The Divine Nine Dragon Cauldron 437-443

ตอนที่ 437

 

ใบหน้านางเผยความกลัวเล็กน้อยราวกับว่าได้พบสิ่งที่ทรงพลัง นางรู้ว่านางกำลังตกอยู่ในอันตรายจึงได้รวบรวมความกล้าหยิบเอาท่อนไม้สีขาวหิมะออกมาจากความว่างเปล่า


 


ไม้นั้นเปล่งแสงสดใส มันปะทุแรงกดดันวิญญาณอันรุนแรงออกมา และมันคือสมบัติเทพระดับกลางชั้นแนวหน้าที่ไม่อ่อนแอไปกว่าธนูมังกรฟ้าดิน ในตอนนี้ สิงห์หิมะขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏตัววนรอบปลายท่อนไม้


 


ชายแก่ในภาพเขียนตกตะลึง


 


“วิชาอัญเชิญวิญญาณงั้นรึ? สมบัติเทพระดับกลางแนวหน้า ถ้าเจ้าเป็นแค่ผู้คุมสวรรค์ธรรมดา ตัวตนของเจ้าก็ต้องยิ่งใหญ่มากแน่”


 


ชิงจู้เหิงไม่พูดอะไร นางกลับใช้สมบัติเทพทำให้สิงห์หิมะที่มีขนาดเท่าฝ่ามือเปลี่ยนไปเป็นสิงห์หิมะขนาดร้อยศอกในพริบตา!


 


พลังที่ปล่อยออกมานั้นแข็งแกร่งกว่าผู็คุมสวรรค์อย่างมาก มันเข้าถึงระดับราชามนุษย์ของจริง!


 


ไม่แปลกใจเลยที่นางทำลายผนึกทั้งสี่ได้เมื่อครู่ สิงห์หิมะร้องคำรามและพุ่งเข้าใส่การโจมตีวิญญาณ


 


ชายแก่ในภาพเขียนมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างขบขัน เขายืนมือไพล่หลังและไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย


 


แต่การโจมตีวิญญาณนั้นกลับเล็ดรอดผ่านสิงห์หิมะไป สิงห์หิมะร้องคำราม ร่างของมันจางลงไปดั่งแก้วใสก่อนจะหายไปในความว่างเปล่า


 


การณโจมตีวิญญาณนั้นไม่ได้ลงพลังลงเลย มันพุ่งเข้าใส่ชิงจู้เหิงที่มิอาจหลบได้ทันเวลา ชิงจู้เหิงกรีดร้องและเอามือจับหัวด้วยความเจ็บปวด ใบหน้านางบิดเบี้ยวแสดงให้เห็นถึงความทุกข์ทรมาน


 


ในตอนนั้นเอง ร่างออกนางเปิดออกอย่างประหลาย มันกลายเป็นเศษพลังวิญญาณ! เหลือเพียงผ้าคลุมปีกจักจั่นกับสมบัติเทพที่เพิ่งใช้เมื่อครู่เท่านั้น


 


ชายแก่ในภาพเขียนใบหน้าเคร่งเครียด เขาตะโกน


 


“อวตาลกึ่งเทพ!”


 


ในตอนนั้น ฉีหมิงบินออกมาจากถ้ำและรับสมบัติทั้งสองที่ร่วงหล่น เขาเห็นใบหน้าชายแก่ที่เคร่งเครียดและต้องถามด้วยความตกใจ


 


“นายท่าน ชิงจู้เหิงไปไหนแล้ว?”


 


ชายแก่พึมพำกับตัวเองและพูดออกมาอย่างจริงจัง


 


“เจ้าไปหาผู้หญิงคนนี้มาจากที่ไหนนะ?”


 


ฉีหมิงรู้แล้วว่ามีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น เขารีบพูด


 


“นางเป็นยอดฝีมือที่ผ่านเกาะคลื่นครามมา ข้าคิดว่านางกำลังเดินทางมาด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นแม้นางจะตายที่นี่ นางก็ไม่ได้ทำให้ใครสนใจนัก ข้าเลยชวนนางเข้ากลุ่ม”


 


ชายแก่ในภายเขียนใบหน้าซับซ้อน เขาสะบัดชุดและรีบพูด


 


“ออกจากที่นี่เดี๋ยวนี้! พวกเรายังไม่คู่ควรที่จะทำให้นางโกรธแค้น! วิชาอัญเชิญวิญญาณหายไปตั้งแต่หลายยุคก่อนแล้ว หรือจะฐานพลังกึ่งเทพนั่นก็ด้วย ขุมกำลังที่หนุนหลังจากจะต้องยิ่งใหญ่มากแน่ๆ! มีโอกาสสูงนักที่ชื่อชิงจู้เหิงจะเป็นชื่อปลอม”


 


“ถ้าไม่ใช่เพราะข้าเจอกับภัยร้ายครั้งนั้น ฐานพลังข้าก็คงไม่ตกมาถึงขั้นนี้ แล้วข้าก็ไม่ต้องมากลัวกึ่งเทพแค่คนเดียว!”


 


ชายแก่าขมวดคิ้ว เขากลับเข้าสู่ม้วนภาพเขียนใบพริบตา


 


กึ่งเทพรึ? ฉีหมิงคิดถึงอะไรบางอย่าง ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ ชิงจู้เหิงที่เขาเห็น…เป็นร่างอวตาล!


 


แค่ร่างอวตาลก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ถ้าหากนางตัวจริงมาถึงที่นี่…


 


ฉีหมิงม้วนภาพเขียนอย่างไม่ลังเล เขารีบบินหนีไปพร้อมกับร่างราชาปีศาจ


 


ในตอนนั้นเอง ที่เกาะบางแห่งในมหาสมุทรกว้างใหญ่ มีสตรีผู้เยือกเย็นอยู่ในถ้ำ นางนั่งสมาธิอยู่กับที่ นางดูงดงามและสวมชุดที่ละเอียดอ่อน นางดูคล้ายกับชิงจู้เหิงอย่างมาก!


 


ชิงจู้เหิงลืมตาที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็น แม้ว่าดวงตานั้นจะงดงามดั่งวารีใสกระจ่าง มันก็เยือกเย็นสุดขั้ว


 


“ฮื่ม! เจ้าร่างวิญญาณนั่น…ตามที่ข้ารู้ มีแค่ยอดฝีมือในขอบเขตภูติเท่านั้นที่จะทำให้วิญญาณออกจากร่างได้!”


 


“ข้าถือว่าประมาทที่ติดกับดักเจ้า แต่ถ้าร่างหลักของข้าได้เจอกับเจ้า ข้าจะทำลายวิญญาณและร่างกายของเจ้าจนหมดสิ้น!”


 


นางพูดจบและหลับตาอีกครั้งเพื่อข่มใจไม่ให้ออกไปแก้แค้น นางรู้ดีว่าถ้าอีกฝ่ายรู้ว่านั่นคือร่างอวตาล ก็เป็นไปไม่ได้แล้วที่พวกนั้นจะหยุดรออยู่ที่เดิม


 



 


ภายในร่างราชาปีศาจนั้นมีพลังภูติอยู่อย่างเข้มข้น เมื่อซือหยูเข้าสู่ภายในร่างนั้น พลังภูติอันเยือกเย็นก็เข้าสู่ร่างของเขาในทันทีทำให้พลังวิญญาณในร่างติดขัดมิอาจเคลื่อนไหวได้เลย เขาทำได้แค่ปล่อยให้พลังภูติปนเข้าสู่ร่างกาย


 


ร่างกายของเขาเย็นขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานโลหิตก็เยือกเย็นเช่นกัน และท้ายสุดก็หยุดไหลเวียน ชีวิตของเขาเริ่มดับมอดลงไป


 


ซือหยูตื่นตระหนก สถานการณ์ในตอนนี้อันตรายอย่างยิ่งยวด! ถ้าเขาไม่รีบใช้พลังวิญญาณปกป้องร่างกายโดยเร็ว เขาก็จะอยู่ไม่ได้เกินเวลาครึ่งถ้วยชา!


 


แต่พลังภูตินั้นแข็งแกร่งสุดขั้ว ไม่ต้องพูดถึงพลังวิญญาณ แม้แต่สายฟ้าที่กดพลังภูติได้ก็ถูกผนึกไปเช่นกัน


 


ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เขาจะใช้พลังวิญญาณออกมาป้องกันร่างกายได้ยังไง?


 


ในตอนนั้นเอง แสงพลังวิญญาณแล่นผ่านศีรษะของซือหยู แสงทมิฬเปล่งประกายในอก ชิ้นส่วนชุดเกราะทมิฬเปล่งประกายต่อหน้าเขา


 


ชุดเกราะนั้นเย็นยะเยือก รูปแบบของมันนั้นเรียบง่าย เพราะอย่างไรมันก็ไม่ใช่สิ่งของจากยุคสมัยใหม่นี้


 


ที่พื้นที่ส่วนอกของชุดเกราะนั้นมีรูขนาดใหญ่มาก ดูเหมือนว่ามีบางอย่างทะลวงชุดเกราะและบดขยี้หัวใจของผู้ที่ใส่มันในอดีต


 


ซือหยูสัมผัสชุดเกราะโดยไม่รู้ตัว แต่มันก็ยากอย่างมากที่จะทำได้ เมื่อเขาใช้พลังเล็กน้อย ไม่ใช่เพียงเขาจะสัมผัสชุดเกราะไม่ได้ เขายังรู้สึกเจ็บปวดที่ปลายนิ้วอีกด้วย


 


ซือหยูตกใจ ร่างกายของเขาไปถึงระดับของราชามนุษย์ แต่ชุดเกราะตรงหน้าเขานั้นแข็งแกร่งอย่างมาก มันแตกต่างกับชุดเกราะธรรมดาโดยสิ้นเชิง


 


ซือหยูสังเกตุมันดีๆและพบว่าส่วนตรงกลางนั้นมีรอยบากอยู่ ในรอยนั้นมีแก้วสีโลหิตฝังอยู่ มันส่งพลังอันอบอุ่นที่ขับความเยือกเย็นออกจากร่างของซือหยู


 


เมื่อเขาสัมผัสมันเบาๆ แก้วก็เปล่งพลังสีเพลิงออกมาเล็กน้อย! ซือหยูตัวแข็งทื่อ จากนั้นเขาก็ตกใจจนอุทานออกมา


 


“นี่มัน…พลังชีวิต!!”


 


แก้วโลหิตนี้กักเก็บพลังชีวิตไว้เป็นจำนวนมาก มันเป็นพลังที่ทวีปเฉินหลงไม่มีอยู่! และราวกับว่าชุดเกราะทมิฬถูกใช้งาน มันสั่นอย่างรุนแรงและเปล่งแสงทมิฬออกมา


 


เมื่อแสงกระจายไปยังรอบข้าง พลังภูติที่อยู่รายล้อมก็ถูกทำลายหายไป! แม้แต่พลังภูติที่เข้าปะปนในร่างกายก็ถูกขับออกมาทางรูขุมขนก่อนจะสลายไป


 


ซือหยูดีใจผลที่เกินกว่าคาด! เขาสวมชุดเกราะทันที ในตอนนั้น พลังภูติรอบกายก็หลีกหายไปอย่างรวดเร็ว


 


เฮือก—


 


“เกือบไปแล้ว! โชคดีที่ข้ามีชุดเกราะนี่!”


 


ซือหยูพูดและลูบชุดเกราะลึกลับ เขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีเป็นอย่างมาก


 


ถ้าไม่ใช่ว่าเขาเก็บชุดเกราะนี้ไว้โดยไม่มีใครรู้ที่ทางเข้าถ้ำ…เขาก็เขาจะตายไปแล้วในตอนนี้ แต่เรื่องนี้มันยังไม่จบ เขาต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้!


 


ซือหยูมองรอบๆและพบว่าที่อยู่ขณะนี้คือพื้นที่ที่ถูกสร้างขึ้นมา มันกว้างหลายหมื่นศอก แต่มันก็มีแต่พลังภูติ เนตรวิญญาณของเขามิอาจมองผ่านไปได้ เขาต้องใช้เวลามากทีเดียวกว่าจะเจอทางออก


 


ซือหยูรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อสวมชุดเกราะ เขารวบรวมพลังภูติให้เป็นกลุ่มอย่างอดทนและระมัดระวัง


 


แต่หลังจากที่ค้นหามานาน เขาก็สัมผัสได้แต่กำแพงนิ่มๆที่บิดตัวไปมา เขาหาทางออกไม่เจอ ซือหยูยังกังวลเล็กน้อยกับแสงของแก้วที่กลางชุดเกราะ เพราะมันอ่อนแสงลงไปมากแล้ว พลังภูติเข้ามาอยู่ใกล้ตัวเขาอีกครั้ง


 


“ดูเหมือนชุดเกราะนี่จะรับได้อีกไม่นาน ข้าจะต้องรีบออกไปจากที่นี่!”


 


ซือหยูค่อนข้างเป็นกังวล


 


ในตอนนั้นเอง เขาเห็นแสงสีขาวแล่นผ่าน เขาหันไปมองและพบกับคัมภีร์ที่ฉีกขาด มันเปล่งแสงสีขาวอ่อนๆออกมาขับไล่หมอกพลังภูติราวกับน้ำไหล!


 


แสงนั้นประหลาดอย่างมาก มันแล่นผ่านหมอกพลังภูติได้ รัศมีของมันนั้นยังกว้างร้อยศอก! ซือหยูบินไปหาคัมภีร์นั้นและมองดูมันดีๆ เขาพบว่าม้วนคัมภีร์นั้นจารึกแผนที่เอาไว้

 

 

 


ตอนที่ 438

 

แม้ซือหยูจะสงสัย เขาก็ไม่มีเวลาไปมากกว่านี้ เขาเริ่มค้นหาทางออกโดยการตามแสงที่เปล่งออกมาจากม้วนคัมภีร์


 


เวลาผ่านไปช้าๆ ซือหยูไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่มานานเพียงใดก่อนที่จะพบรูเหนือศีรษะ มีพลังจางโลกภายนอกค่อยๆผ่านรูเข้ามา นั่นจะต้องเป็นทางออกแน่!


 


ซือหยูยินดี เขากำลังจะผ่านรูนั้นไปแต่ก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันเบาๆ


 


******


 


ลึกในใต้ดิน ที่เกาะร้างแห่งหนึ่ง


 


ฉีหมิงกับชายแก่ในภาพเขียนนั่งมองหน้ากัน ระหว่างพวกเขาคือร่างยาวสามสิบศอกของราชาปีศาจ


 


“ข้าจะใช้วิชาส่งเจ้าเข้าไปในร่างของราชาปีศาจ…”


 


ชายแก่พูด


 


“ข้าจะใส่พลังชีวิตลงในตัวเจ้า มันจะทำให้เจ้าป้องกันของพลังพวกภูติผีได้นานหนึ่งก้านธูป เจ้าจะต้องหาแผนที่ลับสวรรค์ให้เจอ มิเช่นนั้นเจ้าก็อย่าหวังที่จะได้กลับออกมา”


 


เขาเอานิ้วสัมผัสหน้าผากของฉีหมิงและใส่พลังวิญญาณเข้าไป


 


ฉีหมิงเข้าใจแล้ว


 


“ได้เลยนายท่าน! ข้าไม่เสียใจเลยถ้านายท่านจะได้ฐานพลังกลับคืนมา”


 


“ฮื่ม! เจ้าเต็มใจมารับใช้ข้าก็เพราะว่าเจ้าถูกข้าจองจำแล้วก็อยากจะไปจิวโจวกับข้า ไม่ต้องห่วง หลังจากเรื่องทั้งหมดจบลง ข้าจะพาเจ้าไปจิวโจวกับข้า”


 


ชายแก่พูดเบาๆ


 


“เอาล่ะ ข้าจะเริ่มใช้วิชาแล้ว”


 


ชายแก่เริ่มใช้พลัง พื้นดินรอบๆทั้งสามเริ่มเปล่งแสงออกมา พลังภูติพุ่งออกมาจากอกของราชาปีศาจก่อตัวเป็นวายุพลังขนาดเท่าฝ่ามือ ร่างของฉีหมิงหายไปพร้อมกับถูกกลืนกินเข้าสู่พลังนั้น


 


ฟึ่บ–


 


ฉีหมิงเพิ่งเข้ามาและก็พบว่าพลังภูติอันโหดร้ายได้กดพลังวิญญาณทั้งหมดของเขา มีเพียงพลัวชีวิตในร่างกายที่ทำให้เขาไม่เป็นอะไร


 


“นี่คือในร่างของราชาปีศาจงั้นรึ?”


 


“พลังภูติเช่นนี้ ราชาปีศาจหิมะทมิฬต้องตายไปแล้วแน่ๆ ถ้าข้าหาแผนที่ลับสวรรค์เจอเร็วๆข้าจะได้ค้นศพของมัน ข่าวบอกว่าคนคนนี้มีสมบัติมากมายอยู่กับตัว แล้วยังสมบัติเทพระดับสูงนั่น…”


 


แต่ในตอนนั้นเอง เสียงหัวเราะเยาะก็ดังเข้าหูเขา


 


“ขอบคุณที่คิดถึงข้านะเจ้าของร้านฉี…”


 


“แต่น่าเสียดาย ข้าตายที่นี่ไม่ได้หรอก”


 


ฉีหมิงตัวแข็งทื่อ เขาหน้าซีดเผือด เขาร้องเสียงหลง


 


“ราชาปีศาจหิมะทมิฬ…เจ้า…เจ้ายังไม่ตายเรอะ? เป็นไปไม่ได้!”


 


ฟึ่บ–


 


หมอกพลังภูติแหวกให้กับคนที่เดินเข้ามา เขาคือซือหยู


 


ฉีหมิงตัวสั่น เขาหรี่ตามองคัมภีร์ในมือซือหยู


 


ฉีหมิงพยายามใจเย็นและพูดอย่างเป็นมิตร


 


“เจ้าพูดอะไรของเจ้าน่ะ? ข้าโล่งใจที่เจ้ายังไม่ตาย! ถ้าเจ้าตายไปจริงๆข้าก็คงได้แต่โทษตัวเอง”


 


ซือหยูยิ้มเบาๆ


 


“อย่างนั้นเองรึ?”


 


ฉีหมิงหัวเราะอย่างอับอาย


 


“ใช่แล้ว! หากท่านหิมะทมิฬไม่เป็นอะไร ก็ออกจากที่นี่ไปกับข้าเถอะ แม่นางชิงรอพวกเราอยู่ที่ข้างนอก”


 


เขาพูดจบและเดินไปจับไหล่ซือหยูอย่างเป็นธรรมชาติราวกับจะออกจากที่นี่ไปกับเขา แต่เมื่อเขาเข้าใกล้ ท่าทางเป็นมิตรก็เปลี่ยนไปเป็นใบหน้าดุร้าย ฝ่ามือกลายเป็นกรงเล็บเข้าเฉือนข้อมือของซือหยู


 


“เจ้าของร้านฉี นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?”


 


ซือหยูพูดตอนที่ถอยหลบ


 


ฉีหมิงหัวเราะอย่างเยือกเย็น


 


“ก็ถ้าเจ้ายังไม่ตาย ข้าก็จะลงมือเอง!”


 


“อย่างนั้นรึ?”


 


ในตอนนั้นเองฉีหมิงก็ได้เห็นใบหน้าเยือกเย็นที่แทนที่ด้วยรอยยิ้มของราชาปีศาจหิมะทมิฬ เขาหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ฉีหมิงไม่สบายใจอย่างมาก แต่เมื่อคิดถึงความต่างในพลังและพลังวิญญาณที่ใช้การที่นี่ไม่ได้ เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นและคว้าข้อมือของซือหยู!


 


เขาปล่อยพลังพยายามจะบีบมือซือหยูให้แหลก แต่เมื่อเขาออกแรงก็รู้สึกราวกับว่ากำลังจับเหล็กกล้า ไม่ว่าเขาจะออกแรงเท่าใด เขาก็ขยับอีกฝ่ายไม่ได้เลย!


 


“เจ้า…ร่างกายเจ้า! นี่มันอะไรกัน?”


 


ฉีหมิงอ้าปากค้าง เขาปล่อยมือราวกับว่าได้สัมผัสกับสายฟ้า


 


แต่ในความมืด มือของซือหยูก็มาถึงตัวเขาแล้ว มันคว้าแขนของเขาเอาไว้ ใบหน้าอันเยือกเย็นของอีกฝ่ายจุดปะทุด้วยจิตสังหาร


 


“ข้าว่าเจ้าพอได้แล้วล่ะ”


 


ซือหยูใส่แรงที่มือ เสียงกระดูกแตกดังลั่น กระดูกของฉีหมิงหักเป็นสองท่อน


 


ฉีหมิงกรีดร้องเสียงดัง เขาพยายามจะเป็นอิสระจากมือซือหยูและหนีไป แต่แรงมือซือหยูนั้นแข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า


 


“เจ้า…เจ้าคิดจะฆ่าข้าเรอะ?”


 


ฉีหมิงตกใจ


 


ซือหยูพูดอย่างใจเย็น


 


“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”


 


ฉีหมิงกลัวตายอย่างสุดขั้ว แววตาสะท้อนความกลัว


 


“เดี๋ยวก่อน! นายท่านอยู่ข้างนอกนี้เอง! ถ้าเจ้าฆ่าข้า เจ้าก็อาจจะมีชีวิตออกไปจากที่นี่ไม่ได้ ถ้าเจ้าสาบานว่าจะไว้ชีวิตข้า ข้าจะให้นายท่านไว้ชีวิตเจ้า! ฆ่าข้าไปก็ไม่ได้อะไร แต่ถ้าไม่ฆ่าข้า เจ้าจะรอด”


 


ซือหยูพยักหน้า


 


“นั่นก็มีเหตุผล”


 


ฉีหมิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก


 


“ถ้าเช่นนั้..เอื่อก!”


 


ซือหยูซัดมือสะบั้นคอของเขา


 


ฉีหมิงนั้นเป็นชายเจ้าเล่ห์ คงจะไม่ฉลาดถ้าต้องตกลงเรื่องสิ่งใดกับเขา และเขายังเป็นแค่คนรับใช้ เขามีสิทธิ์อะไรไปขอร้องเจ้านายของเขากัน?


 


หลังจากที่เห็นแล้วว่าฉีหมิงตาย ซือหยูก็ค้นตัวของเขาและไม่พบสิ่งใด


 


“คนจนเช่นนี้เป็นเจ้าของกระโจมแสงทองได้นั่นน่าประหลาดใจจริงๆ!”


 


เขาสะบัดมือและสร้างเพลิงแผดเผาร่างของฉีหมิงเป็นเถ้าถ่าน


 


ก่อนที่ซือหยูจะไป เขาก็พบเส้นผมบางๆในเถ้าถ่านนั้นที่ไม่ถูกเพลิงเผาไหม้! ในตอนนั้นซือหยูก็มั่นใจว่ามันไม่ใช่ใยผม แต่มันคือสมบัติที่อดทนต่อความร้อนสูงได้


 


เขาหยิบมันขึ้นมาวางในฝ่ามือและส่งพลังจิตวิญญาณเข้าไป ในตอนนั้นวิญญาณได้ถูกดูดซับเข้าไปในสถานที่ที่ไม่รู้จัก


 


พื้นที่นั้นคับแคบ…มีขนาดเท่ากล่องใบเล็ก มันมีขนาดไม่ถึงครึ่งของคันฉ่องจักรวาลด้วยซ้ำ แต่ในพื้นที่แคบนี้ก็เต็มไปด้วยสมบัติมากมาย!


 


ตำราระดับอำมฤตฉบับสมบูรณ์เก้าเล่ม! สมบัติเทพห้าชิ้น! สร้อยมากมาย ยังมีสร้อยทลายเทพที่เขาเคยเห็นมาก่อนแล้วก็มีสร้อยสายฟ้าสีเพลิงที่ยังเหลืออีกสองเส้น และยังมีขวดโอสถอยู่แปดขวด สิ่งของมากมายเช่นนี้เหนือยิ่งกว่าที่ซือหยูมี!


 


“หา? ผ้าคลุมปีกจักจั่นของชิงจู้เหิง!”


 


ซือหยูจำได้ว่ามีของชิงจู้เหิงปะปนอยู่กับสมบัติเทพ สีหน้าของเขาหม่นหมอง


 


“ผู้หญิงคนนั้นลึกลับนัก ชิงจู้เหิง พลังของนางเทียบไม่ได้กับราชามนุษย์ ถ้านางตาย นั่นก็ต้องไม่ใช่เพราะฉีหมิง จะต้องเป็นเจ้านายของมันที่ฆ่านาง!”


 


ซือหยูครุ่นคิดถึงพลังของผู้เป็นนายฉีหมิง


 


“เขาจะต้องเป็นกึ่งเทพ!”


 


“เพราะอย่างไร ถ้าเขาอยู่ใจขอบเขตภูติ เขาจะต้องลงแรงขนาดนั้นจัดการกับราชาปีศาจเชียวรึ? คนที่จะฆ่าชิงจู้เหิงได้จะต้องเป็นกึ่งเทพ!”


 


เขาใจหาย แม้ซือหยูจะเคยสู้กับอสุรากึ่งเทพมาก่อน นั่นก็เป็นตอนที่เขายืมพลังของจางตี๋เก้อ การต่อสู้กับกึ่งเทพเพียงลำดับนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ


 


ซือหยูหยุดคิดและคำนวนผลที่ได้หากจะเผชิญหน้ากับเจ้านายของฉีหมิง


 


ในที่สุดเขาก็คิดอะไรขึ้นมาได้ เขาหายตัวพุ่งออกไปยังช่องว่างเหนือศีรษะ

 

 

 


ตอนที่ 439

 

ชายแก่ในภาพเขียนนั่งลง ข้างหน้าเขาคือมุกอรหันต์เปล่งประกายลอยอยู่กลางอากาศ


 


เหนือมุกอรหันต์มีภาษาสันสกฤตหลายตัวปรากฏออกมา ไม่ว่าจะผ่านไปที่ใดก็ทำให้ผู้คนใจเย็นลง มันคือวิญญาณของผู้คนที่ถูกอรหันต์ชำระล้าง


 


ส่วนแรงดันวิญญาณที่ปล่อยออกมานั้นน่าตกใจยิ่งนัก แรงกดดันนั้นเหนือยิ่งกว่าระดับของสมบัติเทพ แทบจะเทียบได้กับกระบี่สายฟ้า ถ้าเทียบกันแล้ว แหวนทองปราบมารก็ยังด้อยกว่า


 


เมื่อมุกอรหันต์เปล่งแสงกระทบราชาปีศาจที่ถูกพันธนาการ ร่างของมันก็บิดเบี้ยวและเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม และทั้งร่างของมันยังปล่อยพลังภูติอันรุนแรงออกมา


 


ทันใดนั้นมันก็ลืมตาขึ้น มันจะหมดสติไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะ? มันก็แค่เสแสร้งได้ดีเท่านั้น!


 


ชายแก่ยิ้มเยาะ


 


“เจ้าหยุดทำเป็นหมดสติแล้วรึยังไงกัน? แหวนทองปราบมารถ้าใช้กับราชาปีศาจธรรมดาก็คงทำให้หมดสติและไม่ตื่นขึ้นไปตลอดกาล แต่เจ้าไม่ใช่ราชาปีศาจธรรมดา ข้าจะมองข้ามเรื่องนั้นไปได้รึ?”


 


ชายแก่ในภาพเขียนรู้อยู่แล้วว่าการพันธนาการราชาปีศาจไม่ได้ทำให้มันหมดสติ มันก็แค่แสร้งหมดสติเพื่อรอให้พวกเขาประมาท ราชาปีศาจจะได้ฉวยโอกาสนั้นลงมือ


 


ราชาปีศาจตะโกนด้วยความเจ็บปวด


 


“เจ้าเป็นใครกันแน่? เจ้ามีของจากอรหันต์อยู่กับตัว สาวกตัวจริงยังเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีสมบัติวิญญาณสองชิ้น!”


 


ชายแก่พูดอย่างใจเย็น


 


“เจ้าไม่ต้องรู้หรอก”


 


เขาพูดจบและแตะปลายนิ้วไปที่มุกอรหันต์ มุกอรหันต์หมุนวนขุดหน้าผากของราชาปีศาจ


 


“อ๊าก!! เจ้าจะใช้มันควบคุมข้า! อย่าแม้แต่จะคิด!”


 


คลื่นพลังภูติรวมตัวกันที่หน้าผากเพื่อหยุดมุกอรหันต์ด้วยพลังทั้งหมดที่มี


 


ชายแก่ยิ้มเยาะ


 


“ทำอะไรของเจ้า!”


 


ชายแก่ในภาพเขียนขยับดัชนีทั้งสิบ มุกอรหันต์ได้กลายเป็นก้อนพลังทำลายคลื่นพลังภูติและผ่านหน้าผากของราชาปีศาจไป


 


จากนั้นชายแก่จึงหยุดและหายใจหอบ


 


“จากนี้มันจะอยู่ในตัวเจ้า หากข้าคิดจะทำ พลังอรหันต์ในมุกนั่นก็จะระเบิด เจ้าจะเป็นเถ้าถ่านในพริบตา! จากนี้ไป เจ้าคงรู้ว่าต้องทำอะไร!”


 


ราชาปีศาจชิงชังสุดขั้ว แต่ในใบหน้าก็มีความกลัว


 


หลังจากที่ขัดขืนซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันก้มหน้าอย่างไม่พอใจ


 


“นายท่าน ข้าฉิงกุย”


 


ชายแก่ยิ้ม


 


“ดีมาก สมกับที่เป็นผีที่บ่มเพาะมาหลายปี จะอย่างไรชีวิตก็สำคัญยิ่งกว่าศักดิ์ศรี ดูเหมือนข้าจะไม่ต้องพูดให้มากความ”


 


ราชาปีศาจเกลียดชังยิ่งนัก แต่มันก็ไม่แสดงใบหน้าไม่พอใจอีกแล้ว


 


“ฉิงกุยผู้นี้มิควรได้รับคำชม”


 


“ฮื่ม! ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไร ไม่ต้องห่วง หลังจากที่ข้ากลับไปยังจิวโจว ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า ตอนนี้เจ้าก็ช่วยข้าไปที่กระโจมเทพสวรรค์ซะเถอะ ข้าจะใช้โอกาสนี้กลับจิวโจว”


 


ดวงตาราชาปีศาจกลอกไปมา


 


“ข้าน้อมรับคำชี้แนะจากนายท่าน…”


 


“อืม ตอนนี้ข้ารอให้คนรับใช้ข้าอีกคนเอาแผนที่ลับสวรรค์ออกจากตัวเจ้า!”


 


ชายแก่พูดอย่างเรียบเฉย


 


“ข้าจะเอาแหวนทองปราบมารออกจากตัวเจ้าก่อน ข้าเป็นเพียงร่างวิญญาณ ข้าต้องมีการคุ้มกัน”


 


“นายท่าน ขอบคุณนายท่าน!”


 


ราชาปีศาจยินดียิ่งนัก มันยืนข้างหลังชายแก่ด้วยความนับถือ


 


ชายแก่พยักหน้า เขาเงยหน้าอีกครั้งและใช้พลังสั่งให้แหวนทองปราบมารคลายลง จากนั้นมันจึงกลายเป็นแหวนทองขนาดเท่าฝ่ามืออีกครั้ง


 


ในตอนนั้นเอง เมื่อชายแก่ในภาพเขียนกำลังจะเอื้อมมือคว้าแหวนทองเก็บเอาไว้ พลังภูติก็ปรากฏขึ้นจากช่องท้องของราชาปีศาจ


 


ชายแก่ตกใจเล็กน้อย


 


“เอ๋? เร็วกว่าที่ข้าคิดเสียอีก มันหาแผนที่ลับสวรรค์เจอได้เร็วเช่นนี้เชียวรึ?”


 


แต่แววตาของชายแก่ก็เปลี่ยนไปในไม่นาน!


 


“ไม่ใช่สิ!”


 


เพลิงยักษ์พุ่งออกจากวายุพลังเข้าใส่ชายแก่ที่อยู่ใกล้อย่างมาก ชายแก่ตกตะลึงอย่างมาก จากนั้นสีหน้าเขาก็เยือกเย็น


 


“ฮื่ม! ข้าประเมินเจ้าต่ำไปจริงๆ เจ้ายังไม่ตายแม้จะอยู่ในตัวราชาปีศาจมาสามวัน!”


 


เขาอุทาน


 


หลังพูดจบก็มีพลังที่มองไม่เห็นพุ่งออกมา มันไม่สนใจเพลิงพิโรธและผ่านช่องว่างเข้าไปยังคนในวายุพลังที่กำลังจะออกมา


 


ร่างสีแดงส่งเสียงกรีดร้องและขัดขืนออกมาจากวายุพลังภูติ จากนั้นเขาก็หนีไปอย่างรวดเร็ว!


 


ชายแก่ตกใจเล็กน้อย


 


“ไม่ตายแม้จะเจอการโจมตีวิญญาณของข้าไปงั้นรึ?”


 


แม้แต่วิญญาณของชิงจู้เหิงที่แข็งแกร่งก็ถูกทำลายในพริบตา ชายแก่ซัดพื้นด้วยฝ่ามือ ร่างของเขาพุ่งตรงออกไปยังนภาด้วยความเร็วอันน่ากลัว เขาไล่ล่าคนที่กำลังหนี


 


แต่ในตอนนั้นเอง เมื่อชายแก่ออกไป อีกวายุพลังก็ปรากฏขึ้นจากท้องของราชาปีศาจ! ชายหนุ่มผมแดงที่สวมชุดขาวได้พุ่งพรวดออกมา


 


เขาที่ออกมาคว้าแหวนทองปราบมารเอาไว้อย่างไม่ลังเล จากนั้นเขาก็หายลับหนีไปอีกทาง


 


แต่เมื่อเขากำลังจะบินหนี สายลมรุนแรงได้แล่นผ่านศีรษะ! ชายแก่ร่างโปร่งใสยืนมือไพล่หลังอยู่เบื้องบน เขาก้มลงมองอย่างเย็นชา


 


“เจ้าคิดจะใช้กลไม้นี้หลอกข้าจริงๆน่ะรึ?”


 


ร่างเทียมของซือหยูหลอกเขาไม่ได้!


 


“ถ้าเจ้าซ่อนตัวอยู่ในราชาปีศาจ ข้าก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้ แต่ถ้าเจ้าออกมา นี่ก็คือที่ตายของเจ้า!”


 


พลังที่มองไม่เห็นพุ่งออกจากดวงตาของชายแก่ มันคือคลื่นพลังที่ทำให้ร่างอวตาลของชิงจู้เหิงถูกทำลาย


 


ซือหยูตกใจและหลบมันไม่ได้ แต่สีหน้าชายแก่ก็เปลี่ยนไปเมื่อการโจมตีวิญญาณของเขาราวกับหายไปดื้อๆ มันทำอะไรวิญญาณซือหยูไม่ได้แม้แต่น้อย!


 


“เจ้าเป็นใคร?”


 


สีหน้าของชายแก่เคร่งเครียด เขาถามขึ้นและยังสั่งให้ราชาปีศาจลงมืออย่างลับๆ!


 


ดวงตาแดงก่ำของราชาปีศาจดุร้าย กรงเล็บของมันซัดใส่ซือหยูด้วยพลังรุนแรง พลังนั้นต่ำกว่าขอบเขตภูติเพียงเท่านั้น


 


ซือหยูตัวสั่น เขาใช้ปีกตระกูลหวังบินหนีไม่คิดชีวิต


 


สีหน้าของชายแก่หม่นหมองลง เขาวางมือลงและสร้างการโจมตีวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าเดิมอย่างมาก มันสร้างรูปลักษณ์เป็นฝ่ามือยักษ์ที่มองไม่เห็นและดันเข้าใส่วิญญาณของซือหยู


 


แต่ชายแก่ก็ตกตะลึงเมื่อเห็นว่าร่างของซือหยูเพียงแค่กระตุกในตอนที่พุ่งออกไป ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น!


 


ดังนั้นแล้ว การโจมตีวิญญาณของชายแก่นั้นใช้ไม่ได้กับซือหยูโดยสมบูรณ์ ชายแก่ตกตะลึงอย่างมากเมื่อเห็นดังนี้ เขาคิดจะออกไปจากที่นี่ในจิตใต้สำนึก


 


ส่วนซือหยูก็บินหนีเมื่อได้โอกาส เขาหายลับไปในพริบตา


 


“ฉิงกุย! จับมันมาเดี๋ยวนี้!”


 


ชายแก่ตะโกนสั่ง


 


ฉิงกุยตาเป็นประกาย เมฆาดำสนิทปรากฏที่ใต้เท้าของมันและพามันเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง ส่วนชายแก่นั้นไม่ได้ไล่ตาม เขาสงสัย


 


“หรือว่าเด็กนั่นจะเป็นหุ่นเชิด? การโจมตีวิญญาณของข้าทำอะไรมันไม่ได้เลย!”


 


“มีโอกาสสูงนักที่ฉีหมิงจะตายแล้ว ส่วนแผนที่ลับสวรรค์ก็น่าจะอยู่ในมือมันเสียแปดเก้าส่วน…แหวนทองปราบมารก็ด้วย! บัดซบ เจ้าเด็กนั่นหนีไปพร้อมกับสมบัติของข้า!”


 


ใบหน้าชายแก่เต็มไปด้วยจิตสังหาร


 


“ของที่ข้าพยายามหนักหนาเพื่อให้ได้มาถูกไอ้เด็กน้อยขโมยไป! ถ้าไม่ใช่เพราะข้าทำได้แค่โจมตีวิญญาณ ข้าก็ได้ฆ่ามันไปแล้ว!”


 



 


เหนือมหาสมุทรมีปีกคู่หนึ่งสยายออกตัดผ่านขอบนภา ข้างหลังปีกคู่นั้นคือเมฆามืดสนิทที่รวดเร็วไม่แพ้กัน ปีกและเมฆาไล่ล่ากันอย่างบ้าคลั่ง มนุษย์กับภูติผีกำลังหนีและไล่ล่าอย่างดุเดือด


 


ราชาปีศาจถอนหายใจแรง


 


“เจ้าหนู ข้าตกต่ำมาจนถึงระดับที่ต้องเป็นทาส ทั้งหมดเพราะฝีมือเจ้า เจ้าจะต้องแหลกเป็นพันๆชิ้น!”

 

 

 


ตอนที่ 440

 

สีหน้าของซือหยูหม่นหมอง เขาบินไปยังทิศเรือรบของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ เขาคิดว่าเขาแค่ต้องสู้กับกึ่งเทพลึกลับที่ไม่มีใครรู้จัก เขาไม่คิดเลยว่าเขาจะต้องสู้กับราชาปีศาจที่ตกอยู่ในควบคุมของกึ่งเทพด้วย!


 


เขาเคยเห็นความแข็งแกร่งของราชาปีศาจแล้ว ในใจนั้นเย็นยะเยือก!


 


“ตายซะ!”


 


เมฆามืดมิดใต้เท้าของราชาปีศาจเร็วมาก มันใช้เวลาไม่นานก่อนจะไล่ตามซือหยูทัน มันอ้าปากและส่งเสาศิลาสองต้นออกไป


 


ซือหยูใจหาย อัสนีม่วงส่วนมากนั้นกำลังใช้เพื่อกดพลังอัสนีจากกระบี่สายฟ้าเอาไว้ เขาเหลือสายฟ้าในตัวที่ใช้ได้เพียงแค่เศษเสี้ยวเดียวเท่านั้น และด้วยการต่อสู้ในแท่นบูชา เขาได้ใช้สายฟ้าที่ใช้ได้จำนวนมากไปแล้ว ถ้าเขายังใช้อีก สายฟ้ามรกตในตัวก็จะกำเริบ มันจะต้องทรมานยิ่งกว่าความตายอย่างแน่นอน


 


ซือหยูคิดแผนในพริบตาและโยนสร้อยสายฟ้าของฉีหมิงออกไป สายฟ้าพุ่งซัดใส่ราชาปีศาจ ราชาปีศาจใช้พลังภูติก่อตัวเป็นเกราะกำบัง ซือหยูใช้โอกาสนี้ทิ้งระยะห่างอีกครั้ง


 


ราชาปีศาจถอนหายใจแรง มันมองดูทิศทางของซือหยูและเริ่มไล่ล่าอีกครั้ง!


 


การไล่ล่าดำเนินไปครึ่งวัน ระยะนั้นเกิดกว่าแสนลี้ และพลังวิญญาณของซือหยูก็ค่อยๆหมดไป เขาเริ่มใจไม่ดีและหยิบโอสถหยาดจันทราเยือกแข็งที่จ้าววิหคเพลิงฉิวให้มาเพื่อฟื้นฟูพลังวิญญาณ แต่อีกฝ่ายก็ไล่ล่าไม่หยุดหย่อน เขากำลังจะใช้โอสถหมดในไม่นาน การหนีเอาชีวิตรอดไม่ใช่ทางออก


 


ซือหยูใช้พลังวิญญาณสุดท้ายที่มีเก็บปีกและตั้งท่าเตรียมต่อสู้!


 


พลังของราชาปีศาจนั้นแข็งแกร่งกว่าอสุราอย่างมาก และซือหยูก็เดาว่าแม้แต่กึ่งเทพทั้งสามจากพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ก็อาจจะทำอะไรมันไม่ได้ ซือหยูต้องใช้แก้วพลชีวิตสุดท้ายในการเรียกกระบี่สายฟ้า


 


เพียงแค่เขาเปิดคันฉ่องจักรวาลก็มีรังสีกระบี่อันรุนแรงพวยพุ่งออกมา


 


สีหน้าราชาปีศาจเปลี่ยนไป มันขนลุกซู่ มันไม่เพียงหยุดไล่ล่าแต่ยังเริ่มถอยไปไกล มันมองซือหยูด้วยความตกใจ


 


“สมบัติวิญญาณอัสนี?”


 


“เจ้าเป็นใครกันแน่? เด็กจากโลกดับสูญอย่างเจ้าจะมีสมบัติวิญญาณได้ยังไง!”


 


ซือหยูเหลือบมองราชาปีศาจ


 


“ข้าจะบอกเจ้าทำไมกัน?”


 


สายตานั้นทำให้ราชาปีศาจต้องหยุดคิด ไม่นานจิตสังหารของมันก็ลดลง พลังภูติรอบตัวมันลดน้อยลงไป


 


“เจ้าอยากจะได้สมุนไพรบาดาลอมตะใช่หรือไม่?”


 


เอ๋? ซือหยูประหลาดใจเล็กน้อย


 


“เจ้าจะพูดอะไรกันแน่?”


 


ราชาปีศาจกอดอก


 


“ข้าจะต่อรองกับเจ้า ข้าจะให้สมุนไพรบาดาลอมตะ ถ้าเจ้าช่วยข้าฆ่าไอ้แก่บัดซบนั่น!”


 


ราชาปีศาจแววตาดุร้าย


 


ซือหยูลูบคาง


 


“นั่นเป็นร่างวิญญาณและมีความลับมากมาย ข้าอาจจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อฆ่าเขา ถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้าก็จะมีโอกาสฆ่าข้าหลังจากข้าฆ่ามัน”


 


ราชาปีศาจหัวเราะ


 


“เจ้าไม่ต้องตกลงตอนนี้ก็ได้! พลังเจ้าไม่ได้อ่อนแอไปกว่าราชามนุษย์ ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไปที่กระโจมเทพสวรรค์ ที่นั่นมีอันตรายมากมายนัก รวมถึงโอกาสที่จะฆ่ามันด้วย ถ้าเจ้าสัญญาจะช่วยข้าฆ่ามัน สมุนไพรบาดาลอมตะก็จะเป็นของเจ้า!”


 


ซือหยูพยักหน้า


 


“ก็ได้ ข้าสัญญา! แต่ข้าต้องได้สมุนไพรบาดาลอมตะสองต้น!”


 


ราชาปีศาจหัวเราะและอ้าปากคายเส้นขนสีดำสองเส้นออกมา สมุนไพรบาดาลอมตะคือเส้นผมของราชาปีศาจ


 


“ย่อมได้!”


 


“ตอนนี้ข้าถูกไอ้แก่นั่นควบคุม สมบัติข้าก็เป็นของมัน ข้าให้เจ้าตอนนี้จะไม่เป็นอะไรรึ?”


 


ในตอนนั้นมันก็คายม้วนคัมภีร์ออกมา มันคือปฏิญาณสัตย์ดวงใจ! ถ้าหากมีปฏิญาณสัตว์ดวงใจ ราชาปีศาจก็ไม่ต้องกลัวว่าซือหยูจะผิดคำพูด จากนั้นเมื่อคำสาบานเสร็จสมบูรณ์ ซือหยูก็ได้สมุนไพรบาดาลอมตะไปสองต้น ทั้งสองฝ่ายตกลงกันเรียบร้อย


 


ราชาปีศาจพอใจมาก มันหัวเราะเสียงดัง


 


“ดีล่ะ! ข้าจะรอให้เจ้ามาช่วยข้าในกระโจมเทพสวรรค์!”


 


หลังพูดจบมันก็ฉีกแขนออก หากบาดเจ็บเล็กน้อยก็จะหลอกชายแก่ในภาพเขียนได้


 


“ข้าให้แขนข้างนี้กับเจ้า…”


 


“ดูเหมือนเจ้าจะมีสายโลหิตของข้า นี่คือแก่นโลหิตของราชาปีศาจ เจ้าจะชำระสายโลหิตและเพิ่มพลังสายโลหิตปีศาจได้ นี่คือสิ่งที่ลูกหลานตระกูลกุยได้แต่ฝันถึง!”


 


ราชาปีศาจหัวเราะ


 


ซือหยูตกตะลึง เขารับแขนไว้ด้วยมือหนึ่งข้างและมองดูโลหิตที่หลั่งไหลภายใน พลังอันอบอุ่นและความตื่นเต้นเอ่อล้นในจิตใจ


 


“เจ้าต้องแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นถึงจะฆ่าไอ้แก่บัดซบนั่นได้”


 


พลังภูติรอบตัวราชาปีศาจผลักเขาหายลับไป


 


ซือหยูมองดูรอบๆและเก็บแขนนั้นไว้และบินออกไปเมื่อยืนยันได้ว่าไม่มีใครเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น


 


ที่หลายพันลี้ ราชาปีศาจในเมฆาทมิฬทำแววตาเจ้าเล่ห์


 


“หึหึ เจ้าคิดว่าแก่นโลหิตของข้ามันใช้ได้เช่นนั้นเชียวรึ? ถ้าเจ้าใช้มันชำระสายโลหิตจริงๆ เจ้าจะต้องกับดักข้า ข้าจะควบคุมความเป็นความตายของเจ้าได้ตามใจคิด!”


 


******


 


ซือหยูบินไปยังเรือรบของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์


 


จ้าวคณะฉิวนั้นรออยู่แล้ว


 


“พลังวิญญาณเจ้าดูจะบริสุทธิ์กว่าตอนที่ข้าเจอเจ้าเมื่อครึ่งเดือนก่อนซะอีก! เจ้ารู้รึยังว่าสมุนไพรบาดาลอมตะอยู่ไหน?”


 


ซือหยูถอนหายใจ


 


“ข้าได้ข้อมูลมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ข้าคิดว่าคงไม่มีหวังนักที่จะได้เนตรเงินล้างอสูร”


 


ไม่ดีแน่ถ้าเขาจะบอกเรื่องข้อตกลงระหว่างเขากับราชาปีศาจ


 


จ้าวคณะฉิวไม่แปลกใจ นางคงจะสงสัยมากกว่าถ้าหากซือหยูได้ของล้ำค่าอย่างสมุนไพรบาดาลอมตะมา


 


“อย่าเพิ่งสิ้นหวัง!”


 


จ้าวคณะฉิวปลอบก่อนจะหยิบเอากล่องหยกออกมา


 


“ข้าปรุงโอสถก้นบึ้งมังกรเสร็จแล้ว”


 


ซือหยูยินดีอย่างมาก ในที่สุดโอสถก้นบึ้งมังกรก็ปรุงจนเสร็๗เสียที!


 


“ขอบคุณท่านจ้าวคณะฉิว!”


 


เขาพูดด้วยความขอบคุณ


 


หลังจากที่พูดคุยกันไม่นาน ซือหยูก็ออกเดินทาง เขาไปยังก้นบึ้งมังกรเก้านรกตามที่ตกลงกันไว้


 


******


 


เมื่อซือหยูเดินทางก็มีหญิงงามบินมาจากขอบนภา นางแต่งกายอย่างสง่างามและเยือกเย็นดั่งน้ำแข็ง


 


จ้าวคณะฉิวสีหน้าเคร่งเครียดแต่ก็แสดงความนอบน้อมเมื่อรออย่างเงียบๆ


 


“แม่นางหวูชิง”


 


“เจ้าพันธมิตรรอเจ้ามานานนัก เหตุใดถึงกลับช้ากว่ากำหนดเสียครึ่งเดือนเล่า?”


 


นางคือหลงหวูชิง เป็นบุตรสาวของหลงจื้อชิง นางคือหญิงสาวยอดอัจฉริยะที่กำลังจะได้เข้าสู่ขอบเขตภูติ


 


นางมองจ้าวคณะฉิว หลงหวูชิงไม่ได้เคารพนางนัก


 


“ใช่ ข้าช้าไปสักหน่อย จ้าวคณะฉิว ท่านรู้เรื่องราวของราชาปีศาจหิมะทมิฬหรือไม่?”


 


จ้าวคณะฉิวแอบตกใจ เกิดอะไรขึ้นในการเดินทางของหลงหวูชิงกัน นางถึงได้ถามถึงเรื่องราชาปีศาจหิมะทมิฬตั้งแต่ที่กลับมาเช่นนี้?


 


“คนคนนี้ลึกลับอย่างไม่น่าเชื่อ…”


 


“เราสืบหาพื้นเพของเขาไม่ได้เลย…แต่เขาก็เพิ่งออกไปเมื่อสักครู่นะ”


 


“อะไรนะ? เขายังมีชีวิตอยู่รึ?”


 


หลงหวูชิงเบิกตากว้าง นางตกใจมาก เขาถูกราชาปีศาจดูดกลืนเข้าไปอย่างเห็นได้ชัด เขาจะรอดมาได้ยังไง?


 


จ้าวคณะฉิวประหลาดใจ ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างราชาปีศาจหิมะทมิฒกับหลงหวูชิง!


 


หลงหวูชิงพูดอย่างเคร่งเครียด


 


“จ้าวคณะฉิว โปรดใช้กำลังทั้งหมดค้นหาข้อมูลของราชาปีศาจหิมะทมิฬโดยเร็ว!”


 


ถ้าหากหนีรอดออกมาจากราชาปีศาจได้…ไม่สิ…หนีจากชายแก่ลึกลับในร่างวิญญาณนั่นได้ เขาจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาๆเป็นแน่!

 

 

 


ตอนที่ 441

 

ด้านในเรือรบ


 


หลังจากที่พักมาครึ่งเดือน เซี่ยจิงหยูฟื้นฟูพลังวิญญาณและพลังกายอย่างเต็มที่ หลังจากที่ลาจ้าวคณะฉิว นางลังเลเล็กน้อยก่อนจะไปยังห้องของฉินเซี่ยนเอ๋อ


 


“พี่ยี่หยู!”


 


เมื่อเห็นว่าจ้าวยี่หยูเข้ามา ฉินเซี่ยนเอ๋อก็พุ่งเข้าหาอ้อมแขนของยี่หยูอย่างสบายใจ นางยิ้มราวกับเด็กเอาแต่ใจ


 


หลังจากที่อยู่ร่วมกันมาครึ่งเดือน พวกนางได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันในไม่นาน เซี่ยจิงหยูทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้ แต่นางก็มองฉินเซี่ยนเอ๋อด้วยอารมณ์อันหลากหลาย


 


“ข้ามาที่นี่เพื่อบอกลาเจ้า”


 


เซี่ยจิงหยูพูดและลูบหัวนาง นางถอนหายใจ


 


ฉินเซี่ยนเอ๋อแววตาหม่นหมอง นางรู้สึกเดียวดายอยู่บ้าง แต่ความเดียวดายนั้นก็ถูกปิดบังจากรอยยิ้มและคำพูดอันซุกซน


 


“หึหึ อย่างไรเราก็ได้เจอกันอีกอยู่ดี นายอาจารย์บอกว่าจะให้ข้าไปกระโจมเทพสวรรค์ ข้าจะได้เจอกับพี่ยี่หยูที่นั่น”


 


เซี่ยจิงหยูยิ้มออกมาเช่นกัน


 


“ฝึกฝนให้ดีล่ะ ถ้าพวกเราเจอกันที่กระโจมเทพสวรรค์ เราอาจจะต้องชักกระบี่เข้าใส่กัน หากถึงตอนนั้น ข้าจะไม่ออมมือ”


 


“หึหึ พี่สาวยี่หยูยังไม่เคยเห็นข้าสู้มาก่อนเลย จะเอาชนะข้าได้จริงๆรึ?”


 


ฉินเซี่ยนเอ๋อหัวเราะอย่างลึกลับ


 


“แล้วก็…”


 


ในตอนนั้น ฉินเซี่ยนเอ๋อนึกถึงอะไรบางอย่างและหยิบเอาตำราเล่มสีดำออกมาจากกระเป๋า มันคือตำราจรัสสวรรค์ที่บันทึกทุกอย่างจากเซี่ยจิงหยูตั้งแต่ที่นางมายังทวีปเฉินหลง ตำรานั้นถูกปิดเอาไว้และไม่เคยถูกเปิด นั่นหมายความว่าเซี่ยนเอ๋อไม่เคยเปิดดูมันเลย


 


“พี่ยี่หยู พี่เอามันให้กับพี่ซือหยูเองเถอะ”


 


ฉินเซี่ยนเอ๋อพูดและยื่นตำราไป แววตานางสดใสดั่งแก้วและยิ้มแย้ม


 


เซี่ยจิงหยูมองฉินเซี่ยนเอ๋ออย่างอ่อนโยนยิ่งขึ้นเมื่อเห็นว่าตำราไม่ได้ถูกแอบเปิด นางนิ่งเงียบไปและไม่ได้เอาตำรากลับมา แต่นางกลับหัวเราะอย่างโล่งใจ


 


“สิ่งที่ข้าจะมองเห็นได้อยู่ข้างในนั้นหมดแล้ว ข้าไม่รู้ว่าครั้งนี้ข้าจะมีชีวิตรอดจากกระโจมเทพสวรรค์หรือไม่ ถ้าเจ้ารอดมาได้ ก็ช่วยข้าส่งตำราเล่มนี้ให้ซือหยูเถอะ”


 


ฉินเซี่ยนเอ๋อย่นจมูก


 


“พี่สาวยี่หยูดีกับพี่ซือหยูเหลือเกิน”


 


เซี่ยจิงหยูยิ้ม แต่ความรู้สึกขมขื่นก็เอ่อล้นออกมา ไม่ว่านางจะดีแค่ไหน แล้วจะมีประโยชน์อันใด? ชีวิตนี้ ทั้งเขาและนางมิได้ลิขิตให้ครองคู่กัน


 


แต่เมื่อนางก้มหน้ามองใบหน้าไร้เดียงสาของฉินเซี่ยนเอ๋อ ความรู้สึกที่ดีก็เอาชนะความริษยาไป เซี่ยจิงหยูพูดหยอก


 


“เซี่ยนเอ๋อ ถึงข้าจะทำกับพี่ซือหยูเช่นนี้ เจ้าก็ไม่รู้สึกอะไรเลยรึ? เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะชิงพี่ซือหยูไปจากเจ้าหรอกรึ?”


 


ฉินเซี่ยนเอ๋อตัวแข็งทื่อ นางหันหน้าไปอีกด้าน ไม่นานนางก็ถามกลับอย่างประหลาด


 


“ทำไมพี่ยี่หยูจะแย่งพี่ซือหยูไปล่ะ? พี่ยี่หยูก็ชอบพี่ซือหยูเหมือนกันรึ?”


 


ใบหน้าเซี่ยจิงหยูแดงระเรื่อ นางฝืนยิ้ม


 


“แล้วถ้าข้าชอบพี่ซือหยูเล่า? เจ้าจะทำอย่างไร?”


 


เซี่ยนเอ๋อหุบยิ้ม นางถือตำราจรัสสวรรค์ไว้แน่น นางก้มหน้าราวกับขัดขืนอะไรบางอย่างและลังเล ผ่านไปนาน นางเงยหน้าและยิ้มอย่างงดงาม


 


“พี่ยี่หยูจะชอบพี่ซือหยูกับเซี่ยนเอ๋อก็ได้ เซี่ยนเอ๋อไม่ว่าอะไรหรอก”


 


เซี่ยจิงหยูยิ้มอย่างอ่อนโยน นางย่อตัวลงลูบหัวฉินเซี่ยนเอ๋อ นางจะไม่รู้เลยรึว่าฉินเซี่ยนเอ๋อนั้นทั้งฝืนใจและลังเล?


 


ในโลกใบนี้ สตรีคนใดกันจะยินดีแบ่งคู่ครองร่วมกับคนอื่น? ฉินเซี่ยนเอ๋ออาจจะปฏิเสธนางไม่ได้เพราะตำราจรัสสวรรค์ ดังนั้นนางจึงต้องยอมรับแม้จะขัดต่อหัวใจตัวเอง


 


“ไม่ต้องห่วงหรอก พี่สาวก็มีคนที่พี่สาวชอบเหมือนกัน พี่ไม่แย่งพี่ซือหยูไปจากเจ้าหรอก”


 


เซี่ยจิงหยูหัวเราะ


 


ฉินเซี่ยนเอ๋อหน้าแดง นางก้มหน้าและเดินออกไปอย่างเขินอาย


 


“ข้าไม่ว่าอะไรจริงๆนะ…”


 


แต่เสียงของนางก็อ่อนลงเรื่อยๆจนแสดงให้เห็นความรู้สึกผิดในหัวใจ เซี่ยจิงหยูหัวเราะและไม่พูดอะไร จากนั้นนางจึงหยิบเอาผลก้นบึ้งมังกรทั้งสิบลูกออกมา


 


ก่อนหน้านี้ที่ต่อสู้กับอสุรา นางได้มันมามากมาย ฉินเซี่ยนเอ๋อดูเหมือนจะยังขาดอีกหนึ่งหรือสองลูก เพราะอย่างไรผลก้นบึ้งมังกรที่ได้เกินมานั้นก็ไม่มีประโยชน์ นางให้มันกับเซี่ยนเอ๋อเสียจะดีกว่า


 


“ข้าจะให้เจ้าหมดนี่ ก่อนไปที่กระโจมเทพสวรรค์ จงเป็นผู้คุมสวรรค์ให้ได้ เจ้าจะได้มีพลังปกป้องตัวเอง”


 


ฉินเซี่ยนเอ๋อดีใจมาก


 


“ขอบคุณนะพี่ยี่หยู!”


 


หลังจากที่คุ้นเคยกันแล้ว ฉินเซี่ยนเอ๋อก็รับมันมาทั้งหมดโดยไม่ได้พูดอะไร นางเก็บหนึ่งลูกไว้ในกระเป๋าซ้ายและเอาที่เหลือใส่กระเป๋าขวา


 


เซี่ยจิงหยูประหลาดใจเล็กน้อย


 


“เซี่ยนเอ๋อ ข้าอยากจะรู้ตั้งแต่ที่ก้นบึ้งมังกรแล้ว ทำไมเจ้าถึงแบ่งผลก้นบึ้งมังกรเป็นสองส่วนเล่า?”


 


ฉินเซี่ยนเอ๋อลังเล นางปิดประตูหน้าต่างจนสนิทแน่น จากนั้นจึงนำผลก้นบึ้งมังกรทั้งหมดจากสองกระเป๋าออกมา


 


กระเป๋าซ้ายส่วนใหญ่จะเป็นผลที่ไม่สมบูรณ์ กระเป๋าขวานั้นมีแต่ลูกที่สมบูรณ์ มันถูกจัดเรียงเอาไว้อย่างเรียบร้อย


 


เซี่ยจิงหยูเห็นดังนั้นจึงเข้าใจ นางยิ้มและชมเชย


 


“เจ้าฉลาดจริงๆ ผลของโอสถจากลูกที่ไม่สมบูรณ์จะหายไปมาก หากแยกกันไว้ เจ้าก็แน่ใจได้เลยว่าจะปรุงโอสถที่สมบูรณ์แบบได้”


 


แต่นางก็ต้องประหลาดใจอีกครั้งที่เห็นฉินเซี่ยนเอ๋อนั่งหน้าโต๊ะและปกป้องเหล่าผลก้นบึ้งมังกรเอาไว้ราวกับปกป้องสมบัติ นางส่ายหน้า


 


“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ผลที่ไม่สมบูรณ์นั่นเป็นของข้า ส่วนผลที่สมบูรณ์จะเป็นของพี่ซือหยู”


 


นางพูดต่อ


 


“พี่ซือหยูบ่มเพาะพลังเพียงลำพัง พี่ซือหยูจะต้องขาดทรัพยากรแน่ ข้าปรารถนาจะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับพี่ซือหยู หึหึ แล้วก็ ข้าก็ยังมีโอสถเหลืออยู่อีกมากเลย เป็นโอสถเพิ่มฐานพลังที่ข้าได้มาจากอาจารย์ เมื่อถึงเวลา ข้าจะเอาให้พี่ซือหยูด้วย!”


 


ใบหน้าของนางดูมีความสุขเมื่อพูด เซี่ยจิงหยูรู้สึกตกตะลึงและประทับใจอย่างมาก


 


ในสองกระเป๋า หนึ่งข้างนั้นถูกเตรียมไว้เพื่อซือหยูโดยเฉพาะ นางคิดถึงซือหยูอยู่ตลอดเวลา


 


เซี่ยจิงหยูยิ้ม นางยิ้มอ่อนๆและพูดกับตัวเอง


 


“ไม่มีโอกาสให้ข้าเลยจริงๆ…”


 


นางเคยคิดว่าความรู้สึกต่อซือหยูจากฉินเซี่ยนเอ๋อจะหายไปบ้างเมื่อเวลาผ่านไป ถ้าเป็นเช่นนั้น นางก็คงยังจะพอมีโอกาส แต่หลังจากที่ได้ยินดังนั้น นางก็รู้สึกราวกับสูญเสียโอกาสนั้นไป


 


“ข้าหวังว่าเจ้าทั้งคู่จะมีความสุข ลาก่อน เซี่ยนเอ๋อ”


 


เซี่ยจิงหยูพยายามยิ้มและบอกลา นางโบกมือ


 


แต่เมื่อนางหันกลับไป นางก็แอบพูดอีกประโยค


 


“ลาก่อน…ซือหยู”


 


เมื่อเซี่ยจิงหยูออกจาเรือรบ ความรู้สึกเดียวดายก็ปกคลุมจิตใจนางในไม่นาน


 


การมองดูความรุ่งเรืองของทวีปเฉินหลงแทนซือหยูอย่างที่สัญญาไว้นั้นก็เป็นดั่งโซ่ตรวนที่พันธนาการทั้งคู่มาเป็นเวลานาน สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือทั้งคู่ต้องลืมซึ่งกันและกัน กลับไปยังหนทางดั่งสายวารีของตนเอง


 



 


เหนือมหาสมุทร ซือหยูรีบเดินทางตลอดสามวันโดยไม่หยุดพักและกำลังจะถึงก้นบึ้งมังกรเก้านรก แต่เขาก็ยังไม่กลับไปที่ก้นบึ้งมังกรในทันที เขาร่อนลงบนเกาะปะการังแห่งหนึ่ง


 


“ยังเหลืออีกหกวันก่อนจะถึงเวลานัด ก่อนหน้านั้นข้าจะต้องบ่มเพาะพลังก่อน”


 


ตลอดการเดินทางที่แล้ว เขาได้โอสถบาดาลอมตะที่หายากมาครอง นอกจากนั้นเขาก็ยังได้แหวนทองปราบมารที่เป็นสมบัติวิญญาณมาอีกด้วย!


 


พลังของสมบัติวิญญาณนี้ยังคงตราตรึงอยู่ในใจ ราชาปีศาจที่แข็งแกร่งทรงพลังก็ถูกพันธนาการด้วยแหวนวงนี้ ซือหยูนั้นถูกเล็งเป้าจากภูติสวรรค์จากตี๋เก้อ แหวนทองปราบมารนี้มาได้ถูกเวลายิ่งนัก!


 


แต่ก็น่าเสียดายที่แหวนนี้ถูกชายแก่ในภาพเขียนชำระไปแล้ว ซือหยูก็ใช้หยดหมื่นพลที่มีไปจนหมด เขามิอาจชำระแหวนทองปราบมารได้


 


ถ้าเขาฝืนใช้แหวนทองปราบมารไป มันก็ต้องลดพลังลงกว่าที่เคยเห็น ยากที่เขาจะทำให้ราชาปีศาจกลัวได้ นอกเหนือจากนั้นเขาก็ยังได้แผนที่ลับสวรรค์ที่ชายแก่ในภาพเขียนพยายามทำทุกวิถีทางให้ได้มันมาครอง


 


ดังนั้นมันจึงเป็นของที่สำคัญมากที่สุด แต่ก็น่าเสียดายที่ซือหยูยังไม่รู้วิธีใช้มัน เขาทำได้แค่เก็บมันเอาไว้


 


สุดท้ายคือชุดเกราะทมิฬ แก้วพลังชีวิตที่ฝังอยู่ตรงกลางนั้นไม่ใช่สิ่งที่ทวีปเฉินหลงจะมีได้ และชุดเกราะนี้ยังแข็งแกร่งอย่างผิดปกติ แม้ว่ามันจะเสียหายและส่วนหัวใจถูกเปิด มันก็ยังนับว่าเป็นสุดยอดชุดเกราะ


 


แต่ซือหยูก็ไม่รู้ว่ามันจะป้องกันได้มากแค่ไหน เขาต้องทดสอบมันด้วยการต่อสู้จริง ซือหยูเก็บของทั้งหมดและเอาโอสถก้นบึ้งมังกรออกมา


 


เขามองโอสถก้นบึ้งมังกรอันสมบูรณ์แบบด้วยความคาดหวัง ฐานพลังของเขาหยุดอยู่ที่อำมฤตระดับสี่ขั้นสูงมานาน และนี่ก็เป็นเวลาที่เขาจะได้ทะลวงพลังขั้นถัดไป!


 


เขาหายใจเข้าลึกและจัดท่าทางตัวเองให้สบาย เขาอ้าปากกลืนโอสถลงไป ก้อนพลังเยือกเย็นจนถึงกระดูกเข้าสู่จุดกำเนิดพลังในพริบตา


 


ในจุดกำเนิดพลัง พลังวิญญาณที่เข้าปะทะกับพลังอันเยือกเย็นได้รวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้จุดกำเนิดพลังของเขาเจ็บปวดถึงขีดสุด ซือหยูกัดแน่นแน่นจนส่งเสียงขบกัดออกมา


 


หยดเหงื่อเม็ดโตผุดจากใบหน้าที่ซีดไปอย่างมาก พลังวิญญษณในร่างของเขาถูกบีบอัดจนเต็มที่ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น!


 


ในวารีวิญญาณนั้นมีแก้วเล็กๆที่เกิดจากการบีบอัด มันคือแก้วพลังวิญญาณ!


 


เมื่อเวลาผ่านไป แก้วพลังวิญญาณก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ในตอนนั้นเอง ที่เบื้องบน เมฆดำสนิทก่อตัว สายฟ้าเห็นอยู่ประปราย มันคำรามอย่างต่อเนื่องราวกับเตรียมการบางอย่าง


 


ซือหยูรู้สึกถึงมัน เขาเงยหน้ามองดูนภาและชักสีหน้า


 


“ไม่เลิกไม่ราเลยรึไงกัน!”


 


ซือหยูในตอนนี้ใช้พลังทั้งหมดในการทะลวงพลัง ดังนั้นแล้ว…เขาจะมีพลังวิญญาณจากไหนมารับมือกับสายฟ้าที่ก่อตัวอย่างไม่มีเหตุผลเล่า?


 


ที่หลายหมื่นลี้ไกลออกไป


 


ชายแก่เมามายเหยียบศิลาก้อนใหญ่ เขาดื่มเหล้าอย่างเคย แต่จู่ๆใบหน้านั้นก็เคร่งเครียด เขามองไปยังขอบนภาด้วยตัวแข็งทื่อ


 


พรึ่บ–


 


เสียงสะท้อนก้องนภา คนหนุ่มสองคนปรากฏตัวพร้อมกัน เขาสวมชุดอย่างเรียบง่าย ที่ปกเสื้อนั้นปักอักษร ฉิน เอาไว้


 


“ผู้เฒ่าจิว มีคนพยายามจะเข้าสู่ขอบเขตภูติงั้นรึ?”


 


คนพูดคือชายหนุ่มที่บินนำเข้ามา ฐานพลังของเขาอยู่ที่ระดับกึ่งเทพ! และเขายังอายุไม่ถึงยี่สิบห้าปี!


 


พรสวรรค์เช่นนี้พูดได้เลยว่าน่ากลัวนัก!


 


ชายแก่ขี้เมาจ้องมองขอบนภาและส่ายหน้าเบาๆ


 


“ไม่ใช่ คนคนนั้นกำลังจะเป็นผู้คุมสวรรค์”


 


ชายหนุ่มตกใจ


 


“ท่านผู้เฒ่า ผู้คุมสวรรค์คนนี้ก็ทำให้เกิดวิบัติสวรรค์ได้งั้นรึ? ไม่น่าเชื่อเลย!”


 


ชายแก่ขี้เมาหัวเราะ


 


“นี่ก็เป็นครั้งแรกของข้าเหมือนกัน คงต้องเป็นพวกเด็กที่ถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ ลืมไปซะเถอะ รอให้เจ้าหนูนั่นกลับมาเถอะ”


 


ชายหนุ่มทั้งสองโค้งคำนับให้ชายแก่ ทั้งสองยืนอยู่คนละด้านและไม่พูดอะไรออกมาอีก


 


ในตอนนั้น ซือหยูกำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญที่สุด…


 


วารีวิญญาณในร่างได้เปลี่ยนแปลงเป็นแก้วจากการบีบอัดของโอสถ แก้วเหล่านั้นได้มารวมตัวกัน


 


แต่ในตอนนั้นเอง สายฟ้าที่ก่อตัวมานานก็เริ่มคำรามลั่น มังกรสายฟ้าหนาร้อยศอกได้คำรามพุ่งลงมาราวกับปรารถนาจะทำลายทั้งเกาะปะการัง


 


ซือหยูที่อยู่ส่วนลึกของเกาะนั้นคำรามด้วยความโกรธแค้น เขารีบใช้ชุดเกราะปกคลุมร่างกาย สายฟ้าลงมาปะทะเสียงดัง

 

 

 


ตอนที่ 442

 

สิ่งที่ได้ยินมีเพียงแต่เสียงอัสนีคำรามสะเทือนไปทั้งเกาะ ซือหยูจมลึกลงไปถึงน้ำทะเล ในพริบตาทั้งเกาะปะการังก็ถูกทำลายสิ้น


 


สายฟ้าที่แล่นลงวารีสังหารเหล่ามัจฉาในระยะร้อยลี้จนหมดสิ้น เหล่าซากศพสรรพสัตว์ปกคลุมผิวทะเล


 


ส่วนซือหยูที่จมน้ำนั้นถูกสายฟ้าซัดใส่อย่างต่อเนื่อง ร่างของเขาแทบจะระเบิดเป็นชิ้นๆ


 


ในยามวิกฤติ แก้วพลังในชุดเกราะทมิฬปล่อยคลื่นพลังชีวิตออกมา เกราะนั้นสร้างม่านทมิฬเพื่อป้องกันตัว แม้ว่าสายฟ้าจะแข็งแกร่ง มันก็ไม่ถึงตัวซือหยู มันหายไปกับม่านทมิฬ


 


แต่ก็ยังมีส่วนหัวใจที่ถูกเปิดออกเพราะชุดเกราะนี้เสียหายมาก่อน! สายฟ้าได้เข้าโอบล้อมบริเวณนั้นแต่ก็โชคดีที่มีเพียงหนึ่งในสิบส่วนที่เข้าซัดใส่ซือหยู


 


อั่ก—


 


ซือหยูกระอักเลือดออกมาจำนวนมาก ผิวของเขาบวมแดง เขาแทบจะหมดสติไป เหล่าแก้วพลังที่ก่อตัวในจุดกำเนิดพลังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง มันเกือบจะแตกร้าว!


 


ซือหยูไม่พอใจเกินจะอธิบาย การทะลวงเป็นผู้คุมสวรรค์นั้นทำให้เกิดวิบัติสวรรค์! แต่เขาก็ชักสีหน้าเมื่อเห็นว่าเมฆาทมิฬบนนภามิได้กระจัดกระจายไปไหน มันกลับปล่อยสายฟ้าพุ่งลงมาอีกสองสาย! สีหน้าของเขาหม่นหมอง สายฟ้าสายแรกทำให้การทะลวงพลังของเขาล้มเหลว ส่วนสายฟ้าอีกสองสายนี้อาจจะทำให้เขาตายก็ได้ ไม่ต้องพูดถึงการทะลวงพลังเลย!


 


ซือหยูกัดฟันใช้ความคิด เขาใช้สมบัติที่คล้ายเส้นผมที่ได้มาจากฉีหมิง ข้างในนั้นมีสมบัติเทพระดับกลางอยู่ ซือหยูโยนออกไป


 


ครืน—


 


ตู้ม—


 


สมบัติเทพทั้งสองถูกทำลายในทันที! แต่เพราะอย่างนี้ สายฟ้าจึงหายไป


 


แต่ซือหยูก็ไม่มีเวลาให้คลายใจ เหล่าเมฆาเริ่มก่อตัวอีกครั้งและปล่อยสายฟ้าสามสายลงมาพร้อมกัน! สายฟ้าสามสาย! มันพยายามจะคร่าชีวิตซือหยู!


 


ตู้ม—


 


สมบัติเทพอีกสองชิ้นถูกทำลาย ทั้งหมดเหลือแต่เพียงสายฟ้าหนึ่งสายที่ไร้สิ่งกีดขวาง มันตรงเข้าหาซือหยู!


 


ในยามวิกฤติ ซือหยูอดทนต่อความเจ็บปวดและนำสมบัติเทพของชิงจู้เหิงออกมา สมบัติเทพชิ้นนี้คือท่อนไม้ที่นางไร้เรียกวิญญาณของเหล่าสัตว์ป่า! เมื่อปะทะกันก็ทำให้วิญญาณสัตว์ป่าออกมาปะทะกับสายฟ้า วิญญาณกับสายฟ้าเข้าปะทะกัน วิญญาณนั้นถูกทำลายไป ส่วนสมบัติเทพได้หักครึ่ง มันถูกทำลายไปแล้ว!


 


ซือหยูบังคับให้แก้ววิญญาณในจุดกำเนิดพลังรวมตัวกัน แต่เหล่าเมฆาทมิฬก็รวมตัวกันอีก! และครั้งนี้ยังมีสายฟ้าอำพันที่มีพลังเหนือกว่าเดิมมหาศาล มันมีพลังทำลายล้างอันน่าขนลุก!


 


จิตสังหารของซือหยูทะลวงผ่านเหล่าปะการัง เขาเห็นพลังที่คุ้นเคยในสายฟ้า…สวรรค์พิโรธ!


 


สวรรค์นั้นหยุดเขาจากการก้าวเข้าสู่ระดับผู้คุมสวรรค์! ดูเหมือนว่าเนตรสวรรค์ที่เป็นฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์ที่ซือหยูบ่มเพาะในอดีตนั้นจะทำให้เหล่าผู้ปกครองจากอีกโลกโกรธแค้น และซือหยูกำลังต้องพบเจอกับสิ่งกีดขวางอันยิ่งใหญ่ในที่สุด


 


เจตจำนงแห่งกบฏพวยพุ่งในจิตใจ เขากัดฟัน ต้นกำเนิดเพลิงและน้ำแข็งในตัวกำลังเอ่อล้นออกมาพร้อมกัน


 


ตู้ม—


 


มังกรอัสนีคำรามพุ่งเข้าใส่ซือหยูที่อยู่ใต้วารี ต้นกำเนิดเพลิงและน้ำแข็งได้กลายเป็นเสาแสงพุ่งขึ้นฟ้าปะทะกับมังกรอัสนี


 


การปะทะกันนั้นเงียบกริบ มังกรสายฟ้าลดขนาดลงแต่พลังของต้นกำเนิดของทั้งสองก็ถูกมังกรอัสนีที่มีพลังสวรรค์พิโรธกลืนกิน! เจตจำนงสวรรค์นั้นตั้งมั่นจะหยุดซือหยูไม่ให้แข็งแกร่งไปมากกว่านี้


 


ราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง แก้วพลังชีวิตจากชุดเกราะปล่อยพลังชีวิตออกมาเป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็ว! เกราะแสงหนาเตอะปกคลุมกายซือหยู


 


ตู้ม—


 


ซือหยูปะทะอย่างแรงกับมังกรอัสนี ร่างของเขาราวกับกระสุนปืนใหญ่ที่ถูกยิงไปยังส่วนลึกของก้นสมุทร รสชาติโลหะคละคลุ้งในลำคอ อวัยวะภายในของเขาราวกับจะหลุดออกไป


 


กระดูกหลายซี่เริ่มแสดงอาการร้าว และแก้ววิญญาณในจุดกำเนิดพลังก็เกือบจะแตกจากแรงสั่นสะเทือน ซือหยูรีบปกป้องจุดกำเนิดพลังและรวบรวมเหล่าแก้ววิญญาณที่กระจัดกระจายอีกครั้ง แต่ในตอนนั้นก็มีรูบนม่านพลังที่ป้องกันตัวเขา! สายฟ้าที่ยังอยู่ไหลเข้าสู่ทางที่เปิด


 


ตู้ม ตู้ม—-


 


แรงระเบิดปะทุออกจากชุดเกราะ ทั้งเนื้อทั้งตัวของซือหยูเต็มไปด้วยโลหิตที่ถูกเผาไหม้ แต่ร่างของเขาก็เริ่มเปื่อยหลังจากที่ถูกซัดอีกครั้ง บาดแผลลึกมากพอจนเห็นกระดูก


 


นี่เป็นเพียงแค่บาดแผลภายนอก แต่สายฟ้าจากวิบัติสวรรค์ไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น มันยังเข้าสู่ร่างกายของซือหยูและแล่นทำลายล้างทุกสิ่งที่ผ่านต่อไป! เสียงระเบิดดังจากภายในร่าง เลือดเนื้อฉีกออกมาในทุกเสียงระเบิด


 


ในพริบตา ซือหยูก็มาอยู่ที่หุบเหวแห่งความตาย! สติของเขาหลุดลอย ดวงวิญญาณสั่นคลอนอย่างบ้าคลั่ง


 


ในตอนนั้นเอง หม้อเก้ามังกรเริ่มสั่น มันปล่อยของเหลวสีแดงมาสิบหยด มังกรขาวที่ถูกชำระล้างไปหนึ่งในสามได้ถูกชำระล้างอีกหนึ่งในสาม!


 


ส่านหยดสีแดงที่เหลือนั้นได้เข้าสู่สายโลหิตของซือหยู สายฟ้านั้นเชื่องลงราวกับแมวที่ได้เจอหนู ไม่ว่าจะผ่านไปที่ใด สายฟ้าเกรี้ยวกราดก็สงบลง วิบัติสวรรค์เริ่มไร้ผลกับเขา ราวกับว่าหยดสีแดงจากหม้อเก้ามังกรนี้คือผู้ปกครองทรงอำนาจ


 


ในพริบตาของหยดสีแดงก็ได้ซึมผ่านทุกส่วนของร่างกายซือหยู ร่างกายที่ถูกทำลายเริ่มฟื้นฟูด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตา ผิวของเขาฟื้นฟูกลับมาในทันที ราวกับว่าเขาไม่ได้บาดเจ็บที่ใดเลย


 


สุดท้าย หยดสีแดงก็ดูเหมือนจะสัมผัสอะไรขึ้นมาได้ มันไหลเข้าสู่จุดกำเนิดพลังของซือหยู เหล่าแก้ววิญญาณที่แตกสลายเริ่มรวมตัวกันอีกครั้ง


 


ต่อมาเหล่าเศษแก้ววิญญาณก็ได้ก่อร่างเป็นแก้วขนาดเท่าหัวแม่มือในจุดกำเนิดพลัง แก้ววิญญาณนี้คือสัญลักษณ์แห่งผู้คุมสวรรค์!


 


ความรู้สึกเบาสบายโอบล้อมกาย พลังวิญญาณอันแข็งแกร่งเอ่อล้นออกมาจากจุดกำเนิดพลัง ร่างกายของซือหยูมีพลังอันเหนือจินตนาการ! เขารู้สึกว่าเขาเผชิญหน้ากับราชามนุษย์ได้…โดยไม่ต้องอาศัยพลังกายด้วยซ้ำ


 


เขามองความแหลกสลายของสิ่งรอบข้างด้วยความชิงชัง! ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีสมบัติเทพหลายชิ้นและชุดเกราะที่ได้มา…และการช่วยเหลือจากหม้อเก้ามังกรในช่วงสุดท้าย…เขาก็คงจะตายไปแล้ว!


 


ความเกลียดแค้นเอ่อล้นออกมาจากอก ซือหยูบินแหวกผิววารีสู่นภา


 


เหล่าเมฆาทมิฬรวมตัวกันอีกครั้ง! อัสนีมรกตที่น่ากลัวยิ่งกว่าอัสนีอำพันกำลังรวมตัวกัน!


 


“หายไปซะ!”


 


ซือหยูตะโกน


 


เขามองท้องนภาอย่างเด็ดเดี่ยวส เขาอ้าปากหายใจเอาพลังวิญญาณเข้าไป อักษร “ปิง” ก่อตัวขึ้น!


 


คลื่นเสียงทำลายล้างพุ่งเข้าใส่เมฆาทมิฬ เมฆาที่รวมตัวกันสั่นสะเทือนด้วยคลื่นเสียงทรงพลังและถูกทำลายไปพร้อมกับอัสนีที่กำลังก่อตัว!


 


ที่ระยะห่างไกล ที่เกาะก้นบึ้งมังกรเก้านรก ชายหนุ่มสองคนจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตกตะลึง


 


“วิบัติสวรรค์ระเบิดไปแล้ว!”


 


แต่ในตอนนั้น เหล่าเมฆาทมิฬได้รวมตัวอีกครั้ง


 


แววตาซือหยูเยือกเย็น เขาเรียกธนูออกมา เขาชำระมันไปแปดส่วนและเกือบจะใช้พลังสูงสุดได้! เขาง้างศรวิญญาณเล็งขึ้นไป


 


ซือหยูปล่อยมือ ศรมรกตที่สร้างจากสายฟ้าทะลวงผ่านเมฆาทมิฬและวิบัติสวรรค์ก็หายไปอีกครั้ง


 


แต่วิบัติสวรรค์ยังคงคิดจะทำลายซือหยู เหล่าเมฆารวมตัวกันอย่างรวดเร็วหลังจากที่สลายไป แต่ศรวิญญาณอีกดอกก็ทะลวงเหล่าเมฆาอีกครั้ง!


 


ดูเหมือนว่าจะมีเสียงคำรามอันโกรธแค้นมาจากโลกใบอื่น เหล่าเมฆารวมตัวกันอย่างรวดเร็วกว่าที่เคย! ซือหยูไม่ลังเล เขายิงธนูออกไปอีกครั้ง ใบหน้าฉาบด้วยจิตสังหาร


 


“ข้าจะทำลายเมฆาวิบัตินั่นให้หมด!”


 


เขาประกาศก้อง


 


“อยากจะรู้นักว่าเจ้าจะทำอะไรได้!”


 


เหล่าเมฆาก่อตัวกันอย่างต่อเนื่อง แต่ในแต่ละครั้งก็ถูกซือหยูทำลายไป มันเกิดขึ้นอีกเก้าครั้งก่อนที่สายฟ้าจะไม่รวมตัวกันอีก แต่ท้องนภาก็ส่งจิตสังหารทะลวงผ่านมาถึงซือหยู จิตสังหารนั่นดูเหมือนจะมาจากทั้งโลก มันมีพลังของสวรรค์


 


ซือหยูไม่เกรงกลัว เขามองต้นกำเนิดจิตสังหารและหัวเราะอย่างเยือกเย็น


 


“มองอะไรของเจ้า? ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ข้าจะทำลายเจ้าให้สิ้นซากในวันที่ข้าได้ก้าวย่างไปยังสวรรค์!”


 


ซือหยูมองทะลุผ่านสิ่งที่เรียกว่า “สวรรค์” หลังจากที่เขาได้พบกับวิบัติสวรรค์และเนตรสวรรค์เขาก็รู้แล้วว่าไม่มีสวรรค์อยู่จริง มีแค่เพียงตัวตนจากสวรรค์…เผ่าพันธุ์ที่ปกครองเผ่าพันธุ์มนุษย์ พวกนั้นเรียกตัวเองว่าสวรรค์และข่มการทะลวงพลังของเหล่าผู้คนเอาไว้ ปฏิบัติต่อคนในทวีปเฉินหลงราวกับสัตว์เลี้ยงที่เพาะพันธุ์ หากมนุษย์คนไหนไม่ยอมจำนน คนเหล่านั้นก็จะใช้พลังเข้าทำลาย


 


ซือหยูจะต้องกลัวสวรรค์เช่นนี้รึ?


 


จิตสังหารอันเข้มข้นถูกส่งลงมาราวกับเป็นคำตอบการท้าทายจากซือหยู


 


ซือหยูหัวเราะอย่างเยือกเย็น


 


“เจ้าจะทำอะไรได้นอกจากจ้องมองข้า? เจ้าพวกเศษขยะเอ้ย!”


 


หากคนเหล่านั้นฆ่าซือหยูได้ก็คงจะทำไปนานแล้ว ทำไมจะต้องรอมาจนถึงตอนนี้เล่า?


 


ซือหยูไม่สนใจจิตสังหารนั้นและมองไปอีกทาง เขาหาที่เงียบๆเพื่อปรับฐานพลัง เขาอยากจะให้ร่างกายฟื้นฟูเต็มที่ก่อนจะเดินทางไปยังเกาะก้นบึ้งมังกรเก้านรก


 


ฟึ่บ–


 


ซือหยูนั้นยังไม่าาไปถึงก้นบึ้งมังกรก็มีแสงหนึ่งพุ่งเข้ามา เขาคือกังต้าเหล่ย ชายคนนี้ค่อนข้างตรงไปตรงมาและช่วยเหลือซือหยูมาตลอด


 


กังต้าเหล่ยหัวเราะ เขาตบบ่าของซือหยู


 


“อย่างที่คิดเลย เจ้าได้เป็นผู้คุมสวรรค์แล้ว…”


 


ซือหยูหัวเราะเบาๆ


 


“ทั้งหมดก็เพราะความช่วยเหลือจากท่านที่ทำให้ข้าหาผลก้นบึ้งมังกรได้มากพอ”


 


กังต้าเหล่ยหัวเราะ


 


“ไม่ต้องถ่อมตัวไปหรอก พลังของการทะลวงพลังเมื่อไม่กี่วันก่อนของเจ้านั้นยอดเยี่ยมนัก ข้าตกใจจริงๆ”


 


ซือหยูตกใจ


 


“ไม่กี่วันก่อนรึ? ข้าทะลวงพลังเมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว…มีคนอื่นอีกรึที่ทะลวงพลังเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา?”


 


ซือหยูเห็นถึงความเฉลียวฉลาดในแววตาที่ไม่เหมือนกับกังต้าเหล่ยคนก่อนที่เขารู้จัก บอกได้เลยว่ากังต้าเหล่ยไม่ใช่คนทื่อๆอย่างที่เขาเคยคิด


 


กังต้าเหล่ยรู้สึกประหลาด แต่สีหน้าก็แสดงความตกใจ


 


“ไม่ใช่เจ้าหรอกรึ?”


 


“บังเอิญนัก ข้าคิดว่าเป็นเจ้า!”

 

 

 


ตอนที่ 443

 

กังต้าเหล่ยยักไหล่


 


“เอาเถอะ ตาแก่นั่นรอเจ้าอยู่”


 


ซือหยูตามกังต้าเหล่ยไปที่ศิลาก้อนยักษ์ นอกจากชายแก่ขี้เมาก็ยังมีชายหนุ่มอีกสองคนที่สวมชุดดูโบราณที่มีอักษรฉินปักไว้ที่ปก


 


“มาซักทีนะเจ้าหนู อย่ามัวเสียเวลา ไปกันเถอะ”


 


ชายแก่สั่งโดยไม่แม้แต่จะทักทาย เขาเพียงมองซือหยูและยิ้มอย่างประหลาดก่อนจะมองผ่านทุกคนแล้วบินออกไป


 


กว่าซือหยจะรู้สึกตัวเขาก็มาอยู่บนเมฆาขาวกระจ่างที่บินได้ด้วยความเร็วอันน่าตกใจแล้ว มันเร็วซะจนทุกคนเดาะลิ้น ราวกับว่าเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เดินทางในระยะหมื่นลี้ในพริบตา!


 


ที่ทำให้ซือหยูตกใจก็คือเขาไม่ทันตอบสนองได้เลยในตอนที่ถูกพามายังเมฆานี้! ขอบเขตภูตินั้นน่ากลัวจนขอบเขตอำมฤตมิอาจก้าวข้ามได้


 


ชายหนุ่มสองคนคืนสติได้ในไม่นาน หนึ่งในนั้นอายุสิบเก้าปี เขามองดูซือหยูอย่างละเอียดและกระซิบเบาๆ


 


“เจ้าคือราชาปีศาจหิมะทมิฬที่พวกข้าทนรอมาตลอดครึ่งเดือนใช่หรือไม่? ฮื่ม พลังเจ้าก็แค่ธรรมดาแต่กลับอวดดีนัก”


 


เมฆานั้นใหญ่เพียงแค่หมื่นศอก แม้แต่เสียงกระซิบที่เบาที่สุดก็ได้ยินได้ เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มคนนั้นตั้งใจพูดให้ซือหยูได้ยิน


 


ซือหยูหันไปมองช้าๆ ที่หน้าผากของชายผู้นั้นมีเนื้องอกออกมาตั้งแต่เกิดราวกับเขามรกต


 


ซือหยูเหลือบมองและละสายตากลับมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเริ่มคิดโดยไม่ตอบอะไร


 


“ท่าทางนั่นมันอะไรกัน?”


 


ชายหนุ่มเขามรกตเริ่มไม่พอใจ เขามองว่าท่าทางของซือหยูหยาบคายเป็นอย่างมาก


 


ซือหยูไม่เพียงแต่จะไม่ตอบเขา เขายังหลับตาไม่สนสิ่งใด ชายหนุ่มโกรธแค้นเมื่อเห็นดังนั้น


 


“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นคนที่แข็งแกร่งมากนักเรอะ?”


 


ชายแก่ขี้เมาหลับอย่างเป็นสุข ส่วนกังต้าเหล่ยนั้นร่างกายปกคลุมด้วยแสงราวกับบ่มเพาะพลังอยู่ เขาไม่หยุดเหล่าคนบนเมฆ


 


มีอีกชายหนุ่มอีกคนที่อายุยี่สิบห้าปีข้างชายหนุ่มเขามรกตที่ขมวดคิ้วและตำหนิ


 


“เงียบซะ!”


 


ชายหนุ่มเขามรกตตัวแข็งทื่อ แม้ว่าเขาจะมองซือหยูอย่างโกรธแค้น เขาก็ไม่กล้าจะพูดอะไรต่อ


 


“เจ้าจะต้องเป็นราชาปีศาจหิมะทมิฬที่ร่ำลือ ได้พบเจ้าดีเสียยิ่งกว่าได้ยินชื่อเสียง ข้าฉินจิวหยาง และนี่คือน้องเล็กในตระกูล ฉินยู่ชาง ถ้าเขาดูหมิ่นเจ้าก็โปรดอภัยให้เขาเถอะ”


 


ฉินจิวหยางคือชายหนุ่มรูปงาม ทั้งร่างนั้นกำยำสมชาย เขาเป็นคนที่ดูสุภาพที่สุด


 


แม้ว่าเขาจะอยู่ในขอบเขตกึ่งเทพ เขาก็ยังขอโทษแทนคนอื่น เห็นได้เลยว่าเขาเป็นคนที่มีจิตใจเปิดกว้าง


 


ซือหยูลืมตาประสานหมัด


 


“ท่านจะยกยอข้าเกินไปแล้ว เทียบกับตระกูลฉินแห่งแปดตระกูล ข้าจะนับว่าเป็นผู้ใดกัน?”


 


ฉินยู่ชางตกตะลึง ฉินจิวหยางดูสนอกสนใจ


 


“ข้ามาจากตระกูลฉินแห่งแปดตระกูลจริงๆ น้องหิมะทมิฬความรู้กว้างขวางนัก”


 


ซือหยูหัวเราะ


 


“ยอดฝีมือกึ่งเทพสกุลฉิน นอกจากแปดตระกูลแล้วข้าก็ไม่คิดว่าจะมีขุมกำลังใดบ่มเพาะผู้มากพรสวรรค์เช่นนี้ได้”


 


ซือหยูนั้นตกใจเล็กน้อย เขากำลังเดินทางอยู่กับหนึ่งในแปดตระกูล เขาประหลาดใจอยู่บ้าง


 


ฉินจิวหยางไม่สนใจในเรื่องนี้ เขาหัวเราะอย่างสบายใจ


 


“ข้าหวังว่าเราจะเกื้อกูลกันในกระโจมเทพสวรรค์”


 


“ท่านฉินต่างหากที่ควรจะชี้แนะสนับสนุนข้า”


 


ซือหยูพูดอย่างนอบน้อมและหลับตา


 


ฉินจิวหยางยิ้มและไม่พูดอะไรต่อ


 


“พี่จิวหยางจะหยุดข้าทำไมกัน? คนคนนั้นถือว่าทุกคนมิควรค่าแก่การสนใจ เหตุใดต้องดีกับเขาเช่นนั้น?”


 


ฉินยู่ชางแอบถามเพราะความไม่พอใจ


 


ฉินจิวหยางตอบอย่างเรียบเฉย


 


“อย่าตัดสินผู้คนจากภายนอก ถ้าเจ้าประมาทเขา เจ้าก็จะทุกข์ทนมานในท้ายสุด! ชายผู้นี้ถูกเลือกโดยผู้เฒ่าจิวเพื่อให้ทำภารกิจ เขาจะต้องมีพลังอยู่แล้ว ช่างโง่เขลานักที่เจ้าจะไปยั่วยุเขาโดยไร้เหตุผล! แล้วจากสัญชาตญาณข้า ถึงเจ้าจะมีฐานพลังเหนือกว่า ถ้าเจ้าได้สู้กับเขา เจ้าก็อาจจะไม่ได้อะไรกลับมาเลย”


 


ฉิงยู่ชางหัวเราะอย่างขมขื่น


 


“พี่จิวหยาง มิใช่ว่าท่านกำลังข่มตัวเองแล้วอุ้มชูคนนอกอยู่งั้นรึ? ถึงข้าจะโง่เขลา ข้าก็ฝึกฝนมาอย่างดีที่สุดตั้งแต่เล็ก ข้าต่อสู้เอาชีวิตมานับไม่ถ้วน ไม่ว่าข้าจะอ่อนแอเพียงใด ข้าก็ไม่ใช่คนที่จะเอาไปเทียบกับคนธรรมดาได้”


 


ฉินจิวหยางขมวดคิ้วและไม่คิดจะพูดอะไรต่อกับศิษย์น้องในตระกูล ฉินจิวหยางรู้ดีว่าฉินยู่ชางมีพลังเป็นเช่นใด นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครในตระกูลฉินที่จะเทียบได้


 


แม้ว่าฉินยู่ชางจะเป็นราชามนุษย์ เขาก็ได้ต่อสู้กับกึ่งเทพและรับได้หลายกระบวนท่า ไม่มีราชามนุษย์คนใดในตระกูลที่จะเทียบในเรื่องนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงไร้มารยาทเช่นนี้ ถ้าเขาไม่ได้รับแสงอันยิ่งใหญ่ชี้นำทาง เขาก็จะไม่ได้เรียนรู้สิ่งใด ในที่สุดมันก็จะกลายเป็นการพูดคุยที่ไร้สาระ


 


ไม่กี่วันผ่านไป


 


เมฆาขาวแล่นผ่านดินแดนหลาล้านลี้และมาถึงภูเขาอันรกร้างที่กลางทวีป ภูเขานั้นสูงชัดและเอียงไปที่ข้างหนึ่งราวกับจะถล่มได้ตลอดเวลา


 


ชั้นเมฆษขาวล้อมรอบครึ่งทางของภูเขา ถ้ามีคนมองลงไปก็จะพบว่าเขาอยู่บนเชิงเขาที่สูงหมื่นศอก


 


ในตอนนั้น เหล่าวิหคประหลาดร่างใหญ่บินผ่าน กังต้าเหล่ยที่กำลังบ่มเพาะพลังสัมผัสได้และลืมตาขึ้น


 


“พวกเราถึงแล้ว บัดซบ ก้นข้าชาไปหมดแล้ว”


 


ทั้งกลุ่มกระโดดลง กังต้าเหล่ยแบกชายแก่ขี้เมาลงและโยนลงพื้นอย่างไม่ใส่ใจ!


 


“อ๊ะ! ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ!”


 


ชายแก่ร้องอุทานด้วยความเจ็บปวด ความรู้สึกมึนเมาหายไปโดยสมบูรณ์ และอ้าปากตะคอกกังต้าเหล่ย


 


กังต้าเหล่ยพูดอย่างโกรธเกรี้ยว


 


“ไอ้แก่ หยุดพูดซะ ใช้เวทย์พาพวกข้าเข้าไปเร็วๆ”


 


ชายแก่จ้อมองกังต้าเหล่ยอย่างดุร้ายขณะลูบก้นที่ช้ำ เขาใช้มือเดียววาดความว่างเปล่าตรงหน้า


 


พื้นที่ว่างที่ไม่มีอะไรเกิดการผันผวน ประตูทองที่มียันต์มากมายปรากฏขึ้นอย่างเงียบๆ ประตูนั้นมีพลังจากยุคโบราณ ความรู้สึกจากในยุคอดีตสัมผัสได้ผ่านประตูบานนี้


 


ชายแก่ขี้เมาสีหน้าจริงจัง


 


“ข้าจะเปิดประตูได้แค่ห้าลมหายใจเท่านั้น พวกเจ้าสี่คนจะต้องรีบเข้าไป”


 


ซือหยูตกตะลึง พลังของขอบเขตภูติเปิดประตูนี้ได้แค่ห้าลมหายใจงั้นรึ? ชายแก่วางน้ำเต้าเหล้าด้วยสีหน้าจริงจัง คลื่นพลังชีวิตอันมหาศาลพุ่งออกมาจากร่างกาย มันกลายเป็นมือคู่ยักษ์ที่ผลักประตูทองคำข้างหน้าให้เปิดออก


 


เอี๊ยด—


 


ประตูทองคำเปิดเล็กน้อย คลื่นพลังวิญญาณที่หนาแน่นกว่าโลกภายนอกสามเท่าพัดเข้าใส่ทุกคน


 


“เข้าไปเร็ว!”


 


เมื่อประตูเปิด แค่คนเดียวเข้าไปก็ทำให้หน้าของชายแก่ขี้เมาแดงก่ำ เขาพยายามอย่างมากเพื่อจะทำให้ประตูเปิดอยู่ได้ สีหน้าของอีกสี่คนเยือกเย็นลง ทั้งหมดเข้าประตูในพริบตา สุดท้ายชายแก่ก็ตามเข้าไปเช่นกัน


 


พลังชีวิตที่ทำให้ประตูเปิดหายไปแล้ว ประตูทองคำปิดเสียงดังและไม่เหลือสิ่งใดอยู่อีกหลังจากนั้น ซือหยูรู้สึกว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่ใต้ขาก่อนจะร่วงไปยังพื้นอันเยือกเย็น


 


เขาลืมตามองและเห็นพื้นที่สี่เหลี่ยมทองแดง! ทุกด้านนั้นจะมีรูปปั้นรูปร่างแตกต่างกัน แต่ละรูปปั้นล้วนเป็นคนหนุ่มสาวที่อายุไม่ถึงยี่สิบห้าปี และยังมีสาวน้อยอายุสี่สิบอยู่ด้วย!


 


รูปปั้นทั้งหมดปล่อยพลังอันน่ากลัวออกมา อย่างน้อยก็อยู่ที่ระดับราชามนุษย์ และหลายรูปปั้นยังมีพลังเหนือกว่าราชามนุษย์ และยังมีพลังขอบเขตภูติอ่อนๆอยู่! และไม่ผิดแน่ เด็กสาวอายุสิบสี่คือคนที่สำเร็จขอบเขตภูติ


 


ซือหยูตกตะลึง เขามองดูรูปปั้นนับร้อย


 


“รูปปั้นพวกนี้คือยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์กระโจมเทพสวรรค์ ทุกรูปปั้นจะเป็นตัวแทนของยอดฝีมือในแต่ละยุคสมัย”


 


ซือหยูมองรูปปั้นสาวน้อยอายุสิบสี่อย่างไม่เชื่อสายตา


 


“ท่านผู้เฒ่าจิว เด็กสาวอายุสิบสี่ผู้นี้อยู่ในยุคใดกัน?”


 


ชายแก่มองรูปปั้นเด็กสาวและมิอาจปิดบังความตกใจเอาไว้ได้ เขาตอบ


 


“นางคือยอดฝีมือจากยุคที่แล้ว”


 


“เช่นนั้นแล้ว ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินว่าทวีปเฉินหลงมีหญิงสาวมากพรสวรรค์เช่นนี้อยู่เล่า?”


 


ซือหยูถามด้วยความไม่เข้าใจ


 


อีกสามคนที่เหลือก็มิอาจเชื่อเช่นกัน รูปปั้นสาวน้อยตรงหน้านั้นสำเร็จขอบเขตภูติเมื่ออายุสิบสี่ปี! พรสวรรค์น่ากลัวเพียงใดกันถึงจะพานางมาได้ถึงขั้นนี้?


 


“ใครบอกเจ้าว่านางเป็นคนจากทวีปเฉินหลง?”


 


ชายแก่ย่นคิ้วถามกลับ


 


อะไรนะ? ซือหยูกับคนที่เหลือตกใจ ถ้านางไม่ใช่คนจากทวีปเฉินหลง….นางก็มาจากจิวโจวรึ?


 


“นั่นแหละ อย่างที่พวกเจ้าเดา กระโจมเทพสวรรค์ไม่ได้เป็นของทวีปเฉินหลงแต่เพียงอย่างเดียว นี่เป็นสมบัติของจิวโจว! ทุกหมื่นปีจะมีส่วนเล็กน้อยที่มาถึงทวีปเฉินหลง ด้วยความโชคดีนี้ พวกเราจึงได้โอกาสจะใช้สมบัติจากจิวโจว!”


 


“กระโจมเทพสวรรค์จะไปยังจิวโจวหลายร้อยครั้ง แต่ก็มายังทวีปเฉินหลงแค่สองครั้ง!”


 


ชายแก่บอกความลับสุดยอดที่ไม่มีใครได้รับรู้มาก่อนเลย


 


ชายแก่พูดต่อ


 


“ในทวีปเฉินหลงแห่งนี้ เพราะมีการกั้นขวางของจักรวาลจึงไม่มีใครทะลวงขอบเขตภูติได้ กระโจมเทพสวรรค์คือโอกาสเดียวของพวกเจ้า! ราชาแห่งความมืดที่พวกเจ้ารู้จักกับราชาโลกดับสูญคนแรกก็สำเร็จขอบเขตภูติในกระโจมเทพสวรรค์ นอกจากนั้น ตลอดหลายยุคที่ผ่านมาก็ไม่มีภูติคนใดเกิดขึ้นอีกในทวีปเฉินหลง พวกเจ้าควรจะเข้าใจด้วยว่ากระโจมเทพสวรรค์ยิ่งใหญ่แค่ไหน”


 


หลายคนที่อยู่ที่นี่เริ่มหายใจแรงอย่างตื่นเต้น นี่คือโอกาสเดียวที่จะได้เป็นภูติ!


 


ไม่นานซือหยูก็ถามอย่างจริงจัง


 


“ท่านผู้เฒ่า ถ้าเช่นนั้น พวกเราจะต้องได้เจอกับยอดฝีมือจากจิวโจวใช่สินะ! พวกนั้นแข็งแกร่งเท่าใดกัน? ทุกคนเป็นภูติงั้นรึ?”


 


ชายแก่ขี้เมาหัวเราะ


 


“ถามได้ดี! มีเงื่อนไขสูงนักในการเข้าสู่กระโจมเทพสวรรค์ ประการแรก คนที่เข้ามาจะต้องอายุไม่มากไปกว่ายี่สิบห้าปี อย่างที่สองคือจะต้องมีฐานพลังที่ไม่ถึงขอบเขตภูติ หากฐานพลังเกินเมื่อใดก็จะถูกขับออกมา ดังนั้นพวกเจ้าก็ไม่ต้องกังวลว่าจะได้เจอกับคนในขอบเขตภูติที่นี่”


 


เมื่อทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก ชายแก่ก็หัวเราะออกมา


 


“แต่ในรูปปั้นนับร้อยพวกนี้ ถ้าหากไม่มีอะไรผิดปกติ…ก็ไม่มีใครในยุคนี้จากทวีปเฉินหลงที่จะเอาชนะได้”


 


ทุกคนชักสีหน้าเมื่อได้ยินดังนั้น ฉินยู่ชางไม่พอใจอย่างมาก ฉินจิวหยางกับกังต้าเหล่ยเริ่มครุ่นคิด ส่วนซือหยูนั้นกำลังจ้องมองเหล่ารูปปั้น


 


ทุกคนคือยอดฝีมือสูงสุดที่ได้มาถึงกระโจมเทพสวรรค์! พลังของคนเหล่านั้นไปถึงระดับที่น่ากลัวถึงขีดสุด และก็เทียบไม่ได้กับกึ่งเทพทั่วไป ท ี่ชายแก่พูดมาจะต้องไม่ใช่เรื่องโกหกอย่างแน่นอน


 


ในตอนนั้นเอง ที่พื้นที่ด้านตรงข้ามได้เปิดออก คนเจ็ดคนปรากฏตัวขึ้น พวกเขาคือเจ็ดจ้าวแห่งความมืด!


 


ซือหยูสายตาเคร่งเครียด เขามองคนแรกกับคนที่สอง! ไป่ลั่วและเฉินยิ่ง!


 


ไป่ลั่วสวมชุดสีเขียว เขาดูทรงปัญญาและรูปงาม พลังจากทั้งร่างถูกปกปิดเอาไว้ เขาดูราวกับคนธรรมดา


 


ส่วนเฉินยิ่ง ชุดสีแดงของเขาปล่อยพลังอันแข็งแกร่งออกมาทันทีที่ปรากฏตัว เขาทำให้คนอื่นรู้สึกประหลาดเมื่อได้เห็น

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม