The Divine Nine Dragon Cauldron 391-396

ตอนที่ 391

 

ราชาโลกดับสูญ? มันคืออะไรกัน?


 


แล้วยังเป็นผู้ขัดบัญชาสวรรค์รุ่นแรก? เขาคือชายแก่ที่ตายมาแล้วกว่าหมื่นปีนี่น่ะรึ? หากเป็นเช่นนั้น มันก็เกินกว่าคำว่าน่ากลัวแล้ว!


 


“เก้าศักดิ์สิทธิ์…เก้าศักดิ์สิทธิ์!”


 


ดวงตาและปากของผู้ขัดบัญชาสวรรค์รุ่นแรกถูกปิดเอาไว้ แต่เสียงอันน่ากลัวของเขาก็ยังคงดังออกมา


 


ซือหยูตกใจ มันเป็นเสียงจากวิญญาณ!


 


เก้าศักดิ์สิทธิ์หันไปเผชิญหน้ากับราชาโลกดับสูญ


 


“อย่างไรเจ้าก็ตายไปแล้ว เจ้าจะมาบนโลกอีกทำไมกัน? กลายเป็นเถ้าถ่านไปตลอดกาลคือที่สุดท้ายของเจ้า!”


 


พลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวโอบล้อมพื้นที่โดยรอบเมื่อทั้งสองเผชิญหน้ากัน จ้าวเฉินยิ่งนั้นราวกับมนุษย์ธรรมดาที่อยู่ต่อหน้าคลื่นยักษ์


 


“หนีเร็ว!”


 


เฉินยิ่งคำราม สองตัวตนนี้มิใช่สิ่งที่พวกเขาจะเอาตัวเข้าไปยุ่งได้เลย


 


ฟึ่บ ฟึ่บ–


 


เก้าศักดิ์สิทธิ์ไม่มีเวลาจะสนใจพวกเขา เขาจ้องมองราชาโลกดับสูญ


 


ครืน—


 


เฉินยิ่งหนีออกมาหลายหมื่นลี้แต่ก็ยังได้ยินเสียงระเบิดทำลายล้างดังมาจากข้างหลัง ปฐพีแยกมาทางพวกเขา ทุกสิ่งมีชีวิตตายสิ้น


 


ทุกสิ่งกลายเป็นซากปรักหักพัง


 


ฟึ่บ–


 


สองผู้ติดตามทั้งสองกระเด็นลอยและแหลกเป็นเถ้าถ่าน หลิงเสี่ยวเทียนกระอักเลือดออกมา จ้าวเฉินยิ่งมีโลหิตไหลออกมาจากมุมปาก เขาหน้าซีด


 


ผลหลังการต่อสู้จากระยะหลายหมื่นลี้มีพลังทำลายล้างถึงเพียงนี้ แล้วจุดที่ปะทะ…ที่ทั้งสองต่อสู้กันจะน่ากลัวเพียงใดกัน?


 


“จ้าวเฉินยิ่ง!”


 


ในตอนนั้นเอง กลุ่มองครักษ์ชุดแดงก็บินออกมาจากป่า พวกเขารีบพุ่งเข้ามาด้วยความตกใจ หลังจากที่เห็นว่าพวกเขามากับหลิงเสี่ยวเทียน เหล่าองครักษ์ก็คุกเข่าให้การต้อนรับ


 


เฉินยิ่งสีหน้าเคร่งเครียด พวกเขาถูกเจอตัว เขาสังหารหลิงเสี่ยวเทียนไม่ได้อีกแล้ว!


 


เฉินยิ่งเก็บจิตสังหารเอาไว้และรีบพูด


 


“เข้าไปเร็ว!”


 


******


 


ครึ่งวันต่อมา ที่เศษซากปรักหักพัง


 


ราชาโลกดับสูญ ผู้ที่ขัดต่อบัญชาสวรรค์รุ่นแรก ยืนอยู่ที่กลางซากอย่างเงียบๆ เก้าศักดิ์สิทธิ์นั้นหายตัวไป


 


ปั้ง ปั้ง ปั้ง—


 


ทันใดนั้นก็มีวัตถุใหญ่ปรากฏออกมา มันคือเรือรบโบราณที่ยาวสามแสนลี้! และที่แปลกคือเรือรบลำนี้ลอยอยู่บนท้องฟ้า


 


มันสีดำสนิทราวกับจะบดบังตะวันและท้องนภา ทั้งจักรวาลปกคลุมไปด้วยความมืดมิด โครงสร้างใหญ่ยักษ์ของมันนั้นราวกับเกาะบนมหาสมุทร


 


ฟึ่บ–


 


ใต้ท้องเรือรบเปล่งประกาย คนมากมายบินลงมา ในนั้นมีฉีตงไล่ หลินหยุนฮี และชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าสีอำพัน ข้างหลังยังมีคนหนุ่มสาวที่มีซงหลวน เจียงมู่เฟย และยังมี…ฉีหยุนเซี่ยง!


 


“ขอบคุณท่านราชาแห่งเขตแดนที่ลงมือ ท่านราชา โปรดกลับคืนตำแหน่งเถอะ”


 


ทุกคนรีบพุ่งเข้ามาหาราชาโลกดับสูญและโค้งคำนับ


 


ฟึ่บ–


 


ราชาหายตัวเข้าไปในเรือรบ


 


ชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าสีอำพันถอนหายใจด้วยความเศร้าหมอง


 


“ท่านราชากลับมาปกป้องเรือรบเทพนภาและปกป้องทุกสิ่งบนทวีป ทวีปนี้ร่างโชคดีนัก”


 


แววตาหลินหยุนฮีแสดงความกังวล


 


“ทวีปเฉินหลงพบเจอภัยพิบัติหลายครั้งหลายครา แต่ท่านราชาก็ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน เหตุใดท่านราชาถึงได้ปรากฏตัวในภัยพิบัตินี้? ข้าห่วงเหลือเกินว่าภัยร้ายครั้งนี้จะเป็นเรื่องครั้งใหญ่ในยุคสมัย”


 


คำพูดของเขาทำให้บรรยากาศเคร่งเครียด ราชาเขตแดนกลับมาบนโลกอีกครั้งแม้จะตายไปแล้ว นั่นจะต้องหมายถึงภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในหมื่นปีก่อน เมื่อหมื่นปีก่อนราชาได้ตายในการต่อสู้กับภัยพิบัตินั้น และหมื่นปีต่อมา…ร่างไร้วิญญาณที่มีเศษเสี้ยวจิตวิญญาณจะยังคงปกป้องทวีปได้รึ?


 


ฉีหยุนเซี่ยงเป็นกังวล


 


“ท่านพ่อ หยินหยูอยู่ที่ไหนล่ะ?”


 


นางหน้าละห้อยแต่ก็ดูน่ารัก


 


ซงหลวนละอายใจ


 


“คณะวิหคเพลิงพบกับภัยร้าย พลังข้าต่ำต้อยเกินไป มิอาจช่วยเขาไว้ได้ และข้าก็ปล่อยให้เขาถูกพาตัวไปโดยมิอาจทำอะไรได้ ข้ามีความรับผิดชอบในเรื่องนี้”


 


ถ้าซือหยูอยู่ที่นี่เขาก็คงจะเข้าใจว่าเหตุใดซงหลวนกับเจียงมู่เฟยถึงปรากฏตัวออกมาต่อสู้เพื่อเกียรติยศของตำหนักเฉินเทียนที่เปลี่ยนแปลงโดยพวกเขาถูกจองจำ นั่นก็เพราะว่าพวกเขามาคณะวิหคเพลิงเพื่อมาตามหาฉีตงไล่!


 


ส่วนฉีหยุนเซี่ยงนั้นสมปรารถนา นางได้พบกับผู้เป็นบิดาอีกครั้ง


 


“เราช้าไป”


 


ฉีตงไล่ถอนหายใจ


 


“คณะวิหคเพลิงพบเจอการถูกทำลาย เรือรบเทพนภามาสายเกินไป”


 


“ดูจากการต่อสู้เมื่อครู่ จ้าวเฉินยิ่งน่าจะพาตัวหลิงเสี่ยวเทียนไป แต่พวกเขาก็ไม่เห็นร่างของซือหยูเลย…”


 


ฉีตงไล่พูดไม่จบประโยค เขาหันไปตบบ่าฉีหยุนเซี่ยงและถอนหายใจยาว


 


“จงจำน้ำใจของเขาไปตลอดชีวิตของเจ้าเสียเถอะ”


 


ที่คณะวิหคเพลิง ซือหยูบาดเจ็บจนมิอาจฟื้นฟูได้ ครึ่งเดือนผ่านไป ชีวิตของเขาอาจจะดับมอดไปแล้ว


 


“ไม่!”


 


ฉีหยุนเซี่ยงโศกเศร้า นางใจหายราวกับถูกฉีกกระชาก


 


นางกับซือหยูอำลากันครั้งสุดท้ายที่ปราการวิหคเพลิง นางไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มสุดท้ายที่มีให้กันนั้นจะเป็นการลาจากครั้งสุดท้ายไปตลอดกาล นางยังมีอีกหลายสิ่งที่อยากจะพูด ยังมีสิ่งติดค้างมากมายที่นางยังมิได้สะสางง และยังมีอีกหลายความรู้สึกที่นางยังไม่เคยได้พูดออกไป…


 


ฉีหยุนเซี่ยงหมดสติไปในทันทีเพราะมิอาจยอมรับความจริงว่าซือหยูตายไปแล้วได้ ฉีตงไล่ตกตะลึงแต่ก็คว้าตัวของฉีหยุนเซี่ยงไว้ทันก่อนที่นางจะกระแทกกับพื้น


 


หลินหยุนฮีคิดถึงซือหยูและถอนหายใจอย่างโศกเศร้า


 


“แม้การลาจากนี้จะต้องกินเวลาไปอีกหลายปี พวกเราก็ลาจากกันเพียงโลกนี้และโลกหน้า…ข้ายังคงปรารถนาให้เขาได้คิดใหม่เรื่องการเป็นช่างฝีมือ…”


 


ความเดียวดายและเศร้าหมองฉาบใบหน้าแก่เฒ่า


 


ชายวัยกลางคนใบหน้าอำพันรู้สึกเวทนาไม่ต่างกัน


 


“น่าเสียดายเหลือเกิน บุรุษขัดบัญชาสวรรค์แห่งยุคดับสูญไปอย่างนี้ ช่างน่าเศร้าใจยิ่งนัก”


 


แต่เขาก็พูดต่อด้วยความประหลาดใจ


 


“แต่พื้นเพของเขาก็น่าสนใจนัก เกาะเฉินยี่เป็นสถานที่ที่มีรากเก้ามังกรแห่งทวีปเฉินหลง บุรุษผู้ขัดบัญชาสวรรค์เกิดที่นั่น! ช่างเหนือจินตนาการยิ่งนัก”


 


พื้นเพของซือหยูถูกสืบสวนจนกระจ่างชัดโดยพันธมิตรผู้คุมสวรรค์


 


ฉีตงไล่คิดไม่ต่างกัน


 


“ใช่แล้ว ใครจะไปคิดเล่าว่าหยินหยูจะเป็นศิษย์ของสำนักนิรนามในร้อยดินแดน?”


 


ซงหลวนพูดอย่างนับถือ


 


“ข้าถูกท่านเจ้าตำหนักชี้แนะตั้งแต่ยังเล็ก แต่ข้าก็ยังต่ำต้อยกว่าศิษย์จากดินแดนที่ไม่แม้แต่จะสร้างราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ได้ ข้าทำให้คำชี้แนะของท่านเจ้าตำหนักเสียเปล่า”


 


ฉีตงไล่ส่ายหน้า


 


“นี่เป็นความมุ่งหมายของพระเจ้า พวกเรามิอาจคาดหวังเกินไป หยินหยู…ไม่สิ ซือหยูตายไปแล้ว ประกาศให้โลกได้รับรู้เถอะ แม้ว่าตำนานราชาแห่งทวีปอุดรจะลาจากโลกใบนี้ไป เขาก็มิอาจหายไปเฉยๆโดยไม่มีผู้ใดได้ล่วงรู้”


 


แม้ว่าเขาจะตายไปแล้ว เขาก็ควรจะได้รับชื่อเสียงและเกียรติยศที่เขาสมควรได้รับ


 


******


 


ที่กลางทวีปเฉินหลง


 


สิ่งปลูกสร้างอันยิ่งใหญ่ตระการตาแผ่ขยายไปตลอดระยะสามหมื่นลี้ ยอดฝีมือนับร้อยล้านคนรวมตัวกันอยู่ในสิ่งปลูกสร้างนี้


 


คนที่โดดเด่นจากทั่วทุกมุมโล่งและเหล่ายอดฝีมือนับไม่ถ้วนรวมตัวกันอยู่ภายใน ภูเขาลูกยักษ์ทอดยาวไปถึงนภาทะลวงเมฆา สิ่งปลูกสร้างน้อยใหญ่รอบๆยอดเขาใหญ่ยักษ์นั้นราวกับธารดาราล้อมจันทรา


 


ทุกคนที่เห็นที่นี่ต่างต้องนับถือ นี่คือเครื่องหมายแห่งอาณาจักรทมิฬ จุดสูงสุดของทวีป! จุดสูงสุดที่ใกล้เคียงกับท้องนภาที่สุด! แค่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดนี้ก็มองผ่านได้ทั้งทวีปเฉินหลงไปถึงน่านน้ำ นี่คือตำหนักหลักของอาณาจักรทมิฬ สถานทีที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปเฉินหลง


 


ตระกูลโบราณทั้งแปดไม่กล้าแม้จะมาตั้งรกรากใกล้ที่นี่ นอกยอดเขา กลุ่มยอดฝีมือนั้นเทียบได้กับจำนวนเมฆาบนนภา ยังมีผู้คุมสวรรค์มากกว่าสิบคนที่สังเกตการณ์ผู้คนอย่างเงียบๆ


 


ทหารหลวงนั้นเข้มงวดและไม่เหมือนกับที่อื่นในทวีป! พวกเขาก้าวไปสู่ยอดเขา


 


เส้นทางกว้างขวางแผ่ขยายสามร้อยลี้อยู่ภายใน ตลอดทางจะพบยอดฝีมือขอบเขตอำมฤตยืนป้องกันอยู่นับหมื่นคน


 


“ยินดีต้อนรับจ้าวเฉินยิ่ง!”


 


“จ้าวเฉินยิ่ง!”


 


ทั้งหมื่นคนทำความเคารพเฉินยิ่งเมื่อเดินผ่าน


 


ในอาณาจักรทมิฬ จ้าวแห่งความมืดนั้นมีเกียรติยศอย่างไม่สิ้นสุด พวกเขาคือคนที่ผู้คนนับถือสูงสุดรองจากราชาแห่งความมืด


 


ลึกในเส้นทาง ในตำหนักอันงดงาม ชายหนุ่มในชุดดำสี่คนและชุดแดงหนึ่งคนนั่งอยู่ภายในอย่างเงียบๆ พวกเขาทำหน้าที่บัญชาการ พวกเขาดูทรงพลัง


 


คนที่อายุน้อยที่สุดมีอายุยี่สิบปี ที่แก่สุดอายุยี่สิบห้าปี แต่ทุกคนล้วนมีพลังอำมฤตระดับห้า! เป็นผู้คุมสวรรค์สามคนและราชามนุษย์หนึ่งคน!


 


ถ้าหากผู้มีพรสวรรค์อันน่ากลัวทั้งสี่อยู่กันอย่างกระจัดกระจาย พวกเขาก็คงจะถูกจัดการไปได้! แต่ที่นี่พวกเขาทั้งสี่มารวมตัวกัน


 


สุดท้ายคือหญิงสาวในชุดแดงที่ยืนอยู่ทางขวา นางสวมมงกุฎสีเพลิงบนศีรษะ ผ้าคลุมเพลิงอันงดงามยาวประพื้น มันดูเรียบง่าย เป็นธรรมชาติ และสง่างาม แสดงให้เห็นถึงร่างที่มีส่วนโค้งเว้า ใบหน้าราวหยกของนางมีชั้นไอวารีปกคลุม และไอวารีนั้นยังหนาทำให้ยากที่จะมองผ่าน


 


ชายหนุ่มทั้งสี่ยืนนิ่ง ส่วนนางนั้นถือตำราอ่านอยู่เงียบๆ นางง่วนอยู่กับการอ่านตำรา นางดูไร้เสียงดาและสง่างามอย่างมาก


 


“ข้าพาหลิงเสี่ยวเทียนมาที่นี่…”


 


เฉินยิ่งประกาศ


 


“เริ่มการไตร่สวนได้แล้ว”


 


จ้าวแห่งความมืดทั้งหกจะสอบสวนหลิงเสี่ยวเทียนร่วมกัน


 


เอ๋? เฉินยิ่งขมวดคิ้วและมองไปยังหญิงสาวชุดแดงที่ง่วนอยู่กับการอ่านตำรา


 


“ยี่หยู แม้เจ้าจะชอบอ่านตำรา เรื่องที่ต้องห่วงตอนนี้ก็คือคนที่กบฏต่ออาณาจักร โปรดวางตำราเถอะ”


 


กับยี่หยู เฉินยิ่งต้องสุภาพ เพราะอย่างไรนางก็เป็นแค่คนเดียวที่ได้สัมผัสกับราชาแห่งความมืด ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่นางจะต้องได้ความเคารพนับถือ


 


“ฮ่าๆๆ! เฉินยิ่ง เจ้าจะไปทำให้ยี่หยูลำบากใจทำไมเล่า? นางสาบานว่าจะมองดูสิ่งที่งดงามทั้งหมดและมองดูทุกสิ่งของโลก การอ่านตำราคือวิธีที่เร็วที่สุด ปล่อยให้นางอ่านไปเถอะ พวกเราสืบสวนกันเองจะดีกว่า”


 


แม้เฉินยิ่งจะไม่พอใจอยู่บ้าง เขาก็ทำอะไรไม่ได้ พวกเขารู้คำสาบานของยี่หยู นางคือหญิงสาวมหัศจรรย์ นางปรารถนาจะมองดูทุกสิ่งที่งดงามและธาตุแท้ของทวีป และนางก็ยังสาบานที่จะทำเช่นนั้นอย่างเด็ดเดี่ยว


 


“ย่อมได้…”


 


“เราจะเริ่มไตร่สวน หลิงเสี่ยวเทียนได้ขัดต่ออำนาจและทำให้ผู้ตรวจการบาดเจ็บสาหัส จากนั้นเขาก็เข้าท้าทายกำลังของทวีปเหนือ เรื่องที่เขาตั้งใจจะก่อกบฏต่ออาณาจักรเป็นความจริง!”


 


เฉินยิ่งสรุปความผิดของหลิงเสี่ยวเทียนเช่นนั้น จ้าวแห่งความมืดแต่ละคนมองหน้ากัน


 


“เฉินยิ่ง…”


 


“เรื่องผู้ตรวจการ พวกเราส่งคนไปสืบสวนแล้ว ไป่ฮีนั้นใช้อำนาจเพื่อเรื่องส่วนตัวและลอบโจมตีรองเจ้าตำหนัก เรื่องเช่นนี้สมควรถูกลงโทษ ในเรื่องนี้มิใช่ความผิดของหลิงเสี่ยวเทียน พวกเรามีหลักฐานและพยานมากมาย”


 


คนที่พูดคือราชามนุษย์อีกคน เขาคือจ้าวฉิงจูและเป็นจ้าวแห่งความมืดลำดับสาม เขาดูสะอาดสะอ้าน แววตานั้นเปล่งประกายอย่างนักปราชญ์


 


เฉินยิ่งสีหน้าเคร่งเครียด เขาเริ่มโกรธ จ้าวฉิงจูนั้นเจ้าเล่ห์นัก เขาใช้เวลาที่จ้าวเฉินยิ่งไปจับกุมหลิงเสี่ยวเทียนและแอบลงมือปกป้องหลิงเสี่ยวเทียน


 


พวกเขารู้ว่าหลิงเสี่ยวเทียนมิอาจถูกจ้าวไป่ลั่วสังหารได้ มิเช่นนั้นเขาจะต้องครอบงำจ้าวแห่งความมืดคนอื่นให้หมด ส่วนจ้าวแห่งความมืดที่ไม่ยอมจำนนก็จะต้องพบกับการกลั่นแกล้ง


 


“ส่วนเรื่องท้าทายขุมกำลังที่เจ้าพูดถึง เจ้ามีพยานหลักฐานหรือไม่?”


 


จ้าวฉิงจูถามอีกครั้ง


 


จ้าวเฉินยิ่งหยุดพูด ในตอนที่เก้าศักดิ์สิทธิ์เข้ามา จ้าววิหคเพลิงก็หายตัวไปและสมบัติเทพก็ถูกทำลายสิ้น


 


“เจ้าไม่มีหลักฐานอื่นใดแต่ก็ปักใจเชื่อว่านั่นเป็นความจริง นี่มันอคติไปหน่อย เจ้าทำให้พวกข้าผิดหวังยิ่งนัก”


 


จ้าวฉิงจูพูดเตือน


 


“นี่เป็นการตัดสินคดีกบฏ เรามิควรตัดสินอย่างอุกอาจเช่นนี้”


 


จ้าวฉิงจูหันไปหาจ้าวแห่งความมืดที่เหลือ


 


“พวกเจ้าคิดอ่านประการใด?”


 


แต่นอนว่าหลายคนนั้นเห็นด้วยกับฉิงจูและต่อต้านไป่ลั่ว


 


“ข้าคิดว่าท่านพูดถูก!”


 


“ข้าก็คิดว่าท่านพูดถูก!”


 


สุดท้ายก็เป็นคราวยี่หยู นางเลิกสนใจตำราและมองหลิงเสี่ยวเทียน นางพยักหน้า


 


“ข้าก็คิดเช่นนั้น”


 


ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าหลิงเสี่ยวเทียนไม่มีความผิด


 


“ตามกฎของจ้าวแห่งความมืดทั้งเจ็ด คนส่วนน้อยย่อมต้องยอมต่อคนส่วนมาก”


 


จ้าวฉิงจูยิ้มอย่างผู้กำชัย


 


เฉินยิ่งโกรธแค้น เจ้าคนพวกนี้!


 


แต่ก็มีเสียงดังมาจากสถานที่กว้างใหญ่


 


“เช่นนั้นรึ?”


 


“ไปลั่ว! เขามิได้บ่มเพาะพลังอยู่หรอกรึ?”


 


ทุกคนตกใจอย่างมาก


 


จ้าวฉิงจูสีหน้าเคร่งเครียด


 


“เจ้าก้าวข้ามสิ่งกีดขวางนั่นแล้วรึ? เจ้าสำเร็จระดับที่สัมผัสจักรวาลได้แล้วรึ?”

 

 

 


ตอนที่ 392

 

มีเพียงอำมฤตระดับห้าขั้นสูงที่สัมผัสสวรรค์ได้ มันเป็นขอบเขตกึ่งเทพที่แม้แต่ราชามนุษย์ก็มิอาจเอื้อมถึง! หากมาถึงระดับนี้ก็ไม่มีใครในขอบเขตอำมฤตที่เอาชนะเขาได้


 


ครืน—


 


ครืน—


 


ทันใดนั้นอำนาจกดดันก็แผ่กระจายไปทั่ว จ้าวแห่งมืดบางคนที่คาดไม่ถึงถึงกับตกจากเก้าอี้เมื่อถูกคลื่นกระแทก มีเพียงยี่หยูคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ขยับแม้แต่น้อย


 


“เขาสำเร็จระดับกึ่งเทพแล้ว!”


 


จ้าวฉิงจูชักสีหน้า เขาลำบากใจ


 


ก่อนหน้านี้ ไป่ลั่วเพียงแค่ใกล้เคียงระดับกึ่งเทพ พวกเขายังคงต่อกรได้หากร่วมมือกัน แต่ในตอนนี้ไป่ลั่วไปถึงขอบเขตกึ่งเทพ!


 


“ใช่แล้ว ข้าสำเร็จพลังนี่แล้ว และข้าเพียงส่งเสียงมาที่นี่”


 


จ้าวไป่ลั่วยังคงบ่มเพาะพลังอยู่


 


จ้าวฉิงจูสีหน้าเปลี่ยนไป


 


“ไปลั่ว เจ้าส่งเสียงมาถึงที่นี่ เจ้ามีเรื่องอะไรกัน?”


 


“ข้าจะเข้าร่วมการไตร่สวนด้วย!”


 


“ในสายตาข้า หลิงเสี่ยวเทียนต้องสงสัยเป็นกบฏ เขาอาจจะเป็นภัยถ้าหลุดรอดออกไป! ราชาแห่งความมืดยังคงบ่มเพาะพลังอยู่ สถานการณ์ของทวีปในตอนนี้นั้นลึกลับ พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ได้ลงมาถึงผืนดิน! สังหารเขาเสียจะเป็นการดีกว่า หลิงเสี่ยวเทียนควรถูกประหารเพราะเป็นคนทรยศ! เจ้าตำหนักหยินหยูก็ควรถูกประหารในข้อหาเดียวกัน แต่เขาหายตัวไปอยู่ที่ใดมิอาจล่วงรู้ เขาคงจะกลายเป็นภัยต่ออาณาจักรทมิฬตั้งแต่วันนี้ ทุกคนประหารเขาทิ้งได้ทันที! มีผู้ใดจะปฏิเสธหรือไม่?”


 


จ้าวฉิงจูโกรธแค้น นี่ควรจะเป็นจ้าวแห่งความมืดทั้งเจ็ดที่ตัดสินคดีร่วมกัน แต่ในตอนนี้ไป่ลั่วได้ตัดสินทุกอย่างด้วยตัวเอง — ราวกับว่าเขามีอำนาจของราชาแห่งความมืด!


 


แต่เมื่อคิดถึงพลังมหาศาลเมื่อครู่ จ้าวฉิงจูก็ต้องระวังตัวอย่างมาก เขาเลือกที่จะนิ่งเงียบ มันไม่คุ้มที่จะเอาตัวเข้าแลกกับไป่ลั่วเพื่อหลิงเสี่ยวเทียน


 


“ยี่หยู เจ้าคิดอ่านอย่างไรรึ?”


 


ไป่ลั่วถามยี่หยู


 


ยี่หยูก้มลงมองหลิงเสี่ยวเทียน


 


“เขาทุ่มเทให้กับอาณาจักร มันโหดร้ายเกินไปถ้าจะประหารเขาในทันที ข้าคิดว่าจองจำเขาไว้แล้วค่อยประหารในครั้งอื่นน่าจะดีกว่า”


 


“หึหึ!”


 


ไป่ลั่วหัวเราะ


 


“เช่นนั้นก็ตามยี่หยู เราจะประหารเขาในคราอื่น! พาตัวไป!”


 


ในพริบตา ผู้คุมสวรรค์หลายคนเข้ามาพาตัวหลิงเสี่ยวเทียนออกไป


 


หลิงเสี่ยวเทียนมองยี่หยูอย่างขอบคุณ ในสถานการณ์นี้ ยี่หยูไม่มีพลังจะช่วยเขา สิ่งที่นางทำได้คือการซื้อเวลาให้เขา ก่อนหน้านี้ยี่หยูถูกพาตัวมายังตำหนักรองในทวีปเหนือ นางติดหนี้หลิงเสี่ยวเทียน


 


“เอาล่ะ เรื่องจบแล้ว”


 


ไป่ลั่วพูดอย่างผู้ทรงอำนาจราชา


 


“แยกย้าย!”


 


แต่ยี่หยูก็พูดขึ้น


 


“ยังมีเรื่องที่ข้าต้องประกาศ!”


 


ผู้คนหันมามองนาง


 


“ตามคำสั่งท่านราชา…”


 


ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ–


 


ทุกคนรวมถึงเฉินยิ่งคุกเข่าลงฟังคำสั่ง


 


พรึ่บ–


 


ภาพฉายแสงปรากฏขึ้นในโถง มันคือการก่อตัวของจิตไป่ลั่วเพื่อเป็นตัวแทนว่าเขาอยู่ที่นี่ ทุกคนนั้นคุกเข่ายกเว้นเขา


 


ยี่หยูมองไป่ลั่วและพูด


 


“ตามบัญชาจากราชา งานเซ่นสวรรค์จะจัดขึ้นในอีกสามเดือน จ้าวแห่งความมืดทั้งเจ็ดต้องเตรียมงานฉลอง จะไม่มีการล่าช้า”


 


“ย่อมได้!”


 


จ้าวแห่งความมืดห้าคนตอบ!


 


มีแต่ไป่ลั่วที่พยักหน้าอย่างเยือกเย็น ภาพฉายแสงของเขาหายไป


 


ในตอนนี้ ทวีปเฉินลงกำลังสั่นคลอน ทวีปตอนเหนือกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คณะวิหคเพลิงถูกทำลายในวันเดียว — เหล่าศิษย์และจ้าวคณะถูกจองจำ สามขุมกำลังใหญ่แห่งทวีปอันประกอบด้วยหอสดับหิมะ พันธมิตรร้อยดินแดน และเมืองอันยี่ได้ก่อตั้งพันธมิตรอุดรทวีป!


 


และที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือตระกูลยี่ — หนึ่งในแปดตระกูลโบราณที่ควรจะหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ — ได้ปรากฏตัวอีกครั้ง! นายน้อยอู๋เหยายี่และเจ้าพันธมิตรที่เป็นเก้าศักดิ์สิทธิ์ ปกครองทั้งทวีปอุดร ข่าวนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง


 


สถานาการณ์ในทวีปเหนือนั้นเปลี่ยนแปลงอย่างมากตั้งแต่ที่ราชาแห่งความมืดเข้ามากวาดล้างในครั้งแรก หยินหยูได้บ่มเพาะฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์ด้วยจิตกบฏสวรรค์ เขาได้สร้างเนตรสวรรค์ขึ้นโดยใช้สวรรค์พิโรธสังหารตำนานเฉินคงเพียงการเหลือบมอง เขาได้กลายเป็นตำนานราชาคนใหม่ เขาใช้ร่างกายที ่บาดเจ็บสาหัสต่อสู้กับสามผู้คุมสวรรค์ด้วยตัวคนเดียว เขาทำให้สามผู้คุมสวรรค์บาดเจ็บอย่างรุนแรง


 


พลังอันมหาศาลเช่นนี้ทำให้หลายคนหวาดกลัว นามของตำนานราชาได้ดังกระฉ่อนทั้งทวีป ไม่มีใครลืมตำนานผู้นี้ไปได้


 


อีกเรื่องที่ทำให้คนในทวีปยินดีก็คือนายน้อยตระกูลยี่ ยี่เหยา ได้เชิญเหล่าวีรบุรุษของโลกเข้าร่วมงานวิวาห์ ว่ากันว่าเจ้าสาวคือหญิงสาวนามม่ออู๋ การจัดงานวิวาห์พร้อมกับการปรากฏตัวของตระกูลเช่นนี้ งานเลี้ยงจะต้องยิ่งใหญ่อย่างมากเป็นแน่


 


******


 


ที่อาณาจักรทมิฬ


 


ในคุกอันมืดมิดที่อาณาจักรทมิฬเก็บนักโทษทุกคนเอาไว้ มันมีการป้องกันอย่างแน่นหนา และไม่เคยมีผู้ใดหนีออกไปได้


 


ลึกในคุกมืด ห้องที่หลิงเสี่ยวเทียนอยู่นั้นแน่นหนาอย่างมาก แม้แต่ผู้คุมสวรรค์ก็พังให้เปิดออกไม่ได้


 


หลิงเสี่ยวเทียนหยิบหน้ากากนิรันดร์ออกมาและยิงพลังวิญญาณใส่ลงไป ซือหยูกับจ้าววิหคเพลิงถูกปล่อยตัวออกมา


 


ร่างของซือหยูส่งกลิ่นเหม็๋นเน่า แต่จ้าววิหคเพลิงนั้นนับว่าดีขึ้น มีเพียงฐานพลังของนางที่ถูกทำลาย


 


“หยินหยู!”


 


หลิงเสี่ยวเทียนอุทาน


 


“ตั้งแต่นี้ไปเจ้าห้ามพูดเด็ดขาด!”


 


เขาวางฝ่ามือลงบนแผ่นหลังของซือหยู คลื่นพลังสีแดงเข้าสู่ร่าง นั่นทำให้ซือหยูมีสีบนร่างกายขึ้นมาบ้าง ร่างของซือหยูค่อยๆฟื้นฟูตัวเอง


 


“นี่มัน…”


 


จ้าววิหคเพลิงแตะริมฝีปากมองหลิงเสี่ยวเทียน สีหน้าของนางผสมด้วยความประหลาดใจและตกใจ!


 


“ท่านเจ้าตำหนัก ท่านให้อะไรกับข้ากัน?”


 


ร่างที่ควรจะถูกทำลายคงอยู่ได้จนถึงตอนนี้ ซือหยูรับรู้ได้นานแล้วว่าเรื่องนี้นั้นประหลาดเกินไป


 


“เจ้าไม่ต้องรู้หรอก…”


 


“ไม่ต้องเป็นห่วง เจ้าดูดซับพลังที่ข้าให้เจ้าไปก็พอ นี่เป็นสิ่งเดียวที่ข้าทำให้เจ้าได้”


 


ซือหยูอ้าปาก เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็มิอาจพูดออกมาได้ ร่างของซือหยูปกคลุมไปด้วยแสงสีโลหิตอยู่สามชั่วยาม ร่องรอยพลังชีวิตได้กลับมาสู่ร่างกายที่ถูกทำลาย


 


ในตอนนี้มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก ซือหยูใช้หน้ากากนิรันดร์และเข้าไปหลบอยู่ภายในอีกครั้ง


 


เสียงฝีเท้าค่อยๆเข้ามาทีละน้อย นำพากลิ่นอันหอมหวานมาด้วย หญิงสาวสวมผ้าคลุมสีเพลิงเดินเข้ามา นางคือจ้าวยี่หยู


 


“เจ้าตำหนักหลิง ข้ามาถึงช้าเหลือเกิน”


 


ยี่หยูพูด


 


นางอยู่ที่หน้าประตู ไอวารีรอบใบหน้าสลายไป ใบหน้านางงดงามราวกับภาพเขียน ความงามของนางนั้นเหนือว่าหญิงสาวบนโลกมนุษย์


 


หลิงเสี่ยวเทียนโล่งใจ


 


“เป็นเจ้าจริงๆ เจ้ากลายเป็นจ้าวแห่งความมืดจริงๆ!”


 


“ขอบคุณที่ท่านชี้ตัวข้าในวันนั้น…”


 


“ข้ามิอาจพูดแทนความไม่เป็นธรรมที่ท่านต้องพบเจอได้ โปรดอภัยให้ข้า”


 


หลิงเสี่ยวเทียนส่ายหน้าหัวเราะ


 


“เจ้าไม่ต้องขอโทษข้าหรอก ข้าเข้าใจเรื่องภายในอาณาจักรมากเสียยิ่งกว่าเจ้า ไป่ลั่วมีอำนาจ แม้เจ้าจะท้าทายเขาก็อาจจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ มันจะทำให้เจ้าต้องเป็นอันตรายด้วยซ้ำ”


 


“ท่านเจ้าตำหนักไม่ต้องเป็นห่วง…”


 


“ข้าจะยืดวันประหารออกไปเพื่อหาทางช่วยชีวิตท่าน”


 


หลิงเสี่ยวเทียนปฏิเสธอย่างคาดไม่ถึง


 


“อย่าทำเช่นนั้น! ยืดวันประหารจะเป็นการแสดงให้มันเห็นว่าเจ้าคิดกับข้าเช่นใด ไป่ลั่วจะต้องระวังเจ้ามากขึ้น! การที่เจ้ามาเยี่ยมข้าก็เป็นไปตามแผนของเขา เจ้าช่วยข้าไม่ได้ แล้วเจ้าก็อาจจะทำให้ตัวเองลำบาก”


 


หลิงเสี่ยวเทียนเข้าใจข้อนี้ดี แล้วยี่หยูจะไม่เข้าใจได้อย่างไร?


 


“แต่ท่านเจ้าตำหนัก…”


 


“ข้ารู้ว่าท่านมิได้ทรยศอาณาจักร ท่านถูกเข้าใจผิด!”


 


หลิงเสี่ยวเทียนหัวเราะ


 


“ช่างเถอะ หากมโนธรรมของข้ายังดีอยู่ นั่นก็ดีแล้ว”


 


ยี่หยูรู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิม


 


“ท่านราชายังคงบ่มเพาะพลัง ข้ามิอาจรายงานเรื่องนี้ไปได้ ข้าได้แค่พึ่งตัวเองเท่านั้น”


 


หลิงเสี่ยวเทียนยืนขึ้น


 


“เจ้าไม่ต้องช่วยข้า ข้าที่ถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏอย่างไรก็ต้องตาย ข้าเพียงหวังให้เจ้าช่วยคนสองคน”


 


“ใครกัน?”


 


ยี่หยูมองรอบๆ


 


หลิงเสี่ยวเทียนตอบ


 


“รองเจ้าตำหนักหยินหยู เขามาถึงตำหนักรองทีหลังเจ้า ข้าติดหนี้เขา ข้าหวังว่าเจ้าจะแอบปล่อยเขาออกไปได้ ส่วนอีกคนคือจ้าววิหคเพลิง ฐานพลังของนางถูกทำลายไปแล้ว ข้าอยากจะให้เจ้าดูแลนาง”


 


รองเจ้าตำหนักหยินหยูรึ? ยี่หยูขมวดคิ้ว นางใจเต้นแรงแม้จะเพิ่งได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก


 


ซือหยู หยินหยู และยี่หยู ทั้งหมดนั้นต่างกันเพียงแค่คำเดียว


 


“ย่อมได้!”


 


ยี่หยูให้สัญญา


 


หลิงเสี่ยวเทียนพูดต่อ


 


“ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่มีอะไรติดค้างแล้ว ข้าจะหมดห่วงถ้าเจ้ายื้อเวลาให้ข้าได้สักครึ่งเดือน”


 


ยี่หยูพูดอย่างดึงดัน


 


“ข้าจะหาทางช่วยท่านให้ได้”


 


นางออกไปหลังจากพูดจบ


 


หน้ากากนิรันดร์สั่นเมื่อซือหยูออกมา เขากลัวว่าจะถูกพบตัวจากโลกภายนอก


 


“ใครมารึ?”


 


ซือหยูพูดด้วยความสงสัย


 


หลิงเสี่ยวเทียนยิ้ม


 


“ผู้มีพระคุณของข้า เอาเถอะ เจ้าหลับตาแล้วเงียบซะ เราต้องรีบแล้ว”


 


******


 


ครึ่งเดือนผ่านไปในพริบตา สภาพหลิงเสี่ยวเทียนนั้นดูเลวร้ายขึ้นในทุกๆวัน เขาซูบไปราวกับซากศพที่แห้ง


 


ส่วนซือหยูนั้นมีพลังชีวิตเพิ่มขึ้นมาอย่างมาก! บาดแผลฟื้นฟูแล้ว แต่ประสาทสัมผัสของเขายังคงย่ำแย่ กระดูกยังคงหัก อวัยวะภายในก็ยังคงไม่ฟื้นฟู ร่างกายของเขายังคงไม่รู้สึกอะไร


 


“ในที่สุดก็มาถึงก้าวสุดท้าย!”


 


หลิงเสี่ยวเทียนถอนหายใจยาว


 


พรึ่บ—


 


ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากด้านนอก เป็นจ้าวเฉินยิ่งที่เข้ามา


 


“หลิงเสี่ยวเทียน ตามข้ามา”


 


เฉินยิ่งอยู่ที่หน้าห้องขัง


 


“นี่เป็นวันประหารของเจ้า”


 


หลิงเสี่ยวเทียนสีหน้าเบื่อหน่าย


 


“ข้าถูกกำหนดให้ประหารในหนึ่งเดือน มันเหลือครึ่งเดือนตั้งแต่เมื่อใดกัน?”


 


เฉินยิ่งหัวเราะ


 


“เจ้าก็ควรจะเข้าใจนะ!”


 


เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องซับซ้อนรึ? ยี่หยูที่เข้ามาเยี่ยมหลิงเสี่ยวเทียนนั้นทำให้ไป่ลั่วไม่พอใจ การประหารจึงถูกเลื่อนเข้ามา


 


“ขอข้าอีกครึ่งวันเถอะ…”


 


หลิงเสี่ยวเทียนอ้อนวอน


 


“ขอข้าแค่ครึ่งวัน! ยังมีสิ่งที่ข้าต้องทำ”


 


หลิงเสี่ยวเทียนเป็นกังวล อีกก้าวเดียวซือหยูจะฟื้นฟูแล้ว


 


เฉินยิ่งหัวเราะอย่างเยือกเย็น


 


“เจ้าแทบจะดูไม่เป็นมนุษย์อยู่แล้ว เจ้ายังอยากจะขัดขืนอีกเรอะ? มากับข้า!”


 


เฉินยิ่งไม่สนใจการโต้แย้งของหลิงเสี่ยวเทียนและเปิดประตูห้องขังเพื่อจับตัวเขา หลิงเสี่ยวเทียนโกรธแค้นในแววตา อีกแค่ก้าวเดียว! แค่ก้าวเดียว!


 


ไป่ลั่วไม่สนใจกฎของอาณาจักร เขาเลื่อนวันประหารเข้ามา เขาไม่กลัวราชาแห่งความมืดจะลงโทษเขาหรืออย่างไรกัน?


 


เฉินยิ่งพาตัวเขาไปที่ยอดเขา


 


หลิงเสี่ยวเทียนมองรอบๆ


 


“เจ้าคิดจะประหารข้าอย่างลับๆรึ?”


 


“หึหึ! เจ้าเห็นเป็นอื่นรึอย่างไร?”


 


จ้าวเฉินยิ่งมองรอบๆ เขายิ้มอย่างเยือกเย็นและหัวเราะ


 


“เจ้าคิดจริงๆรึว่าพวกเราจะเสี่ยงประหารเจ้าล่วงหน้าอย่างเป็นทางการ? ผู้คนก็รู้แค่ว่าหลิงเสี่ยวเทียนพยายามจะหนีการไตร่สวน เฉินยิ่งจับตัวได้และประหารตามกฎก็เท่านั้น!”


 


เขากำลังจะตราหน้าให้หลิงเสี่ยวเทียนเป็นคนแหกคุก! เขาจึงต้องสังหารหลิงเสี่ยวเทียนด้วยเหตุนี้


 


“เจ้ากล้าเรอะ!”


 


หลิงเสี่ยวเทียนโกรธแค้น


 


“รับชะตาของเจ้าซะเถอะ หลิงเสี่ยวเทียน”


 


เฉินยิ่งหัวเราะอย่างเยือกเย็น


 


หลิงเสี่ยวเทียนโศกเศร้าอย่างมาก เขามิได้เพียงแค่จะตาย แต่เขากำลังจะถูกใส่ร้าย!


 


ความเด็ดเดี่ยว…ความบ้าคลั่ง ล้อมรอบกาย


 


“ก็ได้…ก็ได้…ก็ได้!”


 


เขาตะโกน


 


“เช่นนั้นก็ย่อมได้! ข้าจะใช้ท้ายสุดของชีวิตช่วยหยินหยู! ข้าจะใช้โลหิตหยดสุดท้ายสร้างอนาคตใหม่ให้กับเขา!”

 

 

 


ตอนที่ 393

 

“บนท้องนภา กระดูกขาวเยือกแข็งด้วยเหน็บหนาว เสียงปีศาจกระซิบบอกก้องจากนรก…”


 


หลิงเสี่ยวเทียนแหงนหน้าถอนหายใจ เขาถอนหายใจด้วยความโดดเดี่ยว


 


เฉินยิ่งเบิกตากว้าง


 


“ในแปดตระกูลโบราณ นั่นคือคำพูดแทนความโหดร้ายของตระกูลกุย แม้ว่าเจ้ากำลังจะตาย ทำไมเจ้าถึงพูดออกมาเล่า?”


 


ตระกูลกุย? ซือหยูเคยได้ยินมาก่อน


 


ในแปดตระกูลโบราณ ตระกูลกุยนั้นเป็นตระกูลที่ลึกลับและน่ากลัวที่สุด ว่ากันว่าพวกเขาเป็นลูกหลานของภูติผี ตั้งแต่เกิด พวกเขามีสายเลือดของปีศาจ พวกเขาสามารถกลืนกินแก่นของมนุษย์เพื่อพัฒนาตัวเอง นั่นเป็นความสามารถที่น่ากลัวอย่างมาก


 


ในแปดตระกูลโบราณ เจ็ดตระกูลอื่นนั้นหวาดกลัวตระกูลกุยอย่างมาก แต่จำนวนคนของตระกูลกุยนับว่ามีน้อย และลดน้อยลงในทุกยุคสมัย มิเช่นนั้นด้วยพลังที่พวกเขาดูดซับเนื้อหนังและฐานพลังได้ พวกเขาก็คงจะได้ปกครองทวีปไปนานแล้ว


 


ซือหยูจดจำคำนั้นขึ้นใจ


 


บนท้องนภา กระดูกขาวเยือกแข็งด้วยเหน็บหนาว เสียงปีศาจกระซิบบอกก้องจากนรก…


 


บนท้องนภา เสียงปีศาจกระซิบบอกก้องจากนรก


 


บนท้องนภา เสียงปีศาจกระซิบบอกก้องจากนรก


 


บนท้องนภา เสียงกระซิบบอกก้องจากนรก


 


หลิงเสี่ยวเทียน! ภูติผี! ตระกูลกุย!


 


หลิงเสี่ยวเทียนเป็นคนตระกูลกุย!


 


หัวใจซือหยูเต้นอย่างรุนแรง


 


“ราชาแห่งความมืด ข้าติดหนี้ท่านที่ช่วยชีวิตข้าในศกนั้น…”


 


“กุยเสี่ยวเทียนผู้นี้จดจำได้ขึ้นใจ แต่ตอนนี้ข้ามิอาจรักษาสัญญาได้อีกแล้ว ข้ากำลังจะผิดคำพูดกับท่าน!”


 


หลิงเสี่ยวเทียนคุกเข่าและแสดงความนับถือต่อราชาแห่งความมืดที่อยู่ไกลออกไป


 


เฉินยิ่งหรี่ตา


 


“กุย…? กุยเสี่ยวเทียน?”


 


เขาตกตะลึง


 


“หลายสิบปีก่อน ราชาแห่งความมืดที่ไม่เคยออกจากกลางทวีปได้พาชายหนุ่มที่เกือบตายผู้ถูกสหายทอดทิ้งทางชายดินตอนใต้ เขาตั้งชื่อคนผู้นั้นว่าหลิงเสี่ยวเทียน…แต่ตระกูลเจ้าคือกุย…?”


 


“บนท้องนภา กระดูกขาวเยือกแข็งด้วยเหน็บหนาว เสียงปีศาจกระซิบบอกก้องจากนรก…บนท้องนภา กระดูกขาวเยือกแข็งด้วยเหน็บหนาว เสียงปีศาจกระซิบบอกก้องจากนรก…ปีศาจ!”


 


เฉินยิ่งท่องตามคำตระกูลกุย เขาสีหน้าเคร่งเครียด แววตานั้นตกตะลึง


 


“เจ้าปีศาจ! หลิงเสี่ยวเทียน! เจ้า…เจ้าเป็นคนตระกูลกุย!”


 


เฉินยิ่งแทบพูดไม่ออก


 


“เป็นไปไม่ได้! ตลอดหลายยุคสมัย แปดตระกูลโบราณคือศัตรูคู่แค้นกับอาณาจักรทมิฬ ราชาแห่งความมืดจะเอาเจ้ากลับมาและทำให้เจ้าเป็นเจ้าตำหนักทำไมกัน? เป็นไปไม่ได้!”


 


ตัวตนที่แท้จริงของหลิวเสี่ยวเทียนคือคนตระกูลกุยซึ่งน่ากลัวอย่างมาก แต่หลิงเสี่ยวเทียนก็หัวเราะมองซือหยู ใบหน้าเขาโศกเศร้า


 


“ข้าสัญญากับราชาแห่งความมืดว่าจะไม่ให้โลกได้รับรู้เรื่องนี้…”


 


“แต่ข้าผิดสัญญาไปแล้ว! ตลอดครึ่งเดือน ข้ามอบสายเลือดปีศาจใส่ในกายเจ้า นั่นคือสิ่งเดียวที่ข้าจะช่วยเจ้าได้ — อนาคตที่ข้าให้เจ้าได้!”


 


ปลายดัชนีของหลิงเสี่ยวเทียนก่อร่างคลื่นพลังโลหิตใส่ในกายซือหยู


 


“นี่คือ…สุดท้าย”


 


เป็นเรื่องจริงที่ซือหยูยังไม่ตาย เขากลับฟื้นฟูขึ้นอย่างช้าๆ นั่นเป็นเพราะหลิงเสี่ยวเทียนมอบสายโลหิตปีศาจให้กับซือหยูงั้นรึ?


 


ความชิงชังและความตกใจโอบล้อมจิตใจซือหยู


 


“ท่านเจ้าตำหนัก…”


 


“ท่านกับข้ามิใช่ญาติมิตรหรือสหาย ข้ามิอาจรับสายโลหิตของท่านได้หรอก! โปรดหยุดเถอะ!”


 


แววตาซือหยูเต็มไปด้วยความกังวล แม้ว่าเขาอยากจะต่อต้าน ร่างกายของเขาก็มิอาจขยับได้ คลื่นโลหิตสุดท้ายเข้าสู่ร่างของซือหยู


 


หลิงเสี่ยวเทียนเหนื่อยอ่อนจนถึงขีดสุด


 


“แต่เดิม…”


 


“ข้าคิดจะใช้เวลาอีกครึ่งวันในการเปลี่ยนร่างของเจ้าโดยสมบูรณ์ — เพื่อที่จะได้เป็นคนตระกูลกุยโดยแท้จริง แต่ก็น่าเสียดายนักที่เวลามิอาจรอคอยผู้ใด ข้าทำได้แค่สละโลหิตเพื่อแทนตัวเร่งสาลโลหิตของปีศาจ”


 


ตามแผนของหลิงเสี่ยวเทียน ร่างกายของซือหยูจะเปลี่ยนไปอย่างมากในอีกครึ่งวัน เขาจะใช้สายโลหิตของตัวเองเพื่อทำให้ซือหยูได้รับพรสวรรค์ของตระกูลกุย แต่ในตอนนี้หลิงเสี่ยวเทียนทำได้แค่ใช้โลหิตของเขาแทนเพื่อให้ขั้นตอนสมบูรณ์ก่อนเวลา และคนคนเดียวที่จะใช้โลหิตสังเวยได้นั่นก็คือตัวหลิงเสี่ยวเทียนเอง


 


ฟึ่บ–


 


หลิงเสี่ยวเทียนกระชากแขนและรินโลหิตใส่ร่างซือหยู ชั้นโลหิตล้อมกายซือหยูราวกับผิวหนังชั้นที่สอง มันไหลซึมเข้าสู่ร่างซือหยู


 


ในร่างของซือหยู พลังได้ซึมผ่านเข้าไป กระดูกที่แตกหักเชื่อมต่อกัน! ในพริบตา กระดูกที่แหลกละเอียดก็หายไป ผลของมันเทียบได้กับโอสถฟื้นฟูกายา! ไม่สิ– ผลของมันนั้นยิ่งใหญ่กว่า รุนแรงกว่า และยังเร็วกว่าโอสถฟื้นฟูกายา!


 


ฟึ่บ ฟึ่บ–


 


เสียงของเหลวไหลเวียนดังมาจากภายในร่างของซือหยู ราวกับมีบางสิ่งกำลังจะตื่นขึ้น


 


แสงสีแดงซึมผ่านรูขุมขนของซือหยู มันกลายเป็นสีดำสนิทผ่านโลหิตที่รินไหลจากแขนของหลิงเสี่ยวเทียน ปีศาจได้กลืนกินโลหิตไปมหาศาล มันได้ส่งกลับมาถึงร่างกายของซือหยู นั่นทำให้ซือหยูฟื้นตัวด้วยความเร็วอันน่าตกใจ


 


ส่วนแขนของหลิงเสี่ยวเทียนนั้นเหี่ยวแห้งไปอย่างรวดเร็ว ผิวของเขาคล้ำลง ในพริบตา แขนนั้นแห้งราวกับกิ่งไม้


 


เนื้อหนังที่ถูกกลืนกินไปนั้นถูกกลืนกินไปพร้อมกับฐานพลัง ฐานพลังระดับผู้คุมสวรรค์ตกระดับลง และในเวลาเดียวกันฐานพลังของซือหยูก็เปลี่ยนแปลงจากอำมฤตระดับสามขั้นกลางมาเป็นระดับสามขั้นสูง!


 


เมื่อรับรู้ความตั้งใจของหลิงเสี่ยวเทียนก็ทำให้ซือหยูน้ำตาคลอ ลำคอของเขาแหบพร่า เขาตะโกนออกมาอย่างทุกข์ทรมาน


 


“หยุดเถอะ!”


 


หลิงเสี่ยวเทียนใช้ฐานพลังและเนื้อหนังของตัวเองในการทำให้พลังปีศาจเติมเต็มร่างกายของซือหยู! หลิงเสี่ยวเทียนจะตาย ทั้งหมดก็เพื่อซือหยู คนที่เขารู้จักมาไม่ถึงครึ่งปี คนที่ไม่ใช่ญาติ เพื่อเด็กหนุ่มที่กำลังจะตาย เขาใช้ชีวิตตัวเองปกป้องชีวิตของซือหยู!


 


ซือหยูตกใจจากก้นบึ้งของจิตวิญญาณ เขามองดูหลิงเสี่ยวเทียนปล่อยให้พลังปีศาจกลืนกินพลังของเขาอย่างสงบ ใบหน้าเขาเหี่ยวเฉาราวกับว่าเขาแก่ตัวลงไปยี่สิบปีและแก่ตัวลงในทุกวินาที ใบหน้านั้นแสดงเป็นนัยว่าเขากำลังจะเป็นอิสระ


 


“สายเลือดปีศาจเป็นทั้งพรและคำสาป…”


 


“ราชาแห่งความมืดบ่มเพาะข้าเพื่อหวังว่าจะได้ใช้ข้าในเวลาย่ำแย่ ภารกิจนี้…ข้าขอส่งต่อให้เจ้า…”


 


สายเลือดทำงาน ความเร็วในการดูดกลืนเร็วขึ้นไปเรื่อยๆ น้ำตาไหลอาบแก้มซือหยู เขาโศกเศร้าเป็นที่สุด เหตุใดหลิงเสี่ยวเทียนจึงต้องสละตัวเองเพื่อเขากัน?


 


“ไม่ต้องเศร้าหรอก…”


 


“ราชาแห่งความมืดบอกว่าภารกิจของข้าจะจบลงเมื่อข้าตาย ปีนี้เป็นปีสุดท้ายของข้า และข้ากำลังจะตาย ข้าเพียงแค่ส่งพลังปีศาจให้เจ้าล่วงหน้าไม่กี่เดือน ข้าขอโทษที่มิอาจช่วยเจ้าได้ ข้าเพียงแค่ได้แต่ฝืนฝากภาระหนักอึ้งและภารกิจฆ่าตัวตายให้เจ้า”


 


เสียงของหลิงเสี่ยวเทียนเบาลงอย่างมาก เนื้อหนังในกายเขาแทบไม่มีเหลือ เส้นผมขาวซีดและหลุดลอย เขาคือชายแก่ที่กำลังจะตาย! แต่เขาก็ยังคงมองซือหยูด้วยความเวทนาและความรู้สึกผิด ใบหน้าเขายินดีแม้จะรู้ว่าเขากำลังจะต้องแยกจากกับซือหยู


 


ชีวิตของเขาเกือบถึงขีดจำกัด เขากำลังจะตาย!


 


ส่วนซือหยู กระดูกที่แตกหัก เส้นโลหิตที่ขาด และอวัยวะภายในที่บาดเจ็บฟื้นฟูกลับมาสู่สภาพเดิม ฐานพลังของเขาพุ่งขึ้นมาจากอำมฤตระดับสามขั้นกลางมาเป็นอำมฤตระดับสี่ขั้นสูง!


 


ฐานพลังของหลิงเสี่ยวเทียนที่บ่มเพาะมาตลอดชีวิตได้ถูกส่งมาที่ซือหยูโดยสมบูรณ์!


 


ขั้นตอนทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาสั้นๆ แต่ก็รู้สึกราวกับตลอดกาล เมื่อเฉินยิ่งกลับมาได้สติ ทุกอย่างก็จบลงแล้ว


 


“พวกเจ้าหนีไปไหนไม่ได้แล้ว!”


 


เขาร้องคำราม ยากที่จะบอกว่าสีหน้าของเฉินยิ่งเป็นอย่างไร เขาตะโกนและดันฝ่ามือไปที่ศีรษะของหลิงเสี่ยวเทียน


 


ราชาแห่งความมืดได้พาหลิงเสี่ยวเทียนมาเพื่อเหตุผลอันยิ่งใหญ่ ถ้าราชาแห่งความมืดยังไม่ตายและรู้เรื่องว่าเฉินยิ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้…หลิงเสี่ยวเทียนกับคนของเขาตาย!


 


หลิงเสี่ยวเทียนยิ้มอย่างโล่งใจ แม้เขากำลังจะตาย เขาก็เผชิญหน้ากับความตายด้วยความหนักแน่น


 


“ไม่นะ! ท่านเจ้าตำหนัก!”


 


ซือหยูคำรามอย่างโกรธแค้น น้ำตาหลั่งไหลไม่ขาดสาย


 


ด้วยความตั้งใจอันแข็งแกร่ง ร่างของเขา — ที่ยังฟื้นฟูไม่เสร็จสิ้นดี…ถูกฝืนให้ขยับตัว


 


“อ๊าก! ข้าจะฆ่าเจ้า!”


 


ซือหยูยื่นฝ่ามือออกไป พลังปีศาจที่กลืนกินหลิงเสี่ยวเทียนได้กรีดร้องและย้ายตัวเองเข้าใส่เฉินยิ่ง เฉินยิ่งมิอาจป้องกันได้ แขนขวาของเขาถูกพลังเข้ากลืนกิน


 


อ๊าก—–


 


เฉินยิ่งกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แขนขวาของเขาได้กลายเป็นฝุ่นเถ้าในทันที! เนื้อหนังจากทั้งแขนของเขาถูกกลืนกินทั้งหมด!


 


แต่พลังปีศาจก็ยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น มันยังเคลื่อนตัวจากแขนไปยังลำตัว! แต่แม้จะเจ็บปวด เฉินยิ่งก็ยังคงตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาด เขารีบตัดแขนตัวเองเพื่อสลัดให้ร่างหลุดจากพลังปีศาจ


 


โลหิตกระจายไปทั่ว ความเจ็บปวดหยั่งลึกไปถึงดวงวิญญาณ ใบหน้ากระวนกระวายของเขาอัปลักษณ์ราวกับวิญญาณอาฆาต


 


“ขะ…แขนข้า!”


 


เขาตะโกนร้อง


 


“แขนข้า!”


 


ใบหน้าทั้งหวาดกลัวและชิงชัง


 


“เจ้าต้องทุกข์ทรมานยิ่งกว่าตาย!”


 


พลังของราชามนุษย์นั้นยิ่งใหญ่ พลังโลหิตหลอมรวมเป็นหนึ่ง ซือหยูที่เป็นอำมฤตระดับสี่ขั้นสูงกระเด็นลอยออกไป


 


พรึ่บ–


 


ซือหยูสะบัดมือสร้างสายลมรุนแรงเพื่อพาตัวหลิงเสี่ยวเทียนที่กำลังจะตายไปกับเขา เขาใช้แรงกระแทกเพื่อหลบหนี!


 


“หยุดอยู่ตรงนั้น!”


 


เฉินยิ่งตะโกน แววตานั้นเกลียดชังอย่างมาก เขาดูเหมือนอสูรจากส่วนลึกสุดของนรก


 


โฮก—


 


แต่พลังปีศาจก็พุ่งเข้าใส่เขาอีกครั้ง เฉินยิ่งไม่มีทางเลือกนอกจากถอยกลับ


 


ซือหยูใช้โอกาสนี้เก็บหลิงเสี่ยวเทียนในหน้ากากนิรันดร์และหนีต่อไป


 


น้ำตาจากซือหยูที่อยู่กลางอากาศหลั่งริน เขาตาแดงก่ำด้วยความแค้นไร้ขอบเขต


 


“พวกเจ้าทุกคนที่เปื้อนโลหิตเขาต้องตาย!”


 


“หยินหยูผู้นี้จะใช้จิตวิญญาณ ชีวิต และทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสาบานในครานี้ ถ้าข้าไม่ฆ่าพวกเจ้าให้หมด ข้าจะจมอยู่ในก้นบึ้งของโลกไปตลอดกาล!”


 


จมอยู่ในก้นบึ้งของโลกไปตลอดกาล! ความชิงชังของเขาดังก้องไปทั่วระยะสามหมื่นลี้ของอาณาจักรทมิฬ คนมากมายตกใจเมื่อได้ยิน เมื่อพวกเขาเงยหน้าก็เบิกตากว้าง


 


จิตสังหารช่างกล้าแกร่งนัก! ความชิงชังอันหยั่งรากลึก! มันไม่ต่างกันกับสวรรค์พิโรธ เสียงสะท้อนก้องไปทั่วสามหมื่นลี้! ไม่นานอาณาจักรทมิฬก็สั่นคลอน


 


เฉินยิ่งตกใจ ดวงวิญญาณของเขาสั่นสะเทือน ความแค้นในใจถูกข่มเอาไว้! ความชิงชังในแววตาแปรเปลี่ยนเป็นความโศกเศร้าที่กัดกินดวงใจ


 


จากนั้นเขาก็เยือกเย็นลงและสลัดพลังปีศาจออกไป เขาไม่พบตัวซือหยู แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ได้ทำให้ทุกคนตกใจ จ้าวแห่งความมืดทั้งห้ามาถึงเป็นกลุ่มแรก พวกเขาตกตะลึงเมื่อได้ยินคำสาบานที่ดังก้องนภา


 


“เกิดอะไรขึ้น…?”


 


ฉิงจูเริ่มถาม เขาตัวแข็งทื่อเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า


 


“เฉินยิ่ง แขนเจ้า…”


 


เขาพบแขนของเฉินยิ่งที่เหือดแห้งเปียกชุ่มไปด้วยโลหิต เขามองอย่างหวาดกลัว


 


จ้าวแห่งความมืดคนอื่นก็หวาดกลัวเช่นกัน


 


จ้าวเฉินยิ่งเป็นคนผิด เขาทำได้แค่กัดฟัน


 


“เป็นฝีมือหยินหยู เขาพาตัวหลิงเสี่ยวเทียนไปแล้ว!”


 


ทุกคนหรี่ตา หยินหยูแข็งแกร่งเพียงใดกัน? เขาช่วยคนที่อยู่ในมือจ้าวเฉินยิ่งได้อย่างไร? และหลิงเสี่ยวเทียนก็ควรจะอยู่ในคุก เขาจะถูกพาตัวมาที่นี่ได้อย่างไรกัน?


 


ใบหน้ายี่หยูเยือกเย็นเล็กน้อย


 


“เจ้า…พยายามจะประหารเขาล่วงหน้างั้นรึ? ลอบสังหารนักโทษน่ะรึ? กล้าดียังไง!”


 


นางโกรธแค้นและตกใจ นางคิดหาวิธีช่วยหลิงเสี่ยวเทียนมาตลอดครึ่งเดือน นางไม่คิดถึงเรื่องนี้เลย


 


เฉินยิ่งแสร้งใจเย็น


 


“ข้าเพียงพาเขาออกมาไตร่สวนเท่านั้น แต่เป็นหยินหยู เขา…เขาคือปีศาจจากตระกูลกุย!”


 


ทุกคนเบิกตากว้าง ตระกูลกุยรึ? ตระกูลที่น่ากลัวและลึกลับที่สุดในบรรดาแปดตระกูลโบราณน่ะรึ?


 


ทุกคนไม่ค่อยพอใจเมื่อก้มลงมองฝ่ามือของเฉินยิ่ง แปดตระกูลโบราณเป็นศัตรูอาฆาตแค้นของอาณาจักรทมิฬ คนเหล่านั้นไม่มีสิทธิ์มาที่ตำหนักหลักของอาณาจักร เขาจะต้องซ่อนตัวในตำหนักรองเพื่อเหตุผลอะไรบางอย่าง


 


ฟึ่บ–


 


เงาปรากฏขึ้น เป็นภาพฉายจากจ้าวไป่ลั่วที่อยู่ห่างออกไปสามพันลี้


 


“สั่งการแก่เหล่าจ้าวแห่งความมืด…”


 


จ้าวไป่ลั่วประกาศ


 


“ปีศาจมิอาจปล่อยให้รอดออกไปได้! ไล่ล่าหยินหยู ห้ามพลาดเด็ดขาด!”

 

 

 


ตอนที่ 394

 

ที่ห่างออกไกลออกไปหลายแสนลี้ ข้างสระอันงดงามกลางป่า ซือหยูปล่อยหลิงเสี่ยวเทียนกับจ้าววิหคเพลิงออกมาจากหน้ากากนิรันดร์


 


เส้นผมหลิงเสี่ยวเทียนขาวราวกับเส้นผมของซากศพ เขาเหลือชีวิตอีกไม่นาน


 


ปั้ง–


 


ซือหยูคุกเข่าลงกับพื้น น้ำตาไหลพราก ดวงตาบวมแดง


 


“ท่านเจ้าตำหนัก!”


 


ซือหยูตะโกนด้วยความโศกเศร้าและรู้สึกผิด


 


ชีวิตใหม่ของเขามิได้ถูกใครมอบให้ แต่เป็นการแลกชีวิตของหลิงเสี่ยวเทียนเพื่อเขา ซือหยูกับหลิงเสี่ยวเทียนนั้นนับว่าไม่ได้ใกล้ชิดกัน แต่ในตอนนี้เขาก็มอบชีวิตตัวเองให้เพื่อช่วยซือหยู!


 


หลิงเสี่ยวเทียนริมฝีปากสั่นระริก เขาฝืนยิ้ม


 


“ดีเหลือเกินที่เจ้ายังไม่ตาย…”


 


ซือหยูเจ็บปวด


 


“ท่านเจ้าตำหนัก ข้าจะใช้ชีวิตของข้าช่วยท่าน!”


 


หลิงเสี่ยวเทียนส่ายหน้า เขาที่โล่งใจพูดด้วยเสียงแหบพร่า


 


“ข้าไม่เสียใจอีกแล้ว…ก่อนตาย ข้าหวังว่าเจ้าจะสัญญากับข้าได้สักสองอย่าง”


 


ซือหยูพยักหน้า


 


“ข้าทำได้ทั้งนั้น”


 


“สาบานกับข้า ว่าเจ้าจะไม่ใช้พลังปีศาจกับคนในอาณาจักรทมิฬ ข้าเป็นคนของอาณาจักรทมิฬแม้จะยามตกตาย ถ้าเจ้าฆ่าพวกเขาด้วยพลังนี้ ข้าก็คงละอายใจที่จะต้องพบคนเหล่านั้นในโลกหน้า”


 


ซือหยูเงียบกริบ เฉินยิ่งกับไป่ลั่วเป็นคนที่เขาต้องสังหาร


 


“ย่อมได้! ข้าสัญญา! ข้าจะไม่มีวันใช้พลังปีศาจกับคนของอาณาจักร!”


 


เขาอาจจะไม่ต้องใช้พลังปีศาจในการสังหารคนพวกนั้น


 


“อีกข้อ…”


 


“หากราชาแห่งความมืดตกอยู่ในอันตราย โปรดเข้าช่วยเขา แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตของเจ้า!”


 


ซือหยูตอบอย่างไม่ลังเล


 


“ย่อมได้ แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตข้า!”


 


หลิงเสี่ยวเทียนโล่งใจ


 


“นอกจากสิ่งนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว”


 


ซือหยูก้มคุกเข่า หลิงเสี่ยวเทียนหลับตา เขาหายใจรวยริน เขายังคงเป็นห่วงซือหยูแม้ตัวกำลังจะตาย


 


“หากข้าตาย เจ้าจะต้องใช้ชีวิตให้ดี อย่าคิดล้างแค้นให้ข้า ใช้พลังปีศาจให้ดี…”


 


หลิงเสี่ยวเทียนปากสั่น


 


“สุดท้าย จงถนอมตัวให้มากขึ้น ขั้นแรกของพลังปีศาจมีพลังร้ายที่ส่งผลกับเจ้าของ เจ้าต้องใช้พลังสตรีในการข่มพลังนั้น จงอย่าลืมเรื่องนี้”


 


ซือหยูตอบ


 


“หากข้าหาพลังสตรีไม่ได้จะเกิดอะไรขึ้นรึ?”


 


“ฐานพลังที่เจ้าดูดซับไปจะไร้ผล เจ้าจะกลับไปมีพลังเท่าเดิม มันจะเกิดขึ้นในขั้นแรกเท่านั้น หลังจากที่เจ้าคุ้นเคยกับพลังปีศาจแล้วมันจะไม่เกิดอีก เจ้าดูดซับฐานพลังของข้ากับเฉินยิ่งไปแล้ว จงตามหาพลังสตรีโดยเร็ว”


 


หลังพูดจบ หลิงเสี่ยวเทียนหลับตาเป็นครั้งสุดท้าย ประสาทสัมผัสของซือหยูหยุดนิ่ง เขาปล่อยพลังวิญญาณออกมาเพื่อยื้อชีวิตหลิงเสี่ยวเทียนทันที แต่หลิงเสี่ยวเทียนนั้นเป็นดั่งก้นบึ้งไร้ขอบเขต พลังวิญญาณหายไปทันทีที่เข้าสู่ร่างของเขา


 


จ้าววิหคเพลิงเดินเข้ามา สีหน้านางเคร่งเครียด


 


“ไม่ได้ผลหรอก พลังชีวิตของเขาหมดไปแล้ว เจ้าช่วยชีวิตเขาด้วยพลังวิญญาณไม่ได้”


 


ซือหยูใจหาย เขากระวนกระวาย หลิงเสี่ยวเทียนกำลังจะตายรึ? ตั้งแต่ที่ลี่กวงตายเพราะช่วยเขา ซือหยูได้ใช้ชีวิตโดยมีปมนั้นผูกอยู่ในจิตใจ เขารู้สึกผิดจวบจนถึงวันนี้ เรื่องแบบเดิมกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งรึ?


 


“ให้ข้าลองดูหน่อย”


 


จ้าววิหคเพลิงเฉือนนิ้ว หยดโลหิตที่มีพลังเพลิงหยดลงมา


 


หยดโลหิตหยดลงบนกากหน้าผากหลิงเสี่ยวเทียนและซึมสู่ร่าง ในตอนนั้น ความอบอุ่นเข้าสู่ร่างกายของเขา


 


“นั่นเป็นพลังของสายเลือดข้า…”


 


“มันจะยื้อชีวิตเขาได้สามเดือน แต่มันก็ได้เพียงเท่านั้น ไม่ว่าจะมีโลหิตมากเท่าใด ถ้าเจ้าช่วยเขาไม่ได้ในสามเดือน ทุกอย่างก็จบสิ้น”


 


ซือหยูดีใจมาก เขาคุกเข่าขอบคุณจ้าววิหคเพลิง


 


“ขอบคุณท่านจ้าวคณะ! หยินหยูผู้นี้จะไม่มีวันลืมพระคุณ”


 


นั่นดูเป็นเพียงโลหิตเพียงหยดเดียว แต่จ้าววิหคเพลิงก็หน้าซีด แก่นโลหิตนั้นเป็นสิ่งที่มีจำกัด และจ้าววิหคเพลิงยังเจ็บหนัก แก่นโลหิตนั้นยังจำเป็นต้องใช้เพื่อคงฐานพลัง การปล่อยมันออกมาไม่ต่างกับการทำให้นางตกอยู่ในอันตรายยิ่งกว่าเดิม ไม่มีสิ่งใดตอบแทนนางได้


 


จ้าววิหคเพลิงนั้นมองซือหยูด้วยความหลงใหล ซือหยูนั้นแสดงความจริงจังและความตกใจเมื่อนางเข้าช่วย นางคิดว่ายากนักที่จะได้เจอคนที่ภักดีอย่างซือหยู


 


ถ้าหากนางยังเป็นสาวและได้พบกับตำนานราชา…ที่รูปลักษณ์งดงามและเที่ยงธรรมเช่นนี้…นางอาจจะรักเขาหมดหัวใจ


 


จ้าววิหคเพลิงยิ้มเมื่อคิดเช่นนี้


 


“อย่าห่วงไปเลย…”


 


จ้าววิหคเพลิงพูดอย่างเด็ดเดี่ยว


 


“ฐานพลังข้าถูกทำลายไปแล้ว พลังของสายเลือดคงจะเปล่าประโยชน์ ให้ข้าใช้ช่วยชีวิตคนไม่ดีกว่ารึ?”


 


แต่นางมิอาจปิดบังความผิดหวังในน้ำเสียงได้ นางได้กลายเป็นคนไร้ค่าจากที่เคยเป็นผู้คุมสวรรค์ ความแตกต่างอันมหาศาลนี้ยากที่จะยอมรับ และนางยังต้องแบกรับความโศกเศร้าของเหล่าศิษย์นับไม่ถ้วน ฐานพลังนางถูกทำลายไป นางมิอาจแก้แค้นให้เหล่าศิษย์ได้อีก


 


ซือหยูเงยหน้ามองไปหน้าอันงดงาม ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ ซือหยูประทับใจในความอ่อนโยนของจ้าววิหคเพลิง นางโอบอ้อมอารีและบริสุทธิ์ผุดผ่อง แม้ว่านางจะอายุเกินกว่าสี่สิบปี นางก็ยังดูราวกับหญิงสาวในวัยยี่สิบ รูปลักษณ์ของนางนั้นงดงาม นางเป็นหญิงงามที่มีจิตใจอันงดงาม หากในชีวิตก่อนหน้าซือหยูได้พบกับสตรีเช่นนี้ เขาคงจะรักนางจนหมดหัวใจ


 


จ้าววิหคเพลิงหัวใจเต้นแรงเมื่อถูกซือหยูมองเช่นนั้น สายตาของซือหยูทำให้นางทำตัวไม่ถูก


 


เขาตาบอดอย่างเห็นได้ชัด จ้าววิหคเพลิงพูดในใจ เหตุใดเขาถึงส่งสายตาอันน่าจับตาเช่นนั้นได้เล่า?


 


นางคิดว่าซือหยูเสียการมองเห็นไปและใช้ประสาทสัมผัสในการแสดงออก


 


“เจ้าคิดจะทำอะไรต่อไปรึ?”


 


จ้าววิหคเพลิงถามเปลี่ยนเรื่องเพื่อขจัดความกระอักกระอ่วน


 


“ข้าจะกลับไปตำหนักรองเพื่อหาของที่ใช้ช่วยท่านเจ้าตำหนัก”


 


“แล้วเซี่ยนเอ๋อเล่า?”


 


จ้าววิหคเพลิงถามอย่างอ่อนโยน นางอิจฉาเซี่ยนเอ๋อที่ได้มีสามีเช่นซือหยู


 


ซือหยูเงียบไปชั่วครู่ น้ำเสียงของเขาลึกซึ้ง


 


“ท่านเจ้าตำหนักมอบชีวิตที่สองให้ข้า ท่านเจ้าตำหนักกำลังตกอยู่ในอันตราย ข้ามิอาจยกเรื่องของตัวเองมาใส่ใจ ถ้าข้าช่วยชีวิตท่านเจ้าตำหนักไม่ได้ ข้าก็มิอาจหาความสุขสงบ…หรือใช้ชีวิตที่หลงเหลือกับเซี่ยนเอ๋อ นี่คือความโศกเศร้าที่มิอาจเอาชีวิตแลกได้”


 


เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นแล้วกับลี่กวง ซือหยูจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นกับหลิงเสี่ยวเทียนอีกคนได้อย่างไร?


 


จ้าววิหคเพลิงมองอย่างนับถือ นางประทับใจซือหยูอย่างมาก เขาต่อสู้กับสวรรค์เพื่อสตรีอันเป็นที่รัก แต่ก็สู้เพื่อผู้มีพระคุณด้วยโดยไม่ถูกความรักฉุดเอาไว้ บุรุษเช่นนี้สูงส่งโดยแท้จริง เหตุใดนางถึงไม่เคยได้เจอกับคนเช่นนี้มาก่อน?


 


“แล้วท่านล่ะ?”


 


ซือหยูถามอย่างกังวล


 


จ้าววิหคเพลิงฝืนหัวเราะ


 


“ฐานพลังข้าถูกทำลายไป คนพิการอย่างข้าจะไปทำอะไรได้? ข้าต้องเก็บความโศกเศร้าและกลายเป็นสามัญชน หาบุรุษแต่งงานและใช้ชีวิตต่อไปจนตาย”


 


หาบุรุษเพื่อแต่งงานรึ? ซือหยูรู้สึกเวทนาที่สตรีอันงดงามต้องตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้


 


“ข้าขอโทษที่ช่วยอะไรท่านไม่ได้…”


 


ซือหยูขอโทษอย่างจริงใจ ผลของโอสถนพอาสัญนั้นแพร่กระจายไปยังทุกส่วนของจ้าววิหคเพลิง จะมีวิธีอื่นใดนอกจากหายาแก้พิษเล่า?


 


จ้าววิหคเพลิงยิ้ม


 


“การที่เจ้าช่วยชีวิตข้าก็เป็นสิ่งที่ข้ามิอาจตอบแทนได้อยู่แล้ว ข้าจะฝืนให้เจ้าช่วยข้าขจัดพิษได้อย่างไรอีก?”


 


ทั้งสองนิ่งเงียบไป


 


ซือหยูเก็บหลิงเสี่ยวเทียนในหน้ากากนิรันดร์ เขายื่นมือไปหาจ้าววิหคเพลิง


 


“ไปเถอะ ข้าจะพาท่านไปหาที่ปลอดภัย”


 


จ้าววิหคเพลิงรู้สึกประหลาดเล็กน้อยเมื่อยื่นมืออันอ่อนนุ่มไปหาฝ่ามือใหญ่อันอบอุ่นของซือหยู นางรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าตกใจในฝ่ามือ นางหัวใจเต้นแรงจากนั้นก็หัวเราะให้กับตัวเอง ทำอะไรของข้ากัน? เขาเป็นแค่เด็กนะ


 


และเขายังมีคู่หมั้นเป็นศิษย์ของนาง สถานะระหว่างกันนั้นกว้างเกินไป นางไม่ควรจะเป็นสุขเพราะความคิดต่ำช้าเช่นนี้


 


จ้าววิหคเพลิงข่มใจและพูดตามปกติ


 


“ไปกันเถอะ”


 


ซือหยูพยักหน้าย่อตัวเตรียมจะอุ้มจ้าววิหคเพลิงขึ้น แต่ในตอนนั้นเขาก็ตัวสั่นอย่างรุนแรง เขาตัวแข็งทื่ออยู่กับพื้น


 


เหงื่อเม็ดโตไหลจากหน้าผาก เขาเจ็บปวดอย่างมาก ใบหน้าเขาบวมแดงอย่างรวดเร็ว ไอโลหิตล้อมรอบกาย สถานการณ์กำลังเปลี่ยนไป!


 


“แย่แล้ว! พลังปีศาจ!”


 


ซือหยูรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง


 


เขารีบหาสมบัติในตัวที่มีพลังสตรี ตามที่หลิงเสี่ยวเทียนบอก การได้รับพลังปีศาจเป็นครั้งแรกนั้นยากที่จะควบคุม เขาต้องหาสมบัติที่มีพังสตรีเพื่อทำให้พลังปีศาจสงบลง มิเช่นนั้นฐานพลังของเขาจะลดลง หรือแย่กว่านั้น…ชีวิตของเขาจะเป็นภัย! แต่เขามีของอยู่แค่สองสามชนิด ไม่มีอะไรเลยที่มีพลังสตรี


 


“ท่านจ้าวคณะ ท่านมีสมบัติที่มีพลังสตรีอยู่หรือไม่?”


 


ซือหยูขอความช่วยเหลือ


 


ในตอนนั้น ทั้งร่างของเขาแดงก่ำ ฐานพลังไม่คงที่ ถ้าหากช้าไปกว่านี้ฐานพลังของเขาจะต้องตกลงมาอยู่ที่เดิมแน่นอน


 


จ้าววิหคเพลิงก็อยู่ด้วยในตอนที่หลิงเสี่ยวเทียนบอกซือหยูเรื่องนี้ เมื่อนางเห็นดังนั้นก็ชักสีหน้า ฐานพลังของหลิงเสี่ยวเทียนที่มอบให้ซือหยูกำลังจะสูญเปล่า ชีวิตของซือหยูกำลังมีภัย และซือหยูในตอนนี้ต้องการฐานพลังอย่างเร่งด่วน การตกไปอยู่ในอำมฤตระดับสามนั้นนับว่าเป็นภัยพิบัติสำหรับเขา เขาอาจจะหนีออกไปจากทวีปกลางไม่ได้


 


จ้าววิหคเพลิงหัวใจหยุดเต้น นางหาจนทั่วทั้งตัวแต่ก็ไม่มีสมบัติที่มีพลังสตรี


 


“ข้าไม่มีอะไรเลยเหมือนกัน!”


 


นางเศร้าหมอง


 


นางถูกจับตัวและไม่มีเวลาให้เตรียมสมบัติที่มักจะพกติดตัว นางเป็นกังวลเมื่อเห็นฐานพลังของซือหยูเริ่มลดลง


 


ซือหยูทั้งผิดหวังและขมขื่น


 


“ฐานพลังที่ท่านเจ้าตำหนักมอบให้ข้า…กำลังจะสูญเปล่าไปทั้งแบบนี้!”


 


จ้าววิหคเพลิงรู้สึกสงสารเมื่อเห็นสีหน้าของซือหยู เขาโทษตัวเองอย่างรุนแรงแต่นางก็ไร้สมบัติที่มีพลังสตรี


 


เดี๋ยวสิ…


 


ทันใดนั้นนางก็คิดอะไรขึ้นมาได้ นางสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลังจากที่ลังเล ดูเหมือนว่านางกำลังจะตัดสินใจเรื่องสำคัญ สุดท้ายนางก็กัดฟัน ใบหน้านางแดงระเรื่อ


 


“ถ้าเจ้าไม่ว่าอะไร…”


 


“ข้าจะช่วยเจ้าเอง”


 


ซือหยูประหลาดใจแต่ก็ทำได้แค่ตอบรับ


 


“ขอบคุณท่านจ้าวคณะ”


 


ซือหยูโล่งใจอย่างมากเมื่อได้ยินคำพูดของจ้าววิหคเพลิงในตอนนี้ฐานพลังกำลังลดลง แต่จ้าววิหคเพลิงก็ลังเล นางขบริมฝีปากจ้องมองซือหยู แววตานั้นซับซ้อน มีน้ำตารื้นอยู่ในดวงตานั้น


 


ซือหยูตกใจ


 


“ท่านจ้าวคณะ…นี่มันอะไรกัน?”


 


จ้าววิหคเพลิงสีหน้าไร้อารมณ์


 


“หลับตาเถอะ”


 


ซือหยูตัวแข็งทื่อ เขาหลับตา


 


กลิ่นอันหอมหวานเข้าจู่โจมในตอนที่เขาหลับตา ซือหยูตกใจแต่สติของเขาก็หลุดลอยออกไป


 


ในตอนที่หมดสติ เขาได้ยินเพียงแค่เสียงลมหายใจเบาๆและเสียงที่ไม่ไกล จากนั้นเขาก็รู้สึกถึงความอบอุ่นประหลาดก่อนที่สติจะหายไปจนหมดสิ้น

 

 

 


ตอนที่ 395

 

ครึ่งวันผ่านไป ซือหยูตื่นขึ้น จ้าววิหคเพลิงหายตัวไปแล้ว


 


เขารู้สึกสับสนเมื่อลืมตา เขารู้สึกได้ว่าพลังปีศาจที่บ้าคลั่งได้สงบลงแล้ว ไอโลหิตที่ผิวกายก็หายไปเช่นกัน ฐานพลังของเขามั่นคงอีกครั้ง อันตรายคลี่คลายไปแล้ว


 


เขาลุกขึ้นและเห็นว่าตัวเองไม่ได้สวมสิ่งใดเลย เขาพบของใช้สตรีสองชิ้นทิ้งไว้ที่พื้น บุพผาเปล่งประกายส่งกลิ่นหอมอันไร้สิ้นสุด


 


“นี่มันอะไรกัน..?”


 


ซือหยูเริ่มคิด เขาจึงเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น


 


“ซือหยู…”


 


เสียงดังเข้าสู่หูของเขา


 


เขามองไปทางต้นเสียงและพบสร้อยหนกที่ใช้เพื่อส่งข้อความ มันติดอยู่กับตัวของซือหยูและเริ่มส่งเสียง


 


“ธาตุหยินนับว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของพลังสตรี…”


 


เป็นเสียงของจ้าววิหคเพลิง


 


“ข้าขออภัยที่ไม่ถามความเห็นของเจ้า ข้าทำให้เจ้าสลบและรักษาเจ้า”


 


ซือหยูตัวสั่นอย่างบ้าคลั่ง อย่างที่คิด! จ้าววิหคเพลิงใช้ครั้งแรกอันล้ำค่าของนางที่นางเก็บไว้หลายสิบปีเพื่อช่วยซือหยู


 


“เจ้าไม่ต้องโทษตัวเองอีกแล้วล่ะ…”


 


“เจ้าตำหนักหลิงไม่ลังเลที่จะมอบชีวิตเพื่อช่วยเจ้า ข้าเพียงแค่ทิ้งส่วนหนึ่งของข้าไปเท่านั้น และเมื่อพวกเราเชื่อมต่อกัน ส่วนเล็กๆของพลังปีศาจในร่างเจ้าก็เข้ามาสู่ร่างข้าและกลืนกินพิษของโอสถนพอาสัญไป มันเปลี่ยนโอสถให้กลายเป็นพลังบริสุทธิ์ นอกจากได้ฐานพลังคืนมาแล้วข้ายังมีพลังเหนือกว่าเดิม ข้าหวังว่าจะได้เป็นราชามนุษย์ในอีกไม่นาน ถือว่าข้าได้สิ่งตอบแทนจากการสูญเสียนี้ ดังนั้นเจ้าไม่ต้องรู้สึกผิด เรื่องระหว่างเจ้ากับข้าให้คลี่คลายลงเท่านี้เถอะ”


 


“สุดท้าย…”


 


“เก็บเรื่องนี้จากเซี่ยนเอ๋อแล้วลืมข้าไปซะ”


 


ประโยคสุดท้ายตามมาด้วยเรื่องสะอื้น


 


“แล้วก็…ถนอมตัวด้วย”


 


ซือหยูฟังข้อความ เขาตัวแข็งทื่อ จ้าววิหคเพลิง สตรีที่เขาแทบไม่รู้จัก ได้เลือกมอบตัวเองให้กับเขา เพียงเพื่อช่วยเขา


 


ความรู้สึกอบอุ่นก่อตัวในจิตใจ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร แล้วเซี่ยนเอ๋อเล่า? บางทีพวกเขาอาจจะถูกลิขิตให้ไม่มีทางได้อยู่ร่วมกัน และเป็นเช่นเดียวกับเจียงซื่อฉิงและองค์หญิงหยุนหยาน เขาจะมีหวังได้ชดเชยพวกนางอย่างไร? พวกนางได้กลายเป็นความเสียใจตลอดกาลในจิตใจซือหยู


 


ซือหยูถอนหายใจและพาหลิงเสี่ยวเทียนหายตัวไปจากที่เดิม


 


******


 


หลายวันผ่านไป ที่ตำหนักรองทวีปเหนือ


 


เขตหยินหยูนั้นหนาวเย็นและแห้งแล้ง ความโศกเศร้าปะปนอยู่กับบรรยากาศ ข่าวเรื่องที่เกิดขึ้นในคณะวิหคเพลิงแพร่กระจายมาถึงที่นี่


 


ตำนานเกิดขึ้น เจ้าตำหนักหยินหยูได้เอาชนะผู้มีพรสวรรค์ทั้งหมดในทวีป เขาเป็นครองบัลลังก์ราชาไปหลายยุคสมัย ความเปล่งประกายเช่นนี้จุดประกายในใจของผู้คน


 


แต่ข่าวหลังจากนั้นก็คือข่าวที่เขาถูกจับตัวไปลงโทษในตำหนักหลัก


 


เด็กเล็กถอนหายใจมองผู้เฒ่าฟาง


 


“ผู้เฒ่าฟาง ท่านเจ้าตำหนักไม่อยู่ที่นี่แล้ว แม่นางฉีก็หายตัวไป เขตหยินหยูของพวกเรากลับไปเป็นดังเดิม”


 


ผู้เฒ่าฟางโศกเศร้า


 


“ผู้คนผ่านมาแะลจากไป ทุกคนก็แค่ผ่านมา…”


 


ในตอนนั้นเอง สายตาของผู้เฒ่าฟางเคร่งเครียด เขามองไปทางขอบนภา


 


“อู๋หยางหลง ปรากฏตัวออกมาเร็ว!”


 


เสียงสวรรค์ดังมาจากระยะหลายหมื่นลี้


 


เขตทั้งสิบในตำหนักรองได้ยินเสียงนี้อย่างชัดเจน


 


“นี่มันท่านเจ้าตำหนักหยินหยู! เขายังไม่ตาย!”


 


เสียงความยินดีดังมาจากเขตหยินหยู ตำหนักหลักได้ตราหน้าว่าหยินหยูเป็นผู้ร้าย แต่ข่าวนี้ยังไม่มาถึง


 


อู๋หยางหลงยังคงอยู่ในตำหนักหลิงเสี่ยวเพื่อรอหลิงเสี่ยวเทียนกลับมา เขาบินไปเหนือน่านน้ำ


 


“ท่านเจ้าตำหนักหยินหยู!”


 


พรึ่บ–


 


จากนั้นซือหยูก็ร่อนลงมา


 


“ท่านผู้นำตระกูลอู๋หยาง…”


 


“ข้าขอพูดสั้นๆ สมบัติเทพโลงศพมังกรหมอกยังอยู่กับท่านหรือไม่?”


 


ซือหยูกลับมาที่ตำหนักรองเพื่อสมบัติเทพชิ้นนี้


 


อู๋หยางหลงครุ่นคิดและร่อนลงกับพื้น เขาเรียกโลงศพรูปร่างดั่งมังกรออกมา ซือหยูดีใจ เมื่ออู๋หยางหลงย้ายที่ตั้งของตระกูล เขาก็พาโลงศพมังกรหมอกมาด้วย


 


“ท่านเจ้าตำหนักหยินหยู หากท่านต้องการก็เอาไปได้เลย…”


 


อู๋หยางหลงพูดอย่างขอบคุณซือหยูจากก้นบึ้งของจิตใจ


 


“ขอบคุณเจ้ามาก…”


 


“โลงศพมังกรหมอกยังมีพลังที่ใช้รักษาข้าในตอนนั้นอยู่หรือไม่?”


 


อู๋หยางหลงตอบอย่างผิดหวัง


 


“ข้าเกรงว่าจะไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว การช่วยท่านนั้นเป็นเวลาที่สมบัติเทพต้องสะสมพลังมาร้อยปี พวกเราต้องรออีกร้อยปีเพื่อทำเช่นนั้น”


 


“มีทางอื่นที่จะสะสมพลังโดยเร็วหรือไม่?”


 


ซือหยูสีหน้าเคร่งเครียด


 


“มี! ต้องชำระมัน!”


 


อู๋หยางหลงตอบอย่างหนักแน่น


 


ชำระสมมบัติเทพ ซือหยูตาเป็นประกาย ในโลกใบนี้ มีแค่ตระกูลโบราณเดียวเท่านั้นที่จะทำเช่นนี้ได้ และในคนตระกูลตู่ มีคนเดียวเท่านั้นที่มีหยดหมื่นพล! นั่นคือเจ้าเมืองอันยี่!


 


“พันธมิตรอุดรทวีปตั้งตัวอยู่ที่ใดกัน?”


 


ซือหยูตาเป็นประกาย


 


อู๋หยางหลงตอบโดยไม่ลังเล


 


“ที่ป่าทมิฬ! นายน้อยของพันธมิตรอุดรทวีปยี่เหยา หรือที่เรียกกันว่าอู๋เหยายี่ได้ประกาศจะจัดงานวิวาห์ เขาได้เชิญยอดฝีมือไปจากทั่วทั้งทวีป”


 


อู๋เหยายี่…ยี่เหยา? ตระกูลยี่! หนึ่งในแปดตระกูลโบราณ!


 


ดวงตาซือหยูเปล่งประกายอย่างเยือกเย็น เขาสงสัยมานานแล้วว่าใครที่เป็นผู้บงการพันธมิตรอุดรทวีปที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นศัตรูกับอาณาจักรทมิฬ ตอนนี้เขารู้แจ้งแล้ว ตระกูลยี่กลับมาแล้ว! แต่ซือหยูก็ไม่เคยคิดว่าอู๋เหยายี่ที่ปรากฏตัวในร้อยดินแดนจะเป็นนายน้อยตระกูลยี่!


 


เขาจะแต่งงานกับใครกัน? ซือหยูสงสัย เฟิงเซี่ยนที่โหดร้ายงั้นรึ?


 


“ขอบคุณท่านมาก…”


 


“ข้าจะไปแล้ว!”


 


อู๋หยางหลงรีบพูด


 


“ท่านเจ้าตำหนัก ท่านจะทำอะไรกัน?”


 


ซือหยูหยุดและตอบอย่างจริงจัง


 


“พวกเจ้าทุกคนก็ควรจะออกจากตำหนักรองโดยเร็ว การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว”


 


เห็นได้ชัดว่าคนจากตำหนักหลักจะกวาดล้างตำหนักรองทวีปเหนือเพื่อกำจัดคนที่หลิงเสี่ยวเทียนไว้ใจ ตระกูลอู๋หยางก็เป็นหนึ่งในนั้น


 


อะไรกัน? อู๋หยางหลงชักสีหน้า เขานำคนทั้งตระกูลมาลี้ภัยที่อาณาจักรทมิฬ ในท้ายสุดก็กำลังจะเกิดภัย และในตอนนี้…เขาไม่เหลือที่ให้อยู่แล้วรึ?


 


“กลับร้อยดินแดนไปซะ…”


 


อู๋หยางหลงนิ่งเงียบ เขายังกลับร้อยดินแดนได้อีกรึ? ไม่มีที่ให้เขาอยู่แล้ว


 


“กลับไปซะ…”


 


ซือหยูพูดย้ำ


 


“ฮั่นเจียงหลินจะไม่ได้กลับไปอีกแล้ว!”


 


ซือหยูพูดจบและเปลี่ยนเป็นก้อนอัสนีทะลวงนภากว้างใหญ่ตรงไปยังป่าทมิฬ


 


******


 


เดือนต่อมา ที่ป่าทมิฬอันกว้างใหญ่


 


ป่าทมิฬเต็มไปด้วยผู้คน ยอดฝีมือนับไม่ถ้วนจากขุมกำลังต่างๆถูกส่งมาด้วยเหตุผลเดียว ตระกูลเก่าแก่ที่ทำให้ทวีปสั่นคลอนได้ปรากฏตัวอีกครั้ง


 


ลึกในป่าทมิฬนั้นมีปราสาทลึกลับเก่าแก่ตั้งอยู่อย่างเงียบงันราวกับเพชรในยุคโบราณ จักรพรรดิสัตว์อสูรตัวใหญ่ยักษ์สองตัวบินอยู่บนนภาอย่างตระการตา


 


ยอดฝีมือมากมายนำของขวัญมาเพื่อแสดงความยินดีกับงานรื่นเริงของตระกูลยี่ ชายแก่ในชุดสีมรกตยืนต้อนรับอยู่หน้าทางเข้าด้วยรอยยิ้ม


 


“ตระกูลฉีแห่งแปดตระกูลมาถึงแล้ว!”


 


“ตระกูลหมิงแห่งแปดตระกูลมาถึงแล้ว!”


 


“ตระกูลหวังแห่งแปดตระกูลมาถึงแล้ว!”


 


“ตระกูลหลี่แห่งแปดตระกูลมาถึงแล้ว!”


 


ตระกูลทั้งหมดต่างมาพร้อมหน้าเว้นแต่ตระกูลฉิน…ที่เป็นผู้นำ…ตระกูลกุยอันลึกลับ…และตระกูลตู่ที่ยอมแพ้ ทั้งหมดมาเพื่อเป็นสักขีพยานแก่ตระกูลยี่!


 


“พันธมิตรผู้คุมสวรรค์มาถึงแล้ว!”


 


แม้แต่พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ก็ได้รับคำเชิญ


 


ข้างชายแก่ในชุดมรกตคือหวงเสี่ยวหยาน หญิงสาวตาเหล่ในงานประลองที่ร้อยดินแดน


 


“ฮ่าๆๆ! นายน้อยช่างยิ่งใหญ่จริงๆ”


 


หวงเสี่ยวหยานหัวเราะเสียงดัง


 


“เขามีกำลังมากมายเข้ามาสนับสนุนในงานแต่งงาน”


 


ชายแก่ยิ้มอย่างสุภาพ


 


“พวกเขาจะกล้าไม่มาร่วมงานรึ? ตระกูลยี่มีเก้าศักดิ์สิทธิ์อยู่ทั้งคน ใครกันจะกล้าไม่มา?”


 


หวงเสี่ยวหยานตอบ


 


“แล้วตระกูลฉินกับตระกูลกุยเล่า?”


 


“ฮื่ม! วันหนึ่งสองตระกูลนั้นจะถูกท่านเก้าศักดิ์สิทธิ์กำจัด!”


 


ชายแก่ในชุดสีมรกตไม่ยอมรับสองตระกูลที่เหลือ


 


ในตอนนั้นเอง กลุ่มคนได้มาถึงอีกกลุ่ม เขาคือฮั่นเจียงหลิน เจ้าเมืองอันยี่ และเฟิงเซี่ยน


 


ชายแก่พูดตามปกติ


 


“พันธมิตรอุดรทวีปมาถึงแล้ว!”


 


ฮั่นเจียงหลินกับคนอื่นไม่พอใจ แต่พวกเขาทำอะไรไม่ได้ ในเบื้องหน้า พวกเขาเป็นกำลังหลักของพันธมิตรอุดรทวีป แต่ในความจริงแล้วเป็นตระกูลยี่ที่บงการอยู่เบื้องหลัง


 


คนที่ไม่พอใจที่สุดคือเจ้าเมืองอันยี่ ตระกูลยี่…ที่ทำลายตระกูลของเขา…กลับอยากจะให้เขามาแสดงความยินดี


 


“ผู้นำตระกูลตู่ ท่านได้เตรียมของขวัญมาหรือไม่?”


 


ชายแก่ถามอย่างหยาบคาย


 


เจ้าเมืองอันยี่โกรธแค้น นอกจากเขาจะต้องเสียอำนาจและตำแหน่งไป เขายังต้องมาแบกรับความอัปยศเช่นนี้! เขาเป็นเจ้าตระกูลหนึ่งในแปด แต่กลับต้องถูกชายแก่ที่มีพลังอำมฤตระดับสี่ขั้นสูงมาพูดขู่ แม้ชายแก่จะเป็นคนที่ยี่เหยาเชื่อใจที่อยู่ข้างกายยี่เหยามาตลอด คำพูดของเขาก็มากเกินไป!


 


แม้เจ้าเมืองอันยี่จะโกรธอยู่ภายใน เขาภายนอกก็ต้องรักษาท่าทางเอาไว้


 


“ข้าเอามาอยู่แล้ว”


 


“ฮ่าๆ! ข้าเชื่อเหลือเกินว่าท่านต้องรู้ว่าควรเอาของขวัญแบบใดมาให้พวกเรา…ใช่หรือไม่?”


 


ชายแก่พูดเบาๆ


 


เจ้าเมืองอันยี่ถอนหายใจแรง


 


“ไม่ต้องห่วง ข้าเตรียมหยดหมื่นพลมาเป็นอย่างดี”


 


“พวกเราต้องการแค่หยดตั้งต้น อย่าเอาหยดเจือจางมาทำให้ตัวเองขายหน้าล่ะ”


 


เจ้าเมืองอันยี่โกรธแค้นยิ่งกว่าเดิม ตระกูลยี่บังคับให้เขามอบรากฐานของตระกูลตู่! หยดหมื่นพลตั้งต้นในตอนนี้มีอยู่เพียงสิบหยด มันเหนือยิ่งกว่าคำว่าล้ำค่า


 


“ข้ารู้ดีว่าต้องทำอะไร”


 


เจ้าเมืองอันยี่พูดก่อนจะเข้าไปยังปราสาท


 


หลังจากที่ต้อนรับผู้คน ชายแก่พูดอย่างเหยียดหยาม


 


“แม้จะเป็นแขกตระกูลยี่ เจ้าก็ยังกล้าทำตัวก้าวร้าวอย่างนั้นรึ?”


 


หวงเสี่ยวหยานโกรธแค้น


 


“มีใครยังไม่มาอีกหรือไม่?”


 


ชายแก่เปิดตำราดูรายการแขกที่เชิญ


 


“ทุกคนมาถึงแล้ว เข้าไปกันเถอะ งานวิวาห์จะเริ่มแล้ว”


 


ทันใดนั้นหวงเสี่ยวหลานก็เห็นอะไรบนขอบนภา สิ่งนั้นมาทางพวกเขา แฝงอยู่บนหมู่เมฆา


 


“ยังมีคนอื่นอีก!”


 


ชายแก่มองตามนางขึ้นไป เขาสับสน คนที่มานั้นอ่อนเยาว์อย่างมาก แต่ชายหนุ่มนั้นก็ประหลาดอย่างมาก ดูเหมือนว่าเขากำลังแบกโลงศพยักษ์อยู่!


 


ซือหยูมองปราสาทที่ประดับไปด้วยแสงสี เขาสีหน้าเยือกเย็น


 


“พวกเจ้าจะใช้งานแต่งนี้สร้างชื่อไปทั่วโลกงั้นรึ?”


 


“ฮ่าๆๆ…ข้าจะทำให้เจ้าเอง! วันนี้ ข้าจะชำระหนี้ของคณะวิหคเพลิงทั้งหมด…ในคราเดียว!”

 

 

 


ตอนที่ 396

 

“นั่นมัน…”


 


ชายแก่ในชุดมรกตเห็นร่างที่เข้ามาอย่างชัดเจนขึ้น ผมสีเงิน หน้ากากสีเงิน สวมชุดขาวกระจ่าง


 


“หรือว่านั่น…?”


 


ชายแก่มองอย่างไม่เชื่อสายตา ตามที่พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ให้ข้อมูล หยินหยูนั้นถูกอาณาจักรทมิฬพาตัวไปและตายในระหว่างทาง ไม่มีทางที่เขาจะยังมีชีวิตอยู่ได้!


 


หวงเสี่ยวหยานตัวแข็งทื่อไปชั่วครู่ นางอุทานด้วยความชิงชัง


 


“ข้าจำคนคนนั้นได้ หนุ่มหล่อจากงานประชุมพันธมิตร หยินหยู! เขาคือศัตรูของพี่ยี่เหยา…”


 


เป็นเขาจริงๆ! ชายแก่สีหน้าดุร้าย


 


“กล้าดียังไงถึงมาที่นี่! เสี่ยวหยาน แจ้งทหารในเมืองเดี๋ยวนี้!”


 


เรื่องที่ซือหยูสังหารผู้คุมสวรรค์เฉินคงด้วยการจ้องมองที่คณะวิหคเพลิงนั้นแพร่กระจายไปทั่วโลก ชายแก่จะกล้าทำอะไรได้?


 


“ไม่ต้องหรอก…”


 


ซือหยูพูดเมื่อร่อนลง เขายิ้มแย้มแต่ก็ยิ้มอย่างป่าเถื่อน


 


“ข้าแสดงตัวให้พวกทหารเห็นแล้ว แต่ข้ารีบร้อนเลยไม่ได้เตรียมของขวัญมาด้วย ข้าต้องยืมเจ้าสองคนแล้วล่ะ”


 


ชายแก่ขึ้นเสียง


 


“หนีเร็ว เสี่ยวหยาน!”


 


ชายแก่จ้องซือหยูอย่างเยือกเย็น


 


“โชคร้ายนัก เจ้าไม่ได้ถูกตระกูลยี่เชิญ เราไม่ต้องการของขวัญของเจ้า ไปซะ!”


 


ซือหยูยืนอยู่ที่เดิม เขาจ้องมองผู้เฒ่าชุดสีมรกตตรงหน้า ซือหยูจะลืมได้อย่างไรว่าผู้เฒ่าคนนี้ต้องการฆ่าเขาในร้อยดินแดน? ในตอนนั้นเขาเป็นแค่มดปลวก แต่ตอนนี้พวกเขามีฐานพลังเทียบเท่ากัน


 


“ไม่สำคัญว่าเจ้าจะต้องการของขวัญจากข้าหรือไม่…”


 


“ที่สำคัญคือสิ่งที่ข้าอยากจะให้เจ้าต่างหากเล่า!”


 


สิ่งที่อยากจะให้! คำพูดไม่กี่คำนี้เกินควรยิ่งนัก ความอวดดีเพียงใดกันถึงทำให้เขากล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าพันธมิตรอุดรทวีป?


 


“หยินหยู! เจ้าคิดจะบุกเข้ามางั้นรึ? รองเจ้าตำหนักไร้มารยาทเช่นนี้ได้อย่างไร?”


 


ซือหยูหัวเราะ


 


“ไร้มารยาทรึ? เจ้าให้ความเคารพข้าตอนที่ข้าอยู่ในขอบเขตมังกรหรือไม่? เจ้านับถือข้าตอนที่ข้าปางตายในคณะวิหคเพลิงหรือไม่? แต่ตอนนี้เจ้ากลับอยากจะให้ข้ามีมารยาทเรอะ! น่าหัวร่อนัก!”


 


ชายแก่ใจหาย เขากัดฟันและไม่มีทางเลือกนอกจากทนคำพูดของซือหยู เขาต้องรอจนกว่ากำลังเสริมจะมาเพื่อสังหารบุคคลอันตรายผู้นี้


 


“ข้าอยากจะรู้นักว่าตำนานยอดฝีมือของทวีปจะแข็งแกร่งเพียงใด!”


 


ชายแก่พูด เขากำหมัดมองซือหยูอย่างดุร้าย


 


ซือหยูยืนนิ่ง แต่ศรสองดอกคมกริบก็ปรากฏออกมา สีแดงโลหิตของมันเหมือนกับไอโลหิตที่อยู่บนตัวซือหยู มันประหลาดและลึกลับ


 


ฟึ่บ–


 


ศรทั้งสองพุ่งออกไป ชายแก่ขนลุก เขารู้สึกราวกับพลังปีศาจกำลังจะทะลวงร่าง


 


“อั่ก!”


 


ชายแก่ป้องกันศรที่พุ่งเข้ามา


 


แต่ศรโลหิตอันลึกลับนั้นมีชีวิต! มันหลบการป้องกันทะลวงไปยังลำตัวของเขา


 


เอื้อก—


 


ร่างของชายแก่กลายเป็นเถ้าถ่าน มันกระจายทั่วนภา เหลือเพียงศีรษะที่ยังอยู่ดี


 


ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนชายแก่ไม่รู้สึกเจ็บปวดก่อนที่จะเหลือเพียงหัวเดียว


 


ฟึ่บ–


 


ศรโลหิตนำแก่นพลังกลับมาทำให้ซือหยูรู้สึกพึงพอใจ


 


ศรโลหิตอีกดอกพุ่งเข้าใส่หวงเสี่ยวหยานและเปลี่ยนร่างนางเป็นเถ้าถ่าน แต่แก่นพลังนั้นอ่อนแอเกินไป ซือหยูไม่รู้สึกอะไรเลย


 


“อยากรู้นักว่าข้าจะต้องขโมยฐานพลังของอีกกี่คนถึงจะได้เป็นผู้คุมสวรรค์…”


 


ซือหยูพูดกับตัวเอง เขามองศีรษะทั้งสองอย่างไร้อารมณ์และก้าวเข้าสู่ปราสาท


 


******


 


ลึกในปราสาท


 


มีการตกแต่งด้วยสีสันฉูดฉาดและบรรยากาศอันน่าสนุกสนาน


 


อู๋เหยายี่คือยี่เหยา เขาสวมชุดคลุมยาวสีแดงและดูมีชีวิตชีวา เขาตกแต่งห้องของตัวเองและจ้องมองเจ้าสาวบนเตียงที่แต่งกายในชุดแดงทั้งตัว


 


นางแผ่รังสีราวกับขุนเขาอันสง่างาม รูปร่างอันผอมบางขับส่งตามชุดวิวาห์ ในตอนนี้…สีหน้านางยังคงเยือกเย็น


 


“อู๋เอ๋อ เจ้าเป็นเจ้าสาวของข้าในวันนี้…”


 


ยี่เหยาพูดโดยมิอาจปิดบังความสุขบนใบหน้า


 


“ข้าจะรักเจ้าจนหมดหัวใจ”


 


ความโกรธแค้นของม่ออู๋หยั่งรากลึก แต่นางไม่แม้แต่จะขยับตัว นางมิอาจพูดอะไรได้


 


“อู๋เอ๋อ เจ้ามิต้องกังวล…”


 


“ข้าจะปลดพลังที่พันธนาการเจ้าหลังจากงานเลี้ยงจบ”


 


ด้วยความช่วยเหลือจากเก้าศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาได้นำกระบี่ออกจากร่างของม่ออู๋ทำให้ไม่มีทางที่นางจะจบชีวิตตัวเอง เมื่อทุกสิ่งจบลง ม่ออู๋ก็คงจะยอมจำนนต่อเขาในอนาคต


 


“เจ้าควรจะรู้ความตั้งใจของข้า…”


 


“ข้ารักเจ้าสุดหัวใจ มิเช่นนั้นข้าก็คงไม่รอนานเช่นนี้โดยไม่แม้แต่จะวางนิ้วสัมผัสเจ้า ข้าหวังให้เจ้าเข้าใจหัวใจของข้า”


 


ยี่เหยาพูดจบและยืนขึ้น


 


“ข้าต้องไปรับแขกก่อน เดี๋ยวจะมีคนพาเจ้าออกไป”


 


เพลิงความโกรธแค้นปะทุในดวงตาม่ออู๋! เหตุใดยี่เหยาจึงไม่สัมผัสนางน่ะรึ? ก็เพราะยี่เหยาระวังตัว เขากลัวที่จะบาดเจ็บถ้านางใช้รังสีกระบี่ในตัว เหตุผลที่เขาพูดว่า…รักจนหมดหัวใจ…ช่างน่าขันยิ่งนัก


 


คิดถึงชะตาที่นางต้องพบเจอมาตลอดครึ่งปี ม่ออู๋รู้สึกขมขื่น แต่นางก็เป็นห่วงชะตาของอาจารย์มากกว่า นางถูกช่วยไว้หรือยัง? ใบหน้านางถูกรักษาหรือไม่?


 


และ…ม่ออู๋ก็คิดถึงใบหน้าอันงดงาม น้ำตาคลอเบ้าทั้งสอง นางไม่มีหน้าไปพบซือหยูอีกแล้ว


 


เอี๊ยด—


 


ในตอนนั้น ประตูเปิดออก หญิงสาวงดงามสวมชุดขาวเข้าห้องมาอย่างเงียบเชียบ ร่างกายของนางบริสุทธิ์ยิ่งนัก


 


ม่ออู๋รู้สึกละอายใจเมื่อมองนาง มีคนที่งดงามเช่นนี้บนโลกด้วยรึ? รูปลักษณ์ ฐานพลัง …ทุกอย่างล้วนอยู่ในจุดสูงสุด


 


“เจ้าคือม่ออู๋ใช่หรือไม่?”


 


นางถามอย่างเป็นมิตร


 


“เจ้าถูกบังคับให้ต้องแต่งงานกับยี่เหยามิใช่หรอกรึ?”


 


ม่ออู๋กระพริบตาตอบ


 


หญิงสาวผู้บริสุทธิ์ยิ้ม รอยยิ้มนั้นดั่งสายลมคิมหันต์ที่งดงามอย่างมาก แม้แต่ม่ออู๋ที่เป็นสตรีก็ตกอยู่ในภวังค์


 


“ข้าถูกขอให้มาช่วยเจ้า…”


 


“หลังจากที่เจ้าออกไปทางประตูหลัง อย่าเหลียวกลับมา เข้าใจหรือไม่?”


 


นางพูดจบและถอดชุดของนางเปลี่ยนกับชุดเจ้าสาวของม่ออู๋


 


“เจ้าไปก่อนเลย”


 


นางพูดหลังจากปลดวิชาที่พันธนาการม่ออู๋


 


“ข้าจะจัดการกับคนข้างนอกและหาโอกาสหนีไป”


 


ม่ออู๋พูดอย่างเป็นกังวล


 


“ใครส่งเจ้ามาช่วยข้ากัน? เจ้าจะตกอยู่ในอันตรายนะ”


 


หญิงสาวส่ายหน้าอย่างใจเย็น


 


“เป็นเรื่องที่ข้าถูกขอให้ทำเท่านั้น หนีไปโดยเร็ว ข้ามีพลังที่จะหนีไปอยู่แล้ว ไปซะ”


 


ม่ออู๋รู้สึกยินดีที่หนีได้ นางลังเลก่อนที่จะก้าวขา


 


“ก็ได้ ระวังตัวด้วย”


 


นางพูดจบและหนีไปอย่างเงียบๆ


 


หญิงสาวในชุดเจ้าสาวยิ้มอย่างเยือกเย็น


 


“ยี่เหยา อ๊ะ ยี่เหยา! ไม่ง่ายที่ผลักข้าออกไปหรอก! แขกมากมายเช่นนี้…ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะกล้าปฏิเสธข้า!”


 


พลังของยี่เหยานั้นอยู่ในระดับธรรมดา แต่เฟิงเซี่ยนต้องการสถานะของเขา! ลูกหลานของเก้าศักดิ์สิทธิ์นั้นจะสูงส่งเพียงใดกัน?


 


“ส่วนม่ออู๋…”


 


“เจ้าโชคดีนัก! ถ้าข้าไม่กลัวว่ายี่เหยาจะโกรธถ้าข้าฆ่าเจ้า เจ้าคิดว่าเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่รึ?”


 


เฟิงเซี่ยนใช้ม่านปิดหน้าสีแดงปิดบังใบหน้าด้วยความคาดหวัง


 


******


 


เหล่าแขกรอคอยอย่างเงียบๆในโถง


 


ตระกูลโบราณทั้งสี่และพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ได้มาเพื่อแสดงความยินดี นอกจากอาณาจักรทมิฬที่ไม่มีความสัมผัสใกล้ชิด ทุกขุมกำลังต่างเข้าร่วมงานนี้


 


การกลับมาของตระกูลยี่ได้ทำให้เหล่าขุมกำลังในทวีปตกใจ ตั้งแต่วันนี้ไปในพันธมิตรอุดรทวีป นามตระกูลยี่จะแพร่กระจายไปทั้งฟ้าดิน


 


“ขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่เข้าร่วมงานของข้า ยี่เหยาผู้นี้ยินดีอย่างมาก”


 


ยี่เหยาแสดงความนับถือต่อเหล่าแขก เขามองรอยๆ ตระกูลทั้งสี่นั่งอยู่ใกล้กัน ตัวแทนของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์นั่งที่อีกด้าน


 


ตระกูลทั้งสี่ต่างส่งผู้อาวุโสมาพร้อมกับเหล่าเด็กหนุ่มสาวในตระกูล เช่นตระกูลฉีนั้นส่งผู้คุมสวรรค์มาพร้อมกับศิษย์ในตระกูลที่เป็นอำมฤตระดับสี่ขั้นสูง ส่วนอีกสามตระกูลก็ไม่ต่างกันนัก มีเพียงพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ที่ส่งคนเดียวมาเป็นตัวแทน…เขาคือชายหนุ่มอายุสี่สิบ แต่ที่สำคัญที่สุดคือฐานพลังของเขา! เขาเป็นราชามนุษย์!


 


ผู้อาวุโสจากสี่ตระกูลต้องระวังตัว แม้แต่ยี่เหยาก็ต้องให้ความนับถือและแอบตกใจ พันธฒิตรผู้คุมสวรรค์นั้นเป็นตำนานโดยแท้จริง เขาบ่มเพาะยอดฝีมือที่เทียบได้กับจ้าวแห่งความมืดของอาณาจักรทมิฬ! ต้องยิ่งใหญ่เพียงใดกันถึงได้เป็นราชามนุษย์ในอายุเพียงยี่สิบปี?


 


หากสังเกตดีๆ ชายหนุ่มผู้นี้มิได้อ่อนเยาว์เพียงอย่างเดียว เขายังมีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาและดูโอบอ้อมอารี ฐานพลังและการวางตัวของเขานั้นยอดเยี่ยมและดูยิ่งใหญ่ยิ่งกว่านักสู้ทั่วไป เขาอยู่แยกจากเหล่าแขกอื่น


 


“นั่นคือหลงเฟยหยูจากพันธมิตรผู้คุมสวรรค์…”


 


ผู้อาวุโสตระกูลฉีชมเชยด้วยรอยยิ้ม


 


“เขาช่างตระการตาโดยแท้! เขานำสิ่งใดมาให้ยี่เหยากัน?”


 


พูดอีกอย่างก็คือ เขาอยากจะรู้ว่าหลงเฟยหยูเตรียมของขวัญแบบใดมา คำพูดนั้นดูเป็นการชมเชย แต่ความตั้งใจจริงคือการทำให้หลงเฟยหยูมอบของขวัญเป็นคนแรก


 


หลงเฟยหยูโบกพัดในมือ เขาไม่สั่นคลอน


 


“ไม่ต้องเป็นห่วง ของขวัญเจ้าไม่มีทางเทียบของข้าได้”


 


คำพูดอันไม่สุภาพนั้นทำให้คนทีได้ยินโกรธเกรี้ยว


 


ผู้อาวุโสตระกูลฉียังคงยิ้ม


 


“ฮ่าๆๆ! เป็นเรื่องดีที่มั่นใจ! ถ้าเช่นนั้นข้าก็ให้ก่อนล่ะ!”


 


เขาพูดจบและหยิบน้ำเต้าทมิฬออกมา น้ำเต้านั้นทำจากวัตถุดิบที่ไม่มีใครรู้จัก ดูเหมือนมันค่อนข้างหนักเพราะแม้แต่ผู้คุมสวรรค์อย่างเขาก็ถืออย่างยากลำบาก และน้ำเต้านั้นยังถูกผนึกเอาไว้อย่างแน่นหนา


 


“ยี่เหยา ข้าไม่มีสิ่งอื่นใดจะให้เจ้า วารีสวรรค์ในขวดนี้แทนความตั้งใจของข้า”


 


คำพูดของเขาทำให้ผู้คนตกใจ


 


“วารีสวรรค์งั้นรึ? ตระกูลฉีมีชื่อในเรื่องยาพิษ วารีสวรรค์คือสิ่งที่ทำให้ตระกูลฉีมีชื่อเสียง แค่หยดเดียวก็สังหารผู้คุมสวรรค์ได้ มันไม่เคยถูกมอบให้คนนอกตระกูลฉีเลย แต่มันกลับถูกเอามาเป็นของขวัญในวันนี้!”


 


แขกคนอื่นตระหนักได้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเก้าศักดิ์สิทธิ์จะค่อนข้างยิ่งใหญ่ ขุมกำลังที่เข้ามาร่วมยินดีจึงไม่กล้าที่จะตระหนี่


 


“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็จะให้ของขวัญด้วย ยี่เหยา นี่คือสมบัติเศษตำราจากตระกูลหมิง!”


 


เศษตำรารึ? ผู้คนงุนงง ในแปดตระกูล ตระกูลหมิงนั้นมีชื่อในด้านวิชาบ่มเพาะ เหตุใดพวกเขาจึงนำมาแค่เศษตำราเล่า?


 


“นี่คือเศษตำราวิชาเพลิง ส่วนระดับของมัน…เป็นระดับตำนาน”


 


อะไรนะ? ผู้คนสีหน้าเปลี่ยนไป! ตำราระดับตำนาน! แม้ว่าจะเป็นแค่เศษตำราที่มีเพียงไม่กี่ประโยคนั่นก็ทำให้ทวีปสั่นสะเทือน! ตระกูลหมิงนำของเช่นนี้มาเป็นของขวัญ!


 


“หึหึ! เช่นนั้นข้าก็ต้องแสดงความยินดีกับยี่เหยาด้วย นี่คือปีกแห่งตระกูลหวัง หลังจากที่เจ้าชำระมัน เจ้าจะยักย้ายตัวเองไปในระยะสามหมื่นลี้ได้”


 


ผู้คนตกตะลึง แม้แต่สองตระกูลใหญ่ก็ชักสีหน้า

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม