The Divine Nine Dragon Cauldron 377-383
ตอนที่ 377
เฉินคงยิ้มเยาะ แสงอันตรายเปล่งประกายจากดวงตาของเขา! เขากำลังจะใช้พลัง!
จ้าววิหคเพลิงขมวดคิ้ว นางเปิดริมฝีปากแดงเล็กน้อย นางรู้สึกอยากจะหยุดพวกเขา แต่ทันใดนั้นเอง นางดูเหมือนจะมองเห็นอะไรบางอย่างและหยุดพูดไป
“ความพยายามที่ไร้ค่างั้นรึ? อาจจะไม่ใช่!”
ซือหยูยิ้มเยาะ
แสงสีแดงโอบล้อมพื้นที่ เขาเตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อนที่จะโจมตีแล้ว!
“ยักย้ายพื้นที่!”
ฟึ่บ–
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเกินกว่าที่ทุกคนคาดการณ์! วงแหวนอัสนีทั้งห้าที่ไม่โดนเฉินคงและถูกซัดไกลออกไปถูกโอบล้อมโดยแสงสีแดงนั้น
เฉินคงหยุดนิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ชักสีหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาบอกตัวเองว่าสถานการณ์ไม่ใช่ดังเดิมอีกแล้ว จากนั้นแสงนั้นก็มาปรากฏที่ตรงหน้าเขา!
วงแหวนอัสนีที่โจมตีพลาดปรากฏออกมาจากแสงมิติ!
“นี่เจ้า!”
เฉินคงท่าทางเปลี่ยนไป
เขามองอย่างโกรธแค้นและอยากจะหลบอีกครั้ง! แต่เขาไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว!
และนี่เป็นครั้งแรกที่เขารับรู้ถึงความผิดพลาดร้ายแรงของตัวเอง จากนั้นแผ่นหลังของเขาก็ถูกวงแหวนอัสนีซัดเข้าใส่!
ครืน–
วงแหวนอัสนีมาพร้อมกับเพลิงพิโรธสูงหลายสิบศอก เพลิงพุ่งทะยานสู่นภา จากนั้นเสียงอัสนีลั่นก็ดังไปทั่วลานประลอง!
ฝุ่นควันพัดปลิวสูงบดบังทุกสิ่ง คลื่นความร้อนที่นำมาพร้อมกับสายอัสนีกระจายไปทั่วทิศทาง
รอบๆเงียบกริบ! ซือหยูได้ทำ…เขาได้โจมตีใส่เฉินคงได้จริงๆ!
ก่อนหน้าซือหยู ไม่มีใครในทวีปนี้เลยที่รับเขาได้เกินหนึ่งกระบวนท่า…ไม่ต้องพูดถึงการโจมตี! แต่ในตอนนี้ก็มีคนทำมันได้! เขาได้ฉีกกระชากตำนานของเฉินคงโดยการยังยืนอยู่โดยไม่แพ้เมื่อผ่านไปหนึ่งกระบวนท่า!
ตำนานที่ราวกับเป็นคำสาปได้หายไปแล้ว!
ในตอนนี้ไม่มีใครอธิบายความมหัศจรรย์ใจในพวกเขาได้เลย เหล่าผู้ชมนับหมื่นหายใจหอบอย่างบ้าคลั่งและกู่ร้องออกมาไม่หยุด!
“เขา…เขาทำได้! หยินหยูทำได้!”
“ตำนานไม่มีอีกแล้ว! เฉินคงเอาชนะหยินหยูในกระบวนท่าเดียวไม่ได้!”
“ข้าเห็นปาฏิหาริย์! ข้าเห็นตำนานใหม่แล้ว!”
เหล่าผู้ชมนับหมื่นตื่นเต้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เสียงร้องอันตื่นเต้นของพวกเขาพุ่งทะลวงเมฆาไปถึงสวรรค์
แต่ก็มีบางคนที่รู้สึกต่างออกไปมาก สตรีหลายคนที่รักชอบในเฉินคงปิดปากอย่างไม่เชื่อสายตา แววตาของพวกนางตกตะลึงและเหม่อลอย พวกนางมิอาจรับความจริงได้ สตรีหลายคนมิอาจรับได้ด้วยซ้ำที่ตำนานของเฉินคงถูกทำลาย ความจริงอันโหดร้ายทำให้พวกนางหลั่งน้ำตา!
ตำนานอันศักดิ์สิทธิ์กลับมลายหายไปในพริบตา!
จ้าววิหคเพลิงมองด้วยความนับถือ
“หยินหยูเป็นยอดฝีมือที่หายากโดยแท้จริง! แต่ก็น่าเสียดายที่มีแค่เฟิงเซี่ยนคนเดียวเท่านั้น!”
นางมองซือหยูด้วยความเวทนา
เหล่าผู้ชมนับหมื่นเดือดพล่าน ฝุ่นที่ฟุ้งกระจายบนลานประลองหายไปอย่างมาก ที่บนลานประลองนั้นชัดเจน ทุกคนกลั้นหายใจและจ้องลานประลองโดยไม่กระพริบตา
การโจมตีเช่นนี้ แม้ฐานพลังที่แท้จริงของเฉินคงจะเป็นอำมฤตระดับสี่ เขาก็มิอาจไร้รอยขีดข่วนได้แน่ และเขาอาจจะต้องบาดเจ็บร้ายแรง!
แต่ท่ามกลางความวุ่นวายบนลานประลอง เขายังคงยืนอยู่ท่ามกลางหมอกควัน และเขาคือเจ้าตำหนักเฉินคง! เขายังไม่พ่ายแพ้!
ไม่มีใครรู้สึกประหลาดที่เขายังไม่แพ้
เรื่องที่เฉินคงแข็งแกร่งนั้นสลักลึกอยู่ในหัวใจของพวกเขา ตอนที่ซือหยูทำลายตำนานกระบวนท่าเดียว ไม่มีใครตั้งคำถามถึงตำนานไร้พ่ายของเฉินคง และก็ไม่มีใครคิดว่ากระบวนท่าเดียวจะเอาชนะเฉินคงได้
แต่เมื่อฝุ่นกระจายออกไปทุกคนก็อ้าปากค้าง! พื้นตรงที่เฉินคงยืนอยู่นั้นแลหกละเอียดไปจากวงแหวนอัสนีห้าสี ไม่มีจุดใดเลยที่ไม่เสียหาย
พื้นตรงที่เขายืนนั้นถูกทำลายโดยสมบูรณ์ ไม่มีใครปฏิเสธได้เลยว่ากระบวนท่านั้นอ่อนแอ
แต่ที่ยิ่งน่ากลัวยิ่งกว่าคือเฉินคงที่ยังยืนอยู่ ณ ที่เดิม เขาไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย! เส้นผมสีดำของเขาพัดปลิว เสื้อผ้าที่สวมยังคงสะอาดไร้ฝุ่นเกาะ ราวกับว่าแรงระเบิดอัสนีอันน่ากลัวนั้นไม่มีผลกับเขาเลยแม้แต่น้อย!
“เป็นไปได้ยังไง?”
มู่เทียนฟางไม่เชื่อสายตา
“การโจมตีในสถานการณ์ที่ไร้การป้องกันแบบใดกันที่ทำให้เขาไม่บาดเจ็บได้เลย? ท่านอาจารย์ เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ?”
จ้าววิหคเพลิงจ้องมองเฉินคงด้วยความภูมิใจ
“นี่คือเหตุที่ข้าเต็มใจหมั้นเฟิงเซี่ยนกับเขา! นอกจากเฉินคงก็ไม่มีผู้ใดคู่ควรกับเฟิงเซี่ยน แม้แต่หยินหยูก็เช่นกัน”
มู่เทียนฟางพูดกับตัวเอง
“หรือว่าเขาจะไร้พ่ายจริงๆ?”
สายลมเย็นพัดพาจิตใจผู้คนให้สบายกาย แต่ก็มิอาจทำให้หัวใจที่เต้นอย่างรุนแรงของพวกเขาผ่อนคลายลงได้ เฉินคงแข็งแกร่งเพียงใดกัน? ด้วยการโจมตีเช่นกัน เขาไม่บาดเจ็บได้อย่างไรกัน? นี่มันไร้เหตุผลสิ้นดี!
แม้แต่ซือหยูเองก็ตกใจ
“ฐานพลังของเจ้า…ไม่ใช่แค่อำมฤตระดับสี่ขั้นสูง! แต่เจ้า….เป็นอำมฤตระดับห้า!”
พลังทำลายล้างโอบรอบตัวเฉินคง! เขารอดโดยไร้รอยขีดข่วนเพราะเขาปล่อยพลังวิญญาณออกมาทั้งหมดในจุดสุดท้าย! นั่นคือพลังวิญญาณทำลายล้างที่อำมฤตระดับห้ามีอยู่!
และยิ่งไปกว่านั้น รังสีพลังนั้นเป็นพลังที่ซือหยูไม่เคยสัมผัสมาก่อน!
“อำมฤต…อำมฤตระดับห้างั้นรึ?”
คนทั้งหมื่นคนเงียบกริบ!
อำมฤตระดับห้าคือขอบเขตที่ยอดฝีมือยากจะได้พลังมาครองในทั้งชีวิต ว่ากันว่ามันคือขอบเขตที่ใกล้เคียงกับเทพ มันมีพลังทำลายที่เหนือจินตนาการ
พลังเช่นนี้จะมีเฉพาะกับเจ้าสำนักของเหล่าขุมกำลังยิ่งใหญ่ในทวีป เช่นฮั่นเจียงหลิน เขาเป็นอำมฤตระดับห้าขั้นต้น! จ้าววิหคเพลิงก็เป็นอำมฤตระดับห้าขั้นต้น! จ้าวแห่งหอสดับหิมะและเจ้าเมืองอันยี่เองก็ไม่ต่างกัน!
อำมฤตระดับห้าเป็นขอบเขตที่คนทั้งทวีปได้แต่แหงนหน้ามอง! แต่เฉินคงที่เป็นรองเจ้าตำหนักกลับสำเร็จขอบเขตนั้น! เขาไม่ได้อ่อนแอกว่าจ้าววิหคเพลิงเลย! ไม่แปลกใจที่จ้าววิหคเพลิงเต็มใจจะหมั้นเขากับเฟิงเซี่ยน!
หากได้ใจของยอดฝีมืออำมฤตระดับห้า กำลังของนางจะน่ากลัวขึ้นเพียงใดกัน?
ซือหยูตกใจเช่นกัน! เฉินคงแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ! เมื่อทุกคนคิดว่าเขาเป็นแค่อำมฤตระดับสี่ขั้นกลาง เขากลับเหนือกว่าทุกคนไปแล้ว คนที่ถูกเรียกว่ายอดฝีมือแห่งทวีปในสายตาเขาก็อาจจะเป็นเพียงแค่ตัวตลก
ซือหยูหายใจเข้าลึก เขาจะคาดคิดรึว่าคนที่เขาต้องต่อสู้ด้วยมีพลังในระดับหลิงเสี่ยวเทียน?
“ฮ่าๆๆๆ”
เสียงหัวเราะดังมาจากเฉินคง เขาก้มหน้าจึงทำให้ไม่เห็นสีหน้าที่ชัดเจน แต่เสียงหัวเราะนั้นก็ทำให้ทุกคนขนลุก
เฉินคงกำลังโกรธ! ตัวตนอันสูงส่งแห่งทวีปกำลังโกรธแค้น! ทุกคนตัวสั่นจนต้องเงียบด้วยความกลัว
“ฮ่าๆๆ! เจ้าบังคับให้ข้าแสดงพลังออกมาได้จนได้!”
เฉินคงเงยหน้า ความใจเย็นและความอิ่มเอิบใจนั้นหายไปนานแล้ว มันแทนที่ด้วยความเยือกเย็นสุดขั้ว! และดวงตาคู่นั้นยังเย็นยะเยือกจนแช่แข็งหัวใจของผู้คนได้
“หยินหยู! ข้ายอมรับว่าข้าประมาทเจ้าเกินไป!”
“เจ้าแข็งแกร่ง แข็งแกร่งยิ่งกว่าที่ข้าคิด! ถ้าเจ้ามีเวลามากกว่านี้ก็ไม่แปลกที่เจ้าจะปีนขึ้นไปสูงกว่าข้าในวันหนึ่ง!”
ไม่มีใครกังขาในคำพูดเฉินคง ซือหยูนั้นมีพรสวรรค์เกินกว่าทุกคนในทวีป และไม่ผิดเลยที่จะประกาศว่าหยินหยูจะแข็งแกร่งอย่างประหลาดใจอนาคต
“ดังนั้น…”
“ข้าจะไม่ให้เวลาเจ้าได้เติบโตอีก! เจ้ามันน่ากลัวเกินไป!”
เฉินคงแผ่จิตสังหารออกมา
จิตสังหารอันเหนือกว่าทุกผู้คนมาพร้อมกับรังสีทำลายล้างของอำมฤตระดับห้า มันปกคลุมทั่วทุกพื้นที่!
“ไม่นะ!”
จ้าววิหคเพลิงรีบพูดเพื่อหยุดเฉินคง
“เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้สังหารใครที่นี่!”
ยอดฝีมือหลายคนถูกเชิญมาจากจ้าววิหคเพลิง ถ้าพวกเขาตายที่นี่ก็ยากที่จ้าววิหคเพลิงจะอ้างว่านางไม่เกี่ยวข้อง
“แล้วก็พวกเจ้าน่ะ…”
“พวกเจ้าสองคนก็เป็นรองเจ้าตำหนักแห่งอาณาจักรทมิฬมิใช่รึ เจ้าจะฆ่าแกงกันไปเพื่อสิ่งใดกัน”
แต่เฉินคงก็ยังคงมีจิตสังหารอันแรงกล้า
“ไม่เลย!”
เขาปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
“ท่านไม่เข้าใจว่าเขาจะน่ากลัวแค่ไหน! ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนที่เขาเข้ามาเป็นคนของอาณาจักรทมิฬ เขามีฐานพลังเท่าใดกัน? มังกรระดับห้า! แต่แค่ครึ่งปีจากคนที่ไม่มีอะไร เขาก็กลายเป็นตำนานยอดฝีมือที่ทวีปต้องหวาดกลัว แล้วพลังของเขาที่มากพอจะเอาชนะอำมฤตระดับสี่ได้อีก ท่านจินตนาการได้หรือไม่ ถ้าให้เวลาเขาอีกไม่กี่ปี ฐานพลังของเขาจะไปอยู่ที่ระดับใดกัน?”
คำพูดของเขาสร้างคลื่นอันน่ากลัว ทุกคนเคยได้ยินชื่อเสียงของหยินหยู แต่ก็ไม่มีใครรู้พื้นเพของเขา แค่ครึ่งปีเขาก็เติบโตจากมังกรระดับห้ามาเป็นคนที่เขาชนะอำมฤตระดับสี่ได้ พรสวรรค์อันน่ากลัวเช่นนี้ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อนในประวัติศาตร์!
“ถึงข้าจะไม่ฆ่ามันในวันนี้ ข้าก็ต้องทำลายฐานพลังของมัน! แม้เจ้าตำหนักหลิงจะมาเองข้าก็จะไม่หยุด!”
เฉินคงพูดอย่างแน่วแน่!
จ้าววิหคเพลิงหวาดกลัว นางอาจจะหยุดเขาที่เป็นอำมฤตระดับห้าขั้นต้นไม่ได้!
คำพูดของจ้าววิหคเพลิงเปลี่ยนไปในทันที นางมองตรงไปที่ซือหยู
“หยินหยู? เจ้ายังไม่ยอมรับความผิดพลาดแล้วขออภัยอีกรึ? เฟิงเซี่ยนแต่เดิมก็เป็นคู่หมั้นของเฉินคง เจ้าพาตัวเองมาถึงสถานการณ์ก็เพราะเจ้าคิดจะต่อสู้เพื่อนาง”
ในเวลานี้ จ้าววิหคเพลิงพูดเพื่อที่จะหวังให้ซือหยูยอมแพ้ต่อเฉินคง เพื่อที่จะให้เขารามือ
มู่เทียนฟางเป็นกังวลเช่นกัน หากทำเช่นนั้นซือหยูจะได้รักษาชีวิตเอาไว้ได้! คนหมื่นคนรอบๆเงียบกริบ พวกเขามองสิ่งที่เกิดขึ้น….การประลองนี้เดินทางมาถึงจุดที่เฉินคงโกรธเกรี้ยวจนพร้อมจะสังหารซือหยู
ชีวิตของซือหยูถูกตัดสินด้วยความประสงค์ของเฉินคง
เฉินคงส่ายหน้า
“เปล่าประโยชน์ ถึงเขาจะก้มหัวยอมรับผิด ข้าก็ไม่คิดจะปล่อยมันไป! วันนี้มันจะต้องตายไม่ก็ถูกทำลายฐานพลัง!”
ซือหยูเป็นภัยของเฉินคง และยังเป็นภัยต่อเหล่าผู้นำของขุมกำลังในทวีป! ทุกคนกังวลต่อซือหยูเพราะไม่มีใครในตอนนี้หยุดเฉินคงได้แล้ว!
จ้าววิหคเพลิงยืนขึ้น นางยืนหยัดที่จะช่วยชีวิตซือหยู ส่วนเรื่องฐานพลังนั้น…เทียบกับชีวิตและอนาคตของเขาแล้วไม่มีอะไรสำคัญทั้งนั้น
“หยินหยู โปรดยอมรับก่อนเถ….”
แต่พวกนางไม่คิดเลยว่าหลังจากที่ซือหยูตกใจกับฐานพลังของเฉินคง เขาก็กลับมาใจเย็นอย่างรวดเร็วอีกครั้ง หลังจากที่ได้ยินคำแนะนำของจ้าววิหคเพลิง ซือหยูหัวเราะอย่างขมขื่น
“น่าหัวร่อนัก! เห็นอยู่กับตาว่าเขาอยากจะทำลานข้า ทำไมข้าจะต้องขอโทษเขาด้วยรึ? ข้าขอโทษแล้วเขาจะปล่อยข้าไปรึ?”
คำถามทั้งสองทำให้จ้าววิหคเพลิงกระวนกระวาย เหตุการณ์ในตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่นางควบคุมได้ และการกระทำของซือหยูจะยิ่งทำให้เรื่องแย่ขึ้นไปอีก!
“ฝากชีวิตข้าไว้ในน้ำมือคนอื่นนั้นมันน่าละอายเพียงใดกัน?”
“มันน่าโศกเศร้าเพียงใดกัน? มันตาขาวเพียงใดกัน?”
ดวงตาของซือหยูคมกริบ เขาเงยหน้ามองท้องนภาไร้ขอบเขต แววตาของเขาล้ำลึก สุดท้ายเขาหันไปมองที่นั่งเมฆาหิมะ ความอ่อนโยนและความแน่วแน่รวมอยู่ในดวงตาของเขา
“ชีวิตของข้าเป็นของข้า — ไม่ใช่ของใครอื่น!”
ซือหยูตะโกนสุดเสียง!
“ชีวิตข้ามิได้เป็นของสวรรค์ และมันก็มิได้เป็นของโลกใบนี้! ข้าจะควบคุมชะตาของตัวเอง!”
เสียงของเขาเป็นจังหวะก้องกังวาลราวกับเป็นเสียงจากระฆังที่ชำระจิตใจของทุกคน คนนับหมื่นยืนขึ้นโดยไม่รู้ตัวและมองนักสู้ผู้สิ้นหวัง เขาไม่คิดจะออกจากลานประลอง ทุกคนเห็นได้ชัดว่าซือหยูนั้นตัวผอมบาง แต่เขาในตอนนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ตระการตา ราวกับว่าเขาเป็นเทพสงครามที่ขัดได้แม้แต่บัญชาสวรรค์!
“เฉินคง! ข้ากับเจ้าจะต้องชำระหนี้ครั้งนี้ให้จบสิ้น! ความเป็นความตายจะตัดสินโดยบัญชาจากพระเจ้า!”
แววตาคมกริบของซือหยูเต็มไปด้วยความอยากที่จะต่อสู้ เพลิงพิโรธนั้นทำให้โลหิตในกายพุ่งพล่าน ความแน่วแน่ของเขาเพิ่มขึ้น
เขาจะต้องไม่แพ้! เขาจะต้องต่อสู้จนตัวตายกับเฉินคง!
ระหว่างพวกเขา หนึ่งคนคอตำนานยอดฝีมือที่พุ่งทะยานมาจากจุดต่ำที่สุดจนทำให้ยุคสมัยปั่นป่วน
ส่วนอีกคนคือราชาไร้พ่ายแพ้ทวีป เขาคือตำนานไร้คู่แข่งที่แข็งแกร่งเหนือกว่าทุกคนในทวีป
ทั้งสองคนนี้ ใครกันจะเป็นตำนานบทใหม่?
หรือซือหยูจะพุ่งทะยานเหนือนภาและบดขยี้ตำนานจนกลายเป็นตำนานใหม่? หรือว่าเฉินคงจะสังหารซือหยูและหัวร่อให้กับยุคสมัยนี้กัน?
ตอนที่ 378
“ความเป็นความตายตัดสินตามแต่ชะตาของเจ้ากับข้ารึ…หึหึ หึหึ….!”
เฉินคงหัวเราะอยู่นาน
“กล้าพูดเช่นนั้นแม้จะมาถึงตรงนี้! หยินหยู แม้ถึงจะไม่มีเหตุให้ต้อดงฆ่าเจ้า ฆ่าก็ไม่อยากจะฆ่าเจ้าเลย!”
คำพูดของเขามิได้ปิดบังความนับถือ
เหล่าผู้คนตกใจ ความเป็นความตายตามแต่โชคชะตางั้นรึ? ในความต่างของพลังมากมายเช่นนี้ ในความสิ้นหวัง ในยามที่เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน…แต่ซือหยูยังคงยืนตระหง่าน และยังพูดว่า “ตามแต่ชะตา”? จิตวิญญาณเช่นใดกัน ความกล้าหาญเช่นใดกัน เขายอมรับความตายได้มากขนาดไหนกัน?
จ้าววิหคเพลิงใจสั่น นางจ้องร่างที่ไม่ยอมจำนนบนลานประลองและตกอยู่ในภวังค์ นางเคยคิดว่านางได้พบพานกับความสงบสุขมานานเกินไปและเห็นทุกสิ่งที่บนโลกมนุษย์แห่งนี้ต้องการ ในตอนนี้นางรู้สึกอย่างมิอาจบรรยาย นางประทับใจและนับถือซือหยูอย่างมาก
“เฉินคง…”
จ้าววิหคเพลิงถอนหายใจและยืนขึ้น
“ถอยไปซะ ข้าจะปกป้องหยินหยู เขาไม่ควรต้องตายที่นี่”
แววตาของนางเยือกเย็น เสียงนั้นมิได้ดุร้าย แต่ทุกคนรู้สึกได้ถึงความตั้งมั่นของจ้าววิหคเพลิง นางกล้าแม้แต่จะสู้กับเฉินคงเพื่อปกป้องหยินหยู
เฉินคงหยุดเดิน เขาเงยหน้ามอง
“เฉินคง ข้าจะหมั้นเจ้ากับเฟิงเซี่ยนอย่างเป็นทางการถ้าเจ้าหยุดเสียตั้งแต่ตอนนี้”
จ้าววิหคเพลิงเจรจา
เฉินคงจ้องซือหยู แววตานั้นรู้สึกโศกเศร้าและระวังตัว ด้วยอำนาจเช่นนี้ เฉินคงพยักหน้า
“ย่อมได้ แต่นี่จะเป็นโอกาสเดียวเท่าน….”
จ้าววิหคเพลิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางเหลือบตามองซือหยู นี่เป็นทั้งหมดที่นางทำให้เขาได้ หัวใจของผู้คนสงบลง เหตุการณ์ในตอนนี้กุมหัวใจของพวกเขา
เป็นเพราะจ้าววิหคเพลิงที่มีหลักการและรู้สึกนับถือซือหยู ซือหยูถึงมีชีวิตรอดไปได้
แต่คำพูดที่ดังตามมาก็ทำให้ทุกคนตัวแข็งทื่อ
“ท่านยังไม่ได้ถามความเห็นข้า!”
น้ำเสียงนั้นชัดเจน มันมาจากซือหยูที่อยู่กลางลานประลอง
จ้าววิหคเพลิงสับสน
“เจ้าหมายความว่าอะไร?”
ซือหยูเงยหน้าด้วยความแน่วแน่
“ข้าจะต้องจบการต่อสู้นี้ให้ได้! แม้ข้าจะต้องแหลกสลายไปพร้อมกับโลกนี้ก็ตาม!”
ผู้คนตกตะลึง เขายังคงดึงดันที่จะตายแม้ชีวิตของเขาจะถูกช่วยเอาไว้ด้วยความยากลำบากงั้นรึ? เขายังอยากจะสู้อยู่อีกรึ? แม้ว่าเขาจะต้องกลายเป็นแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นควันของกาลเวลาน่ะรึ?
จ้าววิหคเพลิงไม่เข้าใจในความตั้งใจของซือหยู
“ทำไมเจ้าถึงดึงดันที่จะต่อสู้ในครั้งนี้นัก?”
ซือหยูหัวเราะ เขายิ้มอย่างแน่วแน่ อย่างดื้อด้าน และอบอุ่น แววตาอันอ่อนโยนจ้องมองที่นั่งเมฆาหิมะ
“เพราะข้ามาเพื่อเซี่ยนเอ๋อ! นางคือผู้หญิงที่ข้าต้องแลกด้วยชีวิต! ข้าจะมองดูนางแต่งงานกับคนอื่นได้อย่างไร?”
แม้ว่าเขาจะต้องตาย เขาก็จะสู้!
“การต่อสู้นี้มีเพื่อเซี่ยนเอ๋อเท่านั้น!”
ผู้คนตกตะลึง เหตุผลในการต่อสู้ของซือหยูคือเพื่อสตรีคนเดียว! แม้เขาจะรู้ว่าเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเขานั้นสิ้นหวัง แม้เขาจะรู้ว่านี่เป็นการต่อสู้ที่รู้ผลล่วงหน้า…เขาก็ยังคงจะมุ่งไปข้างหน้า!
เพื่อเฟิงเซี่ยน เพื่อผู้หญิงหนึ่งคน…นี่มันคุ้มกันแล้วรึ?
“เซี่ยนเอ๋อสำคัญกับเจ้าขนาดนั้นเชียวรึ?”
เฉินคงเงยหน้าถอนหายใจ
“ข้าไม่อยากจะฆ่าเจ้าจริงๆ….”
มิใช่แค่ผู้คนที่ประทับใจ แต่ศัตรูของเขาเองก็ประทับใจเช่นกัน ต่อสู้จนตัวตายเพียงเพราะเฟิงเซี่ยน! คนนับไม่ถ้วนจ้องมองที่นั่งเมฆาหิมะ มองไปยังจุดที่หญิงสาวผู้นั้นไม่ก้าวออกมา ไม่พูดแม้แต่คราเดียว พวกเขามองอย่างริษยา
หลายคนประทับใจในความคิดที่ต้องการคู่ชีวิตและต้องแลกกับการต้องเผชิญหน้ากับทุกคน มิใช่เพื่อชื่อเสียง ลาภยศ ความเป็น ความตาย แต่เพื่อความรักเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ความสุขของคนผู้นั้นจะมีมากเพียงใดกัน? เฟิงเซี่ยนคือสตรีที่สวรรค์ประทานพรให้โดยแท้จริงที่ได้คนที่จะทำเช่นนั้นเพื่อนาง
แม้แต่จ้าววิหคเพลิงก็ตกตะลึงไปชั่วครู่ เขากำลังต่อสู้เพื่อเฟิงเซี่ยนงั้นรึ? นางยิ้มอย่างขมขื่นหลังจากเงียบไปนาน
“เจ้าทำใจแล้วสินะ ข้าจะไม่หยุดเจ้าอีกแล้ว สู้ตามแต่ใจปรารถนาของเจ้าเถอะ!”
ราวกับว่านางถูกพากลับไปยังในอดีตครั้งเมื่อยังสาว ในตอนนั้นนางงดงามอย่างมาก เปล่งประกายอย่างมาก นางมีทุกอย่างที่เฟิงเซี่ยนมี…ยกเว้นบุรุษอย่างหยินหยูที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อนาง นางไม่เคยมีเลย ในตอนนี้ แม้แต่นางก็มิอาจซ่อนความริษยาในศิษย์ของตัวเองได้
ซือหยูที่ไร้ซึ่งสิ่งกีดขวางมองไปยังที่นั่งเมฆาหิมะ และมองตรงไปยังเฉินคง
“เริ่มสู้เถอะ!”
เฉินคงพยักหน้า แววตาของเขามีจิตสังหารที่ดูขัดแย้ง
“เจ้านั้นยอดเยี่ยม ข้าเป็นรองเจ้า! การทำลายฐานพลังและปล่อยให้เจ้ารอดไปได้นั้นจะไร้ปรานีและไม่เป็นการเคารพเจ้าเลย ข้าตัดสินใจจะสังหารเจ้า!”
ความตายคือความนับถือขั้นสูงสุดที่เขาจะมอบให้ยอดฝีมืออย่างซือหยูได้
ซือหยูพยักหน้า
“เจ้าก็เหมือนกัน! ไม่ว่าจะฆ่าเจ้าหรือปล่อยเจ้าไป นี่ก็เป็นทั้งหมดที่ข้าทำได้!”
ในความจริง ซือหยูอยากจะรู้ว่าเหตุใดเฉินคงถึงต้องฆ๋าเขา พวกเขามิได้มีเรื่องผิดใจต่อกัน แต่เฉินคงพูดว่าซือหยูต้องตาย! ก่อนหน้านี้ เฉินคงได้ทำให้เจ้าตำหนักเสี่ยวกังมาก่อเรื่องที่ตำหนักหยินหยู เหตุเช่นนี้เกิดขึ้นโดยไร้สาเหตุ
แต่มันไม่สำคัญอีกแล้ว การเอาชนะเฉินคงคือเป้าหมายเดียวของซือหยู
เฉินคงยืนมือไพล่หลัง
“กฎเดิม เจ้ามีโอกาสเดียวที่จะโจมตีข้า! แต่ครั้งนี้มันจะไม่มีข้อยกเว้น!”
อำมฤตระดับห้า — ตัวตนราวเทพแห่งทวีป ทุกวิชาที่ซือหยูมีนั้นไร้ค่าต่อหน้าเขา เขามีโอกาสเดียวให้ลงมือเท่านั้น ซือหยูเข้าใจเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเอาชนะเฉินคงในการโจมตีเดียว
ซือหยูบินลง เขาเหยียบพื้น
แกร๊ก—-
ก้อนศิลาใต้เท้าของเขาแหลกเป็นเสี่ยงด้วยพลัง ทำให้ขาของเขาจมลึกลงไปในลานประลอง ประสาทสัมผัสทั้งหมดในร่างทำงานอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อหดเกร็งอย่างต่อเนื่อง
เขายังไม่เริ่มใช้วิชาด้วยซ้ำแต่ผู้คนก็รู้สึกถึงพลังประหลาด ราวกับว่าซือหยูเตรียมจะใช้วิชาที่น่ากลัว
จ้าววิหคเพลิงเงยหน้ามองท้องนภา นางขมวดคิ้ว
“พลังวิญญาณของปราการวิหคเพลิงถูกรบแวน….นั่นมันพลังอะไรกัน!”
แต่วิชาระดับอำมฤตทุกวิชาสามารถสร้างพลังเช่นนี้ได้แม่ว่าจะแข็งแกร่งที่อ่อนแอ แต่พลังที่ซือหยูอัญเชิญเข้ามานั้นเหนือกว่าวิชาทั่วไป
พลังวิญญาณเหล่านั้นราวได้ได้ยินคำบัญชาจากสวรรค์ มันเข้ามารวมตัวที่ซือหยู! การเคลื่อนตัวอันบ้าคลั่งของพลังวิญญาณทำให้เกิดสายลมรุนแรง หลายคนตกใจและลอยขึ้น! แม้แต่หลังคาของสิ่งปลูกสร้างก็ลอยขึ้นจากพลังอันน่าตกตะลึง
พลังวิญญาณรวมตัวที่เหนือศีรษะของซือหยู มันกลายเป็นวารีวิญญาณที่ก่อตัวรวมเป็นเมฆา!
“ชั้นเมฆาวิญญาณ!”
ผู้คนเบิกตากว้าง พวกเขาร้องเสียงหลง
เขารวบรวมพลังวิญญาณได้มากมายเช่นนี้!
“นะ…นั่นมันวิชาอะไรกัน?”
ไม่มีใครเข้าใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
แม้แต่จ้าววิหคเพลิงก็ตกใจ แววตานางเปลี่ยนไป
“หรือว่ามันจะเป็น…?”
“อรหันต์แปดอักษร! ปิง!”
เสียงคำรามแห่งสวรรค์ดังก้องปฐพี
พลังวิญญาณอันน่ากลัวที่ก่อตัวบนศีรษะซือหยูได้ก่อตัวเป็นรูปลักษณ์อักษรที่เขียนว่า ‘ปิง’ ที่กว้างใหญ่! จิตสังหารไร้ขอบเขตและพลังสวรรค์ประหลาดพุ่งออกมาจากคำว่า ‘ปิง’! คำคำนี้เต็มไปด้วยจิตสังหารที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ มันปล่อยมาจากเสียงตะโกน ราวกับว่าคำพูดนั้นมีทหารล้านคนรวมตัวกันอยู่
จิตสังหารอันน่าครั่นคร้ามนี้ทำลายได้แม้กระทั่งสวรรค์ — มากพอที่จะสังหารทุกสิ่งบนโลกใบนี้!
แกร๊ก—
แก้วชาในมือจ้าววิหคเพลิงแตกเป็นเสี่ยง ความเยือกเย็นและแววตาอันอ่อนโยนของนางเปลี่ยนไป นางพูดกับตัวเองเบาๆ
“วิชาระดับตำนาน! เป็นไปได้ยังไง?”
มู่เทียนฟางที่อยู่ข้างนางได้ยินเสียงเบาๆจากนาง ราวกับว่านางถูกสายฟ้านับล้านซัดใส่กาย นางตัวแข็งทื่อ
“วิ…ชา…ระดับ…ตำนาน….”
มันคือสิ่งที่มีตัวตนเฉพาะในคำร่ำลือ! วิชาที่มีเพียงเทพที่บ่มเพาะได้! ซือหยูได้บ่มเพาะวิชาระดับตำนาน!
อักษร ‘ปิง’ ตัวใหญ่ยักษ์กำลังจะทำลายทุกสิ่ง! จิตสังหารอันมหาศาลเข้ากดดันฟ้าดิน ราวกันว่าเมื่อมันปะทุออกมา มันจะทำลายทุกสิ่ง!
จ้าววิหคเพลิงกลับมาได้สติอีกครั้ง นางชักสีหน้าและสั่งอย่างรวดเร็ว
“ทุกคนออกจากลานประลองเดี๋ยวนี้! ทุกคนออกให้ห่างจากลบานประลองที่สุดเท่าที่จะทำได้! ถอยไป! เดี๋ยวนี้!”
เหล่าผู้คนสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ จิตสังหารที่อัดแน่นอยู่ในคำว่า’ปิง’นั้นทำให้พวกเขาขนลุก หากมันถูกปลดปล่อยออกมาแล้วพวกเขาคงจะแหลกเป็นผงแน่นอนถ้าหากเข้าใกล้!
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ–
หลายคนบินขึ้นท้องนภาอย่างรีบร้อน พวกเขาหนีไปไกลตามคำสั่งและมองดูจากระยะไกล
“พวกเราก็ต้องไปด้วย!”
จ้าววิหคเพลิงมองมู่เทียนฟางและถอยออกไปเช่นกัน!
นี่เป็นครั้งแรกที่มู่เทียนฟางเห็นความกลัวในดวงตาของอาจารย์!
“ท่านอาจารย์ นั่นมันจะรุนแรงเพียงใดกัน?”
มู่เทียนฟางกลืนน้ำลาย นางไม่ละสายตาจากซือหยู บุรุษผู้นี้ราวกับโจรที่ฉกชิงความกลัวของอาจารย์นางไป!
จ้าววิหคเพลิงจ้องมองอักษร ‘ปิง’ และส่ายหน้า
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นวิชาระดับตำนานด้วยตัวเอง! ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆแล้วมันจะรุนแรงแค่ไหน…ข้ารู้อย่างเดียวว่าข้าอาจจะตายได้เพราะท่านั้น ทุกสิ่งที่รอดไปได้แม้พิการนั่นก็นับว่าโชคดีแล้ว!”
“เฉินคงแพ้แล้ว!”
จ้าววิหคเพลิงพูดและมองซือหยูตาไม่กระพริบ นางเคยคิดว่าซือหยูเป็นแค่เด็ก แต่เขากลับซ่อนพลังอันน่ากลัวเอาไว้!
สมองของมู่เทียนฟางราวกับถูกซัดด้วยอัสนี ริมฝีปากของนางแห้งเหือด
“เขา…เขาสังหารท่านอาจารย์ได้…รึ?”
นางเคยคิดว่าซือหยูเป็นแค่ภัยเล็กน้อยต่ออาจารย์ของนาง แต่ในความจริงแล้วการโจมตีนี้รุนแรงจนมากพอที่จะฆ่าอาจารย์ของนาง! หยินหยูแข็งแกร่งเกินไป! แข็งแกร่งจนทุกคนต้องกลั้นหายใจด้วยความโศกเศร้า!
“วิชา! ระดับ! ตำนาน!”
เฉินคงกัดฟันแน่น เขาสั่นไปทั้งกาย
วิชาระดับตำนานเป็นวิชาของเทพที่ไม่สนความต่างของระดับพลัง ซือหยูครอบครองวิชาเช่นนั้นได้ยังไง? วิชาที่ไม่ควรจะเป็นของผู้ใดในทวีปเฉินหลง!
ความตายปกคลุมจิตวิญญาณของเขา เฉินคงรู้ว่าเขามิอาจป้องกันตัวเองจากวิชานี้ได้! แต่เขาก็ยังมิอาจเชื่อว่าซือหยูจะเอาชนะเขาได้แม้เขาจะใช้พลังเต็มที่!
ตอนที่ 379
เขารู้สึกได้ถึงความพ่ายแพ้ แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่ง ซือหยูก็แข็งแกร่งยิ่งกว่า! ซือหยูคือราชาแห่งทวีปตัวจริง! เขาคือราชาสูงสุดที่ปกครองยอดฝีมือทุกคน!
“หยินหยู! มันยังไม่จบหรอก!”
คำว่า ‘ปิง’ พุ่งเข้ามาหาเขา จักรวาลเงียบกริบ เสียงทำลายล้างนั้นสูงเกินไปกว่าที่หูของมนุษย์จะได้ยิน!
ไม่มีใครได้ยินเสียงทำลายล้าง พวกเขาเห็นแต่ความว่างเปล่า
ลานประลองแหลกเป็นเสี่ยงๆราวกับเต้าหู้ด้วยฝีมือของซือหยู จากนั้นมันก็กลายเป็นฝุ่นควันกระจายทั่วฟ้า
พื้นใต้ลานประลองพังทลายไปเช่นกัน หลุมลึกปรากฏขึ้น จุดเตรียมประลองที่ทุกคนเคยอยู่ บันได ราวจับ ประตูบานใหญ่ เก้าอี้ศิลาที่พวกเขานั่ง และลานชมการประลองของจ้าววิหคเพลิง ทั้งหมดได้มลายหายไปราวกับหมอกควัน ในสายตาของทุกคน ทุกสิ่งได้หายไปทีละเล็กละน้อยจนไม่เหลืออะไร
ในพริบตา พื้นที่กว้างหมื่นศอกได้กลายเป็นหลุมลึกกว้างหมื่นศอกอย่างไร้ขอบเขต! ทุกสิ่งถูกทำลาย ไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่เลย!
เมื่อเสียงทำลายล้างกระจายออกไป สิ่งที่ทุกคนเห็นก็คือหลุมลึกไร้ขอบเขตและซากปรักหักพังเป็นวงกว้าง มันร่องรอยความเสียหายตลอดระยะห้าหมื่นศอก
ที่แสนศอกไกลออกไป ทุกคนคุยกันอย่างเคร่งเครียด ในจิตใจพวกเขาเต็มไปด้วยคลื่นโหมกระหน่ำ พวกเขาหวาดกลัวจนพูดไม่ออก การโจมตีของซือหยูมันอยู่นอกเหนือสามัญสำนักของพวกเขา!
ในตอนนั้นเอง ทุกที่เงียบกริบไร้ซุ่มเสียง มีเพียงเสียงฝุ่นสัมผัสพื้นเบาๆ ผ่านไปนานก่อนที่ทุกคนจะอ้าปากค้าง
“หยินหยู…”
บางคนหายใจแม้จะอ้าปากอยู่
“เขาอายุสิบเจ็ดจริงๆเรอะ?”
ไม่มีใครเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเกิดจากชายหนุ่มที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่!
ไม่นานฝุ่นควันทั้งหมดก็ตกลงสู่พื้นดิน ซากที่แผ่วงกว้างปรากฏแก่สายตาทุกคน ภาพอันน่าตกตะลึงทำให้พวกเขาตัวสั่นเทิ้ม
เหนือหลุมลึก ชายหนุ่มผมสีเงินลอยนิ่งอยู่กลางนภา
ทุกคนจ้องมองแผ่นหลังของชายหนุ่มผู้นั้นด้วยความนับถือจากก้นบึ้งของหัวใจ เทียบกับในอดีต…ตั้งแต่เมื่อใดกันที่งานชุมนุมวิหคเพลิงมีผู้มากพรสวรรค์ผู้ที่สั่นคลอนโลกได้เช่นนี้?
ถ้าเช่นฉีหลินกับซงหลวนคือผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดในทุกยุคสมัย พวกเขาก็คงจะกลายเป็นราชาแห่งผู้คุมสวรรค์ แต่ในงานชุมนุมวิหคเพลิงครั้งนี้มิได้มีแค่พวกเขา ยังมีตำนานไร้พ่ายเฉินคง เขาคือราชาสูงสุดยืนอยู่เหนือยอดฝีมือทั้งปวง
เขาได้สร้างยุคที่เขายืนอยู่บนจุงเหนือสุดขึ้นมา แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าจะมีม้ามืดปรากฏตัวขึ้น คนที่ฉีกกระชากตำนานไร้พ่ายของเฉินคง!
เขาที่เป็นแค่เด็กหนุ่มได้ไปถึงระดับของผู้คุมสวรรค์และแม้แต่จ้าววิหคเพลิงยังต้องถอยหนี! บุคคลผู้เป็นตำนานนี้ทำให้ประวัติศาสตร์เปลี่ยนหน้า ไม่ว่าจะกี่ยุคผ่านพ้นก็ไม่มีใครก้าวข้ามได้ และทุกคนที่นี่ยังได้เห็นตำนานที่ก้าวข้ามทุกคนในทวีปด้วยตาตนเอง!
ไม่ว่าจะผ่านไปกี่วันปี พวกเขาจะไม่มีทางลืมมันเด็ดขาด!
ผู้คนทั้งหมื่นคนจ้องมองซือหยู ซือหยูราวกับชายที่เหนือกว่าผู้คนนับร้อยล้านและปกครองทุกสิ่งอย่าง หลังจากวันนี้ไป ชื่อของซือหยูจะเทียบได้กับผู้ปกครองสวรรค์แห่งทวีป เขาจะกลายเป็นตำนานที่คนรุ่นหลังมิอาจก้าวข้ามไปได้
“ข้าชนะหรือไม่?”
เสียงของซือหยูแหบพร่าและแหลมราวกับโลหะที่เอามาถูกัน มันแสบแก้วหูอย่างมาก
เขาเหนื่อยอ่อนราวกับพลังวิญญาณและพลังกายหมดสิ้น เขาบินลงไปยืนเหนือขอบหลุมไร้ขอบเขต
เขาไม่ได้สนใจร่างกายตัวเองทันที เขากลับมีแววตาที่เต็มไปด้วยเพลิงแห่งความหวัง เขารีบมองผ่านทุกคนเพื่อหาคนที่เขายอมยากลำบากที่จะได้พบ
ราวกับทุกคนเข้าใจสายตานั้น ทุกคนหลีกทางให้กับที่นั่งเมฆาหิมะที่เต็มไปด้วยรังสีอันบริสุทธิ์
ข้างในนั้นคือสตรีในฝันของซือหยู!
“เซี่ยนเอ๋อ ข้าชนะแล้ว! ออกมาเจอข้าเถอะ!”
ซือหยูอดทนความร้อนผ่าวในลำคอและพูดอย่างยากลำบาก
เขาเชื่อว่าแม้เขาจะสวมหน้ากาก และแม้ว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงไปจนจำไม่ได้ เซี่ยนเอ๋อก็ต้องรู้ว่าหยินหยูคือซือหยู แต่เสียงอันอ่อนโยนนั้นก็ไม่ได้รับคำตอบ ที่นั่งเมฆาหิมะยังคงเงียบกริบอยู่นาน
และเสียงที่ดังตามมาก็เป็นเสียงที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกถึงอิสระ มันมีความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ความเศร้า ความโกรธ ความสุข ความรู้สึกทางลบหายไปทั้งหมด เหลือเพียงแต่ความบริสุทธิ์นั้น
“ข้าขออภัย”
นางพูดออกมา
“ข้าจะแต่งงานกับเฉินคงเท่านั้น โปรดไปเถอะ”
เสียงนั้นไร้อารมณ์อย่างสิ้นเชิง ความเหินห่างทำให้สีหน้าผู้คนนับไม่ถ้วนเปลี่ยนไป พวกเขามองซือหยูด้วยความเวทนาและรู้สึกว่าที่เขาทำไปนั้นไม่คุ้มค่าอะไรเลย
การต่อสู้เอาชีวิตเข้าแลกของเข้านั้นทำลงไปเพราะเซี่ยนเอ๋อเท่านั้น หรือว่าเฟิงเซี่ยนจะไม่ประทับใจแม้แต่น้อย? เหตุใดนางจึงไร้เยื่อใยเช่นนี้?
ซือหยูตัวแข็งทื่อ แม้เสียงนั้นจะบางเบา มันก็ดูคล้ายกับเสียงของเซี่ยนเอ๋อ แต่ในเวลาเดียวกันมันก็ดูไม่คล้ายกับเซี่ยนเ๋อ ซือหยูแยกไม่ออกว่าเสียงนั้นเป็นของเซี่ยนเอ๋อจริงหรือไม่
“ออกมาเถอะ ข้าอยากจะเจอเจ้าเท่านั้น!”
ซือหยูพูดซ้ำ
จ้าววิหคเพลิงถอนหายใจและรู้สึกผิดต่อเฉินคง จากนั้นนางก็มองไปยังที่นั่งเมฆาหิมะ
“เฟิงเอ๋อ เฉินคงตายแล้ว โปรดคิดอ่านอีกครั้งเถอะ”
เสียงอย่างเดิมดังมาจากที่นั่งเมฆาหิมะ
“เฉินคงยังไม่ตาย หยินหยูแพ้แล้ว”
เอ๋? ทุกคนประหลาดใจ
ในคลื่นเสียงนั้น ร่างของเฉินคงแทบไม่มีตัวตน เขาไม่มีทางหนีไปได้
ซือหยูหันกลับไปใช้พลังดวงตา เขาชักสีหน้า
จ้าววิหคเพลิงหันไปมอง จากนั้นนางก็พูดอย่างจริงจัง
“นี่มัน…”
เหนือหลุมไร้ขอบเขต หน้ากากสีทองแดงลอยออกมาอย่างช้าๆ แม้พื้นที่ในบริเวณนั้นจะแหลกสลายไม่เหลือสิ่งใด หน้ากากสีทองแดงนั้นก็ยังปลอดภัยดี!
ฟึ่บ–
เสียงดังออกมาจากหน้ากากทองแดง จากนั้นทุกคนก็ร้องเสียงหลง! แสงสีมรกตเปล่งประกายออกมาจากหน้ากาก ร่างหนึ่งปรากฏออกมา
เฉินคง!
เฉินคงผู้เป็นตำนานไร้พ่าย! นั่นเป็นเขาอย่างแน่นอน! ความต่างเดียวก็คือเขากำลังสวมหน้ากาก! เขาไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย!
จ้าววิหคเพลิงจ้องมองหน้ากาก นางสีหน้าเปลี่ยนไปมาก
“สมบัติเทพระดับกลาง! หน้ากากนิรันดร์!”
“อะไรนะ? สมบัติเทพระดับกลางรึ?”
ผู้คนนับไม่ถ้วยอ้าปากค้าง
หยินหยูครอบครองสมบัติเทพระดับกลางหนึ่งชิ้น แต่เฉินคงก็มีอีกชิ้นเช่นกัน! ความต่างก็คือทุกคนรู้ว่าธนูของหยินหยูนั้นมาจากที่ใด แต่เฉินคงไปเอาสมบัติเทพมาจากที่ไหนกัน?
ตำหนักรองของอาณาจักรทมิฬมีสมบัติเทพระดับกลางหนึ่งชิ้นเท่านั้น เฉินคงจะมีอีกหนึ่งได้อย่างไร?
ตอนนี้ทุกคนเข้าใจแล้วว่าในวิชาที่สังหารได้แน่นอนนั้น สมบัติเทพได้ดูดเฉินคงเข้าไป เขาจึงหลบได้อย่างไร้รอยขีดข่วน!
หัวใจของพวกเขาแทบหยุดเต้น มิใช่ว่าเพราะสมบัติเทพหรอกรึที่ทำให้เฉินคงนั้นไร้พ่าย? ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เขาก็แค่หนีเข้าไปในสมบัติเทพทันที แล้วในโลกใบนี้ใครกันจะแตะต้องเขาได้?
เฉินคงมองซือหยูและเห็นว่าพลังวิญญาณและพลังกายของซือหยูหายไปอย่างมาก ลำคอของซือหยูก็ได้รับผลเช่นกัน บอกได้เลยว่าเขาใช้วิชาเดิมไม่ได้อีกแล้ว
และในตอนนี้ซือหยูจะต้องสู้กับเฉินคงที่ไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อยอีกครั้ง…งั้นรึ?
คนที่แพ้คือหยินหยู! เขาพ่ายแพ้การประลองและเสียนางอันเป็นที่รัก และยังต้องเสียชีวิตไปอีกแน่นอน…
เฉินคงมองซือหยูด้วยความนับถือและจิตสังหาร
“อย่างที่ข้าคิด”
“จะปล่อยให้เจ้ารอดออกไปไม่ได้ เจ้าบังคับให้ข้าต้องแสดงตัว! ถ้าข้ารู้ว่าจะเกิดเรื่องนี้ข้าก็จะฆ่าเจ้าด้วยทุกสิ่งที่มีไปตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเจ้าแล้ว!”
ไม่มีใครหยุดเขาได้อีกแล้ว! ซือหยูจะตายอย่างแน่นอน!
แต่คำพูดของเฉินคงนั้นทำให้ทุกคนมีข้อสงสัย หรือว่าเฉินคงกับซือหยูจะมีเรื่องในอดีตต่อกันมาก่อน? ทุกคนมองซือหยูและเห็นว่าซือหยูจ้องมองหน้ากากของเฉินคง ใบหน้าของซือหยูเคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เป็นเจ้าเองสินะ!”
ซือหยูกัดฟัน เขาทั้งตกใจและสับสน
หน้ากากทองแดง หน้ากากทองแดง….ซือหยูไม่มีวันลืมหัวหน้าโจรสลัดวารีทมิฬผู้ลึกลับในเขตหยินหยูได้อยู่แล้ว!
เขาที่เป็นหัวหน้ากลุ่มโจรสลัด หลังจากที่ใช้พวกโจรสลัดเสร็จแล้วเขาก็ฆ่าล้างสังหารทุกคน และเขายังไล่ล่าตู่หลงกับซือหยู แต่ในท้ายสุดพวกซือหยูก็หนีรอดมาได้อย่างโชคดี
ในตอนนั้น ซือหยูคือมดปลวกต่อหน้าเขา ซือหยูต่อต้านเขาไม่ได้เลย ซือหยูที่หนีรอดออกไปได้นั้นนับว่าโชคดีเป็นอย่างมาก
ซือหยูเข้าใจแรงจูงใจของเขาแล้ว เขาต้องการใช้โจรสลัดวารีทมิฬในการขุดซากใต้เขตหยินหยูและหาสิ่งที่เรียกว่า “ประตู!” หรือ “กุญแจ!” จากที่ซือหยูรู้ “ประตู” นั้นคือเป้าหมายของกลุ่มชายในหมวกไผ่ลึกลับ
และเบื้องหลังชายในหมวกไผ่พวกนั้นยังเป็นคนที่ไร้ผู้ต่อกรที่เทียบได้กับราชาแห่งความมืด! พวกนั้นคือเก้าศักดิ์สิทธิ์! หัวหน้าของโจรสลัดวารีทมิฬคือคนของเก้าศักดิ์สิทธิ์! และมันก็คือเฉินคง! เขาคือทรราชย์แห่งอาณาจักรทมิฬ!
“ดูเหมือนเจ้าจะจำข้าได้นะ!”
แววตาเฉินคงเต็มไปด้วยจิตสังหาร!
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเฉินคงถึงอยากฆ่าซือหยูนัก! และไม่แปลกใจเลยที่เขาส่งคนเข้ามายั่วยุซือหยู!
ทุกอย่างชัดเจนแล้วในตอนนี้ เฉินคงคือหัวหน้าที่กำลังมองหาประตูลึกลับ ในสายตาเขา สมบัติใต้ดินนั้นถูกซือหยูเอาไปแล้ว และ “ประตู” นั้นก็อยู่ในมือซือหยูเช่นกัน นั่นคือเหตุผลแท้จริงที่เขาอยากสังหารซือหยู
“เจ้ารู้แล้วสินะว่าทำไมเจ้าถึงรอดออกไปไม่ได้!”
เฉินคงเต็มไปด้วยจิตสังหารที่พุ่งออกไปยังซือหยู!
จ้าววิหคเพลิงชักสีหน้า แต่นางก็อยู่ไกลจากซือหยู นางจะช่วยซือหยูทันได้อย่างไร?
ซือหยูเหนื่อยอ่อนอย่างมาก เขาไม่มีพลังวิญญาณหลงเหลือ เขาจะสู้กับเฉินคงที่ยังอยู่ในสภาพเต็มร้อยได้อย่างไร?
เขาแพ้แล้ว! เขาแพ้ในการประลองครั้งใหญ่และยังต้องตาย! เขาเสียเซี่ยนเอ๋อไปเช่นกัน…
เขามองที่นั่งเมฆาหิมะตรงหน้า เซี่ยนเอ๋อที่เขาตามหาข้ามน้ำข้ามทะเลนั่งอยู่ในนั้นโดยที่เขายังไม่ได้เห็นหน้า
เดิมที ทั้งสองมีเรื่องเข้าใจผิดกันที่เทือกเขารัตติกาล ต่อมาพวกเขาก็เจอกันในงานแต่งงาน ต่อมาก็เรื่องในตำหนักดยุคเซี่ยนหยู ต่อมาพวกเขาก็เจอกันอีกครั้งที่หุบเขาเฟิงหวง สุดท้ายพวกเขาก็แยกจากเขตเซี่ยนหยู
เขาเคยคิดว่าหากได้เจอกันครั้งนี้ เขาจะต้องพานางหนีไปยังที่อันห่างไกล เขาคิดว่าหลังจากเรื่องนี้จบลง พวกเขาจะไม่มีวันต้องแยกจากกันอีก เขาเคยคิดว่าครั้งนี้เขาจะสัญญาที่จะมอบอนาคตของเซี่ยนเอ๋อไว้ได้
แต่ในความจริงแล้วเซี่ยนเอ๋อกลับไปหลงรักกับคนอื่น!
และก่อนที่ซือหยูจะตาย นางยังไม่คิดจะออกมาให้เขาเจอหน้า นางเต็มใจที่จะแต่งงานกับเฉินคงเท่านั้น—แต่งงานกับคนที่อยากจะฆ่าซือหยู!
ทั้งหมดมันเพื่อสิ่งใดกัน? ทั้งหมดตั้งแต่ที่เขาไล่ตามนางจากเกาะเฉินยี่ตลอดจนถึงทวีปเฉินคง ตั้งแต่สำนักหลิวเซี่ยนจนมาถึงร้อยดินแดน จากอาณาจักรทมิฬมาจนถึงทวีปตอนเหนือ เขาเพิ่มพลังทีละก้าวตลอดมาเช่นกัน ทั้งหมดมันเพื่อสิ่งใดกัน?
เขาเพียงหวังจะได้อยู่เหนือโชคชะตาของตัวเองและใช้ชีวิตกับเซี่ยนเอ๋อโดยที่ไม่มีใครมาขัดขวาง! แต่ความจริงโหดร้ายนัก! เขาจะต้องตายด้วยมือเฉินคง และเซี่ยนเอ๋อจะไปอยู่ในอ้อมแขนของเฉินคง!
ความไม่พอใจและความโศกเศร้าเป็นดังสายลมแห่งความโกรธแค้น ทำไมกัน? เขาพยายามอย่างหนัก ดิ้นรนอย่างหนัก และต่อสู้ด้วยทุกสิ่งที่มี แต่พระเจ้าก็ยังมอบชะตาเช่นนี้ให้กับเขา! สตรีอันเป็นที่รักตกไปอยู่ในอ้อมแขนชายอื่น ส่วนเขากำลังจะตายต่อหน้านาง และก่อนที่เขาจะตาย เขายังไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้พบหน้านางด้วยซ้ำ!
ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นความหวังอันว่างเปล่าต่อหน้าโชคชะตา! พระเจ้าเล่นตลกกับเขาอย่างไม่เป็นธรรม!
ทำไมชะตาจะต้องส่งพันธนาการมาดึงรั้งเขาอย่างยากลำบากเสียทุกครั้ง ทำไมชะตาจะต้องทำให้เขาต้องโศกเศร้าไปตลอด? ตลอดชีวิตนี้ในโลกใบนี้ผ่านมาเพียงสามปี แต่ทุกโชคชะตาที่พบกลับมีเพียงความไม่เป็นธรรม เขาถูกปั่นหัวในทุกช่วงเวลา
เพลิงพิโรธแผดเผาในอกของซือหยู มันรู้สึกราวกับจะแผดเผาพันธนาการอันไม่เป็นธรรม โชคชะตาอันไม่เป็นธรรม และสวรรค์อันไร้คุณธรรมให้กลายเป็นเถ้าถ่าน!
ตอนที่ 380
ดวงตาทมิฬอันเยือกเย็นในตอนนี้แดงคล้ำ ผมสีเงินพัดปลิวไปตามสายลมรุนแรงจนราวกับอสูรที่ปรากฏกายออกมา ความมุ่งมั่นและความรู้สึกอันไม่เป็นธรรมที่เกิดจากโชคชะตา แรงกดดันทั้งหมดที่เขาต้องแบกรับ — ความมุ่งมั่นที่จะต่อกรต่อสวรรค์ปะทุขึ้นทันที!
คลื่นไร้ลักษณ์ห่มกายซือหยู สวรรค์สั่นสะเทือน อัสนีคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว แรงกดดันประหลาดถูกอัญเชิญมาจากสวรรค์! ราวกับว่าสวรรค์พยายามจะข่มต่อความมุ่งมั่นนี้!
“จิตวิญญาณกบฏนั่นมันอะไรกัน เขาอัญเชิญบัญชาสวรรค์ให้ลงมาได้!”
จ้าววิหคเพลิงร้องเสียงหลง นางมองท้องนภาที่เปลี่ยนไปอย่างเคร่งเครียด
มู่เทียนฟางมองขึ้นไปเช่นกัน นางรู้สึกถึงแรงดันสวรรค์จนขนลุก
“ท่านอาจารย์! เกิดอะไรขึ้นกัน? ใครกันที่สร้างแรงกดดันนี้? มีใครอื่นอยู่บนสวรรค์งั้นรึ?”
จ้าววิหคเพลิงขอบนภา แววตาของนางแปลกไป
“ไม่มีผู้ใดหรอก นั่นเป็นบัญชาแห่งสวรรค์! โลกแห่งนี้กว้างใหญ่แต่ไม่มีทางกว้างใหญ่กว่าสวรรค์! ไม่ว่าจะเกาะน้อยใหญ่หรือทวีปเฉินหลง ทุกคนต้องยอมจำนนต่อสวรรค์ ใครที่กล้าต่อกรสวรรค์จะต้องทุกข์ทรมานจากการปราบปรามของสวรรค์!”
สวรรค์…มู่เทียนฟางตกใจจนสติหลุดลอย บนโลกแห่งนี้มีสวรรค์อยู่จริงงั้นรึ?
“พลังที่เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดา…”
จ้าววิหคเพลิงพูด
“เก้าระดับของผู้ฝึกตน เจ็ดระดับของราชันย์ศักดิ์สิทธิ์ เจ็ดระดับของขอบเขตมังกร ห้าระดับของขอบเขตอำมฤต…ผู้คนจะเติบโตในทุกย่างก้าวจนถึงจุดที่ต่อกรต่อพลังสวรรค์ ถ้าหากใครที่เติบโตไปเกินกว่านี้ พวกเขาจะเผชิญหน้าได้เสมอภาคกับสวรรค์ เป็นอิสระจากขอบเขตของสวรรรค์และฟ้าดิน ขัดขวางกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ดังนั้นสวรรค์จึงมิอาจปล่อยให้คนที่เหนือกว่าขอบเขตอำมฤตมีตัวตนอยู่ได้ ทุกครั้งจะมีเหตุเช่นนี้เกิดขึ้น พวกเขาจะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์!”
มู่เทียนฟางพูดเบาๆ
“แต่หยินหยูยังไม่เป็นอำมฤตระดับห้า เขาจะทะลวงพลังที่เหนือกว่าขอบเขตอำมฤตได้อย่างไร? ทำไมเขาถึงถูกสวรรค์กดดันเช่นนี้?”
จ้าววิหคเพลิงพูดอย่างหม่นหมอง
“ยังมีอีกหนทางที่จะก้าวข้ามขอบเขตของสวรรค์ไปได้ และนั่นคือ…ฎีกาสวรรค์! เมื่อฎีกาสวรรค์แข็งแกร่งพอที่จะขัดห้วงวารีแห่งสวรรค์ คนผู้นั้นก็จะอัญเชิญความพิโรธจากสวรรค์ลงมือ ฎีกาสวรรค์ของซือหยูไม่เพียงแต่ถึงระดับเทพ แต่มันยังเป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเขาเอง! ดูเหมือนมันกำลังจะทะลวงพลังและสำเร็จในระดับของฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์!”
ถ้าฎีกาสวรรค์แข็งแกร่งเกินไป มันจะขัดต่อกฎเกณฑ์ของสวรรค์และจะทำให้สวรรค์โกรธแค้น!
มู่เทียนฟางสับสนยิ่งกว่าเดิม
“ฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์….แต่เฟิงเซี่ยนก็เรียนรู้ฎีกาสวรรค์ด้วยตัวเองเช่นกัน และนางก็ไปถึงขั้นนั้นแล้ว คำพูดและการกระทำของนางบริสุทธิ์อย่างมาก เหตุใดนางถึงไม่ถูกสวรรค์ลงทัณฑ์เล่า?”
จ้าววิหคเพลิงจ้องซือหยูด้วยความนับถือ
“นั่นก็เพราะว่าสิ่งที่เขาเรียนรู้มันเป็นของกบฏ! นี่คือการกบฏที่แม้แต่สวรรค์ต้องระวังตัว! ฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์ของเฟิงเซี่ยนนั้นบริสุทธิ์อย่างมากและมิได้ขัดต่อบัญชาสวรรค์ แต่ของซือหยูนั้นมันเกิดจากจิตมุ่งมั่นที่จะต่อกรต่อสวรรค์! ไม่มีใครรู้ว่าผลของฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์ของเขาจะเป็นอย่างไร”
เขาจะต้องพบเจอกับความทุกข์ทรมานเท่าใดกันถึงเกิดความมุ่งมั่นที่จะกบฏต่อสวรรค์จนทำให้สวรรค์หวาดกลัว? มู่เทียนฟางประทับใจ นางกำลังมองบุรุษที่อ้างว้างและโศกเศร้าอย่างรุนแรง
ซือหยูบ่มเพาะฎีกาสวรรค์จนถึงจุดสูงสุดใหม่ เขารู้แล้วว่าฎีกาสวรรค์ของเขาขาดสิ่งใดไปเมื่อเขาได้บ่มเพาะมันในกระโจมหลงลืม และในตอนที่เขาถึงคราวย่ำแย่ที่สุดในชีวิต เขาก็ได้เข้าใจว่าฎีกาสวรรค์ของเขากำลังขาดอะไร
สิ่งที่เขาขาดคือความตั้งใจของตัวเอง!
ฎีกาสวรรค์ของเขาได้รับมาจากดัชนีสวรรค์ของผู้อาวุโสในภาพเขียน แม้ว่าเขาจะพัฒนามาจนต่างกันอย่างมาก มันก็มิอาจหลุดพ้นจากการเป็นของลอกเลียนได้ ไม่ว่าจะแข็งแกร่งเพียงใด มันก็ยังเป็นแค่ฎีกาสวรรค์ของคนอื่น ดังนั้นระดับเทพจึงเป็นขีดจำกัด ตอนนี้ความคิดของเขาขยายออกไปอย่างชัดเจน เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมฎีกาสวรรค์ของเขาถึงไม่เติบโต เพราะมันขาดจิตมุ่งมั่นของตัวเขาเอง!
การรวมตัวกับจิตมุ่งมั่นนั้นคือหนทางเดียวที่จะสร้างฎีกาสวรรค์ให้ไปถึงอีกขอบเขต นั่นก็คือฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์!
หยุนย่าสีเคยพูดว่าระดับเทพนั้นเป็นแค่ขั้นต่ำสุดของระดับเริ่มฎีกาสวรรค์ นั่นหมายความว่าซือหยูได้ไปถึงขั้นต่อไปในระดับพิสุทธิ์!
เขาขจัดคราบมนุษย์ให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ฎีกาสวรรค์ของซือหยูได้บริสุทธิ์จากขอบเขตของมนุษย์ ส่วนหนึ่งคือฎีกาสวรรค์ที่ลอกเลียน อีกหนึ่งส่วนคือฎีกาสวรรค์ที่เต็มไปด้วยจิตกบฏสวรรค์
จิตใจซือหยูกระจ่างชัดไปด้วยความคิดทั้งฟ้าดิน ความสับสนในฎีกาสวรรค์ของเขามลายหายไป
แต่แม้ว่าซือหยูจะได้ฎีกาสวรรค์ใหม่มา พลังจากสวรรค์ก็เข้ากดดันเขา พลังนั้นกว้างใหญ๋เกินทน ซือหยูมิอาจป้องกันได้และถูกบังคับให้ออกจากการบ่มเพาะ
ในขณะเดียวกันก็มีเสียงคำรามดังก้องมาจากสวรรค์
“บัญชาสวรรค์มิอาจถูกขัดขวาง อำนาจของเทพมิอาจกังขา…”
เสียงดังก้องไปทั่วหลายล้านลี้! เป็นสวรรค์ที่ตัดสินทุกสิ่งจากอีกขอบเขต นั่นคือจิตวิญญาณจากโบราณที่ให้คำเตือน ยอดฝีมือทุกคนตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินเสียงสวรรค์
ราวกับเจ้าของเสียงจะเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นฝุ่นผงได้เพียงประสงค์เดียว ทั้งฟ้าดินเงียบกริบ สัตว์ป่าหยุดนิ่ง สัตว์อสูรที่ไล่ล่ากันตัวสั่น แม่น้ำหยุดไหล มหาสมุทรไร้คลื่น ราวกับว่านี่คือครั้งแรกที่ห้วงเวลาหยุดนิ่งไป ราวกับฟ้าดินนิ่งเงียบไป
ทวีปเฉินหลง ท้องทะเลกว้างใหญ่ และทุกมุมของโลกได้ยินเสียงจากสวรรค์ มันคือเสียงเตือนซือหยู เตือนทุกสรรพสิ่งบนโลก ว่าใครก็ตามที่ขัดบัญชาสวรรค์จะต้องถูกกำจัด!
ทุกคนในทวีปตกตะลึง
******
ที่กลางทวีป ตำหนักหลักแห่งอาณาจักรทมิฬ
ที่ยอดเขาทะลวงเมฆา ชายคนหนึ่งยืนอย่างโดดเดี่ยว เขายืนมือไพล่หลังท่ามกลางหมู่เมฆา เท้าของเขาอยู่เหนือดินแดนกว้างใหญ่ เหนือเขาคือท้องนภาไร้ขอบเขต ราวกับทุกสิ่งบนโลกถูกปกครองโดยเขา!
ชุดทมิฬของเขาพัดปลิวตามแรงลม มันเคลื่อนไหวดั่งเมฆาลอยล่อง ทำให้ร่างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อดูแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม
“สวรรค์พิโรธแล้ว…”
“กบฏถือกำเนิด! เขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว!”
ใบหน้านั้นแสดงความพอใจ
“เขาต้องการความช่วยเหลือ”
แววตาเขาเปล่งแสงเทพที่มีพลังทำลายล้างโลกออกไป!
แสงเทพทะลวงเมฆาไปหลายหมื่นลี้ไปถึงส่วนลึกของสวรรค์! ในตอนนั้น เสียงไร้ขอบเขตจากสวรรค์หยุดลง ราวกับมันต้องรับมือกับพลังอันรุนแรง
ฟ้าดินกลับมาเป็นปกติ สายน้ำหลั่งไหลดังเดิม และทุกสิ่งมีชีวิตกลับมาเป็นปกติ เขาหยุดเสียงสวรรค์ได้เพียงแววตา!
เขาเป็นใครกัน? เขายืนอยู่เหนือขอบเขตมนุษย์และก้มลงปกครองทุกสิ่งบนโลก เขาต่อต้านสวรรค์!
******
ที่ป่าทมิฬ
ผู้น่านับถือนั่งไขว้ขาอยู่เหนือเขาเก่าแก่ ล้อมรอบด้วยหมอกหลากสีสัน แสงเสพเก้าสีโอบล้อมกายของเขา
แต่ใต้ขุนเขานั้นกลับเป็นเหล่าสัตว์อสูรนับล้านที่ตัวสั่น ข้างหน้าคือจักรพรรดิสัตว์อสูรอำมฤตระดับห้าขั้นสูง วิหคเทพ! มันอยู่ใต้แสงทั้งเก้าโดยมิอาจหยุดกายให้สั่น ราวกับว่าแสงเทพเก้าสีนั้นกุมชะตาชีวิตมันได้
ครืน—
เสียงจากสวรรค์พัดพาเข้ามา ผู้น่านับถือลืมตาขึ้น แสงเทพพุ่งออกไปทำให้สัตว์อสูรหลายล้านกรีดร้อง
ผู้น่านับถือมองเหนือนภา เสียงของเขาไร้อารมณ์และดูเก่าแก่ คล้ายกับเสียงของฟ้าดิน
“กบฏทุกคนต้องถูกสวรรค์กำจัด!”
ในตอนนั้น เสียงสวรรค์หยุดลง
บุรุษผู้น่านับถือมองไปยังกลางทวีปอย่างเยือกเย็นไร้อารมณ์
“เจ้าขัดจิตสวรรค์ด้วยตัวเองและขัดต่อคำสั่งจากสวรรค์! ข้าจะต้องฆ่าเจ้าด้วยตัวเอง!”
ปั้ง–
ผู้น่านับถือหายไปจากจุดที่เขายืนอยู่ทันที
******
ที่ดินแดนวิหคเพลิง
ผู้คนเงียบกริบเมื่อได้ยินคำเตือนจากสวรรค์ หลายคนตัวสั่นด้วยความกลัว และแม้แต่จ้าววิหคเพลิงผู้แข็งแกร่งก็ตัวสั่น แววตาของนางหวาดกลัวอย่างบรรยายไม่ได้
เฉินคงอ้าปากค้าง แววตาเต็มไปด้วยความกลัวอย่างล้ำลึกเมื่อมองซือหยู เขากำลังต่อสู้กับคนประเภทใดกัน? จิตวิญญาณกบฏของเขาทำให้สวรรค์ต้องลงมือ! เฉินคงโชคดีแล้วที่บัญชาสวรรค์เข้ามาขัดขวางการเปลี่ยนแปลงของซือหยู
ซือหยูมองไปยังสวรรค์ แววตาเต็มไปด้วยจิตสังหารอันไร้ขอบเขต! เส้นทางในการเข้าสู่ฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์ของเขาถูกขัดขวางโดยสวรรค์
“ผิดรึที่ข้าดำรงอยู่?”
ซือหยูคำรามใส่ท้องนภา
“ข้า หยินหยูผู้นี้หวังเพียงแต่จะใช้ชีวิตอย่างสุขสงบ ทำไมเจ้าจะต้องไล่ต้อนข้าถึงเพียงนี้?”
ไม่ใช่เรื่องใหญ่หากเขาต้องพบเจอกับความยากลำบากมากมาย เขากำลังต่อสู้เอาชีวิตและกำลังจะได้ทะลวงพลังฎีกาสวรรค์ใหม่เพื่ออยู่รอด แต่สวรรค์ก็แสดงตัวออกมาขัดขวางเส้นทางแห่งฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์ ขัดขวางโอกาสที่เขาจะได้มีชีวิตอยู่ต่อ! เหตุใดสวรรค์ถึงชิงชัง ถึงขยะแขยง ถึงโหดร้ายได้เช่นนี้?
“ข้าไม่เชื่อและข้าก็ไม่ยอมแน่!”
“อย่ามาขัดขวางข้าด้วยจิตวิญญาณของเจ้าเพียงอย่างเดียว!”
ซือหยูไม่ยอมอ่อนข้อ จิตวิญญาณกบฏของเขากลับยิ่งล้ำลึกขึ้น ดวงตาที่แดงก่ำเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งกบฏอันไม่รู้สิ้น
“ถ้าสวรรค์หันหลังให้ข้า”
“ข้าขอกลายเป็นอสูรเสียยังดีกว่า!”
คำว่า “กลายเป็นอสูร” ของเขาทำให้ทุกคนตกตะลึง คำพูดของเขาทะลวงเมฆาไปถึงสวรรค์! ราวกับว่าผู้คนกำลังได้เห็นเพื่อนมนุษย์ของตัวเองกลายเป็นอสูรหลังจากที่ถูกสวรรค์ไล่ต้อนจนทุกข์ทรมาน!
“ฎีกาสวรรค์ จงออกมา!”
เส้นโลหิตที่คอของซือหยูปูดโปน เขาหน้าแดง ดวงตาแดงก่ำเปล่งแสงอันเยือกเย็น!
ปั้ง ปั้ง—
เปรี๊ยะ—
สายอัสนีและน้ำแข็งกระจ่างปลดปล่อยออกมาจากผิวหนังของเขาอย่างต่อเนื่อง ฎีกาสวรรค์ของเขาก่อเกิดจากน้ำแข็งและอัสนี
“ข้าจะบดขยี้บัญชาสวรรค์และทำให้ฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์ออกมาเอง! จงมา!”
ปั้ง ปั้ง ปั้ง—
ฟ้าดินสั่นคลอน ร่างของซือหยูสั่นอย่างบ้าคลั่ง เขาคำรามลั่นด้วยความเจ็บปวด ราวกับว่าสิ่งนี้กำลังจะฉีกร่างของเขาให้ขาดออกจากกัน! นั่นคือฎีกาสวรรค์ — ฎีกาสวรรค์อัสนีเยือกแข็ง!
ฟึ่บ–
เสียงเบาๆดังเมื่ออัสนีเยือกแข็งออกจากร่างซือหยู มันกลายเป็นแสงสองพลังพุ่งไปยังนภา สวรรค์กำลังขัดขวางเขา แต่เขาก็ตั้งมั่นที่จะขัดบัญชาสวรรค์ เขาจะสำเร็จฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์โดยมีสวรรค์เป็นสักขีพยาน!
ในตอนนั้น จากท้องนภาเบื้องบน ซือหยูได้ทำให้สวรรค์โกรธเกรี้ยว
ซือหยูตะโกนลั่น
“ข้าจะไม่หยุดตราบเท่าลมหายใจยังอยู่กับข้า! ฎีกาสวรรค์ ชำระอีกครั้ง!”
ฟ้าดินสั่นคลอน เนตรสองดวงปรากฏบนท้องนภาไร้ขอบเขต! หนึ่งข้างเป็นสีม่วงที่เปล่งประกายอย่างลึกลับ ส่วนอีกข้างนั้นขาวกระจ่าง เปล่งประกายวิญญาณเทพ
ดวงตายักษ์ราวกับแขวนอยู่บนนภา มันมองลงมาจากมวลมนุษย์ ราวกับว่านั่นคือเนตรที่สวรรค์ใช้สอดส่องโลก ภาพนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง! ฎีกาสวรรค์ของซือหยูชิงเนตรสวรรค์มาแทนที่เป็นของตัวเองและมองดูการเปลี่ยนแปลงบนโลกด้วยตัวเขาเองรึ?
จิตวิญญาณกบฏของเขามันมากเพียงใดกัน? เขาจะขัดต่อบัญชาสวรรค์ไปถึงไหนกัน?
ครืน—
เสียงคำรามดังมาจากนภา ซือหยูทำให้ผู้คุมสวรรค์ในอีกขอบเขตโกรธเกรี้ยว
ครืน—-
คลื่นหมุนวนไร้ลักษณ์ค่อยๆลงมาจากสวรรค์!
ครืน—
คลื่นลงมาสั่นคลอนทั้งโลก! มันปะทะเข้ากับมหาสมุทรกว้างใหญ่ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดต่างสั่นกลัวไปถึงดวงวิญญาณ ทุกมุมโลกต้องปะทะกับแรงกดดันประหลาด ราวกับคลื่นนั้นจะทำลายล้างโลกได้!
เสียงดังมาจากคลื่นนั้น
“เมื่อกบฏปรากฏกายก็จะต้องใช้ทุกวิธีการในการกำจัดทิ้ง! การเวียนวายตายเกิดของเขาก็ต้องถูกทำลายถ้าเขากล้ากบฏต่อสวรรค์!”
ผู้คนหันไปมองคลื่นยักษ์ ในพลังทำลายล้างนั้นมีชายหนุ่มในชุดเก่าแก่นั่งอยู่ เขาหลับตา ข้างเขาคือกระบี่เทพทำลายล้างที่เสียบอยู่กับคลื่นที่มีวิหารอยู่ภายใน
กระบี่นั้นปล่อยจิตสังหารออกมา เพียงแค่มองก็ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขาจะตายเป็นล้านครั้ง กระบี่นั้นมีพลังพอที่จะทำลายโลกใบนี้!
ชายหนุ่มหลับตาตลอดเวลาราวกับเป็นซากศพตั้งแต่ครั้งอดีต ร่างของเขาเปล่งพลังที่ไม่เคยมีใครในทวีปเฉินหลงสัมผัส เหล่าผู้คนคิดถึงตอนที่เขาลืมตาและสังหารทุกสรรพสิ่ง
ฟึ่บ–
รังสีทำลายล้างพุ่งลงมา
เนตรสวรรค์ที่ซือหยูเสกขึ้นมาถูกรบกวน มันเริ่มเสียประกายดวงตาไป
ปั้ง–
เนตรสวรรค์ที่ยังไม่ถูกสร้างอย่างเต็มที่แตกสลาย และพลังทำลายล้างนั้นก็เปลี่ยนทิศมาทางซือหยู หวังจะทำลายเขาให้สิ้นซาก
เฉินคงตกตะลึงตกใจในวิหารโบราณนั่น ชายหนุ่มและกระบี่เทพทำลายล้าง แต่การตายของซือหยูก็เป็นความปรารถนาของเขา
ตายด้วยน้ำมือสวรรค์ เฉินคงพูดในใจ…เจ้าคงไม่มีอะไรให้เสียใจสินะ!
เป็นเกียรติเพียงใดกันที่ได้ตายด้วยมือของสวรรค์?
ซือหยูมองพลังทำลายล้างและวิหารโบราณ จิตกบฏของเขาไม่ได้ลดลงไปเลย
“ถ้าหากโลกหน้ามีจริง…”
“ข้าจะทำลายสวรรค์ให้สิ้นซาก!”
คำพูดอันทรงพลังของเขากลายเป็นกระบี่แห่งกบฏที่พุ่งทะลวงออกไปยังเมฆา เขาไม่ยอมจำนนแม้นั่นจะหมายถึงชีวิต!
แต่ในตอนนั้นเองแสงเทพก็แล่นผ่านทวีปผ่านห้วงเวลามาทางพลังที่เข้ามาหาซือหยู!
ปั้ง–
พลังทำลายล้างที่พุ่งเข้าใส่ซือหยูถูกทำลาย ในขณะเดียวกันแสงเทพนั้นก็พุ่งไปยังวิหารโบราณ
ครืน—
วิหารโบราณสั่นอย่างรุนแรง! เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวดังมาจากในคลื่นวิหาร วิหารค่อยๆถูกดูดกลืนถอยกลับ!
คลื่นนิรนามหายไปอย่างรวดเร็ว ท้องนภากลับมาสดใสดังเดิม วิหารโบราณถอยกลับไป! การลงทัณฑ์จากสวรรค์ถูกขัดขวาง!
ใครกัน? ใครกันที่ทำให้สวรรค์เป็นศัตรูและทำให้สวรรค์ต้องถอยกลับ? แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร…ซือหยูก็ถูกช่วยชีวิตเอาไว้!
ซือหยูใช้โอกาสนี้เงยหน้าคำรามอีกครั้ง
“ฎีกาสวรรค์ ชำระล้างอีกครั้ง!”
ปั้ง ปั้ง ปั้ง–
เนตรสวรรค์ที่หายไปกลับมาปรากฏขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่มีสิ่งใดจากสวรรค์มาหยุดเขาอีกแล้ว ต่อมาเนตรสวรรค์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น เนตรยักษ์นั้นมีขนาดสามหมื่นลี้! ดวงหนึ่งเป็นสีม่วง ดวงหนึ่งขาวกระจ่าง เนตรทั้งสองมองดูดินแดนเบื้องล่างและปล่อยพลังทำลายล้างออกมา! มันมองแผ่นหลังของซือหยู เน้นย้ำมองไปยังร่างอันผอมบาง ทำให้เขาดูเหมือนผู้ปกครองของโลก!
ในตอนนี้ราวกับว่าซือหยูได้กลายเป็นสวรรค์ที่ควบคุมทุกสรรพสิ่งได้เสียเอง!
“หึหึ…หึหึหึ…”
ซือหยูมองท้องนภาและหัวเราะ เสียงหัวเราะของเขาแหบแห้งแต่ก็เสียดลึก มันเสียดแทงหัวใจของทุกคน
หลายคนกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก พวกเขาทั้งตกตะลึงและหวาดกลัว ซือหยูคนใหม่นี้น่ากลัว…เขาน่ากลัวราวกับอสูร! การบ่มเพาะฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์ได้สำเร็จแล้ว! มันมีจิตวิญญาณแห่งกบฏ ฝืนขึ้นมาสำเร็จพลังแม้จะมีสวรรค์เข้ามาขัดขวาง!
ซือหยูหัวเราะอย่างแหบแห้ง น้ำเสียงของเขาดูอวดดี
“ชีวิตข้าเป็นของของข้า ถ้ามนุษย์อยากจะหยุดข้า ข้าก็จะทำสงครามกับมนุษย์! ถ้าสวรรค์อยากจะหยุดข้า ข้าก็จะก่อสงครามกับสวรรค์!”
เส้นผมสีเงิน ดวงตาแดงก่ำ และจิตวิญญาณกบฏนั้นทำให้เขาราวกับอสูรที่ถูกปลดปล่อยสู้ผืนธรณี!
ซือหยูหัวเราะอยู่นานและก้มลง เนตรสวรรค์ใหญ่สามหมื่นลี้มองตามซือหยูเช่นกัน เนตรนั้นน่ากลัวราวกับปีศาจ มันทำให้ทุกคนตัวสั่น
“เฉินคง…”
“ถึงคราวจบเรื่องราวของเจ้าสักที”
เฉินคงมองซือหยูและเนตรสวรรค์ข้างหลังซือหยูด้วยกายที่สั่นระริก เขาทั้งกลัวและตกใจ
หนี! เขาคิด
เฉินคงไม่ลังเล เขาหันหนีไป! เขามิอาจเผชิญหน้ากับเนตรสวรรค์ที่แม้แต่สวรรค์ก็มิอาจทำอะไรได้!
พรึ่บ–
แสงส่องประกาย ร่างของเฉินคงหายไป เขาเข้าสู่หน้ากากนิรันดร์ มันมีพื้นที่ที่เขาสร้างไว้ให้ตัวเอง นอกจากสมบัติเทพระดับกลางชิ้นนี้จะถูกทำลายก็ไม่มีทางทำอันตรายเฉินคงได้
ซือหยูใจเย็น ตาแดงก่ำของเขาปล่อยจิตสังหาร
“เนตรสวรรค์เทพ!”
ครืน—
ฟ้าดินสั่นสะท้าน คลื่นทำลายล้างไม่ได้อ่อนแอไปกว่าพลังจากวิหารโบราณเลย
ตอนที่ 381
ฟึ่บ–
เนตรสวรรค์เปล่งแสงจ้า มันปะทุแสงสีม่วงและแสงเทพกระจ่างออกมา
เมื่แสงเทพปะทุ ท้องนภาและธรณีสั่นสะเทือน สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในระยะสามหมื่นลี้ล้มลงกับพื้นราวกับว่าวิหารสวรรค์ที่เพิ่งหายไปนั้นได้กลับมา
คนทั้งหมดในดินแดนวิหคเพลิงตกตะลึง นี่คือฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์ที่ซือหยูได้รับมาจากการฝ่าฝืนบัญชาสวรรค์!
นี่มันอยู่ในขอบเขตของมนุษย์งั้นรึ? มันแทบจะเทียบได้กับความพิโรธจากสวรรค์เลย!
ฟึ่บ–
แสงเทพแล่นผ่านระยะแสนศอก มันไม่สนใจห้วงเวลา และเป็นเวลาเดียวกับที่เฉินคงกำลังจะหนีเข้าไปในหน้ากากนิรันดร์ เขาถูกแสงเทพนั้นส่องทะลุ รวมถึงสมบัติเทพด้วย
ฟึ่บ–
การปะทะกันที่ทุกคนคาดหวังมิได้เกิดขึ้น แสงเทพกลับทะลวงผ่านหน้ากากนิรันดร์!
“อ๊ากก! ไม่นะ!”
เสียงกรีดร้องดังมาจากภายในหน้ากากนิรันดร์ จากนั้นพื้นที่โดยรอบก็สั่นสะเทือน แสงเทพที่พุ่งเข้าใส่หน้ากากนิรันดร์สาดส่องออกมา
ไม่นานแสงเทพก็ทะลวงร่างที่พุ่งไปทางขอบนภา เห็นได้ชัดว่านั่นคือเฉินคงที่หนีเข้าไปในมิติของหน้ากาก แต่อกของเขาถูกเจาะทะลุด้วยแสงเทพทั้งสอง โลหิตพุ่งออกมา ร่างของเขาโอบล้อมด้วยเพลิงสีม่วงและสีข่าว เขากำลังถูกเผาอย่างโหดร้าย
ความเจ็บปวดสุดขั้วทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของเฉินคงบิดเบี้ยว ใบหน้าของเขาในตอนนี้ดูน่ากลัว
“หยินหยู หยุดเดี๋ยวนี้!”
เฉินคงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
ซือหยูไม่สนใจคำพูดของเขา
ก่อนหน้านี้ที่เฉินคงอยากจะฆ่าซือหยู เขาเคยออมมืองั้นรึ? ต่อหน้าศัตรู ซือหยูไม่เคยปรานี
ซือหยูยกมือขึ้นและดีดนิ้ว
เป๊าะ—
เฉินคงกระแทกลงกับพื้น เขากลายเป็นเถ้าถ่านกระจายไปบนนภา เสียงกรีดร้องของเขาหายไป
หน้ากากตกลงกับพื้นเสียงดังกังวาลเมื่อเสียเจ้าของไป
แกร๊ง—
รอบๆเงียบกริบ! พวกเขามองเถ้าถ่านที่พัดปลิวไปตามแรงลม! นั่นถือเถ้าถ่านของเฉินคง!
แม้ว่าเขาจะหนีเข้าไปในมิติของสมบัติเทพ เขาก็มิอาจหนีพลังจากเนตรสวรรค์ไปได้
เขาคือหนึ่งในผู้คุมสวรรค์แห่งทวีป และชีวิตของเขาก็เหือดหายไปด้วยเนตรสวรรอย่างเงียบเชียบ…และง่ายดาย!
แววตาอันเป็นประกายของเจ้าวิหคเพลิงเต็มไปด้วยความกลัว ความรู้สึกหวาดกลัวที่นางไม่เคยพานพบมาหลายปีได้เกิดขึ้น ความตายของเฉินคงเป็นเครื่องเตือนใจอย่างดีว่าแม้นางจะเป็นอำมฤตระดับห้า นั่นก็ไม่ได้หมายความว่านางจะได้อยู่ค้ำฟ้า ยังมีคนมากมายในจักรวาลแห่งนี้ที่สังหารคนอย่างพวกนางได้ อย่างเช่น…หยินหยู!
เฉินคงได้ตายและหายลับไปจากโลก ชื่อเสียงของเขากลายเป็นหมอกควัน ตำนานที่เคยไร้เทียมทานในอดีตแห่งทวีปนั้นต้องมาลงเอยเช่นนี้
ในการต่อสู้ครั้งใหญ่แห่งทวีปที่ตำนานแห่งยุคสองคนได้เข้าปะทะกันท่ามกลางสักขีพยานหมื่นคน เรื่องราวจบลงด้วยความตายของเฉินคง ราชาคนใหม่ถือกำเนิด! หยินหยูจะกลายเป็นตำนานแห่งทวีปและราชาตัวจริงที่เหนือกว่าผู้คุมสวรรค์ไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น
เขาคือตำนานไร้เทียมทาน
ทั้งทวีปแห่งนี้ คนในรุ่นเดียววกับเขาไม่มีใครอื่นที่จะสู้กับเขาได้ แม้ว่าจะเป็นผู้คุมสวรรค์ก็ต้องถูกเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้าของราชาผู้นี้
วันและคืนครั้งนี้เป็นช่วงที่เหล่าคนดูมิอาจลืมเลือนไปได้ ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตไปอีกกี่ปี — แม้ว่าจะกลายเป็นผู้เฒ่าเรี่ยวแรงรวยริน — พวกเขาก็จะไม่ลืมการประลองในวันนี้ ไม่ลืมการถือกำเนิดของตำนานราชาที่พวกเขาเห็นด้วยตาตัวเอง
พรึ่บ–
ซือหยูยื่นมือคว้าความว่างเปล่า หน้ากากนิรันดร์ปรากฏขึ้นในฝ่ามือ สีทองแดงอย่างเรียบง่ายและร่องรอยแสดงถึงห้วงเวลาที่ผ่านพ้น และยังมีความผันผวนของมิติที่เห็นได้เล็กน้อย
“สิ่งนี้เป็นของข้า…”
ซือหยูพูด
เขาทำราวกับว่าในตอนนี้ไม่มีใครอื่นอยู่รอบๆและเก็บหน้ากากนิรันดร์ไว้กับตัว ไม่มีใครโต้แย้งการกระทำของเขา ไม่มีใครคิดชิงหน้ากากนิรันดร์เช่นกัน แม้ว่ามันจะเป็นสมบัติเทพระดับกลางที่มาจากบรรพบุรุษของขุมกำลังใหญ่แห่งทวีปก็ตาม!
แม้แต่จ้าววิหคเพลิงก็ลังเลและเลิกคิดหยุดซือหยู สำหรับนาง หน้ากากนิรันดร์นั้นเป็นสมบัติเทพที่ยิ่งใหญ่ หากมีมันก็จะมีเหลือแค่ไม่กี่คนที่ทำให้นางบาดเจ็บได้ แต่จะมีประโยชน์อะไรหากนางได้มันมา? ต่อหนา้เนตรสวรรค์ หน้ากากนิรันดร์ไม่ต่างอะไรกับขยะ
ซือหยูเดินไปหยุดที่หน้าที่นั่งเมฆาหิมะ เขาอยู่ห่างจากมันเพียงร้อยศอก แค่ร้อยศอกเท่านั้น! หลังจากที่ผ่านความเป็นความตายมาหลายครั้ง ในที่สุดเขาก็อยู่ห่างจากมันแค่ร้อยศอก
“โปรดออกมาเถอะ”
เขาไร้อารมณ์ ดวงตาแดงก่ำนั้นเยือกเย็นไร้จิตใจ เขาเพียงแค่อยากจะพบเซี่ยนเอ๋อเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อทำให้ทุกสิ่งชัดเจนและสะบั้นความสัมพันธ์ระหว่างกัน
เหล่าคนดูทั้งหมื่นคนคุยกันอย่างเคร่งเครียดและจ้องมองเหตุการณ์สุดท้าย หยินหยูได้ต่อต้านสวรรค์และต่อสู้ด้วยชีวิต ทั้งหมดก็เพื่อเฟิงเซี่ยน และตอนนี้ทุกอย่างได้จบลงไปแล้ว เฟิงเซี่ยนจะติดตามเขาไปนับแต่นี้หรือปฏิเสธเขาอย่างเดิม แล้วทั้งสองจะกลายเป็นคนแปลกหน้าในโลกใบนี้หรือไม่?
สายตาของสตรีนับไม่ถ้วนมีแต่ความริษยา แม้แต่จ้าววิหคเพลิงที่เป็นอาจารย์ของเฟิงเซี่ยนเองก็มิอาจฝังความริษยาออกไปจากจิตใจได้
ในชีวิตของทุกคน พวกนางจะมีคู่ครองได้เพียงหนึ่ง ดังนั้นใครกันที่พวกนางจะปรารถนา? ชายหนุ่มที่มีพรสวรรค์และกล้าที่จะต่อกรสวรรค์เพื่อเอาตัวรอดในยามสิ้นหวัง และเขาก็ยังไม่หันหลังกลับ ทั้งหมดที่ทำไปก็เพื่อให้ได้พบกับนาง คนรักเช่นนี้ สตรีใดกันจะไม่ริษยาได้ลง? และในหัวใจของพวกนาง เฟิงเซี่ยนอาจจะไม่คู่ควรพอที่จะได้บุรุษเช่นนี้มาครองเสียด้วยซ้ำ
“แม้เจ้าจะชนะ…”
“ข้าก็ไม่คิดจะแต่งงานกับเจ้า โปรดไปซะ”
แม้คำพูดจะเรียบเฉิย แต่มันก็เด็ดเดี่ยวอย่างไม่น่าเชื่อ นางปฏิเสธซือหยู!
“ไร้หัวใจนัก!”
ซงหลวนอุทานออกมา
สายตาของเจียงมู่เฟยเต็มไปด้วยความริษยา
“ข้าคิดเหมือนเจ้า! หยินหยูไม่สนใจชีวิตตัวเอง ทั้งยังขัดต่อบัญชาสวรรค์ ทั้งหมดก็เพื่อได้พบนาง แต่นางกลับพูดเช่นนั้น”
หญิงสาวหลายคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถ้าหยินหยูแต่งงานกับเฟิงเซี่ยนจริงๆ พวกนางก็คงจะรู้สึกว่างเปล่า
จ้าววิหคเพลิงพูดอย่างไม่สนใจ
“เฟิงเอ๋อ เฉินคงตายไปแล้ว แม้หยินหยูจะทำขนาดนั้นเพื่อเจ้า เจ้าก็ยังปฏิเสธเขารึ? ทำไมกัน?”
รังสีอันบริสุทธิ์แผ่ออกจากที่นั่งเมฆาหิมะ นางราวกับนางไม้สูงสุดที่สง่างาม เห็นได้ชัดว่านางไม่คิดจะพูดเล่น
“ท่านอาจารย์ ข้าเข้าใจว่าท่านหยินหยูมีความรู้สึกลึกซึ้งกับข้า…”
“แต่ข้าก็มิอาจยอมรับกับคนที่ข้าไม่ชอบ ท่านหยินหยู โปรดหาคนอื่นเถอะ”
แม้คำพูดนางจะอ่อนโยน มันก็แสดงถึงความรู้สึกที่ไม่ยินดี ราวกับว่านางเป็นคนที่ยืนเหนือผู้อื่น
“ข้าแค่ปรารถนาจะพบหน้าเจ้า”
ซือหยูพูดเป็นครั้งสุดท้าย
เสียงอันสง่างามดังมาจากที่นั่งเมฆาหิมะ
“ข้าไม่ได้รักเจ้า จำเป็นอะไรที่ต้องพบกัน? โปรดไปเถอะท่าน”
นางไม่เต็มใจแม้จะพบหน้าเขารึ?
เจียงมู่เฟยขมวดคิ้ว
“คนอะไรกัน นางหยิ่งผยองนัก! ถ้าอยากจะปฏิเสธหยินหยูแล้วทำไมถึงออกมาปฏิเสธให้เห็นหน้าไม่ได้เล่า? ทำไมนางจะต้องนั่งอยู่ในที่นั่งนั่นอยู่เช่นนั้น! เพราะนั่งอยู่ในนั้นนางเลยคิดว่าจะปฏิเสธตำนานราชาได้อย่างภาคภูมิใจงั้นเรอะ!”
ซงหลวนขมวดคิ้วและไม่พอใจเช่นกัน
“หยินหยูรู้สึกอย่างลึกซึ้งถึงเพียงนั้น แต่ทำไมเขาถึงตกหลุมรักสตรีเช่นนี้กัน? ไม่คุ้มกับเวลาที่เขาเสียไปเลย”
คนที่มีความคิดลึกซึ้งตระหนักว่าเฟิงเซี่ยนนั้นตั้งใจสงวนตัวเอาไว้ นางไม่คิดจะออกมาแม้ว่าตำนานราชาจะอ้อนวอนนางอย่างเป็นมิตรต่อหน้ายอดฝีมือในทวีป เห็นได้เลยว่านางกำลังจงใจทำ นั่นก็เพื่อให้แน่ใจว่านามของนางจะเป็นที่ร่ำลือยิ่งขึ้น
แม้ว่าซือหยูจะเอาชนะยอดฝีมือของทวีปตอนเหนือจนหมด เขาก็มิอาจทำให้เฟิงเซี่ยนมาเจอเขาได้ หากเรื่องนี้เป็นที่รับรู้ เฟิงเซี่ยนก็จะสูงส่งยิ่งกว่าเดิม
จ้าววิหคเพลิงรู้ถึงความตั้งใจของศิษย์นางและขมวดคิ้ว แต่ซือหยูเคลื่อนไหวก่อนที่นางจะได้ตำหนิศิษย์ของตัวเอง
ปั้ง–
ซือหยูยกฝ่ามือซัดเข้าใส่ที่นั่งเมฆาหิมะ ที่นั่งอันสง่างามแตกเป็นเสี่ยง อาชามีเขาที่เล็มหญ้าอยู่ข้างๆถอยหนีด้วยความกลัว
ไม่มีคิดว่าซือหยูจะทำเช่นนั้น ในที่นั่งเมฆาหิมะ ร่างอันงดงามกำลังตกใจและเกือบจะตกลงกับพื้นอย่างน่าอาย!
ทุกคนมองด้วยความตกใจ นางสวมชุดขาวราวหิมะ ผมสีดำยาวนั้นสยายอยู่กับแผ่นหลังและลอยอย่างเบาบางด้านหลังของนาง รูปหน้าของนางนั้นราวกับถูกสลักออกมา แววตานางสดใส ริมฝีปากแดงราวกับกลีบกุหลาบ
ผิวของนางขาวราวกับหิมะ โครงสร้างร่างกายนั้นราวกับหยกงาม แม้แต่เงาของนางก็สวยงาม ไม่ว่าจะมองนางมุมไหนก็ไม่มีที่ว่างให้กังขาในความงดงามอย่างมากของนางเลย
รังสีอันบริสุทธิ์ผุดผ่องออกมาจากสตรีเช่นนางที่งดงามราวกับเทพี คนที่มองนางรู้สึกราวกับว่านางเป็นสิ่งอื่นที่เหนือกว่ามนุษย์ ราวกับว่านางคือเทพีระดับสูงที่ถูกขับออกจากสวรรค์ เมื่อนางปรากฏตัวมายังโลกก็ทำให้สตรีทุกคนด้อยกว่าในทันที เฟิงเซี่ยนสวยงามจนเกินไป — จนนางดูไม่เหมือนกับสตรีของโลกมนุษย์
เฟิงเซี่ยนรีบจัดท่ายืน แววตานั้นเย็นชา
“ท่านหยินหยู ทำไมท่านถึงบังคับให้ข้าต้องทำในสิ่งที่ไม่เต็มใจเล่า? ชิงสุกก่อนห่ามมิใช่เรื่องดี ท่านควรจะเข้าใจ”
นางพูดและเดินผ่านซือหยูโดยไม่มองเขาแม้แต่น้อย
ขาทั้งสองข้างที่ราวกับดอกบัวหยุดลงเล็กน้อย นางหันหลังให้กับซือหยู
“ท่านหยินหยู…”
“ข้าขอยอมรับความรู้สึกเป็นมิตรของท่าน แต่ก็น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้รักท่าน ข้า—”
ปั่ก ปั่ก ปั่ก—
แต่นางกลับได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินออกไปไกลจากนาง ซือหยูเดินไปหาจ้าววิหคเพลิง ความโศกเศร้าและสายตาสับสนนั้นเป็นประกาย!
“ท่านจ้าวคณะ…”
“เซี่ยนเอ๋ออยู่ไหน? เซี่ยนเอ๋อที่ข้าตามหาอยู่ที่ไหน?”
คำพูดของซือหยูเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความสุขที่หายไปกลับมาดังเดิมอีกครั้ง เฟิงเซี่ยนไม่ใช่เซี่ยนเอ๋อ!
นางไม่ใช่เซี่ยนเอ๋ออย่างแน่นอน! ซือหยูรู้สึกละอายใจและโทษตัวเองที่ไม่แม้แต่จะคิดให้ดี แต่เขาควรจะคาดเอาไว้แล้วว่าเฟิงเซี่ยนไม่ใช่เซี่ยนเอ๋อ เขากล้าไปสงสัยว่าเซี่ยนเอ๋อจะเปลี่ยนใจไปรักชอบกับชายอื่นได้ยังไง?
จ้าววิหคเพลิงสับสน
“เซี่ยนเอ๋อ…ไม่ใช่ว่าเฟิงเซี่ยนที่เซี่ยนเอ๋อที่เจ้าตามหาอยู่หรอกรึ?”
ทุกคนเบิกตากว้าง คนคนนี้…สตรีผู้นี้ที่หยินหยูฝ่าฟันความยากลำบากเอาความเป็นความตายเข้าแลกหลายต่อหลายครั้ง…มิใช่เฟิงเซี่ยนหรอกรึ?
เฟิงเซี่ยนกระทืบเท้ากับพื้น ใบหน้าเรียบเฉยของนางเคร่งเครียดเล็กน้อย
ผู้คนทั้งหมื่นคนเงียบกริบ เรื่องอันคาดไม่ถึงทำให้พวกเขาตกใจ
ซือหยูส่ายหน้า
“ไม่ คนที่ข้าอยากจะเจอคือเซี่ยนเอ๋อ ฉินเซี่ยนเอ๋อ!”
ตอนนี้ซือหยูเข้าใจแล้ว เฉินคงเรียกเฟิงเซี่ยนว่า “เซี่ยนเอ๋อ” เพื่อแสดงว่านางคือคนรักของเขา ส่วน “เซี่ยนเอ๋อ” ของซือหยูคือชื่อตัวของฉินเซี่ยนเอ๋อ เขาคิดมาตลอดว่าเฟิงเซี่ยนคือนามของฉินเซี่ยนเอ๋อในคณะวิหคเพลิง แต่ตอนนี้มันชัดเจนแล้วว่าเซี่ยนเอ๋อคนนี้คือเฟิงเซี่ยน ความเข้าใจผิดนี้ทำให้ซือหยูหน้าแดงด้วยความเขินอาย
เหล่าผู้คนนับหมื่นไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ฉินเซี่ยนเอ๋อรึ? นางเป็นใครกัน? แม้แต่เหล่าศิษย์ในคณะวิหคเพลิงก็ตกใจเช่นกัน พวกนางไม่เคยได้ยินถึงสตรีที่ชื่อเซี่ยนเอ๋อในคณะวิหคเพลิงเลย
มีแค่จ้าววิหคเพลิงเท่านั้นที่ลืมตากว้างอย่างเข้าใจ สายตาของนางระมัดระวัง นางพูดอย่างเคร่งเครียด
“เจ้าเป็นใคร?”
เหตุผลที่แท้จริงก็คือ…หยินหยูรู้เรื่องเซี่ยนเอ๋อได้ยังไง?
ซือหยูหยิบกล่องหยกที่มีขนวิหคเพลิงออกมา
ตอนที่ 382
“ขนวิหคเพลิง! เจ้า…เจ้าคือ….”
จ้าววิหคเพลิงร้องเสียงหลงและจ้องซือหยูอย่างไม่เชื่อสายตา
“เจ้าเป็นคนที่วิหารเซี่ยนหยุน ซือ…”
นางลืมชื่อของซือหยูไปแล้ว ในตอนนั้น ซือหยูเป็นเพียงราชันย์ศักดิ์สิทธิ์และไม่แข็งแกร่งพอที่นางจะต้องสนใจ นางจะไปจำชื่อของเขาได้ยังไงกัน?
ในตอนนั้นที่วิหารเซี่ยนหยุน ซือหยูได้เอาขนวิหคเพลิงทั้งสามจากวิหคเพลิงมาเพื่อช่วยชีวิตเซี่ยนเอ๋อ จากนั้นจ้าววิหคเพลิงก็มาสืบเรื่องนี้แต่ก็ได้พบคุณสมบัติวิหคเพลิงแห่งความตายจากเซี่ยนเอ๋อ นางจึงไม่ลงโทษซือหยู ขนวิหคเพลิงทั้งสามนั้นพิสูจน์ตัวตนของซือหยูได้เป็นอย่างดี
“ท่านจ้าวคณะ….”
“ขอบคุณในความเมตตาครั้งอดีต ขอบคุณที่ดูแลเซี่ยนเอ๋อในปีที่ผ่านมา ข้ามิอาจแสดงความขอบคุณได้ดีพอเลย”
เป็นเขาตัวจริง!
จ้าววิหคเพลิงราวกับตกอยู่ในโลกแห่งความฝัน เด็กหนุ่มนิรนามในครั้งนั้นกลับยืนอยู่ต่อหน้านางด้วยความตระการตา! ความต่างในครั้งนั้นกับเวลานี้ดั่งฟ้ากับเหว
นางเก็บความประหลาดใจเอาไว้ก่อนจะพูดออกมา
“ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเจ้า หยินหยู…ข้าตกใจแทบแย่!”
ทั้งสองเข้าใจกันแล้ว ซือหยูยิ้ม แววตาของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“ท่านให้ข้าเจอเซี่ยนเอ๋อจะได้หรือไม่?”
ก่อนหน้านั้น ซือหยูมิอาจปกป้องเซี่ยนเอ๋อเอาไว้ได้ แต่ด้วยพลังของซือหยูในตอนนี้ ใครกันในทวีปนี้จะกล้าต่อกรกับเขา?
จ้าววิหคเพลิงถอนหายใจ
“เจ้ามาช้าเกินไป”
ซือหยูเป็นกังวล
“เกิดอะไรขึ้นกับนาง? นางอยู่ไหน? นางเป็นอย่างไร?”
“เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ!”
จ้าววิหคเพลิงรีบพูดเพื่อปลอบซือหยู
“นางไม่เป็นอะไร ข้าส่งนางไปเอง ข้าส่งเซี่ยนเอ๋อไปยังเรือรบเมื่อสามเดือนก่อนหลังจากที่มานางมายังคณะวิหคเพลิง นั่นคือที่หมายสุดท้ายของเซี่ยนเอ๋อ”
เรือรบงั้นรึ? ซือหยูตกตะลึง
“ไม่ใช่ว่าท่านพาเซี่ยนเอ๋อไปเพราะเห็นแก่คุณสมบัติของนางและอยากจะบ่มเพาะนางหรอกรึ? หมายความว่ายังไงกันที่ส่งนางไปให้กับเรือรบ?”
จ้าววิหคเพลิงโบกมือ ผ่านพลังโอบล้อมทั้งสองเพื่อซ่อนทั้งสองออกจากโลกภายนอก
“ข้าก็อยากจะบ่มเพาะเซี่ยนเอ๋อ…”
“แต่โชคร้ายนัก แม้ข้าจะเป็นจ้าวคณะ ข้าก็ไม่ดีพอที่จะชี้แนะนาง! คุณสมบัติวิหคเพลิงแห่งความตายคงจะสูญเปล่าในมือข้า”
จ้าววิหคเพลิงหัวเราะอย่างขมขื่น
เซี่ยนเอ๋อถูกส่งตัวไป! ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใจจึงไม่มีข่าวลือถึงเรื่องวิหคเพลิงแห่งความตายในทวีปในตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา
ซือหยูเป็นกังวล
“แล้วนางอยู่ที่ใดกัน? เรือรบมันเป็นที่แบบไหนกัน?”
จ้าววิหคเพลิงสีหน้าอ่อนโญนเมื่อเห็นความกังวลของซือหยู นางได้เห็นซือหยูที่ก้าวข้ามความเป็นความตายทั้งหมดด้วยตัวเองและประทับใจเขา บุรุษเช่นนี้นับว่าหายากเป็นอย่างยิ่ง
จ้าววิหคเพลิงรู้สึกโล่งใจกับเซี่ยนเอ๋อ เด็กสาวที่ขี้เล่นซุกซนคนนั้นได้รับพรจากสวรรค์โดยแท้จริง นางมีคุณสมบัติของวิหคเพลิงแห่งความตาย แม้แต่ชีวิตรักของนางยังน่าอิจฉา
“มันคือเรือรบโบราณจากครีั้งอดีต…”
“มันพบเจอกับห้วงเวลายาวนานแต่ก็ยังแข็งแรง มันมิได้เป็นเจ้าของจากใคร แต่มันคือสถานทีที่รวบรวมยอดฝีมือลับไว้มากมาย พวกนั้นเรียกตัวเองว่าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ พวกนั้นมียอดฝีมือที่แข็งแกร่งมากมาย ในด้านพลัง พวกนั้นสามารถต่อกรกับตระกูลใดในแปดตระกูลโบราณก็ได้ ร่ำลือกันว่าพวกนั้นไม่ได้อ่อนแอไปกว่าอาณาจักรทมิฬเลย! แต่พวกเขามิได้เอาตัวเองมาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในทวีป พวกเขากลับซ่อนเร้นกายและนามของตัวเอง พวกนั้นจะปรากฏตัวเมื่อทวีปตกอยู่ในอันตรายเท่านั้น”
ซือหยูเลิกคิ้ว
“อันตรายรึ? อันตรายใดกัน?”
จ้าววิหคเพลิงส่ายหน้า
“ข้าไม่รู้หรอก แต่จากบันทึกในตำราประวัติศาสตร์ พวกนั้นจะปรากฏตัวเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทวีป ครั้งสุดท้ายที่พวกนั้นปรากฏตัวก็คือตอนที่ราชาแห่งความมืดออกจากการบ่มเพาะพลังและควบคุมดินแดน ทำลายสองตระกูลโบราณ การต่อสู้ครั้งนั้นคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย และขุมกำลังมากมายถูกทำลาย ทวีปในตอนเหนือระส่ำระส่าย แต่ทวีปแห่งนี้ก็มิได้ถูกทำลาย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะอะไร?”
ซือหยูพูดอย่างหม่นหมอง
“หรือว่าจะเป็นเพราะพันธมิตรผู้คุมสวรรค์?”
“ใช่แล้ว!”
จ้าววิหคเพลิงพยักหน้า
“เป็นเพราะพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ พวกนั้นทำนายว่าทวีปแห่งนี้กำลังจะถูกทำลายล้าง ดังนั้นพวกเขาจึงปรากฏตัวและพาเหล่าขุมกำลังที่เป็นกลางออกไป พวกเขาส่งคนเหล่านั้นกลับมาเมื่อวิกฤติได้หายไป นั่นคือสาเหตุที่เหล่าขุมกำลังที่ถูกทำลายกลับมารุ่งเรืองได้อีกครั้ง คณะวิหคเพลิงก็ถือกำเนิดขึ้นในยุคนั้น”
ยังมีขุมกำลังเก่าแก่ที่ซ่อนตัวอยู่ในทวีปเฉินคงอยู่อีกรึ?
“พวกเขามีจุดมุ่งหมายเดียวเท่านั้น…”
“เพื่อหนีจากภัยพิบัติ! เพื่อรักษาสายโลหิตที่ยอดเยี่ยมจากทวีปเอาไว้ พวกเขาแล่นผ่านวิบัติต่างๆในทวีป”
ซือหยูเข้าใจเรื่องราวแล้ว ยังมีขุมกำลังอื่นที่คอยปกป้องทวีปเอาไว้อยู่
“มีคนมากมายในทวีปแห่งนี้ที่เป็นคนของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์”
ซือหยูประหลาดใจ
“ใครกัน?”
“กระบี่ดาราจ้าวอู่จี้ อัสนีฟู่กังชาง จ้าววิหคเพลิงอาสัญ ฉิวหนิงชุย และอาจารย์ช่างหยินหยุนฮี ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาพบกันก็เพื่อรับผู้แข็งแกร่งคนใหม่ เจ้าตำหนักเฉินเทียน ฉีตงไล่”
“อะไรนะ? พวกเขาก็อยู่ที่นั่นด้วยรึ?”
ซือหยูตกตะลึง
“ผู้อาวุโสหลินหยุนฮีกับฉีตงไล่เป็นคนในเรือรบด้วยรึ?”
ฉีตงไล่หายตัวไปนานและเข้าร่วมกับพันธมิตรผู้คุมสวรรค์! และหยินหยุนฮีผู้เลื่องชื่อในงานฝีมือแห่งพันธมิตรร้อยดินแดน เขาเป็นคนของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ได้ยังไงกัน?
“เจ้าพูดถูกแล้ว หัวหน้าของเหล่าขุมกำลังใหญ่เลือกที่จะเข้าร่วมกับพันธมิตรผู้คุมสวรรค์หลังจากที่ทิ้งตำแหน่งในสำนัก พวกเขาซ่อนตัวจากโลกภายนนอกและบ่มเพาะพลังอย่างสงบสุข จำนวนยอดฝีมือที่นั่นมีมากกว่าที่เจ้าคิด! จ้าววิหคเพลิงอาสัญฉิวหนิงชุยคือคนที่ข้ารู้จักมากที่สุด ท่านคือจ้าววิหคเพลิงคนเก่าและเป็นอาจารย์ของข้า! ฐานพลังของนางลึกซึ้งเกินกว่าจะอธิบาย ข้าไม่ได้เห็นนางมานาน ยากที่จะทำนายฐานพลังของนางได้ นางอาจจะทะลวงม่านขอบเขตอำมฤตและเป็นขอบเขตที่ใกล้เคียงกับเทพมากขึ้น! และอาจารย์ของข้าก็ยังมีสายเลือดของวิหคเพลิงอาสัญ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ นางจะไม่มีวันตาย หยดโลหิตเดียวของนางสามารถช่วยสิ่งมีชีวิตที่กำลังจะตายได้”
ซือหยูตกใจอย่างมาก เหนือว่าขอบเขตอำมฤตงั้นรึ? นั่นเป็นขอบเขตที่สวรรค์ไม่ยินยอม คนในทวีปกล้าทำลายม่านพลังไปยังขอบเขตถัดไปงั้นรึ?
“ข้าส่งเซี่ยนเอ๋อให้กับอาจารย์ของข้า…”
จ้าววิหคเพลิงพูดต่อ
“มีแค่นางเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์บ่มเพาะผู้มีสายโลหิตของวิหคเพลิงแห่งความตาย”
ซือหยูหายใจเข้าลึก ดูเหมือนว่าเมื่อพลังของใครคนหนึ่งเทียบได้กับสวรรค์ เขาจะเข้าใจความจริงของทวีปเฉินหลงมากขึ้น
มิได้มีแต่อาณาจักรทมิฬและแปดตระกูลโบราณที่มีตัวตนอยู่ในโลกแห่งนี้ แต่ยังมีขุมกำลังยิ่งใหญ่ที่โลดแล่นอยู่บนโลกที่ถูกเรียกว่าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์
“ข้าจะไปหาพวกนั้นเจอได้อย่างไร?”
ซือหยูถามอย่างรีบร้อน แม้เขาจะรู้ว่าเซี่ยนเอ๋อปลอดภัย เขาก็อยากจะได้อยู่กับนางอีกครั้ง
จ้าววิหคเพลิงยิ้มอย่างขมขื่น
“พันธมิตรผู้คุมสวรรค์จัดการหลายสิ่งในความลับ ข้าจะเจอร่องรอยได้อย่างไร? พวกนั้นอาจจะแล่นอยู่ใกล้ๆ หรือในมหาสมุทรไร้ขอบเขต ข้าก็มิอาจทราบได้”
นอกซะจากพันธมิตรผู้คุมสวรรค์จะแสดงตัวออกมาเองก็ไม่มีใครตามหาได้ ซือหยูผิดหวัง แม้ว่าเขาจะยืนยันได้แล้วว่าเซี่ยนเอ๋อมิได้รักกับชายอื่น เขาก็ยังรู้สึกโศกเศร้าที่มิอาจได้เห็นนางด้วยตาตัวเอง
“เจ้าไม่ต้องห่วง…”
จ้าววิหคเพลิงพูดต่อ
“เมื่อฐานพลังของเซี่ยนเอ๋อสูงขึ้นและสิ่งที่พวกเราเรียกว่าวิกฤติได้พ่านพ้น พวกนั้นจะต้องออกมาเจอเจ้าแน่นอน เจ้าแค่ต้องปกป้องตัวเองให้ถึงตอนนั้น”
จ้าววิหคเพลิงโบกมือเพื่อปลดม่านพลัง
“ขอบคุณท่านจ้าวคณะ”
ซือหยูพูดและส่ายหน้า เขาพยายามอย่างหนักเพื่ออดทนกับความผิดหวัง
ในตอนนั้น กลิ่นหอมหวานพร้อมกับรังสีอันบริสุทธิ์ก็เข้ามาหาพวกเขา เป็นเฟิงเซี่ยนที่เดินมายังซือหยูหลังจากที่ลังเล
“ท่านหยินหยู…”
“ข้าต้องการคำอธิบาย”
ซือหยูทำราวกับไม่ได้ยินนาง
“โอ้ ใช่แล้ว ท่านจ้าวคณะ ข้าขอพักที่นี่สักวันจะได้หรือไม่?”
จ้าววิหคเพลิงพยักหน้า
“ได้สิ เจ้าเดินทางมาไกลเพื่อประลอง พวกเราย่อมต้องดูแลเจ้าให้ดีอยู่แล้ว เราจะฟื้นฟูเจ้าอย่างดีที่สุด คนที่เหลือจะฟื้นฟูพลังก่อนเดินทางกลับก็ย่อมได้”
ถ้าเป็นเช่นนั้นซือหยูก็ไม่กังวล
“หยินหยู!”
เฟิงเซี่ยนพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าต้องการคำอธิบาย!”
ความเยือกเย็นและสูงส่งของนางเริ่มที่จะหายไป
ซือหยูไม่สนใจนาง เขาเดินไปหาซงหลวน
“พี่ซงหลวน งานชุมนุมจบแล้ว ท่านคิดอ่านอย่างไรต่อไปรึ?”
ซงหลวนไม่ได้บาดเจ็บ อย่างน้อยซือหยูก็สัมผัสได้ว่าซงหลวนใช้พลังวิญญาณไปแค่สามในสิบส่วน
“ข้าคงต้องอยู่พักฟื้นพลังที่นี่…”
ซงหลวนตอบด้วยรอยยิ้ม
เอ๋? ซือหยูครุ่นคิด สัญชาตญาณบอกเขาว่าซงหลวนกำลังปิดบังอะไรอยู่
ในตอนนั้นเองเฟิงเซี่ยนก็เดินมาหาเขาอีกครั้ง น้ำเสียงของนางเย็นชา
“ข้าถามเจ้าอยู่นะ! เจ้าติดค้างทำอธิบายของข้า!”
ซือหยูเลิกคิ้ว เขาหันไปถามอย่างเยือกเย็น
“ข้ามีอะไรติดค้างเจ้ากัน?”
สีหน้าเฟิงเซี่ยนเยือกเย็น ความไม่เป็นมิตรนั้นขัดกับรังสีความบริสุทธิ์อย่างยิ่ง
“เจ้าคิดว่าอะไรล่ะ?”
ซือหยูเยือกเย็นยิ่งกว่านาง
“ข้าไม่รู้ เจ้าทำตัวแปลกนัก!”
ซือหยูพูดจบและหันหลังเตรียมจะจากไป
“เดี๋ยวก่อน!”
“ข้าขอถามเจ้า เจ้าเข้าใจผิดว่าข้าเป็นคนรักของเจ้าและทำให้ข้าเป็นตัวตลกต่อหน้าทุกคน เจ้าไม่คิดว่าเจ้าควรจะพูดอะไรสักหน่อยรึ?”
เฟิงเซี่ยนยืนอยู่ที่เดิม แม้นางนางจะโกรธแต่น้ำเสียงของนางก็บริสุทธิ์อย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้ยากที่จะพบเพลิงในใจของนาง
ซือหยูคิดอยู่ชั่วครู่ เขาเข้าใจผิดว่านางเป็นคนอื่นและต้องรับผิดชอบที่สร้างความเข้าใจผิด เขาประสานมือด้วยความนับถือ
“ข้าเข้าใจว่าเฟิงเซี่ยนเป็นสตรีที่ข้ารัก และข้าทำให้ชื่อเสียงของเจ้าหม่นหมอง ข้าหวังว่าเฟิงเซี่ยนจะอภัยให้ข้า”
ซือหยูพูดจบและหันเดินไปกับซงหลวน แต่เสียงตะคอกก็ดังตามเขามา
“แค่นั้นรึ?”
เฟิงเซี่ยนขึ้นเสียง
“มันไม่มีความจริงใจเลย! เจ้าจะเข้าใจว่าข้าเป็นคนอื่นก็ไม่เป็นไร แต่เจ้าทำให้ข้าเป็นตัวตลกต่อหน้าทุกคน ข้าจะมีหน้าไปพบเจอคนอื่นต่อไปได้ยังไง?”
หา?
ซือหยูสับสน ซือหยูทำให้นางเป็นตัวตลกตั้งแต่เมื่อใดกัน? ตั้งแต่เดิม ที่เขาทำลงไปก็แค่เข้าใจผิดว่าเฟิงเซี่ยนคือเซี่ยนเอ๋อ เขาไม่เคยพูดไม่ดีกับนางเลย ในความจริงแล้วกลับเป็นเฟิงเซี่ยนเองที่พยายามจะสั่งซือหยูเพื่อเพิ่มสถานะตัวเองให้สูงส่งขึ้น นั่นทำให้ซือหยูอารมณ์เสียเล็กน้อย
แต่เมื่อเขาคิดถึงจากมุมมองของนาง ซือหยูก็เข้าใจ เฟิงเซี่ยงคิดว่าซือหยูรักนางจริงๆ นางจึงปฏิเสธเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยหวังจะแสดงให้โลกได้เห็น แต่แท้จริงแล้วซือหยูกลับรักคนอื่นที่ไม่ใช่นาง นั่นทำให้นางตกใจมากและทำให้สิ่งที่นางทำลงไปนั้นน่าขัน แต่นางก็เป็นคนที่ทำหยิ่งยโสและสูงส่งเอง ซือหยูจะ
ช่วยอะไรได้เล่า?
เจียงมู่เฟยที่ยิ้มมาโดยตลอดพูดขึ้น
“นี่แม่นางไม้ โชคร้ายนักที่คนที่น้องหยินหยูรักไม่ใช่เจ้า เจ้าจะทำเช่นนั้นไปก็เปลี่ยนใจน้องหยินหยูไม่ได้หรอก”
เฟิงเซี่ยนที่ได้ยินทั้งอับอายและโกรธเกรี้ยว! เจียงมู่เฟยราวกับมองว่านางเสียใจในสิ่งที่นางทำลงไปอย่างไร้เหตุผลเพื่อขอความรักจากหยินหยู! เฟิงเซี่ยนมองรอบๆและจบว่ายังมีคนมากมายอยู่ในที่นั่งคนดูและมองสิ่งที่เกิดขึ้น บางคนมองอย่างขยะแขยงและหัวเราะเยาะ
ฟึ่บ–
เฟิงเซี่ยนหน้าแดง นางกัดฟันและจ้องมองซือหยู
“มันไม่จบแค่นี้แน่!”
ตอนที่ 383
หลังนางพูดจบก็แสร้งทำเป็นใจเย็นและรีบออกไปจากที่นี่ทันที
เจียงมู่เฟยยิ้มเยาะ
“นังคนอวดดี! ข้าเป็นห่วงจริงๆที่คิดว่าน้องหยินหยูชอบสตรีเช่นนี้!”
ซือหยูยิ้ม แม้พวกเขาจะไม่ได้รู้จักกันมานานแต่เจียงมู่เฟยก็เรียกเขาว่า “น้องหยินหยู” แม้มันจะดูดี แต่ความจริงแล้วนางนั้นหลักแหลมในการสร้างสายสัมพันธ์กับผู้คน
ก่อนการประลอง ซือหยูยังไม่ได้แสดงพลังออกมา นางจึงมิได้เข้าหาเขามากนัก แต่ซงหลวนนั้นเป็นคนสัตย์ซื่อและใจดี ดังนั้นเขาจึงต้องการสตรีที่คิดอ่านได้ดีอยู่ข้างกาย
“พี่ซงหลวน พวกท่านไปก่อนเถอะ”
“ไว้พบกันใหม่”
ซงหลวนยิ้มอย่างอ่อนโยนและเดินจากไปเคียงข้างกับเจียงมู่เฟย
ซือหยูมองทั้งสองด้วยรอยยิ้มและถอยเข้าไปหาเงาในซากปรักหักพังอย่างเงียบเชียบ
เอื้อก—
ทั้งร่างของซือหยูสั่น เขาจับซากด้วยแขนหนึ่งข้างเพื่อให้ยังยืนอยู่ได้ เขาก้มหัวกระอักเลือดออกมา
การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนั้นทำให้สีผิวของเขาซีดราวกับกระดาษ ราวกับว่าโลหิตในกายถูกดูดหายไปจนหมด
หากมองดีๆจะพบว่าดวงตาของซือหยูนั้นแววตาหายไปอย่างมาก นั่นเป็นสัญญาณว่าเขากำลังจะตาบอด! และในร่างของเขายังสั่นอย่างบ้าคลั่ง เกิดเสียงดังสะท้อนไปมาในกาย
หัวใจของเขาเต้นแรงดั่งเสียงกีบอาชา มันเต้นเร็วจนน่ากลัวราวกับจะหลุดออกจากอกของซือหยูได้ในทุกขณะ ดวงตาของซือหยูพร่ามัวแต่ก็ไม่ใช่เพราะเขากำลังจะหมดสติ แต่เป็นเพราะตาของเขากำลังจะบอด!
เขากระอักเลือดออกมาอีกครั้งอย่างควบคุาไม่ได้
“ตาข้า…”
ซือหยูโบกมือข้างหน้าตัวเองและพบว่าตรงหน้าช่างพร่ามัวอย่างมาก เขากำลังจะตาบอดสนิท
ความทุกข์ทรมานปรากฏให้เห็นบนมุมปาก
ฟิ้ว–
ทันใดนั้นเอง สายลมรุนแรงพัดเข้ามาและกวาดเขาออกไป
เมื่อทุกอย่างสงบลง เขาพบว่าตัวเองอยู่ในห้องของหญิงสาวที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอันหอมหวาน เขาได้ยินเสียงอันอ่อนโยน
“ทำไมกัน รึในที่สุดเจ้าก็ทนไม่ไหวแล้ว?”
เป็นเสียงจากจ้าววิหคเพลิง และพวกเขาอยู่ในห้องนอนของนาง
ซือหยูเช็ดคราบเลือดที่มุมปากและฝืนยิ้ม
“ท่านรู้ได้ยังไง?”
จ้าววิหคเพลิงช่วงพยุงซือหยูให้นั่ง ปลายดัชนีของนางแตะเข้าที่หน้าผากของซือหยูและใส่พลังวิญญาณของนางลงไป ใบหน้านางแสดงความนับถือและเต็มไปด้วยอารมณ์
“เจ้าขัดต่อบัญชาสวรรค์และยังทำให้สวรรค์โกรธเกรี้ยว”
“นั่นจะไม่ต้องแลกกับอะไรเลยรึ?”
ยิ่งพลังมากมายเท่าใด ก็ยิ่งต้องแลกมากเท่านั้น พลังของยอดฝีมือเกิดจากการบ่มเพาะมาตลอดหลายปี และสิ่งที่ต้องแลกก็คือการฝึกฝนในทุกๆวัน และซือหยูยังแสดงพลังของสวรรค์พิโรธ นั่นคือเนตรสวรรค์อย่างจงใจ ด้วยพลังเช่นนั้น ถ้าหากเขาไม่ได้ฝึกฝนทีละก้าว เขาก็ต้องแลกด้วยอย่างอื่นแทน และนั่นคือร่างกายของเขา
แม้เขาจะทำให้ศัตรูเจ็บปวดไปสิบส่วน เขาก็ต้องรับเอาไว้เองเสียแปดส่วน
“ข้านับถือเจ้าจริงๆที่เจ้าอดทนมาได้จนถึงตอนนี้”
จ้าววิหคเพลิงชมเชย
ซือหยูกระแอม โลหิตสีแดงคล้ำจำนวนมากออกมาอีกครั้ง เขาฝืนยิ้ม
“ถ้าหากข้าไม่อดทน ท่านจ้าวคณะคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับยอดฝีมือที่มีสมบัติเทพระดับกลางสองชิ้นแล้วบาดเจ็บสาหัสเล่า?”
จ้าววิหคเพลิงหมดคำพูด ถ้าหากเป็นเช่นนั้นมันก็คงจะหนักหนายิ่งกว่าบาดเจ็บหนักแน่! นางถอนหายใจเงียบๆและมองดูอาการบาดเจ็บของซือหยู จากนั้นนางก็มีสีหน้าเคร่งเครียด
“ร่างกายเจ้าแข็งแรงดีอยู่…”
“เจ้าจะต้องฝึกร่างกายมาก่อนอยู่แล้ว ดังนั้นแม้บาดแผลภายในเจ้าจะดูรุนแรง แต่มันก็ไม่เป็นภัยต่อชีวิต หากแต่…ดวงตาของเจ้า…”
จ้าววิหคเพลิงสีหน้าไม่ยินดีนัก นางมองซือหยูที่ตาไร้แววก็รู้สึกจุกอก นางมิอาจพูดอะไรได้ ดวงตาของซือหยูถูกทำลาย! สิ่งที่เขาต้องแลกกับการใช้เนตรสวรรค์ก็คือสายตาของเขา!
ซือหยูใช้ตาของตัวเองในการใช้เนตรสวรรค์เพื่อแสดงพลังสวรรค์พิโรธ ดวงตาของเขาที่ใช้พลังสวรรค์พิโรธจึงเสียหายรุนแรงในที่สุด ชีวิตที่เหลือของเขาอาจจะต้องพบเจอแต่ความมืดมิด เขาจะไปอยู่ในระดับของคนตาบอด!
หากเสียการมองเห็นไป เขาก็จะเสียความสามารถในการต่อสู้ไปแปดส่วน ถ้าเขามาในงานชุมนุมวิหคเพลิงอีกครั้ง เขาก็อาจจะเอาชนะหลิวลี่ไม่ได้ด้วยซ้ำ
จ้าววิหคเพลิงรู้สึกเสียใจกับเขา เขาพังทลายประตูความเป็นความตายมาได้ แต่เขาก็ต้องลงเอยด้วยการเป็นคนตาบอด ความเป็นตำนานราชาได้จบลงในไม่นาน
“ข้าตาบอด ใช่หรือไม่?”
เขายิ้ม แม้แต่รอยยิ้มของเขาก็ดูมิใช่รอยยิ้ม จ้าววิหคเพลิงมองเห็นความโศกเศร้า ความเจ็บปวด และความกลัวในรอยยิ้มนั้น คนตาบอดจะท้าทายอยู่บนโลกแห่งนี้ได้อย่างไร? เขาจะต้องร่อนเร่ไปในโลกมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความทรงพลังอย่างนั้นรึ? เขาจะปกป้องเซี่ยนเอ๋อได้อย่างไร?
ความมืดมิดที่มิอาจขจัดออกไปจะติดตามซือหยูไปตลอดชีวิตที่ยังเหลืออยู่ของเขา
“ข้าจะแจ้งข่าวกับอาณาจักรทมิฬและให้เจ้าตำหนักหลิงมารับเจ้าด้วยตัวเอง”
จ้าววิหคเพลิงแน่นในอก นางออกจากห้องไป ชะตาเช่นนี้ไม่เป็นธรรมเกินไปกับซือหยู
ซือหยูนั่งลงในความมืดด้วยตัวคนเดียว เขาตาบอดแล้ว พลังดั่งมนต์ของห้วงเวลาและมิติที่ต้องใช้ดวงตาในการแสดงพลังจากไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเนตรสวรรค์ เขาจะต้องตาบอดไปตลอดชีวิตงั้นรึ? เขาจะไม่ได้เห็นหน้าของเซี่ยนเอ๋ออีกแล้วรึ? ความโศกเศร้าฝังแน่นในจิตวิญญาณ
ทันใดนั้นก็มีแสงขนาดเท่าเมล็ดถั่วปรากฏขึ้นในมุมมองมืดมิดของซือหยู ราวกับว่าเป็นเพียงแสงเดียวในโลกแห่งความมืดมิดแห่งนี้
“ดวงตาข้ากำลังฟื้นฟูรึ?”
ซือหยูประหลาดใจและสับสน
เขานั่งคอยเวลา แสงอันบางเบานั้นได้ขยายขนาดใหญ่ขึ้น ในแสงนั้น…ซือหยูได้มองเห็นโลกอีกครั้ง
แต่ที่แปลกคือสิ่งที่ปรากฏในดวงตาของซือหยูมิใช่มุมมองเดิมของโลก มันกลับเป็นการมองที่ทะลุลึกลงไป
ในห้องแห่งนี้ เช่น…โต๊ะข้างหน้าเขา ซือหยูมิได้เห็นเพียงแต่พื้นผิวของมัน เขากลับเห็นภายในของโต๊ะด้วย! โครงสร้างทั้งหมดและภายในของมันนั้นเห็นได้อย่างชัดเจน!
ส่วนกล่องหยกที่อยู่เหนือโต๊ะ ซือหยูมองผ่านทะลวงมันไปได้ เขาเห็นปิ่นปักผม หวี และหลายอย่างที่ถูกจัดเรียงอยู่ภายใน
ส่วนตู้เสื้อผ้าที่ปิดแน่นอยู่หน้าเตียง ซือหยูยังมองผ่านมันได้อย่างง่ายดาย เขาเห็นกระโปรงหลากสีสันที่เป็นของจ้าววิหคเพลิงและชุดอื่นๆของนาง แม้แต่ของลับที่นางวางไว้ในส่วนลึกที่สุดก็ถูกมองเห็นอย่างง่ายดาย
ในสายตาของซือหยู ทั้งห้องนี้ราวกับโลกอันโปร่งใส เขามองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง
หากมีแสงนี้อยู่ เขาก็ได้การมองเห็นกลับมาอีกครั้ง ผลของมันยังดียิ่งกว่าเดิม! ดวงตาของเขามองทะลุสิ่งของได้!
แต่เมื่อซือหยูตรวจสอบดวงตาอีกครั้งก็พบว่าดวงตาของเขายังคงบอดและเสียหายรุนแรง แต่เขาเห็นทุกสิ่งตรงหน้าได้ยังไงกัน?
ความคิดแล่นผ่าน ซือหยูมองดูภายในจิตวิญญาณ หม้อเก้ามังกรยังคงมีรอยฝ่ามืออยู่ในวิญญาณของเขาอย่างเคย แต่หม้อเก้ามังกรมีจุดที่เปลี่ยนแปลงไป! การชำระของมังกรม่วงและมังกรสีชาดได้อยู่อีกด้าน และที่เพิ่มขึ้นมาคือมังกรขาวยาวสามนิ้วที่ถูกชำระ!
มังกรตัวที่สามถูกชำระแล้ว!
ซือหยูตกใจ! หม้อเก้ามังกรนั้นนิ่งเงียบมานาน แต่การชำระของมังกรตัวที่สามก็เกิดขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัว
มันเกิดขึ้นเมื่อใดกัน?
ทันใดนั้นความคิดก็แล่นผ่านซือหยูอีกครั้ง หม้อเก้ามังกรจะตอบสนองก็ต่อเมื่อดวงวิญญาณสั่นอย่างรุนแรง เป็นเช่นเดียวกับตอนที่มังกรม่วงและมังกรสีชาดถูกชำระล้าง
ตอนที่ซือหยูใช้พลังขัดบัญชาสวรรค์และฝืนใช้เนตรสวรรค์ออกมา ดวงวิญญาณของเขานับว่าสั่นสะเทือนอย่างแรง แต่ซือหยูกำลังเผชิญหน้ากับสวรรค์ที่พยายามจะกดเขาให้จมดินอยู่ เขาเลยไม่รู้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงของหม้อเก้ามังกร!
มังกรม่วงนั้นเป็นตัวแทนแห่งห้วงเวลา มังกรสีชาดเป็นตัวแทนแห่งมิติ เช่นนั้นมังกรขาวก็เป็นตัวแทนแห่งวิญญาณ!
ข้อความปรากฏในจิตใจของซือหยู
“เนตรวิญญาณเป็นที่รู้จักกันว่าเนตรดวงใจ เจ้าจะได้ใช้วิญญาณของเจ้าในการมองโลกและได้เห็นแก่นของโลก…”
ซือหยูนึกถึงในตอนที่เขาใช้คลื่นจิตวิญญาณในการตรวจสอบว่ามีสิ่งใดอยู่ภายในสิ่งของนั้นหรือไม่เขาก็เข้าใจในทันที เนตรวิญญาณจะทำให้เขามองเห็นทุกสิ่งบนโลกผ่านดวงวิญญาณ เขาจะได้เห็นแก่นแท้ของทุกสิ่งบนโลก แม้ว่ามันจะต่างจากคลื่นจิตวิญญาณ มันก็ให้ผลที่น่าพอใจและน่าอัศจรรย์
การมองของเนตรวิญญาณนั้นทำให้เขาเห็นทุกสิ่งแบบโปร่งใสและแตกต่างจากการมองแบบปกติโดยสมบูรณ์ แต่การมองเห็นถึงตัวตนของทุกสิ่งเช่นนี้น่าจะเป็นผลดีกับการต่อสู้เสียด้วยซ้ำ
จิตใจซือหยูที่เศร้าหมองกลับมาผ่อนคลายขึ้น มิติ ห้วงเวลา และเนตรสวรรค์ยังถูกผนึกเอาไว้เพราะดวงตาของเขาถูกทำลาย แต่การได้เนตรวิญญาณมาก็นับว่าเป็นการเติบโตขึ้นอีกระดับ
ปั่ก ปั่ก–
จ้าววิหคเพลิงกลับเข้ามา
“ข้าติดต่อกับอาณาจักรทมิฬให้พาตัวเจ้ากลับไปแล้ว…”
“เจ้าพักในห้องของข้าได้อย่างเบาใจ ไม่มีใครจะทำอะไรเจ้า”
ซือหยูรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก เขาหันไปมองที่นาง
“ขอบคุณท่านจ้าวคณ…”
แต่เขาก็หยุดชะงักราวกับถูกสายฟ้าฟาดใส่ ในสายตาของเขา รูปลักษณ์ของจ้าววิหคเพลิงเปลี่ยนไปอย่างมาก
ในขั้นแรก เขามองเห็นชั้นเครื่องสวมใส่อันตระการตาที่มองข้ามผ่านไปได้ ต่อมาก็เป็นชุดชั้นใน และก็เป็นทั้งร่างของนางทั้งนอกทั้งใน เขาเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน จ้าววิหคเพลิงราวกับเปลือยกายอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้!
ภาพสลักลงในจิตใจในตอนที่เขาตกใจ เขาปรับสายตาว่าจะมองผ่านที่ใดและเลี่ยงในการมองนาง เมื่อทำเช่นนั้น เขามองจ้าววิหคเพลิงอีกครั้งและเห็นเพียงแค่ภาพปกติที่ควรเห็นและไม่มองทะลุชุดของนางอีก
แต่ในตอนนั้นเอง จ้าววิหคเพลิงก็มองซือหยูด้วยความสงสัย นางเอามือขวาปิดหน้าอกและหรี่ตามอง นางจ้องซ์อหยู และเห็นภาพลวงที่ว่าซือหยูเห็นทะลุทั้งร่างของนาง แต่หลังจากที่เห็นว่าซือหยูยังคงตาบอด นางก็กระซิบกับตัวเอง
“ข้าระแวงเกินไปงั้นรึ?”
จากนั้นนางก็ส่ายหน้าและวางแขนลง นางปลอบเขาด้วยเสียงอันอ่อนโยน
“ข้าเชื่อว่าเจ้าตำหนักหลิงจะต้องหาทางรักษาดวงตาของเจ้าได้แน่”
ซือหยูหวังแบบนั้นเช่นกัน เขาจะได้ใช้เนตรสวรรค์ได้อีกครั้ง จากนั้น…ไม่ว่าโลกใบนี้จะกว้างใหญ่เพียงใด จะมีที่ใดอีกที่เขาไปไม่ได้? เนตรสวรรค์ที่เป็นพลังจากสวรรค์พิโรธนั้นไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าพลังทำลายล้างจากวิหารโบราณเลย
ซือหยูยืนขึ้นและกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ
“ขอบคุณท่านจ้าวคณะในน้ำใจต่อข้าและเซี่ยนเอ๋อ ข้าจะต้องตอบแทนน้ำใจของท่านอย่างแน่นอน”
จ้าววิหคเพลิงยิ้ม
“ไม่ต้องพูดให้มากความก็ได้ ตอนนี้การรักษาเจ้ามันสำคัญเสียยิ่งกว่า ดูสภาพเจ้าในตอนนี้น่าจะไปไหนไม่ได้ไปอีกสิบวัน”
ซือหยูมองจ้าววิหคเพลิงด้วยความสำนึกบุญคุณจากก้นบึ้งของหัวใจ
ทันใดนั้นเขาก็คิดถึงอะไรบางอย่างและพูดอย่างเคร่งเครียด
“ท่านจ้าวคณะ ข้าขอถามท่านสักหน่อย ท่านสนิทสนมกับเจ้าเมืองอันยี่หรือไม่?”
เจ้าเมืองอันยี่รึ? จ้าววิหคเพลิงส่ายหน้าเบาๆและขมวดคิ้ว
“ข้าไม่เคยเห็นเขามาก่อน เจ้าถามทำไมกัน?”
ซือหยูเบิกตากว้าง
“ท่านหมายความว่าท่านไม่ใช่คนที่อนุญาตให้เขาเข้ามาในคณะวิหคเพลิงงั้นรึ?”
“อะไรนะ? เขาอยู่ในคณะวิหคเพลิงงั้นรึ? เป็นไปไม่ได้!”
จ้าววิหคเพลิงตกใจและปฏิเสธเสียงแข็ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น