือนกันในทันทีที่เขากลายเป็นพ่อมด”


 


“เรื่องนั้นไม่ใช่เพราะว่าลู่ชิงเองก็ไม่ใช่คนธรรมดาเหมือนกันหรอกหรอ? เอาล่ะ ๆ  พอได้แล้วพวกนายทุกคน นายน้อยทั้งหลายไม่มีทางเข้าใจความทุกข์ของพลเรือนไปได้นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมทุกคนถึงไม่ได้มีชะตากรรมเดียวกัน … ” ชายชราพูดไปเรื่อยขณะที่เขาตบไหล่ของจางลี่เฉินด้วยใบหน้าที่น่าเศร้าอีกครั้ง “หยุดทำสิ่งที่ยุ่งยากสำหรับหลานชายรุ่นน้องของฉันได้แล้ว กัปตันหูได้พูดแล้วว่าให้ทำทุกอย่างให้ง่าย ๆ เข้าไว้…”


 


ในทางกลับกันจางลี่เฉินที่ไม่คิดถึงบุญคุณใด ๆ สั่นร่ายกายของเขาและอาศัยความแข็งแกร่งของตัวเองเพื่อสลัดมือของชายชราออกในขณะที่เขายังนั่งอยู่ ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าเขาเอ่ยถามไปว่า “ลุง ฉันยอมเข้าร่วมแก๊งกับลุงแล้วก็รายงานข้อมูลพื้นฐานไปแล้ว ลุงไม่คิดว่าควรจะให้รางวัลกับฉันก่อนเลยงั้นเหรอ?”


 


“เอิ่ม ร่วมแก๊งงั้นหรอ? นี่คือการรับใช้รัฐบาลและประเทศของเรานะ! ทำไมเธอถึงพูดให้มันดูแย่โดยอ้างถึงการเข้าร่วมแก๊งแบบนั้นกัน? ไม่เพียงเท่านั้นมันจำเป็นสำหรับเราที่จะทำภารกิจให้สำเร็จก่อนที่เราจะได้รับของรางวัลนะพ่อหนุ่ม” ชายชราตัวแข็งทื่อและตอบกลับด้วยการพูดติดอ่าง


 


“จักรพรรดิจะไม่ยอมให้กองกำลังของตัวเองต้องอดยาก หากลุงต้องการให้ฉันเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องลุงโดยที่ลุงไม่ยอมจ่ายอะไรมาให้ก่อนเลยก็ฝันไปซะเถอะ! ถ้าลุงยังปฏิเสธที่จะจ่ายของที่ฉันต้องการอยู่แบบนี้ฉันจะเดินออกจากที่นี่ไปอย่างแน่นอน และหากลุงพยายามที่หยุดหรือขวางทางฉันอีก รับรองว่าคราวนี้ฉันจะฆ่าพวกของลุงทั้งหมด และเมื่อมันไปถึงขั้นนั้นคนที่ตายแล้วก็จะไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้อีกต่อไป ลุงเข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม?” จางลี่เฉินตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบและเมินเฉย


 


แน่นอนคำพูดที่เหย่อหยิ่งของเขาสร้างความโกรธเคืองให้กับชายหนุ่มทุกคนที่อยู่ในล็อบบี้โรงแรมที่พยายามทำตัวโดดเด่นกว่าใครอย่างมาก ลู่ชิงคำรามขึ้นด้วยความเดือดดาล “แก มันจะมากเกินไปแล้วนะ! อย่าคิดว่าตัวเองจะอยู่เหนือกว่าพวกเราเพียงเพราะมีข้อได้เปรียบมากกว่า ถ้าตอนนี้เราใช้คาถาของเราจริง ๆ แกจะต้องคุกเข่า…”


 


“มีใครในพวกคุณเคยเห็นสัตว์อาคมของฉันแล้วหรือเปล่า? อ่า ลืมไปเลย เพราะไม่มีใครที่นี่รู้จักฉันสักคน…” จางลี่เฉินพึมพำจากนั้นก็ลุกขึ้นยืนจากโซฟา เวิร์มดราก้อนที่พันอยู่รอบเอวของเขาได้อ้าปากเบา ๆ และคลายหางของมัน


 


เมื่อสัตว์อาคมของเขาลอยตัวออกมาเพื่อแสดงท่าทีที่ดุร้าย การแสดงออกของชายชราที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็เปลี่ยนกลับไปมาอย่างกะทันหัน และฉับพลันนั้นเขาก็ส่งเสียงอย่างหนักแน่นออกมา “อย่าใช้อารมณ์ อย่าใช้อารมณ์! ดะ ได้สิพ่อหนุ่ม! ถ้าเธอต้องการทักษะลับฉันก็จะให้คัมภีร์ที่แท้จริงแก่เธอเอง มันเป็นของหายากและมีน้อยคนนักที่จะเป็นเจ้าของสิ่งนี้ได้ ดังนั้นมันจึงเป็นของที่หาได้ยากมาก อย่างไรก็ตามก่อนที่ฉันจะให้คาถานี้แก่เธอ แต่เธอต้องมอบคำสัญญากับฉันมาก่อน คัมภีร์นี้เป็นของฉันเองและเมื่อเธอได้รับประโยชน์จากมันแล้วเธอจะต้องปกป้องฉันด้วยพลังทั้งหมดที่เธอมี!”


 


เหตุผลที่ชายชรายอมตกลงกับคำขอของจางลี่เฉินและตั้งใจจะใช้คาถาลับที่เขาได้รับเมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กเพื่อเอาใจชายหนุ่มนั้นไม่ใช่ว่าเขาเสียสติหรือหลงเชื่อในคำพูดที่จางลี่เฉินขู่จะฆ่าทุกคนที่นี่ กลับกัน เขาเป็นกังวลกลัวว่าความลับจะถูกเปิดเผยเมื่อมีการทะเลาะกันเกิดขึ้น เมื่อเป็นแบบนั้นคนที่จะโดนฆ่าก็คือจางลี่เฉินและเขาที่มีส่วนร่วมในการพาตัวจางลี่เฉินมาเข้าร่วมทีม


 


เมื่อเห็นว่าเด็กวัยรุ่นคนนี้ไม่ยอมอ่อนข้อ ชายชราก็เริ่มวิตกและเริ่มหงุดหงิด เขาที่เริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีจึงคลายเสื้อสูทและเลิกเสื้อขึ้นเผยให้เห็นเนื้อหน้าอกออกมา เขาพ่นน้ำลายขนาดใหญ่บนฝ่ามือแล้วลูบมันลงบนหน้าอกและในไม่ช้าผิวบาง ๆ ของเขาก็ถูกเปิดออก “ฉันซ่อนมันเอาไว้ในที่ ๆ ปลอดภัยที่สุด นี่ เอาไปเลย เอาไป! ใช้พลังพ่อมดของเธอเพื่อเปิดใช้งานแล้วเธอจะเห็นภาพวาดและงานเขียนปรากฏขึ้นมาเอง ถ้าเธอทำไม่ได้ก็อย่ามาโทษฉัน”


 


“นี่สินะที่ว่าคนฉลาดจะเก็บคำพูดไว้กับตัวเอง มันดูเหมือนจะเป็นคัมภีร์หายาก…” จางลี่เฉินยื่นมือออกมาเพื่อแย่งผิวหนังบาง ๆ นั่นและใช้พลังพ่อมดของเขาตรวจดูเนื้อหาด้านในเพียงพริบตา คิ้วของเขาเลิกขึ้นอย่างไม่ทันมีใครได้สังเกตเห็น แต่ปากของเขาพูดอย่างน่าเศร้า “น่าเสียดายที่นี่เป็นเพียงเวทมนต์และไม่ใช่วิธีการฝึกฝนที่เป็นความลับ…”


 


“การปลูกฝังคาถาที่แท้จริงจะมีประโยชน์อะไรในสมัยนี้? ป่าทึบที่ห่างไกลได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวและมีจำนวนนักท่องเที่ยวมากกว่าสัตว์ที่เคยอาศัยอยู่ เนินเขาที่แห้งแล้งและแม่น้ำเชี่ยวไม่ได้เป็นจุดท่องเที่ยวที่ดีดังนั้นรัฐบาลจึงต้องออกตามหาสถานที่ดี ๆ และแขวนป้ายโฆษณาเพื่อเปลี่ยนให้ที่ดินตรงนั้นเป็นที่ดินเชิงพาณิชย์ ของเสียที่ปล่อยออกมาจากโรงงานขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นได้ฆ่าแมลงพิษทั้งหมดที่อยู่ในรัศมีหลายสิบไมล์ เธอยังคาดหวังคาถาที่แท้จริงที่ดีในสภาพแวดล้อมในสังคมแบบนี้อยู่อีกงั้นหรือ? เธอเป็นมีหนึ่งในล้านพรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิด! มันเพียงพอแล้วพ่อหนุ่ม! หยุดทำท่าอวดอ้างเสียที! ฉันเคยล่องลอยไปในแม่น้ำและทะเลสาบและวันนี้ฉันก็เพิ่งเจอกับทางตัน เธอคิดว่าฉันไม่เห็นแผนของเธอจริง ๆ น่ะหรือ? หากเธอยังบอกว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่ของดีก็คืนมาและไปต่อสู้กับพวกเขาต่อได้เลย”


 


เมื่อมองดูวิธีที่ชายชราที่กำลังเป็นกระวนกระวาย ลู่ชิง ชุ่ยเสี่ยวตง และคนอื่น ๆ ที่มักถูกคำพูดของเขาหลอกลวงอยู่เสมอทุกครั้งที่พวกเขาคุยกันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนเด็กวัยรุ่นคนนี้กำลังล้างแค้นให้กับพวกเขา พวกเขาพูดพลางหัวเราะเสียงดังพร้อมกล่าวว่า “ผู้เฒ่าสวี ในที่สุดคุณก็พบกับคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมแล้ว! หลานชายรุ่นน้องที่คุณพบนั้นเป็นคนโลภมากและเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าคุณเสียอีก! คุณสมควรได้รับมันแล้วจริง ๆ!”


 


“ผู้เฒ่าสวี คุณควรจะยิ้มดีใจนะครับ หลานชายรุ่นน้องของคุณมีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้และหากเขายังเป็นแบบนี้ต่อไปจนจบ เขาจะประสบความสำเร็จได้อย่างมากในอนาคต! ใครจะรู้เขาอาจจะประสบความสำเร็จได้ภายในเวลาไม่กี่วัน … ”  ในขณะที่การแกล้งล้อเลียนยังคงดำเนินต่อไปรอบ ๆ ตัวพวกเขา ล็อบบี้ของโรงแรมที่ถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศตึงเครียดในตอนแรกก็เริ่มกลับคืนสู่ความสงบ


 


ถ้ามันเป็นพลังที่ต้องต่อต้านกับพลัง แน่นอนว่าจางลี่เฉินผู้ที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงมาแล้วไม่มีความกลัวหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามตอนนี้ชายชราได้ให้ตำราคัมภีร์ที่แท้จริงของคาถาแก่เขามาแล้วและแน่นอนว่าเขาไม่สามารถทำร้ายพวกเขาทั้งหมดได้อีกต่อไป


 


“เอาล่ะลุง ที่ลุงพูดมามันก็ถูก แม้คัมภีร์นี้จะไม่ใช่ทักษะการฝึกฝนที่เป็นความลับแต่ก็ยังมีค่ามาก ฉันสัญญาว่าไม่ว่าลุงจะไปที่ไหน ฉันจะติดตามไปอยู่กับลุงทุกที่และทำให้ลุงปลอดภัยเอง”


 


เมื่อชายชราได้ยินคำพูดเช่นนั้น การแสดงออกที่เหมือนภัยพิบัติร้ายแรงของเขาก็ผ่อนคลายลง เขาไม่ได้ยืนยันร้องขอคำสาบานจากจางลี่เฉินอีกต่อไป “เอาล่ะพ่อหนุ่ม! เธอพูดแบบนั้นมาแล้วนะ เธอไม่ได้เป็นคนที่พูดถึงเรื่องอะไรแบบนี้มากนักแต่เมื่อเธอพูดออกมาเองเช่นนี้แม้แต่น้ำลายก็อาจทำให้เธอจมน้ำตายได้ถ้าผิดคำพูด ฉันจะเชื่อเธอในครั้งนี้โดยไม่มีเงื่อนไข โปรดจำไว้ว่าอย่าก่อปัญหาใด ๆ อีกเพราะเธอเป็นพลเมืองของประเทศเรา…”


 


“โปรดวางใจกับคำพูดที่ฉันมอบให้ได้เลย” จางลี่เฉินยิ้มพร้อมพยักหน้าก่อนจะถามกลับไปว่า “อย่างไรก็ตามที่ลุงพูดถึง “พลเมืองของประเทศเรา” นั้น ที่จริงแล้วลุงหมายถึงอะไร?”


 


“ฉันหมายถึงอะไรน่ะหรอ? ไปที่ห้องอาหารของโรงแรมและหาอะไรกินในขณะที่เราพูดคุยกันเถอะ อาหารของโรงแรมนี้ค่อนข้างดีทีเดียวแม้ว่าฉันจะเบื่อไปนิดหน่อยที่ต้องกินมันอยู่เสมอก็ตาม แต่เพราะตอนนี้ฉันหิวมากแล้วดังนั้นมันจะเป็นอะไรฉันก็ไม่สน! หัวหน้าชุ่ย ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปหลานชายรุ่นน้องของฉันได้ตกลงที่จะเข้าร่วมกับทีมของเราแล้วก็ถือว่าเขาเป็นคนที่อยู่ข้างเราดังนั้นฉันจะบอกเขาเกี่ยวกับภารกิจของเราในภายหลังเอง ตกลงไหม?”



ตอนที่ 186

“ได้สิครับผู้เฒ่าสวี! แต่ต้องบอกเขาในภายหลังด้วยก็พอครับ” ชุ่ยเสี่ยวตงทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบตกลงแล้วหันมาคุยกับจางลี่เฉิน “ฉันขอเตือนเอาไว้ก่อนเลยนะ ความสามารถที่เธอมีมันเป็นแค่เพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น คนในทีมเราหลายคนยังมีความสามารถที่ยิ่งกว่าเธอซะอีก! ฉันจะบอกให้ชัดเจนเลยนะว่าโรงแรมนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของเราทั้งหมด ถ้าเธอคิดที่ถ้าจะหนีออกไปเมื่อไหร่เธอจะไม่มีโอกาสได้…”


 


เนื่องจากตอนนี้จางลี่เฉินได้รับคัมภีร์คาถาและอาหารกลางวันมาแบบฟรี ๆ แล้วเขาจึงไม่สามารถต่อกรกับเพื่อนร่วมงานของชายชราได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงทำเป็นยอมรับฟังคำพูดของชุ่ยเสี่ยวตงโดยไม่ยอกย้อนอะไรกลับไปเหมือนในตอนแรกอย่างเชื่อฟัง


 


หลังจากนั้นไปอีกสักพักหนึ่ง ชุ่ยเสี่ยวตงที่จู้จี้มาอย่างยาวนานก็เริ่มกระหายน้ำและในที่สุดเขาก็ปิดปากและถอนหายใจที่ได้ปลดปล่อย เขาโบกมือเพื่อบอกให้ชายชราสวีพาตัววัยรุ่นจากไป


 


“เอาล่ะหัวหน้าชุ่ย ในเมื่อเธอจู้จี้กับเขาเสร็จแล้วงั้นฉันขอตัวพาเขาไปกินมื้อเย็นเลยก็แล้วกัน” ชายชรายิ้มพลางตบไหล่จางลี่เฉิน “ไปกันเถอะ! พวกเราต่างก็หิวกันมาตั้งแต่เช้าแล้ว ไปกินอาหารกัน!”


 


จากนั้นพวกเขาก็พากันเดินไปทางห้องอาหารของโรงแรม


 


ระหว่างทาง ชายชราบอกกับจางลี่เฉินว่าทีมของพวกเขาถูกเรียกพบโดยรัฐบาลจีนเป็นการส่วนตัว ภายใต้การทำภารกิจนี้พวกเขาจะต้องปกปิดตัวตนและต้องบินจากจีนไปยังคองโก จากนั้นก็บินจากคองโกไปแทนซาเนีย จากแทนซาเนียมาที่โจฮันเนสเบิร์กในขณะใช้ชื่อแฝงว่าเป็นพนักงานของบริษัทเหมืองแห่งชาติจีน เขาบอกกับจางลี่เฉินต่ออีกว่าภารกิจเดียวของทีมนี้คือการแอบเข้าไปในอาณาจักรเหนือธรรมชาติที่เคปทาวน์


 


ห้องอาหารของโรงแรมแอฟริกาโฮมทาวน์เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสและปูกระเบื้องพื้นสีขาวขนาดใหญ่ นอกเหนือจากชุดโคมไฟเพดานสี่ชุดเรียบร้อยแล้วตัวเพดานยังถูกปกคลุมไปด้วยภาพเขียนสีน้ำมันที่เป็นป่าแอฟริกา, เหมือง, โรงงานที่ทันสมัย รวมถึงตึกสูงระฟ้าของโจฮันเนสเบิร์ก


 


ด้วยพื้นที่ที่มากกว่า 300 ตารางเมตรดูเหมือนว่ามันจะสามารถรองรับคนได้มากกว่า 500 คนภายในเวลาเดียวกัน


 


“หากมีคนอื่นมาได้ยินเรื่องนี้พวกเขาคงไม่เชื่อแล้วก็คิดว่าเรื่องพวกนี้เป็นเพียงการฉ้อโกงครั้งใหญ่ อย่างไรก็ตามทันทีที่รัฐบาลตามหาตัวฉัน ฉันก็เชื่อเรื่องนี้ในทันที รูเล็ก ๆ ที่เปลือกโลกของเราคือสถานที่ที่จะพาตรงไปยังอาณาจักรเหนือธรรมชาติ! บรรพบุรุษของเราที่ฝึกฝนเรื่องเวทมนต์คือเทพธิดานูวาเธอได้เสียชีวิตก็เพื่อซ่อมหลุมที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า”


 


ขณะที่พวกเขายังเดินไปเรื่อย ๆ ชายชราก็พูดจาฉะฉานเกี่ยวกับสิ่งอื่น ๆ ต่อ


 


“ฉันคิดว่าครั้งนี้ก็น่าจะเป็นเหมือนกันเพียงแต่มีขนาดที่เล็กกว่า ลองคิดดูสิว่านี่จะเป็นสิ่งที่ดีต่อการฝึกคาถาของพวกเราขนาดไหน ตัวอย่างเช่นเวลาที่ได้เข้าไปที่อาณาจักรเหนือธรรมชาติ ได้ปรากฏตัวอยู่บนที่ดินของผู้อื่น ได้อยู่ในสถานที่ที่กองทัพไม่สามารถส่งอาวุธมาได้และถึงส่งมาได้ก็ไม่สามารถใช้งานได้ง่าย ๆ เช่นกัน ใครจะไปรู้ว่าด้านบนของดินแดนเหนือธรรมชาติจะมีลักษณะเป็นอย่างไร ไม่ว่าเขาจะฝึกฝนคนเก่งแค่ไหนเขาก็อาจถูกจับได้เมื่อเข้าไปที่นั่น ในตอนท้ายใครจะได้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้กันล่ะ? ใช่…ต้องเป็นพวกเราอย่างแน่นอน! สถานะนายทหารอย่างทางการที่จะมอบให้กับฉัน … “


 


“นี่ลุง ลุงเป็นพ่อมดมานานเท่าไหร่? ทำไมถึงได้สนใจตำแหน่งทางทหารมากขนาดนี้?” เมื่อได้ยินคำพูดของชายชรา จางลี่เฉินที่ถมจานเนื้อจำนวนมาก ไอศครีม เค้ก อาหารที่มีแคลอรี่และไขมันสูงอื่น ๆ ลงบนถาดอาหารของตัวเองก็เอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย


 


“เป็นพ่อมดแล้วจะทำให้มีเงินมีรายได้หรือไง? ดูเธอสิ เธอเองก็เป็นพ่อมดและนอกจากนั้นยังมีทักษะศิลปะการต่อสู้ที่ดีแต่เธอก็ยังต้องเดินทางมาที่นี่เพื่อทำงานเลยไม่ใช่หรือไง? ไม่ว่าเธอจะแข็งแกร่งแค่ไหนแต่เธอกล้าเปิดเผยความแข็งแกร่งของตัวเองให้คนอื่นได้รู้หรือเปล่าล่ะ? แม้แต่ลอร์ดที่มีสายเลือดบริสุทธิ์จากออร์โธด็อกซ์ก็ยังต้องระวังตนอยู่เสมอ แน่นอนว่าหนูอย่างเรา ๆ ก็ต้องหดตัวอยู่เงียบ ๆ…”


 


เมื่อได้ยินเสียงบ่นของชายชรามันทำให้จางลี่เฉินหวนนึกถึงช่วงเวลาที่ท่านจางยังมีชีวิตอยู่ นอกเหนือจากชาวบ้านที่ไม่กล้ากวนใจโมโหเขาแล้ว เขาก็เป็นเพียงคนธรรมดาในสายตาของคนอื่นเมื่อเขาเข้าไปในเมือง เขามีชีวิตอยู่ได้นานแต่ในที่สุดเขาก็ต้องมาตายภายใต้รถแท็กซี่


 


นับตั้งแต่ที่เขาได้กลายมาเป็นพ่อมดเขาก็ใช้เวลาไปกับการคิดหาวิธีเพื่อให้ได้รับเลือดมากขึ้นเพื่อสัตว์อาคมในตอนที่เขามาถึงอเมริกาเป็นครั้งแรก หากไม่ใช่เพราะทีน่าที่มีความคิดอันอัจฉริยะที่แนะนำให้เขาเปิดโรงฆ่าสัตว์และสามารถได้รับทั้งเงินและสิ่งที่เขาต้องการได้อย่างถูกต้อง บางทีสัตว์อาคมของเขาอาจจะลากเขาเข้าสู่ประตูแห่งความตายแล้วก็เป็นได้


 


เมื่อได้คำนึงคิดดูอย่างรอบคอบชายหนุ่มวัยรุ่นคนนี้ก็ต้องประหลาดใจที่ได้รู้ว่าถ้าเขาไม่ได้พบกับโอกาสสร้างแหล่งที่มาของการทำเงินหรือได้รับมรดกลับที่สุดยอดมา เขาคงต้องใช้ชีวิตไปอย่างยากลำบากเพื่อจะได้ประสบความสำเร็จ ดั่งคำพูดตั้งแต่สมัยโบราณที่ว่า “คนที่ไม่มีเงินก็จะไม่มีใครได้ยิน” นั้นเป็นเรื่องจริง


 


“พ่อหนุ่ม เธอจะสามารถกินหมดนี่ได้จริง ๆ น่ะหรอ! แล้วนี่กำลังคิดอะไรอยู่?” จางลี่เฉินที่กำลังหลงอยู่ในความคิดของตัวเองถูกชายชราข้างกายปลุกให้กลับสู่โลกของความเป็นจริงอีกครั้ง เขามองไปที่กองจานและยิ้มตอบกลับไป “ลุงเองก็ฝึกศิลปะการต่อสู้มาเหมือนกัน ลุงก็น่าจะรู้ว่าพวกเราสามารถกินได้มากขนาดไหน”


 


“ที่เธอพูดมาก็มีเหตุผล” ชายชรามองดูจานของตัวเองที่เกือบจะเท่า ๆ กับจานของจางลี่เฉินและหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะนำเขาไปนั่งที่โต๊ะมุมสุดภายในห้อง


 


จางลี่เฉินเพียงนั่งนิ่ง ๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยคำถามใหม่ไปว่า “ลุง พวกเราเป็นแค่หนูข้างถนนแล้วทำไมรัฐบาลถึงไม่มองหาลูกหลานออร์โธดอกซ์เลือดบริสุทธิ์เพื่อไปสำรวจดินแดนเหนือธรรมชาติแทนล่ะ ทำไมถึงมามองหาพวกลุงแทน?”


 


“เป็นคำถามที่ดีมาก! พ่อหนุ่ม เธอนี่ฉลาดซะจริง ๆ!” ชายชราตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนจะเคี้ยวอาหารอย่างขะมักเขม้นและลดเสียงเพื่อตอบกลับไปว่า “แต่ถ้าเธอลองคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูดี ๆ เธอก็น่าจะรู้ว่ามันไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าจะมีแค่ที่แอฟริกาใต้เท่านั้นที่มีประตูไปสู่อาณาจักรเหนือธรรมชาติ…”


 


“ลุงหมายถึงยังมีประตูที่นำไปสู่อาณาจักรเหนือธรรมชาติที่ประเทศจีนและรัฐบาลก็ได้ส่งพวกเลือดบริสุทธิ์พวกนั้นให้ไปสำรวจที่นั่นแล้วอย่างงั้นเหรอ?”


 


“ฉันไม่ได้จะพูดแบบนั้น แต่หัวหน้าชี่หยกซิน ประธานสมาคมพุทธศาสนาแห่งชาติและตัวแทนสภาประชาชนแห่งชาติได้เปิดเผยว่าศาสนาพุทธเคยพูดถึงเกี่ยวกับโลกยักษ์ใหญ่มาก่อน พวกเขาบอกว่ายังมีอีกหลายโลกนอกจากโลกของเรา ปลายทางของพุทธศาสนิกชนอาจกลายเป็นดาวเคราะห์ดวงอื่นหรือการได้นับถือให้เป็นพระเจ้า … ฮิฮิ…”


 


“ถ้าหากที่ประเทศของเราก็มีแล้วเราจะส่งมาที่แอฟริกาใต้ทำไม?”


 


“พ่อหนุ่ม ประเทศของเราก็คือประเทศของเรา สถานที่ของผู้อื่นก็คือสถานที่ของผู้อื่น ทั้งสองต่างกันโดยสิ้นเชิง สิ่งนี้ถูกเรียกว่า ‘จับตาดูหม้อขณะกินข้าวจากชาม’ หมายถึงเราต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจเป็นอันตรายได้ยังไงล่ะ” ชายชรายิ้มร้ายกาจและไม่พูดอะไรต่ออีก


 


ในตอนนั้นเองจางลี่เฉินก็เข้าใจได้ในที่สุดว่าชายชราที่ได้รับคัดเลือกจากรัฐบาลจีนมาแบบชั่วคราวและสามารถคาดเดาสถานการณ์ทั้งหมดได้โดยประมาณเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ถามอะไรออกไปอีก เมื่อเขาหยิบชิ้นส่วนของเนื้อโดยใช้ตะเกียบเข้าไปในปาก เขาสามารถได้กลิ่นเหม็นจาง ๆ ที่ลอยมากระทบจมูกได้


 


จางลี่เฉินหันมองไปตามทิศทางของกลิ่นแปลก ๆ จึงได้เห็นว่าเป็นผู้ชายที่มีความสูงมากกว่า 180 เซนติเมตร เขาผอมเหมือนเสาไม้ไผ่และใบหน้าก็เต็มไปด้วยความมัน เขาดูเหมือนศิลปินฮิปฮอปในขณะที่เดินเข้ามาในห้องอาหารด้วยการเต้นแบบหุ่นยนต์ เอาถาดอาหารมาถือไว้ในมือจากนั้นเขาก็เริ่มเลือกอาหารของเขาอย่างช้า ๆ


 


“หยุดมองได้แล้วพ่อหนุ่ม! อย่าไปมอง! เขาคือที่ปรึกษาเจิ้งหนึ่งในสมาชิกของพวกเรา อย่าไปมองเขาแบบนั้น” ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเมื่อสังเกตเห็นที่ผู้ชายหัวล้านเข้ามาในห้องอาหารและเห็นจางลี่เฉินกำลังจ้องมองเขา


 


ขณะนั้นเอง ร่างของชายหนุ่มก็เริ่มสั่นระเรื่ออย่างแผ่วเบาขณะที่เขาค่อย ๆ ถอนสายตาออก เขาสามารถรู้สึกถึงพลังพ่อมดในร่างกายที่เริ่มเดือดพล่านราวกับว่ามันกำลังจะเปลี่ยนแปลงได้ ด้วยความยากลำบากเขาเอ่ยถามไปว่า “เขาเป็นพ่อมดอันดับ 12 งั้นหรอ?”


 


“หรืออาจมากกว่านั้น นั่นเป็นหนึ่งในซากศพที่ยังมีชีวิตอยู่ของเขา อย่าไปจ้องมองมันเด็ดขาด ศพที่มีชีวิตสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณเจ้าของและเปลี่ยนเป็นสำเนาของตัวเอง … ” ชายชราก้มหน้าติดจานอาหารของตัวเองขณะกล่าวเตือน


 


อย่างไรก็ตามจางลี่เฉินไม่ได้ยินสิ่งที่ชายชราพูดมาเลยแม้แต่นิด สำหรับเขาแล้วประโยชน์ที่เขาจะได้รับในอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อนเมื่อเทียบกับการได้พบกับศพที่มีชีวิตของพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ที่เขาเคยอ่านเจอมาก่อนในหนังสือโบราณ


 


มันมีแสงพร่ามัวเล็กน้อยปรากฏขึ้นตรงหน้า แม้ว่าแสงนี้อาจไม่มีนัยสำคัญแต่การเปลี่ยนแปลงที่นำมานั้นมีนัยสำคัญอย่างไม่ต้องสงสัย สิ่งนี้มีค่ามากพอที่เขาจะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อสำรวจดินแดนเหนือธรรมชาติ


 


ศพที่มีชีวิตของที่ปรึกษาเจิ้งชวนให้ประหลาดใจอย่างมากจนกระทั่งได้เห็นถึงพฤติกรรมที่แตกต่างไปจากพฤติกรรมปกติ พวกเขานิ่งเงียบจนกระทั่งชายหัวล้านนำขนมปังไม่กี่ชิ้น ชามข้าวต้มและจานขนมออกจากห้องอาหารไปด้วยท่าทางที่แข็งทื่อและในที่สุดพวกเขาก็กลับสู่โลกความเป็นจริงอีกครั้ง


 


ไม่นานหลังจากนั้นจางลี่เฉินก็สงบสติลงแล้วพูดว่า “ฉันไม่คิดว่าจะมีแหล่งพลังงานที่มีความแข็งแกร่งดังกล่าวอยู่ในคาถาของจีนด้วย ที่ปรึกษาเจิ้งไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตแบบหลบซ่อนมาก่อนด้วยใช่ไหมลุง?”


 


“ใช่ เขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น ฉันเคยได้ยินมานานแล้วว่าที่ปรึกษาเจิ้งเป็นหัวหน้านักวิจัยของหนึ่งในสถาบันภายใต้สถาบันสนับสนุนวิทยาศาสตร์ทางสังคมเขามีตำแหน่งผู้นำที่เทียบเท่ากับผู้พิพากษาประจำมณฑล”


 


“และนี่ก็เพียงพอแล้วที่จะเอาใจพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่?”


 


“ไม่ว่าตัวพ่อมดจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนแต่เขาก็ยังไม่ทรงพลังเท่ากับระเบิดปรมาณูหรือขีปนาวุธไปได้ ประเทศของเรายังส่งคนไปยังอวกาศได้แล้วเธอคาดหวังถึงสิ่งใด?”


 


คำพูดของชายชรานั้นสมเหตุสมผลแล้วแต่จางลี่เฉินคิดว่ามันยังมีบางอย่างที่ไม่น่าเชื่อถือปนอยู่ หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งทันใดนั้นเขาก็ถามไปว่า “ลุง ลุงบ่มเพาะประตูแห่งการเสียสละใช่ไหม? ลุงอยู่ในระดับไหนแล้วลุงได้คาถาประเภทอะไรมา?”


 


“พ่อหนุ่ม! เธอกล้าถามแบบนี้ได้ยังไง? เรายังไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันพอจะถามอะไรแบบนี้ได้!”


 


“ฉันแค่คิดว่าเมื่อฉันได้มาเข้าร่วมแก๊งกับลุงด้วยแล้วเราก็ควรที่จะเรียนรู้ซึ่งกันและกันเพื่อทำความเข้าใจกันให้มากขึ้น” จางลี่เฉินรู้ดีว่าเขากำลังเหยียบข้ามข้อห้ามโดยไม่ตั้งใจแม้ว่าเขาจะใช้ความระมัดระวังในการถามข้อมูลจากชายชราแล้วก็ตามดังนั้นเขาจึงแก้ต่างไปอย่างรวดเร็ว


 


“ความเข้าใจอะไร? ทำไมเธอต้องมาทำความเข้าใจอะไรแบบนั้น? แม้แต่กัปตันหูที่เป็นผู้นำกำลังทีมในครั้งนี้ก็ยังไม่รู้ว่าฉันเป็นพ่อมดระดับใดและฉันได้คาถาประเภทไหนมา เธอเพียงรู้ความเชี่ยวชาญของฉันมากที่สุดก็เท่านั้น แล้วเธอกล้าดีมาถามฉันแบบนี้ได้อย่างไร? หรือเธอได้รับการเลี้ยงดูมาจากท้องถนนเลยไม่รู้จักอะไรพวกนี้?”


 


เมื่อเห็นว่าเขาไม่สามารถปกปิดมันได้อีกต่อไปจางลี่เฉินเลยพูดออกไปตามความเป็นจริง “ครอบครัวทั้งหมดของฉันพักอยู่ในมณฑลเสฉวนตะวันตก แต่พ่อของฉันไม่ได้สอนเรื่องคาถาเหล่านี้ให้กับฉัน … ”


 


“ก็ไม่แปลกใจว่าทำไมเธอถึงได้ตื่นเต้นกับคัมภีร์ลับขนาดนั้น ฉันคิดว่าเธอไร้เดียงสาเหมือนตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก ๆ ซึ่งคิดว่าความมุ่งมั่นของมนุษย์จะสามารถเอาชนะธรรมชาติได้ …” การแสดงทางอารมณ์แปลก ๆ พุ่งขึ้นบนใบหน้าของชายชราก่อนที่จะหายไปอีกครั้ง “ลืมมันไปซะเถอะ เรื่องมันผ่านไปแล้วก็แล้วไป ฉันจะสอนเธอเองพ่อหนุ่ม อย่าได้เย่อหยิ่งและเรียนรู้เอาไว้ คว้าโอกาสนี้และใช้ชีวิตอย่างสงบสุขโดยใช้เงินทุนสาธารณะ … ”


 


ชายชราที่จู้จี้เนื่องจากติดอยู่กับคำโกหกของตัวเอง จางลี่เฉินเพียงหัวเราะเบา ๆ และไม่พูดอะไรต่ออีกจนกระทั่งพวกเขากินอาหารเสร็จ


 


หลังจากออกจากห้องอาหารมา ชายชราก็พาจางลี่เฉินไปยังห้องทำงานของทีม ระหว่างทางชายชราได้พูดกับเขาว่า “การทำงานของเราแบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม แต่ละกลุ่มจะมีสมาชิก 4 – 5 คน ทีมของเราเพิ่งมีสมาชิกเป็น 5 คน นอกจากหัวหน้าชุ่ยและฉันแล้วก็ยังมีลู่ชิงที่มีความกระตือรือร้นอย่างมาก บุคคลดังกล่าวมีอยู่ในทุกกลุ่มเพราะงั้นฉันจะขอไม่อธิบายอะไรเกี่ยวกับเขา สมาชิกอีกคนชื่อสวีโม่ เธอเพิ่งอายุเพียง 20 ปีเท่านั้น เธอเป็นคนที่ค่อนข้างเงียบและบ่มเพาะคาถาฝึกประตูแห่งชีวิต การสร้างความสัมพันธ์กับเธออาจเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ก็ได้ในอนาคต ใครจะไปรู้ เธออาจได้ช่วยชีวิตพวกเราในช่วงเวลาวิกฤติได้ก็ได้ คนสุดท้ายคือจินฟู่เฉิงที่ทั้งสูงและหล่อ เช่นเดียวกับพวกเรา เขาบ่มเพาะคาถาของประตูแห่งการเสียสละ แต่ถึงแม้ว่าเขาจะฝึกฝนความสามารถในการต่อสู้มาอย่างใกล้ชิดแต่เขาก็รู้มวยปล้ำมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขามีสมองที่เรียบง่ายและมีอารมณ์ที่เย่อหยิ่ง เธอก็ไม่ต้องใส่ใจเขามากนักก็แล้วกัน”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม