The Divine Nine Dragon Cauldron 411-417
ตอนที่ 411
ซือหยูไม่ใส่ใจนัก
“ก็ตอนที่เจ้าเตรียมวิชาลวงตาน่ะสิ!”
ในตอนนั้นรากษสสนใจอยู่กับการรับมือกับอีกสามคน เมื่อซือหยูฟื้นตัวจากวิชาลวงตาเขาก็แอบสร้างร่างเทียมอย่างรวดเร็ว ร่างเทียมของเขามีเพลิงบาดาลอยู่ด้วยและแอบเข้ามาอย่างลับๆ
ตอนนี้ซือหยูทำสำเร็จแล้ว มันกรีดร้องก่อนที่จะถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน
ตู้ม—
ซือหยูเดินไปในจุดที่มันถูกเผา เขาโบกมือสะบัดเถ้าถ่านกระจัดกระจายเผยให้เห็นแก้วทมิฬขนาดเท่าไข่ไก่
“แก้วทมิฬรึ?
ซือหยูตกใจ
เช่นเดียวกับจุดกำเนิดพลังของมนุษย์ที่ทำให้รวบรวมพลังวิญญาณ ภูติผีเองก็มีสิ่งที่ทำหน้าที่แบบเดียวกัน นั่นคือแก้วทมิฬ
แก้วทมิฬนี้มีพลังที่ภูติผีรวบรวมมาจากการฝึกฝนพลัง ภายในนั้นมีสีดำสนิท หรือว่ามันเป็น…ลมหายใจมังกรอสูร?
ซือหยูสังเกตแก้วทมิฬอย่างละเอียดและพบว่ารังสีพลังของมันนั้นเป็นแบบเดียวกับผลก้นบึ้งมังกร เว้นแต่ว่ามังแข็งแกร่งกว่าห้าเท่า!
แก้วทมิฬนั้นเทียบได้กับผลก้นบึ้งมังกรห้าลูก! และซือหยูยังรับรู้ได้ถึงพลังของดวงวิญญาณบริสุทธิ์อ่อนๆที่อยู่ภายในแก้วทมิฬ
ภูติผีเกิดจากพลังจิตวิญญาณที่สวมตัวกับพลังอสูรจากภายนอก แต่เพราะบางส่วนนั้นพิเศษ มันจึงมิอาจไปปะปนอยู่กับผนึกในแก้วทมิฬได้ ส่วนของพลังจิตวิญญาณนั้นได้เสียผู้ครอบครองไป มันไม่ได้ปะปนอยู่กับพลังอสูร ดังนั้นมันจึงเป็นส่วนที่บริสุทธิ์ที่สุดของวิญญาณ
ถ้าวิญญาณใช้ทำโอสถได้ก็จะทำให้วิญญาณของซือหยูแข็งแกร่งขึ้นไปอีก โอรสสวรรค์จ้องนภาของเขายังคงติดอยู่ในระดับหนึ่งขั้นกลาง แก้วทมิฬนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เขาได้บรรลุพลังอีกขั้น น่าเสียดายที่เขามีมันอยู่ไม่มาก
******
ในก้นบึ้งหวงห้าม ที่ตำหนักโบราณที่มีการป้องกันแน่นหนา
ชายชุดดำสองคนยืนอยู่ด้วยกันเป็นแถว คนข้างหน้านั้นตาบอดที่ข้างซ้าย แผลเป็นยาวประทับอยู่บนใบหน้าเสียครึ่งส่วน
ส่วนชายข้างหลัง ศีรษะของเขาเสียหายไปหลายส่วนราวกับถูกบางสิ่งกัดแทะกินไปนาน โชคดีที่เขารอดมาได้
ทั้งสองมองอยู่ที่ด้านหนึ่งของสระวิญญาณ สระนั้นสะท้อนภาพซือหยูสังหารภูติผี
“หึหึ…!”
ชายที่มีรอยแผลเป็นหัวเราะ
“เจ้าพวกนี้มาถูกเวลาพอดี พวกนั้นจะมาเป็นโลหิตบูชายัญให้มังกรอสูร มันจะมีทุกครั้งในร้อยปี และมันก็กำลังจะจบลงแล้ว แต่เพราะมันจะจบลง…มันเลยน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม!”
ชายอีกคนพูดอย่างเย็นชา
“ความเป็นตายของคนนอกไม่ใช่เรื่องที่พวกเราต้องใส่ใจ มันก็แค่เด็กน้อยที่น่ากลัวอยู่บ้าง! ถ้าข้ามองไม่ผิด เขาน่าจะมีวิชาเคลื่อนไหวกับอัสนีที่ดี เขายังมีพรสวรรค์วิญญาณ นอกนั้นก็มีระดับวิญญาณที่น่าชมเชย ถ้าเขาตายไปทั้งอย่างนั้นก็น่าเวทนานัก”
ชายข้างหน้าพูดเบาๆ
“มันน่าเวทนาตรงไหนกัน? หรือว่าเจ้าเห็นใจคนนอกรึ? ทำไมพวกเขาถึงถูกจองจำอยู่ที่นี่กัน? ไม่ใช่เพราะฝีมือพวกมันเรอะ?”
ชายอีกคนส่ายหน้า
“เห็นใจเรอะ? ข้าจะมีความรู้สึกไร้สาระเช่นนั้นรึ? ข้าก็แค่คิดว่าถ้าเด็กนั่นตายเพราะผีก็คงจะน่าสงสาร ไม่ใช่รึ…?”
ชายของหน้าดูเหมือนจะเข้าใจตรงกันแล้ว
“เจ้าจะพูดแบบนั้นหรอกรึ…?”
ชายอีกคนพยักหน้า
“งั้นก็ไปกันเถอะ…”
“ระวังพวกผีด้วย”
“เจ้ากังวลเกินไปแล้ว…”
“ถ้าไม่ใช่ภูติสวรรค์ ต่อให้อสุราขาวมา…”
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
หลังจากรอให้ชายที่เนื้อหนังหายไปจากไป ชายที่เหลือเพียงตาขวาก็ทำสีหน้าดุร้าย
“ฮื่ม! ถ้าข้าสร้างกระบี่อัสนีเสร็จแล้ว คนอย่างเจ้าจะมีที่ยืนในก้นบึ้งหวงห้ามเรอะ? เจ้าคิดว่าเจ้าควบคุมผีได้แล้วจะมีศักดิ์ศรีเทียบเท่าข้ารึ? กระบี่อัสนีข้าสำเร็จเมื่อไหร่ล่ะก็ ต่อให้ภูติสวรรค์มามันก็ได้แต่กลายเป็นฝุ่นควันเท่านั้น!”
เขาพูดกับตัวเอง อัสนีทมิฬล้อมรอบกาย
******
ซือหยูออกจากที่ที่มีเถ้าถ่านของรากษสทันที เขาเจอหลุมใต้ต้นไม้เหี่ยวเฉาและซ่อนอยู่ข้างใน
ซือหยูถือเพลิงบาดาลและเรียกร่างเทียมออกมา ดัชนีทั้งห้าดูดเพลิงบาดาลในพริบตาและถูกส่งต่อให้กับร่างเทียม
ฟรึ่บ–
ร่างเทียมสั่นอย่างบ้าคลั่งราวกับจะถูกเผาทั้งเป็น!
“ใช้วิชาระดับตำนาน!”
ร่างเทียมนั่งลงและใช้มือทำท่าทางอันน่าอัศจรรย์
แสงเพลิงประกายล้อมรอบกาย เพลิงบาดาลถูกดูดซึมอย่างช้าๆ สุดท้ายในร่างเทียมก็มีเพลิงสีมรกตสว่างออกมา
“อย่างที่คิดเลย…”
“ถึงเศษตำราระดับตำนานจะไม่บอกว่าทำให้ผู้ใช้กลืนกินเพลิงได้ มันก็ต้องมีจิตวิญญาณของผู้ใช้ที่จะควบคุมเพลิงบนโลก เหมือนกับอรหันต์แปดอักษรที่บัญชาพลังวิญญาณในจักรวาลเพื่อก่อร่างเป็นคลื่นเสียง ถ้าเป็นแบบนี้ การควบคุมเพลิงเพื่อให้ร่างกายแข็งแกร่งก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
ซือหยูโล่งใจและทำให้ร่างเทียมแข็งแกร่งขึ้น
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม แสงกระจ่างสีมรกตปรากฏตรงหน้าซือหยู ร่างของมันกึ่งโปร่งแสง เพลิงนั้นอยู่ภายในร่าง ไม่มีความร้อนใดเล็ดรอดออกมา มันดูต่างจากร่างเทียมธรรมดาๆ
“หึ…”
“วิชานั่นทำให้ร่างเทียมข้าควบคุมเพลิงได้”
ซือหยูลูบคาง เขาพอใจมาก แม้แต่เขาก็มิอาจรู้สึกถึงรังสีเพลิงจากร่างเทียม นี่แตกต่างจากในอดีตที่ร่างเทียมนั้นร้อนผ่าวราวกับเพลิงอย่างสิ้นเชิง
ซือหยูหัวเราะ
“ถ้าเป็นแบบนี้ข้าก็อาจจะลอบโจมตีในเวลาสำคัญได้”
ซือหยูสลายร่างเทียม เขาเตรียมจะออกตามหาคนที่เหลือเพื่อรวมตัวกัน
ด้วยแก้วทมิฬที่ทำให้เขามีผลก้นบึ้งมังกรห้าลูกเต็ม เขาจะให้ผลก้นบึ้งมังกรที่มีกับเซี่ยนเอ๋อได้ นางจะได้หาผลทั้งสิบจนครบ
ส่วนฉิงจูกับยี่หยู ซือหยูไม่คิดจะเสี่ยงไปมากกว่านี้ในการเข้าไปยังก้นบึ้งหวงห้ามเพื่อสองคนนั้น
ตอนที่เจอกับอันตราย ฉิงจูได้แสดงธาตุแท้ออกมา เขาไม่คิดจะช่วยซือหยู หากฉิงจูผิดสัญญาแล้วซือหยูจะเสี่ยงไปทำไมกัน? และแม้ว่าซือหยูจะมองยี่หยูในแง่ดี มันก็ไม่ถึงกับต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อนาง
ซือหยูนั่งลงอีกครั้ง เขาใช้เนตรวิญญาณมองผ่านต้นไม้และเห็นหมอกหนาในไม่กี่ลี้ข้างหน้า
มีร่างหนึ่งเข้ามาข้างหน้า เขาคือหลงเฟยหยู
“นั่นมัน!”
ซือหยูตกใจเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าหลงเฟยหยูจะตั้งใจมาช่วยเขา ซือหยูอาจจะตายไปแล้วด้วยรากษส นี่เป็นข้ออ้างที่ดีที่เขาจะใช้ได้
ในตอนนั้น สุนัขสีน้ำตาลตัวเล็กอยู่ในมือของหลงเฟยหยู มันตัวไม่ใหญ่ไปกว่าฝ่ามือของเขาและกำลังดมกลิ่นเห่ามาทางซือหยูตลอดเวลา
หลงเฟยหยูพุ่งตรงไปยังซือหยู
“อย่างที่คิด! ข้ารู้ว่าเจ้าต้องไม่ตายง่ายๆ!”
หลงเฟยหยูรีบเข้ามา
ซือหยูยืนขึ้นช้าๆ ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ที่นี่ไม่ได้นานและต้องกลับไปรวมกลุ่มกับคนที่เหลือ
แม้เขาจะไม่กลัวที่จะต้องสู้กับหลงเฟยหยู สถานการณ์ในตอนนี้ก็อันตรายและคาดเดาไม่ได้ ถ้าเขาบาดเจ็บที่นี่ก็ไม่ต่างกับการตาย
แต่เมื่อซือหยูกำลังจะยืนขึ้นก็มีรังสีพลังที่ทำให้เขาตัวสั่น มันมาโดยไร้คำเตือน ซือหยูรีบย่อตัวลงเพื่อเก็บซ่อนพลัง พลังที่เขาสัมผัสได้ในตอนนี้เป็นของกึ่งเทพ!
เช่นนั้นก็เป็นเรื่องจริง มีกึ่งเทพอยู่ในก้นบึ้งมังกร!
ซือหยูเห็นผีที่เป็นรูปลักษณ์มนุษย์ ทั้งร่างของมันปกคลุมด้วยขนสีขาวและมีปีกสีดำที่ด้านหลัง
ใบหน้าของมันสีม่วงน่ากลัว มีเขี้ยวยื่นออกมา สายตามันเปล่งประกายโลหิต มือของมันถือกระบองหนามที่ยาวสิบศอก! มันดูเป็นภัยอย่างมาก
ในตอนนั้นมันหันกลับไปมองข้างหลัง มันมองไปในระยะหกลี้อย่างไม่รู้ตัว…มองมาทางซือหยู
ซือหยูตกใจ เขาหยุดในเนตรวิญญาณอย่างร้อนรน
หรือว่านั่นจะเป็นอสุราขาว? ซือหยูระวังตัวมากขึ้น
ดวงตาโลหิตของมันไม่ลังเล มันละสายตาจากซือหยูและพุ่งตรงไปยังหลงเฟยหยู
โฮ่ง โฮ่ง–
สุนัขตัวเล็กในมือหลงเฟยหยูเห่าด้วยความกลัว
หลงเฟยหยูตกใจ ใบหน้าเขาหม่นหมองลง เขารีบไปที่ด้านหลังหินก้อนใหญ่
ฟิ้ว–
สายลมรุนแรงพัดผ่าน ร่างยักษ์สูงยี่สิบศอกที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยขนสีขาวทะยานเวหา ปีกของมันแข็งแกร่งทรงพลัง
หลงเฟยหยูอ้าปากค้างด้วยความกลัว กึ่งเทพ!
หลงเฟยหยูทั้งโศกเศร้าและเกลียดชัง เขาหวังจะใช้โอกาสนี้กำจัดซือหยู เขาเสี่ยงอย่างมากกลับมามองหาซือหยู แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกับอสุราขาว!
“ข้าอยู่ที่นี่แล้ว…”
อสุราขาวประกาศ
“ไม่จำเป็นต้องซ่อนตัว”
อสุราขาวก้มหัวหัวเราะ มันแกว่งกระบองหนามลงมา
ครืน ปั้ง–
หินก้อนใหญ่แยกเป็นสองส่วนทันที เผยให้เห็นหลงเฟยหยูที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลัง
“หึหึ!”
อสุราขาวหัวเราะ
“ฐานพลังราชามนุษย์ที่มีพลังวิญญาณบริสุทธิ์ หึหึ ช่างเหมาะสมจะเป็นวัตถุดิบในการบูชายัญโลหิต พลังวิญญาณของเจ้าแข็งแกร่งกว่าพวกมนุษย์โสโครกในก้นบึ้ง!”
อสุราขาวยื่นมือไปคว้าตัวหลงเฟยหยู
หลงเฟยหยูตกตะลึงแต่เขาก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขาซัดฝ่ามืออกไปและชักแส้ยาวออกมา เขาสะบัดแส้ด้วยความเร็วสูงล้อมรอบหินก้อนใหญ่จากหลายพันศอกที่ไกลออกไป เขาใช้หินนั้นเป็นหลักในการดึงตัวเองเพื่อหนี และแส้นั้นก็ยังเปลี่ยนเป็นเงาลางๆที่จู่โจมอสุราขาว
เขาทำทุกอย่างในระยะเวลาสั้นๆ แต่อสุราขาวก็ยังคงนิ่งเงียบ มันยิ้มเยาะ กระบองหนามของมันที่หนักไม่ต่ำกว่าหลายพันกิโลเบาราวกับขนนกในมือของมัน การแกว่งกระบอกทำให้ฝ่ามือที่ซัดเข้ามาหายไป และเวลาเดียวกันมันก็คว้าแส้เอาไว้
“สมบัติเทพระดับกลางนี้ยอดเยี่ยมนัก…”
อสุราขาวกล่าวชม
“แต่เจ้าของนั้นน่าเศร้านัก”
มันยิ้มเยาะและดึงแส้
ปั้ง–
หลงเฟยหยูที่หนีไปได้หลายพันศอกถูกดึงกลับมาเร็วยิ่งกว่าตอนที่เขาหนี! เขาถูกดึงพุ่งตรงมายังฝ่ามือของอสุราขาว
“จงเป็นเครื่องบูชายัญโลหิตซะ…”
มันพูดและทุบให้หลงเฟยหยูสลบ
อสุราขาวมองมาทางซือหยูอีกครั้ง มันลังเลและบินไปยังต้นไม้แห้งเหี่ยวที่ซือหยูซ่อนตัว
อสุราขาวจ้องมองต้นไม้แก่ จากนั้นมันจึงดีดนิ้ว ต้นไม้ระเบิดหายไป
พลังอบอุ่นยังอยู่ในต้นไม้นั้น
“ความรู้สึกนั่น…”
“ข้ารู้ว่ามันไม่ใช่ภาพลวง!”
“ช่างเถอะ จะเป็นใครก็หนีไปจากก้นบึ้งมังกรเก้านรกนี้ไปไม่ได้หรอก”
พรึ่บข-
มันสะบัดปีกและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ผ่านไปนาน ผืนดินใต้ต้นไม้ขยับ ศีรษะหนึ่งโผล่ขึ้นมาบนพื้นดิน
หลังจากที่ใช้เนตรวิญญาณมองรอบๆแล้วเขาก็โล่งใจขึ้น
อะไรคือการบูชายัญโลหิตกัน? ซือหยูสงัสย แล้วคนอื่นเล่า? พวกเขามามากกว่าหนึ่งคนหรือไม่?
ซือหยูใจหาย แล้วถ้าหากเซี่ยนเอ๋อกับคนที่เหลือได้เจอกับอสุราขาวเหมือนกันล่ะ?
โฮ่ง โฮ่ง–
เสียงเห่าเบาๆดังมาจากเท้าของซือหยู มันคือสุนัขวิญญาณที่หลงเฟยหยูทิ้งเอาไว้เมื่อถูกจับตัว ซือหยูรีบเก็บสุนัขวิญญาณเอาไว้และกลับไปยังซากศิลาในพริบตา
ที่ซากศิลา
ฉิงจูหน้าซีดเผือด เขากำลังหนีโดยแบกเซี่ยจิงหยูและฉินเซี่ยนเอ๋อ ข้างหลังเขาคืออสุราขาวหน้าดำที่ไล่ล่าอย่างไม่ลดละ ในมือของมันถือหอกที่มีจิตสังหารมหาศาล
ตอนที่ 412
ฐานพลังของฉิงจูนั้นต่ำกว่าอสุรา และเขาอยู่ที่นี่มาทั้งวัน ร่างกายของเขาถูกก่อกวนจากลมหายใจมังกร เขาจะเร็วกว่าอสุราขาวไปได้อย่างไร?
พวกเขากำลังจะพุ่งออกจากก้นบึ้งกลับสู่โลกภายนอก แต่อสุราขาวก็อยู่ห่างกันไม่กี่ก้าว
“ข้าหนีไม่ทัน!”
ฉิงจูรู้สึกผิด
“ข้าเอาพวกเจ้าสองคนออกไปอย่างปลอดภัยไม่ได้ ข้าต้องเอาพวกเจ้าไปคนเดียวเท่านั้น”
ฉิงจูไม่ได้มองใครอื่นเมื่อพูด ฉินเซี่ยนเอ๋อตัวสั่น นางหันกลับไปมองอสุราขาว น้ำตาไหลออกมาด้วยความกลัว แต่นางก็พูดอย่างกล้าหาญ
“เอาข้าลง”
นางไม่ใช่เป็นคนของอาณาจักรทมิฬแต่ฉิงจูก็พานางหนีออกมา เขาทำทุกสิ่งที่ทำได้ไปแล้ว
ฉิงจูแอบละอายใจ การทิ้งเด็กสาวเอาไว้ในยามวิกฤตินั้นทำให้เขาเสื่อมศรัทธาในตัวเอง
ลึกในแววตาเซี่ยจิงหยูนั้นเด็ดเดี่ยว
“ฉิงจู พาเซี่ยนเอ๋อหนีไป!”
นางตะโกนและผละร่างออกจากฉิงจู
นางเริ่มสร้างผนึกม่านวารีออกมา
ฉิงจูชักสีหน้า
“ยี่หยู เจ้าจะบ้าไปแล้ว!”
เซี่ยจิงหยูตอบอย่างหนักแน่น
“ข้าทิ้งนางไม่ได้”
ฉินเซี่ยนเอ๋อขัดขืน
“เดี๋ยวสิ! ข้าไม่ต้องการให้เจ้าช่วยข้า”
แม้ว่านางจะไร้เดียงสา ฉินเซี่ยนเอ๋อก็รู้ว่าใครก็ตามที่ถูกทิ้งเอาไว้จะต้องตาย นางจะปล่อยให้คนแปลกหน้าตายเพื่อนางได้อย่างไร?
เซี่ยจิงหยูสร้างผนึกด้วยความเร็วสูง พริบตาเดียวก็มีม่านผนึกวารีสิบแปดชั้น เซี่ยจิงหยูหันกลับไปจ้องมองฉินเซี่ยนเอ๋อ แต่ก็ดูเหมือนนางกำลังมองคนอื่นอยู่
นางเงียบไปและหยิบตำราสีดำออกมา ตำรานั้นปล่อยแรงกดดันวิญญาณอันน่ากลัว
“ตำรานภาจรัสสวรรค์!”
ฉิงจูตกใจ
มันเป็นแค่สมบัติเทพระดับต่ำ แต่มันคือสมบัติเทพที่สำคัญที่สุดของเซี่ยจิงหยู นางถือว่ามันสำคัญเสียยิ่งกว่าชีวิตของนาง ตำรานั้นบันทึกทุกอย่างที่นางเคยเห็นและเคยได้ยินในทวีปเฉินหลง นางคัดลอกทุกสิ่งใส่ในตำรานั้นด้วยพลังจิตวิญญาณ วิชาหลายหมื่นวิชาที่นางเคยเห็นในอาณาจักรทมิฬ บันทึกนับไม่ถ้วน ภูมิปัญญาทุกอย่างบนโลก และคำอธิบายวิชาที่นางคิดขึ้นเองทั้งหมดต่างอยู่ในตำรานั้น
แม้แต่จ้าวไป่ลั่วก็อยากได้ตำราสวรรค์เล่มนี้ องค์ความรู้ในแต่ละหน้ากระดาษนั้นมีทุกวิชาที่อาณาจักรทมิฬรู้จัก การได้ตำรานภาจรัสสวรรค์ไปนั้นไม่ต่างจากการได้วิชาเหล่านั้นมาครอง
ตอนนี้นางเอามันออกมา เห็นได้ชัดว่านางกำลังจะพูดสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย!
ฟึ่บ–
ตำราสวรรค์หมุนอยู่กลางอากาศแต่ไม่ได้ไปอยู่ในมือของฉิงจู มันกลับเข้าไปในชุดของฉินเซี่ยนเอ๋อ
เซี่ยจิงหยูมองฉิงจูและขอร้อง
“ฉิงจู สัญญากับข้าว่าเจ้าจะไม่แตะต้องมัน”
ฉิงจูกระวนกระจาย แต่ความโลภในสายตาของเขาก็หายไปเมื่อเห็นใบหน้าของเซี่ยจิงหยู
“เจ้าให้นางทำไมกัน?”
เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดเซี่ยจิงหยูถึงมอบสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดของนางให้กับคนแปลกหน้า
ฉินเซี่ยนเอ๋อสับสนไม่แพ้กัน
“พี่ยี่หยู ข้าไม่อยากได้ตำรานี่! รีบกลับมาเร็ว!”
เซี่ยจิงหยูฝืนยิ้มและมองฉินเซี่ยนเอ๋อ
“เซี่ยนเอ๋อ มอบมันให้กับซือหยูแทนข้า บอกเขาว่าข้าไม่ได้ผิดสัญญา!”
ตำรานั้นคือโลกที่นางได้มองเห็น…นางใช้ดวงตาของตัวเองแทนซือหยูและมองสิ่งที่ตระการตาในทวีปเฉินหลง!
ฉินเซี่ยนเอ๋อสับสนไปหมด ยี่หยูรู้จักซือหยูรึ? นางเป็นใครกัน?
“สุดท้าย…”
“ขออวยพรให้เจ้าโชคดี เซี่ยนเอ๋อ”
น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเซี่ยจิงหยู หัวใจนางเจ็บแปลบ สุดท้ายนางก็ต้องอวยพรให้กับฉินเซี่ยนเอ๋อ! ฉินเซี่ยนเอ๋อคือสิ่งกั้นขวางระหว่างนางกับซือหยู ถ้าฉินเซี่ยนเอ๋อตาย เซี่ยจิงหยูก็จะมีโอกาสได้อยู่กับซือหยู! นางจะไปไกลเท่าใดก็ได้ในวันที่ฉินเซี่ยนเอ๋อหายไปจากโลก
แล้วทำไมกัน…ทำไมนางถึงต้องสละตัวเองเพื่อช่วยเซี่ยนเอ๋อเล่า?
นั่นก็เพราะว่าถ้าหากนางทิ้งฉินเซี่ยนเอ๋อเอาไว้ นางคิดในใจ แม้ข้าจะได้อยู่กับซือหยู เขาก็คงจะชิงชังข้าไปตลอดกาลถ้ารู้ว่าข้าทิ้งคนรักของเขาเอาไว้
นางมิอาจให้ซือหยูมองนางด้วยความขยะแขยง นางอยากจะอยู่ในหัวใจของเขา
“ไปเร็ว!”
เซี่ยจิงหยูสั่ง
นิ้วมือของนางขยับเมื่อนางสร้างภาพลวง นางสร้างฟองน้ำเพื่อดันฉิงจูกับฉินเซี่ยนเอ๋อไปยังบนสุดของก้นบึ้ง
วิญญาณของเซี่ยนเอ๋อสั่นคลอน น้ำตาไหลอาบแก้ม
“เจ้าเป็นใครกัน?”
“ทำไมถึงทำเช่นนี้?”
เซี่ยจิงหยูเงยหน้าหัวเราะ รอยยิ้มนั้นแสดงถึงความโล่งใจ…และความโศกเศร้า
“ข้า…”
“ข้าก็แค่คนที่เจ้ารู้จัก”
แม้จะถึงตรงนี้นางก็ปฏิเสธที่จะเอ่ยนามของตัวเองออกไป นางไม่อยากจะให้ซือหยูไม่มีความสุข นางไม่อยากจะให้เขามีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกผิด บางทีเขาอาจจะรู้ความจริงเมื่อได้เปิดอ่านตำรานภาจรัสสวรรค์ เท่าที่ก็เพียงพอแล้วสำหรับนาง แม้มันจะช้าไปบ้างก็ตาม
ฉิงจูหลับตาช้าๆและบินขึ้น ดวงตานั้นแผดเผาด้วยความโกรธแค้น
“ซือหยู! เจ้าไม่คู่ควรกับการเสียสละครั้งนี้! ซือหยู! หยินหยู! เจ้าจะต้องชดใช้ด้วยเลือด!”
แต่แม้ว่าฉิงจูจะคำรามด้วยความโกรธ น้ำตาก็ไหลออกมา เขาพาฉินเซี่ยนเอ๋อบินขึ้นฟ้าด้วยแรงผลักของเซี่ยจิงหยู
เซี่ยจิงหยูมองทั้งสองที่ห่างออกไปเรื่อยๆและรู้สึกราวกับว่าได้เห็นซือหยูที่อยู่ไกลออกไป…ดั่งอดีตอันทอดยาวและอนาคต นางจะไม่มีวันได้พบกับใบหน้าที่นางตามหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอีกต่อไปแล้ว นางจะไม่มีวันได้พบกับซือหยูอีก
พรึ่บ–
อสุราขาวรุดหน้าเข้ามา ใบหน้าดำของมันดุร้าย
“ข้าไม่เข้าใจความรู้สึกพวกมนุษย์หรอก…”
อสุราขาวถอนหายใจอย่างเย็นชา
“ข้าไม่รู้เลยว่าท่านจางตี๋เก้อคิดสิ่งใดในตอนที่หยุดหันหลังมองนภา”
อสุราเหวี่ยงหอก ชั้นม่านวารีเก้าชั้นถูกทำลายทันที แต่แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับความตาย เซี่ยจิงหยูก็ยังไม่ยอมแพ้ ไอวารีแผ่ออกมาจากร่างและกลายเป็นแอ่งน้ำเมื่อม่านวารีทั้งเก้าถูกทำลาย
อสุราพุ่งเข้าไล่ตามสองคนที่หนีไปแต่ฉิงจูก็ใช้โอกาสนี้ออกจากก้นบึ้งไป
อสุรามองหยดน้ำและมองรอบๆ
“กายาวารี…”
“วิชาลึกลับของเผ่ามนุษย์…แต่ก็อ่อนแอเกินไป!”
มันชี้หอกอย่างมั่นใจ
ซ่า—
แอ่งน้ำกระจายออกไปก่อตัวเป็นเซี่ยจิงหยู ใบหน้าที่ปกคลุมด้วยไอน้ำนั้นซีดเผือด โลหิตไหลออกมาจากแผลที่ท้อง แต่มือนางยังคงสร้างผนึกและสร้างหมอกพรางตัว
อสุรามองดูนาง
“ปิดทางออกก้นบึ้งมังกร อย่าให้ใครหนีออกไปได้ก่อนการบูชายัญโลหิต!”
ฟึ่บ ฟึ่บ–
รากษสพันตนทำตามคำสั่งและปิดทางออกก้นบึ้งมังกร
******
ครึ่งวันผ่านไป
เซี่ยจิงๆหยูหน้าซีด ไอวารีปิดใบหน้าจางลง ยากที่นางจะรักษามันไว้ได้นานกว่านี้ ร่างของนางบาดเจ็บหลายแห่ง โลหิตไหลออกมาอย่างอิสระจากบาดแผล
นางอ่อนแออย่างมาก พลังวิญญาณของนางแห้งเหือด ส่วนพลังกายนั้นกำลังถึงขีดจำกัด
ปั้ง–
อสุราขาวบินลงมา ขาทั้งสองข้างของมันทำให้พื้นสั่นเมื่อสัมผัส
อสุราหน้าดำบาดเจ็บเช่นกัน แม้บาดแผลจะไม่ร้ายแรงแต่คนที่ทำให้กึ่งเทพบาดเจ็บได้นั้นก็นับว่าไม่ธรรมดา
อสุรานับถืออีกฝ่ายเล็กน้อย
“เจ้าใช้แปดสิบเอ็ดวิชากับวิชารองอีกร้อยเก้าวิชาในครึ่งวัน! รวมเป็นร้อยเก้าสิบวิชา! ไม่คิดเลยว่ามนุษย์คนเดียวจะรู้จักวิชามากมายเช่นนี้ เจ้าเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์จริงๆรึ?”
เซี่ยจิงหยูในตอนนี้ไม่มีแม้แต่แรงจะพูด นางใช้ทั้งร้อยเก้าสิบวิชาออกมา แต่ฐานพลังของนางต่ำเกินไป และนางก็มิอาจทำให้ศัตรูบาดเจ็บได้และยังมิอาจหนีไปได้
นางพยายามสุดความสามารถ แต่ก็ยังดีไม่พอ
“ลืมซะเถอะ…”
“ข้าจะพาเจ้าไปหาท่านจางตี๋เก้อ นางอาจจะสนใจเจ้า”
มันเอื้อมมือจับเซี่ยจิงหยู แต่ในตอนนั้นก็มีมนุษย์อีกคนปรากฏตัว เขาปรากฏตัวและหายลับหนีเอาชีวิตไปในทันที
“หา?”
“มนุษย์อีกคน!”
มันบินตามอีกฝ่ายโดยไม่คิด ในตอนนั้นก็มีร่างหนึ่งออกมาจากความมืด เขาคว้าตัวเซี่ยจิงหยูและหนีไปอีกทาง
เซี่ยจิงหยูประหลาดใจแต่ก็โล่งใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร วิธีในการแบกนางนั้นทำให้สีหน้านางขุ่นเคือง นางขึ้นเสียง
“ปล่อยข้า!”
ชีวิตพวกเรากำลังอยู่ในอันตราย แต่คนที่ถูกอุ้มก็ยังคงห่วงอยู่กับความบริสุทธิ์ของตัวเองอีกรึ? ซือหยูคิด
สตรีผู้นี้เห็นความบริสุทธิ์ของตัวเองสำคัญยิ่งกว่าชีวิต ซือหยูนับถือความปรารถนาของนาง เขาจัดท่าและจับไหล่ของนางไว้ ซือหยูรีบบินหนี
เขาหนีไปหลายลี้และขุดซากหลบ เขาพยายามอย่างมากเพื่อไม่ให้เกิดเสียง ไม่แม้แต่จะหายใจเสียงดัง พวกเขาซ่อนตัวที่นั่น
ฟิ้ว–
ไม่นานก็มีสายลมรุนแรงพัดใส่พวกเขา อสุรามาถึงอยู่ข้างบน
“เจ้าพวกมนุษย์บัดซบ!”
“บังอาจมาล่อลวงข้า! เผ่ามนุษย์จะเจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว!”
ซือหยูขมวดคิ้ว เขาทำอะไรผิดกัน? อสุราทำร้ายพวกเขาเพราะมันแข็งแกร่งกว่า เขามีทางเลือกอื่นรึ?
อสุราออกค้นหาต่อไปอย่างไม่พอใจ
******
สิบสัปดาห์เต็ม อสุราหน้าดำค้นหาทั่วทุกแห่งในรัศมีสามร้อยลี้ มันทำลายซากระหว่างค้นหา แต่ซากในพื้นที่นั้นกว้างใหญ่ มันมิอาจหาได้ทั่วแม้จะใช้เวลาสิบสัปดาห์
“ท่านเฮี่ยหยาง!”
สัตว์ประหลาดตัวหนึ่งตะโกน มันมีเขากระทิงที่เอว
“การบูชายัญโลหิตจะเริ่มแล้ว ท่านจางตี๋เก้อเรียกท่าน โปรดกลับโดยเร็ว”
อสุราชักสีหน้า มันมองดูรอบๆอีกครั้งและรู้สึกว่ามันถูกโกงจนต้องร้องคำรามออกมา
“พวกเจ้าโชคดีนัก!”
“แต่ว่าอย่าแม้แต่จะคิดหนีจากก้นบึ้งมังกรไปได้!”
ฟึ่บ–
มันหายตัวไปในพริบตา
หลายชั่วยามผ่านมา ซือหยูถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เกือบไปแล้ว!”
เขามองเซี่ยจิงหยูข้างๆ ไอวารีบนใบหน้านางนั้นเบาบางพร้อมจะกระจายหายไป เซี่ยจิงหยูตกใจเมื่อสัมผัสได้ว่าใบหน้ากำลังจะถูกเปิดเผย นางใช้พลังวิญญาณเฮือกสุดท้ายในการคงสภาพม่ายวารีที่คลุมใบหน้าเอาไว้
ซือหยูมิอาจเข้าใจผู้หญิงคนนี้ นางดึงดันอย่างมากที่จะรักษาความบริสุทธิ์แม้จะอยู่ในสภาพนี้ แม้สภาพจะใกล้ตายนางก็ไม่อยากให้ใครได้เห็นใบหน้าของนาง
เมื่อสัมผัสได้ถึงความคิดของซือหยู เซี่ยจิงหยูก็เงียบไป สุดท้ายนางก็พูดออกมา
“ขอบคุณ ข้าขออภัยกับเมื่อครู่ ข้าก็แค่…”
นางไม่อยากจะให้ชายอื่นนอกจากซือหยูเกิดความรู้สึกกับนาง และด้วยรูปลักษณ์ของนางที่งดงามเกินไป ถ้าได้เจอกับคนแปลกหน้าอย่างราชาปีศาจหิมะทมิฬ นางมิอาจแน่ใจได้ว่าอีกฝ่ายจะไม่คิดร้ายต่อนางในยามที่อ่อนแอ
ซือหยูโบกมือเพื่อหยุดไม่ให้นางพูดต่อ
“เจ้าไม่ต้องอธิบายหรอก ข้าเข้าใจ แล้วทำไมเจ้าถึงอยู่คนเดียวล่ะ? คนอื่นไปไหนกันหมด?”
ความกังวลใจแผดเผาดวงตาของซือหยู
เซี่ยจิงหยูตอบ
“พวกนั้นออกไปแล้ว พวกเขาหนีออกจากก้นบึ้งมังกรไปได้”
ซือหยูถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อรู้ว่าเซี่ยนเอ๋อปลอดภัย
“แล้วทำไมเจ้าถึงยังอยู่ที่นี่เล่า?”
เซี่ยจิงหยูถามกลับ
“หลงเฟยหยูไปไหนกัน?”
ซือหยูตอบเลี่ยง
“พี่หลงไม่กลับมารึ?”
เซี่ยจิงหยูแตะคางอย่างแผ่วเบา
“เขาเข้าไปตามหาเจ้า เขาจะต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายแน่ๆ ข้าว่าการได้เจอกับรากษสทำให้อสุราขาวรับรู้ถึงตัวตนของเรา”
ซือหยูคลานออกจากซาก
“บังเอิญนักที่ข้าช่วยเจ้าไว้ได้ เจ้าไม่ต้องคิดอะไร… ทางออกของก้นบึ้งมังกรถูกผนึกไว้รึ?”
เซี่ยจิงหยูตัวแข็งทื่อ นางพยักหน้าและหัวเราะอย่างขมขื่น
เช่นนั้น พวกเขาก็ถูกขังอยู่ที่นี่ ซือหยูใจหายเล็กน้อย
“เจ้าเป็นคนของอาณาจักรทมิฬ…”
“บอกข้ามา เจ้าเคยได้ยินสิ่งที่เรียกว่าบูชายัญโลหิตหรือไม่?”
ตอนที่ 413
บูชายัญโลหิต? เซี่ยจิงหยูคิด นางพยักหน้า
“ข้ารู้ไม่มากนักหรอก บางครั้งเพื่อที่จะอัญเชิญสิ่งที่แข็งแกร่งกว่าลงมา ภูติผีจะทำการบูชายัญโลหิต แต่มันต้องเซ่นสังเวยด้วยเลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งถึงจะทำได้ แต่ก็มีการบูชายัญโลหิตหลายแบบ เราไม่รู้ว่าพวกมันจะทำในแบบใด”
“หรืออีกอย่างก็คือ ซ่อนอยู่ที่นี่พวกเราจะปลอดภัยกว่าสินะ”
ซือหยูคิดและหยิบเอาหยดพลังธรณีออกมา
“กลืนนี่ไป”
“มันจะช่วยให้ร่างกายเจ้ารู้สึกดีขึ้น”
เขานั่งลง
เซี่ยจิงหยูตาเป็นประกายเมื่อเห็นหยดวารีวิญญาณนั้น
“นั่นมันน้ำนมธรณีกระจ่าง มันจะขับไล่วิญญาณอสูรและทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น มันล้ำค่ามากนัก ยากที่จะหามันเจอในโลกภายนอก! ถ้าเจ้าพกมันติดตัว ราชาปีศาจหิมะทมิฬก็ต้องเป็นคนที่ร่ำรวยยิ่งนัก”
จ้าวยี่หยูนั้นมีความรู้กว้างขวางอย่างมากจนซือหยูตกใจ น่าขันที่กังต้าเหล่ยไม่รู้จักสิ่งที่เขาพบแม้จะผ่านไปหลายปี แต่จ้าวยี่หยูกับบอกได้ในทันที
แม้แต่ซือหยูก็ใช้มันโดยไม่รู้ว่ามันคืออะไร เขาหัวเราะอย่างเขินอายและส่งมันให้กับนาง ซือหยูใช้พลังความเย็นในร่างเพื่อกำจัดพลังงานความร้อนในน้ำนมธรณีกระจ่าง แต่จ้าวยี่หยูน่าจะรู้วิธีใช้ที่ถูกต้อง
“ราชาปีศาจหิมะทมิฬก็ใช้วิชาน้ำแข็งได้ดีสินะ”
ซือหยูควบคุมพลังความเย็นเอาไว้และถามอย่างเรียบเฉย
“ใครกันที่ใช้วิชาน้ำแข็ง?”
รอยยิ้มยินดีปรากฏบนใบหน้าซีดเซียวของนาง
“จะใครล่ะ แต่วิชาน้ำแข็งของเจ้าก็ไม่ได้เก่าแก่นัก เจ้าทำให้พลังความเย็นเข้าสู่ร่างของเจ้าได้”
นางพูดถูก สมุนไพรเทพนั้นถูกซือหยูกินไป ดังนั้นพลังความเย็นจึงอยู่ในเลือดเนื้อของเขา
หลังจากครุ่นคิด ปลายดัชนีของเซี่ยจิงหยูเขียนอะไรบางอย่างลงบนพื้น พริบตานางก็เขียนสูตรของอะไรบางอย่างออกมา
“เจ้าจะต้องได้พลังความเย็นมาจากแหล่งภายนอก บางทีเจ้าน่าจะกินอะไรเข้าไป ดังนั้นเก้าในสิบส่วนของความเย็นเจ้าจะอยู่ในเลือดเนื้อ”
“นี่คือเนื้อหาของน้ำแข็งนิรันดร์ วิชาบ่มเพาะที่ข้าคิดขึ้นมาโดยอ้างอิงจากวิชาน้ำแข็งระดับอำมฤต มันจะทำให้พลังความเย็นในร่างเจ้าถูกใช้งานและทำให้เจ้าควบคุมน้ำแข็งต่อสู้ได้ โลกนี้ไม่มีสิ่งใดได้มาเปล่าๆ คิดซะว่ามันคือของแลกเปลี่ยนกับน้ำนมธรณีกระจ่างก็แล้วกัน”
เซี่ยจิงหยูพูดอย่างเรียบเฉย นางนั้นทิ้งระยะห่าง เย็นชา และไม่คิดจะติดหนี้ผู้ใด
ซือหยูตกใจในปัญญาของนาง สตรีผู้นี้มิได้เพียงแค่สัมผัสได้ถึงพลังความเย็นที่อยู่ในตัวเขาแต่ยังคาดเดาได้ว่าเขาทำอะไรมาบ้าง สัญชาตญาณของนางนั้นน่าตกใจเล็กน้อย
ซือหยูส่ายหน้าและปล่อยเรื่องนี้ไป เขาสนใจกับเนื้อหาตำราที่นางเขียนบนพื้น เขาเรียนรู้มันและอ้าปากค้าง
“เจ้าสร้างวิชาบ่มเพาะระดับสูงในระดับอำมฤตได้ด้วยนี่….สิ่งนี้ควรจะใกล้เคียงนักกับระดับตำนาน!”
วิชาบ่มเพาะนี้มีที่มามาจากวิชาระดับอำมฤต แต่มันก็เหนือว่าวิชาระดับอำมฤตทั่วไปและใกล้เคียงกับวิชาระดับตำนาน! หญิงสาวคนนี้มีระดับปัญญาที่สูงส่งมาก! นางอาจจะอายุน้อยกว่าซือหยูด้วยซ้ำ!
ซือหยูตกใจ บางทีเขาอาจจะประเมินจ้าวแห่งความมืดของอาณาจักรทมิฬต่ำเกินไป ถ้าเขาได้เจอกับเฉินยิ่งอีกครั้ง เขาต้องระวังตัวยิ่งกว่านี้
ซือหยูนั่งลงและเริ่มบ่มเพาะวิชานี้อย่างง่ายดาย ด้วยความช่วยเหลือของโอรสสวรรค์จ้องนภา วิญญาณของคนธรรมดาที่ฐานพลังเท่ากันนั้นเทียบไม่ได้กับเขา นั่นทำให้เขาบ่มเพาะวิชาได้เร็วกว่าคนทั่วไปอย่างมาก
******
ครึ่งวันผ่านไป ก้อนพลังความเย็นเอ่อล้นออกจากร่างของซือหยู มันกลายเป็นพยัคฆ์ขาวและเปลี่ยนเป็นมังกรได้อย่างน่าอัศจรรย์
เขาตอนนี้เขาก็ปล่อยพลังความเย็นจนถึงกระดูกออกมาได้ พลังเช่นนี้เทียบได้กับพลังของราชามนุษย์!
เซี่ยจิงหยูตกตะลึง พลังวิญญาณของนางถูกฟื้นฟูแล้ว นางต้องเรียกพลังวิญญาณออกมาป้องกันพลังความเย็น นางมองซือหยูด้วยความตกใจ
“ระดับปัญญาอะไรกัน!”
“ถึงที่ข้าเขียนจะมีความเข้าใจของข้าช่วยไปด้วย มันก็เป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาจะบ่มเพาะได้เร็วเช่นนี้!”
นางจะรู้ได้อย่างไรว่าพลังเร่งเวลาของซือหยูถูกผนึกเอาไว้? มิเช่นนั้นเขาคงจะบ่มเพาะมันเสร็จเร็วกว่านี้ไปยี่สิบเท่าแล้ว
ซือหยูลืมตา ใบหน้าเขาแสดงความยินดี
“ขอบคุณจ้าวยี่หยูที่สอนวิชานี้กับข้า”
พลังความเย็นห้าส่วนที่หลับใหลอยู่ในกายได้ถูกใช้ออกมา มันเติบโตเป็นต้นอ่อน…คล้ายกับสมุนไพรเทพที่เขากินเข้าไปในรูปลักษณ์ที่เล็กกว่าเดิม…มันถูกปลูกอยู่ข้างต้นกำเนิดพลังของเขา
เช่นเดียวกับแหล่งกำเนิดพลัง ต้นอ่อนนี้เก็บพลังความเย็นได้ มันควรจะเก็บได้อย่างไม่จำกัด นั่นจึงเป็นเหตุที่วิชาน้ำแข็งนิรันดร์นี้เทียบได้กับวิชาระดับตำนาน ถ้าซือหยูใช้พลังทั้งหมดในตอนนี้…เขาอาจจะเผชิญหน้ากับราชามนุษย์ได้!
เซี่ยจิงหยูหัวเราะ มีคนลอบเข้ามาใกล้พวกเขา ซือหยูใช้เนตรวิญญาณมองออกไป จากนั้นเขาก็ชักสีหน้า
“มีคนอยู่ที่นี่”
เขากระซิบ
เซี่ยจิงหยูตกใจ จากนั้นนางก็สัมผัสได้ถึงตัวตนของอีกฝ่ายเช่นกัน นางพูดด้วยความเคร่งเครียด
“ราชามนุษย์สองคน!”
ซือหยูมองคนที่เข้ามาอย่างละเอียด เซี่ยจิงหยูจ้องมองเขาอย่างตกตะลึงในตอนที่เขาไม่รู้ตัว
นางได้เรียนรู้วิชาบ่มเพาะมามากมายในทวีป นอกจากจ้าวไป่ลั่ว…ใครกันจะสัมผัสจักรวาลได้…จ้าวแห่งความมืดคนอื่นไม่มีใครเทียบกับเซี่ยจิงหยูได้เลย แต่ราชาปีศาจหิมะทมิฬกลับสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของราชามนุษย์ของคนได้เร็วกว่านาง
ราชาปีศาจหิมะทมิฬคือผู้ใดกันแน่? นางสงสัย ชายลึกลับผู้ใดกันที่อยู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นมาและฆ่าล้างสังหารคนไปตลอดหลายล้านลี้ในทวีปเหนือ?
นางคิดว่าคนตรงหน้านางคือซือหยูไปเสี้ยวหนึ่ง แต่ชายคนนี้ดูแตกต่างกันเกินไป ความคิดของนางหายไปทันทีที่คิดขึ้นมา
ราชามนุษย์ทั้งสองเข้ามาใกล้ขึ้น
“พวกข้ามาหาเจ้าด้วยตัวเองเช่นนี้”
หนึ่งในนั้นประกาศ
“ไร้ประโยชน์ที่จะหลบซ่อน”
ซือหยูกับเซี่ยจิงหยูมองหน้ากัน ที่ซ่อนของพวกเขาถูกรับรู้แล้ว พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากออกไป
ซือหยูพุ่งออกมาและเห็นราชามนุษย์ตัวสูงส่วนอีกคนตัวเตี้ย ทั้งสองสวมหนังสัตว์อสูร เส้นผมของพวกเขากระเซิงออกและดูป่าเถื่อน มีสัญลักษณ์สีดำมากมายบนแผ่นหลังของพวกเขา
ชายตัวสูงสังเกตซือหยูและระวังตัวขึ้น
“เจ้าก็อันตรายอยู่นี่…”
เขาหยุดมองชายตัวเตี้ย
“หลู่ม่อ เจ้าจะเลือกใคร?”
ชายตัวเตี้ยมองเซี่ยจิงหยูและหัวเราะ
“มันจะต่างกันเรอะ? เจ้าเด็กนี่อันตรายก็จริง แต่ตุ๊กตาตัวน้อยนี่ก็ยอดเยี่ยมไม่ต่างกัน”
“ถ้าเช่นนั้น….”
“เราก็ลงมือพร้อมกันเลย”
ซือหยูตัวแข็งทื่อ คนพวกนี้คือคนร้ายที่ถูกขังไว้ในก้นบึ้งหวงห้ามงั้นรึ?
ความต่างระหว่างคนพวกนี้กับคนธรรมดาภายนอกนั้นราวฟ้ากับเหว คนที่นี่เฉียบคมอย่างมาก พวกเขารู้ว่าซือหยูกับเซี่ยจิงหยูอันตรายโดยที่ยังไม่ได้ทดสอบพลังด้วยซ้ำ ถ้าทั้งสองอยากจะต่อสู้ก็ยากที่ซือหยูกับเซี่ยจิงหยูจะชนะ
“เจ้าหนู…กับตุ๊กตาน้อย”
“ไม่มีใครอยากจะเจ็บตัวที่นี่ ถ้าเจ้าไม่ขัดขืนและตามพวกข้ามา เราจะไม่ทำให้พวกเจ้าต้องลำบาก เจ้าเมืองอยากจะเชิญพวกเจ้าเข้าสู่เมืองก้นบึ้ง เราสาบานว่าจะไม่ทำร้ายพวกเจ้าในระหว่างทาง”
เซี่ยจิงหยูลังเลเล็กน้อย แต่ซือหยูไม่ทำให้เสียเวลา
“พอแล้ว…”
เขาตะคอก
“เจ้าคิดว่าพวกข้าเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้รึ? เจ้าสาบานจะไม่ทำร้ายพวกข้าระหว่างทาง แต่คำสัญญาเจ้าไม่ได้บอกเมื่อพวกข้าถึงเมืองก้นบึ้ง อย่ามาใช้ไม้นี้กับข้า”
เซี่ยจิงหยูตกใจ นางคืนสติกลับมาทันทีและมองซือหยู นางกระซิบอย่างละอายใจ
“เจ้าเลือกจะสู้รึ? ข้าอยู่ในอาณาจักรทมิฬมาหลายปีแต่ขาดประสบการณ์การต่อสู้ ไม่ใช่พวกเราทุกคนจะชุ่มโลหิตอย่างราชาปีศาจหิมะทมิฬหรอกนะ”
พวกราชามนุษย์ใบหน้าเย็นยะเยือก
“ข้าให้โอกาสพวกเจ้าแล้ว หึ เจ้าก็เตรียมตัวรับผลที่ตามมาซะเถอะ!”
ชายตัวสูงหายใจเข้าลึก เขารวบรวมพลังวิญญาณในมือและซัดมันอย่างไม่ลังเล พลังวิญญาณซ่อนอยู่ใต้เท้าของเขา เมื่อมันระเบิดก็สร้างแรงกระแทกรุนแรง ร่างของเขาพุ่งทะยานไปหาพวกซือหยูในทันที
ซือหยูเห็นแค่เพียงแสงเงา เขาตอบสนองอย่างรวดเร็ว ชั้นพลังความเย็นปกคลุมกาย ทุกอย่างที่พลังความเย็นสัมผัสได้กลบายเป็นน้ำแข็ง
ชายตัวสูงเคลื่อนไหวช้าลง…ร่างของเขาปรากฏให้เห็นอีกครั้ง ซือหยูใช้ฝ่ามือทั้งสองปล่อยพลังความเย็นใส่ชายตัวสูงราวกับสายวารี
น้ำแข็งหนาทำให้ชายร่างสูงแข็ง นั่นทำให้ความเร็วของเขาลดลงยิ่งกว่าเดิม ความเร็วของเขาลดลงไปแล้วสามส่วน!
ปีกสะบัดบนหลังของซือหยู ปีกโบกสะบัดพร้อมกับซือหยูที่บินเข้าไปอย่างดุดัน ซือหยูบินเหนือชายตัวสูงและซัดหมัดเข้าใส่ศีรษะของศัตรูอย่างรวดเร็ว
ชายตัวสูงกลายเป็นน้ำแข็ง เขาเคลื่อนไหวได้ช้าลง เขาจะป้องกันซือหยูทันเวลาได้อย่างไร?
ชายตัวสูงขยับไหล่ ศีรษะของเขาเบี่ยงไปอีกทาง เขาหลบการโจมตีที่สังหารเขาได้ แต่เขาก็ถูกซัดเข้าที่ไหล่อย่างแรง
แรงกระแทกทำให้กระดูกของเขาหัก เขาหันไปมองซือหยูที่เข้ามาจู่โจมด้วยหมัด เขาไม่มีทางเลือกนอกจากหลบหมัดนั้น
ชายตัวสูงลูบไหล่ของตัวเอง มันบวมแดงอย่างน่ากลัว
“วิชาน้ำแข็งของเจ้านั้นอยู่ในระดับสูง ประกอบกับพลังกายเลยทำให้เจ้าเทียบเคียงได้กับราชามนุษย์ เจ้ามันอันตรายอย่างที่ข้าว่าไว้ แต่ถ้าเจ้าคิดว่านี่มันเพียงพอแล้ว เจ้าก็ไม่รู้จักพลัลงของก้นบึ้งหวงห้ามแล้วล่ะ!”
ชายตัวสูงสีหน้าหม่นหมอง เขาซัดดัชนีใส่อกของตัวเอง พลังอสูรจำนวนมากระเบิดเข้าใส่สัญลักษณ์ประหลาดที่สลักอยู่บนหลัง พลังอสูรปกคลุมกายทั้งร่าง
“ระวังนะ!”
เซี่ยจิงหยูเตือน
“คนในก้นบึ้งมังกรได้รับผลจากลมหายใจมังกรมาหลายปี พวกเขาใช้พลังวิญญาณได้ไม่ดีเท่าพวกเรา แต่พวกเขาเรียนรู็วิธีที่จะใช้พลังของลมหายใจมังกรเพื่อทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น!”
ซือหยูประหลาดใจ ไม่แปลกใจที่พลังวิญญาณของศัตรูนั้นไม่บริสุทธิ์และมีพลังจำกัด นั่นจะต้องเป็นผลจากการที่ต้องรับลมหายใจมังกรมานาน พลังวิญญาณได้มีมลทินและไม่ต่างกับโทษประหาร
เมื่อพลังอสูรเอ่อล้น มันก็เข้าสู่ร่างของชายตัวสูงอีกครั้ง แต่ในตอนนี้ร่างกายของเขากำลังเปลี่ยนแปลงอย่างน่าตกใจ!
เขาทมิฬงอกออกมาจากศีรษะของเขา กรงเล็บคมกริบงอกจากแขนขา กล้ามเนื้อของพวกเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า! เขาที่เปลี่ยนร่างนั้นขยายตัวจากสูงหกศอกไปถึงสิบศอก! คนตรงหน้าเขาไม่มีร่างเป็นแบบมนุษย์อีกแล้ว!
ชายมีเขาตะโกนและปล่อยหมัด
“ตายซะ!”
หมัดนั้นมีพลังอสูรอยู่ด้วย ทั้งร่างของเขาเจ็บปวดอย่างมากก่อนที่หมัดจะสัมผัสตัวด้วยซ้ำ
ซือหยูตกใจมากและถอยเพื่อเรียกพลังความเย็นในร่าง สมุนไพรเทพที่เติบโตใกล้กับจุดกำเนิดพลังเปล่งแสงจ้า พลังน้ำแข็งอันน่ากลัวปกคลุมโดยรอบ
โฮก—
โฮก—
มังกรและพยัคฆ์ปรากฏตัวขึ้นและพุ่งเข้าใส่ชายมีเขา
สองการโจมตีนี้ไม่อ่อนแอไปกว่าของราชามนุษย์และอาจจะเหนือกว่าราชามนุษย์ทั่วไปด้วยซ้ำ! ชายมีเขาปล่อยหมัดออกมาแต่ก็ถูกหยุดด้วยมังกรและพยัคฆ์!
เขาร้องคำรามเสียงดัง พลังอสูรทำลายทั้งมังกรและพยัคฆ์พร้อมกัน
เซี่ยจิงหยูตะโกนหลังจากที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
“วิชานี้เขาใช้จะมีผลแค่ชั่วคราว! ไม่นานร่างกายพวกเขาก็จะกลับมาอ่อนแอ แต่ตอนที่พลังยังอยู่พวกเขาจะไปอยู่ในจุดสูงสุดของราชามนุษย์! อย่าต่อสู้กับเขาตรงๆ ถ่วงเวลาจนเขาจะกลับมาอ่อนแอ! นั่นจะเป็นโอกาสฆ่าเขา”
ราชามนุษย์ตัวเตี้ยจ้องเซี่ยจิงหยู
“นังนี่! เจ้าจะรู้มากไปแล้ว!”
ตอนที่ 414
ราชามนุษย์อีกคนกัดฟันแน่น ผู้หญิงคนนี้สร้างปัญหายิ่งนัก จำนวนวิชาที่นางใช้ได้นั้นน่ากลัวอย่างมาก นางไม่เคยใช้วิชาเดิมซ้ำสอง ทำให้ความได้เปรียบในด้านฐานพลังอ่อนด้อยลงไป
เมื่อความลับถูกเปิดเผย ชายตัวเตี้ยก็สะบั้นผนึกของตัวเอง หลังจากที่พลังอสูรถูกใช้งานเขาก็กลายร่างเป็นอสรพิษที่ทั้งร่างปกคลุมด้วยเกล็ด การเคลื่อนไหวของเขาว่องไวกว่าเดิมหลายขั้น เซี่ยจิงหยูรู้สึกกดดันยิ่งขึ้น และพลังวิญญาณของนางยังฟื้นฟูไม่เต็มที่ นางกำลังเสียเปรียบ สถานการณ์ในตอนนี้อันตรายเป็นอย่างมาก
ซือหยูพูดด้วยความหม่นหมอง
“ข้าคิดว่าพวกมันก็กำลังถ่วงเวลาเหมือนกัน!”
ราชามนุษย์สองคนนี้จะต้องรู้ว่าการใช้วิชานี้จะเป็นอันตรายต่อชีวิตของตัวเอง ยากที่จะอธิบายว่าทำไมคนร้ายที่อยู่ในส่วนลึกของก้นบึ้งกล้าทำเรื่องอุกอาจเช่นนี้
ซือหยูกังวลใจ สิ่งเดียวที่จะอธิบายได้ก็คือพวกเขาไม่ได้ลงมือกันแค่สองคน ยังมีคนอื่นอยู่อีก!
เซี่ยจิงหยูคิดได้แบบเดียวกัน แววตาของนางเฉียบคม
“เราต้องจบมันโดยเร็ว”
ซือหยูแอบเหลือบมองเซี่ยจิงหยูและคิดว่านี่ไม่ใช่เวลาจะออมมืออีกแล้ว เขาประสานฝ่ามือกันพร้อมกับอสรพิษน้ำแข็งมากมายที่พุ่งเข้าใส่ชายตัวสูง
อีกฝ่ายหัวเราะเสียงดังลั่น
“เจ้าเดาได้เลยรึว่าพวกข้าถ่วงเวลา แล้วยังไงล่ะ? อย่างไรพลังพวกข้าก็เพียงพอจะเอาชนะเจ้า!”
แกร๊ก–
เอาคว้าอสรพิษน้ำแข็งไว้ด้วยทั้งสองมือ เขาบีบบดขยี้มันเป็นเสี่ยงๆ แต่ก็มีสายฟ้าสีม่วงพุ่งเข้าใส่จากอสรพิษน้ำแข็งที่ถูกทำลายโดยที่เขาไม่รู้ตัว!
อ๊าก—
เขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ฝ่ามือไหมเกรียมจากสายฟ้า ร่างของเขาปกคลุมไปด้วยพลังอสูร เขาบนหัวสั่นอย่างมิอาจควบคุมได้ ราวกับเขากำลังจะฝืนให้ตัวเองอยู่ในสภาพแข็งแกร่งขึ้น!
“ไอ้เด็กนี่ใช้วิชาอัสนี!”
“เขาถอนพลังอสูรออกจากร่างพวกเราได้! เราต้องปิดฉากแล้ว!”
ชายร่างเตี้ยเหลือบมองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาปล่อยการโจมตีอันบ้าคลั่งใส่เซี่ยจิงหยูหวังจะไปช่วยอีกคน
“โชคร้ายนัก เจ้าหนู”
เขาใจเต้นแรงแต่ความกังวลก็หายไปจากแววตาในไม่นาน
“วิชาอัสนีของเจ้ายังอ่อนแอเกินไป!”
เขาตะโกนร้องด้วยความโกรธแค้น เขาพุ่งเข้ากดดันซือหยูกับเซี่ยจิงหยูอีกครั้ง
พรึ่บ–
มนุษย์ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นข้างหลังซือหยูในทันที ร่างของมันเปล่งแสงสีฟ้าคราม มันพุ่งเข้าใส่ศัตรูอย่างรวดเร็ว
“ร่างปลอมอัคคีเรอะ? พวกข้าเตรียมการไว้แล้ว!”
ครืน—
ชายตัวสูงยิงพลังอสูรใส่ร่างเทียม พวกเขาไม่ปล่อยให้ร่างเทียมของซือหยูเข้าใกล้ วิชาเพลิงนั้นจะทำให้พลังอสูรของพวกเขาหายไปอย่างมาก
ฟึ่บ–
แต่เมื่อร่างเทียมกระเด็นออกไปมันก็หยิบธนูสีเงินออกมา มันยิงธนูด้วยความเร็วที่มองไม่ทัน ศรนั้นทำมาจากเพลิงครามร้อนสูงและมันก็พุ่งถึงตัวของราชามนุษย์สองคนที่มิอาจป้องกันตัวได้
ฉั่วะ–
ศรทะลวงชายมีเขาแต่ก็ทะลุได้ไม่ลึก ร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้นนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่ศรจะทะลวงลึกได้มากกว่านั้น แต่เพลิงจากศรวิญญาณก็ได้กลายเป็นเพลิงพิโรธแผดเผาร่างกายจากบาดแผลนั้น
การยิงศรนี้แม่นยำ เพลิงถาโถมตรงเข้าใส่หัวใจของศัตรู
“อ๊าก! ไม่นะ!”
ชายมีเขาตะโกน เขากรีดร้องด้วยความกลัวก่อนที่หัวใจจะถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน
ซือหยูใช้จังหวะนี้ซัดหมัดบดขยี้หัวของเขาในทีเดียว! นี่คือทางเดียวที่จะยืนยันได้ว่าเขาจะตายจริงๆ และเพื่อป้องกันให้เขาลอบโจมตีไม่ได้ก่อนจะตาย
ซือหยูสลายร่างเทียมและมองข้างหลัง เขากับเซี่ยจิงหยูร่วมมือกันสังหารศัตรูที่เหลือเพียงคนเดียว
แม้จะอยู่ในลักษณ์อสรพิษ ราชามนุษย์ก็มิอาจซ่อนความหวาดกลัวเอาไว้ได้ เขากับสหายคิดว่าซือหยูนั้นอันตรายแต่ก็แค่สูสีกับพวกเขาเป็นอย่างมาก พวกเขาคิดว่าพวกเขาแค่ต้องทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บเท่านั้น แต่กลับมีหนึ่งคนที่ตายลงไป! เขาที่เหลือเพียงคนเดียวไม่ได้คิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
เขาร้องคำราม พลังอสูรในร่างขยายร่างกับลูกโป่ง
ซือหยูกับเซี่ยจิงหยูสัมผัสได้ถึงอันตราย พวกเขาถอยทันที
ตู้ม—
พลังอสูรระเบิดอย่างรุนแรง ซือหยูเห็นชายอีกคนใช้แรงระเบิดเป็นแรงส่งในการหลบหนี
ด้วยวิชาของซือหยู เขามันใจว่าเขาจะตามทัน แต่เซี่ยจิงหยูอาจจะไม่ทันเช่นนั้น ยากที่จะสังหารชายคนนี้ถ้าเขาต้องทำเพียงลำพัง และยิ่งกว่านั้นคนที่อยู่เบื้องหลังราชามนุษย์ทั้งสองนั้นยังไม่แสดงตัวออกมา
“ออกไปจากที่นี่กันเถอะ…”
ซือหยูเดินผ่านศพชายมีเขา เขามองเห็นกระเป๋าเล็กๆที่แขวนอยู่กับเอว เขาย่อตัวลงและดึงมันออกมาจากเข็มขัดก่อนที่จะหนีไปกับเซี่ยจิงหยู
******
ชายที่มีรอยแผลเป็นน่ากลัวยืนอยู่ที่ทางออกก้นบึ้งมังกร เขามีบาดแผลเก่าบนศีรษะที่ทำให้เลือดเนื้อหลายส่วนหายไป รากษสสิบตนยืนอยู่ตรงหน้า
ในตอนนั้นชายร่างเตี้ยก็หนีเข้ามาด้วยใบหน้าซีดเผือด
“ท่านเจ้าเมืองตังกุย!”
เขาตกใจเมื่อมองเห็นรากษสทั้งสิบ ชายที่มีแผลเป็นน่ากลัวผู้นี้คือเจ้าเมืองก้นบึ้งคนที่สอง เจ้าเมืองตังกุย ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักในก้นบึ้งมังกร ความสามารถในการควบคุมภูติผีของเขานั้นยอดเยี่ยม ฐานพลังของเขาอยู่ในระดับกึ่งเทพทำให้เขานั้นไร้เทียมทาน นอกเหนือจากเจ้าเมืองคนแรกก็ไม่มีใครต่อกรกับเขาได้!
เจ้าเมืองตังกุยหลับตาช้าๆ เขาลืมตาอีกครั้งพร้อมกับแสงมรกตที่หายไป ดวงตากลับมาเป็นสีดั้งเดิม
“มันอยู่ไหน?”
“พวกมันหนีไปแล้ว”
เจ้าเมืองตังกุยถอนหายใจแรง
“ฮงมู่ไม่กลับมา ข้าคิดว่าเขาน่าจะตายไปแล้ว ดูจากความตายของเขาและความผิดพลาดของเจ้า ดูเหมือนว่าข้าจะเข้าใจผิดว่าขยะอย่างพวกเจ้าจะเอาชนะมันได้”
เหงื่อเม็ดโตไหลผ่านไปใบหน้า เขาคุกเข่าลงกับพื้นอ้อนวอนขอความเมตตา
“โปรดไว้ชีวิตข้าเถอะท่านเจ้าเมือง!”
“ยืนซะหลู่มู่!”
“ข้ารู้ว่ามีโอกาสที่เจ้าอาจจะจับพวกนั้นไม่ได้”
หลู่มู่ตกใจ
“ท่านเจ้าเมืองรู้งั้นรึ? แล้วทำไมถึง…?”
เมื่อผู้บุกรุกมาถึง เจ้าเมืองตังกุยนั้นไม่ได้สนใจมากนัก เขากลับอยู่ในเบื้องหลังและรวบรวมเหล่าภูติผีมาที่ทางออกของก้นบึ้งมังกร หลังจากที่ระบุตำแหน่งของผู้บุกรุกได้ เขาก็ส่งสองคนเข้าไปจับตัวทั้งสอง…ภารกิจนี้ต้องจบลงด้วยความล้มเหลวอยู่แล้ว
เจ้าเมืองถอนหายใจแรง
“แม้พวกเจ้าจะติดตามข้ามาหลายปี เจ้าก็ยังไม่เข้าใจตำแหน่งของข้าอีกรึ?”
หลู่มู่ไม่สบายใจ มันมีความขัดแย้งมานานระหว่างเจ้าเมืองทั้งสอง และพวกเขาก็ไม่เคยได้รับรู้เรื่องราวมาก่อน
แม้เล่ยมู่ที่เป็นเจ้าเมืองคนแรกจะเกลียดชังตังกุย การทำลายเขาก็ไม่เฉลียวฉลาดนัก มีภูติผีมากมายในก้นบึ้งมังกร และเมืองก้นบึ้งยังต้องรับมือกับการโจมตีของภูติผีมาตลอด พลังควบคุมภูติผีของตังกุยนั้นจำเป็นในการปกป้องเมือง แม้ว่าเจ้าเมืองคนแรกจะอยากให้เขาไป เขาก็ไม่กล้าลงมือ เขากลับแอบกดดันเจ้าเมืองตังกุยโดยหวังจะทำให้ยากที่ตังกุยจะหาพันธมิตร
หลู่มู่ครุ่นคิด
“ท่านเจ้าเมือง ท่านจะพูดว่าท่านต้องการใช้สถานการณ์นี้ให้พวกข้าไล่ล่าคนนอกแล้วท่านจะได้รวบรวมภูติผีระดับสูงมารับใช้ได้มากขึ้นงั้นรึ?”
เจ้าเมืองตังกุยหัวเราะอย่างชั่วร้าย
“เจ้าหลักแหลมกว่าที่ข้ามองนะ! เล่ยมู่คิดว่าข้าไม่รู้ว่าเขากำลังแอบบ่มเพาะกระบี่สายฟ้า…อาวุธที่สังหารได้แม้กระทั่งภูติสวรรค์ หากกระบี่นั้นก่อร่างขึ้น ข้าก็เกรงว่าคนอย่างพวกเขาจะถูกลบหายไปจากก้นบึ้ง เขาส่งข้ามาไล่ล่าคนนอกด้วยตัวเองเช่นนี้ ข้าคิดว่ากระบี่สายฟ้าคงใกล้จะสำเร็จแล้วและเขาก็คิดจะเข้าจู่โจมข้าในเวลาที่เหมาะสม!”
หลู่มู่มองรอบๆ
“แล้วท่านจะตอบโต้ยังไงกัน?”
เขาสงสัยว่าเจ้าเมืองตังกุยจะทำอย่างไรต่อไป
ตังกุยตอบด้วยเสียงหัวเราะ
“ตอบโต้เรอะ? เจ้าเรียกว่าการหนีออกจากเมืองก้นบึ้งคือทางตอบโต้หรือไม่เล่า? เล่ยมู่คิดว่าแผนของมันยังไม่มีใครได้รับรู้แต่ก็ไม่อาจซ่อนจากภูติสวรรค์ได้! ถ้าข้าคิดอ่านถูกต้อง ภูติสวรรค์ไม่ได้แค่รู้ว่าเล่ยมู่กำลังทำอะไร แต่นางจะโจมตีก่อนที่กระบี่จะสร้างสำเร็จ เมื่อมันเกิดขึ้นก็จะมีการล้างสังการในก้นบึ้งมังกร การหนีไปจากที่นี่คือทางรอดทางเดียว”
“การป้องกันในเมืองก้นบึ้งนั้นเพียงพอต่อการป้องกันอสุราขาว แต่กับภูติสวรรค์…หึหึ! นางแค่ไม่คิดจะจู่โจมเราเท่านั้น มิเช่นนั้นเวทย์ในเมืองก็คงจะถูกทำลายไปตั้งนานแล้ว! เจ้าเล่ยมู่หวังจะปกครองก้นบึ้งมังกรโดยการสร้างกระบี่สายฟ้า แต่ภูติสวรรค์จะไม่สนใจภัยร้ายนั้นเรอะ? ข้าถ้าพูดถูก ภูติสวรรค์ก็เตรียมจะลงมือแล้ว นางอยู่บางแห่งในก้นบึ้งมังกรนี่แหละ”
หลู่มู่ตกตะลึง
“ไม่แปลกใจที่เจ้าเมืองตังกุยถึงเต็มใจจะออกจากเมือง ท่านจะได้ใช้ภูติสวรรค์กำจัดเล่ยมู่แทน จากนั้นก็จะเหลือเจ้าเมืองเพียงคนเดียว!”
หลู่มู่ตื่นเต้นแต่ก็กังวลเช่นกัน
“แต่ถ้าหากภูติสวรรค์ไม่ลงมือล่ะ? เรากำลังอยู่ในช่วงบูชายัญโลหิตของมังกรอสูร ภูติสวรรค์ไม่ได้เป็นอิสระตลอดเวลา ถ้ามันไม่ลงมือก็สายเกินไปแล้วที่จะหยุดกระบี่สายฟ้าให้สร้างสำเร็จ”
เจ้าเมืองตังกุยขมวดคิ้ว
“ข้าก็ห่วงเรื่องนั้นเหมือนกัน! ข้าถึงคิดจะปล่อยคนนอกทั้งสองเพื่อให้เวลาข้าในโลกภายนอกมากขึ้น ข้าเลยใช้เวลาที่มีครั้งนี้หาภูติผีที่แข็งแกร่งมาข้างกาย!”
ถ้ากระบี่สายฟ้าถูกสร้างสำเร็จ เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับมันเท่านั้น เหล่าภูติผีที่เขารวบรวมมานั้นจะเป็นไพ่ตายของเขา
“แล้วเราจะทำอะไรกับคนนอกงั้นรึ?”
หลู่มู่ถามต่อ
“เราจะปล่อยให้พวกมันหนีไปรึ? หลังจากที่มันทำเช่นนั้นไปน่ะรึ?”
หลู่มู่เวทนากับความตายของฮงมู่ แต่นั่นตังกุยก็รู้อยู่แล้วว่าพวกเขาจะล้มเหลว ความตายของฮงมู่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคนนอกนั้นแข็งแกร่งมาก นั่นทำให้การหนีของพวกเขาดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น ทำให้เจ้าเมืองตังกุยมีเหตุที่จะออกมานอกก้นบึ้งเป็นเวลานาน
“เราต้องไล่ตามพวกมันไป!”
“ก้นบึ้งมังกรไม่ใช่ที่หลบภัย มันต้องรู้ตั้งแต่ก่อนที่เข้ามาที่นี่แล้ว ไล่ตามมันไปสูงขึ้นเรื่อยๆ เครื่องสังเกตการณ์มันมองเห็นพวกเราได้ในระยะหลายหมื่นลี้ ถ้าพวกเราไม่ไล่ตามมันไป เล่ยมู่ก็จะสงสัยเป็นแน่”
หลู่มู่ลังเลก่อนจะพูด
“แต่ข้ามันไร้พลังและพ่ายแพ้พวกมัน เครื่องสังเกตการณ์อีกอันอยู่กับฮงมู่ เป็นไปได้ว่าพวกมันอาจจะเอาไปแล้ว”
เจ้าเมืองตังกุยหัวเราะ
“ข้าคิดเรื่องนี้ไว้แล้ว การส่งพวกเจ้าไปก็คาดไว้แล้วว่าพวกเจ้าจะทำไม่สำเร็จ! ก่อนเจ้าจะไป ข้าใส่พลังภูติผีไปกับพวกเจ้า มันไร้สีไร้กลิ่น มิอาจถูกชำระด้วยวารีและอัคคี มันจะติดอยู่กับเจ้าไปครึ่งเดือน และพลังนั้นก็จะติดตัวพวกนั้นไปเมื่อมันเก็บเครื่องสังเกตการณ์ไว้กับตัว เจ้าแค่ใช้เข็มทิศนี่ตามรอยพวกมันไป ครึ่งเดือนก็เกินพอแล้ว”
หลู่มู่รับเข็มทิศอย่างดีใจ
“ข้ารู้แล้วว่าต้องทำยังไง”
“เอารากษสสิบตนนี้ไปกับเจ้า ข้าต้องสอนวิธีใช้มันกับเจ้าหรือไม่?”
หลู่มู่ตาเป็นประกาย เขาพูดด้วยความตื่นเต้น
“ไม่ต้อง ข้ารู้อยู่แล้ว! ข้าต้องรู้อยู่แล้ว! ข้าจะลืมสิ่งที่ท่านเจ้าเมืองชี้แนะได้อย่างไร?”
“ข้าแค่สอนพื้นฐานการควบคุมมันให้กับเจ้า แต่มันก็เพียงพอแล้ว!”
“ไปได้แล้ว!”
หลู่มู่พารากษสทั้งสิบออกไป แต่หลังจากที่ผละออกจากตังกุยได้ หลู่มู่ก็เยือกเย็นลง
“ฮงมู่รับใช้เจ้าอย่างซื่อสัตย์มาหลายปี…”
เขาพูดกับตัวเอง
“แต่ท้ายสุดเขาก็เป็นแค่เครื่องมือที่ส่งไปตาย เจ้าคิดว่าข้าจะโง่เขลารับใช้เจ้าจนตายเหมือนกันเรอะ?”
ตอนที่ 415
“แต่ก็เอาเถอะ…”
“ก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้นในเมืองก้นบึ้ง ข้าจะติดตามเจ้าต่อไป ถ้าเรื่องเป็นไปตามแผนเจ้าแล้วเจ้าได้เป็นเจ้าเมืองก้นบึ้ง ข้าที่เป็นมือขวาเจ้าอาจจะได้อยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่านี้ หึหึ”
******
ซือหยูกับเซี่ยจิงหยูนั่งพักเอาแรงที่รอยแยกแห่งหนึ่ง ซือหยูได้ใช้พลังทั้งหมดในการสังหารชายมีเขา…แม้แต่วิชาร่างเทียมของเขา! แม้เขาจะซ่อนธนูได้ทันเวลา เซี่ยจิงหยูก็รู้เรื่องร่างเทียมแล้ว
“ราชาปีศาจหิมะทมิฬ…”
“ร่างเทียมนั่นคล้ายกับวิชาของอาณาจักรทมิฬยิ่งนัก! ข้ารู้จักแค่สองคนที่ใช้วิชานี้ นั่นคือผู้ตรวจการไป่ฮีที่ตายไปแล้วกับหยินหยูที่ยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด”
เซี่ยจิงหยูแอบดูการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าอีกฝ่าย
“ข้าไม่รู้จักผู้ตรวจการไป่ฮี”
ซือหยูยังคงระวังตัว
“แต่…ข้าเคยได้ยินชื่อรองเจ้าตำหนักหยินหยู เขาก็รู้วิชาใช้ร่างเทียมเหมือนกันรึ? ข้าไม่รู้มาก่อนเลย”
เซี่ยจิงหยูขมวดคิ้วเบาๆและคิดอยู่ชั่วครู่ วิชาร่างเทียมของราชาปีศาจหิมะทมิฬนั้นแตกต่างกับวิชาของผู้ตรวจการไป่ฮีอย่างมาก และร่างนั้นก็สร้างได้แค่พลังวิญญาณธรรมดาๆออกมา เป็นไปไม่ได้ที่ร่างเทียมจะดูดซับพลังเพลิงได้ด้วยตัวเอง อย่างน้อยเซี่ยจิงหยูก็ไม่รู้ว่ามีวิชาแบบนั้นอยู่บนโลก
นางจะรู้ถึงเรื่องเศษตำราระดับตำนานได้อย่างไร?
เมื่อเห็นว่าเซี่ยจิงหยูสนใจสิ่งอื่น ซือหยูก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาหยิบกระเบาใบเล็กที่ชิงมาจากร่างไร้วิญญาณของราชามนุษย์และดูของข้างใน ของทุกอย่างนั้นมีขนาดเล็ก มีทั้งเงินและเหล็ก และยังมีวัตถุดิบสีดำที่เขาไม่รู้จัก มีเศษหินแตก เสื้อผ้า และผ้าไหม
“หืม นี่มันอะไรกัน?”
ซือหยูสังเกตเห็นกล่องหยก
หลังจากที่คิดอยู่ไม่นาน ซือหยูก็วางกล่องหยกลงกับพื้นที่ห่างไกลจากพวกเขาและย้ายไปยังจุดที่ปลอดภัย ปลายดัชนีสร้างเข็มน้ำแข็งยิงใส่กล่องหยก
เอี๊ยด–
กล่องหยกเปิดอย่างเงียบๆ หมอกสีเหลืองพวยพุ่งออกมา แม้จะอยู่ไกลแต่ไอพิษก็ยังแพร่กระจายได้ ไม่ว่ามันจะกระจายไปที่ใด ที่นั้นก็จะถูกกัดกร่อน
เซี่ยจิงหยูตกใจ นางมองซือหยูและอ้าปากค้าง
“โชคดีที่เจ้าระวังตัว มิเช่นนั้นเราคงรอดจากราชามนุษย์สองคนมาเพื่อโดนเจ้ากล่องนั่นฆ่าตาย ชะตาเช่นนั้นคงน่าขันนัก”
ซือหยูไม่สนใจคำพูดของนาง
“ห่างไกลจากบ้านมาอยู่ในดินแดนที่ไม่รู้จัก อย่างไรก็ต้องระวังตัวอยู่เสมอ”
ซือหยูเก็บกล่องหยกกลับมาและพบว่าข้างในมีกระจกขนาดเท่าลูกตาอยู่ภายใน ผิวกระจกนั้นเรียบลื่นและปล่อยพลังวิญญาณออกมา มันคือสมบัติเทพระดับต่ำ
“ตาเจ้าแล้ว…”
ซือหยูส่งกระจกให้กับเซี่ยจิงหยู
“รู้จักมันหรือไม่?”
สตรีผู้นี้รอบรู้อย่างมาก ซือหยูถอนหายใจที่มีความรู้กว้างขวางไม่เท่านาง
เซี่ยจิงหยูไม่ได้รับกระจกไปดู นางกลับพูดออกมาด้วยความมั่นใจ
“ข้าไม่ต้องเอามาดูหรอก นั่นเป็นสมบัติเทพระดับสูง เมฆาผ่านเขตหมื่นลี้ ใส่พลังวิญญาณให้มันแล้วเจ้าจะเห็นพื้นที่ได้เป็นล้านลี้ เจ้าจะเป็นสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่ฐานพลังต่ำกว่าเจ้า และยังเห็นว่าเขาทำอะไรอยู่! แต่มันจะใช้ไม่ได้ถ้ามีคนบ่มเพาะวิชาพิเศษที่จะรอดพ้นจากการตรวจจับ แต่ในกรณีอื่นก็ไม่มีสิ่งใดรอดพ้นจากมัน”
สมบัติเทพระดับสูงงั้นรึ? ซือหยูมือสั่น
เซี่ยจิงหยูหัวเราะ
“ข้าลืมบอกว่ามันเป็นของปลอม มันอยู่ในระดับต่ำ เจ้าจะมองเห็นระยะรอบๆแค่ไม่กี่หมื่นลี้ คนที่ฐานพลังสูงกว่าพวกเราก็จะมองไม่เห็น”
“แค่ไม่นานก็พอ…”
“ถ้าเราเลี่ยงผู้คุมสวรรค์ไม่ได้ การรับรู้พื้นที่ในระยะหมื่นลี้และหารังสีพลังของผลก้นบึ้งมังกรก็ยังพอเป็นไปได้”
ทั้งสองเป็นอำมฤตระดับสี่ขั้นสูง พวกเขาจะรับรู้ได้ถึงสิ่งที่มีพลังต่ำกว่า หรือบอกได้ว่ามันไม่มีประโยชน์เท่าใดนักในที่นี่
ซือหยูหยิบกระจกนั้นออกมาและมองดูกล่องหยก เขาพบว่ามีบางอย่างอยู่ในใต้กล่อง
“หืม…”
“ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างอยู่ในนี้”
เขาถอดส่วนของกล่องหยกและนำแก้วห้าสีออกมา สีชาด อำพัน ขาว ดำ และมรกต ปรากฏอย่างชัดเจนบนผิวของมัน
“ตาเจ้าอีกครั้ง…”
ซือหยูหันไปทางเซี่ยจิงหยู แต่เขาตกใจท่าทางที่นางมองเขา
“มีอะไรรึ?”
แม้ใบหน้านางจะมีม่านวารีบดบัง ซือหยูก็เห็นแววตาของนาง ใบหน้านางนั้นแสดงความสงสัยใคร่รู้ รอยยิ้มแหยๆปรากฏบนใบหน้า
“เจ้ารู้ไหม คนตาบอดอย่างเจ้าดูจะไม่มีปัญหาอะไรเลยตอนที่ต่อสู้หรือหาของที่ซ่อนเอาไว้ที่แม้แต่คนอย่างข้าที่มีสายตายังมองไม่เห็น ข้าอยากจะมีสายตาของคนตาบอดอย่างเจ้าจริงๆ”
ซือหยูอธิบายเมื่อได้ยินคำเยาะเย้ยตัวเองของนาง เขานั้นไม่ได้ตาบอดอย่างแท้จริง เขาปิดบังความจริงจากคนอื่นได้เพียงไม่นาน แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ยิ่งยากที่เขาจะปิดบังความจริง
แต่ในท้ายสุดซือหยูก็เปลี่ยนใจ เขากระแอม
“อืม ทุกสิ่งนั้นมีเสียง ข้ามีหูที่เฉียบคมตั้งแต่ข้าเกิดมา ข้าได้ยินเสียงของทุกสิ่ง มันเหมือนกับการมองเห็นเสียง เจ้าจะเรียกว่า…เนตรหู ใช่แล้ว เนตรหู”
เซี่ยจิงหยูหัวเราะ
“เนตรหูงั้นรึ? พูดอะไรของเจ้า ฮ่าๆๆๆ! ข้าเคยได้ยินคนอธิบายเรื่องประสาทสัมผัสที่ขาดหายมามาก แต่ ‘เนตรหู’ เพิ่งจะได้ยินเป็นครั้งแรก…ฮ่าๆๆ เช่นนั้นราชาปีศาจหิมะทมิฬก็มีเนตรหูสินะ ข้าช่างโง่เขลานัก”
ซือหยูหน้าแดง
“ถ้ามีเวลาพูดถึงหูข้าก็มาคุยกันเรื่องไอ้นี่ก่อนเถอะ..”
เขาพยายามจะเปลี่ยนเรื่อง
“ถ้ามันถูกซ่อนไว้ลึกยิ่งกว่าสมบัติเทพ มันจะต้องไม่ใช่ของธรรมดาแน่”
เซี่ยจิงหยูรับแก้วห้าสีไปดู นางขมวดคิ้วเมื่อได้มองเห็นมันอย่างละเอียด
“รอข้าสักเดี๋ยว! ขอข้าคิดก่อน สมองข้าเก็บความรู้ไว้มากเกินไป ของสิ่งนี้หายากมาก ข้าต้องใช้เวลาสักหน่อย”
ซือหยูจ้องมองด้วยความสับสน นางจดจำไว้มากเพียงใดกันถึงขนาดที่ต้องหยุดคิดเพื่อบ่งบอกของหนึ่งสิ่ง?
ไม่กี่อึดใจ เซี่ยจิงหยูได้สติและท่าทางเปลี่ยนไป
“เป็นไปได้งั้นรึ? ของสิ่งนี้มาอยู่ในมือของราชามนุษย์ได้ยังไงกัน?”
ซือหยูอ้าปากค้าง จะมีของเพียงกี่อย่างกันที่ไม่คู่ควรที่จะอยู่ในมือของราชามนุษย์?
เซี่ยจิงหยูยืนหน้าซือหยู น้ำเสียงของนางจริงจังเป็นอย่างมาก
“ราชาปีศาจหิมะทมิฬ โปรดให้มันกับข้าเถอะ ข้าจะให้สมบัติเทพทุกอย่างที่ข้ามีเพื่อแลกกับมัน เจ้าจะตกลงหรือไม่?”
นางยังมีสมบัติเทพระดับกลางอีกแปดชิ้นในตัว และนางก็เต็มใจจะใช้ทุกอย่างแลกกับของสิ่งนี้!
ซือหยูเดาะลิ้น
“อย่างน้อยเจ้าก็ต้องบอกข้ามาก่อนว่าสิ่งนี้คืออะไรไม่ใช่รึ?”
“มันคือแก้วเทพกำเนิดห้าธาตุ!”
นางพูดอย่างร้อนใจ เซี่ยจิงหยูที่มักจะใจเย็นได้ตัวสั่นเพราะของสิ่งนี้
“โลหะ พฤกษา วารี อัคคี ธรณี เมื่อทุกธาตุหนาแน่นจนถึงขีดสุด มันจะกลายเป็นต้นกำเนิด แค่พลังของมันเพียงเล็กน้อยก็ทำให้ยอดฝีมือเปลี่ยนจากคนธรรมดาไปเป็นสุดยอดแห่งยอดฝีมือในพลังนั้น เขาจะมีพลังในธาตุที่ดูดซับเข้าไปอย่างมหาศาล ถ้าใช้อาวุธที่มีพลังธาตุนั้น พลังก็จะเพิ่มขึ้นไปอีกหลายเท่า!”
เซี่ยจิงหยูมองแก้วห้าสี
“แก้วที่พวกเราเห็นมีต้นกำเนิดทั้งห้าธาตุ! ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย! ของสิ่งนี้ประเมินค่าไม่ได้ ไม่มีอะไรเทียบกับมันได้เลย!”
ซือหยูพูดอย่างเคร่งเครียด
“มันมีค่าเท่าใดถ้าเทียบกับตำราระดับตำนาน?”
เซี่ยจิงหยูส่ายหน้า
“ตำราระดับตำนานเล่มเดียวอาจจะแค่แลกกับพลังเล็กน้อยของต้นกำเนิดเท่านั้น ถ้าข้าประเมินไม่ผิด มันมีค่าเท่ากับสมุนไพรเทพที่เจ้ากินเข้าไป”
ซือหยูอ้าปากค้าง ตำราระดับตำนานมีค่าแค่รังสีพลังเล็กๆจากต้นกำเนิดเท่านั้นเองรึ? แล้วแก้วต้นกำเนิดตรงหน้าเขาที่ขนาดเท่าลูกตาจะมีมูลค่าเพียงใดกัน?
ราวกับว่านางรู้ว่าซือหยูคิดอะไรอยู่
“ถ้าจะเอามันไปแลกกับวิชาบ่มเพาะ มันก็ควรจะเอาไปแลกกับวิชาระดับภูติที่ร่ำลือ และก็จะต้องเป็นตำราระดับภูติที่อยู่ในระดับสูงด้วย”
ซือหยูก้าวถอยหลัง
“เจ้าพูดว่ามีตำราระดับภูติอยู่บนโลกนี้จริงๆงั้นรึ?”
“มันก็แค่ข่าวลือเท่านั้น…”
“ตั้งแต่ครั้งโบราณ ครั้งหนึ่งที่มีวิชาระดับภูติ แต่หลังจากที่โลกถูกทำลายก็ไม่มีวิชาระดับภูติหลงเหลืออยู่อีก ในวันนี้ วิชาที่แข็งแกร่งที่สุดควรจะเป็นวิชาระดับตำนาน ในทั้งทวีปแห่งนี้มีแค่สามคนที่บ่มเพาะวิชาระดับตำนาน หนึ่งในนั้นคือราชาแห่งความมืด ส่วนอีกคนคือเก้าศักดิ์สิทธิ์ที่จู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นมา ส่วนคนสุดท้ายคือ…หยินหยู”
นางพูดลงท้ายด้วยน้ำเสียงอันภาคภูมิใจ
ซือหยูกระพริบตาด้วยความตกใจ ในทั้งโลกใบนี้ มีแค่พวกเขาสามคนที่บ่มเพาะวิชาระดับตำนาน! เขาไม่รู้มาก่อนเลย!
“แต่ในแก้วต้นกำเนิดห้าธาตุนี่มีแค่วารีกับอัคคี พลังนั้นเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่มันก็มากพอที่จะแลกกับวิชาระดับตำนานระดับธรรมดา…ถ้าหากยังมีวิชาระดับตำนานวิชาอื่นอยู่บนโลกนะ”
ซือหยูคืนสติกลับมา
“เจ้าใจกว้างนักที่เสนอสมบัติเทพระดับกลางไม่กี่ชิ้นมาแลก…”
เขาถากถาง
เซี่ยจิงหยูหน้าแดง
“ข้าก็แค่ลืมตัวไปเท่านั้น!”
นางพูดอย่างไม่พอใจ นางคืนแก้วห้าสีให้กับซือหยู
“อย่างไรเจ้าก็ได้มันมา มันเป็นของเจ้า ข้าไม่มีอะไรจะแลกหรอก”
แม้นางจะคืนความเยือกเย็นกลับมาก็ไม่ยากนักที่จะสังเกตเห็นความผิดหวังในน้ำเสียงของนาง
ซือหยูลูบคาง
“เช่นนั้นข้าก็ดูดซับมันได้สินะ? มันจะเพิ่มพลังให้ข้าได้มากเลยใช่ไหม?”
เซี่ยจิงหยูพยักหน้าเบาๆ ในใจนั้นขัดแย้งกันเอง
จู่ๆซือหยูก็นั่งลงตรงข้ามกับนางและวางแก้วต้นกำเนิดไว้ระหว่างกัน
“ถ้าเช่นนั้น…”
“มันก็เป็นของพวกเรา แม้ข้าจะได้มันมาจากการสังหารราชามนุษย์ เจ้าก็ต่อสู้เคียงข้างข้า ข้าไม่ควรเก็บมันไว้คนเดียว เจ้าควรจะดูดซับต้นกำเนิดวารีไปเท่าที่เป็นไปได้”
เซี่ยจิงหยูตกตะลึง! ระหว่างการต่อสู้ อย่างมากที่นางทำไปก็แค่ถ่วงเวลา ชายมีเขานั้นถูกซือหยูสังหาร นางไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย
โอกาสที่ซือหยูจะสู้ทั้งสองคนด้วยตัวคนเดียวและสังหารได้หนึ่งคนนั้นมีน้อย และเซี่ยจิงหยูก็ยังถ่วงเวลาอีกฝ่ายให้เขา นั่นทำให้ซือหยูมีโอกาสจะชนะ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ซือหยูจะแบ่งมันกับนาง
“เหลือต้นกำเนิดวารีเพียงน้อยนิดเท่านั้น…”
เซี่ยจิงหยูพูดและเขินอายกับความใจกว้างของอีกฝ่าย
“ข้าจะรับข้อเสนอของเจ้า เจ้าอย่าเสียใจก็แล้วกัน”
ซือหยูไม่สนใจนาง เขาอัญเชิญร่างเทียมออกมาทันที
ร่างเทียมเริ่มดูดซับต้นกำเนิดอัคคี หลังจากที่ดูดซับเข้าไปเพียงเล็กน้อย ร่างก็เปล่งแสงสีแดงเพลิงออกมาพร้อมกับความร้อนอันน่ากลัว ซือหยูเดินเซและกลิ้งออกไป เสื้อผ้าของเขาถูกเผาไหม้ไปเล็กน้อย
ร่างเทียมของเขาปล่อยเพลิงที่สูงพันศอกออกมา ซือหยูอ้าปากค้าง แม้ร่างเทียมจะดูดซับพลังไปเพียงน้อยนิดมันก็ทำให้ซือหยูรู้สึกถึงความอันตรายอย่างมาก! ถ้าร่างเทียมของเขามีพลังนี้ มันจะสังหารราชามนุษย์มีเขาได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องใช้วิชาบ่มเพาะเลย!
เซี่ยจิงหยูตาเป็นประกาย นางปล่อยวารีคลุมกายและเริ่มดูดซับต้นกำเนิดวารี
เพียงดูดซับไปเพียงเสี้ยวพลัง คลื่นวารีโหมกระหน่ำก็มารวมตัวเหนือศีรษะเซี่ยจิงหยู! แม้มันจะไม่น่าตกใจเท่ากับเพลิง ราชามนุษย์ธรรมดาคงถูกวารีนี้สังหารได้!
อัคคีและวารี…สองธาตุจากฟ้าดิน ซือหยูยืนมองภาพอันน่าอัศจรรย์ใจ
ทั้งสองดูดซับพลังไปเพียงเล็กน้อยและก็หยุดหลังจากนั้น สำหรับทั้งสอง ต้นกำเนิดนั้นแข็งแกร่งจนเกินไป เพียงเล็กน้อยก็ถึงขีดจำกัดแล้ว
ซือหยูนั่งมองและใช้วิชาน้ำแข็งนิรันดร์เพื่อปลดปล่อยพลังน้ำแข็งและเพลิงในสายโลหิตอีกห้าส่วน
ตอนที่ 416
ที่เมืองก้นบึ้ง
เล่ยมู่ เจ้าเมืองผู้มีแผลเป็นน่ากลัวอยู่ในส่วนลึกที่เป็นที่ลับอันเต็มไปด้วยลาวาร้อนระอุ ลาวาเดือดพร้อมกับเพลิงสว่างจ้าได้สร้างภาพอันตระการตา ในลาวาร้อนๆนั้นมีกระบี่ขาวกระจ่างอยู่ด้วย!
อัสนีสั่นสะเทือนในกระบี่ อัสนีคำรามลั่นไม่หยุดหย่อน พลังทำลายล้างจากระบี่นั้นเอ้อล้นออกมา!
เล่ยมู่ยินดีอย่างมาก
“ข้าได้แก่นกระบี่มาแล้ว เหลือแค่ชำระมันด้วยโลหิตก็สำเร็จ!”
ก๊อง ก๊อง ก๊อง—
ในตอนนั้น เสียงโลหะกระทบกันดังอย่างบ้าคลั่งจากโลกเบื้องบน
เล่ยมู่ชักสีหน้า เขาทิ้งสถานที่นี้ไปยังตำหนักเจ้าเมือง
“เกิดอะไรขึ้น?”
เมืองระส่ำระสาย ราชามนุษย์หลายคนบินเข้ามาด้วยความกลัว
“ท่านเจ้าเมือง!”
หนึ่งในนั้นร้องไห้
“รีบออกมาเร็ว! ม่านพลังที่ปกป้องเมืองมัน…!”
เล่ยมู่ออกสู่โลกภายนอก เขาเงยหน้ามองดูสิ่งรอบข้าง เขาเห็นแค่เพียงม่านหลากสีที่กำลังจะพังทลายในทุกเมื่อ!
“นี่มัน…”
เล่ยมู่ตกใจ
“แย่แล้วท่านเจ้าเมือง!”
บางคนตะโกนและพุ่งเข้ามา เล่ยมู่จำได้ว่าคนคนนี้คือคนที่เฝ้าดูม่านพลังที่ปกป้องเมือง เขาถือแก้วห้าสีที่กลายเป็นเถ้าถ่านในมือ เขาหน้าซีด
“แก้วเทพกำเนิดห้าธาตุ มันถูกสลับไป!”
เล่ยมู่ตกตะลึง
“มันถูกสลับไปเมื่อไหร่?”
“ทำไมเพิ่งมารู้ตอนนี้?”
อีกฝ่ายสับสนและหวาดกลัวอย่างมาก
“ท่านเจ้าเมือง! ม่านพลังจะคงตัวอยู่ได้ถ้าไม่มีแก้วไปครึ่งเดือน มันจะต้องถูกสลับไปเมื่อครึ่งเดือนก่อน!”
ครึ่งเดือนก่อน…
“ใครเป็นคนเฝ้าม่านพลังเมื่อครึ่งเดือนก่อนรึ?”
“มันคือ…มือขวาของเจ้าเมืองลำดับสอง…ฮงมู่!”
“มันเองเรอะ?”
เล่ยมู่เยือกเย็น
“คนของตังกุย! ตังกุย! เจ้าทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ข้าได้สร้างกระบี่และเป็นเจ้าเมืองแต่เพียงผู้เดียว เจ้าจะทำให้คนทั้งเมืองต้องตาย! นี่กำลังอยู่ในการบูชายัญโลหิตของตระกูลกุย ภูติผีกำลังจับมนุษย์ คนในเมืองจะไร้การคุ้มครอง! แก้วเทพห้าธาตุคือพลังที่ปกป้องเมืองก้นบึ้งมาตลอดห้าร้อยปี!”
ชายแก่ที่ปรึกษาที่มีเคราแพะหรี่ตา
“ท่านเจ้าเมืองอย่างเพิ่งใจร้อนไป เหตุครั้งนี้แปลกยิ่งนัก ถึงตังกุยจะหมายตาตำแหน่งเจ้าเมืองแต่ถ้าทุกสิ่งที่นี่ตกตายไปแล้วจะมีความหมายอันใดเล่า? เขาอาจจะกระทำการอย่างลับๆแต่เขาไม่โง่ พวกเราแค่ต้องติดต่อเขาโดยเร็วเพื่อหาตัวฮงมู่ว่าทำตามคำสั่งเขา…หรือเป็นฮงมู่ที่เป็นผู้บงการตัวจริง”
“พวกเราควรจะหาแก้วเทพกำเนิดห้าธาตุต่างหาก!”
เล่ยมู่ตวาดลั่น
“บัดซบ! ขโมยแก้วพลังไปในตอนที่ข้ากำลังสร้างกระบี่สายฟ้า…มันสมควรตายเป็นพันครั้ง!”
เล่ยมู่รีบใช้จี้เพื่อติดต่อกับตังกุย
ตังกุยที่กำลังรวบรวมภูติผีทำใบหน้าประหลาด
“อะไรนะ? แก้วห้าสี? ฮงมู่ขโมยไปงั้นเรอะ? เป็นไปไม่ได้!”
สัญชาตญาณแรกบอกเขาว่าเล่ยมู่กำลังหลอกเขา แต่เมื่อยืนยันแล้วว่าไม่เป็นเช่นนั้นเขาก็ท่าทางเปลี่ยนไป
“เจ้าเมืองเล่ยมู่ โปรดรีบไปตรวจสอบพื้นเพของฮงมู่โดยเร็ว”
ตังกุยพูด
“ส่วนข้าจะไปค้นห้าแก้วต้นกำเนิดห้าธาตุเดี๋ยวนี้!”
ตังกุยวางสร้อยหยกลง เขาคว้าสร้อยอีกครั้งเพื่อติดต่อหลู่มู่
“เจ้าอยู่ไหน?”
“ข้าอยู่ใกล้กับพวกมนุษย์นั่น…”
“มีอะไรรึท่านตังกุย?”
ตังกุยพูดอย่างหนักแน่น
“เล่ยมู่รู้ตัวแล้ว เขาเรียกข้ากลับไป มีเวลาไม่พอ พวกเราต้องจับตัวคนนอกสองคนนั่นให้ได้ รอข้าก่อน ข้าจะไปจับตัวพวกนั้นด้วย เราจะจบมันโดยเร็ว”
******
หลู่มู่เบิกตากว้างเมื่อการพูดคุยจบลง
“แย่แล้ว…ตังกุยกำลังมาหาข้า!”
หลู่มู่หยิบเข็มทิศที่ได้จากตังกุยและกัดฟันทำลายมันทันที
“ฮื่ม!”
เขาพูดด้วยความโกรธ
“ตุงกัย เมื่อไหร่กันที่ข้าทำเจ้าผิดหวัง ถึงได้ทำกับข้าเช่นนี้! ดูเหมือนข้าจะต้องไปอยู่ฝั่งเดียวกับผีซะแล้ว ฮงมู่เคยจับหนอนภูติผีมาได้และพยายามจะชักจูงพวกข้า หึ หากเรื่องมาถึงขั้นนี้ข้าก็ต้องไปอยู่ฝั่งเดียวกับพวกมัน!”
******
หนึ่งชั่วยามต่อมา ตังกุยกับรากษสทั้งสิบมาถึงจุดที่หลู่มู่บอกแต่ก็ไม่มีใครที่นี่ มีแต่เพียงความว่างเปล่า
ตังกุยใบหน้าดุร้าย จิตสังหารปกคลุมดวงตา
“กล้าหลอกข้าเรอะ?”
ฟึ่บ–
ครึ่งชั่วยามต่อมา ตังกุยกับเหล่ารากษสไปถึงเข็มทิศที่เขาให้กับหลู่มู่ ตังกุยกัดฟันแน่น เขามองเข็มทิศที่ถูกทำลายบนพื้น
“เจ้ายังกล้าทรยศข้าอีก!”
“แก้วต้นกำเนิดจากฮงมู่อยู่ที่เจ้าจริงๆสินะ! ฮื่ม! แต่ข้าก็คิดไว้แล้ว!”
พรึ่บ–
เขาสะบัดข้อมือเอาเข็มทิศอันใหม่ออกมา เข็มของมันชี้ไปในทิศทางเดียวกัน รอยยิ้มอันดุร้ายแสยะเผยออก
“ยอดเยี่ยม! พวกนั้นอยู่ทิศเดียวกัน ข้าไม่ต้องแยกกันหาพวกมัน!”
******
หลายชั่วยามผ่านไป เซี่ยจิงหยูกับซือหยูบ่มเพาะพลังสำเร็จ
เซี่ยจิงหยูร่างแทบโปร่งใส ข้อมือที่เผยออกมานั้นดูละเอียดราวกับผิวน้ำ มันปลดปล่อยพลังเหนือมนุษย์ออกมา ไอวารีมหาศาลปกคลุมกาย นางในตอนนี้เอาชนะราชามนุษย์จำนวนมากได้แล้ว
ส่วนร่างเทียมของซือหยูนั้นมีผนึกมากมายติดตรึงอยู่กับตัว ผนึกนั้นมีพลังอันน่ากลัว แม้ซือหยูก็ต้องตกใจในพลังนั้น เขาไม่รู้เลยว่าร่างเทียมของเขาแข็งแกร่งเท่าใดแล้ว
แต่ที่ซือหยูกังวลก็คือผนึกบนร่างเทียม นั่นหมายความว่าร่างเทียมของเขากำลังจะสร้างเลือดเนื้อ เขามองดูใกล้ๆและตระหนักได้ว่าร่างเทียมของเขามีจุดกำเนิดพลังเป็นของตัวเอง!
แม้ว่ามันจะสร้างมาจากเพลิง แต่มันก็มีพลังเพลิงมหาศาลจนทำให้ฐานพลังเพิ่มขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง! นี่เป็นครั้งแรกที่ซือหยูไม่สบายใจ เศษตำราระดับตำนานที่ร่างเทียมบ่มเพาะนั้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่อธิบายไม่ได้งั้นรึ?
ดูเหมือนว่าเขาจะต้องไปสืบเสาะเรื่องนี้จากตระกูลโบราณที่มอบวิชานี้มา
เซี่ยจิงหยูลืมตาขึ้น นางมิอาจปิดบังความตกใจในการเปลี่ยนแปลงของร่างกายได้
“นี่มันมหัศจรรย์จริงๆ! มีต้นกำเนิดวารีในตัวข้า พลังของวิชาวารีข้าก็เพิ่มอีกหลายเท่า!”
เพิ่มขึ้นหลายเท่ารึ? ซือหยูกัดลิ้นตัวเอง
“กลับไปที่ทางออกกันเถอะ”
เซี่ยจิงหยูพูด
“ถ้าหากไม่มีอสุราขาว เราอาจจะพังผนึกรากษสด้วยพลังของเราและหนีออกจากก้นบึ้งไปได้”
พลังของเซี่ยจิงหยูเพิ่มขึ้นมหาศาลและดูเหมือนนางจะมั่นใจขึ้นเช่นกัน ซือหยูคิดอยู่ชั่วครู่ แม้ว่าความคิดนั้นจะเสี่ยงมันก็คุ้มค่าที่จะลอง เพราะอย่างไรก้นบึ้งมังกรเก้านรกแห่งนี้ก็เพิ่มความประหลาดขึ้นอย่างน่าตกใจ
ซือหยูพยักหน้าและเก็บแก้วกำเนิดห้าธาตุเอาไว้กับตัว มันเหลือพลังวารีและอัคคีเพียงน้อยนิด ซือหยูไม่ลังเลที่จะเก็บมันไว้กับตัว
ทั้งสองพุ่งทะยานขึ้นเพื่อเตรียมจะออกจากก้นบึ้งแต่ทั้งสองก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างในเวลาเดียวกัน
“มีคนกำลังมา!”
ซือหยูประทับใจมาก จ้าวยี่หยูนั้นเฉียบคมขึ้นเมื่อได้รับต้นกำเนิดวารี!
ซือหยูหันไปมองหลู่มู่และรากษสทั้งสิบ! เขาขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ถอย หลายวันก่อนเขาอาจจะระวังมากกว่านี้ แต่ในตอนนี้…
“เดี๋ยวก่อน!”
หลู่มู่ตะโกน
“ข้าไม่ได้มาเพื่อสู้กับเจ้า! โปรดให้เวลาข้าสักเดี๋ยว!”
ซือหยูงุนงง
“เอ๋? พูดมา!”
หลู่มู่หยุดห่างจากพวกเขาร้อยศอก เขาทำความเคารพจากระยะไกล
“ข้าไม่ได้มาจับตัวพวกเจ้า…”
“แต่ข้าขอเตือนเจ้าว่าเจ้าเมืองตังกุยกำลังตามหาพวกเจ้า! เจ้าต้องรีบหนีไป!”
ตังกุยรึ? ใครกัน?
เซี่ยจิงหยูสีหน้าเคร่งเครียด
“เขามาเพื่อจับตัวพวกข้า…ด้วยตังเองงั้นรึ? เราจะเชื่อได้ยังไงว่าตังกุยออกจากเมืองเพื่อจับตัวพวกข้า? แล้วทำไมเจ้าถึงมาบอกพวกข้าเรื่องนี้?”
หลู่มู่หัวเราะอย่างขมขื่น
“ข้าจะบอกความจริง…ว่าข้าก็โดนตังกุยไล่ตามมาเหมือนกัน ข้าจึงต้องบอกพวกเจ้า เราจะแยกกันไปคนละทาง วิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้มีโอกาสหนีออกไป ส่วนเรื่องจับตัวพวกเจ้าเป็นการตัดสินใจของเจ้าเมืองทั้งสองคน พวกเขาอยากจะพาพวกเจ้าไปเป็นเครื่องเซ่นตระกูลกุย! เราต้องการเครื่องเซ่นมนุษย์หลายคนให้กับตระกูลกุยเพื่อการบูชายัญเพื่อให้แน่ใจว่าภูติผีในระยะหลายพันลี้จะไม่มาที่เมืองก้นบึ้ง เจ้าสองคนมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมและอ่อนเยาว์ทำให้เป็นเครื่องบูชายัญที่เหมาะสมที่สุด นั่นแหละเหตุที่พวกข้าถูกส่งมาจับตัวเจ้า”
เช่นนั้นรึ?
เซี่ยจิงหยูพูดเบาๆ
“หิมะทมิฬ เจ้าคิดอ่านประการใด?”
ซือหยูหัวเราะ
“เขาพูดจริงอยู่บ้าง ตอนนี้เชื่อเขาจะดีกว่า เราหนีก่อนจะเกิดการต่อสู้กันเถอะ!”
เซี่ยจิงหยูหนีไปพร้อมกับซือหยู
หลู่มู่ไม่จากไปทันที รอยยิ้มของเขาหายไปแทนที่ด้วยความเยือกเย็น
“ฮื่ม! โดนหลอกง่ายนัก! สมกับเป็นคนนอก!”
ฟึ่บ–
หลู่มู่หยิบขวดสีมรกตออกมา
“ข้าเอาพลังอสูรมาด้วย ข้าต้องกำจัดหนทางที่ตังกุยจะหาตัวข้าเจอ ข้าเตรียมขวดนี้มาหลายปี ข้าจ่ายหนักกว่าจะได้มา วันนี้ข้าจะใช้มันฉีดทั่วร่าง! ตังกุยมาถึงที่นี่เมื่อไหร่ก็จะคิดว่าข้าออกไปกับพวกคนนอกแล้ว เขาจะไล่ตามพวกนั้นและเลิกตามล่าข้า มีเวลามากมายนักให้ข้าหนี”
เขาพูดจบและเริ่มฉีดพลังอสูรทั่วร่าง แต่ในตอนนั้นกระบี่น้ำแข็งก็พุ่งทะลวงหัวใจของเขา
หลู่มู่ตกตะลึง
“เจ้าพวกคนนอกยังไม่ออกไปอีกเรอะ!”
เขาหันไปมองกระบี่น้ำแข็ง…ซือหยูกับเซี่ยจิงหยูพุ่งเข้ามา
“ด้วยพลังกึ่งเทพของตังกุย เขาสัมผัสได้ทุกสิ่งในฟ้าดิน เขาใช้เวลาแค่เสี้ยววิในการมาที่นี่ ข้าไม่คิดจะตายไปกับพวกเจ้า!”
เขาพูดและสะบั้นกระบี่น้ำแข็งแตกละเอียด!
“พลังระดับนี้ไม่พอจะทำร้ายข้า ข้าจะไปแล้ว…”
หลู่มู่ถอยและไม่คิดจะต่อสู้ แต่ก็มีวารีเยือกแข็งอยู่ในกระบี่น้ำแข็งที่แตกสลาย หลู่มู่รับรู้ได้แต่ไม่สนใจมากนัก แต่ในตอนนั้นเองวารีเยือกแข็งก็ได้ก่อตัวเป็นแมวตัวเล็กที่กระโจนเข้าไปชิงขวดมรกตมาจากมือหลู่มู่!
หลู่มู่ชักสีหน้าทันที เขาเอื้อมมือคว้าขวดอย่างลนลาน กระบี่น้ำแข็งที่แตกได้เปลี่ยนพื้นที่โดยรอบให้มีแต่คมน้ำแข็งที่ศีรษะของหลู่มู่ เขาที่ไม่ทันระวังตัวยกมือขึ้นมากันโดยไม่ทันคิด
แมวกับขวดมรกตนั้นถูกซือหยูคว้าเอาไว้ เขาแบกเซี่ยจิงหยูด้วยมือข้างเดียวและพ่นพลังในขวดใส่ตัวเองกับเซี่ยจิงหยูโดยไม่ลังเล
“ขอบคุณสำหรับของขวัญของเจ้า…”
ซือหยูประสานหมัดและหัวเราะ จากนั้นจึงสยายปีกกว้างออกมา
“แล้วพบกันใหม่”
เขาสะบัดปีกและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
หลู่มู่โกรธแค้น! เขาคิดจะใช้พวกซือหยูเพื่อถ่วงเวลา แต่เขากลับทำให้พวกนั้นหนีไปได้และกลายเป็นเป้านิ่งให้กับตังกุยเสียเอง! ทั้งสองร่วมมือกันด้วยวิชาน้ำแข็งและวารีจากนั้นจึงชิงของของเขาไป!
ความชิงชังเอ่อล้นออกมาแต่พลังอันน่ากลัวก็เข้ามาใกล้เขา หลู่มู่รีบหนีอย่างบ้าคลั่ง
******
ที่หลายพันลี้ ซือหยูกับเซี่ยจิงหยูมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นและหัวเราะ การที่ทั้งสองร่วมมือกันได้ดีนั้นเป็นดั่งสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งที่ประหลาด ซือหยูเริ่มรู้สึกว่านางคือคนคนเดียวที่จะร่วมมือกับเขาได้ดี และบังเอิญยิ่งนักที่นางใช้วิชาวารี ทั้งคู่นั้นมีสมดุลอันสมบูรณ์แบบ
เซี่ยจิงหยูรู้สึกแปลกยิ่งกว่าเดิม นางมองซือหยูอีกครั้งและรู้สึกว่าราชาปีศาจหิมะทมิฬตรงหน้านางซ้อนทับกับซือหยู
ทั้งสองมองกันและกัน ในหัวใจมีคำถามแบบเดียวกัน บรรยากาศเริ่มแปลกไป
ซือหยูวิเคราะห์จ้าวยี่หยู ระดับสติปัญญาอันเหนือชั้น บ่มเพาะวิชาวารี…นี่ไม่เหมือนกับเซี่ยจิงหยูหรอกรึ? และเซี่ยจิงหยูยังมีส่วนร่วมในการคัดเลือดจ้าวยี่หยู หรือว่านางจะทำสำเร็จ? ในความทรงจำของซือหยู แม้เซี่ยจิงหยูจะมีระดับปัญญาที่สูงส่ง แต่ระดับนั้นก็ยังไม่ถึงจุดที่นางจะเชี่ยวชาญได้ทุกวิชาบนโลก ไม่ต้องพูดถึงการสร้างวิชาที่ระดับด้อยกว่าวิชาระดับตำนานเพียงน้อยนิดเลย…แต่ทั้งคู่นั้นก็คล้ายกันอย่างไม่น่าเชื่อ
ซือหยูริมฝีปากขยับ ในตอนนั้นเซี่ยจิงหยูก็รวบรวมความกล้าที่จะพูดออกมา แต่เมื่อทั้งสองรับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดก็ได้แต่โพล่งออกมาพร้อมกัน
“เจ้าพูดก่อนสิ!”
ทั้งสองพูดพร้อมกันและตัวแข็งทื่อ
“ข้าก่อน…”
ทั้งสองพูดพร้อมกันอีกครั้ง
เซี่ยจิงหยูหน้าแดง หัวใจนางเต้นแรง ราวกับมีอะไรขวางลำคอของนาง หรือว่าจะเป็นเขาจริงๆ!
ซือหยูตกตะลึงเช่นกัน หรือนางจะเป็นเซี่ยจิงหยู?
ทั้งสองมองกันและกันและหายใจเข้าลึกเพื่อเตรียมเสียงที่จะเดา
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงหวานๆดังขึ้นมา
“พี่ชาย พี่สาว…ทำอะไรกันอยู่รึ?”
มั้งสองตัวสั่นและหัวไปมอง
ที่พื้นข้างใต้พวกเขานั้นมีเด็กสาวน่ารักที่มัดผมสองข้าง นางเงยหน้ามองพวกเขาอย่างไร้เดียงสาและยิ้มแย้ม นางดูอายุราวห้าขวบและสวมชุดสีสันสดใส ผิวของนางเรียบเนียน ไม่มีสิ่งใดที่เกินคำว่าสมบูรณ์แบบ นางมองทั้งสองด้วยสายตาซุกซน
ซือหยูก้าวไปข้างหน้าเพื่อขวางเซี่ยจิงหยู
“เจ้าเป็นใคร?”
แม้ว่าพวกเขาจะวอกแวกไปเมื่อสักครู่แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สัมผัสได้ถึงคนใกล้ๆ และยิ่งไปกว่านั้น เหตุใดเด็กไร้พิษภัยถึงมาอยู่ในสถานที่อันตรายอย่างก้นบึ้งมังกรเก้านรก?
เซี่ยจิงหยูรู้สึกหวาดกลัวเช่นกัน นางมองเด็กสาวตัวน้อย
เด็กสาวลืมตากว้างและยิ้ม
“ข้าคือจางตี๋เก้อ จางตี๋ที่แปลว่าขลุ่ย เก้อที่แปลว่าบทเพลง หึหึ! ชื่อข้าเพราะใช่ไหมล่ะ?”
จางตี๋เก้อ จางตี๋เก้อ…เซี่ยจิงหยูคิดถึงชื่อนี้ นางมั่นใจว่าได้ยินชื่อนี้มาก่อน!
******
หลู่มู่มิอาจรอดพ้นมือของตังกุย ตังกุยใช้พลังสีดำสนิทปกคลุมศีรษะของหลู่มู่โดยไม่สนใจเสียงกรีดร้องอันปวดใจ
“ฮื่ม!”
“เจ้าไม่รู้เรื่องแก้วกำเนิดห้าธาตุเรอะ! แล้วเจ้าจะหนีทำไมกัน? ดูเหมือนเจ้าจะระวังข้ามานานแล้ว แม้แต่เตรียมการหาที่หลบภัยกับตระกูลกุย! ข้าคงปล่อยให้เจ้ามีชีวิตไม่ได้อีกแล้ว!”
ฉั่วะ–
สมองของหลู่มู่ถูกเฉือนหายไป
ตังกุยหัวเราะและปล่อยให้ร่างไร้วิญญาณของหลู่มู่ร่วงลงสู่พื้น
“ถ้าอย่างนั้น…”
“ฮงมู่จะต้องเป็นพันธมิตรกับตระกูลกุย ตระกูลกุยบอกให้เขาชิงแก้วกำเนิดห้าธาตุไปงั้นรึ? บังเอิญที่คนนอกสองคนนั้นมาที่นี่ มิเช่นนั้นแก้มกำเนิดห้าธาตุก็คงไปอยู่ที่ตระกูลกุยแล้ว!”
ตอนนี้คนนอกไม่มีพลังอสูรติดตัว ตังกุยทำได้แค่ติดต่อเล่ยมู่
“ช่วยข้าหาคนนอกสองคนนั้นเร็ว!”
“พวกนั้นมีแก้วกำเนิดห้าธาตุในมือ!”
เล่ยมู่ที่อยู่ในเมืองวางสร้อยหยกและสาปแช่งอย่างโกรธแค้น
“เจ้าขยะเอ้ย!”
“คลาดกับเจ้าสองคนนั้นได้ยังไง!”
แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเมืองก้นบึ้ง เล่ยมู่ทำอย่างที่ตังกุยพูด เขาใช้สมบัติเทพเพื่อตามหาซือหยูกับเซี่ยจิงหยู ทั้งสองไม่มีทางรอดพ้นสมบัติเทพไปได้นอกจากจะมีฐานพลังที่เหนือกว่า
“ข้าเจอแล้ว…”
“พวกนั้นอยู่ในเส้นทางของเมืองก้นบึ้ง”
ตังกุยพยักหน้า
“มีอะไรอีกหรือไม่?”
เล่ยมู่มองรอบๆและพบเพียงแค่สองคนนั้น
“ข้าเห็นแค่สองคนนั้น…เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน…”
เล่ยมู่มองใกล้ๆและเห็นภาษากายของคนนอกทั้งสอง ดูเหมือนว่าทั้งสองจะกำลังคุยกับใครบางคนอยู่ ทั้งคู่ระวังตัวอย่างมาก…ราวกับว่ากำลังเจอศัตรู แต่ก็ไม่มีใครอยู่เบื้องหน้าพวกเขาที่กำลังพูด!
หยดเหงื่อเย็นไหลซึมบนแผ่นหลังเล่ยมู่
เล่ยมู่มองใกล้ขึ้นและพบกับสิ่งประหลาด เด็กสาวตัวน้อยปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า
นางมองผ่านมุมมองนั้นตรงมายังเล่ยมู่
ตึก ตึก ตึก–
เล่ยมู่ละสายตาออกจากเครื่องติดตาม เขาล้มลงกับพื้น
ใบหน้าเขาสลักด้วยความกลัว เขาตัวสั่นอย่างกระวนกระวาย
“จางตี๋…เก้อ…นั่นมัน…ภูติสวรรค์!”
ราชินีแห่งเหล่าภูติ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในก้นบึ้งมังกรเก้านรก ภูติสวรรค์ขอบเขตภูติ จางตี๋เก้อ!
******
เด็กสาวตัวน้อยมองซือหยูกับเซี่ยจิงหยู นางยิ้ม
“ข้าชื่อ จางตี๋เก้อ พี่ชาย พี่สาว พวกท่านชื่ออะไรรึ?”
ตอนที่ 417
ซือหยูนั้นแสร้งทำเป็นไม่กังวลแต่หัวใจของเขาเต้นอย่างรวดเร็วถึงขีดสุด เขาใช้เนตรวิญญาณตรวจสอบเด็กสาว น่าแปลกที่แม้ว่าเด็กสาวจะอยู่ใกล้กับเขามากแต่มันก็ราวกับไม่มีอะไรเลย!
ในเสี้ยววินาที เด็กสาวตาเป็นประกายสีมรกตและหายไป
พลังอ่อนๆเข้าสู่วิญญาณของซือหยูในทันทีจนทำให้เขาเจ็บปวด วิชาลับวิญญาณ! ซือหยูตกใจกลัว
ปั้ง ปั้ง–
หม้อเก้ามังกรสัมผัสได้ถึงวิญญาณจากภายนอกที่เข้ามา มันสั่นเล็กน้อยเพื่อข่มพลังแปลกปลอมนั้น
“ข้าคือจ้าวยี่หยู”
เซี่ยจิงหยูตอบ นางยิ้มอย่างน่าหลงใหลจนหลงลืมภัยตรงหน้าไป นางย่อตัวลงและลูบหัวเด็กสาวตัวน้อย
“หนูน้อย เจ้าน่ารักยิ่งนัก เจ้าชื่ออะไรรึ?”
ซือหยูเบิกตากว้าง จ้าวยี่หยูจะไม่ระวังเช่นนี้รึ?
พลังที่เข้ามาในร่างซือหยูเมื่อครู่…ซือหยูรู้แล้วว่ามันคือสิ่งใด มันคือวิชาลับที่จะทำให้เห็นภาพหลอน จ้าวยี่หยูถูกควบคุมไปแล้ว!
ซือหยูยังท่าทางคงเดิมแม้จะมีความกังวลในใจ
เขายิ้มและหัวเราะ
“ข้าคือราชาปีศาจหิมะทมิฬ หนูน้อย ทำไมเจ้าอยู่ที่นี่คนเดียวรึ? เจ้าไม่กลัวอันตรายหรอกรึ?”
จางตี๋เก้อยิ้มเผยลักยิ้มทั้งสองข้าง นางมองผ่านซือหยูกับเซี่ยจิงหยูด้วยสายตาอันเฉียบคม แต่นางก็หยุดมองซือหยูอยู่ครู่หนึ่งด้วยความสงสัย จากนั้นก็ละสายตาไป
“พี่ชาย พี่สาว…”
จางตี๋เก้อพูดอย่างอ่อนหวาน
“พี่สองคนให้สมบัติทุกอย่างกับข้าจะได้หรือไม่?”
เซี่ยจิงหยูหัวเราะอย่างอ่อนโยนและไม่ปฏิเสธนาง
“ได้สิ”
นางหยิบปิ่นปักผมยื่นให้จางตี๋เก้อ สมบัติเทพนานาชนิดและของหลายสิ่งที่นางเก็บรวบรวมทั้งหมดอยู่ในปิ่นปักผมที่เป็นสมบัติเทพ
“สมบัติเทพมิติงั้นรึ? ฮ่าๆ!”
จางตี๋เก้อหัวเราะเสียงดัง
“ตัวตนของพี่สาวต้องไม่ธรรมดาแน่”
นั่นเป็นเครื่องพิสูจน์อย่างดี ยี่หยูถูกควบคุมจริงๆ!
ซือหยูหยิบของสองสิ่งออกมา หนึ่งในนั้นคือคันฉ่องจักรวาล สมบัติเทพที่ใช้เก็บสิ่งของ ส่วนอีกอย่างคือกล่องหยกที่มีหยุนย่าสีอยู่ภายใน
จางตี๋เก้อมองดูซือหยู ซือหยูที่ถูกมองนั้นรู้จักราวกับถูกเห็นทั้งร่างไปแล้ว เว้นแต่รอยฝ่ามือกับหม้อเก้ามังกรในวิญญาณ ทั้งร่างของเขาถูกมองดูทั้งนอกและใน
“บางทีข้าอาจจะกังวลเกินไปหน่อย…”
จางตี๋เก้อพูดออกมา
นางหุบยิ้ม สีหน้านางหม่นหมอง นางเผยความเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่เข้ากับรูปลักษณ์ออกมา
นางมองดูคันฉ่องจักรวาลและกล่องหยก นางตกใจเล็กน้อย
“น่าสนใจนัก ข้าอยู่ที่นี่มาพันปี ทวีปเฉินหลงดูจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาแล้ว มิเช่นนั้นเด็กสองคนนี่ก็คงจะไม่มีสมบัติเทพที่ใช้เก็บสิ่งของได้ ศิษย์พี่ภูติความว่างเปล่าคงจะเริ่มใช้กงล้อหยินหยางในอีกไม่นาน…สมบัติภูติที่ใช้สร้างความปั่นป่วนในความมืดมิด”
จางตี๋เก้อคิดและคืนสิ่งของให้กับทั้งสอง
“ที่นี่ถูกผนึกมาพันปีและทรัพยากรก็ถูกใช้จนหมดแล้ว ข้าคืนของเหล่านั้นให้กับพวกเจ้าเพื่อไม่ให้ไอ้แก่นั่นสงสัย อย่างไรมันก็ต้องเป็นของข้าอยู่ดี ชีวิตของพวกเจ้าก็ด้วย”
จางตี๋เก้อไม่ได้คาดหวังคำตอบ นางพูดอยู่กับตัวเอง จากนั้นนางจึงหันไปสั่ง
“ตามข้ามา”
ยี่หยูกับซือหยูตามนางไป ซือหยูแสร้งทำเป็นเสียสติที่จะต่อต้าน
ซือหยูเดินและมองไปข้างหน้า เขาไม่เห็นสิ่งใดเลยนอกจากความว่างเปล่า เขาไม่กล้าจะเหลือบมองแผ่นหลังของจางตี๋เก้อด้วยซ้ำ ด้วยระดับที่สูงอย่างขอบเขตภูติ นางสัมผัสได้ทุกสิ่งแม้สายตาที่เบาบางที่สุด ถ้านางรู้ว่าเขาแสร้งทำเป็นถูกควบคุม…เขาก็คงจะหนีความตายไม่พ้นเป็นแน่!
ส่วนจ้าวยี่หยู นางเดินตามจางตี๋เก้ออย่างไม่มีสติ ถ้าหากมีโอกาสซือหยูจะช่วยนางให้คืนสติกลับมา
******
แม้ตังกุยจะรอมานานเขาก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดในเมืองก้นบึ้ง ดังนั้นเขาจึงเริ่มสงสัย
ติ๊ก ติ๊ก–
สร้อยหยกเปิดขึ้นด้วยการสื่อสารอีกครั้ง เสียงของเล่ยมู่ดังผ่านสร้อย
“ข้าเจอพวกนั้นแล้ว…”
“สี่พันลี้ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ตังกุย เอาแก้วต้นกำเนิดกลับมาให้ได้ มันคือความเป็นตายของเมืองก้นบึ้ง เจ้ารู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจ้าทำไม่สำเร็จ!”
ตังกุยที่ถูกขู่นั้นโกรธแค้น ตังกุยนั้นมีส่วนผิดที่ไม่มองคนของตัวเองให้ดี แต่เรื่องนั้นก็ไม่ใช่ความผิดของเขา ฮงมู่นั้นคือคนผิด แต่มันก็ไม่แปลกที่เล่ยมู่จะมีความไม่พอใจในตัวเขา
ตังกุยเก็บสร้อยหยกและมุ่งหน้าไปในทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
******
ที่เมืองก้นบึ้ง
เล่ยมู่วางสร้อยหยกที่ใช้สื่อสารลง เขามองดูเครื่องติดตามด้วยฝ่ามือทั้งสองที่สั่นเครือ หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ
คนที่เขาเชื่อใจที่อยู่ด้านหลังหน้าซีดราวกับกระดาษ
“ท่านเจ้าเมือง ให้เขาได้เจอกับภูติสวรรค์จะได้กำจัดเขาก็จริง แต่ถ้าภูติสวรรค์ปรากฏตัว นั่นก็มีโอกาสสูงที่นางจะมาหาพวกเรา ถ้าเรื่องนั้นเกิดขึ้น เราต้องการพลังของทุกคน ท่านจะส่งเขาไปตายทำไมกัน?”
เล่ยมู่สายตาเหี้ยมโหด
“ฮื่ม! ถ้าภูติสวรรค์อยากจะทำลายพวกเราในตอนที่ม่านพลังของเมืองหายไปแล้วเช่นนี้ แล้วมีกึ่งเทพเพิ่มขึ้นมาอีกคนเดียวจะช่วยอะไรได้เรอะ? ปล่อยให้ตังกุยไปช่วยถ่วงเวลาพวกเราเสียยังดีกว่า”
“หรือว่าท่านกำลังจะชำระกระบี่สายฟ้าตอนนี้? มันต้องใช้เวลาสองวัน ข้าไม่คิดว่ามันอาจจะไม่ทันการ”
เล่ยมู่เย้ยหยัน
“ข้าจัดการแล้ว! ตั้งแต่ที่ข้าบังเอิญเจอกระบี่สายฟ้าในลาวาใต้ดินที่ถูกเพลิงธรณีชำระมาเกินหมื่นปี…ข้าก็เตรียมการไว้แล้ว ข้าวางเวทย์เอาไว้ในกระบี่สายฟ้า หากกระบี่ก่อตัวขึ้น แม้จะยังชำระไม่เสร็จสิ้น ข้าก็ใช้พลังของมันได้ครึ่งส่วน! พลังเช่นนั้นอาจจะฆ่าภูติสวรรค์ไม่ได้ แต่ทำให้นางบาดเจ็บก็เกินพอแล้ว!”
คนใต้บังคับบัญชาของเขาเริ่มสบายใจ
“ท่านเจ้าเมืองยิ่งใหญ่นัก เมืองก้นบึ้งจะต้องถูกช่วยไว้ได้แน่”
ก่อนหน้านี้เล่ยมู่เป็นแค่คนชั่วร้ายในเมืองก้นบึ้ง จากนั้นเขาจึงได้พบเจอลาวาใต้ภิภพอย่างคาดไม่ถึงและกระบี่สายฟ้า
ด้วยพลังจากกระบี่สายฟ้า เขาบ่มเพาะพลังอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาได้นาม “เล่ยมู่” มาครอง เขาเชี่ยวชาญวิชาอัสนีและทำให้คนทั้งก้นบึ้งมังกรหวาดกลัว
หลังจากร้อยปีจวบจนวันนี้ สายฟ้าของกระบี่สายฟ้านั้นได้ก่อตัวขึ้นในที่สุด ถ้าเขาได้ใช้มัน เขาจะปลดปล่อยพลังอันมิอาจหยุดยั้งออกมาได้!
******
เหนือก้นบึ้งมังกร
กังต้าเหล่ยคาบใบหญ้าในปาก เขานอนอยู่หน้ากระท่อมไม้ เขาดูเบื่อหน่ายขณะที่อุ่นเหล้า
“ไอ้แก่ เจ้าจะซ่อนตัวไปถึงเมื่อไหร่?”
“ตั้งแต่ที่ข้าติดตามเจ้า ข้าไม่เคยได้เห็นวันที่คนหมื่นคนจะนับถือข้า ข้ากลับต้องเร้นกายอยู่ในก้นบึ้งมังกรบ้านนอกนี่ เจ้าหลอกข้ามาตลอดเรอะ? เจ้าแข็งแกร่งขนาดนั้นจริงๆเรอะ?”
บนศิลาก้อนใหญ่ ชายแก่ที่เมามายสะอึก เขาเหลือบมองกังต้าเหล่ยและหัวเราะ
“ถ้าเจ้าอยากจะรู้ว่าข้าแข็งแกร่งหรือไม่ ทำไมเจ้าไปลงไปถามเจ้าภูติน้อยนั่นดูเล่า?”
กังต้าเหล่ยสีหน้าเคร่งเครียด เขาหันกลับไปมองทางเข้าก้นบึ้งมังกรด้วยความหวาดกลัว
“ไอ้แก่ นางจะออกมาจริงๆรึ? ปีนั้นนางเกือบจะทำลายผนึกออกมาได้ และข้าก็เป็นคนที่ต่อยนางไป ถ้านางหนีออกมาได้จริงๆ…ไอ้แก่ เจ้าคงจะทำอะไรนางไม่ได้ ไม่ใช่เช่นนี้รึ?”
ชายแก่ที่มึนเมาพูดพึมพำ
“ข้าต้องกลัวนังผีน้อยนั่นด้วยรึ?”
เขาหยุดพูดไป จากนั้นก็ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยมั่นใจ
“ตอนที่ข้ามีพลังสูงสุด ดัชนีน้อยๆของข้าก็เพียงพอแล้วที่จะจัดการทุกสิ่ง!”
กังต้าเหล่ยแปลกไปเล็กน้อย เขาลูบจมูก
“ไอ้แก่ เจ้ายังมีเวลา เจ้าไปเตรียมโลงศพของตัวเองหลังจากที่เราไปจากทวีปเฉินหลงก็ยังทัน”
“ไอ้เด็กเวร!”
ชายแก่โกรธเกรี้ยว
“ถ้าไม่ใช่เพราะทวีปเฉินหลงมันทำให้ข้าฟื้นฟูไม่ได้ ข้าก็ไม่ต้องกลัวนังเด็กผีนั่น!”
ชายแก่ทำท่าราวกับเขาเคยเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งอย่างสุดขั้วมาก่อน
“แต่ที่เราต้องห่วงไม่ใช่นังผีน้อยนั่น แต่เป็นพวกคนชั่วในก้นบึ้งมังกร ข้าคิดว่ามันจะไม่โง่เขลาพอที่จะแตะต้องอะไรบางอย่าง…ที่มันอันตรายที่สุด”
******
ในก้นบึ้ง จางตี๋เก้อใบหน้าไร้อารมณ์ นางก้มหน้าและดูเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
ทันใดนั้นนางก็เงยหน้าหันหลังกลับไปมองขอบนภาห่างไกล คนที่มีรอดแผลเป็นบินเข้ามา
จางตี๋เก้อตกใจและยิ้มเยาะ
“เจ้าโง่!”
ตังกุยเห็นซือหยูกับเซี่ยจิงหยูจากไกลๆจึงเร่งความเร็วขึ้น เมื่อเขาใกล้ถึงก็เพิ่งจะมองเห็นเด็กสาวน่าหลงใหลที่อยู่ด้วยกัน
ตังกุยตัวแข็งทื่อ ทำไมเล่ยมู่ไม่บอกถึงเรื่องเด็กสาวคนนี้กัน? และเมื่อได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนตังกุยก็รู้สึกราวกับถูกสายฟ้าฟาด เขาตกตะลึงอย่างไร้คำพูด
“ภูติสวรรค์จากตี๋เก้อ!”
เขาอยากจะหนีแต่ก็เห็นรอยยิ้มพิศวงบนใบหน้าจางตี๋เก้อ เขารู้ว่าเขามิอาจหนีพ้น! เขากัดฟันฝืนตัวเองไม่ให้บินหนี
ปั้ง–
“ท่านภูติสวรรค์ ข้าตังกุยจากเมืองก้นบึ้ง!”
เขาคุกเข่าต่อหน้านาง
“เล่ยมู่ทิ้งข้าแล้ว ข้ายินดีจะรับใช้ท่าน”
ตังกุยต้องใช้นางเป็นที่หลบภัย!
จางตี๋เก้อหัวเราะ
“เจ้าฉลาดนัก ข้าต้องขอชม เจ้าไม่หนี แล้วเจ้ายังรู้ตัวว่าเจ้าถูกคนข้างหลังคันฉ่องนั่นหักหลังในปราดเดียว”
ตังกุยโกรธแค้น เขามิอาจเชื่อว่าเล่ยมู่จะเห็นตัวตนของภูติสวรรค์จากสมบัติเทพและเก็บข้อมูลไว้กับตัวเพื่อหลอกเขา! เล่ยมู่หวังจะส่งตังกุยมาเพื่อตาย!
“ขอบคุณท่านภูติสวรรค์ที่ชมเชยข้า…”
“เขาชั่วร้ายเช่นนี้ ไม่มีเหตุให้ข้าต้องภักดี”
แต่จางตี๋เก้อก็หุบยิ้ม
“ใครกันที่พูดว่าข้าจะรับเจ้า? อย่าเอาข้าไปเทียบกับตระกูลกุยต่ำต้อย”
ตังกุยเริ่มหวั่นใจ เขามองผ่านซือหยูกับเซี่ยจิงหยู
“ท่านภูติสวรรค์โปรดฟังข้าก่อน ข้าจะฟังคำชี้แนะและรับใช้ท่าน! นอกจากจะเป็นคนของก้นบึ้งแล้วข้ายังเป็นรองเจ้าตำหนักอีกด้วย ข้ามีประโยชน์กับท่านแน่”
จางตี๋เก้อถากถาง
“เจ้าพยายามจะพูดว่าเจ้ามีประโยชน์กว่าสองคนนี้รึ? ความจริงคือสองคนนี้มีประโยชน์กว่าเจ้ามากมายต่างหากเล่า”
ตังกุยกัดปลายลิ้นและพ่นโลหิตออกมาสร้างหมอกหนาเมื่อเห็นว่านางคิดจะสังหารเขา จากนั้นจึงหยิบสมบัติเทพรูปกระสวยออกมาจากเสื้อ
หลังจากที่สัมผัสกับโลหิต สมบัติเทพได้สั่นสะเทือนและเปล่งประกายแสงมรกตออกมา
“ไป!”
ตังกุยตะโกนและคว้าแสงมรกตด้วยมือข้างเดียว
สมบัติเทพเคลื่อนไหวด้วยความเร็วที่น่ากลัว มันพาเขาหนีไปหลายหมื่นลี้ในพริบตา
จางตี๋เก้อเยาะเย้ย
“คิดหนีรึ?”
นางมองซือหยูกับเซี่ยจิงหยู
“พวกเจ้ารอที่นี่ ข้าขอเวลาครึ่งชั่วยาม”
นางพูดจบพร้อมกับร่างเล็กๆที่หายไปราวกับว่านางยักย้ายตัวเองออกไป
นางปรากฏตัวอีกครั้งที่หน้าตังกุย
“จู่ๆข้าก็คิดขึ้นมาได้ว่าเจ้ายังไม่ไร้ประโยชน์ไปซะทีเดียว”
จางตี๋เก้อมองเขาเหมือนนางกำลังคิดอะไรบางอย่าง
“อย่างน้อยเจ้าก็พิสูจน์บางสิ่งได้”
นางใช้ฝ่ามือกดลงกับพื้น พลังวิญญาณจากจักรวาลเอ่อล้นอย่างบ้าคลั่งและรวมตัวกันเหนือนภาสร้างเป็นฝ่ามือยักษ์ที่กว้างพันศอก แม้แต่เส้นโลหิตก็เห็นได้อย่างชัดเจน มันดูเหมือนฝ่ามือของจริง
เมื่อฝ่ามือกดลงมา สมบัติเทพในมือตังกุยระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ตังกุยกระเด็นลอยไป โลหิตกระจายออกจากร่างดั่งพิรุณ
“ไม่นะ….”
เขาตะโกน
เขาล้มลงกับพื้นเมื่อฝ่ามือกดทับลงมาและถูกบดขยี้จนเหลือชิ้นดี
******
ซือหยูสีหน้าไร้อารมณ์ เขารักษาความเป็นหุ่นเชิดเอาไว้เหมือนกับเซี่ยจิงหยู แต่เขารู้สึกไม่สบายใจและฝืนที่จะไม่แสดงท่าทางออกมา เขาคิดจะหนีสุดหัวใจ ชั่วยามเดียวก็มากเกินไปที่จะทิ้งระยะห่างระหว่างพวกเขากับจางตี๋เก้อ
จ้าวยี่หยูตกอยู่ในอันตรายแต่ซือหยูมิได้ถูกควบคุม นางอาจจะหาเขาไม่เจอแต่ก็เสี่ยงอย่างมาก เขาควรจะหนีหรืออยู่กับที่เพื่อดูสถานการณ์ดีนะ?
หลายนาทีผ่านไป ซือหยูยังคงทรมานอยู่กับการคิดไม่ตก แต่ก็ไม่นานนักก่อนที่เขาจะตัดสินใจหยุดขยับตัว
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ซือหยูได้ยินเสียงผิวปากและสายลมเบาๆ จางตี๋เก้อนั้นยืนอยู่ข้างหลังซือหยู นางยิ้มเยาะ
“ดูเหมือนว่าข้าจะระแวงเกินไปจริงๆ แต่ยังไงก็คงไม่มีเด็กคนไหนต่อต้านวิชาควบคุมจิตใจของข้าได้หรอก”
นางยังคงกังวลถึงซือหยูอย่างที่เขาคิด นางนั้นกำจัดตังกุยได้ในเสี้ยววินาที ส่วนเวลาครึ่งชั่วยามนั้นก็เพื่อล่อให้ซือหยูขยับตัว นางได้รอดูว่าซือหยูจะทำอะไรเพื่อให้แน่ใจว่าเขาเสียสติไปแล้วจริงๆ
นางถอนหายใจด้วยความโล่งอกและหัวเราะ
“เช่นนั้นก็ถึงเวลาที่พวกเจ้าสองคนจะเข้าร่วมกับแผนของข้าแล้ว สมบัติเทพทำลายโลกจะให้พี่ชายที่ใช้วิชาอัสนีเป็นการชั่วคราว!”
จางตี๋เก้อหัวเราะเสียงดัง นางสะบัดมือและสร้างสายลมรุนแรงพาตัวพวกเขาไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น