The Divine Nine Dragon Cauldron 444-457

ตอนที่ 444

 

เขาหรี่ตามองผู้คนฝั่งตรงข้ามแต่ก็ไปหยุดอยู่ที่ฉินจิวหยางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะไปหยุดที่ชายแก่ขี้เมา


 


“โอ้?”


 


“เจ้ามาที่นี่ได้โดยไม่ต้องมีราชาแห่งความมืดมาช่วยเชียวรึ? หรือว่าเจ้าเตรียมเซ่นสวรรค์แล้วเข้ามาที่นี่ผ่านวิธีนั้น?”


 


ไป่ลั่วสีหน้าเยือกเย็น เขาไม่นอบน้อมแม้จะอยู่ต่อหน้าชายแก่


 


“ผู้เฒ่าจิว…”


 


ชายแก่เหลือบมอง


 


“ไม่เลว อีกแค่ก้าวเดียวจะได้เข้าสู่ขอบเขตภูติ เจ้าใกล้เคียงกับหลงหวูชิงของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ทีเดียว! ทะลวงพลังในครั้งนี้ให้ได้ ราชาแห่งความมืดที่ทำสมาธิมาตลอดร้อยปีจะได้ไม่ผิดหวัง”


 


ไป่ลั่วเบิกตากว้าง ไม่มีใครรู้ว่าราชาแห่งความมืดเป็นหรือตาย ชายแก่ขี้เมานี้ยืนยันว่าราชาแห่งความมืดยังมีชีวิตอยู่


 


เจ็ดจ้าวแห่งความมืดยืนเงียบๆอยู่ที่อีกด้านและไม่พูดอะไรอีก เซี่ยจิงหยูมองซือหยูอย่างประหลาดใจเล็กน้อย


 


ดูเหมือนซือหยูจะรู้สึกแบบเดียวกัน แม้ว่าใบหน้านางจะปิดบังไว้ด้วยม่านวารีก็ราวกับเขาสัมผัสได้ถึงรอยยิ้มอันงดงาม เขายิ้มตอบ


 


แต่เขาก็ไม่ละสายตาจากไป่ลั่วและเฉินยิ่ง! ทั้งสองมีความบาดหมางอันลึกล้ำระหว่างซือหยู พวกมันยังไม่ได้ชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไป!


 


ในตอนนั้นเองก็มีคลื่นพลังปรากฏขึ้น เขาคือผู้เฒ่าชุดดำที่พาคนเข้ามา


 


ซือหยูตกตะลึง ผู้เฒ่าชุดดำคือราชาโลกดับสูญคนแรก…นักรบโบราณที่เป็นอิสระจากหลุมศพ! ตอนนี้เขาเป็นเพียงซากศพที่ถูกควบคุมโดยหลงจื้อชิงให้ใช้พลังขอบเขตภูติในการเปิดประตูทองคำบานใหญ่


 


เหล่ายอดฝีมือสามคนบินเข้ามา หนึ่งในนั้นมีสาวสวยที่มีพลังอันเยือกเย็นรอบกาย ความงามของนางนั้นราวกับไม่ได้เป็นของมนุษย์แต่ดวงตาคู่นั้นดูป่าเถื่อนยิ่งนัก ดูเหมือนนางจะฆ่าคนได้จากระยะเป็นพันๆลี้ ฐานพลังของนางกำลังเข้าสู่กึ่งเทพ และนางก็เหนือกว่ากึ่งเทพธรรมดาทั่วไป!


 


ข้างหลังนางคือคนที่มีพลังระดับราชามนุษย์ที่หน้าตาคล้ายกับหลงเฟยหยู ใบหน้านั้นรูปงามและดูมีพลัง


 


สุดท้ายคือเซี่ยนเอ๋อ ตั้งแต่ที่เห็นนางครั้งสุดท้าย นางก็ได้เป็นผู้คุมสวรรค์แล้วเช่นกัน ดวงตากลมโตกำลังมองรอบๆ เมื่อนางเห็นซือหยูกับจ้าวยี่หยูก็โบกมือด้วยความประหลาดใจ


 


หลงจื้อชิงจ้องมองและเห็นซือหยู แววตาเขาเยือกเย็นขึ้นทันที แต่เขาก็มองไปเห็นชายแก่ขี้เมา เขาข่มใจและแสดงความเคารพ


 


“ผู้เฒ่าจิว!”


 


เจ้าพันธมิตรแห่งพันธมิตรผู้คุมสวรรค์นั้นจำต้องลดตัวต่อหน้าชายแก่ขี้เมา


 


ชายแก่โบกมือ


 


“ไม่ต้องมากพิธีนักหรอก บ่มเพาะหลงหวูชิงให้อยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องก็พอ”


 


หลงจื้อชิงพยักหน้าและเดินถอยหลังกลับ


 


ครืน—


 


ในตอนนั้นเอง มิติบิดเบือนอีกครั้ง คนกลุ่มใหญ่เข้ามา นั่นคือสี่ตระกูลโบราณ!


 


นอกจากตระกูลตู่และตระกูลยี่ที่ถูกทำลาย ตระกูลกุยที่ไม่มา และตระกูลฉินที่มากับซือหยู ตระกูลอื่นต่างมาทั้งหมด ตระกูลฉี หมิง หวัง และหลี่…สี่ตระกูลยิ่งใหญ่…มาถึงแล้ว


 


มีผู้อาวุโสในตระกูลมาไม่กี่คนเท่านั้น ที่เหลือนั้นคือศิษย์มากพรสวรรค์ในตระกูล แต่ละตระกูลจะส่งศิษย์มาคนเดียวและทุกคนล้วนเป็นราชามนุษย์ ไม่มีใครเป็นกึ่งเทพเลย


 


เจ็ดจ้าวแห่งความมืดต่างปล่อยจิตสังหารออกมาเมื่อได้เห็นแปดตระกูลโบราณ อาณาจักรทมิฬนั้นไม่ได้มีสัมพันธ์อันเป็นมิตรกับแปดตระกูล


 


มิติบิดเบือนอีกครั้ง ชายลึกลับที่สวมชุดคลุมสีม่วงทั้งตัวก้าวเข้ามา


 


ชายแก่ขี้เมาหรี่ตามองก่อนจะหัวเราะแห้งๆ


 


ซือหยูแอบมองชายในชุดม่วงด้วยความประทับใจ ชายชุดม่วงดูเหมือนจะสัมผัสได้และเหลือบมองมาทางซือหยู ลานกว้างดูมืดลงในพริบตา


 


*******


 


บรรยากาศอาจจะบอกได้ว่าเป็นมิตร แม้แต่ความบาดหมางในอดีตก็มิอาจบานปลายในกระโจมเทพสวรรค์


 


สองวันต่อมา มีเสียงดังกระหึ่ม พื้นที่รอบๆลดขนาดลง


 


ชายแก่ขี้เมาร่างกายเปล่งแสง เขามองดูรอบๆและประกาศ


 


“ช่วงเวลาในการเข้ามาที่นี่หมดลงแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเราจะเป็นแค่กลุ่มเดียวที่เข้ากระโจมเทพสวรรค์ครั้งนี้”


 


ซือหยูเลิกคิ้ว เหล่ายอดฝีมือในทวีปต่างมากันหมด มีเพียงตระกูลกุยแห่งแปดตระกูลที่ไม่มีใครพบเห็น พวกนั้นไม่สนใจในเหตุการณ์ครั้งสำคัญนี้หรอกรึ?


 


ปั้ง ปั้ง ปั้ง—


 


มิติบิดเบือน เสาศิลาประหลาดมากมายปรากฏที่กลางพื้นที่ พื้นที่กลางเสาศิลารายล้อมด้วยภาพที่คล้ายมังกรเก้าตัว


 


“ไปที่บนเสาศิลาพวกนั้นเถอะ”


 


ชายแก่โบกมือพาทั้งสามขึ้นไปบนเสาศิลา แต่เขายังคงยืนอยู่ที่พื้นและยิ้มมองทั้งสามคน


 


หลงจื้อชิงพูดต่อ


 


“เจ้าตามคนก็ควรจะไปที่เสาศิลาคนละต้น”


 


หลงหวูชิง หลงเฟยฉิง และฉินเซี่ยนเอ๋อบินขึ้นเสาศิลา


 


ที่เหลือมองดูและเข้าใจกฎระเบียบ แต่ละคนจับจองเสาศิลากันคนละต้น


 


ดูเหมือนว่าที่พื้นจะสัมผัสได้ถึงพลัง แต่ละขุมกำลังนั้นจะได้เสาศิลาหนึ่งต้นและดูเหมือนจะมีหลายส่วน ส่วนที่ซือหยูอยู่นั้นคือส่วนเดียวกับที่เจ็ดจ้าวแห่งความมืดอยู่ด้วย…ส่วนของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์จะมีสี่ตระกูลโบราณและชายชุดม่วง ทั้งหมดเป็นห้าส่วน ด้านบนเสาศิลานั้นจะเป็นศิษย์จากแต่ละที่ เหล่าผู้อาวุโสที่ตามมานั้นไม่ได้ขึ้นไปด้วย


 


ทันใดนั้นเอง เสาศิลาทั้งห้าได้ล้อมเป็นวงกลม มังกรในภาพทั้งเก้าสั่นเล็กน้อย เผยให้เห็นข้อความลอยอยู่กลางอากาศ


 


“ในการประลองลับสวรรค์ เสาศิลาแต่ละต้นจะประลองกับเสาศิลาที่เหลืออีกสี่ต้น ความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับว่าพื้นที่จะพาไปที่ไหน ยิ่งการต่อสู้เข้มข้นเท่าใดก็หมายถึงพรสวรรค์และพลังที่เหนือล้ำ มิติจะพาผู้ที่มากด้วยพลังไปยังที่ที่มีวัตถุดิบและทรัพยากรมากกว่า”


 


“มังกรทั้งเก้าเบื้องล่างจะตอบสนองอย่างเหมาะสมในการต่อสู้ของพวกเจ้า”


 


“บันทึกการต่อสู้จะใช้เพื่อจัดลำดับพวกเจ้า คนที่ได้ลำดับสามจะได้รับสมบัติเทพระดับกลางที่ยังไม่ถูกชำระล้าง คนที่ได้ที่สองจะได้สมบัติของชิ้น ส่วนคนที่ได้ลำดับแรกจะได้ทั้งสมบัติเทพระดับกลางและยังได้วารีบุพผาสวรรค์อีกด้วย มันจะลบล้างผนึกจากทุกสมบัติเทพได้เลย”


 


ซือหยูเบิกตากว้าง รางวัลสมบัติเทพนั้นก็มากพอแล้ว แต่ผู้ชนะยังจะได้วารีบุพผาสวรรค์อีก! แหวนทองปราบมารที่ซือหยูได้มานั้นยังขาดหยดหมื่นพล ถ้าเขาได้วารีบุพผาสวรรค์มาล่ะก็…


 


แต่เมื่อมองรอบๆเขาก็ไม่มั่นใจอยู่บ้าง ที่นี่มีกึ่งเทพสี่คน คนเหล่านั้นคงจะหมายตาลำดับแรก และดูจากสีหน้า พวกเขาต่างหวั่นไหวกับรางวัลของผู้ชนะลำดับหนึ่งอย่างมาก!


 


ชายแก่ขี้เมามองด้วยความเหยียดหยาม


 


“กระโจมเทพสวรรค์รู้ดีว่าจะใช้รางวัลอะไรตามดินแดน! กระโจมเทพสวรรค์ในจิวโจวเสนอรางวัลเป็นสมบัติเทพระดับสูง แล้วที่หนึ่งยังได้สมบัติวิญญาณ!”


 


ทุกคนต่างถูกดึงโดดโดยรางวัล แต่มันก็ไม่ยุติธรรมเลย


 


“การประลองลับสวรรค์เริ่มได้ เจ้าเลือกเสาศิลาที่อยากจะประลองซะ”


 


บรรยากาศเริ่มตึงเครียด


 


“พี่จิวหยาง ให้ข้าก่อนเถอะ!”


 


ฉินยู่ชางร้อนรน เขาอยากจะประลองเต็มที่


 


ฉินจิวหยางตอบ


 


“เจ้าคิดจะเลือกใครงั้นรึ?”


 


ฉินยู่ชางมั่นใจอย่างมาก เขามองไปยังชายชุดม่วงลึกลับ


 


“ข้าจะประลองกับเขา!”


 


เขาไม่คิดเลยว่าฉินจิวหยางจะปฏิเสธในทันที


 


“ไม่ได้!”


 


“ชายคนนั้นอันตรายมาก ข้ายังไม่มั่นใจเลยว่าจะชนะหรือไม่”


 


ฉินยู่ชางสีหน้าเปลี่ยนไป ชายชุดม่วงที่มาคนเดียวนี้จะแข็งแกร่งเพียงใดกัน?


 


ฉินยู่ชางละสายตามองไปยังพันธมิตรผู้คุมสวรรค์


 


“ข้าได้ยินนามของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์มานานแล้ว…”


 


เขาพูดและหัวเราะอย่างเยือกเย็น


 


“ข้าทนรอเห็นพลังของพวกนั้นกับตาไม่ไหวแล้ว!”


 


เขามองทั้งสามคนก่อนจะจับจ้องไปที่หลงเฟยฉิงที่อยู่ตรงกลาง


 


ฉินจิวหยางพยักหน้าเบาๆ


 


“เจ้าจะลองคนนี้ก็ได้”


 


ฉินยู่ชางนี้หลงเฟยฉิงอย่างมั่นใจ


 


“ข้าฉินยู่ชาง ข้าจะประลองกับเจ้า”


 


หลงเฟยฉิงไม่คิดว่าจะมีคนประลองกับเขา เขาตัวแข็งทื่อก่อนจะหายใจแรง


 


“ข้าหลงเฟยฉิง ข้ายอมรับคำท้า!”


 


หลงหวูชิงพูดอย่างไร้อารมณ์


 


“ถ้าเจ้าเอาชนะไม่ได้ในสิบกระบวนท่า ทัณฑ์สวรรค์จะรอคอยเจ้า!”


 


สตรีผู้นี้โหดเหี้ยมจริงๆ


 


หลงเฟยฉิงใจสั่นแต่ก็แสดงความนับถือออกมา เขาบินลงบนพื้นระหว่างเสาศิลาทั้งห้า


 


ฉินยู่ชางกระโดดลง พื้นสั่นด้วยแรงกระแทก รอยแตกมากมายกระจายไปตามจุดที่เขาตกลงไป


 


ฉินยู่ชางหยิบเอาแส้หนังเก้าข้อต่อออกมาจากข้างหลัง มันคือสมบัติเทพระดับกลางที่ถูกชำระจนสมบูรณ์ มันปล่อยแรงกดดันวิญญาณอันทรงพลังออกมา


 


“เข้ามา…”


 


ฉินยู่ชางพูดเป็นคนแรก


 


หลงเฟยฉิงกางพัดในมือ เผยให้เห็นภาพเขียนงดงาม


 


“เริ่มได้!”


 


ฉินยู่ชางใจเย็น เขาปล่อยพลังวิญญาณลงในแส้เก้าข้อต่อ แส้หนังเริ่มเปล่งแสงมรกต มันดูเหมือนสิ่งงดงามที่ทำจากหยก


 


แส้ยาวฟาดลงกับพื้น ความเร็วนั้นมิอาจเห็นได้ด้วยตามนุษย์ เสียงระเบิดดังขึ้น พลังนั้นน่าตกใจอย่างมาก มันเกือบจะถึงกึ่งเทพ! แต่หลงเฟยฉิงก็มิได้หวั่นไหว เขาสะบัดข้อมือเบาๆ ภูเขาลูกยักษ์ลอยออกมาจากพัด ภูเขานั้นดูมีชีวิตชีวา…และเหมือนจริงอย่างไม่น่าเชื่อ


 


จู่ๆแรงกดดันประหลาดก็แผ่ออกมา พื้นที่ฉิงยู่ชางยืนอยู่เริ่มจมลงไป เขาหน้าแดง ยากที่เขาจะหลุดพันธนาการจากวิชาประหลาดเช่นนี้


 


ฉินยู่ชางผู้มั่นใจโกรธเกรี้ยว เขาสะบัดแส้และตะโกนอย่างดุร้าย แส้พุ่งตรงใส่หลงเฟยฉิง มันซัดภูเขาลูกยักษ์กลับไป


 


เสียงระเบิดดังก้อง ภูเขาแหละสลายเป็นเสี่ยงๆ แต่ฉินยู่ชางก็ไม่มีเวลาให้คลายใจ ศัตรูขยับพัดในอีกครั้งสร้างแม่น้ำสายยาวปะทะกับฉินยู่ชาง


 


“จะหยาบคายเกินไปแล้ว!”


 


เขาตะโกน


 


“เก้ามังกรทะยานฟ้า!”


 


ฉินยู่ชางบิดข้อมืออย่างรวดเร็วในหลายทิศทาง แส้ในมือหมุนวนราวกับมังกรควงสว่าน วายุยักษ์พุ่งออกจากแส้ปกคลุมแม่น้ำสายยาวและซัดออกไป


 


แต่ในตอนนั้นเอง ภูเขาลูกใหญ่อีกสามลูกก็พุ่งเข้ามากระแทกจากบนฟ้าโดยไร้คำเตือน


 


ภูเขาทั้งสามมากระชั้นชิดจนเกิดที่ฉินยู่ชางจะป้องกันตัว เขาถูกกดดันโดยภูเขาทั้งสามลูกในทันที เขาหน้าแดงก่ำ ร่างถูกกดอยู่กับพื้นมิอาจขยับไปไหนได้

 

 

 


ตอนที่ 445

 

“ข้ายังไม่แพ้!”


 


ฉินยู่ชางทั้งอับอายและโกรธเกรี้ยว แส้ของเขาลอยออกจากมือร่ายรำบนท้องนภา มันซัดภูเขาทั้งสามที่ทับเขาออกไป


 


แต่เมื่อภูเขาหายไป แม่น้ำสายใหญ่ก็ซัดเข้าใส่เขา เขาถูกการโจมตีอย่างหนักหน่วงต่อเนื่อง โลหิตไหลออกจากมุมปาก แววตาเขาแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าเขาต่อสู้ด้วยพลังสูงสุด


 


“ระเบิดไปซะ!”


 


ฉินยู่ชางตะโกนลั่น


 


หลงเฟยฉิงป้องกันไม่ได้ เขาถูกบังคับให้ต้องถอย เสื้อผ้าของเขาฉีกขาดอย่างน่ากลัว


 


“ทำลายสมบัติเทพงั้นรึ? เจ้ามันบ้าบิ่นนัก แต่ก็น่าเสียดายที่เจ้ามีพลังแค่นั้น!”


 


เขาพูดจบและโบกพัดในมืออย่างต่อเนื่อง ภูเขาลูกใหญ่เก้าลูกเข้าปะทะเสียงดัง


 


ฉินยู่ชางชักสีหน้า เขาตะโกน


 


“ระเบิด!”


 


แรงระเบิดต่อมาได้ทำให้ภูเขาทั้งเก้าถูกทำลาย แต่เขาก็ต้องเสียสมบัติเทพของตัวเองไปมากกว่าครึ่งส่วน


 


ส่วนหลงเฟยฉิงนั้นไม่ได้บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย! เขาเพียงใช้พลังวิญญาณไปเล็กน้อย


 


“หึหึ เจ้าหมาจนตรอกเอ้ย!”


 


หลงเฟยฉิงโบกพัดอย่างเรียบเฉย ภูเขาสี่ลูกออกมาพร้อมกัน


 


ฉินยู่ชางที่เสียสมบัติเทพไปมีเพียงเวลาให้ทำลายภูเขาลูกเดียว เขาถูกภูเขาที่เหลืออีกสามลูกกดดันอยู่กับพื้น เขาขยับไม่ได้แม้แต่นิดเดียว


 


“เจ้า…บัดซบ! ข้ายังไม่แพ้!”


 


หลงเฟยฉิงหัวเราะอย่างสนุกสนาน


 


“เจ้ามันต่างอะไรกับสุนัขที่เห่าไม่รู้หยุดรึ?”


 


เขาพูดจบและกดมือทั้งสองเบาๆ ภูเขาทั้งสามลูกหนักขึ้น ฉินยู่ชางกรีดร้องและสลบในเสี้ยววินาทีนั้น! เขาใช้เพียงแค่เจ็ดกระบวนท่า


 


ฉินจิวหยางสีหน้าเบื่อหน่าย เขาบอนลงไปช่วยพยุงฉินยู่ชางและใส่พลังวิญญาณเพื่อช่วยให้เขาได้สติ ฉินยู่ชางสีหน้าเกรี้ยวกราดในทันทีที่ได้สติ


 


“เดี๋ยว ข้ายังไม่…”


 


เพี๊ยะ—


 


ฝ่ามือซัดใส่ใบหน้า ฉินจิวหยางพูดอย่างไม่แยแส


 


“หยุดทำขายขี้หน้าได้แล้ว”


 


เขาพูดจบและพาฉินยู่ชางกลับไปที่เสาศิลา


 


“คนจิตใจคับแคบอย่างนั้นมีหน้าเข้ามาที่กระโจมเทพสวรรค์ได้ยังไงกัน?”


 


“ดูเหมือนเขาจะเป็นนายน้อยที่ถูกเอาใจ หากประลองทั่วไป การให้เขาได้ลงมือกระบวนท่าแรกก่อนก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน”


 


“หึหึ คนแพ้ไม่เป็นเช่นนี้คงจะได้แต่ตายในที่อันตรายอย่างกระโจมเทพสวรรค์เท่านั้น เขาจะมาที่นี่ทำไมกัน?”


 


ฉินยู่ชางใบหน้าเขียวช้ำเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ความชิงชังของเขาหนาแน่น เขามองเห็นใบหน้าอันไร้อารมณ์ของซือหยูที่มองเขาอย่างดูถูกและถอนหายใจแรง


 


“มันตลกมากนักเรอะ? เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน? ไม่ว่าข้าจะอ่อนแอยังไง ข้าก็ยังแข็งแกร่งกว่าคนโง่เขลาอย่างเจ้า!”


 


ซือหยูหันไปมอง เขาพูดกับฉินยู่ชางเป็นครั้งแรก


 


“เจ้าคนจิตฟั่นเฟือน!”


 


ในตอนนั้น ลายมังกรตัวแรกใต้เสาศิลาเริ่มขยับ การต่อสู้ครั้งนี้เทียบได้กับมังกรตัวเดียวเท่านั้น


 


นั่นทำให้หลายคนใจแป้ว การต่อสู้ระหว่างราชามนุษย์ของคนทำได้แค่ทำให้มังกรตัวเดียวตอบสนอง ดูเหมือนว่าการทำให้มังกรตอบสนองนั้นจะยากกว่าที่หลายคนคิดเป็นอย่างมาก


 


และในเวลาเดียวกัน มังกรยาวหนึ่งนิ้วก็ปรากฏบนศีรษะของหลงเฟยฉิง มันคือตัวแทนของการต่อสู้ครั้งที่แล้ว


 


“ผู้ชนะจะเลือกสู้กับคนอื่นในกลุ่มที่พ่ายแพ้ได้”


 


หลงเฟยฉิงแววตาเย็นชา เขามองกลุ่มที่มีฉินยู่ชาง ตามกฎแล้ว ฉินยู่ชางที่พ่ายแพ้ไปแล้วจะถูกเลือกไม่ได้อีก


 


แต่อีกสามคนที่เหลือก็มีสองคนที่เป็นกึ่งเทพ เขาจะต่อสู้ได้ยังไง?


 


“เช่นนั้นก็คงต้องเป็นเจ้า เจ้าคือราชาปีศาจหิมะทมิฬใช่หรือไม่?”


 


หลงเฟยฉิงยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้


 


“ข้าไม่มีใครอื่นให้สู้แล้ว ข้าได้แต่สู้กับเจ้า”


 


ซือหยูบินลงไป เขาพูดอย่างเรียบเฉย


 


“เข้ามา”


 


หลงเฟยฉิงมองดูซือหยูหัวจรดเท้า


 


“ฮื่ม ข้าได้ยินชื่อเสียงของเจ้ามาก่อน เจ้าคือลำดับหนึ่งแห่งยุคในทวีปเหนือใช่หรือไม่? ชื่อเสียงนั่นน่ายกย่องก็จริง แต่ก็น่าเสียดายนักที่พลังเจ้าก็เทียบเท่าแค่คนธรรมดา ข้าได้แต่พูดว่าทวีปของเจ้าขาดผู้มีพรสวรรค์จริงๆ คนอย่างเจ้าที่ระดับแค่นี้ถึงได้มีชื่อเสียงเป็นลำดับหนึ่งของทวีปเหนือ”


 


ซือหยูขมวดคิ้วและตอบโต้


 


“เจ้าพูดมากเหลือเกิน ข้าจะพูดอีกครั้ง…เข้ามา”


 


หลงเฟยฉิงไม่พอใจ


 


“ถ้าข้าเลือกเจ้า ข้าก็ต้องไม่รังแกคนที่อ่อนแอกว่า เช่นนี้จะดีหรือไม่? ข้าจะให้เจ้าสาม…”


 


ก่อนที่เขาจะพูดจบ ซือหยูหายไปราวกับเงา หลงเฟยฉิงชักสีหน้า เขารีบมองรอบๆอย่างรวดเร็ว


 


เขาพบร่องรอยของซือหยูในไม่นาน สีหน้าของเขาเคร่งเครียด


 


“เจ้าไม่รับโอกาสที่ข้าหยิบยื่นให้เอง อย่ากล่าวโทษข้าก็แล้วกัน!”


 


เขาโบกพัดในมืออย่างต่อเนื่อง ภูเขาเก้าลูกใหญ่พุ่งเข้าใส่ซือหยูอย่างรุนแรง


 


แกร๊ก–


 


แต่เหล่าภูเขานั้นก็กลายเป็นภูเขาน้ำแข็งในพริบตา จากนั้นมันก็แตกเป็นเสี่ยงๆด้วยความเย็นสุดขั้ว มันกลายเป็นเศษน้ำแข็งนับไม่ถ้วน


 


ซือหยูเร็วปานสายฟ้า เขาพุ่งทะยานผ่านนภาที่เต็มไปด้วยเศษน้ำแข็งราวกับไม่มีใครอยู่ที่นี่ เขาพุ่งตรงไปยังหลงเฟยฉิง


 


หลงเฟยฉิงตกตะลึง เขาโบกพัดโดยไม่ลังเล แม่น้ำสายใหญ่พุ่งเข้าใส่ซือหยู และในตอนนั้นซือหยูก็เปล่งแสงสีแดง แม่น้ำได้ระเหยออกไปในพริบตา กองเพลิงอันน่ากลัวพุ่งผ่านแม่น้ำซัดใส่พัดในมือศัตรู


 


พรึ่บ—


 


พัดสมบัติเทพระดับกลางไหม้เป็นเถ้าถ่าน หลงเฟยฉิงแน่นิ่งและไม่เชื่อสายตา


 


“มันจบแล้ว”


 


ในตอนนั้น หลงเฟยฉิงได้ยินเสียงเวทนา ต่อมาเขาก็ถูกหมัดซัดใส่ลำตัว


 


พลังมหาศาลถูกส่งมาถึงลร่างกาย และพลังนั้นก็ไหลผ่านตัวเขาไปถึงเสาศิลาของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ พลังกายนั้นทั้งรวดเร็วและรุนแรง ไม่ว่าพลังจะผ่านไปที่ใดก็ทำให้อากาศผันแปรอย่างรุนแรง สีหน้าของเหล่าราชามนุษย์เคร่งเครียดในทันที!


 


ช่างกายนั่นมันอะไรกัน! เพียงแค่พลังกายเล็กน้อยที่แล่นผ่านหลงเฟยฉิงก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าราชามนุษย์คนอื่นเลย


 


เอื้อก—


 


เมื่อเห็นว่าพลังกำลังจะพุ่งเข้าใส่เสาศิลาของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ หลงหวูชิงก็ได้เข้ามาสลายพลังนั้น นางยกมือขึ้นทำท่าทางและส่งร่างหลงเฟยฉิงที่หมดสติให้ยืนขึ้น


 


“เจ้าก็ไม่ได้แย่มากนัก”


 


หลงหวูชิงพูดและโยนเขาออกไป


 


หลงเฟยฉิงคืนสติและสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลของซือหยูที่ทำลายทุกสิ่งได้ เขาพูดด้วยความงุนงง


 


“ข้าทำให้พี่ใหญ่ผิดหวัง ทำได้แค่เอาชนะฉินยู่ชางในเจ็ดกระบวนท่า”


 


“ตอนที่ข้าบอกว่าเจ้าไม่ได้แย่มากนัก ข้าไม่ได้พูดถึงตอนที่เจ้าสู้กับฉินยู่ชาง เจ้าต้องใช้ถึงเจ็ดกระบวนท่าจัดการกับไอ้ขยะนั่น ข้าพูดได้แค่ว่าเจ้ามันไร้ประโยชน์! พลังของเจ้าไม่ได้แย่ก็เพราะว่าเจ้าทนราชาปีศาจหิมะทมิฬได้สองกระบวนท่าต่างหาก! ข้าคิดว่าเจ้าจะรับไม่ได้สักกระบวนท่าด้วยซ้ำ!”


 


อะไรนะ? ไม่ถึงหนึ่งกระบวนท่ารึ? หลงเฟยฉิงยากที่จะเชื่อ ในสายตาหลงหวูชิง ราชาปีศาจหิมะทมิฬแข็งแกร่งถึงเพียงนั้นเชียวรึ?


 


แต่เมื่อเขานึกถึงการต่อสู้เมื่อครู่ ถ้าเขาไม่ใช้พัดที่เป็นอาวุธระยะไกล เขาอาจจะโดนฆ่าในกระบวนท่าเดียวไปแล้วถ้าต้องเผชิญหน้ากับราชาปีศาจหิมะทมิฬ!


 


ซือหยูยืนอยู่ที่เดิม เขารอการประกาศ


 


“ราชาปีศาจหิมะทมิฬชนะ”


 


ลายมังกรสองตัวตอบสนอง อีกตัวลำแสงเปล่งประกาย แค่ซือหยูคนเดียวก็ปลดผนึกมังกรที่สามได้!


 


และมังกรทองยาวสามนิ้วก็ปรากฏเหนือใบหน้า ขนาดของมันใหญ่กว่าของหลงเฟยฉิงถึงสามเท่า


 


ในตอนนั้น ทุกเสาศิลาเงียบกริบ ความป่าเถื่อนและรุนแรงของซือหยูได้ทำให้ผู้คนหวาดกลัว


 


ฉินจิวหยางครุ่นคิด


 


“น่าสนใจนัก แม้สัญชาตญาณจะบอกข้าว่าราชาปีศาจหิมะทมิฬแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะแข็งแกร่งมากเช่นนี้ นอกจากเฉินยิ่งที่เป็นจ้าวแห่งความมืดก็มีราชามนุษย์แค่ไม่กี่คนที่จะสู้ได้”


 


กังต้าเหล่ยเชื่ออย่างนั้นเช่นกัน


 


“อย่างที่ข้าคิด เจ้าคิดว่าเขาเป็นน้องใครกัน? น้องชายของกังต้าเหล่ยผู้นี้จะอ่อนแองั้นรึ? ชื่อราชาปีศาจหิมะทมิฬไม่ใช่คำโกหก!”


 


ฉินจิวหยางยิ้ม จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับฉินยู่ชาง


 


“เจ้ารู้รึยังว่าเจ้าสองคนแตกต่างกันเช่นใด?”


 


ฉินยู่ชางยังคงตกตะลึง การโจมตีอันรวดเร็วรุนแรงอย่างไร้เหตุผลของซือหยูนั้นทำลายได้ทุกสิ่งอย่างจนเขาตกตะลึง หลงเฟยฉิงเอาชนะเขาอย่างเหี้ยมโหดในเจ็ดกระบวนท่า แต่ซือหยูกับใช้สองกระบวนท่าจัดการหลงเฟยฉิง


 


สีหน้าของเหล่าราชามนุษย์ในสี่ตระกูลเคร่งเครียด ครั้งต่อไปซือหยูจะเป็นฝ่ายเลือกคู่ประลอง!


 


เขาจะสู้กับใครกัน?


 


ในบรรดาเจ็ดจ้าวแห่งความมืด ไป่ลั่วมองซือหยูอย่างดูถูกและขมวดคิ้วเบาๆ


 


“ทำไมข้อมูลไม่บอกว่าราชาปีศาจหิมะทมิฬมีพลังเช่นนั้น? ฉิงจู ยี่หยู ตอนที่พวกเจ้าอยู่ในก้นบึ้งมังกร พวกเจ้าสองคนรวมกลุ่มกับเขามาก่อนไม่ใช่รึ?”


 


ฉิงจูสีหน้าไม่พอใจอย่างมาก ในตอนนั้น เขาประเมินราชาปีศาจหิมะทมิฬต่ำเกินไป แต่ผ่านไปหนึ่งเดือน ราชาปีศาจหิมะทมิฬที่เคยอ่อนแอกว่าเขากลับกลายเป็นคนที่น่ากลัวเช่นนี้!


 


แม้ไม่เต็มใจยอมรับ ฉิงจูก็เข้าใจดี ถ้าเขาเป็นฝ่ายที่ต่อสู้ เขาคงจะลงเอยไม่ต่างกับหลงเฟยฉิง ยี่หยูนั้นยิ้มอย่างพอใจ นางต้องรู้ดีอยู่แล้วว่าราชาปีศาจหิมะทมิฬมีพลังเหนือกว่าที่แสดงออกมา


 


ตอนที่เขาเป็นอำมฤตระดับสี่ เขาต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับอสุรากึ่งเทพหลายครั้ง และเขายังไม่เคยแพ้เลย ในตอนนี้เขาแค่แสดงส่วนหนึ่งของพลังออกมาเท่านั้น เห็นได้ชัดว่ายังไม่ใช่พลังสูงสุด


 


“ข้าไม่รู้เลย ข้าไม่เคยเห็นเขาต่อสู้สักครั้ง”


 


ยี่หยูปั้นหน้าตอบ


 


ชายชุดม่วงหัวเราะ แววตาแดงก่ำเปล่งประกายและหายไปในพริบตา


 


“ผู้ชนะมีสิทธิ์จะประลองกับคนอื่น สองเสาศิลาสู้กันแล้ว โปรดเลือกคู่ประลองจากเสาศิลาอื่น”


 


เหล่าสี่ตระกูลเริ่มกระวนกระวาย สีหน้าฉิงจูเปลี่ยนไป ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับราชาปีศาจหิมะทมิฬนั้นไม่ดีนัก ถ้าราชาปีศาจหิมะทมิฬอยากจะใช้โอกาสนี้ล้างแค้นล่ะก็…


 


“จ้าวเฉินยิ่ง ลงมา”


 


ซือหยูพูดโดยไม่เงยหน้ามอง เขายืนมือไพล่หลังอยู่ที่กลางจุดประลอง สีหน้าของเขาเบื่อหน่ายดังเดิม ดูเหมือนเขากำลังออกคำสั่งเสียด้วยซ้ำ


 


เอ๋? ทุกคนตกใจ


 


หากมองดูผู้คนที่นี่ กำลังที่ต่อกรยากที่สุดย่อมไม่ใช่สี่ตระกูล แต่เป็นเจ็ดจ้าวแห่งความมืด ยอดฝีมือไร้พ่ายที่ราชาแห่งความมืดคัดเลือก!


 


ทุกคนล้วนมีพลังอันน่ากลัวที่เหนือกว่าคนที่มีฐานพลังเท่ากัน ว่ากันว่าจ้าวเฉินยิ่งเป็นราชามนุษย์มานานแล้ว พลังของเขาเหนือกว่าฉิงจูอย่างมาก เขาไปถึงขั้นที่จะได้เป็นกึ่งเทพแล้วด้วยซ้ำ


 


ซือหยูไม่เลือกใครอื่น เขาเลือกจ้าวฉิงจูอย่างจงใจ!


 


ฉินจิวหยางหัวเราะ


 


“น่าตื่นตานัก!”


 


ไป่ลั่วขมวดคิ้ว เขามองซือหยูดีๆก่อนจะสะลายตาไป


 


จ้าวเฉินยิ่งหรี่ตายิ่งกว่าเดิม


 


“การที่เจ้าเลือกข้า ความกล้านั่นน่าชมเชย แต่เจ้าก็ประเมินตัวเองสูงไป”


 


ซือหยูสีหน้าเบื่อหน่าย เขาข่มจิตสังหารไว้ในใจ


 


“เฉินยิ่ง ลงมา!”


 


ในที่สุดคำพูดที่ราวกับเป็นคำสั่งก็ทำให้เฉินยิ่งเริ่มโกรธ


 


“ฮื่ม! กล้าดียังไงถึงมาพูดกับข้าเช่นนี้? คิดว่าเจ้าเป็นใครกัน?”

 

 

 


ตอนที่ 446

 

ตู้ม–


 


เฉินยิ่งพุ่งลงไปจนพื้นสั่นสะเทือน


 


ซือหยูมองดูอย่างใจเย็น ในอดีต เขาไม่มีแม้แต่พลังจะโต้กลับราชามนุษย์! เขาเป็นคนที่ทำให้หลิงเสี่ยวเทียนบาดเจ็บที่คณะวิหคเพลิง เกือบจะคร่าชีวิตของหลิงเสี่ยวเทียนไป เขายังทำให้หลิงเสี่ยวเทียนไม่มีทางเลือกนอกจากการสละตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่าซือหยูจะไม่ตาย! และตอนนี้หลิงเสี่ยวเทียนก็อยู่ในสภาพปางตาย มิอาจตื่นได้จากการหมดสติ


 


ในวันนั้น ซือหยูสาบานขณะที่หลบหนีว่าจะทำให้เฉินยิ่งชดใช้ด้วยโลหิต ชีวิตของหลิงเสี่ยวเทียนทำให้เขาอยู่ได้จนถึงวันนี้ ในที่สุดเขาก็ได้มาอยู่ต่อหน้าเฉินยิ่ง เขารอคอยการต่อสู้นี้มานานเหลือเกิน!


 


“ข้ามีเรื่องอะไรกับเจ้าหรือไงกัน?”


 


เฉินยิ่งพูดเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่ซือหยูปล่อยออกมา


 


ซือหยูนั้นเยือกเย็น…เขาสงบนิ่งราวกับบึงวารีที่ไร้คลื่น


 


“เข้ามา!”


 


เฉินยิ่งถอนหายใจแรง


 


“คิดว่าเจ้าเป็นใครกัน? ต้องมาเจอข้าก็เป็นลางร้ายของเจ้าแล้ว!”


 


เฉินยิ่งปล่อยพลังราชามนุษย์ออกมา พลังนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าหลงเฟยฉิงและพุ่งเข้าใส่ซือหยู


 


ซือหยูสัมผัสได้ถึงแรงกดดัน แม้แต่การไหลของพลังวิญญาณในร่างก็ช้าลง เฉินยิ่งนั้นแข็งแกร่งโดยแท้จริง…เขาใกล้กับระดับกึ่งเทพอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าให้เวลาเขามากพอ มันก็คงจะง่ายดายนักในการที่เขาจะได้เป็นกึ่งเทพ


 


“ฝ่ามือโลหิต!”


 


เฉินยิ่งใช้วิชาอำมฤตระดับสองขั้นสูง!


 


หลายคนมองดูตาไม่กระพริบ ทุกคนรู้ดีกว่าการบ่มเพาะวิชาอำมฤตนั้นยากแค่ไหนในขั้นสอง มันต้องใช้ระดับปัญญาที่เหนือล้ำในการบ่มเพาะขั้นกลางหรือขั้นสูง เฉินยิ่งนั้นสมกับเป็นลำดับสองของเจ็ดจ้าวแห่งความมืด


 


ฝ่ามือโลหิตกดดันเข้าใส่ซือหยู กลิ่นโลหิตพัดผ่านใบหน้า แสงโลหิตย้อมสิ่งรอบข้างจนเป็นสีแดง แต่แววตาของซือหยูก็เยือกเย็น พลังความเย็นเอ่อล้นจากร่างก่อตัวเป็นฝ่ามือปะทะกับฝ่ามือโลหิต


 


ฝ่ามือโลหิตของเฉินยิ่งเริ่มแข็งตัว


 


และพลังกายภาพก็กระจายมาจากฝ่ามือเยือกแข็งจนเฉินยิ่งต้องถอย เขาประหลาดใจ


 


ทุกคนบนเสาศิลาเงียบกริบ เฉินยิ่งนั้นอ่อนแอกว่าในการเผชิญหน้าตรงๆ!


 


คนที่มีสายตาเฉียบคมนั้นตกใจยิ่งกว่า


 


“พลังน้ำแข็งนั่นใกล้กับพลังต้นกำเนิดอย่างมาก….”


 


เหล่าคนดูรู้สึกทึ่ง


 


“ชายคนนี้เชื่อมโยงกับวิชาน้ำแข็งในระดับสูง”


 


แม้แต่ฉิงจูก็ยอมรับในใจ


 


ยี่หยูยิ้ม


 


“ถ้าหาก…”


 


ฉินจิวหยางเลิกคิ้ว


 


“พื้นฐานวิชาน้ำแข็งนั้นยอดเยี่ยมมาก ตามที่ข้ารู้ ธาตุต้นกำเนิดจะทำให้วิชามีพลังใหม่”


 


กังต้าเหล่ยมองซือหยูด้วยใบหน้าซับซ้อน


 


“ต้นกำเนิดไม่ได้มีผลกับทวีปเฉินหลงมากนัก ข้าได้ยินว่าจิวโจวนับถือต้นกำเนิดเป็นอย่างสูงยิ่งกว่า”


 


ไป่ลั่วมองซือหยูอย่างเงียบๆ สีหน้าของเขาอ่านไม่ได้เลย


 


ซือหยูมองเฉินยิ่งที่ถอยหนีด้วยสายตาเย็นชา เขาก้าวไปข้างหน้าและส่ายหัว


 


“แค่นี้รึ เจ้าอ่อนแอกว่าเดิมนะ”


 


การเหยียดหยามทำให้ใบหน้าเฉินยิ่งบิดเบี้ยว เขาทั้งโกรธแค้นและละอายใจ เขาเข้ามาต่อสู้ด้วยความมั่นใจอย่างมาก แต่ตอนนี้เขากลับเสียเปรียบอย่างไม่คาดคิด!


 


“ฮื่ม! ข้าก็แค่ประมาทเท่านั้น”


 


“ครั้งต่อไปเจ้าจะไม่โชคดีอย่างนี้แล้ว!”


 


ปั้ง ปั้ง—


 


แสงโลหิตส่องสว่างจากมือขวา เกิดเป็นกำปั้นแสง ลายเส้นนั้นชัดเจนราวกับหมัดจริงๆของมนุษย์ แต่พลังนั้นก็มีมหาศาล มาบางอย่างขยับอยู่ในกำปั้นแสงนั้น


 


“ถึงข้าจะเสียมือไปข้างหนึ่งเพราะการต่อสู้ ข้าก็ได้พลังใหม่มา!”


 


เฉินยิ่งเลียริมฝีปากอย่างตื่นเต้น ดวงตาของเขาเปล่งแสงสีแดงคล้ำอย่างผิดปกติ พลังอสูรเข้าสู่ร่างกายของเขา


 


“ไป!”


 


หนวดเส้นสีแดงพุ่งออกมาจากหมัดล้อมซือหยู เหล่าหนวดแดงเหล่านั้นกำลังกลืนกินพลังวิญญาณรอบๆ


 


“นี่มัน…สายโลหิตปีศาจของตระกูลกุย!”


 


ทั้งสี่ตระกูลตกใจ


 


“ไม่สิ มันแปลกไป ดูเหมือนมันจะชั่วร้ายยิ่งกว่า”


 


ซือหยูปล่อยหมัดออกไป หมัดนี้มีเพลิงสีแดงฉาน เพลิงนั้นกลายเป็นวิหคขนาดเท่าฝ่ามือทะยานออกไป


 


เหล่าหนวดโลหิตระเหยออกไป เพลิงนั้นไหลตามเส้นหนวดเผาแขนของเจ้าของพลัง


 


เฉินยิ่งชักสีหน้า


 


“นั่นมันเพลิงอะไรกัน?”


 


เขามิอาจรู้ว่าเพลิงที่เผาพลังนั้นสร้างจากแก่นโลหิตของตัวเอง แต่เขาก็ตอบสนองได้เร็ว เขากำหมัดและสะบั้นพลังออกจากแขน! แต่ในที่สุดวิหคเพลิงก็ปะทะเข้ากับลำตัวจนต้องถอยไปหลายก้าว เฉินยิ่งถอยหนีอีกครั้งในการเผชิญหน้าครั้งที่สอง!


 


เหล่าคนดูอ้าปากค้าง กระบวนท่าแรกที่ทำให้เฉินยิ่งถอยนั้นยังพออ้างได้ว่าเพราะเขาประมาท แต่เขาก็ไม่มีข้ออ้างในครั้งนี้อีกแล้ว เขาอ่อนแอกว่าจริงๆ


 


เฉินยิ่งมองดูซือหยูอีกครั้ง สีหน้าเขาเคร่งเครียด


 


“ขอถามจะได้หรือไม่…”


 


“เจ้าเป็นใคร? ข้าจำไม่ได้ว่าไปดูหมิ่นเจ้าเมื่อใด”


 


ความเคียดแค้นจากอีกฝ่ายทำให้เฉินยิ่งไม่สบายใจ


 


“เข้ามา ประลองต่อไป”


 


เฉินยิ่งแววตาเปลี่ยนไปเมื่อเห็นอีกฝ่าย แต่เขาก็ยังคงถามอย่างจริงใจ


 


“จะให้ครั้งนี้เป็นการเสมอได้หรือไม่? ถ้าประลองต่อไปก็ทำได้แค่ต้องใช้ไพ่ตาย มันไม่ดีสำหรับข้ากับเจ้าในกระโจมเทพสวรรค์ครั้งนี้เป็นแน่”


 


นี่คือความคิดของทุกคน อย่างไรการเข้ามาที่กระโจมเทพสวรรค์ก็ทำให้เกิดข้อขัดแย้งกันอยู่แล้ว หากไพ่ตายของแต่ละคนถูกเผยออกมา พวกเขาก็คงจะเสียเปรียบในการต่อสู้ครั้งถัดไป


 


ซือหยูหยุดราวกับคิดอะไรบางอย่าง


 


แต่ในตอนนั้นจิตสังหารก็ฉาบแววตาเฉินยิ่ง


 


“ตายซะ!”


 


เขาตะโกน


 


เขาหยิบเอาขนวิหคสีแดงออกมา คลื่นพลังวิญญาณจากขนนั้นส่งแรงกดดันอย่างมาก มันคือสมบัติเทพระดับกลางชั้นแนวหน้า เทียบได้กับธนูมังกรฟ้าดิน และมันยังถูกชำระอย่างสมบูรณ์ ขนวิหคนี้ร้อนเป็นอย่างมาก มันมีเพลิงที่ใกล้เคียงกับต้นกำเนิด


 


“ฮื่ม! ประลองกับข้า เจ้าเลือกผิดคนแล้ว!”


 


เฉินยิ่งใส่พลังวิญญาณในขนวิหคอย่างบ้าคลั่ง


 


เพลิงโลหิตพุ่งขึ้นฟ้าเป็นทะเลเพลิง มันกลืนกินซือหยูโดยไร้ข้อสงสัย เหล่าผู้คนแตกตื่น ไม่มีใครคิดว่าเฉินยิ่งจะครอบครองสมบัติเทพระดับกลางที่ทรงพลังเช่นนั้น นี่ไม่ใช่สมบัติเทพที่แม้แต่กึ่งเทพจะมีได้ด้วยซ้ำ


 


และจ้าวแห่งความมืดยังลอบโจมตีอีกฝ่าย! มันไม่มีข้อห้ามในการลอบโจมตี แต่มันก็ยากที่จะยอมรับว่าจ้าวแห่งความมืดคนหนึ่งจะกล้าใช้กลไม้นี้


 


เฉินยิ่งมองดูทะเลเพลิง เขาหน้าซีดเล็กน้อย เขาเย้ยหยัน


 


“ทั้งความรัก และ สงคราม ทุกสิ่งล้วนยุติธรรม…”


 


“ด้วยปัญญาแค่นั้น ไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็ต้องตายอยู่ดี ข้าก็แค่ประหยัดเวลาให้เจ้า”


 


แววตาของฉินจิวหยางกับกังต้าเหล่ยเยือกเย็น


 


“ทำอะไรของเจ้า?”


 


กังต้าเหล่ยตะคอก


 


“พวกเราฆ่ากันในการประลองได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?”


 


คำพูดของกังต้าเหล่ยส่งตรงไปยังเจ็ดจ้าวแห่งความมืด


 


จ้าวแห่งความมืดคนอื่นเงียบกริบ แม้แต่พวกเขาก็รับการกระทำของเฉินยิ่งไม่ได้ การสังหารโดยลอบโจมตีนั้นไร้ยางอายเกินไป


 


ไป่ลั่วเลิกคิ้วและพูดอย่างเย็นชา


 


“กระบี่ไร้เจตจำนง บางครั้งการพลั้งมือสังหารก็เกิดขึ้นได้ เจ้าคิดจะแก้แค้นให้กับอุบัติเหตุงั้นรึ?”


 


แต่ไป่ลั่วก็โกหกออกมาหน้าด้านๆ การโจมตีของเฉินยิ่งนั้นทำไปเพื่อการสังหารอย่างแน่นอน นั่นจะเรียกว่าการพลั้งมือได้ยังไง? และไป่ลั่วก็ยังตราหน้ากังต้าเหล่ยว่าจะล้างแค้นอย่างเจ้าเล่ห์ กังต้าเล่ยต้องคิดให้ดีก่อนจะทำร้ายและสังหารคนที่เป็นจ้าวแห่งความมืด เพราะนั่นจะเป็นการยืนยันคำพูดของไป่ลั่ว แค่คำพูดเล็กน้อยก็ทำให้กังต้าเหล่ยต้องระวังตัว


 


กังต้าเหล่ยแววตาเยือกเย็น


 


“เล่ห์กลเช่นนั้นใช้ไม่ได้กับข้า! หากเจ็ดจ้าวแห่งความมืดกล้าสังหาร ข้าก็จะไม่ออมมือ เจ้าจะพูดว่าข้าทำการล้างแค้นก็ย่อมได้ แต่ข้าหากพวกเจ้าคนไหนต้องสู้กับข้า ก็อย่าโทษที่ข้าพลั้งมือสังหารก็แล้วกัน!”


 


ไป่ลั่วสีหน้าหม่นหมอง


 


“เจ้ามันไร้เหตุผ….”


 


“หุบปาก!”


 


กังต้าเหล่ยตะคอก


 


“เป็นใครกันจะมาหาเหตุผลจากข้า? ถ้าเจ้ากล้าทำ ก็อย่าคิดว่าข้าจะเมตตา! เจ้าคนพิการนั่น…ข้าจะเอาหัวมันก่อน แล้วข้าจะฆ่าเจ้าทีหลัง!”


 


กังต้าเหล่ยไม่ได้พบซือหยูหลายครั้งนัก แต่เขาคือคนที่มีคุณธรรม เขาจะต้องแก้แค้นให้กับความตายของซือหยู!


 


จ้าวเฉินยิ่งใบหน้าบิดเบี้ยว ใบหน้ายิ้มเยาะเริ่มหุบยิ้ม เขาคิ้วกระตุกไม่หยุด ชายคนนั้นกำลังจะฆ๋าเขาเพื่อซือหยู! ความรู้สึกโศกเศร้าเอ่อล้นออกมา


 


ไป่ลั่วชี้แนะเฉินยิ่งอย่างหนักแน่น


 


“เฉินยิ่ง สู้กับเขาเมื่อใดให้ยอมแพ้ซะ”


 


กระโจมเทพสวรรค์นั้นมีตัวตนยาวนาน และระบบการประลองก็ถูกปรับแก้มาหลายครั้ง ถ้าอีกฝ่ายยอมแพ้แต่ยังถูกไล่ตาม กระโจมเทพสวรรค์ก็จะลงโทษอีกฝ่ายอย่างรุนแรง


 


จ้าวเฉินยิ่งผ่อนคลายลง เขายิ้มอย่างเยือกเย็น หรือจะพูดได้เลยว่าเขาฆ่าซือหยูไปแล้ว เขาทำมันลงไปแล้ว ใครอื่นจะมาแก้ไขอะไรได้อีก?


 


แต่ในตอนนั้นเอง เสียงเบาๆก็ดังมาจากเพลิงที่ยังคงลุกไหม้อยู่ในกลางอากาศ


 


“ข้าต้องขอบคุณพี่ต้าเหล่ยจริงๆ…”


 


“แต่ข้าควรจะเป็นคนที่แก้แค้นเรื่องของตัวเอง!”


 


เหล่าผู้คนตกใจ ซือหยูนั้นถูกเพลิงเผาทั้งเป็น…นี่มันเป็นไปได้ยังไง?


 


อั่ก–


 


เพลิงแหวนออก ร่างแดงเพลิงบินออกมาจากภายในพุ่งเข้าไปหาเฉินยิ่ง เฉินยิ่งไม่ทันระวังและถูกซัดเข้าที่ใบหน้าอย่างจัง!


 


ตู้ม–


 


เหล่าผู้คนเห็นได้เลยว่าซือหยูถูกโอบล้อมด้วยเพลิงอันน่ากลัว และเขาก็เหยียบใบหน้าของเฉินยิ่งอยู่


 


เพลิงในร่างกายเขานั้นรุนแรงยิ่งกว่าเพลิงจากขนวิหคสีแดงเพลิง เพลิงนั้นทำอะไรซือหยูไม่ได้เลย!


 


ในตอนนั้น ดวงตาซือหยูเต็มไปด้วยจิตสังหาร เขาก้มมองเฉินยิ่งขณะที่เหยียบอยู่


 


“อนิจจา ข้าไม่ใช่คนเดิมในตอนนั้นแล้ว แต่เจ้ามันไม่เปลี่ยนไปเลย เจ้ายังน่ารังเกียจเหมือนเดิม!”


 


ซือหยูใส่พลังอีกเล็กน้อย เขาส่งต้นกำเนิดอัคคีเข้าใส่เฉินยิ่ง ทุกคนได้ยินแค่เพียงเสียงกรีดร้องอันทุกข์ทรมานจากเฉินยิ่งก่อนที่เขาจะกลายเป็นเถ้าถ่าน

 

 

 


ตอนที่ 447

 

เมื่อซือหยูเหยียบร่างจ้าวเฉินยิ่งพร้อมกับเพลิงต้นกำเนิด ในตอนนั้นก็ไม่มีทางที่เฉินยิ่งจะมีชีวิตรอด ดังนั้นเจ็ดจ้าวแห่งความมืดจึงไม่ได้ลงมือทำอะไร


 


จ้าวเฉินยิ่งที่เป็นลำดับสองของเจ็ดจ้าวแห่งความมืดถูกสังหารไปด้วยเหตุนี้! กระโจมเทพสวรรค์เงียบกริบ


 


ไป่ลั่วสีหน้าหม่นหมอง


 


“เจ้าฆ่าเขา…”


 


ซือหยูชายตามองไป่ลั่วอย่างยินดีแทนที่จะหวาดกลัว


 


“ใช่ ข้าฆ่ามัน แล้วก็จงใจฆ่า! ถ้าเจ้าจะแก้แค้นก็เข้ามาได้เลย!”


 


คำพูดนั้นที่ไป่ลั่วพูดเพื่อปกป้องเฉินยิ่ง กลับกลายเป็นคำท้าทายให้อีกฝ่ายใช้ได้อย่างตระการตา


 


สีหน้าไป่ลั่วหม่นหมองยิ่งกว่าเดิม


 


“ย่อมได้! หลังจากนี้ ข้าจะเอาชีวิตเจ้า!”


 


ซือหยูเยือกเย็น


 


“ข้าพร้อมทุกเมื่อ…”


 


เขาท้าทาย


 


“ราชาปีศาจหิมะทมิฬเป็นผู้ชนะ”


 


มังกรตัวที่สี่ถูกปลดผนึก ซือหยูคนเดียวก็ปลดผนึกมังกรไปสามตัว! และมังกรทองบนศีรษะก็ยาวกว่าเดิมอีกสองเท่า


 


“ชนะต่อเนื่องสองครั้ง ตามกฎ ราชาปีศาจหิมะทมิฬจะต้องออกจากลานประลองตอนนี้ คนอื่นจากเสาศิลาเจ้าจะต่อสู้กับคนต่อไป”


 


ซือหยูบินกลับเสาศิลา ทุกคนมองซือหยูเปลี่ยนไปอย่างแท้จริง!


 


ในตอนนี้ ไม่มีใครกังขาในชื่อเสียงของเขาที่ถูกนับว่าเป็นยอดฝีมืออีกแล้ว นอกจากพวกกึ่งเทพ เขาสังหารจ้าวเฉินยิ่งได้ง่ายดายเช่นนี้ ราชามนุษย์หน้าไหนจะกล้าต่อสู้กับเขา?


 


ฉินจิวหยางมองเขาอย่างนับถือ


 


“น้องหิมะทมิฬ เจ้าเก็บเร้นพลังไว้อย่างลึกล้ำ เจ้าสำเร็จต้นกำเนิดอัคคีแล้ว!”


 


พลังของต้นกำเนิดนั้นนับว่าทำร้ายกึ่งเทพได้เช่นกัน!


 


ซือหยูยิ้มอย่างนอบน้อม


 


“ข้าเพียงโชคดีเท่านั้น…”


 


กังต้าเหล่ยกลับหัวเราะ


 


“เขาอาจจะสำเร็จต้นกำเนิดน้ำแข็งแล้วด้วยซ้ำ”


 


แม้จะเป็นคำพูดหยอกล้อ ฉินจิวหยางก็รู้สึกหนาวสั่น เขาจดจำใส่ใจ


 


“พี่กัง จะเป็นข้าหรือท่านดี?”


 


ฉินจิวหยางหยุดคิดและถาม


 


ตามกฎ ซือหยูชนะสองครั้ง ดังนั้นพวกเขาจึงต้องตัดสินกันว่าใครจะได้สู้ต่อ


 


กังต้าเหล่ยหัวเราะเสียงดัง


 


“จะเจ้าหรือข้าแล้วมันจะต่างกันยังไงรึ? อย่างไรศัตรูพวกเราก็มีแค่สองคน”


 


พวกเขาเป็นกึ่งเทพ พวกเขาย่อมไม่ลงจากที่สูงไปต่อสู้กับราชามนุษย์อยู่แล้ว


 


“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะไปเอง”


 


ฉินจิวหยางยิ้มและมองไปยังหลงหวูชิงกับจ้าวไป่ลั่ว ท้ายสุดเขาก็มองจ้าวไป่ลั่ว


 


“ข้าได้ยินว่าเจ้าเพิ่งจะได้เป็นกึ่งเทพเหมือนๆกับข้า เหมาะสมยิ่งนักที่ข้าจะประลองกับเจ้า”


 


ไป่ลั่วตาเป็นประกาย


 


“ข้าก็คิดเช่นนั้น!”


 


เขาตอบ


 


ทั้งสองบินไปยังที่ประลองและยืนห่างกันร้อยศอก เขามองหน้ากันไปมา


 


“ข้าคือฉินจิวหยาง”


 


ฉินจิวหยางประกาศชื่อตัวเอง


 


จ้าวไป่ลั่วไม่สนใจ เขาเรียกอีกฝ่าย


 


“จิวหยาง เข้ามาได้เลย ถ้าเจ้ารับข้าได้เกินสิบกระบวนท่า ชัยชนะจะเป็นของเจ้า”


 


ฉินจิวหยางคิ้วกระตุก แต่เขาก็ไม่รู้สึกว่าถูกเหยียดหยาม จ้าวไป่ลั่วที่กล้าพูดเช่นนั้นจะต้องมั่นใจอย่างมาก เขามีไพ่ตายให้ใช้แน่นอน


 


“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะไม่พูดให้มากความ…”


 


ฉินจิวหยางไม่กล้าจะปฏิเสธ


 


ฉินจิวหยางถอดหมวกหยก เส้นผมดำยาวร่วงหล่นตามแรงโน้มถ่วงอย่างแผ่วเบา บรรยากาศโดยรอบเริ่มเปลี่ยนไป


 


เขาหยิบเอาปิ่นปักผมที่บางและยาวอย่างมากออกจากหมวกหยกในมือ ปิ่นปักผมนั้นดูธรรมดาเป็นอย่างมาก แต่พลังจากที่ใส่พลังวิญญาณเข้าไปมันก็ปล่อยแรงกดดันวิญญาณออกมา นั่นคือสมบัติเทพระดับกลางชั้นแนวหน้า


 


“ระวังล่ะ…”


 


ฉินจิวหยางโยนสมบัติเทพขึ้นฟ้า


 


ภาพลวงตาปิ่นปักผมเก้าสิบเก้าเล่มปรากฏบนท้องฟ้า! ทุกเล่มนั้นดูสมจริงอย่างมาก ไม่มีสิ่งแตกต่างระหว่างกันเลย ปิ่นลวงตายังส่งแรงกดดันวิญญาณที่แข็งแกร่งออกมาด้วย


 


ฉินจิวหยางแตะนิ้ว ปิ่นทั้งเก้าสิบเก้าเล่มพุ่งออกไปดั่งพิรุณดอกท้อที่ร่วงโรยใส่ไป่ลั่วจากด้านบน ปิ่นเหล่านั้นที่แยกไม่ออกว่าเล่มไหนเป็นของจริงมีพลังอันน่าตกตะลึง


 


ซือหยูตกใจ มีสมบัติเทพที่มีพลังเช่นนี้อยู่ด้วยรึ?


 


ไป่ลั่วมองปิ่นเก้าสิบเก้าเล่มที่พุ่งเข้าใส่ตัว เขาชมเชยอย่างเรียบเฉย


 


“สมบัติเทพชั้นดี แม้ปิ่นจะดูเหมือนภาพลวง แต่ทุกเล่มเป็นของจริง! ถ้าคิดว่าเป็นภาพลวงข้าก็คงตายไปแล้ว”


 


เขาพูดจบและวาดวงกลม จากนั้นก็เกิดภาพอันน่าตกใจ…วงกลมนั้นเกิดเป็นวายุ เหล่าปิ่นที่ร่วงหล่นมานั้นถูกดูดเข้าไปในวายุ


 


ฉินจิวหยางชักสีหน้า ไม่เพียงแต่ไป่ลั่วจะมองความลับของปิ่นออก เขายังรับมือได้อย่างง่ายดาย! วงกลมประหลาดนั่นดูดปิ่นทั้งหมดไปตรงๆ


 


“วิชาบ่มเพาะนั่นมันอะไรกัน…ไม่สิ นั่นไม่ใช่วิชาบ่มเพาะ…แต่เป็นคุณสมบัติ! พรสวรรค์มิตินั่นสร้างมาเพื่อดูดกลืนสมบัติเทพ!”


 


ฉินจิวหยางใบหน้าเคร่งเครียด


 


ไป่ลั่วหัวเราะ


 


“เจ้าตัดสินได้ดี แต่เจ้าก็ถูกเพียงครึ่งเดียว พรสวรรค์ยักย้ายพื้นที่ของข้ามิใช่แค่ดูดกลืน มันยัง…ใช้ขยับได้ด้วย!”


 


ฉินจิวหยางตัวแข็งทื่อ เขาชักสีหน้าและขยับหนีออกจากที่เดิมไปร้อยศอก!


 


ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ–


 


ในตอนนั้น วายุมิติปรากฏที่ด้านหลัง จากนั้นปิ่นปักผมมากมายจึงพุ่งออกมา!


 


นั่นคือกระบวนท่าของฉินจิวหยาง! ไป่ลั่วใช้พลังมิติเพื่อสะท้อนการโจมตีของอีกฝ่ายกลับไป!


 


ฉินจิวหยางกำลังจะลงมือแต่เขาก็ต้องชักสีหน้าอีกครั้ง


 


เขารีบหนีไปอีกสามสิบศอกโดยไม่ลังเล! วายุมิติได้ปรากฏจากข้างหลัง แต่มันก็ไร้ซึ่งอาวุธ แต่เป็นฝ่ามือของไป่ลั่ว!


 


เขามองดูรอบๆและพบว่าไป่ลั่วยังคงยืนมือไพล่หลังอยู่ดังเดิม จากมุมของฉินจิวหยาง เขามองไม่เห็นว่ามือของไป่ลั่วนั้นถูกโอบล้อมด้วยวายุมิติ


 


ซือหยูตกใจเล็กน้อย เขาก็มีพลังมิติเช่นกัน แต่คนก็สับสนว่านั่นคือพลังแต่กำเนิด ในตอนนี้ที่เขาเห็นไป่ลั่วใช้ด้วยตัวเอง เขาก็รู้แล้วว่าความน่ากลัวของพรสวรรค์มิติของจริงเป็นยังไง!


 


เขาใช้มันส่งส่วนของร่างกายออกไปอย่างง่ายดาย นั่นเป็นพลังที่น่ากลัวมาก


 


“โอ้? เจ้าตอบสนองได้ไม่เลว…”


 


ไป่ลั่วชมเชยและหัวเราะ


 


ฉินจิวหยางรู้สึกตึงเครียดกว่าเดิม เขาคิดอยู่ชั่วครู่


 


“ดูเหมือนข้าจะออมมือไม่ได้แล้ว”


 


เขาใช้ผมยาวพันรอบดัชนี จากนั้นเขาก็พูดคำแปลกๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า


 


ซือหยูรู้สึกไม่สบายใจเมื่อคำพูดแล่นผ่านปากของฉินจิวหยาง เขายังรู้สึกชิงชังอย่างแรงกล้า ทุกคนก็แสดงสีหน้าเช่นนั้นออกมา แต่ก็ไม่มีใครเข้าใจว่าเหตุใจเขาจึงทำเช่นนั้น


 


แต่เซี่ยจิงหยูนั้นโบกมือขาวอันนิ่มนวล ชั้นวารีปกคลุมกาย ตาเปล่าจะมองเห็นม่านวารีที่เป็นคลื่นอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่ามีบางอย่างที่มองไม่เห็นเข้าจู่โจมม่านวารี


 


หลังจากที่เห็นฉินเซี่ยนเอ๋อกับซือหยู เซี่ยจิงหยูจึงส่งข้อความให้รับรู้


 


“ในบรรดาแปดตระกูล ทุกตระกูลจะมีสิ่งที่ถนัด ตระกูลยี่เชี่ยวชาญการควบคุมสัตว์อสูร ตระกูลตู่เชี่ยวชาญการชำระสมบัติเทพ ส่วนตระกูลฉิน พวกนั้นเชี่ยวชาญวิชาคำสาป”


 


“วิชาสาปไม่ได้มีต้นกำเนิดจากทวีปเฉินหลง ส่วนที่มานั้นยังคงอยู่ในการหาข้อมูล”


 


ซือหยูนั้นยอมรับในความรู้ของจ้าวยี่หยู เขาตกใจเช่นกัน วิชาคำสาปคืออะไรกัน?


 


ฉินจิวหยางร่ายคำสาป เส้นผมที่พันรอบดัชนีหายไปอย่างประหลาดไม่เหลือสิ่งใด! แต่ต่อมาเส้นผมนั้นก็ปรากฏอีกครั้งที่ดัชนีของไป่ลั่ว!


 


ไป่ลั่วชักสีหน้า เขาทำลายเส้นผมเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่รอยรัดของเส้นผมยังคงถูกทิ้งเอาไว้


 


“วิชาประหลาด…”


 


ไป่ลั่วหยุดประมาทฉินจิวหยาง เขาสร้างพลังมิติที่เท้าของฉินจิวหยาง!


 


พลังวิญญาณยิงออกไป แต่แปลกที่ฉินจิวหยางยิ้มออกมา เขาไม่คิดจะหลบการโจมตีนั้นด้วยซ้ำ


 


ที่ใต้เท้าของเขาถูกพลังทะลวงเข้าไป เขาร้องครางด้วยความเจ็บปวด เท้าของเขาจะต้องถูกแทงทะลุแน่ๆ


 


แต่จ้าวไป่ลั่วก็ชักสีหน้า ใบหน้าเขาบิดเบี้ยวไป นั่นก็เพราะเขาเจ็บปวดอย่างสุดขั้ว


 


เขาก้มลงมองแผลของตัวเองและพบกับรูโลหิตที่เท้าขวา โลหิตไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนเท้าของฉินจิวหยางนั้นไม่เป็นอะไรเลย!


 


ซือหยูตัวสั่น วิชาสาปประหลาดนั้นน่าประทับใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าคนที่บาดเจ็บคือฉินจิวหยาง แต่บาดแผลกับถูกส่งต่อให้กับไป่ลั่ว!


 


ไป่ลั่วโกรธแค้นอย่างออกนอกหน้า


 


“ย่อมได้! ข้าประมาทเอง! ข้าจะไม่ออมมืออีกแล้ว”


 


ฟึ่บ–


 


มิติล้อมรอบฉินจิวหยาง มันปรากฏพร้อมกันเก้ามิติและกีดขวางทางหนีทั้งหมดำ ฉินจิวหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้ว่าไป่ลั่วจะรู้ว่าบาดแผลจะหวนคืนกลับมา แต่ตอนนี้เขาตั้งใจจะทำอะไรกัน?


 


ไป่ลั่วหยิบเอาเข็มเก้าเล่มออกมา ทุกเล่มนั้นคือสมบัติเทพระดับกลางเหมือนกัน! เขาขว้างเข็มเหล็กขึ้นฟ้า พลังมิติอ่อนๆล้อมรอบเข็มเหล่านั้น


 


เข็มเหล่านั้นปรากฏอีกครั้งจากมิติทั้งเก้าที่ขวางฉินจิวหยางเอาไว้ เข็มทั้งเก้าเล่มพุ่งออกไปจากทิศที่แตกต่างกันด้วยความปรารถนาที่จะทะลวงฉินจิวหยางและสังหารให้ตาย!


 


ไป่ลั่วพูดอย่างเยือกเย็น


 


“ทุกวิชาจะใช้ได้เมื่อผู้ใช้ยังมีชีวิต ถ้าคนใช้ตาย วิชาก็จะไร้ผล ถ้าข้าฆ่าเจ้าในพริบตา วิชานั่นก็ไร้ผลเช่นกัน บาดแผลของเจ้าก็จะไม่ถูกส่งมาหาข้า!”


 


ฉินจิวหยางตัวสั่น ความลับของเขาถูกเปิดเผยแล้ว


 


“หยุดนะ ข้า…”


 


ฉินจิวหยางรู้สึกว่าเขากำลังจะตาย เขายอมแพ้ในทันที


 


แต่ดวงตาไป่ลั่วก็เต็มไปด้วยจิตสังหาร เหล่าเข็มโลหะพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูง มันทะลวงหัวใจฉินจิวหยางโดยไม่แม้จะปล่อยโอกาสให้ยอมแพ้!


 


บอกได้เลยว่าไป่ลั่วนั้นเป็นคนโหดร้ายป่าเถื่อน! แต่ไป่ลั่วก็ต้องเคร่งเครียดเมื่อร่างของฉินจิวหยางที่ถูกฆ่านั้นเลือนลางไป มันเปลี่ยนเป็นหุ่นไล่กาขนาดเท่าฝ่ามือ! เหล่าเข็มโลหะนั้นแทงทะลุหุ่นไล่กา!


 


ส่วนหุ่นไล่กาในมือฉินยู่ชางที่อยู่ข้างซือหยูนั้นหายไป แทนที่ด้วยฉินจิวหยางที่ปรากฏตัวออกมาจากความว่างเปล่า!


 


นั่นคือวิชาคำสาปอีกหนึ่งวิชา!


 


การต่อสู้ของทั้งสองนั้นเปิดหูเปิดตาให้ซือหยูเป็นอย่างมาก และวิชาคำสาปของฉินจิวหยางยังทำให้ทุกคนต้องยอมรับ!


 


ถ้าหากคนที่ถูกเส้นผมสร้างรอยเอาไว้ไม่มีพลังที่จะฆ่าฉินจิวหยางได้ในพริบตา เขาก็จะถูกฉินจิวหยางสังหาร และถ้าหากฆ่าฉินจิวหยางได้ในพริบตา ฉินจิวหยางก็ยังมีหุ่นเชิดที่เป็นวิชาประหลาดที่จะช่วยชีวิตเขา


 


ทุกคนมองฉินจิวหยางด้วยความหวาดกลัว! แม้แต่หลงหวูชิงเองก็มองฉินจิวหยางด้วยความกลัวเล็กน้อย แม้ว่าฉินจิวหยางจะแพ้ก็ไม่มีใครกังขาในพลังของเขา!


 


แน่นอนว่าพรสวรรค์มิตไป่ลั่วก็ประหลาดเช่นกัน! เขาปล่อยมิติได้เก้าครั้งพร้อมกันเพื่อกีดขวางทางหนีของอีกฝ่าย จากนั้นเมื่ออีกฝ่ายขยับไม่ได้ เขาก็ใช้เข็มเก้าเล่มที่เป็นสมบัติเทพสังหารศัตรู


 


ถ้าไม่ใช่เพราะพลังคำสาปของฉินจิวหยางที่ทำให้เขายื้อชีวิตไว้ได้ ในตอนที่เขาถูกขังก็เหมือนกับการมีตราแห่งความตายตีไว้บนแผ่นหลัง


 


นี่คือการต่อสู้ของเหล่ากึ่งเทพที่หลายคนคาดหวัง ไม่ดีแน่ถ้าจะทำให้ใครโกรธแค้น!


 


“จ้าวไป่ลั่วชนะ”


 


ลายมังกรบนพื้นตัวที่ห้าส่องสว่าง และเหนือศีรษะไป่ลั่วยังมีมังกรทองยาวหกนิ้วเท่าซือหยูอยู่ด้วย


 


“ข้าปลดผนึกได้แค่ตัวเดียวเองรึ?”


 


ไป่ลั่วไม่พอใจในผลที่ได้เลย


 


จากการต่อสู้อันเข้มข้นเมื่อครู่ มันควรจะเหนือกว่าการต่อสู้ของซือหยู แต่เขาไม่คิดเลยว่าผลที่ได้จะไม่น่าพอใจอย่างนี้


 


ชายแก่ขี้เมาพูดขึ้นมา


 


“โอ้ มังกรตัวที่หาถูกปลกผนึก ไม่เลว นี่มันแข็งแกร่วกว่าเมื่อหมื่นปีก่อน จากนี้ก็มาดูกันเถอะว่ามังกรตัวที่หกจะถูกปลดจากผนึกหรือไม่ หากมันถูกปลดได้ ที่ที่พวกเจ้าได้ไปก็จะมีทรัพยากรเทียบเท่ากับคนของจิวโจว แล้วก็มีโอกาสมากนักที่พวกเจ้าหลายคนจะได้เข้าสู่ขอบเขตภูติ”


 


เสียงกระซิบทำให้เหล่าผู้คนตื่นเต้น ไป่ลั่วเงยหน้าขึ้นมอง จากนั้นก็เป็นคราวที่ไป่ลั่วจะต้องเลือกศัตรู! วิชาลับมิติของเขานั้น…ใครที่ต้องพบเจอจะต้องตาย!


 


“ไป่ลั่ว ไม่คิดจะประลองกับข้ารึ?”


 


กังต้าเหล่ยลืมตา แสงที่ฉาบร่างของเขากระจายออกไป เผยให้เห็นร่างที่แท้จริงบางๆ


 


แม้ว่าซือหยูกับกังต้าเหล่ยจะพบเห็นกันมานาน ซือหยูก็เห็นเพียงแค่อวตาลของกังต้าเหล่ย เขาไม่เคยเห็นร่างจริงของกังต้าเหล่ยกับตาตัวเอง


 


“หึหึ! เสาของพวกเจ้าต่อสู้มามากพอแล้ว ให้พวกข้าได้สู้บ้างเถอะ”


 


หลงหวูชิงเหลือบมองโดยไม่ปล่อยให้กังต้าเหล่ยได้พูดอะไร


 


ไป่ลั่วไม่สนใจทั้งสองคน เขาจ้องมองไปที่ซือหยูตรงๆและท้า


 


“เจ้ายังคิดว่าเจ้าโชคดีอยู่หรือไม่? ถึงข้าไม่พูดเจ้าก็น่าจะรู้ว่านี่คือตอนที่เจ้าจะต้องลงมา!”


 


คนที่เขาอยากจะสู้ด้วยคือซือหยู! และมันเป็นการต่อสู้ที่หมายจะห้ำหั่นเอาชีวิตกัน!


 


“เจ้าพูดกับอะไรกัน?”


 


เสียงดังมาจากข้างหลังไป่ลั่ว


 


ไป่ลั่วหันไปมองด้วยความตกใจ ซือหยูอยู่ข้างหลังเขา!


 


เขาหันไปมองซือหยูบนเสาศิลาอีกครั้ง ร่างนั้นค่อยๆจางหายไป มันเป็นเพียงแค่เงาที่หลงเหลืออยู่!


 


“เร็วมาก!”


 


ฉินจิวหยางกับกังต้าเหล่ยเบิกตากว้าง พวกเขาสัมผัสไม่ได้เลยแม้ว่าจะอยู่ข้างๆซือหยู!

 

 

 


ตอนที่ 448

 

ไป่ลั่วหันกลับไปมองซือหยูที่อยู่ห่างเพียงเล็กน้อย ซือหยูมีผ้าคลุมล่องหนอยู่ด้วย เส้นผมแดงโลหิตนั้นปลิวไสวแม้จะไร้แรงลม ดวงตาสดใสราวกับดาราคู่นั้นแผ่รัศมีอย่างประหลาด


 


“ก็แค่เล่นตุกติก!”


 


ไป่ลั่วยังคงยืนมือไพล่หลังอยู่ที่เดิม เขาไม่ปิดบังจิตสังหารในแววตา


 


“เจ้าทำเรื่องที่โง่เขลาที่สุดไปแล้ว”


 


ซือหยูมองคนตรงหน้า บอกได้เลยว่าคนคนนี้คือคนที่อยู่เบื้องหลัง คอยบงการให้หลิงเสี่ยวเทียนตกอยู่ในสภาพนี้ เฉินยิ่งนั้นแค่ทำตามคำสั่ง ผู้ชักใยตัวจริงคือไป่ลั่ว! ผู้ที่ทะเยอทะยานจะปกครองอาณาจักรทมิฬ


 


“ถ้าปรารถนาก็จงต่อสู้ คำพูดไม่ทำให้เจ้าได้เป็นราชาแห่งความมืดหรอก!”


 


ไป่ลั่วแววตาเย็นชา เรื่องที่เขาหมายตาตำแหน่งราชาแห่งความมืดนั้นแทบจะไม่เป็นความลับ แต่ทุกคนก็ไม่กล้าที่จะพูดมันออกมา


 


“นามของอาณาจักรทมิฬมิอาจแปดเปื้อนเพราะคนเช่นเจ้า!”


 


ไป่ลั่วตะคอกกลับ


 


“จงเตรียมชดใช้ซะ”


 


ซือหยูหัวเราะ เสียงหัวเราะนั้นบ้าคลั่งและอวดดี


 


“ทำให้นามแปดเปื้อนงั้นเรอะ…ฮ่าๆๆๆๆ! มีไม่กี่คนที่จะมีสิทธิ์ดูหมิ่นนามของอาณาจักรทมิฬ และข้าก็เป็นหนึ่งในนั้น!”


 


เขาที่เป็นรองเจ้าตำหนักกลับถูกขับไล่จากอาณาจักรและต้องเปลี่ยนชื่อแม้ไม่ได้คิดจะก่อกบฏ ถ้าเขาไม่มีสิทธิ์ดูหมิ่นอาณาจักรทมิฬ…แล้วใครกันจะทำได้?


 


คำพูดของเขาทำให้หลายคนตกใจ ราชาปีศาจหิมะทมิฬเคยเกี่ยวข้องกับอาณาจักรทมิฬในอดีตงั้นรึ? พวกเขาคิดถึงตอนที่ซือหยูแสดงความเคียดแค้นต่อเฉินยิ่ง และด้วยสถานการณ์ตอนนี้ นั่้นทำให้หลายคนสงสัยในตัวตนของราชาปีศาจหิมะทมิฬและเรื่องที่เคยเกิดขึ้น แต่อาณาจักรทมิฬนั้นมีดินแดนทั่วโลก และยังมีศัตรูนับไม่ถ้วน ยากที่จะบอกได้ว่าเมื่อใดที่ราชาปีศาจหิมะทมิฬเป็นศัตรูของอาณาจักรทมิฬ หลายคนคิดเช่นนี้และเห็นพิรุธของอดีตซือหยู


 


ไป่ลั่วแข็งกร้าว


 


“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ไม่ว่าเจ้าจะมีอะไรกับอาณาจักร ข้าจะลบเจ้าให้หายไปจากดินแดนของอาณาจักรทมิฬที่เจ้ายืนอยู่”


 


“ถ้าเจ้ามีพลังก็ลองด…”


 


แต่เขาก็ถูกส่งมายังพื้นที่ใกล้กับไป่ลั่วก่อนที่จะพูดจบ พลังมิติปรากฏบนพื้น ฝ่ามือซัดเข้ามาจากข้างล่าง


 


พลังนั้นเทียบได้กับพลังของกึ่งเทพ พลังกายระดับราชามนุษย์ของซือหยูคงจะพ่ายแพ้ในทันที ฝ่ามือเดียวนี้ก็มากพอที่จะสังหารเขา


 


“ฮื่ม! ตอบสนองได้ดี!”


 


“แต่มันจะจบตรงนี้”


 


ไป่ลั่วยังคงไม่ขยับออกจากที่เดิมแต่ก็มีมิติปรากฏใกล้กับที่ซือหยูอยู่บริเวณศีรษะ ดัชนีพุ่งออกมาหมายจะทะลวงศีรษะของซือหยู การโจมตีนี้ป่าเถื่อนอย่างมากแต่ซือหยูก็เตรียมการเอาไว้แล้ว เขาสร้างบันไดน้ำแข็งที่ใต้เท้าแม้ว่าเขาจะลอยอยู่กลางอากาศ


 


ซือหยูเหยียบเท้าลงบนบันไดน้ำแข็งและใช้แรงของมันเปลี่ยนทิศทาง เขาหลบพลังทั้งหมดโดยไม่ต้องลงแรงมากนัก แต่เมื่อร่างกายเขาพุ่งไปอีกด้านก็เจอมิติอีกด้านเกิดขึ้นที่ลำตัว  มิติเกิดอย่างต่อเนื่องสามครั้ง ซือหยูไม่มีโอกาสให้ป้องกันตัว


 


ฉินจิงหยางกังวลถึงซือหยูเมื่อมองดูการต่อสู้ การโจมตีด้วยมิติเช่นนี้จะทำให้ชีวิตของซือหยูตกอยู่ในอันตราย สถานการณ์ในตอนนี้ย่ำแย่โดยแท้จริง


 


คนที่เหลือก็เป็นห่วงซือหยูเช่นกัน แต่ซือหยูดูเหมือนจะทำนายได้ว่ามิติต่อไปจะปรากฏที่ไหน เขาสร้างขั้นน้ำแข็งและแตะปลายเท้าเบาๆเพื่อหลบอย่างง่ายดาย ท่าทางของเขาไหลลื่นอย่างมากตั้งแต่แรกสุด


 


ไป่ลั่วหรี่ตา


 


“เจ้าสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงมิติได้ด้วยรึ?”


 


การตอบสนองของซือหยูไม่ได้อธิบายง่ายๆด้วยเพราะการตอบสนองอันรวดเร็ว การเคลื่อนไหวนั้นราวกับรู้อยู่แล้วว่าวิชาประหลาดของไป่ลั่วจะเป็นอย่างไร ไป่ลั่วใช้วิชานี้สังหารซือหยูไม่ได้


 


ซือหยูยังคงเงียบ เขาลอยไปถึงพื้น


 


ไป่ลั่วยักไหล่ เขาย้ายตัวเองออกไปไกลกว่าเดิม และในตอนนั้นก็มีเสาน้ำแข็งสูงสามศอกพุ่งออกมาจากพื้นที่เขาเคยยืน ราวกับว่าหอกน้ำแข็งนั้นพุ่งออกมาจากพื้น ถ้าไป่ลั่วไม่ได้อยู่ในระดับกึ่งเทพที่สัมผัสสิ่งรอบข้างได้เขาก็คงจะถูกแทงทะลุไปแล้ว!


 


แต่ไป่ลั่วที่เพิ่งย้ายตัวเองหนีไปก็พบว่าไอวารีตรงหน้าได้กลายเป็นเข็มน้ำแข็ง เข็มเหล่านั้นพุ่งเข้าใส่ไป่ลั่ว ด้วยระยะที่ใกล้แค่นี้ ไป่ลั่วไม่มีโอกาสจะหลบได้เลย


 


เมื่อเห็นว่าเข็มกำลังจะทะลุหัวใจ ไป่ลั่วได้ห่มกายด้วยพลังมิติ เหล่าเข็มน้ำแข็งที่ทะลุผ่านเขานั้นถูกมิติกลืนเข้าไป


 


หลายคนตกตะลึง หากใช้วิชามิติได้เช่นนี้ก็เท่ากับการมีร่างอันเป็นอมตะ การโจมตีทุกอย่างจะถูกวิชามิติกลืนกินไป


 


แต่ที่ทำให้ทุกคนตกใจยิ่งกว่าก็คือราชาปีศาจหิมะทมิฬนั้นเป็นเพียงผู้คุมสวรรค์ เขารับมือกับไป่ลั่วที่เป็นกึ่งเทพได้! และที่สำคัญกว่าก็คือไป่ลั่วนั้นมีพลังกึ่งเทพที่เหนือกว่ากึ่งเทพคนอื่นๆ เขาคือแนวหน้าของเหล่ากึ่งเทพ


 


ฉินยู่ชางมองดูการต่อสู้ที่ดำเนินไปด้วยหน้าซีดเผือด เมื่อคิดว่าราชาปีศาจหิมะทมิฬแข็งแกร่งขนาดนี้!


 


ไป่ลั่วสีหน้าอัปลักษณ์ เขาอยากจะจบการต่อสู้โดยเร็วและใช้พลังสังหารราชาปีศาจหิมะทมิฬในการล้างแค้นให้กับเฉินยิ่งเพื่อจะได้กอบกู้ชื่อเสียงกลับมา แต่ราชาปีศาจหิมะทมิฬกลับรับมือยากกว่าที่เขาคิดเอาไว้


 


“มันจะจบตรงนี้แหละ!”


 


ไป่ลั่วคำรามลั่น


 


พลังมิติปรากฏต่อเนื่องกันหกมิติรอบกายซือหยู มันล้อมทั้งร่างซือหยูพร้อมกัน และแข็มน้ำแข็งก็พุ่งออกมาจากมิติเหล่านั้น ดูเหมือนว่าไป่ลั่วกำลังใช้วิชาของซือหยูจัดการกับซือหยู


 


สถานการณ์ในตอนนี้อันตรายยิ่งกว่าตอนที่ฉินจิวหยางพบเจอ แต่ซือหยูก็ยังคงมีสีหน้าผ่อนคลาย พลังความเย็นในร่างเอ่อล้น เข็มน้ำแข็งที่พุ่งเข้าใส่กลายเป็นพลังความเย็นและถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายอีกครั้ง


 


เขาสลายการโจมตีอย่างง่ายดายจนทำให้หลงหวูชิงเลือดร้อนด้วยใจอยากจะต่อสู้


 


“บ่มเพาะธาตุน้ำแข็งได้ถึงระดับนี้…”


 


หลงหวูชิงประหลาดใจ


 


“ผลที่ได้นั้นทรงพลังอย่างแท้จริง วิชานั้นจะแข็งแกร่งเพียงใดกันถ้าเขาไปถึงจุดต้นกำเนิด”


 


คนที่เหลือตกใจเช่นกัน ราชาปีศาจหิมะทมิฬนั้นบ่มเพาะธาตุน้ำแข็งและอัคคีพร้อมกัน อัคคีนั้นถูกบ่มเพาะจนถึงระดับสูงสุด เขาไปถึงระดับต้นกำเนิด ระดับของธาตุน้ำแข็งก็ไม่มีที่ติ เขารับมือกับไป่ลั่วโดยใช้แค่ธาตุน้ำแข็งของตัวเอง


 


ซือหยูดูดซับพลังกลับและก้าวไปข้างหน้า เขาเดินออกจากมิติทั้งหกโดยรอบ


 


“ข้ายอมรับว่าข้าประเมินเจ้าต่ำไป จงภูมิใจซะที่อยู่มาได้ถึงตอนนี้!”


 


ไป่ลั่วพูดจบและหายใจเข้าลึก จากนั้นเขาจึงส่งพลังมิติมหาศาลออกจากร่างกาย มิติทั้งเก้าปรากฏขึ้นรอบตัวซือหยูในทันที ทุกมิตินั้นปิดทางหนี  มันเข้ากดดันซือหยูให้อยู่ในที่แคบ ทุกการเคลื่อนไหวจะทำให้เขาสัมผัสกับคลื่นมิติ ร่างกายเขาจะถูกฉีกกระชากออกมา


 


นี่คือกระบวนท่าที่ใช้เอาชนะฉินจิวหยาง ใครจะไปคิดว่าซือหยูจะทำให้ไป่ลั่วต้องใช้พลังถึงระดับนี้?


 


ไป่ลั่วหยิบเข็มสมบัติเทพทั้งเก้าเล่มออกมา เขาขว้างมันออกไป เข็มทั้งเก้าเข้าสู่คลื่นมิติและปรากฏอีกครั้งที่่มิติข้างซือหยู


 


ฉินจิวหยางเกือบตายเพราะกระบวนท่านี้!


 


“สายไปแล้วที่จะยอมแพ้!”


 


ไป่ลั่วตะโกน จิตสังหารของเขาพวยพุ่ง เขากำหมัดพร้อมกับเข็มทั้งเก้าที่พุ่งเข้าใส่ซือหยู


 


แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง–


 


แต่ในความวุ่นวายนั้น ภาพซือหยูอาบโลหิตจากการที่หัวใจถูกเสียบทะลุไม่ได้เกิดขึ้น ทุกคนกลับได้ยินเพียงเสียงโลหะกระทบกัน ราวกับมีอะไรปะทะกับเข็ม


 


เข็มเหล็กทั้งเก้าไม่ได้ทะลุซือหยู มันกลับปะทะกับของแข็งบางอย่าง แข็งทุกเล่มร่วงหล่นลงกับพื้น


 


“ดูนั่น มีอะไรบนร่างของเขากัน?”


 


บางคนเห็นชุดเกราะทมิฬปรากฏจากร่างของซือหยู


 


ชุดเกราะนั้นสีดำสนิทและปล่อยแสงสีดำออกมา มีหนามยื่นออกมาจากเกราะไหล่ และยังมีภาพเขียนสัตว์ป่าดุร้ายที่กลางอก ชุดเกราะนี้ดูยอดเยี่ยม สมบัติเทพระดับกลางทั้งเก้าสร้างรอยขีดข่วนไม่ได้เลย


 


ไป่ลั่วเลิกคิ้ว


 


“ชุดเกราะนั่นมันอะไรกัน? เป็นไปไม่ได้ แม้แต่สมบัติเทพระดับสูงก็ต้องมีรอยขีดข่วนบ้างสิ!”


 


ฉินจิวหยาง กังต้าเหล่ย และหลงหวูชิงตกตะลึง ชุดเกราะนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่สมบัติเทพระดับกลางก็ทำอะไรไม่ได้…นั่นมันเป็นสมบัติประเภทใดกัน?


 


ชายแก่ขี้เมาแววตาดุร้าย


 


“นั่นมัน…มันมาอยู่ในทวีปเฉินหลงได้ยังไง?”


 


แววตาแดงก่ำของชายในผ้าคลุมม่วงเปลี่ยนไป


 


“เกราะราชาศิลานิรันดร์ของข้า! ข้าคิดว่ามันถูกทำลายในการต่อสู้เมื่ออดีต แต่มันยังคงอยู่ในโลกใบนี้ มีรูตรงอกนั่นทำให้มันไปอยู่ระดับกึ่งสมบัติเทพ แต่มันก็ซ่อมได้ถ้าหาศิลานิรันดร์เจอ! ชุดเกราะของข้าไปอยู่ในมือไอ้เด็กนั่นได้ยังไง? หึหึ! สวรรค์ช่วยข้าจริงๆ!”


 


ซือหยูสีหน้าพอใจ แม้เขาจะรู้ว่าสมบัติเทพระดับกลางทำอะไรเขาไม่ได้ เขาก็ยิ่งดีใจกับพลังป้องกันของชุดเกราะที่ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน


 


ซือหยูคว้าเข็มทั้งเก้าเล่มเอาไว้ เขาสัมผัสเข็มเหล็กทั้งหมดและพบว่ามีร่องรอยของคนอื่นอยู่ นี่พิสูจน์ได้ว่าไป่ลั่วยังไม่ได้ชำระเข็มเหล่านี้ เขาเพียงแค่ใช้ความคมกริบของสมบัติเทพเท่านั้น


 


เข็มเหล่านี้เป็นสมบัติประเภทชุด ถ้าเขาชำระมันได้ พลังของเข็มเหล่านี้ก็ไม่น่าจะอ่อนแอไปกว่าสมบัติเทพระดับสูง ซือหยูเก็บเข็มทั้งเก้าเล่มไว้กับตัวทันที และก็แอบเอามันใส่ในคันฉ่องจักรวาล


 


“สมบัติเทพของข้า!”


 


ไป่ลั่วหน้าซีด


 


“ย่อมได้! ข้าจะไม่เอาแค่ชีวิตเจ้าแล้ว…ข้าจะเอาของของข้าคืนมาด้วย!”


 


ซือหยูมองไป่ลั่วด้วยสายตาเยือกเย็น


 


“เจ้ายังเชื่อว่าเจ้ามีพลังที่ฆ่าข้าได้อยู่อีกรึ?”


 


“ฮื่ม! ข้าฆ่าเจ้าได้เดี๋ยวนี้แหละ!”


 


ไป่ลั่วสีหน้าดุร้าย


 


“ระเบิด!”

 

 

 


ตอนที่ 449

 

ในตอนนั้น เหล่ามิติทั้งเก้าเริ่มระเบิด พลังมิติมากมายหลั่งไหลออกมา


 


ฟึ่บ–


 


แขนเสื้อของซือหยูสัมผัสกับพลังมิติและหายไปในทันที!


 


ใช่แล้ว มันหายไปโดยสมบูรณ์! มันไม่ได้กลายเป็นสิ่งอื่นใด อย่างเถ้าถ่าน หรือความว่างเปล่า มันแค่เพียงหายไป


 


ถ้าพลังมิตินั้นสัมผัสกับร่าบของซือหยูก็ไม่ต้องแปลกใจเลยที่ส่วนของร่างกายเขาจะถูกพลังมิติกลืนกินไป ส่วนพลังมิติที่เหลืออยู่ก็ยังคงเกินพอที่จะฉีกร่างของซือหยูเป็นชิ้นๆ ทำให้เขาไม่เหลือแม้แต่ซากศพ!


 


แต่หลังจากคลื่นพลังระเบิด ไป่ลั่วก็ร้องคำราม เขาหน้าซีดเล็กน้อย ยิ่งอยู่ในสถานการณ์อันตรายซือหยูก็ยิ่งใจเย็นมากขึ้น เขาปล่อยพลังความเย็นออกมาอย่างสบายๆและโจมตีคลื่นมิติเหนือศีรษะ ดูเหมือนเขาอยากจะทำลายมิติให้เป็นชิ้นๆเพื่อหนีออกมา


 


ไป่ลั่วเยาะเย้ย


 


“ถ้าคลื่นมิติของข้าถูกทำลายง่ายๆ มันก็คงจะไม่ยุติธรรมกับคนที่แพ้ข้าไป!”


 


อย่างไรก็ตาม พลังความเย็นที่ถูกยิงเข้าใส่คลื่นมิติก็ได้หายไปโดยไม่ปรากฏอีกครั้ง ซือหยูมองดูการเปลี่ยนแปลงและเข้าใจพลังของอีกฝ่ายแล้ว


 


“จะเป็นอย่างนั้นรึ มันมีขีดจำกัดของพลังที่มิติจะรับได้ หากพลังเกินกว่าพลังที่มิติรับไหว มิติก็จะถูกทำลายอยู่แล้ว!”


 


ไป่ลั่วเบิกตากว้าง เขาตะตกลึง คนที่ได้ยินต่างสังเกตท่าทางของไป่ลั่วและก็รับรู้พร้อมกัน


 


ซือหยูพูดถูก! กระบวนท่าของไป่ลั่วไม่ได้ไร้เทียมทาน


 


“ถ้าคลื่นมิติทำลายง่ายเช่นนั้น แล้วต่อจากนั้นเจ้าจะทำอะไรเล่า?”


 


ซือหยูตอบโดยไม่คิด


 


“ถ้าข้าพูดไม่ผิด ขีดจำกัดนั้นมีอยู่ ถ้าเจ้าใช้พลังมิติทั้งหมดสร้างคลื่นเดียว บางทีก็มีแค่ขอบเขตภูติที่จะทำลายมันได้ แต่ถ้าเจ้าแบ่งมันออกเป็นเก้า พลังนั่นก็จะอ่อนแอไปเกือบสิบเท่า แค่กึ่งเทพก็ทำลายได้แล้ว”


 


“ออกมา!”


 


ซือหยูตะโกน ร่างกายเปล่งแสงสีแดง ร่างเทียมเพลิงมรกตปรากฏตัว


 


ทั้งร่างเทียมเต็มไปด้วยต้นกำเนิดอัคคีที่ร้อนจนถึงขีดสุด แม้มันจะดูเหมือนไม่มีพลังอะไร มันก็ทำให้ทุกคนตัวสั่นด้วยความกลัว


 


ฝ่ามือประกบเข้าหากัน กองเพลิงหมุนวนอย่างรวดเร็วระหว่างฝ่ามือ พลังของต้นกำเนิดพุ่งอกอมา!


 


ไป่ลั่วใบหน้าเคร่งเครียด


 


“ถึงต้นกำเนิดจะแข็งแกร่ง เจ้าก็มั่นใจเกินไป ถ้าเจ้าคิดว่ามันจะทำลายคลื่นมิติได้!”


 


“ข้าก็อยู่นี่มิใช่รึ!”


 


ซือหยูยืนอยู่เคียงข้างร่างเทียม หมัดของเขาประสานกัน ก้อนน้ำแข็งหมุนวนถูกสร้างขึ้นมาเช่นกัน


 


“ฮื่ม! เจ้ายังไม่สำเร็จขั้นต้นกำเนิด พลังนั่นมันไร้ค่า…”


 


“อย่างนั้นเรอะ?!”


 


ซือหยูพูดย้อน สมุนไพรเยือกแข็งข้างจุดกำเนิดพลังปล่อยพลังความเย็นออกมาในทันที


 


ก้อนน้ำแข็งที่หมุนวนระหว่างฝ่ามือปล่อยรังสีพลังอันน่ากลัวออกมา! ความเย็นยะเยือกฉาบทั้งที่ประลอง เสาศิลาทั้งห้าถูกแช่แข็ง สีหน้าของผู้คนบนเสาศิลาเปลี่ยนไป พวกเขาต้องใช้พลังวิญญาณเพื่อป้องกันตัว


 


“ต้นกำเนิดน้ำแข็ง! …วิชาน้ำแข็งของเขาก็สำเร็จขั้นต้นกำเนิด!”


 


ผู้คนบนเสาศิลาอ้าปากค้าง


 


ถ้าหากปรารถนาจะบ่มเพาะธาตุหนึ่งธาตุจนถึงจุดสูงสุด เขาจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการบ่มเพาะ และพร้อมกับโชคชะตาอันสุดยอด แต่ซือหยูตรงหน้าที่อายุไม่มากไปกว่าสิบเจ็ดปีกลับบ่มเพาะต้นกำเนิดได้ถึงสองธาตุ! ถ้าข่าวนี้แพร่งพรายออกไป มันก็จะเกิดความโกลาหลในทวีปเฉินหลงอย่างแน่นอน


 


ร่างจริงของซือหยูคือต้นกำเนิดน้ำแข็ง ร่างเทียมคือต้นกำเนิดอัคคี พลังต้นกำเนิดทั้งสองคือธาตุที่อยู่ขั้วตรงข้ามกัน ทั้งสองพลังหมุนควงอย่างรวดเร็ว


 


“ไป!”


 


ซือหยูตะโกน


 


พลังทั้งสองพุ่งออกไปยังคลื่นมิติเหนือศีรษะ คลื่นมิติปะทะกับพลังต้นกำเนิดทั้งสองและเปล่งแสง


 


คลื่นมิติสั่นสะเทือน และมันก็ขยายกว้างราวกับหัวใจที่เต้นเร็วสุดขั้ว!


 


ปั้ง–


 


ด้วยพลังของพลังต้นกำเนิดธาตุตรงข้าม คลื่นมิติได้หายไป เปิดทางให้ซือหยูได้หลบหนีก่อนที่เหล่ามิติอื่นจะระเบิดใส่เขา


 


อั่ก–


 


มิติที่สองถูกทำลาย ใบหน้าไป่ลั่วที่ซีดอยู่แล้วกลายเป็นสีแดง เขากระอักเลือดออกมา


 


แต่มันก็ไม่หยุดเพียงเท่านี้ หอกน้ำแข็งคมกริบปรากฏขึ้นที่ใต้เท้าทันที


 


แม้ไป่ลั่วจะบาดเจ็บ การตอบสนองของเขาก็ยังคงรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ เขาขยับตัวหนีออกไป และแม้ว่าเขาจะยังอยู่บนฟ้า ในตอนนั้นก็มีกองเพลิงหมุนวนพุ่งเข้าใส่เขาจากข้างล่าง!


 


ไป่ลั่วชักสีหน้า มิติที่เหลืออีกเจ็ดมิติหายไปเพียงกำมือ พลังเหล่านั้นกลับคืนสู่ร่างกายและเข้ามาปกคลุมผิวกายทั้งหมด เมื่อเพลิงเข้ามาสัมผัสกับคลื่นมิติบนผิวกาย มันก็หายไป


 


แต่ไป่ลั่วเพิ่งจะได้ผ่อนคลาย ใบหน้าภูติก็พุ่งออกมาจากเบื้องล่าง มันเข้ามาเพื่อกัดไป่ลั่ว


 


ไป่ลั่วสีหน้าเปลี่ยนไปมาก การโจมตีที่สามกำลังเข้ามา! ขาเล็กๆของเขาถูกใบหน้าภูติผีขย้ำเข้าอย่างเหี้ยมโหด


 


อ๊าก—


 


เขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ส่วนของพลังมิติที่ขาไป่ลั่วถูกกลืนกินไป! และเลือดเนื้อของเขาก็ถูกกัดกินไปอีก! ใบหน้าภูติผีนั้นเคี้ยวเลือดเนื้ออย่างโลภโมโทสัน มันปล่อยพลังปีศาจอันเข้มข้นออกมา


 


“พลังปีศาจ!”


 


ไป่ลั่วหวาดกลัว เขาหยุดโลหิตและถอยไปพันศอก เขาจ้องมองซือหยูด้วยความชิงชัง


 


ทุกคนอ้าปากค้าง ราชาปีศาจหิมะทมิฬในตอนนี้เป็นฝ่ายที่เหนือกว่า!


 


หลงหวูชิงขมวดคิ้ว


 


“ทุกกระบวนท่าของราชาปีศาจหิมะทมิฬรับมือได้ยากนัก แม้แต่พวกกึ่งเทพก็อาจจะถูกเขาสังหารได้”


 


กังต้าเหล่ยหัวเราะเสียงดัง


 


“น่าสนใจ สายโลหิตปีศาจของน้องข้าดูดกลืนฐานพลังกับเลือดเนื้อได้ พลังมิติของไป่ลั่วก็เป็นพลังจากสายโลหิต มันถูกกดเอาไว้ได้ด้วยพลังปีศาจ”


 


ซือหยูหยุดใช้สายโลหิตปีศาจ แววตาสดใสของเขาปล่อยพลังปีศาจออกมาเล็กน้อย


 


“ก็ไม่เห็นมีอะไร พลังเช่นนี้คู่ควรแล้วรึที่จะควบคุมอาณาจักรทมิฬและปกครองโลก?”


 


คำพูดเยาะเย้ยที่ไม่สนใจความรู้สึกของอีกฝ่ายดังก้องไปทั่ว


 


ไป่ลั่วบินเข้ามาด้วยความโกรธแค้นและละอายใจ! ไป่ลั่วเคยสรุปว่าพลังของเขานั้นจัดการทุกคนในยุคเดียวกันได้ เขามั่นใจว่าเขาเอาชนะทุกคนได้ แต่ซือหยูกลับเหนือกว่าเขา และทำให้ยากที่เขาจะแสดงพลังที่แท้จริงออกมา!


 


“ฮื่ม! พอได้แล้ว!”


 


ไป่ลั่วใช้พลังมิติอีกครั้ง


 


ด้วยเนตรวิญญาณ ซือหยูเห็นการเปลี่ยนแปลงของทุกสิ่งโดยรอบ เขาพบว่าจุดไหนที่แปลกไปเพียงแค่เหลือบมอง ดังนั้นแล้วเขาก็หลบคลื่นมิติได้ก่อนที่มันจะถูกสร้างเสียอีก


 


และด้วยพลังกึ่งเทพที่สัมผัสจักรวาลได้ ไป่ลั่วสัมผัสได้ว่าซือหยูนั้นหลบและลงมือก่อนหน้าที่พลังของเขาจะมีผล


 


ทั้งสองไล่ล่าและหลบหนีอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของทั้งสองซ้อนทับกัะนกลางอากาศ ต้นกำเนิดน้ำแข็ง ต้นกำเนิดอัคคี และพลังมิติ ทั้งหมดปะทะกันในระยะใกล้ๆ มันเป็นการต่อสู้อันเข้มข้นถึงขีดสุด แต่ทั้งสองก็ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้!


 


ฉินยู่ชางมองซือหยูด้วยความนับถือ เขาเริ่มยอมรับจากก้นบึ้งของจิตใจ


 


“พี่จิวหยาง ถ้าต้องสู้กับซือหยู ท่านมั่นใจหรือไม่ว่าจะชนะ?”


 


“ข้ามั่นใจเท่าใดน่ะรึ?”


 


ฉินจิวหยางพูดกับตัวเอง ถ้าเป็นครู่ก่อน ฉินยู่ชางคงจะถามว่ากี่กระบวนท่าที่ฉินจิวหยางทนซือหยูได้ แต่ในตอนนี้ ฉินยู่ชางต้องถามว่าฉินจิวหยางมีโอกาสจะชนะหรือไม่ถ้าต้องสู้กับซือหยู


 


“แพ้เสียมาก ชนะเสียน้อย”


 


ฉินจิวหยางพูดช้าๆ


 


น่าแปลกฉินยู่ชางไม่โต้แย้ง เขาพยักหน้ายอมรับ


 


“ราชาปีศาจหิมะทมิฬแข็งแกร่งจริงๆ”


 


ในตอนนั้น ทั้งสองประมือกันเกินกว่าร้อยกระบวนท่า ไม่มีใครเลยที่เหนือกว่าอีกฝ่ายได้อย่างหมดจด


 


จากนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาจากพื้นที่ประลอง…..

 

 

 


ตอนที่ 450

 

“เกินร้อยกระบวนท่า…”


 


ข้อความลอยขึ้นมา


 


“ถือว่าการประลองนี้เสมอ โปรดหยุดประลอง”


 


การที่ทั้งสองเสมอกันนั้นไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ พวกเขากลับไปยังเสาศิลาของตัวเอง มังกรตัวที่หกครึ่งท่อนส่องแสงประการออกมา ทั้งสองปะทะกันมานานแต่ก็ทำได้แค่ทำให้ลายมังกรที่หกตอบสนองเพียงครึ่งเดียว หลายคนไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้


 


“การต่อสู้นี้ก็เกินกว่ามาตรฐานของกึ่งเทพไปแล้ว…”


 


หลงเฟยฉิงตกตะลึง


 


“แต่กลับทำให้ลายมังกรตอบสนองได้แค่ครึ่งเดียว การตอบสนองมันเสียหายงั้นรึ?”


 


หลงหวูชิงจ้องมองซือหยู


 


“ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก ดูการเปลี่ยนแปลงเหนือศีรษะของพวกนั้นสิ”


 


มังกรทองของซือหยูนั้นยาวกว่าเดิมมากกว่าสองเท่า ร่างกายของมันเปล่งแสงทองออกมาอย่างงดงาม


 


ส่วนไป่ลั่วนั่นก็เกิดมังกรที่ยาวเท่ากันอีกด้วย


 


“ขนาดมังกรที่เพิ่มขึ้นนั่นห่างไกลจากการต่อสู้ของฉินจิวหยางมากนัก”


 


“บอกได้ว่าการประลองนี้เข้มข้นกว่า มิใช่เพราะการตอบสนองผิดพลาด แต่มันกลับหมายถึงการเปิดประตูที่หกที่ยากกว่าพวกเราคิด”


 


ชายแก่ขี้เมาตาเป็นประกาย


 


“พลังของยอดฝีมือในยุคนี้เหนือกว่าเมื่อหมื่นปีก่อนยิ่งนัก แค่ไม่กี่การประลองก็ทำให้ลายที่หกตอบสนองแล้ว ถ้ายังเป็นเช่นนี้ การเปิดประตูที่หกก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้”


 


หลงจื้อชิงตกใจ เขามองราชาปีศาจหิมะทมิฬด้วยความระมัดระัง เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลย เขาคิดถึงเหตุการในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ ถ้าเขาโจมตีซือหยูจริงๆ เขาอาจจะเอาชนะซือหยูไม่ได้


 


“เจ้าสองคนต้องถอยกลับ…”


 


ทั้งสองอ่านข้อความบนอากาศ


 


“ตามกฎ การเสมอหมายถึงทั้งสองฝ่ายเสียสิทธิ์ในการประลอง เสาศิลาอื่นที่ต่อสู้น้อยที่สุดจะต้องส่งตัวแทนมาท้าทายคู่ต่อสู้”


 


จนถึงตอนนี้ มีเพียงชายชุดม่วงกับคนจากสี่ตระกูลเท่านั้นที่ยังไม่ได้ประลอง


 


ชายคนหนึ่งบินลงมาอย่างรวดเร็ว เขามีเส้นผมมรกตตรงยาว ดวงตานั้นเล็กอย่างผิดปกติ เขาคือยอดฝีมือจากตระกูลฉี เขามีพลังของราชามนุษย์ พลังนั้นไม่ได้อ่อนแอไปกว่าหลงเฟยฉิง


 


เขามองรอบๆ และเมื่อมองผ่านซือหยู เขาก็ละสายตาไปโดยไม่ลังเล แม้ว่าราชาปีศาจหิมะทมิฬจะเอาสมบัติตระกูลฉีไปในงานวิวาห์ เขาก็ไม่คิดจะต่อสู้ เหล่าราชามนุษย์ต่างก็คิดว่าซือหยูอยู่ในระดับของกึ่งเทพ


 


สุดท้ายพวกเขาก็มองไปยังฉินยู่ชาง จากนั้นจึงมีเสียงเตือนดังขึ้นมา


 


“คนที่จะต่อสู้เป็นครั้งแรกไม่สามารถเลือกคนที่พ่ายแพ้ได้”


 


เมื่อข้อความดัง ชายผมสีมรกตก็สีหน้าหมองลง เขาเริ่มหาคนที่น่าจะอ่อนแอกว่า สุดท้ายเขาก็มองไปยังจ้าวแห่งความมืดคนที่เจ็ด จ้าวยี่หยู!


 


“เจ้า!”


 


เขาตะโกน


 


“ลงมาประลองกับข้า!”


 


เจ็ดจ้าวแห่งความมืดหัวเราะ ยี่หยูหัวเราะเบาๆก่อนจะบินลงจากเสาศิลา นางดูสง่างาม ท่วงท่าของนางนั้นอ่อนช้อย


 


“ย่อมได้”


 


ยี่หยูใช้มืออันสะอาดสะอ้านสร้างผนึกเพื่อเตรียมต่อสู้


 


“เข้ามา”


 


“ข้าคือฉีเจี้ย”


 


“โปรดอภัยที่เสียมารยาท”


 


ฉีเจี้ยหายตัวไปในตอนที่พูดจบ มีคนไม่มากนักที่มองตามฉีเจี้ยทัน


 


“วิชาเคลื่อนไหวนั่นเร็วมาก!”


 


หลงหวูชิงมองการประลองอย่างยอมรับบนเสาศิลา


 


“สมกับเป็นคนตระกูลฉี วิชาเคลื่อนไหวช่างไร้เทียมทาน”


 


เหล่าคนที่เหลืออุทานอย่างตกใจ แม้แต่ซือหยูก็ตกใจเล็กน้อย เขาเห็นแต่เพียงร่างที่ไม่ชัดเจนแม้จะใช้เนตรวิญญาณ ความเร็วของฉีเจี้ยนั้นเหนือกว่าเหล่ากึ่งเทพที่นี่ด้วยซ้ำ ถ้าแข่งขันกันด้านความเร็วเพียงอย่างเดียว เขาก็อาจจะอยู่ลำดับที่หนึ่ง


 


ในพริบตาเดียว ระยะห่างไกลก็เข้ามาใกล้ เซี่ยจิงหยูที่เป็นที่รู้จักในนามจ้าวยี่หยูแทบจะไม่มีเวลาได้ตอบสนอง มือของนางยังคงอยู่ที่เดิมในท่าที่กำลังสร้างผนึก ทั้งหมดได้ยินเพียงเสียงของฉีเจี้ยที่พูดว่า


 


“มันจบแล้ว”


 


ฝ่ามือพุ่งออกไปยังลำคอของยี่หยู แต่ต่อมายี่หยูก็ยิ้มเบาๆ ดัชนีของนางขยับอย่างรวดเร็ว จู่ๆไอวารีรอบกายนางก็หนาแน่นขึ้น มันก่อตัวเป็นเหล่ามังกรวารีเข้ารัดอีกฝ่ายที่ไร้การป้องกัน


 


ฉีเจี้ยตกใจ เขาใช้ความเร็วหลบมังกรวารีอย่างไม่ลังเล แต่ยี่หยูก็สร้างผนึกมังกรได้ทันเวลา ม่านวารีพุ่งลงจากนภาเข้าจองจำฉีเจี้ย


 


ยี่หยูไม่ทิ้งเวลาให้สูญเปล่า นางโจมตีอีกครั้ง สีหน้าฉีเจี้ยเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัวจากการโจมตีแรก เขาป้องกันและก็พบว่ามีการโจมตีเป็นสิบแบบที่แตกต่างกันพุ่งเข้าหาเขาจากหลายทิศทาง


 


ฉีเจี้ยกระเด็นออกไป แต่มันยังไม่จบเพียงเท่านั้น การโจมตีเกือบยี่สิบแบบพุ่งเข้าหาเขาอีกครั้ง


 


ทั้งลานประลองเต็มไปด้วยกระบวนท่าของยี่หยู วารีส่องประกายทุกทิศทางจนทำให้ทุกคนตกใจ


 


ฉีเจี้ยหน้าซีด เขาขนลุกซู่


 


“ข้าขอยอมแพ้!”


 


เขารีบตะโกนออกมา


 


เขารีบบินกลับเสาศิลา


 


“จ้าวยี่หยูเป็นผู้ชนะ”


 


เสียงประกาศดังมาจากกระโจมเทพสวรรค์


 


มังกรยาวห้านิ้วปรากฏเหนือศีรษะยี่หยู การต่อสู้นี้ใกล้เคียงกับระดับของกึ่งเทพ เหล่าเจ็ดจ้าวแห่งความมืดต่างชมเชยกันอีก


 


“ฮ่าๆๆ เจ้าเลือกยี่หยูแทนที่จะเลือกคนตั้งมากมาย! นอกจากไป่ลั่วก็ไม่มีใครในเจ็ดจ้าวแห่งความมืดรับมือกับนางได้อีกแล้ว”


 


ทุกคนตกตะลึง ความเร็วที่นางสร้างผนึกวิชา และพลังที่ใช้วิชาที่แตกต่างกันได้สามสิบกระบวนท่าในช่วงเวลาสั้นๆทำให้ทุกคนหวาดกลัว


 


ยี่หยูมองรอบๆและจ้องมองไปที่หลงหวูชิง


 


“อย่างไรพวกเราก็เป็นสตรี มาประลองกันเถอะ”


 


หลงหวูชิงคือสตรียอดฝีมือที่ใกล้เคียงกับขอบเขตภูติมากที่สุด นางสนใจการประลองนี้เช่นกัน


 


“ข้าอาจจะไม่สนใจถ้าคนอื่นท้าข้าประลอง แต่ไม่ใช่กับเจ้า”


 


ฟึ่บ–


 


หลงหวูชิงยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่ต่อมานางก็ไปหยุดอยู่หน้ายี่หยูแล้ว ชุดของนางปลิวไปตามแรงลม พลังมหาศาลเอ่อล้นจากร่าง นางนั้นราวกับจักรพรรดินีที่เดินทางมายังโลก


 


“ลงมือซะ…”


 


“ข้าจะให้เวลาเจ้าสามวินาที”


 


ยี่หยูใจเย็น


 


“สามวินาทีก็มากพอแล้วที่จะบอกว่าใครชนะ”


 


ยี่หยูสร้างผนึกวิชาด้วยมือทั้งสองข้าง นางปล่อยกระบวนท่าด้วยความเร็วราวกับพระเจ้าจนทำให้ทุกคนตกตะลึงอีกครั้ง นางสร้างการโจมตีจากกระบวนท่านับไม่ถ้วน เพียงสามวินาทีก็มีเก้าสิบวิชาจากทั้งลานประลอง และมันยังเต็มไปด้วยการโจมตีหลากหลายรูปแบบ และบางวิชายังเป็นวิชาระดับอำมฤตระดับสาม!


 


ทั้งเก้าสิบวิชาพุ่งเข้าไปพร้อมกัน มันเทียบเท่ากับราชามนุษย์เก้าสิบคนที่โจมตีในคราเดียว แม้แต่ไป่ลั่ว ฉินจิวหยาง และกังต้าเหล่ยที่ยืนดูอยู่บนเสาศิลาก็ตกใจ แม้จะเป็นพวกเขาก็ยากนักที่จะรับการโจมตีเช่นนี้ได้


 


แต่หลงหวูชิงนั้นเยือกเย็น ความท้าทายฉาบแววตา นางเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วหยิบสิ่งของที่คล้ายหีบออกมา


 


หึบอ้าปาก แสงทองประกายสิ่งรอบข้าง พลังไร้ขอบเขตเล็ดลอดออกมาจากหีบ พลังทำลายที่แผ่ไปยังรอบข้างก็มากพอแล้วที่จะทำให้คนขนลุก แม้แต่ซือหยูก็รู้สึกเจ็บปวดที่ดวงวิญญาณเมื่อมองด้วยเนตรวิญญาณ แต่ซือหยูนั้นเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นในหึบ…ในหีบนั้นมีสมบัติเทพนับไม่ถ้วนอยู่ภายใน! สมบัติเทพมากกว่าพันชิ้นอัดแน่นอยู่ในหีบนั้น!


 


ใช่แล้ว สมบัติเทพมากกว่าพันชิ้น!


 


“ฆ่ามันซะ”


 


หลงหวูชิงบัญชา นางชี้ดัชนีออกไป


 


เหล่าสมบัติเทพมากมายบินออกจากหีบ แต่ละชิ้นนั้นมีพลังอันน่ากลัว การโจมตีเก้าสิบกระบวนท่าของยี่หยูถูกทำลายในทันที!


 


ใบหน้ายี่หยูซีดเผือด นางมองดูหีบที่เต็มไปด้วยสมบัติเทพจนต้องกล่าวชมเชย


 


“ว่ากันว่าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์มีหีบโบราณที่เก็บสมบัติเทพได้ในช่วงพันปี”


 


“แต่หีบนั้นมีปัญญาของตัวเองที่สูงส่ง มิอาจถูกควบคุมได้โดยใคร แต่เจ้ากลับควบคุมมันได้สำเร็จ”


 


ชายแก่ขี้เมามองด้วยความนับถือ


 


“โอ้ ขอบเขตภูติอย่างพวกข้าก็ควบคุมหีบนั่นไม่ได้ แต่แม่สาวคนนี้กลับควบคุมได้แม้จะเป็นกึ่งเทพ!”


 


ทวีปคงสั่นสะเทือนเป็นแน่ถ้าข่าวนี้เผยแพร่ออกไป สมบัติเทพที่แม้แต่ภูติก็ควบคุมไม่ได้…มันจะเป็นสมบัติระดับไหนกัน?


 


จิตใจของเหล่ายอดฝีมือทั้งหมดสั่นคลอนเมื่อได้พบกับแรงกดดันมหาศาลที่เกิดจากหีบโบราณ


 


“ข้าแพ้แล้ว”


 


ยี่หยูยิ้มอย่างสุภาพ นางกลับเสาศิลาอย่างสง่างาม


 


มังกรยาวสิบนิ้วปรากฏบนศีรษะหลงหวูชิง! มังกรของซือหยูยาวสิบห้านิ้วเมื่อผ่านไปสามการประลอง แต่หลงหวูชิงนั้นสร้างมังกรยาวเช่นนั้นได้เพียงแค่การประลองเดียว พลังของนางนั้นมิอาจดูถูกได้เลย แต่ลายมังกรที่พื้นก็ไม่ได้ขยับมากนัก มันยังคงอยู่ในระดับครึ่งเดียว จะต้องมีการประลองที่ยิ่งใหญ่ขึ้นถ้าออยากจะปลุกลายมังกรให้ตื่นอย่างเต็มที่!


 


หลงหวูชิงมองดูชายลึกลับในชุดม่วง


 


“เจ้า ชายชุดม่วงตรงนั้น ลงมา มีแค่เจ้าที่จะประลองกับข้าได้”


 


ชายคนนั้นยังไม่ได้ต่อสู้ แม้แต่นามก็เป็นสิ่งลึกลับ


 


“ข้าขอยอมแพ้!”


 


เขายอมแพ้โดยไม่ลังเล


 


“ไป่ฉียอมแพ้”


 


กระโจมประกาศก้อง


 


“หลงหวูชิงเป็นฝ่ายชนะ”


 


มังกรทองของหลงหวูชิงยาวขึ้นอีกสามนิ้ว


 


“ต่อไป เสาศิลาที่ยังไม่ได้ต่อสู้จะต้องลงมาประลอง”


 


ในบรรดาเสาศิลาทั้งห้า มีแค่เสาศิลาของชายชุดม่วงที่ชื่อไป่ฉีที่ยังไม่ได้ต่อสู้ เขาไม่มีโอกาสจะยอมแพ้ในครั้งนี้


 


“ถ้าข้าไม่มีทางเลือก ข้าก็จะลองดู”


 


ไป่ฉีพูดและบินไปอย่างเรียบเฉย เขาชี้ไปหาไป่ลั่ว


 


“ลงมา”


 


ไป่ลั่วโกรธแค้น ชายคนนี้ไม่กล้าจะสู้กับหลงหวูชิงแต่ก็กล้าประลองกับเขา สำหรับไปลั่วแล้วนี่เป็นการบอกว่าพลังของเขาอ่อนด้อยกว่าอย่างชัดเจน


 


“ก็ได้ ข้าจะสู้กับเจ้า!”


 


ไป่ลั่วพูดและบินลงไป


 


เมื่อถึงพื้นก็มีคลื่นมิติปรากฏหลังไป่ฉี หมัดที่ไม่คาดคิดพุ่งออกมาจากมิตินั้น


 


การโจมตีนี้ประหลาด ไร้การตั้งตัว และไร้ปรานีอย่างมาก แต่ไป่ฉีก็ดูเหมือนจะคาดเอาไว้แล้ว เขาไม่ขยับตัว และยังยิ้มเยาะออกมา


 


ตู้ม—


 


ไป่ลั่วลอบโจมตีอย่างโหดเหี้ยมได้สำเร็จ ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจแรง!


 


ไป่ฉีนั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ขยับแม้แต่น้อย คนที่ถอยกลับเป็นไป่ลั่ว!


 


โลหิตไหลออกจากมุมปากของไป่ลั่ว เขาตกตะลึง


 


“ร่างกายเจ้า…เป็นไปไม่ได้! นอกจากเจ้าจะอยู่ในขอบเขตภูติ!”


 


ไป่ฉียิ้มเยาะ


 


“เจ้าไม่รู้หรอกถ้ายังไม่ได้ลองอีกรอบ”


 


เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและพุ่งเข้าไปโจมตีไป่ลั่วโดยใช้พลังกายเพียงอย่างเดียว


 

 

 


ตอนที่ 451

 

ไป่ลั่วชักสีหน้า เขาไม่กล้าจะประมาท เขาหยุดใช้พลังมิติและสร้างมิติยักษ์คลุมผิวกาย นี่คือวิชาที่ไป่ลั่วใช้ป้องกันตัว เมื่อเป็นเช่นนี้ก็พูดได้ว่าเขาไร้เทียมทาน


 


ฟึ่บ–


 


แต่ร่างเงาสีม่วงก็มาถึงในไม่นาน มันสัมผัสกับพลังมิติและปะทะกัน หลังจากรับมือได้ไม่นาน ฝ่ามือทมิฬก็ซัดลำตัวไป่ลั่วอย่างดุดัน


 


เป๊าะ–


 


เสียงกระดูกแตกดังลั่นทันที! ไป่ลั่วเบิกตากว้าง เขากระอักเลือดออกมามากมายและกระเด็นออกจากลานประลองราว


 


ชายแก่ขี้เมาสีหน้าเคร่งเครียด เขาโบกมือรับไป่ลั่วที่ยังกระเด็นอยู่เอาไว้ เขาตกใจและจ้องมองไป่ฉี


 


“เจ้าใช่คนจากทวีปเฉินหลงหรือไม่?”


 


คำพูดของชายแก่ทำให้หลายคนตัวสั่น หากชายแก่พูดเช่นนั้น…ก็หมายความว่าชายชุดม่วงนั้นเป็นยอดฝีมือที่อยู่ระดับเดียวกับชายแก่ขี้เมา!


 


ไป่ฉีหัวเราะ


 


“ข้าไม่สนใจจะทำอะไรสถานที่รกร้างว่างเปล่าอย่างทวีปเฉินหลงหรอก เจ้ามิต้องกังวล”


 


ชายแก่นั่งลง


 


“ข้าก็หวังเช่นนั้น”


 


ทุกคนตกใจในความแข็งแกร่งของไป่ฉี ซือหยูยืนยันได้ว่ายอดฝีมือผู้อยู่ในระดับกึ่งเทพที่แข็งแกร่งผิดหูผิดตาผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากราชาปีศาจ!


 


เขาคิดถึงตอนที่ถูกราชาปีศาจไล่ล่าและรู้สึกว่าตัวเองนั้นโชคดี พลังของราชาปีศาจน่ากลัวกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก


 


ซือหยูสัมผัสคันฉ่องจักรวาลโดยไม่รู้ตัว ในนั้นมีแขนอาบโลหิตอยู่ภายใน


 


“ดูเหมือนว่าการไม่ใช้แขนของราชาปีศาจจะเป็นเรื่องดี!”


 


ซือหยูพูดกับตัวเอง


 


แม้ว่าเขาตกลงจะร่วมมือกับราชาปีศาจ ซือหยูก็ยังคงกังวล ดังนั้นแล้วเขาก็เลยไม่กล้าจะใช้แขนของราชาปีศาจ ถ้าหากซือหยูยืนยันไม่ได้ว่าเขาเหนือกว่าราชาปีศาจ เขาก็จะไม่มีทางลองใช้แขนนี้แน่


 


ฟึ่บ–


 


มังกรทองยาวสิบสี่นิ้วปรากฏที่เหนือศีรษะของไป่ฉี! ส่วนมังกรตัวที่หกที่ยังไม่ตอบสนองก็เปล่งแสงออกมาทั้งตัว! แม้แต่ครึ่งส่วนของมังกรตัวที่เจ็ดก็ตอบสนอง! การต่อสู้ของเขาทำให้เกิดผลอันน่าตกใจ!


 


ในตอนนั้นก็มีเสียงดังออกมา


 


“ชั้นที่หกถูกปลดผนึก การประลองลับสวรรค์จะจบลง”


 


เสียงนั้นทำให้ทุกคนเงียบไป


 


“ทำไมถึงจบเล่า? พวกเรายังไม่ได้ประลองด้วยซ้ำ!”


 


ยังมีคนอีกเกินครึ่งที่ไม่ได้ประลองแม้สักครั้ง ไม่มีใครคาดคิดว่าการประลองลับสวรรค์จะจบลงไปทั้งอย่างนี้


 


ชายแก่ขี้เมาสีหน้าจริงจัง


 


“ฮื่ม! เจ้าคิดว่านี่มันยุติธรรมแล้วรึ? ในการประลองลับสวรรค์ที่จิวโจว ทุกคนมีสิทธิ์จะประลองกับทุกคนเพื่อให้แน่ใจว่ามังกรจะตอบสนองจนถึงตัวสุดท้าย”


 


เขาตะคอก


 


“แต่ในทวีปเฉินหลง การประลองกลับจะจบเพียงที่มังกรตัวที่หก เพราะกลัวที่คนทวีปเฉินหลงจะใช้ทรัพยากรของตัวเองไปงั้นเรอะ!”


 


กระโจมเทพสวรรค์ดูเหมือนจะคล้อยตามอำนาจของใครบางคน นั่นทำให้เกิดความแตกต่างอย่างมากของแต่ละดินแดน หากพวกเขายังสู้ต่อไป ก็เป็นไปได้ว่ามังกรตัวที่เจ็ดจะถูกปลดผนึก


 


ในตอนนั้นก็มีเสียงดังอีกครั้ง


 


“มังกรตัวที่หกถูกปลดผนึก ทุกคนจะถูกย้ายไปที่ชั้นหก ตอนนี้จะยืนยันให้แต่ละเสาศิลา”


 


“เสาแรก ยี่สิบนิ้ว”


 


เสาศิลาที่ได้มังกรทองยาวที่สุดต้องเป็นของเจ็ดจ้าวแห่งความมืดอยู่แล้ว ไป่ลั่วเองก็ได้มังกรมาแล้วสิบห้านิ้ว จ้าวยี่หยูได้มาอีกห้า รวมกันเป็นยี่สิบ


 


“เสาที่สอง สิบหกนิ้ว”


 


นั่นคือเสาของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ หลงหวูชิงได้สิบสามนิ้วจากสองการประลอง และหลงเฟยฉิงก็เอาชนะฉินยู่ชางและได้มาอีกสามนิ้ว ดังนั้นจึงรวมแล้วได้สิบหก


 


“เสาที่สาม สิบห้านิ้ว”


 


ซือหยูคนเดียวที่ได้สิบห้านิ้ว ฉินยูชางกับฉินจิวหยางนั้นพ่ายแพ้ในการประลอง ซือหยูชนะสามการประลองอย่างต่อเนื่อง ลำดับจึงเป็นเช่นนี้


 


“เสาที่สี่ สิบสี่นิ้ว”


 


ไป่ฉีได้มังกรยาวสิบสี่นิ้วในการประลองเดียว


 


“เสาที่ห้า ศูนย์”


 


สี่ตระกูลได้ต่อสู้เพียงครั้งเดียว และยังเป็นการต่อสู้ที่พ่ายแพ้


 


“เห็นแก่หลายคนที่ยังไม่ได้ต่อสู้ เพื่อความยุติธรรม อีกครึ่งชั่วยาม ทุกคนจะต้องต่อสู้กันเพื่อชิงมังกรทอง! คนที่แพ้จะถูกริบเอามังกรไปครึ่งส่วน จากนั้นจะตรวจสอบกลุ่มที่ได้มังกรยาวที่สุด จากนั้นจะได้จัดลำดับอย่างเป็นทางการอีกครั้ง”


 


สีหน้าของผู้คนจากทุกเสาศิลาเปลี่ยนไป นั่นก็หมายความว่าทั้งห้าเสาศิลาจะต้องต่อสู้กันอีกหลายครั้ง


 


และที่สำคัญที่สุดคือไม่มีการประกาศข้อบังคับ นั่นหมายความว่าการสังหารก็ไม่ผิดอะไร


 


ชายแก่ขี้เมาหัวเราะอย่างโศกเศร้า


 


“ฮื่ม! ถ้ายอดฝีมือในจิวโจวเป็นมนุษย์ ยอดฝีมือในทวีปเฉินหลงก็เป็นเดรัจฉานต่ำต้อยงั้นเรอะ?”


 


ทุกคนบอกได้เลยว่าการกระทำเช่นนี้ของกระโจมเทพสวรรค์ก็คือการให้คนในทวีปเฉินหลงเข่นฆ่ากันเอง


 


“พวกเจ้าจงฟัง ไม่เห็นไรหากพวกเจ้าจะชิงมังกรกัน แต่พวกเจ้าห้ามเข่นฆ่ากัน ถ้าใครฝ่าฝืนก็อย่าโทษที่ข้าไร้หัวใจ!”


 


ชายแก่พูดอย่างเยือกเย็น


 


ซือหยูรู้สึกขอบคุณอย่างมาก ถ้าผู้เฒ่าจิวไม่พูดอะไรที่นี่ก็คงจะจบลงด้วยการนองเลือด จากนั้นสีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป ไม่มีกล้าจะตอบโต้กับคนในขอบเขตภูติอยู่แล้ว


 


“เริ่มได้”


 


เสียงดังขึ้น


 


แต่เหล่าผู้คนก็เงียบอย่างประหลาด ไม่มีใครลงมือทำอะไร สี่ตระกูลนั้นไม่ได้มีมังกรจึงไม่มีใครคิดจะต่อสู้กับคนเหล่านั้น และอีกสี่เสาก็ยังเป็นขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีใครคิดจะเข้าไปยุ่งด้วย


 


ส่วนไป่ฉีก็เป็นคนที่น่ากลัว ใครกันจะไม่หวาดกลัวเขา?


 


เขามองดูคนที่จะประลองแต่ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรและเขาก็เบื่อหน่ายที่จะสนใจผู้คน เขานั่งลงและคิดแต่เรื่องของตนเอง


 


นั่นทำให้ทุกคนรู้สึกเบาใจ ถ้าไป่ฉีอยากจะสู้เพื่อตำแหน่งแรกก็มีไม่กี่คนที่จะรับมือได้


 


ในตอนนี้เหลือเพียงเสาศิลาทั้งสาม ทั้งพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ เจ็ดจ้าวแห่งความมืด กับซือหยูที่หลงเหลือ ทั้งหมดมองหน้ากันไปมา


 


ณ ขณะนี้ หลงหวูชิงมีมังกรสิบสามนิ้ว หลงเฟยฉิงมีสามนิ้ว ไป่ลั่วมีสิบห้านิ้ว ยี่หยูห้านิ้ว และซือหยูสิบห้านิ้ว มีแค่คนเหล่านี้ที่มีมังกรทองในครอบครอง


 


ทุกคนมองหน้ากัน ไปลั่วเล็งเป้าหมายไปยังหลงเฟยฉิงที่อยู่ในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์!


 


ยากที่ไป่ลั่วจะชิงมังกรจากซือหยูมาได้ในเวลาอันสั้น ดังนั้นเขาจึงเลือกคนที่มั่นใจที่สุดอย่างหลงเฟยฉิง


 


วายุมิติปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของหลงเฟยฉิง ฝ่ามือของไป่ลั่วพุ่งออกมาอย่างดุดัน หลงเฟยฉิงชักสีหน้าด้วยความตกใจ


 


“ฮื่ม!”


 


หลงหวูชิงที่อยู่อีกด้านพุ่งเข้าไป เงาด้านหลังเปล่งแสงสีทองออกมา


 


สมบัติเทพนับไม่ถ้วนลอยออกจากหีบโบราณ สมบัติเทพมากกว่าร้อยชิ้นพุ่งเข้าไป วายุมิติที่มีพลังมิติทั้งหมดของไป่ลั่วสั่นสะเทือน


 


ไป่ลั่วเจ็บปวดและดึงมือออกด้วยความตกใจ พลังของหีบโบราณนั้นน่ากลัวจนเกินไป


 


สมบัติเทพแค่ร้อยชิ้นก็มีพลังมากมายเช่นนี้ ถ้าสมบัติเทพพันชิ้นทั้งหมดออกมาในคราเดียวจะน่ากลัวเพียงใดกัน? และก็ยากที่จะบอกว่าไป่ฮีจะรับมือกับสมบัติเทพพันชิ้นได้


 


เพราะไป่ฉีเองก็ยอมแพ้ตรงๆเมื่อต้องประลองกับหลงหวูชิง ไม่ผิดแน่ นางคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่นี่!


 


“แต่เดิมข้าก็หวังจะชิงมังกรทองจากราชาปีศาจหิมะทมิฬ แต่ถ้าเจ้าลงมือ ข้าก็จะชิงมังกรจากเจ้าก่อน!”


 


หีบอ้าปาก แสงทองเปล่งประกาย ในครั้งนี้มีสมบัติเทพสองร้อยชิ้นพุ่งออกมา สีหน้าไป่ลั่วเคร่งเครียด เขารีบหลบการโจมตีโดยใช้พลังมิติป้องกันตัวไปพร้อมกันอย่างชาญฉลาด


 


แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลงหวูชิง ไป่ลั่วทำได้แค่ป้องกันตัวเท่านั้น เหล่าเจ็ดจ้าวแห่งความมืดที่เหลือใช้จังหวะนี้เข้าจู่โจมหลงเฟยฉิง!


 


หลงเฟยฉิงฝืนยิ้ม เขาพูดเตือน


 


“เซี่ยนเอ๋อ ไปหลบที่อีกด้าน ไม่ต้องลงมือ นี่ไม่ใช่เวลาของเจ้า เก็บพลังวิญญาณเอาไว้”


 


หลงเฟยฉิงพูดและเผชิญหน้ากับการโจมตีจากห้าจ้าวแห่งความมืดแต่เพียงลำพัง จ้าวแห่งความมืดที่เหลือนั้นน่าจะทำอะไรเขาไม่ได้มากนักแม้แต่จ้าวฉิงจูเองก็ตาม มีเพียงแค่จ้าวยี่หยูเท่านั้นที่น่ากลัว


 


หลงเฟยฉิงที่โดนโจมตีจากทุกด้านนั้นเสียเปรียบเป็นอย่างยิ่ง ส่วนยี่หยูเองก็โบกมือสร้างกระบวนท่าต่อไป นางกำลังจะปล่อยกระบวนท่าใหญ่ที่จะทำให้หลงเฟยฉิงบาดเจ็บรุนแรง


 


หลงเฟยฉิงนั้นโศกเศร้าเป็นอย่างมาก แต่ในตอนนั้นเองก็มีสองคนบินเข้ามาพร้อมกันและขับไล่เหล่าจ้าวแห่งความมืดทั้งห้าให้พ้นทาง เงาเส้นผมสีแดงจ่อกระบี่น้ำแข็งที่กลางหน้าผากหลงเฟยฉิง


 


หลงเฟยฉิงหัวเราะอย่างขมขื่น


 


“ข้ายอมแพ้”


 


คนที่อยู่ต่อหน้าเขาคือซือหยู! ซือหยูไม่ได้อ่อนแอไปกว่าไป่ลั่วเลย เขาจะเอาชนะได้ยังไง?


 


มังกรยาวสามนิ้วเหนือศีรษะลดความยาวไปหนึ่งในสาม ส่วนมังกรของซือหยูก็ยาวเป็นสิบหกนิ้ว เขาได้กลายเป็นคนที่มีมังกรยาวที่สุด ณ ขณะนี้


 


หลังจากทุกอย่างจบลง ซือหยูก็หันกลับไปที่เสาศิลาอย่างไม่ลังเล กังต้าเหล่ยกับฉินจิวหยางนั้นยืนเพื่อปกป้องซือหยู


 


“ขอบคุณพี่ชายสองคนที่ช่วยเหลือข้า”


 


ซือหยูขอบคุณด้วยรอยยิ้ม


 


กังต้าเหล่ยหัวเราะเสียงดัง


 


“จะพูดเช่นนั้นกับข้าอีกทำไมกัน? ยิ่งเจ้าได้มังกรยาวเท่าใด พวกเราก็จะยิ่งได้สถานที่ที่ดีขึ้นเท่านั้น”


 


ฉินจิวหยางพยักหน้าเบาๆและยิ้มอย่างใจดี ทั้งสองไม่ได้มีมังกรอยู่เลย ในตอนนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามชิงมังกรเท่าใดก็ยากอย่างมากที่จะได้อยู่ในสามลำดับแรก ดังนั้นแล้ว พวกเขาช่วยเหลือให้ซือหยูได้บรรลุเป้าหมายจะดีที่สุด


 


เหล่าจ้าวแห่งความมืดตัวแข็งทื่อ วพกเขาพยายามอย่างมากเพื่อที่จะได้มังกรจากหลงเฟยฉิง แต่ท้ายสุดก็เทียบกับราชาปีศาจหิมะทมิฬมไ่ได้


 


ยี่หยูหัวเราะ


 


“ท่านหิมะทมิฬ ท่านไม่คิดถึงไมตรีของพวกเราจากก่อนหน้านี้เลยจริงๆสินะ”


 


คำพูดของนางทำให้จ้าวแห่งความมืดอีกสี่คนแสดงสีหน้าประหลาด ตลอดมาจ้าวยี่หยูนั้นปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างสง่างามและเยือกเย็น พวกเขาไม่คิดว่านางจะมีด้านที่ดูเจ้าชู้เช่นนี้ นางในตอนนี้ราวกับควบคุมตัวเองไม่ได้ ใบหน้าใต้ไอวารีแดงระเรื่อ


 


ซือหยูยิ้ม


 


“ฮ่าๆๆ ถ้ากำลังพูดถึงมิตรภาพก่อนหน้านี้ เหตุใดจ้าวยี่หยูไม่ให้มังกรกับข้าและช่วยให้ข้าได้สำเร็จเป้าหมายเล่า?”


 


แต่ยี่หยูก็ไม่กล้าจะผลีผลามอีกครั้ง


 


“ฮ่าๆๆ ข้าปรารถนาจะประลองกับท่านหิมะทมิฬมานานแล้ว”


 


“ไม่ได้นะ! คนคนนั้นมีพลังเยอะเกินไป ถ้าเจ้าเผชิญหน้ากับเขาตามลำพังก็จะเสี่ยงเกินไป!”


 


ฉิงจูสีหน้าเปลี่ยนไป


 


แต่ยี่หยูก็พูดออกมา


 


“ถ้าข้าไม่สู้กับเขาตามลำพัง ความเสี่ยงก็จะมากยิ่งกว่าเดิมเสียอีก”


 


สายตาเหล่าจ้าวแห่งความมืดมองไปยังฉินจิวหยางกับกังต้าเหลายที่ยังไม่ได้ต่อสู้กับใครเลย พวกเขาตัวสั่น ถ้าพวกเขารุมซือหยู ทั้งสองคนก็คงจะไม่ยืนดูอยู่เฉยๆแน่


 


“ไม่เป็นปัญหา…”


 


ซือหยูพยักหน้าตกลงทันที


 


เขาก็เคยคิดจะประลองกับหญิงสาวคนนี้มานานแล้วเช่นกัน…

 

 

 


ตอนที่ 452

 

กังต้าเหล่ยกับฉินจิวหยางมองหน้ากันและมองดูไป่ลั่วที่กำลังยุ่งอยู่กับการรับมือหลงหวูชิง แววตาทั้งคู่เหมือนจะตกลงอะไรบางอย่างและรีบพุ่งไปหาไป่ลั่วมิใช่เพื่อจู่โจม แต่เพื่อร่วมมือกันจัดการหลงหวูชิง!


 


ถ้าหากหลงหวูชิงเอาชนะไปลั่วและได้มังกรไป นางจะเป็นคนที่มีมังกรสูงที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย!


 


หลงหวูชิงไม่ได้โกรธแค้น นางกลับหัวเราะออกมา


 


“พวกเจ้ามาถูกเวลาพอดี! ข้าจะได้สู้ด้วยพลังเต็มที่!”


 


หีบข้างหลังนางระเบิดแสงสีทอง!


 


ซือหยูกับยี่หยูที่อยู่อีกด้านนั้นต่อสู้กันอย่างที่สัญญากันไว้ ยี่หยูใช้วิชาด้วยความเร็วอย่างไม่น่าเชื่อแบบเดิมและใช้หลายวิชาในคราเดียว วิชาวารีสิบแบบที่แตกต่างกันหลอมรวมเป็นหนึ่งทำให้เกิดพลังที่ใกล้เคียงกับกึ่งเทพ


 


ซือหยูยิ้มเบาๆ


 


“ดี!”


 


ซือหยูพ่นนกเพลิงที่เกิดจากต้นกำเนิดอัคคี นกเพลิงนี้มีความร้อนอย่างมาก วิชาวารีนั้นสลายเป็นไอในไม่นาน


 


ยี่หยูนั้นไม่ได้ไม่พอใจ สิบวิชานี้ก็เพียงเพื่อยื้อเวลาให้นาง นางเตรียมวิชาไว้มากยิ่งกว่าเดิม


 


“หึหึ…”


 


ซือหยูหัวเราะเบาๆ


 


ยี่หยูสีหนา้เปลี่ยนไป น้ำพุพุ่งมาจากด้านล่างและผลักนางขึ้นฟ้าเพื่อหลบการโจมตี แต่กระนั้นก็มีพลังความเย็นแล่นผ่านในจุดที่นางอยู่ น้ำพุได้กลายเป็นน้ำแข็งในพริบตา


 


น้ำแข็งสายน้ำพุแตกสลาย ท้องนภาเต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็ง แต่ดูเหมือนว่ายี่หยูจะคาดเอาเอาไว้แล้ว นางบินหนีจากน้ำพุล่วงหน้าล


 


ฟึ่บ–


 


ในตอนนั้นก็มีกลุ่มเศษน้ำแข็งรวมตัวเป็นศรธนูยาวพุ่งเข้าใส่นาง ยี่หยูไม่ทันป้องกัน นางไม่มีทางเลือกนอกจากหยุดใช้วิชาที่กำลังจะปล่อยออกไป คลื่นวารีเปล่งประกายรอบตัว ศรน้ำแข็งที่พุ่งเข้าใส่ได้กลายเป็นวารีหยดสู่พื้น


 


นางปรากฏตัวอีกครั้งที่ร้อยศอกไกลออกไป นางหน้าซีดเล็ดน้อย นั่นเป็นวิชาที่ใช้ช่วยชีวิตนาง แต่มันก็ใช้พลังวิญญาณไปมหาศาล


 


ซือหยูดูเหมือนจะรู้ว่ายี่หยูหนีไปที่ใด เขายิงก้อนน้ำแข็งไปยังจุดนั้นก่อนที่นางจะปรากฏตัวเต็มที่เสียอีก นางเบิกตากว้าง คลื่นวารีเปล่งประกายรอบตัวอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้นางไปปรากฏตัวที่เสาศิลา


 


“ไม่ต้องประลองอีกแล้ว…”


 


ยี่หยูมองซือหยูด้วยความรู้สึกไม่เป็นธรรม


 


“ข้าไม่ใช่คู่แข่งของเจ้า”


 


นางเคยคิดว่านางอาจจะรับมือกับราชาปีศาจหิมะทมิฬได้เมื่อสำเร็จขั้นผู้คุมสวรรค์ แต่เขาแข็งแกร่งเกินไป เขาไม่เคยปล่อยให้นางมีเวลาได้ใช้พลัง…โดยใช้เพียงแค่วิชาธาตุน้ำแข็งเพียงอย่างเดียว


 


ยี่หยูย่นจมูก นางถอนหายใจเบาๆ


 


“เจ้าชนะ ฮื่ม!”


 


มังกรห้านิ้วเหนือศีรษะนางลดความยาวไปสองนิ้ว มังกรของซือหยูเพิ่มเป็นยาวสิบแปดนิ้ว


 


การต่อสู้จบลง ซือหยูมองจุดที่กังต้าเหล่ยกำลังต่อสู้ เขาตกใจมาก! หลงหวูชิงนั้นเหนือกว่าพลังของสามคนที่ร่วมมือกัน ทั้งสามคนทำได้แค่ป้องกันและไม่มีพลังพอจะตอบโต้! และยังมีบาดแผลจากทั้งสามคนทั่วร่างกาย พวกเขาใช้พลังไปมหาศาล ใบหน้าเริ่มซีด


 


ส่วนหลงหวูชิงที่กำลังต่อสู้กับกึ่งเทพทั้งสามคนนั้นกลับดูสบายๆ ผู้หญิงคนนี้แข็งแกร่งกว่าที่ทุกคนคิดเอาไว้อย่างมาก


 


ความเยือกเย็นบนใบหน้าหลงหวูชิงแทนที่ด้วยความเร่าร้อน


 


“ฆ่าๆๆ! อย่างนี้สิดี ข้าไม่ได้ต่อสู้แบบนี้มานานแล้ว”


 


ซือหยูพยายามจะซ่อนความตกใจ แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าราชาปีศาจ นางก็ใกล้เคียงกับระดับนั้นอย่างไม่น่าเชื่อ พลังของนางนั้นอยู่ในชั้นแนวหน้าของเหล่ากึ่งเทพ


 


เสียงประกาศดังขึ้น


 


“หมดเวลาครึ่งชั่วยาม การประลองจบลงแล้ว”


 


ทุกคนยุติการต่อสู้ ฉินจิวหยางจัดชุดที่ยุ่งเหยิงด้วยความขมขื่น แม้แต่กังต้าเหล่ยก็ผิดหวัง แต่เมื่อซือหยูมองกังต้าเหล่ยก็พบกับแสงเทพที่แน่นหนาอย่างมาก มันมิอาจมองทะลุได้ด้วยเนตรวิญญาณ นั่นชี้ให้เห็นว่าเขายังมีพลังที่ยังไม่ได้ใช้อีกมาก


 


ซือหยูสงสัยในรูปลักษณ์ที่แท้จริงของกังต้าเหล่ย เขาทั้งสองรู้จักกันมาพอสมควร แต่กังต้าเหล่ยก็ไม่เคยเผยร่างกายที่แท้จริงออกมาเลย


 


“เสาศิลาแรกได้มังกรสิบแปดนิ้ว”


 


นั่นคือกลุ่มของซือหยู


 


“เสาที่สองเสมอกัน ได้มังกรสิบแปดนิ้ว”


 


มังกรสองนิ้วนั้นมาจากจ้าวยี่หยู ดังนั้นแล้วผลออกมาจึงเสมอกัน


 


“เสาที่สามได้มังกรสิบห้านิ้ว”


 


หนึ่งนิ้วมาจากหลงเฟยฉิงแห่งผู้คุมสวรรค์


 


“เสาที่สี่ได้สิบสี่นิ้ว เสาที่ห้าได้ศูนย์”


 


ตำแหน่งที่เปลี่ยนแปลงมากที่สุดคือเสาศิลาของซือหยู เขาพุ่งทะยานจากลำดับสามมาเป็นที่หนึ่ง


 


“ผลของบุคคล ลำดับหนึ่งเป็ยของซือหยูที่ได้มังกรสิบแปดนิ้ว ที่สองคือไป่ลั่วที่ได้สิบห้านิ้ว ที่สามคือไป่ฉีที่ได้สิบสี่นิ้ว”


 


เสียงหยุดลงไป บอลแสงปรากฏขึ้นจากลายมังกรด้านล่างไปหาคนทั้งสาม ซือหยูเอื้อมมือออกไปคว้า บอลแสงนั้นกระจัดกระจายเผยให้เห็นของสองสิ่ง หนึ่งคือมีดทองคำทั้งเล่มที่ปล่อยแสงกดดันวิญญาณประหลาดออกมา ซือหยูประหลาดใจและยินดีอย่างมากที่ได้สมบัติเทพระดับกลางชั้นแนวหน้าเช่นนี้!


 


เขามองไป่ลั่วกับไป่ฉี ทั้งสองได้สมบัติเทพระดับกลางธรรมดาๆ แม้ว่าไป่ลั่วจะได้ที่สองและได้สมบัติเทพสองชิ้น แต่สมบัติเทพธรรมดาๆก็ไม่มีผลอะไรกับกึ่งเทพนัก


 


ไป่ลั่วสีหน้าดุร้ายเมื่อเห็นว่าซือหยูได้สมบัติเทพชั้นดี มันไม่ใช่เพราะซือหยูได้สมบัติเทพแต่เป็นเพราะสมบัติเทพนั้นยังไม่เคยถูกชำระล้าง! สมบัติเทพที่ยังไม่เคยมีเจ้าของนั้นหายากอย่างยิ่งยวดในทวีปเฉินหลง โชคชะตาระดับสุดยอดเท่านั้นที่จะทำให้ได้มันมาครอง เพราะแม้แต่ไป่ลั่ว เขาก็ยังมีเข็มเหล็กที่มีเจ้าของอื่นมาก่อนหน้า


 


ซือหยูดูดีใจ มีดทองคำนี้คือสมบัติเทพชิ้นแรกที่เขาเรียกได้อย่างเต็มปากว่าเป็นของตัวเอง สมบัติเทพชิ้นอื่นนั้นล้วนถูกใช้งานโดยคนอื่นหรือกำลังถูกเขาชำระให้เป็นของตัวเองทุกชิ้น


 


ซือหยูหลอมแก่นโลหิตของตัวเองเข้าไปในมีดทองทันที มีดทองได้สร้างสายสัมพันธ์กับเขา


 


พลังประหลาดอันเยือกเย็นเข้าสู่สมองของเขา


 


มีดเกล็ดทองคำ สร้างจากแร่เกล็ดทองคำและใช้ตัดเหล็กได้ราวกับโคลน ขึ้นชื่อด้านความคม หลังจากชำระมีดเล่มนี้แล้ว มันจะตัดได้ทุกสิ่งที่ระดับต่ำกว่าสมบัติวิญญาณ


 


ซือหยูคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาทดสอบมีดกับชุดเกราะทมิฬที่มี เขาชี้ปลายมีดลงบนชุดเกราะเบาๆ ซือหยูตกตะลึง เขาพบรอยข่วนเล็กๆที่ชุดเกราะ ชุดเกราะที่เทียบได้กับกึ่งสมบัติวิญญาณถูกตัดได้อย่างไม่ยากเย็น!


 


สมกับเป็นมีดที่ขึ้นชื่อในเรื่องความคมและตัดทุกอย่างที่ระดับต่ำกว่าสมบัติวิญญาณได้ แต่มีดเกล็ดทองคำนี้ก็ได้มาโดยบังเอิญ ซือหยูตื่นเต้นกับของต่อไปเสียมากกว่า!


 


“วารีบุพผาสวรรค์!”


 


วารีที่ลบล้างร่องรอยของสมบัติเทพในระดับสมบัติวิญญาณลงมาได้ วารีบุพผาสวรรค์นั้นเก็บอยู่ในขวดที่หนาเท่าแขนคน มันมากพอที่จะชำระล้างสมบัติเทพหนึ่งชิ้น นั่นทำให้ซือหยูตื่นเต้นมาก


 


ชายแก่ขี้เมาเหลือบมอง เขาเห็นขวดหยกในมือซือหยูและสีหน้าหม่นหมอง


 


“นั่นเป็นขวดหยกที่ทำจากหยกบุพผาสวรรค์งั้นรึ?”


 


ชายแก่อุทานด้วยความตกใจ


 


“ค่อยสมเหตุสมผลขึ้นมาหน่อย! คงน่าขันนักถ้าผู้ชนะจะได้แค่วารีบุพผาสวรรค์ ของรางวัลที่แท้จริงก็คือตัวขวดบุพผาสวรรค์นั่นเอง เจ้าหนูนั่นโชคดีจริงๆ ถ้ามีคนรู้ว่าขวดบุพผาสวรรค์ถูกปล่อยออกมาในครั้งนี้ หลงหวูชิงก็คงจะไม่ต่อสู้อย่างสบายๆเช่นนั้นแน่ นางคงจะใช้พลังทั้งหมดเพื่อให้ได้ลำดับหนึ่ง! แล้วไอ้ภูตินั่นก็คงจะไม่แค่มองดูอยู่แน่”


 


ไป่ฉีมองขวดหยดในมือซือหยู แววตาแดงก่ำดูดุร้าย


 


“ขวดบุพผาสวรรค์! นั่นคือรางวัลจริงๆรึ?”


 


ใบหน้าเขาเศร้าหมอง


 


“ถ้าข้ารู้ว่านั่นคือรางวัลจริงๆ ข้าก็คงจะลงมือไปนานแล้ว!”


 


เขาิย้มอย่างเยือกเย็น


 


“แต่ก็ช่างเถอะ ดูเหมือนเจ้าหนูนั่นจะไม่รู้ว่าขวดบุพผาสวรรค์ทำอะไรได้ ข้าค่อยชิงมาเป็นของตัวเองทีหลังก็ไม่สายนัก”


 


“พวกเจ้ามีเวลาครึ่งวันให้ฟื้นฟูพลัง”


 


กระโจมส่งเสียงประกาศ


 


“ในครึ่งวัน พวกเจ้าจะถูกส่งไปที่กระโจมเทพสวรรค์ชั้นหกตามลำดับเสาศิลาของพวกเจ้า”


 


ฟึ่บ ฟึ่บ–


 


ลำแสงพุ่งลงมาปกคลุมทุกคน แสงนี้มีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งอย่างมากและแยกพวกเขาออกจากโลกภายนอก เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีการรบกวนใดระหว่างที่ฟื้นฟูพลัง


 


ซือหยูไม่ถามอะไรอีก เขาใช้เวลานี้ฟื้นฟูพลังกายและพลังวิญญาณ จากนั้นหยิบขวดบุพผาสวรรค์ออกมา เขามีสมบัติเทพมากมายที่ต้องชำระล้าง อย่างแรกคือชุดเกราะทมิฬ เขากำลังจะเข้าสู่กระโจมเทพสวรรค์ที่อันตรายเป็นอย่างมาก การรับรองว่าเขาจะมีชีวิตรอดกลับมานั้นคือสิ่งสำคัญสูงสุด


 


ซือหยูรินหยดบุพผาสวรรค์หนึ่งหยดลงไป ชุดเกราะทมิฬแตกออก แก่นโลหิตสีดำไหลออกมา


 


ซือหยูตกใจ


 


“โลหิตทมิฬ…หรือว่านี่จะเป็นชุดเกราะของราชาปีศาจ?”


 


เขาอาจจะกำลังใช้ชุดเกราะของราชาปีศาจอยู่ก็ได้ ซือหยูเริ่มระวังตัว เขาหยิบเอาขวดหยกเล็กๆออกมาเก็บแก่นโลหิตของราชาปีศาจ


 


ราชาปีศาจที่กำลังฟื้นพลังอยู่อีกด้านนั้นลืมตาขึ้นมา แววตานั้นเคียดแค้น


 


“ลักลั่นนัก!”


 


“ไอเด็กบ้า! บังอาจชำระสมบัติของข้า”


 


ซือหยูคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจชำระมันต่อไป ดูเหมือนจะยากที่วารีบุพผาสวรรค์หยดเดียวจะชำระได้ทั้งหมด เขาใช้อีกหยดเพื่อขับโลหิตราชาปีศาจออกมาและเก็บเอาไว้ เขาทำเช่นนี้ห้าครั้งและใช้วารีบุพผาสวรรค์ไปจำนวนมาก แต่ชุดเกราะก็ถูกชำระล้างจนเสร้๗ ซือหยูเก็บแก่นโลหิตของราชาปีศาจไว้เต็มขวด!


 


ซือหยูมองดูวารีบุพผาสวรรค์ที่ใกล้จะหมดด้วยความเศร้าใจอยู่บ้าง เขารีบใช้โลหิตของตัวเองชำระชุดเกราะและก็มีข้อความปรากฏในสมอง


 


เกราะราชาศิลานิรันดร์ สมบัติวิญญาณระดับสูง สร้างจากกระดูกจ้าวสวรรค์ มีความทนทานอย่างมาก ป้องกันการโจมตีที่ระดับต่ำกว่าจ้าวเทวะได้ รวมถึงการโจมตีจากขอบเขตภูติ


 


ซือหยูใจเต้นแรง จ้าวเทวะรึ? นั่นมันขอบเขตอะไรกัน? ยังมีขอบเขตที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าขอบเขตภูติอยู่อีกรึ?


 


คนที่สำเร็จขอบเขตภูติก็เป็นดั่งพระเจ้าในทวีปเฉินหลงอยู่แล้ว แล้วระดับจ้าวเทวะจะไปถึงขั้นไหนกัน? แล้วระดับของเกราะราชาศิลานิรันดร์ยังเหนือกว่าที่ซือหยูคาดคิดเอาไว้มาก มันไม่ใช่เป็นแค่สมบัติเทพ แต่มันคือสมบัติวิญญาณระดับสูง!

 

 

 


ตอนที่ 453

 

ซือหยูเคยสัมผัสถึงความแตกต่างระหว่างสมบัติเทพระดับต่ำ ระดับกลาง และระดับสูงมาแล้ว ความต่างในแต่ละระดับนั้นนับว่าน่าตกใจเป็นอย่างมาก


 


ระดับของเกาะราชาศิลานิรันดร์นั้นสูงและน่ากลัวอย่างมาก ถ้ามันอยู่ในจิวโจว มันก็จะต้องไม่ใช่ของธรรมดาๆอย่างแน่นอน


 


ซือหยูตื่นเต้น เขาได้รับสมบัติล้ำค่ามาจริงๆ


 


เขารู้สึกสบายใจขึ้นเมื่อคิดถึงตอนที่ใช้วารีบุพผาสวรรค์ไปมากมาย แต่สมบัติวิญญาณชิ้นนี้เคยถูกทำลายมาก่อน ดังนั้นมันจึงตกไปอยู่ในระดับกึ่งสมบัติวิญญาณ


 


เป็นไปไม่ได้ที่ซือหยูในตอนนี้จะซ่อมมันแม้ว่าเขาจะอยาก แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น มันก็คือสมบัติหายากสำหรับเขา!


 


หลังจากชำระเกราะ ซือหยูใช้จิตควบคุมแก่นของเกราะที่มีแก้วพลังชีวิต มันคือแก้วที่สร้างจากพลังชีวิตอันเข้มข้นและเป็นสิ่งสำคัญมากของจิวโจว


 


ส่วนพลังป้องกันของเกาะราชาศิลานิรันดร์ก็น่าตกใจ ถ้าซือหยูปล่อยพลังชีวิตในแก้วออกมา ชุดเกราะก็จะยิ่งป้องกันได้มากขึ้น


 


หลังจากที่ชำระเกราะแล้ว เขาสามารถปล่อยพลังชีวิตออกมาได้ตามใจนึก ไม่เหมือนกับในอดีตที่พลังชีวิตจะปล่อยออกมาหลังจากที่เขาถูกโจมตี


 


ซือหยูเก็บความตื่นเต้นเอาไว้พร้อมกับชุดเกราะ ตอนนี้เขาต้องคิดว่าจะชำระโลหิตของชายแก่ขี้เมาที่อยู่ในกระบี่สายฟ้าหรือไม่


 


แต่ความคิดก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว การกระทำเช่นนั้นจะเป็นการดูหมิ่นชายแก่ เพราะข้อตกลงยังไม่สมบูรณ์ การเอาโลหิตของเขาออกไปก่อนนั้นนับว่าผลีผลาม


 


ซือหยูตาลุกวาว เขาหยิบเอาแหวนทองปราบมารออกมา! ซือหยูหยดวารีบุพผาสวรรค์ลงไป


 


เมื่อวารีบุพผาสวรรค์ซึมเข้าไปก็มีโลหิตทองคำที่มีพลังอรหันต์เข้มข้นซึมออกมา แหวนทองปราบมารนั้นใช้วารีบุพผาสวรรค์เพียงหยดเดียวก็เพียงพอ!


 


“นี่คือโลหิตของร่างวิญญาณคนนั้นรึ?”


 


ซือหยูเดาะลิ้นด้วยความสงสัย เขาเก็บโลหิตทองคำเอาไว้


 


“แหวนทองงปราบมาร กึ่งสมบัติวิญญาณ มีผลกับภูติผีในขอบเขตภูติ พลังจะขึ้นอยู่กับฐานพลังของผู้ใช้”


 


ถ้าเป็นกึ่งสมบัติวิญญาณ…มันก็อยู่ในระดับเดียวกับกระบี่สายฟ้า! ซือหยูได้ของที่ดียิ่งกว่าที่คาดคิด! ถ้ามีแหวนนี้ เขาก็ปลอดภัยอย่างมากหากจะต้องเจอกับพวกภูติผี


 


เขาเหลือบมองวารีบุพผาสวรรค์อีกครั้ง มันเหลือเพียงแค่สองหยด เขานั่งคิดและหยิบเอาธนูกับชุดเข็มออกมา


 


ผลของวารีบุพผาสวรรค์นั้นเหนือกว่าหยดหมื่นพลถึงสิบเท่า แค่หยดเดียวก็ชำระกึ่งสมบัติวิญญาณได้หมดจด!


 


ดังนั้นถ้าเขาใช้ชำระธนูที่ชำระมาแล้วแปดส่วน มันก็จะสูญเปล่า และสองหยดที่เหลือนั้นก็เพียงพอกับการชำระชุดเข็มทั้งเก้าพอดี ดังนั้นถ้าเขาใช้หยดเดียวชำระธนูก็จะเหลือมีเข็มเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่ได้รับการชำระ


 


ซือหยูครุ่นคิด ตามที่เขารู้ สมมบัติเทพหนึ่งชุดที่สมบูรณ์จะต้องชำระทั้งชุดเพื่อให้ปล่อยพลังเต็มที่ออกมา ถ้าเขาชำระเพียงส่วนเดียว พลังของมันก็จะลดลงไปมาก


 


ซือหยูคิดให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง เขาไม่มีทางเลือกนอกจากเก็บธนูเอาไว้และชำระเข็มทั้งเก้า เวลาผ่านไปนาน การชำระเสร็จสิ้น เขาชำระเข็มเหล็กทั้งเก้าเล่ม


 


“เข็มเก้าหยินหยาง…เกิดจากการสร้างกระบี่เก้าตะวัน หากใช้กับวิชาลับของเก้าหยินหยางจะปล่อยพลังของสมบัติเทพระดับสูงที่ใกล้เคียงกับกึ่งสมบัติวิญญาณออกมาได้! ถ้าผู้ใช้ได้วัตถุดิบเพื่อเพิ่มระดับของเข็มเก้าหยินหยู เข็มเก้าหยินหยางจะขึ้นไปอยู่ในระดับกึ่งสมบัติวิญญาณ และยังมีโอกาสที่จะไปอยู่ในระดับสมบัติวิญญาณ”


 


ซือหยูหัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อได้ยินดังนั้น! มันมีพลังสมบัติเทพระดับสูงด้วยรึ? และยังมีวิชาลับที่ไม่มีใครล่วงรู้ที่ซ่อนอยู่ในสมบัติเทพนี้อีก?!


 


ซือหยูตระหนักได้ว่าทางเลือกของเขานั้นฉลาดอย่างมาก เขารีบใช้เวลาที่มีบ่มเพาะวิชาลับเก้าหยินหยางทันที


 


วิชาลับนี้ต้องใช้ความเข้าใจในจิตเพื่อสัมผัสตัวเอง หลักการบ่มเพาะวิชาลับให้สำเร็จคือการแบ่งส่วนพลังวิญญาณให้กับเข็มทั้งเก้าเล่มเพื่อให้แต่ละเล่มมีพลังเท่ากัน


 


วิชาลับนั้นพูดถึงจุดหลักเป็นพิเศษ ….ยิ่งผู้ใช้วิชามีวิญญาณแข็งแกร่งเท่าใด ผลในการบ่มเพาะก็จะยิ่งดีขึ้น เหตุก็เพราะคนที่มีวิญญาณแข็งแกร่งจะมีสัมผัสในตัวเองที่ดีกว่าคนอื่น นั่นทำให้การแบ่งพลังวิญญาณดีกว่าคนอื่น


 


หลังจากที่บ่มเพาะโอรสสวรรค์จ้องนภามาแล้ว วิญญาณของซือหยูนั้นเหนือกว่าคนที่มีฐานพลังเท่ากัน และเมื่อเทียบกับกึ่งเทพ เขาก็ไม่ได้ด้อยกว่าแม้แต่น้อย


 


ถ้าไม่ใช่เพราะโอรสสวรรค์จ้องนภายังคงติดอยู่ที่ระดับหนึ่งขั้นสูงแม้จะผ่านมานาน ซือหยูก็คงจะสำเร็จขอบเขตภูติไปแล้ว ด้วยวิญญาณอันแข็งแกร่งแบบนี้ การบ่มเพาะวิชาลับของเข็มเก้าหยินหยางจึงไม่ต้องลงแรงมากนัก ไม่ถึงสามชั่วยามเขาก็บ่มเพาะได้จนจบสิ้น


 


“ขึ้นมา!”


 


ซือหยูตะโกน เข็มทั้งเก้าพุ่งตามกันมาอยู่เหนือศีรษะของเขา


 


“เร็วขึ้นอีก!”


 


เข็มทั้งหมดร่ายรำบนท้องนภาไปทั่วทิศทางอย่างไร้ช่องโหว่


 


หากไม่ระวังตัว พวกกึ่งเทพธรรมดาคงจะถูกเข็มทั้งเก้านี่ทะลวงร่างและตายทันทีอย่างแน่นอน นี่คือสมบัติเทพที่หายากอย่างแท้จริง


 


ซือหยูเก็บเข็มทั้งหมดเอาไว้ด้วยความยินดี วารีบุพผาสวรรค์นั้นช่วยเหลือเขาอย่างมากในการทำให้เขามีพลังจากสมบัติเทพที่เพิ่มขึ้นอีก


 


ปั้ง ปั้ง–


 


ลำแดงสั้นเบาๆและเปิดออก จากนั้นก็มีเสียงดังสะท้อนที่ทำให้ทุกคนเป็นกังวล


 


“การพาตัวเข้าไปยังกระโจมเทพสวรรค์จะเริ่มขึ้นแล้ว!”


 


นี่คือกระโจมเทพสวรรค์ที่จะปรากฏในทวีปเฉินหลงในทุกหมื่นปี! นี่คือโอกาสเดียวของคนทวีปเฉินหลง! โอกาสเดียวที่จะได้เข้าสู่ขอบเขตภูติมาอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว


 


เสาศิลาของซือหยูและของเหล่าจ้าวแห่งความมืดเปล่งแสงสีเงินอันงดงามพร้อมกัน มันโอบล้อมผู้คนบนเสา จากนั้นมิติก็สั่นสะเทือน เสาศิลายิงลำแสงออกทะลุผนัง


 


บนผนังนั้นเต็มไปด้วยเหล่าดาราและกลุ่มดาว แสงสีเงินได้ทำให้มันดูเหมือนกับทางชางเผือกอันตระการตา


 


เมื่อแสงสีเงินส่องทะลุก็เกิดการเปลี่ยนแปลงรอบแสงสีเงิน ซือหยูกับกลุ่มของเขาพร้อมด้วยเสาศิลาหายตัวไป


 


จากนั้นครึ่งชั่วยามก็ถึงคราวของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ และต่อมาจึงเป็นไป่ฉี


 


ชายแก่ขี้เมาเหลือบมองไป่ฉีด้วยความกังวลในแววตา สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปมาอยู่นาน ท้ายสุดเขาก็ทิ้งความคิด


 


“ช่างเถอะ ดินแดนในกระโจมเทพสวรรค์กว้างใหญ่ มีโอกาสสูงที่มันจะได้เจอกับคนจิวโจวมากกว่าจะเจอกับพวกต้าเหล่ย”


 


“พวกเจ้าเป็นกลุ่มสุดท้าย พลังมีจำกัด อยู่ที่ชั้นหกและอย่าไปให้ไกลนัก”


 


ชายแก่พูดต่อเพื่อเตือนเหล่ายอดฝีมือจากสี่ตระกูล


 


กลุ่มสี่ตระกูลพยักหน้าอย่างรีบร้อน พวกเขามีทั้งหมดสี่คน แต่ละคนล้วนเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูล นอกจากฉีเจี้ยก็มีผู้ชายอีกสองคน และหญิงสาวที่ยังไม่เคยต่อสู้


 


“หมิงเฟย จับข้าแน่นๆ”


 


ฉีเจี้ยพูดและมองหญิงสาวข้างๆเขา นางคือสตรีจากตระกูลหมิง รูปลักษณ์ของนางงดงามเป็นอย่างมาก ระหว่างฉีเจี้ยกับนางนั้นมีการหมั้นหมายที่คนนอกยังไม่ได้รับรู้


 


หญิงสาวที่ชื่อหมิงเฟยพยักหน้าอย่างเขินอาย นางจับแขนเสื้อของฉีเจี้ยและเอนกายกับแขนของเขา


 


ในตอนนั้นเอง เสาศิลาตอบสนองกับแสงสีเงิน ชายแก่ขี้เมามองทั้งสี่คนเป็นครั้งสุดท้าย แต่จู่ๆเขาก็จ้องไปยังหมิงเฟยและเบิกตากว้าง


 


ใต้แสงสีเงิน ผิวกายของหมิงเฟยเผยชั้นแสงสีดำออกมา ในยามปกตินั้นนางไม่ได้ดูแปลกไป แต่นั่นเป็นเพราะแสงสีเงินและสถานการณ์พิเศษซึ่งทำให้ชั้นพลังสีดำที่น่าสงสัยปรากฏขึ้นมา!


 


“ภูติสวรรค์!”


 


ชายแก่ชักสีหน้า เขาตบโต๊ะกระโดดขึ้นด้วยความโกรธ เขาพุ่งไปหมื่นศอกและพยายามจะคว้าตัวหมิงเฟย


 


ความเขินอายของหมิงเฟยหายไปทันที แทนที่ด้วยใบหน้าเย้ยหยัน


 


“ไอ้แก่ รู้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว!”


 


ฟึ่บ ฟึ่บ–


 


แสงสีเงินกั้นขวางชายแก่ ชายแก่เข้าไปไม่ได้


 


“ก็ได้! ข้าประมาทเอง ถึงเจ้าจะปะปนตัวเข้ากับสี่ตระกูลได้ แต่ข้าก็ไม่รู้สึกถึงเจ้าเลย!”


 


ชายแก่โทษตัวเอง แววตาเขาเย็นชา


 


ฟึ่บ–


 


แสงสีดำโอบล้อมร่างหมิงเฟย พลังภูติฉาบใบหน้า ใบหน้าเด็กสาวของจางตี๋เก้อเผยออกมาช้าๆ


 


“หึหึ เจ้าคงไม่รู้ล่ะสิ ด้วยวิชาลับของภูติสวรรค์ ข้าได้สิงนังผู้หญิงคนนี้! เพื่อไม่ให้เจ้ารู้ตัว ข้าฝืนตัวเองไม่ให้ฆ่าไอ้เด็กที่ชื่อราชาปีศาจหิมะทมิฬนั่นถึงจะมีโอกาสดีให้ข้าลงมือก็เถอะ”


 


“แต่มันก็ไม่ห่างไกลความตายนักหรอก ถ้าข้าได้เจอกับมันในกระโจมเทพสวรรค์ ข้าจะฉีกมันให้เป็นชิ้นๆ!”


 


จากนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ตอนที่นางถูกซือหยูที่อยู่ในขอบเขตอำมฤตหลอก นางพูดจบและถูกส่งขึ้นไปเบื้องบน


 


ชายแก่สีหน้าเคร่งเครียด เขาเป็นกังวลอย่างมาก


 


“ภูติลึกลับก็อันตรายพออยู่แล้ว แล้วยังมีภูติสวรรค์อีก พวกต้าเหล่ยอยู่ในอันตราย”


 


ชายแก่ถอนหายใจยาวหลังจากคิดอย่างหนัก


 


“หวังว่าพวกนั้นจะเพิ่มพลังตัวเองได้เร็ว กระโจมเทพสวรรค์มีสัมผัสที่แข็งแกร่งอย่างมาก ถ้าฐานพลังเผยไปถึงขอบเขตภูติก็จะถูกย้ายตัวออกมา ต่อให้ภูติสวรรค์กดฐานพลังถึงกึ่งเทพ พวกต้าเหล่ยก็อาจจะหนีออกมาได้”


 


หลงจื้อชิงสีหน้าเคร่งเครียด


 


“นั่นมันภูติสวรรค์! แย่แล้ว พวกเขาอาจจะกำลังตกอยู่ในอันตราย”


 


ไม่นานเหล่าคนที่ยังเหลืออยู่ในที่ประลองก็กังวลอย่างมาก ชายแก่มองรอบๆ


 


“พวกเรารอที่นี่เถอะ พวกนั้นจะกลับมาในเวลาสองปี”


 


“สองปี…ถ้าพวกผู้อาวุโสไม่เคยมาที่กระโจมเทพสวรรค์มาก่อนก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเวลาในกระโจมเทพสวรรค์จะช้ากว่าในทวีปเฉินหลงไปสิบเท่า!”


 


หลงจื้อชิงพูดด้วยความตื่นตา


 


จากคำบอกเล่าของคนที่เคยมากระโจมเทพสวรรค์ พวกเขาอยู่ภายในนั้นสองเดือน แต่เมื่อกลับมา พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าเวลาในทวีปเฉินหลงนั้นผ่านไปแล้วสองปี!


 


ชายแก่หัวเราะเสียงดัง


 


“นั่นมันประหลาดรึ? นั่นก็แค่ห้วงเวลาในกระโจมเทพสวรรค์ ห้วงเวลาในโลกจิวโจวน่ะช้ากว่าทวีปเฉินหลงเสียเป็นร้อยเท่า!”


 


“แม้เฉินหลงจะผ่านไปหมื่นปี แต่มันก็แค่ร้อยปีในจิวโจว”


 


“อะไรนะ? เวลาที่จิวโจวช้ากว่าที่นี่ร้อยเท่างั้นรึ?”


 


ทุกคนเดาะลิ้น


 


ชายแก่ชี้ไปที่รูปปั้นของยอดฝีมือในประวัติศาสตร์


 


“ดูรูปปั้นพวกนั้นสิ กระโจมเทพสวรรค์จะปรากฏออกมาในเวลาแค่ร้อยปี แต่ความจริงคือคนในจิวโจวจะได้เจอกับกระโจมเทพสวรรค์ทุกปี ผ่านไปร้อยปีก็มีถึงร้อยรูปปั้น ส่วนหมื่นปีก่อน คนในทวีปเฉินหลงของพวกเราได้มาที่นี่ด้วยความบังเอิญเป็นครั้งแรก แต่ในสายตาของคนจิวโจวก็ผ่านไปแค่ร้อยปี”


 


เขาอธิบายต่อ


 


“ด้วยนี่ก็ไม่ยากที่จะบอกถึงเรื่องเวลาระหว่างทวีปเฉินหลงกับจิวโจว เวลาที่ต่างกันร้อยเท่าไม่ใช่สิ่งที่พวกเราเข้าใจได้หรอก”


 


ทุกคนที่ได้ยินสงสัยอย่างมากถึงโลกในจิวโจว นั่นจะเป็นโลกแบบใดกัน?


 


กลับที่ซือหยู เขารู้สึกราวกับฟ้าดินที่หมุนไปมา จากนั้นพลังวิญญาณอันหนาแน่นก็พัดเข้าใส่เขาตรงๆ ปริมาณพลังวิญญาณที่นี่นั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าทวีปเฉินหลงนับสิบเท่า!

 

 

 


ตอนที่ 454

 

เขาตกใจเมื่อลืมตามองสิ่งตรงหน้า เขาอยู่บนยอดเขา มุมมองที่มองเห็นนั้นกว้างใหญ่ มีสมุนไพรวิญญาณนับไม่ถ้วนเติบโตบนเขาลูกนี้ เขาไม่รู้จักมันทั้งหมด ยังมีแม้แต่สมุนไพรที่ไม่เคยได้พบเจอในทวีปเฉินหลง!


 


“นั่นมันใบไม้พันมีด!”


 


ฉินยู่ชางอุทานออกมา เขาหายใจแรง เขาพุ่งไปยังตีนเขาและคว้าเอาใบไม้สีเขียวส้มออกมา


 


“อ๊ะ! ตรงนี้ก็มีอีก!”


 


ฉินยู่ชางร้องด้วยความตกใจเมื่อพบว่ามีใบไม้พันมีดเติบโตทั่วทั้งเขา!


 


“ตรงนั้นก็มีด้วย!”


 


ฉินจิวหยางอ้าปากค้าง


 


“ไม่อยากจะเชื่อเลย! ใบไม้พันมีดคือสมุนไพรหายากที่เอาไว้ใช้ปรุงโอสถระดับสูง ใบเดียวก็ใช้แลกกับตำราระดับอำมฤตทั้งเล่มได้แล้ว! ที่นี่กลับมีมันเต็มทุ่งเช่นนี้!”


 


แม้เขาจะไม่ลงไปชิงเหล่าใบไม้เพราะสถานะของตน ความตกใจนั้นก็เผยออกมาจนได้


 


ซือหยูมองไปยังบ่อน้ำที่ไม่ไกลนัก เขาร้องเสียงหลง


 


“ต้นเทพมังกร!”


 


ก่อนหน้านั้นที่วิหารเซี่ยนหยุน ซือหยูต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อต่อสู้กับสัตว์อสูรให้ได้มาซึ่งต้นเทพมังกร แต่ต้นนั้นกลับเติบโตอยู่ตรงหน้าเขา และยังมีอยู่มากมายเกินกว่าสิบต้น! ทรัพยากรมากมายของที่นี่ทำให้ซือหยูทึ่ง


 


กังต้าเหล่ยประหลาดใจอย่างออกนอกหน้า เขาบินไปคว้าสมุนไพรวิญญาณที่พบเจอได้ยากในทวีปเฉินหลง โลกตรงหน้าพวกเขานั้นกลับตาลปัตรเหนือความเข้าใจ สมุนไพรวิญญาณเติบโตจนทั่วและมีค่าเท่าทุกสิ่งที่ทวีปเฉินหลงจะมีได้


 


“พวกบ้านนอกนั่นมาจากที่ใดกันถึงได้ตกใจกับพวกวัชพืชนั่น?”


 


เสียงเย็นชาดังจากท้องนภา


 


ทั้งสีคนรีบมองด้านบน พวกเขาพบยอดฝีมือสามคนลอยอยู่กลางอากาศ ทั้งสามคนมองดูพวกเขาด้วยแววตาแปลกๆ พลังของทั้งสามล้วนอยู่ในระดับกึ่งเทพ!


 


ชายที่พูดสวมผ้าคลุมสีอำพัน เอาอายุราวสิบเจ็ดปี สีหน้าของเขาดูฉุนเฉียวและเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่กึ่งเทพธรรมดา ส่วนอีกสองคนนั้นอายุราวสิบแปดปี เป็นชายหนุ่มและหญิงสาว


 


“พวกเจ้ามาจากที่ใดกัน?”


 


หญิงสาวพูดออกมา


 


“ข้าจำไม่ได้ว่าเห็นพวกเจ้าในการประลองลับสวรรค์!”


 


นางสวมชุดอันยิ่งใหญ่ รูปลักษณ์ของนางน่าจับตา นางเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย


 


ทั้งสี่คนใจเต้นแรง นี่ไม่ใช่เรื่องดีเลย พวกเขาเจอคนจากจิวโจวทั้งแต่ที่เข้ามา ทั้งหมดไม่ได้มีเพียงแค่ฐานพลัง แต่อายุคนเหล่านั้นก็ยังอ่อนเยาว์อย่างไม่น่าเชื่อ! ซือหยูอายุสิบเจ็ด แต่คนในกลุ่มเขาก็ล้วนอายุเกินกว่ายี่สิบปี ฉินจิวหยางนั้นแก่ที่สุด เขากำลังจะอายุยี่สิบห้าปี แต่เขาก็เพิ่งผ่านเงื่อนไขในการเข้าสู่กระโจมเทพสวรรค์


 


เมื่อเห็นทั้งสี่คนนิ่งเงียบ ชายหนุ่มชุดสีอำพันก็ตะคอกออกมา


 


“พวกเจ้าหูหนวกเรอะ? พูดมา!”


 


ชายหนุ่มอายุสิบแปดในชุดขาวดูสงสัย แต่ก็มองไปยังที่ที่ไกลออกไป


 


“ศิษย์น้องหยางเจี้ยน หุบเขาปีศาจกำลังจะเปิดแล้ว อย่าเสียเวลาเลย ถ้าพวกเราช้า ศิษย์พี่ยู่จางจะตำหนิเอาได้ ส่วนคนพวกนี้ถึงจะอายุมากก็เพิ่งจะได้ถึงระดับกึ่งเทพ คนอ่อนแอพวกนั้นไม่ใช่คนจากดินแดนของพวกเรา พวกนั้นคงมาจากที่ใดสักที่ ไม่ต้องไปยุ่งเสียจะดีกว่า”


 


ชายหนุ่มที่ชื่อหยางเจี้ยนถอนหายใจแรง เขามองผ่านกลุ่มซือหยู


 


“อย่าทำเรื่องไม่เป็นเรื่องก็แล้วกัน”


 


ทั้งสามรีบเดินทางออกไปยังขอบนภา


 


ซือหยูกับคนที่เหลือถอนหายใจด้วยความโล่งอก


 


“พี่จิวหยาง”


 


กังต้าเหล่ยมองทั้งสามที่บินออกไป


 


“ถ้าเราต้องต่อสู้ พวกเราจะมีโอกาสชนะหรือไม่?”


 


ฉินชิงหยางขมวดคิ้ว


 


“ถ้าข้าต้องสู้กับอีกสองคนนั่นก็มีเสียหกส่วนที่จะชนะ แต่ถ้ากับคนในชุดอำพัน ข้าคงแพ้เสียเก้าส่วน แต่ถ้าหากเขาต้องสู้กับน้องตาเหล่ยกับน้องหิมะทมิฬ เขาก็ต้องต่อสู้ได้ยากลำบากแน่”


 


เขาจะต้องมองซือหยูไว้สูงมากแน่หากพูดออกมาเช่นนี้


 


“พี่ฉินจะประเมินข้าสูงไปแล้ว”


 


ซือหยูประสานมือ จากนั้นจึงถามด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจ


 


“พี่ต้าเหล่ย ถามเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไรกันแน่? ท่านคิดจะไปหุบเขาปีศาจที่พวกนั้นจะไปงั้นรึ?”


 


เขาสัญญากับชายแก่ไว้แล้วว่าเมื่อเข้ามายังกระโจมเทพสวรรค์ เขาจะต้องหาบางสิ่งบางอย่างที่ชายแก่ไม่บอกแน่ชัดว่าคืออะไร


 


กังต้าเหล่ยยักไหล่


 


“ถ้าง่ายอย่างนั้นก็คงจะดี แต่ที่เราต้องไปคือที่ชั้นเจ็ด หากจะไปชั้นเจ็ดก็ต้องมีเวทย์ยักย้าย แต่เวทย์ยักย้ายที่ใกล้ที่สุดอยู่ในหุบเขาปีศาจ ถ้าพวกเราจะไปอีกทางก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือน”


 


หรือพูดอีกอย่างก็คือ…พวกเขาจำเป็นต้องไปที่หุบเขาปีศาจ


 


“เราจะเข้าไปที่หุบเขาหลังจากที่พวกนั้นออกมาสินะ?”


 


ฉินจิวหยางถาม


 


“ข้าไม่ได้กลัวการต่อสู้ แต่ข้าหวังจะเลี่ยงการต่อสู้ที่ไม่จำเป็นเพื่อเลี่ยงการบาดเจ็บ เราจะตกอยู่ในอันตรายอย่างมากถ้าต้องเจอกับศัตรูอื่น”


 


กังต้าเหล่ยส่าบหน้า


 


“นั่นก็ไม่ได้เช่นกัน เวทย์ยักย้ายจะใช้เวลาครึ่งเดือนในการฟื้นพลังหลังจากถูกใช้งาน เราต้องต่อสู้เพื่อชิงเวทย์ยักย้ายเท่านั้น”


 


ทุกคนเงียบกริบ แต่ละคนครุ่นคิด


 


“จะต้องคิดอะไรอีกเล่า?”


 


ซือหยูแววตาเป็นประกาย


 


“อย่างไรก็ให้เวทย์ยักย้ายกับพวกนั้นไม่ได้อยู่แล้ว!”


 


ทรัพยากรที่นี่นั้นมีมากมายและให้ผลอย่างยอดเยี่ยมกับการบ่มเพาะพลัง เขาต้องทำตามสัญญาโดยเร็วและตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะพลัง ถ้าเสียเวลามากเกินไป พวกเขาก็จะสูญเสียมากกว่าได้รับ


 


ฉินจิวหยางหยุดคิดและคล้อยตามซือหยู


 


“ข้าเห็นด้วย แต่ฉินยู่ชาง…”


 


ฉินจิวหยางหันไป


 


“อยู่ที่นี่ในชั้นหก ที่นี่มีทรัพยากรมากมาย เก็บไปให้มากที่สุด เจ้าไม่ต้องมาเสี่ยงกับพวกข้า!”


 


ฉินยู่ชางไม่พอใจเล็กน้อยแต่เขาก็รู้ว่าพวกเขากำลังจะทำภารกิจที่อันตรายสุดขั้ว การที่เขาไปด้วยนั้นจะเป็นตัวถ่วง เขายอมรับแต่โดยดี ทรัพยากรที่นี่นั้นไร้ขีดจำกัด ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องไปเสี่ยงด้วย


 


“จงจำไว้ว่าอย่าทำตัวให้เด่น”


 


ฉินจิวหยางพูดต่อ


 


“ซ่อนตัวให้ดี วิธีนี้เท่านั้นที่เจ้าจะปลอดภัยไปได้อีกสองวัน”


 


เขาพูดจบและมองกังต้าเหล่ย


 


กังต้าเหล่ยหัวเราะอย่างสบายใจ


 


“ถ้าเจ้ายังไม่กลัวแล้วเราจะกลัวอะไรเล่า? ถ้ามีเราสามคนก็ไม่มีปัญหาจะจัดการพวกสามคนนั้น ปัญหาที่แท้จริงคือคนที่ชื่อยู่จางที่พวกกำลังรอพวกนั้นต่างหาก เราไม่รู้ว่าคนคนนั้นมีพลังเท่าใด เราต้องลงมืออย่างระวัง”


 


ทั้งกลุ่มพยักหน้าและมุ่งหน้าไปยังหุบเขาปีศาจทันที


 


ตลอดทาง พวกเขาถูกล่อโดยเหล่าสมุนไพรวิญญาณที่เติบโตทั่วพื้นที่ และซือหยูก็ยังเห็นสมุนไพรวิญญาณที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นสมุนไพรเทพ! สมุนไพรเทพนั้นเทียบเท่ากับวิชาระดับตำนาน มันทำให้ซือหยูไม่ละสายตาแม้แต่น้อย แต่พวกเขากำลังรีบ ซือหยูต้องปล่อยมันไป เขาจะต้องทำภารกิจให้สำเร็จโดยเร็ว ชั้นหกนั้นมีทรัพยากรมากมายอยู่แล้ว แล้วชั้นเจ็ดชั้นแปดหรือชั้นเก้าจะมีทรัพยากรที่น่าตกตะลึงแค่ไหนกัน?


 


******


 


ผ่านไปครึ่งวัน


 


หุบเขาล้อมที่รอบด้วยหมอกทมิฬอยู่ตรงหน้า พลังภูติทะลวงนภา


 


ซือหยูกับที่เหลือร่อนลงจากฟ้าไปยังหุบเขาปีศาจด้วยความระมัดระวัง ซือหยูใช้เนตรวิญญาณมองที่สามสิบลี้ไกลออกไป เขากระซิบ


 


“สามคนนั้นยังอยู่ที่ทางเข้าหุบเขา ดูเหมือนจะรอใครบางคนอยู่ ถ้าเรากำลังจะต่อสู้ เวลานี้ก็คือเวลาดีล่ะ”


 


กังต้าเหล่ยตกใจกับระดับของการรับรู้ของซือหยูแต่ก็ไร้ข้อกังขา


 


“คนที่ชื่อยู่จางอาจจะยังไม่มาที่นี่ นี่คือเวลาที่ดีที่สุดที่จะลงมือ”


 


ทั้งสามมองหน้ากันก่อนจะพุ่งทะยานออกไป


 


“น้องต้าเหล่ย น้องหิมะทมิฬ เราจะไม่ปะทะกับพวกนั้นตรงๆ”


 


ฉินจิวหยางพูด


 


“ปกป้องข้า ข้ามีทางที่จะทำให้พวกนั้นหยุดเราไม่ได้”


 


ฉินจิวหยางหยิบดึงเส้นผมสามเส้นออกมาและรัดไว้กับดัชนี เขากำลังจะใช้วิชาคำสาป!


 


ซือหยูกับกังต้าเหล่ยพยักหน้าและบินไปที่ด้านข้างโดยมีฉินจิวหยางอยู่ตรงกลาง


 


ฟึ่บ–


 


ทั้งสามพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็วจนมิอาจปิดบังรังสีพลังได้อีก พวกเขาเจอสามคนที่หน้าทางเข้าหุบเขาในไม่นาน


 


“เอ๋? เจ้าพวกนั้นมาสามคนรึ?”


 


หยางเจี้ยนหัวเราะอย่างโกรธเกรี้ยว


 


“เจ้าพวกอวดดี พวกข้าไม่เอาชีวิตเจ้าก็เพราะความเอื้อเฟื้อ แต่ตอนนี้พวกเจ้าบังอาจจะมาชิงเวทย์ยักย้ายของพวกข้า!”


 


หญิงสาวใบหน้าดุร้าย


 


“ฮื่ม! พวกนั้นจะมากไปแล้ว! พวกเราเตือนไปแล้วแต่มันก็ยังกล้าตามมา! น้องหยางเจี้ยน เจ้าไม่ต้องลงมือ ข้าจะจัดการกับศิษย์พี่ไป่แล้วย่างเจ้าผักปลาสามตัวนี่ซะ”


 


หยางเจี้ยนพยักหน้า


 


“ระวังตัวด้วย ถึงพวกมันจะไร้ค่า มันก็ต้องมีพลังที่ยอดเยี่ยมถึงจะเข้ามาในกระโจมเทพสวรรค์ได้ ห้ามประมาทเด็ดขาด”


 


“ศิษย์น้องยี่ เจ้าจะเลือกคนไหน?”


 


ชายชุดขาวที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่ไป่มองสามคนที่กำลังพุ่งเข้ามา


 


หญิงสาวมองทั้งสามคนและเหลือบมองฉินจิวหยาง


 


“อืม…คนตรงกลางนั่นเป็นของข้า เขาหน้าตางดงามแต่ก็อ่อนแอ…ทำได้แค่เป็นกึ่งเทพที่อายุยี่สิบห้า เขายังมีหน้าเข้ามาที่กระโจมเทพสวรรค์อีก!”


 


ชายหนุ่มชุดขาวหยิบอาวุธที่รูปร่างเป็นครึ่งวงกลมสองชิ้นออกมา อาวุธนั้นคมกริบ มันคือสมบัติเทพระดับกลางที่ถูกชำระจนสมบูรณ์


 


“ข้าจะจัดการกับเจ้าคนที่มีแสงสว่างส่องตัวคนนั้น”


 


ทั้งสองบินขึ้นพุ่งเข้าใส่ศัตรู


 


“พวกนั้นมาแล้ว!”


 


ฉินจิวหยางพูดด้วยความตึงเครียด เขาท่องคำสาปประหลาดออกมา


 


ความรู้สึกไม่สบายใจเอ่อล้นออกมา ซือหยูกับกังต้าเหล่ยอึดอัด


 


ผมสามเส้นบนดัชนีของฉินจิวหยางโปร่งใสหายไปจากกลางอากาศ


 


และเส้นผมเหล่านั้นก็ปรากฏบนดัชนีของศัตรูทั้งสามคน คนที่รู้ตัวคนแรกคือหยางเจี้ยน สีหน้าของเขาเคร่งเครียด


 


“ระวังด้วย!”


 


“นี่มันวิชาคำสาป!”


 


เขาพูดและใช้พลังดึงเส้นผมให้ขาด แต่มันก็ยังมีรอยดำหลงเหลืออยู่ อีกสองคนที่เหลือก็ทำแบบเดียวกัน


 


ฉินจิวหยางยิ้มออกมา


 


“สำเร็จ!”


 


มือของเขาสร้างผนึกประหลาด เขายื่นดัชนีทั้งสองเพื่อบดบังดวงตาของตัวเอง


 


“พวกนั้นมองไม่เห็นแล้ว!”


 


“ตอนนี้แหละ!”


 


การปิดตาด้วยนิ้วนั้นจะทำให้ศัตรูทั้งสามพบกับสภาพเดียวกัน พวกเขาตาบอดชั่วคราว


 


อย่างที่คิด ศัตรูนั้นตื่นตระหนกและรีบบินไปยังศิษย์พี่ไป่อย่างรวดเร็ว


 


“ระวังด้วย! ใช้พลังวิญญาณพวกเจ้าปกป้องตัวเองไว้ อย่าผลีผลาม!”


 


ซือหยูนั้นคิดจะสังหารให้หมดทุกคน แต่ศัตรูก็มีคนหนุนหลัง ไม่เหมาะที่จะต้องต่อสู้กัน พวกเขารีบบินผ่านทั้งสองคน ซือหยูกับกังต้าเหล่ยใช้พลังช่วยพาฉินจิวหยางพุ่งไปยังหุบเขา


 


หยางเจี้ยนโกรธแค้น เขาฟังเสียงการเคลื่อนไหวพร้อมกับจิตสังหารที่พวยพุ่งออกมา


 


“ต่อให้มองไม่เห็นข้าก็ฆ่าพวกเจ้าได้เป็นร้อยคน!”


 


เขาตะโกน


 


“ออกมา!”


 


เสียงโลหะกระทบดังมาจากด้านหลัง กระบี่แก้วหนึ่งเล่มลอยขึ้น คมกระบี่เปล่งพลังออกมา มันคือสมบัติเทพระดับกลางที่ชำระมาอย่างสมบูรณ์!


 


รังสีกระบี่คมกริบแผ่ออกมาทำให้สีหน้าของพวกซือหยูบิดเบี้ยว พวกเขาต้องใช้พลังเต็มที่ในการรับมือกับกระบี่เล่มนี้!


 


แต่ซือหยูก็เกิดความคิดขึ้นมา เขาเลื่อนมือผ่านอกและหยิบเอาสร้อยออกมา มันมีพลังจากราชามนุษย์ แม้จะทำอะไรศัตรูไม่ได้ มันก็ยังสร้างปัญหาได้


 


สร้อยระเบิดออก พลังมหาศาลกระจายไปยังรอบข้าง พลังของกลุ่มซือหยูถูกบดบังเอาไว้


 


หยางเจี้ยนตกใจแต่เขาก็ยังมองอะไรไม่เห็น เขาสัมผัสพลังของศัตรูไม่ได้…จนเมื่อทั้งสามเข้าหุบเขาปีศาจไปแล้ว…ถึงรู้ว่าพวกซือหยูอยู่ที่ใด


 


“ตายซะเถอะ!”


 


หยางเจี้ยนตะโกนร้อง


 


กระบี่ยาวพุ่งไปทางซือหยู


 


ซือหยูอ้าปากพ่นหมอกต้นกำเนิดน้ำแข็งโดยไม่ลังเล กระบี่แก้วที่พุ่งเข้ามาถูกแช่แข็งและช้าลงอย่างมาก


 


ในเวลาเดียวกันก็มีหอกน้ำแข็งพุ่งออกมาที่ใต้เท้าของหยางเจี้ยน หยางเจี้ยนต้องหลบ แต่ในตอนนั้นศัตรูสามคนก็เข้าหุบเขาไปแล้ว ต่อมาทั้งสามจึงได้มองเห็นอีกครั้ง


 


“หยางเจี้ยน!”


 


“พวกเราปล่อยให้มันเข้าไปแล้ว! นี่มันคือความอัปยศ! ข้าจะไล่ตามไป!”


 


ชายหนุ่มชุดขาวเป็นกังวล


 


“ถ้าพวกนั้นเข้าไปก่อน เราจะต้องรอครึ่งเดือนกว่าจะได้เข้ากระโจมเทพชั้นเจ็ด”


 


หยางเจี้ยนโกรธแค้น เขารู้สึกอัปยศอย่างมาก แต่เขาก็ยิ้มอย่างเป็นมิตรออกมาในไม่นาน


 


“ไม่ต้อง! เวทย์ยักย้ายมันใช้ง่ายเช่นนั้นเชียวรึ? แม้แต่ศิษย์พี่ยู่จางก็ต้องไปหาวัตถุดิบที่มีพลังปีศาจก่อนจะมั่นใจได้ พวกนั้นก็แค่รนหาที่ตายเท่านั้นแหละ!”


 


อีกสองคนเบาใจเมื่อได้ยินดังนั้น


 


“ใช่แล้ว…”


 


“พลังปีศาจปกป้องเวทย์นั้นมาตลอดหลายปี ทุกปึจะมีกึ่งเทพหลายคนตกเป็นอาหารของมัน เจ้าสามคนนั้นไม่ได้มีการเตรียมตัว พวกนั้นก็แค่ทำให้พลังปีศาจเข้มข้นขึ้นเท่านั้นแหละ”


 


หญิงสาวหัวเราะอย่างเยือกเย็น

 

 

 


ตอนที่ 455

 

“พลังภูติแข็งแกร่งนัก ถึงจะมีศิษย์พี่ยู่จางอีกคนมาช่วยพวกเรา พวกเราก็ไม่แน่ใจว่าจะชนะได้ ถ้าหากพวกนั้นเป็นศิษย์นอกดินแดนก็อาจจะพอมีหวังอยู่บ้าง แต่สามคนนั้นกำลังหาที่ตาย!”


 


ทั้งสามไม่ไล่ตามกลุ่มซือหยู พวกเขากลับรอเวลาจนหญิงสาวที่สวมกระโปรงสีหยดพกต้นไม้ทองคำเล็กๆบินเข้ามา


 


“ศิษย์พี่ยู่จาง!”


 


สีหน้าของทั้งสามคนเปลี่ยนไป พวกเขาเข้าไปต้อนรับ แม้แต่คนที่หยาบคายอย่างหยางเจี้ยนก็แสดงความนับถืออย่างมาก


 


ยู่จางนั้นผมสั้น แม้ว่าใบหน้าของนางจะดูเป็นสตรี นางก็ดูดุร้ายและฉุนเฉียว นั่นแสดงให้เห็นถึงการฝึกฝนอย่างหนัก แววตาของนางเฉียบคมเช่นกัน นางเห็นทั้งสามที่แสดงท่าทีประหลาดเพียงเหลือบมอง


 


“เกิดอะไรขึ้น?”


 


หยางเจี้ยนอับอาย


 


“ศิษย์พี่ยู่จาง พวกยอดฝีมือเร่ร่อนสามคนใช้วิชาคำสาปแล้วแอบเข้าหุบเขาปีศาจไป”


 


“แอบเข้าไปรึ? ฮื่ม เป็นเพราะพวกเจ้าหยุดพวกนั้นไม่ได้ใช่หรือไม่?”


 


ยู่จางสีหน้าเยือกเย็นในทันทีที่ได้ยินคำตอบ


 


ทั้งสามเริ่มพูดแต่ก็ไม่โต้แย้งยู่จาง


 


“ศิษย์พี่ ถึงพวกนั้นจะเข้าไปได้ พวกเราก็ไม่ต้องกังวลนัก ตามฐานพลังของพวกนั้น การเข้าสู่หุบเขาปีศาจก็ไม่ต่างอะไรกับการให้อาหารราชาภูติ อย่างมากพวกนั้นก็ทำให้ราชาภูติหมดแรงไปส่วนเดียวเท่านั้น ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเราก็จะได้เปรียบโดยไม่ต้องทำอะไรเลย นั่นจะลดความเสี่ยงของพวกเราเองด้วย ไม่ดีหรอกรึ?”


 


หยางเจี้ยนอธิบาย


 


ยู่จางแววตาเยือกเย็น นางตำหนิ


 


“หุบปาก!”


 


“ถึงเจ้าจะอ่อนด้อยกว่าพวกนั้น เจ้าก็ยังมีหน้ามาหาข้ออ้างให้ตัวเองอีกรึ?”


 


ยู่จางนั้นเข้มงวดอย่างมาก


 


“ก็เพราะความคิดของพวกเจ้า คิดเอาแต่ว่าพวกเจ้าคิดถูก สามคนนั้นถึงได้เหนือกว่าเจ้า!”


 


ทั้งสามตัวสั่น พวกเขาก้มหน้าด้วยความอับอายและโกรธแค้น ยู่จางพูดถูก ถ้าพวกเขาไม่ประมาทซือหยูกับอีกสองคน พวกเขาคงขวางไม่ให้พวกซือหยูผ่านไปได้


 


“ไล่ตามไปเดี๋ยวนี้ ถึงพวกนั้นจะเป็นยอดฝีมือเร่ร่อน นั่นก็ไม่ได้ยืนยันว่าพวกนั้นจะไม่มีวิธีดึงเจ้าภูตินั่นออกไป ถ้าการยักย้ายช้าลงก็ยังไม่เป็นไรเพราะยังเหลือทรัพยากรอยู่ในชั้นเจ็ด แต่เรื่องสำคัญคือเราจะทำงานของพี่ยี่เต๋าพัง! เขาคือศิษย์นอกตัวจริง ถ้าเราทำให้งานของเขาช้า เจ้าคิดว่าเจ้าจะอยู่ในดินแดนพรสวรรค์ได้ต่อรึ?”


 


หลังจากได้ยินชื่อยี่เต๋า สีหน้าของทั้งสามคนก็ไม่พอใจ พวกเขาหวาดกลัวอย่างมาก


 


“ศิษย์พี่ พวกเรายอมรับผิดแล้ว”


 


ทั้งสามพูดและทำใจให้เย็นลงก่อนจะไล่ตามกลุ่มซือหยู


 


ที่อีกด้าน ในส่วนของสี่ตระกูล


 


พวกเขาอยู่ตรงยอดเทือกเขาใหญ่ ที่พื้นเต็มไปด้วยร่างไร้วิญญาณ เสื้อผ้าและสิ่งของของร่างเหล่านั้นแตกต่างกันและยังไม่ใช่คนจากทวีปเฉินหลง แต่ฐานพลังของพวกเขาก็อยู่ในระดับกึ่งเทพ! และก็ยังมีคนที่แข็งแกร่งเท่าไป่ลั่วอยู่ด้วย!


 


ท่ามกลางซากศพมีสาวงามอยู่ ร่างของนางเปล่งแสงทมิฬ เงาจางตี๋เก้อปรากฏออกมาอย่างช้าๆ


 


ใบหน้าของสาวสวยหัวเราะอย่างชั่วร้าย


 


“พวกเจ้าทั้งหมด ถ้าตามข้ามาเจ้าก็จะได้ประโยชน์อยู่บ้าง ร่างของผู้หญิงคนนี้จะส่งคืนให้พวกเจ้าเมื่อใดก็ได้ นับแต่นี้ไปพวกเจ้าจะต้องรับฟังคำสั่งข้า ถ้าไม่ล่ะก็…ฮื่ม!”


 


หลายคนรวมถึงฉีเจี้ยนั้นต้องยอมรับฟัง


 


“ไปกันเถอะ”


 


หญิงสาวก้าวไปข้าวหน้า ข้างหน้านางคือเวทย์ยักย้าย!


 


ในอีกพื้นที่


 


เหนือลำธาร ไป่ลั่วนำจ้าวแห่งความมืดลงมาเบื้องล่าง


 


“โชคดีที่เวทย์ยักย้ายที่นี่ถูกซ่อนเอาไว้อย่างลึกล้ำ แม้แต่คนในทวีปเฉินหลงก็ไม่รับรู้”


 


ไป่ลั่วพูดและมองเบื้องล่าง เขามองดูเวทย์ยักย้ายที่ซ่อนอยู่ในก้นลำธารและถอนหายใจด้วยความโล่งอก


 


กระเป๋าของฉิงจูแน่นขนัด ในอกยังมีสมุนไพรวิญญาณอีกมากที่ปล่อยพลังวิญญาณมหาศาลออกมา ใบหน้าของเขาอิ่มเอม แค่ชั้นหกของกระโจมเทพก็ทำให้เขาได้รับทรัพยากรมากมาย


 


“ไป่ลั่ว ถ้าเราจะไปชั้นเจ็ดตอนนี้ จะขอหยุดที่นีสักเดี๋ยวได้หรือไม่? ทรัพยากรที่นี่น่าตกใจยิ่งนัก…”


 


เขาขอร้อง


 


ถ้าชั้นหกก็เป็นเช่นนี้ ชั้นเจ็ดก็อาจจะมีสิ่งที่ล้ำค่ากว่ามาก ไป่ลั่วมองยี่หยูที่เงียบไม่พูดอะไร


 


“เราจะไปที่ชั้นแปดเพื่อทำภารกิจของราชาแห่งความมืดเสียก่อน! ถ้าวางเวทย์บูชายัญสำเร็จเมื่อใด พวกเจ้าก็จะมีอิสระในที่นี่!”


 


เขาพูดจบและนำทุกคนลงสู่ลำธาร พวกเขาเดินทางผ่านเวทย์ยักย้าย


 


ที่ต้นไม้สวรรค์อันเก่าแก่


 


ต้นไม้ยักษ์ถูกตัดโค่นไปนานแล้ว มันมีเส้นผ่านศูนย์กลางที่ยาวสามสิบศอกโดยประมาณ และมันยังมีลายซับซ้อนสลักเอาไว้บนต้น


 


ที่อีกด้านนั้นมีคนอยู่สองฝ่ายที่กำลังเผชิญหน้ากัน หนึ่งฝั่นคือไป่ฉีที่อยู่ตัวคนเดียว! และอีกฝั่งคือหลงหวูชิงกับฉินเซี่ยนเอ๋อ! ส่วนหลงเฟยฉิงที่ไม่อยู่ที่นี่นั้นอาจจะถูกทิ้งไว้ที่ชั้นหกเช่นเดียวกับฉินยู่ชาง


 


“หึหึ เจ้าตุ๊กตาน้อย ถ้ายังเผชิญหน้ากันเช่นนี้ พวกเราก็จะไม่ได้อะไรเลย! พวกเราไม่ได้มีเรื่องบาดหมายต่อกัน เป้าหมายในการมาที่กระโจมเทพสวรรค์ก็ต่างกัน ทำไมพวกเราไม่ใช่เวทย์ยักย้ายด้วยกันเล่า? ไม่มีใครจะเสียอะไร มิเช่นนั้นถ้าใครใช้เวทย์ไปสักด้านหนึ่ง อีกด้านก็ต้องรออีกครึ่งเดือน”


 


หลงหวูชิงพยักหน้ายอมรับ


 


“ไม่มีปัญหา! แต่เจ้าอย่าคิดอะไรแปลกๆก็แล้วกัน”


 


ด้วยฐานะของคนที่แข็งแกร่งที่สุด คำพูดของนางนั้นน่ากลัวมาก


 


“แน่อยู่แล้ว”


 


ไป่ฉีหัวเราะ


 


ทั้งสองฝ่ายเข้าสู่เวทย์ยักย้ายอย่างปลอดภัย และ ณ สถานที่แห่งหนึ่งในกระโจมเทพสวรรค์ หญิงสาวอายุสิบห้าปีที่น่าหลงใหลอย่างไม่น่าเชื่อ นางนั่งอยู่ตัวคนเดียว


 


ข้างหน้านางคือเข็มทิศที่กำลังหมุนไปมา เข็มของมันขยับอย่างรวดเร็ว เข็มทิศนั้นดูเหมือนจะใช้งานได้ยาก ใบหน้าของหญิงสาวซีดเล็กน้อย ในตอนนั้นเองเข็มของเข็มทิศก็หยุดชี้ไปยังทิศทางที่ชัดเจน


 


สาวน้อยสีหน้ายินดี


 


“เจอแล้ว! พลังของภูติสวรรค์นั่น นางอยู่ที่ชั้นเจ็ดของกระโจม! ถ้าอย่างนั้นคนที่อาจารย์เทียนฉวนอยากจะพบก็ต้องอยู่ในชั้นเจ็ดเหมือนกัน!”


 


นางพูดจบและหายตัวไปจากจุดเดิม นางหายไปจากกลางอากาศ


 


ที่หุบเขาปีศาจ


 


หุบเขาปีศาจนั้นเต็มไปด้วยพลังภูติ ความเร็วของพวกซือหยูไม่เร็วนักเพราะซือหยูต้องใช้เนตรวิญญาณเพื่อหลบสิ่งมีชีวิตดุร้ายที่ซ่อนอยู่ในหมอกพลังภูติ มิเช่นนั้นพวกเขาจะยิ่งช้ากว่าเดิม


 


“อุโมงค์ข้างหน้าแคบนัก มีค้างคาวหลายตัวที่ด้านบน พวกนั้นทุกตัวมีพลังระดับผู้คุมสวรรค์ มันมีอยู่ประมาณร้อยตัว พวกเราจะถูกมันล้อมไม่ได้ พวกเราทำได้แค่ต่อสู้เท่านั้น”


 


ซือหยูขมวดคิ้วหลังจากมองดูอยู่นาน


 


ฉินจิวหยางเป็นกังวลเล็กน้อย


 


“เราจะหยุดนานเกินไปไม่ได้ คนข้างหลังพวกเราเข้ามาใกล้ขึ้นไปทุกทีแล้ว”


 


กังต้าเหล่ยหัวเราะเสียงดัง


 


“ปล่อยให้ข้าจัดการเอง พวกเจ้าสองคนไม่ต้องทำอะไร ตามข้ามาก็พอ”


 


ซือหยูตกใจเล็กน้อย ถึงค้างคาวมากกว่าร้อยตัวจะไม่อันตรายนัก แต่การจัดการพวกนั้นในเวลาอันรวดเร็วก็ไม่ใช่เรื่องง่าย


 


“ฮ่าๆๆ”


 


กังต้าเหล่ยหัวเราะเพียงอย่างเดียวและไม่พูดอะไรเลย เขาวางฝ่ามือทั้งสองไว้แนบอก จากนั้นฝ่ามือของเขาก็มีแสงส่องความมืดปรากฏออกมา ในเวลาเดียวกันนั้นเอง หมอกภูติได้ถอยกลับราวกับได้พบศัตรู ซือหยูตกใจ พลังของกังต้าเหล่ยคือสายฟ้า!


 


ก่อนหน้าที่กังต้าเหล่ยจะลงมือ เขาไม่เคยแสดงพลังอัสนีมาก่อน! ซือหยูตกใจอย่างมาก หลังจากที่อยู่กับกังต้าเหล่ยมานาน นี่เป็นครั้งแรกที่ซือหยูรู้ว่ากังต้าเหล่ยฝึกฝนวิชาอัสนี


 


“หึหึ ข้าไม่มีพรสวรรค์จะบ่มเพาะวิชาอัสนีหรอก นี่คือสมบัติที่ไอ้แก่นั้นให้ข้ายืมโดยเฉพาะ”


 


สายฟ้าระหว่างฝ่ามือของกังต้าเหล่ยนั้นกลายเป็นก้อนสายฟ้าที่ขนาดเท่าลูกตาที่กำลังจ้องบางสิ่งบางอย่าง


 


สายฟ้าเหล่านั้นแตกต่างจากสายฟ้าที่บ่มเพาะจากการฝึกธรรมดา มันมีพลังวิญญาณที่เข้มข้นอย่างมาก! บอลสายฟ้าเล็กๆหมุนวนอย่างรวดเร็ว มันดูเหมือนสิ่งมีชีวิต


 


“ไป…”


 


กังต้าเหล่ยพูดและโยนบอลสายฟ้าขึ้นสู่นภา


 


บอลสายฟ้าได้กลายเป็นแหสายฟ้าโอบล้อมทั้งสามคน


 


“เอาล่ะ รีบไปกันเถอะ”


 


แหสายฟ้าห่มกายทั้งสามคนไปยังอุโมงค์แคบ เหล่าค้างคาวนั้นไม่ต่างกับหมาป่าหิวโหยที่ได้กลิ่นเลือดเมื่อสัมผัสได้ถึงมนุษย์ พวกมันพุ่งเข้าใส่กลุ่มของซือหยู


 


ฟึ่บ–


 


แต่เมื่อพวกมันสัมผัสกับแหสายฟ้า พวกมันก็กลายเป็นเถ้าถ่านทันที และถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น ค้างคาวตัวอื่นก็พุ่งเข้าใส่แหสายฟ้าราวกับถูกยั่วยุ


 


แหสายฟ้าเริ่มที่จะเสื่อมพลังลง มันเริ่มหายไปทีละน้อย แต่ดีที่แหสายฟ้านี้ไม่ใช่ของธรรมดา มันป้องกันการโจมตีอันโหดร้ายขอค้างคาวได้อย่างดี


 


“ดูนั่น! นั่นมันรังค้างค้าว!”


 


ฉินจิวหยางเห็นแก้วโลหิตอยู่ในรังค้างคาว มันเปล่งประกายอย่างต่อเนื่อง


 


กังต้าเหล่ยเงยหน้ามองและตกใจในทันที


 


“นั่นมันแก้วโลหิตภูติ มันมีพลังภูติและพลังวิญญาณผสมกัน และมันต้องใช้เวลาหลายพันปีกว่าพลังงานจะก่อร่างเป็นแก้ว เมื่อก่อนมีคนเคยได้แก้วโลหิตภูติที่ขนาดเท่าเมล็ดถั่วจากก้นบึ้งมังกรเก้านรก เขาสร้างโอสถก้นบึ้งมังกรสิบขวดได้ในทีเดียว”


 


“แก้วโลหิตภูติที่เราเห็นมีขนาดเท่ากำมือ ถ้าใช้ปรุงโอสถก้นบึ้งมังกรก็จะใช้อย่างน้อยร้อยขวด! นั่นมากพอจะทำได้ยอดฝีมือทั้งหมดในทวีปเฉินหลงในตอนนี้กลายเป็นผู้คุมสวรรค์!”


 


“แล้วก็ ตามที่ท่านอาจารย์บอก แก้วโลหิตภูติเป็นของหายากมากแม้จะเป็นจิวโจว มันใช้ได้หลายแบบ ไม่ใช่แค่การปรุงโอสถก้นบึ้งมังกรเท่านั้น”


 


มันล้ำค่าเช่นนั้นเชียวรึ? เช่นนั้นมันก็มีค่าไม่ต่ำไปกว่าวิชาระดับตำนานของจริง กังต้าเหล่ยยื่นมือไปคว้ามัน สายฟ้าแล่นผ่านแก้วโลหิตภูติลงมา


 


“ข้าจะเก็บมันไว้ชั่วคราว เราจะแบ่งเท่ากันในทีหลัง”


 


กังต้าเหล่ยพูดด้วยความตื่นเต้น


 


เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นของสำคัญ ทั้งซือหยูกับฉินจิวหยางยอมรับการตัดสินใจนั้น


 


ในตอนนั้นเองเหล่าค้างคาวที่ไร้ความเกรงกลัวก็หนีไป เหล่าภูติเล็กภูติน้อยที่อยู่ในมุมมืดก็หาทางหนีอย่างวุ่นวายไม่ต่างกัน


 


ในพริบตา อุโมงค์ไร้จุดจบได้เงียบราวกับป่าช้า มันไม่มีเสียงใดๆเลย มีเพียงเสียงสายลมน่าขนลุกที่พัดผ่านอุโมงค์


 


“ระวังด้วย มีอะไรกำลังมา!”


 


กังต้าเหล่ยใบหน้าเคร่งเครียด เขาระวังตัวในทันที


 


ซือหยูระวังเป็นอย่างมาก สัญชาตญาณบอกเขาว่ามีบางสิ่งที่ประหลาดอย่างมากลอยมากับสายลม


 


“ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าสามคนนั้นไม่ตามพวกเรามาที่นี่ เป็นไปได้ว่าอาจจะยากมากที่จะใช้เวทย์ยักย้าย”


 


ซือหยูพูดอย่างจริงจัง


 


“ถ้าเป็นอย่างนี้ เราก็ได้แค่ต้องไปข้างหน้า”


 


กังต้าเหล่ยลังเลอยู่บ้างก่อนจะเคลื่อนไหวต่อไป


 


ทั้งสามเดินทางผ่านอุโมงค์อันเงียบกริบอย่างระวัง จากนั้นก็ไปถึงพื้นที่เปิด

 

 

 


ตอนที่ 456

 

พวกเขาออกจากอุโมงค์และพบกับปล่องภูเขาไฟ สายลมพัดผ่านมาจากปล่องภูเขาไฟนั้น หมอกภูติหนาแน่นมากกว่าที่ใด อักษรเวทย์เปล่งแสงอ่อนๆ


 


เวทย์! ทั้งสามคนทั้งตกใจและยินดี พวกเขาเจอแล้ว แต่พวกเขาก็หนาวสั่นเมื่อพบว่าที่พื้นนั้นเต็มไปด้วยซากศพ!


 


“ระวังด้วย!”


 


ซือหยูเตือน


 


เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา กรงเล็บภูติยื่นออกมาจากกำแพงศิลาที่ด้านขวา ซัดเข้าใส่พวกเขาโดยไร้คำเตือน ซือหยูหลบและหลุดจากแหสายฟ้า


 


กังต้าเหล่ยปลดแหสายฟ้าโดยไม่ลังเล เขาโยนมันเข้าใส่กรงเล็บที่พุ่งเข้ามา


 


เปรี๊ยะ–


 


ควันดำพุ่งออกมาจากกรงเล็บเมื่อสัมผัสกับแหสายฟ้า สายฟ้านั้นแก้ทางกับพวกภูติผีได้ดีเสมอ แต่ต่อมาพวกซือหยูก็ต้องตกใจ กรงเล็บนั้นคว้าแหเอาไว้ กรงเล็บเข้ากระชากแหสายฟ้าระเบิดเสียงดัง


 


“หึหึ…! นานเหนือเกินที่ไม่มีมนุษย์เสนอตัวมาให้ข้าเช่นนี้!”


 


เสียงดังมาจากกำแพงศิลา


 


ทั้งสามรักษาระยะห่างจากกำแพง กำแพงนั้นแยกออก ภูติผีที่ยาวสิบศอกที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อฝังอยู่ในกำแพง มันมีดวงตาสีเขียว ทั้งร่างนั้นดำมืดราวกับน้ำหมึก ข้อมือของมันนั้นมีหนามที่คมกริบดั่งมีดที่เพิ่งตีเสร็จ กรงเล็บนั้นยาวและสีแดงดั่งโลหิต ไม่ยากถ้ากรงเล็บนั้นจะฉีกร่างมนุษย์ให้เป็นสองท่อน


 


กังต้าเหล่ยร้อนใจ เขารีบพุ่งไปยังเวทย์ที่ปล่องภูเขาไฟ


 


“ไม่ดีแน่! นั่นมันภูติกึ่งเทพ พลังของมันอาจจะเทียบได้กับกึ่งเทพชั้นแนวหน้า! เราต้องไปก่อนมันจะตื่นขึ้นเต็มที่!”


 


ซือหยูกับฉินจิวหยางไม่ลังเล ทุกคนเริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้า


 


ทั้งสามบินไปถึงเวทย์ยักย้าย เห็นได้ชัดว่าภูติในกำแพงศิลานั้นยังตื่นไม่เต็มที่ แต่มันก็ยิ้มอย่างเยือกเย็น


 


“อยากจะหนีให้พ้นมือข้ารึ! หึหึ…! นี่มันถ้ำของข้า เจ้าคิดจริงๆรึว่าเวทย์ยักย้ายจะใช้ได้ง่ายๆ?”


 


ทั้งสามมองหน้ากันด้วยความตกใจ พวกเขาบินออกจากเวทย์แต่เมื่ออยู่บนอากาศ ปล่องภูเขาไฟก็ปล่อยน้ำกรดสีดำออกมา แม้ทั้งสามจะหลบได้ ขอบของเสื้อผ้าก็สัมผัสเข้ากับของเหลว


 


ซ่า ซ่า—


 


จุดของพวกเขาเริ่มละลายกลายเป็นของเหลวสีดำต่อหน้าต่อตา พวกเขาแต่ละคนรวบรวมชั้นพลังวิญญาณปกคลุมกายและฉีกชุดทิ้งก่อนที่กรดพิษจะลามมาถึงร่างกาย


 


ทั้งสามหนีรอดจากกรดพิษได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด ถ้าพวกเขาลังเลและได้สัมผัสกับมันตรงๆ ชะตาพวกเขาก็คงจะไม่สู้ดีแน่!


 


ครืน—


 


ในตอนนั้นเอง กำแพงศิลาแตกออก ภูติกึ่งเทพตื่นขึ้นอย่างเต็มที่ ร่างสูงยี่สิบศอกปล่อยพลังอันดุร้ายออกมา


 


“มันอยู่ในระดับอสุราแล้วก็มีร่างอวตาลระดับสูง”


 


กังต้าเหล่ยพูด


 


“พลังของมันอยู่ระหว่างอสุรากับภูติสวรรค์ ยากจะรับมือ พวกเราต้องระวัง”


 


ภูติตนนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล่าอสุราที่ซือหยูเคยเจอมาก่อน


 


“หึหึ!”


 


“มีกึ่งเทพมากกว่าสองคนในปีนี้ นั่นจะทำให้ข้าเข้าใกล้ขอบเขตภูติกว่าเดิม อีกไม่กี่ปีข้าจะได้เป็นภูติสวรรค์ ข้าจะได้ออกไปจากที่นี่เสียที”


 


กังต้าเหล่ยถอนหายใจแรง


 


“เจ้าแน่ใจตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าเจ้ามีพลังจะฆ่าพวกข้า ถึงได้พูดออกมาน่ะ!”


 


ฝ่ามือของกังต้าเหล่ยรายล้อมด้วยสายฟ้า


 


กังต้าเหล่ยขยับข้อมือ อสรพิษสายฟ้าพุ่งออกไป พลังของมันเหนือกว่าแหสายฟ้าถึงสองเท่า


 


“สมบัติเทพระดับสูง!”


 


สีหน้าของภูติกึ่งเทพเคร่งเครียดกับสิ่งที่ต้องเผชิญหน้า แต่ต่อมามันก็เยาะเย้ย


 


“หึ นี่ไม่ใช่สมบัติเทพที่ใช้โจมตี! มันก็แค่สมบัติอัสนีสนับสนุน สายฟ้าที่กักเก็บภายในไม่ได้มีไว้เพื่อจู่โจม”


 


มันหัวเราะอย่างเยือกเย็น มันคว้าอสรพิษสายฟ้าด้วยมืออย่างง่ายดาย อสรพิษสายฟ้าดิ้นไปมาแต่ก็แหลกสลายไปด้วยกำมือของมัน


 


สมบัติเทพในมือกังต้าเหล่ยถูกกลืนกินพลังไป มันสั่นอย่างแรงจนเกือบจะหลุดจากมือของเขา


 


“เจ้าภูติผี รับการโจมตีของข้าไปซะเถอะ!”


 


ฉินจิวหยางตะโกน


 


ฉินจิวหยางแอบมัดผมสามเส้นไว้กับนิ้ว ผมทั้งสามเส้นปรากฏบนนิ้วของภูติผี ฉินจิวหยางวางนิ้วลงบนสมบัติเทพสายฟ้า นิ้วของเขาไร้รอยขีดข่วน แต่…


 


เปรี๊ยะ—


 


ฝ่ามือของอสุราไหม้เกรียม กลิ่นเหม็นไหม้ลอยออกมา


 


“ฮื่ม! วิชาคำสาป! แกใช้คำสาปได้งั้นเรอะ!”


 


อสุราตระหนักถึงความเสียเปรียบ มันยิงลำแสงจากดวงตาทั้งสองข้าง ลำแสงพุ่งตรงไปยังดัชนีของมันเอง


 


อั่ก–


 


ฉินจิวหยางหน้าแดงก่ำ ใบหน้าเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด เขากระอักไอโลหิตออกมา เสียงกระดูกหักดังจากนิ้ว เขาตกใจมาก


 


“ฝืนสะบั้นสัมพันธ์ของคำสาป…”


 


“เจ้า…!”


 


นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอกับศัตรูที่ตัดความสัมพันธ์ของวิชาคำสาปได้ ร่างกายของเขาถูกการโจมตีนั้นจนบาดเจ็บ


 


“เจ้ารนหาที่ตายแล้ว!”


 


อสุราพุ่งตรงไปยังกลุ่มซือหยู หมัดขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ที่รายล้อมด้วยหมอกภูติซัดเข้าใส่ทั้งสามคน


 


ซือหยูหยิบเอาสร้อยสายฟ้าเส้นสุดท้ายออกมา สายฟ้าระเบิดออกล้อมตัวอสุรา แม้จะเป็นราชาปีศาจก็ต้องระวังกับสร้อยสายฟ้านี้ ไม่ต้องพูดถึงอสุราเลย


 


อ๊าก—


 


อสุราไม่ทันระวัง สายฟ้าแล่นผ่านหมัดของมัน หมัดนั้นเต็มไปด้วยโลหิต


 


“อ๊ากก! ไอ้เด็กบัดซบ!”


 


อสุราตะโกนหันไปทางซือหยู


 


“ข้าจะทำลายเจ้าก่อน!”


 


อสุราบาดเจ็บอย่างหนักเพราะคนที่มันไม่ระวังที่สุด!


 


“ดีมาก!”


 


กังต้าเหล่ยกับฉินจิวหยางพุ่งเข้าไปพร้อมกัน


 


“ไสหัวไป!”


 


อสุราร้องเสียงดัง


 


พลังภูติเอ่อล้น หมัดขนาดเท่าศีรษะฟื้นฟูด้วยความเร็วสูง มันพุ่งซัดเข้าใส่ทั้งสองคน


 


ตู้ม ตู้ม ตู้ม—


 


ทั้งสามถอยหนีในทันที! แค่การโจมตีเดียวก็ทำให้ทั้งสามต้องถอยกลับ ไม่ต่างกับตอนที่หลงหวูชิงรับมือกับยอดฝีมือสามคนด้วยตัวคนเดียวเลย


 


“ใช้พลังเต็มที่เถอะ”


 


กังต้าเหล่ยเสนอ


 


“อสุราตนนี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าหลงหวูชิงเลย”


 


เงาแสงบนร่างกังต้าเหล่ยสลายไปเผยให้เห็นร่างจริง! ซือหยูตัวสั่น


 


นี่คือมนุษย์งั้นรึ…? เขาอ้าปากค้าง


 


มันคือสัตว์ประหลาดที่มีร่างกายเป็นคนแต่มีศีรษะเป็นมังกร! กังต้าเหล่ยไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในทวีปเฉินหลง!


 


แม้แต่อสุราก็ตกใจ


 


“ตระกูลยี่…? น่าตกใจที่คนตระกูลยี่เข้ามาที่กระโจมเทพสวรรค์!”


 


ฉินจิวหยางตกใจเช่นกัน เขาไม่คิดว่านี่จะเป็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของศิษย์ผู้เฒ่าจิว!


 


แต่พลังที่ปล่อยออกมาก็เป็นพลังของกังต้าเหล่ย ซือหยูรีบใจเย็น ภารกิจของเขาในตอนนี้คือการจัดการกับอสุราตรงหน้า


 


ฉินจิวหยางกัดฟัน เขาถอดมงกุฎหยก ผมสีดำสนิทร่ายรำอยู่กลางอากาศ ดัชนีทั้งสิบถูกมัดอยู่กับเส้นผม


 


แสงสีโลหิตส่องสว่างจากด้านหลังซือหยูเมื่อร่างเทียมปรากฏ ร่างหลักและร่างเทียมต่างปล่อยพลังต้นกำเนิด


 


กังต้าเหล่ยตะโกนลั่น


“เอาเลย!”


 


ร่างของกังต้าเหล่ยขยายใหญ่กว่าเดิมสามเท่า ร่างนั้นฉาบด้วยเกล็ดทมิฬ ร่างมังกรปะทะเข้ากับอสุรา


 


สีหน้าของอสุราหม่นหมอง ความไร้กังวลของมันหายไปนานแล้ว


 


ตู้ม—


 


ยักษ์ทั้งสองเข้าปะทะกัน พลังนั้นเทียบเท่า!


 


กังต้าเหล่ยในร่างจริงนั้นคือกึ่งเทพชั้นแนวหน้า! ถ้าเขาใช้ร่างนี้ในการประลองลับสวรรค์ คนที่อยู่ในจุดสูงสุดก็อาจจะไม่ใช่หลงหวูชิง


 


และฉินจิวหยางก็ซัดพลังออกไปเช่นกัน เล็บนิ้วของเขากรีดกราดเฉือนอกของตัวเองบางๆ


 


แต่อสุรานั้นกรีดร้องออกมา บาดแผลลึกจนถึงกระดูกปรากฏที่อกของมัน! ยิ่งเส้นผมมากมายเท่าใด พลังสะท้อนก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น!


 


สุดท้ายซือหยูก็ใช้สองต้นกำเนิดปะทะเข้ากับร่างของอสุรา ร่างของอสุราฉีกออก แขนของมันระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ที่อกของมันเปิดออก พลังของทั้งสามทำให้อสุราปางตาย!


 


แต่อสุราก็ไม่ได้แสดงความเจ็บปวด มันกลับหัวเราะอย่างดุร้ายด้วยเสียงแหบแห้ง


 


“ข้าต้องขอบคุณพวกเจ้าที่ปลดปล่อยข้า!”


 


ปั้ง ปั้ง ปั้ง–


 


จู่ๆหมอกภูติก็พัดเข้ามา หมอกพลังภูติทั้งหมดในหุบเขาปีศาจดูเหมือนจะถูกบางสิ่งกลืนกิน มันเข้ารวบรวมมาที่บาดแผลของงอสุรา หากมองจากด้านนอกจะเห็นว่าพลังภูติทั้งหมดจากหุบเขาปีศาจหายไป! หุบเขาปีศาจที่ถูกซ่อนโดยหมอกภูติเสมอมานั้นแสดงรูปลักษณ์ที่แท้จริง


 


แต่สิ่งที่แท้จริงคือมันไม่ใช่หุบเขาเลย มันคือศีรษะขนาดยักษ์…ที่มีขนาดเท่าหุบเขา!


 


ศีรษะนั้นใหญ่ราวภูเขา มันดุร้ายอย่างไม่เป็นมนุษย์ ทางเข้าหุบเขาปีศาจคือปากของมัน และอุโมงค์แคบก็คือหลอดลม!


 


“ฮ่าๆๆ! ข้าติดอยู่ในร่างโง่ๆนี่มานานเกินไปแล้ว”


 


“ในที่สุดก็มีคนทำลายกายเนื้อของข้าและทำลายผนึกจนได้!”


 


เสียงหัวเราะดังลั่นทั่วกะโหลก


 


ยู่จางกับคนที่เหลือที่บินเข้ามานั้นลดความเร็วลงด้วยความตกใจ


 


“นั่นมัน…”


 


ยู่จางพูดขึ้น


 


“พลังของขอบเขตภูติ!”


 


พวกซือหยูรีบถอยอย่างสุดความสามารถเพราะความหวาดกลัว อสุราในตอนนี้นั้นโกรธเกรี้ยวอย่างไร้ขอบเขต มันปล่อยแรงกดดันวิญญาณมหาศาลออกมา!


 


“ขอบเขตภูติ!”


 


กังต้าเหล่ยพูดอย่างยากลำบาก เขาหวาดกลัว


 


ซือหยูใจหาย หัวใจของเขาหยุดเต้น

 

 

 


ตอนที่ 457

 

“ในที่สุดข้าก็ได้ออกมา!”


 


ภูติขนาดเท่าฝ่ามือหัวเราะ เสียงหัวเราะของมันทำให้ท้องฟ้าสั่นสะเทือน


 


ยู่จางชักสีหน้า นางรีบตะโกนอย่างไม่ลังเล


 


“ถอยเร็ว!”


 


หยางเจี้ยนกับอีกสองคนนั้นหวาดกลัวมานานแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้น พวกเขาจะกล้าลังเลรึ?


 


ภูติผีที่หัวเราะอย่างป่าเถื่อนนั้นหัวเราะอีกครั้งอย่างชั่วร้าย


 


“หึหึ ถ้าพวกเจ้ามาถึงที่นี่แล้ว เจ้าคิดว่าจะหนีออกไปได้ง่ายๆรึ?”


 


มันคว้าอะไรบางอย่างด้วยมือ หมอกภูติมหาศาลพุ่งออกจากตัวรวมกันเป็นกรงเล็บร้อยศอก


 


กรงเล็บนั้นเกิดจากหมอกภูติ มันพุ่งเข้าใส่ยู่จางกับคนของนาง พลังของกรงเล็บนั้นอยู่ในขอบเขตภูติ


 


ยู่จางชักสีหน้า


“ระวัง!”


 


นางตะโกน


 


พวกนางป้องกันการโจมตีด้วยพลังทั้งหมด นางร่ายมือสร้างบัวขาวอันงดงามขึ้นมาเหนือศีรษะ บัวขาวกระจ่างเปล่งแสงอันอ่อนโยนที่ปกคลุมกายหยางเจี้ยนที่อยู่ใกล้นางที่สุด


 


ส่วนอีกสองคนนั้นหวาดกลัว พวกเขาเรียกพลังวิญญาณออกมาป้องกันร่างกาย ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ใช้ยันต์นับไม่ถ้วนที่มีแรงกดดันวิญญาณมหาศาลลงบนตัวเพื่อสร้างชั้นแสงมาป้องกันตัว


 


ปั้ง–


 


กรงเล็บภูติซัดเข้ามาอย่างป่าเถื่อน กะโหลกยักษ์สั่นอย่างรุนแรง กรงเล็บภูติระเบิดออกจากกันและแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นหมอก มันกระจายไปทั่วทุกทิศทาง


 


จากนั้นในที่เดียวกันก็มีรอยกรงเล็บยักษ์ยาวสามสิบศอกปรากฏ! ในรอยกรงเล็บนั้นมีชุดขาวและชุดของราชวงศ์และก้อนเนื้อสองกอง ศิษย์น้องยี่และศิษย์พี่ไป่ที่เป็นกึ่งเทพทั้งคู่นั้นไม่มีแม้แต่เวลาจะกรีดร้อง พวกเขาตายในพริบตาเดียว


 


ที่ศูนย์กลางของกรงเล็บนั้นยังคงมีดอกบัวกระจ่างที่กลับร่วงโรย มันปล่อยแสงอันอ่อนโยนปกคลุมอย่างเคย และแสงที่ปกคลุมนั้นก็เต็มไปด้วยรอยแดงแต่ก็ยังคงปกป้องคนทั้งสองที่อยู่ภายในเอาไว้ได้ สองคนนั้นคือยู่จางและหยางเจี้ยน


 


สายโลหิตเล็กๆไหลผ่านมุมปากยู่จาง ร่างอันงดงามของนางสั่นเล็กน้อย ดอกบัวกระจ่างที่ถูกทำลายได้ทำให้นางบาดเจ็บ


 


แม้หยางเจี้ยนจะรอดตาย เขาก็ตกใจอย่างมาก เขาหน้าซีดราวกับกระดาษ แค่กรงเล็บเดียวก็เกือบทำให้กึ่งเทพสี่คนถูกสังหารจนหมดสิ้น


 


“โอ้ ฝ่ามือของข้าถูกป้องกันเอาไว้ได้รึ…”


 


ภูติตัวน้อยออกความเห็น มันตกใจอยู่เล็กๆ


 


ยู่จางรู้ว่ากำลังตกอยู่ในความยากลำบาก นางใช้พลังจนถึงขีดกำจัด นางไม่มีพลังจะต้านการโจมตีที่สองแล้ว


 


“น่าสนใจจริงๆ มาสิ”


 


ภูติน้อยพูดด้วยเสียงราวคำสัะ่ง


 


แม้ยู่จางจะลังเล นางก็ไม่กล้าที่จะขัดต่อภูติน้อย นางข่มความหวาดกลัวและบินเข้าไปด้วยความจำนน นางเหลือบตามองพวกซือหยูและโค้งทำความเคารพแก่ภูติน้อย


 


“ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านผู้อาวุโสอยู่ที่นี่ โปรดอภัยให้พวกเรา”


 


หยางเจี้ยนตัวสั่น เขาโค้งคำนับด้วยความกลัว


 


ภูติน้อยหัวเราะ


 


“เลิกพูดจาไร้สาระ พวกเจ้ารู้อยู่แล้วว่ามารบกวนข้า เจ้าควรจะรู้ผลที่ตามมา! แต่เจ้ารับการโจมตีของข้าได้ ข้ายังจะพอให้โอกาสเจ้าได้สักครั้ง”


 


ยู่จางกับหยางเจี้ยนแอบดีใจ ภูติน้อยนั้นยิ้มติดตลก มันหันไปหาพวกซือหยู


 


“ส่วนพวกเจ้าสามคน เห็นแก่ที่พวกเจ้าปลดปล่อยข้า ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้ามีชีวิตรอด!”


 


“พวกเจ้าก็แค่ต้องภักดีต่อข้า!”


 


ภูติน้อยหัวเราะ


 


ภักดีต่อมันงั้นรึ? หลายคนทำได้แค่ลังเล


 


“ครับท่าน ผู้น้อยชื่อหยางเจี้ยน”


 


หยางเจี้ยนนั้นดูจะไม่ลังเลเลย เขาคุกเข่าทั้งสองข้าง เขาเลือกที่จะยอมรับภูติน้อยเป็นเจ้านาย


 


ยู่จางโกรธแค้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้แสดงออกมา แต่ในตอนนั้นเองภูติน้อยก็หัวเราะอย่างชั่วร้าย


 


“ข้ายังพูดไม่จบ คนที่จะมาเป็นคนของข้าในบรรดาห้าคน พวกเจ้าเป็นได้แค่สองคนเท่านั้น”


 


“ส่วนสองคนจะเป็นใคร…นั่นก็ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ของเจ้า สองคนที่มีชีวิตรอดจะได้เป็นผู้ที่ยอมจำนนต่อข้า!”


 


นี่ไม่ใช่การบอกให้พวกเขาฆ่ากันเองหรอกรึ?


 


ทุกคนมองภูติน้อยและรู้สึกว่ามันโหดร้ายอย่างมาก!


 


“โปรดให้ข้าได้สู้เป็นคนแรกเถอะท่าน!”


 


หยางเจี้ยนกลอกตาอย่างรวดเร็ว เขาชิงความเป็นผู้นำ


 


ภูติน้อยกอดอก มันหัวเราะอย่างประหลาด


 


“ก็ย่อมได้ เริ่มจากเจ้าก่อน จงจำ นี่คือความเป็นความตายของเจ้า”


 


หยางเจี้ยนยืนขึ้น แววตาอันเยือกเย็นนั้นจับจ้องไปที่ซือหยูอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า! พลังของซือหยูนั้นอ่อนแอที่สุด และเขาคือคนที่จะสังหารได้โดยไร้ข้อสงสัย! และในเหตุการที่ทางเข้า ซือหยูได้ทำให้เขาต้องยอมรับความผิด นี่เป็นเวลาที่เขาจะได้ล้างแค้น


 


“มันต้องเป็นเจ้า ออกมาที่นี่!”


 


หยางเจี้ยนตะโกน


 


ต่อหน้ายอดฝีมือเร่ร่อนอย่างซือหยู เขาไม่สนใจผู้ใด ก่อนหน้านั้นเขาทำแม้แต่จะดูถูกพวกซือหยู


 


ยู่จางทำอะไรไม่ได้เช่นกันหากเรื่องมาถึงขั้นนี้ นางทำได้แค่เตือนเบาๆ


 


“อย่าประมาท อสุราที่ป้องกันที่นี่ถูกพวกนั้นสังหาร พลังพวกนั้นเกินกว่าที่คาด มีโอกาสสูงที่เขาจะเป็นผู้คุมสวรรค์ที่มีพลังประหลาด เจ้าต้องระวังให้มาก”


 


หยางเจี้ยนมองดูอสุราที่ระเบิดเป็นชิ้นๆ สีหน้าของเขาเยือกเย็น เขาหยุดประมาทพวกซือหยู


 


ซือหยูที่ถูกเลือกให้ต่อสู้ตกใจเล็กน้อย จากนั้นเขาก็คืนสติ


 


“เจ้าอยากจะสู้กับข้ารึ? ข้าก็เหมือนกัน”


 


แก้วที่หลังหยางเจี้ยนเปล่งแสง กระบี่แก้วลอยออกมาจากข้างหลังมาประทับฝ่ามือ กระบี่แก้วนั้นเต็มไปด้วยพลังกระบี่อันคมกริบ


 


“เจ้าขยะ ครั้งนี้ถ้าไม่มีคำสาป เจ้าก็รับกระบี่ของข้าไม่ได้หรอก!”


 


หยางเจี้ยนฟันกระบี่สู่นภา คมกระบี่พุ่งเข้าใส่อย่างแรง


 


ฟึ่บ–


 


เสียงระเบิดดังก้องบนนภา พลังกระบี่ที่เกิดขึ้นนั้นแผ่กระจายไปโดยรอบ


 


ภาพฝันที่ซือหยูถูกตัดขาดครึ่งนั้นอยู่ในความคาดหมาย แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นซือหยูก็ยังใจเย็นอย่างเคย เขาขยับมือสร้างก้อนน้ำแข็งหมุนวนในฝ่ามือ


 


มันคือต้นกำเนิดน้ำแข็ง! ต้นกำเนิดน้ำแข็งกลายเป็นหมอกเย็นเมื่อสะบัดมือ


 


แกร๊ง—


 


แกร๊ง—


 


กระบี่แก้วกับก้อนน้ำแข็งสัมผัสกัน จากนั้นชายในชุดสีอำพันก็ถอยไปอย่างรวดเร็ว


 


นั่นคือหยางเจี้ยนที่ประหลาดใจ เขาอุทาน


 


“ต้นกำเนิดน้ำแข็ง!”


 


กระบี่แก้วและฝ่ามือของเขาที่ถือกระบี่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ถ้าเขาลังเลเมื่อครู่ น้ำแข็งคงจะแล่นตามกระบี่มาถึงแขนของเขาเช่นกัน


 


ยู่จางคิ้วกระตุก นางตกใจ


 


“พวกยอดฝีมือเร่ร่อน มีไม่ถึงหนึ่งส่วนที่สำเร็จต้นกำเนิดน้ำแข็ง แม้ฐานพลังจะไม่สูง วิชาน้ำแข็งของเขาก็อยู่ใในระดับที่สูงมาก แต่ความต่างของฐานพลังก็มากเกินไป กระบี่เมื่อครู่ใช้พลังไปแค่สามส่วนของหยางเจี้ยน ถ้าเขามีพลังแค่นั้น เขาก็ไม่ใช่คู่มือของหยางเจี้ยนหรอก”


 


หยางเจี้ยนไม่สบายใจนัก เด็กน้อยที่เขาคิดว่าจะชนะได้อย่างง่ายดายกลับกลายเป็นคนที่รับมือยากกว่าที่คาด


 


“ฮื่ม! ไอ้บ้านนอก ข้ายอมรับว่าข้าประมาทเจ้าเกินไป แต่มันก็เท่านั้นแหละ!”


 


หยางเจี้ยนวาดมือ กระบี่แก้วในฝ่ามือบินด้วยตัวเอง


 


ยิ่งหยางเจี้ยนขยับมือเร็วเท่าใด กระบี่แก้วก็ยิ่งส่องสว่างและขยับเร็วขึ้นเท่านั้น


 


“อย่าคิดว่าเจ้าเป็นคนที่มีพลังต้นกำเนิดอยู่คนเดียว!”


 


หยางเจี้ยนตะโกน


 


เมื่อวิชาน้ำแข็งถูกบ่มเพาะจนถึงระดับสูงสุด ผู้บ่มเพาะจะได้พลังของต้นกำเนิด และเมื่อกระบี่ถูกบ่มเพาะจนถึงขีดสุด นั่นก็จะไปถึงระดับของความสมบูรณ์แบบ


 


“กระบี่บิน!”


 


ยู่จางมองมันอย่างนับถือ


 


“ในด้านวิชากระบี่ หยางเจี้ยนนั้นเหนือกว่าคนทั่วไป ทั้งพลังและกระบี่ ฐานพลังที่สูงกว่า ไม่ต้องสงสัยแล้วว่าใครจะชนะในครั้งนี้”


 


กระบี่แก้วพุ่งเข้าใส่ซือหยูเมื่อเขาตะโกน! กระบี่นั้นเร็วอย่างมาก ตัวกระบี่หายไปอย่างไร้เงา


 


เมื่อซือหยูตอบสนองกระบี่นั้นก็มาจ่ออยู่ที่กลางอกแล้ว! กระบี่นั้นกำลังจะทะลวงร่างซือหยู


 


แต่ซือหยูก็ยังใจเย็นอย่างเคย เขาตบอกตัวเองด้วยมือเดียว มีดปรากฏบนฝ่ามือ


 


มีดนี้คือมีดเกล็ดทองคำ! ซือหยูแกว่งมีดปะทะกับกระบี่แก้วอย่างแม่นยำ


 


แคร้ง—


 


หยางเจี้ยนกับยู่จางเห็นภาพที่ทำให้ต้องตะลึง กระบี่แก้วที่เป็นสมบัติเทพระดับกลางนั้นถูกผ่าเป็นสองท่อนตั้งแต่ปลายจนถึงด้ามจับด้วยมีดทองคำ!


 


ราวกับมีดทองคำนั้นตัดเศษกระดาษ มันหั่นกระบี่แก้วจนเหลือครึ่งส่วน!


 


“กระบี่เกล็ดทองที่สร้างจากพันธะทองคำ!”


 


ยู่จางจดจำวัตถุดิบที่ใช้สร้างมีดได้ นางตกใจอยู่บ้าง


 


“จากที่ข้ารู้ หากใส่พันธะทองคำเข้าไปเล็กน้อย ความคมของอาวุธก็จะไปอยู่ในขั้นสูง ใครกันที่ได้ครอบครองพันธะทองคำที่หายากนี่ เจ้าผู้คุมสวรรค์คนนี้เป็นใครกันแน่? เขาดูไม่เหมือนกับยอดฝีมือเร่ร่อนทั่วๆไปเลย”


 


อั่ก—


 


เมื่อสมบัติเทพที่เขาชำระถูกทำลาย หยางเจี้ยนก็กระอักเลือดออกมาในทันที เขาตกตะลึงและรีบถอยออกไปอย่างบ้าคลั่ง!


 


แต่สิ่งที่เร็วกว่าเขาก็คือมีดเกล็ดทองคำ! หลังจากที่ผ่ากระบี่แก้วเป็นสองซีกมันก็ยังไม่หยุด มันพุ่งตรงไปยังหยางเจี้ยนอย่างรวดเร็ว!


 


หยางเจี้ยนนั้นไม่รู้จะทำอะไรในตอนนี้เมื่อสมบัติเทพถูกทำลาย กว่าเขาจะรู้ตัว มีดเกล็ดทองคำก็อยู่ห่างจากเขาแค่สิบศอก!


 


“อ๊าก! อย่าเข้ามา!”


 


หยางเจี้ยนเบิกตากว้าง เขาตกตะลึงจนถึงขีดสุด เขาร้องคำรามเรียกพลังวิญญาณมาป้องกันตัว


 


ฟึ่บ–


 


แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ามีดเกล็ดทอง พลังวิญญาณที่ปกป้องกายนั้นก็ไม่ต่างจากกระดาษ มันถูกเฉือนขาดในพริบตา แต่เคราะห์ดีที่พลังวิญญาณนั้นป้องกันมีดเอาไว้ได้ หยางเจี้ยนหนีรอดจากความตายไปได้หวุดหวิด เขารอดจากท่าที่ทำให้เขาตายได้แล้ว


 


เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ในตอนนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังมาจากยู่จาง


 


“ไม่นะ!”


 


จากนั้นหยางเจี้ยนก็รู้สึกเพียงร่างกายที่หนาวเย็น เขาก้มลงมองและพบว่าอกของตัวเองถูกแทงทะลุ กระบี่น้ำแข็งเจาะหัวใจของเขาแล่นผ่านร่างกาย


 


เขาหันกลับไปมอง ซือหยูดึงกระบี่น้ำแข็งออกมาอย่างไร้อารมณ์


 


“ขออภัย ข้าทำให้เจ้าต้องตายด้วยมือของคนบ้านนอก”


 


สิ่งที่มองเห็นมืดลง หยางเจี้ยนมิอาจเชื่อว่าชีวิตเขาจะจบลงเช่นนี้ ร่างกายของเขาอ่อนปวกเปียก ชีวิตของเขาดับมอดลงอย่างรวดเร็วและมลายหายไป


 


ซือหยูยกมือเรียกมีดเกล็ดทองคำกลับมา เขาหันไปมองยู่จาง


 


“เหลือเจ้าแค่คนเดียว ดูเหมือนเจ้าจะไม่มีโอกาสแล้วนะ”


 


กังต้าเหล่ยกับฉินจิวหยางก้าวไปข้างหน้า พวกเขายืนข้างซือหยู ในบรรดาสามคนที่เหลือจะมีสองคนที่รอดไปได้ ดังนั้นแล้ว พวกเขาจะต้องต่อสู้กันอย่างแน่นอน


 


แต่ก่อนหน้านั้น พวกเขาจะต้องกำจัดยู่จางเสียก่อน นั่นคือสิ่งที่พวกเขาเข้าใจ


 


สามต่อหนึ่ง!


 


แม้แต่อสุราตนนั้นก็ถูกสามคนนี้สังหารอย่างโหดร้าย แล้วยู่จางตรงหน้าล่ะ?…แม้ว่านางจะแข็งแกร่ง แต่นางก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าอสุรา


 


ยู่จางใบหน้าเปลี่ยนไป นางคิดจะหนี แต่ภูติน้อยมองดูอยู่จากด้านข้าง…นางจะกล้าแม้แต่จะหนีรึ?


 


“ถ้าเช่นนั้นก็ให้ข้าดูพลังของพวกเจ้าสามคนเถอะ!”


 


ยู่จางไม่มีทางเลือกนอกจากการต่อสู้อย่างยากลำบาก!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม