The Divine Nine Dragon Cauldron 424-431

ตอนที่ 425

 

นางคว้ามือจากกลางอากาศ แก้วพลังชีวิตที่อยู่ข้างจุดกำเนิดพลังของซือหยูถูกดึงกลับมา มันถูกดึงกลับมาพร้อมกับตัวซือหยูเอง เขาหลุดออกจากผลของเหรียญก้นบึ้งมังกรเก้านรก!


 


ซือหยูตกตะลึง วิธีการของพวกขอบเขตภูติเป็นสิ่งที่นอกเหนือความคาดหมายของเขา!


 


เขาหัวใจเต้นแรง ถ้าเขาถูกจางตี๋เก้อรั้งไว้ให้อยู่ที่นี่ เขาก็รู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น! และเมื่อเห็นแววตาเยือกเย็นของจางตี๋เก้อก็ยิ่งทำให้เขาตัวสั่น


 


แต่ในตอนนั้นเอง เหนือเวทย์พันธนาการ เสียงหัวเราะประหลาดของชายแก่ดังขึ้น


 


“น่าสนใจดีนี่ ข้าเตรียมจะดูการแสดงดีๆ แต่ข้าก็ไม่คิดว่าเด็กสองคนนี้จะหลอกเจ้าได้”


 


เขาพูดจบและเอื้อมมือทั้งสองข้างออกไป


 


ทั้งสองมือส่งแสงมรกตส่องผ่านผนึกปิดก้นบึ้ง แสงนั้นสาดใส่ซือหยูกับเซี่ยจิงหยูและดึงเอาทั้งคู่ออกจากก้นบึ้ง!


 


จางตี๋เก้อโกรธแค้น


 


“เจ้าจะไปไหน?”


 


ชายแก่เป่าลมไปทางใต้ผนึก แสงกระบี่ที่เอียงไปอีกด้านเปลี่ยนมุมเข้าใส่จางตี๋เก้อ


 


จางตี๋เก้อตกใจ หลังจากที่คำรามอย่างโกรธแค้น ทั้งร่างของนางโอบล้อมด้วยพลังภูติ พลังภูตินั้นได้กลายเป็นชุดเกราะทมิฬ


 


การโจมตีจากกระบี่ทำให้ชุดเกราะเกิดสะเก็ดไฟ ส่วนจางตี๋เก้อเองนั้นก็ใส่พลังชีวิตลงในชุดเกราะอย่างบ้าคลั่ง! ชุดเกราะของนางอดทนรับกระบี่ได้สามอึดใจก่อนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ


 


จางตี๋เก้อกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด คราบโลหิตดำทิ้งอยู่บนลำตัว นางกระเด็นลอยออกไป นางหน้าซีด พลังภูติในกายเริ่มอ่อนลง แสงเทพในดวงตาอ่อนแอลงไป ทั้งร่างของนางเต็มไปด้วยสายฟ้า สายฟ้าทำลายร่างของนางจนบาดเจ็บหนัก!


 


ร่างนางตกลงสู่ความมืดมิด สายตาอันเฉียบคมจับจ้องไปยังซือหยูอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยความชิงชังไร้ขอบเขต ซือหยูใช้แก้วพลังชีวิตของนางกับกระบี่สายฟ้าที่นางชิงมากับมือทำร้ายนางในท้ายสุด!


 


ตั้งแต่ต้นจนจบ ซือหยูหลอกนางจนหมดคราบ ความชิงชังของจางตี๋เก้อหยั่งรากลึกไปถึงกระดูกดำ! แผนครั้งใหญ่ในการหลบหนีที่นางเตรียมมากว่าพันปีพังทลายลงไปเพราะซือหยู


 


ซือหยูที่ถูกจ้องโดยสายตาคู่นั้นสั่นไปถึงกระดูก แต่ก็อย่างที่คาดไว้ จางตี๋เก้อจะติดอยู่ในก้นบึ้งมังกรไปตลอดกาล เขาไม่ต้องกังวลเรื่องของนางมากนัก


 


เมื่อเห็นทั้งสองออกมาได้อย่างปลอดภัย ผนึกเริ่มฟื้นฟูตัวเอง ซือหยูถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ตลอดหลายวันที่เขาทำตามคำสั่งนางนั้นต่างอยู่ในความเป็นความตาย สุดท้ายเขาก็ได้พบเจอกับแสงสว่างอีกครั้ง และความหนักอึ้งก็ถูกยกออกไปจากอก


 


ในตอนนั้น เสียงหัวเราะของชายแก่หยุดลง เขาก้มลงมองก้นบึ้งมังกรเบื้องล่างอย่างเคร่งเครียด


 


ซือหยูสัมผัสได้ถึงพลังอสูรจากก้นบึ้งมังกรที่ทะยานขึ้นมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน!


 


โฮก—


 


เสียงมังกรคำรามลั่นจักรวาล ก้นบึ้งมังกรสั่นอย่างรุนแรง! คลื่นสมุทรรอบเกาะซัดใส่ฝั่งอย่างแรง! ทั้งทวีปเฉินหลงได้ยินเสียงมังกรคำรามนี้ มันทะลวงเมฆาไปถึงนภา!


 


ปั้ง—


 


ในก้นบึ้งใังกร หมอกเคลื่อนผ่านพื้นที่หนึ่งอย่างรวดเร็ว ในบ่อน้ำทมิฬ หางยักษ์ที่เต็มไปด้วยเกล็ดฟาดใส่ขอบนภาอย่างดุร้าย ผนึกของก้นบึ้งมังกรขาดออกจากกัน!


 


ร่างบอบบางร่างหนึ่งพุ่งออกจากก้นบึ้งมังกรจากผลของพลังอันน่าตกตะลึงและออกมายังโลกภายนอก! จางตี๋เก้อตกใจในครั้งแรก จากนั้นจึงดีใจ! ทั้งสองมือของนางทำท่าทางประหลาด ร่างของนางเลือนลางหายไปและปรากฏตัวอีกครั้งในพันศอกห่างจากชายแก่ที่จะซัดฝ่ามือใส่นางในจุดเดิม


 


ฝ่ามือของชายแก่ซัดใส่อากาศอันว่างเปล่า สีหน้าของเขาหม่นหมอง


 


“เจ้าผีน้อย อย่ารนหาที่ตายให้มากนัก!”


 


ในก้นบึ้งมังกร ไม่มีใครทำอะไรนางได้ แต่หากหนีออกมาข้างนอก ยอดฝีมือในทวีปเฉินหลงที่อยู่ในขอบเขตภูติคงไม่ปล่อยให้ภูติสวรรค์ลอยนวลอยู่ในทวีปแน่


 


จางตี๋เก้อพูดอย่างเยือกเย็น


 


“ขอบคุณพวกเจ้าทุกคน ข้าถูกจองจำมาไม่รู้กี่ยุคสมัย ข้าจะชำระหนี้แค้นกับเจ้าในคราอื่น!”


 


ร่างของนางเลือนลางหายไป แต่ก่อนหน้านั้น นางหันมองซือหยูอย่างชั่วร้าย


 


“ราชาปีศาจหิมะทมิฬ…ข้าจะจำชื่อของเจ้าเอาไว้ ในทวีปเฉินหลงแห่งนี้ ใครก็ช่วยเจ้าไม่ได้!”


 


นางหายไปพร้อมกับเสียงที่ดังก้องจักรวาล จางตี๋เก้อหนีออกมาด้วยร่างกายที่บาดเจ็บสาหัส


 


ชายแก่าที่เมาเหล้าสีหน้าหม่นหมองลง แม้ว่าเขาอยากจะไล่ตามนาง ก้นบึ้งมังกรนั้นก็คือเรื่องสำคัญกว่า! เขากัดปลายลิ้นคายโลหิตผนึกทางเข้าออกก้นบึ้งมังกร ผนึกฟื้นฟูกลับมาอีกครั้งด้วยความเร็วสูง ไม่นานมันก็กลับมาสมบูรณ์


 


ชายแก่จ้องมองก้นบึ้งมังกรอันลึกล้ำ สายตาของเขาหม่นหมองลงไปอีก นี่เป็นครั้งแรกที่เขามองไปยังกระบี่สายฟ้าในมือซือหยูและถอนหายใจออกมา


 


“พลังเนตรเวทย์หายไปแล้วจริงๆ…”


 


“เลวร้ายนัก”


 


เนตรเวทย์รึ? ซือหยูตกใจ เขามองกระบี่สายฟ้าอย่างสับสน


 


“ก้นบึ้งมังกรคือรอยแยกของโลกแห่งทวีปเฉินหลง…”


 


“แต่เดิม มันคือหนทางไปสู่อีกโลกหนึ่ง! หลายยุคก่อน มันคือเส้นทางที่ผู้คนจากทวีปเฉินหลงใช้เดินทางไปยังโลกนั้น แต่มันก็ดำเนินไปจนเกิดภัยร้ายขึ้นในอดีต ในตอนที่มังกรอสูรยึดเอาเส้นทางเอาไว้เอง! เพื่อที่จะขัดขวางไม่ให้มังกรอสูรเข้ามายังทวีปเฉินหลง มีภูติสามคนรวมถึงข้าที่สร้างกระบี่สายฟ้าและรวบรวมพลังชีวิตจากจักรวาลสร้างเนตรเวทย์เพื่อผนึกทางเข้าออก และตอนนี้พลังนั้นก็หายไปแล้ว มังกรอสูรขยับตัวได้อยู่บ้าง เมื่อครู่ผนึกก็ถูกมังกรพังออกไป”


 


ซือหยูตกใจ ก้นบึ้งมังกรเก้านรกเคยเป็นเส้นทางที่เชื่อมสองโลกเข้าด้วยกันงั้นรึ? เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลย


 


เมื่อคิดถึงบ่อผนึกมังกรที่กว้างแสนศอกและกรงเล็บยักษ์ที่ทิ้งรอยเอาไว้ ซือหยูก็พอจะคาดเดาได้ เพราะนั่นอาจจะเป็นรอยแยกที่เป็นเส้นทางสู่โลกอีกใบ!


 


“ร่างของมังกรอสูรนั้นใหญ่เกินไป…”


 


“ตามปกติ มันไม่ควรจะลอดรอยแยกออกมาได้ แต่หลังจากหลายปีผ่านไป ภายในก้นบึ้งก็ค่อยๆเกิดรอยแยกเล็กๆ บ่อน้ำสีดำนั่นก็คือหนึ่งในรอยแยกนั้น บางส่วนของร่างกายมันถึงมองเห็นได้ผ่านรอยแยกเล็กๆนั่น!”


 


ชายแก่สีหน้าไม่สู้ดีนัก


 


“ก้นบึ้งมังกรจะให้ใครเข้าไปไม่ได้อีกแล้ว ที่นี่กลายเป็นที่หวงห้ามแล้ว”


 


ซือหยูกำกระบี่สายฟ้าและเริ่มคิด เขาควรจะคืนกระบี่สายฟ้าหรือไม่นะ? ชายแก่ไม่มีเหตุผลจะให้ซือหยูต้องเก็บสมบัติเช่นนี้เอาไว้กับตัวอยู่แล้ว สิ่งนี้ใกล้เคียงกับสมบัติวิญญาณอย่างมาก!


 


“เอาล่ะ…”


 


ชายแก่พูดต่อ


 


“เจ้าไม่มีสิทธิ์จะถือครองกระบี่เล่มนี้ คืนมันมาซะ”


 


ชายแก่ยกนิ้วและเรียกกระบี่สายฟ้ากลับคิด กระบี่นั้นลอยไปหาเขาอย่างควบคุมไม่ได้


 


“แล้วก็….ถ้าเจ้ามีเรื่องอื่นใดต้องทำก็ทำโดยเร็ว ที่นี่อาจจะกลับมาอันตรายอีกครั้ง”


 


ซือหยูครุ่นคิดอยู่นาน


 


“ท่านผู้เฒ่า…”


 


“ท่านจะให้ข้ายืมกระบี่เพื่อปกป้องตัวเองสักระยะจะได้หรือไม่?”


 


“หืม?”


 


ชายแก่ส่งเสียงด้วยความตกใจ แต่เขาก็รู้ความตั้งใจของซือหยู ซือหยูอยากจะใช้มันเพื่อป้องกันตัวจากภูติสวรรค์ที่มาล้างแค้น! เขาควรจะปฏิเสธซือหยูในทันที แต่น่าประหลาดที่ชายแก่เริ่มคิดถึงอะไรบางอย่าง


 


ผ่านไปนาน เขามองหน้าซือหยู


 


“กระบี่นี้เป็นของจากจิวโจว ระดับของมันเหนือกว่าสมบัติเทพ ตามปกติเจ้าไม่มีสิทธิ์จะได้แตะต้องมัน แต่ถ้าหากเจ้ารับปากกับข้าหนึ่งสิ่ง ข้าจะให้เจ้าได้ถือครองมัน”


 


ซือหยูตกใจแต่ก็คงสีหน้าใจเย็นเอาไว้


 


“ข้าเป็นเพียงเด็กอำมฤตระดับสี่เท่านั้น…”


 


“ข้าไม่รู้ว่าส่วนใดของข้าที่จะคู่ควรกับการที่ท่านจะบอก แต่ถ้าท่านผู้เฒ่ามีเงื่อนไขอะไรก็โปรดว่ามาเถอะ”


 


ชายแก่แสดงสีหน้าชื่นชม


 


“ไม่ต้องย่อมตัวไป ข้าได้ยืนชื่อเสียงของเจ้ามาแล้ว มีไม่กี่คนเท่านั้นที่แข็งแกร่งกว่าเจ้า เรื่องที่ข้าพูดถึง…เจ้าจะต้องทำได้แน่!”

 

 

 


ตอนที่ 426

 

ซือหยูแอบตกใจ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกไป


 


“โปรดพูดมาเถอะท่านผู้เฒ่า ข้าจะต้องทำด้วยพลังทั้งหมดที่มีอย่างแน่นอน”


 


“ฮ่าๆๆ! เจ้าไม่ต้องกังวลไปนัก…”


 


“ถึงจะยากลำบาก มันก็เป็นไปได้ที่เจ้าจะทำสำเร็จ กระโจมเทพสวรรค์กำลังจะมาถึงทวีปเฉินหลงในอีกไม่กี่วัน ข้าขอให้เจ้าเข้าไปที่นั่นและช่วยศิษย์ของข้าหาสมบัติชิ้นหนึ่ง”


 


ซือหยูขมวดคิ้ว อะไรคือกระโจมเทพสวรรค์กัน?


 


ฟึ่บ–


 


ชายแก่ดีดหยดแก่นโลหิตลงในกระบี่สายฟ้าและโยนให้กับซือหยูเพียงการสะบัดมือ


 


“เอากระบี่นี้ไปป้องกันตัว…”


 


“มันมีแก่นโลหิตของข้า นอกจากข้าจะดึงเอาแก่นโลหิตออกมาเอง เจ้าจะชำระกระบี่ไม่ได้ หลังจากที่เจ้าเอาสมบัตินั้นกลับมาได้ ข้าจะไม่เพียงแต่เอาแก่นโลหิตออกเท่านั้น ข้าจะช่วยเจ้าชำระกระบี่นี้ด้วย”


 


ซือหยูลิงโลด เขาคว้ากระบี่สายฟ้าเอาไว้อย่างปลื้มใจ


 


“ท่านไม่กลัวข้าจะหนีไปพร้อมกับกระบี่รึ?”


 


ชายแก่หัวเราะและหยิบเอาน้ำเต้าใส่เหล้าออกมา เขาสั่นน้ำเต้านั้น สิ่งที่ออกมาไม่ใช่เหล้าแต่เป็นคัมภีร์โบราณ ในคัมภีร์นั้นมีอักษรที่เขาไม่รู้จัก


 


สมบัติเทพที่ใช้เก็บของ! ซือหยูประหลาดใจ


 


“ปฏิญาณสัตย์ดวงใจ!”


 


เซี่ยจิงหยูอุทานออกมา สีหน้าของนางแปลกไป ใบหน้านั้นสลักด้วยความสงสัย


 


“ปฏิญาณสัตย์ดวงใจมีอยู่แค่ในหมื่นปีก่อนเท่านั้น มันหายหน้าไปจากทวีปนานแล้ว ข้าได้เห็นกับตาได้ยังไงกัน”


 


ชายแก่ตกใจเล็กน้อย


 


“แม่หนู ปัญญาเจ้าลึกซึ้งนัก มีไม่ถึงร้อยคนในทวีปนี้หรอกที่รู้จักปฏิญาณสัตย์ดวงใจ! เจ้าพูดถูกแล้ว นี่คือปฏิญาณสัตย์ดวงใจ ถ้าเจ้าสาบานกับคัมภีร์นี้และใส่แก่นโลหิตลงไป เจ้าจะต้องทำตามคำสาบานเท่านั้น มิเช่นนั้นคัมภีร์จะใช้แก่นโลหิตที่เจ้าทิ้งเอาไว้สังหารเจ้าได้จากระยะเป็นล้านลี้”


 


ซือหยูตกใจในสิ่งของประหลาดนี้ แต่มันก็มีเหตุผล พวกเขาเพิ่งจะได้พบกัน ซือหยูต้องระวังตัวอยู่แล้วหากชายแก่จะมอบกระบี่สายฟ้าให้กับเขาโดยไม่มีการเตรียมการมาก่อน


 


“ถ้าข้าขาดพลังและทำตามคำสาบานไม่ได้ ข้าจะถูกสังหารเช่นเดียวกันหรือไม่?”


 


ซือหยูถามด้วยความสงสัย


 


ชายแก่หัวเราะ


 


“ไม่ซะล่ะ ถ้าเจ้าทำตามคำสาบานไม่ได้เพราะมันเหนือการควบคุมหรือมันหนักหนาเกินไป ข้าจะทำลายปฏิญาณสัตย์ดวงใจซะ ไม่ว่าเจ้าจะทำสำเร็จหรือไม่ กระบี่ก็จะเป็นของเจ้า เจ้าจะถามสิ่งใดอีกหรือไม่?”


 


ซือหยูเก็บความสงสัยเอาไว้และนำแก่นโลหิตหนึ่งหยดหยดใส่คัมภีร์และสาบานต่อหน้ามัน คัมภีร์โบราณเปล่งประกายแสงสีมรกตและดูดซับแก่นโลหิตเข้าไป


 


“เอาล่ะ…”


 


“ยังเหลืออีกสองเดือนก่อนที่กระโจมเทพสวรรค์จะมาถึง ถ้าเจ้าอยากจะอยู่บนเกาะนี้ก็อยู่ต่อไปได้ ข้าจะไม่อยู่กับเจ้าเพราะมีเรื่องที่ข้าต้องทำ แต่เจ้าจะต้องกลับมาที่นี่ในสองเดือน”


 


ซือหยูประสานมือด้วยความนับถือ


 


“ข้าก็มีเรื่องที่ต้องสะสางเช่นกัน ข้าจะกลับมาในอีกสองเดือนเพื่อเจอกับท่านอย่างแน่นอน ท่านผู้เฒ่า ข้าขอถามถึงอีกสองคนที่มากับข้าจะได้หรือไม่?”


 


เขากังวลว่าเซี่ยนเอ๋ออยู่ในที่ใด


 


ชายแก่ชี้ไปทางตะวันตก


 


“พวกพันธมิตรผู้คุมสวรรค์พาตัวพวกนั้นไป สองคนนั้นอาจจะอยู่ที่ใดสักแห่งในทางตะวันตก”


 


ซือหยุกับเซี่ยจิงหยูประสานหมัดขอบคุณและล่องนภาจากไป


 


******


 


เมื่อทั้งสองบินหายลับไป ร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวที่ด้านหลังชายแก่ เขาคือกังต้าเหล่ย


 


“ไอ้แก่!”


 


“กระบี่สายฟ้าเป็นสิ่งที่เจ้าเตรียมไว้สู้กับภัยพิบัติ เจ้าให้มันกับราชาปีศาจหิมะทมิฬไปทำไมกัน?”


 


ชายแก่หัวเราะ


 


“ถ้าข้าได้สมบัติจากกระโจมเทพสวรรค์ เสียกระบี่สายฟ้าไปสักเล่มจะเป็นไรไป?”


 


กังต้าเหล่ยครุ่นคิด


 


“ไอ้แก่บัดซบ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ ดูเหมือนเจ้าจะสนใจราชาปีศาจหิมะทมิฬเป็นพิเศษ! ถ้าเจ้าไม่บอกให้ข้าทำ ข้าก็คงจะไม่มีวันให้น้ำนมธรณีที่ข้าใช้บ่มเพาะตัวเองไปหรอก”


 


ชายแก่หัวเราะแต่ก็ไม่พูดอะไร ดวงตาเขาเป็นประกาย


 


******


 


ที่ก้นบึ้งมังกร


 


พลังอสูรพุ่งออกมาจากบ่อผนึกมังกร กรงเล็บอสูรแล่นผ่านซัดร่างเหล่ามนุษย์ที่เป็นเครื่องบูชายัญ


 


ลึกในก้นบึ้งมังกรี เสียงกระซิบของสตรีของคนดังอีกครั้ง


 


“ฮิฮิ! พี่เทียนฉวน!”


 


เสียงถากถางดังขึ้น


 


“พี่ถึงกับลงแรงเพื่อภูติน้อยตนนั้น ช่วยให้นางหนีออกไปได้ พี่ทำให้ข้าตกใจจริงๆ นั่นไม่สมกับนิสัยดุรา้ยของคนที่ชื่อเทียนฉวนเลยนะ”


 


ไม่นาน น้ำเสียงเย็นชาก็ลอยผ่านอากาศกลับมา


 


“ข้าต้องคิดถึงการปล่อยนางไปอยู่แล้ว!”


 


“พี่เทียนฉวนยังปิดบังจากข้าอยู่อีกรึ?”


 


เสียงแรกพูดตอบ


 


“พี่ยังช่วยผู้หญิงลึกลับที่ชื่อยี่หยูด้วยไม่ใช่รึไงกัน? ไม่งั้นมังกรอสูรตัวน้อยที่เกิดจากเกล็ดมังกรอสูรที่ฆ่าภูติได้ก็ฆ่านางไปแล้ว มันจะทำให้นางแค่หมดสติได้ยังไงกัน? แล้วมันก็ยังถูกเจ้าหนูนั่นเอาชนะได้ด้วยพลังแค่นิดหน่อยอีก! ถ้าไม่ช่พี่ พวกนั้นก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปหมดแล้ว!”


 


เสียงอันเย็นชาตกใจเล็กน้อย น้ำเสียงนั้นเปลี่ยนไป


 


“เจ้าคิดมากไปแล้ว!”


 


“หึหึ! ข้าพูดถูกสินะ! ข้าสงสัยจริงๆ…ผู้หญิงที่ม่อเทียนฉวนสนใจ! ให้ข้าเดา นางเชี่ยวชาญตั้งหลายวิชา ระดับปัญญานั่นสูงส่ง ความสามารถเช่นนี้ควรจะเกี่ยวข้องกับสายโลหิตโบราณ แต่สายโลหินพวกนั้นก็ยาหากมากอยู่แล้วในจิวโจว ไม่ง่ายแน่ที่พี่จะเอานางไว้ครอบครองกับตัวเอง”


 


ม่อเทียนฉวนตอบอย่างเยือกเย็น


 


“หึหึ นางก็แค่คนจากโลกดับสูญ นางจะมีสายโลหิตโบราณได้ยังไง? แล้วนางก็ยังอยู่ในโลกดับสูญ ข้าไม่มีพลังจะพานางไปจิวโจวอยู่แล้ว”


 


“ท่านพี่ก็เลยช่วยแม่ภูตินั่นให้ออกไปสินะ! พอนางได้อยู่ในโลกดับสูญ นางก็จะคิดถึงหนทางกลับสู่จิวโจว ข้าว่านางคงไม่พลาดไปกระโจมเทพสวรรค์ในอีกสองเดือนแน่ จากนั้นมันก็ง่ายไม่ใช่รึที่ท่านจะสั่งให้เหล่าศิษย์ติดตามแกะรอยคนคนนั้นจากโลกดับสูญผ่านแม่ภูติน้อยนั่น?”


 


ม่อเทียนฉวนน้ำเสียงเยือกเย็นราวน้ำแข็ง


 


“ฉิงล่วน เจ้าจะรู้มากไปแล้ว!”


 


“หึหึ…”


 


ฉิงล่วนหัวเราะเบาๆก่อนจะไม่พูดสิ่งใดอีก


 


บ่อน้ำกลับมาเงียบกริบตามเดิม


 


******


 


ซือหยูกับยี่หยูหยุดที่เกาะห่างไกลแห่งหนึ่งในมหาสมุทรกว้างใหญ่


 


“ดูเหมือนพันธมิตรผู้คุมสวรรค์จะผ่านที่นี่ไป…”


 


เซี่ยจิงหยูมองมาทางซือหยู นางพูดต่อ


 


“ไม่คิดเลยว่าท่านหิมะทมิฬจะรอดจากวิชาภูติสวรรค์บงการมาได้ ข้าเชื่อจริงๆว่าเจ้าถูกนางควบคุม ข้าเตรียมจะชิงกระบี่สายฟ้าในเวลาสำคัญ ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะล้ำลึกและซัดมันใส่ภูติสวรรค์ทั้งอย่างนั้น ข้าตกใจจริงๆ”


 


ซือหยูก้มหน้าและหัวเราะ


 


“แม่นางยี่หยู เจ้าต่างหากที่ทำข้าตกใจ ข้าก็แค่โชคดีที่ยังคงสติเอาไว้ได้ แต่แม่นางยี่หยูโต้กลับวิชาได้อย่างไม่ต้องทำอะไรมากมายและแสร้งทำเป็นถูกควบคุม ข้าตกใจแทบแย่!”


 


ในตอนนั้น ยี่หยูแสร้งทำเป็นต้องวิชาอย่างไม่ลังเล ซือหยูก็แค่เลียนแบบนางและคิดว่านางถูกควบคุมจากวิชาภูติสวรรค์บงการจริงๆ ถ้านางไม่ทำเช่นนั้นก่อน เ้ขาก็คงไม่รู้ว่าการโจมตีทางวิญญาณนั้นคือวิชาควบคุมจิตใจ


 


เมื่อเห็นว่าซือหยูนั้นรอดจากวิชาภูติสวรรค์บงการมาได้ นางก็ไม่ถามต่อ นางหัวเราะ


 


“ข้าระวังตัวมากขึ้นเมื่อรู้ว่านางเป็นภูติสวรรค์ โชคดีที่ข้าเข้าใจวิชาภูติสวรรค์บงการอยู่บ้างและเข้าใจมันได้ทันเวลา สถานการณ์ตอนนั้นย่ำแย่ ภูติสวรรค์ก็อยู่ใกล้ตัวเราเช่นนั้น ข้าไม่มีเวลาจะเตือนเจ้า โปรดอย่าถือสาข้าเลย”


 


ซือหยูหัวเราะอย่างสบายใจ


 


“ข้าจะโทษเจ้าทำไมกัน ข้าสิควรจะขอบคุณเจ้า เจ้าขาดผลก้นบึ้งมังกรถึงห้าลูก ข้าทำสัญญาไม่สำเร็จ”


 


แต่คาดไม่ถึงที่ยี่หยูยิ้มอย่างน่าสงสัย แสงสีเขียวส่องสว่างจากข้อมือนาง ผลก้นบึ้งมังกรสี่สิบลูกปรากฏออกมาเต็มไปหมด!


 


ซือหยูตกตะลึง


 


“ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…?”


 


“มันได้มาจากอสุราขาว! ตอนที่มันตาย ข้าแอบเอากระเป๋าของมันมา เจ้ากำลังต่อสู้กับอสุราดำอยู่ ไม่มีรู้ว่าข้าทำอะไร ข้าค้นเจอเกือบสามสิบลูกที่สมบูรณ์”


 


เหล่าภูติผีชอบสะสมผลก้นบึ้งมังกร ไม่แปลกนักที่พวกอสุราจะมีผลก้นบึ้งมังกรจำนวนมากติดตัว


 


“เช่นนั้น…ข้าก็ไม่ต้องห่วงแล้ว”


 


ซือหยูถอนหายใจด้วยความโล่งอกในไหวพริบและความเฉลียวฉลาดของหญิงสาวตรงหน้า


 


สายลมเหนือพวกเขาพัดปลิว เรือรบขนาดใหญ่ยักษ์ปรากฏออกมาจากนภาจนทำให้พื้นที่โดยรอบมืดครึ้ม


 


เซี่ยจิงหยูอ้าปากค้าง


 


“เรือรบของพวกพันธมิตรผู้คุมสวรรค์! ตามที่เคยได้ยิน มันคือเรือเทพที่ช่วยทวีปเอาไว้ มันยังเป็นขุมกำลังสุดท้ายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ข้าไม่เคยคิดเลยว่ามันจะตระการตาเช่นนี้ สมกับที่เป็นของจากครั้งโบราณจริงๆ!”


 


ซือหยูตกใจเช่นกัน เรือรบขนาดยักษ์เช่นนี้ให้เรียกมันว่าทวีปเสียยังดีกว่า เพราะอย่างน้อยมันก็ไม่เล็กไปกว่าเกาะเฉินยี่เลย


 


เอี๊ยด–


 


เสียงดังมาจากใต้ท้องเรือ ประตูโลหะหนาเปิดออก เผยให้เห็นแสงกระจ่างที่เข้าปกคลุมทั้งสอง


 


มันคือคลื่นพลังมิติ และพวกเขากำลังถูกพาตัวเข้าไป!


 


ฟ้าดินหมุนวน เมื่อเท้าของซือหยูสัมผัสกับพื้นอีกครั้งและเสียการทรงตัว เขาล้มลงกับพื้นและพยายามทรงตัวขึ้นมา


 


ในเวลาเดียวกันกลิ่นอันหอมหวานก็ลอยมาจากข้างๆ นั่นคือเซี่ยจิงหยูที่เสียการทรงตัวและล้มลง ซือหยูยื่นมือขวาคว้าเอวของนางเอาไว้ จากนั้นเขาจึงปล่อยวงแหวนอัสนีออกมาล้อมรอบเพื่อป้องกันการโจมตีจากภายนอก


 


“โอ้?”


 


“ดูเหมือนพลังกายของเขาจะไม่เลว เขายังมีพลังช่วยคนอื่นได้อีก ประสบการณ์การต่อสู้นั่นมากมายนัก”


 


ซือหยูมองไปทางต้นเสียงอย่างระมัดระวัง เขาพบชายวัยกลางคนที่มีกระบี่ยาวสลักดวงดาวเอาไว้ มันปล่อยรังสีกระบี่ที่คมกริบอย่างมากออกมา เขากำลังมองซือหยูอย่างนับถือ


 


เมื่อซือหยูมองรอบๆอีกครั้งเขาก็เห็นฉินเซี่ยนเอ๋อกับจ้าวฉิงจูอยู่ด้วย และยังมีคนแปลกหน้าอีกสองคน หนึ่งคนนั้นใบหน้าดูคุ้นเคยที่อายุประมาณห้าสิบปี ส่วนอีกคนคือสตรีวัยกลางคนที่มีพลังเป็นเอกลักษณ์


 


ที่ซือหยูตกใจก็คือทั้งสามคนนั้นล้วนเป็นกึ่งเทพ! และพวกเขายังเหนือกว่ากึ่งเทพทั่วๆไป พลังที่แผ่ออกมานั้นใกล้เคียงกับจางตี๋เก้ออย่างมาก!


 


ซือหยูไม่แปลกใจเลยถ้าอสุราในก้นบึ้งมังกรจะทำอะไรกับทั้งสามคนนี้ไม่ได้

 

 

 


ตอนที่ 427

 

จ้าวฉิงจูหน้าซีดเล็กน้อย แต่ก็แทนที่ด้วยความยินดีเมื่อเห็นว่าเซี่ยจิงหยูกลับมาได้อย่างปลอดภัย


 


“หิมะทมิฬ…”


 


“ที่นี่ปลอดภัยอยู่แล้ว เจ้าจะวางยี่หยูลงได้รึยัง?”


 


ฉินเซี่ยนเอ๋อมองดูอยู่อีกด้านด้วยความตกใจ นางมองเซี่ยจิงหยูด้วยอารมณ์หลากหลาย


 


หลังจากที่ซือหยูคืนสติ เขาก็เห็นว่าเขายังกอดเซี่ยจิงหยูเอาไว้ในอ้อมแขน เขาสลายวงแวหนอัสนีและปล่อยมือลง ดวงตาของเขาสดใสไร้ความคิดแอบแฝง


 


เซี่ยจิงหยูหน้าแดงระเรื่อ หลังจากที่มองรอบๆนางก็สีหน้าเคร่งเครียด นางแนะนำตัว


 


“ข้าคือยี่หยู ยินดีที่ได้พบกับเทพกระบี่ดาวเหนือ ผู้เฒ่าจ้าวอู๋จี๋ จ้าววิหคเพลิงอาสัญ ผู้เฒ่าฉิวหนิงชุ่ย และเจ้าพันธมิตรหลง ผู้เฒ่าหลงจื้อซิน”


 


เทพกระบี่ดาวเหนือ? จ้าววิหคเพลิงอาสัญ? ซือหยูตกใจ


 


ซือหยูเคยได้ยินนามของทั้งค่มาก่อน พวกเขาเหล่านั้นคือยอดฝีมือระดับสูงสุดแห่งทวีปเหนือ เทพกระบี่ดาวเหนือนั้นมาจากร้อยดินแดน จ้าววิหคเพลิงอาสัญเคยเป็นจ้าวคณะวิหคเพลิงคนก่อน และนางก็คืออาจารย์ของจ้าววิหคเพลิงคนปัจจุบัน!


 


ส่วนอีกคนที่มีกระบี่อยู่กับตัวก็คือเทพกระบี่ดาวเหนือ ส่วนสตรีวัยกลางคนที่แต่งงานแล้วที่ยืนอยู่ข้างเซี่ยนเอ๋อก็คือจ้าววิหคเพลิงอาสัญ ฉิวหนิงชุ่ย!


 


คนสุดท้ายที่ดูคุ้นตาจะต้องเป็นเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์! พลังของเขาแข็งแกร่งเหนือผู้ใด ซือหยูรู้สึกถึงอันตรายจากเขามากยิ่งกว่าสองคนก่อนหน้า


 


จ้าวอู๋จี๋หัวเราะ


 


“แม่ตุ๊กตาน้อยนี่จำพวกเราได้เพียงแค่ปราดตามอง ดูเหมือนข่าวลือที่ว่าจ้าวยี่หยูปราดเปรื่องและการทุกสิ่งบนจักรวาลจะเป็นความจริง!”


 


ในบรรดาพวกเขาทั้งสามคน มีเพียงหลงจื้อซินเท่านั้นที่แทบจะไร้อารมณ์


 


หลังจากที่เหลือบมองเซี่ยจิงหยู ฉิวหนิงชุ่ยก็หันไปมองซือหยู


 


“ที่นี่ไม่เหมาะที่จะพูดคุยกัน”


 


จ้าวอู๋จี๋หุบยิ้ม


 


“พวกเจ้าสองคนตามเรามา เรามีเรื่องจะถามพวกเจ้า”


 


ทั้งหมดเข้าไปยังห้องลับ จ้าวอู๋จี๋ ฉิวหนิงชุ่ย และหลงจื้อซินมองหน้ากันไปมาและเริ่มเอ่ยปาก


 


“เป็นการดีที่ท่านเจ้าพันธมิตรจะเริ่มถามก่อน”


 


จ้าวอู๋จี๋เปรยเบาๆ


 


หลงจื้อซินใบหน้าแข็งกร้าว เขามองซือหยูกับเซี่ยจิงหยูและพูดอย่างหนักแน่น


 


“ข้าได้ยินว่าเจ้าสองคนเจอกับเรื่องประหลาดในก้นบึ้งมังกร เพื่อความปลอดภัยของทวีปเฉินหลง โปรดบอกสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกข้าเถอะ”


 


ซือหยูพยักหน้าและบอกเล่าเรื่องราวที่ได้เจอกับเซี่ยจิงหยู บอกวิธีที่เขาหนีรอดจากอสุราและได้เจอกับจางตี๋เก้อหลังจากนั้น และพวกเขายังทำให้จางตี๋เก้อหนีออกมาได้ในท้ายสุด แต่เขาก็เก็บเรื่องกระบี่สายฟ้าเอาไว้


 


เมื่อได้ยินว่าภูติสวรรค์หนีจากผนึกมาได้ ทั้งสามก็สีหน้าไม่สู้ดีนัก


 


“ตอนที่ภูติสวรรค์เข้ามาจากจิวโจว…”


 


จ้าวอู๋จี๋เป็นฝ่ายพูดบ้าง


 


“รอยแยกนั้นปิดในไม่นาน ทำให้ภูติสวรรค์ติดอยู่ในทวีปเฉินหลง พวกผู้อาวุโสต้องพยายามอย่างมากเพื่อที่จะจองจำนางไว้ในก้นบึ้งมังกร ถ้านางหนีมาได้ ข้าก็เกรงว่าทวีปกำลังตกอยู่ในอันตราย”


 


เขาคิ้วกระตุก


 


ผ่านไปนาน หลงจื้อซินพูดขึ้นมา


 


“อาจจะไม่เป็นเช่นนั้น ภูติสวรรค์บาดเจ็บหนักเพราะผู้อาวุโสจิว ด้วยเวลาเพียงเท่านี้ นางคงทำเรื่องเลวร้ายไม่ได้มากนัก ช่วงนี้น่าจะยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นแน่!”


 


เมื่อได้ยินดังนี้ สีหน้าสองทั้งสามก็ยังคงไม่สู้ดีดังเดิม


 


จ้าวอู๋จี๋พยักหน้าอย่างเคร่งเครียด


 


“ดูเหมือนจะไม่จำเป็นแล้วที่พวกเขาจะไปก้นบึ้งมังกร พวกเราแค่ต้องบอกเหล่าขุมกำลังในทวีปให้เตรียมการล่วงหน้าเอาไว้”


 


ทั้งสามมองหน้าและพยักหน้าพร้อมกัน


 


“จบเท่านี้แหละ…”


 


หลงจื้อซินกล่าว


 


“พวกเจ้าไปได้แล้ว”


 


จ้าวอู๋จี๋ ฉิวหนิงชุ่ย และซือหยูกับเซี่ยจิงหยูยืนขึ้น


 


“ราชาปีศาจหิมะทมิฬอย่าเพิ่งไปไหน!”


 


หลงจื้อซินพูดอย่างไร้อารมณ์


 


เอ๋?


 


ซือหยูเริ่มคิดในทันที ตลอดการพูดคุย หลงจื้อซินนั้นทำกับเขาอย่างเย็นชา


 


จ้าวอู๋จือออกท่าทาง


 


“พวกเด็กๆออกไปก่อนเถอะ”


 


ฉิวหนิงชุ่ยนั่งลงอีกครั้งอย่างใจเย็น


 


หลงจื้อซินขมวดคิ้ว


 


“นี่พวกเจ้าสองคน ข้ามีเรื่องจะคุยส่วนตัวกับราชาปีศาจหิมะทมิฬ ออกไปซะ”


 


จ้าวอู๋จี๋หัวเราะและยังยืนอยู่อย่างมั่นคง


 


“หึหึ เจ้าพันธมิตร พวกเราสองคนก็มีเรื่องจะคุยกับราชาปีศาจหิมะทมิฬเหมือนกัน”


 


หลงจื้อซินหน้าผากย่นอย่างร้อนใจ เขามองทั้งสอง


 


“ย่อมได้ ดูเหมือนพวกเราจะคิดแบบเดียวกัน”


 


สีหน้าของเขาแข็งทื่อ


 


“ราชาปีศาจหิมะทมิฬ เจ้าสังหารผู้คนมากมายในทวีป สร้างการนองเลือด เรื่องนี้ขัดต่อความสงบนัก! เจ้ามีจะไรจะแก้ตัวหรือไม่?”


 


คำถามของเขานั้นค่อนข้างรุนแรง เขาอยากจะให้ราชาปีศาจหิมะทมิฬยอมจำนน


 


ซือหยูตกใจ แต่เขาก็ยังใจเย็น


 


“ทุกความผิดย่อมมีผู้กระทำ ข้าผิดอะไรที่ฆ่าคนพวกนั้น?”


 


ความคิดของซือหยูทำให้หลงจื้อซินสีหน้าหม่นหมอง พลังที่มองไม่เห็นกดดันซือหยูราวกับภูเขาลูกใหญ่


 


“ไม่รู้สำนึก!”


 


ซือหยูรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล แต่ร่างกายของเขาก็เปลี่ยนแปลงมาแล้วด้วยผลของน้ำนมธรณีและพลังชีวิตของภูติ ร่างกายของเขากำลังไปถึงระดับกึ่งเทพ ดังนั้นแล้ว พลังของหลงจื้อซินจึงทำอะไรกับซือหยูไม่ได้


 


ซือหยูวางถ้วนชาลงและพูดอย่างเรียบเฉย


 


“ข้ายอมรับที่พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ดูแลทวีปมาตลอดหลายยุคสมัย แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของขุมกำลังกับตัวข้าแต่เพียงผู้เดียว หากเป็นเช่นนี้แล้วผู้คุมสวรรค์จะถามหาอะไรจากข้า? หมื่นปีที่ผ่านมา ขุมกำลังในทวีปก็พยายามจะแก่งแย่งชิงดีซึ่งกันและกัน คนที่บาดเจ็บล้มตายจะมีแค่ล้านคนงั้นรึ? ทำไมข้าไม่เคยเห็นพวกเจ้าเข้าไปกล่าวโทษขุมกำลังเหล่านั้นเล่า? แต่พวกเจ้ากลับป้ายความผิดกับข้า หรือว่าการที่ขุมกำลังนั่นฆ่าล้างสังหารผู้คนจะมิใช่ความผิด แต่ข้าที่ล้างแค้นกับเป็นคนที่กระทำผิด?”


 


ซือหยูตาเป็นประกาย เขามองทั้งสามและพูดต่อ


 


“ผู้อาวุโสทั้งหลาย ถ้ามีอะไรจะพูดก็พูดมาตามตรง กลไม้นี้ใช้ไม่ได้กับข้า”


 


พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ไม่เคยเข้าแทรกแทรงเรื่องของเหล่าคนนอกกันเอง ทำไมพวกเขาจะต้องมาหาเรื่องซือหยูและทำลายชื่อเสียงของตัวเองด้วยเล่า? การใช้อำนาจกดดันซือหยูนั้นมิใช่แค่ต้องการข่มซือหยูแน่ มันจะต้องเป็นเรื่องอื่น


 


จ้าวอู๋จี๋ประหลาดใจ จากนั้นเขาก็มองหน้ากับอีกสองคนด้วยความชมเชย


 


“มิเพียงแต่ราชาปีศาจหิมะทมิฬจะมีพลังมหาศาล แต่เจ้ายังเฉลียวฉลาดไม่เป็นสองรองผู้ใด ข้าประเมินเจ้าต่ำไป!”


 


หลงจื้อซินพูดเบาๆ


 


“เดิมทีพวกข้าก็ไม่คิดจะอ้อมค้อม แต่ข้าก็ออมมือไม่ใช่เช่นกัน! ราชาปีศาจหิมะทมิฬ พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ไม่สนใจเรื่องที่เจ้าสังหารผู้คน แต่สมบัติที่เจ้าชิงมาจากงานวิวาห์ตระกูลยี่นั้นมิอาจอยู่ในมือของเจ้า! ปีกตระกูลหวัง เศษตำราระดับตำนาน เขาแห่งความตายที่เป็นสมบัติเทพระดับสูง! และหยดหมื่นพลของตระกูลตู่ สิ่งเหล่านี้มิอาจเป็นของเจ้า! เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าเป็นภัยต่อทวีปและทำให้ผู้คนทุกข์ทรมาน จงส่งสมบัติพวกนั้นมาให้พวกข้าเก็บไว้อย่างปลอดภัยซะ!”


 


สิ่งของที่สำคัญที่สุดก็คือสมบัติเทพระดับสูง ทั้งสามมองซือหยูด้วยสีหน้าที่นับถือว่าเขาคือศัตรูตัวฉกาจ


 


ซือหยูยิ้มเยาะ


 


“ข้าลงแรงไปมากและเสี่ยงเหลือเกินเพื่อสังหารศัตรูของข้า สมบัติพวกนี้มาจากพลังงของข้า เจ้าอยากจะเอาทั้งหมดกลับไปโดยพูดว่าเพื่อความปลอดภัยของทวีปงั้นเรอะ? ฮ่าๆๆๆ…!”


 


หลงจื้อซินเปล่งเสียงจากลำคอ


 


“อย่ามาถากถางพวกข้า! ความคิดของพวกเราบริสุทธ์ผุดผ่อง พวกข้าทำเพื่อทวีป! และเจ้าก็ยังได้เหรียญก้นบึ้งมังกรเก้านรกไปแล้ว เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว!”


 


ซือหยูแอบแตะจุดกำเนิดพลัง ในนั้นยังมีแก้วพลังชีวิตที่ทำให้เขาใช้กระบี่สายฟ้าได้หนึ่งครั้ง เขาถอนหายใจแรง


 


“น่าขัน!”


 


ซือหยูตะคอก


 


“ สมบัติพวกนี้อยู่ในมือของแปดตระกูล ทำไมเจ้าไม่ไปขอเอากับตระกูลพวกนั้นก่อนหน้านี้เล่า? ทำไมถึงต้องการมันในตอนที่มาอยู่ในมือข้า เจ้าเพิ่งคิดถึงอันตรายต่อทวีปได้เรอะ? การพูดคำโตของเจ้าหลอกได้แค่เด็กไร้เดียงสาเท่านั้น ไม้นี้ตื้นเขินนัก”


 


ทั้งสามตัวแข็งทื่อ การพูดของซือหยูนั้นไม่ได้มาจากเด็กหนุ่มอย่างแน่นอน!


 


“พวกเจ้าสามคนมีอะไรอีกหรือไม่?”


 


“ถ้าไม่ ข้าก็จะไปแล้ว”


 


ซือหยูยืนขึ้นอย่างเยือกเย็น!


 


ปั้ง–


 


หลงจื้อซินตบโต๊ะและยืนขึ้น


 


“อวดดี! ข้าพูดกับเจ้าดีๆ แต่เจ้ามันดื้อด้าน ข้าต้องลงมือสินะ!”


 


ซือหยูสายตาเย็นยะเยือก


 


“อย่างนั้นรึ? เจ้าก็ลองดู…เข้ามา!”

 

 

 


ตอนที่ 428

 

กระบี่สายฟ้าอยู่ในคันฉ่องจักรวาล เพียงแค่ประสงค์เดียวมันก็ออกมาทำลายสามคนตรงหน้าได้


 


คำพูดอันอวดดีของซือหยูทำให้ทั้งสามแอบตกตะลึง บรรยากาศตึงเครียด แววตาของหลงจื้อซินเต็มไปด้วยจิตสังหาร


 


จ้าวอู๋จี๋เหลือบมองและยกมือขึ้น


 


“เจ้าพันธมิตร ข้าว่า…เราควรไตร่ตรองดูอีกครั้งเถอะ ถ้าเราลงมือจริงๆ นั่นจะไม่เป็นการสังหารคนเพื่อชิงสมบัติหรอกรึ? นี่มันขัดหลักการพวกเรา”


 


ฉิวหนิงชุ่ยที่เงียบมาโดยตลอดยืนขึ้นช้าๆและถอนหายใจ


 


“ข้าว่าเราควรหยุดแต่เพียงเท่านี้ ข้าไม่ยอมใช้กลเช่นนี้เพื่อชิงสมบัติของคนอื่นแน่ ไม่ว่าเราจะมีเหตุอันเป็นธรรมเพียงใด สุดท้ายนั่นก็เป็นสิ่งที่พวกโจรเท่านั้นที่จะทำ”


 


หลงจื้อซินตกใจเล็กน้อย ทั้งสองกำลังปกป้องซือหยู! ใบหน้าดุร้ายของเขาเปลี่ยนไป เขาถอนหายใจแรง


 


“เช่นนั้นก็ช่างเรื่องนี้ไป ข้าจะถามเจ้าเรื่องสุดท้าย ราชาปีศาจหิมะทมิฬ เจ้าเห็นลูกชายข้าหรือไม่? เขาหายตัวไปเพื่อตามหาเจ้า”


 


ซือหยูพูดอย่างไร้อารมณ์


 


“ข้าเอาแต่หนีเอาชีวิตรอดตอนที่เจออสุราและไม่ได้เจอกับลูกเจ้า มีอะไรจะถามอีกหรือไม่?”


 


หลงจื้อซินสีหน้าเยือกเย็น


 


“เจ้าพูดจริงรึ?”


 


ซือหยูหัวเราะเบาๆ


 


“ข้าพูดไปแล้ว เจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่ก็ตามใจเจ้า”


 


จ้าวอู๋จี๋เห็นว่าทั้งสองกำลังจะระเบิดความขัดแย้งใส่กันและพูดแทรก


 


“เจ้าพันธมิตร เฟยหยูเป็นเด็กที่ระวังตัว เขาอาจจะซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งในก้นบึ้งมังกรและรอโอกาสอยู่ ข้าจัดคนไปพบเขาที่เกาะก้นบึ้งมังกรแล้ว ถ้ามีข่าวเรื่องเฟยหยู เราจะรับรู้ได้ในทันที ท่านไม่ต้องกังวลไปนัก”


 


หลงจื้อซินสีหน้าผ่อนคลายลง เขาจ้องมองซือหยูก่อนจะจากไป


 


จากนั้นจ้าวอู๋จี๋ก็ยิ้มให้กับซือหยู


 


“หึหึ จ้าวคณะฉิวกับข้าช่วยเจ้าขนาดนี้เชียวนะ”


 


ซือหยูจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าทั้งสองปกป้องเขา? หากไม่มีทั้งสอง หลงจื้อซินก็คงจะลงมือกับเขาไปแล้ว


 


ซือหยูประสานมือขอบคุณ


 


“ขอบคุณท่านทั้งสอง ข้าดีใจยิ่งนัก”


 


จ้าวอู๋จี๋โบกมือและหัวเราะ


 


“เจ้าไม่ต้องขอบคุณพวกข้าหรอก จะอย่างไรพวกข้าก็ไม่เห็นด้วยกับท่านหลงอยู่แล้ว การช่วยเจ้านั้นเป็นเรื่องสามัญที่ต้องทำ พวกข้าต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณเจ้า”


 


ซือหยูสับสน


 


“เจ้าอาจจะยังไม่รู้ว่าข้าเกิดในพันธมิตรร้อยดินแดน จ้าวคณะฉิวก็มาจากคณะวิหคเพลิง…”


 


“เรามิอาจเข้าไปแทรกแทรงการเปลี่ยนแปลงของทวีปได้เพราะตำแหน่งหน้าที่ การทำลายพันธมิตรอุดรทวีปของเจ้าเป็นการสั่งสอนพวกมันแทนเรา เจ้าใช้พลังตัวเองเพียงคนเดียวสังหารยอดฝีมือไปมากมาย นั่นไม่ใช่ความสำเร็จเล็กๆน้อยๆ ฉายายอดฝีมือที่แกร่งที่สุดในทวีปคงต้องเป็นของเจ้า”


 


ซือหยูคิดย้อนกลับไป จ้าววิหคเพลิงบอกว่ามียอดฝีมือมากมายในทวีปที่อยู่ในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์


 


“จะยกยอข้าเกินไปหน่อยแล้ว…”


 


ซือหยูตอบอย่างนอบน้อม


 


“ข้าก็แค่หุนหันและโชคดีที่ไม่ตาย”


 


ฉิวหนิงชุ่ยมองซือหยู


 


“เจ้าไม่ต้องเกรงใจหรอก เจ้าสมควรจะถูกเรียกว่ายอดฝีมือที่แกร่งที่สุดในทวีปเหนือแล้ว”


 


นางค่อยๆยืนขึ้นและหยิบเอาขวดโอสถออกมาจากตัว


 


“ข้าได้ยินว่าเจ้าช่วยเซี่ยนเอ๋อในก้นบึ้งมังกร ให้โอสถขวดนี้แทนการตอบแทนจากเซี่ยนเอ๋อเถอะ”


 


จ้าวอู๋จี๋มองโอสถด้วยความตกใจเล็กน้อย เขาหัวเราะ


 


“จ้าวคณะฉิวชอบเจ้าน่าดู นี่คือโอสถที่นางปรุงด้วยตัวเอง เม็ดหยาดจันทราเยือกแข็งจะช่วยฟื้นฟูพลังวิญญาณของเจ้าได้ แม้แต่พวกผู้อาวุโสก็ร้องขอโอสถนี้ โชคดีจริงๆนะเจ้าหนู”


 


โอสถที่ฟื้นฟูพลังวิญญาณนั้นยาหากโดยแท้จริง! ซือหยูรับเอาไว้ด้วยความขอบคุณ การฟื้นฟูพลังวิญญาณขณะต่อสู้นั้นจะทำให้เขาได้เปรียบ


 


ฉิวหนิงชุ่ยพยักหน้าเบาๆ


 


“ถ้าเจ้าไม่มีสิ่งอื่นใดแล้วก็อยู่พักที่พันธมิตรผู้คุมสวรรค์เถอะ ที่นี่มีพลังวิญญาณเข้มข้นกว่าโลกภายนอกมากมายนัก เหมาะที่เจ้าจะได้บ่มเพาะพลัง”


 


ซือหยูเลิกคิ้ว


 


“ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง แต่ข้ามีเรื่องสำคัญที่ใกล้เข้ามา ไม่ดีนักถ้าข้าจะไปไกลเกินไป และเจ้าพันธมิตรหลงก็มีอคติต่อข้า ข้าไม่คิดว่าจะอยู่ที่นี่นานนักหรอก”


 


ทั้งสองคิดอยู่ครู่หนึ่งและไม่พูดอะไร


 


“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ดูแลตัวเองด้วย”


 


เมื่อพูดจบ ทั้งสองหันหลังเตรียมจะเดินออกไป


 


“ผู้อาวุโสฉิวโปรดรอเดี๋ยว!”


 


ซือหยูหยุดฉิวหนิงชุ่ย


 


“ข้ามีอีกเรื่องที่จะขอท่าน”


 


จ้าวอู๋จี๋ประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็เดินออกไป


 


“มีอะไรรึ?”


 


ฉิวหนิงชุ่ยหันกลับมาถาม


 


ซือหยูหยิบเขาแห่งความตายและหยดหมื่นพลห้าหยดออกมาส่งให้นางพร้อมกัน


 


“นี่มัน…”


 


สายตาของฉิวหนิงชุ่ยราวกับพยายามจะทำความเข้าใจซือหยู


 


“ให้มันกับเซี่ยนเอ๋อ…”


 


“ไม่มีสิ่งใดจะเหมาะสมกับนางเท่าสิ่งนี้อีกแล้ว ข้าหวังว่าท่านจะมอบมันให้กับเซี่ยนเอ๋อได้”


 


ฉิวหนิงชุ่ยมองซือหยูอย่างลึกซึ้ง แววตานางสลับซับซ้อน


 


“จะบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าเป็นใครกันแน่?”


 


บุรุษผู้นี้มิได้เพียงปกป้องฉินเซี่ยนเอ๋อเท่านั้น นี่เป็นสมบัติเทพระดับสูงที่ทำให้ต่อกรได้แม้กระทั่งกึ่งเทพ แต่เขาก็เต็มใจที่จะให้มันกับฉินเซี่ยนเอ๋อโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน


 


ซือหยูพูดอย่างหนักแน่น


 


“ไม่สำคัญว่าข้าจะเป็นใคร สิ่งสำคัญคือท่านจะต้องมอบมันให้นางเมื่อถึงเวลา”


 


“เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะเก็บมันเอาไว้เองรึ?”


 


ฉิวหนิงชุ่ยถามกลับ


 


“ถ้าท่านสนใจสมบัติเทพชิ้นนี้ ท่านก็คงจะไม่หยุดหลงจื้อซิน”


 


ซือหยูวางของทั้งสองลงบนโต๊ะและประสานมือทำความเคารพ


 


“ได้โปรด ผู้อาวุโส”


 


เขาพูดจบและเตรียมจะเดินจากไป


 


“เดี๋ยวสิ…”


 


ฉิวหนิงชุ่ยมองเขาแห่งความตายและลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจ


 


“ย่อมได้! ข้าจะให้มันกับเซี่ยนเอ๋อ! เจ้าต้องการโอสถก้นบึ้งมังกรใช่หรือไม่? ข้าค่อนข้างฝีมือดีในการปรุงยา ถ้าเจ้าเชื่อใจข้าก็ส่งผลก้นบึ้งมังกรให้ข้าแล้วกลับมาเอาโอสถในอีกครึ่งเดือน”


 


ซือหยูดีใจอย่างมากเมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้! แม้แต่จ้าวอู๋จี๋ก็ต้องได้โอสถของนาง เห็นได้ชัดว่าวิชาการปรุงงยาของนางนั้นเหนือว่าคนทั่วไป! ซือหยูไม่คิดให้มากความและส่งผลก้นบึ้งมังกรให้กับนาง


 


“แล้วก็ ให้ข้าดูดวงตาของเจ้าหน่อย”


 


ฉิวหนิงชุ่ยเดินไปหาและยื่นสองดัชนีแตะที่หน้าผากของซือหยู


 


พลังความเย็นไหลเข้าสู่ดวงตาของซือหยู ดวงตาของเขากลับมาเป็นปกติอยู่ไม่นานแล้วก็เริ่มกลับมาอยู่ในความมืดมิด! แต่สุดท้าย แสงสว่างนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว


 


ฉิวหนิงชุ่ยสีหน้าเคร่งเครียด


 


“ดวงตาเจ้าบาดเจ็บรุนแรงเช่นนี้ได้ยังไงกัน? แผลนี้มีพลังสวรรค์พิโรธอยู่ด้วย ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!”


 


ฉิวหนิงชุ่ยก้มหน้าและไม่พูดอะไร นางเงียบกริบ นางเขียนบันทึกที่มีชื่อนางวัตถุดิบประหลาดมากมาย


 


“การเสียการมองเห็นเพราะสวรรค์พิโรธนั้นแตกต่างกับการตาบอดทั่วไปอย่างมาก โอสถธรรมดาช่วยเจ้าไม่ได้ แม้แต่ข้าก็ทำอะไรไมได้”


 


ซือหยูผิดหวังอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่มีหวังมากอยู่แล้วตั้งแต่แรก แม้แต่จางตี๋เก้อที่อยู่ในขอบเขตภูติก็ช่วยเขาไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงฉิวหนิงชุ่ยเลย


 


“แต่…”


 


น้ำเสียงของนางเปลี่ยนไป


 


“ครั้งหนึ่งข้าเคยได้อ่านสิ่งที่เรียกว่าเนตรเงินล้างอสูรในตำราโบราณ ว่ากันว่าเนตรนั่นจะต่อสู้กับพลังสวรรค์พิโรธได้ ถ้าเจ้าบ่มเพาะเนตรเทพเช่นนั้นได้ ข้าก็คิดว่าเจ้าจะใช้มันต่อสู้กับพลังสวรรค์พิโรธและสลายพลังในดวงตาของเจ้าออกไปและกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง!”


 


“เนตรเงินล้างอสูรรึ?”


 


“ข้าจะเอามันมาได้ยังไง?”


 


ฉิวหนิงชุ่ยพูดเบาๆ


 


“ไม่ยากที่จะได้เนตรนั้น ตราบเท่าที่เจ้ามีพื้นฐานวิชาดวงตา ดวงตาเจ้าก็จะมีเนตรเงินล้างอสูร ข้ามีวิธีทำให้ดวงตาของเจ้าเป็นเนตรเงินล้างอสูร แต่สิ่งที่ยากโดยแท้จริงคือการหาวัตถุดิบ! มีวัตถุดิบหลักสามชนิด นั่นคือมุกเงินเลี่ยงอัสนี สมุนไพรบาดาลอมตะ และสุดท้าย โลหิตมังกรของจริง!”

 

 

 


ตอนที่ 429

 

“ของสามชนิดนี้คือวัตถุดิบที่หายากที่สุด…”


 


“ข้าบอกข้อมูลของสมุนไพรบาดาลอมตะกับเจ้าได้ นอกเหนือจากนั้น ข้าก็ไม่รู้เรื่องมุกเงินเลี่ยงอัสนีหรือโลหิตมังกรเลย”


 


เพียงได้ยินชื่อของวัตถุดิบทั้งสามก็บอกได้แล้วว่ามันคือของล้ำค่าที่ยากจะพบเจอ ดังนั้นแล้วการรวบรวมทั้งหมดในครบนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำ


 


แต่ถ้าซือหยูได้การมองเห็นกลับมาอีกครั้ง ผนึกของมิติและเวลา…รวมถึงเนตรสวรรค์…เขาจะกลับมาใช้พลังเหล่านั้นได้ ด้วยพลังอำนาจของเนตรสวรรค์นั้น แม้แต่คนในขอบเขตภูติก็ทำอะไรไม่ได้ และเขายังถูกภูติสวรรค์จดจำเอาไว้อย่างแม่นยำ ถ้าเขาไม่หาทางเอาตัวรอด อนาคตของเขาก็ต้องพบเจอกับความทุกข์ทรมานแน่


 


“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะข้า…”


 


“ท่านบอกข้าเรื่องสมุนไพรบาดาลอมตะจะได้หรือไม่? ข้าจะพยายามหามันให้เจอ และเมื่อถึงเวลา ข้าหวังว่าท่านจะช่วยข้าได้”


 


ฉิวหนิงชุ่ยพยักหน้า


 


“ย่อมได้ ถ้าเจ้าหาวัตถุดิบสามอย่างนี้ได้จริงๆ ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้ากลับมาเห็นแสงสว่างได้อีกครั้ง เจ้าไปที่หาเบาะแสของสมุนไพรบาดาลอมตะได้ที่เกาะคลื่นคราม! เกาะนี้คือศูนย์การค้าที่ตระการตาที่สุดในมหาสมุทร และยังเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ที่ใช้เพื่อเสริมทรัพยากร มีสมบัติที่นั่นมากมายปรากฏให้เห็น ไม่กี่วันก่อนตอนที่ข้าไปซื้อวัตถุดิบ ข้าได้ยินข่าวของสมุนไพรบาดาลอมตะโดยบังเอิญ แต่ข้าก็รีบร้อนจนไม่ได้ฟังรายละเอียด ถ้าเจ้าไปที่เกาะนั้น เจ้าอาจจะหาสมุนไพรบาดาลอมตะเจอก็ได้”


 


เกาะคลื่นครามรึ? ซือหยูพยักหน้า เขาขอบคุณนางและออกจากเรือรบ หายตัวไปยังมหาสมุทรกว้าใหญ่


 


จ้าวอู๋จี๋เดินเข้ามาจากไกลๆ เขาค่อยๆปรากฏตัวอย่างเงียบๆ


 


“จ้าวคณะฉิว…”


 


“เนตรเงินล้างอสูรคือหนึ่งในวิชาเนตรเทพของจักรวาลที่ผู้อาวุโสในโลกดับสูญพยายามจะได้มาครองแต่ก็ล้มเหลว บอกซือหยูไปเช่นนั้นจะไม่ทำให้เขาเสียแรงเปล่าหรอกรึ? จากที่ข้ารู้ มุกเงินเลี่ยงอัสนีกับโลหิตมังกรก็ไม่ใช่ของที่จะเจอได้ในทวีปเฉินหลง แล้วโลหิตมังกรนั่น แม้แต่ในจิวโจวก็เป็นของที่หายากมาก”


 


ฉิวหนิงชุ่ยถอนหายใจ


 


“เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้รึไงกัน? แต่การมีหวังก็ยังดีกว่าการหมดหวัง!”


 


“หึหึ ดูเหมือนท่านจะได้เขาแห่งความตายติดมือมานะ”


 


จ้าวอู๋จี๋หัวเราะ


 


ฉิวหนิงชุ่ยขมวดคิ้ว


 


“เขาทิ้งมันไว้ให้เซี่ยนเอ๋อ ข้าหวังว่าเทพกระบี่จ้าวจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับจากเจ้าพันธมิตรนะ”


 


“ฮื่ม…ข้าไม่บอกหลงจื้อซินอยู่แล้ว ไอ้แก่นั่น ถ้าข้าทำ เขาก็คงจะคิดทุกทางเพื่อเอาสมบัตินี้ไปให้กับลูกชายลูกสาวของมัน! พันธมิตรผู้คุมสวรรค์มีชื่อเสียงว่าจะบ่มเพาะผู้มีพรสวรรค์อย่างเท่าเทียมโดยไม่มีอคติ แต่ความจริงแล้วคนที่สนิทกับตระกูลหลงต่างหากที่จะได้ทรัพยากรพวกนั้น นี่มันไม่ยุติธรรม”


 


ฉิวหนิงชุ่ยไม่พอใจเล็กน้อย นางพูดอย่างหมดหวัง


 


“จะอย่างไร ตระกูลหลงก็เป็นตระกูลที่ปกป้องเรือรบ เราทำสิ่งใดไม่ได้หรอก! แล้วตระกูลหลงก็ยิ่งแข็งแกร่งกว่าเดิมไปอีก บุตรชายกับธิดาของหลงจื้อซินก็มีพรสวรรค์เหนือผู้อื่นอยู่แล้ว!”


 


จ้าวอู๋จี๋ถอนหายใจอย่างหมดท่า


 


“ลืมเรื่องหลงเฟยหยูเถอะ ถึงเขาจะยอดเยี่ยม แต่ข้าก็มองว่าเขาใจร้อนเกินไป ในชีวิตนี้ เขาถูกจำกัดอยู่แค่ระดับกึ่งเทพ แต่หลงอู๋ซินที่เป็นลูกสาวน่ะสิ พรสวรรค์ของนางน่าตกตะลึง ข้าว่านางมีโอกาสจะได้เข้าสู่ขอบเขตภูติ! นางจะกลายเป็นยอดฝีมือคนขอบเขตภูติคนที่สี่ตลอดหลายยุคสมัยของทวีปเฉินหลง”


 


ฉิวหนิงชุ่ยสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย


 


“นางน่ากลัวจริงๆ แค่ต้องรอเวลาเท่านั้นก่อนที่นางจะก้าวข้ามเจ้ากับข้า! นางเดินทางตลอดสามปีที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่านางกำลังจะกลับมาแล้ว”


 


******


 


ซือหยูมาถึงเกาะใหญ่ที่เรียกว่าเกาะคลื่นครามที่ทำการค้าขายตามที่ฉิวหนิงชุ่ยชี้แนะ


 


ถนนการค้าบนเกาะนั้นกว้างใหญ่ และมันทอดยาวไปจนถึงสุดขอบแต่ละด้านของเกาะ ซือหยูถามคนรอบๆและไปที่กระโจมแสงทองที่ฉิวหนิงชุ่ยได้ยินเรื่องสมุนไพรบาดาลอมตะ


 


กระโจมแสงทองนั้นคือหนึ่งในร้านค้าสมบัติที่ใหญ่ที่สุดในถนนการค้า และมันยังมีของล้ำค่าอยู่มากมาย


 


เมื่อเดินเข้าไปก็มีหญิงสาวท่าทางดูดีปรี่เข้ามาด้วยรอยยิ้ม


 


“อยากได้อะไรรึท่าน?”


 


นางสังเกตมองดูซือหยู นอกจากความนับถือ นางยังแอบหวังว่าเขาจะร่ำรวย


 


ซือหยูคิดและพูด


 


“ข้ามีของที่อยากจะขาย”


 


แม้หญิงสาวจะผิดหวังกับคำตอบ นางก็ปฏิบัติกับซือหยูอย่างเคย


 


“กระโจมแสงทองรับซื้อสมบัติอยู่แล้ว แต่จะรับซื้อแค่ของล้ำค่าหายาก ท่านอยากจะขายอะไรรึ?”


 


อยากนางจะพูดว่าถ้าของที่จะเอามาขายนั้นเป็นของธรรมดา ซือหยูไม่เอามันออกมาเสียยังดีกว่า


 


ซือหยูหยิบแก้วทมิฬออกมา มันคือของที่ได้จากรากษสเมื่อมันตาย มันมีพลังลมหายใจมังกรอันเข้มข้น มันจะมีผลยอดเยี่ยมอย่างมากสำหรับผู้ที่บ่มเพาะวิชาภูติผี และแก้วทมิฬยังมีพลังจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์อย่างมากอยู่เล็กน้อย ถ้าสกัดมันเป็นโอสถไว้ได้ มันจะช่วยเพิ่มพลังจิตวิญญาณได้อย่างดี


 


ด้วยพลังจิตวิญญาณของซือหยูในตอนนี้ การเพิ่มพลังขึ้นเล็กน้อยนั้นไร้ค่ากับเขา แก้วทมิฬใช้ไม่ได้ผลกับเขามากนัก


 


หญิงสาวงุนงง นางมองแก้วทมิฬอย่างละเอียดอยู่หลายครั้งและยังบอกไม่ได้ว่ามันคือสิ่งใด นางขมวดคิ้ว


 


“นี่คืออะไรกัน?”


 


ซือหยูย่นคิ้ว


 


“เจ้าเอาคนที่รู้ว่ามันคืออะไรมาอธิบายดีกว่า”


 


หญิงสาวไม่พอใจ แต่นางก็หันกลับไปเมื่อลังเลอยู่เล็กน้อย นางอยู่ที่กระโจมแสงทองมานาน แม้สายตาของนางจะไม่ดีที่สุด มันก็ดีกว่ายอดฝีมือทั่วไปอยู่มาก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นแก้วทมิฬ


 


ไม่นานก็มีผู้ทรงภูมิสวมชุดยาวเดินเข้ามายิ้มด้วยความอบอุ่น


 


“ท่านมีของมาขายกับกระโจมแห่งนี้รึ?”


 


แม้เขาจะสุภาพ แต่มันก็เป็นเพียงการคงไว้ซึ่งมารยาท ความร้อนรนเขียนอยู่บนใบหน้าอย่างชัดเจน ดูเหมือนว่าเขาถูกรบกวน ถ้าไม่ใช่เพราะพลังอำมฤตระดับสี่ขั้นสูงของซือหยู เขาอาจจะไม่สุภาพเช่นนี้


 


ฟึ่บ–


 


ซือหยูโยนแก้วทมิฬออกไปอย่างเรียบเฉย ชายที่เดินเข้ามารับไว้โดยไม่รู้ตัว เขารับมันไว้ด้วยความตกใจในทีแรกแล้วก็เริ่มยิ้มออกมา เขาทึ่งในสิ่งที่ได้เห็น


 


“โปรดตามข้าไปที่ข้างหลังเถอะท่าน…”


 


ชายวัยกลางคนมองซ้ายขวาอย่างระวังตัว เขามองซือหยูอีกครั้งด้วยความคาดหวัง เขายื่นมือกวักเรียกซือหยู ซือหยูพยักหน้า เขาเดินเข้าไปอย่างมั่นใจ ชายวัยกลางคนหันกลับมาและบอกกับหญิงสาว


 


“เจ้าไปที่ห้องเก็บของแล้วเอาชาวิญญาณระดับหนึ่งมาเดี๋ยวนี้ เร็ว!”


 


หญิงสาวตกใจ นางสีหน้าเปลี่ยนไปและวิ่งไปยังห้องเก็บของ การให้ชาวิญญาณระดับหนึ่งนั้นเป็นระดับการต้อนรับแขกที่ดีที่สุด! ชายหนุ่มหน้ากากทองแดงนั่นเอาสมบัติอะไรมากัน เจ้าของร้านถึงได้จริงจังเช่นนี้?


 


“ข้าฉีหมิง เจ้าของกระโจมแสงทอง”


 


ชายวัยกลางคนมองหน้าซือหยู


 


“ข้าขอทราบนามของท่านจะได้หรือไม่?”


 


ซือหยูพูดอย่างไม่ใส่ใจ


 


“ข้าคือหิมะทมิฬ เจ้าสนใจของสิ่งนี้หรือไม่?”


 


ฉีหมิงไม่สะทกสะท้านกับความเย็นชาของซือหยู เขายิ้ม


 


“แก้วทมิฬ…แก้วที่เกิดจากพวกรากษส นี่คือสมบัติล้ำค่าสำหรับยอดฝีมือที่บ่มเพาะวิชาภูติ ถ้าท่านคิดจะขายล่ะก็…กระโจมแสงทองจะต้องทำให้ท่านพึงพอใจแน่นอน! นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กระโจมแสงทองรับซื้อของ ตามราคาในอดีต แก้วทมิฬนั้นแลกได้กับตำราระดับอำมฤตสองเล่ม ถ้าท่านคิดจะขายมัน ข้าก็จะเพิ่มสมบัติเทพระดับต่ำให้อีกหนึ่งชิ้น”


 


ตำราระดับอำมฤตสองเล่มกับสมบัติเทพระดับต่ำงั้นรึ? ดูยุติธรรมดี


 


“ฮ่าๆๆ! ขอบคุณเจ้าของร้านในความเอื้อเฟื้อ”


 


“แต่ร้านนี้อาจจะไม่มีสิ่งที่ข้าต้องการ!”


 


ฉีหมิงหรี่ตาและพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“ท่านกำลังมองหาสิ่งใดอยู่รึ? ร้านของข้ายังมีของที่ครุมเครือ…ต่อทวีป บางทีนั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ท่านกำลังมองหา”


 


ซือหยูดื่มชาเต็มปากและพูดอย่างเรียบเฉย


 


“ข้ากำลังหาสมุนไพรบาดาลอมตะ ถ้าเจ้าบอกข้าได้ว่ามันอยู่ที่ไหน ข้าจะใก้แก้วทมิฬกับเจ้า แต่ถ้าเจ้ามีสมุนไพรอยู่แล้ว ข้าจะนับว่ามันเป็นของแถม ข้ามีสิ่งอื่นจะแลกกับสมุนไพร!”


 


สมุนไพรเทพบาดาลอมตะนั้นเป็นสมุนไพรพิเศษที่พบเจอได้ยาก มูลค่าของมันนั้นเทียบเท่ากับสมุนไพรเทพเยือกแข็งที่ซือหยูกินเข้าไป

 

 

 


ตอนที่ 430

 

ฉีหมิงตัวสั่น ความตกใจแล่นผ่านใบหน้า เทียบกับสมุนไพรบาดาลอมตะแล้ว…แก้วทมิฬนับว่าไร้ค่าไปเลย


 


“ท่านจะต้องล้อข้าเล่นแน่ๆ แม้แต่เหล่าขอบเขตภูติก็อย่างจะได้สมบัติเช่นนั้น ร้านเล็กๆอย่างข้าจะมีได้อย่างไร?”


 


ฉีหมิงทำใจให้เย็น เขาส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม


 


ซือหยูขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าข่าวสมุนไพรบาดาลอมตะที่จ้าวคณะฉิวพูดถึงจะไม่ได้มาจากกระโจมแสงทองแต่น่าจะเป็นจากเสียงพูดคุยของพวกยอดฝีมือที่มาซื้อของ เขาเดินทางครั้งนี้มาอย่างสูญเปล่าและผิดหวังอย่างช่วยไม่ได้ แต่เขาก็ทำใจให้เย็น


 


“ข้าคงพูดรวบรัดเกินไป ถ้าเจ้าไม่มีมัน ข้าก็ไม่พูดอะไรแล้ว ลาก่อน”


 


ซือหยูประสานหมัดและยืนขึ้น


 


ฉีหมิงส่งเขาอย่างสุภาพ แต่ในตอนนั้นเขาก็หูกระตุก เขาวิ่งตามซือหยูอย่างร้อนรน


 


“โปรดรอเดี๋ยว ท่าน!”


 


“มีอะไรรึ?”


 


ซือหยูถาม


 


ฉีหมิงดูเหมือนลังเล


 


“ท่าน โปรดอภัยที่ข้าระแวงไปหน่อย ข้าก็แค่ต้องรู้ให้ได้ว่าท่านมาที่นี่เพื่อหาข้อมูลจริงหรือไม่ บอกตามตรง พวกเราไม่มีสมุนไพรบาดาลอมตะหรอก แต่เรามีข้อมูลที่ไม่พลาดแน่ว่ามันอยู่ที่ใด”


 


ซือหยูหันกลับไป


 


“เจ้าของร้านฉี ถ้าเจ้าไม่คิดว่าค่าของแก้วทมิฬจะไม่พอสำหรับข้อมูลนั้น ข้าก็มีสิ่งอื่นจะแลก”


 


ฉีหมิงโบกมือ


 


“ข้าจะปฏิเสธของอย่างแก้วทมิฬได้อย่างไรเล่า? ใช้มันแลกกับข้อมูลก็เพียงพอแล้ว แต่ข้าต้องบอกตามตรง วพกข้ากำลังรวบรวมยอดฝีมือเพื่อไปเก็บสมุนไพรบาดาลอมตะ! เพราะมันเติบโตในที่ที่อันตรายอย่างสุดขั้ว เราต้องการยอดฝีมือที่แข็งแกร่งในการเอามันมา!”


 


ซือหยูกระพริบตา


 


“เจ้าหมายถึงเจ้าจะให้ข้าตามไปใช่หรือไม่?”


 


ฉีหมิงยิ้ม


 


“ท่านเป็นคนหลักแหลมนัก สมุนไพรบาดาลอมตะนั้นล้ำค่ายิ่งนัก พวกข้าไม่พร้อมจะบอกแหล่งที่อยู่มันกับคนนอก ข้าจะไม่แลกเปลี่ยนนอกจากท่านจะช่วยพวกเรา”


 


ซือหยูหัวเราะให้กับตัวเอง


 


“เจ้าจะมองข้าสูงไปแล้ว ข้าก็แค่อำมฤตระดับสี่ ข้าจะสร้างปัญหาเพิ่มให้เจ้ามากกว่า”


 


ฉีหมิงหัวเราะ


 


“ท่านไม่ต้องถ่อมตัวไปหรอก ตามที่ข้ารู้ พลังของรากษสนั้นใกล้เคียงกับผู้คุมสวรรค์นัก ถ้าท่านสังหารได้หนึ่งตน พลังของท่านก็ต้องน่ายกย่องเป็นแน่”


 


ในความจริงแล้ว พลังของรากษสที่ซือหยูฆ่าไปนั้นเป็นภัยยิ่งกว่าฉิงจูกับหลงเฟยหยูเสียอีก มันไม่ได้อ่อนแอไปกว่าราชามนุษย์เลย


 


“ข้าก็แค่โชคดีเท่านั้น…”


 


“แต่ถ้าเจ้าคิดจะเชื่อใจข้า เจ้าของร้านฉี…ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะร่วมด้วย”


 


ฉีหมิงดีใจ


 


“ฮ่าๆ! ถ้าท่านช่วยด้วย โอกาสที่พวกเราจะสำเร็จก็เพิ่มไปอีกสามส่วน+”


 


“เราจะเดินทางเมื่อใดกัน?”


 


ซือหยูคาดหวัง


 


แต่ฉีหมิงก็ถอนหายใจ


 


“อย่ารีบร้อนไปเลยท่าน สมุนไพรบาดาลอมตะมันอันตรายมาก พลังแห่งความตายของมันจะหนาแน่นที่สุดเมื่อไร้พระจันทร์ แม้แต่ผู้คุมสวรรค์ก็มีผลกับพลังนั้นถ้าเข้าใกล้เกินไป ฐานพลังจะเสียหายได้ บางคนถึงกับตายคาที่ พวกเรารอวันจันทร์เต็มดวงจะดีกว่า พลังของมันจะอ่อนแอที่สุด แล้วถ้ามีข้ากับท่าน การเดินทางก็จะไม่เสี่ยงเกินไปนัก ก่อนที่ท่านจะมา ที่ร้านกำลังเชิญยอดฝีมือมากมาย พวกเขาจะรวมตัวอยู่ที่นี่อีกสิบวันก่อนจะเดินทาง”


 


สิบวันรึ? ซือหยูลูบคางและพยักหน้า


 


“ถ้าเช่นนั้น อีกสิบวันข้าจะมาหาเจ้า”


 


หลังจากพูดจบ เขาก็ยืนยันรายละเอียดบางอย่างกับเจ้าของร้านก่อนจะออกจากกระโจมแสงทอง เขาหาพื้นที่ที่มีพลังวิญญาณหนาแน่นเพื่อบ่มเพาะพลัง ในครั้งนี้ เขามีหลายสิ่งที่ต้องทำ


 


******


 


หลังจากที่รอให้ซือหยูไป รอยยิ้มเป็นมิตรของฉีหมิงหายไป เขาก้มหน้าและพูดด้วยความนอบน้อม


 


“ท่าน สมุนไพรบาดาลอมตะสำคัญนักกับตระกูลของเรา ทำไมท่านถึงให้คนนอกเข้าร่วมด้วยเล่า? ถ้าข้าจำไม่ผิด บุรุษผู้นี้คือราชาปีศาจหิมะทมิฬผู้ฉาวโฉ่ ตามข่าวลือบอกว่าจำนวนผู้คุมสวรรค์ที่เขาสังหารนั้นมีไม่ต่ำกว่าสิบคน แล้วตอนนี้เขาก็แสดงแก้วทมิฬกับเรา ข่าวลือนั่นต้องเป็นเรื่องจริง! เขาจะต้องรอดออกมาจากก้นบึ้งมังกร! คนผู้นี้เป็นภัย เขาจะไม่ทำให้แผนของเขาล้มเหลวรึ?”


 


ที่หลังกำแพง ภาพเขียนบุรุษก้มลงมองด้วยมือไพล่หลังเริ่มมีชีวิต เขาค่อยๆหันมา


 


“ชายคนนั้นมีพลังของวิชาอัสนี…”


 


ชายในภาพเขียนพูดออกมา น้ำเสียงของเขาสุขสงบ


 


“เขาจะต้องคลายผนึกสุดท้ายได้แน่ ชายคนนี้อาจจะทำให้เราได้แผนที่สวรรค์มาครอง แม้เขาจะแข็งแกร่ง เขาก็ไม่ได้มีภัย แต่ถ้าหากเรื่องทั้งหมดเสร็จสิ้น…เราต้องปิดปากเขา”


 


ฉีหมิงโค้งคำนับ


 


“ข้าเข้าใจแล้ว”


 


ซือหยูทำสมาธิ


 


ขั้นแรก เขานำโลงศพมังกรหมอกออกมา ตามที่หยุนย่าสีบอก มีเพียงพลังชีวิตที่ไม่ใช่ของทวีปเฉินหลงเท่านั้นที่จะทำให้หลงเสี่ยวเทียนเริ่มฟื้นฟูขึ้นมาได้


 


ซือหยูย้อมร่างด้วยสีโลหิต มันคือสายเลือดของปีศาจ ใบหน้าภูติมีก้อนพลังในปากขนาดเท่าลูกตา มันเต็มไปด้วยพลังชีวิตอันเข้มข้น! มันคือก้อนพลังชีวิตที่ซือหยูแอบกักเก็บมาตอนที่จางตี๋เก้อให้ซือหยูยืมพลัง นั่นเป็นเหตุที่จางตี๋เก้อสงสัยว่านางเสียพลังชีวิตไป


 


เพื่อไม่ให้จางตี๋เก้อสงสัย ซือหยูไม่ได้เก็บพลังไว้มากนัก…มีเพียงพลังที่พอจะสร้างก้อนกลมเล็กๆ พลังเช่นนี้ยังห่างไกลที่จะช่วยหลิงเสี่ยวเทียน แต่มันจะทำให้หลิงเสี่ยวเทียนตายช้าลง


 


เขาใส่พลังชีวิตลงในโลกศพมังกรหมอก หลังจากที่มันดูดซับเข้าไป พลังนั้นก็กลายเป็นสีขาวกระจ่างที่ค่อยๆฟื้นฟูร่างกายของหลิงเสี่ยวเทียน ผิวของเขาเริ่มกลับมามีสีแดงของโลหิตที่ไหลเวียน ร่างกายอันเหี่ยวเฉาอวบขึ้นเล็กน้อย แม้แต่ผมสีขาวก็กลายเป็นสีดำเสียส่วนใหญ่ พลังชีวิตอันอ่อนแอเริ่มมั่นคงขึ้น ทั้งหมดราวกับว่าเขากำลังจะกลับมามีชีวิต!


 


ครึ่งชั่วยามต่อมา พลังขาวกระจ่างหายไป ร่างกายของหลิงเสี่ยวเทียนมั่นคงขึ้นและไม่เหี่ยวแห้งดังเดิม ซือหยูดีใจมาก จากครั้งแรกที่ประเมินว่าหลิงเสี่ยวเทียนจะอยู่ได้อีกหนึ่งเดือน ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขายังมีเวลาอีกครึ่งปี!


 


พลังชีวิตนั้นคือหนทางเดียวที่จะช่วยหลิงเสี่ยวเทียนจริงๆ โชคร้ายที่แม้ว่าร่างกายจะฟื้นฟูขึ้นมามาก เขาก็ยังไม่ได้สติกลับมา แต่เขาก็ดีขึ้นมากกว่าที่ซือหยูคาดคิดไว้ ซือหยูพอใจมาก


 


ซือหยูที่คลายใจเก็บโลงศพมังกรหมอกเอาไว้และเริ่มตรวจสอบร่างกายของตัวเอง เขาตรวจดูอย่างละเอียดและเหงื่ออันเย็นเยือกก็ไหลออกมา! เขาไม่ได้รู้มาเลยจนถึงตอนนี้ว่ามีภัยร้ายแรงอยู่ในร่างกายของเขา


 


เขาเคยต้องสายฟ้าจากกระบี่สายฟ้า อัสนีสีมรกตนั้นเข้าสู่ร่างและทำลายจากภายใน ซือหยูใช้อัสนีม่วงเพื่อต้านพลังของมันในจุดที่อันตรายที่สุด หลายวันผ่านมาแล้ว และตอนนี้เขาก็หัวใจเต้นอย่างรุนแรงเมื่อได้มองดูตัวเองอย่างละเอียด

 

 

 


ตอนที่ 431

 

ในตอนนี้เขารู้แล้วว่าอัสนีมรกตนั้นได้กระจายไปยังหลายส่วนของร่างกาย! และมันก็ยังคงอยู่…มันยังคงทำลายพลังชีวิตของซือหยูด้วยความเร็วที่ยากจะสัมผัสได้!


 


จากที่ซือหยูมองดู พลังชีวิตของเขาจะถูกทำลายโดยสมบูรณ์ในไม่ถึงห้าวัน ถ้าเขาไม่รู้ตัวตอนนี้ก็คงจะสายเกินไป!


 


ซือหยูตกใจอย่างมาก เขาเริ่มขับอัสนีมรกตออกไปอย่างไม่ลังเล นอกจากอัสนีสีม่วง ซือหยูก็ไหลเวียนพลังวิญญาณเข้าช่วยอีก เขาใช้อัสนีม่วงกับพลังวิญญาณรวบรวมอัสนีมรกตที่กระจัดกระจาย แต่สายฟ้าจากกระบี่สายฟ้านั้นมีพลังมหาศาล ไม่นานซือหยูก็พบว่ายากมากที่จะกดพลังของมันออกไป!


 


ผ่านไปทั้งวัน มีสายฟ้าแค่หนึ่งส่วนจากสิบส่วนที่ถูกรวบรวมมาใกล้จุดกำเนิดพลัง ยังมีสายฟ้าอีกจำนวนมากที่กัดกินร่างกายของเขา อวัยวะภายในหลายส่วนของเขากำลังจะถูกทำลาย


 


เขาต้องอดทนกับความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลาและยากที่จะอดทนไหว โชคดีที่ร่างกายของเขาถูกปรับโดยจางตี๋เก้อ แม้ว่าสายฟ้าจะหลอมรวมเข้ากับเลือดเนื้อ เลือดเนื้อของเขาก็ยังมีความต้านทานอันแข็งแกร่ง เขาถึงทนอยู่ได้มาจนถึงตอนนี้


 


การต่อสู้กันของพลังนั้นผ่านไปหกวันก่อนที่ซือหยูจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกและลืมตาขึ้น สายฟ้าทั้งหมดที่กระจายไปทั่วร่างนั้นเข้ามารวมตัวกันที่จุดกำเนิดพลังแล้ว มันกลายเป็นก้อนสายฟ้าขนาดเท่านิ้วก้อยแต่ก็ต้องใช้พลังวิญญาณและอัสนีสีม่วงมหาศาลเพื่อรับมือกับมัน ไม่เช่นนั้นถ้าปลดปล่อยมันออกไป สายฟ้ามรกตก็จะทำลายร่างกายของเขาอีกครั้ง


 


ซือหยูหน้าซีด เขาเหนื่อยอ่อนไปทั้งกาย ดวงตานั้นแดงก่ำและตัวเขาก็อยู่ในสภาพย่ำแย่ เขารู้สึกราวกับจะหมดสติ


 


เขากำลังตกอยู่ในอันตรายจนน่ากลัว! ถ้าเขาไม่กำจัดพลังนี้ออกไป เขาจะตายก่อนที่จะได้เข้าสู่ขอบเขตภูติด้วยซ้ำ


 


ซือหยูฝืนยิ้มแต่ก็ไม่ยากที่จะเห็นดวงตาอันเคร่งเครียด พลังนี้ทำลายร่างกายของเขา แต่ในตอนนี้เขาควบคุมมันได้แล้ว ซือหยูโล่งใจอย่างมาก


 


หลังจากที่พักหายใจและกลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ซือหยูหยิบเอาธนูเงินออกมา แม้ว่าธนูจะเป็นสมบัติเทพระดับกลาง พลังของมันก็ยอดเยี่ยมมาก แต่จะอย่างไร มันก็รับมือกับสิ่งที่เขาพบเจอไม่ได้ ดังนั้นเขาต้องชำระมันต่อไป


 


ก่อนหน้านี้ เขาชำระมันไปแล้วสองในสิบส่วน ยังคงเหลืออีกแปดส่วนที่ยังชำระไม่ได้ ซือหยูหยิบหยดหมื่นพลห้าหยดสุดท้ายออกมาชำระธนู


 


ซือหยูขับโลหิตของตัวเองออกมาผสมกับหยดหมื่นพล เขาเริ่มชำระธนู ธนูสีเงินสั่นอย่างแรงยิ่งกว่าครั้งก่อนๆ แสงสีเงินสว่างจ้าเปล่งประกายออกมา


 


ซือหยูตกใจ เขาเรียกพลังวิญญาณออกมาปกคลุมห้องลับเพื่อไม่ให้คนนอกได้เห็นสิ่งนี้


 


“ชำระมันขนาดนี้ในคราเดียวจะมากไปไหมนะ?”


 


ซือหยูพูดกับตัวเอง เขาเลียริมฝีปากด้วยความตื่นเต้น เขาสัมผัสได้ว่าการชำระธนูหลายส่วนเช่นนี้จะทำให้เกิดพลังมหาศาลที่เขายังไม่เคยได้ครอบครอง อย่างน้อยเขาก็ปล่อยพลังของมันออกมาได้เจ็ดส่วน!


 


แค่คิดถึงพลังเจ็ดส่วนของสมบัติเทพระดับกลางในขั้นแนวหน้าก็มากพอที่จะทำให้คนรู้สึกตื่นเต้นแล้ว


 


ขั้นตอนการชำระธนูนั้นช้าอย่างประหลาด หลังจากผ่านไปสี่วัน เสียงมังกรคำรามก็ดังออกมาจากธนู นั่นหมายความว่าการชำระธนูเสร็จสมบูรณ์แล้ว!


 


โลหิตหกหยดถูกขับออกมา…มีหนึ่งหยดที่เกินออกมาจากที่คาดไว้ห้าหยด! ในครั้งนี้เขาชำระธนูได้ถึงหกส่วนในคราเดียว! พลังโลหิตของเขาที่มีนั้นมีพลังเหนือกว่าแต่ก่อนอย่างมาก ดังนั้นมันจึงเพิ่มการชำระได้อีกหนึ่งส่วน


 


แต่เดิมนั้นเขาชำระไปแล้งสองส่วน บวกกับครั้งนี้อีกหกส่วน รวมเป็นแปดส่วน! แม้แต่เจ้าของเดิมก็ควบคุมธนูนี้ได้ไม่มากเท่ากับซือหยูแล้ว!


 


และหลังจากที่ชำระไปแปดส่วน สัมผัสอันเฉียบคมของซือหยูก็สัมผัสได้ถึงพลังอันน่ากลัวที่ซ่อนอยู่ภายในธนู!


 


“หรือว่าจะเป็นอย่างที่ท่านอาจารย์บอก?”


 


“มีศรธนูที่น่ากลัวถูกผนึกอยู่ในธนูนี้จริงๆรึ?”


 


ถ้าเขาไม่ชำระมันจนถึงขึดสุดได้ ธนูคันนี้ก็จะยังถูกผนึกอยู่ นั่นทำให้ซือหยูขบคิดถึงพลังยิ่งกว่าเดิม ศรเทพเช่นใดกันที่ทำให้หยุนย่าสีถึงกับเอ่ยปากชมเชยมัน?


 


สิบวันผ่านไปแล้ว ซือหยูเก็บของทุกอย่างและหายตัวไปจากห้องลับ


 


******


 


“เจ้าของร้านฉี ขออภัยที่ข้ามาสาย!”


 


ซือหยูพูดเมื่อเข้ามาในกระโจมแสงทอง ที่นี่มีหญิงสาวสองสามคนรออยู่แล้ว


 


“ฮ่าๆๆ! เจ้าไม่ได้มาช้าหรอก!”


 


ฉีหมิงยิ้ม เขาไม่ถือสาอะไร


 


“ยังเหลืออีกชั่วยามก่อนจะถึงเวลานัด พวกข้าต่างหากที่รีบมาก่อน”


 


ซือหยูเห็นว่ามีสองคนที่นั่งอยู่ในห้อง หนึ่งคนนั้นเป็นหญิงสาวสวมชุดสีแดง นางสวมกระโปรงพาดสีเพลิงเพื่อแสดงให้เห็นรูปร่างอันงดงาม และมันยังทำให้ใบหน้านั้นดูเป็นอิสระและเป็นธรรมชาติ นางมีดวงตาที่เป็นดั่งแก้ว นางมองดูซือหยูและก็ละสายตาไปราวกับไม่สนใจเขา


 


อีกคนคือชายหนุ่มที่สวมเกราะทมิฬ เขาอายุประมาณยี่สิบห้าปี เขามีจมูกงุ้มเข้าด้านในและเบ้าตาลึกเล็กน้อย มีหัวมังกรดุร้ายสลักอยู่บนชุดเกราะ และเกราะไหล่นั้นยังมีหนามทำให้เขาดูเกรี้ยวกราด


 


พลังของทั้งสองนั้นยอดเยีั่ยม ทั้งสองเป็นผู้คุมสวรรค์ แต่พลังที่แสดงออกมานั้นไม่เหมือนกับผู้คุมสวรรค์ทั่วไป มันเทียบได้กับพลังของรากษสในก้นบึ้งมังกรเก้านรกที่ซือหยูเคยเจอ


 


“ท่านฉี…”


 


ชายในชุดเกราะพูดขึ้นมา


 


“นักสู้ทรงพลังที่พวกเรารอคอยคือไอ้เด็กน้อยที่ไม่เคยเจอโลกเช่นนี้รึ?”


 


ฉีหมิงยิ้มอย่างอบอุ่น


 


“ข้าลืมแนะนำไป ท่านหิมะทมิฬ สองคนนี้คือแม่นางชิงจู้เหิงกับท่านเจิ่งปิง สองคนนี้คือคนที่จะไปกับพวกเรา”


 


“หิมะทมิฬรึ?”


 


หญิงสาวชุดสีแดงเพลิงชิงจู้เหิงที่ไม่สนใจซือหยูเมื่อครู่ประหลาดใจ นางมองดูซือหยูอีกครั้งอย่างไม่เชื่อสายตา


 


ชายหนุ่มที่สวมชุดเกราะหยุดคิด เขาขมวดคิ้ว


 


“เจ้าคือราชาปีศาจหิมะทมิฬรึ?”


 


หิมะทมิฬ ชื่อประหลาดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน…จนเริ่มดังก้องทั่วทวีปในไม่กี่เดือนที่ผ่านมา และยังว่ากันว่าราชาปีศาจหิมะทมิฬมีพลังอำมฤตระดับสี่ขั้นสูง นั่นดูคล้ายคลึงกับฐานพลังของคนตรงหน้าทั้งสอง


 


พวกเขามองซือหยูอีกครั้ง โลงศพมังกรหมอก หน้ากากทองแดง เส้นผมโลหิต จะเป็นใครอื่นไปได้นอกจากราชาปีศาจหิมะทมิฬ?


 


ซือหยูตอบอย่างมั่นใจ


 


“ทำไมกัน?”


 


“ข้าต้องสาธยายเรื่องของข้าเพื่อการเดินทางไปหาสมุนไพรบาดาลอมตะด้วยรึ?”


 


ฉีหมิงแสร้งตกใจ


 


“หา! ท่านคือราชาปีศาจหิมะทมิฬผู้เลื่องชื่อคนนั้นเองรึ! ดวงตาข้าหามีแววไม่ ข้าจำเจ้าไม่ได้ในครั้งแรก โปรดอภัยให้ข้าที่มารยาทบกพร่อง”


 


ซือหยูยิ้ม เขาไม่ได้จงใจปิดบังตัวตน และก็ยากที่จะเชื่อว่าฉีหมิงที่ทำหน้าที่ดูแลกระโจมแสงทอง…จะไม่รู้จักเขา


 


ซือหยูพูดโดยไม่เปิดโปงการเสแสร้งของฉีหมิง


 


“เราจะไปกันได้หรือยัง?”


 


ฉีหมิงยิ้มมองชิงจู้เหิงและเจิ่งปิง


 


“เจ้าสองคนมีอะไรอีกหรือไม่?”


 


ชิงจู้เหิงสีหน้าขมขื่น


 


“ไม่ล่ะ ไปกันเถอะ”


 


ส่วนเจิ่งปิงนั้นมองซือหยูไม่ละสายตา


 


“ฮื่ม! สังหารผู้คุมสวรรค์ไม่กี่คนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย สำหรับข้า สังหารเจ้าก็ง่ายเหมือนกับการสังหารพวกนั้นนั่นแหละ!”


 


“เจ้าจะทำเช่นนั้นเมื่อใดก็ย่อมได้…”


 


ซือหยูตอบอย่างเรียบเฉย


 


ฉีหมิงหัวเราะ


 


“ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเถอะ ข้าหวังว่าพอถึงที่นั่นแล้ว เราจะร่วมมือกันได้!”


 


หลังพูดจบเขาก็หยิบเอาสมบัติเทพที่ได้เดินทางออกมา ทุกคนขึ้นเรือไป


 


หลังจากนั้น จู่ๆภาพเขียนบนกำแพงก็มีเพลิงลุกไหม้เผาตัวภาพเองไปโดยไม่มีใครเห็น มันกลายเป็นเถ้าถ่านที่ปลิวไปตามสายลม เสียงหัวเราะดังสะท้อนไปมาในห้องนั้นตามเถ้าถ่าน

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม