The Divine Nine Dragon Cauldron 370-376
ตอนที่ 370
ซือหยูไม่เอาธนูออกมา เขากลับสะบัดดัชนีอย่างเรียบง่าย
สายอัสนีล้อมกายอย่างรวดเร็ว หลี่ชานหมิงไม่มีแม้แต่เวลาจะตอบสนอง เขายังอยู่ในท่าที่ถือธนูตามเดิม เขาถูกอัสนีซัดใส่ตัวและลอยออกจากลานประลอง อกของเขาไหม้เกรียม
หลี่ชานหมิงตกใจอย่างมาก กลิ่นโลหิตคละคลุ้งในลำคอ ความเจ็บปวดนั้นมหาศาล เขาแพ้ในกระบวนท่าเดียว! ไม่สิ…พูดให้ถูกคือเขาไม่มีพลังให้โต้กลับด้วยซ้ำ!
ตามข่าวที่ได้ยิน หยินหยูใช้ธนูและเสมอกับอำมฤตระดับสี่ แต่ซือหยูจะเป็นเหมือนอำมฤตระดับสี่ในตอนนี้ที่เอาชนะเขาในกระบวนท่าเดียวได้ยังไง?
ซือหยูเดินลงจากลานประลอง เมื่อเดินผ่านหลี่ชานหมิง เขาส่ายหน้าอย่างเย็นชา
“ดูเหมือนเจ้าจะไม่มีพลังพอที่จะให้ข้าต้องใช้ธนูนะ”
หลี่ชานหมิงไม่พอใจอย่างมาก แต่เขาต้องเก็บความอัปยศนี้ไว้กับตัว
ในตอนนั้นเอง เหล่าผู้คนระเบิดเสียงดังก้องเมื่อเห็นซือหยูเอาชนะอีกฝ่ายได้ในกระบวนท่าเดียว นั่นเป็นสิ่งที่อำมฤตระดับสี่เท่านั้นจะทำได้!
“ดูเหมือนว่าเขาจะแข็งแกร่งกว่าคำร่ำลือนะ!”
มีหลายคนเริ่มคิดเช่นนี้ขึ้นมาแล้ว
จ้าวแห่งวิหคเพลิงยิ้มอย่างพอใจ สายตาอันสงบนิ่งของนางเป็นประกาย
“วิชาอำมฤตระดับหนึ่งขั้นสูง ห่างไกลจากระดับสองเพียงคืบเดียวเท่านั้น! เขาอายุแค่สิบเจ็ดปี ช่างมีสติปัญญาในระดับที่น่ากลัว…พรสวรรค์น่ากลัวนัก!”
หัวหน้ามู่ที่ยืนข้างนางอย่างนับถือยิ้มอย่างโล่งใจ
จ้าวแห่งวิหคเพลิงที่มักจะไม่ชื่นชมใครกับใช้คำว่า’น่ากลัว’ถึงสองครั้งในคราเดียว!
ซือหยูใช้แค่กระบวนท่าเดียวในการต่อสู้ที่เหลือ เขาใช้แค่ดัชนีสายฟ้าดาราที่บ่มเพาะจนถึงระดับหนึ่งขั้นสูง
“รอบคัดเลือกจบแล้ว มีห้าคนที่เอาชนะได้ทั้งสิบการประลอง!”
จ้าวแห่งวิหคเพลิงประกาศด้วยตัวเอง
“พวกเจ้าห้าคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกหญิงสาวที่ต้องการ ตามพลังที่เจ้ามี ลำดับที่หนึ่งคือเฉินคง ลำดับสองหยินหยู ลำดับสามเว่ยฉีหลิน ลำดับสี่ซงหลวน ลำดับห้าหลิวลี่”
สิทธิ์ในการเลือกนั้นถูกจัดโดยจ้าวแห่งวิหคเพลิง
“ถ้าหากไม่มีใครโต้แย้ง พวกเจ้าก็เริ่มเลือกได้เลย”
“เดี๋ยวก่อน!”
เสียงแทรกขึ้นมาทันที เป็นหลิวลี่ที่สีหน้าไม่พอใจ
“ข้าไม่ปฏิเสธที่เฉินคงเป็นลำดับหนึ่ง แต่ทำไมคนนิรนามอย่างหยินหยูถึงมีตำแหน่งเหนือข้า? แล้วยังซงหลวนนั่นอีก เขามีสิทธิ์อะไรมาเหนือข้า?”
พวกเขาทั้งห้าล้วนเอาชนะสิบครั้งอย่างต่อเนื่อง แต่คนที่มีชื่อเสียงอย่างเขากลับถูกจัดลำดับให้อยู่หลังซือหยูกับซงหลวน หลิวลี่มิอาจยอมรับการจัดลำดับประหลาดๆเช่นนี้ได้ โดยเฉพาะลำดับของซือหยู ไม่เพียงซือหยูจะเหนือกว่าเขา แต่ซือหยูยังถูกจัดให้อยู่ในลำดับสอง! การจัดลำดับเช่นนี้มันน่าขันนัก!
เขาไม่ใช่แค่คนเดียวที่รู้สึกเช่นนี้ หลิวลี่มิอาจเข้าใจ มู่เทียนฟางก็มิอาจเข้าใจ ซงหลวนก็ไม่เข้าใจ เว่ยฉีหลินก็ไม่เข้าใจ แม้แต่เฉินคงก็ขมวดคิ้ว ไม่มีใครเข้าใจว่าเหตุใดจ้าวแห่งวิหคเพลิงถึงจัดลำดับพวกเขาเช่นนี้! เกิดอะไรขึ้นกัน?
พลังของซือหยูเมื่อครู่ก็แค่เกือบจะถึงพลังของอำมฤตระดับสี่ ไม่ต้องพูดถึงเว่ยฉีหลินที่เหนือกว่าหลิวลี่อย่างมิอาจเทียบ แต่แปลกมากที่ซือหยูถูกจัดให้เป็นลำดับสอง
“ก็เพราะว่าเขาแข็งแกร่งกว่าเจ้า เท่านั้นเอง”
จ้าวแห่งวิหคเพลิงพูดอย่างไม่แปลกใจ
หลิวลี่จ้องซือหยู เขามิอาจรับเรื่องนี้ได้ ซือหยูที่เขาดูถูกในตอนนี้กำลังยืนอยู่เหนือศีรษะของเขาในงานสำคัญเช่นนี้ ความอัปยศครั้งนี้มิอาจลบล้างไปได้ ในใจของเขามีเพียงคนเดียวที่แข็งแกร่งกว่านั่นคือเฉินคง! ไม่มีใครอื่นอยู่ในสายตาเขา
หลิวลี่ถอนหายใจแรง
“ข้า…รับ! สิ่งนี้! ไม่ได้!”
หลิวลี่เผชิญหน้ากับจ้าววิหคเพลิงตรงๆ
“เขาแข็งแกร่งกว่าข้าตรงไหนกัน? การประลองเท่านั้นที่จะตัดสินได้ว่าใครแข็งแกร่งกว่า ไม่ใช่การให้ความเห็นจากคนนอก!”
ซือหยูยิ้มเยาะ
“เจ้าไม่เคยประลองกับข้าสักครั้งแต่ก็เอาแต่พูดว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้า ความแข็งแกร่งมันตัดสินกันด้วยลมปากหรืออย่างไร? ถ้าเช่นนั้นแล้วทำไมเจ้าถึงใช้แต่ลมปากเล่า?”
หลิวลี่ไม่พูดต่อ เขาถอนหายใจแรง
“นั่นก็เพราะว่าเจ้าไม่เข้าใจระดับของข้า! ไม่คู่ควรที่ข้าจะต้องไปสู้กับเจ้า!”
ซือหยูยิ้มอย่างเยือกเย็น
“เก็บอัตตาไร้สาระของเจ้าไปเถอะ ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ เจ้าก็แค่ประเมินตัวเองสูงเกินไป เอาแต่คิดว่าข้าอ่อนแอกว่าเจ้า”
หลิวลี่คำรามลั่นไม่สนใจคำพูดของซือหยู เขาเพียงแต่มองจ้าวแห่งวิหคเพลิง เขาต้องการให้จ้าวแห่งวิหคเพลิงจัดการเรื่องนี้
เจ้าวิหคเพลิงใจเย็น มิอาจบ่งบอกอารมณ์ของนางได้
“เจ้าอ่อนแอกว่าเขา ไร้ประโยชน์ที่จะคิดเช่นนั้น เริ่มเลือกสตรีที่เจ้าชอบได้แล….”
“เดี๋ยวก่อน!”
ครั้งนี้เป็นซือหยูที่พูดออกมา
“หยินหยู เจ้ามีอะไรรึ?”
จ้าววิหคเพลิงถามและหันมามองเขา
ซือหยูพูดอย่างใจเย็น
“ท่านจ้าวคณะ ทำไมไม่ทำตามที่เขาปรารถนาเล่า? คนที่มิอาจรับความจริงได้ก็มีแต่ต้องยอมรับด้วยหมัดเท่านั้น”
เขาอยากจะสู้กับหลิวลี่มานานแต่ไม่มีโอกาส หลิวลี่เอาแต่พูดคำโตแต่ก็ไม่เคยจะประลองกับซือหยู ในวันนี้เป็นโอกาสดีที่เขาถูกบังคับให้ต้องเกิดความขัดแย้งกับซือหยู
“ตลกสิ้นดี!
“ให้ข้ายอมรับความจริงรึ? เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน?”
หลิวลี่พูดอย่างไม่พอใจอย่างยากที่จะได้ยินจากเขา
จ้าวแห่งวิหคเพลิงคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่จำเป็นที่พวกเจ้าต้องประลองกัน!”
จ้าววิหคเพลิงปรบมือ
ฟึ่บ–
หญิงสาวปรากฏตัวที่หน้าจ้าววิหคเพลิงทันที นางคือสตรีวิหคเพลิงลำดับสอง ยู่หลิง!
“ยู่หลิงจะประลองกับพวกเจ้าทีละคนและทดสอบพลังของพวกเจ้า”
“ใครแข็งแกร่งกว่ากันแน่จะชัดเจนในการประลองนี้ นี่ก็เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเจ้าบาดเจ็บก่อนจะประลองรอบต่อไป”
ยังคงมีการประลองรอบต่อไปอยู่อีก ถ้าทั้งสองบาดเจ็บในการต่อสู้ก็จะส่งผลต่อการประลองถัดไปแน่นอน
ยู่หลิงจ้องซือหยูอย่างเยือกเย็น
หลิวลีร่คิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ
“อย่างนั้นก็ย่อมได้”
แต่ซือหยูส่ายหน้า
“ข้าไม่ยอมรับ!”
จ้าวแห่งวิหคเพลิงขมวดคิ้ว
“ทำไมกัน? เจ้ากลัวว่ายู่หลิงแข็งแกร่งเกินไปและไม่เหมาะกับการประลองรึ?”
“มิได้…”
ซือหยูส่ายหัว
“เช่นนั้น เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
จ้าวแห่งวิหคเพลิงสงสัย
ซือหยูยิ้มเหมือนอย่างเคย
“ข้าแค่จะบอกว่าประลองต่อกันคนละรอบมันเสียเวลา!”
จ้าวแห่งวิหคเพลิงตกใจ
“หรือว่าเจ้าอยากจะประลองกับยู่หลิงพร้อมกับหลิวลี่?”
จ้าวแห่งวิหคเพลิงคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า
“นั่นก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ พวกเจ้าสองคนสู้พร้อมกันเพื่อจะได้แน่ใจว่าใครแข็งแกร่งกว่า แต่…”
จ้าวแห่งวิหคเพลิงมองยู่หลิง
“นางสู้เจ้าสองคนพร้อมกันไม่ได้อย่างแน่นอน เจ้าต้องออมมือนะ”
หลิวลี่คำราม
“จะวิธีไหนก็ย่อมได้ หากข้าจะได้เทียบพลังกับมัน!”
ยู่หลิงขมวดคิ้วอย่างโกรธเกรี้ยว สองต่อหนึ่งงั้นรึ? นางไม่มีโอกาสจะชนะเลย และกลับมีโอกาสสูงมากที่นางจะบาดเจ็บ
“ร่วมมือกันรังแกคนนั่นมันความสามารถพิเศษของเจ้างั้นเรอะ!”
ยู่หลิงมองด้วยความขยะแขยง นางยังโกรธในเรื่องที่เกิดขึ้นนอกกระโจมหลงลืมเมื่อสามวันก่อน
“แต่ข้าไม่จำเป็นต้องกลัวคนขี้ขลาดอย่างเจ้า! เข้ามาเลย!”
จ้าววิหคเพลิงพูดขึ้น
“หยินหยู เจ้าจะปฏิเสธหรือไม่?”
“แน่นอน!”
ซือหยูพูดอย่างไม่ลังเล
จ้าวแห่งวิหคเพลิงพูดอย่างไม่พอใจ
“แล้วมีอะไรอีก?”
ซือหยูเงยหน้า สายตาเขาเยือกเย็น
“ท่านจ้าวคณะเข้าใจข้าผิดแล้ว ข้าไม่ได้ขอประลองกับยู่หลิงพร้อมกันกับหลิวลี่ ที่ข้าขอก็คือข้าคนเดียว ประลองกับทั้งสองคน….เพื่อลดเวลา!”
สองต่อหนึ่ง! อำมฤตระดับสามกำลังร้องขอที่จะต่อสู้กับอำมฤตระดับสี่สองคนพร้อมกัน
ตอนที่ 371
ทั้งลานประลองระเบิดเสียงดังทันทีที่เขาพูดออกมา
แม้แต่จ้าวแห่งวิหคเพลิงก็หยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง หนึ่งคนต่อสองคนงั้นรึ?
แม้พลังของซือหยูจะโดดเด่น แต่หลิวลี่กับยู่หลิงก็ไม่ใช่คนธรรมดา
“เล่นตลกอะไรของเจ้า น่าเบื่อสิ้นดี”
นี่เป็นเรื่องตลกสำหรับยู่หลิง
“ฮ่าๆๆๆ…”
หลิวลี่หัวเราะ เสียงหัวเราะของเขาดังก้องทำให้ทุกคนหัวใจสั่นไหว
ไม่ว่าจะเป็นการหัวเราะอย่างเยือกเย็นหรือหัวเราะเยาะ มันก็เกิดจากความโกรธแค้นของเขา!
หลิวลี่หยุดหัวเราะเมื่อผ่านไปนาน ไหล่ของเขาสั่นไหว เสียงอันแหบพร่าดังมาจากลำคอ
“หนึ่งคนต่อสู้กับสองคนงั้นรึ ฮ่าๆๆๆ …..หนึ่งต่อสอง……”
ตอนนั้นหลิวลี่มองซือหยูราวกับมองสัตว์ป่าที่ดุร้าย
“เจ้ายังเห็นข้าในสายตาหรือไม่?”
สำหรับเขา นี่เป็นความอัปยศขั้นสูงสุด!
แม้จะเป็นเฉินคงก็ไม่กล้าจะสู้กับคนสองคน!
ทุกคนที่ได้ยินเสียงคำรามตกใจกลัว เสียงนั่นเหมือนกับว่าหลิวลี่โกรธอย่างเต็มที่แล้ว
ไม่นานคนจำนวนมากก็รู้สึกไม่ต่างกับหลิวลี่
หนึ่งคนสู้กับสองคน…มันเหยียดหยามกันมากเท่าใด? และทุกคนที่นี่ยังเป็นยอดฝีมือแห่งทวีป ทุกคนที่อยู่ในจุดสูงสุดกำลังเป็นสักขีพยาน นี่คือการดูหมิ่นกันอย่างเห็นได้ชัด!
หลายคนมองซือหยูอย่างไม่พอใจ
ยากนักที่คนหยาบคายเช่นนี้จะเป็นที่นิยมชมชอบ
แต่แม้ว่าทุกคนจะจ้องมอง ซือหยูก็ยังสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เขาตอบอย่างเป็นปกติ
“ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ เจ้าเอาแต่เหยียบย่ำข้าเพื่อแสดงพลัง เจ้าไม่เคยทำอะไรที่คู่ควรกับการยกย่องเลยสักครั้ง”
ซือหยูพูดจบและหันไปมองจ้าวแห่งวิหคเพลิง
“ข้าไม่ว่าอะไรถ้าพวกเขาสองคนจะโจมตีข้าด้วยทุกสิ่งที่มี ข้าไม่คิดว่าการที่ทั้งสองคนร่วมมือกันสู้กับข้าไม่ใช่สิ่งเลวร้าย เพราะอย่างไรข้าคนเดียวก็เกินพอที่จะจัดการกับทั้งสองคน”
ยู่หลิงไม่พอใจ
“อย่าหยาบคายให้มากนัก!”
เมื่อครู่ ยู่หลิงดูถูกซือหยูและพูดว่าเขาเป็นคนชั่วร้ายที่พยายามอย่างมากที่จะร่วมมือกับหลิวลี่เพื่อสู้กับนาง
เมื่อเทียบกันแล้ว ยู่หลิงกลายเป็นต่ำต้อยกว่า
เจ้าแห่งวิหคเพลิงมองซือหยูหัวจรดเท้า นางคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า
“ไม่มีปัญหา”
ซือหยูหันกลับไปมองทั้งสองคน เขายืนมือไพล่หลังและพูดอย่างเรียบเฉย
“โจมตีข้าพร้อมกันสิ”
หลิวลี่โกรธแค้น
“บัดซบ! ข้าคนเดียวก็จัดการเจ้าได้!”
เขาจะทนความอัปยศเช่นนี้ได้อย่างไร?
“เจ้าตำหนักหลิวลี่ ทำไมไม่ให้ข้าลงมือก่อนเล่า! ข้าเป็นคนที่ต้องวัดพลังของพวกเจ้า คนที่หยาบคายก็ควรจะถูกจัดการโดยข้า”
ยู่หลิงพูดอย่างขมขื่น
หลิวลี่ประสานหมัดหลังจากที่ครุ่นคิด
“สตรีวิหคเพลิงยู่หลิงจะโจมตีอย่างไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้อง….”
แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ เขาก็ถูกซือหยูพูดแทรก
“ไม่ต้องเคารพเจ้าใช่หรือไม่? เจ้ามีศักดิ์ศรีอะไรกัน? ถ้าเจ้าสู้ไม่ได้ก็แค่ยืนดูแล้วหุบปากไปซะ! ข้าจะมาจัดการเจ้าทีหลัง!”
สำหรับหลิวลี่…อีกฝ่ายไม่ได้สุภาพเลยแม้แต่น้อย
หลิวลี่กำลังจะตอบกลับแต่จ้าววิหคเพลิงก็พูดขึ้นมา
“อย่างไรพวกเจ้าสามคนก็ต้องสู้กัน จะตัดสินอย่างไรก็เรื่องของพวกเจ้า เริ่มการประลองได้”
ฟึ่บ–
เพลิงที่สูงสามสิบศอกลุกโชนจากร่างยู่หลิง
อุณหภูมิสูงขึ้นหลายองศาอย่างรวดเร็ว
เพลิงนั้นล้อมกายนางดั่งวิหคเพลิง
เสียงวิหคเพลิงกรีดร้องดังมาจากส่วนลึกในเพลิงพิโรธ
กายาวิหคเพลิง!
สตรีทุกคนในคณะวิหคเพลิงจะมีคุณสมบัติพิเศษเหมือนกัน พวกนางแต่ละคนมีสายเลือดของเทพวิหคเพลิง!
แต่ก็ยังมีบางคน…อย่างเช่นเซี่ยนเอ๋อที่มีสายเลือดวิหคเพลิงแห่งความตายที่หายาก
ยู่หลิงมีสายเลือดของวิหคเพลิงอัคคีอย่างไม่ต้องสงสัย!
“คนอย่างเจ้าที่มั่นใจในตัวเองนักหนา เจ้าทำได้แค่ก้มหน้ายอมรับชะตาเท่านั้น!”
ยู่หลิงมองซือหยูอย่าขยะแขยง
“คิดซะว่ากระบวนท่านี้คือของขวัญที่ข้าต้องมาเจอเจ้าก็แล้วกัน!”
“วิหคเพลิงร่ายนภา!”
นางตะโกน อัคคีวิหคเพลิงได้เปลี่ยนเป็นวิหคเพลิงอัคคีที่ยาวร้อยศอกพุ่งเข้าใส่ซือหยู
หนึ่งในสิบของลานประลองถูกเพลิงไหม้ คลื่นอันน่าตกใจจากเพลิงทำให้ลานประลองร้อนระอุ พื้นที่ซือหยูเหยียบนั้นร้อนดั่งเพลิง
กระบวนท่านี้เป็นการแสดงพลังจากโลหิต พลังนั้นเหนือกว่าคลื่นกลืนกินของโจวเนี่ยนเฉิน
ซือหยูหายใจตามปกติ แต่แทนที่เขาจะถอย เขากลับก้าวไปข้างหน้า
“ดัชนีสายฟ้าดารา!”
คาดไม่ถึงว่าเขาไม่ได้ใช้สมบัติเทพที่ร่ำลือ เขากลับใช้ดัชนีสายฟ้าดาราที่เป็นเพียงแค่วิชาระดับหนึ่ง!
กระบวนท่านี้เกินพอที่จะจัดการกับอำมฤตระดับสาม แต่มันก็ยังห่างไกลที่จะรับมือกับอำมฤตระดับสี่
ฟึ่บ–
อัสนีกระจายปะทะเข้ากับวิหคเพลิงอัคคีที่เข้ามา
สายอัสนีไร้ขอบเขตถูกวิหคเพลิงอัคคีกลืนกินทันที เพลิงพิโรธอันไร้เทียมทานพุ่งเข้าใส่ซือหยู
เมื่อการโจมตีปะทะกัน ซือหยูทนไม่ได้แม้กระบวนท่าเดียว
ยู่หลิงตกใจเล็กน้อย นี่มันง่ายดายกว่าที่นางคิดไว้มาก นางเบ้ปาก
“มีพลังแค่นี้แต่เจ้าก็ยังมีหน้ามาหยา…”
แต่ในตอนนั้นนางก็หยุดพูดในทันที
แม้วิหคเพลิงอัคคีจะเผาซือหยูอย่างโหดร้าย ร่างของซือหยูก็ยังคงยืนอยู่บนงานประลอง เขาไม่บาดเจ็บแม้แต่นนิดเดียว
ราวกับว่าเพลิงพิโรธไม่เป็นอันตรายต่อเขา
ที่ร่างของเขา ชั้นพลังความเย็นรอบกายกำลังปกป้องเขาเอาไว้
ไม่รู้ว่าพลังความเย็นนั่นคืออะไรถึงได้ต้านเพลิงของอำมฤตระดับสี่จนมิอาจแตะต้องตัวซือหยูได้
และพลังความเย็นนั้นยังไม่สนใจเพลิงพิโรธตรงหน้าแม้แต่น้อยราวกับเหยียดหยาม
ปรากฏการณ์นี้คือสิ่งที่หลงเหลือจากสมุนไพรเยือกแข็งจากสมุนไพรเพลิงเยือกแข็ง
สมุนไพรเพลิงนั้นถูกใช้ไปเพื่อแลกเปลี่ยนกับธนูมังกรฟ้าดิน และซือหยูเก็บสมุนไพรเยือกแข็งไว้กับตัว
มันเป็นสมุนไพรเทพที่ใช้แลกกับวิชาระดับตำนานได้ ในอดีตซือหยูมิอาจรับพลังของมันได้แม้แต่ขนราก
และตอนนี้ก็เกินพอที่เขาจะรับมือกับเพลิงพิโรธนี้
ซือหยูต่อต้านวิหคเพลิงอัคคีได้อย่างสบาย เขาทำราวกับไม่มีใครอยู่ที่นี่ เขาใช้ดัชนีสายฟ้าดาราเผชิญหน้ากับวิหคเพลิงอัคคี
การโจมตีแรง ดัชนีสายฟ้าดาราดับมอด
การโจมตีที่สอง มันดับมอดไปอีกครั้ง
การโจมตีที่สาม ยังคงเป็นดังเดิม
…
ต่อหน้าวิหคเพลิงอัคคี พลังของดัชนีสายฟ้าดารานั้นน้อยเกินกว่าที่จะทำอะไรได้
แต่ซือหยูก็ไม่รู้จักความเหน็ดเหนื่อย เขาใช้มันซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยพลังเต็มที่
ในจิตใจ การบรรลุของเขาลึกล้ำยิ่งขึ้นเรื่อยๆ สิ่งกีดขวางที่หยุดเขาจากการบรรลุพลังนั้นหายไปในทุกที
“ใช้ข้าเสริมวิชาบ่มเพาะงั้นรึ?”
ยู่หลิงกลับมาได้สติและโกรธแค้นอย่างมาก
ระหว่างการประลอง ซือหยูไม่สนใจนางและใช้พลังของนางในการทะลวงพลัง!
นี่มันไม่ต่างจากการ….เหยียดหยามนาง!
“เจ้าคิดจะใช้ข้างั้นเรอะ?”
ยู่หลิงกระซากพื้นที่ตรงหน้าอย่างโกรธแค้น
“ฉลองวิหคเพลิง!”
ฟึ่บ–
เพลิงพิโรธรอยกายซือหยูหายไป มันเปลี่ยนเป็นลูกเพลิงที่ขนาดเท่าฝ่ามือ
เพลิงทุกลูกนั้นมีพลังของเพลิงที่ยากจะเทียบ
ปั้ง–
ลูกเพลิงที่ใกล้ซือหยูที่สุดระเบิดออกจนเขาต้องถอยหลบ
แม้เพลิงนั้นจะถูกพลังความเย็นกลืนกินในทันที คลื่นสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นจากแรงระเบิดก็ทำให้ซือหยูกระเด็นไปไกล
ร่างของเขาสั่นสะท้าย เขาได้กลิ่นโลหิตในลำคอ
แต่ซือหยูก็ไม่มีเวลาจะสนใจความบาดเจ็บ เขาแสดงความยินดี
เขากำลังจะได้บรรลุพลัง!
อีกก้าวเดียวเขาจะหลุดจากสิ่งกีดขวางและบรรลุระดับสองของเก้าดัชนีอัสนีจินตนา…ดัชนีพันสายฟ้า!!
เขารอวันนี้มาเนิ่นนาน!
ในที่สุดเขาก็จะได้สำเร็จมัน
เขาเพียงแค่ต้องทำความเข้าใจวิชาอย่างเงียบๆเพียงเล็กน้อย!
ยู่หลิงลังเลและมองจ้าวแห่งวิหคเพลิง จากนั้นนางก็เก็บกรงเล็บทั้งห้าและรอให้ซือหยูบ่มเพาะพลังจนสำเร็จ
นี่คือการเปลี่ยนแปลงของวิชาระดับอำมฤตจากระดับหนึ่งเป็นสอง!
นี่คือโอกาสดีที่ยอดฝีมือจะได้เติบโตซึ่งยากจะเกิดขึ้น
และสำหรับวิชาระดับอำมฤต การบรรลุพลังนั้นมิใช่ทางเลือกแต่เป็นโอกาส นั่นไม่ต่างจากการมีชีวิตที่ดีขึ้น
การหยุดคนให้บรรลุพลังในตอนนี้ไม่ต่างจากการทำลายอนาคตและจะทำให้เหล่าผู้คนเกลียดชัง
ในตอนนี้ นี่เป็นเพียงการประลองที่จ้าวแห่งวิหคเพลิงจัดการ นางไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
ซือหยูยินดียิ่งกว่าเดิม สิ่งกีดขวางชั้นสุดท้ายกำลังเริ่มพังทลายลง
ครืน—-
ครืน—-
ในตอนนั้นเอง เมฆาทมิฬเข้ามารวมตัวกันจากทุกทิศทางไม่ต่างกับถูกอัญเชิญ
อัสนีพันสายเปลี่ยนแปลงเป็นเหล่ามังกรที่แหวกว่ายอยู่ในจักรวาลเพื่อมาทำความเคารพต้อนรับ
ตอนที่ 372
มังกรอัสนีคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว เสียงดังมาจากระยะหลายร้อยลี้ สายฟ้าหลอกสีเปล่งประกายฉาบท้องนภาจนดูตระการตาดั่งโลกในฝัน เพียงแค่เสียงสายฟ้าคำรามก็ทำให้เหล่าสรรพสัตว์วิ่งหนีด้วยความกลัว ทุกคนขนลุก
เหล่าผู้คนตกตะลึง พวกเขาทั้งกลัวและเกรงเมื่อได้ยินเสียงสายฟ้าคำราม
“ปรากฏการณ์ดั่งสวรรค์เช่นนี้จะเกิดจากวิชาอำมฤตระดับสองเท่านั้น!”
อัสนีรวมตัวรอบกายซือหยูอย่างบ้าคลั่ง ซือหยูกำลังจะสำเร็จพลังและควบคุมดัชนีพันสายฟ้าได้โดยสมบูรณ์
“กักเก็บ!”
ซือหยูชี้ดัชนีไปยังนภา เมฆาทมิฬเริ่มหมุนวนอย่างบ้าคลั่งโดยมีปลายดัชนีของซือหยูเป็นจุดศูนย์รวม มันก่อร่างเป็นวายุ อัสนีพันสายรวมตัวกันเป็นคลื่นหมุนวนขนาดใหญ่เข้าสู่ร่างของซือหยูผ่านดัชนี
“เขากำลังถึงจุดที่สำคัญที่สุด เขากำลังเก็บรวบรวมอัสนีจากสวรรค์มาใช้เป็นของตัวเอง!”
จ้าววิหคเพลิงกล่าวชื่นชมผ่านแววตา
“ถ้าหากอัสนีพันสายเก็บในร่างของเขาได้ เขาก็จะใช้พลังของอัสนีพันสายฟ้าได้ในอนาคต”
หัวหน้ามู่ตกใจ นางพูดเสียงหลง
“วิชาอัสนีระดับอำมฤตน่ากลัวยิ่งนัก…!”
นางบ่มเพาะวิชาระดับอำมฤตจนถึงระดับสองเช่นกัน แต่ถ้าเทียบกันแล้ว…นางอ่อนแอกว่าซือหยูอย่างมาก!
“แต่ท่านอาจารย์ จะเกิดอะไรขึ้นล่ะถ้าเขารวบรวมสายฟ้าไม่พอ?”
หัวหน้ามู่ถามด้วยความสงสัย
แววตาของจ้าววิหคเพลิงเคร่งเครียด
“นั่นก็จะเกิดผลร้ายแรงตามมา! เขาจะดูดซับสายฟ้าได้เท่าใดก็จะเป็นตัวแทนของพลังในระดับสอง ถ้าเขาดูดซับได้ไม่ถึงพันสายที่เรียกมา พลังของวิชาเขาจะลดลงอย่างมาก สิ่งที่เขาลงแรงมาในอดีตก็จะสูญเปล่า และสิ่งที่เขาทำได้ก็มีเพียงแต่เลือกบ่มเพาะวิชาระดับอำมฤตใหม่”
หัวหน้ามู่ตกใจ
“เช่นนั้นก็มาหวังให้เขาบรรลุพลังได้สำเร็จ นี่จะเป็นอนาคตของเขา”
ซือหยูที่ลอยอยู่กลางอากาศตื่นเต้นอย่างมาก ความรู้สึกยินดีเอ่อล้นในกาย วันนี้ไม่ใช่วันที่จะมาถึงได้ง่ายๆ! เขาสัมผัสสายฟ้าที่เข้าสู่ร่าง สายฟ้าเหล่านั้นแข็งแกร่งจนทำให้ซือหยูตัวสั่นจนต้องประหลาดใจ
เขาเรียกมังกรได้เก้าตัวจากดัชนีสายฟ้าดารา แต่ดัชนีพันสายฟ้านั้นทำให้เขาเรียกมังกรได้ถึงพันตัว! พลังอันน่ากลัวของมันนั้นเหนือจินตนาการ!
ซือหยูข่มความตื่นเต้นในใจและพยายามอย่างมากที่สุดเพื่อที่จะดูดซับสายฟ้า
หนึ่งสาย!
สองสาย!
สามสาย!
สิบสาย!
ซือหยูตื่นเต้นเหลือเกิน
นี่เป็นช่วงเวลาที่เขาจะได้รับการยอมรับจากคนหลายพัน นี่คือช่วงเวลาที่ยอดฝีมือในทวีปมองดูเขาบรรลุระดับสองของวิชาระดับอำมฤต!
แต่ในตอนนั้นเอง…
ฟึ่บ—
เสียงดังก้องท้องนภา ภาพติดตาสีครามพุ่งทะยานไปยังซือหยูด้วยความเร็วอันเหนือจินตนาการ ความดุร้ายของมันนั้นไม่ต่างจากสัตว์ป่า และที่สำคัญที่สุดคือความเร็วของมัน!
“เจ้านกอสูร! หยุดนะ!”
มู่เทียนฟางได้แต่อุทานออกมา
สีหน้าซงหลวนเปลี่ยนไปเมื่อได้เห็นเช่นนี้ ซือหยูจะมีเวลามาจัดการกับวิหคครามในยามที่เขากำลังจะทะลวงพลังได้อย่างไร?
ถ้าหากการสำเร็จพลังถูกขัดขวาง ความพยายามที่ซือหยูทำมาในวิชาอัสนีนี้ก็จะเปล่าประโยชน์! วิหคครมนี้โหดร้ายเกินไปแล้ว! แต่ความเร็วนั่นก็ทำให้ซงหลวนสิ้นหวัง! เขาไม่มีเวลาพอจะช่วยซือหยู!
เขามองซือหยูที่กำลังจะปะทะกับวิหคคราม แต่ในตอนนั้นซือหยูก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับยิ้มอย่างเยือกเย็น!
“ข้ารู้อยู่แล้ว!”
ฟึ่บ–
ซือหยูชี้นภาและดูดซับอัสนีต่อไป เขาเรียกธนูมังกรฟ้าดินออกมาที่มืออีกข้าง!
“มันออกมาแล้ว!”
หนึ่งในผู้คนอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา สมบัติเทพระดับกลาง! โจวเนี่ยนเฉินพ่ายแพ้แก่สมบัติเทพนั่น!”
แต่ซือหยูก็มีแค่มือเดียว เขาจะยิงธนูยังไงกัน?
เอี๊ยด—
แต่ทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อเห็นซือหยูถือธนูด้วยมือขวาและก้มศีรษะกัดสายธนูด้วยฟัน เขาดึงสายธนูเป็นมุมเล็กน้อย! เขาจะยิงธนูในท่านั้นจริงๆรึ?
ฟึ่บ–
เขาอ้าปากและปล่อยศรวิญญาณขนาดเท่าเล็บมือทะลวงไปด้วยความเร็วที่มองตามไม่ทัน มันพุ่งเข้าใส่วิหคครามตัวใหญ่
โฮก—
วิหคครามกรีดร้องขอความช่วยเหลือ ศรวิญญาณทะลุร่างของมัน เนื้อส่วนใหญ่หายไปเพราะธนูอันทรงพลัง พลังชีวิตของมันลดลงในทันที เรียกว่าศรวิญญาณนี้แทบจะฆ่ามันได้เลย
มันร่วงหล่นลงราวกับก้อนศิลา มันตกลงพื้นเสียงดังลั่น ผู้คนจึงได้เห็นตัวตนของแขกผู้ไม่ได้รับเชิญ
“นั่นมันวิหคครามของเจ้าตำหนักหลิวลี่!”
ซือหยูดูดซับสายฟ้าอย่างบ้าคลั่ง เขามองหลิวลี่อย่างใจเย็น
“นี่แหละวิธีของเจ้า ข้าเตรียมตัวมานานแล้ว”
เขาจะเชื่อได้อย่างไรว่าหลิวลี่จะยืนรอเขาบรรลุพลังใหม่? หลิวลี่จะต้องแอบสั่งให้วิหคครามเข้ามาอย่างลับๆ เพราะเขาไม่กล้ากระทำเรื่องชั้นต่ำต่อหน้าผู้คน!
“หยินหยู! เจ้าทำเกินไปแล้ว!”
“มันก็แค่ยังไม่เชื่อง ทำไมเจ้าต้องฆ๋ามันเล่า? ด้วยพลังที่เจ้ามี เจ้าแค่ไล่มันไปก็พอแล้ว!”
คำพูดของหลิวลี่ช่างคล้ายกับที่ซือหยูจำได้ ก่อนหน้านี้หลิวลี่ขี่วิหคครามมาที่เขตหยินหยู เขาทำให้ผู้บริสุทธิ์มากมายบาดเจ็บ หลิวลี่ในตอนนั้นอธิบายว่าเป็นเพราะนิสัยดุร้ายของวิหคครามที่ยากจะฝึกให้เชื่อง แต่ก็ไม่มีใครตาย ดังนั้นเขตหยินหยูควรจะต้องขอบคุณ!
ตลกสิ้นดี! ตอนที่วิหคครามที่เข้ามาจู่โจมซือหยู หลิวลี่ไม่ได้สั่งให้มันหยุดแต่ตอนนี้เขากลับมาแก้ตัวให้วิหคครามของตัวเอง
ซือหยูหัวเราะอย่างเย็นชา
“ยากจะเชื่องรึ? ถ้าเจ้าควบคุมสัตว์อสูรของตัวเองไม่ได้ ข้าก็ช่วยให้เจ้าควบคุมมันได้ยังไงล่ะ!”
“นี่เจ้า!”
หลิวลี่จ้องอย่างโกรธเกรี้ยว
“เจ้าอะไรรึ? เก็บความเสียใจของเจ้าแล้วไสหัวไปซะ!”
ซือหยูยิ่งกว่าขยะแขยง
หลิวลี่หัวเราะอย่างโกรธแค้น
“เจ้าคิดว่าเจ้าจะดูถูกคนอื่นได้แค่เพราะเจ้ากำลังจะบรรลุระดับสองของวิชาระดับอำมฤตรึ? เจ้าคนใจแคบ! ฮื่ม! ไม่แปลกใจที่เจ้ากล้าสู้กับพวกข้าสองคนพร้อมกัน เจ้าคิดมานานแล้วสินะว่าถ้าเจ้าเข้าสภาวะบรรลุพลังแล้วพวกเราจะขี้ขลาดจนไม่กล้าทำอะไรเจ้า–!”
แต่หลิวลี่ก็ยังพูดไม่ทันจบ เขารู้สึกได้ถึงความประหลาดของพลังวิญญาณรอบตัวซือหยู…และเห็นซือหยูดึงสายธนูด้วยฟันอีกครั้ง
แต่ในครั้งนี้ ซือหยูไม่ได้ดึงสายธนูแค่นิ้วเดียว เขาดึงกลับมาสามนิ้ว!
เขาชำระธนูมาแล้วหนึ่งในสิบส่วนโดยใช้โลหิตหัวใจของตู่หลง! นี่เป็นครั้งแรกที่ซือหยูใช้พลังเต็มที่ของธนู! ศรวิญญาณที่ยาวกว่าเดิมปรากฏขึ้นลางๆจากบนธนูสีเงิน รังสีพลังอันน่าตกใจคือพลังทำลายล้าง
ซงหลวน เว่นฉีหลิน และแม้แต่เฉินคงก็ท่าทางเปลี่ยนไป ศรวิญญาณที่เปล่งประกายทำให้พวกเขารู้สึกเย็นยะเยือก!
คำพูดของหลิวลี่หยุดลง เขาเบิกตากว้าง
“เป็นไปได้ยังไงกัน? ทำไมพลังของธนูเจ้าถึงไม่เหมือนตอนนั้น…? เดี๋ยวนะ เจ้าซ่อนพลังมาโดยตลอดงั้นเรอะ?”
ซือหยูจะใช้ธนูนี้เมื่อใดก็ได้ แต่เขาก็ทนหลิวลี่มาโดยตลอด แต่หลิวลี่กลับเอาแต่มาหาเรื่องซือหยู!
หลิวลี่ที่ถูกธนูสีเงินเล็งใจเต้นอย่างบ้าคลั่ง กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขากระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ ประสาทสัมผัสในร่างกายของเขามืดบอด
“เดี๋ยวก่อน…!”
เขาตะโกนร้องด้วยความเศร้า
“เจ้ากำลังจะบรรลุพลังนะ—เจ้าไม่ควรจะทำอะไร!”
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าคนที่ไม่คิดจะสู้ไม่ใช่เขา…แต่เป็นซือหยู! คำพูดของเขาก็เพียงเพื่อซื้อเวลา เขาไม่อยากจะพ่ายแพ้ซือหยูต่อหน้าผู้คนมากมาย ชื่อเสียงของเขาจะพังย่อยยับ!
แต่โชคไม่ดีที่ซือหยูรับรู้ความคิดของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง ความขยะแขยงในดวงตาล้ำลึกขึ้น
“ไม่ต้องหรอก ข้าจะเป็นกังวลน้อยกว่าถ้าเจ้าไสหัวไปซักที!”
ปั้ง—
ศรวิญญาณพุ่งเข้าใส่หลิวลี่ด้วยพลังอันเหนือจินตนาการ
ครืน—
หลิวลี่ทำไม่ได้แม้แต่จะป้องกัน เขากระเด็นไปไกลหลายลี้จนชนกับกำแพง ศรวิญญาณทะลวงท้องของเขา โลหิตไหลออกอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด โลหิตของเขาย้อมสีกำแพงเป็นสีแดงฉาน แววตาอันหยาบคายปูดโปนราวกับมัจฉาที่ไร้ชีวิต มันเต็มไปด้วยความกลัวและความเจ็บปวด
ศรวิญญษณหายไป ร่างของเขาร่วงหล่นลงไปกองกับพื้นไม่ต่างกับผืนผ้า บาดแผลของเขารุนแรงไม่ก็ปางตาย แต่ทุกคนก็เข้าใจได้ว่ามันเป็นเช่นนั้นเพราะซือหยูไม่คิดจะฆ่าเขา หลิวลี่ผู้หยิ่งในตนเอง หลิวลี่ผู้ที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าซือหยู…มิอาจทำอะไรได้แม้จะเป็นกระบวนท่าเดียวจากซือหยู
ความแตกต่างมหาศาลนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง นี่คือพลังที่แท้จริงของเจ้าตำหนักหยินหยู! ในตอนนี้ทุกคนทั้งหวาดกลัวและนับถือ
ซือหยูจ้องยู่หลิง
“อะไรของเจ้า? เจ้าอยากจะให้ข้าเชิญเจ้าลงจากลานประลองรึ?”
ยู่หลิงขบริมฝีปาก นางหวาดกลัวจากก้นบึ้งของหัวใจ นางตัวแข็งทื่อก่อนจะก้มหน้าเดินลงจากลานประลองด้วยความอับอาย นางสูญแส้แม้กระทั่งจิตใจที่จะต่อสู้ และซือหยูก็ใช้เพียงแค่แขนข้างเดียว ไม่มีใครกังขาในพลังของซือหยูอีกแล้ว!
ซือหยูดูดซับสายฟ้าจนสำเร็จโดยไม่มีใครมาขัดขวางอีก
เจียงมู่เฟยแทบจะล้มลงกับพื้น
“หยินหยูแข็งแกร่งขนาดนี้เชียวรึ?”
เขาเอาชนะอำมฤตระดับสี่สองคนอย่างง่ายดาย!
ซงหลวนยิ้มแต่ไม่พูดอะไร แววตาของเขาสุขุมเยือกเย็น
เว่ยฉีหลินถอนหายใจแรง เขามองซือหยูและพูดกับตัวเอง
“เขาก็นับว่าผ่าน
เฉินคงเลียริมฝีปากและส่ายหัวอย่างผิดหวัง
“ข้าคิดว่าเจ้าจะทำให้ข้าต้องประหลาดใจ แต่ดูเหมือนข้าจะประเมินเจ้าสูงเกินไป…หยินหยู”
ตอนที่ 373
ในที่สุดเฉินคงก็แสยะยิ้มออกมา
หลังจากการประลองจบลง ทุกคนมองซือหยูอย่างนับถือ ซือหยูดูดซับสายฟ้าต่อไป
ถ้าหากมีใครสังเกตอย่างจริงจังก็จะพบว่าฐานพลังของซือหยูเต็มไปด้วยมังกรอัสนีหลายพันตัว
เขาจะเห็นสายฟ้าทุกเฉดสีที่ต้องการมองหา
เมฆาทมิฬบนนภากระจายหาย ฟ้าดินเปล่งประกายอีกครั้ง
แสงตะวันสาดส่องร่างของซือหยู แสงสีเงินส่องสะท้อนเส้นผมสีเงิน
ใต้หน้ากากสีเงิน เขาใบหน้าเรียบเฉยไร้ความต้องการใด
ทุกคนจ้องซือหยูและรู้สึกประหลาด
เจ้าตำหนักหลิวลี่ปรากฏตัวในทวีปจนกลายเป็นตำนานยอดฝีมือผู้อยู่เหนือกาลเวลาในทันทีทันใด เขาที่มีตัวคนเดียวต่อสู้กับยอดฝีมือทั้งสองคนจนทำให้เป็นความทรงจำที่ผู้คนมิอาจลืมเลือน
“หลิวลี่ เจ้ามีปัญหาอะไรอีกหรือไม่?”
จ้าววิหคเพลิงหันไปมองหลิวลี่อย่างไม่แยแส
หลิวลี่อับอายอย่างมาก ในตอนนี้เขาจะไม่พอใจเพียงใดกัน?
“มะ…ไม่แล้ว”
หลิวลี่พูดด้วยความยากลำบาก เขาปิดบังความอัปยศที่ก้นบึ้งของจิตใจ
จ้าววิหคเพลิงพยักหน้าเบาๆ
“เช่นนั้น เราจะทำการจับคู่”
“เฉินคง เจ้าอยากจะแต่งงานกับผู้ใด?”
ทุกคนรู้คำตอบอยู่แล้ว มันถูกตัดสินมานานแล้วว่าเฉินคงกับเฟิงเซี่ยนจะต้องแต่งงานกัน เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้เป็นเพียงแค่การทำตามธรรมเนียม
“เซี่ยนเอ๋อ”
เฉินคงตอบอย่างที่ทุกคนคาดเอาไว้
จ้าววิหคเพลิงพยักหน้าอย่างไร้อารมณ์ นางมองซือหยูด้วยความนับถือนี่ไม่ปิดบัง
“แล้วหยินหยูล่ะ? ในคณะวิหคเพลิงของข้ามีสตรีนับล้าน ใครกันที่เจ้าชอบ?”
ซือหยูหัวเราะให้กับตัวเอง เซี่ยนเอ๋อเป็นคู่หมั้นของเขามานานแล้ว แต่การที่เขาก็ยังต้องประลองกับคนอื่นนั้นน่าหัวร่อยิ่งนัก
เมื่อเห็นซือหยูไม่สนใจ จ้าววิหคเพลิงก็ได้รู้ว่านางได้แตะต้องจุดที่บอบบางของซือหยู นางยิ้ม
“แต่ให้ข้าพูดเถอะ เจ้าจะเลือกใครก็ได้ที่อยู่ในที่แห่งนี้ ข้าจะรับผิดชอบเอง แม้แต่ยู่หลิงก็ย่อมได้”
นางรึ? คนนับหมื่นตกใจ
จ้าววิหคเพลิงนับถือหยินหยูถึงเพียงนี้เลยรึ?
ยู่หลิงที่เป็นลำดับสองของสตรีวิหคเพลิงแห่งยุค นางคือหญิงสาวแห่งทวีปที่ได้รับพรจากสวรรค์
คนคนเดียวที่มีพลังสูงกว่านางก็คือเฟิงเซี่ยน
ในตอนนี้มีเหล่ายอดฝีมือระดับแนวหน้ามากมายชื่นชอบยู่หลิงที่เป็นรองเพียงเฟิงเซี่ยน
แต่จ้าววิหคเพลิงก็ดูจะชื่นชอบหยินหยูและเต็มใจจะมอบนางให้เขา!
ยู่หลิงชักสีหน้าเมื่อได้ยินดังนั้น แม้นางจะไม่พอใจแต่นางก็ไม่กล้าที่จะโต้แย้งกับจ้าววิหคเพลิง
แม้หยินหยูจะแข็งแกร่ง เขาก็ไม่ใช่สามีที่ดีที่สุดที่นางคิด
เฉินคงกับเว่ยฉีหลิงนั้นเทียบไม่ได้เลยกับซือหยู
ดังนั้นนางจึงรู้สึกไม่พอใจที่จะต้องแต่งงานกับซือหยู
“ขอบคุณน้ำใจท่านจ้าวคณะ ท่านให้ยู่หลิงกับคนอื่นเถอะ ข้ามีคนอื่นในใจอยู่แล้ว”
ซือหยูพูดความรู้สึกออกมา
ยู่หลิงหยุดนิ่ง นางตาเป็นประกาย แต่ต่อมานางก็ไม่พอใจเล็ก
เขาหมายความว่ายังไงกัน? นางยังคงไม่ต้องตาเขางั้นรึ?
นางเองรู้สึกว่าจะต้องโศกเศร้ามากถ้าต้องแต่งงานกับซือหยู แต่สิ่งที่ซือหยูคิดก็คือนางไม่คู่ควรพอสำหรับเขา
จ้าววิหคเพลิงประหลาดใจเล็กน้อย
“เช่นนั้น ผู้ใดกันที่เจ้าต้องการ?”
ถ้าหากมีคนมองดีๆก็จะเห็นนางขมวดคิ้วหนึ่งครั้งและเริ่มเป็นกังวล
“เซี่ยนเอ๋อ! ข้ามาที่นี่เพื่อนางเท่านั้น!”
ซือหยูพูดขึ้นมาโดยไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ
อย่างที่คิด! ความสิ้นหวังฉาบดวงตาจ้าววิหคเพลิง
นางอยากจะชนะใจทั้งเฉินคงและซือหยู
แต่ที่นี่มีแค่เฟิงเซี่ยนแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
“เข้าใจล่ะ แล้วเจ้าล่ะเว่ยฉีหลิน?”
จ้าววิหคเพลิงถามต่อไป
ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดจากหอสดับหิมะ เว่ยฉีหลิน!
“ข้าน่ะรึ? แน่นอนว่าต้องเป็นเฟิงเซี่ยน!”
เว่ยฉีหลินยืนกอดอก
จ้าววิหคเพลิงไม่แปลกใจ เว่ยฉีหลินนั้นเป็นนักสู้ที่เก่งกาจและเป็นภัยต่อเฉินคง เขาคือศัตรูคนสุดท้ายที่เฉินคงมี ดังนั้นเขาต้องอยากสู้กับเฉินคงอยู่แล้ว รวมถึงการต่อสู้เพื่อสตรีก็ด้วย!
“ทำไมเจ้าจะต้องสู้กับเฉินคงอย่างไร้เหตุผลด้วยเล่า? การเลือกเลือกคู่ครองนับเป็นเหตุการณ์ครั้งใหญ่ในชีวิตเจ้า”
จ้าววิหคเพลิงแนะนำ
เว่ยฉีหลินคิ้วกระตุก
“สู้กับเฉินคงรึ? มิได้”
เขาหันมองไปยังซือหยูด้วยสายตาคมกริบ
“ข้าก็แค่อยากจะรู้ว่าคนที่มีลำดับเหนือกว่าข้ามันเป็นขยะแค่ไหนกัน!”
เหตุผลที่แท้จริงก็คือเขาเลือกคนเดียวกับซือหยูเพื่อที่จะสู้กับซือหยู
“คนคนเดียวที่แข็งแกร่งกว่าข้าคือเฉินคง ไม่มีใครอื่น”
“ข้าไม่เห็นด้วยกับลำดับเช่นนี้”
เช่นนี้เองรึ จ้าววิหคเพลิงพยักหน้า
“เอาล่ะ แล้วเจ้าล่ะซงหลวน?”
ซงหลวนหัวเราะ
“ข้ามาที่นี่เพื่อเกียรติยศของตำหนักเฉินเทียน ข้าไม่คิดจะเลือกสตรีคนไหน…”
เขามองผ่านไปยังทั้งสามคน
“หากพวกเขาเลือกสตรีวิหคเพลิงเฟิงเซี่ยน ข้าก็ต้องเลือกตามพวกเขา”
จ้าววิหคเพลิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เรื่องนี้นางทำอะไรไม่ได้
“ย่อมได้”
ซือหยูมองไปยังซงหลวนและเจียงมู่เฟย
เขายังคงมีคำถามที่ไม่เคยถามทั้งสองคน
ตามที่เกาคังบอก ในบรรดาสามราชันย์สวรรค์แห่งตำหนักเฉินเทียน มีแค่เขาที่ยอมแพ้ต่อฮั่นเจียงหลิน
แต่ซงหลวนกับเจียงมู่เฟยนั้นคิดว่ายอมตายเสียดีกว่าจะยอม ดังนั้นทั้งสองจึงถูกจองจำ
แล้วทำไมตัวแทนของตำหนักเฉินเทียนถึงมาในงานชุมนุมวิหคเพลิงเล่า?
หรือว่าพวกซงหลวนจะยอมภักดีต่อฮั่นเจียงหลินแล้ว?
“เจ้าจะว่าอย่างไร หลิวลี่? จ้าววิหคเพลิงถาม”
หลิวลี่รวบรวมความกล้าอย่างยากลำบาก เขาพูดหลังจากลังเล
“ข้าชอบยู่หลิง ข้าหวังว่าจ้าววิหคเพลิงสนองความปรารถนาของข้า”
นางรึ? จ้าววิหคเพลิงไม่ประหลาดใจ
นางตอบทื่อๆราวกับว่าไม่คิดอะไรเลย
“ถ้าเจ้าเอาชนะยู่หลิงได้ข้าก็ไม่ปฏิเสธ”
กับซือหยู นางคิดจะหมั้นซือหยูกับยู่หลิงตั้งแต่แรก
แต่กับหลิวลี่ นางปฏิเสธแบบอ้อมๆ
การปฏิบัติของนางต่อทั้งสองนั้นราวฟ้ากับเหว
ส่วนยู่หลิงเองก็รู้สึกขยะแขยงอย่างเห็นได้ชัด
หลิวลี่อับอายและโกรธแค้นที่ถูกปฏิเสธต่อหน้าทุกคน และเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าของยู่หลิงก็ยิ่งทำให้เขาโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิม
“ยู่หลิง เจ้าหมายความว่ายังไง?”
ยู่หลิงยิ้มเยาะ
“น่าขันนัก! แม้เจ้าจะต่ำต้อยกว่าคนอื่นก็ยังเอาแต่หาความอัปยศให้ตัวเองไม่หยุดหย่อน เจ้ามันเป็นผู้ชายเช่นนั้นแหละ!”
ในอกของหลิวลี่เต็มไปด้วยความโกรธจนแทบจะระเบิด
ยังดีแม้เขาจะพ่ายแพ้ซือหยูต่อหน้าทุกคน ยังดีแม้เขาจะถูกจ้าววิหคเพลิงปฏิเสธอย่างสุภาพ แต่กลับเป็นยู่หลิงที่เยาะเย้ยแม้กระทั่งเขา!
เขาตกต่ำถึงขั้นนี้แล้วรึ?
“ยู่หลิง! แม้ข้าจะไร้ประโยชน์แค่ไหน นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องมาโทษข้า!”
หลิวลี่โกรธแค้น
“ท่านจ้าวคณะ โปรดตัดสินใจ”
จ้าววิหคเพลิงสีหน้าไร้อารมณ์
“นั่นก็ดีแล้ว ถ้าพวกเจ้าเลือกสตรีที่ชอบได้แล้ว งานชุมนุมวิหคเพลิงก็เข้าสู่ช่วงสุดท้าย!”
“ส่วนคนที่เลือกสตรีคนเดียวกัน ในบรรดาพวกเจ้า เฟิงเซี่ยนจะหมั้นกับผู้ชนะ!”
จ้าววิหคเพลิงพูดต่อ
“แต่ก่อนหน้านั้น ข้าจะให้ยู่หลิงกับหลิวลี่สะสางกันเสียก่อน”
“ถ้าหลิวลี่ชนะ ข้าจะรับผิดชอบหมั้นยู่หลิงให้กับเขา ถ้าเขาแพ้ เขาจะถูกเนรเทศออกจากดินแดนวิหคเพลิง!”
เนรเทศรึ? เหตุใจจึงเข้มงวดนัก?
“ย่อมได้! ข้าเข้าใจแล้ว”
หลิวลี่ยืนกอดอกด้วยความมั่นใจอย่างมาก
ด้วยพลังในขอบเขตอำมฤตระดับสี่ เขานับว่าเหนือกว่าคนทั่วไป มิเช่นนั้นโจวเนี่ยนเฉินก็คงจะไม่กลัวเขา
ยู่หลิงอาจจะเอาชนะเขาไม่ได้
“ข้าก็ยอมรับเช่นกัน!”
ยู่หลิงพูดอย่างเย็นชา
พรึ่บ–
พรึ่บ—
ทั้งสองบินขึ้นลานประลองและยืนเผชิญหน้ากัน
ทั้งสองเริ่มต่อสู้กันเมื่อจ้าววิหคเพลิงให้สัญญาณ
หลิวลี่นั้นเคลื่อนไหวรวดเร็วอย่างกับภูติผี!
“วิหคเพลิงร่ายนภา!”
เพลิงพิโรธออกมาจากร่างยู่หลิงเข้าล้อมกายนาง
ฟึ่บ–
แต่ในตอนนั้นก็เกิดช่องว่างใหญ่ปรากฏอยู่ที่วงแหวนเพลิง
เงาร่างที่รวดเร็วพุ่งออกจากเพลิงพิโรธและพุ่งเข้าใส่ยู่หลิงเพื่อโจมตี
ยู่หลิงตกใจ ไหล่ที่มีกลิ่นหอมหวานของนางถูกซัดอย่างรุนแรง นางคำรามด้วยความเจ็บปวดและถอนไปหลายสิบศอก
ตอนที่ปะทะกันครั้งแรก หลิวลี่ได้เปรียบ
“มีพลังแค่นี้แล้วยังกล้าถากถางข้างั้นรึ? เจ้าจะมั่นใจเกินไปแล้ว!”
หลิวลี่ยิ้มเยาะ เขาเคลื่อนไหวอย่างเป็นอิสระรอบยู่หลิงและโจมตีอีกครั้ง
ยู่หลิงสะบัดไหล่ นางใจเย็นและหัวเราะอย่างเยือกเย็นยิ่งกว่าเดิม
“เจ้าคิดว่าข้ามีแค่พลังของสายเลือดงั้นรึ?”
วิหคเพลิงร่ายนภาเป็นเพียงแค่สายเลือดของวิหคเพลิงอัคคี
เอ๋? หรือว่ายู่หลิงจะมีอย่างอื่นที่ทรงพลังอยู่อีก?
“ตามกฎ ข้าเพียงได้รับอนุญาตให้ใช้พลังสายเลือดเพื่อทดสอบพลังของเจ้าเท่านั้น แต่ถ้าหากนี่เป็นการประลองส่วนตัว ข้าก็ไม่ต้องออมมืออีกแล้ว!”
มู่เทียนฟางมองยู่หลิงด้วยความนับถือ
“ในที่สุดนางก็จะใช้มันรึ? ไพ่ตายที่แท้จริงของยู่หลิง ฝ่ามือหยินหยางแปดทิศ!”
“ฝ่ามือหยินหยางแปดทิศ!”
ยู่หลิงเงียบขรึม ทั้งสองมือหมุนวนที่ด้านหน้า มันดูแปลกประหลาด
เงาของฝ่ามือนางซ้อนทับกัน เกิดชั้นเงาแบ่งแยกออกดูมหัศจรรย์อย่างมาก!
หลิวลี่เริ่มระวังตัว
“ฮื่ม! ข้าจะทำลายวิชานั่น!”
พรึ่บ–
หลิวลี่หายไปอีกครั้ง เขาปรากฏตัวราวกับหมอกข้างหลังยู่หลิงโดยไร้คำเตือน เขาซัดเข้าไปที่แผ่นหลังของนาง
แต่ก็เกิดเรื่องวประหลาดขึ้น
ยู่หลิงราวกับมีดวงตาที่หลัง จากโจมตีเข้าไปยังด้านหลังของตัวเอง
อั่ก–
ฝ่ามือ่อนนุ่มซัดเข้าใส่อกของหลิวลี่ราวกับว่าฝ่ามือนั้นคือภูเขาลูกยักษ์
หลิวลี่กระอักเลือดออกมาและกระเด็นลอยไปไกล
อกของเขายุบไปเป็นรูปฝ่ามือ!
ฝ่ามือนี้ทำให้ทุกคนตกใจ
“ฝ่ามือนั่นแข็งแกร่งนัก!”
ซงหลวนพยักหน้าชมเชยที่ข้างซือหยู
“ทั้งกำลังและความอ่อนโยนหลอมรวมกัน นางโจมตีและป้องกันได้พร้อมกัน ฝ่ามือนั่นทำให้ทุกที่บนร่างของนางไร้ช่องโหว่”
“ถ้าหากไร้ข้อห้ามดั่งเช่นตอนนี้ และนางได้ใช้วิชานั่น…ก็คงยากที่ธนูของเจ้าจะเอาชนะนางได้ง่ายๆ”
ซือหยูไม่ปฏิเสธในเรื่องนี้
“แม้ธนูข้าจะแข็งแกร่งมันก็ยังคงมีจุดอ่อนมาตั้งแต่แรก มันทำได้แค่โจมตีไม่เหมือนกับฝ่ามือนั่นที่ทำได้ทั้งโจมตีและป้องกันพร้อมกัน”
แต่ทุกคนรู้ดีว่าซือหยูมีมากกว่าธนู
หลิวลี่ตกใจ แม้ที่อกของเขาจะเจ็บปวด เขาก็ไม่พอใจอย่างมาก
“อีกรอบ!”
ฟึ่บ–
อั่ก—
ทุกครั้งที่หลิวลี่เข้าใกล้นางก็จะถูกฝ่ามือซัดใส่และกระอักเลือดออกมาในท้ายสุด
หลังผ่านไปสิบกระบวนท่า ยู่หลิงมิได้บาดเจ็บแม้แต่น้อย
ส่วนหลิวลี่นั้นอาการเริ่มย่ำแย่ ทั้งร่างของเขาเต็มไปด้วยโลหิต
“เจ้ายังอยากจะสู้ต่ออีกหรือไม่?”
ยู่หลิงมองหลิวลี่อย่างเย็นชา แววตานางหนักแน่น
หลิวลี่พ่ายแพ้หลายครั้ง ความหยิ่งยโสที่เคยมีอยู่มลายหายไป
เขามิอาจทนการพ่ายแพ้เช่นนี้ได้ เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ต่างกับโลหิตที่ทำร้ายหัวใจตัวเอง และเขาก็ยังบาดเจ็บจนแทบหมดสติ ทุกสิ่งเกิดขึ้นในตอนที่ยู่หลิงหัวเราะเยาะเขา
“เจ้าเศษขยะใช้การไม่ได้!”
ยู่หลิงมองด้วยความเหยียดหยาม นางยืนอยู่บนลานประลองและไม่ได้ลงไปไหน
จ้าววิหคเพลิงพูดตามหลังนาง
“เอาเขาลงลานประลอง โยนเขาออกนอกดินแดนวิหคเพลิง! การประลองจะดำเนินต่อไป”
“ทีนี้จะเป็นการประลองของพวกเจ้าทุกคน ตามกฎในอดีตแล้วพวกเจ้าจะต้องสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง แต่ในครั้งนี้ข้าอยากจะขอเปลี่ยนกฎ!”
จ้าววิหคเพลิงประกาศ
ก่อนหน้านี้ นางเคยพูดว่างานชุมนุมวิหคเพลิงครั้งนี้จะต่างจากในอดีตเล็กน้อย ทุกคนเตรียมใจไว้แล้ว
“ในการประลองสุดท้ายจะไม่เป็นการประลองหนึ่งต่อหนึ่ง แต่จะเป็นการประลองพร้อมกันทุกคนอย่างอิสระ! เฉินคง หยินหยู เว่ยฉีหลิน ซงหลวน และยู่หลิง พวกเจ้าห้าคนจะต้องสู้ คนสุดท้ายที่ยืนอยู่บนลานประลองถือเป็นผู้ชนะ!”
“ข้าจะหมั้นเฟิงเซี่ยนให้กับผู้ชนะด้วยตัวเอง!”
ตอนที่ 374
เขาต้องชนะงั้นรึ? ซือหยูแอบกำหมัด ไม่เพียงแต่เขาจะต้องชนะเฉินคง แต่เขายังต้องเอาชนะคนทั้งหมดในลานประลอง เขามิอาจยอมแพ้ได้
“ถ้าผู้ชนะในท้ายสุดคือยู่เหลียง ครั้งนี้ก็จะไม่มีผู้ชนะในงานชุมนุมวิหคเพลิง เข้าใจหรือไม่?”
ทั้งห้าพยักหน้าและมองหน้ากันไปมา ทางเดียวที่พวกเขาจะจบการต่อสู้ตะลุมบอนให้เร็วที่สุดก็คือการร่วมมือกับบางคนที่เหลือ!
ยู่หลิงไม่ลังเล นางยิ้มอย่างเย็นชาและมองซือหยู
“เฉินคง เว่ยฉีหลิน ข้าเต็มใจที่จะให้พวกเจ้าได้ยืมมือ!”
นางไม่ลังเลที่จะเจรจากับทั้งสองคน
เหลือเพียงซือหยูกับซงหลวน เฉินคงเป็นยอดฝีมือลำดับหนึ่งจากตำหนักรองของอาณาจักรทมิฬแห่งทวีป เว่ยฉีหลินคือมหาบุตรคนแรกจากหอสดับหิมะ! นามของแต่ละคนล้วนเป็นที่น่าหวาดกลัวในทวีป ชื่อเสียงของพวกเขากระฉ่อนทั่วฟ้าดิน
และท้ายสุด เฉินึง ตำนานที่เขาเอาชนะคู่ต่อสู้ในกระบวนท่าเดียวนั้นเป็นเรื่องราวที่มิอาจมีเรื่องใดมาเทียบได้ในทวีปแห่งนี้ และเว่ยฉีหลินก็เป็นลำดับสองรองจากเฉินคงเท่านั้น! ไม่มีใครเคยรับเว่ยฉีหลินได้เกินห้ากระบวนท่า! ถ้าทั้งสองร่วมมือกัน ใครกันในทวีปนี้จะมีโอกาสจัดการพวกเขาได้?
และด้วยยู่หลิงที่ทั้งจู่โจมและป้องกันได้ในคราเดียว และพลังของนางยังใกล้เคียงกับอำมฤตระดับสี่ขั้นกลาง กลุ่มสามคนนี้จะจัดการซือหยูกับซงหลวนได้อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่คาดไม่ถึงที่เฉินคงยิ้มแต่ไม่พูดอะไร เขายืนมือไพล่หลังโดยไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย
ส่วนเว่ยฉีหลิน เขาพูดอย่างเรียบเฉย
“ร่วมมือรึ? เจ้ากำลังพูดอยู่กับใครกัน? ข้าต้องร่วมมือกับผู้หญิงอย่างเจ้าเพื่อสั่งสอนพวกคนนิรนามนั่นรึ?”
เว่ยฉีหลินมองอย่างเยือกเย็น
ยู่หลิงใบหน้าบิดเบี้ยว นางรู้สึกกระอักกระอ่วน
“ข้าก็แค่แนะนำเท่านั้น!”
เว่ยฉีหลินถอนหายใจแรง
“คำพูดเจ้ามันไม่ต่างอะไรกับมอบความอัปยศให้กับข้า!”
“เจ้ามันก็แค่ตัวเกะกะ ก่อนที่จะจัดการพวกมัน ข้าจะจัดการเจ้าก่อน!”
ยู่หลิวโกรธเกรี้ยวในทันที! นางล้มเหลวในการเจรจาแล้วยังทำให้เว่ยฉีหลินไม่พอใจและทำให้เขาโกรธ
ยู่หลิงหัวเราะเยาะตัวเอง จากนั้นนางก็รีบใช้ฝ่ามือหยินหยางแปดทิศ ทั้งร่างของนางได้รับการป้องกัน
“ทลายเวหา!”
เว่ยฉีหลินปล่อยหมัดธรรมดาออกไป
ทั้งสองห่างกันไม่มากนัก หมัดถูกปล่อยออกมา ยู่หลิงป้องกันตัวเองด้วยฝ่ามือหยินหยางแปดทิศ นางไร้ช่องโหว่ นางดูดซับพลังของหมัดได้แต่มิอาจดูดซับพลังทั้งหมด
อั่ก–
นางกระอักเลือดออกมาและถอยไปหลายก้าว ฝ่ามือทั้งสองช้างชา ใบหน้าทั้งโกรธเกรี้ยวและหวาดกลัว หมัดนั้นเหนือยิ่งกว่าคำว่าน่ากลัว! เทียบกันแล้ว การโจมตีของหลิวลี่ไม่ต่างกับหมัดเด็กเล่น
“ทลายเกราะ!”
เว่ยฉีหลินยังคงยืนอยู่ที่เดิม เขาปล่อยหมัดที่ดูธรรมดาออกมาอีกครั้ง
หมัดทมิฬซัดไปทางยู่หลิง หมัดนั้นสร้างแรงสั่นสะเทือน
ยู่หลิงชักสีหน้า นางจะลังเลได้อย่างไร? นางรีบใช้วิชาจนถึงพลังสูงสุด เมื่อหมัดเข้ามาซัดใส่นางก็ปล่อยฝ่ามือออกมาสิบครั้งเพื่อขจัดพลังของหมัด แต่เสียงกระดูกแตกก็ดังมาจากฝ่ามือของนาง!
หมัดพุ่งตรงเข้าใส่ลำตัว!
ผั่วะ–
เสื้อผ้าบริเวณอกฉีกขาด ช่องท้องไหม้เกรียมและเต็มไปด้วยโลหิต สายโลหิตไหลออกจากปาก นางล้มลงบนลานประลอง
ปั้ง–
นางหมดสติและล้มลงเสียงดัง
เว่ยฉีหยินพูดอย่างเย็นชา
“สองกระบวนท่า!”
ใช่แล้ว ยู่หลิงเอาชนะนางด้วยสองกระบวนท่า ซือหยูสีหน้าหม่นหมองเมื่อได้เห็นวิชาของเว่ยฉีหลินเป็นครั้งแรก
เว่ยฉีหลินหันมองซือหยูกับซงหลวน เขาจ้องที่ซือหยู
“ต่อไปเป็นเจ้า”
“คู่ต่อสู้ของเฉินคงจะมีแค่ข้าคนเดียวเท่านั้น จะไม่มีคนที่สาม เจ้าไม่มีพลังที่จะมีลำดับเหนือข้า!”
ซือหยูตกใจ
“พลังตัดสินจากตัวเจ้า มิใช่คำพูด!”
“เช่นนั้นข้าก็จะบดขยี้จนเจ้าหุบปาก!”
เว่ยฉีหลินพูดอย่างตรงไปตรงมาก
ชั้นอัสนีรอบกายซือหยู
“เช่นนั้นเจ้าก็มาสู้กับข้า!”
แต่เว่ยฉีหลินกลับละสายตา เขามองไปยังซงหลวน
“ข้าไม่ชอบคนที่มาขวางหูขวางตาตอนที่ข้าจะลงมือ ลงไปซะ”
ซงหลวนไม่ยินยอม เขากลับยิ้ม
“ข้าได้ยินว่าท่านฉีหลินจากหอสดับหิมะได้วิชาอำมฤตโบราณ นพลักษณ์ทลายสวรรค์มาครอง ข้าอยากจะเห็นมานานแล้ว พวกเราไม่ค่อยได้เจอกัน ข้าก็ปรารถนาจะดูเสียหน่อย”
นพลักษณ์ทลายสวรรค์! ทลายเวหาและทลายเกราะเป็นแค่ทวิลักษณ์ของวิชาเท่านั้น
เว่ยฉีหลินไร้อารมณ์
“ข้ามักจะสนองคนที่อยากจะหาความอัปยศให้ตัวเองอยู่แล้ว…”
“ทลายเวหา!”
หมัดพุ่งเข้าใส่ซงหลวน แต่ซงหลวนยังคงยืนมือไพล่หลัง แววตาของเขาสงบนิ่ง ดวงตานั้นคมกริบและเปล่งประกาย
“เนตรกระบี่!”
รังสีกระบี่สองคลื่นพุ่งออกจากดวงตาของซงหลวน! ไม่ผิดแน่ รังสีกระบี่ออกมาจากดวงตาของมนุษย์! รังสีกระบี่อันทรงพลังเฉือนผ่านหมัด
ปั้ง—
หมัดที่พุ่งเข้ามาถูกทำลายในทันที!
ซือหยูเบิกตากว้าง รังสีกระบี่นั่นมันอะไรกัน! แล้วกระบี่ของซงหลวนอยู่ที่ใด? เขาปล่อยรังสีกระบี่ออกมาได้โดยไม่ต้องใช้อะไรเลยรึ?
เว่ยฉีหลินไม่สนใจที่การโจมตีถูกต่อต้าน เขาปล่อยหมัดที่สอง
“ทลายเกราะ!”
หมัดอันน่ากลัวที่มีพลังมากกว่าหมัดแรกเป็นสองเท่าพุ่งเข้าใส่ซงหลวน ซงหลวนวางแขนขวาไว้ข้างหลัง เขาสีหน้าจริงจัง
“ดัชนีกระบี่!”
ซงหลวนยกมือขวาและยกดัชนีเดียวชี้ออกไป
ฉั่วะ–
คลื่นรูปกระบี่พุ่งออกมาจากมือของเขา กระบี่นั้นตัดผ่านท้องนภาจนแยกเป็นสองท่อน! มีเพลิงปะทุออกมาจากรังสีกระบี่
ปั้ง–
หมัดถูกทำลายในทันที
เว่ยฉีหลินที่ไร้อารมณ์เริ่มแสดงสีหน้าออกมาบ้าง
“เจ้านับว่าใช้ได้ รับกระบวรท่าที่สามของข้าไปซะ! ทลายอสูร!”
ในตอนนั้น หมัดยักษ์พุ่งเข้าใส่ซงหลวนราวกับภูเขา แรงกดดันน่ากลัวจนยากที่จะหายใจ สีหน้าซงหลวนเคร่งเครียดกว่าเดิม เขาหายใจเข้าลึกและยกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้น เขาปลดปล่อยรังสีกระบี่ออกไป
“กระบี่ฝ่ามือ!”
ซือหยูคิ้วกระตุกอย่างมิอาจควบคุมได้ รังสีกระบี่นั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าธนูของเขา! ถ้าอำมฤตระดับหนึ่งขั้นต้นถูกการโจมตีนี้จะต้องตายอย่างแน่นอน
ฟึ่บ ฟึ่บ–
กระบี่สองเล่มพุ่งออกไปทำให้พื้นที่รอบข้างสั่นไหว เพลิงที่เกิดจากกระบี่ทะลวงเข้าไปหาหมัด
ตู้ม—
หมัดราวกับภูเขาหลงเหลือเพียงพลังวิญญาณที่เหือดหาย! รังสีกระบี่ที่เหลือพุ่งเข้าใส่ร่างของเว่ยฉีหลิน!
ครั้งนี้เว่ยฉีหลินเริ่มเคร่งเครียด
“กระบี่ปีศาจซงหลวน!”
เขาตะโกน
“ข้ายอมรับว่าข้าประเมินเจ้าต่ำไป! แต่มันจะจบตรงนี้ ลักษณ์ลี่ ทลายอสูร!”
ครืน—
ครืน—
เกิดแรงสั่นสะเทือนตั้งแต่ก่อนที่หมัดจะถูกปล่อยออกมา ราวกับภูเขาลูกใหญ่กำลังจะถล่ม เหล่าผู้คนมองหมัดใหญ่ยักษ์ที่ล้อมด้วยเพลิงทมิฬราวกับถูกอสูรอัญเชิญเพลิง!
แกร๊ก—
เสียงลานประลองแตกเริ่มดังขึ้น ลานประลองมิอาจทนพลังของฝ่ามืออสูรได้
ซือหยูตกใจ พลังโจมตีนั้นแทบจะเทียบได้กับผู้ตรวจการไป่ฮี!
เส้นผมของซงหลวนถูกพัดปลิวแม้จะไร้แรงลม เขากำลังปล่อยรังสีกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวออกจากทั้งร่าง! ซือหยูมองและตกตะลึงที่เห็นรังสีกระบี่ออกมาจากทุกส่วนของร่างกายซงหลวน! เส้นผม เล็บ ผิวหนัง ดวงตา…ทุกส่วนในร่างกายของเขากำลังปลดปล่อยรังสีกระบี่!
“ถ้าจิตใจต้องการ ทุกสิ่งก็เป็นกระบี่!”
พลังกระบี่อันน่าขนลุกล้อมรอบกายซงหลวน ในตอนนี้เขากลายร่างเป็นรูปลักษณ์กระบี่แห่งโลกา!
“มนุษย์ดั่งกระบี่ กระบี่ดั่งมนุษย์ กระบี่และมนุษย์เป็นหนึ่งเดียวกัน!”
กระบี่และมนุษย์เป็นหนึ่งเดียวกัน!
ตู้ม—
ซงหลวนระเบิดรังสีกระบี่ ร่างของเขากลายเป็นกระบี่เมื่อเคลื่อนไหว
จ้าววิหคเพลิงมองด้วยความยอมรับ
“ว่ากันว่าซงหลวนหมกมุ่นอยู่กับกระบี่มาตลอดช่วงชีวิต เขาเกือบเอาตัวไม่รอดถึงเก้าครั้งเพราะกระบี่ การบ่มเพาะดวงใจกระบี่นั้นไม่เคยมีผู้ใดในทวีปนี้ทำมาก่อน ทำให้เขาถูกเรียกว่ากระบี่ปีศาจ”
มู่เทียนฟางตกตะลึง
“ท่านอาจารย์ ดวงใจกระบี่คือสิ่งใดกัน?”
“กระบี่ซ่อนเร้นในจิตใจกลายเป็นกระบี่ไร้ลักษณ์ นั่นคือดวงใจกระบี่! เขาเป็นอิสระจากกระบี่ที่มีรูปลักษณ์และเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นกระบี่มานานแล้ว ทุกส่วนของร่างกายเขาคือกระบี่! ตราบเท่าที่จิตใจตั้งมั่น ทุกสิ่งก็จะกลายเป็นกระบี่!”
“ซงหลวนคือปรมาจารย์กระบี่ตัวจริง!”
มู่เทียนฟางชื่นชมซงหลวนไม่ต่างกับซือหยู
บนลานประลอง เว่ยฉีหลินตกใจ
“อะไรกัน?”
เขาตะโกน
วิชากระบี่ดั่งเทพนี้เต็มไปด้วยอารมณ์ อีกฝ่ายกลายเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่ พลังมหาศาลนั้นเฉือนได้ทุกอย่างจนเว่ยฉีหลินสัมผัสได้ถึงความตาย!
ตู้ม–
ทลายอสูรมิอาจทำอะไรได้ มันถูกทำลายด้วยพลังกระบี่ของซงหลวน
เว่ยฉีหลินใจเต้นแรง เขากัดฟันแน่น
“เจ้าบังคับข้าเองนะ! ลักษณ์ห้า! ทลายเทพ!”
ปั้ง ปั้ง ปั้ง–
พลังวิญญาณโดยรอบสั่นอย่างบ้าคลั่งเกิดเป็นคลื่นเหนือนภา
หมัดที่ใหญ่ยักษณ์ยิ่งกว่าหมัดใดพุ่งลงมาจากเมฆาราวกับเป็นหมัดจากสวรรค์! เหล่าผู้คนร้องตะโกนด้วยความตกใจ พวกเขารู้สึกได้ถึงอำนาจสวรรค์จากหมัดนั่น! พลังที่ทำลายทุกสิ่งได้ได้ทำให้เหล่าผู้คนขนลุก
แกร๊ก—
ลานประลองแตกแยกเป็นสองส่วน
ในตอนนี้ ซงหลวนพุ่งเข้าใส่ หมัดยักษณ์จากสวรรค์และกระบี่ปีศาจผู้ที่ได้ถือกำเนิดใหม่เข้าปะทะกัน เกิดแรงกระแทกอย่างรุนแรง
ครืน—-
ลานประลองกลายเป็นฝุ่นผง คลื่นพลังที่ปะทะกันทำให้คนโดยรอบเจ็บปวด แต่ก็ไม่มีใครละสายตาจากลานประลอง พลังที่ทั้งสองแสดงออกมานั้นน่าตกตะลึงจนเกินไป!
ทุกคนเริ่มประทับใจซงหลวน ซงหลวนผู้ที่ไม่มีคนรู้จักมากนักกลับรับมือกับยอดฝีมืออย่างเว่ยฉีหลินได้
เมื่อฝุ่นควันกระจายออกไป ทั้งสองก็เข้ามาในสายตาของเหล่าคนดู เว่ยฉีหลินยังคงยืนอยู่ที่เดิม หน้าเขาซีดเล็กน้อย แต่ซงหลวนนั้นถอยไปหลายก้าว โลหิตไหลออกจากมุมปาก เห็นได้ชัดว่าใครแข็งแกร่งกว่า สุดท้ายแล้วซงหลวนยังอ่อนแอกว่าเล็กน้อย
ซงหลวนสำลักโลหิตและประสานมือถอยกลับ
“เจ้าแข็งแกร่งกว่าข้า ข้าขอยอมแพ้”
แม้เว่ยฉีหลินจะหยาบคาย เขาก็ไม่พูดคำไม่ดีออกมา เขากลับแสดงความนับถือที่ตัวเขายากจะทำ
“เจ้ารับข้าได้ถึงห้ากระบวนท่า เจ้าควรจะภาคภูมิใจในตัวเอง”
ซงหลวนเกือบจะทำให้ตำนานเว่ยฉีหลินที่เอาชนะทุกคนในห้ากระบี่ท่าต้องแหลกสลาย เขาจะไม่นับถือบุรุษเช่นนี้ได้อย่างไร?
เว่ยฉีหลินหายใจเข้าลึกและหันไปมองซือหยู
“จำเป็นที่เจ้าจะต้องสู้หรือไม่?”
พูดอีกอย่างก็คือ…หลังจากที่เห็นการโจมตีของเว่ยฉีหลิน ซือหยูควรจะรู้ว่าควรต้องถอย
เหล่าผู้คนจ้องซือหยูและแอบเป็นกังวล เว่ยฉีหลินนั้นแข็งแกร่งเกินจะเอาชนะ แม้แต่ยอดฝีมือแห่งทวีปอย่างซงหลวนก็พ่ายแพ้ แล้วซือหยูจะมีพลังเหนือกว่าเว่ยฉีหลินได้อย่างไร?
เพลิงลุกในดวงตาซือหยู
“ทำไมเล่า? เอาชนะทุกคนในห้ากระบี่ท่างั้นรึ ข้าจะทำลายมันเอง!”
นานมาแล้วที่เขาได้ต่อสู้อย่างจริงจัง เว่ยฉีหลินคือศัตรูที่แข็งแกร่งที่เขาต้องการ ไม่ว่าผู้ใดจะชนะ ซือหยูก็จะได้เติบโตอย่างมาก! โดยเฉพาะฎีกาสวรรค์ของเขา!
ตอนที่ 375
ยู่หลิงที่ใต้ลานประลองส่ายหน้า
“ลืมซะเถอะ เจ้าอาจจะเอาชนะข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วเจ้าจะไปชนะเว่ยฉีหลินได้ยังไง”
นางยอมรับว่าซือหยูมีพรสวรรค์อันน่าตกใจ ธนูของเขานั้นเป็นดั่งของขวัญจากสวรรค์ แม้คนที่แข็งแกร่งอย่างหลิวลี่ก็พ่ายแพ้ในศรเดียว แต่เมื่อได้เห็นความว่ากลัวของเว่ยฉีหลินด้วยตัวเอง ยู่หลิงจึงไม่คิดว่าซือหยูจะมีหวัง
หลายคนยอมรับตามที่นางพูด เพราะในท้ายสุด พลังของอาวุธก็เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยของยอดฝีมือเท่านั้น ถ้าซือหยูอยากจะเอาชนะเว่ยฉีหลิน เขายังต้องไปอีกไกล
แต่ซือหยูนั้นสีหน้าเรียบเฉิย เขาเหลือบมองยู่หลิงอย่างไร้อารมณ์
“แม้จะพลังต่ำต้อย ผู้คนก็ต้องลงแรงให้จงหนักเสียหลายเท่า แต่ถ้าจิตใจตั้งมั่นว่าต้องพ่ายแพ้ คนผู้นั้นก็จะแพ้ไปตลอดกาล”
ในความคิดของยู่หลิง เว่ยฉีหลินนั้นเป็นคนที่นางจะไม่มีหวังได้เอาชนะ นางไม่คิดจะต่อสู้ นางจะไม่มีวันก้าวข้ามเว่ยฉีหลินได้อีกตลอดไป นางเยาะเย้ยซือหยูไม่ได้
“ไม่ต้องฝืนใจเย็นอยู่หรอก หลังจากที่สู้กับเขาแล้วเจ้าก็จะรู้เองว่าเจ้ามันก็แค่ดีแต่พูด!”
“เจ้ามันเกิดเยียวยาแล้ว ยู่หลิง”
ซือหยูส่ายหน้าเบาๆและไม่สนใจนางอีก
เว่ยฉีหลินยืนมือไพล่หลังและไม่สนใจคำพูดจาหยาบคายของซือหยู
“ถ้าเจ้าอยากจะสู้กับข้า…”
“ก็มาหาข้าสิ”
ซือหยูยืนมือไพล่หลังอยู่ที่เดิม เขาไม่ได้พุ่งเข้าไปโจมตีในทันที
“ฟื้นพลังวิญญาณของเจ้าซะ”
“ข้าไม่ชอบฉวยโอกาสต่อสู้อยู่ฝ่ายเดียว”
หลังจากที่ต่อสู้กับซงหลวน เว่ยฉีหลินหน้าซีดเล็กน้อย เขาใช้พลังไปค่อนข้างมาก
“ไม่จำเป็น พลังวิญญาณและกำลังของข้าในตอนนี้เกินพอที่จะเอาชนะเจ้า”
เว่ยฉีหลินส่ายหน้าและเริ่มโจมตีก่อน
“ทลายเกราะ!”
เขาเหวี่ยงมือและปล่อยเงาหมัดใส่ซือหยู
เขาใช้ทวิลักษณ์ในการโจมตีแรก ดูเหมือนว่าเขาอยากจะจบการต่อสู้โดยเร็ว
ซือหยูยังคงเรียบเฉย เขาเรียกธนูออกมาและง้างศรวิญญาณ เขาปล่อยมือส่งศรวิญญาณพุ่งไปข้างหน้า ท้องนภาสั่นคลอน
ปั้ง–
เงาหมัดหายไป ศรวิญญาณของซือหยูก็หายไปเช่นกัน วิชาธนูของซือหยูนั้นเทียบได้กับทวิลักษณ์ของเว่ยฉีหลิน
“ข้าจะนับว่าเจ้ารับข้าได้สองกระบวนท่า”
เว่ยฉีหลินพูดและยกมือขึ้น
“นี่จะเป็นกระบวนท่าที่สาม เจ้าจะลงจากลานประลองไปก็ได้”
เขาสะบัดแขนเบาๆ
“ทลายอสูร!”
เงาฝ่ามือที่แข็งแกร่งและใหญ่ยิ่งกว่าเดิมก่อตัวขึ้น ธนูเงินทำอะไรไม่ได้แน่
พรึ่บ–
ซือหยูเก็บธนูกลับไปโดยไม่ลังเล
เว่ยฉีหยินพูดอย่างไม่แยแส
“สามกระบวนท่า เจ้าก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด”
หลายคนคิดว่าซือหยูยอมแพ้อย่างที่เว่ยฉีหลินคิด
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ–
ในตอนนั้นเอง ทุกคนได้ยินเสียงสายฟ้าปะทุลั่น สายอัสนีออกมาทางรูขุมขนของซือหยูปกคลุมทั่วร่าง มันกลายเป็นชั้นเกราะสีม่วง และยังมีสายฟ้าเล็กๆสามร้อยสายร่ายรำอยู่บนดัชนีของเขา มันปะทุรังสีพลังที่ทำให้ทุกคนรู้สึกไม่สบายใจ
“ดัชนีพันสายฟ้า!”
ซือหยูยกดัชนีและเล็ง สายฟ้าสามร้อยสายคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ในระยะสองลี้ ยอดฝีมือทุกคนรู้สึกได้ถึงไฟฟ้าอ่อนๆที่กระจายทั่วในอากาศ ร่างกายของพวกเขาเริ่มเป็นอัมพาต
นอกจากความตกใจ ทุกคนต้งปล่อยพลังวิญญาณออกมาขัดขวางสายฟ้าที่พยายามจะเข้าสู่ร่างกายของพวกเขา
“นั่นมันสายฟ้าอะไรกัน!”
“หรือว่าจะเป็นวิชาสายฟ้าที่เขาเพิ่งจะบรรลุพลังเมื่อครู่? นี่มันมากเกินไปแล้ว!”
“ตั้งแต่เมื่อใดกันที่วิชาอำมฤตระดับสองมีอำนาจเช่นนี้?”
สายฟ้าหลากสีเปล่งประกายราวกับภาพลวง มันสาดแสงส่องทั้งลานประลอง ซือหยูเล็งดัชนี สายฟ้าที่ปลายดัชนีกลายเป็นวงแหวนกระจ่างที่มีห้าสีพุ่งออกไป
ฟึ่บ–
หมัดที่พุ่งเข้ามาหายไปในทันที! และพลังของวงแหวนทั้งห้าก็มิได้ลดลง มันกลับพุ่งตรงไปยังเว่ยฉีหลิน
“แข็งแกร่งนัก!”
เว่ยฉีหลินสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย
“งั้นก็เอาไปอีกครั้ง! ทลายอสูร!”
สี่กระบวนท่า! หมัดที่ใหญ่กว่าเดิมสองเท่าพุ่งเข้าใส่ซือหยู
การโจมตีทั้งสองปะทะกัน แต่เสียงของสายฟ้าก็ยังดังก้องพร้อมกับเงาหมัดที่หายไป! วงแหวนอัสนีเบาลงเล็กน้อยแต่ก็ยังมีพลังหลงเหลืออยู่เจ็ดในสิบส่วน!
เว่ยฉีหลินสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม เขาตกใจเล็กน้อย แม้วงแหวนอัสนีจะทำให้สองกระบวนท่าของเขาสลายไป แต่มันก็ยังเหลือพลังมากเช่นนั้น!
“พลังของเจ้านับว่ายอมรับได้ แต่มันจะจบตรงนี้! ลักษณ์ห้า ทลายเทพ!”
เงาหมัดใหญ่เท่าภูเขาปกคลุมครึ่งลานประลอง เงาหมัดพุ่งเข้าใส่ซือหยูราวกับหวังจะฝังซือหยูทั้งเป็น
ต่อหน้าพลังเช่นนี้ วงแหวนอัสนีถือว่าเล็กเป็นอย่างมาก แต่เมื่อมันปะทะกัน หมัดที่ใหญ่ราวภูเขาก็หยุดลง!
จากนั้นหมัดก็พุ่งกระแทกกับพื้นสร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง! ส่วนวงแหวนทั้งห้าที่อ่อนกว่าเดิมมากที่ไหลออกจากส่วนรอยแยกและพุ่งเข้าใส่เว่ยฉีหลิน
เว่ยฉีหลินตกใจอย่างมาก เขารีบป้องกันตัว แต่เขาก็ไม่คิดว่าห้าลักษณ์ของเขาจะถูกทำลายอย่างง่ายดายเช่นนี้! เขาคิดจะจบการต่อสู้ในกระบวนท่านี้แต่กลับต้องประหลาดใจ! วงแหวนทั้งห้าซัดเข้าใส่ร่างของเขา
ในตอนี้ วงแหวนทั้งห้าได้กลายเป็นอัสนีเพลิงแผดเผาร่างของเขา นั่นทำให้ลำตัวของเขาไหม้เกรียม และสายฟ้าก็สร้างแรงระเบิดจนเขากระเด็น
เว่ยฉีหลินกรีดร้องและรู้สึกถึงของเก่าในลำคอ เขาถอยไปเก้าครั้งและเกือบจะตกจากลานประลอง ใบหน้าทั้งเจ็บปวดและตกตะลึง เขาพ่ายแพ้จริงๆ! เขาที่เอาชนะศัตรูได้ในห้ากระบวนท่ากลับแพ้ในกระบวนท่าที่ห้า!
ยอดฝีมือแห่งยุคในทวีป นอกจากเฉินคงแล้วก็ไม่มีใครเอาชนะเขาได้ ซือหยูเป็นเพียงคนเดียว และซือหยูยังเอาชนะเขาจากกระบวนท่าที่ห้า!
รอบลานประลองเงียบกริบ! จ้าววิหคเพลิงยิ้มมุมปากราวกับคาดไว้แล้ว คนที่เหลือล้วนตกตะลึง เว่ยฉีหลิน ยอดฝีมือลำดับสองแห่งทวีป ที่เอาชนะศัตรูทุกคนได้ในห้ากระบวนท่า…พ่ายแพ้!
ยู่หลิงหายใจหอบด้วยความตกใจ! นางมองว่าซือหยูอาจจะอ่อนแอกว่านาง แต่เขากลับเอาชนะเว่ยฉีหลินที่เอาชนะนางได้ในสองกระบวนท่า! ความแตกต่างเช่นนี้ทำให้ยากที่นางจะยอมรับ
เจียงมู่เฟยเบิกตากว้าง
“เจ้าเด็กนั่นจะไม่ซ่อนเร้นพลังมากเกินไปหน่อยรึ? เขาแข็งแกร่งกว่าพี่ซงหลวนอีกรึ?”
ในตอนนี้ทุกคนไม่ได้มองซือหยูแบบเดิมอีกแล้ว พวกเขาไม่เข้าใจในตอนที่จ้าววิหคเพลิงจัดลำดับให้เขาอยู่เหนือหลิวลี่! เหนือกว่าซงหลวนรึ? มันจะเป็นไปได้ยังไง? แล้วยังเหนือกว่าเว่ยฉีหลิน? พวกเขามิอาจเข้าใจเรื่องเช่นนี้ได้! แต่ในตอนนี้พวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าจ้าววิหคเพลิงมีสายตากว้างไกลเพียงใด!
ในบรรดายอดฝีมือทั้งห้าที่อยู่ในจุดสูงสุด ซือหยูคู่ควรที่จะเป็นลำดับสอง ทุกคนเริ่มนับถือซือหยูจากก้นบึ้งของหัวใจ ในทวีปแห่งนี้ นอกจากเฉินคง…ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว! และเขายังมีอายุแค่สิบเจ็ดปี! สมกับที่เขาเป็นตำนานยอดฝีมือ! ไม่มีใครคิดได้เลยว่าเขาจะเติบโตอย่างน่ากลัวเพียงใดในภายภาคหน้า!
เหล่าคนดูนับหมื่นจับจ้องไปที่ซือหยู ซือหยูนั้นไม่สนใจและเหลือบมองเว่ยฉีหลิน
“สองกระบวนท่าเท่านั้น”
กระบวนท่าแรกคือธนูมังกรฟ้าดิน ส่วนกระบวนท่าที่สองคือดัชนีพันสายฟ้า ซือหยูใช้แค่สองกระบวนท่าในการเอาชนะเว่ยฉีหลิน!
เว่ยฉีหลินได้สติจากความตกใจ จิตใจของเขาเจ็บปวดจากความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ ในชีวิตนี้ เขาเพียงแค่มองเฉินคงเป็นศัตรูที่ไร้เทียมทานเท่านั้น แต่เขากลับถูกคนที่อายุน้อยกว่าไล่ตามทันและเอาชนะเขาในสองกระบวนท่า!
ซือหยูละสายตาจากเว่ยฉีหลินและมองไปทางเฉินคงที่ยืนมือไพล่หลัง
“เฉินคง เหลือเจ้าแค่คนเดียวแล้ว!”
ซือหยูมองเขาด้วยจิตสังหาร
เฉินคงคือตำนานที่ยืนอยู่เหนือผู้คนหลายร้อยล้านคน เขาคือผู้คุมสวรรค์แห่งทวีป เขาคืออนุสรณ์ที่ยากจะลบเลือนไปจากจิตใจของเหล่ายอดฝีมือนับไม่ถ้วน เขาคือราชาผู้อยู่เหนือยอดฝีมือทั้งมวล!
เฉินคง ราชาแห่งผู้คุมสวรรค์! จักรพรรดิที่มิอาจก้าวข้าม! ยอดฝีมือหลายล้านคนพยายามสุดความสามารถเพื่อที่จะไล่ตามเขา แต่ก็ไม่มีใครก้าวข้ามเขาได้เลย
การเกิดในยุคเดียวกับเขานั้นนับเป็นฝันร้ายของเหล่ายอดฝีมือ! คนที่แข็งแกร่งอย่างเว่ยฉีหลินนั้นเป็นที่รู้จักว่าเอาชนะทุกคนได้ในห้ากระบวนท่า กระบี่ปีศาจซงหลวนที่เริ่มสร้างดวงใจกระบี่ได้เป็นคนแรก แต่ละคนล้วนเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งทวีป พวกเขานั้นอยู่เหนือกาลเวลาของเหล่าผู้คนในอดีต แต่เมื่อมาอยู่ในยุคที่มีเฉินคงอยู่ด้วย พวกเขาเริ่มไร้ตัวตน
นั่นคือความโศกเศร้าที่มิอาจอธิบายได้ด้วยคำพูด และคนที่ซือหยูอยากจะต่อสู้เและเอาชนะด้วยก็คือราชาผู้นี้ ราชาแห่งยอดฝีมือ!
มู่เทียนฟางประทับใจ ซือหยูเอาชนะมาจนถึงเฉินคงได้จริงๆ! แต่เมื่อนางมองจ้าววิหคเพลิง นางก็เงียบลง อาจารย์ของนางนั้นมีการตัดสินที่ยอดเยี่ยมและมองเห็นล่วงหน้า นางตัดสินลำดับของซือหยูกับซงหลวนได้โดยไร้ข้อผิดพลาด
นั่นก็หมายความว่าการประลองที่กำลังจะเกิดขึ้นของซือหยูนั้นไม่ได้อยู่เหนือการคาดการณ์ของนาง นั่นหมายความว่าซือหยูแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้ต่อสู้ มันถูกลิขิตแล้วว่าเซี่ยนเอ๋อมิได้เป็นของเขา ความปรารถนาที่จะได้พบนางด้วยตัวเองได้กลายเป็นหมอกควันกระจัดกระจาย
ทุกคนกลั้นหายใจและรอให้ราชาผู้คุมสวรรค์ลงมือ เขาจะเอาชนะในกระบวนท่าเดียวดั่งคำร่ำลือหรือไม่?
เฉินคงหัวเราะ เขาหัวเราะอย่างไม่สนใจสิ่งใด ราวกับว่าเขาเป็นจักรพรรดิที่นั่งอยู่จุดสูงสุด เขาก้มลงมองดูทุกสิ่งที่ล้วนต่ำต้อยกว่าเขา เขามองดูความเป็นความตายของเหล่าผู้คนด้วยรอยยิ้ม เขาคือราชาที่มีอำนาจต่อจิตใจทุกคน
“มันตลกนักรึ?”
คำถามของซือหยูทำลายความเงียบ
ในสายตาของทุกคน เฉินคงนั้นเพียงหัวเราะ และซือหยูมั่นใจในตัวเองเกินไป
เฉินคงส่ายหน้าและหัวเราะต่อไป
“มิได้…”
“ข้าก็แค่หัวเราะที่พวกเจ้ามันช้านัก! ในการต่อสู้อันน่าเบื่อนั่น พวกเจ้าจะใช้เวลานานเกินไปแล้ว!”
นานงั้นรึ? ไม่เลย! การต่อสู้ของพวกเขาสี่คนนั้นตัดสินในไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น มันไม่ช้าเลยแม้แต่น้อย
แต่ในสายตาเฉินคงมันก็ยังคงเชื่องช้า เพราะการประลองเหล่านั้นสำหรับเขาล้วนไร้ความหมาย
ซือหยูใจเย็นอย่างประหลาด
“เจ้าไม่ต้องห่วง มันจะจบในไม่นาน!”
เขาคงใช้ไม่กี่กระบวนท่าสู้กับเฉินคง หลังจากนั้นก็คงจะเห็นผลแพ้ชนะ!
เฉินคงยิ้ม
“แน่ล่ะว่ามันต้องเร็ว! แต่มันก็ยังเร็วได้ยิ่งกว่านี้อีก! พวกเจ้าสามคนจะร่วมมือกันก็ได้ ข้าจะจบให้ในไม่นาน”
ไม่มีใครคิดว่าคำพูดของเฉินคงนั้นโหดร้าย ราวกับเป็นธรรมดาที่เฉินคงจะพูดแบบนั้น
ร่วมมือกันรึ?
เว่ยฉีหลินเงียบอยู่ชั่วครู่ เขาที่ทั้งทะเยอทะยานและเย่อหยิ่งไม่ปฏิเสธ เขาหันไปมองซงหลวนกับซือหยู
“ถ้าหากพวกเราไม่ร่วมมือกัน”
“ก็ไม่มีใครทนเขาได้ถึงหนึ่งกระบวนท่า ถ้าช่วยกันก็ยังมีโอกาสรับได้หนึ่งกระบวนท่า!”
เว่ยฉีหลินที่อยู่ใต้เฉินคงนั้นนับถือในพลังเฉินคงอย่างมกา
ซงหลวนหัวเราะเบาๆ
“ข้าเอาด้วย! ข้าก็ปรารถนาจะมองดูตำนานกระบวนท่าเดียวเช่นกัน!”
ทั้งสองมองไปยังซือหยู แต่พวกเขากลับเห็นซือหยูถอยไปหนึ่งก้าว
“ข้าจะสู้กับเขาด้วยตัวคนเดียวเท่านั้น!”
ซือหยูพูดอย่างหนักแน่น
ถ้าเขาชนะ เขาจะต้องชนะอย่างผ่าเผย เขามิอาจยอมรับการร่วมมือกันเอาชนะเฉินคงต่อหน้าเซี่ยนเอ๋อได้
“ฮ่าๆๆๆ! นั่นมันอะไรกัน”
เฉินคงหัวเราะและส่ายหน้า และก้าวไปข้างหน้า
“เช่นนั้นเจ้าสองคนก็เริ่มก่อนเถอะ”
ตอนที่ 376
สตรีทุกคนริษยาในใบหน้าอันงดงามของเขา ใบหน้าเขาเปล่งประกายและมั่นใจ เขายิ้ม
“เข้ามา!”
เขาสั่ง
“พวกเจ้ามีโอกาสเดียวเท่านั้น!”
ถ้าเฉินคงต้องการ พวกเขาคงจะไม่มีแม้แต่โอกาสได้ลงมือ แม้จะร่วมมือกัน
“ย่อมได้!”
เว่ยฉีหลินกับซงหลวนใช้พลังสูงสุด
“ฝ่ามือที่ห้าแห่งนพลักษณ์ทลายสวรรค์ ทลายเทพ!”
“กระบี่หนึ่งเดียว!”
ทั้งสองใช้วิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเอง!
หนึ่งคนใช้หมัดยักษ์ อีกคนเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่และเฉือนผ่านนภา
ลานประลองที่มีทั้งสองยืนอยู่นั้นเกิดรอยแตกไม่ต่างกับใบแมงมุม พวกเขาพุ่งเข้าโจมตีในพริบตา
เฉินคงยืนมือไพล่หลังดังเดิม เขายังคงยิ้ม สายลมรุนแรงพัดผมยาวของเขา แต่เฉินคงก็ยังแน่นิ่งไม่ไหวติง
เมื่อทั้งสองเข้ามาใกล้ เขาก็ค่อยๆยื่นดัชนีไปข้างหน้า!
ซงหลวนที่เป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่นั้นมิอาจถูกป้องกันได้ กระบี่นั้นเร็วปานสายฟ้าและมิอาจหยุดยั้ง แต่ราวกับว่าเฉินคงรู้ว่ากระบี่จะเฉือนตรงที่ใด เขาก้าวหนึ่งก้าวและชี้ดัชนีไปในทิศทางนั้น!
คนธรรมดาคงไม่มีทางเห็นได้เลย แต่ซือหยูใช้พลังดวงตาจนถึงขีดสุดและเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเฉินคงทำอะไร
เขามีพลังที่จะทำนายอนาคต!
ปั้ง–
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมานั้นน่าตกใจ! กระบี่ที่รวดเร็วปานสายฟ้าได้หยุดลง! ดัชนีนั้นชี้ไปยังหน้าผากของซงหลวน เฉินคงผู้เป็นเจ้าของดัชนียังไม่ได้เคลื่อนที่ไปที่ใดแม้แต่น้อย! ราวกับว่าซงหลวนไม่ได้เข้ามาปะทะดัชนีแต่เป็นภูเขาลูกยักษ์!
“เจ้าแพ้แล้ว!”
เฉินคงยิ้มและสะบัดมือ
ครืน—-
ร่างของซงหลวนกระเด็นลอยไปไกลสองลี้ เขากระแทกเข้ากับที่นั่งคนดู
แรงกระแทกมหาศาลทำให้อวัยภายในของซงหลวนสั่นสะเทือนอย่างแรง เขากระอักเลือดออกมา เขาลุกขึ้นมาด้วยความยากลำบากและเช็ดโลหิตออกจากมุมปาก เขาประสานมือนับถือ
“ตำนานกระบวนท่าเดียว ขอบคุณที่ชี้แนะข้า! ขอบคุณที่ไม่ฆ่าข้า!”
ดัชนีนั้นบดขยี้กะโหลกของเขาได้อย่างแน่นอน! ถ้าเฉินคงต้องการเขาก็คงตายไปแล้ว
เฉินคงยิ้ม เขาไม่คิดจะตอบอะไรซงหลวน เขายกดัชนีเข้าหาหมัดยักษ์ที่พุ่งเข้ามาโดยไม่สนใจพลังมหาศาลนั่นเลย
ในตอนนั้น หมัดที่พุ่งเข้ามาไม่ต่างอะไรกับหมอก มันกระจายหายไปด้วยเฉินคงที่แทบไม่ได้ทำอะไรเลย มันพุ่งกลับไปหาเว่ยฉีหลิน!
“อ๊าก!”
เว่ยฉีหลินไม่มีเวลาพอที่จะหลบพ้น! ความเร็วที่มากเกินไปพุ่งซัดใส่ร่างของเขา
อั่ก—
เว่ยฉีหลินกระเด็นและพ่นโลหิตออกมาดั่งหมอก เขากระแทกเข้ากับที่นักคนดู สิ่งปลูกสร้างที่เขากระแทกนั้นพังทลายไม่มีชิ้นดี เว่ยฉีหลินหน้าซีดจนแทบหายใจไม่ออก
เขาพ่ายแพ้ในหนึ่งกระบวนท่า! ผู้คนเป็นตำนานปาฏิหาริย์นี้ด้วยตัวเอง! กระบวนท่าเดียว ไม่ว่าจะเป็นศัตรูคนไหน!
หลังจากที่เงียบไปชั่วครู่ เหล่าผู้คนระเบิดเสียงตะโกน พวกเขาตื่นเต้นที่ได้เห็นพลังอันบ้าคลั่งนี้
“เฉินคงเอาชนะในกระบวนท่าเดียว!”
“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว! ตำนานที่เอาชนะทุกคนในกระบวนท่าเดียว—เฉินคงไร้พ่าย!”
“น่าตกใจนัก! ข้าจะไม่ลืมการต่อสู้ครั้งนี้ไปตลอดชีวิต!”
“เกิดในยุคเดียวกับยอดฝีมือเช่นนี้ช่างเป็นความโศกเศร้าของผู้บ่มเพาะพลังยิ่งนัก!”
เหล่าผู้คนไม่เคยตื่นเต้นขนาดนี้มาก่อน ดัชนีธรรมดาของเฉินคงทำให้ทุกคนตกตะลึง ทุกอย่างที่พวกเขาเคยรับรู้กลับตาลปัตรไปหมด
จ้าววิหคเพลิงมองอย่างพอใจ
“บ่มเพาะมาตลอดเพื่อรับตำแหน่งสูงสุด แต่เขาก็ต้องมาเจอกับคนที่เอาชนะทุกคนในกระบวนท่าเดียว”
ข้างนางคือมู่เทียนฟางที่อ้าปากค้าง นางได้ยินคำพูดของจ้าววิหคเพลิงและมองซือหยูด้วยความสงสารอีกครั้ง
ที่อาจารย์ของนางพูดก็คือยอดฝีมือที่บ่มเพาะอยู่ตลอดเวลาจะไปถึงจุดสูงสุดของมนุษย์ได้ แต่เมื่อต้องมาเจอกับเฉินคงที่ชนะทุกคนในกระบวนท่าเดียว ทุกสิ่งนั้นก็สูญเปล่า ทุกอย่างไร้ความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้าเฉินคง
เหมือนกับเว่ยฉีหลินผู้โด่งดัง เขาต่อสู้ได้อย่างน่าตระการตา ไม่มีใครในทวีปที่รับเขาได้เกินห้ากระบวนท่า คนคนเดียวที่ยืนเหนือทุกคน บุรุษที่หายาก ผู้มีพรสวรรค์โดยแท้ แต่ก็ถูกลิขิตให้แพ้ในกระบวนท่าเดียวจากเฉินคง
ส่วนยอดฝีมือประหลาดอย่างซงหลวนที่ไม่ตายหลังจากต้องกระบี่เก้าครั้ง เขามีระดับปัญญาที่สูงส่งเหนือมนุษย์และบ่มเพาะดวงใจกระบี่ที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยเห็นมาก่อน เมื่อเขาได้เจอกับเฉินคง เขาก็ต้องขอบคุณที่เฉินคงไม่ฆ่าเขา!
เฉินคงแข็งแกร่งเกินไป! เขาแข็งแกร่งจนเบื่อเหล่ายอดฝีมือที่เกิดในยุคเดียวกับเขา ทุกคนไม่ต่างจากเบี้ยล่างสำหรับเขา
ด้วยความสนใจจากผู้คนทั้งลานประลอง เฉินคงยังคงยืนมือไพล่หลังดังเดิม เขายิ้มเช่นเคยราวกับทวยเทพที่ลงมาจากสวรรค์ เขายิ้มมองดูมนุษย์โลกด้วยอำนาจ
“เจ้ามีโอกาสเดียวเท่านั้น”
เฉินคงมองซือหยูและพูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่มีใครชิงผู้หญิงของข้าไปได้ แม้นางจะเคยเป็นของเจ้าก็ตาม”
เซี่ยนเอ๋อ!
ซือหยูหันกลับไปมองเก้าอี้เมฆาหิมะ เซี่ยนเอ๋อไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่มาที่นี่ นางจำเสียงของซือหยูไม่ได้รึ? นางลืมเสียงของซือหยูเมื่อผ่านไปหนึ่งปีงั้นรึ?
ซือหยูกลับมาตั้งสติ ยิ่งศัตรูตรงหน้าแข็งแกร่งเท่าใด ซือหยูก็ยิ่งเยือกเย็นเท่านั้น
“เจ้าจะรู้รึถ้ายังไม่ลองดู?”
แววตาซือหยูเย็นชา
ฟึ่บ–
ซือหยูเรียกธนูออกมาและยิงศรวิญญาณออกไปทันที
เฉินคงส่ายหน้า
“ข้าไม่ได้บอกเจ้ารึว่าเจ้ามีโอกาสเดียว? เจ้าใช้สิ่งที่เว่ยฉีหลินหยุดได้กับข้างั้นรึ? เจ้ามีสมองหรือไม่?”
เฉินคงยื่นสองดัชนีไปคล้าศรวิญญาณ
“ข้าใช้โอกาสเจ้าแล้ว”
“มันจบแล้ว”
พรึ่บ–
เฉินคงพลิกมือสะบัดศรวิญญาณกลับไปหาซือหยู ศรวิญญาณนั้นเร็วปานสายฟ้า มันพุ่งเข้าใส่ซือหยูเร็วยิ่งกว่าตอนที่ซือหยูยิงมันใส่เฉินคง! ซือหยูแทบไม่มีเวลาตอบสนอง
ฉึก–
อกของซือหยูถูกทะลวงออกด้วยศรวิญญาณของตัวเอง!
“อ๊าย!”
มู่เทียนฟางกรีดร้อง
เหล่าคนดูอุทานด้วยความตกใจ! เขาพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียวอย่างไม่ต้องสงสัย! ไม่ว่าจะการโจมตีแบบใด ไม่ว่าจะศัตรูแบบไหน พวกเขาก็ทำได้แค่พ่ายแพ้ต่อเฉินคงในกระบวนท่าเดียว!
ใช้เวลาทั้งหมดเพื่ออยู่บนจุดสูงสุด! แต่ทั้งหมดก็ไร้ค่าเมื่อถูกเอาชนะในกระบวนท่าเดียว เมื่อเผชิญหน้ากับเฉินคง พลังทั้งหมดที่มีนั้นต่างกับไร้ซึ่งสิ่งใด ท้ายสุด ซือหยูที่ขัดโชคชะตาจนมาถึงที่นี่…ม้ามืดอันน่าตกใจ…ก็ไม่เป็นข้อยกเว้น
แต่เฉินคงก็ต้องเลิกคิ้ว เขาสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเมื่อศรวิญญาณทะลวงร่างซือหยู ศรนั้นควรจะทำให้ซือหยูกระเด็นลอยกลับไป
แต่นอกจากรูบนร่าง ซือหยูไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย!
พรึ่บ–
ทันใดนั้นเอง ร่างของซือหยูเลือนลางหายไปเป็นพลังวิญญาณ
“นั่นมัน…”
รอยยิ้มของเฉินคงหายไปเป็นครั้งแรก
“วิชาร่างเทียม!”
แม้ว่าคนนอกจะไม่รู้ แต่เฉินคงจะไม่รู้ถึงวิชาของไป่ฮีที่เป็นผู้ตรวจการแห่งตำหนักรองได้ยังไง? นั่นเป็นการสร้างร่างเทียมจากพลังวิญญาณ!
“ใช่แล้ว!”
เสียงอันเย็นชาดังมาจากข้างเฉินคง
เฉินคงขมวดคิ้ว เป็นไปได้ยังไง? ซือหยูมาถึงข้างกายเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัวตั้งแต่เมื่อใดกัน?
ถ้ามองดีๆก็จะพบว่าในครั้งนี้ซือหยูเร็วกว่าเดิมถึงสามเท่า! เขาใช้พลังเร่งเวลาสร้างร่างเทียมอย่างรวดเร็วและใช้ร่างเทียมนั้นดึงความสนใจจากเฉินคงจากนั้นจึงรีบมาใกล้เฉินคง เมื่อเฉินคงซัดธนูกลับไป ซือหยูก็เตรียมพร้อมจะโจมตีเขาแล้ว
“ดัชนีพันสายฟ้า!”
สายฟ้าสามร้อยสายล้อมดัชนีของซือหยู วงแหวนทั้งห้าซัดเข้าไปที่หน้าผากของเฉินคง! ไม่มีใครป้องกันตัวเองจากสถานการณ์เช่นนี้ได้แน่
เหล่าผู้คนกลั้นหายใจเมื่อได้เห็นภาพเช่นนี้! ถ้าเฉินคงโดนเข้าไปจริงๆ ตำนานที่เขาเอาชนะทุกคนในกระบวนท่าเดียวก็จะหายไป!
ต่อสู้กับเฉินคงและบดขยี้ตำนานของเขา! หรือว่าซือหยูที่มาจากจุดใต้สุดจะเอาชนะตำนานที่มีมาถึงตอนนี้ได้? หลายคนนักในยุคนี้ที่โศกเศร้าเพราะเฉินคง พวกเขาถูกเฉินคงกดมานานเกินไป! ตำนานที่เอาชนะทุกคนในกระบวนท่าเดียวทำให้พวกเขามิอาจเงยหน้าขึ้นมาได้ พวกเขาถูกเฉินคงทำลายย่อยยับ แต่ซือหยูกำลังจะทำมันได้! ที่เป็นภาพประวัติศาสตร์ตรงหน้าพวกเขา!
“หยินหยู! สู้กับเฉินคงแล้วทำลายตำนานนั่นซะ!”
บางคนตะโกนร้องด้วยความตื่นเต้น
เหล่าผู้คนกู่ร้อง ประโยคนี้เต็มไปด้วยความไม่พอใจและความปรารถนาของยอดฝีมือมากมาย
“สู้กับเฉินคง!”
อีกคนตะโกนขึ้น
“ทำลายตำนานนั่นซะ!”
“สู้! สู้! สู้!”
เหล่าผู้คนตะโกนร้อง เลือดในกายเดือดพล่านด้วยความตื่นเต้น ความปรารถนาของพวกเขาทุกคนอัดแน่นอยู่ในประโยคเดียว
“สู้กับเฉินคง ทำลายตำนานของเขาซะ!”
พวกเขามิอาจเผชิญหน้ากับเฉินคงได้ แต่พวงเขามอบความหวังทั้งหมดให้กับซือหยู!
เหล่าผู้คนตะโกนก้องไปถึงสวรรค์ แม้ว่าเสียงเสียงนั้นจะทำให้พวกเขาปวดหูของตัวเองแต่ก็มิอาจทำให้พวกเขาหยุดความบ้าคลั่งนี้ได้
ดัชนีของซือหยูราวกับได้ยินเสียงกู่ร้อง พลังของมันเพิ่มยิ่งกว่าเดิม!
“แหลกไปซะ!”
ซือหยูคำราม
วงแหวนอัสนีทั้งห้าเปล่งประกายทะลวงเฉินคง! ในระยะเพียงเท่านี้ เขาไม่มีโอกาสที่จะหลบได้แน่! อย่างน้อยเขาก็เป็นอำมฤตระดับสี่ขั้นกลาง เขาทำไม่ได้แน่!
เปรี๊ยะ—
แต่สิ่งที่เขาได้ยินกลับมิใช่เสียงอัสนีซัด แต่กลับ…เป็นเสียงของร่างที่ถูกทำลาย!
ภาพติดตา!
เหล่าผู้คนเงียบกริบในทันที พวกเขาสับสน บ้างก็หัวเราะอย่างขมขื่น บ้างก็ผิดหวัง ความรู้สึกซับซ้อนปรากฏบนใบหน้าพวกเขา! ซือหยูล้มเหลว!
ถ้าครั้งนี้ล้มเหลวซือหยูก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว! ตำนานยังคงยืนอยู่หน้าพวกเขา ไม่มีใครเอาชนะได้ลง
ซงหลวนกับเว่ยฉีหลินมองด้วยความกังวล จิตใจพวกเขาหลั่งรินเข้าไปในกระบวนท่าของซือหยู แต่สุดท้ายมันก็ไม่เป็นผลอะไรเลย
ซงหลวนถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด
“สุดท้ายเขาก็ยังทำไม่ได้รึ? แต่ข้าก็เข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเราที่เป็นอำมฤตระดับสี่ขั้นกลางเหมือนเขาถึงรับกระบวนท่าเดียวจากเขาไม่ได้!”
เว่ยฉีหลินมองซงหลวนและหัวเราะอย่างขมขื่น
“นั่นก็เพราะว่าเขามิใช่ขั้นกลาง เขาทะลวงพลังเป็นขั้นสูงแล้ว!”
ความต่างในแต่ละขั้นของขอบเขตอำมฤตระดับสี่นั้นราวฟ้ากับเหว นั่นจึงเป็นเหตุที่ยู่หลิงที่เป็นอำมฤตระดับสี่เอาชนะคนที่ฐานพลังเทียบเท่ากันได้แทบทุกคนแต่มิอาจรับสองกระบวนท่าจากเว่ยฉีหลินที่เป็นระดับสี่ขั้นกลางได้ ความต่างของพลังแต่ละขั้นนั้นสูงเกินไป
เฉินคงได้เป็นระดับสี่ขั้นสูงมานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงแข็งแกร่งจนเอาชนะได้ทุกคนในทวีป นี่จึงทำให้เขาเหนือกว่าความคาดหมายของทุกคนและหลบการโจมตีที่มิอาจหลบได้!
ซือหยูประมาทเกินไป ทุกคนประมาทเขาเกินไป การโจมตีนั้นถูกลิขิตให้พลาดตัวเฉินคง!
อำมฤตระดับสี่ขั้นสูงรึ? นี่เกินกว่าที่ซือหยูคิดไว้!
ซือหยูยังคงอยู่บนกลางอากาศ แต่เขาก็ได้ยินเสียงอันเย็นชาจากข้างๆ
“เจ้าเป็นคนแรกที่บังคับให้ข้าแสดงฐานพลังที่ซ่อนเอาไว้ออกมา! แต่โชคร้านนัก การขัดขืนของเจ้ามันไร้ค่า!”
แม้ว่าซือหยูจะหลบการโจมตีนี้ได้ เขาก็ทำให้เฉินคงโกรธเข้าแล้ว!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น